คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 2017 เรื่อง “ซ่อนอยู่ในพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 2017

เรื่อง “ซ่อนอยู่ในพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันที่ 18 มิถุนายน 1988 เป็นวันเกิดใหม่ของผม ถือโอกาสมาเล่าสู่ให้ท่านฟัง ทุกคนควรจะจำวันที่มีการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเราว่ามีอะไรเกิดขึ้น แล้วเรา คิดไปเรื่อยๆ แต่ละปีที่ผ่านไปเรื่อยๆ ว่าเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณขนาดไหน? ที่เราเกิดใหม่ในวันแรก จนถึงวันนี้  เราได้รู้จักพระเจ้า รู้จักพระเยซูมากขึ้นขนาดไหน?

18 มิถุนายน 1988 ตอนนั้น ผมไม่รู้เรื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ โลกทางวิญญาณที่ผมมองไม่เห็นตอนโน้น ผมได้เริ่มเข้าไปสู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์บอกว่าอะไร? เราคิดตามสำหรับท่าน ท่านก็คิดถึงวันที่ท่านเกิด ในทางวิญญาณ ต้องมีอยู่วันหนึ่ง ถ้าไม่รู้ จำไม่ได้ ลองถามคนข้างๆ ดูก็ได้ พอท่านคิดถึงวันนั้นนะ วันเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม? วันเกิดใหม่นั้น ในพระคัมภีร์บอกว่าวันนั้น พระเจ้าได้ย้ายผมออกจากอาณาจักรหนึ่ง ที่มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งความมืด อาณาจักรแห่งความบาป ความมืด จะเรียกว่านรก หรือเรียกว่าฝ่ายต่อต้านพระเจ้า ก็ได้ จะเรียกว่าไม่รู้จักพระเจ้า เรียกว่าที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในโลกฝ่ายวิญญาณ มีอาณาจักรอยู่อาณาจักรหนึ่ง ชื่ออาณาจักรแห่งความมืดจริงๆ และขณะเดียวกัน มีอาณาจักรอีกอาณาจักรเรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง พระคัมภีร์บอกพระเจ้าได้ย้ายผมออกจากอาณาจักรแห่งความมืด มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระบุตรของพระเจ้า  ก็คือในพระเยซูคริสต์ ย้ายผมมาจริงๆ เลยนะ นี่พูดจริงๆ ไม่ได้สมมติ พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น พระคัมภีร์ไม่ได้สมมติ พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกเป็นอย่างนี้จริงๆ ในวันนั้น ผมต้อนรับพระเยซู ใช้สิทธิของผมที่พระเยซูตาย เพื่อผมที่ไม้กางเขน ไถ่บาปผม ผมได้ตัดสินใจรับเชื่อวันนั้น ทันทีทันใดนั้น พระเจ้าได้ย้ายผมออกจากอาณาจักรหนึ่ง เหมือนกับประเทศหนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าประเทศความมืด และย้ายผมเข้ามาอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ในพระเยซูคริสต์ ทุกคนเป็นอย่างนี้หมดเลย

แล้ววันนี้ ผมจึงมีข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งมาฝากท่าน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟังแล้วตื่นเต้น สมัยนั้นไม่รู้เรื่อง มันเกิดอะไรขึ้น รับเชื่อ ชีวิตก็ดีขึ้นหมดเลย แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น พอเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ชักตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในโคโลสี 3:1-4 บันทึกไว้อย่างนี้ วันนั้นเกิดอย่างนี้ขึ้น พอผมเกิดใหม่ ถูกย้ายเข้าไปอยู่อาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ซึ่งอาณาจักรแสงสว่างของพระเจ้าใหญ่ ครอบคลุมมหาจักรวาลทั้งหมดเลย อาณาจักรแห่งความืดมันนิดเดียว มันเล็กนิดเดียว แต่มันมืดสนิทเลย คือที่นั่นไม่มีพระเจ้า และเกิดอะไรขึ้น เกิดตามโคโลสี บทที่ 3 บอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น …

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย (ให้ผมในวันนั้น) เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

“ในเมื่อให้นคร … (ใส่ชื่อของท่าน) เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อของท่าน) จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อของท่าน) จดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เพราะนคร … (ใส่ชื่อของท่าน) ตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของนคร … (ใส่ชื่อของท่าน) ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของนคร … (ใส่ชื่อของท่าน) ปรากฏ เมื่อนั้นนคร … (ใส่ชื่อของท่าน) ก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

คำว่า “เบื้องบน” ไม่ใช่ชั้น 2, ชั้น 4, ชั้น 5, ที่สวรรค์ข้างบน ไม่ใช่นะ เบื้องบน คืออาณาจักรที่เหนือกว่า ที่ดีกว่ายอดเยี่ยมกว่า ที่ดีกว่ามากมาย มากเลย เยอะ สูงกว่ามาก ที่อาณาจักรนั้น พระคริสต์ประทับอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า พระเยซูคริสต์อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า

ข้อ 2 บอกว่าจงให้ความคิดของนครจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก … “สิ่งฝ่ายโลก” ก็คือโลกเก่า ก็คือความมืด ความตาย โลกแห่งอาณาจักรแห่งความมืดนั้น ที่เราจากมาแล้ว ไม่ต้องไปสนใจมัน ไม่ต้องไปมองมัน มองที่อย่างเดียว คือที่พระหัตถ์ขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ที่นครนั่งอยู่ ตรงนั้นกับพระเยซูคริสต์ อาณาจักรแห่งแสงสว่าง ถามว่าตั้งแต่เมื่อไร? 18 มิถุนายน 1988 เวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ

ข้อ 3 บอกว่าเพราะนครตายแล้ว ในวันนั้น เวลา 3 ทุ่มกว่า ตายแล้ว ตายที่ไหน? วิญญาณตาย ตายต่อบาป ตายแล้ว บัดนี้ ชีวิตของนครถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 1988 ชีวิตของนคร ก็คือวิญญาณ “ชีวิต” หมายถึงวิญญาณ ไม่ใช่หน้าตาที่เราเห็น วิญญาณของฉัน วิญญาณของนคร ได้ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า พระเยซูกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน นครถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์

ผมทำให้ท่านเห็นภาพ สมมติว่ากระดาษนี้เป็นวิญญาณของนครนะ วันที่ 18 พอรับเชื่อปุ๊บ มันขาวอย่างนี้เลยนะ แล้วอยู่ที่ไหนเลยนะครับ สมมติว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่มนี้ นี่คือพระคริสต์ นี่คือพระเยซู ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 1988 ชีวิต วิญญาณของนครถูกซ่อนอยู่ในนี้ พวกเราอยู่ในนี้แล้ว ตอนที่พระเยซูอยู่ไม้กางเขน

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน นครอยู่ในนั้นหรือเปล่า? อยู่ เราก็ถูกตรึงไปด้วย  เห็นหรือยัง? ไม่ว่าพระเยซูไปที่ไหน? เราอยู่ในนั้น พระเยซูอยู่ที่นี่ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน พระเจ้าก็ออกไป เพราะพระเยซูบาป เอาบาปของมนุษย์ใส่เข้าไปที่พระองค์ พระองค์ที่อยู่ที่ใต้บาดาล ที่ต่ำ นครอยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า? ตายอยู่ในนั้นด้วย ถูกไหม? วันที่ 3 เกิดอะไรขึ้น? วันที่ 3 พระเจ้าชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมาใหม่ ใครอยู่ที่นั่นด้วย เราก็อยู่ในนั้นด้วย ซ่อนอยู่ในนั้น หลังจากวันที่ 3 พระเยซูถูกเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว พระเจ้าบอกว่าได้แต่งตั้งให้พระเยซูอยู่สูงสุด สิทธิอำนาจในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ที่ถูกมอบให้กับพระองค์ทั้งหมดเลย รวมทั้งหมดเลย และให้พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ปกครองอาณาจักรทุกอย่าง เหมือนทุกสิ่ง ทุกอย่างอยู่ใต้พระบาทของพระเยซู คือหนังสือเล่มนี้ ตอนนี้หนังสือเล่มนี้ถูกวางไว้บนหิ้ง พระเจ้าเอาไปวางไว้บนหิ้ง เราก็เลยไปอยู่ที่หิ้งด้วย อย่าถ่อมใจลงมาอยู่ข้างล่าง เราอยู่ข้างบนแล้วตอนนี้ เพราะชีวิตเราอยู่ที่ไหน? ซ่อนอยู่ในพระคริสต์

ข้อ 4 บอกว่าและซ่อนอยู่ถึงเมื่อไร? ซ่อนอยู่ถึงเมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่าน ก็คือของนครปรากฏ ซ่อนอยู่ถึงเมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อพระเยซูปรากฏนั่นเอง  เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย

ก็คือในวันนั้น ที่พระเยซูจะกลับมาใหม่ และเราจะได้รับร่างกายใหม่ วิญญาณเดิมนี้เข้าไปสู่ร่างกายใหม่ เขาเรียกว่าพระสิริ ครบบริบูรณ์ ร่วมกับพระองค์

ตอนนั้นปรากฏให้ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ทุกวันนี้มันเกิดขึ้นแล้ว คือเรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน เรากับพระเจ้านั่งอยู่ด้วยกันในสวรรค์สถาน เป็นวิญญาณเดียวกันเลย ไม่ต้องไปมองที่ข้างบนเลย มองที่ตัวเรานี่แหละ มองที่ทั้งหมด ต่างๆ เวลาท่านอยู่ที่ไหน? พระเยซูก็อยู่ที่นั่น ชีวิตเรา วิญญาณเราซ่อนอยู่ที่ไหน?  ซ่อนอยู่ในพระคริสต์ เอเมน

เวลาท่านอยู่บนรถเมล์ ท่านอยู่ในพระคริสต์ด้วย

ท่านอยู่ในห้องน้ำ ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ด้วย

ท่านอยู่ในโรงหนัง ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ด้วย

ท่านกำลังทะเลาะกับชาวบ้าน ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ด้วย

เด็กดื้อกับพ่อแม่ เด็กคนนั้นก็อยู่ในพระคริสต์ด้วย ถ้าเขาเชื่อ เห็นหรือยัง?

ท่านอยู่ในโบสถ์ ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ด้วย

ท่านอยู่ในไนท์คลับ ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ด้วย  ไม่ได้ให้ท่านไปนะ พูดเฉยๆ สมมติท่านต้องไปทำงาน ไปติดแอร์ให้เขาอย่างนี้

ท่านอยู่ในพระคริสต์ด้วย ท่านไปไหน? พระคริสต์อยู่ในนั้น เป็นหนึ่งเดียวกัน ใหญ่ขนาดไหน? เอเมน

นี่คือฉลองวันเกิดของเราทุกคน ถือโอกาสเลยนะ วันเกิดใหม่ นั่นแหละ นึกถึงวันนั้นเป็นต้นมาจนถึงวันนี้ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า จะรู้หรือไม่รู้ เราก็นั่งอยู่ที่นั่นแล้ว แต่ถ้ารู้ มันดีกว่านะ มันดีกว่าไม่รู้ พระเจ้าจะให้เราเจริญเติบโต และเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ มันสำคัญที่สุด ในชีวิตของเรา และชีวิตเราก็เพียงแต่นั่งๆ นอนๆ ในนี้ไม่ได้บอกให้เราทำอะไรเลย ในนี้บอกว่าเมื่อนั้น ให้เรารอคอยวันที่พระเยซูจะกลับมา หรือเราไม่กลับไปหาพระองค์ วันที่ครบถ้วนบริบูรณ์ คือเราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่ไม่ต้องอืดอาด วุ่นวาย เต็มไปด้วยกิเลสทางเนื้อหนังอีกต่อไป เราได้รับพระสิริ ร่างกายใหม่จากพระเจ้า เรียกว่าร่างกายวิญญาณ ร่างกายจากสวรรค์ แล้วเราจะครอบครองร่วมกับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม 2017 เรื่อง “สัปดาห์ที่ 3 หลังจากพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตาย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม2017

เรื่อง “สัปดาห์ที่ 3 หลังจากพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตาย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            อย่างที่บอก วันนี้ยังอยู่ในเทศกาลของอีสเตอร์อยู่ วันนี้วันที่เท่าไรแล้ว อาทิตย์ที่เท่าไรแล้ว หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ครบรอบในปีนี้ วันแรก คือวันที่ 16 เมษายน มาถึงวันนี้ เป็นอาทิตย์ที่ 6 เป็น 42 วัน เพราะฉะนั้น วันพฤหัสฯ ที่ผ่านมาเป็นวันที่ 40 ในพระคัมภีร์บอกวันที่ 40 พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย มาอยู่กับเหล่ามนุษย์ ปรากฏพระองค์เอง เดินกับมนุษย์ กินข้าวกับมนุษย์ และก็เดินอยู่กับเหล่าสาวก ว่าพระองค์เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ 40 วัน วันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 40 วันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย และเดินอยู่กับมนุษย์ 40 วัน ครบรอบปีที่ 1,988 กับอีก 3 เดือน เป๊ะเลย ประมาณก็แล้วกัน ครบแล้ว ทำไม?

ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ย้อนไปประมาณ  1,988 ปี เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา พระเยซูลอยขึ้นไปปุ๊บ  แล้วสั่งอะไร? สั่งเสียสิ่งสำคัญ ให้ทำอะไร? ให้ออกไปประกาศ ไม่ได้สั่งเลย …

“จากนี้ต่อไป เป็นคนดีน๊า”

รู้อยู่แล้วว่าเป็นคนดี ทำดีนะ ไม่ใช่ สั่งอะไรคำเดียวเลย ออกไปประกาศข่าวดีนี้ทั่วโลกนะ ไปเลย ตั้งแต่ที่นี่ คือที่ไหน? ที่นี่ คือที่กรุงเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดีย หมายถึงจากเยรูซาเล็ม แล้วไปอ้อมถึงปริมณฑลต่างๆ คือแคว้นยูเดีย เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง แล้วอ้อมไปเมืองต่างๆ แล้วไปโน้นเลย ไปสะมาเรีย เมืองข้างๆ เป็นเมืองอื่นเลย  เสร็จแล้วไปไหนอีก ไปทั่วโลก มาเมืองไทยด้วย อยู่ในนี้แหละ พระคัมภีร์ อ่านดูให้ดีๆ แล้วจะเห็นเมืองไทยอยู่นั้น  มาที่โฮลี่ ที่อยู่ที่ถนนศรีนครินทร์ อยู่ในซอยกรุงเทพกรีฑา 8 ในปีนี้จะมีอย่างนี้ แล้วประกาศไปทั่วโลก จะมีอย่างนี้ จริงไหม? เราก็ทำตามที่พระเยซูบอก  กำลังประกาศอยู่ แล้วไปถึงไหน? ทั่วโลกจริงๆ เลย ทุกคนก็ได้ยินหมด ได้ยินเรื่องอะไร? พระเยซูบอกให้ไปประกาศข่าวดี เรื่องของพระเยซู เรื่องเป็นขึ้นจากความตาย เรื่องสวรรค์ เรื่องที่สำคัญที่สุด คือเรื่องนี้ ที่พระเยซูต้องการให้เราไปประกาศ นี่คือข่าวดี มองให้ดีๆ

โคโลสี 2:14 “พระ‍องค์​ทรง‍ฉีกกรม‍ธรรม์​ ซึ่ง​ได้ผูก‍มัด​เรา​ ด้วย​บัญ‌ญัติ​ต่างๆ ซึ่ง​ขัด‍ขวาง​เรา และ​ได้​ทรง​หยิบ​เอา​ไป​เสีย​ให้​พ้น​ โดย​ทรง​ตรึง​ไว้​ที่​กาง‌เขน”

 

นี่หรือคือข่าวดี คนเขาถามว่า … “นี่หรือคือข่าวดี”

สมมติเมื่อเช้าคุณตื่นขึ้นมา ล๊อตเตอร์รี่ออก เมื่อเช้าตื่นขึ้นมา เผอิญถูกรางวัลที่ 1 ท่านข่าวดีไหม? ข่าวดี แล้วท่านตื่นมาจะบอกคนข้างบ้าน

“ฉันถูกล๊อตเตอร์รี่ รางวัลที่ 1 เธอฉันถูกล๊อตเตอร์รี่ รางวัลที่ 1”

พระพรนี้มากกว่าล๊อตเตอร์รี่ รางวัลที่ 1 อีก ไม่เห็นตื่นเต้นแบบนั้นเลย พระเยซูบอกให้เราไปประกาศข่าวดี ถ้าเรารู้ซึ้งถึงความเป็นข่าวดีอย่างไร? เราก็ต้องประกาศอย่างนั้น ให้ท่านอ่านใส่อารมณ์นิดหนึ่ง

นี่คือข่าวดีที่เราประกาศออกไป ผมมีพรรคพวกอยู่ พวกผม 3 คนตะโกนดังกว่าใครเลย ใช่ไหม?

