คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2018 เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอน 3 “ข่าวดีจริงๆ คืออะไร?” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  พฤษภาคม  2018

เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ

กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู

ตอน 3 “ข่าวดีจริงๆ คืออะไร?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เรายังอยู่ในซีรี่ย์ “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะกับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอนนี้ตอนที่ 3 แล้ว ใช้ชื่อตอนว่า “ข่าวดีจริงๆ คืออะไร?” 2 สัปดาห์ที่แล้ว เราก็ได้เรียนรู้ความหมายของความแตกต่าง เรื่องการเผยพระวจนะกับข่าวดี เรื่องพระเยซู สรุปง่ายๆ ก็คือคำเผยพระวจนะเป็นพันธสัญญาของพระเจ้า ที่เตรียมการไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก และได้ถูกปิดบังเอาไว้ก่อน ยังไม่มีการเปิดเผย รอจนกระทั่งถึงเวลาที่เหมาะสม จึงเปิดเผยออกมาทีละเล็กทีละน้อย ทางผู้เผยพระวจนะ ที่เรียกว่า “Prophet” หรือที่พระเจ้าใช้ เป็นผู้บอกล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอนาคต ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งเอาไว้ นั่นคือแผนการ หรือข่าวดีที่ยังไม่สำเร็จ จนกระทั่งเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว สิ่งที่เรียกกันว่า “คำเผยพระวจนะ” หรือเรียกว่า “คำบอกล่วงหน้า” ก็เกิดขึ้นจริง คือพระบุตร พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ทนทุกข์ทรมาน และตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับโทษบาป ไม่ใช่ เพียงอิสราเอลเท่านั้น  แต่แทนมนุษยชาติทั้งปวง และ ณ เวลานั้น คำเผยพระวจนะหรือคำบอกล่วงหน้าที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม ก็ถูกเรียกใหม่ว่าเป็นข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ เพราะว่าแผนการของพระเจ้าที่บอกล่วงหน้าไว้ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว จึงกลายเป็นข่าวดี

พระคัมภีร์จึงบอกว่าให้ไปประกาศข่าวดีนี้ ต่อๆ ไปเรื่อยๆ จนสุดปลายแผ่นดินโลก ใครเชื่อในข่าวนี้ ก็ได้รับผลจากข่าวดีนี้ ได้รับสิทธิจากข่าวดีนี้ คือได้รับความรอด … รอดจากนรก รอดจากโทษของความบาป และได้รับอะไรเยอะแยะตามสิทธิที่บันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ หัวใจสำคัญของการประกาศข่าวดีนี้ ก็คือข่าวดีนี้ มันสำเร็จแล้วนั่นเอง Testelesti

แผนการที่พระเจ้าวางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก เพื่อจะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป รอดจากความทุกข์ทรมานทั้งฝ่ายจิตวิญญาณและฝ่ายร่างกาย มันสำเร็จแล้ว จบแล้ว นี่คือข่าวดี

แล้วทำไมเราต้องมาเรียนรู้กันเยอะแยะ ทำไมผมต้องมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวดีนี้ ก็เพราะว่าด้วยเนื้อหนังของเรา ที่เราเห็นกันอยู่นี้ ความเคยชินของเรา ที่เราเป็นกันอยู่ ดำเนินชีวิตกันอยู่ด้วยความเชื่อเก่าๆ ของเรา วัฒนธรรม ประเพณีเก่าๆ ที่เรา ดำเนินอยู่ตลอดมา ด้วยสำนึกในจิตใจเก่าๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งยังอยู่กับเรา สำนึกในจิตใจนี้ ที่หยั่งรากลึกมาถึงทุกวันนี้ มันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกเราว่าเราเป็นคนบาป มันจึงทำให้เราเชื่อเรื่องข่าวดีได้ยาก เชื่อในเรื่องฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐหรือข่าวดีนี้ ได้ยาก ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามันเป็นฤทธิ์เดช และเชื่อยาก มนุษย์ก็เลยมีความรู้สึกว่าอยากจะทำอะไรบางอย่างเพิ่มมากขึ้น เพื่อแลกกับความรอดที่ได้รับ แม้เชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ยังทำอยู่ อยากจะลบมันบ้าง เพราะมันเคยชินกับจิตใต้สำนึกอย่างนี้ พูดง่ายๆ ก็คือไม่เชื่อในข่าวดีจริงๆ ของพระเจ้า พระเยซู ปากก็บอกเชื่อ แต่ทนไม่ไหว เพราะฉะนั้น ผมจึงมาย้ำเรื่องนี้บ่อยๆ เรื่องสำคัญและย้ำตามพระคัมภีร์เลย  พระคัมภีร์ใหม่ ในจดหมายฝากของอาจารย์ต่างๆ จะเน้นเรื่องนี้มาก ให้ความสำคัญมาก พระเยซูเองก็ประกาศ สอนเรื่องนี้ ในพระกิตติคุณหลายๆ เล่ม ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ และสอนมนุษย์ด้วยตัวตนที่เป็นมนุษย์อยู่ พูดถึงเรื่องนี้เยอะเลย ยกตัวอย่างมากมายไปหมด บางคนคิดเอง ทำเองไม่พอ ไปสอนคนอื่นให้ทำอย่างนี้ด้วย

ผู้เชื่อใหม่บางคน เพิ่งมาเชื่อพระเจ้า พอมาเจอการสอนแบบใหม่นี้ หมายถึงแบบที่เสริมเอง เติมเอง ก็เข้าใจว่าคริสเตียนต้องทำแบบนี้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาเชื่อฟัง เพราะเขาเป็นผู้รับใช้ เขาอยู่บนเวทีต้องให้เกียรติ ต้องเชื่อ ก็ทำตาม ทำตามไม่พอ ยังสอนลูกสอนหลาน สอนผู้เชื่อใหม่ต่อๆ ไปอีก มันก็เลยเป็นหางว่าวไปยาวเลย นี่แหละคือความสำคัญ ที่ผมพยายามมาพูดย้ำบ่อยๆ แล้วพยายามทำให้มันละเอียด ก็เพราะอย่างนี้แหละ สอนกันต่อๆ มา หนักเข้าๆ ก็เลยกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นความเข้าใจผิดในวงกว้าง หลายๆ คนก็เลยคิดว่าพอมาเป็น คริสเตียน มาเป็นผู้เชื่อแล้ว มีกฎบังคับเต็มไปหมด ข้อห้ามเยอะแยะทั้งสิ่งที่ต้องทำ และสิ่งที่ห้ามทำ ใช่หรือไม่? ทุกคนคิดในใจอันนี้ต้องทำ อันนี้ห้ามทำ

ในขณะที่พระคัมภีร์บอกว่าให้เราประกาศข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีนี้ต่อๆ ไป พระเยซูเป็นผู้แรกที่ประกาศ บนโลกใบนี้เลยว่าสำเร็จแล้ว ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกนั้น มันจบแล้ว ช่วยเหลือมนุษย์ เป็นอิสรภาพแล้ว เราไม่มีบาปแล้ว มนุษย์ได้รับความรอดแล้ว จากการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ มนุษย์ได้รับการลบล้างบาปชั่วนิรันดร์แล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มจากนี้ มันสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ตามพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้น แต่ผู้เชื่อหลายคน ก็ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ห้ามทำ” “ต้องทำ” ก็คือกฎนั่นแหละ พระเยซูบอกว่าเป็นอิสระแล้ว แล้วมันคืออะไร?

มีผู้เชื่อใหม่หลายคน พอต้องมาเจอการสอนแบบนี้ ก็เริ่มรู้สึกอึดอัด ซึ่งในยุคนี้ พออึดอัดแล้ว ทำอย่างไร? ท่านก็กดไปทั้งไลน์ เฟสบุ๊ค พันธุ์ทิพย์ Google อยากรู้ว่าอะไรคือความจริง พออึดอัด ก็ต้องโพสต์ทั้งโซเซียนมีเดีย ตั้งกระทู้ เต็มไปหมด

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านฟังบางส่วนที่อ่านเจอมา และต่อไป ถ้าเราไม่แก้ไขเรื่องนี้ให้มีหลักฐานตามถ้อยคำพระคัมภีร์ ยิ่งเจริญเติบโตในประเพณีวัฒนธรรม ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุสิ่งของที่มันเจริญ ยุ่งไปหมดเลย คราวนี้ ข้อห้ามคงจะเยอะขึ้น มาเป็นคริสเตียนตอนนี้อาจจะมี 500 ข้อ อีก 5 ปีผ่านไป เมื่อเราไปอยู่ดวงจันทร์แล้ว คงจะเพิ่มไปอีกประมาณ 3,000 ข้อ เพราะเราไม่มีพื้นฐานที่ถูกต้อง จริงๆ ถ้าพื้นฐานถูกต้อง ไม่ว่ามันจผ่านไปอีกกี่ปี? มันก็ต้องเหมือนเดิม ตอนที่พระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือสำเร็จแล้ว ไม่ใช่นานๆ ไป เหลือครึ่งสำเร็จ

เรามาดูสิว่าผมไปเจออะไรมาบ้าง? มันตรงกับใจเราไหม? มีโพสต์อันนี้บอกว่า …

“อาจารย์ที่โบสถ์สอนว่าห้ามทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพ แต่ไม่กล้าบอกที่บ้าน ทำอย่างไรดี?”

ที่บ้านเขายังไหว้อยู่ แล้วเราก็นั่งอยู่ เขาก็กินกัน แต่อาจารย์บอกว่า “อย่ากิน” เราก็เลยกินไม่กิน? สรุปแล้ว ไม่บอก? แล้วแต่

“เป็นคริสเตียน บางคนบอกกินปลาดุกได้ บางคนบอกกินไม่ได้ สรุปว่ากินได้ไหมครับ? ปลาดุกฟูนี้อร่อยมาก ผมชอบ ขอคำแนะนำด้วยครับ?”

ใครที่กำลังมีแฟน อ่านตรงนี้ให้ดีๆ

“ให้คำแนะนำด้วยค่ะ แฟนยังไม่เชื่อพระเจ้า วางแผนเตรียมแต่งงาน แต่มีหลายคนเตือนอย่าเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ”

สะดุ้งโหยงเลย สรุปว่าแต่งไหม? ต่อไป

“เพื่อนๆ เรา ที่โบสถ์อื่น ต้องออกไปประกาศกันหรือเปล่าค่ะ บางอาทิตย์ทำงานเหนื่อยมาก แต่โดนตามตลอด บังคับให้ไปประกาศ การประกาศเกี่ยวกับความเชื่อ ความรอดไหมค่ะ?” คุ้นๆ ไหม?

“เป็นคริสเตียนเล่นน้ำสงกรานต์ ตามประเพณีไทยได้ไหม?”

“มีญาติจะบวช แม่ให้ไปร่วมงานที่วัดด้วย แต่พี่เลี้ยงที่โบสถ์บอกว่า “ห้ามไปเด็ดขาด” ทำอย่างไรดี?”

“เมื่อไรจึงจำเป็นต้องอดอาหารอธิษฐานกับพระเจ้าบ้าง?”  เมื่อไรครับ?

“การเฝ้าเดี่ยว เราควรใช้เวลานานเท่าไรในแต่ละวัน”

เหล่านี้จะเป็นคำถามที่เราได้ยินหรือแม้กระทั่งตัวเราเองมีในใจบ่อยๆ ถ้าท่านเป็นสมาชิกที่นี่ โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ แล้วมีใครถามท่านส่วนตัว สมาชิกที่นี่ต้องตอบได้แล้ว รับรอง ผมเชื่อเลย  เพราะว่าได้เรียนรู้ไปบ้าง? เราจะตอบว่าอย่างไร? ใน 1 โครินธ์ 10:23 เป็นคำเฉลย

1 โครินธ์ 10:23 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

นี่คำตอบแล้ว ทำได้ไหม? ไม่รู้ มันเป็นประโยชน์ไหม? ถ้าเป็นประโยชน์ก็ทำ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ต้องทำ

พันธสัญญาเดิม คือแผนการที่พระเจ้าวางไว้ เล็งถึงพระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จ คือไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาป

ในสมัยพันธสัญญาเดิม มีบทบัญญัติที่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม เพราะว่ามันยังไม่สำเร็จ ถ้าไม่ทำตาม หรือฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ ในพระคัมภีร์เดิมเขียนชัดเจนเลย ที่เรียกว่ากฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน

แต่พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ หลังจากที่พระเยซูได้ Testelesti (ทำสำเร็จแล้ว) ที่ไม้กางเขน ทำให้พันธสัญญาของพระเจ้า กฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันนี้ ก็ถูกลบไปแล้ว ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระเยซูได้ฉีกกรมธรรม์ที่ผูกมัดเราไว้ และนำไปตรึงที่ไม้กางเขน  คือบทบัญญัติต่างๆ ไม่มีผลต่อวิญญาณ ทางชีวิตของเราอีกต่อไปแล้ว เราจึงเรียกยุคนี้ว่ายุคแห่งพระคุณ “พระคุณ” คือให้ฟรีๆ ได้มาฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องลงแรงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว มันจึงเรียกว่าข่าวดี ท่านเคยเห็นโฆษณาไหม?

“วันนี้ฉลองเปิดที่ดูแลล้างรถใหม่ เพราะฉะนั้น อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ล้างรถฟรี”

นี้คือข่าวดี เขาเขียนว่าข่าวดี เบ้อเริ่มเลย “ล้างรถฟรี” เห็นไหมข่าวดี ในยุคแห่งพระคุณนี้ ไม่มีคำว่า “ต้อง” ไม่มีคำว่า “ห้าม” แต่มีคำว่า “ควรทำ” หรือ “ไม่ควรทำ” หรือ “ไม่สมควรจะทำ”  ทำแล้วเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ทำแล้วเกิดการเสริมสร้างขึ้นหรือไม่? ถ้าทำในสิ่งควร เป็นประโยชน์ ทำในสิ่งที่ส่งเสริมมันก็ทำให้เกิดสันติสุข เกิดความสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกิดผลดี ก็ทุกข์น้อยลงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ นี่เรียกว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้าแล้ว แต่ถ้าทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ ไม่เหมาะสมกับผู้ที่เกิดใหม่ ผู้ที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่เกิดประโยชน์ ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เพิ่มขึ้นอีก ทั้งโลกตกลงไปในความบาป มันทุกข์ลำบากอยู่แล้ว ยิ่งไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำในสิ่งที่ในพระคัมภีร์บอกว่าอย่าทำ ไม่ดี ยังไปทำอีก เพิ่มความทุกข์ยากในชีวิตของเรา ไม่เกี่ยวอะไรกับความรอด ในพระเยซูคริสต์เลย แม้แต่นิดเดียว แต่ทั้งหลายทั้งปวง ความรอดทางวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ประทานให้กับเรานั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำที่บอกสมควรหรือไม่สมควรเลยแม้แต่นิดเดียว จึงบอกว่าไม่มีคำว่าต้องไง

ความรอดนิรันดร์ทางวิญญาณของมนุษยชาติ ได้รับจากความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  นั่นแหละ คือหัวใจแห่งความรอดในวิญญาณนิรันดร์ของเรา คือความเชื่อตรงนี้ อันเดียวเลย

ผมชอบไปเดินออกกำลังกาย โดยเฉพาะวันสุดสัปดาห์ นิดหนึ่งก็ออกไปเดิน ออกกำลังกาย เพราะทำให้จิตใจสภาพดี เพราะว่าเวลาเราไปดูทุ่งนา ทุ่งหญ้า หรืออะไรกว้างๆ ใหญ่ๆ เราจะสามารถเห็นพระคุณของพระเจ้าได้มากขึ้น เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด วิญญาณพวกเราถูกสร้างโดยพระเจ้าจะชินกับสิ่งเหล่านี้ คือสวนใหญ่ๆ กว้างๆ ทุกประเทศ ทุกแห่ง นานมาแล้ว เป็นพันๆ ปีมาแล้ว สวนสาธารณะอะไร เป็นสิ่งที่มนุษย์ขวนขวายหามากที่สุด

เมื่อไปเดินออกกำลังกายในสถานที่แห่งหนึ่ง เขามีบึงใหญ่ มีต้นไม้ล้อมรอบ เขากักน้ำเอาไว้ เขาก็จะมีป้ายติดไว้ตรงบ่อน้ำ หลายท่านคงเคยเห็นบ่อยๆ ผมเห็น ก็สะดุดตา นึกถึงเรื่องนี้แหละ พอเรานึกถึงพระเจ้า เราก็จะมองอะไรเป็นเรื่องพระเจ้าหมด ป้ายใหญ่เลยนะ  บรรทัดแรก เขียนว่า “ห้ามตกปลา” อีกป้ายหนึ่งเขียนว่า “อย่าลงเล่นน้ำ”

ฟังให้ดีๆ “ห้ามตกปลา” อีกป้ายหนึ่ง “อย่าลงเล่นน้ำ”  ผมอ่าน แล้วรู้สึกเปรียบเทียบกับที่เรากำลังเรียนเรื่องข่าวดี ความสำเร็จที่พระเยซูทำ คำว่า “ห้าม” กับ “อย่า” ท่านคิดว่าเหมือนกันไหม? เพื่อจะได้เข้าไปในจิตใจลึกๆ ผมก็เดินๆ ไป แล้วก็คิด ไม่เหมือนนะ

คำว่า “ห้าม” แปลว่า “ทำไม่ได้” ใครฝ่าฝืน กระทำ มีความผิด ต้องถูกลงโทษ เช่น หากถูกตำรวจจับ ถูกปรับ

คำว่า “อย่า” หมายถึงไม่แนะนำให้ทำ หรือไม่ควรทำ แต่ถ้าเราจะฝ่าฝืนไปทำ ก็ไม่ได้เป็นความผิด ถึงขนาดต้องโดนลงโทษ แต่อาจจะมีผลร้ายต่อชีวิต หรือเสียประโยชน์ตัวเอง เช่น ป้ายบอกว่า “ห้ามตกปลา” ถ้าเราฝ่าฝืนเอาเบ็ดไปนั่งตกปลา เจ้าหน้าที่อาจจะเรียกตำรวจมา อาจจะต้องเสียค่าปรับไป ปลาก็ไม่ได้เลย ยึดปลาเราคืน ยึดเบ็ดไปอีกต่างหาก แต่ป้ายที่เขียนว่า “อย่าว่ายน้ำ” ถ้าใครเกิดคะนอง โดดลงไปว่ายน้ำ เจ้าหน้าที่คงไม่ไปตามตำรวจมาจับ แต่เขาก็จะมาเรียกเรา

“ขึ้นมาเถิด เพราะน้ำมันสกปรก ตายไปหลายคนแล้ว ติดเชื้อ” สมมติ อย่างนี้ หรือ

“มันอันตราย เดี๋ยวจมน้ำตายหรอก ไม่ดี ขึ้นมาเถอะ”

แค่นั้นเอง แล้วเราก็ขึ้น ไม่มีอะไร ถูกไหม?

ผมพยายามพูดให้ท่านเห็นภาพ ความแตกต่างระหว่างกฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน กับกฎแห่งพระคุณมันคืออะไร?  พระคัมภีร์เดิม กฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน พระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว เป็นกฎแห่งพระคุณ กฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟันบอกว่าจะไปเฝ้าพระเจ้า ต้องนำเลือดสัตว์ เลือดแพะไปถวาย เพื่อชำระบาป ต้องเข้าพิธีสุหนัต ห้ามกินเนื้อสัตว์ที่เป็นมลทิน แล้วก็มีอีกหลายร้อย หลายพันข้อ ห้ามอีกเยอะแยะมากมายที่ต้องทำตาม แต่พอมาถึงยุคพระคุณ ในสมัยพระเยซู เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น  พูดง่ายๆ คืออันนี้อย่าทำ อันนี้ควรทำ

อันนี้ยกตัวอย่างแบบหินเลย สะดุดเยอะเลยเรื่องนี้ ยกไปถึงอดีต ในสมัยยุคหลังพระเยซู เป็นขึ้นจากความตายใหม่ๆ พึ่งจะประกาศ ข่าวประเสริฐนี้ เริ่มเข้า ประกาศที่คนยิวก่อนเลย

เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ร้ายแรงของชาวยิวมาก คือเรื่องการเข้าสุหนัต การขลิบอวัยวะเพศชาย เพื่อทำพันธสัญญากับพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าสั่งให้ทำตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม บอกล่วงหน้าเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ เป็นพันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าจะทำให้สำเร็จแล้ว ตั้งแต่สมัยพระเยซูนั่นเอง เล็งให้เห็นถึงเรื่องราวที่พระเยซูจะมาทำให้สำเร็จ ซึ่งพระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว เราก็ไม่ต้องทำ

พูดถึงเรื่องการเข้าสุหนัต ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้ ในหนังสือกาลาเทีย ผมเอามาให้ท่านอ่าน ท่านจะเห็นภาพชัดๆ ลึกๆ และสามารถเอามาเทียบกับชีวิตของเราได้ คือผู้เชื่อชาวกาลาเทีย ในยุคที่เรากำลังพูดถึงนี้  ได้รับการประกาศ โดยอาจารย์เปาโล  แล้วเขาก็เชื่อในข่าวดี แล้วเขาก็เป็นคริสเตียน คนที่มาเชื่อพระเยซู ที่เป็นคริสเตียนแล้ว จากการประกาศของเปาโล ก็เชื่อในผู้นำ เปาโลก็เป็นยิว แต่ปรากฏว่าเปาโลมีหน้าที่ประกาศไปเรื่อยๆ พอเชื่อปุ๊บ สร้างฐานพอสมควรแล้ว อาจารย์เปาโลก็ลาไปเมืองอื่นๆ เพื่อจะประกาศต่อไป ก็ปล่อยให้ผู้นำยิวอื่นๆ และผู้นำคริสตจักรกลุ่มชน ดูแลกันเอง

ปรากฏว่ามีผู้นำยิว ที่ไม่ใช่เปาโลแล้วนะ ก็เริ่มเข้ามาสอนผู้เชื่อใหม่ แล้วผู้นำยิวเหล่านี้ ในสมัยนั้น แม้ว่าเขาจะเชื่อพระเยซู บางคนอายุถึงได้เห็นพระเยซูยืนอยู่บนโลกใบนี้  ทำอัศจรรย์ต่อหน้าเลย เห็น เขาก็เชื่อว่าข่าวดีนี้เป็นจริง แต่เขาก็ยังไม่เชื่ออย่างมั่นใจ เพราะว่าเขายังคุ้นเคยกับประเพณีเก่าๆ ที่เขายังยึดติดอยู่ในพิธีเดิมทางความเชื่อของเขา ศาสนายิวของเขาอยู่  เขาก็เลยเชื่อว่าสิ่งที่พระเยซูทำบนไม้กางเขนนั้นจริง แต่ยังจริงไม่ครบ เขาก็เลยสอน โดยแกมบังคับให้ผู้เชื่อ ที่อาจารย์เปาโลบอกเป็นอิสระแล้ว ไปสอนให้ผู้เชื่อเหล่านั้น ต้องเข้าสุหนัต ตามบทบัญญัติเดิม ที่ชาวยิวเคยทำมาในอดีต ซึ่งเล็งถึงสิ่งที่พระเยซูจะมาทำในอนาคต พระเยซูทำสำเร็จแล้ว คือข่าวดี คนเหล่านี้บอกยังไม่สำเร็จ โดยไม่ได้พูดคำนี้  แต่พูดให้ไปทำส่วนนั้น ก็แสดงว่าพระเยซูยังทำไม่สำเร็จนั่นเอง  อาจารย์เปาโลก็โมโหมากเลย ในกาลาเทีย 3:1-14

กาลาเทีย 3:1-14 “1 ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย ใครสะกดท่านให้หลงไปเสียแล้วเล่า ภาพพระเยซูคริสต์ ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ก็ชัดเจนอยู่ต่อหน้าต่อตาท่าน 2 สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากรู้จากท่าน คือท่านได้รับพระวิญญาณโดยการทำตามบทบัญญัติ หรือโดยการเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน 3 ท่านโง่เขลาปานนี้หรือ! หลังจากที่เริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ บัดนี้ ท่านกำลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่าน ด้วยการขวนขวายของมนุษย์หรือ! 4 ท่านได้ทนทุกข์มากมายโดยเปล่าประโยชน์หรือ! สิ่งนี้เป็นการเปล่าประโยชน์จริงๆ หรือ! 5 พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน และทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น ก็เพราะท่านรักษาบทบัญญัติ หรือเพราะท่านเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน

6 จงพิจารณาดูอับราฮัม “เขาเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้ พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” 7 ฉะนั้น จงเข้าใจเถิดว่าคนที่เชื่อก็เป็นวงศ์วานของอับราฮัม 8 พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้าว่าพระเจ้าจะทรงนับว่าคนต่างชาติเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อ และประกาศข่าวประเสริฐล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่า “ทุกประชาชาติจะได้รับพรผ่านทางเจ้า” 9 ฉะนั้น ผู้ที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัม บุรุษแห่งความเชื่อ 10 คนทั้งปวงที่พึ่งการทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตาม ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”

11 เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยบทบัญญัติ เพราะว่าคนชอบธรรมจะดำรงชีวิต โดยความเชื่อ 12 บทบัญญัติไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ แต่ “ผู้ใดที่ทำสิ่งเหล่านี้ จะมีชีวิตอยู่โดยสิ่งเหล่านี้” 13 พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ก็ถูกแช่งสาปแล้ว” 14 พระองค์ทรงไถ่เรา เพื่อว่าพระพรที่มีแก่อับราฮัมจะมาถึงคนต่างชาติ โดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าโดยความเชื่อ เราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา”

 

ดูสิ ความรัก จึงทำให้เกิดอารมณ์ แบบโกรธมาก

“ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย”

โอ้โห! ท่านอ่านทั้งฉบับนี้ จะรู้ว่านี่เปาโลรักเขาเหล่านี้มาก เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดทางฝ่ายวิญญาณ ยกตัวอย่าง …

“คือท่านได้รับพระวิญญาณ โดยการทำตามบทบัญญัติหรือ! หรือโดยการเชื่อในสิ่งที่ท่านได้ยิน”

พูดง่ายๆ ก็คือ … “ท่านได้รับพระวิญญาณ ท่านได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้เชื่อ เป็น คริสเตียน โดยการทำตามบทบัญญัติหรือ! หรือโดยข่าวดีที่ผมเล่าให้ฟัง”

เปาโลกำลังบอก ก็คือโดยข่าวดีนั่นเอง

“ท่านโง่เขลาป่านนี้หรือ!”

หนักเลย หลังจากที่เริ่มต้นดีๆ ด้วยความเชื่อทางพระวิญญาณ บัดนี้ท่านกำลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่าน ด้วยความขวนขวายของมนุษย์หรือ! กลับมาทำเองอีกแล้วใช่ไหม? จะลบล้างบาปให้ตัวเองอีกแล้ว ดูสิ โมโหไหม?

“พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน ก็คือให้ท่านได้เกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่เอี่ยมเลย  และทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น คือทำให้ท่านเป็นลูกของพระเจ้า ก็เพราะว่าท่านรักษาบทบัญญัติหรือ! หรือเพราะท่านเชื่อ (ในข่าวดี) ในสิ่งที่ท่านได้ยิน ที่ผมหรือเปาโลได้ประกาศออกไป”

เห็นไหม? ผมเลือกเอาเฉพาะที่มันๆ มานะ ที่ใช้อารมณ์นี้ คนต่างชาติ ก็คือคนไม่ใช่ยิว

“คนต่างชาติเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อ และประกาศข่าวประเสริฐล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่าทุกประชาชาติจะได้พรผ่านทางเจ้า คนทั้งปวงที่พึ่งการกระทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง และมีเขียนไว้ว่าขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”

พูดง่ายๆ ว่า “ถ้าคุณดำเนินด้วยตัวเองตามธรรมบัญญัติ จะทำด้วยตัวเอง คุณต้องทำให้ตลอดรอดฝั่งนะ บัญญัติเขาเขียนไว้อย่างนั้น แล้วมันไหวไหม? ทำได้ไหม?”

“ไม่ได้”

ไม่ได้ ก็ไปพึ่งพระเยซูสิ พูดง่ายๆ อย่างนั้น

“พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำแช่งสาปของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำแช่งสาป แทนเรา ซึ่งมีเขียนไว้ว่า … เนื่องจากพระคัมภีร์เดิม คำเผยพระวจนะ พระเจ้าเล็งถึง บอกล่วงหน้าว่า ‘ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกสาปแช่งแล้ว’”

เล็งถึงพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ถูกสาปแช่งแทนเรา นี่คือการบอกล่วงหน้าในพระคัมภีร์เดิม ถูกสาปแช่ง เพื่อพระพรจะมาถึง โดยผ่านทางความเชื่อ เพื่อคนเหล่านั้น จะได้รับพระวิญญาณตามสัญญา

ได้รับพระวิญญาณ หมายถึงวิญญาณได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า 2 โครินธ์ 5:17 บอกว่าวิญญาณใหม่เอี่ยมเลย ได้บังเกิดใหม่ หลังจากที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู นี่หมายถึงอย่างนั้น

นี่พูดถึงเรื่องพิธีเข้าสุหนัต และพิธีอื่นๆ แต่ผมยกเอาพิธีเข้าสุหนัตมา เดี๋ยวพระคัมภีร์ตอนนี้ ก็จะพูดถึงตอนนี้ชัด เพราะว่าเรื่องนี้ เรื่องสำคัญ ถ้าพลาดไป ข่าวประเสริฐจะเบี้ยวไปเลย พอมาถึงเรื่องนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้เชื่อ ซึ่งจะเป็นผู้รับใช้อีกท่านหนึ่ง ชื่อว่าทิโมธี เด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นลูกแกะ เป็นศิษย์เอกของอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลคนเดียวกันกับที่ตะกี้นี้โกรธมากในเรื่องนี้

ทิโมธี เบื้องหลัง ก็คือมีแม่เป็นชาวยิว และพ่อเป็นชาวกรีก และเปาโลกำลังจะรวบรวมทีมไปรับใช้ด้วยกัน และจะเอาทิโมธีไปด้วย และอาจารย์เปาโลต้องการให้ชาวยิวร่วมมือกับอาจารย์เปาโล ยอมรับอาจารย์เปาโล เพื่อจะเอาข่าวประเสริฐไปประกาศให้กับคนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว อาจารย์เปาโลไม่อยากให้มีการต่อต้านมากเกินกว่านี้ หรือทุกข์ลำบากเกินกว่าเท่าที่จำเป็น ได้บันทึกไว้ในหนังสือกิจการ 16:1-3  ผมอ่านให้ฟัง นึกภาพตามนะ

กิจการ 16:1-3 “1 เขามาถึงเมืองเดอร์บี จากนั้นไปยังเมืองลิสตรา ที่นั่นมีสาวกคนหนึ่งชื่อทิโมธีอาศัยอยู่ มารดาของเขาเป็นผู้เชื่อชาวยิว แต่บิดาของเขาเป็นชาวกรีก 2 ทิโมธีมีชื่อเสียงดีในหมู่พี่น้องที่เมืองลิสตราและเมืองอิโคนียูม 3 เปาโลต้องการจะพาทิโมธีไปด้วย จึงให้เขาเข้าสุหนัตเพราะเห็นแก่ชาวยิวที่อยู่แถบนั้น เนื่องจากใครๆ ก็รู้ว่าบิดาของเขาเป็นคนกรีก”

 

เห็นแก่คนยิวเหล่านั้น ที่ความเชื่อเขายังน้อยอยู่ เพราะฉะนั้น เปาโลจึงบอกทิโมธีไปเข้าสุหนัต  เห็นไหมครับว่ามันไม่มี คำว่า “ห้าม” ไม่มีคำว่า “ต้อง” มีแต่คำว่า “อิสระ ในพระเยซูคริสต์” เท่านั้น  มีอิสระในการทำว่าทำแล้ว เกิดผลดีหรือไม่ดี? เสริมสร้างหรือไม่เสริมสร้างเท่านั้น อยากจะทำอะไร? มีอิสระที่จะทำได้ แต่ไปคิดเอาเองว่ามีประโยชน์ไหม? ถ้ามีประโยชน์ ก็ทำ ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็อย่าทำ เห็นไหม?  เปาโลรู้ว่า … ในหนังสือกาลาเทีย ตอนที่ผู้นำยิวมาใส่ความเชื่อผิดๆ ให้กับผู้เชื่อที่กาลาเทีย เปาโลโกรธจัด ไม่ได้ แล้วแรงถึงขนาดไหน?  อ่านไปตอนจบบอกว่า …

“ข้าพเจ้าเกลียด (หมายถึงโมโห) คนเหล่านี้มาก ที่มาสอนให้พวกท่านเข้าสุหนัต พวกนี้ ไม่ใช่สมควรเข้าสุหนัตนะ แต่สมควรตัดทิ้งทั้งอันเลย เอาไปตอนซะเลย”

จริงๆ ในข้อสุดท้ายของกาลาเทีย โมโหมากเลย แต่พอมาถึงทิโมธีทำไมทำอย่างนี้ล่ะ ก็เพราะแตกต่างกันด้วยวาระ แตกต่างกันด้วยสถานการณ์ในขณะนั้นๆ เพราะฉะนั้น วันก่อนผมถึงถามไง ไปเช็งเม้งได้ไหม?  ทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม? ไปคิดเองว่ามันเสริมสร้างไหม? จะเอาคนนี้มาใส่คนนี้ไม่ได้ เห็นอาจารย์นครยังทำอย่างนี้เลย เราไปทำบ้าง ไม่ใช่ ผมอาจจะต้องทำอย่างนั้น แต่ท่านอาจจะต้องทำอย่างนี้  แต่ทั้งหมดทำเพื่อเสริมสร้าง เป็นประโยชน์ เป็นความรักในพระเยซูคริสต์ต่างหาก ท่านพอจะเห็นภาพไหม? มันขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าทำแล้วเกิดประโยชน์ ทำแล้ว เป็นการเสริมสร้าง ส่งเสริม หรือทำแล้ว ให้เกิดการสะดุด ไม่มีเสริมสร้าง ทำให้หลักการเสีย นี่คือหลักการที่แท้จริง ในยุคพระคุณ คือดำเนินชีวิตด้วยความรัก เสียสละ เห็นแก่ผู้อื่นก่อน  พระเยซูจึงบอกว่าทั้งหมดมันรวมกันมาเหลือข้อเดียวแล้ว ตอนที่พระเยซูมาทำให้สำเร็จแล้ว บทบัญญัติเยอะแยะเป็นหลายพันข้อ รวมกันเหลืออันเดียว คือความรัก

ความรัก คือการเสียสละ เห็นแก่คนอื่นก่อน ท่านทำอย่างนี้หรือไม่? ท่านไปวัดดู ถ้าท่านทำอย่างนี้ ท่านอยากจะทำอะไร ก็ทำไป ถ้าในใจท่านรู้ว่าท่านทำสิ่งนี้ เพื่อความรัก เพื่อผู้อื่นก่อน เป็นประโยชน์ ท่านก็ทำ อย่างนี้เป็นต้น

พอพูดถึงเรื่องห้ามทำ ต้องทำ มันจำเป็นต้องคุยถึงเรื่องนี้ สำคัญ เรื่องนี้ ทำให้หลายคนตื่นเลย เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานที่สุด และเป็นเรื่องที่พูดถึงมากที่สุด มีกระทู้เยอะที่สุด ตั้งแต่เคยมีมา เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจผู้คนมากที่สุด เป็นเรื่องที่ทำให้คนตื่นเต้นที่สุด เป็นเรื่องที่ทำให้คนหลุดออกจากพระเจ้ามากที่สุด คือเรื่องเงินในกระเป๋า เอาล่ะสิ คนที่ไม่มีเงินสบาย คนมีเงิน …

“มาแล้ว มายุ่งกระเป๋าฉัน จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ อย่ามาพูดเรื่องกระเป๋าฉันนะ”

ถ้าเราไม่มีเงิน พูดไปเถอะ แต่ถ้ามีเงินเยอะๆ …

“ศิษยาภิบาลพูด ต้องการเงินในกระเป๋าเราแล้วสิ”

ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการถวายสิบลด ซึ่งเป็นบัญญัติของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม หายใจโล่งเลย ในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งมันเลิกไปแล้วใช่ไหม? น่าจะดีใจ โอเค เรามาพูดถึงเรื่องถวายสิบลด กระทู้ที่อ่านเจอมีอย่างนี้นะครับ อาจจะโดนใจใครหลายคน มีผู้เชื่อ เขาถามมาว่า …

“ผมเพิ่งขายที่ดินไป พอศิษยาภิบาลทราบข่าว ก็มาคุยกับผมเรื่องให้ถวายสิบลดให้พระเจ้า พระเจ้าทรงทราบดีว่าผมขายไปได้เป็นเงินเท่าไร? สิบลดจะเป็นเงินจำนวนเท่าไร?”

“อย่าโกงพระเจ้า อย่าเหมือนอานาเนีย” อันนี้ศิษยาภิบาลขู่เขานะ

“‘อย่าเป็นเหมือนอานาเนียกับซับฟีราที่โกงพระเจ้าเรื่องนี้’ ทำให้ผมเครียดมาก ที่ดินที่ผมขายไป เพราะผมเอาเงินมาใช้หนี้ และตอนนี้ ใช้เงินกู้ไปซื้อ ตอนนี้ก็เหลือแค่ไม่เท่าไรเอง ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ?”

นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น ไปอ่านดูเยอะแยะ ทุกข์ทรมานไหม?  นี่มันข่าวดีไหม ผมเชื่อพระเยซูต่อไปดีไหม?

ขอโทษทีที่อ่านขำไป ผมเชื่อทุกวันนี้ยังมีอย่างนี้อยู่ เพราะฐานมันยุ่งไปหมดแล้ว ไม่รู้ฐานมันอยู่ตรงไหน? เราต้องหาทางให้เจอ

จริงๆ แล้วในเรื่องการถวายสิบลด คุยไปหลายครั้งแล้ว ย้ำแล้วย้ำอีกว่าการถวายสิบลด ไม่มีผลอะไร? เกี่ยวกับความรอด โดยความเชื่อของเราเลย และไม่ได้ทำให้พระเจ้ารักเรามากขึ้นด้วย และไม่ได้ทำให้พระเจ้ารักเราน้อยลงด้วย วันนี้ ผมและพวกเราทุกคนที่นี่ ขอยืนยันว่าเป็นอย่างนี้ อาเมน โอ๊ย! สบายแล้ว ไม่ต้องถวาย ดีใจจัง เป็นอิสระแล้ว ใช่หรือเปล่า? คนที่มีเงินใช่หรือเปล่า?  พระคัมภีร์บอกว่าในพระคริสต์ พระเจ้ารักเราทั้งหมดเหมือนกัน

เหมือนกัน แปลว่าอะไร? คนที่รู้สึกว่าคนอื่นมองว่าดี คนที่รู้สึกคนอื่นมองว่าไม่ดี คนนี้คนอื่นบอกว่านิสัยไม่ดี คนนี้คนอื่นบอกนิสัยดี คนนี้คนอื่นบอกว่าเป็นคนถวายเก่ง คนนี้คนอื่นบอกขี้เหนียว ไม่ค่อยถวาย พระเจ้ารักเท่ากัน

พระเจ้าบอกในกาลาเทีย 3:26 บอกว่า “ในพระเยซูคริสต์ ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ในสวรรค์ที่เรียกว่าพระคริสต์นี้ ของผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เข้ามาอยู่ บัพติศมาในพระคริสต์ บัพติศมาเข้าในส่วนของพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระคริสต์แล้ว

กาลาเทีย 3:26 “ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายเป็นลูกๆ ของพระเจ้า โดยผ่านทางความเชื่อ” จบ

โดยความเชื่อ เป็นลูกๆ ของพระเจ้าแล้ว รักเท่ากันหมดเลย

ในยุคแห่งพระคุณนี้ การถวายสิบลด ไม่ใช่บทบัญญัติ ที่จะมาบังคับให้ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคนต้องทำอีกต่อไป แต่ว่าเป็นการแนะนำ ฝึกฝน ให้ผู้เชื่อ คือประชากรของพระเจ้า ลูกๆ ของพระเจ้าทั้งหลาย รู้จักการให้ออกไป ด้วยความรัก มีใจชื่นชมยินดี เพื่อแนะนำให้บทเรียนในการดำเนินชีวิต ในโลกใบนี้ เพื่อจะดำเนินการบนโลกใบนี้ด้วยสันติสุข อยู่ด้วยความสงบสุข และทุกข์น้อยลง

ทุกข์น้อยลง ไม่ใช่ไม่มีทุกข์ เพราะพระเยซูบอกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ก็ทุกข์เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ทุกๆ คนแหละ เพราะโลกมันเสียหายไปแล้ว เนื่องจากบาป นี่เรื่องจริง แต่มาเป็น คริสเตียน มาเชื่อพระเยซูแล้วว่าพระองค์อยู่กับเรา  พระองค์ดูแลเรา นำพาชีวิตและสอนเราให้ดำเนินชีวิตอะไรที่มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราและคนอื่น เราก็ทุกข์น้อยลง สันติสุขมากขึ้น คนอื่นก็ทุกข์น้อยลง สันติสุขมากขึ้น นั่นแหละ พระเจ้าจะสอนเราทำ รวมทั้งการถวายสิบลดด้วย

เรามาดูในพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลสอนเรื่องเกี่ยวกับการให้ และการถวายนี้อย่างไร? ชัดเจนมาก ใน 2 โครินธ์ 9:1-15

2 โครินธ์ 9:1-15 “1 ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเขียนถึงท่านเกี่ยวกับการรับใช้ เพื่อประชากรของพระเจ้าครั้งนี้ 2 เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกระตือรือร้นอยู่แล้วที่จะช่วย และข้าพเจ้าได้อวดเรื่องนี้ต่อชาวมาซิโดเนียว่าตั้งแต่ปีที่แล้ว พวกท่านที่แคว้นอาคายาก็พร้อมจะถวายแล้ว และความกระตือรือร้นของท่านทั้งหลาย ได้กระตุ้นพวกเขา ส่วนใหญ่ให้ลงมือทำตาม แต่ที่ข้าพเจ้าส่งพี่น้องเหล่านั้นมา เพื่อว่าสิ่งที่เราอวดไว้เกี่ยวกับท่านในเรื่องนี้ จะไม่สูญเปล่า 3 แต่เพื่อท่านก็จะได้พร้อมอยู่ สมกับที่ข้าพเจ้าได้บอกไว้ 4 เพราะถ้าชาวมาซิโดเนียคนใดที่มากับข้าพเจ้า พบว่าพวกท่านไม่พร้อม อย่าว่าแต่ท่านเลย เราเองก็จะอับอายที่มีความมั่นใจเสียเหลือเกิน 5 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงคิดว่าจำเป็นต้องกำชับพี่น้องเหล่านั้น ให้มาหาท่านล่วงหน้า และจัดเตรียมของบริจาคด้วยใจกว้างขวาง ตามที่ท่านได้สัญญาไว้ให้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลา ก็มีของบริจาคไว้พร้อม เป็นของที่ให้ด้วยใจกว้างขวาง ไม่ใช่เป็นของที่ให้ด้วยการฝืนใจ หว่านด้วยใจกว้างขวาง

6 จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตระหนี่ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวางก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก 7 แต่ละคนควรให้ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือสำหรับการดีทุกอย่าง 9 เหมือนที่มีเขียนไว้ว่า “เขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่นิรันดร์ 10 บัดนี้ พระองค์ผู้ประทานเมล็ดแก่ผู้หว่าน ประทานอาหารแก่ผู้คน จะประทานและเพิ่มพูนยุ้งฉางของท่านเช่นกัน และจะทรงขยายการเก็บเกี่ยวความชอบธรรมของท่าน

11 พระองค์จะทรงให้ท่านมั่งคั่งในทุกด้าน เพื่อท่านจะสามารถเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้ในทุกโอกาส และโดยทางเราความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่าน ส่งผลให้มีการขอบพระคุณพระเจ้า 12 การรับใช้ที่ท่านทำอยู่นี้ ไม่เพียงจุนเจือประชากรของพระเจ้าเท่านั้น ยังเป็นเหตุให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าอย่างล้นพ้นด้วย 13 ท่านได้พิสูจน์ตนเองด้วยการรับใช้นี้  และเพราะการรับใช้นี้ ผู้คนจะสรรเสริญพระเจ้า เนื่องด้วยการเชื่อฟังของท่าน ซึ่งมาพร้อมกับการประกาศตัวว่าเชื่อข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และเนื่องด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่านในการแบ่งปันแก่พวกเขาและแก่คนอื่นๆ ทั้งปวง 14 และใจของพวกเขาจะคิดถึงพวกท่าน ขณะอธิษฐานเพื่อท่าน เนื่องด้วยพระคุณล้นพ้นที่พระเจ้าประทานแก่ท่าน 15 ขอบพระคุณพระเจ้า สำหรับของประทานอันสุดจะพรรณนาของพระองค์” เอเมน

 

ผมพูดถึงเรื่องถวายมาตลอดว่าไม่จำเป็นต้องถวายสิบลด หลายคนก็เข้าใจผิด คงนึกว่าผมคงไม่ทำ แต่ผมบอกท่านวันนี้เลยว่าผมทำมาก … มากจริงๆ ไม่ใช่ว่าถวายสิบลด เพราะว่าผมรักษาบัญญัติ แต่มันเป็นประโยชน์ มันง่ายกว่าการคิดว่ารายได้เข้ามา ถวาย 10% แต่ก่อนนี้ ตอนเข้ามาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ถวายสิบลด เพราะเขาสั่งมา กลัวจริงๆ กลัวตามที่อ่าน แล้วหัวเราะไปด้วย นั่นคืออดีตของผม ที่บ้านก็จะอย่างนี้ เพราะว่ากลัว แต่ตอนหลังรู้แล้ว ยังรักษาไว้ ยังทำอยู่ ไม่กลัวแล้ว แต่ยังถวายสิบลดอยู่เหมือนกัน มันคิดง่ายดี ไม่รู้จะให้เท่าไร? เราตั้งหลักตามข้อพระคัมภีร์ตะกี้นี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าคิดหมายไว้ก่อน ตั้งแต่อยู่ในใจแล้วว่า …

“ถ้ารายได้เข้ามา ฉันจะตัดอันนี้เป็นค่าใช้จ่าย ตัดนี้เป็นค่ารถ ตัดนี้เป็นค่าน้ำ ตัดนี้เป็นค่ารักษาพยาบาล ตัดนี้เป็นสิบลด”

