คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน 2017 เรื่อง “อีสเตอร์ … วันประกาศชัยชนะ และการครอบครองอาณาจักรนิรันดร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  เมษายน  2017

 เรื่อง “อีสเตอร์ … วันประกาศชัยชนะ

และการครอบครองอาณาจักรนิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันแห่งการเฉลิมฉลองวันแห่งการประกาศอิสรภาพ ครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดของมวลมนุษยชาติทั้งปวง ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียว คือประกาศอิสรภาพทางฝ่ายวิญญาณ ที่ประกาศโดยพระเยซูคริสต์ โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เรียกว่าศุกร์ประเสริฐ และทรงเป็นขึ้นใหม่ในเช้าวันนี้ เรียกว่าวันอีสเตอร์

การประกาศอิสรภาพฝ่ายวิญญาณนี้ เริ่มประกาศตั้งแต่วันที่พระองค์ทรงถูกตรึง ตายที่ไม้กางเขน และผ่านไป 3 วัน พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแรก ย้อนหลังไป ใครรู้ว่าเมื่อไร? ผมมีอะไรมาบอกท่าน เป็นเกล็ดความรู้เล็กน้อย

ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าปีนี้ 2017 เพราะฉะนั้น อีสเตอร์แรก ก็คือ 2,017 ปีมาแล้ว ไม่ใช่นะ จริงๆ แล้ว เริ่มนับปี ค.ศ.1 เมื่อพระเยซูมีอายุ 4 ขวบ และตอนที่พระเยซูถูกตรึง และสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ได้มีบันทึกว่าพระองค์มีอายุ 33 ปี คือถูกตรึงที่ไม้กางเขน เมื่อ ปี ค.ศ. 29

สรุป คือวันอีสเตอร์แรกผ่านมาแล้ว 1988 ปี คือ 2017 – 29 นั่นเอง ยังไม่ถึง 2,000 ปีเลย  เกือบๆ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ 1988 ปีมาแล้ว  ทำให้มนุษยชาติทั้งปวง ได้รับอิสรภาพทางฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง และเป็นแผนการของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว ตั้งแต่ตอนมนุษย์ตกลงไปในความบาป มีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล บอกล่วงหน้า ซึ่งมีภาษาไบเบิ้ลว่าเผยพระวจนะ คือพระเจ้าบอกล่วงหน้าผ่านทางมนุษย์ ที่เป็นผู้รับใช้ตอนนั้น ให้บันทึกไว้ว่าเราเตรียมแผนการอย่างนี้ไว้ จะเกิดอะไรขึ้น? บอกล่วงหน้า ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ตรัสเรื่องนี้ไว้ด้วยพระองค์เองไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์เอง ได้ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับวันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐ พระองค์รู้แล้วว่าพระองค์จะมาทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขนอย่างไร? ขนาดไหน? ทรมานอย่างไร? และเพื่ออะไร? ดูสิว่าพระองค์ทรงตรัสเอง ยกมาหนึ่งตอน ให้ท่านได้เห็นกัน ลูกา 4:16-19

ลูกา 4:16-19 “16 พระองค์เสด็จมายังเมืองนาซาเร็ธ ที่ซึ่งทรงเติบโตขึ้น  และในวันสะบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาอย่างที่ปฏิบัติเป็นประจำ และทรงยืนขึ้นอ่านพระธรรม 17 เขาส่งม้วนพระคัมภีร์อิสยาห์ให้พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่ออกมา ก็พบข้อความที่เขียนไว้ว่า  18 “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้  พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้า มาประกาศอิสรภาพแก่ผู้ถูกจองจำ  และให้คนตาบอดมองเห็น  ให้ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่  19 ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปราน ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

 

บันทึกไว้ตั้งแต่สมัยโน่น ผู้เผยพระวจนะที่มีชื่ออิสยาห์ นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น จริงๆ เผยพระวจนะ คือบอกล่วงหน้า แล้วบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตั้งแต่วันแรก หน้าแรก เรียกว่าปฐมกาล Beginning พูดถึงพระเยซูมาตลอด เฉพาะตรงนี้บอกว่าบันทึกไว้สมัยผู้เผยพระวจนะ พระเจ้าใช้ 1 คน คนนี้ชื่อว่าอิสยาห์ บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูคริสต์ให้มาประกาศแก่มวลมนุษยชาติทั้งหลาย เฉพาะตอนนี้บอกก่อนล่วงหน้า ประมาณ 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน และจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วันอีสเตอร์แรกนั่นแหละ

พระเยซูอ่านตรงนี้ให้เราฟัง บันทึกไว้ล่วงหน้า 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตอนที่เราอ่าน พระเยซูคริสต์เกิดเป็นมนุษย์แล้ว 30 ปี ไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นช่างไม้อย่างเดียว เงียบๆ พออายุ 31 หน้าที่ของพระองค์มาแล้ว คือเริ่มต้นประกาศว่าพระองค์เป็นใคร? มาทำไมบนโลกใบนี้? มาเพื่ออะไร? สวรรค์คืออะไร? พระเจ้าเตรียมสวรรค์ให้กับมนุษย์ทุกคนอย่างไร? พระเจ้าเตรียมความหวัง เตรียมความรอดให้กับมนุษย์ทุกคนอย่างไร? จากนี้ต่อไป? ถ้าท่านเห็นภาพตรงนี้ ท่านจะอ่านพระคัมภีร์อย่างสนุกสนานและเข้าใจง่ายๆ ไม่ยากเย็นอะไรเลย  คือพระเยซูมา เพื่อจะมาบอกเราทั้งหลายว่าจะประกาศอิสรภาพแล้ว จะเป็นอิสระจากความบาปความตายแล้ว จะมีความหวัง และตายแล้ว ไม่ต้องกลัว จะเป็นขึ้นมาใหม่ จะได้อยู่กับพระเจ้า กลับไปหาพระเจ้า จะรู้จักพระเจ้าได้

พอพระองค์อายุ 30 ก็เริ่มต้น เดินเข้าไปในธรรมศาลา คำว่าธรรมศาลา คือที่ชุมนุมของคนที่เชื่อพระเจ้า ในกลุ่มชาวยิวในขณะนั้น เพราะว่าวิหารของพระเจ้าเข้าไปไม่ได้แล้ว ถูกปิดไว้ ห้ามใช้ โดยกฎหมายทางโรมัน เขาเหล่านี้จึงออกมาประชุมนอกวิหาร

นอกวิหาร คือที่ประชุม ธรรมศาลา ก็เหมือนกับโบสถ์เรา ที่มาเรียนรู้กันในวันเสาร์ วันสะบาโต วันนั้น วันแรก ที่ไม่มีใครรู้จักพระองค์เลยว่าเป็นใคร? รู้เพียงแต่ว่าเป็นลูกโยเซฟ ลูกมารีย์ เป็นช่างไม้ จบ แต่วันนั้นพระองค์ทรงเดินเข้าไป แล้วก็หยิบพระคัมภีร์ขึ้นมา ปกติคนที่จะอ่านพระคัมภีร์ที่อยู่ในหนังสือม้วน จะต้องเป็นคนที่มีความรู้มาก ต้องศึกษา เขาเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมในสมัยนั้น เขาต้องขึ้นมา แล้วอ่าน แล้วพระเยซูเป็นใครก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ ก็ขึ้นมาขออ่าน คนก็ยื่นให้อ่าน พระองค์ก็เปิดมา ท่านคิดดู เต็มไปหมดเลย  5 เล่มของพระคัมภีร์เดิมเยอะมาก พระองค์เปิดมาหน้านี้ หน้าที่เราอ่านเมื่อสักครู่

พระองค์บอกว่าพระองค์มาประกาศข่าวดี แก่ผู้ยากไร้ เอาตอนนี้ก่อน พอพระองค์อ่านจบนะ คนถามว่าแล้วทำไมมาอ่านอย่างนี้? พระองค์บอกฉันเอง คือคนๆ นี้ ที่พระคัมภีร์เขียน  อ่านเมื่อตะกี้นี้ คนตกใจ แตกฮือ หาว่าพระเยซูหมิ่นประมาณพระเจ้า

“อะไร นี่คือพระบุตรพระเจ้าที่พระองค์จะส่งมา เป็นมาซีฮา แล้วเธอเป็นใคร? เธอเป็นลูกช่างไม้”

เขาไม่เชื่อ เป็นเรา เราก็ไม่เชื่อ ลูกช่างไม้ อยู่ดีๆ มาบอกว่า …

“เราเป็นพระเจ้า”

ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นช่างไม้ อยู่ดีๆ มาประกาศเรื่องนี้ แล้วหลังจากนั้น จึงเริ่มต้นทำอัศจรรย์ เริ่มต้นประกาศข่าวดี อีก 3 ปี จนกระทั่งถูกตรึงที่ไม้กางเขน ท่านจะเห็นภาพว่าพระเยซูทำสิ่งนี้เกิดขึ้น  ทำให้ศัตรูของพระองค์ โผล่ขึ้นมาเต็มเมืองเลย คนตกใจ หาว่าพระองค์ทรงหมิ่นประมาณ จะจับพระองค์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะเอาไปลงโทษแล้ว ดูสิว่าพระองค์พูดถึงเรื่องอะไร?

“เรามา เพื่อประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้”

ท่านนึกว่าผู้ยากไร้หมายถึงคนจนเหรอ ในเมื่อพระเยซูประกาศแล้ว ทำไมคนจน ก็ยังจนอยู่ เราเชื่อพระเยซู เรายังจนอยู่ เรารู้สึก ทั้งที่เราจน แต่เราก็ไม่จน เพราะเรามีพอมีพอกินของเรา เรามีความหวัง แต่ทำไมเรายังจนตามลักษณะนั้น

เพราะประกาศข่าวดีกับผู้ยากไร้ ตรงนี้ คือแก่ผู้ที่ Poor in spirit ภาษาเดิมแปลว่าวิญญาณมันตาย วิญญาณที่อยู่ในความบาป ความตาย สกปรก มันหมายถึงอย่างนั้น  นี่แหละวิญญาณที่ยากไร้ ไม่ใช่ยากไร้ทางตามองเห็น พูดง่ายๆ ว่าสิ่งที่พระเยซูพูดทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ในโลกใบนี้เลย ตามความคิดของมนุษย์ชอบคิดอย่างนี้ พอบอกยากจน คือคนจน ไม่ใช่ วิญญาณคุณยากไร้มาก ทุกวันนี้เรามาเชื่อพระเยซู วิญญาณเรารวยไหม? รวยมหาศาล

ต่อไปบอกว่า “มา เพื่อประกาศอิสรภาพแก่ผู้ที่ถูกจองจำ” ประกาศให้คนที่อยู่ในคุกเหรอ พวกที่ทำผิดกฎหมายเหรอ ไม่ใช่ ทั้งเล่มเลย พระคัมภีร์เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น อย่าอ่าน แล้ววิเคราะห์ แล้วสรุปเป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดของมนุษย์ที่จับต้องมองเห็นได้ ถ้าท่านใส่เกี่ยวกับวิญญาณ ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลย แม้กระทั่งคำว่าความรอดในพระเยซูคริสต์ รอดจากรถชนกันเหรอ ไม่ใช่ รอดจากจมน้ำตายเหรอ ไม่ใช่ รอดจากบาป โทษของความบาป เราต้องใช้เวร ใช้กรรม เมื่อเราตายไปแล้ว รอดจากตรงนั้นแหละ ก็คือรอดทางฝ่ายวิญญาณ

ประกาศอิสรภาพ แก่ผู้ที่จองจำ ก็คือประกาศอิสรภาพ แก่ผู้ที่วิญญาณถูกครอบงำ ด้วยความผิดบาป เป็นทาสของความตาย ทาสของความบาป ไม่ทำบาป ก็ไม่ได้ พยายามๆ ในที่สุด ก็ทำทำแล้ว ก็ไม่สบายใจ แต่ทำไมทำ นั่นแหละคือลักษณะของการถูกจองจำ ที่เราสามารถเห็นได้ในชีวิตของเรา ไม่อยากทำ แต่สู้มันไม่ไหว ก็คือถูกจองจำ

ต่อไปอะไรอีก “ให้คนตาบอดมองเห็น” ไม่ได้หมายถึงคนตาบอด แล้วพระเยซูมา เพื่อให้เขามองเห็นทุกคน ไม่ใช่ ทุกวันนี้ มีคริสเตียน ที่เชื่อพระเจ้า ยังตาบอดจริงๆ แต่ตาทางฝ่ายวิญญาณ มันบอด ก็คือให้คนตาบอดทางฝ่ายวิญญาณ เพราะเขาบาป เขาไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ เขาไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้ เหมือนเราในอดีตที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า พูดเรื่องพระเจ้าให้เราฟัง พูดเรื่องพระเยซูให้เราฟัง เราก็ไม่อยากฟัง  เราไม่ชอบทันทีเลย ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงไม่ชอบ อย่ามาพูดเรื่องนี้เลย พูดเรื่องอื่น เรื่องอะไรเราก็ฟังได้ทั้งสิ้น อย่าพูดเรื่องพระเยซูได้ไหม? ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผล  เพราะตาเรามองไม่เห็นไง แต่ทุกวันนี้ อยากจะพูด บอกไม่ให้เราอธิษฐาน เราก็อธิษฐาน  คนว่าเราบ้าไปแล้ว พูดคนเดียว เราก็บอกว่าเราก็จะอธิษฐานต่อไป ในเพลง Amazing Grace บอก But now I see บัดนี้ฉันเห็นแล้ว ไม่ใช่บอกว่าแต่ก่อนฉันตาบอด เปล่า แต่ก่อนตาเห็น แต่ฉันไม่เห็นพระเยซู แต่เดี๋ยวนี้ ตาฉันได้เห็นพระเจ้าแล้ว ผ่านทางข่าวประเสริฐของพระเยซู ฉันได้รู้จักพระองค์ ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น พระเยซูมา เพื่อให้ตาฝ่ายวิญญาณเราได้ถูกเปิดออก และได้เห็นพระเจ้า ได้รู้จักพระเจ้า และสามารถคุย มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระองค์ได้ เอเมน

ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ หมายถึงถูกปลดปล่อยจากการกดข่มขี่ทางฝ่ายวิญญาณ คือปลดปล่อยคนที่อยู่ใต้อำนาจความบาป ความตาย โดยการนำของมารซาตาน ให้เขามีอิสรภาพ เขาอยู่ในกำมือของมาร เขาอยู่ในการนำพาชีวิตของมาร เขาอยู่ในความมืด เหล่านี้ เรียกว่าถูกกดขี่ข่มเหงโดยมารทั้งสิ้น ให้ทำชั่ว ทำสิ่งที่ไม่ดี ทั้งๆ ที่ไม่อยากทำ แล้วสุดท้าย พระองค์มาเพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปราน อันนี้ชอบมากเลย ถามว่าชอบ เพราะอะไร?

ปีแห่งความโปรดปราน คือประกาศเวลาแห่งการอภัยโทษ ให้กับความผิดบาปของมวลมนุษย์ทุกคน เอเมน ซึ่งรวมทั้งฉันด้วย

ปีแห่งความโปรดปราน ผมใช้คำนี้ในยุคปัจจุบันนี้ ท่านจะเห็นชัด พระเยซูมาประกาศปี (S) เพราะหลายๆ ปี อยู่ในความโปรดปรานนี้ ประกาศปีแห่งโปรโมชั่น รู้จักโปรโมชั่นไหม? ทุกคนชอบ เพราะถ้าห้างนี้เขาบอกมีโปรโมชั่น ตอนนั้น เขามีความโปรดปรานในลูกค้ามาก เขาอยากให้ท่านไปซื้อ เขาลด 50% ลดตั้ง 70% โปรดปรานมาก นี่พระเจ้าบอกปีแห่งความโปรดปราน ต่อไปนี้ ไม่ต้องเอาหัวหมูมา ไม่ต้องเอาแพะมา ไม่ต้องเอาไก่มา ไม่ต้องมาติดสินบนฉันเลยแม้แต่นิดเดียว เอาไป พระเจ้าบอกลด 100% มาเอาไปฟรีๆ เลย  ความรอดจากบาป ก่อนหน้านี้ ยังต้องเอาเลือดสัตว์ไป เอาอะไรไปต่างๆ ต่อกันทุกปี ต่อไปนี้ไม่ต้องเลย เอาไปฟรีๆ  นี่เขาเรียกว่าปีแห่งความโปรดปรานแก่มนุษย์ทั้งปวง อย่างนี้ไม่เรียกว่าข่าวดี แล้วเรียกว่าอะไร?

ซึ่งรวมทั้งหมดทั้งมวลนี้ ที่พระเยซูมาทำ ก็คือว่าพระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูคริสต์ไว้ เพื่อให้มาเป็นผู้ประกาศอิสรภาพ หรือประกาศการอภัยโทษให้แก่มวลมนุษยชาติทั้งปวง ให้ได้รับอิสรภาพจากการเป็นทาสของความบาปและความตาย ให้ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า เรียกว่าประกาศปีแห่งนิรโทษกรรม คุ้นๆ ไหมตอนนี้เอามาใช้บ่อย นิรโทษกรรม ใครทำอะไรผิดมายกให้หมดเลย จึงเรียกว่าข่าวดี เป็นข่าวดีจากชัยชนะที่ไม้กางเขน ตามเหตุการณ์ในวันศุกร์ประเสริฐก่อนจะสิ้นพระชนม์ วันศุกร์ที่ผ่านมา ย้อนไปอีก 1988 ปี ที่ไม้กางเขน วันศุกร์นั้น ก่อนวันอีสเตอร์ 3 วัน พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  จนกระทั่งถึงบ่าย 3 โมง ด้วยความทุกข์ทรมาน

พระองค์ได้ตรัสคำสุดท้าย เป็นภาษาฮีบรูอ่านมา Testelesti แปลว่าเป็นอิสรภาพแล้ว สำเร็จแล้ว  จ่ายให้หมดแล้ว

พระองค์ถูกตรึงตั้งแต่ 3 โมงเช้า พอถึงเที่ยงปุ๊บ ฟ้ามืดครึ้มไปหมดเลย ผมเชื่อว่าตอนนั้นเหมือนสุริยุปราคา มืดไปหมดทั้งแผ่นดินถึงบ่าย 3 โมง ทหารที่เฝ้าดูตกใจ ที่เขาบอกพระเจ้าแน่ๆ เขาพูดไม่ใช่เพราะเขาเชื่อหรอก แต่เขาเห็นความอัศจรรย์ ตกใจ นี่ต้องเป็นพระเจ้า ตามที่พระองค์ได้บอกไว้ ตามที่ใครๆ เขาพูดถึงในช่วงนั้น มีคนที่เชื่อพระเจ้าในช่วงนั้นเขาพูดถึง คือพระบุตรพระเจ้าแน่ๆ คนนี้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก่อนบ่าย 3 โมงพระองค์พูดว่าสำเร็จแล้ว หรือจ่ายหมดแล้ว แปลว่าวันสุดท้ายพระองค์ทำเสร็จ

พระองค์ทรงประกาศข่าวดี เป็นคนแรก พระองค์บอกสำเร็จแล้ว ที่ทำมาทั้งหมด ปลดปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว เสร็จแล้ว แล้วคนต่อๆ ไป พระองค์ก็สั่งเขาให้ไปประกาศข่าวดี ประกาศว่ามนุษย์ได้รับอิสรภาพแล้ว สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น มีหน้าที่ออกไปประกาศว่า …

“สำเร็จแล้ว จบแล้ว”

ท่านก็ว่าไป อะไรจบ ท่านก็อธิบายให้เขาฟัง ก็คือสรุปแล้ว คือจบแล้ว คือมนุษย์ได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรมอีกต่อไป ตรงนี้คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่พระเยซูคริสต์ได้ประทานให้กับเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระองค์ เราจึงเรียกว่า “วันแห่งชัยชนะ” หรือ “Easter day” เป็นวันที่เรามาระลึกถึงชัยชนะ ผู้นำทัพของเรา คือพระเยซูคริสต์ได้รับชัยชนะเหนือความบาปและความตาย พระองค์ทรงชนะที่ไม้กางเขน และยืนยันชัยชนะของพระองค์ ประทับตราด้วยการเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าพระองค์ประกาศชัยชนะ แล้วพระองค์ตายไปตลอดเลย อันนี้ มันก็น่าตะขิดตะขวางใจ แต่พระองค์ตายแล้ว ชำระเราเรียบร้อยแล้ว แค่นั้นไม่พอ วันที่ 3 วันอีสเตอร์ พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ปั้มตราหนี้ที่จ่ายไปแล้ว เป็นใบเสร็จ แล้วส่งให้พวกเราทุกคนเลย คนที่เชื่อในพระองค์ มนุษย์ทุกคน

“เอาไปเลยใบเสร็จ จ่ายให้แล้วนะ”

เห็นไหม? เราก็ดีใจ ถามว่าใบนั้นคืออะไร? คือการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ในวันที่ 3 อีสเตอร์ คือใบเสร็จรับเงินนั่นเอง ยืนยันว่าจ่ายแล้ว เอเมน

1 โครินธ์ 15:54-57 “54 คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ จะเป็นจริง คือ ความตายก็พ่ายแพ้ ถูกกลืนหายไป 55 “ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า? ความตายเอ๋ย ไหนล่ะเหล็กไนของเจ้า?” 56 เหล็กไนของความตาย คือบาป และอานุภาพของบาป คือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า  พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา” เอเมน

 

พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าจากชัยชนะตรงนี้  ทำให้สิทธิอำนาจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในสวรรค์ ในโลกก็ดี ใต้โลกด้วย ได้ถูกมอบให้กับมนุษย์ทุกคน ผ่านทางหัวหน้ามนุษย์ แม่ทัพเราชนะแล้ว เราก็ชนะด้วย พระเจ้าตากสินชนะ คนไทยที่อยู่ในกลุ่มชนะหมดเลย  ประกาศอิสรภาพต่อพม่าเลย  ไม่ใช่พระเจ้าตากสินได้ชัยชนะคนเดียว พระองค์เป็นหัวหน้าเรา ทำนองเดียวกันพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือเป็นหัวหน้ามนุษย์ พระเจ้าตากสินเป็นคนไทย เพราะฉะนั้น คนไทยประกาศอิสรภาพ คนที่อยู่ไกลลิบ ไม่ได้เข้าร่วมรบกับเขาเลย ก็ได้รับชัยชนะ คนธรรมดาอย่างเรา คนบาป ไม่เหมือนพระเยซูเลย เมื่อพระเยซูประกาศชัยชนะ เราก็ได้รับชัยชนะ ที่ไม้กางเขนนั่นแหละ ประกาศโดยตัวแทนของเรา คนที่เกิดหลังจากพระนเรศวรประกาศอิสรภาพ ก็ได้รับอิสรภาพ ท่านพอมองภาพเห็นไหมครับ? เราทั้งหลาย ไม่จำเป็นต้องไปยืนอยู่ที่ไม้กางเขน เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว เราก็สามารถมีสิทธิรับอิสรภาพตรงนี้ได้ ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

ตอนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย และปรากฏพระองค์ต่อสาวก พระเยซูได้ตรัสถ้อยคำนี้ ในมัทธิว 28:18-20

มัทธิว 28:18-20 “18 พระเยซูทรงเข้ามาหาพวกเขา และตรัสว่า  “สิทธิอำนาจทั้งสิ้น ในสวรรค์ และในแผ่นดินโลก ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 ดังนั้น จงไปสร้างสาวก จากมวลประชาชาติ ให้เขารับบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ และแน่นอน เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปตราบจนสิ้นยุค”

 

นี่คือคำสุดท้าย ก่อนที่จะจากไป ก่อนที่จะไม่เห็นหน้าเห็นตา แต่จะมาในลักษณะติดต่อกันทางวิญญาณแล้ว แสดงว่าต้องพูดคำที่สำคัญมาก  ไปสร้างสาวก แปลว่าจงไปบอกคนนั้นให้มาเดินตามพระเยซู บอกคนนั้นให้มาเดินตามพระเจ้าตากสิน บอกคนนั้นให้มาเดินตามพระนเรศวร มหาราช ที่ประกาศอิสรภาพ เพราะถ้าเธอเดินตาม แปลว่าเธอได้รับชัยชนะเหมือนหัวหน้าด้วย แปลว่าแค่นี้เอง ทุกวันนี้ เราเป็นสาวกพระเยซู แปลว่าทุกวันนี้ เราเดินตามพระเยซู พระเยซูได้รับชัยชนะ เราก็ชนะด้วย

ในนี้บอก “ให้เขารับบัพติศมาในนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ” ทุกคนฟัง แบบศาสนามากเลย  ต้องไปที่โบสถ์รับบัพติศมา ทำมิชชา หรือจุ่มน้ำ ทำพิธีเยอะแยะเลย เป็นคริสเตียน   ไม่ต้องมาทำอะไรเลย ผมจะแปลให้ท่านฟัง ง่ายๆ คือให้เขารับบัพติศมาในนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ ก็คือให้เขาเข้ามาอยู่ในครอบครัวฝ่ายวิญญาณนี้ ให้เขาเข้ามาอยู่ในประเทศนี้  ให้เขาเข้ามาอยู่รวมกันกับเรา  คนไทยสมัยพระนเรศวร มหาราช อย่าบอกว่าเป็นคนป่าคนอื่น เดี๋ยวไม่ได้รับอิสรภาพ แค่นี้เอง ตั้งแต่วันที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์บอกมา 1988 ปีแล้ว จะบอกต่อไปอย่างนี้ ใครก็ตามที่เป็นมนุษย์ รู้เรื่องนี้ ข่าวดีนี้ ให้เข้ามา ตามหัวหน้าเรา คือพระเยซู ให้เข้ามารับบัพติศมา คือให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวของพระองค์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นอาณาจักรหนึ่ง เรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณตรงนี้

โลกฝ่ายวิญญาณ ถ้าท่านเข้าใจ ท่านจะโอ้! ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมอะไรต่างๆ มากมาย ง่ายๆ เหมือนกับชีวิตบนโลกใบนี้  อิสรภาพลักษณะเดียวกัน เพียงแต่เป็นฝ่ายวิญญาณเท่านั้น  สิทธิอำนาจทั้งสิ้น ทั้งในสวรรค์และในแผ่นดินโลก ได้ถูกมอบให้พระองค์แล้ว และเราก็ได้รับด้วย

นี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงตรัสเอง ตอนที่อยู่กับสาวก ซึ่งถ้อยคำเหล่านี้ ได้ถูกบอกไว้ล่วงหน้า เผยพระวจนะในไบเบิ้ลทั้งเล่ม ก่อนที่พระเยซูจะเกิดมาทำสิ่งเหล่านี้

ยกตัวอย่างหนังสือดาเนียล ก็เป็นหนังสือหนึ่ง ในจำนวนผู้เผยพระวจนะ หรือนิมิตที่บอกล่วงหน้า เรื่องเกี่ยวกับพระเยซู

ดาเนียล 2:44-45 “44 ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้ จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล 45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหิน ที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำให้แตกกระจาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้ เป็นความจริง และการตีความนี้ ก็เชื่อถือได้”

 

ที่บอกว่าจะมีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ แต่ด้วยมือของพระเจ้า หินนั้นกระแทกเท้าของรูปปั้นนั้นแตกกระจาย แหลกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือร่องรอย แต่หินที่กระแทกรูปปั้นนั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมา ปกคลุมโลก นี่พูดไว้ 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย วันอีสเตอร์แรก รูปปั้นนั้นหมายถึงบรรดาอาณาจักรใหญ่ๆ ทั้งหมดที่เราได้เรียนรู้กันมา ซึ่งจะล้มระเนระนาดไปหมด รวมทั้งอาณาจักรโรมันสุดท้ายและเชื้อสายของอาณาจักรโรมัน ที่กระจัดกระจายไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ด้วย ไม่มีอีกแล้ว ประเภทยักษ์ใหญ่ มีแต่เชื้อสายของโรมัน รวมไปถึงเขาเรียกว่าแอนตี้ไคร์ซหรือปฏิปักษ์พระคริสต์ที่เราได้เรียนรู้กัน ตัวสุดท้าย ตัวใหญ่ๆ จะโผล่ขึ้นมาในยุคสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาสถาปนาสวรรค์ บนโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง

หินก้อนนี้จะกลายเป็นอาณาจักรใหญ่ พระเยซูตรัสว่าบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเรา และความตายจะไม่มีชัยเหนือคริสตจักรของเราเลย คริสตจักร คือตัวท่านทั้งหลาย ที่เชื่อในพระเยซู พอเราเชื่อ รับข่าวประเสริฐของพระเยซู พระเยซูเป็นหัวหน้าเรา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ได้รับชัยชนะเหนือความตายแล้ว พอเราต้อนรับ ทันทีทันใด ตัวเราจะสะอาดบริสุทธิ์ เพราะพระองค์ทรงชำระบาปให้เราแล้ว พอชำระเราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว พระเจ้าก็มาสถิตอยู่กับเราได้ เมื่อพระเยซูหรือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเรา เราก็กลายเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่

พระคัมภีร์บันทึกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”

พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา เราก็เรียกตัวเราเองว่าโบสถ์ ภาษาเป็นทางการ Church เรียกว่าคริสตจักร

“บนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักร และความตายจะไม่มีอำนาจ ไม่มีชัยเหนือคริสตจักรได้เลย”

คริสตจักร คือใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในเขา เขากลายเป็นโบสถ์ เขากลายเป็นคริสตจักรของพระเจ้า สร้างอยู่บนศิลา คือสร้างอยู่ในความเข้มแข็งของพระเยซูคริสต์ มาเป็นประชากรของพระองค์ อยู่ในอาณาจักรของพระองค์นั่นเอง เอเมน

ตอนนี้ท่านรู้แล้วนะว่าท่านเป็นใคร? เราเป็นโบสถ์ แต่เป็นโบสถ์ก็ยังต้องมาโบสถ์ด้วยนะ โบสถ์ หมายถึงที่รวมคนของโบสถ์ โบสถ์หลายๆ โบสถ์มารวมกัน เรียกว่าโบสถ์โฮลี่ส์ เรียกว่าโบสถ์คน แต่ท่านอยู่บ้าน ท่านก็เป็นโบสถ์ เพราะฉะนั้น อยู่ 2 คน ก็เป็นโบสถ์ อยู่คนเดียวก็เป็นโบสถ์ แต่อยู่หลายๆ คนดีกว่า จะได้ไม่เหงา

อาณาจักรที่เราจะได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็เรียกว่าสวรรค์นั่นเอง ซึ่งเป็นที่สวยงาม มีแต่ความสุข สงบ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีเสียใจ ไม่มีความบาปอีกต่อไป ไม่มีรถชนกันตายอีกต่อไป  ไม่มีคนมาปล้นจี้อีกต่อไป  ไม่มีหนี้สินอีกต่อไป ไม่มีอะไรที่ท่านไม่อยากได้ ท่านจะมีความสุขตลอดกาล พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

อาณาจักรสวรรค์จึงเป็นความหวังใจของมนุษย์ทุกคน  ไม่มีเว้นแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะรู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จักพระเจ้าก็ตาม การทำงานของพระเยซูคริสต์ การไถ่ของพระเยซูคริสต์ การทำให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า ไม่ต้องชดใช้บาป  เราจึงเรียกทั้งหมดนี้ว่าข่าวประเสริฐ หรือข่าวดี

บอกมาตั้ง 1988 ปีมาแล้ว แล้วมีคนเชื่อในข่าวดีนี้เยอะแยะมากมายเลย  แต่ก็ต้องประกาศต่อไป

“มีข่าวดีมาถึงมนุษย์ทุกคน ข่าวดีมาแล้วววววว วันนี้ลดราคา 100%”

ไม่มีใครสนใจ  แปลกไหม? แต่ไม่เป็นไร พระเจ้าทรงกระทำการงานของพระองค์ ถ้าพระเจ้าทรงนำพาผมมาเชื่อในข่าวประเสริฐนี้ได้ ผมเชื่อว่านำพาทุกคนมาเชื่อได้แน่นอน ผมไกลจากข่าวประเสริฐเหลือเกิน ดูเหมือนใกล้นะ แต่มันไกลมากเลย เพราะผมไปศึกษาเรื่องอื่นเยอะแยะไปหมด พูดตรงๆ ไม่น้อยกว่าศึกษาเรื่องพระเจ้าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล จึงรู้สิ่งอื่นเยอะแยะไปหมด นี่คือเล่มสุดท้ายที่มาศึกษา เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ เรื่องเกี่ยวกับชีวิต เรื่องเกี่ยวกับความรอดของมนุษย์ เรื่องเกี่ยวกับบาปเวรกรรมอะไรต่างๆ ถ้าผมมาเชื่อได้ อย่างน้อยๆ หลายท่านก็คงมาเชื่อไม่ยาก เพราะลึกๆ แล้ว มนุษย์ทุกคน ในใจ หลังความตายอยากไปอยู่ในที่ที่ดีๆ ไม่อยากจะไปในที่ที่ไม่ดี เวลาคนเขาจะตาย เขาบอกว่าไปที่ชอบๆ  บางครั้งที่เราไม่ชอบ ก็ต้องไป เพราะเรานึกว่าเราชอบ

เขาบอกทุกคนรู้ว่าเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว เขาจำเป็นต้องไปทำอะไรบางอย่าง เขาไม่แน่ใจ สิ่งนั้น คือมนุษย์รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป ยังไงๆ วันหนึ่งก็ต้องรู้ วันนี้แข็งแกร่งอย่างไร? แว๊บหนึ่ง ก็ต้องรู้ว่าเราก็ไม่ใช่คนดี  เราจะต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะลบเอาความรู้สึกว่าเป็นคนบาปนั้นออกไปให้ได้ ด้วยวิธีต่างๆ ด้วยทุกอย่าง ด้วยทุกวิถีทางเลย วันนี้เราเอาเงินไปบริจาคการกุศลอะไรสักอย่าง พอบริจาคไป รู้สึกสบายใจ แว๊บเดียวเข้ามาอีกแล้ว เราก็ไม่ค่อยสบายใจอีกแล้ว บาปยังอยู่ ตอนให้ออกไป มันรู้สึกสบายใจ แต่มันไม่ได้อยู่ถาวรนิรันดร์ มันมีความรู้สึกต้องจ่ายอะไรบางอย่าง จ่ายไม่หมดสักที ไม่พอสักที นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจของมนุษย์ทั้งหลาย ผมคิดว่าอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐหรือข่าวดีของพระเจ้า จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนหวังอยากได้ข่าวประเสริฐ ข่าวดีตรงนี้ ให้ฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องเสียอะไรอีกแล้ว ถ้าใครเชื่อตรงนี้ มันก็จะเป็นกำลังใจให้กับเขาในการดำรงชีวิตนี้อยู่อย่างสันติสุข สงบ รู้แล้วว่าจะไปไหน? เหมือนขึ้นรถเมล์ แล้วรู้ว่าป้ายสุดท้ายมันคือที่ไหน? สบายใจ รถเมล์คันนี้จะผ่านที่มืด ผ่านที่เปล่าเปลี่ยว ผ่านที่มีโจรอยู่ข้างๆ ทาง ก็หลับน้ำลายยืด เพราะรู้ว่าเดี๋ยวมันก็ไปสุดท้ายที่บ้านของเรา แต่ใครก็ตามขึ้นรถเมล์ แล้วไม่รู้ว่ารถเมล์นั้น จะไปไหน? หลับไม่ลง คอยผุดลุกผุดนั่ง คอยมองหน้าตา ถึงไหนแล้ว คอยถามกระเป๋ารถเมล์จะลงป้ายไหน? เพราะไม่รู้จะไปไหน? แต่คนที่บ้านอยู่สุดป้ายรถเมล์ เป็นอู่รถเมล์ สบาย นอนหลับ เดี๋ยวพอถึงที่ กระเป๋ารถเมล์จะมาปลุกเราให้ตื่น ถึงบ้านแล้วครับ โอเคลง นี่แหละคริสเตียนจะเป็นอย่างนี้ นึกในใจเป็นอย่างนี้ นี่คือความผ่อนคลาย คือคลายกังวล

พูดให้ท่านฟังว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม นี่เป็นความจริงในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แล้วผมและหลายๆ คนในนี้ก็มีประสบการณ์อย่างนี้จริงๆ มันสบายจริงๆ เป็นข่าวดี เพราะไม่ต้องทำอะไรเลย

ท่านบอกว่ามันอาจจะเป็นข่าวดี สำหรับบางคน แต่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับฉัน ฉันทำไม่ไหว ฉันได้แค่นี้เอง ข่าวดีสำหรับคนที่ไม่พูดปดเลย  ไม่ไหว ฉันปดตลอดเวลา

ข่าวดีนี้มีเฉพาะสำหรับห้ามไม่ให้กินเหล้าเด็ดขาด ฉันพยายามไปสวรรค์ มากินอีกแล้ว ตกนรกอีกแล้ว มันก็ไม่ใช่ข่าวดีอีก ถูกไหม?  พูดแล้วยังมีอีกเยอะแยะ ท่านคิดในใจสิ มันอาจจะเป็นข่าวดี สำหรับคนที่ทำได้ แต่สำหรับฉัน มันไม่ใช่ข่าวดีเลย ไม่ไหว ฉันทำไม่ได้ ถ้าข่าวดีนี้มีคำว่าแต่ หรือแม้แต่ หรือต้องไม่ ท่านแย่เลย

ยกตัวอย่างข่าวดีนี้  ท่านจะได้ไปสวรรค์ ท่านจะได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์ ท่านต้องไม่สูบบุหรี่ สำหรับคนที่สูบบุหรี่ ฉันตายแน่ๆ ท่านรู้ไหมคนติดบุหรี่ เลิกยาก หรือยาเสพติดเลิกยาก

ข่าวดีนี้สำหรับคนที่จะไปสวรรค์ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์นี้ เขาจะต้องไม่โกหกเลยแม้แต่นิดเดียว เราแย่เหลือเกิน วันนั้นเขาถามฉันว่ากินข้าวหรือยัง? ตอบว่าอิ่มแล้วค่ะ จริงๆ หิว เกรงใจเขา ไม่กล้าพูด เป็นอย่างไร สบายดีไหม? สบายดี ทั้งที่ไม่สบาย ปวดท้องอยู่ ไม่กล้าพูด

มันไม่ใช่ข่าวดีใช่ไหม? ข่าวดีควรจะเป็นอิสระ พร้อมเสมอ 100% ไม่มีข้อแม้ เพราะฉะนั้น  พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าข่าวดี เพราะบันทึกไว้ว่าได้รับโดยความเชื่อเท่านั้น เชื่อว่าตรงนี้เป็นจริง เชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับฉัน พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ยืนยันว่าพระองค์ทรงกระทำจริงๆ ฉันรับเอา ฉันเชื่อ ได้เลย ทำไมมันง่ายอย่างนี้ พระคัมภีร์บอก By grace we are save. ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของมาติน ลูเธอร์ ที่บอกไว้ ที่มีการปฏิรูปเรื่องพระเยซูคริสต์ เมื่อประมาณ 500 ปีที่แล้ว เดือนนี้เป็นเดือนที่เขาครบรอบ 500 ปีของคริสตจักรสไตล์โปรเตสแตนส์

By grace แปลว่าด้วยพระคุณ … พระคุณ แปลว่าเอาไปฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ทั้งที่ไม่สมควรได้ บางคนเอาไปฟรีๆ เขาทำดี แต่นี่ไม่ใช่ โจรบนไม้กางเขน ก็เอาไปฟรีๆ สมควรได้รับไหม? ไม่สมควร แต่เป็น grace เป็นพระคุณ  แล้วมีใครที่ไม่สมควรได้รับตรงนี้ ที่บอกตัวเองชั่วมาก เลวมาก ไม่มี เพราะในนี้บอกท่านเชื่อ ท่านก็ได้ นี่คือเคล็ดลับแค่นี้เอง อย่าคิดอะไรมากมาย พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างไร? เชื่อตามนั้น แค่นี้เอง พระองค์บอกว่าด้วยพระคุณ ไม่ต้องไปคิดว่าเขาว่าทำอันโน้นไม่ได้ อันนี้ไม่ได้ เขาว่ากินเลือดไม่ได้ กินอาหารไหว้รูปเคารพไม่ได้  เขาว่าลอยกระทงไปไม่ได้ ไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวาย ต้องเรียนรู้อีกตั้งเยอะ กลับมาอยู่ที่เดิม ก็เป็นทาสอยู่เหมือนเดิม ในนี้บอกว่าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านได้รับความรอดแล้ว จบ

เมื่อ 1988 ปีมาแล้ว จบแล้ว ใครจะพูดอะไร ก็ไม่ต้องมาศึกษา วุ่นวายกันใหญ่ กินอันนั้นได้ไหม? อยากทำ ก็เชิญ ตราบใดที่ท่านยังเชื่อเรื่องนี้อยู่ เอเมน มันง่ายอย่างนี้ ประกาศยาก คนก็ไม่มาเชื่อ ทำไม่ไหว เหนื่อย พระเยซูคริสต์จึงบอกน่าจะเอาคนประกาศไปถ่วงน้ำ ไปทำเรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องหนักขึ้น  มาเชื่อพระเจ้าต้องลงน้ำบัพติศมา ถามว่าถ้าท่านพาเพื่อนมาเชื่อพระเจ้า ต้องมาบัพติศมาในน้ำไหม? ไม่ต้อง แต่ทำก็ดี เป็นพระพร ท่านต้องมาโบสถ์ไหม? มาประจำไหม? ไม่ต้อง แต่มาดีแล้ว  ต้องมาโบสถ์ถึงจะได้รับความรอดใช่ไหม?  ไม่ต้อง แต่มาดีไหม? ดี ท่านพอเห็นภาพไหม? ง่ายๆ แต่เราทำให้มันยาก ทุกวันนี้พระเยซูปวดหัว เพราะเราทั้งหลาย เอาไปทำให้มันยากเย็น จนคนแบกรับไม่ไหว

สมัยหนึ่ง พระเยซูตอนเดินอยู่บนโลกนี้ เรียกคนเหล่านี้ว่าฟาริสี พวกฟาริสีชอบทำอย่างนี้ เอาภาระไปให้คน จะไปสวรรค์ทีหนึ่ง แบกจนไปไม่ได้ กลับมาที่เดิม กลับมาเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเยซูว่าพระองค์กระทำนั่นเอง เท่ากับท่านไม่เชื่อ แม้จะบอกว่าท่านเป็นคริสเตียน แต่จริงๆ ท่านก็ไม่เชื่อ ที่ไม่เชื่อ เพราะสิ่งที่ท่านทำ สิ่งที่ท่านพูด ถ้าท่านบอกต้องเมื่อไร? ท่านจบ ส่วนบอกไม่ต้อง แล้วท่านจะไปคิดอย่างนี้ไม่ถูก ทำไม่ถูกอย่างนั้น ฉันไม่รู้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกเอาไว้ ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ถึงความรอดผ่านทางความเชื่อ ในพระบุตรของพระเจ้าเท่านั้น โดยพระคุณ ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้รับความรอด เอเมน

นี่แหละ คือความหวังใจ ที่เรามาฉลองอีสเตอร์ หรือทุกๆ ปี ก็คือการมาฉลองความหวังใจว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับการครอบครองอาณาจักรสวรรค์นี้ อย่างเป็นรูปเป็นร่าง ชัดเจน จริงๆ ทุกวันนี้ก็ครอบครองแล้ว ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในวิญญาณ  เพราะสิ่งเหล่านี้ ได้มีการบอกล่วงหน้า เป็นพันๆ ปีมาแล้ว บันทึกไว้เป็นหลักฐาน ตั้งแต่หน้าแรกเลย แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ได้เกิดขึ้น ตามที่พระเจ้าได้บอกไว้ทั้งหมด ทั้งเล่มนี้เลย เปิดมาตรงไหน? เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ มาไถ่มนุษย์ทั้งนั้น  เพราะฉะนั้น ความหวังสุดท้าย ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมา และเราจะได้ครอบครองอาณาจักรสวรรค์นี้ ร่วมกับพระเยซูนิรันดร์นั้น ก็ต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน เอเมน พระคัมภีร์มีบันทึกไว้หลายแห่ง กิจการ 1:8-11

กิจการ 1:8-11 “8 ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์อำนาจเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือพวกท่าน และพวกท่านจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม และทั่วแคว้นยูเดียกับสะมาเรียจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก” 9 หลังจากตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา และมีเมฆมาปกคลุมพระองค์ จนพวกเขามองไม่เห็นพระองค์ 10 พวกเขากำลังแหงนหน้าเขม้นดูฟ้า ขณะที่พระองค์เสด็จไป ทันใดนั้นมีชายสองคนสวมชุดขาวมายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา 11 และกล่าวว่า “ชนชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุใดพวกท่านจึงยืนมองท้องฟ้าอยู่ที่นี่ พระเยซูองค์นี้ ซึ่งถูกรับไปจากพวกท่าน เข้าสู่สวรรค์นั้น จะเสด็จกลับมาอีกในแบบเดียวกันกับที่พวกท่าน เห็นพระองค์เสด็จเข้าสู่สวรรค์”

 

ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เมื่อวันอาทิตย์แรก 1,988 ปี แล้วพระองค์ก็เป็นขึ้นจากความตาย แล้วก็มาประกาศข่าวดีอีกครั้งหนึ่ง ในภาพที่เห็นเป็นมนุษย์ เป็นรูปร่างจับต้องมองเห็นได้เลย เห็นรูที่ถูกแทง ที่ถูกตอก กินข้าว กินปลาได้เลย 40 วัน แล้วก็เกิดสิ่งที่อ่านไปเมื่อสักครู่ 40 วัน พระองค์จัดการเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์

ตอนที่พระเยซูลอยขึ้นไปสู่สวรรค์ เขียนคำว่า “ลอย” พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ แล้วก็เห็นต่อหน้าต่อตา เป็นรูปภาพ จับต้องมองเห็นได้ พระเยซูลอยขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ สาวกก็เลยเชื่อแล้วว่าเป็นพระเจ้าจริงๆ เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ เดินอยู่กับพระองค์ คุยกับพระองค์ 40 วัน เห็นพระองค์ลอยขึ้นไป ตกใจ แล้วทูตสวรรค์จึงจำเป็นต้องมาบอก จะเหม่ออะไรเล่า มาสะกิด เป็นอะไร? เหม่อทำไม? พระเยซูผู้นี้ลอยขึ้นไปสวรรค์แล้ว และพระองค์จะกลับมาใหม่ พร้อมกับหมู่เมฆเหมือนเดิม ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ก่อนหน้านี้แล้ว

ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่ฝากไว้ วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่ ตามที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ มาสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ ในโลกนี้ คือสวรรค์นิรันดร์กาล และเราจะครอบครองร่วมกับพระเยซู ทั้งหลายทั้งปวงที่เรา มาร่วมกันฉลองเทศกาลอีสเตอร์ ก็คือความหวังใจตรงนี้แหละ และถามว่าจะมาเมื่อไร? เมื่อไรจะสถาปนาให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ก็เมื่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงเลือกสรรเอาไว้นั้น ที่จะมาครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนั้น รวมทั้งเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ วันที่คนสุดท้ายมาเชื่อ ก็วันนั้นแหละ มัทธิว 24:30-31 บันทึกไว้ตรงนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดขึ้น พระเยซูตรัสเองเลยนะ

มัทธิว 24:30-31 “30 “เมื่อนั้นหมายสำคัญของบุตรมนุษย์ จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้าและมวลประชาชาติแห่งพื้นพิภพจะร้องไห้คร่ำครวญ พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนหมู่เมฆในท้องฟ้าด้วยเดชานุภาพและพระเกียรติสิริอันยิ่งใหญ่ 31 พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาพร้อมกับเสียงแตรดังสนั่น ทูตสวรรค์นั้น จะรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้ จากทั้งสี่ทิศ จากสุดขอบฟ้าข้างหนึ่งจดขอบฟ้าอีกข้างหนึ่ง”

 

