คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 22 “วาระสุดท้าย ตอน 1” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  สิงหาคม  2017

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 22 “วาระสุดท้าย ตอน 1”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เรามาต่อ “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนที่ 22 ชื่อตอนว่า “วาระสุดท้าย” เรามาถึงหนังสือดาเนียล บทที่ 12 เป็นบทสุดท้าย หนังสือดาเนียลส่วนใหญ่จะบันทึก นิมิต ที่ดาเนียลได้รับจากพระเจ้า ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ แต่เนื้อหาสาระจะสอดคล้องกันหมดเลย

เริ่มตั้งแต่ดาเนียลถูกเรียกไปทำนายความฝัน ให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เรื่องรูปปั้นขนาดใหญ่ ที่มีศีรษะทำด้วยทองคำ หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน ท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ขาทำด้วยเหล็ก เท้าทำด้วยหินปนดินเหนียว ซึ่งแต่ละส่วนของรูปปั้นนี้ หมายถึงอาณาจักรต่างๆ  ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดาเนียลได้รับนิมิต ประมาณ 600 ปีก่อนพระเยซูจะเกิด แต่สำหรับเรามันกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว และมันเกิดขึ้นไปแล้ว

เริ่มตั้งแต่อาณาจักรบาบิโลน ต่อด้วยเปอร์เซีย ต่อด้วยกรีก และต่อด้วยโรมัน แต่สุดท้ายแล้ว รูปปั้นนี้ก็จะถูกหินก้อนใหญ่มากระแทก จนแตกกระจายไป  ก็คือการล่มสลายของอาณาจักรต่างๆ ทั้ง 4 อาณาจักร ก้อนหินที่มากระแทกรูปปั้นจนแตกกระจาย ก็คืออาณาจักรของพระคริสต์ ที่จะเข้ามามีอำนาจและครอบคลุม ครอบครองไปหมด เป็นการถาวรนิรันดร์

นิมิตเรื่องรูปปั้นนี้ยังเป็นการบอกเล่าเรื่องราว แบบคร่าวๆ ว่าเหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร? แล้วนิมิตต่อมาของดาเนียล ก็คือความฝันเรื่องสัตว์ประหลาด 4 ตัว ที่ดาเนียลฝันเห็น คือสิงโต มีปีก  หมีคาบซี่โครง 3 ซี่ ตัวที่ 3 เสือดาว 4 หัว 4 ปีก และสัตว์ตัวที่ 4 มีลักษณะน่ากลัว สยดสยอง  จนเรียกไม่ถูกว่าเป็นอะไร? เรียกกันว่าสัตว์ประหลาดก็แล้วกัน

สัตว์ประหลาดทั้ง 4 ตัว ก็เปรียบได้กับส่วนต่างๆ ของรูปปั้น เล็งถึงอาณาจักรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น  สัตว์ตัวที่ 4 ที่น่ากลัว ดุร้าย ประหลาดๆ ก็คืออาณาจักรโรมัน ที่ยุคนั้น โหดร้ายมาก ตามล่า ขยายดินแดนไปทั่ว ไปที่ไหนทำลายที่นั่น รุนแรง

หลังจากฝันเรื่องสัตว์ประหลาด 4 ตัวแล้ว ดาเนียลก็ยังฝันต่ออีก ในดาเนียล บทที่ 8 ความฝันเรื่องแกะกับแพะ แพะผู้ได้ขวิดแกะผู้ ด้วยความโกรธจัด จนกระทั่งแกะผู้สู้ไม่ได้ และล้มลง แพะผู้ตามนิมิตนี้ ก็คืออาณาจักรกรีก ส่วนแกะผู้ ก็คือมีเดียเปอร์เซีย ตรงตามนิมิต คืออาณาจักรกรีกได้โค่นล้ม ทำลายอำนาจของมีเดียเปอร์เซีย อย่างสิ้นเชิง และหลังจากนั้น  กรีก ซึ่งนำโดยกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ มหาราช ก็ได้กลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด รุ่งเรืองที่สุด ในขณะนั้น ตอนนั้น ก่อนพระเยซูจะเกิด แต่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ เรืองอำนาจอยู่ไม่ได้นาน ก็ตาย ด้วยอายุเพียง 33 ปี แล้วก็ไม่มีทายาทสืบทอดบัลลังก์ต่อไป เพราะฉะนั้น อาณาจักรกรีก ก็เริ่มสั่นคลอน และก็เกิดการแตกแยก แบ่งเป็น 2 มหาอำนาจ คืออียิปต์กับซีเรีย ก็แย่งอำนาจกัน

ในบทที่ 10 นิมิตนี้  ทำให้ดาเนียลเกิดความทุกข์ใจ นอนกินไม่ได้ เป็นเวลา 21 วัน เพราะว่าในความฝันนี้ ดาเนียลได้เห็นถึงความทุกข์ทรมานที่ชาวอิสราเอลต้องเผชิญ ก็คือต่อเนื่องจากช่วงท้ายของอาณาจักรกรีก แบ่งเป็น 2 ขั้ว คือซีเรียกับอียิปต์ ก็เกิดสงครามยืดเยื้อกัน เป็นเวลากว่า 300 ปี อิสราเอลอยู่ตรงกลาง ฝั่งซ้ายเป็นทะเล ฝั่งขวาเป็นทะเลทราย เพราะฉะนั้น เวลาสู้รบกันระหว่างเหนือกับใต้ ก็ต้องผ่านตรงกลาง คือผ่านอิสราเอลแน่นอน ทำให้อิสราเอล ต้องถูกรุกรานอย่างหนักตลอดเวลา 300 กว่าปีนี้ สงครามดำเนินต่อมา จนถึงยุคของกษัตริย์แอนติโอคัส ที่ 4 หรือที่เรียกกันว่าแอนติโอคัส เอพิฟานีส์แห่งราชวงศ์เซลูซิดของซีเรีย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อิสราเอลได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด ทุกข์ทรมานมากที่สุด ถูกข่มเหงรังแกมากที่สุด  เพราะแอนตีโอกัส ที่ 4 เป็นกษัตริย์ที่มีจิตใจเหี้ยมโหด ทุจริตและคดโกงเงิน จากพระวิหารของยิว โดยรวมหัวกับพระ ปุโรหิตในสมัยนั้น

และตอนที่นำทัพซีเรียไปโจมตีอียิปต์ โรมันเข้ามาแทรกแซง ช่วยอียิปต์ไว้ ทำให้แอนติโอคัส ที่ 4 ตีอียิปต์ไม่สำเร็จ เจ็บใจมาก ก็เลย  เอาความแค้น ความอับอายต่างๆ มาระบายที่กรุงเยรูซาเล็ม ปล้นสะดม ทำลายทรัพย์สิน ออกคำสั่งห้ามยิวทำพิธีกรรมทางศาสนา ห้ามเข้าสุหนัต ห้ามฉลองเทศกาลต่างๆ  และสั่งเผาหนังสือธรรมบัญญัติทั้งหมด ผู้ใดขัดขืน มีโทษถึงตาย ทำสิ่งที่ไม่เคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วยังโกงเงินไปอีกต่างหาก

เหตุการณ์ที่อิสราเอลถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก ในยุคของแอนติโอคัส ที่ 4 ทิพฟานีส์ ผู้นำซีเรียในยุคนั้น ก็เหมือนการจำลองเหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เชื่อทุกคน หรือคริสเตียนทุกคนในยุคสุดท้าย คือยุคจากนี้ไป  ไม่รู้เมื่อไร? อนาคตมันไม่ได้หมายถึงหลายปี มันอาจจะอาทิตย์หน้าก็ได้ โผล่ขึ้นมาทันทีก็ได้ แต่ขึ้นมาเมื่อไร? เราจะรู้ทันที เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา

ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา และทำลายล้างแอนตี้ไคร์ซตัวใหญ่ ตัวนี้ออกไป เราจะต้องอยู่ในความทุกข์ยาก และถูกข่มเหงคล้ายๆ กัน หรือหนักกว่าภาพจำลอง คือตอนสมัยก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเกิด คือในยุคแอนติโอคัส ที่ 4 ที่นิมิตของดาเนียลได้พูดตอนอยู่บาบิโลน

พระคัมภีร์บอกว่าผู้นำ หรือแอนตี้ไคร์ซตัวนี้ มันจะประกาศตัวมันเองว่ามันเป็นพระเจ้า มันเทียบพระเจ้าเลย  และมันจะโผล่ขึ้นมาในยุคสุดท้าย  และใครก็ตามที่อยู่ฝ่ายเดียวกับแอนตี้ไคร์ซนี้  ก็จะได้รับความสุขสบาย ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง สั้นๆ โดยมันจะทำงานด้วยการเอาทรัพย์สินมาหลอกล่อ เอาชื่อเสียง เอาลาภยศ สรรเสริญมาหลอกล่อ ให้คนติดกับในสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เป็นของโลกนี้ ใครที่ยอมทำตาม ยอมเป็นพวกมัน ก็จะได้รางวัลเหล่านี้  ได้รับการเชิดชู ได้รับอำนาจบารมี ได้รับอิทธิพล เหมือนกับได้รับการครอบครองบนโลกใบนี้ แต่ก็เป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้

ดาเนียล 11:40 “ในวาระสุดท้าย  กษัตริย์ฝ่ายใต้จะรบกับเขา และกษัตริย์ฝ่ายเหนือนั้น จะระดมรถม้าศึก กองทหารม้า และกองทัพเรือบุกเข้าประจัญบานกับเขา เขาจะรุกรานหลายประเทศ และกวาดล้างไปทั่ว เหมือนน้ำท่วม”

 

นี่คือท้ายของบทที่ 11 พระเจ้าเปิดเผยให้เรารู้ว่าเมื่อถึงวาระสุดท้าย  จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง? แบบคร่าวๆ แต่ไม่บอกว่าจะเกิดวันไหน? เวลาไหน?  เป๊ะๆ เพราะมันเป็นประโยชน์ต่อพวกเราเอง ที่ไม่บอกเป๊ะๆ ที่บอกว่ากษัตริย์ฝ่ายใต้จะรบกับกษัตริย์ฝ่ายเหนือตรงนี้ ก็ไม่ได้หมายถึงสงครามระหว่างซีเรียกับอียิปต์อีกต่อไปแล้ว ตรงนั้นมันเป็นประวัติศาสตร์ แต่ตอนนี้ เรากำลังพูดถึงอนาคต คือยุคสุดท้าย ที่ยังมาไม่ถึง สัญลักษณ์ของฝ่ายเหนือ คือกองทัพปฏิปักษ์พระคริสต์ ส่วนฝ่ายใต้ ก็คือกองทัพของประชากรของพระเจ้า คือกองทัพพระคริสต์ ในยุคสุดท้าย ปฏิปักษ์พระคริสต์จะข่มเหงรังแกประชากรของพระเจ้า อย่างรุนแรงที่สุด เท่าที่เคยมีมา และแผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง ผู้ที่เชื่อในพระองค์จะต้องพบกับความทุกข์ทรมานชั่วระยะเวลาหนึ่ง  แต่สุดท้ายจะได้รับความสุขนิรันดร์ แต่ส่วนผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า ผู้ที่หลงไปเชื่อมารนั้น จะได้รับความสุขสบายชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้ว จะต้องพบกับความทุกข์ทรมานนิรันดร์

เรามาดูกันต่อ ในดาเนียล บทที่ 12

ดาเนียล 12:1-4 “1 ครั้งนั้น เทพบดีมีคาเอล ผู้พิทักษ์ประชากรของท่านจะมา จะเกิดช่วงทุกข์ลำเค็ญอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่มีประชาชาติขึ้น แต่ในครั้งนั้น ประชากรของท่าน คือทุกคนที่มีชื่ออยู่ในหนังสือนั้น จะได้รับการช่วยกู้ 2 คนเป็นอันมากที่ตายไป แล้วจะฟื้นขึ้น บางคนก็เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ บางคนก็เข้าสู่ความอับอาย และถูกดูหมิ่นเหยียดหยามตลอดกาล 3 บรรดาผู้มีปัญญาจะส่องแสงเหมือนความสว่างแห่งฟ้าสวรรค์ และบรรดาผู้ที่นำคนเป็นอันมาก มาสู่ความชอบธรรมจะส่องสว่างดั่งดวงดาวชั่วนิรันดร์ 4 ส่วนท่าน ดาเนียลเอ๋ย จงม้วนและประทับตราถ้อยคำแห่งหนังสือม้วนนี้ไว้ จนถึงวาระสุดท้าย คนเป็นอันมากจะไปที่นี่ที่นั่น เพื่อเพิ่มพูนความรู้”

 

ในนี้บอกว่า “ครั้งนั้นเทพบดีมีคาเอล ผู้พิทักษ์ประชากรของท่านจะมา” แปลว่าอะไร?

เหตุการณ์ใดที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วเรียกว่าเป็นความโหดร้ายทารุณที่สุดเวลานั้น  เทียบอะไรไม่ได้กับสิ่งที่กำลังจะเกิดในยุคสุดท้าย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคของแอนตีโอคัส ที่ 4 เมื่อสมัยประมาณ 500 กว่าปีก่อนพระเยซูคริสต์เกิด ที่บันทึกไว้ในนิมิตนี้ หรือเหตุการณ์ที่หลังจากนั้นมาอีกมากมาย ที่ประชากรของพระเจ้า ถูกข่มเหงรังแก เทียบกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้ายนี้ ไม่ได้

ผู้พิทักษ์ของท่านกำลังจะมา ถ้อยคำตรงนี้กำลังบอกเราว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ยุคสุดท้ายมาถึง ในขณะที่เราถูกข่มเหงบนโลกใบนี้  แอนตี้ไคร์ซที่ยกตัวเองมาเป็นผู้นำ ที่ตามองเห็นว่าคนนี้เป็นใคร?

ในโลกวิญญาณ เกิดสงคราม ขณะที่เรากำลังต่อสู้กันบนโลกใบนี้  ในโลกวิญญาณต่อสู้ด้วย  เพื่อแผนการของพระเจ้า แล้วพระองค์ทรงรู้ว่ามันจะต้องไปไหนอย่างไร? พูดง่ายๆ ก็คือมาต่อสู้กับเขา แต่ความทุกข์ลำเค็ญที่คนของพระเจ้าต้องเผชิญอยู่ในยุคสุดท้ายนั้น เป็นเพียงระยะหนึ่ง ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้เท่านั้น พอทนได้  เพราะในพระคัมภีร์สัญญาไว้ว่าไม่มีสิ่งใดที่เกินกว่าที่เราจะทนได้ พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นกับเรา 1 โครินธ์ 10:13 บอกไว้อย่างนั้นว่าเมื่อท่านเข้าไปอยู่ในความทุกข์ยากลำบากใดๆ ก็ตาม ไม่มีสิ่งใดที่ท่านทนไม่ได้ เพราะพระเจ้ารู้ว่าท่านทนได้แค่ไหน? ก็ให้ท่านแค่นั้นแหละ เอเมน

ถ้าท่านยกได้แค่ 20 กิโลฯ พระเจ้าก็ประทานให้ท่านแค่ 19.5 ให้ท่านยก ยกได้ไหม? ท่านบอกได้ แต่พอท่านยกแค่ 15 กิโลฯ ท่านก็ไม่ไหวแล้ว แต่จริงๆ ท่านได้ถึง 19.5 ถ้าอึดกว่านั้น ถ้าท่านยกแรงขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เป็น 16 ไม่ไหว ตายแน่ๆ พระเจ้ารู้ว่าท่านยกได้จริงๆ 19.5  ท่านไม่ยอมทำ หรือท่านอาจจะไม่รู้ตัวด้วย ท่านยกไปถึง 18 ท่านก็ร้องโวยวาย จบๆ ไม่ไหวแล้วๆ ก็ยังได้อีก 1.5 จนกระทั่ง 19.5  ท่านบอกตายแน่ นั่นแหละ พระเจ้ามาพอดี พระองค์ไม่เคยมาสาย แต่ก็ไม่มาก่อน ทุกคนชอบพูด

“พระองค์ไม่เคยมาสาย”

แต่ไม่เคยมีใครพูด ถ้าไม่มาสาย ก็ต้องไม่มาก่อนด้วย ไม่ได้มาตอน 15 กิโลฯ กำลังสบายๆ ต้องมาตอน 19.5 เพราะสร้างท่านมา เพื่อยกให้ได้ 19.5 ไม่เหมือนคนข้างๆ เขายกได้ 15 เพราะฉะนั้น พอถึง 14.5 ให้เขาหยุดแล้ว

ในยุคสุดท้าย ทุกคนที่มีชื่ออยู่ในหนังสือ จะได้รับการช่วยกู้ คนเป็นอันมากที่ตายไปแล้ว จะฟื้นขึ้น บางคนก็เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ บางคนก็เข้าสู่ความอับอายนิรันดร์ และถูกหมิ่นเหยียดหยามตลอดกาล นี่หมายถึงเมื่อถึงวันนั้น วันสุดท้าย อะไรเกิดขึ้น คนที่อยู่ในหนังสือนั้น จะได้รับการช่วยกู้ คนที่ตายไปแล้ว จะเป็นขึ้นมาใหม่

ในนี้ไม่ได้บอกว่าคนที่ตายไปแล้ว จะเป็นขึ้นมาใหม่ หมายถึงคริสเตียน แต่หมายถึงทุกคนจะต้องเป็นขึ้นมาใหม่ เพื่อรับการพิพากษา และคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่สะอาดหมดจดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว ไม่มีบาปแล้ว อยู่ในฝ่ายพระเจ้าแล้ว เขาก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่ได้รับความอับอาย อยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล สำหรับคนที่ไม่ได้เชื่อพระเยซูคริสต์ ไม่ได้เชื่อในการไถ่ถอนของพระเยซู ไม่ได้มีพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับเขา บาปก็ยังอยู่ในตัวเขา เมื่อเขาบาป  เขาถูกปรับโทษอยู่แล้ว ไม่มีใครทำอะไรเขานะ ไม่ใช่พระเยซูทำเขา ไม่ใช่พระเจ้าทำเขา แต่บาปทำเขา เหมือนกฎไปทำเขา เขาก็ต้องถูกอัปเปหิไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า ที่ที่ไม่มีความสุข ที่ที่มีแต่ความอับอาย ที่ที่มีแต่ความทุกข์ร้อนที่เขาพยายามสรรหาคำออกมา รวบรวมสถานที่ไม่ดีเหล่านี้ หรือว่าบึงไฟนรก  เขาต้องไปอยู่ตรงนั้น  และไม่ใช่ชั่วคราว แต่เป็นนิรันดร์กาล ในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น แต่ผู้ที่อยู่ในหนังสือนั้นจะได้รับการช่วยกู้

ผู้ที่อยู่ในหนังสือนั้น คือผู้ที่เชื่อในพระเยซู ผู้ที่ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซู ผู้ที่รับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นมนุษย์อยู่ว่าได้ยินมาว่าพระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ผู้ใดอยากรับความรอด อยากพ้นจากบาป ให้ไปหาพระองค์ และคนนั้นตัดสินใจไปหาพระองค์ และยอมกับพระองค์ รับเชื่อ รับสิทธิของเขาตรงนี้ เขาได้รับการช่วยกู้ให้รอด เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ทันทีทันใดนั้น ชื่อเขาได้ถูกจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต

หนังสือแห่งชีวิต คือหนังสือที่จดชื่อผู้ที่ได้รับชีวิตของพระเยซู ก็คือวิญญาณของพระเยซู วิญญาณเหมือนพระเยซู ก็คือเข้าไปอยู่ในครอบครัวพระเยซู ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มันมีชื่อจดอยู่ เมื่อตอนที่เขาอยู่บนโลกใบนี้ เขาได้ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อนั้น ชื่อจดเข้าไปทันที เท่ากับเขาได้ย้ายสำมะโนครัว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้ย้ายเขาออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ย้ายออกจากสำมะโนครัวแห่งความมืด มาสู่สำมะโนครัวแห่งแสงสว่าง ย้ายจากบ้านแห่งความมืดมาสู่บ้านแห่งความสว่าง ย้ายจากบ้านที่เต็มไปด้วยความบาป มาอยู่ในบ้านแห่งแสงสว่าง ที่มีความชอบธรรม มีพระเยซูเป็นหัวหน้าบ้าน มีเราเป็นหัวหน้าบ้านที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 เป็นพันๆ หมื่นๆ ล้านๆ คน เอเมน

นิมิตที่พูดมาทั้งหมดตะกี้นี้ เกิดหมดแล้ว 80, 90% นี่พูดถึง 10% สุดท้าย ที่ยังไม่ได้โผล่ออกมาให้เห็น ทุกคนที่มีชื่ออยู่ในหนังสือนั้น จะได้รับการช่วยกู้ ใครยังไม่มี อ่านตรงนี้ ก็ตกใจ ถ้ามันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ทำอย่างไร? คนเป็นอันมากที่ตายไปแล้ว จะฟื้นขึ้น เพื่อรับการพิพากษา เพราะฉะนั้น มันไม่ได้ตาย แล้วหายไปเลย บางคนบอกมนุษย์ตายไปแล้ว เป็นศูนย์ ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกตายไปครั้งเดียว หมายถึงออกจากร่างกายนี้ เพียงครั้งเดียว แต่วิญญาณจะต้องอยู่ตลอดไป เพราะวิญญาณถูกสร้างโดยพระเจ้า เป็นวิญญาณที่แบ่งมาจากวิญญาณของพระเจ้า  เป็นวิญญาณพระเจ้าในตัวเขานั่นแหละ แต่เป็นวิญญาณของพระเจ้าที่กบฏพระเจ้า เป็นวิญญาณที่บาปอยู่ ต้องได้รับการชำระกลับคืนเป็นผู้ชอบธรรม กลับมาคืนสู่พระเจ้า กลับมาบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าก่อน จึงจะกลับมาอยู่กับพระเจ้าได้ แค่นี้เอง

นี่คือคำอธิบายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในการพิพากษา เมื่อยุคสุดท้าย  ท้ายที่สุด มาถึง หมายถึงจากนี้เป็นต้นไป  อย่างที่บอกพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ปีหน้า อะไรก็ได้หมด ทุกคนที่มีชื่ออยู่ในหนังสือนั้น ก็คือหนังสือแห่งชีวิต ที่มีรายชื่อผู้ที่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู พอเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็กลายเป็นดองกับพระคริสต์ เหมือนกระเทียมดอง เราก็ได้เป็นกระเทียมที่ดองแล้ว ไม่มีใครสามารถทำกระเทียมดอง ให้กลายเป็นกระเทียมสดได้ ตราบใดตราบนั้น ถ้าไม่มีใครทำให้กระเทียมดองกลายเป็นกระเทียมสดได้ ก็ไม่มีใครทำให้เรา ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ กลับกลายเป็นคนบาปได้อีกต่อไป เราก็จะเป็นคนที่บริสุทธิ์สะอาดตลอดไป เราก็จะอยู่ในครอบครัวพระคริสต์ตลอดไป เอเมน ไม่ว่าเมื่อวานซืนเราจะตีคนหัวแตก ก็ตาม วันนี้ เราอยู่ในพระคริสต์ เพราะไม่สามารถทำให้เราเป็นกระเทียมอื่นได้อีกแล้ว มันก็ยังเป็นกระเทียมดอง เพราะมันดองไปแล้ว นี่แหละเขาถึงบอกฟรีและง่ายๆ  มันไม่ได้พึ่งกับตัวเรา มันพึ่งความเชื่อ

ตรงตามข้อความที่เราย้ำกันมาตลอด ว่าคนของพระเจ้าจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วจะได้รับความสุขสบายนิรันดร์ ส่วนคนที่ไม่เชื่อ ยังคงเย่อหยิ่งและไม่เชื่ออยู่ จนวันสุดท้าย วันนี้อาจจะทำได้ วันนี้อาจจะดูดี แต่วันหนึ่ง เมื่อยุคสุดท้ายมาถึง ท่านจะพบกับความทุกข์นิรันดร์ เพราะฉะนั้น เตือนแล้วเตือนอีกๆ และมีหน้าที่เตือนอยู่เรื่อยๆ

ในนี้มีอยู่อันหนึ่งที่น่าสนใจและเมื่อตะกี้ที่เราอ่านในบทที่ 12 ข้อ 1 – 4 ที่บอกว่า “บรรดาผู้มีปัญญาจะส่องแสงเหมือนความสว่างแห่งสวรรค์”

“ผู้มีปัญญา” คือผู้ที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเขา เขาเป็นหนึ่งกับพระองค์

ก็คือ “ฉัน” ท่านเชื่อไหมว่าท่านมีปัญญา คำว่า “ปัญญา” ตรงนี้มิได้หมายถึงท่านไปเรียนจบด็อกเตอร์ ฉันเรียนจบป.4 เอง ฉันไม่มีปัญญา ไม่ใช่ ปัญญาตรงนี้หมายถึงท่านเชื่อในพระเยซู แค่นั่นเอง ในพระคัมภีร์บอกเสมอว่าถ้าเราเชื่อในพระเยซู เรามีปัญญาเลย  แต่ในทางโลกบอกว่าเชื่อในพระเยซู เป็นพวกโง่เง่า ในพระคัมภีร์พูดอย่างนั้นจริงๆ

“ข้าพเจ้าไม่ละอายในการเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพราะข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ”

ไม่ใช่เป็นสติปัญญาแบบมนุษย์ มารู้ๆ แต่มาเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ เอเมน เพราะฉะนั้น บรรดาผู้มีสติปัญญา ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย จะส่องแสงเหมือนความสว่างแห่งฟ้าสวรรค์ เพราะว่าพระเยซูบอกว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เรากลายเป็นความสว่าง