สิบลด แปลว่า 10% เราไม่ให้ได้ไหม? ได้ แต่ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ และก็ไม่เคยขาดเลย ที่ตั้งไว้ มันได้ทุกที และได้มากกว่าอีก เพราะเป็นการฝึกฝนไง  ถ้าให้ 10 ได้ ต่อไปก็ให้ 20, 30 ได้ ถ้าให้ 30 ได้ ก็ให้ 50 ได้ ถ้าให้ 50 ได้ ก็ให้ร้อยหนึ่งได้ เพราะมันไม่มีทางที่อยู่ดีๆ ไม่ให้ แล้วมาให้ร้อย ไม่จริงแล้ว แสดงว่าข้างในต้องการกลับคืน ไม่ใช่วิธีนั้น แต่ก่อนนี้มาใหม่ๆ ยอมรับว่าเคยถวายสิบลด เพราะอยากได้กลับคืน เขาบอกว่าถวาย แล้วจะได้ 10 เท่า 100 เท่า 5 เท่า อะไรก็ว่ากันไป  อยากได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ไม่มีความหวังเลย ในพระคัมภีร์เขาให้ความหวังเรา แต่ไม่ใช่ความหวังที่เราจะต้องมาเรียกคืนว่าจะต้องเป็นเท่านั้น ต้องอย่างนี้ พระเจ้าไม่ใช่ตู้ ATM นะ ใส่ไปเท่านี้  เด้งออกมาเท่านี้ ไม่ต้องทำมาหากินพอดี

ถ้าเข้าใจถึงความรักพื้นฐานข่าวดีของพระเจ้า จะเข้าใจตรงนี้ชัดๆ พระเจ้ารักเรามาก พยายามไม่แตะต้องเงินเราเลย รู้ว่าเรารักเงินมากเลย  ท่านจะมีเงินและมีพระเจ้าพร้อมๆ กันไม่ได้ พระเยซูบอกเลย เพราะรู้แตะเรื่องนี้ทีไร? มันแตะหัวใจของพวกเราทุกทีเลย …

“จะมาเอาอะไรกับฉันอีกล่ะ”

ในนี้บอกว่าให้เราเตรียมพร้อมในใจไว้ก่อน เรื่องที่เรากำลังพูดอยู่นี้  เกิดการกันดารที่เยรูซาเล็ม แล้วแถบนั้นอดอยาก จึงมาเรี่ยไรเงินจากที่นี่ไปช่วย … ช่วยทั้งคนเชื่อและคนไม่เชื่อ ในนี้ถึงเรียกว่าเป็นบริจาค มันไม่มีสิบลด มันมีแต่ว่าท่านสามารถเอาคำนี้ แปลเป็นไทย แล้วเอาใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตท่านว่าท่านเตรียมตัว เหมือนคนไปธนาคาร ต้องวางแผนล่วงหน้าในชีวิต ในการใช้เงินของเรา เราจะสะสมเงินไว้เท่าไร? กี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้? เราจะใช้เงินเท่าไร? อันนี้เป็นประโยชน์ในการทำบัญชี ท่านว่ากี่เปอร์เซ็นต์ที่ท่านเตรียมไว้ในการรู้จักให้ออกไปฟรีๆ ให้ไม่คิดอะไรทั้งสิ้นว่าจะได้อะไรกลับมา พระคัมภีร์ใช้คำว่าหว่านออกไป

“หว่านออกไป” คือท่านทำนา ปีนี้ทำมาได้ 30 ถัง ท่านคิดว่าจะกินสักกี่ถัง? เอาไปขายกี่ถัง? แล้วที่เหลือท่านต้องเตรียมเป็นเมล็ดเอาไว้หว่านในฤดูหน้า ไม่อย่างนั้น ท่านกินหมด ฤดูหน้า ท่านไม่มีหว่าน อดตายพอดี ธรรมชาติ ไม่เห็นมีอะไรเลย  เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหารการเงิน ที่พระเจ้าสอนเรามากกว่า เห็นไหม? มันชัดๆ ง่ายๆ เอาไปใช้ได้หมดเลย เตรียมไว้สำหรับค่าพยาบาลกี่ตังค์? กี่เปอร์เซ็นต์? อย่าซี้ซั่วใช้ อันนี้ใช้สุรุ่ยสุร่ายได้กี่เปอร์เซ็นต์? มันเป็นอย่างนี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือต้องฝึกฝนในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นผู้เชื่อจริงไหม? ถ้าท่านเชื่อในข่าวดีจริงๆ ท่านต้องรู้จักการให้ออกไป  ไม่ใช่ไม่มีสักเปอร์เซ็นต์เลย ยังเป็นหนี้อยู่ จะมาเอาอะไรกับฉัน ท่านก็อยู่อย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ ท่านไม่ได้เชื่อจริงแล้ว ถ้าเชื่อจริง ท่านต้องไม่ขาด ต้องมีเหลือให้ด้วย เพราะมันเป็นเปอร์เซ็นต์ นี่เป็นคำแนะนำจากพระเจ้า เป็นเปอร์เซ็นต์นะลูก เราได้มา 10 บาท 10% ของ 10 บาท มันบาทเดียวนะ ท่านให้บาทหนึ่งกับคนให้ 10 ล้าน มีเงิน 100 ล้านเท่ากัน ไม่มีใครดีกว่าใคร? แต่พระเจ้าต้องการให้ได้รับสิ่งดีๆ ในนี้บอกว่า …

“และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างเหลือล้นแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่าง ที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา เพราะท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง”

ไม่ใช่เงินอย่างเดียวนะ ทุกอย่าง เพื่อเอามาทำดีต่อไป  ถ้าเราเรียนรู้ลึกซึ้งไป พระเจ้านำเราไปเรื่อย เราเชื่ออย่างเดียวได้ผลออกมาอย่างนี้ทุกคน เราคอยคิดโน่น คิดนี่ มันจะไปไหน? พระเจ้าไม่ได้ต้องการเงินจากเรา พระเจ้าต้องการให้เราดีที่สุด  แต่กลัวว่าเงินมันจะทำร้ายชีวิตเรา กลัวว่าเงินจะทำอันตรายความเชื่อเรา จึงต้องค่อยๆ สอนเรา ค่อยๆ ฝึกเรา ไปทีละนิดที่ละหน่อย เพราะฉะนั้นวันนี้ เข้าใจแล้วนะ

ผมพูดอยู่เสมอ พอพูดถึงเรื่องสิบลด ก็จะบอกว่าไม่จำเป็น ไม่ต้องถวายก็ได้ โฮลี่ส์เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราเคยคุยกันอยู่ตลอด ถ้าไม่มีใครถวายเลย เราก็เลิก ไม่มีเงินแล้ว ไม่มีอะไร? ไม่ยากเลย  ถ้าไม่มีเงินดูแลสถานที่แล้ว ก็เลิกสิ ไม่เห็นมีอะไรเลย ถ้าเป็นคริสตจักรของพระเจ้าจริง พระเจ้าต้องดูแลสิ  ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา คำว่า “เกี่ยวอะไรกับเรา” หมายถึงยังต้องให้ เพื่อฝึกฝนตัวเราเอง เข้าใจใช่ไหมครับ? แต่มันมาเกี่ยวอะไรกับเรา ทำไมต้องให้คริสตจักรมีเงินเยอะๆ เข้ามา เพื่อเราจะอยู่ได้  ถ้าพระเจ้าให้อยู่ มันก็จะอยู่เอง ถูกไหม? เราเอาความถูกต้องดีกว่า อะไรที่มันถูก เราก็บอกว่าถูก อะไรที่เป็นประโยชน์ เราก็บอกเป็นประโยชน์ เหมือนพระคัมภีร์พูดเดี๋ยวนี้ ในเรื่องนี้ เรื่องการถวายนี้

อีก 4 ปี เราจะหมดสัญญา เราก็ต้องเตรียมสถานที่ใหม่ พระเจ้าไม่ได้โยนเงินมาจากข้างบนหรอก พระเจ้าก็จะใช้ทั้งโลก เหมือนครั้งที่แล้ว เมื่อ 16 ปีที่แล้ว เราจำเป็นต้องย้ายที่ ก็ไม่มีเงินอย่างนี้แหละ  ในที่สุด มันก็มีมาจนได้ แล้วก็ใช้คนที่พร้อม เพราะที่นี่ไม่เคยสอนผิดจากหลักพระคัมภีร์ กล้ายืนยัน โดยเฉพาะเรื่องนี้  ไม่เคยบังคับว่าให้คนต้องให้ๆ บอกเสมอว่าอย่าให้นะ ถ้าฝืนใจ ไม่ต้องให้ ไม่ต้องถวายสิบลดก็ได้ แต่ให้ท่านไปคิดดูว่ามันฝึกฝนไหม? มันฝึกฝนชีวิตเราหรือเปล่า?  อะไรอย่างนี้  เพราะฉะนั้น เที่ยวนี้ก็เหมือนกัน อีก 4 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่รู้ ฝากไว้ที่พระเจ้า ทุกอย่าง แต่มิใช่หมายถึงพวกเราจะไม่มีหน้าที่ตรงนี้

ผมเป็นศิษยาภิบาลมีหน้าที่สอนในสิ่งที่ดี ไม่ใช่ต้องการอยากจะได้เงินจากพวกท่าน พูดกลับไปกลับมา พูดถึงเรื่องนี้ พูดยากนะ พูดเรื่องอื่นสนุกสนาน พูดเรื่อง ก็ไม่สนุกเลย  นานๆ ถึงพูดที ไม่อยากจะพูด ไม่พูดก็ไม่ได้  พอไม่พูด ก็เหมือนไม่บอกทางสว่างให้กับท่าน มีทางที่ท่านจะเจริญรุ่งเรือง แต่ก็ไม่อยากจะพูดอย่างนี้  พูดอย่างนี้ ก็กลายเป็นไปทำให้เขาโลภ มันไม่ใช่ มันคือตรงกลาง เข้าใจไหม? ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ผมก็ไม่เข้าใจ มันวนไปวนมา สมมติผมจะบอกว่าเมื่อ 16 ปีที่แล้ว มีคนได้พรตามนี้ จากความเชื่ออย่างนี้ ร่วมกันก่อสร้างตรงนี้มาตลอด และได้พรตามนี้เป๊ะเลย  และตอนนี้ ท่านฝึกฝน ท่านรู้จักให้ออกไป ท่านก็จะได้พรจากนี้ต่อไป อีก 4 ปีข้างหน้า เราจะมีสถานที่ใหม่ หรืออะไรก็แล้วแต่ ท่านก็อยู่ตรงพรในโลกใบนี้นะ ไม่ใช่ไปสวรรค์แล้วมันได้ ไปสวรรค์ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ในโลกใบนี้  ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ ดำเนินชีวิตด้วยสันติสุข ความสงบสุข และพระเจ้าสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือทุกอย่าง เพื่อการดีต่อๆ ไป เยอะแยะมากมาย เหมือนที่เขาเขียนไว้ว่า …

“เขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์”

ผมอยากให้ท่านได้ตรงนี้ ก็เลยมาหนุนใจท่าน ฝึกให้ออกไปบ้าง กลับมาตรงนี้อีกแล้ว เห็นไหมศิษยาภิบาลพูดลำบาก ยากไหม? ไม่พูดไม่ได้ ผมจำเป็นต้องพูด ผมพูดเสมอๆ ตลอดมาว่าไม่จำเป็นต้องถวาย ให้ไปฝึกฝน ตรงนี้มันคือพร มันไม่ใช่ได้เงินกลับมาอย่างเดียว มันได้ทุกอย่างเลย  ในนี้บอกทุกอย่าง

“พระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการ อย่างเหลือล้นแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา”

เวลารถท่านตายกลางถนน บนทางแยก ทางด่วน ไม่มีใครจะทำให้ ก็จะมีคนไปดูแลท่าน เอเมน ยกตัวอย่างให้ ไม่รู้จะยกตัวอย่างอะไรแล้ว มันไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องอื่น ท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม หมายถึงอย่างนั้น  แต่ตอนเราให้ เราไม่ได้หวังตรงนี้ เข้าใจไหม? พูดยากอีกแล้ว เราไม่ได้หวังว่าเราให้ออกไป แล้วเราจะได้ตรงนี้ ไม่ใช่ ให้วันนี้ไป

“พระเจ้าบอกว่าจะให้ ไม่เห็นให้สักที ไหนล่ะ วันนี้ต้องมานั่งเข็นรถ ไหนล่ะ รถพิเศษที่บอกว่าจะเตรียมมา ไม่เห็นมาเลย”

ไม่ใช่ มันอธิบายยากใช่ไหม? สรุปแล้ว มันไม่เข้าใจหรอก ท่านเชื่อไหม? อย่างนี้ดีกว่า ท่านทำตามพระคัมภีร์นี้ว่าฝึกฝน รู้จักให้ ผมจะบอกว่ามันเป็นชีวิตที่มีความสุขที่สุด ให้อย่างไม่ได้คิดอะไรเลย มือซ้ายให้ มือขวาไม่รู้ ไม่มีใครรู้เลยว่าท่านให้อะไรเท่าไร?  ไม่ต้องบอกเลยว่าให้อะไรเท่าไร? ไม่ต้องใส่ชื่อฉัน กรุณาอย่าใส่ ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องออกบิลก็ได้ ออกบิลดีแล้ว ให้ตามหน้าที่เขา จะได้ลงบัญชีเอาไว้ อะไรอย่างนี้

คือผมอยากจะอธิบายให้ท่านฟังว่าสิ่งนี้เป็นพระพรมากมาย ไม่ใช่เป็นการเรียนอย่างเดียว เพราะว่าผมฝึกฝนปฏิบัติตามมา 30 ปีแล้ว โง่ๆ เซ่อๆ เรื่องข่าวดี ทำตามเขาไป ผิดๆ ถูกๆ แก้ไขความเชื่อไปเรื่อยๆ  แต่ยังปฏิบัติตามเหมือนเดิมตลอดๆ  และผมเชื่อว่าข่าวดีนี้  มันไปถึงลูกหลานเหลนโหลนของผม ไปบอกคนอื่นๆ ต่อๆ ไป มันก็เป็นไปตามพระคัมภีร์ตรงนี้เลยว่าเราได้เป็นพระพรด้วย เกิดการขอบคุณพระเจ้าขึ้น เกิดการสรรเสริญพระเจ้าขึ้น ข่าวดีนี้ถูกประกาศออกไป เราได้ทำสิ่งที่ดีๆ น้ำท่วม คนเกิดลำบากยากจน เราก็เข้าไปช่วยได้ เพราะว่าเขามี ถามว่าเขามี เพราะอะไร? เพราะว่าเขาเก็บเมล็ดไว้ สำหรับหว่าน พอเราหว่านปุ๊บ พระเจ้าก็อวยพรให้ต้นไม้เจริญเติบโต เราก็เก็บเกี่ยวไปอีก เราก็หว่านออกไปอีก เอเมน

เพราะฉะนั้น สรุปก็คือเราเป็นลูกๆ ของพระเจ้าแล้ว ไม่มีข้ออะไรที่ให้เราต้องอันนั้น ต้องอันนี้ แต่พระองค์แนะนำในสิ่งที่ดีๆ เราควรจะทำตาม และสิ่งเดียว สำหรับลูกของพระเจ้า ที่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ มีข้อห้ามเพียงข้อเดียวเอง ซึ่งจะสอนตอนต่อไป แต่วันนี้ ให้เป็นกระสายนิดหนึ่ง

ข้อห้ามเพียงข้อเดียว คือห้ามทิ้งความเชื่อ เรื่องข่าวดีของพระเยซูเด็ดขาด เพราะเมื่อไรท่านทิ้งข่าวดี ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ท่านกำลังปฏิเสธพระเยซู เหยียบย่ำพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่บริสุทธิ์สะอาดว่าไม่มีค่า ก็คือเข้าพิธีสุหนัต หรือทำพิธีอะไรต่างๆ ด้วยใจท่านรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องทำ ท่านทำ เพราะว่าท่านกลัวว่าท่านไม่รอด นั่นแหละคือค่อยมาเรียนต่อครั้งหน้าว่าพระคัมภีร์พูดตรงไหน?  ถึงเรื่องนี้ว่าห้ามทิ้งความเชื่อ เรื่องข่าวดีนี้ เด็ดขาด รักษาไว้เป็นของท่าน ห้ามปฏิเสธข่าวดีของพระเยซู และที่เหลือมีเต็มไปหมด  ควรทำตามไหม? ควรทำตาม เพราะมันเป็นประโยชน์ เสริมสร้าง พระคัมภีร์จะสอนเรา ยกตัวอย่างเช่น อย่าโลภ  อย่ามีรูปเคารพ  อย่าโกรธ  อย่าเกลียด  อย่าอาฆาต  อย่าผิดศีลธรรมทางเพศ  อย่าโกง  อย่าเห็นแก่ตัว  อย่าเล่นไสยศาสตร์  อย่าเล่นคาถาอาคม  อย่าโกหก  อย่าหลอกลวง   และอย่า … อื่นๆ อีกเยอะแยะไปหมดเลย  ที่พระเจ้าสอนท่าน  พอท่านรู้ว่าอย่า ก็อย่าไปทำ หรือพยายามให้น้อยลงๆ ทำเมื่อไร ก็เจ็บตัวเมื่อนั้น  ก็เขาบอกอย่าแล้วไง ดังนั้น จงทำสิ่งที่พระวิญญาณ หรือสติปัญญาท่าน หรือในพระคัมภีร์บอกว่าดี ก็ทำตามนั่นแหละ เพื่อชีวิตที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ จะได้ถวายเกียรติพระเจ้า แล้วมันมีแต่สันติสุข มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น  วางใจในพระเจ้านะ และทำสิ่งที่ดีเหล่านี้  เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2018 เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอน 2 “แก่นแท้ความจริงของการประกาศข่าวดี” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  พฤษภาคม  2018

เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ

กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู

ตอน 2 “แก่นแท้ความจริงของการประกาศข่าวดี”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายวันนี้ ก็จะเป็นเรื่องต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ชื่อเรื่องว่า “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะกับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอน 2 “แก่นแท้ความจริงของการประกาศข่าวดี” และครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้แล้ว จากรากศัพท์ของคำว่า “ผู้เผยพระวจนะ” แปลมาจากภาษาเดิม ภาษาอังกฤษ ก็คือ “Prophet” …

“Pro” แปลว่า “เบื้องหน้า”

ส่วน “Phet” มาจากคำภาษากรีก ที่แปลว่า “พูด” หรือ “กล่าวออกไป”

รวมความแล้ว “Prophet” หรือ “ผู้เผยพระวจนะ” ก็หมายถึง “ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ เพื่อเป็นผู้บอกเล่าเหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นในเบื้องหน้า หรือในอนาคต”

เรารู้แล้วว่าผู้เผยพระวจนะ คือใคร? แปลว่าอะไร? ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

ซึ่งการเผยพระวจนะทั้งหมดในพระคัมภีร์ จะถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เกือบทั้งหมด ผู้เผยพระวจนะ มีก่อนพระเยซูคริสต์จะมาถือกำเนิด และเรื่องราวการเผยพระวจนะทุกเรื่อง ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ อ่านตรงนั้น แล้วเล็งถึงหรือไม่เล็งถึง แต่พระคัมภีร์เล็งไปถึงพระเยซูคริสต์ทั้งหมดเลย

เรื่องนางรูธ ก็เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ เรื่องโมเสส ก็เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่รู้ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ เรียนรู้ถึงหรือไม่ถึง ทั้งหมดนั้น พูดเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ทั้งหมดเลย

เรื่องราวคำเผยพระวจนะของพระเจ้าที่บอกล่วงหน้า พอมาถึงพระเยซูคริสต์ จึงกลายเป็นข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ ได้รับการประกาศกันต่อๆ มาว่าที่พระเจ้าวางแผนไว้ เมื่ออดีต ตั้งนานมาแล้ว บัดนี้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน

เพราะฉะนั้น  จึงสามารถพูดว่าข่าวดี แห่งความสำเร็จ มันสำเร็จแล้ว ถึงเป็นข่าวดี ถ้ายังไม่สำเร็จ ก็ต้องลุ้นต่อไป มันยังไม่ดีจริง แต่สำเร็จแล้ว มันคือข่าวดี

การประกาศข่าวดีของพระเจ้า ประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ของพระเจ้า ก็คือเรื่องของสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ล่วงหน้าสำเร็จแล้ว นี่คือข่าวดี ได้ถูกประกาศมาตั้งแต่วันนั้น วันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม จนถึงวันนี้ เกือบ 2,000 ปีแล้ว ประมาณนั้น

และเรื่องราวเล่านั้น ที่กำลังพูดถึง ก็คือพันธสัญญาของพระเจ้าที่บอกว่าจะช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป รอดพ้นจากคำสาปแช่ง โดยจะประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ มาเป็นผู้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ ได้รับมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คืออาดัมและเอวา เอาความทุกข์ยากลำบาก ความทุกข์ทรมาน เนื่องจากคำสาปแช่ง ซึ่งเป็นผลจากการทำบาป ต่อต้านพระเจ้า หนีพระเจ้าไป ไปอยู่ใต้หรือไปเชื่อฟังมาร มนุษย์ตั้งแต่นั้นมา ก็ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก

คำสัญญาของพระเจ้า ก็คือจะส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาไถ่บาป ด้วยการทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน รับโทษบาปทั้งหมด แทนมนุษยชาติ

นี่คือเรื่องราวที่มีการเผยพระวจนะบอกล่วงหน้า ถึงเหตุการณ์เหล่านี้ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะมาตลอดที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ที่เราเรียกกันว่าภาคพันธสัญญาเดิม คือสิ่งที่บอกไว้ตั้งแต่เดิม ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด คำว่า “เดิม” คำว่า “ใหม่” แบ่งกันตรงที่พระเยซูเกิดหรือยัง? ถ้าพระเยซูคริสต์ยังไม่เกิด เรียกว่าพันธสัญญาเดิม …

เดิมบอกไว้ว่าพระเยซูคริสต์จะมาช่วยให้รอด เดิมบอกว่าพระองค์เตรียมแผนการนี้ ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป และหลังจากการเผยพระวจนะ ผ่านไป เป็นเวลาหลายๆ พันปี ก็ถึงเวลาที่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ และมาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ และมาตายที่ไม้กางเขนจริงๆ ด้วย  รับโทษบาปแทนมนุษย์จริงๆ ทำแผนการของพระเจ้าที่บันทึกไว้ล่วงหน้า ที่สัญญาไว้ล่วงหน้านั้น สำเร็จ ณ เวลานั้น สิ่งที่เคยถูกเรียกว่าการเผยพระวจนะ หรือการทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ก็ถูกเรียกใหม่ว่าข่าวดี

นี่คือการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ พระคัมภีร์เดิมสัญญาไว้ว่าอย่างนี้ๆ เรียกว่าพระคัมภีร์เดิม พอพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูมาทำให้สำเร็จ จากการบอกล่วงหน้า จึงกลายเป็นสำเร็จแล้ว

“สำเร็จแล้ว” เราทุกคนต้องอยู่ในคำนี้เยอะ จนตลอดชีวิตของเรา ไปชั่วลูกชั่วหลาน จนกระทั่งหมดลมหายใจ ไปถึงนิรันดร์เลย ต้องจำให้ได้ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ “สำเร็จแล้ว”  ภาษากรีกพูดว่า “Testelesti”

โรม 1:1-4 อาจารย์เปาโล ก็คือผู้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เหมือนเราอย่างนี้  อยู่ในยุคก่อนเรา เกือบ 2,000 ปี ก็ได้พูดอย่างนี้แหละ

โรม 1:1-4 “1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโล ผู้เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูต และทรงแยกไว้ เพื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้า 2 คือข่าวประเสริฐซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า ผ่านทางเหล่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ 3 ข่าวประเสริฐนั้น เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้ซึ่งในฐานะมนุษย์ ทรงเป็นวงศ์วานของดาวิด 4 และผู้ซึ่งโดยทางพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ พระองค์ได้รับการประกาศ ด้วยฤทธานุภาพว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

 

ข่าวประเสริฐ ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า ผ่านทางเหล่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ พระคัมภีร์ มาจากคำว่าไบเบิ้ล … ไบเบิ้ล แปลว่า book … book แปลว่าหนังสือ … หนังสือที่บันทึกไว้ Holy แปลว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะพระเจ้าใช้เขาบันทึก ตามพระองค์บอก เขาถึงเรียกว่า Holy ศักดิ์สิทธิ์ เขาหมายถึงอย่างนี้

พระคัมภีร์บอกเรื่องราวข่าวประเสริฐนี้ เป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก แต่ปิดบังไว้ก่อน เป็นแผนการลับ ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผย รอถึงเวลาที่เหมาะสม ก็ค่อยๆ เปิดเผยออกมาทีละนิดๆ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ ให้บอกล่วงหน้าว่าพระองค์จะทำอะไร?

แค่พูดคำว่า “เป็นแผนการ หรือสัญญาที่พระองค์ทรงเตรียมล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก”

ท่านเข้าใจไหม ก่อนสร้างโลก ไม่เข้าใจ เรามีหน้าที่เชื่ออย่างเดียว เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น แต่วันหนึ่งเราจะเข้าใจเองแหละ วันไหน? วันที่เราอยู่บนโลกนี้หรือเปล่า เราก็ไม่รู้ หรืออาจจะเป็นวันหนึ่ง ที่เราจากโลกนี้ไปแล้วก็ได้ เปาโลบอกว่าวันที่เราจากโลกนี้ไป เราจะรู้ ในสิ่งที่เราอยากจะรู้เยอะแยะมากมายไปหมดเลย คือวันที่เราไปเห็นพระองค์หน้าต่อหน้านั่นเอง ทิ้งร่างกายนี้ไปแล้ว

พระเจ้าค่อยๆ สำแดงและเปิดเผยพันธสัญญาของพระองค์ ก่อนที่เหตุการณ์จริงจะเกิดขึ้น เพื่อจะได้เล้าโลมจิตใจของมนุษย์ทั้งหลาย ก่อนช่วงที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด มันไม่มีความหวังอะไรเลย มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนบาปทั้งสิ้น และอยู่ภายใต้ความกลัวการถูกลงโทษในใจลึกๆ เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น พระเจ้าจึงค่อยๆ เปิดเผยพันธสัญญาของพระองค์ แผนการของพระองค์ ให้มีความหวังใจว่าสักวันหนึ่ง วันหนึ่งอาจจะไม่ใช่เวลาของเรา อาจจะไปถึงลูกหลานของเรา หรือเหลนของเราก็ได้ วันหนึ่งข้างหน้า ความบาปผิดเหล่านี้ ความทุกข์ทรมานเหล่านี้ มันจะได้รับการชำระ ได้รับการไถ่ เราจะหลุดพ้นเสียทีหนึ่ง เราจะหมดเวรหมดกรรมเสียทีหนึ่ง ต้องมีสักวันหนึ่ง พระเจ้าต้องการอย่างนี้ และเพื่อให้มนุษย์ใจจดใจจ่อในสิ่งเหล่านี้ และเมื่อวันที่เกิดขึ้นจริงๆ เขาจะได้รู้ว่าเป็นพระเจ้าแน่ๆ เพราะพระองค์บอกล่วงหน้ามาแล้ว  โรม 16:25-26 บันทึกเรื่องนี้ไว้

โรม 16:25-26 “25 บัดนี้ แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถให้ท่านตั้งมั่น โดยข่าวประเสริฐของข้าพเจ้า และการประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ ตามการทรงสำแดงข้อล้ำลึก ซึ่งได้ทรงปิดบังไว้ ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา 26 แต่บัดนี้ ได้ทรงสำแดงและเปิดเผยให้รู้ทั่วกัน ผ่านทางข้อเขียนต่างๆ ของผู้เผยพระวจนะ ตามพระบัญชาของพระเจ้าองค์นิรันดร์ เพื่อปวงประชาชาติจะได้เชื่อวางใจและเชื่อฟังพระองค์”

 

เห็นไหม? เพื่อว่าเมื่อเกิดขึ้น ปวงประชาชาติจะได้เชื่อวางใจ และเชื่อฟังพระองค์ในข่าวประเสริฐนี้ จากพระสัญญาของพระเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก แผนการลับ ที่จะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากคำสาปแช่ง ถ้าเผื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป คำสาปแช่ง แล้วมนุษย์ก็ตกลงไปจริงๆ ซึ่งแต่เดิมเคยถูกปิดบังไว้ เรียกว่าเป็นแผนการลับ จนมาถึงได้รับการเปิดเผยผ่านทางผู้เผยพระวจนะทีละนิดทีละหน่อย จนมาถึงการเกิดขึ้นจริงๆ ในวันที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต จากนั้นเป็นต้นมา พันธสัญญาหรือคำเผยพระวจนะเหล่านี้ จึงกลายเป็นข่าวดี ให้เราทั้งหลายประกาศออกไปว่ามันสำเร็จแล้ว ประกาศไปจนกระทั่งสุดปลายแผ่นดินโลก

พระเยซูทรงประกาศข่าวดีนี้เป็นคนแรก ที่ไม้กางเขน ในวันศุกร์ประเสริฐ ตอนบ่าย 3 โมง  พระเยซูก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงประกาศดังลั่นในใจ แต่ปากอาจจะพูดเบาๆ เพราะว่าทรมานมาก หายใจไม่ออกแล้ว จะยกเลิกวิญญาณตัวเอง

พระองค์บอกว่า … “สำเร็จแล้ว” บันทึกไว้เป็นภาษากรีกว่า “Testelesti”  ทุกอย่างจ่ายเรียบร้อยแล้ว ที่วางแผนมาทั้งหมด ตั้งหลายพันปี จบแล้ว บาปเวรกรรมของมนุษย์ได้ถูกชดใช้เรียบร้อยแล้ว จงประกาศตามพระเยซู พระองค์ประกาศอย่างไร? ท่านก็ไปประกาศอย่างนั้นแหละ ประกาศตามถ้อยคำพระเจ้าที่ได้สัญญาไว้ล่วงหน้าว่าเป็นบัญชา คือเป็นคำสั่ง เป็นคำพูดของพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิมว่าเมื่อถึงเวลามันจะต้องเกิดขึ้นตามนั้น ฉันจะช่วยลูกฉันกลับมาใหม่

หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ เราจึงต้องยึดหลักถ้อยคำในพระคัมภีร์ทั้งสอง คือทั้งพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ให้มันตรงกัน เป็นแนวทางสำคัญในการประกาศข่าวดีว่าสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ไปทุกแห่งทุกหน ไม่มีที่สิ้นสุดของความจริงนี้ คือพระคัมภีร์เดิม ยืนยันด้วยพระคัมภีร์ใหม่ พูดพระคัมภีร์ใหม่ก่อน ยืนยันด้วยพระคัมภีร์เดิมว่า …

“ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่จริงๆ แม้กระทั่งจุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ก็ไม่ถูกลบหายไป จนกว่ามัน จะเกิดขึ้น”

จุดๆ หนึ่ง คือแม้พระเยซูต้องนั่งลาที่บริสุทธิ์ ที่ไม่มีใครเคยขี่เลย เดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็ม ในอาทิตย์ที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ก็ยังถูกบันทึกเอาไว้ก่อน บอกล่วงหน้าแล้วว่าจะเป็นอย่างนี้ ไปอ่านดู จะบอกโดยผู้เผยพระวจนะเขียนไว้ว่าพระเมสโปดก พระเจ้าจะเข้ามา หมายถึงพระเยซู ท่านคิดดูสิ จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่งจะไม่ถูกลบเลือนหายไป จนกว่ามันจะเกิดขึ้น เป็นไปตามพันธสัญญา เป็นไปตามคำบอกเล่าล่วงหน้าของบรรดาผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าพูดผ่านเขาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้แหละ ฮาเลลูยา เห็นความยิ่งใหญ่ไหม?

เพราะฉะนั้น การประกาศข่าวดี ท่านต้องเห็นทั้งสองอันเลย  ก็จะสนุกในการอ่านพระคัมภีร์ อ่านพระคัมภีร์เดิมนึกไม่ออกว่าตรงนี้แปลว่าอะไร? แต่รู้ในใจว่ามันเล็งถึงใคร? ฉันไม่รู้ ฉันรู้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องพระเยซู ตอนที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว เกี่ยวข้องหมดแหละ ฉันมีหน้าที่รู้แค่นี้ ไม่ ต้องรู้หมด อันไหนรู้ ก็รู้  ไม่รู้ ก็สรุปว่าเป็นไปตามนี้ เอเมน นี่คือหลักการที่เราจะไปประกาศข่าวดี นี่คือความจริงที่เราจะเป็นผู้สืบสาน พูดให้ลูกหลาน เหลน โหลนของเราภายภาคหน้า

ปัญหาของการประกาศข่าวดี คือมนุษย์มักจะใช้ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองในใจ ซึ่งเต็มไปด้วยความเชื่อเก่าๆ ความรู้เก่าๆ ความเคยชินเก่าๆ การฟ้องผิดเก่าๆ ในชีวิตเดิม ความเคยชินกับการฟ้องผิดในใจว่าตนเองเป็นคนบาป มีมลทิน ที่อยู่ในวิญญาณ อยู่ในความคิดจิตใจ อยู่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ และอยู่ในร่างกายใช้คำว่าเนื้อหนัง ที่มีเชื้อบาป อยู่ภายใต้การกระตุ้นของร่างกาย ความคิดจิตใจที่เป็นทาสของความบาป เป็นเชื้อบาปในตัวเองอยู่ มักจะไปเอาตรงนี้ มาใส่ลงไปในการประกาศข่าวดี เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ในใจลึกๆ จิตใต้สำนึกก็คอยที่จะฟ้องว่าตัวเองเป็นคนบาป สกปรก มันฟ้องตลอดเวลา แล้วมนุษย์ก็มักจะใช้ความรู้สึกเคยชินนี้ ในการเข้ามามีความสัมพันธ์ติดต่อกับพระเจ้า เมื่อมารู้จักพระเจ้า หรือไม่รู้จักก็ตาม แทนที่จะใช้สิ่งที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า คือถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้เมื่อตะกี้นี้ ที่เป็นความจริง ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ไม่ว่าพระคัมภีร์เดิม หรือพระคัมภีร์ใหม่ก็ตาม ที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว มาเป็นบรรทัดฐาน มาเป็นรากฐาน มาเป็นกรอบในการประกาศข่าวดีในชีวิตของตนเอง

พระคัมภีร์บอกว่าอะไรที่พระเจ้าบัญชาไว้ แผนการของพระองค์ที่ได้วางไว้ ที่พระเจ้าได้บันทึกไว้เป็นอย่างไร? พระเยซูได้มาทำทั้งหมด สำเร็จแล้ว ก็ให้เราเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น ตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ ใครจะถามว่า …

“เป็นลูกพระเจ้าหรือเปล่า?”

ไม่ค่อยกล้าพูด เพราะไม่ค่อยมั่นใจว่าสะอาดพอจะเป็นลูกพระเจ้าหรือเปล่า? ทั้งๆ ที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์แล้ว อย่างนี้เป็นต้น เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าอย่างไร? เราก็ควรจะเชื่ออย่างนั้น ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยตามมองเห็น หรือด้วยความเข้าใจแบบมนุษย์ หรือใช้ความรู้สึกเอา คริสเตียนที่แท้จริง ต้องไม่ใช่ว่าฉันรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่นี่ ไม่มีคำว่า “รู้สึก” ต้องมีแต่ “ฉันรู้” “ฉันเชื่อ”

“วันนี้ ฉันรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวที่นี่” ถูกหรือผิด?  คิดเอาเอง

“วันนี้ ฉันมีความรู้สึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”  ถูกหรือผิด?  ผิด

“ฉันมีความรู้สึกว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มากเลย” ถูกหรือผิด?  ผิด

เห็นไหม ท่านจะเริ่มเข้าใจแล้ว

“ฉันมีความรู้สึกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง” ถูกหรือผิด?

“ฉันมีความรู้สึกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอย่างลึกซึ้งมาก ขนลุกไปหมด”  ถูกหรือผิด? แล้วทำไมทำล่ะ

“ฉันรู้สึกว่านมัสการเมื่อเช้านี้ อินมากๆ พระเจ้าสถิตอยู่กับฉันด้วยวันนี้มากกว่าเมื่อวานนี้อีก มากกว่าสัปดาห์ที่แล้ว” ถูกหรือผิด?

ต่อให้ท่านวันนี้ ตื่นไม่ทัน ต่อให้เมื่อตะกี้นี้รถตัดหน้า ต่อให้รอรถเมล์อยู่ รถเมล์ลงไปในโคลน กระเด็นขึ้นมาสาดท่าน ท่านเข้ามาที่นี่ตัวเปรอะโคลน เลอะมาก ทั้งหงุดหงิด ทั้งโกรธ ทั้งโมโห นั่งลงไปปุ๊บ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยไหม? แถมเล่นเพลงไม่ชอบอีก พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยไหม?  เห็นไหม? โดยความรู้สึกหรือความเชื่อ  เพราะถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เมื่อเรารับเชื่อในพระองค์แล้ว ต้อนรับพระองค์แล้ว เอเมน นี่หมายถึงอย่างนั้น ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง

บางครั้งที่เรารู้สึกว่าดี เมื่อได้ยินคนพูดถึง หรืออธิษฐานเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า โดยใช้เนื้อหนังของเขาอธิบาย บางครั้งเรารู้สึกดี เมื่อได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้ ตามความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ซึ่งไม่เป็นไปตามถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ ก็เพราะว่าเรากับเขาคนนั้น ต่างคนต่างเป็นคนบาปเหมือนกัน มีเนื้อหนัง มีความรู้สึกฟ้องผิดเช่นเดียวกัน และเรารู้สึกว่ามันสบายใจขึ้นจัง เมื่อได้รับการปลดปล่อยในจิตใจ แล้วก็คิดเอาเองว่านั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการมั้ง เพราะมันได้ผล มันโล่งเลยวันนี้

เช่น เวลาเจ็บป่วย แล้วก็คิดว่าเป็นการลงโทษจากพระเจ้า เพราะไปทำผิดอะไรมา แล้วก็มีคนอธิษฐานให้ว่า …

“ขอพระเจ้าทรงเมตตา อภัยในความบาปผิดของเขาทั้งหลายที่ได้กระทำมา รักษาเขาให้หายด้วยเถิด”

เรารู้สึกสบายใจเลย แล้วก็ว่านี่แหละคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ถูกหรือไม่ถูก? ที่ถามนี้ คือท่านจะรู้สึกอย่างนั้นจริงไหม?  มันปลดปล่อยเลย  แต่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าอย่างไร? ซึ่งพระคัมภีร์ก็บอกอยู่แล้วว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้รับการอภัยโทษ บาปผิดทั้งหมด ทั้งสิ้นแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน รวมถึงบาปในอนาคต และไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ นี่คือสำเร็จแล้ว ข่าวดีที่พระเยซูบอก แทนที่จะเชื่อพระเยซู เชื่อคนนี้ที่อธิษฐานให้เราดีกว่า เพราะเรารู้สึกสบาย รู้สึกได้รับการปลดปล่อย เขามาอธิษฐานให้ แต่มันผิด ก็คือผิด เพราะเราใช้ความรู้สึกในการรับรู้ เราไม่ได้ใช้ถ้อยคำพระเจ้าเป็นตัวบรรทัดฐานว่าจริงไหม? เหมือนที่ตะกี้นี้ผมบอกว่าท่านเข้ามาในโบสถ์ ท่านรู้สึกว่าวันนี้พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

เพราะฉะนั้น การที่เราทำตามเนื้อหนัง ความรู้สึกนึกคิดแบบเนื้อหนัง ตามความเคยชินเก่าๆ ทำตามความเชื่อเก่าๆ จากแรงกระตุ้น เนื่องจากบาปในเนื้อหนังของเรา นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามหลักการพระคัมภีร์ ยิ่งไปกว่านั้น อาจเป็นการปฏิเสธพระเยซู โดยเราไม่รู้ตัวก็ได้ เรากำลังบอกพระเยซูว่าไม่สำเร็จหรอก ถ้าสำเร็จจริง เราจะมาพอใจในการที่เขาอธิษฐานให้เราว่าเราไปทำบาปอะไรมา เราถึงได้รับการเจ็บป่วย เพราะเราไปทำผิดมา มันไม่ใช่ ถ้าเราเชื่อเขา เราก็ปฏิเสธพระเยซู ถ้าเราเชื่อพระเยซู เราก็ไม่เชื่อเขา

บางคนเห็นเพื่อนหรือคนใกล้ชิดป่วย แล้วก็คิดเอาเองว่าคงไปทำอะไรมา ที่เป็นการผิดต่อพระเจ้า หรือทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย ก็เลยลงโทษให้สุขภาพเสื่อมโทรม แล้วก็ได้รับสิ่งที่ไม่ดีเยอะแยะ และด้วยความปรารถนาที่ดี ที่เขาเรียกว่าความหวังดีที่โลกไม่ต้องการ ความปรารถนาดีอย่างจริงใจเลย ก็พยายามมาร่วมกันอธิษฐาน เป็นหมู่ใหญ่เลย อธิษฐานโต้รุ่งช่วยกัน

“ขอพระเจ้าโปรดเมตตาความผิดใดๆ ที่เพื่อนกระทำลงไป ด้วยความไม่รู้เท่าถึงการ ขอทรงโปรดยกโทษให้เขา อย่าไปลงโทษเขาเลย” อะไรประมาณนี้ เป็นต้น มันถูกตามหลักพระคัมภีร์ไหม?