นี่พระเยซูตรัสเอง “พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์” ก็คือเห็นพระเยซูคริสต์ ทำไมต้องเรียกว่าบุตรมนุษย์ เพราะเป็นหัวหน้าเรา  เป็นหัวหน้ามนุษย์ เป็นผู้มีชัยชนะ เราเป็นมนุษย์  เราจึงได้รับอย่างนั้นด้วย   พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนหมู่เมฆ  ด้วยเดชานุภาพ และเกียรติอันยิ่งใหญ่ และมวลประชาชาติแห่งพื้นพิภพจะร้องไห้คร่ำครวญ มันมีร้องไห้คร่ำครวญอยู่ 2 พวก พวกหนึ่งที่ร้องไห้คร่ำครวญด้วยความดีใจ สิ่งที่เรารอคอยกันมาตลอด มันจบสักที แต่ยังมีอีกพวกหนึ่งที่ร้องไห้คร่ำครวญว่ามันเป็นจริงตามที่ได้เคยได้ยินมา แล้วฉันปฏิเสธ ฉันต่อต้าน ฉันไม่ได้รับ ไม่รู้เหตุผล ทำไมฉันไม่รับมัน แต่มันสายไปเสียแล้ว มันหมดโปรโมชั่น  ปีแห่งความโปรดปรานที่พระเยซูมาประกาศนั้น  มันสิ้นสุดลง เมื่อพระเยซูกลับมาใหม่ จบ ที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ และจบเมื่อชีวิตของคนๆ นั้น เกิดอุบัติเหตุ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ตายไปก่อน ไม่ได้ต้อนรับพระเยซู ก็ไม่ได้ต้อนรับอีกแล้ว โปรโมชั่นนี้  หมดอายุ หมดเขต ด้วยเหตุ 2 ประการนี้เท่านั้น ในวิวรณ์ได้บันทึกไว้อย่างนี้ วิวรณ์ 1:7-8

วิวรณ์ 1:7-8 “7 ดูเถิด พระองค์กำลังเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และทุกนัยน์ตาจะเห็นพระองค์ แม้กระทั่งคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์ และประชาชาติทั้งมวลทั่วโลกจะเศร้าโศกเนื่องด้วยพระองค์ แล้วจะเป็นไปเช่นนั้น! อาเมน 8 พระเจ้าผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราเป็นอัลฟาและโอเมกา ผู้ดำรงอยู่ในปัจจุบันและดำรงอยู่ในอดีตและจะเสด็จมา เราคือองค์ทรงฤทธิ์”

 

ดูเถิด พระองค์กำลังเสด็จมา หมายถึงพระเยซูกลับมาพร้อมกับหมู่เมฆ และทุกนัยน์ตาจะเห็นพระองค์ แม้กระทั่งคนเหล่านั้น  ที่ได้แทงพระองค์ ทหารโรมันที่เฝ้าอยู่นั่น เมื่อวันศุกร์ ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ ทหารคนหนึ่งบอกว่าไปทุบขาพระเยซูซะ เพราะเขาต้องเก็บ วันพรุ่งนี้จะมีงาน ก็ไปทุบขาโจร 2 คน ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน ร่วมกับพระเยซู เพราะยังไม่ตาย แต่พอมาถึงพระเยซู อ้าว! พระเยซูตายแล้ว ไม่ต้องทุบขาก็แล้วกัน พระคัมภีร์บอกแล้วว่าขาพระองค์จะไม่ถูกทุบ ไปดู ก็ตะโกนบอกว่า …

“ตายแล้ว ไม่ต้องทุบหรอก”

อีกคนหนึ่งก็บอกว่า “เอาให้มั่นใจ เดี๋ยวโดนเจ้านายเล่นงาน”

ดังนั้น ทดลองดู โดยการแทงที่สีข้าง จะได้รู้แน่ๆ ว่าตายจริงๆ ก็เอาหอกสูงๆ แทงที่สีข้างพระเยซู

ในนี้บอกว่าแม้กระทั่งคนเหล่านั้น ที่ได้แทงพระองค์ ที่ได้ตรึงพระองค์ คนเหล่านั้น นี่พระเยซูพูด จากคนที่แทงพระองค์ คนที่ตอกตรึงพระองค์ นี่ผ่านมา 1,988 ปีมาแล้ว พระเยซูยังไม่กลับมาใหม่เลย แต่ในนี้บอกว่าพระองค์จะกลับมาใหม่ สมมติว่าวันพรุ่งนี้ ปีหน้า คนที่แทงพระองค์เหล่านั้น จะเห็น ก็หมายถึงคนที่แทงพระองค์ ตอนนี้ที่ตายไปแล้ว มีอายุ 1,900 กว่าปีแล้ว แสดงว่าเขายังอยู่ เขาเป็นวิญญาณที่ยังรออยู่ วันหนึ่งเขาจะเห็นพระเยซูคริสต์ที่เขาแทงนั่นแหละ กลับมา นี่พระคัมภีร์พูดอย่างนั้น ถ้าพูดสิ่งอื่นถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ก็ถูกต้องด้วยเช่นเดียวกัน แล้วมันน่ากลัวไหมล่ะ คนแทงพระเยซูคนนั้น เขาก็จะเห็น

ใครที่ต่อต้านพระเยซู วันนั้นเขาจะเห็น ใครที่บอกว่าพระเยซูไม่เป็นจริง ไม่ใช่จริง หรือหัวเราะเยาะพระเยซู วันนั้น เขาจะเห็น ใครที่ข่มเหงพระเยซู ก็คือข่มเหงน้องๆ หรือพี่น้องของพระเยซู คือคริสเตียนทั้งหลาย วันที่พระเยซูคริสต์กลับมา เขาจะเห็น และเขาจะโศกเศร้า คร่ำครวญอย่างมาก

“ฉันไม่น่าเลย”

ใครที่ข่มเหงท่าน เนื่องจากข่าวประเสริฐของพระเยซู เขาจะได้เห็น ใครที่บอกว่า …

“ไม่จริงๆ ฉันไม่เชื่อหรอก”

วันหนึ่งเขาจะได้เห็น ไม่ใช่วันหนึ่ง หมายถึงอยู่บนโลกใบนี้ และตาย แล้วจะได้เห็นไม่ใช่ หมายถึงวิญญาณต่อไป เขาก็จะเห็น เพราะเขาไม่ได้ตายจริง วิญญาณยังอยู่ เพียงแต่วิญญาณออกจากร่างกายไปเท่านั้น  ร่างกายเขาฝังไป  แต่วิญญาณตัวจริงๆ ของเรา ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เป็นวิญญาณส่วนหนึ่งที่พระเจ้าให้เรามานั้น จะอยู่ตลอดไป แต่อยู่ที่ไหน? อย่างไร? นั่นคือความน่ากลัวของข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้ และอีกแง่มุมหนึ่ง เราเชื่อและวางใจ เรามีความหวัง เพราะพระเยซูคริสต์ที่เราเชื่อนั้น พระองค์ได้ทรงตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่ตายไปเฉยๆ แต่วันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ เรารู้อยู่ในหัวใจเราจริงๆว่าตอนนี้ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และสถิตอยู่ในหัวใจของเรา เพราะพระองค์สถิตอยู่ตามที่พระองค์บอกจริงๆ ท่านรู้ บางครั้งกำลังหงุดหงิด อาจจะไม่รู้ แต่พอหายหงุดหงิด มันรู้ ไม่รู้จะบอกคนที่ไม่รู้อย่างไร? บอกเปิดหัวใจท่าน ต้อนรับพระเยซู ท่านจะรู้ เหมือนที่ฉันรู้ มันต้องใช้ประสบการณ์ มันไม่สามารถที่มาเรียนกันได้ อธิบายอย่างไร? ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ จนกว่าท่านจะไปชิมด้วยตัวเอง

นี่คือความหวังใจทั้งหมดของข่าวดีหรือข่าวประเสริฐ ที่เรามาย้ำยืนยันในหัวใจของข่าวประเสริฐนี้ว่าพระองค์ทรงอยู่จริงๆ และสวรรค์สถานที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรานั่น มีจริงๆ และเราจะร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล นี่ก็เป็นจริงด้วยแน่นอน เอเมน

ไม่ว่าพระองค์จะกลับมาใหม่ หรือเราจะกลับไปหาพระองค์ คือตาย ก็ตาม ทุกอย่างก็เป็นไปตามนี้ คือเราจะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ เอเมน ท่านอยากได้อย่างไหนมากกว่า เราอาจจะอยากให้พระเยซูมาพรุ่งนี้เลย แล้วคนอื่นๆ ที่เรารู้จักเขายังไม่เชื่อเลย ก็ต้องยอมทนหน่อย อาจจะมีชีวิตที่ลำบากบ้าง? อะไรบ้าง? พระเจ้ากำลังใช้เราอยู่ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งที่มาเชื่อพระเยซู แล้วพระเยซูสถิตอยู่ในเขาแล้ว จะอยู่บนโลกด้วยความทุกข์ยากลำบาก โดยไม่มีเหตุผล แล้วไม่มีแม้แต่คนเดียวเลย ที่พระเจ้าไม่ใช้ ถ้าไม่ใช้ท่าน พระองค์ก็เอาท่านกลับไปอยู่กับพระองค์แล้ว ไปพักผ่อน แต่ถ้ายังใช้ท่านอยู่ ท่านก็ต้องอยู่บนโลกใบนี้ บางครั้งใช้เรา ในสิ่งที่เราต้องทุกข์ทรมาน ท่านรู้ไหมว่าคนป่วยที่อยู่ ICU ทุกข์ทรมาน แต่พระเจ้าทรงใช้เขาอยู่ อะไรบางอย่าง เราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ แต่พระองค์มีแผนการที่เกินกว่าที่เราจะคิด และ ณ เวลานั้น เมื่อพระเจ้าใช้เราอย่างนั้น ในพระคัมภีร์บอก เราจะทนได้ แปลว่าไปสบายๆ  ไม่ใช่ ไม่สบายหรอก แต่ว่าทนได้ คือมันทุกข์ มันทรมาน แต่มันผ่านได้ พอเข้าใจ ไม่ใช่เดินแบบสบายๆ แต่เดินบนหนาม บนอะไร แล้วในที่สุด ตายตรงหนามเลยไหม? ไม่ตายตรงหนาม ต้องผ่านไปได้ เลือดสาดเหมือนกัน ถ้าพระเจ้าจะใช้แบบนั้น ก็แบบนั้น ทุกคนมีค่าเท่ากันหมด คือถูกใช้เท่ากันหมด

การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ การทรงอยู่ของพระเยซูคริสต์ จึงเป็นความมั่นใจในการดำเนินชีวิตของพวกเราทั้งหลาย ผู้ที่อยู่ในพระองค์ โดยแบบ By grace we are save. คือโดยพระคุณ เราได้รับความรอด ด้วยความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้น อย่าไปคอยสังเกตตรงโน้น ตรงนี้  การกระทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น นิ่ง แล้วดูถ้อยคำพระเจ้า นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ คือโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซู เราได้รับความรอดตรงนี้ เอเมน จำตรงไหนไม่ได้ จำแค่นี้ไว้ ท่านจำคำสรรเสริญพระเยซูไม่ได้ ยังดีกว่าจำตรงนี้ไม่ได้ ท่านจำคำว่า “ฮาเลลูยา”ไม่ได้ ยังไม่เป็นไรเลย  ท่านอย่าลืมตรงนี้ แล้วกัน ลมหายใจสุดท้ายท่าน

“By grace we are save. ด้วยพระคุณ ด้วยความเชื่อ ฉันได้รับความรอด”

พอถึงพระคุณปุ๊บ ในสมองท่านจะกระจาย แปลออกมาเต็มๆ เลย  ด้วยความเชื่อปุ๊บ ในสมองท่านเต็มๆ เลย ท่านได้รับความรอดปุ๊บ ท่านเห็นภาพเต็มๆ เลยวันนี้ที่เราได้เรียนรู้กัน

“สวรรค์เป็นของฉัน อันนั้นก็เป็นของฉัน อันนี้ก็เป็นของฉัน”

วันอีสเตอร์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? นี่แหละทำให้ท่านชื่นชมยินดีอย่างมากมายในทุกๆ อีสเตอร์ เพราะตรงนี้ สบายใจไหม? ฟังอย่างนี้สบายใจไหม? นี่แหละคืออิสรภาพ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอน 15 “นิมิตของดาเนียลเกี่ยวกับแกะและแพะ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  เมษายน  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า”

ตอน 15 “นิมิตของดาเนียลเกี่ยวกับแกะและแพะ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” วันนี้เป็นตอนที่ 15 ยังอยู่ในเรื่องราวของดาเนียล จุดมุ่งหมายที่เรามาเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือดาเนียลอย่างละเอียด ก็เพื่อย้ำยืนยันมั่นใจว่าพระเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่ง และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์เป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ นี่คือหัวใจในการเรียนรู้ จากหนังสือของดาเนียล

ยังจำเรื่องราวของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ไหม? เป็นกษัตริย์ที่เหี้ยมโหด  สร้างปฏิมากรทองคำ แล้วก็ฮึกเหิมว่าตัวเองยิ่งใหญ่ บังคับให้ผู้คนกราบไหว้ ลบหลู่พระเจ้าอีกต่างหาก ขึ้นไปยืนบนดาดฟ้าพระราชวัง ซึ่งเป็นสวนที่ตัวเองคิดว่าสวยงามที่สุดในโลก แล้วก็ผยอง พูดว่าตัวเองเป็นคนที่สร้างอาณาจักรของตัวเองยิ่งใหญ่อย่างนี้ สวนก็สวยงามอย่างนี้  ประกาศความเหิมเกริม เทียบพระเจ้า เพื่อให้เกียรติตัวเอง ไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระเจ้าก็เลยสั่งสอน ทำให้ต้องไปใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ในป่า จนครบวาระตามที่พระเจ้ากำหนด วาระ เราก็ไม่รู้นานเท่าไร? แต่จนครบวาระที่พระเจ้าวางไว้ ครบกำหนดปุ๊บ สุดท้ายเลยต้องยอมจำนน และเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงควบคุมทุกอย่าง และพระเจ้าก็ดลใจให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เขียนสิ่งที่เขาได้ บันทึกว่าพระเจ้าคือใคร? เขียนโดยคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า คนที่กราบไหว้พระอื่น  แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าใครใหญ่สูงสุด เขียนเพื่อคนทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้อ่าน รวมทั้งเราทั้งหลายที่อยู่ในนี้ ในดาเนียล 4:34-35 สังเกตความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ดาเนียล 4:34-35 “34 เนบูคัดเนสซาร์แหงนหน้าขึ้นมองดูฟ้าสวรรค์ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา เราจึงถวายสรรเสริญองค์ผู้สูงสุด เราเทิดพระเกียรติและถวายพระเกียรติสิริ แด่พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ราชอาณาจักรของพระองค์ ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ 35 มวลประชาชาติในโลกนี้ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจ ที่จะทำต่อเหล่าทูตสวรรค์ และต่อมวลประชาชาติ ตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่า “พระองค์ทำอะไรนี่?”

 

นี่คือความยิ่งใหญ่ คิดดูสิว่าคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าจากอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำให้เขาเห็นเลยกับตาว่าเป็นอย่างนี้ แล้วให้เขามีประสบการณ์เลย บันทึกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อให้คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าได้ยินได้ฟังว่าพระองค์คือใคร?

สำหรับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ท่านลองคิดดู ฟังตรงนี้ แล้วคิดอย่างไร? เราเรียนรู้จากหนังสือดาเนียลไป 14 ตอนแล้ว ทุกตอนก็ย้ำกันอยู่อย่างนี้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุม ครอบครองทุกสิ่ง ทรงเป็นผู้กำกับใหญ่ของโรงละคร คือโลกใบนี้นั่นเอง เพราะฉะนั้น จงนิ่งเสียและรู้เถิดว่าพระองค์เป็นพระเจ้า วันนี้เป็นตอนที่ 15 จะมีชื่อตอนว่า “นิมิตของดาเนียลเกี่ยวกับแกะและแพะ” อยู่ในหนังสือดาเนียล 8:1 ว่า …

ดาเนียล 8:1 “ในปีที่สามแห่งรัชกาลเบลชัสซาร์ ข้าพเจ้าดาเนียล เห็นนิมิตอีกครั้งหนึ่ง …”

 

“เห็นนิมิตอีกครั้งหนึ่ง” เบลชัสซาร์ คือกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรบาบิโลน ก่อนที่จะถูกโค่นล้มโดยเปอร์เซีย ซึ่งคืนก่อนที่จะถูกโค่นล้ม ก็คือพระเจ้าส่งอักษรประหลาดบนผนัง แล้วก็ให้ดาเนียลมาอ่าน

ในบทที่ 7 ที่เราเรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว เรื่องสัตว์ประหลาดทั้ง 4 ตัว เป็นความฝันแรกของดาเนียล ในสมัยรัชกาลเบลชัสซาร์ ซึ่งผ่านมา 3 ปี ดาเนียลก็ฝันอีก คราวนี้ฝันเห็นแกะกับแพะ แต่ความหมายยังวนเวียนอยู่เกี่ยวกับเรื่องของอาณาจักรต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

ผมเล่าให้ฟังย้อนนิดหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มต้นที่ดาเนียลทำนายฝันให้เนบูคัดเนสซาร์ เรื่องรูปปั้น หรือปฏิมากรขนาดใหญ่ …

ที่มีศีรษะทำด้วยทองคำ คืออาณาจักรบาบิโลน

หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน คือมีเดียเปอร์เซีย

ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ คืออาณาจักรกรีก

ขาทำด้วยเหล็ก คืออาณาจักรโรมัน นี่คือ 4 อาณาจักรเด่นๆ ชัดๆ

และในบทที่ 7 ที่ดาเนียลฝันเห็น ที่เราเรียนไปสัปดาห์ที่แล้ว ดาเนียลฝันเห็นสัตว์รูปร่างหน้าตาประหลาด 4 ตัว ก็เกี่ยวพันกับรูปปั้นนี้

สัตว์ตัวแรกที่เห็น ก็คือสิงโตมีปีกเหมือนนกอินทรีย์ ก็คือส่วนศีรษะของรูปปั้นปฏิมากรนี้ คือบาบิโลน

ตัวที่สอง คือหมีคาบซี่โครง 3 ซี่ เทียบได้กับหน้าอกและแขนของรูปปั้นนี้ ก็คือมีเดียเปอร์เซีย ที่จะมาโค่นล้มบาบิโลน

ตัวที่สาม คือเสือดาว มีสี่หัว สี่ปีก เทียบกับส่วนท้องและต้นขาของรูปปั้น ก็คืออาณาจักรกรีก ที่จะมาโค่นล้มเปอร์เซีย

ตัวสุดท้าย เป็นสัตว์ประหลาด น่ากลัว มีเขาสิบเขา ก็คือส่วนขาของรูปปั้น ที่ทำด้วยเหล็ก ที่เล็งถึงอาณาจักรโรมันนั่นเอง

ทั้งหมดนี้ เป็นการบอกอนาคตล่วงหน้า ตั้งแต่ 600 ปีก่อน ค.ศ. ก่อนพระเยซูจะมาเกิด พูดง่ายๆ จนถึงบัดนี้ นับมาก็คือ 2,600 ปีมาแล้ว บอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเกิดอย่างนี้ มันเกี่ยวพันมาถึงเรา และอนาคตต่อไป พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ อยู่ในยุคของลูกหลานของโรมัน จากโรมันจะไม่มี ใหญ่ขนาดนี้อีกแล้ว และไม่มีจริงๆ อาณาจักรสุดท้าย ก็คือโรมัน และจากโรมันก็กลายขยาย เป็นอาณาจักรต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้กันบ้างในบทก่อนๆ ว่าโรมันก็แผ่ขยายอาณาเขตไปจนกระทั่งตัวเองเล็กลง  แต่ว่าลูกหลานที่เคยเป็นเมืองขึ้นต่างๆ ก็กลายเป็นเมืองใหญ่ๆ โตๆ ในยุโรป แล้วก็อพยพจากยุโรปไปอยู่ทวีปอื่น อย่างนี้เป็นต้น

มาถึงดาเนียล บทที่ 8 ที่เรากำลังจะเรียนรู้ในวันนี้ ดาเนียลฝันเหมือนกัน แต่ฝันสัตว์เหลือแค่ 2 ตัว คือแกะกับแพะ แกะ หมายถึงอาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย และแพะ หมายถึงอาณาจักรกรีก เรื่องราวในบทที่ 8 นี่จะเกี่ยวกับ 2 อาณาจักรนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะเรียนรู้ในวันนี้ ก็คืออนาคตไม่ยาวไกลนักของโลกใบนี้ จากตอนที่ได้รับนิมิตหรือความฝันนี้ ก็อยู่ในช่วงท้ายๆ ของบาบิโลน อีกไม่นาน ก็จะมีเปอร์เซียเข้ามา อีกไม่นานจากแกะก็จะมีแพะเข้ามา แพะคือกรีก และจุดจบของกรีกจบอย่างไร? แค่นั้นเอง และเดี๋ยวเรามาดูว่าเรื่องราวในนี้ ดาเนียลเห็นล่วงหน้า พระเจ้าบอกมันคืออะไร? แล้วมันตรงไหม?

นิมิตของดาเนียลที่บันทึกไว้ในบทที่ 8 นี้ จะเป็นการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า อย่างที่ผมบอกเกี่ยวกับเฉพาะมีเดียเปอร์เซียและกรีกเท่านั้น ซึ่งอีก 200 ปีข้างหน้า หลังจากที่ดาเนียลได้รับนิมิตนี้  สิ่งนี้จะเกิดขึ้น

ตอนดาเนียลฝัน เป็นการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต ในสมัยที่เขาอยู่ในยุคสุดท้ายของบาบิโลน ซึ่งบาบิโลนในตอนนั้นกำลังเรืองอำนาจสุดๆ ไม่มีใครคิดว่าบาบิโลนอาณาจักรใหญ่ยักษ์มหาศาล จะล่มสลายได้ ไม่มีใครคิดเลย  เป็นไปไม่ได้เลย

ตอนที่ดาเนียลฝัน เหตุการณ์นี้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต มันตรงกันกับคำเผยพระวจนะ (แปลว่าบอกล่วงหน้า) ในหนังสืออิสยาห์ เกี่ยวกับเรื่องของเปอร์เซีย ซึ่งใช้ชื่อว่ากษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย  ที่จะเข้ามาครอบครองอาณาจักรบาบิโลน ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง ประมาณ 100 กว่า 200 ปีประมาณนั้น อิสยาห์ 45:1-3

อิสยาห์ 45:1-3 “1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงไซรัสผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ ผู้ซึ่งทรงยึดไว้ด้วยพระหัตถ์ขวา ให้พิชิตชนชาติต่างๆ ตรงหน้า และทำลายแสนยานุภาพของเหล่ากษัตริย์ เป็นผู้เปิดประตูซึ่งอยู่ตรงหน้า เพื่อไม่ให้มีประตูใดถูกปิดไว้ 2 เราจะนำหน้าเจ้าไป และปราบภูเขาทั้งหลายให้ราบ เราจะทลายประตูทองสัมฤทธิ์ และตัดลูกกรงเหล็ก 3 เราจะยกสมบัติที่ซ่อนไว้ในความมืด ขุมทรัพย์ในที่เร้นลับให้แก่เจ้า เพื่อเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้เรียกเจ้ามา ตามชื่อของเจ้า”

 

ลองคิดดูนะ พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงไซรัส ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ ตอนที่พูดไว้ไซรัสยังไม่เกิดเลย แต่พระเจ้าบอกจะมีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อไซรัส คนนี้เราเลือกเอาไว้ ความฝันของดาเนียล เป็นการทำนายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต สำหรับเราแล้ว ไม่ตื่นเต้นเท่าไร? เพราะไม่ใช่อนาคตของเรา  แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่เราไปอ่าน แต่สำหรับคนสมัยนั้น ตื่นเต้นไหมเวลามันเกิด ไปเปิดดูพระเจ้าบอกล่วงหน้า 200 ปีแล้ว พระเจ้าบอกล่วงหน้ามา 600 ปีแล้วว่าจะเป็นอย่างนั้น พระเจ้าบอกล่วงหน้ามา 4 ปีแล้วว่าจะเป็นอย่างนั้น จะตื่นเต้นตรงนี้แหละ และเป็นการทำอะไรไว้ ทำให้คนมีความรู้สึกว่าเมื่อเขาเชื่อพระเจ้า ทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ มันใช่เลย ซึ่งเราเรียกกันว่าใช่เลย ตรงนี้ เราใช้คำว่าอะไร?  มันเป๊ะๆ จริงๆ เลย  แม้กระทั่งชื่อยังใส่ลงไปไซรัส ผู้ที่เราเจิมตั้งไว้ หรือตอนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

“กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่เป็นผู้รับใช้ของเรา  เราจะมอบประชากรของเราไว้อยู่ในมือของเจ้า 70 ปี”

คืนวันที่ 5 ต่อวันที่  6 ตุลาคม ปี 539 ก่อนคริสตราช คือสมัยก่อนพระเยซูจะมาเกิด 539 ปี มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ในอาณาจักรบาบิโลน  ในคืนแห่งความหายนะนี้ กรุงบาบิโลนถูกพิชิตโดยกองทัพของมีเดียและเปอร์เซีย ซึ่งนำโดยกษัตริย์แห่งเปอร์เซียที่รู้จักกันว่าไซรัส มหาราช กษัตริย์องค์นี้มียุทธวิธีรบเหนือชั้นจริงๆ  ประวัติศาสตร์ มีข้อมูลบันทึกไว้ว่าตอนที่ไซรัสตัดสินใจที่จะพิชิตบาบิโลน  ในเวลานั้น อาณาจักรบาบิโลนเจริญรุ่งเรืองถึงขั้นที่เรียกว่านครที่น่าเกรงขามที่สุดในตะวันออกกลาง และอาจจะเรียกได้ว่ารุ่งเรืองสูงสุด ก็ได้ในขณะนั้น

กรุงบาบิโลนมีแม่น้ำยูเฟติสไหลผ่าน และมีคูคลองทุกสาย นอกกำแพงเมือง ที่ตระหง่าน เต็มไปด้วยน้ำ เมืองนี้จึงดูเหมือนถูกป้องกันไว้อย่างหนาแน่น จนไม่น่าจะมีใครสามารถพิชิตได้ ทหารของไซรัสได้เปลี่ยนทิศทางของแม่น้ำยูเฟติส จึงทำให้ระดับน้ำที่เป็นคูคลองป้องกันเมือง มันลดลง แล้วเหล่าทหารก็ลุยข้ามแม่น้ำ เข้าไปตีเมืองได้อย่างง่ายดาย

นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกเคยกล่าวไว้ว่าชาวบาบิโลนรู้สึกมั่นใจ ในความปลอดภัยของเมืองนี้มาก ดังนั้น ในคืนนั้น คืนที่ถูกโจมตี ผู้คนส่วนใหญ่จึงกำลังเลี้ยง กินกันอย่างสนุกสนาน ไม่เว้นแม้แต่กษัตริย์ ซึ่งเรารู้ว่ากษัตริย์องค์นั้น ก็คือเบลชัสซาร์ ในคืนนั้น คืนที่พระเจ้าส่งนิ้วมาเขียนอักษรปริศนาบนผนัง และในคืนวันนั้น กองทัพของไซรัส ก็เข้ายึดกรุงบาบิโลน ที่ไม่มีใครนึกเลย แม้กระทั่งชาวบาบิโลนก็ยังไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครทำอย่างนี้ได้ แต่ถ้าพระเจ้าบอกได้ ก็ต้องได้ ได้โดยอัศจรรย์ ได้โดยไม่คิดว่าจะได้ มันก็เป็นไปได้ พูดถึงอนาคตแค่นิดเดียว ถ้าค้นคว้าไปเรื่อยๆ  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราเรียนรู้ แล้วยังมั่นใจว่าพระเจ้าอยู่กับเรา พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ เรารู้จักพระเจ้าองค์นี้ ไม่ผิดแล้ว สิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนกันเป๊ะๆ

นี่คือบันทึกทางประวัติศาสตร์ มันก็ตรงกับคำเผยพระวจนะที่บอกไว้ล่วงหน้า โดยพระเจ้า ไม่ผิดเพี้ยนตามที่เราอ่านในหนังสืออิสยาห์ ที่เราอ่านเมื่อตะกี้ว่าพระเจ้าจะให้ไซรัส ผู้ที่พระองค์เจิมตั้งไว้ พิชิตชนชาติต่างๆ และทำลายแสนยานุภาพของเหล่ากษัตริย์ เป็นผู้เปิดประตู ซึ่งอยู่ตรงหน้า เพื่อไม่มีประตูใดถูกปิดไว้ ในประวัติศาสตร์ยังบอกด้วยว่าไซรัสได้ยึดกรุงบาบิโลน ในปี 539 ก่อน ค.ศ. และไม่นานหลังจากนั้น เขาปลดปล่อยชาวยิวให้เริ่มได้รับอิสรภาพ ได้กลับไปยังประเทศของตัวเองในปี 537 ก่อน ค.ศ. ซึ่งเป็นเวลาที่ครบกำหนด 70 ปีพอดี ที่ตกเป็นเชลย คนที่พระเจ้าจะใช้ให้ส่งกลับ ก็คือกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย ตรงเป๊ะอีกแล้ว

เพราะฉะนั้น เรื่องพระเยซูคริสต์ตอนท้าย ก็ต้องเป๊ะๆ ตอนที่เราจะไปอยู่ในสวรรค์สถาน ก็ต้องเป๊ะๆ  ตอนที่เราครอบครองร่วมกับพระเยซูในสวรรค์สถาน ก็ต้องเป๊ะๆ มาดูอีกข้อหนึ่ง เยเรมีย์ 25:12

เยเรมีย์ 25:12 “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาติของเขา ซึ่งก็คือแผ่นดินของชาวบาบิโลน เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขาถูกทิ้งร้างตลอดไป”

 

แล้วมันทิ้งร้างไหม? ทิ้งร้างตลอดไป  บาบิโลนถูกตี แล้วจากนั้น บาบิโลนก็หายไปจากแผนที่เลย ค่อยๆ จางหาย ไม่เหลือเลย  … เรากลับมาที่ดาเนียล บทที่ 8 กันต่อ ดาเนียล 8:2-4

ดาเนียล 8:2-4 “2 ในนิมิตนั้น ข้าพเจ้าเห็นตัวเองอยู่ที่ป้อมชั้นในเมืองสุสา ในแคว้นเอลาม  ข้าพเจ้าอยู่ริมคลองอุลัย 3 ข้าพเจ้ามองไปเห็นแกะผู้ตัวหนึ่งยืนอยู่ริมลำคลอง แกะนี้มีสองเขา เขาข้างหนึ่งยาวกว่าอีกข้างหนึ่ง แต่งอกขึ้นมาทีหลัง 4 ข้าพเจ้ามองดูแกะผู้ตัวนั้น ขวิดไปทางตะวันตก  ทางเหนือและทางใต้ ไม่มีสัตว์ใดต่อกรกับมันได้ และไม่มีสิ่งใดช่วยให้พ้นจากอำนาจของมัน มันทำอะไรตามใจชอบและยิ่งใหญ่ขึ้น”

 

และพระเจ้าก็ส่งทูตสวรรค์มาบอกความหมายแด่ดาเนียลไว้อย่างนี้ ดาเนียล 8:19-20 เป็นการแปลความฝัน

ดาเนียล 8:19-20 “19 “เรากำลังจะแจ้งให้เจ้าทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในเวลาแห่งพระพิโรธในภายภาคหน้า เพราะนิมิตนี้ เกี่ยวข้องกับกาลอวสานซึ่งกำหนดไว้แล้ว 20 แกะผู้สองเขาที่เจ้าเห็น คือบรรดากษัตริย์มีเดียและเปอร์เซีย”

 

“พระพิโรธ” อย่าไปนึกถึงพระพิโรธตอนสุดท้าย บทที่ 7 ครั้งที่แล้ว ที่พูดถึงเขาที่งอกออกจากมาจากกรุงโรม จำได้ไหม? คือพวกแอนตี้ไคร์ซ หรือปฏิปักษ์พระคริสต์ตัวใหญ่ ซึ่งอยู่ในยุคสุดท้าย  ยังไม่เกิดขึ้น  เรากำลังรอวันนั้นอยู่ วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมา ตรงนี้ไม่ใช่

พระพิโรธตรงนี้ คือความโกรธของพระเจ้าที่มีต่อ … เขาคิดมีอยู่ 2 ทาง ก็คือพระพิโรธมีต่อเขาเล็กๆ อีกอันหนึ่งเกิดขึ้นมาในช่วงนี้ แต่ไม่ได้ออกมาจากโรมัน แบบในอนาคต ที่จะมาครอบครองเปอร์เซีย ที่จะโผล่ออกมาจากกรีก เพราะช่วงระยะเวลาแค่นั้นเอง พระเจ้าพิโรธ

หรือบางคนเขาบอกพิโรธ อาจจะเป็นเพราะว่าประชากรของพระเจ้าในช่วงนั้น พอได้รับอิสรภาพจากการเป็นทาส หรือถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในบาบิโลน ถูกปล่อยไป ก็ไม่เข็ด ไปไหว้รูปปั้น รูปเคารพที่พระเจ้าบอกอย่าไหว้ พูดง่ายๆ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า หนีไปจากพระเจ้าอีกแล้ว ไปไหว้รูปเคารพ เขาว่าอาจจะเป็นพระพิโรธอย่างนั้นก็ได้ แล้วแต่จะคิด ได้ทั้งสองทาง

ในข้อนี้เขาบอกว่าแกะในนิมิตดาเนียล ก็คืออาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย ที่กำลังแผ่ขยายอำนาจเวลานั้น  กำลังมาตีบาบิโลน ตอนที่ได้รับนิมิต

ยุคของกษัตริย์ไซรัส มหาราช กำลังไล่ตีเมืองต่างๆ และไม่มีใครสามารถต้านทานอำนาจ บารมีของไซรัสได้  นี่คือแปลความฝันตะกี้ จนกระทั่งมีเดียเปอร์เซียได้รุ่งเรืองอำนาจที่สุดในสมัยนั้น ตามประวัติศาสตร์ที่ได้บันทึกไว้ ที่เราได้เล่าสู่กันฟัง นี่หมายถึงตอนนั้น

ดาเนียล 8:5-7 “5 ขณะข้าพเจ้าครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ ทันใดนั้น มีแพะผู้ตัวหนึ่ง ซึ่งมีเขาโดดเด่นอยู่ระหว่างตา วิ่งห้อข้ามพื้นพิภพ มาจากทางตะวันตกอย่างรวดเร็ว เท้าของมันไม่แตะดิน 6 มันรี่เข้าใส่แกะผู้สองเขา ซึ่งข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่ริมคลองนั้น และพุ่งชนด้วยความโกรธอย่างยิ่ง 7 ข้าพเจ้าเห็นมันขวิดแกะผู้อย่างโกรธจัด จนเขาทั้งสองของแกะหักไป แกะสู้ไม่ได้ จึงล้มลงกับพื้น และถูกแพะเหยียบย่ำ ไม่มีใครช่วยแกะนั้นได้”

 

ความหมายของแพะตัวผู้ ที่มาโค่นล้มแกะอยู่ในข้อ 21 บอกไว้ตรงๆ ชัดเลยว่าแพะผู้ คือกษัตริย์กรีก และเขาใหญ่ระหว่างตา  คือกษัตริย์องค์แรกของกรีก  ก็คืออเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งคนสมัยนั้น อาจจะไม่รู้เรื่องหรอก เพราะว่ามันยังไม่เกิด แต่เราเกิดแล้ว เราฟังจากประวัติศาสตร์ เรารู้แล้ว ก็คืออเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งอาณาจักรกรีกที่ได้นำกองทัพทหารเข้าโจมตีและโค่นล้มมีเดียเปอร์เซีย ได้สำเร็จตามที่พระคัมภีร์บอกว่าแพะตัวนี้  ได้ขวิดแกะผู้อย่างโกรธจัด จนกระทั่งเขาทั้งสองของแกะหักไป  แกะสู้ไม่ได้ จึงล้มลงกับพื้น และถูกแพะเหยียบย้ำ ไม่มีใครช่วยแกะนั้นได้ แพะตัวผู้นี้ได้ขวิดแกะอย่างโกรธจัด เพราะว่ามีเดียเปอร์เซีย เคยไปรุกราน บ้านเกิดเมืองนอนของแถบนั้น  เรียกว่าพวกเอเธนส์ สปาร์ต้า พวกมาซิโดเนีย มาซิโดเนีย คือบ้านเกิดของพ่อและบรรพบุรุษของ อเล็กซานเดอร์มหาราช

เรียกว่าโมโหจัด เคยรังแกเรา เที่ยวนี้ไปซัดให้มันเต็มที่ หมายถึงอย่างนั้น ท่านจะได้รู้ว่าพระเจ้าบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า เล่าให้ฟังเป็นความฝัน เป็นนิมิต ละเอียดยิ๊บ ที่เล่าให้ท่านฟังมันนิดๆ หน่อยๆ

โกรธจัด ขวิดจนเขาทั้งสองของแกะหักไป แกะก็คือเปอร์เซีย เขาทั้งสอง ก็คือกษัตริย์สององค์ที่ครอบครองร่วมกัน ก็คือมีเดียเปอร์เซีย

และแกะสู้ไม่ได้ จึงล้มลงกับพื้น ถูกแพะเหยียบย้ำ ไม่มีใครช่วยเขาได้ เหตุการณ์ตอนนั้น อยู่ในราวประมาณ 400 ปีก่อน ค.ศ. ตอนที่พูด เห็นนิมิต ฝันนี้ 600 ปีก่อน ค.ศ. นี่ประมาณ 400 เพราะฉะนั้น หายไป 200 ปีเกิดขึ้น  ซึ่งมีบันทึกไว้ นี่ประวัติศาสตร์ 400 ปีก่อน ค.ศ. มีบันทึกไว้ว่ากษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำกองทัพทหารกว่า 36,000 นายเข้าประชิด ตีมีเดียเปอร์เซียได้ เป็นผลสำเร็จ โดยมีเดียเปอร์เซียสูญเสียกองทัพทหาร ซึ่งล้มตายในสงครามครั้งนี้ กว่า 20,000 นาย ในขณะที่กองทัพกรีก สูญเสียกำลังเพียงแค่ไม่กี่ร้อยนาย เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ใครอยู่เบื้องหลัง? พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระคัมภีร์บอกว่าเพื่อแผนการของพระองค์ เพื่อถวายเกียรติสิริแด่พระองค์ และเป็นสิ่งดีสำหรับผู้ที่รักพระองค์เสมอ

ดาเนียล 8:8-12 “8 แพะตัวนั้นยิ่งใหญ่มาก แต่เมื่อมันผยองตนขึ้น และเรืองอำนาจสุดขีด เขาอันใหญ่ของมันก็หัก และมีเขาโดดเด่นสี่อันงอกขึ้นแทนที่ ชี้ไปยังทิศทางลมทั้งสี่แห่งฟ้าสวรรค์ 9 มีเขาเล็กๆ งอกขึ้นจากเขาหนึ่งในสี่เขานี้ แล้วงอกขึ้นเรื่อยๆ แผ่อำนาจไปทางใต้ ทางตะวันออก และสู่ดินแดนอันงดงาม 10 มันเติบใหญ่ขึ้น จนถึงบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ แล้วเหวี่ยงดาวบางดวงร่วงลงมาที่พื้นโลก และเหยียบย่ำเสีย 11 มันหยิ่งผยอง ตีเสมอองค์ราชันแห่งกองทัพสวรรค์ โดยเลิกล้มการถวายเครื่องบูชาประจำวันแด่พระองค์ และทำให้สถานนมัสการของพระองค์ตกต่ำ 12  เนื่องจากการกบฏนี้ กองกำลังของประชากรของพระเจ้า และการถวายเครื่องบูชาประจำวัน ก็ถูกมอบไว้ในมือของมัน มันทำอะไร ก็เจริญรุ่งเรืองทุกอย่าง และสัจธรรมถูกเหวี่ยงลงกับพื้น”

 

คือฟังอย่างนี้แล้ว คล้ายๆ กับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่เราเรียนรู้เรื่องบทที่ 7 ที่เกี่ยวกับอาณาจักรโรมัน ที่มีเขาเล็กๆ งอกออกมา ก็คือแอนตี้ไคร์ซตัวหนึ่ง ซึ่งมันเกิดขึ้นมาเยอะแยะ แต่ไม่ใช่ตัวใหญ่สุดในยุคสุดท้าย ที่เกิดมาจากเชื้อสายของอาณาจักรโรมัน อันนี้ คือตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ซึ่งต่อต้านพระคริสต์ ทุกอย่างทำเหมือนกัน แต่ทำแบบเล็กๆ มีผลเล็กๆ เท่านั้นเอง ตัวนี้เกิดจากอาณาจักรของกรีก ผู้ที่มีอำนาจในอาณาจักรของกรีก 1 ท่าน คือหลังจากที่แพะผู้ คือกรีก ได้โค่นล้มแกะ คือมีเดียเปอร์เซียแล้ว กรีกก็ได้เป็นมหาอำนาจในขณะนั้น ขยายอำนาจออกไปไกลมาก ไปถึงอินเดีย ยุคของกษัตริย์ อเล็กซานเดอร์ มหาราช ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของกรีกนั้น เป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุด และตรงพระคัมภีร์เลย แต่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์เรืองอำนาจอยู่แค่ไม่กี่ปี คือประมาณอายุ 33 ตายแล้ว

พระคัมภีร์บอกว่าเขา ที่ระหว่างตานี้ คืออเล็กซานเดอร์ เขานี้เข้มแข็งมาก คือยิ่งใหญ่มาก แต่มันอายุสั้น แป๊บเดียว ไปแล้ว เขาถูกหักออก ก็คือสิ้นอายุ ตอนอายุ 33 แล้วก็ไม่มีทายาทเหลืออยู่เลย คือการตายของอเล็กซานเดอร์ เขาพากองทัพตีลุยไปถึงอินเดีย ไปสู้กับช้าง จนรบชนะช้าง รบชนะกองทัพอินเดีย จากชื่อแปลกๆ ไปถึงปันจาก ชื่อแบบอินเดีย ชนะ แล้วจะไปต่ออีก ปรากฏว่าพวกแม่ทัพต่างๆ บอกเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว ตีมาตลอดทาง พอเถอะ อยากกลับบ้านแล้ว หมายถึงแผ่อาณาจักรไปมากๆ แล้ว พอแล้ว กลับเถอะ ในที่สุด อเล็กซานเดอร์ก็ยอม แต่ในใจอยากจะรบต่อ คือเขาอายุยังน้อย 32, 33 รบมาตั้งแต่อายุ 16 คิดดูสิ อยากจะรบ ขนาดเดินทางกลับบ้าน ยังแวะข้างทาง ตีเมืองเล็กเมืองน้อยตามไปด้วย ย้อนกลับมากรุงบาบิโลน ที่เคยตีไว้ได้ ก็มาพักที่กรุงบาบิโลน ก่อนที่จะกลับเมือง ปรากฏว่าพออยู่ที่บาบิโลน เขาว่าไม่สบาย ติดเชื้อหรือถูกวางยา ในที่สุดก็ตายที่บาบิโลน

กรีกซึ่งมีการนำทัพโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช ก็เริ่มสั่นคลอน  เพราะว่าผู้นำ คืออเล็กซานเดอร์ตายไปแล้ว ตายเร็ว ไม่ได้วางผังไว้เลยว่าให้อำนาจกับใคร? เขาเล่ากันว่าตอนที่อเล็กซานเดอร์ อยู่ที่บาบิโลน กำลังจะสิ้นพระชนม์ มีคนเข้าไปทูลว่าต้องยกอาณาจักรให้ใคร? ใครจะเป็นผู้สืบต่อดี แล้วอเล็กซานเดอร์ตอบว่าให้กับคนที่แข็งแรงที่สุด  เพราะฉะนั้น จากนั้นต่อมา แม่ทัพ 4 คนที่เหลือต่างแย่งชิงอำนาจกันว่าใครแข็งแรงกว่า จึงแยกเป็น 4 ส่วน ในนิมิตที่เห็น ก็คือเขาเล็กๆ 4 เขาที่งอกขึ้นมาแทนที่นั่นเอง ดาเนียล 8:22-25 อันนี้บอกก่อนล่วงหน้า ประมาณ 200 ปี โดยดาเนียลได้รับความฝันในนิมิตจากพระเจ้า

ดาเนียล 8:22-25 “22 เขาสี่อัน ซึ่งงอกแทนอันที่หัก คือ สี่อาณาจักร ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นจากชาตินั้น แต่ไม่มีอำนาจเทียบเท่า 23 “ในปลายรัชกาลกษัตริย์เหล่านั้น เมื่อพวกกบฏชั่วร้ายอย่างเต็มที่  จะมีกษัตริย์องค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีหน้าตาถมึงทึง และเจ้าเล่ห์เพทุบาย 24  เขาจะเข้มแข็งมาก แต่ไม่ใช่โดยอำนาจของเขาเอง เขาจะทำให้เกิดความเสียหายย่อยยับ อย่างน่าตกใจ และจะทำสิ่งใดก็สำเร็จลุล่วง เขาจะทำลายบรรดาผู้ทรงอำนาจ และประชากรของพระเจ้า 25 เขาจะทำให้การล่อลวง แพร่ขยายมากขึ้น และถือว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น เขาจะทำลายคนทั้งหลาย ขณะที่พวกเขารู้สึกมั่นคง และเขาถึงกับท้าทายองค์จอมเจ้านาย แต่เขาจะถูกทำลายโดยอำนาจ ซึ่งไม่ได้มาจากมนุษย์”

 

นี่ก็เล่าถึงเขาเล็กๆ ที่ผมบอกว่าแอนตี้ไคร์ซ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้นำที่จะมาต่อต้านพระเจ้า ข่มเหงประชากรของพระเจ้า ซึ่งคือชาวยิวในสมัยนั้น อะไรจะเกิดขึ้น จากหนึ่งในสี่ของผู้ที่กำลังแย่งอำนาจ หลังจากอเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ เขา 4 เขา ที่งอกขึ้นมาแทนที่เขาอันใหญ่ที่หักไป ก็คือมีแม่ทัพ 4 คนไปครอบครองในสถานที่ต่างๆ แต่ไม่ได้แบ่งกันจริงๆ แบ่งกันว่า …

“อย่าเผลอนะ ถ้าเผลอฉันขยายอำนาจ”  อะไรประมาณนั้น

คือแบ่งไปด้วย แย่งไปด้วย และหนึ่งในสี่นั้น ก็คือปัดโทเลมี ไปครอบครองอยู่ที่อียิปต์

และช่วงเวลาที่ชาวยิวได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด ในยุคกรีกตอนปลาย ก็คือยุคที่ 1 ใน 4 ของแม่ทัพของอเล็กซานเดอร์ เริ่มแข็งแกร่งขึ้นมา ชื่อเซลูคัด เขาค่อยๆ ตี ค่อยเพิ่มอำนาจขึ้นเรื่อยๆ เขาเป็นหนึ่งในจำนวนแม่ทัพกรีก ในสมัยอเล็กซานเดอร์ เขาขยายอาณาเขตไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขามีผู้สืบทอดอำนาจคนหนึ่ง จำไว้นะ ตัวนี้ ชื่อนี้  คือเขาเล็กๆ ที่มาข่มเหงชาวยิวในสมัยนั้น คนนี้ได้อำนาจ มาจากโลกฝ่ายวิญญาณ มีอำนาจพิเศษ ในตัวเขา ทำสิ่งที่ชั่วร้าย ก็คือยุคของอันทิโอกัส ที่ 4 เป็นผู้นำ ในขณะนั้น

อันทิโอกัส ที่ 4 เขารับสินบนโกงพระวิหารของพระเจ้า คือสมัยนั้น เยรูซาเล็ม ตั้งแต่อยู่บาบิโลน เป็นทาส แล้วก็เป็นทาสมาตลอด จนไม่มีอะไรเลย จนกระทั่ง สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีประเทศ มารวมกัน จนถึงปัจจุบันนี้ มาตั้งประเทศได้ เมื่อปี ค.ศ.1948

ก่อนหน้านี้ ผู้นำอื่นๆ ยังเกรงใจ ยังดูแล เป็นเมืองขึ้นเฉยๆ แต่อันทิโอกัส ที่ 4 เริ่มโกงเงินพระวิหาร คือเล่นการเมือง เอาผลประโยชน์จากพระวิหารของพระเจ้า มีเรื่องภาษี มีเรื่องทรัพย์สมบัติต่างๆ แล้วต่อมาอันทิโอกัส ก็ได้นำทัพ ไปโจมตีปัดโทเลมีที่อียิปต์ ปรากฏว่าปัดโทเลมีไปทำสัญญากับอาณาจักรโรมัน ซึ่งกำลังเริ่มต้นเรืองอำนาจขึ้น อันทิโอกัส ที่ 4 ก็แพ้ เพราะไม่มีคนช่วย แพ้สงคราม ต้องจ่ายเขา และขณะเดียวกัน ก็ถอนทัพกลับมา เจ็บใจด้วย อายเขาด้วย  แค้นใจ จึงระบายความแค้น และถือโอกาสปล้นพระวิหารของพระเจ้า ในกรุงเยรูซาเล็ม คือปล้นสะดมผู้คน ออกคำสั่งห้ามชาวยิว ทำพิธีทางศาสนา ห้ามฉลองเทศกาลต่างๆ และเผาหนังสือธรรมบัญญัติทั้งหมด ก็คือเผาหนังสือ 5 เล่ม พระคัมภีร์เดิมทั้งหมด เผาหมดเลย ห้ามชาวยิวเข้าสุหนัต คือห้ามทำพิธีทางศาสนา เหมือนปิดโบสถ์ เผาหมดเลย ใครขัดขืน ฆ่าตายหมด นี่แหละถูกข่มเหงรังแก อย่างที่ตะกี้นี้บอก เขาเล็กๆ นี้ ก็คืออันทิโอกัส ที่ 4

อันทิโอกัส ที่ 4 พยายามทำลายทุกสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของยิว ซึ่งทำให้ยิวเจ็บปวด ทุกข์ใจมากๆ อย่างแสนสาหัส ในขณะนั้น ถูกย่ำยีหัวใจ ย่ำยีเฉพาะชีวิตของพวกเขา ไม่เท่าไร? ย่ำยีพระเจ้าที่เขารักและบูชาอยู่ มันทนไม่ได้ บางคนก็ยอมพลีชีวิต ไม่ปฏิเสธพระเจ้า ยอมตาย เขาไม่ให้อธิษฐาน ก็อธิษฐาน เขาไม่ให้อ่านพระคัมภีร์ ก็อ่าน เขาไม่ให้ซุกซ่อนบันทึกธรรมบัญญัติของพระเจ้า ก็ซุกซ่อนไว้ จับได้ ก็ถูกฆ่าตาย เขาก็ยอม นี่คือความเชื่อของชาวยิวในขณะนั้น ที่ไม่ยอมแพ้ ยอมเสียสละชีวิต เพื่อสำแดงความเชื่อ ตามที่บันทึกตามนิมิตที่เราอ่านเมื่อตะกี้ บอกว่าจนกระทั่งอันทิโอกัส ที่ 4 สิ้นพระชนม์ แบบทุกข์ทรมาน แบบประหลาดๆ คล้ายๆ กับกษัตริย์เฮโรด ในสมัยพระเยซูนั่นแหละ  คือพระเจ้าเอาเขาออกไปนั่นเอง

ทั้งหมดที่ผมเล่า ก็เพื่อให้ท่านเห็นภาพชัดเจนว่าเรื่องราว ในพระคัมภีร์ที่เป็นการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น มันได้เกิดขึ้นจริงๆ ตามนั้น ทุกประการเลย และในข้อสุดท้ายของดาเนียล 8 :26 บอกไว้อย่างนี้

ดาเนียล 8:26 “นิมิตเกี่ยวกับวันและคืน ซึ่งบอกท่านแล้วนั้น จะเป็นจริง แต่จงประทับตราเก็บไว้ เพราะเกี่ยวกับอนาคตอันไกล”

 

นี่คือวาระ อีกวาระ อีกครึ่งวาระ อีกสองวาระ ปิดไว้ ไม่ให้รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร? แต่ให้รู้ว่าจะเกิดขึ้นอย่างนี้แล้วกัน พระเจ้าได้บอกความหมายต่างๆ อธิบายความหมายของนิมิตให้ฟัง เพื่อให้ประชากรของพระองค์ได้รับทราบล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพื่อให้ประชากรของพระองค์เชื่อมั่น และวางใจว่าสิ่งเหล่านี้ พระเจ้ารู้หมดแล้ว เป็นผู้วางแผนทั้งหมด ดูแลอยู่ ที่ไม่บอกเวลา ก็เพราะว่าถ้าบอกแล้ว เราก็จะไปจดจ่อตรงเวลานั้น แล้วเราก็จะไม่ไปทำตามแผนการของพระเจ้า เราก็จะไม่ไปไหนเลย  เพราะเราก็จะนั่งรอว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร? ในมัทธิว 24:36 จึงบันทึกไว้อย่างนี้

มัทธิว 24:36 “ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์ หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้น ที่ทรงทราบ”

 

นี่พระเยซูกำลังพูดถึงยุคสุดท้าย ที่พระเยซูจะกลับมาใหม่ กลับมาพร้อมกับเมฆ เหล่าสาวกถามพระเยซู …

“เมื่อไรพระองค์จะกลับมา สร้างโลกใหม่ ที่เราจะอยู่ด้วยกัน ครอบครองในสวรรค์สถาน ไม่มีบาปอีกแล้ว ที่จะอยู่กับพระบิดา เห็นพระบิดาหน้าต่อหน้า เราจะทุกข์ลำบากอย่างนี้ถึงเมื่อไร?”

