คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 12 “ดาเนียลในถ้ำสิงโต” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  กุมภาพันธ์  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 12 “ดาเนียลในถ้ำสิงโต”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรากลับมาสู่ซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” กันต่อ ซึ่งการบรรยายวันนี้เป็นตอนที่ 12 มีชื่อตอนว่า “ดาเนียลในถ้ำสิงโต”

เรากำลังเรียนรู้เรื่องชีวิตของดาเนียล และนำมาศึกษาอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต ความเชื่อ ความไว้วางใจในพระเจ้า เราอ่านพระคัมภีร์ดาเนียล ศึกษาร่วมกันมา 5 บทแล้ว วันนี้จะมาดูบทที่ 6

ใน 5 บทที่ผ่านมา ย้อนนิดหนึ่ง อยู่ในยุคสมัยอาณาจักรบาบิโลน ปกครองโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ จนมาจบที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ ที่ให้ดาเนียลแปลอักษรปริศนา บนผนัง ในคืนนั้นกษัติรย์เบลชัสซาร์ของชาวบาบิโลน ถูกลอบปลงพระชนม์ แล้วกษัตริย์ดาริอัส แห่งมีเดียเปอร์เซียยึดอาณาจักรบาบิโลนได้ เป็นอันว่าจบอาณาจักรบาบิโลนไป

ถ้าย้อนกลับไปที่เริ่มต้นเรื่องนี้ จำได้ใช่ไหมครับ เรื่องของรูปปั้น ซึ่งเป็นนิมิต เป็นความฝันที่พระเจ้าได้ให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ และให้ดาเนียลแปลความฝันนั้น ก็คือส่วนที่เป็นศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ซึ่งหมายถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรบาบิโลนนั้น ก็เป็นอันว่าจบสิ้นไป หนึ่งแล้ว เป็นไปตามคำบอกเล่าล่วงหน้า โดยพระเจ้า ผ่านทางดาเนียล

และกำลังย่างเข้าสู่ส่วนต่อไปของรูปปั้น รองลงมา ก็คือที่หน้าอกและแขน ทำด้วยเงิน ซึ่งหมายถึงมีเดียเปอร์เซียในนิมิตนี้

ทุกเหตุการณ์ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ เป็นแผนการของพระเจ้า หลายคนชอบพูดว่าพระเจ้าทำนาย พระคัมภีร์ทำนายว่า ไม่ใช่ทำนาย บอกล่วงหน้ากับทำนายมันต่างกัน บอกล่วงหน้าว่า …

“ฉันเตรียมแผนการนี้ มันจะเกิดอย่างนี้ขึ้น”

ก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริง พระเจ้าบอกล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วมันก็เป็นไปตามคำเผยพระวจนะ ก็คือคำบอกเล่าของพระเจ้าให้ผู้รับใช้ของพระองค์จดบันทึกไว้ อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลตั้งแต่หน้าแรกจนกระทั่งถึงหน้าสุดท้าย คือพระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ในหนังสือวิวรณ์ ทั้งหมดนั้นเลย คือการบอกกล่าวล่วงหน้าทั้งสิ้น เวลาท่านไปอ่าน ท่านจงรู้เรื่องนี้ด้วยว่ามันเป็นอย่างนั้น พระเจ้าบอกไว้เลย นี่พูดถึงช่วงนี้ ช่วงที่เรากำลังพูดกันถึงบาบิโลน เกิดขึ้นมาโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์อย่างไร? พระเจ้าเตรียมกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ เตรียมให้เขามาเป็นกษัตริย์ ครอบครองบาบิโลน และบอกไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะให้ชาวยิวถูกต้อนมาเป็นเชลย มาอยู่บาบิโลน 70 ปี แล้วมันก็เป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในเรื่องนี้ ที่เรากำลังเรียนรู้กัน

และบอกต่อไปว่าหลังจากนั้นบาบิโลนจะถูกโค่นอำนาจลง โดยใคร? ก็บอกเรียบร้อยเลย เพราะฉะนั้น บาบิโลน ก็ถูกโค่นอำนาจลงจริงๆ ในวันที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ แห่งบาบิโลน  องค์สุดท้ายของบาบิโลนถูกปลงพระชนม์ กษัตริย์ดาริอัสแห่งเปอร์เซียเข้ายึดครอง

เพราะฉะนั้น วันนี้ เราจะมาเรียนรู้กันต่อในหนังสือดาเนียลบทที่ 6 ว่าหลังจากที่บาบิโลน ถูกโค่นลงแล้ว และมีเดียเปอร์เซียเข้ามาครอบครองอำนาจ มีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้นกับดาเนียล และชาวยิวที่อยู่ในบาบิโลนนั้น ในสมัยของดาริอัสนี้ ที่จะทำให้เราได้มีความเชื่อเพิ่มขึ้น เราจะได้รู้ว่าอุปนิสัยพระองค์เป็นอย่างไร? ดาเนียล 6:1-9

ดาเนียล 6:1-9 “1 ดาริอัสทรงเห็นชอบให้แต่งตั้งเสนาบดี 120 คน ปกครองทั่วราชอาณาจักร 2 โดยมีผู้บริหารการปกครองสามนาย ปกครองเหนือคนเหล่านั้น หนึ่งในสามนั้น คือดาเนียล เสนาบดีจะรายงานต่อผู้บริหารการปกครอง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของกษัตริย์  3 ดาเนียลมีคุณสมบัติดีเด่น เหนือกว่าผู้บริหารการปกครองคนอื่นและเสนาบดีทั้งหลาย กษัตริย์จึงดำริจะแต่งตั้งให้เขาดูแลทั่วราชอาณาจักร 4 ด้วยเหตุนี้ ผู้บริหารการปกครองคนอื่น และเสนาบดีทั้งหลายจึงพยายามจับผิดดาเนียล ในงานราชการแผ่นดิน แต่ไม่สำเร็จ พวกเขาไม่พบข้อบกพร่องของดาเนียลเลย เพราะเขาซื่อสัตย์ ไม่เคยฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือละเลยหน้าที่ 5 ในที่สุด คนเหล่านี้ก็พูดกันว่า “เราไม่มีทางหาเรื่องจับผิดดาเนียลคนนี้ได้เลย นอกจากเรื่องเกี่ยวกับ พระบัญญัติของพระเจ้าของเขา 6 ฉะนั้น ผู้บริหารการปกครองคนอื่น และเหล่าเสนาบดี จึงรวมกลุ่มกันเข้าเฝ้ากษัตริย์ และทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ดาริอัส ขอจงทรงพระเจริญ 7 ข้าพระบาททั้งหลาย ผู้บริหารการปกครอง ข้าหลวงภาค เสนาบดี ราชมนตรี และผู้ว่าการทั้งปวง เห็นพ้องต้องกันว่าฝ่าพระบาทควรออกพระราชกฤษฎีกาว่าหากผู้หนึ่งผู้ใด อธิษฐานต่อเทพเจ้า หรือขอต่อมนุษย์ นอกเหนือจากฝ่าพระบาท ในช่วงสามสิบวันที่จะถึงนี้ ข้าแต่กษัตริย์ ผู้นั้นจะต้องถูกโยนลงในถ้ำสิงโต 8 บัดนี้ ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย จะยกเลิกไม่ได้” 9 ฉะนั้น กษัตริย์ดาริอัส จึงให้ออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร”

 

คุ้นๆ ไหมครับ การแก่งแย่งอำนาจ พอเห็นว่าดาเนียลได้ดีกว่า เด่นที่สุด “จงทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย” มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ดาเนียลรับตำแหน่งผู้บริหารปกครองนี้ ก็คือรองจากกษัตริย์ เป็นจุดอันตรายของดาเนียล คนรอบข้างเขาพยายามหาเรื่องใส่ร้าย เพื่อจะกำจัดดาเนียล แต่ก็ทำไม่ได้ง่าย เพราะว่าดาเนียลดีพร้อมทุกอย่าง ทำงานด้วยความสัตย์ซื่อและฉลาด มีสติปัญญา เจ้านายที่ไหนก็ชอบ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ชอบ ดาริอัสก็ชอบ โปรดปราน พวกขุนนางก็เลยต้องหาวิธีอื่นอีก หาไปเรื่อยๆ จนเจอ คือรู้ว่าดาเนียลรักพระเจ้าและติดสนิทใกล้ชิดพระเจ้ามาก ต้องอธิษฐานกับพระเจ้าสม่ำเสมอ ไม่เคยขาด บรรดาขุนนางก็ใช้วิธีนี้ คือให้กษัตริย์ออกกฎหมาย ไม่ให้ผู้ใดอธิษฐานกับเทพเจ้าหรือมนุษย์อื่นใด นอกเหนือจากกษัตริย์ ใครฝ่าฝืนจะถูกโยนลงไปในถ้ำสิงโต ซึ่งในข้อที่ 8 ขุนนางบอกว่า …

”ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย จะยกเลิกไม่ได้”

มีเดียเปอร์เซีย จริงๆ เป็น 2 ประเทศมารวมกัน ช่วยกันทำสงคราม เป็นมหาอำนาจที่ปกครองหลายประเทศ และขยายอาณาจักรในขณะนั้น  ซึ่งถ้ากฎหมายออกมา ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายใดก็แล้วแต่ จะใช้ทุกประเทศที่ครอบครองอยู่ จะไม่สามารถยกเลิกได้ แม้กระทั่งผู้ออกเอง คือกษัตริย์เอง ก็ไม่สามารถยกเลิกกฤษฎีกานี้ได้ ขุนนางรู้เรื่องนี้ จึงรู้ว่านี่เป็นทางเดียวที่จะบีบเค้นกษัตริย์ เพราะรู้ว่าดาเนียลเป็นคนโปรด

ทำไมถึงใช้คำว่าบีบบังคับกษัตริย์ เพราะที่เราอ่านไปตอนต้นว่ากษัตริย์ดาริอัสทรงโปรดปรานดาเนียลมาก เพราะดาเนียลมีคุณสมบัติดีเด่น เหนือกว่าผู้บริหารปกครองคนอื่นๆ กษัตริย์จึงแต่งตั้งให้ดาเนียลมีอำนาจสูงกว่าคนอื่นๆ คือจริงๆ กษัตริย์ดาริอัสไม่ได้อยากจะทำในเรื่องนี้ รู้ แต่ในทางกฎหมาย จึงจำเป็นต้องออกกฎหมายไปอย่างนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไร? พูดง่ายๆ คือถูกบังคับนั่นเอง มันเป็นแผนการ ความชั่วร้ายของคน เขาเรียกว่าไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล เอาด้วยคาถา เดี๋ยวนี้ไม่ได้ด้วยคาถา ก็เอาซึ่งๆ หน้าเลย กระชากไปต่อหน้าต่อตา ได้ทั้งหมด คือเป็นความชั่วร้ายที่อยู่ในเชื้อบาปที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน เพียงแต่ว่าจะบังคับตัวเองได้มากขนาดไหน? ถ้าปล่อยตัวเองไปเรื่อยๆ ก็เยอะ เป็นทาสของความชั่วร้าย  ก็คือเป็นความชั่วร้ายที่คิดขึ้นมา กะจะเลื่อยขา กะจะโค่นอำนาจ เพื่อนร่วมงานของตัวเอง ในยุคปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น วางแผนจัดการกับคู่แข่ง คู่ต่อสู้

ดาเนียลนับจากวันที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยที่บาบิโลน จนถึงตอนนี้ อย่างน้อยๆ ประมาณ 50 ปีแล้ว ดาเนียลและเพื่อนๆ ทั้งสามคน ผ่านเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน

เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ จึงชินกับเรื่องนี้แล้ว เจอเรื่องนี้ เขาก็เข้าไปปรึกษาพระเจ้า เข้าไปอธิษฐานกับพระเจ้าว่าพระองค์ต้องการทำอะไร? ดาเนียลก็เข้าไปอธิษฐานว่า …

“พระเจ้า ข้าพระองค์ขอการทรงนำ จะให้ข้าพระองค์ทำอย่างไร? ในเรื่องนี้”

คือขอคำแนะนำจากพระเจ้า แล้วจบสุดท้ายว่า …

“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์”

ดาเนียล 6:10-12 มาดูสิว่าอะไรเกิดขึ้น น้ำพระทัยพระเจ้าต้องการอะไร?

ดาเนียล 6:10-12 “10 บัดนี้ ข้าแต่กษัตริย์ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย จะยกเลิกไม่ได้ ฉะนั้น กษัตริย์ดาริอัสจึงให้ออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร” เมื่อดาเนียลทราบว่าพระราชกฤษฎีกาประกาศใช้แล้ว เขาก็กลับบ้าน และขึ้นไปยังห้องชั้นบน ซึ่งหน้าต่างเปิดไปทางกรุงเยรูซาเล็ม เขาคุกเข่าอธิษฐาน ขอบพระคุณพระเจ้าของเขา วันละสามครั้งตามที่เคยปฏิบัติเสมอมา 11 แล้วคนเหล่านั้น รวมกลุ่มกันไปเฝ้าดู และพบดาเนียลอธิษฐาน ทูลวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า 12 พวกเขาจึงไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ และทูลเกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาว่า “ฝ่าพระบาททรงออกพระราชกฤษฎีกาแล้วไม่ใช่หรือว่าหากผู้หนึ่งผู้ใด อธิษฐานต่อเทพเจ้า หรือขอต่อมนุษย์  นอกเหนือจากฝ่าพระบาท ในช่วงสามสิบวันนี้ ข้าแต่กษัตริย์ ผู้นั้นจะต้องถูกโยนลงในถ้ำสิงโต” กษัตริย์ตรัสตอบว่า “กฤษฎีกานั้น มีผลบังคับใช้ ตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย ซึ่งยกเลิกไม่ได้”

 

ตามที่เราได้เรียนรู้เรื่องราวของดาเนียลและเพื่อนๆ ทุกๆ ครั้งที่เผชิญกับปัญหาอะไรก็ตาม ดาเนียลและเพื่อนๆ จะอธิษฐานกับพระเจ้า ทูลขอการทรงนำ และการช่วยกู้จากพระองค์เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน กฤษฎีกาออกมาบอกว่าห้ามอธิษฐานกับพระเจ้า ในช่วง 30 วันนี้ แล้วจะทำอย่างไร? ดาเนียลรีบกลับไปบ้าน อธิษฐาน ผมเชื่อมั่นว่าดาเนียลต้องอธิษฐานอย่างนี้ว่า …

“พระเจ้าช่วยชนชาติยิวด้วยเถิด ตอนนี้ถูกบีบบังคับในเรื่องของศาสนา ในเรื่องของความเชื่อจะทำอย่างไร?”

ถูกไหม?  “พระองค์เจ้าข้า อาจจะมีบางคนกำลังปฏิเสธพระองค์อย่างที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขากลัว เขาไม่กล้าเอ่ยนามของพระองค์ในขณะนี้ เขาอยากอธิษฐาน แต่เขาไม่กล้าอธิษฐาน เพราะเขากลัวตาย”

มีเยอะกว่าที่เราคิดว่าคนเหล่านั้นกล้า

“เอาสิ ตายเป็นตาย โยนเข้าถ้ำสิงโตก็ไม่กลัว”

มีสักกี่คน? ผมจะบอกให้ฟัง อันนี้เป็นความเข้าใจธรรมดา 100% มนุษย์ทุกคนกลัวตายทั้งนั้นแหละ ถ้ามีคนไหนขึ้นมาบอกไม่กลัวเหมือนดาเนียล ก็เพราะว่าพระเจ้าใส่ความกล้าหาญลงไปที่เขา เอเมน ต้องคิดถึงตรงนี้ ไม่ใช่เขาเก่ง พระเจ้าให้เขาเป็นฮีโร่ในตอนนั้น เขาไม่ได้อยากเป็นฮีโร่หรอก ไม่ใช่ฮีโร่ด้วยซ้ำไป เป็นผู้รับใช้ในขณะนั้น เพราะฉะนั้น พอถึงเวลาของท่าน ถ้าท่านรับไม่ได้อย่างนี้ ท่านบอกว่า …

“30 วันนี้ พระเจ้าเข้าใจลูกด้วย ลูกของดอธิษฐานชั่วคราว”

พระเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไรท่าน แสดงว่าท่านไม่ได้ถูกเลือกให้มาเป็นผู้รับใช้ในขณะวิกฤต อย่างนั้น แต่ถ้าท่านสามารถ กล้าหาญที่จะอธิษฐานได้ พระเจ้าอาจจะให้ท่านด้วยความกล้าหาญ และไม่มีใครเห็น ท่านก็รอดไป คือไม่มีใครเห็นท่านอธิษฐาน แต่ดาเนียลมีคนเห็น เพราะว่าเขาเฝ้าตามดาเนียลทุกฝีก้าว อธิษฐานเมื่อไร? ฟ้องเลย เราควรจะมองภาพนี้  ไม่ใช่มองภาพอย่างเดียวว่า …

“เราต้องทำตามอย่างดาเนียลหมด”

แล้วใช่น้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับเราไหม ให้เราเป็นอย่างนั้น แล้วถ้าเราทำไม่ได้ เราผิดเหรอ ท่านลองไปคิดดูแล้วกัน เราเชื่อพระเจ้า เพราะต้องการมาขอความช่วยเหลือ ขอกำลังจากพระเจ้า เพราะเราอ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ ถูกไหม? นี่คือความเข้าใจธรรมดา คิดธรรมดา

หลังจากยุยงกษัตริย์ให้ออกกฎหมายแล้ว พอเจอพฤติกรรมของดาเนียลอย่างนี้ มันแน่นอนอยู่แล้ว ก็ต้องไปฟ้องกษัตริย์ พวกเสนาบดีและผู้ปกครองที่เป็นศัตรูชั่วร้าย ที่คิดปองร้าย นึกในใจ แล้วก็พูดกันเองว่า …

“เป็นไปตามแผนการของเราเลย”

เขานึกว่าเป็นไปตามแผนการของเขา เสร็จเราแน่ ไม่หลุดแน่ สิงโตกินแน่เลย กำจัดได้แล้ว เขาคิดว่าอย่างนั้น แต่เขาไม่รู้ว่านี่คือแผนการของพระเจ้า พวกขุนนางก็นำเรื่องนี้ไปฟ้องกษัตริย์ แล้วก็บีบบังคับให้กษัตริย์ดำเนินตามกฎหมาย ดาเนียล 6:13-18 บันทึกเอาไว้

ดาเนียล 6:13-18 “13 พวกเขาจึงทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ดาเนียลซึ่งเป็นเชลยคนหนึ่งจากยูดาห์ ไม่ใส่ใจในฝ่าพระบาท หรือพระราชกฤษฎีกา ที่ทรงให้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร  เขายังคงอธิษฐานวันละสามครั้ง 14 เมื่อกษัตริย์ทรงทราบเช่นนี้ ก็ทุกข์พระทัยยิ่งนัก ทรงครุ่นคิดหาวิธีช่วยเหลือดาเนียลจนพลบค่ำ 15 คนเหล่านั้นก็รวมกลุ่มกันมาเข้าเฝ้า และทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงระลึกว่าตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย คำสั่งหรือกฤษฎีกาใดๆ ของกษัตริย์ที่ออกไป จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย” 16 ฉะนั้น กษัตริย์จึงมีพระบัญชา และพวกเขาก็จับดาเนียลโยนลงในถ้ำสิงโต กษัตริย์ตรัสกับดาเนียลว่า “ขอให้พระเจ้าที่เจ้าปรนนิบัติเสมอมานั้น ช่วยเหลือเจ้าเถิด17 เขานำหินก้อนหนึ่ง มาปิดที่ปากถ้ำ แล้วกษัตริย์ประทับตราพระธำมรงค์ที่หินนั้น และบรรดาขุนนาง ประทับตราแหวนของตน เพื่อไม่ให้ใครมาเปลี่ยนแปลง แก้ไขสถานการณ์ของดาเนียลได้ 18 แล้วกษัตริย์เสด็จกลับวัง ทรงงดเสวยและการบันเทิงทั้งปวง และพระองค์บรรทมไม่หลับตลอดทั้งคืนนั้น”

 

ดาเนียลไม่กลัว ยังกล้าอธิษฐาน แต่หลายคนกลัว ปฏิเสธ ที่ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เข้าไปอยู่ในสวรรค์ แล้วก็สั่งให้สาวกออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ขณะที่ออกไป ก็ถูกต่อต้านอย่างแรง หนึ่งในจำนวนนั้น คือสเตเฟ่น ถูกหินขว้างตาย เขาก็ไม่กลัว ตายเป็นตาย สาวกอื่นๆ ที่เพิ่งเริ่มเชื่อ ไม่ได้เขียนบันทึกในพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่กลัวตาย ในพระคัมภีร์บอกว่าเขาหนีกระเจิดกระเจิงกัน กระจัดกระจายไป ไกลๆ แอบซ่อนอยู่ในถ้ำ มากกว่าไหมคนที่พลีชีวิตตัวเอง แล้วคนเหล่านั้นผิดเหรอ นั่นก็เป็นแผนการของพระเจ้าเช่นเดียวกัน เพราะเขากลัว เขาจึงหนีออกไป  พระเจ้าก็นำพาเขาออกไปประกาศข่าวประเสริฐที่เขาหนีไปที่นั่น เป็นพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่ได้อยู่ที่เราเลย อยากจะบอกให้ฟัง บางคนชอบฟ้องผิดตัวเอง

“คนนั้นความเชื่อดีจัง ฉันทำไมความเชื่อไม่ดี”

ความเชื่อเป็นของประทาน แต่ความไว้วางใจ เป็นสิ่งที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ เมื่อเรามาเรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้าบ่อยๆ เรามาคบหาสมาคมกับคริสเตียน ผู้ที่มีความเชื่อด้วยกัน บ่อยๆ มันทำให้เกิดความไว้วางใจ แต่ความไว้วางใจ มิได้หมายถึงความเชื่อ เมื่อมีเหตุการณ์วิกฤตขึ้นมา ต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง ท่านอาจจะหนีก็ได้ ปล่อยให้พระเจ้าเป็นผู้กำหนดและกระทำแผนการของพระองค์ในชีวิตของเรา

เรามาต่อเหตุการณ์ก็เป็นไปตามแผนการของขุนนางวางไว้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้อย่าคิดกำจัดใคร พระเจ้ามองลงมา ฝนตกสาดลงมา เปียกทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือไม่เป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า ถ้าท่านวางแผนการชั่วร้ายอย่างนี้แล้ว มันจะกลับสนองท่านเองนั่นแหละ

กษัตริย์จึงมีคำสั่งให้จับดาเนียลโยนลงไปในถ้ำสิงโต ทั้งๆ ที่กษัตริย์เองก็รักดาเนียลมาก และไม่อยากจะทำ แต่ก็จำเป็นต้องทำ ทั้งๆ ที่รู้ว่านี่คือแผนการ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร? เพราะตนเองก็ออกกฎหมายไปแล้ว แล้วดูสิกษัตริย์ทำอย่างไร? ในนี้บอกว่าก่อนที่จะจับดาเนียลไปที่ถ้ำสิงโต กษัตริย์ยังบอกดาเนียลว่า …

“ขอพระเจ้าที่เจ้าปรนนิบัติเสมอมานั้น ช่วยเหลือเจ้าเถิด”

ซาบซึ้งขนาดไหน? ทำให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ของผู้เชื่อในพระเจ้า คือดาเนียลและกษัตริย์ที่ใหญ่สูงสุดในขณะนั้น เป็นมหาจักรพรรดิ เขาเรียกว่าประเทศมหาอำนาจใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ซึ่งดูเหมือนไม่เชื่อพระเจ้า แต่คำนี้ คือเขาเชื่อ เชื่อเพราะว่าผ่านทางผู้รับใช้ คือดาเนียล ที่เขาทำงานด้วยมาตลอด เคยได้ยินว่ายุคก่อน ที่ทำกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างนี้ แล้วตัวเขาเองมาเจอประสบการณ์ คนนี้น่ายกย่อง พระเจ้าได้รับเกียรติ

แสดงว่าดาเนียลรักษาความเชื่อเสมอต้นเสมอปลาย จนกระทั่งเห็นชัดเจน และหลังจากที่ออกคำสั่งให้โยนดาเนียลเข้าถ้ำสิงโตแล้ว กษัตริย์ก็ซึมเศร้ากลับวัง กินข้าวไม่ได้ นอนไม่หลับ รู้สึกว่าตัวเองทำผิดไป แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?  แต่ทั้งหมดนี้ ก็เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า

จำปีลาตได้ไหม? เป็นผู้ครองเมืองที่จักรพรรดิซีซาร์โรมส่งมาปกครองเยรูซาเล็ม สมัยที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นผู้ที่ต้องออกคำสั่งให้พระเยซูถูกตรึง ทั้งๆ ที่พยายามหว่านล้อม อย่าไปทำเขาเลย เขาบริสุทธิ์ จนพวกผู้นำทางศาสนาซ่องสุมผู้คน ร้องเรียกๆ ต้องทำ ถ้าไม่ทำ จะทำให้เกิดปัญหา ยุ่งวุ่นวาย ในการปกครองของท่าน จะเสียชื่อหมดเลย ปีลาตต้องถูกบังคับให้สั่งประหารพระเยซู โดยไม่อยากทำ เป็นไปตามบทบัญญัติ ตามกฎหมาย ที่เขาจำเป็นต้องทำ ย้ำให้เห็นชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะพระเจ้ากำหนดให้มันเป็นเช่นนั้น มันต้องเกิดขึ้นอย่างนี้ ดาเนียล 6:19-28

ดาเนียล 6:19-28 “19 ทันทีที่ฟ้าสาง กษัตริย์ก็รีบรุดมายังถ้ำสิงโต 20 เมื่อเข้ามาใกล้ถ้ำ  พระองค์ตรัสเรียกดาเนียล ด้วยพระสุรเสียงอันปวดร้าวว่า โอ ดาเนียล ผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าที่เจ้ารับใช้เสมอมานั้น ช่วยเจ้าให้พ้นจากสิงโตได้หรือเปล่า 21 ดาเนียลทูลตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอจงทรงพระเจริญ 22 พระเจ้าของข้าพระบาท ทรงส่งทูตของพระองค์ มาปิดปากสิงโตไว้ พวกมันไม่ได้ทำอะไรข้าพระบาทเลย เพราะข้าพระบาทบริสุทธิ์ ในสายพระเนตรของพระเจ้า และไม่เคยทำผิดประการใด ต่อหน้าองค์กษัตริย์เลย” 23 กษัตริย์ทรงยินดีเป็นล้นพ้น  ตรัสสั่งให้ดึงดาเนียลขึ้นจากถ้ำ เมื่อดาเนียลขึ้นมาแล้วปรากฏว่าเขาไม่มีบาดแผลใดๆ เพราะเขาไว้วางใจพระเจ้าของเขา 24 กษัตริย์ทรงบัญชา ให้จับบรรดาผู้ที่กล่าวหาดาเนียลอย่างผิดๆ โยนลงในถ้ำสิงโต พร้อมทั้งภรรยาและลูกๆ ร่างของคนเหล่านั้น ก็ถูกสิงโตขย้ำ จนกระดูกแหลก ก่อนที่จะกระทบพื้นถ้ำ 25 แล้วกษัตริย์ดาริอัส ทรงเขียนถึงพลเมืองทุกชาติทุกภาษา ทั่วอาณาจักรว่า “ขอให้ท่านทั้งหลาย เจริญรุ่งเรืองเถิด 26 ข้าพเจ้าออกกฤษฎีกา ให้ทุกคนทั่วราชอาณาจักร จงเคารพยำเกรงพระเจ้าของดาเนียล เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และทรงดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอาณาจักรของพระองค์ จะไม่มีวันถูกทำลาย ราชอำนาจของพระองค์ ไม่มีที่สิ้นสุด 27 พระองค์ทรงช่วย และทรงกอบกู้ ทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ ในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงกอบกู้ดาเนียล จากอำนาจของสิงโต” 28 ดังนั้น ดาเนียลจึงเจริญรุ่งเรือง ในรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส และในรัชกาลของกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย”

 

ถ้ำสิงโตในขณะนั้น  เป็นถ้ำที่มืด เขาเลี้ยงสิงโตให้ดุที่สุด เท่าที่จะทำได้ แล้วให้มันหิว พอที่มันจะอยู่ได้ มันทั้งหิวทั้งดุด้วย ถ้ำสิงโตเขามีเอาไว้ขู่พวกคอรัปชั่น พวกกบฏ พวกฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะโกงกินบ้านเมือง

ในนี้บอกว่าพระสุรเสียงกษัตริย์ปวดร้าว คือเศร้า เชื่อว่าดาเนียลตายแล้ว ไม่มีกำลังใจ  เพราะว่าไม่เคยมีใครรอดจากถ้ำสิงโตนี้สักคน ลงไปทุกคน ไม่เหลือซากสักคน ดุมาก

“ดาเนียล ผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าช่วยเจ้าให้พ้นจากสิงโตหรือเปล่า! ยังอยู่ไหม?”

ทันทีทันใดนั้น  ดาเนียลก็ตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระองค์หลับสบายดี”

กษัตริย์ก็ดีใจใหญ่

“ดาเนียล จริงหรือ! ตะโกนอีกทีสิ”

“ข้าพระองค์อยู่นี่”

กษัตริย์ดาริอัส ตื่นเต้น และรักดาเนียลมากขึ้น โปรโมทมากขึ้นอีก และสิ่งนี้แหละ มันทำให้ความโปรดปรานนี้ ไปถึงชาวยิวทั้งหมด ในขณะนั้นด้วย ท่านเห็นแผนการพระเจ้าไหม? และพระเจ้าก็จะใช้ สิ่งที่ทำให้กษัตริย์ดาริอัส เริ่มรู้ว่าชนชาติยิวไม่ใช่อยู่คนเดียวแล้ว ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นผู้ที่มีอะไรบางอย่างสูงสุด ที่เขาเรียกว่าพระเจ้าอยู่กับเขาด้วย เพราะฉะนั้น เกรงใจเขาหน่อย

เวลายิวบอกว่าครบ 70 ปีแล้ว จะกลับไปเยี่ยมบ้าน ไปสร้างกรุงเยรูซาเล็มใหม่ ดาริอัสไปถึงสมัยไซรัส ก็อนุญาตให้ไป แล้วแถมให้เงินอีก นี่สั้นๆ

ท่านเห็นไหมว่าสิ่งที่พระเจ้าทำ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เราเห็นแผนการนิดเดียว แต่อย่าไปคิดแค่นั้น ดาเนียลที่ลงไปในถ้ำสิงโต เป็นแผนการของพระเจ้า เพื่อให้เกิดผลดีมาถึงเราที่นั่งที่นี่ทุกคนด้วย

พูดเรื่องนี้แล้ว ทำให้ผมนึกถึงข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อกลางปีที่แล้ว ใครเคยได้ยิน ที่สวนสัตว์ประเทศซิลี มีชายคนหนึ่ง อายุ 20 ปี ปีนรั้วกัน แล้วกระโดดลงไปในกรงสิงโต พอฝูงสิงโตเห็นเขา ก็ตรงดิ่งเข้ามาเล่นงานทันที ผู้คนส่วนมาก คิดว่าชายผู้นี้เป็นโรคจิต และต้องการที่จะฆ่าตัวตาย เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ เห็นท่าไม่ดี จึงยิงสิงโตตายไป 2 ตัว เพื่อช่วยชายคนนี้ให้มีชีวิตรอด ซึ่งต่อมาถูกนำไปส่งโรงพยาบาลด้วยอาการสาหัส ในข่าวรายงานว่าขณะที่ชายคนนี้ กระโดดลงไปในกรงสิงโต เขาได้ตะโกนข้อพระคัมภีร์ และร้องตะโกนว่า …

“พระเยซูๆ”

ตอนที่กระโดดลงไป และเจ้าหน้าที่ได้ค้นพบกระดาษในกระเป๋าของเขาที่เขียนถ้อยคำ ข้อพระคัมภีร์ในหนังสือดาเนียลที่เรากำลังอ่านนี้ ดาเนียล บทที่ 6 นี่แหละ คงจะอยากทำเหมือนดาเนียลมั้ง อยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง

และก็ไม่ใช่ครั้งนี้เท่านั้น เมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน ก็เคยมีนักเทศน์คนหนึ่งทำแบบเดียวกันนี้ แต่รายนั้นเสียชีวิตในกรงสิงโต ซึ่งจากการพูดคุยกับคนใกล้ชิดกับนักเทศน์คนนี้ ได้รับการบอกเล่าว่าเขามีความเชื่อว่าเขาได้รับการเจิมจากพระเจ้า และทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะปกป้องเขาเหมือนที่ปกป้องดาเนียล

นี่คือตัวอย่างหนึ่งในการเรียนรู้จากพระคัมภีร์ แล้วนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ที่ผิด ซึ่งสิ่งที่เราเรียนรู้จากเรื่องราวของดาเนียล ก็เพื่อให้เรามีความเชื่อและวางใจในพระเจ้า พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงนำพาชีวิตเรา ไปในทางของพระองค์ ไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นไปตามแผนการของพระองค์ เป็นหน้าที่ตัดสินใจของพระองค์ ไม่ใช่ของเรา เพื่อพระสิริของพระองค์ และเพื่อแผนการใหญ่ที่จะเกิดขึ้น  แล้วแต่พระองค์ทั้งสิ้น  ไม่ได้อยู่ที่ความรับผิดชอบของเราเลย ไม่ว่าเราจะตัดสินใจแบบไหนก็ตาม ถ้าเกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้น นี่คือเราเรียนรู้อย่างนี้  ไม่ใช่ให้เราเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ในการทดลองความเชื่อ สถานการณ์แบบดาเนียลมีครั้งเดียว แล้วสถานการณ์แบบนั้น ก็จะไม่มีอีกแล้ว อาจจะดูคล้ายๆ หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชัดรัด เมชาค และอาเบคเนโก ที่ถูกโยนไปในเตาไฟ แต่ก็ไม่เหมือนกัน อาจจะคล้ายๆ หรือกษัตริย์ดาวิด ก็ไม่เหมือนกันอีกที่ไปสู้กับโกลิอัท มีอยู่ครั้งเดียวที่พระเจ้า จะให้ท่านอย่างนั้น หรือจะใช้อีกคนหนึ่ง อาจจะคล้ายๆ กัน แต่ก็ไม่ใช่วิธีการ ไม่ใช่สถานการณ์ เหตุการณ์ที่เหมือนกัน

ในหนังสือมัทธิว บทที่ 4 ตอนที่มารทดลองพระเยซูให้กระโดดลงหน้าผา เพื่อให้พระเจ้ามาช่วย

มารบอก “โดดสิ ในถ้อยคำพระเจ้า พระองค์จะส่งทูตสวรรค์มารองรับเท้าของท่าน ไม่ให้กระแทกถูกหิน”

แล้วพระเยซูตอบมารว่า ..

“อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า”

ก็คือถ้าโดดก็แสดงว่าเราตั้งใจจะโดดเอง เพราะเขาเชียร์ เพราะอารมณ์เรา  เพราะอารมณ์คนนั้นใส่ให้เรา แล้วเราคล้อยตาม แต่ถ้าพระเจ้าให้เราโดดจริง เราจะรู้จากข้างใน พระเจ้าจะนำพาเราเอง เราจะรู้ …

“แล้วรู้ได้อย่างไร?”

“ไม่รู้”

ถามว่าวันนี้ มีคนเอาปืนมาจ่อศีรษะท่าน แล้วบอกให้ท่านปฏิเสธพระเยซู ท่านต้องตอบว่าอย่างไร? ไม่รู้ ถึงวันนั้นผมก็ไม่รู้ ฉันก็ไม่รู้ คำว่าไม่รู้หมายถึง ฉันอาจจะยอมให้เขายิงไปเลย หรือฉันอาจจะบอกว่าไม่เอา ยอมปฏิเสธ เราไม่สามารถวางใจในตัวเราเองได้ แต่เราสามารถที่จะวางใจพระเจ้าในทุกเรื่องได้

เปโตรปฏิเสธพระเยซู 3 ครั้ง แต่พอพระเยซูกลับมา พระเยซูให้เป็นหัวหน้าเลย สาวก 12 คน ที่เป็นผู้เริ่มต้นประกาศข่าวประเสริฐเมื่อ 2,000 กว่าปี หัวหน้าใหญ่สุด คือเปโตร ผู้ซึ่งปฏิเสธพระเยซู 3 ครั้ง ทุกคนปฏิเสธหรือเปล่า ไม่รู้ เพราะไม่ได้เขียนบันทึกถึง เปโตรปฏิเสธ แต่เป็นคนที่เดินตามพระเยซูตอนถูกจับ ยอมเสี่ยงชีวิตไปอยู่ใกล้ๆ เอาอย่างไรล่ะ เราไปตัดสินใจได้หรอกว่าเขากระทำอย่างนั้น เพราะอะไร? แต่วางใจและเชื่อในพระเจ้าว่าพระองค์ควบคุม ครอบครองทุกอย่าง

ทุกวันนี้ ก็ยังมีผู้คน ที่มีความคิดแบบที่ยกตัวอย่างมา และทำในสิ่งที่เป็นการทดลองความเชื่อ อย่างเช่น ท่านเชื่อไหมว่ามีอย่างนี้จริงๆ คือ …

นำงูพิษ มาปล่อยในที่ประชุม แล้วช่วยกันอธิษฐาน เพื่อจะพิสูจน์คำตรัสของพระเยซู ที่บอกว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์ จะจับงูพิษได้ด้วยมือเปล่า แล้วไม่เป็นอันตรายใดๆ เลย มีอย่างนี้เกิดขึ้นจริงๆ

บางกลุ่มก็เอายาพิษมาดื่มด้วยความเชื่อที่ว่าเขาจะดื่มยาพิษใดๆ จะไม่เป็นอันตรายต่อเขา บันทึกในพระคัมภีร์จริงๆ

ตัวอย่างเปาโลเรือแตก น้ำซัดไปที่เกาะ ไปเก็บฟืนเอามาเผาไฟ  เพื่อให้ความร้อนกับผู้คนและตัวเองด้วย ขณะที่หอบฟืนอยู่นั้น งูแอบอยู่ในกองไม้นั้น เป็นงูพิษแรงที่สุด ชาวบ้านรู้ดี ถ้างูนี้กัดใคร? ตายแน่ๆ ปรากฏว่ากัดเปาโล แล้วเปาโลสลัดมันลงในเตาไฟ คนชาวเกาะตกใจ คอยมองเปาโล อีกไม่ถึงนาทีต้องล้มลงแน่ๆ ปรากฏไม่ตาย นึกว่าเทพเจ้า ทุกคนแห่กัน เรียกทั้งเกาะมาเลย ยกเปาโลแบกเลย จนเปาโลต้องบอกว่าเป็นคนธรรมดา เลยดูแลเปาโลอย่างดี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เพื่อเปาโลและพวกที่มาด้วยกันทั้งหมดนั้นจะได้มีข้าวกิน จะมีอะไรดีๆ เพราะคนเหล่านี้ ก็เลี้ยงดูปูเสื่อ แล้วเปาโลก็มีโอกาสประกาศข่าวประเสริฐให้กับชาวเกาะเหล่านั้น แค่นี้เอง

เราต้องคิดอย่างนี้ แผนการใหญ่ของพระเจ้า ตอนนี้มีคนมาเรียนรู้อย่างนี้ แล้วก็เอาไปใช้ผิดๆ น่าเศร้าไหม? เรามาเรียนรู้เรื่องดาเนียล และการอัศจรรย์ที่พระเจ้าให้เกิดขึ้นในชีวิตของดาเนียล ก็เพื่อตอกย้ำความเชื่อที่บอกว่าพระเจ้าทรงควบคุม ครอบครองทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ จำได้ไหม?  โลกนี้ คือละคร พระเจ้าเป็นผู้กำกับเวทีนี้ พระองค์เป็นพระเจ้า เจ้าของความมั่งคั่ง  ทรัพย์สินเป็นของพระองค์ กำลังเป็นของพระองค์ พระองค์จะให้กับใครก็ได้ อย่างไรก็ได้ แล้วแต่พระองค์ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะทำทุกสิ่งให้กับลูกของพระองค์ ผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยความรัก และวิถีทางของพระองค์ที่กระทำนั้น ไม่ใช่วิถีทางเดียวกับที่มนุษย์ทุกคนคิด รวมทั้งเราด้วย  ไม่เหมือนไม่พอ ยัง ไกลกว่ากันมาก

ยกตัวอย่าง บางคนเกิดวิกฤตปัญหาการเงิน ก็ขอพระเจ้าช่วยว่า …

“ลูกขาดอยู่ ขอพระเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด”

แต่บางครั้งการขาดของคนนั้น มันไม่ได้ขาดจริงหรอก มันใช้เกินตัวไป ไม่มีคำว่าพอเพียง แล้วพระเจ้าปล่อยไหม? พอเขาบอกขาด ให้เลย ให้ไปก็เสียคนสิ ไม่มีความพอเพียงอยู่ในตัว อย่างนี้เป็นต้น

เราจะเห็นชัดเจนเลยว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นพิษ เป็นภัยกับคนๆ นั้น ซึ่งพระเจ้ารู้อยู่ ถ้าพระเจ้ารักเขา พระเจ้าก็ต้องช่วยเขาให้หลุดออกมาจากความคิดอย่างนั้น น้ำพระทัยของพระองค์ไม่ใช่อย่างนั้นเลยลูกเอ่ย พระเจ้าก็จะตอบคำอธิษฐานของเราให้ดีกว่าที่เราคิดอยู่ ให้เป็นประโยชน์ ไม่มีโทษ ไม่ใช่ให้ในสิ่งที่เราอยากได้ แต่ให้เราได้ในสิ่งที่ดีกว่าที่เราอยากได้ ซึ่งแรกๆ เราอาจจะไม่อยากได้ก็ได้ สอนเราให้มีสติปัญญาที่จะรู้จักคำว่า “เพียงพอ” หรือ “พอเพียง” ซึ่งรวยที่สุด ไม่ใช่รวยทรัพย์สินเงินทอง แต่รวยพอเพียง มีพอจะรวยที่สุด

หรือบางคนอธิษฐานขอพระเจ้าให้ดูแลสุขภาพ

“พระเจ้าขอให้มีสุขภาพแข็งแรง”

แล้วตัวเอง พอแข็งแรงดี ก็ใช้ร่างกายนั้น ทำมาหากิน หาเงินหามรุ่งหามค่ำ อดหลับอดนอน ไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง เครียด กังวลกับธุรกิจการงานของเรานั่นแหละ แล้วก็อธิษฐานขอพระเจ้าอวยพรการเงินให้เยอะขึ้นอีก ถ้าพระเจ้าทำตามนั้น เราก็เครียดขึ้นอีก เอาอีกๆ เอาไม่พอ แล้วจะได้สุขภาพตามที่เราขอได้ไหม? ก็ไม่ได้ พระองค์ก็จะเอาสิ่งที่ยึดเรานั้น ออกไปจากเราซะ มันจะเจ็บตอนแรก เหมือนผ่าตัดวิญญาณ ดึงมันออกมาเลย ทุกข์ทรมาน แต่มันดีสำหรับเรา เหมือนผีเสื้อที่ออกจากดักแด้ใหม่ๆ จริงๆ มันไม่ยากหรอก แต่วิธีการของพระเจ้ากับเราไม่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ในหลายๆ เรื่องก็เช่นเดียวกัน หลายอย่างที่เราคิดว่าเราควรจะได้หรืออยากได้ พระเจ้ามองการไกลว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะ ไม่ดีที่สุด สำหรับเรา พระองค์ต้องการให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อถวายพระเกียรติ พระสิริ และเป็นไปตามแผนการใหญ่ที่พระองค์ทรงวางไว้สำหรับชีวิตของเรา คือใช้เราให้เป็นประโยชน์ ผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ใช่คนที่ขึ้นมาเทศน์ คนที่เป็นศิษยาภิบาล คนที่เป็นคนรับใช้ แต่ทุกคนเป็นผู้รับใช้ แม้กระทั่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ยังเป็นผู้รับใช้ กษัตริย์ดาริอัสยังเป็นผู้รับใช้

ถ้อยคำพระเจ้าในหนังสืออิสยาห์ พระเจ้าว่า …

“ความคิดของเรา ไม่มีทางเหมือนความคิดของเจ้า ฟ้าสวรรค์ห่างจากแผ่นดินโลกเท่าไร ความคิดของเรา ก็ห่างจากความคิดของเจ้าเท่านั้น  ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าไร ความคิดของเรา ก็ห่างจากความคิดของเจ้าเท่านั้น”

ท่านไปคิดดู ห่างกันเท่าไร? เพราะฉะนั้น ทางเดียวของเรา ก็คือวางใจในพระเจ้า และรับรู้ว่าพระองค์ทรงครอบครองควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งที่พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้นในชีวิตเรา มันจะต้องเกิดเป็นผลดีกับเราเสมอ เอเมน ไม่ว่าขณะนั้น เรามองดูแล้วมันไม่ดี หรือคนข้างๆ บอกไม่เห็นจะดีเลย ป่วยมันดีที่ไหน? แต่เรารู้ว่ามันดีสำหรับเรา นี่คือการเชื่อและวางใจในพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนั้น เพราะมันเป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงให้กับเราอย่างนั้น เอเมน

เราไม่สามารถที่จะเข้าใจและรู้ได้ว่าบางครั้ง พระเจ้าจะให้เราเดินผ่านพายุ โดยทำให้พายุสงบ หรือเมื่อไรพระเจ้าจะจูงมือเราฝ่าพายุที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ มี 2 ทางเท่านั้นเอง อย่างไรก็ต้องไปด้วยกัน จะไปแบบไหน? ก็แล้วแต่พระเจ้า

ทำไมพระเจ้าปล่อยให้คนหนึ่งเจ็บป่วย ทั้งที่เราเห็นว่าเขาทำสิ่งที่ดีงาม ตามตาเรามองเห็น แต่ขณะเดียวกัน คนหนึ่งแข็งแรง ทั้งๆ ที่ไม่เห็นทำอะไรดีมากมายเลย หรือทำไมพระเจ้าทำให้บางคนร่ำรวยขึ้น ทั้งๆ ที่เราคิดว่าทำอย่างนี้ไม่น่ารวย แต่อีกคนหนึ่งดูเหมือนจนลงทุกวัน เราไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมดหรอกที่พูดไปทั้งหมดนี้ แต่วันหนึ่ง เราจะเข้าใจ วันที่เราไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า ที่สวรรค์สถาน เราจะรู้ว่า …

“อ๋อออออ มันเป็นอย่างนี้เอง”

“พระเจ้าอภัยลูกด้วย”

ในพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ

เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ เราต้องใช้ความเชื่อและวางใจ ไม่ใช่ความเชื่ออย่างเดียว ความเชื่ออย่างเดียวมันผิดเพี้ยนไปโน่นไปนี่ได้ แต่ถ้าท่านวางใจด้วย จบ

คำว่า “วางใจ” คือวางภาระลงแล้ว ไม่คิดแล้ว เชื่อบางทียังคิดอยู่ว่า …

“ฉันทำได้อันนั้น อันนี้ ฉันต้องสร้างความเชื่อ ฉันต้องอัดความเชื่อไป ฉันจะต้องมีความเชื่อ จะได้ …”

แต่ตอนนี้ท่านบอกว่า “ถึงไม่เชื่อ ฉันก็วางใจ ฉันได้แค่นี้ จบแล้ว เป็นอย่างไร เป็นกัน แล้วแต่พระองค์เข็นลูกไปด้วยเถิด ลูกเดินไม่ไหวแล้ว”

ถามว่าวางใจเป็นอย่างไร?