เมื่อไรที่เราเชื่อพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เรากลายเป็นความสว่าง ไม่ใช่เรามีความสว่าง เราเป็น เมื่อเราเป็นความสว่าง เป็นตะเกียงแล้ว มันต้องสว่าง ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เป็นตะเกียง มันก็สว่าง เพราะฉะนั้น คุณจะไม่รู้ตัวว่าตอนนี้คุณกำลังประกาศข่าวประเสริฐหรือเปล่า? คุณนึกว่า ..        “ประกาศข่าวประเสริฐต้องเหมือนคุณนคร ต้องขึ้นไปพูดบนธรรมาส เรื่องข่าวประเสริฐต้องรู้เรื่องเยอะแยะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฉันต้องประกาศ”

คุณผิดไปแล้ว ตอนที่คุณเดินอยู่ในบ้าน ไม่ได้พูดอะไรสักคำ คุณกำลังประกาศอยู่ แต่ประกาศด้วยวิธีใด? ไม่รู้ พระเจ้าใช้คุณก็แล้วกัน มันหมายถึงอย่างนี้ อย่าไปนึกว่าประกาศ ต้องเรียนรู้ตรงนี้ อันนั้นอีกแบบหนึ่ง ถ้าพระเจ้าใช้คุณมาแบบนั้น คุณก็ทำแบบนั้น  แต่ถ้าพระเจ้าใช้คุณมาเป็นแม่บ้าน เป็นคนที่อยู่ในบ้าน เจอคนไม่กี่คน พระเจ้าก็ใช้คุณประกาศอยู่ แต่ประกาศอีกวิธีหนึ่ง ประกาศโดยการทำกับข้าวอร่อยๆ อาจจะเป็นอย่างนั้น ก็ได้ นี่ผมพูดเล่นๆ นะ อาจจะเป็นอย่างนั้น ก็ได้  อาจจะพระเจ้าใช้คุณในการเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ก็ได้  เพราะคุณเป็นแสงสว่าง ผมอยากจะพูดอย่างนี้

ในนี้บอกว่า “และบรรดาผู้ที่นำคนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรม จะส่องแสงดั่งดวงดาวชั่วนิรันดร์”

ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย  เมื่อเป็นความสว่าง เขาก็นำข่าวประเสริฐไป นำเอาความสว่างนั้น ไปสู่ความมืดต่างๆ ไปที่ไหนที่มืด มันก็กลายเป็นสว่างหมด พอเข้าใจไหม? ไม่ใช่ว่าจากนี้ ต่อไป อยากจะเป็นตามข้อพระคัมภีร์นี้ นิมิตนี้ ต้องออกไปแจกใบปลิว ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าพระเจ้าเรียกท่านไปแจกใบปลิว ก็ไปเถอะ แต่หมายถึงตัวท่านเองไปไหน ก็เป็นแสงสว่างอยู่แล้ว รู้หรือไม่รู้ก็เป็น เหมือนกับเพลงที่เราร้องเมื่อตะกี้นี้

“ช่างงามจริงหนอ เท้าของผู้นำข่าวดี”

ถามว่าใคร? ไม่ต้องพูด คนนั้นก็ทำได้ คุณนำข่าวดีได้ไหม? ได้ ชีวิตคุณนำข่าวดี ชีวิตคุณเป็นแสงสว่าง คือนำแสงสว่างไป ตัวเราเป็นแสงสว่าง เดินไปที่ไหน มันสว่างอยู่แล้ว ไม่ต้องพูด มันก็สว่าง

ทั้งหมด เป็นของเราหมดเลย บางคนชอบเข้าใจตรงนี้ผิด ก็เลยนึกว่าตรงนี้ เอาไว้สำหรับขึ้นมาเทศน์ข้างบนนี้เท่านั้น คนขึ้นมาเทศน์บนนี้  คนที่มาประกาศข่าวประเสริฐบนธรรมาสนี้  นำคนมาเชื่อพระเจ้า จะส่องเหมือนดาว สว่างชั่วนิรันดร์ ไม่ใช่ พระเจ้าไม่ได้เป็นอะไรแบบลำเอียงถึงขนาดนั้น เท่ากันหมด ไม่มีใครเก่งกว่ากัน ไม่มีใครดีกว่ากัน ทั้งหมดเป็นของพระเจ้า เพื่อพระเจ้า โดยพระเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย มนุษย์ไม่มีอะไร จำไว้เลย อย่าถูกหลอก ส่วนใหญ่คนจะถูกหลอก ท่านจำไว้เลย ที่ใดก็ตามที่มีการยกมนุษย์ใหญ่ รีบออกมาเลย ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อแบบไหน? ถ้ายกมนุษย์ใหญ่ รีบออกมาเลย มนุษย์ทุกคน พระเจ้าบอก เราต่างก็เท่ากัน พระเจ้าไม่มีการลำเอียง เท่ากันทุกคน มีสิทธิเท่ากันทุกคน มีฐานะเท่ากันทุกคน แต่พระเจ้าให้ของประทานแต่ละคนต่างกัน ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ตามการทรงนำ ตามการวางแผนการของพระเจ้าว่าคนนี้ทำอันนี้ คนนั้นทำอันนั้น ไม่ว่าจะเป็นมาร์ธา เป็นมาเรีย ก็เท่ากัน

ทูตสวรรค์มาเล่าให้ดาเนียลฟังเป็นฉากๆ  จนกระทั่งถึงบทที่ 12 วาระสุดท้ายจะเป็นอย่างนี้ คนเป็นอันมากจะไปที่นั่น เพิ่มพูนความรู้ คือในยุคสุดท้าย คนก็จะค้นหาความรู้กันใหญ่ เพราะมันมีหนังสือ มีอะไรออกมา เริ่มรู้มากขึ้น พอดาเนียลฟัง ดาเนียลก็นึกว่าสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นเฉพาะแก่อิสราเอลเท่านั้น แต่เรามาเรียนรู้ตอนนี้  เรารู้ว่าไม่ใช่อิสราเอลอย่างเดียว แต่มันหมายถึงคนที่เชื่อในพระเจ้า ผู้ที่วางใจในพระเจ้า จนมาถึงยุคปัจจุบัน และอนาคตด้วย

ดาเนียลได้ฟัง แล้วก็ได้ยิน มันน่าหวาดกลัว น่าหวาดเสียว สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับประชากรของพระเจ้า มันอาจจะแค่แป๊บเดียว แต่ก็มีความหวั่นวิตกว่ามันน่ากลัวขนาดนั้น เชียวเหรอ ดาเนียล 12:5-6 จึงบันทึกไว้อย่างนี้

ดาเนียล 12:5-6 “5 แล้วข้าพเจ้าดาเนียลมองไปเห็นชายสองคน ยืนอยู่คนละฟากแม่น้ำ 6 คนหนึ่งกล่าวกับผู้สวมเสื้อผ้าลินิน ซึ่งอยู่เหนือแม่น้ำว่าอีกนานเท่าใด เหตุการณ์น่าประหลาดทั้งปวงนี้ จึงจะสำเร็จครบถ้วน”

 

พอดาเนียลได้ฟัง แน่นอนก็รู้สึกว่าแล้วมันทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสนะ มันนานแค่ไหน?   เป็นเราก็อยากรู้ พระเจ้าเลยให้ตอบในดาเนียล 12:7 ว่า …

ดาเนียล 12:7 “ชายผู้สวมเสื้อผ้าลินิน ซึ่งอยู่เหนือแม่น้ำ ก็ชูมือทั้งสองข้างขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์และข้าพเจ้าได้ยินเขาปฏิญาณอ้างพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ว่า “จะเป็นหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ เมื่ออำนาจของประชากรของพระเจ้าหมดสิ้นลง ในที่สุด สิ่งทั้งปวงนี้ ก็จะสำเร็จสมบูรณ์”

 

5555 ในที่สุด พระเจ้าก็บอกเราจริงๆ อย่างชัดเจน แต่เป็นความชัดเจนของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นความชัดเจนของเรา คำตอบ คือ 1 วาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ เมื่อครบตามกำหนดนี้แล้ว สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ก็จะสำเร็จสมบูรณ์ ก็คือได้รับการช่วยกู้ จบ เอเมน ในยุคสุดท้าย ผู้คนของพระเจ้าจะถูกข่มเหงรังแก ถูกทำลายล้าง จนไม่มีอำนาจเหลืออยู่เลย พ่ายแพ้ จนราบคาบ พูดง่ายๆ ถ้าเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อสมัยนั้น ก็จะถูกทำลายจนหมดสิ้นเลย แพ้อย่างสิ้นเชิงบนโลกใบนี้นะ ถึงเวลานั้น สิ่งทั้งปวงนี้ ก็จะสำเร็จ สมบูรณ์ แปลว่าจุดจบ อวสาน จบครบบริบูรณ์

พระคัมภีร์บอกว่ามันจะเกิดความทุกข์ยากลำบาก ทุกข์ทรมาน อย่างแสนสาหัส คนของพระเจ้าจะพ่ายแพ้และหมดอำนาจลง พ่ายแพ้อย่างยับเยินต่อกองทัพของมารซาตาน ปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้นำคนหนึ่ง ซึ่งเป็นใคร ก็ไม่รู้ ที่ยกตัวขึ้นมาเป็นพระเจ้าบนโลกใบนี้ ที่เห็นเป็นตัวเป็นตนเลย แล้วก็มีคนตามเขาด้วย  แล้วเข้าไปข่มเหงประเทศต่างๆ ที่เป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า หรือเป็นประเทศ คริสเตียน และคนของประเทศคริสเตียนเหล่านั้น ถูกข่มเหงรังแก พ่ายแพ้อย่างยับเยิน และเมื่อนั่นแหละ จะถึงจุดจบ ถึงอวสาน เป็นการจบสิ้นโลกใบนี้อย่างถาวร และจบสิ้นขบวนการไถ่ถอนของพระเยซู ที่ไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ตอนบ่าย 3 โมง ที่พระองค์ตะโกนว่า “สำเร็จแล้ว” มันเริ่มต้นสำเร็จ มันจะมาสำเร็จ ครบถ้วนบริบูรณ์ตามขบวนการอีกครั้งหนึ่ง เมื่อประชากรของพระเจ้าพ่ายแพ้อย่างสุดแล้ว พระเยซูจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งในวันนั้น พระเยซูจะมา แล้วก็เดินเข้าไปหาแอนตี้ไคร์ซ แล้วก็ … เป่าลมใส่ … จบ

สำเร็จสมบูรณ์ แล้วประชากรของพระเจ้าก็จะได้รับชัยชนะ ได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์ พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้แค่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง? เหตุการณ์ตอนอวสานหรือตอนจบจะเป็นอย่างไร? แต่ไม่ได้ต้องการให้รู้ชัดเจนว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? เพราะมันเป็นผลดีกับเราเอง ดาเนียล 12:8-10

ดาเนียล 12:8-10 “8 ข้าพเจ้าได้ยินแต่ไม่เข้าใจ จึงถามว่า “ท่านเจ้าข้า ทั้งหมดนี้จะลงเอยอย่างไร 9 เขาผู้นั้นตอบว่า ‘ดาเนียลเอ๋ย จงไปตามทางของท่านเถิด เพราะถ้อยคำเหล่านี้ ถูกเก็บงำและประทับตราไว้ จวบจนวาระสุดท้าย 10 คนเป็นอันมากจะถูกถลุง และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ ส่วนคนชั่วยังคงทำชั่วต่อไป ไม่มีคนชั่วคนใดจะเข้าใจ แต่ผู้มีปัญญาจะเข้าใจ”

 

ดาเนียลได้ฟังทั้งหมดแล้ว ดาเนียลบอกไม่เข้าใจ พวกเราก็ไม่เข้าใจ เพราะพระเจ้าไม่ต้องการให้เข้าใจ ให้แค่รู้ แล้วเชื่อ วางใจในพระองค์

เจ็บเป็นเจ็บ ทุกข์เป็นทุกข์ แต่ในที่สุด เราชนะถาวรนิรันดร์ นี่คือความหวังใจของเราทั้งหลาย ผู้เป็นคริสเตียน เมื่ออ่านตรงนี้แล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่เรามีความหวัง ทุกข์ไม่มีความหวัง ทุกข์อย่างไม่มีเหตุมีผลว่าเมื่อไรมันจะจบ มันทรมาน

เมื่อปีที่แล้วผมขี่จักรยานล้ม มือไปฟาดพื้น จากนั้นมามือขวาใช้ไม่ได้ ห้อยอย่างนี้ เจ็บตลอด  ตอนแรกนึกว่าจะให้มันหายเอง มันไม่หาย  ไปเอ็กซเรย์ กระดูกไม่แตก ไม่หัก แต่เส้นเอ็นร้าว เส้นเอ็นช้ำมาก ตอนนั้นจะต้องใช้งานมือขวาเป็นพิเศษด้วย งานหนักด้วย ไม่รู้จะทำอย่างไร? ก็เลยถามหมอ … หมอบอกว่า …

“มีวิธีเดียว คือต้องฉีดยาสเตอรอย ถ้าฉีดสเตอรอยแล้วมันจะหาย ไปทำงานได้เลย หายเลย แต่ถ้าไม่จำเป็น จะไม่ฉีดให้ ถ้าคุณจำเป็น ก็ต้องฉีด”

ผมบอกว่า “จำเป็น เพราะต้องใช้งานใน 2 อาทิตย์ข้างหน้า”

“2 อาทิตย์ข้างหน้าไม่ทันหรอก ต้องฉีด”

ก็เลยต้องฉีด เข็มยังกับเซรุ่มม้า เข็มยาว ใหญ่มากเลย แล้วฉีดที่ข้อมือ แบบแทงลงไปจะๆ เห็นๆ ชัดๆ ตอนแทงไปมันเจ็บ ปวด แล้วตอนเดินยามันปวด นาน ค่อยๆ ฉีด หมอยิ้มคนเดียว ผมไม่ยิ้ม หมอก็สบาย ไม่เป็นหรอก ใครเขาก็ฉีดอย่างนี้  แล้วมันรวมเข็ม หมายถึงเขาเอา 3 – 4 เข็มมารวมเป็นเข็มเดียว ใหญ่เลย นานเลย ไม่รู้นานเท่าไร? สำหรับผมแล้ว เหมือนฉีดเป็นชั่วโมง จริงๆ ไม่ใช่ แต่ความรู้สึกเราเหมือนเป็นชั่วโมง เพราะเราเจ็บ เราเลยรู้สึกว่าแค่ 1 นาทีนั้นมันนานเหลือเกิน แต่ความหวังของเรา ก็คือหมอบอกว่าฉีดแล้ว อีก 2 วัน มันก็หาย แขนก็ใช้งานได้เลย นี่ความหวังเราไปฝากไว้ตรงนั้น เราเชื่อข้อมูลหมอไง แล้วมันก็หายจริงๆ  เราจึงทนได้ ยิ้มได้ตอนที่มันเจ็บ เพราะเรารู้ว่ามันเจ็บแป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ได้แล้ว

เหมือนกันถ้าตอนนี้ท่านพบกับความทุกข์อะไร? ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ เรื่องสุขภาพของท่าน ทุกข์เรื่องการเงิน การงาน ครอบครัว เรื่องจิปาถะบนโลกใบนี้ เพราะโลกนี้ไม่ใช่บ้านของเรา พระเยซูบอกแล้ว เมื่อเราเชื่อแล้ว โลกนี้เป็นศัตรูของเราตลอด ฉะนั้น ไม่มีอะไรสุขบนโลกใบนี้หรอก ท่านพบอะไร ก็ตาม อธิษฐาน แล้วอธิษฐานอีก ไม่เห็นมันจะดีขึ้นเลย จำไว้ พระเจ้าดูตลอดเวลา มันไม่เกินกว่าที่ท่านจะทนได้หรอก และเมื่อถึงเวลาสุดท้ายนั้น ท่านจะได้รับการพักผ่อนนิรันดร์ ไม่ว่าพระเยซูมาหรือไม่มา ท่านจะได้พักผ่อนนิรันดร์ เอเมน

นี่คือความหวังของคริสเตียน คือไม่ใช่ไม่มีความทุกข์ แม้เรามีความทุกข์ แต่เรายังมีความหวังว่ามันจะจบความทุกข์นั้น คือทุกข์อย่างมีหวัง ถูกไหม?  ถ้าทุกข์แบบไม่มีหวัง ก็ทุกข์ไป ทุกข์เพราะใช้หนี้ เวรกรรมเก่า เมื่อไรมันจะจบสักที ผมมาเชื่อพระเจ้า เพราะอย่างนี้นะ เพราะผมรับไม่ได้กับที่มีคนมาบอกผมว่าผมจะต้องใช้หนี้เวรกรรม พอผมป่วยก็บอกใช้เวรใช้กรรม แล้วผมก็ถามว่าจะใช้ถึงเมื่อไรมันถึงจะจบ ไม่รู้ ผ่อนอยู่นั่นแหละ ก็เลยไม่มีความหวัง แต่นี่พบพระเยซูแล้ว มันมีความหวังว่าผ่อนไป แต่รู้ว่าสุดท้ายแล้วบ้านนั้นเป็นของฉัน มีความหวังว่าเราทำได้ เราก็อดทน แต่นี่ผ่อนไปตลอดชีวิตเลย ไม่มีความหวังเลย เราทรมาน

เพราะฉะนั้น เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า มันจึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะขอบคุณพระเจ้า ที่พระเยซูเป็นความหวังของเราตลอด ไม่ว่าทุกข์ขนาดไหน?  พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา และให้กำลังกับเราที่จะทนสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้

ถามว่าความหวังท่าน คืออะไร? ความหวังของเราทั้งหลาย ควรจะอยู่ที่นี่ และเป็นความหวังที่สมควรเอามาเทียบกับความทุกข์ยากบนโลกใบนี้ด้วย วิวรณ์ 21:1-5 นี่ควรจะเป็นความหวังของเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระเยซู ทุกคนบนโลกใบนี้

วิวรณ์ 21:1-5 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่!” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไปเพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้”

 

เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 21 “ชัยชนะแห่งยุคสุดท้าย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  กรกฎาคม  2017

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 21 “ชัยชนะแห่งยุคสุดท้าย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาต่อ “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนที่ 21 ชื่อตอนว่า “ชัยชนะแห่งยุคสุดท้าย” วันนี้เราจะมาดูกันต่อ ในหนังสือดาเนียล บทที่ 11 ย้ำกันอีกครั้งหนึ่งว่าที่เรามาเรียนรู้หนังสือดาเนียล ก็เพื่อที่จะให้รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ควบคุม ครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย บนโลกใบนี้  ทั้งโลกฝ่ายวิญญาณ และโลกที่ตามองเห็น และประเด็นสำคัญที่สุด ก็คือสิ่งใดที่พระเจ้าต้องการให้เรียนรู้ และสามารถเข้าใจได้ พระองค์ก็เปิดตาฝ่ายวิญญาณเรา ให้นิมิตกับเรา สอนเรา บอกเราได้ชัดเจนเลยว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร?  และเราเข้าใจในนิมิตนั้น ส่วนอีกหลายๆ เรื่องที่พระเจ้า ไม่ต้องการให้เรารู้ ซึ่งเราเรียกกันว่าสิ่งลี้ลับ อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งลี้ลับ เมื่อพระเจ้าไม่เปิดเผย เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้สิ่งเหล่านั้น เช่น หลายๆ เรื่องที่เราได้รับรู้ผ่านทางนิมิตของดาเนียล ที่เราได้เรียนกันมาตลอด ได้เห็นแล้วว่าสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสำแดงไว้ล่วงหน้า  เป็นเวลาหลายร้อยปี ที่เรากลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ ได้เห็นบันทึกก่อนสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้น  มันเป็นจริง ตามนั้นหมดเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าให้เราเรียนรู้ศึกษา

ส่วนสิ่งใดที่พระเจ้าไม่เปิดเผย และไม่ทรงสำแดงให้เรารู้ ในที่เราเรียนมาก็มีเยอะแยะ หลายตอนเลย เราก็ไม่ต้องพยายามสืบเสาะ แล้วก็หาวิธีที่จะรู้มัน ไม่ต้องพยายามที่จะไปหาความจริงในสิ่งลี้ลับอะไรต่างๆ อย่าเข้าไปเลย มันเป็นทุกข์มากกว่าเป็นสุข เพราะว่าเราไม่ทำตามที่พระผู้สร้างกำหนดให้เราเป็น ถ้าเราไปเรียนรู้สิ่งที่เราไม่รู้ และพระเจ้าไม่อยากให้เรารู้ มันจะเป็นโทษต่อเรา เช่น อัศจรรย์ใหญ่โตอะไรต่างๆ ฤทธิ์เดชอำนาจมากเกินมนุษย์ ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเลย แม้ตัวเราเองจะผ่านประสบการณ์นั้น ก็ตาม เข้าไป แล้วรีบออกมา อย่าเข้าไปติดยึดอยู่ มันอันตราย

ในหนังสือฮีบรูบอกว่า …

“เมื่อครบกำหนด เจ้าจะต้องตาย”

มันเป็นการกำหนดไว้แล้วว่ามนุษย์ทุกคน จะตายเพียงครั้งเดียว บอกล่วงหน้าว่าเราต้องตายแน่ๆ ไม่รู้เมื่อไร? แต่เมื่อครบกำหนด เราก็ต้องตาย

สมมติว่าพระเจ้าบอกเราล่วงหน้าว่าจะตายเมื่อไร? เราไม่ทำอะไรแล้ว ก็นั่งรอๆ อย่างเดียว   ไม่มีสมาธิในการดำรงชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น การรู้อะไรล่วงหน้า มันไม่ใช่ดีเสมอไปหรอก

เราจึงต้องยอมเคารพกติกาพระเจ้า เมื่อพระเจ้าไม่ให้เราเรียนรู้ว่ามันเป็นอะไร? อย่างไร?  ก็ไม่ต้องไปเรียนรู้ เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าย่อมรู้มากกว่าเราว่าอะไรเราควรจะรู้ อะไรเราไม่ควรรู้ มันไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเรา ก็ไม่ต้องไปรู้ เชื่อฟังพระองค์เถิด เอเมน

กลับมาที่ดาเนียล บทที่ 11 เราได้เรียนรู้กันไปถึงข้อที่ 35 ซึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องราวล่วงหน้าในนิมิตของดาเนียล ที่ดาเนียลได้รับถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับชนชาติต่างๆ ในตะวันออกกลาง และแอฟาริกาเหนือ ตั้งแต่สมัยกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย ประมาณ 529 ปีก่อนคริสตศักราช   จนถึงการยึดครองอำนาจในอิสราเอล ในปี 167 ก่อน คริสตศักราช เรื่องราวที่เราจะเรียนกันในครั้งนี้ ก็จะต่อจากครั้งที่แล้ว

วันนี้เราจะมาดูดาเนียล 11:36-45 ซึ่งพระเจ้าได้เปิดเผยให้รู้เพิ่มเติมถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย คือยุคต่อจากเราไป ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ที่เรารอกันทั้งโลกนี้ ย้ำอีกครั้งว่าเป็นการบอกให้ทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น  แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อไร? วันใด? เวลาใด? แต่บอกว่ามันจะเกิดขึ้นแน่นอน

และในช่วงท้ายๆ ของดาเนียลบทที่ 11 เป็นบทสรุปว่าประชากรของพระเจ้า ผู้ที่เชื่อในพระองค์จะต้องพบกับความพ่ายแพ้ ความทุกข์ทรมาน ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้ว คนที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า จะได้รับความสุข เป็นนิรันดร์ นี่เรื่องจริงๆ

ส่วนผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเรา ผู้ที่เชื่อพระเจ้า ก็คือผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ผู้ยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ แล้วยังไม่ได้เชื่อในนิมิตนี้ สุดท้ายแล้วจะได้พบกับความทุกข์ทรมานนิรันดร์ อันนี้ก็เป็นจริงด้วยเช่นเดียวกัน มันเป็นจริงทั้งคู่

ดาเนียล 11:36-37 “36 “กษัตริย์องค์นั้น จะทำตามใจชอบ เขาจะยกตัวเหนือเทพเจ้าทั้งปวง และกล่าวลบหลู่พระเจ้าสูงสุด อย่างที่ไม่เคยได้ยินกันมาก่อน เขาจะประสบความสำเร็จ จนครบเวลาแห่งพระพิโรธ เพราะจะต้องเป็นไปตามที่ทรงกำหนดไว้ 37 เขาจะไม่สนใจบรรดาเทพเจ้า ของบรรพบุรุษ หรือผู้ที่บรรดาสตรีฝักใฝ่ หรือพระใดๆ แต่จะยกตนเอง เหนือเทพทั้งมวล”

 

ตอนนี้เห็นภาพในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กำลังจะเกิดขึ้น จะมีฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้เดินทัพผ่านอิสราเอลจะทนทุกข์ลำบากอย่างไร? พอมาข้อ 36 ปุ๊บ เข้ามาสู่โลกฝ่ายวิญญาณแล้วว่าในอนาคตมันจะเป็นอย่างนี้

กษัตริย์องค์นั้น จะทำตามใจชอบ เขาจะยกตัวเหนือเทพเจ้าทั้งปวง และกล่าวลบหลู่พระเจ้าสูงสุด อย่างที่ไม่เคยได้ยินกันมาก่อน

คำว่า “กษัตริย์องค์นั้น” ตรงนี้ หมายถึงปฏิปักษ์พระคริสต์ในยุคสุดท้าย หมายถึงแอนตี้ไคร์ซ ตรงตามที่เปาโลได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ ใน 2 เธสะโลนิกา 2:4 ซึ่งผ่านจากเรื่องของดาเนียลมาประมาณ 500 ปี ในยุคที่พระเยซูมาเกิดแล้ว และไปอยู่ในสวรรค์แล้ว และเปาโลเป็นบุคคลหนึ่งที่พระเจ้าเปิดตาให้เห็นอาณาจักรสวรรค์ และเปาโลพูดถึงสงครามฝ่ายวิญญาณ หรือปฏิปักษ์พระคริสต์ไว้ว่าอย่างไร?

