วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1527

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  มิถุนายน  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 19

“บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร? & คำอุปมา เรือแห่งสวรรค์ ที่มีแต่ประตูเข้า ไม่มีประตูออก”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            เราลองฟังอุปมานี้ดู เผื่อจะจำสิ่งที่เกิดขึ้น ที่บทเพลงนี้ได้แต่งมา แล้วร้องเมื่อสักครู่นี้ เราจินตนาการ อุปมานี้ ผมใช้เชื่อเรื่องว่า “เรือแห่งสวรรค์ ที่มีแต่ประตูเข้า ไม่มีประตูออก” เรือสวรรค์ ลองจินตนาการดู เรือลำใหญ่ๆ ที่งดงาม เกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ ลอยอยู่กลางทะเลในโลกอันปั่นป่วน เรือลำนี้มีชื่อว่าเรือแห่งสวรรค์ของพระเยซู และมีประตูทางเข้าเพียงประตูเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าไปได้ และข้อสำคัญ คือเข้าไปแล้ว ไม่มีประตูออก ที่หน้าประตูนั้น มีพระเยซูต้อนรับอยู่ พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกมา พร้อมตรัสอย่างอ่อนโยนว่า …

            “เข้ามาสิลูก เราจะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เจ้า เข้ามาสิลูก เราจะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เจ้า”

            พระองค์พูดอย่างอ่อนโยน  “เราจะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เจ้า”

            ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือยอห์น 10:28 เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระองค์ เขาก็จะถูกจูงมือเข้าไปในเรือลำนี้ ไม่ต้องซื้อตั๋ว ไม่ต้องสอบเข้า ไม่ต้องมีคุณสมบัติใดๆ  เพียงแค่เชื่อและเปิดใจต้อนรับพระองค์ ประตูก็เปิดต้อนรับเขาผู้นั้นทันที  และเมื่อเขาเข้าไปในเรือแล้ว ประตูก็ปิดลง  ไม่ใช่เพื่อกักขัง แต่เพื่อความปลอดภัย  ประตูนั้น ไม่มีลูกบิดด้านใน  ไม่มีทางออก ไม่มีใครเปิดได้อีก ไม่ใช่เพราะพระเจ้ากักขังเขา แต่เพราะพระองค์ทรงมั่นใจว่าลูกของพระองค์จะไม่มีใครพรากไปอีก ไม่ว่าจะเกิดพายุร้ายแรงแค่ไหน?  ไม่ว่าจะมีคลื่นแห่งความกลัว หรือความสงสัย ความล้มเหลว  หรือความบาป ต่อให้มีขโมยมาพยายามแย่ง ก็ไม่มีใครสามารถฉุดเขาจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ไปได้เลย

            พระองค์ทรงตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้ อาจจะมีเสียงกระซิบจากศัตรูว่าเจ้าทำบาปอีกแล้ว พระเจ้าคงจะทิ้งเจ้าแน่ เจ้าดื้อกี่ครั้งแล้ว พระเจ้าคงไม่รักเจ้าแล้ว เจ้าทำแล้ว ก็ทำอีก พลาดแล้วก็พลาดอีก  พระเจ้าไม่เอาเจ้าแล้ว”

            แต่พระเจ้าตะโกนกลับด้วยความรักว่า “ไม่ว่าอะไรในโลกนี้ จะไม่มีสิ่งใดแยกลูกออกจากเราได้ทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิตก็ตาม” ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือโรม 8:38-39  เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรือ นี่คือบ้านของลูก ลูกคือลูกพระเจ้า เรือลำนี้  เป็นที่ที่บุตรของพระเจ้าได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ และจะยังมีร่องรอยความอ่อนแอ แม้จะเรียนรู้ยังไม่จบ ยังไม่สิ้นก็ตาม พระองค์ก็ไม่เคยทิ้ง เมื่อเข้าแล้วเข้าเลย ไม่มีวันออก ไม่มีตั๋วหมดอายุ ไม่มีวันหมดสัญญา มีแต่ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และการทรงสถิตที่ไม่มีวันพรากจากกัน แม้เราจะล้มลงผิดพลาดเท่าไรก็ตาม  แต่พระองค์จะไม่โยนเรากลับลงทะเล เพราะความรอดในพระคริสต์มั่นคงนิรันดร์ ไม่มีวันหายไปเลย เอเมน”

            ครั้งที่แล้ว ตอนที่ 18 จบลงที่ 1 ยอห์น 5:14-15 วันนี้ตอนที่ 19 ใช้ชื่อเรื่องว่า “บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร?” เริ่มต้นที่ 1 ยอห์น 5:16 …

        1 ยอห์น 5:16 “คน​ที่เห็น​พี่น้อง​ของ​ตัวเอง​ทำ​บาป แต่​เป็น​บาป​ที่​ไม่ได้​นำ​ไป​ถึง​ความตาย เขา​ควร​จะ​ขอ​ต่อ​พระเจ้า​ สำหรับ​พี่น้อง​คนนั้น และ​พระเจ้าจะ​ให้​ชีวิต​กับ​พี่น้อง​คนนั้น ผม​กำลัง​พูด​ถึง​คน​ที่​ทำ​บาป ​ซึ่ง​ไม่ได้​นำ​ไป​ถึง​ความตาย แต่​บาป​ที่​นำ​ไป​ถึง​ความตาย​ก็​มี​ด้วย ผม​ไม่ได้​บอก​ให้​คุณ​ขอ ​สำหรับ​คน​ที่​ทำ​บาป​แบบนั้น”

            บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณ ความตายตรงนี้  คืออะไร? บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณในบริบทนี้ ในหนังสือ 1 ยอห์น บทที่ 5 หมายถึงบาปเล็กน้อย บาปทั่วไป ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าบาปใหญ่หรือบาปเล็ก เรียกว่าบาปก็แล้วกัน  ที่คริสเตียนทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ยังคงทำในชีวิตประจำวัน  คือบาปที่ประพฤติตามกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง  แทนที่จะประพฤติตามพระวิญญาณบริสุทธิ์  เรียกว่าบาป ซึ่งเป็นบาปที่ไม่ใช่คริสเตียนเผชิญเท่านั้น แต่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ก็เผชิญกับบาปนี้ทั้งหมดเลย มันเป็นอิทธิพลของความบาปที่ปกคลุมอยู่เหนือบนโลกใบนี้ ก็คืออิทธิพลของความบาปที่จะชักจูง ล่อลวงให้มนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต่อต้าน หรือตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าอยากให้ทำ เราเรียกว่าการชักจูง ล่อลวงของระบบของโลกนี้ ที่มีอิทธิพล มีพลัง เรียกว่าพลังของความบาปและความตาย ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้ และอยู่เหนือมนุษย์ทุกคน ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เขียนไว้ ใช้ชื่อว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง หรือกระแสของโลก

            กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง กระแสของโลก หรือเนื้อหนังเฉยๆ ก็คือความบาปนั่นเอง  ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ใช้คำเหล่านี้หมดเลย  อิทธิพลเหล่านี้ เรามองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ เป็นจริงๆ เป็นลักษณะวิญญาณจริงๆ คือมันมีพลังจริงๆ ที่ดูดให้คน ผลักดันให้คนไปทำสิ่งที่เรียกว่าบาป ไปทำตามมัน จะได้รู้ว่าไม่ใช่ตัวเรา เป็นมัน มันคือไม่ใช่ตัวเรา หลายครั้งเราทำบาป หลายครั้งเราทำไม่ถูกต้อง เรานึกว่าตัวเราเองเป็นคนทำ จริงๆ มันมีพลังอำนาจหนึ่งที่มองไม่เห็น ผลักดัน ชักจูง ล่อลวงให้เราทำ  นี่แหละ ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราก็ถูกชก 2 ต่อเลย 1 มันล่อลวงเรา ล่อลวงเราไม่พอ แถมพอล่อลวงเราเสร็จปุ๊บ เราทำปุ๊บ มันใส่หมัดที่ 2 มา ให้เราฟ้องผิดตัวเอง …

            “ฉันมันแย่ ฉันมันเลว”

            อ้าว! ชกตัวเองอีก นึกภาพนะ น่าสงสารไหม? ถ้าเรารู้ความจริง อย่างน้อยเราถูกชก ถูกล่อลวงไป มันไม่ใช่ตัวเรานี่ เราต้องสู้กับมัน อย่างนี้พอจะมีทางแล้ว เหมือนพยาธิที่อยู่ในตัวเรา เราไม่รู้ว่าพยาธิ เรานึกว่าตัวเราเองเป็นอย่างนั้น  ตายเลย หาทางไม่เจอ ไม่รู้จักต้นเหตุ แต่พอเรารู้ว่าเป็นพยาธิ ไม่ใช่เราเอง กินยาถ่ายพยาธิก็จบแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

            ถ้าเปรียบเหมือนกับแรงดึงดูดของโลก  แรงดึงดูดของโลกมีไหม? มี มีแรงดึงดูดของโลก มองเห็นไหม? ไม่เห็น แต่ทำงานไหม? ทำงาน ทำงานหมดเลย ไม่ว่าคนนั้นจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็ตาม มันทำงานตลอด

            “ฉันไม่ได้ตั้งใจเดินไปตรงนั้น แล้วไม่ใส่เข็มขัดนิรภัยเลย แล้วมันร่วงลงมา ฉันไม่ได้ตั้งใจเลย”

            ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจมันก็ดูด เป็นคนดีหรือเป็นคนไม่ดี ก็ดูด ดูดตกลงมาเท่านั้น ถ้าเผื่อเข้าไปสู่เงื่อนไขของระบบการทำงานของแรงดึงดูดของโลก มันดูดตกหมด

            กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังก็เช่นเดียวกัน “ทำบาป ฉันไม่ตั้งใจ พระเจ้าคงเข้าใจ” ไม่เข้าใจหรอก เหมือนกับเราบอก เราเดินขึ้นไปข้างบน แล้วเราไม่ใส่เซฟตี้ แล้วเราตกลงมา แล้วเราก็บอกว่า

            “แรงดึงดูดน่าจะเข้าใจนะว่าฉันลืมใส่ครั้งเดียวเอง ทุกทีฉันใส่ตลอด แต่ครั้งนี้ฉันไม่ได้ใส่ น่าจะเข้าใจ น่าจะไม่ดูดฉัน หรือว่าฉันเป็นคนดี ไม่น่าดูดฉันเลย” อย่างนี้เป็นต้น

            จะได้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าเราตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ มันมีอยู่ในนั้น ไม่ตั้งใจ มันก็ผลักดันให้เราทำ ตั้งใจก็คือมาจากมันที่ชักจูงให้เราทำ

            พอบอกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันชักจูงให้เราทำบาป บาปเหล่านั้นมีอาการอย่างไร? บอกหมดเลยว่าอาการมันเป็นอย่างนี้ ใครที่ถูกชักจูง มนุษย์ที่ถูกชักจูงกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังให้กระทำ อาการมันจะเป็นอย่างนี้ กาลาเทีย 5:19-21 …

        กาลาเทีย 5:19-21 “การ​กระทำ​ฝ่าย​เนื้อหนัง​นั้น ​เห็น​ได้​ชัด ​คือการ​ประพฤติ​ผิด​ทาง​เพศ ความ​สกปรก​โสมม ความ​มักมาก​ใน​กาม การ​บูชา​รูป​เคารพ การ​ใช้​วิทยาคม ความ​เกลียด​ชัง การ​มี​ความ​เห็น​ที่​ไม่​ลงรอย​กัน  ความ​อิจฉา ความ​โกรธ​เกรี้ยว การ​แก่งแย่ง​ชิงดี ความ​แตกแยก และ​การ​แบ่ง​พรรค​แบ่ง​พวก ความ​ริษยา การ​เมา​เหล้า ดื่ม​สุรา​เฮฮา​มั่วสุม และ​สิ่ง​อื่นๆ ใน​ทำนอง​นี้”

            และในโรม 1:29-31 …

        โรม 1:29-31 “ความ​ไม่​ชอบธรรม ความ​ชั่วร้าย ความ​โลภ และ​เสื่อม​ศีลธรรม​สารพัด พวก​เขา ​เต็ม​ด้วย​ความ​อิจฉา ฆาตกรรม การ​วิวาท หลอกลวง การ​ปองร้าย ช่าง​นินทา การ​ว่าร้าย เกลียดชัง​พระ​เจ้า สบประมาท เย่อหยิ่ง โอ้อวด ริ​วางแผน​ทำ​ความ​ชั่ว ไม่​เชื่อฟัง​บิดา​มารดา โง่​เง่า ไร้​ความ​เชื่อ ไร้​ความ​รัก ไร้​ความ​เมตตา”

            นี่บันทึกไว้อยู่ในพระคัมภีร์ และยังมีอยู่ในพระคัมภีร์ ข้ออื่นๆ อีกประมาณหนึ่งว่าการขาดความอดทน หรือขาดความเมตตาต่อผู้อื่น อาการนี้ก็เช่นเดียวกัน หรือการพึ่งพาตนเอง มากกว่าการพึ่งพาพระเจ้า  ก็เป็นบาป อันสุดท้ายยิ่งชัดเลย การละเลยที่จะทำความดี เมื่อมีโอกาส รู้ว่าดี แล้วไม่ทำ ก็เป็นอาการหนึ่งของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันจะรอดไหมเนี้ยมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ มนุษย์ทุกคนทำหมด ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ  เพราะมาอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย บนโลกใบนี้ พลังงานของการดึงดูดให้เราไปทำสิ่งนี้เท่ากันทุกคน เพียงแต่มันจะโผล่ออกมาอาการใด ไม่เหมือนกัน  แต่อยู่ในข่ายนี้ คิดดูสิ พระเจ้าให้เท่ากันเลยว่าเป็นความบาปเหมือนกัน ตั้งแต่ฆ่าคนตายถึงไม่เชื่อฟังพ่อแม่ หรือเย่อหยิ่ง มีค่าเท่ากัน เป็นบาปเหมือนกัน มาจากแหล่งเดียวกัน มาจากตะกร้าเดียวกัน เรียกว่าตะกร้าของเนื้อหนัง หรือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แล้วจะมีใครรอดสักคนหนึ่ง ที่ไม่เคยทำเลย เกิดมา ไม่เคยดื้อต่อพ่อแม่เลย  เกิดมาไม่เคยพูดโกหกเลย มันเป็นไปไม่ได้เลย เห็นไหม? นี่คือมนุษย์ไม่สามารถพึ่งตนเองได้เลย เพราะว่ามันมีอำนาจของความบาปปกคลุมอยู่

            ซึ่งนี่ก็คือความบาปที่เราอ่านมาทั้งหมด อาการทั้งหมด ความบาปบนโลกใบนี้ บาปเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคน รวมทั้งผู้เชื่อพระเจ้าแล้ว หรือคริสเตียนแล้ว ต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน เพราะผู้เชื่อได้รับการอภัยทั้งหมดนี้เรียบร้อยไปแล้วทางฝ่ายวิญญาณ ก็จริงอยู่ แต่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เขาก็อยู่ใต้พลังอำนาจนี้เหมือนกัน เหมือนกับยังอยู่ใต้แรงดึงดูดของโลกอยู่ ยังไม่ได้หลุดออกจากโลกนี้ไป มันก็ยังอยู่ภายใต้พลังแรงดึงดูดของโลก ยังไม่ได้ออกจากโลกนี้ยังอยู่ภายใต้พลังอำนาจของกิเลสตัณหาของความบาปและความตาย ก็คือภายใต้อาการเหล่านี้ แต่ว่าภายใต้ในลักษณะที่ไม่ได้ต้องชดใช้ อะไรอีกแล้ว  เพราะเขาได้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งหมดนี้แล้ว ที่อ่านมาทั้งหมด มีโอกาสทำดี แต่ไม่ทำดี ก็ได้อภัยไปแล้ว นี่คือคริสเตียน แต่ถ้าเผื่อยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ก็ยังอยู่ในการชดใช้ ทำบาป ก็ต้องชดใช้หนี้บาป  นึกภาพออกใช่ไหม?

            และข้อที่เขียนไว้ว่าพระเจ้าจะประทานชีวิต แก่ผู้ที่ทำบาปเหล่านี้  ก็คือประทานชีวิตแก่คริสเตียนที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ลองอ่านอีกครั้งหนึ่ง คำว่า “ชีวิต” ในที่นี้จะหมายถึงอะไร? ย้อนกลับไปเมื่อสักครู่นี้ 1 ยอห์น 5:16

        1 ยอห์น 5:16 “คน​ที่เห็น​พี่น้อง​ของ​ตัวเอง​ทำ​บาป แต่​เป็น​บาป​ที่​ไม่ได้​นำ​ไป​ถึง​ความตาย เขา​ควร​จะ​ขอ​ต่อ​พระเจ้า​ สำหรับ​พี่น้อง​คนนั้น และ​พระเจ้าจะ​ให้​ชีวิต​กับ​พี่น้อง​คนนั้น”

            เกรงว่าท่านจะสับสน อ้าว! ให้ชีวิต ไหนบอกว่าเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าประทานชีวิตแล้ว แล้วไหนจะให้ชีวิต

            คำว่า “ชีวิต” ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับมนุษย์ ตอนเปิดใจรับเชื่อแล้วทันที คำว่า “ชีวิต” ในข้อนี้ หมายถึงการฟื้นฟู การเสริมสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณของคริสเตียน ผู้เชื่อที่กำลังหลงผิด ถูกล่อลวง โดยพลังอำนาจของความบาปและความตาย ของเนื้อหนัง ให้ทำสิ่งที่มีอาการ ที่เรียกว่าอาการของเนื้อหนัง ให้ทำบาปออกมา  เขายังมีชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิม แต่ว่าพระเจ้าจะช่วยเขาให้หลุดพ้นออกจากการติดบ่วง ถูกล่อลวงให้ทำผิดบาป ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเขา อยู่ภายใน เพราะว่าสำหรับคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วนั้น ชีวิตนิรันดร์เป็นสิ่งที่เขาได้รับเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เขาได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ชีวิตนิรันดร์เป็นของเขาแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกเลย เป็นชีวิตนิรันดร์ที่อยู่ในตัวแล้วตลอดไป พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา  ไม่มีทางที่จะเป็นอื่นไปได้อีกเลย  เขาได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวแล้ว เข้าแล้ว ไม่มีออกแล้ว  ได้รับแล้ว ไม่มีทางสูญเสียไปเลย ยอห์น 3:16 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการ บังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์”

            คนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตรจะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์เลย  เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ไม่มีทางที่จะไปไหนได้อีกแล้ว  นี่คือความรอดนิรันดร์ที่ผู้เชื่อ หรือคริสเตียนได้รับแล้ว  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ยอห์น 10:28  ก็บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 10:28 “เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้น ไปจากมือของเราได้”

            เป็นการยืนยันว่าชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ให้กับคริสเตียนผู้เชื่อ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูนั้น เขาได้รับชีวิตนิรันดร์ทันทีเลย และชีวิตนิรันดร์จะอยู่กับเขาอย่างนั้นตลอดไป ชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกัน

            ดังนั้น การประทานชีวิตในข้อนี้ ในบริบท 1 ยอห์น บทที่ 5 นี้จึงหมายถึงการฟื้นฟูความสัมพันธ์และการเสริมสร้าง  ความแข็งแรง แข็งแกร่งของชีวิตฝ่ายวิญญาณของพวกเขาที่ถูกล่อลวงให้ทำบาป มันเป็นการฟื้นฟู ประทานการฟื้นฟู ให้ชีวิตดีขึ้น ไม่สับสน เพื่อให้ผู้เชื่อเหล่านั้น ได้ กลับมาดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามถ้อยคำพระเจ้า ให้สมควรกับการที่เขาได้เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว และไม่หลงกลศัตรู คือไม่หลงกลการผลักดัน การชักจูงของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งคือระบบของโลกนี้  ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า คอยทำอะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้านั่นเอง ในยากอบ 5:19-20 ก็ได้พูดในลักษณะนี้ …

        ยากอบ 5:19-20 “พี่น้องทั้งหลายถ้าคนใดในพวกท่านหลงผิดไปจากความจริง  และผู้ใดชักจูงเขา ให้เขากลับใจเสียใหม่ได้ จงให้ผู้นั้นรู้เถิดว่าผู้ที่ช่วยคนบาปคนนั้น ให้พ้นจากทางผิดของเขา ก็ได้ช่วยชีวิตหนึ่ง ให้รอดพ้นจากความตาย (หมายถึงความทุกข์ยากลำบาก และปัญหาต่างๆ ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งเป็นผลจากการกระทำบาป) และได้ขจัดการบาป เป็นอันมากไว้”

            คำว่า “ให้รอดพ้นจากความตาย” อย่าเข้าใจผิด นึกว่าพอเขาทำบาป แล้วเขาตาย  ไม่ใช่หมายถึง ลักษณะวิญญาณตาย วิญญาณเขาไม่ตายแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นพี่น้อง แต่ทำไมในนี้บอกว่ารอดพ้นจากความตาย

            รอดพ้นจากความตายตรงนี้ ก็คือตรงกันข้ามกับประทานชีวิต ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ในหนังสือ 1 ยอห์น 5:16  ไม่ได้หมายถึงชีวิตนิรันดร์ คำว่า “ตาย” ก็ไม่ได้หมายถึงความตายทางฝ่ายวิญญาณ แต่หมายถึงการรับสิ่งที่ผลของการถูกล่อลวงให้ทำบาป การเก็บเกี่ยวทางฝ่ายวิญญาณ การเก็บเกี่ยว หรือผลที่ตัวเองหว่านลงไปในย่านเนื้อหนัง ไม่ใช่พระวิญญาณ หว่านทางเนื้อหนัง ก็คือทำตามกระแสของโลกนี้ ระบบของโลกนี้ ก็เก็บเกี่ยวความตาย  หมายถึงเก็บเกี่ยวย่านของความตาย ก็คือความทุกข์ ความลำบาก  ปัญหาต่างๆ  สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความทุกข์ที่มันมีอยู่แล้วเป็นประจำ ในโลกใบนี้ มันก็มากขึ้น ไปเพิ่มเติมความทุกข์ให้มากขึ้น

            ในนี้บอกว่าให้เราอธิษฐานให้กับพี่น้องที่ทำบาปเหล่านี้ ก็คือให้กับคริสเตียนเหล่านี้ เป็นการแสดงความรัก ความห่วงใยในชุมชนคริสเตียน โดยเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำพวกเขาให้กลับมาสู่ทางที่ถูกต้อง  เขาถูกล่อลวงให้ทำผิด มันเป็นทุกข์ต่อตัวเขา เก็บเกี่ยวในด้านฝ่ายวิญญาณแห่งความตาย ช่วยเขา เป็นกำลังใจให้เขา อธิษฐานให้เขา เข้าใจเขา หนุนใจเขา เพราะขณะที่เราหนุนใจเขา หรืออธิษฐานให้เขา ตัวเราเองข้างใน เราก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ นึกออกใช่ไหมว่าพระวิญญาณก็จะช่วยนำพาให้เขา ได้กลับมาสู่ทางที่ถูกต้อง  โดยพระเจ้าจะนำเขากลับมาสู่ทางที่พระองค์ต้องการ  เพื่อเสริมสร้างเขาให้มีความเชื่อ  มีความเข้มแข็งในถ้อยคำของพระเจ้า สามารถชนะการล่อลวงเหล่านั้นได้ อย่างเช่น คนติดเหล้า ติดบุหรี่  ติดนิสัยที่ไม่ดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น  นี่เรากำลังพูดถึงคริสเตียน แล้วทำอย่างไร? ให้อธิษฐานให้คนทำผิดเหล่านั้น เขาได้รับการอภัยแล้ว แต่เขาต้องการกำลังจากพวกเราที่เข้าใจเขา เพื่อช่วยเขาให้หลุดพ้นออกจากการหลงไปสู่การกระทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเป็นโทษให้กับเขา

            ยกตัวอย่าง อย่างเช่นตะกี้นี้บอกว่ากินเหล้า สูบบุหรี่ มันก็ทำให้เขาเสียสุขภาพ เสียเงิน เสียทอง เสียอะไรอีกหลายๆ อย่าง แล้วกระทบไปถึงครอบครัว กระทบไปถึงคนอื่น ออกไปขับรถ ไปชนคนอื่นเสียชีวิตอีก มีแต่เรื่องมากขึ้น ก็คือบาปต่อบาป ผลของความบาป ไปเรื่อยๆ ต่อไปเยอะแยะมากมาย จากคนนี้กระทบไปถึงคนนี้ กระทบไปถึงครอบครัว กระทบไปถึงคนโน้นคนนี้ ทะเลาะเบาะแว้งกัน เป็นเรื่องใหญ่เลย เหมือนน้ำผึ้งหยดเดียว อย่างนั้นแหละ

            ในนี้จึงบอกว่าการที่พระเจ้าให้พี่น้องอธิษฐานให้คนเหล่านี้ เพื่อที่จะช่วยเหลือคนเหล่านี้ ให้ฟื้นฟูชีวิตในพระคริสต์ ในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้กลับคืนมาใหม่ เป็นการขจัดความบาปออกจากโลกนี้ด้วย คือการขจัดความบาป ไม่ให้มันมากขึ้น เพราะถ้าเขาหยุดกระทำสิ่งเหล่านั้นได้ สิ่งที่กระทบมา สิ่งไม่ดีต่างๆ เหล่านั้น มันก็น้อยลงไป จะเห็นชัดเลย

            คราวนี้มาอันที่ 2 บาปที่นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณ คืออะไร? ที่ตะกี้เราอ่านใน 1 ยอห์น 5:16 ที่บอกว่า …

        1 ยอห์น 5:16   “แต่​บาป​ที่​นำ​ไป​ถึง​ความตาย​ก็​มี​ด้วย   ผม​ไม่ได้​บอก​ให้​คุณ​อธิษฐานขอ  ​สำหรับ​คน​ที่​ทำ​บาป​แบบนั้น”

            เมื่อตะกี้นี้ บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตาย พระเจ้าบอกว่าให้อธิษฐาน ช่วยเหลือคนเหล่านั้น แต่ทำไมมาถึงตรงนี้ พระเจ้าบอกว่าไม่ต้องอธิษฐานให้กับคนที่ทำบาป ที่นำไปสู่ความตาย

            เรามาดูกันสิ “บาปที่นำไปสู่ความตาย คืออะไร?”  ทำไม่ได้เลย เพราะนำไปสู่ความตาย คำว่า “นำไปสู่ความตาย” ความตายนี้ คือตายนิรันดร์ฝ่ายวิญญาณ  ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้านิรันดร์เลย มัทธิว 12:31-32 พระเยซูเป็นผู้อธิบายให้เราฟัง …

        มัทธิว 12:31-32  “เพราะฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่าความผิดบาป และคำหมิ่นประมาททุกอย่าง จะโปรดยกให้มนุษย์ได้  เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้มนุษย์ไม่ได้ ผู้ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะโปรดยกให้ผู้นั้นได้  แต่ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ ทั้งโลกนี้ โลกหน้า”

            “ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า” ชัดเลย โลกนี้และโลกหน้า หมายถึงชีวิตในปัจจุบัน โลกนี้ โลกหน้า คือชีวิตหลังความตาย  ก็หมายถึงความบาปนี้จะไม่ได้รับการอภัยจนถึงนิรันดร์นั่นเอง  และมันคืออะไร?  พระเยซูบอกว่า “กล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์” หมายถึงการปฏิเสธ และต่อต้านการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระกายของพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ และ 3 ปีสุดท้ายมาประกาศว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระคริสต์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์นั่นเอง การปฏิเสธนี้  เป็นการปฏิเสธไม่ยอมรับการช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ผ่านทางพระเยซูคริสต์ และเป็นการปฏิเสธความเชื่อในพระเยซู ไม่ไว้วางใจ ไม่พึ่งพาพระองค์  ในฐานะเป็นพระมาซีฮาห์  พระเมสโปดกของพระเจ้า  ลูกแกะของพระเจ้า พระคริสต์  พระผู้ช่วยให้รอด ที่มนุษย์รอคอยมาเป็นเวลาหลายพันปี  ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ตอนนี้มาแล้ว และมาสำแดงว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์แล้ว  โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ลงมาสถิตอยู่กับพระองค์ ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เป็นมนุษย์ และทำการอัศจรรย์อย่างไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และกระทำหลายสิ่งหลายอย่างเป็นไปตามถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิมของชาวยิว

            เพราะนี่กำลังพูดกับชาวยิว ให้ชาวยิวได้รู้ว่าการปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทั้งๆ ที่เห็นอัศจรรย์เหล่านั้น ที่พระเยซูทำ การชุบคนตายให้เป็นขึ้นมาใหม่ การอัศจรรย์ คนหายโรคอย่างอัศจรรย์ ที่พระองค์ทรงกระทำนั้น ไม่มีใครที่ไหนบนโลกใบนี้ มนุษย์คนไหนเคยทำมาก่อน และจะทำอีก และจะเคยทำ และจะมีขึ้นมาในโลกนี้ ไม่มีอีกแล้ว มีพระองค์เพียงผู้เดียวที่ทำการอัศจรรย์จริงๆ เหล่านี้ มีเพียงพระองค์ผู้เดียว ตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปี ก็ไม่เคยมีใครทำอย่างนี้เลย แม้แต่นิดเดียว ใกล้เคียงนิดหนึ่งก็ยังไม่มีเลย และก่อนหน้าที่พระเยซูจะมา ก็ไม่มีทำอัศจรรย์ถึงขนาดนี้  คนตายไปแล้ว อยู่ในอุโมงค์ตั้งหลายวันแล้ว เรียกออกมา กลิ่นเหม็นอยู่เลย  การอัศจรรย์เหล่านี้ มันปฏิเสธไม่ได้ แต่พวกฟาริสี ชาวยิวบางคนปฏิเสธ ไม่เชื่อพระองค์  โดยบอกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำอัศจรรย์นั้น เป็นผี เป็นมาร เป็นซาตาน เป็นผู้กระทำ หมายถึงพระเยซูทำการอัศจรรย์ผ่านทางมารที่อยู่ภายใน

            ก็คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์จริงๆ ทั้งๆ ที่ได้รับการอัศจรรย์เหล่านั้น พระเยซูจึงบอกว่าพวกนี้ไม่มีทางหรอก เพราะว่าเขาปฏิเสธ ต่อให้อัศจรรย์ที่เขาบอกว่า “ไหนลองทำอัศจรรย์ให้ดูหน่อย” ที่ทำไปมันเยอะพอแล้ว  พระเยซูบอกว่าต่อให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายอีกไม่กี่วัน พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว เป็นขึ้นจากความตาย เขาก็ไม่เชื่อหรอก เพราะว่าในใจเขาดื้อด้านไปหมดแล้ว มันไม่เชื่อ  เพราะไม่เห็นการอัศจรรย์ เห็น แต่ใจไม่รับซะอย่าง ไม่มีเหตุผลเลย ก็คือไม่รับ ใจปฏิเสธพระเยซู ซึ่งเทียบกับปัจจุบัน ก็คือพูดอย่างไร? ให้ตายอย่างไร? ก็ไม่เข้าใจ ต่อให้ตอนนี้มีอัศจรรย์เกิดขึ้น คนก็ไม่เชื่อพระเยซูหรอก เพราะว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัศจรรย์อย่างเดียว แต่มันขึ้นอยู่ภายในใจของเขา ที่จะยอมรับพระเยซูคริสต์เมื่อถึงเวลา ยอห์น 3:18 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:18 “คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            “เหมือนเดิมอยู่แล้ว” ก็คือมนุษย์ตกอยู่ในความบาป อยู่ในทะเลของความบาป รอคอยการจมลงไปให้ตาย  แล้วพระเยซูนำสวรรค์มาให้ แล้วยื่นมือไป ถ้าใครรับ พระองค์ก็จับมือเขาดึงขึ้นมา เขาก็ไม่จม แต่ใครปฏิเสธ ในที่สุด เขาก็จะหมดแรง แล้วก็ต้องจมลงไปใต้ทะเล เพราะว่าเขาปฏิเสธการช่วยให้รอดของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็คือไม่ไว้วางใจ ไม่พึ่งพาในนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษย์ เป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าสู่สวรรค์ของพระบิดาได้

            เพราะฉะนั้น นี่คือบาปเดียวที่นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณ ที่บันทึกไว้เมื่อสักครู่นี้  สรุป ก็คือการปฏิเสธ ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระคริสต์นั่นเอง แล้วลองคิดดู นี่คือบาปเดียว  ที่ทำให้ไม่รอด สำหรับคริสเตียน ผู้เชื่อในพระเยซู และวางใจ และยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว บาปทั้งหมด ได้รับการอภัยแล้ว นี่ไง มันเป็นอย่างนี้ เห็นชัดใช่ไหม? มนุษย์ทุกคน ทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ อยู่ในทะเลของความบาปบนโลกใบนี้ เห็นชัดๆ ทุกคนทำบาปหมด เปียกปอนด้วยความบาปหมด  เพราะอยู่ในทะเลความบาปเหมือนกัน  แต่ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ได้รับการอภัยจากบาป ผู้ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้รับการอภัย ก็อยู่ในบาป ก็แค่นี้เอง  พระเยซูไม่ได้มาตัดสินว่าให้คนนี้บาป คนนี้ไม่บาป  เพราะมนุษย์ทุกคนบาปอยู่แล้ว พระเยซูมา เพื่อช่วยให้รอด โคโลสี 2:13-14 …

        โคโลสี 2:13-14 “13ท่านทั้งหลายซึ่งก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า ตอนนี้ ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิต บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ 14 พระองค์ทรงยกเลิกกฎแห่งการกระทำ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ ซึ่งกล่าวถึงข้อบังคับที่เราต้องทำตามทุกข้อโดยสมบูรณ์ ผิดข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่ได้ ซึ่งมนุษย์เราไม่สามารถทำได้ พระองค์ได้ทรงยกเลิกมันไปบนไม้กางเขน พระเยซูได้ทำสิ่งนี้ เพื่อให้เรา ได้รับการอภัย และกลับมามีชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่ในพระองค์”

            “ผิดข้อใดข้อหนึ่ง ก็ไม่ได้” เห็นไหม? เมื่อตะกี้เราอ่านตอนต้น ในหนังสือกาลาเทีย ในหนังสือโรม ที่บอกว่าอาการของความบาปเหล่านี้ ตั้งแต่ฆ่าคนตาย ถึงนินทาชาวบ้านเขา ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ซึ่งทุกคนโดนหมด ผิดข้อหนึ่งก็ไม่ได้  โกรธเขานิดหนึ่ง ก็ไม่ได้แล้ว ก็ต้องชดใช้  ก็ต้องพินาศ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำได้ ในข้อนี้บอกไว้ พระเยซูจึงต้องมาช่วยไง พระเยซูได้ทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้เราได้รับการอภัย และได้กลับมามีชีวิตใหม่ ได้บังเกิดใหม่ในพระองค์ มาช่วย เพื่อให้เราหลุดพ้นจากกฎของการกระทำ คือทำบาป ก็ต้องโดนลงโทษทุกคน และทุกคนก็ต้องทำบาปอยู่แล้ว ก็ต้องโดนลงโทษ  แต่พระเยซูบอกว่าเพื่อให้เราหลุดพ้นจากกฎของการกระทำ คือไม่ต้องอยู่ในกฎนั้น มาอยู่ในกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่กฎแห่งการกระทำ เป็นกฎแห่งพระคุณ คือพระเยซูคริสต์ได้เอาความบาปของเราออกไปหมดเลย ยกเราออกจากกฎนั้น เข้ามาอยู่ในกฎของพระคุณของพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าบาปเดียว ซึ่งคริสเตียนผู้เชื่อไม่สามารถทำได้อีกแล้ว ก็คือเขาหรือเราคริสเตียนไม่สามารถปฏิเสธพระเยซูคริสต์ได้อีกแล้ว เพราะว่าเราได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้ต้อนรับไปแล้ว เราได้อยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว เราไม่มีโอกาสที่จะปฏิเสธพระเยซูคริสต์อีกแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อบาปเดียว ที่ทำให้มนุษย์ไม่ได้รับความรอด อยู่ในความพินาศนั้น คือการปฏิเสธพระเยซูคริสต์ คริสเตียนจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะสูญเสียความรอดอีกเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะเขาไม่มีโอกาสกลับไปทำบาป ที่นำไปสู่ความตายอีก ชัดเจนเลยนะ

            เพราะในขณะนี้ เขาได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ได้รับความรอด ก็คือได้รับวิญญาณนิรันดร์จากพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ซ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในพระเจ้า พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในเขา และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเขา เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่มีทาง เป็นอื่นไปได้ อย่างชัดเจนเลย บาปทั้งหลายทั้งปวงที่ผู้เชื่อได้ทำ หรืออาจจะทำบาปในอนาคต พระเจ้าได้อภัยให้หมดแล้ว

            นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น โดยพระเยซูคริสต์กระทำบนไม้กางเขน จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนได้รับการอภัยโทษจากบาปเรียบร้อยไปแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบันและบาปในอนาคต หมดแล้ว เพียงแต่ผู้ที่ไม่เชื่อ มันก็ไม่ได้เกิดผลในชีวิตของเขา

            ข้อความต่อไปใน 1 ยอห์น 5:16 บอกว่า “ผมไม่ได้บอกให้คุณขอ หรืออธิษฐานขอการอภัย สำหรับคนที่ทำบาปแบบนั้น”

            “ผมไม่ได้บอกให้คุณขอ หรือเขาเรียกว่าอธิษฐานขอสำหรับคนที่ทำบาปแบบนั้นเลย” ก็คือคนที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ทำไมอาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าไม่ต้องไปขอให้เขาหรอก เพราะอะไร? เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าเพราะเขาได้รับการอภัยทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้ว  ได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน  ไม่ต้องขอแล้ว เขาแค่เชื่อและรับเอาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เรา พี่น้องที่รู้จักกับเขา จะไปขอความรอดให้กับเขา ขออภัยความบาปให้กับเขา รู้ว่าเขาเป็นคนบาปเหมือนเราในอดีต

            “พระเจ้าขออภัยให้กับเขาด้วย”

            พระเจ้าบอกว่า “ให้ไปแล้วไง”

            เราบอก “พระเจ้า ขอความรอดให้กับเขา”

            พระเจ้าบอก “ทำให้เรียบร้อยแล้ว”

            แล้วไปขอ มันก็ไม่มีประโยชน์  เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรทำ ก็คือ “พระเจ้า ขอพระเมตตาพระองค์ส่งข่าวประเสริฐ ที่เขาสามารถรับได้ไปช่วยเขาด้วยเถิด ให้เขาได้ยินได้ฟังอีก”

            อย่างนี้ยังมีโอกาส เพราะว่าคนจะรอดได้ ต้องรอดจากการได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐของแท้ ของจริง เพราะข่าวประเสริฐของแท้ของจริงเป็นฤทธิ์เดช ไม่ใช่เป็นศาสนา ไม่ได้มาสอนศาสนา ไม่ได้มาเป็นการปรับปรุงความประพฤติ แต่เป็นการอัศจรรย์เกิดขึ้น คือเขาจะได้บังเกิดใหม่ จากข่าวประเสริฐ ข่าวดีนั้น 1 ยอห์น 5:17 …

        1 ยอห์น 5:17 “การอธรรมทุกอย่างเป็นบาป แต่มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย (ฝ่ายวิญญาณ)”

            “การอธรรม” คือการทำชั่วทุกอย่าง เป็นบาป  แต่บาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย ก็คือตายทางฝ่ายวิญญาณ ข้อความนี้สื่อถึงความจริงที่ว่าทุกการกระทำ ที่ไม่เป็นไปตามความประสงค์ของพระเจ้า เขาเรียกว่ามีส เดอะ ทาเก็ต ไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า เรียกว่าบาปทั้งสิ้น การอธรรม  เป็นบาปทั้งสิ้น  ไม่ใช่ทุกบาปที่นำไปสู่ความตาย  บาปที่นำไปสู่ความตายก็มี บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายก็มี

            การรับรู้แล้วว่าเมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับการอภัยโทษจากบาป หมดเรียบร้อยแล้ว ในพันธสัญญาใหม่ ได้เขียนชัดเจนเลยบอกว่าเมื่อทำบาป โดยที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว  บาปที่กระทำในพระเยซูคริสต์นั้น ที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกว่าการทำชั่วหรือทำบาปนั้น มันก็ยังเป็นบาปอยู่ แต่เป็นบาปในพระเยซูคริสต์ที่ได้รับการอภัยแล้ว ไม่ใช่ไม่เป็นบาปนะ เป็นบาป แต่เป็นบาปที่ได้รับการอภัย เพราะว่าการกระทำทุกอย่างเป็นบาป แต่มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย ก็คือทุกอย่างที่ทำชั่ว เป็นบาปทั้งนั้น คริสเตียนหรือไม่คริสเตียนทำชั่ว ก็เป็นบาปทั้งนั้น แต่มีบาปที่ไม่ถึงความตาย ก็คือบาปที่คนมาเป็นคริสเตียนทำ มันแปลว่าอย่างนั้น บาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย ก็คือบาปที่คนทำ อยู่ในพระคริสต์ ถ้าบาปนั้น ความชั่วนั้น เขาทำ ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เขายังอยู่ในโลกนี้ อยู่ในอาดัม  อยู่ในบรรพบุรุษเดิม  ยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ยังไม่ได้เชื่อ บาปนั้นต้องถูกลงโทษ  ต้องถูกชดใช้ ต้องถูกพิพากษา แต่บาปใด ทำบนโลกใบนี้เหมือนกันเลย แต่คนทำนั้นอยู่ในพระคริสต์ เป็นผู้เชื่อ บาปนั้น ได้รับการอภัย มันหมายถึงอย่างนี้

            อธิบายยากนะ  ก็ต้องพยายามอธิบายให้มันวกไปวนมาให้เข้าใจ ตรงนี้สำคัญมากเลย เพราะคนไม่เข้าใจ รับไม่ได้หรอก รับรอง พูดง่ายๆ ถ้าไม่ใช่คริสเตียน หรือแม้แต่คริสเตียนเอง บางครั้ง ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์ ข่าวดีจริงๆ ก็จะไม่เข้าใจ ก็จะนึกว่าทำไมอย่างนี้ …

            “โอ้โห! มันเป็นไปได้หรือ? อย่างนี้คนเราก็ไม่ต้องทำดีสิ”

            การทำชั่วทุกอย่างเป็นบาป แต่การทำชั่วทุกอย่างที่เป็นบาปนั้น มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตายฝ่ายวิญญาณด้วย แต่ส่งผลถึงตาย คือต้องเก็บเกี่ยวถึงตาย ก็คือขับรถเร็ว ตำรวจก็จับ

            พอตำรวจจับ แล้วบอกว่า … “ผมเป็นคริสเตียนครับ ผมไม่ต้องรับโทษ ไม่ต้องส่งผล”

            แต่ตำรวจบอกเอาใบปรับ 2 กระทงเลย  อีกกระทงหนึ่ง คือกระทงเพี้ยน  บนโลกใบนี้ ก็ต้องเก็บเกี่ยวย่านความตาย เก็บเกี่ยวผลของการกระทำนั้นว่าทำผิดกฎจราจร ก็ต้องถูกปรับ ถูกจับ แต่ในทางด้านวิญญาณ ไม่ต้องรับโทษอะไรเลย  โรม 8:1 ได้บันทึกไว้ชัดเจนเลย …

        โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ใน พระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป)”

            เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ ไม่มีโทษแล้ว ไม่มีกล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาอยู่ในพระคริสต์ เป็นผู้เชื่อ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  แต่คนที่ยังปฏิเสธอยู่ เขายังต้องอยู่ในกฎเหมือนเดิม  ก็คืออยู่ในกฎของความบาปและความตาย เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้อาศัยอยู่ในกฎของความบาปและความตายต่อจากนี้ไป เขียนไว้ในข้อ 2  ดังนั้น แม้ว่าการทำบาป การอธรรมทั้งหลายที่เป็นบาป แต่ผู้เชื่อในพระคริสต์ได้รับการอภัย และไม่ต้องกลัวการลงโทษทางฝ่ายวิญญาณเลย  ไม่ต้องห่วง ทางฝ่ายวิญญาณ ความรอดยังอยู่เหมือนเดิม ห่วงอย่างเดียวว่าไปเสียค่าปรับซะ ยอมรับซะ ถ้าไปตีหัวชาวบ้านเขา ก็จะถูกจับ ถูกปรับ ถูกติดคุก ทางวิญญาณไม่ต้องไปสนใจใครเลย เรารอดแน่นอน 100% เอเมนไหม?

            สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือการรับรู้ความจริงว่าพระเยซูได้ทำให้เราสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว คือบริสุทธิ์ สะอาด ชอบธรรม ดีพร้อม ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว เรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว 2 โครินธ์ 5:17 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            พระเจ้าทรงให้เรามีหัวใจใหม่ มีวิญญาณใหม่ที่สอดคล้องกับความประสงค์ของพระองค์ ในใจเรายินดีที่จะทำตามพระองค์ทุกประการ  การเติบโตในความเชื่อ ในการดำเนินชีวิต โดยตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการถูกล่อลวง ให้ทำบาป ตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตด้วยความรัก ความจริง และตามพระประสงค์ของพระเจ้าได้มากขึ้น คือการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ก็เรียนรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไปทีละนิดทีละหน่อยว่าเรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ในใจเราเหมือนพระเยซูเลย เราอยากจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า 100% อย่าได้ถ่อมตัวเอง อย่าได้ตำหนิตัวเอง อย่าได้ฟ้องผิดตัวเองว่า …

            “ฉันทำไมอยากทำสิ่งที่ชั่วร้าย”

            ท่านไม่ได้อยากทำเลย มันเป็นการล่อลวงจากภายนอก  เพราะฉะนั้น คริสเตียนผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ท่านไม่ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ แต่ท่านได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว จึงไม่มีบาปใดๆ ที่ท่านทำ ที่พระเจ้าจะอภัยให้ท่านไม่ได้ พระเจ้าอภัยให้ท่านหมดเรียบร้อยไปแล้ว ท่านรับไปแล้วด้วย  เพราะพระองค์ได้อภัยบาปทั้งหมด ทั้งสิ้น ให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ล่วงหน้า ในพระเยซูคริสต์ โดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ พระเยซูได้กระทำ ลบบาปให้กับเราล่วงหน้าแล้ว เพราะฉะนั้น บาปเราล่วงหน้า ได้รับการลบแล้ว เชื่อไหม? บาปที่ท่านจะกระทำพรุ่งนี้ ได้ถูกอภัยให้เรียบร้อยแล้ว ท่านเชื่อไหม? เชื่อ บาปที่ท่านจะทำปีหน้า ได้รับการอภัยแล้ว เชื่อไหม? เชื่อ บาปที่ท่านจะกระทำอีกสักครู่หนึ่ง  เดี๋ยวออกไป ก็เริ่มทำบาป ได้รับการอภัยแล้ว เชื่อไหม? เชื่อ

            จะไม่เชื่อได้อย่างไร? คิดดูสิ ก็ในเมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ เมื่อไร? กี่ปีมาแล้ว? 2,000 ปีมาแล้ว เราเกิดหรือยัง? เรายังไม่เกิด เราทำแล้วหรือยัง? เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้เราเรียบร้อยไปแล้วหรือยัง? เรียบร้อยแล้ว มันก็คือล่วงหน้า  ล่วงหน้าไป 2,000 ปีแล้ว เราเพิ่งมาเกิดตอนนี้เอง  ฮีบรู 10:10 และ 14 …

        ฮีบรู 10:10, 14 “10 และโดยพระประสงค์นี้ เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการได้ถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ 14  โดยการได้ถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป”

            “โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป” คือคนทั้งหลายที่รับในสิ่งที่พระเยซูกระทำให้ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น สมบูรณ์ตลอดไป ตั้งแต่วันนั้น 2,000 ปีมาแล้ว ก็คือชำระเราเรียบร้อยไปแล้ว ก่อนล่วงหน้า การเสียสละของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนี้ ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนได้รับการอภัยโทษจากบาป  ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนนะ  ได้ลบล้างหนี้บาปทั้งสิ้นทั้งปวงของมนุษย์ทุกคน อย่างสมบูรณ์ เรียบร้อยแล้ว ทุกคนได้รับเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่จะรับเอา หรือจะปฏิเสธ

            เพราะฉะนั้น การอธรรมทุกอย่างที่เป็นบาปบนโลกใบนี้ มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตายทางฝ่ายวิญญาณ ไม่พินาศทางฝ่ายวิญญาณ  ก็คือบาปที่คริสเตียน ที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วกระทำ  เพราะเขากระทำในขณะที่วิญญาณของเขาดำเนินชีวิต อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ไปเรียบร้อยแล้ว  เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความจริงที่ยิ่งใหญ่! พระคริสต์สถิตอยู่ภายในผู้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์

            พระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อ เป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ในพันธสัญญาใหม่ ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและใกล้ชิด ระหว่างพระเยซูคริสต์และผู้ที่เชื่อในพระองค์

            โคโลสี 1:27 … “พระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลายเป็นความหวังแห่งศักดิ์ศรี”

            ซึ่งหมายความว่าพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา และเป็นความหวังของเรา สำหรับอนาคตที่มีศักดิ์ศรี

            กาลาเทีย 2:20 เปาโลกล่าวว่า … “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว และข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า”

            ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชีวิตของผู้เชื่อถูกเปลี่ยนแปลง โดยการมีพระคริสต์อยู่ภายใน

            ยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสว่า … “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะรักษาคำของเรา และพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

            ซึ่งยืนยันถึงการสถิตอยู่ของพระคริสต์ในชีวิตของผู้เชื่อ การที่พระคริสต์สถิตอยู่ในเรานั้น เป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกจากกันได้ ระหว่างพระองค์และผู้เชื่อ และเป็นการรับรองถึงความสมบูรณ์และความบริบูรณ์ในพระองค์

            โคโลสี 2:10 … “และ​ท่าน​มี​ชีวิต​ที่​บริบูรณ์​ใน​พระ​องค์ และ​พระ​องค์​เป็น​ประมุข​เหนือ​การ​ปกครอง​และ​สิทธิ​อำนาจ​ทั้ง​ปวง”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1308

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  เมษายน  2021

 เรื่อง “สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ หัวข้อเรื่องการบรรยายมีชื่อว่า “สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์” สิ่งเดียวเอง พระเจ้าต้องการอะไร? ท่านลองคิดดูก็ได้ คิดในใจก่อน? ว่าสิ่งที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ สิ่งเดียวเอง คืออะไร? แล้วเดี๋ยวมาดูว่าคำตอบของท่านตรงกับพระคัมภีร์ที่วันนี้ผมยกมาหรือไม่?