“วางใจว่าพระเจ้าเป็นพ่อฉัน แล้วพระองค์เป็นพ่อที่ดี แล้วฉันเป็นลูกของพ่อ และพระองค์ทรงรักลูกทุกๆ คน พระองค์ทรงเตรียมสิ่งที่ดีที่สุด ไว้ให้กับลูกของพระองค์เกินกว่าลูกจะคิดได้ว่าเป็นอย่างไร?”

และที่สำคัญที่สุด พระคัมภีร์บอกเสมอ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่มีอะไรที่พระองค์ทำไม่ได้เลย ต้องวางใจขนาดนี้

และสุดท้าย คือพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ สุจริต ไม่หลอกลวง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหวเลย

“รักก็คือรัก ต่อให้ลูกจะเลวอย่างไร? เขาเป็นลูกเรา ฉันก็จะรักเขา มีอะไรหรือเปล่าซาตาน”

“เขาทำไม่ดีอย่างนี้ ไปสวรรค์ได้อย่างไร?”

“ก็ลูกชายฉัน พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปเขาแล้ว มีอะไรหรือเปล่า?”

“เขาไม่เห็นจะเป็นคนดีเลย ไม่เหมาะเข้าสวรรค์เลย”

“มีอะไรไหม? พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตชำระเขาแล้ว เขาอยู่ในสวรรค์ได้แล้ว มีอะไรไหม?”

จบสุดท้ายต้องเป็นอย่างนี้ คือวางใจ ถ้าท่านไม่วางใจในพระเจ้า ท่านจะตายอยู่ตรงความเชื่อนั้น เพราะท่านจะนั่งคิดว่าตรงนี้ยังไม่พร้อม ตรงนี้ความเชื่อก็น้อย ตรงนี้ความเชื่อหล่นไป ตรงนี้ความเชื่อล้มไป ตรงนี้ก็เชื่อไม่พอ แต่ท่านวางใจเลยว่าตรงนี้พูดว่าอย่างไร?

“พระองค์เป็นพ่อของฉัน ไถ่บาปฉันแล้ว ฉันเชื่อและวางใจ ฉันจบแล้ว อย่างไร ฉันก็ไปสวรรค์”

ถ้าอย่างนั้นง่าย ในชีวิตของเรา เราอาจจะไม่เคยประสบปัญหาหรือประสบการณ์แบบดาเนียล หรือของชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก แบบใหญ่ๆ เราอาจจะไม่เคยเจอ เราอาจจะเชื่อพระเยซูมาปีหนึ่ง สองปี ห้าสิบปี อาจจะรู้สึกประสบการณ์เราไม่เคยมีอัศจรรย์ใหญ่ๆ ผ่านชีวิตเราเลย อาจจะคิดอย่างนั้น เราสามารถมองคนอื่นได้ นี่คือเหตุหนึ่งที่เรามาเรียนเรื่องดาเนียล พระเจ้าให้ดาเนียลบันทึกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะว่าเป็นอัศจรรย์ในหนังสือดาเนียลตั้งหลายบท เพราะพระเจ้าต้องการให้คนมาเชื่อในพระองค์ในยุคเราได้เห็น คนมาเชื่อพระองค์ในยุคก่อนได้เห็นตัวอย่าง นี่พระองค์เป็นอย่างนี้ เป็นผู้ที่ทำอย่างนี้ พระองค์เป็นพระองค์อย่างนี้แหละ เอาประสบการณ์ของเขา มาเป็นกำลังใจให้เรา พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ ไม่ใช่ดาเนียลเขียน เพื่อจะโชว์ตัวเองว่า …

“ฉันผ่านอัศจรรย์มาเยอะแยะ พระเจ้ารักฉันมาก ฉันยิ่งใหญ่”

พระเจ้าไม่ได้ตั้งใจให้เขาเขียนอย่างนั้น แต่เขียนเพื่อให้เราได้เห็นว่าพระเจ้าเป็นใคร? พระองค์ทำเช่นนั้นอย่างไร? ช่วยอาเบดเนโกและเพื่อนๆ อีก 2 คนหลุดออกจากเตาไฟ เพื่ออะไร?  เพื่อให้เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ ความสัตย์ซื่อสุจริตของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงอยู่เคียงข้าง และไม่ว่าจะช่วยออกมา หรือไม่ช่วย พระองค์ก็อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา พระเจ้าต้องการให้เราได้เห็น ได้มีประสบการณ์ร่วมกัน โดยที่เราไม่ได้เข้าไป อย่างเช่นการข้ามทะเลแดงของชาวอิสราเอล ในอดีต ก็เหมือนกัน เพื่อประจักษ์กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ว่านี่คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด นี่คือพระเจ้าผู้ที่ท่านสามารถวางใจได้ ผู้ที่ประทานพระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับท่าน ลองคิดดูนะว่าตั้งแต่เรารู้จักพระเจ้ามา มีอะไรไหมที่พระเจ้าทำอัศจรรย์ในชีวิตเรา เคยนำพาเราผ่านอะไรบ้าง แบบที่เห็นว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อจริงๆ พระองค์ไม่เคยมาสายเลย

บางครั้งเราเห็นว่ามันเล็ก เราไม่สนใจ แต่มีหมดทุกคน พยายามจดจำเอาไว้ เพราะประสบการณ์นั้น ที่ท่านผ่านมา แม้ว่ามันเล็กนิดเดียว เผอิญๆ ว่าวันนั้น ท่านต้องการเงินจำนวนเท่านี้ แล้วไม่รู้จะเอาที่ไหนแล้ว สุดท้ายมาพอดีเลย ไม่เคยสาย หรือว่าเป็นความเจ็บป่วยของท่าน ไม่น่าเชื่อว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ได้อย่างไร?  มันหายได้อย่างไร? ต่างๆ เหล่านี้ แล้วแต่จิปาถะ

สิ่งเหล่านั้นต้องจดจำไว้ เพื่อทำให้ท่าน เกิดความวางใจเพิ่มขึ้น มากขึ้น แล้วเรียนรู้จักคนอื่น คนรอบข้าง คนมีประสบการณ์อะไร เราก็ฟัง ในพระคัมภีร์มีเรื่องอะไร? เราก็ฟัง พระเจ้าผู้เดียวกัน ทำเหมือนเดิม พระองค์ทรงรักและเมตตา ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เราสามารถระลึกได้ว่าพระเจ้าเป็นผู้สัตย์ซื่อนำพาเราผ่าน ขณะที่เราเกิดความกลัวว่าเราจะเผชิญกับอนาคตอย่างไร? พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม พรุ่งนี้จะมีแรงไหม? มะรืนจะนอนป่วยเหมือนคนนอนอยู่โรงพยาบาล ที่เราไปเยี่ยมไหม?  มะเรื่องนี้จะเกิดอุบัติเหตุขึ้น เหมือนกับในหนังสือพิมพ์เขาลงกับเราหรือไม่?  เราอาจจะกลัว แต่ถ้าเรายังจำได้ว่าพระเจ้าผู้นี้ ผู้ที่ช่วยดาเนียลออกจากถ้ำสิงโต ผู้ที่ช่วยชาวยิวผ่านทะเลแดง ช่วยอาเบดเนโกและเพื่อนๆ จากเตาไฟ โดยอัศจรรย์ เคยช่วยเราวันนั้น เราจำได้ ช่วยเราหลุดพ้นออกมา ที่เราป่วยอยู่ ไม่มีแรงแล้ว จำเป็นต้องไปทำงานหนัก วันนั้น พระเจ้าให้กำลังพิเศษออกไปทำงาน แล้วเกิดอัศจรรย์ใหญ่เลย อะไรก็แล้วแต่ วันนั้นที่บ้านแทบจะไม่มีข้าวกินเลย ไฟฟ้าก็ถูกตัดไป ตกเย็น สามารถเชื่อว่าอยู่ดีๆ มีเงิน 2,000 บาทมาจากที่ไหน ลงตัวเป๊ะในการที่จะมีข้าวกิน 1 มื้อและจ่ายค่าไฟได้พอดีเป๊ะ

ท่านอาจจะเห็นว่าเล็กๆ น้อยๆ  แต่ท่านต้องจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ นั่นแหละสิ่งที่พระเจ้ากำลังสร้างในชีวิตของเรา จดจำเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ เป็นกำลังใจว่า …

“ถ้าฉันเชื่อในพระองค์ มันก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้าฉันวางใจในพระองค์ มันจะเป็นอย่างนี้”

วางใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงสามารถเลี้ยงดูฉันได้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์และครอบครองควบคุมทุกสิ่งสารพัด พระองค์ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้ สามารถๆ ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระพละกำลังมากมาย และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อในความรักของพระองค์ที่มีต่อลูกของพระองค์ทุกๆ คน และฉันเป็นลูกของพระองค์

ข้อสำคัญ คือมันเป็นพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีไว้ให้กับเราทุกคน และพระเจ้าที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ ที่ดาเนียลอธิษฐาน ต้องหันไปที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะในช่วงนั้น พระเจ้าไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ได้ พระเจ้าต้องอยู่ในพระนิเวศน์ที่สร้างด้วยมือมนุษย์ ก็คือเหมือนวัดวาอาราม พระเจ้าให้สร้างไว้ที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะฉะนั้น เมื่อเขาจะติดต่อกับพระเจ้า ต้องสื่อให้เห็น แล้วแต่เขาจะอยู่ที่ไหน? เขาต้องหันหน้าไปที่ทิศกรุงเยรูซาเล็ม แล้วก็ตรงไปที่วิหารของพระเจ้า หลับตา หรือลืมตา แต่พุ่งความคิดของเขาไปอยู่ที่การทรงสถิตของพระเจ้าที่วิหารที่นั่น วิหารซาโลมอน ที่เยรูซาเล็ม แต่เราในทุกวันนี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้พูดไว้ในหนังสือฮีบรูว่าพระเจ้าอยู่กับเราแล้วตอนนี้ 2,000 ปีมาแล้ว เมื่อพระเยซูตายไป แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม พระเจ้าอยู่กับเรา เราไม่ต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเฉียงไหน ก็ไม่ต้องแล้ว หันดูตัวเราเอง พระเจ้าอยู่ในเรา นี่แหละคือความอัศจรรย์ยิ่งใหญ่  เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จะไม่กลัว เอเมน พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงเมตตา ทรงรักษาคำพูดของพระองค์เสมอ และตอนนี้พระองค์ทรงอยู่ในเรา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 11 “สิ้นยุคบาบิโลน ตามแผนการพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  มกราคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 11 “สิ้นยุคบาบิโลน ตามแผนการพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มีชื่อตอนว่า “สิ้นยุคบาบิโลน ตามแผนการพระเจ้า” ครั้งที่แล้วเราเรียนรู้พระคัมภีร์ตามหนังสือดาเนียล บทที่ 5 เป็นช่วงเวลาประมาณ 30 ปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ผู้ยิ่งใหญ่ และอยู่ในรัชสมัยของกษัตริย์เนโบนีดัส ซึ่งสนใจแต่การค้าและขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ไม่ชอบเรื่องการปกครอง ก็เลยแต่งตั้งให้ลูกชาย ขึ้นมาปกครองดูแลแทน ลูกชายชื่อกษัตริย์เบลชัสซาร์ ตามเนื้อเรื่องในดาเนียล บทที่ 5  ที่เราได้เรียนรู้กันบอกไว้อย่างนี้ว่ากษัตริย์เบลชัสซาร์ได้กระทำสิ่งชั่วร้าย ในสายพระเนตรพระเจ้า คือสั่งให้นำเอาภาชนะศักดิ์สิทธิ์ ที่ยึดมาจากวิหาร ในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อสมัยเนบูคัดเนสซาร์มาใช้ในงานรื่นเริงในวัง ดื่มเหล้ากับเหล่าขุนนางเมากัน แค่นั้นยังไม่พอ ยังพากันสรรเสริญเทพเจ้ารูปปั้น รูปเคารพต่างๆ อีกมากมาย ด้วยความเย่อหยิ่ง จองหอง และต้องการที่จะลบหลู่พระนามพระเจ้า จนกระทั่งพระเจ้าให้นิ้วมือปรากฏขึ้น แล้วเขียนข้อความบางอย่าง บนผนัง เป็นอักษรปริศนา เหตุการณ์นี้ ทำให้กษัตริย์เบลชัสซาร์กลัวมาก สั่งให้เรียกโหราจารย์และนักปราชญ์ นักอาคมทั้งหลายมาอ่านและแปลความหมายข้อความบนผนัง ซึ่งก็ไม่มีใครทำได้

เราก็รู้อยู่แล้วว่าพระเจ้าจะสร้างฮีโร่อีกครั้งหนึ่งแล้ว จนกระทั่งพระราชินี คือผู้เป็นแม่ของกษัตริย์เบลชัสซาร์ ก็นึกถึงดาเนียลขึ้นมา เพราะว่าอยู่ในรุ่นเดียวกัน ตอนนั้นดาเนียลอายุประมาณ 80 เศษๆ กษัตริย์เบลชัสซาร์ก็เลยให้คนไปตามดาเนียลมาเข้าเฝ้า แล้วก็บอกว่าถ้าดาเนียลอ่านข้อความและแปลสิ่งนี้ได้ จะให้รางวัล คือแต่งตั้งให้เป็นลำดับที่ 3 คือจากพ่อ พระราชบิดา ตัวเขาเอง แล้วก็จะให้รองจากเขาเลย

คราวที่แล้วเราได้อ่านดาเนียล บทที่ 5 จนจบแล้ว เราได้ทราบข้อความปริศนา ซึ่งเป็นเรื่องล้ำลึก เรื่องลี้ลับ ที่ต้องได้รับการเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ให้รับรู้จากพระเจ้าเท่านั้น จึงสามารถทำได้

เราลองย้อนเวลากลับไปที่พระราชวังเบลชัสซาร์ในคืนวันนั้น กำลังเลี้ยงฉลองกัน เอาภาชนะทองคำ อันบริสุทธิ์ ซึ่งปล้นมาจากวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม เก็บไว้ในที่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ที่เป็นวิหารของรูปเคารพที่เขานับถืออยู่ กำลังเลี้ยงใหญ่อยู่ มีขุนนาง แขกมาสักพันคน แล้วปรากฏว่ามีนิ้วมือ เขียนข้อความปริศนาบนผนัง จริงๆ มันเป็นลักษณะของตัวอักษรที่เรียงกันต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ท่านเป็นดาเนียล ท่านจะทำอย่างไร? ท่านคิดว่าท่านแก้ได้ไหม? บนผนังเขียนไว้อย่างนี้

            น ว ช น น ย อ ณ

เรามาลองช่วยกันดู แบ่งคำ ตัดอักษรสองตัวเป็นหนึ่งคำ

น ว / เป็นหนึ่งคำ

ช น / เป็นหนึ่งคำ

น ย / เป็นหนึ่งคำ

อ ณ / เป็นหนึ่งคำ

มันก็มี 4 คำ ท่านจะแบ่งแต่ละตัวเป็นหนึ่งคำ ก็ได้ เช่น น / ว / ช / น / น / ย / อ / ณ  ทั้งหมดเป็น 8 คำ แล้วแต่ท่านจะขีดตรงไหน? คือแบ่งเป็นคำ สมมติว่าแบ่งเป็นคู่ๆ

“น ว” เป็น น้ำหวาน, นับวัน, นี่หว่า, นักวาด, ในวัง

ท่านก็คิดไปเรื่อย นี่ขนาดแบ่งคำก็ยากแล้ว ถ้าจัดกลุ่ม ท่านต้องคิดให้ออกด้วยว่ากลุ่มนั้น มันเป็นคำอะไรได้บ้าง?

ผมลองแบ่งเป็นอย่างนี้ 2 ตัวเป็นหนึ่งคำ แล้ว 3 ตัว เป็นหนึ่งคำ

น ว / ช น น / ย อ ณ

“ช น น” เป็น  ชนนี, ชนะแน่, ใช้แน่นอน, ชั่วแน่นอน

มันไม่ใช่สติปัญญาของมนุษย์ที่จะทำตรงนี้ได้ มันยากมากๆ เลย

ความรักจากพระเจ้าที่ให้ในวันนั้น เกี่ยวข้องกับวันนี้เลย ก็คือให้ดาเนียลเว้นคำ ดาเนียลแบ่งเป็น 3 ตัว “ช น น” คือ ชั่งน้ำหนัก

เสร็จแล้ว 3 ตัวสุดท้าย คือ ย อ ณ  แยกอาณาจักร

พระเจ้าบอกดาเนียลแล้วว่าเป็นอะไร? …

คำที่ 1 น ว … นับเวลา หมายถึงกษัตริย์เบลชัสซาร์ ถูกพระเจ้านับเวลา ในการครอบครองอาณาจักรบาบิโลนหมดแล้ว สิ้นสุด คือการนับเวลา

คำที่ 2 ช น น … ชั่งน้ำหนัก  คือพระเจ้าได้เอากษัตริย์เบลชัสซาร์ เหมือนขึ้นศาล ชั่งน้ำหนัก ปรากฏว่าไม่ได้มาตรฐานของพระเจ้า สอบตก

คำที่ 3 ย อ ณ … แยกอาณาจักร ก็คือเมื่อสอบตก ก็ถูกริบเอาสิทธิอำนาจ และอาณาจักร และตำแหน่งกษัตริย์ออกมาจากเบลชัสซาร์

ก็คือจบ นี่คือสิ่งที่ดาเนียลได้ทำในวันนั้น ซึ่งเมื่อเป็นภาษาพระคัมภีร์ เป็นภาษาฮีบรู หรือภาษาอะไรต่างๆ ในสมัยก่อน อ่านว่า …

เมเน เมเน แปลว่านับเวลา ความหมายคือพระเจ้าได้ทรงนับเวลาของรัชกาลของกษัตริย์เบลชัสซาร์ และนำมาถึงจุดจบแล้ว

เทเคล แปลว่าชั่งน้ำหนัก คือเบลชัสซาร์ถูกชั่งน้ำหนักบนตาชั่ง และเบากว่าที่กำหนด  เบากว่ามาตรฐานพระเจ้า

เปเรส แปลว่าแบ่งแยก ความหมายคือราชอาณาจักรของเบลชัสซาร์จะถูกแบ่งแยก และยกให้ชาวมีเดีย

หลังจากที่ดาเนียลแปลความหมาย ข้อความบนผนังเรียบร้อยแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ว่าในคืนวันนั้นเอง กษัตริย์เบลชัสซาร์แห่งบาบิโลน ก็ถูกปลงพระชนม์ และดาริอัสแห่งมีเดีย ทรงยึดอาณาจักรบาบิโลนได้  ช่วงเวลาในราวปี 539 ก่อนคริสตศักราช มาถึงตรงนี้ เรียกได้ว่าเป็นการสิ้นยุคบาบิโลน ที่เคยเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เรียกว่าเป็นยุคทองของบาบิโลนในสมัยนั้น และมีการสร้างสวนขนาดใหญ่มากบอกไว้ว่าหนึ่งใน 7 มหัศจรรย์โลก มาถึงทุกวันนี้เลย สวนลอยฟ้าแห่งบาบิโลน หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Hanging Gardens of Babylon เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก

ยังจำเหตุการณ์ที่ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ไหมก่อนหน้านี้ ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ฝันเห็นรูปปั้น แล้วดาเนียลก็ทำนายฝันรูปปั้นนั้นว่า …

“ศีรษะ” ทำด้วยทองคำ เล็งถึงอาณาจักรบาบิโลน ที่กำลังรุ่งเรือง

นี่ตอนที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เพิ่งเริ่มครองราชย์ใหม่ๆ บาบิโลนเพิ่งจะเรืองอำนาจใหม่ๆ ไม่กี่ปี พระเจ้าให้คำพยากรณ์ คำบอกล่วงหน้า คำเผยพระวจนะผ่านทางดาเนียลว่ามันเป็นอย่างนี้

“หน้าอกและแขน” ทำด้วยเงิน คืออาณาจักรมีเดียเปอร์เซียที่มาโค่นบาบิโลน

“ท้องและต้นขา” ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงยุคกรีก

“ขา” ทำด้วยเหล็ก คือยุคอาณาจักรโรมัน

“เท้า” ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ก็คือการแผ่กระจายอำนาจของกลุ่มโรมันที่เข้าไปสู่ประเทศเล็กๆ ต่างๆ ในยุโรป จนถึงปัจจุบัน

เมื่ออาณาจักรบาบิโลนล่ม ก็มาสู่อาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย อันที่ 2 เริ่มต้นแล้ว พระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น เป็นอย่างนั้น พออันที่ 2 เริ่มต้นปุ๊บ เดี๋ยวมีเดียเปอร์เซีย ก็จะถูกอาณาจักรกรีกโค่นทำลาย อาณาจักรกรีกก็จะถูกโรมันโค่นทำลาย แล้วหลังจากอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจแล้ว จะมีหินก้อนหนึ่ง ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากพระเจ้า หินก้อนนี้ก็จะมากระแทกถูกเท้าของรูปปั้นนี้ จนแตกกระจายหมด ไม่เหลืออะไรเลย  และหินก้อนนี้ ก็จะค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นภูเขามหึมา คลุมโลกใบนี้หมด และหินก้อนนี้ คืออาณาจักรพระคริสต์

ให้ท่านเห็นว่านิมิตที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ทุกอย่างถูกกำหนดและมีบันทึกไว้ล่วงหน้าอย่างนี้ ก่อนเหตุการณ์จริงๆ จะเกิดขึ้น แม้กระทั่งเวลา ปียังตรง แบบเป๊ะๆ ทั้งหมดเลย

ในเยเรมีย์ อันนี้เป็นอันหนึ่งที่บอกล่วงหน้าแล้วว่าเนบูคัดเนสซาร์เป็นใคร? เยเรมีย์ 27:4-6 สิ่งนี้พูดไว้ ก่อนที่เนบูคัดเนสซาร์จะเป็นกษัตริย์ด้วย พูดก่อนแล้ว

เยเรมีย์ 27:4-6 “4 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า 5 “เราได้สร้างโลก มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ในโลกนี้ โดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ และมือที่เงื้ออยู่ และเรายกสิ่งเหล่านี้  แก่ใครก็ได้ที่เราพอใจ 6 บัดนี้ เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ของเรา แม้แต่สัตว์ป่า เราก็จะทำให้ยอมสยบต่อเขา”

 

นี่คือคำพูดของพระเจ้า พูดกับชาวยิว ชาวอิสราเอล ชาวยูดาห์ พูดว่า …

“บัดนี้เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ ของเรา (หรือผู้ที่เราจะใช้เขา) แม้แต่สัตว์ป่า เราก็จะทำให้ยอมสยบต่อเขา”

ตอนที่พูด ประมาณหลายสิบปีก่อนที่เนบูคัดเนสซาร์จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่ ตรงตามนี้เป๊ะเลย  เขาบอกว่าเขาสามารถควบคุมจิตใจของสิงโต สมัยก่อนพวกเสือ สิงโต ในแถบนั้น เขาถือว่าเป็นสัตว์ที่มีอำนาจ มีพลัง แต่เนบูคัดเนสซาร์สามารถควบคุมสิงโตได้ นี่เรื่องจริง แล้วชอบเรื่องเกี่ยวกับสิงห์สาราสัตว์

นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง หลายสิบปี ให้เห็นว่าที่ชาวยิวถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลนนั้น เป็นเพราะพระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วล่วงหน้า ไม่ใช่เนบูคัดเนสซาร์เก่ง พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ในคำเผยพระวจนะว่าพระเจ้าจะให้อิสราเอลตกอยู่ภายใต้การครอบครองของบาบิโลนเป็นเวลา 70 ปี และจากนั้นอาณาจักรบาบิโลนจะถูกลงโทษบ้าง ถูกโค่นลง ก็คือสมัยกษัตริย์เบลชัสซาร์ที่เราเรียนกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เยเรมีย์ 25:12  ได้บันทึกไว้อย่างนี้

เยเรมีย์ 25:2 “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาติของเขา ซึ่งก็คือแผ่นดินของชาวบาบิโลน เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขาถูกทิ้งร้างตลอดไป”

 

มีเหตุและมีผล กษัตริย์บาบิโลนผู้นี้ ก็คือเบลชัสซาร์ พอครบ 70 ปีตามที่กำหนดไว้เป๊ะ บาบิโลนก็ถูกโค่นล้มลงจริงๆ วันที่ครบ 70 ปี ก็คือวันที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ได้ให้ดาเนียลมาอ่านข้อความบนผนังนั้น บาบิโลนก็ถูกโค่นหมด ในคืนวันนั้น

นี่คือสิ่งที่เราเน้นกันมาตลอด ในการบรรยาย เรื่องของดาเนียลว่าจงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า คำว่า “จงนิ่งเสีย” ก็คือให้เรารับรู้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งสารพัด ทั้งบนฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นแผนการของพระเจ้าทั้งสิ้น พระองค์เป็นผู้กำกับโลกใบนี้ ถ้าเราเปรียบโลกใบนี้เป็นโรงละครโรงใหญ่ พระเจ้าก็ทรงเป็นผู้กำกับ

ชาวยิวต้องมาเป็นเชลยที่บาบิโลน ก็เป็นแผนการของพระเจ้า เนบูคัดเนสซาร์ได้เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เรืองอำนาจ ก็เป็นแผนการของพระเจ้า อาณาจักรบาบิโลนต้องถูกโค่นลง ก็เป็นแผนการของพระเจ้า  ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และรวมทั้งอาณาจักรต่างๆ หลังจากบาบิโลน มาเป็นมีเดียเปอร์เซีย เป็นกรีก เป็นโรม และเป็นอะไรต่างๆ ต่อมา ก็อยู่ในแผนการของพระเจ้า อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ก็อยู่ในแผนการของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เรียบร้อยตอนที่พระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว บอกไว้ล่วงหน้าว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งข้างหน้า พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วพระองค์จะมาเริ่มต้นอาณาจักรสวรรค์ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรพระคริสต์ แล้วรวบรวมผู้คนของพระองค์ทั้งหมด ตั้งแต่ 2,000 ปีแล้ว จะรวบรวมต่อไป และจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด จะครอบครองอยู่เหนือโลกนี้ทั้งหมด และครอบครองอยู่เหนือมหาจักรวาลทั้งหมดเลย และไม่มีอาณาจักรไหนเหลืออยู่แล้ว นอกจากอาณาจักรของพระคริสต์เท่านั้นในอนาคต เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ก็เป็นแผนการของพระเจ้าด้วย และมันก็ต้องเป๊ะๆ เหมือนกันด้วย

ที่สัญญากับเราไว้ว่าสวรรค์เป็นของเรานิรันดร์ เราก็นอนยิ้ม นั่งยิ้มเลย ขณะที่เรานอนหลับกลางคืน ก็ฝันว่าอย่างไร?

มีสวรรค์อันงดงามเลิศนักหนา      ถ้าเราเชื่อจึงจะเห็นได้แก่ตา

พระบิดาประทับคอยทุกเวลา         และเดี๋ยวนี้ ยังเตรียมที่ไว้ก่อนท่า

ในเวลา ไม่ช้านาน                            จะได้ไปถึงที่พักอันสำราญ

ในเวลา ไม่ช้านาน                            ฉันจะได้ไปถึงที่พักอันสำราญ

ที่พักนั้น คือ Kingdom of Chrits. หรือประเทศที่มีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ แล้วเราเป็นประชากร เรามีบัตรประชาชน เขาเรียกว่า ID Card บอกว่าเราเป็นใครในอาณาจักรพระคริสต์ ท่านมีหรือยัง? มีแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้น จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า คือให้เรารับรู้ตรงนี้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่จริงๆ พระคัมภีร์ย้ำเสมอว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม พระองค์ทรงทำงานทุกสิ่งตามแผนงานของพระองค์ เพื่อพระสิริ พระเกียรติของพระองค์ และเพื่อสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นกับใครก็ตามที่พระองค์ทรงสร้างเขาขึ้นมา นำพาเขาขึ้นมา สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ทรงทำให้ดีหมด แม้กระทั่งต้นไม้ ก้อนหิน และมากกว่านั้นสักเท่าไรที่พระองค์ต้องการให้มนุษย์บนโลกใบนี้ได้ดี เพราะมนุษย์บนโลกใบนี้  คือลูกของพระองค์ที่พระองค์ทรงสร้างมา จากวิญญาณของพระองค์เอง มีสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียวที่มีวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในนั้น ก็คือมนุษย์

ดาเนียลกับเพื่อน รวมทั้งชาวยิวก็ถูกต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ทุกครั้งที่เขาเผชิญปัญหา อุปสรรค ท้อแท้ เขาจะเข้าไปหาพระเจ้าเสมอ นี่เป็นตัวอย่างดีอันหนึ่งที่เราสบายกว่าเขาตั้งเยอะ เราเป็นคริสเตียนทุกวันนี้ ปัญหาน้อยกว่าเยอะเลย เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา และจากเรื่องราวของทั้งจากกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์และเบลชัสซาร์แห่งบาบิโลน ก็ได้สอนเราในเรื่องใจที่ถ่อมลง รับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และไม่เย่อหยิ่ง ยโส โอหัง สดุดี 31:23 บันทึกไว้อย่างนี้

สดุดี 31:23 “ประชากรทั้งสิ้นของพระเจ้าเอ๋ย จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปกป้องรักษาผู้ที่ซื่อสัตย์ แต่ผู้ที่เย่อหยิ่งอวดดี พระองค์ทรงลงโทษอย่างเต็มที่”

 

พระเจ้าชอบคนมีใจถ่อม  ซื่อสัตย์  แต่ผู้ที่เย่อหยิ่ง อวดดี พระองค์ทรงลงโทษอย่างเต็มที่ เพราะรักเขานะ

จะเห็นได้ว่าเนบูคัดเนสซาร์เป็นตัวอย่างของผู้ที่ได้รับการอวยพรอย่างมาก และประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ไม่สามารถจัดการกับความสำเร็จของตัวเอง ให้ถูกต้อง ถูกวิธีได้ ไม่สามารถควบคุมความภาคภูมิใจของตัวเอง ให้มันอยู่ในระดับที่พอดีได้ เมื่อความภาคภูมิใจมันเยอะเกินไป มันก็ล้นออกมา จนกลายเป็นความเย่อหยิ่ง ยกตนข่มท่าน คนที่อวดตัว ก็จะไปข่มเหงผู้อื่น ดูถูกผู้อื่น ดูแคลนผู้อื่น พระคัมภีร์จึงบอกว่าเมื่อความเย่อหยิ่งเข้ามา ความพินาศก็จะตามมาทันที สุภาษิต 11:2 บันทึกไว้อย่างนี้

สุภาษิต 11:2 “เมื่อความเย่อหยิ่งมา ความอัปยศก็ตามมา ส่วนปัญญา มากับความถ่อมสุภาพ”

 

สุภาษิต 16:18 “ความยโสโอหัง จะทำให้พินาศ และใจหยิ่งผยอง จะทำให้ล้มคว่ำ”

 

ไม่ใช่ล้มธรรมดา ล้มคว่ำเลย จะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าในยุคไหน? สมัยไหน? ก็ตาม ปกติแล้วพระเจ้าอวยพรให้ ประทานความสำเร็จพิเศษให้ ประทานความสามารถให้ แรกๆ ขอบคุณพระเจ้า

“ลูกขอบคุณพระเจ้า ทุกสิ่งที่ลูกมีอยู่เป็นของพระองค์ ล้วนเป็นของพระองค์ทั้งสิ้น ขอถวายเกียรติแด่พระองค์ผู้เดียว”

นี่คือตอนแรกๆ พอได้ไปเรื่อยๆ ชักชิน ชักใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นานๆ เข้า ความสำเร็จ มันเยอะ ความคิดมันก็เริ่มเปลี่ยนนิดๆ ที่เคยบอกทุกอย่างมาจากพระเจ้า ตอนนี้ก็เริ่มคิดว่าเราก็ไม่น้อยหน้าเขา เราก็เก่งเหมือนกัน เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าเราเก่ง พอเราแน่ คนอื่นก็เริ่มแย่ เริ่มเปรียบ เริ่มทนไม่ไหว เริ่มข่มท่านนั่นเอง นี่แหละความเย่อหยิ่งมักเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเราทำอะไรดีกว่าคนอื่น เหนือกว่าคนอื่น จากที่เชื่อฟังคำแนะนำ คำสอนของผู้อื่น ก็ไม่ฟังใครแล้ว สอนไม่ได้ เตือนไม่ได้ แนะนำก็ไม่ได้ มันโดนหมดเลยนะ คิดให้ดีๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ บางทีบางคนไม่ได้สำเร็จอะไรมาก สำเร็จเรื่องอายุเท่านั้นเอง พอตัวเราเองอายุมาก เด็กๆ มาเตือน

“ฉันเป็นใคร? ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนแกนะ”

นั่นก็คือความเย่อหยิ่งชนิดหนึ่ง มันไม่ได้เป็นความสำเร็จอะไร? นึกว่าเป็นความสำเร็จ เรามีอายุมาถึงปูนนี้ได้ 70-80 ได้ เราก็นึกว่าเราแน่กว่าเขา ไม่ฟังเขา เด็กๆ เขาอาจจะมีแนวคิดแบบเจเนชั่น Z  เราไม่ฟังเขา

“ฉันจะเอาอย่างนี้ สมัยก่อนเป็นอย่างนี้”

“นั่นมันสมัยพ่อ นี่มันสมัยฉันแล้ว”

ระวังจะโดนอย่างนั้นนะ ต้องไปเหมือนสมัยก่อน บางเรื่องโอเค แต่บางเรื่องเราต้องฟังเขา บางเรื่องต้องเปลี่ยนแปลงไป บางเรื่องต้องรักษาไว้ มันต้องฟังบ้าง ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่จะโดนมากกว่า ผู้ใหญ่จะเป็นอย่างนี้มากกว่า เด็กๆ คงไม่อย่างนี้หรอก

ดังนั้น ความเย่อหยิ่ง ผยอง มักเกิดขึ้น เมื่อรู้สึกว่าเราเหนือกว่าผู้อื่น ความเย่อหยิ่งเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ ที่สามารถทำลายชีวิตของเรา หรือใครก็ตาม อย่างเงียบๆ ทีละนิดทีละหน่อย เคยได้ยินไหม ที่เขาพูดว่า …

“ความสำเร็จ ฆ่าคนได้”

ถามว่าความสำเร็จที่ฆ่าคนได้ เพราะอะไร? เพราะถูกฆ่าด้วยความเย่อหยิ่ง ความเย่อหยิ่งฆ่าคนที่สำเร็จใหญ่โตได้ มันมีโอกาสกว่าคนอื่น คนนั้นก็มายอ คนนี้ก็มายอ เมื่อความภูมิใจมีเยอะ โอกาสที่จะเย่อหยิ่งก็เยอะ พอความเย่อหยิ่งเยอะมากขึ้น เดี๋ยวความพินาศ ก็ตามมามากขึ้น นี่มันเห็นเป็นเหตุเป็นผลเลย 1 เปโตร 5:5-6 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 เปโตร 5:5-6 “5 ให้ท่านทุกคนถ่อมใจต่อกันและกัน เพราะว่า “พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ6 เพราะฉะนั้น พวกท่านจงถ่อมใจลง ภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงยกท่านขึ้น เมื่อถึงเวลาอันควร”

 