คราวนี้เรามาดูว่าถ้อยคำพระเจ้า ข่าวประเสริฐแห่งความสำเร็จแล้วของพระเยซูเป็นอย่างไร? ว่ากันตามจริง ตามหลักพระคัมภีร์เลยนะ การกระทำอย่างนี้เขาถือเป็นบาปอย่างหนึ่ง คือไม่เชื่อในข่าวดี ต่อต้านพระเยซู เป็นปฏิปักษ์กับพระเยซู ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว เหมือนชาวยิวในอดีต ที่คุ้นเคยกับประเพณีเก่าๆ และนำสิ่ง ที่พระเจ้าได้สั่งให้ทำไว้ในอดีต มาใช้ในความสัมพันธ์ติดต่อกับพระเจ้า ในยุคหลัง จากที่พระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว คือกำลังบอกว่าพระเยซูทำไม่สำเร็จ เราเลยต้องทำต่อไง เช่น  สมัยพันธสัญญาเดิม ก่อนจะเข้าไปหาพระเจ้า ต้องนำเลือดสัตว์ไปถวาย เรียกว่าสัตวบูชา เพื่อปกคลุมบาปของตนเอง แล้วค่อยเข้าไปบัลลังก์ของพระเจ้าได้ แต่หลังจากที่พระเยซูได้ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้แล้ว ทุกเวลา ทุกเมื่อ ด้วยโลหิตของพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยโลหิตของสัตว์อีกต่อไปแล้ว แต่ด้วยความเชื่อเก่าๆ ด้วยความคิดแบบเก่าๆ ตามเนื้อหนังของตนเอง ก็ยังรู้สึกว่าขอเติมอีกหน่อย น่าจะต้องมีพิธีการอะไรสักหน่อยหนึ่งนะ ก่อนจะเข้าไปหาพระเจ้าสัตวบูชาสักหน่อยดีไหม? เวลาจะติดต่อกับพระเจ้า ขออีกสักนิดหนึ่ง เรากำลังบอกว่าพระเยซูทำให้เราไม่พอ ขอทำอีกหน่อยหนึ่ง ช่วยพระเยซูหน่อย คล้ายๆ อย่างนั้น

ซึ่งพระคัมภีร์ในพันธสัญญาใหม่บอกว่าการกระทำแบบนี้ คือการกระทำโดยความไม่เชื่อ ในฤทธิ์อำนาจแห่งพระโลหิตของพระเยซู ซึ่งก็เป็นบาปที่รุนแรงมากที่สุด ที่อภัยไม่ได้ เพราะเป็นบาปที่กำลังต่อต้านพระคริสต์ พระเยซู กำลังบอกว่าสิ่งที่พระเยซูพูดบนไม้กางเขน คำเผยพระวจนะ คำบอกล่วงหน้าที่พระเจ้าบอกไว้ ช่วยมนุษย์ได้สำเร็จ เสร็จแล้ว มันไม่จริง เรากำลังปฏิเสธพระเยซู มันเลยรุนแรงตรงที่ว่าจากนี้ต่อไป เราไม่มีพระเยซูแล้วนะ ไม่มีใครมาช่วยให้เรารอดแล้ว มันถึงรุนแรง ท่านทำบาปอย่างอื่นมา ท่านก็กลับมาหาพระเยซูได้ แต่ถ้าท่านปฏิเสธพระเยซู ท่านจะไปหาใคร? เหลือเพียงท่านเดียวแล้ว ก็คือพระเยซู พระคัมภีร์จึงบอกว่าทำอย่างนั้น  มันไม่ดีเลย  อย่าทำดีกว่า เพราะเท่ากับว่าท่านกำลังปฏิเสธพระเยซู และกำลังเหยียบย่ำพระคุณ ซึ่งเป็นบาปร้ายแรง และไม่มีใครสามารถช่วย ให้รอดจากบาปนี้ได้อีกเลย  ไม่ใช่พระเจ้าโกรธ  ก็ท่านปฏิเสธผู้ที่พระเจ้าส่งมาช่วยท่านให้รอด  ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก็แค่นั้นเอง  ท่านจะปฏิเสธอย่างอื่นอะไรต่างๆ แต่ยังเหลือพระเยซู ท่านยังมีโอกาสกลับมาหาพระเยซู แต่ถ้าท่านปฏิเสธพระเยซู แล้วจะหาใครล่ะ เพราะพระเจ้าได้ประทานพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว แต่เราปฏิเสธพระคุณนี้ ซึ่งพระเจ้าบอกว่านอกจากพระเยซูคริสต์ ไม่มีผู้ช่วยให้รอดอื่นใดอีกแล้ว พระคัมภีร์จึงย้ำแล้วย้ำอีกว่าเราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ด้วยเหตุผลและความคิดของเราเอง ไม่ใช่ด้วยเนื้อหนัง แรงกระตุ้นจากเชื้อบาปในตัวเรา ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าเนื้อหนังอ่อนแอมาก พระเจ้าประทานกำลังให้เราที่วิญญาณ ไม่ใช่เนื้อหนัง

พระคัมภีร์จึงบอกว่าท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อ บันทึกไว้ในกาลาเทีย 3:26 มันสำเร็จแล้ว พระเจ้าต้องการทำให้เรา เป็นลูก บัดนี้ทำสำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ที่เราต้องรักษาไว้

ตอนที่เกิดเรื่องการถกเถียงกันอย่างนี้ในกลุ่มชาวยิวว่าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ ตอนที่ข่าวประเสริฐมาถึงชาวยิวใหม่ๆ อาจารย์เปาโลสรุปไว้ง่ายๆ เลยว่าสิ่งใดที่ทำด้วยความเชื่อ ถ้าผมบอก “ความเชื่อ” ท่านต้องคิดต่อ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูที่ทำสำเร็จแล้ว

“สิ่งใดที่ทำด้วยความเชื่อ ก็ถูกหมด แต่อะไรก็ตามที่ไม่ได้ทำด้วยความเชื่อ ในข่าวดีนี้ ก็ผิดหมด” สรุปง่ายๆ

โรม 4:22-23 “22 ดังนั้นสิ่งใดๆ ก็ตาม ที่ท่านเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ จงเก็บไว้เป็นเรื่องระหว่างท่านเองกับพระเจ้าเถิด ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่กล่าวโทษตนเอง ในสิ่งที่เขาเห็นชอบ 23 แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขากินก็มีความผิด เพราะเขาไม่ได้กินตามความเชื่อ และการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป”

 

พูดง่ายๆ มีความสุขกับการที่มีความเชื่อในความจริงแห่งข่าวดีของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ และถ้าเขาไม่เชื่อล่ะ ไม่ว่าเขาทำอะไร ก็ไม่มีความสุขเลย มันเป็นบาปทั้งนั้น เพราะเขาไม่เชื่อข่าวดี พูดง่ายๆ แค่นั้นเอง คือเมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู เชื่อในฤทธิ์อำนาจแห่งพระโลหิตพระเยซูคริสต์ เราก็จะเชื่อว่าไม่มีสิ่งใด หรือการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เรากลับกลายเป็นคนบาปได้อีกแล้ว เพราะมันสำเร็จไปแล้ว Testelesti ไปแล้ว และไม่มีการลงโทษใดๆ จะเกิดขึ้นกับเราอีกแล้ว (ทางวิญญาณ) โรม 8:1 ได้บันทึกเอาไว้

ท่านอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่ามันบันทึกไว้ตรงไหน? แต่ท่านเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง และพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นจริงๆ ท่านก็ได้รับผลตามนั้น พระคัมภีร์จึงย้ำว่าเมื่อปากเราพูดว่าเชื่อ การกระทำของเรา ต้องออกมาตามปากที่พูดนั้นด้วย เชื่อก็ต้องทำด้วย ไม่ใช่ปากเชื่อแล้วว่าพระเยซูมาไถ่บาปให้ลูกแล้ว มาลบล้างความผิดบาปให้ตัวลูกจนหมดสิ้นแล้ว แต่การกระทำข้างนอก ยังแสวงหาวิธีการที่จะลบล้างบาปให้ตัวเองเพิ่มอยู่เลย ยังพยายามทำให้ตัวเองบริสุทธิ์มากขึ้นอยู่เลย แล้วมันคืออะไร? ปากพูดอย่าง แล้วทำอีกอย่าง ยากอบ 2:24 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยากอบ 2:24 “จะเห็นได้ว่าผู้ใดจะถูกนับว่าชอบธรรม ก็ด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว”

 

พูดง่ายๆ คือเมื่อเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ได้ไถ่บาปให้เราแล้ว ก็ต้องกล้าที่จะปฏิบัติตามนั้นด้วย คือไม่ต้องถวายเครื่องบูชาลบบาป ประจำปี ประจำเดือน ประจำวัน ซึ่งชาวยิว เคยยึดถือปฏิบัติมาเป็นเวลานานอีกต่อไปแล้ว ถ้าเชื่ออย่างนั้น ก็ต้องกล้าทำอย่างนี้ พระคัมภีร์เปรียบเทียบการกระทำแบบนี้ว่าเปรียบเหมือนเชื้อเพียงนิดเดียว ก็ทำให้แป้งขนมปังฟูขึ้นทั้งก้อนได้ เป็นคำพูดที่พระเยซูได้เตือนว่าจงระวังเชื้อของฟาริสี เชื้อความไม่เชื่อเพียงนิดเดียว เราอาจจะเห็นไม่สำคัญ แต่พระเยซู พระเจ้าเห็นสำคัญ เชื้อของไม่เชื่อเพียงนิดเดียว เช่น กินอาหารที่บูชารูปเคารพ แล้วเกิดฟ้องผิด ไปกินข้าว คบหาสมาคมกับคนอื่น ที่ไม่ใช่ชาวยิว ก็ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ กลัวคนเขาเห็น เชื้อเหล่านี้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจสามารถฟูขึ้นมาได้ คือเกิดเป็นความคิดที่เชื่อผิดๆ แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างได้

ถ้าเทียบกับปัจจุบัน พระคัมภีร์ใหม่ ผมไม่ได้ต่อต้านเรื่องนี้นะ คือเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องถวายสิบลด พระเจ้าจึงพอพระทัย ถ้าเผลอ ไปทำผิดบาปอะไรมา ต้องรีบอธิษฐาน ขอการอภัยจากพระเจ้า เป็นการลบล้างบาป พระเจ้าจึงจะอภัยให้ ถ้าเจ็บป่วย อธิษฐานแล้วยังไม่หาย แสดงว่าต้องไปทำบาปอะไรมา หรือถ้าไม่ได้ทำด้วยตัวเอง ก็อาจจะมีคนในครอบครัวไปทำอะไรลบหลู่พระเจ้า จึงถูกลงโทษ อะไรประมาณนี้ ซึ่งเราก็เคยคุ้นๆ กันอยู่ ถ้าความจริงไม่มาถึงเรา … เราก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ใครส่งข่าวดีนี้มาให้เรา ซึ่งมันไม่ใช่ข่าวดีจริง นี่คือตัวอย่างที่บอกเป็นเชื้อแห่งความไม่เชื่อ ถ้าปล่อยไว้ ก็อาจฟู เผยแพร่กันออกไปเยอะแยะทั้งก้อนเละ ทั้งโบสถ์ ไปกันทั้งคณะก็ได้  ในขณะที่เรากำลังบอกว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู

ข่าวดีของพระเยซู คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก บอกว่าจะช่วยเหลือมนุษย์ ปลดปล่อยมนุษย์ อะไรเยอะแยะในนั้น สำเร็จแล้ว

ในขณะที่เรากำลังบอกว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู พระองค์ได้ทรงชำระล้างเราด้วยพระโลหิตของพระองค์ จนเราสะอาดหมดจด ปราศจากตำหนิ โดยร่างกายของพระองค์ได้แบกรับเอาความบาปของเราไปจนหมดสิ้นแล้ว ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ในขณะเดียวกัน เราจะรู้สึกสบายใจ เมื่อได้อธิษฐานว่า …

“ขอพระเจ้าทรงโปรดอภัยในความผิดบาปของลูก ขอทรงโปรดชำระล้างลูกให้สะอาด”

ทำไมมันแย้งกันเหลือเกิน ในขณะที่ปากเราเชื่อในข่าวดี แต่ความประพฤติเราไม่ใช่อย่างนั้นเลย นี่แหละคือเรากำลังปฏิเสธ เรากำลังต่อต้านพระเยซู โดยไม่รู้ตัว ปากบอกว่าเชื่อ แต่ไม่กล้าที่จะทำ ด้วยอะไรก็ตาม เรากำลังทำให้ข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซูเสียหายไป จนในที่สุดถึงลูก หลาน เหลน โหลน เขาก็อาจจะไม่รู้จักความจริงในข่าวดีของพระเจ้าเลย จนกระทั่งเลวร้ายที่สุด เขาอาจจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยข่าวดีจริงๆ อีกครั้งหนึ่งก็ได้

ท่านเคยรู้สึกดีไหม? เมื่อได้ทำบุญ ทำทาน และบริจาค หรือรู้สึกสันติสุข มันคนละอย่าง ผมหมายถึงตอนนี้ ท่านเชื่อในข่าวดีแล้ว ท่านได้บริจาค ช่วยน้ำท่วม ท่านรู้สึกว่าตัวเองบริสุทธิ์ขึ้นไหม?  รู้สึกเราได้สะสมความดีมากขึ้นไหม? คิดไปเรื่อยๆ นะ ผมพาท่านไปเรื่อยๆ ท่านมีความรู้สึกไหมว่าท่านได้ช่วยเหลือหมาจรจัด ที่มันเดินสะเปะสะปะ หรือสัตว์อะไรที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ท่านมีความรู้สึกไหมว่าบาป เวรกรรมของท่านลดน้อยลง

ตอนก่อนที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราเคยคิดกันอย่างนี้ ผมก็เคยคิดอย่างนี้ ถ้าผมไปช่วยสุนัข บาปเวรกรรมผมน้อยลง บางทีสุนัขจะช่วยเราบ้าง หมายถึงตอนนั้นนะ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ถูกไหม? แต่ผมกำลังบอกว่าเราสามารถมีโอกาสคิดย้อนกลับไปชีวิตเดิมได้ว่าตอนนี้ท่านเคยรู้สึกไหมว่าท่านอยากจะทำความดีเยอะเลย อยากออกไปประกาศทุกวัน อยากรับใช้พระเจ้าทุกวัน เพราะท่านกำลังอยากสะสมความดี เพื่อจะให้มีคุณภาพมากขึ้น จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ เคยคิดไหม? ไม่คิดก็แล้วไป

พระคัมภีร์จึงบอกไว้ว่าผู้ชอบธรรมจะดำรงชีวิตด้วยความเชื่อ … เชื่อในข่าวดีว่าสำเร็จแล้ว ท่านต้องนึกในใจ ข่าวดี สำเร็จแล้ว สิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ สำเร็จแล้ว ผู้เชื่อ ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น  ไม่ใช่ด้วยความคิดเห็น ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น ด้วยความเข้าใจ แบบมนุษย์ เชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้อย่างไร? ก็เชื่อตามนั้นว่ามันเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า

นี่คือข่าวดีของพระเจ้า ต้องสู้กับความคิดเก่าๆ แบบเนื้อหนัง ที่มันกระตุ้นมาด้วยเชื้อของความบาป ต่อต้านข่าวดีของพระเยซูอยู่เรื่อยๆ  โคโลสี 3:1-4 บันทึกไว้อย่างนี้ …

โคโลสี 3:1-4  “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เชื่อไหม? เชื่อ ไม่เข้าใจ แต่เชื่อ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ส่วนพระเจ้าจะให้สว่างขนาดไหน? แต่ไม่ว่าฉันจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เข้าใจมากหรือเข้าใจน้อยก็ตาม ฉันใช้ความเชื่อเอา พระคัมภีร์บอกให้จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน … สิ่งเบื้องบน คือในสวรรค์ บัดนี้เราได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว เริ่มต้นบอก ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งตัวท่านอยู่กับพระคริสต์ ท่านก็ได้นั่งอยู่เบื้องขวากับพระองค์ เข้าใจไหม?  ไม่เข้าใจ เชื่อไหม? เชื่อ อยากเชื่อเยอะขึ้นทำอย่างไร? ไปอ่านช้าๆ อ่านบ่อยๆ พูดให้ตัวเองฟังบ่อยๆ

“ฉันเป็นขึ้นมาร่วมกับพระเยซูคริสต์ และตอนนี้พระเยซูคริสต์อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพราะฉะนั้น ตามเหตุและผล ฉันจึงอยู่ในสวรรค์สถานด้วย”

สำหรับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็ว่าเราบ้าทั้งนั้นแหละ แต่พระคัมภีร์ให้เราจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้  ถ้าเราไม่จดจ่อ เราก็จะถูกเหตุผลของโลกดึงเราไป ตามแรงกระตุ้นแห่งกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็คือไม่เชื่อในข่าวดีนั่นเอง

“จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” พูดง่ายๆ เลือกพระเจ้า ไม่ใช่เลือกระบบของโลก เลือกที่จะเชื่อ ไม่ใช่เลือกที่จะเข้าใจ ไม่ว่าอะไรที่เป็นของโลกทั้งหมด ไม่เอา ไม่สนใจ ระบบของโลกเลิกไปเลย ตอนนี้ฉันอยู่ในระบบของวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ฉันเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่เลย ยังเดินอยู่ มาบอกท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตท่านซ่อนอยู่ หมายถึงท่านตายต่อบาปไปแล้ว ผมได้แค่นี้เหมือนกัน บัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ชีวิตของเราทั้งหลายตอนนี้ ซ่อนอยู่ในพระคริสต์

ท่านก็เอาถ้อยคำนี้ ไปพูด ไปอ่านบ่อยๆ เดี๋ยวพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะให้ท่านเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ท่านไม่มีทาง สามารถเข้าใจแบบมนุษย์ได้เลย เมื่อพระคริสต์ผู้เป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมพระองค์ในพระเกียรติสิริ พระเกียรติสิริ คือสง่าราศีของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือตัวเรา ถ้อยคำในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ ได้ทำให้เราทั้งหลายเป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทำให้เราเป็นลูกของพระองค์ และย้ายเราเข้ามาอยู่ในบ้านของพระองค์ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ และเรียกว่าในพระคริสต์

เพราะฉะนั้น ตอนนี้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้า ขณะที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราก็อยู่ในพระคริสต์ ขณะที่เราอยู่ในประเทศไทย เราก็อยู่ในพระคริสต์ ขณะที่เราอยู่ในกรุงเทพ เราก็กำลังอยู่ในพระคริสต์ เรานั่งอยู่ในโบสถ์ขณะนี้ เราก็อยู่ในพระคริสต์ … ในพระคริสต์ คือในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง มีพระเจ้าเป็นพระบิดา และพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทูตสวรรค์อีกมากมาย และเราอยู่ในนั้น แล้ว สำเร็จแล้ว ไม่ใช่ต้องรอ และเราก็อยู่ที่นี่ไปตลอด ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้อีกแล้ว  ไม่มีใครเอาเราออกไปจากอาณาจักรของพระเจ้านี้ได้อีกแล้ว เพราะเราซ่อนอยู่ในความยิ่งใหญ่ แห่งฤทธิ์เดชอำนาจ และสง่าราศี และพระสิริของผู้หนึ่งที่มีชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งสารพัด ผู้ทรงกระทำทุกสิ่งได้ ไม่มีสิ่งใดยากสำหรับพระองค์ นั่นแหละเราอยู่ในพระองค์ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2018 เรื่อง “สำเร็จแล้ว” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  เมษายน  2018

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตาย เอเมน ชื่อเรื่องของวันอีสเตอร์นี้ว่า “สำเร็จแล้ว”

เมื่อนึกถึงวันอีสเตอร์ เราก็นึกถึงก่อนหน้านี้ 2-3 วัน ก็คือวันพฤหัส  วันศุกร์ ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเยซูเริ่มทนทุกข์ทรมาน รับเอาความบาปของเราทั้งหลายไป นั่นคือหนึ่งในแผนการของพระเจ้าที่จะทำให้สำเร็จในวันอีสเตอร์ด้วยเช่นเดียวกัน

สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากตาย สุขสันต์วันสำเร็จแล้ว สุขสันต์วันแห่งชัยชนะของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่ของพระเยซูผู้เดียว พระองค์เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ เมื่อพระองค์ทรงชนะ มนุษยชาติชนะด้วย และแผนการนี้ สำเร็จแล้ว ไม่ใช่การทำสงคราม แต่สงครามใหญ่ยิ่งนี้ ได้ทำสำเร็จแล้ว ได้รับชัยชนะเรียบร้อยแล้ว เอเมน ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่รอว่ากำลังเกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้ว กำลังรับผลอยู่ตลอดเวลา เราจึงมาร่วมฉลองการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์ในเช้าวันนี้

หลังจากที่พระเยซูถูกทหารจับไปเมื่อวันพฤหัสฯ ที่สวนเกเสมนี ถูกทรมาน ถูกตรึงที่ไม้กางเขน จนกระทั่งตายที่ไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง จนถึงวันอาทิตย์ตอนเช้าตรู่ พระองค์ก็ฟื้นจากความตาย พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าเมื่อวันศุกร์ หลังจากที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว พระศพของพระเยซูได้ถูกอัญเชิญไปฝังที่อุโมงค์ ซึ่งปีลาตสั่งให้ปิดปากอุโมงค์อย่างแน่นหนา ด้วยหินก้อนใหญ่ แล้วจัดทหารเฝ้าเวรยาม อย่างเข้มแข็งตลอดเวลา

และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันอาทิตย์ ก็คือวันนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว คือเช้ามืด ได้เกิดแผ่นดินไหวที่อุโมงค์ มีทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาเลื่อนหิน ที่ปิดปากอุโมงค์ออก ก้อนใหญ่ คนผลักไม่ได้ แต่ทูตสวรรค์ผลักออกมา พวกทหารยามที่เฝ้าอุโมงค์อยู่นั้น ก็ตกใจกลัว เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พากันวิ่งหนีไปหมดเลย แล้วเหล่าสาวกของพระเยซู ก็ได้มาพบอุโมงค์ที่ว่างเปล่า ไม่มีพระศพ ไม่มีร่างอยู่ในนั้น และในที่สุด ก็ได้พบกับพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ แล้ว พระคัมภีร์บอกว่าการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เป็นการประกาศยืนยัน สถานภาพการเป็นพระเจ้าของพระองค์ ที่พระองค์พูดมาตลอดว่าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า  เป็นพระเจ้า แต่ไม่มีคนเชื่อ เพราะฉะนั้น การเป็นขึ้นจากความตาย เป็นการยืนยัน โรม 1:4 ได้บันทึกเอาไว้

โรม 1:4 “โดยทางพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ พระองค์ได้รับการประกาศด้วยฤทธานุภาพว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

 

พระองค์ได้รับการประกาศด้วยฤทธานุภาพว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา การเป็นขึ้นจากตายของพระเยซู คือใบประกาศยืนยันว่าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้าจริงๆ คือเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ตอนที่พระเยซูเป็นมนุษย์ ก่อนตระเวนสั่งสอน เป็นช่างไม้ด้วยซ้ำไป ไม่ได้ทำอะไรเลย ตลอด 30 ปี อายุ 31  เริ่มประกาศถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ และเริ่มประกาศว่าพระองค์เป็นใคร? พระเจ้าส่งพระองค์มาทำอะไร? และบอกว่าพระองค์ คือพระบุตรของพระเจ้า ทั้งบอกตรงๆ และบอกอ้อมๆ ตอนนั้นหลายคนได้ยินได้ฟัง ไม่เชื่อ แม้กระทั่งสาวกที่สนิทกัน อยู่ใกล้ๆ กัน ก็ยังไม่เชื่อ แม้พวกเขาเหล่านั้นจะได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ ในช่วงที่เดินอยู่บนโลกใบนี้มากมายใหญ่โต พวกเขาก็ไม่สามารถเชื่อจริงๆ ได้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะเชื่อได้ โดยเฉพาะพวกยิวทั้งอิจฉา ทั้งต่อต้าน ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งกลัวว่าอิทธิพลของตนเองในฐานะที่เป็นปุโรหิต หรือเป็นพระของยิว ที่ผู้คนนับถือ จะลดน้อยถอยลงไป ยิ่งต่อต้านพระเยซูมาก ยิวเหล่านี้ รับไม่ได้เลยนะว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เพราะว่าเขาถือว่าใครพูดอย่างนี้ ถือว่าเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าของเขาอย่างมากมายเลย มนุษย์บาปอย่างเราจะไปเป็นพระเจ้าได้อย่างไร? เป็นบุตรพระเจ้าได้อย่างไร? เขาถือว่าหมิ่นพระเจ้า เขาถึงโกรธพระเยซูใหญ่ พระเยซูจึงต้องเป็นขึ้นจากความตาย ให้เขาเห็นเลย เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ ตามที่บอกไว้ ทั้งหมดก็เป็นแผนการของพระเจ้า ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกอีก ก่อนจะมีพวกเราทุกคน แผนการนี้วางไว้เรียบร้อยแล้ว แผนการนี้มีชื่อว่าแผนการลับ แปลว่าลี้ลับ แปลว่าไม่มีใครรู้ ถูกซ่อนไว้ มีพระองค์เพียงผู้เดียวที่รู้ คือพระเยซูยังไม่รู้นะ  รู้ระแคะระคาย แต่ไม่รู้ครบถ้วนบริบูรณ์ รู้ตามที่พระเจ้าอนุญาตให้รู้ ทราบอยู่ผู้เดียว คือพระเจ้าพระบิดา

ถามว่าพระเยซูต้องเป็นขึ้นจากความตาย เพื่ออะไร?  ทำไมต้องยืนยันสถานภาพการเป็นพระเจ้าของตนเอง? ทั้งหมด เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่พระองค์พูดไว้ทั้งหมด นอกเหนือจากว่าที่พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแล้ว พระองค์เป็นบุตรพระเจ้า แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม? สวรรค์อยู่นี่แล้ว คืออะไร? เราจะพาพวกท่านไปหาพระเจ้า คืออะไร? แล้วสอนเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณอีกเยอะแยะ มันเป็นจริงอย่างไร? สอนไปตอนก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ ก่อนที่จะเป็นขึ้นมาจากความตาย สอนไว้เยอะแยะเลย ผู้คนฟัง ก็ฟังไปอย่างนั้น  แต่ตอนนี้เป็นขึ้นมาจากความตาย เอาไปย้อนดูสิว่าเราเคยพูดอะไรไว้? ยืนยันว่ามันเป็นจริงตามนั้นทั้งหมดแล้ว เมื่อเราบอกว่าเราจะเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเป็นขึ้นจริงๆ เพราะฉะนั้น  สิ่งที่เราพูดเยอะแยะไปหมด ก็คือเป็นจริงทั้งสิ้น นี่คือเหตุที่พระเยซูต้องเป็นขึ้นจากความตาย มีผลตรงนี้ด้วย

ลูกา 24:44-46  “44 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่านี่คือสิ่งที่เราบอกไว้ เมื่อยังอยู่กับท่านทั้งหลาย คือทุกสิ่งต้องสำเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรา ในหนังสือบัญญัติของโมเสส หนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดี” 45 จากนั้น พระองค์ทรงเปิดใจเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือพระคริสต์ต้องทนทุกข์ และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม”

 

นี่อาจจะเป็นเหตุการณ์ ที่เรียกว่าเป็นการประกาศข่าวดีในเรื่องพระเยซูเป็นครั้งแรกของโลกนี้ ก็ได้  โดยพระเยซูประกาศเอง เพราะนี่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ยังไม่ได้พบกับเหล่าสาวกทั้งหมดเลยนะ พบไม่กี่คน? แล้วก็ตรัสเมื่อสักครู่นี้

เมื่อพระเยซูประกาศยืนยันแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ โดยการเป็นขึ้นจากความตาย เพราะฉะนั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้กล่าวถึงพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงพูดไว้ และที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเกี่ยวกับพระองค์ เผยพระวจนะเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ไว้ทั้งหมด ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม มาถึงจบพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่หน้าแรก ปฐมกาลจนกระทั่งจบมาลาคี เป็นจริงตามนั้นทั้งหมดเลย พระเยซูกำลังยืนยันว่ามันเป็นตามนั้นทั้งหมด ตรงนี้แหละคือสิ่งที่พระคัมภีร์ รวมทั้งทุกคนที่มาเชื่อพระเจ้า พยายามที่จะเน้นแล้วเน้นอีก ย้ำแล้วย้ำอีกว่าความจริงเหล่านี้ มันจะทำให้คนที่รู้ความจริง เป็นไทย เป็นอิสระ ที่พระเยซูบอกว่า …

“ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท หมายถึงท่านจะรู้ความจริงของเรา ความจริงเหล่านั้นอยู่ที่ไหน?  อยู่ที่เราบอกท่าน ที่เราเดินอยู่กับท่าน 3 ปี สอนท่าน และที่เขาพูดถึงเกี่ยวกับเราในพระคัมภีร์เดิม ที่บันทึกไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส ตั้งแต่ปฐมกาลมาจนถึงมาลาคี พูดถึงเราทั้งเล่มเลย”

ความจริงเหล่านี้จะทำให้ท่านเป็นไท ผมก็เป็นไทจากความจริงเหล่านี้ และคนอีกมากมาย ก็จะเป็นไทจากความจริง ในเรื่องพระเยซูคริสต์ จากถ้อยคำของพระองค์ และความจริงที่จะเป็นข้อบรรยายในวันนี้ อีกตอนหนึ่ง ก็คือคำพูดสุดท้ายของพระเยซู ที่อยู่ในร่างของมนุษย์ ก่อนสิ้นพระชนม์ ที่ไม้กางเขน ยอห์น 19:30 บันทึกเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์

ยอห์น 19:30 “พระเยซูตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้น พระองค์ก้มพระเศียรลง และสิ้นพระชนม์”

 

นึกถึงภาพว่าเราทำอะไรบางอย่างเสร็จแล้ว ด้วยความเหนื่อยยาก ด้วยความทุกข์ทรมาน ถึงแม้มันเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม แต่มันเสร็จงาน  เหมือนเราสร้างบ้าน  เหนื่อยมาตั้งแต่วันแรก สร้างมา 3 ปี  ตะปูตัวที่จะตอกสุดท้าย สำเร็จแล้ว ส่งเราไปโรงพยาบาลพอดี เราเหนื่อยเหลือเกิน

ถามว่าเราเหนื่อย แล้วเราดีใจไหม? ดีใจ มันเสร็จแล้ว ถามว่าตะโกนไหม? ไม่ มันไม่มีแรง ได้แค่นั้น เพราะมันเหนื่อย พระเยซูก็อย่างนั้นแหละ ทุกข์ทรมาน แต่คำพูดนั้น เต็มไปด้วยพลังแห่งความยินดีว่ามันสำเร็จ มันอาจจะเบา แต่ข้างในมันดัง เพราะรู้ว่ามันสำเร็จแล้ว

คำว่า “สำเร็จแล้ว” ภาษาเดิมใช้คำว่า “Testelesti” ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Paid in Full” หรือภาษาไทย “จ่ายครบถ้วน” หรือ “จ่ายหมดแล้ว”

ใครที่ซื้อรถ  ซื้อบ้าน ที่ผ่อนหมดแล้ว จะมีความสุข วิ่งรอบเมืองเลย จ่ายหมดแล้ว เป็นอิสระแล้ว พระเยซูพูดคำนี้ วันนั้นแหละ ความหมาย ก็คือการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ได้ทรงปลดหนี้สินให้เราหมดแล้ว เอเมน ทุกคนในนี้คุ้นปากมาตลอด …

“เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมสักที”

ตอนที่เขาไล่เราออกจากงาน หรือตอนที่หมอบอกป่วยกระทันหัน เป็นอะไรหนักๆ  หรือตอนน้ำท่วมบ้านเยอะๆ แล้วเราก็บอกว่าเมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรม พระเยซูบอกจ่ายหมดแล้ว มนุษย์ทุกคนเกิดมา มีหนี้สินติดตัว หนี้สินนี้คือหนี้สินทางวิญญาณ พอเกิดปุ๊บ พูดง่ายๆ ก็ถูกจับเซ็นต์สัญญา เป็นหนี้ทันทีเลย เพราะบรรพบุรุษของเรา ไปเป็นหนี้เขา คืออาดัมไปเป็นหนี้บาป … หนี้บาป ก็ติดมา มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย  เกิดมาก็เป็นคนบาปแล้ว มีหนี้บาปอยู่ และจะต้องชดใช้หนี้บาปนี้ ไม่มีทางจะหมดได้ แต่ก็ต้องผ่อนต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งมนุษย์ทุกคน ก็รู้ดี ในวิญญาณ ในจิตใจว่าลบล้างอย่างไรก็ไม่หมด เพราะจิตสำนึกทุกคนเป็นวิญญาณ ที่มาจากพระเจ้า รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป แล้วรู้ว่าที่จะหมดบาปได้  โดยกระทำดีเยอะๆ แต่ทำไป เดี๋ยวก็ทำบาปอีกแล้ว ทำดีแค่ไหน? ก็ไม่พอ

คราวนี้กลับมาถึงวันศุกร์  เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว ศุกร์ประเสริฐ ที่พระเยซูคริสต์ถูกจับไปตรึงตายที่ไม้กางเขน การถูกตรึงบนไม้กางเขนของพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ได้ทรงปลดหนี้บาปให้กับมนุษย์ทุกคน จนหมดสิ้นเลย  ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มนุษย์ทุกคนจึงไม่มีหนี้บาปอีกต่อไปเลย ตั้งแต่วันศุกร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วพูดคำว่า

“สำเร็จแล้ว”

คำว่า “สำเร็จแล้ว” หรือ “Testelesti” ที่พระเยซูกล่าวที่ไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์ ความหมายอย่างแรก ก็คือการอภัยโทษในบาปให้กับมนุษยชาตินั้น มันเสร็จเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว ครบถ้วนแล้ว ไม่ต้องมายุ่งอะไรกับพวกเราอีกต่อไป เพราะพระองค์เป็นตัวแทน เพราะฉะนั้น พระเยซูทำอะไร เราก็ทำอย่างนั้นแหละ พระเยซูจ่ายแทนเรา เป็นตัวแทนของเรา เป็นแพะรับบาปให้กับเรา

พระคัมภีร์บอกว่าการไถ่ของพระเยซู เพียงครั้งเดียว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก็เพียงพอที่จะลบล้างหนี้บาปให้กับมนุษยชาติทั้งปวง ได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และถาวรนิรันดร์ ในฮีบรู 9:12-14 บันทึกเอาไว้อย่างนี้  …

ฮีบรู 9:12-14 “12 พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไป ด้วยเลือดแพะหรือเลือดวัว แต่พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพียงครั้งเดียวเป็นพอ  และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา 13 เลือดแพะ เลือดวัว หรือเถ้าถ่านจากวัวตัวเมีย ที่ประพรมลงบนผู้มีมลทิน ตามระเบียบพิธี ได้ชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะสะอาดภายนอก 14 แล้วยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด พระโลหิตของพระคริสต์ ผู้ถวายพระองค์เอง อย่างปราศจากตำหนิ แด่พระเจ้า โดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ ย่อมชำระจิตสำนึกของเรา จากการกระทำอันนำไปสู่ความตาย เพื่อเราจะได้รับใช้ พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”

 

ในสมัยก่อนนี้  พวกมหาปุโรหิตที่เป็นมนุษย์ เขาก็จะนำเลือดสัตว์ เป็นวัว แพะ เข้าไปถวาย เป็นการปกปิดบาปเอาไว้ ชั่วคราว ปีหนึ่งทำครั้งหนึ่ง แต่พระเยซูคริสต์ทรงใช้เลือดของตนเอง ซึ่งเป็นเลือดที่บริสุทธิ์แด่พระเจ้า เป็นการชดใช้ หนี้บาปของมนุษยชาติ เป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ซึ่งพระคัมภีร์เขียนว่า …

“เพียงครั้งเดียว ก็พอแล้ว”

ครั้งเดียว พอเลย เพราะว่าพระองค์ยิ่งใหญ่ เป็นพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ ครั้งเดียวพอ ได้รับการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ ชดใช้หนี้สินหมดแล้ว ไม่ต้องเป็นหนี้บาปใครอีกต่อไป นิรันดร์ ตลอดไปเลย

ฮีบรู 10:12-14 “12 แต่เมื่อปุโรหิตองค์นี้ ถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปครั้งเดียว สำหรับตลอดไปแล้ว ก็ประทับลงที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 13 นับแต่นั้นมา พระองค์ทรงรอคอยจนกว่าเหล่าศัตรูของพระองค์ จะถูกทำให้เป็นแท่นวางพระบาทของพระองค์ 14 เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์  โดยการถวายบูชาครั้งเดียว

 

โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้มนุษยชาติทั้งปวง ได้บรรลุสมบูรณ์พร้อมนิรันดร์ คือเรียบร้อยเลย ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เพราะว่าพระเยซูจ่ายให้หมดเรียบร้อยแล้ว

ถ้าพูดเป็นตัวเป็นตน จับต้องมองเห็นได้ บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า มีวิญญาณที่เป็นสปีซี่ย์เดียวกับพระเจ้า สามารถมีสิทธิ์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ วิญญาณใสกริ๊งสะอาดบริสุทธิ์เลย ใหม่เอี่ยมเลย ไม่เคยมีสิ่งสกปรก คือความบาปอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว และไม่สามารถมีได้เลยตลอดไป  รับเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน บ่าย 3 โมงวันศุกร์ แล้วพระองค์บอกสำเร็จแล้ว นั่นแหละได้ไปแล้ว แต่เราพึ่งมาเกิดตอนนี้ และตอนเกิด เราก็ยังไม่รู้ข่าวดีนี้  ไม่มีคนมาเล่าให้เราฟังอย่างนี้  หรือเล่าแล้ว เรายังไม่เชื่อ เพราะเรายังเย่อหยิ่งอยู่ หรือเราขี้เกียจฟัง เรายังไม่ถึงจนตรอก เรายังช่วยตัวเองได้ เรารู้สึกว่าเรายังมีกำลังจะผ่อนต่อ ก็ผ่อนไปเรื่อยๆ เรายังมีความรู้สึกว่าเรายังไม่อยากเป็นลูกพระเจ้า มันเว่อร์ไป ขอเป็นลูกมนุษย์ที่มีเงิน ก็พอแล้ว เราคิดของเราไปอย่างนั้นแหละ แต่วันหนึ่ง เราตัดสินใจแล้วว่าเราจะกลับไปหาพระเจ้าแล้ว เราจะใช้สิทธิ์ของเรา เราเชื่อแล้วว่านี่เป็นจริง พระเยซูตายที่ไม้กางเขน มันสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว เวรกรรมของเราไม่มีอีกต่อไปแล้ว พอเราเชื่อปุ๊บ พระคัมภีร์บอกว่าปากพูด ใจเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทันทีทันใดนั้น ความชอบธรรมเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา ปิ๊งขึ้นมาทันทีเลย กลายเป็นคนไม่มีบาปอีกต่อไป กลายเป็นลูกพระเจ้า นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น

ในหนังสือโคโลสี บทที่ 1 ได้ขยายความผลที่เราได้รับ ถ้าใช้คำว่า “จะได้รับ” หมายถึงเรายังไม่เชื่อ มันก็เลย ไม่ได้รับสักที แต่ความเป็นจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเสร็จไปแล้ว ได้รับไปแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้กับคุณนครเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปี แต่คุณนครจะได้รับ ก็ต่อเมื่อคุณนครเชื่อ  ดูโคโลสี 1:12-14 ดูผลว่าการไถ่บาปชั่วนิรันดร์นี้ เป็นลักษณะเช่นไร?

โคโลสี 1:12-14 “12 ขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงทำให้พวกท่าน เหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

ได้ไปแล้ว พระคัมภีร์เขียนไว้ตั้ง 2,000 ปี ผลที่เราได้รับจากการไถ่บาปนิรันดร์ของพระเยซู ก็คือที่เราอ่าน นี่เห็นชัดเลยว่าผลก็คือข้อ 13 ย้อนกลับมานิดหนึ่ง

โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

พระบุตร ชื่อพระเยซู มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในสถานที่หนึ่ง ที่เรียกว่าโลกวิญญาณจริงๆ มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วพระองค์บอกสำเร็จแล้ว คือพระองค์กำลังเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ พามวลมนุษยชาติออกจากอาณาจักรของความมืด ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าครอบครัวอาดัม … อาดัมตกลงไปในความบาป เป็นทาสของมาร เป็นทาสของความบาป ในวันนั้น วันที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว ก็คือแผนการพระเจ้าที่จะย้ายลูกของตนเองออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง มันสำเร็จแล้ว พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในอาดัม มนุษย์ทุกคนอยู่ในความบาป เราแค่ตัดสินใจใช้สิทธิ์ตัวเอง ยกมือเท่านั้น  ไม่ได้ทำอะไรเลย

“ลูกเชื่อแล้วว่าลูกเป็นไปตามพระคัมภีร์ ลูกเป็นตระกูลบาป จากอาดัม ลูกต้องการความช่วยเหลือ จากนี้ไป ไม่ช่วยเหลือตัวเองอีกแล้ว ไม่ใช้กำลังตัวเองที่จะทำทุกอย่าง เพื่อจะหลุดพ้นอีกแล้ว พระเยซูนั่นแหละเป็นตัวแทน เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เป็นตัวแทนให้กับฉัน เป็นบรรพบุรุษอีกคนหนึ่งต่อจากอาดัม มีพระเยซูอีกคนหนึ่ง ขอย้าย เชื่อแล้วว่ามันเป็นจริง”

ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นฤทธิ์อำนาจ ทำเสร็จแล้ว มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งเหล่านี้ที่ผมยกตัวอย่างมาให้ท่านดู มันมาจากพระคัมภีร์ทั้งสิ้นเลย  ย้ายเราจากอาณาจักรของความมืด มาสู่ความสว่าง โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ หลั่งพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียว พอแล้ว มนุษย์ไม่ต้องทำไรอีกแล้ว เพราะมันเสร็จสิ้นไปแล้ว ท่านทำอะไรก็ไม่เกี่ยวข้องเลย ถูกหลอกให้เหนื่อยเปล่าๆ ในหนังสือเอเฟซัส ก็พูดตรงนี้ชัดอีก ผมจะยกมาให้ท่านอีกข้อหนึ่ง พูดเหมือนกันเลย  จริงๆ ในพระคัมภีร์ ถ้าท่านเริ่มสังเกต ต่อไปนี้ท่านจะเห็น สังเกตเลย  ไปอ่านดูในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด ที่พูดถึงข่าวประเสริฐ จะพูดเป็นลักษณะสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว ทำไปแล้ว ได้ไปแล้วทั้งสิ้น ไม่ใช่ “จะๆๆๆ” เหมือนอย่างที่หลักข้อศาสนาชอบสอนเราว่าจะ …

“รักษาตัวให้ดีๆ นะ แล้วเธอจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า” เคยได้ยินไหม? บ่อยเลย

“พยายามถวายทรัพย์เยอะๆ นะ แล้วเธอจะได้พระพรจากพระเจ้า” ถูกหรือไม่ถูก?

“มาวันอาทิตย์บ่อยๆ มาเรียนพระคัมภีร์นะ ถ้าอยากจะได้พระพรจากพระเจ้า” ถูกไหม?

จริงๆ พระพรจากพระเจ้าให้เราหมดแล้ว ทั้งหมด ครบถ้วน บริบูรณ์ เพื่อจะดำเนินชีวิตอยู่ในการที่ดีของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว ส่วนการกระทำเหล่านั้น มันเป็นสิ่งที่สมควรทำ ให้เกิดประโยชน์บ้าง แล้วแต่สถานการณ์

เอเฟซัส 1:7 “ในพระเยซูเราได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า”

 

ตกลงได้รับการอภัยโทษหรือยัง? ได้รับแล้ว เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ทำไม่ได้ด้วยตัวเอง พระเจ้าจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์ มาทำให้เรา แล้วเราก็ถูกหลอกไปเรื่อยๆ พอไปถึงลูกหลานเรา  เขาก็นึกว่ายังไม่ได้ ถ้าได้ แล้วพ่อแม่เราจะอธิษฐานอย่างนี้หรือ?

 

… ความหมายของคำว่า “สำเร็จแล้ว” …

ข้อแรก ก็คือเราได้รับการอภัยโทษ จากบาปเรียบร้อยไปแล้ว

ข้อที่สอง คือมนุษย์ได้รับอิสรภาพแล้ว จากหนี้บาปเวรกรรมทั้งสิ้น อันนี้ก็สำเร็จแล้ว

เมื่อสำเร็จแล้ว ไม่ได้เป็นหนี้บาปเวรกรรม เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงได้บันทึกว่าคนที่เป็นมนุษย์ที่เชื่อตรงนี้ หรือเชื่อพระเยซู ตายที่ไม้กางเขน บังเกิดขึ้นแล้ว คือทำให้มนุษย์ทั้งปวงได้ตายต่อบาปแล้ว พูดง่ายๆ คือบาปไม่สามารถทำอะไรเราได้อีกแล้ว บาป แต่ก่อนนี้ทำอะไรเราได้ ก็คือลงโทษเรา  เราทำผิด ก็โดน ฟันต่อฟัน ตาต่อตา แต่ต่อไปนี้ พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ทำให้เราเป็นอิสระจากบาปแล้ว เพราะฉะนั้น บาปทำอะไรเราไม่ได้ ก็คือเราตายต่อบาป พระคัมภีร์ใช้คำนี้ ท่านจะได้เข้าใจด้วยว่าภาษาพระคัมภีร์ หมายถึงอะไร? ตายต่อบาป หมายถึงเป็นผลดี เราตายต่อบาป ท่านเคยเห็นคนตายไหม? จะด่าเขาอย่างไร? เขาก็นอนอยู่เฉยๆ จะเตะเขาอย่างไร? เขาก็ไม่เจ็บ

คำว่า “ตายต่อบาป” แปลว่าบาปทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เราไม่ได้อยู่ในกฎของความบาป แต่เราอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ เราอยู่ในเมืองนี้ไม่มีกฎแล้ว เมืองนี้มีแต่พระคุณ(ฝั่งพระเยซูคริสต์) เมืองนี้มีแต่กฎ ฟันต่อฟัน ตาต่อตา (ฝั่งอาดัม)

เพราะฉะนั้น เวลาอ่านพระคัมภีร์ท่านต้องสังเกตตรงนี้ ให้ดีๆ ว่ามันเสร็จสิ้นไปแล้วหรือยัง?  อะไรบ้างที่ยังไม่เสร็จสิ้น ท่านจงทำ แต่ถ้าท่านอ่านดูแล้ว และอะไรสำเร็จแล้ว ท่านอย่าทำนะ ท่านจงรู้ว่าท่านได้รับไปแล้ว ฝืนมันหน่อย การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สะอาดหมดจดเหมือนพระเจ้าแล้ว บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ในสายพระเนตรพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูเลย แทบไม่กล้าพูดใช่ไหมว่าเหมือนพระเยซู เพราะว่าพระเยซูคริสต์กับเรา มีค่าเท่ากันแล้วตอนนี้ เพราะพระองค์เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนเรา แต่ตอนนี้พระองค์พาพวกเรากลับไปเหมือนพระองค์ ก็คือเอาบาปเราออกไป แล้วเราเป็นบุตรของพระองค์ เป็นวิญญาณเดียวกับพระองค์เลย รอวันแห่งการเปลี่ยนแปลงร่างกายเก่าของเราเท่านั้นเอง รอให้เราตายไป สิ้นสุดเวลาของร่างกายนี้ วิญญาณเราออกจากร่าง เตรียมไปรับร่างกายใหม่ พระคัมภีร์จึงบอกว่าการตาย มีกำไรมากกว่าการอยู่ เพราะอย่างนี้ ในฮีบรู บทที่ 8 พระสัญญาที่พระเจ้าทำกับเราในพระเยซูคริสต์ เป็นพันธสัญญาใหม่ ซึ่งมันเกิดการเปลี่ยนแปลงดีกว่าพันธสัญญาเก่าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ใช้การกระทำ ฮีบรู 8:8-13 …

ฮีบรู 8:8-13 “8 แต่พระเจ้าทรงเห็นข้อผิดพลาดของเหล่าประชากร และตรัสว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่าเวลานั้นจะมาถึง เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์ 9 เป็นพันธสัญญาซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญา ที่เราได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของเขา เมื่อเราจูงมือพวกเขา นำออกมาจากดินแดนอียิปต์ เพราะพวกเขาไม่ได้คงความสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญาของเรา และเราเมินหนีจากพวกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 10 นี่คือพันธสัญญา ที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 11 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด 12 เพราะเราจะอภัยความชั่วช้าของเขา และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป” 13 โดยการตรัสเรียกพันธสัญญานี้ว่า “พันธสัญญาใหม่” พระองค์ทรงทำให้พันธสัญญาแรกพ้นสมัยไป สิ่งที่พ้นสมัยหรือเก่า ย่อมจะสูญสิ้นไปในไม่ช้า”

 

“เพราะเราจะอภัยความชั่วช้าของเขา (เขา คือมวลมนุษยชาติ) และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป” พระเจ้าตรัสเช่นนั้นแหละ ไม่จดจำเลย

สิ่งที่เราต้องการ คือการเปลี่ยนแปลงจากวิญญาณของเรา ซึ่งพระเจ้าทำเสร็จแล้ว ในพระเยซูคริสต์ เอาใจใหม่ให้เราเลย คือวิญญาณใหม่เอี่ยม 2 โครินธ์ 5:17 ดูสิ ใหม่เอี่ยมทั้งสิ้นเลย  เอาวิญญาณใหม่ให้กับเราเลย เพราะวิญญาณเก่าใช้ไม่ได้ บังเกิดใหม่ ซึ่งพระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว คือการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณข้างใน มันสำคัญมาก ร่างกายภายนอก ความคิดภายใน พยายามทำสิ่งที่ตนเองคิดว่าดี หรือพระคัมภีร์เดิมคิดว่าถูกต้องตามกฎ เราก็รักษากฎๆ พยายามทำ พลาด ก็พลาดอีกแล้ว ทำใหม่ เหนื่อยจนตาย ก็ไม่จบสักที ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่สามารถล้างข้างในออกได้ ล้างข้างนอกได้บ้าง? ล้างความคิดได้บ้างว่า …

“ฉันได้ทำบุญบ้าง? ฉันรู้สึกได้ทำดีบ้าง? รู้สึกดีขึ้น”

เราจะได้คุณภาพเหมือนพระเจ้าอย่างนี้ได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือทำจากข้างในออกมาข้างนอก พระเจ้าต้องมาเปลี่ยนวิญญาณเราใหม่ โดยใช้พระเยซูคริสต์เป็นผู้มาช่วยเรา ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระเรา พอชำระปุ๊บ ข้างในมันเปลี่ยน พอข้างในเปลี่ยน ข้างในสะอาดแล้ว คราวนี้กลับกันนะ ข้างในบริสุทธิ์สะอาดขาวเลย แต่ข้างนอกมีนิสัยเดิมๆ มีความคิดเดิมๆ เพราะมีเชื้อของบาปอยู่ แต่มันคนละเรื่องกัน เขาเรียกว่าข้างในรับใช้พระเจ้าไปแล้ว อยู่กับพระเจ้า ข้างนอกยังติดอยู่กับมารอยู่ ติดกับความมืดอยู่ เดี๋ยวก็จะทิ้งแล้ว อีกไม่นาน พระเจ้าก็เอากลับไปแล้ว เรากลับบ้านแล้ว เพราะวิญญาณเราอยู่กับพระเจ้า ท่านพอเข้าใจไหม? ตรงนี้มันจบ พระเจ้าจึงจัดการย้ายเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร? เพราะเราทำไม่ได้ พระเจ้าจึงให้พระเยซูมาทำแทนเราที่ไม้กางเขน