นี่คือข่าวดี ข่าวดี คือพระองค์ คือพระเยซู ได้ฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเรา ก็คือความบาป คำสาปแช่ง ที่ติดอยู่กับตัวเรา มนุษย์ตั้งแต่เกิดมาต้องใช้เวร ใช้กรรม พระองค์ได้ฉีกแล้ว เวรกรรมหมดไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องใช้อีกแล้ว ซึ่งขัดขวางเรา ขัดขวางเราทำไม? ขัดขวางเราในการที่เข้าไปหาพระเจ้า ขัดขวางเราในการที่จะไปสวรรค์ ขัดขวางเราการเป็นชอบธรรม และได้หยิบยกเอาไปเสียให้พ้น โดยตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์ได้ตรึงที่นั่นแล้ว นี่คือข่าวดี ต้องจำตรงนี้ไว้ว่าบาปของเราทั้งหลาย ไม่ใช่เราคนเดียว มนุษย์ทุกคนด้วย แต่เผชิญเรารู้แล้ว เราก็มารับสิทธิ เราก็ได้สิทธิ แต่เพื่อนมนุษย์อีกหลายคนยังไม่รู้ ไม่ได้ยินข่าวดีนี้หรอก ไปบอกข่าวดีนี้ให้เขาฟังว่าเขาไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมด้วยตัวเองอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าพระเยซูชดใช้ให้หมด เรียบร้อยไปแล้ว คำพยานยืนยัน คือได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ตามถ้อยคำพระเจ้าที่ได้บอกไว้ เอเมน

เอเฟซัส 1:7 “ในพระเยซู เราได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า”

 

เห็นไหม ผมได้เอาตะปู จริงๆ ต้องมี 3 ตัวนะ ตะปูข้อมือซ้าย ข้อมือขวา และก็เท้า นี่ยังขาดไปอันหนึ่ง แต่ผมเอาตะปูและมีเลือดอยู่ ปักไว้ให้เห็น นี่ตั้งใจทำพิเศษมาโดยเฉพาะ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ใครเอาไปใช้ก็ได้ ปักไว้เป็นเลือด ด้วยโลหิต คือด้วยชีวิตของพระองค์ เป็นแพะรับบาปให้กับเรา ได้ตรึงเอาบาปของเรา มนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ของเราคนเดียว แต่ของมนุษย์ทุกคน ใครได้ข่าวดีนี้ และรับรู้ข่าวดีนี้  และรับเชื่อในข่าวดีนี้  เขาก็ได้สิทธิเขาไปฟรีๆ เอาบาปของเรา มนุษย์ทุกคนตรึงไว้ที่ไม้กางเขน เอาคำสาปแช่งที่มนุษย์ทุกคนโดน ตรึงไว้ที่ไม้กางเขน ทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นอิสรภาพจากความบาปและคำสาปแช่งมาเป็นผู้ชอบธรรม สามารถกลับไปหาพระเจ้า สามารถอยู่ในสวรรค์ได้ นิรันดร์กาล สวรรค์เป็นของมนุษย์ทุกคนแล้ว นี่คือข่าวดี ข่าวดีที่สุด ก็คืออะไร? คือสิ่งเหล่านี้ได้ไปฟรีๆ โดยไม่ต้องเสียเงินอะไรเลย  แม้แต่นิดหนึ่ง ไม่ต้องถวายสิบลด ไม่ต้องถวายพิเศษ ไม่ต้องสร้างอาคารของโบสถ์ ไม่ต้องมาให้ศิษยาภิบาล ไม่ต้องเอากล้วยมาให้ ก็ได้ หมายถึงไม่ต้องเอามาก็ได้  แต่เอามาก็ดี  กินด้วยกันๆ ได้ฟรีๆ ตรงนี้ คือข่าวดีไง

พระเยซูพูดแค่นี้ ให้เราออกไปประกาศข่าวดีนี้ ไม่ได้บอกให้เราออกไปสอนศีลธรรมว่าให้คนนี้ทำดีๆ เพราะว่าใครได้ข่าวดีไปนี้ เขาเป็นคนดีแล้ว ดีในวิญญาณของเขา จบเลย พอใครได้รับรู้ข่าวดีนี้ พอใครได้รับข่าวดีนี้ บาป สาปแช่ง ได้ออกไปจากวิญญาณของเขา ตัวจริงๆ ของเขา คือวิญญาณ ตัวจริงๆ ของมนุษย์ คือวิญญาณ … วิญญาณนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่ถูกสร้างใหม่ 2 โครินธ์ บทที่ 17 บอกว่ามันถูกสร้างใหม่ เดี๋ยวนั้นเลย ระเบิดปรมาณูเกิดขึ้นในวิญญาณของเขา ณ เดี๋ยวนั้น วินาทีนั้น ที่เขารับเชื่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง สิทธินี้เป็นของเขา มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในวิญญาณ วิญญาณเขาได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด อินโนเซ็นต์สำหรับบาป เขาไม่รู้เรื่องว่าบาปคืออะไร?  เขาทำบาปไม่เป็น เขาโกหกไม่เป็น เขากลัวโกรธคนไม่เป็น เขาฆ่าคนไม่เป็น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่ต้องให้อภัยใครเลย  เพราะว่าไม่เคยโกรธเลย แต่เผอิญเขายังอยู่เนื้อหนังร่างกายที่มองเห็น มันก็มีวิสัยบาปอยู่ในนั้นอยู่ ก็รอจนกว่าวันหนึ่งร่างกายนี้มันจะตายลงไปซะที ลงไปในดิน และวิญญาณเขาก็กลับไปอยู่กับพระเจ้า เพราะมันสะอาดหมดจดแล้ว เข้าใจไหม?

เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงบอกให้ไปประกาศตรงนี้ ตรงนี้ คือเหตุผล ตรงนี้คือจุดสำคัญที่สุด ถ้าได้ตรงนี้ ได้เลย  ไม่มีใครมาเอาความรอดออกไปจากท่านอีกแล้ว ไม่มีใครมาทำให้ท่านบาปได้อีกแล้ว ไม่มีใครมาทำให้ท่านไปลงนรกได้อีกแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้ท่านออกไปจากความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ได้อีกเลย ถ้าท่านรับเชื่อตรงนี้ คือได้เลย 100% เอเมน

แล้วก็รอ เพียงแต่วันหนึ่ง ร่างกายนี้มันจะป่วยไข้ มันจะเจ็บป่วย มันจะถึงเวลาลงไปในดิน ก็จบไป วิญญาณออกจากร่าง บริสุทธิ์เลยครับ พระเจ้าถามบาปไหม? ไม่บาปเลย บริสุทธิ์ เพราะมันไม่ได้บาปจริงๆ มันไม่สามารถมาโกหกพระเจ้าว่าบาป เอ๊ะไม่บาป มันคิดไม่ออกเลย  ไม่รู้ด้วยว่าบาปคืออะไร? มันบริสุทธิ์ ไปอยู่ในสวรรค์ สวรรค์เขาก็อยู่กันอย่างนี้ เขาไม่รู้จักคำว่าบาป ไม่รู้จักความดีความชั่ว คืออะไร? เพราะมันดีตลอด มันกลับไปอยู่ที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ

นี่แหละคือข่าวดี ที่เราต้องช่วยกันประกาศออกไป หน้าที่ของเรา คือเอาร่างกายที่ยังมีเชื้อบาปนี้ ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้า ใกล้ๆ นี้ จะต้องไปสู่ดิน คือดิน น้ำ ลม ฟ้า กลับไปสู่ดิน วิญญาณเราไปหาพระเจ้า ก่อนหน้านี้เรายังอยู่ในร่างกายนี้  พระเจ้าจะใช้ร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างเดียวที่พระองค์จะใช้ ไม่ใช่ใช้เราสร้างโบสถ์ นั่นเป็นส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ใช้เราใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ เพื่อจะสนุกสนานบนโลกใบนี้ นั่นมันส่วนหนึ่ง แต่จะใช้ร่างกายเราให้ประกาศข่าวดีนี้ ตามน้ำพระทัยพระองค์ จะด้วยวิธีใดก็ตาม จะด้วยวิธีนอนอยู่ที่บ้าน ป่วยอยู่ก็ตาม จะด้วยวิธีเดินประกาศก็ตาม จะด้วยวิธีทำอะไรก็ตาม พระเจ้ากำลังใช้ท่านอยู่ ท่านไม่ต้องห่วง พระเจ้ากำลังใช้ท่านอยู่ ท่านไม่ต้องพยายามแสวงหาว่าจะรับใช้ พระเจ้าใช้ท่านอยู่ ตราบใดท่านมีลมหายใจอยู่ และท่านเชื่อในข่าวดีนี้ พระเจ้าใช้ท่านอยู่ พอแล้วแค่นั้น เดี๋ยวท่านจะถูกนำไปเอง เข้าใจใช่ไหม? ที่ผมบอกให้ท่านไปประกาศข่าวดีนี้ หมายถึงขณะที่ท่านอยู่ในร่างกายนี้ และมีลมหายใจอยู่ ขอให้ท่านเชื่อข่าวดีนี้เถิด พอท่านเชื่อข่าวดีนี้ พระเยซูจะเข้าไปอยู่ในตัวท่าน พระวิญญาณจะเข้าไปอยู่ในตัวท่าน และพระองค์จะนำท่านไปเอง ด้วยวิถีทางของพระองค์ จะป่วย จะไข้ จะดี จะเลว จะมั่งมี ยากจน พระเจ้าอยู่กับเรา นำเราในการเอาข่าวดีนี้ไปให้บรรดาผู้คน ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ เลือกไว้ให้ได้รับข่าวดีนี้ ตามแผนการของพระองค์ หมดหน้าที่เรา พระองค์ก็บอกว่า …

“ไปแล้วลูก ไป กลับบ้านไป ไปพักผ่อน”

จบ เอาวิญญาณเรากลับบ้าน เอเมน

และเอาวิญญาณท่านไปกลับบ้าน บนโลกนี้ท่านไม่ต้องห่วง ท่านเคยทำอะไร? ท่านลืมหมดแล้ว ไม่ใช่ลืมหมดทุกอย่างนะ ไม่ใช่ ลืมเฉพาะที่เป็นบาป เพราะไม่มีบาปอยู่ในวิญญาณของเราแล้ว จะไปจำอะไรได้ ตอนที่เราโกหก อยู่บนโลกใบนี้ ตอนที่เราเกลียดใคร วิญญาณเราไม่ได้เกลียดเขานะ แต่เนื้อหนัง ความคิดเก่าๆ เราเกลียดเขา เราเป็นเหมือน 2 ตัวในร่างเดียว เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้น วิญญาณเราออกจากร่าง ไม่ต้องกลัวว่าเราโกรธคนนี้ไป เดี๋ยวตายไปเจอในโลกสวรรค์ คิดว่าเรายังโกรธเขาอยู่ อายเขาตาย เป็นคริสเตียนยังโกรธอยู่ ไม่ต้องห่วง พอหลุดออกจากร่างไปแล้ว ท่านไม่มีความคิดอะไรที่เป็นของเก่าๆ ที่เป็นความบาปเลย  เพราะความบาปมันไม่ได้อยู่ในวิญญาณของท่านเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกวันนี้ วิญญาณท่านสะอาดหมดจด แม้กระทั่งเมื่อกี้โกหกมาก็ตาม แม้ตะกี้นี้ผมโกหกท่านบางอย่าง ผมก็ยังวิญญาณสะอาด ถูกไหม?  เพราะมันคนละเรื่องกัน มันไม่เกี่ยวกัน เอเมน

เพราะฉะนั้น ให้ท่านมั่นใจตรงนี้ว่าท่านกำลังประกาศข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า หลายคนบอกเวลาผมพูด นึกว่าผมพยายามยัดเยียดให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ต้อง ประกาศข่าวประเสริฐทั่วโลก ก็คือ …

“คุณยังรักษาความเชื่อนี้ คุณรู้ว่าคุณได้ความบริสุทธิ์ ได้ความเชื่อนี้ เพราะอะไร? ข่าวดีนี้คืออะไร?”

พอแล้ว เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำพาท่านไปเอง สัปดาห์หน้าเป็นวันครบรอบพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา เข้ามาอยู่ในมนุษย์ นำพามนุษย์ ประกาศข่าวประเสริฐเป็นครั้งแรกในรอบ 1,988 ปีที่ผ่านมา เรามาฉลองกัน วันนี้ก็ประกาศกันไปทุกคน เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2017 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2017

เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

นี่คือซองกรมธรรม์ พระราชกฤษฎีกาที่บันทึกไว้ สั่งโดยผู้พิพากษาใหญ่ที่สุดในโลก และในมหาจักรวาล คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด สั่งว่าให้มนุษย์ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ไม่ต้องพูดแล้วนะ คำสาปแช่งคืออะไร? มนุษย์ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ก็คือมนุษย์และบุตรหลานของมนุษย์ทุกคน อยู่ใต้กฎคำสาปแช่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราอ่านตรงนี้กันใช่ไหม? โคโลสี 2:14 อ่านด้วยกันอีกครั้ง เป็นความหวังใจของเรา เรากำลังอยู่ในการฉลองเทศกาลอีสเตอร์อยู่ สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ 2 หลังจากวันอีสเตอร์มาแล้ว ยังฉลองอยู่ ยังมันอยู่ ยังสนุกสนาน เกี่ยวกับเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ที่มาช่วยเรา

โคโลสี 2:14 “พระ‍องค์​ทรง‍ฉีก​กรม‍ธรรม์ ​ซึ่ง​ได้​ผูก‍มัด​เรา ​ด้วย​บัญ‌ญัติ​ต่างๆ ซึ่ง​ขัด‍ขวาง​เรา และ​ได้​ทรง​หยิบ​เอา​ไป​เสีย​ให้​พ้น​ โดย​ทรง​ตรึง​ไว้​ที่​กาง‌เขน”

 

ตอนนี้ท่านสามารถเห็นแล้วว่าพระคัมภีร์บอกเราว่าซองนั้น คือซองอะไร? ซองกรมธรรม์แห่งคำสาปแช่งของเราตอนนี้อยู่ที่ไหน? พระเยซูตรึงไว้ที่ไม้กางเขน ไม่ได้อยู่กางเขนอย่างเดียว แถมฉีกออกด้วย ฉีก แปลว่าหมดแล้ว เป็นอิสระแล้วถึงฉีกได้

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว เมื่อ 1,988 ปีที่แล้ว สัปดาห์ก่อนได้อธิบายเรื่องนี้ให้ฟังแล้วนะว่านี่คือผลแห่งการเป็นขึ้นจากความตาย แห่งการตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ความสำคัญของวันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐ มันเป็นเลย สรุปง่ายๆ มันเป็นข่าวดี ที่มาถึงมวลมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่ายุคไหนก็ตาม ตั้งแต่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และต่อไปอีกเมื่อไรก็ตาม เป็นมรดก เป็นข่าวดีสำหรับพวกเขาทั้งหลาย และถ้าข่าวดีนี้ ประกาศไปถึงที่ไหน ถ้าเขาไม่เชื่อ เขาก็ไม่ได้รับสิทธิ์ตรงนี้เลย เขาก็ยังอยู่ใต้คำสาปแช่งเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น ข่าวดีนี้ประกาศที่ไหน มันต้องเกิดสิ่งหนึ่งขึ้น คือคนนั้นที่ได้ยินข่าวดีนี้ต้องเชื่อ แล้วก็ทำ

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกเชื่อ แล้วไม่กระทำ ไม่มีประโยชน์ เชื่อแล้วยังอยู่เฉยๆ ไม่มีประโยชน์ เชื่อแล้วต้องทำ ทำอะไร? เป็นอิสระไง ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ สมัยรัชกาลที่ 5 ประกาศอิสรภาพ ให้กับคนเป็นทาสทั้งประเทศ ยกเลิกการเป็นทาส คนเป็นทาสในเรือนเบี้ย ตั้งแต่ยุคไหนไม่รู้ ตั้งแต่ปู่ย่า ตายาย ก็เป็นอิสระหมด ประกาศข่าวดีนี้ออกมา จากราชการ ทาสหลายบ้านก็เป็นอิสระ เฮ! กันใหญ่ แต่มีอีกหลายบ้าน ไม่ออกมา มี 2 ประเด็น

พวกแรก ก็คือพวกที่ไม่เชื่อข่าวดีนี้ว่าเป็นจริง

พวกที่สอง ก็คือพอจะเชื่อบ้าง แต่ไปเจอเอาเจ้านายที่ไม่ดี เหมือนมารซาตานที่มาหลอกมนุษย์

“ไม่จริงหรอก เธอต้องใช้เวร ใช้กรรม ใช้หนี้อยู่”

พระเยซูบอก “ไม่จริงๆ เธอยังต้องใช้เวรใช้กรรม”

ไม่กล้าออกมา พวกที่เป็นทาส แบบ 2 นี้ ในสมัยนั้น สมัยรัชกาลที่ 5 ก็ทำไม ก็ถูกพวกเจ้าขุนมูลนาย ที่เป็นเจ้าของทาส ตอนนั้น กลัวเสียทาสไป ก็เลย ข่มขู่

“อย่านะ เธออย่าออกไป กลับมา ฉันจะลงโทษเธออย่างหนัก ตายแน่เลย ลูกหลานเธอออกไปไม่ได้นะ”

ก็ไม่กล้าออกไป ทั้งๆ ที่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ก็ออกมาตะโกนหน้าบ้าน เขาเลิกทาสแล้ว ออกมาเถอะ กล่ำๆ กึ่งๆ ไม่กล้าออกไป

“ถ้าออกไปเธอตายนะ”

ทั้งๆ ที่ พอออกมาแล้วเป็นอย่างไร? เป็นอิสระ คนก็ไปประกาศข่าวดีอยู่นั่นแหละ ไปตะโกนอยู่หน้าบ้าน

“ออกมาเถิด เขาประกาศเลิกทาสตั้งนานแล้ว จะไปเป็นทาสเขาทำไม?”

ทุกวันนี้ ก็เป็นอย่างนี้ ผู้ที่ข่มขู่มนุษย์ทุกวันนี้ หลอกลวงมนุษย์ทุกวันนี้ ก็คือมาร มารก็พยายามที่จะหลอกลวงมนุษย์ ข่มขู่มนุษย์ ทั้งๆ ที่มันไม่มีอำนาจเลยนะ มันข่มขู่ให้เรากลัว แล้วก็ไม่กล้าต้อนรับข่าวดีนี้ เพราะกลัวไง กลัวอะไรต่างๆ นานา ทั้งหมดเลย ในที่สุด ก็ยังอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่คำสาปแช่งอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ไม้กางเขน ตามที่เราได้อ่านไปเมื่อสักครู่นี้แล้ว เพราะฉะนั้น เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องออกไปประกาศข่าวดี ให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

ผมมีเรื่องเล่าให้ท่านฟังนิดหนึ่ง เบื้องหลังว่าที่พระเยซูฉีกกรมธรรม์ที่ผูกมัดเรา ด้วยคำสาปแช่งเหล่านี้ เป็นแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ตั้งนานแล้ว แต่ก่อนสร้างโลกอีกว่าถ้ามนุษย์ตกลงไปในความบาปแล้ว เราจะช่วยเขาอย่างไร? ซึ่งพระเจ้าก็ทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่ามนุษย์ไม่มีทางสามารถที่จะใช้หนี้ ใช้เวร ใช้กรรมต่างๆ เหล่านั้น ให้กับพระองค์ ตามที่ได้ละเมิดคำสั่งของพระองค์ คือทำบาป คือละเมิด คำสั่งเป็นกบฏพระเจ้า ไม่มีทางหรอก พระเจ้ารู้อย่างนั้น จึงเตรียมให้มีพระเยซูมาเกิด วิธีเตรียมก็ง่ายๆ นิดเดียว คือรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้ ด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อโลก ไม่ใช่มนุษย์อย่างเดียว สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงสร้าง ทั้งสิงสาราสัตว์ ทั้งต้นไม้ ทั้งหมดเลย พระองค์ก็เตรียมแผนการไว้ เพื่อให้มนุษย์หลุดพ้นจากคำสาปแช่งนี้ได้ ให้พระเยซูมาเกิด และตายที่ไม้กางเขน โดยพระเจ้า ได้ทรงเลือกเอาคนกลุ่มหนึ่ง ฟังให้ดีๆ นะ นี่คือประวัติศาสตร์ ที่รวบรวมแป๊บเดี๋ยว พาให้ท่านเห็นคร่าวๆ ท่านจะได้เห็นภาพว่าพระเจ้าไปรวบรวม แผนการนี้ทั้งหมด โดยมนุษยชาติ คือมวลมนุษยชาติ ในนี้บอกจะช่วยเหลือมนุษยชาติ ด้วยการเลือกเอาตัวแทนมนุษย์ กลุ่มหนึ่งขึ้นมา เพื่อจะทำแผนการของพระองค์ให้สำเร็จ ผ่านทางมนุษย์กลุ่มนี้ ซึ่งชนกลุ่มนี้ พระเจ้าจะทรงนำทางเขา ใกล้ชิด ค่อยๆ สอน เพื่อบอกเขา ถึงแผนการแห่งการไถ่บาปของพระเยซู เพื่อไถ่มนุษย์พ้นจากคำสาปแช่ง การช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น จากความบาป เพื่อที่จะฉีกเอากรมธรรม์แห่งคำสาปแช่งนี้ออกไป ชนกลุ่มนี้พระเจ้าเลือกใช้สอย เรียกว่ากลุ่มผู้รับใช้ หรือกลุ่มที่เลือกมาสำหรับรับใช้ กลุ่มนี้ คือชาวยิว หรืออิสราเอล ภายหลังพระเจ้าให้ตั้งชื่ออิสราเอล เพราะฉะนั้น ท่านรู้แล้วนะว่าชาวยิว หรือชาวอิสราเอลเป็นเหมือนตัวแทนมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ ซึ่งพระเจ้าจะกระทำการงานของพระองค์ผ่านทางคนกลุ่มนี้ เพื่อช่วยมนุษย์ทั้งหมดนะ ไม่ใช่ช่วยเฉพาะอิสราเอล ช่วยมนุษย์ทั้งหมดเลย แต่ผ่านกลุ่มนี้