นี่คือเคล็ดลับจริงๆ อยู่กับพระเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ เคล็ดลับที่คนนึกไม่ถึง ทำอย่างไรเราถึงจะเจริญรุ่งเรืองได้ ทำอย่างไรเราจึงเป็นที่รักของพระเจ้าได้ ทำอย่างไรเราถึงจะอยู่รอดปลอดภัย และทางเรียบ ไม่ขรุขระมากนัก พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ ใครๆ ก็อยากได้พระคุณจากพระเจ้า พระคุณมากยิ่งกว่าพระพรอีกนะ เพราะพระคุณ คือเราทำผิด ก็ยังให้ พระพร ถ้าเราทำผิด ก็ไม่ได้ พระพรเหมือนกับว่ามันเป็นกฎระเบียบ ถ้าท่านไม่ฝ่าไฟแดง ท่านก็จะได้รับพระพร ถ้าท่านฝ่าไฟแดง ท่านก็จะได้รับคำสาปแช่ง แล้วถามว่าตำรวจเป็นศัตรูกับท่านหรือ? เปล่า รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเป็นศัตรูกับท่านหรือ? เปล่า กฎระเบียบเขามีไว้อย่างนี้ว่าถ้าท่านฝ่าไฟแดง ก็คือผิด ต้องโดนลงโทษได้รับคำสาปแช่ง แต่ถ้าท่านไม่ฝ่า ท่านได้พร บางครั้งคนที่ได้พรอยู่ ก็ไม่ได้นึกว่าตัวเองได้พรอยู่ จนกว่าเมื่อไรถูกสาปแช่ง จึงรู้ว่าสมัยก่อนมันคือพร ตอนที่ขับรถอยู่สบายๆ ไม่มีใครมาจับ ไม่เคยนึกถึงว่าเราได้พระพร ฝ่าไฟแดงครั้งหนึ่ง ถึงรู้ว่าการไม่ฝ่า คือพรอันยิ่งใหญ่

พระเจ้าต่อสู้กับคนที่เย่อหยิ่งจองหอง ก็คือคนนั้นไม่ได้พระพร ก็คือกฎระเบียบของพระเจ้าต่อสู้นั่นเอง เพราะฉะนั้น ต้องฝึก ที่จะถ่อมใจ ระลึกอยู่เสมอว่าความสามารถของเราทุกอย่าง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ สำคัญหรือไม่สำคัญ มาจากพระเจ้า อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า ถึงความสามารถที่พระองค์ทรงประทานให้เราเสมอ มีใครภูมิใจในการทำอาหารอร่อยไหม? มันอดไม่ได้ มีคนชมบ่อยๆ เราทำอร่อย  นั่นก็คือความหยิ่งยโสอันหนึ่ง มันจะมาเรื่อยๆ อย่านึกว่าเราไม่ได้ดังอะไร? เราไม่มีใครรู้จัก มันสามารถออกมาได้ ทุกสถานะของผู้คน ถวายเกียรติแด่พระเจ้าทุกครั้งที่ประสบความสำเร็จอะไรก็ตาม ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ขอบคุณพระเจ้าเสมอ

“ทำกับข้าวอร่อยจริง”

“ขอบคุณพระเจ้า”

ไม่ต้องไปบอกอย่างนี้ “ไม่ต้องชมๆ”

ช่างเขา เขาจะชม ก็ขอบคุณพระเจ้า คือรับ แล้วก็มอบให้พระเจ้า ถ้าท่านไปรับเยอะๆ แล้วรับด้วยตัวเอง ท่านต้องรับผิดชอบ ถ้าท่านไม่รับชอบ ท่านก็ไม่ต้องรับผิด ถ้าท่านรับชอบด้วย ท่านก็ต้องรับผิดด้วย เขาจึงเรียกว่ารับผิดชอบ ไม่อร่อย ก็แล้วแต่พระเจ้า

“พระเจ้าให้มาแค่นี้”

ก็ไม่ได้โกรธอะไร?  ถ้าทำอาหารอร่อย ก็ขอบคุณพระเจ้า  ไม่อร่อย เขาว่าเรา ไม่ต้องโกรธ ก็ขอบคุณพระเจ้า แต่ต้องไปฝึกให้มันดีขึ้น

เพราะฉะนั้นเราต้องขอบคุณพระเจ้าก่อนเสมอ มอบให้พระเจ้าก่อนเลย ถูกโวยมา ก็ขอบคุณพระเจ้า ถูกชม ก็ขอบคุณพระเจ้า 1 พงศาวดาร 29:11-12 เป็นการสรุปเรื่องที่เราได้เรียนมาตลอด 11 ตอน ในเรื่องเกี่ยวกับหนังสือดาเนียล

1 พงศาวดาร 29:11-12 “11 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความยิ่งใหญ่ ฤทธานุภาพ เกียรติสิริ บารมี และเดชานุภาพ เป็นของพระองค์ ทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และในพิภพโลก เป็นของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ราชอาณาจักรเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นที่ยกย่องเทิดทูน ในฐานะประมุขเหนือสิ่งสารพัด 12 ความมั่งคั่งและเกียรติมาจากพระองค์ พระองค์ทรงครอบครองเหนือสรรพสิ่ง พลังอำนาจอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ที่จะเชิดชูและประทานกำลังแก่ทุกคน”

 

สรุป ก็คือจงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า  ก็คือรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระผู้ทรงครอบครองควบคุมสรรพสิ่ง ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยพระองค์เอง ผู้ทรงพระเกียรติสิริแต่เพียงผู้เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว และเมื่อรับรู้ขนาดนั้นไม่พอ ต้องรับรู้ต่อจากนั้นด้วย และพระองค์ทรงมอบสิทธิอำนาจทั้งหมด ตำแหน่งต่างๆ เหล่านั้น ให้กับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันอีสเตอร์แรกของโลก 2,000 ปีมาแล้ว สิทธิ์อำนาจทั้งหมดที่เรากำลังพูดอยู่นี้ ที่บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ตลอดเวลาว่าพระองค์เป็นใคร? พระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? บัดนี้ มามอบให้กับพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ที่พระองค์ประทานให้กับมนุษยชาติบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ที่ควบคุมอยู่เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ ก็คือพระเยซูคริสต์ และอาณาจักรของพระเยซูคริสต์นี้ พระคัมภีร์ พระเจ้าได้บอกล่วงหน้าแล้ว เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่บอกล่วงหน้า แล้วเราไปเช็คกันดู แล้วมันก็เกิดขึ้นตามนั้นทุกอย่าง สำหรับอาณาจักรของพระคริสต์  หรือพระบุตรของพระองค์นั้น ได้บันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว เผยพระวจนะไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะดำรงอยู่ตลอดกาล จะปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้มากขึ้นๆ แผ่ขยายไปจนกระทั่งเต็มโลก ตามคำสั่งของพระเจ้า จนบริบูรณ์ คลุมไปหมดเลย เหลืออาณาจักรเดียวในอนาคต ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้าน เหลือประเทศเดียวในอนาคต เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่กว่าประเทศอื่นๆ เพราะว่าระบบ เทคโนโลยีจะสูงสุดเลย  เพราะว่าเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบเทคโนโลยีแบบวิญญาณ เราจะมีร่างกายใหม่ ที่ไม่ใช่เป็นอย่างนี้  มันเป็นการเปลี่ยนระบบทางวิญญาณ

ทุกวันนี้ ท่านรู้ไหมว่าระบบมันเปลี่ยนมา 2,000 ปีอย่างไร? 4,000 ปีอย่างไร? นี่มันเปลี่ยนอยู่นะ ชีวิตพวกเรา ร่างกายพวกเรา การมอง การเห็น มันเปลี่ยนไปตลอด แม้ว่าท่านดูเหมือนมนุษย์ในสมัย 2,000 ปีก่อน  แต่มันไม่ใช่ มันเปลี่ยนไปตั้งเยอะแล้ว ทั้งระบบเทคโนโลยีก็เปลี่ยนไป การรับประทานอาหาร ก็เปลี่ยนไป การเดินทางก็เปลี่ยนไป การใช้เครื่องบิน การใช้จรวดก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปหมดเลย มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และสุดท้าย มันจะเหลืออยู่ประเทศเดียว ที่มีเทคโนโลยีสูงสุดเลย ร่างกายเราจะมียิ่งกว่าคอมพิวเตอร์อีก เรียกว่ากายทิพย์ อาจารย์เปาโลใช้คำนี้  เป็นร่างกายทางฝ่ายวิญญาณ อาจารย์เปาโลบอกว่าร่างกายฝ่ายเนื้อหนังอย่างนี้ ที่เห็นๆ มีใช่ไหม? ร่างกายฝ่ายวิญญาณ ก็มีด้วย และเราจะได้รับร่างกายนั้น เมื่อวันนั้นมาถึง เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า รับรู้ว่าพระเยซูคริสต์ปกครองและควบคุมอยู่เหนืออาณาจักรทั้งมวล เอเมน

และสิ่งทั้งมวลต่างๆ ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นจริง เป๊ะๆ แล้ว สิ่งที่กำลังพูดนี้ เรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรพระคริสต์ ก็ต้องเป๊ะๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น อย่าหยิ่งยโสโอหัง ทะนงตน แต่จงถ่อมใจ และแสวงความจริงจากองค์พระเยซูคริสต์เถิด และพึ่งในพระองค์  ไม่ว่าคนที่เชื่อแล้ว เป็น คริสเตียนแล้ว หรือคนที่ยังไม่เชื่อก็ตาม ถ่อมใจและเชื่อในพระองค์ พึ่งในพระองค์เถิด พระคัมภีร์ได้สอนไว้ว่าใครที่ถ่อม และแสวงหาพระองค์ คนนั้นก็จะได้พร ก็คือคนนั้น ก็จะได้สิ่งที่ดีๆ เข้ามาในชีวิต ใครที่ทะนงเย่อหยิ่ง อวดดี ก็จะได้รับการลงโทษ มันเป็นกฎ มันเป็นระเบียบ

เพราะฉะนั้น ให้เราพึ่งพาในพระเจ้า และผลตามมา ก็คือเมื่อพึ่งพาในพระเจ้า เราก็จะรักมนุษย์ เราจะไม่ยกตนข่มท่าน เราก็จะได้พบกับพระพรในชีวิตเยอะแยะมากมาย สิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ตรงกันข้าม คือเมื่อพึ่งในตัวเอง เราก็จะข่มเหงมนุษย์ แล้วก็จะโอหัง อวดดี แล้วก็จะไม่ได้รับพระพร คือสิ่งดีๆ ในชีวิตเลย

          สรุปแล้ว เป็นตรรกะ เป็นสูตรอย่างนี้ว่า …

                                      …  พึ่งพระเจ้า รักมนุษย์ ถ่อมใจ ได้รับพระพร  …

                   หรือจะ        …  พึ่งตัวเอง ข่มมนุษย์ โอหัง อวดดี ไม่ได้พระพร  …

 

ขอให้ท่านเลือกอย่างแรก ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 10 “จงถ่อมใจและวางใจในการควบคุม ของพระเจ้า (อักษรปริศนาบนผนัง)” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  มกราคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 10 “จงถ่อมใจและวางใจในการควบคุม

ของพระเจ้า (อักษรปริศนาบนผนัง)”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เป็นตอนที่ 10 ของการบรรยายชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” มีชื่อตอนว่า “จงถ่อมและวางใจในการควบคุมของพระเจ้า (อักษรปริศนาบนผนัง)”

เรายังคงเรียนรู้ผ่านทางเรื่องราวของดาเนียล ที่เป็นตัวอย่างของการมอบถวายชีวิตให้กับพระเจ้า และเชื่อวางใจแบบสุดๆ ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมและครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นใด

ครั้งที่แล้ว ดาเนียลบทที่ 4 เราได้จบลง ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ หลังจากที่กลับไปกลับมา ที่สรรเสริญสลับกับความเย่อหยิ่ง ทะนงตน ยังจำได้ใช่ไหมครับว่าดาเนียลทายความฝันถูก เนบูคัดเนสซาร์ก็ยกย่องสรรเสริญพระเจ้า พระเจ้ายิ่งใหญ่ พอแป๊บเดียว ไม่นาน ก็สร้างปฏิมากรรมรูปปั้นทองคำขนาดใหญ่ แล้วก็ทะนงว่าตัวเองใหญ่มาก บังคับให้ผู้คนกราบไหว้ พอเพื่อนดาเนียล ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโกไม่ยอมทำตาม ก็โกรธมาก เปิดไฟแรงที่สุด โยนเลย แต่พอได้เห็นพระเจ้าทำการอัศจรรย์ช่วยเหลือเพื่อนดาเนียลทั้งสามรอด จากการถูกไฟไหม้

“อ้าว! ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก ยังอยู่เหรอ”

ก็เสียงอ่อนเลย ยอมจำนนอีก สรรเสริญพระเจ้า ยกย่องพระเจ้าอีกแล้ว แต่พอยอมจำนนต่อพระเจ้าได้ไม่นาน ก็กลับมาลืมตัวอีก มีอยู่คืนหนึ่ง เนบูคัดเนสซาร์ก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าของพระราชวัง มองลงมา เห็นอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล แล้วก็เห็นความอัศจรรย์ของสวนลอยฟ้าบาบิโลน ซึ่งทุกวันนี้ยังเป็นประจักษ์พยานว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? แล้วพูดว่า …

“เราเองเป็นผู้สร้างอาณาจักรบาบิโลน อันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้  ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเกรียงไกรของเราเอง และเพื่อเกียรติบารมีของเราเอง”

“เรา” ก็เลยซวยเลย  นี่คือสิ่งที่เนบูคัดเนสซาร์ลืมตัวอีกแล้ว แล้วก็พูดตรงนี้ออกมา ทั้งๆ ที่ดาเนียลก็เตือนหลายครั้งแล้วว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? จงถ่อมใจๆ หลังจากนั้น ก็เป็นไปตามเหตุการณ์ที่ดาเนียลเคยทำนายฝันเอาไว้ว่าเนบูคัดเนสซาร์จะถูกไล่ออกไป ใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ป่า และจะอยู่จนครบวาระที่พระเจ้ากำหนดไว้ แล้วจึงกลับมามีใจถ่อมอีกครั้งหนึ่ง มีบันทึกไว้ในหนังสือดาเนียล บทที่ 4 ตอนท้ายว่าไว้อย่างนี้  ดาเนียล 4:34-37

ดาเนียล 4:34-37 “34 เมื่อครบกำหนดแล้ว เรา เนบูคัดเนสซาร์ แหงนหน้าขึ้นมองดูฟ้าสวรรค์ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา เราจึงถวายสรรเสริญองค์ผู้สูงสุด เราเทิดพระเกียรติและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงนิรันดร์  ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ 35 มวลประชาชาติในโลกนี้ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจ ที่จะทำต่อเหล่าทูตสวรรค์ และต่อมวลประชาชาติ ตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่า พระองค์ทำอะไรนี่?” 36 ขณะนั้นสติสัมปชัญญะของเรากลับคืนมา เกียรติและบารมีกลับคืนมาสู่เรา เพื่อสง่าราศีแห่งอาณาจักรของเรา ราชมนตรีและขุนนางทั้งหลายมาตามหาเรา ให้กลับไปครองราชบัลลังก์ดังเดิม และรุ่งเรืองยิ่งกว่าแต่ก่อน  37 บัดนี้ เรา เนบูคัดเนสซาร์ ขอถวายสรรเสริญ และยกย่องเทิดทูนองค์กษัตริย์แห่งฟ้าสวรรค์ เพราะทุกสิ่งที่ทรงกระทำนั้นถูกต้อง และทางทั้งปวงของพระองค์ก็ยุติธรรม บรรดาผู้ดำเนินชีวิตอย่างหยิ่งยโส พระองค์สามารถกระทำให้เขาถ่อมลง”

 

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงเขียนบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เอง  แสดงว่าพระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมไว้ พระเจ้าต้องการให้เนบูคัดเนสซาร์เขียนอย่างนี้ เพื่อที่จะเป็นพยานว่า …

“ฉันกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เชื่อแล้วว่าพระเจ้า เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองทุกสิ่ง แต่เพียงผู้เดียว  ผู้ทรงกระทำทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว ผู้ทรงสมควรได้รับเกียรติแต่เพียงผู้เดียวอย่างนั้นเหรอ ผมว่าไม่ใช่แน่ พระเจ้าอยากให้ทุกคนที่อ่านพระคัมภีร์มาจนถึงยุคปัจจุบัน และต่อไปถึงยุคไหนก็ตาม ได้รู้ว่าพระองค์เป็นอย่างไร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? และใครที่ทำตามที่พระองค์บอกไว้ จะได้พร ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ได้พร คือเชื่อว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด อย่าเย่อหยิ่งจองหอง  อย่านึกว่าตัวเราแน่

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่เรากำลังเรียนรู้ อยู่ในสมัยบาบิโลน ในทางประวัติศาสตร์ เขาเพิ่งจะค้นพบหลักฐานไม่นานนี่เอง คือมีการค้นพบแผ่นประตูทองสัมฤทธิ์ที่มีภาพยืนยันเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมดที่เกิดขึ้น บอกท่านว่าพระเจ้าต้องการให้เป็นคำพยาน ให้ผู้คนได้รู้เรื่องว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ ทุกขั้นตอน ทุกเหตุการณ์ จำได้ไหมเมื่อเราเริ่มเรียนเรื่องนี้ เราใช้ชื่อเรื่องว่าโลกนี้คือละคร โลกนี้พระเจ้าเป็นผู้กำกับ ดูแลอยู่ทั้งหมด พวกเราคือนักแสดง อย่าซ่าส์

และหลังจากที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กลับใจ และถ่อมใจกับพระเจ้าแล้ว เนบูคัดเนสซาร์ก็กลับมาครอบครองบาบิโลนต่อ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ ประมาณปี 562 ก่อนคริสตราช คือก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือก่อนวันคริสตมาสแรกของโลกนี้นั่นเอง อายุประมาณ 83-84 พรรษา ครองราชย์มาทั้งหมด 43 ปี

และเรื่องราวที่เรากำลังจะฟังกันต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากเนบูคัดเนสซาร์สิ้นพระชนม์ไป 30 ปี ในหนังสือดาเนียล 5:1-4

ดาเนียล 5:1-4 “1 กษัตริย์เบลชัสซาร์ทรงจัดงานเลี้ยงใหญ่ ประทานแก่ขุนนางผู้ใหญ่หนึ่งพันคน และทรงเสวยเหล้าองุ่นร่วมกับเขา 2 ขณะเสวยอยู่ ก็รับสั่งให้นำภาชนะเงินและทองคำ ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ราชบิดาได้ยึดมาจากพระวิหารในเยรูซาเล็มนั้น มาให้กษัตริย์ ขุนนาง มเหสี และเหล่านางสนมใส่เหล้าองุ่น 3 พวกเขาจึงนำภาชนะทองคำ ซึ่งริบมาจากพระวิหารของพระเจ้าในเยรูซาเล็ม มาให้กษัตริย์ ขุนนาง มเหสี และเหล่านางสนม ใส่เหล้าองุ่นดื่ม 4 พวกเขาดื่ม พร้อมทั้งสรรเสริญเทพเจ้า ที่ทำจากทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้ และหิน”

 

กษัตริย์เบลชัสซาร์จัดงานเลี้ยงใหญ่ ให้บรรดาเหล่าขุนนาง ก็ดูเหมือนเป็นงานเลี้ยงธรรมดาที่เราก็นึกภาพออก แต่มันไม่ธรรมดาตรงที่เบลชัสซาร์สั่งให้นำภาชนะเงิน และทองคำที่ไปยึดมาจากวิหารในกรุงเยรูซาเล็มมาใช้ใส่เหล้าองุ่นดื่มกินกัน จนเมา ในวิหาร ชาวยิวถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ของในนั้น ต้องบริสุทธิ์มากๆ ก็แสดงว่าภาชนะเหล่านั้น เป็นภาชนะที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่พิเศษ ที่ไว้ใช้สำหรับถวายเกียรติ ถวายงานแด่พระเจ้า แต่เบลชัสซาร์ กลับให้นำมาใส่เหล้าองุ่นดื่มกินกันไม่พอ แล้วยังเอาไป เลี้ยงสรรเสริญเทพเจ้าที่เขานับถือ ที่เขาเคารพ รูปปั้นต่างๆ ที่ทำจากทองคำ จากเงิน จากเหล็ก จากไม้ และหิน  นี่คือการดูหมิ่นแบบตั้งใจ

ไม่ใช่พระเจ้า ไม่พอพระทัย เพราะเราไปดูหมิ่นพระเจ้า แต่เพราะความเย่อหยิ่งจองหอง เป็นศัตรูกับพระเจ้ามาก  ไม่ใช่เพราะพระเจ้าต้องการรักษาชื่อเสียงตัวเอง ไม่ใช่ พระเจ้าไม่อยากให้เราได้สิ่งที่ไม่ดีในชีวิต ไม่อยากให้เราได้รับคำสาปแช่ง ถ้าเราเย่อหยิ่งจองหอง เราจะได้รับคำสาปแช่ง อันนี้เป็นกฎที่วางไว้เลย มาดูกันเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้น ดาเนียล 5:5-9

ดาเนียล 5:5-9 “5 ทันใดนั้น มีนิ้วมือมนุษย์ปรากฏขึ้น และเขียนบนผนัง ใกล้คันประทีป ในพระราชวัง กษัตริย์ทอดพระเนตรดูมือนั้นเขียนไป 6 พระพักตร์ของพระองค์ก็ซีดเผือด ทรงตกพระทัยจนเข่าสั่นกระทบกัน แข้งขาอ่อน หมดเรี่ยวหมดแรง 7 พระองค์ตรัสเรียกให้นำตัวนักเวทมนตร์ โหราจารย์ และหมอดูฤกษ์ยามทั้งหลายมา และตรัสแก่ปราชญ์ของบาบิโลนเหล่านี้ว่า “ผู้ใดก็ตาม อ่านข้อความนี้แล้ว บอกเราได้ว่ามีความหมายว่าอะไร เราจะให้ผู้นั้น สวมชุดสีม่วงกับสร้อยคอทองคำ และให้ครองอำนาจเป็นที่สามในราชอาณาจักร” 8 แล้วปราชญ์ทั้งปวงของกษัตริย์ก็มาเข้าเฝ้า แต่ไม่มีใครสามารถอ่านข้อความที่เขียนไว้ หรือทูลให้กษัตริย์ทรงทราบว่าหมายความว่าอะไร  9 ดังนั้น กษัตริย์เบลชัสซาร์จึงยิ่งตกพระทัย และพระพักตร์ยิ่งขาวซีด ขุนนางทั้งปวงก็ว้าวุ่นใจ”

 

เบลชัสซาร์เอาจอกศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า มากินเมากันใหญ่ แล้วก็มีนิ้วมือเคลื่อนที่ไป หยุดที่กำแพง แล้วเริ่มเขียนอะไรบางอย่าง ในนี้บอกว่ากษัตริย์เบลชัสซาร์ตกใจจนหน้าซีดเผือด แสดงว่ามันน่ากลัวมาก แถมเข่าสั่นกระทบกัน ต้องตกใจมากๆ ยิ่งกว่าคนที่จะถูกนำไปประหารชีวิตอีก

แล้วกษัตริย์เบลชัสซาร์ก็เรียกให้โหราจารย์และนักปราชญ์ ทั้งราชอาณาจักรบาบิโลน มาช่วยอ่านอักษรปริศนาบนผนังให้ทีว่ามันแปลว่าอะไร?  แล้วก็ประกาศว่าใครที่อ่านอักษรนี้หรือแปลอักษรปริศนานี้ได้ จะให้รางวัล จะให้สวมชุดสีม่วงกับสร้อยคอทองคำ ให้ครองอำนาจ เป็นที่ 3 ในราชอาณาจักรบาบิโลน ที่ 3 ก็คือรองจากพระราชบิดา รองจากเบลชัสซาร์ แล้วคนนั้นจะได้ตรงนี้

แต่แม้จะประกาศให้รางวัลขนาดนี้ ก็ยังไม่มีนักปราชญ์ หรือโหราจารย์คนไหนในบาบิโลนสามารถตอบได้อีก ก็ถึงเวลาของพระเจ้าจะสร้างฮีโร่อีกแล้ว ดูสิว่าคราวนี้ใครจะเป็นฮีโร่ ดาเนียล  5:10-12

ดาเนียล 5:10-12 “10 พระราชินีทรงได้ยินพระสุรเสียงของกษัตริย์ และเสียงเหล่าขุนนาง ก็เสด็จเข้ามาในท้องพระโรง ซึ่งมีงานเลี้ยงนั้น พระนางตรัสว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอจงทรงพระเจริญ อย่าตกพระทัยจนพระพักตร์ซีดเลย 11 มีชายผู้หนึ่งในราชอาณาจักร ซึ่งมีวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์สถิตด้วย ในรัชสมัยของพระราชบิดา เราพบว่าชายคนนี้มีสติปัญญา ไหวพริบ และความหยั่งรู้เสมอเหมือนเทพเจ้า กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ราชบิดาของพระองค์จึงทรงแต่งตั้งเขา ให้เป็นหัวหน้านักเล่นอาคม นักเวทมนตร์โหราจารย์ และหมอดูฤกษ์ยามทั้งปวง 12 ดาเนียลผู้นี้ ซึ่งกษัตริย์ตรัสเรียกว่าเบลเทชัสซาร์เป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม มีความรู้ความเข้าใจ และยังสามารถทำนายฝัน แก้ปริศนา และปัญหายุ่งยากทั้งหลาย ขอให้ตามตัวดาเนียลมาเถิด เขาจะสามารถกราบทูลว่าข้อความนี้หมายความว่าอะไร”

 

พระราชินีคงหมายถึงมเหสีใหญ่ คือมเหสีของพระราชบิดา คือพ่อนั่นเอง และเป็นแม่ของกษัตริย์เบลชัสซาร์ พระราชินีได้ยินเสียงเอะอะโวยวายในท้องพระโรง อาจจะเป็นเพราะคนที่อยู่ข้างๆ ตกใจกลัว ที่อยู่ในงานเลี้ยงนั้น ก็เลยเดินมาดูว่าเป็นอย่างไร?

พระราชินีจำได้คุ้นๆ ว่าเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น  และมีคนทำได้  แม่ก็จำได้ว่าดาเนียลนี่แหละ ที่เคยทำนายฝันให้เนบูคัดเนสซาร์ ก็เลยบอกว่า …

“ลูกเอ่ย ไปตามดาเนียลมา คนนี้ยอดเยี่ยม คนนี้ช่วยได้ คนนี้อ่านออก”

เบลชัสซาร์รีบทันทีเลย ไปตามดาเนียลมาเร็ว แล้วเกิดเหตุอะไรต่อ ดาเนียล 5:13-16

ดาเนียล 5:13-16 “13 ดาเนียลจึงถูกนำตัวมาเข้าเฝ้า กษัตริย์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าคือดาเนียล เชลยที่ราชบิดาของเรานำตัวมาจากยูดาห์หรือ! 14 เราได้ยินมาว่าวิญญาณของเทพเจ้าอยู่ในตัวเจ้า และเจ้ามีความหยั่งรู้ ไหวพริบและสติปัญญาล้ำเลิศ 15 เราได้เรียกบรรดาปราชญ์ และนักเล่นอาคม ให้มาอ่านข้อความนี้ และแจ้งความหมายแก่เรา แต่พวกเขาอธิบายความไม่ได้ 16 เราได้ยินมาว่าเจ้าสามารถอธิบายความ และแก้ปริศนาอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนได้ หากเจ้าสามารถอ่านข้อความนี้ และบอกความหมายแก่เราได้ เราจะให้เจ้าสวมชุดสีม่วง และสวมสร้อยคอทองคำ แล้วแต่งตั้งให้เจ้าครองอำนาจเป็นที่สามในราชอาณาจักร”

 

ข้อ 13 “ดาเนียลจึงถูกนำตัวมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าคือดาเนียล เชลยที่ราชบิดาของเรานำตัวมาจากยูดาห์หรือ!”

เจ้า คือทาส คือต่ำกว่าเรานั่นเอง ไม่ได้ให้เกียรติดาเนียลเลย

นี่คือการแสดงออกถึงความหยิ่งยโส โอหัง อวดดีของเบลชัสซาร์ ที่มีต่อคนอื่น แม้กระทั่งตัวเองกำลังตกอยู่ในภาวะเดือดร้อนก็ตาม แต่มันอยู่ในใจเขา อาการของความเย่อหยิ่ง จองหอง โอหัง ความภูมิใจตนเองจนเกินไป  ซึ่งพระเจ้าไม่ชอบมาก พระคัมภีร์บอกว่าความเย่อหยิ่งนำหน้าความล้มลง นำหน้าความพินาศ ไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม คนที่เย่อหยิ่ง จองหอง เขาจะดูแคลนคนอื่นเสมอ ดังนั้นพังเพยไทยถูกต้องเสมอ  “ยกตนข่มท่าน”

ยกตนเมื่อไร ข่มท่าน เมื่อนั้น ก็คือเย่อหยิ่งจองหองเมื่อไร โอหังเมื่อไร มันจะดูแคลนคนอื่นเสมอ นี่ออกมาจากใจลึกๆ ของเบลชัสซาร์ ดูแคลนชาวยิว คนละระดับกันเลย

“ยิวคือพวกที่ถูกต้อนมา มาเป็นเชลยในบาบิโลน แล้วฉันเป็นใคร? ฉันเป็นชาวบาบิโลน แล้วแถมเป็นกษัตริย์ด้วย แม้ว่าจะได้รับการแต่งตั้งจากเสด็จพ่อ ฉันก็ไม่ให้เกียรติ”

เรามาดูสิว่าดาเนียล เจอดูถูกอย่างนี้ จะช่วยไหม? จะทำอย่างไรดี? ดาเนียล 5:17-23

ดาเนียล 5:17-23 “17 ดาเนียลจึงทูลกษัตริย์ว่า “ขอทรงเก็บของประทานไว้ และปูนบำเหน็จแก่ผู้อื่นเถิด อย่างไรก็ดี ข้าพระบาทจะอ่านข้อความถวายฝ่าพระบาท และทูลความหมายให้ทรงทราบ 18 ข้าแต่กษัตริย์ พระเจ้าสูงสุดได้ประทานราชอำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเกียรติบารมีแก่เนบูคัดเนสซาร์ ราชบิดาของฝ่าพระบาท 19 เนื่องจากฐานะสูงส่งที่พระเจ้าประทานให้พระองค์มวลประชาชาติและคนทุกภาษา จึงยำเกรงครั่นคร้ามพระองค์ ผู้ที่กษัตริย์ประสงค์ให้ประหาร ก็จะถูกประหาร ผู้ที่ทรงประสงค์ให้ไว้ชีวิต ก็จะรอดชีวิต ทรงให้ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือถอดถอนผู้ใด ตามแต่ชอบพระทัย 20 แต่เมื่อพระทัยของพระองค์เย่อหยิ่ง และกำเริบเสิบสาน พระเจ้าจึงทรงปลดพระองค์ออกจากราชบัลลังก์ และริบเอาเกียรติบารมีของพระองค์ไป 21 พระองค์ทรงถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ และได้รับความคิดจิตใจแบบสัตว์ ทรงใช้ชีวิตอยู่กับลาป่า กินหญ้าเหมือนวัว กายตากน้ำค้าง จนกระทั่งทรงเรียนรู้ว่าพระเจ้าสูงสุดทรงครอบครอง เหนืออาณาจักรของมนุษย์ทั้งปวง และทรงตั้งผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย ให้ครองอาณาจักร 22 ข้าแต่เบลชัสซาร์ แต่ฝ่าพระบาทผู้เป็นโอรส ทรงทราบเรื่องทั้งหมดนี้ แต่ก็ไม่ได้ถ่อมพระทัยลง 23 กลับยกองค์ ลบหลู่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ทรงให้นำภาชนะจากพระวิหารของพระเจ้า มาให้ฝ่าพระบาท ขุนนาง มเหสี และเหล่านางสนม ใส่เหล้าองุ่นดื่ม ทรงยกย่องสรรเสริญเทพเจ้าที่ทำจากเงิน ทอง ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้ และหิน ซึ่งมองอะไรไม่เห็น ฟังอะไรไม่ได้ยิน และไม่เข้าใจ ฝ่าพระบาทไม่ได้เทิดพระเกียรติพระเจ้า ผู้กุมชีวิตและวิถีทางทั้งปวงของฝ่าพระบาทไว้ในพระหัตถ์”

 

ดาเนียลตอนนั้น คงกำลังโมโห แต่ไม่ใช่โมโห เพราะเขาดูถูกตัวเอง แต่ไม่พอใจสิ่งที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ทำ เป็นการดูหมิ่น ด้วยความตั้งใจ ต่อพระเจ้า ทั้งๆ ที่รู้ เขาเรียกว่าโอหัง ก็เลยพูดประชดว่า …

“รางวัลที่จะให้ เก็บไว้เถอะ”

ไม่อยากได้เลย ไม่เหมือนกับสมัยที่เนบูคัดเนสซาร์ให้รางวัล ดาเนียลก็รับธรรมดา ไม่ได้ทำขนาดนี้

และก่อนดาเนียลจะบอกความหมายให้กษัตริย์เบลชัสซาร์ได้รู้ ดาเนียลก็ได้ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในสมัยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าพระเจ้าเคยสอนเนบูคัดเนสซาร์มาอย่างไร?  ให้เห็นว่าพระเจ้า คือผู้ที่ควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ความยิ่งใหญ่ อำนาจ บารมีทั้งหลาย ที่เคยอยู่คู่กับเนบูคัดเนสซาร์ ก็มาจากพระเจ้า ที่เป็นผู้ประทานให้ทั้งสิ้น แต่เมื่อเนบูคัดเนสซาร์เกิดเย่อหยิ่ง พระเจ้าก็ทรงปลดออกจากการมีอำนาจ บารมีทุกอย่าง และต่ำจนถึงขนาดต้องไปใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ในป่า จนกระทั่งเรียนรู้ว่าพระเจ้าสูงสุด ทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ทั้งปวง และทรงตั้งผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัยให้ครองอาณาจักร

ดาเนียลกำลังทบทวนให้เบลชัสซาร์ได้รู้ว่าก่อนหน้านี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เคยเจออะไรมาบ้าง? และมาถึงตอนนี้ นี่คือสิ่งที่ดาเนียลพูดกับกษัตรย์เบลชัสซาร์ว่า …

“ข้าแต่เบลชัสซาร์ ฝ่าพระบาทเป็นโอรส ทรงทราบเรื่องนี้ทั้งหมดไม่ใช่เหรอ แต่ก็ไม่ได้ถ่อมพระทัยลง กลับยกตัวเองขึ้น ลบหลู่ โอหัง ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ทรงให้นำภาชนะที่มาจากวิหารของพระเจ้ามาให้ฝ่าพระบาท ขุนนาง มเหสีทั้งหลายใส่เหล้าองุ่นดื่มกิน ทรงยกย่องเทพเจ้าที่ทำด้วยรูปปั้นเหล่านั้น เหล็ก ไม้ หิน ซึ่งมองก็ไม่เห็น ฟังก็ไม่ได้ยิน และก็ไม่เข้าใจด้วย ฝ่าพระบาทไม่ได้เทิดพระเกียรติพระเจ้าผู้กุมชีวิต และวิถีทางทั้งปวงของฝ่าพระบาทไว้ในพระหัตถ์เลย”

ดาเนียล 5:24-31 “24  ฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงส่งมือมาเขียนข้อความนั้น 25 ข้อความนั้นเขียนไว้ว่า “เมเน เมเน เทเคล ปาร์ซิน” 26 “ความหมายนั้น ก็คือเมเน หมายความว่าพระเจ้าได้ทรงนับวันเวลาแห่งรัชกาลของฝ่าพระบาทไว้ และนำมาถึงจุดจบ 27 เทเคล หมายความว่าฝ่าพระบาทถูกชั่งบนตราชั่ง และเบากว่าที่กำหนด 28 เปเรส หมายความว่าราชอาณาจักรของฝ่าพระบาทถูกแบ่งแยก และยกให้ชาวมีเดียและเปอร์เซีย” 29 แล้วเบลชัสซาร์รับสั่งให้ดาเนียลสวมชุดสีม่วงและสร้อยคอทองคำ แล้วแต่งตั้งให้เป็นผู้ครอบครองอันดับที่สามของราชอาณาจักร 30 ในคืนวันนั้นเอง กษัตริย์เบลชัสซาร์ของชาวบาบิโลนก็ถูกปลงพระชนม์ 31 และดาริอัสแห่งมีเดีย ทรงยึดอาณาจักรบาบิโลนได้ ขณะนั้น ดาริอัสทรงมีพระชนมายุ 62 พรรษา”

 

สรุปความหมายของอักษรปริศนาบนผนัง ก็คือเมเน เทเคล ปาร์ซิน หมายความว่าพระเจ้าได้ทรงพิพากษากษัตริย์เบลชัสซาร์แล้ว และพระองค์สอบไม่ผ่าน เพราะฉะนั้น พระเจ้าจะทรงริบอำนาจ บารมีทั้งหมด คืนจากพระองค์

จบเลย งานเลี้ยงเลิกรา หลังจากดาเนียลอ่านข้อความ ตีความหมายให้เบลชัสซาร์เสร็จแล้ว  กษัตริย์เบลชัสซาร์ก็ทำตามคำสัญญา ก็มอบตำแหน่งรองอันดับ 3 ยิ่งใหญ่สูงสุดของบาบิโลนให้กับดาเนียล แต่ดาเนียลก็ได้เป็นผู้ครอบครองระดับ 3 ของบาบิโลนสมัยนั้น ได้ไม่ถึงวันด้วยซ้ำ เพราะในข้อที่ 30 บอกว่าในคืนวันนั้นเอง กษัตริย์เบลชัสซาร์ของชาวบาบิโลน ก็ถูกปลงพระชนม์ และดาริอัส แห่งมีเดีย ทรงยึดอาณาจักรบาบิโลนได้

ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ในวันที่เกิดเหตุ เข้ายึดครองบาบิโลนได้นั้น ตรงกันวันที่ 12 เดือนตุลาคม ปี 539 ก่อนคริสตศักราช เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ในดาเนียล บทที่ 5 ที่เรากำลังอ่านนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 เดือนตุลาคม ปี 539 ก่อนคริสตศักราชนั่นเอง คืนนั้น แล้วรุ่งขึ้น ก็เปลี่ยนยุค เป็นของเมโดเปอร์เซีย ถูกยึดไปแล้ว

ในประวัติศาสตร์มีบันทึกไว้ว่าชาวมีโดเปอร์เซีย ได้ยกทัพมาประชิดบาบิโลน แล้วก็เจาะทะลุอุโมงค์ใต้น้ำ ปกติสมัยก่อน เมือง โดยเฉพาะในวัง ในส่วนลึก เขาจะมีน้ำล้อมรอบ ทหารของมีเดียเปอร์เซีย ลงไปใต้น้ำ แล้วก็ไปเจาะกำแพง ใต้น้ำนั้น มุดเข้าไป ไปโผล่ที่ห้องบรรทมพอดี เจอเบลชัสซาร์ปลงพระชนม์ในคืนวันนั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นไปตามพระเจ้ากำหนดไว้ทุกประการ ถามว่าทำไมพระเจ้าดลใจให้เนบูคัดเนสซาร์ ที่เคยดูหมิ่นพระเจ้า โอหังต่อพระเจ้าเหมือนกัน หรือเขาเรียกว่าทะนงตน แต่พระเจ้ากลับให้อภัย แล้วให้โอกาสให้เขามีการกลับใจใหม่ ท่านคิดไหม?

ในสมัยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เคยได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า ตอนที่เคยถ่อมใจ ยอมจำนนต่อพระเจ้า ระลึกถึงว่าพระเจ้าเป็นใคร? ปุ๊บ จนได้เขียนสรรเสริญพระเจ้า ในบทที่ 4 ที่เราได้อ่านไปแล้ว สรรเสริญใหญ่เลย  เพราะพระเจ้าให้โอกาสเขา ถูกไหม? แต่มาถึงกษัตริย์เบลชัสซาร์ต่างกัน เนบูคัดเนสซาร์ไม่เคยได้ยิน แต่เบลชัสซาร์เคยได้ยินมาก่อน จากบรรพบุรุษแล้ว ผ่านทางเนบูคัดเนสซาร์งว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างไร? เนบูคัดเนสซาร์เขียนบันทึกไว้เรียบร้อย เป็นบันทึกของบาบิโลนเลย เป็นเรื่องที่ดังมาก กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เขียนไว้ให้ทุกคนได้รู้ รวมทั้งลูกหลานของตัวเองด้วย เพราะฉะนั้น เบลชัสซาร์ก็ต้องรู้อย่างแน่นอนว่าพระเจ้าผู้นี้เป็นใคร? พูดง่ายๆ ทำอะไรไว้ แต่ทั้งๆ ที่รู้ ก็ยังเย่อหยิ่ง จองหอง ไม่ถ่อมใจ ลบลู่พระเจ้าถึงขนาดเอาภาชนะทองคำของชาวยิว ซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ในพระวิหารออกมาใช้ในงานเลี้ยง เอามาดื่มเหล้ากัน มันเป็นการเหยียดหยามมาก พระเจ้าเลยไม่ให้โอกาสเลย

เราอาจจะทำไมคนนี้ได้ คนนั้นไม่ได้ แต่พระเจ้าดูที่ใจของคนนั้นว่าเขาเย่อหยิ่งจองหองขนาดไหน? บางคนอาจจะหยิ่งเฉยๆ บางคนอาจจะลืมตัวทะนงตนเฉยๆ แต่ไม่ถึงขนาดโอหัง กำเริบเสิบสานขนาดนั้น ตอนเนบูคัดเนสซาร์ พระเจ้าให้โอกาส เพราะพระเจ้ามองเห็นจิตใจข้างในของเนบูคัดเนสซาร์ว่ายังมีความถ่อมใจอยู่

ตั้งแต่วันที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งถึงตายที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ครอบครองอาณาจักรในโลกวิญญาณแล้ว ตั้งแต่วันนั้นมีเยอะแยะมากมาย ที่ทำเหมือนเนบูคัดเนสซาร์และทำเหมือนเบลชัสซาร์อย่างนี้ มี 2 พวกเลย พวกหนึ่งทำ เพราะข้างในยังมีโอกาสถ่อมอยู่ แต่ไม่รู้ พอเจออะไรหลายๆ อย่างพระเจ้าสอน กลับใจ ยอม แต่ก็มีอีกหลายคนที่รู้ ก็ไม่ยอม รู้ ก็โอหังต่อไป สุดท้ายเป็นเหมือนเบลชัสซาร์ แล้วเราควรจะทำอย่างไร? ที่เรากำลังเรียนรู้เรื่องเขา

ปัจจุบัน ท่านจะไปไหนก็จะเจออยู่ 2 พวกนี่แหละ

ให้เราอยู่เฉยๆ อธิษฐานในใจ

“ขอพระเจ้าเมตตาเขา ให้เหมือนกับที่ประทานความเมตตาให้กับเนบูคัดเนสซาร์เถิด ช่วยเขาด้วยเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป อย่างน้อยให้เขามีโอกาสกลับใจใหม่ด้วยเถิด ให้เขาถ่อมใจ ให้เขารู้จัก ให้เขาเห็นพระองค์ด้วยเถิด”

เราคงไม่อธิษฐานขอให้เป็นเหมือนเบลชัสซาร์ เป็นไปเลยแล้วกัน พรุ่งนี้แล้วกัน ขอเป็นวันนี้เลยแล้วกัน เบลชัสซาร์ยังได้ตั้งหลายชั่วโมงนะ บางทีหลายครั้ง เราอึดอัดใช่ไหม? เพราะเรารักพระเจ้าของเรา ก็มนุษย์ธรรมดา ใครรักใคร ก็หวงของเรา เรารักของเรา ดังนั้นตรงนี้ก็เป็นอันหนึ่งให้เราได้เห็นว่าเราไม่ต้องกลัว แทนที่จะกลัวและโมโห เราควรจะมีเมตตา สงสาร เข้าใจเขามากกว่า ตกใจแทนเขา

เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าทรงครอบครอง ควบคุมทุกสิ่ง เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว พระองค์จะยกอาณาจักรผู้ใดก็ได้ ตามแต่น้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงพอพระทัยผู้ใด ผู้นั้น ก็ได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ และพระองค์บอกว่าพระองค์ชอบคนที่มีใจถ่อม นี่เคล็ดลับ เพราะฉะนั้น ใครอยากได้อะไรดีๆ จากพระเจ้า ก็ให้มีใจถ่อม มากกว่าการอธิษฐานด้วยซ้ำ อธิษฐานไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าข้างในใจมีแต่ความเย่อหยิ่ง ความจองหอง ท่านต้องฝึกฝนใจถ่อม พอท่านใจถ่อม ต่อให้ไม่อธิษฐานอะไรเลย พระเจ้าก็อยากจะให้

“พระเจ้าช่วยลูกเถอะ ให้ลูกเป็นคนใจถ่อม”

ให้เราวางใจ และวางภาระของเราลง สำหรับคริสเตียน คนที่รู้จักพระเจ้าแล้ว ก็ตามหัวข้อซีรี่ส์นี้ ก็คือจงนิ่งเสีย และรับรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ผู้ทรงเป็นผู้สร้างฮีโร่ เพราะฉะนั้น อย่าโอหัง จงรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า บางคนเอาพระคัมภีร์ข้อนี้ขึ้นมา จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า นึกถึงแต่ความยิ่งใหญ่อย่างเดียว ต้องนึกถึงว่าจงรับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือสรรพสิ่ง ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ผู้ทรงครอบครองและทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราทำอะไรได้ เราอธิษฐานสั่งพระเจ้าทำอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น จงถ่อมใจ อย่าโอหัง และรับรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า จงพูดกับตัวเองเสมอ พูดกับคนอื่นเมื่อไร คือเป็นคนเย่อหยิ่ง

คนเย่อหยิ่ง โอหัง คนที่ยกย่องสรรเสริญตัวเอง จะมีอาการหนึ่งออกมา ก็คือยกตนข่มท่าน เขาจะเหยียดคนอื่น เขาจะดูถูกคนอื่น เขาจะไม่ให้เกียรติคนอื่น เมื่อไรท่านเห็น เช็คในจิตใจท่าน รีบขอพระเจ้าเอามันออกไปที ก่อนอะไรทั้งสิ้นเลย เอเมน จำไว้เลย

เพราะฉะนั้น อย่าโอหัง อวดตัว ดูหมิ่นผู้อื่น ดูหมิ่นพระเจ้า เราคงไม่ดูหมิ่นแล้ว เพราะเราเป็นคริสเตียนแล้ว แต่เราจะดูหมิ่นพระเจ้าทางอ้อม โดยไม่รู้ ก็คือเราดูหมิ่นคนอื่น พอเราดูหมิ่นคนอื่น ก็คือเรากำลังเย่อหยิ่งจองหอง เมื่อเราเย่อหยิ่งจองหอง ก็คือเราไม่เชื่อในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้ารู้ทรงครอบครองควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่

เพราะฉะนั้น ท่านเห็นภาพตรงนี้แล้วนะ จากนี้ต่อไป วางใจในพระเจ้าทุกอย่าง ทุกอย่างอยู่ที่พระองค์ และอย่าเย่อหยิ่ง ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น นิ่งๆ และรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มอบภาระทุกอย่างไว้ที่พระองค์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 9 “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  มกราคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 9 “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด

เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายวันนี้เป็นตอนที่ 9 ของซีรี่ส์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” วันนี้มีชื่อตอนว่า “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว” เรายังอยู่ในเรื่องราวเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ดาเนียลอยู่ ช่วงและสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่พระเจ้าเรียกว่า “ผู้รับใช้ของเรา” ซึ่งพระองค์ได้เตรียมความยิ่งใหญ่ให้เนบูคัดเนสซาร์ พระเจ้าเป็นผู้สร้างกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ให้เป็นฮีโร่อย่างที่ผมเคยบอก พระเจ้าควบคุมทุกอย่าง สร้างสถานการณ์ และสร้างฮีโร่ จากตอนก่อนๆ ที่ได้อ่านกันไปแล้วว่าพระเจ้าเป็นผู้เตรียมเนบูคัดเนสซาร์ให้เป็นจอมจักรพรรดิ แห่งบาบิโลน ให้เรืองอำนาจในสมัยนั้น ไปรบที่ไหน ก็ชนะ พระเจ้าก็ประทานอาณาจักรต่างๆ ก็คือประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะใหญ่เล็กในสมัยนั้น ให้อยู่ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ รวมทั้งอาณาจักรยิว คืออาณาจักรอิสราเอลของพระเจ้าด้วย ยกให้ไปเลย แล้วเนบูคัดเนสซาร์ก็รับใช้พระเจ้าตามแผนการของพระองค์ ด้วยวิธีการต่างๆ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ไม่รู้ว่าพระเจ้าควบคุมอยู่

เนบูคัดเนสซาร์ได้รู้จักพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่บ้าง ผ่านทางดาเนียล ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก 4 หนุ่มน้อยยิว ที่ไปชนะอิสราเอล ปล้นอิสราเอล เอาทรัพย์สินเงินทอง ทุกอย่างของอิสราเอลกลับมา รวมทั้งผู้คนด้วย 4 คนนี้ ก็คือ 1 ในจำนวนที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก และดาเนียล พระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ใหญ่ให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ผ่านทางเด็กหนุ่ม 4 คนนี้ และกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าทุกครั้ง และทุกครั้งที่ยอมจำนน หลังจากนั้นไม่นาน ก็หยิ่งอีกแล้ว

ดาเนียลทำนายฝันให้ถูกต้อง เข่าอ่อนเลย ประกาศว่า …

“พระเจ้าของดาเนียลยิ่งใหญ่มาก ขอสรรเสริญพระเจ้าของดาเนียล”

แต่งตั้งดาเนียลและเพื่อนทั้ง 3 คน เป็นผู้สำเร็จราชการ มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต รองจากกษัตริย์เลย เพราะเห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า แต่ถ่อมใจได้ไม่นาน พอมีคนแนะนำให้สร้างปฏิมากรทองคำ ให้ผู้คนกราบไหว้ เหมือนเป็นการแก้เคล็ด ก็รู้สึกเหิมเกริมอีกแล้วว่า …

“ตัวข้านี่แหละยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว”

มันเป็นอย่างนี้ พอเพื่อนดาเนียลทั้งสามคน คือชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโกไม่ยอมทำตาม ไม่ยอมกราบไหว้รูปปั้นนี้ ก็โกรธใหญ่เลย

มันเป็นอย่างนี้ สำแดงถึงความเย่อหยิ่งของตนเองออกมา โกรธมากเลย  ไม่ยอมทำตามคำสั่ง สั่งจับ 3 คนนี้โยนลงไปในเตาไฟเลย ไม่ใช่ไฟธรรมดา เอาร้อนแรงสุดๆ ไปเลย อย่างที่เราได้เรียนกันมา แค่นั้นยังไม่พอ แถมยังหมิ่นประมาทพระเจ้าว่า …

“ไม่มีพระเจ้าที่ไหนมาช่วยได้ พระเจ้าของแกก็ช่วยไม่ได้”

แต่พอพระเจ้าทำการอัศจรรย์ให้เกิดขึ้น เห็นกับตาอีกครั้งหนึ่งว่าหลังจากที่ทหารโยน 3 คนนี้เข้าไปในเตาไฟ ปรากฏว่าเนบูคัดเนสซาร์เห็น 4 คนอยู่ในนั้น คนที่ 4 มีลักษณะเหมือนเทพบุตร พูดง่ายๆ ว่าเห็นพระเยซูอยู่ในนั้น  ก็เลยเปลี่ยนอีกแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเนบูคัดเนสซาร์เดินไปที่ประตูเตาไฟ ตรัสว่า …

“ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก ผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุดเอ๋ย จงออกมาเถิด จงออกมานี่”

เปลี่ยนท่าทีแล้ว คราวนี้ประกาศอีกว่า …

“ขอสรรเสริญพระเจ้าของชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก ผู้ทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาช่วยเหลือผู้รับใช้ของพระองค์ พวกเขาไว้วางใจในพระเจ้า ละเมิดคำสั่งของกษัตริย์ และยอมตายเสียดีกว่าปรนนิบัติพระอื่นใด เว้นแต่พระเจ้าของตน และไม่มีเทพเจ้าอื่นใด สามารถช่วยได้ถึงเพียงนี้”

นี้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ประกาศอย่างนี้ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แล้วก็ออกประกาศสำคัญเลย  สั่งไปทั่วราชอาณาจักรของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า …

“ต่อไปนี้ ห้ามใครกล่าววาจาล่วงเกินพระเจ้าของทั้งสามคนนี้ (ของคนยิวนี้) ใครขัดคำสั่ง จะถูกฟันเป็นท่อนๆ”

นี่คือบุคลิกที่เราได้เห็นเกี่ยวกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แต่ผมยังเชื่อว่ายังมีเหตุการณ์อื่นๆ ในลักษณะอย่างนี้อีกเยอะ ในชีวิตของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่เข่าอ่อนสลับเข่าแข็ง

แม้กระทั่งทุกวันนี้ ก็มีคนแบบเนบูคัดเนสซาร์เยอะแยะ คือพอได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า ก็สรรเสริญพระเจ้า พระเจ้ามีชีวิตอยู่จริงๆ พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ พระเจ้าของเธอยอดเยี่ยม พอไปสักพักหนึ่งก็ลืมพระเจ้า แล้วหลายครั้ง ก็ยังสบประมาทพระเจ้าอีก

“พระเจ้าของเธอ ไม่เห็นช่วยเลย”

มันจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เข้ามาอยู่เรื่อยๆ ในชีวิตของเรา นี่คือลักษณะของมนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ไม่รู้จักพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว เพียงแต่ได้รับรู้ ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่าเขายังไม่ได้รู้จักพระเจ้าอย่างจริงๆ ยังไม่ได้สัมผัสกับพระเจ้าจริงๆ เพราะว่าสำหรับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แล้ว พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาได้รู้จักผ่านทางดาเนียลกับเพื่อนๆ นั้น เป็นเพียงหนึ่งในพระเจ้า (S) หรือหนึ่งในเหล่าเทพเจ้าจำนวนหลายๆ องค์ที่เขาเคยรู้จักเท่านั้นเอง ไม่เหมือนดาเนียลกับเพื่อน และพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่ได้รู้จักพระเจ้าแล้ว รู้จักจริงๆ ว่ามีเพียงพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น แล้วพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว

หลักการเชื่อพระเจ้าของดาเนียล สำหรับคริสเตียน คือเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่สูงสุด และเที่ยงแท้ ประโยคนี้ในพระคัมภีร์ หมายถึงนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใด หนังสือดาเนียลที่เราได้อ่านกัน เรียนกันในครั้งนี้ ตั้งแต่บทที่ 1 จนกระทั่งหมดเลย จะบอกถึงเรื่องนี้ พระเจ้าต้องการสำแดงพระองค์เองว่าพระองค์เป็นพระเจ้าอย่างนี้ นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าเที่ยงแท้อื่นใดอีกแล้ว สมมติว่าตอนนี้ผมถามว่า …

“มีมิสเตอร์ ABC เป็นคนดังมากเลย ท่านรู้จักเขาไหม?”

ท่านบอกว่า “รู้จักๆ”

“ดูในทีวี คนนี้รู้จัก” สมมติ

แต่กับอีกคนหนึ่ง เป็นเพื่อนกับนาย ABC ตั้งแต่ก่อนเขาจะดังออกทีวีอีก รู้จักกับเขาเลย สนิทสนม กินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ถามว่า …

“รู้จักไหม ABC”

เขาก็จะบอกว่า “ผมรู้จัก”

เห็นไหม? คนแรกรู้จัก กับคนที่สองรู้จัก ไม่เหมือนกัน คำว่า “รู้จัก” ต้องหมายถึงมีปฏิสัมพันธ์ มีความผูกพันกัน มีการติดต่อกัน มีการ Followership มาบ้างแล้ว ไม่ใช่รู้จักแต่เขาว่ามา เขาเล่าว่า อย่างนี้ไม่ใช่

นี่คือความมั่นคงของความเชื่อที่ว่ารู้จักพระเจ้าจริงหรือไม่?  กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เห็นพระเจ้าทำอัศจรรย์ จึงเชื่อว่ามีพระเจ้า แต่พวกเราถึงไม่เห็นอัศจรรย์ เราก็เชื่อว่ามี มันแตกต่างกัน

ผมนึกถึงบทเพลงมาจากพระคัมภีร์ในหนังสือจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล ที่เขียนบอกว่า …

“ข้าพเจ้ารู้จัก พระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ”

ท่านรู้จักพระเจ้า ที่ท่านเชื่อไหม? ไม่รู้จัก หมายถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ เขาเอามาแต่งเป็นเพลงเลยนะ

“แต่ข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าเชื่อ           และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา

รักษาซึ่งมอบไว้กับพระองค์          จนถึงกาลวันนั้นได้”

หลังจากเหตุการณ์ที่เพื่อนของดาเนียล คือชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโกถูกจับโยนเข้าไปในเตาไฟ แล้วพระเจ้าช่วยเอาไว้ หลังจากนั้นมา 20 ปี พระเจ้าดลใจให้เนบูคัดเนสซาร์เขียนบันทึกด้วยตัวเอง เหตุการณ์ ประสบการณ์ของตัวเอง บันทึกไว้เหมือนเป็นคำพยาน เพื่อพระเจ้าจะได้บอกแก่บรรดามวลมนุษยชาติ ไม่ใช่บอกแก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์อย่างเดียว ไม่ใช่บอกเฉพาะมาถึงชาวยิวในสมัยนั้น แล้วก็ไม่ได้บอกมาเฉพาะแค่คนเป็นคริสเตียน ในสมัยยุคพระเยซูเท่านั้น แต่จะบอกจากนี้ต่อไปจนวันสุดท้ายของโลกใบนี้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด

พระองค์ยิ่งใหญ่มากๆ พระองค์กล้าบันทึกไว้อย่างนี้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว แปลว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ อยู่เพียงผู้เดียว ก็แสดงว่านอกนั้น เป็นของไม่เที่ยงแท้ ไม่ใช่พระเจ้าจริงๆ

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ยกย่องพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด และโปรดปรานชาวยิว เพราะชาวยิวรู้จักพระเจ้าผู้นี้  จากเหตุการณ์นั้น ปีแล้วปีเล่า จนผ่านไป 20 ปี มาดูว่าอะไรเกิดขึ้น ในดาเนียล 4:1-18 นี่เขาบันทึกด้วยตัวเองเลย เป็นคำพยานของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เอง

ดาเนียล 4:1-18 “1 เรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ถึงท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพลเมือง ทุกชาติ ทุกภาษาทั่วโลก ขอให้ท่านเจริญรุ่งเรือง 2 เราเห็นควรที่จะแจ้งให้ทราบถึงหมายสำคัญ และปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าสูงสุดทรงกระทำเพื่อเรา 3 หมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วอายุ 4 เรา เนบูคัดเนสซาร์ อยู่ในวังอย่างผาสุกและรุ่งเรือง 5 ขณะนอนอยู่บนเตียง เราได้ฝัน ทำให้ตกใจกลัว ภาพและนิมิตต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในความคิด ทำให้ตระหนกตกใจ

6 เราจึงสั่งให้นำปราชญ์ของบาบิโลนทั้งหมด มาทำนายฝันให้ 7 เมื่อบรรดานักเล่นอาคม  นักเวทมนตร์ โหราจารย์ และหมอดูฤกษ์ยามมาแล้ว เราก็แจ้งความฝันให้ฟัง แต่พวกเขาไม่สามารถแก้ฝันให้ได้ 8 แล้วดาเนียลก็มาเข้าเฝ้า เราจึงเล่าความฝันให้ฟัง (เขามีอีกชื่อหนึ่งว่า “เบลเทชัสซาร์” ตามชื่อเทพเจ้าองค์หนึ่ง วิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเขา) 9 เรากล่าวว่า เบลเทชัสซาร์ หัวหน้านักเล่นอาคมเอ๋ย เรารู้ว่าวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเจ้า และไม่มีความล้ำลึกใดๆ ยากเกินความเข้าใจของเจ้า เราฝันเช่นนี้ จงแก้ฝันให้เราเถิด 10 ขณะนอนอยู่บนเตียงเราเห็นนิมิต คือเรามองไปเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่ตรงกลางแผ่นดิน มันสูงใหญ่มาก

11 ต้นไม้นั้น เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งจนยอดสูงจรดฟ้า แม้แต่สุดโลกก็ยังมองเห็น 12 ใบของมันงามน่าดู ผลก็ดกเต็มต้น มันให้อาหารแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง บรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง มาพักพิงใต้ร่มของมัน เหล่านกในอากาศมาอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของมัน บรรดาสิ่งมีชีวิตเลี้ยงชีพด้วยผลของมัน 13 ขณะนอนอยู่บนเตียง เราเห็นนิมิต คือเรามองไปเห็นทูตสวรรค์ ผู้บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์ 14 เขาประกาศก้องว่า โค่นต้นไม้ลง ลิดกิ่งออก ตัดใบทิ้งให้หมด และสลัดผลให้เกลื่อนกระจาย ไล่สัตว์ทั้งหลายออกจากใต้ร่ม และไล่นกออกจากกิ่งต่างๆ ไป 15 แต่จงทิ้งตอกับรากไว้ เอาโซ่เหล็กและโซ่ทองสัมฤทธิ์ ล่ามทิ้งไว้อย่างนั้น กลางดงหญ้าในทุ่ง ให้กายเขาเปียกชุ่มด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ ให้เขาอาศัยอยู่กับสัตว์ท่ามกลางพืชพันธุ์ต่างๆ ของแผ่นดินโลก

16 ให้ความคิดจิตใจของเขาเปลี่ยนจากมนุษย์ กลายเป็นเหมือนสัตว์ จนครบเจ็ดวาระ 17 เหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์เป็นผู้แจ้งคำตัดสินนี้ เพื่อผู้มีชีวิตอยู่จะรู้ว่าพระเจ้าสูงสุดทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย ทรงแต่งตั้งผู้ต่ำต้อยที่สุด ให้ปกครองพวกเขา 18 “นี่เป็นความฝันของเรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ บัดนี้ เบลเทชัสซาร์เอ๋ย บอกเรามาเถิดว่าฝันนี้หมายความว่าอะไร เพราะไม่มีปราชญ์คนใดในอาณาจักรของเราแก้ฝันให้เราได้ แต่เจ้าทำได้ เพราะวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเจ้า”

 

อย่างที่บอกไว้ 20 ปีผ่านไป ลืมไปแล้ว ดาเนียลเป็นคนสุดท้ายที่มาเข้าเฝ้า เพื่อที่จะมาถวายคำแปลนิมิตนี้ ไปปรึกษาคนอื่นมาเยอะแล้ว ลืมพระเจ้าของดาเนียลไป

“เรากล่าวว่า เบลเทชัสซาร์ หัวหน้านักเล่นอาคมเอ๋ย”

ข้อ 3 “หมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วอายุ”

ที่ต้องการให้อ่านตรงนี้ เพราะตรงนี้ เป็นพล๊อตสำคัญ อีกอันหนึ่ง ข้อ 17

ข้อ 17 “‘พระเจ้าสูงสุดทรงครอบครอง เหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย’”

จำตรงนี้ไว้ เห็นภาพพื้นฐานของความเชื่อในพระเจ้าของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แล้วใช่ไหม? เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่าพระเจ้าของดาเนียลใหญ่ยิ่งจริงๆ สูงสุดด้วย แต่เขาก็ยังเชื่อว่ามีเทพเจ้าอื่นๆ อยู่ เพียงแต่เจ้าองค์นี้ คงจะใหญ่กว่าอะไรประมาณนั้น  ในบาบิโลน มีพวกนักปราชญ์ นักเล่นคาถาอาคม นักเวทมนตร์ นักโหราจารย์ แปลเป็นไทยอีกฝั่งเรียกว่านักวิเคราะห์ทางวิญญาณเยอะแยะมากมาย

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เรียกให้ผู้คนเหล่านั้น มาทำนายฝัน แต่ก็ไม่มีใครทำได้ จึงนึกถึงดาเนียล … ดาเนียลจึงมาเข้าเฝ้า เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่าดาเนียลจะทำนายฝันได้ เพราะว่าเพิ่งจะนึกขึ้นได้

“ครั้งที่แล้ว เรายังไม่ได้บอกว่าเราฝันว่าอะไร?  เขายังรู้เลย”

จึงเชื่อมั่นว่าดาเนียลทำได้  แล้วก็เชื่อมั่นว่าดาเนียลมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ (S) หมายถึงว่าในตัวของดาเนียลมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ 1 องค์ พูดง่ายๆ ในจำนวนหลายๆ องค์ ท่านจะได้เห็นภาพว่าพื้นฐานลึกๆ มันเป็นอย่างไร? ในยุคปัจจุบัน ความรู้สึกด้านของวิญญาณมนุษย์ ไม่แตกต่างเลย เหมือนเดิม เพียงแต่ทางวัตถุภายนอก  ที่เราเห็นทุกวันนี้ การเจริญรุ่งเรืองของเทคโนโลยี วัตถุสิ่งของ เจริญไป ต่างจากสมัยก่อน เรามีแก๊ส เรามีรถยนต์ มีคอมพิวเตอร์ แต่ทางด้านจิตวิญญาณของมนุษย์มันเหมือนเดิม ไม่มีผิดเลย

นี่คือคำพูดที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นผู้พูดเอง ข้อที่ 3 ที่บอกว่าหมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์ เนบูคัดเนสซาร์เชื่อในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จากที่ยอมจำนนจากอัศจรรย์ที่เขาเห็น ที่พระองค์ทรงกระทำ แต่ประเด็นสำคัญที่เราจะเรียนรู้จากเรื่องราวในบทที่ 4 ในครั้งนี้ อยู่ข้อที่ 17 ที่ในความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ มีเหล่าทูตสวรรค์เป็นรูปลักษณะคนมาเผยนิมิต ประกาศว่าเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้แจ้งคำตรัสนี้ เพื่อผู้มีชีวิตอยู่ จะรู้ว่าพระเจ้าสูงสุด ทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใด ก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย ทรงแต่งตั้งผู้ต่ำต้อยที่สุด ให้ปกครองพวกเขา

ตรงนี้ ตรงนั้น รวมกันเรียกว่าอาณาจักร หรือว่า Kingdoms พระเจ้าผู้สูงสุด ทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ก็แสดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ครอบครอง ดูแลอยู่เหนือประเทศต่างๆ บนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน จนถึงอนาคตอีก ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามชอบพระทัย คือตามแต่พระประสงค์ของพระองค์ที่วางไว้ บางครั้งพระองค์ก็เลือกอย่างนี้ มีอะไรไหม? แต่เพื่อแผนการที่ดี สำหรับโลกใบนี้ทั้งใบ สำหรับพวกเราทั้งหลายบนโลกใบนี้ แต่เรามองว่าเลือกอย่างนี้มาได้อย่างไร? โหดร้ายมาก เลือกฮิตเลอร์ได้อย่างไร? แต่ในนี้บอกทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ และสอนมนุษย์ทั้งมวล เพราะในนี้บอกว่าเพื่อผู้มีชีวิตอยู่ ก็คือมวลมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด แต่เพียงพระองค์เดียว ทรงครอบครองเหนือทุกสิ่ง จะทรงสร้างใครเป็นฮีโร่ ก็ได้ ให้ใครใหญ่ก็ได้  ให้ใครเล็กลงก็ได้ ตามแต่พระประสงค์ หรือน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้น จบ ถ้าเราจะเติมต่อ เราบอกมีอะไรไหม? เดี๋ยวฟังดู ไม่ใช่ผมพูดเอง  กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พูดคำนี้ด้วย

พระเจ้าทรงทราบอยู่แล้วว่าจิตใจของเนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างไร? วันนี้สรรเสริญพระเจ้า พระองค์ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เดี๋ยวเผลอๆ เย่อหยิ่งอีกแล้ว พระเจ้าจึงสอนผ่านเขาเลย ผ่านทางกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ บอกไว้เลยล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น แบบที่เรียกว่าให้ดาเนียลทำนายฝันไว้ล่วงหน้าก่อน เพื่อจะให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เชื่อและเห็นความอัศจรรย์ ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าว่าใช่แน่ๆ เพื่อเขาจะได้เป็นผู้รับใช้พระองค์ เขียนสิ่งนี้ เป็นพยานให้กับมวลมนุษยชาติได้รู้อีกหนึ่งครั้ง ในจำนวนเยอะแยะหลายๆ ครั้ง ในพระคัมภีร์ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้รู้และเขียนเป็นคำพยานอยู่ในนี้ว่าอย่าเย่อหยิ่ง ให้รู้ว่าพระองค์เป็นใคร? ดาเนียล 4:19-27

ดาเนียล 4:19-27 “19 แล้วดาเนียลก็ตกตะลึงและว้าวุ่นใจอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ความคิดของเขา ทำให้เขาหวาดวิตก กษัตริย์จึงตรัสว่า “เบลเทชัสซาร์เอ๋ย อย่าให้ความฝัน หรือความหมายของมัน ทำให้เจ้าตกใจกลัวไปเลย” เบลเทชัสซาร์ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอให้ความฝันและความหมายของมัน ตกแก่ศัตรูของฝ่าพระบาทเถิด 20 ต้นไม้ที่ฝ่าพระบาทเห็น ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ยอดสูงจรดฟ้าจนสุดโลกยังมองเห็น 21 ซึ่งมีใบสวยงาม ให้ผลดกเป็นอาหารแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง ให้ร่มเงาแก่บรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง และมีกิ่งก้านให้เหล่านกมาอาศัยทำรัง 22 ข้าแต่กษัตริย์ ต้นไม้นั้น คือฝ่าพระบาททรงยิ่งใหญ่เกรียงไกร รุ่งโรจน์เทียมฟ้า และแผ่อำนาจไปถึงสุดโลก 23 ข้าแต่กษัตริย์ที่ฝ่าพระบาทเห็นทูตสวรรค์ ผู้บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์ และป่าวประกาศว่าจงโค่นต้นไม้ลงและทำลายมันเสีย แต่เหลือตอไว้  ล่ามมันไว้กลางทุ่งหญ้า ด้วยเหล็กและทองสัมฤทธิ์ ขณะที่รากยังหยั่งลึกอยู่ในดิน ให้เขาตากน้ำค้าง และอาศัยอยู่เยี่ยงสัตว์ป่า จนครบเจ็ดวาระ

24 ข้าแต่กษัตริย์ นิมิตนั้นมีความหมายดังนี้ ประกาศิตขององค์ผู้สูงสุดเกี่ยวกับฝ่าพระบาท 25 คือฝ่าพระบาทจะถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ และให้ไปใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ป่า จะกินหญ้าเหมือนวัว และตากน้ำค้างจนครบเจ็ดวาระ จนกว่าฝ่าพระบาทจะเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุดทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย 26 พระบัญชาที่ให้เหลือตอและรากไว้ หมายความว่าฝ่าพระบาทจะได้รับอาณาจักรกลับคืนมาอีก หลังจากทรงเรียนรู้แล้วว่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์นั้น ครอบครองอยู่ 27 ฉะนั้น ข้าแต่กษัตริย์ ขอโปรดยอมรับคำแนะนำของข้าพระบาท ขอทรงละทิ้งบาปด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้อง และขอทรงละทิ้งความชั่ว ด้วยการเมตตากรุณา ผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหง แล้วฝ่าพระบาทจะได้ทรงเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป”

 

ในนี้เขียนบอกว่าดาเนียลตกใจกลัว หวาดกลัวเลย  เพราะนิมิตที่จะเกิดขึ้นกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ มันรุนแรงมาก ผมคิดว่าดาเนียลกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน  เพราะว่านี่ก็ 20 กว่าปีแล้ว ที่ดาเนียลอยู่ที่นี่ แล้วดาเนียลคงได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์มาก และความโปรดปรานนี้ก็แผ่ไปถึงบรรดาชาวยิวที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยที่บาบิโลนด้วย ดาเนียลจึงมีความรู้สึกเหมือนเป็นเจ้านายด้วย เป็นเพื่อนด้วย คือตกใจกลัว แล้วจึงทูลกษัตริย์จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ อย่าให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับกษัตริย์เลย ให้เกิดขึ้นกับศัตรู เพราะมันน่ากลัว พระเจ้ากำลังสอนเนบูคัดเนสซาร์ให้รู้ว่าพระองค์คือใคร? จะได้เลิกเย่อหยิ่งสักที

ดาเนียลแปลความฝันว่าพระเจ้าจะทำให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ต้องถูกขับไล่ออกไปจากสังคมมนุษย์ ให้ไปใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ป่า กินหญ้าเหมือนวัว และต้องตากน้ำค้าง จนกว่าเนบูคัดเนสซาร์จะได้เรียนรู้ และได้ถ่อมใจรับรู้ว่ามีพระเจ้า เพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่เที่ยงแท้ นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว อย่าซ่าส์ อย่าเย่อหยิ่ง ที่ในพระคัมภีร์เมื่อกี้เขียนไว้ว่า …

“จนกว่าฝ่าพระบาทจะเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุด ทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัยของพระองค์”

ดาเนียลบอกว่า “กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระองค์ต้องถ่อมใจนะ เลิกปฏิบัติตัวอย่างนี้  แล้วพระเจ้าอาจจะเมตตา ลดโทษให้ก็ได้ ทำอย่างนี้เถิด ด้วยความหวังดี”

ดาเนียล 4:28-37 “28 เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คือ 29 สิบสองเดือนต่อมา ขณะที่กษัตริย์ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวังของบาบิโลน 30 พระองค์ตรัสว่า “เราได้สร้างบาบิโลนอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้ขึ้นเป็นราชวัง ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเกรียงไกรของเรา และเพื่อเกียรติบารมีของเราไม่ใช่หรือ” 31 กษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงดังจากฟ้าสวรรค์ว่า “กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เอ๋ย นี่คือประกาศิตสำหรับเจ้า ราชอำนาจถูกพรากไปจากเจ้าแล้ว 32 เจ้าจะถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ให้ไปอาศัยอยู่กับสัตว์ป่า ให้กินหญ้าเหมือนวัว จนครบเจ็ดวาระ ตราบจนเจ้าเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุดทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย”

33 ทันใดนั้น เนบูคัดเนสซาร์ก็เป็นไปตามประกาศิตของพระเจ้า พระองค์ทรงถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ และกินหญ้าเหมือนวัว กายนั้นเปียกชุ่มด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนกระทั่งผมยาวเหมือนขนนกอินทรี และมีเล็บยาวเหมือนกรงเล็บของนก 34 เมื่อครบกำหนดแล้ว เรา เนบูคัดเนสซาร์ แหงนหน้าขึ้นมองดูฟ้าสวรรค์ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา เราจึงถวายสรรเสริญองค์ผู้สูงสุด เราเทิดพระเกียรติและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงนิรันดร์  ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ 35 มวลประชาชาติในโลกนี้ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจ ที่จะทำต่อเหล่าทูตสวรรค์ และต่อมวลประชาชาติ ตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่า พระองค์ทำอะไรนี่?” 36 ขณะนั้นสติสัมปชัญญะของเรากลับคืนมา เกียรติและบารมีกลับคืนมาสู่เรา เพื่อสง่าราศีแห่งอาณาจักรของเรา ราชมนตรีและขุนนางทั้งหลายมาตามหาเรา ให้กลับไปครองราชบัลลังก์ดังเดิม และรุ่งเรืองยิ่งกว่าแต่ก่อน  37 บัดนี้ เรา เนบูคัดเนสซาร์ ขอถวายสรรเสริญ และยกย่องเทิดทูนองค์กษัตริย์แห่งฟ้าสวรรค์ เพราะทุกสิ่งที่ทรงกระทำนั้นถูกต้อง และทางทั้งปวงของพระองค์ก็ยุติธรรม บรรดาผู้ดำเนินชีวิตอย่างหยิ่งยโส พระองค์สามารถกระทำให้เขาถ่อมลง”  เอเมน

 

สรุป คำเตือนของดาเนียลไม่ได้ผล ก็เหมือนพวกเราทุกคนในปัจจุบัน เพราะการทดลองมันรุนแรงมาก ถ้าเราตกลงไปในการทดลองแบบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เราก็อาจจะสอบไม่ผ่านเหมือนกัน

12 เดือนต่อมา ขณะที่เนบูคัดเนสซาร์ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวัง ซึ่งทุกวันนี้ ชื่อเสียงของเรื่องนี้ยังอยู่ 1 ใน 7 มหัศจรรย์ เขาเป็นผู้ครอบครอง เขาเป็นผู้สร้างสิ่งนั้นขึ้นมา เขาลืมไปแล้วว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง เป็นการทดลองที่รุนแรง ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวัง ก็คือสวนลอยฟ้าของบาบิโลน ยิ่งใหญ่มาก แล้วพระองค์ตรัสว่า …

“เราได้สร้างบาบิโลนอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้ ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเกรียงไกรของเรา และเพื่อเกียรติบารมีของเราไม่ใช่หรือ”

ในนี้บันทึกว่ากษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ เพราะเตือนไว้แล้ว ก็มีเสียงดังจากฟ้า พระเจ้าก็ตัดสิน สอนให้รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ สอนให้รู้ว่าพระองค์เป็นใคร? วิธีการสอน ก็คือทำให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ถ้าเอาปัจจุบัน ที่เล่ามาทั้งหมดนั้น ก็คือเสียสติ ฟั่นเฟือนเหมือนคนบ้าเลย ไม่มีสติ สตังค์แล้ว เพราะในสมัยก่อน ไม่มีหมอรักษาโรคจิต พอสติฟั่นเฟือน ไม่มียา เขาก็ต้องไล่ออกไปอยู่นอกเมือง การเข้าไปอยู่ในป่า ก็คือการเข้าไปอยู่ในธรรมชาติ เหมือนเราเห็นคนสติไม่ดี เดินอยู่ริมถนนทุกวันนี้ คล้ายๆ อย่างนั้น ถ้าทุกวันนี้ ก็ไปเขี่ยถังขยะหาของทาน แต่สมัยก่อน ไม่ใช่ เขาต้องไปกินน้ำค้าง พืชพันธุ์ ผัก อะไรก็ว่ากันไป ไม่อาบน้ำ ปล่อยผมยาวรุงรัง เล็บไม่ตัด เป็นเหมือนที่ตะกี้นี้อธิบาย

แล้ววันหนึ่ง ตามนิมิตนี้  เขาก็ได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า  ประทานความถ่อมใจให้กับเขา ในนี้เขียนบันทึกว่าเขาแหงนหน้ามองดูฟ้า เริ่มนึกขึ้นได้ ทั้งหมดมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น พระราชวัง ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนสร้าง 1 ใน 7 มหัศจรรย์ สวนลอยฟ้า และบรรดาประเทศชาติต่างๆ ที่เขาไปปล้นมา พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ทั้งสิ้น ความยิ่งใหญ่ของเขา พระเจ้าประทานให้ทั้งสิ้น

“พระเจ้าเมตตาลูกด้วยเถิด”

อะไรประมาณนั้น  เขาจึงบันทึกตรงนี้ว่า …

“ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว ทรงครอบครองทุกสิ่ง ราชอาณาจักรของพระองค์ที่อยู่เหนืออาณาจักรของมนุษย์ทั้งหมด คือราชอาณาจักรของพระองค์ในสวรรค์สถาน ราชอาณาจักรของพระองค์ในโลกวิญญาณ มันยิ่งใหญ่สูงสุด และไปทุกชั่วชาติพันธุ์ คือนิรันดร์นั่นเอง”

ราชอาณาจักรบนโลกใบนี้ ยังอยู่เพียงชั่วคราว 30 ปี 100 ปี แต่ราชอาณาจักรของพระองค์ ราชอาณาจักรในวิญญาณ มันอยู่ตลอดกาลเลย เห็นถึงความยิ่งใหญ่ไหม? แค่คำๆ เดียว ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า เจ้าแห่งวิญญาณ อาณาจักรของพระองค์ ก็เป็นอาณาจักรแห่งวิญญาณ และอาณาจักรของพระองค์ที่เป็นวิญญาณนี้ ก็เป็นอาณาจักรนิรันดร์ คือครอบครองใหญ่ที่สุด นิรันดร์กาล

เรื่องราวในพระคัมภีร์ดาเนียล ที่เราอ่านกันวันนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอย่างนี้ทั้งหมด พระเจ้าต้องการให้มวลมนุษยชาติทุกคน เรียนรู้ว่าพระองค์เป็นใคร? เตือนมนุษย์ ด้วยความรัก ความปรารถนาดี เหมือนดั่งที่ดาเนียลได้เตือนด้วยความรัก ความห่วงใยว่ามีพระเจ้าจริงๆ และพระเจ้าผู้นี้ยิ่งใหญ่สูงสุดจริงๆ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พูดประโยคสุดท้ายว่า …

“มวลมนุษยชาติในโลกนี้ ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจที่จะทำต่อทูตสวรรค์และมวลมนุษยชาติตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่าพระองค์ทำอะไรเนี้ย”

พระเจ้าต้องการให้รู้ว่าอาณาจักรของพระเจ้า อาณาจักรของโลกวิญญาณ มันจะอยู่ตลอดกาล ชั่วนิรันดร์เลย ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอยู่ตลอดชั่วอายุคน หมายถึงเจเนเรชั่น ทรูเจเนเรชั่น จากชั่วอายุคนหนึ่ง ไปอีกชั่วอายุคนหนึ่ง พูดง่ายๆ เดี๋ยวนี้ถ้าย้อนกลับไปในพระคัมภีร์ ก็จะบอกว่าจากชั่วอายุอาดัมมาถึงยุคโมเสส ไล่มาจนถึงอายุพวกเราปัจจุบันนี้ แล้วต่อไปอนาคต พระเจ้าครอบครองอยู่ตลอดเลย เอเมน

และหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระองค์ถูกตรึง และตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตาย อาณาจักรของพระเจ้า ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว มีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรที่อยู่นิรันดร์ มาเปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรของพระคริสต์ ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา จนถึงทุกวันนี้ คืออาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของสวรรค์นั่นเอง เพราะฉะนั้น อาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้า จึงสำคัญยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรใดๆ ซึ่งอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลน ไม่ว่าจะเปอร์เซีย ไม่ว่าจะเป็นกรีก ไม่ว่าจะเป็นโรมัน หรือเป็นประเทศอะไรต่างๆ ต่อมาเรื่อยๆ  จนถึงทุกวันนี้ และต่อไปอนาคต ไม่รู้ว่าใครจะคิดว่าใครใหญ่แล้วแต่ บนโลกใบนี้ พระเจ้าเป็นผู้สถาปนาประเทศนั้น อาณาจักรนั้นขึ้นมา และอยู่ไม่นานหรอก อาณาจักรของพระองค์ อาณาจักรของพระคริสต์อยู่นานกว่า สำคัญกว่า