ข้อสำคัญที่สุด ท่านไม่ต้องห่วงว่าพูดอย่างนี้ เดี๋ยวคนก็ไปทำบาปกันหมดสิ ไม่มีทาง ถ้าท่านเชื่อจริงๆ ท่านได้ย้ายมาอยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ วิญญาณของเราเองก็รู้ แต่บางทีเราไม่ได้ย้ำยืนยันการสอนแบบนี้ นานๆ บ่อยๆ เราจึงไม่กล้าพูด ให้เรารู้ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เขาจึงมีเพลงนี้ไง …

พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า       พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์           พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

บางคราวต้องผ่าน ความทุกข์มืดมัว          บางคราวโศกเศร้า บังเกิดความกลัว

บางคราวราบรื่น ชื่นใจยินดี                        พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

ฟังเพลงฮิมเยอะแยะเลย  จะร้องอย่างนี้ พระเจ้าอยู่กับเราๆ ตลอด พระเจ้าอยู่ตรงนี้แหละ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ บางทีเราไม่ได้คุยกัน นานๆ มันลืมไป เรามัวแต่ไปคิดตามทางเราเอง จะกลับมาหาวิธีของตนเอง ดำเนินชีวิตด้วยตนเอง มีอีกเพลงหนึ่ง ชอบเพลงนี้  กำลังซึ้งกับเพลงนี้  พระเจ้าดีต่อฉัน ก็เหมือนกัน …

ไม่ช้าและไม่สาย ไม่รีบร้อน ตามใจฉัน

ทรงดี ดีต่อฉัน และทรงทันเวลาเสมอ

ไม่รีบร้อนตามใจ พระองค์ทรงควบคุม ครอบครองเราแล้วตอนนี้ เอเมน สบายใจเลย  ทำอะไรก็ตามตอนนี้ ให้รู้ว่าพระเจ้าอยู่กับท่านแน่นอน และเมื่อพระเจ้าอยู่กับเรา พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วันอีสเตอร์ ทำไมสำคัญกับเรา พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นตัวอย่างให้กับเราทั้งหลายว่าเราก็เป็นขึ้นมาจากความตายเหมือนพระองค์นั่นแหละ ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นนะ พระเยซูเป็นตัวแทน พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เราก็เป็นเหมือนพระองค์ ตอนที่พระองค์ตาย วิญญาณของพระองค์มืดดำเลย เมื่อวันศุกร์ ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ “สำเร็จแล้ว” วิญญาณของพระองค์เข้ามาอยู่ในความมืด เนื้อหนังพระองค์ก็ตาย อยู่ในความมืด ทรมานมาก คิดไม่ออกเลยว่าทรมานลึกซึ้งขนาดไหน? พระองค์อยู่ในความตาย วิญญาณตาย ถูกตัดขาดจากพระเจ้า มืดสนิท เหมือนเราทั้งหลาย ที่อยู่ในอาดัม พระเยซูเข้ามาอยู่ในอาดัม ตาย เสร็จแล้ว พอวันอาทิตย์ วันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เป็นตัวแทนเรา ขณะที่พระเยซูตาย เราก็ตายด้วย เราตายอยู่แล้วแหละ เราตายก่อนพระเยซูอีก คือเราอยู่ในความบาปอยู่แล้ว แต่พอวันที่สาม ก็คือวันอีสเตอร์ พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์กลับมาที่เดิม กลับมาเป็นพระเจ้าเหมือนเดิม และพระองค์พาลูกหลาน เหลนโหลน ที่เป็นพี่น้อง มนุษย์ทุกคนมานั่งตรงนี้ (ฝั่งพระเยซู) ขาวสะอาด เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้าเหมือนกัน พอมองเห็นภาพไหม? เหมือนเลย

เพราะฉะนั้น การมีอีสเตอร์ หรือการมาเฉลิมฉลองวันเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ จึงทำให้เรามีกำลัง พระเยซูเป็นขึ้นอย่างนั้น เราก็เป็นขึ้นอย่างนั้น  ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นมาแล้ว 2,000  ปี เพราะพระเยซูคริสต์ทำในฐานะมวลมนุษยชาติ เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย มีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น เราก็สามารถมีชีวิตอยู่ เพราะพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เราก็มีความหวังใจว่าเราก็เป็นขึ้นมาใหม่เหมือนพระองค์อย่างนั้นแหละ เพียงแต่ทุกวันนี้ ก็ให้พระเจ้าใช้ร่างกายนี้ ดำเนินชีวิตในโลกนี้ ตามทางของพระเจ้า ขอพระองค์ทรงนำในทางพระองค์ ทำสิ่งที่ดีๆ ในแผนการ ในชีวิตของเราแต่ละคน เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันศุกร์ประเสริฐที่ 30 มีนาคม 2018 เรื่อง “พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันศุกร์ประเสริฐที่  30  มีนาคม  2018

 เรื่อง “พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สุขสันต์วันศุกร์ประเสริฐ จริงๆ ที่เราแต่งชุดดำกัน เพื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์ ใจเรามีสันติสุข มีความสงบสุขกับวันศุกร์ประเสริฐ

เชิงสัญลักษณ์ หมายถึงเรากำลังระลึกถึงความรักของพระเยซูคริสต์ ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ ที่ได้ยอมตายด้วยความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนจริงๆ คือมีจริง 2 อย่าง ทุกข์ทรมาน เจ็บปวดจริงๆ และตายจริงๆ คือถูกตัดขาดจากพระเจ้าจริงๆ ทุกข์ทรมานทางวิญญาณจริงๆ เราเลยทำเป็นเชิงสัญลักษณ์ แล้วก็ได้มาพิสูจน์ ทำให้ท่านเห็น เพื่อจะได้เข้าใจมากขึ้น

ก่อนที่เราจะบรรยายวันนี้ เป็นแผนการของพระเจ้ามาตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ตั้งแต่ก่อนมีวันนี้ มีแต่โลกวิญญาณ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ใน 1 เปโตร 1:19-20  บันทึกไว้อย่างนี้

1 เปโตร 1:19-20 “19 ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ผู้เป็นลูกแกะ อันปราศจากตำหนิ หรือข้อบกพร่องใดๆ 20 พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพระคริสต์ไว้ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้ เพื่อท่านทั้งหลาย”

 

พระเจ้าได้จัดเตรียมแผนการนี้ไว้ตั้งแต่ก่อนพระองค์สร้างโลก คือรู้ล่วงหน้าแล้วว่ามนุษย์มีโอกาสที่จะตกลงไปในความบาป และตกแน่ๆ พระเจ้าช่วยหมดทุกอย่าง แล้วทำไมปล่อยให้มนุษย์ตกลงไปในความบาป เคยคิดไหม? พระเจ้ารู้ทุกอย่าง  แต่เราไม่รู้ทุกอย่าง เข้าใจไหม?  ต้องไปถามพระเจ้าเอาเอง สรุปแล้ว คือไม่รู้นั่นเอง มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่รู้ แต่ว่าเราอยากจะรู้ แล้วเราก็นึกว่ามันต้องมีเหตุผลสิ เอาแค่ง่ายๆ ทำไมโลกมันต้องกลมด้วย มีเหตุผลไหม มนุษย์ลองหาเหตุผลหน่อย ทำไมโลกมันต้องกลม ดวงดาวต่างๆ ทั้งหมด ทำไมมันต้องกลมด้วย มันเป็นสี่เหลี่ยมไม่ได้เหรอ ห้าเหลี่ยมก็ได้ ทำไมพระเจ้าต้องสร้างมันกลม แค่นี้ก็ตอบไม่ถูกแล้ว เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดมาก เมื่อพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราก็ฟัง เชื่อไว้ ถ้าไม่เชื่อ อย่างน้อย ก็ฟังหูไว้หู

พระเจ้าได้จัดเตรียมพระคริสต์ไว้ เพราะมนุษย์ตกลงไปในความบาป ก็คือตกไปอยู่ในอำนาจของความมืด ถ้าไม่มีเก้าอี้สองตัวนี้ พระเจ้าก็ไม่ต้องให้พระเยซูคริสต์มา แต่คำว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาป คือมนุษย์ตกไปที่อาณาจักรความมืด ไม่อย่างนั้น ก็จะอยู่ทางขาว

คำว่า “ตกไปในความบาป” คือสมัยนั้นยังไม่มีพระคริสต์ … พระคริสต์ แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด มนุษย์ไม่ต้องการพระเจ้าให้มาช่วยให้รอด เพราะเขารอดอยู่แล้ว เขาอยู่ในอาณาจักรในแสงสว่าง แต่ปรากฏว่าในพระคัมภีร์บอกพระเจ้าเตรียมพระคริสต์ พระเจ้ารู้แล้วว่าวันหนึ่งมนุษย์ก็ตกลงไป เมื่อตกลงไปในความบาปและความตาย ตกลงไปในความมืด ถูกตัดขาดออก จากพระเจ้า ถูกตัดขาดออกจากพระสิริของพระเจ้า ถูกตัดขาดจากการเป็นมิตรกับพระเจ้า ถูกตัดขาดออกจากการเป็นลูกของพระเจ้าถูกตัดขาดจากอะไรก็ตาม ที่ในพระคัมภีร์เขียนถึงเกี่ยวข้องกับเรื่องแสงสว่างนี้ทั้งหมด ถูกย้าย ถูกกระเด็นออกมาจากอาณาจักรแห่งแสงสว่าง มาอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ท่านจะใส่อะไรลงไป มันถูกหมดแหละ ถ้าท่านเห็นภาพนี้ ท่านจะเห็นชัด ในพระคัมภีร์มันชัดเจนเลยว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาป แปลว่าอะไร? นี่ทั้งหมดเลย ฝั่งสีขาวนี้ พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นอยู่ ฝั่งนี้ (ฝั่งดำ) เรียกว่าตาย

ฝั่งสีขาว เรียกว่าแสงสว่าง                                     ฝั่งสีดำ เรียกว่าความมืด

ฝั่งสีขาว เรียกว่าชีวิต                                               ฝั่งสีดำ เรียกว่าความตาย

ฝั่งสีขาว เรียกว่าพระสิริของพระเจ้า        ฝั่งสีดำ เรียกว่าความบาป คำสาปแช่ง

เห็นไหม? มันตรงข้ามกันหมดเลย ท่านอ่านพระคัมภีร์ตรงนี้ ก็จะรู้แล้วว่ามันแปลว่าอะไร? บางทีเราแปลไม่ออก เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดขึ้น การอุบัติขึ้นทางโลกฝ่ายวิญญาณ มันใช้คำศัพท์มนุษย์เข้าไป แล้วคิดไม่ออก แต่พอเราเอาภาพมาให้เห็นอย่างนี้ เป็นสื่ออย่างนี้ เราจะเห็นภาพชัดเจน แล้วเราจะอ๋อ! ในโลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น

คำว่า “มนุษย์ตกลงไปในความบาป”  มันก็คือแค่นี้เอง ก็คือเขาได้ย้ายออกจากอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด ตกกระป๋อง มาอยู่ที่นี่เท่านั้นเอง ในพระคัมภีร์เขียนว่าย้ายมา ตกลงมา หลุดออกมา อยู่ที่นี่ ในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็เลยจำเป็นต้องวางแผนการ เพื่อจะย้ายลูกของตัวเองกลับบ้าน กลับมานี่ (มาฝั่งขาว) นี่แหละเหตุผลที่ต้องมีวันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ วันคริสตมาส เห็นไหม? ข่าวดีมีอยู่แค่นี้

พอมนุษย์ตกลงไปในความบาปปุ๊บ ทันทีทันใด พระเจ้าเตรียมพระเยซูคริสต์ เพื่อให้พวกเราทั้งหลาย ที่ตกลงไปในความบาป อยู่ในความมืด ได้ถูกย้ายเข้ามาสู่พระเยซูคริสต์ อาณาจักรแห่งแสงสว่าง กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

เหตุการณ์เกิดขึ้นว่าพระเยซู ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า ไม่ได้เป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้า ฟังให้ดีๆ เป็นพระเจ้าตอนโน้น ก่อนที่จะตายที่ไม้กางเขน ก่อนที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ไม่ได้ตกลงไปในความบาปเหมือนเรา แต่พระเจ้ายังคงเป็นพระเจ้า อยู่ในแสงสว่าง พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า จำเป็นต้องมาเกิด พระเจ้าเตรียมแผนการนี้  วันคริสตมาส คือพระเจ้าเตรียมพระเยซูคริสต์ ย้ายมาก่อน มาอยู่ที่นี่ (ฝั่งดำ) ชั่วคราว นี่เป็นมนุษย์หนึ่งคน เรียกว่าพี่น้องกับมนุษย์ทั้งหลาย เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ซึ่งสามารถที่จะเป็นตัวแทนเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถ้าเป็นพระเจ้า มาเป็นตัวแทนไม่ได้ ในหนังสือ 1 ยอห์น 2:2 ได้บันทึกอย่างนี้  นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า

1 ยอห์น 2:2 “พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชา ลบบาปของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปของเราเท่านั้น แต่บาปของคนทั้งโลกด้วย”

 

พระเยซูที่พระเจ้าส่งมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์มาเพื่อลบบาป ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราถูกกระเด็นมานี่ บาป คือกบฏกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เชื่อฟังมาร ตามกฎแล้ว อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ มันบาป มันสกปรก พระสิริของพระเจ้าไม่มีแล้ว มองไม่เห็นพระเจ้าด้วยซ้ำไป พระเยซูมาเพื่อพาเรากลับบ้าน ง่ายๆ ก็คือเอาเหตุแห่งการตกกระป๋องไป คือบาป ลบมันทิ้งไป มนุษย์ก็อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว (ฝั่งดำ) เพราะสะอาดหมดจด ก็มาอยู่กับพระเจ้าได้ (ฝั่งขาว) นี่คือแผนการที่พระเจ้าทำทั้งหมด ต้องการแค่นี้  ในนั้นบอกว่าไม่ใช่บาปของพวกเราเท่านั้น แต่บาปของคนทั้งโลก เพราะว่าหนังสือนี้ เขาเขียนไปให้คนที่เป็นยิว

คนยิวสมัยโบราณ เขานึกว่าพระเยซูถูกประทานให้กับเขา เพราะว่าพระเจ้าสร้างชนชาติยิวมาเป็นกลุ่มตัวแทนมนุษยชาติทั้งหมด เขามองคนอื่น อยู่นอกสายตา คนนี้ไม่ใช่พวกพระเจ้าเลือก แต่ไม่ใช่ ไม่จริง พระเจ้าเลือกทั้งหมดเลย  ข้อความเมื่อตะกี้นี้จึงบอกว่า …

“ไม่ใช่มาไถ่บาปพวกเธอพวกเดียวนะ (หมายถึงพวกชาวยิว) แต่เป็นบาปของมนุษย์ทั้งหมดเลย ทั้งไม่ใช่ยิว ทั้งประเทศอื่น คนเชื้อชาติอื่น ใครที่เป็นคนๆ นั้น พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อลบบาปให้กับเขาด้วยเช่นเดียวกัน”

ตรงนี้  ต้องการพูดให้คนยิวตอนนั้นฟัง  พอฟังอย่างนี้  เราจึงจะชัด  เพราะฉะนั้น  เรื่องของพระเยซูคริสต์ เกี่ยวข้องกับคนทั้งโลก ไม่ใช่ศาสนาที่คนยิวสร้างขึ้น แม้ว่าพระเยซูจะเกิดในชนชาติยิวก็ตาม แต่พระองค์มาเพื่อคนทั้งโลก ทำแค่นี้ ทั้งโลกเกี่ยวพันหมดเลย  เพราะมนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ และมนุษย์ทุกคนถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็อยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งในโลกวิญญาณนี้ ไม่ว่าดำหรือขาว ก็ตาม ซึ่งเรียกว่าโลกวิญญาณ ไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะปฏิเสธ เขาจะต่อต้าน ฉลาด หรือไม่ฉลาด ไม่ว่าเขาจะรู้ข่าวประเสริฐ หรือไม่รู้ข่าวประเสริฐ เขาก็อยู่ในที่ใดที่หนึ่ง แห่งนี้  ทั้งโลกเลย มนุษย์ทุกคน

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ลควรจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้  ซึ่งพูดถึงเรื่องลึกซึ้งของมนุษยชาติ คือไม่ได้พูดเรื่องของสิ่งที่ตามองเห็น และหูได้ยิน ไม่ได้พูดถึงแต่สิ่งของที่จับต้อง มองเห็นได้ คือร่างกายเท่านั้น แต่พูดลึกเข้าไป 100% คือเรื่องเกี่ยวกับชีวิตจริงๆ ของมนุษย์ ก็คือวิญญาณของเขาสำคัญที่สุด

และทำไมถึงต้องให้พระเยซู ผู้ทรงเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อรับโทษบาปนี้ด้วย คำตอบ ก็เพราะมนุษย์ตกลงไปในความบาป จึงไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับอำนาจของความบาปและความตาย มนุษย์จึงไม่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันเองได้ พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่มีเชื้อบาป เป็นมนุษย์พิเศษ เป็นมนุษย์พร้อมกับเป็นพระเจ้าไปในตัวทันที เมื่อเกิด วิญญาณเป็นพระเจ้า แต่ร่างกายเกิดแบบมนุษย์ทั่วไป

เพราะฉะนั้น เกเสมเน หรือศุกร์ประเสริฐ พระองค์จึงเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย คือถูกตะปูตำ ก็เจ็บ หิวข้าว กลัวได้ด้วย เพราะว่าพระองค์เป็นมนุษย์ เหมือนเราไม่มีผิดเลย เพียงแต่พระองค์เป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาป  ก็คือวิญญาณพระองค์ใสกริ๊ง เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนที่เราทั้งหลายเคยเป็นมาก่อนในอดีต ก่อนที่อาดัมบรรพบุรุษของเราจะตกลงไปในความบาป และเอาพวกเราลงไปในเชื้อบาปนั้น ก่อนหน้านั้น ที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มีวิญญาณสะอาดใสกริ๊ง อินโนเซ็นต์กับเรื่องบาป พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์อย่างนั้นแหละ จึงเป็นมนุษย์ผู้เดียวเท่านั้นที่บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีตำหนิใดๆ เลย แม้แต่นิดเดียว จึงสามารถมาทำลายอำนาจของมาร ทำลายกิจการของมารได้ ตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ใน 1 ยอห์น 3:5

1 ยอห์น 3:5 “ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มา เพื่อขจัดบาปของเรา และในพระองค์ไม่มีบาป”

 

“ในพระองค์ไม่มีบาป” คือพระองค์เป็นมนุษย์พิเศษ เพียงผู้เดียวที่เกิด โดยไม่มีเชื้อของพ่อเลย เกิดจากหญิงพรหมจารี

พระเยซูเป็นมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า เขาเรียกว่ามาจุติ “จุติ” แปลว่าการแปลงสภาพจากวิญญาณ มาสู่วัตถุ แปลงจากโลกวิญญาณ มาสู่โลกที่จับต้องมองเห็นได้ ในครรภ์ของแมรี่ พระองค์จึงสะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป และเพราะพระองค์เป็นมนุษย์ จึงมีเลือด มีเนื้อ เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง จึงทรงสามารถรับโทษ แทนมนุษย์ทั้งปวงได้ เป็นตัวแทนได้ เพราะว่าเป็นมนุษย์เหมือนกัน

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าบาปของมนุษย์ ต้องลบล้าง โดยมนุษย์เท่านั้น ไม่มีใครมีแรงพอ แต่มีอยู่คนหนึ่งเดินออกมา แล้วบอกว่า …

“ผมเอง ฉันเอง”

คนนั้น แสดงว่าจะต้องมีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่น คนนั้น คือพระเยซูที่เป็นคนพิเศษ ฮีบรู 2:17 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ฮีบรู 2:17 “ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา และความสัตย์ซื่อในการรับใช้พระเจ้า และเพื่อจะได้ ทรงลบมลทินบาปของปวงประชากร”

 

พระองค์จึงเป็นเหมือนกับพี่น้อง คือมนุษย์คนอื่นๆ ทุกอย่าง เกิดมาเป็นพี่น้องกัน เป็นมนุษย์คนหนึ่ง อยู่ท่ามกลางพวกเรา เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ปุโรหิตมีหน้าที่เป็นตัวแทนระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ทำพิธี มหาปุโรหิต ก็คือผู้รับใช้พระเจ้าใหญ่ยิ่ง ในการที่จะติดต่อกับพระเจ้า เหมือนโมเสส คือมหาปุโรหิตคนหนึ่ง และเป็นคนบาปคนหนึ่งด้วย แต่พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตที่บริสุทธิ์ สะอาด หมดจดเลย

พระคัมภีร์บอกไว้ล่วงหน้าหมดว่าเมื่อพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ มันจะเป็นอย่างไร? จะดำเนินเรื่องไปอย่างไร? บอกมาเป็นระยะๆ พระเจ้าบอกตั้งแต่ปฐมกาล จนกระทั่งถึงวันนี้ เมื่อ 2,000 ปี คือวันที่พระเยซูมาถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พูดมาตลอดเลยว่า …

“ฉันเตรียมแผนการให้พวกเธออย่างไร? พวกเธอต้องฟังให้ดีๆ นะ บอกลูก บอกหลาน บอกเหลน บอกโหลนต่อไปนะว่าฉันเตรียมอย่างนี้ไว้ให้ เพื่อจะได้ไม่ลืม”

ลูกา 24:44-47 “44 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เราบอกไว้ เมื่อยังอยู่กับท่านทั้งหลาย คือทุกสิ่งต้องสำเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรา ในหนังสือบัญญัติของโมเสส หนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดี” 45 จากนั้น พระองค์ทรงเปิดใจเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือพระคริสต์ต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม 47 และให้ประกาศการกลับใจใหม่ และการอภัยบาป ในพระนามของพระองค์แก่มวลประชาชาติ เริ่มตั้งแต่ที่เยรูซาเล็ม”

 

นี่เป็นการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู หลังจากวันอาทิตย์ที่เป็นขึ้นจากความตาย อาจจะเป็นวันนั้นเย็น หรืออีกไม่กี่วันเท่านั้นเอง ที่พระองค์ได้ทรงปรากฏกับสาวก แล้วสาวกก็จำพระองค์ไม่ได้ แล้วพระองค์ก็เริ่มเปิดตาใจเขา ให้เขาได้รู้ แล้วพระองค์ก็ตรัสตรงนี้ว่า

“จำไม่ได้เหรอ พระคัมภีร์เดิมที่เขียนถึงฉันทั้งหมด มันเป็นจริงตามนั้น แล้วสุดท้าย ในพระคัมภีร์ที่เขียนถึงฉันว่าฉันจะมาไถ่บาปให้พวกเธอ แล้วฉันจะตายที่ไม้กางเขน แล้วฉันจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่เป็นขึ้นมาแล้ว เดินกับเธอตอนนี้ แล้วเปิดตาฝ่ายวิญญาณของเขาได้เห็น”

เขาเลยเห็นว่าเป็นพระองค์ จึงไปประกาศข่าวดีต่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เป็นไปตามพระเจ้าวางแผนไว้ตั้งนานแล้ว  พระองค์บอกว่า …

“สิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราตั้งแต่ต้นมาเลย มันเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ที่พระเจ้าบอกว่าเขาจะเหยียบหัวเจ้าจนแหลก”

หมายถึงพระเจ้าพูดกับเอวา ตอนที่อาดัมและเอวาถูกสาป

“เจ้าจะเป็นศัตรูกับงู”

หน่อเชื้อของหญิง เล็งถึงพระเยซูจะเหยียบหัวของเจ้าแหลก ขยี้หัวเจ้าแหลก หมดฤทธิ์ไปเลย แล้วมันก็คือวันนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน ขยี้หัวมารจนแหลกเลย การตายที่ไม้กางเขนของพระเยซู เป็นการชดใช้บาป แทนมนุษยชาติทั้งปวง ไม่ใช่แทนคนที่เป็นคริสเตียน ไม่ใช่แทนคนที่นับถือศาสนาคริสต์ ไม่ใช่เลย แต่แทนใครก็ตาม มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ได้ถูกชดใช้บาปเรียบร้อยไปแล้ว ถามว่าเขาถูกชดใช้บาปเรียบร้อยไปแล้ว บาปเขาหมดหรือยัง? หมดแล้ว อ้าว! ถ้าบาปหมดแล้ว ทำไมเขายังไม่ได้รับสิ่งที่เขาสมควรได้ เพราะเขาไม่มารับเอง แต่บาปมันถูกใช้ไปหมดแล้ว

เหมือนกับเงินช่วยเหลือคนที่เกษียณอายุ 60 ปีขึ้นไป จะได้ 600 บาทต่อเดือน ทุกวันนี้  มีหลายคนไม่ไปรับ เงินออกมาแล้ว อยู่ที่เขต ถ้าท่านไม่ไปรับนานๆ อาจจะมีคนแอบเอาไป ก็ไม่รู้ แต่ถ้าท่านไปรับเมื่อไร? มันก็อยู่ตรงนั้น ถ้าท่านใช้สิทธิ์ มันก็ได้ตามสิทธิของท่าน

นี่คือสิ่งที่พระเยซูบอกว่าสิ่งที่พูดเกี่ยวกับพระองค์ ได้ถูกเขียนไว้แล้ว และมันเป็นจริงตามนั้นทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู จากสภาพเป็นพระเจ้า ต้องย้ายมาเกิดเป็นสภาพมนุษย์ที่ต่ำต้อย อยู่ในอาณาจักรของความมืดบอด อยู่กับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าเลย แต่ตัวพระองค์เองรู้จักพระเจ้า สะอาดหมดจด อยู่กับคนสกปรกต่างๆ เหล่านี้  ด้วยความรัก ความเข้าใจ  และความเห็นใจพวกเขาทั้งหลาย อยู่ท่ามกลางพวกเขา รักพวกเขา ถึงขนาดรู้ว่าตัวเองมาเพื่อทุกข์ทรมาน เพื่อเขา เขาไม่เข้าใจ เขาด่า เขาเยาะเย้ย เขาถ่มน้ำลาย เขาถากถาง จนกระทั่งเขาจับไปฆ่า  พระองค์ก็เข้าใจเขา เพราะเขาเป็นคนบาป เขาไม่เข้าใจตรงนี้จริงๆ เขามองไม่เห็นโลกวิญญาณ แต่เราสิ เรารู้หมดทุกอย่าง เราจึงน่าจะอภัยให้เขา เราจึงสมควรอภัยให้เขา พระเยซูก็อภัยให้มนุษย์ทุกคน รักเขาทุกคน แล้วก็ยอมทนทุกข์ทรมาน ตายบนไม้กางเขน เพราะรัก

ให้ท่านเห็นความจริงเหล่านี้ว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ว่าพระเจ้ายอมมาเกิดเป็นมนุษย์ พอเห็นแล้ว โอ้โห! ไม่ใช่ผมคนเดียว ไม่ใช่เราแค่นี้  มีแค่ไม่กี่คนเอง แต่มนุษย์ทั้งโลก ตั้งแต่สมัยอาดัม จนกระทั่งมาถึงพวกเรา ลูกหลานเหลนโหลนของเรา ไม่รู้ตั้งกี่พันกี่หมื่นล้านคน ก็เป็นมนุษย์ทั้งโลก ถ้าพระเยซูไม่มาตายที่ไม้กางเขน คนเหล่านั้นจะต้องอยู่ในที่มืด ที่เรียกว่าที่ไม่มีพระเจ้าอยู่  ทุกข์ทรมาน ถูกรังแก เป็นทาสมารซาตานตลอด เมื่อร่างกายตายไปแล้ว หมดสภาพไปแล้ว หมดวาระไปแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปแล้ว ก็ยังอยู่ที่เดิม อยู่ในความมืด เป็นทาสของมาร อยู่ในความทุกข์โศก

พระคัมภีร์เล็งให้เห็นถึงตรงนี้ ใช้สัญลักษณ์ คือบึงไฟนรก คือมันร้อน มันไม่ได้ร้อนอย่างที่เราร้อนอย่างนั้น ผมเชื่อ มันหมายถึงความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ท่านลองคิดดูว่าชีวิตทุกวันนี้ มันทุกข์ไหม? ถ้าท่านคิดว่าทุกข์ มันทุกข์กว่านั้นแสนสาหัส เพราะมันบึงไฟนรก คนทั่วไปเรียกว่านรก บางครั้งเราไปเจอคนบางคนมีปัญหาชีวิตหนักๆ แบบหนีเสือปะจระเข้ หนีจากตรงนี้ ไปเจออันนั้น เขาเรียกว่าผีซ้ำด้ามพลอย ไม่ไหวเลย พอเราไปถาม เขาก็บอก …

“คุณไม่รู้หรอก ถ้าคุณมาเป็นผม คุณจะรู้ว่านรกนั้น มีจริง”

คนเข้าใจคำว่า “นรก” หมายถึงอะไร? ไม่อย่างนั้น มันจะมีอันนี้เหรอ ต้มยำนรก น้ำพริกนรก ก็มี เผ็ดนรกเลย กินเข้าไปได้อย่างไร? นี่แหละ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ “บึงไฟนรก” เป็นที่ที่มันลำบาก พระคัมภีร์ใช้อีกคำหนึ่ง ก็คือ “ที่ที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” คือมันทรมานมาก เหมือนคนเอามาแทงตลอดเวลา ถามว่าจะจบเมื่อไร? ไม่มีจบ ท่านเคยปวดท้องไหม?  ท่านเคยปวดหัวไหม? แค่มาก ปวดสุดท้าย มันก็คือตาย ก็ยังมีจบนะ แต่นี่มันไม่ตาย มันเป็นวิญญาณ มันทรมานสุดๆ เลย เขาไม่ตายๆ แล้วก็ทรมานสุดๆ ตลอด นั่นแหละ พระคัมภีร์ต้องการอธิบายให้ท่านฟังว่าอาณาจักรของความมืด ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ คือสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า คืออะไร?  ที่มนุษย์ต้องอยู่ ถ้าเผื่อพระเยซูไม่มาไถ่บาปให้เขา ไม่มาลบเขาออกจากบาปผิดทั้งปวง ไม่มาพาเขากลับมาที่เดิม ที่อยู่กับพระเจ้า ที่มีคุณภาพตรงข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมด ถ้าพระองค์ไม่ทำ เขาเหล่านั้นจะต้องอยู่ในบึงไฟนรกอย่างนั้น ชั่วกัลป์ชั่วกัน ไม่มีใครไปช่วยเขาได้เลย และถ้าพระเยซูทำ แล้วคนนั้นไม่เชื่อ ก็มีค่าเท่ากับพระเยซูยังไม่ได้ทำ

พระเยซูไม่ทำไม่ได้ ต้องทำ ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปคนเหล่านี้ เพราะสงสารมวลมนุษยชาติทั้งโลก ที่ตกลงไปในความบาป แล้วพระองค์มาแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์ตายที่ไม้กางเขน วันนี้ วันศุกร์ ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์มองทะลุไปที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลยว่าเขาต้องอยู่ในบึงไฟนรกนี้แน่ๆ ถ้าพระองค์ไม่มาไถ่เขา พระองค์ก็เลยเปิดทางช่วยเขาทั้งหมด ไม่ใช่ช่วยแค่ไม่กี่คน ไม่ใช่ช่วยแค่คนดีนะ สำหรับพระองค์ไม่มีทั้งคนดีและคนเลว ทุกคนเป็นคนชั่วทั้งนั้น แต่พระองค์ทรงรักทุกคน เขาไม่อยากจะทำชั่วหรอก แต่เขาเกิดมา ก็ชั่วแล้ว บาปแล้ว

เพราะฉะนั้น พระองค์รักเขา ต้องการช่วยเขาหลุด “เขา” นี่คือคนทั้งโลก เขาไม่ได้หมายถึงคนที่มาเชื่อพระเยซูเท่านั้น  คนที่เป็นศัตรูพระองค์ คนที่ตรึงกางเขนพระองค์ ทหารโรมัน หรือแม้กระทั่งปุโรหิตยิวที่ไม่รู้เรื่อง จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์ก็ตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปเขาเหมือนกัน เพราะเขาคือหนึ่งในจำนวนมนุษย์บนโลกใบนี้  พระองค์ต้องการให้เขาหลุดมาจากอำนาจมืดของมารซาตาน จากนรก มาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า และพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว เมื่อเช้านี้ ที่ไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์บอกเสร็จแล้ว จบแล้ว ไถ่บาปให้เรียบร้อย แผนการนี้เริ่มมาตั้งนานแล้ว มันจบแล้ว สำหรับพระองค์แล้ว จบจริงๆ พระองค์ก็มานั่งที่นี่ เสร็จงานแล้ว บัดนี้ พระองค์ไม่ต้องอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

ในพระคัมภีร์บอกว่าประทับอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า คอยมองดู เมื่อไรจะมาให้หมดสักทีหนึ่ง พระองค์ทำงานเสร็จแล้ว แต่อย่างที่บอก สำหรับคนที่ไม่เชื่อ คนๆ นั้น สำหรับเขา ก็คือพระเยซูยังทำไม่สำเร็จ พระเยซูไม่มีตัวตน สำหรับเขา พระเยซูไม่ได้ไถ่บาปให้กับเขา ซึ่งมันน่าเสียดาย เพราะว่าจริงๆ คือพระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเขา หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเขา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ประทับตราแห่งชัยชนะนั้นเรียบร้อยไปแล้ว รวมทั้งเขาด้วยที่ไม่เชื่อ มันน่าเสียใจใช่ไหม? ในโรม 3:22-26 บอกดังนี้

โรม 3:22-26 “22 ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้ ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ ไม่มีข้อแตกต่างกัน 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า 24 และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่พวกเขา 25 พระเจ้าทรงให้พระเยซู เป็นเครื่องบูชาลบบาป  แก่ผู้ที่มีความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ เพราะโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ทรงลงโทษบาป ที่ทำไปก่อนหน้านั้น 26 พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน เพื่อว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ให้บรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมด้วย”

 

ที่พระองค์ต้องทำอย่างนี้ เพราะสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน เพื่อให้ทั้งโลกเลย ที่พระองค์ดูแลทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาของโลกใบนี้ว่าพระองค์ทรงยุติธรรม ไม่ใช่อยากจะช่วยลูกตัวเอง ก็ฝ่าฝืนกฎหมายเข้าไปช่วย เมื่อมนุษย์ทำผิดบาปก็ต้องชดใช้ อภัยไม่ได้ ว่ากันมาตามกฎระเบียบ ชดใช้อย่างไร? ก็ให้มีตัวแทนมนุษย์ ก็ส่งพระเยซูไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้า แต่อยู่ในร่างของมนุษย์ ต้องทุกข์ทรมานเจ็บปวด เหมือนมนุษย์เลย  ต้องรับโทษจริงๆ เจ็บจริงๆ ปวดจริงๆ แบกรับเอาโทษนั้นของมนุษยชาติไปไว้ที่พระองค์จริงๆ แทนที่จะเอาคำสาปแช่ง ลงที่มนุษย์ทั้งปวง รับไปคนเดียว เมื่อรับไปคนเดียว ศาลพิพากษา ก็ถือว่าผ่าน รับไปแล้ว  แล้วมนุษย์ทุกคนก็รอด จ่ายเงินแล้ว จ่ายหนี้แล้ว ก็จบ ถูกไหม?

มนุษย์ทุกคนจึงมีสิทธิ์กลับมาเป็นผู้ชอบธรรม เพราะหมดหนี้บาปแล้ว ไม่ต้องใช้บาป ไม่ต้องใช้หนี้เวรกรรมแล้ว อยู่ดีๆ จะบอกว่า …

“เขาเป็นลูกเรา ไม่ต้องใช้หนี้แล้ว”

ไม่ได้ เดี๋ยวดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ทูตสวรรค์อีกมากมาย ที่พระองค์ทรงเป็นผู้ดูแลปกครองอยู่ เกิดกบฏขึ้นมาทำอย่างไร? วันๆ ไม่ทำตาม ตอนเช้าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ยุ่งเลยนะ หรือวันพรุ่งนี้ โลกอยู่ดีๆ หมุนๆ กลับข้าง

“ทำไม วันนี้ฉันจะหมุนทางนี้ มีอะไรหรือเปล่า? มันไม่ได้ บางทีเราคิดถึงธรรมชาติ เป็นวัตถุ ไม่ใช่ มันมีชีวิตของมัน อีกสปีซี่หนึ่ง ต้นไม้ต้นหญ้า ดอกไม้ สัตว์อะไรต่างๆ มันทำตามคำสั่ง บัญชาการ กฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ทั้งสิ้น” นี่แหละเขาถึงเรียกว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม

เราประกาศข่าวประเสริฐ ต้องบวกไปเสมอว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และทรงเป็นมนุษย์ ต้องคู่กัน ถ้าเป็นพระเจ้าอย่างเดียว ช่วยมนุษย์ไม่ได้ และถ้าเป็นพระเจ้าอย่างเดียว มาช่วยมนุษย์ได้ พระเจ้าองค์นั้น ก็ไม่ยุติธรรม พระเจ้าไม่เที่ยงธรรม ก็ไม่ใช่พระเจ้าสิ พอเข้าใจไหม? พระเจ้าต้องเที่ยงธรรม ต้องส่งพระเยซู ซึ่งเกิดจากพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐ คือพระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เจ็บปวดจริงๆ ทรมานจริงๆ กลัวจริงๆ เมื่อคืนวานนี้ ตั้งแต่วันพฤหัสในสวนเกเสมเน พระองค์ต้องตัดสินใจจริงๆ พระคัมภีร์ว่าอย่างนั้น ไม่ใช่มนุษย์คิดเอง แต่เป็นพระเจ้าให้มนุษย์ จดบันทึกไว้ และบางประโยคเป็นคำพูดของพระเยซูเอง …

“เราทุกข์แทบจะตายแล้ว อยู่กับเราสักหน่อยหนึ่งไม่ได้หรือ!”

พระเยซูผู้เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ วันที่สวนเกเสมเน วิญญาณข้างในของพระองค์ขาวสะอาด ร่างกายของพระองค์ ก็คือมนุษย์ทั่วๆ ไป เจ็บปวดได้ พระองค์เริ่มต้นทุกข์ทรมาน เริ่มต้นรับเอาความสาปแช่ง ความบาปของมนุษยชาติ รับไว้ที่ตัวของพระองค์ เริ่มตั้งแต่วันนั้น ว่ากันตามจริง เริ่มทั้งสัปดาห์มาแล้ว เริ่มทุกข์ใจ เริ่มกลัว ก่อนหน้านั้นไม่เคยกลัวใครเลย ใครจะมาจับพระองค์ พระองค์เดินหนี หายไปเลย  เพราะยังไม่ถึงเวลา แต่พอถึงเวลาแล้ว ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่พระองค์ตัดสินใจว่า …

“เราจะเดินเข้ากรุงเยรูซาเล็ม”

ก่อนไปเข้าเมือง มองลงไปข้างล่างกับสาวก มองเห็นกรุงเยรูซาเล็ม ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา วันอาทิตย์ของสัปดาห์แห่งการไถ่บาปมนุษย์ พระเยซูกำลังจะเดินทางเข้ามา บอกกับสาวกว่า …

“เราจะเข้ากรุงเยรูซาเล็มไปให้เขาฆ่า” รู้อยู่แล้ว

พวกสาวกคงคิดในใจว่า … “จะบ้าเหรอ ไม่เอาน่า”

เปโตรอาจจะบอก … “ไม่เอา พระองค์อย่าไปเลย ไปเขาจับเราตายแน่ ทุกวันนี้ต้องแอบหลบไปหลบมา พวกนี้ต่อต้านจะตาย”

พระเยซูบอก … “มันต้องเป็นไปตามนั้น เพราะว่ามันมีเขียนไว้อย่างนั้น บุตรมนุษย์จะถูกจับ ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน และวันที่ 3 เราจะเป็นขึ้นมาจากความตาย ต้องไป”

สาวกบอก … “พระเยซูตัดสินใจ จะไปต้องไป”

ในใจคงคิดว่า … “เอาล่ะ ตายก็ตาย ลงไปโดนเขาจับตายแน่”

แล้วก็เดินทางลงไป ตั้งแต่วันนั้น พระองค์ก็ทุกข์ใจ เพราะรู้ว่าใกล้เข้าไปทุกวัน ก็จะเริ่มรู้แผนการครบถ้วนบริบูรณ์ที่พระเจ้าเปิดเผยลึกซึ้งขึ้น ก็คือต้องทำอย่างไรบ้าง? คำว่า “รู้ว่าตายที่ไม้กางเขน” รู้ แต่คำว่า “แล้วจะต้องตาย โดยที่วิญญาณตายด้วย”

ผมจะชี้ให้ท่านเห็น เมื่อบ่าย 3 โมงของวันนี้ วันที่พระเยซูถูกตรึง แล้วตายที่ไม้กางเขน มิได้ทุกข์ทรมานตรงที่ถูกตอกตะปูไว้ที่แขนทั้งสองข้าง หรือที่เท้าของพระองค์ ไม่ใช่แค่นั้น  เพราะถ้าเป็นแค่นั้น คิดว่าพระองค์ไม่ทุกข์ทรมานถึงขนาดวันพฤหัสฯ ก่อนจะถูกจับตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจอีก ต้องอธิษฐานถึง 3 ครั้ง พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าเปลี่ยนแผนการได้ไหม?  มีวิธีการอื่นไหมที่จะไถ่บาปมนุษย์ โดยที่ไม่ต้องเข้าไปแบบนี้ มันไม่ไหว พระเจ้า อาจจะฉายภาพให้พระองค์เห็นในคืนวันนั้น ก็ได้ คืนที่สวนเกเสมเน ที่กำลังอธิษฐานอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าอาจจะให้เห็นภาพว่ามันไม่ธรรมดานะ รุ่งขึ้นพระเยซูต้องโดนขนาดหนัก หนักขนาดไหนรู้ไหม? วิญญาณที่มันขาวอยู่นี้ของพระเยซู ซึ่งขาวอย่างนี้มาตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างมี พระเจ้ากับพระเยซูอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ สะอาดหมดจดอย่างนี้เลย  และถ้าพรุ่งนี้ตาย หมายถึงรับบาปของมนุษย์เข้าไป วิญญาณของพระเยซูจะต้องเป็นบาปจริงๆ คือไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นมนุษย์บาปเหมือนพวกเรา

มนุษย์บาป คือข้างในมันมืด ไม่มีพระเจ้าเลย มองพระเจ้าก็ไม่เห็น ไม่รู้จักพระเจ้าอีกต่อไป ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นอีกต่อไป ไม่มีการทรงนำ ไม่มีอะไรทั้งสิ้นอีกต่อไป อยู่ในความทุกข์ทรมาน  พูดง่ายๆ เป็นทาสของมารเลย  มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ณ วันนั้น  อยู่ดีๆ คล้ายบอกท่านว่า …

“พรุ่งนี้ ท่านจะตาบอด ท่านจะมองอะไรไม่เห็นเลย”

ท่านก็ตกใจแล้ว “ต้องตาบอด จะไม่เห็นอะไร ทำไง”

วิญญาณจะบอดไปเลย เคยอยู่กับพระเจ้ามาตลอด  หมื่นๆ  ล้านๆๆๆๆ ปีกับพระเจ้า  คุยกระหนุงกระหนิง รู้จักพระเจ้าตลอด ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังคุยกับพระเจ้าอยู่ พระเจ้าให้ทำอะไร ก็ทำตลอด แต่ถ้าพรุ่งนี้ ตายที่ไม้กางเขนแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้นะ คือพระเจ้าจะไม่อยู่กับเธออีกต่อไป ไม่มีพระเจ้าเลย อยู่ดีๆ จะกลายเป็นคนบาปสกปรกโสโครกเลย  รับได้ไหม? นี่แหละคือสิ่งที่พระเยซูรับไม่ได้ ไม่รู้จะเทียบอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องโลกวิญญาณ เหมือนพรุ่งนี้มาบอกเราว่า …

“ให้ไปช่วยหนอนนะ ถ้าเธอยอม พรุ่งนี้เธอต้องกลายเป็นหนอน เข้าไปอยู่ในอึของสุนัขนะ”

แล้วเราเอาไหม? เราไหวไหม? … “แล้วเธอจะตัดขาด เธอจะไม่มีสติปัญญา เหมือนมนุษย์ เธอจะไม่รู้เรื่องอะไรของมนุษย์อีกต่อไปเลย เธอจะเป็นหนอนตอนนั้น”

สภาพมันคงจะรับไม่ได้ นี่คือพระเยซูกลัวอย่างนี้ และกลัวจริงๆ ที่สวนเกเสมเน พระองค์จึงสำแดงความกลัว วิตกกังวลออกมา หลายคนเคยถามผมว่า …

“พระเยซูเป็นพระเจ้า อธิบายให้ที ทำไมพระองค์ต้องกลัวด้วย”

กลัวไหมล่ะ เป็นพระเจ้าอยู่ …

“พรุ่งนี้ฉันจะต้องสละสภาพพระเจ้าแล้วจริงๆ ตอนที่มาเกิดเป็นมนุษย์ สละสภาพพระเจ้า แต่ยังเป็นพระเจ้าที่อยู่ในร่างมนุษย์ เป็นวิญญาณขาวๆ แต่พรุ่งนี้ฉันจะต้องสละวิญญาณขาวๆ ข้างใน กลายเป็นเหมือนพวกเธอเลย คราวนี้ดำปี๋เลย คือเอาบาปของพวกเธอมาใส่ที่ฉันแทน ฉันรับไว้คนเดียวเลย”

ไม่ใช่ดำนิดเดียว แต่ดำมาก ทรงรับหมดทั้งโลกไว้ที่พระองค์ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า จึงกลัวไง

“พระเจ้า ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ ไม่รับไม่ได้เหรอ รับน้อยกว่านี้หน่อยได้ไหม?”