พระเยซูที่ทรงเกิด จากหญิงพรหมจารีย์ แมรี่ ก็เป็นเชื้อสายของคนกลุ่มนี้แหละ กลุ่มที่เรียกว่ายิวหรืออิสราเอลนี่แหละ และหลังจากที่แผนการของพระเจ้าสำเร็จบนโลกใบนี้ คือพระเยซูได้ทรงไถ่บาปให้กับมนุษย์แล้ว ทำให้มนุษย์ได้รับความรอดแล้ว โดยผ่านทางความเชื่อในศุกร์ประเสริฐ และอีสเตอร์ การตายของพระองค์ที่ไม้กางเขนและการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระองค์นั้น ผ่านทางความเชื่อ มนุษย์คนใดเชื่อได้รับความรอดนี้ พระคัมภีร์บอกว่าคนๆ นั้นที่ได้รับความรอดแล้ว เหมือนเราที่นั่งอยู่ที่นี่ คนๆ นั้น ที่เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอดแล้ว ก็จะได้ชื่อว่าประชากรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเลือกไว้ ชื่อเดียวกันกับยิวเลย แต่ว่าเชื่อแล้วทางพันธสัญญา ทางฝ่ายวิญญาณ จึงเรียกเราว่ายิวทางวิญญาณ หรืออิสราเอลทางวิญญาณ ท่านตอนนี้ที่นั่งอยู่ พระคัมภีร์เรียกท่านว่ายิวในวิญญาณ หรืออิสราเอลในวิญญาณ นึกออกไหม? ชาวยิวที่เชื่อมาก่อน เชื่อพระเจ้า รู้จักเหมือนกับเราแต่ก่อน ซึ่งในปัจจุบัน ยิวบางพวก ก็ไม่เชื่อพระเยซู แต่บางพวก ก็เชื่อ ยิวเหล่านี้ ในพระคัมภีร์ เขาถือว่าเป็นพี่เรา พี่ในความรอด เราเหมือนเป็นน้อง เราเป็นยิวทางวิญญาณ พระคัมภีร์จะใช้คำว่าเป็นพี่เป็นน้อง

เพราะฉะนั้น พวกเราที่ไม่ได้มีเชื้อสาย ยิวทางกายภาพ ได้เป็นชาติยิว เป็นคนไทย คนยิว อะไรต่างๆ แต่ได้มารับเชื่อโดยพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอดแล้ว ได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เราก็ได้ชื่อว่าเป็นชาวยิวในวิญญาณ และมีศักดิ์เป็นน้องทางวิญญาณของชนชาติยิวนั่นเอง เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ท่านจะเห็นภาพที่ชัดเจน หลายเรื่องในพระคัมภีร์ที่ได้พูดถึงพี่กับน้อง บอกล่วงหน้าก็มี บอกไว้ในพระคัมภีร์ก็มี เรื่องราวในพระคัมภีร์ พวกเราที่เป็นน้องทางวิญญาณ คือคริสเตียน

น้องทางวิญญาณของชนชาติยิว ก็คือพระเยซูได้ยกตัวอย่าง บุตรน้อยหลงหาย เดี๋ยวผมจะเล่าให้ท่านฟัง บุตรน้อยหลงหาย ที่เคยกบฏต่อพระเจ้า หนีออกจากบ้าน ไปใช้ชีวิตส่วนตัว ไปช่วยตัวเอง ไม่อยู่กับพ่อ ไปอยู่เอง แล้วก็สำมะเลเทเมาเละเทะมากมาย แล้วในที่สุด หมด อยากจะกลับมา ถ้ากลับมาหาพ่อใหม่นะ ขอยกโทษจากพ่อนะ ขอเป็นทาสก็พอแล้ว อะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่พอกลับมาถึงพระเจ้า ไม่ได้คิดจะลงโทษอะไร มีแต่คิดอย่างเดียวว่าจะให้รางวัลอย่างไร? จะดีใจอย่างไร? เขากลับมามีชีวิตอยู่ดี เตรียมงานเลี้ยงไว้ให้เลย มาถึงแทนที่จะพูดว่าไปทำอะไรมาไม่ดี ไม่ฟังเลย ลูกจะขอโทษอย่างไร ไม่ฟัง ฟังอย่างเดียว บอกคนใช้ไปเอามาเลย ไปเอาเสื้อคลุมกับแหวนมาให้

เสื้อคลุมกับแหวน คือสิทธิ์อำนาจในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี เอามาให้เลย อาณาจักรในสวรรค์ เอามามอบให้เลย มอบสิทธิ์อำนาจให้กับลูกตัวเอง แถมจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ทูตสวรรค์ทั้งหมด บริวารทั้งหมด มาจัดงานเลี้ยง เพราะลูกคนนี้กลับมาแล้ว คนที่กลับมาเชื่อพระเจ้า ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ

เสร็จแล้ว พี่ทางวิญญาณ ที่อยู่กับพ่อ ไม่เคยหนีไปเลย ชาวยิว ทางกายภาพ ในเรื่องนี้บอกว่าพี่ทางวิญญาณงอน อิจฉาน้อง

“ทำไมน้องได้ง่ายอย่างนี้ ไม่ต้องทำอะไรเลย ได้ฟรีๆ เลย พ่อไม่ลงโทษเลย”

ก็เหมือนเราแหละ ยิวเขาเห็นเรา ทำไมได้ฟรีๆ พวกฉันกว่าจะได้รับความรอด ผ่านทางบทบัญญัติของพระเจ้ามาเยอะแยะ ถูกตีสอนอะไรต่างๆ ท่านเวลามาเชื่อพระเจ้า เชื่อแค่นี้เองเหรอ เชื่อพระเยซูนะ ไม่เคยทำพิธีกรรมไถ่บาปตัวเองเลย ไม่เคยฆ่าวัว ฆ่าสัตว์ เอาเลือดให้ปุโรหิตไปล้างชำระบาปตัวเองเลย ไม่เคยเลย แค่ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นเอง พระเยซูบอกนั่นแหละ สวรรค์เป็นอย่างนี้แหละ พระเจ้าเตรียมไว้อย่างนั้น  อย่างนี้เป็นต้น

แล้วในที่สุด พ่อก็บอกว่า “พี่เธอจะไปงอนน้องทำไม ไปอิจฉาน้องทำไม ในเมื่อทรัพย์สมบัติ ในบ้านทั้งหมด เธอไม่ได้ไปไหน ฉันให้เธอ มันเป็นของเธออยู่แล้ว ทรัพย์สมบัติในบ้าน มันก็เป็นของเธออยู่แล้ว ก็คือสวรรค์ก็เป็นของเธออยู่แล้ว เธอจะไปงอนเขาทำไม น้องมา เธอน่าจะดีใจ

นี่คือหนึ่งในเรื่องราวที่พระเยซูยกตัวอย่างให้ท่านเห็นภาพ ตื่นเต้นไหม? พอเรารู้เรื่องนี้แล้ว ได้เห็นภาพชัดเจน ความรอดที่มาถึงเรามันง่ายมาก เวลาคนอื่นเขาจะได้ มันยากมากเลย ชาวยิวกว่าจะได้รับ ลำบากลำบนเลยนะ พระเจ้าใช้เขา แต่ตอนนี้พระเจ้าใช้เราแล้ว พระเยซูส่งไม้ต่อมาถึงเราแล้ว ชาวยิวเขาจบหน้าที่เขาแล้ว พระเจ้าใช้เขาจนกระทั่งมาถึงพระเยซูคริสต์เกิดและตายที่ไม้กางเขน แล้วบอกว่าสำเร็จแล้ว ต่อไปนี้เขาไม่มีหน้าที่แล้ว หน้าที่มาเป็นของน้องแล้ว คือหน้าที่ประกาศข่าวดีนี้ออกไป นี่คือหน้าที่ของเรา ดังนั้นตรงนี้ง่าย หน้าที่ของเราไปประกาศว่าอะไร? ประกาศว่าฉีกกรมธรรม์ แล้วปะไว้ตรงนั้น  ตอนนี้ตรึงอยู่ที่ไม้กางเขนแล้ว ความรอดได้มาง่ายๆ ทุกคน โดยพระคุณ เราจึงได้รับความรอด เอเฟซัส 2:8-9 สรุปไว้อย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9 ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้”

 

นี่แหละ คือข่าวประเสริฐ ที่มีหน้าที่ประกาศ แค่ในนี้ อย่าไปเติมมากกว่านี้ อย่าไปลดน้อยกว่านี้ นี่คือข่าวประเสริฐ 100% อย่าเติมเข้าไปว่าต้องทำอันโน้น อันนี้ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ นี่คือข่าวประเสริฐที่มาถึงเรา ข่าวจริงๆ เลย ข่าวประเสริฐจริงๆ ซึ่งข่าวประเสริฐจริงๆ ตัวนี้ เพิ่งจะมีการสังคยณามา 500 ปีนี้เอง ก่อนหน้าที่มีคนถูกแทรกเข้าไป ทำให้ข่าวดี 100% เหลือ 80 บ้าง, 60 บ้าง, 20 บ้าง แต่มีการปฏิรูปเรื่องนี้ขึ้นมา ข่าวดีนี้ขึ้นมา เมื่อ 500 ปีที่แล้ว คนที่ปฏิรูปนี้ มีชื่อว่า ลาติน ลูเธอร์ ที่เล่าให้ท่านฟัง เพราะว่าคริสตจักรเราอยู่ภายใต้ความเชื่อแบบเดียวกัน คริสเตียนโปรเตสแตนต์ คืออยู่ในเครือข่ายนี้ ปีนี้ เดือนนี้ เป็นเดือนที่ครบ 500 ปีของการปฏิรูปเรื่องนี้ ว่าหัวข้อใหญ่ ก็คืออันนี้ ก็คือข่าวดีของพระเจ้า คืออะไร? ความรอด รอดโดยพระคุณ ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ อย่าเอาอะไรมาบวกเด็ดขาด อย่าเอาการถวายทรัพย์มาบวก อย่าเอาเรื่องการลงบัพติศมามาบวก อย่าเอาพิธีกรรมต่างๆ เยอะแยะมากมายมาบวก นี่คือหัวใจ ความรอดอยู่ที่นี่ เกาะตรงนี้ไว้ ก็ได้รับความรอดแล้ว นี่คือการฉลองวันอีสเตอร์กับวันศุกร์ประเสริฐ อีกหนึ่งครั้ง ในคริสตจักรของเรา ในปีนี้  สัปดาห์ที่ 2 สัปดาห์หน้าจะเอามาอีก จะเอาเรื่องที่เขาท่านไม่เคยได้ยิน มาเล่าให้ท่านฟังอีกว่าเบื้องหลังของการไถ่บาป ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า มันซ้อนและมันตรงเป๊ะๆ คิดไปทุกเรื่องในโลกใบนี้ มาจากพระเจ้าทั้งสิ้น พระองค์ทรงวางไว้แล้วทั้งหมด ขอบคุณพระเจ้าที่เราได้รู้จักเรื่องนี้ และขอบคุณพระเจ้าที่เราได้รับผลจากเรื่องนี้ คือเราได้รับความรอดแล้ว เอเมน

 

 

*****************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2017 เรื่อง “A week after Easter” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2017

เรื่อง “A week after Easter”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ สวัสดีวันสงกรานต์ครับ สงกรานต์ไม่อยู่แล้ว แต่วันอะไรยังอยู่ สุขสันต์วันอีสเตอร์ยังอยู่ อยู่ตลอดไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงนี้ยังต้องอยู่ เพราะเทศกาลอีสเตอร์ต้องเลยไปอีก 50 วัน ไปถึงวันเพ็นเทคอสนั่นแหละ วันที่พระเยซูมาสถิตอยู่กับเรา เป็นครั้งแรก แล้วนอกเหนือจากนั้น วันนี้ยังเป็นวันที่ 7 จากการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ พระเยซูยังมาประกาศข่าวประเสริฐด้วยตัวพระองค์องค์ 40 วัน หลังจากที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย

สัปดาห์ที่แล้ว เป็นวันเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู 1,980 กว่าปีมาแล้ว ยังจำได้ไหมว่าเราได้เรียนรู้เรื่องอะไรกัน? สำคัญอย่างไร? ในโคโลสี 2:14 นี่คือความสำคัญที่สุด ที่บอกว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตาย ยังคงเป็นอยู่ตลอดไป เพราะประโยคนี้  ประโยคนี้สำคัญมาก โคโลสี 2:14 บันทำไว้อย่างนี้ ท่านตั้งใจอ่านให้ดีๆ ผมอุตสาห์เลือกเอาภาษาไทยที่เขาแปลที่ดีที่สุดแล้ว เพื่อให้เห็นชัด ในโคโลสี 2:14 เหตุการณ์เกิดขึ้น เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว บนไม้กางเขน วันอีสเตอร์แรกของโลก วันศุกร์ประเสริฐแรกของโลก คือวันที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนใช่ไหม? สิ่งนี้เกิดขึ้น ผลคืออะไร? โคโลสี 2:14 บอกว่า …

โคโลสี 2:14 “พระ‍องค์​ทรง‍ฉีก​กรมธรรม์ ​ซึ่ง​ได้​ผูก‍มัด​เรา ​ด้วย​บัญ‌ญัติ​ต่างๆ ซึ่ง​ขัด‍ขวาง​เรา และ​ได้​ทรง​หยิบ​เอา​ไป​เสีย​ให้​พ้น​ โดย​ทรง​ตรึง​ไว้​ที่​กาง‌เขน”

 

“ฉีกกรมธรรม์” รู้ไหมแปลว่าอะไร? ไม่รู้ กรมธรรม์ คือสัญญา … สัญญาในที่นี่ ไม่ใช่สัญญาธรรมดา ภาษาเดิมตรงนี้ ไม่ใช่สัญญาธรรมดา แต่เป็นสัญญาที่เป็นคำสั่ง เป็นพระราชกฤษฎีกา สั่งโดยผู้ที่มีความยิ่งใหญ่สูงสุด สั่งมาต้องปฏิบัติตามนี้ เหมือนผู้พิพากษาของมหาจักรวาลเป็นผู้สั่ง เหมือนกับใครก็ตาม พระเจ้าอยู่หัว กษัตริย์ที่สูงสุด ประธานาธิบดีที่สูงสุดของประเทศนั้นๆ สั่งว่าให้ทำอย่างนี้ แล้วให้จดบันทึกไว้ในหนังสือสัญญา หรือคำสั่งนี้ คำว่ากรมธรรม์ แปลว่าอย่างนี้ เป็นคำสั่ง สั่งลงมา

สั่งใคร? ในนี้บอกว่า “สั่งเรา” เราคือใคร? มนุษย์ทั้งปวง แล้วพระเยซูทำอะไร เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในนี้บอกว่าทรง … เพราะฉะนั้น สัปดาห์ที่แล้ว ทางโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น ผมจะทำให้ท่านดู ท่านจะเห็นชัดเจนขึ้น

สัปดาห์ที่แล้ว ที่ไม้กางเขน ตามในนี้นะ โคโลสี 2:14 สัปดาห์ที่แล้วพระเยซูอยู่บนไม้กางเขน  ในโลกวิญญาณ พระองค์ทรงหยิบซองขึ้นมา ซองนี้มีชื่อซองว่า “กรมธรรม์” เปิดซองออกมา พระราชกฤษฎีกา สั่งโดยพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม เที่ยงธรรม ไม่มีลำเอียง สั่งอย่างไร? มนุษย์ต้องชดใช้สิ่งที่เขากระทำไป ด้วยความบาปที่เขากระทำ

บาป คือการกบฏต่อพระเจ้า

พระเจ้า คือผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดของมหาจักรวาล เขากบฏ ไม่เชื่อฟัง เป็นศัตรู คือกบฏ เขาได้รับโทษของการเป็นกบฎ แล้วโทษของการกบฏ มนุษย์เราก็รู้แล้ว คือประหารชีวิตลูกเดียว โทษของการกบฎของมนุษย์ ก็ไล่ลงมาเลย เขาต้องชดใช้บาป เวรกรรมของเขา เพราะเขาเป็นชนชาติแห่งการกบฎ ก็เขียนบันทึกยาวเลย เขาไม่สามารถที่จะเป็นลูกของเราอีกต่อไปได้ เขาต้องเป็นทาส จากฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้า กลายเป็นทาส ในนี้เขียนไว้นะ เขาจะไม่สามารถเข้ามาอยู่กับเราได้อีกแล้ว จากที่อยู่ด้วยกันได้ เห็นกันได้ จับต้องกันได้ จากนี้เขาต้องถูกอัปเปหิไล่ออกไปอยู่ข้างนอก ที่มีการขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ทุกข์ทรมานในชีวิตนี้ และเขาจะไม่รู้จักเราอีกต่อไป เพราะถูกไล่ออกจากบ้านของเรา หรือเรียกว่าสวรรค์ หรือในพระคัมภีร์ใช้ชื่อว่าสวนเอเดน เขาถูกไล่ออกไปแล้ว ในนี้เขียนไว้ เขาไม่สามารถเข้ามาในสวนนี้ได้อีกต่อไป เขาไม่สามารถเข้ามาในสวรรค์นี้ได้อีกต่อไปแล้ว