ในหนังสือดาเนียลที่เรากำลังเรียนกันอยู่นี้ บอกอย่างนั้นว่าพระองค์เป็นผู้กำหนด เป็นผู้แต่งตั้งกษัตริย์ ผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจ ทุกอย่าง พระองค์เป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง พระองค์จะให้กับใครก็ได้ พระองค์ควบคุมทุกสถานการณ์อยู่ จงวางใจ และเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์ทรงมอบอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ให้พระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรสวรรค์ เป็นจอมราชันของอาณาจักรสวรรค์ และพระองค์ได้สถาปนาอาณาจักรพระคริสต์นี้ไว้ตลอดกาล  จากคนชั่วอายุหนึ่งไปชั่วอายุหนึ่ง ท่านพอเห็นภาพไหม? จากอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า เริ่มจากอาดัม ไล่มาถึงพระเยซู ถึงพระเยซูก็ครอบครองต่อไป แต่เปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรพระคริสต์ ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้

และอาณาจักรของพระคริสต์ยิ่งใหญ่สูงสุด และชนะทุกอาณาจักรไปเรียบร้อยแล้ว และเป็นชัยชนะนิรันดร์ด้วย และใครก็ตามที่อยู่ในอาณาจักรนี้ เป็นประชากรในอาณาจักรนี้ เป็นผู้คนในอาณาจักรนี้ มีบัตรประชาชนที่อยู่ในอาณาจักรนี้ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์นี้ เขาก็จะมีชัยชนะนิรันดร์เช่นเดียวกัน เอเมน

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่จบไปเลยล่ะ ก็ได้ชัยชนะแล้ว ไม่ต้องมาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว”

ถูกไหม? แต่ไม่ใช่อย่างนั้น  มันจำเป็นต้องอยู่ เพราะว่าชัยชนะนิรันดร์นั้น พระเจ้าทำสำเร็จแล้วก็จริง แต่ขบวนการสุดท้ายมันยังไม่จบ เพราะชัยชนะนี้ ยังต้องเรียกบรรดาผู้คนที่เหน็ดเหนื่อยอยู่บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้อยู่ในอาณาจักรนี้ ให้เข้ามา เหมือนเราในอดีต เหมือนผมเมื่อ 29 ปีที่แล้ว ผมก็ย้ายจากอาณาจักรของโลกใบนี้  อาณาจักรของความมืด อาณาจักรของความบาป มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ เมื่อ 29 ปีที่แล้ว ถ้าเผื่อตรงนี้จบก่อน 29 ปีที่แล้ว ผมก็แย่เลย ผมยังอยู่ในอาณาจักรของความมืดเลย ผมแพ้ตลอด ตอนนั้น พอเข้าใจไหม? ขณะนี้ก็ยังมีคนอีกมากมายบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่รู้ว่าพระเจ้าเที่ยงแท้มีเพียงพระองค์เดียว และอาณาจักรของพระองค์อยู่บนโลกใบนี้แล้ว คืออาณาจักรที่พระองค์สถาปนาไว้ ชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ มีชัยชนะนิรันดร์ คนยังไม่รู้ หรือบางคนรู้ ก็รู้แบบเนบูคัดเนสซาร์ คือรู้แบบเข้าๆ ออกๆ เขาไม่รู้จักพระเจ้าจริงๆ เพราะเขายังไม่ย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศที่มีชื่อว่าพระคริสต์ ประเทศในโลกวิญญาณ รอให้มีใครบอกเขาเสียก่อน เป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องทำงานต่อ เรายังต้องเหน็ดเหนื่อยต่อไป เพราะงานของพระองค์ยังไม่เสร็จ เรามีหน้าที่ที่จะไปบอกข่าวประเสริฐนี้ ให้เขารู้ว่าอาณาจักรสวรรค์มาถึงแล้ว มาอยู่ที่นี่แล้ว จงวางใจเถิด ตอนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เราเหมือนนกที่ไร้รัง ค่ำไม่รู้จะนอนที่ไหน? บินตลอดทั้งวันทั้งคืน เหนื่อยล้า ชีวิตมันยิ่งเหนื่อย เพราะมันบินนาน ปีกมันเมื่อย แล้วเราก็ได้ยินแว่วๆ มา พระเยซูตรัสว่า …

“ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย กำลังบินเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข เราเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ ที่เธอจะมาสร้างรัง อยู่ที่กิ่งก้านของต้นนี้ ร่มเย็น  มาๆ เลย”

เราก็บินโฉบ เข้าไปอยู่ที่ต้นไม้ สร้างรังของเรา แล้วเราก็ได้รู้จักกับนกตัวอื่นๆ ที่มาพักผ่อนในนี้เยอะแยะมากมายไปหมด รังเล็กๆ ของเรา มีชื่อว่ารังโฮลี่ อยู่ที่กรุงเทพกรีฑา ซอย 8 พวกเราบินมาเหนื่อยทุกคน ก่อนหน้านี้ เพราะเหนื่อยจึงมาหาพระเยซูไง ไม่เหนื่อย ไม่มาอยู่แล้ว ไม่เหนื่อยก็บินต่อไป ใครอยากจะบินต่อไป ก็บิน ถ้าคิดว่าเหนื่อยแล้ว ก็มาหาพระเยซูเถิด พระเยซูบอกพอเถอะ เหนื่อยเปล่าๆ มาพักสงบเถิด

เพราะฉะนั้น เรามีหน้าที่ที่จะไปบอกกับคนอื่นๆ ที่กำลังบินอยู่แล้ว มันเหนื่อย เพื่อนๆ เราที่อยู่ข้างๆ เหนื่อยเหลือเกิน มาเถิด มาพักในร่มเงาของอาณาจักรนี้ พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นอาณาจักรนิรันดร์ และเราจะครอบครองร่วมกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์นิรันดร์กาล

เพราะฉะนั้น บทเรียนในวันนี้ จึงมี 2 ประเด็น ที่เราจะสรุป ก็คือ …

(1) พระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสถานการณ์ จึงไม่ต้องกลัวอะไรเลย ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตาม ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ สงคราม ภัยธรรมชาติ ภัยต่างๆ แบบแปลกประหลาดต่างๆ มนุษย์อวกาศ มนุษย์ดวงดาวอื่นมา จะมาทำสงครามเลเซอร์อะไรต่างๆ ไม่ต้องไปกลัวเลย ให้เราวางภาระลง ไว้ที่พระองค์ พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน อาณาจักรนี้ชนะแล้ว

(2) ที่เรายังต้องดำเนินอยู่บนโลกใบนี้   แม้เราจะชนะแล้วก็ตาม  เพราะพระเจ้ายังมอบหมายหน้าที่ให้เราทำอยู่ ในการที่จะเป็นส่วนหนึ่ง ที่จะทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จ ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นส่วนหนึ่งในการแผ่กิ่งก้านสาขา ต้นไม้ใหญ่แห่งความรอดขององค์พระเยซูคริสต์สู่สวรรค์ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าสวรรค์เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่บรรดานกกาเขาจะมาพักอาศัยได้ ให้เป็นที่พักพิงของฝูงนกที่กำลังเหนื่อยและล้ากันในขณะนี้  ให้เขาได้ยินได้ฟัง และนำพาเขาเข้ามาสู่ต้นไม้ต้นนี้ ให้เขาไปหารังต่างๆ บนต้นไม้ต้นนี้อยู่ ไม่ว่าจะรังที่กรุงเทพกรีฑา หรือรังที่ถนนสุขุมวิท หรือรังที่ถนนเพชรบุรี ไปรังไหนก็ได้ ไปอยู่ในรังซะ สงบ คุยกันเรื่องพระเจ้า

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าปีนี้ หรือปีไหนก็ตาม ใครมาขู่อะไร? ข่าวอะไรต่างๆ บอกมาว่าน่ากลัวอย่างนั้น น่ากลัวอย่างนี้ ให้เราวางใจ มอบภาระลงไว้ที่พระเจ้า แล้วเราจะได้พักผ่อนหายเหนื่อยและเป็นสุข ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 7 “เทวรูปทองคำและเตาไฟ (เชื่อแบบไม่หวั่นไหว)” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  ธันวาคม  2016

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 7 “เทวรูปทองคำและเตาไฟ (เชืื่อแบบไม่หวั่นไหว)

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายวันนี้ เป็นตอนที่ 7 ของซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนนี้ ชื่อเรื่องว่า “เทวรูปทองคำและเตาไฟ (เชื่อแบบไม่หวั่นไหว)” เรายังเรียนรู้ชีวิตคริสเตียน จากเรื่องราวของดาเนียลกันอยู่ ครั้งที่แล้ว ดาเนียลได้ทำนายฝันให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าอย่างนี้ว่าแต่ละส่วนของรูปปั้นที่ทำจากวัสดุต่างๆ ก็เล็งถึงอาณาจักรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า ตั้งแต่สมัยที่นิมิตเกิดขึ้น ก็คือเมื่อประมาณ 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด คือก่อนคริสตกาลนั่นเอง และดาเนียลก็ได้ทำนายความฝันอย่างนี้ว่า …

“ศีรษะ” ที่ทำด้วยทองคำ ก็คืออาณาจักรบาบิโลน ของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ที่ได้ทำลายกรุงเยรูซาเล็ม แล้วก็กวาดต้อนชาวยิว มาเป็นเชลย

“หน้าอกและแขน” ที่ทำด้วยเงิน ก็คืออาณาจักรเปอร์เซียที่รุ่งเรืองขึ้นมา ภายหลังจบยุคสมัยของบาบิโลน

“ท้องและต้นขา” ที่เป็นทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงอาณาจักรกรีกที่จะมารบชนะเปอร์เซีย และแผ่ขยายไปทั่วโลก

“ขา” ทำด้วยเหล็ก เล็งถึงอาณาจักรที่ 4 คืออาณาจักรโรมัน ที่พระคัมภีร์บอกว่าแข็งแกร่ง เหมือนเหล็ก ที่จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงให้ยับเยิน

“เท้า” ซึ่งทำด้วยเหล็กผสมดินเหนียวเซรามิก ตรงนี้เล็งถึงยุคที่อาณาจักรโรมัน เริ่มเสื่อมสลาย และแตกแยกกลายเป็นประเทศเล็กๆ ต่างๆ เต็มไปหมดเลย ทั่วยุโรป

คำทำนายฝันของดาเนียล ที่บอกว่าจะเกิดอาณาจักรต่างๆ ที่เราได้ฟังกันและได้เรียนรู้กัน ครั้งที่แล้ว เป็นคำทำนายในยุคบาบิโลน ตอนที่พูดอยู่นี้ ซึ่งในยุคนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าความฝันนี้จะเป็นจริงตามคำทำนายของดาเนียลหรือไม่? ถึงแม้รู้ว่าเป็นลักษณะอย่างไร? ก็ไม่รู้ว่าอันไหนหมายถึงประเทศอะไร? แต่มาถึงวันนี้ ประวัติศาสตร์ก็บันทึกเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ มันเกิดขึ้นแล้ว ตามคำทำนายตามนั้นจริงๆ ทุกยุค ทุกสมัย มาถึงปัจจุบันนี้ ประมาณ 2,600 ปี ตรงตามนั้นหมดเลย  เมื่อตรงอย่างนั้น  จากนี้ต่อไป จนสิ้นยุค คือสิ้นโลกนี้เลย ก็ต้องเป็นจริงตามนั้นด้วย มันจึงน่าตื่นเต้น การที่จะมาศึกษาเรื่องนี้ด้วยกัน เพื่อจะเป็นกำลังใจให้เรา ได้มีความมั่นใจ ในสิ่งที่เรากำลังเชื่อว่าพระเจ้าควบคุม ครอบครองทุกสิ่งในโลกใบนี้

หลังจากสิ้นสุดอาณาจักรทั้ง 4 คือบาบิโลน เปอร์เซีย กรีก และโรมันแล้ว ดาเนียลก็ทำนายต่อว่าจะไม่มีอาณาจักรใดรุ่งเรือง หรือมีอำนาจทั่วโลก เกิดขึ้นอีก จากนั้นมีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้นกระแทกเท้าของรูปปั้นนั้น แตกกระจายแหลก ไม่เหลือร่องรอย หินที่กระแทกรูปปั้นแตกกระจายแหลก เป็นชิ้นๆ ตรงนี้ ในคำทำนายบอกไว้ว่าอย่างนี้ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล นี่คือหนึ่งในจำนวนที่แปลความฝันนี้ ซึ่งเรามานั่งอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้ เรารู้ว่าอาณาจักรที่จะมั่นคงตลอดกาล คืออาณาจักรของพระเยซู Kingdom of Christ กำลังเริ่มฉลองกันปีนี้ ค.ศ.2016 ช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงสัปดาห์ของคริสตมาส เรากำลังฉลองอันนี้ มากขึ้นเรื่อยๆ ฉลอง Kingdom of Jesus Christ ฉลองอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่นิมิตนี้บอกว่าอาณาจักรนี้จะยั่งยืน มั่นคงตลอดกาล มากขึ้นไปอีก

ย้อนกลับไป 2,600 ปีที่แล้ว ที่ดาเนียลกำลังพูดความหมายของนิมิตให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ยินว่าเป็นอย่างนี้ ถ้าเราเป็นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรบาบิโลนที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นมหาอำนาจในสมัยนั้น ไปรบที่ไหนก็ชนะ กวาดต้อนคนเยอะแยะมากมาย มาเป็นเมืองขึ้น แล้วอยู่ๆ ก็มีคนมาทำนายฝันว่าเดี๋ยวอีกไม่นาน จะมีคนมาโค่นล้มราชวงศ์เรา โค่นล้มประเทศเรา แล้วจะขึ้นมาเป็นใหญ่แทนตัวเรา ท่านไม่มีความสุขแน่ ท่านต้องกลัวแน่ๆ จะบอกว่าไม่กลัวหรอก เราไม่เชื่อ  จะไม่เชื่อ ก็ไม่ได้ เพราะว่าดาเนียลทำนายฝันที่เป๊ะๆ เลย ไม่ได้บอกว่าฝันว่าอะไร? แต่พูดถูกหมดเลย

แสดงว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่ามันใช่จริงๆ ก็ยิ่งกังวล กลัวว่ามันจะเป็นไปตามความฝัน เป็นไปตามนิมิตที่ได้รับจากพระเจ้า ผ่านทางดาเนียล เมื่อเชื่อแน่นอนแล้ว ก็ต้องตั้งหลัก

เราย้อนกลับไปดูว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ทำอย่างไรต่อไป เมื่อได้รู้เรื่องนี้ ซึ่งบันทึกไว้ในดาเนียล 3:1-7 ก่อน

ดาเนียล 3:1-7 “1 กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างเทวรูปทองคำ สูงถึง 60 ศอก กว้าง 6 ศอก ตั้งไว้ในที่ราบดูรา ในมณฑลบาบิโลน 2 แล้วทรงให้เรียกเสนาบดี ข้าหลวงภาค ผู้ว่าการ ราชมนตรี ขุนคลัง ผู้พิพากษา ตุลาการ และเจ้าหน้าที่ของทุกมณฑลมาชุมนุม เพื่อร่วมงานฉลองเทวรูป ซึ่งสถาปนาขึ้นนั้น 3 คนเหล่านั้น ก็มาร่วมฉลอง และยืนอยู่หน้าเทวรูป ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างขึ้น 4 แล้วมีเสียงป่าวประกาศว่า “บรรดาพลเมืองทุกชาติทุกภาษา มีพระราชโองการว่า 5 ทันทีที่พวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด จงหมอบกราบลง นมัสการเทวรูปทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สร้างขึ้น 6 ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมหมอบกราบลงนมัสการ จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที” 7 ฉะนั้น ทันทีที่คนทั้งหลาย  ได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ และเสียงดนตรีทุกชนิด พลเมืองทั้งปวง จากทุกชาติทุกภาษา ก็หมอบกราบลง นมัสการเทวรูปทองคำ ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างขึ้น

 

ในคำทำนายฝันของดาเนียล บอกว่าอาณาจักรบาบิโลนของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คือส่วนศีรษะ ที่ทำด้วยทองคำ

อาณาจักรบาบิโลน ก็เปรียบเหมือนทองคำ คือเฟื่องฟูมาก เป็นอาณาจักรแห่งการทำมาค้าขาย  ที่เจริญรุ่งเรืองจริงๆ นี่คือหนึ่งในจำนวนลักษณะที่พระเจ้าบอกว่าในนิมิตนี้ ให้เป็นรูปทองคำ เพราะจริงๆ พระเจ้ากำหนดให้บาบิโลนเป็นอย่างไร? เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นทองคำจริงๆ แต่รูปปั้นที่อยู่ในความฝันของเนบูคัดเนสซาร์นั้น มันมีเฉพาะแค่ส่วนศีรษะเท่านั้น ที่ทำด้วยทองคำ ส่วนอื่นๆ ทำด้วยเงิน ทองแดง และเหล็ก ซึ่งเล็งถึงอาณาจักรอื่นๆ ที่จะมีอำนาจต่อจากบาบิโลน ก็คือจะมาโค่นล้มบาบิโลนนั่นเอง และนี่คือสิ่งที่ทำให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กลัว กลัวว่าหัวจะขาดไป กลัวว่าจะถูกยึดอำนาจ เพราะฉะนั้น ต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อแก้ฝันร้าย หรือแก้เคล็ด

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สร้างเทวรูปทองคำ สูงถึง 60 ศอก กว้าง 6 ศอก 30 เมตรประมาณเกือบๆ 10 ชั้น และมีความกว้าง 3 เมตร ไปที่ไหนก็เห็น ในฝันบอกว่ามีเฉพาะหัวใช่ไหม?

“เพราะฉะนั้น  ฉันทำเป็นทองคำทั้งหมด เพื่อจะได้รู้ว่านี่คือฉัน … ฉันจะไม่ยอมสยบให้ใครเด็ดขาด ฉันชนะ”

“ฉัน เป็นตัวฉันทั้งหมด ไม่ใช่เป็นเงิน ทองแดง และเหล็ก” แก้เคล็ด

พอสร้างเทวรูปเสร็จแล้ว ก็เรียกทุกคนมาร่วมชุมนุมกัน แล้วประกาศว่า …

“บรรดาพลเมืองทุกชาติ ทุกภาษา มีพระราชโองการว่าทันทีที่พวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด จงหมอบกราบลงนมัสการเทวรูป ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สร้างขึ้น  ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมกราบนมัสการ จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที”

สังเกตตรงคำว่า “บรรดาพลเมืองทุกชาติ ทุกภาษา” อย่างที่บอกว่ายุคของบาบิโลน คือยุคของทองคำ ซึ่งจะมีบรรดาเมืองขึ้นเต็มไปหมดเลย เพราะเขาไปตีเมืองได้ชนะเยอะแยะไปหมด ชนชาติ ภาษาอะไรต่างๆ มากมาย เขาก็ต้องการ ให้พวกนี้สิโรราบกับเขา ให้รู้สึกว่าเกรงกลัว กลัวว่าเขาจะไปรวมหัวกัน แล้วขึ้นมากบฏ ขึ้นมาต่อต้าน ไม่เป็นเมืองขึ้นอีกต่อไป เขาก็คิดในใจว่าอาจจะมีประเทศใด ประเทศหนึ่ง หรือกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง รวมหัวกัน ในที่สุด ก็กลายเป็นหน้าอก ที่เป็นรูปเงินนั้นจะมาทำลายบาบิโลน พูดง่ายๆ ตามภาษาไทย เรียกกันว่าตัดไม้ข่มนาว่า …

“อย่าหือนะ ฉันใหญ่มากนะ”

กราบนมัสการ “ก็คือสิโรราบต่อฉันซะ”

นี่คือคำสั่งเด็ดขาด ถ้าใครไม่ทำตาม โยนเข้ากองไฟเลย  เอาตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ ไม่ให้รวมกลุ่มเลย  แค่ต่อต้านนิดหนึ่ง ก็จับโยนเข้ากองไฟ อย่างนี้เป็นต้น เขาก็คิดว่าช่วยได้ ไม่ให้เป็นไปตามข่าวร้าย หรือฝันร้าย ที่เขาได้รับมา

เมื่อดาเนียลทำนายฝัน อย่างถูกต้องแล้ว กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ทำตามสัญญา ให้รางวัลงามและตั้งดาเนียล ให้ดำรงในราชสำนัก แล้วดาเนียลก็ทูลขอกษัตริย์ว่าขอเพื่อนๆ คือชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก  มาช่วยทำงานด้วย กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็แต่งตั้งดาเนียลเป็นเหมือนกับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ แล้วมีเพื่อนๆ อีก 3 คน ดูแลปริมณฑลต่างๆ

ดาเนียลกับเพื่อน 3 คน เป็นชาวยิว ศัตรูร้ายกาจแล้ว พระเจ้ายกขึ้นมา มีหน้าตาดี ได้รับเกียรติได้เรียนรู้ในพระราชวัง สำนักของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คือบาบิโลน จนได้ดิบได้ดี จนได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามารับราชการ เป็นใหญ่เป็นโต ดังนั้น จึงถูกเสนาบดีอื่นๆ อิจฉา เป็นเรื่องธรรมดา มีการทูลเท็จ พยายามเลื่อยขา บางคนอาจจะเป็นอาจารย์ของดาเนียลและเพื่อนๆ ตอนสมัยเริ่มเรียนใหม่ๆ ก็ได้ ท่านลองคิดดูนะว่าชีวิตของดาเนียลกับเพื่อนๆ ทั้ง 3 คนในราชสำนัก คงต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา จะทำอะไรต้องมีแผนการ ตลอดเวลา เพราะมีแต่ปัญหาการเมืองทั้งนั้น ดาเนียลและเพื่อน 3 คน ต้องพึ่งพาในพระเจ้า วางใจในพระเจ้า และขณะเดียวกัน แน่นอนเขาจะต้องถูกจ้องจับผิด  ถูกจ้องใส่ร้าย ถูกจ้องทำร้ายอย่างแน่นอน

คราวนี้มาดูของจริง ดาเนียล 3:8-12 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2,600 ปีที่ผ่านมา

ดาเนียล 3:8-12 “8 ในครั้งนั้น มีโหราจารย์บางคนมาทูลฟ้องกษัตริย์เรื่องชาวยิว 9 พวกเขา  มาทูลเนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอจงทรงพระเจริญ 10 ฝ่าพระบาททรงประกาศพระราชกฤษฎีกาว่าทุกคนที่ได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด  ให้หมอบกราบลงนมัสการเทวรูปทองคำ 11 และผู้ใดที่ไม่ยอมหมอบกราบลงนมัสการ จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที 12 แต่มีชาวยิวบางคน คือชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ที่ฝ่าพระบาททรงแต่งตั้งให้ดูแลมณฑลบาบิโลนนั้น ไม่ยอมทำตามพระบัญชา เขาเหล่านั้น ไม่กราบไหว้เทพเจ้าต่างๆ ของฝ่าพระบาท และไม่ยอมนมัสการเทวรูปทองคำ ที่ฝ่าพระบาททรงสร้างขึ้น”

 

ในโลกนี้ ไม่มีอะไรใหม่เลย คนมีอำนาจ ก็กลัวว่าจะเสียอำนาจ คนที่ทำงานร่วมกัน เขาสูงกว่าก็พยายามที่จะไปเลื่อยขาเขา  มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโกคงจะชิน มาอีกแล้ว

“พระองค์เจ้าข้า เที่ยวนี้จะโปรโมทอะไรอีกล่ะ จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก”

ท่านลองนึกภาพ บางคนก็กำลังคิดใช่ไหมว่าทำไมฟ้องแค่ 3 คน แล้วดาเนียลหายไปไหน? ตอนที่กษัตริย์แต่งตั้งตำแหน่งนี้ ให้แต่งตั้งชัดรัด เมชาค อาเบคเนโก ไปเป็นผู้บริหารที่มณฑลบาบิโลน มณฑลเหมือนต่างจังหวัด ข้างนอกเมือง แต่สำหรับดาเนียล ได้รับการดำรงตำแหน่งในราชสำนัก เหมือนผู้สำเร็จราชการ อยู่ในเมือง และเทวรูปทองคำ ที่ต้องก้มลงกราบ เมื่อมีเสียงดนตรีเกิดขึ้นนี้  ถูกนำไปตั้งไว้ที่ราบ ชื่อว่าดูรา ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของบาบิโลน ซึ่งอยู่นอกเมือง พูดง่ายๆ คือพระเจ้าเขียนบทนี้ ให้ดาเนียลพัก ฉากนี้เป็นของเพื่อนเกลอ 3 คนล้วนๆ ได้แสดงเต็มๆ

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เมื่อได้ยินจากโหราจารย์ว่าเพื่อนทั้ง 3 คนของดาเนียล ไม่ยอมทำตามคำสั่ง ก็โกรธมาก

สั่งให้นำตัว 3 คนนี้มาสอบ มาคุยด้วย พูดตรงๆ ก็ยังเกรงใจดาเนียลและเด็กหนุ่มทั้งสามคนนี้อยู่ เพราะรู้ว่าผู้คนเหล่านี้มีอะไรบางอย่างอยู่ในตัวเขา ที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ ทั้งสติปัญญาด้วย ก็เลยให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้ายกับ 3 เกลอนี้ว่าถ้าได้ยินเสียงดนตรี แล้วก้มกราบนมัสการเทวรูปทองคำของเขา ก็จะปล่อยตัว แต่ถ้ายังขัดขืน ขัดคำสั่ง ไม่ยอมทำตาม ก็จะถูกจับโยนเข้าไปในเตาไฟที่ร้อนแรง เผาทั้งเป็น ดาเนียล 3:13-15 ดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น

ดาเนียล 3:13-15 “13 เนบูคัดเนสซาร์จึงทรงพระพิโรธยิ่งนัก และตรัสสั่งให้นำตัวชัดรัค   เมชาค และอาเบดเนโกมาเข้าเฝ้า 14 แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก จริงหรือที่พวกเจ้าไม่ยอมปรนนิบัติเทพเจ้าของเรา หรือนมัสการเทวรูปทองคำที่เราสร้างขึ้น 15 บัดนี้  หากพวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิดประโคมขึ้นแล้ว ถ้าพวกเจ้าพร้อมที่จะหมอบกราบนมัสการเทวรูปที่เราสร้างขึ้นก็ดี แต่หากพวกเจ้าไม่นมัสการจะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที แล้วเทพเจ้าองค์ใดเล่า จะสามารถช่วยพวกเจ้า  ให้พ้นจากมือเราไปได้?”

 

นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเย่อหยิ่ง จองหองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ หลังจากที่ดาเนียลทำนายฝันอย่างถูกต้องแม่นยำ เนบูคัดเนสซาร์ถึงกับเข่าอ่อน ตรัสว่า …

“พระเจ้าของท่าน ทรงเป็นพระเจ้าเหนือพระทั้งหลายแน่นอน ทรงเป็นจอมราชันย์ และทรงเป็นผู้เปิดเผยความล้ำลึกทั้งมวล เพราะท่านสามารถเปิดเผยความล้ำลึกนี้ได้”

ยกย่องพระเจ้า ยิ่งใหญ่กว่าพระทั้งมวล ตอนกำลังกลัว มาถึงตอนนี้ หลังจากที่ได้สร้างเทวรูปทองคำใหญ่มหึมา มีคนป้อยอมากมายว่าพระองค์เก่ง พระองค์ยอดเยี่ยม เป็นจอมราชันย์ เป็นผู้พิชิต เยอะแยะไปหมด ก็ลืมตัว คงประมาณว่าเราได้แก้เคล็ดแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้ว ทำให้เกิดความเย่อหยิ่งขึ้น ทุกวันได้ออกมาเห็นเทวรูปที่สร้างขึ้นมาเบ้อเริ่มเทิ่ม ก็รู้สึกภูมิใจว่าเป็นสีทองทั้งหมด มันเป็นของเรา เป็นบาบิโลน ไม่มีใครมาล้มล้างได้ มันจะเป็นอย่างนี้ ตลอดไป ราชวงศ์ของเรา ฮึกเหิม ลืมนิมิตที่พระเจ้าได้ประทานให้ครั้งที่แล้ว

ดูข้อ 15 ตรงท้ายๆ บอกว่า …

“แล้วเทพเจ้าองค์ใดเล่า จะสามารถช่วยพวกเจ้า  ให้พ้นจากมือเราไปได้?”

เมื่อไม่นานมานี้บอกว่า “พระเจ้าของเจ้าใหญ่ที่สุดแล้ว”

แต่ตอนนี้บอก “พระเจ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

เขากำลังสบประมาทพระเจ้าของดาเนียลและเพื่อนทั้งสามคนนี้ เขาลืมประโยคแรกในดาเนียล บทที่ 2 ที่บอกว่า …

“ท่าน คือกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าได้ให้ท่านเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ให้ปกครองประเทศอิสราเอลและประเทศทั้งมวล พระเจ้าได้ให้ท่าน”

พระคัมภีร์บอกว่า …

“ความเย่อหยิ่ง นำหน้าความพินาศ”

ความเย่อหยิ่ง ความจองหองนำหน้าความพินาศ คนเราจะเย่อหยิ่งจองหองได้ เมื่อเราประสบความสำเร็จ คนไม่ประสบความสำเร็จ จะไม่มีทางเย่อหยิ่ง เพราะไม่มีโอกาสจะหยิ่ง แต่พอมีอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย มันจะเริ่มหยิ่งในศักดิ์ศรีตัวเอง เรารู้สึก เราช่วยตัวเองได้ เราอยู่คนเดียวก็ได้ เราไม่ต้องพึ่งใครก็ได้ นั่นแหละคือหยิ่ง บางครั้งเราคิดว่า …

“ฉันก็อยู่ของฉันอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าก็ได้ ฉันพอแล้ว ฉันก็ทำดีของฉันไปเรื่อยๆ ก็โอเคแล้ว”

ในทางพระเจ้า เขาเรียกว่าความเย่อหยิ่งชนิดหนึ่งเหมือนกัน และความเย่อหยิ่งนี้นำหน้าความพินาศ คือจะไม่ได้รับสิ่งที่ดี ที่เตรียมไว้ให้กับเขา ชีวิตเราก็เหมือนกัน หลายครั้ง ตอนมารู้จักพระเจ้าปีแรก รักพระเจ้ามาก พระเจ้าช่วยตรงนั้น พระเจ้าช่วยตรงนี้ โรคก็ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ตรงนั้นก็ดี ตรงนี้ก็ดี พอเลยมาสักระยะหนึ่ง ลืมพระเจ้าแล้ว อะไรๆ ก็ตัวฉันหมด ทุกอย่างก็ตัวฉันหมด ลืมพระเจ้าไป ทิ้งพระเจ้าไป

“เอะอะอะไรก็ฉันเอง ฉันเป็นคนทำ ฉันดีเอง ทุกวันนี้ ที่เป็นอย่างนี้ได้ เพราะฉันฉลาด เพราะฉันทำงานเก่ง ขยันหมั่นเพียร อดทน เพราะฉันทั้งหมด”

ลืมพระเจ้าไป นี่ก็คือนำหน้าการพินาศนั่นเอง

นี่คือสิ่งที่สามารถเตือนชีวิตเราได้ด้วย อย่าทำเหมือนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

กลับมาที่เพื่อนของดาเนียล ถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไร?

“ถ้าท่านบอกว่าท่านไม่เชื่อพระเยซู เราจะให้ท่านรอด จะไม่ฆ่าท่าน แต่ถ้าท่านบอกว่าท่านยังเคารพพระเยซูอยู่ ยังเชื่อพระเยซูอยู่ เราจะฆ่า ตัดคอท่านเลย”

ท่านจะตอบว่าอย่างไร?   ในปัจจุบัน  เกิดเหตุอย่างนี้จริงๆ แถวตะวันออกกลาง   จับมิชชั่นนารีหรืออาจจะไม่ใช่ เป็นคนงานธรรมดา แล้วก็บังคับ มีอย่างนี้จริงๆ สมัยโรมันเรืองอำนาจ หลายคนถูกทรมาน เพราะอย่างนี้ ถ้าปฏิเสธพระเยซูก็จะไม่เผาไฟ แต่ไม่ปฏิเสธ ก็จะถูกเผา ย่างบนไม้ แล้วก็เอาฟืนเผาทั้งเป็นเลย นี่ก็ลักษณะเดียวกัน  เรามาดูดาเนียล 3:16-18

ดาเนียล 3:16-18 “16 ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่เนบูคัดเนสซาร์ ข้าพระบาททั้งหลาย ไม่จำเป็นต้องทูลแก้ต่างให้ตนเองต่อฝ่าพระบาทในเรื่องนี้ 17 หากข้าพระบาทถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชน ข้าแต่กษัตริย์ พระเจ้าที่ข้าพระบาททั้งหลายปรนนิบัตินั้น จะทรงกอบกู้ และทรงช่วยข้าพระบาททั้งหลาย ให้พ้นจากเงื้อมพระหัตถ์ของฝ่าพระบาทได้ 18 แต่ถึงแม้ พระองค์ไม่ทรงช่วย ข้าแต่กษัตริย์ ก็ขอฝ่าพระบาททรงทราบเถิดว่าข้าพระบาทจะไม่ยอมปรนนิบัติเทพเจ้าของฝ่าพระบาท หรือนมัสการเทวรูปทองคำที่ทรงตั้งขึ้นเป็นอันขาด”

 

ผมจะเน้นตรงนี้ให้ท่านดูว่าภาษาเดิมตรงนี้ มันแปลว่าอย่างนี้ 3 คนนี้ตอบว่า …

“พระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ พระองค์สามารถช่วย แล้วพระองค์ปรารถนา ที่จะช่วยอยู่แล้ว ให้ข้าพระบาทรอดจากเตาไฟ แต่ถึงแม้พระองค์ไม่สามารถ”

หมายถึงถ้าพระองค์ไม่สามารถช่วย  ก็ยังจะเชื่อพระเจ้าอยู่ดี ก็ไม่กราบรูปเคารพนั้น ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก ยังเป็นเด็กหนุ่มเจริญเติบโตมาจากความเชื่อแบบคนยิว เป็นลูกยิวแท้ๆ ความเชื่อในพระเจ้าของเขาเต็มเลย เชื่อแบบไม่หวั่นไหวในทุกอย่าง มีข่าวมาว่ากองทัพของบาบิโลนมาล้อมเมืองแล้ว เขาคงอธิษฐานกันทั่วเมือง แล้วตัวเขาและครอบครัว คงอธิษฐานกันใหญ่

“พระเจ้ายิ่งใหญ่ๆ พระเจ้าช่วยกู้ได้ พระเจ้าทรงอยู่ด้วยในยามยากลำบาก พระองค์เป็นพระเจ้านิรันดร์ พระองค์จะไม่ทิ้งประชากรของพระองค์”

ขณะที่เขากำลังตื่นเต้น อธิษฐาน วางใจในพระเจ้า เขาก็ได้ยินเสียงโครม ศัตรูพังประตูที่เขาอยู่ด้วยกัน เข้ามาถึงภายใน อาจจะฆ่าหลายคนไป  แล้วก็ลากเอาตัวเขาและเพื่อนๆ ไปเป็นเชลย ขณะที่ถูกต้อนไปบาบิโลน เขาคงคิดตลอด พระเจ้าที่เขาเชื่อตลอดเวลา เขารู้จักตลอดเวลา ทำไมไม่ช่วยเขา  ชาวยิวจะถูกปล่อยให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? เขาคงคิดในใจ ก็เพราะพระเจ้าไม่สามารถช่วยได้ ถ้าพระเจ้าช่วยได้ คงช่วยไปแล้ว เพราะเขาเชื่อในพระเจ้า

เขาจึงตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ถ้าเผื่อพระเจ้าไม่สามารถช่วยนะ ไม่เป็นไร ฉันก็ยังเชื่อพระเจ้าอยู่”

นี่เขาเรียกว่าความเชื่อแบบไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

“ไม่ว่าจะสามารถหรือไม่สามารถ ฉันไม่รู้ ฉันเชื่อในพระองค์ และฉันเชื่อตลอดไป วางใจเลย”

เราถูกสอนมาว่าให้เชื่อพระเจ้า พระองค์ทรงทำได้ทุกสิ่ง นี่เขาบอกว่า …

“แม้กระทั่ง ทำไม่ได้บางสิ่ง ฉันก็ยังเชื่ออยู่”

เลยไปอีก เชื่อแบบสุดไปอีก หลายครั้ง เราคิดว่าพระเจ้าอาจจะทำไม่ได้มั้ง แต่ก็ไม่เป็นไร?  เราเชื่อแล้ว เชื่อเลย ผมยกตัวอย่างให้ ก็เหมือนชีวิตเราหลายคน หลังจากผมเชื่อพระเจ้ามาปีหนึ่ง คุณแม่ก็มาเชื่อพระเจ้า ตอนมาเชื่อที่เป็นมะเร็งอยู่นะ หายเลย คือจะหายหรือไม่หาย เราไม่รู้ แต่อย่างน้อยๆ รู้ว่าไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่มีอาการอะไรต่างๆ เป็นเวลา 10 ปีเต็มๆ ด้วยความสุขสนุกสนานไปเที่ยว ไปต่างจังหวัด ไปต่างประเทศ ไปประกาศ ไปกับผมทุกแห่ง ทุกจังหวัด ขับรถกันไปหลายจังหวัดเลย  เป็นช่วงเวลาที่แม่บอกว่ามีความสุขมากที่สุดเลย รักพระเจ้ามาก คิดดู 60 กว่า 70 เพิ่งมาเชื่อพระเจ้า จะมาเรียนรู้อะไรอย่างเรามากมายนัก แต่เชื่อเพราะเชื่อแล้ว สิ่งหนึ่งที่คุณย่าบอกไว้ จำแม่นเลยว่า …

“ฉันขอกอดขาพระเจ้า”

ก็เหมือนชัดรัด เมชาค อาเบดเนโกพูด …

“ใครจะพูดอะไรไม่รู้ ฉันขอกอดขาไว้ก่อน ฉันไม่คิดอะไรมากมาย ไม่สนใจเลยว่าพระเจ้าทำได้หรือไม่ได้”

นี่แหละความเชื่อแบบกอดขาพระเจ้าเอาไว้ พอ 10 ปีผ่านไป อาการมะเร็ง ก็กลับมาใหม่ ก็มีความทุกข์ยากลำบากเหมือนกัน เจ็บร่างกายเหมือนกัน แต่ก็กอดขาพระเจ้าไว้แน่น ไม่มีหวั่นไหวเลย แม้แต่นิดเดียว คนหวั่นไหว คือพวกเราต่างหาก ที่อยู่ข้างๆ

ผมเลยคิดว่าความเชื่อต้องเป็นลักษณะเดียวกันอย่างนี้ กอดขาพระเจ้าไว้แน่นๆ หลายคนอาจจะบอกคุณย่า หรือมีหลายคนอาจจะบอก หรือบางคนอาจจะคิด …

“ไหนบอกมาเชื่อพระเจ้า หายจากมะเร็ง”

แต่คุณย่าบอก “ไม่รู้ ฉันกอดขาพระเจ้าไว้แล้ว”

ก็ไปหาหมอตามปกติ ไปโรงพยาบาลตามปกติ แล้วท่านก็จากไปด้วยความสงบ ด้วยความเชื่อที่เต็มสมบูรณ์ครบถ้วน ยิ้มไปเลย ในขณะที่ผู้คนรอบข้าง เป็นไปได้อย่างไร? อย่างโน้นอย่างนี้

ชีวิตเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น ฝึกเอาไว้เลย ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ให้มีความเชื่อแบบนี้

“อะไรเกิดขึ้นก็ได้ ฉันจะกอดขาพระเจ้าไว้ให้แน่นๆ ไม่ว่าพระเจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย ไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ทำ  ไม่ว่าพระเจ้าจะมีความสามารถหรือไม่มี ฉันกอดขาพระเจ้าไว้ และเชื่อในพระเจ้า”

บางคนบอกว่ารอให้ท่านเชื่อก่อน พระเจ้าถึงจะทำ ไม่ต้อง ท่านไม่เชื่อเลย พระเจ้าก็ทำได้  เอเมน ท่านอยู่เฉยๆ พระเจ้าก็ทำได้ ต่อให้ไม่เชื่อแถมยังต่อต้านอีก พระเจ้าก็ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้บังคับทุกสิ่ง  และครอบครองทุกอย่าง เป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ทุกสิ่งบนโลกใบนี้อยู่นั่นเอง เอเมน

ท่านไม่มีสิทธิ์ ท่านจะไปสู้อะไรกับพระเจ้าได้ ถ้าใครยอมเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ก็มีสันติสุข มีความสงบสุข ถ้าท่านต่อต้าน ท่านก็ทุกข์ของท่านเอง เหมือนถีบประตักที่พระเยซูบอก ก็แค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น  จงรู้ว่าพระเจ้าทรงควบคุม ทรงครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ทั้งหมด และทุกสถานการณ์ ทุกแผนการ แผนการที่พระองค์ทรงกระทำมี 2 อย่างเท่านั้น นั่นคือ …

  1. เพื่อเป็นเกียรติแด่พระองค์ คือถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
  2. เพื่อผลดีสำหรับใครก็ตามที่ยอมเป็นไปตามน้ำพระทัย ก็คือใครที่เชื่อในพระองค์

แค่นั้นเอง ไม่ว่าท่านจะเห็นว่าเหตุการณ์นั้นมันร้ายต่อชีวิตของเรา ไม่ดีต่อเรา  ไม่ดีต่อคนที่เรารัก 2 สิ่งเท่านั้นเอง ที่ท่านจำไว้ มันเกิดขึ้น เพราะพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้เกิด เพื่อน้ำพระทัยของพระเจ้าจะได้สำเร็จ ถวายเกียรติแด่พระองค์ เพื่อเป็นผลดีสำหรับคนๆ นั้น และเป็นผลดีสำหรับใครก็ตามที่รักในพระองค์ ที่เชื่อในพระองค์ แล้วท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปต่อต้าน ท่านสู้ไม่ได้อยู่แล้ว

ฝากตรงนี้ไว้ว่าถ้าเราขอพระเจ้าทุกวัน ขอพระเจ้าช่วยเรา ให้เรากอดพระเจ้าไว้แน่น มีความเชื่อแบบไม่หวั่นไหวเลย บางครั้งหวั่นไหว ไม่รู้ล่ะ หวั่นไหว ฉันก็ยังเชื่ออยู่ ก็เป็นคน มันก็หวั่นไหว ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก ก็เป็นคน เขาได้เห็นมา บ้านเมือง ครอบครัวถูกทำลาย พ่อแม่อาจจะถูกฆ่า ตัวเขาถูกลากมาเป็นเชลย เขาเห็นกับตา แล้วจะให้เขาบอกว่าพระเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้  เขาบอกไม่ได้ เขาบอก ตอนนั้น พระเจ้าอาจจะทำไม่ได้ เขาอาจจะคิดอย่างนี้ไง

เพราะฉะนั้น ท่านจะพูดอย่างไร ก็พูด แต่ขอให้ท่านเชื่อในพระเจ้าก็แล้วกัน ท่านอาจจะบอก

“ทำไมลูกฉันไม่หายสักที”

“เพราะพระเจ้าไม่เก่งมั้ง”

ไม่เป็นไร พูดไปเถอะ แต่ขอให้ท่านยังเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ และเชื่อในพระองค์ แต่เรื่องนี้พระองค์อาจจะทำไม่ได้ ก็ได้ พูดอย่างนี้ได้ไหม? ได้

“ทำไมพระเจ้าปล่อยให้ฉันอดอยากถึงขนาดนี้ ลำบากลำบน เจ๊งมากี่ครั้งแล้ว ไปไหนก็รู้สึกลำบากลำบน มีแต่เรื่องวุ่นวายทั้งนั้น”

“อ๋อ พระเจ้าอาจจะทำไม่ได้มั้งเรื่องนี้ ตอนนี้ ไม่เป็นไร แต่ฉันเชื่อพระเจ้า ถึงทำไม่ได้ฉันก็เชื่อ แต่ฉันรู้ว่าถ้าพระเจ้าทำได้ พระเจ้าช่วยฉันแน่นอน นี่มันเกิดขึ้น พระเจ้าคงจะทำไม่ได้ ฉันโอเค ขอบคุณพระเจ้า”

ได้หมดทุกอย่าง เห็นไหม? ก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยว่าให้เราเชื่อในพระเจ้า และวางใจในพระเจ้าสุดๆ แบบนี้ แบบไม่หวั่นไหว และสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้บอกไว้แล้วใช่ไหม? อาณาจักรสุดท้าย อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ หินก้อนนั้น ศิลาก้อนนั้น จะกลายเป็นภูเขาก้อนใหญ่ มหึมา ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ เราทั้งหลายคือผู้เชื่อ คือคริสตจักร วางอยู่บนศิลานี้ ศิลานี้เป็นความรอด เป็นความช่วยเหลือ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจของเรา เป็นความแข็งแกร่งของเรา ลมพายุพัดอะไรแรงเท่าไร มันก็จะไม่มีวันล้ม มันจะตั้งยืนอยู่ตลอดไป บนศิลานี้  จงวางใจและเชื่อตรงนั้น แบบนี้ เชื่อแบบไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่นิดเดียว เอเมน

 

**********************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 6 “ความหมายของรูปปั้นในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  พฤศจิกายน  2016

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 6 “ความหมายของรูปปั้นในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็จะเป็นตอนที่ 6 ของซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ชื่อตอนว่า “ความหมายของรูปปั้นในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” ครั้งที่แล้ว ตอนที่ 5 ใช้ชื่อว่า “ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์”

การบรรยายในสัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 5 จบลงตรงที่ว่าดาเนียลทายความฝันได้อย่างถูกต้อง รอดตาย และเริ่มต้นแปลความหมายของความฝันให้กับกษัตริย์  วันนี้เราจะมาเรียนรู้เพิ่มเติม ขยายความให้ละเอียดขึ้นของคำทำนายฝันของดาเนียล เกี่ยวข้องมาถึงพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ในขณะนี้ และต่อไปข้างหน้า อนาคต จนสิ้นยุคเลย จนหมดโลกใบนี้ จนพระเยซูคริสต์กลับมาใหม่อีกครั้ง

เรามาทบทวนความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก่อน เปิดไปที่หนังสือดาเนียล 2:31-35

ดาเนียล 2:31-35 “31 “ข้าแต่กษัตริย์ ฝ่าพระบาทได้ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นมหึมา ตั้งอยู่ต่อหน้า เปล่งประกายเจิดจ้า มีลักษณะน่าครั่นคร้าม 32 ศีรษะของรูปปั้นนั้น ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ หน้าอกและแขน ทำด้วยเงิน ท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์  33 ขาทำด้วยเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดินเหนียว 34 ขณะฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั้น ก็มีหินก้อนหนึ่ง ถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้น กระแทกเท้าของรูปปั้น ซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว แตกกระจาย 35 แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก”

 

นี่คือความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ ที่ฝันและให้ดาเนียลทายว่าฝันว่าอะไร?