2 เธสะโลนิกา 2:4 “มันจะต่อต้าน และยกตนขึ้น ข่มทุกสิ่ง ที่ได้ชื่อว่าพระเจ้า หรือเป็นที่เคารพบูชา เพื่อว่ามันจะตั้งตนขึ้น ครองพระวิหารของพระเจ้า และประกาศตัวเป็นพระเจ้า”

 

และยอห์น อัครสาวกของพระเยซู ก็เคยเตือนให้ระวังปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกแอนตี้ไคร์ซ ที่จะเข้ามาในยุคสุดท้าย  คือยุคสุดๆ แล้ว จบแล้ว จบบริบูรณ์ และในยุคสุดท้ายนี้ มันจะเร่งการทำงานของมัน เหมือนกับว่าพระเจ้าอนุญาต แล้วมันก็ทำสุดท้ายเลย  ทุ่มสุดตัวเลย อะไรประมาณนั้น  และผู้ที่เชื่อในพระเจ้าชนะ ใน 1 ยอห์น 2:18

1 ยอห์น 2:18 “ลูกที่รัก บัดนี้ เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์กำลังมานั้น แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ก็มีมามากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย”

 

เวลาท่านอ่าน คำว่า “ยุคสุดท้าย” “วาระสุดท้าย” ท่านจงจำไว้ว่ามันหมายถึงยุคที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ตายที่ไม้กางเขนแล้ว หลั่งพระโลหิตแล้ว บรรดาอัครสาวกและผู้เชื่อต่างๆ ทั่วโลก ได้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐนี้ ถ้ามาถึงปัจจุบัน เป็นเวลาประมาณ 2,000 ปี แต่เริ่มต้นจากนั้น ตลอดมา ถือว่าเป็นยุคสุดท้าย หมดเลย พระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามแผนการใหญ่ของพระองค์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ก็หมายความว่ารวมทั้งสิ้นที่ ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยตาหรือไม่ก็ตาม และรวมทั้งสิ่งที่เราคิดว่ามันดีก็ตาม และเราคิดว่ามันไม่ดี มันเลวร้ายก็ตาม บางคนพอมีสิ่งเลวร้ายขึ้นมา บอก …

“ไอ้นี้ มารซาตานเป็นผู้ควบคุม”

แล้วอย่างนี้ เราจะร้องเพลง “พระเจ้ายิ่งใหญ่” ได้อย่างไร? ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ บางครั้งก็ใหญ่ไม่พอ พระคัมภีร์ไม่เคยพูดอย่างนั้น พระเจ้าควบคุมทุกอย่างอยู่ ไม่ว่าเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นก็ตาม เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น ถ้าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด ตามที่บอกมาจริงๆ แล้วปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เราก็สามารถตอบด้วยสติปัญญาของเรา ที่พระเจ้าให้มาว่า …

“ไม่รู้  ฉันไม่ใช่พระเจ้า ไปถามพระเจ้าเองก็แล้วกัน”

ถ้าเราพยายามไปหาคำตอบที่พระเจ้าบอกลี้ลับ ในที่สุด เราก็จะตอบด้วยความหงุดหงิดว่า …

“พระเจ้าอยากลงโทษเธอไง”

ไปกันใหญ่ เละ มันเกิดความเสียหายมากกว่า ยอมตอบไปสิว่าพระเจ้าไม่ได้บอก มันลี้ลับ ไม่รู้จริงๆ หัดตอบบ้าง ไม่รู้ บางครั้งพระเจ้าก็อนุญาตให้ความทุกข์ยากลำบาก ความเลวร้ายเกิดขึ้น บางสิ่งบางอย่าง เกิดขึ้นกับผู้ที่เชื่อในพระองค์ ที่เรียกว่าประชากรของพระองค์ ทุกยุคทุกสมัย ในสมัยอดีต ก็คือพวกอิสราเอล ในสมัยปัจจุบัน ก็คือพวกคริสเตียน เราผู้เชื่อนั่นเอง เราต้องยอมรับตรงนี้ก่อน เพราะมันตามหลักพระคัมภีร์จริงๆ ไม่อย่างนั้น เราจะหาทิศทางในการตั้งฐาน ในการเชื่อพระเจ้าไม่ถูกเลย  ถามว่าพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้น เกิดขึ้นเพื่ออะไร?  เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในแผนการใหญ่ๆ ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ ซึ่งแผนการใหญ่ๆ นั้น มิได้หมายถึงเกี่ยวข้องกับชีวิตเราคนเดียว แต่เกี่ยวพันไปถึงทั้งโลกฝ่ายวิญญาณ และโลกฝ่ายวัตถุตั้งแต่สวรรค์จนถึงนรก ถ้าพระเจ้าจะใช้ท่านเกี่ยวข้องกับคนๆ หนึ่งที่จะลงนรก ดึงเขาขึ้นมา ใช้ด้วยวิธีอะไร? ไม่รู้ ทำไมใช้คนนี้เป็นภาชนะอย่างนี้ เท่ห์จังเลย  ทำไมใช้คนนี้ ไม่ค่อยเท่ห์เลย  ตอบว่าไม่รู้ คนเท่ห์อาจกลับกลายเป็นไม่เท่ห์ก็ได้ กลายเป็นกระเทเร่ก็ได้ เราไม่รู้เรื่องเลย

เพราะฉะนั้น เราต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้ว่าอย่างไรก็ตาม พระเจ้าสัญญาไว้ในหนังสือโรม 8:28 ว่า …

“พระเจ้าให้ทุกสิ่งทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลดีกับเขาทั้งหลาย ที่รักพระองค์ ประชากรของพระองค์ ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้”

เอเมน จบ หลับสบาย  แล้วก็ตอบว่า …

“ฉันไม่รู้จริงๆ ฉันไม่ได้ไปสืบหาว่าเป็นอะไร? ฝากไว้ที่พระเจ้า นอนดีกว่า แม้ว่าจะนอนไม่หลับ ก็ลุกขึ้นมาอธิษฐานใหม่ คิดใหม่”

เหมือนในตอนท้ายของข้อ 36 บอกว่า …

“เขาจะประสบความสำเร็จ จนครบเวลาแห่งพระพิโรธ เพราะจะต้องเป็นไปตามที่ทรงกำหนดไว้”

คนนี้มาทำความทุกข์ทรมานให้ประชากรของพระเจ้า ให้เขามาข่มเหงคริสเตียนสำเร็จ เพราะว่า …

“เขา (หมายถึงแอนตี้ไคร์ซที่จะมาข่มเหงคริสเตียนนะ) จะประสบความสำเร็จ จนครบเวลาแห่งพระพิโรธ เพราะจะต้องเป็นไปตามที่ทรงกำหนดไว้”

เขาทำสำเร็จ เพราะพระเจ้ากำหนดไว้ พระเจ้าควบคุมอยู่

มาดูว่าในช่วงที่ปฏิปักษ์พระคริสต์ยกตัวเองเป็นใหญ่ มันทำงานอย่างไร? ดาเนียล 11:38-39 ได้บอกไว้ล่วงหน้า

ดาเนียล 11:38-39 “38 เขาจะยกย่องเทพเจ้าแห่งป้อมปราการ ซึ่งบรรพบุรุษของเขาไม่รู้จัก  แทนเทพเหล่านั้น เขาจะยกย่องเชิดชู ด้วยเงินทอง เพชรนิลจินดา และของกำนัลสูงค่า 39 เขาจะโจมตีป้อมปราการอันแข็งแกร่งที่สุด โดยความช่วยเหลือของพระต่างชาติ และจะยกย่องเชิดชู  บรรดาผู้ที่ยอมรับเขา แล้วเขาจะตั้งคนเหล่านี้ ให้เป็นผู้ปกครองคนเป็นอันมาก และยกที่ดินให้เป็นรางวัล”

 

“เขา” ตรงนี้ คือปฏิปักษ์พระคริสต์ที่ได้ฤทธิ์อำนาจมาจากโลกฝ่ายวิญญาณ ก็คือซาตาน ในการเป็นผู้นำคนไปต่อต้านประชากรของพระเจ้า ข่มเหงประชากรของพระเจ้า

ปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือผู้นำที่ได้อิทธิพล ได้ฤทธิ์อำนาจ เป็นเรื่องเกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาติ เป็นอัศจรรย์ อำนาจมาทางฝ่ายวิญญาณ ตัวแอนตี้ไคร์ซหรือปฏิปักษ์พระคริสต์ตัวนี้  ในอนาคต จะรวบรวมสมัครพรรคพวก ด้วยการเอาทรัพย์สินเงินทองทางโลกมาล่อ ใครที่ยอมทำตามนโยบายของเขา ตามพระคัมภีร์บอก ยอมเป็นพวกกับมัน ก็จะได้รางวัล ได้รับการยกย่องเชิดชู ได้รับเกียรติ ได้รับคำสรรเสริญ ได้รับอำนาจ อิทธิพลและทรัพย์สินเงินทอง แต่พระคัมภีร์บอกเป็นเพียงแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ ขอบคุณพระเจ้า

สมัยก่อนเรียนพระคัมภีร์ พยายามที่จะเรียนรู้ เหนื่อยมาก พยายามศึกษาตรงนั้น ก็ไม่เข้าใจ ตรงนี้ก็ไม่เข้าใจ เดี๋ยวนี้พระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เราได้เห็นอะไรบางอย่างแล้ว พออ่านเจอสิ่งเหล่านี้ ก็ยิ่งสบายใจ อย่างเช่น …

ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ ตามแผนการพระเจ้า เมื่อถึงกำหนดของพระเจ้า มันแฮปปี้จริงๆ

อีกอันหนึ่ง ก็คือพระเจ้าดลใจ ชอบมากเลย พระเจ้าดลใจให้กษัตริย์ไซรัส อนุญาตให้ประชากรของพระเจ้ากลับไปยังเยรูซาเล็ม

พระเจ้าดลใจให้ฟาโรห์มีใจแข็งกระด้าง ทรมานประชากรของพระองค์เพิ่มขึ้น

มันจริงเลย ไม่ใช่ที่เห็นเขาทุกข์ทรมาน แล้วมัน แต่เพราะทุกอย่างอยู่ที่พระเจ้าหมด ไม่ว่า เราจะรู้สึกดีหรือเลวก็ตาม

ดลใจกษัตริย์ไซรัส ให้มีความโปรดปรานกับประชากรของพระเจ้า อย่างดี นี่ดี ตามที่ตาเรามองเห็น

แต่ดลใจฟาโรห์ เพิ่มงาน บีบบังคับ เคี่ยวเข็ญ อิสราเอล นี่มันไม่ดี แต่ทั้งสองอัน ในพระคัมภีร์เขียนคำเดียวกัน คือพระเจ้าดลใจ

เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ตอนที่พระเยซูกำลังจะเริ่มต้นประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ประมาณอายุ 30 ปี พระเยซูอดอาหาร ในพระคัมภีร์เขียนไว้แล้ว มารได้นำพระเยซูไปทดลอง ความเชื่อเลย  ก็คือมาล่อลวงพระเยซูนั่นแหละไม่ใช่ทดลอง มารมาล่อลวงพระเยซู พาพระเยซูขึ้นไปบนภูเขา แล้วให้มองลงมาข้างล่าง เห็นเมือง เห็นอะไรต่างๆ แล้วบอกว่า …

“ทรัพย์สินสิ่งของเหล่านี้ เกียรติยศเหล่านี้ทั้งหมด บนโลกใบนี้ ได้ถูกมอบให้กับเราแล้ว กราบเราสิ แล้วเราจะให้เจ้า”

ให้พระเยซูกราบมัน แล้วมันจะให้หมดเลย ทั้งทรัพย์สินเงินทอง อิทธิพล ครอบครองโลกใบนี้ทั้งใบเลย แล้วพระเยซูตอบว่าไสหัวแกไปให้พ้น

สำหรับมนุษย์ ในยุคสุดท้าย ให้คุณพันล้าน เอาไหม? ไสหัวแกไปให้พ้น หมื่นล้าน เดี๋ยวก่อน กลับไปคิดแป๊บ ใช่หรือเปล่า?  เดี๋ยวกลับไปคิด ไม่เอา มันน้อยไป นี่มันมนุษย์ ไม่ใช่พระเยซูเลย  แต่ขอบคุณพระเจ้า เราอยู่ในพระเยซู พระเยซูอยู่ในเราแล้ว เราก็มีสิทธิ์ที่จะพูดคำนี้ ถ้าพระเยซูนำพาเรา เขาให้มาพันล้าน  เราก็บอกไสหัวแกออกไป ปฏิเสธพระเจ้าให้สักหมื่นล้าน เอาหรือไม่เอา? ตอนนี้ยังเช่าบ้านเขาอยู่นะ เงียบไม่กล้าพูด ดีแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจ ถึงวันนั้น ไม่รู้นะ ไม่มีใครตอบได้

นี่แหละคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย มันแรงขึ้นกว่าเดี๋ยวนี้อีก และจะมีคนหลงไปในนั้นจริงๆ ยอมเพื่อให้ได้อิทธิพล ได้ชื่อเสียง ได้เกียรติยศ ได้ทรัพย์สิน และเขาก็จะสบายแค่ชั่วคราว แต่สุดท้ายแล้วเขาจะทุกข์นิรันดร์

ดาเนียล 11:40-43 “40 ในวาระสุดท้าย กษัตริย์ฝ่ายใต้จะรบกับเขา และกษัตริย์ฝ่ายเหนือนั้น จะระดมรถม้าศึก กองทหารม้า และกองทัพเรือบุกเข้าประจัญบานกับเขา เขาจะรุกรานหลายประเทศ และกวาดล้างไปทั่ว เหมือนน้ำท่วม 41 เขาจะรุกรานดินแดนอันงดงามด้วย หลายประเทศจะล่มสลาย แต่เอโดม โมอับ และบรรดาผู้นำอัมโมน จะได้รับการช่วยกู้ จากเงื้อมมือของเขา 42 เขาจะแผ่อำนาจเหนือหลายประเทศ แม้อียิปต์ก็ไม่พ้นมือเขา 43 เขาจะครอบครอง คลังทองคำ คลังเงิน และทรัพย์สมบัติทั้งปวงของอียิปต์ ชาวลิเบียและชาวนูเบีย ก็ยอมจำนนแก่เขา”

 

พระเจ้าเปิดเผยให้เราได้รู้ว่าเมื่อถึงวาระสุดท้าย จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างคราวๆ ไม่ให้รู้หมด แต่ไม่บอกว่าจะเกิดขึ้นวันไหน? เวลาไหน? ไม่ต้องพยายามไปสืบเสาะ

ที่บอกว่ากษัตริย์ฝ่ายใต้จะรบกับกษัตริย์ฝ่ายเหนือ ตรงนี้ไม่ได้หมายถึงสงครามระหว่างเปอร์เซียกับอียิปต์ที่สัปดาห์ที่แล้ว ตั้งแต่ข้อที่ 1-35 ที่เราเรียนรู้ไป เป็นการเทียบให้เห็น เพราะตรงนี้ เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่สิ่งที่เราเรียนกันในครั้งที่แล้ว เกี่ยวกับสงครามระหว่างเปอร์เซียกับอียิปต์ ผ่านอิสราเอล สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว เกิดขึ้นไปแล้ว แต่ที่เรากำลังอ่านอยู่ตอนนี้ เป็นนิมิตที่บอกถึงยุคสุดท้าย ก็คือจากนี้ต่อไป จนถึงวันที่พระเยซูจะกลับมา จบบริบูรณ์ ในอวสานของเรื่องๆ นี้ เรื่องของโลกใบนี้ เรื่องของสงครามระหว่างผู้ที่เชื่อในพระเจ้ากับผู้ที่เชื่อในมารซาตาน

ในยุคสุดท้าย กษัตริย์ฝ่ายใต้จะสู้รบกับกษัตริย์ฝ่ายเหนือ ดาเนียลใช้คำว่า “เหนือ” กับ “ใต้” เป็นสัญลักษณ์ของการทำสงครามระหว่างปฏิปักษ์พระคริสต์กับฝ่ายตรงข้าม ก็คือฝ่ายที่เชื่อในพระเจ้า ถ้าฝ่ายเหนือเล็งถึงกองทัพของปฏิปักษ์ กองทัพของพวกแอนตี้ไคร์ซ เพราะฉะนั้น ฝ่ายใต้ ก็คือกองทัพของพระเยซูคริสต์

“กษัตริย์ฝ่ายเหนือจะระดมรถม้าศึก กองทหารม้าและกองทัพเรือ บุกเข้าประจัญบานกับเขา  เขาจะรุกรานหลายประเทศ และเขาจะกวาดล้างไปทั่ว เหมือนน้ำท่วม”

ความหมายตรงนี้ ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์ จะใช้อาวุธทุกชนิดที่มีอยู่ รวมทั้งอาวุธเคมี ปรมาณู อะไรก็แล้วแต่ ในยุคปัจจุบันเรารู้แล้ว แต่สมัยดาเนียล เขาอ่าน เขาไม่รู้เรื่อง ก็คือตรงนี้บอกว่าใช้ทุกอย่างที่มีอยู่ อาวุธทุกชนิด พลังอำนาจทุกอย่าง รวมทั้งเล่ห์กล เพทุบายทุกอย่าง ทั้งหมดเข้าทำสงครามครั้งสุดท้ายนี้ พยายามทุกวิถีทางที่จะยกตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่ เป็นพระเจ้าของโลกนี้ให้ได้ ตามที่มันเคยอยากจะเป็นมาตั้งนาน ตั้งแต่ตอนก่อนสร้างโลกอีก แล้วมันก็ถูกขับไล่ เพราะมันแพ้สงครามบนสวรรค์มา มันนึกว่ามันเป็นพระเจ้า พระเจ้าสร้างมันขึ้นมาให้เป็นลูซีเฟอร์ให้มีความสวยสด งดงาม มีความสามารถมากๆ จนมันเหลิง เกิดความหยิ่งผยองในตัว มันอยากจะเป็นพระเจ้าเอง  มันก็เลยทำสงคราม ใช้เล่ห์เพทุบาย ไปเกลี้ยกล่อมทูตสวรรค์อื่นๆ ให้มาเป็นพวกได้ 1 ใน 3 แล้วก็ทำสงครามกับพระเจ้า แพ้ พระเจ้าก็ขับไล่มันออกไป เพราะฉะนั้น มันมีแค่ 1 ใน 3 ทูตสวรรค์ที่ดีๆ ยังเหลือ 2 ใน 3

พระคัมภีร์บอกไว้ ทูตสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมาให้รับใช้เรา มีอยู่ 2 ใน 3  กองทัพเราเยอะกว่าตั้งเยอะ นี่ยังไม่นับหัวหน้าเรา พระเยซูคริสต์นะ ใหญ่ยิ่งสูงสุด แต่ตอนนี้ ทำไมพระองค์ไม่ทำ ไม่รู้ เราอย่าไปยุ่งวุ่นวาย เรารู้ว่าเป็นแผนการของพระองค์แล้วกัน แล้วมันต้องดีแน่นอน พอจะคิดได้นิดหน่อย อาจจะช่วยเหลือคนอื่นๆ ทั่วๆ ไปที่ยังไม่รู้จักข่าวประเสริฐ ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซู มาถึงความรอดเหมือนเรา รอก่อน ยังไม่ถึงเวลา รอให้สุก แล้วถึงจัดการก็ได้

“กองทัพฝ่ายเหนือนั้น จะระดมม้าศึก กองทหารม้า เรือรบ พุ่งประจัญบานกับเขา เขาจะรุกรานหลายประเทศ และกวาดล้างไปทั่ว เหมือนน้ำท่วม”

ปฏิปักษ์พระคริสต์ คือมันไม่ยอมหยุด อาวุธที่สำคัญที่สุดของปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็คือมนุษย์  เพราะขาดมนุษย์ไม่ได้ มนุษย์ต้องยอม มนุษย์ยอมพระเจ้าอย่างไร? มนุษย์ต้องยอมมารอย่างนั้น มันถึงทำได้ บนโลกนี้ ใครใหญ่สุด พระเจ้าสร้างให้มนุษย์ครอบครองโลกใบนี้  แล้วมนุษย์ไปโยนเอาสิ่งที่เรามีอยู่ ไปให้คนโน้น ไปให้คนนี้ เละตุ้มเป๊ะ พระเยซูจึงเข้ามาแทรกแซง เพื่อจะช่วยเรา

วิธีแทรกแซง ก็คือส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นหัวหน้ามนุษย์คนใหม่ เพราะว่าหัวหน้ามนุษย์คนเก่า คืออาดัมไม่ไหวแล้ว พระเจ้าจึงให้คนใหม่เข้ามา ชื่อพระเยซู … พระเยซูมาสร้างอาณาจักรมนุษย์ใหม่ขึ้นมา เขาเรียกว่ามนุษย์พันธุ์ใหม่ ครอบครัวใหม่ของมนุษย์ ที่มีชื่อว่าครอบครัวพระคริสต์ พระเจ้าก็เริ่มล่าหัวทีละคนๆ เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ กองทัพใหญ่ขึ้นๆ กองทัพนี้มีชื่อว่ากองทัพพระคริสต์ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มาต่อสู้กับกองทัพของต่อต้านพระคริสต์ ไม่มีชื่อ ไม่ให้ชื่อมัน ชื่อมัน ก็คือแอนตี้ไคร์ซ ก็คือต่อต้านกับพระคริสต์ ต่อต้านกับฝั่งถูก ชื่อมันยังไม่มีเลย แล้วจะไปอยู่กับมันได้อย่างไร? ไม่มีอะไรเลย ตั้งชื่อยังไม่เป็นเลย  เพราะพระเจ้าเป็นผู้ตั้งหมด ลูซีเฟอร์ พระเจ้าก็เป็นผู้ตั้ง ซาตาน คือเรียกตามนิสัย คือความชั่วร้าย ไม่ใช่ชื่อเขาจริงๆ ชื่อจริงๆ ของเขา คือลูซีเฟอร์

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันมีสงครามจริงๆ มันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ แล้วเป็นมาตลอดเวลา แต่มันกำลังจะถึง Happy ending แปลเป็นไทยว่าอวสานบริบูรณ์อย่างสุขสำราญ เรากำลังรอตรงนั้น

ข้อ 41 บอกว่า “เขาจะรุกรานดินแดนอันงดงามด้วย หลายประเทศจะล่มสลาย แต่เอโดม โมอับ และบรรดาผู้นำอัมโมน จะได้รับการช่วยกู้ จากเงื้อมมือของเขา”

“เอโดม โมอับ อัมโมน” ในข้อนี้ ไม่ได้หมายถึงชาวเอโดม โมอับ อัมโมนจริงๆ  เพราะว่าเรื่องที่กำลังอ่านกันอยู่นี้ นิมิตอันนี้ กำลังกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคต จากที่ทูตสวรรค์กำลังบอกดาเนียล แล้วมาถึงพระเยซู และไม่ใช่จากดาเนียลมาถึงทุกวันนี้แค่นั้น  แต่หมายถึงจากดาเนียล มาถึงพระเยซูเกิด จนกระทั่งมาถึงเรานั่งอยู่ปัจจุบัน และจากปัจจุบันนี้ จนไปถึงวันที่พระเยซูจะกลับมาใหม่ วันสุดท้ายนั้น ยาวนานเลย เอโดม  โมอับ  อัมโมน ที่ใช้ในข้อนี้ เป็นสัญลักษณ์แทนคำว่า “ศัตรูของอิสราเอล” ก็คือศัตรูของพระเจ้า เพราะในสมัยโบราณเอโดม  โมอับ  และอัมโมน เป็นศัตรูรบกับอิสราเอลมาตลอด

และในข้อ 41 ที่บอกว่าแต่เอโดม  โมอับ  และบรรดาผู้นำอัมโมน จะได้รับการช่วยกู้ จากเงื้อมมือของเขา ความหมาย ก็คือใครก็ตาม ที่ยอมทำตามปฏิปักษ์พระคริสต์ มาเป็นศัตรูของพระเจ้า มาเป็นศัตรูของอิสราเอลนั้น  ผู้นั้นก็จะได้รับการช่วยเหลือ ไม่ถูกข่มเหงรังแก

นี่คือภาพที่บอกว่าจะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย ที่พวกแอนตี้ไคร์ซ หรือปฏิปักษ์พระคริสต์จะข่มเหงรังแกประชากรของพระเจ้าอย่างรุนแรง และแผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง สำเร็จด้วยนะ ใครที่ทนไม่ได้ ก็อาจจะต้องหันไปสวามิภักดิ์กับแอนตี้ไคร์ซตัวนี้ ตามที่ในข้อ 42 กับ 43 ได้บอกไว้ว่ามีจริงๆ …

“เขาจะแผ่อำนาจเหนือหลายประเทศ แม้อียิปต์ก็ไม่พ้นมือเขา เขาจะครอบครอง คลังทองคำ คลังเงิน และทรัพย์สมบัติทั้งปวงของอียิปต์ ชาวลิเบียและชาวนูเบีย ก็ยอมจำนนแก่เขา

สรุปว่ายุคสุดท้าย กลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ จ้องทำลายล้าง กลุ่มที่เป็นฝั่งเดียวกับพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า ก็คือคริสเตียนนั่นแหละ  และทำสำเร็จด้วย

แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้น กองทัพปฏิปักษ์พระคริสต์ กองทัพแอนตี้ไคร์ซ ที่มันได้ชัยชนะ มันจะถึงซึ่งอวสานบริบูรณ์ แต่มีมัดจำอันหนึ่ง เมื่อ 2,000 ปีผ่านมา พระเยซูทรงตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน และพระองค์ประกาศก่อนตายที่ไม้กางเขน ตอนบ่ายสามโมง ก่อนสิ้นพระชนม์ว่า …

“สำเร็จแล้ว”

มันหมายถึงแผนการนี้ มันสำเร็จไปแล้วทางโลกวิญญาณ จบแล้ว รอทางฝ่ายโลกวัตถุค่อยดำเนินตามไปเท่านั้นเอง ดาเนียล 11:44-45 มาดูตอนจบว่าเป็นอย่างไร?