ในกฤษฎีกานี้เขียนไว้อีกว่าเขาจะไม่ได้รับพร ซึ่งมีพรของเราอยู่กับเขาตลอดชีวิต เขาจะไม่ได้รับอีกแล้ว ร่างกายเขาที่ได้รับพรจากเราตลอดเวลา ไม่มีการตายเลย บัดนี้ ไม่มีพรอีกแล้ว มีแต่ความเสื่อมถอย เขาจะต้องตายทางร่างกายเขา ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่จำเป็น นี่เขาต้องชดใช้ ร่างกายเขาต้องเสื่อมไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ตาย และวิญญาณของเขา ก็ไม่สามารถอยู่ในสวนเอเดน อยู่ในสวรรค์กับเรา ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าได้อีกเลย บันทึกเอาไว้อย่างนั้น

และมีอะไรอีก ถ้าเขาอยากได้พรจากเรา นิดหนึ่ง สักหน่อยหนึ่ง หรืออยากจะคุยกับเรา เขาสามารถทำได้ เราบันทึกไว้ในนี้นิดหนึ่งว่าเขาสามารถทำได้ โดยที่ให้เอาเลือดสัตว์มาลบล้างบาปเขา ปีละหนึ่งครั้ง เขาจะได้เลือดไปปกคลุมชีวิตเขานั้นชั่วคราว ปีต่อปี เอามาผ่อนเรา ก็ได้พรไปนิดหนึ่ง  แต่เขาก็จะไม่เห็นเรา เขาจะไม่รู้จักเรา  เขาจะไม่เข้าใจเรา นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยได้สุดแค่นั้นเอง ช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว และเขาต้องผจญชีวิตเขาด้วยตนเอง โลกนี้จะเปลี่ยนไป สำหรับเขา เพราะเขาถูกลงโทษ จากผืนดินที่ปลูกอะไรก็ขึ้น อะไรที่กินได้มันขึ้นตลอด จะกลายเป็นตรงกันข้าม อะไรที่กินไม่ได้ เป็นขวางหนาม มันจะขึ้น โดยที่ไม่ต้องใส่ปุ๋ยเลย ไม่มีน้ำ มันก็ขึ้น เพราะมันจะทำลายเราอย่างเดียว อะไรที่เป็นประโยชน์กับเรา ใส่ปุ๋ย ทำอะไรกับมัน มันก็จะตายๆ ลำบากลำบน ชีวิตเขาจะต้องอยู่ด้วยความอาบเหงื่อต่างน้ำ ตลอดชั่วชีวิติของเขา แม้เขาจะแพร่พันธุ์ของเขา ตามที่ได้สั่งไว้ตั้งแต่แรก แต่จะแพร่พันธุ์ด้วยความทุกข์ยากลำบาก เวลาเขาแพร่พันธุ์ คือเขาคลอดลูก เขาจะทุกข์ทรมานมาก จริงไหมท่านผู้หญิง? มีใครบ้างออกลูกสบายๆ ไม่มี ทุกข์ทรมานมาก

นี่คือภาษาทั้งหมดนี้ เราเรียกกันว่า “คำสาปแช่ง” เข้าใจไหม? แช่งใคร? แช่งมนุษย์ สาปใคร? สาปมนุษย์ นี่คำสาปแช่ง แปลแค่นี้เอง สาปแช่ง แปลว่าการลงโทษ ที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้แล้ว โดยผู้สร้างมหาจักรวาลและสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเรียกว่าผู้พิพากษาแห่งความยุติธรรม ก็คือพระเจ้า นึกไม่ถึงนะ เรานึกว่ามารซาตานเป็นศัตรูของเรา ไม่ใช่ ไม่ใช่มารเป็นผู้สั่ง มารซาตานเป็นศัตรูของเรา ก็จริง แต่ไม่มีสิทธิ์สั่งหรอก เพราะมารไม่มีอำนาจ ไม่มีสิทธิ์ คืนอำนาจเราด้วย แต่ผู้ที่สั่ง คือผู้พิพากษา เราตกอยู่ในคำสาป ใต้ฤทธิ์อำนาจ พระหัตถ์ของพระเจ้า แทนที่จะเป็นลูก เรากลายเป็นทาส

ย้อนกลับมา เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว บนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์อยู่บนไม้กางเขน แล้วทรงหยิบเอากรมธรรม์นี้ขึ้นมา เปิดซองดู ไม่อ่าน เพราะพระองค์ทรงรู้แล้วว่ามีอะไร? มา ก็เพื่อสิ่งนี้ ในนี้บอกว่าอย่างไร? อ่านอีกครั้งหนึ่ง

โคโลสี 2:14 “พระ‍องค์​ทรง‍ฉีก​กรมธรรม์ ​ซึ่ง​ได้​ผูก‍มัด​เรา ​ด้วย​บัญ‌ญัติ​ต่างๆ ซึ่ง​ขัด‍ขวาง​เรา และ​ได้​ทรง​หยิบ​เอา​ไป​เสีย​ให้​พ้น​ โดย​ทรง​ตรึง​ไว้​ที่​กาง‌เขน”

 

นี่ใช่ไหม? ผูกมัดเราใช่ไหม? ฉีกเลย จำไว้ เห็นหรือยัง? ไม่เห็น จำไว้ ได้ยินหรือเปล่า? ไม่ได้ยิน จำไว้ ได้ยินหรือยัง? จำไว้อีก ได้ยินหรือยัง? กลับไปบ้านฉีกต่อ เชื่อหรือยัง? รู้ไหม? รู้ไหม? แล้วเอาทั้งหมดนี้ ใส่ซองกลับคืน ทิ้งขยะ ใช่หรือเปล่า? ในนั้นบอกว่าอย่างไร? ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้น จบแล้วตอนนี้ ตอนนี้คำสาปแช่งทั้งหมดของเราอยู่ไหน? อยู่ที่ไม้กางเขน ทั้งหมดนี้ ใครเป็นคนทำ โดยคำสั่งของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรเลย ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมารซาตานเลย เป็นเรื่องของพ่อกับลูก พ่อต้องทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา ลูกก็รับกรรมไป ถึงเวลาจบสิ้น ก็ออกมา จบแล้ว คำสาปแช่งอยู่ที่ไหน?  ตะกี้นี้ที่พูดมาทั้งหมด ที่ขัดขวางเราทั้งหมด พระเจ้า ก็ไม่ได้ พร ก็ไม่ได้ ตอนนี้ ถวายสิบลด แล้วได้พรไหม? ไม่ต้อง ได้พร เพราะอะไร? จากการเป็นทาส กลายเป็น … อ่านเอาเองดีกว่า กาลาเทีย 4:4-7 บันทึกไว้อย่างนี้

กาลาเทีย 4:4-7 “4 แต่​เมื่อ​ครบ​กำ‌หนด​แล้ว​ พระ‍เจ้า​ก็​ทรง​ใช้​พระ‍บุตร​ของ​พระ‍องค์​ (คือพระเยซูคริสต์)  มาประ‌สูติ​จาก​สตรี​เพศ (คือแมรี่) และ​ทรง​ถือ​กำ‌เนิด​ใต้​ธรรม‍บัญ‌ญัติ (ก็คือเป็นมนุษย์) 5 เพื่อ​จะ​ทรง​ไถ่​คน​เหล่า​นั้น (คือมนุษย์ทั้งหลาย) ​ที่​อยู่​ใต้​ธรรม‍บัญ‌ญัติ (ใต้คำสาปแช่ง, ใต้กรมธรรม์เมื่อตะกี้นี้) เพื่อ​ให้​เรา (มนุษย์) ​ได้​รับ​ฐานะ​เป็น​บุตร 6 และ​เพราะ​ท่าน​เป็น​บุตร​ของ​พระ‍เจ้า​แล้ว (หมายถึงเชื่อแล้วและมีโอกาสแล้ว) พระ‍องค์​จึง​ทรง​ใช้​พระ‍วิญ‌ญาณ​แห่ง​พระ‍บุตร​ของ​พระ‍องค์ เข้า​มา​ใน​ใจ​ของ​เรา ร้อง​ว่า “อา‌บา” คือพระ‍บิดา (พ่อจ๋า เราจึงอธิษฐานว่าพ่อจ๋า) 7 เหตุ​ฉะนั้น​ โดย​พระ‍เจ้า ท่าน​จึง​ไม่​ใช่​ทาส​อีก​ต่อ‍ไป แต่​เป็น​บุตร และ​ถ้า​เป็น​บุตร​แล้ว ท่าน​ก็​เป็น​ทา‌ยาท (คือมีมรดกให้อีกด้วย เอเมน)”

 

หลับตาคิดแต่เรื่องนี้ตลอดเวลา ชีวิตเรามีแค่นี้เอง ไม่ต้องไปคิดอะไรมากเลย ข่าวประเสริฐมีอยู่แค่นี้เอง ไม่ต้องไปไล่ผีมารซาตาน ไม่ต้องไปไล่ที่ไหน? ไม่ต้อง ทั้งหมด เราอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า ไม่มีใครทำอะไรเราได้เลย  ไม่ต้องห่วงแล้ว สมัยก่อน มันเป็นกฎวางไว้แล้ว เราไม่ต้องทำ มันก็โดนอยู่แล้ว มารมันได้แต่หัวเราะอย่างเดียว เราโดนอยู่แล้ว ตอนนี้มันหัวเราะไม่ออก เพราะได้พระพรอยู่แล้ว ยังไง ก็พร เพียงแต่เราต้องเชื่อเอาเท่านั้นเอง เราไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ ง่ายไหม? ง่ายที่สุดแล้ว

นี่คือหลักของไม้กางเขน มีอยู่แค่นี้เอง ไม่ได้เป็นเรื่องของศาสนา เรื่องของพิธีกรรม เรื่องของอะไร? เรื่องของข่าวดี พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน พระองค์จึงประกาศข่าวดีก่อนเลย เสร็จแล้ว เรียบร้อยแล้ว แล้วจากนั้น พอพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วมาอยู่กับเหล่าสาวก 40 ก็บอกสาวกให้ออกไปประกาศ สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ ก็ดี ในโลก ก็ดี อยู่กับเราแล้ว อยู่กับเรา แปลว่าเราเป็นหัวหน้าของมนุษย์ เราเป็นหัวหน้าของเธอ ก็คืออยู่กับเธอ เธอผูกมัดอะไรในโลก มันก็ถูกผูกมัดในสวรรค์ เธอผูกมัดในสวรรค์ ก็ผูกมัดในโลก หมายถึงเธอมีอำนาจมากมายหมดแล้ว เป็นของเธอแล้ว เพราะฉะนั้น ออกไปประกาศ  ไม่ต้องไปยุ่งกับมาร เสียเวลา แค่ออกไปประกาศ เท่านั้นเอง ไปบอกข่าวดีให้เขาฟังว่าข่าวดี คืออันนี้ๆ จบ เจอแมลงสาป ก็เหยียบไป บางครั้งพระเจ้า พระวิญญาณนำเราไปไล่ผี ก็ไล่ไปสิ คิดว่เป็นแมลงสาปตัวหนึ่ง ไม่เห็นมีอะไร? ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน สิ่งที่ยุ่ง ก็คือข่าวประเสริฐนี้ สิ่งที่เปาโลและสาวกรุ่นแรก กลัวที่สุด โมโหที่สุด ก็คือใครก็ตามที่มาลบเอาข่าวดีนี้ ให้มันน้อยลง ให้มันหายไป กลายเป็นข่าวไม่ดี ก็คือมนุษย์ยังมาทำอันโน้นอันนี้ เพื่อให้เรารอรับความรอด อันนี้ ก็ทำไม่ได้ อันนั้น ก็ทำไม่ได้ อันโน้น ก็ทำไม่ได้ ต้องมีพิธีกรรมอย่างโน้น ต้องมีพิธีกรรมอย่างนี้ ยุ่งไปหมดเลย ในที่สุด ไม่ได้รับความรอด เพราะมันง่ายมาก มีแค่นี้เอง ถ้าทุกคนบอกกันอย่างนี้ มาตั้งแต่แรก เมื่อ 2,000 ปีก่อน มันก็มาถึงพวกเราไม่ยากเลยใช่ไหม? ถ้ามีคนมาบอกเราอย่างนี้ตั้งแต่แรก มันคงไม่ยากมาจนถึงตอนนี้ใช่ไหม? แต่เขาไม่ได้มาบอกเราอย่างนี้ ข่าวประเสริฐไม่ได้มาถึงเราอย่างนี้  ข่าวประเสริฐมาแค่ 50% มาสัก 20% บอกอีก 80% เราต้องทำอยู่ ก็ตายสิ เราทำไหวที่ไหน? เรามาหาพระเยซู ก็เพราะเราไม่ไหวแล้ว เราจะขอความช่วยเหลือ เราไม่ไหวจริงๆ แต่พอมาหาพระเยซู เรายังต้องทำอย่างนี้อีก ทำอย่างนั้นอีก ตายแล้ว ไม่มีแรง มันง่ายขนาดนี้เอง มันไม่มีอะไรเลย อันนี้ทำได้ไหม? อันนั้นทำได้ไหม? อันโน่นทำได้ไหม? ไปโน้นได้ไหม? ไปเช้งเม้งได้ไหม? ไม่ต้องยุ่ง ไม่เกี่ยวอะไรกันกับข่าวประเสริฐเลย จบอยู่ตรงนี้ แล้วท่านก็มีชีวิตอยู่ต่อไป จะทำอะไรก็เชิญ เอเมน

อย่างนี้ก็ส่งเสริมคนทำบาปสิ … ผมส่งเสริมคนทำบาปไหม? ถ้าท่านรู้อย่างนี้ ท่านจะทำบาปไหม? ท่านยินดีไหม? ท่านทำ แต่ท่านไม่ยินดีในการทำ ไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ ไม่ยินดี แต่ท่านต้องทำ แต่เดี๋ยวนี้ ท่านไม่ยินดี ท่านก็สามารถสู้กับมันได้  สู้กับตัวเองนะ ไม่ได้สู้กับมารนะ สู้กับกิเลสตนเอง แล้วก็ขอพระเจ้าช่วย ท่านมั่นใจว่าพระเจ้านำท่านอยู่ใช่ไหม? ท่านรู้กว่าในที่สุด ท่านไม่มีทางทำได้ครบ 100% เหรอ แต่ท่านมั่นใจในความรอด ท่านสะอาดหมดจด ท่านบริสุทธิ์ นั่นแหละ คือข่าวดี  และคนก็จะมาเชื่ออย่างนี้มากขึ้นๆ เพราะไม่มีใครดีเลยสักคนหนึ่ง พระคัมภีร์บอก ทุกคนต้องการการช่วยเหลือ พระเยซูเป็นแพทย์ มารักษาเราแล้ว มนุษย์ทุกคนป่วย เป็นโรคบาป มาหาพระเยซู พระเยซูก็รักษา จบ หายวิญญาณ ร่างกายก็ว่ากันไป เดี๋ยวนำพาไป พระเยซูอยู่ในเราแล้ว เราเชื่อพระเยซูแล้ว เราก็เกิดใหม่บริสุทธิ์ เราสะอาดแล้ว  ไม่มีสักวินาที ที่ท่านเป็นบาปอีกต่อไป จำไว้ให้ดี ต่อให้เมื่อตะกี้ เดี๋ยวโกหก  ท่านก็บริสุทธิ์ เพราะวิญญาณท่านบริสุทธิ์แล้ว อยู่ที่โน้นแล้ว นี่มันคือเนื้อหนังของท่าน เข้าใจใช่ไหมค่ะ มันแปลว่าอะไร?  นี่คือข่าวดี และสิ่งที่พระเยซูทำ เมื่ออีสเตอร์ และท่านสมควรไหมที่จะมาฉลองอีสเตอร์ ให้มันสุดๆ ฉลองอีสเตอร์ ศุกร์ประเสริฐให้สุดๆ เอาข่าวนี้ไปบอกพี่น้องทั้งหลาย มนุษย์ทุกคน ใครก็ตาม ขอให้เขาได้เห็นสิ่งนี้ ง่ายๆ ไม่ได้ยาก ชาวบ้าน ชาวช่อง ชาวนา ชาวสวน คนไม่ได้รับการศึกษาแบบมนุษย์ ก็เชื่อง่ายๆ ไม่ยากเลย มันอยู่ที่โน้นแล้ว เห็นภาพที่ตะกี้ผมพยายามทำให้ท่านดู มีเวลานิดเดียว พยายามให้ท่านเห็นชัดๆ คืออย่างนี้ นึกถึงข้อพระคัมภีร์นี้ แล้วจำไว้นะที่ผมฉีกๆ ฉีกสัญญา ฉีกกรมธรรม์ ฉีกคำสาปแช่ง เราอยู่ในพระพรตลอดชีวิตแล้ว เอเมน ไม่มีคำสาปแช่งแม้แต่นิดหนึ่งในชีวิตของเรา เอเมน เราอยู่ในการทรงนำของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เอเมน

 

*******************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2017 เรื่อง “Palm Sunday” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2017

เรื่อง “Palm Sunday”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ ช่วงนี้ ก็เป็นช่วงเวลาแห่งเริงฤดูร้อน Summer Holiday นึกถึงอะไร? นึกถึงทะเล ต้องนึกถึงเตือนกันบ่อยๆ ทุกฤดูร้อน เทศกาลของพวกเรา ตื่นเต้นที่สุด ก็คือการระลึกถึงอีสเตอร์ ประมาณปลายๆ มีนาคมถึงประมาณค่อนไปทางปลายๆ นิดๆ เดือนเมษายน วันใดวันหนึ่ง ช่วงนี้ เป็นช่วงที่เราเตรียมความพร้อม สำหรับการเข้าสู่เทศกาลอีสเตอร์ เตรียมตัวที่จะมาระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ในวันศุกร์ประเสริฐ ปีนี้ วันที่ตรงกับวันศุกร์ประเสริฐ ก็คือวันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2017 และรวมกันเฉลิมฉลองแน่นอนวันที่ 3 พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาใหม่ จึงทำให้เรามีวันนี้แหละ วันที่เราได้นั่งที่นี่ เป็นลูกของพระเจ้า วันที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย ก็คืออีก 3 วันต่อมา ปีนี้ ตรงกับวันที่ 16 เมษายน 2017

วันศุกร์ ถ้าไม่ได้ไปไหน รถติดแค่ไหน ก็อยากให้เรามานมัสการพระเยซู มาระลึกถึงสิ่งดีงาม และมาฝังรากลึกแห่งความเชื่อศรัทธา ในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน เรื่องนี้ประกาศและเข้าใจยากมาก แต่เมื่อได้รับการเปิดตาฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า มันสามารถเข้าใจได้  แต่ถ้าไม่ได้รับการเปิดตา มันพูดอย่างไร? อธิบายอย่างไร? ต่อให้เป็นตรรกะ มีเหตุผลมากมายเพียงใด แต่ก็ฟังแล้ว เหลือเชื่อ คือเชื่อไม่ไหว เชื่อไม่ได้นั่นเอง เราก็คือคนนั่นแหละในอดีตใช่ไหม? แต่พอพระเจ้าเปิดตา ทำไมเราเชื่อง่ายๆ อย่างนั้น เชื่อง่ายๆ ถึงขนาดบอก ไม่มีอไรหรอก ยังเชื่อเลย มันเป็นไปได้นะ ขอบคุณพระเจ้า

ในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะแถบยุโรป ช่วงนี้ หมายถึงช่วงก่อนเทศกาลอีสเตอร์ 1 สัปดาห์ เขาก็จะมีการเตรียมตัวฉลองกันมากๆ ค่อนยุโรปเลยนะ หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันอีสเตอร์ เขาเรียกสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ หรือสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า “Holy Week” หรือ “Passion Week” โดยสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ หรือสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ จะเริ่มนับจากวันอาทิตย์ก่อนหน้าวันอีสเตอร์ ก็คือหนึ่งอาทิตย์ อาทิตย์ชนอาทิตย์นั่นเอง ซึ่งปีนี้อย่างที่บอกว่าถ้าเผื่อวันอีสเตอร์ตรงกับวันที่ 16 เพราะฉะนั้น วันที่เขาเริ่มต้นเทศกาลทนทุกข์นี้ ก็คือวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายนนั่นเอง เขาก็ฉลองกัน ระลึกถึงเทศกาลนี้ เรียกว่าเทศกาล Palm Sunday อาทิตย์ทางตาล (ต้นตาล)

คืออย่างนี้ พระคัมภีร์เขามีบันทึกเหตุการณ์วันอาทิตย์ก่อนหน้าวันอีสเตอร์ว่าอาทิตย์หนึ่งก่อนหน้าพระเยซูจะเป็นขึ้นจากความตาย อาทิตย์หนึ่ง ประมาณ 5 วันก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน วันอาทิตย์นั้น พระเยซูได้เสด็จเข้าเมืองเยรูซาเล็ม อย่างผู้พิชิต บันทึกอย่างนี้ในพระคัมภีร์ โดยประทับบนหลังลา เข้ามา และในวันนั้น มีผู้คนจำนวนมากแห่กันมาต้อนรับพระองค์ บางคนก็นำเอาใบปาล์ม หรือทางตาล ก็คือใบไม้ มาโบย บนเส้นทางที่พระเยซูเสด็จผ่านทางเข้าเมืองกรุงเยรูซาเล็ม จึงเรียกวันนี้ว่าวันทางตาล หรือ Palm Sunday บางคนมีผ้าอะไรต่างๆ ก็เอาผ้ามาปู ไม่มีผ้า ก็ไปตัดใบตาล ใบปาล์มมาปู เหมือนกับราชาเสด็จ คือตั้งแต่สมัยโบราณ ใบปาล์มหรือทางตาล มันจะถูกนำมาใช้ตกแต่งในการฉลองชัยชนะ  และนำมาโบกสะบัด ต้อนรับผู้ชนะ ผู้พิชิตของชาวยิว ชาวอิสราเอล เป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่ายิ่งใหญ่มาก ชนะ อะไรเป็นต้น อย่างกษัตริย์ดาวิดได้รับชัยชนะมา เขาก็เป็นอย่างนี้

โดยชาวยิวในสมัยนั้น ได้รับรู้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะมา ตั้งแต่บรรพบุรุษ  บอกกันต่อๆ มา ชาวอิสราเอล ชาวยิว ตั้งแต่โบราณมา ตั้งแต่เล็กๆ เขาก็จะพูดกันต่อๆ เขาไม่มีหนังสือมาให้อ่านอย่างนี้ เขาจะพูดกันต่อๆ ตั้งแต่ลูก หลาน เหลน โหลด พูดกันไปเรื่อยๆ ว่าจะมีพระเจ้าเตรียมพระเมสิยาห์ หรือพระผู้ช่วยให้รอด แปลเป็นไทย จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ คือมีพระเจ้าส่งบุคคลหนึ่ง เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เรียกว่าพระเมสิยาห์ เป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิดจะมาเกิด และจะเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม โดยบันทึกไว้ว่านั่งบนลา

เพราะฉะนั้น วันที่พระเยซูเสด็จเข้าเมือง โดยประทับหลังลาเข้ามา ชาวเมืองก็เลยแห่กันมาต้อนรับ เพราะเชื่อว่าพระองค์ คือเมสิยาห์ของเขา  รอมาตั้งนานแล้ว ตั้งหลายพันปีแล้ว นานแล้วครับ คราวนี้แหละ เราชาวยิวสบายกันแล้ว ไม่ต้องเป็นทาสใคร พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในวันอาทิตย์นั้น ที่พระเยซูประทับบนลา เสด็จเข้าเมืองเยรูซาเล็มนั้น พวกชาวยิวมาต้อนรับ หลับตานึกตามนะ เฮโล ต้อนรับยิ่งกว่ากษัตริย์เสด็จเข้ามา ปูผ้าที่พื้น โห่ร้องสรรเสริญ บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

“โฮซันนา แด่บุตรดาวิด”

ท่านคิดดูนะ คนเยอะแยะมากมาย เฮกันมา แล้วพูดว่า …

“โฮซันนา แด่บุตรดาวิด สรรเสริญพระองค์ ผู้เสด็จมาในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า โฮซันนาในที่สูงสุด”

โฮซันนา ก็คือสรรเสริญพระเจ้า

“นี่แหละ คือคนนั้นแหละที่พระเจ้าส่งมาช่วยเราแล้ว”

มาแล้วคราวนี้อิสราเอลไม่ต้องเป็นทาสใครอีกแล้ว เพราะว่าพวกชาวยิวเขาคิดว่าพระเยซู คือเมสิยาห์ที่เขารอคอยกันแน่นอน เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นไปตามคำบอกล่วงหน้า คำเผยพระวจนะ เป็นพันๆ ปีมาแล้ว ตรงเป๊ะทุกอย่างเลย ตรงแบบเป๊ะๆ เลย หมดเลย ส่วนหนึ่งของชาวยิวที่โห่ร้อง สรรเสริญพระเยซู ก็คือบรรดาสาวกที่ติดตามพระองค์มา ตั้ง 3 ปี ตั้งแต่พระองค์เริ่มกระทำการงาน บนโลกใบนี้ เรื่องประกาศข่าวประเสริฐ เริ่มประกาศสวรรค์ ทำอัศจรรย์ คนเหล่านี้บางคนก็ได้รับอัศจรรย์ บางคนก็ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย บางคนก็เดินได้ บางคนจากตาบอดแล้วมองเห็น เดินมา ทำมากับตัว ได้รับมากับตัว บางคนก็เห็นมากับตา กับคนอื่นก็เดินตามมา ตามพระเยซูมา ก็เป็นส่วนหนึ่งในการเป็นพยานให้คนอื่น รู้ว่าใช่แน่นอน คนนี้แน่นอน ตลอดระยะ 3 ปีที่พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ ใหญ่ๆ มากๆ ที่ผู้คนเห็นกับตา

แล้วยังทำไมอีก วันนี้ขี่ลามาอีก ชัวร์แน่ ชัดแน่ คนนี้แน่ๆ เป๊ะๆ ตามที่บันทึกเอาไว้ หมดเรียบร้อยแล้ว ตลอด ที่บรรพบุรุษพูดกับเรามาเป็นหลายๆ พันปี  ส่งต่อกันมาตลอด แน่นอนเลย แล้วเป็นไง เกิดอะไรขึ้น แล้วพอวันอาทิตย์ ปูผ้า ต้อนรับ ตะโกนร้องสรรเสริญ โฮซันนา แด่ผู้สูงสุด คือพระเยซู พอเลยมา 5 วัน วันศุกร์ … ศุกร์ประเสริฐเกิดอะไรขึ้น? ชาวยิวกลุ่มเดียวกัน ที่วันอาทิตย์ยังตะโกนฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า บอกว่าอย่างไร? เอาเขาไปตรึงที่ไม้กางเขนเลย ตรึงไปเลย พวกเดียวกันนี่แหละ บันทึกไว้อย่างนี้ พวกเดียวกัน ทำไม? เขาเกิดความผิดหวัง ไปว่าเขาก็ไม่ได้ เขาผิดหวัง

ถามว่าเขาผิดหวังอะไร? ก็เพราะในความคิดของชาวยิว ในขณะนั้น ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมสิยาห์ของเขา เขาเชื่อว่าพระองค์จะมาปลดปล่อยพวกเขาให้รับความรอด จากการถูกข่มเหง รังแก กดขี่ของคน ก็คือคนโรมันในสมัยนั้น จักรวรรดิโรมัน สมัยนั้น และก่อนหน้านั้น อาณาจักรอะไรต่างๆ ที่เราไปเป็นทาสเขามาก่อน มาซีฮาห์มาช่วยให้เขาไม่เป็นทาสอีกแล้ว คิดว่าพระเยซูจะมาพิชิตอาณาจักรหรือจักรวรรดิโรมัน  และอาณาจักรอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นมาหลังนั้นอีก ให้เสร็จเลย ต่อไปนี้ ยิวใหญ่ที่สุด พูดง่ายๆ คือมีความหวังแค่ว่าจะได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน หรืออาณาจักรใดๆ อีกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลน เปอร์เซีย กรีก หรือเป็นใครก็ตาม ไม่อยากเป็นแล้วตอนนี้ พระเยซูมาแล้ว มาซีฮาห์ถูกส่งมาแล้ว ทำการอัศจรรย์มากมาย เห็นกับตา คนนี้แน่นอน เห็นไหม? เขาหวังเต็มที่ แต่ภาพที่เขาเห็น คืออะไร? ภาพที่เขาเห็นก่อนเขาจะบอก “เอาไปตรึงๆ” เขาเห็นอะไรรู้ไหมครับ? เขาเห็นว่าพระเยซู ที่เคยทำอัศจรรย์ให้เขาเห็นกับตา ตอนนี้ กลายสภาพเป็นอะไร? เป็นนักโทษ ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้เลย ถูกทุบตี เฆี่ยนตี ถ่มน้ำลาย ยังไม่ทำอะไรเขาเลย  แสดงว่าพระองค์ไม่ใช่ของแท้ ถ้าของแท้ต้องสู้แล้ว ถ้าของแท้ ทำได้ต้องทำแล้ว ถ้าอัศจรรย์จริง เป็นลูกพระเจ้าจริง ป่านนี้ เสร็จพระองค์ไปแล้ว พวกนี้ไม่สามารถสู้พระองค์ได้หรอก แต่นี้ ไม่จริง ไม่ใช่ หมดหวัง หมดความเชื่อ จบ

แล้วไปว่าเขาไม่ได้ เราอยู่ตรงนั้น เราอาจจะหมดหวังเหมือนกัน เราก็คิดว่าจะมาทำอัศจรรย์ให้ ที่ไหนได้ ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้เลย หนีออกจากที่ถูกจับยังไม่ได้เลย ถูกเขาเฆี่ยนตี เลือดสาด เห็นกับตา หมดแรง แบกไม้กางเขนไปที่โกละโกธา ก็ยังแบกไม่ไหวเลย นี่หรือพระเจ้า ถ้าเป็นพระเจ้าจริงไม่เป็นอย่างนั้น แล้วไปถูกเขาตรึงที่ไม้กางเขน นึกว่าจะอัศจรรย์ว่าถูกตรึง แล้วจะลงมาจากไม้กางเขน มีคนตะโกนท้า

“ลงมาสิ ถ้าเป็นลูกพระเจ้า”

ไม่เห็นลงมาเลย ไม่ใช่แน่นอน หมดศรัทธา หมดความหวัง ก็เพราะเวลานั้น ในช่วงนั้น อย่างที่ผมบอก ยิวมองแค่วัตถุสิ่งของว่าเขาจะได้อะไรบ้างวัตถุสิ่งของ เขาอยากได้อะไร? เขาก็ได้ตามนั้น เขาเห็นคนตาบอด อยากจะเห็น มองเห็น พิสูจน์ว่าคนนี้เป็นพระเจ้า ตามองเห็นจริงๆ ได้ในสิ่งที่เขาได้ เขาเห็นคนตาย ถ้าเผื่อชุบคนตายให้เป็นขึ้นมาใหม่ ต้องเป็นพระเจ้าแน่ เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ เลย  ลาซารัสเดินอยู่ตรงนี้ เดินออกมาได้ ใช่แน่ๆ เป็นพระเจ้าแน่ๆ เขาอยากได้อย่างนั้น อยากได้อัศจรรย์ที่เห็นๆ แต่พอมาถึงเรื่องความรอด เขาก็อยากได้ความรอดที่เห็นๆ คือไม่ต้องการเป็นทาสให้กับใครที่ตามองเห็น มนุษย์ผู้ใด? อาณาจักรใดอีกแล้ว เขาลืม พระเยซูมา เพื่อไถ่บาปเขา พระคัมภีร์บอกไถ่บาปเขา ให้เป็นอิสรภาพจากมารซาตาน ไถ่ทางวิญญาณ เขาจะได้กลับมาเป็นลูกพระเจ้าอีกที จะได้มารับบาปแทนเขา ไม่ใช่มารับโทษ แบบโลกนี้แทนเขา ไม่ได้รับมาโรคภัยไข้เจ็บบนโลกใบนี้แทนเขา

คำว่า “พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน” ถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตีนั้น ให้เราหายดี หมายถึงหายดี หายจากบาป และกลับไปหาพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าได้ ส่วนโลกใบนี้ พระเยซูบอก แล้วแต่พระเจ้า อธิษฐานว่า …

“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์ แล้วแต่พระองค์เถิด”

แต่สำหรับโลกวิญญาณ พระองค์ชนะแล้ว เราชนะแล้ว ถ้าเราเชื่อพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราได้รับความรอดนิรันดร์ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ใครก็เอาเราออกไปไม่ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในโลกใบนี้ วันหนึ่งเราจากโรคนี้ไป เราเป็นลูกของพระเจ้า เราจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล ในสวรรค์ ส่วนโลกนี้ พระเจ้าควบคุมดูแลอยู่ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ วันหนึ่งเขาจะสิ้นสุดเอง เอเมน เขาไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่อย่างที่บอก มันยังไม่ถึงเวลา เมื่อยังไม่ถึงเวลา ก็ยังไม่คิด ก็ดีแล้วที่เขาไม่คิด ถ้าเขาคิด ก็คงไม่มีเครื่องมือให้มารซาตานใช้ ที่จะจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน แล้วถ้าพระเยซูไม่ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราก็ไม่ได้รับความรอด

สรุปแล้ว รวมไปรวมมา พระเจ้าควบคุม ทุกสถานการณ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และกระทำทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์ และเป็นสิ่งที่ดี สำหรับคนทั้งหลายเหล่านั้นที่รักพระองค์ ซึ่งรวมทั้งเราด้วย เอเมน

 

*************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2017 เรื่อง “ความรัก ยิ่งให้ ยิ่งได้” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2017

เรื่อง “ความรัก ยิ่งให้ ยิ่งได้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

อีก 2 วัน วันอังคารนี้ก็จะเป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก ถ้าถามว่าความรักคืออะไร? ก็ต้องตอบว่าความรักคือการเสียสละ ความรักคือการให้ … ความรัก คือการเสียสละ ความรัก คือการให้ นี่คือพวกเราทั้งหลายที่ได้เรียนรู้ความรักของพระเจ้า และกฎแห่งความรัก หรือกฎแห่งการให้ ตามพระคัมภีร์ สรุปแล้วบอกว่ายิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งอยากให้คนอื่นมีความสุข เรายิ่งได้ความสุข ยิ่งอยากให้คนอื่นมีทุกข์ เราก็ยิ่งมีทุกข์ ยิ่งเกลียดคนอื่น เราก็ยิ่งมีทุกข์ ยิ่งรักคนอื่น เราก็ยิ่งสุข เพราะฉะนั้น ยิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย จำไว้ให้ดีๆ ยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้ แต่ยิ่งอยากให้ ยิ่งได้ นี่คือหลักการของพระเจ้า

นี่คือกฎธรรมชาติ ถ้าบอกว่าหลักการของพระเจ้า บางคนก็จะบอกว่า …

“ฉันไม่ได้เป็นคริสเตียน ฉันไม่เชื่อพระเจ้า”

แต่อยากจะบอกว่านี่คือกฎธรรมชาติ และทุกคนอยู่ภายใต้กฎนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามมนุษย์บนโลกใบนี้ เหมือนดวงอาทิตย์ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ดวงอาทิตย์ฉายแสงสาดไปบนโลกใบนี้ ก็ไปโดนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนขี้เกียจ ขยัน ก็โดนแสงอาทิตย์เหมือนกัน ถูกไหม? ไม่ว่าจะเป็นคนแข็งแรง หรือเจ็บป่วย เดินไปใต้ดวงอาทิตย์ ก็ได้รับแสงอาทิตย์เช่นเดียวกันหมด เหมือนฝนตก ไปที่ไหน? มันก็เปียกหมด ไม่ใช่ว่าฝนตกมา คนทำดีไม่เปียก เปียกไหม? เปียก ท่านทำดี ทำไมต้องเปียกด้วย  ก็เพราะมันเป็นกฎ ถ้าคุณทำดี คุณต้องถือร่มด้วย มันจะได้ไม่เปียก มันเป็นกฎใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นเอะอะอะไรก็จะบอกว่าไม่ยุติธรรมๆ ก็มันเป็นกฎ เราต้องเรียนรู้จากกฎ เราจะได้รับสิ่งที่ดีๆ จากกฎ

ใครทำตามกฎเหล่านี้ ก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้ ถ้าใครทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ เขาก็จะได้รับตามที่พระเจ้าบอกไว้ ถ้าเขายิ่งให้ เขาก็ยิ่งได้รับเลย ถ้าเขายิ่งเห็นแก่ตัว เขาก็ยิ่งสูญเสีย ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย ยิ่งไม่ได้ ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งไม่ได้ใหญ่ ยิ่งเสียหายเยอะ ยิ่งให้ยิ่งได้ นี่คือกฎธรรมชาติ กฎของพระเจ้า ทุกคนอยู่ภายใต้กฎนี้ หมดเลย ฟังนิทานเรื่องนี้ดู รู้ว่าทุกคนอยากฟัง …

… พ่อค้าคนหนึ่ง เขาขนสินค้าจำนวนมาก จะไปขายต่างเมือง โดยเอาลาและม้าไปอย่างละหนึ่งตัว (สมัยก่อนเวลาจะไปไหน ก็จะเอาม้ากับลาไป) และด้วยความที่พ่อค้าเขาอยากจะถนอมม้าไว้ เอาไว้ใช้ยามจำเป็นเท่านั้น ม้าเอาไว้สำหรับขี่เร็วได้ เขาก็เลยจัดสินค้าทั้งหมด เอาไปไว้บนหลังลา แล้วให้ม้าเดินตัวเปล่าไป ไม่ต้องแบกอะไรเลย ก็ให้ลาแบกเพียงผู้เดียว ม้าก็บอกว่าอย่างนี้ก็สบายจัง ไม่ต้องทำอะไรเลย เดินผิวปาก สบายใจ