พระเยซูก็บอกว่า  “ไม่มีใครรู้หรอกเวลา แม้แต่เราก็ยังไม่รู้เลย พ่อเท่านั้นที่รู้”

เพราะฉะนั้น  เมื่อหลายสิ่งหลายอย่างที่พระองค์บอกนั้น เป็นความจริงทุกอย่าง ที่เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และได้อ่านพระคัมภีร์บอกล่วงหน้าแล้ว และได้เห็นอย่างนั้นจริงๆ และมันก็เป็นจริงๆ ตามนั้น เพราะฉะนั้น สุดท้าย ตามพระคัมภีร์บอก มันก็จะเป็นจริงด้วย จริงไหม?

นี่เรากลับมาที่นิมิตใหญ่แล้วนะ นิมิตใหญ่ที่ดาเนียลเห็น ตั้งแต่สมัยนิมิตที่พระเจ้าให้ผ่านทางกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ จนกระทั่งถึงนิมิตที่ตัวเองได้ เมื่อตอนบทที่ 7 นิมิตใหญ่ หลังจาก 4 อาณาจักรนี้จะมีก้อนหิน ซึ่งไม่ได้ทำด้วยมือ มาจากพระเจ้า ก้อนหินนี้จะถูกขว้างไปที่เท้าของรูปปั้นนั้น ทำให้รูปปั้นนั้นพังทลายลงมาหมดเกลี้ยงเลย แล้วหินนั้น ก็จะค่อยๆ ใหญ่ขึ้นๆ จนเป็นอาณาจักรครอบครองโลกนี้เลย  นั่นคืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่เราจะครอบครองร่วมกับพระองค์ ซึ่งเรียกว่าสวรรค์สถานนิรันดร์กาลนั่นเอง มันก็ต้องเป็นจริงตามนั้นด้วยเช่นกัน เพราะเป็นจริงมาแล้ว 95% เพราะฉะนั้นอีก 5% มันก็ต้องจริงเป๊ะๆ มันไม่มีทางอื่น มันชัดเจน มันละเอียดอ่อนจริงๆ

ชีวิตที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้  ไม่ว่าทุกข์ยากลำบากมากหรือน้อยก็ตาม ทุกวันที่ท่านตื่นขึ้นมา และมีลมหายใจอยู่ ท่านกำลังรับใช้พระเจ้าอยู่  เสร็จสิ้นงาน ก็คือหมดลมหายใจ ท่านอย่าไปนึกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นแหละ กำลังทำอยู่ เพราะฉะนั้น แล้วแต่พระองค์จะใช้เราในลักษณะเช่นใด ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงใช้เราเป็นภาชนะที่ดี คือรู้จักพระเจ้าแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ใช้เราเป็นภาชนะที่ไม่ดี เป็นภาชนะที่ทุกข์ทรมาน ก็คือใช้เรา ขณะที่เราไม่รู้จักพระเจ้าด้วย แย่เลย เข้าใจใช่ไหมครับ หมายถึงอะไร?

เพราะฉะนั้น พระเจ้าให้เราอ่าน เล่าเรียน หรือศึกษาถ้อยคำของพระองค์เหล่านี้ จากอดีตต่างๆ ก็เพื่อให้รู้ว่าความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ผ่านไปได้ ถ้าเผื่อบรรพบุรุษของเราตั้งแต่สมัยยิว จนกระทั่งถึงชาวคริสเตียน 2,000 ปีมาแล้ว เขาผ่านมาได้อย่างไรความทุกข์ยากลำบากใหญ่ยิ่งกว่าเราตั้งเยอะ เขายังผ่านได้ เราก็ผ่านได้แน่ๆ เขาเป๊ะ เราก็เป๊ะๆ  เขาทุกข์ เราก็ทุกข์ เขาทุกข์เยอะกว่าเรา เราทุกข์นิดเดียวเอง ในสมัยยุคเริ่มต้นใหม่ๆ ชาวยิวที่อยู่ที่เยอรมัน ในวันคืนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านคิดถึงฮิตเลอร์ที่ข่มเหงชาวยิวขนาดนั้น ทุกข์ทรมานกว่านี้อีกเยอะเลย ของเราอาจจะนิดเดียว แต่แน่นอนสำหรับคนทุกคนอาจจะไม่มีคำว่านิดหรอก เปรียบเทียบกันไม่ได้ สำหรับคุณนิด สำหรับผมไม่ไหวแล้ว เรามาเทียบกันไม่ได้ ถ้าพระองค์ให้เราเป็นกระถาง เราก็รับแบบกระถาง ถ้าเราเป็นชาม  เราก็รับแบบชาม ถ้าเราเป็นถ้วยตะไล เราก็รับแบบถ้วยตะไล ถ้าเราเป็นหลอด เราก็รับแค่หลอด มันก็เต็มของเราแล้ว แต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ไม่ต้องมาวัดว่าใครใหญ่กว่าใคร? ของใครหนักกว่ากัน? เพราะฉะนั้น ให้เราวางใจพระเจ้าในสิ่งนี้

ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามในขณะนี้ ไม่ว่ามันจะใหญ่ขนาดไหน? เจ็บปวดอย่างไร? หรือมันทุกข์อย่างไรก็ตาม ท่านมีความหวังใจเสมอ เมื่อท่านเรียนรู้เรื่องราวถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ อยากจะบอกท่านและให้กำลังใจกับท่าน ให้ท่านมีความหวังว่าวันหนึ่ง พระเยซูคริสต์จอมเจ้านายเรา จะกลับมาใหม่ แล้ววันนั้น แอนตี้ไคร์ซปฏิปักษ์พระคริสต์จะถูกจับโยนออกไป จบ แล้ววันนั้นจะตกแต่งและปรับปรุงโลกนี้ใหม่หมดเลย รวมทั้งร่างกายเราก็ใหม่ด้วย ร่างกายที่เก่าๆ ทุกวันนี้ ทำใหม่หมดเลย ไม่ต้องไปแต่งหน้าแต่งตาแล้ว สวย หล่อตลอดเวลา ทรงผมก็สวยดี ทุกอย่างดีหมดเลย แถมไม่ป่วย ไม่ไข้ ไม่เจ็บ เอเมน

นี่คือความหวังของเราที่ตื่นมา เราควรจะเห็นภาพเหล่านี้ ซึ่งคนไม่เชื่อ ก็มองไม่เห็น แต่ถ้าเราเชื่อ เราจะเห็นกับตา สวรรค์สำหรับคนที่เชื่ออย่างเดียว ถ้าคนไม่เชื่อ จะไม่เห็นสวรรค์ โลกนี้ ก็เหมือนนรก พูดง่ายๆ เชื่อแล้ว มีใครอยากอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป ไม่อยากอยู่หรอก เพราะเรารู้แล้วว่าสวรรค์ดีกว่านี้ พระเจ้าสัญญาว่าจะตกแต่งบ้านนี้ใหม่ ร่างกายนี้ใหม่ โลกนี้ใหม่ เต็มไปด้วยความสมบูรณ์ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีความทุกข์ยาก ไม่มีความบาปอีกต่อไปนิรันดร์

พระเจ้าต้องการให้เราจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน คือสวรรค์สถาน ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ดังนั้น ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ในขณะนั้น ในชีวิตของเราก็ตาม ให้เรารู้ว่ามันแป๊บเดียว ก็ผ่านไปแล้ว ให้เรามีความหวังใจในความสุขนิรันดร์ ในสวรรค์สถานที่เราจะครอบครองร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่แป๊บ ไม่ใช่พันปี ไม่ใช่หมื่นปี แต่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่านิรันดร์ มันหมายถึงตลอดไป และในชีวิตนี้ บนโลกใบนี้ ไม่ต้องห่วง ถ้ามันทุกข์ยากลำบาก พระองค์จะพาเราผ่านความทุกข์ยากลำบากด้วยตัวของพระองค์เอง ที่สถิตอยู่กับเรา และครอบครองทุกอย่างบนโลกใบนี้ พระองค์สัญญาไว้อย่างนั้น ถ้าเราคิดว่าไม่ไหว เดี๋ยวพระองค์ก็จะพาเราผ่าน เพราะพระองค์ไหว เราไม่ไหว ไม่เป็นไร แต่พระองค์ทรงทำได้ทุกอย่าง พระองค์มีกำลัง จงจำไว้ใน 2 โครินธ์ 4:16-18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก  18 ดังนั้น  เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น  ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

และสิ่งที่เรามองไม่เห็น ที่อยู่ถาวรนิรันดร์นั้น สรุปรวมกัน เรียกว่าสวรรค์สถาน เอเมน

 

*******************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอน 14 “ชัยชนะและการครอบครองอาณาจักร ร่วมกับพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  มีนาคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า”

ตอน 14 “ชัยชนะและการครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอนที่ 14 อยู่ในหนังสือดาเนียล บทที่ 7 เรื่องราวความฝันของดาเนียลเกี่ยวกับสัตว์ทั้งสี่ ซึ่งเราได้เริ่มอ่านกันไปแล้ว ในครั้งก่อน แล้ววันนี้เราจะมาสรุป และเน้นย้ำในประเด็นสำคัญที่สุดในบทนี้ โดยเฉพาะตอนช่วงท้ายๆ ของบทที่ 7 นี้ เป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

คำว่า “ในอนาคต” คือตั้งแต่สมัยที่เขียนหนังสือเล่มนี้อยู่ ประมาณเกือบๆ 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์จะเกิด  ก่อน ค.ศ. มาถึงวันนี้ ก็ประมาณ 2,600 ปีมาแล้ว และมันจะบอกต่อไปจนกระทั่งถึงสิ้นยุคเลย

บอกไว้ด้วยว่าก่อนถึงวันสุดท้าย ที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่นั้น จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จะเป็นหัวข้อหลักในการบรรยายในวันนี้ คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่พระเยซูคริสต์กลับมาแล้ว มาดูปรากฏการณ์ที่บันทึกไว้ ที่พระเจ้าบอกเราล่วงหน้า ซึ่งปรากฏการณ์นั้น ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เป็นประชากรของพระเจ้า ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะได้รับชัยชนะร่วมกับพระเยซู และได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตามที่พระเยซูบันทึกไว้ เพราะฉะนั้น การบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อตอนว่า “ชัยชนะและการครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์” เอเมน

เราจะมาทบทวนกันสักนิด ในดาเนียล บทที่ 7 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความฝันของดาเนียล ที่ฝันเห็นสัตว์มหึมาขนาดใหญ่ 4 ตัว แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน ซึ่งสัตว์มหึมาทั้ง 4 ตัว หมายถึงอาณาจักรทั้ง 4 ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก ตั้งแต่สมัยนั้น 2,600 ปี ลักษณะเดียวกันกับนิมิตที่ดาเนียลได้อธิบายเมื่อสมัยเนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งเป็นรูปปั้น

ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าตอนที่ดาเนียลฝันเห็นสัตว์ทั้งสี่ตัวนี้ เขาตกใจมาก เข่าอ่อนเลย ว้าวุ่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวที่สี่ เพราะมันดูโหดร้าย น่ากลัว ในความฝันนั้น พระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์มาบอกว่าเป็นอย่างนี้ ดาเนียล 7:15-22 ดูสิว่าเป็นอย่างไร?

ดาเนียล 7:15-22 “15 ข้าพเจ้าดาเนียลทุกข์ใจยิ่งนัก นิมิตที่เห็น ทำให้ข้าพเจ้าว้าวุ่นสับสน  16 ข้าพเจ้าก้าวเข้าไปใกล้ผู้หนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ที่นั่น ขอให้ช่วยอธิบายความหมายของสิ่งทั้งปวงนี้  ดังนั้น เขาผู้นั้นจึงบอกข้าพเจ้า และให้คำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ว่า 17 ‘สัตว์มหึมาทั้งสี่ คืออาณาจักรทั้งสี่ ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก 18 แต่ประชากรขององค์ผู้สูงสุดจะได้รับอาณาจักร และครอบครองตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์’ 19 แล้วข้าพเจ้าต้องการรู้ความหมายแท้จริงของสัตว์ตัวที่สี่ ซึ่งแตกต่างจากตัวอื่นๆ และน่ากลัวที่สุด มีฟันเหล็กและมีอุ้งเล็บทองสัมฤทธิ์ สัตว์ซึ่งเคี้ยวขย้ำเหยื่อของมันและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือจนแหลกลาญ 20 และข้าพเจ้าต้องการทราบเกี่ยวกับเขาทั้งสิบบนหัวของสัตว์ตัวนั้น และเขาอีกอันหนึ่ง ซึ่งโผล่ขึ้นมา ทำให้สามเขาถูกถอนออกไป เขานั้นโดดเด่นกว่าเขาอื่นๆ มันมีตาและมีปากซึ่งคุยโอ้อวด 21 ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่ เขานั้น ก็เข้าทำศึกกับเหล่าประชากรของพระเจ้า และได้ชัยชนะ 22 จนกระทั่ง องค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เสด็จมา และประกาศคำตัดสินให้ประชากรขององค์ผู้สูงสุดชนะ และเป็นเวลาที่พวกเขาได้ครอบครองอาณาจักร”

 

ความหมายในพระคัมภีร์มีตอนหนึ่งที่ผิด เพี้ยนไปนิดหนึ่ง คือที่บอกว่า “ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่ เขานั้น ก็เข้าทำศึกกับเหล่าประชากรของพระเจ้า” ไม่ใช่นะ “เขาเล็กๆ นั้น คือแอนตี้ไคร์ซ หรือปฏิปักษ์พระคริสต์เข้าทำศึกกับเหล่าทูตสวรรค์” ไม่ใช่มนุษย์ เดี๋ยวเรียนไปเรื่อยๆ จะรู้ จำไว้แค่นี้ว่าแอนตี้ไคร์ซ ตัวใหญ่ตัวนี้ ทำศึกกับเหล่าทูตสวรรค์ รู้ไหมทูตสวรรค์พระเจ้าส่งมา เพื่อดูแลประชากรของพระเจ้า  เพื่อให้ความสะดวกสบาย ปกปักษ์คุ้มครองดูแลประชากรของพระเจ้าให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

ในความฝันนี้ มีผู้ที่รู้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นทูตสวรรค์ อธิบายความหมายให้ฟังว่าสัตว์มหึมาทั้งสี่ คืออาณาจักรทั้งสี่ ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก ตั้งแต่สมัยบาบิโลน  คือยุคนี้เป็นยุคสุดท้ายแล้ว คือยุคที่พระเจ้ามาบอกล่วงหน้า จริงๆ บอกมาก่อนหน้า 2,600 ปี จนถึงปัจจุบัน และจากปัจจุบันไปจนถึงอนาคต จนสิ้นโลก จนพระเยซูกลับมา นี่คือช่วงนี้ ท่านจะได้ทราบ

สัตว์ตัวแรกที่ดาเนียลฝันเห็น คือสิงโต มีปีกเหมือนนกอินทรีย์ ถ้าเปรียบกับรูปปั้น ก็คือส่วนที่เป็นศีรษะ ทำด้วยทองคำ หมายถึงอาณาจักรบาบิโลน 2,600 ปีมาแล้ว เริ่มต้นตรงนี้

สัตว์ตัวที่สอง  ลักษณะเหมือนหมีคาบซี่โครง 3 ซี่ไว้ที่ปาก สัตว์ตัวนี้เปรียบได้กับรูปปั้น ส่วนที่สอง คือหน้าอกและแขน ซึ่งทำด้วยเงิน ที่เล็งถึงอาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย ซี่โครง 3 ซี่ ที่หมีตัวนี้คาบเอาไว้ ก็อาจหมายถึงดินแดนหลักๆ ที่มีเดียเปอร์เซียได้ปราบมาแล้ว

สัตว์ตัวที่สาม ในความฝันของดาเนียลมีลักษณะเหมือนเสือดาว ที่หลังของมันมีปีก 4 ปีก คล้ายปีกนก สัตว์ตัวนี้มี 4 หัว เทียบกับรูปปั้นของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็คือส่วนท้องและต้นขา ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงอาณาจักรกรีก และที่เปรียบเทียบเสือดาว ก็เพราะว่าในสมัยที่กรีกกำลังรุ่งเรืองนั้น มีการขยายอำนาจอย่างรวดเร็วมาก ดั่งเสือดาวที่วิ่งเร็วและแข็งแกร่ง ติดปีกอีกต่างหาก แข็งแกร่งดั่งทองสัมฤทธิ์ ในยุคของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชนั่นเอง

มาถึงตัวที่สี่ ตัวสุดท้าย ในความฝันของดาเนียล ซึ่งพระคัมภีร์กล่าวถึงสัตว์ตัวนี้ว่ามีลักษณะน่ากลัว สยดสยอง และมีฤทธิ์อำนาจมาก มันมีฟันเหล็กซี่มหึมา มันขย้ำเคี้ยวเหยื่อและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือจนแหลกลาน สัตว์ตัวนี้ แตกต่างจากตัวอื่นๆ ตรงที่มีเขา 10 เขา เจ้าสัตว์ประหลาดตัวที่สี่นี้ เปรียบได้กับส่วนขาของรูปปั้นที่ทำด้วยเหล็ก ซึ่งเล็งถึงอาณาจักรโรม ที่ได้โค่นล้มกรีก

โรมันในยุคนั้น โหดร้ายมาก ตามล่า ขยายดินแดนไปทั่ว จึงถูกเปรียบเทียบเหมือนสัตว์ดุร้ายน่ากลัว บดขยี้แหลกลาน โหดเหี้ยมกว่าอาณาจักรอื่นๆ

ดาเนียลบอกว่าในบรรดาสัตว์ทั้งสี่ตัว อยากจะรู้ความหมายของสัตว์ตัวที่สี่มากที่สุด เพราะมันน่ากลัวที่สุด จึงอยากจะรู้จากพระเจ้าว่ามันหมายถึงอะไร? สัตว์ตัวที่สี่นี้ มีบันทึกไว้อย่างนี้ ในข้อที่ 8

ดาเนียล 7:8 “ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดเรื่องเขาต่างๆ อยู่นั้น ก็มีเขาเล็กๆ อีกอันหนึ่งโผล่ขึ้นมาท่ามกลางเขาอื่นๆ และทำให้สามในสิบเขาแรกนั้น ถูกถอนออกไป เขาเล็กนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปากซึ่งคุยโวโอ้อวด”

 

คือบางทีเราฟัง หรืออ่านจากนิมิตนี้ ดาเนียลไม่สามารถอธิบายอย่างละเอียดในสิ่งที่พระเจ้าให้เขาเห็นในนิมิต ในขณะนั้น ลึกซึ้งได้ ได้แค่เขียนตรงนี้ เหมือนเราฝัน บางทีเราบอกใครว่าเราเห็นอะไรในฝัน หมายถึงอะไรมันเยอะมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนิมิตเห็นล่วงหน้า ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร?

เขาเล็กๆ หนึ่งอันที่โผล่ขึ้นมาจากสัตว์ประหลาดตัวนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปาก ซึ่งคุยโวโอ้อวด ซึ่งอาจจะหมายถึงผู้ที่เราเรียกกันว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือแอนตี้ไคร์ซ ที่บอกว่าจะมีผู้ที่ต่อต้านองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า คือพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมา จะมีผู้ต่อต้าน อย่างที่เราเรียนครั้งที่แล้วว่าต่อต้านพระเยซู ก็คือต่อต้านคนที่เชื่อพระองค์นั่นเอง ข่มเหงพระเยซู ก็คือข่มเหงคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ มีบันทึกไว้ในข้อที่ 24-25 ดูสิว่าเขาสิบเขา กษัตริย์สิบองค์ เป็นอย่างไร?

ดาเนียล 7:24-25 “24 เขาสิบเขา คือกษัตริย์สิบองค์ ที่จะมาจากอาณาจักรนี้ ภายหลังจะมีกษัตริย์อีกองค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งแตกต่างจากองค์ก่อนๆ และจะโค่นล้มกษัตริย์สามองค์ลง 25 กษัตริย์องค์นี้ จะกล่าวลบหลู่องค์ผู้สูงสุด และกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า จะพยายามเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาและบทบัญญัติต่างๆ ประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ”

 

นี่แหละที่ทำให้ดาเนียลกังวลใจมาก ถึงขนาดนี้เลยเหรอ นี่คือความหมายของเขาสิบเขา คือจะมีกษัตริย์เกิดขึ้น 10 องค์ จากเชื้อสายของกรุงโรม อาณาจักรโรมัน ซึ่งก็น่าจะหมายถึงกษัตริย์ทางแถบยุโรป ซึ่งมีเชื้อสายอิทธิพลมาจากโรมันรุ่งเรือง นึกภาพให้ดีๆ 10 อาจจะไม่ใช่ 10 องค์จริงๆ 10 คือครบถ้วน ครบตามจำนวน ก็คือครบถ้วนตามที่พระเจ้าวางไว้ ไม่ได้หมายถึงเลข 10 จริงๆ ก็ได้ และเขาเล็กๆ ที่งอกขึ้นมา ก็คือแอนตี้ไคร์ซ หรือคนที่กดขี่ข่มเหงคริสเตียน หรือคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ยุคสมัยที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ ก็คือยุคเริ่มต้นโรมัน ในยุคโรมันก็มีแอนตี้ไคร์ซ

ในหนังสือยอห์น พระคัมภีร์ใหม่ก็บอกไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า ยุคสุดท้าย จะมีแอนตี้ไคร์ซ ตัวใหญ่โผล่ขึ้นมา แล้วยอห์นก็บอกว่าแต่ว่าขณะนี้ ขณะที่ยอห์นพูดอยู่ คือขณะยุค 2,000 ปีแล้ว ที่พระเยซูเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ ยอห์นประกาศข่าวประเสริฐว่าแม้ว่าขณะนี้ ก็มีแอนตี้ไคร์ซ หรือผู้ที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์อย่างนี้ เกิดขึ้นอยู่มากมาย ไปเรื่อยๆ ก็คือตัวเล็กๆ มาอยู่เรื่อยๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ ตัวเล็กๆ ก็คือจักรพรรดิเนโร ของจักรวรรดิโรมัน รุ่นแรกๆ รุ่นที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ แล้วประชากรของพระเจ้าเริ่มประกาศข่าวดีนั้น จักรพรรดิเนโร แห่งอาณาจักรโรมัน ก็ข่มเหงคริสเตียนรุนแรงมาก จับไปย่างไฟบ้าง? จับไปให้สิงโตกินบ้าง ก็คือแอนตี้ไคร์ซตัวหนึ่ง

พระเจ้าต้องการส่งนิมิตนี้ ข่าวนี้ให้กับประชากรของพระเจ้าทุกคนตั้งแต่ตอนนั้น ไปจนกระทั่งสิ้นโลก รวมทั้งเราด้วยที่นั่งอยู่ที่นี่ ให้เรารู้ล่วงหน้า บอกเราว่ามีอะไรเกิดขึ้น บาบิโลนก็เจริญเติบโตขึ้นมา เสร็จแล้วบอกล่วงหน้าจากบาบิโลน ก็เป็นมีเดียเปอร์เซีย จากมีเดียเปอร์เซีย เป็นกรีก จากกรีก  เป็นโรมัน จากโรมันปุ๊บจะไม่มีอาณาจักรใดๆ ที่ใหญ่แบบคุมโลกแบบนี้อีกต่อไปแล้ว แล้วมันเป็นจริง ตั้งแต่อาณาจักรโรมันจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีอาณาจักรใหญ่ๆ อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว มีแต่ดูเหมือนใหญ่ ตรงนี้ก็ใหญ่ ตรงนั้น ก็ใหญ่ กระจายกันไปหมด และส่วนที่กระจายไป ส่วนใหญ่นั้น มาจากเชื้อสายของอาณาจักรโรมทั้งสิ้น ตรงตามนิมิตนี้ทั้งหมด

แล้วขณะที่เรากำลังพูดถึงนี้ เรากำลังเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ในขณะที่ผมบอกท่านว่าขณะที่เรากำลังดูนิมิตที่พระเจ้าให้ ขณะเดียวกันในโลกฝ่ายวิญญาณ มีพระเจ้าบังคับอยู่ ควบคุมสถานการณ์อยู่ และขณะเดียวกัน ก็มีสงครามอยู่บนโลกใบนี้ แบบที่มองไม่เห็น คือทางโลกฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน ขณะที่บาบิโลนคุมอำนาจอยู่ ก็จะมีวิญญาณที่ไม่ดี เป็นวิญญาณที่ปกคลุมอยู่เหนือบาบิโลน ขณะเดียวกัน ทูตสวรรค์จะเข้ามาส่งข่าวให้กับดาเนียล ก็จะเจอทูตสวรรค์ที่ไม่ดี ต่อต้านไม่ให้มาส่งข่าว ต้องไปรบกันอีก คือกำลังจะบอกท่านว่าทูตสวรรค์เป็นฝ่ายเราก็มี เป็นฝ่ายที่ไม่ดีต่อต้านพระเจ้าก็มี แต่ทูตสวรรค์ที่เป็นฝ่ายเรามีมากว่า มี 2 ใน 3 ฝั่งโน้นมี 1 ใน 3 แต่ทั้งหมด ก็อยู่ในการควบคุมดูแล อยู่ในแผนการของพระเจ้า พ่อของเราทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ต้องกลัว แต่ให้รู้ไว้ นิมิตที่ดาเนียลพูดถึง วันสุดท้ายทูตสวรรค์ฝ่ายเรา ที่ดูแลเราให้ความสะดวกสบายกับประชากรของพระเจ้า เป็นฝ่ายแพ้ ไม่ต้องตกใจกลัวเหมือนดาเนียล  ฟังต่อไปว่าอะไรเกิดขึ้น และพระเจ้าบอกอะไรเราต่อจากนี้

ในข้อที่ 25 บอกไว้อย่างนี้ว่า “กษัตริย์องค์นี้”

หมายถึงแอนตี้ไคร์ซ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้ต่อต้านพระคริสต์ กษัตริย์ หมายถึงผู้ที่มีอำนาจสูงสุด แล้วแต่จะเรียกชื่อไป เขาเรียกว่ากษัตริย์ คือผู้ที่เป็นผู้นำ ผู้นำในแต่ละประเทศ ทุกวันนี้ ต่างเรียกชื่อกันไป มีตั้งแต่กษัตริย์ก็มี นายกรัฐมนตรีก็มี ผู้สำเร็จราชการก็มี ประธานาธิบดีก็มี ซึ่งอนาคต เราไม่รู้ เขาจะเรียกชื่ออะไรต่อไป หมายถึงแอนตี้ไคร์ซเป็นผู้นำในยุคนั้น บุคคลนี้  “กษัตริย์องค์นี้ จะกล่าวลบหลู่องค์ผู้สูงสุด” หมิ่นพระเจ้า

“และกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า”

ซึ่งหมายถึงคริสเตียนและผู้ที่เชื่อในพระเจ้า

“จะพยายามเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาและบทบัญญัติต่างๆ ประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ (หรือบุคคลผู้นี้ ผู้นำผู้นี้ แอนตี้ไคร์ซตัวนี้) ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ”

และประชากรของพระเจ้า จะถูกมอบให้อยู่ใต้อำนาจของแอนตี้ไคร์ซตัวนี้ ซึ่งพระเจ้าบอกเป็นแผนการของพระองค์ทั้งหมด ใครเป็นผู้อนุญาตให้พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถ้าพระเจ้าบอกไม่อนุญาต ทำไม่ได้

ความหมายก็คือเขาเล็กๆ ที่งอกขึ้นมานี้ ที่บอกว่าเล็งถึงปฏิปักษ์พระคริสต์ตัวนี้ จะกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า จะพยายามทำลายแผนการของพระเจ้า จะพยายามขัดขวางงานของพระเจ้าทุกชนิด ทุกอย่าง ซึ่งอ่านตะกี้นี้ ทำสำเร็จหรือเปล่า? สำเร็จ เพราะในหนังสือตะกี้บอกว่าประชากรของพระเจ้าได้ถูกมอบให้อยู่ใต้มือของกษัตริย์องค์นี้ ก็คืออยู่ใต้อำนาจของมัน ก็สำเร็จสิ คือข่มเหงเราได้  แปลว่าประชากรของพระเจ้าแพ้

ท่านเคยดูซุปเปอร์แมนหรือเปล่า? ตอนนี้ถูกดูดพลังไปหมด นอนอยู่ในถ้ำคริสตัส แพ้คริสตัล เจอคริสตัลปุ๊บ พลังถูกดูดไปหมด แพ้ จบ หน้ากากผีชนะ ตอนนี้ พลเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกาและทั้งโลก จะเดือดร้อนไปหมดเลย เพราะว่าซุปเปอร์แมนไม่มาช่วย  ซุปเปอร์แมนเองก็ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ในหนังตอนจบ เขาก็เขียนให้มีคนไปช่วย ให้ซุปเปอร์แมนมีพลังมาใหม่ กลับมาชนะ ตอนจบพระเอกชนะ เรื่องนี้ประชากรของพระเจ้าเป็นพระเอก

ตอนท้ายของข้อความตะกี้บอกว่าประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ผู้นี้ แอนตี้ไคร์ซตัวนี้ ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ

คำว่า “หลายวาระ หนึ่งวาระ และครึ่งวาระ” หมายถึงเวลาเท่าไร? มันแปลว่ามันมีกำหนดเวลาสิ้นสุด แต่ไม่แน่นอนว่าเมื่อไร? ก็คือรู้ แต่ไม่รู้ รู้ว่าเท่าไร? รู้ว่าชั่วคราว รู้ว่าแป๊บเดี๋ยว อย่างนี้เป็นต้น

และเมื่อมีกำหนดเวลา ก็แปลว่ามันไม่ได้เป็นถาวร มันไม่ได้นิรันดร์ และเมื่อไม่ใช่ถาวรนิรันดร์ ก็แปลว่าเป็นการชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น สรุปว่าประชากรของพระเจ้าจะแพ้ เป็นการชั่วคราว  ตามกำหนดเวลาที่พระเจ้าวางแผนไว้ ไม่มีใครรู้ และไม่ต้องไปพยายามหาด้วย พระเยซูก็ไม่รู้ พระเจ้ารู้แต่ผู้เดียว และหลังจากที่ประชากรของพระเจ้าตกอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหงรังแกของแอนตี้ไคร์ซตัวนี้ เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้  ดาเนียล 7:26-27 นี่แหละคือข่าวดีของท่าน

ดาเนียล 7:26-27 “26 แต่การพิจารณาคดีจะเริ่มขึ้นแล้ว  ฤทธิ์อำนาจของกษัตริย์องค์นั้น  จะถูกนำออกไป และถูกทำลายล้างไปอย่างสิ้นเชิง  27 แล้วประชากรขององค์ผู้สูงสุด  จะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า  ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนชั่วนิจนิรันดร์  ผู้ครอบครองทั้งปวงจะนอบน้อม เชื่อฟัง และนมัสการพระองค์”

 

หลังจากประชากรของพระเจ้าพ่ายแพ้ ชั่วคราวเท่านั้น แต่การพิจารณาคดี เริ่มขึ้นแล้ว  ฤทธิ์อำนาจของแอนตี้ไคร์ซตัวนั้น  ถูกปลดออก ถูกนำออกไป ถูกลบล้างอย่างสิ้นเชิง  แล้วประชากรขององค์ผู้สูงสุด ก็คือเราท่าน จะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า ราชอาณาจักรของพระเจ้า จะยั่งยืนอยู่นิตย์นิรันดร์ เอเมน

พระเจ้าให้ดาเนียลเห็นภาพ จึงเขียนออกมาอย่างนี้ ที่ท่านเห็น พอมาถึงเราในยุคปัจจุบัน เราก็ต้องเห็นภาพแบบเราในยุคปัจจุบัน ท่านเห็นภาพไหมว่าเจ้าแอนตี้ไคร์ซหรือปฏิปักษ์พระคริสต์ตนนี้ที่ว่ามันใหญ่มาก คับโลกนี้  ตอนนี้มันได้ยินเสียงพระเจ้ามา หดไปไม่เหลือเลย ในนี้บอกว่าสิ้นซากตลอดกาล ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ แล้วเอาอาณาจักรฤทธิ์เดชอำนาจมาให้กับฝั่งลูกของพระเจ้า คือประชากรของพระเจ้า คือเราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ ไม่ใช่หนึ่งวาระ  ครึ่งวาระ ไม่ใช่ แต่ให้เรานิรันดร์ และหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น พระคัมภีร์บันทึกไว้แล้ว

“ประชากรขององค์ผู้สูงสุดจะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วฟ้า ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนอยู่ชั่วนิรันดร์”

หลังจากนั้นบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู จะได้ครอบครองอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า ก็คืออาณาจักรทั้งหมดในโลกนี้  และที่สำคัญ อาณาจักรเหล่านี้ จะยั่งยืนถาวรชั่วนิรันดร์ ไม่ต้องมีหนึ่งวาระ ครึ่งวาระอีกต่อไป

นี่คือบทสรุปของนิมิตตามความฝันของดาเนียล ในบทที่ 7 ที่ผมบอกว่าสำคัญมาก ซึ่งตอนที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  เดินอยู่กับเหล่าสาวก พระองค์ก็ได้ตรัสย้ำยืนยันว่าเป็นอย่างนี้แหละ เอามาให้อ่านกันนิดหนึ่ง มัทธิว 25:31-34

มัทธิว 25:31-34 “31 เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา ด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์ พร้อมด้วยทูตสวรรค์ทั้งหมด พระองค์จะประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ ด้วยพระเกียรติสิริแห่งฟ้าสวรรค์ 32 มวลประชาชาติจะมาชุมนุมกันต่อหน้าพระองค์ และพระองค์จะทรงแยกประชากรออกจากกัน  เหมือนคนเลี้ยง แยกแกะออกจากแพะ 33 แกะนั้น จะทรงให้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ ส่วนแพะ อยู่เบื้องซ้าย 34 “แล้วองค์ราชัน จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาของพระองค์ว่า ‘ท่านผู้ได้รับพร จากพระบิดาของเรา มารับมรดกของท่านเถิด  คืออาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่าน ตั้งแต่ทรงสร้างโลก

 

อาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่าน … ท่านคือผู้เชื่อในพระเยซู คริสเตียน

แกะในที่นี้ ก็คือผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ ก็คือประชากรของพระเจ้า ก็คือพวกเรา พระเยซูตรัสเองเลยว่าพวกเราที่เป็นประชากรของพระเจ้า จะไปอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า และได้รับมรดก คืออาณาจักรที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเราตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ซึ่งอย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราได้รู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง คือบอกเป็นภาพเป็นฉากๆ ให้เห็นเลย พอให้รู้ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์สำคัญหลักๆ ที่จะเกิดขึ้น เพื่อเราจะไม่ต้องตกใจกลัว เมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริง จะได้รู้ว่าอ๋อ! พ่อเราควบคุมอยู่ เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไป ท่านเดินออกไป เจออะไรที่ไม่ค่อยดี พูดกับตัวเองว่าใจเย็นๆ พ่อเราคุมอยู่ และเรามีความหวังใจว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่สิ่งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นแน่นอน ก็คือสิ่งที่เรียกว่าชัยชนะที่เราจะได้รับร่วมกับพระเยซูคริสต์ และได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์ชั่วนิรันดร์ ซึ่งแน่นอน โดยเนื้อหนังเรา แม้จะรู้อย่างนี้ การอยู่บนโลกใบนี้ เราก็อดที่จะวิตกกังวลไม่ได้ เมื่อเจอความทุกข์ยากลำบาก แต่มันจะมีวาระของมัน มันเป็นแค่เวลาชั่วคราว ถึงท่านลำบากอย่างไร? ท่านบอกไม่ไหวๆ ถึงเวลา พระเจ้าบอกพอแล้ว ท่านก็เริ่มไหวเอง มันจะเป็นอย่างนี้ แล้วตอนจบ ก็จะเป็นตามที่เราได้อ่านเมื่อสักครู่นี้ นิมิตตอนจบ ก็คือเราได้รับชัยชนะ และได้ครอบครองอาณาจักร ก็คือสวรรค์นั่นแหละ ร่วมกับพระเยซูนิรันดร์กาลแน่นอน

แต่อย่างที่บอก ถึงแม้จะให้รู้ล่วงหน้าอย่างนี้ มาหาพระเจ้าก็เหมือนเด็กๆ เหมือนลูกๆ ของพระองค์ ก็อดที่จะถามพระเจ้าไม่ได้ เมื่อไรจะถึงวันนั้น? หลายคนอดใจไม่ไหว ก็เอาวาระ ครึ่งวาระ ไปคำนวณกันใหญ่ หากันใหญ่ว่าคงวันนี้ วันนั้น ก็ได้แต่ความกังวลเพิ่มเติม เพราะไม่ถูกสักคน เพราะพระเยซูบอกไม่มีใครรู้ แล้วจะไปหาทำไม ที่หา เพราะมันกังวล มันอยากรู้ แต่พระเจ้าบอกไม่ต้องไปหาหรอก ไม่ได้ตั้งใจให้ไปสนใจว่าเวลานั้น มันคือเมื่อไร? แต่ให้สนใจแค่ว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงจะเป็นอย่างไร? จะคุ้มค่าการรอคอยของเราไหม? และให้เชื่อวางใจว่ามีวันนั้นแน่ๆ วันแห่งชัยชนะ พระองค์สัญญากับเราแล้วว่าอย่างนั้น มันก็จะเป็นอย่างนั้นแน่นอน  เป๊ะๆ

ผมจะยกตัวอย่าง ให้ท่านเห็นว่าวาระเป็นลักษณะอย่างไร? ตอนที่โต๋เต๋เล็กๆ ก็พาเขาไปเที่ยวต่างจังหวัด สมมติบอกเขาว่าจะพาไปว่ายน้ำตกปลาที่ไหน? ต้องขับรถไปประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง ดีใจใหญ่ พอขับรถออกไปแค่ 15 นาที ถามแล้ว ถึงหรือยัง? เมื่อไรพ่อ? โต๋ถามน้อยหน่อย แต่เต๋ถามเยอะ  เลยไปอีก 15 นาที

“พ่อเมื่อไรถึง?”

ผมก็บอกว่า “เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงจะแวะปั๊มเข้าห้องน้ำ แล้วก็จะขับรถไปอีก 2 ชั่วโมง”

เขาก็ฟัง แล้วก็หลับไป พอตื่นขึ้นมา ก็ถามอีกแล้วว่า …

“ถึงหรือยัง?  ไหนบอกว่าจะถึงแล้วไง?”

ผมก็บอกต่อไปว่า “อีกชั่วโมงกว่า”

ขับไปอีกแค่ประมาณ 10 นาที ก็น่าจะถึงแล้ว  พอ 10 นาทีต่อไป ยังไม่ทันเลี้ยวเข้าทะเลเลย ถึงหรือยัง? เด็กๆ เป็นอย่างนี้ คือเขายังไม่เข้าใจว่าที่ผมอธิบายว่าอีก 10 นาที แล้วอีก 1 ชั่วโมง แล้วก็อีกครึ่งชั่วโมง มันหมายความว่านานแค่ไหน? เพราะว่าเด็กเกินไป มันเกินความเข้าใจของเด็ก แต่พอไปถึงที่หมาย ไปถึงที่เล่นแล้ว สนุกสนาน ลืมไปเลยว่าความเบื่อหน่ายของการนั่งรถมาเป็นอย่างไร? นั่งรถนานๆ มันน่าเบื่อขนาดไหน? สนุกสนานกับที่เล่น ที่เที่ยว กิจกรรมที่เตรียมไว้ทั้งหมด

พวกเรากับพระเจ้าก็เป็นอย่างนี้แหละ พอเจอปัญหา เจอความทุกข์ ก็จะถามพระเจ้าว่า …

“เมื่อไรพระเยซูจะกลับมาสักที ไหนบอกว่าจะจบโลกนี้ มันจบเมื่อไรล่ะ เมื่อไรจะถึงเวลาที่เราได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูสักทีที่พระองค์บอกไว้”

พระเจ้าก็ตอบเราแบบเดียวกันกับที่เราตอบลูกแหละ พระเจ้าจะตอบเราว่า …

“รอแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวอีกครึ่งวาระ อีกหนึ่งวาระ อีกสองวาระ ก็จะถึงแล้ว เข้าใจไหม?”