สามครั้ง ก่อนจะถึงครั้งที่สาม ไปดูสาวก

“เปโตร ยอห์น ยากอบ ช่วยเป็นเพื่อนกันหน่อยหนึ่ง กลัว”

เมื่อกี้สาวกรับปากว่าจะอยู่ด้วย หลับไปแล้ว คุ้นๆ เวลามาอธิษฐานกับพระเจ้า หลับไปแล้ว  ไม่มีใครเลย  ว้าเหว่คนเดียว พระเจ้าก็เงียบ เพราะพระเจ้าเริ่มไปแล้ว คือคำว่า “พระสิริไปจากพระเยซู” ไม่ใช่ไปทันที แต่ผมเชื่อว่าค่อยๆ จางหายไป ความบาปค่อยๆ เข้ามา ฤทธิ์อำนาจค่อยๆ ออกไป ความสว่าง พระสิริของพระเจ้าค่อยๆ ออกไป วิญญาณค่อยๆ มืดลง จนกระทั่งนาทีสุดท้าย พระเยซูตรัสว่า …

“เอลี  เอลี  ลามาสะบักธานี”  แปลว่า  “พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” แปลว่า …

“ไปแล้ว พระเจ้าไปแล้ว ก่อนหน้านี้พระเจ้าอยู่กับเรา เราพูดอะไร? คือพระเจ้าพูด เราทำอะไร? คือพระเจ้าทำกับเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า”

แต่ตอนนี้ อยู่ที่ไม้กางเขนด้วยความทุกข์ทรมาน นั่นแหละคือความทุกข์ทรมานครั้งสุดท้าย แสนสาหัส แล้วหลังจากนั้น ปิดฉากความมืดเข้ามาทันทีเลย พระองค์ไม่รู้เรื่องอะไรอีกแล้ว วางใจในพระเจ้า นี่แหละคือวางใจ

พวกเราทำอย่างนี้ มันง่าย เพราะเราไม่มีอะไรแลก เราคือคนบาปอยู่แล้ว แต่พระองค์อยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่ก่อนหน้า พระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ไม่ได้ทำบาปอะไรเลย แล้วทำไมต้องมาทุกข์ทรมานอย่างนี้ด้วย จากนั้นต่อไป ก็คือชีวิตพระองค์อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้าอย่างเดียวแล้ว ขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระองค์อาจจะคิดว่าพระองค์อาจจะต้องอยู่ในความมืดอย่างนั้น ตลอดนิรันดร์ก็ได้ เพื่อไถ่พวกเรา พระองค์ไม่รู้แล้วตอนนั้น ก่อนหน้านั้น  พระองค์อาจจะบอกว่าแล้วเราจะเป็นขึ้นมาในวันที่สาม ก็เพราะพระเจ้าบอกว่าจะเป็นขึ้นมาใหม่ ก็เชื่อในพระเจ้าว่าจะเป็นขึ้นมาใหม่ แต่พอตอนตาย … ตายไปจริงๆ ไม่รู้แล้วว่าที่เราพูดไปคืออะไร? มันจบไปแล้ว ลืมหมดเลย  เพราะตกลงไปในความมืด เหมือนอยู่ดีๆ ไฟฟ้าดับ ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้แล้ว เคว้งคว้างหมด คล้ายๆ โทรศัพท์ขาดตอน ก่อนนี้โทรศัพท์คุยกับพ่อตลอด วันนี้แบตเตอร์รี่หมด เราก็ต้องวางใจในพ่อ

เราจึงควรระลึกถึงพระคุณของพระเจ้า ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อบรรดามนุษยชาติ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ได้ทรงย้ายเราออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง  ในหนังสือโคโลสีบอกว่า …

โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

พระองค์ทรงย้ายเราออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงไถ่บาปให้กับเราแล้ว

ที่พระเยซูทำทั้งหมด เพื่อสิ่งนี้เท่านั้น เพื่อให้เรารู้ถึงความยากลำบากที่พระเยซูได้ถูกส่งมาทำ แล้วพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขนนั้น มันยากเย็นมากๆ เพื่อสิ่งนี้ คือมนุษย์สามารถเข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้แบบง่ายๆ พระองค์ทำยากมากเลย แต่เรามนุษย์รับง่ายๆ  อยากจะเน้นตรงนี้

วันนี้จะมาจบตรงนี้ว่าพระเยซูทำแสนยากมากเลย ภารกิจของพระองค์หนักจริงๆ หนักสุดๆ เจ็บสุดๆ ทุกข์ทรมานสุดๆ ไม่มีใครเข้าใจพระองค์เลย แม้ตัวพระองค์เองยังไม่เข้าใจเลย  ก็ด้วยความรักอย่างเดียว ที่รักเราทั้งหลาย จึงยอมทำอย่างนี้ ตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและวิญญาณพระองค์ วางใจในพระเจ้าสุดๆ เลย ทำให้มนุษย์สามารถย้ายจากอาณาจักรแห่งความมืด มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตรกลับมาที่เดิมใหม่ หาพระเจ้าได้ อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดเดียว เพียงแค่รับเอาไปเฉยๆ เท่านั้นเอง หลายคนถามว่า …

“มาเป็นคริสเตียนต้องมาโบสถ์ไหม? ต้องถวายทรัพย์ไหม? ต้องอันโน้น ต้องอันนี้ไหม?”

ไม่ต้องอะไรเลยสักอย่างหนึ่ง ไม่เกี่ยวข้องกัน ค่อยไปดูทีหลังว่ามันมีอะไรมีประโยชน์ก็ทำไป แต่ถ้าจะรับความรอด จะย้ายมาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง ไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว รับสิทธิไปฟรีๆ เหมือนกับสมัยที่ท่านเกิดมา แล้วท่านตกลงไปในความบาป ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรเลยใช่ไหม? หรือว่าท่านต้องทำชั่วก่อน ท่านจึงจะอยู่ในความบาป อยู่ในความมืด ไม่ต้องเลย  พออยู่ในครรภ์มารดา ท่านก็อยู่ในความมืดนี้แล้ว ถูกไหม? เพราะเป็นกฎของมันอย่างนั้น ในทำนองเดียวกัน ตอนนี้มีครอบครัวใหม่ขึ้นมา เรียกว่าครอบครัวพระคริสต์ ท่านไม่ต้องอยู่ในความมืด อยู่ในอาดัมอีกต่อไปแล้ว ท่านเกิดมา ท่านไม่ต้องทำอะไร ท่านก็อยู่ในอาดัมอยู่แล้ว อยู่ในความมืดนี้ แต่ทุกวันนี้ ท่านสามารถย้ายไปอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ชูมือขึ้นมา แล้วบอกว่าไปด้วย แค่นั้นเอง ไม่เอาแล้ว พอกันสักที ทุกคนในนี้ทำมาหมดแล้ว รวมทั้งผม เมื่อ 30 ปีก่อน ผมเหนื่อยมากเลย ผมหาทางที่จะออกจากที่มืด หาแล้วเหนื่อย เขาบอกให้ทำอย่างนี้ ทำๆ เขาบอกทำอย่างนี้ แล้วมันจะหลุดออกไปสู่แสงสว่าง ทำๆ ไป ยิ่งทำยิ่งเหนื่อย ยิ่งต้องทำมากขึ้น เขาบอกให้ทำแค่ 10 จะได้หลุดพ้น พอทำไปถึง 10 เขาบอกว่ามีอีก 10 พอทำเพิ่มไปอีก 10 เขาบอกมีอีก 10 พอทำไปถึง เขาบอกต้องอีก 30 ถึงจะถึง พอทำไปถึง 30 เขาบอกไม่มีทางหรอก ต้องทำเป็นร้อย นี่คือประสบการณ์จริง มันเป็นอย่างนั้นแหละ เหนื่อยๆ  จนวันหนึ่ง เมื่อ 30 ปีที่แล้ว มันเกิดปิ๊งขึ้นมา พูดสั้นๆ คือ …

“จนวันหนึ่งไม่พึ่งตัวเองอีกต่อไป ไม่พึ่งความดีงามของตัวเองอีกต่อไป ไม่พึ่งกำลังของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ขอพึ่งสิ่งที่พระเยซูทำให้ที่ไม้กางเขน คือได้ไถ่บาปให้ฉัน พาฉันไปสู่แสงสว่าง โอเค พระเยซูพาไปเลย ตั้งแต่วันนั้น มาถึงทุกวันนี้ เป็นอย่างนี้”

ท่านเอง ก็เป็นอย่างนี้แหละ ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรเลย  พระเยซูทำให้เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันเดียวกันนี้  วันศุกร์อย่างนี้ ที่ไม้กางเขน  ที่พระองค์ทรงถูกตรึงตั้งแต่ 3 โมงเช้าจนกระทั่งถึงบ่าย 3 โมง 6 ชั่วโมง จริงๆ ทรมานตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว เมื่อคืนพฤหัสฯ แล้วบ่าย 3 โมง พระองค์บอกว่า Testelesti จ่ายหมดแล้ว สำเร็จแล้ว แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ ก็คือจ่ายหนี้ให้มนุษย์เรียบร้อยแล้ว แผนการพระเจ้าที่วางมาทั้งหมด เรียบร้อยแล้ว บัดนี้ เปิดทางโล่ง ครอบครัวใหม่ในพระเจ้า ชื่อครอบครัวพระเยซูคริสต์ มาเลยพี่น้อง พระองค์ทรงเรียกมนุษย์ทั้งปวงว่าพี่น้อง ใครที่เป็นมนุษย์ มาเลย ที่เป็นพี่ หรือเป็นน้องพระเยซูก็ตาม ถ้าเป็นอายุมากกว่า ก็เรียกว่าเป็นพี่ของพระเยซู แต่ถ้าอายุน้อยกว่า ก็เรียกเป็นน้องพระเยซู พระเยซูบอก …

“พี่น้องมาเลย ฟรีทุกอย่างฉันทำให้เสร็จเรียบร้อย ชัยชนะอยู่ที่ฉัน ฉันเอามาให้เรียบร้อย มาใช้สิทธิ์ของเธอ มาเลยๆ”

แล้วพระองค์ก็บอกคนที่มา แล้วรู้เรื่อง ไป ไปบอกข่าวดีนี้ ไปบอกให้ทุกคนทั้งโลกเลย ข่าวดีฟรี ไม่ต้องทำอะไรเลย เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 13 “ไม่มีกฎ สำหรับลูกพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  มีนาคม  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 13 “ไม่มีกฎ สำหรับลูกพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 13 “ไม่มีกฎ สำหรับลูกพระเจ้า” (น้ำยาซักฟอกผ้าอัศจรรย์)

ครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันไปในเรื่องข้อพระคัมภีร์ ในหนังสือ 1 โครินธ์ 10:23 ที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวไว้ว่า “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะทำให้เสริมสร้างขึ้น” ที่เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว

เล่าแบ็คกราวด์ให้ท่านฟัง ในหนังสือโครินธ์ส่วนใหญ่เป็นการสอนของอาจารย์เปาโลที่มีไปถึงบรรดาผู้ที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูแล้ว ที่เมืองโครินธ์ ซึ่งในเมืองโครินธ์เป็นเมืองใหญ่ กำลังมีการแตกแยกในหมู่ผู้เชื่อ วุ่นวาย แตกแยกกันทางความคิด เนื่องจากโครินธ์เป็นเมืองหลวงใหญ่ มีพลเมืองจำนวนมาก แล้วก็มาจากกลุ่มลัทธิความเชื่อหลากหลาย มาจากวัฒนธรรมประเพณีที่แตกต่างกันก็มาก ผู้เชื่อชาวโครินธ์หลายคน ก็มาจากชาวกรีกโบราณ ชาวยิวก็มี พูดง่ายๆ ถ้าเทียบปัจจุบันก็เหมือนอยู่ในกรุงเทพ คิดดูว่ามันหลากหลายเยอะแยะ

ผู้เชื่อในเมืองโครินธ์แตกแยกเป็นกลุ่มๆ พวกๆ ซึ่งผู้นำแต่ละกลุ่ม ก็ได้วางกฎเกณฑ์ข้อบังคับของตนเอง ที่ตนเองคิดว่าใช่ เช่น …

“ถ้าเป็นคริสเตียน ต้องตามกฎฉันนะ ฉันวางกฎให้เธออย่างนี้”

นึกภาพออกไหม? ก็เหมือนในปัจจุบัน คริสเตียนนิกายต่างๆ เชื่อนิกายนี้ต้องทำอย่างนี้ ในสมัยโครินธ์ก็เป็นอย่างนี้แหละ แบ่งออกเป็นกลุ่ม ผู้นำก็จะบอกว่า …

“ถ้ามาอยู่กลุ่มฉัน ฉันมีข้อบังคับกฎเกณฑ์ต้องเป็นอย่างนี้”

ข้อปฏิบัติต่างๆ ก็จะบอกไว้ แล้วพวกผู้เชื่อก็จะคอยจับผิดกันและกัน กล่าวหากันและกัน

“ของฉันถูก ของเธอผิด”

อะไรต่างๆ เหล่านี้ ใครไม่ปฏิบัติตามกฎของตัวเอง ก็เป็นคริสเตียนที่ผิด กล่าวหากันถึงขนาด

“ถ้าไม่ทำตามฉัน พวกเธอเป็นลัทธิเทียมเท็จ หลงแล้ว ตกนรกแน่นอน”

ก็เถียงกันมากมาย ทั้งๆ ที่ทั้งหมดนั้น เปาโลใช้ชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้เชื่อ ก็คือเป็นคริสเตียน เปาโลก็มีหน้าที่มาจัดการความสับสนวุ่นวายนี้ ให้มันเรียบร้อยไป อาจารย์เปาโลก็เลยเขียนจดหมายนี้ ไปถึงบรรดาผู้เชื่อในเมืองโครินธ์ ก็คือไปบอกคริสเตียนทั้งหลายที่กำลังทะเลาะเบาะแว้ง แย้งกันไปแย้งกันมา คนนี้เชื่อเทียมเท็จ คนนี้เชื่อเกิน คนนี้เชื่อผิด คนนี้หลงไปแล้ว คนนี้เชื่อมาร มารเอาไปแล้ว ก็ว่าไป  เปาโลก็เลยเขียนไปบอกว่าให้หันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ คนที่ความคิดตะเลิดเปิดเปิงไปตามตามองเห็น ลากเข้ามาสู่โลกวิญญาณ บอกว่า …

“ในโลกวิญญาณ จำไว้ พวกเธอเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่มันมีอยู่จริง ให้คิดตรงนั้นดีๆ มัวแต่ไปมองคนนั้นทำอันนั้น คนนี้ทำพิธีอันนี้ ตามองเห็นคนนี้สอนว่าอย่างนี้ ตามองไม่เห็นว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงต้องมาย้ำยืนยันให้พวกเขารู้ว่าในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นหลัก พระเยซูมาทำอะไร? เพื่อใคร?  พระเยซูเป็นศูนย์กลางของเรานะ ไม่ใช่พิธีอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่ความเชื่อแปลกๆ เหล่านั้น

แล้วก็ให้แนวทางในการดำเนินชีวิต  เพื่อให้ผู้เชื่อทั้งหลาย หรือคริสเตียนทั้งหลายอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ และมีสันติเกิดขึ้น  สามารถเป็นหนึ่งในพระเยซูคริสต์ได้ในความแตกต่าง ทุกคนเป็นคนไทย แต่ไม่ใช่เป็นคนไทยแล้วต้องทำเหมือนกันหมดทุกคน ในทำนองเดียวกัน ทุกคนอยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่ทุกคนต้องทำเหมือนกัน แล้วทำอย่างไรล่ะ เปาโลก็เลยมาสอนย้ำว่านี่คือแนวทางปฏิบัติในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าให้เป็นอย่างนี้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับโลกวิญญาณเลยนะ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่เราบอกตะกี้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือโลกวิญญาณ เปาโลกำลังจะมาบอกว่าถ้าในโลกวัตถุ ที่เราดำเนินชีวิตแตกต่างกัน มันควรจะเป็นอย่างไร ในลักษณะการเป็นคริสเตียน? เป็นผู้เชื่อ ควรจะมีความคิดอย่างไร? เปาโลเลยสรุปแนวทางการปฏิบัติไว้ว่า …

“คริสเตียนได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้”

“แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่อนุญาตให้ทำ จะเป็นประโยชน์”

“เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่อนุญาตให้ทำ มันจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

ถูกไหม?  เปาโลเด็ดขาด แค่ประโยคเดียวก็วางหลักเกณฑ์ได้แล้ว ความหมาย ก็คือในทางวิญญาณ เมื่อเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อ เราได้ย้ายออกมาจากอำนาจของความมืด สกปรก มาสู่ความสะอาดหมดจดของพระเยซูคริสต์ทันทีทันใด เดี๋ยวนั้นเลย เมื่อความเชื่อเกิดขึ้น  เราเข้ามาอยู่กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ วิญญาณเราบริสุทธิ์สะอาดใสกริ๊ง เหมือนพระเจ้าเลย

จะไม่มีสิ่งใด หรือการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เมื่อท่านเชื่อจริง ขณะที่วิญญาณเราสะอาดหมดจด อยู่ในอาณาจักรแห่งความแสงสว่างแล้ว เราไม่ได้อยู่ตรงโน้นแล้วเพราะฉะนั้น เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ โดยไม่ต้องกลัวว่ากฎระเบียบจะบังคับเราให้ทำอันโน้นอันนี้ เพราะในโลกฝ่ายวิญญาณมันไม่มีกฎ อยู่กันแบบครอบครัว เป็นลูกของพระเจ้า เราไม่ได้อยู่ในกฎของบาปและความตายอีกต่อไป

ถึงแม้ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ก็จริง เปาโลเตือนว่าแต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เราทำ (ซึ่งไม่เกี่ยวกับวิญญาณแล้ว) จะเกิดประโยชน์ต่อตัวเราเอง หรือต่อผู้คนรอบข้าง หรือต่อโลกใบนี้นะ บางอย่างเรามีสิทธิ์ทำ แต่มันจะเกิดผล ไม่ดีกับเราเอง กับคนรอบข้าง และกับโลกใบนี้ ก็ได้เหมือนกัน ให้ระวังไว้ด้วย

ให้เราระมัดระวังในสิ่งเหล่านี้ว่ามันอาจจะไม่เป็นประโยชน์ อาจจะไม่เป็นการเสริมสร้างขึ้น ก็คือไม่ดีนั่นเอง แล้วก็มาจบตรงข้อ 31 ว่า …

1 โครินธ์ 10:31 “ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า ให้นึกถึงพระเจ้าว่าท่านเป็นลูกพระเจ้า ต้องคิดให้ดีๆ ที่จะทำต่อไป ท่านก็จะอ๋อ! เราเป็นลูกพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เราควรทำไหม? สมควรที่จะทำไหม? อะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่คือกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิต แบบคริสเตียนบนโลกใบนี้  ที่เปาโลวางรากฐานให้เราทำ คือสำหรับผู้เชื่อแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ห้ามทำ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องทำ ก็คือไม่มีกฎ … กฎ ก็คือต้องทำ และอย่าทำ

แต่สำหรับผู้เชื่อที่มาเป็นลูกพระเจ้า ได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ห้ามทำ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องทำ แต่จงทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และทำในสิ่งที่เป็นการเสริมสร้างขึ้น ไม่ได้บังคับให้ทำ แต่เป็นการคิดเอา ใช้สติปัญญา ที่มาจากพระเจ้า ให้พระวิญญาณข้างในนำเราว่าเป็นประโยชน์ไหม?  เสริมสร้างไหม? แก่ตนเอง แก่คนรอบข้าง และแก่ทั้งโลกเลย ที่พระเจ้าสร้างขึ้น ก็เป็นการถวายพระสิริแด่พระเจ้า คือนึกถึงพระเจ้าก่อน

แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ บางคนคิด สิ่งไหนเป็นการเสริมสร้างขึ้น เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว ไม่มีหลักเกณฑ์ชัดเจน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมของแต่ละคน แต่ละครั้ง แต่ละวินาที แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่ามาเลียนแบบกัน อย่ามาเทียบกัน  เชื่อวางใจในพระเจ้า เราอาจจะทำอย่างนี้ วินาทีนี้ มันถูกต้อง แต่สำหรับคนอีกแบบหนึ่ง ในวินาทีเดียวกัน เขาอยู่อีกแห่งหนึ่ง คนละสถานการณ์ ก็ได้ ถูกทั้งคู่ อย่างนี้เป็นต้น

พอคุยถึงเรื่องนี้  ผมก็เลยมานั่งคิดว่าจริงๆ แล้ว พวกเราตอนนี้ หมายถึงพวกเราคริสเตียนในเมืองไทย เราเองก็อยู่ท่ามกลางขนบธรรมเนียม แบบโครินธ์อย่างนี้เลย ลักษณะคล้ายๆ มีขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เยอะแยะมากมายในเมืองไทย เราอยู่ท่ามกลางสภาวะสังคมที่แตกต่างกัน แค่ในกรุงเทพเราก็เห็นเยอะแล้ว นี่ไปทั้งประเทศ เราเห็นภาพชัดเจน หลายคนอยู่ในสภาวะแวดล้อมของครอบครัว ที่รับรองได้ในนี้เกือบ 100% เป็นครอบครัวที่ไม่ใช่เป็นคริสเตียนทั้งหมด อาจมีเราคนเดียวก็ได้ นี่คือสิ่งที่คล้ายๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโครินธ์ เมื่อตอนนั้น ก็คือมันแตกต่างกันมาก เพราะว่าคริสเตียน หรือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย ท่านถึงเห็นความหลากหลายในการเชื่อเยอะแยะ อื่นๆ มากมาย มันจึงเกิดประเพณีที่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เหมือนกัน ก็คล้ายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในโครินธ์อย่างนั้น

หลายคนยังเป็นเพียงคนๆ เดียวในครอบครัว ที่มาเชื่อพระเจ้า หลายคนก็เป็นเพียงคริสเตียนคนเดียวในห้องเรียน อาจจะเป็นคนๆ เดียวทั้งโรงเรียน ก็เป็นไปได้ หลายคนก็เป็นเพียงพนักงานคนเดียว ที่เป็นคริสเตียน อันนี้เยอะเลย  ผมก็เลยสงสัยว่าแล้วคริสเตียนในบ้านเราจะมีคำถาม หรือมีความสับสนแบบเดียวกันกับชาวโครินธ์ ที่เชื่อในพระเจ้า เมื่อสมัยโน้นหรือไม่?

ผมไปหาในกูเกิ้ล (Google) แล้วคัดมาแต่ที่เด็ดๆ มาอ่านให้ฟัง เอาที่คุ้นๆ …

–  คริสเตียนไม่ไปโบสถ์วันอาทิตย์ได้ไหม? ผมรู้ เข้าใจว่าหมายถึงบางคนเชื่อไปอยู่ในบ้านปุ๊บ พ่อแม่จ้องเลย  พอรู้ว่าเชื่อพระเจ้าปุ๊บ จ้องเฉพาะวันอาทิตย์วันเดียวเลย แต่ก่อนนี้ ไม่เคยมองเราเลย วันอาทิตย์เราจะไปไหน?  ตอนนี้คอยมอง ไปโบสถ์หรือเปล่า? ไปก็มีเรื่อง อะไรแบบนี้  เขาก็เลยอึดอัด รักพ่อรักแม่ รู้ว่าพ่อแม่ยังไม่เข้าใจ ก็ไม่อยากมา พอไม่มา ผู้นำก็บอกว่าต้องมา ไม่มาตกนรก ไม่มาความเชื่อหาย ต้องรักษาความเชื่อไว้ Google ก็ไม่รู้จะทำอะไร? Google ก็เลยเขียนข้อความนี้ลงมาว่า …

“ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันไม่ได้ไปโบสถ์ได้ไหม?”

ถามผู้นำคนอื่นบ้าง คนอื่นเขาคิดอย่างไร? Google ไปช่วยเขา เห็นไหม? ช่วยให้เขาได้มีที่ระบาย ไม่อย่างนั้นเขาตายแน่เลย  แต่เขาไม่รู้ว่าจะถามใคร? ไปถามผู้นำ ผู้นำก็บอกเขา ต้องมา สู้สิ ความเชื่อต้องถึง สุดท้ายเลย  สำคัญที่สุด ทิ้งหมดเลยพ่อแม่ เป็นอย่างนั้นไปอีก คุ้นๆ น๊า

–  คริสเตียนไปทำบุญได้ไหม? คิดในใจ

–  คริสเตียนไปงานศพ จะกราบศพ เคารพศพได้ไหม?

–  คริสเตียนไปวัดได้หรือเปล่า?  บางคนบอกว่าไปเที่ยวต่างประเทศ เขามีโปรแกรมพาไปเที่ยววัด จะทำได้อย่างไร? ทำได้ไหม?  ทำดีไหม? ไปได้ไหม?  สมมติว่าไปแล้ว จะทำอะไรได้แค่ไหน? ไปเที่ยวอันนี้ งั้นไม่ไป อะไรประมาณนี้

แล้วก็มีผู้หวังดีมาช่วยตอบ ไม่รู้ว่าเป็นผู้หวังดีที่โลกไม่ต้องการหรือเปล่า? ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เป็นผู้หวังดีมาตอบ มีบางคนบอกว่าไปได้ แต่ไปแค่เดินชม เดินเที่ยวเฉยๆ อย่าไหว้รูปเคารพ

บางคนบอกว่าถ้าจำเป็นต้องทำจะไหว้ก็ได้ คำถามเดียวกัน คนถามคงงง แต่ห้ามจุดธูป บางคนบอกว่าถ้าจำเป็นต้องทำ จุดธูปก็ได้ แต่อย่าขอพร อย่าบน แล้วยังมีอีกนะ

–  คริสเตียนดื่มเหล้าได้ไหม? คำถามนี้ เป็นคำถามยอดนิยมเลย มีคนถามเยอะเลย ก็มีคำตอบ ว่าห้ามเด็ดขาด บางคนก็บอกว่าดื่มได้ แต่อย่าเมา แล้วใครจะรู้ไหมว่าตรงไหนมันคือเมาหรือไม่เมา คนเมา ส่วนใหญ่ว่าไม่เคยเมาเลย  บางคนก็บอกว่าไม่มีข้อห้าม ดื่มได้ เพราะพระเยซูยังดื่มเหล้าองุ่นเลย  อ้าว! แล้วถ้าเป็นเบียร์ทำไง? ยุ่งเลยนะ แล้วทุกคำตอบ ก็อ้างข้อพระคัมภีร์กันใหญ่ ใส่ข้อพระคัมภีร์เต็มที่ไปเลย  มีเหตุมีผลทุกคนเลย

แล้วยังมีคำถามอื่นๆ อย่างเช่น คริสเตียนมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานได้ไหม?

–  คริสเตียนแต่งงานกับคนที่ไม่เชื่อได้ไหม? อันนี้เยอะเลย สาวๆ ในนี้ หนุ่มๆ ในนี้สะดุ้งกันทุกคนเลย

–  คริสเตียนแต่งงานแล้ว ยังไม่พร้อมที่จะมีลูก คุมกำเนิดได้ไหม? ยุ่งไหม?

–  คริสเตียนไม่แต่งงานได้ไหม? ถ้าไม่แต่งงาน แสดงว่าพระเจ้าทิ้งเหรอ? ทำอะไรผิดใช่ไหมจึงหาคู่ไม่ได้

เปาโลยกตัวอย่างตัวเปาโลเองเป็นโสด

“ข้าพเจ้าเป็นอิสระเหมือนท่าน ข้าพเจ้าจะมีคู่ครองได้ แต่งงานก็ได้ เหมือนกับเปโตร เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าแต่งแล้ว มันไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวข้าพเจ้า อย่าเลียนแบบนะ เพราะข้าพเจ้าต้องออกไปประกาศโน่น ไปประกาศนี่”

พระเจ้าแต่งตั้งให้เป็นนักประกาศ เดินทางออกไปประกาศ เป็นอัครทูต ตั้งโบสถ์ที่นั่น ตั้งโบสถ์ที่นี่ ไปเยี่ยมเยือนที่นั่น เดินทางบ่อยๆ เพราะฉะนั้น ถ้ามีครอบครัวมันจะลำบาก นี่สำหรับเปาโลเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องไปเลียนแบบเปาโล เราไม่ได้เดินทางมากขนาดนั้น อยู่กรุงเทพ แต่งงานเถอะ แต่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นอีก เราอยู่ในกรุงเทพ แต่เรารู้สึกเหมือนเปาโลเลย เพราะว่าเราทำงาน เรารู้สึกสบาย เป็นอิสระแล้ว เราจะไปหาห่วงมาผูกคอทำไม? ไปแต่งทำไม? อยู่โสดดีแล้ว นั่นก็เป็นของคนๆ นั้น  เป็นของคนๆ นี้ อย่าไปเลียนแบบกันว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ฉันต้องแบบนั้น ฉันต้องแบบนี้

สรุปแล้ว แต่งงานได้ไหม? ไม่แต่งได้ไหม?  อันไหนดีกว่า ตอบไม่ถูก? สรุปแล้วของใครของเขา มันแล้วแต่สถานการณ์ มันแล้วแต่คนๆ นั้น ของประทานคนนั้น อย่าไปยุ่งเขา ถ้าเขามีของประทาน ก็คือพระเจ้านำเขามาให้เขาเป็นโสด เขาก็เป็นโสดนั่นแหละ เขาเองจะรู้ตัวเองว่าฉันเป็นโสดดีแล้ว แต่สำหรับบางคน พระเจ้าให้เขามีคู่ครอง เพื่อจะใช้งานเขาอีกแบบหนึ่ง เป็นครอบครัว เขาจะรู้เองว่าเขาจะแบกภาระหนัก เหนื่อยขึ้นในการมีครอบครัว พระเจ้าจะให้กำลังเขาเอง เอเมน มันไม่ใช่ดีกว่าอะไร? นี่ยกตัวอย่าง เรื่องนี้ต้องคุยยาวหน่อย เพราะมีผู้สนใจมาก

–  คริสเตียนเล่นหุ้นได้ไหม?

–  คริสเตียนปล่อยกู้ได้ไหม?

มันไม่มีวันจบเลยนะ ผมอ่านแล้ว ตั้งเยอะแยะมากมาย เห็นภาพชัดเลยว่าทำไมอาจารย์เปาโลถึงต้องเขียนจดหมายไปอธิบาย ไปเตือนบรรดาผู้เชื่อเมืองโครินธ์ว่าอย่าแตกแยกกันเลย  ถ้าแตกแยกกันอย่างนี้ ถ้าไม่มีใครมาเคลียร์ อีกไม่กี่ปี ยังไม่ทันถึงช่วงสมัยเรา ข่าวประเสริฐล้มหายตายจากหมดแล้ว แบ่งออกเป็นหมื่นกั๊ก ล้านกั๊ก

–  เป็นคริสเตียนลัทธิที่ไม่แต่งงาน

–  เป็นคริสเตียนที่มีลัทธิอีกลัทธิหนึ่ง ลัทธิที่สอง คือแต่งงาน แล้วไม่มีลูก

–  เป็นผู้เชื่ออีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่าเป็นคริสเตียนที่แต่งงาน ต้องมีลูกเยอะๆ

ทุกคนก็แบ่งออกเป็นเยอะแยะเลย ท่านพอมองเห็นภาพไหม?  เหมือนเมืองไทยไหม? เป๊ะเลย

บางคำตอบ ไม่น่าเชื่อ เป็นถึงขนาดนี้ แสดงว่าความจริง เรื่องถ้อยคำพระเจ้า มันไม่ได้เข้าไปในส่วนลึกของความเชื่อของคริสเตียนเลย ซึ่งมันเป็นพื้นฐานเท่านั้นเอง ที่เรากำลังเรียนกันอยู่นี้  หลายคนก็ไปค้นข้อพระคัมภีร์มาอ้างกันใหญ่ พระคัมภีร์เดิมบ้าง? พระคัมภีร์ใหม่บ้าง? ความเห็นชัดแย้งกันบ้าง? ข้อพระคัมภีร์ไม่ตรงตามบริบทบ้าง? เอาข้อเดียวมาอ้าง แล้วก็ใส่เลย ตอบกันไป ตอบกันมา จนกระทั่งในที่สุดใหญ่โต ถึงขนาดเป็นศัตรูกันก็มี จริงๆ ด่ากันเลย

เหตุมาจากไม่รู้เนื้อแท้ๆ ของข่าวดีของพระเจ้า มันจึงเกิดปัญหานี้ขึ้น  เปาโลถึงพยายามจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราไม่รู้ความจริง มันจะแบ่งออกมา เพราะหลักการเชื่อของเรานั้น มันผิด พอหลักการเชื่อผิดปุ๊บ มันก็ผิดหมด

อาจารย์เปาโลจึงบอกอีกคำหนึ่งว่าอาณาจักรสวรรค์ไม่ใช่เรื่องการกินและดื่ม เป็นเรื่องโลกวิญญาณ อันนี้ไม่กิน แต่งงาน กินเหล้าได้ไม่ได้ วุ่นวายไปหมด ถามอีกกี่ครั้ง ก็ไม่มีตรงกันหมดทั้งโลก ท่านนึกภาพออกไหม?  ผมว่าถ้าอาจารย์เปาโลยังอยู่ตอนนี้  สมมตินะ อาจารย์เปาโลอาจจะเขียนจดหมายฝากมาหมื่นฉบับ ฝากมาถึงคริสเตียนในเมืองไทย ให้ทำแบบนี้ๆ

ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง สมมติอาจารย์เปาโลเขียนมาเมืองไทย อาจารย์เปาโลก็จะเขียนหนึ่งในคำถามยอดฮิตของผู้เชื่อในบ้านเรา คือ …

“ไปวัดหรือไปทำบุญได้ไหม?”

คำตอบของอาจารย์เปาโลอาจจะอย่างนี้

“ไปได้ ถ้าเธอไปแล้ว เป็นประโยชน์ เช่น มันเกิดประโยชน์ขึ้น เพราะว่าต้องขับรถไปให้แม่ หรือไปแล้ว เป็นกำลังใจให้กับคนอื่นๆ หรือไปเพื่อรักษาสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว ให้แน่นแฟ้นขึ้น  เกิดความสงบขึ้น แบบนี้เรียกว่าเป็นประโยชน์นะลูกเอ๋ย ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราไม่ทำ แล้วทำให้พ่อแม่โกรธเคือง คนในครอบครัวไม่เข้าใจ เกิดสงครามขึ้นในครอบครัว ไม่สงบเกิดขึ้น  แบบนี้ เรียกว่าเกิดโทษ มันไม่เสริมสร้างขึ้น

อาจารย์เปาโลก็จะอธิบายอย่างนี้  เห็นไหม? ข้อเดียวกันนั่นแหละ ใช้ได้หมดทุกอัน ทุกเรื่องเลย ซึ่งผมได้บอกไปแล้วว่าการจะทำอะไรแค่ไหน? มากได้แค่ไหนนั้น ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละคน แต่ที่จริงแท้แน่นอนที่สุด เมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด เหมือนพ่อของเราแล้ว เราก็ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎใดๆ อีกต่อไป  เราจึงมีอิสรภาพในการทำอะไร? ก็ได้ทุกสิ่ง โดยไม่มีผลต่อความรอดในทางวิญญาณของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ในทางโลกนี้ การดำเนินชีวิตนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง คนรอบข้าง หรือบนโลก ทั้งหมดในโลกนี้หรือไม่เท่านั้น  โรม บทที่ 8 กฎวิญญาณแห่งชีวิต ทำให้เราเป็นอิสรภาพ จากกฎของความบาปและความตาย

เราอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตแล้ว ที่ผมบอกว่าท่านรับเชื่อพระเจ้า แล้วท่านย้ายเข้ามาอยู่ในนี้ ท่านอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิต กฎของวิญญาณที่ให้ชีวิตท่านเกิดขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์ ทำให้ท่านเป็นอิสระ จากกฎของความบาปและความตาย ซึ่งอยู่ในอาณาจักรดำ ท่านเป็นอิสระแล้ว

กฎหรือธรรมบัญญัติ ซึ่งภาษาไทยเรา ก็คือกฎทางด้านศีลธรรม ความดีงามของโลกใบนี้  ที่เรียกว่าทำดี ทำชั่ว เหล่านี้เรียกว่ากฎทั้งสิ้น ไม่ใช่กฎหมายปกครองบ้านเมือง คนละอย่างกัน

กฎหมายปกครองบ้านเมือง มีบทลงโทษ อย่างชัดเจน เช่น ฆ่าคนตาย ท่านติดคุก ถูกประหารชีวิต หรือขโมยเขา ต้องขึ้นศาล ถูกเขาจับเข้าคุก นี่เห็นบทชัดเจน แต่กฎหมายทางวิญญาณ ที่ไบเบิ้ลพูดถึง คือกฎหมายฝ่ายศีลธรรม ฝ่ายจิตใจ เป็นกฎหมายข้างในใจ มีการลงโทษหรือไม่ลงโทษ มีสำนึกอยู่ในใจ เราเรียกกันว่ากฎทางด้านศีลธรรม มันไม่มีบทลงโทษอย่างชัดเจน แต่ในจิตใจมนุษย์ทุกคนลึกๆ รับรู้ว่านี่คือกฎแห่งบาปบุญคุณโทษ เรารู้อยู่ข้างใน ซึ่งรวมความแล้ว คือกฎหมายทางด้านศีลธรรม

พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกไว้ว่ากฎเหล่านี้ คือบทบัญญัติทางด้านศีลธรรมที่อยู่ในใจของมนุษย์ ไม่ได้พูดคำนี้ ผมสรุปให้ทั้งหมดว่ากฎหรือธรรมบัญญัติเหล่านี้ มันเป็นเหมือนกับน้ำยาซักฟอกผ้าขาว ที่เราได้ยินโฆษณา

ถามว่าน้ำยาซักฟอกนี้ ประโยชน์มีไว้ทำอะไร? น้ำยาซักฟอก ก็มีไว้สำหรับซักผ้าที่มันสกปรก ให้มันสะอาดขึ้น ฉะนั้น น้ำยาซักฟอกผ้า จึงจำเป็นสำหรับผ้าที่สกปรกเท่านั้น กฎระเบียบ หรือบัญญัติที่วางไว้ ก็เช่นเดียวกัน ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอก กฎบัญญัติระเบียบทางด้านศีลธรรม มีไว้ก็เพื่อซักฟอกวิญญาณจิตที่สกปรก ให้สะอาด ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีทางที่จะซักจนสะอาดหมดจดได้เลย พระคัมภีร์บอกว่ามันต้องค่อยๆ ซักอยู่เรื่อยๆ ซักเท่าไรก็ไม่มีวันสะอาดหมดจด เป็นไปไม่ได้เลย

ฉะนั้น สรุป ก็คือกฎบัญญัติทางด้านศีลธรรม ที่ในพระคัมภีร์เรียกว่ากฎธรรมบัญญัตินั้น จึงจำเป็น สำหรับวิญญาณที่สกปรกเท่านั้น ในพระคัมภีร์บอกว่ายิ่งซักเท่าไร? ก็ยิ่งจะรู้ว่าวิญญาณมันสกปรกมากจริงๆ พอรู้ว่าสกปรกมาก ก็เลยยิ่งจำเป็นต้องซักมากขึ้นอีก อย่างน้อย ก็เพื่อให้มันสกปรกน้อยลง เพราะรู้ตัวว่ามันสกปรก อยากเอามันออกไป เจอสกปรก ยิ่งซักอีก นึกว่ามันจะขาว ไม่ขาว ซักต่อ พอมองเห็นภาพไหม?

ความสกปรกตรงนี้ ก็คือคำสาปแช่ง ความบาปที่อยู่ในจิตใจของมนุษย์ อยู่ในวิญญาณของมนุษย์ มนุษย์เป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกไว้ วิญญาณเขาจึงสกปรก ไม่บริสุทธิ์นั่นเอง จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติ ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนน้ำยาซักฟอกผ้าขาว เขาจึงจำเป็นต้องใช้ มาคอยชำระความสกปรกตลอดเวลา ซักให้สะอาดขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ก็ต้องค่อยๆ มาชำระกันไปเรื่อยๆ

ชำระความสกปรกให้มันออกไปจากวิญญาณ เพราะมนุษย์ทุกคนรู้อยู่ในจิตใจของทุกคน ลึกๆ ว่าตัวเองเป็นคนบาป สกปรก และต้องการจะให้มันสะอาด ไม่อยากสกปรกอย่างนั้น ข้างในลึกๆ รู้ อยากให้มันสะอาด เขาถึงขวนขวายหาน้ำยาที่ดีๆ มารักษาความสะอาด มาเอาความสกปรกออกไป ไปหาน้ำยาดีๆ มาล้างจิตใจที่สกปรกนั้น ให้มันออก

นี่คือต้นเหตุของการเกิดศาสนาทั้งปวงบนโลกใบนี้ ตั้งแต่นั้นมา ไม่ใช่ศาสนาอย่างเดียว ลัทธิด้วย เกิดความเชื่อต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมา ทั้งหมดพุ่งไปที่ที่เดียว ก็คือต้องการที่จะล้างข้างใน เพราะรู้ว่ามันสกปรก ยิ่งทำ ก็ยิ่งรู้ว่ามันสกปรก ก็ต้องหาวิธีล้างมัน  เขาเรียกว่าแสวงหาการหลุดพ้น หลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ก็คือหลุดพ้นจากความสกปรก จะเห็นชัดที่มาของศาสนานั่นเอง

ก่อนที่พระเยซูจะมาประสูติ กฎธรรมบัญญัติเดิม บันทึกไว้ว่าให้มนุษย์ไปปกคลุมบาปตนเอง โดยใช้เลือดสัตว์เป็นการไถ่บาป ขอรับการอภัย จากพระเจ้า ก็คือการชำระซัก โดยใช้น้ำยาล้างเป็นเลือดสัตว์ นี่คือหนึ่งในความเชื่อ ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ ในยุคนั้น จะมีกฎ ถ้ารู้ตัวว่าตัวเองบาป อยากจะชำระให้มันสะอาดขึ้นบ้าง ทำอย่างไร?  ซึ่งก็กระทำโดยตัวแทน เราเรียกว่ามหาปุโรหิต หรือปุโรหิต และต้องทำเป็นประจำทุกปี ปีละครั้ง โดยนำเอาเลือดสัตว์เข้าไปถวายพระเจ้า เลือดสัตว์นี้ ก็เหมือนกับน้ำยาล้างทำความสะอาด เป็นการปกคลุมความผิดบาป ที่ได้ทำมาตลอดทั้งปี แค่นั้น  ล้างอย่างไรก็ไม่หมด จำเจอยู่ตรงนั้น

หลังจากที่พระเยซูได้หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน   ในวันศุกร์ประเสริฐ      ในเทศกาล อีสเตอร์แรกของโลก เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเยซูได้หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน กฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ ก็ได้ถูกยกเลิกไป เพราะพระโลหิตของพระเยซูได้ทรงชำระล้างความสกปรกในวิญญาณของมนุษย์หมดเลย เกลี้ยงเลย จบเลย ฮีบรู 9:11-12 บันทึกไว้ …

ฮีบรู 9:11-12 “11 แต่เมื่อพระคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐ ซึ่งมาถึงแล้ว  ก็ได้เสด็จเข้าไปสู่เต็นท์อันใหญ่ยิ่งกว่าแต่ก่อน (ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือ คือไม่ใช่เต็นท์แห่งโลกนี้)   พระองค์เสด็จเข้าไปในอภิสุทธิสถานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น 12 และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป และทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์”

 

ผมจะเอาตรงนี้มาใส่ให้ท่านแทน เป็นภาษาพูดปัจจุบัน ท่านจะเห็นภาพ …

“พระเยซูไม่ได้นำเอาเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำน้ำยาซักฟอกผ้าอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เข้าไป  และทรงสำเร็จการไถ่บาป และทรงชำระล้างสิ่งสกปรกที่มีคราบฝังลึกๆ ในวิญญาณของมนุษย์ทั้งปวง จนหมด เปลี่ยน กลายเป็นผ้าใหม่เอี่ยม ขาวสะอาดเลย”

เห็นภาพหรือยังครับ? พระเยซูเข้าไป ไม่ได้เอาน้ำยาซักฟอกผ้าเหมือนแต่ก่อนนี้เข้าไป คือเลือด พิธีกรรม แต่พระองค์เข้าไป โดยเลือดของพระเจ้าเอง คือเลือดของพระองค์ เลือดของผู้บริสุทธิ์เข้าไป เลือดนั้น คือน้ำยาซักฟอกผ้า ยี่ห้ออัศจรรย์ยิ่งใหญ่ รักษาคราบฝังลึกข้างใน หมดจดสิ้น ไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว แต่เป็นผ้าใหม่เลย เปิดดู 2 โครินธ์ 5:17 …

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดเชื่อในข่าวดีของพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!”