แต่สำหรับลา เมื่อถูกให้แบกของหนัก พอมันเดินไปได้ครึ่งทางเท่านั้น มันก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า

หมดแรง ลาก็เลยหันมาหาเพื่อน คือม้า แล้วก็บอกม้าว่า …

“ม้าข้าเริ่มรู้สึกหมดแรงแล้ว ถ้ายังขืนแบกของบนหลังต่อไปนะ อีกนิดเดียว ฉันตายแน่ ไม่ไหวแล้ว เพื่อนม้าพอจะแบ่งเบาภาระข้าสักนิดได้ไหมเนี้ย เอาแบ่งไปสักหน่อย เอาสักนิดหนึ่งก็ยังดี ถ้าต่อไปนะ ข้าตายแน่ๆ ช่วยหน่อยนะเพื่อนรัก ไหนบอกรักข้าไง”

ฝ่ายเจ้าม้าผู้หยิ่งทะนง พอได้ยินลา ร้องขอความช่วยเหลือ ก็หันไปพูดอย่างเพื่อนที่ไร้น้ำใจ

“ฮิ ฮิ ฮิ ได้หมด ถ้าสดชื่น แต่ตอนนี้ข้าไม่สดชื่นเลย ถ้าทำอย่างนั้นไป ข้าไม่สดชื่นเลย เพราะฉะนั้น ไม่ได้ เจ้าก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าข้าไม่มีหน้าที่แบกของหนักๆ การแบกของหนักๆ เป็นหน้าที่ของข้า ข้าเป็นม้านะ เจ้าเป็นลา ข้ามีหน้าที่เพียงแค่ให้เจ้านายขี่เท่านั้นเอง ข้าคงไม่สามารถช่วยเจ้าได้หรอก  ฮิ ฮิ ฮิ ตัวใครตัวมันนะ” ม้ามันก็เดินหัวเราะฮิฮิ ไปเรื่อยๆ

ได้ยินดังนั้น เจ้าลาผู้น่าสงสารก้มหน้าก้มตาแบกของทั้งหมด แล้วก็อดทนเดินต่อไป ไม่รู้จะทำอย่างไร? แต่ว่าเพียงเดินต่อไปไม่กี่ก้าว มันก็ล้มลง และขาดใจตายไปเลย พ่อค้าเห็นดังนั้น ก็เลยขนสินค้าทั้งหมด จากหลังลา เอาไปไว้ที่หลังม้า แค่นั้นยังไม่พอ ยังเอาศพลาที่ตายให้ม้าแบกไปด้วย เพราะศพลาก็มีราคา จะได้ไปขายในเมืองด้วย ถูกหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ม้าได้รับ 2 ต่อ ต้องแบกของทั้งหมดนั้น ร่วมทั้งศพของเพื่อนด้วย หนัก เห็นไหมครับ?

เพราะม้าไร้น้ำใจ ไม่ช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระ ความทุกข์ยากลำบากของเพื่อนลา ผลสุดท้าย มันก็แบกหนักขึ้นไปอีกกว่าเพื่อนด้วยซ้ำไป ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าลาอีก อาจจะไม่ตายนะ แต่คางเหลืองไปจนตาย ม้าจะทุกข์ทรมานไปจนตาย เพราะมันต้องทำงานหนัก ถ้ามันตาย ก็ดี แต่ถ้ามันไม่ตาย มันก็ทุกข์ทรมานหนักกว่าลาอีกเยอะมาก จนกว่ามันจะสิ้นชีวิตไป เพราะมันต้องทำงานแทนลาทั้งหมด

ถ้าเจ้าม้าตัวนั้น มันรู้จักเห็นใจผู้อื่น รู้จักแบ่งเบาภาระคนที่อยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่แรก ม้ามันก็คงไม่รู้ตัว มันกำลังทำไม? มันนึกว่ามันไปช่วยลาเช่นไหม? แต่จริงๆ มันช่วยใคร? มันช่วยตัวเองอยู่ เห็นไหม? ถ้าม้าบอกว่า …

“โอเค แบ่งมา”

มันก็นึกว่ามันกำลังช่วยลา ลาจะขอบคุณมัน มันไม่รู้ตัวหรอก ที่ทำไป มันช่วยตัวเองในอนาคต มันไม่รู้ตัว นี่แหละ อุทาหรณ์ บางครั้งเราเห็นว่าเราช่วยคนออกไป เรานึกว่าเราช่วยเขา อย่าคิดอย่างนั้น ท่านกำลังช่วยตัวเอง เวลาเขาขอบคุณท่าน ท่านบอกว่า …

“ไม่ต้องหรอก ผมควรขอบคุณคุณมากกว่า คุณกำลังช่วยผม”

ถูกไหม? มันกลับกัน คิดให้มันกลับกันซะ เขากำลังช่วยเรา เขาเปิดโอกาสให้เรามีโอกาสได้ช่วยเขา เพื่อว่าเราจะได้รับทีหลัง เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  แต่แดดส่องมา มันร้อนแน่ ฝนตกมา มันเปียกแน่ กฎพระเจ้าว่าไว้อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเราช่วยเขา เรากำลังช่วยตัวเองนั่นเอง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น นี่คือสัจจะธรรม  นี่คือตัวอย่างให้เห็นภาพว่าการช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระผู้อื่น ปลอบประโลมใจผู้อื่น ตัวเราเองก็จะได้รับ ให้สิ่งดีๆ กับผู้อื่น เราก็จะได้รับสิ่งดีๆ กลับมา โดยที่เราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เราจะไม่รู้เรื่องเลย มันได้รับแน่นอน มันเด้งกลับมาแน่นอน จะเป็นกี่เด้งเราไม่รู้ แต่เรารู้ว่ามันได้กลับมาแน่นอน

ในพระคัมภีร์จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:17-18 ได้บันทึกถึงความรัก ในฐานะเพื่อนร่วมโลกกันอย่างนี้ เพื่อนร่วมโลก คือพี่น้องกันนั่นแหละ เห็นหน้าเป็นมนุษย์ คือเหมือนพี่น้องกัน

1 ยอห์น 3:17-18 “17 ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สิ่งของ และเห็นพี่น้องของตนขัดสน แต่ยังไม่สงสารเขา ความรักของพระเจ้าจะอยู่ในผู้นั้นได้อย่างไร? 18 ลูกที่รัก อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่ให้เรารักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง”

 

เพื่อประโยชน์ของพระเจ้าใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่ เพื่อประโยชน์ของอีกคนหนึ่ง? ก็ไม่เชิง เพื่อประโยชน์ของท่านเอง สอน เพื่อให้ได้ดีนะ ไม่ใช่มาบังคับ เพื่อให้มาเบียดเบียน ไม่ใช่ กำลังจะบอกว่านี่คือทางที่จะทำให้เจริญ ได้พระพรจากพระเจ้า จะได้เจริญรุ่งเรือง นี่คือหนทางที่ดี เพราะฉะนั้น ทำอย่างนี้นะ ให้เขาไป ถ้ามีความรักของพ่ออยู่ ให้เขาไป แล้วจะได้รับ

ให้ทรัพย์สินในนี้ ไม่ได้หมายถึงเงินทองอย่างเดียว ทุกอย่าง อย่างเมื่อตะกี้ ลาก็ไม่ได้ต้องการเงิน … เงินก็ช่วยเขาไม่ได้ เขาต้องการเอาสินค้าที่เขาแบกอยู่แบ่งเบาไปบ้างเท่านั้นเอง อาหารก็ช่วยเขาไม่ได้นะ อาหารเขาก็ไม่เอา เขาต้องการแบ่งเบาภาระ ปลอบโยนใจเขา แล้วเอามาสัก 2 ถุง ยังพอไหว พอแบกได้มากขึ้น เอาเพิ่มเป็น 3 ได้ไหม? เขาต้องการอย่างนั้นมากกว่า เห็นไหม? ทรัพย์ไม่ได้หมายถึงเงินอย่างเดียว ไม่ได้หมายถึงอาหารอย่างเดียว หมายถึงอะไรที่ดีๆ ที่แบ่งเบาภาระเขาได้ ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ในสถานการณ์เช่นใด สิ่งที่เขาจำเป็นอยู่ เราแบ่งเบาภาระเขา เราเองจะได้รับในอนาคต  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2017 เรื่อง “ใครคือพี่น้องที่แท้จริงของเรา?” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2017

เรื่อง “ใครคือพี่น้องที่แท้จริงของเรา?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ วันนี้เป็นอาทิตย์แรกของเดือนแห่งความรัก พระคัมภีร์สอนเราว่าอย่างไร? กาลาเทีย 5:14-15 ได้บันทึกอย่างนี้ พระเจ้าสอนเราอย่างไร? พระเยซูสอนเราอย่างไร? ข้อพระคัมภีร์กาลาเทีย 5:14-15 บอกเราอย่างนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเทศกาลนี้ เดือนนี้ทั้งเดือนจะได้เตือนเรา ปีหนึ่งก็ได้ระลึกถึงเรื่องนี้สักทีหนึ่ง เตือนสติ

กาลาเทีย 5:14-15 “14 บทบัญญัติทั้งหมดสรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 15 หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดีจะย่อยยับไปตามๆ กัน”

 

ถ้าวิวาทกัน แก่งแย่งกัน กินเนื้อกัน ไม่ใช่แย่งกันกินเนื้อวัว ไม่ใช่นะ หมายถึงกินเนื้อกันเอง เราจะตายไปด้วยกัน นี่คือสัจจธรรมบนโลกใบนี้  แต่ถ้าแบ่งเบาภาระกัน แบ่งให้กัน เอื้ออาทรกัน ท่านก็จะไปดีด้วยกันทั้งหมด แล้วลองคิดดูนะว่าโลกจะน่าอยู่ขนาดไหน? ถ้าทำตามพระเยซูบอก แล้วลองสังเกตดูโลกใบนี้ เป็นอย่างนั้นไหมตอนนี้ ทุกวันนี้ แบ่งเบากันไหม? แบ่งกันไหม? เอื้ออาทรกันไหม? หรือกำลังแย่กัน กัดกินเนื้อกัน ใครล้มเหยียบ ใครป่วย ไปแทะเนื้อเขาเลย หรือเผลอๆ เดินอยู่ มาแทะเนื้อเราเล่น อะไรอย่างนี้  เราก็จะกลับไปแทะเนื้อเขาบ้าง?

ลองคิดดู โลกใบนี้เป็นอย่างนี้ไหม? ถ้าเป็นอย่างนี้ อย่างที่พระเยซูบอก เราก็อยู่กันสบายเลยนะ แต่ถ้าทุกคนมีความคิดอย่างลักษณะนี้ คือกำลังจะเล่าเรื่องให้ท่านฟังเรื่องหนึ่ง ท่านลองนึกถึงภาพว่าโลกใบนี้ ตอนนี้อยู่อย่างนี้ แล้วท่านคิดดูสิว่าจะอยู่กันอย่างไร? จะเกิดผลดีต่อสังคมไหม? สังคมมันจะเป็นอย่างที่พระเยซูอยากให้เป็นไหม? นี่ก็ใกล้ตัวเราเหมือนกันเรื่องนี้ ลองคิดดูว่าเป็นแบบนี้หรือเปล่า?

… ลูกค้ากับแม่ค้า ต่างก็ทำไม? เห็นแก่ตัว เจอหน้ากัน ลูกค้า คือคนซื้อ กับคนขาย แม่ค้า ต่างคนต่างวางแผนมา ทั้งสองฝ่าย

สำหรับคนซื้อก็ต้องอย่างไร? … “ฉันจะซื้อให้ถูกที่สุด”

แม่ค้าก็จะคิดอย่างไร? … “ฉันจะขายให้แพงที่สุด”

ไม่รู้ล่ะ ลูกค้า ในกลุ่มของลูกค้าเองก็จะคุยกันว่า … “เวลาเราไปซื้อของนะ แม่ค้าชอบทำแบบนี้ ขายผลไม้ ก็เอาผลไม้ดีๆ วางไว้ตรงหน้าๆ จัดให้เราดูสวยๆ พอเราซื้อ ก็หยิบเน่าๆ มาให้เรา” ลูกค้าก็คุยกันอย่างนี้ ต่อว่าแม่ค้า

พวกแม่ค้าด้วยกัน ก็จะคุยว่า … “ถ้าตานี้มาเมื่อไรนะ หรือแม่คนนี้มาเมื่อไรนะ อย่าลดราคาเด็ดขาด มันต่อทุกร้านเลย ต่อจนร้านสุดท้าย เดินต่อไปๆ บาทหนึ่งก็จะเอา อย่าไปขาย อย่าไปยอม”

นี่เรื่องจริงนะครับ ไปดูร้านค้าที่คล้ายๆ กัน คนนี้มาปุ๊บ เขาจะพูดกันต่อๆ เลย เขาจะปรึกษากันไว้ก่อนด้วยซ้ำ อย่างเราไปทัวร์ เขาจะปรึกษากันเลยว่าห้ามขายต่ำกว่าราคานี้ เพราะเขาจะต่อจากร้านแรกจนไปถึงร้านสุดท้าย เพราะฉะนั้น ร้านแรกและร้านสุดท้าย ราคาเหมือนกัน อะไรประมาณนี้  คือต่างคนต่างป้องกันผลประโยชน์ของตัวเอง ต่างฝ่าย ต่างตั้งใจว่าจะเอามากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีความสุขเลย เพราะว่าอยากได้ทั้งคู่

จนกระทั่งในใจไม่ได้คิดอะไร นอกจากว่าผลประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่ที่สุด แล้วก็ทำให้เสียผลประโยชน์ไป โดยไม่รู้ตัว เสียหายอย่างไร? ลองฟังเรื่องนี้นะครับ ท่านลองคิดดูนะ เรื่องจริงนะ ผมสังเกตดู แล้วผมก็เอามาให้ฟังดู นี่เรื่องจริง หลายคน ก็โดน

… แม่ค้าตั้งราคามังคุดไว้ กิโลกรัมละ 30 บาท นึกในใจตลอดว่า …

“ไม่ให้ใครต่อเด็ดขาด ฉันไม่ยอมลดเด็ดขาด ฉันจะต้องเอากำไรให้สูงที่สุด”

โลละ 30 บาท

คนซื้อก็คิดตลอดเหมือนกัน … “ฉันจะต้องต่อราคาให้ถูกที่สุด”

เกิดมาเพื่อต่อโดยเฉพาะ เพราะต่อแล้วมีความสุข แม้กระทั่งต่อให้สักบาทหนึ่ง ก็มีความสุข นี่คือลูกค้าส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ทั้งหมด  มีใครไหมไปซื้อของอย่างเดียวกัน  ร้านเดียวกัน แล้วมีมาบอก

“ฉันดีใจจังเลย ฉันซื้อแพงกว่าเธออีก”

มีไหม? ส่วนใหญ่จะบอกว่าอย่างไร? ดีใจ “เธอซื้อร้านนั้น ฉันซื้อเหมือนกัน ทุกอย่างเหมือนกันเลย”

แล้วลงสุดท้ายว่า “ฉันซื้อถูกกว่าเธออีก” ใช่หรือไม่ใช่?

เราอยากจะเยาะเย้ยเขา เพราะว่าเราได้ซื้อถูก … ถูกไหม? ถูกกว่าบาทหนึ่ง ก็ถูกกว่า ดีใจ เอามาอวดกันว่า “ฉันซื้อถูกกว่าเธอ”

ฝ่ายแม่ค้า ก็คิดในใจ … “ไม่ลดเด็ดขาดๆ”

ฝ่ายคนซื้อ ก็คิด … “ไม่ยอมเด็ดขาด อย่างไรก็ต้องลดๆ”

คือมีความสุขอยู่กับบนความทุกข์ของคนอื่น พูดง่ายๆ แล้วในที่สุด ทั้งคู่ก็ไปจะเอ๋กันบนเวที

คนซื้อไปถึงปุ๊บ … “แม่ค้า โลเท่าไร?”

แม่ค้าก็ตอบว่า … “โลละ 30 บาท”

คนซื้อก็คิดในใจ ต้องต่อ เพราะฉะนั้น พอตอบมา 30 ปุ๊บ ในสมองเกิดอะไรขึ้น สงครามเกิดขึ้นแล้ว สงครามในสมองเกิดขึ้น

“ฉันจะซื้อเยอะนะ ซื้อหลายกิโลเลย ลดหน่อยสิ”

“ไม่ได้เด็ดขาด” คุ้นๆ ไหม?  “30 บาทขาดตัว อย่างไรก็ไม่ได้”

“ก็จะซื้อเป็นสิบๆ โลนะ”

“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด อย่างไรก็ 30”

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะซื้อสัก 20 กิโล”

แม่ค้าตั้งใจ หูพึ่งเลย ปกติขาย 2-3 โล นี่จะขอซื้อ 20 โล

“ฉันจะขอซื้อ 20 โล เอาอย่างนี้แล้วกัน เมื่อกี้บอกโลเท่าไรนะ 30 บาท ฉันจะซื้อ เอาอย่างนี้เหมาไปแล้วกัน 3 โล 100 แล้วกัน”

แม่ค้าตกใจ แล้วก็ตอบ “ไม่ได้ ยังไงฉันก็ไม่ให้ ลดไม่ได้เด็ดขาด อย่างไร ก็โลละ 30 เด็ดขาด ขาดตัว ลดไม่ได้ขาด”

ในใจคิดอย่างนั้นตลอดเวลา ป้องกันผลประโยชน์ตัวเองเต็มที่ เข้าใจไหม? ทะเลาะกันแทบตาย ถามว่าเหตุการณ์นี้ มีโอกาสเป็นไปได้จริงๆ เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้

นี่เป็นอุทาหรณ์อันหนึ่ง บางทีเราฟัง เราหัวเราะ แต่จริงๆ แล้ว เรานั่นแหละ พูดกับใคร?  พูดกับตัวเองนั่นแหละ

“ฉันนั่นแหละ เป็นอย่างนั้น”

มันลึกซึ้ง ที่เรากำลังหัวเราะอยู่ มันลึกซึ้งมาก แปลกไหม? โลละ 30 บาท ถ้า 3 โลร้อย มันโลละ 33 บาทกว่าด้วย แล้วทำไมไม่ขายล่ะ ลองคิดในใจ เพราะว่าต่างฝ่าย ต่างคิดอยากได้ไง เลยลืมผลประโยชน์ที่ดีๆ ไปไง เห็นแก่ตัวไง

จำที่ผลให้คติกับท่านได้ไหม? “ถ้าอยากได้ มันจะเสีย” ถ้าไม่อยากได้ คือให้ออกไป มันจะได้ นี่คือหลักของพระเจ้า อีกฝ่ายก็ต่อใหญ่ แทนที่จะซื้อโลละ 30 สบายๆ แล้ว ไปต่อเขา 3 โลร้อย