ดาเนียล 11:44-45 “44 แต่ข่าวจากทางตะวันออกและทางเหนือ จะทำให้เขาตื่นตกใจ และเขาจะยกทัพออกไปด้วยความโกรธอย่างรุนแรง เพื่อทำลายล้างคนเป็นอันมาก 45 เขาจะตั้งเต็นท์หลวงขึ้นระหว่างทะเลที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันงดงาม แต่เขาก็จะถึงจุดจบ และไม่มีใครช่วยเขา”

 

“เขา” คือแอนตี้ไคร์ซ และพวกสมุนของแอนตี้ไคร์ซ และผู้ที่จะมาทำให้ปฏิปักษ์พระคริสต์ต้องถึงจุดจบนี้  คือพระเยซู ย้อนกลับไปดูดาเนียล 7:26-27

ดาเนียล 7:26-27 “26 แต่การพิจารณาคดีจะเริ่มขึ้นแล้ว ฤทธิ์อำนาจของกษัตริย์องค์นั้นจะถูกนำออกไป และถูกทำลายล้างไปอย่างสิ้นเชิง 27 แล้วประชากรขององค์ผู้สูงสุดจะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนชั่วนิจนิรันดร์ ผู้ครอบครองทั้งปวงจะนอบน้อมเชื่อฟังและนมัสการพระองค์”

 

ชนะแล้ว และในพระคัมภีร์ใหม่ ก็มีกล่าวถึงจุดจบของแอนตี้ไคร์ซ ใน 2 เธสะโลนิกา 2:8

2 เธสะโลนิกา 2:8 “เมื่อนั้น คนนอกกฎหมายนี้จะปรากฏตัว องค์พระเยซูเจ้าจะทรงโค่นล้มมัน ด้วยลมจากพระโอษฐ์ และทำลายล้างมัน ด้วยความรุ่งโรจน์ของการเสด็จมาของพระองค์”

 

ในนี้อบอกว่าพอถึงเวลาปุ๊บ พระเยซูจะทรงโค่นล้มมัน “โค่นล้ม” ภาษาเดิมแปลว่าทำให้เป็นศูนย์ ด้วยลมจากพระโอษฐ์ พอถึงเวลา พระองค์ก็เป่า ก็จบ เหมือนเราเจอมด เป่ามัน ก็แค่นี้เอง มันกัดเรา เจ็บปวดแทบตาย พระเยซูมาถึงเป่ามันไป

นี่คือเรื่องจริง มันต่างกันเยอะ แต่ที่ดูเหมือนมันทำท่าซ่าส์ เพราะพระเจ้ากำหนดให้มันซ่าส์บ้างพอสมควร นิดหน่อย เพื่อให้เป็นไปตามแผนการที่พระองค์วางไว้ พระองค์ต้องการให้พระเอกดูเท่ห์ จึงต้องทำให้ผู้ร้ายทำท่าดูดีหน่อย

การเสด็จมาของพระเจ้า พระเยซู ความรุ่งโรจน์ หมายถึงแสงสว่าง หมายถึง Glory หมายถึงแสงปรมาณู เหมือนทุกวันนี้ ท่านมองแสงอาทิตย์ มองขึ้นไป ก็ยังมองไม่ได้ มันทั้งร้อน ทั้งแสบตา มันรุนแรงกว่าดวงอาทิตย์ ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ เป็นล้านๆๆๆๆๆ เท่า

เปาโลใช้คำว่า “คนนอกกฎหมาย” เล็งถึงคนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับพระเจ้า  ปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งต้องถูกโค่นล้มลง ในวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา พระองค์จะทำให้มันเป็นศูนย์ และสิ่งเหล่านี้ได้บันทึกเอาไว้ ในบทสุดท้ายต่อจากนิมิตที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว

นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น จากนี้ต่อไป อาจจะเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ อาทิตย์หน้า ปีหน้า เราไม่รู้ พระเจ้าไม่ต้องการให้เรารู้ เราก็ไม่ต้องไปรู้ แต่เราเตรียมตัวได้ว่าเราอยู่ในชัยชนะแน่นอน ขอบคุณพระเจ้า นี่คือชัยชนะนิรันดร์แล้ว มันเป็นชัยชนะถาวรสำหรับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แต่มันจะเป็นความพ่ายแพ้นิรันดร์ ความทุกข์ทรมานนิรันดร์ของมารซาตาน  รวมทั้งผู้คนที่หลงไปรับสินบน ไปเชื่อมัน ไปเดินตามมัน ตอนพระเยซูยังไม่มา เรื่องนี้ คือเรื่องที่น่าเศร้า ขณะที่เรายินดี ดีใจ เรารู้ความจริงนี้  อีกฟากหนึ่ง เราสะเทือนใจ เหมือนกับที่ดาเนียลสะเทือนใจ มีหลายคนที่ยังทิ้งความเชื่อ หรือไม่เชื่อพระเจ้าเลย นี่พูดถึงสมัยดาเนียลนะ ขนาดนั้น ดาเนียลยังทุกข์ใจมากเลย และมาสมัยเรา … เรายิ่งเห็นชัดว่าเราจะทุกข์ใจมากขนาดนั้นสักเท่าไร? ที่บรรดาผู้คนที่ได้รับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเขาที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ทุกคนได้รับนะ สิทธินี้มาถึงทุกคนแล้ว เพียงแต่เขาชูมือรับสิทธิ์ว่า …

“ฉันจะเอา”

ก็เป็นของเขาแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูทำให้หมดแล้ว เขาเพียงแต่เปิดใจว่า …

“ฉันจะเอาแล้ว ฉันอยากได้”

มันง่าย ยิ่งกว่าง่ายอีก ยิ่งทำให้เราน่าจะทุกข์ใจมากขึ้นกว่านั้น

วันนี้จึงอยากฝากสิ่งหนึ่งที่ทิ้งท้ายให้ เมื่อเรียนเรื่องนี้แล้ว หลายคนจะนึกถึงอะไร? ผมคิดว่าหลายคนคงคิดถึงอย่างนี้ ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้าแล้ว อาจจะต้องพบกับความทุกข์บ้าง? ไม่ใช่อาจหรอก ต้องพบกับความทุกข์แน่ๆ ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง เมื่อถึงยุคสุดท้ายจริงๆ คนที่เชื่อพระเจ้า จะต้องถูกข่มเหงแน่ๆ แต่มันแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น  และไม่ต้องห่วงพระเจ้าสัญญาว่าจะไม่มีอะไร ที่จะทุกข์ทรมานมากเกินกว่าที่เราจะรับได้ รับได้แน่นอน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จะได้รับความสุขที่เป็นถาวรนิรันดร์ ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดรกาล แต่คนที่ไม่เชื่อ ตอนที่แอนตี้ไคร์ซเจริญรุ่งเรือง ซึ่งอยู่ไม่นาน เขาอาจจะได้รับความสุขสบาย อาจจะมีกินมีใช้ มีชื่อเสียง เขาอาจจะเตลิดเปิดเปิงไป รู้สึกว่าสิ่งที่เขาเชื่อนั้นมันถูกแล้ว เขาอาจจะมองดูคริสเตียนเหมือนคนโง่ หรือไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่ในที่สุดแล้ว วันแห่งความจริงจะมาถึง คือวันที่ยุคสุดท้าย ที่พระเยซูกลับมา เขาจะไม่มีโอกาสแล้ว เขาจะต้องรับกับความทุกข์นิรันดร์ ถูกปรับโทษนิรันดร์ อยู่ในบาปนิรันดร์ ไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้านิรันดร์

“นิรันดร์” แปลว่าตลอดไปเลย ไม่มีโอกาสแก้ตัวแล้ว เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ ยังไม่ได้ใช้สิทธิของท่านในข่าวดีนี้  วันนี้อยากจะพูดกับท่านว่าเรื่องที่สอนกันมาทั้งหมด 21 ตอน ในหนังสือดาเนียลนี้ มันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ท่านสามารถพิสูจน์ได้ เพราะส่วนหนึ่งเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ไปศึกษาได้ว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ ตามนิมิตนี้แล้ว จนมาถึงปัจจุบัน และจากปัจจุบันไปถึงอนาคตสุดท้าย ท่านลองคิดเองว่ามันควรจะจริงไหม? อยากจะบอกกับท่านว่าอย่าไปเสี่ยงกับเรื่องเหล่านี้เลย มันอันตรายมากๆ ท่านยังมีโอกาสตลอดเวลา เพียงแต่ยอมรับว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องจริง เป็นของฉัน ยอมรับว่า …

          “พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระล้างบาปมนุษย์ รวมทั้งบาปของฉันด้วย  ฉันรับสิทธิของฉัน และฉันได้เกิดใหม่ ฉันได้อยู่ในพระคริสต์ ฉันเป็นของพระเจ้า พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาสถิตอยู่กับฉัน”

 

แค่นั้นเอง แล้วพระเจ้าก็จะนำพาเราต่อไป นี่คือหน้าที่ของท่าน ที่ผมฝากให้กับท่าน สำหรับผู้ที่เชื่อแล้ว ในวันนี้ก็ฝากไว้ว่าเตรียมให้พร้อม ท่านอาจจะประสบความทุกข์ยากลำบากเรื่องต่างๆ นานา จงรู้ไว้ว่าทุกคนที่เป็นคริสเตียน เป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า ก็จะถูกข่มเหงรังแกอย่างนี้ บนโลกใบนี้แน่นอน เพราะถ้าเรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องจริง พระเยซูตายจริง ไถ่บาปเราจริงๆ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริงด้วย  ก็คือเราต้องพบความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ อย่างแน่นอน ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตาม แต่พระองค์จะให้กำลังกับเรา พาเราผ่านพ้นไปได้ ทุกวัน แต่ละวันชูมือไว้ แล้วให้มือพระเจ้าจูงเราเดินไป แล้วก็ร้องคำเดียว ไม่ว่าจะจูงมือเราไป จนกระทั่ง พระเยซูกลับมารับเรา คือกลับมาใหม่อีกครั้ง กลับมาทำสงครามกับมาร หรือหมดหน้าที่เรา เรากลับไปหาพระองค์ก็ตาม ดีทั้งสองทาง เราจะรอวันนั้น เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 20 “ประวัติศาสตร์เป็นจริงตามนิมิตของดาเนียล” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  มิถุนายน  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 20 “ประวัติศาสตร์เป็นจริงตามนิมิตของดาเนียล”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอนที่ 20 “ประวัติศาสตร์ ตามนิมิตของดาเนียล”

ทบทวนสั้นๆ ก่อน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจบที่หนังสือดาเนียล บทที่ 10 ที่กล่าวถึงนิมิตของดาเนียล ที่ทำให้ดาเนียลเป็นทุกข์ ก็เลยอดอาหาร อธิษฐานขอความเข้าใจจากพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็ส่งทูตสวรรค์มา เพื่ออธิบายความหมายของนิมิตให้ดาเนียลฟัง ปรากฏว่าทูตสวรรค์มาล่าช้าถึง 3 สัปดาห์ เพราะว่าถูกเทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซียขัดขวางไว้ ซึ่งประเด็นสำคัญที่เราเรียนรู้กันครั้งที่แล้ว ก็คือเพื่อยืนยันว่าโลกฝ่ายวิญญาณมีอยู่จริงๆ จริงมากกว่าโลกใบนี้ที่เรามองเห็นด้วยตาด้วยซ้ำไป และบางครั้งพระเจ้าก็สำแดงให้เราได้รู้ ได้เห็น แต่อะไรที่พระเจ้าไม่สำแดงให้เราได้รู้ ได้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ เราถือว่าเป็นสิ่งลี้ลับ และพระเจ้าไม่อนุญาต และไม่ต้องการให้เราไปแสวงหาสิ่งเหล่านั้น ด้วยตัวของเราเอง ถ้าพระองค์จะเปิด พระองค์เปิด ก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง ถ้าพระองค์ไม่เปิด ก็เป็นสิ่งลี้ลับของเราต่อไป  ก็คือเป็นสิ่งลี้ลับที่พระเจ้าไม่ให้เรารู้ ส่วนที่ให้เรารู้ แจ้งแก่เราแล้ว ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูมาไถ่บาปเราอย่างไร? ตายที่ไม้กางเขน กลายเป็นข่าวประเสริฐให้เรารู้ เพื่อเป็นมรดกของเรา และลูกหลานของมนุษยชาติต่อๆ ไป พูดกันต่อๆ ไป อันนี้เขาเรียกว่าเปิดเผยให้รู้แล้ว

เพราะฉะนั้นสิ่งลี้ลับเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นของมนุษย์ ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง ยุ่งแล้วจะมีเรื่อง มีปัญหา มีสิ่งที่ไม่อยากได้กับชีวิตเราเกิดขึ้น ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้ารู้จักกฎระเบียบของพระเจ้าที่วางไว้บนโลกใบนี้ทุกอย่าง ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว ทุกเรื่อง ถ้าทำตาม ก็ได้พร ถ้าไม่ทำตาม ก็ได้รับตรงกันข้ามกับพร เราเรียกว่าคำสาปแช่ง หรือสิ่งไม่ดีต่างๆ เพราะฉะนั้น อย่าเข้าไปยุ่งเด็ดขาด เตือนไว้เลย อะไรที่เป็นอัศจรรย์ อะไรที่แปลกๆ อะไรที่มันได้มาง่ายๆ อย่าเข้าไปยุ่งเด็ดขาด

มีภาษาอังกฤษคำหนึ่ง เขาบอกว่า “To good to be true” แปลว่า “มันดีเกินกว่าที่น่าจะเป็นไปได้” มันดีเกินกว่าที่น่าจะเป็นจริง เขาบอกอย่าเข้าไปยุ่ง นี่คือสิ่งลี้ลับ

อย่างเช่น “รวยเร็วเลยนะ ถ้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ จะรวยเร็วกว่าคนอื่นเป็น 100 เท่า”

ระวังไว้ให้ดี ถูกหลอก

“อันนี้อัศจรรย์มากๆ ไม่มีใครรู้เลย เรารู้กันไม่กี่คน” อันนี้อันตรายมาก

และในนิมิตของดาเนียล ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าได้เปิดเผยให้กับเรารู้แล้ว อย่างที่เราเรียนรู้กันในหนังสือดาเนียล หลายอย่างพระเจ้าบอกให้เราได้รู้ ผ่านทางนิมิตของดาเนียล แต่หลายอย่างในนิมิตนี้ ก็ไม่บอกให้เราให้รู้หมดสิ้น ก็ไม่ต้องไปยุ่ง ยกตัวอย่างเช่น บางอย่างก็บอกเลยว่าเกิดขึ้นเมื่อไร? แต่บางอย่าง พระองค์บอกเกิดขึ้นเมื่อครบวาระ ครบกำหนด เป็นหน้าที่ของพระเจ้า ไม่เกี่ยวกับเรา ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง

เมื่อไรได้ยินคำนี้ “ครบกำหนด ครบ 7, 17 ครบวาระหนึ่ง ครบ 2 วาระ ครบ 3 วาระ”

อะไรประมาณนี้ ก็ไม่ต้องเข้าไปสืบหา เสาะหาว่าคืออะไร? ก็คือครบตามที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ วางแผนไว้ ไม่ต้องการให้เรารู้

ยกตัวอย่าง พระเยซูกลับมาเมื่อไร? กี่โมง? กี่ยาม? วันไหน? ปีอะไร? พระองค์ไม่ได้บอก ก็ไม่ต้องเข้าไปรู้ พระองค์บอกเพียงแค่ว่าเมื่อถึงเวลากำหนด พระองค์จะกลับมาใหม่ แค่นั้นพอ

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง ในหนังสือฮีบรู พระเจ้าบอกว่า …

“มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ได้ถูกกำหนดให้ตายเพียงครั้งเดียว และหลังจากนั้น เข้าสู่การพิพากษา”

“มนุษย์ทุกคนได้ถูกกำหนด” โดยพระเจ้า ให้ตายจากโลกนี้ วิญญาณออกจากร่าง เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้น จะเข้าสู่การพิพากษา

ต้องพยายามเรียนรู้ไหมว่าเราจะตายเมื่อไรดี? ไม่ต้องไปยุ่ง เป็นหน้าที่ของพระเจ้า ทุกคนถูกกำหนดไว้แล้ว โดยพระเจ้า แล้วพระองค์ไม่ต้องการให้เรารู้ รู้แล้วเรื่องยุ่งเลย

สิ่งที่ทูตสวรรค์มาบอกดาเนียล นิมิตเหล่านี้ สมัยก่อนเขาบอกเป็นเรื่องอัศจรรย์ เพราะเป็นเรื่องอนาคต นี่เรากำลังเรียนรู้ เป็นแบบประวัติศาสตร์ เพราะเราอยู่ในยุคปัจจุบัน แต่นึกถึงดาเนียลเอง และคนในยุคของดาเนียล ได้ยินได้ฟัง คำเผยพระวจนะ หรือนิมิตเหล่านี้ ตื่นเต้น

นิมิตเหล่านี้เกิดแล้ว ก็เพื่อเราจะได้รู้ว่าพระเจ้าเป็นจริง พระเจ้ามีอยู่จริง พระเจ้าควบคุมทุกอย่างจริงๆ พระองค์ทรงกำกับโรงละครของโลกใบนี้จริงๆ พระองค์ดูแลทุกอย่างบนโลกใบนี้ สิ่งใดจะเกิดขึ้น ไม่เกิดขึ้น พระองค์ทรงกำหนดไว้จริงๆ สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า ที่ยังไม่เกิด มันก็ต้องเป็นจริงด้วย นี่พระองค์ต้องการให้คนที่มารู้จักพระองค์ แสวงหาพระองค์ได้รับรู้ตรงนี้ พระองค์บอกเองล่วงหน้า เป็นหลายร้อยปี ก็เกิดขึ้นจริงๆ เป็นประวัติศาสตร์ของเรา จากนี้ต่อไป ยังมีอีกหลายอย่างที่พระองค์บอกไว้ในนิมิตนี้ มันก็ต้องเป็นจริงด้วย  ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ทั้งบนโลกนี้ และในฟ้าสวรรค์ทั้งปวง ล้วนอยู่ในการควบคุมของพระเจ้า ผู้เดียวเท่านั้น

วันนี้ เราจะมาดูต่อในหนังสือดาเนียล บทที่ 11 ตอนต้น เป็นการทำนายล่วงหน้า ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับชนชาติต่างๆ ในตะวันออกกลางและอัฟฟาริกาเหนือ  นับตั้งแต่รัชสมัยกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย  ประมาณปี 529  ก่อนคริสตศักราช  จนถึงการยึดครองอำนาจ   ในอิสราเอล  ราว 167 ก่อน คริสตศักราช ในช่วงนี้ เป็นการทำนายเหตุการณ์ ช่วงเวลาประมาณ 360 ปี ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง เคยดูสมัยหนึ่งในอดีตในเมืองไทย หรือเอเชีย โดยเฉพาะเมืองไทย จะดังมากเลย เพราะสมัยนั้น ทางเมืองนอก เขามีกฎหมายลิขสิทธิ์ เพราะฉะนั้น เขาจะไม่มีการ Coppy กัน แต่ทางเอเชียลิขสิทธิ์ยังมาไม่ถึง เพราะฉะนั้น Coppy กันมั่วไปหมดเลย สมัยที่มีวีดีโอเทป ไปเช่าทีหนึ่ง 20 ตอน 30 ตอน จิ๋นซีฮ่องเต้บ้าง กระบี่ไร้เทียมทาน มาดูกัน เป็นตอนๆ บางคนดูถึงตี 2 ตี 3 ไม่เลิก กะจะดูแค่เที่ยงคืน โน่นดูไปเที่ยงวันเลย มันต่อเนื่อง แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ไปดูในอินเตอร์เนต

ทำไมถึงพูดถึงเรื่องนี้  เพราะว่าวันนี้ ที่จะเล่าให้ฟัง และศึกษาตามนิมิตของดาเนียลที่บอกเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ มันเป็นตอนๆ อย่างนั้นเลย ไม่มีผิดเลย  เหมือนในหนังเลย  แต่นี่ของจริง

ดาเนียล 11:2-4 “2 บัดนี้ เราจะบอกความจริงแก่ท่าน คือจะมีกษัตริย์อีกสามองค์ในเปอร์เซีย 3 แล้วจะมีองค์ที่สี่ ซึ่งร่ำรวยกว่าองค์อื่นๆ เมื่อเขามีอำนาจขึ้นมาด้วยทรัพย์สมบัตินั้น เขาจะปลุกระดมทุกคน ให้ต่อสู้กับอาณาจักรกรีก แล้วจะมีกษัตริย์เกรียงไกรองค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งปกครองด้วยอำนาจยิ่งใหญ่ และทำตามใจชอบ 4 หลังจากเขาเรืองอำนาจไม่นาน จักรวรรดิของเขาจะแยกออกเป็นส่วนๆ ตามทิศทางลมทั้งสี่แห่งฟ้าสวรรค์ ซึ่งจะไม่ได้ตกแก่เชื้อสายของเขา และไม่เรืองอำนาจเท่าเขา เพราะจักรวรรดิของเขาจะถูกถอนรากถอนโคน และมอบให้คนอื่นยึดครอง”

 

นึกถึงภาพที่ผมยกตัวอย่าง ดาเนียลตอนนี้เหมือนกำลัง จดๆ จ้องๆ อยู่ แล้วทูตสวรรค์ก็เริ่มต้นใส่วีดีโอเทป ม้วนที่ 1 เข้าไป แล้วก็เปิด ขึ้นมาเลย ลักษณะเป็นอย่างนั้น

ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นนี้ อยู่ในรัชสมัยกษัตริย์ดาริอัส แห่งเปอร์เซีย ทูตสวรรค์กำลังจะบอกความหมายในนิมิตให้กับดาเนียลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น  จะมีกษัตริย์อีก 3 องค์ในเปอร์เซีย และจะมีองค์ที่ 4 ซึ่งจะร่ำรวยกว่าองค์อื่นๆ ก็คือจะมีกษัตริย์ที่ครองราชย์ต่อจากกษัตริย์ดาริอัส อีก 3 องค์ จนกระทั่ง มาถึงองค์ที่ 4 มีชื่อว่ากษัตริย์เซอร์ซิส ซึ่งมีอำนาจร่ำรวยมาก

ต่อไปบอกว่าด้วยทรัพย์สมบัตินั้น เขาจะปลุกระดมทุกคน ให้ต่อสู้กับอาณาจักรกรีก ก็คือตั้งแต่สมัยของกษัตริย์ดาริอัส อาณาจักรเปอร์เซียพยายามขยายอำนาจไปถึงกรีก และเริ่มทำสงครามกับชาวกรีกเรื่อยมา ที่เรียกว่าสงครามเปอร์เซีย-กรีก ทำกันมาตลอด นี่เป็นประวัติศาสตร์แล้ว และสงครามนี้ ก็สืบเนื่องมาจนถึงรัชสมัยกษัตริย์เซอร์ซิส ที่ใช้เงินทองและอำนาจปลุกระดม กองทัพเปอร์เซียให้ต่อสู้กับอาณาจักรกรีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จนสุดท้ายเปอร์เซียก็หมดความพยายามที่จะยึดครองกรีกอีกต่อไป  จนเหตุการณ์ผ่านไปประมาณ 100 กว่าปี มาถึงข้อที่ 3 …

“แล้วจะมีกษัตริย์เกรียงไกรองค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งปกครองด้วยอำนาจยิ่งใหญ่ และทำตามใจชอบ”

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ มาจริงๆ นี่คือช่วงเวลาราว 334 ปีก่อนคริสตศักราช ในสมัยกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช  ได้ทรงนำกองทัพกรีก เข้าทำสงครามกับเปอร์เซีย และแม้เปอร์เซียจะมีไพร่พลมากกว่าเยอะแยะ ยังพ่ายแพ้ให้กับกรีก เป็นฝ่ายเสียดินแดนในที่สุด

ในข้อที่ 4 บอกว่า “หลังจากเขา (อเล็กซานเดอร์) เรืองอำนาจไม่นาน จักรวรรดิ์ของเขาจะแยกออกเป็นส่วนๆ ตามทิศทางลมทั้ง 4 ของฟ้าสวรรค์ ซึ่งจะไม่ได้ตกแก่เชื้อสายของเขา และไม่เรืองอำนาจเท่าเขา เพราะจักรวรรดิของเขาจะถูกถอนรากถอนโคน และมอบให้กับผู้อื่นยึดครองต่อไป”

ตามประวัติศาสตร์ กษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งจักรวรรดิกรีก ซึ่งขณะนั้น เรืองอำนาจมาก ตีแผ่ขยายอาณาจักรออกไป  แทบจะครอบครองทุกมุมโลก ภายในเวลาเพียง 10 ปี ที่ครองราชย์ เร็วมาก แต่พระองค์ก็มาสิ้นพระชนม์ด้วยวัยที่ยังหนุ่ม อายุแค่ 30 กว่าๆ เท่านั้น โดยไม่มีทายาท สืบทอดบัลลังก์เลย และภายหลัง กษัตริย์อเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ ก็ไม่มีผู้ใดมีอำนาจมากพอ ที่จะรับช่วงการปกครองต่อจากอเล็กซานเดอร์ได้ จักรวรรดิกรีกก็แตกแยกเป็นฝ่ายๆ ตามทิศทางทั้ง 4 เหนือ ใต้ ออก ตก เป็นไปตามคำเผยพระวจนะ นิมิตนี้เป๊ะๆ

ผมจะอธิบายให้ท่านได้เห็นภาพ ชัดขึ้นว่าภูมิประเทศเป็นอย่างไร? คร่าวๆ ที่บอกว่าเกิดการแตกแยก เป็นฝ่ายต่างๆ เราจะเน้นที่อาณาจักรทั้ง 4 ทิศ แต่ 4 ทิศ เมื่อเอาเข้าจริงๆ แล้ว 2 ทิศนี้อ่อนกำลังมาก ไม่ได้มีบทบาทอะไร? บทบาทไปอยู่ที่ 2 ทิศที่เหลือ ก็คือเหนือกับใต้ ในไบเบิ้ลก็ได้บันทึกไว้ในนิมิตที่จะมาถึง ทางฝ่ายตะวันออกและตะวันตก ฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้