เราก็จะตอบว่า “ไม่เข้าใจ”

แล้วพระเจ้าก็เงียบไป แล้วเราก็เงียบไป (แป๊บเดียว) เดี๋ยวก็ถามพระเจ้าใหม่

“ไหน จะถึงหรือยัง? ไหน หมดวาระหรือยัง? เมื่อไรจะถึงสักที”

เราเห็นความน่ารักของพระเจ้าหรือยัง? เป็นอย่างนี้แหละ

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว นี่ก็อีกอันหนึ่ง ผมมีโอกาสเดินทางไปนิวซีแลนด์ ที่เกาะใต้ ก่อนไป ก็คุยกันแล้วนะว่าทริปนี้ เราจะเดินทางไปแบบสมบุกสมบัน เพราะตั้งใจจะไปดูบรรยากาศช่วงหนาวที่สุดของที่นั่น เคยเห็นในรูปภาพ อยากจะไปดู มันสวยจริงๆ อย่างนั้นไหม? เดินทางก็ลำบาก นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ 10 กว่าชั่วโมง แล้วก็ต้องต่อเที่ยวบินในประเทศนั้น แบกกระเป๋าเอง เช่ารถอีก เพื่อที่จะไปเป้าหมายที่ไปดู เหมือนไปต่างจังหวัดของเขา ซึ่งเป็นฤดูหนาว มีพายุหิมะ ตอนระหว่างเดินทางมันชักเหนื่อย ผมคิดในใจว่านี่ให้มาเที่ยวหรือให้มาฆ่าตัวตาย กระเป๋าไม่ใช่เล็กๆ แบกไปแบกมา แล้วคุณคิดดูนะ รถเช่า ต้องแบกขึ้นไป 4 – 5 ใบ แล้วก็ขับไป เหนื่อย มันฝืนสังขารด้วย ยังไม่ทันถึงเลย เริ่มเห็นหิมะตกมานิดหนึ่ง ดีใจมากเลย  ลงไปถ่ายรูปกันใหญ่  แต่พอไปถึงสุดท้าย รูปแรกลบทิ้งหมด มันไม่สวยเลย มันสวยขึ้นไปเรื่อยๆ ภาพที่เห็นยิ่งกว่าในโปสการ์ดคริสตมาสที่เราดู นี่ของจริงเลย จับได้เลย แสงเวลามันผ่านเกล็ดหิมะเป็นประกาย คล้ายคริสตัล สวยงาม แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ที่เราเดินทางมาเหนื่อย มาตั้งนาน แบกของอะไรต่างๆ มันหายเหนื่อย มันรู้สึกคุ้มค่าจริงๆ แต่อย่างว่านี่มันเปลี่ยนไม่ได้ เพราะถึงแม้จะคุ้มค่าอย่างไร? สนุกอย่างไรก็ตาม พอ 10 วัน ก็เตรียมตัวเหนื่อยอีกแล้ว กลับมา มันมีวันจบของมัน คือ 10 วันกลับมา ขากลับเซ็งเลย  เพราะว่ามันไม่มีความหมายแล้ว กลับมาต้องทำงานอีก ขอบคุณพระเจ้า แต่ในสวรรค์ที่พระเจ้าบอกเรา ไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว สวรรค์สถาน ที่เราจะไปอยู่ ที่พระเจ้าบอกรอบนโลกใบนี้แค่วาระ สองวาระ สามวาระ แค่แป๊บเดียวเอง  แล้วจากนั้นไป อยู่ที่สบาย ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว อาณาจักรที่เราจะครอบครองร่วมกับพระเยซู มันอยู่นิรันดร์ มีร่างกายพิเศษที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เหมือนพระเยซูคริสต์ และจะอยู่บนโลกใบนี้ เป็นโลกใหม่ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะทำให้กับเราใหม่เอี่ยม ไม่ใช่แบบนี้ และจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์กาล

โลกใหม่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา ซึ่งเราเรียกกันง่ายๆ สั้นๆ ตามประสาพ่อลูกว่าสวรรค์ ของพระเจ้า สวรรค์ คืออาณาจักร อาณาจักรหนึ่ง ในพระคัมภีร์บอกว่าโลกใหม่ เพราะฉะนั้น เหมือนโลกใบนี้แหละ แต่มันใหม่ ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก อาณาจักรสวรรค์ที่เราจะไปอยู่ข้างหน้า มันก็น่าจะเป็นความรู้สึกคล้ายๆ แบบที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แต่ต่างกันตรงที่เราจะอยู่ถาวรนิรันดร์และอยู่อย่างมีความสุขแบบนิรันดร์ และถ้าท่านคิดว่าอยากจะสัมผัสว่าความรู้สึกเมื่อได้ไปอยู่ในสวรรค์สถานแล้วจะเป็นอย่างไร? ผมพยายามเหลือเกินว่าจะเอาความรู้สึกมาให้ท่านเห็นภาพนิดๆ ผมคิดว่าถ้าท่านฟังเรื่องนี้ จากนี้ต่อไปที่ผมจะอธิบาย ท่านพอจะสามารถเห็นรางๆ แล้วก็สัมผัสได้ว่าดีใจ มันมีจริงๆ ใช่ๆ ท่านลองสังเกตดูความรู้สึกขณะที่ดำเนินอยู่บนโลกนี้เป็นอย่างไร? ตอนนี้เป็นอย่างไร? อย่างน้อยๆ เรารู้แล้วว่าสวรรค์ที่พระเจ้าจะให้เราไปอยู่ครอบครองนั้น มันก็คือโลกใบนี้ แต่สร้างใหม่ ทำใหม่ ระบบใหม่ แต่ก็เป็นโลกใช่ไหม? โลกนี้เขาทำอะไรกัน อย่างนั้นแหละ แต่ของใหม่ ปรับปรุงใหม่ ดีกว่าเก่า

อย่างเช่น นึกภาพปัจจุบัน ความสวยงามของธรรมชาติ ความสวยงามของดอกไม้ ที่ท่านเห็นอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ในสวรรค์จะสวยกว่านี้ และมีมากกว่านี้ เป็นล้านๆ เท่า ทุกวันนี้ท่านดูดอกกุหลาบหรือดอกอะไร?  สวยมาก มันจะสวยกว่าที่ท่านเห็นเป็นล้านๆ เท่า แล้วมีมากกว่าล้านๆ ชนิด ท่านจะมีความสุข ท่านมีความรู้สึกว่าตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง แล้วรู้สึกสดชื่น เมื่อคืนก่อนนอนก็ได้รับข่าวดีว่าลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ลูกได้งานใหม่ วันนี้นอนหลับสบาย 8 ชั่วโมงเต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมา มีความสุขมากเลย ทุกคนต้องมีแน่นอน

ในสวรรค์มันจะเป็นอย่างนี้  ท่านจะหลับสนิท 8 ชั่วโมงอย่างนั้นทุกคน ท่านไม่ต้องพึ่งเมลาโทนิน ไม่ต้องกินคาโมมายด์พวกนี้ช่วยได้ ไม่ต้องกล่อมประสาท ท่านหลับสบายทุกคืน ตื่นขึ้นมาก็สดชื่นอย่างที่ท่านได้สัมผัสนิดๆ หน่อยๆ บนโลกใบนี้ แต่มันมากกว่านั้นอีกเป็นล้านๆ เท่า และมันไม่ได้เป็นแค่ 2 วัน 3 วัน แต่มันเป็นทุกวันๆ ในพระคัมภีร์บอก … ใหม่ทุกเช้า เร้าในดวงใจ ซาบซึ้งทุกๆ วันใหม่ พระองค์ทรงความเที่ยงตรงยิ่งนัก

ท่านลองคิดดูทุกวัน ถามว่าท่านสัมผัสได้ไหม? ถ้าใช่จริงๆ เรามีความสุขจริงๆ ใช่ไหม? หรือทุกวันนี้ ท่านเดินไปไหน? คนนี้หน้าตาไม่รับแขกเลย เซ็งมากเลย เกลียดคนนั้น ไม่ชอบคนนี้  ท่านรำคาญตัวเองไหม?  ทำไมเราเป็นคนนิสัยอย่างนี้ เดี๋ยวก็น้อยใจ เราก็รำคาญตัวเอง เดี๋ยวไปอิจฉาคนอื่นๆ เดี๋ยวไปเกลียดคนนี้ เกลียดเขาทำไม? วุ่นวายไปหมด แต่ในสวรรค์สถาน ท่านจะไม่เกลียดใครอีกแล้ว มองใครน่ารักทุกคนเลย เพราะความรักของพระเจ้าอยู่กับท่าน คนอื่นมองท่านก็น่ารัก ท่านมองคนอื่นก็น่ารัก เพราะไม่มีบาปแล้ว บริสุทธิ์หมด แล้วท่านคิดดู ทุกวันนี้ท่านมองใครน่ารักไปหมด ท่านยังมีความสุขมากเลย ท่านไปช่วยใครสักคนหนึ่งให้เขาพ้นจากความทุกข์ยากลำบากแค่นิดเดียว ท่านจะมีความเบิกบานเลย

แต่อยู่ที่นั่นท่านจะเป็นอย่างนี้ ทุกเสี้ยววินาที เต็มไปด้วยความรัก สดชื่น ทุกๆ วัน ไม่ใช่วาระหนึ่ง ครึ่งวาระ แต่เป็นตลอดไป ทุกวันอาทิตย์ท่านมาโบสถ์ บางครั้งเขานมัสการอยู่ เผอิญวันนี้เล่นเพลงนี้ เพราะจริงๆ น้ำหูน้ำตาไหล พระเจ้าอยู่นี่ เพลงนี้ซึ้งมาก ร้องเพลงนี้ดีมากเลย ดีเอาเพลงนี้มาร้องอีก พอร้องไปอีก 4-5 เที่ยว ท่านบอกเบื่อแล้ว มีเพลงอื่นไหม? ท่านบอกขอเพลงใหม่ เพราะเรายังอยู่โลกเก่า ถูกไหม? แล้วท่านนึกถึงความซาบซึ้งตอนที่ท่านมาสัมผัสเพลงนั้นใหม่ๆ แล้วมันตรงใจ ตรงกับสถานการณ์วันนี้ มันลึกเข้าไปในใจ แบบไม่รู้จะบอกว่าอย่างไรเลย มันจะเป็นความสุขอย่างนั้น มากกว่าเป็นล้านๆ เท่าในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถาน เพราะในสวรรค์สถานมันจะมีเพลงใหม่มาทุกเสี้ยววินาทีเลย คนที่มีหน้าที่เขียนเพลงใหม่นั้น  ก็จะเขียนตลอดเวลา และมีสติปัญญามากกว่านั้นตั้งเยอะแยะ มีเวลาเขียนทั้งวัน มีความสุขในการเขียนเพลงใหม่ทุกวัน เราก็จะได้ยินได้ฟังเพลงใหม่ทุกวัน ความรู้สึกซาบซึ้งในเพลงทุกวันๆ ทุกเสี้ยววินาที เดินไปไหนก็ร้องไปหมด ทุกเสี้ยววินาที ตอนที่ท่านได้รับในโลกใบนี้ มันเป็นอย่างไร?  มันมากกว่านั้นอีกหลายล้านเท่า

หรือแม้แต่ท่านอธิษฐานอยู่ บางครั้งในห้องส่วนตัวหรือที่ในรถก็ตาม บางครั้งที่ท่านอธิษฐาน  แล้ววันนั้นเผอิญช่วงนั้น ตอนนั้นพอดี สัมผัสว่าพระเจ้าอยู่ด้วย พระเจ้าตอบมาพอดี ท่านร้องไห้ ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอยู่ที่นี่ มีความสุขไหม?  แต่ในสวรรค์สถานที่ท่านจะไปอยู่ ท่านสัมผัสพระเจ้าตลอด 24 ชั่วโมง ทุกเสี้ยววินาที ท่านจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ก็จะมีความสุขอย่างนั้นมากขึ้นกี่ล้านเท่า ทุกวันนี้เราไปสวนสัตว์ ผมชอบสัตว์มาก ทุกคนแหละ เพราะมนุษย์ พระเจ้าสร้างมาให้รักสัตว์อยู่แล้ว เพราะสัตว์เป็นเพื่อนเรา  ทุกวันนี้เรากินมันซะเลย มันก็พยายามจะกินเรา ต่างคนต่างเป็นศัตรูกัน แต่ในใจลึกๆ ก็ยังรักกัน ทุกคนจึงไปสวนสัตว์ สวนสัตว์ก็เป็นสิ่งที่ลูกเด็กเล็กแดง และผู้ใหญ่ คนแก่คนเฒ่าชอบ เรารักเขา แต่เราไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ เขาจึงมีสวนสัตว์ ใส่กรงให้เราดู แต่ที่เห็นนี้ ไม่มีกรงนะ ความใจกล้ามีแต่กระจก แล้วเราก็อยาก รู้ไหม? ในสวรรค์พระเจ้าบอกว่าท่านจะคุยกับสิงโต กอดสิงโต คุยกัน เป็นเพื่อนกัน ท่านจะมีความสุขเท่าไร? ทุกวันนี้ เวลาผมเครียดๆ ผมอยากพักผ่อน ผมก็จะไปสวนสัตว์ บางคนถามว่าไปทำไมบ่อยๆ ไม่รู้ อยากไปให้มันกินมั้ง บางทีมันหงุดหงิด อยากให้มันกินๆ ไปหมดเรื่องหมดราว มันโดดลงไปได้ไหม?  ดูแล้วสบายใจ วันหนึ่งข้างหน้า เมื่ออยู่ในสวรรค์ เราจะได้ไปเจอกับมัน เป็นเพื่อนกัน อย่างนี้ ยังมีอีกหลายเรื่อง อยากให้ท่านได้รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เกินเอื้อม

สวรรค์ คือเราคงไม่ไปไหน วันๆ นั่งแต่ร้องเพลง ไม่ใช่น่าเบื่อขนาดนั้นหรอก ก็เป็นอย่างที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่มันดีกว่านี้ เขาเรียกว่าโลกใหม่ สวยกว่านี้ ดีกว่านี้ ยอดเยี่ยมกว่านี้ ร่างกายเรา เราไม่ต้องตื่นขึ้นมา วันนี้ปวดหัว เราจะไม่มีภูมิแพ้ เรามีแต่ภูมิชนะ เราไม่มีเป็นหวัด เราไม่มีอุบัติเหตุ เราไม่มีมะเร็ง เราไม่มีโรคเบาหวาน เราอยากกินของหวาน เชิญเลย อยากกิน กินไป แต่ถึงวันนั้น เราอาจจะไม่อยากกินก็ได้  เราอยากกินอย่างอื่นก็ได้  อาจจะมีผลไม้ที่อร่อยกว่านี้ตั้งเยอะ เพราะผลไม้ทุกวันนี้ อร่อย ยังสู้ผลไม้ในอนาคตที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เราไม่ได้ เป็นล้านๆ เท่า ล้านๆ ชนิด อร่อยกว่าทุกวันนี้ตั้งเยอะ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ อย่าไปกินเยอะเลย เตรียมไว้กินข้างหน้า ทุกวันนี้กินเยอะ ก็เป็นโรคอีก กินอร่อยเหรอ อร่อยกินไม่ได้ เดี๋ยวเป็นเบาหวาน เดี๋ยวเป็นมะเร็ง แทบจะไม่ต้องกินอะไรเลย เพราะอันนี้ก็เป็นอันนั้น อันนั้นก็เป็นอันนี้ มันเครียดไปหมดเลย มันวาระเดียว  เพราะฉะนั้น อยากกินอะไรตอนนี้ อดทนไว้ อย่าเพิ่งกิน แล้วก็พูดในใจ ขอฉันรอแค่หนึ่งวาระ สองวาระ สามวาระ แล้วถึงวันนั้น ฉันจะกลับมากินแกให้หมดเลย วันนี้ ท่านก็ต้องอดทน ถ้าท่านกินไม่เลือก มันก็จะเกิดสุขภาพไม่ดี มันก็เป็นอย่างนี้ มันก็บาป เสียหายไปหมดแล้ว พระเจ้ากำลังสร้างใหม่ แล้ววันนั้นจะมาถึง คือวันที่เราครอบครองเป็นนิตย์ร่วมกับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เขาจึงมีเพลงนี้ให้เราร้อง “มีสถานอันงดงามเลิศนักหนา”  เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอน 13 “สัตว์ทั้งสี่ในความฝันของดาเนียล” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  มีนาคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า”

ตอน 13 “สัตว์ทั้งสี่ในความฝันของดาเนียล”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราจะมาต่อเรื่อง จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า ตอนที่ 13 อยู่ในหนังสือดาเนียล บทที่ 7 เป็นเรื่องราวของความฝันของดาเนียล เกี่ยวกับสัตว์ทั้ง 4 การบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อตอนว่า “สัตว์ทั้งสี่ในความฝันของดาเนียล” ในบทที่ 7 นี้ เป็นช่วงปีแรกของรัชกาลกษัตริย์เบลชัสซาร์

เบลชัสซาร์เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของบาบิโลน เป็นกษัตริย์ที่พระเจ้าให้เจอเหตุการณ์อักษรปริศนา 3 คำ เขียนบนผนังท้องพระโรง แล้วก็เรียกให้ดาเนียล มาตีความหมาย พอรู้ความหมายปุ๊บ คืนนั้น ก็ถูกปลงพระชนม์ บาบิโลน ก็ถูกยึดไป โดยสิ้นยุคของอาณาจักรบาบิโลน เข้าสู่อาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย แต่ช่วงเวลาที่ดาเนียลฝัน ในบทที่ 7 ที่เรากำลังจะเรียนรู้ เป็นช่วงเวลาที่ย้อนไปปีแรกของเบลชัสซาร์ที่ขึ้นครองราชย์ ดาเนียลฝันตรงนี้ แล้วเก็บไว้ เป็นนิมิตที่บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงเรา ไปถึงวันสิ้นโลกนี้เลย

บอกไว้ด้วยว่าก่อนที่จะถึงวันสิ้นโลก ที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา จะเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง? นิมิตนี้เรียกว่าเป็นประวัติศาสตร์ ทั้งในอดีต ที่เกิดขึ้นแล้ว และขณะเดียวกัน เป็นเหตุการณ์ในปัจจุบัน ที่เรากำลังคุยอยู่นี้ รวมทั้งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งหมดนี้ถูกรวบรวมไว้หมดแล้ว ในบันทึกประวัติศาสตร์ของพระเจ้าที่มีชื่อว่า Holy  Bible ภาษาไทยเรียกว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ล หนังสือเล่มนี้แหละ บอก และส่วนหนึ่งที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ ก็คือหนึ่งในจำนวนหนังสือนี้  ไดอารี่นี้ ก็คือหนังสือดาเนียล เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็คืออดีต ปัจจุบัน อนาคตของมวลมนุษยชาติและสรรพสิ่งบนโลกนี้ทั้งหมด ไม่ต้องไปค้นที่ใต้ทะเล ไม่ต้องส่งจรวดไปที่ดวงดาวต่างๆ เพราะอย่างไรก็ไม่มีจบ บอกเลย หาอย่างไรก็ไม่เจอ เพราะจุดจบมันอยู่ในนี้ ถ้ามาหาในนี้อาจจะเจอ

เขาเรียกว่าพระเจ้าเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ของโลกนี้ ไว้นานแล้ว ทั้งประวัติศาสตร์ในอดีต ประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบันที่เรากำลังศึกษาอยู่ ทั้งประวัติศาสตร์ลูกหลานเหลนโหลนของเราในอนาคตจะศึกษาด้วย  พระเจ้าบันทึกไว้หมดเรียบร้อยแล้ว ให้เราอ่าน

เพื่อเป็นการยืนยันและเป็นการหนุนใจประชากรของพระเจ้า คือเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระองค์ ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ว่าพระองค์ได้ชนะโลกนี้แล้ว จะได้มีกำลังใจขึ้น เอเมน

และเราซึ่งเป็นประชากรของพระองค์ ก็ได้รับชัยชนะร่วมกับพระเยซูด้วย เอเมน

นี่คือจุดมุ่งหมายที่พระเจ้าให้เราได้เรียนรู้ ให้ดาเนียลบันทึกเอาไว้ หลายคนก็มีคำถามเยอะเลย  ผมเองก็มีคำถามอย่างนี้ เคยถามไหมว่า …

“พระเจ้าอยู่ไหน?  เมื่อลูกเจ็บปวด พระเจ้าอยู่ไหน? ทำไมปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น  มันทุกข์เหลือเกิน ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย ไหนพระองค์บอกว่า …. (แล้วแต่คุณจะใส่อะไรลงไป)”

โดนไหม? เข้าไปในหัวใจเลย ทำไมรู้? ก็รู้สิ เพราะเป็นมนุษย์เท่ากันแหละ พระเจ้าก็รักผม รักท่านเท่ากัน เพราะฉะนั้น แชร์กันไป คนละนิดคนละหน่อย ก็แล้วกัน

ในขณะที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก พระองค์บอกว่าพระองค์ชนะโลกแล้ว ไหนบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา พระองค์จะให้เป็นผลดี

“ผลดีอย่างไร? ชนะโลกแล้วไง? ควบคุมทุกอย่างบนโลกใบนี้ ทำไมปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเราได้อย่างไร? ไม่รักลูกหรืออย่างไร?”

มันรู้สึกขัดแย้งกันมาก จริงหรือไม่จริง? จริง เราอาจจะอยู่ในสถานการณ์ ความทุกข์ยากลำบาก  ยกตัวอย่างเช่น คนในครอบครัวอาจเจ็บป่วย รักษาไม่หาย ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจเกิดขึ้นในครอบครัว หรือเกิดขึ้นในชีวิตเรา มันไม่จบสักที ทำไมมันถึงโหดร้ายกับเราอย่างนี้ ความวุ่นวาย ยุ่งเหยิงของสังคม ทั้งบ้านเรา ประเทศไทย หรือโลกใบนี้ ทำไมมันยุ่งอย่างนี้ ไหน พระเจ้าบอกควบคุมอยู่ ทำไมไม่ให้มันสงบๆ ภัยธรรมชาติที่ไม่มีใครอยากได้ สึนามิมันเกิดมาได้อย่างไร? ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหวอย่างนี้ หรืออุบัติเหตุต่างๆ ที่ร้ายแรงมากๆ ที่ทำให้ผู้คนสูญเสียคนที่รักไปเยอะแยะมากมาย แล้วพระเจ้าอยู่ไหน ตอนที่มันเกิดอันนี้ขึ้น เห็นไหม?

พรั่งพรูเลยว่ามันจริง เราเคยคิดอย่างนั้นจริงๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่เชื่อพระเจ้ายิ่งคิดใหญ่ เขาถึงไม่อยากเชื่อ เป็นไปได้อย่างไร? แต่คนที่เชื่อ ก็ยังคงเชื่อ ทั้งๆ ที่หาคำตอบไม่ได้

“ก็ไม่รู้ ฉันก็เชื่อของฉันต่อไป ฉันก็ดำเนินชีวิตของฉันต่อไปเหมือนเดิม”

แล้วเราก็มีคำถามในใจของเรา “แล้วพระเจ้าปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ปล่อยให้ลูกของพระองค์ คนที่รักพระองค์ต้องเจ็บปวด พระองค์ไม่เห็นเหรอ”

หรือบางครั้ง เราอาจจะคิดเหมือนชัดรัด เมชาค เอเบดเนโกว่า “หรือว่าเฉพาะเรื่องนี้ พระองค์ไม่สามารถทำได้”

แต่ถึงแม้คิดว่าพระองค์ไม่สามารถทำได้ ก็ยังเชื่อวางใจในพระองค์อยู่ดี วางใจแล้ว และคำตอบ ก็คือพระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ให้เราเห็น บอกเหตุการณ์ล่วงหน้าให้เรารู้ ยืนยันกับเราว่าพระองค์ทรงควบคุมครอบครองทุกอย่าง และเป็นผู้กำหนด เป็นผู้อนุญาตให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เกิดขึ้นทั้งสิ้น รวมถึงนิมิตที่เรากำลังศึกษาอยู่ในหนังสือดาเนียลด้วย เพื่อเป็นการตอบคำอธิษฐาน ตอบคำถามเมื่อตะกี้ที่เราถามว่า …

“แล้วพระเจ้าไม่รู้เหรอ? ทำไม? พระองค์อยู่ไหน?”

พระองค์ตอบตรงนี้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกไว้ในนิมิตนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาจริงๆ แล้ว หลายพันปี ทำให้เราได้รับรู้ เชื่อ และวางใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดทุกสิ่ง เป็นผู้ควบคุมครอบครองทุกอย่างจริงๆ  และตอนจบของนิมิต ก็คือพระเยซูทรงเป็นผู้ชนะ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและจะอยู่นิรันดร์กาล ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ และเราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ เราก็จะได้รับชัยชนะนี้ร่วมกับพระองค์ไปด้วย เราได้ครอบครองอาณาจักรของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเยซู

เพราะฉะนั้น คำตอบของพระเจ้า ก็คือให้เราอดทน และเชื่อวางใจในพระเจ้าและมั่นใจในพระองค์ว่าในที่สุด เราชนะ หมายถึงเราต้องรอถึงวันสิ้นโลกหรือไม่? ไม่ต้อง  รอวันที่เราหมดลมหายใจจากโลกนี้ เราก็ชนะแล้ว คือวันตายของเรา ตราบใดที่เรายังอยู่ คือพระเจ้ายังใช้งานเราอยู่ คำว่า “ชนะ” แปลอย่างนั้น แต่คำว่าสิ้นโลกนั้น หมายถึงจบงาน จบเรื่องแล้ว เฉพาะเราแต่ละคน จบเมื่อหมดลมหายใจ เราก็ไปอยู่กับพระเจ้า หมดภาระ เขาถึงบอกไม่ให้เราโศกเศร้าเสียใจเมื่อใครจากไปก่อนหน้านั้น เราควรจะดีใจกับเขาด้วยซ้ำไป

นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าประทานนิมิต และให้เรามาเรียนรู้กัน อัศจรรย์ของพระเจ้าผ่านทางนิมิตเหล่านี้ ผ่านทางการบอกล่วงหน้าเหล่านี้ เพื่อให้เรามีกำลังใจ มีความหวังในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความเสียหาย ความวิปริตที่เรียกว่าบาปนั่นเอง บาป คือ Miss the target บาป คือไม่ได้ตรงตามเป้าหมายของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ให้โลกนี้ เป็นอย่างนั้น ไม่ให้มนุษย์เจออย่างนี้ ไม่ได้สร้างมาอย่างนี้ แต่มันวิปริตไปแล้ว พระเยซูใช้คำนี้ว่า “ชนชาติแห่งความวิปริต” คือมันเพี้ยนไปหมดเลย  พระเจ้ากำลังซ่อมแซมกลับคืนสู่ที่เดิม แต่สิ่งที่อันตราย คือการที่มีบางคน หรือบางกลุ่ม หรือบางพวก ศึกษานิมิตแหล่านี้ แล้วนำไปใช้ในทางที่ผิด  คือพยายามไปตีความหมาย และพยายามคำนวณเวลา เพื่อจะค้นว่าเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ตามนิมิต จะเกิดขึ้นเมื่อไร? เวลาไหน? ปีไหน? เดือนไหน? คือกลายเป็นโหรเลย พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เรามาเรียนรู้เรื่องนี้ เพื่ออย่างนั้น พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนเลยว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ เกิดขึ้นแน่ๆ 100% แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไร? เวลาใด? ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งพระเยซู ก็ไม่รู้เหมือนกัน คนไปถามพระเยซู พระเยซูบอก …

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

แล้วใครรู้?  โน่นไปถามพ่อ  อยู่ที่พ่อคนเดียว  คือพระบิดา คือพระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ แล้วถ้าพระเยซูไม่รู้ แล้วใครอยากรู้ล่ะท่านต้องเจอกับความผิดหวัง และพาประชากรของพระเจ้าไปสู่ความผิดหวังมากมาย

สิ่งที่พระเจ้าต้องการเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือให้เราพุ่งเอาความสนใจของเราไปที่ความรู้และความเข้าใจ เชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงควบคุม ทรงครอบครองทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นผู้กำกับโรงละครโรงใหญ่นี้เอง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้า และเป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นว่ามันดีกับเรา หรือดีกับประชากรพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะคนชั่วที่ดูแล้วจะเจริญรุ่งเรืองตามทางของเขาก็ตาม คนนี้เป็นคนไม่ดี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง หงุดหงิดๆ อิจฉาๆ พระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้เขาได้อย่างนั้น แต่ได้ไป เพื่ออะไร? เราไม่รู้ พระองค์ทรงเป็นผู้อนุญาตให้คนเหล่านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น อยู่ในแผนการใหญ่ของพระองค์ แผนการนั้น ก็เพื่อสิ่งดีที่จะเกิดขึ้นกับเราทั้งหลายที่เชื่อและวางใจในพระองค์ และเพื่อเราจะได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในที่สุดนั่นเอง  เอเมน

เหมือนที่พระองค์ทรงใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เหมือนที่พระองค์ทรงใช้เบลชัสซาร์ เหมือนที่พระองค์ทรงใช้เฮโรด ที่ข่มเหงคริสเตียน เหมือนพระองค์ทรงใช้ฟาโรห์

เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาแอบอ้าง ยกนิมิตเหล่านี้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วมาบอกว่าวันนั้น วันนี้ ปีนั้น ปีนี้ พระเยซูจะกลับมาใหม่ เป็นวันสิ้นโลกแล้ว หรือบอกว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น บนโลกในขณะนี้ ตรงกับนิมิตที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เลย  เพราะฉะนั้น ตอนนี้ ตอนนั้น จะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ วันสุดท้ายจะมาถึงแล้ว ฟันธงเลยว่าเป็นเรื่องเทียมเท็จทั้งสิ้น อย่าไปเชื่อ เป็นเรื่องหลอกลวง  เพราะถ้าพระเยซูยังบอกว่าพระองค์ไม่รู้ ก็ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถรู้ได้หรอก และที่บอกว่ามีเรื่องอันตราย ก็เพราะว่ามีเกิดขึ้นมาบ่อยๆ ทุกยุคทุกสมัย จึงมาเตือนท่าน อยากรู้

“เมื่อไรนะ ไหนคุณนครบอกจะมา กลับมาแน่นอน วันนี้ใช่ไหม?”

ไปใหญ่เลยคราวนี้ หลังจากประเทศนี้ คงเป็นประเทศนี้ หลังจากคนนี้ ก็เป็นคนนั้น พอบอกคนนี้ แล้วไม่ใช่ขึ้นมา ลักษณะอย่างนี้เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ท่านรู้ได้อย่างไร?

อย่างเช่น มีข่าวที่เราได้ยินบ่อยๆ กับคนที่พยายามแอบอ้างการทำนายว่าสิ้นโลก เดือนนี้ ปีนั้น ระบุเลยวันที่อะไร? ปีอะไร? ค.ศ.อะไร? แล้วก็มีคนหลงเชื่อขายทรัพย์สมบัติจนหมดเลย รอวันนี้ ก็ไม่มา อาทิตย์หนึ่ง ก็ไม่มา ที่มาแล้ว คือหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ ล้มละลาย บางกลุ่มก็สุดโต่ง ถึงขนาดฆ่าตัวตาย ก็มี พระเยซูมาแล้ว ตายจะได้มารับทันที นี่คืออันตรายของการศึกษาเรื่องนิมิต ในทางที่ผิดๆ เตือนเราล่วงหน้า เพราะมันสนุกใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น พวกเราผู้ซึ่งเข้าใจพระประสงค์พระเจ้า ในการเรียนรู้เรื่องนิมิตของพระเจ้าแล้ว เราก็พร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องนี้แล้ว ประมาณ 2,600 ปี เกี่ยวข้องกับเราตอนนี้ จนกระทั่งลูกหลานเหลนโหลนของเรา ดาเนียล 7:1-14

ดาเนียล 7:1-14 “1 ในปีแรกของรัชกาลกษัตริย์เบลชัสซาร์แห่งบาบิโลน 2 ดาเนียลฝันเห็นนิมิต ขณะนอนหลับอยู่ เขาได้บันทึกความฝันไว้ดาเนียลกล่าวว่า “ในนิมิตยามกลางคืน ข้าพเจ้ามองไปเบื้องหน้า มีลมทั้งสี่ทิศจากฟ้าสวรรค์พัดกระหน่ำ ทำให้ท้องทะเลใหญ่ปั่นป่วน 3 แล้วสัตว์มหึมาสี่ตัว โผล่ขึ้นจากทะเล แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน 4 ตัวแรกเหมือนสิงโตและมีปีก เหมือนนกอินทรี ข้าพเจ้าเฝ้าดู จนเห็นปีกของมันถูกฉีกออก มันถูกพยุงขึ้นจากพื้น ให้ยืนด้วยสองขาแบบมนุษย์ และมันได้รับจิตใจเยี่ยงมนุษย์ 5 “ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สอง ซึ่งดูเหมือนหมี มันโผล่ขึ้นมา ปากคาบซี่โครงสามซี่ไว้ มีผู้บอกมันว่า ‘ลุกขึ้นเถิด จงกินเนื้อให้อิ่ม’ 6 “หลังจากนั้น ข้าพเจ้ามองไป มีสัตว์อีกตัวหนึ่งเหมือนเสือดาว ที่หลังของมัน มีปีกสี่ปีกคล้ายปีกนก สัตว์ตัวนี้มีสี่หัว และมันได้รับอำนาจให้ปกครอง 7 “หลังจากนั้น ในนิมิตยามกลางคืน ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สี่ น่ากลัวสยดสยอง และมีฤทธิ์อำนาจมาก มันมีฟันเหล็กซี่มหึมา มันขย้ำเคี้ยวเหยื่อและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือ จนแหลกลาญ สัตว์ตัวนี้แตกต่างจากตัวอื่นๆ ตรงที่มีเขาสิบเขา 8 “ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดเรื่องเขาต่างๆ อยู่นั้น ก็มีเขาเล็กๆ อีกอันหนึ่ง โผล่ขึ้นมาท่ามกลางเขาอื่นๆ และทำให้สามในสิบเขาแรกนั้น ถูกถอนออกไป เขาเล็กนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปากซึ่งคุยโวโอ้อวด 9 ขณะที่ข้าพเจ้ามองดู ข้าพเจ้าก็เห็นบัลลังก์ต่างๆ จัดตั้งไว้แล้ว และองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ประทับที่บัลลังก์ของพระองค์ ฉลองพระองค์ขาวเหมือนหิมะ พระเกศาเหมือนขนสัตว์ที่ขาวสะอาด บัลลังก์ของพระองค์ มีเปลวไฟลุกโชน และที่ล้อก็ลุกโชติช่วง 10 แม่น้ำเพลิงกำลังไหลมาจากเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ผู้รับใช้นับล้านคอยปรนนิบัติพระองค์ และมีคนนับล้านๆ คน ยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น หนังสือเล่มต่างๆ ถูกเปิดออก 11 แล้วข้าพเจ้าจับตาดูต่อไป เพราะคำคุยโวโอ้อวดของเขาเล็กๆ นั้น ข้าพเจ้าเฝ้าดู จนกระทั่งสัตว์นั้นถูกฆ่า ร่างของมันถูกทำลาย แล้วถูกโยนลงในไฟที่ลุกโชน 12 สัตว์อื่นๆ ถูกยึดอำนาจไปหมดแล้ว แต่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกชั่วระยะหนึ่ง 13 ในนิมิตคืนนั้น ข้าพเจ้าเห็นผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ เสด็จมาพร้อมด้วยหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์ พระองค์เสด็จเข้าไปใกล้และเข้าเฝ้าองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ 14 พระองค์ได้รับสิทธิอำนาจ เกียรติสิริ และอำนาจปกครองสูงสุด ชาวโลกทุกชาติทุกภาษานมัสการพระองค์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอำนาจที่จะไม่มีวันสิ้นสุด และพระราชอาณาจักรของพระองค์ จะไม่มีวันถูกทำลาย”

 

ความฝันของดาเนียล เริ่มจากข้อที่ 2 บอกว่า … ในนิมิตยามกลางคืน ข้าพเจ้ามองไปเบื้องหน้า มีลมทั้งสี่ทิศจากฟ้าสวรรค์พัดกระหน่ำ ทำให้ท้องทะเลใหญ่ปั่นป่วน แล้วสัตว์มหึมา 4 ตัว โผล่ขึ้นจากทะเล แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน …

ดาเนียลฝันเห็นสัตว์ใหญ่มหึมา แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน ซึ่งสัตว์มหึมาทั้งสี่ตัวนี้ ก็คือ มหาอำนาจทั้งสี่ ประเทศที่ใหญ่ๆ ที่เรียกว่าอาณาจักรทั้งสี่ ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก นึกย้อนกลับไป 2,600 กว่าปี ดาเนียลได้รับนิมิตนี้มา ตอนที่ได้รับนิมิต อยู่ในรัชกาลของเบลชัสซาร์ แห่งบาบิโลน

ยังจำได้ไหมครับ? นิมิตของเนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งให้ดาเนียลเข้าไปแปล แล้วดาเนียลแปลนิมิตนั้นออกมา เป็นเรื่องสี่อาณาจักร การแปลอยู่ในรูปแบบของรูปปั้นขนาดใหญ่ ที่แต่ละส่วนทำด้วยวัตถุต่างๆ กัน เล็งถึงอาณาจักรสี่อาณาจักร มหาอำนาจสี่มหาอำนาจ

ความหมายของสัตว์มหึมาสี่ตัวนี้ มีความหมายเหมือนกันกับรูปปั้น เพียงแต่เปลี่ยน มาใช้สัญลักษณ์สัตว์แทนรูปปั้นนั่นเอง

ข้อที่ 4 ที่บอกว่าตัวแรกเหมือนสิงโต และมีปีกเหมือนนกอินทรีย์ … ข้าพเจ้าเฝ้าดูจนเห็นปีกของมันถูกฉีกออก มันถูกพยุงขึ้นจากพื้น ให้ยืนสองขา แบบมนุษย์ แล้วได้รับจิตใจเยี่ยงมนุษย์

สัตว์ตัวแรกที่ดาเนียลเห็น คือสิงโตที่มีปีกเหมือนนกอินทรีย์ ถ้าเปรียบกับรูปปั้นในความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ ก็คือส่วนที่เป็นศีรษะที่ทำด้วยทองคำ หมายถึงอาณาจักรบาบิโลน

ในสมัยที่อาณาจักรบาบิโลนกำลังรุ่งเรือง จะเปรียบตัวเอง ดั่งสิงโต ที่มีปีกเหมือนนกอินทรีย์ นี่เรื่องจริงๆ ของสัญลักษณ์ของประเทศ หรือมหาอำนาจนั้น ในขณะนั้น

รูปปั้น สถาปัตยกรรมต่างๆ ในบาบิโลน ในสมัยนั้น ก็ใช้สัญลักษณ์แบบนั้น คือสิงโตที่มีปีก และที่บอกว่าปีกของมันถูกฉีกออก มันถูกพยุงขึ้นจากพื้น ให้ยืนสองขา แบบมนุษย์ ก็คือช่วงที่เนบูคัดเนสซาร์เย่อหยิ่งกับพระเจ้า โอหังกับพระเจ้า  และถูกทำให้ต้องไปใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ป่า จนกระทั่งสำนึกได้ แล้วถ่อมใจ กลับใจใหม่ ที่ดาเนียลรักเขามาก เห็นใจเพื่อน บอกเนบูคัดเนสซาร์เลิกนิสัยแบบนี้ เลิกทำชั่วร้ายต่างๆ เลิกข่มเหงคน ถ่อมใจลง พระเจ้าอาจจะช่วยท่านได้ แล้วเนบูคัดเนสซาร์ก็ถ่อมใจ แล้วก็ได้กลับมาเป็นเหมือนมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง กลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้งหนึ่ง

ข้อที่ 5 กล่าวถึงสัตว์ตัวที่สอง บอกว่า … ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สอง ซึ่งดูเหมือนหมี มันโผล่ขึ้นมา ปากคาบซี่โครง 3 ซี่ไว้ มีคนบอกมันว่า “ลุกขึ้นเถิด จงกินเนื้อให้อิ่ม”

สัตว์ตัวนี้เปรียบได้กับรูปปั้น ส่วนที่ 2 คือหน้าอกและแขน ที่ทำด้วยเงิน ที่เล็งถึงอาณาจักรมีเดียเปอร์เซียน อาณาจักรที่สอง อย่าลืมนะครับ สิ่งเหล่านี้ที่ผมอธิบายไป บอกล่วงหน้าหมด

ตอนที่ดาเนียลฝัน เป็นเวลาช่วงในยุคบาบิโลน สมัยเบลชัสซาร์ ก็คือสัตว์ตัวที่ 1 คือสิงโตมีปีก ยังเป็นยุคเหตุการณ์ปัจจุบัน หมายถึงถ้าเทียบกับความฝันที่ดาเนียลได้รับนิมิตนั้น

แต่พอมาถึงตัวที่สอง คราวนี้เริ่มเป็นนิมิตในอนาคตแล้ว บอกล่วงหน้า เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คืออนาคตจะมีอาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย ที่จะยกทัพมาโค่นบาบิโลน ในสมัยของกษัตริย์ดาริอัส  ซึ่งมันเป็นผลออกมาแล้ว  ซี่โครง 3 ซี่ ที่หมีคาบไว้ ก็คือที่มันชนะมาก่อน หนึ่งในนั้น ก็คือประเทศอียิปต์ ประเทศใหญ่มหาอำนาจเก่าแก่ ก็ถูกโค่นล้มโดยมีเดียเปอร์เซีย และอีกหนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือบาบิโลน ที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น  ก็ถูกมีเดียเปอร์เซียโค่นล้มอำนาจ มีเดียเปอร์เซียก็มีลักษณะเหมือนหมีที่คาบซี่โครง 3 ซี่ไว้ที่ปากของมัน

และที่บอก “ลุกขึ้นเถิด กินเนื้อให้อิ่ม” เป็นสำนวนที่ทำให้เกิดความตื่นเต้น พระเจ้าต้องการให้ประชากรของพระองค์ได้รู้เรื่องนิมิตนี้ และได้เข้าใจเรื่องนิมิตด้วย

ความตั้งใจจริง ก็คือเหมือนให้เราดูหนังสนุกๆ ตื่นเต้น แล้วเทียบกับสัตว์ประหลาดอะไรต่างๆ ท่านนึกภาพสิ เหมือนกับเด็กๆ ในยุคปัจจุบัน ดูเรื่องซุปเปอร์แมน ดูเรื่องอุลตร้าแมน จำได้หมด สมัยนั้น พระเจ้าก็ต้องการให้ประชากรของพระเจ้าได้รู้เรื่องนิมิตต่างๆ เหล่านี้ เป็นลักษณะอย่างนี้เลย  แล้วก็เปรียบเทียบให้ดูว่ามันแปลว่าอะไร?

พระเจ้าได้มอบสิทธิอำนาจให้กับมีเดียเปอร์เซีย ในการครอบครองทั่วโลกในขณะนั้นเลย ซึ่งหมายถึงลุกขึ้น “จงกินเนื้อให้อิ่ม” เอาเต็มที่เลย

ตามประวัติศาสตร์ อาณาจักรมีเดียเปอร์เซียได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรที่มีการแผ่ขยายอาณาจักร อำนาจการปกครองไปทั่วโลก มากกว่าอาณาจักรใดๆ ทั้งปวงที่เกิดขึ้น เป็นไปตามที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า

ข้อที่ 6 มาถึงสัตว์ตัวที่สาม มีสัตว์อีกตัวหนึ่ง เหมือนเสือดาว ที่หลังของมันมีปีก 4 ปีก คล้ายปีกนก สัตว์ตัวนี้มี 4 หัว และมันได้รับอำนาจให้ปกครอง … ตรงนี้ ก็คือส่วนท้องและต้นขาของรูปปั้นที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ก็คือหมายถึงประเทศกรีก หรืออาณาจักรกรีก

สัตว์ตัวที่สาม คือเสือดาว ลักษณะเด่นของเสือดาว คือความรวดเร็ว  มีอำนาจ  สัตว์ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุด ก็คือเสือดาว เสือซีต้าร์ นี่มันวิ่งเร็วกว่าธรรมดา เพราะมันติดปีก ขนาดบาบิโลนว่าเร็วแล้วนะ แต่บาบิโลนเป็นสิงโตติดแค่ 2 ปีก อันนี้ติด 4 ปีกเลย เร็วมาก เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง ประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกไว้แล้วว่าสมัยกรีกรุ่งเรือง กองทัพเขาตีที่ไหน ได้ชัยชนะรวดเร็วมาก แป๊บเดียว ครอบครองไปถึงอินเดีย นี่คือลักษณะของอาณาจักร หรือประเทศต่างๆ ที่พระเจ้าบอกล่วงหน้าไว้แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น

อาณาจักรกรีก ซึ่งในรูปปั้น ในสมัยที่ได้รับนิมิต โดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นทองสัมฤทธิ์ มันจะขยายอาณาจักรเร็วมากเหมือนทองสัมฤทธิ์เลย ซึ่งกษัตริย์ผู้ที่เป็นผู้นำทัพ ที่เราได้ยินและดังมาถึงปัจจุบัน เอาไปทำเป็นหนัง ก็คืออเล็กซานเดอร์มหาราช

ข้อที่ 7 มาถึงสัตว์ตัวสุดท้าย ตัวที่สี่ บอกว่า … ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สี่ น่ากลัวสยดสยอง และมีฤทธิ์อำนาจมาก มันมีฟันเหล็กซี่มหึมา มันขย้ำเคี้ยวเหยื่อและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือ จนแหลกลาญ สัตว์ตัวนี้แตกต่างจากตัวอื่นๆ ตรงที่มีเขาสิบเขา …

สัตว์ตัวที่สี่นี้ ไม่สามารถระบุประเภทได้ คือไม่ใช่เสือ ไม่ใช่หมี ไม่ใช่เสือดาว เพราะเนื้อมันยังไม่เป็นเนื้อเลย มันเป็นเหล็ก มันเป็นหุ่นยนต์ 3 ตัวแรก บอกว่ามันคล้ายกับสัตว์ชนิดใด แต่ตัวนี้ระบุไม่ได้  บอกได้แค่ว่าน่ากลัว สยดสยอง มีฟันเหล็กซี่มหึมา เพราะฉะนั้น สัตว์ตัวที่สี่นี้ ก็เลยมีคนเขาพยายามจะจินตนาการ วาดรูปออกมา แต่ไม่รู้จะวาดอะไร? ถ้าในนิมิตบอกว่าเป็นเสือดาว ก็วาดเสือดาว เป็นหมี เราก็วาดหมี แต่ตัวนี้บอกเป็นอย่างนี้ แล้วท่านจะวาดอย่างไร? ก็แล้วแต่ท่านจะวาดแล้วกัน ใครที่ชอบดูหนังเรื่องอะไรที่มีสัตว์ประหลาดมากๆ ท่านต้องใส่ตามนี้นะ มันต้องมีเขาสิบเขา มีฟันเป็นเหล็ก เขียนเข้าไปแล้วกัน ให้น่ากลัว น่าเกลียดที่สุด เป็นสัตว์ประหลาด

สัตว์ตัวนี้ก็เปรียบได้กับส่วนขาของรูปปั้น ที่ทำด้วยเหล็ก ซึ่งเล็งถึงอาณาจักรโรมัน สัตว์ตัวที่สี่ คือสัตว์ประหลาด น่ากลัว น่าสยดสยอง หรืออาณาจักรโรมที่ได้โค่นอาณาจักรกรีกลง และขึ้นมารุ่งเรืองอำนาจแทน ตรงที่บอกว่าสัตว์ตัวนี้ มันมีฟันเหล็กแหลม ซี่มหึมา มันขยำเคี้ยวเหยื่อและส่วนอื่นๆ จนแหลกลาน ก็คือโรมในยุคนั้น โหดร้ายมาก และตามล่าขยายดินแดนที่เหลือจากกรีกสมัยก่อน มากกว่ากรีกอีก ไปไกล ทั่วทั้งยุโรป แอฟาริกา และทั้งเอเชีย และไปที่ไหนขยำยู่ยี่หมด เละเทะหมดเลย  สามอาณาจักรที่เหลือเขาครอบครองเฉยๆ  แต่โรมครอบครองและทำลายด้วย ผู้ที่ทำลายกรุงเยรูซาเล็มก็คือโรม คนอื่นๆ มาเขาก็ปล้นเอาทรัพย์สินไปเฉยๆ แต่นี่เขาทำลาย ยกตัวอย่างให้ฟัง

สัตว์นี้มีเขาสิบเขา หมายถึงกษัตริย์สิบองค์ หรือคำว่า “สิบ” อาจจะไม่ใช่ 10 องค์ตรงๆ แต่อาจจะหมายถึงครบ มีเชื้อสายของมัน มีลูกมีหลานได้  ไม่เหมือนตัวอื่นๆ สามตัวก่อนหน้านั้น จบแล้วจบเลย ตัวนี้จบแล้วมันมีเชื้อต่อ อย่างน้อยๆ ก็ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็ไม่รู้เท่าไร?