ก่อนจะไปดูว่าพระเจ้าต้องการอะไรจากมนุษย์ เรามาดูก่อนว่าจุดเริ่มต้นของข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคน หรือหัวใจของข่าวดีนี้ คืออะไร? ก็คือความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษยชาติ

สรุป ประมวลข่าวดีนี้ ก็คือพระเจ้าทรงรักมนุษย์มากเหลือเกิน ที่มีบันทึกไว้ในหนังสือยอห์น 3:16 …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

คำว่า “โลก” ตรงนี้ มีรากศัพท์มาจากคำว่า “Kosmos”  ที่มีความหมายรวมถึงสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมด

พระองค์ทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก ก็คือรักมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงให้กำเนิดมายิ่งนัก “รักโลกยิ่งนัก” คือสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ก็สร้างขึ้นมาให้มนุษย์นั่นเอง เหมือนบ้าน  ที่อยู่อาศัย  ทรัพย์สมบัติของเขานั่นเอง เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงรักใครที่สุดในโลก? ก็คือรักมนุษย์

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ  แต่จะได้รับชีวิตนิรันดร์”

“ชีวิตนิรันดร์” ก็คือชีวิตที่เป็นเหมือนพระองค์ ชีวิตที่อยู่ในสวรรค์เหมือนพระองค์นิรันดร์กาล ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก ไม่เจ็บ ไม่มีคำสาปแช่งใดๆ เลยนิรันดร์กาล นี่คือความรักดั่งแก้วตาดวงใจที่พระเจ้า มีต่อมนุษย์ทุกคน ซึ่งพอเราได้ฟังอย่างนี้แล้ว ก็นึกในใจกันทุกคนว่า …

“แล้วมนุษย์เป็นใครที่พระเจ้ารักเขาขนาดนี้”

เขาคิดกันมาอย่างนี้ตั้งนานแล้ว คนที่รู้จักพระเจ้า หรือได้ยินได้ฟังความรู้สึกของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ในพระคัมภีร์ เขาจะคิดอย่างนี้มาตลอดเลยนะ ทุกยุคทุกสมัย เป็นพันๆ ปีก็คิดอย่างนี้ ปัจจุบัน ก็คิดอย่างนี้แหละ มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ด้วยว่า …

“มนุษย์เป็นใครหนอ ที่พระเจ้าทรงรักเขา คิดถึงเขาตลอดเวลา มนุษย์เป็นใคร?  รักเขามากขนาดนี้ อยากจะรู้จริงๆ”

พระคัมภีร์ยืนยันว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์มาก และพระองค์ไม่ได้ต้องการให้มนุษย์คนใดคนหนึ่งต้องพินาศ

“พินาศ” หมายถึงอยู่ในที่ที่ไม่ดี  อยู่ในที่มืด ที่ไม่มีพระเจ้า  เรียกว่าตายอยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง  อยู่ในความชั่วร้าย  พระองค์ไม่ต้องการให้มนุษย์คนใดคนหนึ่ง ที่พระองค์ทรงรัก ตกลงไปอยู่ในอาณาจักรอย่างนั้นเลย ตกอยู่ในสภาพอย่างนั้นเลย  แม้แต่คนเดียวก็ตาม

เขามีการบอกกันอย่างนี้ว่าถ้าเผื่อในโลกนี้ มีคนเพียงแค่คนเดียว หรือมีฉัน หรือใครแค่คนเดียว แล้วคนนั้น ตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ พระเจ้าก็จะส่งพระบุตรลงมาตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเขาคนเดียวนั่นแหละ เป็นการเน้นให้เห็นถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ทุกคน  และแต่ละคน  ไม่ใช่มนุษย์ทุกคน บางทีเราไม่ซาบซึ้งนึกถึงตัวเองเท่าไร? เพราะนึกถึงเยอะมาก สำหรับสายตาของเรา  แต่ความหมายตรงนี้ คือรักเราแต่ละคนเลย  ท่าน ที่นั่งฟังอยู่ตอนนี้  พระเจ้าทรงรักท่าน มากถึงมากที่สุดเลย

พระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคนมีชีวิตนิรันดร์ ก็คือมาอยู่ในสวรรค์ มาอยู่ในบ้านของพระองค์ มาเป็นลูกของพระองค์ สนิทสนมกัน มีแต่สิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้น  นั่นแหละคือความต้องการของพ่อ แห่งฟ้าสวรรค์ ซึ่งเหมือนกับเราทั้งหลายผู้ให้กำเนิด ผู้เป็นพ่อเป็นแม่บนโลกใบนี้  เราก็รักลูกของเรามากอย่างนี้  รักดั่งแก้วตาดวงใจ ต้องการให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุด

แต่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนตกลงไปในความบาป เกิดมาก็บาปแล้ว ชั่วร้ายแล้ว คือเกิดมาก็เป็นศัตรูแล้ว ซึ่งเราเรียนรู้กันมาแล้วหลายตอน เกิดมาก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า  เรียกว่าอยู่ในบาป  อยู่ในอาดัม อยู่ในบรรพบุรุษเดิมของเรา เราก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ชั่วร้ายโดยกำเนิด ซึ่งถ้าไม่ทำอะไรเลย มนุษย์ทุกคนก็จะต้องพินาศ  ก็คืออยู่ในความชั่วร้าย อยู่ในความมืด อยู่ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป  คือโทษของความบาปและความตาย  ซึ่งบรรพบุรุษของเรานำเข้ามา  มันยังคงอยู่ในเรา ตลอดเกิดจากอาดัม ก็ได้รับความบาป ได้รับความตาย อยู่ในความมืด เหมือนอาดัมอย่างนั้นเลย

พระเจ้าจึงจำเป็นต้องส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศนี้ ท่านจะเห็นภาพเลยว่าเราอยู่ในความพินาศนั้น  เราไม่สามารถช่วยตัวเราเองได้เลย  พระเจ้าจึงจำเป็นต้องส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ลงมา เพื่อช่วยพวกเรา มนุษย์ทุกคนให้รอดพ้นจากสถานะนั้น คือสถานะของความพินาศ อยู่ในอาณาจักรของความมืด ความบอด คำสาปแช่ง  ตายอยู่ในบาป เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

ผมอยากจะเน้นตรงนี้ ก็คือ “เพื่อมนุษย์ทุกคนจะไม่ต้องอยู่ในอาณาจักรของความมืด  ไม่ต้องอยู่ในอาดัม ซึ่งเกิดมาแล้วต้องอยู่ในอาดัมเลย  มีเชื้อของความบาป ติดหนี้ โทษทัณฑ์อยู่

เพื่อจะไม่อยู่ในความพินาศ คือไม่ต้องอยู่ในความชั่ว แต่กลับมาอยู่ในความสว่าง อยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นคนชอบธรรม หรือเรียกว่าเป็นคนดี โดยการเกิดในพระเยซู โดยการช่วยเหลือของพระเยซู ซึ่งเราได้เรียนรู้กันเมื่อช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่ามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์  ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ มีชีวิตที่เหมือนพระเจ้า เป็นแบบพระเจ้า เหมือนพระเยซูอย่างนี้ เราจึงจะสามารถเข้าสวรรค์ได้  และเราเรียกกันว่าเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? หนทางนั้น ที่เราได้เรียนรู้ พระคัมภีร์ก็บอกไว้ มีหนทางเดียว ก็คือการได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ โดยผ่านทางความเชื่อและวางใจในพระบุตรที่พระองค์ทรงส่งมา คือพระเยซูนั่นเอง

เพราะฉะนั้น การบังเกิดใหม่ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ สำหรับมนุษย์ทุกคนเลย  เพราะว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่ง ต้องพินาศ แต่ต้องการให้ทุกคนมาถึงซึ่งความรอดในพระเยซูคริสต์

คราวนี้ท่านจะสามารถเข้าใจประโยคสั้นๆ แค่นี้ได้แล้วว่ามันหมายความว่าอย่างไร? พระเจ้าไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่ง ไม่ต้องการให้ท่าน ตัวฉันเอง ตกอยู่ในความชั่วร้ายตลอดนิรันดร์ อยู่ในความมืดนิรันดร์ อยู่ในความบาปนิรันดร์ แต่ต้องการให้มาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์ ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลย

พระเจ้าจึงให้ความสำคัญกับการบังเกิดใหม่  หรือเราเรียกกันว่าเกิดใหม่ ให้ความสำคัญกับการเกิดใหม่ของมนุษย์แต่ละคนเลยทีเดียว ไม่ใช่บังเกิดใหม่เป็นกลุ่ม เป็นก้อน ท่านคนเดียวพระเจ้า ต้องการให้ท่านได้เกิดใหม่  โดยผ่านทางความเชื่อและวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่พระองค์ทรงส่งมาช่วยเหลือมนุษย์  ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่  และพระบุตรนี้ได้ถูกส่งมาแล้ว  และได้ทำการงานที่พระเจ้าได้ให้มาช่วยเหลือมนุษย์เสร็จแล้ว  พระเยซูประกาศดังลั่นเลย ดังมาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้วว่า …

“สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว”

การช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดรอดพ้น ออกจากความบาป ออกจากความมืด จากความพินาศนั้น บัดนี้ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาทำสำเร็จแล้ว และประกาศกันต่อมาเรื่อยๆ 2,000 ปี ทุกวันนี้ เขาก็ยังประกาศอยู่ว่าสิ่งเหล่านี้ สำเร็จแล้ว  เสร็จสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ ก็คือต้องการให้มนุษย์มาเชื่อและวางใจในพระบุตร เพื่อจะได้บังเกิดใหม่

มนุษย์ไม่สามารถบังเกิดใหม่ด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว บังเกิดใหม่ต้องผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องการให้มนุษย์เชื่อและวางใจในพระบุตรที่พระองค์ทรงส่งมาช่วยเหลือเขานั่นเอง ก็คือเชื่อและวางใจในพระบุตร พระเยซูคริสต์

สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ ก็คือวางใจและมารับการบังเกิดใหม่ซะ แทนที่จะพึ่งการกระทำของตนเอง พึ่งความคิด ความรอบรู้ของตนเอง  มาพึ่งในพระเจ้าดีกว่า พระคัมภีร์บอกเสมอ

“อย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง”

“อย่านึกว่าตัวเองฉลาด แต่จงวางใจในพระเจ้า”

พึ่งในหนทางของพระองค์ ยอมรับรู้ในความจริงของพระองค์อยู่เสมอ นี่คือพระพรใหญ่หลวงของมนุษย์คนใดที่คิดได้อย่างนี้

เพราะถ้าเราไม่พึ่งพระองค์ ไม่พึ่งพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ส่งมาช่วยเหลือนั้น เราไม่มีทางที่จะได้รับการบังเกิดใหม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว  เพราะเราทำให้ตัวเราเองบังเกิดใหม่ไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อไม่ได้บังเกิดใหม่ ก็ไม่สามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ พระคัมภีร์พูดชัดเจน พระเยซูพูดชัดเจน ตอนประกาศบนโลกใบนี้ว่าใครจะเข้าสวรรค์ มาอยู่กับพระเจ้าได้ จะต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น  บังเกิดในวิญญาณ แล้วพระองค์ก็ประกาศอย่างนี้มาอยู่เรื่อยๆ เลยว่าสิ่งนี้สำคัญมาก คืออย่าวางใจในตนเอง อย่าวางใจในความชอบธรรม ในความดีงาม ในความตั้งใจจะทำให้พระเจ้าโปรดปรานด้วยตนเอง แต่จงเชื่อและวางใจตามความจริงที่พระเจ้าบอกไว้ ก็คือพระองค์ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเป็นผู้ช่วยท่าน ให้ท่านรอด  ถ้าท่านทำด้วยตัวเองได้ ก็ไม่ต้องส่งพระบุตรลงมาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อตายที่ไม้กางเขน เพื่อช่วยท่านหรอก แต่เพราะว่าท่านช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จงยอมรับรู้ในเรื่องนี้เถิดมนุษย์เอ๋ย! อย่าได้เย่อหยิ่งว่าฉันสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ฉันทำได้

พระองค์จะประกาศอย่างนี้มาเรื่อยๆ ตลอดเวลา  3 ปีที่พระองค์ประกาศอาณาจักรของพระเจ้ากำลังมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่พระองค์จะกระทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน ในอีก 3 ปีต่อมา หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือในหนังสือมัทธิว จะยกตรงนี้มา อันนี้ก็ชัดมากเลยนะ  จริงๆ หลายข้อที่พระองค์ทรงสอนชัดหมด ท่านสามารถกลับไปอ่านย้อนหลังได้  แล้วก็คิดตามเรื่องนี้ไปว่ามันใช่หรือไม่? นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้าจริงๆ

ในหนังสือมัทธิว พระเยซูพูดถึงคนจำพวกหนึ่ง สาวกจำพวกหนึ่ง ที่พยายามทำอะไรมากมาย ด้วยตัวเอง  โดยหวังว่าการกระทำเหล่านั้น จะช่วยนำพาเขาให้สู่แผ่นดินสวรรค์ได้ แต่พระเยซูบอกว่าคนเหล่านั้น ที่พึ่งการกระทำของตัวเอง จะไม่มีทางได้เข้าแผ่นดินสวรรค์เลย และพระองค์จะบอกคนนั้น เมื่อถึงวันสุดท้ายการตัดสินว่าจะอยู่ในแผ่นดินสวรรค์หรือไม่? คือวันพิพากษานั่นเอง พระองค์จะบอกคนๆ นั้นที่พึ่งพาความดีงาม การกระทำของตนเองว่า …

“เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย”

ก่อนจะอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้  ต้องจดจำสักนิดหนึ่งว่าสิ่งเหล่านี้ เวลาพระองค์ประกาศ อย่าอ่านเป็นความรู้สึกติดลบ หงุดหงิด ไม่ใช่ ให้นึกถึงความรัก ที่ตะกี้นี้ผมบอกตอนต้น นึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา แสดงว่าพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตรพระเยซู เต็มไปด้วยความรักต่อมนุษย์มากนัก จะมาพูดแดกดัน จะมาพูดเยาะเย้ยหรือ? ไม่มีทาง พูดอยู่ใต้ฐานของความรักอันลึกซึ้งมากมายขนาดนั้น

เพราะฉะนั้น ให้คิดถึงว่าพระองค์กำลังพูดความรักมากๆ ชี้แนะแนวทางของความจริงในโลกวิญญาณว่ามนุษย์จะได้รับความช่วยเหลือได้ด้วยวิธีใด?  ไม่ใช่ด้วยความคิด ความรอบรู้ การกระทำของตนเอง แต่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ ที่พระเจ้าทรงส่งพระเยซูคริสต์ลงมาต่างหาก เพราะฉะนั้น ตรงนี้ต้องอยู่ในใจของเราตลอดเวลา เมื่ออ่านข้อพระคัมภีร์ ไม่อย่างนั้น เราจะรู้สึกว่าพระเยซูคริสต์ทำไมทำอย่างนี้ ทำไมรุนแรงอย่างนี้  ทำไมไม่มีความรักเลย  ไม่ใช่อย่างนั้นเลย พระองค์มีพื้นฐาน คือความรักอันมากมายมหาศาล อย่าตัดสิน แค่มองที่ภายนอกว่าพระองค์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จงตัดสินด้วยถ้อยคำพระเจ้า ทางฝ่ายวิญญาณชัดเจนว่าพระองค์ทรงรักเราแต่ละคนมากมายนัก ที่พูดถึงอยู่นี้ คือมัทธิว บทที่ 7 เราไปดูที่ข้อ 21-23 …

มัทธิว 7:21-23  “21 ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ 22 เมื่อถึงวันนั้น จะมีคนจำนวนมาก ร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออก ในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมาย ในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ’  23  เมื่อนั้น  เราจะกล่าวแก่พวกเขาว่าเราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”

 

“ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”

พระเยซูบอกชัดเจนว่ามีเพียงมนุษย์กลุ่มเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าได้ คือกลุ่มที่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยพระเจ้าเท่านั้น

คราวนี้เรารู้แล้ว คนที่ทำตามพระทัยพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะได้เข้าสู่สวรรค์ได้  ได้รับความรอด

แล้ว “พระทัยพระเจ้า” ตรงนี้หมายถึงอะไร? ท่านต้องคิดแล้ว ที่เรา “ต้อง” ปฏิบัติเลย  ต้องเลยนะ มีต้องเดียวที่เราต้องปฏิบัติ อย่างอื่นไม่ต้อง สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำนั่นคืออะไร? ที่บอกสำคัญที่สุด  เพื่อจะเข้าสวรรค์ คำตอบอยู่ตรงนี้  เปิดไปที่ยอห์น บทที่ 6 ก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมา ยอห์น 6:28-29  บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยอห์น 6:28-29  “28 แล้วพวกเขาทูลถามพระองค์ว่าพวกเราต้องทำประการใด เพื่อจะทำงานที่พระเจ้าทรงประสงค์ 29 พระเยซูตรัสตอบว่างานของพระเจ้า คือจงเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา”

 

พวกสาวกและคนที่ติดตามพระเยซู ก็ถามว่า … “พวกเราต้องทำประการใด เพื่อจะทำงานที่พระเจ้าประสงค์ ที่พระเจ้าต้องการ”

งานของพระเจ้า ที่พระเจ้าประสงค์ ก็คือ … “จงเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา”

ถูกไหม? และผู้ที่พระองค์ส่งมา ก็คือพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า

ตอนที่คนเหล่านี้ถามพระเยซูว่า … “ต้องทำประการใด เพื่อจะทำงานที่พระเจ้าต้องการ หรือประสงค์”

ที่เขาถามอย่างนั้น ในใจคนเหล่านี้ คิดไปหลายอย่าง หลายคนคิดไปถึงการทำพิธีต่างๆ  “พิธี” นึกออกใช่ไหม? เพราะคนฟังส่วนใหญ่จะเป็นชาวยิว พิธีต่างๆ ที่พระเจ้าให้ทำสมัยกฎของโมเสส เราก็คิดไปถึงว่าทำอะไร? ตรงไหนที่พระเจ้าสำคัญที่สุด  คิดไปถึงการทำศาสนกิจ คิดไปถึงการทำพิธีทางศาสนา ให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าที่สุด ซึ่งในภาษาเดิม คำว่า “งานของพระเจ้า” ตรงนี้ ท่อนนี้ ประโยคนี้ ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “God works”  ซึ่ง Works เป็นพหูพจน์ มีการงานจำนวนมากมาย

“การงานจำนวนมากมายอะไรที่พระเจ้าต้องการให้ทำ” … เขาก็ถามอย่างนั้น นี่รายละเอียดมันแปลว่าอย่างนี้

“พวกเราต้องทำงานของพระเจ้า ที่พระเจ้าประสงค์อะไรอีกเยอะแยะมากมายอะไรบ้าง?”

แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไร?  พระเยซูบอก … “งานของเจ้ามีแค่อย่างเดียว ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย คือจงเชื่อและวางใจในพระบุตรที่พระเจ้าทรงส่งมา”

คำว่า “งานของพระเจ้า” ในคำของพระเยซูตรงนี้ พระองค์ทรงตัดคำพหูพจน์ออก แทนที่จะเป็น God works  ก็เป็น God work มีหนึ่งเดียวเท่านั้น  ไม่ได้มีหลายอย่าง  พูดง่ายๆ พระเยซูกำลังบอกว่าสิ่งเดียวเอง หรือแค่อย่างเดียวเองที่พระเจ้าพอพระทัย ต้องการให้ท่านทำ คือเชื่อและวางใจในเรา (พระเยซู) ที่พระเจ้าประทานให้ ที่พระเจ้าส่งมาให้กับท่าน คราวนี้ย้อนกลับมาที่มัทธิว บทที่ 7 เมื่อสักครู่นี้  เรามาอ่านข้อที่ 22 อีกที …

มัทธิว 7:22  “เมื่อถึงวันนั้น จะมีคนจำนวนมาก ร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออก ในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมาย ในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ’”

 

“ไม่ใช่หรือ?” เห็นชัดๆ ว่าตกใจ … “เฮ้ย! เป็นไปได้ยังไงหรือ?”

“เมื่อถึงวันนั้น” คือเมื่อถึงวันที่ต้องยืนอยู่ต่อหน้าบังลังก์พิพากษาของพระเจ้า ของมหาจักรวาล ผู้คนเหล่านั้นที่หวังพึ่งในการกระทำของตนเอง ก็จะเรียกร้องสิทธิ์ที่ตัวเองคิดว่าเราได้ทำมาแล้ว ตอนมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ก็จะเรียกร้องขอเข้าแผ่นดินสวรรค์ จากผู้พิพากษา ก็คือจากพระเจ้า  จากพระเยซู โดยอ้างถึงงานต่างๆ จำไว้นะ งานเยอะแยะเลย ที่ตัวเองได้กระทำบนโลกใบนี้

ยกตัวอย่าง สมัยก่อน ก็เป็นการประกอบศาสนกิจ ถวายสิบลด ช่วยเหลือคนจน ทำตามประเพณีที่พระเจ้าบอกให้ทำทุกอย่าง  เดือนนี้ทำอะไร? เดือนนั้นฉลองอะไร?  ต้องเอาสัตว์สะอาดไปถวายกับปุโรหิต เพื่อชำระบาป อะไรแบบนี้ รวมถึงอธิษฐานเป็นเวลา รวมถึงอดอาหารอธิษฐานเป็นเวลา  ไปเข้าวิหารเป็นเวลา ฯลฯ

ยกตัวอย่างปัจจุบัน พอมาเชื่อ ก็จะบอกว่าให้ออกไปประกาศ เราก็คิดว่าการประกาศ คือการกระทำที่พระเจ้าชอบ การเผยพระวจนะ  ก็คือการสอนเรื่องพระคัมภีร์ พระเจ้าก็ชอบ  การทำอัศจรรย์ต่างๆ ในฤทธิ์เดชของพระเจ้า  เพื่อประกาศข่าวดี อย่างนี้ก็ดี การถวายทรัพย์ก็ดี การทำความดีต่างๆ ช่วยเหลือคนอื่น ช่วยเหลือคนยากจน อะไรต่างๆ ดีหมดเลย เยอะแยะเลย

เราก็จะอ้างสิ่งเหล่านี้ที่เราได้ทำบนโลกใบนี้  อ้างตอนไหน? ตอนที่ยืนอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษาของมหาจักรวาลในวันสุดท้าย  วันพิพากษาว่าเราจะเข้าเกณฑ์ไปอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? ถูกไหม?

ถึงแม้จะทำทุกอย่างในนามพระเยซู แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไร? ตรงนี้มากว่า ที่สำคัญ แล้วลองมาคิดดูสิว่าพระเจ้าคิดอย่างไร? พระเยซูบอกถึงความสำคัญอย่างไรว่าท่านได้เข้าเกณฑ์สู่สวรรค์หรือไม่ตามที่ท่านคิด ก็ไปดูในข้อ 23 อ่านข้อ 23 อีกครั้ง …

มัทธิว 7:23  “เมื่อนั้น  เราจะกล่าวแก่พวกเขาว่าเราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”

 

“เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่พวกเขาว่าเราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา” จงจำไว้

พอฟังตรงนี้ พระเยซูใจร้ายมากเลย จำไว้อย่างที่ผมบอก ไม่เข้าใจอะไร? แต่จงเข้าใจอย่างเดียว คือพื้นฐานของเรื่องราวทั้งหมด คือพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก ดั่งแก้วตาดวงใจ แม้ท่านคนเดียว พระเจ้าก็จะส่งพระเยซูมาตายเพื่อท่าน แล้วพระองค์จะเป็นสิ่งที่ท่านคิดตอนนี้ว่าพระองค์ใจร้ายเหลือเกิน  ทำไมพระองค์ด่ารุนแรง เปล่าเลย พระองค์กำลังพูดความจริง

ตรงนี้ถ้าจะให้ละเอียดต้องบอกว่า … “เราไม่เคยได้รู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำชั่ว” โอ้โห! ทำดีมาตั้งเยอแยะเราก็เห็นๆ  ทำไมกลายเป็นผู้ทำชั่ว  “จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”

นี่คือพระองค์ทรงยกตัวอย่างให้เห็น พระเยซูได้บอกอย่างนี้ว่า … “พระองค์ไม่ได้เคยรู้จักคนเหล่านั้น” เหล่านี้คือใคร?  คนเหล่านั้นที่พึ่งในการกระทำของตนเอง  ที่ตัวเองคิดว่ามันดี ท่านเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?

นี่คือพระเยซูบอก “เราไม่เคยได้รู้จักคนเหล่านี้เลย”

คนเหล่านี้ที่อ้างตัวว่าสมควรได้เข้าสวรรค์ เพราะว่าทำอันโน้น ทำอันนี้ ทำเยอะแยะไปหมด ก็คือที่พึ่งในการกระทำของตนเอง

เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า คนเหล่านั้นมัวแต่มุ่งเน้นที่การกระทำเพื่อพระเจ้า พระเจ้าให้มารับ แต่พวกนี้มาทำเพื่อพระเจ้า  แทนที่จะรับเอา  เชื่อและวางใจ รับเอาในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ กลับมาทำเองเพื่อพระเจ้า

คำว่า “เราไม่เคยได้รู้จักพวกเจ้า” ตรงนี้ ภาษากรีกเดิม แปลได้ว่าเราไม่เคยได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเจ้า เราไม่เคยได้เป็นเนื้อเดียวกันกับพวกเจ้าเลย เราไม่เคยมีความสัมพันธ์มักคุ้น มักจี่ สนิทกันเหมือนสามีและภรรยากับเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว  ถึงแม้เจ้าจะทำดีทั้งหลายทั้งปวง เพราะเห็นดี โดยใช้นามของเรา เพื่อจะให้เราพอใจ  และหวังให้เราอภัยในความผิดบาปของเจ้า แต่ความดีนั้น ไม่เพียงพอที่จะทำให้เจ้าสามารถเข้าสรรค์ได้หรอก  น้องเอ๋ย ลูกเอ๋ย มันไม่ได้  เพราะเรารู้ว่าพื้นฐานของตรงนี้ คือความรักของพระเจ้า ที่ต้องการบอกถึงเรื่องสวรรค์ บอกว่ามาช่วยแล้ว  อย่าหนีไปไหนเลย อย่าดื้อเลย

ไม่ว่าเจ้าจะกระทำดีมากขนาดไหน?  ก็ไม่สามารถทำให้เจ้าบังเกิดใหม่ได้  ไม่สามารถทำให้เจ้าหลุดพ้นจากการเป็นคนบาปได้  ไม่สามารถที่จะทำให้เจ้า ได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างได้ ไม่สามารถทำให้เจ้าย้ายจากครอบครัวใหญ่ ต้นพันธุ์เก่า คือในอาดัม บรรพบุรุษของมนุษย์มาสู่ต้นพันธุ์ใหม่ คือในพระคริสต์ได้  ท่านทำไม่ได้ด้วยตัวเอง

พระเยซูบอกว่าท่านต้องเข้าสนิทในเรา ถูกไหม? อยู่ในเรา และเราก็อยู่ในท่าน ก็คือต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะเป็นอย่างนี้ได้  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา  มีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเท่านั้น เป็นกายเดียวกันกับพระองค์ พระองค์เป็นศีรษะ เราเป็นกาย เหมือนที่พระองค์ให้เรากินขนมปังและดื่มน้ำองุ่น ให้เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่งของพระองค์เท่านั้น ที่เรียกว่าบังเกิดใหม่ ถึงจะเรียกว่าเรารู้จักเจ้า  คือพระเยซูพูดความจริง เรารู้จักเจ้า ใช่ มีความสัมพันธ์กัน แต่ถ้าเจ้าไม่ทำอย่างนี้ เจ้าพึ่งพาความรอบรู้ ความดีงาม การกระทำของตัวเอง มันไม่ได้เปลี่ยน เมื่อไม่ได้เปลี่ยน ก็อยู่คนละขั้ว ก็เท่านั้น คือพระเยซูไม่ได้มาต่อต้านการกระทำดีของพวกเขา และของพวกเราด้วย แต่พระองค์กำลังบอกว่าอย่าพึ่งการกระทำดีของตนเอง เพราะว่าการกระทำดีของตนเองเหล่านั้นดีก็จริง แต่มันไม่เพียงพอ สำหรับการไถ่บาปและได้รับชีวิตนิรันดร์ของท่าน ไม่เพียงพอสำหรับการย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ มันเป็นกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ เปลี่ยนแปลงไม่ได้กฎเกณฑ์นี้ ท่านต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้

ถ้าพวกเจ้ายังพึ่งในความดีของตนเองอย่างนี้อยู่ เขาทั้งหลาย หรือคนๆ นั้น  ก็ยังอยู่ในที่เดิม ในอาดัม  ยังอยู่ในบาป คือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ในพระคัมภีร์เรียกกันว่าความชั่ว  ไม่ว่าเจ้าจะทำดีขนาดไหน? ตัวตนแท้ๆ ของเจ้า วิญญาณของเจ้า  ก็จะเป็นคนชั่ว อยู่ในบาป อยู่ในอาดัม  ไม่ได้ถูกย้ายไปไหน อยู่ที่เดิมเลย  ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง คือการบังเกิดใหม่ เข้ามาสู่ครอบครัว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระกายของพระองค์ มาเป็นเจ้าสาวของพระองค์ มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

พระองค์กำลังพูด อธิบายให้เราเห็น 2 ข้าง  เห็นผลอย่างนี้ พูดความจริงเหล่านี้  ไม่ได้ตั้งใจที่จะไปว่าใคร? กระแทกกระทั้น หรือไปประชด หรือเกลียดชังใครเลย  ด้วยความรัก กำลังจะบอกว่าถ้าท่านพึ่งตนเอง ท่านก็ยังคงอยู่ในความชั่วเหมือนเดิม เพราะอยู่ในความบาป ก็คือความชั่ว  แต่ถ้าท่านถูกย้ายออกมา โดยการบังเกิดใหม่  เข้ามาอยู่ในเรา ท่านก็จะเป็นเหมือนเรา  เป็นความชอบธรรม เป็นความดี ท่านจะเป็นคนดี โดยการบังเกิด กำเนิดมาเป็นนั่นเอง

พระเยซูบอกว่า “เราไม่เคยได้รู้จักท่าน” แสดงว่าเขาเหล่านี้ ไม่ได้เป็นผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์นั่นเอง   เพราะผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ จะได้รับการบังเกิดใหม่  เขาเหล่านี้ไม่ได้บังเกิดใหม่  เขาเหล่านี้ไม่ใช่คริสเตียน ผู้ที่เชื่อ

หลายท่านอาจจะเข้าใจผิดว่าตรงนี้กำลังพูดถึงคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว มาเชื่อแล้ว ไปทำผิดบาปอะไรต่างๆ หรือไม่ทำอะไรต่างๆ  ตามที่พระเจ้าต้องการให้ทำ เลยหลุดจากความรอดไป พระเยซูจึงบอก … “ไม่รู้จักเจ้า” … เคยรู้จักเจ้า ตอนนี้ไม่ได้รู้จักเจ้าแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น  เพราะพระองค์บอกว่า “ไม่เคยได้รู้จักเจ้าเลย” … ในข้อพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น

“พระองค์ไม่ได้เคยรู้จัก” หมายความว่าท่านไม่เคยเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าเลย ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ไม่ใช่ท่านเข้ามาอยู่ แล้วออกไป  ถ้าท่านได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  ได้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ ตามกฎที่พระเจ้าวางไว้เป๊ะเลย ท่านก็ได้บังเกิดใหม่ ได้รับความรอดแล้ว มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในพระคุณของพระเจ้า มาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า  เป็นเจ้าสาวของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เดี๋ยวนี้ทันที และไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์เลย เอเมน และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่ใช่ย้ายไปแล้วก็ย้ายมา ย้ายไปอยู่กับพระเยซูแล้ว พระเยซูบอก …

“ไม่มีใครที่จะเอาเจ้าออกไปจากมือของเราได้อีกแล้ว เรารักเจ้ามาก  และเจ้าเข้ามาแล้ว ไม่มีใครจะมากระทำอันตรายเจ้าได้อีกเลย เราจะอยู่กับเจ้าเสมอ” …       มันเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นความรักของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษยชาติ ภายใต้พื้นฐานของความรักของพระเจ้า ในมัทธิว 12:50  ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

มัทธิว 12:50  “ใครก็ตามที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ คือเชื่อและวางใจในเรา และตามเรามาจะเป็นพี่น้องชายหญิง และมารดาของเรา”

 

“ใครก็ตามที่ทำตามพระประสงค์อันเดียวของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ และตามเรามา จะเป็นพี่น้องชายหญิง และมารดาของเรา”

“ตามเรามา” พระเยซูบอก “จงแบกกางเขนแล้วตามเรามา” ตามเราไปที่โกละโกธา และไปตายด้วยกัน  เพราะเมื่อไรที่เจ้าตายกับเราที่ไม้กางเขน เจ้าก็จะถูกฝังไว้ในอุโมงค์เหมือนเรา แล้วเจ้าก็จะเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เหมือนเรา  และเจ้าก็จะนั่งอยู่กับเราในสวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระเจ้า เอเมน

บังเกิดใหม่ ได้ครอบครอง  ได้ชีวิตนิรันดร์ตั้งแต่วันนั้น วินาทีนั้นเป็นต้นไปเลยทีเดียวเชียวล่ะ เห็นภาพชัดเจนไหม?

นี่กำลังพูดถึงการบังเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ โดยข่าวประเสริฐที่บอกว่าพระองค์ได้ตายที่ไม้กางเขน เป็นผลแรกให้กับเรา ตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ที่อุโมงค์ วันที่ 3 ได้เป็นขึ้นจากความตาย  ใครที่เชื่อข่าวดีนี้ พระเจ้าก็จะผ่าตัดวิญญาณเขา ใส่ลงไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เป็นเจ้าสาวของพระเยซู เป็นพระกายของพระเยซู ได้ตายพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน  แล้วถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และในวันที่ 3 ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมพระเยซู และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเยซูในสวรรค์สถาน ณ บัดนาว ทันที จนไปถึงนิรันดร์ พอวันสุดท้าย วันพิพากษาก็จะได้รับร่างกายใหม่  ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้  เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์สวมใส่แทนร่างกายนี้  เอเมน มีแค่นี้เอง  เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่มนุษย์ต้องทำ ก็คือเชื่อและวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์  ยอห์น 6:40 เน้นตรงนี้อีก …

ยอห์น 6:40 “เพราะพระบิดาของเราทรงประสงค์ให้ทุกคนที่เห็นและเชื่อในพระบุตร มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย”

 

“เพราะพระบิดาของเราทรงประสงค์ให้ทุกคน” ก็คือพระเจ้ารักมนุษย์ยิ่งนัก ทุกคนเลย อยากให้ท่าน  มนุษย์ได้เห็นและเชื่อในพระบุตร ได้เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงรักและทรงส่งพระบุตรมาช่วยเหลือท่านแล้ว เพราะใครที่เห็นและเชื่อตรงนี้ จะมีชีวิตนิรันดร์ ก็คือได้รับชีวิตที่เหมือนพระเจ้า  เหมือนพระเยซู บังเกิดใหม่  เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็คือเหมือนพระเจ้า เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับ 3 พระภาค  เป็นหนึ่งเดียวกันในครอบครัวของพระเจ้า พระเจ้าเรียกเราว่าบุตรของพระองค์ หรือลูกๆ ของพระองค์ และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย  ก็คือวันพิพากษา วันที่เราออกจากร่างไปในวันสุดท้าย

พระเจ้าได้เตรียมร่างกายใหม่ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซู ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องกลัวโควิด ไม่ต้องกลัวไวรัสตัวใดๆ  ไม่สามารถมาทำอันตรายเราได้อีกเลย  พระองค์ทรงเตรียมร่างกายนั้นให้กับเราเรียบร้อยแล้ว วันหนึ่งเราจะไปรับร่างกายนั้น  แต่ในขณะปัจจุบันนั้น วิญญาณและความคิดจิตใจของเรา ได้บังเกิดใหม่แล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตที่ถูกซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วางใจในพระบุตรที่พระเจ้าทรงประทานมาให้กับมนุษย์ทุกคน เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้นจากความทุกข์ลำบาก  จากหนี้บาปเวรกรรม จากนรกนั่นเอง

สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ เรารู้แล้ว ก็คือเชื่อและวางใจ ในสิ่งที่พระเยซู พระบุตรได้ทรงกระทำให้กับเรา สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน ก็คืออยากให้มนุษย์ได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากตาย  ให้ได้รับการบังเกิดใหม่ พร้อมพระเยซูคริสต์ ผลแรกของมนุษย์ คนแรกที่ได้บังเกิดใหม่อย่างนั้นแหละ และการบังเกิดใหม่นี้ ไม่มีใครสามารถทำด้วยตนเองได้  พึ่งในตนเอง แล้วเกิดใหม่ มันไม่ได้อยู่แล้ว คิดแค่นี้ เราก็รู้แล้ว มันไม่ได้  เพราะฉะนั้น เพียงแค่เข้ามารับสิทธิของท่านเอง

เขาบอกกันอย่างนี้ว่ามนุษย์ทำไม่ได้หรอกบังเกิดใหม่  อีกอันหนึ่งก็คือก่อนบังเกิดใหม่ มนุษย์ต้องตายก่อน  ตัวเก่าเราต้องตายก่อน ทำไมพระเยซูจึงต้องมาถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน  ก็เพื่อว่าจะให้มนุษย์ทุกคนมาตายพร้อมกับพระองค์ที่ไม้กางเขน ตัวเก่าจะได้ตายไป  ตัวบาป ตัวชั่วจะได้ตายไปซะ โดยช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะว่าทำด้วยตัวเองไม่ได้  ใครล่ะจะสามารถตรึงตัวเองให้ตายที่ไม้กางเขนได้ เป็นวิธีการตายที่ไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้เลย ต้องพึ่งคนอื่น  ท่านพอมองเห็นภาพไหม?  ท่านจะตรึงกางเขนตัวเองให้ตายได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้  ท่านจะเห็นภาพเลยว่าท่านจะเอามือที่ไหนตอกมือ ดังนั้น เป็นการตายที่เห็นชัดเจนว่าต้องพึ่งคนอื่น ต้องยอมเท่านั้นเอง แล้วใครเป็นคนทำ พอท่านยอม? พระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำ พระองค์ทรงกระทำให้พระเยซูผู้ไม่รู้จักบาป เป็นบาป  ตายที่ไม้กางเขน  พระองค์เป็นเหมือนผู้ที่สังหารพระเยซู พระบุตรของพระองค์เอง เพื่อตายและถูกฝังไว้ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3

เพราะฉะนั้น ใครที่เชื่อในข่าวดีนี้ พระเจ้าก็จะให้เขามาเข้าสู่ขบวนการที่พระเยซูทำ คือจับเขามาตรึงที่ไม้กางเขน  เพื่อตัวเก่าของเขาที่เป็นบาป เป็นความชั่วร้ายจะได้ตายไปซะ และจะได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วจะได้บังเกิดใหม่ เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ แล้วพระองค์จะได้แต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถาน ครอบครองอาณาจักร และมรดกของพระองค์ทั้งหมดเลย  ไม่ใช่เดี๋ยวนี้เท่านั้น  แต่นิรันดร์

นี่คือผลของการบังเกิดใหม่ และตั้งใจจริงของพระเจ้า ที่วางแผนการเหล่านี้ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลาย แบบนี้นั่นเอง  พระเยซูจึงเข้ามาช่วยเหลือให้มนุษย์ได้รอดจากนรกนี้ แค่เพียงมนุษย์จะเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ท่านก็ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีกเลย สำหรับการจะได้เข้าสวรรค์ เมื่อเข้าในสวรรค์แล้วเข้าอยู่เลย แล้วที่เหลือ ชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้จะทำอย่างไร?  มีอยู่ 2 กลุ่ม …

กลุ่มผู้ที่เชื่อแล้ว วางใจในพระเยซูแล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว  พระองค์บอกแล้วไงว่าให้ทำเพียงอย่างเดียวเอง  พระประสงค์ของพระเจ้า คือเชื่อและวางใจในพระบุตร  พอเชื่อและวางใจในพระบุตรปุ๊บ ก็ได้รับการบังเกิดใหม่  พอได้รับการบังเกิดใหม่ ก็มาเป็นลูกของพระเจ้า  พอเป็นลูกของพระเจ้า ก็เป็นครอบครัว เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู ทั้ง 3 พระภาค ก็ย้ายที่สถิต มาอยู่ในร่างกายนี้ของท่าน  ท่านจะไปไหนทีหนึ่ง ก็มี 4 วิญญาณไปกับท่าน ทั้งวิญญาณของท่าน ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปกับท่านทุกหนทุกแห่ง จูงมือท่านเดินไปตลอดเวลา  และเป็นหน้าที่ของพระองค์แล้วที่จะนำพาชีวิตของท่านนั่นเอง มันหมายถึงอย่างนั้น  ท่านอยู่ในสรรค์กับพระองค์แล้ว ไม่มีใครจะเอาท่านออกไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้ ไม่มีใครจะเอาแกะที่พระเจ้าประทานให้พระเยซูคริสต์ออกไปจากคอกได้ ไม่มีฤทธิ์อำนาจใดๆ จะเอาท่านออกไปจากความรักของพระเจ้าที่เริ่มต้นแล้ว และท่านได้รับเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากสวรรค์ที่ท่านอยู่แล้วเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ อีกแล้ว แค่เชื่อและวางใจเท่านั้นเอง

นี่คือหน้าที่ของกลุ่มแรก เพราะว่าท่านเชื่อและวางใจในพระเจ้าแล้ว ท่านได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู ไปไหนไปด้วยกันตลอดเวลา และพระเยซูที่อยู่ในท่าน ก็จะสำแดงพระองค์ออกมาเอง ผ่านทางการจูงมือท่านเดิน ด้วยประสบการณ์กับพระองค์ไปทีละวันๆ  ทุกอย่างที่ทำ ท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม พระองค์ทรงอยู่ในท่านแล้ว

ถ้าพูดจาภาษาไทยๆ ให้เห็นลึกๆ ชัดๆ แต่คำนี้เขาไม่ค่อยเอาไปใช้ในสิ่งที่ดีนัก  แต่ขอลองใช้หน่อย เผื่อท่านจะได้เข้าใจตามแบบไทยๆ ได้ชัดเจนขึ้น คือเมื่อท่านเชื่อและวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าประทานให้ ท่านก็ได้รับการบังเกิดใหม่ แล้วพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาสถิต หรือเข้ามาสิงอยู่ในตัวท่าน ท่านจะเห็นภาพ ใหญ่ขนาดไหน? ฤทธิ์อำนาจใหญ่ขนาดไหน? พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ไม่ว่าใครจะรู้จักหรือไม่รู้จัก จะบอกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่มาก  พระเจ้าช่วยด้วย  ถึงไม่รู้จัก พูดถึงชื่อพระเจ้า ทุกคนต้องรู้ ตอนนี้ พระเจ้าผู้นี้ มาอยู่ในเรา และเราเป็นลูกของพระองค์ เดินไปไหนกับพระองค์ตลอดเวลา  จนกระทั่งหมดการงานบนโลกใบนี้  พระองค์ก็นำเราเข้าสู่มิติวิญญาณ ไม่ต้องรับใช้พระองค์บนโลกใบนี้อีกต่อไป ทิ้งร่างนี้  แล้วไปรับร่างใหม่  ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้  ซึ่งเป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์

นี่คือสำหรับท่านที่รับเชื่อแล้ว วางใจแล้ว เกิดใหม่แล้ว ไม่ต้องคิดถึงว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม เอาอะไรนุ่งห่ม จำที่พระเยซูบอกได้ไหม? คือไม่ต้องคิดถึงว่าอยู่บนโลกนี้จะทำอะไร? ทำอันนั้นดีไหม? ทำอันนี้ดีไหม?  ทำอันนั้นพระเจ้าพอใจ ทำอันนี้พระเจ้าพอใจ ไม่เป็นไรหรอก  อยากจะบอกท่านเลยว่าพระเยซูอยู่ในท่านแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะออกมาจากใจของท่านเอง ถ้าใจดี ออกมา ก็เป็นผลดี ถ้าใจเลว ใจชั่ว มันก็ออกมาเป็นผลชั่ว ตอนนี้ใจท่านดีแล้ว เปลี่ยนใจใหม่แล้ว เป็นใจเหมือนพระเยซู อย่างไรมันก็ดี เดี๋ยวก็ดีเอง อดทน

รวมไปถึงการผ่านความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรค ปัญหาใดๆ ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในชีวิตที่ผ่านเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้  จริงๆ มันมีมาตลอดแหละ ทุกยุคทุกสมัย  ในขณะนี้จะเห็นได้ชัด ในเรื่องไวรัสโควิด หรือผลกระทบจากไวรัสโควิดก็ตาม แล้วทำอย่างไร? พระเจ้าอยู่กับเรา  เดี๋ยวพระเจ้าก็จะนำเราไปทีละนิดทีละหน่อย  หมดสิ้นการงาน ก็กลับบ้าน  ดีใจด้วยซ้ำ อยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร ก็ได้พักผ่อนนิรันดร์กาล ไม่มีความกลัวอะไรอีกเลย  ไม่ว่าจะกลัวในโลกหน้า ก็ไม่กลัวแล้ว  โลกนี้ ก็ไม่กลัว เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เดี๋ยวพระเจ้าก็จะพาเราผ่านไปเอง แป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้ว  พระเยซูจึงบอกดังนั้นไม่ต้องไปห่วงว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม  เอาอะไรนุ่งห่ม คนที่เขาไม่รู้จักพระเจ้า  เขาแสวงหาสิ่งของทั้งปวงเหล่านี้ใช่ไหม?  เขาเป็นห่วงการกิน การอยู่ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อันตรายอย่างไรเยอะแยะไปหมด แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของเรา และความชอบธรรมของเราเสียก่อน แสวงหาอาณาจักรสวรรค์ของเราว่าต้องเข้าอย่างไร?  คือการเชื่อและวางใจในพระองค์ แสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า  ไม่ใช่ความชอบธรรมที่ท่านทำขึ้นมาเอง  แต่ความชอบธรรมที่มาจากการเชื่อและวางใจในพระองค์ ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซู แล้วก็กลายเป็นคนดี คนชอบธรรมนั่นเอง ไปหาตรงนี้เสียก่อน เมื่อหาได้ จบ ที่เหลือพระองค์จะทำเอง ในพระคัมภีร์จึงบันทึกตรงนี้ ตอนที่เปาโลเขียนไปหนุนใจพี่น้องที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เปาโลก็หนุนใจแบบที่ผมพูดเมื่อสักครู่นี้ ทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม? อันนั้นเป็นอันนี้ แล้วเกิดปัญหาอย่างนั้น แล้วจะทำอย่างไร? อดอยากอย่างนี้ แล้วจะทำอย่างไร? เปาโลก็หนุนใจไป แล้วเปาโลก็พูดคำนี้  เพื่อเป็นการหนุนใจพิเศษ เพื่อให้มีความมั่นใจในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า และมั่นใจในการทรงนำของพระเจ้า มั่นใจในพระเจ้าที่สถิตอยู่ในท่าน ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย มั่นใจในการจูงมือท่านเดิน  โดยพระเจ้า  3 พระภาคเลย  ในฟีลิปปี 1:6 พูดไว้อย่างนี้เลยว่า …

ฟีลิปปี 1:6 “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้น จะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์”

 

เห็นไหม? “ข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดี ในท่านแต่ละคน” เกิดใหม่แล้ว จากเชื่อและวางใจในพระเจ้า การงานดีได้เกิดขึ้นแล้ว ท่านเป็นคนดียอดเยี่ยม บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า ในตัวตนของท่านแท้ๆ ที่ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณนั่นแหละ เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วพระเจ้าจะทรงนำท่านต่อไป  ไม่ใช่ทำงาน แล้วก็ทิ้งอยู่แค่นั้น  จะสานงานนี้ต่อไป  จนกระทั่งสำเร็จ เสร็จสิ้น  จนถึงวันสุดท้าย วันที่พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ อีกทีหนึ่ง

นี่คือคำหนุนใจ นี่คือคำสรุป สำหรับพี่น้องที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว ตามที่พระเยซูบอก ได้มาเป็นพี่น้องกับพระองค์แล้ว  ใครเป็นพี่น้องกับพระองค์แล้ว พระองค์บอกพี่น้องของเรา คือคนที่บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในครอบครัวเรา นั่นแหละพี่น้องของเรา  ใครเป็นพ่อแม่ของเรา นี่แหละ เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยความเชื่อและความวางใจ

คราวนี้มาพูดถึงพี่น้องท่านที่ยังไม่ได้เชื่อและวางใจในพระบุตร ที่พระเจ้าทรงส่งมา คือยังไม่ได้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่ท่านต้องทำตามที่พระเจ้าบอกไว้  เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น พระเจ้าบอกด้วยความรักและห่วงใย และปรารถนาอย่างสุดหัวใจให้ท่านทำ และท่านต้องทำด้วย ถ้าท่านไม่ทำ พระองค์ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับท่าน ช่วยท่านก็ไม่ได้ ไม่สามารถมาบีบบังคับท่าน มาข่มเหงท่าน มาบีบคอท่าน  บังคับให้ท่านทำ  ท่านต้องทำด้วยอิสรภาพ ความคิด การกระทำ การตัดสินใจของตนเอง แต่ท่านต้องทำ ถึงจะได้การบังเกิดใหม่ได้รับความรอด นั่นคือท่านต้องเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ถ้าท่านเชื่อและวางใจ ท่านก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์เลยทันที เดี๋ยวนี้เลย

ในขณะที่โลกกำลังวุ่นวายในขณะนี้ ขณะที่กำลังยุ่งยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตยากมากขึ้น ทุกวันๆ ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น อดอยาก กินอยู่อย่างไร? ไม่รู้จะตายเมื่อไรด้วย  มาถึงเราเมื่อไรก็ไม่รู้ มีโอกาสได้เสมอ ทั่วโลกเป็นอย่างนี้หมด พระเจ้ากำลังส่งสารไปบอกท่านว่าท่านยังจะดื้อกับพระองค์อีกหรือ?  พระเจ้ายิ่งมาเตือนท่านใหญ่เลยบอกว่า …

“ลูกเอ๋ย สิ่งเดียวเท่านั้นเองที่เจ้าต้องทำ  อย่างอื่นไม่ต้องทำแล้ว  ทำสิ่งเดียวเลย เจ้าไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการกระทำบนโลกใบนี้เลย  ต้องทำสิ่งเดียวที่เราให้ทำ ก็คือมาเชื่อและวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ และที่เหลือเราทำเองทั้งหมด พอเจ้าทำตรงนี้ปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาทำสิ่งแรกเลย ผ่าตัดวิญญาณเรา  ย้ายวิญญาณเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรความสว่าง ย้ายจากอาดัมเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ย้ายจากนรกเข้ามาอยู่ในสวรรค์ ย้ายจากการเป็นคนชั่วมาเป็นคนดี ย้ายจากอำนาจมืดมาสู่แสงสว่างทันที เดี๋ยวนั้นเลย”

นี่คือเริ่มต้น แล้วจากนั้น พระเจ้าก็เข้ามาอยู่กับลูกของพระองค์ เข้ามาอยู่ในร่างกายท่าน ร่างกายท่านจะกลายเป็นวิหารของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์มาสถิตอยู่ทันทีเหมือนกัน ท่านก็จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีพระเจ้า 3 พระภาคคุ้มครองดูแล นำพาท่านไปตามชีวิตบนโลกใบนี้  ซึ่งพระคัมภีร์บอกโลกใบนี้มันชั่วร้าย มันเสียหาย มันวิปริต มันถูกสาปแช่งไปตั้งแต่ก่อนโน้น ตอนเริ่มต้นแล้ว  มันมีแต่ความชั่วร้ายทั้งสิ้น  ความชั่วร้ายปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งสิ้น ความทุกข์ทรมานปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งสิ้น

ท่านเดินคนเดียว ท่านจะอยู่อย่างไร? แต่นี่มีพระเจ้าจูงมือท่านเดิน เป็นร่มไม้ชายคา เป็นที่กำบังที่เข้มแข็ง เป็นป้อมปราการ เป็นที่พึ่งพาพึ่งพิงเพียงแห่งเดียวของท่าน ปกปักษ์คุ้มครองดูแลท่านให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับท่าน ประสบการณ์บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะดีหรือเลวก็ตาม ให้มันกลายเป็นผลดีสำหรับท่านแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน นำพาท่านไปจนถึงนิรันดร์ เมื่อถึงวันตัดสินพิพากษาในโลกวิญญาณ ในโลกหน้าท่านอยู่ในสวรรค์ เพราะว่าตอนนี้ท่านก็อยู่ในสวรรค์แล้ว และท่านจะอยู่ในสวรรค์และได้รับร่างกายใหม่ แทนร่างกายเดิมนี้ ที่ต้องตายไป ตามอายุขัย แต่ท่านมีร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วทันที  และร่างกายนั้น เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่มีความบาป ไม่ต้องเครียดอะไรอีกเลย แล้วจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานอย่างนั้นนิรันดร์

นี่สำหรับคนที่ยังไม่ได้เชื่อและวางใจ ยังไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องทำ อันเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าให้ทำ  วันนี้ก็เป็นวันดีที่ถือว่าพระเจ้ามาขอร้องให้ท่าน ขอร้องแล้วขอร้องอีก ขอร้องมา 2,000 ปีแล้ว ขอร้องอีกว่าท่านได้ข่าวดีในวันนี้แล้ว อย่าให้ใจของท่านดื้ออีกเลย …

“ลูกเอ๋ย อย่าให้ใจของเจ้าดื้อกับความจริงเหล่านี้อีกเลย เรารักเจ้ามาก เรารักเจ้าจริงๆ พื้นฐานของเรา รักเจ้าดั่งแก้วตาดวงใจ ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจเราหรือไม่ก็ตาม แต่เราบอกเจ้าว่าเรารักเจ้า และเราต้องการให้เจ้ากลับมาหาเรา กลับมาสู่ครอบครัวของเรา มาเป็นลูกของเราที่จะอยู่กับเราด้วยความสุขนิรันดร์”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ความชื่นชมยินดีของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เกิดจากความหวังใจที่จะได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า และได้รับชีวิตนิรันดร์

 

และแม้กระทั่ง ท่ามกลางปัญหาและความทุกข์ยากลำบาก ความชื่นชมยินดีนี้ก็จะยังคงอยู่  พระคัมภีร์บอกว่าบางครั้ง พระเจ้าก็ใช้ความทุกข์ยากลำบาก เพื่อสร้างให้เรามีความอดทน บากบั่น  และเป็นคนที่พระเจ้าสามารถใช้การได้ ซึ่งจะยิ่งเป็นการเพิ่มพูนความเชื่อและความหวังใจให้กับเรามากขึ้นไปอีก

“เรายังชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นก่อให้เกิดความบากบั่น ความบากบั่นทำให้เรามีอุปนิสัยที่พิสูจน์แล้วว่าใช้การได้ และอุปนิสัยเช่นนั้นทำให้มีความหวัง และความหวังไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์เข้ามาในจิตใจของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา”  (โรม 5:3-5)

 

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า และมนุษย์ที่เป็นคนบาป  ก็เปรียบเหมือนคนป่วยที่ต้องการหมอ

 

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจึงต้องการหมอ พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์มาหาคนเหล่านั้น ที่รู้ว่าตัวเองป่วย และต้องการรับการรักษา

“คนสุขภาพดีไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ เราไม่ได้มา เพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มา  เพื่อเรียกคนบาป ให้กลับใจใหม่”   (ลูกา 5:31-32)

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1307

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  เมษายน  2021

 เรื่อง “พระเยซูบังเกิดใหม่แล้ว ฉันก็บังเกิดใหม่ด้วย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“พระเยซูบังเกิดใหม่แล้ว ฉันก็บังเกิดใหม่ด้วย”  นี่คือหัวข้อเรื่องในวันนี้  สัปดาห์ที่แล้วเราฉลองวันอีสเตอร์ ใช้หัวข้อเรื่องว่า “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นด้วย ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย” เนื่องจากพระคัมภีร์จะใช้ 2 คำนี้ คือ …

“พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย” หรือ …

“พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่” หรือ …

“พระเจ้าชุบพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่” อีกคำหนึ่งที่ใช้ ก็คือ …

“พระเยซูบังเกิดใหม่”

“เกิดใหม่แล้ว” … ใช้คำเดียวกัน

เพราะฉะนั้น วันนี้เรามาบรรยาย มาเรียนรู้กันถึงถ้อยคำนี้ ที่บอกว่า “พระเยซูบังเกิดใหม่แล้ว ฉันก็บังเกิดใหม่แล้ว” ทำให้เห็นภาพชัดขึ้น ง่ายขึ้นในการบังเกิดใหม่  ในการเป็นขึ้นจากความตายของเรา พร้อมกับพระเยซู

การเป็นขึ้นจากตาย  คือการบังเกิดใหม่นั่นเอง การเป็นขึ้นจากตายในวันที่ 3 ของพระเยซู หลังจากถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด และมีผลต่อมนุษยชาติแต่ละคนบนโลกใบนี้ สำคัญที่สุดเลยว่าไม่ได้มีผลต่อส่วนรวมเฉยๆ  แต่มีผลต่อแต่ละคนเลย  ถ้ามนุษย์คนนั้นเชื่อในข่าวดีนี้  ก็จะมีผลกระทบไปถึงตัวเขาเลยทันที  ถ้าท่านเชื่อและรับเอาข่าวดีนี้

ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าส่งมาบนโลกใบนี้  พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าท่านเชื่อและรับข่าวดีนี้  ซึ่งคือความจริงนี้นั่นเอง  ความจริงนี้ได้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้ว เป็นจริงๆ ตามนี้  ใครที่เชื่อ ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่  ที่สำคัญที่สุด ในตัวตนแท้จริงในวิญญาณ และจิตใจข้างในของท่าน  เปลี่ยนแปลงทันทีที่ท่านเชื่อ