 

สิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามา สะอาดหมดจด ณ วินาทีที่ท่านเชื่อแล้ว ไม่ต้องรอให้จากโลกนี้ไป ไม่ต้องรอให้ท่านตาย ตามภาษาชาวบ้าน ขณะที่ท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์จริงๆ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าประทานให้ เป็นพระมาซีฮา เป็นแพะรับบาป ที่พระเจ้าส่งมาให้ท่าน มนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งท่านด้วย พอเชื่อปุ๊บ พระเยซูเท่ากับเอาบาปท่านออกไปแล้ว ชำระท่านด้วยพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปี ชำระล้างวิญญาณท่านที่สกปรกมาตั้งนานแล้ว เหมือนใหม่เลย  อยู่ในที่ดำๆ ไม่ได้แล้ว ก็มาอยู่ในอาณาจักรสว่าง ที่เราเรียกกันว่าสวรรค์ของพระเจ้า ทันทีทันใดเลย วิญญาณของเรานั่งอยู่ตรงนี้ จึงเป็นอิสรภาพ จะทำอะไรก็ได้

สำคัญที่สุด พระเยซูทรงนำโลหิตของพระองค์ที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เข้าไปหาพระเจ้าเพียงครั้งเดียว ก็สามารถไถ่บาปจนหมดสิ้นนิรันดร์เลย เอเมน

เมื่อทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ ความบาปของมนุษย์ไม่ว่าจะติดตัวมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ คืออาดัมเอวา หรือตัวเองเกิดมา ทำบาปก็ตาม ทำในอดีต ในปัจจุบัน แม้กระทั่งบาปในอนาคต ที่เราอาจจะทำ หรือต้องทำอยู่แล้วแน่ๆ ก็ได้รับการชำระล้างจนหมดสิ้นแล้ว

ถ้าท่านไม่มีรากฐานของความเชื่ออย่างนี้  มันก็จะมีปัญหาไปเรื่อย ถามไม่มีจบสักที มันจะยุ่งวุ่นวาย จะแบ่งเป็นก๊กไปหมดเลย ชีวิตมันก็ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข ท่านไม่มีโอกาสที่จะประกาศข่าวดีของพระเยซูได้ตามน้ำพระทัยของพระองค์จริงๆ ท่านจะเป็นผู้ที่คนอื่น เห็นข่าวดีที่อยู่ในชีวิตของท่าน เพราะคริสเตียนไม่ใช่ศาสนา คริสเตียนไม่ใช่หลักข้อเชื่อ คริสเตียนเป็นประวัติศาสตร์ มีความจริงในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเท่านั้นที่พูดอย่างนี้  ที่ผมอธิบายให้ท่านดูอย่างนี้ ทุกศาสนาก็อยากให้คนเป็นคนดี ใช่ ทุกศาสนาก็อยากให้คนมีศีลธรรม ใช่ แต่คริสเตียนบอกไม่ใช่ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว ท่านสะอาดหมดจดแล้ว ท่านทำอะไรก็ได้ ท้าอย่างนี้เลย

เมื่อวิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีกฎระเบียบ ซึ่งเราไล่กันมาตั้งแต่ต้นแล้วว่ากฎระเบียบ ก็คือกฎทางด้านศีลธรรม เมื่อไม่ต้องมีกฎทางด้านศีลธรรม หรือธรรมบัญญัติ เขาจึงเรียกว่าเป็นอิสระจากกฎ พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นอิสระจากกฎ พระเยซูจึงบอกว่าท่านจะเป็นอิสระ เมื่อเชื่อในเรา เชื่อว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าส่งพระองค์มา เพื่อไถ่บาปให้กับเรา ถ้าใครเชื่อ เขาจะเป็นอิสระจริงๆ

เมื่อเราเป็นอิสระ หลุดพ้นจากกฎระเบียบต่างๆ เหมือนผ้าขาวสะอาดหมดจด จึงไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาซักฟอกใดๆ อีกต่อไป โลหิตพระเยซู ซึ่งเป็นพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีตำหนิเลย ชำระล้างเราให้สะอาดบริสุทธิ์เป็นใหม่เอี่ยมเลย เข้าไปอยู่กับพระเจ้า เป็นชนิดเดียวกับวิญญาณของพระเจ้า และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

คือแนบสนิทกับพระองค์ ไปไหนไปด้วยกันตลอดเวลา ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเชื่อ ณ บัดนี้ ท่านยังอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะเดียวกันท่านอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน สะอาดหมดจด ไม่มีใครมาทำอะไรท่านได้แล้ว เพราะท่านอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดอยู่กับท่าน ครอบครองท่าน ปกคลุมท่านอยู่ตลอดเวลา ไปไหนก็ไปด้วย ไปห้องน้ำ ก็ไปด้วย ท่านจะไปกินเหล้า พระองค์ก็ไปด้วย แต่พระองค์ไม่กินกับท่านนะ เข้าใจใช่ไหมครับ? ท่านโมโหพระองค์ก็อยู่กับท่าน ท่านกำลังโกรธ พระองค์ก็อยู่กับท่าน ท่านกำลังโลภ พระองค์ก็อยู่กับท่าน แล้วทำไมต้องบอกว่าอธิษฐาน พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วเวลาไม่อธิษฐาน พระเจ้าไม่อยู่ด้วยหรือไง? แล้วชีวิตมันจะเป็นอย่างไร? เข้าใจหรือเปล่าครับ? ผมกำลังจะบอกท่าน วันนี้ไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร? วันหนึ่งไปใคร่ครวญอย่างนี้ตลอดเวลา คิดสิว่าสิ่งที่ผมกำลังพูด คืออะไร? ถ้อยคำพระเจ้าทั้งสิ้น

สุดท้าย ผมจะให้ท่านเห็นว่าไม่มีใครมาแยกท่านออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อท่านมาเชื่อแล้ว ท่านก็มาอยู่ในอาณาจักรแสงสว่าง ในโรม 8:38-39 …

โรม 8:38-39 “38 เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่าแม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย 39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

นี่คือเรานั่งอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ตอบสิว่ามีใครเอาท่านออกไปได้ไหม?  พระเจ้าก็อยู่ข้างท่าน พระเยซูก็อยู่ข้างท่าน ทูตสวรรค์มากมายอยู่ข้างท่าน ถ้ามีคนเอาออกไปได้ ก็ไม่ต้องไปเชื่อแล้วพระเจ้า นี่คำพูดพระเจ้า แล้วยังมีคำพูดอีกเยอะแยะในนี้มากมาย เราค่อยๆ เรียนรู้กัน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 12 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  กุมภาพันธ์  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 12 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้

แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรื่อง  “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”  ตอนที่ 12 ชื่อตอนว่า “เราได้รับอนุญาต ให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์”

ความจริงทั้ง 11 ตอนที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะวนเวียนกัน ย้ำกันอยู่ตรงนี้ว่าเมื่อเราได้มาเชื่อในพระเยซูแล้ว เราก็ได้ย้ายออกจากอาณาจักรเดิมของเรา คืออาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาอยู่ในอาณาจักรใหม่ที่มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง หรืออาณาจักรของพระคริสต์

เราอาจจะบอกว่าเราเป็นคนชอบอ่านพระคัมภีร์ อ่านวันละ 2 ชั่วโมง แล้วอีก 22 ชั่วโมงทำอะไร?  22 ชั่วโมงนั่นแหละ คือการเรียนรู้พระเจ้า จากชีวิตของเรา  เพราะฉะนั้น การอ่านพระคัมภีร์มิได้หมายถึงจะรู้จักพระเจ้าเสมอไปเยอะๆ แต่การใช้จิตใจ อยากจะรู้จักพระเจ้า ตรงนี้มากกว่าที่มันตลอด 24 ชั่วโมง แม้หลับ คิด ฝัน มันยังจะคิดถึงพระเจ้าตลอด เอเมนไหม?  ไม่ใช่ว่าทุกวันท่านฝันถึงอย่างอื่นไม่ได้ อาจจะฝันได้บ้าง อาจจะเป็นเพราะกินเยอะไปตอนหัวค่ำ หรืออาจจะท้องอืดก่อนนอน แต่แม้กระทั่ง ท่านฝันอะไรที่ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า ตื่นขึ้นมาท่านก็นึกถึงพระเจ้า เมื่อคืนนี้ฝันอย่างนี้ มันหมายถึงอะไร? มันคืออะไรในเรื่องของพระเจ้า เข้าใจไหม?  คือชีวิตอยู่กับพระเจ้าตลอดเวลา และสิ่งเหล่านี้ได้เรียนรู้ตลอด 24 ชั่วโมงกับพระเจ้า แล้วเราอยากจะรู้จัก เราก็อธิษฐานกับพระองค์เสมอ จากเคยอธิษฐานเยอะแยะ ขอโน่นขอนี่อะไรต่างๆ มากมาย จนเดี๋ยวนี้  อธิษฐานนิดเดียวเอง สั้นๆ ว่า …

“อยากจะรู้จักพระองค์มากขึ้น อยากจะให้พระองค์ประทานสติปัญญาที่เราจะเข้าใจพระเยซูคริสต์มากขึ้น เข้าใจแผนการไถ่ของพระเยซูคริสต์มากขึ้น  เข้าใจเรื่องข่าวประเสริฐมากขึ้น ขอบอกที เปิดตาวิญญาณลูกทีเถอะ ให้ลูกรู้จักพระองค์มากขึ้น”

แค่นี้ แล้วทั้งวัน มันก็คืออธิษฐานอย่างนี้แหละ อยู่ในใจ เราอยากเรียนรู้ พออะไรนิดหนึ่งขึ้นมา ไม่ได้ อยากจะรู้ มันคืออะไร?  บางครั้ง ก็ไปค้นหาทั้งประวัติศาสตร์ที่มนุษย์เขียน เรื่องราวของมนุษย์ บางครั้งก็ไปค้นพระคัมภีร์บ้าง? ศึกษา บางครั้งก็ไม่เข้าใจ ก็ทิ้งมันไว้อย่างนั้น ก็อยากจะรู้ ปล่อย วันหนึ่งข้างหน้า มันก็รู้ขึ้นมาเอง โดยอะไรหลายๆ อย่าง ที่พระเจ้าสอนเรา บอกเราโดยไม่ได้บอกเป็นข้อความ แต่บอกเป็นชีวิตว่าอันนี้ พอถึงวันนั้น เราก็จะ “อ๋อ” ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนี้ นี่แหละคือการเรียนรู้จากพระเจ้ามากขึ้นทุกวันๆ

เรามั่นใจแล้วว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นแพะรับบาปให้กับเรา พระองค์เอาบาปเราออกไปแล้ว เราไม่มีบาปอีกต่อไป ไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้า กลับมาเป็นมิตร เป็นลูกพระเจ้าเหมือนเดิม กลับมาอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ซึ่งเรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว ทันทีทันใดเลย ที่วิญญาณรับเชื่อจริงๆ  พูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า พระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วิญญาณเราได้ถูกย้ายมานั่งที่นี่แล้ว ณ เวลานี้ เดี๋ยวนี้ ทันที ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน

พระเยซูบอกใครก็ตามที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาพระเยซู เขาจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูพูดกับเราในอดีตอย่างนี้ สำหรับผมคนเดียวนะ แล้วสำหรับท่านทั้งหลายที่ต้อนรับพระเยซูไปแล้ว อดีตก็คือพระเยซูบอกเราใช่ไหม? มารู้จักเรา เราจะทำให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข ใครที่คิดว่าเหนื่อยจงมาหาพระเยซู ผมก็เหนื่อย ท่านก็เหนื่อย เหนื่อยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทั้งการกิน การอยู่ และรวมทั้งวิญญาณที่เรียกร้อง อยากจะชดใช้บาปเวรกรรมของตัวเอง รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป ไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะหมดสักที เหนื่อยมาก แสวงหาแล้วแสวงหาอีก ก็เหนื่อย  จนมาพบพระเยซู แล้วก็เชื่อฟังพระเยซู เราก็หายเหนื่อยและเป็นสุข

เราหายเหนื่อยและเป็นสุข ภาษาพระคัมภีร์ เขาเรียกตรงนี้ว่าความหวังใจ ถามว่ามันหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะมันรวยขึ้นเหรอ บางคนบอกรวยขึ้นนิดหนึ่ง บางคนก็บอกโซๆ บางคนก็บอกแย่ลงกว่าเก่าอีก ทำแล้วแข็งแรงขึ้นไหม? บางคนตอนมาหาพระเยซู กะว่าพระเยซูจะมาทำการอัศจรรย์ รักษาโรคให้หาย ทุกวันนี้เป็นหนักกว่าเดิมอีก แต่บอกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะมันอยู่ในใจ เรามีความหวังใจในชีวิต ความหวังใจนี้ คือความเชื่อที่มีอยู่ลึกๆ ในใจ บอกใครก็ไม่ได้ แต่มันออกมาที่ใบหน้า และคำพูดของเราว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข แม้บนโลกใบนี้ เราอาจจะพบกับความทุกข์ยากลำบากอะไรต่างๆ นานา อุปสรรคในการดำเนินชีวิตต่างๆ เหมือนกับคนทั่วๆ ไป แต่ข้างในมันไม่ใช่แล้ว เรามีพระเจ้าสถิตกับเรา เดินไปกับเราตลอดเวลา ท่ามกลางพายุร้าย ท่ามกลางอุปสรรคปัญหาต่างๆ เราไม่กลัว เพราะว่าพระเจ้าเดินอยู่กับเราบนโลกใบนี้ เรารู้ เพราะว่าอยู่ในใจ ตรงนี้ จึงเรียกว่าความหวังใจ คริสเตียนต้องมีความหวังใจ

สำหรับอาณาจักรสวรรค์ มีประตูเดียว คือประตูทางเข้า ไม่มีประตูทางออกเลย เมื่อเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู พระเยซูกอดรัดแน่น ใครก็เอาเราออกจากพระหัตถ์ของพระองค์ไปไม่ได้เลย ไปอ่านดูในหนังสือโรม บทที่ 8 ทั้งบทเลย

นี่คือการหายเหนื่อยและเป็นสุข นี่คือความสบายใจ ที่พระคัมภีร์ย้ำยืนยันกับเรา ทำให้เรารู้สึกมั่นใจว่าตอนเข้ามาก็ไม่ใช่ด้วยกำลังของเราเอง และเข้ามาแล้ว จะหลุดออกไปหรือไม่? ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราแล้ว เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ถ้าพระองค์ใหญ่จริง เป็นพระเจ้าจริง เราเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า ไม่มีใครเอาเราออกไปได้ พระคัมภีร์สอนให้เราระมัดระวัง รักษาความเชื่อ ความหวังใจนี้ไว้

คำว่า “รักษาความเชื่อ” ที่พระคัมภีร์บอกเรา หรือว่าคริสเตียนเราบอก รักษาความเชื่อให้ดีๆ มันหมายถึงถ้าเราไม่รักษาความเชื่อ เราจะหลุดจากความเชื่อ แล้วเราจะกลับไปอยู่ที่มืด มันไม่ใช่  คำว่า “รักษาความเชื่อ” “รักษาความหวังใจ” ตรงนี้หมายถึงตอนที่คนนี้ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เมื่อข่าวประเสริฐวันแรกมาถึงผม เมื่อตอนอายุสัก (สมมติ) 14 ปี ผมได้ยินแล้ว ผมก็ชอบ ชอบฟัง ชอบสนใจ แล้วผมก็ไม่ติดตามต่อไป ผมเฉยๆ ผมไม่ได้รักษาความเชื่อ ที่ผมเชื่อเขาตั้งแต่แรก ที่ตั้งแต่มิชชั่นนารีเล่าให้ผมฟัง ผมปล่อยมันไป ผมไม่ได้สนใจมัน ผ่านมาอีกตั้งเกือบ 20 ปี  ผมก็ได้ยินมาตลอด 20 ปีนี้ ก็เฉยๆ ไม่รักษาความเชื่อด้วย จน 20 ปี ผมตั้งใจฟัง แล้วผมก็ตั้งใจรักษาไว้ ประมาณเกือบปี จนในที่สุด ความเชื่อที่ผมรักษาไว้ มันเกิดเปรี้ยงขึ้นมา เป็นปากผมพูด ผมเชื่อพระเยซูว่าเป็นผู้ช่วยให้รอด เชื่อในข่าวประเสริฐนี้แล้ว ผมต้อนรับพระเยซู จากใจของผมจริงๆ ทันทีทันใดนั้น  ผมถูกเปลี่ยน มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เป็นคริสเตียนแท้ๆ จริงๆ มาอยู่ในนี้  และจะไม่หลุดออกจากนี้ ไปอีกแล้ว ไม่ต้องรักษาอีกแล้วตอนนี้ เอเมน

เพราะฉะนั้น อย่าเข้าใจผิด ไม่ต้องกลัว ต้องรักษาความเชื่อ พระเจ้าช่วยลูกด้วย  ลูกจะกลับไปตกนรกหรือเปล่า?  ช่วยลูกเชื่อในพระเยซู ไม่ต้องมีอย่างนั้นอีกแล้ว ท่านไม่ต้องอธิษฐานอย่างนั้นอีกแล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว บางครั้งท่านอาจจะรู้สึกว่าไม่เชื่อ บางครั้งรู้สึกดื้อดึง มันเป็นเนื้อหนังข้างนอกเท่านั้น แต่วิญญาณท่าน ท่านเชื่อแล้ว ได้รับการเจิม หรือว่าได้รับฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากการที่ท่านเชื่อด้วยใจและพูดด้วยปาก ตามโรม 10:10 แล้ว มันเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าทันที ไม่ต้องรักษาความเชื่ออีกต่อไป เอเมน

ในสวรรค์นี้ เขาไม่ต้องมีความเชื่ออีกต่อไป  ความเชื่อ ความหวังใจเป็นของผู้ที่เริ่มต้นจะต้องรักษาไว้ จนกระทั่งมันเกิดผลขึ้น เกิดผลแล้ว ไม่ต้องรักษาแล้ว จากนี้ก็ Enjoy life ก็คือหายเหนื่อยและเป็นสุข ดำเนินไปกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดไป ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น  ตอนนี้เริ่มต้นเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ อธิษฐานแค่ 5 นาที ตอนหลังๆ อธิษฐาน 50 นาทียังไม่พอเลย  เพราะเขาบอกยังไม่พอ ต้องมากกว่านั้น ต้องให้ได้ 3 ชั่วโมง ถึงจะมีความมั่นใจว่าเรารักษาความเชื่ออยู่ อธิษฐานไป 3 ชั่วโมง ไปได้สักพักหนึ่ง ในใจรู้สึกว่ายังไม่พอ ยังต้องทำได้มากกว่านั้นอีก คือนอกจากอธิษฐาน 3 ชั่วโมงแล้ว ต้องอดอาหารด้วย ก็อดอาหารสิ พออดอาหารไป ไม่พออีกแล้ว ต้องทำต่อนะ นี่มันหลอกเรา อย่างนี้ไง ไม่มีวันจบ ก็เลยกลับมาที่เดิม ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข เหนื่อยเหมือนเดิม คือต้องกลับมาที่เราทำอีกแล้ว ทำเพื่อจะได้รับความรอด จริงๆ มันรอดไปแล้ว

ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรก พระเจ้าบอกว่าในสวนเอเดน เจ้าจะทำอะไรก็ได้ มีอิสระทุกอย่าง เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าห้าม คือห้ามกินผลไม้ต้องห้าม ซึ่งผมเองเดี๋ยวนี้ ผมมั่นใจว่าตรงนี้ไม่ได้หมายถึงกินผลไม้เป็นความสำคัญ ผมว่าเป็นเชิงสัญลักษณ์มากกว่า เพราะไม่รู้จะบันทึกอะไรให้มนุษย์เข้าใจ เอาเขียนแค่นี้ว่าไม่เชื่อฟัง ก็คือเป็นเชิงสัญลักษณ์ คือขอเพียงอย่างเดียว คือเชื่อฟังพ่อเท่านั้น พ่อบอกให้ทำอะไร? ก็ทำตาม เข้าใจใช่ไหม? ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อฟังพ่ออย่างเดียวเลย พ่อ คือพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ พระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้เป็นอย่างนั้น  ไม่รู้อะไรดีไม่ดีไม่รู้ พ่อให้ ก็ทำ พ่อบอกอย่างนี้ ก็อย่างนี้ เข้าใจใช่ไหม แล้วอะไรที่ทำให้อาดัมและเอวาขัดคำสั่งพระเจ้า “ขัดคำสั่ง” ก็คือไม่เชื่อฟัง ซึ่งเรียกว่าบาป อะไรทำให้เขาไม่เชื่อฟัง ฝืน เชิงสัญลักษณ์ คือพระเจ้าบอกว่าอย่ากิน เขาก็ไปกิน ทำตรงกันข้าม ก็คือไม่เชื่อฟัง สิ่งที่ทำให้มนุษย์ขัดคำสั่งพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ทำบาปต่อพระเจ้า ก็คือการล่อลวงของมาร ซึ่งมีศัตรูอีกฝั่งหนึ่ง

มารล่อลวงว่าถ้าได้กินผลไม้นี้แล้ว จะมีปัญญาเหมือนพระเจ้า คือรู้ดีและรู้ชั่ว เหมือนกับรู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ฟังให้ดีๆ ท่านอาจจะฟังว่าการรู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ไม่ดีตรงไหน? พอเจอการล่อลวงแบบนี้เข้า  มนุษย์คู่แรกก็อยากเป็นเหมือนพระเจ้า อยากมีสติปัญญาเหมือนพระเจ้า ก็เลยกบฏต่อพระเจ้า ฝืนคำสั่งของพระเจ้า ไม่เชื่อฟังแล้ว เพราะอยากจะไปแทนพระเจ้า ไม่ต้องการพึ่งพระเจ้าแล้ว

พระเจ้าบอก “เธออยู่เป็นลูกฉัน ฉันรักเธอมาก เธอเชื่อฉันอย่างเดียวพอแล้ว ไม่ต้องทำอะไร?”

ลูกบอก “ไม่ ฉันจะดูแลตัวฉันเอง มีอะไรไหม?”

มันแปลว่าอย่างนั้น  ก็ฝืน ซึ่งเรียกว่ากบฏ เรียกว่าบาป … บาป คือกบฏ สิ่งที่พระเจ้าบอกไม่ทำ เราจะทำ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความบาป กบฏ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาของมวลมนุษยชาติ และรวมถึงทุกสิ่งบนโลกใบนี้ เพราะมนุษย์อยากจะอยู่ด้วยตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อฟังพระเจ้าอีกต่อไป พอเริ่มมีความบาปเข้ามา ก็ถูกแยกออกจากพระเจ้า อยากอยู่ด้วยตัวเอง มันก็จะเกิดสิ่งที่เสียหาย ซึ่งเราเรียกว่าคำสาปแช่ง มนุษย์ก็เริ่มพยายามทุกอย่าง ในการที่จะกระทำการลบล้างความบาป ไม่อยากเป็นศัตรูกับพระเจ้า รู้ว่าการสาปแช่งเข้ามาแล้ว ความทุกข์เข้ามาแล้ว ไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว อยากหลุดพ้นออกไป  เพราะรู้ดีว่าความบาปมันไม่ดี มันสกปรก มันไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ ถ้าเลือกความบาป ก็ต้องเลือกอยู่ด้วยตัวเองเลย  ไม่มีพระเจ้าอยู่กับเราแล้ว และรู้ดีว่าโทษของความบาปนั้น คือความตาย ก็คือวิญญาณจะไม่อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ มนุษย์รู้ดีว่าตัวเองจะอยู่ตลอดไป  ไม่มีวันสูญสิ้น เพราะวิญญาณเขามาจากพระเจ้า แต่สถานที่เขาอยู่ ไม่มีพระเจ้านิรันดร์ มนุษย์จึงโหยหา ที่จะหลุดจากความบาปนี้ กลับไปหาพ่อของเขา ผู้สร้างเขา เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ที่เชื่อแบบไหนก็ตาม ในวิญญาณเขาไขว่คว้า ที่จะกลับไปที่เดิมของเขา กลับไปอยู่กับพระเจ้าผู้สร้างเขา เพียงแต่เขาจะหาเจอหรือไม่? เขาก็พยายามทุกวิถีทาง ผมถึงบอกบ่อยๆ ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น  ที่แสวงหาทางวิญญาณ เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ

มนุษย์จึงสอนกันต่อมาเรื่อยๆ แต่ละยุค แต่ละสมัย ตั้งแต่อาดัมว่าเราอยู่ในความบาป เราต้องทำให้พระเจ้าพอพระทัย เราจึงจะได้พ้นจากบาปเราบ้าง พยายามนะๆ ลูกเอ๋ย ทำตามกฎ ตามระเบียบ เพื่อเป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามากที่สุด เพื่อเราจะได้หมดบาป พระเจ้าจะกลับเข้ามาเหมือนเดิม สอนให้ทำดี เพราะเขารู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี มนุษย์หลายๆ คนก็ยังยึดติดอยู่กับความคิดเดิมๆ ที่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ คือ …

“ฉันต้องทำ เพื่อได้รับความรอดให้ได้ อยู่ดีๆ จะมีคนหนึ่ง ที่ชื่อพระเยซู มาช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปเวรกรรม มันไม่น่าเป็นไปได้ และมันต้องเป็นไปไม่ได้แน่ๆ  คนเราต้องใช้เวรกรรม ด้วยตนเองสิ ต้องสั่งสมบารมี แล้วก็ใช้ไปจนหมด วันหนึ่งมันต้องหมด จะกี่พันปี กี่หมื่นปี ฉันไม่รู้ ฉันต้องใช้ด้วยตัวเองให้หมด”

มันก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ก็คือการแย้งกับข่าวดีของพระเจ้าว่าพระเยซู พระเจ้าทรงประทานให้มาไถ่มนุษย์ ให้หลุดพ้นจากบาป ง่ายๆ ฟรีๆ เรียกว่าพระคุณแล้ว แต่ก็มีคนที่ไม่เชื่อ เพราะอยากจะดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ

ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์จะอธิบายอย่างชัดเจนว่าพระคุณพระเจ้า คือบทบัญญัติทั้งหลาย ได้ถูกกระทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว โดยพระเยซูคริสต์มาทำแทนแล้ว เป็นแพะผู้รับบาปให้เรียบร้อยแล้ว อธิบายอย่างชัดเจนว่ามนุษย์ทั้งปวง ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า แบบนิรันดร์แล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เราได้รับความรอดนิรันดร์แล้ว เมื่อพระเยซูทรงทำให้เราสะอาดหมดจดแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น วางใจ และหายเหนื่อย และเป็นสุขเถิด  คนไหนที่ต้อนรับ ก็หลุดพ้นจากการพึ่งตัวเอง คนไหนที่ไม่ต้อนรับ ก็ยังคงพยายามด้วยตัวเองต่อไป ซึ่งมันทำไม่ได้

ขนาดพระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนขนาดนี้  แต่เนื้อหนังมนุษย์อย่างที่บอกไว้ มันมีอิทธิพลของความบาปอยู่ มันก็ไม่วายที่จะย้อนกลับไป เหมือนเดิมอีก คือพยายามด้วยตัวเอง แล้วก็บอกตัวเอง แล้วก็สอนลูกหลานต่อไปว่า …

“เราได้รับความรอด โดยพระคุณแล้วก็จริงนะ มีพระเยซูมาแล้วก็จริงนะ แต่ก็ยังต้องรักษาการดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์ คือผสมแล้ว”

เชื่อพระเยซูไหม? เชื่อ แต่ต้องทำไหม? ต้องทำ ไม่ทำ ไม่บริสุทธิ์นะ มันก็เลยอะไรก็ไม่รู้ ครึ่งๆ กลางๆ

“เชื่อพระเยซู ได้รับความรอดหรือยัง?”

“ได้รับความรอดแล้ว”

“เป็นนิรันดร์หรือเปล่า?”

“เป็นนิรันดร์แล้ว”

“แล้วถ้าเธอไม่อธิษฐาน เธอไม่มาโบสถ์ เธอตกนรกนะ”

“อ้าว! ไปตกอย่างไร?”

งง ตีกันยุ่ง วุ่นวาย ต้องถวายสิบลด ถ้าไม่ถวายสิบลด ต้องตกนรก อ้าว! …

“เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราดำเนินชีวิตด้วยความบริสุทธิ์แล้ว โดยที่ไม่ต้องทำอะไรก็บริสุทธิ์แล้ว”

แต่อีกฝั่งหนึ่งบอก … “ไม่ได้ เธอเชื่อพระเจ้าแล้ว เธอจะต้องทำตรงนี้  ต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า”

มิฉะนั้นจะถูกพิพากษาลงโทษ ขู่อีกต่างหาก หลายคนก็เลยต้องทุกข์ทรมาน แทนที่จะหายเหนื่อย ตื่นตี 4 มาเฝ้าพระเจ้า อธิษฐาน เพราะเขาเทศน์มา บอกต้องอธิษฐาน พระเจ้าจะได้รักเรา จะได้อวยพรเรา  เราจะได้รักษาความเชื่อ อย่างนี้หรือเรียกว่าหายเหนื่อย พี่น้องเรา ญาติเราอาจจะไม่ได้เชื่อพระเจ้า เขาบอกชีวิตเรา ไหนบอกหายเหนื่อยและเป็นสุข เป็นสุขไม่ได้ถึงเดือนเลย มันเป็นจริงไหมเนี้ย นี่ยกตัวอย่างให้ท่านดู แล้วมาขู่เราว่าถ้าไม่ทำ จะถูกพิพากษาลงโทษ หรือถ้าไม่ทำตาม คำสอนของพระเยซู หนักกว่านั้น คือเมื่อตายไปแล้ว พระเยซูจะบอกว่า …

“เราไม่รู้จักเจ้า”

ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุขไม่พอ ยังพลอยหมดหวังอีก

ที่พระเยซูบอกว่า “ถึงวันนั้นแล้ว เราจะบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้า” หมายถึงใครก็ตามที่ปฏิเสธว่า …

“พระเยซู เป็นพระมาซีฮาห์ ใครก็ตามไม่เชื่อข่าวประเสริฐของพระเยซู ไม่เชื่อว่าพระเจ้าพระบิดาส่งพระบุตรมาเกิดบนโลกใบนี้ เพื่อไถ่บาปให้กับเธอ เพื่อเป็นแพะรับบาปให้กับเธอ ผู้นั้น เมื่อถึงวัน เราจำเป็นต้องบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้า ก็คือเธอไม่ได้รับความรอด เพราะเธอจะชดใช้บาปด้วยตัวเองไง”

มันหมายถึงตรงนี้ ก็เอาไปใช้ตรงนั้น ให้เหนื่อยเพิ่มขึ้น  สอนกันไป สอนกันมา จนบางคนเกิดเป็นกติกาของความเชื่อแบบคริสเตียน เหมือนฟาริสี คือรายการที่ห้ามทำ และยังมีรายการยาวเหยียดที่ต้องทำ เหนื่อยกว่าเดิม จนทุกวันนี้ ศิษยาภิบาลหรือผู้นำหลายคน ก็ยังคงเจอคำถามของสมาชิกอยู่ โบสถ์นี้ ก็ยังมีอยู่ แต่น้อยลงเรื่อยๆ น้อยมาก ที่มาถามว่าอย่างนี้ทำได้ไหม? … อันนั้นทำได้ไหม? … ไปวัดได้ไหม? … จุดธูปได้ไหม? … ไปเช็งเม้งได้ไหม?  … ไม่อธิษฐานก่อนกินข้าว ลืมไปได้ไหม? … ไม่ครบ 3 มื้อ อย่างนี้ต้องอธิษฐานไหม? … กินแค่ของว่างอธิษฐานหรือเปล่า?

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรัก และห่วงใยเราอย่างมากที่สุด ในโรม บทที่ 8 เพราะฉะนั้น ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถทำให้พระเจ้ารักเราได้มากกว่านี้อีกแล้ว และไม่มีสิ่งใดเอาเราออกไปจากมือพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว ท่านต้องปักข้อนี้เป็นข้อแรก เมื่อท่านมาเชื่อพระเจ้า ท่านต้องฝังข้อนี้ลงไปในวิญญาณท่านให้ได้ ฝังลงไปในความคิดจิตใจ ซึ่งมีอิทธิพลของความบาปอยู่ให้ได้ ให้ชนะมันว่า …

“ไม่ใช่ ฉันไม่มีวันไปที่อื่นอีกแล้ว อย่างไรก็ตาม ต่อให้ฉันเมื่อเช้านี้ว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ก็ตาม ฉันก็ไม่ลงนรก ไม่อย่างนั้น คนก็จะมาหลอกฉันอีกว่าบอกพี่น้องว่าไอ้โง่ลงนรกนะ ฉันอยู่ที่นี่แล้ว พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น ฝังมันลงไป”

ที่ความคิดจิตใจของเราว่ามันเป็นความจริงอย่างนั้น พระคัมภีร์บอกว่าสงครามมันเกิดขึ้น ที่ความคิดของเรา จงทำลายป้อมปราการแห่งความคิดนี้ ให้มันเชื่อฟังต่อถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า …

“ในพระคริสต์ ฉันเป็นผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด พ้นจากบาปเรียบร้อยไปแล้ว”

ส่วนเนื้อหนังร่างกายมันจะไปทำอะไรบางอย่าง ที่ตรงกันข้าม ส่งมาบอกว่ายังไม่บริสุทธิ์หรอก บริสุทธิ์ได้อย่างไร? ยังโกหกเขาอยู่เลย คนละเรื่องกัน นี่วิญญาณของฉันต่างหาก เอเมน

พระคัมภีร์บอกว่า …

“ฉันได้รับการชำระแล้ว ได้รับการไถ่ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ฉันเชื่อในพระเจ้า และจะเป็นอย่างนี้ ตลอดไปนิรันดร์ เอเมน”

เมื่อเราย้ายมาอาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้  ไม่ได้เป็นเรื่องของกฎ ข้อบังคับ ที่บอกว่าเราจะต้องทำอะไร? หรือห้ามทำอะไร? เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ รักษาความเป็นลูกของพระเจ้า  แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะของครอบครัว เป็นพ่อลูกกัน ที่ไม่มีอะไรจะมาตัดขาดความสัมพันธ์นี้ได้อีกแล้ว เรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นวิญญาณดวงเดียวกัน  เป็นเหมือนพระเจ้าเป๊ะ สะอาดบริสุทธิ์ หลายคนเอาไปแต่งเป็นเพลง เพราะได้สัมผัสตรงนี้

“When you cry I cry,  When you laugh I laugh,  When you  pray  I pray with you”

แปลว่า “พระเยซูบอกว่า “ขณะที่เจ้าโศกเศร้า ร้องไห้ เราร้องไห้กับเจ้า ขณะที่เจ้าหัวเราะ  เราหัวเราะกับเจ้า  ขณะที่เจ้าอธิษฐาน เราอธิษฐานกับเจ้า ขณะที่เจ้าเดินไปไหน เราอยู่กับเจ้า ขณะที่เจ้านอน เราอยู่กับเจ้า”

เราจำเป็นต้องยึดความจริง ตามที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูบอก …

“พระบิดากับลูกเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไร? ลูกอธิษฐานขอให้คนที่มาเชื่อลูกนั้น เขาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราทั้งสอง”

ไปไหนไม่ได้แล้ว ผมใช้คำว่า “ดองกัน” ที่ผมยกตัวอย่าง กระเทียมดอง ท่านไม่สามารถทำกระเทียมดอง ให้เป็นกระเทียมธรรมดาได้อีกแล้ว ท่านกับพระเจ้าดองกันอย่างนั้นแหละ ไม่มีกฎ ไม่มีระเบียบ มาบังคับอะไรอีกแล้ว อยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน  โดยธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

มีคำพูดเปรียบไว้อย่างนี้ว่ากฎหมาย หรือข้อบังคับต่างๆ เป็นความชัดเจน แบบขาวหรือดำ ที่กำหนดไว้ตายตัวว่าต้องทำอะไร? ห้ามทำอะไร? ปฏิบัติตาม ก็คือถูก ไม่ปฏิบัติตาม ก็คือผิด ถูกลงโทษ แต่การสอนของพระเจ้า ไม่ได้ชัดเจนแบบขาวหรือดำเสมอไป จริงอยู่พระคัมภีร์มีแนวทางสำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่ไม่ได้บันทึกเป็นแบบ list รายการว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้  นี่คือสิ่งที่จะต้องทำ และนี่คือสิ่งที่จะต้องไม่ทำ ไม่มี หมายถึงพระคัมภีร์ใหม่นะ เพราะถ้าเกิดเป็น list รายการแบบนั้น เราก็จะมีหน้าที่ทำตาม สุดท้าย เราก็พึ่งตัวเราเองนั่นแหละ ไม่ใช่พระคุณแล้ว ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น เราก็ไม่ต้องพึ่งพระเจ้า แค่ทำตามรายการด้านซ้ายที่บอกว่าต้องทำอะไร ก็ทำตาม ด้านขวาบอกห้ามทำอะไร? ก็ไม่ทำ มันก็ไม่ได้ใช้ความเชื่อ ไม่ต่างอะไรกับสมัยก่อนที่เราตั้งใจทำอย่างนี้

ถ้าพระเจ้าสอนเราด้วยวิธีนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องแสวงหาพระเจ้า เพราะมีกฎอยู่แล้ว ก็ทำตามสิ อันนี้บอกให้ทำ ก็ทำ อันนั้นบอกไม่ให้ทำ ก็ไม่ทำ ถามว่าเราจะไปพึ่งพระเจ้าตอนไหน? เห็นไหมความสัมพันธ์มันไม่ใช่พ่อลูกแล้วนะ มีกฎระเบียบมาขวางกั้น  เราจะอธิษฐานอะไรกับพระเจ้า ไม่ต้องติดต่อกับพระเจ้าแล้ว เพราะมีกฎบอกไว้แล้ว อะไรทำได้ อันนั้นทำไม่ได้  ในเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามกฎที่ถูกวางไว้ทั้งหมด แล้วเราก็ทำตามอย่างเดียว กฎข้อห้าม กฎข้อบังคับต่างๆ ไม่สามารถช่วยเราให้เจริญเติบโต มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราได้เลย เพราะวันๆ หนึ่ง คืนๆ หนึ่ง แทนที่จะไปหาพระเจ้า เราก็ไปดูที่กฎ อันนี้ทำได้ อันนี้ทำไม่ได้ แล้วเราก็เดินออกไป  เราก็ท่องอันนี้ทำได้ อันนี้ทำไม่ได้ เราไม่เคยคุยกับพ่อเรา

“พ่อสบายดีหรือเปล่า? วันนี้พ่อดีนะ โอเคนะ วันนี้อากาศดีมาก”

ไม่เคยพูดเลย เพราะวันๆ เราท่องแต่ว่าอันนี้ทำได้ อันนี้ทำไม่ได้ วันหนึ่งก็มีคนมาถาม

“เต๋ พ่อชื่ออะไร?”

“ลืมไปอ่ะ”

เพราะตื่นขึ้นมา ไม่ได้คุยกันเลย เพราะไปดูแต่กฎ ว่าพ่อเขียนไว้ว่าอย่างไร?  อย่างนั้นหรือ!  เราก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ พูดให้ท่านเห็นภาพเท่านั้น ท่านก็ต้องว่าไม่ใช่แน่นอน กฎของพระเจ้า มีเพียงข้อเดียว นั่นคือกฎแห่งความรอด ในวิญญาณในพระเยซูคริสต์ กฎแห่งความเชื่อในวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์  ในโรม 8:1-3 กฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ คือกฎที่เรียกว่าเชื่อพระเยซูว่าเป็นผู้ไถ่บาป คือรอด จบแล้ว แต่เราไปเขียนเยอะแยะ จนเราไม่มีโอกาสมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า  ถ้าเราใช้กฎของวิญญาณแห่งชีวิต ใช้ความเชื่อนี้ เราก็เอาเวลาเหลือทั้งหมด มาพูดคุยกับพ่อเรา สนิทสนมกับพ่อของเรา

แต่สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าไม่ได้สอนเราแบบขาวกับดำอย่างนี้นะ ว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ การทำตามกฎ อย่างที่บอก มันเป็นวิธีการของผู้ที่เรียกว่าเจ้านายชีวิตเรา เราเป็นทาสเขา พูดง่ายๆ คือมารใช้บังคับเรา ในอดีต แล้วเรามาอยู่ในความสว่าง เราไม่ควรกลับไปอยู่ในความเป็นอดีตอีกแล้ว เรามาเป็นอิสรภาพในพระเยซู เราไม่ควรกลับไปเป็นทาสอีกแล้ว ในการที่จะต้องทำอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เปาโลบอกไว้อย่างนั้น  เมื่อท่านเป็นอิสระแล้ว ท่านจะกลับไปเป็นทาสอีกทำไม?

เราพูดกันอยู่เสมอว่าให้อธิษฐานทูลขอการทรงนำจากพระเจ้า ในการที่จะเรียนรู้จักดำเนินชีวิต ให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ ก็คือเรียนรู้จักที่จะพึ่งพาพระเจ้า ไม่พึ่งพาความคิดและความรอบรู้ของตนเอง บางครั้งการดำเนินชีวิต มันจะถูกบ้าง? ผิดบ้าง? ก็ใช้ความเชื่อว่าไม่เป็นไร?  เราอยู่ในทางของพระเจ้าอยู่แล้ว เราอยู่ในแสงสว่างของพระเจ้า เราอยู่ในอาณาจักรนี้อยู่แล้ว นี่คือวิธีการที่จะดำเนินชีวิตที่พระเจ้าจะสอนเรามากกว่า แล้วเราก็เจริญเติบโตไปกับพระองค์ บางครั้งล้มลง เจ็บปวด พระเจ้าก็เข้ามาเล้าโลมจิตใจเรา ร้องไห้ไปกับเรา หัวเราะไปกับเรา ดีใจไปกับเรา เสียใจไปกับเรา นี่แหละคือวิธีการของพระเจ้ามากกว่า พระเจ้าอยู่ข้างเรา ไม่มีการลงโทษแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์

นี่คือสิ่งที่สมควรจะเกิดขึ้นกับคนที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อพระเจ้าจริงๆ วิญญาณเขาเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ แบบเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นทาส นี่คือวิธีที่พระเจ้าฝึกฝนเรา หรือเลี้ยงดูเราให้เจริญเติบโต จริงๆ คำว่าเลี้ยงดูในพระคัมภีร์ ไม่ได้เน้นถึงการเลี้ยงดูแบบชีวิตประจำวัน แต่พระเจ้าจะเลี้ยงดูวิญญาณให้เจริญ ง่ายๆ ธรรมดาๆ แบบเด็กๆ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องพยายามช่วยพระเจ้า เพราะท่านจะเหนื่อยล้า แล้วก็ไม่ได้ถวายเกียรติพระเจ้า เพราะว่ามันไม่ได้ออกเป็นผลที่พระเยซูบอกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุขนั่นเอง

พระประสงค์ของพระองค์ ที่ต้องการให้เราเป็นลูก ที่รักของพระองค์ และได้รับสิ่งที่ดีที่สุด จากพระองค์ ก็คือการฝึกฝน นำพาเราไปดีที่สุด  เพราะฉะนั้น ท่านต้องเชื่อว่าพระเจ้าเป็นพ่อของท่าน สถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา  และพระองค์ทรงรักท่านมากมาย พระองค์จะมีแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กับท่านเสมอ พาท่านไปทำสิ่งที่ดีๆ เสมอ แต่ท่านอาจจะพลาดไปบ้าง อะไรบ้าง พระองค์ก็อยู่ข้างท่าน ท่านต้องคิดอย่างนี้เสมอ มันถึงจะหายเหนื่อยและเป็นสุข

เราไม่ได้มาเรียนรู้เรื่องพระคุณของพระเจ้า  เพื่อจะหาช่องทางในการกระทำผิด ในการทำตามเนื้อหนัง หรือในการละเลยต่อการประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม หรือละเลยต่อการอยู่ในศีลธรรมที่ดีงาม อย่างที่เปาโลได้เตือนสติไว้ ที่เราได้รับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต เป็นผู้ช่วยให้รอดแล้ว จิตใจข้างในจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น  มีความต้องการที่จะทำตามคำสอนของพระเจ้า ทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ทำในลักษณะที่ไม่ถูกบังคับให้ทำ ทำเพราะต้องการจะทดแทนพระคุณพระเจ้า ทำเพราะรักแท้ มันเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา เพราะรักอยากจะทำ ทำเพราะธรรมชาติข้างในเปลี่ยนเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พออยากจะทำ ก็พยายามทำตามข้างในออกมา แต่ถ้าสู้ข้างนอกไม่ได้ สู้การทดลองไม่ได้ ก็เฉยๆ ก็ทำใหม่ โรม 6:5 บันทึกไว้อย่างนี่ …

โรม 6:5 “เช่นนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาป เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  แต่อยู่ใต้พระคุณหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย”

 

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราได้ชำระให้บริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีสิ่งใด หรือการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เมื่อเราได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว ไม่ว่าจะทำผิดแค่ไหน?  หรือทำบาปแค่ไหน?  เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าตลอดไป เมื่อมาเป็นลูกของพระเจ้า  จะทำอะไรก็ได้ จะทำผิดแค่ไหน? ทางวิญญาณก็ได้รับความรอดแน่นอน ได้ไปสวรรค์แน่นอน ได้ไปอยู่กับพระเจ้าแน่นอน เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทางวิญญาณไม่ได้รับผลแล้ว วิญญาณรอดแล้ว รอดนิรันดร์ ท่านต้องฝังตรงนี้ให้ได้ แต่ชีวิตบนโลกใบนี้ ในร่างกายเรายังต้องได้รับ สิ่งที่กระทำนั้นอยู่ ต่างกันไหม? ในหนังสือ 1 โครินธ์ 10:23-33 อาจารย์เปาโลได้บอกไว้อย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 10:23-33 “23 เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้  แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น 24  ทุกคนไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น 25 สิ่งใดที่วางขายตามตลาดเนื้อ ก็ให้รับประทานไปเถิด โดยไม่ต้องถามตนเองว่าผิดหรือไม่ 26 เพราะแผ่นดินโลกและทุกสิ่งในโลก  เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า 27 หากผู้ไม่เชื่อบางคนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหาร และท่านประสงค์จะไป จงรับประทานสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าท่านไปเถิด โดยไม่ต้องถามว่าผิดหรือไม่ 28 แต่ถ้ามีใครมาบอกว่าของนี้ได้นำไปเซ่นไหว้แล้ว ก็อย่ารับประทาน เพื่อเห็นแก่ทั้งคนที่บอกและจิตสำนึกผิดชอบ 29 ข้าพเจ้าหมายถึงจิตสำนึกของคนนั้น ไม่ใช่ของท่าน ทำไมเสรีภาพของข้าพเจ้าจึงถูกตัดสิน โดยจิตสำนึกของคนอื่นเล่า 30 ถ้าข้าพเจ้ารับประทาน โดยขอบพระคุณพระเจ้า ทำไมข้าพเจ้าจึงถูกตำหนิ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว 31 ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า 32 อย่าเป็นต้นเหตุให้ใครสะดุด ไม่ว่าจะเป็นคนยิว คนกรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้า 33 เหมือนที่ข้าพเจ้าเอง พยายามทำให้ทุกคนพอใจในทุกด้าน เพราะข้าพเจ้าไม่ได้แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว แต่แสวงหาประโยชน์ของคนทั้งหลาย เพื่อให้พวกเขารอด”

 

เราได้รับอนุญาตให้กินทุกอย่างได้ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่เรากินแล้วจะเป็นประโยชน์ ตกลงขาหมูกินได้ไหม? ปูกินได้ไหม?  หอยสกปรกกินได้ไหม? แล้วแต่ท่าน อาหารบางอย่างกินเยอะไป ก็ไม่ดี อาหารบางอย่างกินน้อยไป ก็ไม่ดี เกิดผลเสีย ผลอันตรายต่อสุขภาพร่างกายทั้งนั้น แต่มันขึ้นอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้นเอง ไม่เกี่ยวกับวิญญาณของเรา  เราได้รับอนุญาตให้เล่นโทรศัพท์มือถือได้ เราได้รับอนุญาตให้เล่นไลน์ได้ แต่ถ้าเราเล่นแบบทั้งวันทั้งคืน ไม่พักผ่อน ก็เป็นโทษ ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราได้ เป็นอันตรายต่อสายตา และถ้าเล่นแบบไม่ลืมหูลืมตา ยิ่งหนักใหญ่เลย อาจจะผิดกฎหมายอีก ไปใส่อะไรบางอย่างที่เดี๋ยวนี้เขามีกฎหมาย ใส่ไปผิดๆ ถูกๆ  หรือแม้แต่บางคนเล่นขนาดเดินข้ามถนน ยังใส่หูฟังเล่น รถชนตาย  ถามว่าคนนั้นที่รถชนตายนั้น  เป็นคริสเตียนได้ไหม? อาจจะเป็นคริสเตียน มันคนละเรื่องกัน ตายแล้วไปสวรรค์หรือเปล่า? ไป ไปถึงสวรรค์ แล้วพระเจ้าไล่กลับไหม?  ไม่ไล่

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ถ้ามีใครถามท่านว่าเป็นคริสเตียน ต้องทำอะไรบ้าง? หรือห้ามทำอะไรบ้าง? ก็ตอบตามพระคัมภีร์ว่า …

“ฉันได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่จะทำนั้น เป็นประโยชน์”

เราได้รับอนุญาตได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่จะทำนั้น  เสริมสร้างขึ้น ว่ากันไปแต่ละสถานการณ์ว่าอันนี้ทำให้ดีขึ้น หรือว่าแย่ลง คุยกับพระเจ้าเป็นเรื่องๆ ไป นี่คือความสัมพันธ์ กฎไม่สามารถทำอะไรละเอียดขนาดนี้ได้ กฎบอกว่าฝ่าไฟแดง คือฝ่าไฟแดง กฎจะไม่บอกว่าฝ่าไฟแดง เพราะว่ามีคนป่วยอยู่บนรถ ต้องรีบไปโรงพยาบาล กฎบอกฝ่าไฟแดง ก็ต้องโดนลงโทษ อย่างนี้เป็นต้น

สรุป คือสิ่งใดที่คิดว่าเป็นประโยชน์ สิ่งใดที่คิดว่าเป็นการเสริมสร้างขึ้น อธิษฐานกับพระเจ้า ก็ทำไปเถิด ถ้าไม่ได้อธิษฐาน เชื่อลึกๆ อยู่ในใจอย่างนี้ ก็ทำไปเถิด  ไม่มีคำว่าผิดอยู่แล้ว มั่นใจในการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า ในชีวิตของเรา พระเจ้าอยู่กับเราเสมอ ไปไหนไปด้วยกัน อย่างที่ผมบอก อยู่ในห้องน้ำ ก็อยู่ด้วยกัน ขณะที่เล่นไลน์ ก็เล่นไลน์ไปกับเราด้วย เล่นเกมส์ออนไลน์อยู่ ก็กำลังเล่นเกมส์กับเราด้วย  แต่ตอนท้ายๆ เตือนแล้ว ไปนอนๆ เราไม่ได้ยินเองตอนนั้น ตอนแรกๆ อยู่กับเรา ตอนท้ายก็อยู่กับเรา เตือนเราตั้งหลายที นอนสิๆ เราก็ยังเล่นต่อ ในที่สุด ตื่นมาป่วย ขอพระเจ้ารักษา ถ้าเป็นพ่อฝ่ายโลก ก็คงบอก ก็เตือนแล้ว เล่นได้ แต่ให้มันพอดีๆ ให้มันเสริมสร้าง

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเสริมสร้างขึ้นล่ะ ข้อ 31 บอกว่า …

“ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

นี่ไง เพราะรักพระเจ้า ท่านจะรู้เลยว่าจะไปเช็งเม้งนี้ได้ไหม? ไม่มีใครห้ามเลย เป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าไหม? ถ้าคิดว่าถวาย ก็ไป ถ้าคิดว่าไม่ถวาย ก็ไม่ต้องไป  มันจะลงเองแหละ อย่าลืมที่พระเยซูบอกว่า …

“ผู้ใดแบกภาระและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเข้ามาหาพระเยซูแล้ว เราจะต้องหายเหนื่อยและเป็นสุข เพื่อเป็นพยานทางฝ่ายพระองค์ หายเหนื่อยจากความพยายามที่จะกระทำความดีด้วยตัวเอง เพื่อชดใช้เวรกรรมของตัวเอง และเป็นสุข จากการที่ได้รับรู้ มั่นใจว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความรอด ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กับพระเจ้าแน่นอน ชีวิตเป็นอิสระ ตามพระคัมภีร์พูดเลย I am free, Free indeed พระองค์บอกใครก็ตามที่มารู้ความจริง ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาจะเป็นอิสระ แล้วเป็นอิสระจริงๆ ไม่ต้องไปถามใครอีกแล้วว่าอะไรทำได้ ไม่ได้

ยกตัวอย่างขึ้นเครื่องบิน พอขึ้นเครื่องปุ๊บ มองไปทุกคน ไม่มีใครสูบบุหรี่เลย ดีเท่ากันหมดเลย แต่พอลงจากเครื่องบิน มีกลุ่มหนึ่ง รีบเข้าไปในห้องอนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ สูบใหญ่ อีกพวกหนึ่งไม่สูบบุหรี่ เขาก็เดินเฉยๆ พอมองเห็นไหม?