อาณาจักรฝ่ายเหนือ ก็คือซีเรีย อาณาจักรฝ่ายใต้ คืออียิปต์ โดยมีสภาพภูมิประเทศ ทางด้านตะวันตก เป็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้านตะวันออกเป็นทะเลทรายอาระเบีย แล้วอิสราเอลจะอยู่ตรงกลางพอดี มีเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง

คำว่า “ซีเรีย” เมืองเหนือ … เหนืออิสราเอล อียิปต์ เมืองใต้ ก็คือใต้อิสราเอล เพราะว่าเยรูซาเล็ม อิสราเอลเป็นพระเอกของเรื่องนี้ทั้งหมด

2 อาณาจักรนี้ เป็นศัตรูกัน ทำสงครามแบบยืดเยื้อ เพื่อจะแผ่อาณาจักรให้ตัวเองเป็นใหญ่ที่สุด แล้วมีอิสราเอลอยู่ตรงกลาง ฝั่งซ้ายเป็นทะเล ฝั่งขวาเป็นทะเลทราย เพราะฉะนั้น เวลาสู้รบกัน ก็ไม่ไปทางอื่น ก็ต้องผ่านดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็คือดินแดนที่เป็นเยรูซาเล็ม หรืออิสราเอลนั่นเอง

ดาเนียล 11:5 “กษัตริย์ฝ่ายใต้จะเข้มแข็งขึ้น แต่แม่ทัพคนหนึ่งจะเข้มแข็งกว่าเขา และครอบครองอาณาจักรของตนอย่างเกรียงไกร”

 

“กษัตริย์ฝ่ายใต้จะเข้มแข็งขึ้น” มีชื่อตามประวัติศาสตร์ คือ “ทอเลมี” ซึ่งครอบครองดินแดนฝั่งใต้ คืออียิปต์ “แต่แม่ทัพคนหนึ่งจะเข้มแข็งกว่าเขา” แม่ทัพคนนี้ คือ “เซลูคัส” ซึ่งหลังจากกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ตาย เซลูคัสก็ได้ครอบครองไม่นาน ก็ถูกโจมตี จนต้องหนีไปพึ่งทอเลมี ที่อียิปต์ เซลูคัสได้ไปเป็นแม่ทัพให้ทอเลมี จริงๆ เขาเป็นเพื่อนรบมาด้วยกัน ตั้งแต่สมัยอเล็กซานเดอร์

จนกระทั่งเวลาผ่านไป เซลูคัสสามารถรวบรวมกองกำลัง และบุกไปยึดเอาบาบิโลนกลับคืนมาได้ จากนั้นก็แผ่ขยายอำนาจครอบครองซีเรีย จนสุดท้าย อาณาจักรที่เข้มแข็งที่สุด ในขณะนั้น ก็คือฝ่ายใต้ เรียกว่าอียิปต์ ปกครองโดยทอเลมี และฝ่ายเหนือ คือซีเรียปกครอง โดยเซลูคัส คราวนี้ดังทั้งคู่ ใหญ่ทั้งคู่ เพราะฉะนั้น เซลูคัส ก็คือผู้นี้  ที่ดาเนียลบันทึกไว้ว่าเป็นแม่ทัพคนหนึ่ง จะเข้มแข็งกว่าเขา และครอบครองอาณาจักรของตนอย่างเกรียงไกร

ดาเนียล 11:6 “หลายปีผ่านไป ทั้งสองจะเป็นพันธมิตรกัน ธิดากษัตริย์ฝ่ายใต้จะเสด็จไปเจริญสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์ฝ่ายเหนือ แต่นางจะไม่สามารถรักษาอำนาจของนาง และกษัตริย์ฝ่ายใต้กับอำนาจของเขาจะไม่ยั่งยืน ครั้งนั้น นางกับผู้ติดตามบิดาของนาง และผู้ที่สนับสนุนนาง  จะพลาดท่าเสียที”

 

หลายปีผ่านไป หลังจากที่ฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ทำสงครามกัน อย่างยาวนาน ในที่สุด ก็จับมือหยุดสงครามชั่วคราว และแสดงความเป็นพันธมิตรกัน โดยกษัตริย์ฝ่ายใต้ คือกษัตริย์แห่งอียิปต์ส่งลูกสาว ชื่อเบียนิซ (Berenice) ไปแต่งงานกับกษัตริย์ฝ่ายเหนือ ซึ่งขณะนั้น  คือกษัตริย์แอนทีโอคัส แห่งซีเรีย แต่ปัญหา คือกษัตริย์แอนทีโอคัส มีภรรยาอยู่แล้ว ชื่อเลาดีส (Laodice)

หลังจากที่กษัตริย์อียิปต์ ส่งลูกสาว คือเบียนิซ ให้มาแต่งงานกับแอนทีโอคัส กษัตริย์แห่งซีเรียแล้ว หวังว่าจะได้ดองกันได้ ทำให้เลาดีส ภรรยาเดิมของแอนทีโอคัสโกรธมาก จึงลอบวางยาพิษแอนทีโอคัส และสังหารเบียนิซ รวมทั้งบรรดาคนรับใช้และผู้ติดตามมาจากอียิปต์ด้วยกัน แล้วจากนั้น ก็แต่งตั้งให้ลูกชายขึ้นครองราชย์ เป็นกษัตริย์แห่งซีเรียต่อไป

ย้ำอีกครั้งว่าถ้อยคำในหนังสือดาเนียลที่เราได้อ่านกัน ถูกเขียนไว้ล่วงหน้า ประมาณ 100 กว่าปีก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง ตามประวัติศาสตร์ ที่เราได้เรียนรู้กัน แบบเป๊ะๆ

ดาเนียล 11:7-12 “7 คนหนึ่งในวงศ์ตระกูลของนางจะขึ้นมาแทนที่นาง เขาจะโจมตีกองกำลังของกษัตริย์ฝ่ายเหนือ ทะลวงป้อมปราการ ต่อสู้ขับเคี่ยว และได้รับชัยชนะ 8 ทั้งจะชิงรูปเทพเจ้า เทวรูปโลหะกับภาชนะเงินและทองอันล้ำค่า ขนกลับไปอียิปต์ เขาจะปล่อยกษัตริย์ฝ่ายเหนือไว้ตามลำพังอยู่หลายปี 9 แล้วกษัตริย์ฝ่ายเหนือจะบุกอาณาจักรของกษัตริย์ฝ่ายใต้ แต่จะถอยทัพกลับประเทศของตน 10 ลูกๆ ของเขาจะเตรียมรบ ระดมกำลังเป็นทัพใหญ่ ซึ่งถาโถมเข้ามาเหมือนน้ำท่วมซัด ที่ไม่มีอะไรยับยั้งได้ และรบมาถึงป้อมของเขา 11 แล้วกษัตริย์ฝ่ายใต้จะยกทัพออกมา ด้วยความโกรธเกรี้ยว รบกับกษัตริย์ฝ่ายเหนือ ซึ่งระดมทัพใหญ่มา แต่จะพ่ายแพ้ 12 เมื่อฝ่ายเหนือถอยทัพกลับไป กษัตริย์ฝ่ายใต้จะภาคภูมิใจยิ่งนัก และประหารคนหลายพันคน แต่ก็มีชัยชนะอยู่ได้ไม่นาน”

 

มาถึงตอนนี้ บอกว่าหลังจากที่เบียนิซ ลูกสาวกษัตริย์แห่งอียิปต์ ถูกฆ่าตาย โดยราชินีกษัตริย์ซีเรียแล้ว ทางฝั่งอียิปต์ ซึ่งขณะนั้น ปกครองโดยน้องชายของเบียนิซ แค้นมาก ก็เลยจะแก้แค้นแทนพี่สาว จึงยกทัพมาตีเมืองซีเรีย จนกระทั่งในที่สุด ได้รับชัยชนะด้วย แล้วขนเอาทรัพย์สมบัติของซีเรียกลับไปที่อียิปต์หมดเลย ครั้งนั้น กษัตริย์อียิปต์ได้สังหารราชินีเลาดีส ผู้ที่ลอบวางยาพิษสามีและพี่สาวของเขา ที่เป็นมเหสีตอนนั้น แต่ไม่ได้ฆ่ากษัตริย์ซีเรีย

ตามพระคัมภีร์บอกว่า “เขาจะปล่อยกษัตริย์ฝ่ายเหนือไว้ตามลำพังอยู่หลายปี” ไม่ได้ฆ่ากษัตริย์แอนทีโอคัส ที่สอง ของซีเรีย และตามประวัติศาสตร์ ก็ได้บันทึกสงครามยืดยื้อ รบกันไป รบกันมา ระหว่างอียิปต์กับซีเรีย แล้วแต่ละฝ่ายยกทัพไปทำสงคราม ก็ต้องฝ่าดินแดนของอิสราเอลไป  เรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เพราะไปทางทะเลก็ลำบาก ไปทางทะเลทรายก็ลำบาก มีทางเดียว ก็คือต้องบุกตรงทะลวงไปที่อิสราเอล อิสราเอลก็เป็นเหมือนกับที่รองรับอารมณ์

ข้อ 12 บอกว่า  “กษัตริย์ฝ่ายใต้จะภาคภูมิใจยิ่งนัก และประหารคนหลายพันคน แต่ก็มีชัยชนะอยู่ได้ไม่นาน”

กษัตริย์อียิปต์ซึ่งขณะนั้น คือทอเลมีที่ 4 เป็นฝ่ายชนะสงคราม แต่ก็ชนะได้ไม่นาน  เพราะในช่วงประมาณ 204 ปีก่อนคริสตศักราช กษัตริย์ทอเลมีที่ 4 สวรรคตกะทันหัน กษัตริย์แห่งอียิปต์ องค์ต่อไป คือทอเลมีที่ 5 ขณะนั้น อยู่ดีๆ ก็ต้องขึ้นมารับราชสมบัติ เพราะว่าพ่อเสียชีวิตกะทันหัน มีอายุ 5 ขวบเท่านั้น ต้องขึ้นครองราชย์แทนพ่อ ทางฝ่ายกษัตริย์แอนทีโอคัส แห่งซีเรีย ได้ยินข่าวนี้ ข่าวดีมากเลย เตรียมแผนการ ที่จะจัดการกับอียิปต์แล้วตอนนี้ เพราะว่ากษัตริย์พึ่งอายุ 5 ขวบ คิดว่าอย่างนั้น

ดาเนียล 11:13-16 “13 เพราะกษัตริย์ฝ่ายเหนือจะยกทัพมาอีก เป็นทัพที่ยิ่งใหญ่กว่าคราวแรก และหลังจากนั้นอีกหลายปี จะยกทัพมหึมา เสบียงอาวุธครบครันบุกเข้ามา 14 เมื่อถึงเวลานั้น หลายคนจะลุกฮือขึ้น ต่อสู้กษัตริย์ฝ่ายใต้ เพื่อให้เป็นไปตามนิมิตที่กล่าวมาแล้วว่าพวกหัวรุนแรงในหมู่พี่น้องร่วมชาติของท่านเองจะกบฏ แต่ไม่สำเร็จ 15 แล้วกษัตริย์ฝ่ายเหนือจะมาก่อเชิงเทินล้อมเมือง และยึดเมืองป้อมปราการได้เมืองหนึ่ง กองกำลังของฝ่ายใต้ จะหมดอานุภาพที่จะต้านทาน แม้กองทหารที่ดีที่สุด ก็หมดกำลังที่จะยืนหยัด 16 ผู้รุกรานจะทำอะไรตามใจชอบ โดยไม่มีใครยับยั้งได้ เขาจะสถาปนาตัวเองในดินแดนอันงดงามนั้น และมีอำนาจที่จะทำลายมันลง”

 

ในปี 198 ก่อนคริสตศักราช กษัตริย์แอนทีโอคัส ที่สาม ก็ได้ยกทัพ มาล้อมอียิปต์ไว้ ผ่านทางอิสราเอล ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ อันงดงามเหมือนเดิม จนกระทั่งยึดเมืองหน้าด่านของอียิปต์ได้  หน้าด่านอยู่ทางขอบเมืองของอิสราเอล แล้วก็เข้ายึดครองปาเลสไตน์ด้วย

ดาเนียล 11:17 “เขาจะตัดสินใจยกกำลังทั้งอาณาจักรมา และจะทำสัญญาไมตรีกับกษัตริย์ฝ่ายใต้ ยอมยกธิดาให้สมรสด้วย เพื่อโค่นอาณาจักรฝ่ายใต้ แต่แผนการของเขา จะไม่ประสบความสำเร็จ และช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย”

 

กษัตริย์แอนทิโอคัส แห่งราชวงศ์เซลูชิด ของซีเรีย วางแผนที่จะโค่นอำนาจของราชวงศ์ทอเลมีของอียิปต์ ด้วยการยกลูกสาวให้กับกษัตริย์ทอเลมี ที่ 5 ของอียิปต์ โดยจะให้ลูกสาวทรยศ และเข้าครอบครองอียิปต์ในเวลาต่อมา ลูกสาวของแอนทิโอคัส ที่ยกให้กับทอเลมี มีชื่อว่าคลีโอพัตรา ที่ 1 เป็นคนละคนกับคลีโอพัตราในหนัง เขาป็นผู้เริ่มต้นราชวงศ์ ที่อยู่เบื้องหลังกษัตริย์ มีอิทธิพลในอียิปต์ ตระกูลคลีโอพัตราองค์แรก และมีต่อๆ มา ที่เราดูในหนัง มาสมัยโรมัน น่าจะคลีโอพัตรา ที่ 7

แต่แผนการนี้ไม่สำเร็จ เพราะปรากฏว่าคลีโอพัตรากับทอเลมีเกิดรักกันจริงๆ ไม่เชื่อพ่อแล้ว ไปเชื่อสามีแทน และทำให้คลีโอพัตรามีความซื่อตรงต่อทอเลมี ไม่ยอมคิดทรยศตามแผนการของพ่อ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าพระนางคลีโอพัตราทรงอภิเษกสมรสกับกษัตริย์ทอเลมี ที่ 5 แห่งอียิปต์ เมื่อพระสวามีสวรรคต พระนางก็ทรงปกครองอียิปต์ผ่านทางทอเลมี ที่ 6 พระโอรส เห็นภาพไหม? เพราะฉะนั้น คลีโอพัตราก็เข้าไปอยู่เบื้องหลังอำนาจในอียิปต์ นี่เป็นประวัติศาสตร์ทั้งนั้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกไว้ล่วงหน้า เฉพาะบทที่ 11 ตอนต้น 100 กว่าปี

ดาเนียล 11:18-19 “18 แล้วเขาจะหันความสนใจไปยังดินแดนแถบชายฝั่งทะเล และเอาชนะชนชาติต่างๆ ได้ แต่แม่ทัพคนหนึ่งจะทำให้เขาสิ้นความผยอง และถอยทัพกลับไป ด้วยความอับอาย 20 หลังจากนี้ เขาจะกลับไปยังป้อมปราการต่างๆ ในประเทศของตน แต่จะพ่ายแพ้ และไม่มีใครพบเห็นอีก”

 

ตอนนี้กล่าวถึงแอนทิโอคัส ที่ 3 แห่งราชวงศ์เซลูชิด ซึ่งต้องการจะขยายอำนาจออกไป โดยยกกองทัพไปตีกรีก แต่โดนกองทัพโรมันเข้าแทรกแซง โรมันเริ่มรวมพลังมากขึ้นมาเรื่อยๆ จนในที่สุดเซลูชิด เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ต้องถอยทัพกลับ แล้วก็กลายเป็นต้องมาอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของโรมัน คือโรมันตอนนั้น เริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น ในประเทศต่างๆ เริ่มมีกองกำลังที่เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ

ดาเนียล 11:20-30 “20 ผู้ครองราชย์สืบต่อจากเขา จะส่งคนออกไปเก็บภาษี เพื่อรักษาความมั่งคั่งของตนไว้ แต่ในเวลาไม่กี่ปีเขาก็จะถูกทำลาย แต่ก็ไม่ใช่จากความโกรธแค้น หรือจากสงคราม 21 “ผู้ที่ครองราชย์สืบต่อจากเขา เป็นบุคคลที่น่าเหยียดหยาม เพราะเขาไม่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์เลย เขารุกรานราชอาณาจักร ในขณะที่ประชาชนรู้สึกปลอดภัย และเขาจะเข้ามายึดด้วยเล่ห์เพทุบาย 22 แล้วกองทัพใหญ่จะถูกกวาดล้างไปต่อหน้าเขา ทั้งกองทัพนั้น และเจ้านายแห่งพันธสัญญาจะถูกทำลายด้วย 23 หลังจากมีการทำข้อตกลงกับเขา เขาจะใช้เล่ห์เพทุบายและเรืองอำนาจขึ้นมาโดยอาศัยคนไม่กี่คน 24 เมื่อแว่นแคว้นอันมั่งคั่งที่สุดรู้สึกปลอดภัย เขาก็จะบุกและกระทำการ ซึ่งบรรพบุรุษของเขาไม่เคยทำ เขาจะแบ่งสมบัติและข้าวของที่ปล้นมาได้กับพรรคพวก เขาจะวางแผนทลายป้อม แต่ก็เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง 25 “เขาเสริมกำลังและความกล้าด้วยกองทัพใหญ่ไปรบกับกษัตริย์ฝ่ายใต้ และกษัตริย์ฝ่ายใต้จะยกกองทัพที่ใหญ่และทรงอานุภาพมากมาสู้รบด้วย แต่ก็ต้านทานไม่ได้ เพราะแผนการร้ายต่างๆ ที่คนวางไว้ เพื่อต่อสู้กับเขา

26 บรรดาผู้ร่วมโต๊ะเสวยของกษัตริย์จะพยายามทำลายเขา กองทัพของเขาจะถูกกวาดล้างไป และคนมากมายจะล้มตายในสนามรบ 27 กษัตริย์สององค์ซึ่งมีใจคิดชั่วทั้งคู่จะนั่งร่วมโต๊ะและมุสาต่อกัน แต่ไม่มีผลอะไร เพราะจุดจบยังคงจะมาถึงในเวลาที่กำหนดไว้ 28 กษัตริย์ฝ่ายเหนือจะกลับประเทศพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย แต่จิตใจของเขามุ่งร้ายต่อพันธสัญญาบริสุทธิ์ เขาจะลงมือทำการต่อต้านพันธสัญญานั้น แล้วจึงกลับไปยังดินแดนของตน 29 “ครั้นถึงเวลาที่กำหนด เขาจะบุกดินแดนฝ่ายใต้อีก แต่ครั้งนี้ผลลัพธ์จะแตกต่างจากคราวก่อน 30 กองเรือแห่งชายฝั่งตะวันตก จะต่อต้านเขาและเขาจะเสียขวัญ แล้วเขาจะหันกลับมาระบายโทสะเกรี้ยวกราดต่อพันธสัญญาบริสุทธิ์ เขาจะกลับไปและแสดงความโปรดปรานแก่ผู้ที่ละทิ้งพันธสัญญาบริสุทธิ์”

 

เห็นไหมครับ พระเจ้าจะใส่ถ้อยคำเหล่านี้ ลงไปในนิมิตนี้บ่อยๆ  หลายๆ ครั้ง เพื่อยืนยันกับเราว่าสิ่งลี้ลับ เป็นของพระเจ้า อะไรที่บอกก็บอก อะไรที่ไม่บอก ก็จะไม่บอก ถ้าไม่บอก ก็จะบอกเป็นวาระ มีอยู่ข้อหนึ่งที่บอกว่าแต่ไม่มีผลอะไร เพราะจุดจบยังคงจะมาถึงในเวลาที่กำหนดไว้ เมื่อไรไม่รู้ แต่จุดจบ เป็นเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้

และอีกตอนหนึ่งบอกว่า “ครั้นถึงเวลาที่กำหนด เขาจะบุกดินแดนฝ่ายใต้อีก” ครั้นถึงเวลาที่กำหนด ก็คือเวลาของพระเจ้า พระเจ้าก็จะดลใจให้บุกดินแดนฝ่ายใต้อีก นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกอยู่เรื่อยๆ พระคัมภีร์บอกว่า …

มนุษย์ทุกคน ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว

เพราะฉะนั้น ไม่มีใครไม่ตาย ต้องตายแน่ ครั้งเดียว เพราะพระเจ้ากำหนดไว้แล้ว แต่ถามว่าเมื่อไร? ตอบว่าไม่รู้ ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของเรา ช่วงเหตุการณ์ตรงนี้  เป็นยุคของกษัตริย์แอนทิโอคัส ที่ 4 ที่ครองราชย์ต่อจากแอนทิโอคัส ที่ 3  และเป็นช่วงเวลาที่ชาวยิวได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด

แอนทิโอคัส ที่ 4 เป็นกษัตริย์ที่ทุจริต รับสินบน จากผู้ที่ต้องการได้ตำแหน่งมหาปุโรหิต และใช้ตำแหน่งนี้ ทำมาหากิน ในสมัยโน้น ปุโรหิตของยิวเอง อิสราเอลคดโกง ไปเข้าพวกกับคนต่างชาติ แล้วมาปล้นวิหารของพระเจ้า แห่งตัวเอง เป็นไปได้จริงๆ ซึ่งเงินที่ปุโรหิตนำมาจ่าย เป็นค่าสินบนนั้น ก็เป็นเงินที่คดโกงมาจากวิหารทั้งสิ้น ทำบัญชีปลอม แอบเอาออกมาบ้าง? แล้วถ้าใครรู้เรื่องความลับเรื่องนี้  ก็ถูกฆ่าตาย นี่ปุโรหิตนะ ที่ทำงานอยู่ในวิหารของพระเจ้า  อิสราเอล ชาวยิวที่บอกรักพระเจ้ามากๆ จะบอกให้ว่าในโลกนี้ ไม่มีใครดีกว่าใครเลย พระเจ้าบอกไว้ในพระคัมภีร์เสมอๆ ว่าหาคนดีไม่ได้สักคน เพราะทุกคนมีเชื้อบาปอยู่ ปุโรหิตก็เป็นอย่างนี้ได้ เพราะเขาก็คือมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง

เท่านั้นไม่พอ ความเดือดร้อนของประชาชนต้องถึงขีดสุด เมื่อแอนทิโอคัส ที่ 4 นำทัพบุกไปโจมตีอียิปต์ ทางใต้ ปรากฏว่าถูกกองทัพของโรมันในขณะนั้น ซึ่งจะเรืองอำนาจขึ้นมา เข้ามาแทรกแซง คือโรมันเข้าไปช่วยอียิปต์ไว้ เพราะตอนนั้น โรมันยังไม่ได้เป็นมหาอำนาจ ทำให้แอนทิโอคัส ที่ 4 แห่งซีเรีย ต้องถอยทัพกลับ คือพ่ายแพ้สงคราม  แอนทิโอคัส ที่ 4 จึงรู้สึกอับอายขายหน้า และสูญเสียทรัพย์มาก เพราะการทำสงครามครั้งหนึ่ง มันเสียเงินเสียทองเยอะมาก ถ้าไม่ชนะ แพ้แย่มากเลย ก็เลยระบายความแค้น ด้วยการโจมตี และปล้นวิหารของเยรูซาเล็ม ที่เก็บเงินไว้เยอะแยะ ทั้งทอง ทั้งอะไร? ปล้นซะเลย ปล้นสะดม ทำลายทรัพย์สิน สิ่งของ ออกคำสั่ง ห้ามพวกยิวทำพิธีกรรม ทางศาสนา ห้ามฉลองเทศกาลต่างๆ ห้ามชาวยิวเข้าสุหนัต และสั่งเผาหนังสือธรรมบัญญัติทั้งหมด ผู้ใดขัดขืน มีโทษถึงตาย

ดาเนียล 11:31-35 “31 กองกำลังของเขาจะลุกขึ้นมา ย่ำยีป้อมปราการของพระวิหาร ให้เป็นมลทิน และยกเลิกการถวายเครื่องบูชาประจำวัน แล้วเขาจะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนขึ้น อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ 32 เขาจะใช้การประจบสอพลอล่อลวงผู้ที่ละเมิดพันธสัญญา แต่ประชาชนที่รู้จักพระเจ้าของตนจะต่อต้านเขาอย่างเข้มแข็ง 33 บรรดาผู้มีปัญญาจะแนะนำสั่งสอนคนเป็นอันมาก แม้ในชั่วระยะหนึ่ง พวกเขาจะตายด้วยคมดาบ หรือถูกเผา หรือถูกจับเป็นเชลย หรือถูกปล้นชิง 34 เมื่อพวกเขาล้มลง จะได้รับความช่วยเหลือเล็กน้อย และมีหลายคน ซึ่งไม่จริงใจ จะมาร่วมกับพวกเขา 35 ผู้มีปัญญาบางคนจะสะดุดล้ม ก็เพื่อรับการถลุงชำระให้บริสุทธิ์ และปราศจากรอยด่างพร้อย จนถึงวาระสุดท้าย ซึ่งจะมาถึงตามกำหนด”

 

พระเจ้าจะบอกเราเสมอ เป็นตอนๆ เราเป็นคนกำหนดให้สิ่งนี้เกิดขึ้น พระเจ้าบอก …

“ใช่ เพื่อแผนการใหญ่ของฉัน สิ่งดี สำหรับเจ้าและลูกหลาน เหลน โหลน ของเจ้าในอนาคต จำเป็นต้องทำอย่างนี้”

กลับมาที่ข้อตะกี้  “กองกำลังของเขาจะลุกขึ้นมา ย่ำยีป้อมปราการวิหาร ให้เป็นมลทิน และยกเลิกการถวายเครื่องบูชาประจำวัน แล้วเขาจะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนขึ้น อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ”