การเป็นขึ้นจากตาย การบังเกิดใหม่ของพระเยซู มีผลต่อท่าน มนุษย์แต่ละคน เป็นการส่วนตัว จึงเป็นความจริงที่สำคัญที่สุด ที่มนุษย์ทุกคนควรจะรับรู้ จำเป็นจะต้องรับรู้ เพื่อใช้สิทธิ์ของตนเอง ที่พระเจ้าได้ทำให้แล้ว  ถ้าไม่ใช้ ก็เสียดายมาก ของใคร? ของเขาเลยนะ เป็นการส่วนตัว ถ้าท่านใช้สิทธิของท่านตรงนี้  ผล ก็คือ ท่านจะได้ไม่ต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามลำพังคนเดียว มีความหวังแบบลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป ไม่ต้องหวาดกลัว วิตกกังวลว่าจะทำอย่างไร? จะไปอย่างไรดี? ตายแล้วจะไปไหน?  วันนี้จะเกิดอะไรขึ้น? ไปดูดวง? ดูอะไรต่างๆ  มันไม่มีความหวังอะไรเลย ไม่มีเป้าอะไรเลย

แต่ถ้าท่านใช้สิทธิของท่าน  … ท่านจะมีพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย สถิตอยู่กับท่าน เป็นผู้พาท่าน นำท่าน จูงมือท่าน เดินอยู่บนโลกใบนี้เลยทีเดียว ทันทีเลย  ท่านไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป ความหวังทั้งหลายก็อยู่ในพระองค์ และท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยทันที ในการดำเนินชีวิต ตั้งแต่ชั่วโมงแรก หรือวินาทีแรก ที่ท่านเปิดใจเชื่อข่าวดีนี้  ท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวท่านเองเลย

อย่าหาว่าท้าเลยนะ แต่ก็ท้าจริงๆ แหละ มาชิมเลยว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ  ถ้ามิฉะนั้น ความจริงนี้ไม่มาถึงทุกวันนี้หรอก เป็นพันๆ ปีแล้ว

การเป็นขึ้นจากความตาย การบังเกิดใหม่ของพระเยซูคริสต์ คืออันเดียวกัน เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของข่าวดี  ซึ่งส่งผลให้มนุษย์ที่เชื่อทุกคน  ได้เข้าสู่ขบวนการการเป็นขึ้นจากตาย และการบังเกิดใหม่  เป็นผู้ชอบธรรมที่ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์สะอาดหมดจด ตามที่พระเจ้าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว  ตั้งเป็นหลายๆ พันปี ด้วยความรักมนุษย์อย่างมากมาย  เพื่อว่าท่านจะได้เป็นขึ้นมาใหม่และพระเจ้าจะได้มาสถิตอยู่กับท่าน  เดินกับท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี่ยวนี้ จนกระทั่งถึงหลังความตาย จนกระทั่งถึงนิรันดร์ อยู่กับท่านเดี๋ยวนี้ จนกระทั่งถึงนิรันดร์

เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเน้นให้ชัดๆ ว่าท่านจะสามารถอยู่กับพระเจ้าเดี๋ยวนี้เลยทันที มีประสบการณ์อยู่กับพระองค์เดียวนี้เลยทันที จนกระทั่งไปถึงนิรันดร์ อย่างที่ตะกี้นี้ที่ผมบอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ ท่านไม่ใช้สิทธิของท่านหรือ? ผมเสียดายมากๆ เลย หลายท่านยังไม่ได้ใช้สิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้กระทำให้ โดยเฉพาะในสถานการณ์อย่างนี้ ท่านจะพึ่งใคร?  ท่านจะพึ่งวัคซีนหรือ? หรือจะพึ่งรัฐบาล? หรือท่านจะพึ่งเงินที่ท่านมีอยู่เยอะแยะล้นฟ้า?  หรือจะพึ่งใคร?  ในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด มันเป็นปัญหาที่ยุ่งยากวุ่นวายไปหมด ซึ่งในอดีตมีเรื่องราวที่เป็นอุปสรรค์ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์มากกว่านี้อีกเยอะแยะ แล้วเขาพึ่งใครกัน? เขาถึงจะได้รับความรอด ดำเนินมาถึงทุกวันนี้ เราไปดูในอดีตได้ ก็พึ่งในพระเจ้า  ผู้ทรงนำพาเขาได้

นี่แหละ เราต้องพึ่งในพระเจ้าในขณะนี้  จะกิน จะอยู่ จะดำเนินชีวิตอย่างไร? ด้วยความหวาดกลัวอย่างนี้ต่อไปหรือ? อะไรต่างๆ เหล่านั้น เฉพาะเหตุการณ์ในตอนนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะน่าเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ เข้ามาใช้สิทธิของท่าน  ในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าได้กระทำให้ท่าน  เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป  แต่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน

ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าถ้าปราศจากการบังเกิดใหม่ของพระเยซู คือการเป็นขึ้นจากความตาย  ความเชื่อของเหล่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูหรือเชื่อในพระเจ้า  ก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าพระเยซูตรัสว่าผู้ที่จะเข้าสวรรค์ได้นั้น ต้องบังเกิดใหม่ ดังนั้น พระเจ้าจึงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ เพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์ทั้งปวงจะได้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ด้วยกันกับพระองค์

เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย พระเจ้าทำให้พระเยซูคริสต์บังเกิดใหม่ เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้มีโอกาสได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ด้วย  เอเมน เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กันในวันนี้เพิ่มเติม 1 โครินธ์ 15:17-22 …

1 โครินธ์ 15:17-22 “17 และถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย  ความเชื่อของท่านก็ไร้ผล  ท่านยังคงอยู่ในบาปของตน 18 แล้วบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปในพระคริสต์  ก็พินาศไปด้วย 19 ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงเพื่อชีวิตนี้ เราก็น่าสมเพชกว่าคนทั้งปวง 20 แต่นี่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป 21 เพราะในเมื่อความตายสืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม  คนทั้งปวงตายฉันใด  ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่ เหมือนพระองค์ฉันนั้น

 

สรุปรวมในนี้ ก็คือถ้าเกิดพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นจากความตาย  ไม่ได้บังเกิดใหม่ เราก็ไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย ถูกไหม?  ถ้าเป็นเช่นนั้น ในนี้บอกว่าท่านก็ยังคงอยู่ในบาปของตน ในอาดัม บรรพบุรุษเดิมของเรา  ซึ่งตายทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย  ถ้าพระเยซูไม่ได้บังเกิดใหม่ เราก็ไม่ได้บังเกิดใหม่  เราก็ยังเป็นคนเดิม ที่อยู่ในบาป ในอาดัม ในความตาย ทั้งร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ตายขาดจากพระเจ้า  ขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ แต่ในนี้บอกว่าแต่ว่าพระเจ้าได้ให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่จริงๆ ก็คือเราก็มีสิทธิ์ที่จะเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู เช่นเดียวกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าเราได้ใช้สิทธิของเรา ได้เกิดใหม่พร้อมพระเยซู เราก็มีชีวิต บังเกิดใหม่ อยู่ในความชอบธรรม อยู่ในพระคริสต์ บริสุทธิ์ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย  เพราะว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตาย เราก็เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น เป็นขึ้นมาทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย แต่วิญญาณและจิตใจ เป็นขึ้นมาก่อน ทันทีทันใดเลย ส่วนร่างกายเป็นขึ้นมาใหม่เหมือนกัน แต่รอก่อน รอให้ร่างกายเดิม หมดเวลาของเขาที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้เราเรียบร้อยทันทีเลย เมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเยซู และได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ใน 1 เปโตร 1:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:3 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย (เป็นขึ้นจากตาย) บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ของพระเยซูคริสต์”

 

“พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังใจอันยืนยง” ก็คือหวังใจในนิรันดร์เลย  ไม่ใช่เดี่ยวนี้อย่างเดียว  แต่เดี๋ยวนี้ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ “โดยการเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ ของพระเยซูคริสต์” นี่ชัดมากเลย

เราบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของการเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ของพระเยซูเช่นเดียวกัน  คล้ายๆ ในอดีตที่เราอยู่ในความตาย  อยู่ในคำสาปแช่ง เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในความบาป ในอาดัม บรรพบุรุษของเรา  บัดนี้ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นลูกของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ถ้าท่านหรือฉันเชื่อ และใช้สิทธิ์ ฉันก็เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็สามารถเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วยกันกับพระองค์ ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายได้ อย่างนี้ไม่ตื่นเต้นหรือ? อย่างนี้ไม่เรียกว่าอัศจรรย์หรือ?  แล้วทดลองได้ไหม? ชิมได้ไหม? ชิมได้ แล้วใครจะรู้? ส่วนตัวท่านจะรู้เลยว่าวิญญาณและจิตใจท่าน ได้บังเกิดใหม่ มันเป็นอย่างไร?  ท่านจะมีประสบการณ์แห่งการเป็นขึ้นจากความตาย  ณ บัดนาว ณ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้เลย  จนไปถึงนิรันดร์ การเป็นขึ้นจากความตาย วิญญาณ  จิตใจ ทันทีเลย  ส่วนร่างกายรอก่อน รอให้หมดหน้าที่บนโลกใบนี้เสียก่อน

ถ้าเชื่อ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณที่บังเกิดขึ้นแล้ว  พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้ตายที่ไม้กางเขนแล้ว ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์แล้ว ได้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว และปัจจุบันได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว ทุกสิ่งเหล่านี้ได้ถูกบันทึก และสถาปนาอยู่ในโลกวิญญาณ ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ในโลกวิญญาณอย่างนั้นเลย

เพราะฉะนั้น ถ้าใครเชื่อความจริงตรงนี้  ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกวิญญาณทันทีของคนที่เชื่อนั่นแหละ ในโลกวิญญาณ ตัวเขาเป็นวิญญาณและจิตใจที่ติดมากับวิญญาณนั้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทันทีเลย  คนที่รับสิทธิ์ในข่าวดีนี้ ก็คือคนที่ยอมรับว่าเป็นความจริง และใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเขา  ก็คือคนที่ยอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดตัวตน แท้จริงในโลกวิญญาณ ก็คือเขาถ่อมใจลง

ถ่อมใจลง ไม่เย่อหยิ่งแล้ว เย่อหยิ่งอย่างไร?  ไม่พึ่งตนเองอีกต่อไปว่าตนเองทำได้ พึ่งในความดี ไม่พึ่งแล้ว ยอมรับว่าตัวเองช่วยตัวเองไม่ได้  พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องมีที่พึ่ง อันถาวร อันดับแรก ต้องถ่อมใจตรงนี้ก่อน  ถ่อมใจยอมรับว่าตนเองพึ่งตนเองไม่ได้  เป็นคนอ่อนแอ เป็นคนบาป  ตัวนี้ลำบากมากเลยที่จะยอมรับ

ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป คือยอมรับว่าตัวเองเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับความดีงาม ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ขอพระเจ้าให้เข้ามาช่วย ขอพระเยซูให้เข้ามาช่วย  นี่แหละ คือคนที่จะใช้สิทธิ์ของเขา พระเจ้าก็จะเข้ามาตามที่เขายอม และเข้ามาช่วย โดยเริ่มต้นผ่าตัดทางวิญญาณ พาเขาเข้าไปสู่โลกวิญญาณ  มิติวิญญาณ เพื่อทำการรักษา เยียวยาชีวิตของเขาทันที เพราะโลกของพระเจ้า  เรียกว่าโลกของสวรรค์  ไม่ว่าจะเป็นโลกสวรรค์ โลกวิญญาณที่มีพระเจ้า โลกของพระเจ้า เราเรียกกันว่าโลกวิญญาณทั้งสิ้น มันมองไม่เห็น สัมผัสแตะต้องไม่ได้  แต่มันมีอยู่จริงๆ  พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ ก็สถิตอยู่ที่นั่น ในโลกวิญญาณ และพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ แปลว่าพระองค์ทรงเป็นอยู่ ชื่อของพระเจ้าพระบิดา ก็บอก พระองค์ชื่อว่าเราเป็น

เพราะว่าพระองค์ไม่มีอดีต และไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบัน คือพระองค์เป็นอย่างนั้น หมายถึงในมิติโลกวิญญาณ มันไม่มีกาลเวลา ไม่มีว่าอดีต 3 ชั่วโมงที่แล้ว 3 ปีที่แล้ว 3,000 ปีที่แล้ว ไม่มี มีแต่เกิดก็เกิดเลย สถาปนาอยู่ที่นั่น  เมื่อเรายอมรับว่าตัวเราเองเป็นคนบาป ต้องการการช่วยเหลือ เปิดใจให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัด พระเจ้าก็เข้ามาในวิญญาณของเรา  แล้วก็ทำการผ่าตัดวิญญาณของเรา ด้วยวิธีการที่บันทึกไว้ในโรม 6:3-6 เพื่อจะย้ำให้ท่านเห็นชัดๆ  เพราะตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน  อันดับแรกเลยที่เราเข้าไปในสิทธิ์ปุ๊บ มันจะเกิดขึ้นทันที พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู ข่าวดีนี้ปุ๊บ ใช้สิทธินี้ พระเจ้าผู้เป็นวิญญาณเข้ามาในมิติโลกฝ่ายวิญญาณ เข้ามาที่วิญญาณของเรา และทำสิ่งนี้แหละ เราเรียกกันว่าผ่าตัดฝ่ายวิญญาณแล้วกัน …

โรม 6:3-6  “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ ก็ได้ถูกบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการได้เข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย  แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา  (ที่อยู่ในบาป ในอาดัม) ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป

 

“ท่านรู้ไหม?” เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว ทันทีที่เชื่อในข่าวดีนั้น  ก็ได้ถูกบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้ถูกพระเจ้านำเราเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ จำตรงนี้ไว้ให้ดี

เข้าไปในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผ่าตัดเอาวิญญาณของเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระเยซู พอเข้าไปในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ทันทีทันใด ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระเยซูคริสต์ ทางวิญญาณและจิตใจของเรา ที่พระเจ้านำออกมา เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พอพระเยซูตาย เราก็ตายด้วย มันหมายถึงอย่างนั้น

ข้อ 4 จึงบอกว่า … “ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการเข้าส่วนร่วมในความตาย ถูกฝังไว้ในความตายร่วมกับพระเยซู เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิต บังเกิดใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย”  ตายไปกับพระเยซู ก็เพื่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราจะได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย มันหมายถึงอย่างนั้น

ข้อ 5 บอกว่าถ้าเราเชื่อและพระเจ้าผ่าตัดวิญญาณเราแล้ว ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในความตาย เราตายร่วมกับพระองค์ แน่นอน เราก็จะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่เช่นเดียวกัน

นี่คือวิธีการของพระเจ้า ที่เข้ามาเยียวยารักษาวิญญาณและจิตใจของเรา รวมทั้งร่างกายด้วย

ข้อ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราที่อยู่ในบาป ในอาดัมนั้น นึกภาพนะ นี่คืออดีตก่อนที่เราจะเปิดใจรับเชื่อ  พอรับเชื่อปุ๊บ ตัวเก่า ที่อยู่ในบาปอยู่ในอาดัมนั้น ที่สกปรก โสโครกนั้น  ถูกตรึงตายไว้กับพระองค์ คือพระเยซูคริสต์แล้ว เพื่อตัวบาป ตัวเก่านั้น จะได้ถูกขจัดออกไป  ก็คือตายไป เพื่อจะได้ไม่เป็นทาสของมาร ของความบาปอีกต่อไป โคโลสี 1:13-14  ได้บรรยายภาพให้เห็นชัดเจน  อย่างที่ผมบอกว่ามิติของโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ ที่เรียกว่าสวรรค์นั้น  เป็นเช่นไร? และพระองค์ทรงรักษาเยียวยา  เมื่อเรารับเชื่อในข่าวดีนี้อย่างไร? โคโลสี 1:13-14 …

โคโลสี 1:13-14  “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป  คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

ในมิติโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ หรือที่พระเจ้าสถิตอยู่นั้น ปรากฏว่าในนี้ อธิบายให้เห็นชัดเลยว่ามีอยู่ 2 แห่ง …

แห่งหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด หรืออาณาจักรของความมืด

แห่งที่สอง คืออาณาจักรของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเรารู้แล้ว พระองค์บอกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง

ปรากฏว่าในโลกวิญญาณมี 2 สถานที่ … สถานที่หนึ่งเรียกว่ามืด  อีกสถานที่หนึ่งเรียกว่าสว่าง … สถานที่สว่าง เรียกว่าในพระบุตร หรือว่าในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น ในสถานที่มืด  ก็ต้องใช้คำว่าในอาดัมนั่นเอง จะเห็นภาพแล้วนะ ชัดมากเลย

การผ่าตัดของพระเจ้า คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดี ถ้าไม่ยินยอม อยู่ดีๆ พระองค์เข้าไปทำอะไรไม่ได้เลย เขาต้องยินยอม คือเปิดใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป  เปิดใจเชื่อ เขาเรียกว่ายินยอม พอยินยอมปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาผ่าตัด ก็คือย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ออกจากในอาดัม ไปสู่ในพระคริสต์ จากความตายมาบังเกิดใหม่ จากการเป็นทาสมาร ทาสความชั่วร้าย เป็นศัตรูกับพระเจ้า  มากลายเป็นลูกของพระเจ้า  ออกจากอาณาจักรของความมืด  มาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระเยซูคริสต์ ในพระคริสต์นั่นเอง ซึ่งก็หมายถึงอาณาจักรสวรรค์ของพระคริสต์ ก็คือผ่าตัดเอาวิญญาณมนุษย์ทันทีเลย  ออกจากความพินาศในนรกมาอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้าทันที มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จึงจำเป็นและจะต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะในอาดัม หรือในพระเยซูคริสต์

ต่อให้ท่านบอกไม่เชื่อๆ เรื่องนี้ ต่อให้เชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ซึ่งเป็นเรื่องจริงแน่นอน พระเจ้าอธิบายให้ฟังแล้ว ให้ท่านเลือกเอง ท่านจะอยู่ในที่ใดที่หนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณนี้อย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้น การเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูในการตาย และการถูกฝังในอุโมงค์ของพระเยซูทำให้เราได้รับการอภัย จากความบาปผิดทั้งหมดทั้งปวง ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบันและในอนาคตทั้งหมดเลย

การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู หรือการบังเกิดใหม่ของพระเยซู ก็ได้ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า ด้วยพระคุณของพระองค์ ซึ่งพระเจ้าประทานให้ฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  แม้แต่นิดเดียว แค่นั้นยังไม่พอ ด้วยพระคุณซ้อนพระคุณ อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระเจ้ายังได้ประทาน ไม่ใช่ยกโทษให้เฉยๆ  แต่ยกโทษแล้ว เปลี่ยนหัวใจและวิญญาณใหม่ให้เรา  เปลี่ยนแกนของชีวิตของเรา  จากความชั่ว มาเป็นความดี จากความเลว มาเป็นผู้ชอบธรรม จากวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณลูกของพระเจ้า  เรียกว่าเกิดใหม่ทันที รับเรามาเป็นลูกของพระองค์ เข้ามาอยู่ร่วมกันกับพระองค์ กับครอบครัวของพระองค์ ในวัง ซึ่งเรียกว่าสวรรค์สถานนั่นเอง ซึ่งรับเข้ามาอยู่เมื่อไร? ต้องรอให้ตายไปก่อนไหม?  ไม่ต้อง เริ่มต้นทันทีเลย  ประสบการณ์นี้ เดี๋ยวนี้เลย  ณ ขณะที่ท่านเปิดใจต้อนรับสิทธิของท่าน เขาถึงเรียกกันว่าพระคุณมหัศจรรย์  พระคุณอันยิ่งใหญ่  โคโลสี 2:9-10 จึงบันทึกอย่างนี้ว่า …

โคโลสี 2:9-10 “9 เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของพระองค์ (ผู้เชื่อทั้งหลาย) 10 และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะ เหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น”

 

นี่กำลังพูดถึงผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว  ได้รับการผ่าตัด ได้รับการย้ายวิญญาณและความคิดจิตใจ ตัวจริงๆ ของเขาเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว

ในนี้จึงบอกว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ ต้องจำให้ได้ เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ ในขณะนี้ “เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของพระองค์” หมายถึงผู้เชื่อทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ ก็เป็นอวัยวะในร่างกายของพระองค์ “และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะ เหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น”  ผลของการบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผลของมัน คือความบริบูรณ์ในพระคริสต์ นึกถึงเราแต่ละคน  พอเราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ สิ่งนี้เกิดขึ้นในวิญญาณของเรา  ในชีวิตของเรา คือความบริบูรณ์ในพระคริสต์

ท่านอยากถามว่า … “พอฉันรับเชื่อแล้ว มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เกิดใหม่พร้อมพระองค์แล้ว ฉันได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์เป็นอย่างไร?”

“ความบริบูรณ์ในพระคริสต์ คืออะไร?” พระคัมภีร์ในนี้เขียนเอาไว้ ในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกาย (ผู้เชื่อคนนั้น) ก็แปลว่าพระเจ้ามีพระลักษณะอย่างไร? พระเจ้าเป็นอย่างไร? พระคริสต์ก็เป็นอย่างนั้น และพระคริสต์มีพระลักษณะเป็นอย่างไร? ผู้เชื่อคนนั้นก็เป็นอย่างนั้นเช่นเดียวกัน เมื่อเปิดใจเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์  ทันทีเลย  ก็ได้รับตรงนี้เข้าไปแล้ว

มันน่าตกใจใช่ไหม? แล้วไม่น่าแปลกใจเลย ที่คนไม่ค่อยอยากจะเชื่อตรงนี้ มันไม่มีทางที่จะเข้าใจเลยว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? ไม่สามารถใช้สติปัญญาของมนุษย์เลย 1 ยอห์น 4:17 ได้บันทึกซ้ำลงไปอีกอย่างนี้ว่า …

1 ยอห์น 4:17  “แบบนี้สิ ความรัก​ของ​พระเจ้า ​ถึง​สำเร็จ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์​ใน​พวก​เรา เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

 

“แบบนี้สิ” ในบริบทนี้ หมายถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ … พระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเป็นความรัก เราก็เป็นความรัก

แบบนี้สิ การเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ทำให้ความรักของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์ ตามเป้าหมายของพระองค์ ในชีวิตของพวกเราทั้งหลาย และทำให้พวกเราทั้งหลายมีความมั่นใจในวันพิพากษา คือเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว มีวันหนึ่ง วันแห่งการพิพากษา ที่พระเจ้าจะมาตัดสินบนโลกใบนี้แล้ว  ที่เรียกว่าวันสุดท้ายของโลกใบนี้  เราก็มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เพราะว่าในวันพิพากษา เราสบายมากเลย  พิพากษาว่าใครดีใครชั่ว ใครจะไปอยู่ในสวรรค์ เพราะเราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว

ในนี้บอกว่าก็เพราะชีวิต จิตวิญญาณที่เรามีขณะที่อยู่บนโลกนี้นั้น เรามั่นใจ ไม่ใช่มั่นใจ เพราะเราทำดี หรือมั่นใจ เพราะเรามีความเชื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า หลังความตาย เราจะไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่ ในนี้บอกว่าอะไร? เรามีความมั่นใจ ก็เพราะว่าชีวิต ทั้งวิญญาณและจิตใจของเราในขณะนี้ เมื่อเรารับเชื่อแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เรียบร้อยแล้ว วิญญาณและจิตใจขณะที่เราอยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิต จิตวิญญาณของพระคริสต์ คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้น เราเป็นเหมือนพระองค์เดี๋ยวนี้เลย ก็มั่นใจสิ  ในวันพิพากษาก็สบายสิ ถามว่าบริสุทธิ์เท่าไรในวันพิพากษา บริสุทธิ์จากบาปเท่าไร? ไม่ใช่ 90% แต่ 100% เท่าๆ กันกับพระเยซูเลย แล้วไม่มั่นใจว่าจะไปสวรรค์ได้อย่างไร?  ในเมื่อสิ่งเหล่านี้เป็นขึ้น และเป็นสภาพของตัวตนแท้จริงของฉัน เดี๋ยวนี้แล้ว พระเจ้าทำให้เป็นขึ้นจากความตาย  และบังเกิดใหม่ โดยการประทานวิญญาณดวงใหม่ให้กับเรา  ใจใหม่ให้กับเรา ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งไม่ใช่ 2 อย่างนี้เท่านั้น แต่ในอนาคตอันใกล้ ทั้งร่างกายก็ใหม่ด้วย  เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งได้เผยพระวจนะแผนการเรื่องนี้ไว้ในหนังสือเอเสเคียล 36:26  … พระเจ้าจะประทานใจใหม่และวิญญาณใหม่ …

เพราะฉะนั้น โคโลสี 3:1-4  พระคัมภีร์จึงได้บันทึกว่าให้เราจดจ่อในเรื่องจริงเหล่านี้ อย่าให้มันหลุดออกจากความคิดจิตใจเราไป อย่าให้มันหลุดออกจากความรู้ความจริงในเรื่องนี้ไป  เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่เกิดขึ้นจริงๆ และมีผลกระทบต่อความเชื่อ และมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ต่อวิญญาณของเราจริงๆ …

โคโลสี 3:1-4  “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

ให้เราจำภาพนี้ให้ได้ว่ามันเกิดขึ้น  พระคัมภีร์ พระเจ้าไม่ต้องการให้เราลืม  เพราะมันเป็นเรื่องโลกวิญญาณที่เกิดขึ้น

สรุปของข้อความตรงนี้ ก็คือเมื่อท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู พระเจ้าได้ชุบท่านให้เป็นขึ้นจากความตาย ได้บังเกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซูคริสต์ มีความบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว ให้จดจำตรงนี้ไว้ อย่าไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้น ที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้มากนัก แต่ให้ฝักใฝ่และจดจ่ออยู่ที่โลกฝ่ายวิญญาณ ตัวเก่าของเรา  ที่เต็มไปด้วยความบาป สกปรก มันตายไปแล้ว  มันไม่อยู่ ถูกขจัดออกไปแล้ว ตอนนี้ท่านได้ถูกให้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม มันคนละเรื่องกับตัวท่านที่เป็นอยู่

นอกจากความคิดจิตใจและวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฏ กลับมาอีกทีหนึ่ง ท่านก็จะได้รับร่างกายใหม่  ปรากฏพร้อมกับพระองค์ ด้วยร่างกายที่บังเกิดใหม่  เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน  ไม่ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ  ไม่ต้องกลัวโควิดอะไรต่างๆ  ไม่ต้องมีการทำบาป ไม่ต้องมีภาระในการวิตกกังวล กลัว ไม่ต้องต่อสู้กับความบาปอีกต่อไป เพราะว่าร่างกายใหม่ท่านจะไม่ได้อยู่ใต้อิทธิพลความบาปเลย แม้แต่น้อย และไม่มีใครจะมาล่อลวงท่านอีกแล้ว  เพราะมารก็ถูกตัดสิน จบไปแล้ว ในโลกใหม่ วิญญาณใหม่ ไม่มีการล่อลวงของบาปอีกต่อไป ให้เราคิดแต่เรื่องเหล่านี้ นี่คือเคล็ดลับที่พระเจ้าได้สอนเรา เมื่อเราเปิดใจเชื่อในพระเยซูแล้ว

เหตุการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบ ถามว่าทุกข์ใจไหม? เดือดร้อนไหม?  เดือดร้อน กังวลไหม? กังวล กลัวไหม? กลัวสิ  เป็นมนุษย์ทำไมไม่กลัวล่ะ  ความกลัวเป็นสิ่งที่ดีด้วยนะ กลัว เราจึงใส่หน้ากากอนามัยไง กลัว เราจึงไม่ไปร่วมกับคนอื่นที่เขาไปในที่ชุมนุมชน ที่เขาไม่ระมัดระวังกัน ที่เขาไม่กลัว เอาเชื้อมาติดที่บ้าน คนอื่นเดือดร้อนด้วย  อย่างนี้เรียกว่าความกลัว วิตกกังวลมันเป็นเรื่องธรรมดาของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่คนที่เชื่อในพระเยซูและได้บังเกิดใหม่พร้อมพระเยซูคริสต์เดี๋ยวนี้เลยทันที หนึ่งอย่างที่เขาจะไม่กลัวเลย ก็คือในโลกวิญญาณเขาจะไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่กลัวความตาย  พูดถึงความตาย ยิ้ม หัวเราะเลย  แต่อาจวิตกกังวล กลัวในวิธีตายมากกว่าว่ามันจะเป็นอย่างไร? แต่จะกลัวอย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็จะปลอบโยน พระเจ้าก็จะให้สติปัญญา ในขณะนั้น ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็จะให้เราสามารถรับกับสถานการณ์ที่พระองค์ทรงให้เราเผชิญได้อย่างแน่นอน พระองค์จะทรงจูงมือเราผ่าน เหมือนที่พระเยซูคริสต์ก็ได้รับการทดลองความเชื่อ เหมือนกัน พระเจ้าก็นำพระองค์ในที่สุด  ก็ผ่านเป็นไปตามแผนการของพระองค์ทั้งสิ้น

ยกตัวอย่าง เราวิตกกังวลว่าไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้เพียงพอ ลำบากลำบน จะทำอย่างไรดี  กังวลไป ก็ไม่เป็นไร? แต่อธิษฐาน เดี๋ยวถึงเวลา มันก็ผ่านไป แต่จะผ่านไปด้วยวิธีตอบคำอธิษฐาน เหมือนเป๊ะเลย  หรือไม่เหมือน ไม่ตอบคำอธิษฐานเรา แต่ว่าให้ดีกว่านั้นอีก แต่เราต้องอดทนรอคอย แต่ในที่สุด พระเจ้าก็พาเราผ่านได้ พระคัมภีร์ก็บันทึกไว้ว่าพระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย สถานการณ์จะดีหรือไม่ดีก็ตาม พระองค์จะให้มันทำงานร่วมกัน เป็นผลดีสำหรับเรา ผู้ที่รักพระองค์เสมอ เอเมน

พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย หรือก็คือบังเกิดใหม่แล้ว ถ้ามนุษย์ผู้ใดเชื่อ  มนุษย์ผู้นั้นก็เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วย  นี่คือความจริงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ประกาศดังลั่นเลยว่ามันเป็นความจริงอย่างนี้  ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ซึ่งไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ความจริงในโลกวิญญาณนี้จะส่งผลให้กับท่าน และมนุษย์ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ตามกฎของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าเป็นผู้สถาปนาไว้ทั้งสิ้น ไม่ว่าท่านจะบอกว่ารู้หรือไม่รู้ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกฎทางโลกฝ่ายวิญญาณ หรือกฎทางโลกวัตถุ ทุกคน ทุกผู้ ทุกนาม เมื่อทำถูกกฎนั้น ก็ต้องรับผลตามกฎนั้น เหมือนกันทั้งสิ้น  ความจริงเหล่านี้จะทำให้ท่านเป็นไท

ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ โลกวิญญาณก็มีอยู่จริง อย่างเช่น มนุษย์เป็นวิญญาณ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นวิญญาณจริงๆ ถ้าจะมีอะไรที่เป็นเหตุผลสักนิดหนึ่ง แต่ไม่สามารถเป็นเหตุผลที่ชัดเจน จับวิญญาณมนุษย์มาให้ท่านเห็นว่า X-ray แล้วว่าข้างในเป็นวิญญาณทำไม่ได้ แต่เหตุผลหนึ่งที่พอจะคุยกันได้ ก็คือไม่มีสัตว์ในโลกใบนี้ ชนิดไหนเลย ที่รวมตัวกันแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนแรงดึงดูดของโลกเช่นเดียวกัน ก็มีอยู่จริง แต่เรามองไม่เห็น โยนของขึ้นฟ้า มันก็ตกลงมาบนดิน เหมือนลม มีอยู่จริง มองไม่เห็น แต่เรารู้ว่ามันมีอยู่จริง

พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ชัดเจนว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องจริง มีอยู่จริง ส่งผลอย่างไรต่อผู้เชื่อจริงๆ  และส่งผลอย่างไรต่อผู้ไม่เชื่อจริงๆ ด้วย  บันทึกเอาไว้เสร็จเลยนะว่านี่คือข่าวดีของพระเยซู ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมาบนโลกใบนี้ ให้กับมนุษย์แล้ว  ใครเชื่อก็ได้รับตามกฎ แล้วถ้าไม่เชื่อล่ะ ไม่เชื่อก็ได้รับตามกฎเหมือนกัน        กฎนั้นว่าอย่างไร?  ยอห์น 3:16-18 บอกไว้ว่าอย่างนี้ …

ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ  แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้า ไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาในโลกเพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อ ในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

“เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตร” ก็คือเชื่อในข่าวดีนี้  ที่พระเยซูมาประกาศนี้ ว่าพระองค์มาทำอะไร? เกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้ว  คนไหนที่เชื่อก็จะไม่พินาศ คือไม่ตาย ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย ไม่ต้องอยู่ในความมืด  คำสาปแช่ง แต่มีชีวิตนิรันดร์ ก็คือได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตาย  มีชีวิตนิรันดร์ แปลว่ามีชีวิตเหมือนพระเยซู … พระเยซูมีชีวิตเหมือนพระเจ้า แต่เขาที่เชื่อนั้น ก็จะมีชีวิตเหมือนพระเจ้า เรียกว่าชีวิตนิรันดร์

แต่ถ้าไม่เชื่อล่ะ ไม่เชื่อ ก็อยู่ที่เดิม พูดง่ายๆ  อยู่ในสถานที่เดิม อยู่ในโลกวิญญาณ ก็คือไม่ยอมย้ายไป  ก็คืออยู่ในอาดัม อยู่ในความพินาศนั้นเอง  ชัดเจนเลยนะ

สิ่งเดียวที่มนุษย์ต้องทำ คือเปิดใจยอมรับความจริงนี้  แม้ว่ามันจะหินมากก็ตาม ความจริงนี้ แม้ว่าจะไม่เข้าใจก็ตาม มีความรู้สึก ต้องคิดอย่างนี้ คือฟังดูแล้วมันไร้สาระ ไร้เหตุผลจริงๆ เลย พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา พระเยซูถูกฝังไว้ และเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราเข้าไปอยู่ในพระเยซู อะไรก็ไม่รู้ ฟังก็ไม่รู้เรื่องเลย  แน่นอนเราจะต้องต่อต้านและไม่เห็นด้วย  และคิดไม่ออก เพราะในขณะที่เราคิดอยู่ ต่อต้านอยู่นั้น  ข้างในตัวจริงๆ ของเรา วิญญาณที่เป็นตัวตนของเรา จิตใจของเรานั้น  เป็นศัตรูกับพระเจ้าอยู่ มันต่อต้านอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าท่านจะรอให้เข้าใจทั้งหมดเลย แล้วค่อยมาเชื่อ ให้มันมีเหตุผลหน่อยสิ ท่านจึงจะมาเชื่อ ท่านจะไม่มีโอกาสได้เชื่อ ไม่มีโอกาสใช้สิทธิของท่านเลย

เพราะฉะนั้น ในพระคัมภีร์จึงบอกข่าวดี เป็นฤทธิ์เดช … ฤทธิ์เดช คือพลังอำนาจอัศจรรย์ ไม่ใช่พลังอำนาจเฉยๆ พลังอำนาจ เรายังดูไม่อัศจรรย์ ถ้าบอกว่าฤทธิ์เดชมันเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ ไม่ใช่มือมนุษย์แล้ว เป็นอัศจรรย์ มหาอัศจรรย์แล้ว

ข่าวดีที่เป็นฤทธิ์เดช ทำให้ผู้ที่เชื่อได้รับความรอด พิสูจน์ได้ด้วย  แล้วสามารถรู้ได้ด้วย เพราะถ้าท่านเข้ามามีประสบการณ์ ท่านจะรู้จักในวิญญาณของท่านเอง จากจิตใจของท่านเองว่าคำว่าฤทธิ์เดชเป็นอะไร? เป็นอย่างไร? ทำงานอย่างไร? ทำงานในจิตใจท่านอย่างไร?  และเกิดผลอย่างไร?  ถ้าท่านไม่เข้าไปชิม นั่งคุย นั่งฟังอย่างนี้  ท่านก็ไม่มีวันที่จะเข้าใจ รอให้เข้าใจ ไม่ทันอยู่แล้ว  ไม่ทันการ โรม 10:9 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่าฤทธิ์เดชเกิดขึ้นได้อย่างไรในชีวิตของท่านทั้งหลาย …

โรม 10:9 “นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ช่วยให้รอด และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ท่านก็จะได้รับความรอด (เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่)”

 

แค่นี้เอง ฤทธิ์เดชนี้เกิดขึ้นง่ายนิดเดียว ถ่อมใจลง เปิดใจต้อนรับแค่นั้นเอง  ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตายในโลกวิญญาณจริงๆ  ได้รับการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณ ได้รับการย้ายจากอาณาจักรในโลกวิญญาณแห่งหนึ่ง มาสู่อีกแห่งหนึ่งที่ดีกว่ามากมาย เอเฟซัส 2:6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

เอเฟซัส 2:6  “และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) พร้อมกับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์  พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

ใครน๊าที่เป็นขึ้นจากความตาย? “และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมา” คำว่า “ทรงให้เราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่)” ก็คือผู้ที่เชื่อ แค่นั้นเอง  มนุษย์ที่เชื่อ ไม่ใช่มนุษย์ที่ทำความดีมากๆ มนุษย์ที่รักพระเจ้ามากๆ ไม่รู้ รักแล้วทำอะไรขนาดไหนก็ไม่รู้?  แต่มนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีว่าพระเยซูมาช่วยให้รอด  แค่นั้นเอง พระองค์ทรงให้มนุษย์ผู้ที่เชื่อนั้น  เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ “พร้อมกับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์  พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

“ในพระเยซูคริสต์” เมื่อบังเกิดใหม่ ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ท่านได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว บัดนาว

จำตอนพระเยซูถูกจับไป ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พวกหัวหน้าทางศาสนา พวกฟาริสี พวกคายาฟาสไต่สวนพระเยซูแบบศาลเตี้ยเลยนะ …

“ไหนบอกว่าอย่างไร? ไหนบอกว่าอย่างนี้? ไหนบอกจะทำลายวิหารใน 3 วัน?”

เอาพยานเท็จอะไรต่างๆ มาใส่ร้ายพระเยซู เพื่อจะจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน หาความผิดของพระเยซูให้ได้  แล้วคำสุดท้ายบอกว่า …

“ท่านจงบอกเรามาว่าท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าเตรียมแผนการไว้ล่วงหน้า ที่จะมาช่วยมวลมนุษย์ เป็นพระเมซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าเจิมไว้อย่างนั้นหรือ? เป็นใช่ไหม?”

แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไร?  มัทธิว 26:64 พระเยซูตอบว่าอย่างนี้  …

มัทธิว 26:64  “พระเยซูตรัสว่า “ใช่อย่างที่ท่านพูด เราขอบอกท่านทุกคนว่าในอนาคต  ท่านจะเห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ขององค์ทรงฤทธิ์  และเสด็จมาบนหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์”

 

พระเยซูบอกว่า “ก็ใช่นะสิ ฉันเป็นคนนั้น และเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระคริสต์ที่ถูกเจิมตั้งไว้ เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้น จากบาป ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่นมนานมาแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของท่าน ฉันเป็นผู้นั้นแหละมาแล้วตอนนี้”

และแค่นั้นไม่พอยังได้บอกไว้ว่า … “และในอนาคต คือหลังจากที่ท่านจับฉันไปตรึงที่ไม้กางเขน พระเจ้าได้ชุบให้ฉันเป็นขึ้นจากความตาย หลังจากนั้น ท่านจะเห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ขององค์ทรงฤทธิ์  และเสด็จมาบนหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์”

คือในวันสุดท้ายพระองค์จะกลับมาใหม่อีกทีหนึ่ง ท่านจะเห็นพระองค์เป็นขึ้นจากความตาย และอยู่กับมนุษย์ 40 วัน แล้วลอยขึ้นไปกับเมฆ เข้าไปในสวรรค์ และพระองค์จะกลับมาใหม่ อย่างนี้ เช่นเดียวกัน มาพร้อมกับเมฆแห่งฟ้าสวรรค์ กลับมาพิพากษาโลกใบนี้ จนจบสิ้นอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะเห็น และสิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้  มันไกลตัวมากเลย เพราะว่าในขณะที่พูดนี้  ในนี้บอกอนาคต ก็คือพระเยซูยังไม่ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ยังไม่ถูกฝังไว้ ยังไม่ได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แต่เดี่ยวนี้พระเยซูได้ถูกตรึงตาย ที่ไม้กางเขนแล้ว ฝังไว้ในอุโมงค์แล้ว เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เรียบร้อยแล้ว  และได้รับการแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเรียบร้อยแล้ว ใครที่เชื่อเรื่องนี้ เปิดใจต้อนรับ พระเจ้าก็จะย้ายวิญญาณของเขา ผ่าตัดวิญญาณของเขามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานพร้อมกับพระเยซูคริสต์เลย  ณ บัดนี้ทันทีที่เชื่อ

ท่านเต็มใจไหม? ถ่อมใจไหมที่จะเชื่อในเรื่องนี้ โดยที่ไม่ต้องเข้าใจ และไม่ต้องหวังว่าวันหนึ่งจะเข้าใจ ไม่มีทาง ท่านเต็มใจไหมที่จะถ่อมใจถึงขนาดนั้น  ถ้าท่านเชื่อในข่าวดีนี้  ท่านก็ได้รับการเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้ตาย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว  และถ้าท่านทำอย่างนั้นในขณะนี้  ท่านก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นมรดกนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเราทั้งหลายร่วมกับพระเยซูคริสต์

อยากจะถามท่านว่าถ้าท่านได้รับตรงนี้แล้ว ท่านอยากจะได้อะไรอีก? ท่านกลัวอะไรมากกว่านี้อีกล่ะ?  ในเมื่อขณะนี้ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณและความคิดจิตใจของเราที่จะอยู่นิรันดร์กาล อยู่กับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว และยังแถมครอบครองอาณาจักรสวรรค์นั้นร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้วเดี๋ยวนี้ และพระองค์ก็ทรงสถิตอยู่ในร่างกายของเราขณะนี้  ดำเนินชีวิตไปด้วยกัน ในโลกวิญญาณ เรานั่งอยู่เบื้องบนสูงสุด  แต่ในโลกวัตถุ เรายังดำเนินชีวิตเหมือนคนทั่วๆ ไปบนโลกใบนี้

บนโลกใบนี้ ก็มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก ความวิปริตต่างๆ ซึ่งเราต้องเผชิญ แต่เราจะกลัวอะไร ในเมื่อข้างในเรา ตัวจริงๆ เรา นอกจากเราจะบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์หมดจดเหมือนพระเยซูแล้ว พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยังสถิตอยู่กับเราในร่างกายนี้ จูงมือเราเดินทุกวัน เราจะไปกลัวอะไร?  เราจะไปกลัวโควิดหรือ? โควิดทำอะไรเราได้  โควิดทำได้ แต่พระเจ้าอยู่เหนือโควิด คำว่า “ทำได้หรือไม่ได้” ไม่ได้หมายถึงว่าทำให้เราป่วยได้ไหม? เราอาจจะป่วยจากโควิดก็ได้ ไม่ต้องป่วยจากโควิด ป่วยจากโรคอื่นๆ เยอะแยะไปหมดได้ แต่มันไม่สามารถทำให้เราตายได้อีกแล้ว เพราะเราเป็นขึ้นจากความตายแล้ว และเป็นขึ้นจากความตายนิรันดร์

พระเจ้าสามารถพาเราผ่านความทุกข์ยากลำบาก  ด้วยความอดทนเหล่านี้ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจที่อยู่ในพระคริสต์ … ในพระคริสต์มีฤทธิ์เดชอำนาจ แห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์อยู่  ฤทธิ์เดชอำนาจของการเป็นขึ้นจากความตายนี้ พระคัมภีร์บอกกระทำการงานอยู่ในตัวเราทั้งหลายที่เชื่อ อยู่ในเรา ก็คืออยู่ในวิญญาณของเราที่บังเกิดใหม่นั้น เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ เรียกว่าฤทธิ์เดชอำนาจแห่งการเป็นขึ้นจากความตายในพระคริสต์ ถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ กลัว ก็กลัวในเรื่องโลกวัตถุ ตามภาษาของมนุษย์บนโลกใบนี้  เหตุการณ์ต่างๆ วิตกกังวลได้ แต่อธิษฐาน ขอบคุณพระเจ้าในสถานการณ์เหล่านั้น พระองค์จะทรงทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ดูเหมือนไม่ดี บางอันดี บางอันไม่ดีบ้าง แต่รวมกันแล้ว พระองค์ทำให้เป็นผลดี สำหรับเราผู้ที่รักพระองค์เสมอ พระองค์ยังให้เราอยู่ในร่างกายนี้อยู่ เมื่อบังเกิดใหม่แล้ว ก็จริง เพื่อใช้เราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นประโยชน์ในการประกาศข่าวดี ตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ให้เราแต่ละคน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั่นเอง

เพราะฉะนั้น จงยืนหยัดอยู่ในฤทธิ์เดชอำนาจของพระคริสต์ เพราะให้ท่านรู้ว่าท่านอยู่ในพระคริสต์แล้วตอนนี้ ท่านนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์  ท่านได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์สะอาด  เต็มไปด้วยฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีอะไรทำร้ายท่านได้เลยในพระเยซูคริสต์ เพราะ ฉะนั้น จดจ่อจิตใจของท่านไปที่ในพระเยซูคริสต์ ในฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล หาที่เทียบไม่ได้เลย ซึ่งฤทธิ์เดชอำนาจนี้ กระทำการงานอยู่ในท่านทั้งหลาย ผู้ซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเรา  ดำรงอยู่ในท่าน  และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม” (ยอห์น 15:11)

 

ถ้อยคำพระเจ้ากำลังบอกเราว่าปัญหาความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  เราต้องเจอแน่ๆ หนีไม่พ้น  เพราะทุกอย่างถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงอนุญาต ให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับท่านก็ตาม  พระองค์ก็จะทรงประทานความชื่นชมยินดีให้แก่ท่านด้วย

 

โดยผ่านทางถ้อยคำของพระองค์ เราก็จะสามารถมีสันติสุขได้ ท่ามกลางสภาพปัญหา  และความทุกข์ยากลำบาก และทุกสถานการณ์

 

เพราะเรามีความหวังเต็มเปี่ยมที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ หลังความตาย

ถ้อยคำพระเจ้าย้ำยืนยันกับเราว่าผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือเชื่อจากใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับผู้นั้น และพระองค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้มาช่วยนำทางชีวิตของเรา ในระหว่างที่ยังดำเนินชีวิตบนโลกนี้ และเป็นมัดจำในพระสัญญาของพระองค์ที่จะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เรา

 

“เรารู้ว่าเราอยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่ในเรา เพราะพระองค์ได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา เราได้เห็นและได้เป็นพยานว่าพระบิดาได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก ถ้าผู้ใดยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงอยู่ในผู้นั้น และเขาก็อยู่ในพระเจ้า”   (1 ยอห์น 4:13-15)

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2020 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  ตุลาคม  2020

 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 2

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ในหัวข้อเรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” หลังจากที่ท่านได้ฟังคำบรรยายครั้งที่แล้ว ถ้าวันนี้มีใครถามท่านประโยคนี้ ท่านว่าท่านตอบได้ไหม?  พอตอบได้ไหม? คิดว่าน่าจะตอบได้แล้วนะ ใครมาถามท่าน …

“เป็นคริสเตียนก็สบายสิ ไม่ต้องไปรับผิดชอบอะไรบนโลกใบนี้ จะทำอะไรก็ได้  สบาย ทำบาป ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ ดี”

ท่านสามารถตอบได้แล้วนะ

คำตอบตามพระคัมภีร์ คือสำหรับผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์ คือผู้ที่เชื่อด้วยปาก  รับเชื่อด้วยหัวใจ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ความประพฤติและการกระทำทุกอย่าง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับความรอดเลย  ความเชื่อล้วนๆ ในโลกวิญญาณ แต่จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของคนๆ นั้น บนโลกใบนี้เท่านั้น ต้องจำเอาไว้ให้ดีๆ

ในเรื่องของความจริงของพระเจ้าที่เกี่ยวกับความรอด โดยพระคุณในพระเยซูคริสต์ มันมีหลักการ มีพื้นฐานอยู่แค่นี้ ที่ท่านควรจำเอาไว้ ถ้าท่านจำได้ และมีพื้นฐานแค่นี้เอง ท่านสามารถที่จะตอบอะไรใครก็ได้ ตอบตัวเอง ตอบคนที่ถาม ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าความหวังใจของท่านในพระเยซูคริสต์ คืออะไร?