นิมิตเป็นเหมือนเรื่องราว พูดง่ายๆ ปัจจุบันคือหนัง แต่เป็นหนังจริงๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต   แล้วพระเจ้าให้มนุษย์ได้รู้ก่อน โดยใช้สื่อ คือเป็นหนังที่อยู่ในความฝันเขา อยู่ในนิมิต บางคนไม่ได้ฝัน แต่เห็นเป็นนิมิต ก็คือหลับตาเห็น ลืมตายังเห็นเลย เวลาติดตามในเรื่องของการฟังคำบรรยาย หรืออ่านพระคัมภีร์ เรื่องเกี่ยวกับนิมิต เกี่ยวกับความฝัน เกี่ยวกับรูปภาพต่างๆ เหล่านั้น ท่านจงนึกภาพว่าพระเจ้ากำลังฉายหนังให้เราเห็น อธิบายเป็นภาษาอะไรลำบาก ก็ฉายเป็นหนังให้เราดู แล้วเราจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

ทั้งหมดนั้น คือภาพยนตร์ นิมิต ความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ ที่พระเจ้าได้ให้ฝันเห็นรูปปั้นขนาดมหึมา ลักษณะน่าเกรงกลัว และรูปปั้น มีศีรษะทำด้วยทองคำ หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ขาทำด้วยเหล็ก เท้าทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ถ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันแค่นี้ ก็คงไม่ต้องกลัวแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เนบูคัดเนสซาร์ตกใจ และบอกว่าเป็นฝันร้าย ก็คือข้อความต่อไปนี้ ที่บอกว่า ..

“ขณะที่ฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั่น ก็มีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้นกระแทกเท้าของรูปปั้น ซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว แตกกระจายไป”

สมมติว่าเรากำลังยืนมองรูปปั้น กำลังพิจารณาส่วนประกอบต่างๆ มีทอง มีเงิน มีดินเหนียว กำลังมองเพลินๆ แล้วกำลังจะตีความฝันด้วยตัวเอง

“ฉันคือรูปปั้นนี้  หมายถึงฉัน ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เพราะฉันเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในขณะนั้น เป็นกษัตริย์สูงสุดแล้ว บาบิโลนเป็นของฉันแล้ว อาณาจักรบาบิโลนใหญ่ที่สุดในโลก”

ในขณะที่ดูเพลินๆ อยู่นั้น ทันทีทันใดนั้น ก็มีก้อนหินก้อนหนึ่งเล็กๆ ค่อยๆ พุ่งลงมา ใหญ่ขึ้นๆ มากระแทกถูกรูปปั้นนี้ กระจุยกระจาย ไม่เหลือซากเลย สะดุ้งเลย โครมเดียว ตกใจตื่น เหงื่อแตก ผมเดาว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝัน ต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ เพราะผมก็เคยฝันอย่างนี้ เหมือนกัน ท่านก็เคยฝันอย่างนี้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เรื่องแบบนี้นะ ฝันอื่นๆ ตอนตกใจ มันต้องมีอะไรบางอย่างทำให้เราตกใจในความฝัน เชื่อว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จึงใช้ชื่อว่าความฝันของเขา เป็นฝันร้ายตกใจกลัว เขาจึงให้โหรมาทำนาย ความฝันนี้สำคัญต่อชีวิตของเขามาก ถ้าทายได้ ให้รางวัลมหาศาลเลย ถ้าทายไม่ได้ ฆ่าให้ตายหมด เพราะอยากรู้จริงๆ ว่าอะไร? ใหญ่ขนาดไหน? ฉันว่าฉันใหญ่แล้ว อะไรมาทำลายฉันถึงขนาดนี้ ฉันจะได้รู้ก่อนล่วงหน้า จะได้ป้องกันได้

มาดูคำทำนายของดาเนียล ที่ตีความหมายของความฝันว่ามันน่ากลัวขนาดนั้นจริงหรือไม่? ตามที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันไว้ เราจะค่อยๆ ดูกันไปทีละส่วน เริ่มต้นเลย ดาเนียล 2:37-38

ดาเนียล 2:37-38 “37 ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกรและเกียรติแก่ฝ่าพระบาท 38 พระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศ ไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น”

 

ดาเนียลทำนายฝันกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าแต่ละส่วนในรูปปั้น ที่ทำมาจากวัสดุต่างๆ นั้น เล็งถึงอาณาจักรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เริ่มต้นจาก …

ศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ก็คืออาณาจักรบาบิโลน ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ที่ทำไม? ที่ได้ทำลายกรุงเยรูซาเล็ม และกวาดต้อนชาวยิวมาเป็นเชลย พระเจ้าได้เผยพระวจนะบอกไว้ล่วงหน้า ก่อนจะเกิดขึ้นจริง บันทึกไว้ในหนังสือเยเรมีย์ 27:5-6

เยเรมีย์ 27:5-6 “5 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสว่า “เราได้สร้างโลก มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ในโลกนี้ โดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ และมือที่เงื้ออยู่ และเรายกสิ่งเหล่านี้  แก่ใครก็ได้ที่เราพอใจ 6 บัดนี้ เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ของเรา แม้แต่สัตว์ป่า เราก็จะทำให้ยอมสยบต่อเขา”

 

พระเจ้าตรัสว่า “เรายกสิ่งเหล่านี้แก่ใครก็ตาม ที่เราพอใจ”

พระเจ้าพอใจ นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ก่อนเหตุการณ์จริงๆ ให้เห็นว่าที่ชาวยิวถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย  ที่บาบิโลน  อย่างหฤโหดนั้น  เป็นเพราะพระเจ้าได้กำหนดไว้ เรียบร้อยแล้ว

คำเผยพระวจนะ ที่สะดุดหูที่สุด คำว่า “เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า”

ก็คือแผ่นดินของชาวยิวทั้งหมด “ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ของเรา”

เวลาพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “โมเสส คือผู้รับใช้ของเรา”

นี่พูดกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ผู้ซึ่งเป็นผู้โหดร้าย  ทำลายประชากรของพระเจ้า แต่พระเจ้าเรียกเขาว่า “ผู้รับใช้ของเรา” พระเจ้าจะใช้ใครก็ได้ หลายครั้งพระเจ้าจะใช้แต่คนดีๆ นะ หรือคนต้องอย่างนี้ อย่างนั้น ตามที่เราคิด เขาอาจจะดีในแง่หนึ่ง พระเจ้าใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ พูดง่ายๆ พระองค์ทรงควบคุมทุกอย่างบนโลกใบนี้อยู่ พระองค์จะใช้ใครก็ได้ ให้เป็นไปตามแผนการของพระองค์ เราไม่รู้ เรามองด้วยตาเราเอง คนนี้โหดร้าย คนนี้ไม่ดี คนนี้ดี เราคิดของเราเองไป

แต่พระเจ้าบอก “เราจะใช้คนนี้ๆๆ       และคนเหล่านี้ ที่ใช้ไปทั้งหมด เพื่อแผนการใหญ่ของฉัน เพื่อประชากรของฉันทุกคนบนโลกใบนี้”

เพื่อทุกคน เพื่อสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย พระเจ้าอาจจะใช้บางอย่างที่ดูแล้ว เหมือนตอนนี้ไม่ดี แต่มันจะเป็นเหตุให้เกิดผลดี สำหรับส่วนรวมในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น เยรูซาเล็มล่มสลาย ด้วยน้ำมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลน เป็นต้น

นี่คือความเสียหาย ที่พระเจ้าเห็นแล้ว เกิดขึ้นกับประชากรของพระองค์ แต่เป็นเรื่องเล็ก เพราะสิ่งนี้จะทำให้เกิดสิ่งที่ใหญ่โตในอนาคต ซึ่งพระเจ้าจะทำให้กับประชากรของพระองค์ทั้งหมดในโลกใบนี้เลย

จากศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ซึ่งหมายถึงอาณาจักรบาบิโลน ต่อมา ก็คือหน้าอกและแขน ที่ทำด้วยเงิน และท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ มาดูว่าหมายถึงอะไร?  ดาเนียล 2:39

ดาเนียล 2:39 “หลังจากฝ่าพระบาทแล้ว จะมีอีกอาณาจักรหนึ่งรุ่งเรืองขึ้นมา แต่ด้อยกว่าของฝ่าพระบาท จากนั้น เป็นอาณาจักรที่สาม คือทองสัมฤทธิ์ ซึ่งจะปกครองทั่วโลก”

 

หน้าอกและแขนที่ทำด้วยเงิน ก็คืออาณาจักรที่จะรุ่งเรืองขึ้นมา หลังจากจบยุคสมัยของอาณาจักรบาบิโลนนั่นเอง  ตอนนั้น เขาไม่รู้หรอก แต่เรารู้แล้ว เราเรียนประวัติศาสตร์มา มันเกิดขึ้นจริงๆ ก็คืออาณาจักรเปอร์เซีย

พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ในคำเผยพระวจนะ ว่าพระเจ้าจะให้อิสราเอลตกอยู่ภายใต้การครอบ- ครองของบาบิโลน เป็นเวลา 70 ปี ให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ต้อนชาวยิวมาเป็นเชลย พอครบ 70 ปีเป๊ะเลยนะ เป็นอิสระ สามารถกลับไปเยรูซาเล็มได้

หลังจาก 70 ปี อาณาจักรบาบิโลนของเนบูคัดเนสซาร์ก็ล่มสลาย ถูกอาณาจักรเปอร์เซียตีแตก  เข้ามาครอบครองแทน ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง พระเจ้าเผยพระวจนะบอกไว้ล่วงหน้า ในเยเรมีย์ 25:12

เยเรมีย์ 25:12 “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาติของเขา ซึ่งก็คือแผ่นดินของชาวบาบิโลน เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขาถูกทิ้งร้างตลอดไป”

 

ตะกี้เราบอกว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เป็นผู้รับใช้พระเจ้า ตอนนี้พระองค์เขียนว่าเราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลน  และชนชาติของเขา

“เราจะลงโทษเขา เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขา ถูกทิ้งร้างตลอดไป”

หมดยุคไปเลย สิ้นชาติไปเลยบาบิโลน จากที่พระเจ้าเคยเรียกกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ผู้รับใช้ของเรา” ตอนนี้ เรียกกษัตริย์เปอร์เซีย มาครอบครองแทน อิสยาห์ 44:28

อิสยาห์ 44:28 “ทรงกล่าวถึงไซรัสว่า ‘เขาเป็นคนเลี้ยงแกะของเรา และจะทำทุกสิ่งให้สำเร็จตามที่เราพอใจ เขาจะกล่าวถึงเยรูซาเล็มว่า “ให้สร้างมันขึ้นใหม่” และกล่าวถึงพระวิหารว่า “ให้วางฐานรากของมัน”

 

นี่คือกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย ที่เข้ามาครอบครองแทนบาบิโลน พระเจ้าให้เขาเป็น “คนเลี้ยงแกะของเรา” เลี้ยงแกะของพระเจ้า คือชนชาติยิวนั่นเอง พระเจ้าให้เปอร์เซียเข้ามาครอบครอง โดยให้กษัตริย์ไซรัสขึ้นมา เป็นคนชอบพอ โปรดปรานชาวยิวที่เป็นผู้อพยพ ถูกกวาดต้อนมาตั้งแต่สมัยบาบิโลน … 70 ปีที่แล้ว ตอนนี้มีลูก มีหลานเยอะแยะแล้ว ก็โปรดปราน ให้ความดีความชอบ จนกระทั่งให้โอกาส ช่วยเหลือชาวยิว ไปตั้งรกราก กลับไปที่เยรูซาเล็มใหม่อีกครั้งหนึ่ง ตามที่พระเจ้าได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมาอยู่ที่นี่

เห็นไหม? พระเจ้าหยิบคนนั้น ใส่คนนี้ จับคนนั้น คนนี้ เรามองอยู่ข้างล่าง จะเอาเดี๋ยวนี้  จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ ถ้าเรามองดูพระเจ้าอย่างเดียว เราคงมีสันติสุข มีความสงบมากกว่านี้

จากนั้น ก็คือท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เป็นอาณาจักรที่ 3 ซึ่งจะครอบครองทั่วโลก ตามนิมิตของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ดาเนียลได้ทำนายฝันไว้

ท้องและต้นขาที่เป็นทองสัมฤทธิ์เล็งถึง … เรารู้แล้ว เพราะเราเรียนประวัติศาสตร์มา ก็คืออาณาจักรกรีก ผู้นำมีชื่อว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช … อเล็กซานเดอร์รบชนะเปอร์เซีย ทำให้กรีกมีราชอาณาจักร ที่กว้างใหญ่ไพศาล ปกครองไปทั่วโลกจริงๆ ตรงตามที่ได้บอกล่วงหน้าไว้ ในพระคัมภีร์ ซึ่งอยู่ในช่วงปี 331 – 168  ก่อนคริสตกาล ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด

คำเผยพระวจนะนิมิตที่ดาเนียลพูดถึง ที่เป็นความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ 600 ปีก่อนพระเยซูมาเกิด พูดง่ายๆ เลยมาครึ่งหนึ่ง เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นจริง ที่อเล็กซานเดอร์มหาราชครอบครอง

คราวนี้มาถึงส่วนสุดท้ายของรูปปั้น ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันถึง ก็คือขา ซึ่งทำด้วยเหล็ก และเท้าทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว เล็งถึงอาณาจักรที่ 4 คือจักรวรรดิโรม

ที่ในนี้บอกว่าแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก ซึ่งจะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงให้ยับเยิน เรารู้เพราะเราเรียนประวัติมาแล้ว อาณาจักรโรมันขึ้นมายิ่งใหญ่มาก แข็งแกร่งมาก เป็นเหล็กจริงๆ ไปที่ไหนยับเยินที่นั่น จริงตามที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้

หลังจากที่อเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ อาณาจักรกรีกก็เริ่มอ่อนแอลง และแยก แตกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย แก่งแย่งชิงดีกัน จนกระทั่งราวปี 168 ก่อนคริสตกาล  168 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด อาณาจักรเหล็ก หรือโรมัน ก็จัดการกรีกย่อยๆ เหล่านั้น จนราบคาบเลย

ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช รบเก่งมาก และนำชนกรีก ไม่เยอะเลยนะ เมื่อเทียบกับเปอร์เซีย ซึ่งครองอำนาจ เป็นมหาอำนาจอยู่ตอนนั้น น้อยกว่าเขาเยอะหลายเท่า แต่ปรากฏว่าเขามีใจที่เด็ดเดียว แข็งแกร่ง เข้มแข็ง และรบเก่ง จึงสามารถที่จะถ่ายทอด อิทธิพลแห่งความมั่นใจ พลังแห่งความเชื่อ หมายถึงความมั่นใจให้กับลูกน้อง แม่ทัพทุกคน ตายเป็นตาย … ตายแล้วได้เกียรติ ดังนั้น ทุกคนจึงมีความมั่นคง มั่นอกมั่นใจ เด็ดเดี่ยวในการต่อสู้ … สู้รบมาก แม้จะมีคนน้อย ก็ทำงานได้เยอะ จึงสามารถถล่มจนเปอร์เซียแพ้ พินาศไป แล้วเขาไม่ได้หยุดแค่นั้น

ทำไมเรียกเขาว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช เพราะเขาเป็นผู้พิชิตทั้งโลก พูดง่ายๆ ใครใหญ่ขึ้นมา เขาจะไปพิชิตหมด ปรากฏว่าเขาเกิดมาเป็นผู้พิชิตจริงๆ  เขาไม่ทำอะไรเลย ไม่วางแผน ไม่เตรียมตัว เรียกว่ากรีกจะเป็นอย่างไรต่อไป บริหารอย่างไร? เขาไปพิชิตอย่างเดียว สู้รบอย่างเดียว สู้ไปเพื่ออะไร? ไม่รู้ เพราะเกิดมาเป็นผู้พิชิต ต้องพิชิต จนกระทั่งไม่มีให้พิชิต เขาเลยเสียใจ กลุ้มใจ เขาบอกว่าเมื่อเขาเป็นผู้พิชิต แล้วไม่มีอะไรให้พิชิต เขาเลยไม่ได้เป็นผู้พิชิต เลยเครียด นี่เรื่องจริง อยากจะไปรบ จนกระทั่งพยายามที่จะเคี่ยวเข็ญซ้ายขวานักรบต่างๆ ที่อยู่กับเขา ให้ไปรบต่อ นักรบเหล่านี้ เหนื่อย รบตั้งนาน ไปรบเพื่ออะไร? หยุดได้แล้ว ลูกเมียไม่เห็นหน้ามาตั้งหลายปีแล้ว พอแล้ว จะรบต่อไป ไม่ยอมหยุด ในที่สุด ถูกปลงพระชนม์ แล้วทหารคนสนิทเหล่านั้น ก็กระจัดกระจายไปตั้งกลุ่มของตัวเอง ก็อ่อนกำลังลง ในที่สุด ก็เป็นอาณาจักรโรมเข้ามาครอบครองแทน

คิดดูนะ สิ่งที่ดาเนียลบอกความฝัน และทำนายความฝันให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ ตามนั้นเป๊ะเลย ถามว่าดาเนียลรู้เองหรือ? เป็นไปไม่ได้เลย ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เน้นให้กับเราว่าพระเจ้า คือผู้ทรงควบคุมและครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกๆ เหตุการณ์ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ทรงเป็นผู้กำกับใหญ่ของโรงละครใหญ่  คือโลกใบนี้  ทั้งสิ้น เอเมน

ผ่านมาแล้ว 4 อาณาจักรตามนิมิต จนมาถึงเท้าที่ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ดาเนียลก็ตีความของความฝันว่าอาณาจักรนี้  จะมีส่วนแข็งแกร่ง  และส่วนที่เปราะบาง  เหมือนดินเหนียว  ดินที่ปั้นเซเรมิก เหล็กผสมกับความเปราะบาง ประชาชนจะผสมผสานกัน แต่ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ดาเนียลบอกไว้อย่างนี้  มาดูว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงไหม?

เท้าที่เป็นเหล็กปนดินเหนียวนั้น เป็นยุคที่อาณาจักรโรมัน ซึ่งเป็นเหล็กเริ่มเสื่อมสลายลง มันไม่ใช่เหล็กแท้ๆ แล้ว มันเป็นเหล็กปนดินเหนียว ปนเซรามิกเข้าไป แล้วแตกแยกเป็นเผ่าๆ เล็กๆ น้อยๆ คืออาณาจักรโรมันเริ่มแตกออก เป็นหลายส่วน

มีการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ และตีความว่าสัญลักษณ์เท้าที่มี 10 นิ้ว ก็คือการแตกแยกของอาณาจักรโรมหรือโรมันเป็น 10 ชนชาติของยุโรปในยุคแรกเริ่ม ซึ่งก็คือ … อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี, ออสโทรโกทส์ ซึ่งต่อมาถูกทำลายไปแล้ว สิ้นประเทศไปแล้ว, สเปน, สวิสเซอร์แลนด์, แวนดัลล์ แอฟาริกาเหนือ ซึ่งต่อมา ก็ถูกทำลายสิ้นชาติไปแล้ว, โปรตุเกส และฮีรูลี หลังจากประมาณสัก 200 ปีหลังจากพระเยซูเกิด ก็สูญหายไปเหมือนกัน นี่คือนักประวัติศาสตร์เป็นคนค้นคว้านะว่าหมายถึงอย่างนั้น อันนี้เราไม่ต้องชัดเจนนัก ไม่ต้องไปเรียนรู้ลึกถึงขนาดนั้น  เอาแค่เห็นชัดๆ ง่ายๆ

นี่คือคำอธิบายเรื่องความหมายของรูปปั้นนั้น ในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงเท้า และหลังจากนั้น ที่ดาเนียลทำนายนิมิตในความฝัน มันไม่ได้หยุดอยู่แค่ หลังจากบาบิโลนหมดไปแล้ว เปอร์เซียหมดไปแล้ว สิ้นสุดกรีกแล้ว สิ้นสุดโรมแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าจะไม่มีอาณาจักรใดรุ่งเรืองและมีอำนาจไปทั่วโลกอีกแล้ว

เพราะในความฝัน บอกว่ามีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้น กระแทกเท้ารูปปั้นนั้น และแตกกระจายไป แหลกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือร่องรอย ไม่เหลืออะไรเลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้นนั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมา ปกคลุมทั่วโลก

ความหมายของหิน ที่มาทำให้รูปปั้นแตกกระจายไป ไม่ได้เป็นหินที่เกิดจากมือมนุษย์ ก็คือเป็นหินที่มาจากพระเจ้า … พระเจ้าส่งหินนี้มาเอง พูดง่ายๆ แล้วหินนี้มาโค่นล้มรูปปั้น จนไม่เหลือร่องรอย อดีตเขาเรียกว่าเป็นแกลบปลิวไปในลม ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน ก็คือไม่เหลือซากเลย  … แล้วหินนั้น ก็กลับกลายเป็นภูเขาปกคลุมไปทั่วโลก ดาเนียล 2:44-45

ดาเนียล 2:44-45 “44 ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้ จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล 45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหินที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำให้แตกกระจาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้ เป็นความจริง และการตีความนี้ ก็เชื่อถือได้”

 

ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้ทั้งหมดทั้งปวง อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดไป  พูดง่ายๆ ว่าในยุคของอาณาจักรโรมัน เขาใช้ชื่อเรียกกษัตริย์ของเขาว่าซีซาร์ หรือจักรพรรดิ์

ในยุคของจักรพรรดิ หลายองค์ของจักรวรรดิโรมัน พระเจ้าจะส่งหินนี้มาในยุคนั้นแหละ ยกตัวอย่าง จักรพรรดิ หรือซีซาร์ หรือกษัตริย์ องค์แรกของจักรวรรดิโรมัน มีชื่อว่าออกัสตัส ที่ออกพระราชกฤษฎีกาให้ผู้คนไปลงทะเบียน ประกาศถึงผู้ที่ครอบครองจักรวรรดิโรมันทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งเยรูซาเล็มด้วย  พระเยซูมาเกิดช่วงนั้นแหละ

สรุปว่าหินที่เป็นลักษณะของอาณาจักรสุดท้าย

ถ้าเอาความหมายตรงนี้ ไปใส่ตรงคำเผยพระวจนะของดาเนียล  ผมจะอ่านให้ท่านฟัง …

“ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้ จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ คืออาณาจักรของพระเยซู จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล เอเมน”

ตอนเริ่มต้นของจักรพรรดิ องค์แรกของจักรวรรดิโรมัน ซึ่งเป็นเหล็ก มีชื่อว่าออกัสตัสนั้น พระเจ้าจะเริ่มตั้งอาณาจักรของพระองค์ขึ้นมา เป็นอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครทำลายล้างได้

หลังจากที่ดาเนียลทำนายฝันทั้งหมด จนถูกเป๊ะเลย บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เข่าอ่อนเลย ดูในดาเนียล 2:46-49

ดาเนียล 2:46-49 “46 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็ทรงทรุดองค์ลงกราบดาเนียล และรับสั่งให้นำเครื่องบูชากับเครื่องหอมมาถวายดาเนียล 47 กษัตริย์ตรัสกับดาเนียลว่า “พระเจ้าของท่าน ทรงเป็นพระเจ้าเหนือพระทั้งหลายแน่นอน ทรงเป็นจอมราชัน และทรงเป็นผู้เปิดเผยความล้ำลึกทั้งมวล เพราะท่านสามารถเปิดเผยความล้ำลึกนี้ได้” 48 แล้วกษัตริย์ทรงแต่งตั้งดาเนียล ให้ดำรงตำแหน่งสูง และประทานบำเหน็จรางวัลมากมาย ทรงตั้งให้ปกครองบาบิโลนทั้งมณฑล และให้ดูแลปราชญ์ทั้งปวงของบาบิโลน 49 ยิ่งกว่านั้น กษัตริย์ทรงแต่งตั้งชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ให้เป็นผู้บริหารมณฑลบาบิโลน  ตามที่ดาเนียลทูลขอ ส่วนดาเนียลเอง อยู่ที่ราชสำนัก”

 

หลังจากที่ทำนายฝันเสร็จปุ๊บ  เรารู้ทันทีว่าถูกต้องแน่ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เข่าอ่อนเลย เพราะตกใจมาก ทำไม ยอดเยี่ยมขนาดนี้  เขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาจึงนึกว่าดาเนียล คือพระเจ้ายกย่องดาเนียลมาก

สิ่งที่ทายมาทั้งหมด มันตรงเป๊ะ ตามที่เขาฝันเลย เนบูคัดเนสซาร์เชื่อทันทีว่าสิ่งล้ำลึกเหล่านี้ คำเผยพระวจนะเหล่านี้มาจากพระเจ้าแน่ๆ เขานึกว่าดาเนียล คือพระเจ้าเดินบนโลกใบนี้แหละ ในพระคัมภีร์เขียนไว้ กราบดาเนียล ไม่ใช่กราบพระเจ้า และให้รางวัลดาเนียลอย่างมากมาย เป็นผู้ทรงอำนาจอิทธิพลสูงสุด รองจากกษัตริย์อีกทีหนึ่ง คือเบอร์ 2 พอได้ปุ๊บ ดาเนียลหันไปหาข้างๆ ชัดรัด, เมชาค และอาเบคเนโก เป็นรองผู้บังคับการใหญ่ของมหาอำนาจบาบิโลนที่ใหญ่สูงสุด สรุปแล้วยิวมีอิทธิพลในบาบิโลนนี้  อยู่ไปอีก 70 ปี ยังพออยู่ได้ ท่านพอมองเห็นไหมว่าพระเจ้าทำอะไร? บอกแล้วว่าพระเจ้าสร้างสถานการณ์ … สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ … วีรบุรุษอย่าเย่อหยิ่ง อยู่เฉยๆ เพราะไม่ใช่เธอทำหรอก พระเจ้าเป็นผู้ทำ ถ้าวีรบุรุษเย่อหยิ่ง เดี๋ยวโดน  พระคัมภีร์จึงบอกว่าความเย่อหยิ่งนำหน้า ความพินาศ

เราย้อนกลับมาดูคำทำนายของดาเนียล สิ่งสำคัญตรงนั้น ก็คือก้อนหิน อาณาจักรสุดท้ายในรูปปั้น ปฏิมากรนั้น เรื่องก้อนหินที่บอกว่าเล็งถึงพระเยซู ซึ่งทั้งพระคัมภีร์เดิม พระคัมภีร์ใหม่ มีเยอะแยะมากมาย ที่สอดคล้องกับคำทำนายนี้ว่าพระเยซู คือ “ศิลา” ก็คือหินนั้น

ภาษาฮีบรู ในพระคัมภีร์เดิม เมื่อมีการกล่าวถึงพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์สัญญาว่าจะส่งมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป พระคัมภีร์หลายแห่งใช้คำว่าหิน ศิลา เพื่อเล็งถึงพระมาซีฮาห์ หรือพระเมซียาห์ ที่บันทึกไว้ในหนังสือพระคัมภีร์เดิม ส่วนใหญ่จะใช้คำนี้แทนทั้งหมด เล็งถึงผู้ที่กำลังจะเสด็จมาช่วยมนุษย์  คือพระมาซีฮาห์นั้น  ใช้คำว่า “หิน” แทน ยกตัวอย่างเช่น ในหนังสืออิสยาห์ 26:16 ได้บันทึกไว้

อิสยาห์ 26:16 “ฉะนั้น พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต ตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เราวางศิลาก้อนหนึ่ง  ไว้ในศิโยน เป็นศิลามุมเอกล้ำค่า เหมาะเป็นรากฐานอันมั่นคง ผู้ที่วางใจจะไม่มีวันท้อแท้”

 

ศิลา คือพระเยซู ศิลามุมเอก หมายถึงเสาที่สำคัญ หินก้อนที่สำคัญที่สุดของอาคารหลังนั้น เราเรียกว่าศิลามุมเอก ในหนังสือสดุดี ก็มี ยกตัวอย่างให้เห็น สดุดี 118:19-23

สดุดี 118:19-23 “19 จงเปิดประตูแห่งความชอบธรรมให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเข้าไป และถวายคำขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า 20 นี่คือประตูขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ชอบธรรมจะเข้าไปทางประตูนี้ 21 ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ พระองค์ทรงมาเป็นความรอดของข้าพระองค์ 22 ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้ กลับกลายเป็นศิลามุมเอก 23 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการนี้  เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา”

 

“ความชอบธรรม” คือการพ้นจากบาป … บาป คือผู้ไม่ชอบธรรม ได้ถูกชำระให้เป็นผู้ชอบธรรม โดยศิลานี้ ก็คือโดยพระเยซู เป็นศิลามุมเอกนั่นเอง พระเจ้าได้ทรงกระทำการนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา เอเมน จากคนบาป ผ่านพระเยซูได้กลายเป็นผู้ชอบธรรม มหัศจรรย์ ยิ่งใหญ่มาก และพระเยซูตอนที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ตอนที่พระเยซูมาเกิดแล้ว หลังจากที่ดาเนียลได้ทำนายความฝันให้กับเนบูคัดเนสซาร์ ในนิมิตนี้ และแปลความฝันเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นมาประมาณ 600 ปี พระเยซู คือหินก้อนนั้น มาเกิดในยุคของเหล็ก คือโรมัน

แล้วพระเยซูก็พูดถึงตนเองว่าเป็นหินก้อนนั้นแหละ พระองค์ได้พูดถึงคำเผยพระวจนะนั้น ที่พูดถึงพระมาซีฮาห์ ก็คือศิลานี้ ศิลามุมเอกที่คนขว้างทิ้ง ที่คนไม่ต้อนรับ คนปฏิเสธ คนต่อต้าน เป็นศัตรูกับพระเยซู ตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้  ผมจะพาท่านไปดู แล้วท่านจะเห็นความอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ในนิมิตนี้ ที่ดาเนียลได้ผ่านทางพระเจ้าบอกเขา ให้มาบอกเราทุกคน บอกใครก็ตามที่พระเจ้าเรียกมาให้รู้จักพระองค์ ตั้งแต่สมัยโน้นจนถึงสมัยนี้ ให้มีความเชื่อวางใจในพระองค์เถิดว่าจบแล้ว พระองค์ชนะอย่างไร? แล้วเราอยู่ฝ่ายชนะอย่างไรบ้าง? ฟังพระเยซูพูด ในมัทธิว 21:33-43 พระเยซูกำลังพูดถึงอุปมาในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ พูดง่ายๆ เกี่ยวกับเรื่องความชอบธรรมที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ สวรรค์ ก็คือผู้ชอบธรรม ผู้ที่พ้นจากบาป จึงจะเข้าไปอยู่ได้นั่นเอง พระเยซูยกเป็นอุปมาให้ฟาริสีฟัง ผู้นำทางศาสนา ผู้ที่สะดุดก้อนหินนี้ ไม่รับก้อนหินนี้ ไม่เชื่อในก้อนหินนี้ เป็นศัตรูกับก้อนหินนี้ เป็นศัตรูกับพระเยซู ดูสิว่าพระเยซูสอนเขาอย่างไรบ้าง? มัทธิว 21:33-43 บอกอย่างนี้ …

มัทธิว 21:33-43 “33 จงฟังคำอุปมาอีกเรื่อง คือเจ้าของสวนแห่งหนึ่งทำสวนองุ่น เขาล้อมรั้วกั้นสวน สกัดบ่อย่ำองุ่น และสร้างหอไว้เฝ้า จากนั้นให้ชาวสวนเช่าแล้วเดินทางจากไปต่างแดน 34 เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวเขาก็ส่งคนรับใช้ไปหาผู้เช่า เพื่อรับผลผลิตของเขา  35 “พวกผู้เช่าก็จับเหล่าคนรับใช้ของเขามาทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง และเอาหินขว้างคนที่สามจนตาย 36 เจ้าของสวนจึงส่งคนไปอีก มากยิ่งกว่าครั้งแรก แต่ก็ถูกผู้เช่าเล่นงานเหมือนครั้งก่อน 37 สุดท้ายเจ้าของสวนส่งลูกชายไปหาพวกเขากล่าวว่า ‘พวกเขาคงจะเคารพบุตรของเรา’ 38 “แต่เมื่อผู้เช่าเห็นลูกชายเจ้าของสวนก็พูดกันว่า ‘นี่ไงทายาท ให้เราฆ่าเขา แล้วยึดเอามรดกของเขา’ 39 พวกนั้นจึงจับลูกชายเจ้าของสวนองุ่น โยนออกมานอกสวน แล้วฆ่าเสีย  40 “เหตุฉะนั้น เมื่อเจ้าของสวนองุ่นมา  เขาจะทำอย่างไรกับผู้เช่าเหล่านั้นดี?” 41 พวกเขาทูลตอบว่า “เจ้าของสวนย่อมจะจัดการกับคนเลวๆ เช่นนั้นอย่างสาสม และให้ผู้เช่ารายอื่นที่ยอมส่งส่วนแบ่งของผลผลิตให้เขา เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวมาเช่าสวนองุ่นนี้” 42 พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า  “พวกท่านไม่เคยอ่านพระคัมภีร์หรือที่ว่า  “‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการนี้  เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา 43 “ฉะนั้น เราบอกท่านว่าอาณาจักรของพระเจ้า จะถูกริบไปจากท่าน และยกให้แก่ชนชาติที่จะผลิตผลของมัน”

 

ท่านคิดดู ผู้นำทางศาสนา ฟาริสีต่างๆ เหล่านั้น เขาทำอะไร? ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ส่งมา ไม่ว่าเป็นโมเสส อาโรน ผู้เผยพระวจนะอีกเยอะแยะ ผู้นำศาสนา ที่คิดว่าตัวเองเคร่งศาสนาเหล่านี้ จริงๆ แล้วแอบแฝงไปด้วยความอยากจะเป็นใหญ่ ต่อต้านผู้รับใช้พระเจ้าทั้งนั้น กลั่นแกล้งบ้าง ฆ่าบ้าง ในอุปมานี้ พระเยซูบอกว่า …

“พระเจ้าเลยบอก โอเค ส่งลูกชายไป  เขาอาจจะเห็นเป็นลูก เขาจะได้เกรงใจบ้าง?”

ปรากฏว่าส่งพระเยซูลงมา พระเยซู เป็นพระบุตร เป็นลูกชายจริงๆ  ก่อนหน้านี้ โมเสส อาโรน ก็เป็นผู้รับใช้เฉยๆ เป็นคนธรรมดา นี่ส่งพระเยซูลงมานะ แทนที่จะ … ลูกเจ้าของสวน ลูกของโลกใบนี้ ลูกของพระเจ้า มายิ่งใหญ่ เป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด สรรพสิ่งและผู้คนทั้งหลาย ก็เป็นของพระองค์ นี่เจ้าของมาเองนะ แทนที่จะให้เกียรติ กลับฆ่าตายเลย ไม่ใช่เป็นศัตรูอย่างเดียว แอบฆ่า แล้วนึกในใจว่า …

“ฆ่าเสีย จะได้ยึดให้หมดเลย”

เมื่อเป็นอย่างนี้ เจ้าของสวนก็จัดการไล่พวกนี้ออกไปซะ แล้วก็ริบสิ่งของทั้งหมด ไม่ให้ดูแล้ว ดูเอง อาณาจักรทั้งหมดนี้  คือโลกใบนี้ เอามาดูเองหมดเลย แล้วยกให้ใคร? อาณาจักรสวรรค์ ยกให้ใคร?