แอนทิโอคัส ที่ 4 พยายามจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวยิว ทำลายพระวิหาร บังคับให้ชาวยิวหันมานับถือเทพเจ้าของกรีก เพราะคิดว่าถ้าบังคับให้ยิวรับวัฒนธรรมของกรีกแล้ว พวกยิวจะสนับสนุนการปกครองของกรีกด้วย คือเชื่อง่ายๆ จะมาเป็นทหาร มาเป็นผู้สนับสนุนกองทัพกรีกด้วย

“แต่ประชาชนที่รู้จักพระเจ้าของตน จะต่อต้านเขาอย่างเข้มแข็ง บรรดาผู้ที่มีปัญญา จะแนะนำสั่งสอนผู้คนเป็นอันมาก แม้ในช่วงระยะหนึ่ง พวกเขาจะตายด้วยคมดาบ หรือถูกเผา หรือถูกจับเป็นเชลย หรือถูกปล้นชิง”

ประชาชนที่รู้จักพระเจ้าของตน และบรรดาผู้มีปัญญา ก็คือชาวยิว ที่ยังคงยึดมั่นในพระเจ้า ด้วยความเชื่อในพระเจ้า วางใจในพระเจ้า  ไม่ยอมทำตามที่ถูกข่มเหงรังแกนั้น แม้จะต้องถูกจับ ถูกทรมาน โดนจับไปเป็นเชลย แม้กระทั่งต้องเสียชีวิต ถูกฆ่าตาย หรือถูกเผาทั้งเป็นก็ตาม ก็ยอม เพราะจะต่อต้านสิ่งที่ไม่ถูกต้องนั้น อิสราเอลต้องทุกข์ทรมานในยุคนี้ จนกระทั่ง กษัตริย์แอนทิโอคัส ที่ 4 สิ้นพระชนม์ ด้วยโรคประหลาดแปลกๆ ในปี 164 ก่อนคริสตศักราช

ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องราวที่เราอ่านในพระคัมภีร์ คือนิมิตนี้ ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้า ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงๆ เป็นเวลาหลายร้อยปี เฉพาะที่เรียนรู้ในประวัติศาสตร์ ยังไม่นับสิ่งที่จากนี้ต่อไป จนถึงนิรันดร์ เขียนไว้แล้ว ท่านพอจะเห็นภาพไหมครับว่าในช่วงเวลา 300 กว่าปีที่ฝ่ายเหนือ คือราชวงศ์เซลูชิด แห่งซีเรีย ทำสงครามยืดเยื้อกับฝ่ายใต้ ราชวงศ์ทอเลมี โดยมีอิสราเอลอยู่ตรงกลาง ชาวอิสราเอล หรือชาวยิวต้องทนทุกข์ทรมานรองรับอารมณ์มากขนาดไหน? นี่เราอ่านกันนิดๆ หน่อยๆ แต่ในรายละเอียด 300 กว่าปี มันหนักมาก เอะอะอะไรก็ลงที่เราตรงกลาง แล้วเราเป็นใคร? เราเป็นประชากรของพระเจ้า ฝ่ายเหนือเป็นใคร? ฝ่ายใต้เป็นใคร? เป็นต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า มันเชื่อยากมาก คนที่ยังเชื่ออยู่ ก็เชื่อว่าพระเจ้ามีแผนการที่ดี เพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่ เพื่อทุกขภาพ  ในขณะที่เขาพูดกัน เขาทุกข์นะ แต่เขาเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสัญญาว่าจะมีดี เขาก็ยึดมั่นในสิ่งที่พระเจ้าบอกดีนั่นแหละ ไม่ใช่ตามองเห็นในขณะนี้

แล้วถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เพราะว่าอิสราเอลไม่รักพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรือ? ถูกหรือไม่ถูก? อาจจะมีส่วนหนึ่ง เขาว่าอย่างนั้น เราก็อ่านแล้วว่าอิสราเอลยังคงยึดมั่นในพระเจ้า ถึงขั้นยอมพลีชีพถวายแด่พระเจ้าได้ แสดงว่ามีคนอิสราเอลที่เชื่อมั่นจริงๆ แล้วทำไมอิสราเอลต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ แบบนี้ พระเจ้าไม่ดูแลประชากรของพระองค์หรือ? คนที่เชื่อมั่น ก่อนจะพลีชีพ ผมเชื่อว่าเขาทั้งหมด คงอดอาหาร ร้องห่มร้องไห้เยอะมาก ทำไมพระเจ้าตอบคำอธิษฐานเขาอย่างนี้เล่า คำตอบ ก็คือพระเจ้ายังคงเป็นพระเจ้าผู้สัตย์ซื่อ และยุติธรรม และพระองค์ยังทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงควบคุมทุกสิ่งในมหาจักรวาลนี้อยู่ ไม่ว่าเราจะคิดได้หรือไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม แต่บางครั้ง พระเจ้าจะทรงอนุญาตให้ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นกับประชากรของพระองค์ เพื่อนำประชากรของพระองค์เข้าไปสู่แผนการ เพื่อทำให้แผนการใหญ่ที่พระองค์วางไว้ สำเร็จนั่นเอง คือจะใช้ ท่านอนุญาตให้พระองค์ใช้ไหม? พระองค์ก็จะใช้ท่าน ไม่ต้องอธิษฐานให้พระองค์ใช้เยอะๆ ยิ่งเยอะ ยิ่งหนักนะ ขอแค่ใช้ เราก็รับได้ แต่ถึงเวลา เรารับได้หมดทุกคน พระเจ้าวางไว้ให้แล้ว ไม่มีอะไรที่เรารับไม่ได้

          แผนการใหญ่ที่สุดของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ที่จะเป็นตัวแทนของมนุษยชาติทั้งหลาย พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพงศ์พันธุ์ของหญิง อยู่ในพงศ์พันธุ์ของยิว เป็นชาวอิสราเอลนั่นเอง เพื่อมาไถ่บาป ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว หรือไม่ใช่ยิว เป็นมนุษย์ทั้งหลายทั้งหมดเลย ให้เราหลุดพ้นจากความบาป แล้วกลับมาสู่พระเจ้าได้ แผนการใหญ่ของพระเจ้า เพื่อนำพาให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เพื่อทั้งซีเรียและอียิปต์ ก็จะหมดอำนาจไป และคนขึ้นมาแทน ครอบครองใหม่ ก็จะเป็นโรมัน คิดแค่นี้

 

โรมันมาเพื่อเป็นแผนการหนึ่งที่พระเยซูจะมาเกิดในช่วงนี้ เพราะบุคคลหนึ่งที่ถูกบังคับ โดยชาวยิว ให้ตรึงพระเยซู ก็เป็นชาวโรมันที่มีชื่อว่าปีลาต สิ่งเหล่านี้ได้บันทึกไว้หมด ได้บอกล่วงหน้าว่าจะเกิดอย่างนี้ พระเจ้าวางแผนไว้หมดแล้ว ตามประวัติศาสตร์ของอิสราเอล เปอร์เซีย กรีก ซีเรีย อียิปต์ โรมัน ทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของแผนการใหญ่ของพระเจ้าทั้งสิ้น

เราชอบถามพระเจ้า “ทำอะไรอยู่ ทำไมปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น  ทำไมปล่อยให้ระเบิดพลีชีพ ตรงนั้นตาย ตรงนี้ตาย ทำไมไม่ดูแล”

ให้ตอบว่า “ไม่รู้”

พระเจ้าพอใจมากเลย ไม่รู้บ้างสิ เวลาจะตอบใครไม่กล้าตอบ เราไม่รู้ ทำไมพระเจ้าทำอย่างนี้ พระเจ้ามีแผนการใหญ่ สำหรับช่วยมนุษย์ ทุกคนต่างๆ ให้ได้รับความรอด เป็นแผนการใหญ่ของพระองค์ที่จะช่วยมนุษย์ทุกคน อาจจะมีคนอื่นทุกข์ยากลำบากบ้าง แต่พระเจ้ากำลังใช้เขาอยู่ อ้าว! แล้วทำไมต้องปล่อยให้เขาทุกข์ยากลำบากถึงขนาดนั้น  เขาเชื่อในพระองค์ เขาอธิษฐานจนน้ำตาเป็นสายเลือดแล้ว ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น  ตอบว่าไม่รู้

สิ่งที่เราได้เรียนรู้ในวันนี้ ประเด็นสำคัญ ก็คือบางครั้งพระเจ้า อนุญาตให้ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นกับประชากรของพระองค์ เพื่อนำแผนการใหญ่ของพระองค์ให้สำเร็จ มันก็เหมือนกับการเสียสละ พระเยซูคริสต์ทำอย่างไร? เราก็ทำอย่างนั้น พระเยซูถูกพระเจ้าใช้อย่างไร? เราก็ต้องถูกพระเจ้าใช้อย่างนั้น  แต่เราขนาดเล็กกว่าเท่านั้นเอง พระเจ้าใช้พระเยซูอย่างไร เพื่อช่วยมนุษย์ทั้งปวงให้รอด มาซึ่งแผนการของพระองค์ที่ไม้กางเขน เราก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ก็เดินตามไป เราก็ถูกตรึงทุกวัน เหมือนพระเยซูนั่นแหละ แต่อาจจะเจ็บปวดน้อยกว่า

ในข้อ 34 ที่บอกว่า “เมื่อพวกเขาล้มลง จะได้รับการช่วยเล็กๆ น้อยๆ”

ความช่วยเหลือเล็กน้อย ตรงนี้ ก็คือความช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้า  คือให้พอไปได้ ถามว่าทำไมใช้คำว่า “เล็กน้อย” ก็เพราะเมื่อเทียบกับพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน ช่วยทุกคนให้รอดพ้นจากบาป จากคำสาปแช่ง แล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล ตลอดไปเลย พวกนี้มันเล็กน้อยทั้งนั้น ที่จะมาช่วยเรา วันนี้ไม่มีเงิน เดี๋ยวพระเจ้าให้เงินมาจ่ายค่าไฟฟ้า วันนี้พระเจ้าช่วยเรา ปวดหัวมากๆ อธิษฐาน แล้วมันหายปวด พระเจ้าช่วย มันเล็กน้อยมาก แต่จะใช้ชีวิตท่านต่อไป เพื่อท่านจะร่วมขบวนการไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ร่วมกับพระเยซู นี่เราเรียกว่าเล็กๆ น้อยๆ

พระเจ้าสัญญาไหมว่าความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ถือว่าเป็นเล็กๆ น้อยๆ แต่ในขณะที่เราอยู่ในความทุกข์ยาก พระองค์จะให้กำลังกับเราชนะ ผ่านไปได้ นั่นแหละ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อยุติธรรม เป็นพระเจ้าที่ทรงครอบครองและควบคุมเหนือทุกสิ่ง เป็นพระเจ้าที่เราเชื่อและวางใจได้ เป็นพระเจ้าที่รักเรา มนุษย์ทั้งปวง อย่างสุดจิตสุดใจ สุดความคิด รักเรามาก จนกระทั่งพระเยซูบอกว่า …

“ท่านเป็นคนบาป (คนบาป คือคนชั่ว) ท่านยังรู้จักรักลูกของตัวเองเลย รู้จักให้ของดีๆ กับลูก แล้วพระเจ้าผู้ที่ท่านบอกว่าบริสุทธิ์ ไม่รู้จักบาปเลย จะรักท่านมากกว่านั้นอีกสักเท่าใด”

ไปคิดดูเถิด พระองค์ทรงทำเสร็จแล้วที่ไม้กางเขน  คือสิ่งที่อยู่ในนิมิตนี้

สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้น เพื่อพระเยซูตายที่ไม้กางเขน พระคัมภีร์บอกพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง มนุษย์ที่เต็มไปด้วยความบาป เต็มไปด้วยความชั่ว พระเยซูชำระเขาจนสะอาดหมดจด แล้วพระเจ้าสามารถมาสถิตกับเขาได้ เมื่อสถิตอยู่กับเขา เขาไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าใครก็ตามที่เกิดขึ้นมา หลังจากที่เราอ่านอยู่นี้  ไปถึงอนาคต จากนี้ต่อไป จนกระทั่งพระเยซูกลับมาใหม่ สามารถที่จะใช้สิทธิของเขา ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ได้ทันที ขณะที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอให้ตายแล้ว จึงจะไปสวรรค์ ไปสวรรค์เดี๋ยวนี้เลย ทันที วินาทีนี้ เพียงแต่ใช้สิทธิของเราเชื่อว่าพระเจ้า ส่งพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และสิทธิอำนาจนั้น ได้ถูกมอบให้กับมนุษย์ทุกคนด้วย  เราสามารถที่จะไปรับสิทธิได้ง่ายๆ เพียงแต่เชื่อว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว  ทันทีทันใดนั้น วิญญาณของเราได้ถูกจุ่มลงไปในพระคริสต์  จุ่มลงไปในวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ที่เรียกว่าพระเจ้า เราได้ถูกเข้าไปอยู่ในพระเจ้าทันที นาทีนั้น เราอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ต้องรอให้ตาย แล้วไปสวรรค์ แล้ววันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าใช้เราในร่างกายนี้ เดินอยู่ในโลกใบนี้ จนจบ ตามที่พระองค์กำหนดไว้แล้ว เราก็จะออกจากร่าง ทิ้งร่างนี้ไป แต่ไม่ได้ไปไหน ก็อยู่ที่เดิม คือเบื้องขวาของพระเจ้า ที่สวรรค์สถาน อยู่ในพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ อยู่ที่นี่ เอเมน

ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเยซูต้องตายที่ไม้กางเขน อย่างทุกข์ทรมาน  เพื่อทำให้เราได้ไปอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ณ เวลานี้เลย ไม่ต้องรอให้ตาย พอเราเชื่อปุ๊บ เราจะไปอยู่ในสวรรค์สถานอย่างนั้นจริงๆ และเรามีประสบการณ์จริงๆ เลย และเรารู้ด้วยในใจของเรา เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะยืนยันในใจของเราทันทีว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 19 “สงครามแห่งโลกวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  มิถุนายน  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 19 “สงครามแห่งโลกวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า ตอนที่ 19 ชื่อตอนว่า “สงครามแห่งโลกวิญญาณ” คำถามแรก ก่อนที่จะเข้าเรื่องบรรยายในวันนี้ ถ้าผมถามว่า …

“ท่านเชื่อว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงหรือไม่?”

มนุษย์ส่วนใหญ่เชื่อว่าโลกวิญญาณ มีอยู่จริง ไม่ใช่คริสเตียนอย่างเดียว ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็น บางคนอาจบอกว่ามีประสบการณ์ เห็นมากับตาแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่แน่นะ สิ่งที่เคยเห็น อาจไม่ใช่โลกวิญญาณ หรือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณจริงๆ ก็ได้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่มโนวิญญาณเท่านั้นเอง พอเข้าใจไหม? คือคิดขึ้นเอง ก็ได้

เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม? ที่เขาบอกว่าที่เขาเห็นนั้น มันเห็นจริงๆ แต่สิ่งที่เห็นนั้น มันไม่ได้มีอยู่จริง

จะยกตัวอย่างให้ท่านดูประสบการณ์หนึ่ง สมัยก่อนไปอธิษฐานที่โรงพยาบาล พออธิษฐานเสร็จ อย่างเช่นมีอยู่รายหนึ่ง หลังจากนั้น ประมาณอาทิตย์หนึ่ง ลูกชายก็โทรมา ดีใจใหญ่เลย บอกว่า …

“ตั้งแต่วันนั้น ไปอธิษฐานให้ พ่อดีขึ้นเยอะ เรื่อยๆ เลย แล้วก็หายจากโรคมะเร็ง”

หมอบอกหายจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่าหายกันเอง นี่อยู่โรงพยาบาลนะ โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงด้วย ไปอธิษฐานที่ห้อง ในโรงพยาบาล แล้วก็หายป่วยจริงๆ พ่อเขาบอกว่า …

“วันที่เดินไปวางมืออธิษฐานให้ พ่อเห็นพระเยซู เป็นคนมาวางมือให้”

พ่อน้ำหูน้ำตาไหลเลย หายจริงๆ นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น แต่หายจริงๆ ประมาณสัก 8-9 ปี ก็เสียชีวิตอยู่บนนั้น ชีวิตมันก็จะเป็นอย่างนี้ สมัยก่อนผมก็มั่นใจ ขอบคุณพระเยซู พอมีชีวิตเจริญเติบโตทางวิญญาณ เจริญเติบโตในถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เห็นประสบการณ์อื่นๆ อีกมากมาย ก็เริ่มตั้งคำถามในใจ แล้วก็หาคำตอบไปเรื่อยๆ ในพระเจ้า จนในที่สุด  ที่ผมไปวางมือ แล้วคุณพ่อเห็นเป็นพระเยซูมายืนวางมือให้ อาจจะเป็นมโนวิญญาณก็ได้ คือพ่อเห็นจริงๆ

การเห็นของคน ทางวิทยาศาสตร์ ก็คือจอรับภาพในสมอง มันได้รับอะไรบางอย่าง สื่ออะไรบางอย่างที่เรามองไป วิ่งเข้ามาสู่จอ และจอภาพ ก็จะผลิตภาพขึ้นมา จากสมอง บอกว่าเห็นจริง แค่นั้นเอง  นี่คือหลักการ

เพราะฉะนั้น ถ้ามีภาพตรงนี้ขึ้นมา สมองจะบอกว่าจริงๆ แต่อย่าลืมว่าสมองอาจจะคิดขึ้นมาเองก็ได้ จากข้อมูลต่างๆ ที่เก็บเข้ามา หรืออาจจะเกิดจากความเชื่อที่อยู่ในใจก็ได้ อาจจะเป็นอย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่เด็กมา แม่บอกอย่าไปที่มืดๆ นะ เดี๋ยวผีหักคอๆ มันเข้าไปอยู่ในใจ ตั้งเยอะแล้ว ไม่ได้อยากให้มันอยู่ แต่มันอยู่แล้ว ตอนโตแล้วนะ กลางคืนไปที่มืดๆ ก็ไม่กล้าเดินออกไป เพราะว่ากลัวผีหักคอ แค่นั้นไม่พอ พอเดินเฉี่ยวไปนิดหนึ่ง เห็นต้นไผ่ลมพัดไหว มีคนอยู่ ถามว่าเขาเห็นคนนั้นจริงไหม? จริงเลย ตัวเขาคนเดียวเห็น แต่เพื่อนเขาอยู่ข้างๆ ไม่เห็นหรอก เพราะว่าเพื่อนเขา แม่ได้บอกว่าผีหักคอ แม่เขาอาจจะบอกว่าไล่มันไป ในนามพระเยซู เราชนะ เขาก็เลยไม่มีภาพของต้นไผ่นั้น กลายเป็นผี สำหรับเด็กคนแรก ต้นไผ่กลายเป็นผี เพราะว่าสมองเขาเห็นภาพจริง จับเข้าเครื่องจับเท็จ เครื่องก็บอกว่าเขาพูดจริง เขาไม่ได้โกหกเลย เขาเห็นผีจริงๆ แต่ถามว่าผีมีอยู่จริงไหม? ไม่จริง เป็นต้นไผ่ นึกออกใช่ไหม? นี่ยกตัวอย่างให้ท่านดู จริงๆ มันเยอะกว่านี้

บางคนเห็นทูตสวรรค์ “ฉันอธิษฐานวันนั้น  ทูตสวรรค์ยืนอยู่ข้างหน้าเลย”

ทูตสวรรค์ที่ยืนอยู่ข้างหน้า อาจจะเป็นมโนวิญญาณ ไม่ใช่ตัวจริง ก็ได้ จะคิดขึ้นมาเองก็ได้ หรืออาจจะเป็นทูตสวรรค์จริงๆ ก็ได้  ใครจะรู้ มันมีทั้งสองฝั่ง

หรือที่สาม อาจจะเป็นไม่ใช่มโนวิญญาณ เขาเรียกว่าเคมีวิญญาณ หมายถึงเคมีในร่างกายของเรา ถ้าผิดเพี้ยนไป มันก็สร้างภาพขึ้นมาเอง ผมมีเพื่อนหลายคนเสพกัญชา กัญชาสมัยก่อน ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วเห็นหนูเท่าช้าง กลัวๆ ก่อนหน้าที่จะสูบ ไม่กลัว แต่พอสูบเข้าไป เริ่มเมา ต้องไปซุกอยู่ที่ตรงซอกห้อง แล้วเวลาเขาหาย แล้วผมไปถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าตอนนั้น มันเกิดภาพขึ้นมา เยอะแยะไปหมดเลย น่ากลัวทั้งนั้น ยกตัวอย่าง เขาเห็นจริงๆ ถึงมีโอกาสตายได้เลย คือกลัวจนตาย

กลับมาที่คำถามว่า “ทำไมมนุษย์ ส่วนมากจึงเชื่อว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่ ไม่เคยเห็น”

คำตอบก็คือ “เพราะว่ามนุษย์ทุกคนแสวงหาอะไรบางอย่าง ที่ใหญ่ที่สุด ทางวิญญาณ เพราะเขารู้ว่าตัวเอง ก็เป็นสิ่งมีชีวิตทางวิญญาณเหมือนกัน มาจากวิญญาณที่ใหญ่มาก แต่ไม่รู้อะไรบางอย่าง ทำให้เขามืดบอด ไม่เห็นว่าเขามาจากไหน? เขาต้องการหาอะไรบางอย่าง ที่เป็นที่พักพิง พึ่งพิงทางวิญญาณของเขา ซึ่งผมเคยบอกท่านบ่อยๆ ใช่ไหม? สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ทั้งหมด ไม่มีสิ่งไหนที่พระเจ้าสร้างให้เป็นสิ่งมีชีวิตทางวิญญาณเลย เป็นสิ่งมีชีวิตเฉยๆ ไม่มีวิญญาณ หรือไม่เป็นวิญญาณ

ยกตัวอย่างเช่น สัตว์ … สัตว์ก็จะไม่แสวงหาทางวิญญาณอย่างนี้ หรือแม้กระทั่งพืช … พืชก็จะไม่รวมตัวกันสวดมนต์ แต่มนุษย์ ตั้งแต่ดึกบรรพ์มา ตั้งแต่คนป่า ตั้งแต่ไม่ใส่เสื้อผ้า ก็ทำพิธีทางวิญญาณ เพราะเขาต้องการการปกป้อง การคุ้มครอง คือเข้าไปสวามิภักดิ์ เพื่อขอเป็นที่พักพิง พึ่งพิง แล้วไม่มีใครในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีมนุษย์คนไหน? หรือเมื่อไรก็ตาม ยุคไหนก็ตาม ที่เข้าไปแสวงหาทางวิญญาณ แบบใหญ่กว่าวิญญาณ ไม่มี จะเล็กกว่าเขาเสมอ จะเป็นลูกช้างบ้าง เข้าไปเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ยอมทุกอย่าง เพราะว่ากลัวทางวิญญาณ เพราะไม่รู้ไง ความไม่รู้ ทำให้เกิดความกลัวนั่นเอง

ตามพระประสงค์เดิมของพระเจ้า มนุษย์ถูกสร้างให้รับรู้และมองเห็นได้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ มนุษย์สามารถมองเห็นพระเจ้า มองเห็นทูตสวรรค์ได้เลย แต่พอมนุษย์กบฏต่อพระเจ้า คือบาปเข้ามา ไม่เชื่อฟังพระเจ้า อยากไปอยู่ฝั่งตรงข้าม ต่อต้านพระเจ้า ถูกไล่ออกมาจากโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นของพระเจ้า  เขาเรียกว่าเชื้อบาป หรือคำสาปแช่ง เข้ามาสู่มวลมนุษยชาติ ก็ทำให้ตาฝ่ายวิญญาณของมนุษย์มืดบอดไป  ที่เคยมองเห็น ก็กลายเป็นมองไม่เห็นทางวิญญาณ พอมองไม่เห็น ก็เลยคิดว่าไม่มี แต่ในวิญญาณก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่มี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  พยายามแสวงหา แต่ก็ไม่แน่ใจ บางคนบอกไม่มีๆ แต่แว๊บเข้ามา มันต้องมีนะ บางคนบอกมีๆ หาไปหามา หาไม่เจอ หรือไม่มี ไม่แน่ใจ แต่ในที่สุด ลึกๆ ส่วนใหญ่รู้ว่ามี เขาจะแสวงหา สิ่งที่เป็นฝ่ายวิญญาณนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอพระเจ้าจริง แล้วพระเจ้าจะเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เขาได้รับรู้ความจริงตรงนี้ ทางโลกฝ่ายวิญญาณ และเชื่อในสิ่งนี้ว่าแม้ว่าตาทางร่างกายจะยังมองไม่เห็นก็ตาม แต่ตาฝ่ายวิญญาณถูกเปิดออกแล้ว

พระคัมภีร์จึงบอกว่าถ้าท่านเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ด้วยตาเนื้อว่ามีอยู่จริง พระเจ้าพอใจแล้ว เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของท่านที่จะมาพบความจริง ฮีบรู บทที่ 11 ได้บันทึกตรงนี้ไว้

ฮีบรู 11:1-3 “1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เพราะความเชื่อนี้เอง ที่คนในสมัยก่อนได้รับการทรงชมเชย 3 โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา”

 

การเชื่อและมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น ที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย และชื่นชม พอใจนั้น ก็คือเชื่อว่าพระเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ มีชีวิตอยู่ เป็นอยู่จริงๆ และการแสดงออกในความเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ก็คือเชื่อว่าทุกสิ่ง ที่มีอยู่ ที่เราเห็นอยู่นั้น พระเจ้าผู้นี้ เป็นผู้สร้างขึ้นทั้งสิ้น พระเจ้าจึงพอใจมาก ที่ในพระคัมภีร์บอกว่าโดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น  วัตถุสิ่งของต่างๆ รอบกาย ที่มองเห็นอยู่จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา แต่เกิดจากสิ่งที่เราไม่เห็นนั่นเอง

คำว่าจักรวาล ตรงนี้ ไม่ใช่เพียงแค่โลก ที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเท่านั้น แต่โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้  ยังมีโลกที่เรามองไม่เห็น ครอบอยู่ด้วย ขณะเดียวกันเลย ซึ่งเราเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ หรือโลกวิญญาณนั่นเอง มันมีอยู่จริงๆ เพราะฉะนั้น ใครที่บอกว่ายังไม่เคยเห็น เลยยังไม่เชื่อ ผมอยากจะบอกว่าถ้าจะนับสิ่งที่ตาเรามองไม่เห็น แต่มีอยู่จริงนั้น  มีจำนวนมากมายมหาศาลขนาดไหน? มันนับไม่ถ้วนเลย แต่เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าโลกฝ่ายวิญญาณมีอยู่จริง เราก็ใช้ความเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าบอกอย่างไร ก็เชื่อตามนั้น  คนนั้นก็จะได้พร เพราะเริ่มรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น  ฮีบรู 11:6 จึงบันทึกไว้อย่างนี้

ฮีบรู 11:6 “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาหาพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จ ให้แก่ทุกคนที่ขยันหมั่นเพียร แสวงหาพระองค์”

 

ถ้าไม่เชื่อว่ามีโลกฝ่ายวิญญาณ ก็จบแล้ว ไม่มีทางเจอพระเจ้าเลย แล้วถ้าท่านเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นซาตาน เป็นมาร ท่านควรจะทำอย่างไร? พยายามทำให้คนนั้น ไม่เชื่อในเรื่องโลกวิญญาณก่อนเลย ไม่ต้องพูดถึงพระเจ้าหรอก อันนั้นแหละ ลำบากแล้ว

ในพระคัมภีร์ก็มีตัวอย่างมากมาย ว่ากันตามจริงแล้ว ไบเบิ้ลคือหนังสือวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านอ่านพระคัมภีร์ ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย อ่านเป็นแบบความคิดมนุษย์ ท่านจะไม่ได้อะไรเลย แม้แต่นิดเดียว ยุ่ง วุ่นวาย งงไปหมด แต่ถ้าท่านเริ่มต้นอ่านตั้งแต่ข้อแรก ประโยคแรก คำแรก และนึกถึงแต่โลกวิญญาณว่ามันหมายถึงอะไร? ท่านมาถูกทางแล้ว หนังสือนี้กล่าวถึงโลกวิญญาณตลอดเวลา แล้วยังมีเยอะแยะมากมาย ที่ให้เห็นชัดๆ เลยว่าพูดถึงโลกฝ่ายวิญญาณ การต่อสู้กัน ทางโลกฝ่ายวิญญาณ เช่น เรื่องของผู้เผยพระวจนะเอลีชา ใน 2 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 6 ที่ตอนนั้นกองทัพของกษัตริย์อารัมยกทัพมากมายมหาศาล มาตีอิสราเอล เอลีชาเป็นผู้รับใช้พระเจ้าในขณะนั้น   คนรับใช้ของเอลีชากลัว มากันเยอะอย่างนี้ อิสราเอลมีนิดเดียว มีคนน้อยกว่าเขาเป็นหลายสิบเท่า แพ้เขาแน่ๆ ตายแน่ๆ กลัวใหญ่ เอลีชาบอกว่า …

“ไม่ต้องไปกลัว กองทัพเราใหญ่กว่านั้นอีก”

คนรับใช้บอก “ใหญ่ที่ไหน? มีไม่กี่คน?”