หลักการพื้นฐานของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับความรอด โดยพระคุณ รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากการกระทำผิดบาป  ที่บอกว่าความรอดนี้ เป็นความรอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ ไม่ใช่โดยการพยายามสะสมประพฤติดี ความจริงตรงนี้ มีหลักการพื้นฐาน คือมนุษย์ไม่สามารถที่จะทำความดีได้ 100% ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามเกณฑ์ของพระเจ้า คือไม่ทำบาปเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่นิดเดียว แม้แต่จุดเดียว  มนุษย์จึงไม่สามารถทำตัวเองให้บริสุทธิ์เพียงพอ ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ ดังนั้น จึงไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกับพระเจ้าในสวรรค์ได้

นี่คือความจริงของพื้นฐาน หลักการของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับความรอด  โดยพระคุณ จึงมีอยู่เพียงทางเดียวเท่านั้น คือมนุษย์ต้องเกิดใหม่เท่านั้น เหมือนที่เราคุยกันเล่นๆ  บ่อยๆ ว่าต้องเกิดใหม่ เรารู้ว่าคนนี้เขาร้องเพลงเป็นอย่างไร? เขาไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีแนวโน้มที่จะเป็นนักร้องได้เลย ร้องเพี้ยนตลอด แล้วเขาบอก เขาอยากเป็นนักร้อง เราก็จะบอกว่า … “อย่างนี้ต้องไปเกิดใหม่” … อย่างนั้นมันถูกแล้ว

หรือเห็นคนนี้นิสัย กินไม่เลือก กินจนอ้วนตุ๊ต๊ะ บอกอยากลดน้ำหนัก ทำมากี่ครั้งแล้ว 10 กว่า 20 ครั้ง ตั้งใจลดทุกที แต่ไม่เคยลด  แล้วจะลดได้อย่างไร กินอย่างนี้  เราก็บอกว่า …

“อยากจะลด ต้องไปเกิดใหม่ซะ”

เราพูดกันเล่นๆ แต่มันเป็นจริง  สำหรับพระเจ้าแล้ว เรารู้ว่าเราทำไม่ได้หรอก เราทำให้ตัวเองสะอาดหมดจด ไม่ทำบาปสักครั้งหนึ่ง  เป็นไปไม่ได้   เมื่อไม่ได้  ก็ต้องไปเกิดใหม่ พระเจ้าบอกเกิดใหม่สิ แต่พระเจ้าไม่ได้พูดเล่น  พระเจ้าพูดจริงๆ พระเจ้าทำจริง คือ …

“ลูกเอ๋ย ลูกต้องเกิดใหม่เท่านั้น ลูกจึงมาอยู่ในสวรรค์ได้”

เหมือนกัน มนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นคนบาป โดยธรรมชาติ คือเกิดมาบาป  มันไม่ใช่ทำบาป แล้วถึงเป็นคนบาป แต่เป็นคนบาปแล้ว ถึงทำบาป มันกลับกันนะ นี่คือหลักการ ต้องรู้ว่าเราเป็นคนบาป เพราะเราเกิดมาบาป จะได้ไปแก้ในจุดที่ถูกไง เราเกิดมาบาป ไม่ใช่เราทำบาป  แล้วเรากลายเป็นคนบาป แต่เราเกิดมา ก็บาปแล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

เพราะฉะนั้น การจะทำตัวเองให้หายบาป พ้นจากบาป  ด้วยตัวเอง  มันจึงเป็นไปไม่ได้  เพราะตัวเองเกิดมาบาป เพราะฉะนั้นมีอยู่ทางเดียว  ก็ต้องไปเกิดใหม่ นี่คือหลักการ

ซึ่งพอพูดถึงเกิดใหม่ มนุษย์ทุกคนก็ไม่สามารถเกิดใหม่ด้วยตัวเองได้  เป็นไปไม่ได้  พระเจ้าจึงประทานผู้ช่วยให้รอด ผู้ที่จะมาทำให้มนุษย์คนนั้นเกิดใหม่ได้ ซึ่งเราก็รู้แล้ว ผู้นั้น ก็คือพระบุตร คือพระเยซูคริสต์

แล้วเราก็รู้ดีว่าถ้าเราจะเกิดใหม่ได้ มันต้องทำอะไรก่อน พระคัมภีร์ก็สอนเรา  หรือตามหลักธรรมชาติ เราก็รู้แล้ว ต้นข้าวก่อนที่มันจะโตได้ เมล็ดมันต้องเน่าก่อน  มันต้องตายก่อน  แล้วมันถึงจะงอกเป็นต้นใหม่มา มนุษย์จะเกิดใหม่ได้ มันต้องตายก่อน  ไม่ตาย แล้วจะเกิดได้อย่างไร?  นี่คือหลักการธรรมชาติ พระเจ้าจึงประทานผู้ช่วย คือพระเยซูมาเป็นต้นแบบของการตาย และเกิดใหม่

ถ้าผมยกตัวอย่างให้ง่ายๆ ก็คือประทานพระเยซูคริสต์มา เป็นต้นแบบ ก็คือเหมือนกับตอนนี้ เขานิยมรถไฟฟ้า เริ่มต้นใช้รถไฟฟ้ากัน ไม่ใช้รถใช้น้ำมันแล้ว โพลูชั่นเยอะ ใช้รถไฟฟ้า ท่านรู้ไหมว่าเขาเตรียมการเรื่องนี้  เขาคิดค้นเรื่องนี้มาหลายสิบปี และอาจจะเป็น 10 ปีที่แล้วก็ได้  หรือ 20 ปีที่แล้วก็ได้ เขาเริ่มต้นสร้างรถต้นแบบขึ้นมา ปรับปรุงรถต้นแบบ จนใช้ได้เรียบร้อย ต้องเป็นอย่างนั้น เขาเรียกว่ารถตัวอย่าง รถต้นแบบ พอโอเค เรียบร้อยปุ๊บ เขาเอาต้นแบบนั้นเป็นตัวตั้ง จากนี้ไปใช้เครื่องผลิต ตามแบบนี้หมดเลย ออกมาเหมือนกันหมด ใช้งานได้

พระเยซูคริสต์ พระเจ้าประทานให้มาเป็นต้นแบบของมนุษยชาติ โดยการตาย เพื่อเป็นต้นแบบให้กับเราที่ไม้กางเขน  ถูกฝังอยู่ในอุโมงค์และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เกิดใหม่ เพราะฉะนั้น ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตร พระเยซูนี้ คือข่าวดี ก็จะเข้าสู่ขบวนการเดียวกันกับต้นแบบ ก็คือกับพระเยซูคริสต์ ก็คือตายต่อบาป เคลื่อนเข้าไปสู่อุโมงค์ จากอุโมงค์เคลื่อนไปสู่การเป็นขึ้นจากความตาย  เกิดใหม่ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า  พอจะเห็นไหม? เหมือนรถต้นแบบเมื่อตะกี้นี้ รถคันที่สองต่อไปจนถึงคันที่ล้าน ที่จะผลิต ก็จะเหมือนต้นแบบ คือเคลื่อนเข้าไปสู่การใส่เครื่อง เคลื่อนเข้าไปสู่การใส่ประตู เคลื่อนเข้าไปสู่การใส่ยางล้อ หรืออะไรก็ตาม จนสุดท้ายออกมาใช้ไฟฟ้า ขับเคลื่อนได้  จากรถเคยใช้น้ำมัน เป็นรถใช้ไฟฟ้า เหมือนรถเกิดใหม่

เพราะฉะนั้น คนที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูต้องตามพระองค์ไปที่ไม้กางเขน แล้วก็ร่วมขบวนการเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นต้นแบบกระทำให้เรียบร้อยแล้ว คือตาย ฝังและเป็นขึ้นมาใหม่ และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เป็นลูกของพระเจ้า  พระเยซูจึงพูดก่อนที่จะกระทำสิ่งนี้ ที่ไม้กางเขน บอกว่า …

“พวกท่านทั้งหลาย จงแบกกางเขน และตามเรามา”

คนก็นึกว่าแบกกางเขน ต้องรับภาระ เหนื่อย พยายาม ไม่ใช่ มาตายด้วยกัน  เราจะทำเป็นตัวอย่าง ท่านแบกกางเขน และตามเรามา ตามเราไปที่ไม้กางเขน เพื่อว่าพอท่านแบกกางเขน ตามเรามาแล้ว แค่นั้นพอแล้ว ที่เหลือ ท่านจะได้หายเหนื่อย และเป็นสุข อันนี้เรามาสอนกัน แบกกางเขน แล้วตามเรามา  เพื่อท่านจะได้แบกหนักขึ้นกว่าเก่าอีก ก่อนเชื่อ แบกอะไรก็ไม่รู้ พอมาเชื่อพระเจ้า แบกกางเขนเพิ่มเติมเข้าไป หนักขึ้นกว่าเดิมอีก ไม่หายเหนื่อย แล้วก็ไม่เป็นสุข ทุกข์มากขึ้น เครียดมากขึ้น

นี่คือหลักการ  ในการที่บอกว่าความรอดของพระเจ้าไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำ ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติ หรือการสะสมความดี ไม่ใช่กระทำดี แล้วได้ดี ไม่ใช่ นี่คือหลักการของพระเจ้าที่บันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เราจะเห็นชัดเจน  เพราะทางโลกวิญญาณ คือโลกที่เป็นจริงๆ มากกว่าโลกวัตถุที่เราเห็นอยู่นี้ เยอะแยะมากมาย โลกวัตถุที่เราเห็นอยู่นี้ มันอยู่ชั่วคราว มันตั้งอยู่ และมันดับไป มันจะสูญไป  แต่โลกวิญญาณมันตั้งอยู่ และมันจะตั้งอยู่อย่างนี้ นิรันดร์กาล

วิญญาณตัวจริงๆ พร้อมความคิดจิตใจใหม่ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นใหม่ ได้ให้บังเกิดใหม่กับผู้เชื่อ วิญญาณนี้  ทั้งวิญญาณ ทั้งใจใหม่ ในพระคัมภีร์บอกว่าพอเราเกิดใหม่ คิดให้ดีๆ นะ เราเกิดใหม่ในพระเยซู วิญญาณใหม่ ที่ได้เกิดใหม่ สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ พระเจ้าได้ทรงประทานความคิด จิตใจ หรือเรียกว่าใจใหม่ให้กับเราด้วย ซึ่งเป็นใจที่เหมือนพระเยซู คิดเหมือนพระเยซูเลย ให้กับวิญญาณนี้

วิญญาณและความคิดจิตใจจะอยู่ตลอดไป และพระคัมภีร์บอกว่าวิญญาณและความคิดจิตใจที่ได้ใหม่มาจากพระเจ้า  ที่เกิดใหม่ในพระเจ้า ที่บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าเป็นวิญญาณที่เชื่อมสัมพันธ์ต่อเป็นเนื้อเดียวกันกับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ คือเชื่อมกันเลย

ผมจะพยายามอธิบายให้ฟังช้าๆ แต่พอท่านเข้าใจ มันมีอยู่เพียงนิดเดียว ไม่ถึงนาที ท่านก็รู้ ความคิดท่าน คืออะไร?  แต่เวลาอธิบายต้องค่อยๆ ใจเย็นๆ วิญญาณที่เราได้เกิดใหม่ ที่เข้าไปสู่ขบวนการสร้างใหม่ ในพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าได้เอาวิญญาณเก่า สกปรกเหล่านั้น เข้าสู่ขบวนการสร้างใหม่ ขบวนการปั้มออกมาใหม่ …

ขบวนการที่ 1 คือขบวนการบังเกิดใหม่ โดยใส่ตัวเก่าเราไปที่พระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน จะได้ตายพร้อมพระองค์ และเคลื่อนต่อมา

ไปสู่ขบวนการที่ 2  คือฝังไว้ในอุโมงค์

ไปสู่ขบวนการที่ 3 คือการเป็นขึ้นจากความตาย เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว

ไปสู่ขบวนการที่ 4 คือการได้แต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน

เห็นไหม? 4 ขบวนการนี้ เป็นไปตามเป๊ะๆ หมด โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร?  เพราะพระเจ้าจับตัวเก่าเราเข้าไปสู่ขบวนการสร้างใหม่  ใน 4 ขั้นตอนนี้ ถามว่าคืออะไร?

(1) ตายที่ไม้กางเขน ร่วมกับพระเยซู

(2) ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ร่วมกับพระเยซู

(3) ได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซู

(4) ได้ถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู

ถ้าท่านเห็นภาพชัดเจนเหล่านี้ ท่านจะตอบได้ ท่านจะเข้าใจว่าความรอด โดยพระคุณ ไม่ใช่ความประพฤตินั้น มันหมายถึงอะไร? และเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานพร้อมกับพระเยซู เราก็รู้ว่าพระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพราะฉะนั้น เราก็อยู่ในสวรรค์ด้วยสิ ก็ใช่นะสิ ก็เราอยู่ในสวรรค์แล้ว

ซึ่งในสวรรค์นี้  พระคัมภีร์บางครั้ง ก็ใช้คำว่าในพระคริสต์ พอเราเกิดใหม่ เราก็อยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าอาณาจักรพระคริสต์ หรือในพระคริสต์ ในแสงสว่าง ไม่ใช่อาณาจักรความมืด  ไม่ใช่ในอาดัม ซึ่งแต่ก่อนนี้ ตัวเก่าเรายังอยู่ ถ้าตามที่ยกตัวอย่างเมื่อตะกี้ ก็คือรถที่ใช้น้ำมันโบราณนั้น อยู่ในอาดัม แต่รถที่ใช้ไฟฟ้า อยู่ในพระคริสต์ พอนึกภาพออกนะ

ในพระคัมภีร์บอกว่าเราเชื่อมสัมพันธ์กับพระเจ้า กับพระเยซู จริงๆ มันมากกว่าเชื่อมอีก คือรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน  แยกกันไม่ออกเลย โดยที่พระคัมภีร์ยกตัวอย่างอย่างนี้ บางคนบอกว่าอยากจะมีพระเยซู ให้เต็มล้นในชีวิต บางคนบอกว่าอยากจะทำเหมือนพระเยซู บางคนบอกว่าขอให้เหมือนพระเยซู แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าวิญญาณของท่านเชื่อมกับวิญญาณของพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน

ยกตัวอย่าง เป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงขนาดพระเยซูเป็นศีรษะ แล้วท่านเป็นร่างกาย เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ ท่านลองคิดดูสิว่าเราจะไปไหนไปด้วยกันไหมล่ะ สมมติว่าผมพูดอยู่กับท่านตอนนี้ ร่างกายผมอยู่บ้าน ตอนนี้ผมมีแต่หัวห้อยอยู่ หัวอยู่ที่นี่ ร่างกายอยู่ที่บ้าน  มันเป็นไปไม่ได้ แล้วร่างกายคืออะไร?  ร่างกายคือมีส่วนประกอบทั้งหมด เป็นอวัยวะต่างๆ นั่นแหละ คือผู้เชื่อทั้งหลายทั้งหมด พระคัมภีร์ยกตัวอย่างชัดเจนว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ด้วยการบังเกิดใหม่เท่านั้น

เพราะฉะนั้น ด้วยการกระทำดี สะสมความดีมากๆ มาเชื่อพระเจ้าแล้วสะสมความดี อธิษฐานเยอะๆ ไม่ใช่อธิษฐานไม่ดีนะ ผมกำลังจะบอกให้ท่านฟังว่ามันได้ผลกับโลกใบนี้ แต่มันไม่ได้ผลกับโลกวิญญาณเด็ดขาด เพราะนี่คือหลักการของพระเจ้าในเรื่องโลกวิญญาณ มันเกิดผลได้ ก็ต้องมีเหตุเกิดขึ้นอย่างนี้ มันมาจากความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ก็ต้องบอกว่ามาจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำของเราเลย ไม่ว่าเราจะสะสมความดี ประพฤติสิ่งที่ดีมากๆ ก็ตาม มาเชื่อพระเจ้า แล้วอธิษฐานมากๆ  ถวายทรัพย์มากๆ ดีไหม? ดี มาโบสถ์เป็นประจำดีไหม? ดีหมด แต่มันไม่ได้สามารถทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้มากขึ้น มันไม่มีดีกว่านี้แล้ว  เราเป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ ไม่มีมากกว่านี้แล้ว เราเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  ไม่มีมากกว่านี้แล้ว เพียงแต่เรารับรู้ได้มากขึ้น ถ้าเราอธิษฐานได้มากขึ้น  ถ้าเราไปโบสถ์มากขึ้น  ถ้าเราให้เวลากับพระเจ้ามากขึ้น เราก็เรียนรู้จักตัวเราเองว่าสถานะตัวเราเอง เป็นอะไรในโลกวิญญาณ เขาเรียกว่ารับรู้พระคัมภีร์ของพระเจ้า เรื่องข่าวดีของพระเจ้า เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว จึงไม่มีการบังคับ ต้องทำอันนั้น ต้องทำอันนี้ แต่มีอย่างเดียว คือ “จงรับรู้” ว่าท่านคือใคร? ท่านเป็นอย่างไร? พระเจ้าทำให้ท่านอย่างไรแล้วบ้าง? แล้วการรับรู้นั้น ก็คือโดยการกระทำนั้นไง หลักการมันคืออย่างนี้

เราเข้าใจผิด เราคิดว่าหลักการ ก็คือความประพฤติเป็นใหญ่ ไม่ใช่ การบังเกิดใหม่ โดยความรอด เป็นใหญ่ พระคุณเป็นใหญ่ก่อน เสร็จแล้วการกระทำค่อยตามมา และเราก็รู้ว่าการกระทำนั้น ไม่ได้  เพื่อความรอดจะมาถึง ไม่ใช่ เพื่อเราจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้มากขึ้น ไม่ใช่ แต่การกระทำที่ถูกต้อง ตามที่พระเจ้านำไป เพื่อให้เรารับรู้ว่าเราเป็นใคร? เราอยู่บนโลกใบนี้ เราจะได้พรเยอะ มากกว่าที่เราจะไม่รู้ว่าเราเป็นใคร? ถ้าท่านอยู่ในประเทศไทย แล้วท่านไม่รู้ว่าท่านเป็นคนไทย ท่านคิดดู ท่านเสียอะไรไปเยอะเท่าไร?  ท่านไม่รู้จักใช้สิทธิ์โน้น สิทธิ์นี้ ท่านคิดว่าท่านต้องหลบๆ ซ่อนๆ  นึกว่าเป็นคนต่างชาติ เดี๋ยวตำรวจมาจับ ไม่มีใบต่างด้าว ท่านไม่กล้าทำอันนั้น อันนี้ แต่ทุกวันนี้ที่ท่านกล้าทำอันนั้น อันนี้  อย่างสง่าผ่าเผย ก็เพราะท่านรู้ว่าท่านเป็นคนไทย ลองดูคนต่างชาติสิ คนต่างชาติที่ไม่ใช่คนไทย  ที่อยู่ในประเทศไทย ก็ต้องระมัดระวัง ไปไหนทีต้องเอาพาสปอร์ตติดตัวมา หรือบางคนไม่ได้ทำพาสปอร์ต ก็ยิ่งกลัวใหญ่ หมดอายุขออนุญาตการทำงาน หรือบางคนหลบเข้ามาด้วยซ้ำไป ไม่ถูกกฎหมาย ยิ่งต้องกลัวใหญ่เลย ไปไหนทีก็ต้องระแวง

เหมือนกัน เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้าแล้ว ท่านเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้าก็จะนำท่าน ให้เรียนรู้จักว่าพระคุณของพระเจ้าที่ให้ท่านเกิดใหม่นั้น มันคืออะไร? ท่านเป็นใครแล้ว อย่างไงล่ะ เพราะฉะนั้น ความประพฤติสำคัญไหม?  มันก็สำคัญ แต่มันไม่ได้สำคัญที่สุด มันสำคัญ เพื่อให้เราดำเนินชีวิตบนโลกนี้อย่างมีความสุข มีสันติสุขมากขึ้น และอยู่ในน้ำพระทัยมากขึ้นนั่นเอง

ตราบใดก็ตามที่เรายังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้  ตราบนั้น เราจงรู้ว่าไม่ว่าเราจะประพฤติอะไรก็ตาม ถ้าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และเข้าไปอยู่ในขบวนการ ผ่านขบวนการสร้างใหม่ เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ คือตาย  ฝัง  เป็นขึ้นมาในวันที่ 3 และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเรียบร้อยแล้ว  ตราบนั้น เราก็เป็นลูกของพระเจ้า  และเป็นอย่างนี้ตลอดไป  การกระทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ ไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้เลย

เพราะเรากับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายเดียวกัน เป็นร่างกายกับศีรษะ เพราะฉะนั้น ถ้าเราบอกว่าเราทำอันนี้ แล้วเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องนี้  เราทำบาปไป ทำให้เราตกนรก  พระเยซูก็ตกนรกไปพร้อมกับเราด้วย เพราะว่าร่างกายไปอยู่ในนรก แล้วศีรษะจะไปอยู่บนสวรรค์ได้อย่างไร? ท่านพอมองเห็นภาพไหม?

เพราะถ้าท่านเข้าใจตรงนี้ ท่านจะเห็นชัดเจน  โดยเฉพาะคนที่เชื่อพระเจ้ามานานๆ บางครั้ง การแนะนำ การบอก และโลกนี้แนะนำ  มันจะเน้นไปที่การกระทำมากจนเกินเลย จนทำให้ข่าวดีของพระเยซูด้อยลงไป จนในที่สุด ข่าวดีของพระเยซูคริสต์กลายเป็นเรื่องของศาสนาหนึ่ง …

“ทำดีแล้วได้ดีนะ พระเยซูจะช่วยให้เราทำดี  และจะได้ได้ดี”

คือมันถูก แต่มันต้องถูกในหลักการนี้  ที่กำลังอธิบาย หลักการของพระเจ้า เราต้องมั่นใจว่าพระเยซูเป็นศีรษะและเราเป็นร่างกายของพระองค์ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเยซู ศีรษะเป็นอย่างไร? ร่างกายก็เป็นอย่างนั้น ในโลกวิญญาณ เราเป็นความสว่าง พระเยซูบอกท่านเป็นความสว่าง เป็นความดีงาม ไม่บาปเลยแม้แต่นิดเดียว นี่ไง ตรงไหมหลักการของพระเจ้า ตรงหมดเลย โดยพระคุณอย่างเดียวล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำของเราเลย

ขณะที่ท่านว่ากล่าวคนด้วยความหงุดหงิด ด้วยความเห็นแก่ตัว รู้ว่าทำร้ายคนอื่นเขา ในขณะเดียวกัน ในโลกวิญญาณ ถ้าท่านวางใจในพระเยซู และเชื่อในพระเยซูแล้ว ผ่านขบวนการการเกิดใหม่แล้ว  ในขณะนั้น ท่านก็เป็นความดี เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความสะอาด เป็นความรัก เป็นความสว่าง เพียงแต่ดับความสว่างไว้ชั่วคราว ไม่ปล่อยออกมาตอนนั้น ปล่อยเอาความมืด จากความคิดเดิมๆ ออกมา

เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังได้รับกิเลสตัณหาทางความบาป ทางฝ่ายเนื้อหนัง และความคิดเก่าๆ ของเรา ก่อนที่จะถูกสร้างใหม่ มันยังวนเวียนอยู่ เหมือนกับซอฟแวร์ของคอมพิวเตอร์เก่า ได้รับเครื่องใหม่มาแล้ว แต่ของเก่ายังอยู่  ต้องทำการเอาของเก่าออกไป แล้วใส่อันใหม่เข้ามา พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงต้องการ พยายามให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ อย่าคิดแบบเดิมๆ อิทธิพลของโลกใบนี้ จะกระตุ้นผ่านทางกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งความคิดกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ตามระบบของโลกนี้ มันอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า  อยู่ตรงกันข้ามกับพระเยซู มันเป็นศัตรูกัน

เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แน่นอนที่สุด คือโลกนี้ ระบบของโลกนี้เป็นศัตรูกับเรา “เรา” คือวิญญาณของเราข้างใน และจิตใจของเราที่ได้บังเกิดใหม่ และเราต้องการถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่าวกายนี้ ร่างกายนี้เรามอบให้พระเจ้า เราตั้งใจจะทำอย่างนี้ แต่โลกนี้มันต่อต้านกับเรา  นี่คือหลักการ

เพราะฉะนั้น เรามีโอกาสทำผิดพลาดไปหลายครั้งเลย เพราะเดินไปสู้กันอยู่ตลอดเวลา ล้มลุกคลุกคลาน แต่ล้มไป พระเจ้าบอกลุกขึ้นมาใหม่ แล้วก็กลับมาที่เดิม ในความจริงของพระเจ้าว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เดินๆ ไป ล้มลงไปใหม่ ก็ลุกขึ้นมา แค่นั้นเอง ในขณะที่เรากำลังล้มๆ ลุกๆ พระวิญญาณที่สถิตอยู่ข้างในวิญญาณของเรา และพระเยซูคริสต์ที่เป็นศีรษะของเรา ผ่านทางพระวิญญาณ คอยเป็นพี่เลี้ยงที่กำลังสอนเราด้วยความรัก แนะนำด้วยความรัก …

“ลูกอย่างนี้อย่าทำ อภัยให้เขาเถอะ ไปโกรธเขา เราเสียไปด้วย ฉายแสงความรัก ฉายแสงความสว่างนี่ไง วิญญาณเราเต็มไปด้วยความสว่าง มีพลังอยู่ ฉายแสงนี้ออกไป”

ปลอบโยนจิตใจเรา ถ้าเรามีความทุกข์ นี่ไง หลักการในการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลาย  และพระวิญญาณต้องการให้เราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ซึ่งพระวิญญาณ ก็ทรงทราบดีว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า และนำเราไปในทางความรักอยู่เสมอ  ไม่ใช่พอเราทำผิดไป …

“จะลงโทษแก”

จำไว้เสมอเลยว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เกิดใหม่แล้ว พระเจ้าอยู่ข้างเราเสมอ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ข้างเราเสมอ อยู่พวกเดียวกับเรา มีอีกพวกหนึ่งที่อยู่ข้างนอก คือพวกมาร และใช้ระบบของโลกใบนี้ทุกอย่าง รวมทั้งมนุษย์ด้วย ที่ยอมให้มันมีอิทธิพล มาต่อต้านกับเราเสมอ เราต้องรู้ตรงนี้  แต่ที่อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา  ไม่เคยคิดที่จะลงโทษอะไรเราเลยแม้แต่นิดหนึ่ง เข้าใจเราดี และค่อยๆ หนุนใจเรา  ค่อยๆ พาเราเดินทีละนิดทีละหน่อย

พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ด้วยในวิญญาณของเรา จะสอนเรา คอยแนะนำเรา ด้วยความรัก ความอบอุ่น ทนุถนอม  และเข้าใจในฐานะของเรา ที่เราเป็นลูกของพระเจ้า  ที่ดีงาม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเรา เพียงแต่เรายังดำเนินชีวิตในร่างกายบนโลกใบนี้ ซึ่งมีสิทธิ์ มีโอกาสที่ได้รับอิทธิพลการกระตุ้นของระบบโลกใบนี้ คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ให้เราทำอะไรก็ตามที่เป็นตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า ที่เราเรียกกันว่าดับพระวิญญาณ ซึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเรา ก็จะทำงานอย่างนี้แหละ ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เราหลับ พระองค์ก็ทรงทำ พระเจ้าจึงไม่ต้องการ ไม่อยาก และทุกข์ใจ เสียใจ ไม่ได้โกรธกริ้ว จะลงโทษ ไม่ใช่ แต่เสียใจ ทุกข์ใจ  เมื่อเราดับไฟพระวิญญาณ  เมื่อไม่เชื่อ เมื่อเราไปเดินตามระบบของเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้ พ่อเราบอก …

“ไม่อยากมองเลย”

เมื่อเราเกิดความโลภ พระเจ้าบอก … “ทุกข์ใจ ไม่อยากมองเลย”

พระวิญญาณนำให้เราโลภไหม? เปล่าเลย แล้วใครนำให้เราโลภ โลกใบนี้แหละ ระบบของโลกนี้แหละ ที่เราดูจากโทรทัศน์ ดูจากมือถือ ข่าวสาร ได้รับการแนะนำจากผู้คนรอบข้าง ให้เราโลภๆ จนพังเสียหาย ก่อนจะพัง พระวิญญาณเตือนไหม? เตือน แล้วเราได้ยินไหม? เราดับ ไม่ได้ยิน หรือได้ยิน แล้วแกล้งไม่ได้ยิน เราดับพระวิญญาณ พระเจ้าบอกอย่าก้าวๆ นี่แหละคือพระเจ้ากำลังทุกข์ใจไหมล่ะ ขนาดเราเป็นพ่อแม่ เราไม่เห็นลูกเราในอนาคต แต่พระเจ้าเห็นหมดแล้วว่าเรากำลังเดินไป  เห็นชัดเจนเลย  โดนแน่ ทุกข์ใจแน่ พระเจ้าจึงเสียใจ เมื่อเราดับพระวิญญาณ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และเมื่อเราสนใจให้พระวิญญาณนำพาชีวิตเรา พระวิญญาณก็จะสอนเรา หน้าที่ของเรา คือคอยสังเกต สัญญาณจากพระวิญญาณว่าอะไรดี อะไรชั่ว แล้วก็จำไว้ ไม่ใช่ว่าได้เก่งกันทุกคนตลอดเวลา ต้องค่อยๆ เดินกับพระวิญญาณทีละนิด ทีละหน่อย อย่างนี้เจ็บตัวอีกแล้ว พระวิญญาณบอกวันหลังอย่าทำ จดจำเอาสิ่งเหล่านี้ไว้ แล้วก็อย่าทำอีก เขาเรียกว่าจดเป็นสถิติไว้ จดไว้ในใจ เจ็บก็ต้องจำสิ วันหลังก็อย่าทำ อะไรอย่างนี้ นึกถึงพระวิญญาณว่าเราทำ เพราะอะไร? ชัดเจนเลย ด้วยสติปัญญาจากพระเจ้า โดยพระวิญญาณ

เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตของผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในโลกใบนี้  จึงมีอยู่ในการได้เลือกเท่านั้นเอง ไม่มีทางอื่น ไม่ว่าท่านจะคิดว่ามีเยอะแยะทางก็ตาม แต่จริงๆ มีอยู่ 2 ทาง …

ทางหนึ่ง คือเลือกที่จะดับพระวิญญาณ ทำตามตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งจะเกิดโทษ

ทางที่สอง ได้ผลประโยชน์ดี คือทำตามพระวิญญาณ ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยแล้ว เราไม่สามารถที่จะเลือกกระทำสิ่งที่ผิดและหวังผล ที่จะเป็นประโยชน์ที่ดีได้ แม้ว่าเราจะได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้วก็ตาม แม้ว่าในวิญญาณเรา เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงรักมาก ดั่งแก้วตาดวงใจ  เราก็ไม่สามารถที่จะหว่านอะไรก็ได้ แล้วก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีตลอด ไม่ใช่ มันยังมีกฎของมัน เราหว่านในสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง เราก็ต้องรับความตาย คำสาปแช่งเข้ามา แม้ว่าวิญญาณเราเป็นผู้ที่เรียกว่าบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าแล้วก็ตาม เป็นไปตามกฎที่พระเจ้าเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้ทั้งสิ้น ไม่มีลำเอียง ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดในมหาจักรวาลนี้ แม้ว่าพระองค์จะรักเราดั่งแก้วตาดวงใจอย่างมากมายเท่าไร พระองค์ก็ต้องให้เป็นไปตามกฎ และพระองค์ก็ให้เป็นไปตามนั้นด้วยความเสียใจ และทุกข์ใจ  เรียกว่าเราดับพระวิญญาณ

เพราะฉะนั้น เราสามารถเชื่อพระวิญญาณ เพื่อให้เกิดผลดีและพระพรตามมา หรือจะเลือกดับพระวิญญาณ  เพื่อทำให้กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มารดีใจ คือเรามีความทุกข์ตามมา ยกตัวอย่างนิดหนึ่งให้เห็นชัดเจน ทุกวันนี้ ท่านสามารถเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หรือเลือกรับประทานอาหารที่มันเป็นพิษต่อร่างกาย ท่านก็รู้อยู่แล้ว  ท่านไม่สามารถเลือกอาหารที่เป็นพิษ แล้วบอกว่า …

“ฉันจะได้มีความสุขในร่างกายนี้”

มันเป็นไปไม่ได้ ฉันใดฉันนั้น เราสามารถที่จะเลือกการให้อภัย และมีสันติสุข ถ้าเลือกเกลียดชัง ขุ่นเคือง เราก็ต้องได้รับโทษของมัน เราจะหนีไม่พ้น หรือเราเลือกที่จะโลภ ทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง หรือจะเลือกเป็นคนให้ออกไป  บางครั้งดูเหมือนเลือกตามเนื้อหนังมันจะได้ความสุขดี แต่พระวิญญาณบอกแล้ว มันจะเป็นโทษ เราบอก …

“ฉันจะเอาอย่างนี้ ฉันจะทำตามทางของฉันอย่างนี้ดีกว่า ฉันจะโลภ”

เสร็จแล้ว เป็นอย่างไร? ในที่สุด ก็เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้ ก็ทุกข์ใจ และทุกข์ลำบาก ซึ่งพระเจ้าก็ทุกข์ใจ เสียใจด้วย แต่ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนก็ตาม วิญญาณของเราก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายของพระเยซู พระเจ้ายังคงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจ ยังคงอยู่ฝ่ายเรา คอยช่วยเราให้ได้ดีอยู่เสมอๆ ไม่เปลี่ยนแปลงเลย

นี่คือหลักการของพระเจ้า จงจำไว้ว่าในโลกวิญญาณนั้น ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เราได้เกิดใหม่แล้ว วิญญาณของเราเชื่อมสนิท เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเยซู เราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเรา แยกกันไม่ออก ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าเราจะประพฤติสิ่งใดบนโลกใบนี้ก็ตาม แล้วก็ได้รับโทษตามการประพฤติของเรา ได้เก็บเกี่ยวตามการหว่านของเราบนโลกใบนี้ ทุกข์ใจขนาดไหนก็ตาม เจ็บปวดขนาดไหนก็ตาม หรือมนุษย์รวมความแล้ว เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายมากมายนักก็ตาม ตราบใดที่เรายังอยู่ในพระเจ้า และเชื่อจริงๆ ได้เปิดปากเชื่อในพระเจ้า  ยอมรับพระองค์เป็นพระเจ้า และได้เข้าสู่ขบวนการบังเกิดใหม่แล้ว เรายังเป็นลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์   พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 7 “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เรื่องสุขภาพ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  กรกฎาคม  2020

 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 7

“วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ     เรื่องสุขภาพ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้ เราก็ยังอยู่ในซีรี่ย์ชุดแนวทางการดำเนินชีวิต 4 ขั้นตอน ซึ่งสำคัญมาก นี่เป็นการปกป้องชีวิตของเรา ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้มีสันติสุข มีความสุขมากเท่าที่พระเจ้าอยากให้เรามีบนโลกใบนี้ 4 ขั้นตอน คือเชื่อแล้ว  รับรู้  วางใจ  และอธิษฐาน เหตุเนื่องจากมีผู้เชื่อใหม่ในระยะหลังถาม …

“มาเชื่อแล้วต้องทำอย่างไรบ้าง? พอดี ช่วงนั้นเริ่มต้นโควิด คริสตจักรปิดมาไม่ได้ แล้วทำอย่างไร?”

เป็นคำถามที่ดี ผมก็เลยอธิษฐาน แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าเชื่อใหม่แล้ว จะแนะนำเขาอย่างไร? สมมติเขาอยู่ต่างจังหวัด หรืออยู่ที่บ้าน มาคริสตจักรไม่ได้แล้ว เนื่องจากโควิด ล็อคดาว์น ทำอย่างไร? ก็เลย คิดว่าขั้นตอนเหล่านี้ เป็นขั้นตอนที่สามารถปกป้องดูแลชีวิตของเขาไปตลอดรอดฝั่งได้ ในการเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือเมื่อเขาเชื่อแล้ว เชื่อทางออนไลน์ เชื่อทางคลิป เชื่อทางเฟสบุ๊ค ไม่เจอหน้ากัน ทำอย่างไร? เชื่อแล้ว ก็ให้รับรู้ รับรู้ คือจดจ่อไปที่ว่าเมื่อเชื่อแล้ว เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณบ้างในชีวิตเขา พระคัมภีร์ว่าไว้อย่างไร? ให้เขารับรู้ตรงนั้น ให้จดจ่อ ฟังจากคลิป อ่านจากพระคัมภีร์ ฟังจากคำบรรยายต่างๆ แล้วก็จดจำ จดจ่ออยู่ตรงนั้นว่า …

“ตอนนี้ฉันเป็นผู้เชื่อในพระเยซูแล้ว ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ ฉันเป็นใคร? ฉันอยู่ที่ไหน? พระคัมภีร์บอกไว้ว่าอย่างไร?”

พอรับรู้ จดจ่อไปที่เบื้องบน ในโลกวิญญาณนี้แล้ว ก็ให้วางใจ ในสิ่งที่รับรู้ทั้งหมด  เพราะว่าสิ่งที่รับรู้ทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เพราะฉะนั้น จึงต้องใช้ความเชื่อ เมื่อเราเชื่อแล้ว เราก็วางใจว่ามันเป็นอย่างนั้นแหละ เป็นอย่างที่พระเจ้าบอกไว้ สัญญาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่เราได้อ่าน ได้รับรู้นั่นแหละ เราก็วางใจ

ตอนนี้เราอยู่ในขั้นตอนของการวางใจ ต่อจากการวางใจ ก็เป็นขั้นตอนสุดท้าย คืออธิษฐาน การพูดคุย การติดต่อกับพระเจ้าเสมอๆ ตลอดทั้งชีวิตเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ 70 ปี 80 ปี 90 ปี 100 ปี ในช่วง 100 ปีไม่หยุดในการติดต่อกับพระเจ้า คืออธิษฐานเสมอๆ ก็มี 4 ขั้นตอนอย่างนี้

และวันนี้ ก็ยังอยู่ในขั้นตอนที่ 3 คือวางใจ ในชื่อเรื่องว่า “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ” ตอนที่ 4 สัปดาห์ที่แล้วเราเรียนรู้ในหัวข้อการเชื่อและวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจเกินกว่าความคิดของเรา มนุษย์ที่จะเข้าใจ ในเรื่องของการกิน การอยู่ และความร่ำรวยทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้

เรียนเรื่องนี้กันไป 2 สัปดาห์ สรุปง่ายๆ ได้ 3 ประเด็นหลักๆ คือในเรื่องของความร่ำรวย ทรัพย์สินเงินทอง

(1) ให้เราวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ตามพระสัญญาที่บอกไว้ว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเราที่จำเป็น ในการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

อีกครั้งหนึ่ง วางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เกินกว่าความคิดของเรา ที่จะเข้าใจว่าพระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เท่าที่เราจำเป็นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

(2) เรียนรู้และฝึกฝน เคล็ดลับของอาจารย์เปาโลในเรื่องเกี่ยวกับทัศนคติของความร่ำรวยบนโลกใบนี้ว่าจงพอใจกับสิ่งที่ตนเองมีในทุกสถานการณ์ นี่คือเคล็ดลับ โดยให้พระเยซูเป็นผู้เสริมกำลังให้กับเรา ความพึงพอใจในทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ที่เราต้องการ

(3) เปลี่ยนทัศนคติในเรื่องความร่ำรวยความมั่งคั่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับระบบของโลกใบนี้ ซึ่งผลักดันให้เราแสวงหาความสำเร็จ ทรัพย์สินเงินทอง สิ่งของบนโลกใบนี้ เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์บอกให้เราเปลี่ยนทัศนคติ ในเรื่องความร่ำรวย เป็น …

มีเงินทอง แต่ไม่มีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็เหมือนไม่มีเงินทอง

ไม่มีเงินทอง แต่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็เหมือนมีเงินทองร่ำรวยมหาศาล เต็มไปหมดเลย เพราะว่าพอใจ วางใจในพระเจ้า

สรุปง่ายๆ แต่ปฏิบัติจริงๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดนะว่าพอใจแล้ว เพราะเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่ง่าย โดยเฉพาะสำหรับหลายๆ คน ยิ่งไม่ง่ายใหญ่เลย เพราะว่ายังต้องติดต่อกับอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ยังต้องติดต่อกับคนที่ไม่เชื่อ หรือคนที่มีความคิดในลักษณะระบบของโลกนี้อยู่ มันก็ยากที่จะไปทำท่ามกลางเขาเหล่านั้น แต่เปาโลบอกทำได้ โดยผ่านทางฟีลิปปี 4:13

“ข้าพเจ้าเผชิญทุกสถานการณ์ได้ ไม่ว่าจนหรือมี ร่ำรวยหรือยากจน โดยพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

เสริมกำลังอย่างไร? โดยพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นชีวิตของข้าพเจ้า เมื่อเราเชื่อแล้ว พระเยซูมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เดินไปด้วยกันกับเรา  และพระเยซูคริสต์เป็นกำลังให้กับเราในการเผชิญได้ทุกอย่าง  ถ้าพระองค์จะพาเราไปรวย เราก็เผชิญได้ ก็คือเราไม่หลงระเริง ต้องเผชิญด้วยเหรอความร่ำรวย เผชิญสิ อันตรายด้วย อันตรายกว่าความยากจนอีก เราได้เรียนรู้ไปแล้วนะว่ามันทำให้เกิดโศกนาฎกรรม โศกเศร้าต่างๆ นานามากมาย ความยากจนทำให้เกิดความโศกเศร้าน้อยกว่า

เพราะฉะนั้น พระเยซูจะพาเราผ่านได้ ถ้าพระองค์นำพาเราให้เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง เราก็มั่งคั่งแบบพระเยซูคริสต์ แต่ถ้าพระเยซูคริสต์พาเราไปเดินแบบพอมีพอกิน เราก็แฮปปี้ เพราะว่าเราสามารถเผชิญกับความยากจนขัดสนได้ ด้วยความพอเพียง โดยพระเยซูคริสต์เหมือนกัน พระเยซูคริสต์เป็นทุกสิ่งในชีวิตของเรา จูงมือเราเดินทุกวันๆ เพราะฉะนั้น เราต้องฝึกฝนในการเดินกับพระเยซู

การฝึกฝน ไม่ใช่การพยายามบังคับตัวเองว่า …

“ฉันไม่รักเงินๆๆๆ”

มันไม่ใช่การฝึกฝนแบบนั้น  แบบนั้นเราเรียกกันว่าศาสนา ศาสนาจะสอนเราว่าอย่าทำอันโน้น อย่าทำอันนี้ อย่าทำอันนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้า  ก็คือพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่านแล้ว ท่านเกิดใหม่แล้ว พระเยซูอยู่กับท่านเดี๋ยวนี้ จูงมือท่านเดิน ผิดพลาดไปแล้วไม่เป็นไร? เดี๋ยวพระเจ้าพาท่านเดินใหม่  พอผิดพลาดไป เราก็รู้สึกฟ้องผิด ฉันแย่แล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่แย่ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน  กำลังฝึกท่าน กำลังสอนท่าน ล้มไป ก็ทรงปลอบโยน เอาใหม่ลูกเอ่ย

การฝึกฝน เดินกับพระเยซูคริสต์ นั่นแหละคือการฝึกฝนทุกอย่างบนโลกใบนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับศีลธรรม จริยธรรม อะไรที่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง พระเยซูจะเป็นผู้นำพาเรา เพราะฉะนั้น ต้องเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ด้วยว่าฝึกฝน มันหมายถึงอะไร? ทำให้เราเกิดความพึงพอใจ แล้วก็เกิดนิสัยที่ไม่มีเหมือนมี ก็คือถึงแม้จะไม่มี แต่มีความรู้สึกไม่เห็นขาดอะไรเลย ของที่มันมีอยู่ มันพร่องลงไป ก็ไม่รู้สึกขาด ก็รู้สึกพอใจได้ มันเกิดความรู้สึกไม่รักทรัพย์สมบัติ สิ่งของบนโลก หรือรักสมบัติ หรือรักสิ่งของบนโลกใบนี้ น้อยลงเรื่อยๆ ถ้าเราให้พระเยซูเป็นใหญ่ในชีวิตของเรา  เดินไปกับพระองค์ทุกวัน แล้วก็รับรู้ว่าเราเป็นลูกของพระองค์ และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา ชีวิตเราถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ เราก็จะพบกับสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างแน่นอน เอเมน

และวันนี้เราจะมาเริ่มหัวข้อใหม่ คือวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ในเรื่องสุขภาพร่างกาย เป็นประเด็นที่สำคัญ ที่ฮอตฮิต อันดับต้นๆ ของโลกใบนี้ และของคริสเตียนทั้งหลายผู้เชื่อ ซึ่งไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มนุษย์ทุกคนก็มีความกังวลในเรื่องนี้มาก ไม่น้อยไปกว่าทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้  บางคนให้มากกว่าด้วยซ้ำไป คือสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเลย ใครอยากได้ยกมือขึ้น ผมก็อยากได้ แต่เรามาดูสิว่าพระคัมภีร์ว่าไว้อย่างไร?

ท่านลองคิดดูนะครับว่าถ้าเราสามารถวางใจในพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับการกิน การอยู่ และความร่ำรวยได้แล้ว ใช้ชีวิตแบบพอเพียง มีชีวิตอยู่อย่างพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ได้แล้ว แต่ยังมีความกังวลในเรื่องของความเจ็บป่วย อยากแข็งแรง ชีวิตมันก็ไม่สุขเท่าที่ควรจะเป็น ถูกไหม? ก็ยังกังวลอยู่  เพราะฉะนั้น เรื่องสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก จะเจาะตรงนี้ โดยเฉพาะเลยนะครับ

ลองคิดดูใหม่ เฉพาะคนที่เป็นคริสเตียนนะ เฉพาะคนที่บอกว่าเชื่อแล้ว ถามว่าสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญาใหม่ หรือข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ใช่หรือไม่?

พระเจ้าสัญญาไว้ในพันธสัญญาใหม่ว่าท่านเชื่อแล้ว ท่านจะมีสุขภาพแข็งแรงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ใช่หรือไม่? ไม่ต้องตอบ ไม่ต้องพยักหน้า

บางความเชื่อและมีการสอนกันต่อๆ มาว่าพระเยซูได้แบกรับเอาความเจ็บไข้ได้ป่วยของเรา ไปไว้ที่พระองค์แล้ว ที่ไม้กางเขน โดยอ้างอิงจากข้อพระคัมภีร์นี้ ซึ่งฮอตฮิตมากเลย 1 เปโตร 2:24

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”

 

“ด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย” … “พวกท่าน” หมายถึงคริสเตียน ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว “ด้วยบาดแผลของพระเยซู ผู้เชื่อได้รับการรักษาให้หาย” ก็มีการตีความตรงนี้ว่าหายจากโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่าง ดังนั้น ใครที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ได้รับการรักษาหายจากการเจ็บป่วยทุกอย่างแล้ว แต่ในความเป็นจริง คือคนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว และยังเจ็บป่วยอยู่ ทั้งเจ็บมากเจ็บน้อย ป่วยมากป่วยน้อย ค่อยๆ ป่วย หรือป่วยทีหลัง เป็นทุกคนเลย อยากจะบอกว่าทุกคน ถ้าคนไหนบอกยังแข็งแรงอยู่ มันก็ยังอยู่ตอนนี้ แต่ในที่สุด มันก็ต้องป่วยแหละ (ถ้าอยู่ถึง) ถ้าไม่เจออุบัติเหตุก่อน

ถ้าเช่นนั้น เราจะตอบคำถามตรงนี้อย่างไรดี? คนที่เชื่อแบบนั้น ก็เลยโยนความผิด หรือความรับผิดชอบให้กับความเชื่อ เช่นบอกว่าคนที่ยังป่วยอยู่ แสดงว่าความเชื่อยังไม่มากพอ ใครเชื่อมาก ก็จะแข็งแรงมาก ไม่ป่วยเลย หรือไม่ ถ้าไม่รับการรักษาแสดงว่ายังมีความสงสัยในฤทธิ์เดชแห่งการรักษาของพระเจ้าอยู่ จึงไม่ได้รับอัศจรรย์การรักษา

ตัวอย่าง คำสอนเทียมเท็จ เช่นผู้เชื่อทุกคนมีสิทธิ์ได้รับพระพรทั้งด้านสุขภาพ และความมั่งคั่งทางการเงิน  และพวกเขาสามารถได้รับพระพรทั้งหลายทั้งปวงนั้น ผ่านทางการประกาศ ยืนยันด้วยปากของตัวเอง  ด้วยความเชื่อ โดยการหว่านเมล็ดแห่งความเชื่อศรัทธา ด้วยการพูดหรือด้วยกระทำ เช่น การถวายทรัพย์ อธิษฐานเยอะๆ ด้วยความสัตย์ซื่อ คือการสร้างพลังแห่งความเชื่อของตัวเองขึ้นมา เพื่อจะได้รับสิ่งเหล่านี้ คือแข็งแรง สุขภาพดี ในการหายโรค หรือความมั่งคั่ง เจริญรุ่งเรือง การเงิน จากคำสอนเหล่านี้  สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา ถ้าเราพยายามสร้างความเชื่อ ตามที่เขาสอนมาแล้ว แต่ยังคงเจ็บป่วยอยู่แหละ ซึ่งมันเกิดขึ้นทุกคน ก็จะเกิดคำถามค้างคาใจในพระเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้น? เราทำอะไรผิด?  ทำไมพระเจ้าปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเราได้? เราบกพร่องตรงไหน? ทำไมพระเจ้าไม่รักษา? ทำไม? ทำไม? และก็ทำไม? ที่มันเกิดขึ้น อยู่ที่คนนั้นจะยอมรับหรือไม่? จะพูดหรือไม่พูด? ผมเองก็เคยถามพระเจ้าว่าทำไม? และทำไมล่ะ ผมถาม แล้วผมได้รับคำตอบว่าอย่างไร? ทำไมผมเห็นอัศจรรย์เยอะแยะ แต่ก่อนบอกอัศจรรย์ ตอนนี้ไม่อยากบอกอัศจรรย์เลย มันเทียบอะไรไม่ได้กับอัศจรรย์ที่เราอ้างถึงว่าพระเยซูทำการอัศจรรย์ในหนังสือพระคัมภีร์ ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ มันคนละเรื่องเลย ที่ค่อยๆ หายโรคบ้างนิดๆ หน่อยๆ แล้วเราบอกอัศจรรย์ มันไม่ใช่ เราพยายามที่จะอ้าง เพื่อที่จะสนองความต้องการของตัวเราเองว่าเราคิดว่าอย่างนั้นถูก

ผมถามพระเจ้าแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงถาม? ทำไมๆ เพราะผมมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ เยอะมาก ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันเป็นเช่นนี้  พระเยซูคงอยากให้ผมเข้าไปเรียนรู้มั้งว่ามันคืออะไร?  เหตุการณ์มันเกิดขึ้น เพราะว่าอยากจะบอกว่าเผอิญ แต่มันก็ไม่ใช่เผอิญ เรารู้อยู่แล้วว่าพระเจ้านำเราอยู่ทุกวัน เรามาเชื่อแล้ว แล้วเราก็ดูแลชีวิตของเราว่ากันไป แต่ปรากฏว่ามีเพื่อนคนที่รู้จักทำงานอยู่ในสื่อ  สมัยก่อน สื่อหนังสือพิมพ์กับสื่อโทรทัศน์ ถือว่าใหญ่สุดแล้ว และแรงมากสุดแล้ว มาเห็นเข้า มารู้จักเข้า ก็ได้ยินได้คุยกัน เขาก็ไม่เข้าใจ คำว่า “ไม่เข้าใจ” ว่าผมหมายถึงอะไร? เขาก็เอาไปเขียนเป็นเรื่องราวใหญ่โตว่าเป็นอัศจรรย์ใหญ่โต ฝ่ามือไล่มาร อะไรต่างๆ คนก็แห่กันมาเยอะแยะมากมาย แล้วก็มีคนเชียร์อีกต่างหาก คนเชียร์ ก็คือคริสเตียนด้วยกันนั่นแหละ

“ดีแล้ว อย่างนี้ ที่ได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า หนังสือพิมพ์เหล่านี้ไม่เคยลง ก็ได้ลง โทรทัศน์ไม่เคยออกเลย ก็ได้สามารถพูดไป ดีแล้วๆ”

เชียร์กันใหญ่เลย  ไม่มีใครมาบอกเลยว่าความจริง ที่พูดไปในข่าวดีนั้น มันไม่ได้อยู่ในข่าวดีเลย เราอยากได้เอง ก็เลยจับพลัดจับพลูลอยไปกับเขาด้วย เขาเรียกว่าตกบันไดพลอยพระเยซูไป ตามพระเยซูไปว่าพระเยซูนำเราไปทำอะไร? จนกระทั่งเกิดอะไรขึ้น คนเยอะแยะมากมาย หลายท่านคงทราบดี

คราวนี้เขาก็ถามกันว่าทำไมผมถึงหยุด ถามว่าทำไมผมถึงเข้าใจถึงสิ่งนี้ เพราะว่าทำไมนี่แหละ  พระเจ้าทำไมคนเหล่านี้เขาเชื่อจริงๆ เขาทำตามที่ลูกได้บอก และพระคัมภีร์ได้พูดอย่างนี้ ทำไมเขาไม่เห็นหาย มันเกิดอะไรขึ้น เขาผิดตรงโน้น หรือผิดตรงนี้ คนแล้วคนเล่า จนมาถึงคนสุดท้าย ทำให้เอะใจ มันไม่ใช่แล้ว

ผมจะเล่าให้ท่านฟัง มีอยู่รายหนึ่ง เป็นหนุ่มน้อย อายุ 17, 18 เท่านั้นเอง คุณพ่อคุณแม่พามาหาให้ช่วยรักษา ก็ได้รับเชื่อไป เขาเป็นมะเร็งที่กินกระดูกฉับพลันของกระดูกสันหลัง เป็นอัมพาตลุกไม่ได้ เป็นขึ้นทันทีทันใด ปรากฏว่าพอเขามาถึง เด็กคนนี้เชื่อจริงๆ เชื่อมากเลย ผมพูดอะไรไป ก็เชื่อตลอด เราก็ทุ่มเทชีวิตสุดใจเลย  ไม่ได้ทุ่มเท เพราะความเชื่ออย่างเดียว เพราะความสงสาร เพราะความเข้าใจ เพราะความเห็นใจ เห็นความทุกข์ของคนที่เป็นพ่อแม่ เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เห็นอนาคตที่ดี เรียนอยู่อินเตอร์ วันดีคืนดีก็เป็นอย่างนี้ขึ้นมา และเขาเชื่อฟังมาก ถึงมากที่สุด บอกให้ทำอะไรทำ บอกให้อธิษฐาน อธิษฐาน บอกให้อ่านพระคัมภีร์ อ่าน บอกให้ฟังถ้อยคำพระเจ้าจนขึ้นใจ ฟังจนขึ้นใจเลย ฟังตลอดวันตลอดคืน อธิษฐานตลอดวันตลอดคืน นมัสการตลอดวันตลอดคืน อยู่บนเตียงนั้น ตลอดวันตลอดคืน ผมไปเยี่ยมทีไร ยิ้มแย้มตลอด หัวเราะ มีความสุข มีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม 100% ถ้าใครบอกเขาไม่เชื่อ แสดงว่าคนนั้นพูดเท็จ พูดง่ายๆ มันเห็นชัดเจนว่าเขาเชื่อแน่นอน 100% และยังแถมประกาศให้ทุกคนที่มาหาเขาได้รับเชื่อพระเยซูด้วย

ผมก็ดูแลมาสัก 3 – 4 เดือน ก็อธิษฐาน ไปเยี่ยมเยือนตลอด มีอยู่วันหนึ่ง ทางบ้านเขาก็โทรศัพท์มาบอกว่าเมื่อคืนนี้น้องเขาหลับไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ผมตกใจเลย คือใจสลาย ความหวังมันแย่มาก คำว่า “ทำไมๆ” ที่มีมาตลอด มันหนักขึ้น มันยิ่งทำไม มันรับไม่ได้ ผมก็รีบขับรถไปที่บ้านของน้องคนนี้ แล้วก็ขึ้นไปที่ห้องส่วนตัวของเขา เขาก็นอนอยู่ที่เตียง ผมก็ยังไม่ยอมอีก คือด้วยความหมดแล้ว มันอยากได้เต็มที่แล้ว มันไม่มีเหตุผลแล้ว ก็คุกเข่าลงอธิษฐาน ร้องไห้ๆ

“พระเจ้าๆ ทำไมเป็นอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่ มันเป็นไปไม่ได้”

คุกเข่าอธิษฐานอยู่ครึ่งชั่วโมง จนหมดแรง หมดแรงจริงๆ นะ อยู่คนเดียว ไม่รู้จะทำอย่างไร? ลุกขึ้นมา ไม่พูดจากับใคร? กลับบ้านดีกว่า กลับมาถึงที่บ้าน เข้าไปที่ห้องอธิษฐาน ร้องไห้ต่อ คราวนี้พูดตัดพ้อต่อว่าพระเจ้าแล้ว แต่ต่อว่าอย่างดีนะว่าทำไม … ทำไมเยอะมาก ประมาณสักเกือบชั่วโมง มันรับไม่ได้ พอหมดแรงไป ได้ยินเสียงแว่วๆ ประโยคเดียว ชีวิตเปลี่ยนไปหมดทุกอย่าง เพราะว่าคำพูดตลอดชั่วโมงหนึ่งของผม ก็คือคำว่า …

“ทำไมน้องเขาต้องตายด้วย ทำไมต้องตาย ทำไมๆๆ ทำไมพระเจ้าปล่อยให้เขาตาย ทำไมๆๆๆ ปล่อยให้เขาตาย”

พระเจ้าตอบมาประโยคเดียวเอง สั้นๆ ว่า … “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาตาย เจ้าพูดได้อย่างไรว่าเขาตาย”

ยิ่งร้องไห้ใหญ่เลย พอลุกขึ้นมาจากอธิษฐาน คราวนี้เป็นตัวเราเอง พูดกับตัวเราเอง ถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ ที่ได้ศึกษามาตลอด เยอะแยะมากมาย อยู่ในสมองนี้ เอาไปใช้ผิดๆ ก็มี ถ้อยคำหนึ่งได้ขึ้นมาเลย

พระเยซูบอกว่า … “ผู้ที่วางใจในเรา แม้เขาตาย เขาก็ยังมีชีวิตอยู่” …

พระเจ้าถามเรา … “แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเขาตาย”

มันจุดประกายอะไรบางอย่างในตัวเองขึ้นมา คือมันไม่ใช่ความรู้ เหมือนที่เรารู้ เราอ่านพระคัมภีร์ เราศึกษาพระคัมภีร์มันไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นอะไรบางอย่างที่จี้เข้ามาอยู่ในหัวใจ

“รู้ได้อย่างไรว่าเขาตาย”

จากนั้น ผมก็เริ่มศึกษาพระคัมภีร์ใหม่ คราวนี้ ไม่ใช่พระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาใหม่อีกครั้ง ทำมาหลายครั้งแล้ว คราวนี้ทำแบบทัศนคติเปลี่ยนใหม่ ให้พระเจ้านำสิว่ามันคืออะไร? ทำไมๆ พระเจ้าก็จะตอบ พระเจ้าก็ตอบเยอะแยะมากมาย ได้เห็น มิน่า ในห้องก็มีหลายรายที่ทำอย่างที่ผมบอก และมาถึงทุกวันนี้ ยังไม่ตายเลย  แต่หายโรคไหม? ไม่หาย แต่ยังอยู่ ความเชื่อเข้มแข็งขึ้น เป็นโรคอื่นเพิ่มขึ้น แต่อยู่ได้ พอใจในสิ่งที่มีอยู่ หัวเราะได้ ไปเป็นพยานได้ มีอีกหลายรายเลย ที่ทำท่าจะไปอยู่แล้ว แล้วมาหาผมตอนโน้น คือมาหาพระเจ้านะไม่ใช่มาหาผมหรอก คือความรู้สึกเขา มาหาผม มาหามนุษย์ทั้งนั้นแหละ อย่าบอกเลยว่ามาหาพระเจ้า ไม่จริงหรอก ถ้าหาพระเจ้าจริง เขาไม่มาหาผมหรอก เขาอยู่ที่บ้านคนเดียว เขาก็หาได้ พระเจ้า แต่เราบอกให้เขามาหาพระเจ้า จริงๆ บอกเขาไม่ต้องมาเลยดีกว่า อยู่บ้านไป อธิษฐานไป เดี๋ยวผมอธิษฐานส่งไปให้ ถ้าพระเจ้าจะรักษาคุณให้หายอย่างเหนือธรรมชาติดีกว่า อย่าพูดคำนี้เลยอัศจรรย์ อย่างเหนือธรรมชาติ พระเจ้าทำได้ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

หลังจากที่เปลี่ยนความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับการรักษาโรคเป็นอย่างนี้แล้ว ได้เห็นจริงๆ ว่าคนที่ไม่ได้รับการรักษาให้หายอย่างเหนือธรรมชาติ แต่เขาก็ค่อยๆ ได้รับการรักษาดูแล ผ่านทางยา ผ่านทางหมอ อาการค่อยๆ ดีขึ้น หรือไม่ดีบ้าง เดี๋ยวก็แย่ลง เดี๋ยวก็ดีขึ้น เป็นไปตามธรรมชาติ แต่สิ่งสำคัญ ก็คือเขามีสันติสุขเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของเขา จากเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น ผมจึงเลิกการสอนพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และประกาศข่าวดีแบบอย่างที่ว่าไว้ เน้นเรื่องการอัศจรรย์ เน้นเรื่องการรักษาหายโรค เน้นเรื่องเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ซึ่งเหมือนตกบันไดพลอยโจรไป และเปลี่ยนมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว

ซึ่งในขณะที่เปลี่ยนนั้น ก็เห็นบางคน ก็เกิดผลอย่างอัศจรรย์เหมือนกัน ดีกว่าอีก เกิดผลอย่างเหนือเหตุผล ไม่ว่าเรื่องการเงิน เรื่องสุขภาพร่างกาย ก็เกิดขึ้นเหมือนกัน ก็มีหลายคนก้อนมะเร็ง ไปเอ็กซ์เรย์มาแล้ว เป็นอย่างนี้ หลังจากอธิษฐานธรรมดา ไม่มีอะไร ไม่ได้ท่อง สร้างความเชื่ออะไร ไม่มีมาเช็คความเชื่อคุณมากหรือน้อยเท่าไร? อธิษฐานขอพระเจ้ารักษานะ ฝากไว้ที่พระเจ้า กลับไปให้หมอตรวจจะผ่าตัดอยู่แล้ว ก้อนมะเร็งมันหายไป แล้วตอบว่าอย่างไร? ไม่เห็นจะต้องสร้างความเชื่ออะไรเลย แล้วโทษทีนะ มันมีมากกว่าเก่า มันได้ผลมากกว่าเก่าอีก อย่างนี้เป็นต้น บางคน อันนี้เยอะกว่ามะเร็งอีก เนื้องอกในมดลูกผู้หญิง มันหายไปได้อย่างไร? แต่ผมก็ไม่ได้เอามาสนใจ ใส่ใจในเรื่องนี้ นี่คือสิ่งหนึ่งที่ถามว่า … “ทำไม” …

แล้วก็มีอีกท่านหนึ่ง ที่มาจุดประกายเรื่องนี้ ก็คือในเซลที่บ้าน มีหญิงที่เป็นวัยรุ่น เพิ่งแต่งงาน ตั้งครรภ์ เด็กในท้องน่าจะ 5 – 6 เดือนแล้ว แต่หมอบอกว่าเด็กผิดปกติ ไม่ควรเอาไว้ ควรทำแท้ง อะไรประมาณนั้น พ่อแม่ก็ไม่อยากจะทำ อยากให้อยู่ ก็มาให้อธิษฐานให้ อย่างที่บอก ผมก็อธิษฐานอย่างธรรมดา เอามือไปวางไว้ที่มดลูก แล้วก็อธิษฐานไป ก็ใช้ความเชื่ออย่างที่บอก ปรากฏว่าเด็กอยู่ จนกระทั่งคลอด สุขภาพแข็งแรงดี

แต่ที่เล่าให้ฟังนี้ เนื่องจากหลังจากนั้น กี่เดือนไม่รู้ พี่สาวของหญิงที่ได้รับการรักษาให้หายอย่างอัศจรรย์นั้น ก็มาพบผมที่บ้าน ไม่ได้มาขอบคุณ มาอธิบายให้ฟัง มีรายเดียวเองนะ รายนี้ ทำให้ผมเอะใจ ทุกคนมีแต่ว่า …

“ดีแล้ว จะได้ประกาศข่าวประเสริฐพระเจ้า จะได้ขยายอาณาจักรของพระเจ้า ผู้คนในประเทศนี้จะได้มาสนใจพระเยซูคริสต์”

มีแต่เชียร์ผม ผลักผมไปทิศนี้ แต่มีคนนี้เข้ามาบอกว่า … “อาจารย์ทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ”

“ไม่ถูกอย่างไรล่ะ”

“คือทุกคนจะมาหายโรคหมดอย่างนี้ได้อย่างไร?”