เพราะอะไรรู้ไหม? ทำไมถึงต่ออย่างนั้น เพราะในใจมันคิดแต่จะหาผลประโยชน์ และคิดจะต่ออย่างเดียวๆ มันก็คุ้นหูมาตลอด ที่เคยซื้อ 3 โลร้อยมันถูกไง ความรู้สึกไง  เวลาเราไปซื้อที่ไหน ก็บอก 3 โล หรือ 3 ชิ้นร้อย มันถูกไง ใจก็คิดว่าอันนี้ถูก ทั้งๆ ที่โง่ เสียผลประโยชน์ไปแล้ว ยังไม่รู้ตัวอีก

“3 โลร้อยแล้วกัน”

ลืมหารไป เพราะในใจมันคิดแต่จะเอาถูก “ฉันจะเอาเปรียบกับเขา” นี่แหละคือสิ่งที่ถูก ได้ราคาถูกแล้ว 3 โลร้อย

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา เราฟังดูแล้วเหมือนตลกๆ แต่มันไม่ตลก ถ้าเกิดในชีวิตของเรา  เพราะความเห็นแก่ตัว เพราะไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยความรักแท้ แบบที่พระเยซูสอนเรา  คือการให้ แบ่งเบาภาระ ให้ แล้วเราจะได้

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นต้นแบบ และเป็นแหล่งกำเนิดของความรักแท้ ที่วิเศษที่สุด พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น คือพระองค์ทรงยอมเสียสละชีวิตของพระองค์เอง เพื่อมวลมนุษยชาติ พระองค์ทรงรักมวลมนุษยชาติอย่างมาก ยอมตาย เพื่อเขาที่ไม้กางเขน ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนบาป ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลายด้วย ที่นั่งอยู่ที่นี่ ให้เราดูแบบอย่างของความรักของพระเยซูคริสต์นี้ และแบบอย่างการเสียสละในความรักแท้นี้ ให้เราหมั่นฝึกฝนในการดำเนินตามรอยเท้า รอยพระบาทของพระองค์ เท่าที่กำลังเราจะสามารถทำได้  คือฝึกฝนนั่นเอง ล้มไป ก็ลุกขึ้นมาใหม่ แล้วก็หัดใหม่ ฝึกไปเรื่อยๆพระคัมภีร์บันทึกเรื่องนี้ไว้อย่างไร? ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:16 บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดเจนมาก

1 ยอห์น 3:16 “เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร? คือที่พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์ เพื่อเรา และเราควรสละชีวิตของเรา เพื่อพี่น้อง”

 

ไม่ใช่ “เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าความรัก คือมังคุด เราจึงควรจะต่อให้สุด” อย่างนั่นเหรอ ไม่ใช่

ความรัก คือพระเยซูเสียสละ ท่านลองคิดดูนะ  ถ้าเกิดโลกใบนี้ เป็นอย่างนี้ เกิดความสุข มีความสุขมากขนาดไหน? เกิดไปซื้อของ แล้วกลับใหม่ซะ จะมีความสุขมากขนาดไหน? สมมติท่านดำเนินชีวิตแบบนี้ แบบที่พระเยซูกำลังสอน

พระเยซูสอนบอกว่าและเราควรสละชีวิตของเรา เพื่อพี่น้องได้อย่างไร?

คุณรู้ไหม? “พี่น้อง” คืออะไร? ไม่ใช่คริสเตียนเท่านั้นนะ พี่น้องหมายถึงคนที่ไม่เชื่อด้วยนะ พระเยซูสอน พี่น้องหมายถึงคนที่อยู่ใกล้เรา  … ใครที่อยู่ใกล้เรา?  ใครก็ตาม ที่เราเดินไป แล้วเขาอยู่ใกล้เรา คนนั้นแหละ พี่น้องเรา ถ้าท่านเดินออกไปข้างนอก เจอยามข้างนอก ยามข้างนอกเป็นพี่น้องเรา พี่น้องของท่าน ถ้าท่านออกไปเจอจราจร จราจรเป็นพี่น้อง ถ้าท่านออกไปเจอคนที่มาแย่งชิงกระเป๋าท่านไป เอามือถือท่านไปเลย เขาเป็น … ไม่กล้าตอบ เขาก็คือพี่น้อง แต่ตอนนี้มาขโมยของเราไป ก็จบ ก็ใส่พี่น้องไปสิ ไม่กล้าใส่เหรอ เห็นไหม?

นี่มันหนีไม่พ้น นี่คือพี่น้องของเรา ท่านลองคิดดูสิ สังคมเปลี่ยน เรื่องตะกี้นี้ ง่ายๆ ลองยกตัวอย่างใหม่ เราอดทนตามที่พระเยซูบอก อดทนตามนี้ ไปซื้อมังคุดเขาตั้งไว้ 30 บาท

“แม่ค้าเอาไปโลละ 35 เลยแล้วกัน ขับรถมาตั้งไกล ระยะนี้น้ำมันก็แพง อะไรก็แพง ช่วยนะ ซื้อ 2-3 โล โลหนึ่ง 30 เอ๊าให้อีกห้าบาท” แม่ค้าก็ยิ้ม

แม่ค้าก็บอกว่า “มาซื้อกันประจำ ไม่เป็นไรหรอก เอาอย่างนี้ โลละ 28 ก็พอแล้ว เอาไปเถอะ”

ต่างฝ่าย ต่างให้กันใหญ่เลย มีความสุขทั้งคู่ ได้ทั้งคู่ สิ่งนี้มันจะกำเนิดสิ่งที่เห็นๆ เลยนะ เอาแบบตรรกะ เอาแบบมีเหตุและผลแบบมนุษย์ง่ายๆ ก็คือพอมีสติปัญญา มีสันติสุขอย่างนี้ มันเกิดอะไร แม่ค้าก็ปิ๊ง ในสมองมีสติปัญญา โล่ง สมาธิก็ดี ลูกค้าก็ปิ๊ง โล่ง เดินไปไหนก็สมาธิดี คิดงานก็ออก เราไปทำอันนี้ขาย ได้กำไรเยอะแยะ แม่ค้าเราไปขายทุเรียนช่วงนี้ ได้กำไร? ลูกค้าก็เยอะขึ้น เพราะเอื้ออาทรให้เขา ลูกค้าก็ไปบอกคนนั้นคนนี้

“ร้านนี้ขายดี ขายนี้ผลไม้ดี”

ลูกค้าก็สมองใส คิดอะไรก็ดี แค่นี้ก็เกิดแล้ว ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นแล้ว ไม่ใช่ กว่าจะได้มา 2 บาท ต่อเขามา 2 บาทแล้ว หน้านิ่ว คิ้วขมวด ลืมคิดถึงงานดีๆ ที่แผนการดีๆ ที่ตัวเองทำอะไรอยู่ สมมติตัวเองขายข้าวแกงอยู่ ลืมคิดว่ามีอะไรดีๆ ที่พระเจ้าจะนำเขา ให้เขาขายต่อไป ซึ่งถ้าเขาสมองดีๆ ใสๆ บริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งที่รก สกปรกอยู่ในสมองเขา เห็นหรือยัง? นี่เห็นภาพชัดเจนเลย

เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำตามถ้อยคำพระเจ้า มันเกิดประโยชน์เสมอ อย่าลืมนะครับ คนที่ใกล้ตัวเรา ไม่ใช่คนที่โบสถ์เท่านั้น คนที่ใกล้ตัวเรา ไม่ใช่คนที่เป็นคริสเตียนเท่านั้น คนที่ใกล้ตัวเรา คือคนที่อยู่ข้างๆ เรา ในขณะที่เราเดินอยู่ข้างนอก คนที่ใกล้ตัวเราที่สุด ไม่ใช่ญาติพี่น้องเราที่บ้านนะ เพราะตอนนั้น เขาอยู่ไกลเรา แต่คือใคร? ใครก็ตามที่อยู่ใกล้เรา มองไป แล้วใช่คน คนไหนก็ตามที่เป็นมนุษย์ ที่อยู่ใกล้ตัวเรา นั่นแหละ คือพี่น้อง ที่พระเยซูบอกว่าเราต้องเห็นแก่เขา

ฝึกฝน มันไม่ง่าย แต่ว่ามันก็ไม่ยากที่จะฝึกฝนไป อย่างที่บอก ฝึกฝนไป เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น การซื้อของ ไม่ใช่ต่อไปนี้ ซื้อมังคุดไม่ต่อ อย่าอื่นต่อหมด ไม่ใช่นะ ทุกอย่างเลย ไม่ใช่เกี่ยวกับการซื้อของอย่างเดียว อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับชีวิตของเรา ที่เกี่ยวกับการต้องเสียผลประโยชน์ หรือจะได้ผลประโยชน์ นึกในใจว่าหัดเสียบ้าง? ยอม เพื่อเขา คิดถึงเขาก่อน ก่อนคิดถึงตัวเราเอง ก่อนทำอะไรก็ตาม คิดถึงเขาก่อนว่าเขาจะเสียอะไรไหม? เขาจะเป็นอย่างไร? คิดอย่างนี้ ตัวเองกับได้ แต่จะคิดเอาตัวเองก่อน เป็นหลัก เป็นใหญ่ เป็นมาตรฐาน กลับเสียผลประโยชน์มากมาย

นี่คือสัจจธรรม ที่เป็นเคล็ดลับที่พระเจ้าสอนเรา พระเจ้าไม่เคยสอนเรา ให้เป็นคนเสียเปรียบเลยนะ เราเข้าใจผิด พระเจ้าสอนให้เราเป็นคนที่รักแท้ ให้ เสียสละ ไม่เคยเสียเปรียบเลยนะ ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ บทที่ 13 “ความรัก ไม่เคยล้มเหลวเลย” ไม่เคยทำให้ใครล้มเหลว ไม่เคยเห็นมีใครสักคนเสียสละ แล้วให้จนกระทั่งจน ไม่มีอะไรจะกิน ตายไปเลย เคยเห็นไหม? ไม่มีนะ เคยแต่ให้ไปแล้ว จะได้ ได้เรื่อยๆ ยิ่งให้ ยิ่งได้ ได้ในสันติสุข ความสงบสุขกลับเข้ามาด้วย

เพราะฉะนั้น ขอพระเจ้าเมตตาให้เรามีความรักอย่างนี้ อย่างที่พระเยซูได้มอบให้กับเรา และส่งมอบความรักแท้ของพระเยซูที่มอบให้กับเรานี้ ให้กับผู้คนรอบข้างเรา ฝึกฝน แล้วก็ย้ำตัวเองอยู่ทุกๆ ปี ปีหนึ่งก็อย่างน้อยมีเดือนหนึ่งที่เขาว่ากันว่าเป็นเดือนแห่งความรัก ไม่ว่ามันจะจริงเท็จอย่างไร ก็อย่างน้อย มีเดือนหนึ่งที่เราจะมานั่งนิ่งๆ ดูตัวเอง ดูตลอด 28 หรือ 29 วันนี้ กุมภาพันธ์ว่าเราเป็นไปตามนี้หรือเปล่า? เรายังอยู่ในประโยชน์ของความรัก ในการดำเนินชีวิตแบบพระเจ้าสอนเราหรือไม่? หรือเราหลุดออกไปแล้ว เราทำได้แค่ไหน? ปีนี้ ทำได้มากกว่าปีที่แล้วไหม? อดทนได้มากขึ้น เสียสละได้มากขึ้นไหม? หรือเห็นแก่ตัวมากขึ้น ปีหนึ่งได้วิเคราะห์ทีหนึ่ง เหมือนเราวิเคราะห์วันคริสตมาสครั้งหนึ่ง ในความรอด ที่พระเยซูคริสต์สละพระชนม์ชีพของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้เป็นต้น หรือวันอีสเตอร์ที่เรามาระลึกถึงการตายของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นต้น เดือนกุมภาพันธ์เป็นการระลึกถึงอะไรบ้าง? เศษเล็ก เศษน้อยในชีวิตของเรา ที่สามารถฝึกฝนตรงนี้ได้ ให้เราฝึกฝน ข้อสำคัญที่สุด ง่ายที่สุด คือเราสามารถอธิษฐานขอกำลังจากพระเจ้า และสติปัญญาจากพระเจ้า ให้เราสามารถทำได้ ตรงนี้ ได้เปรียบกว่าใครเพื่อนตรงนี้เลย อยากทำ ทำไม่ได้ พระเจ้าให้กำลัง เอเมน และพระเจ้าให้แน่นอนเลย เพราะว่าเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ขออะไรก็ตามที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ได้แน่ๆ เอเมน

 

*****************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2017 เรื่อง “สวัสดีวันเด็ก ปี 2017” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่  15  มกราคม  2017

เรื่อง “สวัสดีวันเด็ก ปี 2017”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ถ้าจะให้เข้าบรรยากาศต้องพูดว่าอย่างไร? ใครรู้บ้าง?  ต้องบอกว่า “สวัสดีวันเด็ก” ใช่ไหม? แต่มองไป ต้องบอกว่า “สวัสดีคนเคยเด็ก” เพราะส่วนใหญ่เป็นคนเคยเด็กทั้งนั้น เด็กมีไม่กี่คน แต่ว่าพวกเรา ถึงแม้ว่าจะเลยวันเด็กมานานแล้วแต่ บางคนก็บอกว่าเลยวันเด็กมานาน บางคนในที่นี่บอกว่าเลยวัยเด็กมานานนนนนน มากเลย แต่ส่วนใหญ่ก็จะใช้ชีวิตร่วมกับเด็ก บางคนเป็นพ่อแม่ บางคนเป็นปู่ย่า ตายาย ทวด ลุงป้า น้าอาเยอะแยะไปหมดแล้ว มีลูกมีหลาน ต้องอยู่ร่วมกับเด็ก มีใครบ้างที่ไม่มีประติสัมพันธ์ ไม่มีร่วมกับเด็กเลย มีไหม? ไม่มีเนอะ อย่างน้อยก็เป็นอาเป็นน้า

มีไหมสมัยนี้มองดูเด็กๆ แล้วก็บ่น หรือตั้งคำถามว่าอย่างนี้ว่า …

“เด็กสมัยนี้ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ”

หรือไม่ก็ “สมัยเราเด็กๆ ไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย เราตอนเด็กๆ ไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย”

แล้วส่วนเด็กๆ พอผู้ใหญ่บ่น เด็กๆ ก็จะบอกว่า “ผู้ใหญ่นะเอ้าท์ ไม่มีเทรนเลย”

รู้จักไหมเอ้าท์ แปลว่าอะไร? ไม่มีเทรนเลย อะไรก็แล้วแต่ ผมก็ไม่รู้ประมาณนี้ คือพูดง่ายๆ เชย ไม่มีเหตุผล นั่นแหละ แต่เขามีคำศัพท์ของเขา เขาหันตาดูกัน แล้วเขาพูดกันบางอย่าง ผมไม่รู้หรอก แปลว่าอะไร? แต่รู้ว่า “คุณนะเชย” ระวังนะ ใครมีลูก มีหลาน ก็คอยสังเกต ถ้าเขาหันไปซุบซิบ นั่นแหละ แสดงว่าเขากำลังนินทาคุณ

อย่างสมัยก่อน เวลาพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่พูดคำเดียวว่า “ไม่” ทุกคนหยุดหมดเลย ไม่มีใครกล้าเถียง ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง บางครั้ง ก็ไม่พูดด้วยซ้ำ แค่มองตา ชำเรืองนิดหนึ่ง หยุดทันที นั่นมันสมัยโน้นนะครับ แต่เด็กสมัยนี้เป็นไง? ถ้าบอกว่า “ไม่ อย่าทำ” ถึงให้มองตาถลนเลย ก็ยังทำอยู่ ก็จะสวนกลับทันทีเลย พอบอกว่า “อย่า”  เขาจะสวนกลับทันทีเลย “ทำไมๆ?” ไม่ใช่ว่าเขาดื้อนะ  ทำไม จะให้เขาหยุดทำไม? อธิบายให้เขาฟังสิ มีเหตุผลอะไร? นี่เด็กปัจจุบัน  หยุด ก็จะหยุด ไม่ใช่ เดี๋ยวก่อน ฟังก่อน  แม่ไม่มีเหตุผลเลย อธิบายก่อนสิ มันคืออะไร? ถ้าสมัยก่อนมีเหรอ โต๋เต๋มีเหรอ ทำไม โดนดิ แต่ตอนนี้ต่อให้มองตาถลน ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

นี่คือปัญหาช่วงวัยของคน Generation gap ที่ทำให้คนในครอบครัว ในสังคมที่มีมุมมองความคิด ความเข้าใจ พื้นฐานการตัดสินใจที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ไม่รัก ไม่ใช่ไม่ชอบ ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันไม่เข้าใจกันนั่นเอง ฟังอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร? แต่จริงๆ แล้ว นี่คือปัญหาใหญ่ของครอบครัวและสังคมในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคมคนไทย คนแถบเอเชีย ยิ่งเยอะใหญ่ เพราะคนไทยและคนเอเซียส่วนใหญ่จะอยู่ร่วมกัน แบบครอบครัวใหญ่ๆ มีสมาชิกหลายๆ รุ่นอยู่ร่วมกัน และในสังคมไทยและในสังคมเอเซียก็ยังยึดติดอยู่กับระบบอาวุโส ชนชั้น ค่อนข้างมาก นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน วันเด็กต้องมาคุยเรื่องนี้ เพราะเราต้องอยู่กับเด็กตลอดไป แล้วเราต้องพึ่งเขาในอนาคตด้วย ไม่ใช่พึ่งเขาในอนาคต ตอนนี้ก็พึ่งอยู่แล้วล่ะ

ดังนั้น หากทุกฝ่ายสามารถทำความเข้าใจกันได้ ไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม มันก็ทำให้เกิด เขาเรียกว่า Gap ช่วงวัยที่ต่างกัน มันไม่มีปัญหา มันยังคุยกับพอสื่อกันรู้เรื่อง ถูกหล่อหลอมมาอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ให้มีพฤติกรรมบ่งบอกถึงความจริงใจซึ่งกันและกัน ตรงนี้เขาหมายความว่าอย่างไร? ไม่ตีความหมายผิดว่าอย่างนี้เรียกว่าดื้อ อย่างนี้เรียกว่าแม่ไม่รัก อย่างนี้เรียกว่าพ่อไม่รัก ตีความหมายผิดหมดเลย อย่างนี้มันก็จะเกิดปัญหา ทำให้สังคมไม่สามารถอยู่ด้วยกัน เป็นครอบครัวใหญ่ๆ