ในข้อที่ 8 บอกว่าขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดเรื่องเขาต่างๆ อยู่นั้น ก็มีเขาเล็กๆ อันหนึ่งโผล่ขึ้นมาท่ามกลางเขาอื่นๆ ทำให้ 3 ใน 10 ของเขาแรกนั้น ถูกถอนออกไป เขาเล็กๆ นี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปาก ซึ่งคุยโอ้อวด …

หมายถึงกษัตริย์ผู้ครองอำนาจ ที่เป็นเชื้อสาย เกิดมาจากอิทธิพลการปกครองของโรมัน มีกษัตริย์เยอะแยะมากมาย สมมติเป็น 10 องค์ แต่จะมี 3 ที่แยกออกไปก่อน และจะมีหน่อเล็กๆ กษัตริย์องค์เล็กๆ ขึ้นมา ก็คือเชื้อสายของกลุ่มที่มาจากโรมัน

เขาเล็กๆ ที่จะเกิดขึ้น ก็คือผู้ที่จะมีอำนาจเกิดขึ้นมาในเชื้อสายของโรม ทุกวันนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว ก็คือประเทศทั้งหมด ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เกือบ 100% มีอิทธิพลมาจากโรมทั้งนั้น แม้กระทั่งเมืองไทย ก็ได้มานิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่มาจากแถวยุโรปทั้งหมดเลย

เขาเล็กๆ หนึ่งอัน ที่โผล่ขึ้นมาจากสัตว์ประหลาดตัวนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปาก ซึ่งคุยโอ้อวด ตรงนี้ที่เปาโลพูดไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ หมายถึงผู้ต่อต้านพระเยซูคริสต์ ที่เป็นหลักฐาน เป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ จังๆ เป็นผู้ที่มีอำนาจ ผู้หนึ่ง ไม่รู้ผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่อิทธิพลและฤทธิ์เดชอำนาจ ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากข้างบน โลกวิญญาณอีกที ตามภาษาพระคัมภีร์ เขาใช้ชื่อว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือแอนตี้ไคร์ซ จะมีกษัตริย์องค์หนึ่งขึ้นมาครอบครอง มีความใหญ่ยิ่ง และคนนี้จะต่อต้านพระเยซูคริสต์ชัดๆ

ตอนที่เปาโลยังไม่เชื่อพระเจ้า เปาโลทำอะไร? ข่มเหงคริสเตียน และเดินทางไปดามัสกัส เพื่อไปจับคนที่เป็นคริสเตียนมาติดคุก ระหว่างทางพระเยซูมาปรากฏ และพระเยซูบอกเปาโลว่า …

“ท่านข่มเหงเราทำไม?”

แสดงว่าใครที่ข่มเหงคริสเตียน เขาก็ข่มเหงพระเยซู คำว่าปฏิปักษ์พระคริสต์นี้ ก็คือคนที่ข่มเหงคนของพระเจ้า จะมีคนๆ หนึ่งที่มีความเย่อหยิ่ง มีความยิ่งใหญ่ มีอำนาจด้วย เหมือนผู้ครองอาณาจักร คล้ายกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คราวนี้ใหญ่เลย จะรุนแรงเลย คือจะข่มเหงคริสเตียน ท่านลองดูไปแล้วกัน และคนๆ นี้ ก็เป็นเชื้อสายมาจากอิทธิพลที่มาจากสัตว์ตัวที่สี่ตัวนี้ คือโรมันที่แผ่กระจายอำนาจไปทั่วยุโรป

ที่ในนิมิตนี้บอกว่าผู้ที่จะเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์เกิดขึ้น ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา จะมีการข่มเหงคนที่เชื่อพระเยซูเกิดขึ้น ก่อนที่พระเยซูจะกลับมาประกาศชัยชนะ พูดง่ายๆ ว่าใกล้ๆ จบ ที่พระเอกชนะ มันตื่นเต้น มันหวาดเสียว คือพระเอกเกือบตาย  เราผู้เชื่อเป็นพระเอก ก่อนพระเยซูมา  ไม่ใช่พูดให้ตกใจ เราเกือบตาย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ   ขอบคุณพระเจ้าที่วันนั้นยังไม่ถึง แต่วันหนึ่งมันจะเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่พูดมาทั้งหมด มันเกิดขึ้นหมดแล้ว มีบันทึกไว้ในข้อที่ 24 – 25 อย่างนี้

ดาเนียล 7:24-25 “24 เขาสิบเขา คือกษัตริย์สิบองค์ ที่จะมาจากอาณาจักรนี้ ภายหลังจะมีกษัตริย์อีกองค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งแตกต่างจากองค์ก่อนๆ และจะโค่นล้มกษัตริย์สามองค์ลง 25 กษัตริย์องค์นี้ จะกล่าวลบหลู่องค์ผู้สูงสุด และกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า จะพยายามเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาและบทบัญญัติต่างๆ ประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ”

 

ประชากรของพระเจ้าจะตกอยู่ในความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ก่อนที่ชัยชนะจริงๆ สุดท้ายจะเกิดขึ้น

นี่คือความหมายของเขาสิบเขา และเขาเล็กๆ ที่งอกขึ้นมา ก็คือพวกกลุ่มผู้ต่อต้านพระคริสต์ ข่มเหงคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อนิมิตทั้งหมดนี้ ตั้งแต่บาบิโลนไล่มาถึงโรม มันเกิดแล้วทั้งหมดจริง และพระเยซูคริสต์ เป็นผู้มาประกาศชัยชนะสุดท้าย อาณาจักรสุดท้าย คืออาณาจักรพระเยซูคริสต์ที่อยู่นิรันดร์ ถ้ามันเป็นจริง พระเยซูคริสต์จะมาประกาศชัยชนะนิรันดร์ ซึ่งเราก็อยู่ในชัยชนะนั่นด้วย แต่เราต้องถูกข่มเหงก่อน

มาถึงข้อที่ 9 อันนี้ไคล์แม๊กของเรื่องเลย ตั้งใจฟังนะ การบอกล่วงหน้าของพระเจ้าในเรื่องนี้ … ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็เห็นบัลลังก์ต่างๆ จัดตั้งไว้แล้ว และองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ประทับที่บัลลังก์ของพระองค์ ฉลองพระองค์ขาวเหมือนหิมะ พระเกศาเหมือนขนสัตว์ที่ขาวสะอาด บัลลังก์ของพระองค์ มีเปลวไฟลุกโชน และที่ล้อก็ลุกโชติช่วง …

ในพระคัมภีร์เวลามีกล่าวถึงบัลลังก์ของพระเจ้าพร้อมกับเปลวไฟ จะหมายถึงการพิพากษา ในยุคสุดท้าย มีคนตั้งข้อสังเกตว่าบัลลังก์มีล้อด้วย หมายถึงการพิพากษาของพระเจ้าคลุมไปทุกแห่ง ไม่ใช่วิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ทุกทิศเลย  ก็คือพระองค์ทรงครอบครองและควบคุมทุกสิ่ง หนีคำพิพากษาของพระองค์ไม่พ้น

ในข้อที่ 10 – 12 เขียนไว้ดังนี้ … 10 แม่น้ำเพลิงกำลังไหลมาจากเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ผู้รับใช้นับล้านคอยปรนนิบัติพระองค์ และมีคนนับล้านๆ คน ยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น หนังสือเล่มต่างๆ ถูกเปิดออก 11 แล้วข้าพเจ้าจับตาดูต่อไป เพราะคำคุยโวโอ้อวดของเขาเล็กๆ นั้น ข้าพเจ้าเฝ้าดู จนกระทั่งสัตว์นั้นถูกฆ่า ร่างของมันถูกทำลาย แล้วถูกโยนลงในไฟที่ลุกโชน 12 สัตว์อื่นๆ ถูกยึดอำนาจไปหมดแล้ว แต่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกชั่วระยะหนึ่ง …

ตรงนี้ หมายถึงคนนับไม่ถ้วน ไม่ใช่นับล้านๆ สมัยก่อนเขานับได้แค่นี้เอง มันนับไม่ถ้วน

คนที่ข่มเหง รังแกประชากรของพระเจ้า ในยุคสุดท้าย ถูกโยนลงไปในบึงไฟ เป็นการสิ้นสุดของความชั่วร้ายของมารซาตาน  แล้วจากนั้น ก็มาถึงวันที่พวกเรารอคอย ซึ่งบันทึกต่อมาในข้อที่ 13 กับ 14 วันแห่งความหวังของพวกเรา ถ้าท่านไม่รอคอยเรื่องนี้ แสดงว่าท่านมีความสุขดีตอนนี้ แต่ถ้าใครก็ตามที่มีความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ในใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ นี่คือความหวังของเรา นี่คือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เราเรียนรู้ในนิมิตของดาเนียล มันเป็นไปตามนั้น ถ้าผมคิดเองนะ มันก็ประมาณสัก 75%  เพราะสี่อาณาจักรก็โผล่มาหมดแล้ว  ลูกหลานของโรมัน ก็โผล่มาหมดแล้ว คือยุโรปทั้งหมด ที่ย้ายไปตั้งรกรากที่อื่น ก็มาจากโรมัน ดูก็ไปไกลแล้วนะ  ดังนั้น ช่วงท้ายๆ มันก็น่าจะสัก 20, 30%

ที่ผมพูดไปทั้งหมดนี้ เพื่อให้เป็นกำลังใจให้เราว่าตอนจบเป็นอย่างไร? ไม่ต้องการให้เรามานั่งคิดว่าตกลงเหลืออีกกี่เปอร์เซ็นต์ วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นมั้ง ออกไป คอยนั่งจ้องคนนั้น คนนี้สงสัยจะเป็นเขาเล็กๆ หรือไม่? ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา

อย่างโลกโซเชียวทุกวันนี้ จะโพสต์อะไร? จะเขียนอะไร? ต้องระมัดระวัง มันไปโดนเขา โดยที่เขาไม่รู้เรื่อง เสร็จแล้วเราจะมาขอโทษทีหลัง มันช้าไปแล้ว อันนี้ ก็เหมือนกัน พระเจ้าไม่ได้บอก ก็ไม่ต้องพูด คนนี้เป็นเขาเล็กๆ คนนี้ข่มเหงคริสเตียนขนาดนี้ มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ คนนี้มาจากโรม คนนี้มาจากที่นั่น อย่าไปยุ่งตรงนั้นเลย เรามายุ่งตรงนี้ดีกว่าว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา คือความหวังของเราตรงนี้ ถ้าใครที่ยิ่งทุกข์หนักๆ ความหวังของเขาอยู่ตรงนิมิตตรงนี้ ถ้าความหวังตรงนั้น มันเกิดขึ้นมาทั้งหมด เป๊ะ บาบิโลนก็เป๊ะ มีเดียเปอร์เซียก็เป๊ะ กรีกก็เป๊ะ โรมก็เป๊ะ ประเทศยุโรปทั้งหมดได้รับอิทธิพลมาจากโรมจริงๆ ทุกวันนี้เราก็เห็นชัดๆ ซึ่งมันก็เป็นจริงๆ ด้วย มันก็เป๊ะ เพราะฉะนั้น เรื่องสุดท้ายเรื่องพระเยซูก็ต้องเป๊ะๆ แน่นอน มันจะหนีไปไหนไม่พ้น มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้แล้วทั้งหมด แล้วที่เหลือมันจะไม่เกิดได้อย่างไร?

ในข้อ 13, 14 บอกว่า … 13 ในนิมิตคืนนั้น ข้าพเจ้าเห็นผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ เสด็จมาพร้อมด้วยหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์ พระองค์เสด็จเข้าไปใกล้และเข้าเฝ้าองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ 14 พระองค์ได้รับสิทธิอำนาจ เกียรติสิริ และอำนาจปกครองสูงสุด ชาวโลกทุกชาติทุกภาษานมัสการพระองค์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอำนาจที่จะไม่มีวันสิ้นสุด และพระราชอาณาจักรของพระองค์ จะไม่มีวันถูกทำลาย”

คำว่าบุตรมนุษย์ปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล 300 กว่าแห่ง และจะเป็นผู้ใดไม่ได้เลย นอกจากพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ซึ่งจะเสด็จมา ทำไมพระเยซูต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เพราะพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น เพราะพระเจ้าตั้งแผนการของพระองค์ไว้อย่างนั้น

พระบุตรของพระเจ้าจะเสด็จมาเป็นมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ แล้วพระองค์จะได้รับสิทธิอำนาจ พระเกียรติสิริ อำนาจปกครองสูงสุด ชาวโลกทุกชาติทุกภาษานมัสการพระองค์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอำนาจจะไม่มีวันสิ้นสุด ราชอาณาจักรของพระองค์จะดำรงอยู่เป็นนิตย์ พระองค์จะไม่มีวันถูกทำลายเลย

พระเยซูตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย และอยู่กับเหล่าสาวก 40 วัน วันอีสเตอร์แรกของโลก 40 วันที่พระองค์ทรงสั่งสอนมนุษย์เสร็จปุ๊บ  ก่อนที่จะเสด็จขึ้นสวรรค์ พระองค์มีสาวกมาส่ง แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกว่าให้ออกไปทั่วโลก ไปประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เริ่มตั้งอาณาจักรบนโลกใบนี้แล้ว ไปเรียกมาเป็นประชากรของพระองค์ โดยการเชื่อวางใจในพระองค์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน ชำระบาปให้เราทุกคน แล้วพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ แล้วพระองค์บอกว่าสิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกดี ได้ถูกมอบให้กับเราแล้ว

ตอนที่ปีลาตจะจับพระเยซูไปตรึง ตอนที่ฟาริสีจะจับพระเยซูไปฆ่า ถามพระเยซูว่าพระองค์เป็นใคร? พระองค์บอกว่า … เราคือบุตรมนุษย์ … แล้วพระองค์บอกว่าวันสุดท้าย ท่านจะเห็นบุตรมนุษย์ เสด็จลงมาจากสวรรค์ พร้อมด้วยหมู่เมฆ พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงกระทำอะไรอยู่ และมันจะเป็นไปตามนั้น เพราะพระคัมภีร์ได้บอกถึงเรื่องพระองค์ ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย เรื่องพระเยซูคริสต์ทั้งสิ้นเลย ตอนที่พระเยซูเดินบนโลกใบนี้  พระองค์จึงบอกว่า …

“เรากระทำทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ให้เป็นไปตามที่ได้เขียนไว้ถึงเรื่องเกี่ยวกับเรา ตั้งแต่ต้นมาแล้วว่าเรามาทำอะไร เราต้องทำตามนั้น  เพราะเป็นแผนการของพระเจ้า ช่วยเหลือมนุษยชาติ”

นี่คือที่บอกว่าไม่ว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไร? ก็ตาม เกิดอะไรขึ้นก็ตาม น่ากลัวขนาดไหน? เลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าเรากำลังเผชิญอะไรอยู่ก็ตาม ความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตามขณะนี้ ปัญหามันจะใหญ่มากขนาดไหนก็ตาม ต่อหน้าเราขณะนี้ ขอให้เชื่อและวางใจ มั่นใจเถิดว่าพระเยซูเป็นผู้มีชัยชนะ ไม่ใช่จะชนะ แต่ชนะไปแล้ว

สิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงบอกเล่าผ่านทางนิมิตทั้งหลายเหล่านี้  ก็เพื่อย้ำยืนยันให้เรามั่นใจว่าพระองค์ทรงควบคุมครอบครองทุกสิ่งจริงๆ เพื่อให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น เป็นไปตามพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นในมหาจักรวาลนี้ ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรักที่สุด เป็นแก้วตาของพระองค์มากกว่ารักต้นไม้ ก้อนหิน สัตว์เหล่านั้น

เหตุการณ์ทั้งหลายที่ล้อมรอบตัวเรา ในทุกวันนี้ อาจจะเป็นสิ่งที่ดูแล้วมันเลวร้ายในสายตาเรา เพราะโลกมันตกอยู่ในความวิปริต ความบาปอยู่ มันยังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป มันต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมสิ่งเสียหายสึกหรอให้ดี พระเจ้ากำลังใช้เวลาอยู่ มันเลยต้องมีความทุกข์ยากลำบากบ้าง พระเยซูก็บอกแล้วว่าท่านทั้งหลายอยู่บนโลกใบนี้ จะพบกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเราได้ชนะโลกนี้แล้ว  ให้กำลังใจเราอีก พระองค์จึงต้องการให้เรา ประชากรของพระเจ้ามีกำลังใจ พระองค์ทรงรู้แล้วว่าใครก็ตามที่มาเชื่อพระองค์ ก็จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความลำบาก ถูกกดขี่ข่มเหงมากกว่าคนอื่นๆ เขาก็ได้ เพราะหลายสิ่งหลายอย่างเราทำไม่ได้ แต่พระองค์ทรงให้นิมิต ให้อัศจรรย์ ให้ถ้อยคำเหล่านี้ บอกล่วงหน้า เป็นกำลังใจให้เรา ให้เรามีความหวัง ให้เราวางใจในพระองค์ และไม่ให้เราเชื่อพระองค์ธรรมดา แต่เชื่อโดยวางใจ

คำว่า “วางใจ” คือวางเลย ไม่ได้อยู่ที่เราอีกแล้ว วางให้พระองค์ไปเลย แปลว่าอย่างนั้น

พระองค์จึงบอกล่วงหน้าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้  โดยไม่บอกวันเวลาตอนจบว่าตรงไหน? เพราะถ้าบอกวันเวลาตอนจบ ก็ไม่สนุก ท่านวันๆ ก็ไม่ทำอะไรแล้ว มัวแต่รอตอนจบอยู่อย่างเดียว แล้วมันจะเป็นแผนการพระเจ้าได้อย่างไร? สมมติพระเจ้าให้ท่านเกิดความทุกข์ยากลำบาก เพื่อจะพาท่านไปอีกที่หนึ่ง  ท่านก็ไม่ยอมไป ท่านบอกตอนจบเป็นอย่างนี้ ก็จะรออยู่อย่างนี้ ไม่ไปไหนแล้ว พระเจ้าต้องให้อิสราเอลทุกข์ยากลำบาก จึงนำคนเดินผ่านข้ามทะเลแดง ถ้าไม่ทุกข์ยากลำบาก จะเดินทำไม? ถูกหรือไม่ถูก? พระเจ้าจึงไม่บอกตอนจบให้กับเราว่าเป็นอย่างนี้ แล้วพระเจ้าใช้เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น พาเราเดินไป เพื่อทุกคนจะเป็นผู้รับใช้หมด เป็นแผนการเล็กแผนการน้อย เป็นจิ๊กซอเล็ก เป็นจิ๊กซอชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ เพื่อรวมกัน ให้แผนการใหญ่ของพระองค์สำเร็จ แผนการนั้น ก็คือโลกนี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้กลับสู่สภาพดี โดยที่พระเยซูเป็นฝ่ายชนะ และเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์ เราได้เป็นประชากรของพระองค์แล้ว เราได้รับชีวิตนิรันดร์ในพระองค์ เอเมน

แล้วเหตุการณ์ตอนจบใครเป็นพระเอก ความหวังเราควรอยู่ที่พระเยซูเท่านั้น พระเยซูยิ่งใหญ่สูงสุดในชีวิตของเรา พระเยซูคริสต์คือความหวังสูงสุดในชีวิตของเรา คือพลังของเรา พระเยซูคริสต์เท่านั้น คือความดีงามของเรา คือความบริสุทธิ์ คือความรอดของเรา ไม่มีอะไรเป็นของเราเองแม้แต่นิดเดียว เป็นศูนย์เลย  เราพึ่งพระเยซูผู้เดียว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 12 “ดาเนียลในถ้ำสิงโต” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  กุมภาพันธ์  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 12 “ดาเนียลในถ้ำสิงโต”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรากลับมาสู่ซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” กันต่อ ซึ่งการบรรยายวันนี้เป็นตอนที่ 12 มีชื่อตอนว่า “ดาเนียลในถ้ำสิงโต”

เรากำลังเรียนรู้เรื่องชีวิตของดาเนียล และนำมาศึกษาอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต ความเชื่อ ความไว้วางใจในพระเจ้า เราอ่านพระคัมภีร์ดาเนียล ศึกษาร่วมกันมา 5 บทแล้ว วันนี้จะมาดูบทที่ 6

ใน 5 บทที่ผ่านมา ย้อนนิดหนึ่ง อยู่ในยุคสมัยอาณาจักรบาบิโลน ปกครองโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ จนมาจบที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ ที่ให้ดาเนียลแปลอักษรปริศนา บนผนัง ในคืนนั้นกษัติรย์เบลชัสซาร์ของชาวบาบิโลน ถูกลอบปลงพระชนม์ แล้วกษัตริย์ดาริอัส แห่งมีเดียเปอร์เซียยึดอาณาจักรบาบิโลนได้ เป็นอันว่าจบอาณาจักรบาบิโลนไป

ถ้าย้อนกลับไปที่เริ่มต้นเรื่องนี้ จำได้ใช่ไหมครับ เรื่องของรูปปั้น ซึ่งเป็นนิมิต เป็นความฝันที่พระเจ้าได้ให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ และให้ดาเนียลแปลความฝันนั้น ก็คือส่วนที่เป็นศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ซึ่งหมายถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรบาบิโลนนั้น ก็เป็นอันว่าจบสิ้นไป หนึ่งแล้ว เป็นไปตามคำบอกเล่าล่วงหน้า โดยพระเจ้า ผ่านทางดาเนียล

และกำลังย่างเข้าสู่ส่วนต่อไปของรูปปั้น รองลงมา ก็คือที่หน้าอกและแขน ทำด้วยเงิน ซึ่งหมายถึงมีเดียเปอร์เซียในนิมิตนี้

ทุกเหตุการณ์ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ เป็นแผนการของพระเจ้า หลายคนชอบพูดว่าพระเจ้าทำนาย พระคัมภีร์ทำนายว่า ไม่ใช่ทำนาย บอกล่วงหน้ากับทำนายมันต่างกัน บอกล่วงหน้าว่า …

“ฉันเตรียมแผนการนี้ มันจะเกิดอย่างนี้ขึ้น”

ก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริง พระเจ้าบอกล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วมันก็เป็นไปตามคำเผยพระวจนะ ก็คือคำบอกเล่าของพระเจ้าให้ผู้รับใช้ของพระองค์จดบันทึกไว้ อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลตั้งแต่หน้าแรกจนกระทั่งถึงหน้าสุดท้าย คือพระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ในหนังสือวิวรณ์ ทั้งหมดนั้นเลย คือการบอกกล่าวล่วงหน้าทั้งสิ้น เวลาท่านไปอ่าน ท่านจงรู้เรื่องนี้ด้วยว่ามันเป็นอย่างนั้น พระเจ้าบอกไว้เลย นี่พูดถึงช่วงนี้ ช่วงที่เรากำลังพูดกันถึงบาบิโลน เกิดขึ้นมาโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์อย่างไร? พระเจ้าเตรียมกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ เตรียมให้เขามาเป็นกษัตริย์ ครอบครองบาบิโลน และบอกไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะให้ชาวยิวถูกต้อนมาเป็นเชลย มาอยู่บาบิโลน 70 ปี แล้วมันก็เป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในเรื่องนี้ ที่เรากำลังเรียนรู้กัน

และบอกต่อไปว่าหลังจากนั้นบาบิโลนจะถูกโค่นอำนาจลง โดยใคร? ก็บอกเรียบร้อยเลย เพราะฉะนั้น บาบิโลน ก็ถูกโค่นอำนาจลงจริงๆ ในวันที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ แห่งบาบิโลน  องค์สุดท้ายของบาบิโลนถูกปลงพระชนม์ กษัตริย์ดาริอัสแห่งเปอร์เซียเข้ายึดครอง

เพราะฉะนั้น วันนี้ เราจะมาเรียนรู้กันต่อในหนังสือดาเนียลบทที่ 6 ว่าหลังจากที่บาบิโลน ถูกโค่นลงแล้ว และมีเดียเปอร์เซียเข้ามาครอบครองอำนาจ มีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้นกับดาเนียล และชาวยิวที่อยู่ในบาบิโลนนั้น ในสมัยของดาริอัสนี้ ที่จะทำให้เราได้มีความเชื่อเพิ่มขึ้น เราจะได้รู้ว่าอุปนิสัยพระองค์เป็นอย่างไร? ดาเนียล 6:1-9

ดาเนียล 6:1-9 “1 ดาริอัสทรงเห็นชอบให้แต่งตั้งเสนาบดี 120 คน ปกครองทั่วราชอาณาจักร 2 โดยมีผู้บริหารการปกครองสามนาย ปกครองเหนือคนเหล่านั้น หนึ่งในสามนั้น คือดาเนียล เสนาบดีจะรายงานต่อผู้บริหารการปกครอง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของกษัตริย์  3 ดาเนียลมีคุณสมบัติดีเด่น เหนือกว่าผู้บริหารการปกครองคนอื่นและเสนาบดีทั้งหลาย กษัตริย์จึงดำริจะแต่งตั้งให้เขาดูแลทั่วราชอาณาจักร 4 ด้วยเหตุนี้ ผู้บริหารการปกครองคนอื่น และเสนาบดีทั้งหลายจึงพยายามจับผิดดาเนียล ในงานราชการแผ่นดิน แต่ไม่สำเร็จ พวกเขาไม่พบข้อบกพร่องของดาเนียลเลย เพราะเขาซื่อสัตย์ ไม่เคยฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือละเลยหน้าที่ 5 ในที่สุด คนเหล่านี้ก็พูดกันว่า “เราไม่มีทางหาเรื่องจับผิดดาเนียลคนนี้ได้เลย นอกจากเรื่องเกี่ยวกับ พระบัญญัติของพระเจ้าของเขา 6 ฉะนั้น ผู้บริหารการปกครองคนอื่น และเหล่าเสนาบดี จึงรวมกลุ่มกันเข้าเฝ้ากษัตริย์ และทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ดาริอัส ขอจงทรงพระเจริญ 7 ข้าพระบาททั้งหลาย ผู้บริหารการปกครอง ข้าหลวงภาค เสนาบดี ราชมนตรี และผู้ว่าการทั้งปวง เห็นพ้องต้องกันว่าฝ่าพระบาทควรออกพระราชกฤษฎีกาว่าหากผู้หนึ่งผู้ใด อธิษฐานต่อเทพเจ้า หรือขอต่อมนุษย์ นอกเหนือจากฝ่าพระบาท ในช่วงสามสิบวันที่จะถึงนี้ ข้าแต่กษัตริย์ ผู้นั้นจะต้องถูกโยนลงในถ้ำสิงโต 8 บัดนี้ ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย จะยกเลิกไม่ได้” 9 ฉะนั้น กษัตริย์ดาริอัส จึงให้ออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร”

 

คุ้นๆ ไหมครับ การแก่งแย่งอำนาจ พอเห็นว่าดาเนียลได้ดีกว่า เด่นที่สุด “จงทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย” มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ดาเนียลรับตำแหน่งผู้บริหารปกครองนี้ ก็คือรองจากกษัตริย์ เป็นจุดอันตรายของดาเนียล คนรอบข้างเขาพยายามหาเรื่องใส่ร้าย เพื่อจะกำจัดดาเนียล แต่ก็ทำไม่ได้ง่าย เพราะว่าดาเนียลดีพร้อมทุกอย่าง ทำงานด้วยความสัตย์ซื่อและฉลาด มีสติปัญญา เจ้านายที่ไหนก็ชอบ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ชอบ ดาริอัสก็ชอบ โปรดปราน พวกขุนนางก็เลยต้องหาวิธีอื่นอีก หาไปเรื่อยๆ จนเจอ คือรู้ว่าดาเนียลรักพระเจ้าและติดสนิทใกล้ชิดพระเจ้ามาก ต้องอธิษฐานกับพระเจ้าสม่ำเสมอ ไม่เคยขาด บรรดาขุนนางก็ใช้วิธีนี้ คือให้กษัตริย์ออกกฎหมาย ไม่ให้ผู้ใดอธิษฐานกับเทพเจ้าหรือมนุษย์อื่นใด นอกเหนือจากกษัตริย์ ใครฝ่าฝืนจะถูกโยนลงไปในถ้ำสิงโต ซึ่งในข้อที่ 8 ขุนนางบอกว่า …

”ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย จะยกเลิกไม่ได้”

มีเดียเปอร์เซีย จริงๆ เป็น 2 ประเทศมารวมกัน ช่วยกันทำสงคราม เป็นมหาอำนาจที่ปกครองหลายประเทศ และขยายอาณาจักรในขณะนั้น  ซึ่งถ้ากฎหมายออกมา ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายใดก็แล้วแต่ จะใช้ทุกประเทศที่ครอบครองอยู่ จะไม่สามารถยกเลิกได้ แม้กระทั่งผู้ออกเอง คือกษัตริย์เอง ก็ไม่สามารถยกเลิกกฤษฎีกานี้ได้ ขุนนางรู้เรื่องนี้ จึงรู้ว่านี่เป็นทางเดียวที่จะบีบเค้นกษัตริย์ เพราะรู้ว่าดาเนียลเป็นคนโปรด

ทำไมถึงใช้คำว่าบีบบังคับกษัตริย์ เพราะที่เราอ่านไปตอนต้นว่ากษัตริย์ดาริอัสทรงโปรดปรานดาเนียลมาก เพราะดาเนียลมีคุณสมบัติดีเด่น เหนือกว่าผู้บริหารปกครองคนอื่นๆ กษัตริย์จึงแต่งตั้งให้ดาเนียลมีอำนาจสูงกว่าคนอื่นๆ คือจริงๆ กษัตริย์ดาริอัสไม่ได้อยากจะทำในเรื่องนี้ รู้ แต่ในทางกฎหมาย จึงจำเป็นต้องออกกฎหมายไปอย่างนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไร? พูดง่ายๆ คือถูกบังคับนั่นเอง มันเป็นแผนการ ความชั่วร้ายของคน เขาเรียกว่าไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล เอาด้วยคาถา เดี๋ยวนี้ไม่ได้ด้วยคาถา ก็เอาซึ่งๆ หน้าเลย กระชากไปต่อหน้าต่อตา ได้ทั้งหมด คือเป็นความชั่วร้ายที่อยู่ในเชื้อบาปที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน เพียงแต่ว่าจะบังคับตัวเองได้มากขนาดไหน? ถ้าปล่อยตัวเองไปเรื่อยๆ ก็เยอะ เป็นทาสของความชั่วร้าย  ก็คือเป็นความชั่วร้ายที่คิดขึ้นมา กะจะเลื่อยขา กะจะโค่นอำนาจ เพื่อนร่วมงานของตัวเอง ในยุคปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น วางแผนจัดการกับคู่แข่ง คู่ต่อสู้

ดาเนียลนับจากวันที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยที่บาบิโลน จนถึงตอนนี้ อย่างน้อยๆ ประมาณ 50 ปีแล้ว ดาเนียลและเพื่อนๆ ทั้งสามคน ผ่านเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน

เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ จึงชินกับเรื่องนี้แล้ว เจอเรื่องนี้ เขาก็เข้าไปปรึกษาพระเจ้า เข้าไปอธิษฐานกับพระเจ้าว่าพระองค์ต้องการทำอะไร? ดาเนียลก็เข้าไปอธิษฐานว่า …

“พระเจ้า ข้าพระองค์ขอการทรงนำ จะให้ข้าพระองค์ทำอย่างไร? ในเรื่องนี้”

คือขอคำแนะนำจากพระเจ้า แล้วจบสุดท้ายว่า …

“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์”

ดาเนียล 6:10-12 มาดูสิว่าอะไรเกิดขึ้น น้ำพระทัยพระเจ้าต้องการอะไร?

ดาเนียล 6:10-12 “10 บัดนี้ ข้าแต่กษัตริย์ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย จะยกเลิกไม่ได้ ฉะนั้น กษัตริย์ดาริอัสจึงให้ออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร” เมื่อดาเนียลทราบว่าพระราชกฤษฎีกาประกาศใช้แล้ว เขาก็กลับบ้าน และขึ้นไปยังห้องชั้นบน ซึ่งหน้าต่างเปิดไปทางกรุงเยรูซาเล็ม เขาคุกเข่าอธิษฐาน ขอบพระคุณพระเจ้าของเขา วันละสามครั้งตามที่เคยปฏิบัติเสมอมา 11 แล้วคนเหล่านั้น รวมกลุ่มกันไปเฝ้าดู และพบดาเนียลอธิษฐาน ทูลวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า 12 พวกเขาจึงไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ และทูลเกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาว่า “ฝ่าพระบาททรงออกพระราชกฤษฎีกาแล้วไม่ใช่หรือว่าหากผู้หนึ่งผู้ใด อธิษฐานต่อเทพเจ้า หรือขอต่อมนุษย์  นอกเหนือจากฝ่าพระบาท ในช่วงสามสิบวันนี้ ข้าแต่กษัตริย์ ผู้นั้นจะต้องถูกโยนลงในถ้ำสิงโต” กษัตริย์ตรัสตอบว่า “กฤษฎีกานั้น มีผลบังคับใช้ ตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย ซึ่งยกเลิกไม่ได้”

 

ตามที่เราได้เรียนรู้เรื่องราวของดาเนียลและเพื่อนๆ ทุกๆ ครั้งที่เผชิญกับปัญหาอะไรก็ตาม ดาเนียลและเพื่อนๆ จะอธิษฐานกับพระเจ้า ทูลขอการทรงนำ และการช่วยกู้จากพระองค์เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน กฤษฎีกาออกมาบอกว่าห้ามอธิษฐานกับพระเจ้า ในช่วง 30 วันนี้ แล้วจะทำอย่างไร? ดาเนียลรีบกลับไปบ้าน อธิษฐาน ผมเชื่อมั่นว่าดาเนียลต้องอธิษฐานอย่างนี้ว่า …

“พระเจ้าช่วยชนชาติยิวด้วยเถิด ตอนนี้ถูกบีบบังคับในเรื่องของศาสนา ในเรื่องของความเชื่อจะทำอย่างไร?”

ถูกไหม?  “พระองค์เจ้าข้า อาจจะมีบางคนกำลังปฏิเสธพระองค์อย่างที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขากลัว เขาไม่กล้าเอ่ยนามของพระองค์ในขณะนี้ เขาอยากอธิษฐาน แต่เขาไม่กล้าอธิษฐาน เพราะเขากลัวตาย”

มีเยอะกว่าที่เราคิดว่าคนเหล่านั้นกล้า

“เอาสิ ตายเป็นตาย โยนเข้าถ้ำสิงโตก็ไม่กลัว”

มีสักกี่คน? ผมจะบอกให้ฟัง อันนี้เป็นความเข้าใจธรรมดา 100% มนุษย์ทุกคนกลัวตายทั้งนั้นแหละ ถ้ามีคนไหนขึ้นมาบอกไม่กลัวเหมือนดาเนียล ก็เพราะว่าพระเจ้าใส่ความกล้าหาญลงไปที่เขา เอเมน ต้องคิดถึงตรงนี้ ไม่ใช่เขาเก่ง พระเจ้าให้เขาเป็นฮีโร่ในตอนนั้น เขาไม่ได้อยากเป็นฮีโร่หรอก ไม่ใช่ฮีโร่ด้วยซ้ำไป เป็นผู้รับใช้ในขณะนั้น เพราะฉะนั้น พอถึงเวลาของท่าน ถ้าท่านรับไม่ได้อย่างนี้ ท่านบอกว่า …

“30 วันนี้ พระเจ้าเข้าใจลูกด้วย ลูกของดอธิษฐานชั่วคราว”

พระเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไรท่าน แสดงว่าท่านไม่ได้ถูกเลือกให้มาเป็นผู้รับใช้ในขณะวิกฤต อย่างนั้น แต่ถ้าท่านสามารถ กล้าหาญที่จะอธิษฐานได้ พระเจ้าอาจจะให้ท่านด้วยความกล้าหาญ และไม่มีใครเห็น ท่านก็รอดไป คือไม่มีใครเห็นท่านอธิษฐาน แต่ดาเนียลมีคนเห็น เพราะว่าเขาเฝ้าตามดาเนียลทุกฝีก้าว อธิษฐานเมื่อไร? ฟ้องเลย เราควรจะมองภาพนี้  ไม่ใช่มองภาพอย่างเดียวว่า …

“เราต้องทำตามอย่างดาเนียลหมด”

แล้วใช่น้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับเราไหม ให้เราเป็นอย่างนั้น แล้วถ้าเราทำไม่ได้ เราผิดเหรอ ท่านลองไปคิดดูแล้วกัน เราเชื่อพระเจ้า เพราะต้องการมาขอความช่วยเหลือ ขอกำลังจากพระเจ้า เพราะเราอ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ ถูกไหม? นี่คือความเข้าใจธรรมดา คิดธรรมดา

หลังจากยุยงกษัตริย์ให้ออกกฎหมายแล้ว พอเจอพฤติกรรมของดาเนียลอย่างนี้ มันแน่นอนอยู่แล้ว ก็ต้องไปฟ้องกษัตริย์ พวกเสนาบดีและผู้ปกครองที่เป็นศัตรูชั่วร้าย ที่คิดปองร้าย นึกในใจ แล้วก็พูดกันเองว่า …

“เป็นไปตามแผนการของเราเลย”

เขานึกว่าเป็นไปตามแผนการของเขา เสร็จเราแน่ ไม่หลุดแน่ สิงโตกินแน่เลย กำจัดได้แล้ว เขาคิดว่าอย่างนั้น แต่เขาไม่รู้ว่านี่คือแผนการของพระเจ้า พวกขุนนางก็นำเรื่องนี้ไปฟ้องกษัตริย์ แล้วก็บีบบังคับให้กษัตริย์ดำเนินตามกฎหมาย ดาเนียล 6:13-18 บันทึกเอาไว้

ดาเนียล 6:13-18 “13 พวกเขาจึงทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ดาเนียลซึ่งเป็นเชลยคนหนึ่งจากยูดาห์ ไม่ใส่ใจในฝ่าพระบาท หรือพระราชกฤษฎีกา ที่ทรงให้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร  เขายังคงอธิษฐานวันละสามครั้ง 14 เมื่อกษัตริย์ทรงทราบเช่นนี้ ก็ทุกข์พระทัยยิ่งนัก ทรงครุ่นคิดหาวิธีช่วยเหลือดาเนียลจนพลบค่ำ 15 คนเหล่านั้นก็รวมกลุ่มกันมาเข้าเฝ้า และทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงระลึกว่าตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย คำสั่งหรือกฤษฎีกาใดๆ ของกษัตริย์ที่ออกไป จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย” 16 ฉะนั้น กษัตริย์จึงมีพระบัญชา และพวกเขาก็จับดาเนียลโยนลงในถ้ำสิงโต กษัตริย์ตรัสกับดาเนียลว่า “ขอให้พระเจ้าที่เจ้าปรนนิบัติเสมอมานั้น ช่วยเหลือเจ้าเถิด17 เขานำหินก้อนหนึ่ง มาปิดที่ปากถ้ำ แล้วกษัตริย์ประทับตราพระธำมรงค์ที่หินนั้น และบรรดาขุนนาง ประทับตราแหวนของตน เพื่อไม่ให้ใครมาเปลี่ยนแปลง แก้ไขสถานการณ์ของดาเนียลได้ 18 แล้วกษัตริย์เสด็จกลับวัง ทรงงดเสวยและการบันเทิงทั้งปวง และพระองค์บรรทมไม่หลับตลอดทั้งคืนนั้น”

 

ดาเนียลไม่กลัว ยังกล้าอธิษฐาน แต่หลายคนกลัว ปฏิเสธ ที่ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เข้าไปอยู่ในสวรรค์ แล้วก็สั่งให้สาวกออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ขณะที่ออกไป ก็ถูกต่อต้านอย่างแรง หนึ่งในจำนวนนั้น คือสเตเฟ่น ถูกหินขว้างตาย เขาก็ไม่กลัว ตายเป็นตาย สาวกอื่นๆ ที่เพิ่งเริ่มเชื่อ ไม่ได้เขียนบันทึกในพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่กลัวตาย ในพระคัมภีร์บอกว่าเขาหนีกระเจิดกระเจิงกัน กระจัดกระจายไป ไกลๆ แอบซ่อนอยู่ในถ้ำ มากกว่าไหมคนที่พลีชีวิตตัวเอง แล้วคนเหล่านั้นผิดเหรอ นั่นก็เป็นแผนการของพระเจ้าเช่นเดียวกัน เพราะเขากลัว เขาจึงหนีออกไป  พระเจ้าก็นำพาเขาออกไปประกาศข่าวประเสริฐที่เขาหนีไปที่นั่น เป็นพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่ได้อยู่ที่เราเลย อยากจะบอกให้ฟัง บางคนชอบฟ้องผิดตัวเอง

“คนนั้นความเชื่อดีจัง ฉันทำไมความเชื่อไม่ดี”

ความเชื่อเป็นของประทาน แต่ความไว้วางใจ เป็นสิ่งที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ เมื่อเรามาเรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้าบ่อยๆ เรามาคบหาสมาคมกับคริสเตียน ผู้ที่มีความเชื่อด้วยกัน บ่อยๆ มันทำให้เกิดความไว้วางใจ แต่ความไว้วางใจ มิได้หมายถึงความเชื่อ เมื่อมีเหตุการณ์วิกฤตขึ้นมา ต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง ท่านอาจจะหนีก็ได้ ปล่อยให้พระเจ้าเป็นผู้กำหนดและกระทำแผนการของพระองค์ในชีวิตของเรา

เรามาต่อเหตุการณ์ก็เป็นไปตามแผนการของขุนนางวางไว้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้อย่าคิดกำจัดใคร พระเจ้ามองลงมา ฝนตกสาดลงมา เปียกทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือไม่เป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า ถ้าท่านวางแผนการชั่วร้ายอย่างนี้แล้ว มันจะกลับสนองท่านเองนั่นแหละ

กษัตริย์จึงมีคำสั่งให้จับดาเนียลโยนลงไปในถ้ำสิงโต ทั้งๆ ที่กษัตริย์เองก็รักดาเนียลมาก และไม่อยากจะทำ แต่ก็จำเป็นต้องทำ ทั้งๆ ที่รู้ว่านี่คือแผนการ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร? เพราะตนเองก็ออกกฎหมายไปแล้ว แล้วดูสิกษัตริย์ทำอย่างไร? ในนี้บอกว่าก่อนที่จะจับดาเนียลไปที่ถ้ำสิงโต กษัตริย์ยังบอกดาเนียลว่า …

“ขอพระเจ้าที่เจ้าปรนนิบัติเสมอมานั้น ช่วยเหลือเจ้าเถิด”

ซาบซึ้งขนาดไหน? ทำให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ของผู้เชื่อในพระเจ้า คือดาเนียลและกษัตริย์ที่ใหญ่สูงสุดในขณะนั้น เป็นมหาจักรพรรดิ เขาเรียกว่าประเทศมหาอำนาจใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ซึ่งดูเหมือนไม่เชื่อพระเจ้า แต่คำนี้ คือเขาเชื่อ เชื่อเพราะว่าผ่านทางผู้รับใช้ คือดาเนียล ที่เขาทำงานด้วยมาตลอด เคยได้ยินว่ายุคก่อน ที่ทำกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างนี้ แล้วตัวเขาเองมาเจอประสบการณ์ คนนี้น่ายกย่อง พระเจ้าได้รับเกียรติ

แสดงว่าดาเนียลรักษาความเชื่อเสมอต้นเสมอปลาย จนกระทั่งเห็นชัดเจน และหลังจากที่ออกคำสั่งให้โยนดาเนียลเข้าถ้ำสิงโตแล้ว กษัตริย์ก็ซึมเศร้ากลับวัง กินข้าวไม่ได้ นอนไม่หลับ รู้สึกว่าตัวเองทำผิดไป แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?  แต่ทั้งหมดนี้ ก็เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า

จำปีลาตได้ไหม? เป็นผู้ครองเมืองที่จักรพรรดิซีซาร์โรมส่งมาปกครองเยรูซาเล็ม สมัยที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นผู้ที่ต้องออกคำสั่งให้พระเยซูถูกตรึง ทั้งๆ ที่พยายามหว่านล้อม อย่าไปทำเขาเลย เขาบริสุทธิ์ จนพวกผู้นำทางศาสนาซ่องสุมผู้คน ร้องเรียกๆ ต้องทำ ถ้าไม่ทำ จะทำให้เกิดปัญหา ยุ่งวุ่นวาย ในการปกครองของท่าน จะเสียชื่อหมดเลย ปีลาตต้องถูกบังคับให้สั่งประหารพระเยซู โดยไม่อยากทำ เป็นไปตามบทบัญญัติ ตามกฎหมาย ที่เขาจำเป็นต้องทำ ย้ำให้เห็นชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะพระเจ้ากำหนดให้มันเป็นเช่นนั้น มันต้องเกิดขึ้นอย่างนี้ ดาเนียล 6:19-28

ดาเนียล 6:19-28 “19 ทันทีที่ฟ้าสาง กษัตริย์ก็รีบรุดมายังถ้ำสิงโต 20 เมื่อเข้ามาใกล้ถ้ำ  พระองค์ตรัสเรียกดาเนียล ด้วยพระสุรเสียงอันปวดร้าวว่า โอ ดาเนียล ผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าที่เจ้ารับใช้เสมอมานั้น ช่วยเจ้าให้พ้นจากสิงโตได้หรือเปล่า 21 ดาเนียลทูลตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอจงทรงพระเจริญ 22 พระเจ้าของข้าพระบาท ทรงส่งทูตของพระองค์ มาปิดปากสิงโตไว้ พวกมันไม่ได้ทำอะไรข้าพระบาทเลย เพราะข้าพระบาทบริสุทธิ์ ในสายพระเนตรของพระเจ้า และไม่เคยทำผิดประการใด ต่อหน้าองค์กษัตริย์เลย” 23 กษัตริย์ทรงยินดีเป็นล้นพ้น  ตรัสสั่งให้ดึงดาเนียลขึ้นจากถ้ำ เมื่อดาเนียลขึ้นมาแล้วปรากฏว่าเขาไม่มีบาดแผลใดๆ เพราะเขาไว้วางใจพระเจ้าของเขา 24 กษัตริย์ทรงบัญชา ให้จับบรรดาผู้ที่กล่าวหาดาเนียลอย่างผิดๆ โยนลงในถ้ำสิงโต พร้อมทั้งภรรยาและลูกๆ ร่างของคนเหล่านั้น ก็ถูกสิงโตขย้ำ จนกระดูกแหลก ก่อนที่จะกระทบพื้นถ้ำ 25 แล้วกษัตริย์ดาริอัส ทรงเขียนถึงพลเมืองทุกชาติทุกภาษา ทั่วอาณาจักรว่า “ขอให้ท่านทั้งหลาย เจริญรุ่งเรืองเถิด 26 ข้าพเจ้าออกกฤษฎีกา ให้ทุกคนทั่วราชอาณาจักร จงเคารพยำเกรงพระเจ้าของดาเนียล เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และทรงดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอาณาจักรของพระองค์ จะไม่มีวันถูกทำลาย ราชอำนาจของพระองค์ ไม่มีที่สิ้นสุด 27 พระองค์ทรงช่วย และทรงกอบกู้ ทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ ในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงกอบกู้ดาเนียล จากอำนาจของสิงโต” 28 ดังนั้น ดาเนียลจึงเจริญรุ่งเรือง ในรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส และในรัชกาลของกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย”

 

ถ้ำสิงโตในขณะนั้น  เป็นถ้ำที่มืด เขาเลี้ยงสิงโตให้ดุที่สุด เท่าที่จะทำได้ แล้วให้มันหิว พอที่มันจะอยู่ได้ มันทั้งหิวทั้งดุด้วย ถ้ำสิงโตเขามีเอาไว้ขู่พวกคอรัปชั่น พวกกบฏ พวกฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะโกงกินบ้านเมือง

ในนี้บอกว่าพระสุรเสียงกษัตริย์ปวดร้าว คือเศร้า เชื่อว่าดาเนียลตายแล้ว ไม่มีกำลังใจ  เพราะว่าไม่เคยมีใครรอดจากถ้ำสิงโตนี้สักคน ลงไปทุกคน ไม่เหลือซากสักคน ดุมาก

“ดาเนียล ผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าช่วยเจ้าให้พ้นจากสิงโตหรือเปล่า! ยังอยู่ไหม?”