ในนี้ใช้คำว่า “ยกให้แก่ชนชาติที่จะผลิตผลของมัน” พูดง่ายๆ แทนที่จะเป็นของคนยิวอย่างเดียว เป็นของพวกเราด้วย เพราะชาวยิวเป็นอย่างนี้  พระเยซูตรัสว่า …

“ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้ กลายเป็นศิลามุมเอก องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการอัศจรรย์ในสายตาของเรา”

จากสดุดีเมื่อตะกี้ พระเยซูได้อ้างตรงนี้ขึ้นมาว่า …

“ศิลานี้ ท่านไม่เอาใช่ไหม? ไม่เป็นไร เราจะไปให้คนอื่น”

ก็คือพวกเราทั้งหลายที่จะเกิดผลจากสวรรค์ จากศิลานี้ คือคนที่มาเชื่อ ในพระเยซู … พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็นลำต้น และเราเป็นกิ่ง  ไม่มีทางที่กิ่งจะออกผลด้วยตัวของมันเอง มันจะต้องมาต่อกับลำต้น ก็คือพระเยซูนั่นเอง  พูดง่ายๆ ว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ที่เรียกว่าบัพติศมา หรือการฝังรากลึกเข้าในตัวพระองค์ เมื่อเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อไร? เราก็เกิดเป็นผลขึ้นมาทันที ผลนั่นแหละ ได้รับสวรรค์ ได้รับความชอบธรรมนี้ไป เพราะฉะนั้น สวรรค์เป็นของเรา

สรุป นิมิตที่บอกล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ สมัยที่พูดนี้ คือ 600 ปีก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด และมันก็เกิดขึ้นตามนั้นหมดแล้ว ในที่สุดอาณาจักรสวรรค์นี้ก็จะถูกมอบให้กับพวกเรา ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกวัน ไปจนถึงวันสุดท้าย จากนิมิตที่บอกว่าจากหินก้อนหนึ่ง ที่กระแทกถูกรูปปั้น จนแหลกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือร่องรอย ได้กลายเป็นภูเขา ค่อยๆ โตขึ้น ก็หมายถึงพวกเราที่ได้ก่อตั้งบนศิลานี้ บนพระเยซูนี้ ผู้เชื่อทุกคนที่ถูกก่อตั้งบนศิลานี้ เราต่างคน ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของภูเขานี้ ภูเขาที่เรียกว่าศิโยนของพระเจ้า โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก เป็นฐาน ก็หมายถึงคริสตจักร

พระเยซูบอก “เราจะสร้างคริสตจักร และความตายจะไม่มีอำนาจ ไม่มีชัยเหนือคริสตจักรนี้ได้เลย”

เราทุกคนต่างก็เป็นหินก้อนเล็ก ก้อนน้อยจากที่ต่างๆ เพราะฉะนั้น เวลาเราไปไหน เราก็มีอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเราเดินไปด้วย อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ในใจของท่าน พระเยซูบอก พอเราเชื่อปุ๊บ อาณาจักรของพระเจ้าก็มาอยู่ในตัวเรา  ทุกวันนี้ อาณาจักรของพระเจ้าขยายไป ทั่วโลก ดั่งที่พระคัมภีร์ ที่เราได้เรียนรู้กันในคำทำนายนี้ ที่ดาเนียลได้บอกไว้ 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์มาเกิดจริงๆ บอกว่ามันเป๊ะเลย

เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว อย่ากลัว ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แม้ว่าจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา หรือโลกใบนี้ก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ อยู่ที่ตรงไหนก็ตาม รู้สึกน่ากลัว ไม่ต้องกลัว อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง เหตุการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้ หรือในที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ หรือในชีวิตเรา อาจจะดูเหมือนเลวร้าย ท่านเห็นตัวอย่างที่เราเรียนรู้มา ไม่ต้องกังวล พระเจ้าทรงควบคุมดูแลอยู่ พระเจ้าองค์นี้ ยิ่งใหญ่สูงสุด และทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง และดูแลทุกอย่างได้ ถ้าเราเรียนมาทั้งหมดนี้ ตามนิมิตนี้มันตรงหมด  เพราะฉะนั้น ที่เหลือมันก็ตรงด้วย ก็คือพระเจ้าได้รับชัยชนะ และเราอยู่ในพระเจ้า เราก็ได้รับชัยชนะไปด้วย พระเยซูได้รับชัยชนะนิรันดร์กาล เราก็อยู่ในพระเยซู เราก็ได้รับชัยชนะนี้ นิรันดร์กาล เราจะได้ครอบครองกับพระองค์นิรันดร์กาล เราได้รับความรอด เพราะเราอยู่ในศิลานี้ ศิลานี้คือพระเยซูคริสต์        ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 5 “ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  พฤศจิกายน  2016

เรื่อง  “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 5 “ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เราจะกลับมาสู่การบรรยายในซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนนี้ตอนที่ 5 ห่างไปนาน จนบางท่าน ไม่รู้ว่าเราบรรยายกันเรื่องอะไร?

ที่ผ่านมา 4 ตอน  เราได้เรียนรู้จักเรื่องของดาเนียล ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตแบบวางใจในพระเจ้าสุดๆ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกสถานการณ์ ซึ่งผมได้เปรียบเทียบไว้ว่าโลกนี้เปรียบเหมือน โรงละคร ที่มนุษย์ทุกคนเป็นตัวแสดง บางคนก็เป็นพระเอก บางคนก็เป็นตัวร้าย นางร้าย บางคนก็เป็นนางรอง บางคนก็เป็นตัวอิจฉา ผสมผสานกัน แต่ไม่ว่าใครจะแสดงเป็นตัวอะไรก็ตาม ก็จะมีผู้กำกับละคร ที่คอยควบคุมกำกับการแสดงของทุกคน และผู้กำกับผู้นี้ เรารู้จักกันดี ก็คือพระเจ้า

เรื่องราวที่เราเรียนรู้จากหนังสือดาเนียลนี้ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตัวอย่างของนักแสดงที่ดี ที่เชื่อฟัง และยอมทำตามผู้กำกับทุกอย่าง

มาทบทวนกันสักนิดว่าเราทิ้งท้ายกันไว้ตรงไหน? พระคัมภีร์ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ถ้าท่านเรียนรู้ไปเรื่อยๆ แล้วพระเจ้าเปิดเผยให้ท่านรู้ความจริงไปเรื่อยๆ มันไม่สามารถที่จะมาเปิดอ่าน แล้วก็เรียนรู้เฉยๆ ได้ พระคัมภีร์นี้จะต้องเรียนรู้ด้วยการอธิษฐานเท่านั้น หมายถึงอ่านด้วย และอธิษฐานไปด้วย วันแล้ววันเล่า พระเจ้าจะสำแดงให้กับท่าน เขาเรียกว่านิมิต จะเปิดเผยความจริงให้กับท่านมากขึ้นทุกวันๆ ผู้ใดแสวงหา ผู้นั้นก็พบ  ผู้ใดเคาะ ผู้นั้น ก็ถูกเปิดออกให้กับเขา ผู้ใดขอ ผู้นั้นก็จะได้รับ ทั้งหมดนี้ เป็นต่อเนื่อง ก็คือผู้ใดขอ … ขออยู่เรื่อยๆ เขาก็ได้รับอยู่เรื่อยๆ ผู้ใดเคาะ แล้วก็เคาะอยู่เรื่อยๆ เขาก็จะได้รับ การเปิดให้เขาอยู่เรื่อยๆ ผู้ใดแสวงหาอยู่เรื่อยๆ ก็จะพบสิ่งที่เขาแสวงหาอยู่เรื่อยๆ ถ้าตัดคำว่า “เรื่อยๆ” ออกไป แสวงหาครั้งเดียว ก็ได้รับครั้งเดียว อยากรู้เยอะ ก็ต้องแสวงหาบ่อยๆ ผู้ใดที่เปิดพระคัมภีร์อ่านทุกวัน อธิษฐานทุกวัน ขอพระเจ้าเมตตา เรื่องนี้ให้เราทราบ ก็จะถูกเปิดให้กับเขารู้เรื่องทุกวัน … ทุกวันๆ ผู้ใดที่เปิดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็จะเปิดให้เขา 1 ครั้ง พระองค์สัตย์ซื่อ ไม่บังคับเรา  … เราเข้ามาครั้งเดียว ขอครั้งเดียว ก็ให้ครั้งเดียว แต่ถ้าเราขอทุกวัน ได้ทุกวัน  ขอก็ได้ พระเจ้าให้เสมอ เอเมน

ต้องทำทุกวัน  ครั้งแรกๆ มันจะไม่รู้เรื่องหรอก ถ้ารู้เรื่องหมด ก็ไม่ใช่เรื่องพระเจ้า เพราะพระคัมภีร์บอก เรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องวิญญาณ พระองค์เป็นวิญญาณ เราต้องเข้ามาหาพระองค์ ด้วยความเชื่อนี้ ในวิญญาณ อธิษฐานกับพระองค์ แล้วอ่านไปๆ แล้วก็อธิษฐานไป  เดี๋ยวก็รู้เอง

เรื่องราวของหนังสือดาเนียล ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ เป็นประวัติศาสตร์ ไม่ใช่นวนิยายที่เขียนขึ้นมา พระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นประวัติศาสตร์ สามารถคิด ค้นหาหลักฐาน และย้อนกลับไปได้จริงๆ เป็นประวัติศาสตร์ในช่วงประมาณ 600 ปีก่อนคริสตศักราช พูดง่ายๆ ก่อนพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งชาวยิวถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ที่เมืองบาบิโลน ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ดาเนียลกับเพื่อนอีก 3 คน ก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยด้วย แล้วดาเนียลกับเพื่อนก็ได้รับคัดเลือก ถูกส่งตัวไปฝึกฝนวิชาโหราศาสตร์ คาถาอาคมของบาบิโลน เพื่อเตรียมตัวจะรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ในวัง เข้าไปรวมอยู่กับนักปราชญ์ของชาวบาบิโลน

เราได้เรียนรู้จักชีวิตของดาเนียลในช่วงนี้ ที่พระคัมภีร์บอกว่าดาเนียลเป็นคนสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า และวางใจในพระเจ้ามาก หลายครั้งที่ต้องเผชิญกับการทดลอง ต้องเรียนรู้เรื่องคาถาอาคม ต้องฝึกที่จะอยู่ในวิถีชีวิตของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แล้วต้องเรียนรู้ขนบธรรมเนียมของบาบิโลนอีกด้วย ภายนอกเราดูเหมือนว่าเขาและเพื่อนๆ อ่อน ผ่อนตามชาวโลก ก็ไปเรียนสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งไม่ควรจะไปเรียน  แต่ภายในดาเนียลและเพื่อนๆ ยืนหยัดในความเชื่อ ยังคงวางใจและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง เราได้เรียนรู้ตรงนี้ไปแล้ว อย่างนั้นจริงๆ ภายนอกกับภายในต่างกันเยอะเลย

และหลังจากที่เรียนรู้เรื่องตำราโหราศาสตร์ของชาวบาบิโลน มาได้สักพักหนึ่ง อยู่ๆ วันหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เกิดความฝันประหลาด ไม่ใช่ประหลาดธรรมดา เขาเรียกว่าฝันร้าย ตื่นขึ้นมาตกใจ เหงื่อแตก กลัวมากเลย แล้วก็เรียกให้เหล่าโหราจารย์ และนักปราชญ์ในวังมาทำนายฝันให้ แต่แทนที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จะเล่าความฝันของตัวเอง ให้พวกโหรแปล ปรากฏว่าครั้งนี้กษัตริย์ไม่ยอมเล่าความฝันให้ฟัง แต่บอกว่าให้พวกโหรเป็นคนทำนายก่อนว่าพระองค์ฝันว่าอะไร? แล้วค่อยแปลความฝันนั้น ถ้าสามารถทายได้ ก็ให้รางวัล ถ้าทายไม่ได้ก็จะฆ่าให้ตายทั้งหมดเลย บรรดาโหราจารย์ทั้งหลาย ไม่มีใครทำได้เลย  แล้วก็ตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า …

“สิ่งที่พระองค์ให้ทำนี้ ยากเกินวิสัยมนุษย์จะทำได้ มีแต่เทพเจ้าเท่านั้น จะบอกได้ และเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์”  ในดาเนียล 2:11 ที่บันทึกไว้

เทพเจ้า หมายถึงรูปเคารพต่างๆ ที่บรรดาชาวบาบิโลนเขานับถืออยู่

พวกโหราจารย์ไม่มีใครสามารถทายฝันได้ เนบูคัดเนสซาร์ก็เลยโกรธมาก เรียกให้นำตัวโหราจารย์และนักปราชญ์ทั้งหมด ไปประหารชีวิต ซึ่งหมายถึง รวมทั้งดาเนียลกับเพื่อนด้วย เพราะเข้าไปอยู่ในกลุ่มบรรดานักปราชญ์ไปเรียบร้อยแล้ว

พอดาเนียลรู้ตัวว่ากำลังจะถูกเอาไปประหาร ดาเนียลก็เริ่มเจรจาต่อรองกับทหารที่มาคุมตัว

“เดี๋ยวๆ ขอเวลาสักนิดหนึ่ง เราจะขออาสา เป็นคนไปทำนายฝันให้กษัตริย์เอง”

ซึ่งตอนที่เจรจาอยู่นั้น ดาเนียลรู้ไหมว่ากษัตริย์ฝันว่าอะไร? ไม่รู้ แต่เอาไว้ก่อน

เพราะสิ่งที่กษัตริย์สั่งให้ทำนั้น  ไม่ใช่เรื่องของสติปัญญา หรือวิชาการ ที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้แบบมนุษย์ แต่เป็นความล้ำลึก ที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น สามารถทราบและสามารถเปิดเผยและทำสิ่งเหล่านี้ได้ ดาเนียลกับเพื่อนจึงอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า ให้พระองค์ประทานสติปัญญาให้หยั่งรู้ในเรื่องล้ำลึกนี้  แล้วในที่สุด พระเจ้าได้ทรงสำแดงความล้ำลึกนี้ คือเปิดเผยให้รู้เลยว่าคืออะไร?  เพราะสติปัญญามนุษย์ไม่มีทางเข้าใจได้ แม้สติปัญญานั้นจะมาจากพระเจ้าก็ตาม แต่สิ่งนี้ต้องการการเปิดเผยจากพระเจ้า เผยให้รู้เลยว่าคืออะไร?

เหมือนกับที่ผมบอกว่าท่านอ่านพระคัมภีร์ โดยใช้สติปัญญามนุษย์ ท่านอาจจะบอกเข้าใจได้ในเชิงประวัติศาสตร์บางอย่าง แต่เรื่องจริงๆ คืออะไร? หมายถึงอะไร? ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม หนาขนาดนั้น  เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์อย่างเดียวเลย มันเป็นไปได้อย่างไร? อ่านบางทีก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง นั่นคือท่านใช้สติปัญญาของตนเอง แต่ท่านอธิษฐานกับพระเจ้าทุกครั้งที่ท่านอ่าน ท่านจะรู้แล้วว่ามันลึกเข้าไปกว่านั้น เข้าไปกว่านั้น มองไม่เห็น มันคืออะไร? ท่านก็จะอ๋อ! ไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน พระเจ้าก็ประทานให้ดาเนียลได้รู้ว่านิมิตคืออะไร?

หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งนี้แล้ว ดาเนียลก็ขอบคุณพระเจ้าใหญ่ แล้วก็ให้ทหารรีบพาตัวเข้าเฝ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

ท่านนึกภาพนะ เรารู้แล้วพระเจ้าอยู่กับเรา บอกเรา สิ่งเหล่านี้ ยืนยันว่ามันใช่เลย เพราะฉะนั้นดาเนียลจึงเดินเข้าไปหากษัตริย์ โดยไม่มีความกลัวเลย  ไม่ใช่ไม่มีความเคารพ คนละเรื่อง ไม่มีความกลัวเลย  ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเขาตลอดเวลา  และเขากำสิ่งนี้ไว้ ก็คือเขารู้ความจริงแล้วว่าคืออะไร? ถ้าเขาพูดไป  กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ต้องยอมจำนนแน่ๆ เพราะมนุษย์ไม่มีใครทำได้ แต่พระเจ้าทำได้ และพระเจ้าได้สำแดงสิ่งนี้ให้เขารู้แล้ว ดาเนียลจึงทูลต่อกษัตริย์ว่า …

ดาเนียล 2:27 “ดาเนียลทูลตอบว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถาอาคม และโหรคนใด สามารถทูลความล้ำลึก ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้”

 

นี่คือคำตอบแรกที่ดาเนียลตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ นี่สำแดงถึงความมั่นคงในความเชื่อ และความไม่กลัวของดาเนียล ถ้าเป็นเรา … เรากล้าเหรอ! ถ้าดาเนียลไม่ได้มั่นคงอย่างนี้ ไม่ได้รับจากพระเจ้าอย่างนี้ว่าพระเจ้าสำแดงนิมิตอย่างนี้ คงไม่กล้าตอบคำถามอย่างนี้หรอก กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สามารถสั่งฆ่าใครก็ได้ เดี๋ยวนั้นทันที ง่ายๆ ก็ทำมาตลอด ดาเนียล 2:27-30

ดาเนียล 2:27-30 “27 ดาเนียลทูลตอบว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถาอาคม  และโหรคนใด สามารถทูลความล้ำลึก ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้ 28 แต่มีพระเจ้า องค์หนึ่งในฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงเปิดเผยสิ่งล้ำลึก และได้ทรงสำแดงให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันและนิมิต ซึ่งผ่านเข้ามาในพระดำริ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่บนพระแท่น   มีดังนี้ 29 “ข้าแต่กษัตริย์ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่ และทรงดำริถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น พระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยความล้ำลึก ก็ทรงแสดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 30 ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้ ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระบาท ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่นๆ แต่เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงทราบความหมายและเข้าใจสิ่งที่เข้ามาในพระดำริ”

 

ในคำตอบตรงนี้ ดาเนียลกำลังถวายเกียรติแด่พระเจ้าว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่กษัตริย์ให้ทำ ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้หรอก ดาเนียลต้องการประกาศให้เนบูคัดเนสซาร์รู้ว่ามันเป็นเรื่องลึกลับ ลี้ลับ มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ให้คำตอบได้  และดาเนียลก็สำแดงความถ่อมใจ บอกว่าที่พระเจ้าทรงบอกสิ่งล้ำลึก ความลับในโลกวิญญาณให้ ก็ไม่ใช่เพราะว่า …

“ตัวเองเก่ง ฉันเป็นคนที่มีอะไรดีมากกว่าคนอื่น”

ไม่ใช่ แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเอง ที่ต้องการให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทราบความหมายของความฝัน เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้รู้ความหมายของความฝันแปลว่าอะไร? ตัวดาเนียลเอง เป็นแค่ตัวแสดงตัวหนึ่ง ที่พระเจ้าใช้มาแค่นั่นเอง อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตว่าเราควรจะจดจำสิ่งนี้ไว้ แล้วก็ทำตาม อะไรต่างๆ ที่พระเจ้าใช้เราทำ ดูอัศจรรย์มากมาย คนอาจจะมากราบไหว้เรา ยกย่องเรา ระวังให้ดีนะ ไม่ใช่ตัวเราเลย พระเจ้าให้เราทั้งนั้น มองแล้วรีบๆ ผ่านไปเร็วๆ คือดาเนียลกำลังบอกกษัตริย์ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คือพระเจ้า ทุกอย่างเป็นแผนการของพระองค์ทั้งสิ้น ซึ่งรวมทั้งความฝัน ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันด้วย

ก่อนจะเฉลยว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่าอะไร? ผมจะเสริมข้อมูลนิดหนึ่ง คือมีผู้ศึกษาพระคัมภีร์ ในเรื่องนี้ ให้คำอธิบายไว้อย่างนี้ว่าปกติแล้ว เวลากษัตริย์ฝันอะไร? ก็จะเรียกพวกนักปราชญ์และโหราจารย์มาเข้าเฝ้า ให้ช่วยแปลความฝันให้ และตามธรรมเนียมปฏิบัติ กษัตริย์ก็จะเล่าความฝันของตัวเองว่าฝันว่าอะไร?

ให้ก่อน แล้วบรรดาโหราจารย์ นักปราชญ์เหล่านั้น ก็จะมารวมกันประชุมทำนายฝันนั้น  เปิดตำราบ้าง? นับดวงดาวบ้าง? เดาบ้าง? แล้วสรุปเป็นผลมาว่าเป็นอย่างนี้ๆ ก็ถวายไป แต่มาครั้งนี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ไม่ยอมเล่าความฝันก่อน  แต่ให้เหล่านักปราชญ์เป็นคนทำนายว่าฝันว่าอะไรก่อน? ก็เพราะในความฝันครั้งนี้ เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่าเป็นการบอกเหตุการณ์ร้ายล่วงหน้า ที่เป็นเรื่องสำคัญต่อชีวิตและบัลลังก์ของเขา อาณาจักรของเขาในอนาคต เป็นเราก็ต้องตื่นเต้น ก็ต้องกลัวแล้วล่ะ บอกว่าลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร? ถูกไหม? และในรัชกาลเขา เพิ่งจะครอบครองมา 2 ปีเอง มาแล้วเหรอ จะไปไม่รอดแล้วเหรอ กลัว อย่างน้อยเขาก็อยากจะรู้ว่าใครจะมาทำลายอาณาจักรของเขา ศัตรูเขา คือใคร? เขาจะได้เตรียมป้องกัน ในอดีตเป็นอย่างนี้เสมอ ถ้ารู้ก่อนได้ เขาจะได้ป้องกันได้ คนนี้มาจากทิศนี้ เราจะได้ป้องกัน อะไรประมาณนั้น

ท่านจะได้รู้ว่าทำไมกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จึงตื่นเต้นกับเรื่องนี้ เหงื่อแตกกับเรื่องนี้ เพราะเป็นข่าวร้าย เป็นฝันร้ายสำหรับเขา แต่ถ้าเขารู้ล่วงหน้า เขาอาจจะเตรียมตัวพร้อม แล้วป้องกันได้

เนบูคัดเนสซาร์เลยต้องการให้มีคนมาแปลความฝันเขา ให้มั่นใจว่าใช่แน่ ไม่ใช่ศัตรูมาทางทิศเหนือ ไปแปลความฝันว่ามาจากทิศใต้ ไปเตรียมทิศใต้ ก็ตายสิ เนบูคัดเนสซาร์ฉลาดมาก จึงบอกให้เอาอย่างนี้ดีกว่าทำนายฝันมาเลย ถ้าทำนายฝันถูกแสดงว่า …

“รู้ว่าฉันฝันอะไร? ฉันก็ยอมแล้ว สยบแล้ว รู้ว่ามาจากพระเจ้าแน่ เพราะฉะนั้น พอบอกว่าศัตรูมาจากทิศไหน? ฉันก็จะได้เชื่อ แน่นอนนี่ถูกต้อง”

นี่ขนาดคนไม่รู้จักพระเจ้ายังรู้ว่าทำอย่างไร? ถึงสามารถเชื่อ และมีเหตุมีผล และมั่นใจได้ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่าอะไร?  ดาเนียล 2:31-35 ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตเราด้วยนะ

ดาเนียล 2:31-35 “31 “ข้าแต่กษัตริย์ ฝ่าพระบาทได้ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นมหึมา ตั้งอยู่ต่อหน้า เปล่งประกายเจิดจ้า มีลักษณะน่าครั่นคร้าม 32 ศีรษะของรูปปั้นนั้น ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ หน้าอกและแขน ทำด้วยเงิน ท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์  33 ขาทำด้วยเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดินเหนียว 34 ขณะฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั้น ก็มีหินก้อนหนึ่ง ถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้น กระแทกเท้าของรูปปั้น ซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว แตกกระจาย 35 แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก”

 

​            บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเรื่องนี้ตื่นเต้น เพราะว่ามันเกี่ยวกับเราด้วย นี่เป็นคำเผยพระวจนะล่วงหน้า  ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่ 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ หลายร้อยปีก่อน อาณาจักรต่างๆ พูดในนี้จะเกิดขึ้น และเป็น 2,000 กว่าปี มาถึงปัจจุบันที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของในนี้  ส่วนของเราอยู่ตรงข้อ 35

“แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก

“กลับกลาย” แปลว่าไม่ได้เป็นเดี๋ยวนั้นเลย  แต่แปลว่าค่อยๆ เป็นภูเขาขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ใช่กระแทกปุ๊บ เป็นภูเขาใหญ่ แต่เริ่มเป็นภูเขาใหญ่ แล้วภูเขานี้ก็ใหญ่ไปเรื่อยๆ ปกคลุมอยู่เหนือทั่วโลก

ความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็คือพระองค์ฝันเห็นรูปปั้นขนาดมหึมา มีลักษณะน่าเกรงกลัว และรูปปั้นนั้น  ฟังจากเมื่อตะกี้นี้ที่เราอ่าน มีศีรษะ ที่ทำด้วยทองคำ หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ขาทำด้วยเหล็ก  เท้าทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว คำว่า “ดินเหนียว” ไม่ใช่ดินเหนียวธรรมดา เหล็กปนดินเหนียว ที่เอามาทำเซรามิก คือต้องการให้เห็นว่าตรงนี้มันแตกง่าย มันบอบบาง มันตรงกันข้ามกับเหล็กเลย แต่มันผสมกับเหล็ก

ประเด็นสำคัญของเหตุการณ์ในช่วงนี้ ต้องการเน้นให้เห็นว่าผู้กำกับใหญ่  ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ ก็คือพระเจ้า … พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างที่เกิดขึ้น  เริ่มตั้งแต่ดลใจให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝัน แล้วสั่งให้นักปราชญ์มาทำนายฝัน โดยไม่บอกว่าฝันอะไร แล้วประทานนิมิตให้ดาเนียล เพื่อมาทำนายฝัน บอกว่าฝันนั้นแปลว่าอะไร?  พูดง่ายๆ เหมือนครั้งที่แล้ว ที่ผมบอก พระเจ้าสร้างสถานการณ์ … สถานการณ์สร้างฮีโร่หรือวีรบุรุษ สรุป ก็คือพระเจ้าสร้างวีรบุรุษ ใครก็ได้ ขึ้นมาแป๊บเดียว ก็เป็นวีรบุรุษแล้ว ฉะนั้น อย่านึกว่ามาจากตัวเอง เหมือนอย่างที่ดาเนียลตอบกษัตริย์ไปว่า …

“ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระองค์ ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่น เพื่อฝ่าพระบาทจะทราบความหมายและสิ่งที่เข้ามาในพระดำริ”

ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของพระเจ้าทั้งสิ้น เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์รับทราบสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

เรามาดูว่าความฝันตรงนี้ เกี่ยวพันอะไรกันกับเนบูคัดเนสซาร์ … เนบูคัดเนสซาร์ต้องเตรียมตัวอะไร? ดาเนียล 2:36-43 ตั้งใจอ่านให้ดี เกี่ยวกับพวกเราในนี้ด้วย

ดาเนียล 2:36-43 “36 นั่นคือความฝัน บัดนี้ ข้าพระบาทขอทูลความหมายให้ทรงทราบ 37 ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกรและเกียรติแก่ฝ่าพระบาท 38 พระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศ  ไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น 39 “หลังจากฝ่าพระบาทแล้ว จะมีอีกอาณาจักรหนึ่งรุ่งเรืองขึ้นมา แต่ด้อยกว่าของฝ่าพระบาท จากนั้น เป็นอาณาจักรที่สาม คือทองสัมฤทธิ์ ซึ่งจะปกครองทั่วโลก” 40 ท้ายสุด คืออาณาจักรที่สี่ ซึ่งแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก เหล็กฟาดฟันทุกสิ่งให้ย่อยยับ อาณาจักรนั้นจะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวง ให้ยับเยิน เหมือนเหล็กที่ทำให้สิ่งอื่นๆแหลกลาญ 41 ตามที่ฝ่าพระบาทเห็นว่าเท้าและนิ้วเท้า เป็นดินเหนียวปนเหล็ก แสดงว่าอาณาจักรนี้ แยกออกเป็นส่วนๆ แต่ก็จะมีกำลังแข็งแกร่งเหมือนเหล็กอยู่บ้าง ตามที่ฝ่าพระบาทเห็นเป็นเหล็กปนดินเหนียว 42 ดังที่นิ้วเท้าเป็นดินเหนียวปนเหล็ก อาณาจักรนี้ ก็จะมีส่วนที่แข็งแกร่ง และส่วนที่เปราะบาง 43 และตามที่ฝ่าพระบาททรงเห็นเหล็กปนกับดินเหนียว  ประชาชนก็จะผสมผสาน แต่ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ต่างจากเหล็กผสมดินเหนียว”

 

อีกอันหนึ่งที่ทำให้เห็นชัดว่าพระเจ้าทรงกำหนดทุกอย่าง เราเรียนรู้กันว่าเนบูคัดเนสซาร์ไม่ได้เชื่อพระเจ้า แถมเป็นคนที่เหี้ยมโหดมาก ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง ฆ่าใครง่ายๆ เจ้าอารมณ์ ขี้โมโห แล้วก็เย่อหยิ่ง แต่ดูดาเนียลแปลความฝันนี้ว่าอย่างไร?

“ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี”

ฟังให้ดีๆ อีกทีหนึ่ง

“พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกร และเกียรติแก่ฝ่าพระบาท”

“และพระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”

ทุกอย่างอยู่ในกำมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ในขณะนั้น ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าเป็นผู้ให้อำนาจทั้งหมด ท่านคิดดู เนบูคัดเนสซาร์ที่ย่ำยีหัวใจของชาวยิว ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจของพระเจ้า  ประชาชนของพระเจ้า ย่ำยีเยรูซาเล็ม แล้วก็ลากเอาผู้คนของพระองค์ที่ไม่ได้ฆ่าตาย ที่ยังเหลืออยู่ เอาคนดีๆ มาใช้งาน มาเป็นทาสที่บาบิโลน เผาเมืองเลย  ทำเหี้ยมโหดต่อเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นประชากรของพระเจ้า

“พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น”

พระเจ้าเป็นผู้จัดการทั้งสิ้น นี่เป็นสิ่งที่เราสามารถสอนตัวเราเองได้ พระเจ้าบอกว่าเกียรติเป็นของผู้ใด เราควรจะตามพระเจ้าให้เกียรติผู้นั้น สิทธิอำนาจเป็นของใคร? พระเจ้าให้ เราต้องยอม ไม่ว่าทำตามมนุษย์ หรือด้วยเหตุผลอะไร? อาจจะหลายอย่าง เป็นคนไม่ดี ทำไมพระเจ้าไม่เอาออกไปเลย กษัตริย์อย่างนี้ มาตีเมืองเยรูซาเล็ม ทำร้ายประชากรของพระองค์ … พระองค์ทำนิดหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ไปแล้ว ทำไมปล่อยให้เขาย่ำยีอิสราเอลถึงขนาดนั้น ทำไมเขาครอบครองอิสราเอล พระเจ้าเสียชื่อ เสียหน้ามากๆ เลยนะ ประชากรของพระองค์ก็เสียชื่อ เสียหน้ามากๆ เลยนะ แล้วทำไมพระเจ้าทำอย่างนี้ล่ะ ก็ต้องตอบว่า …

“ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือพระเจ้าสัญญาว่ามันจะเป็นสิ่งดี สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ และถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นที่ถวายพระสิริแก่พระองค์”

เพราะฉะนั้น ไม่มีหน้าที่จะรู้ว่าทำไมเป็นอย่างนี้  แผนการจะเป็นอย่างไร? หลายครั้งพระองค์ใช้แผนการเล็กๆ ให้ความเสียหาย หรือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าประสบความสำเร็จเยอะแยะมากมาย เป็นที่อิจฉาริษยาสำหรับคนที่เชื่อพระเจ้ามากเลย  แต่พระเจ้าบอก …

“เล็กๆ ที่เขาสำเร็จนั้น เอามาสนับสนุนแผนการใหญ่ของฉัน ที่มีไว้สำหรับพวกเธอทั้งหลาย ลูกๆ ของฉันทั้งนั้น เทียบกันไม่ติดเลย แผนการที่เธอเห็นเขาสำเร็จ นั่นคือส่วนหนึ่ง ที่ทำให้แผนการใหญ่ที่ฉันวางไว้ สำหรับพวกเธอ ลูกๆ ของฉันสำเร็จ”

พระเจ้าถามเราว่า …

“เข้าใจไหม?”

ยอมให้เป็นอย่างนี้  เพื่อสิ่งนี้จะมาสนับสนุนแผนการใหญ่ที่สุดของพระเจ้า ให้สำเร็จ โอเคไหม? ยกตัวอย่างง่ายๆ ยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เพื่อพระเยซูคริสต์จะได้มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ ให้กับเธอทั้งหลาย ที่ไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้เลย ไปจนนิรันดร์เลย อันไหนใหญ่กว่า อันนี้ ดูท่าทางแย่ แต่อีกอันหนึ่ง มันใหญ่กว่า ดีกว่า ใครได้เกียรติยศกว่า? พระเจ้าได้รับเกียรติ พระสิริเป็นของพระองค์ตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์ พูดง่ายๆ  ที่สุดแล้ว ใครเชื่อพระองค์ ก็ชนะด้วย เพราะว่าที่สุดแล้ว พระองค์เป็นฝ่ายชนะ นี่แหละ คือสิ่งที่อยากให้ได้เห็นตรงนี้

จากความฝันรูปปั้นมหึมา ที่แต่ละส่วน ทำด้วยส่วนผสมต่างๆ ดาเนียลก็ตีความให้กษัตริย์ได้เห็นว่าแปลว่าอะไร?

เริ่มต้นจากศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ก็คือยุคของอาณาจักรบาบิโลน เป็นยุคที่ 1 ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นทองคำ

ต่อมาหน้าอกและแขนที่ทำด้วยเงิน ก็เล็งถึงอาณาจักรที่จะครอบครองต่อจากบาบิโลน มาโค่นล้มบาบิโลนในอนาคต ก็คืออาณาจักรเปอร์เซีย หรือเมโดเปอร์เซีย หรือมีเดียเปอร์เซีย ซึ่งจะรุ่งเรืองน้อยกว่าอาณาจักรบาบิโลน

ส่วนที่สาม คือท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงอาณาจักรกรีก

สุดท้าย คือขา ทำด้วยเหล็ก  และเท้า ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว คือปนเซรามิก เล็งถึงอาณาจักรโรมัน จักรวรรดิโรมัน ซึ่งมาโค่นล้มอาณาจักรกรีกอีกทีหนึ่ง ที่ในนี้บอกว่าโรมันแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก ซึ่งจะบดขยี้อาณาจักรทั้งปวงให้กระเจิง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนที่กรุงโรม หรือจักรวรรดิโรมรุ่งเรือง เป็นมหาอำนาจตอนนั้น เป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งมาก ไปที่ไหนทำลายหมด

และที่เท้า ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ดินที่เอามาทำเซรามิก ก็ตีความได้ว่าอาณาจักรนี้ มีส่วนที่แข็งแกร่งและส่วนที่เปราะบาง ประชาชนจะผสมผสานกัน และไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ตรงที่เท้า ก็คือต่อจากเหล็ก จะไม่มีอาณาจักรแล้ว จะมีเศษๆ อาณาจักรผสมกันอยู่ เป็นเหล็กผสมกับเซรามิก ซึ่งไม่แข็งแรงแล้ว ดูเหมือนแข็งแรง แต่ก็เปราะบาง ไม่เหมือนอาณาจักรก่อนๆ หน้านี้แล้ว ซึ่งหมายถึงอิทธิพลของเหล็ก อิทธิพลของโรมัน ยังคงแทรกซึมเข้าไปอยู่ในประเทศต่างๆ เหล่านี้ และเป็นบ่อเกิดของประเทศต่างๆ เหล่านี้ มาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คืออิทธิพลตะวันตก … ตะวันตก คือยุโรป … ยุโรป คือจักรวรรดิโรมันในอดีตนั่นเอง

ถ้าท่านเรียนรู้ไป แล้วท่านได้รับการสำแดงจากพระเจ้าด้วย ท่านจะเข้าใจด้วย และมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคงในความเชื่อ มั่นคงในชัยชนะได้ตลอด ดาเนียล 2:44-45

ดาเนียล 2:44-45 “44 ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล 45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหินที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงินและทองคำให้แตกกระจาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาท ทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้เป็นความจริง และการตีความนี้ ก็เชื่อถือได้”

 

ในข้อที่ 44 บอกว่า “ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น ไม่เหมือนเยรูซาเล็ม ไม่เหมือนประเทศอิสราเอล อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดไป”

ยุคของกษัตริย์เหล่านั้น ก็คือกษัตริย์ที่อยู่ในช่วงเหล็ก ก็คือในยุคของจักรพรรดิซีซาร์และผู้มีอำนาจสืบต่อไปเรื่อยๆ อาณาจักรเหล่านั้น ที่กำลังเกิดขึ้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่งในช่วงนั้น ถามว่าเริ่มต้นช่วงไหน? หนังสือลูกาบันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูบังเกิดมาเป็นมนุษย์ ในสมัยของจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัสนั่นแหละ และไปเรื่อยๆ ของกษัตริย์เหล่านั้นเยอะแยะ ผู้ครองเหล่านั้น เริ่มต้นตรงนั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง คือช่วงเดียวกัน และในนี้บอกว่านี่คือความหมายของนิมิต เรื่องหิน

นิมิตเรื่องหิน ที่ถูกสกัดจากภูเขา ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ คำว่า “ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์” คุ้นๆ ไหม? ตอนที่พระคัมภีร์สอนเรื่องเกี่ยวกับพลับพลาของพระเจ้า ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า หรือเรียกว่าวัดของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ที่พระเจ้าให้โมเสสสร้างขึ้น ที่เป็นเต็นท์ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขนชำระพวกเราให้พ้นจากบาปแล้ว บอกว่าเต็นท์นี้ ยกเลิกไปแล้ว พระเยซูนำเอาโลหิตของพระองค์ ที่หลั่งที่ไม้กางเขนนั้น เข้าไปยังพลับพลาที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ คำเดียวกันนั่นนะ คำว่าไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ ก็คือคำว่า “โดยพระเจ้า” นั่นเอง

เพราะฉะนั้น นิมิตเรื่องหิน ก็คือหินนี้ถูกสกัดจากภูเขา เป็นโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องมนุษย์แล้ว พูดง่ายๆ เป็นพระเจ้าสกัดหินก้อนหนึ่งออกมา หิน ซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำกระจายไป

“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งเหล่านี้ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นเรื่องจริง”

สิ่งเหล่านี้ ตอนนั้น เขาไม่รู้ แม้กระทั่งดาเนียลอาจจะไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร? แต่เรามาเรียนย้อนกลับไป เรารู้ พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นศิลา พระองค์บอกว่า …

“เราจะสร้างคริสตจักรของเราบนศิลา และศัตรูจะไม่มีชัยชนะ เหนือคริสตจักรของเราได้”

พระองค์เป็นศิลา … ศิลาก้อนหนึ่ง ถูกคนปฏิเสธ แต่พระเจ้าได้ทำให้ศิลาก้อนนี้ เป็นศิลามุมเอก หมายถึงชุดที่ก่อร่างสร้างอาคารขึ้นมาใหญ่โต เริ่มจากเสาเอก พูดง่ายๆ  เพราะฉะนั้น หินนี้ ก็คือพระเยซู พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากคำทำนายนี้ ประมาณ 600 ปี พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ในสมัยของเหล่ากษัตริย์ ก็คือของโรมันที่กำลังครอบครองอยู่เหนือทุกแห่งเลย รวมทั้งเยรูซาเล็มด้วย พระเยซูเกิดในช่วงสมัยออกัสตัส ซีซาร์ แล้วพระองค์ก็ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อน 30 เป็นคนธรรมดา เป็นช่างไม้อะไรก็ว่าไป แต่อายุ 30 ปุ๊บ เริ่มต้นประกาศข่าวดี เริ่มต้นทำงานให้พระเจ้าแล้ว ประกาศคำแรกว่า …

“สวรรค์มาแล้ว อาณาจักรสวรรค์มาแล้ว อาณาจักรของพระเจ้าลงมาตั้งอยู่แล้ว กำลังมาๆ เรากำลังพูดถึงอาณาจักรของพระเจ้า”

ตลอดเวลา 3 ปี พูดแต่เรื่องอาณาจักรของพระเจ้าตั้งอยู่ๆ พระองค์มาสถาปนาอาณาจักรของพระองค์บนโลกใบนี้ แต่เป็นอาณาจักรที่ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ อาณาจักรที่ตามองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง และทุกวันนี้มันปกคลุมไปทั่วโลกเลย จากวันนั้น แค่หินก้อนเดียว คือพระเยซู และเดี๋ยวนี้เป็นเท่าไร? ในขณะที่ 4 ประเทศมหาอำนาจ ที่ตะกี้เราพูด ไม่เหลือซากแล้ว เป็นแกลบกระจุยกระจายหมดเกลี้ยงไปแล้ว ตามคำทำนายหมด โรมยังไม่เหลือเลย โรมันเหลือแต่ซาก เหลือแต่กลิ่น เหลือแต่อิทธิพลที่ติดตามต่อไป ในประเทศที่ใช้ชื่ออื่นๆ แม้กระทั่งทั่วโลกทุกวันนี้ เราก็อยู่แบบหลายอย่าง มาจากโรมทั้งนั้น มาจากตะวันตก พูดง่ายๆ

ท่านพอเห็นภาพไหมว่าที่ผมบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตเราอย่างไร? แต่หินที่กระแทกรูปปั้นนั้น ตูมออกมา ไม่ใช่อาณาจักรพระเจ้าเกิดขึ้นมาเลยนะ ตูมมาปุ๊บ เกิดหน่อเล็กๆ ขึ้นมาหน่อหนึ่ง แล้วค่อยๆ บานไปเรื่อยๆ เป็น The Kingdom of Jesus อาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ครอบครอง พระเยซูคริสต์ยิ่งใหญ่  มันหมายถึงอย่างนี้ แล้วมันใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีน้อยลง มีแต่มากขึ้นไปเรื่อยๆ เข้าไปแทรกทุกซอก ทุกมุมของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใด ไม่ว่าจะเป็นคนพันธุ์ใด เผ่าใดที่ไกลจากความเจริญ เดี๋ยวข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก็คืออาณาจักรของพระองค์ไปถึงหมดทุกแห่งเหล่านั้น

สมัยก่อนนี้อาณาจักรที่เราเห็น สุดท้ายที่เราดูในรูปปั้น ตั้งแต่บาบิโลน เมโดเปอร์เซีย กรีก และโรม ก็ใช้วิธีนี้  เวลาเขาครอบครอง เป็นมหาอำนาจ เขาต้องไปตี แผ่อำนาจไปให้ที่สุด เท่าที่ทำได้ ตามกำลังของมนุษย์ เหมือนอเล็กซานเดอร์มหาราชของกรีก ตีไป บุกไปถึงอินเดีย จนสุดได้แค่ไหน ก็จบ หมดแรง โรมก็เหมือนกัน พยายามคุมให้ทุกซอกทุกมุม เจอบาบาเลียนที่ไหน? เจอชนเผ่า กลุ่มที่เป็นคนป่าที่ไหนต่อต้าน ก็เข้าไปตี เข้าไปยึดครองให้หมด จะแผ่อำนาจไปให้หมด แต่ในที่สุด อาณาจักรเหล่านั้นก็เป็นศูนย์ ไม่มีเลย แต่อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ทำอย่างนั้น แล้วเป็นอยู่จริงตามคำทำนายนี้ ตามนิมิตนี้เป๊ะ ทุกวันนี้เราแต่ละก้อน ก็รวมกันเป็นภูเขาของพระเจ้า เราทั้งหลายเป็นประชากรของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าที่เรียกว่าพระคริสต์ เราเป็นประชากรของพระเจ้าในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เคยได้ยินใช่ไหม?

“เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์          เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”

ที่ไหนๆ ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหนของโลกนี้ พอเขามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็เข้ามาเป็นสมาชิกคนหนึ่ง เป็นประชากรคนหนึ่งในอาณาจักรของพระคริสต์ เป็นพี่น้องกับเรา เป็นเพื่อน เหมือนร่วมอาณาจักรเดียวกัน ก็คืออาณาจักรพระคริสต์

วันแรกที่อาณาจักรของพระเยซูปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ก็คือวันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  และวันที่ 3 ได้เป็นขึ้นมาใหม่ พระองค์ทรงประกาศชัยชนะเหนือความตาย ประกาศการเริ่มต้นอาณาจักรใหม่ของพระองค์บนโลกใบนี้ ท่านไปอ่านดูในพระคัมภีร์หมดเลย โดยเฉพาะในหนังสือจดหมายฝาก ในหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด จะประกาศถึงชัยชนะแห่งอาณาจักรนี้ อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงครอบครอง พระเจ้าให้พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ บนบัลลังก์นี้ ในอาณาจักรของพระคริสต์ แล้วพวกเราทั้งหลาย ก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาร่วมกับพระเยซูคริสต์  เมื่อเราเชื่อและรับสิทธิของเรา พระองค์เลือกเราทุกคนไว้แล้วว่าเป็นประชากรของพระองค์ นั่งอยู่กับพระองค์ กับพระเยซูคริสต์ที่ได้รับชัยชนะแล้ว ที่เบื้องขวาของพระเจ้า รับเราไปแล้วตั้งแต่ 2,000 ปี แต่ถ้าเราไม่รู้ ไม่มีใครมาบอกเรา หรือบอกแล้วเราไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ พระองค์ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นอีกแล้วทุกวันนี้ พระองค์ทำอย่างเดียว คือเอาข่าวดีไปบอกเขาสิ เอาอันนี้ไปบอกเขา ช่วยกันบอกเขา บอกเขาว่า …

“คุณเป็นของพระเยซู คุณอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน คุณเป็นของอาณาจักรของพระเยซู … พระเยซูทำให้คุณแล้ว คุณไม่ต้องระเหเร่ร่อน เป็นเหมือนคนพเนจรอีกแล้ว ไม่มีใครทำร้ายคุณได้อีกแล้ว เข้ามาเถอะ มารับสิทธิของคุณ”

แล้วพอรับสิทธิแล้ว พระองค์ก็ทรงครอบครอง พอครอบครองคนๆ นั้นปุ๊บ พอมาเชื่อพระเยซู ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูก็เข้าไปสถิตอยู่กับเขา แปลว่าบัลลังก์ของพระองค์อยู่ที่นั่น  อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจของคนนั้น แล้วในใจคนนั้น มากมาย ทั้งโลกร่วมกัน ทุกวันนี้ไปที่ไหน ก็มีบัลลังก์ของพระเยซูคริสต์เต็มไปหมดเลย บัลลังก์อยู่ที่ใครก็ตาม ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด รับสิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นผู้ไถ่บาปเขาทันที มีพระเยซูอยู่กับเขา และบัลลังก์ของพระองค์อยู่ในใจเขา อยู่กับเขา และอาณาจักรของพระองค์ ที่เผยพระวจนะไว้เมื่อตะกี้นี้ คือมันจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อ 30 ปีก่อน ผมมารู้จักพระเจ้าและวันนี้ยังอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ผมเห็นชัดๆ เลย มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีการชะงักว่าหยุดแล้ว เยอะขึ้นทุกวันๆ  แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุด ตามที่เผยพระวจนะเมื่อตะกี้ คือจะใหญ่ที่สุด จนครอบครองเหนือทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างบนโลกใบนี้ และในโลกวิญญาณด้วย

เพราะฉะนั้น จงดีใจและชื่นชมยินดีเถิด เราคือผู้ที่อยู่ในอาณาจักร อยู่ในชัยชนะนี้ เราเป็นประชากรของพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ในอาณาจักรนี้ เป็นอาณาจักรแห่งชัยชนะ อาณาจักรที่ถาวรนิรันดร์แล้ว อาณาจักรที่เริ่มต้นสร้างตั้งแต่สมัยโน่น และบอกล่วงหน้ามาเป็นพันๆ ปี ว่าพระเยซูจะมาเกิด เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มาเกิดที่เยรูซาเล็ม ชัดเจนแม้กระทั่งเบธเลเฮ็ม ตำบลเล็กๆ ก็จะบอกด้วยซ้ำ เกิดเมื่อไร? บอกด้วยซ้ำ จะเกิด แล้วเป็นอย่างไร? บอกด้วยซ้ำ เกิดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น อาณาจักรพระเจ้ามาตั้งอยู่จริงๆ เป็นไปตามนั้นทุกอย่างเลย ทั้งเล่มนี้ พูดถึงเรื่องนี้อย่างเดียวเลย รวมทั้งดาเนียลที่เราเรียนรู้นี้ด้วย แล้วบอกไปจนจบเลย  ซึ่งตอนจบ เราจะค่อยๆ เรียนรู้ต่อไป ในหนังสือดาเนียลได้บอกเรื่องนี้หมด เราได้อะไรจากการเรียนรู้ในเรื่องนี้ เรามั่นคง แข็งแกร่งในความเชื่อ เรารู้แล้ว เราได้รับชัยชนะนิรันดร์อยู่ในพระเจ้า เราไม่กลัวอะไรอีกแล้ว แม้ความตาย เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าควบคุมและครอบครอง ดูแลอยู่ทุกอย่าง ถ้าพระเจ้าจะให้เกิด มันเกิดแน่ แต่มันดีสำหรับเราเสมอ พระเจ้าจะให้กำลังเราทนได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น และพระเจ้าใช้การเกิดนั้น ให้เป็นผลดีในพระราชกิจของพระองค์ ในแผนการใหญ่ของพระองค์ ซึ่งมันสำเร็จแล้ว แต่ตอนนี้กำลังรอให้ครบถ้วนบริบูรณ์

เราควรจะภูมิใจ แม้หลายครั้งเราจะต้องเจ็บปวด แม้หลายครั้งเราอาจจะต้องทุกข์ทรมาน แต่เรารู้ว่ามันแป๊บเดียว เทียบอะไรกับที่เราจะอยู่นิรันดร์ มันเทียบกันไม่ได้เลย ให้สิ่งนี้ หนุนใจเรา อะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ให้เรามั่นใจในสิ่งนี้ พระเจ้าจะนำพาเราไป หลายครั้งเราอาจจะตอบไม่ได้ ทำไมพระเจ้าต้องอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น? แต่สิ่งที่ตอบได้อย่างเดียว ก็คือ …

“พระเจ้าทำให้มันดีต่อฉัน และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์แน่นอน เพราะฉันได้รับชัยชนะไปเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่ได้มารอรับชัยชนะ ฉันได้ชัยชนะไปแล้ว ตอนนี้ อยู่ก็ทำงานให้พระเจ้า ฉันกำลังทำงาน  หมดงาน พระเจ้าก็เอาฉันกลับไป”

พระคัมภีร์จึงบอก คนที่ไปก่อน ก็ได้รับกำไร ตาย ก็ได้กำไร ตายก่อน ก็ได้รับกำไร อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ เพื่อสานงาน ให้พระองค์ต่อไปว่าพระองค์จะใช้เราต่อไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เพื่อเขาจะได้รู้ข่าวประเสริฐ เพื่อเขาจะได้รับความรอด เหมือนเรา เขาจะได้เข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับเราทั้งหลาย เอเมน

นั่นคือความเชื่อและเป็นการประกาศว่าราชา จอมราชา เจ้านาย ผู้ครอบครองอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด และโลกฝ่ายวิญญาณด้วย ของทุกผู้ทุกนาม ตลอดนิรันดรกาล คือองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ด้วยกับเราเสมอ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2016 เรื่อง “ตามรอยของพ่อ” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

ผ่านมา 17 วัน เกือบ 3 สัปดาห์แล้ว

สำหรับเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศโศกเศร้าเสียใจ

หลายๆ คนก็ยังอยู่ในสภาวะทำใจ ยังโศกเศร้าอยู่

แต่ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้นในขณะนี้

เราก็ได้เห็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย ผมก็ติดตามข่าวอยู่ตลอด

ได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่ามีผู้คนเยอะแยะมากมาย ที่ตั้งใจจะทำความดี

ตั้งปณิธานที่จะดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระปร

มินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชของเรา

แล้วหลายคนก็เริ่มต้นทำแล้วด้วย ไม่เพียงแต่มีสิ่งดีๆ

เกิดขึ้นเยอะแยะในบ้านเราเท่านั้น ยังมีสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ทำให้เราคนไทยภูมิใจมากมาย

จากที่ได้เห็นข่าวจากหลายประเทศ

ก็ได้เห็นจัดกิจกรรมเทิดทูนพระมหากษัตริย์อย่างยิ่งใหญ่

สมพระเกียรติ อย่างเช่น เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา

หลายคนก็ได้ดูการถ่ายทอดการประชุมสมัชชาพิเศษ

ที่สดุดีถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล

เราคนไทย นั่งดูไป ก็เศร้าไป แต่ก็ตื่นเต้น ภูมิใจ

อาการนี้เขาเรียกว่ายิ้มทั้งน้ำตา คิดถึงสิ่งที่ท่านทำ

สมัยก่อนตอนท่านอยู่ เราก็ไม่ได้คิด แต่พอท่านไป

แล้วทั้งโลกเขาแซ่ซ้อง เราถึงได้มานั่งคิดนะ

คนเราก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เป็นเอกฉันท์ทั่วโลก

แล้วก็เป็นความภาคภูมิใจของเราทั้งหลาย ขอบคุณพระเจ้า

ที่ทรงให้เรามาเกิดบนแผ่นดินนี้

และทุกคน เวลาจะพูดถึงในหลวงของเรา ที่เราได้ดู

ทั่วโลกจะต้องกล่าวถึงเรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน

ที่ได้ตรากตรำทำงาน เพื่อคนไทยตลอดเวลา 70 ปี

ไม่ใช่คนไทยอย่างเดียว

มีผลกระทบไปยังบรรดาสังคมในโลกนี้ด้วย

พระเจ้าบอกว่าเกียรติเป็นของใคร? ก็เป็นของผู้นั้น สมควรได้รับ

ก่อนหน้านี้ หลายคน รวมทั้งผมเองด้วย

ก็ยังไม่เคยทราบมาก่อนว่าโครงการที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา

ได้คิดและทำมานั้น มีมากมาย

คือเราเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าพระองค์ทรงงานหนักมาก

เยี่ยมพสกนิกร ราษฎร ไกลมากเลย

แต่ก็ไม่เคยนับว่ามีจำนวนโครงการทั้งหมดเท่าไร? จนมาวันนี้

รู้ว่า 4,000 โครงการ

และหนึ่งในโครงการของพระองค์ที่รู้จักกันดีที่สุด

ทุกคนพูดถึงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยเอง

หรือต่างประเทศทั่วโลกก็ตาม ก็คือโครงการเศรษฐกิจพอเพียง

ไม่ใช่เป็นนโยบาย บอก สอนเฉยๆ แต่ทำเป็นตัวอย่าง

แล้วก็สอนคนเป็นตัวอย่าง เริ่มต้นตรงนั้นเป็นตัวอย่าง

เริ่มต้นตรงนี้เป็นตัวอย่าง พร่ำสอนเรื่องนี้มาตลอด

คนไทยทุกคน จึงคุ้นเคยกับคำว่า “พอเพียง” หรือคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” แต่อย่างว่าก็ยังมีหลายคน

รวมผมเองก็เหมือนกัน

ผมก็คิดว่าผมยังเข้าใจไม่ได้ลึกซึ้งเท่าในหลวงของเราที่พระองค์ท

รงตรัสเอาไว้ แต่ก็ยังมีหลายคนในโลกนี้ และในประเทศนี้

ที่ยังไม่เข้าใจเลย

ถึงเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หั

ว ถึงความหมายที่แท้จริง

ที่พระองค์ทรงต้องการให้เราได้เรียนรู้ว่ามันคืออะไร?

มันสำคัญอย่างไรกับชีวิตของคนจริงๆ

มันเป็นจุดเริ่มต้นของความสุข จุดเริ่มต้นของความสงบ

ไม่ใช่สุขอย่างเดียว แต่จุดเริ่มต้นของชีวิตของคนทีเดียว

อยากบอกว่ามันสำคัญที่สุด

พอดี ก็ติดตามข่าวมาตลอด ในช่วงนี้ เหมือนเราหลายๆ คน

ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ คลิปวีดีโอมากมายถึงสิ่งต่างๆ

ของพระองค์ท่านเยอะแยะในขณะนี้ มีอยู่คลิปหนึ่ง ผมได้เปิดดู

ประทับใจมาก ที่พระองค์ท่านได้ทรงอธิบายความหมายของคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” ได้แบบลึกซึ้งเข้าใจง่ายๆ เป็นคลิปสั้นๆ

เท่านั้นเอง ผมฟังแล้วประทับใจมาก ก็ฟังแล้วฟังอีก ยอดเยี่ยมๆ

ถ้าฟังเมื่อ 20 ปีก่อน ผมอาจจะไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ ณ วันนี้

ได้ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาพอสมควร

เป็นพระราชดำรัสที่ได้พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม ปี  2541

https://youtu.be/yvO3dbTN4xI (ให้พี่น้องไปเปิดฟัง)

นี่เป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น จริงๆ

ผมอยากให้ท่านฟังฉบับเต็มเลย มีประโยชน์มากจริงๆ ฟังแล้ว

นอกจากเราจะซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านแล้

ว ถ้าเราน้อมนำเอาความคิดทั้งหมดนั้น

มาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตของเราทุกคน

ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง ต่อครอบครัว ต่อประเทศชาติ

แม้กระทั่งไปถึงทั่วโลก นี่แหละครับ

ทั่วโลกจึงถวายเกียรติแด่พระองค์ท่าน

ตัวอย่างพระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่ได้ประทาน

เนื่องในวันปีใหม่ 31 ธันวาคม 2502 หลายท่านยังไม่ได้เกิดเลย

ประมาณ 57 ปีมาแล้ว มีใจความตอนหนึ่งว่าอย่างนี้ …

“การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น

จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง

และครอบครัว ช่วยป้องกันการขาดแคลนในวันข้างหน้า

การประหยัดดังกล่าวนี้ จะมีผลดี

ไม่เฉพาะแก่ผู้ประหยัดเท่านั้น

แต่ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย”

จริงเลยแหละ ไปจนถึงทั่วโลกเลย

ก่อนหน้านี้จะมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือยัง ผมไม่แน่ใจ

เพราะเท่าที่ค้นมา เก่าที่สุด คือ 2502 สอนมา 57 – 58 ปี เกือบ 60

ปีแล้ว สอนเรื่องนี้มาตลอด ถ้าพูดตามสามัญชาวบ้าน

ต้องบอกว่าพูดจนปากเปียกปากแฉะ ก็ยังไม่เข้าใจกันเท่าไร?

ยังปฏิบัติกันไม่ได้มากในบ้านเมืองเรา ยังไม่เกิดประโยชน์มาก

แต่พระองค์ท่านไม่เคยท้อเลย พูดทุกปี พูดบ่อยๆ

ไม่ใช่พูดอย่างเดียว ทำเป็นตัวอย่าง ทำเป็นโครงการนั้น

โครงการนี้ ในชนบท ตั้งแต่ปี 2502 จนมาถึงคลิปตะกี้นี้ 2541

ก็ยังอธิบายอยู่ แล้วพระองค์ท่านก็บอกว่าปีหน้าก็ต้องพูดอีก

รู้ว่าเบื่อ แต่รู้ว่าเข้าใจแค่นิดเดียว จะพูดต่อไป

มาถึงวันนี้ ไม่ใช่แค่เพียงคนไทยเท่านั้น แต่หลายๆ ที่ หลายๆ

แห่งในโลก ก็ได้รู้จักปรัชญาเศรษฐกิจเพียงพอ ที่เราได้ยินกัน

เพราะมันเกิดผลจริงๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิ

พลอดุลยเดช ในหลวง รัชกาลที่ 9 ของเรา

จึงเป็นอันหนึ่งที่สำคัญมาก ทั่วโลกนำไปใช้ในขณะนี้

ซึ่งเราได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ เราก็รู้ด้วยตัวเราเอง นั่นมีหลักฐานชัดเจน

ลึกซึ้ง อีกหลายอย่าง ถ้าฟังสมัยก่อน เราอาจไม่ลึกซึ้งขนาดนี้

และถ้าท่านฟังวันนี้ และตั้งใจฝึกฝนไปเรื่อยๆ อีก 10 ปี

ท่านเอาคลิปนี้มาฟังใหม่อีก

ก็จะขยายความเข้าใจท่านมากขึ้นเรื่อยๆ แค่ 15 นาทีเท่านั้น

แต่ความลึกซึ้งมหาศาลมาก

ผมจึงอยากจะใช้เวลานี้ ให้พวกเราได้เข้าใจกับคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” หรือคำว่า “พอเพียง”

ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “To be contentment” คือ

“มีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่” ไม่ใช่แค่เงินอย่างเดียว

ไม่ใช่สิ่งของอย่างเดียว รวมหมดทุกอย่าง

เหมือนที่พระราชดำรัสที่เราได้ฟังกัน แม้กระทั่งความคิดของเรา

ซึ่งเป็นเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

ของเราพร่ำสอนมาตลอด 60 ปี เราก็จะใช้เวลานี้แหละ

เรียนรู้เรื่องเหล่านี้มากขึ้น

เพื่ออย่างน้อยจะได้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและครอบครัว

และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

และเป็นประโยชน์ต่อสังคมโลกด้วย

ตามที่มูลนิธิมั่นพัฒนา โดย ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา

ได้เคยกล่าวไว้ว่าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

ทรงเปรียบเทียบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เหมือนเสาเข็ม

พระองค์ทรงรับสั่งว่าบ้านเมืองของเรา ถ้าจะให้มั่นคง ต้องมีเสาเข็ม

และเสาเข็มมันอยู่ใต้ดิน มองไม่เห็น

คนเลยละเลยไม่ให้ความสำคัญกับเสาเข็ม แต่บ้านมันจะอยู่ได้

ต่อเมื่อเสาเข็มแข็งแรง ถ้าเสาเข็มไม่แข็งแรง วันหนึ่งลมพัด พายุมา

มันก็โค่นล้ม ในหลวงตรัสว่ามันเป็นเหมือนเสาเข็มนี่แหละ

คนมักมองไม่เห็นว่าความสำคัญอยู่ตรงไหน?

ถ้าพื้นฐานของคนไม่มีความอยู่ดีกินดี ตามอัตภาพ

“อยู่ดีกินดีตามอัตภาพ” คืออะไร? เป็นอยู่ มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่

หมายถึงกินอาหารอย่างเดียว อยู่ดีกินดี

หมายถึงชีวิตทุกอย่างอยู่ในความพอเพียง พอดีแล้ว ตามอัตภาพ

ก็คือตามกำลังของตนเอง คิดก็คิดตามกำลัง อยากก็อยากตามกำลัง

แล้วสุดท้าย ก็คือกินตามกำลัง ใช้สอยเงินตามกำลัง

ไม่คิดอะไรใหญ่โตเกินกว่าที่ตัวเองควรจะคิด ถ้าเป็นอย่างนั้น

นั่นแหละเรียกว่าพื้นฐานที่มั่นคง มันจะไม่ล้มลงมาง่ายๆ

แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ มันจะล้มลงง่ายๆ คิดเกินไป

คิดว่าเราจะไปอยู่ตำแหน่งนั้น แต่เราทำไม่ได้ เราคิดเกินไป

เรามีสติปัญญาแค่นี้ ขนาดนี้ เราควรจะรับผิดชอบแค่นี้

เราคิดว่าเราอยากจะมีตำแหน่งอย่างโน้น

แล้วในที่สุดมันก็พังลงมาหมดเลย อย่างนี้ ไม่เกี่ยวกับอาหาร

และเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ก็ได้น้อมนำพระราชดำรัสที่พระองค์ประทาน

สรุปความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง หรือความพอเพียงตรงนี้

เป็นประเด็นหลักๆ 3 ข้อเริ่มต้น คือ …

(1) พอประมาณ ไม่สุดโต่ง …

(2) มีเหตุมีผล …

(3) มีภูมิคุ้มกันที่ดี …

หลักข้อที่ 1 พอประมาณ ไม่สุดโต่ง

ก็คือพอประมาณในทุกอย่าง มีความพอดีไม่มาก

หรือไม่น้อยจนเกินไป และไม่เบียดเบียนตนเอง

หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ความหมายก็คือตามกำลังของตนเอง

ไม่ใช่ว่ามีไม่ได้ หรูหราไม่ได้

ตามที่พระองค์ท่านตรัสตามคลิปเมื่อตะกี้นี้ มีได้

แต่มีตามกำลังของเราที่มี หรูหราได้ไหม? ได้

ถ้าท่านคิดว่าท่านมีกำลังพอ จะทำอย่างนั้น

ไม่เดือดร้อนชาวบ้านและตนเอง รู้จักประมาณตนนั่นเอง

อย่างตอนหนึ่งในพระราชดำรัสที่เราได้ฟังเมื่อตะกี้นี้

ที่ทรงตรัสว่าพอเพียง ก็คือ 2 ขาของเรายืนอยู่บนพื้นให้ได้

ไม่หกล้ม ไม่ต้องขอยืมขาของคนอื่น มาใช้สำหรับยืน คำว่าพอ

ก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอ ดังนั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ

ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย

ทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง

ไม่โลภมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้ อาจจะมีมาก

อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น

ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจา ก็พอเพียง

ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง

แค่นี้เอง ลึกซึ้งมาก คิดกับคนข้างๆ ผิด

ก็คือคิดเลยจากความพอเพียง คิดอิจฉา จะไปเลื่อยเก้าอี้เขา

จะไปแทนที่เขา อย่างนี้ เรียกว่าคิดมากเกินไป ไม่ต้องคิดอย่างนี้

คิดพอดี ก็มีความสุข มีสันติสุข เขาก็สุข เราก็สุข

ไม่เดือดร้อนชาวบ้าน คิดไปเลื่อยขาเขา ก็สร้างแผนการที่ไม่ดี

สิ่งชั่วร้ายก็เกิดขึ้น พระคัมภีร์บอกว่าพอรู้สึกไม่พอ

ความโลภก็เกิดขึ้น ความโลภ คือความไม่พอ

พระคัมภีร์บอกความโลภ คือบ่อเกิดของความบาปทุกชนิด

ความโลภ คือไม่พอ … พอ ก็คือไม่โลภ เศรษฐกิจพอเพียง

คือเศรษฐกิจที่ไม่โลภ พูดฟังง่ายนะ แต่ปฏิบัติยาก

ต้องเรียนรู้กันต่อไป ต้องปฏิบัติ ฝึกฝน อย่างที่บอก 57 ปี

ในหลวงของเราก็ยังสอนเรื่องนี้ตลอดเวลา

เพราะนี่คือหลักการของชีวิต ที่ทำให้เกิดความสุขสงบได้

ในประเทศนี้ และในโลกนี้เลย

หลักข้อที่ 2 ต้องมีเหตุและมีผล

หมายถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น

จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลด้วย

โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง

ตลอดจนถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ

อย่างรอบครอบ ไม่ใช่พอบอกว่าใช้ตามอัตภาพ ตามกำลัง

พอเรามีเยอะ ก็ใช้แบบไม่มีสติเลย ไม่มีเหตุ ไม่มีผล

ไม่มีการพิจารณาใคร่ครวญในการใช้ อันนี้ก็ไม่ใช่พอเพียง

พระบรมราโชวาทในพิธีประทานปริญญาบัตร

มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อปี 2540 … 19 ปีที่แล้ว

มีใจความตอนหนึ่งว่า …

“ข้อสำคัญในการสร้างตัว สร้างฐานะนั้น

จะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบครอบ

ระมัดระวัง และความพอเหมาะ พอดี ไม่ทำเกินฐานะ

และกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ”

จำข้อความในพระคัมภีร์ได้ไหม? ความเร่งรีบ คือความบาป …

บาปทำให้เกิดความเร่งรีบ เพราะถ้าเชื่อและวางใจในพระเจ้า

เราก็จะนิ่งได้ แต่ถ้าเราไม่เชื่อและวางใจในพระเจ้า

เราก็อยากได้ในสิ่งที่เราอยากได้เอง ทุกอย่างจะพึ่งตัวเองหมด

เราก็ทนไม่ไหว ในที่สุดเราก็จะเร่งรีบ ต้องการตรงนั้น

ต้องการตรงนี้ รอไม่ได้ เพราะเราไม่ได้วางใจในพระเจ้า

เมื่อบาปเกิดขึ้น ก็คือเราไม่ได้นึกถึงพระเจ้านั่นเอง การเร่งรีบ

คือคนไม่นึกถึงพระเจ้า ตอนนั้น มันเป็นบาปอยู่ บาป

คือตรงกันข้ามกับทางพระเจ้า …

พระเจ้าต้องการให้เรานึกถึงพระองค์ …

พระองค์จะให้เราทำอะไร? เรานึกถึงพระองค์เมื่อไร? เราจะไม่รีบ

เรารีบเมื่อไร? เราก็ไม่นึกถึงพระองค์ ถูกไหม?

เพราะรู้ว่าการควบคุมดูแล การกำหนด การจัดเตรียม

จัดหาทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่พระองค์ทั้งสิ้น เรารู้มาตลอด

แล้วทำไมตอนนี้เรารีบ ก็แสดงว่าเรากำลังลืมพระเจ้า

ลืมถ้อยคำของพระองค์ก็ได้ ลืมคำสอนของพระองค์ก็ได้

ก็คือลืมพระเยซูนั่นเอง แต่ถ้าเรามีความพอใจ

มีเพลงอยู่เพลงหนึ่งที่บอกว่า …

“ข้าต้องการพระเยซูยิ่งกว่าเพชรนิลจินดา”

แล้วในเพลงนี้บอกว่า “ข้าต้องการพระเยซูมากกว่าทุกสิ่ง”

พอมีพระเยซูก็นิ่งแล้ว อย่างอื่นก็ค่อยว่ากัน แต่ขณะที่เร่งรีบ

พระเยซูหายไปแล้ว

หลักการข้อที่ 3 คือต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง

หมายถึงการเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อรับผลกระทบ

และการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ

ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งใกล้และไกล

ก็คือต้องมีการเรียนรู้ฝึกฝนที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ให้ได้

เช่น เมื่อเกิดวิกฤตขึ้นมา ไม่ว่าวิกฤตอะไรก็ตาม

เราจะรับมือกับเหตุการณ์นั้นๆ ได้อย่างไร? เช่น เมื่อทำตามข้อ 1

ข้อ 2 แล้ว พออัตภาพสำหรับตนแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ไม่นึก ไม่คาด

ไม่ฝันเกิดขึ้นมา เขาเรียกว่าแอดสิเดนเกิดขึ้นมา

ในสถานการณ์แบบนั้น เราจะทำอย่างไร?

ต้องเตรียมให้พร้อม ถามว่าพอเพียง

หมายถึงต้องเตรียมให้พร้อม อะไรบางอย่าง เราไม่คาดคิด

มันอาจเกิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อบนโลกใบนี้ พูดง่ายๆ ถ้าตามพระคัมภีร์

คือพระเยซูบอกแล้วอยู่บนโลกใบนี้มันมีแต่ความทุกข์

เดี๋ยวมันก็โผล่ขึ้นมา เราต้องรู้ว่าจะเกิดแน่ เมื่อไรไม่รู้

แต่เราต้องพร้อมที่จะรับในสิ่งเหล่านั้นที่มันอาจจะเกิดขึ้นกับเรา

คือหนึ่งในจำนวนพอเพียงนั้น แล้วเราพร้อมได้อย่างไร?

ก็คือเราสามารถเชื่อและวางใจในพระเจ้า ถ้าเราวางใจในพระเจ้า

ก็คือเราพร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้ ในพระเยซูคริสต์

ผู้ที่เป็นกำลังของเรา ฟีลิปปี 4:13

ฟีลิปปี 4:13

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า”

ขณะที่พูดนั้น ยังไม่มีสถานการณ์อะไรเข้ามาเลย

แต่เตรียมพร้อมไว้ว่าถ้าวันหนึ่งเข้ามา

ข้าพเจ้าจะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้

โดยพระเยซูคริสต์ผู้เสริมกำลังข้าพเจ้า คือการเตรียมชีวิตทั้งหมด

นอกจากเตรียมโดยปฏิบัติแล้ว ต้องเตรียมด้วยความเชื่อด้วย

เราดูแลอย่างนี้ตลอดแล้ว เราประหยัดแล้ว เราพอเพียงแล้ว

รับรองได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเราแน่นอน ไม่ใช่อย่างนั้น

ชีวิตไม่ได้เรียบง่ายอย่างนั้น มันอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ได้

แต่ขณะที่เกิดขึ้นนั้น

ต้องให้เราเตรียมพร้อมว่าเราเชื่อในพระเจ้าว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุ

มดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ชีวิตของเราอย่างเดียวทั้งหมด

หลังจากเหตุการณ์นี้

อยู่ในความดูแลของพระองค์และพระองค์กระทำทุกสิ่งทุกอย่างตาม

น้ำพระทัยของพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์

และมันจะเป็นผลดี สำหรับเรา ลูกของพระองค์ ที่รักพระองค์

ที่เชื่อในพระองค์เสมอ พูดง่ายๆ ในที่สุด

มันจะเกิดเป็นผลดีสำหรับเรา นั่นก็เกิดสันติสุข ความสงบ

เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงๆ เราก็พอเพียงได้

มันหมายถึงอย่างนั้น

วันนี้เราก็ได้เรียนรู้วิถีทางการพอเพียง

ตามแนวพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัว

พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ของเรา

แล้วคราวหน้าเราก็จะมาเรียนรู้ตามแนวทางของพระเจ้า

ควบคู่กันไป ที่สอนไว้ในพระคัมภีร์ว่าให้เรา

เดินอยู่ในทางของพระองค์ ด้วยความพอเพียง แล้วท่านจะทึ่ง

เมื่อท่านเรียนไปเรื่อยๆ ทึ่งว่าแนวทางในพระคัมภีร์

เป็นแนวทางที่สอดคล้องกันอย่างดีกับเศรษฐกิจพอเพียงของในหล

วงเลย ท่านจะตกใจหลายอย่าง ที่ท่านอาจจะไม่เคยรู้

ตอนนี้สื่อออกมาตรงนี้เยอะ ท่านก็จะได้ฟังตรงนี้ ตรงนั้น หลายๆ

ทาง เพื่อให้จิตวิญญาณเจริญเติบโตในทางของพระเจ้า

วันนี้ เราจะจบกันด้วยถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ก่อน

แล้วผมจะอธิบายให้ท่านฟังถึงถ้อยคำนี้ เป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากๆ

ว่าทั้งหมดที่เราฟังในคลิปเมื่อตะกี้นี้กับถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึก เมื่อ

2,000 ปีแล้ว เป็นสิ่งเดียวกันเลย ที่เราจะต้องปฏิบัติ

แล้วพระเจ้าต้องการให้เราปฏิบัติ เพื่อชีวิตเราจะได้อยู่บนโลกใบนี้

เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

1 ทิโมธี 6:6-8 “ 6

แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมี

ย่อมเป็นกำไรงาม 7 เพราะเราเข้ามาในโลกตัวเปล่า

เมื่อออกจากโลก ก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ 8 แต่ถ้าเรามีอาหาร

และเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น”

นี่คือปรัชญาชีวิต นี่คือความเป็นจริงของชีวิต

นี่คือแนวทางที่พระเจ้าบอกเราว่าถ้าเราทำอย่างนี้

ชีวิตเราจะอยู่บนโลกนี้อย่าง มีความสุขสงบมาก ปลอดภัย

(มากที่สุด) แต่ทางของพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจ

ในสิ่งที่ตนมีอยู่ ตรงนี้ภาษาเดิมหมายความว่าอย่างไร?

คำพูดนี้เขียนตอนที่พระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน

หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งหมด

เรียบร้อยแล้ว พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์

พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า

ผู้สถิตในสวรรค์ พระเจ้าพระบิดาส่งพระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อตายที่ไม้กางเขน พระบิดาต้องการให้พระเยซูตายที่ไม้กางเขน

เพื่อหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ซึ่งเป็นโลหิตของความบริสุทธิ์

เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นคนบาป โลหิตของพระองค์จะชำระบาป

ชดใช้บาปให้กับมวลมนุษยชาติทั้งหมดเลย พระองค์จะตายที่นั่น

และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และครอบครองเหนือทุกสิ่ง

แล้วพระองค์บอกว่าพระองค์เป็นทางนั้น

ที่ท่านทั้งหลายจะไปหาพระเจ้า ท่านจะไปหาพระบิดาเจ้า …

เจ้าของสวรรค์ ถ้าท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสวรรค์

“พระเจ้าส่งฉันมา

เพื่อให้บอกท่านว่าฉันเป็นทางที่ท่านจะไปหาพระเจ้า

เป็นทางที่ท่านจะไปสวรรค์

เป็นทางที่ท่านจะไปหาพระบิดาในสวรรค์ ฉันเป็นทางนั้น”

ทางนี้ทำด้วยอะไร? “ทางนี้ทำด้วยความตายของฉัน

ทางนี้ทำด้วยโลหิตของฉันที่หลั่งที่ไม้กางเขน

เพื่อชำระบาปให้กับท่าน”

เรากลับมาดูเมื่อตะกี้ แต่ในทางพระเจ้า ทางพระเยซู

ในนี้กำลังจะบอกว่าในทางพระเจ้า

พร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ก็คือเริ่มต้นด้วย

ถ้าท่านอยู่ในทางพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าท่านเชื่อพระเยซูแล้ว

พร้อมด้วยท่านมีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ กำไรงาม จบ

ชีวิตท่านเยี่ยม เป็นกำไรชีวิตที่งามที่สุดในโลกนี้

ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว มันแปลว่าอย่างนั้น Godliness with contentment

ภาษาเดิมแปลภาษาอังกฤษว่าความบริสุทธิ์ที่ท่านได้จากทางนี้

จากการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ซึ่งท่านไม่สามารถทำเองได้

พระคัมภีร์บอกเราไม่สามารถไถ่บาปตัวเราเองได้

เพราะเราเป็นคนบาป แต่พระโลหิตของพระเยซู

ซึ่งเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ สะอาดหมดจด

สามารถไถ่บาปเราได้ นี่เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่เราจะบริสุทธิ์

ท่านได้ความบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ท่านได้กำไรไปแล้ว

แต่ไม่กำไรถึงที่สุด ท่านต้องได้พระเจ้าไปด้วย

และมีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ท่านจะมีกำไรงาม …

งามมากเลย นี่คือเคล็ดลับ

แล้วก็บอกว่าพอมีทางพระเจ้า แล้วมีความพอใจ

แค่ท่านมีอาหารและเสื้อผ้าก็พอใจ ยกตัวอย่าง อะไรก็ได้

แล้วแต่พระเจ้าให้ พูดง่ายๆ แล้วแต่พระเจ้าจะจัดเตรียมให้

แม้นกในอากาศ พระองค์ยังดูแลเลย แล้วท่านเป็นใคร?

พระเจ้าจะไม่ดูแลท่านมากกว่านี้หรือ? พระเยซูตรัส

ขนาดนกในอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้ ดอกหญ้า

สวยงามมากเลย เดี๋ยวไม่กี่วันมันก็เฉาแล้ว ถูกแดดเผา

พระเจ้ายังตกแต่งมันสวย

แล้วท่านจะอยู่กับพระองค์ไปตลอดนิรันดร์

แล้วเป็นลูกของพระองค์ด้วย

พระเจ้าจะไม่ดูแลมากกว่าดอกไม้ไม่กี่วันนั่นเหรอ

ต้นหญ้าไม่กี่วันเหรอ นกกระจอกอายุมันอยู่นานเท่าไร?

พระเจ้ายังเลี้ยงดูมันเลย มันไม่ทำงาน วันๆ บินออกมา ร้องจิ๊บๆ

เดี๋ยวมันก็กลับไปบ้าน มันก็อยู่ได้ของมัน

พระเยซูสอนให้เรามองสิ่งเหล่านี้ แล้วท่านเป็นใคร?

เมื่อท่านอยู่ในทางพระเจ้า ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว

พระเจ้าจะดูแลท่านเอง พระเจ้าที่ดูแลนกนั่นนะ

พระเจ้าที่ดูแลต้นหญ้าให้มีดอกสวยขนาดนั้น เป็นพ่อของท่าน

จะดูแลชีวิตท่าน

และยกตัวอย่าง เมื่อสมัยท่านเป็นคนบาป

หรือทุกวันนี้ท่านรู้ตัวว่าท่านเป็นคนบาป ท่านยังรู้จักรักลูกของท่าน

ให้ของดีๆ ใช่ไหม? เราก็ต้องบอกว่าใช่

แล้วมากกว่านั่นสักเท่าไรที่พ่อ ผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ เป็นพ่อของท่าน

พระเจ้าบริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยพระสิริ ไม่ใช่เป็นคนบาป

จะรักท่านและให้ของดีๆ กับท่านมากกว่านั้นสักเท่าไร?

ท่านคิดเอาเอง เทียบเอาเอง เราเป็นห่วงลูกของเรามากเลยนะ ดึกๆ

ดื่นๆ ถ้าทำอันโน้นอันนี้ สมมตินะ เราเป็นห่วงมาก เป็นห่วงสุขภาพ

ตอนเขาไม่สบาย เราก็เป็นห่วงมาก พระเยซูบอกให้เราคิดเอาเอง

พระเจ้าเป็นห่วงเราขนาดไหน?

มากกว่านั้นสักเท่าไรที่ถ้าเกิดตอนนี้เราเป็นหวัด

พระเจ้าเป็นห่วงเรามากกว่านั้นสักเท่าไร?

นี่เปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ เลย ถ้าเราได้สิ่งเหล่านี้มาทั้งหมด

รวมกับความพอใจในสิ่งที่มีอยู่ว่า …

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว” วันทั้งวันนั่งยิ้ม

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วันหนึ่งจากโลกนี้ไป ฉันก็ไปอยู่ในสวรรค์

ขอบคุณพระเจ้า อยู่บนโลกนี้ ก็แล้วแต่น้ำพระทัยพระองค์

จะให้มีเงิน ฉันก็จะใช้เงินเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

เพราะพระเจ้าสอนฉันว่าถ้าให้มีเงิน หรูหราได้ไหม? ได้

แต่ความหรูหรานั้น มีสติปัญญาจากพระเจ้า

คือเป็นเหมือนผู้อารักขาของพระเจ้า

ใช้ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า”

เห็นไหม? ไม่ใช่มีเงิน แล้วมานึกว่า …

“ฉันรวยแล้ว อันนี้เป็นของฉัน”

เปล่า “ฉันเป็นผู้อารักขาเงินจำนวนนี้

และพระเจ้าก็อนุญาตให้ฉันใช้ด้วย แต่ใช้อย่างมีสติ”

มีสติว่าอย่างไร? นี่เป็นเงินของพระเจ้า ใช้ในทางของพระเจ้า

เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า หรูหราได้ไหม? ได้ แต่คิดทางนี้

เขาเรียกว่าคิด มีเหมือนไม่มี ขับรถใหญ่หรูหราเลย มี

แต่เหมือนไม่ใช่ของเรา … เราไม่ได้ไปยึดมันเป็นของเรา

เมื่อไรพระเจ้าจะเอาคืนไป ไม่มี ก็ไม่มี …

มีก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในทางของพระเจ้า มีสติ คืออย่างนี้

เพราะฉะนั้น นี่คือหนทางที่มีสันติสุข และมีความสงบสุขจริงๆ

บนโลกใบนี้ และมีความหวังในโลกหน้าด้วย

ขอพระเจ้าอวยพรครับ