ถามว่า “สังคม” คืออะไร? สังคมเราทุกวันนี้ ก็คือครอบครัว ครอบครัวหนึ่ง ท่านสังเกตสิครับ ครอบครัวเรา ก็คือสังคมหนึ่ง สถาบันครอบครัวเล็กๆ บ้านเรา ก็คือครอบครัว ออกไป มาโบสถ์ ก็คือครอบครัว อยู่ในประเทศไทย ประเทศไทยทั้งหมด ก็คือครอบครัว ไปข้างนอกโลกทั้งหมด ก็คือครอบครัว … ครอบครัวคืออะไร? คือครอบด้วยครัว ก็คือครอบด้วยผู้คนมากมาย  มีปฏิสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์ มีความติดต่อกัน แล้วถ้ามันไม่เข้าใจกัน มันเกิดอะไร? มันเกิดปัญหา มันไม่มีความสุข วันนี้จึงเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง สนุกมากเลยนะ

… มีอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้อธิบายไว้ถึงลักษณะของสังคมปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร? ทั้งโลกเป็นอย่างนี้หมดว่าแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม เรียกว่า 4 Generation จำได้ไหม Generation ที่ผมบรรยายเรื่องพระเจ้าว่าในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองอยู่ อาณาจักรของพระองค์อยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์ คำว่า “ทุกชั่วชาติพันธุ์” คือ Generation to Generation จาก Generation ไปสู่ Generation หนึ่ง คืออยู่ตลอดเลย พระเจ้าครอบครองและควบคุมบังคับทุกอย่างอยู่ทั้งหมดนี้

คำว่า Generation ไปสู่ Generation  น่าจะแปลว่าวัยหรือยุค หรือชั่วอายุก็ได้  พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ชั่วอายุ”

พระเจ้า อาณาจักรของพระองค์ทรงอยู่เหนือ จากชั่วอายุหนึ่งไปยังชั่วอายุหนึ่งตลอดจนนิรันดร์

ชั่วอายุหนึ่ง คืออะไร? เรามาดูนะครับว่าอาจารย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่าอย่างไร? แบ่งไว้อย่างไร? มีอยู่ 4 Generation คือ 4 ยุคในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 4 ยุค

กลุ่มที่ 1 หรือยุคที่ 1 หรือเรียกว่า Generation ที่ 1 เป็นกลุ่มที่เป็นผู้อาวุโสในยุคปัจจุบัน เป็นอาวุโสในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เป็นคนนแก่ในยุคปัจจุบันนะ ฟังให้ดีๆ เป็นอาวุโสในยุคปัจจุบัน คือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2489 – ช่วงอายุที่เกิดในปี พ.ศ.2507 คืออายุประมาณ 71 – 53 ปี บางคนก็ถามว่าถ้าเกิน 71 ขึ้นไปล่ะ ก่อน 2489 เรียกว่าซุปเปอร์อาวุโส อันนั้นเขาไม่นับแล้ว เหลือน้อย ไม่ใช่เวลาเหลือน้อยนะ แต่คนอยู่อย่างนี้ น้อย เขาเลยไม่นับ

เขาเรียกกลุ่มนี้ว่า “กลุ่มยุคสงครามโลกครั้งที่ 2” กลุ่มอาวุโส ซึ่งประเทศต่างๆ เร่งผลิตประชากรมาช่วยพัฒนาประเทศที่กำลังบอบช้ำจากสงคราม พูดง่ายๆ คือสงครามเกิด ผู้ชายตายไปเยอะ คนตายไปเยอะแยะมากมาย แล้วก็ต้องการคนงานเยอะแยะมาช่วยกันฟื้นฟูประเทศ ก็เลยเชียร์กันให้มีลูกเยอะๆ เขาเรียกกันว่ายุคลูกดก ภาษาอังกฤษจะชัดมาก เขาเรียกว่ายุค “Baby Boomer (ยุคลูกดก)” คือยุคที่ยุให้มีลูกเยอะๆ หรือภาษาในปัจจุบันเรียกยุคนี้ว่า Gen B

คนที่อายุ 53 ขึ้นไป เรียกว่ายุค Gen B ซึ่งคนในยุคนนี้จะได้เห็นความลำบากลำบนของพ่อแม่ เพราะเกิดสงคราม เห็นความแร้นแค้นของพ่อแม่ จึงทำให้เกิดความอดทนสูง สู้งาน ใช้ชีวิตเรียบง่าย  เป็นคนที่เก็บออม มากกว่าการใช้สอย ถูกหรือไม่ถูก? ถูก ถูกมาก แล้วเก็บไว้ให้ใคร?

และเนื่องจากในยุคนั้น ใน Gen B ยังไม่เทคโนโลยีทันสมัย เหมือนปัจจุบัน ความรู้ต่างๆ จึงตกอยู่กับชนชั้นผู้นำ หรือชั้นปกครอง ที่เรียนมาเยอะๆ เรียนจากเมืองนอกบ้าง อะไรบ้าง? จึงทำให้คนในยุค Gen B ยังยึดถือในระบบชนชั้น รับฟังคำสั่งจากผู้นำ หรือหัวหน้างานที่มีความรู้มากกว่าตัวเอง  เป็นอย่างนั้นจริงๆ

กลุ่มที่ 2 เรียกว่า Generation X หรือ Gen-X  ซึ่งเป็นคนวัยทำงานในปัจจุบันเกิด พ.ศ.2508 -2522 คืออายุประมาณ 52 – 38 ปี กลุ่มนี้เรียกว่า Gen-X เป็นผลจากการผลิตประชากรล้นในยุคก่อนหน้า เสียใจหรือดีใจไหมรู้ เป็นผลจากการผลิตประชากรจนล้นในยุคก่อน จึงมาเริ่มคุมกำเนิดในยุคนี้ ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีเริ่มทันสมัย และแพร่หลายมากขึ้น ทำให้คนกลุ่มนี้ เริ่มมีความอดทนน้อยลง และมักจะตั้งคำถามว่า …

“ทำไม ชีวิตต้องทน”

ในเมื่อมีโอกาส และตัวเลือกมากขึ้น ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้นนั่นเอง เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะในบ้านมีลูกน้อยกว่าแต่ก่อนนี้ มี 2 คน แต่ก่อนนี้มีตั้งนานคน Gen ก่อนหน้านี้ คนในยุคคนนี้ยังทำงานด้วยตัวเอง ยึดระบบชนชั้นเหมือนกัน แต่น้อยลงแล้ว เก็บออมและใช้เท่าที่มี เลือกทำงานที่ชอบ รักอิสระ และเริ่มมีความคิดสร้างสรรแบบออกนอกกรอบ ถูกหรือไม่ถูก?

กลุ่มที่ 3 Generation Y หรือ Gen-Y  เป็นวัยนักศึกษาจนถึงเริ่มทำงาน ในยุคปัจจุบันนี้ เกิดพ.ศ.2523 – 2540 อายุ 37 – 20 ปี Gen-Y คนกลุ่มนี้เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยและแพร่หลายแล้ว ทำให้มีความอดทนน้อยลงไปอีกกว่า Gen-X สมาธิสั้น มักเปลี่ยนงานบ่อย คน Generation จะไม่ชอบเรื่องชนชั้นแล้วคราวนี้ ทั้งในเรื่องการทำงาน และการใช้ชีวิต เด็กยุคนี้ชอบการทำงานที่เป็นทีมเวิร์ค ทำงานร่วมกันมากกว่าการฟังคำสั่งจากหัวหน้างานคนเดียวหรือฟังจากผู้นำอย่างเดียว และไม่ชอบการบังคับขู่เข็ญจากพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ เข้าใจไหม? นี่พูดแทนวันเด็กนะ วันนี้วันเด็ก พูดให้เขาหน่อย  เด็กที่อายุโตแล้ว ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปจนถึงอายุ 37 เขาบอกว่า …

“เขาไม่ชอบการบังคับขู่เข็ญจากพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่” เข้าใจไหม?

กลุ่มที่ 4 Generation Z หรือ Gen-Z เกิดหลัง พ.ศ.2540 จนกระทั่งหนึ่งวัน เมื่อวานนี้ อายุตั้งแต่ 19 ปีลงมา เขาเรียกว่า Gen-Z ในบ้านเรามีเยอะนะ เป็นกลุ่มวัยตั้งแต่แรกเกิดถึงมัธยมศึกษา คนกลุ่มนี้ เกิดมาด้วยการเลี้ยงดูที่เพียบพร้อม รายรอบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และแพร่หลาย เพียงกระดิกนิ้ว ก็ได้สิ่งของที่ต้องการ ทำให้คนกลุ่มนี้ มักทำในสิ่งที่ชอบ รักความสะดวกสบาย ไม่ชอบพิธีการ

“ฉันชอบโบสถ์ แต่ฉันไม่ชอบพิธีการ อาจารย์อย่ามากเกิน”

และรุ่นนี้ Gen-Z เขาสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน เราบอกอ่านหนังสือ แล้วยังฟังเพลงอีก  แล้วยังแถมเล่นเกมส์ไปด้วยในตัวพร้อมกัน แล้วจะไปรู้เรื่องได้อย่างไร?  สมัยพ่อไม่เป็นอย่างนี้เลย เดี๋ยวนี้เขาเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น  เพื่อนทำ 5 อย่างเลย ล้างชามไปด้วย ล้างชาม เล่นไลน์ โอ๊ย! ทุกอย่างเลย ดูแลไปในตัว ทำได้ แต่เราสมัยก่อน ไม่ได้ นี่คือความสามารถผิดกัน

กลับมาที่คำถามว่า … “วัยรุ่นสมัยนี้ ทำไมไม่เชื่อฟังพ่อแม่” …

ก็เพราะคนยุคนนี้ ไม่ชอบเรื่องชนชั้นไง เพราะฉะนั้น หากพ่อแม่ หรือผู้ปกครองปรับวิธีการเลี้ยงดูให้เด็กรู้สึกว่าเหมือนเป็นเพื่อน มากกว่าความเป็นพ่อแม่ เด็กก็จะค่อยๆ เปิดใจเข้าหา จะเห็นว่าหากบ้านใดที่ผู้ใหญ่ฟังเด็กมากๆ บ้านนั้น เด็กก็จะรักผู้ใหญ่มาก ใช่ไหม? เราต้องเข้าไปเป็นเพื่อนเขา ไม่ใช่เข้าไปเหมือนแต่ก่อนนี้แล้ว มันคนละยุคแล้ว ผู้ใหญ่บางคนมักคิดว่าตัวเองอาบน้ำร้อนมาก่อน พยายามยัดเยียดความเป็นตัวเองให้กับเด็ก แต่ปัจจุบัน สภาพการมันไม่ได้เป็นไปตามนั้นแล้ว มันเปลี่ยนไปแล้ว หากยังฝืนยึดความเห็นตัวเองเป็นใหญ่ แล้วก็ยัดเหยียดอย่างนั้นให้เด็ก ผู้ใหญ่อาจกลายเป็นเพียงสิ่งแวดล้อมของเด็ก  และเขาจะหันไปสนใจสมาท์โฟน คอมพิวเตอร์ อะไรแล้วแต่เยอะแยะไปหมด เขาไม่สนใจคุณ เขาก็คิดคุณเหมือนสภาพแวดล้อม เหมือนต้นไม้ มันจะเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ไม่รัก ความเป็น Gep คือสื่อสารกันไม่เข้าใจ

นี่คือวันเด็กนะ จึงเอามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเราจะได้ปรับตัวให้เข้ากับเขา จะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

และคำถามที่ว่า … “ทำไมเด็กสมัยนี้ ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบทำอะไรหลายๆ อย่าง บางครั้ง อ่านหนังสือไปด้วย  ฟังเพลงไปด้วย  ทำอะไรไปด้วย”

อาจารย์ท่านนี้บอกว่าตรงนี้ก็เป็นเพราะความสามารถของคนยุคนี้ ความสามารถมันพัฒนาขึ้น มีความสามารถทำอะไร? หลายๆ อย่างเวลาเดียวกัน คือพัฒนาขึ้น แต่ละยุคพัฒนาขึ้น เขาสามารถทำได้ ยิ่งเป็นสิ่งที่เขารักด้วย เขายิ่งทำให้มากหลายอย่าง และแม้จะทำหลายอย่าง ผลงานก็ออกมาดี ซึ่งผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ผู้ใหญ่ควรจะเข้าใจสิ่งนี้ เขาทำได้หลายอย่าง

คิดดูนะ บางทีผมก็งงเหมือนกันนะ “โต๋จะเป็นนักเล่นเปียโน ดูแลนิ้ว สมัยพ่อนะ เล่นเปียโน แล้วทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ต้องไปฝากธนาคารไว้ แล้วก็ประกันภัยชีวิตของนิ้ว นิ้วหักไม่ได้ ไปไหนต้องระวัง”

นี่มีที่ไหน? เล่นเปียโน ไปเล่นบาส … บาสกับเปียโนสมัยก่อน มันไม่ได้กันเลยนะ ห้ามเด็ดขาด เป็นสิ่งที่ห้ามเด็ดขาด เป็นเรื่องจริง อะไรที่เกี่ยวกับนิ้ว นิดหนึ่งก็ไม่ได้ แต่กันนี้ไปเล่นบาส แตะลูกบอล แค่นั้นไม่พอ วันดีคืนดีเตะบอลอีก เตะบอล อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นเยอะ

“โธ่ พ่อ โต๋เตะแบบพอมันส์”

พอมันส์ เตะอย่างไง ลูกบอลจะสั่งมันได้เหรอ เตะกับกลุ่มคนที่ไม่รุนแรง อะไรประมาณนั้น เขาดูแลตัวเองได้  แค่นั้นไม่พอ ไปฟิตเนตอีกต่างหาก จะเอาเวลาที่ไหนไป ยกเวต แค่นั้นยังไม่พอ จำไม่ได้ เยอะเหลือเกิน ผมจำไม่ได้ แต่เขาทำได้ แต่เป็นนักเล่นเปียโน

ทุกคนมาถาม ลูกเล่นเปียโน เก่งจังเลย ไม่กล้าพูดกับเขา ไม่ได้ซ้อมเลยครับ นี่เรื่องจริง แต่เขาทำได้ เขาไม่เหมือนคนในยุคก่อน ไม่ใช่เขาเก่งหรือไม่เก่ง เขาเป็นคนในยุคนี้ ไม่ใช่ยุคผม ยุคผมวันทั้งวันเล่นแต่กีต้าร์ เล่นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะต้องซ้อมแต่กีต้าร์ เพราะยุคผมได้แค่นั้น ตอนนี้เลยมา 2 ยุคแล้ว มาถึงยุคเขา เขาทำได้หลายๆ อย่าง ไม่ใช่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง แต่เพราะเป็นคนในยุคนี้ เราต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ผมก็ต้องบอกว่า …

“ไม่ได้ อยากจะเล่นดนตรี ก็ต้องเล่น เปียโนต้องดูแลให้ดีๆ อย่าไปทำอย่างอื่น”

เขาก็อึดอัดๆ ไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว เขาทำได้ ต้องไว้ใจเขา แรกๆ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ทุกวัน ต้องบ่นกันทุกวัน

“เล่นเปียโนต้องระวังนิ้ว”

เขาก็ไปเล่น ดึกดื่นไปเตะบอล คิดดูสิ เขาไปเตะบอลที่สนามบอล ตอนไหน? สมัยก่อน เราก็เตะตอนตี 5 … 6 โมงเช้า 8 โมง นี่เขาไปเตะตอนไหนรู้ไหม? 4 ทุ่ม เขาว่างตอนนั้น เพราะก่อนหน้านั้น เขาไปทำอย่างอื่นเยอะแยะไปหมด เขาว่างตอนนี้ เพราะเพื่อนๆ เขาว่างตอนนี้ เตะตอน 4 ทุ่มจนถึงเที่ยงคืน ตี 1 เตะจริงๆ อย่างนี้ แล้วตอน 2 ทุ่มอยู่ไหน? อยู่ที่สนามบาส เล่นบาส อย่างนี้ แล้วที่เขาไปเตะบอล สนามหญ้าเทียม เขารู้จักหญ้าจริงไหม? ไม่รู้จัก เขามองสนามเขาก็รู้ว่าหญ้าเทียมยี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้ ราคาเท่าไร? พอไปเจอหญ้าจริงๆ อะไรอ่ะ

ความแตกต่าง แตกต่างขนาดไหน? ท่านเห็นไหม? ถ้าเราไม่เข้าไป พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ไม่เข้าไปอย่างนี้ ท่านจะถูกเอ้าท์ไปเรื่อยๆ ถูกทิ้งไปเรื่อยๆ ไกลๆ แล้วท่านก็จะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง แล้วไม่มีโอกาสที่จะชี้แนะแนวทางอะไรบางอย่าง ที่ท่านคิดว่าดี หรือว่าประสบการณ์ของท่าน ในทางที่เขาสามารถรับได้ให้กับเขาอีกต่อไป เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องนั่นเอง

อาจารย์สรรเพชร ชัยสิริยะสวัสดิ์ จึงเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ให้ข้อสรุปไว้อย่างนี้ว่า …

“คนแต่ละรุ่น มีความคิดและพฤติกรรมที่ต่างกัน แน่นอนเวลาทำอะไร อาจจะดูขัดหูขัดตา แต่ก็อยากให้รู้และเข้าใจธรรมชาติ เพื่อการอยู่ร่วมกันที่ดีของสังคม”

สรุปท้ายตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจ อย่าไปบ่นเขา เวลาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ อยู่กับแม่ทุกวัน อยู่กับพ่อทุกวัน เวลาเรียกกัน ส่งไลน์มาเรียก ลงมากินข้าว แทนที่จะมาพูด เวลาจะไป ก็พ่อไปแล้วนะ ไม่ได้พูดนะ ส่งไลน์มา

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์แม่”

เมื่อเช้าก็เจอ แทนที่จะพูด ไม่พูด ส่งไลน์มาแฮปปี้เบิร์ดเดย์

แล้วส่งอะไรมาอีก “รักนะจุ๊บๆ”

ก็จูบจริงๆ ก็ได้ เจอกันทุกวัน เดี๋ยวเย็นนี้ก็มาจุ๊บสักนิด ไม่ได้เดี๋ยวลืม ตอนกลางคืนมากลับดึก แม่นอนแล้ว

เราต้องเข้าใจ ไม่ใช่ทำเป็นงอน “ลูกไม่เข้ามาหาเลย แต่ก่อนนี้ยังมา”

เขาโตแล้ว เขาก็ไปของเขาสิ “เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมาหาเลย แต่ก่อนยังมาสวัสดี ตอนนี้ส่งแต่ไลน์มา”

ไม่รับไลน์ เดี๋ยวอีกหน่อย เขาไม่ส่งไลน์ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ฝึกหัดเล่นไลน์ ถ้าแม่ไม่มีไลน์ เขาก็ไม่มีจะส่งให้ เพราะฉะนั้น เราต้องไปฝึกเล่นไลน์ เพื่อเขาจะส่งต่อ คุยกับเราได้บ้าง เอเมน ขอให้มีความสุขกับวันเด็ก วันครอบครัวนะครับ

 

****************************