อิสรภาพ คือไม่ว่าจะอยู่บนเครื่องบิน หรือลงมาจากเครื่องบิน อนุญาตให้ท่านสูบ ฉันก็ไม่สูบ ไม่ใช่ ฉันไม่สูบ เพราะกล้องเขาส่องอยู่ เขาเขียนกฎ ห้ามสูบ ฉันจึงบังคับตัวเอง ทำตามกฎ ไม่สูบๆ พอกฎหายไป ฉันก็สูบ อย่างนี้ เขาไม่บริสุทธิ์จริง อิสรภาพ คือไม่มีกฎบอกว่าสูบไม่ได้ ท่านก็ไม่สูบ แต่เขาบอกว่าสูบได้แล้ว ฉันก็ไม่สูบ

เวลาเราฝ่าไฟแดง เพราะเราไม่เห็นตำรวจ หรือเราไม่เห็นสัญญาณ ส่วนใหญ่เราไม่เห็นตำรวจมากกว่า

นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ ในทางพระเจ้า พอเรามาเป็นคริสเตียน เราไม่ฝ่าไฟแดง เพราะเราเห็นเป็นกฎ ไม่ว่าจะเห็นตำรวจหรือไม่?  ข้างใน อยากจะทำอย่างนี้แล้ว ไม่อยากจะฝืนกฎแล้ว เป็นคนที่เชื่อฟัง เปลี่ยนไปแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกฎมาบังคับเรา

ไม่ขับรถเร็ว เพราะกฎเขียนว่าห้ามขับเกินนี้ เขาจะจับเรา อีกฝั่งหนึ่ง ไม่ขับรถเร็ว เพราะกลัวตาย ถูกไหม? แล้วคนที่มาเชื่อพระเยซู เป็นคนลักษณะไหน? ไม่ใช่เพราะกฎ เพราะมันไม่เป็นประโยชน์

ท่านเคยเห็นหรือเปล่า ที่เขามีการแข่งรถ  เป็นสนามสำหรับคนที่ชอบขับรถเร็ว แบบบ้าคลั่งมาแข่งกันในถนนหลวง ที่ผิดกฎหมาย เอารถแรงๆ วิ่ง 200 กว่ากิโลเมตร วิ่งกันบนถนน แล้วตำรวจก็ไล่จับ เขาก็จะมีสนามหนึ่ง ที่ให้คนเหล่านี้ไปเล่นสนุก เขาเรียกว่าสนามทดลองใจ มีจริงๆ นะ ในอเมริกาก็มี เขาจะทำเลนไว้เลย ใหญ่ๆ แล้วก็ให้เราเช่า จะเป็นชั่วโมงหรืออะไรต่างๆ และจะมีรถแรงให้เราเช่า หรือเอารถเราไปเองก็ได้  มันจะอยู่ในทะเลทรายเลย แล้วในนั้น เขียนว่าพอคุณเอารถเข้าไปในนั้น ไม่มีกฎระเบียบอะไรทั้งสิ้น ไม่มีการจำกัดความเร็ว คุณจะขับเร็วเท่าไรก็ได้ ตามที่คุณอยากจะขับ ให้มันไปเลย เข้าใจไหมครับ ก็มีคนขับหลายคนไปลอง ที่เคยถูกกฎห้ามในกรุงเทพ กฎเขาห้ามเกิน 120 ขับไป 200  คราวนี้เขาบอกไม่มีกฎเลย เป็นอิสระเลย ไปถึงปุ๊บ เฆี่ยนเต็มที่ 200 ปุ๊บ ไม่ไปแล้ว ทั้งๆ ที่เครื่องมันยังไปได้อีก 400 ไม่ไปแล้ว ถามว่าไม่ไป เพราะอะไร? กฎเขาว่าอิสระแล้ว แต่กลัวตาย  รู้ว่าไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตเรา ก็ลดลง

คริสเตียนก็อย่างนั้นแหละ พระเจ้าก็จะให้สติปัญญาว่าทำไปมีประโยชน์อะไรล่ะลูก ไม่บังคับ แต่มีประโยชน์ไหม? ไม่มีประโยชน์ เราก็อย่าทำ

เพราะฉะนั้น จากนี้ไป เราก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับชีวิตในโลกใบนี้ พระเจ้าอยู่กับเรา และดูแลนำพาเราอย่างไร?  ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราจะพลาดพลั้งไปบ้าง? ผิดไปบ้าง? เผลอทำบาปไปบ้าง?  แต่เราก็มั่นใจตลอดเวลาว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราอยู่ที่ครอบครัว ที่เรียกว่าครอบครัวสวรรค์ อยู่เดี๋ยวนี้เลย เมื่อจากร่างกายนี้แล้ว เราก็อยู่ที่เดิม อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า แล้วครอบครัวนี้มีสำมะโนครัวด้วย เรียกว่าสำมะโนครัวครอบครัวของพระเจ้า มีพระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ 1 แล้วก็มีผู้อาศัยอยู่ในนี้เต็มไปหมดเลย แล้วผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่อถูกจดอยู่ในสำมะโนครัวนี้ แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าใครก็ตาม ที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ในสำมะโนครัวเล่มนี้ เขาจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ ในหนังสือวิวรณ์ 20:15 บันทึกไว้อย่างนั้นว่าถ้าผู้ใดไม่ได้มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นต้องถูกทิ้งอยู่ในบึงไฟ … บึงไฟ คือที่ไม่มีพระเจ้า ที่ที่ลำบาก อาณาจักรของความมืด ที่มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน และทุกข์ทรมานตลอดนิรันดร์

เพราะฉะนั้น ท่านเลือกเอา ถ้าท่านเลือกมาอยู่ทางนี้ ท่านก็หายเหนื่อยและเป็นสุขตลอดไปเลย เพราะท่านจะอยู่ตรงนี้ และอยู่ที่นี่ตลอดไป ชื่อท่านจดอยู่ที่นี่แล้ว  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 11 “ทำดี เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่ เพื่อความรอด” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  กุมภาพันธ์  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 11 “ทำดี เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า

ไม่ใช่ เพื่อความรอด”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 11 มีชื่อตอนว่า “ทำดี เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่ เพื่อความรอด” เป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว เรามาทบทวนกันหน่อยว่าครั้งที่แล้ว เราได้เรียนอะไรกันไป และเรื่องราวในวันนี้ จะต่อเนื่องกันอย่างไร? ครั้งที่แล้ว เราได้ทำความเข้าใจกับความหมายที่แท้จริงของถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือมัทธิว ที่พระเยซูบอกว่า …

“บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้วว่าคำๆ นี้ เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น และเราได้เรียนรู้กันมาตั้งนานแล้ว ผมได้บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่ม 99% เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณ ต้องเตือนตัวเองตลอดเวลา เพราะฉะนั้น  คำนี้ ก็เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องฝ่ายโลกวิญญาณเช่นเดียวกัน

“บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก (ในวิญญาณ)”

หมายถึงผู้ที่กำลังแบกภาระ จากความพยายามที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ที่ต้องชดใช้ รู้อยู่ลึกๆ ในใจ สำนึกของทุกคน รู้ดีว่าตัวเองเป็นคนบาป  และต้องการที่จะหนีจากความบาป ที่เราพูดกันติดบาปว่า …

“เมื่อไรมันจะใช้เวร ใช้กรรมหมดสักที เกิดมามีเวร มีกรรมจริง” ไม่ต้องมีใครสอน ก็พูดได้

และคำว่า “เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข” ก็หมายถึงได้พักสงบทางวิญญาณ จากการได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์  มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเวรกรรมที่ต้องชดใช้ พระเยซูคริสต์เป็นแพะรับบาป แทนให้กับฉัน มันก็เลยสบาย เอาแอกออกไป เอาหนี้ออกไป ในโลกวิญญาณ แต่ทางฝ่ายร่างกาย ใช้หนี้ธนาคาร ที่ไปเบิกเขามา ไปกู้เขามาซื้อบ้าน ผ่อนเดือนละ 20,000 แม้ว่ามาเชื่อพระเยซูแล้ว ยังต้องจ่าย ไม่จ่าย เขาก็มายึดบ้านไป จบ  เห็นชัดไหม?

วิญญาณของเรา จะได้รับอิสรภาพ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นแพะรับบาปของเรา เป็นผู้รับบาปเราไป วิญญาณเราไม่ต้องตกอยู่ภายใต้การชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป ไม่ต้องแบกภาระหนักเหน็ดเหนื่อย ในการชดใช้แต่ละวันๆ  ไม่ต้องบ่นอีกต่อไป และไม่ต้องพูดออกจากปากอีกต่อไปว่าเมื่อไรมันจะหมดเวร หมดกรรมสักที เพราะว่าฉันเชื่อพระเยซู หมดเวรไปแล้ว เพราะพระเยซูได้เอาความบาปออกไปจากชีวิตฉันเรียบร้อยแล้ว เอเมน มันก็หายเหนื่อย

คำว่า “พระเยซูทำให้หมดแล้ว” ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูยกเลิกศีลธรรมคุณงามความดีต่างๆ ที่ผู้คนสอนกันมาตลอดเวลา ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ตั้งแต่สมัยโบราณ พระเยซูก็จะทรงสอนเอง สอนทั้งฟาริสี สอนทั้งคนทั่วไปว่าที่กำหนดเอาไว้มนุษย์ต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์ สะอาด ต้องรักษาศีล ทำสิ่งที่ดีงาม ห้ามทำบาป ห้ามทำสิ่งที่ผิดต่างๆ เหล่านั้น สอนกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ พระเยซูบอก …

“ฉันไม่ได้มาลบพวกนี้ทิ้งหมด พวกนี้ยังอยู่นะ”

ศาสนาก็เหมือนกับรัฐบาล เหมือนกับกฎหมายทางศีลธรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหนก็ตาม มีบทบัญญัติ มีระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่บอกว่าสิ่งใดต้องทำ สิ่งใดห้ามทำ ซึ่งของคริสเตียน ก็เช่นเดียวกัน มีบทบัญญัติที่ถูกวางไว้ตั้งแต่สมัยโมเสสแล้ว บทบัญญัติเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่เข้าใจดีว่าถ้าใครปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตามสิ่งเหล่านี้ ก็จะได้สิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพร ใครไม่ประพฤติตาม ก็จะถูกลงโทษ พระเยซูบอกว่าพระองค์ไม่ได้มายกเลิกบทบัญญัติเหล่านี้นะ แต่พระองค์มาเสริม และเน้นให้ชัดเจนขึ้นอีกว่ากฎ ทั้งศีลและธรรมเหล่านี้  ข้อห้ามและข้อให้ทำเหล่านี้ พระเจ้าเป็นผู้มอบให้กับมนุษย์เอง เป็นสิ่งที่ดีงาม พระองค์เสริมว่าอย่างไร?

ใครที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้นั้น สวรรค์ ก็คือบ้านของพระเจ้า บ้านที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ และมนุษย์ทุกคนลึกๆ ในใจ อยากจะไปอยู่ที่นี่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรียกภาษาอะไรก็ตาม อยากอยู่ในสวรรค์ทั้งนั้น พระเยซูก็อธิบายให้ชัดเจนขึ้นว่าใครที่อยากจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ขาต้องรักษาศีล รักษาความดีให้ครบถ้วนบริบูรณ์ที่สุด ถึงขั้นที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ถึงจะไปอยู่ในสวรรค์ได้

ยกตัวอย่างนิดหนึ่ง เช่น บทบัญญัติที่บอกว่าห้ามฆ่าคน เราก็รู้แล้วว่าดี ทุกศาสนาก็บอกว่าห้ามฆ่าคน แต่การจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ตามที่พระเยซูบอก คือแค่โกรธ ก็ไม่ได้

ไปด่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ก็ไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นบาปแล้ว อันนั้นตกนรกแล้ว

บทบัญญัติเดิมบอกว่าห้ามล่วงประเวณี แต่การจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไปอยู่ในสวรรค์ได้ ต้องทำได้มากกว่านั้น แค่มอง แล้วเกิดความรู้สึก คือเกิดความต้องการ ก็ผิดแล้ว ก็เท่ากับล่วงประเวณี บาปไปแล้ว

บทบัญญัติเดิมบอกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน สู้กัน แต่การจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ต้องอดทน ให้อภัยทุกอย่าง คนตบแก้มซ้าย ให้ยื่นแก้มขวาให้เขาตบด้วย ใครขอเสื้อท่าน ท่านต้องเอาเสื้อคลุมให้เขาด้วย ทำได้ไหม?

ไม่มีใครสามารถรักษากฎบัญญัติเหล่านี้ได้หรอก กฎธรรมดาก็ไม่ได้แล้ว นี่พระเยซูมาเสริมอีก ฟาริสี หรือนักศาสนา พยายามที่จะปฏิบัติตามศีลธรรมของตนที่วางไว้ ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ อย่างมากที่สุด ก็ได้เยอะนะ หรือเรียกว่าเป็นปุโรหิต ก็มี ถือว่าเป็นบรรดาพระชั้นผู้ใหญ่ ในยิวผู้เคร่งศาสนาก็มี คิดว่าตัวเองทำได้ยอดเยี่ยมแล้วนะ เป็นมหาอาจารย์ แต่พอมาเจอพระเยซูพูด หงอยเลย

“ที่ฉันคิดว่าฉันทำได้หมด มันเป็นศูนย์ไปเลย ฉันคิดว่าฉันไม่ฆ่าคน ฉันก็ดีแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ก็ดีแล้ว แต่ที่ไหนได้ วันก่อนฉันด่าลูกศิษย์ไป โมโหลูกศิษย์”

แค่นี้ ก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว อะไรอย่างนี้ ทำให้มนุษย์หมดสิทธิ์ที่คิดว่าทำเองได้  ตามบทบัญญัติของพระเจ้า พูดง่ายๆ คือทำไม่ได้นั่นเอง มันเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าจึงวางกฎไว้ว่ารู้แล้วว่ามนุษย์ทำไม่ได้ จึงต้องหาตัวช่วย ไม่อย่างนั้น มนุษย์ตายแน่ ตกนรกอย่างเดียวแน่นอน ไม่มีทางช่วยตัวเองได้ เมื่อกฎเกณฑ์ยังอยู่ บทบัญญัติยังอยู่ แต่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง  พระเจ้าจึงส่งพระเยซูมาเป็นแพะรับบาป มาทำแทน

คำว่า “สำเร็จแล้ว” ที่พระเยซูพูดที่ไม้กางเขน คือจ่ายหนี้หมดแล้ว แปลเป็นภาษากรีกวันนั้น  บ่าย 3 โมง ที่เนินเขาโกละโกธา ที่ถูกตรึงกางเขนอยู่ ตอนสิ้นพระชนม์ ที่บอกสำเร็จแล้ว Testelesti จ่ายหนี้ให้มนุษยชาติทั้งหมดแล้ว มารับสิทธิ์ของเธอไปเลย นี่คือข่าวดี

ความหมาย ก็คือบทบัญญัติทั้งหลาย ศีลธรรมทั้งหลาย  ความดีงามทั้งหลาย ที่มนุษย์จำเป็นต้องประพฤติปฏิบัติตามนั้น ได้ถูกกระทำแทนแล้ว โดยฉัน คือพระเยซูคริสต์ สำเร็จครบถ้วนบริสุทธิ์ บริบูรณ์จริงๆ ที่ไม้กางเขนนั้น  ผลตามมา ก็คือมนุษย์ได้ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว มารับสิทธิของเธอไปเลย แค่นั้นเอง และเมื่อมนุษย์ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว สามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ทันทีเลย

นี่คือเป้าหมายสูงสุดแล้ว ไม่มีอันอื่นแล้ว ที่ดีกว่านี้ พระเจ้าก็ต้องการตรงนี้ มนุษย์ก็ต้องการแค่นี้เอง ไม่มีอะไรที่อยากได้มากกว่านี้อีกแล้ว มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องทำตามกฎบัญญัติอีกต่อไป  เพราะว่ามันได้ไปแล้ว

เพราะฉะนั้น บทบัญญัติเหล่านี้ยังอยู่ เฉพาะผู้ที่ไม่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู แต่สำหรับคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นแพะผู้รับบาปแล้ว สำหรับเขา บทบัญญัตินี้เท่ากับเป็นศูนย์ไปแล้ว นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเยซู

ตอนมาเชื่อวันแรก เราบอกว่าพระเยซูเป็นผู้ไถ่บาป ความรอดมาถึงเราฟรีๆ เราไม่ต้องทำอะไรเลย พอเชื่อไปสักพักใหญ่ๆ ท่านเริ่มมี list ในใจ ในหัว ในความคิดท่านแล้วว่า …

“ฉันมาเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันควรจะทำอะไร? ไม่ควรทำอะไร? ฉันต้องทำอะไร? ไม่ต้องทำอะไร?”

แล้วก็ได้รับการสอนว่าถ้าทำได้แบบนี้ ก็จะได้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามาก จะได้รับพระพร ไหนบอกอิสรภาพ กฎใหม่มาแล้วเนี้ย  เข้ามานั่งปุ๊บ ทำอย่างนี้ จะได้พระพร ก็แปลว่าถ้าไม่ทำ พระเจ้าไม่พอพระทัย (ถูกลงโทษ) หรือหนักเข้าไปอีก บางรายถ้าฝ่าฝืน จะกลายเป็นคนบาปเหมือนเดิม ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตกลง ฉันรอดหรือไม่รอด หนักกว่านั้นอีก บางคนบอกว่า …

“ท่านผู้เชื่อใหม่ทั้งหลาย ถ้าท่านไม่ทำตามนี้นะ วันสุดท้าย วันที่พระเยซูกลับมาใหม่ หรือท่านไป เจอพระเยซู แล้วพระเยซูจะบอกท่านว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า’”

ถ้าหลักของความเชื่อแบบนี้ เป็นความจริง มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มีข้อห้าม อย่าทำอันนี้ ต้องทำอันนั้น ผมคิดว่าในสวรรค์ของพระเจ้า คงต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับคิดเลข อันใหญ่เลย  แล้วก็มีโปรแกรมของพวกเรา แต่ละคนไว้ในนั้น ทุกคน แทนที่จะจดชื่อไว้ในสมุดแห่งความรอดบนสวรรค์ จดไว้ในคอมพิวเตอร์ เพื่อวัดดูว่าทำอะไรไปบ้าง? วันนี้ทำความดีได้พอสมควร +5 คะแนน พรุ่งนี้พูดโกหก โดนหัก 8 คะแนน มะรืนนี้บริจาคให้คนจน ได้ +10 คะแนน มะเรืองนี้ บริจาคให้คนจนเหมือนกัน แต่ -10 ทำไมล่ะ เพราะเที่ยวก่อนบริจาคด้วยใจจริง ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน แต่วันนี้ บริจาค เพราะอยากได้ชื่อเสียง เลย -10 จนถึงวันสุดท้าย ที่อยู่บนโลกนี้ เป็นวันปิดการโหวต ปิดการนับคะแนน บวก ลบ คูณ หาร เบ็ดเสร็จแล้ว ใครที่ได้คะแนนรวมแล้ว เกิน 100 คะแนน ได้ไปอยู่ในสวรรค์กับเรา ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ พระเยซูคงไม่บอกว่า …

“จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ถ้าเป็นอย่างนี้ ขอเหนื่อยแค่นั้นพอแล้ว มาหาพระเยซูยิ่งเหนื่อยกว่าเดิม จะอะไรมากขนาดนั้น พระเยซูบอกข่าวประเสริฐของพระเยซูง่ายนิดเดียว ทำให้หมดแล้ว แล้วเราไปทำให้มันเหนื่อยมาก

แบบนี้ไม่ใช่หลักการของความเชื่อ ไม่ใช่ลักษณะของพระคุณพระเจ้า  เชื่อและพระคุณ คือเราไม่ต้องทำอะไร? มีบางท่านทำให้เราเสร็จ เชื่อ หมายถึงเชื่อว่าเขาทำให้เรา พระคุณ หมายถึงทำโดยที่เราไม่ทำอะไรเลย เราไม่สมควรได้รับ เขาเรียกว่าพระคุณ ไม่ใช่บุญคุณ พระคุณพระเจ้า ก็คือเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เราได้รับความรอดนี้ เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อพระเยซูทรงทำให้เราสะอาดหมดจด เรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อเราได้รับสิทธิของเรา ในความเชื่อนี้แล้ว เราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้านิรันดร์ ไม่สามารถทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เอเมน ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เลย สะอาดก็สะอาด สกปรกก็สกปรก ไม่มีการมาแยกกลับไปกลับมา วันนี้สกปรก พรุ่งนี้สะอาด คอมพิวเตอร์พังหมดเลย  คิดไม่ทัน เพราะสมองเรามีแต่เดี๋ยวสกปรก เดี๋ยวสะอาด เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวเกลียด เดี๋ยวรัก เดี๋ยวชัง คอมพิวเตอร์อาจจะพังไปเลย สำหรับคนๆ เดียว อยู่ไป 80 ปี ถูกไหม? ถ้าท่านเชื่อ ท่านก็ได้รับความรอดนิรันดร์

เมื่อบทบัญญัติทั้งหลาย ได้ถูกกระทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ เรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้บทบัญญัตินั้น บกพร่องหรือตกหล่นไปได้อีกแล้ว เพราะว่าสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ มันเรียบร้อย มันสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ต้องเติมเข้าไปอีก มันครบแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรักและห่วงใยเราอย่างมากที่สุด เพราะฉะนั้น ไม่มีสิ่งใดที่เราจะสามารถทำให้พระเจ้ารักเราได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะว่าเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว จบแล้ว เมื่อเราเป็นลูก พระองค์ก็รักเราในฐานะที่เป็นลูก เราจะดี จะเลว ไปปฏิบัติตัวอย่างไร? พระองค์ก็รักเราเป็นลูก พอเห็นไหม? เราจะทำดีแค่ไหน เราก็เป็นลูก ไม่มีมากขึ้น อีกคนหนึ่งในสายตาของมนุษย์ อาจจะทำแย่กว่าเรา พระองค์ก็รักเขาเป็นลูก ยังไงๆ ก็เป็นลูก

เพราะเหตุมันเกิดจากความเชื่อของคนๆ นั้น ในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน  ทำให้คนนั้นวิญญาณเกิดใหม่ มาเป็นลูก ไม่ใช่ เป็นลูก เพราะว่าเขาทำดี  มาเป็นลูก ไม่ได้ทำอะไรเลย โจรบนไม้กางเขน จึงสามารถเป็นลูกของพระเจ้าได้ ขณะเดียวกันกับมหาปุโรหิตของยิว ที่ติดสนิทกับพระเจ้ามาตลอด แต่เย่อหยิ่งจองหอง คิดว่าตัวเองดีพร้อม ไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า เพราะว่ารักษาบัญญัติไม่ครบถ้วนบริบูรณ์

ยกตัวอย่างง่ายๆ โต๋เต๋  ผมรักเขา เพราะเขาเป็นลูก เขาจะทำอย่างไร? เขาก็เป็นลูก ผมอยากให้เขาทำสิ่งที่ดี อยากให้เขาเชื่อฟัง แต่ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง เขาก็เป็นลูก เขาทำดี เขาก็เป็นลูก เขาทำไม่ดี เขาก็เป็นลูก ไม่ใช่เพราะเขาทำดีหรือไม่ดี แต่เขาเป็นลูก เพราะว่าเขาเกิดในตระกูล เกิดจากผม

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพราะการกระทำดีใดๆ ที่ทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้า แต่เป็นความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ทั้งหมดนี้ แปลว่าเราไม่จำเป็นต้องทำตามบทบัญญัติอีกต่อไปแล้วใช่ไหม? ไม่จำเป็นต้องรักษาศีลธรรมอันดีอีกแล้วเหรอ ไม่จำเป็นต้องทำความดีอีกแล้วใช่ไหม? เพราะความรอดจากบาป ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่เราได้รับมาแล้วนั้น เป็นความรอดแบบนิรันดร์ เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เป็นลูกแล้ว โต๋เต๋ก็เป็นลูกแล้ว เราก็เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว แล้วจะไปทำดีทำไม? เราอาจจะคิดอย่างนั้น

เป็นความรอดที่มาจากพระคุณพระเจ้า  ได้มาฟรีๆ เราไม่ได้ทำเอง เพราะฉะนั้น  เราจะประพฤติตัวอย่างไรดี? เราจะประพฤติตัวเหลวแหลกก็ได้ใช่ไหม? ถ้าท่านคิดภาพเช่นนั้น  ท่านลองคิดว่าโต๋เต๋อยากไปทำอะไรก็ได้ โต๋เต๋เป็นลูก อย่างไรพ่อก็ไม่มีทางกำจัดเราไปจากลูก เราก็ยังเป็นลูกอยู่ดี เดี๋ยวมรดกก็ต้องได้อยู่ดี เพราะฉะนั้น ทำตัวอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องสนใจ ท่านต้องคิดภาพอย่างนี้ ท่านจะได้มองเห็น พอนึกถึงลูกมนุษย์ ท่านจะนึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ นั่นแหละ ในทางวิญญาณ เราเป็นลูกพระเจ้า ก็เช่นกันว่าสิ่งที่เราคิด เป็นไปได้ไหมว่าเราเป็นลูกพระเจ้า แล้วเราจะทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจแล้ว เพราะตอนนี้สบาย มันเป็นอย่างนั้นหรือ?

เพราะเมื่อรอดแล้ว โดยพระคุณพระเจ้าแล้ว ผ่านทางพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ลบล้างบาปให้กับเราหมดแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตทั้งหมด เพราะฉะนั้น จากนี้ไป การกระทำใดๆ ความประพฤติใดๆ ก็ไม่มีผลต่อความรอดของเราอีกต่อไปแล้ว นี่คือหลักการจริงๆ ในพระคัมภีร์ ถามว่าคิดแบบนี้ ถูกหรือผิด? เรามาดูว่าในพระคัมภีร์เขียนว่าอย่างไร? โรม 6:5

โรม 6:5 “เช่นนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาป เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  แต่อยู่ใต้พระคุณหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย”

 

เปาโลตอบว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย” อาจารย์เปาโลกำลังเตือนสติคริสเตียน ที่เชื่อแล้ว ที่คิดแบบเมื่อตะกี้นี้ พระเยซูให้เรารอดพ้นจากความบาป โดยที่เราไม่ต้องกระทำด้วยตัวเอง แล้วเราจะละเลย ต่อการประพฤติปฏิบัติอันดีงาม ละเลยต่อศีลธรรมอันดีหรือ! ไม่ใช่อย่างนั้น เรามาสอนเพื่อที่จะเน้นให้ทำมากขึ้นด้วย เหมือนที่พระเยซูเน้น ในลักษณะของความจริง ก็คือสำนึกในจิตใจของเรา ในวิญญาณของเรา เราอยากจะทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าสอนหมด แต่เราก็รู้ตัวเองดีว่าเราไม่สามารถทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้ได้ ยิ่งรู้ถึงพระคุณมากเท่าไร? ก็จะสัมผัสถึงความรักของพระเจ้ามากเท่านั้น ข้างในใจก็อยากจะทำให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำ

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิตเราแล้ว เมื่อเราได้รับความรอดแล้ว วิญญาณข้างใน ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ได้ถูกสร้างใหม่ เกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า มีความต้องการที่จะทำตามคำสอน คำบอกเล่าของพระเจ้าแน่นอน แต่ทำในลักษณะที่เป็นลูก ไม่ได้เป็นทาส ทำตามด้วยความรัก ด้วยการอยากจะทดแทนพระคุณของพระเจ้ามากกว่าอย่างอื่น สำคัญกว่านั้น อยากทำ เพราะวิญญาณมันบังเกิดใหม่แล้ว เหมือนพระเจ้า วิญญาณสะอาด ทำบาปไม่เป็นเลย  ตัวข้างใน อยากจะทำในสิ่งที่ธรรมชาติของเขาเป็น ก็คือเป็นลูกพระเจ้า อยากทำสิ่งที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์นั่นเอง มันเป็นธรรมชาติ อยากทำ แต่ทำไม่ได้ เพราะมันยังอยู่ในเนื้อหนัง ที่มีเชื้อบาปอยู่ ก็คือความคิดเก่าๆ วิญญาณที่อดีต ก่อนจะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะรับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ วิญญาณที่อดีต เป็นศัตรูกับพระเจ้า  เรียกว่าความบาป ไม่อยากทำตามพระเจ้าเลย  โกรธเกลียดพระเจ้า พระเจ้าพูดขาว ฉันบอกดำ พระเจ้าบอกดำ ฉันบอกขาว พระเจ้าบอกสูง ฉันก็บอกเตี้ย พูดออกมาเถอะ ฉันจะต้องต้านหมดแหละ เพราะธรรมชาติวิญญาณฉันต่อต้านตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะมีเหตุผล หรือไม่มีเหตุผล ก็เหมือนกับทุกวันนี้ เราไปประกาศ บางคนยังไม่ทันฟังอะไรเลย ไม่เอาๆ ไม่ดีๆ มันเหนือเหตุผล เข้าใจใช่ไหมครับ?

วิญญาณข้างในมันต่อต้านกับพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าจะพูดอะไร ฉันต่อต้านหมดแหละ พระเจ้าบอกสว่าง ฉันบอกมืด พระเจ้าบอกอย่านอนดึก ฉันนอนดึก อะไรอย่างนี้ พระเจ้าบอกไม่ดีๆ ฉันจะกิน ในพระคัมภีร์มีอย่างนี้จริงๆ ถ้าฟังจากภาษาเดิม มันแปลว่าอย่างนั้นจริงๆ มีอะไรหรือเปล่า? คือเย่อหยิ่งมากกับพระเจ้า เพราะไม่ได้ตั้งใจจะเย่อหยิ่ง มันเย่อหยิ่งจากธรรมชาติที่อยู่ในวิญญาณ พอมาเชื่อพระเยซู แล้วเกิดใหม่ วิญญาณเป็นเหมือนพระเจ้า มันก็ตรงกันข้ามกัน อะไรๆ ก็ทำตามพระเจ้าหมดทุกอย่างเลย พระเจ้าบอกขาว ฉันก็บอกขาว พระเจ้าบอกดำ ฉันบอกดำ หมดเลย  พระเจ้ายังไม่ได้บอก ฉันเอเมน ไปอ่านดู พระคัมภีร์บอก จากนี้ต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่าง เอเมน เพราะว่าข้างในบริสุทธิ์ อินโนเซ้นท์ สำหรับบาปเลย  แต่เนื่องจากมันยังอยู่บนโลกใบนี้ มันยังอยู่ในร่างกาย  ร่างกายนี้ลงหลุมฝังศพ เมื่อไร มันหมดฤทธิ์ วิญญาณมันเชื่อฟังพระเจ้าอยู่แล้ว

พระคัมภีร์ในโรมจึงบอกว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้  วิญญาณฉันรับใช้พระเจ้า เอเมนกับพระเจ้าตลอด แต่เนื้อหนัง ของเก่ามันยังอยู่ในนี้ตลอด มันก็รับใช้ความคิดเก่าๆ เชื้อของความบาปอยู่ สู้กับมันตลอดเวลา นี่คือความเป็นจริง

โคโลสี 2:6-7 บันทึกไว้อย่างนี่ “6 ดังนั้น ในเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป 7 ด้วยการหยั่งราก และรับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ มั่นคงขึ้นในความเชื่อ ตามที่ได้รับการสอนมา และเต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ”

 

โดยความเชื่อ เราทราบว่าเราสะอาดหมดจดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ได้ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลย แต่เราต้องการดำเนินชีวิต ให้สมกับที่เราบริสุทธิ์แล้ว เรียบร้อยแล้ว จากการไถ่บาปของพระเยซู

ตะกี้นี้เราอ่านพร้อมกัน บอกว่า “ดังนั้น ในเมื่อท่านได้ต้อนรับพระเยซูแล้ว เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิต ในพระองค์ต่อไป”

ให้รู้ว่าตัวเองบริสุทธิ์ สะอาด และอยู่ตรงนี้แล้ว ตอนนี้เลย ไม่ต้องรอตายไปแล้ว จึงไป ทันทีทันใด เมื่อท่านเชื่อพระเยซู วิญญาณท่านก็เป็นอย่างนี้

สมัยก่อนนี้ กลับตรงกันข้ามกัน ผมอยากทำอะไรก็ตาม ที่วิญญาณอันมืดบอดของผม วิญญาณที่ต่อต้านกับความดีงามของพระเจ้า ข้างนอกอยากทำ ข้างในมันก็บอกไม่เอา ผมก็ต้องสู้กับมันตลอด เขาเรียกว่าชดใช้หนี้เวรกรรม ก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น ข้างในบังคับมันเท่าไร? เดี๋ยวโผล่มาอีกแล้ว เมื่อไรจะใช้หนี้หมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อมาเชื่อพระเยซู หมดหนี้ หมดเวร หมดกรรมแล้ว วิญญาณข้างใน มันบริสุทธิ์สะอาด มันไม่ได้ถูกบังคับให้ทำ แต่มันอยากทำโดยธรรมชาติ ทำผิดไป ก็ยังรู้ตัวว่าฉันบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า เดี๋ยวเริ่มต้นใหม่ๆ อยากทำ เพราะว่ามันสมควรที่จะกระทำ เพราะฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว โต๋เต๋สมควรทำ เพราะโต๋เต๋เขาเป็นลูกของคุณนครนะ เขาสมควรจะทำอย่างนี้ ไม่ใช่เขาต้องทำ ถ้าไม่ทำ เดี๋ยวถูกเฉดหัวออกไป ไม่ได้เป็นลูกของผม ไม่ใช่

นี่แหละ คือแรงจูงใจของการที่จะทำในสิ่งที่ดีงาม ในขณะที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันควรจะสอนในลักษณะแบบนี้มากกว่าที่จะบอกว่าอะไรต้อง อันนี้ไม่ต้อง ยุ่งไปหมดเลย ให้มันขึ้นตรงกับพระเจ้า ทำเพราะรักพระเจ้า

ในพระคัมภีร์ใหม่ทั้ง 1 เปโตร ทั้งโรม ทั้งยอห์น อัครสาวกทั้งหลาย ได้สอนอย่างนี้ว่า …

“จงบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์”

แล้วก็เติมต่อว่าพระเยซูบอกว่าจงบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์ แต่เมื่อพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเรา แล้วเปโตร เปาโลจึงบอกว่า …

“จงบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าได้ทำให้ท่านบริสุทธิ์แล้วตอนนี้ พระเยซูทำให้ท่านบริสุทธิ์แล้ว จากนี้ต่อไป สมควรที่จะมีชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของพระเจ้า”

โคโลสี 2:8-10 สังเกตดูว่าพอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้ ในอดีต 2,000 ปีมาแล้ว  ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้

โคโลสี 2:8-10 “8 จงระวังให้ดี อย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาส ด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ซึ่งอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติ ที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมา และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ แทนที่จะอาศัยพระคริสต์ 9 เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ ในพระกายของพระองค์ 10 และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะเหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น”

 

เปาโลเตือนผู้เชื่อทั้งหลายว่าหลักการ หรือแก่นสารที่แท้จริงของผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู คือเชื่อในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น ไม่พึ่งพา การกระทำของตัวเอง เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาบอก หรือมาสอนว่าจะทำอะไร? หรือควรจะทำอะไร? ห้ามทำอะไร? ต้องทำอะไร? เพื่อรักษาความรอด อะไรทำแล้ว ทำให้เราหลุดจากความรอด หมายถึงความรอดหายไป ฟันธงไปเลยว่ามันหลอกลวง

สมัยก่อนช่วงตรุษจีนจะมีคนถามว่า “อันนั้นทำได้ไหม?”

ถ้าเรียนรู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ท่านจะไม่ต้องมาถาม ท่านจะรู้ข้างในของท่านว่าจะทำหรือไม่ทำ ไหว้ได้ไหม? จุดธูปได้ไหม? ไปวัดได้ไหม?  คำถามเยอะแยะไปหมด แล้วมาดูสิว่าอาจารย์เปาโลตอบว่าอย่างไร?