คือเขาพูดเยอะกว่านี้ พูดตามหลักพระคัมภีร์ พูดเหมือนที่ผมกำลังพูดอยู่วันนี้

“อาจารย์บอกว่าหายทุกคน แล้วคนที่เขาไม่หายล่ะ ซึ่งมีเยอะกว่า เขาจะไปพึ่งใคร เขาจะมีความเป็นอยู่อย่างไร?  ทุกคนมาคอยอัศจรรย์อย่างนี้ ถ้าพระเจ้าจะรักษา พระองค์ก็ทรงรักษา แต่อาจารย์จะบอกเขาว่าเขาต้องหาย ทุกคนก็แสวงหาการหาย การหายๆ แล้วถ้าไม่หาย เขาจะมีความทุกข์ขนาดไหน? อาจารย์ควรจะสอนตามหลักพระคัมภีร์มากกว่า”

หน้าชา ไม่ได้โกรธ คำว่า “ชา” หมายถึงเออ สิ ไม่เห็นมีใครบอกเราอย่างนี้เลย มีแต่คนเน้นเรื่องคนที่หาย ซึ่งอาจจะมีอยู่สัก 5% จากคนมาเป็นหมื่นคน มีคนหายไม่ถึง 5% หมื่นคน อาจจะมีคนหายสัก 50 คน แบบชัดเจนหน่อยนะ แล้วเอา 50 คนนี้ไปเชียร์กันใหญ่เลย แล้วไม่นึกถึงคน 9,000 กว่าคนที่ไม่หาย ทุกข์ทรมานใจ สงสัยในพระเจ้า กลับไปบ้าน ทำไมๆๆๆๆ เหมือนเด็กหนุ่มคนที่เล่าให้ฟังเมื่อตะกี้นี้ หรือเหมือนอีกหลายๆ คนที่ไม่มีสันติสุข เพราะมัวแต่คิดว่า …

“พระเจ้าทำไมๆ ฉันจะสร้างความเชื่อต่อไปๆ”

ผลักให้เราไปประกาศอย่างนั้น มีคนนี้ที่พูดตรงดี ชัดเจนดี เป็นวัยรุ่นสาวด้วยนะ แต่เนื่องจากเขาอ่านพระคัมภีร์ แล้วเขาเชื่อในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วเขามาพูดตามความจริง ผมเชื่อว่าพระเจ้าพาเขามาพูด มีอยู่ไม่กี่คน

สองอันแล้ว ที่ทำให้ผมหันหลังกลับ จากน้องคนนั้นว่าทำไม แล้วตอนนี้ น้องคนนี้มาพูด และสุดท้าย ตอนที่ผมอธิษฐานวางมือ มันถูกผลักไปตรงนี้จริงๆ อยากจะบอกว่าถูกผลัก ไม่รู้ใครผลักผมลงไป

หลังจากที่สื่อต่างๆ ออกไปเยอะแยะมากมาย คนทั้งประเทศแห่กันมา บางคนก็ขึ้นเครื่องบินมา จองเครื่องบินมา โทรศัพท์มา วันอาทิตย์ไม่อยู่แล้ว รับไม่ได้ คนเยอะ เพราะฉะนั้น ต้องเพิ่มวันศุกร์กับวันเสาร์ รอบพิเศษ แล้วเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เราตกไปอยู่ตรงนั้นแล้ว จะปฏิเสธเขาได้อย่างไร? แล้วเราก็มั่นใจด้วยว่าพระเจ้าของเราเป็นจริง พระเจ้ารักษาเขาได้  ก็อธิษฐานให้เขา คุณคิดดูนะครับ วันศุกร์ 2 รอบ วันเสาร์ 2 รอบ วันอาทิตย์ 3 รอบ คนเป็นหมื่น หลายพันคนที่เข้ามา แน่นอนในหลายพันคนที่มา มันต้องมีบางคนที่หาย แบบได้รับอัศจรรย์ แต่ไม่รู้มาจากพระเจ้าหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้ ผมตอนนั้นมีค่าเท่ากับคนเข้าทรง ให้หวย ให้ไป 2 ตัว ถ้ามาร้อยคน ก็ต้องถูกสักคนแน่นอน ให้ทุกเบอร์ แต่ความตั้งใจจริงของเรา ผมรู้ตัวเองว่าผมบริสุทธิ์ใจจริงๆ ไม่ได้คิดอะไรเลย  ก็อย่างที่บอกว่ามันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วลามทุ่งไปเยอะแยะมากมาย เพราะว่าใครๆ ก็อยากจะได้ตรงนี้ ใครๆ ก็อยากจะหายป่วยๆ มันทุกข์ทรมาน แล้วความใจจริงของเรา เลยทำให้เราทุ่มเทมาก เขาบอกให้สร้างความเชื่อ เราก็สร้างความเชื่อ สร้างให้ตัวเองนะ จะไปอธิษฐานให้เขา สร้างตัวเอง คือเก็บตัว ก่อนจะถึงวันศุกร์ จันทร์-พฤหัสฯ อยู่ในห้องอธิษฐานอย่างเดียว เขาบอกอธิษฐานมากๆ จะได้สร้างความเชื่อ ตัวเองขึ้นมาให้มันมีพลัง เพื่อที่จะไปอธิษฐานให้เขา ท่องถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับฤทธิ์เดชอำนาจ ซึ่งเข้าใจผิดๆ นั้นแหละ พูดมันอยู่นั้นแหละ เรื่องวางมืออธิษฐานรักษาโรค เพื่อว่าวันศุกร์จะไปทำให้เขา แล้วเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้ผลมากเท่าที่ควร ทำอะไรต่อ ต้องสร้างเพิ่ม เขาบอกอดอาหารด้วยสิ อดอาหาร แล้วจะสร้างความเชื่อเพิ่มขึ้น

โอเค นอกจากผมต้องมาเก็บตัวอธิษฐานเตรียมตัวไว้วันศุกร์แล้ว ผมต้องอดอาหารอีก 3 วันก่อนถึงวันศุกร์ ไปดูรูปผมตอนนั้น โทรมเลย และก็มีผู้เชื่อ เป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นผู้ปกครอง เป็นนายแพทย์ปัจจุบัน นี่ก็เป็นความจริงใจ ที่ทำให้ผมเอะใจ เข้ามาพบก่อนที่จะออกไปวางมืออธิษฐาน คนมารอเต็มไปหมด บอกว่าอย่างไร? …

“อาจารย์ อาจารย์ทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ สุขภาพเสียหมดเลย ไม่ได้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเลย อาจารย์ทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง ร่างกายเป็นวิหารของพระเจ้า อาจารย์ต้องดูแลสุขภาพร่างกายด้วย ไม่ใช่มาทำตัวทรมานอย่างนี้ แล้วจะได้มีฤทธิ์อำนาจไปรักษาคน มันไม่ใช่นะ อาจารย์ทำอย่างนี้ไปนะ ตอนนี้ยังทำได้ อาจารย์ยังหนุ่มอยู่ เดี๋ยวอาจารย์ต้องใช้หนี้เขา มันเสื่อมโทรมไปนะ  ทำอย่างนี้ไม่ได้ มันเกินไป อาจารย์อย่าทำเลย”

เสร็จแล้ว ก็เอายาบำรุงมาให้ ซึ่งแต่ก่อนนี้ ยาบำรุงกับเรา มันคนละเรื่องนะ มาบำรุงอะไรเล่า มีความเชื่อเต็มที่ เพราะความซ่าส์ ซ่าส์บริสุทธิ์

นี่คือ 3 เหตุการณ์หลักๆ ที่ทำให้ผมเอะใจ และศึกษาเรื่องนี้ใหม่ อย่างที่ผมบอกว่าพอมาศึกษาใหม่ ก็เห็นบางคนก็หาย อย่างไม่ต้องทำอะไรเลย ซึ่งดีกว่า

คราวนี้เรามาดูความหมายของข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ ที่เขาเอามาอ้างว่าเป็นอย่างไร? ว่ามันคืออะไร?  1 เปโตร 2:24-25 เราอ่านอีกครั้งหนึ่ง

1 เปโตร 2:24-25  “24 พระองค์เอง ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น  เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป  และมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม  และด้วยบาดแผลของพระองค์  พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย   25 เพราะพวกท่านเป็นเหมือนแกะที่พลัดหลงไป  แต่บัดนี้  ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยง และพระผู้ทรงดูแลวิญญาณจิตของท่านแล้ว”

 

“พระองค์เอง ทรงแบกรับบาปของเราทั้งหลาย บนไม้กางเขน” พระเยซูเองทรงแบกรับเอาบาปนะ ความบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขน  กำลังพูดถึงโลกวิญญาณชัดๆ เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป นี่ก็เรื่องโลกวิญญาณชัดๆ  และมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม จริงๆ ตรงนี้บอก และมีชีวิตอยู่ เป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากการเป็นคนบาป ก็คือเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนชอบธรรม วิญญาณชอบธรรมแล้ว พ้นจากบาปแล้ว นี่ในวิญญาณทั้งนั้น และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย ทางวิญญาณเช่นเดียวกัน เพราะพวกท่านเป็นเหมือนแกะที่พลัดหลงไป เห็นหรือยัง? แต่บัดนี้ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยงและพระผู้ดูแลวิญญาณจิตของท่านแล้ว พูดง่ายๆ พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเกิดใหม่ การได้รับความรอดทางฝ่ายวิญญาณ จากอาณาจักรของความมืด จากในอาดัม มาสู่ในพระเยซูคริสต์ จากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง จากเป็นคนบาป เป็นวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า หายจากโรคบาป หายจากการเป็นคนบาป หายจากการเป็นคนชั่ว กลับมาเป็นคนดีทางวิญญาณ หายจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า มาคืนดีกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า หายจากการอยู่ในนรก อาณาจักรของความมืด เป็นทาสมาร มาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าต่างหาก

คำว่า “พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย” ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงหายจากโรคมะเร็ง หายจากโรคหัวใจ หายจากวัณโรค หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ บนโลกใบนี้ หายจากโรควิตกกังวล ซึ่งเป็นโรคชนิดหนึ่ง หายจากโรคซึมเศร้า ซึมเศร้าก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง หายจากโรคเครียด หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ บนโลกใบนี้ สิ่งที่เป็นอันตรายจากความเชื่อแบบผิดๆ นี้ ก็คือผมเคยเห็น มีประสบการณ์มากกว่านี้นะ เคยเห็นคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง แล้วใช้ความเชื่อผิดๆ แบบนี้ แล้วอันตรายเกิดขึ้น แทนที่จะมีชีวิตอยู่ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า กลับต้องเป็นอัมพฤก อัมพาต และในที่สุด ชีวิตล่มสลายไป พร้อมกับความเชื่อผิดๆ แบบนี้ ทรมานมากเลย

ผมเคยเห็นคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน แล้วยังใช้ความเชื่อแบบนี้ กินอะไรไม่เลือกเลย แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ท่านก็รู้เอง เห็นกับตา แล้วยังมีโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ที่ใช้ความเชื่อแบบนี้ แล้วมันเป็นอันตราย อาจถึงชีวิตได้ ไม่ยากเลย เพราะความเชื่อแบบนี้ ผมเคยเห็นคนที่เป็นโรคเครียด โรคซึมเศร้า แล้วใช้ความเชื่อผิดๆ แบบนี้  อาการทรุดหนักมาก จนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้

และผมเคยเห็นคนที่เป็นโรคซึมเศร้าหนักมากๆ แต่ไม่ใช้ความเชื่อผิดๆ แบบนี้ มาใช้ความเชื่อแบบใหม่ คือวางใจในพระเจ้า ขอสติปัญญาจากพระเจ้า และรักษาตามอาการ ไปตามหมอ ตามยาต่างๆ ที่พระเจ้าเป็นผู้สถาปนาไว้ ให้สติปัญญาเขาเหล่านั้นไว้ เพื่อดูแลรักษามนุษยชาติบนโลกใบนี้ให้ทุเลาความทุกข์กาย ทุกข์ใจลง อาการหนักมากเลย หนักมากกว่าคนที่เป็นซึมเศร้าที่บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วและใช้ความเชื่อ แต่อาการทรุดลง คนนี้เป็นหนักมากๆ ยังไม่เชื่อพระเจ้า แม่พามาหา แทนที่ผมจะบอกให้ใช้ความเชื่อ ผมก็อธิษฐานให้ แล้วก็บอกว่าให้ไปหาหมอนะ ให้หมอดูแล ถึงขั้นอาการกำเริบ แม่โทรมาบอกว่าตอนนี้อาการคลั่งมากเลย  ติดต่อโรงพยาบาลที่ดูแลคนไข้ระดับคลั่งที่ไหน? ส่งที่อยู่ให้เขา เพื่อเขาจะได้ไปติดต่อ และปรึกษากันทางแพทย์ ทางผู้ให้การรักษาตรงโน้น โรงพยาบาลของรัฐ นำตัวเขาไป ถึงขนาดต้องกักขังเขาไว้ที่โรงพยาบาล พูดง่ายๆ เหมือนคนบ้าคนหนึ่ง แล้วทำไม อธิษฐาน อธิษฐานต้องไปวางมือเขาไหม ไม่ต้อง อธิษฐานให้เขา วางใจในพระเจ้า เขาอยู่ในสถานที่กักกันนั้นหลายเดือน และในที่สุด ก็ค่อยๆ หาย

พระเจ้าก็ทำการเหนือธรรมชาติหลายสิ่งหลายอย่างให้เกิดขึ้น แต่เป็นหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นแบบไม่สะใจมนุษย์ ที่อยากจะมีความอัศจรรย์กว่านี้ คือน่าจะหายเลย ไม่ นี่เขาก็ยังต้องกินยาอยู่ แต่ทำไมกินยา แล้วตอบสนองต่ออาการดีมากเลย จนในที่สุด ใช้เวลาไม่กี่ปี หายเป็นปกติดีทุกอย่าง จากหมอและยา ระบบการรักษาคนที่เป็นซึมเศร้าอย่างหนักๆ ถ้าเกิดเขายังใช้ความเชื่ออย่างนั้น จะเกิดอะไรขึ้น เกิดโศกนาฎกรรม ทำร้ายตัวเอง และทำร้ายผู้คนรอบข้างที่เขารัก และเขาไม่รู้ตัว เพราะเขาเป็นโรค เขาไม่สบาย ซึ่งโรคต่างๆ เหล่านี้ ก็เกิดจากความวิปริต ความล้มเหลว ล้มลงในความบาปของอาดัมและเอวา และโลกใบนี้ ซึ่งตกลงไปในความบาป และคำสาปแช่งแล้ว มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเชื่อแบบผิดๆ อย่างนั้น ให้คนสร้างความเชื่อ แล้วพอมันไม่ได้ผล ผู้ที่สร้างความเชื่อให้กับเขา หรือสอนเขาในเรื่องความเชื่อนี้  ก็จะบอกเขาว่า …

“ไม่ใช่พระเจ้าผิดหรอก แต่เป็นคุณเอง เพราะคุณสร้างความเชื่อไม่พอ คุณจึงไม่ได้รับไง คุณต้องไปสร้างความเชื่ออีก เป็นความผิดของคุณเอง”

ผู้เชื่อใหม่มา หรือผู้เชื่อเก่ามา ที่แสวงหาอัศจรรย์เหล่านั้น ก็เลยกลุ้มใจ วันๆ หนึ่ง พระเจ้าพระเยซูบอกให้มาหายเหนื่อยและเป็นสุข ยิ่งหนักขึ้นทุกวัน ต้องสร้างความเชื่อ ตรงนั้นก็ไม่ได้ ตรงนี้ก็ไม่ได้ สร้างแล้วก็ยังไม่ได้รับอัศจรรย์สักทีหนึ่ง มันจะได้รับได้อย่างไร? มันไม่ใช่ความเป็นจริง ก็อยากได้เอง เขาก็บอกมาว่าเราต้องสร้างเพิ่มขึ้นๆ เราก็สร้างตาม ก็ไม่ได้ ไม่ได้ ก็เกิดฟ้องผิดมากขึ้น ฟ้องผิดมากขึ้น แล้วเกิดอะไรขึ้น เกิดการหาคำตอบมากขึ้นว่ามันเป็นเพราะอะไร? เพราะความผิดเราตรงไหน? ตัวเราเอง แล้วก็ผู้นำ หรือผู้สอนก็จะบอกว่า …

“เพราะคุณเอง อ๋อ! รู้แล้วล่ะ ที่คุณยังไม่หาย เพราะว่าคุณยังทำบาปอะไรอยู่ไหม?”

มาแล้ว พระเยซูบอกอภัยบาปเรา ครั้งเดียวเป็นพอ

“คุณยังทำบาปอะไรอีกหรือเปล่า?”

พระเยซูบอกว่าเมื่อเชื่อในพระองค์แล้ววิญญาณเราสะอาดหมดจด ไม่มีบาปเลย

“คุณทำบาปอะไรไหม?”

อ้าว! คิดแค่นั้นไม่พอ หรือไม่ก็บอกว่าในบ้านคุณ มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับไสยศาสตร์อยู่ในนั้นไหม? อดีตบรรพบุรุษคุณเคยไปยุ่งเกี่ยวกับไสยศาสตร์อะไรไหม? หาเรื่องร้อยแปดพันเก้ามาเยอะไปหมด  เพื่อจะหาคำตอบว่าทำไมมันไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของพระเจ้าหรอก พระเจ้าให้แล้ว แต่คุณ ทำไม่ได้เอง คุณบกพร่องเอง คิดดูเอาเองก็แล้วกัน เกิดอะไรขึ้น  เมื่อเราไปหวังในสิ่งที่มันไม่จริง มันก็ไปสู่หายนะ พูดง่ายๆ หาจนกระทั่งวันสุดท้าย จะตายจากโลกใบนี้ ก็ยังหาอยู่เลย

“ฉันผิดอะไร? ฉันผิดตรงนั้น ผิดตรงนี้เหรอ”

แก้ไข ด้วยวิธีอะไร? มาไล่ผี เอาวิญญาณบรรพบุรุษออกไปจากวิญญาณข้างใน อะไรต่างๆ มันไปกันใหญ่ ไปไหนก็ไม่รู้ เพราะจุดเดียวเท่านั้นเอง ก็คือว่าเราต้องการในสิ่งที่มันไม่มีจริง มันเป็นจริงไม่ได้ตามที่เราต้องการ แต่ความเชื่อที่แท้จริงของเรา พระเจ้าต้องการให้เรามีความหวังและสิ่งที่มันเป็นจริงเมื่อเรามาเชื่อในพระเยซู แล้วเราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า การได้เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้วนิรันดร์กาล พระเยซูคริสต์ คือความมั่งคั่ง คือสุขภาพที่ดีเยี่ยมของเรา ไม่ใช่บนโลกใบนี้ และสำคัญที่สุด คือทั้งหมดนี้ เราได้รับเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว ให้เรามีความหวังตรงนี้  หวังในโลกวิญญาณที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว ให้เจาะที่ผมบอก 3 จอ. จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์ก็บอกให้เรา set our mind คือตั้งความคิดจิตใจเราไปที่เบื้องบน คือที่โลกวิญญาณเท่านั้น ไม่ใช่ฝ่ายโลก ถ้าเราจดจ่อไป ทั้งหมดในโลกวิญญาณนั้น เป็นอัศจรรย์ที่เราได้รับจากพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องไปหาอัศจรรย์ มันเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีใคร ไม่มีทางใด ไม่มีอำนาจใด ไม่มีแม้กระทั่งมาร ที่จะสามารถเลียนแบบอัศจรรย์เหล่านี้ เหมือนพระเจ้าได้เลย ไม่มีทางเลย จะไปทำให้ใครได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า พ้นจากบาป พ้นจากนรก ไม่มีทาง ส่วนการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฝากไว้ที่พระเจ้า ดูแล

ให้ท่านเห็นอาจารย์เปาโลเป็นตัวอย่าง เรื่องสุขภาพนะ 2 โครินธ์ 12:8-10

2 โครินธ์ 12:8-10  “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่า ฤทธิ์อำนาจของเรา จะได้ปรากฏเต็มที่ ในความอ่อนแอ”  ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี  เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

 

อาจารย์เปาโลก็มีความคิดเหมือนเราทั้งหลาย อยากจะแข็งแรง อยากได้รับการอัศจรรย์เหมือนกันแหละ มนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ อาจารย์เปาโลทูลขอตั้ง 3 ครั้ง ให้เอาหนามนี้ออกไป หนามนี้ ก็คือความอ่อนแอ สุขภาพไม่ดีอะไรบางอย่าง ซึ่งเราไม่รู้ แต่เรารู้สุขภาพร่างกายนี้อ่อนแอ อาจจะเครียด อาจจะป่วยเรื้อรังอะไรบางอย่าง ที่เป็นเครื่องกีดขวางทำให้รับใช้ไม่ได้สะดวก 3 ครั้ง พระเจ้าตอบว่าอย่างไร? …

“พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า … พระคุณของเราเพียงพอ สำหรับเจ้า”

แสดงว่าไม่ได้เอาออกไปนะ  ไม่ได้รักษา ก็คือพระคุณของเราพอ

“เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอของเจ้า เพื่อว่าตอนที่เจ้าไม่สบาย ตอนที่เจ้าอ่อนแอร่างกายนั้น ฤทธิ์เดชอำนาจของเราจะทวีคูณชัดเจนมากขึ้น สำแดงออกมากขึ้นในชีวิตของท่าน”

เปาโลบอกว่าถ้าเผื่อเปาโลอ่อนแอ ทำอะไรบางอย่าง ได้เห็นชัดเจนเลยว่าไม่ใช่เราทำ เป็นพระเจ้าทำแน่นอน ชัดเจนเลย หมายถึงอย่างนั้น เพราะเราอ่อนแอ แล้วก็มีความอดทนได้มากขึ้น ความรักของพระเจ้า คือความอดทนนาน ความรักของพระเจ้าก็สำแดงออกในชีวิตของเรามากขึ้น ฤทธิ์เดชอำนาจที่เรียกว่าความรักของพระเจ้า ก็ออกจากชีวิตของเราไปมากขึ้นได้ มันก็ไม่เย่อหยิ่งจองหองไง ดังนั้น อาจารย์เปาโลจึงบอกว่า …

“ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนเอง จึงแฮปปี้ในความอ่อนแอ เพราะความอ่อนแอ พระเจ้าสามารถใช้ข้าพเจ้าได้ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ได้สำแดงออกทางข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้แหละ ข้าพเจ้าชื่นชมในความอ่อนแอในพระคริสต์ ในการถูกสบประมาณ ในความยากลำบากในการถูกข่มขี่ ในความทุกข์ยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อไรที่ข้าพเจ้าเจ็บปวด อ่อนแอทางร่างกาย ไปไม่ไหวแล้ว เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

หลายคนรู้เรื่องนี้ หมายถึงยังไง เพราะมีประสบการณ์อยู่ นั่นแหละ มันไม่ใช่ตัวเรา เป็นพระเจ้าต่างหาก

อาจารย์เปาโลพอใจในความเจ็บป่วยในร่างกาย ในความอ่อนแอของตนเอง เปาโลก็ใช้เคล็ดลับเดิม เหมือนกับเคล็ดลับที่ใช้ในเรื่องของทรัพย์สินเงินทองว่า …

“ข้าพเจ้าพึงพอใจในทุกสถานการณ์ที่ข้าพเจ้าเผชิญอยู่ ข้าพเจ้าพึงพอใจในความเจ็บป่วย ในความอ่อนแอในร่างกายของตนเอง พระเจ้าจะดูแลด้วยพระคุณของพระองค์ที่เพียงพอเสมอ สำหรับความอ่อนแอนั้น พาข้าพเจ้าไปได้แน่นอน”

นี่คือทัศนคติของเปาโล ผู้เป็นอัครสาวกที่ได้ไปอยู่ในโลกวิญญาณมาแล้ว พระเจ้าพาไปโลกวิญญาณ ได้เห็นอะไรบางอย่างในโลกวิญญาณ อธิบายในโลกวิญญาณให้เรา แล้วกลับมาใหม่ กาลาเทีย 4:13-15 จึงเห็นชัดเจนว่าเปาโลอ่อนแอขนาดไหน? แล้วพระเจ้าทำงานผ่านทางเปาโลวิธีใด เปาโลกำลังประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนอื่นนะ คนที่ยังไม่เชื่อ คนที่ไม่ได้เป็นชาวยิว ขณะที่กำลังประกาศ อาจารย์เปาโลไปในลักษณะไหน?

กาลาเทีย 4:13-15 “13 ท่านก็ทราบอยู่ ตอนแรกที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านนั้น  ก็เพราะความเจ็บป่วย 14 แม้ว่าความเจ็บป่วยของข้าพเจ้า เป็นการทดลองสำหรับท่าน ท่านก็ไม่ได้ดูถูก  หรือสบประมาทข้าพเจ้าเลย  กลับต้อนรับ ราวกับข้าพเจ้าเป็นทูตของพระเจ้า  ราวกับข้าพเจ้าเป็นองค์พระเยซูคริสต์เอง 15 ความชื่นชมยินดีของท่าน หายไปไหนหมดแล้ว?  ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าถ้าท่านทำได้ ท่านก็คงจะควักตาของท่าน ให้ข้าพเจ้าแล้ว”

 

ตอนไปประกาศข่าวประเสริฐ ก็เพราะความเจ็บป่วย ไปด้วยความเจ็บป่วย หนักขนาดไหน? หนักถึงขนาด แม้ความเจ็บป่วยของข้าพเจ้า เป็นการทดลองสำหรับท่าน คือความเจ็บป่วยของอาจารย์เปาโลเป็นเครื่องหมายในการทดลองของบรรดาพี่น้องชาวกาลาเทีย เพราะท่านคิดดูสิ อาจารย์เปาโลผู้ยิ่งใหญ่ มาประกาศที่กาลาเทีย ชาวเมืองในกาลาเทียคงคิด อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่มา แต่มาในลักษณะป่วยหนัก  ข้าพเจ้าป่วย  แต่ไม่มีใครสบประมาท ไม่มีใครว่าอาจารย์เปาโล …

“มาประกาศข่าวประเสริฐ ยังป่วยอยู่เลย เอาตัวยังไม่รอดเลย”

อาจารย์เปาโลบอกชาวกาลาเทียผ่านการทดลอง คือรับอาจารย์เปาโลด้วยการไม่ดูถูกว่าเจ็บป่วยมา หรือสบประมาทเปาโลเลย กลับต้อนรับ ราวกับข้าพเจ้าเป็นทูตของพระเจ้า และชื่นชมยินดีที่อาจารย์เปาโลได้มาประกาศข่าวประเสริฐที่นี่ ด้วยความเจ็บป่วยเหล่านั้น ชื่นยินดีถึงขนาด ถ้าควักลูกตาของเขาออกมาได้ อาจารย์เปาโลอธิบายตรงนี้ชัดเจนว่าถ้าพี่น้องชาวกาลาเทียสามารถเอาลูกตามาให้เปาโลได้ คงทำแล้วล่ะ  คือรัก ชื่นชมยินดีอาจารย์เปาโลมาก คิดว่านะ อาจารย์เปาโลคงเจ็บป่วยเรื่องเกี่ยวกับลูกตา อาจารย์ตามองไม่เห็น อาจจะจูงมา เห็นบ้างไม่เห็นบ้างมาประกาศ แต่ชาวกาลาเทียไม่ขาดความเคารพต่ออาจารย์เปาโลเลย ถ้าเป็นไปได้ เอาลูกตาไปฝากให้อาจารย์เปาโลใช้ก่อนชั่วคราว อะไรอย่างนี้

นี่อัครทูตเปาโลนะ ความเชื่ออาจารย์เปาโลหายไปไหน? ความเชื่อตกลงอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้ ผ้าเช็ดหน้าที่อาจารย์เปาโลวางมือ แล้วคนเอาผ้าเช็ดหน้านั้นไปวางคนป่วย คนป่วยยังหายโรคเลย อาจารย์เปาโล อัครทูตเปาโลที่เคยอธิษฐานให้เด็กที่ตกมาจากชั้นบน แล้วก็ตายไปแล้ว อาจารย์เปาโลรักษาให้เขาหายได้ เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว แล้วความเชื่อไปไหนเล่า อาจารย์เปาโลทำอัศจรรย์ใหญ่ตั้งหลายอย่างแล้ว ตอนนี้ทำไมความเชื่อตกลงอย่างนั้นหรือ? แล้วดูตกลงถึงขนาดไหน? ตกลงถึงขนาดไม่มีความเชื่อเลย ถึงขนาด 1 ทิโมธี 5:23 บันทึกไว้อย่างนี้ ถึงขนาดดูแลลูกแกะ ดูแลทีมพี่เลี้ยงของอาจารย์เปาโล ทีมงานของอาจารย์เปาโล ก็คือทิโมธี 1 ทิโมธี 5:23 ได้บันทึกไว้อย่างนี้นะ

1 ทิโมธี 5:23  “ตั้งแต่นี้ไป อย่าดื่มแต่น้ำ จงเจือเหล้าองุ่นเล็กน้อย เนื่องด้วยกระเพาะอาหารของท่าน  และความเจ็บป่วยที่ท่านเป็นอยู่บ่อยๆ”

 

ไม่ใช่ตัวเองป่วยอย่างเดียว แถมทีมงานป่วย ก็ยังบอกว่า …

“ให้กินยาสิ กินยาสำหรับโรคกระเพาะนั้นแหละ เจ็บอยู่ประมาณหนึ่ง อยู่บ่อยๆ ให้กินยาซะ”

ก็เหมือนยาธาตุ น่าจะบอกทิโมธีนะว่า …

“ทิโมธี ท่านจำไม่ได้เหรอ ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ท่านได้รับการรักษาให้หายแล้ว พระเยซูได้เอาความเจ็บไข้ได้ป่วยของท่านออกไปแล้ว ได้เอาโรคกระเพาะของท่านออกไปแล้ว ท่านควรจะไปท่องถ้อยคำนี้มากๆ อธิษฐานเยอะๆ ทิโมธีไปดูที่บ้านท่านสิ มีรูปเคารพ มีวัตถุเคารพอะไรบางอย่าง หรือบรรพบุรุษของท่านไปยุ่งเกี่ยวอะไรกันกับไสยศาสตร์ วิทยาคมอะไรหรือเปล่า? ไปทำการตัดขาดซะ”

อะไรอย่างนี้หรือ? เปล่าเลย เห็นไหมครับ? เปาโลเป็นอะไรไป ความเชื่อขาดหรือ? หรือเปาโลระยะนี้ไม่ได้ถวายทรัพย์ตามกำหนดเวลา ไม่ได้ถวายสิบลดตามที่ถูกสั่งมาให้ต้องถวายสิบลด ถวายแค่ห้าลดเอง เพราะฉะนั้น ความเจ็บไข้ได้ป่วยเลยเข้ามา หรืออาจารย์เปาโลไปแอบทำบาปอะไรหรือเปล่า? อย่างนั้นหรือ?

ทัศนคติของอาจารย์เปาโล เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คืออะไร? ใน 2 โครินธ์ 4:16-18 นี่คือทัศนคติจริงๆ แท้ๆ ของอาจารย์เปาโลผู้ซึ่งได้ถูกรับเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ จะด้วยร่างกายหรือไม่ก็ตาม อาจารย์เปาโลไม่บอก แต่ได้กลับมาบนโลกใบนี้แล้ว ได้เห็นอะไรบางอย่างบนโลกฝ่ายวิญญาณนั้นแล้ว ในสวรรค์นั้นแล้ว ซึ่งไม่ให้พูด เป็นความลับ ได้พูดถึงเคล็ดลับและทัศนคติของอาจารย์เปาโลในเรื่องเกี่ยวกับการอยู่บนโลกใบนี้ เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายนี้ว่าเป็นเช่นไร? …

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรา กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อแท้ ไม่ท้อใจ ไม่กลัว ถึงแม้กายภายนอกของเรา กายนี้ กำลังทรุดโทรมไป กำลังเสื่อมไป กำลังเกิด แล้วก็แก่ไป ไปสู่ความเจ็บ และตาย เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าวิญญาณภายในของเรา ตัวจริงๆ ของเรา ที่จะอยู่นิรันดร์กาลนั้น กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน คือกำลังเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน โดยพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นพี่เลี้ยง

เพราะความทุกข์ลำบากเพียงเล็กๆ น้อยๆ ของเรา ในร่างกายนี้ ความแก่ลง ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดานี้ มันแค่เพียงชั่วคราว มันไม่เกิน 80 ปีหรอกนับตั้งแต่เกิดมา มันไม่สามารถมาเทียบกันกับศักดิ์ศรีหรือสง่าราศี หรือความงดงาม ความสมบูรณ์แบบของร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ เทียบกันไม่ติดเลย เทียบกันไม่ได้เลย เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง? มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง มันเทียบอะไรไม่ติดกับร่างกายใหม่ที่ไม่ต้องเจ็บป่วยแล้ว ไม่ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีอะไรมารบกวนเราอีกแล้ว ชั่วนิรันดร์กาล ซึ่งพระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ในสวรรค์สถาน เมื่อเราทิ้งร่างที่เจ็บป่วยนี้ไป

ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องกับสิ่งที่มองเห็น ก็คือดังนั้น เราจึงไม่จับจ้อง จดจ่ออยู่กับสุขภาพเสื่อมโทรม ความแก่ ความเจ็บ และความตายที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นอยู่จริงๆ แต่จดจ้องอยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น คือในโลกวิญญาณ คือร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เมื่อตอนที่ชุบพระเยซูและเราให้เป็นขึ้นใหม่พร้อมกัน

เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังหยั่งยืน ก็คือเพราะสุขภาพร่างกายทรุดโทรม ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความทุกข์ทรมานที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ที่มันเกิดขึ้นทุกวันนี้ มันไม่จีรังหยั่งยืน มันไม่ได้อยู่ตลอดไป แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ก็คือร่างกายใหม่ ร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บป่วย เจ็บปวด ทุกข์ทรมานอีกต่อไปนั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ มันอยู่ตลอดกาล

เพราะฉะนั้น อยู่บนโลกใบนี้ วางใจในพระเจ้า และอดทนหน่อย มันยังไม่ถึงเวลา อย่ารีบไปไหน แล้วจะถูกหลอก แล้วจะยิ่งทุกข์ แล้วไม่ได้เป็นการประกาศข่าวดี ไม่ได้เป็นการประกาศศักดิ์ศรี สง่าราศีของพระเจ้าเลย แต่นำความทุกข์ยากลำบากมาให้ผู้คนรอบข้างอีกต่างหาก

ในโลกนี้ มีสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นมากมาย ฟังให้ดีนะ นี่จากประสบการณ์แห่งชีวิตมาก่อนเชื่อพระเจ้าด้วย จนมาเชื่อพระเจ้า 30 กว่าปี ได้เห็นว่าโลกนี้มีสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ที่เกินกว่าเหตุผลของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย เกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์ และไม่ได้มาจากพระเจ้า เช่น พวกวิทยาคม คาถาอาคม สะกดจิต พลังจิต ซึ่งพระคัมภีร์ก็เตือนเราว่าสิ่งลี้ลับเหล่านี้ อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

ล่าสุด ผมเพิ่งได้ยินมา หยกๆ เลยนะ จากผู้เชื่อท่านหนึ่ง มีน้องสาวของผู้เชื่อท่านหนึ่ง เขายังไม่เชื่อป่วยหนัก อยู่ต่างจังหวัด อาการหนักมาก ทำท่าจะไม่รอด ไปรักษาที่โรงพยาบาลเท่าไรก็ไม่หาย ไม่รู้เป็นโรคอะไร ไม่ชัดเจน แต่อาการหนักมาก ทานข้าวก็ไม่ได้ ทุกคนก็ลงความคิดทั้งหมู่บ้าน ญาติพี่น้องก็ลงความเห็นว่าผีปอบมันกิน รักษาไม่หายหรอก น้องสาวก็จำได้ว่าพี่สาว เป็นผู้เชื่อมีวิชา ไม่ใช่มีวิชาอาคม ไปเรียนแพทย์แผนไทย เรียนเรื่องสุขภาพ สมุนไพร เรื่องวิธีนวด กดจุด อะไรก็ว่าไปนะ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่สาวเป็นหมอแผนไทย ก็บอกไปหาพี่สาวดีกว่า ก็มาหาพี่สาว พี่สาวก็ให้การบำบัดตามลักษณะแพทย์แผนไทย ทั้งนวด ทั้งกดจุด ทั้งอบไอน้ำ ทั้งกินสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งให้วิตามินบางอย่าง อาทิตย์เดียวหายเลย  2 อาทิตย์สบาย จากที่เพิ่งจะออกจากนอนโรงพยาบาลมา 1 เดือน แล้วกลับจากโรงพยาบาลไปทำงานวันหนึ่งแทบตาย ที่ทำงานรีบกลับมาส่ง ไม่เอาแล้ว ทำท่าจะตาย มาอยู่นี่แค่ 2-3 อาทิตย์หาย อะไรล่ะ เห็นไหม?

สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เยอะแยะมากมาย อย่าถูกหลอก ถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อแล้ว อยากจะหายโรคจนเกินเหตุ จนแสวงหาอะไรบางอย่างที่เหนือธรรมชาติ เหนือกว่าเหตุผล ไม่ว่าจะใช้นามพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะใช้ข่าวประเสริฐหรือไม่ก็ตาม มันจะถูกหลอกไปในทิศทางที่เป็นระบบของโลกใบนี้ แล้วมันอันตรายมากๆ อย่าทำเลย พระเจ้าเตือนนะ

ในโลกนี้ เราควรมีความพึงพอใจในพระเยซูคริสต์ที่เป็นชีวิตของเรา เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นผู้ปลอบโยนจิตใจ เป็นสติปัญญาอันล้ำเลิศ เป็นราชาจอมราชาของเรา เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา เดินอยู่กับเรา จูงมือเราเดินอยู่ทุกเสี้ยววินาทีบนโลกใบนี้ และพระองค์กำลังนำพาเราไปสู่สวรรค์ที่พักอันถาวรนิรันดร์ ไปสู่โลกใหม่ที่สมบูรณ์พร้อมทุกประการและร่างกายใหม่ที่สมบูรณ์พร้อมทุกประการ รออีกแป๊บเดียวลูกเอ๋ย

เพราะฉะนั้น บนโลกใบนี้ สิ่งที่เราต้องการมากที่สุด ไม่ใช่สุขภาพแข็งแรง เพราะเราจะไม่มีทางได้ ไม่ใช่การเงินเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งไม่ขัดสน เพราะเราจะไม่มีทางได้ แต่จงให้เราแสวงหาพระเยซูคริสต์ เพราะเราได้แล้ว พระองค์เป็นทุกสิ่งในชีวิตของเรา สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เฉพาะเราผู้เชื่ออย่างเดียว ผู้ที่ยังไม่เชื่อก็ตาม อยากจะประกาศให้ท่านว่าสิ่งที่ท่านต้องการที่สุด ไม่ใช่ความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ไม่ใช่ความสำเร็จบนโลกใบนี้ ไม่ใช่สุขภาพแข็งแรงบนโลกใบนี้ เพราะท่านจะไม่ได้เลย แต่คือพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นทุกสิ่งต่างหาก เอเมน

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิต” ตอน 7 “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ” ตอน 3 “การกินการอยู่” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  กรกฎาคม  2020

 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิต” ตอน 7

“วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ” ตอน 3

“การกินการอยู่” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาฟังกันต่อ สำหรับซีรี่ย์ชุด แนวทางการดำเนินชีวิต 4 ขั้นตอน เชื่อแล้ว  รับรู้  วางใจ  และอธิษฐาน  และวันนี้ยังอยู่ในขั้นตอนที่ 3 วางใจ ใช้ชื่อเรื่องว่า “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ” ตอนที่ 3 ในเรื่องวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ที่ผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ เราได้เรียนรู้เรื่องการเชื่อและวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เกินกว่าความคิด ความเข้าใจของเรา ทั้งในเรื่องโลกวิญญาณและการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีทั้ง 2 ด้าน ซึ่งถ้าเราฝึกฝนให้วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เกินกว่าความคิด ความเข้าใจของเราได้ ในทุกเรื่อง ตามที่พระคัมภีร์สอนเอาไว้ เราก็จะได้รับสันติสุข ความสงบสุข สามารถอดทนรอคอยได้ตามเวลาของพระเจ้า ที่ทรงสัญญาไว้ในพันธสัญญาของพระองค์ คืออีกแป๊บเดียว อีกไม่นาน เราก็จะได้พักผ่อนอย่างมีความสุข ไม่ใช่สันติสุข มีความสุขนิรันดร์ รออีกแป๊บเดียว

วันนี้เราจะมาคุยกันต่อที่หัวข้อที่คุยค้างไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว คือวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในเรื่องการกิน การอยู่ และความร่ำรวยทรัพย์สมบัติ เกี่ยวกับโลกใบนี้ โดยตรง

หลักพื้นฐานของความเชื่อในเรื่องการวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ในเรื่องการกิน การอยู่ ในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ที่เราได้เรียนรู้ไปบ้างครั้งที่แล้ว หลักพื้นฐาน คือให้เชื่อตามที่พระคัมภีร์ได้บอกเอาไว้ว่ามันเป็นอย่างไร? ทัศนะคติเป็นอย่างไร? พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราจำเป็น ในการดำเนินชีวิตไว้บนโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ตามความจำเป็นของเรา ผู้สรุปความจำเป็นนี้ คือพระเจ้า

ในถ้อยคำพระเจ้า พระเยซูพูดในหนังสือมัทธิว บทที่ 6 ครั้งที่แล้ว เรายกขึ้นมา พระเยซูบอกดูนกในอากาศซิ แล้วก็ไม่ให้เราแสวงหาทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ แต่บอกว่าพระเจ้าทรงทราบล่วงหน้าแล้วว่าท่านต้องการอะไร? หรืออะไรที่จำเป็นในชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านจำเป็นต้องได้รับอะไร? พระเจ้าทรงทราบล่วงหน้าแล้ว เพราะฉะนั้น พระเยซูบอกแล้วว่าพระเจ้าเป็นผู้ตัดสินว่าความจำเป็นของเราคืออะไร? ใน 2 โครินธ์ 9:8 ครั้งที่แล้วเราก็ได้อ่านข้อความนี้ เรามาอ่านอีกครั้งหนึ่งว่าพระองค์ทรงตรัสไว้อย่างไรว่าเราจำเป็น มันเป็นลักษณะอย่างไร?

2 โครินธ์ 9:8 “พระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง”

 

“เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่างที่จำเป็น”

แสดงว่าการมี ก็มีความจำเป็นบางอย่าง บางครั้งก็ไม่จำเป็น ทำดีเกินไป  เพื่อตัวเอง ไม่ใช่อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า และครั้งที่แล้ว เราได้เรียนถึงเคล็ดลับ จากอาจารย์เปาโล อยู่ในฟีลิปปี 4:12-13

ฟีลิปปี 4:12-13 “12 ข้าพเจ้ารู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร และรู้ว่ายามมีเหลือเฟือ เป็นอย่างไร ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับ ที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมี ในทุกสถานการณ์  ไม่ว่าจะอิ่มหนำหรือหิวโหย มั่งมีหรือขัดสน 13 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า

 

แต่ก่อนที่เราจะสามารถฝึกตามเคล็ดลับนี้ เราต้องเข้าใจในพื้นฐานของความจริงก่อน ตามหลักพระคัมภีร์ว่าคืออะไร? จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ปฐมกาลมา พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ให้มีแต่ความสุข ไม่ใช่ความสุขอย่างเดียว แถมความสบาย อยู่ท่ามกลางสิ่งดีๆ และสิ่งสวยงาม เป็นมนุษย์ที่ครอบครองทุกอย่าง ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เจ้าของอย่างเดียว เป็นเจ้านายของสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น

ตรงนี้จึงเป็นธรรมชาติวิสัย จิตใต้สำนึกของมนุษย์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จนถึงวันนี้ ก็ยังอยู่ ในจิตใต้สำนึกเรา พระเจ้าสร้างไว้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดามาก ที่มนุษย์ทุกคนอยากจะร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง อยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต ในการงาน อยากจะเป็นนายคน อยากอยู่อย่างสบายๆ ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ไม่ต้องลำบากลำบนทำมาหากิน ก็เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในจิตใต้สำนึกที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ ตั้งแต่เมื่อตอนเริ่มต้น ก่อนจะล้มลงไปในความบาป และคำสาปแช่ง

เป็นเพราะว่ามนุษย์ได้ล้มลงไปในความบาป ตกอยู่ในความสาปแช่งไปแล้ว โลกทั้งใบ จึงเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับที่อยู่ในใจของเรา  เราอยากสบาย แต่ข้างนอก มันมีแต่ความทุกข์ทั้งหมด แต่มันเป็นเรื่องจริง มันต้องฝืนกันไง พื้นฐานเหล่านี้เราต้องเรียนรู้ เพื่อจะรู้ว่าเราควรจะอยู่อย่างไร? ท่ามกลางสิ่งที่เป็นความจริงเหล่านี้ ที่พระเจ้าสอนเรา หลายๆ คน ถึงแม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว คริสเตียนหลายคน รวมทั้งเราด้วย ก็ยังคงถูกชักจูงด้วยจิตใต้สำนึกนี้ คืออยากจะสุขสบาย อยากประสบความสำเร็จในการงาน อยากครอบครองสมบัติ อยากจะเป็นเจ้านายของสรรพสิ่ง ก็เลยตีความสิ่งที่ตัวเองอยากได้ให้มันเข้าข้างตัวเอง นี่หมายถึงคนที่เป็นคริสเตียน ผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว

เช่นพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสามารถกระทำให้ทุกสิ่งตามที่เราจำเป็น พระเจ้าบอกว่าอย่างนั้น ก็ไปแปลเองว่าหมายถึงพระเจ้าจะให้ทุกสิ่งที่เราอยากได้ เอาจำเป็นออกไปซะ ใส่คำว่าอยากได้ ในใจเราอยากได้อย่างนั้น รวมทั้งความร่ำรวย ทรัพย์สมบัติเงินทองด้วย  อยากได้ พระเจ้าสัญญาว่าจะจัดเตรียมความร่ำรวยไว้ให้อย่างไรล่ะ พระคัมภีร์บอกว่าเราจะได้รับสันติสุข ได้รับความสงบสุข ก็ไปแปลเอง ไปเข้าใจเองเป็นสิ่งที่ตัวเองอยากได้  คือเราจะได้ความสุขสบาย ไม่ต้องทำงานหนักแล้ว พระเยซูบอกมาพัก หายเหนื่อย และเป็นสุขแล้ว เข้าข้างตัวเอง

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไปให้สำเร็จ ฟีลิปปี 1:6 ก็ไปตีความว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะทำธุรกิจสิ่งไหน ก็ตามบนโลกใบนี้ พระเจ้าจะประทานความสำเร็จให้กับฉันอย่างแน่นอนง่ายๆ ฮาเลลูยา เพราะพระเจ้าอยู่กับฉันแล้ว เห็นอะไรบางอย่างไหม?