ทันทีทันใดนั้น  ดาเนียลก็ตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระองค์หลับสบายดี”

กษัตริย์ก็ดีใจใหญ่

“ดาเนียล จริงหรือ! ตะโกนอีกทีสิ”

“ข้าพระองค์อยู่นี่”

กษัตริย์ดาริอัส ตื่นเต้น และรักดาเนียลมากขึ้น โปรโมทมากขึ้นอีก และสิ่งนี้แหละ มันทำให้ความโปรดปรานนี้ ไปถึงชาวยิวทั้งหมด ในขณะนั้นด้วย ท่านเห็นแผนการพระเจ้าไหม? และพระเจ้าก็จะใช้ สิ่งที่ทำให้กษัตริย์ดาริอัส เริ่มรู้ว่าชนชาติยิวไม่ใช่อยู่คนเดียวแล้ว ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นผู้ที่มีอะไรบางอย่างสูงสุด ที่เขาเรียกว่าพระเจ้าอยู่กับเขาด้วย เพราะฉะนั้น เกรงใจเขาหน่อย

เวลายิวบอกว่าครบ 70 ปีแล้ว จะกลับไปเยี่ยมบ้าน ไปสร้างกรุงเยรูซาเล็มใหม่ ดาริอัสไปถึงสมัยไซรัส ก็อนุญาตให้ไป แล้วแถมให้เงินอีก นี่สั้นๆ

ท่านเห็นไหมว่าสิ่งที่พระเจ้าทำ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เราเห็นแผนการนิดเดียว แต่อย่าไปคิดแค่นั้น ดาเนียลที่ลงไปในถ้ำสิงโต เป็นแผนการของพระเจ้า เพื่อให้เกิดผลดีมาถึงเราที่นั่งที่นี่ทุกคนด้วย

พูดเรื่องนี้แล้ว ทำให้ผมนึกถึงข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อกลางปีที่แล้ว ใครเคยได้ยิน ที่สวนสัตว์ประเทศซิลี มีชายคนหนึ่ง อายุ 20 ปี ปีนรั้วกัน แล้วกระโดดลงไปในกรงสิงโต พอฝูงสิงโตเห็นเขา ก็ตรงดิ่งเข้ามาเล่นงานทันที ผู้คนส่วนมาก คิดว่าชายผู้นี้เป็นโรคจิต และต้องการที่จะฆ่าตัวตาย เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ เห็นท่าไม่ดี จึงยิงสิงโตตายไป 2 ตัว เพื่อช่วยชายคนนี้ให้มีชีวิตรอด ซึ่งต่อมาถูกนำไปส่งโรงพยาบาลด้วยอาการสาหัส ในข่าวรายงานว่าขณะที่ชายคนนี้ กระโดดลงไปในกรงสิงโต เขาได้ตะโกนข้อพระคัมภีร์ และร้องตะโกนว่า …

“พระเยซูๆ”

ตอนที่กระโดดลงไป และเจ้าหน้าที่ได้ค้นพบกระดาษในกระเป๋าของเขาที่เขียนถ้อยคำ ข้อพระคัมภีร์ในหนังสือดาเนียลที่เรากำลังอ่านนี้ ดาเนียล บทที่ 6 นี่แหละ คงจะอยากทำเหมือนดาเนียลมั้ง อยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง

และก็ไม่ใช่ครั้งนี้เท่านั้น เมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน ก็เคยมีนักเทศน์คนหนึ่งทำแบบเดียวกันนี้ แต่รายนั้นเสียชีวิตในกรงสิงโต ซึ่งจากการพูดคุยกับคนใกล้ชิดกับนักเทศน์คนนี้ ได้รับการบอกเล่าว่าเขามีความเชื่อว่าเขาได้รับการเจิมจากพระเจ้า และทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะปกป้องเขาเหมือนที่ปกป้องดาเนียล

นี่คือตัวอย่างหนึ่งในการเรียนรู้จากพระคัมภีร์ แล้วนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ที่ผิด ซึ่งสิ่งที่เราเรียนรู้จากเรื่องราวของดาเนียล ก็เพื่อให้เรามีความเชื่อและวางใจในพระเจ้า พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงนำพาชีวิตเรา ไปในทางของพระองค์ ไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นไปตามแผนการของพระองค์ เป็นหน้าที่ตัดสินใจของพระองค์ ไม่ใช่ของเรา เพื่อพระสิริของพระองค์ และเพื่อแผนการใหญ่ที่จะเกิดขึ้น  แล้วแต่พระองค์ทั้งสิ้น  ไม่ได้อยู่ที่ความรับผิดชอบของเราเลย ไม่ว่าเราจะตัดสินใจแบบไหนก็ตาม ถ้าเกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้น นี่คือเราเรียนรู้อย่างนี้  ไม่ใช่ให้เราเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ในการทดลองความเชื่อ สถานการณ์แบบดาเนียลมีครั้งเดียว แล้วสถานการณ์แบบนั้น ก็จะไม่มีอีกแล้ว อาจจะดูคล้ายๆ หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชัดรัด เมชาค และอาเบคเนโก ที่ถูกโยนไปในเตาไฟ แต่ก็ไม่เหมือนกัน อาจจะคล้ายๆ หรือกษัตริย์ดาวิด ก็ไม่เหมือนกันอีกที่ไปสู้กับโกลิอัท มีอยู่ครั้งเดียวที่พระเจ้า จะให้ท่านอย่างนั้น หรือจะใช้อีกคนหนึ่ง อาจจะคล้ายๆ กัน แต่ก็ไม่ใช่วิธีการ ไม่ใช่สถานการณ์ เหตุการณ์ที่เหมือนกัน

ในหนังสือมัทธิว บทที่ 4 ตอนที่มารทดลองพระเยซูให้กระโดดลงหน้าผา เพื่อให้พระเจ้ามาช่วย

มารบอก “โดดสิ ในถ้อยคำพระเจ้า พระองค์จะส่งทูตสวรรค์มารองรับเท้าของท่าน ไม่ให้กระแทกถูกหิน”

แล้วพระเยซูตอบมารว่า ..

“อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า”

ก็คือถ้าโดดก็แสดงว่าเราตั้งใจจะโดดเอง เพราะเขาเชียร์ เพราะอารมณ์เรา  เพราะอารมณ์คนนั้นใส่ให้เรา แล้วเราคล้อยตาม แต่ถ้าพระเจ้าให้เราโดดจริง เราจะรู้จากข้างใน พระเจ้าจะนำพาเราเอง เราจะรู้ …

“แล้วรู้ได้อย่างไร?”

“ไม่รู้”

ถามว่าวันนี้ มีคนเอาปืนมาจ่อศีรษะท่าน แล้วบอกให้ท่านปฏิเสธพระเยซู ท่านต้องตอบว่าอย่างไร? ไม่รู้ ถึงวันนั้นผมก็ไม่รู้ ฉันก็ไม่รู้ คำว่าไม่รู้หมายถึง ฉันอาจจะยอมให้เขายิงไปเลย หรือฉันอาจจะบอกว่าไม่เอา ยอมปฏิเสธ เราไม่สามารถวางใจในตัวเราเองได้ แต่เราสามารถที่จะวางใจพระเจ้าในทุกเรื่องได้

เปโตรปฏิเสธพระเยซู 3 ครั้ง แต่พอพระเยซูกลับมา พระเยซูให้เป็นหัวหน้าเลย สาวก 12 คน ที่เป็นผู้เริ่มต้นประกาศข่าวประเสริฐเมื่อ 2,000 กว่าปี หัวหน้าใหญ่สุด คือเปโตร ผู้ซึ่งปฏิเสธพระเยซู 3 ครั้ง ทุกคนปฏิเสธหรือเปล่า ไม่รู้ เพราะไม่ได้เขียนบันทึกถึง เปโตรปฏิเสธ แต่เป็นคนที่เดินตามพระเยซูตอนถูกจับ ยอมเสี่ยงชีวิตไปอยู่ใกล้ๆ เอาอย่างไรล่ะ เราไปตัดสินใจได้หรอกว่าเขากระทำอย่างนั้น เพราะอะไร? แต่วางใจและเชื่อในพระเจ้าว่าพระองค์ควบคุม ครอบครองทุกอย่าง

ทุกวันนี้ ก็ยังมีผู้คน ที่มีความคิดแบบที่ยกตัวอย่างมา และทำในสิ่งที่เป็นการทดลองความเชื่อ อย่างเช่น ท่านเชื่อไหมว่ามีอย่างนี้จริงๆ คือ …

นำงูพิษ มาปล่อยในที่ประชุม แล้วช่วยกันอธิษฐาน เพื่อจะพิสูจน์คำตรัสของพระเยซู ที่บอกว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์ จะจับงูพิษได้ด้วยมือเปล่า แล้วไม่เป็นอันตรายใดๆ เลย มีอย่างนี้เกิดขึ้นจริงๆ

บางกลุ่มก็เอายาพิษมาดื่มด้วยความเชื่อที่ว่าเขาจะดื่มยาพิษใดๆ จะไม่เป็นอันตรายต่อเขา บันทึกในพระคัมภีร์จริงๆ

ตัวอย่างเปาโลเรือแตก น้ำซัดไปที่เกาะ ไปเก็บฟืนเอามาเผาไฟ  เพื่อให้ความร้อนกับผู้คนและตัวเองด้วย ขณะที่หอบฟืนอยู่นั้น งูแอบอยู่ในกองไม้นั้น เป็นงูพิษแรงที่สุด ชาวบ้านรู้ดี ถ้างูนี้กัดใคร? ตายแน่ๆ ปรากฏว่ากัดเปาโล แล้วเปาโลสลัดมันลงในเตาไฟ คนชาวเกาะตกใจ คอยมองเปาโล อีกไม่ถึงนาทีต้องล้มลงแน่ๆ ปรากฏไม่ตาย นึกว่าเทพเจ้า ทุกคนแห่กัน เรียกทั้งเกาะมาเลย ยกเปาโลแบกเลย จนเปาโลต้องบอกว่าเป็นคนธรรมดา เลยดูแลเปาโลอย่างดี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เพื่อเปาโลและพวกที่มาด้วยกันทั้งหมดนั้นจะได้มีข้าวกิน จะมีอะไรดีๆ เพราะคนเหล่านี้ ก็เลี้ยงดูปูเสื่อ แล้วเปาโลก็มีโอกาสประกาศข่าวประเสริฐให้กับชาวเกาะเหล่านั้น แค่นี้เอง

เราต้องคิดอย่างนี้ แผนการใหญ่ของพระเจ้า ตอนนี้มีคนมาเรียนรู้อย่างนี้ แล้วก็เอาไปใช้ผิดๆ น่าเศร้าไหม? เรามาเรียนรู้เรื่องดาเนียล และการอัศจรรย์ที่พระเจ้าให้เกิดขึ้นในชีวิตของดาเนียล ก็เพื่อตอกย้ำความเชื่อที่บอกว่าพระเจ้าทรงควบคุม ครอบครองทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ จำได้ไหม?  โลกนี้ คือละคร พระเจ้าเป็นผู้กำกับเวทีนี้ พระองค์เป็นพระเจ้า เจ้าของความมั่งคั่ง  ทรัพย์สินเป็นของพระองค์ กำลังเป็นของพระองค์ พระองค์จะให้กับใครก็ได้ อย่างไรก็ได้ แล้วแต่พระองค์ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะทำทุกสิ่งให้กับลูกของพระองค์ ผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยความรัก และวิถีทางของพระองค์ที่กระทำนั้น ไม่ใช่วิถีทางเดียวกับที่มนุษย์ทุกคนคิด รวมทั้งเราด้วย  ไม่เหมือนไม่พอ ยัง ไกลกว่ากันมาก

ยกตัวอย่าง บางคนเกิดวิกฤตปัญหาการเงิน ก็ขอพระเจ้าช่วยว่า …

“ลูกขาดอยู่ ขอพระเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด”

แต่บางครั้งการขาดของคนนั้น มันไม่ได้ขาดจริงหรอก มันใช้เกินตัวไป ไม่มีคำว่าพอเพียง แล้วพระเจ้าปล่อยไหม? พอเขาบอกขาด ให้เลย ให้ไปก็เสียคนสิ ไม่มีความพอเพียงอยู่ในตัว อย่างนี้เป็นต้น

เราจะเห็นชัดเจนเลยว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นพิษ เป็นภัยกับคนๆ นั้น ซึ่งพระเจ้ารู้อยู่ ถ้าพระเจ้ารักเขา พระเจ้าก็ต้องช่วยเขาให้หลุดออกมาจากความคิดอย่างนั้น น้ำพระทัยของพระองค์ไม่ใช่อย่างนั้นเลยลูกเอ่ย พระเจ้าก็จะตอบคำอธิษฐานของเราให้ดีกว่าที่เราคิดอยู่ ให้เป็นประโยชน์ ไม่มีโทษ ไม่ใช่ให้ในสิ่งที่เราอยากได้ แต่ให้เราได้ในสิ่งที่ดีกว่าที่เราอยากได้ ซึ่งแรกๆ เราอาจจะไม่อยากได้ก็ได้ สอนเราให้มีสติปัญญาที่จะรู้จักคำว่า “เพียงพอ” หรือ “พอเพียง” ซึ่งรวยที่สุด ไม่ใช่รวยทรัพย์สินเงินทอง แต่รวยพอเพียง มีพอจะรวยที่สุด

หรือบางคนอธิษฐานขอพระเจ้าให้ดูแลสุขภาพ

“พระเจ้าขอให้มีสุขภาพแข็งแรง”

แล้วตัวเอง พอแข็งแรงดี ก็ใช้ร่างกายนั้น ทำมาหากิน หาเงินหามรุ่งหามค่ำ อดหลับอดนอน ไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง เครียด กังวลกับธุรกิจการงานของเรานั่นแหละ แล้วก็อธิษฐานขอพระเจ้าอวยพรการเงินให้เยอะขึ้นอีก ถ้าพระเจ้าทำตามนั้น เราก็เครียดขึ้นอีก เอาอีกๆ เอาไม่พอ แล้วจะได้สุขภาพตามที่เราขอได้ไหม? ก็ไม่ได้ พระองค์ก็จะเอาสิ่งที่ยึดเรานั้น ออกไปจากเราซะ มันจะเจ็บตอนแรก เหมือนผ่าตัดวิญญาณ ดึงมันออกมาเลย ทุกข์ทรมาน แต่มันดีสำหรับเรา เหมือนผีเสื้อที่ออกจากดักแด้ใหม่ๆ จริงๆ มันไม่ยากหรอก แต่วิธีการของพระเจ้ากับเราไม่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ในหลายๆ เรื่องก็เช่นเดียวกัน หลายอย่างที่เราคิดว่าเราควรจะได้หรืออยากได้ พระเจ้ามองการไกลว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะ ไม่ดีที่สุด สำหรับเรา พระองค์ต้องการให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อถวายพระเกียรติ พระสิริ และเป็นไปตามแผนการใหญ่ที่พระองค์ทรงวางไว้สำหรับชีวิตของเรา คือใช้เราให้เป็นประโยชน์ ผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ใช่คนที่ขึ้นมาเทศน์ คนที่เป็นศิษยาภิบาล คนที่เป็นคนรับใช้ แต่ทุกคนเป็นผู้รับใช้ แม้กระทั่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ยังเป็นผู้รับใช้ กษัตริย์ดาริอัสยังเป็นผู้รับใช้

ถ้อยคำพระเจ้าในหนังสืออิสยาห์ พระเจ้าว่า …

“ความคิดของเรา ไม่มีทางเหมือนความคิดของเจ้า ฟ้าสวรรค์ห่างจากแผ่นดินโลกเท่าไร ความคิดของเรา ก็ห่างจากความคิดของเจ้าเท่านั้น  ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าไร ความคิดของเรา ก็ห่างจากความคิดของเจ้าเท่านั้น”

ท่านไปคิดดู ห่างกันเท่าไร? เพราะฉะนั้น ทางเดียวของเรา ก็คือวางใจในพระเจ้า และรับรู้ว่าพระองค์ทรงครอบครองควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งที่พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้นในชีวิตเรา มันจะต้องเกิดเป็นผลดีกับเราเสมอ เอเมน ไม่ว่าขณะนั้น เรามองดูแล้วมันไม่ดี หรือคนข้างๆ บอกไม่เห็นจะดีเลย ป่วยมันดีที่ไหน? แต่เรารู้ว่ามันดีสำหรับเรา นี่คือการเชื่อและวางใจในพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนั้น เพราะมันเป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงให้กับเราอย่างนั้น เอเมน

เราไม่สามารถที่จะเข้าใจและรู้ได้ว่าบางครั้ง พระเจ้าจะให้เราเดินผ่านพายุ โดยทำให้พายุสงบ หรือเมื่อไรพระเจ้าจะจูงมือเราฝ่าพายุที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ มี 2 ทางเท่านั้นเอง อย่างไรก็ต้องไปด้วยกัน จะไปแบบไหน? ก็แล้วแต่พระเจ้า

ทำไมพระเจ้าปล่อยให้คนหนึ่งเจ็บป่วย ทั้งที่เราเห็นว่าเขาทำสิ่งที่ดีงาม ตามตาเรามองเห็น แต่ขณะเดียวกัน คนหนึ่งแข็งแรง ทั้งๆ ที่ไม่เห็นทำอะไรดีมากมายเลย หรือทำไมพระเจ้าทำให้บางคนร่ำรวยขึ้น ทั้งๆ ที่เราคิดว่าทำอย่างนี้ไม่น่ารวย แต่อีกคนหนึ่งดูเหมือนจนลงทุกวัน เราไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมดหรอกที่พูดไปทั้งหมดนี้ แต่วันหนึ่ง เราจะเข้าใจ วันที่เราไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า ที่สวรรค์สถาน เราจะรู้ว่า …

“อ๋อออออ มันเป็นอย่างนี้เอง”

“พระเจ้าอภัยลูกด้วย”

ในพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ

เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ เราต้องใช้ความเชื่อและวางใจ ไม่ใช่ความเชื่ออย่างเดียว ความเชื่ออย่างเดียวมันผิดเพี้ยนไปโน่นไปนี่ได้ แต่ถ้าท่านวางใจด้วย จบ

คำว่า “วางใจ” คือวางภาระลงแล้ว ไม่คิดแล้ว เชื่อบางทียังคิดอยู่ว่า …

“ฉันทำได้อันนั้น อันนี้ ฉันต้องสร้างความเชื่อ ฉันต้องอัดความเชื่อไป ฉันจะต้องมีความเชื่อ จะได้ …”

แต่ตอนนี้ท่านบอกว่า “ถึงไม่เชื่อ ฉันก็วางใจ ฉันได้แค่นี้ จบแล้ว เป็นอย่างไร เป็นกัน แล้วแต่พระองค์เข็นลูกไปด้วยเถิด ลูกเดินไม่ไหวแล้ว”

ถามว่าวางใจเป็นอย่างไร?

“วางใจว่าพระเจ้าเป็นพ่อฉัน แล้วพระองค์เป็นพ่อที่ดี แล้วฉันเป็นลูกของพ่อ และพระองค์ทรงรักลูกทุกๆ คน พระองค์ทรงเตรียมสิ่งที่ดีที่สุด ไว้ให้กับลูกของพระองค์เกินกว่าลูกจะคิดได้ว่าเป็นอย่างไร?”

และที่สำคัญที่สุด พระคัมภีร์บอกเสมอ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่มีอะไรที่พระองค์ทำไม่ได้เลย ต้องวางใจขนาดนี้

และสุดท้าย คือพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ สุจริต ไม่หลอกลวง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหวเลย

“รักก็คือรัก ต่อให้ลูกจะเลวอย่างไร? เขาเป็นลูกเรา ฉันก็จะรักเขา มีอะไรหรือเปล่าซาตาน”

“เขาทำไม่ดีอย่างนี้ ไปสวรรค์ได้อย่างไร?”

“ก็ลูกชายฉัน พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปเขาแล้ว มีอะไรหรือเปล่า?”

“เขาไม่เห็นจะเป็นคนดีเลย ไม่เหมาะเข้าสวรรค์เลย”

“มีอะไรไหม? พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตชำระเขาแล้ว เขาอยู่ในสวรรค์ได้แล้ว มีอะไรไหม?”

จบสุดท้ายต้องเป็นอย่างนี้ คือวางใจ ถ้าท่านไม่วางใจในพระเจ้า ท่านจะตายอยู่ตรงความเชื่อนั้น เพราะท่านจะนั่งคิดว่าตรงนี้ยังไม่พร้อม ตรงนี้ความเชื่อก็น้อย ตรงนี้ความเชื่อหล่นไป ตรงนี้ความเชื่อล้มไป ตรงนี้ก็เชื่อไม่พอ แต่ท่านวางใจเลยว่าตรงนี้พูดว่าอย่างไร?

“พระองค์เป็นพ่อของฉัน ไถ่บาปฉันแล้ว ฉันเชื่อและวางใจ ฉันจบแล้ว อย่างไร ฉันก็ไปสวรรค์”

ถ้าอย่างนั้นง่าย ในชีวิตของเรา เราอาจจะไม่เคยประสบปัญหาหรือประสบการณ์แบบดาเนียล หรือของชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก แบบใหญ่ๆ เราอาจจะไม่เคยเจอ เราอาจจะเชื่อพระเยซูมาปีหนึ่ง สองปี ห้าสิบปี อาจจะรู้สึกประสบการณ์เราไม่เคยมีอัศจรรย์ใหญ่ๆ ผ่านชีวิตเราเลย อาจจะคิดอย่างนั้น เราสามารถมองคนอื่นได้ นี่คือเหตุหนึ่งที่เรามาเรียนเรื่องดาเนียล พระเจ้าให้ดาเนียลบันทึกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะว่าเป็นอัศจรรย์ในหนังสือดาเนียลตั้งหลายบท เพราะพระเจ้าต้องการให้คนมาเชื่อในพระองค์ในยุคเราได้เห็น คนมาเชื่อพระองค์ในยุคก่อนได้เห็นตัวอย่าง นี่พระองค์เป็นอย่างนี้ เป็นผู้ที่ทำอย่างนี้ พระองค์เป็นพระองค์อย่างนี้แหละ เอาประสบการณ์ของเขา มาเป็นกำลังใจให้เรา พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ ไม่ใช่ดาเนียลเขียน เพื่อจะโชว์ตัวเองว่า …

“ฉันผ่านอัศจรรย์มาเยอะแยะ พระเจ้ารักฉันมาก ฉันยิ่งใหญ่”

พระเจ้าไม่ได้ตั้งใจให้เขาเขียนอย่างนั้น แต่เขียนเพื่อให้เราได้เห็นว่าพระเจ้าเป็นใคร? พระองค์ทำเช่นนั้นอย่างไร? ช่วยอาเบดเนโกและเพื่อนๆ อีก 2 คนหลุดออกจากเตาไฟ เพื่ออะไร?  เพื่อให้เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ ความสัตย์ซื่อสุจริตของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงอยู่เคียงข้าง และไม่ว่าจะช่วยออกมา หรือไม่ช่วย พระองค์ก็อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา พระเจ้าต้องการให้เราได้เห็น ได้มีประสบการณ์ร่วมกัน โดยที่เราไม่ได้เข้าไป อย่างเช่นการข้ามทะเลแดงของชาวอิสราเอล ในอดีต ก็เหมือนกัน เพื่อประจักษ์กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ว่านี่คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด นี่คือพระเจ้าผู้ที่ท่านสามารถวางใจได้ ผู้ที่ประทานพระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับท่าน ลองคิดดูนะว่าตั้งแต่เรารู้จักพระเจ้ามา มีอะไรไหมที่พระเจ้าทำอัศจรรย์ในชีวิตเรา เคยนำพาเราผ่านอะไรบ้าง แบบที่เห็นว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อจริงๆ พระองค์ไม่เคยมาสายเลย

บางครั้งเราเห็นว่ามันเล็ก เราไม่สนใจ แต่มีหมดทุกคน พยายามจดจำเอาไว้ เพราะประสบการณ์นั้น ที่ท่านผ่านมา แม้ว่ามันเล็กนิดเดียว เผอิญๆ ว่าวันนั้น ท่านต้องการเงินจำนวนเท่านี้ แล้วไม่รู้จะเอาที่ไหนแล้ว สุดท้ายมาพอดีเลย ไม่เคยสาย หรือว่าเป็นความเจ็บป่วยของท่าน ไม่น่าเชื่อว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ได้อย่างไร?  มันหายได้อย่างไร? ต่างๆ เหล่านี้ แล้วแต่จิปาถะ

สิ่งเหล่านั้นต้องจดจำไว้ เพื่อทำให้ท่าน เกิดความวางใจเพิ่มขึ้น มากขึ้น แล้วเรียนรู้จักคนอื่น คนรอบข้าง คนมีประสบการณ์อะไร เราก็ฟัง ในพระคัมภีร์มีเรื่องอะไร? เราก็ฟัง พระเจ้าผู้เดียวกัน ทำเหมือนเดิม พระองค์ทรงรักและเมตตา ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เราสามารถระลึกได้ว่าพระเจ้าเป็นผู้สัตย์ซื่อนำพาเราผ่าน ขณะที่เราเกิดความกลัวว่าเราจะเผชิญกับอนาคตอย่างไร? พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม พรุ่งนี้จะมีแรงไหม? มะรืนจะนอนป่วยเหมือนคนนอนอยู่โรงพยาบาล ที่เราไปเยี่ยมไหม?  มะเรื่องนี้จะเกิดอุบัติเหตุขึ้น เหมือนกับในหนังสือพิมพ์เขาลงกับเราหรือไม่?  เราอาจจะกลัว แต่ถ้าเรายังจำได้ว่าพระเจ้าผู้นี้ ผู้ที่ช่วยดาเนียลออกจากถ้ำสิงโต ผู้ที่ช่วยชาวยิวผ่านทะเลแดง ช่วยอาเบดเนโกและเพื่อนๆ จากเตาไฟ โดยอัศจรรย์ เคยช่วยเราวันนั้น เราจำได้ ช่วยเราหลุดพ้นออกมา ที่เราป่วยอยู่ ไม่มีแรงแล้ว จำเป็นต้องไปทำงานหนัก วันนั้น พระเจ้าให้กำลังพิเศษออกไปทำงาน แล้วเกิดอัศจรรย์ใหญ่เลย อะไรก็แล้วแต่ วันนั้นที่บ้านแทบจะไม่มีข้าวกินเลย ไฟฟ้าก็ถูกตัดไป ตกเย็น สามารถเชื่อว่าอยู่ดีๆ มีเงิน 2,000 บาทมาจากที่ไหน ลงตัวเป๊ะในการที่จะมีข้าวกิน 1 มื้อและจ่ายค่าไฟได้พอดีเป๊ะ

ท่านอาจจะเห็นว่าเล็กๆ น้อยๆ  แต่ท่านต้องจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ นั่นแหละสิ่งที่พระเจ้ากำลังสร้างในชีวิตของเรา จดจำเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ เป็นกำลังใจว่า …

“ถ้าฉันเชื่อในพระองค์ มันก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้าฉันวางใจในพระองค์ มันจะเป็นอย่างนี้”

วางใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงสามารถเลี้ยงดูฉันได้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์และครอบครองควบคุมทุกสิ่งสารพัด พระองค์ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้ สามารถๆ ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระพละกำลังมากมาย และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อในความรักของพระองค์ที่มีต่อลูกของพระองค์ทุกๆ คน และฉันเป็นลูกของพระองค์

ข้อสำคัญ คือมันเป็นพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีไว้ให้กับเราทุกคน และพระเจ้าที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ ที่ดาเนียลอธิษฐาน ต้องหันไปที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะในช่วงนั้น พระเจ้าไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ได้ พระเจ้าต้องอยู่ในพระนิเวศน์ที่สร้างด้วยมือมนุษย์ ก็คือเหมือนวัดวาอาราม พระเจ้าให้สร้างไว้ที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะฉะนั้น เมื่อเขาจะติดต่อกับพระเจ้า ต้องสื่อให้เห็น แล้วแต่เขาจะอยู่ที่ไหน? เขาต้องหันหน้าไปที่ทิศกรุงเยรูซาเล็ม แล้วก็ตรงไปที่วิหารของพระเจ้า หลับตา หรือลืมตา แต่พุ่งความคิดของเขาไปอยู่ที่การทรงสถิตของพระเจ้าที่วิหารที่นั่น วิหารซาโลมอน ที่เยรูซาเล็ม แต่เราในทุกวันนี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้พูดไว้ในหนังสือฮีบรูว่าพระเจ้าอยู่กับเราแล้วตอนนี้ 2,000 ปีมาแล้ว เมื่อพระเยซูตายไป แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม พระเจ้าอยู่กับเรา เราไม่ต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเฉียงไหน ก็ไม่ต้องแล้ว หันดูตัวเราเอง พระเจ้าอยู่ในเรา นี่แหละคือความอัศจรรย์ยิ่งใหญ่  เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จะไม่กลัว เอเมน พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงเมตตา ทรงรักษาคำพูดของพระองค์เสมอ และตอนนี้พระองค์ทรงอยู่ในเรา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 11 “สิ้นยุคบาบิโลน ตามแผนการพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  มกราคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 11 “สิ้นยุคบาบิโลน ตามแผนการพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มีชื่อตอนว่า “สิ้นยุคบาบิโลน ตามแผนการพระเจ้า” ครั้งที่แล้วเราเรียนรู้พระคัมภีร์ตามหนังสือดาเนียล บทที่ 5 เป็นช่วงเวลาประมาณ 30 ปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ผู้ยิ่งใหญ่ และอยู่ในรัชสมัยของกษัตริย์เนโบนีดัส ซึ่งสนใจแต่การค้าและขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ไม่ชอบเรื่องการปกครอง ก็เลยแต่งตั้งให้ลูกชาย ขึ้นมาปกครองดูแลแทน ลูกชายชื่อกษัตริย์เบลชัสซาร์ ตามเนื้อเรื่องในดาเนียล บทที่ 5  ที่เราได้เรียนรู้กันบอกไว้อย่างนี้ว่ากษัตริย์เบลชัสซาร์ได้กระทำสิ่งชั่วร้าย ในสายพระเนตรพระเจ้า คือสั่งให้นำเอาภาชนะศักดิ์สิทธิ์ ที่ยึดมาจากวิหาร ในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อสมัยเนบูคัดเนสซาร์มาใช้ในงานรื่นเริงในวัง ดื่มเหล้ากับเหล่าขุนนางเมากัน แค่นั้นยังไม่พอ ยังพากันสรรเสริญเทพเจ้ารูปปั้น รูปเคารพต่างๆ อีกมากมาย ด้วยความเย่อหยิ่ง จองหอง และต้องการที่จะลบหลู่พระนามพระเจ้า จนกระทั่งพระเจ้าให้นิ้วมือปรากฏขึ้น แล้วเขียนข้อความบางอย่าง บนผนัง เป็นอักษรปริศนา เหตุการณ์นี้ ทำให้กษัตริย์เบลชัสซาร์กลัวมาก สั่งให้เรียกโหราจารย์และนักปราชญ์ นักอาคมทั้งหลายมาอ่านและแปลความหมายข้อความบนผนัง ซึ่งก็ไม่มีใครทำได้

เราก็รู้อยู่แล้วว่าพระเจ้าจะสร้างฮีโร่อีกครั้งหนึ่งแล้ว จนกระทั่งพระราชินี คือผู้เป็นแม่ของกษัตริย์เบลชัสซาร์ ก็นึกถึงดาเนียลขึ้นมา เพราะว่าอยู่ในรุ่นเดียวกัน ตอนนั้นดาเนียลอายุประมาณ 80 เศษๆ กษัตริย์เบลชัสซาร์ก็เลยให้คนไปตามดาเนียลมาเข้าเฝ้า แล้วก็บอกว่าถ้าดาเนียลอ่านข้อความและแปลสิ่งนี้ได้ จะให้รางวัล คือแต่งตั้งให้เป็นลำดับที่ 3 คือจากพ่อ พระราชบิดา ตัวเขาเอง แล้วก็จะให้รองจากเขาเลย

คราวที่แล้วเราได้อ่านดาเนียล บทที่ 5 จนจบแล้ว เราได้ทราบข้อความปริศนา ซึ่งเป็นเรื่องล้ำลึก เรื่องลี้ลับ ที่ต้องได้รับการเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ให้รับรู้จากพระเจ้าเท่านั้น จึงสามารถทำได้

เราลองย้อนเวลากลับไปที่พระราชวังเบลชัสซาร์ในคืนวันนั้น กำลังเลี้ยงฉลองกัน เอาภาชนะทองคำ อันบริสุทธิ์ ซึ่งปล้นมาจากวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม เก็บไว้ในที่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ที่เป็นวิหารของรูปเคารพที่เขานับถืออยู่ กำลังเลี้ยงใหญ่อยู่ มีขุนนาง แขกมาสักพันคน แล้วปรากฏว่ามีนิ้วมือ เขียนข้อความปริศนาบนผนัง จริงๆ มันเป็นลักษณะของตัวอักษรที่เรียงกันต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ท่านเป็นดาเนียล ท่านจะทำอย่างไร? ท่านคิดว่าท่านแก้ได้ไหม? บนผนังเขียนไว้อย่างนี้

            น ว ช น น ย อ ณ

เรามาลองช่วยกันดู แบ่งคำ ตัดอักษรสองตัวเป็นหนึ่งคำ

น ว / เป็นหนึ่งคำ

ช น / เป็นหนึ่งคำ

น ย / เป็นหนึ่งคำ

อ ณ / เป็นหนึ่งคำ

มันก็มี 4 คำ ท่านจะแบ่งแต่ละตัวเป็นหนึ่งคำ ก็ได้ เช่น น / ว / ช / น / น / ย / อ / ณ  ทั้งหมดเป็น 8 คำ แล้วแต่ท่านจะขีดตรงไหน? คือแบ่งเป็นคำ สมมติว่าแบ่งเป็นคู่ๆ

“น ว” เป็น น้ำหวาน, นับวัน, นี่หว่า, นักวาด, ในวัง

ท่านก็คิดไปเรื่อย นี่ขนาดแบ่งคำก็ยากแล้ว ถ้าจัดกลุ่ม ท่านต้องคิดให้ออกด้วยว่ากลุ่มนั้น มันเป็นคำอะไรได้บ้าง?

ผมลองแบ่งเป็นอย่างนี้ 2 ตัวเป็นหนึ่งคำ แล้ว 3 ตัว เป็นหนึ่งคำ

น ว / ช น น / ย อ ณ

“ช น น” เป็น  ชนนี, ชนะแน่, ใช้แน่นอน, ชั่วแน่นอน

มันไม่ใช่สติปัญญาของมนุษย์ที่จะทำตรงนี้ได้ มันยากมากๆ เลย

ความรักจากพระเจ้าที่ให้ในวันนั้น เกี่ยวข้องกับวันนี้เลย ก็คือให้ดาเนียลเว้นคำ ดาเนียลแบ่งเป็น 3 ตัว “ช น น” คือ ชั่งน้ำหนัก

เสร็จแล้ว 3 ตัวสุดท้าย คือ ย อ ณ  แยกอาณาจักร

พระเจ้าบอกดาเนียลแล้วว่าเป็นอะไร? …

คำที่ 1 น ว … นับเวลา หมายถึงกษัตริย์เบลชัสซาร์ ถูกพระเจ้านับเวลา ในการครอบครองอาณาจักรบาบิโลนหมดแล้ว สิ้นสุด คือการนับเวลา

คำที่ 2 ช น น … ชั่งน้ำหนัก  คือพระเจ้าได้เอากษัตริย์เบลชัสซาร์ เหมือนขึ้นศาล ชั่งน้ำหนัก ปรากฏว่าไม่ได้มาตรฐานของพระเจ้า สอบตก

คำที่ 3 ย อ ณ … แยกอาณาจักร ก็คือเมื่อสอบตก ก็ถูกริบเอาสิทธิอำนาจ และอาณาจักร และตำแหน่งกษัตริย์ออกมาจากเบลชัสซาร์

ก็คือจบ นี่คือสิ่งที่ดาเนียลได้ทำในวันนั้น ซึ่งเมื่อเป็นภาษาพระคัมภีร์ เป็นภาษาฮีบรู หรือภาษาอะไรต่างๆ ในสมัยก่อน อ่านว่า …

เมเน เมเน แปลว่านับเวลา ความหมายคือพระเจ้าได้ทรงนับเวลาของรัชกาลของกษัตริย์เบลชัสซาร์ และนำมาถึงจุดจบแล้ว

เทเคล แปลว่าชั่งน้ำหนัก คือเบลชัสซาร์ถูกชั่งน้ำหนักบนตาชั่ง และเบากว่าที่กำหนด  เบากว่ามาตรฐานพระเจ้า

เปเรส แปลว่าแบ่งแยก ความหมายคือราชอาณาจักรของเบลชัสซาร์จะถูกแบ่งแยก และยกให้ชาวมีเดีย

หลังจากที่ดาเนียลแปลความหมาย ข้อความบนผนังเรียบร้อยแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ว่าในคืนวันนั้นเอง กษัตริย์เบลชัสซาร์แห่งบาบิโลน ก็ถูกปลงพระชนม์ และดาริอัสแห่งมีเดีย ทรงยึดอาณาจักรบาบิโลนได้  ช่วงเวลาในราวปี 539 ก่อนคริสตศักราช มาถึงตรงนี้ เรียกได้ว่าเป็นการสิ้นยุคบาบิโลน ที่เคยเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เรียกว่าเป็นยุคทองของบาบิโลนในสมัยนั้น และมีการสร้างสวนขนาดใหญ่มากบอกไว้ว่าหนึ่งใน 7 มหัศจรรย์โลก มาถึงทุกวันนี้เลย สวนลอยฟ้าแห่งบาบิโลน หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Hanging Gardens of Babylon เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก

ยังจำเหตุการณ์ที่ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ไหมก่อนหน้านี้ ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ฝันเห็นรูปปั้น แล้วดาเนียลก็ทำนายฝันรูปปั้นนั้นว่า …

“ศีรษะ” ทำด้วยทองคำ เล็งถึงอาณาจักรบาบิโลน ที่กำลังรุ่งเรือง

นี่ตอนที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เพิ่งเริ่มครองราชย์ใหม่ๆ บาบิโลนเพิ่งจะเรืองอำนาจใหม่ๆ ไม่กี่ปี พระเจ้าให้คำพยากรณ์ คำบอกล่วงหน้า คำเผยพระวจนะผ่านทางดาเนียลว่ามันเป็นอย่างนี้

“หน้าอกและแขน” ทำด้วยเงิน คืออาณาจักรมีเดียเปอร์เซียที่มาโค่นบาบิโลน

“ท้องและต้นขา” ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงยุคกรีก

“ขา” ทำด้วยเหล็ก คือยุคอาณาจักรโรมัน

“เท้า” ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ก็คือการแผ่กระจายอำนาจของกลุ่มโรมันที่เข้าไปสู่ประเทศเล็กๆ ต่างๆ ในยุโรป จนถึงปัจจุบัน

เมื่ออาณาจักรบาบิโลนล่ม ก็มาสู่อาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย อันที่ 2 เริ่มต้นแล้ว พระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น เป็นอย่างนั้น พออันที่ 2 เริ่มต้นปุ๊บ เดี๋ยวมีเดียเปอร์เซีย ก็จะถูกอาณาจักรกรีกโค่นทำลาย อาณาจักรกรีกก็จะถูกโรมันโค่นทำลาย แล้วหลังจากอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจแล้ว จะมีหินก้อนหนึ่ง ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากพระเจ้า หินก้อนนี้ก็จะมากระแทกถูกเท้าของรูปปั้นนี้ จนแตกกระจายหมด ไม่เหลืออะไรเลย  และหินก้อนนี้ ก็จะค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นภูเขามหึมา คลุมโลกใบนี้หมด และหินก้อนนี้ คืออาณาจักรพระคริสต์

ให้ท่านเห็นว่านิมิตที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ทุกอย่างถูกกำหนดและมีบันทึกไว้ล่วงหน้าอย่างนี้ ก่อนเหตุการณ์จริงๆ จะเกิดขึ้น แม้กระทั่งเวลา ปียังตรง แบบเป๊ะๆ ทั้งหมดเลย

ในเยเรมีย์ อันนี้เป็นอันหนึ่งที่บอกล่วงหน้าแล้วว่าเนบูคัดเนสซาร์เป็นใคร? เยเรมีย์ 27:4-6 สิ่งนี้พูดไว้ ก่อนที่เนบูคัดเนสซาร์จะเป็นกษัตริย์ด้วย พูดก่อนแล้ว

เยเรมีย์ 27:4-6 “4 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า 5 “เราได้สร้างโลก มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ในโลกนี้ โดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ และมือที่เงื้ออยู่ และเรายกสิ่งเหล่านี้  แก่ใครก็ได้ที่เราพอใจ 6 บัดนี้ เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ของเรา แม้แต่สัตว์ป่า เราก็จะทำให้ยอมสยบต่อเขา”

 

นี่คือคำพูดของพระเจ้า พูดกับชาวยิว ชาวอิสราเอล ชาวยูดาห์ พูดว่า …

“บัดนี้เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ ของเรา (หรือผู้ที่เราจะใช้เขา) แม้แต่สัตว์ป่า เราก็จะทำให้ยอมสยบต่อเขา”

ตอนที่พูด ประมาณหลายสิบปีก่อนที่เนบูคัดเนสซาร์จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่ ตรงตามนี้เป๊ะเลย  เขาบอกว่าเขาสามารถควบคุมจิตใจของสิงโต สมัยก่อนพวกเสือ สิงโต ในแถบนั้น เขาถือว่าเป็นสัตว์ที่มีอำนาจ มีพลัง แต่เนบูคัดเนสซาร์สามารถควบคุมสิงโตได้ นี่เรื่องจริง แล้วชอบเรื่องเกี่ยวกับสิงห์สาราสัตว์

นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง หลายสิบปี ให้เห็นว่าที่ชาวยิวถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลนนั้น เป็นเพราะพระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วล่วงหน้า ไม่ใช่เนบูคัดเนสซาร์เก่ง พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ในคำเผยพระวจนะว่าพระเจ้าจะให้อิสราเอลตกอยู่ภายใต้การครอบครองของบาบิโลนเป็นเวลา 70 ปี และจากนั้นอาณาจักรบาบิโลนจะถูกลงโทษบ้าง ถูกโค่นลง ก็คือสมัยกษัตริย์เบลชัสซาร์ที่เราเรียนกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เยเรมีย์ 25:12  ได้บันทึกไว้อย่างนี้

เยเรมีย์ 25:2 “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาติของเขา ซึ่งก็คือแผ่นดินของชาวบาบิโลน เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขาถูกทิ้งร้างตลอดไป”

 

มีเหตุและมีผล กษัตริย์บาบิโลนผู้นี้ ก็คือเบลชัสซาร์ พอครบ 70 ปีตามที่กำหนดไว้เป๊ะ บาบิโลนก็ถูกโค่นล้มลงจริงๆ วันที่ครบ 70 ปี ก็คือวันที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ได้ให้ดาเนียลมาอ่านข้อความบนผนังนั้น บาบิโลนก็ถูกโค่นหมด ในคืนวันนั้น

นี่คือสิ่งที่เราเน้นกันมาตลอด ในการบรรยาย เรื่องของดาเนียลว่าจงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า คำว่า “จงนิ่งเสีย” ก็คือให้เรารับรู้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งสารพัด ทั้งบนฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นแผนการของพระเจ้าทั้งสิ้น พระองค์เป็นผู้กำกับโลกใบนี้ ถ้าเราเปรียบโลกใบนี้เป็นโรงละครโรงใหญ่ พระเจ้าก็ทรงเป็นผู้กำกับ

ชาวยิวต้องมาเป็นเชลยที่บาบิโลน ก็เป็นแผนการของพระเจ้า เนบูคัดเนสซาร์ได้เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เรืองอำนาจ ก็เป็นแผนการของพระเจ้า อาณาจักรบาบิโลนต้องถูกโค่นลง ก็เป็นแผนการของพระเจ้า  ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และรวมทั้งอาณาจักรต่างๆ หลังจากบาบิโลน มาเป็นมีเดียเปอร์เซีย เป็นกรีก เป็นโรม และเป็นอะไรต่างๆ ต่อมา ก็อยู่ในแผนการของพระเจ้า อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ก็อยู่ในแผนการของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เรียบร้อยตอนที่พระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว บอกไว้ล่วงหน้าว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งข้างหน้า พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วพระองค์จะมาเริ่มต้นอาณาจักรสวรรค์ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรพระคริสต์ แล้วรวบรวมผู้คนของพระองค์ทั้งหมด ตั้งแต่ 2,000 ปีแล้ว จะรวบรวมต่อไป และจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด จะครอบครองอยู่เหนือโลกนี้ทั้งหมด และครอบครองอยู่เหนือมหาจักรวาลทั้งหมดเลย และไม่มีอาณาจักรไหนเหลืออยู่แล้ว นอกจากอาณาจักรของพระคริสต์เท่านั้นในอนาคต เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ก็เป็นแผนการของพระเจ้าด้วย และมันก็ต้องเป๊ะๆ เหมือนกันด้วย

ที่สัญญากับเราไว้ว่าสวรรค์เป็นของเรานิรันดร์ เราก็นอนยิ้ม นั่งยิ้มเลย ขณะที่เรานอนหลับกลางคืน ก็ฝันว่าอย่างไร?