โคโลสี 2:16 “เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครมาตัดสินท่าน จากสิ่งที่ท่านกิน หรือดื่ม หรือเกี่ยวกับเทศกาลทางศาสนา ไม่ว่าวันฉลองขึ้นหนึ่งค่ำ หรือวันสะบาโต”

 

นี่ 2,000 ปีมาแล้วนะ ถ้าอาจารย์เปาโลตอบช่วงนี้ คำตอบก็อาจจะเป็นอย่างนี้ว่า …

“อย่าให้ใครมาตัดสินท่าน จากสิ่งที่ท่านกินหรือดื่ม หรือเกี่ยวกับเทศกาลตรุษจีน หรือไหว้พระจันทร์ หรือเช้งเม็ง หรือไม่ว่าจะเป็นฉลองปีใหม่ วันวาเลนไทน์ สงกรานต์ ลอยกระทง”

ถามว่าในพระคัมภีร์มีสอนถึงเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ แนวทางการดำเนินชีวิตว่าสิ่งใด ควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ  มี  แต่กฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้มีผลอะไรต่อการเป็นคริสเตียนหรือความรอดของท่าน เพราะว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้ท่านเป็นอิสรภาพจากกฎของความบาป และความตาย

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ ของแต่ละคน มันไม่เหมือนกัน อยากทำ ก็เชิญทำ ไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย

โคโลสี 2:20-23 “20 ในเมื่อท่านตายกับพระคริสต์ พ้นจากหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ ทำไมยังยอมอยู่ใต้กฎต่างๆ ราวกับว่าท่านยังเป็นของโลก 21 เช่นกฎที่ว่า “ห้ามหยิบ ห้ามชิม ห้ามแตะต้อง” 22 สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ถูกกำหนดให้เสื่อมสูญไป เมื่อใช้มัน เพราะตั้งอยู่บนคำสั่งและคำสอนของมนุษย์ 23 ที่จริงกฎเกณฑ์พวกนี้ ดูเหมือนมีปัญญา พวกเขานมัสการตามแนวที่กำหนดขึ้นเอง เสแสร้งถ่อมตัวและทรมานร่างกายของตน แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ต่อการควบคุมกิเลสตัณหาเลย”

 

ตอนจบอาจารย์เปาโลบอกว่าโอเค สรุปสั้นๆ อะไรก็ตามที่ท่านทำ โดยปราศจากความเชื่อ (หมายถึงเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์) ท่านก็เป็นบาปอยู่ดี ต่อให้ทำดี ก็บาป แต่ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว มันไม่ได้บาปอะไรทั้งสิ้น เพราะท่านทำด้วยความเชื่อ

คือเมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เหตุผลเดียวที่เราต้องการที่จะพยายามทำชีวิตให้เป็นไปตามคำสอนของพระเจ้า พ่อของเรา พยายามรักษาศีลธรรมอันดีงาม พยายามทำสิ่งที่ดีๆ เหตุผลนั้น ก็คือเราต้องการจะรักษาชีวิตของเรา ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ข้างในเราเป็นลูกของพระเจ้า ศักดิ์ศรีเราเป็นลูกพระเจ้า เราต้องทำให้มันเด็ดขาด เราต้องพยายามทำสงครามกับเนื้อหนังของเรา สู้กับมัน ไม่ยอมทำตามมัน เพื่อเราจะได้สมศักดิ์ศรีว่าเราเป็นลูกพระเจ้านะ แพ้ไป เดี๋ยวก็ขึ้นมาใหม่ๆ จนกระทั่งวันสุดท้ายนั่นแหละ สู้ไม่มีวันจบ ตรงนี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

มาเชื่อพระเจ้า ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณข้างใน เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ ทำบาปไม่ได้แล้ว ไม่มีทางเลย ถ้าเขาจะทำบาป เพราะมันอยู่ในเนื้อหนังนี้ มันแพ้ยกนั้น ยกที่อารมณ์ไม่ดี แดดร้อน ข้าวไม่ได้กิน ออกจากโบสถ์ไป รถคันนั้นมันเฉี่ยวหน้าพอดี มันทนไม่ไหว ด่าเขาไป นั่นแหละ มันแพ้ตอนนั้น วิญญาณไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้นเลย

วิญญาณ “ไม่เป็นหรอก อภัยให้ เข้าใจกัน”

แต่เนื้อหนังมันทนไม่ได้ มันแพ้ แค่นั้นเอง เข้าใจใช่ไหมครับ วิญญาณไม่เคยคิดจะคอรัปชั่นอะไรเลย แต่เผอิญลูกก็ป่วย ต้องการจะใช้เงิน 3-4 ล้านในการรักษา รักลูกมาก พอดีมีใครมาให้ใต้โต๊ะ เรามีอำนาจที่จะเซ็นต์ได้ ใต้โต๊ะมีจำนวนเงินอยู่ 5 ล้านบาทพอดี คิดแล้วคิดอีก อธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก ในที่สุด เอาเงินดีกว่า ไปรักษาลูกให้หาย เป็นไปได้ไหม จบอย่างนี้ เป็นคริสเตียนนะ เป็นไปได้ไหม? เป็นคริสเตียนแล้ว ยังตะโกนใส่รถคันหน้าได้ไหม? มันหงุดหงิดขึ้นมาทันที มันไม่ไหวแล้ว ขอด่าสักทีหนึ่ง ได้หรือไม่ได้? ด่ามากกว่าคำว่า “ไอ้โง่” อีก ได้ไหม?  ได้ แล้วคอรัปชั่นเมื่อกี้ ได้หรือเปล่า? ก็แค่นั่นแหละ แต่ข้างในสู้เต็มที่ เพราะว่าเราเป็นลูกพระเจ้า ลูกพระเจ้าต้องเป็นอย่างนี้ เพราะธรรมชาติของเรา  เป็นอย่างนี้  เหมือนธรรมชาติของเราเป็นปลา  มันต้องอยู่ในน้ำ ลูกของพระเจ้า มันต้องทำความดี บริสุทธิ์ เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ทำสกปรกไม่เป็น วิญญาณของท่านไร้เดียงสามาก แต่เนื้อหนังของท่าน ร่างกายของท่านที่เห็นอยู่ มันแย่มากเลย  ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? มันอยากจะทำชั่วเต็มที่ ท่านก็อยู่กับเขา ในอาณาจักรสวรรค์ คนหนึ่งอินโนเซ้นต์มาก เป็นเด็กๆ สะอาดบริสุทธิ์ อีกคนหนึ่งเชี่ยวชาญการทำชั่วที่สุดเลย  ก็คือเนื้อหนังตัวท่านเอง เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 10 “ความจริงแห่งพระคุณพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  กุมภาพันธ์  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 10 “ความจริงแห่งพระคุณพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายในซีรี่ส์ ชุดความจริงจะทำให้เป็นไท วันนี้ มาถึงตอนที่ 10 แล้ว ชื่อตอนว่า “ความจริงแห่งพระคุณพระเจ้า” เราจะเริ่มต้นกันด้วย ถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือมัทธิว 11:28-30 พระเยซูตรัสว่าอย่างนี้ …

มัทธิว 11:28-30 “28 “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านได้พักสงบ 29 จงรับแอกของเราแบกไว้ และเรียนรู้จากเรา เพราะเราสุภาพและถ่อมใจ  แล้วจิตวิญญาณของท่านจะพักสงบ 30  เพราะแอกของเรานั้นพอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”

 

พระคัมภีร์ตรงนี้ เป็นหนึ่งในข้อพระคัมภีร์ที่เราจะเห็นบ่อยๆ ได้ยินบ่อยๆ ตามคริสตจักรต่างๆ หน้าคริสตจักรเราก็มีป้ายนี้ หลายๆ คริสตจักรทั้งเมืองไทยและต่างประเทศ เขาก็จะมีข้อพระคัมภีร์นี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าคริสตจักร หรือในคริสตจักร ก็จะมีข้อพระคัมภีร์นี้ เป็นข้อที่โดดเด่นมาก เป็นคำตรัสของพระเยซู ทำไมคริสตจักรหลายๆ แห่งจึงเลือกใช้ข้อพระคัมภีร์นี้ มาประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ จะใช้คำว่าดึงดูดใจ หรือประกาศข่าวดี คำโฆษณา เพราะว่าฟังดูแล้ว มันเป็นความหวังเดียวของมนุษย์ เพราะทุกคนก็อยากหายเหนื่อย พรุ่งนี้มาทำงานอีกแล้ว หาเช้ากินค่ำ  ทำนาไป น้ำท่วม ตายหมดเลย มันรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยยากในชีวิต รู้สึกว่าข้อพระคัมภีร์นี้  เหมือนโปรโมชั่นที่ดี ที่ทำให้คนสนใจว่ามาเชื่อพระเยซูจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข

เราทราบดีว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต่างคนก็ต่างทุกข์ลำบาก แล้วก็มีภาระหนักด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นใคร ศาสนาใดก็ตาม พอเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้  มันเหนื่อยยากลำบาก เหลือเกิน เป็นสัจจะธรรม และลึกๆ แล้วในจิตใจของมนุษย์ทุกคน ก็ต้องการหาที่พักในใจด้วย ไม่ใช่ว่าจะพักแต่เฉพาะข้างนอก คนที่มีเงิน ประสบความสำเร็จในกิจการต่างๆ ไม่ว่าจะทำสวน ทำไร่ ทำนา หรือทำธุรกิจก็ตาม เราก็รู้ว่ามันเหนื่อยข้างในใจด้วย แสดงว่าไม่ใช่แค่อยากที่จะหายเหนื่อยจากการทำงานอย่างเดียวนะ แต่ในใจเขาก็อยากหายเหนื่อยด้วยเช่นเดียวกัน นี่คือสัจจะธรรมของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว

แต่ในขณะเดียวกัน พระคัมภีร์ข้อนี้ ก็เป็นหนึ่งในพระคัมภีร์หลายๆ ข้ออีกเหมือนกัน ที่ถูกเอาไป ตีความผิด เอาไปสอน เอาไปบอก เอาไปใช้กันแบบผิดๆ ที่บอกเอาไปผิดนี้ คือมันไม่ตรงตามที่พระเยซูคริสต์ตรัสไว้วันนั้น ต้องการสื่อความหมายอย่างนี้ แต่เราเอาไปใช้อีกแบบหนึ่ง อย่างนี้เขาเรียกว่าผิด บางครั้งมันผิด มันเกิดประโยชน์เหมือนกันนะ แต่มันก็ผิดอยู่ดี มันไม่ตรงตามที่ผู้พูด ต้องการสื่อความหมายว่าอะไร?

เรามาดูสิว่าพระเยซูคริสต์ตรัสคำนี้ มันคืออะไร? คือคำว่า “ผิด” สอนผิด ใช้ผิด บางที่ บางครั้ง หลายคนก็ไม่รู้ว่ามันผิด ก็เขาว่ากันมาอย่างนี้  เขาสอนมาอย่างนี้ ก็ทำตามไป หลายคนก็รู้ ถึงแม้จะรู้ ก็ขอผิดสักหน่อย เพราะมันโปรโมทดี มันโฆษณาดี โฆษณา แล้วทำให้คนสนใจ ยอมฟังเราหน่อยหนึ่ง ไม่อย่างนั้น เขาไม่ยอมฟัง เขาเดินไปเลย

“คุณทำงานเหนื่อยๆ อย่างนี้ หนักๆ อย่างนี้ กิจการคุณกำลังเหนื่อยใช่ไหม? กำลังลำบากใช่ไหม? มาหาพระเยซูสิ พระเยซูช่วยได้”

มันก็รู้สึก “ฉันตกงานอยู่ ฉันก็อยากจะมา ให้พระเยซูหางานให้ทำ” อะไรแบบนี้

บางครั้ง ตีความผิด แล้วคิดว่าตั้งใจด้วยความดี แต่ว่าจะดีหรือไม่ดี มันก็คือตีความผิด หรือแปลไม่ถูกความหมายตามบริบท คือเรื่องราวที่พระเยซูพูดในวันนั้น มันคืออะไร?  ไม่ใช่เอามาข้อเดียว แล้วก็มาตีความของเราเอง อย่างนี้เรียกว่าผิด เรามาดูว่าไม่ถูกอย่างไร? ผู้ที่เชื่อแล้ว บางคนอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้แล้ว ไปเข้าใจว่าอย่างนี้ พอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ภาระทางโลกอันหนักอึ้ง ที่ตัวเองกำลังแบกอยู่นั้น มันจะหมดไป การใช้ชีวิตจากนี้จะหายเหนื่อยแล้ว พระเจ้าจะทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ มีความสุข  ใครเคยคิดอย่างนี้บ้าง ตอนมาเชื่อใหม่ ก็อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้แหละ

มีกี่คนเชื่อ มีกี่คนที่มั่นใจว่าท่านมาเชื่อพระเยซูแล้ว จากนี้ต่อไป ท่านไม่เจ็บป่วยอีกเลย ท่านเป็นคนที่มีความแข็งแรงมาก มั่นใจ 100% เลย  มีกี่คนที่มั่นใจเลยว่าเชื่อพระเยซูแล้ว จากนี้ต่อไป ท่านไม่มีวันขัดสนเรื่องการงาน การกิน การอยู่เลย ก็มีน้อย

คราวนี้ผมถามว่าเป็นคริสเตียนแล้ว มีใครบ้างที่มั่นใจว่าเมื่อจากโลกนี้ หรือตายจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปอยู่บนสวรรค์ยกมือ หมดทุกคนเลย เห็นหรือยัง? นี่คือพิสูจน์ความจริงเลย เพราะเชื่อจริงๆ มันอยู่ที่ในใจ แต่ตะกี้นี้ที่บอกว่าแข็งแรง มันอยู่ที่ไหน? มันไม่ได้อยู่ในใจ มันอยู่ที่หัวเข่า เมื่อเช้านี้เดินก๊อกๆ ไม่กล้าพูด แต่ก่อนก็เชื่อ พออายุมากขึ้นเรื่อยๆ เดินหัวเข่าเจ็บ ไม่กล้าพูดมากแล้ว เพราะอธิษฐานไป 3 ปีแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ใช่เหมือนเดิม มันหนักกว่าเดิมด้วย เพราะว่ามันแก่ลงไง ก็เลยไม่กล้าพูด ชักจะเริ่มปลง

ถ้าใครมาเชื่อพระเจ้า แล้วเจอข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ มัทธิว 11:28-30 ที่พระเยซูตรัส เรื่องการหายเหนื่อยและเป็นสุข และคิดหรือคาดหวังว่าจะได้รับอย่างนี้ อย่างที่ผมบอก ท่านก็จะพบกับความผิดหวังแน่นอน ถ้าท่านคิดว่าจะหายเหนื่อยและเป็นสุข จากการไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยอีกแล้ว ไม่ต้องยากจนอีกแล้ว สบายแล้ว ชีวิตนี้นอนๆ กินๆ อยู่เฉยๆ ท่านก็ผิดหวังแน่นอน

ที่พระเยซูบอกว่า “บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาหาเรา”

พระคัมภีร์ข้อนี้ ถ้าเราอ่านจากพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ ภาษาเดิมๆ ฉบับขยายความ จะมีคำอธิบายไว้ชัดเจนว่าอย่างนี้ คำว่า “ผู้เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก” ตรงนี้ หมายถึงผู้ที่กำลังแบกภาระหนักจากความพยายาม ให้ตัวเองหลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ผู้ที่มีจิตวิญญาณในใจ ไม่มีสันติสุขอยู่ในนั้น เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะชดใช้หนี้บาปเวรกรรมได้หมดสักทีหนึ่ง กำลังแสวงหาอะไรบางอย่าง เรียกว่าสัจจะธรรมในโลกวิญญาณ นี่พระเยซูกำลังพูดถึงตรงนี้  สรุปความหมายของพระคัมภีร์ข้อนี้

คำว่า “ได้พักสงบ” เมื่อมาพบพระเยซูนั้น หมายถึงได้พักสงบ และหายเหนื่อยจากการแบกภาระชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และต้องชดใช้บาปเวรกรรมของตัวเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะหมดสิ้นสักที แต่พอมาพบพระเยซู … พระเยซูจะชำระในจิตวิญญาณเขา ให้พ้นจากบาป เขาก็เป็นสุขว่าเขาพ้นบาปแล้ว

คำว่า “ชดใช้บาปเวรกรรม” ก็คือต้องอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ตามหลักพระคัมภีร์ ซึ่งก็คือการถูกลงโทษ อันเนื่องมาจากเหตุที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ที่เรียกว่าการทำบาป โดยผ่านทางบรรพบุรุษของมนุษย์ คืออาดัมและเอวา พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

พอมนุษย์กลายสภาพมาอยู่ภายใต้ความบาป ก็ตกอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย เงื่อนไขของกฎนี้ ก็คือห้ามทำผิด ห้ามทำบาป โดยเด็ดขาด นิดเดียวก็ไม่ได้ ถ้าทำผิดบาป เพียงนิดเดียว ก็ได้รับโทษทันที เพราะมันเป็นกฎ ระเบียบ ฝ่าไฟแดงนิดหนึ่ง ก็มีค่าเท่ากัน ท่านจะฝ่าไฟแดง เพราะไฟเหลืองผ่านไปแป๊บเดียว แค่เสี้ยววินาที แล้วฝ่าไฟแดง เขาก็จับท่าน โทษฐานฝ่าไฟแดง ท่านจะฝ่าไฟแดงขณะรถจอดหมดแล้ว แล้วไฟแดงเลยไปหนึ่งนาที ก็วิ่งออกไปอีก เขาเรียกฝ่าไฟแดงเหมือนกัน กฎของโลกนี้และกฎของพระเจ้าว่าไว้อย่างนี้แหละ ท่านบอกว่าท่านโกหกนิดเดียว ไม่มี โกหกมากหรือโกหกน้อย มันก็โกหกเหมือนกันแหละ ผิดเหมือนกันหมด

ดังนั้น คำว่า “ผู้แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย” หมายถึงมนุษย์ทุกคนที่รู้ตัวว่าเป็นคนบาป และรู้ตัวว่าต้องแบกภาระการชดใช้หนี้บาป เวรกรรมของตัวเอง ไว้ที่ตัวเองนั้น รู้ตัวเองดีว่าไม่สามารถทำให้หลุดพ้น จากบาปเวรกรรมของตัวเองได้ มันก็เลยเหนื่อย ข้างในมันเหนื่อยมากๆ ชดใช้เท่าไรก็ไม่หมดสักที เพราะข้างในมันเหน็ดเหนื่อย พระเยซูกำลังพูดถึงตรงนี้  เหมือนมนุษย์ทุกวันนี้ ใครที่มีหนี้สินเยอะๆ จนกระทั่งถูกฟ้องล้มละลายไปแล้ว มันหมดหวัง ไม่อยากจะทำอะไรเลย? ทำอะไรเขาก็เอาไปหมด

ท่านลองคิดดู นั่นขนาดหมดหวังทางด้านการเงินที่บนโลกใบนี้ เท่านั้นเอง แล้วนี่หมดหวังทางด้านวิญญาณ ตายไปแล้ว จะไปไหน ก็ไม่รู้ ต้องชดใช้อีกกี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านปี ก็ไม่รู้ แล้วจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป ด้วยความไม่มีสันติสุข ไม่มีการได้หายเหนื่อยนั่นเอง ตรงนี้คือผลของวิญญาณของมนุษย์ที่ถูกสาปแช่ง มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ตั้งแต่ปฐมกาล มันเป็นเช่นนี้แหละ พระเยซูมาเกิด พระเยซูจึงบอกตรงนี้ก่อนเลยว่าใครที่รู้ว่าเหน็ดเหนื่อย ก็เหนื่อยทุกคน พระองค์ก็รู้แล้ว ใครที่รู้ตัว ใครที่ไม่เย่อหยิ่ง เหนื่อยแล้วแกล้งบอกว่าไม่เหนื่อย รู้ตัวว่าเหนื่อยจริงๆ มาหาพระองค์ซะ พระองค์จะให้คนๆ นั้น หายเหนื่อยและเป็นสุขไง บริบทของมัทธิว 11:28 ตรงนี้พระเยซูตรัส เพราะอย่างนี้ และต้องการความหมายแบบนี้

ถูกลงโทษ คือคำสาปแช่ง … คำสาปแช่งเข้ามาที่วิญญาณของเรา ที่ร่างกายของเรา และร่างกายเราทำมาจากดิน คือโลกใบนี้ คำสาปแช่งปกคลุมโลกนี้หมดเลย วัตถุสิ่งของถูกสาปแช่งหมดเลย พูดง่ายๆ ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุถูกปกคลุมด้วยความสาปแช่งจากบรรพบุรุษของเรา  อาดัมและเอวา ไม่เชื่อฟังพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้าจึงถูกลงโทษ โลกทางฝ่ายวัตถุ คือร่างกายของมนุษย์ รวมทั้งโลกใบนี้ทั้งหมด รวมทั้งสิ่งของทั้งหมดบนโลกใบนี้  ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาดีงาม ก็ตกลงไปอยู่ในความเสื่อมเสียหมด เสื่อมพระสิริของพระเจ้า เสื่อมเกียรติของพระเจ้า เสื่อมสิ่งที่ดีๆ ของพระเจ้าไปหมดเลย กลายเป็นความชั่วร้ายเข้ามาแทนที่หมดเลย วิญญาณของมนุษย์ ก็ตกอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนกัน

มาดูตัวอย่างในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ในปฐมกาลว่าตอนที่อาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเราทำบาป และถูกคำสาปแช่ง ถูกพิพากษาลงโทษ คำสาปแช่งนั้นลงมาเขียนไว้ว่าอย่างไร? บันทึกไว้ในปฐมกาล 3:17-19 …

ปฐมกาล 3:17-19 “17 พระองค์ตรัสกับอาดัมว่า “เพราะเจ้าฟังภรรยาของเจ้า และกินผลไม้ซึ่งเราสั่งเจ้าว่า ‘เจ้าต้องไม่กินผลจากต้นไม้นั้น’ แผ่นดินจึงถูกสาปแช่งเพราะเจ้า เจ้าจะหาเลี้ยงชีพจากแผ่นดินด้วยความลำบากตรากตรำ ตลอดชีวิตของเจ้า 18 ต้นหนามน้อยใหญ่จะงอกขึ้นมาบนแผ่นดิน และเจ้าจะกินพืชพันธุ์จากท้องทุ่ง 19 เจ้าจะทำมาหากิน อาบเหงื่อต่างน้ำ ตราบจนเจ้ากลับคืนสู่ดิน”

 

“แผ่นดินจึงถูกสาปแช่ง เพราะเจ้า”

“เจ้า” คืออาดัมและเอวา

นี่คือหนึ่งในคำสาปแช่งทางโลก คือแผ่นดินนี้  ที่บอกว่ามนุษย์จะต้องทำงานหนัก หาเลี้ยงชีพด้วยความลำบาก ตรากตรำ ต้องทำมาหากิน อาบเหงื่อต่างน้ำ และไม่ใช่เพียงแค่นี้เท่านั้น ยังมีคำสาปแช่งอื่นๆ สรุปรวมความว่าพระคัมภีร์บอกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากแน่นอน นี่คือสัจจะธรรมความจริง ที่ไม่มีใครหลีกหนีได้

เหตุที่หมอและทุกคนรู้ว่าอยากจะมีสุขภาพที่ดี พอสมควรไหม? แข็งแรง โดยไม่ต้องเจ็บป่วยเลยไหม?  ไม่ใช่ แต่เจ็บป่วยน้อยลง คือให้ออกกำลังกาย เพื่อให้อาบเหงื่อต่างน้ำ มนุษย์ก็พยายามจะฝืนพระเจ้า ไม่อยากอยู่ในคำสาปแช่ง เพราะธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา ให้อยู่อย่างสบาย ไม่ต้องลำบากอย่างนี้  มนุษย์ก็อยากจะกินแล้วนอน นอนแล้วกิน มันเป็นธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างนั้น แต่เราทำไม่ได้ เพราะว่าเราตกอยู่ในคำสาปแช่งแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าเรากินแล้วนอนไม่ได้แล้ว จากนี้ต่อไป เราต้องทำงานหนัก เพราะฉะนั้น พอเรากินแล้วนอนๆ เราฝืน คำสาปแช่งนี้ก็เกิดผล ก็คือกินแล้วนอนๆ ในที่สุด เราก็นอนอย่างเดียวเลย  ไม่ต้องลุกขึ้นมา มันก็เป็นโรคเป็นภัย

ทำไมเราต้องออกกำลังกาย ก็เพราะเราทำงานแบบคนในเมือง ชาวนา ชาวสวนจะต้องออกกำลังกายไหม? คนหาปลากลางคืน เขาเหนื่อยจะตายแล้ว เขาอาบเหงื่อต่างน้ำมาทั้งวันแล้ว พอแล้ว แต่เราเข้า office เปิดแอร์เย็นๆ แล้วก็เอาปากกามานั่งคิด อันนี้อย่างนี้ ตัวเลขนั้นเป็นอย่างนี้ กลับบ้าน  อยากจะพักนอน จึงถูกบังคับ  ถ้าอยากจะมีความสุขขึ้นนิดหนึ่ง ก็ให้ไปออกกำลังกาย ต้องแกล้งไปวิ่ง เหนื่อยแล้ว ทำตามนั้น สาปแช่งไปแล้วจบ นอนได้ หรือไม่อย่างนั้น ก็สาปแช่งตัวเองตั้งแต่เช้าเลย ตื่นขึ้นมาก็สาปแช่งตัวเอง ไปวิ่ง ออกกำลังกาย ให้มันอาบเหงื่อต่างน้ำซะ ให้มันเป็นไปตามกฎระเบียบ มันก็ทุกข์น้อยลง เสร็จปุ๊บ เราก็เข้าไปทำงานในห้องแอร์ได้ ถ้าใครที่ทำสวนอยู่ ก็ไม่ต้องไปวิ่งแล้วนะ ขอร้อง เยอะไปๆ แค่นี้ก็ทุกข์พอแล้ว เห็นหรือยัง?

ยิ่งเราเรียนรู้จักถ้อยคำพระเจ้า ยิ่งเห็น มันชัดจริงๆ มันใช่เลย  ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ ก็เพราะนี่คือสัจจะธรรม นี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกมนุษย์ นี่คือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ข้างในลึกๆ  “เธอเป็นใคร? ฉันบอกเธอ ฉันมีพิมพ์เขียวให้กับเธอว่าเธอเป็นใคร? เธอควรจะทำอยู่อย่างไร? บนโลกใบนี้ ที่ดีที่สุด สำหรับวิญญาณของเธอ และร่างกายของเธอ ในการอยู่บนโลกใบนี้ แบบให้มันทุกข์น้อยที่สุด ดีที่สุดนั่นเอง” เอเมน

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ทุกคนก็ออกกำลังกาย ฝืนตัวเอง นึกในใจตอนออกกำลัง กำลังได้รับคำสาปแช่ง เพราะฉะนั้น ตื่นเช้าขึ้นมา ท่านออกไปวิ่ง หรือท่านขึ้นไปออกกำลังกาย หรือทำอะไรก็ตามเกี่ยวกับการออกกำลังกาย ท่านพูดกับตัวเองว่าท่านกำลังถูกสาปแช่ง พูดกับตัวเองนะ แล้วก็จำไว้เลยว่า …

“อาดัมนะอาดัม แต่ไม่เป็นไร ฉันมีความหวังในพระเยซูคริสต์ ฉันจะไม่เป็นอย่างนี้ตลอดไป หรอก เอเมน”

รวมความ ก็คือคำสาปแช่งที่มาถึงมนุษย์ทุกคน เป็นคำสาปแช่งทั้งทางวิญญาณ ที่ทำให้ต้องพบกับความตาย คือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า และคำสาปแช่งทางโลกวัตถุ ที่ภายใต้ร่างกายนี้ เราต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้

 

สรุป ก็คือภายใต้กฎแห่งความบาป และความตาย มนุษย์ทุกคนต้องเหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก ทั้งทางวิญญาณและทางร่างกายด้วย พอเห็นชัดแล้ว สรุปแล้วความจริง คือเมื่อพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง  ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงเอาบาปของเราไป ได้ชำระล้างเราจนหายจากโรคหนี้สินทั้งปวงแล้ว เป็นการชำระล้างทางวิญญาณ 1 เปโตร 2:24 ที่บอกว่า …

“ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว วิญญาณหายจากโรคบาป”

ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพร่างกายของเรา พระองค์รักษาวิญญาณให้หายจากโรคบาปเรียบร้อยไปแล้ว พระคัมภีร์ตรงนี้ ก็เป็นอีกข้อหนึ่ง ที่มักมีการเข้าใจผิด เอามาใช้กันในเรื่องของสุขภาพทางฝ่ายร่างกายว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องไม่ป่วย เพราะว่าพระองค์ทรงรักษาทางวิญญาณเราหายแล้ว รอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ ได้รักษาทางร่างกายเราหายด้วย เขาเชื่ออย่างนี้ ทำให้ร่างกายเราปราศจากโรคแล้ว ที่ไม้กางเขน

บางคนเชื่อถึงขนาดไม่ยอมไปหาหมอ เฝ้าแต่คิดถ้อยคำนี้ตลอดเวลาว่าด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูรักษาฉันหายแล้ว แล้วมันหายจริงๆ คือหายจากโลกไปเลย คือตาย นี่เรื่องจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง 2,000 ปีคงไม่มีโรงพยาบาลเลย แสดงว่ามันไม่ใช่ ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไร?

ส่วนร่างกายเรา จะได้รับการไถ่อย่างสมบูรณ์ เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกทีหนึ่ง หรือเรียกว่าวันแห่งองค์พระเยซูคริสต์นั่นเอง

ถามว่าขณะที่เรากำลังทุกข์ยากลำบากในเนื้อหนังร่างกาย ในการเป็นอยู่ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความทุกข์ยากลำบาก เจ็บป่วย แต่เรามีความหวังใจอยู่ในนั้น เจ็บป่วยก็มีความหวัง ยากจนก็มีความหวัง ทำงานทำการลำบาก มีปัญหา ก็มีความหวังอยู่ในนั้น ความหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับการไถ่ถอนอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือวันที่พระเจ้าจะให้ร่างกายใหม่กับเรา ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณของเราทุกวันนี้ วิญญาณเราเป็นอยู่นั้น  เป็นวิญญาณเดิมนั่นแหละตอนนี้ เปลี่ยนเป็นวิญญาณเหมือนพระเยซูไปแล้ว และเป็นวิญญาณนี้ตลอดไป แต่ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ เป็นร่างกายเก่า ต้องถูกทิ้งไปวันหนึ่ง แล้วพระเจ้าจะให้ร่างกายใหม่กับเรา พระคัมภีร์บอกว่า …

“รู้ไหม พระเจ้าให้ร่างกายใหม่เราได้”

ทุกคนบอก “ได้อย่างไร?”

เปาโลบอก “ง่ายนิดเดียว เคยเห็นต้นข้าวไหม? ถ้าต้นข้าว เมล็ดมันไม่เน่าซะก่อน จะเกิดต้นใหม่ ไม่ได้ คนทำนารู้ดี เอาข้าวเมล็ดดีๆ สวยๆ ลงไป แล้วต้องรอให้เมล็ดนั้น เจอน้ำเยอะ มันเน่า จนกระทั่งงอกใหม่”

มนุษย์ก็เหมือนกัน ร่างกายที่เราไม่ต้องการ ที่ถูกสาปแช่ง จะถูกเปลี่ยนใหม่เลย ไม่ได้ ต้องรอให้ร่างกายนี้มันเน่าเสียก่อน พระเจ้าจะทำให้ร่างกายที่เน่าไปแล้วนั้น เกิดใหม่ขึ้นมา เหมือนที่พระเยซูได้บังเกิดใหม่ เราจะได้รับร่างกายใหม่ตอนนั้นแหละ เอเมน เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูเลย

นี่คือความหวัง ร่างกายใหม่ ใหม่เอี่ยมเลย ร่างกายที่บริสุทธิ์ เป็นร่างกายที่มาจากสวรรค์ และเป็นวันที่พระเจ้าจะสร้าง ไม่ใช่ร่างกายเราใหม่อย่างเดียว ร่างกายเรามาจากดิน  พระเจ้าจะสร้างดินใหม่ให้กับเรา ดินที่เสียหายไป โลกใบนี้ที่เสียหายไป ต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ ทุกชนิดที่เสียหายไป  ก็จะได้รับการกู้ขึ้นมาใหม่ ได้รับการช่วยให้รอดขึ้นมาใหม่ ถูกสร้างใหม่ เรียกว่าโลกใบใหม่ เยรูซาเล็มใหม่ หรือเรียกว่าสวรรค์ของพระองค์ ที่เราจะอยู่ที่นั่น กลับมาที่เดิม ไม่ต้องทุกข์ยากลำบาก ทั้งร่างกายและวิญญาณอีกต่อไป นิรันดร์เลย เอเมน

นั่นแหละ คือความหวังของเรา เป็นวันที่เราจะได้พักผ่อนอย่างจริงๆ เสียที ตามที่พระเยซูตรัสไว้ เป็นวันที่เราจะหายเหนื่อยและเป็นสุขอย่างแท้จริง ไม่ต้องแบกภาระอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการแบกภาระทางวิญญาณ หรือทางร่างกายนี้ ก็ตาม ไม่ต้องปวดเข่า ไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องเป็นเก๊า ไม่ต้องเป็นจิปาทะโรค มันเยอะไปหมด เป็นไวรัสลงนั้น ลงนี้ ตับ ไต ไส้ พุง มีแต่วันเสื่อมเสียไปทั้งนั้น ทุกวันนี้เราจึงยิ้ม สามารถเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเรามีความหวังที่จะกลับคืนสู่สภาพเดิม เหมือนสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยปฐมกาลตอนแรกๆ  ที่ให้กับอาดัมและเอวา และเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคน ก่อนที่จะตกลงไปในความบาป เรามีความหวังตรงนั้น เราจึงหายเหนื่อยได้

ในโรม 8:24 บอกไว้อย่างนั้น สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด รวมทั้งเรา ก็คือมนุษย์ … มนุษย์ที่เชื่อในพระเยซูแล้ว ที่วิญญาณได้รับการไถ่แล้ว กำลังคร่ำครวญมากๆ เลย  รอวันแห่งการไถ่ถอนครบถ้วนบริบูรณ์จากพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เอเมน เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ท่านเดินไป ท่านรู้ไหมต้นไม้ ใบหญ้า ทุกต้น กำลังสรรเสริญพระเจ้า

“พระเจ้า พระเยซูเสด็จกลับมาเถิด กำลังรออยู่”

ท่านเห็นหมา แมว นก ปลา หรืออะไรต่างๆ กำลังรอคอยวันที่พระเจ้าจะกลับมาไถ่พวกเราอีกครั้งหนึ่ง ทั้งโลกใบนี้ กลับคืนสู่สภาพดี ทุกวันนี้ สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทุกข์ทรมานด้วยกันกับเรา คร่ำครวญมาพร้อมกับเรา เพราะว่าความบาปมันปกคลุม ความชั่วร้าย คำสาปแช่งมันปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้

ลองไปอ่านในปฐมกาลช่วงเริ่มต้นกับวิวรณ์ช่วงท้ายๆ จะได้รู้ว่าสวรรค์ใหม่ หรือโลกใหม่ ที่เราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างมีความสุขนั้น เป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกไว้ว่าไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป นี่คือความหวังของผู้ที่รู้ความจริงของพระเจ้า และเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์แล้ว และเป็นแผนการของพระเจ้าที่จะให้มนุษย์กลับไปอยู่กับพระองค์ และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง กลับไปเหมือนที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาใหม่ๆ พระองค์ต้องการแค่นี้ กลับคืนมา คืนสู่สภาพเดิมหมดทุกอย่าง กลับมาอยู่ในครอบครัวของพระองค์ มิน่าเขาถึงร้องเพลง …

“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้ ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่ ณ ประตูบนวิมาน

และฉันรู้ว่าโลกนี้ ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

เห็นไหม? โลกหน้าเป็นบ้านของเรา แต่โลกนี้ไม่ใช่ โลกหน้า ก็คือสวรรค์ โลกนี้ คือนรกดีๆ นี่เอง เปาโลบอกว่า …

“ถ้าเลือกได้ ฉันไม่อยากอยู่แล้ว เพราะฉันรู้จักพระเจ้าแล้ว เห็นชัดแล้ว อยากจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว อยากจะไปจากโลกนี้”

แต่ที่จำเป็นต้องอยู่ เพราะว่าพระเจ้ายังใช้เปาโลสอนความจริง ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้กับบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้อยู่ ถ้าเลือกได้เปาโลไปก่อนแล้ว พวกเราที่นี่เหมือนกัน ถ้าเลือกได้ เราไปเหมือนกันแหละ หมายถึงจิตใจมันสบาย แต่มันยังทำไม่ได้ ก็ว่ากันไป ถ้าทำไม่ได้ แสดงว่าพระเจ้ายังไม่อนุญาตให้เราคิดอย่างนั้น ก็ให้เรามีห่วงอยู่ จะได้อยู่บนโลกใบนี้แบบมีภาระหน่อยหนึ่ง ภาระทำตามที่พระเจ้าวางแผนไว้ให้กับเรา ดูแลลูกหลาน ดูแลการงาน ก็ว่ากันไป แต่ถ้าพระเจ้าให้เห็นชัดเจนบางอย่าง และพร้อม เราจะพูดเหมือนเปาโลว่าอยู่ก็ดี ถ้าไปก็ดีกว่า คิดแค่นี้ ก็มีความสุขแล้วนะ มันมีความหวัง และความหวังที่แท้จริง เพราะมันออกจากวิญญาณของเราด้วย มันไม่ใช่แค่พูดเฉยๆ

พอผมอธิบายอย่างนี้ ก็ยังมีผู้เชื่อบางคน ที่อาจได้รับคำสอนมาแบบต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ก็จะเริ่มแย้งว่าทางวิญญาณจะหายเหนื่อย เป็นสุขได้อย่างไร? หมายถึงคริสเตียนเก่าแก่ ที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่เล็กเลย คือพูดง่ายๆ เชื่อพระเจ้ามาตามพ่อแม่ พ่อแม่พูดอย่างไร? ก็ฟังๆ บางทีตัวเองก็ไม่ได้คิด พอผมอธิบายอย่างนี้ ฟังแล้ว …

“จะเป็นไปได้อย่างไร? พระเยซูบอกจะหายเหนื่อยและเป็นสุข เป็นคริสเตียนใครบอกหายเหนื่อย แล้วเป็นสุข ไม่จริงหรอก”

ไม่จริงเพราะว่า “ตั้งแต่ฉันรู้จักพระเจ้ามา พ่อแม่พามาโบสถ์ ฉันไม่เห็นมีอะไรหายเหนื่อยและเป็นสุขเลย”

เพราะอะไร?  “คิดดูสิ จะเล่นเกมก็ไม่ได้ วันอาทิตย์ก็ต้องมาโบสถ์ ไม่มาก็ไม่ได้ ต้องอธิษฐาน ไม่อธิษฐานก็ไม่ได้ แล้วแถมยังต้องท่องพระคัมภีร์ ไม่ท่องก็ไม่ได้ ไม่อ่านก็ไม่ได้ โอ๊ย! มันยุ่งกว่าเก่าอีก ฉันไม่เห็นมีความสุขเลย ไม่เห็นหายเหนื่อยตรงไหน? มันหนักกว่าเดิมอีก”

จริงหรือเปล่า ไม่เป็นคริสเตียน ไม่เห็นมีกฎเหล่านี้เลย ตอนนี้เป็นคริสเตียน กฎเพิ่มขึ้นมาอีก จากถือศีลกี่ข้อๆ ตอนนี้เพิ่มมาอีก วันอาทิตย์ต้องไปโบสถ์ ถวายสิบลดอีก มันเยอะไปหมดเลย ดูหนังผีก็ไม่ได้ ดูแฮรี่ พอตเตอร์ก็ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร? ไปเที่ยวก็ไม่ได้ แล้วยังมาบอกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข มันไม่เป็นสุข มันหนักกว่าเดิม จริงไหม? จะมีคนถามท่านอย่างนี้ ใช่ไหม? ลูกๆ หลานๆ อาจจะถามท่านอย่างนี้

“ไหนพ่อ ไหนหายเหนื่อยเป็นสุขตรงไหน? เพื่อนเขายังเป็นสุขบ้าง ยังหายเหนื่อยมากกว่า”

นี่เรากลับกลายต้องอันโน้น ต้องอันนี้ เยอะไปหมดเลยหรือ? พระคัมภีร์มีคำสอนเรื่องเกี่ยวกับข้อห้าม กฎต่างๆ มากมาย มัทธิว 5:21-47 ซึ่งพระเยซูเป็นผู้สอนเอง คนก็เอามาใช้เหมือนกัน แต่ใช้แบบไหนท่านลองคิดดู พระเยซูสอนตั้งแต่ห้ามฆ่าคน อย่าโกรธเคืองพี่น้อง อย่าพูดดูหมิ่นพี่น้อง ใครว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ตกนรกทันทีเลย จงปรองดองกับศัตรู รักศัตรูเหมือนเพื่อนบ้าน พอเขาตบแก้มขวา เอาแก้มซ้ายให้เขาตบทันทีเลย  แล้วยังสั่งว่าห้ามล่วงประเวณี มีมองหญิงด้วยใจกำหนัด ก็ไม่ได้ ก็แค่คิด ก็ผิดแล้วนะ ห้ามหย่าร้าง อย่าสาบาน จงให้ผู้ขอ ขออะไรต้องให้หมด นี่เป็นกฎระเบียบทั้งนั้นนะ แล้วท่านคิดดูว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วท่านไปบอกลูกๆ หลานๆ หนุ่มๆ สาวๆ ว่านี่คือกฎระเบียบที่ต้องทำ แล้วถ้าท่านบอกว่าพระเยซูบอกว่าจะให้เธอหายเหนื่อยและเป็นสุข คนนั้นก็บอกมันเหนื่อยมากขึ้นนะเนี้ย มานั่งสู้กับความคิด จะคิดก็ไม่ได้ จะว่าเพื่อนว่าไอ้งั๋ง ตกนรกอีกแล้ว มันหนักกว่าเดิมใช่หรือไม่?

แล้วพระเยซูก็จบคำสอนเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำนี้ ยิ่งหนักใหญ่เลย ซึ่งถ้าเราเอาไปสอนตรงๆ อย่างนี้ ตายเลยนะ ไม่มีคำว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูจบคำสอนในมัทธิว 5:48

มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น จงดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงดีพร้อม”

 

“จงดีพร้อม” แปลว่าเพอร์เฟค แปลว่าสมบูรณ์แบบ จงสมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้า จงบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย  ต่อจากนี้ ออกจากบ้านใส่ชุดขาวอย่างเดียวเดิน คิดอะไรก็ไม่ได้ พระเยซูต้องการให้เราทำอย่างนั้นเหรอ นี่พระเยซูสอนเองนะ

พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าท่านต้องการไปสวรรค์ ท่านก็ต้องทำชีวิตของท่านให้ดีพร้อม ให้เพอร์เฟค เหมือนพระบิดาในสวรรค์ของท่าน คือต้องไม่มีบาปเลย ไม่เคยคิดบาปเลย และเหล่านี้ คือบทบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้นานแล้ว ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิมโน่นแล้ว อยากอยู่พวกเดียวกับพระเจ้า ก็ต้องทำเหมือนพระเจ้า ต้องทำตัวให้บริสุทธิ์ จึงจะเหมือนพระเจ้าได้

แล้วในพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูมายกเลิกบทบัญญัติเหล่านี้เหรอ มาเลิกศีลธรรมอันดีงานเหล่านี้ไปเหรอ ไม่ใช่ พระเยซูไม่ได้มายกเลิกกฎเหล่านี้  เพราะว่าพระเยซูบอกในมัทธิว 5:17-20 ว่ากฎเหล่านี้ยังอยู่ ไม่ได้หายไปเลย

มัทธิว 5:17-20 ““ 17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหาย จากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน 19 ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเหล่านี้แม้ข้อเล็กน้อยที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสั่งสอนตามคำบัญชาเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ 20 เพราะเราบอกท่านว่าหากความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าของพวกฟาริสีและเหล่าธรรมาจารย์แล้ว ท่านจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน”

 

สั้นๆ ง่ายๆ ตรงนี้บอกว่ากฎของธรรมาจารย์เขาบอกว่าห้ามล่วงประเวณี แต่กฎธรรมบัญญัติพระเจ้า ในอาณาจักรสวรรค์บอกว่าคิดก็ไม่ได้ พวกฟาริสีเขาบอกแค่ไม่ล่วงประเวณี เขาเท่ห์มาก เขาเป็นคนที่สูงกว่าคนอื่น บริสุทธิ์ เขารักษาศีลได้ดีมาก พระเยซูบอกแค่นั้นไม่พอ ต้องสูงกว่านี้ ถ้าอยากเข้าสวรรค์ แค่เธอคิดก็ไม่ได้ แว๊บหนึ่งก็ไม่ได้เลย ฟาริสีทำได้ไหม? ไม่แว๊บเลย นี่หมายถึงอย่างนั้น

กฎทั้งหมด ยังคงอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่เพราะว่าพระเจ้าทราบดีว่ามนุษย์ไม่สามารถทำตามกฎนี้ได้หรอก พระองค์จึงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มา เกิดเป็นมนุษย์มาทำแทน มาเป็นตัวแทน มาเป็นแพะรับบาปให้กับเรา บทบัญญัติทั้งหมดยังอยู่ครบ ใครที่ต้องการไปสวรรค์ ต้องมีชีวิตที่เพอร์เฟค สมบูรณ์แบบ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า คือไม่มีบาปเลย ถ้าทำได้ตามธรรมบัญญัติ ที่บอกไว้ทั้งหมด 1,000 กว่าข้อ หรือมากกว่านั้นอีก ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนดีพร้อมเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ไปสวรรค์ได้ ยังอยู่ครบถ้วน แต่อีกทางหนึ่ง สิ่งที่พระเยซูได้กระทำให้แล้ว บนไม้กางเขน ก็คือทำให้เกิดผลเช่นเดียวกัน ก็คือมนุษย์สามารถดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ ไม่มีบาปได้ สามารถไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ได้ โดยความเชื่อในการกระทำแทนของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทำแทนเรา นี่มันยังอยู่ครบถ้วน ไม่ใช่กฎหายไป สำคัญมากเลย

สรุป ก็คือมนุษย์มีเหลืออยู่ 2 ทางทุกวันนี้ ในการดำเนินชีวิต ที่เป็นเหมือนพระเจ้าได้ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ เพอร์เฟคเหมือนพระเจ้าได้ สมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้าได้ คือ …

(1) ทำตามกฎที่บอกมาทั้งหมดเลย ไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว จะได้สมบูรณ์พร้อม จะได้ไปสวรรค์ได้ อันนี้ถูกต้องเลย พระเจ้ายินดีต้อนรับ ประตูเปิด

(2) เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เราแล้ว ที่ไม้กางเขน คือไถ่บาปเรา ชดใช้บาปเวรกรรมแทนเราไปแล้ว จะเอาอย่างไร?  อย่างที่หนึ่งต้องทำเอง อีกอย่างหนึ่ง คือเชื่อพระเยซูคริสต์ ทำให้เรา

ท่านก็รู้แล้วว่าอย่างแรกมันทำไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้ พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเรา ให้เราพูดที่ทำไม่ได้ ยอมรับเถิด ยอมถ่อมใจเถิด อย่าเย่อหยิ่งเลย  เชื่อพระเจ้าเถิดว่า …

“ฉันทำไม่ได้ ฉันขอความช่วยเหลือ ช่วยลูกด้วยเถิด ลูกขอพึ่งในพระองค์ ตกลงเป็นแพะรับบาปให้ลูกๆ ยอมเชื่อแล้วว่าพระองค์ไถ่บาปให้ลูก ลูกยอมสยบแล้วว่าทำเองไม่ได้”

พระเยซูก็ช่วยเขาทันที เขาก็รอด เพอร์เฟคทันที บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้าทันที ได้สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ทันที และในขณะนี้ ที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราเรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน หรือผู้ที่ใช้สิทธิของเรา  ที่พระเยซูไถ่บาปให้กับเราแล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว ก็แปลว่าพวกเราได้เลือกทางที่ 2 ไปแล้ว แต่ก่อนเรายังอยู่ในทางที่หนึ่ง แต่ตอนนี้เราเลือกทางที่ 2 แล้ว คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้กับเราแล้วที่ไม้กางเขน และเราก็ได้รับผลจากความเชื่อนั้น คือขณะนี้ เรามีชีวิตที่ดีพร้อม สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ที่วิญญาณของเรา ส่วนเนื้อหนังก็ว่ากันไป รอคอยวันที่จะได้รับร่างกายใหม่มา ทุกวันนี้เดินไปที่ไหน วิญญาณเราก็แฮปปี้ ไชโย ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า ชนะแล้ว แต่ในเนื้อหนังร่างกายจงถ่อมใจ จงรู้ว่ามันยังอยู่กับศัตรู มันยังอยู่กับสาปแช่งอยู่ ก็ประคับประคองมันไป รอวันไถ่ถอน

นี่คือชีวิตของคริสเตียนทุกคน ที่สมควรที่จะได้รับรู้ความจริงเหล่านี้  จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุขทางวิญญาณ 100% และหายเหนื่อย เป็นสุขทางร่างกาย คือทุกข์น้อยหน่อย ลำบากน้อยหน่อย มันรู้ความจริงแล้ว มันก็รับได้ ตั้งรับได้ ไม่ใช่ตั้งรับ กะว่ามาเชื่อพระเยซูไม่เจออะไรเลย  พอเจอแล้ว ไม่ไหว ตกใจใหญ่ ไม่ต้องตกใจ เจอก็รับได้ พระเยซูอยู่กับเรา อยู่ในตัวเรา มันต้องทุกข์ โอเค สู้กับมันไปเลย มันก็เบา วางลง ไม่ใช่ป่วยที ก็ …

“พระเยซูต้องรักษาๆ”

ถ้ารักษาอย่างนั้นได้ ป่านนี้ก็ไม่ต้องมีโรงพยาบาล 2,000 ปีไม่ต้องขอพระเยซูหรอก ถ้าทำได้พระเยซูทำให้แล้ว มันทำไม่ได้ มันเป็นกฎระเบียบ ที่พระเจ้าวางไว้ ตั้งแต่สมัยโน่น จงรับรู้ความจริงนี้ สอนความจริงนี้แล้ว วิญญาณจะไม่ต้องห่วง ยอมแล้ว แต่ร่างกายเธอรับรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้  แล้วดูแลให้ดีที่สุด พระเจ้าก็จะค่อยๆ สอนเราทีละนิดๆ ให้เราออกกำลังกายบ้าง กินข้าวตรงนั้น ตรงนี้ กินนั้นนิด กินนี้น้อยหน่อย เข้าใจไหม?  เพื่อประคับประคองให้ร่างกาย มันพออยู่ได้ แต่อย่าไปเทิดทูนร่างกายมัน ในที่สุด มันต้องตาย มันต้องเน่า เพื่อจะได้เกิดร่างกายใหม่ ต้นใหม่จะเกิดขึ้น เมื่อเมล็ดมันเน่า เอเมน เพราะฉะนั้น การตายจึงดีกว่าอยู่สำหรับคริสเตียน แต่ทั้งหมด ก็อยู่ที่การทรงนำของพระเจ้าทั้งสิ้น ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************