รวมความ คือคิดเองตามที่จิตใต้สำนึกตัวเองต้องการนั่นเอง คือเหมาเอาเองว่าพระเยซูทรงกระทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน เพื่อเราแล้ว เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จะต้องโรยด้วยกลีบกุหลาบสบายๆ ตามที่จิตใต้สำนึกเราอยากได้ด้วย ผู้เชื่อหลายคนจึงถูกชักจูง ทั้งจิตใต้สำนึกของตัวเอง บวกกับการล่อลวงของมารอีกต่างหาก ถามว่ามารทำอย่างไร? ล่อลวงเพื่ออะไร? ก็เพื่อที่จะต้องการทำลายข่าวดีของพระเยซูคริสต์ให้เสียหาย ให้มันวิปริตด้วย มันดันเราให้ทำในสิ่งที่ไม่มีทางได้ แล้วทำให้เราเบื่อหน่าย พระเยซูไม่จริง ข่าวดีของพระเยซู ข่าวประเสริฐของพระเยซูก็เลยเสียหาย โดยการล่อลวงผ่านทางกิเลสตัณหา ทางฝ่ายเนื้อหนัง จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด หลงผิด โดยไม่เจตนา ผู้เชื่อหลายคนไม่ได้เจตนา แต่มันเป็นมาเองโดยอัตโนมัติ จากข้างใน และจากมารที่อยู่รอบข้าง ทำงานอยู่บนโลกใบนี้ พยายามผลักดันให้เราไปเป็นอย่างนั้น นี่พูดถึงผู้เชื่อ

มีการประกาศว่าพระเยซูทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว ท่านทั้งหลายต้องเคยได้ยินแน่ แม้เราก็ยังเคยสอนอย่างนั้น พระเยซูทรงกระทำให้สำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน พระองค์ได้แบกรับเอาบาป แทนพวกเราแล้ว รวมทั้งรับเอาความยากจน ความลำบาก ความขัดสน ปัญหาทุกอย่างในชีวิต แทนเราด้วย เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน ต้องไม่ลำบากไม่ขัดสนแล้ว ผู้เชื่อทุกคนได้รับความร่ำรวย ในทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ อย่างเรียบร้อยไปแล้วด้วย ให้ใช้สิทธิของตนเองในฐานะผู้เชื่อ อ้างพระนามพระเยซูเลย เรียกร้องสิทธิเอาเองเลย และถ้าความเชื่อเรามีมากพอ เราจะต้องได้รับอย่างแน่นอน เพราะพระเจ้าสัญญาไว้อย่างนั้น มีบางคนเริ่มต้นประกาศแบบนี้

เพราะจากความเข้าใจผิดอย่างที่ตะกี้นี้บอก ได้รับการสอนต่อๆ กันมาเรื่อยๆ แล้วอีกอย่างหนึ่ง จิตใต้สำนึกเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ก็เลยหลงไป ไม่ได้มีเจตนาหลอกลวงใคร พอพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ได้มารู้ความจริง ได้มาเข้าใจทีหลัง หลายคนก็หยุด หันหลังกลับ และเปลี่ยนท่าทีในการประกาศความเชื่อ ในพระคัมภีร์เสียใหม่ ในเรื่องข่าวดีของพระเยซู แต่ว่าก็ยังมีบางคน ที่ถึงแม้จะรู้ความจริงแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถสู้กับกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังได้ ยังคงดำเนินการต่อไป จากเดิมที่ทำไปโดยไม่ได้เจตนาจะหลอกลวง ก็กลายเป็นมีเจตนาเป็นไปตามที่พระคัมภีร์บอกไว้เลย เป็นไปตามเจตนารมณ์ข้างใน กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง และการโกหกหลอกลวงของมาร ก็เลยทำไป ใน 1 ทิโมธี 6:9-10 ก็เลยบอกว่าทำต่อไป มันจะเกิดอะไรขึ้น

1 ทิโมธี 6:9-10  “9 คนที่อยากรวย ก็ตกหล่มเย้ายวนให้ทำบาป ติดกับและตกในความปรารถนาต่างๆ อันโง่เขลาและอันตราย ซึ่งดึงมนุษย์ดิ่งลงในห้วงแห่งความพินาศย่อยยับ 10 เพราะการรักเงิน  เป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง  เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละ  บางคนจึงเตลิดจากความเชื่อ และทำให้ตัวเองต้องปวดร้าว  ด้วยความทุกข์โศกนานา”

 

เพราะการรักเงินความสุขสบายบนโลกใบนี้นั่นแหละ  เป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เพราะความอยากที่จะได้   อยากที่จะมีทรัพย์สมบัติ ความสะดวกสบายบนโลกใบนี้ นั่นแหละ เป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งปวง เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละ เห็นแก่สิ่งเหล่านี้ เห็นแก่ความสบายนี่แหละ บางคนจึงเตลิดจากความเชื่อและทำให้ตัวเองต้องปวดร้าวแทน ทำให้คนอื่นปวดร้าวไปด้วย  ด้วยความทุกข์โศกนานาประการ มันฟังดูแล้วเฉยๆ นะ แต่ลองคิดไปเรื่อยๆ นี่พูดถึงผู้เชื่อด้วย ชัดๆ เลยนะ

นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมเอง และเราในคริสตจักรแห่งนี้ เลิกการเทศนา และไม่สนับสนุนการบรรยายเทศนาข่าวดีแบบเน้นย้ำความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ความร่ำรวย ทรัพย์สินเงินทองแบบนี้อีกต่อไป หลายคนเข้าใจผิด เดี๋ยวนี้ผมความเชื่อลดลงแล้ว ไม่สอนเรื่องความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่จะทำให้ท่านเกิดสันติสุขและเป็นความจริงมากกว่า อยากให้ท่านมีสันติสุขและความจริง ไม่อยากให้ท่านต้องพบกับความทุกข์โศกต่างๆ นานา ความปวดร้าวระทม

พระคัมภีร์สอนให้เราขอบคุณพระเจ้าในทุกสิ่ง ซึ่งรวมทั้งความร่ำรวย  ทรัพย์สินเงินทอง ที่พระองค์ทรงประทานให้ ทรัพย์สินเงินทองไม่ได้เป็นรากเหง้า ไม่ได้เป็นความชั่วร้าย แต่การรักเงินทองและความโลภต่างหาก คืออยากได้ แต่ไม่ได้มาจากพระเจ้านั่นแหละ เป็นความชั่วร้าย และถ้าเราไม่หยุดมัน เราก็จะประสบกับความปวดร้าว ด้วยความทุกข์โศกนานับประการ ทุกข์จริงๆ เกือบทุกท่านในที่นี้ก็คงจะพอทราบว่าตัวผมเอง เคยผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาเยอะ เคยผ่านประสบการณ์ในการประกาศ แบบที่เล่าให้ฟัง เมื่อตะกี้นี้ แล้วพระเจ้าก็สอนผม สอนอย่างไร? สรุปก็คือให้สามารถขอบคุณ พอใจตอนร่ำรวย อันนี้ใครๆ ก็ทำได้  ไม่ต้องสอนแล้วนะ  ให้สามารถขอบคุณ พอใจตอนร่ำรวย และสามารถรับได้ ขอบคุณได้ในยามขัดสน ในยามเป็นหนี้สินเขา พระเจ้าได้สอนให้ผม มีความเข้าใจในเรื่องความพึงพอใจในสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้ เพื่อที่จะสามารถวางใจ มอบทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ไว้ที่พระองค์ให้เป็นผู้นำทางได้ แล้วผมก็พบความจริงแล้วว่าสันติสุข ที่ได้รับนั้นมีมากกว่าความสุขและสันติสุข ที่เคยได้รับจากการพยายามด้วยตัวเองมากมายเหลือเกิน มากกว่าเยอะเลย ฮาเลลูยา อยากจะบอกขอบคุณพระเจ้ามาก

ถ้าใครมาสัมภาษณ์ส่วนตัว ยังมีรายละเอียดอีกเยอะ ตลอดระยะเวลาประมาณ 10 กว่าปีมานี้ ผมไม่ได้มาบรรยายวันนี้ ไม่ได้มาพูดความจริงวันนี้ ที่จะต่อต้านคนที่มั่งมี ร่ำรวย ไม่ใช่ ผมขอบคุณพระเจ้า สำหรับคนที่มั่งมีร่ำรวย แต่ผมต่อต้านคำสอนที่ว่าพระเจ้าได้ทำให้ท่านร่ำรวยแล้วในพระเยซูคริสต์ ผมต่อต้านตรงนี้มากกว่า ตรงนี้มันไม่จริง ถ้าท่านร่ำรวย เพราะว่าพระเจ้าต้องการให้ท่านร่ำรวย ผมยินดีด้วย สนับสนุนด้วย ฮาเลลูยาด้วย แต่ผมกำลังต่อต้านคำสอนที่บอกว่าพระเจ้าได้ทำให้ท่านผู้เชื่อร่ำรวยเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ เรียกร้องสิทธิ์ของท่านเลย เอาความร่ำรวย ซึ่งเป็นของคุณแล้ว ที่พระเจ้าทำให้แล้ว ทวงคืนจากมารเลย สั่งมารให้มันปล่อย เอาความร่ำรวย มาให้ฉัน ด้วยความเชื่อที่ท่านต้องสร้างขึ้นมาเอง ท่านเห็นอะไรบางอย่างไหม?

เงื่อนไข คือคุณต้องมีความเชื่อให้พอ ต้องเชื่อมากขึ้น ต้องพยายาม ถึงจะได้รับ พระเจ้าพร้อมที่จะให้คุณแล้ว หรือบางท่านบอกว่าได้ให้แล้วด้วย เพียงแต่คุณเชื่อไม่พอ เลยยังไม่ได้ พระองค์ทรงให้เรียบร้อยแล้ว ใช้นามพระเยซูคริสต์เลย อ้างเลย  ซึ่งคำสอนเหล่านี้ มันไม่ใช่ความจริงตามพระคัมภีร์ พูดเพราะว่าผ่านมาแล้ว 10 กว่าปี 20 ปีแล้ว มันไม่ใช่ พระสัญญาของพระเจ้าที่จะทำให้คุณร่ำรวย มั่งมีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย ไปอ่านพระคัมภีร์จะเห็นชัดเจน ยอมนิ่งๆ สงบใจลง ถ่อมใจลง อธิษฐาน แล้วก็ค่อยๆ อ่านพระคัมภีร์ไป ท่านจะพบความจริงอย่างแน่นอน ผมมั่นใจเลย คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเชื่อพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในท่าน หรือจะเชื่อกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังที่มารส่งเข้ามาจากข้างนอก เข้ามาในความคิดของท่าน ยังอยากจะสุขสบาย อยากจะตรงนี้อยู่ อยากตรงนั้นอยู่ ท่านจะเชื่อใคร?

พระสัญญาของพระเจ้า คือพระองค์ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่เราจำเป็น นี่คือพันธสัญญาของพระเจ้า พื้นฐานของข่าวประเสริฐ พระองค์ได้จัดเตรียมทุกสิ่งที่เราจำเป็นให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ต้องห่วง พระองค์ทรงทราบดีว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็น สำหรับแต่ละคน ส่วนสิ่งใดที่อยู่นอกเหนือจากความจำเป็น มีไหม? มี ให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินของพระองค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา มันเกินความจำเป็น แต่ว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเขาตอนนี้ พระเจ้าจะจัดเตรียมให้ เพราะเขาจำเป็นแล้ว ขึ้นอยู่กับพระเจ้าเป็นผู้ตัดสินว่าพระองค์จะประทานอะไรให้ใครเมื่อไร? อย่างไร? เป็นหน้าที่ของพระเจ้า ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลยแม้แต่นิดเดียว

ถ้าตามพื้นฐานทั่วๆ ไป ผู้เชื่อทั้งหลาย ตามที่พระเยซูบอก พระเจ้าทรงรู้ล่วงหน้า แล้วว่าเราจำเป็นต้องมีอะไร? และพระองค์ทรงเตรียมสิ่งที่เราจำเป็นไว้ให้แล้ว พอแล้ว เพราะฉะนั้น ความจำเป็นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราต้องอธิษฐาน พออธิษฐาน ก็เกิดความจำเป็น ไม่ใช่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่เราไปอธิษฐานเยอะๆ หรือเรียกร้องสิทธิ์ของเรามากๆ ใช้ความเชื่อ เพิ่มพูนพลังความเชื่อเราเยอะๆ ในเรื่องใดๆ แม้แต่นิดเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย ใช้คอมมอนเซ้นต์แค่นี้ ก็เห็นนะว่ามันมีเหตุมีผลว่ามันควรจะเป็นเช่นไร มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าท่านได้สร้างความเชื่อมากเท่าไรด้วย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเลย ผมประสบการณ์ก่อนหน้านั้น อธิษฐานๆ เรียกร้องสิทธิอะไรต่างๆ บางครั้งมันก็ได้นะ แต่หลายครั้งมันไม่ได้ ก็เลยสงสัยว่าทำไมหลายๆ ครั้งมันไม่ได้ สร้างความเชื่อมากเท่าไร มันก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย พอตอนหลังเลิกเชื่อแบบนี้ มาวางใจในพระเจ้ามากกว่า ไม่อธิษฐานเลย กลับได้มากกว่าอีก มันมาได้อย่างไร? นี่แหละคือสิ่งที่เป็นประสบการณ์จากพระคัมภีร์จริงๆ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ

หรือบางคน พยายามเขย่าบัลลังก์พระเจ้า ไม่อย่างนั้น พระพรไม่ได้ ความร่ำรวยไม่สำเร็จ เพราะคุณเขย่าไม่พอ ต้องเขย่ามากกว่านี้ เขย่าด้วยวิธีอะไร? อดอาหารเลย เขย่าเลย  พระเจ้าทนไม่ไหวหรอก เห็นลูกของพระองค์ทรมานอย่างนี้ ต้องให้แน่ๆ อัดเข้าไปๆ คุ้นๆ ไหม? ยังมีอีกเยอะ จำไม่ได้ดีกว่านะ ดีกว่าจำได้ จำแล้วน่าขำ แต่ตอนที่คนทำอยู่นั้น ไม่น่าขำ เขาเอาจริงนะ ทุกข์ทรมานจริง ตามพระคัมภีร์เลย พยายามเขย่าบัลลังก์ของพระเจ้าหน่อย เดี๋ยวพระเจ้ารำคาญให้เอง เคยได้ยินใช่ไหม? พยายามตื้อหน่อย อธิษฐานทุกวัน เดี๋ยวพระเจ้ารำคาญ จะให้เราเอง

หรือบางคนสอนว่าให้เราถวายออกไปเยอะๆ ยิ่งถวาย ยิ่งจะได้รับกลับมา ให้ออกไปรับใช้เยอะๆ เอาเวลาให้กับพระเจ้าเยอะๆ ออกไปประกาศเยอะๆ นำผู้คนมาเชื่อพระเจ้ามากๆ จะได้พระพรตรงนี้  หรือมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแม้กระทั่ง เรารักพระเจ้ามากเท่าไร? คุณต้องรักพระเจ้ามากๆ พระเจ้าถึงจะประทานความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง เปล่าเลย ความรักในพระเจ้า เป็นความรักที่พระเจ้าประทานให้กับเรา เราไม่มีทางรักพระเจ้าได้เลย จนกว่าพระเจ้าจะรักเราก่อน แล้วประทานวิญญาณแห่งความรักมาให้เราเกิดใหม่ เป็นลูกแห่งความรัก แล้วเราจึงรักพระเจ้า ตอบแทนได้  และรักตลอดไปเลย รักเท่ากับทุกคน ถ้าใครเกิดใหม่ก็รักพระเจ้าเท่ากัน หรือแม้กระทั่ง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าผู้เชื่อคนนั้น ทำงานด้วยความสัตย์ซื่อตามพระคัมภีร์ ขยันหมั่นเพียร ประหยัดตามพระคัมภีร์ ตามถ้อยคำของพระเจ้าทุกอย่างเลย เชื่อฟังทุกอย่างเลย แล้วจะต้องร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง ประสบผลสำเร็จในชีวิตแน่นอนบนโลกใบนี้ ใช่หรือไม่? ตอบว่าไม่ใช่ ต่อให้คุณรักษาทุกอย่างให้เรียบร้อย ดีหมดแล้ว

หลายครั้งเราก็เกิดวิกฤตในชีวิตเหมือนกัน โลกใบนี้โควิดเกิดขึ้น อยากถามว่าโควิดเกิดทั้งคนเชื่อและคนไม่เชื่อ ประสบเหมือนกันไหม? เหมือน เอาเฉพาะคนเชื่ออย่างเดียว คนที่เชื่อน้อยกับคนที่เชื่อมาก คนที่อธิษฐานน้อย คนที่อธิษฐานมาก ประสบเหมือนกันไหม? ก็เหมือนกัน ก็อยู่ในโลกใบนี้ อยู่ในที่เดียวกัน เขาเดือดร้อน เราก็ต้องเดือดร้อนด้วย เป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้ แต่เรามีพระเจ้าสถิตอยู่กับเราภายใน พระองค์จะทรงนำเราเดินไปทีละก้าวๆ และเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับชีวิตของเรา ให้เราวางใจในพระองค์ ตรงนี้มากกว่า ที่เราควรจะสังเกต และใช้คอมมอนเซ้นต์ในการไตร่ตรองดู หรือที่บางคนอธิษฐานบอกพระเจ้าว่า …

“พระเจ้า ลูกกำลังจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้”

ถามว่าเวลาเราอธิษฐานว่าจำเป็น ต้องการสิ่งนี้ ความจำเป็นนี้ มันตรงกับความคิดของพระเจ้าว่าเราจำเป็นหรือไม่? หรือเราบอกจำเป็น แต่พระเจ้าบอกไม่เห็นจำเป็นเลย  นึกออกใช่ไหม? มันตรงกับความจำเป็นที่พระเจ้าคิดหรือเปล่า?  ความพอเพียงของท่าน มันเหมือนกัน หรือเท่ากันกับความพอเพียงที่พระเจ้าคิดให้กับท่านหรือไม่? ท่านบอกแค่นี้ ไม่พอเพียง แต่พระเจ้าอาจจะบอกว่าท่านพอเพียง หรือท่านอาจจะบอกว่าแค่นี้ เราพอเพียง พระเจ้าบอกเท่าที่เธอมี พอเพียง มันคือร่ำรวยแล้ว ความคิดของมนุษย์ จะไปเทียบอะไรกับความคิดของพระเจ้า พระเจ้าเตรียมสิ่งที่ดี เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ อย่างที่บอกแล้ว เราวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ และถ้าเราวางใจในพระเจ้า ด้วยสิ้นสุดใจได้อย่างนี้ พระเจ้าจะพาเราไปที่ร่ำรวยที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แน่นอน บางคนอาจจะถามทำไมตะกี้บอกพระเจ้าไม่พาไปในความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งบนโลกใบนี้ พระเจ้าพาไป  แต่ความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งบนโลกใบนี้ในทัศนคติของพระเจ้า มันไม่เหมือนกับที่เราคิด ความคิดของมนุษย์คิดว่าความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง คือมีทรัพย์สิน ร่ำรวย มีชื่อเสียงใหญ่โต ประสบผลสำเร็จ ทำอะไรก็สำเร็จหมดทุกอย่าง เป็นเจ้าคนนายคน อยู่สบายๆ นั่นคือความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ แต่พระเจ้าคิดอีกแบบหนึ่ง ความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งของพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามทัศนคติของพระเจ้า คือผมคิดออกมาให้ชัดเจนเลย เอาไปจำเป็นตัวอย่าง เอาไปท่องก็ได้ คือทัศนคติของพระเจ้าในการเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยมั่งคั่ง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือมีเงินทอง แต่ไม่มีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็เหมือนไม่มีเงินทอง ไม่มีเงินทอง แต่มีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็เหมือนมีเงินทองร่ำรวยมหาศาล เอาเกลับไปคิดดู ค่อยๆ เอาไปมองดู และให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาท่าน ท่านจะเห็นอะไรบางอย่างว่าความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งในทางพระเจ้า มันคืออะไร?  พระองค์กำลังพาเราไปที่นั่นแหละ เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งที่สุดในโลกเลย

เราจะสังเกตได้อย่างไรว่าคนนี้รวย หรือไม่รวยในทางพระเจ้า ง่ายนิดเดียว คนที่ร่ำรวยในทางพระเจ้า จะมีอาการให้ออกไป แจกจ่ายออกไป แบ่งปันออกไป แล้วไม่กังวลกับการสั่งสมทรัพย์สมบัติเอาไว้บนโลกใบนี้ ไม่กลัวหมด แต่ละคนที่มั่งมี ในทางพระเจ้าจะเป็นอย่างนี้ กระซิบให้ คราวนี้ใครอยากร่ำรวยในทางพระเจ้า พระเจ้ากำลังพาเราไปตรงนี้แล้ว ไม่ยาก ง่ายด้วย พึ่งพระเจ้า

อยากถามว่าคริสเตียนที่เชื่อพระเจ้า ที่มีความมั่งมี ร่ำรวย แบบโลก กับคริสเตียนที่แบบโลกเรียกว่ายากไร้ ยากจน ท่านคิดว่าอย่างไหนมีมากกว่ากัน? พูดง่ายๆ ว่ามองตามตามองเห็นในโลกใบนี้ คริสเตียนที่รวยและประสบผลสำเร็จ ในกิจการงาน กิจการเงิน มีชื่อเสียงร่ำรวยมหาศาล มีกี่คน และคริสเตียนที่ยากไร้ ยากจน ไม่มีบ้านจะอยู่ อยู่กระต๊อบมีกี่คน? ใครมากกว่ากัน? นี่ก็คอมมอนเซ้นต์เหมือนกัน ท่านสามารถมองดูได้ แล้วก็ถามพระเจ้าดูว่ามันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เดี๋ยวพระเจ้าก็จะบอกท่าน ตามที่ผมได้นำพาท่านมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าพื้นฐานมันควรจะเป็นอย่างไร?

เรามาเรียนรู้กันต่อถึงทัศนคติของอาจารย์เปาโลในเรื่องการกิน การอยู่ และทรัพย์สินเงินทอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าอาจารย์เปาโลสอนให้เราคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีทัศนคติอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อจากครั้งที่แล้ว 1 ทิโมธี 6:1-5 บอกเอาไว้อย่างนี้ชัดเจนมากเลยนะ

1 ทิโมธี 6:1-5 “1 คนทั้งปวงที่อยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาส พึงถือว่าเจ้านายของตนสมควรได้รับความเคารพนับถืออย่างเต็มที่ เพื่อจะไม่มีใครมาว่าร้ายพระนามของพระเจ้า และคำสอนของเราได้ 2 ส่วนคนที่มีเจ้านายเป็นผู้เชื่อ  ก็ไม่ควรจะแสดงความนับถือต่อเจ้านายน้อยลง  เพราะเหตุที่เป็นพี่น้องกัน ตรงกันข้าม เขาควรจะรับใช้เจ้านายให้ดียิ่งขึ้น เพราะคนที่ได้ประโยชน์จากการรับใช้ของเขานั้น เป็นผู้เชื่อ และเป็นที่รักของเขา ท่านจงสั่งสอนและกำชับให้เขาทำเช่นนี้ 3 ถ้าผู้ใดสอนหลักข้อเชื่อเท็จ และขัดกับคำสอนอันมีหลักขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา และคำสอนในทางพระเจ้า 4 ผู้นั้นก็จองหอง ลืมตัว และไม่เข้าใจอะไรเลย เขามัวแต่หมกมุ่นกับการถกเถียงโต้แย้งเรื่องคำต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดการอิจฉา การแก่งแย่งชิงดี การใส่ร้าย การระแวงกันอันร้ายกาจ 5 และการบาดหมางแตกร้าวระหว่างผู้มีใจเสื่อมทราม ซึ่งถูกฉกชิงความจริงไป และคิดว่าทางพระเจ้าเป็นช่องทางหาเงินทองทำกำไร”

 

ครั้งที่แล้ว ได้เรียนรู้เรื่องเคล็ดลับของอาจารย์เปาโลในเรื่องนี้ คือการเรียนรู้จักการพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ในทุกสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน ขัดสนหรือร่ำรวยก็ตาม เมื่อตะกี้นี้ใน 1 ทิโมธี 6:1 ที่บอกคนทั้งปวงที่อยู่ใต้แอกของความเป็นทาส คือคนที่เชื่อพระเจ้า แล้วเป็นทาสอยู่ ไม่ใช่เป็นคนงานแบบพนักงานบริษัท แต่เป็นทาส สมัยก่อนยังมีทาสอยู่ ทาสก็คือเป็นทาส หนักกว่าผู้รับใช้ หนักกว่าการเป็นพนักงาน คนที่เชื่อและเป็นทาสอยู่ อาจารย์เปาโลบอกว่าให้ใช้นามพระเยซูสั่งการให้เราเป็นอิสรภาพ เพราะพระเยซูปลดปล่อยเราเป็นอิสรภาพแล้ว ปลดปล่อยเราที่ไม้กางเขน เรียบร้อยแล้ว เราเป็นไทแล้ว ในนามพระเยซู พระวิญญาณอยู่ที่ไหน เราเป็นอิสระที่นั่น เราเป็นไทแล้ว ใช่หรือไม่? อ่านดู ไม่ใช่ คนที่เป็นทาสอยู่ ก็จงเป็นทาสต่อไป ไม่ใช่เป็นทาสธรรมดา แถมได้ทำให้เจ้านาย ที่ไม่ใช่คริสเตียน สมควรได้รับความเคารพอย่างเต็มที่ มากกว่าเดิมอีก ตั้งใจกว่าเดิม  ทำให้เขาดีกว่าเก่าด้วย เพราะเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราสมควรทำอย่างนั้น เพื่อว่าพระนามของพระเจ้าได้รับเกียรติ

แสดงว่าอาจารย์เปาโลจะบอกทาสคนนี้ว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว จงพึงพอใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือเป็นทาสเขา มันรวยที่ไหน แค่เราเป็นพนักงานบริษัท ในสภาวะเงินเดือนที่ต่ำที่สุด  แค่นั้น เราก็รู้สึกด้อยแล้ว  มาเชื่อพระเจ้าแล้วทำไมยังทำงานบริษัทนี้ ได้เงินเดือนนิดเดียวเอง พระเจ้าให้พระองค์ได้รับเกียรติหน่อย ยกลูก โปรโมทลูกให้ขึ้นมา ให้ได้รับเงินเดือนสูงหน่อย อย่างนั้นหรือ? ลองเอาไปคิดดูเองว่าที่ผมพูดหมายถึงอะไร?

ส่วนคนที่มีเจ้านายเป็นผู้เชื่อ ก็ไม่ควรแสดงความนับถือต่อเจ้านายน้อยลง เพราะเหตุที่เป็นพี่น้องกัน ตรงกันข้าม ควรจะรับใช้เจ้านายให้ดียิ่งขึ้น  เพราะเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากการรับใช้ของเขานั้น เป็นผู้เชื่อและที่รักของเขา ท่านจงสั่งสอนและกำชับเขาให้ทำเช่นนี้ ตะกี้นี้นายไม่เชื่อพระเจ้า แต่ตอนนี้นายเชื่อพระเจ้าแล้ว ฮาเลลูยา ต่อไปนี้งานเราเบาลงแล้ว เพราะนายก็เชื่อพระเจ้าแล้ว เราเป็นพี่น้องกันในฝ่ายวิญญาณ เพราะฉะนั้น เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์ เราเท่ากันหมดแล้ว พอเจ้านายจะสั่งให้ทำงาน สั่งผมได้อย่างไร? เราเท่ากันแล้วนะ  เราเป็นพี่น้องกันในพระคริสต์ อย่าซ่านะ เดี๋ยวพระเจ้าลงโทษหรอก ลงโทษเจ้านาย ขู่เจ้านายอีก ยิ่งถ้าเจ้านายมาเชื่อทีหลัง ยิ่งไปกันใหญ่เลย ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น อย่างนี้เขาเรียกว่าการหาประโยชน์ จากข่าวดีของพระเยซู มาเป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่พระเยซูบอกไม่ใช่เลย เจ้านายมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยิ่งดีใหญ่เลย รับใช้ให้มากกว่าเดิมเลย เพราะว่าสิ่งที่เรากระทำ รับใช้อยู่ เป็นประโยชน์ เป็นผลดีให้กับเจ้านายที่เป็นที่รักของเราด้วย เพราะว่าเป็นพี่น้องของเราในพระคริสต์แล้ว ทำให้มากขึ้นเลย เห็นอะไรบางอย่างไหม? คอนเชป ทัศนคติอะไรในชีวิตบางอย่างที่เกี่ยวกับความสุขสบายบนโลกใบนี้  เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ควรจะเป็นเช่นไร มันควรจะเห็นชัดและตาเปิดออกได้แล้วสักทีหนึ่ง

“ท่านควรจะสั่งสอนและกำชับให้เขาทำเช่นนี้ ถ้าผู้ใดสอนหลักข้อเชื่อเท็จและขัดคำสอน อันมีหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา และคำสอนในทางพระเจ้า ผู้นั้นก็จองหอง ลืมตัว และไม่เข้าใจอะไรเลย  เขามัวแต่หมกมุ่นในการถกเถียง โต้แย้งเรื่องคำต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดการอิจฉา การแก่งแย่งชิงดีกัน ใส่ร้าย การระแวงกัน อันร้ายกาจ

ข้อที่ 5 สำคัญเลยนะครับ … “และการบาดหมาง แตกร้าวระหว่างผู้ที่มีใจเสื่อมทราม ผู้ที่มีใจเสื่อม ก็คือเอาข่าวดีของพระเจ้าไปบิดพลิ้ว ถูกฉกชิงเอาไปจากความคิดจิตใจของเขาแล้ว และเมื่อไม่มีความจริง และคิดว่าทางของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นช่องทางหาเงินทอง หากำไร หาประโยชน์ใส่ตัว หาความสำเร็จ หาความเจริญรุ่งเรือง ท่านพอจะเห็นภาพหรือยัง?

เพราะฉะนั้น เราผู้เชื่อทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้สอนหรือไม่สอนก็ตาม เหมือนเราสอนไปในตัว ชีวิตของเราเป็นแบบอย่าง เราต้องคอยหมั่นสังเกตตัวเองว่าเรากำลังใช้ข่าวดีของพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน แสวงหาประโยชน์ส่วนตัวหรือเปล่า? ต้องอธิษฐานกับพระเจ้าเสมอ เพราะมันมีโอกาสเป็นไปได้มาก เพราะมันอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราอยู่แล้ว ที่เราอยากจะได้ความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรือง ทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ ในการดำเนินชีวิต มันมีโอกาสมาก

ทางของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้า คือในโลกฝ่ายวิญญาณ เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว พระพรทางฝ่ายวิญญาณมากมาย ที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ นานัปการเยอะไปหมด พระวิญญาณก็สถิตอยู่กับเรา พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเราแล้ว และอะไรต่างๆ ที่เตรียมตัว เตรียมพร้อมให้กับเราในโลกวิญญาณเรียบร้อยไปแล้วนั้น มันควรทำให้เราพึงพอใจได้แล้ว ทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ ไม่ได้สำคัญอะไรอีกแล้ว ถ้าเราพึงพอใจในโลกฝ่ายวิญญาณ พระพรทางฝ่ายวิญญาณที่เราได้รับจากพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว มันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว เราเป็นพี่น้องกับพระเยซูแล้ว ไม่มีใครจะเอาเราออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว มันไม่ควรจะมีอะไรที่สำคัญและมีค่ามากกว่านี้อีกแล้ว เหมือนที่พระเยซูบอกว่าไข่มุกเม็ดงาม เราได้แล้ว เราขายหมด ทิ้งทุกอย่าง เพื่อรักษาตรงนี้ไว้ เราควรจะสังเกตตรงนี้มากกว่า ในทางพระเจ้า

เพราะฉะนั้น เราควรจะคอยสังเกตดูว่าเราพึงพอใจในข่าวดีของพระเจ้าถูกต้องไหม? เราใช้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าในการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนหรือเปล่า?

ยกตัวอย่างว่าเราคอยสังเกตหรือไม่ว่าเมื่อไรเจ้านายจะขึ้นเงินเดือนให้เราสักที อธิษฐานมาตั้งนานแล้ว  คนข้างๆ เขาไม่เชื่อพระเจ้า เขายังได้ขึ้นเงินเดือนเลย 6 เดือนข้างหน้า เราควรจะได้รับเงินเดือนขึ้นแล้วนะ เราทำอย่างถูกต้องหมดทุกอย่าง เราก็อธิษฐานเยอะแล้ว             เราไม่ควรจะคอยสังเกตอย่างนี้ถูกไหม? ถ้าเราสังเกตอย่างนี้ แสดงว่าเราไม่พอใจ เรากำลังใช้ข่าวดีของพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์ใส่ตัวแล้ว นี่มันเห็น ถึงมันยังไม่ชัด แต่ว่าอธิบายให้ท่านฟัง ท่านจะชัดขึ้นแล้ว ไม่ใช่คอยสังเกตว่าเชื่อพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว เมื่อไรจะร่ำรวยเหมือนคนอื่นเขาสักที วันๆ หนึ่ง อธิษฐานไป ฟังถ้อยคำพระเจ้าไป ก็คิดไป เมื่อไรพระเจ้าจะให้เรารวยเหมือนคนข้างบ้านสักที เหมือนคนอื่นเขาสักที ไม่ใช่คอยสังเกตว่าเวลาเราถวายเงิน เวลาเราให้กับพระเจ้า ก็คอยหวัง สังเกตว่าให้ออกไปแล้ว เมื่อไรจะได้รับกลับคืน มองในท้องฟ้า มองไปในโลกวิญญาณ หลับตาไปก็เห็นใบหน้าเธอ ใคร? ธนบัตรลอยมา เพราะเราให้ออกไปแล้ว อย่างนั้นหรือเปล่า? เราสังเกตอย่างนั้นไหม? หรือให้เวลารับใช้พระเจ้า ให้อะไรต่างๆ ที่เราคิดว่าเราถวายพระเจ้า จะเป็นเวลาอธิษฐาน หรือถวายทรัพย์ หรือรับใช้อะไรก็ตาม เราคอยสังเกตไหมว่าเมื่อไรพระเจ้าจะอวยพรเรากลับคืนสักที ใช่ไหม? และคนก็ชอบพูดอย่างนี้ คนอื่นก็ชอบพูดอย่างนี้

“มาคริสตจักรเป็นประจำอย่างนี้ เดี๋ยวพระเจ้าจะอวยพร”

คำว่า “อวยพร” นั้นคืออะไร? เราคิดเองอีกว่าใช่พระเจ้าอวยพรจริง แต่อวยพรให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นไปตามแผนการของพระองค์ เป็นไปตามสิ่งที่พระองค์คิดว่าดี ไม่ใช่อวยพรไปตามเราคิดอยากได้ ก็ใส่กันใหญ่เลย มาโบสถ์เป็นประจำทุกอาทิตย์ จะได้รับพระพร จำไว้เลยว่าต่อไปนี้ใครบอกว่าเราจะได้อะไรจากการกระทำของเรา จงตอบไปเลยว่าเราจะได้รับพระพรตามที่พระเจ้าได้เห็นว่าสมควรที่เราจะได้รับอย่างไร? เราไม่รู้หรอก มันดีกับเราแล้วล่ะ เอเมน ไม่ใช่อะไรก็อวยพร แล้วคิดถึงเรื่องวัตถุอย่างเดียว มาถวายทรัพย์หน่อย ขอพระเจ้าอวยพร พระเจ้าอวยพรแล้ว ฉันถวายทรัพย์ออกไปแล้ว สิ้นเดือนนี้ เงินเดือนขึ้นแน่ ไม่ใช่สิ้นเดือนนี้ ก่อนหน้าสิ้นเดือนนี้ ก็ได้รับรางวัลจากตรงนี้แล้ว อยากจะได้ แค่นั้นไม่พอบางคนหวังมากกว่านั้นอีก ยิ่งหนักเลย ให้ออกไปแล้วหวัง …

“ฉันให้ 100 ผู้รับใช้บอกให้ไป 100 ได้กลับมา 30 เท่าบ้าง 60 เท่าบ้าง 100 เท่าบ้าง อยากได้เยอะๆ อธิษฐานมากๆ ใช้ความเชื่อเยอะๆ ก็จะได้ 100 เท่า”

คูณใหญ่ วันทั้งวันคูณ 100×100 มันกี่ตังค์ เห็นพระเจ้าเป็นสลอธแม็กซีน ใส่เข้าไปเท่าไร ดึงออกมา เพราะเราต้องการเป็นไปตามความคิดของเราเอง และเราก็ใช้ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์มาเป็นเครื่องมือ อย่างนี้เขาเรียกว่าเครื่องมือในการหากิน เอาถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่เกี่ยวกับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เอาพระนามของพระองค์มาใช้ในการหาประโยชน์เข้าส่วนตัว โดยจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ถ้ารู้ ควรจะเลิกซะ การเลิก ไม่ใช่เลิกอย่างเดียว พอเราเลิกเมื่อไร? เท่ากับเราไม่เป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นเขาด้วย ซึ่งการไม่เป็นตัวอย่างให้กับเขา บางครั้งก็ยังเผลอไปทำเลย  อย่าว่าแต่ไม่เลิกเลย ไม่เลิกยิ่งหนักใหญ่

อย่างเช่น  เราชอบใช้ตรงนี้ผิดๆ  ผมจะเห็นเสมอเลย  ตั้งแต่ในอดีตมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน แล้วยังเห็นคนใช้อยู่เยอะ และทำความทุกข์ทรมานให้กับผู้คนที่เอาไปใช้เยอะมากมายเลย ฟีลิปปี 4:13 บอกว่านี่คือเคล็ดลับของอาจารย์เปาโล คือ …

“ข้าพเจ้าเผชิญทุกสถานการณ์ได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี จะขัดสนหรือมั่งมี จะร่ำรวยหรือยากจนก็ตาม ข้าพเจ้าเผชิญทุกสถานการณ์เหล่านี้ได้ โดยพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ผู้ประทานกำลังให้กับข้าพเจ้า”

แต่ก็มีคนสอนอย่างนี้ แล้วก็มีคนเอาไปเชื่ออย่างนี้ ด้วยความหลงผิด อยากจะได้ตามกิเลสตัณหาของตนเอง อันนี้เห็นชัดๆ เลยนะ จากประสบการณ์จริงๆ แต่ก่อนนี้ผมเคยสอนอยู่ในชั้นเรียนพระคัมภีร์ แล้วก็เห็นมีคนเอาไปสอนตรงนี้ แล้วมีคนเอามาใช้ ผมยังเอามาใช้เลย แล้วเคยบอกคนอื่นด้วย แต่บอกไม่เยอะนะ พูดตรงๆ ไม่กล้าบอกเยอะ ผมมีหน้าที่สอนในชั้นเรียนของผู้รับใช้ในเรื่องเกี่ยวกับการนมัสการ เพราะเป็นนักดนตรีอยู่ สอนร้องเพลง สอนโน้ต สอนเล่นกีต้าร์ สอนเครื่องดนตรีพื้นฐาน แล้วผมก็ใช้ตรงนี้ แล้วเขาก็ใช้กันทั่วไปแหละ คนมาเชื่อพระเจ้าแบบนี้ ใช้ลักษณะนี้ ใช้ข้อความนี้เสมอ อะไรเกิดขึ้นมา ก็ฟีลิปปี 4:13 …

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า”

ผมก็สอนไป แล้วก็บอกเขา เพราะการสอนตรงนั้น คือสอนให้ผู้คนออกไปเป็นผู้รับใช้ เขาต้องไปนำเซล ก็มีการร้องเพลง มีการนมัสการ พูดตรงๆ ทุกคนไม่ได้มีของประทานเหมือนกันหมด บางคนทำกับข้าวไม่เอาไหนเลย ทำอย่างไรก็ไม่เอาไหน แต่บางคนทำกับข้าว ทำอย่างไรก็อร่อย ตรงนี้ไม่ชัดเท่ากับ บางคนเล่นอะไรก็เพี้ยนหมด ร้องอะไรก็เพี้ยนหมด เล่นดนตรี บางคนเล่นไม่ได้หรอก เพราะหูยังไม่รู้เลยว่าโน้ตเป็นอย่างไร? จังหวะก็ไม่ถูก เขาตบจังหวะกัน แต่บางคนก็ตบไม่เป็นจังหวะ อย่างนี้ นักดนตรีทุกคนก็รู้ เขาไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับเอาเขาไปฝึกเท่าไร? เอาเป็ดไปฝึกให้พยายามเดินเหมือนไก่ เดินไม่ได้หรอก แต่เราไปบอกเขาว่าฟีลิปปี 4:13 ต้องใช้ความเชื่อสิ เอาไปท่องเยอะๆ เลย ในนี้เขาบอกว่า …

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ ข้าพเจ้าจะเป็นนักดนตรีให้ได้ ข้าพเจ้าจะเป็นนักนมัสการ เป็นผู้นำนมัสการในทีมนมัสการให้ได้ ในนามพระเยซู โดยการเสริมกำลังของพระเยซู ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทำได้ๆ”

แล้วคนเหล่านี้ก็พยายาม แล้วบางคนพยายามมาก จนกระทั่งลืมตัวไป นึกว่าทำได้จริงๆ พยายามสมัครเข้ามา ในทีมนมัสการของคริสตจักร ผู้นำกลัวมาก เพราะเขาคิดว่าเขาทำได้ แต่เวลาร้องเพี้ยนกว่าชาวบ้านเขาไง แล้วยิ่งมาเป็นผู้นำนมัสการอยู่ข้างหน้า ผู้นำเพลง นึกออกไหม? ผู้นำคนอื่นเขาด้วย ก็เละเลย

อยากให้ท่านได้เห็นภาพจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ คือเราเห็นเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มันอันตรายมาก เพราะไม่ได้เอาไปใช้แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว แต่ใช้ในทางอื่นด้วย เพราะฉะนั้น ก็เอาไปใช้ในเรื่องว่า …

“ในนามพระเยซู ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าลงทุนทำธุรกิจ อยากเป็นนักธุรกิจ ที่เจริญรุ่งเรือง จะเอาเงินมาถวายพระเจ้า เอาเงินสร้างโบสถ์ เอาเงินมาประกาศรับใช้เยอะแยะมากมายไปหมด ข้าพเจ้าทำได้ในนามพระเยซู”

ในชั้นเรียนนั้นนะ ในโบสถ์ทุกวันนี้ ก็มีอย่างนี้แหละ …

“ในนามพระเยซู ฉันสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ฉันสามารถทำธุรกิจนี้ได้ ทำการค้านี้ได้”

แล้วก็ไปกู้เงิน กู้หนี้ใหญ่มากมาย เพราะฉันทำได้ พยายามฝืนความรู้สึกของตัวเอง แล้วก็ข่มตัวเองด้วยถ้อยคำพระเจ้าที่เอามาใช้แบบผิดๆ แบบนี้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เกิดตามที่ตะกี้นี้บอกไว้ โศกนาฎกรรมเกิดขึ้น เพราะความเชื่อผิดๆ อย่างนี้  เกิดหนี้สิ้นรุงรัง หนี้สินล้นพ้นตัว ครอบครัวก็พังพินาศ เสียหาย แตกกระเจิงไปหมด อยู่ในความทุกข์โศกเศร้าต่างๆ นานาอย่างมากมาย

นี่คือเหตุผลหนึ่ง ผมเห็นสิ่งเหล่านี้ แล้วมันเป็นจริงๆ มันอันตราย ฟังดูแล้วเหมือนมันไม่อันตราย มันธรรมดา แต่จริงๆ แล้วมันอันตรายมากเกินกว่าที่เราจะคิด พระคัมภีร์โดยผ่านทางอาจารย์เปาโล จึงพยายามกำชับเราตรงนี้ว่าจงสอนให้มันถูกต้อง  พูดอีกครั้งหนึ่ง เราไม่ได้ต่อต้านความมั่งคั่งร่ำรวย เราไม่ได้กำลังพูดถึงว่าเราไม่ชอบ หรือไม่เห็นด้วยกับคนที่มีความมั่งคั่งร่ำรวย แต่เรากำลังพูดว่าเราพอใจ วางใจในพระเจ้า ผู้จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้เราดีกว่า เกินกว่าความสามารถของเราที่เราจะคิดเองได้ ถูกไหม? ถ้าจะร่ำรวย ก็ขอให้มาจากพระเจ้าจริงๆ วางใจในพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าไม่คิดไม่ฝันเลยว่าพระเจ้าจะให้ฉันมีถึงขนาดนี้ ถูกไหม? แล้วอย่างที่บอกแล้วว่าจิตใต้สำนึกเดิมของเรา ก็ยังมีอยู่ เราทุกคนก็ล้วนอยากร่ำรวย อยากอยู่อย่างสุขสบาย  อยากประสบผลสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น มันโลภทุกคนแหละ

เพราะฉะนั้น ที่มาพูดนี้ ไม่ใช่พูด เพื่อต่อต้าน เพราะตัวเราเอง ก็เป็น ผมเองก็เป็น แต่รู้ว่าอะไรไม่ถูก ก็จะมาชี้แจงและบอกว่าอย่าทำนะ ระวัง … ระวังความโลภทุกชนิด พระเยซูบอกว่าจงละห่าง เว้นห่างจากความโลภทุกชนิด  และความโลภนี้ ในจิตใต้สำนึกนี้ เขาเรียกว่าไม่เข้าใครออกใคร มีกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อเก่าแก่ขนาดไหน? มีความรู้มากขนานไหน? ผู้รับใช้เก่าแก่ขนาดไหน? ผู้สอน แม้จะเป็นศิษยาภิบาล ก็ไม่ถูกละเว้นจากความโลภนี้เลย

มียายคนหนึ่งมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ซื้อล๊อตเตอร์รี่ให้หลานตรวจ หลานตรวจเจอคุณยายถูกรางวัลที่ 1 ทั้งชุดเลย เป็นเงิน 30 ล้าน ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีเงินล้านอย่างนี้ หลานก็เลยกลัวว่ายายจะตื่นเต้นจนช็อค เพราะยายเป็นโรคความดัน โรคหัวใจอยู่ ก็ไปปรึกษาศิษยาภิบาลให้ช่วยคุยกับคุณยายหน่อย ศิษยาภิบาลก็ไปคุยกับคุณยาย เริ่มต้นถามไถ่เรื่องต่างๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าเรื่องว่า …

“ถ้าอยู่ๆ ยายเกิดมีเงินขึ้นมาสักล้านหนึ่ง ยายจะเอาไปทำอะไร?”

ยายก็บอกว่า … “คงถวายโบสถ์สักแสนหนึ่ง แล้วก็ให้หลานนิดๆ หน่อยๆ แล้วที่เหลือก็เก็บไว้ เพื่อรักษาสุขภาพ”

ศิษยาภิบาลเห็นว่ายายไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก ก็บอกว่า … “ดีๆ”

ก็เลยถามต่อ รู้สึกว่ารับได้แล้ว … “แล้วถ้าเกิดยายได้เงินสัก 30 ล้านล่ะ ยายจะเอาไปทำอะไร?”

ยายก็ตอบว่า … “ยายเองก็แก่แล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นานหรอก ก็คงเก็บเงินไว้ใช้นิดหนึ่ง แล้วก็แบ่งให้หลาน แล้วก็อาจจะถวายให้อาจารย์สัก 10 ล้าน … ใครอยู่ข้างนอกๆ มาช่วยหน่อยๆ อาจารย์ช็อคไปแล้ว”

ยังไม่ได้พูดต่อเลยว่าจะเอาไปทำอะไรอีก ยังไม่พูดจบเลย เรียกคนข้างนอกเข้ามาช่วย อาจารย์ช็อค ตกใจ ได้เงิน 10 ล้านอยู่ดีๆ ไม่นึกไม่ฝัน

ความโลภไม่เข้าใครออกใคร เป็นได้ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย นี่คือสิ่งที่บอกว่าจิตใต้สำนึกเดิมของเรายังมีอยู่ ทุกคนก็ยังอยากได้ทรัพย์สินเงินทอง ความร่ำรวย ความสำเร็จบนโลกใบนี้ เราจึงทำตามคำสอนของพระเจ้าว่าให้เราขยัน สัตย์ซื่อ ไม่โลภ ไม่โกง รู้จักการให้ออกไป ทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด เท่าที่กำลังเราจะทำได้ ส่วนผลที่จะเกิดขึ้น ก็ฝากไว้ วางใจในพระเจ้า ให้พระเจ้าจูงมือเราเดินทุกวัน ฝากการตัดสินใจทุกอย่างไว้ที่พระองค์ว่า …

“ตัดสินใจไปเลยพระองค์ว่าจะให้ลูกมีแค่ไหน? เท่านั้นแหละ เอเมน”

1 ทิโมธี 6:6-11 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ให้มันชัดๆ ลงไปเลย “6 แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมี ย่อมเป็นกำไรงาม 7 เพราะเราเข้ามาในโลกตัวเปล่า เมื่อออกจากโลก ก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ 8 แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น 9 คนที่อยากรวย ก็ตกหล่มเย้ายวน ให้ทำบาป ติดกับและตกในความปรารถนาต่างๆ อันโง่เขลาและอันตราย ซึ่งดึงมนุษย์ดิ่งลงในห้วงแห่งความพินาศย่อยยับ 10 เพราะการรักเงิน เป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละ  บางคนจึงเตลิดจากความเชื่อและทำให้ตัวเอง ต้องปวดร้าวด้วยความทุกข์โศกนานา 11 ส่วนท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และใฝ่หาความชอบธรรม ใฝ่หาทางพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทนและความสุภาพอ่อนโยน”

 

“ส่วนท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  และใฝ่หาความชอบธรรม ใฝ่หาทางพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทนและความสุภาพอ่อนโยน ไม่ใช่ใฝ่หาความโลภที่จะมั่งมีร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง ประสบผลสำเร็จแบบโลกนี้ อีกต่อไปในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้”

1 ทิโมธี 6:17-19 “17  จงกำชับบรรดาผู้ร่ำรวยในโลกปัจจุบันนี้ ไม่ให้หยิ่งทะนงหรือฝากความหวังไว้กับทรัพย์สมบัติซึ่งไม่จีรังยั่งยืน แต่จงหวังใจในพระเจ้า ผู้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งให้เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อความเบิกบานใจของเรา 18 จงกำชับเขาเหล่านั้นให้ทำดี  ร่ำรวยในการทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เต็มใจแบ่งปัน 19 การทำเช่นนี้ จะเป็นการสะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้ตนเอง เป็นรากฐานมั่นคงสำหรับยุคหน้า เพื่อเขาจะได้รับชีวิตอันเป็นชีวิตแท้”

 

เคล็ดลับในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่อาจารย์เปาโลบอก ก็คือความพึงพอใจในทุกสถานการณ์ที่เรามีอยู่ ให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน ไม่โลภ ที่อยากจะได้ทรัพย์สินเงินทอง ความสำเร็จบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นทุกข์นัก แต่ถ้าเผื่อฝากและวางใจในพระเจ้าแล้ว พระองค์เห็นว่าเราจำเป็น อวยพรให้เรามั่งมี ร่ำรวยขึ้นมา อันนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ ตอบตัวเองเลยว่ามันช่วยไม่ได้จริงๆ ฉันร่ำรวยขึ้นมา ฉันไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้น คิดอยู่เหมือนกันบ้างนิดหนึ่ง แต่ก็พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว มีแค่นี้ ก็ดีอยู่แล้ว แต่พระเจ้าก็ให้เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ฉันก็ไม่ได้หวังอะไรมากมาย อันนี้ช่วยไม่ได้ เป็นหน้าที่ของพระเจ้า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา พระองค์ทรงรู้ว่าใครควรจะเป็นอยู่อย่างไร และว่ากันตามจริง ผู้มั่งมีในทางของพระเจ้า คือผู้รับใช้พระเจ้า มีงานหนักมากขึ้นกว่าเราอีก คือเขาต้องดูแลทรัพย์สมบัติของพระเจ้าต่างๆ เหล่านั้น และใช้ให้ถูกต้อง แล้วก็เจอกับการทดลองมากกว่าเราอีก เพราะว่าทุกวันก็เจอแต่เงิน ดูแลเงินทองเหล่านั้น และจะไม่ให้รักเงินทองเหล่านั้น มันยากกว่าที่เราไม่มีเลยดีกว่า

ในนี้บอกว่าเพราะฉะนั้น คนที่พระเจ้าใช้ให้เป็นผู้ที่ดูแลทรัพย์สินเงินทอง เกิดความร่ำรวยขึ้นมาทำอย่างไร?  จงกำชับบรรดาผู้คนที่ร่ำรวยในโลกปัจจุบันนี้ ไม่ให้หยิ่งยโส ทนง หรือฝากความหวังไว้กับทรัพย์สมบัติที่ไม่จีรังยั่งยืน ก็คือนึกว่าตัวเองทำเอง อย่างที่บอก ทรัพย์สินเงินทองที่พระเจ้าให้มา อาจจะหลงไปติดยึด นึกว่าเป็นของเรา หนักเลยคราวนี้ ให้มีความรู้สึกว่ามีก็เหมือนไม่มี อย่างที่ตะกี้นี้บอก พระเจ้าให้มา ก็ดูเหมือนไม่มี ก็คือไม่ไปติดยึด เพราะรู้ว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้น มันไม่จีรังยั่งยืน แต่จงหวังใจในพระเจ้า ผู้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งให้เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อความเบิกบานใจของเรา อวยพรเรา ไม่ใช่ให้เรามีความทุกข์ยากลำบาก อวยพรเราให้เรามีความเบิกบานใจในทุกสถานะ ไม่ว่าจะสถานะอย่างไรก็ตาม และจงกำชับเขาเหล่านั้นให้ทำดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ร่ำรวยทรัพย์สินไม่พอ ร่ำรวยในการทำดี คือเอาทรัพย์สินเหล่านั้นมาทำในสิ่งที่ดีๆ เอื้อเฟือเผื่อแผ่เต็มใจแบ่งปัน ไม่เก็บเอาไว้ การทำเช่นนี้ จะเป็นการสะสมทรัพย์ไว้ให้ตนเอง เป็นรากฐานมั่นคงสำหรับยุคหน้า หมายถึงสำหรับอนาคต เพื่อเขาจะรับชีวิต อันเป็นชีวิตแท้

รางวัลในยุคหน้า หมายถึงในสวรรค์เท่ากันทุกคน แต่นี่หมายถึงในอนาคต คือเราชื่นใจที่รับใช้พระเจ้า ไม่ใช่ชื่นใจที่เรามีทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่ แต่ชื่นใจ ที่เราเอาทรัพย์สมบัติที่พระเจ้าให้มา เอาไปช่วยเหลือเผื่อแผ่ให้กับผู้คน ไม่ได้เก็บเอาไว้ให้ออกไป และนี่คือหลักการที่คริสตจักรอภิสุทธิสถาน ก็ใช้มาตลอด คือบัญชีคริสตจักรจะไม่มีเงินเหลือเลย มีเงินพอใช้ทุกที เพราะว่าเรามีประสบการณ์ในการมีเข้ามาเยอะๆ แล้วก็มีประสบการณ์ในการมีน้อยลง แต่ไม่ว่าจะมีเยอะหรือมีน้อย  เราพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ แล้วก็ทำสิ่งนี้ ก็คือมี เราก็ให้ออกไป เรามั่นใจในพระเจ้า และเชื่อฟังในพระเจ้าว่าพระเยซูอาจจะกลับมาวันพรุ่งนี้  ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่นั้น มันไม่จีรังยั่งยืน วันนี้สามารถเอาไปใช้ตรงนี้ได้ ช่วยเหลือหน่วยงานตรงนี้ ช่วยเหลือประชากรของพระเจ้าตรงนี้ เราให้เลย  บางคนตกใจว่าคริสตจักรนี้ เล็กๆ ทำไมมีเงินเยอะ ไม่เยอะหรอกครับ ใจใหญ่ ให้ออกไปเลย เดี๋ยวพระเจ้าก็ให้มา แล้วพระเจ้าก็ให้มาจริงๆ ไม่เคยขัดสนเลย แม้แต่นิดเดียว ให้มามาก ก็ให้ออกไปมาก เพราะเราไม่เคยคิดที่จะไปกู้หนี้ยืมสินมาให้เขา มีเท่าไรก็ให้เท่านั้น นี่คือสิ่งที่ท้าพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นจริงตามนั้น  มีสันติสุขตามนั้นจริงๆ

เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จงวางใจในพระเจ้าในสิ่งนี้เถิด จงวางใจในพระเจ้าในการกิน การอยู่ ทรัพย์สมบัติสิ่งของ ความสำเร็จบนโลกใบนี้ ทำให้ดีที่สุด และวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจเกินกว่าความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ทุกคนที่จะเข้าใจได้

สุภาษิต 3:5-6 “5 จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งความเข้าใจของตนเอง 6 จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้าให้ราบเรียบ”

 

จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งพาความเข้าใจ ความรอบรู้ของตนเอง จงถ่อมใจ ยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจนก็ตาม แล้วพระองค์จะทรงกระทำทางของเจ้าให้ราบรื่น คือไม่ว่าจะสำเร็จในทางธุรกิจ สำเร็จในทางโลกหรือไม่ก็ตาม ไม่เป็นไร แต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว พระองค์ทรงรู้ ทรงเข้าใจว่าอะไรดีที่สุด สำหรับเราเสมอ เพราะฉะนั้น วางใจให้พระองค์เป็นผู้ตัดสิน ดีกว่าวางใจในตนเอง ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 4 “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เรื่องโลกวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  มิถุนายน  2020

เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 4

“วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ     เรื่องโลกวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุดนี้ แนวทางการดำเนินชีวิตคริสเตียน 4 ขั้นอยู่ คือเชื่อแล้ว  รับรู้  วางใจ  อธิษฐาน  ผ่านไปแล้ว 2 ขั้นตอน ก็คือเชื่อแล้ว  รับด้วยปากและเชื่อด้วยใจในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เรียกว่าเชื่อ เรียกว่าคริสเตียนแล้ว กับการรับรู้ จดจ่อไปที่เรื่องราวที่เบื้องบน ในสวรรค์สถานว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราอยู่ที่ไหนตอนนี้ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้วบ้าง เราเรียนรู้ไปแล้ว 2 ขั้นตอน และวิธีการรับรู้ เราเน้นกันใน 2 สัปดาห์ที่แล้ว เราสอนกันในเรื่องนี้ว่ารับรู้อย่างไร?