“ใครบอกเล่า?”

เอลีชาเลยอธิษฐาน “พระเจ้าขอเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้คนใช้คนนี้ ได้เห็นอะไรบางอย่างในโลกฝ่ายวิญญาณด้วยเถิด”

พระเจ้าก็เปิดตาคนรับใช้คนนี้ เห็นรอบ กองทัพมหึมา กองทัพทูตสวรรค์ เต็มไปหมดเลย แค่นั้นไม่พอ พอกองทัพของกษัตริย์อารัมยกมาเยอะแยะ พระเจ้าทำให้ตาบอดหมดเลย มองไม่เห็น ในที่สุด พ่ายแพ้หมดเลย  แพ้อย่างราบคาบ

เห็นไหม? นี่คือหนึ่งในจำนวนมากมาย ทั้งเล่มเลย เกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่เป็นอิสราเอลในสมัยนั้น ถ้าไม่ได้มองทางโลกฝ่ายวิญญาณ เขาต้องกลัวกันทุกคนแหละ เขามีอยู่นิดเดียว แต่เอลีชาไม่กลัว เพราะเอลีชา พระเจ้าสอนเขา ฝึกเขา เขาเป็นผู้รับใช้พระเจ้า สอนเขาในเรื่องความเชื่อทางวิญญาณจริงๆ เขามีความเชื่อทางวิญญาณ เปิดตาวิญญาณให้เขาได้เห็นจริงๆ ไม่ใช่มโน ถ้าพระคัมภีร์บอกเห็น คือเห็นจริง พระคัมภีร์คือถ้อยคำแห่งความเป็นจริงทั้งสิ้น แต่ถ้าหนังสืออื่น ไม่รู้ ท่านก็คิดเอาเอง มันอาจจะมโนจิตของคนคิดเอาเอง มันอาจจะมาจากความเป็นอยู่ตั้งแต่เด็กมา สร้างภาพอยู่ในตัวเอง มันอาจจะเป็นฤทธิ์มาจากยา ที่เขากินก็ได้ ไม่ได้ยาเสพติดอย่างเดียว ยาธรรมดา กินก็เป็น กินพาราฯ เข้าไปเยอะๆ ก็เป็นเหมือนกัน หรือกินยาที่เยอะๆ ทำให้เกือบตาย ก็เพ้อเจ้ออะไรออกมา ก็มีเยอะแยะ หรือกินยารักษาโรคบางอย่าง ก็ทำให้เกิดความเพี้ยนทางความคิด เหมือนกัน เคยได้ยินไหม? ที่บอกกินยาบางอย่างแล้ว ผลข้างเคียงของยา ทำให้เกิดการชอบเล่นการพนัน อันนี้เรื่องจริงนะ ไปหาดุเองแล้วกัน นี่พูดจริงๆ แต่มิได้หมายถึงคนเล่นการพนัน ทุกคนกินยานี้นะ ไม่ใช่ อันนั้นกิเลส เห็นไหมมาอีกแล้ว ก็ไม่ใช่ยาตัวนี้ทำให้เขาเล่นการพนันได้อย่างเดียว แต่การเล่นการพนัน อาจจะติดมาจากกิเลสตัณหาของตัวเอง ก็มี หรือมาจากการครอบงำ โดยวิญญาณชั่ว ก็มีอยู่จริงๆ  แล้วถามว่าใครรู้ ไม่รู้ แล้วแต่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเราว่ารายนี้มาจากไหน? ไม่สอน ก็ไม่รู้หรอก ไม่ต้องไปเรียน ก็ได้

สรุปว่าเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องที่จะบรรยายวันนี้เลย เป็นการเกริ่นเท่านั้น วันนี้เราจะกลับมาต่อกันที่พระคัมภีร์ดาเนียล บทที่ 10 เป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องสงคราม ทางโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดเลย ผมจึงจำเป็นต้องปูพื้นฐานทางโลกวิญญาณให้ท่านได้รู้ก่อนว่ามันเป็นอย่างนี้ ดาเนียลตั้งแต่บทแรกที่ผมบอก เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เป็นการบอกล่วงหน้า โดยพระเจ้า ผ่านทางทูตสวรรค์ ให้มาบอกดาเนียลว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาทั้งหมด พระองค์ทรงเป็นผู้กำกับของโรงละคร คือโลกใบนี้ บอกอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง พระองค์กำกับหมด โลกฝ่ายวิญญาณมีอยู่จริง และผู้ที่จะต่อต้านงานของพระเจ้า ก็มีอยู่จริง ในบทที่ 10 พระเจ้าจึงเปิดเผยให้รู้ว่าในโลกฝ่ายวิญญาณที่เรามองไม่เห็น มีอะไรอยู่บ้าง? อะไรกำลังเกิดขึ้นบ้าง

ดาเนียล 10:1-10 “1 ในปีที่สามของรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย พระเจ้าทรงสำแดงเรื่องหนึ่งแก่ดาเนียล เป็นเรื่องจริงและเป็นเรื่องสงครามใหญ่ เขาได้รับความเข้าใจเนื้อความนี้ โดยทางนิมิต 2 ครั้งนั้น ข้าพเจ้าดาเนียลเป็นทุกข์อยู่ตลอดสามสัปดาห์ 3 ข้าพเจ้าไม่รับประทานอาหารชั้นดีหรือเนื้อ และไม่ได้แตะต้องเหล้าองุ่น หรือใช้เครื่องชโลมกายใดๆ จนกระทั่งล่วงสามสัปดาห์นั้นไปแล้ว 4 ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนที่หนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไทกริส ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ 5 ข้าพเจ้าเงยหน้ามองเห็นชายผู้หนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า สวมเสื้อผ้าลินินเนื้อละเอียด คาดเข็มขัดทองคำเนื้อดี 6 กายของเขาสุกใสเหมือนบุษราคัม ใบหน้าเจิดจ้าเหมือนแสงฟ้าแลบ นัยน์ตาเหมือนเปลวไฟลุกโชน แขนขาเป็นมันปลาบเหมือนทองสัมฤทธิ์ขัดเงา และเสียงของเขาดังเหมือนเสียงคนหมู่ใหญ่  7 ข้าพเจ้าดาเนียลเพียงคนเดียวที่เห็นนิมิตนั้น ผู้คนที่อยู่กับข้าพเจ้าไม่เห็นอะไร แต่พวกเขาก็หวาดกลัวจนหนีไปหลบซ่อน 8 ข้าพเจ้าจึงถูกทิ้งไว้ตามลำพัง ข้าพเจ้าเพ่งดูนิมิตยิ่งใหญ่นี้ แล้วก็หมดเรี่ยวแรง หน้าซีดเผือดเหมือนคนตายและทำอะไรไม่ถูก 9 จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินผู้นั้นพูด ขณะที่ฟังอยู่ข้าพเจ้าก็หมดสติล้มซบลงกับดิน 10 มีมือมาแตะต้องข้าพเจ้า แล้วพยุงข้าพเจ้าให้ค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยมือและเข่าที่สั่นเทา”

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดาเนียลในช่วงนี้ คือช่วงเวลาในปีที่ 3 ของรัชกาลกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย คือปี 537 ก่อนคริสตศักราช และเป็นปีที่ 3 หลังจากที่เปอร์เซียพิชิตบาบิโลน ย้อนนิดหนึ่ง บาบิโลนไปตีกรุงเยรูซาเล็มแตก แล้วก็กวาดต้อนผู้คนมาเป็นเชลย ซึ่งดาเนียล ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ถูกกวาดต้อนมา แล้วพระเจ้าก็เริ่มคุยกับดาเนียล ตอนที่เป็นเชลยอยู่ ให้นิมิต บอกล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ประมาณ 600 ปีก่อน ค.ศ. จนกระทั่งถึงพระเยซูกลับมาใหม่ ซึ่งเราทั้งหลายที่อยู่ในยุคปัจจุบัน ก็อยู่ในนิมิตนี้ด้วย อันนี้เป็นช่วงหนึ่งเท่านั้นเอง

ดาเนียลได้รับนิมิตจากพระเจ้า  หลังจากนั้น  ก็เฝ้าอธิษฐานวิงวอนกับพระเจ้า  ในหนังสือเมื่อตะกี้เราอ่านกันว่า …

“ดาเนียลเป็นทุกข์อยู่ตลอด 3 สัปดาห์ ไม่รับประทานอาหารชั้นดีหรือเนื้อ และไม่ได้แตะต้องเหล้าองุ่น หรือใช้เครื่องใช้ชโลมใดๆ เลย”

แสดงว่าก่อนหน้านี้ใช้ ถูกไหม? แสดงว่านิมิตที่พระเจ้าบอกผ่านทางดาเนียลนั้น ตามความคิดของดาเนียล ก็ต้องไม่น่าจะเป็นเรื่องดี น่าจะเป็นข่าวร้าย เพราะหลังจากที่ได้รับนิมิตแล้ว ดาเนียลก็เกิดความทุกข์ใจ อดอาหาร แสดงว่ามันไม่ค่อยจะดีมาก อาจจะเกิดอะไรบางอย่างกับตัวเอง หรือประชากรของเขาในขณะนั้น ก็เลยอธิษฐานกับพระเจ้าตั้ง 3 สัปดาห์ สำหรับดาเนียลเอง เขานึกว่าเขาเป็นตัวแทนของคนยิว คืออิสราเอลในขณะนั้น แต่ผมบอกท่านแล้วใช่ไหม? อิสราเอล สำหรับพระเจ้าแล้ว ก็คือตัวแทนของมนุษยชาติทั้งปวง และตัวแทนของมนุษยชาติทั้งปวง คืออิสราเอลนั้น หัวหน้าของอิสราเอล ที่ใหญ่ที่สุด ที่เป็นตัวแทน ที่เป็นผู้จะติดต่อกับพระเจ้านั้น เรียกว่าปุโรหิต ที่ใหญ่ที่สุดของอิสราเอล ที่ติดต่อกับพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ ก็คือเป็นตัวแทนของมนุษยชาติด้วยเช่นเดียวกัน

เขาคงคิดว่าเขาเป็นแค่ตัวแทนของพี่น้องชาวยิวที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ที่บาบิโลนนี้ ซึ่งบัดนี้ ใกล้จะครบกำหนด 70 ปีที่พระเจ้าบอกล่วงหน้าแล้วว่าจะให้อิสราเอลได้รับอิสรภาพ และกลับไปฟื้นฟูบ้านเมืองได้ แต่ดาเนียลเอง ก็ไม่เข้าใจชัดเจนว่าความหมายที่แท้จริงของนิมิตนั้น หมายความว่าอะไร? นิมิตที่บอกมาทั้งหมด ได้รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง แต่อีกหลายอย่างยังไม่เข้าใจ ก็เลยอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า ให้สำแดงให้เห็นชัดขึ้น

ในนี้บอกว่า “ในวันที่ 24 ของเดือนที่ 1 ขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ริมแม่น้ำไทกริส ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ ข้าพเจ้าเงยหน้า เห็นชายผู้หนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า สวมเสื้อผ้าลินินเนื้อละเอียด คาดเข็มขัดทองคำเนื้อดี กายของเขาสุกใส เหมือนบุษราคัม”

“ผู้นี้” ก็คือทูตสวรรค์ บางคนบอกพระเยซู ไม่ใช่พระเยซูนะ ทูตสวรรค์ ถ้าเป็นพระเยซู คงไม่เสียเวลามานั่งต่อสู้กับวิญญาณชั่ว อีก 21 วัน หลังจาก เป็นทุกข์และอดอาหารอธิษฐานกับพระเจ้า ผ่านไป เป็นเวลา 3 สัปดาห์แล้ว พระเจ้าก็ส่งทูตสวรรค์มาส่งข่าว ความคิดของดาเนียลตอนนั้น คงกำลังคิดว่าเราเป็นทุกข์แทบจะตาย อดอาหารมาตั้ง 3 อาทิตย์ ทำไมหนอ ข่าวเพิ่งมาถึงเดี๋ยวนี้เอง เพิ่งจะโผล่มา ซึ่งผมเชื่อนะว่าทูตสวรรค์เอง คงพอเดาออก ก็เลยตอบอย่างนี้ ดาเนียล 10:11-19

ดาเนียล 10:11-19 “11 เขากล่าวว่า “ดาเนียลเอ๋ย ท่านผู้เป็นที่ทรงรักยิ่ง จงใส่ใจฟังถ้อยคำที่เราจะบอกอยู่นี้และยืนขึ้นเถิด เพราะพระเจ้าทรงใช้เรามาหาท่าน” เมื่อเขากล่าวอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ยืนขึ้นและตัวยังสั่นอยู่ 12 แล้วเขากล่าวต่อไปว่า “ดาเนียลเอ๋ย อย่ากลัวเลย ตั้งแต่วันแรกที่ท่านตั้งใจแน่วแน่จะหาความเข้าใจ และถ่อมใจลงต่อหน้าพระเจ้าของท่าน พระองค์ก็ทรงสดับคำอธิษฐานของท่าน และเรามาเพื่อตอบท่าน 13 แต่เทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซียขัดขวางเราอยู่ถึง 21 วัน และมีคาเอลหัวหน้าทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาช่วยเรา เพราะเราถูกเทพแห่งเปอร์เซียหน่วงเหนี่ยวไว้ที่นั่น 14 บัดนี้ เรามาเพื่ออธิบายให้ท่านทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องร่วมชาติของท่านในอนาคต เพราะนิมิตนั้นเกี่ยวกับกาลภายหน้า” 15 ขณะที่เขากล่าวอยู่นั้นข้าพเจ้าก็หมอบซบหน้ากับดินนิ่งเงียบอยู่ 16 แล้วผู้ที่ดูเหมือนมนุษย์ ยื่นมือมาแตะริมฝีปากของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเปิดปากพูด ข้าพเจ้ากล่าวกับเขาที่อยู่ตรงหน้าว่า “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าทุกข์ใจยิ่งนักเนื่องด้วยนิมิตนั้นและทำอะไรไม่ได้ 17 นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านจะกล่าวแก่ท่านได้อย่างไร ข้าพเจ้าหมดเรี่ยวแรง แม้แต่หายใจยังแทบจะไม่ไหว” 18 แล้วผู้ที่ดูเหมือนมนุษย์ก็แตะต้องข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังวังชาขึ้น 19 เขากล่าวว่า “ท่านผู้เป็นที่ทรงรักยิ่ง อย่ากลัวเลย สันติสุขจงมีแก่เจ้า! จงเข้มแข็งในบัดนี้ จงเข้มแข็งเถิด”  เมื่อเขากล่าวดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็เข้มแข็งขึ้น จึงพูดว่า “ท่านโปรดกล่าวต่อไปเถิด เพราะท่านได้ให้กำลังแก่ข้าพเจ้าแล้ว”

 

“ดาเนียลเอ๋ย อย่ากลัวเลย ตั้งแต่วันแรกที่ท่านตั้งใจแน่วแน่จะหาความเข้าใจ และถ่อมใจลงต่อหน้าพระเจ้าของท่าน พระองค์ก็ทรงสดับคำอธิษฐานของท่าน และเรามาเพื่อตอบท่าน แต่เทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซียขัดขวางเราอยู่ถึง 21 วัน และมีคาเอล หัวหน้าทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาช่วยเรา เพราะเราถูกเทพแห่งเปอร์เซียหน่วงเหนี่ยวไว้ที่นั่น”

ทูตสวรรค์บอกว่าพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของดาเนียลตั้งแต่วันแรกแล้ว แล้วก็ส่งคำตอบมา ตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่เทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซียขัดขวางไว้ 21 วัน

ที่ดาเนียลต้องเป็นทุกข์ อธิษฐานถึง 3 สัปดาห์ ก็เพราะว่าการเดินทางของทูตสวรรค์มาส่งข่าว ติดปัญหาอยู่ที่วิญญาณตนหนึ่ง ที่มีชื่อว่าเทพเปอร์เซีย การสู้รบกันในโลกวิญญาณ ที่ตาเรามองไม่เห็น แต่พระเจ้าเปิดให้เห็น เปิดให้เรียนรู้ว่าเป็นอย่างนี้ ทูตสวรรค์บอกอย่างนี้

แล้วทูตสวรรค์ตนนี้ หน้าตาเป็นอย่างไร? สวมเสื้อคลุมยาว ผ้าสีขาวลินิน คาดเอวด้วยเข็มขัดทอง กับอีกฝั่งหนึ่ง มีฉายานามว่าเทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซีย ไม่ได้บอกว่าใส่เสื้อผ้าสีอะไร? ท่านคิดเอาเองแล้วกัน ทั้งหมดนี้ คือภาพของสงครามทางฝ่ายวิญญาณ ที่ผมเกริ่นมาตั้งแต่ต้น ที่เรามองไม่เห็น มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ตลอดเวลาจริงๆ มันใหญ่กว่าและมันควบคุม ครอบครองอยู่เหนือโลกที่มองเห็นด้วยตานี้ ด้วยซ้ำ มันสำคัญอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ไม่ยอมศึกษาเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ที่ตาเรามองไม่เห็น มันจึงเสียโอกาสที่ดีๆ ไปในชีวิต และเช่นเดียวกันกับโลกที่มีการควบคุมดูแล มีการแบ่งเขตการปกครองอาณาจักรต่างๆ ตามโลกที่เรามองเห็น ทุกวันนี้เป็นอยู่ ประเทศต่างๆ มีการแบ่งเขตการปกครอง มีตำแหน่งต่างๆ โลกทางฝ่ายวิญญาณ ก็มีการแบ่งเขตแดนการปกครอง เหมือนกัน จริงๆ แล้วต้องบอกว่าโลกของเรา ก็เอาแบบอย่างมาจากโลกฝ่ายวิญญาณนั่นแหละ เพราะโลกฝ่ายวิญญาณเกิดก่อน  โลกที่เราเห็นทางวัตถุ ทั้งหมดนี้ ที่เราเห็นทุกวันนี้ เลียนแบบมาจากโลกวิญญาณทั้งสิ้น รวมทั้งวิหารของพระเจ้าด้วย การปกครอง กฎหมาย ทุกอย่าง โน่น ข้างบนมาก่อนทั้งสิ้น โคโลสี 1:16 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

โคโลสี 1:16 “เพราะโดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ หรือเทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์และเพื่อพระองค์”

 

ทางโลกวัตถุ ที่มีการสู้รบปรบมือกัน ทำสงครามแก่งแย่งอำนาจกันบนโลกใบนี้ มีทั้งฝ่ายรักสงบ ฝ่ายไปรุกรานคนอื่นเขา ท่านจะเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ และจริงๆ ตลอดมา

ในโลกทางฝ่ายวิญญาณ ก็มีการทำสงครามแก่งแย่งอำนาจครอบครองเช่นเดียวกัน ผู้ที่ควบคุมทางโลกวิญญาณ คือพระเจ้า เป็นผู้บังคับบัญชาโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น  แต่ก็ยังมีเหล่าวิญญาณชั่ว ที่คอยขัดขวางการงานของพระเจ้า เหล่าวิญญาณชั่วนี้ นำทัพโดยซาตาน หรือลูซีเฟอร์ … ซาตาน คือชื่อตามบุคลิกของเขา คือการทำชั่ว ก็เลยเรียกว่าซาตาน ก่อนหน้านี้ เป็นเจ้าชายรุ่งอรุณ ลูซีเฟอร์ แปลว่าอย่างนี้ เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ตนหนึ่ง ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา

พระคัมภีร์บอกว่าจำนวนของทูตสวรรค์ ที่ไม่ดี ที่เป็นวิญญาณชั่ว  ซึ่งนำกองทัพ  โดยซาตาน ลูซีเฟอร์ มีน้อยกว่า มีแค่ 1 ใน 3 เพราะฉะนั้น ทูตสวรรค์ทางฝ่ายดี ฝ่ายของพระเจ้ายังคงเหลืออยู่ 2 ใน 3 บางคนก็บอก …

“ทำไมพระเจ้าไม่เอาออกไปเลย ให้เหลือ 3 ใน 3 ของเรา”

ก็ต้องตอบว่า “ไม่รู้ อย่ามาถาม”

พระเจ้าไม่ได้บอก บอกเมื่อไร จะมาบอกแล้วกัน

ในดาเนียลที่ทูตสวรรค์บอกว่าจะมาพบดาเนียลตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่เทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซียขัดขวางไว้ เทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซีย ก็คือหนึ่งในบรรดาสมุนชั้นหัวหน้าของลูซีเฟอร์ หรือของซาตานนั่นเอง ซึ่งได้รับตำแหน่งดูแล ครอบครองดินแดนแถบนั้น ที่เรียกว่าเปอร์เซีย ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าปริ้นซ์ เพอร์ลาตี้ หรือแปลเป็นไทยว่าศักดิเทพ อิทธิเทพ ฯลฯ

เราจะเห็นว่าวิญญาณชั่วที่มีการแบ่งแยกการปกครอง ก็แบ่งกันอย่างที่โลกนี้ มีตัวเล็ก ตัวใหญ่ ตัวสำคัญที่สุด ก็คือซาตาน เป็นผู้บัญชาการ ตัวรองลงมา ไปปกคลุมอยู่เหนือกองทัพเปอร์เซีย หรืออาณาจักรเปอร์เซีย เป็นเทพ หรือปรินซ์ ออฟ เปอร์เซีย ก็เป็นเจ้าชายแห่งเปอร์เซียไป ในโลกวิญญาณ

ที่ผมพูดเรื่องนี้ให้ฟัง ไม่ใช่เพื่อจะนำท่านไปสนใจ เรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ แล้วต่อไปนี้ ก็จะไปคอยมองหา นี่มันอยู่ในตำแหน่งไหน? มันปกครองที่ไหน? มันชื่ออะไร? ไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวาย ที่พระเจ้าได้สำแดงให้เราเห็นถึงเรื่องราวต่างๆ ผ่านทางนิมิตนี้ หรือผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ก็เพื่อยืนยันให้เราเชื่อว่าโลกทางฝ่ายวิญญาณนั้น มันมีอยู่จริงๆ เราต้องเชื่อตรงนี้ เราจึงจะเชื่อได้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ และพระองค์ทรงควบคุม ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เรามองเห็น และมองไม่เห็นทั้งหมดเลย  พระเจ้าต้องการให้รู้แค่นั้นเอง จึงให้ดาเนียลบันทึก นิมิตครั้งนี้ขึ้น ไม่ได้ต้องการให้ท่าน จากนี้ต่อไป มาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณกันดีกว่า ดูสิผี ตรงไหน มันใช้อะไรได้บ้าง มันทำอะไรบ้าง? ไม่ต้อง

ในขณะที่พระเจ้าต้องการให้เราเชื่อว่าโลกฝ่ายวิญญาณ มีจริง พระองค์ก็ไม่ได้ต้องการให้เราไปเสาะแสวงหาเรื่องราว เขาเรียกว่าลึกลับ ลี้ลับ ที่เรายังไม่รู้ ไม่เห็น พระองค์ต้องการให้เรารับรู้ และเชื่อในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสำแดงให้แก่เราแล้ว เท่านั้น พระองค์บอกแค่ไหน? ก็รู้แค่นั้น พอแล้ว ที่เหลือไม่ได้บอก ก็ให้เป็นสิ่งลี้ลับต่อไป สำหรับเรา เอเมน เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29

เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29 “สิ่งลี้ลับทั้งหลาย เป็นของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเรา แต่สิ่งต่างๆ ที่ทรงสำแดง เป็นของเรากับลูกหลานตลอดไป เพื่อเราจะปฏิบัติตามถ้อยคำทั้งสิ้น ของบทบัญญัตินี้”

 

สิ่งลี้ลับทั้งหลาย เป็นของพระเจ้า สิ่งลี้ลับทั้งหลาย หมายถึงสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงเปิดเผยให้เรารู้ จบ

ต่อไปนี้ ใครถามท่าน “สิ่งลี้ลับคืออะไร?”