มีสวรรค์อันงดงามเลิศนักหนา      ถ้าเราเชื่อจึงจะเห็นได้แก่ตา

พระบิดาประทับคอยทุกเวลา         และเดี๋ยวนี้ ยังเตรียมที่ไว้ก่อนท่า

ในเวลา ไม่ช้านาน                            จะได้ไปถึงที่พักอันสำราญ

ในเวลา ไม่ช้านาน                            ฉันจะได้ไปถึงที่พักอันสำราญ

ที่พักนั้น คือ Kingdom of Chrits. หรือประเทศที่มีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ แล้วเราเป็นประชากร เรามีบัตรประชาชน เขาเรียกว่า ID Card บอกว่าเราเป็นใครในอาณาจักรพระคริสต์ ท่านมีหรือยัง? มีแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้น จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า คือให้เรารับรู้ตรงนี้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่จริงๆ พระคัมภีร์ย้ำเสมอว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม พระองค์ทรงทำงานทุกสิ่งตามแผนงานของพระองค์ เพื่อพระสิริ พระเกียรติของพระองค์ และเพื่อสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นกับใครก็ตามที่พระองค์ทรงสร้างเขาขึ้นมา นำพาเขาขึ้นมา สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ทรงทำให้ดีหมด แม้กระทั่งต้นไม้ ก้อนหิน และมากกว่านั้นสักเท่าไรที่พระองค์ต้องการให้มนุษย์บนโลกใบนี้ได้ดี เพราะมนุษย์บนโลกใบนี้  คือลูกของพระองค์ที่พระองค์ทรงสร้างมา จากวิญญาณของพระองค์เอง มีสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียวที่มีวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในนั้น ก็คือมนุษย์

ดาเนียลกับเพื่อน รวมทั้งชาวยิวก็ถูกต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ทุกครั้งที่เขาเผชิญปัญหา อุปสรรค ท้อแท้ เขาจะเข้าไปหาพระเจ้าเสมอ นี่เป็นตัวอย่างดีอันหนึ่งที่เราสบายกว่าเขาตั้งเยอะ เราเป็นคริสเตียนทุกวันนี้ ปัญหาน้อยกว่าเยอะเลย เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา และจากเรื่องราวของทั้งจากกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์และเบลชัสซาร์แห่งบาบิโลน ก็ได้สอนเราในเรื่องใจที่ถ่อมลง รับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และไม่เย่อหยิ่ง ยโส โอหัง สดุดี 31:23 บันทึกไว้อย่างนี้

สดุดี 31:23 “ประชากรทั้งสิ้นของพระเจ้าเอ๋ย จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปกป้องรักษาผู้ที่ซื่อสัตย์ แต่ผู้ที่เย่อหยิ่งอวดดี พระองค์ทรงลงโทษอย่างเต็มที่”

 

พระเจ้าชอบคนมีใจถ่อม  ซื่อสัตย์  แต่ผู้ที่เย่อหยิ่ง อวดดี พระองค์ทรงลงโทษอย่างเต็มที่ เพราะรักเขานะ

จะเห็นได้ว่าเนบูคัดเนสซาร์เป็นตัวอย่างของผู้ที่ได้รับการอวยพรอย่างมาก และประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ไม่สามารถจัดการกับความสำเร็จของตัวเอง ให้ถูกต้อง ถูกวิธีได้ ไม่สามารถควบคุมความภาคภูมิใจของตัวเอง ให้มันอยู่ในระดับที่พอดีได้ เมื่อความภาคภูมิใจมันเยอะเกินไป มันก็ล้นออกมา จนกลายเป็นความเย่อหยิ่ง ยกตนข่มท่าน คนที่อวดตัว ก็จะไปข่มเหงผู้อื่น ดูถูกผู้อื่น ดูแคลนผู้อื่น พระคัมภีร์จึงบอกว่าเมื่อความเย่อหยิ่งเข้ามา ความพินาศก็จะตามมาทันที สุภาษิต 11:2 บันทึกไว้อย่างนี้

สุภาษิต 11:2 “เมื่อความเย่อหยิ่งมา ความอัปยศก็ตามมา ส่วนปัญญา มากับความถ่อมสุภาพ”

 

สุภาษิต 16:18 “ความยโสโอหัง จะทำให้พินาศ และใจหยิ่งผยอง จะทำให้ล้มคว่ำ”

 

ไม่ใช่ล้มธรรมดา ล้มคว่ำเลย จะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าในยุคไหน? สมัยไหน? ก็ตาม ปกติแล้วพระเจ้าอวยพรให้ ประทานความสำเร็จพิเศษให้ ประทานความสามารถให้ แรกๆ ขอบคุณพระเจ้า

“ลูกขอบคุณพระเจ้า ทุกสิ่งที่ลูกมีอยู่เป็นของพระองค์ ล้วนเป็นของพระองค์ทั้งสิ้น ขอถวายเกียรติแด่พระองค์ผู้เดียว”

นี่คือตอนแรกๆ พอได้ไปเรื่อยๆ ชักชิน ชักใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นานๆ เข้า ความสำเร็จ มันเยอะ ความคิดมันก็เริ่มเปลี่ยนนิดๆ ที่เคยบอกทุกอย่างมาจากพระเจ้า ตอนนี้ก็เริ่มคิดว่าเราก็ไม่น้อยหน้าเขา เราก็เก่งเหมือนกัน เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าเราเก่ง พอเราแน่ คนอื่นก็เริ่มแย่ เริ่มเปรียบ เริ่มทนไม่ไหว เริ่มข่มท่านนั่นเอง นี่แหละความเย่อหยิ่งมักเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเราทำอะไรดีกว่าคนอื่น เหนือกว่าคนอื่น จากที่เชื่อฟังคำแนะนำ คำสอนของผู้อื่น ก็ไม่ฟังใครแล้ว สอนไม่ได้ เตือนไม่ได้ แนะนำก็ไม่ได้ มันโดนหมดเลยนะ คิดให้ดีๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ บางทีบางคนไม่ได้สำเร็จอะไรมาก สำเร็จเรื่องอายุเท่านั้นเอง พอตัวเราเองอายุมาก เด็กๆ มาเตือน

“ฉันเป็นใคร? ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนแกนะ”

นั่นก็คือความเย่อหยิ่งชนิดหนึ่ง มันไม่ได้เป็นความสำเร็จอะไร? นึกว่าเป็นความสำเร็จ เรามีอายุมาถึงปูนนี้ได้ 70-80 ได้ เราก็นึกว่าเราแน่กว่าเขา ไม่ฟังเขา เด็กๆ เขาอาจจะมีแนวคิดแบบเจเนชั่น Z  เราไม่ฟังเขา

“ฉันจะเอาอย่างนี้ สมัยก่อนเป็นอย่างนี้”

“นั่นมันสมัยพ่อ นี่มันสมัยฉันแล้ว”

ระวังจะโดนอย่างนั้นนะ ต้องไปเหมือนสมัยก่อน บางเรื่องโอเค แต่บางเรื่องเราต้องฟังเขา บางเรื่องต้องเปลี่ยนแปลงไป บางเรื่องต้องรักษาไว้ มันต้องฟังบ้าง ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่จะโดนมากกว่า ผู้ใหญ่จะเป็นอย่างนี้มากกว่า เด็กๆ คงไม่อย่างนี้หรอก

ดังนั้น ความเย่อหยิ่ง ผยอง มักเกิดขึ้น เมื่อรู้สึกว่าเราเหนือกว่าผู้อื่น ความเย่อหยิ่งเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ ที่สามารถทำลายชีวิตของเรา หรือใครก็ตาม อย่างเงียบๆ ทีละนิดทีละหน่อย เคยได้ยินไหม ที่เขาพูดว่า …

“ความสำเร็จ ฆ่าคนได้”

ถามว่าความสำเร็จที่ฆ่าคนได้ เพราะอะไร? เพราะถูกฆ่าด้วยความเย่อหยิ่ง ความเย่อหยิ่งฆ่าคนที่สำเร็จใหญ่โตได้ มันมีโอกาสกว่าคนอื่น คนนั้นก็มายอ คนนี้ก็มายอ เมื่อความภูมิใจมีเยอะ โอกาสที่จะเย่อหยิ่งก็เยอะ พอความเย่อหยิ่งเยอะมากขึ้น เดี๋ยวความพินาศ ก็ตามมามากขึ้น นี่มันเห็นเป็นเหตุเป็นผลเลย 1 เปโตร 5:5-6 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 เปโตร 5:5-6 “5 ให้ท่านทุกคนถ่อมใจต่อกันและกัน เพราะว่า “พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ6 เพราะฉะนั้น พวกท่านจงถ่อมใจลง ภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงยกท่านขึ้น เมื่อถึงเวลาอันควร”

 

นี่คือเคล็ดลับจริงๆ อยู่กับพระเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ เคล็ดลับที่คนนึกไม่ถึง ทำอย่างไรเราถึงจะเจริญรุ่งเรืองได้ ทำอย่างไรเราจึงเป็นที่รักของพระเจ้าได้ ทำอย่างไรเราถึงจะอยู่รอดปลอดภัย และทางเรียบ ไม่ขรุขระมากนัก พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ ใครๆ ก็อยากได้พระคุณจากพระเจ้า พระคุณมากยิ่งกว่าพระพรอีกนะ เพราะพระคุณ คือเราทำผิด ก็ยังให้ พระพร ถ้าเราทำผิด ก็ไม่ได้ พระพรเหมือนกับว่ามันเป็นกฎระเบียบ ถ้าท่านไม่ฝ่าไฟแดง ท่านก็จะได้รับพระพร ถ้าท่านฝ่าไฟแดง ท่านก็จะได้รับคำสาปแช่ง แล้วถามว่าตำรวจเป็นศัตรูกับท่านหรือ? เปล่า รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเป็นศัตรูกับท่านหรือ? เปล่า กฎระเบียบเขามีไว้อย่างนี้ว่าถ้าท่านฝ่าไฟแดง ก็คือผิด ต้องโดนลงโทษได้รับคำสาปแช่ง แต่ถ้าท่านไม่ฝ่า ท่านได้พร บางครั้งคนที่ได้พรอยู่ ก็ไม่ได้นึกว่าตัวเองได้พรอยู่ จนกว่าเมื่อไรถูกสาปแช่ง จึงรู้ว่าสมัยก่อนมันคือพร ตอนที่ขับรถอยู่สบายๆ ไม่มีใครมาจับ ไม่เคยนึกถึงว่าเราได้พระพร ฝ่าไฟแดงครั้งหนึ่ง ถึงรู้ว่าการไม่ฝ่า คือพรอันยิ่งใหญ่

พระเจ้าต่อสู้กับคนที่เย่อหยิ่งจองหอง ก็คือคนนั้นไม่ได้พระพร ก็คือกฎระเบียบของพระเจ้าต่อสู้นั่นเอง เพราะฉะนั้น ต้องฝึก ที่จะถ่อมใจ ระลึกอยู่เสมอว่าความสามารถของเราทุกอย่าง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ สำคัญหรือไม่สำคัญ มาจากพระเจ้า อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า ถึงความสามารถที่พระองค์ทรงประทานให้เราเสมอ มีใครภูมิใจในการทำอาหารอร่อยไหม? มันอดไม่ได้ มีคนชมบ่อยๆ เราทำอร่อย  นั่นก็คือความหยิ่งยโสอันหนึ่ง มันจะมาเรื่อยๆ อย่านึกว่าเราไม่ได้ดังอะไร? เราไม่มีใครรู้จัก มันสามารถออกมาได้ ทุกสถานะของผู้คน ถวายเกียรติแด่พระเจ้าทุกครั้งที่ประสบความสำเร็จอะไรก็ตาม ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ขอบคุณพระเจ้าเสมอ

“ทำกับข้าวอร่อยจริง”

“ขอบคุณพระเจ้า”

ไม่ต้องไปบอกอย่างนี้ “ไม่ต้องชมๆ”

ช่างเขา เขาจะชม ก็ขอบคุณพระเจ้า คือรับ แล้วก็มอบให้พระเจ้า ถ้าท่านไปรับเยอะๆ แล้วรับด้วยตัวเอง ท่านต้องรับผิดชอบ ถ้าท่านไม่รับชอบ ท่านก็ไม่ต้องรับผิด ถ้าท่านรับชอบด้วย ท่านก็ต้องรับผิดด้วย เขาจึงเรียกว่ารับผิดชอบ ไม่อร่อย ก็แล้วแต่พระเจ้า

“พระเจ้าให้มาแค่นี้”

ก็ไม่ได้โกรธอะไร?  ถ้าทำอาหารอร่อย ก็ขอบคุณพระเจ้า  ไม่อร่อย เขาว่าเรา ไม่ต้องโกรธ ก็ขอบคุณพระเจ้า แต่ต้องไปฝึกให้มันดีขึ้น

เพราะฉะนั้นเราต้องขอบคุณพระเจ้าก่อนเสมอ มอบให้พระเจ้าก่อนเลย ถูกโวยมา ก็ขอบคุณพระเจ้า ถูกชม ก็ขอบคุณพระเจ้า 1 พงศาวดาร 29:11-12 เป็นการสรุปเรื่องที่เราได้เรียนมาตลอด 11 ตอน ในเรื่องเกี่ยวกับหนังสือดาเนียล

1 พงศาวดาร 29:11-12 “11 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความยิ่งใหญ่ ฤทธานุภาพ เกียรติสิริ บารมี และเดชานุภาพ เป็นของพระองค์ ทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และในพิภพโลก เป็นของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ราชอาณาจักรเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นที่ยกย่องเทิดทูน ในฐานะประมุขเหนือสิ่งสารพัด 12 ความมั่งคั่งและเกียรติมาจากพระองค์ พระองค์ทรงครอบครองเหนือสรรพสิ่ง พลังอำนาจอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ที่จะเชิดชูและประทานกำลังแก่ทุกคน”

 

สรุป ก็คือจงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า  ก็คือรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระผู้ทรงครอบครองควบคุมสรรพสิ่ง ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยพระองค์เอง ผู้ทรงพระเกียรติสิริแต่เพียงผู้เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว และเมื่อรับรู้ขนาดนั้นไม่พอ ต้องรับรู้ต่อจากนั้นด้วย และพระองค์ทรงมอบสิทธิอำนาจทั้งหมด ตำแหน่งต่างๆ เหล่านั้น ให้กับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันอีสเตอร์แรกของโลก 2,000 ปีมาแล้ว สิทธิ์อำนาจทั้งหมดที่เรากำลังพูดอยู่นี้ ที่บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ตลอดเวลาว่าพระองค์เป็นใคร? พระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? บัดนี้ มามอบให้กับพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ที่พระองค์ประทานให้กับมนุษยชาติบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ที่ควบคุมอยู่เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ ก็คือพระเยซูคริสต์ และอาณาจักรของพระเยซูคริสต์นี้ พระคัมภีร์ พระเจ้าได้บอกล่วงหน้าแล้ว เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่บอกล่วงหน้า แล้วเราไปเช็คกันดู แล้วมันก็เกิดขึ้นตามนั้นทุกอย่าง สำหรับอาณาจักรของพระคริสต์  หรือพระบุตรของพระองค์นั้น ได้บันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว เผยพระวจนะไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะดำรงอยู่ตลอดกาล จะปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้มากขึ้นๆ แผ่ขยายไปจนกระทั่งเต็มโลก ตามคำสั่งของพระเจ้า จนบริบูรณ์ คลุมไปหมดเลย เหลืออาณาจักรเดียวในอนาคต ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้าน เหลือประเทศเดียวในอนาคต เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่กว่าประเทศอื่นๆ เพราะว่าระบบ เทคโนโลยีจะสูงสุดเลย  เพราะว่าเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบเทคโนโลยีแบบวิญญาณ เราจะมีร่างกายใหม่ ที่ไม่ใช่เป็นอย่างนี้  มันเป็นการเปลี่ยนระบบทางวิญญาณ

ทุกวันนี้ ท่านรู้ไหมว่าระบบมันเปลี่ยนมา 2,000 ปีอย่างไร? 4,000 ปีอย่างไร? นี่มันเปลี่ยนอยู่นะ ชีวิตพวกเรา ร่างกายพวกเรา การมอง การเห็น มันเปลี่ยนไปตลอด แม้ว่าท่านดูเหมือนมนุษย์ในสมัย 2,000 ปีก่อน  แต่มันไม่ใช่ มันเปลี่ยนไปตั้งเยอะแล้ว ทั้งระบบเทคโนโลยีก็เปลี่ยนไป การรับประทานอาหาร ก็เปลี่ยนไป การเดินทางก็เปลี่ยนไป การใช้เครื่องบิน การใช้จรวดก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปหมดเลย มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และสุดท้าย มันจะเหลืออยู่ประเทศเดียว ที่มีเทคโนโลยีสูงสุดเลย ร่างกายเราจะมียิ่งกว่าคอมพิวเตอร์อีก เรียกว่ากายทิพย์ อาจารย์เปาโลใช้คำนี้  เป็นร่างกายทางฝ่ายวิญญาณ อาจารย์เปาโลบอกว่าร่างกายฝ่ายเนื้อหนังอย่างนี้ ที่เห็นๆ มีใช่ไหม? ร่างกายฝ่ายวิญญาณ ก็มีด้วย และเราจะได้รับร่างกายนั้น เมื่อวันนั้นมาถึง เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า รับรู้ว่าพระเยซูคริสต์ปกครองและควบคุมอยู่เหนืออาณาจักรทั้งมวล เอเมน

และสิ่งทั้งมวลต่างๆ ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นจริง เป๊ะๆ แล้ว สิ่งที่กำลังพูดนี้ เรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรพระคริสต์ ก็ต้องเป๊ะๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น อย่าหยิ่งยโสโอหัง ทะนงตน แต่จงถ่อมใจ และแสวงความจริงจากองค์พระเยซูคริสต์เถิด และพึ่งในพระองค์  ไม่ว่าคนที่เชื่อแล้ว เป็น คริสเตียนแล้ว หรือคนที่ยังไม่เชื่อก็ตาม ถ่อมใจและเชื่อในพระองค์ พึ่งในพระองค์เถิด พระคัมภีร์ได้สอนไว้ว่าใครที่ถ่อม และแสวงหาพระองค์ คนนั้นก็จะได้พร ก็คือคนนั้น ก็จะได้สิ่งที่ดีๆ เข้ามาในชีวิต ใครที่ทะนงเย่อหยิ่ง อวดดี ก็จะได้รับการลงโทษ มันเป็นกฎ มันเป็นระเบียบ

เพราะฉะนั้น ให้เราพึ่งพาในพระเจ้า และผลตามมา ก็คือเมื่อพึ่งพาในพระเจ้า เราก็จะรักมนุษย์ เราจะไม่ยกตนข่มท่าน เราก็จะได้พบกับพระพรในชีวิตเยอะแยะมากมาย สิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ตรงกันข้าม คือเมื่อพึ่งในตัวเอง เราก็จะข่มเหงมนุษย์ แล้วก็จะโอหัง อวดดี แล้วก็จะไม่ได้รับพระพร คือสิ่งดีๆ ในชีวิตเลย

          สรุปแล้ว เป็นตรรกะ เป็นสูตรอย่างนี้ว่า …

                                      …  พึ่งพระเจ้า รักมนุษย์ ถ่อมใจ ได้รับพระพร  …

                   หรือจะ        …  พึ่งตัวเอง ข่มมนุษย์ โอหัง อวดดี ไม่ได้พระพร  …

 

ขอให้ท่านเลือกอย่างแรก ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 10 “จงถ่อมใจและวางใจในการควบคุม ของพระเจ้า (อักษรปริศนาบนผนัง)” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  มกราคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 10 “จงถ่อมใจและวางใจในการควบคุม

ของพระเจ้า (อักษรปริศนาบนผนัง)”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เป็นตอนที่ 10 ของการบรรยายชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” มีชื่อตอนว่า “จงถ่อมและวางใจในการควบคุมของพระเจ้า (อักษรปริศนาบนผนัง)”

เรายังคงเรียนรู้ผ่านทางเรื่องราวของดาเนียล ที่เป็นตัวอย่างของการมอบถวายชีวิตให้กับพระเจ้า และเชื่อวางใจแบบสุดๆ ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมและครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นใด

ครั้งที่แล้ว ดาเนียลบทที่ 4 เราได้จบลง ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ หลังจากที่กลับไปกลับมา ที่สรรเสริญสลับกับความเย่อหยิ่ง ทะนงตน ยังจำได้ใช่ไหมครับว่าดาเนียลทายความฝันถูก เนบูคัดเนสซาร์ก็ยกย่องสรรเสริญพระเจ้า พระเจ้ายิ่งใหญ่ พอแป๊บเดียว ไม่นาน ก็สร้างปฏิมากรรมรูปปั้นทองคำขนาดใหญ่ แล้วก็ทะนงว่าตัวเองใหญ่มาก บังคับให้ผู้คนกราบไหว้ พอเพื่อนดาเนียล ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโกไม่ยอมทำตาม ก็โกรธมาก เปิดไฟแรงที่สุด โยนเลย แต่พอได้เห็นพระเจ้าทำการอัศจรรย์ช่วยเหลือเพื่อนดาเนียลทั้งสามรอด จากการถูกไฟไหม้

“อ้าว! ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก ยังอยู่เหรอ”

ก็เสียงอ่อนเลย ยอมจำนนอีก สรรเสริญพระเจ้า ยกย่องพระเจ้าอีกแล้ว แต่พอยอมจำนนต่อพระเจ้าได้ไม่นาน ก็กลับมาลืมตัวอีก มีอยู่คืนหนึ่ง เนบูคัดเนสซาร์ก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าของพระราชวัง มองลงมา เห็นอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล แล้วก็เห็นความอัศจรรย์ของสวนลอยฟ้าบาบิโลน ซึ่งทุกวันนี้ยังเป็นประจักษ์พยานว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? แล้วพูดว่า …

“เราเองเป็นผู้สร้างอาณาจักรบาบิโลน อันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้  ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเกรียงไกรของเราเอง และเพื่อเกียรติบารมีของเราเอง”

“เรา” ก็เลยซวยเลย  นี่คือสิ่งที่เนบูคัดเนสซาร์ลืมตัวอีกแล้ว แล้วก็พูดตรงนี้ออกมา ทั้งๆ ที่ดาเนียลก็เตือนหลายครั้งแล้วว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? จงถ่อมใจๆ หลังจากนั้น ก็เป็นไปตามเหตุการณ์ที่ดาเนียลเคยทำนายฝันเอาไว้ว่าเนบูคัดเนสซาร์จะถูกไล่ออกไป ใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ป่า และจะอยู่จนครบวาระที่พระเจ้ากำหนดไว้ แล้วจึงกลับมามีใจถ่อมอีกครั้งหนึ่ง มีบันทึกไว้ในหนังสือดาเนียล บทที่ 4 ตอนท้ายว่าไว้อย่างนี้  ดาเนียล 4:34-37

ดาเนียล 4:34-37 “34 เมื่อครบกำหนดแล้ว เรา เนบูคัดเนสซาร์ แหงนหน้าขึ้นมองดูฟ้าสวรรค์ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา เราจึงถวายสรรเสริญองค์ผู้สูงสุด เราเทิดพระเกียรติและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงนิรันดร์  ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ 35 มวลประชาชาติในโลกนี้ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจ ที่จะทำต่อเหล่าทูตสวรรค์ และต่อมวลประชาชาติ ตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่า พระองค์ทำอะไรนี่?” 36 ขณะนั้นสติสัมปชัญญะของเรากลับคืนมา เกียรติและบารมีกลับคืนมาสู่เรา เพื่อสง่าราศีแห่งอาณาจักรของเรา ราชมนตรีและขุนนางทั้งหลายมาตามหาเรา ให้กลับไปครองราชบัลลังก์ดังเดิม และรุ่งเรืองยิ่งกว่าแต่ก่อน  37 บัดนี้ เรา เนบูคัดเนสซาร์ ขอถวายสรรเสริญ และยกย่องเทิดทูนองค์กษัตริย์แห่งฟ้าสวรรค์ เพราะทุกสิ่งที่ทรงกระทำนั้นถูกต้อง และทางทั้งปวงของพระองค์ก็ยุติธรรม บรรดาผู้ดำเนินชีวิตอย่างหยิ่งยโส พระองค์สามารถกระทำให้เขาถ่อมลง”

 

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงเขียนบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เอง  แสดงว่าพระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมไว้ พระเจ้าต้องการให้เนบูคัดเนสซาร์เขียนอย่างนี้ เพื่อที่จะเป็นพยานว่า …

“ฉันกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เชื่อแล้วว่าพระเจ้า เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองทุกสิ่ง แต่เพียงผู้เดียว  ผู้ทรงกระทำทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว ผู้ทรงสมควรได้รับเกียรติแต่เพียงผู้เดียวอย่างนั้นเหรอ ผมว่าไม่ใช่แน่ พระเจ้าอยากให้ทุกคนที่อ่านพระคัมภีร์มาจนถึงยุคปัจจุบัน และต่อไปถึงยุคไหนก็ตาม ได้รู้ว่าพระองค์เป็นอย่างไร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? และใครที่ทำตามที่พระองค์บอกไว้ จะได้พร ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ได้พร คือเชื่อว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด อย่าเย่อหยิ่งจองหอง  อย่านึกว่าตัวเราแน่

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่เรากำลังเรียนรู้ อยู่ในสมัยบาบิโลน ในทางประวัติศาสตร์ เขาเพิ่งจะค้นพบหลักฐานไม่นานนี่เอง คือมีการค้นพบแผ่นประตูทองสัมฤทธิ์ที่มีภาพยืนยันเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมดที่เกิดขึ้น บอกท่านว่าพระเจ้าต้องการให้เป็นคำพยาน ให้ผู้คนได้รู้เรื่องว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ ทุกขั้นตอน ทุกเหตุการณ์ จำได้ไหมเมื่อเราเริ่มเรียนเรื่องนี้ เราใช้ชื่อเรื่องว่าโลกนี้คือละคร โลกนี้พระเจ้าเป็นผู้กำกับ ดูแลอยู่ทั้งหมด พวกเราคือนักแสดง อย่าซ่าส์

และหลังจากที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กลับใจ และถ่อมใจกับพระเจ้าแล้ว เนบูคัดเนสซาร์ก็กลับมาครอบครองบาบิโลนต่อ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ ประมาณปี 562 ก่อนคริสตราช คือก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือก่อนวันคริสตมาสแรกของโลกนี้นั่นเอง อายุประมาณ 83-84 พรรษา ครองราชย์มาทั้งหมด 43 ปี

และเรื่องราวที่เรากำลังจะฟังกันต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากเนบูคัดเนสซาร์สิ้นพระชนม์ไป 30 ปี ในหนังสือดาเนียล 5:1-4

ดาเนียล 5:1-4 “1 กษัตริย์เบลชัสซาร์ทรงจัดงานเลี้ยงใหญ่ ประทานแก่ขุนนางผู้ใหญ่หนึ่งพันคน และทรงเสวยเหล้าองุ่นร่วมกับเขา 2 ขณะเสวยอยู่ ก็รับสั่งให้นำภาชนะเงินและทองคำ ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ราชบิดาได้ยึดมาจากพระวิหารในเยรูซาเล็มนั้น มาให้กษัตริย์ ขุนนาง มเหสี และเหล่านางสนมใส่เหล้าองุ่น 3 พวกเขาจึงนำภาชนะทองคำ ซึ่งริบมาจากพระวิหารของพระเจ้าในเยรูซาเล็ม มาให้กษัตริย์ ขุนนาง มเหสี และเหล่านางสนม ใส่เหล้าองุ่นดื่ม 4 พวกเขาดื่ม พร้อมทั้งสรรเสริญเทพเจ้า ที่ทำจากทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้ และหิน”

 

กษัตริย์เบลชัสซาร์จัดงานเลี้ยงใหญ่ ให้บรรดาเหล่าขุนนาง ก็ดูเหมือนเป็นงานเลี้ยงธรรมดาที่เราก็นึกภาพออก แต่มันไม่ธรรมดาตรงที่เบลชัสซาร์สั่งให้นำภาชนะเงิน และทองคำที่ไปยึดมาจากวิหารในกรุงเยรูซาเล็มมาใช้ใส่เหล้าองุ่นดื่มกินกัน จนเมา ในวิหาร ชาวยิวถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ของในนั้น ต้องบริสุทธิ์มากๆ ก็แสดงว่าภาชนะเหล่านั้น เป็นภาชนะที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่พิเศษ ที่ไว้ใช้สำหรับถวายเกียรติ ถวายงานแด่พระเจ้า แต่เบลชัสซาร์ กลับให้นำมาใส่เหล้าองุ่นดื่มกินกันไม่พอ แล้วยังเอาไป เลี้ยงสรรเสริญเทพเจ้าที่เขานับถือ ที่เขาเคารพ รูปปั้นต่างๆ ที่ทำจากทองคำ จากเงิน จากเหล็ก จากไม้ และหิน  นี่คือการดูหมิ่นแบบตั้งใจ

ไม่ใช่พระเจ้า ไม่พอพระทัย เพราะเราไปดูหมิ่นพระเจ้า แต่เพราะความเย่อหยิ่งจองหอง เป็นศัตรูกับพระเจ้ามาก  ไม่ใช่เพราะพระเจ้าต้องการรักษาชื่อเสียงตัวเอง ไม่ใช่ พระเจ้าไม่อยากให้เราได้สิ่งที่ไม่ดีในชีวิต ไม่อยากให้เราได้รับคำสาปแช่ง ถ้าเราเย่อหยิ่งจองหอง เราจะได้รับคำสาปแช่ง อันนี้เป็นกฎที่วางไว้เลย มาดูกันเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้น ดาเนียล 5:5-9

ดาเนียล 5:5-9 “5 ทันใดนั้น มีนิ้วมือมนุษย์ปรากฏขึ้น และเขียนบนผนัง ใกล้คันประทีป ในพระราชวัง กษัตริย์ทอดพระเนตรดูมือนั้นเขียนไป 6 พระพักตร์ของพระองค์ก็ซีดเผือด ทรงตกพระทัยจนเข่าสั่นกระทบกัน แข้งขาอ่อน หมดเรี่ยวหมดแรง 7 พระองค์ตรัสเรียกให้นำตัวนักเวทมนตร์ โหราจารย์ และหมอดูฤกษ์ยามทั้งหลายมา และตรัสแก่ปราชญ์ของบาบิโลนเหล่านี้ว่า “ผู้ใดก็ตาม อ่านข้อความนี้แล้ว บอกเราได้ว่ามีความหมายว่าอะไร เราจะให้ผู้นั้น สวมชุดสีม่วงกับสร้อยคอทองคำ และให้ครองอำนาจเป็นที่สามในราชอาณาจักร” 8 แล้วปราชญ์ทั้งปวงของกษัตริย์ก็มาเข้าเฝ้า แต่ไม่มีใครสามารถอ่านข้อความที่เขียนไว้ หรือทูลให้กษัตริย์ทรงทราบว่าหมายความว่าอะไร  9 ดังนั้น กษัตริย์เบลชัสซาร์จึงยิ่งตกพระทัย และพระพักตร์ยิ่งขาวซีด ขุนนางทั้งปวงก็ว้าวุ่นใจ”

 

เบลชัสซาร์เอาจอกศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า มากินเมากันใหญ่ แล้วก็มีนิ้วมือเคลื่อนที่ไป หยุดที่กำแพง แล้วเริ่มเขียนอะไรบางอย่าง ในนี้บอกว่ากษัตริย์เบลชัสซาร์ตกใจจนหน้าซีดเผือด แสดงว่ามันน่ากลัวมาก แถมเข่าสั่นกระทบกัน ต้องตกใจมากๆ ยิ่งกว่าคนที่จะถูกนำไปประหารชีวิตอีก

แล้วกษัตริย์เบลชัสซาร์ก็เรียกให้โหราจารย์และนักปราชญ์ ทั้งราชอาณาจักรบาบิโลน มาช่วยอ่านอักษรปริศนาบนผนังให้ทีว่ามันแปลว่าอะไร?  แล้วก็ประกาศว่าใครที่อ่านอักษรนี้หรือแปลอักษรปริศนานี้ได้ จะให้รางวัล จะให้สวมชุดสีม่วงกับสร้อยคอทองคำ ให้ครองอำนาจ เป็นที่ 3 ในราชอาณาจักรบาบิโลน ที่ 3 ก็คือรองจากพระราชบิดา รองจากเบลชัสซาร์ แล้วคนนั้นจะได้ตรงนี้

แต่แม้จะประกาศให้รางวัลขนาดนี้ ก็ยังไม่มีนักปราชญ์ หรือโหราจารย์คนไหนในบาบิโลนสามารถตอบได้อีก ก็ถึงเวลาของพระเจ้าจะสร้างฮีโร่อีกแล้ว ดูสิว่าคราวนี้ใครจะเป็นฮีโร่ ดาเนียล  5:10-12

ดาเนียล 5:10-12 “10 พระราชินีทรงได้ยินพระสุรเสียงของกษัตริย์ และเสียงเหล่าขุนนาง ก็เสด็จเข้ามาในท้องพระโรง ซึ่งมีงานเลี้ยงนั้น พระนางตรัสว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอจงทรงพระเจริญ อย่าตกพระทัยจนพระพักตร์ซีดเลย 11 มีชายผู้หนึ่งในราชอาณาจักร ซึ่งมีวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์สถิตด้วย ในรัชสมัยของพระราชบิดา เราพบว่าชายคนนี้มีสติปัญญา ไหวพริบ และความหยั่งรู้เสมอเหมือนเทพเจ้า กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ราชบิดาของพระองค์จึงทรงแต่งตั้งเขา ให้เป็นหัวหน้านักเล่นอาคม นักเวทมนตร์โหราจารย์ และหมอดูฤกษ์ยามทั้งปวง 12 ดาเนียลผู้นี้ ซึ่งกษัตริย์ตรัสเรียกว่าเบลเทชัสซาร์เป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม มีความรู้ความเข้าใจ และยังสามารถทำนายฝัน แก้ปริศนา และปัญหายุ่งยากทั้งหลาย ขอให้ตามตัวดาเนียลมาเถิด เขาจะสามารถกราบทูลว่าข้อความนี้หมายความว่าอะไร”

 

พระราชินีคงหมายถึงมเหสีใหญ่ คือมเหสีของพระราชบิดา คือพ่อนั่นเอง และเป็นแม่ของกษัตริย์เบลชัสซาร์ พระราชินีได้ยินเสียงเอะอะโวยวายในท้องพระโรง อาจจะเป็นเพราะคนที่อยู่ข้างๆ ตกใจกลัว ที่อยู่ในงานเลี้ยงนั้น ก็เลยเดินมาดูว่าเป็นอย่างไร?

พระราชินีจำได้คุ้นๆ ว่าเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น  และมีคนทำได้  แม่ก็จำได้ว่าดาเนียลนี่แหละ ที่เคยทำนายฝันให้เนบูคัดเนสซาร์ ก็เลยบอกว่า …

“ลูกเอ่ย ไปตามดาเนียลมา คนนี้ยอดเยี่ยม คนนี้ช่วยได้ คนนี้อ่านออก”

เบลชัสซาร์รีบทันทีเลย ไปตามดาเนียลมาเร็ว แล้วเกิดเหตุอะไรต่อ ดาเนียล 5:13-16

ดาเนียล 5:13-16 “13 ดาเนียลจึงถูกนำตัวมาเข้าเฝ้า กษัตริย์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าคือดาเนียล เชลยที่ราชบิดาของเรานำตัวมาจากยูดาห์หรือ! 14 เราได้ยินมาว่าวิญญาณของเทพเจ้าอยู่ในตัวเจ้า และเจ้ามีความหยั่งรู้ ไหวพริบและสติปัญญาล้ำเลิศ 15 เราได้เรียกบรรดาปราชญ์ และนักเล่นอาคม ให้มาอ่านข้อความนี้ และแจ้งความหมายแก่เรา แต่พวกเขาอธิบายความไม่ได้ 16 เราได้ยินมาว่าเจ้าสามารถอธิบายความ และแก้ปริศนาอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนได้ หากเจ้าสามารถอ่านข้อความนี้ และบอกความหมายแก่เราได้ เราจะให้เจ้าสวมชุดสีม่วง และสวมสร้อยคอทองคำ แล้วแต่งตั้งให้เจ้าครองอำนาจเป็นที่สามในราชอาณาจักร”

 

ข้อ 13 “ดาเนียลจึงถูกนำตัวมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าคือดาเนียล เชลยที่ราชบิดาของเรานำตัวมาจากยูดาห์หรือ!”

เจ้า คือทาส คือต่ำกว่าเรานั่นเอง ไม่ได้ให้เกียรติดาเนียลเลย

นี่คือการแสดงออกถึงความหยิ่งยโส โอหัง อวดดีของเบลชัสซาร์ ที่มีต่อคนอื่น แม้กระทั่งตัวเองกำลังตกอยู่ในภาวะเดือดร้อนก็ตาม แต่มันอยู่ในใจเขา อาการของความเย่อหยิ่ง จองหอง โอหัง ความภูมิใจตนเองจนเกินไป  ซึ่งพระเจ้าไม่ชอบมาก พระคัมภีร์บอกว่าความเย่อหยิ่งนำหน้าความล้มลง นำหน้าความพินาศ ไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม คนที่เย่อหยิ่ง จองหอง เขาจะดูแคลนคนอื่นเสมอ ดังนั้นพังเพยไทยถูกต้องเสมอ  “ยกตนข่มท่าน”

ยกตนเมื่อไร ข่มท่าน เมื่อนั้น ก็คือเย่อหยิ่งจองหองเมื่อไร โอหังเมื่อไร มันจะดูแคลนคนอื่นเสมอ นี่ออกมาจากใจลึกๆ ของเบลชัสซาร์ ดูแคลนชาวยิว คนละระดับกันเลย

“ยิวคือพวกที่ถูกต้อนมา มาเป็นเชลยในบาบิโลน แล้วฉันเป็นใคร? ฉันเป็นชาวบาบิโลน แล้วแถมเป็นกษัตริย์ด้วย แม้ว่าจะได้รับการแต่งตั้งจากเสด็จพ่อ ฉันก็ไม่ให้เกียรติ”

เรามาดูสิว่าดาเนียล เจอดูถูกอย่างนี้ จะช่วยไหม? จะทำอย่างไรดี? ดาเนียล 5:17-23

ดาเนียล 5:17-23 “17 ดาเนียลจึงทูลกษัตริย์ว่า “ขอทรงเก็บของประทานไว้ และปูนบำเหน็จแก่ผู้อื่นเถิด อย่างไรก็ดี ข้าพระบาทจะอ่านข้อความถวายฝ่าพระบาท และทูลความหมายให้ทรงทราบ 18 ข้าแต่กษัตริย์ พระเจ้าสูงสุดได้ประทานราชอำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเกียรติบารมีแก่เนบูคัดเนสซาร์ ราชบิดาของฝ่าพระบาท 19 เนื่องจากฐานะสูงส่งที่พระเจ้าประทานให้พระองค์มวลประชาชาติและคนทุกภาษา จึงยำเกรงครั่นคร้ามพระองค์ ผู้ที่กษัตริย์ประสงค์ให้ประหาร ก็จะถูกประหาร ผู้ที่ทรงประสงค์ให้ไว้ชีวิต ก็จะรอดชีวิต ทรงให้ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือถอดถอนผู้ใด ตามแต่ชอบพระทัย 20 แต่เมื่อพระทัยของพระองค์เย่อหยิ่ง และกำเริบเสิบสาน พระเจ้าจึงทรงปลดพระองค์ออกจากราชบัลลังก์ และริบเอาเกียรติบารมีของพระองค์ไป 21 พระองค์ทรงถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ และได้รับความคิดจิตใจแบบสัตว์ ทรงใช้ชีวิตอยู่กับลาป่า กินหญ้าเหมือนวัว กายตากน้ำค้าง จนกระทั่งทรงเรียนรู้ว่าพระเจ้าสูงสุดทรงครอบครอง เหนืออาณาจักรของมนุษย์ทั้งปวง และทรงตั้งผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย ให้ครองอาณาจักร 22 ข้าแต่เบลชัสซาร์ แต่ฝ่าพระบาทผู้เป็นโอรส ทรงทราบเรื่องทั้งหมดนี้ แต่ก็ไม่ได้ถ่อมพระทัยลง 23 กลับยกองค์ ลบหลู่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ทรงให้นำภาชนะจากพระวิหารของพระเจ้า มาให้ฝ่าพระบาท ขุนนาง มเหสี และเหล่านางสนม ใส่เหล้าองุ่นดื่ม ทรงยกย่องสรรเสริญเทพเจ้าที่ทำจากเงิน ทอง ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้ และหิน ซึ่งมองอะไรไม่เห็น ฟังอะไรไม่ได้ยิน และไม่เข้าใจ ฝ่าพระบาทไม่ได้เทิดพระเกียรติพระเจ้า ผู้กุมชีวิตและวิถีทางทั้งปวงของฝ่าพระบาทไว้ในพระหัตถ์”

 

ดาเนียลตอนนั้น คงกำลังโมโห แต่ไม่ใช่โมโห เพราะเขาดูถูกตัวเอง แต่ไม่พอใจสิ่งที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ทำ เป็นการดูหมิ่น ด้วยความตั้งใจ ต่อพระเจ้า ทั้งๆ ที่รู้ เขาเรียกว่าโอหัง ก็เลยพูดประชดว่า …

“รางวัลที่จะให้ เก็บไว้เถอะ”

ไม่อยากได้เลย ไม่เหมือนกับสมัยที่เนบูคัดเนสซาร์ให้รางวัล ดาเนียลก็รับธรรมดา ไม่ได้ทำขนาดนี้

และก่อนดาเนียลจะบอกความหมายให้กษัตริย์เบลชัสซาร์ได้รู้ ดาเนียลก็ได้ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในสมัยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าพระเจ้าเคยสอนเนบูคัดเนสซาร์มาอย่างไร?  ให้เห็นว่าพระเจ้า คือผู้ที่ควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ความยิ่งใหญ่ อำนาจ บารมีทั้งหลาย ที่เคยอยู่คู่กับเนบูคัดเนสซาร์ ก็มาจากพระเจ้า ที่เป็นผู้ประทานให้ทั้งสิ้น แต่เมื่อเนบูคัดเนสซาร์เกิดเย่อหยิ่ง พระเจ้าก็ทรงปลดออกจากการมีอำนาจ บารมีทุกอย่าง และต่ำจนถึงขนาดต้องไปใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ในป่า จนกระทั่งเรียนรู้ว่าพระเจ้าสูงสุด ทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ทั้งปวง และทรงตั้งผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัยให้ครองอาณาจักร

ดาเนียลกำลังทบทวนให้เบลชัสซาร์ได้รู้ว่าก่อนหน้านี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เคยเจออะไรมาบ้าง? และมาถึงตอนนี้ นี่คือสิ่งที่ดาเนียลพูดกับกษัตรย์เบลชัสซาร์ว่า …

“ข้าแต่เบลชัสซาร์ ฝ่าพระบาทเป็นโอรส ทรงทราบเรื่องนี้ทั้งหมดไม่ใช่เหรอ แต่ก็ไม่ได้ถ่อมพระทัยลง กลับยกตัวเองขึ้น ลบหลู่ โอหัง ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ทรงให้นำภาชนะที่มาจากวิหารของพระเจ้ามาให้ฝ่าพระบาท ขุนนาง มเหสีทั้งหลายใส่เหล้าองุ่นดื่มกิน ทรงยกย่องเทพเจ้าที่ทำด้วยรูปปั้นเหล่านั้น เหล็ก ไม้ หิน ซึ่งมองก็ไม่เห็น ฟังก็ไม่ได้ยิน และก็ไม่เข้าใจด้วย ฝ่าพระบาทไม่ได้เทิดพระเกียรติพระเจ้าผู้กุมชีวิต และวิถีทางทั้งปวงของฝ่าพระบาทไว้ในพระหัตถ์เลย”

ดาเนียล 5:24-31 “24  ฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงส่งมือมาเขียนข้อความนั้น 25 ข้อความนั้นเขียนไว้ว่า “เมเน เมเน เทเคล ปาร์ซิน” 26 “ความหมายนั้น ก็คือเมเน หมายความว่าพระเจ้าได้ทรงนับวันเวลาแห่งรัชกาลของฝ่าพระบาทไว้ และนำมาถึงจุดจบ 27 เทเคล หมายความว่าฝ่าพระบาทถูกชั่งบนตราชั่ง และเบากว่าที่กำหนด 28 เปเรส หมายความว่าราชอาณาจักรของฝ่าพระบาทถูกแบ่งแยก และยกให้ชาวมีเดียและเปอร์เซีย” 29 แล้วเบลชัสซาร์รับสั่งให้ดาเนียลสวมชุดสีม่วงและสร้อยคอทองคำ แล้วแต่งตั้งให้เป็นผู้ครอบครองอันดับที่สามของราชอาณาจักร 30 ในคืนวันนั้นเอง กษัตริย์เบลชัสซาร์ของชาวบาบิโลนก็ถูกปลงพระชนม์ 31 และดาริอัสแห่งมีเดีย ทรงยึดอาณาจักรบาบิโลนได้ ขณะนั้น ดาริอัสทรงมีพระชนมายุ 62 พรรษา”

 

สรุปความหมายของอักษรปริศนาบนผนัง ก็คือเมเน เทเคล ปาร์ซิน หมายความว่าพระเจ้าได้ทรงพิพากษากษัตริย์เบลชัสซาร์แล้ว และพระองค์สอบไม่ผ่าน เพราะฉะนั้น พระเจ้าจะทรงริบอำนาจ บารมีทั้งหมด คืนจากพระองค์

จบเลย งานเลี้ยงเลิกรา หลังจากดาเนียลอ่านข้อความ ตีความหมายให้เบลชัสซาร์เสร็จแล้ว  กษัตริย์เบลชัสซาร์ก็ทำตามคำสัญญา ก็มอบตำแหน่งรองอันดับ 3 ยิ่งใหญ่สูงสุดของบาบิโลนให้กับดาเนียล แต่ดาเนียลก็ได้เป็นผู้ครอบครองระดับ 3 ของบาบิโลนสมัยนั้น ได้ไม่ถึงวันด้วยซ้ำ เพราะในข้อที่ 30 บอกว่าในคืนวันนั้นเอง กษัตริย์เบลชัสซาร์ของชาวบาบิโลน ก็ถูกปลงพระชนม์ และดาริอัส แห่งมีเดีย ทรงยึดอาณาจักรบาบิโลนได้

ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ในวันที่เกิดเหตุ เข้ายึดครองบาบิโลนได้นั้น ตรงกันวันที่ 12 เดือนตุลาคม ปี 539 ก่อนคริสตศักราช เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ในดาเนียล บทที่ 5 ที่เรากำลังอ่านนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 เดือนตุลาคม ปี 539 ก่อนคริสตศักราชนั่นเอง คืนนั้น แล้วรุ่งขึ้น ก็เปลี่ยนยุค เป็นของเมโดเปอร์เซีย ถูกยึดไปแล้ว

ในประวัติศาสตร์มีบันทึกไว้ว่าชาวมีโดเปอร์เซีย ได้ยกทัพมาประชิดบาบิโลน แล้วก็เจาะทะลุอุโมงค์ใต้น้ำ ปกติสมัยก่อน เมือง โดยเฉพาะในวัง ในส่วนลึก เขาจะมีน้ำล้อมรอบ ทหารของมีเดียเปอร์เซีย ลงไปใต้น้ำ แล้วก็ไปเจาะกำแพง ใต้น้ำนั้น มุดเข้าไป ไปโผล่ที่ห้องบรรทมพอดี เจอเบลชัสซาร์ปลงพระชนม์ในคืนวันนั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นไปตามพระเจ้ากำหนดไว้ทุกประการ ถามว่าทำไมพระเจ้าดลใจให้เนบูคัดเนสซาร์ ที่เคยดูหมิ่นพระเจ้า โอหังต่อพระเจ้าเหมือนกัน หรือเขาเรียกว่าทะนงตน แต่พระเจ้ากลับให้อภัย แล้วให้โอกาสให้เขามีการกลับใจใหม่ ท่านคิดไหม?

ในสมัยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เคยได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า ตอนที่เคยถ่อมใจ ยอมจำนนต่อพระเจ้า ระลึกถึงว่าพระเจ้าเป็นใคร? ปุ๊บ จนได้เขียนสรรเสริญพระเจ้า ในบทที่ 4 ที่เราได้อ่านไปแล้ว สรรเสริญใหญ่เลย  เพราะพระเจ้าให้โอกาสเขา ถูกไหม? แต่มาถึงกษัตริย์เบลชัสซาร์ต่างกัน เนบูคัดเนสซาร์ไม่เคยได้ยิน แต่เบลชัสซาร์เคยได้ยินมาก่อน จากบรรพบุรุษแล้ว ผ่านทางเนบูคัดเนสซาร์งว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างไร? เนบูคัดเนสซาร์เขียนบันทึกไว้เรียบร้อย เป็นบันทึกของบาบิโลนเลย เป็นเรื่องที่ดังมาก กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เขียนไว้ให้ทุกคนได้รู้ รวมทั้งลูกหลานของตัวเองด้วย เพราะฉะนั้น เบลชัสซาร์ก็ต้องรู้อย่างแน่นอนว่าพระเจ้าผู้นี้เป็นใคร? พูดง่ายๆ ทำอะไรไว้ แต่ทั้งๆ ที่รู้ ก็ยังเย่อหยิ่ง จองหอง ไม่ถ่อมใจ ลบลู่พระเจ้าถึงขนาดเอาภาชนะทองคำของชาวยิว ซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ในพระวิหารออกมาใช้ในงานเลี้ยง เอามาดื่มเหล้ากัน มันเป็นการเหยียดหยามมาก พระเจ้าเลยไม่ให้โอกาสเลย

เราอาจจะทำไมคนนี้ได้ คนนั้นไม่ได้ แต่พระเจ้าดูที่ใจของคนนั้นว่าเขาเย่อหยิ่งจองหองขนาดไหน? บางคนอาจจะหยิ่งเฉยๆ บางคนอาจจะลืมตัวทะนงตนเฉยๆ แต่ไม่ถึงขนาดโอหัง กำเริบเสิบสานขนาดนั้น ตอนเนบูคัดเนสซาร์ พระเจ้าให้โอกาส เพราะพระเจ้ามองเห็นจิตใจข้างในของเนบูคัดเนสซาร์ว่ายังมีความถ่อมใจอยู่

ตั้งแต่วันที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งถึงตายที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ครอบครองอาณาจักรในโลกวิญญาณแล้ว ตั้งแต่วันนั้นมีเยอะแยะมากมาย ที่ทำเหมือนเนบูคัดเนสซาร์และทำเหมือนเบลชัสซาร์อย่างนี้ มี 2 พวกเลย พวกหนึ่งทำ เพราะข้างในยังมีโอกาสถ่อมอยู่ แต่ไม่รู้ พอเจออะไรหลายๆ อย่างพระเจ้าสอน กลับใจ ยอม แต่ก็มีอีกหลายคนที่รู้ ก็ไม่ยอม รู้ ก็โอหังต่อไป สุดท้ายเป็นเหมือนเบลชัสซาร์ แล้วเราควรจะทำอย่างไร? ที่เรากำลังเรียนรู้เรื่องเขา

ปัจจุบัน ท่านจะไปไหนก็จะเจออยู่ 2 พวกนี่แหละ

ให้เราอยู่เฉยๆ อธิษฐานในใจ

“ขอพระเจ้าเมตตาเขา ให้เหมือนกับที่ประทานความเมตตาให้กับเนบูคัดเนสซาร์เถิด ช่วยเขาด้วยเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป อย่างน้อยให้เขามีโอกาสกลับใจใหม่ด้วยเถิด ให้เขาถ่อมใจ ให้เขารู้จัก ให้เขาเห็นพระองค์ด้วยเถิด”

เราคงไม่อธิษฐานขอให้เป็นเหมือนเบลชัสซาร์ เป็นไปเลยแล้วกัน พรุ่งนี้แล้วกัน ขอเป็นวันนี้เลยแล้วกัน เบลชัสซาร์ยังได้ตั้งหลายชั่วโมงนะ บางทีหลายครั้ง เราอึดอัดใช่ไหม? เพราะเรารักพระเจ้าของเรา ก็มนุษย์ธรรมดา ใครรักใคร ก็หวงของเรา เรารักของเรา ดังนั้นตรงนี้ก็เป็นอันหนึ่งให้เราได้เห็นว่าเราไม่ต้องกลัว แทนที่จะกลัวและโมโห เราควรจะมีเมตตา สงสาร เข้าใจเขามากกว่า ตกใจแทนเขา

เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าทรงครอบครอง ควบคุมทุกสิ่ง เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว พระองค์จะยกอาณาจักรผู้ใดก็ได้ ตามแต่น้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงพอพระทัยผู้ใด ผู้นั้น ก็ได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ และพระองค์บอกว่าพระองค์ชอบคนที่มีใจถ่อม นี่เคล็ดลับ เพราะฉะนั้น ใครอยากได้อะไรดีๆ จากพระเจ้า ก็ให้มีใจถ่อม มากกว่าการอธิษฐานด้วยซ้ำ อธิษฐานไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าข้างในใจมีแต่ความเย่อหยิ่ง ความจองหอง ท่านต้องฝึกฝนใจถ่อม พอท่านใจถ่อม ต่อให้ไม่อธิษฐานอะไรเลย พระเจ้าก็อยากจะให้

“พระเจ้าช่วยลูกเถอะ ให้ลูกเป็นคนใจถ่อม”

ให้เราวางใจ และวางภาระของเราลง สำหรับคริสเตียน คนที่รู้จักพระเจ้าแล้ว ก็ตามหัวข้อซีรี่ส์นี้ ก็คือจงนิ่งเสีย และรับรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ผู้ทรงเป็นผู้สร้างฮีโร่ เพราะฉะนั้น อย่าโอหัง จงรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า บางคนเอาพระคัมภีร์ข้อนี้ขึ้นมา จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า นึกถึงแต่ความยิ่งใหญ่อย่างเดียว ต้องนึกถึงว่าจงรับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือสรรพสิ่ง ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ผู้ทรงครอบครองและทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราทำอะไรได้ เราอธิษฐานสั่งพระเจ้าทำอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น จงถ่อมใจ อย่าโอหัง และรับรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า จงพูดกับตัวเองเสมอ พูดกับคนอื่นเมื่อไร คือเป็นคนเย่อหยิ่ง

คนเย่อหยิ่ง โอหัง คนที่ยกย่องสรรเสริญตัวเอง จะมีอาการหนึ่งออกมา ก็คือยกตนข่มท่าน เขาจะเหยียดคนอื่น เขาจะดูถูกคนอื่น เขาจะไม่ให้เกียรติคนอื่น เมื่อไรท่านเห็น เช็คในจิตใจท่าน รีบขอพระเจ้าเอามันออกไปที ก่อนอะไรทั้งสิ้นเลย เอเมน จำไว้เลย

เพราะฉะนั้น อย่าโอหัง อวดตัว ดูหมิ่นผู้อื่น ดูหมิ่นพระเจ้า เราคงไม่ดูหมิ่นแล้ว เพราะเราเป็นคริสเตียนแล้ว แต่เราจะดูหมิ่นพระเจ้าทางอ้อม โดยไม่รู้ ก็คือเราดูหมิ่นคนอื่น พอเราดูหมิ่นคนอื่น ก็คือเรากำลังเย่อหยิ่งจองหอง เมื่อเราเย่อหยิ่งจองหอง ก็คือเราไม่เชื่อในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้ารู้ทรงครอบครองควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่

เพราะฉะนั้น ท่านเห็นภาพตรงนี้แล้วนะ จากนี้ต่อไป วางใจในพระเจ้าทุกอย่าง ทุกอย่างอยู่ที่พระองค์ และอย่าเย่อหยิ่ง ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น นิ่งๆ และรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มอบภาระทุกอย่างไว้ที่พระองค์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 9 “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  มกราคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 9 “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด

เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายวันนี้เป็นตอนที่ 9 ของซีรี่ส์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” วันนี้มีชื่อตอนว่า “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว” เรายังอยู่ในเรื่องราวเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ดาเนียลอยู่ ช่วงและสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่พระเจ้าเรียกว่า “ผู้รับใช้ของเรา” ซึ่งพระองค์ได้เตรียมความยิ่งใหญ่ให้เนบูคัดเนสซาร์ พระเจ้าเป็นผู้สร้างกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ให้เป็นฮีโร่อย่างที่ผมเคยบอก พระเจ้าควบคุมทุกอย่าง สร้างสถานการณ์ และสร้างฮีโร่ จากตอนก่อนๆ ที่ได้อ่านกันไปแล้วว่าพระเจ้าเป็นผู้เตรียมเนบูคัดเนสซาร์ให้เป็นจอมจักรพรรดิ แห่งบาบิโลน ให้เรืองอำนาจในสมัยนั้น ไปรบที่ไหน ก็ชนะ พระเจ้าก็ประทานอาณาจักรต่างๆ ก็คือประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะใหญ่เล็กในสมัยนั้น ให้อยู่ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ รวมทั้งอาณาจักรยิว คืออาณาจักรอิสราเอลของพระเจ้าด้วย ยกให้ไปเลย แล้วเนบูคัดเนสซาร์ก็รับใช้พระเจ้าตามแผนการของพระองค์ ด้วยวิธีการต่างๆ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ไม่รู้ว่าพระเจ้าควบคุมอยู่

เนบูคัดเนสซาร์ได้รู้จักพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่บ้าง ผ่านทางดาเนียล ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก 4 หนุ่มน้อยยิว ที่ไปชนะอิสราเอล ปล้นอิสราเอล เอาทรัพย์สินเงินทอง ทุกอย่างของอิสราเอลกลับมา รวมทั้งผู้คนด้วย 4 คนนี้ ก็คือ 1 ในจำนวนที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก และดาเนียล พระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ใหญ่ให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ผ่านทางเด็กหนุ่ม 4 คนนี้ และกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าทุกครั้ง และทุกครั้งที่ยอมจำนน หลังจากนั้นไม่นาน ก็หยิ่งอีกแล้ว

ดาเนียลทำนายฝันให้ถูกต้อง เข่าอ่อนเลย ประกาศว่า …

“พระเจ้าของดาเนียลยิ่งใหญ่มาก ขอสรรเสริญพระเจ้าของดาเนียล”

แต่งตั้งดาเนียลและเพื่อนทั้ง 3 คน เป็นผู้สำเร็จราชการ มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต รองจากกษัตริย์เลย เพราะเห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า แต่ถ่อมใจได้ไม่นาน พอมีคนแนะนำให้สร้างปฏิมากรทองคำ ให้ผู้คนกราบไหว้ เหมือนเป็นการแก้เคล็ด ก็รู้สึกเหิมเกริมอีกแล้วว่า …

“ตัวข้านี่แหละยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว”

มันเป็นอย่างนี้ พอเพื่อนดาเนียลทั้งสามคน คือชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโกไม่ยอมทำตาม ไม่ยอมกราบไหว้รูปปั้นนี้ ก็โกรธใหญ่เลย

มันเป็นอย่างนี้ สำแดงถึงความเย่อหยิ่งของตนเองออกมา โกรธมากเลย  ไม่ยอมทำตามคำสั่ง สั่งจับ 3 คนนี้โยนลงไปในเตาไฟเลย ไม่ใช่ไฟธรรมดา เอาร้อนแรงสุดๆ ไปเลย อย่างที่เราได้เรียนกันมา แค่นั้นยังไม่พอ แถมยังหมิ่นประมาทพระเจ้าว่า …

“ไม่มีพระเจ้าที่ไหนมาช่วยได้ พระเจ้าของแกก็ช่วยไม่ได้”

แต่พอพระเจ้าทำการอัศจรรย์ให้เกิดขึ้น เห็นกับตาอีกครั้งหนึ่งว่าหลังจากที่ทหารโยน 3 คนนี้เข้าไปในเตาไฟ ปรากฏว่าเนบูคัดเนสซาร์เห็น 4 คนอยู่ในนั้น คนที่ 4 มีลักษณะเหมือนเทพบุตร พูดง่ายๆ ว่าเห็นพระเยซูอยู่ในนั้น  ก็เลยเปลี่ยนอีกแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเนบูคัดเนสซาร์เดินไปที่ประตูเตาไฟ ตรัสว่า …

“ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก ผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุดเอ๋ย จงออกมาเถิด จงออกมานี่”

เปลี่ยนท่าทีแล้ว คราวนี้ประกาศอีกว่า …

“ขอสรรเสริญพระเจ้าของชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก ผู้ทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาช่วยเหลือผู้รับใช้ของพระองค์ พวกเขาไว้วางใจในพระเจ้า ละเมิดคำสั่งของกษัตริย์ และยอมตายเสียดีกว่าปรนนิบัติพระอื่นใด เว้นแต่พระเจ้าของตน และไม่มีเทพเจ้าอื่นใด สามารถช่วยได้ถึงเพียงนี้”

นี้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ประกาศอย่างนี้ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แล้วก็ออกประกาศสำคัญเลย  สั่งไปทั่วราชอาณาจักรของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า …

“ต่อไปนี้ ห้ามใครกล่าววาจาล่วงเกินพระเจ้าของทั้งสามคนนี้ (ของคนยิวนี้) ใครขัดคำสั่ง จะถูกฟันเป็นท่อนๆ”

นี่คือบุคลิกที่เราได้เห็นเกี่ยวกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แต่ผมยังเชื่อว่ายังมีเหตุการณ์อื่นๆ ในลักษณะอย่างนี้อีกเยอะ ในชีวิตของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่เข่าอ่อนสลับเข่าแข็ง

แม้กระทั่งทุกวันนี้ ก็มีคนแบบเนบูคัดเนสซาร์เยอะแยะ คือพอได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า ก็สรรเสริญพระเจ้า พระเจ้ามีชีวิตอยู่จริงๆ พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ พระเจ้าของเธอยอดเยี่ยม พอไปสักพักหนึ่งก็ลืมพระเจ้า แล้วหลายครั้ง ก็ยังสบประมาทพระเจ้าอีก

“พระเจ้าของเธอ ไม่เห็นช่วยเลย”

มันจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เข้ามาอยู่เรื่อยๆ ในชีวิตของเรา นี่คือลักษณะของมนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ไม่รู้จักพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว เพียงแต่ได้รับรู้ ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่าเขายังไม่ได้รู้จักพระเจ้าอย่างจริงๆ ยังไม่ได้สัมผัสกับพระเจ้าจริงๆ เพราะว่าสำหรับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แล้ว พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาได้รู้จักผ่านทางดาเนียลกับเพื่อนๆ นั้น เป็นเพียงหนึ่งในพระเจ้า (S) หรือหนึ่งในเหล่าเทพเจ้าจำนวนหลายๆ องค์ที่เขาเคยรู้จักเท่านั้นเอง ไม่เหมือนดาเนียลกับเพื่อน และพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่ได้รู้จักพระเจ้าแล้ว รู้จักจริงๆ ว่ามีเพียงพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น แล้วพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว

หลักการเชื่อพระเจ้าของดาเนียล สำหรับคริสเตียน คือเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่สูงสุด และเที่ยงแท้ ประโยคนี้ในพระคัมภีร์ หมายถึงนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใด หนังสือดาเนียลที่เราได้อ่านกัน เรียนกันในครั้งนี้ ตั้งแต่บทที่ 1 จนกระทั่งหมดเลย จะบอกถึงเรื่องนี้ พระเจ้าต้องการสำแดงพระองค์เองว่าพระองค์เป็นพระเจ้าอย่างนี้ นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าเที่ยงแท้อื่นใดอีกแล้ว สมมติว่าตอนนี้ผมถามว่า …

“มีมิสเตอร์ ABC เป็นคนดังมากเลย ท่านรู้จักเขาไหม?”

ท่านบอกว่า “รู้จักๆ”

“ดูในทีวี คนนี้รู้จัก” สมมติ

แต่กับอีกคนหนึ่ง เป็นเพื่อนกับนาย ABC ตั้งแต่ก่อนเขาจะดังออกทีวีอีก รู้จักกับเขาเลย สนิทสนม กินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ถามว่า …

“รู้จักไหม ABC”

เขาก็จะบอกว่า “ผมรู้จัก”

เห็นไหม? คนแรกรู้จัก กับคนที่สองรู้จัก ไม่เหมือนกัน คำว่า “รู้จัก” ต้องหมายถึงมีปฏิสัมพันธ์ มีความผูกพันกัน มีการติดต่อกัน มีการ Followership มาบ้างแล้ว ไม่ใช่รู้จักแต่เขาว่ามา เขาเล่าว่า อย่างนี้ไม่ใช่

นี่คือความมั่นคงของความเชื่อที่ว่ารู้จักพระเจ้าจริงหรือไม่?  กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เห็นพระเจ้าทำอัศจรรย์ จึงเชื่อว่ามีพระเจ้า แต่พวกเราถึงไม่เห็นอัศจรรย์ เราก็เชื่อว่ามี มันแตกต่างกัน

ผมนึกถึงบทเพลงมาจากพระคัมภีร์ในหนังสือจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล ที่เขียนบอกว่า …

“ข้าพเจ้ารู้จัก พระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ”

ท่านรู้จักพระเจ้า ที่ท่านเชื่อไหม? ไม่รู้จัก หมายถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ เขาเอามาแต่งเป็นเพลงเลยนะ

“แต่ข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าเชื่อ           และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา

รักษาซึ่งมอบไว้กับพระองค์          จนถึงกาลวันนั้นได้”

หลังจากเหตุการณ์ที่เพื่อนของดาเนียล คือชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโกถูกจับโยนเข้าไปในเตาไฟ แล้วพระเจ้าช่วยเอาไว้ หลังจากนั้นมา 20 ปี พระเจ้าดลใจให้เนบูคัดเนสซาร์เขียนบันทึกด้วยตัวเอง เหตุการณ์ ประสบการณ์ของตัวเอง บันทึกไว้เหมือนเป็นคำพยาน เพื่อพระเจ้าจะได้บอกแก่บรรดามวลมนุษยชาติ ไม่ใช่บอกแก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์อย่างเดียว ไม่ใช่บอกเฉพาะมาถึงชาวยิวในสมัยนั้น แล้วก็ไม่ได้บอกมาเฉพาะแค่คนเป็นคริสเตียน ในสมัยยุคพระเยซูเท่านั้น แต่จะบอกจากนี้ต่อไปจนวันสุดท้ายของโลกใบนี้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด

พระองค์ยิ่งใหญ่มากๆ พระองค์กล้าบันทึกไว้อย่างนี้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว แปลว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ อยู่เพียงผู้เดียว ก็แสดงว่านอกนั้น เป็นของไม่เที่ยงแท้ ไม่ใช่พระเจ้าจริงๆ

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ยกย่องพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด และโปรดปรานชาวยิว เพราะชาวยิวรู้จักพระเจ้าผู้นี้  จากเหตุการณ์นั้น ปีแล้วปีเล่า จนผ่านไป 20 ปี มาดูว่าอะไรเกิดขึ้น ในดาเนียล 4:1-18 นี่เขาบันทึกด้วยตัวเองเลย เป็นคำพยานของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เอง

ดาเนียล 4:1-18 “1 เรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ถึงท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพลเมือง ทุกชาติ ทุกภาษาทั่วโลก ขอให้ท่านเจริญรุ่งเรือง 2 เราเห็นควรที่จะแจ้งให้ทราบถึงหมายสำคัญ และปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าสูงสุดทรงกระทำเพื่อเรา 3 หมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วอายุ 4 เรา เนบูคัดเนสซาร์ อยู่ในวังอย่างผาสุกและรุ่งเรือง 5 ขณะนอนอยู่บนเตียง เราได้ฝัน ทำให้ตกใจกลัว ภาพและนิมิตต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในความคิด ทำให้ตระหนกตกใจ

6 เราจึงสั่งให้นำปราชญ์ของบาบิโลนทั้งหมด มาทำนายฝันให้ 7 เมื่อบรรดานักเล่นอาคม  นักเวทมนตร์ โหราจารย์ และหมอดูฤกษ์ยามมาแล้ว เราก็แจ้งความฝันให้ฟัง แต่พวกเขาไม่สามารถแก้ฝันให้ได้ 8 แล้วดาเนียลก็มาเข้าเฝ้า เราจึงเล่าความฝันให้ฟัง (เขามีอีกชื่อหนึ่งว่า “เบลเทชัสซาร์” ตามชื่อเทพเจ้าองค์หนึ่ง วิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเขา) 9 เรากล่าวว่า เบลเทชัสซาร์ หัวหน้านักเล่นอาคมเอ๋ย เรารู้ว่าวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเจ้า และไม่มีความล้ำลึกใดๆ ยากเกินความเข้าใจของเจ้า เราฝันเช่นนี้ จงแก้ฝันให้เราเถิด 10 ขณะนอนอยู่บนเตียงเราเห็นนิมิต คือเรามองไปเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่ตรงกลางแผ่นดิน มันสูงใหญ่มาก

11 ต้นไม้นั้น เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งจนยอดสูงจรดฟ้า แม้แต่สุดโลกก็ยังมองเห็น 12 ใบของมันงามน่าดู ผลก็ดกเต็มต้น มันให้อาหารแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง บรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง มาพักพิงใต้ร่มของมัน เหล่านกในอากาศมาอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของมัน บรรดาสิ่งมีชีวิตเลี้ยงชีพด้วยผลของมัน 13 ขณะนอนอยู่บนเตียง เราเห็นนิมิต คือเรามองไปเห็นทูตสวรรค์ ผู้บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์ 14 เขาประกาศก้องว่า โค่นต้นไม้ลง ลิดกิ่งออก ตัดใบทิ้งให้หมด และสลัดผลให้เกลื่อนกระจาย ไล่สัตว์ทั้งหลายออกจากใต้ร่ม และไล่นกออกจากกิ่งต่างๆ ไป 15 แต่จงทิ้งตอกับรากไว้ เอาโซ่เหล็กและโซ่ทองสัมฤทธิ์ ล่ามทิ้งไว้อย่างนั้น กลางดงหญ้าในทุ่ง ให้กายเขาเปียกชุ่มด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ ให้เขาอาศัยอยู่กับสัตว์ท่ามกลางพืชพันธุ์ต่างๆ ของแผ่นดินโลก

16 ให้ความคิดจิตใจของเขาเปลี่ยนจากมนุษย์ กลายเป็นเหมือนสัตว์ จนครบเจ็ดวาระ 17 เหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์เป็นผู้แจ้งคำตัดสินนี้ เพื่อผู้มีชีวิตอยู่จะรู้ว่าพระเจ้าสูงสุดทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย ทรงแต่งตั้งผู้ต่ำต้อยที่สุด ให้ปกครองพวกเขา 18 “นี่เป็นความฝันของเรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ บัดนี้ เบลเทชัสซาร์เอ๋ย บอกเรามาเถิดว่าฝันนี้หมายความว่าอะไร เพราะไม่มีปราชญ์คนใดในอาณาจักรของเราแก้ฝันให้เราได้ แต่เจ้าทำได้ เพราะวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเจ้า”

 

อย่างที่บอกไว้ 20 ปีผ่านไป ลืมไปแล้ว ดาเนียลเป็นคนสุดท้ายที่มาเข้าเฝ้า เพื่อที่จะมาถวายคำแปลนิมิตนี้ ไปปรึกษาคนอื่นมาเยอะแล้ว ลืมพระเจ้าของดาเนียลไป

“เรากล่าวว่า เบลเทชัสซาร์ หัวหน้านักเล่นอาคมเอ๋ย”

ข้อ 3 “หมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วอายุ”

ที่ต้องการให้อ่านตรงนี้ เพราะตรงนี้ เป็นพล๊อตสำคัญ อีกอันหนึ่ง ข้อ 17

ข้อ 17 “‘พระเจ้าสูงสุดทรงครอบครอง เหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย’”

จำตรงนี้ไว้ เห็นภาพพื้นฐานของความเชื่อในพระเจ้าของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แล้วใช่ไหม? เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่าพระเจ้าของดาเนียลใหญ่ยิ่งจริงๆ สูงสุดด้วย แต่เขาก็ยังเชื่อว่ามีเทพเจ้าอื่นๆ อยู่ เพียงแต่เจ้าองค์นี้ คงจะใหญ่กว่าอะไรประมาณนั้น  ในบาบิโลน มีพวกนักปราชญ์ นักเล่นคาถาอาคม นักเวทมนตร์ นักโหราจารย์ แปลเป็นไทยอีกฝั่งเรียกว่านักวิเคราะห์ทางวิญญาณเยอะแยะมากมาย

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เรียกให้ผู้คนเหล่านั้น มาทำนายฝัน แต่ก็ไม่มีใครทำได้ จึงนึกถึงดาเนียล … ดาเนียลจึงมาเข้าเฝ้า เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่าดาเนียลจะทำนายฝันได้ เพราะว่าเพิ่งจะนึกขึ้นได้

“ครั้งที่แล้ว เรายังไม่ได้บอกว่าเราฝันว่าอะไร?  เขายังรู้เลย”

จึงเชื่อมั่นว่าดาเนียลทำได้  แล้วก็เชื่อมั่นว่าดาเนียลมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ (S) หมายถึงว่าในตัวของดาเนียลมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ 1 องค์ พูดง่ายๆ ในจำนวนหลายๆ องค์ ท่านจะได้เห็นภาพว่าพื้นฐานลึกๆ มันเป็นอย่างไร? ในยุคปัจจุบัน ความรู้สึกด้านของวิญญาณมนุษย์ ไม่แตกต่างเลย เหมือนเดิม เพียงแต่ทางวัตถุภายนอก  ที่เราเห็นทุกวันนี้ การเจริญรุ่งเรืองของเทคโนโลยี วัตถุสิ่งของ เจริญไป ต่างจากสมัยก่อน เรามีแก๊ส เรามีรถยนต์ มีคอมพิวเตอร์ แต่ทางด้านจิตวิญญาณของมนุษย์มันเหมือนเดิม ไม่มีผิดเลย

นี่คือคำพูดที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นผู้พูดเอง ข้อที่ 3 ที่บอกว่าหมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์ เนบูคัดเนสซาร์เชื่อในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จากที่ยอมจำนนจากอัศจรรย์ที่เขาเห็น ที่พระองค์ทรงกระทำ แต่ประเด็นสำคัญที่เราจะเรียนรู้จากเรื่องราวในบทที่ 4 ในครั้งนี้ อยู่ข้อที่ 17 ที่ในความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ มีเหล่าทูตสวรรค์เป็นรูปลักษณะคนมาเผยนิมิต ประกาศว่าเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้แจ้งคำตรัสนี้ เพื่อผู้มีชีวิตอยู่ จะรู้ว่าพระเจ้าสูงสุด ทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใด ก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย ทรงแต่งตั้งผู้ต่ำต้อยที่สุด ให้ปกครองพวกเขา

ตรงนี้ ตรงนั้น รวมกันเรียกว่าอาณาจักร หรือว่า Kingdoms พระเจ้าผู้สูงสุด ทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ก็แสดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ครอบครอง ดูแลอยู่เหนือประเทศต่างๆ บนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน จนถึงอนาคตอีก ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามชอบพระทัย คือตามแต่พระประสงค์ของพระองค์ที่วางไว้ บางครั้งพระองค์ก็เลือกอย่างนี้ มีอะไรไหม? แต่เพื่อแผนการที่ดี สำหรับโลกใบนี้ทั้งใบ สำหรับพวกเราทั้งหลายบนโลกใบนี้ แต่เรามองว่าเลือกอย่างนี้มาได้อย่างไร? โหดร้ายมาก เลือกฮิตเลอร์ได้อย่างไร? แต่ในนี้บอกทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ และสอนมนุษย์ทั้งมวล เพราะในนี้บอกว่าเพื่อผู้มีชีวิตอยู่ ก็คือมวลมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด แต่เพียงพระองค์เดียว ทรงครอบครองเหนือทุกสิ่ง จะทรงสร้างใครเป็นฮีโร่ ก็ได้ ให้ใครใหญ่ก็ได้  ให้ใครเล็กลงก็ได้ ตามแต่พระประสงค์ หรือน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้น จบ ถ้าเราจะเติมต่อ เราบอกมีอะไรไหม? เดี๋ยวฟังดู ไม่ใช่ผมพูดเอง  กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พูดคำนี้ด้วย

พระเจ้าทรงทราบอยู่แล้วว่าจิตใจของเนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างไร? วันนี้สรรเสริญพระเจ้า พระองค์ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เดี๋ยวเผลอๆ เย่อหยิ่งอีกแล้ว พระเจ้าจึงสอนผ่านเขาเลย ผ่านทางกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ บอกไว้เลยล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น แบบที่เรียกว่าให้ดาเนียลทำนายฝันไว้ล่วงหน้าก่อน เพื่อจะให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เชื่อและเห็นความอัศจรรย์ ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าว่าใช่แน่ๆ เพื่อเขาจะได้เป็นผู้รับใช้พระองค์ เขียนสิ่งนี้ เป็นพยานให้กับมวลมนุษยชาติได้รู้อีกหนึ่งครั้ง ในจำนวนเยอะแยะหลายๆ ครั้ง ในพระคัมภีร์ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้รู้และเขียนเป็นคำพยานอยู่ในนี้ว่าอย่าเย่อหยิ่ง ให้รู้ว่าพระองค์เป็นใคร? ดาเนียล 4:19-27

ดาเนียล 4:19-27 “19 แล้วดาเนียลก็ตกตะลึงและว้าวุ่นใจอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ความคิดของเขา ทำให้เขาหวาดวิตก กษัตริย์จึงตรัสว่า “เบลเทชัสซาร์เอ๋ย อย่าให้ความฝัน หรือความหมายของมัน ทำให้เจ้าตกใจกลัวไปเลย” เบลเทชัสซาร์ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอให้ความฝันและความหมายของมัน ตกแก่ศัตรูของฝ่าพระบาทเถิด 20 ต้นไม้ที่ฝ่าพระบาทเห็น ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ยอดสูงจรดฟ้าจนสุดโลกยังมองเห็น 21 ซึ่งมีใบสวยงาม ให้ผลดกเป็นอาหารแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง ให้ร่มเงาแก่บรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง และมีกิ่งก้านให้เหล่านกมาอาศัยทำรัง 22 ข้าแต่กษัตริย์ ต้นไม้นั้น คือฝ่าพระบาททรงยิ่งใหญ่เกรียงไกร รุ่งโรจน์เทียมฟ้า และแผ่อำนาจไปถึงสุดโลก 23 ข้าแต่กษัตริย์ที่ฝ่าพระบาทเห็นทูตสวรรค์ ผู้บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์ และป่าวประกาศว่าจงโค่นต้นไม้ลงและทำลายมันเสีย แต่เหลือตอไว้  ล่ามมันไว้กลางทุ่งหญ้า ด้วยเหล็กและทองสัมฤทธิ์ ขณะที่รากยังหยั่งลึกอยู่ในดิน ให้เขาตากน้ำค้าง และอาศัยอยู่เยี่ยงสัตว์ป่า จนครบเจ็ดวาระ

24 ข้าแต่กษัตริย์ นิมิตนั้นมีความหมายดังนี้ ประกาศิตขององค์ผู้สูงสุดเกี่ยวกับฝ่าพระบาท 25 คือฝ่าพระบาทจะถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ และให้ไปใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ป่า จะกินหญ้าเหมือนวัว และตากน้ำค้างจนครบเจ็ดวาระ จนกว่าฝ่าพระบาทจะเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุดทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย 26 พระบัญชาที่ให้เหลือตอและรากไว้ หมายความว่าฝ่าพระบาทจะได้รับอาณาจักรกลับคืนมาอีก หลังจากทรงเรียนรู้แล้วว่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์นั้น ครอบครองอยู่ 27 ฉะนั้น ข้าแต่กษัตริย์ ขอโปรดยอมรับคำแนะนำของข้าพระบาท ขอทรงละทิ้งบาปด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้อง และขอทรงละทิ้งความชั่ว ด้วยการเมตตากรุณา ผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหง แล้วฝ่าพระบาทจะได้ทรงเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป”

 

ในนี้เขียนบอกว่าดาเนียลตกใจกลัว หวาดกลัวเลย  เพราะนิมิตที่จะเกิดขึ้นกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ มันรุนแรงมาก ผมคิดว่าดาเนียลกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน  เพราะว่านี่ก็ 20 กว่าปีแล้ว ที่ดาเนียลอยู่ที่นี่ แล้วดาเนียลคงได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์มาก และความโปรดปรานนี้ก็แผ่ไปถึงบรรดาชาวยิวที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยที่บาบิโลนด้วย ดาเนียลจึงมีความรู้สึกเหมือนเป็นเจ้านายด้วย เป็นเพื่อนด้วย คือตกใจกลัว แล้วจึงทูลกษัตริย์จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ อย่าให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับกษัตริย์เลย ให้เกิดขึ้นกับศัตรู เพราะมันน่ากลัว พระเจ้ากำลังสอนเนบูคัดเนสซาร์ให้รู้ว่าพระองค์คือใคร? จะได้เลิกเย่อหยิ่งสักที

ดาเนียลแปลความฝันว่าพระเจ้าจะทำให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ต้องถูกขับไล่ออกไปจากสังคมมนุษย์ ให้ไปใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ป่า กินหญ้าเหมือนวัว และต้องตากน้ำค้าง จนกว่าเนบูคัดเนสซาร์จะได้เรียนรู้ และได้ถ่อมใจรับรู้ว่ามีพระเจ้า เพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่เที่ยงแท้ นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว อย่าซ่าส์ อย่าเย่อหยิ่ง ที่ในพระคัมภีร์เมื่อกี้เขียนไว้ว่า …

“จนกว่าฝ่าพระบาทจะเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุด ทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัยของพระองค์”

ดาเนียลบอกว่า “กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระองค์ต้องถ่อมใจนะ เลิกปฏิบัติตัวอย่างนี้  แล้วพระเจ้าอาจจะเมตตา ลดโทษให้ก็ได้ ทำอย่างนี้เถิด ด้วยความหวังดี”

ดาเนียล 4:28-37 “28 เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คือ 29 สิบสองเดือนต่อมา ขณะที่กษัตริย์ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวังของบาบิโลน 30 พระองค์ตรัสว่า “เราได้สร้างบาบิโลนอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้ขึ้นเป็นราชวัง ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเกรียงไกรของเรา และเพื่อเกียรติบารมีของเราไม่ใช่หรือ” 31 กษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงดังจากฟ้าสวรรค์ว่า “กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เอ๋ย นี่คือประกาศิตสำหรับเจ้า ราชอำนาจถูกพรากไปจากเจ้าแล้ว 32 เจ้าจะถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ให้ไปอาศัยอยู่กับสัตว์ป่า ให้กินหญ้าเหมือนวัว จนครบเจ็ดวาระ ตราบจนเจ้าเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุดทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย”

33 ทันใดนั้น เนบูคัดเนสซาร์ก็เป็นไปตามประกาศิตของพระเจ้า พระองค์ทรงถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ และกินหญ้าเหมือนวัว กายนั้นเปียกชุ่มด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนกระทั่งผมยาวเหมือนขนนกอินทรี และมีเล็บยาวเหมือนกรงเล็บของนก 34 เมื่อครบกำหนดแล้ว เรา เนบูคัดเนสซาร์ แหงนหน้าขึ้นมองดูฟ้าสวรรค์ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา เราจึงถวายสรรเสริญองค์ผู้สูงสุด เราเทิดพระเกียรติและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงนิรันดร์  ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ 35 มวลประชาชาติในโลกนี้ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจ ที่จะทำต่อเหล่าทูตสวรรค์ และต่อมวลประชาชาติ ตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่า พระองค์ทำอะไรนี่?” 36 ขณะนั้นสติสัมปชัญญะของเรากลับคืนมา เกียรติและบารมีกลับคืนมาสู่เรา เพื่อสง่าราศีแห่งอาณาจักรของเรา ราชมนตรีและขุนนางทั้งหลายมาตามหาเรา ให้กลับไปครองราชบัลลังก์ดังเดิม และรุ่งเรืองยิ่งกว่าแต่ก่อน  37 บัดนี้ เรา เนบูคัดเนสซาร์ ขอถวายสรรเสริญ และยกย่องเทิดทูนองค์กษัตริย์แห่งฟ้าสวรรค์ เพราะทุกสิ่งที่ทรงกระทำนั้นถูกต้อง และทางทั้งปวงของพระองค์ก็ยุติธรรม บรรดาผู้ดำเนินชีวิตอย่างหยิ่งยโส พระองค์สามารถกระทำให้เขาถ่อมลง”  เอเมน

 

สรุป คำเตือนของดาเนียลไม่ได้ผล ก็เหมือนพวกเราทุกคนในปัจจุบัน เพราะการทดลองมันรุนแรงมาก ถ้าเราตกลงไปในการทดลองแบบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เราก็อาจจะสอบไม่ผ่านเหมือนกัน

12 เดือนต่อมา ขณะที่เนบูคัดเนสซาร์ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวัง ซึ่งทุกวันนี้ ชื่อเสียงของเรื่องนี้ยังอยู่ 1 ใน 7 มหัศจรรย์ เขาเป็นผู้ครอบครอง เขาเป็นผู้สร้างสิ่งนั้นขึ้นมา เขาลืมไปแล้วว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง เป็นการทดลองที่รุนแรง ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวัง ก็คือสวนลอยฟ้าของบาบิโลน ยิ่งใหญ่มาก แล้วพระองค์ตรัสว่า …

“เราได้สร้างบาบิโลนอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้ ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเกรียงไกรของเรา และเพื่อเกียรติบารมีของเราไม่ใช่หรือ”

ในนี้บันทึกว่ากษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ เพราะเตือนไว้แล้ว ก็มีเสียงดังจากฟ้า พระเจ้าก็ตัดสิน สอนให้รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ สอนให้รู้ว่าพระองค์เป็นใคร? วิธีการสอน ก็คือทำให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ถ้าเอาปัจจุบัน ที่เล่ามาทั้งหมดนั้น ก็คือเสียสติ ฟั่นเฟือนเหมือนคนบ้าเลย ไม่มีสติ สตังค์แล้ว เพราะในสมัยก่อน ไม่มีหมอรักษาโรคจิต พอสติฟั่นเฟือน ไม่มียา เขาก็ต้องไล่ออกไปอยู่นอกเมือง การเข้าไปอยู่ในป่า ก็คือการเข้าไปอยู่ในธรรมชาติ เหมือนเราเห็นคนสติไม่ดี เดินอยู่ริมถนนทุกวันนี้ คล้ายๆ อย่างนั้น ถ้าทุกวันนี้ ก็ไปเขี่ยถังขยะหาของทาน แต่สมัยก่อน ไม่ใช่ เขาต้องไปกินน้ำค้าง พืชพันธุ์ ผัก อะไรก็ว่ากันไป ไม่อาบน้ำ ปล่อยผมยาวรุงรัง เล็บไม่ตัด เป็นเหมือนที่ตะกี้นี้อธิบาย

แล้ววันหนึ่ง ตามนิมิตนี้  เขาก็ได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า  ประทานความถ่อมใจให้กับเขา ในนี้เขียนบันทึกว่าเขาแหงนหน้ามองดูฟ้า เริ่มนึกขึ้นได้ ทั้งหมดมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น พระราชวัง ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนสร้าง 1 ใน 7 มหัศจรรย์ สวนลอยฟ้า และบรรดาประเทศชาติต่างๆ ที่เขาไปปล้นมา พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ทั้งสิ้น ความยิ่งใหญ่ของเขา พระเจ้าประทานให้ทั้งสิ้น

“พระเจ้าเมตตาลูกด้วยเถิด”

อะไรประมาณนั้น  เขาจึงบันทึกตรงนี้ว่า …

“ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว ทรงครอบครองทุกสิ่ง ราชอาณาจักรของพระองค์ที่อยู่เหนืออาณาจักรของมนุษย์ทั้งหมด คือราชอาณาจักรของพระองค์ในสวรรค์สถาน ราชอาณาจักรของพระองค์ในโลกวิญญาณ มันยิ่งใหญ่สูงสุด และไปทุกชั่วชาติพันธุ์ คือนิรันดร์นั่นเอง”

ราชอาณาจักรบนโลกใบนี้ ยังอยู่เพียงชั่วคราว 30 ปี 100 ปี แต่ราชอาณาจักรของพระองค์ ราชอาณาจักรในวิญญาณ มันอยู่ตลอดกาลเลย เห็นถึงความยิ่งใหญ่ไหม? แค่คำๆ เดียว ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า เจ้าแห่งวิญญาณ อาณาจักรของพระองค์ ก็เป็นอาณาจักรแห่งวิญญาณ และอาณาจักรของพระองค์ที่เป็นวิญญาณนี้ ก็เป็นอาณาจักรนิรันดร์ คือครอบครองใหญ่ที่สุด นิรันดร์กาล

เรื่องราวในพระคัมภีร์ดาเนียล ที่เราอ่านกันวันนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอย่างนี้ทั้งหมด พระเจ้าต้องการให้มวลมนุษยชาติทุกคน เรียนรู้ว่าพระองค์เป็นใคร? เตือนมนุษย์ ด้วยความรัก ความปรารถนาดี เหมือนดั่งที่ดาเนียลได้เตือนด้วยความรัก ความห่วงใยว่ามีพระเจ้าจริงๆ และพระเจ้าผู้นี้ยิ่งใหญ่สูงสุดจริงๆ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พูดประโยคสุดท้ายว่า …

“มวลมนุษยชาติในโลกนี้ ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจที่จะทำต่อทูตสวรรค์และมวลมนุษยชาติตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่าพระองค์ทำอะไรเนี้ย”

พระเจ้าต้องการให้รู้ว่าอาณาจักรของพระเจ้า อาณาจักรของโลกวิญญาณ มันจะอยู่ตลอดกาล ชั่วนิรันดร์เลย ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอยู่ตลอดชั่วอายุคน หมายถึงเจเนเรชั่น ทรูเจเนเรชั่น จากชั่วอายุคนหนึ่ง ไปอีกชั่วอายุคนหนึ่ง พูดง่ายๆ เดี๋ยวนี้ถ้าย้อนกลับไปในพระคัมภีร์ ก็จะบอกว่าจากชั่วอายุอาดัมมาถึงยุคโมเสส ไล่มาจนถึงอายุพวกเราปัจจุบันนี้ แล้วต่อไปอนาคต พระเจ้าครอบครองอยู่ตลอดเลย เอเมน

และหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระองค์ถูกตรึง และตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตาย อาณาจักรของพระเจ้า ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว มีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรที่อยู่นิรันดร์ มาเปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรของพระคริสต์ ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา จนถึงทุกวันนี้ คืออาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของสวรรค์นั่นเอง เพราะฉะนั้น อาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้า จึงสำคัญยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรใดๆ ซึ่งอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลน ไม่ว่าจะเปอร์เซีย ไม่ว่าจะเป็นกรีก ไม่ว่าจะเป็นโรมัน หรือเป็นประเทศอะไรต่างๆ ต่อมาเรื่อยๆ  จนถึงทุกวันนี้ และต่อไปอนาคต ไม่รู้ว่าใครจะคิดว่าใครใหญ่แล้วแต่ บนโลกใบนี้ พระเจ้าเป็นผู้สถาปนาประเทศนั้น อาณาจักรนั้นขึ้นมา และอยู่ไม่นานหรอก อาณาจักรของพระองค์ อาณาจักรของพระคริสต์อยู่นานกว่า สำคัญกว่า

ในหนังสือดาเนียลที่เรากำลังเรียนกันอยู่นี้ บอกอย่างนั้นว่าพระองค์เป็นผู้กำหนด เป็นผู้แต่งตั้งกษัตริย์ ผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจ ทุกอย่าง พระองค์เป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง พระองค์จะให้กับใครก็ได้ พระองค์ควบคุมทุกสถานการณ์อยู่ จงวางใจ และเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์ทรงมอบอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ให้พระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรสวรรค์ เป็นจอมราชันของอาณาจักรสวรรค์ และพระองค์ได้สถาปนาอาณาจักรพระคริสต์นี้ไว้ตลอดกาล  จากคนชั่วอายุหนึ่งไปชั่วอายุหนึ่ง ท่านพอเห็นภาพไหม? จากอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า เริ่มจากอาดัม ไล่มาถึงพระเยซู ถึงพระเยซูก็ครอบครองต่อไป แต่เปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรพระคริสต์ ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้

และอาณาจักรของพระคริสต์ยิ่งใหญ่สูงสุด และชนะทุกอาณาจักรไปเรียบร้อยแล้ว และเป็นชัยชนะนิรันดร์ด้วย และใครก็ตามที่อยู่ในอาณาจักรนี้ เป็นประชากรในอาณาจักรนี้ เป็นผู้คนในอาณาจักรนี้ มีบัตรประชาชนที่อยู่ในอาณาจักรนี้ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์นี้ เขาก็จะมีชัยชนะนิรันดร์เช่นเดียวกัน เอเมน

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่จบไปเลยล่ะ ก็ได้ชัยชนะแล้ว ไม่ต้องมาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว”

ถูกไหม? แต่ไม่ใช่อย่างนั้น  มันจำเป็นต้องอยู่ เพราะว่าชัยชนะนิรันดร์นั้น พระเจ้าทำสำเร็จแล้วก็จริง แต่ขบวนการสุดท้ายมันยังไม่จบ เพราะชัยชนะนี้ ยังต้องเรียกบรรดาผู้คนที่เหน็ดเหนื่อยอยู่บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้อยู่ในอาณาจักรนี้ ให้เข้ามา เหมือนเราในอดีต เหมือนผมเมื่อ 29 ปีที่แล้ว ผมก็ย้ายจากอาณาจักรของโลกใบนี้  อาณาจักรของความมืด อาณาจักรของความบาป มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ เมื่อ 29 ปีที่แล้ว ถ้าเผื่อตรงนี้จบก่อน 29 ปีที่แล้ว ผมก็แย่เลย ผมยังอยู่ในอาณาจักรของความมืดเลย ผมแพ้ตลอด ตอนนั้น พอเข้าใจไหม? ขณะนี้ก็ยังมีคนอีกมากมายบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่รู้ว่าพระเจ้าเที่ยงแท้มีเพียงพระองค์เดียว และอาณาจักรของพระองค์อยู่บนโลกใบนี้แล้ว คืออาณาจักรที่พระองค์สถาปนาไว้ ชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ มีชัยชนะนิรันดร์ คนยังไม่รู้ หรือบางคนรู้ ก็รู้แบบเนบูคัดเนสซาร์ คือรู้แบบเข้าๆ ออกๆ เขาไม่รู้จักพระเจ้าจริงๆ เพราะเขายังไม่ย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศที่มีชื่อว่าพระคริสต์ ประเทศในโลกวิญญาณ รอให้มีใครบอกเขาเสียก่อน เป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องทำงานต่อ เรายังต้องเหน็ดเหนื่อยต่อไป เพราะงานของพระองค์ยังไม่เสร็จ เรามีหน้าที่ที่จะไปบอกข่าวประเสริฐนี้ ให้เขารู้ว่าอาณาจักรสวรรค์มาถึงแล้ว มาอยู่ที่นี่แล้ว จงวางใจเถิด ตอนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เราเหมือนนกที่ไร้รัง ค่ำไม่รู้จะนอนที่ไหน? บินตลอดทั้งวันทั้งคืน เหนื่อยล้า ชีวิตมันยิ่งเหนื่อย เพราะมันบินนาน ปีกมันเมื่อย แล้วเราก็ได้ยินแว่วๆ มา พระเยซูตรัสว่า …

“ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย กำลังบินเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข เราเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ ที่เธอจะมาสร้างรัง อยู่ที่กิ่งก้านของต้นนี้ ร่มเย็น  มาๆ เลย”

เราก็บินโฉบ เข้าไปอยู่ที่ต้นไม้ สร้างรังของเรา แล้วเราก็ได้รู้จักกับนกตัวอื่นๆ ที่มาพักผ่อนในนี้เยอะแยะมากมายไปหมด รังเล็กๆ ของเรา มีชื่อว่ารังโฮลี่ อยู่ที่กรุงเทพกรีฑา ซอย 8 พวกเราบินมาเหนื่อยทุกคน ก่อนหน้านี้ เพราะเหนื่อยจึงมาหาพระเยซูไง ไม่เหนื่อย ไม่มาอยู่แล้ว ไม่เหนื่อยก็บินต่อไป ใครอยากจะบินต่อไป ก็บิน ถ้าคิดว่าเหนื่อยแล้ว ก็มาหาพระเยซูเถิด พระเยซูบอกพอเถอะ เหนื่อยเปล่าๆ มาพักสงบเถิด

เพราะฉะนั้น เรามีหน้าที่ที่จะไปบอกกับคนอื่นๆ ที่กำลังบินอยู่แล้ว มันเหนื่อย เพื่อนๆ เราที่อยู่ข้างๆ เหนื่อยเหลือเกิน มาเถิด มาพักในร่มเงาของอาณาจักรนี้ พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นอาณาจักรนิรันดร์ และเราจะครอบครองร่วมกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์นิรันดร์กาล

เพราะฉะนั้น บทเรียนในวันนี้ จึงมี 2 ประเด็น ที่เราจะสรุป ก็คือ …

(1) พระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสถานการณ์ จึงไม่ต้องกลัวอะไรเลย ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตาม ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ สงคราม ภัยธรรมชาติ ภัยต่างๆ แบบแปลกประหลาดต่างๆ มนุษย์อวกาศ มนุษย์ดวงดาวอื่นมา จะมาทำสงครามเลเซอร์อะไรต่างๆ ไม่ต้องไปกลัวเลย ให้เราวางภาระลง ไว้ที่พระองค์ พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน อาณาจักรนี้ชนะแล้ว

(2) ที่เรายังต้องดำเนินอยู่บนโลกใบนี้   แม้เราจะชนะแล้วก็ตาม  เพราะพระเจ้ายังมอบหมายหน้าที่ให้เราทำอยู่ ในการที่จะเป็นส่วนหนึ่ง ที่จะทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จ ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นส่วนหนึ่งในการแผ่กิ่งก้านสาขา ต้นไม้ใหญ่แห่งความรอดขององค์พระเยซูคริสต์สู่สวรรค์ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าสวรรค์เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่บรรดานกกาเขาจะมาพักอาศัยได้ ให้เป็นที่พักพิงของฝูงนกที่กำลังเหนื่อยและล้ากันในขณะนี้  ให้เขาได้ยินได้ฟัง และนำพาเขาเข้ามาสู่ต้นไม้ต้นนี้ ให้เขาไปหารังต่างๆ บนต้นไม้ต้นนี้อยู่ ไม่ว่าจะรังที่กรุงเทพกรีฑา หรือรังที่ถนนสุขุมวิท หรือรังที่ถนนเพชรบุรี ไปรังไหนก็ได้ ไปอยู่ในรังซะ สงบ คุยกันเรื่องพระเจ้า

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าปีนี้ หรือปีไหนก็ตาม ใครมาขู่อะไร? ข่าวอะไรต่างๆ บอกมาว่าน่ากลัวอย่างนั้น น่ากลัวอย่างนี้ ให้เราวางใจ มอบภาระลงไว้ที่พระเจ้า แล้วเราจะได้พักผ่อนหายเหนื่อยและเป็นสุข ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************