รับรู้ ก็คือการจดจ่อความคิดไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ฝ่ายโลก อยู่ในโลกวิญญาณ ด้วยวิธี 3 จอ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ ว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าได้ย้ายเราจากอาณาจักรแห่งความมืด มาสู่อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรแห่งพระบุตรของพระองค์ ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว และยังมีบอกอีกว่าให้ตาดู หูฟัง เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ เป็นถ้อยคำจากพระคัมภีร์เหล่านี้บ่อยๆ เยอะๆ ตาดู หูฟัง ปากพูด เขาเรียกว่าจดจ่อเต็มที่ในเบื้องบน วนเวียนอยู่ในเรื่อง … สั้นๆ รวมความ ก็คือเกี่ยวกับสวรรค์ที่เราได้อยู่แล้วตอนนี้กับพระเจ้า ตามที่พระคัมภีร์ได้บอกเรา

และวันนี้ เราจะมาเริ่มขั้นตอนที่ 3 ก็คือหลังจากเชื่อแล้ว รับรู้แล้ว ต่อไป ขั้นตอนที่ 3 คือวางใจ หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ผมจึงให้ชื่อเรื่องว่า “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ” คำว่า “วางใจพระเจ้า” หรือ “จงวางใจในพระเจ้า” เป็นประโยคที่ผู้เชื่อทุกคนได้ยินบ่อยที่สุด พอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้ยินบ่อยมาก ใครๆ ก็ต้องบอกว่าวางใจสิๆ จะทำอะไรก็ต้องวางใจในพระเจ้า อย่ากลัวเลย  จงวางใจในพระเจ้าเถิด  แต่ในทางปฏิบัติ มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่หลายๆ คนมาพูดหนุนใจเรานะ โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นกับตัวเราเอง มันลำบากเหลือเกิน เกิดขึ้นกับคนอื่น เราไปบอกเขาวางใจในพระเจ้านะ  มันก็พูดง่าย แต่พอมันเกิดขึ้นกับตัวเอง อะไรที่เกิดขึ้นกับตัวเอง สถานการณ์บางอย่างที่เราต้องการให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ที่เราคิดว่าดี จะบอกกับตัวเองว่าให้วางใจในพระเจ้า มันยากกว่าที่จะพูดกับคนอื่น นี่คือเรื่องจริงของผู้เชื่อทั้งหลาย ชีวิตคริสเตียนพบกับสันติสุข ที่แท้จริงได้เมื่อเชื่อแล้ว รับรู้แล้วว่าเราเป็นใคร? จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจไปแล้วว่าเราเป็นใคร? ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ จะต้องตามด้วยการวางใจตรงนี้ ถึงจะมีสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ ถ้าเชื่อแล้ว รับรู้แล้ว  แต่ยังวางใจไม่ได้ ชีวิตก็ยังคงวนเวียนอยู่กับความทุกข์ลำบาก กังวลไปเรื่อย ตามระบบของโลกนี้ ที่มันผันแปรไปเรื่อยๆ ตามมารที่กระทำการงานอยู่บนโลกใบนี้ มันก็ไม่มีสันติสุข หรือไม่มีความสุขเท่าที่ควร เท่าที่พระเจ้าอยากจะให้เราได้  จริงๆ พระเจ้าอยากให้เราได้ดีที่สุดเลย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าเป็นเครื่องมือของพระองค์ในการประกาศข่าวดี ใช้ร่างกายของเราที่เป็นวิหารของพระองค์แล้ว ซึ่งพระเจ้าก็อยากจะกระซิบที่หูเราว่า …

“วางใจในพ่อเถิด”

ชีวิตคริสเตียน ก็คือชีวิตแห่งความเชื่อและวางใจ ไม่ใช่เชื่อเฉยๆ เดี๋ยวเรารู้ว่าเชื่อและวางใจมันต่างกันกับความเชื่อเฉยๆ อย่างไร?

พระคัมภีร์บอกว่าความเชื่อที่บอกว่าพระเจ้ามีจริง ความจริงเรื่องนี้ พระคัมภีร์บอกว่าแม้แต่ซาตาน แม้แต่มารเอง ก็ยังเชื่อแบบนั้น แต่มารมันเชื่อ ชนิดลักษณะว่าพระเจ้าเป็นอยู่จริง มีอยู่จริง ยิ่งใหญ่จริง เชื่อแบบกลัวพระเจ้ามาก เพราะว่าความยิ่งใหญ่ ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ยิ่งใหญ่มาก ในยากอบ 2:19 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

ยากอบ 2:19 “ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวก็ดีแล้ว แม้พวกผีมาร ก็ยังเชื่อเช่นนั้นและกลัวจนตัวสั่น”

 

มารเชื่อว่ามีพระเจ้า เชื่อแน่นอน และเชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าอย่างมากมาย  แต่ว่าสำหรับเราผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเชื่อในการทรงสถิตของพระเจ้า ที่ทรงสถิตอยู่กับเรา เราจึงวางใจในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า วางใจจนถึงขนาดเกินกว่าความคิดของเราที่จะเข้าใจอีก เพราะว่าพระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด มากมายเลย แต่ก็อย่างที่บอก มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เราจะวางใจพระเจ้าในทุกเรื่อง ในทุกสถานการณ์ เวลามันเกิดขึ้นกับเราเองจริงๆ เราก็รู้ จากถ้อยคำพระเจ้าว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่เหนือกว่าสถานการณ์ที่เราคิดว่าเลวร้าย ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าเรา แต่บอกให้เราวางใจในฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า มันยากนะครับ

วันนี้ เราก็เลยมาเรียนรู้ในเรื่องนี้กันว่าพระคัมภีร์สอนเราอย่างไร? ที่จะช่วยเรา ให้สามารถที่จะวางใจในพระเจ้า  สุดจิต สุดใจ ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ในทุกสถานการณ์ในชีวิตของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ ทำอย่างไรดี เรามาคุยกันในวันนี้ ยังจำได้ไหมที่ผมเปรียบให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว ในโลกวิญญาณ เราอยู่ในระหว่างการเดินทางสู่โลกใหม่ สวรรค์ใหม่ ก็จะมีสัตว์ มีต้นไม้ใบหญ้า มีทะเล มีฟ้า มีนกอะไรต่างๆ แต่เป็นใหม่หมดเลย  รวมทั้งเราก็ใหม่ด้วย ร่างกายเราใหม่ เรากำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางไปสู่โลกใหม่ด้วยเที่ยวบินสายสวรรค์ของสายการบินนี้ ตั๋วก็ฟรีนะ ตั๋วใช้ความเชื่ออย่างเดียว สายการบิน Jesus’s The Way ก็เลยให้เราทำตัวเหมือนกำลังเตรียมตัว ผมบอกอยู่บ่อยๆ ให้เราเตรียมตัวเหมือนกำลังเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ในชีวิตมนุษย์ธรรมดาทุกวันนี้ ไปทัวร์ต่างประเทศกันง่ายๆ เรามั่นใจเพียงแค่ว่าเรามีตั๋วเครื่องบิน และเอกสารเดินทางครบถ้วนไหม? ซึ่งใครที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อด้วยใจและพูดด้วยปากแล้วว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามารับรู้ไปแล้วว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เท่ากับเรามีเอกสารพร้อม มีตั๋วพร้อม กำลังนั่งอยู่ในเครื่องบินสายสวรรค์นี้แล้ว เที่ยวบินนี้แล้ว และเหมือนเที่ยวบินทุกๆ แห่งที่เราเดินทางไปบนโลกใบนี้ เป็นทัวร์ที่ไหนก็ตาม พอขึ้นเครื่องบิน กัปตันก็จะประกาศว่า …

“ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้ เที่ยวบินของเรา กำลังบินผ่านน่านน้ำ มหาสมุทรแปซิฟิก  ที่ระดับความสูง 20000 ฟุต  เหนือระดับน้ำทะเล … และสำหรับเที่ยวบินนี้  เราอาจพบกับสภาพอากาศแปรปรวน  หรือเครื่องบินตกหลุมอากาศบ้าง เป็นบางครั้ง .. แต่ขอให้ผู้โดยสารทุกท่าน ไม่ต้องเป็นกังวล …  สบายใจได้ว่าเราจะนำทุกท่านสู่จุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ … ขอให้ผู้โดยสารทุกท่าน  มีความสุขกับการเดินทาง  ไปกับเที่ยวบินของเรา หลับให้สบาย”

เขาก็จะพูดประมาณนี้  และเที่ยวบินสายสวรรค์ของสายการบิน Jesus’s The Way ที่พวกเรากำลังเดินทางไปสู่โลกใหม่ ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่อยู่ในโลกวิญญาณ  ระหว่างการเดินทาง กัปตัน คือพระเยซูคริสต์ พระองค์จะคอยประกาศอยู่เสมอๆ บนเที่ยวบินสายสวรรค์ว่าท่านอาจจะต้องพบกับปัญหาอุปสรรคบ้าง แต่อย่าเป็นกังวลเลย พวกเราทุกคนจะต้องถึงจุดหมายปลายทาง คือโลกใหม่อย่างแน่นอน จงมีสันติสุข พักสงบสุขและหายเหนื่อยเถิด จงมาหาเรา และหายเหนื่อย เป็นสุขๆ เถิด

มาดูถ้อยคำที่กัปตันของเรา คือพระเยซูคริสต์ในสายการบินนี้ เที่ยวบินสายสวรรค์นี้ ประกาศไว้อย่างไร? บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ยอห์น 14:1 …

ยอห์น 14:1 “อย่าให้ใจของท่านทั้งหลายเป็นทุกข์ จงวางใจในพระเจ้า และจงวางใจในเราด้วย”

 

“จงวางใจในพระเจ้า” ตรงนี้  ถ้าอธิบายในบริบทที่เรากำลังคุยกันอยู่ นี้ก็คือให้เราวางใจในพระเจ้าว่าพระองค์ได้เตรียมแต่งตัวในวิญญาณเราเรียบร้อยแล้ว  ความคิดจิตใจเราที่ได้จากพระองค์ก็สะอาดเรียบร้อยแล้ว และกำลังพาเราเดินทางไปพบกับพ่อหน้าต่อหน้า พ่อคือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มารตัวสั่น กลัวมาก แต่เราไม่กลัว เพราะเราเป็นลูกของพระองค์ เราเคารพยำเกรงในพระองค์ว่าพ่อเรายิ่งใหญ่สูงสุดเลย รักเรามากขนาดนี้ ใครจะมารังแกเราได้  เรายำเกรงในพระเจ้าในลักษณะนี้ ถ้ารู้อย่างนี้แล้วตื่นเต้นไหม? ตื่นเต้นแน่นอน ขนาดมีคนจะไปเที่ยว จะไปดูแสงเหนือ ที่ขั้วโลกเหนือ ที่ประเทศสแกนดิเนเวีย ยังตื่นเต้นเลย อาจจะนอนไม่หลับด้วยซ้ำไป เพราะกำลังจะได้ไปดูอะไรบางอย่างที่ตัวเองหวังไว้ สวยงามมาก

พระเยซูคริสต์บอกว่ากำลังจะพาเราไปพบหน้าพระเจ้าของเรา ไม่ตื่นเต้นเหรอ เราควรจะตื่นเต้น ในภาษาปัจจุบัน เขาบอกว่าตื่นเต้นเบอร์ไหนดี มากกว่าเบอร์ที่เราไปเที่ยวต่างประเทศนะ นี่ คือสิ่งที่พระเยซูบอกเราจริงๆ ว่าให้เรารอแป๊บเดียว เรากำลังพาพวกเจ้าไปพบพ่อ อีกแป๊บเดียวเอง ในขณะที่รอ พระเจ้าก็สอนเรา พระเยซูก็สอนเราว่าขณะที่รออยู่นั้น รอบๆ ตัวเรา บนโลกใบนี้ ก็ยังคงมีมาร เป็นศัตรูเราอยู่ คอยหลอกล่อ หลอกลวง เหมือนตอนที่หลอกลวงบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ยังคงทำการงานของมันอยู่เหมือนเดิม หลอกล่อ หลอกลวง โกหก เพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย เหมือนที่มันทำกับบรรพบุรุษของเรา ตั้งแต่ยุคแรกโน้น ตั้งแต่อาดัมและเอวา ทุกวันนี้มารซาตาน มันก็ยังคงคอยส่งเสียงมาหลอกล่อหลอกลวงตลอดเวลา  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะสถิตอยู่กับเราตลอดเวลาแล้วก็จริงอยู่ แต่พระองค์ก็ไม่ได้บังคับ เคี่ยวเข็ญ ขู่เข็ญเราให้เป็นเหมือนทาสของพระองค์ พระองค์ให้อิสระเราในการตัดสินใจ เหมือนกับให้อิสรภาพกับสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งให้มีอิสระในการตัดสินใจ จะเชื่อพระองค์ก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนเลย ถ้าไม่เชื่อจะได้รับสิ่งที่ไม่ดี พระองค์ไม่ได้ทำหรอก แต่เป็นกฎระเบียบไว้ ก็คือถ้าไม่เชื่อ ไปเชื่อมาร มารมีแต่ขโมย ฆ่าและทำลาย มันไม่ได้จริงใจ มันมีแต่ความเสียหาย ความยุ่งเหยิง คำสาปแช่ง ไปเชื่อมัน ก็ตกลงไปในคำสาปแช่ง เหมือนเอานิ้วไปแหย่ปลั๊ก ไฟดูด พระเจ้าให้อิสรภาพกับเราเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การอยู่บนโลกใบนี้ กำลังรอไปพบหน้าพ่อของเรา เราก็ต้องระมัดระวังศัตรูของเรา คอยมาหลอกล่อเราและเพราะเหตุนี้แหละ ที่บอกว่าพวกมารซาตานมันยังคงทำหน้าที่ของมันในการหลอกล่อมนุษย์ ถึงได้บอกว่าในทางปฏิบัติ การเชื่อและวางใจในพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ ต้องเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจเท่านั้น ถึงจะชนะการล่อลวงของมันได้ ถ้าเอาเฉพาะความคิดและความเข้าใจของมนุษย์ เสร็จมันแน่นอน แพ้มันแน่ เราต้องวางใจที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เกินกว่าสายตาที่เรามองเห็น เกินกว่าความคิดเหตุผลของมนุษย์นั่นแหละเราถึงจะชนะการล่อลวงของมารได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายนัก โดยเฉพาะบางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราเอง มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น  แต่มันทำได้ เพราะพระเจ้าบอกไว้ว่าทำได้ ก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาคุยอย่างละเอียดในวันนี้ ไม่ใช่พูดว่า …

“จงวางใจนะๆ วางใจด้วยสิ้นสุดใจนะ”

ไม่ใช่แค่นั้น เพราะเรารู้ว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ แล้ว มันอาจจะทำไม่ได้ ไม่ได้สันติสุข ไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเท่าที่ควร

สิ่งที่ต้องเน้นย้ำในเรื่องของการวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจนี้ สิ่งสำคัญ คือต้องรู้ให้เท่าทันเล่ห์กลของมาร ในการหลอกลวง การล่อลวงมนุษย์ และไม่เผลอไปเชื่อฟังมัน แล้วไปทำตามมัน ซึ่งมันนำเราไปสู่ความตาย หมายถึงนำเราไปสู่คำสาปแช่ง ซึ่งเราไม่ควรจะต้องมีความทุกข์ขนาดนั้น  เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราควรจะมีความสุขมากกว่านั้น พระคัมภีร์จึงบอกให้เรา  เชื่อและวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ คือ …

“สิ้นสุดใจ สิ้นสุดกำลัง ไม่เหลือใจให้กับใครอีกแล้ว  ไม่ฟังใครอีกแล้ว  ถ้าพระเจ้าบอกแบบนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนจะมาบอกเป็นอย่างอื่น ฉันไม่มีทางเชื่อ ฉันก็ไม่ฟังเด็ดขาด ไม่ว่าตาฉันจะเห็นอย่างไร? มือฉันจับต้อง รู้สึกอย่างไรก็ตาม ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด พระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าตามนั้น เพราะฉันเชื่อและวางใจพระเจ้า แบบสุดๆ สุดใจไปแล้ว แบบเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ”

มันต้องอย่างนี้ นี่คือหมัดเด็ดที่จะชนะมัน ถึงแม้ว่าสิ่งที่พระเจ้า บอก หมายถึงถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ อาจจะฟังดูแล้ว ใช้เหตุผลของมนุษย์แล้ว มันเชื่อยากเหลือเกินว่ามันเป็นไปได้อย่างไรก็ตาม เหมือนไม่มีผล พูดง่ายๆ สิ่งที่พระเจ้าบอก ไม่มีเหตุผล ตามความคิดของมนุษย์  ถึงแม้มนุษย์จะไม่เข้าใจ แต่ฉันก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเชื่อและวางใ

การเชื่อและวางใจพระเจ้ามันสามารถตัดสินใจก่อนได้ ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น บอกก่อนเลยว่าไม่ว่าเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม มันจะไม่มีเหตุผล และฉันจะไม่เข้าใจ ก็ตาม แต่ฉันจะเชื่อและวางใจในพระเจ้า คำว่าเชื่อและวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ต้องแบบนี้ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่าให้เราเชื่อและวางใจพระเจ้าเกินกว่าความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ ที่จะคิดได้ มันแปลว่าอย่างนั้น และพระเจ้าเตรียมสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ให้กับเราแบบนี้ทั้งนั้น ในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์บอกว่าสิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และมนุษย์คาดไม่ถึง ไม่เข้าใจ ไม่มีเหตุผล หาเหตุผลไม่ได้  คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้กับผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่เป็นลูกของพระองค์ ต้องจำตรงนี้ไว้เลย

และเพื่อให้เราเห็นภาพเข้าใจได้ง่ายขึ้น ผมได้สรุปมาเป็นขั้นตอน สิ่งที่พระคัมภีร์สอน หรือย้ำเตือนให้เราวางใจในพระเจ้าแบบสุดจิต สุดใจ แบบเกินกว่าความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ มีอยู่ 2 ส่วน

ส่วนแรก คือการวางใจในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณล้วนๆ ซึ่งมันยาก ต้องเป็นเบอร์หนึ่งเลย เรื่องการวางใจในโลกวิญญาณ

ส่วนที่สอง คือการวางใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ขณะนี้ อันนี้ง่ายกว่า ซึ่งวันนี้ เราจะมาเรียนรู้ในเรื่องแรกกันก่อน คือการวางใจพระเจ้า ในทางโลกวิญญาณ

เริ่มจากการเชื่อและวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ  เกินกว่าความคิดของเราที่จะเข้าใจในทางโลกวิญญาณ คือสิ่งที่เราได้เชื่อแล้ว รับรู้ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เกินกว่าความคิด เหตุผล และความเข้าใจของมนุษย์ และตัวเราก็ตาม เช่นบอกว่าเราได้รับความรอดนิรันดร์แล้ว  เราได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้นั่งอยู่ในสวรรค์กับพระเยซูที่เบื้องขวาของพระเจ้า  เรียบร้อยไปแล้ว แค่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ด้วยใจ ยอมรับด้วยปากว่าเราเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เป็นพระมาซีฮาห์ของภาษาฮีบรู เป็นพระคริสต์ของภาษากรีก เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของภาษาไทย ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เพื่อมารับโทษบาปแทนมนุษยชาติ ตายที่ไม้กางเขน และฝังไว้ และถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เพียงแค่เชื่อข่าวดี ความจริงตรงนี้เท่านั้นเอง ก็ได้รับทั้งหมดนั้นแล้ว มันเกินความคิด เกินเหตุผลของมนุษย์ที่จะเข้าใจใช่ไหม?

ตรงนี้ ถ้าถามกันจริงๆ ให้ตอบกันตรงๆ ว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว แค่เชื่อแค่นี้ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ  คริสเตียนไม่ใช่ดำเนินชีวิตด้วยความเข้าใจ ถ้าใครถามในที่ประชุมว่าเข้าใจไหม? ทุกคนบอกเข้าใจ แสดงว่าคนนั้นไม่เข้าใจ ถ้าเขาตอบว่าไม่เข้าใจ อย่างนี้ตอบถูก ตอบใช่ คริสเตียนต้องตอบว่าไม่เข้าใจ แต่เชื่อ คริสเตียนต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ

เหตุฉะนั้น ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ก็คือลูกของพระเจ้าจะดำรงชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ก็คือไม่ใช่ความเข้าใจแบบมนุษย์ เพราะมันเป็นเรื่องที่จับต้องมองไม่เห็น มองเห็นไม่ได้ ในเรื่องโลกวิญญาณล้วนๆ มันจึงต้องใช้ความเชื่อ และต้องเป็นความเชื่อชนิดที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้ ต้องเกินไปเลย

“ไม่รู้ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ ฉันก็เชื่ออย่างนี้ พระคัมภีร์บอกว่าฉันถูกย้ายมาจากนรก อาณาจักรของความมืดของมารซาตาน มาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง อาณาจักรของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ อาณาจักรที่เรียกว่าสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว ฉันอยู่ที่นี่แล้ว”

อยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ยังอยู่ในประเทศไทย ไม่รู้ล่ะ ในพระคัมภีร์บอกในโลกวิญญาณฉันอยู่ตรงนี้แล้ว ฉันก็อยู่ตรงนี้แหละ ยังนั่งอยู่ที่โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ กรุงเทพกรีฑา ไม่รู้ พระคัมภีร์บอกฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปเรียบร้อยแล้ว ฉันเชื่ออย่างนั้น  เอเมน

แต่ถ้าเราเชื่อแล้ว รับรู้แล้ว เชื่อวางใจด้วยสิ้นสุดใจ สุดความคิดแล้ว เราก็จะเกิดความมั่นใจ ไม่ไขว้เขว ไม่สับสน ใครมาพูดอะไรต่างๆ มันก็แค่ผ่านหู เผลอๆ ไม่ผ่าน ไม่สนใจด้วย เพราะเรามีความมั่นใจ จะไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีหนึ่งที่เราจะสงสัยว่า …

“ฉันรอดหรือยัง? เอ๊ะ! ฉันอยู่ในสวรรค์ไหม? เพราะว่าฉันอยู่แล้ว”

ตายแล้วเราไปสวรรค์ไหม? อะไรไปสวรรค์

“ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้”

มารไปเลย มารอาจจะส่งคำพูดมา … “ใครบอกแกตายแล้วไปสวรรค์”

“ตอนนี้ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว ยังไม่ตายหรอก ยังไม่ออกจากร่าง ฉันก็อยู่ในสวรรค์แล้ว จะมาถามว่าฉันจะไปสวรรค์ไหม?”

“อย่างนี้หรือจะเป็นลูกพระเจ้า”

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว”

แต่ว่าในชีวิตจริง มันไม่ได้เป็นง่ายๆ อย่างที่พูดตรงนี้ ถึงต้องมาคุยกันไง คือหลังจากที่เรารับเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้วในโลกวิญญาณ และเราก็ได้รับรู้แล้วว่าในพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใคร? อยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ หลังรับเชื่อแล้วนะ เราก็จะตกเป็นเป้าหมายของศัตรู คือมาร มันจะจ้องมาขโมย ฆ่าและทำลาย

อันดับแรกที่มารจะส่งมาล่อลวงเรา คือขโมยความมั่นใจในความรอดจากบาป รอดจากการเป็นทาสของมัน มันจะบอกว่า …

“แกยังเป็นทาสฉันอยู่เหมือนเดิม แกไม่ได้รับความรอดหรอก แกเพ้อไปแล้วมั้ง”

มารมันจะมาทำอย่างนี้ นี่สำคัญ

ในขณะที่เราก็รอดไปแล้ว เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นแล้ว  ถามว่ามันทำเพื่ออะไร? ทำเพื่อปิดบังตาเรา ในเมื่อเราก็ไปสวรรค์แล้ว ก็ไปสิ แต่แกจะไม่ได้เป็นพยานให้กับคนอื่นๆ ว่าไปสวรรค์มันง่าย แค่เชื่อเท่านั้น แกจะให้พระเจ้าใช้ชีวิตแกได้น้อยลง มันต้องการดิสเครดิต คือให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ถ้าลบไปได้ 100% ลบเลย คือไม่ให้เราเชื่อเลย ถ้าลบไม่ได้ เราเชื่อไปแล้ว ก็ให้ได้พระพรไปแค่ 80 ก็ยังดี รอดอย่างเดียว แต่เหมือนรอดด้วยไฟเลย ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้ถวายเกียรติ ไม่ได้เป็นพยาน ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง ท่านพอเข้าใจใช่ไหม?

การล่อลวงที่มารถนัดที่สุด อย่างที่ตะกี้ผมยกตัวอย่าง ยิงคำถามมาที่ความคิดว่า …

“แกมีความประพฤติอย่างนี้ แกยังโกรธ หงุดหงิดอยู่อย่างนี้เลย จะไปสวรรค์ได้อย่างไร? บ้าหรือเปล่า? คนเขาทำดีแทบตาย เขายังไม่ได้บอกว่าไปสวรรค์ แล้วแกบอกอยู่ในสวรรค์ แกยังทำตัวอย่างนี้เลย เป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนโลภ ไม่มีความรัก ไม่มีการเมตตาคนอื่นเลย แกยังเป็นอย่างนี้อยู่เลย” .. เราชักเขว  ..

“ถวายทรัพย์ก็ไม่ถวาย ไปโบสถ์ก็ไม่ค่อยได้ไป อธิษฐานก็น้อย อธิษฐานไม่เป็นด้วย ไม่เห็นเพราะเหมือนคนอื่นเขา ไม่เคยประกาศให้ใคร อันโน้นก็ยังไม่ได้ทำ อันนี้ก็ยังไม่ได้ทำ แล้วแกจะมาบอกว่าอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ 555 มันเป็นไปได้อย่างไร?”

เพราะมันต้องการปิดบังไง ต้องการให้เราเกิดความไม่มั่นใจ พอเราไม่มั่นใจ เราก็จะไม่แน่ใจว่าเราจะอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? พอเราไม่แน่ใจว่าอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? เราก็ไม่พูดออกจากปากของเรา ไม่มีชีวิตอยู่ให้เป็นพยานให้กับคนรอบข้าง ได้รู้ว่าสวรรค์มีจริง พระเจ้าต้องการให้มนุษย์เข้าไปอยู่ในสวรรค์ มันง่ายแค่นี้ แค่เปิดปาก เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น มันต้องการปิดบังตา ไม่ให้ข่าวดีของพระเยซูไปหาคนอื่นผ่านชีวิตของเรานั่นแหละ ซึ่งคำถามของพวกมัน พวกนี้ ท่านฟัง แล้วท่านเห็นไหม? มันเป็นตรงกันข้าม ขัดแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้รับรู้มาเรียบร้อยแล้ว ที่เราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจมาเรียบร้อยแล้ว ที่บอกว่าเราได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครเอาเราออกไปจากความรักของพระเจ้าได้อีกแล้ว มันมาแย้งกันอย่างนี้ เห็นหรือยัง? ในโรม 8:38-39 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 8:38-39 “38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว  ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต  หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ  39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

“ไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า” แล้วพระเจ้าตรัสว่าอย่างไรอีก “เราจะไม่ละเจ้าเลย หรือทอดทิ้งเจ้าเลย  เราสถิตอยู่กับเจ้า ไม่ว่าวินาทีไหน? เจ้าหลับ เราก็ไม่หลับ”

พระคัมภีร์ยังบอกว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่ในโลก ไม่ต้องไปกลัวมัน มันโกหก นอกเหนือจากนั้น พระเยซูยังพูดด้วยตัวของพระองค์เองเลย เกี่ยวกับเรื่องนี้  ผมจะยกมาให้ท่านดูข้อเดียวก็พอแล้ว เด็ดๆ เลย ยอห์น 10:28-30 …

ยอห์น 10:28-30 “28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้น  ไปจากมือของเราได้ 29 พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นแก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง ไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะนั้น จากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้ 30 เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

 

ต้องฮาเลลูยาประมาณ 80,000 ครั้ง ฮาเลลูยาไม่จบสิ้นเลย  อ่านหลายๆ เที่ยว นี่แหละคือความหวังใจในพระเจ้า เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณว่าเราเป็นใคร? เมื่อเชื่อแล้ว ได้รับอย่างนี้เลย พระเจ้าบอกพระเยซูคริสต์พูด ใช่ แล้วที่มารพูด ไม่ใช่ มันโกหก มันคนละเรื่องเลย เห็นไหม? มันกลัวว่าเรื่องง่ายๆ อย่างนี้ จะไปถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระคัมภีร์บอกว่ามันคอยปิดบังตาคนที่ไม่เชื่อ เพื่อว่าเขาจะได้ไม่มาเชื่อ แล้วจะไม่ได้รับความรอด ไม่สามารถไปสวรรค์ได้  เขาจะไปได้อย่างไร? เขาจะเชื่อได้อย่างไรในเมื่อไม่มีใครมาเป็นพยานบอกเขาว่ามันง่ายอย่างนี้ คนไม่มาเป็นพยาน เชื่อแล้ว รอดแล้ว แต่ถูกมารหลอก จนกระทั่งชีวิตไม่แน่ใจ ไม่กล้าพูดเรื่องสวรรค์ว่าเราอยู่ที่สวรรค์ ไม่มีความจริงอยู่ในตัวเลย นี่คือเหตุผล

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อพระเจ้า วางใจในพระเจ้าแล้ว มันง่ายนิดเดียว ที่เราจะรู้ว่าเรา ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เปรียบเหมือนลูกของพระเจ้า ที่แต่งตัวขาวบริสุทธิ์สะอาด เดินอยู่ท่ามกลางโคลน ออกไปนอกบ้าน เจอฝุ่น ฝนตก โคลนเยอะ มันก็ต้องสกปรกบ้าง แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับตัวตนแท้ๆ จริงของเรา  ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าเลย ก่อนเข้าบ้าน หรือเข้าบ้านไปแล้ว ก็ไปอาบน้ำ ก็จบแล้ว เราก็เป็นลูกอยู่ ความสกปรกก็ออกไปแล้ว

เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นลูกของพระเจ้า เพียงแค่รอวันที่เราจะได้ไปอยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ ที่ซึ่งไม่มีบาปอีกต่อไป คือไม่มีโคลนสกปรกอีกต่อไป และเมื่อไม่มีบาป ไม่มีโคลนสกปรกอีกต่อไป ก็ไม่มีการล่อลวงให้ทำบาปอีกต่อไป ก็ไม่สกปรกอีกต่อไป ก็สะอาดบริสุทธิ์นิรันดร์ อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ ไม่ถูกล่อลวงแล้ว แสดงว่าอยู่บนโลกใบนี้ เราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ภายในแล้ว แต่ยังถูกล่อลวง สกปรกภายนอกนิดๆ หน่อยๆ

เพราะฉะนั้น ผลของการจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจถึงเรื่องเกี่ยวกับความจริงในเบื้องบน อย่างนี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณอย่างนี้ว่าเรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานแล้ว อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ถ้าเราเรียนรู้ พูด จดจำ จดจ่อ จนขึ้นใจเรื่องราวของสวรรค์ด้วยการตาดู หูฟัง ปากพูดบ่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องสวรรค์นี้อย่างสม่ำเสมอ เป็นกิจวัตร เป็นวิสัย ทำให้เกิดเป็นความไว้วางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ที่พระคัมภีร์เรียกตรงนี้ว่า Now Faith ในฮีบรู 11:1 ทำไมต้องใช้ภาษาอังกฤษ เดี๋ยวรู้ ลองอ่านภาษาไทยก่อนแล้วกัน ฮีบรู 11:1-2 บันทึกไว้อย่างนี้ …

ฮีบรู 11:1-2 “1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น  2 เพราะความเชื่อนี้เอง ที่คนในสมัยก่อน ได้รับการทรงชมเชย

Now faith is the assurance (title deed, confirmation) of things hoped for (divinely guaranteed), and the evidence of things not seen [the conviction of their reality—faith comprehends as fact what cannot be experienced by the physical senses]. For by this faith the men of old gained [divine] approval.”

 

ภาษาเดิม ความเชื่อตรงนี้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ มันยังมีบ่งบอกว่าความเชื่อชนิดใด ความเชื่อที่เป็นปัจจุบัน เป็น Now มันหายไปตรงนี้ Now Faith แปลว่าความเชื่อที่เป็นปัจจุบัน เอาอย่างนี้ไปก่อนนะ ความเชื่อที่เป็นปัจจุบัน คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ คือวัตถุสิ่งของสสารที่จับต้องมองเห็นได้ ในสิ่งที่เราหวังไว้ ถ้าเราหวังอะไร? มันเป็นอนาคต ถูกไหมครับ? แต่ถ้าเรามี Now Faith มีความเชื่อชนิดที่เป็นเดี๋ยวนี้ เป็นปัจจุบัน พอมีความเชื่อชนิดนี้เข้ามา สิ่งที่เราหวังไว้มันจับต้องมองเห็นได้เดี๋ยวนี้เลย จบเลย ถ้าเราหวังว่าเราอยู่ในสวรรค์ มันเป็นอนาคตใช่ไหมครับ? แต่ว่าความหวังนั้นมันกลายเป็นเราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ จนกระทั่งกลายเป็นความเชื่อชนิดที่เป็นปัจจุบันทันทีปุ๊บ ความเชื่อที่เป็นปัจจุบันทันทีนั้น ในใจของเรา มันจะทำให้สวรรค์นั้นจับต้องมองเห็นได้เลยเดี๋ยวนี้ ทันทีเลย ปฏิบัติตัวเหมือนอยู่ในสวรรค์แป๊ะเลย อย่างนั้นแหละ เขาเรียกว่า Now Faith และเป็นร่องรอย หลักฐานของสิ่งที่เรามองไม่เห็น และในนี้บอกว่า “และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น” ความมั่นใจตรงนี้ ในภาษาเดิมบอกว่าและเป็นร่องรอยหลักฐาน ก็คือเป็นสิ่งที่เป็นหลักฐาน จับต้อง เห็นได้เลย ก็เหมือนกับเป็นหลักฐาน เป็นโฉนดที่ดิน เรามีที่ดินอยู่ เราไม่ได้ไปเห็นที่ดินหรอก แต่เรามีโฉนดวางอยู่ในมือเรา เรามองดูโฉนดนั้น นี่ชัดเจน เป็นของเราแน่นอนว่าเรามีที่ดินอยู่อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น คำว่า “ความเชื่อ” ในข้อนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Now Faith” ไม่ใช่ Faith เฉยๆ ไม่ใช่ความเชื่อเฉยๆ แต่เป็นความเชื่อที่เป็น Now  แปลว่าเป็นเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ ความเชื่อที่ทำให้เกิดเห็นเป็นเรื่องโลกวิญญาณ เป็นเดี๋ยวนี้ทันทีเลย ตามพระคัมภีร์บอกว่า “แล้ว” … “เสร็จแล้ว” ก็เห็นเลยเดี๋ยวนี้

ความเชื่อโดยทั่วๆ ไป ที่เราพูดกันเสมอๆ บ่อยๆ เราจะบอกความเชื่อเฉยๆ ก็คือความเชื่อที่มีความหวังใจในสิ่งที่มองไม่เห็น แต่เกิดขึ้นในอนาคต แต่ถ้าเผื่อมีความเชื่อชนิดที่ปัจจุบันเกิดขึ้นทันทีปุ๊บ สิ่งที่จะเป็นอนาคต มันกลายเป็นปัจจุบัน เกิดขึ้นทันที นี่เขาเรียกว่าความเชื่อชนิดที่เป็นปัจจุบัน ทันทีเลย

อย่างเช่นตะกี้ที่เราบอกว่าเราหวังว่าเราจะไปสวรรค์ เรามีความเชื่อ หวังใจว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว แต่ในความเชื่อจริงๆ นี้ เรายังคิดดูว่าวันหนึ่งเราจะไปอยู่ในสวรรค์ แต่เราไม่เข้าใจว่าในพระคัมภีร์บอกว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นอย่างไร? แต่พอความเชื่อเราพัฒนาไปจนกระทั่งถึง Now Faith ความเชื่อที่เป็นปัจจุบัน ความเชื่อที่บอกว่ารอไปจนกระทั่งถึงวันหนึ่งที่เราจากร่างนี้ไป เราจะไปอยู่ในสวรรค์นั้น หรือความเชื่อที่เราไม่เข้าใจว่าขณะนี้ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราเป็นอย่างไร? พอเรามีความเชื่อชนิดที่เป็นปัจจุบันทันทีปุ๊บ มันเป็นเดี๋ยวนี้เลย มันพูดออกจากปากทันทีเลยว่าเราอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่ความหวังว่าจะอยู่ในสวรรค์ แต่เป็นความเชื่อว่าอยู่ในสวรรค์แล้ว มันเป็นอย่างนี้ มันอาจจะยากหน่อยนะครับ แต่ค่อยๆ เรียนรู้ไป ค่อยๆ ตาดู หูฟัง ปากพูด เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ใจจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจเรื่องเกี่ยวกับอย่างนี้  เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณไปเรื่อยๆ มันถึงจะเกิดเป็นความเชื่อชนิดที่เป็นปัจจุบัน เป็น Now เป็นเดี๋ยวนี้เลย สิ่งที่เรามองไม่เห็น คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญา ถูกไหม? ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ ถ้าเป็นความเชื่อในแบบ Now Faith ปุ๊บ สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น กลายเป็นจับต้องมองเห็นได้ ชัดเลย  ใช่แล้ว อะไรประมาณนั้น

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่งให้เห็น เหมือนกับว่าเราได้ของขวัญมาชิ้นหนึ่ง สมมติว่าของขวัญนี้เป็นสวรรค์ก็ได้ ถ้าเราบอกความเชื่อเฉยๆ ห่อของขวัญที่เรียกว่าสวรรค์นี้ มันยังส่งไปรษณีย์ยังไม่ถึงเลย แต่พอมีความเชื่อปัจจุบันนี้ ห่อของขวัญนี้ มันอยู่ในห้องเราแล้ว เอามือไปจับได้เลย เพียงแต่ยังใช้ไม่ได้ เพราะว่ามันยังมีกระดาษของขวัญห่ออยู่ ยังไม่ได้เปิดออก แต่ของมันอยู่ข้างหน้าแล้ว มองเห็นเลย เหมือนเราจะไปขึ้นบ้านใหม่ พระเจ้าให้บ้านเราแล้ว ยืนอยู่หน้าบ้านแล้ว จับต้องมองเห็นได้หมดเลย แต่ยังไม่ตัดริบบิ้น ยังไม่เปิดให้เข้าไป Now Faith มันแปลว่าอย่างนี้ ต้องถาม เข้าใจหรือเปล่าครับ? ถ้าใครบอกเข้าใจ ผิด ต้องไม่เข้าใจ เพราะมันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เพราะพระเจ้าเตรียมสิ่งที่มนุษย์ไม่เข้าใจ ไม่มีเหตุผล เพราะฉะนั้น ต้องไม่เข้าใจ แต่เชื่อ เพราะว่าพูดจากพระคัมภีร์ เชื่อครับ

หลักปรัชญาตามความคิดและความเข้าใจของมนุษย์มักสอนเรื่องเกี่ยวกับการประพฤติ ปฏิบัติตนให้ดีเสียก่อน แล้วจึงจะได้รับผลตอบแทนมากน้อยตามความสามารถของแต่ละคน ทำดี ครบถ้วน ก็ได้ไปสวรรค์ ทำชั่วมาก ก็ไปนรก นี่คือปรัชญาตามความคิดของมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่ข่าวดีของพระเยซู เป็นทางกลับกัน ตรงกันข้าม คือได้รับผล คือความรอด ได้ไปสวรรค์เท่าๆ กันทุกคนก่อน แล้วจึงค่อยเรียนรู้ รับรู้จากภายใน และมีกำลัง มีพลัง แรงจูงใจจากภายใน ที่จะสามารถกระทำดีได้ มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่พระเจ้าทำงานในใจของแต่ละคน ที่พระองค์ทรงเตรียมเอาไว้ นี่มันตรงกันข้าม

ฟังให้ดีๆ การพยายามทำดี เพื่อจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ แตกต่างกับได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณให้กำลังกับเราในการทำดี ตามน้ำพระทัยได้มากขึ้น มากกว่าที่พยายามทำเองเสียอีก เอเมน เอเฟซัส 2:4-6 จึงได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลาย ได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

“และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์” พระเจ้าได้จับเราไปนั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่เรารับเชื่อจนเดี๋ยวนี้ ก็ยังนั่งอยู่เลย  จงมองให้เห็นเถิดในโลกวิญญาณ  ตรงนี้ จงใช้ความเชื่อชนิดที่เป็นปัจจุบัน Now Faith ให้เห็นเถิดว่าท่านกำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ลองคิดดู ถ้าเรื่องนี้ท่านสามารถปฏิบัติได้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านจะลอยลำเลย มันก็ต้องฝึก ค่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย

เมื่อตะกี้ที่เราอ่าน ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณ บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราก็เกิดพร้อมกับพระเยซู ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเลย ไม่ใช่ เพราะเราทำดี แต่เป็นพระคุณ ให้ฟรีๆ และบอกถึงตำแหน่งของเราในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถานด้วย ที่เราอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว บอกด้วยว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาป ปราศจากสิ่งโสโครกใดๆ มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรียบร้อยไปแล้ว เดียวนี้ ขณะนี้ ปัจจุบันเลย เราได้รับพระคุณอย่างนี้ เราจึงสมควร พระคัมภีร์จะบอกอย่างนี้เสมอ พอเล่าถึงว่าเราได้รับอะไร เราเป็นอะไรในโลกวิญญาณ เราเกิดใหม่แล้ว แล้วจบสุดท้าย ค่อยมาบอกว่าเราจึงสมควรกระทำตัวให้ดี ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า นึกออกใช่ไหม? เป็นลูกพระเจ้าไปแล้ว พระเจ้าบอก …

“เป็นลูกเราแล้วนะ ต่อไปนี้ ทำให้ดีๆ ยังไงก็เป็นลูกเรานั่นแหละ วางใจนะลูกในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ วางใจได้ว่าเจ้าเป็นลูกเราตลอด ไม่ได้ไปไหนแล้ว อยู่เป็นลูกเรานั่นแหละ”

และวางใจทำอย่างไร? ให้พระเยซูคริสต์ โดยพระวิญญาณของพระองค์นำหน้าเรา ด้วยความสบายใจ ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องกลัว เพราะเป็นลูกเราอยู่แล้ว วางใจ สบายๆ ไม่ต้องตื่นเต้น อย่าไปฟังมารมันโกหกหลอกลวงว่าเดี๋ยวพระเจ้าจะตัดเราออกจากการเป็นลูก พระเจ้าจะเขี่ยเรากระเด็นจากการเป็นลูก พระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น ตะกี้เราอ่านแล้วจากพระคัมภีร์ เพราะถึงทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ในความประพฤติของเรา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็ไม่เป็นไร เราได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้าอยู่แล้ว ได้แล้ว อยู่ในสวรรค์ไปแล้ว

และว่ากันตามจริง มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็ไม่สามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ 100% ตามเกณฑ์ของพระเจ้าได้หรอก พูดกันตามจริง ก็คือไม่มีใครที่สามารถไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ด้วยการพึ่งความดีของตนเอง ไม่มีทางหรอก ยังไงก็ไม่ได้ครบ 100

ทั้งหมดนี้ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจทั้งสิ้น เรื่องราวทั้งหมดนี้ และความไว้วางใจนี้ ก็จะทำให้เกิดสันติสุข ความสงบสุข ก็คือเกิดความสุขมากขึ้น ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกข์น้อยลง เหมือนพระเยซูบอกว่าให้มาหาพระองค์ เพื่อหายเหนื่อยและเป็นสุข ไม่ใช่มาหาพระองค์ แล้วอยู่บนโลกใบนี้ทุกข์มากขึ้นอีก แม้จะได้รับความรอดก็จริง อยู่บนโลกใบนี้ทุกข์กว่าเก่าอีก ทุกข์กว่าคนที่เขาไม่เชื่อพระเจ้าอีก อย่างนี้มันไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเลย  ถูกไหม?  เพราะ
ฉะนั้น ความเชื่อและไว้วางใจ แบบที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เป็นแบบ Now Faith เป็นความเชื่อชนิดที่เป็นปัจจุบันอย่างนี้ มันทำให้เกิดสันติสุข ความสงบสุข และเกิดความวางใจ แล้วมันจะเกิดความอดทน รอคอยสิ่งที่เราต้องการก็มี อดทนต่อผู้อื่นที่เขาทำไม่ดีกับเรา ทำให้เราหงุดหงิดใจอะไรต่างๆ อดทน ให้อภัยเขาได้ มันอดทนได้มากขึ้น ถ้าเราวางใจได้อย่างนี้ ก็ทำได้มากขึ้น สามารถมีความอดทน  รอคอย ตามเวลาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ให้ได้ คือถ้าพระเจ้าบอกแป๊บเดียว ก็มีความรู้สึกมันแป๊บเดียวเอง เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราก็ไม่ได้สนใจมากมายว่ามันจะเมื่อไรน๊า นี่กี่ปีแล้วน๊า ไม่กี่ปี …

“ฉันก็อยู่ในสวรรค์แล้ว ฉันไม่รอหรอก ฉันรอเพียงอย่างเดียว จ้องมันอย่างเดียว คือเมื่อไรฉันจะเปิดห่อของขวัญได้สักที สวรรค์อยู่ตรงนี้แล้ว สิ่งที่ฉันอยากได้ ฉันได้มาแล้ว อยู่ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว เห็นทุกวัน เอามือคลำทุกวัน แต่เปิดไม่ได้  วิธีเปิดทำอย่างไร? ทิ้งร่างนี้เมื่อไร ฉันก็จะเห็น”

“แล้วทิ้งได้อย่างไร?”

“ก็แล้วแต่พระเจ้า เพราะวางใจในพระองค์และพระองค์ทรงนำพา จูงมือฉันเดินทุกวัน ถ้าพระเจ้าบอกว่าถึงเวลาเปิดได้ พระเจ้าก็ให้วิญญาณฉันออกจากร่าง ฉันก็ไปเปิดห่อของขวัญได้ เอเมน”

เราจึงอดทนได้ว่าแป๊บเดียว ก็คือแป๊บเดียวจริงๆ ถึงแม้จะมีความทุกข์บนโลกนี้ ก็ไม่นาน ไม่เยอะเท่าที่ควร

“เพราะฉันไม่ได้ไปจดจ่อกับสิ่งของที่เสียหายบนโลกใบนี้ ฉันไม่มองไปในสิ่งที่กำลังเสียหาย กำลังทรุดโทรมไป แต่ฉันมองที่เจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน คือวิญญาณของฉัน ฉันมองไปสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่มองเห็น มันอยู่เพียงชั่วคราว  แต่สิ่งที่มองไม่เห็น ที่พระเจ้าเตรียมไว้นั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ (บอกมาร ต้องเยาะเย้ยมันเลย)”

1 ยอห์น 3:9 ได้บันทึกอย่างนี้ นี่คือความมั่นใจให้ท่านอีกว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า เพื่อว่ามารมันจะได้ไม่มาหลอกท่าน

1 ยอห์น 3:9 “ไม่มีใครที่เกิดจากพระเจ้าแล้ว ยังคงทำบาป (จนเป็นนิสัย) ต่อไป เพราะเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าดำรงอยู่ในเขา เขาไม่อาจทำบาปต่อไป เพราะเขาได้บังเกิดจากพระเจ้า”

 

นี่คือคำตอบที่มารชอบมาหลอกล่อท่านว่า …

“เป็นลูกพระเจ้า ไหนล่ะยังทำบาปอยู่เลย”

ในนี้ยอห์นว่าไม่มีใครที่เกิดจากพระเจ้า คือกบังเกิดใหม่ เชื่อในพระเจ้าแล้ว ยังคงทำบาปจนเป็นนิสัย หมายถึงว่ายังคงอยู่ในบาป ยังคงเป็นทาสมารอยู่ มันไม่สามารถทำได้ เป็นไปไม่ได้  เพราะเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าดำรงอยู่ในเขา  หมายถึงเพราะเมล็ดพันธุ์นี้ เนเจอร์หมายถึงธรรมชาติความบริสุทธิ์สะอาด ความดีงามของพระเจ้าได้เข้าไปอยู่ในวิญญาณของเขา วิญญาณของเขา ก็เปลี่ยนเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ เป็นความดีแล้ว เขาไม่อาจทำบาปต่อไปได้ เขาไม่ได้อยู่ในนั้นแล้ว  เพราะว่าเขาได้บังเกิดจากพระเจ้า เห็นไหม? DNA เซลทุกส่วน ทั้งในวิญญาณ เป็นแบบพระเจ้า เขาจะทำบาปได้อย่างไร? ท่านเห็นไหมครับ? ไม่ใช่เลย

อัครทูตยอห์นได้แยกแยะให้เห็นชัดเจนเลยระหว่างซาตานกับพระเจ้า ความบาปกับความชอบธรรม ความมืดกับความสว่าง ความรักกับความเกลียดชัง ลูกพระเจ้ากับลูกมาร ในบริบทนี้ อัครทูตยอห์นต้องการแบ่งให้เห็นชัดๆ ไม่มีตรงกลาง ไม่มีว่าอยู่ในความเทาๆ ไม่มืด ไม่สว่าง ไม่มี ไม่อยู่ข้างใดก็ข้างหนึ่ง ไม่มีอยู่ในความรัก 3 วัน อยู่ในความเกลียด 3 วัน ไม่มี อยู่ในความรัก ก็อยู่ในความรัก เป็นความรักเลย  หรือไม่ก็เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้ากับเป็นคนบาป ไม่มีตรงกลาง ซึ่งบริบทนี้ ไม่ได้หมายความว่าผู้เชื่อที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จะมีความประพฤติที่สมบูรณ์แบบ จะไม่ทำบาปอีกต่อไป แต่หมายความว่าผู้เชื่อ มีธรรมชาติของพระเจ้า ในตัวตน ธาตุแท้ คือวิญญาณและความคิดจิตใจใหม่ที่รับจากพระเจ้า ตอนบังเกิดใหม่นั้น เป็นธรรมชาติ นิสัยของเขา ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ ในโลกวิญญาณ ที่สมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้าไปแล้ว  ต้องการจะแยกแยะให้เห็นว่าในวิญญาณบริบูรณ์ สมบูรณ์ครบถ้วนเลย  เป็นเหมือนพระเจ้า ไปเรียบร้อยแล้ว

ฉะนั้น เราเป็นลูกพระเจ้าที่ได้รับการอภัย หรือเรียกว่าการยกโทษบาปสมบูรณ์แล้วนั่นเอง ยอห์นต้องการพูดแค่นี้ เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาด สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เราผู้เชื่อในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ได้เป็นผู้ชอบธรรม สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เราได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ  เรียบร้อยแล้ว  แต่เราไม่สมบูรณ์แบบในความประพฤติของเราบนโลกใบนี้  แค่นั้น  ยากอบ 3:2 บอก เพราะเรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โคลนอาจจะมาเลอะเราได้ เราเผลอนิดหนึ่ง เราไปเหยียบโคลน มันเลอะเรา พระเจ้าบอกอย่าเดินเข้าไป เราเดินเข้าไป มันก็เลอะ ไม่สำคัญ ไม่ใช่ตัวตนแท้จริงของเรา ยากอบ 3:2 บอกว่า …

ยากอบ 3:2  “เพราะ​เรา​ทุก​คนทำ​ผิดพลาด​กัน​อยู่​เรื่อย ถ้า​ใคร​ที่​บังคับ​ลิ้น​ไม่​ให้​พูด​ผิดพลาด​ได้  คนๆ​นั้น  ​ก็​เป็น​คนดี​พร้อม  เขา​ก็​จะ​บังคับ​ส่วน​อื่นๆ ​ใน​ตัว​เขาได้​ด้วย”

 

เพราะเราทุกคน (ผู้ที่เชื่อแล้ว) ก็ทำผิดพลาดกันอยู่เรื่อย ล้มลง สะดุดในการทำสิ่งที่เรียกว่าบาป หรือความสกปรกอยู่เรื่อยๆ  ทั้งปีทั้งชาติ ทั้งการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยกตัวอย่างเช่น การบังคับลิ้น ลิ้นมันบังคับอยากที่สุดเลย บาปที่ง่ายที่สุดของมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ คือการพูด มันเร็วไงครับ การจะไปทำอะไรคนอื่น มันช้า พอคิดปุ๊บ เดี๋ยวปากพูดแล้ว ยกตัวอย่างเช่น จะไปอิจฉาเขาถึงขนาดทำท่าทางหมั่นไส้เขา เขาไม่ดีอย่างนี้ โอกาสมันน้อย แต่อิจฉาเขา พอคิดปุ๊บ ปากพูดเลย

“แหม! ทำตัวเป็น …”

เห็นไหม? เร็วไหม? หรือพอคิดปุ๊บ ปากพูด

“ปัดโธ่เอ่ย ไอ้โง่”

อย่างนี้ ลิ้นมันไปก่อน แล้วไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น บังคับส่วนอื่นๆ ในเรื่องร่างกายอะไรต่างๆ ในเรื่องตา หู จมูก มันบังคับง่ายกว่าตั้งเยอะ บังคับไม่ให้ไปตีหัวเขา มันง่ายใช่ไหม? บังคับไม่ให้ด่าเขาเนี้ย อันไหนยากกว่า บังคับไม่ให้ด่าเขา มันยากกว่าเยอะ บังคับไม่ให้ตีหัวเขา ยังยับยั้งได้ บังคับให้เผลอไปด่าเขา ยิ่งบอกเผลอไปอิจฉาเขา ยิ่งง่ายใหญ่เลย มันมีแต่บาปทั้งหมดแหละ มีแต่สิ่งสกปรก พระเยซูบอก แค่คิด ก็แย่แล้ว แค่คิดในใจว่าเขาโง่ บังคับปากไว้ก็ยังดี อย่างนี้เป็นต้นว่ามันทำแน่สิ่งเหล่านี้ แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกายที่พระเจ้าบังคับจนบริสุทธิ์สะอาดแล้ว มันเป็นเพียงแค่โคลนมาเลอะเท่านั้น

ผมอยากจะบอกท่าน เหมือนที่เคยบอกอยู่บ่อยๆ ว่าผู้เชื่อแล้ว ในพระเจ้า ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เหมือนกับปลาที่ต้องอยู่ในน้ำ ผมไปเดินตอนเช้า เวลาฝนตกกลางคืนเยอะๆ ปลามันจะออกมาเล่นน้ำเพลินไปหน่อย น้ำมันท่วมขึ้นมาบนถนน มันออกมาตามท่อ ล้นออกมาจากคลอง โลกใหม่ ไม่เคยเห็น ออกมาเล่นน้ำบนสนามหญ้าอะไรต่างๆ ปรากฏว่าสายๆ ตอนเราออกไปเดิน น้ำลด มันหาน้ำไม่เจอ มันก็ดิ้น เพื่อจะหาทางลงน้ำ ผมก็ต้องค่อยๆ ไปช้อนมันลงน้ำเหมือนเดิม ให้มันอยู่ต่อ เพราะมันกำลังดิ้นไปหาน้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ที่เชื่อใหม่ในพระเจ้า ก็เป็นอย่างนั้น เมื่อเป็นลูกของพระเจ้า เมื่อท่านอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าท่านหลงไป ระเริงไปบนโลกใบนี้ ไปทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ไม่ดีงาม ข้างในของท่าน ตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ของท่าน ความคิดจิตใจและร่างกาย มันอยู่ไม่ได้หรอก  มันทนไม่ไหว มันดิ้นรน มันต้องการไปทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ตามที่มันควรจะเป็น คือวิญญาณและความคิดจิตใจ ที่บังเกิดใหม่แล้ว  ที่ถูกชำระแล้ว จนสะอาดหมดจด มันเปรียบเหมือนปลาที่ดิ้นรนกระเสือกกระสนเข้าไปหาน้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น ไม่อย่างนั้นมันจะตายให้ได้ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่กับเรา  เป็นพี่เลี้ยงเรา  สำหรับผู้เชื่อใหม่ ก็จะค่อยๆ เลี้ยงดูเรา ค่อยๆ พาเรากลับไปลงความบริสุทธิ์ของธรรมชาติของเราในวิญญาณ ในตัวของเราที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว รับรองได้ มันเป็นอย่างนี้แน่นอน

เพราะฉะนั้น ท่านจงวางใจได้ เมื่อท่านเชื่อและวางใจในพระเจ้าว่าพระเยซูคริสต์เป็นใครแล้ว ท่านมั่นใจว่าท่านอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว 100% อย่าไปให้มารมันหลอกลวงเด็ดขาด เพื่อว่าความมั่นใจของท่านจะได้เป็นคำพยาน ในการดำเนินชีวิตของท่าน ในคำพูดของท่าน เพื่อว่าผู้คนรอบข้างท่านจะได้รู้ว่าสวรรค์มันไปกันง่ายๆ อย่างนี้ สวรรค์มันไปไม่ยากเลย แค่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่า …

“พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และชำระฉันให้สะอาดหมดจด และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3”

เพียงแค่นี้ ท่านได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว มันง่ายนิดเดียว แค่นี้ จงวางใจ ด้วยสุดจิต สุดใจในพระเจ้า  ให้พระองค์ทรงดูแลเหนือทุกสิ่งในชีวิตของท่าน ดำเนินชีวิตไปกับพระองค์ ให้พระองค์ทรงจูงมือท่านเดินไปในแต่ละวันๆ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*******************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 3 “จดจ่อความคิดไปที่เบื้องบน 2” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  มิถุนายน  2020

 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 3

“จดจ่อความคิดไปที่เบื้องบน  2”

โดย นคร   เวชสุภาพร

สวัสดีครับพี่น้อง เราจะมาต่อกันถึงเรื่องแนวทางการดำเนินชีวิตว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อแล้ว ควรทำตัวอย่างไร? ควรดำเนินชีวิตอย่างไร? ที่ผมได้ตอบคำถามให้พี่น้องที่เชื่อใหม่ไปแล้ว และผลก็คือผู้เชื่อเก่าก็ได้ไปด้วย บางคนบอกเพิ่งรู้เอง ไม่เป็นไรนะครับ ผมสรุปมาให้ 4 ขั้นตอนง่ายๆ คือเมื่อเชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว  ต่อไป คือรับรู้  วางใจ และอธิษฐาน

                                                                                                 เชื่อแล้ว  …  รับรู้   … วางใจ   …  อธิษฐาน

เชื่อแล้ว ก็คือบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว รับรู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ในสวรรค์ที่เราได้อยู่กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ต่อไป ก็คือวางใจในทุกเรื่อง ทุกอย่าง ไม่กลัว รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยในทุกสิ่ง และต่อไป คืออธิษฐาน วิงวอน และขอบพระคุณ ก็คือพูดคุย ติดต่อกับพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ เสมอๆ ตลอดเวลา

และสัปดาห์ที่แล้ว เราก็ได้เน้นเรื่องการรับรู้ว่าตัวตนแท้จริงของเรา ของมนุษย์ทุกคน เมื่อเราเชื่อแล้ว วิญญาณของเราตอนนี้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว และการแสดงออกถึงการรับรู้ความจริงตรงนี้ ก็คือเขาคนนั้น ควรที่จะจดจ่อความคิดไปยังเบื้องบน คือในสวรรค์ที่เขาอยู่นั่นแหละ

วันนี้ก็จะเป็นเรื่องต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ชื่อตอนว่า “จงจดจ่อความคิดของท่านไปที่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก” ตอนที่ 2 “จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ” 3 จอ. จำไว้ให้ดีๆ

มีเศรษฐีคนหนึ่ง มีลูกน้องคนสนิทชื่อจ่อย ซึ่งรับใช้ และรู้ใจกันมานาน เป็นเวลา 10ๆ ปี คอยดูแลรับใช้เศรษฐี ทั้งเรื่องอาหาร เรื่องเสื้อผ้า เรื่องงาน เรื่องจัดระเบียบงาน ตารางงาน จะไปไหนอะไรต่างๆ ก็ต้องจัดระเบียบให้ว่าจะอย่างไร? เรียกว่ารู้ใจกันทุกอย่างทุกเรื่อง แล้วไม่ว่าเศรษฐีจะเดินทางไปที่ไหนไกลหรือใกล้ จ่อยก็จะติดตามไปด้วยทุกที่

ปรากฏว่าวันหนึ่ง เศรษฐีคนนี้เกิดตกบันไดเสียชีวิต จ่อยก็ทำหน้าที่ครั้งสุดท้าย ช่วยจัดการดูแลเรื่องพิธีการ งานศพทุกอย่าง และในระหว่างพิธีงานศพนั้น จ่อยก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่าไม่รู้ว่าเจ้านายของตัวเอง ที่เพิ่งเสียชีวิตไปอย่างกระทันหัน ไปอยู่ที่ไหนขณะนี้ หลังจากที่จากโลกไปแล้ว จ่อยเลยลองไปถามบรรดาคนรับใช้คนอื่นๆ ว่า …

“พวกเจ้าคิดว่านายเราตายแล้วไปไหน?”

ท่านลองคิดดูสิ ตายแล้วไปไหน? สมมติว่าท่านเป็นผู้ที่ถูกถามด้วย บรรดาลูกน้องคนอื่นๆ ก็ตอบอย่างนี้ น่าสนใจ พากันตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า …

“ก็ต้องไปสวรรค์นะสิ เพราะตอนที่มีชีวิตอยู่นายเราเป็นคนดีจะตาย คอยช่วยเหลือคนอื่น เพราะฉะนั้น ตายแล้ว ก็ต้องไปอยู่สวรรค์สิ”

แต่จ่อยกลับตอบว่าอย่างนี้ น่าสนใจ … “ข้าว่าไม่นะ ไม่น่าจะไปสวรรค์หรอก ข้ามั่นใจว่านายไม่ได้ไปสวรรค์อย่างแน่นอน”

ทุกคนก็รู้สึกประหลาดใจ จ่อยคนสนิททำไมพูดอย่างนั้น ก็ถามกลับไปว่า … “จ่อย เอ็งก็เป็นคนใกล้ชิด สนิทกับนายมากที่สุด ทำไมถึงพูดจาแบบนี้ เอ็งรู้ได้อย่างไรว่านายของเราไม่ได้ไปอยู่ในสวรรค์?”

จ่อยก็ตอบอย่างนี้ว่า … “ก็เพราะว่าข้ารู้ สวรรค์อยู่ไกลมาก และตลอดชีวิตของนาย ทุกครั้งที่จะเดินทาง อย่าว่าแต่จะไปไกลๆ เลย แค่จะไปไหนใกล้ๆ นายต้องเล่าให้ข้าฟังเสมอ ให้ข้าจัดเตรียมอะไรไว้ให้ ต้องคุยให้ข้าฟังก่อนเสมอ ทุกๆ ครั้ง แต่เนี้ย ข้ายังไม่เคยได้ยิน นายพูดถึงเรื่องสวรรค์หรือกำลังเตรียมตัวเดินทางไปสวรรค์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่รู้จักกัน ยังไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย”

มันน่าคิดใช่ไหมครับ? คนเราถ้ามีความหวังในเรื่องอะไร? โดยธรรมชาติ ก็จะจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น เรื่องนั้น ก็ต้องพูดถึงบ้าง ไม่พูดได้อย่างไร? สวรรค์เป็นอย่างไร? สวยอย่างไร? ดีอย่างไร? ถูกไหม? แค่ไปอเมริกาแค่นี้ หรือไปต่างประเทศ ไปเที่ยวยุโรป ไปเที่ยวญี่ปุ่น  ไปเที่ยวทัวร์อะไรต่างๆ แค่ 3-4 วัน เตรียมตัวเป็นเดือนเลยว่าไปจะเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น พูดใหญ่เลย

สำหรับผู้ที่เชื่อแล้วทุกคน ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว วางใจในพระเจ้าแล้ว ความหวังในชีวิตนิรันดร์ คือในสวรรค์ พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อความคิดของเรา ไปที่เบื้องบน คือในสวรรค์ ที่เราอยู่กับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ให้เราจดจ่อในสวรรค์เลยว่าสวรรค์เป็นอย่างไร? พูดง่ายๆ คือให้จดจ่อ ให้ตาดู หูฟัง ปากพูดเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ตลอดเวลา วนเวียนแต่เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ๆ เพราะมันคือสัญญาณบอกว่าเราเชื่อจริง เป็นสัญญาณบอกว่าเราได้ไปแน่ๆ 100%

เพราะฉะนั้น อย่าให้มีใครในงานไว้อาลัย หรืองานศพของคริสเตียน แล้วมีคนมาถาม แล้วมีคนมาตอบแบบจ่อย เพื่อนสนิทกันบอก …

“จะไปสวรรค์ได้อย่างไร? ไม่เห็นเคยพูดเรื่องสวรรค์เลย”

คนเราจดจ่อสิ่งใด มันต้องตาดู หูฟัง ปากพูด อย่างน้อยต้องแล๊บออกมาบ้างบางอย่าง เกี่ยวกับสวรรค์แน่นอน

พระเจ้าจึงสอนว่าให้เราดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม จะต้องจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว  ในสวรรค์เป็นอย่างไร? ได้ย้ายมาอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า ให้รับรู้ว่านี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครแล้วตอนนี้ เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้วเป็นอย่างไร? ให้รับรู้ความจริงเล่านี้ และทำตาม เขาเรียกว่า 3 จอ คือจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? เราย้ายมาอยู่ในสวรรค์แล้ว ตอนกำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ พระเจ้าได้สัญญาว่าอะไรบ้าง? ก็คือสัญญาว่าอยู่ด้วยกันกับเราตลอดเวลา ไม่ทอดทิ้งเรา  และคอยช่วยเหลือเราทุกอย่าง  การกิน การนอน  การมีชีวิตอยู่ ความเป็นอยู่ทุกอย่างบนโลกใบนี้ กำลังดำเนินชีวิตอยู่ พระเจ้าจะดูแลให้ทุกอย่างเลย ในทุกๆ เรื่อง  พระเจ้าจะปกปักคุ้มครอง ดูแลด้วยความรัก ความเมตตาตลอดเวลา ฤทธิ์อำนาจของพระองค์จะทรงนำพาเรา ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาได้ทุกอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่ตามความคิดของเรา ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ซึ่งดีแน่นอน พระองค์บอกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากนี้ต่อไป มีแต่เอื้ออำนวยเป็นผลดี สำหรับเราเสมอ ผู้ที่เป็น คริสเตียน ที่รักพระองค์แล้ว

ให้เราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในโลกวิญญาณว่าตอนนี้เราเป็นใคร? ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราต้องจดจำไว้ว่าเรารอดจากอาณาจักรนรกแล้ว ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์กับพระบิดาแล้ว ไม่มีใครจะมาทำร้ายเราได้อีกแล้ว หรือจะนำเราออกจากสวรรค์นี้ไม่ได้อีกแล้ว แม้แต่ตัวเราเอง ก็เอาออกไปไม่ได้  เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราได้อยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้าตลอดไปเลย

พระนิเวศน์ คือสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว อยู่แล้วตอนนี้ ต้องพูดอยู่เสมอ  และได้อยู่ในสวรรค์อย่างนี้ตลอดชั่วนิตย์นิรันดรเลย

และมีอะไรอีก เรากำลังเดินทางไปสู่โลกใหม่ นี่ก็คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกเราเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว วางใจในพระเจ้าแล้ว เรากำลังเดินไปสู่โลกใหม่ ที่ดีกว่าโลกปัจจุบันนี้ เรากำลังเดินทางไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูเลย ไม่ต้องมาเป็นโรค เป็นภัย ไม่ต้องอ่อนแอ ไม่ต้องตายอีกต่อไป

พระคัมภีร์บอกเราไว้ว่าหน้าตาของโลกใหม่ ที่เราจะอยู่อนาคต ที่บอกว่าเป็นสวรรค์ สวยสดงดงามจริงๆ แล้ว หน้าตามันเป็นอย่างไร? และร่างกายใหม่ของเราที่เหมือนพระเยซูเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกไว้หมด ให้เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ตามพระคัมภีร์ แล้วให้เรา จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ

ยกตัวอย่างที่บอกถึงเรื่องสวรรค์ว่าโลกใหม่ที่เราจะได้ไปอยู่ ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้วในโลกวิญญาณ และพระเจ้าได้สร้างโลกใหม่ให้เราเรียบร้อยแล้ว เป็นโลกที่สวยงาม ดีกว่าเยอะเลย เรามาดูสิว่าโลกใหม่ที่เราจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์นั้น ที่มาแทนโลกนี้ หน้าตามันเป็นอย่างไร? เพื่อเราจะได้จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่านี่คือบ้านของฉัน ในอนาคตอันใกล้นี้ วิวรณ์ 21:1-7

วิวรณ์ 21:1-7 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่!” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไป เพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้” 6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้นดื่มจากธารน้ำพุแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย 7 ผู้ที่มีชัยชนะจะได้รับทั้งหมดนี้ เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา”

 

จดจ่อ จดจำไว้เลย … “พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของ … (ใส่ชื่อท่านลงไป) จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าของโลกใบนี้มันหมดสิ้นแล้ว ไม่มีใครมาล่อลวงเรา ไม่มีสิ่งเสียหายอีกต่อไปแล้ว”

ต้องจดจำไว้ว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วพระองค์กำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาใหม่ สร้างโลกใหม่ให้กับเรา โลกใหม่ อยู่บทที่ 22 ไปอ่านได้  สิ่งเหล่านี้ควรจะเรียนรู้ รับรู้ ตาดู หูฟัง ปากพูดให้มันจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจสิ่งเหล่านี้ เป็นความหวังใจที่แท้จริง และเป็นจริงๆ ที่พระเจ้าบอกเรา ในพระคัมภีร์ของพระองค์

เพราะฉะนั้น จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจอีกด้วยว่าพระเจ้าบอก แต่ในขณะนี้ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ …

“ลูกเอ๋ย รอแป๊บหนึ่ง”

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ก็ต้องจดจ่อเหมือนกัน รอแป๊บหนึ่ง เราก็จะได้ไปอยู่ในที่ที่พระเจ้าบอกเรา เราจะมีร่างกายใหม่ เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ยาก ไม่มีความตาย ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความสุขตลอดเลย  จะไปไหน ก็ไม่ต้องเดิน ลอยไป ขอบคุณพระเจ้า คิดอย่างไร ก็คิดไม่ถึง นี่แหละคือสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าสิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คาดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้กับเขาทั้งหลาย ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ ผู้ที่เป็นคริสเตียนนั่นเอง พระเจ้าบอกเรามีชัยชนะ จะได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ ตะกี้นี้บอกใช่ไหม?  เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา พวกเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ก็คือผู้ที่มีชัยชนะร่วมกับพระเยซูไปแล้ว ที่จะได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเราทั้งหมดนี้ ยังมีมากกว่านี้อีก ต้องไปอ่านเพิ่มเติม แล้วก็จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในความจริงเหล่านี้

การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เราเชื่อฟังพระเจ้า จดจ่อ จดจำจนขึ้นใจ ตาดู หูฟัง ปากพูดเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์นี้ตลอดเวลา ให้มันจำได้ ผลมันคือเมื่อท่านได้รู้ความจริงเหล่านี้ ท่านก็จะไม่กังวลอีกต่อไป แม้ว่าจะอยู่บนโลกใบนี้ อาจจะมีปัญหาบ้าง มีอุปสรรค มีความทุกข์ยากลำบาก มีโรคภัยไข้เจ็บ มีความยากจน มีอะไรวิปริตเยอะแยะมากมาย ท่านก็จะไม่วิตกกังวลมากนัก ท่านก็จะไม่ตระหนก ตกใจมากนัก ท่านก็จะสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แบบ RIP คือ Rest in peace พักสงบได้แล้ว ขณะที่กำลังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ก็สามารถพักสงบ และรู้ว่าความจริง ก็คือเราหรือท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว ผู้เชื่อแล้ว เรากำลังอยู่ในเที่ยวบิน สายสวรรค์สู่โลกใหม่ จำไว้เลย ขนาดไปทัวร์ใกล้ๆ ยังจำกันใหญ่เลย นี่ทัวร์ไกลๆ และดีกว่าในชีวิตปัจจุบัน เทียบกันไม่ได้เลย ยังไม่จำอีกเหรอ ต้องจำว่าเรากำลังอยู่ในเที่ยวบินสายสวรรค์สู่โลกใหม่ โดยสายการบิน Jesus the way แปลว่าพระเยซูคริสต์เป็นทางนั้น  ทางที่เราไปสู่สวรรค์ ที่เราสามารถขึ้นเครื่องบินในสายสวรรค์นี้ บินไปสู่โลกใหม่ เรากำลังบินไปที่นั่น เรารู้ แล้วก็จดจ่อความจริงในเรื่องนี้ เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างมากเลยนะครับ

และรับรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ก็รับรู้ความจริงว่าแต่ว่าในระหว่างการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พลังของความบาปของมารที่ยังปกครองอยู่เหนือโลกใบนี้ มันยังคงมีอิทธิพลต่อความคิดจิตใจของเราอยู่ นี่ก็ต้องรับรู้ความจริงเหล่านี้ เพื่อว่าจะได้รู้เขารู้เราว่าเรามีศัตรูบนโลกใบนี้อยู่ ศัตรูที่ทำให้เราต้องทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ทำให้เราหงุดหงิดบนโลกใบนี้ ทำให้เรารู้สึกเสียหายบนโลกใบนี้ มันคือใคร? มันคืออะไร? มันไม่ใช่มนุษย์ มันคือมารนั่นเอง

อิทธิพลของมาร ก็คือความบาป มันคงมีอิทธิพลต่อความคิดจิตใจของเรา มันจะล่อลวงเรา ทำให้เกิดกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง หมายถึงธรรมชาติ ความต้องการของผู้ที่ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ข้างใน ก็คือผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า  ยังไม่ได้เกิดใหม่ จะมีธรรมชาติของความต้องการ กระทำตามมาร เรียกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ต้องจดจำตรงนี้ไว้ พอพูดตรงนี้จะได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นศัตรู ซึ่งมันจะนำเราทำตามระบบของโลกใบนี้ ซึ่งเป็นความบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับเราด้วย  คือมันเป็นอันตรายสำหรับชีวิตเรา ทำให้ชีวิตเราเสียหาย ไม่เป็นสุขเท่าที่ควร และก็ไม่เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า มันทำได้แค่นั้นนะ มันไม่สามารถทำเราไปลงนรกอีกได้ มันไม่สามารถมาเอาเราออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ มันไม่สามารถทำให้เรากลับมาตายอีกครั้งหนึ่งได้ เป็นไปไม่ได้ เราเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว

คือแม้ตัวตนของเราจะสะอาดหมดจดแล้วก็จริง จากความเชื่อในการไถ่บาป การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ แต่อิทธิพลของบาปภายนอกที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ วัตถุสิ่งของในระบบของโลกใบนี้ มันก็ยังอยู่รอบๆ ตัวเรา ในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันมีอิทธิพลต่อเราอยู่ ผมอยากจะยกตัวอย่างอันนี้ เอาให้เข้ากับปัจจุบัน มันเป็นเหมือนเชื้อไวรัสฝ่ายวิญญาณ ซึ่งถ้าเราไม่ระวังตัว เราก็อาจจะติดเชื้อไวรัสฝ่ายวิญญาณนี้ได้ วิญญาณที่เป็นตัวตน ที่แท้จริงของเรา แท้ๆ และความคิดจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้เรียบร้อยแล้ว สะอาดหมดจดแล้ว มันปลอดภัยแน่นอน 100% มันรอดแล้ว จากความบาปต่างๆ มันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า อยู่กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว เชื้อไวรัสตัวนี้ มันไม่สามารถทำให้เราขาด ออกจากพระเจ้าตรงนี้ไปได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่ความจริง ก็คือความคิดจิตใจที่สะอาดหมดจดของเราเรียบร้อยแล้วนั้น ยังมีโอกาสติดเชื้อได้อยู่ ติดเชื้อจากภายนอกร่างกาย และเมื่อใดที่ความคิดจิตใจของเรา ติดเชื้อไวรัสวิญญาณนี้เข้าไป มันก็จะสั่ง เป็นผลให้ร่างกายตอบสนอง ทำตามลักษณะวิสัย สันดานบาปของมัน ของมารที่เป็นเชื้อไวรัสตัวที่ทำให้เรา ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ก็คือรวมความที่พระเยซูบอก  มันมา เพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย รวมๆ กันอยู่ในนี้

เราที่เชื่อในพระเจ้า ข้างในของความคิดจิตใจ สะอาดหมดจด ด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ และด้วยการบังเกิดใหม่ของพระเยซู ทั้งวิญญาณของเรา และความคิดจิตใจของเราใหม่เอี่ยมถอดด้ามเลย แต่ถ้าอยู่บนโลกใบนี้ ยอมฟังกระแสของความบาป ก็คือยอมฟังมาร และติดเชื้อไวรัสบาปตัว ความคิดนี้ มันก็สั่งสมอง สั่งอวัยวะในร่างกายของเรายอมทำตามมัน ยกตัวอย่างเช่น มันบงการให้เราเกิดความโกรธ มันบงการให้เราทำร้ายจิตใจ ทำร้ายร่างกายของคนอื่นเขา โดยไม่อยากทำ โดยไม่รู้ตัว มันเป็นเชื้อที่เข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดจิตใจของเรา และทำให้เรามอบอวัยวะในร่างกายนี้ให้กับมัน ในการทำตามมันบงการ

ถ้อยคำของพระเจ้าบอกให้เรารัก ให้เราให้อภัย ให้เราเมตตา แต่เสียงข้างนอก ส่งเข้ามา ไวรัสตัวนี้ ให้ทำตามมัน ทำตรงกันข้ามกับพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าให้เราอภัยด้วยความรัก เราบอกอย่างนี้รับไม่ได้ อภัยให้ไม่ได้แล้ว อย่างนี้ยอมทนไม่ได้ มันไม่ยุติธรรม อย่างนี้เสียหน้า ต้องคืนสนองหน่อย อะไรก็แล้วแต่ว่ากันไป ก็อยู่ที่ว่าความคิดของเราจะทำตามใคร เราไปจดจ่อตรงไหน? ถ้าเราจดจ่อไปที่พระเจ้า เราก็ทำตามพระเจ้า  ถ้าเราไปจดจ่อที่ภายนอก คือระบบของบาป เชื้อไวรัสที่เต็มรอบตัวเราอยู่นี้ เราก็จะติดเชื้อตัวนั้น และทำตามกระแสของภายนอก เราจะทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา หรือจะทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งมันเป็นอิทธิพลที่อยู่ภายนอกร่างกายของเรา  ภายนอกความคิดจิตใจของเรา จะทำตามข้างไหน? ขึ้นอยู่กับว่าเราไปจดจ่ออันไหนมากกว่ากัน

พระเจ้าบอกเราถึงความละเอียดอ่อนว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว แต่ย้ำอีกครั้งว่าทั้งหมดนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวิญญาณที่เราได้รับความรอดแล้ว เพราะว่าไม่ว่าความคิดและกายภายนอกที่เห็นอยู่นี้ เราจะทำตามใครก็ตาม จะทำตามเชื้อไวรัสวิญญาณที่อยู่ข้างนอกก็ตาม แต่วิญญาณของเราที่มีความคิดจิตใจที่เกิดใหม่แล้ว ที่พระเจ้าประทานให้ มันสะอาดหมดจดชั่วนิรันดร์แล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว มันเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว จงจำเอาไว้ กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง มันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนที่แท้จริงของเรา ต้องจดจำตรงนี้ไว้เลย กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง คือธรรมชาติบาป ที่อยู่ในมาร ที่อยู่ในตัวของเราในอดีตที่เรายังไม่รับเชื่อพระเจ้า ยังไม่บังเกิดใหม่ มันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนที่แท้จริงของเราอีกต่อไปแล้ว ไม่มีแล้ว ไม่ใช่แล้ว เราเป็นของพระเจ้า 100% แต่มันเป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ข้างนอก เป็นอิทธิพลที่อยู่ข้างนอก มาจากมารที่อยู่ข้างนอก เป็นเชื้อร้ายภายนอก ที่สามารถแผ่กระจายมาสู่ความคิดของเราได้ แค่นั้นเอง เอเมน ต้องจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจด้วยเช่นเดียวกัน นี่คือความจริง เพื่อที่จะได้รู้ เขาเรียกว่ารู้เขา รู้เขา ทำสงคราม 10 ครั้ง ชนะ 10 ครั้ง

พระคัมภีร์จึงบอกบ่อยๆ ให้เราถวายตัวเราเอง แด่พระเจ้า ให้เป็นเครื่องมือของพระเจ้า และระวัง รักษาความคิดจิตใจ ไม่ให้ติดเชื้อไวรัสตัวนี้เข้าไป ในโรม 12:1-2 บอกไว้ ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ อย่าเอาความคิดแบบเดิมๆ มันจะส่งเข้ามาแบบเดิมๆ …

“ครั้งที่แล้วเคยทำแบบนี้ แต่ก่อนนี้เคยทำแบบนี้  เดี๋ยวนี้ฉันไม่แล้ว ฉันเป็นคนใหม่ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ใหม่เอี่ยม ฉันเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจแล้ว”

เห็นไหม? สิ่งเหล่านี้มันต้องเกิดขึ้นจากการจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในถ้อยคำพระเจ้าว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านบังเกิดใหม่แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง? อย่างนี้เป็นต้น เหมือนอย่างตอนนี้ ที่เรากำลังระวังเรื่องเชื้อไวรัสโควิด-19  ระบาดอยู่ ทุกคนก็ระวังตัวอย่างดี พยายามไม่เปิดโอกาสให้ร่างกายเกิดการติดเชื้อ แล้วระวังอย่างไร? ก็สวมหน้ากาก ล้างมือให้สะอาด ทานร้อน ใช้ช้อนกลาง หรือไม่ใช้เลย คือของใครของเขา ไม่ใช้ของร่วมกัน รักษาระยะห่าง สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่ปฏิบัติ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อนี้เข้ามา ถูกไหมครับ?  ถึงแม้ป้องกัน บางทีมันยังมีโอกาสเข้ามาได้ เราเผลอนิดเดียว  เหมือนกัน

แล้ววิธีรักษา ไม่ให้ความคิดจิตใจของเราติดเชื้อไวรัสบาป  ทำอย่างไร? พระเจ้าก็บอกเรา ก็คือการจดจ่อ ความคิด ไปที่เบื้องบน จงจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ ความคิดของท่านไปที่เบื้องบน  ไม่ใช่อยู่ที่ฝ่ายโลก จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราอยู่ที่ไหนแล้ว ในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างไร?

ในโรม 6:11-14 ได้บันทึกอย่างนี้ อันนี้ก็ชัดเจน นี่คือความจริงที่เราควรจะเรียนรู้ว่าอ๋อ! มันเป็นอย่างนี้  มันเหมือนหลักยุทธศาสตร์ของการทำสงครามบนโลกใบนี้ว่าถ้าเราชนะ เราก็มีความทุกข์บนโลกใบนี้ไม่เยอะ ไม่มาก แล้วก็เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าในชีวิตของเรา โรม 6:11-14 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 6:11-14 “11 ในทำนองเดียวกัน  จงถือว่าตัวท่านเองตายต่อบาป  และมีชีวิตอยู่  เพื่อพระเจ้า  ในพระเยซูคริสต์ 12 เหตุฉะนั้น  อย่าให้บาปครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน  ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของกายนั้น 13 อย่ายกส่วนต่างๆ ในกายของท่านให้แก่บาป  เป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย  แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้า ในฐานะผู้ที่ทรงให้มีชีวิตเป็นขึ้นจากตาย และถวายส่วนต่างๆ ในกายของท่านแด่พระองค์ ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม 14 เพราะบาปจะไม่เป็นนายของท่านอีกต่อไป  ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  แต่อยู่ใต้พระคุณ”

 

“ในทำนองเดียวกัน” จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจให้รับรู้ว่าเราเป็นคริสเตียน เราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นของพระเจ้าแล้ว ตัวท่านเองตายต่อบาป และบาปไม่สามารถทำอะไรท่านได้อีกต่อไป แต่ก่อนนี้ทำได้ แต่เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้แล้ว เพราะเราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว อิทธิพลของความบาป มันไม่มีทางเข้ามาหาเราได้เลย ถ้าเราไม่ยอมมัน และมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เรามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า สำหรับพระเจ้าโดยเฉพาะอย่างเดียว บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เห็นไหม? แล้วตรงนี้บอกอย่างไร? …

“เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปครอบครองกายที่ต้องตายของท่านอีก” คืออย่าให้เชื้อไวรัสตัวนี้เข้ามา พูดง่ายๆ อย่ายอมให้มันครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน หมายถึงร่างกายภายนอก อวัยวะต่างๆ ที่วันหนึ่งมันต้องลงหลุม อย่ายอมให้มันใช้ร่างกายอวัยวะต่างๆ นี้ ตามทางของมัน ตามความต้องการของมัน ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของกายนั้น ไม่ใช่ของกายนะ ของไอ้ตัวนี้ เข้าใจใช่ไหมครับว่ามันจะทำชั่ว อิทธิพลของมันบังคับ บงการให้เราทำ           “อย่ายกส่วนต่างๆ ในร่างกายของท่านให้แก่บาปนั้น” ก็คือท่านใส่ตรงนี้เข้าไป ท่านจะเห็น “อย่ายกส่วนต่างๆ ในกายของท่านให้กับมัน” มัน คือมารส่งกระแสมา มันไม่สามารถเข้ามาในร่างกายเราได้หรอก มันได้แต่ส่งอิทธิพลเข้าใจไหม? ไม่ต้องไปกลัวผีมารซาตาน  มันแค่ส่งเสียงแว่วๆ มา ถ้าเราไม่ไปจดจ่อกับเสียงนั้น  เราจดจ่อกับพระเจ้า เสียงพระเจ้าดังกว่า เราก็ไม่สนใจมัน มันเหมือนกับเขาใช้คำนี้ “หมาเห่าใบตองแห้ง” คือมันเคยกัดเราได้ แต่เดี๋ยวนี้มันกัดเราไม่ได้แล้ว เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นโล่ป้องกัน อย่างมาก มันก็แค่ขู่ให้เราตกใจกลัว แล้วเรากลัวไหม? กลัว เพราะมันชิน มันก็กลัว แต่พอไปเรื่อยๆ นานๆ เข้า เราจะรู้ว่าเราเป็นใคร ตอนนี้ขู่มา เราจะขู่กลับแล้ว มันขู่มา เราก็ฮาเลลูยา มีอะไรหรือเปล่า?  พระเจ้าบอก …

“สถิตอยู่กับฉันเสมอ ไม่เคยทอดทิ้งฉัน อยู่กับฉันตลอดเวลา ไม่เคยละทิ้งฉัน มีอะไรหรือเปล่ามาร”

“ไม่มีครับ”  มันก็ไป

นี่เขาเรียกว่าจดจ่อไปที่เบื้องบน ไม่ได้ไปจดจ่อฝ่ายโลก จดจ่อไปที่มัน เสียงมันก็ดัง ต้องทำตามมัน ซวยเลย

ในนี้บอก “แต่จงถวายตัวของท่านเอง แด่พระเจ้า ในฐานะผู้ที่ทรงให้มีชีวิต เป็นขึ้นจากตาย” ก็คือผู้ที่ทำให้เราได้บังเกิดใหม่นั้น ถวายพระเจ้าไป วิญญาณข้างในนั้น ชัดเจนเลยนะ

ข้อ 14 บอกว่า … “เพราะบาปมันไม่เป็นนายของท่าน (มันไม่ใช่ “จะ” นะ … “จะ” ต้องไม่มีนะ) อีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ คือได้บังเกิดใหม่แล้ว เอเมน”

ถ้าเราไม่บังเกิดใหม่ตายแน่ เพราะมันอยู่ใต้บัญญัติ มันต้องทำตามทุกอย่าง พอทำพลาดไป มันก็ใส่เราเต็มที่เลย

ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้า เป็นคริสเตียน ได้บังเกิดใหม่ ตามความจริงที่พระเจ้าได้บอกแล้ว แม้ว่าเราจะอยู่ในสวรรค์แล้ว แม้ว่าพระเจ้าจะสถิตอยู่กับเราทั้ง 3 พระภาคเลยก็ตาม เรายังคงต้องต่อสู้กับเชื้อไวรัสทางวิญญาณตัวนี้ ต้องป้องกัน ไม่อยากจะบอกต่อสู้เลย แต่จริงๆ พระคัมภีร์ใช้คำว่าต่อสู้ ก็คือต้องระวัง ต่อสู้กับเชื้อไวรัสทางวิญญาณตัวนี้ ผ่านเข้ามาทางความคิด เราต้องต่อสู้ทุกเสี้ยววินาที แม้กระทั่งตอนนอน ตกใจไหม? แม้กระทั่งตอนนอน คือ ฝันไง มีความคิดมาตั้งแต่กลางวัน เราไปจดจ่ออะไรต่างๆ  เราไปดูหนัง กลางคืนมันฝัน ฝันทำบาปยังได้เลย หรือใครไม่เคย ยกมือขึ้น เราต้องสู้ทุกเสี้ยววินาที วินาทีไหนที่เราล้มลง พ่ายแพ้เชื้อตัวนี้ เราก็จะป่วยทางความคิด ความคิดจิตใจที่สะอาดหมดจด มันป่วย แค่นั้น ไม่มีอะไรเลย เมื่อเราป่วยทางความคิด ความคิดของเรา ก็จะไปเริ่มสั่งอวัยวะต่างๆ ในร่างกายผ่านทางสมอง ให้ทำอาการป่วยนั้น คือตามไวรัสตัวนี้  ตามเชื้อของบาปตัวนี้ ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ซึ่งมันเป็นศัตรู ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า ตรงกันข้ามกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน ที่เราเรียกกันว่า อาการของเนื้อหนัง

เนื้อหนังตอนนี้ท่านรู้แล้วคืออะไร? เนื้อหนัง คือวิสัยบาป คือเนเจอร์ คือธรรมชาติของความบาป ที่อยู่ในคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ที่เป็นทาสของมาร ตรงนี้เราไม่ได้เป็นทาสของมารแล้ว เราไม่มีเนื้อหนังที่อยู่ในตัวอีกต่อไปแล้ว เนื้อหนังมันอยู่ข้างนอกตัวเราแล้วตอนนี้ แต่อาการของเนื้อหนังมันสามารถโผล่มาได้ ถ้าเราติดเชื้อเข้าไป  พอเข้าใจนะ เมื่อไรก็ตามที่คริสเตียนผู้เชื่อการ์ดตก การ์ดของเรา คือจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พอเราการ์ดตก เมื่อไรโอกาสที่เราจะติดเชื้อไวรัสตัวนี้ ก็สูง เมื่อติดเชื้อ ผลที่เกิดขึ้น ก็คือเราก็จะมีอาการป่วย อาการทางความคิด ที่จะติดเชื้อบาปตัวนี้ ติดเชื้อไวรัส เนื้อหนังตัวนี้ เมื่อติดเชื้อเข้าไป จะมีอาการออกมาในเรา ผู้ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า อาการเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์ที่พระเจ้าบอกไว้ชัดเจน เพื่อเราจะได้สังเกต รู้ว่าเราป่วยอยู่ เราต้องจัดการกับมัน ให้มันหายป่วย  ป่วยทางวิญญาณ กาลาเทีย 5:19-21 บอกถึงอาการของเนื้อหนัง อาการของธรรมชาติของความบาป  ที่ส่งกระแสผ่านทางไวรัสวิญญาณ ถ้ามากระทบจิตใจเรา แล้วเราติดเชื้อมันเข้าไป อาการทางร่างกายมันจะออกมาเป็นอย่างนี้

กาลาเทีย 5:19-21 “19 พฤติกรรมของวิสัยบาปนั้น  เห็นได้ชัด คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความไม่บริสุทธิ์ และการลามก 20 การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้คาถาอาคม ความเกลียดชัง ความบาดหมาง ความริษยาหึงหวง ความโมโหโทโส ความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรคแบ่งพวก และการอิจฉากัน 21 การเมามาย การมั่วสุมเสพสุราและกาม และอื่นๆ ในทำนองนี้ ข้าพเจ้าขอเตือนท่าน เหมือนที่เคยเตือนแล้วว่าผู้ที่ประพฤติเช่นนี้ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”

 

คำว่า “พฤติกรรมของวิสัยบาป” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “The practices of the sinful nature” แปลตรงๆ คือการฝึกฝน หรือการปฏิบัติตัวของธรรมชาติวิสัยบาป ผมจะเน้นคำว่า “ธรรมชาติวิสัยบาป” ท่านจะรู้เลยว่าเราเชื่อพระเจ้า เรามีตัวนี้อยู่ข้างในตัวเราไหม?  ไม่มีเลย การฝึกฝน หรือการปฏิบัติตัวของธรรมชาติวิสัยบาป ที่เมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่านมาทั้งหมด คือตัวอย่างของอาการของผู้ที่ฝึกฝน ปฏิบัติตนของธรรมชาติวิสัยบาป “ผู้” นี้ หมายถึงผู้ที่เป็นทาสของธรรมชาติวิสัยบาป

เพราะว่าที่พูดมาทั้งหมดเมื่อกี้ เป็นอาการ หรือเป็นธรรมชาติของวิสัยบาปของมาร  มารมันจะทำให้เราอย่างนี้ พูดง่ายๆ ว่าผู้ที่ยอมเป็นทาสมัน ก็จะฝึกฝนปฏิบัติตัวอย่างนี้ คือเมื่อเราจดจ่อฝ่ายโลก ก็จะส่งผลให้เรา รวมๆ แล้วก็คือมองตัวเราเองเป็นใหญ่ ไม่ใช่พระเจ้าแล้ว เห็นแก่ตัว เย่อหยิ่งจองหอง ไม่มีสันติสุข น้ำพระทัยตัวเองเป็นใหญ่กว่าพระเจ้า แล้วก็ใช้ชื่อพระนามพระเยซู ทำตามใจตัวเองนั่นแหละ วางแผน แล้วก็ทำๆ สร้างอาณาจักรของตนเอง ครอบงำผู้อื่นให้สร้างอะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่พูดถึงมนุษย์ทั่วๆ ไปนะ ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ มีโอกาสเป็นหมด ติดเชื้อมา ผู้เชื่อก็เป็นได้ ถ้าไม่เชื่อก็เป็นแน่นอน 100% เพราะว่าเป็นทาสของธรรมชาติของวิสัยบาปแล้ว

ในข้อที่ 21 สำคัญมากว่า … “ข้าพเจ้าขอเตือนท่าน เหมือนที่เคยเตือนแล้วว่าผู้ที่ประพฤติเช่นนี้ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”

อันนี้ต้องตั้งใจฟังให้ดีๆ เพราะว่าความหมายตรงนี้ หลายคนมักจะตีความว่าถ้าใครทำแบบที่บรรยายไว้ในข้อที่ 20 นี้คือการกราบไหว้รูปเคารพ การใช้คาถาอาคม การเกลียดชัง ความบาดหมาง ความริษยาหึงหวง ความโมโหโทโส ความทะเยอทะยาน เห็นแก่ตัว การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรค แบ่งพวกกัน การอิจฉากันนี้ ใครทำแบบนี้แค่เพียงนิดเดียว ก็จะไม่ได้เข้าสวรรค์ มันไม่ใช่ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เข้าใจผิดแล้ว เปลี่ยนใหม่ ซึ่งถ้าตีความง่ายๆ แบบนี้ พูดตรงๆ ก็ไม่มีใครได้เข้าสวรรค์เลยสักคนหนึ่ง แค่โกรธนิดหนึ่ง ก็ไม่ได้เข้าสวรรค์แล้วเหรอ มันไม่ใช่

ซึ่งจริงๆ แล้วความหมายของถ้อยคำตรงนี้  ที่บอกว่าผู้ที่ประพฤติเช่นนี้ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้า เป็นมรดก คือไม่ได้อยู่ในสวรรค์นั้นนะ ตรงนี้หมายถึงผู้ที่ยังอยู่ภายใต้การครอบงำของวิสัยบาป ผู้ที่เป็นทาสของความบาป แบบนี้อยู่ เข้าใจไหม?  ผู้ที่เป็นทาส ก็คือผู้ที่ยังไม่ได้มาเป็นทาสของพระเจ้า ผู้ที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่ ผู้ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ที่ยังอยู่ในอาดัมนั่นแหละ มันหมายถึงอย่างนั้น ผู้ที่ยังเป็นทาสมารอยู่ อยู่ในอาดัม อยู่ในอาณาจักรของความมืด ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า อาการมันเป็นอย่างนี้ มันหมายถึงอย่างนี้ ผู้ที่ประพฤติตัวตามอย่างผู้ที่ยังไม่มีพระเจ้าอยู่ในตัว ธรรมชาติของบาป เป็นทาสมาร ไม่ได้มีแผ่นดินของพระเจ้าอยู่ ไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ มันแปลว่าอย่างนั้น

เหมือนที่ผมเคยยกตัวอย่างเรื่องทาร์ซาน ว่าตัวตนที่แท้จริงของทาร์ซาน ก็คือมนุษย์ แต่ชั่วขณะหนึ่งไปอยู่กับลิง ถูกลิงควบคุมอยู่ ทำตัวเหมือนลิง มีอาการเหมือนลิง แต่อย่างไรก็เป็นมนุษย์

ดังนั้น คนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ยังไงๆ ก็บังเกิดใหม่ แต่อาจจะมีบางครั้ง ชั่ววูบหนึ่งติดเชื้อของกระแสของโลกนี้  คือระบบของมารเข้าไป เช่นเดียวกัน เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ยังไงๆ เราก็เป็นลูกของพระเจ้า  100% เราก็อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็อยู่ในเราแล้ว แม้บางครั้ง เราอาจจะติดเชื้อไวรัสบาปจากภายนอกเข้ามาบ้าง อุตส่าห์ระวังๆ แล้ว เผลอนิดเดียวการ์ดตกอีก สมมติ เราก็จะมีอาการทำตามเนื้อหนังที่ส่งกระแสมานั้น ผ่านไวรัสตัวนี้บ้าง เขาเรียกว่าทำบาปบ้าง แต่ตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็คือลูกพระเจ้า และได้อยู่ในสวรรค์ และกำลังอยู่ในสวรรค์ และจะอยู่ในสวรรค์นี้ตลอดไป มันต้องอย่างนี้ นี่พระคัมภีร์ว่าไว้อย่างนั้น มันเปลี่ยนไม่ได้แล้ว เพราะมันบังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าย้ายท่านเข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ย้ายท่านเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ พระองค์ทรงตรัสไว้เช่นนั้น

และพระคัมภีร์ที่บอกให้เราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในสิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็เพื่อให้ความคิดจิตใจของเราอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพระวิญญาณ เพื่อจะได้ปกป้อง การ์ดไม่ตก ศัตรูก็เข้าไม่ได้ อิทธิพลของบาปที่อยู่ภายนอก ก็ส่งเข้ามาไม่ได้ แม้เราจะอยู่ท่ามกลางมันก็ตาม บนโลกใบนี้

“แม้ข้าพเจ้าจะดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้หุบเขา เงามัจจุราช แต่ข้าพเจ้าก็ไม่กลัววิญญาณชั่วตัวใดๆ เลย เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับลูก”

มันจะส่งผลประโยชน์ให้กับวิญญาณของเราเจริญเติบโตขึ้น เพราะว่าเราไม่ป่วยบ่อย ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวก็ทำบาป เดี๋ยวก็ป่วยอยู่เรื่อย การ์ดตกอยู่ตลอด อะไรต่างๆ เหล่านั้น เพื่อว่าเมื่อเราจดจ่อ จดจำความคิดจิตใจของเราไปที่เบื้องบน  ซึ่งจะส่งผลทางด้านพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  อยากรู้ไหมอาการของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ตรงข้ามกับอาการของความบาปของมาร ที่เรียกว่าเนื้อหนังเป็นอย่างไร? ไปดูที่กาลาเทีย 5:22-24 บันทึกไว้ชัดเจน ถ้ามีอย่างนี้ออกมาเมื่อไร รู้ทันทีเลย เราจดจ่อไปถูกทางแล้ว

กาลาเทีย 5:22-24  “22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ 23 ความสุภาพอ่อนโยนและการควบคุมตนเอง สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย 24 ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาปไว้ที่กางเขนแล้ว”

 

เอาตรงนี้ก่อน … ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เชื่อแล้ว วางใจในพระเจ้าและบังเกิดใหม่แล้ว ได้ตรึงวิสัยบาป คือตัวเก่าของเราได้ถูกตรึงตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว จบแล้ว ไม่มีวันเลยที่เราจะไปทำสกปรกหรือชั่วร้ายแบบนั้นด้วยตัวของเราเอง นอกจากมีโอกาสติดเชื้อเท่านั้นเอง เขาเรียกว่าล้มลง พ่ายแพ้ เป็นบางครั้ง ติดหวัด เดี๋ยวก็รักษาหาย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาปไว้ที่กางเขนแล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว ถ้าการ์ดเราตกเมื่อไร มันเข้ามา เราก็มีอาการ ก็เท่านั้นเอง

มาดูผลของพระวิญญาณ เป็นอย่างไร? นี่คืออาการที่บอกถึงว่าเรากำลังจดจ่อไปที่ถูกแล้ว ที่พระเจ้า จดจ่อไปที่เบื้องบน ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เบื้องบนที่สวรรค์ เบื้องบนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงเรา  คอยดูแลความคิดจิตใจของเรา วิญญาณของเราและร่างกายของเราด้วย ดูแลหมดเลย อาการจะออกมาเป็นความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปราณี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน การควบคุมตนเอง  สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติไหนห้ามเลยแม้แต่นิดเดียว  ทำไปทุกคนบอกว่าดี ยอดเยี่ยม เอกฉันท์เลย เอาตรงนี้ไปวัดเลยว่าสิ่งที่เราใช้ร่างกายเราทำลงไป มันไปตรงกับอะไรในนี้บ้างไหม? หรือมันไปตรงกับผลของเนื้อหนัง อาการของเนื้อหนัง พระเจ้ายอดเยี่ยมขนาดไหน? บอกเราหมดเลย เรียบร้อยเลย และถ้าเราไปจดจ่อเอาสิ่งที่ไม่ดี  เราก็ไม่มีความสุขบนโลกใบนี้ เราก็เสียหายบนโลกใบนี้ เราก็ทุกข์มากกว่าธรรมดาบนโลกใบนี้ ถ้าเราไปจดจ่อที่พระเจ้า ส่งผลพระวิญญาณออกมา เราก็มีสันติสุข มีความสงบ เห็นไหมครับ? ทำไมพระเจ้าถึงบอกให้เรา จำเป็นเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่แล้ว  น่าจะจบแล้วนะ  แต่ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าบอก …

“ไม่ได้นะ ลูกจะต้องมีสง่าราศี ลูกจะต้องเป็นลูกของพ่อ ลูกต้องฉายแสงออกไป ลูกต้องเป็นผู้มีชัยชนะ ลูกจะต้องเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต พ่อจะนำพาลูก พ่อจะสอนลูกเอง และวิธีสอนอันดับแรก คือลูกจงจดจ่อความคิดของเจ้าไปที่เบื้องบน”

เห็นไหม? ชัดเจน คือเมื่อเรามาเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเรา พระเยซูนำพาชีวิตเราแล้ว การมาเชื่อพระเยซู ไม่ได้แค่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูจะช่วยเราให้รอดพ้นจากบาป รอดจากนรก ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า มาอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่แค่นั้น แต่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ มันยังมีศัตรูอยู่ เพราะฉะนั้น พระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายนี้เลย เป็นชีวิตของเราเลย เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ชัดเจนเลย ในขณะนี้ พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับเรา เข้ามาอยู่กับเราตลอดเลย ตรงนี้ ควรจะรับรู้ เป็นฤทธิ์อำนาจให้กับเรา เป็นสติปัญญาให้กับเรา ทรงนำพาช่วยเหลือเรา ปลอบโยนจิตใจ จิตวิญญาณในทุกเสี้ยววินาทีตลอดเวลา  เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่พระองค์ทรงกระทำอย่างนั้นแหละ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของเรา และพระองค์ก็จะพาเราผ่านอุปสรรคปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ อย่างอัศจรรย์ คือเกินความคิด เกินความคาดหมายของเราเอง เรารู้ว่าเราทำไม่ได้เลย ชัดเจนเลย  จะผ่านอุปสรรคปัญหาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไปได้ ทำอย่างไร? มันไม่มีทาง ใครช่วยได้ พระเจ้าทำให้เรา ช่วยได้ เราจะรู้ทันทีว่านี่ คืออัศจรรย์ แต่เป็นอัศจรรย์ตามพระประสงค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่การอัศจรรย์ที่เราบังคับให้พระองค์ทำ อันนั้นไม่ใช่ Rest in peace ไม่ใช่พักสงบ อันนั้นมันตะเกียกตะกาย แล้วก็เหนื่อยลำบาก ยิ่งทุกข์ใหญ่เลย

เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงรู้ทุกอย่าง สัพพัญญู อยู่ในตัวเรา ดำเนินชีวิตไปกับเรา พระองค์ทรงรู้ ทรงเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆ รอบตัวเราอย่างมากมาย เยอะมากกว่าเราเยอะเลย ที่มองไปทะลุปรุโปร่งเลย เรื่องปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น เราควรที่จะเชื่อและวางใจในพระองค์

ฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าเราเป็นคริสเตียน ผู้เชื่อแล้ว ตามพระคัมภีร์บอกไว้ เราจะต้องประสบความทุกข์ยาก อุปสรรคปัญหาในการดำเนินชีวิต เหมือนคนอื่นๆ ที่ยังไม่เป็นคริสเตียน ยังไม่เชื่อ เหมือนกันบนโลกใบนี้ พระเยซูบอกแต่ว่าพระองค์ทรงชนะโลกแล้ว พระเยซูชนะ เราก็ชนะด้วย เราชนะโลกนี้แล้ว เพราะฉะนั้น แม้เราจะประสบปัญหา บนโลกใบนี้อยู่ เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ไม่มีพระเจ้า ไม่ได้เชื่อในพระเยซู แต่เราเชื่อแล้ว เราก็มีปัญหาเหมือนเขาเหมือนกัน แต่เราจะมีสันติสุข ความสุขสบาย และความหวังนิรันดร์ ให้เราสามารถพักสงบได้ในการดำเนินชีวิตท่ามกลางปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ เราได้เปรียบกว่าผู้ที่ไม่มีพระเยซู เราได้เปรียบกว่าผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า เราได้เปรียบกว่าผู้ที่ยังไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า ถูกไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว รู้จักพระองค์แล้ว เกิดใหม่แล้ว เราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ ในถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ทั้งหมด  เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่ามันคืออะไร? เกี่ยวกับเบื้องบนว่ามันคืออะไร? เราก็จะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ เขาเรียกว่ารับรู้ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ แล้วสามารถวางใจ ซึ่งจะเป็นหัวข้อในการบรรยายครั้งต่อไป เราสามารถวางใจ ให้พระองค์ทรงดูแล เหนือทุกสิ่งในชีวิตของเราได้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************