ตอบเลย “คือพระเจ้าไม่เปิดเผย ก็ลี้ลับนะสิ ถ้าพระเจ้าเปิดเผย ก็ไม่ได้ลี้ลับอะไรแล้ว”

ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าเปิดเผยให้ว่าพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา เป็นอย่างไรบ้าง? เกิดอะไรขึ้น เป็นผลกับบรรดามนุษยชาติบนโลกใบนี้อย่างไร? อย่างนี้เป็นเรื่องลี้ลับที่พระองค์เปิดเผยให้กับเราแล้ว แต่เรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่ได้เปิดเผย ก็ไม่ต้องไปรู้ ให้เป็นลี้ลับต่อไป บางครั้งพระเจ้าก็เลือกที่จะไม่เปิดเผยความลี้ลับบางอย่างให้เรารู้ หรือให้เราเห็น ซึ่งอาจเป็นเพราะสติปัญญาที่จำกัด ความไม่สามารถของเรา ที่จะเข้าใจพระปัญญาของพระเจ้า ที่มันมากกว่าเราตั้งเยอะแยะ ก็อาจจะเป็นได้ ซึ่งแนะนำเราอย่าไปยุ่ง ถ้าเราไม่ไปยุ่งกับเรื่องลี้ลับ ตามที่พระเจ้าบอกอย่าเข้าไปนะ เราก็ปลอดภัย ถ้าเราเข้าไป  เราอาจจะหลง เพ้อเจ้อและมันเป็นอันตรายกับชีวิตของเรา ใครก็ตาม เตือนไว้เลยเดี๋ยวนี้ ถ้ามันเป็นสิ่งลี้ลับอย่าเข้าไปยุ่งเด็ดขาด

สมมติว่าพระเจ้านำเราเข้าไป ให้เราเห็นอะไรบางอย่าง ลี้ลับ ในอัศจรรย์อะไรบางอย่าง จงเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า น้อยที่สุด เท่าที่ทำได้

ยกตัวอย่าง พระเจ้าให้ท่านไปอธิษฐานวางมือให้กับคนอื่น แล้วปรากฏว่าทูตสวรรค์ลงมา หรือพระเยซูมาปรากฏให้คนเห็น แล้วคนนั้นได้รับอัศจรรย์ยิ่งใหญ่สูงสุด แล้วคนนั้นหายโรค หรือได้รับคำตอบอย่างอัศจรรย์เลย  แล้วมาถึงท่าน เรื่องจริงเลย ท่านก็ขอบคุณพระเจ้า แล้วก็กลับมาเป็นคนเดิม ไม่ต้องไปหาทางว่าคนต่อไปเป็นใคร? ถ้าทุกคนในโลกนี้ ได้อย่างนี้หมด ทุกคนมาเชื่อพระเยซูหมดแล้ว

“ถ้าคนนี้ได้อย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ฉันจะต้องเดินตาม ไปทำให้มันได้”

เสร็จ เรียบร้อย ที่เข้าใจ เพราะว่าผ่านมาแล้ว  พระเจ้าพาเข้าไปอย่างนั้นจริงๆ ถ้าไม่ใช่พระคุณพระเจ้าให้เรากลับมา ป่านนี้ตายแล้ว

สิ่งลี้ลับทั้งหลาย เป็นของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  แต่สิ่งต่างๆ ที่สำแดง เป็นของเรากับลูกหลานของเราตลอดไป  เอเมน สิ่งที่ทรงสำแดงแล้ว ก็คือสิ่งที่ให้เรารับรู้ ให้เราเข้าใจ เช่น คำสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ บัญญัติของพระองค์ ที่ให้เรารู้ เราเข้าใจ ความรักของพระองค์ การสอนให้เราเชื่อฟัง ให้เราปฏิบัติตาม สิ่งเหล่านี้ เราสามารถสั่งสอนลูกของเราต่อไป มันเป็นทรัพย์สมบัติของเรา ที่พระเจ้าเปิดเผย และบอกลูกหลานเราต่อไป ยกตัวอย่างเช่น ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้า เป็นทรัพย์สมบัติของเรา สิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยแล้ว บอกลูกหลานเราต่อไป เป็นมรดกของเรา หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือถ้าสิ่งนี้เป็นของเรา ก็คือพระเจ้าบอกแล้วว่าสิ่งลี้ลับอย่าไปยุ่งกับมัน นี่ก็คือเปิดเผยให้เรารู้แล้ว เราก็สอนลูกหลานของเรา สิ่งลี้ลับอย่าไปยุ่ง อะไรที่มันแปลกๆ น่าตื่นเต้น ออกห่างๆ ไว้ คนนี้เห็นอนาคตได้ อนาคตช่วยคนนั้น คนนี้ได้ ก็อย่าเข้าไปยุ่งเลย อยู่กับพระเจ้านั่นแหละ เอเมน พระเจ้าจึงไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่ง แม้ว่าจะทำนายอนาคตได้ อะไรได้ ทำอัศจรรย์ได้ ไม่ต้องไปยุ่งเลย วันทั้งวัน ยุ่งอยู่กับพระเยซูผู้เดียว พอแล้ว เอเมน มนุษย์ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียน หรือไม่คริสเตียน ถูกหลอก เพราะอย่างนี้  พอเห็นอะไรอัศจรรย์ เห็นอะไรทางโลกวิญญาณแปลกประหลาด  ตื่นเต้น ถ้ากล้วยออกยาวกว่าธรรมดา แล้วไปปุ๊บ ถูกล๊อตเตอรี่ร์ทันที กล้วยก็มีสิทธิ์ที่จะทำให้เราตื่นเต้น  ถ้าเราเข้าไปยุ่งวุ่นวาย เดี๋ยวก็เป็นโทษกับชีวิตของเรา นี่เล็กๆ น้อยๆ แล้วนะ รวมทั้งโลกนี้ มีอีกเยอะแยะ ที่เป็นลักษณะเช่นนี้  อะไรบางอย่างที่มันลึกซึ้งทางโลกวิญญาณ ลี้ลับ ไม่เข้าใจ ไม่ต้องไปยุ่งเลย อธิษฐานอยู่สงบๆ เดี๋ยวพระเจ้าจัดการเอง เพราะพระเจ้าควบคุม บังคับบัญชาอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น  เอเมน

และสิ่งสำคัญที่สุด คือไม่ว่าจะเป็นวิญญาณชั่ว ที่ในพระคัมภีร์อ่านว่าเป็นเทพขนาดไหนก็ตาม จะเป็นหัวหน้า สมุนของซาตาน ระดับไหนก็ตาม หรือแม้แต่หัวหน้าเอง ก็คือลูซีเฟอร์หรือซาตาน ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้ เปิดเผยแล้วในพระคัมภีร์ เป็นของเราและลูกหลานของเรา  บอกว่าพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ได้ทรงเอาชนะไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นซาตานเอง วิญญาณชั่วที่เป็นสมุนซาตาน ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า หรือวิญญาณชั่วทุกชนิด อะไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ได้ทรงชนะหมดเรียบร้อยแล้ว 1 ยอห์น 4:4-6 ได้บันทึก

1 ยอห์น 4:4-6 “4 ลูกที่รัก ท่านมาจากพระเจ้าและได้ชนะคนพวกนั้น เพราะพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้นั้นซึ่งอยู่ในโลก 5 คนพวกนั้นมาจากโลกจึงพูดตามมุมมองของโลก และโลกก็ฟังเขา 6 ส่วนเรามาจากพระเจ้า ผู้ใดรู้จักพระเจ้าย่อมฟังเรา แต่ผู้ที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า ย่อมไม่ฟังเรา เช่นนี้เราจึงรู้ว่าเป็นพระวิญญาณแห่งความจริง หรือวิญญาณแห่งความเท็จ”

 

นี่กำลังหมายถึงผู้คน 2 พวก ทางโลกวิญญาณ พวกเรา คือพวกที่รู้จักพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณสถิตอยู่กับเราแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว เราเป็นหนึ่งในพระคริสต์แล้ว วิญญาณของพระเจ้าอยู่กับเราแล้ว เราเป็นวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว เราใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่บนโลก ไม่ได้หมายถึงวิญญาณอย่างเดียว หมายถึงมนุษย์ทุกคนด้วย ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า วิญญาณเขาไม่ใช่วิญญาณเดียวกับเรา วิญญาณเราในอดีต ก็ไม่ใช่วิญญาณในขณะนี้ ท่านพอจะเข้าใจใช่ไหม? หมายถึงอย่างนั้น และมนุษย์ถ้ายังไม่รู้เรื่อง ก็ยังอยู่ภายใต้การครอบงำของวิญญาณชั่วเหล่านี้ เหมือนเราทั้งหลาย พระคัมภีร์บอก เมื่อเรามาเชื่อพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา เราถูกครอบงำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ใช้คำนี้เลย “ครอบงำ” เพราะมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับชั่วหรือไม่ดี แต่มันหมายถึงปฏิกิริยาของวิญญาณเราขณะนี้ ครอบงำ หมายถึงถูกคุมด้วย ความบริสุทธิ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และพระเจ้า 3 พระภาค คุมอยู่ตลอด คลุมกายด้วยพระคริสต์ แปลว่าอย่างนี้ แต่ในอดีตก่อนที่เราจะเชื่อในพระเจ้า เราก็ถูกคลุมกายด้วยความมืดบอด ความบาป วิญญาณสกปรก วิญญาณชั่ว อิทธิพลของสิ่งที่ไม่ดี ปกคลุมเราตลอด พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ได้ทำลายล้างอำนาจทั้งหลายของเหล่าหัวหน้าวิญญาณชั่วเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งตัวหัวหน้าเอง ก็คือซาตานเอง ถูกทำลายอำนาจอย่างสิ้นเชิง พวกวิญญาณชั่วเหล่านี้ ไม่ว่าจะใช้ชื่อเทพอะไรก็ตาม พระคัมภีร์บอกว่าได้ถูกปลดออกจากอำนาจทั้งหมดแล้ว เอเมน โคโลสี 2:13-15 ดูว่าโลกฝ่ายวิญญาณเกิดอะไร? ตอนดาเนียลได้รับนิมิตนั้น คือประมาณ 500 กว่าปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเกิด ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาถูกตรึงที่ไม้กางเขน

ต้องสู้รบกันใหญ่เลย พอพระเยซูคริสต์ทำอะไรบางอย่างสำเร็จบนไม้กางเขนแล้ว เกิดอะไรขึ้น? โคโลสี 2:13-15

โคโลสี 2:13-15 “13 เมื่อท่านตายแล้วในบาปของท่านและในวิสัยบาปของท่าน ซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต พระเจ้าได้ทรงให้ท่าน มีชีวิตด้วยกันกับพระคริสต์ พระองค์ทรงอภัยโทษบาปทั้งสิ้นของเรา 14 ทรงยกเลิกหนังสือสัญญาที่ผูกมัดเราด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งขัดขวางและต่อต้านเรา พระองค์ทรงเอาหนังสือนี้ ออกไปตรึงที่กางเขน 15 และทรงปลดเทพผู้ทรงเดชานุภาพและเทพผู้ทรงอำนาจต่างๆ ลง พระองค์ได้ทรงประจานและพิชิตพวกนี้โดยกางเขนนั้น”

 

ชัดเจนมาก พระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม เขียนเรื่องเหล่านี้เยอะไปหมดเลย เพราะว่าพระเจ้าทำสำเร็จแล้ว ให้มนุษย์กลับมามีอำนาจ อยู่เหนือความชั่วร้ายต่างๆ

กลับมาที่ข้อสุดท้าย ในหนังสือดาเนียล บทที่ 10 หลังจากที่ทูตสวรรค์ปรากฏกายให้เห็นแล้ว ก็ได้บอกดาเนียลว่า …

“พวกเรามา (หมายถึงทูตสวรรค์) เพื่ออธิบายให้ท่าน (ดาเนียล) ทราบ ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องร่วมชาติของท่านในอนาคต”

อย่างที่ผมบอก “พี่น้องร่วมชาติ” ไม่ได้หมายถึงอิสราเอลอย่างเดียว แต่หมายถึงมนุษย์ทุกคนด้วย เพราะนิมิตนี้ เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกคน

“เพราะนิมิตนั้น เกี่ยวกับการภายหน้า”

ภายหน้า หมายถึงตั้งแต่ดาเนียลได้รับนิมิตนี้ 500 กว่าปีก่อนพระเยซูคริสต์จะมาเกิด ไหลมาจนพระเยซูคริสต์เกิด ไหลมาจนกระทั่งถึงยุคเราทุกวันนี้ ที่นั่งอยู่ และไหลจากนี้ต่อไป จนกระทั่งพระเยซูคริสต์กลับมา ไหลไปจนกระทั่งพระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้ใหม่ หรือเยรูซาเล็มใหม่ จนไปถึงเราไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์ หมายถึงอย่างนี้  … สรุปที่ในเอเฟซัส 1:18-21

เอเฟซัส 1:18-21 “18 ข้าพเจ้ายังขอให้ตาใจของท่านสว่าง เพื่อท่านจะได้รู้ถึงความหวังที่ทรงเรียกท่านมานั้น รู้ถึงความมั่งคั่งแห่งมรดกอันรุ่งเรืองของพระองค์ สำหรับประชากรของพระองค์ 19 และรู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สุดหาใดเทียบ สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ฤทธานุภาพนี้เป็นเหมือนพระราชกิจแห่งพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 20 ซึ่งทรงกระทำในพระคริสต์เมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และให้ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรค์สถาน 21 สูงส่งยิ่งเหนือเทพผู้ครองและเทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ครองอาณาจักรทั้งสิ้น และเหนือทุกนามที่เขาเอ่ยขึ้น ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคหน้าด้วย”

 

พระเจ้าต้องการให้เรารู้ตรงนี้ชัดๆ ที่เปาโลเขียนถึงคริสเตียนที่มาเชื่อแล้ว ขอพระเจ้าเปิดตาวิญญาณให้เขาได้เห็นถึงว่าพระเยซูยิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระเจ้าทรงกระทำพระเยซู ตอนที่ชุบพระเยซูขึ้นมาใหม่ แล้วพระองค์ก็เอาฤทธิ์อำนาจทั้งหมดไว้ให้กับพระเยซู และให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในสวรรค์สถาน คำว่านั่งอยู่ที่เบื้องขวา แปลว่าเป็นผู้ครอบครอง เป็นผู้ว่าราชการทั้งหมด แทนพระเจ้าไปเลย และพระคัมภีร์บอกว่าให้เราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระองค์ทุกคนนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเรียบร้อยแล้ว มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  ท่านรู้แล้วว่าโลกวิญญาณเป็นอย่างไร? พระเจ้าสอนแล้ววันนี้ ไม่มีอะไรทำอะไรท่านได้เลย เอเมน

“พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า  มาตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปฉัน บัดนี้ ฉันสะอาดหมดจด พ้นจากบาป เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ฉันก็กลับไปหาพระเจ้า และร่างกายฉันก็สะอาดหมดจด วิญญาณฉัน สะอาดหมดจด สามารถเป็นวิหารของพระเจ้า วิญญาณสถิตอยู่กับฉันได้ เรียกว่าการบัพติศมา การเข้าสามัคคีธรรม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระบิดา พระบุตร พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่กับฉัน เป็นหนึ่งเดียวกัน และผู้เชื่อทั้งหลายมากมายที่มาเชื่อ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน พลังยิ่งใหญ่ เรียกว่าคริสตจักรสากล เป็นที่อยู่ของพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุดมหาศาลแล้ว ไม่มีอะไรมาทำอะไรฉันอีกต่อไปแล้ว ไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะเอาความรักของพระเจ้าออกไปจากฉัน คือดึงฉันออกไปจากนี้ได้ ไม่มีทาง ฉันเอง ยังเอาออกไม่ได้เลย เพราะว่าฉันเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ดองกันไปแล้ว จะมาทำให้ฉันเป็นแตงธรรมดาไม่ได้แล้ว ฉันใดฉันนั้น”

ถ้าท่านทำให้แตงกวาสดเอาไปดองกับน้ำส้มสายชู กลายเป็นแตงดอง อันอร่อยแล้ว ท่านไม่สามารถทำมันกลับมาเป็นแตงกวาสดได้อีกแล้ว เพราะว่ามันดองแล้ว ตราบนั้น ถ้าท่านบัพติศมา จุ่มลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จุ่มลงไปในพระคริสต์แล้ว ไม่มีฤทธิ์เดชอำนาจอันไหนที่จะทำให้กลับมาเป็นคนบาปได้อีกแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้น ฤทธิ์อำนาจ อยู่ในพระคริสต์ ถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ทุกอย่าง จบ ไม่ว่าท่านทำอะไรต่อไป บางคนบอกอย่างนี้ก็ไปทำบาปได้สิ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกอย่างนี้  นี่เป็นพระคุณพระเจ้า ให้เราฟรีๆ ให้เราอยู่ในพระคริสต์ฟรี ทดแทนพระคุณพระเจ้า ด้วยการไปทำบาปเหรอ ไม่ใช่ ไม่ทำแล้ว จริงๆ ไม่มีใครอยากทำด้วย เพราะข้างในสะอาดแล้ว อาจจะมีหลงเหลืออะไรบางอย่างที่ทำตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ที่ยังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ ก็ว่ากันไป คนละเรื่องกัน เดี๋ยวมันก็หมดไป แต่พุ่งวิญญาณนี้ไปที่พระเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว  วันหนึ่ง ร่างกายนี้ก็จะหมดไป เอเมน

แล้วเมื่อร่างกายนี้หมดไป ตายไป ไม่ได้ไปไหนเลยนะ เรายังอยู่ที่เดิม ก็อยู่ในพระคริสต์ที่เดิม ไม่ได้ไปสวรรค์ที่ไหน? ทุกวันนี้ เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว พระคัมภีร์จึงเขียนคำว่า “จงมองให้เห็นเถิด” “Be hole” จงมองเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณให้เห็นเถิด ทุกวันนี้ท่านก็อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่กับพระองค์แล้ว ไม่ต้องอธิษฐานขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย พระเจ้าก็สถิตอยู่แล้วไง

“ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์เข้ามาใกล้ๆ”

“ฉันอยู่ในตัวเธอ ไม่รู้เหรอ”

พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

พอเราเรียนรู้อะไรต่างๆ เหล่านี้  มันจะเปลี่ยนแปลงความคิดและความเชื่อเราทั้งหมดเลย  พระเจ้าอยู่ในเรา  เราเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน 2017 เรื่อง “พระเจ้ามาสถิตอยู่ในมนุษย์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  มิถุนายน  2017

 เรื่อง “พระเจ้ามาสถิตอยู่ในมนุษย์

เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อในวันนี้ แน่นอนที่สุด ผมก็จะใช้ชื่อว่า “พระเจ้ามาสถิตอยู่ในมนุษย์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์”

จากวันศุกร์ประเสริฐ ปีนี้ ก็ตรงกับวันที่ 14 เมษายน ที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน จนสิ้นพระชนม์และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ก็คือวันที่ 16 เมษายน  ก็คือวันอีสเตอร์ ในปีนี้ ครบรอบ 1,988 ปี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน แล้วก็ได้ปรากฏพระองค์เอง ดำเนินชีวิตอยู่กับเหล่าสาวกเป็นเวลา 40 วัน พอครบ 40 วัน พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ ต่อหน้าต่อตาบรรดาสาวกมากมาย และประทับนั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา และในช่วง 40 วัน ที่พระเยซูยังทรงอยู่กับเหล่าสาวก พระองค์ได้ทรงบอกพวกเขาว่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือกิจการ 1:3-5 ย้อนหลังกลับไป 1,988 ปี

กิจการ 1:3-5 “3 ครั้นพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว ได้ทรงแสดงพระองค์แก่คนพวกนั้น ด้วยหลักฐานหลายอย่าง พิสูจน์ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และได้ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลาย ระหว่างสี่สิบวัน และได้ทรงสนทนากับเขา ถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า 4 เมื่อพระองค์ได้ทรงพำนักอยู่กับอัครทูต จึงกำชับเขา มิให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา  คือพระองค์ตรัสว่าตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินจากเรานั่นแหละ 5 เพราะว่ายอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นาน ท่านจะรับบัพติศมา ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

แล้วต่อด้วยข้อ 8-9

กิจการ 1:8-9 “8 ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์อำนาจ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือพวกท่าน และพวกท่านจะเป็นพยานฝ่ายเรา ในกรุงเยรูซาเล็ม และทั่วแคว้นยูเดียกับสะมาเรีย จนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก” 9 หลังจากตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นไป ต่อหน้าต่อตาพวกเขา และมีเมฆมาปกคลุมพระองค์ จนพวกเขามองไม่เห็นพระองค์”

 

ย้อนกลับไป 1,988 ปี นึกถึงภาพในวันนั้น สมมติว่าท่านเป็นสาวกคนหนึ่ง ในวันนั้นด้วย ในวันที่ 40 ก่อนที่พระเยซูจะถูกรับขึ้นไปสวรรค์ ต่อหน้าต่อตาสาวก พระองค์ได้สัญญาว่าจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้มาสถิต อยู่กับมนุษย์

ตอนที่พระเยซูกำชับว่า “อย่าไปไหน? ให้รออยู่ในเยรูซาเล็ม เพื่อรอรับพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น”

พระเยซูไม่ได้บอกว่าให้รอกี่วัน? บอกให้ไปรอเฉยๆ ที่กรุงเยรูซาเล็ม เขาก็เชื่อ ทำตาม รอไปครบ 10 วันพอดีเลย  นับจากวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  พระคัมภีร์ภาษาฮีบรูเรียกว่าวันเพ็นเทคอสต์ มาดูว่าเกิดอะไรขึ้น? กิจการ 2:1-4 ย้อนหลังไป 1,988 ปี

กิจการ 2:1-4 “1 เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง พวกสาวกรวมตัว อยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน 2 ในทันใดนั้น มีเสียงมาจากฟ้า เหมือนเสียงพายุแรงกล้า ดังก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น  3 และพวกเขาเห็นบางสิ่ง ที่คล้ายเปลวไฟ ลักษณะเหมือนลิ้น แผ่กระจายอยู่บนตัวพวกเขาทุกคน 4 พวกเขาทั้งหมดก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงเริ่มต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงให้พูด

 

นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับมนุษย์ คือพระเจ้า ในรูปแบบของพระวิญญาณ มาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นครั้งแรก หลังจากที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป เมื่อหลายพันปีก่อน

ท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมพระเจ้าให้พระเยซูลอยขึ้นไปในสวรรค์ด้วย ไหนๆ ก็ให้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว และให้อยู่กับมนุษย์ตั้ง 40 วัน ก็อยู่ไปตลอดเลยไม่ได้หรือ? แต่ท่านรู้ไหมว่าถ้าพระเยซูยังอยู่กับเรา ยังเดินอยู่บนโลกนี้กับเรา แล้วพระองค์จะไปอยู่กับทุกคนบนโลกใบนี้ ตรงโน้นตรงนี้ มันคงวุ่นวายไปหมดเลย  พระองค์มีสิ่งที่ดีกว่า ที่มนุษย์คิด พระองค์บอกว่าพระองค์จำเป็นต้องถูกรับขึ้นไปอยู่สวรรค์ แล้วหลังจากพระองค์ถูกรับขึ้นไปแล้ว พระองค์จะประทานพระวิญญาณมาอยู่กับเราทุกคน เอเมน ยอห์น 16:7-8 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

ยอห์น 16:7-8 “7 เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่าการที่เราจะจากพวกท่านไป ก็เพื่อผลดีของพวกท่าน ถ้าเราไม่ไป องค์ที่ปรึกษาก็จะไม่มาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาพวกท่าน 8 เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงทำให้โลกสำนึกในความผิด ในเรื่องบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา”

 

คือให้มนุษย์ทั้งหลาย รู้ว่าอะไรคือความชอบธรรมที่แท้จริง อะไรที่เรียกว่าบาปที่แท้จริง? อะไรคือรอดจากบาป? อะไรคือชีวิตนิรันดร์? ถ้าพระวิญญาณไม่ได้เข้ามาสถิตอยู่ ไม่มีใครสอนเราได้หรอก ไม่มีทางเลย แม้ทุกวันนี้ ที่เราเรียนรู้กันอยู่ ก็เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้สำแดงความจริงให้กับเราได้รู้ทางวิญญาณของเรา ไม่ใช่ความคิด แบบมนุษย์

นี่คือความหมายสำคัญของวันเพ็นเทคอสต์ ที่เรามาร่วมระลึกถึงในวันนี้  คือวันที่พระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์มาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นครั้งแรก ตามพระสัญญาของพระองค์ คือพูดง่ายๆ พระเจ้า 3 พระภาค ที่เรารู้จักกันดี คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูและพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระองค์นี้ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นตรีเอกานุภาพ สติปัญญาแบบมนุษย์ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่พระคัมภีร์บอกรวมกันเป็นหนึ่ง ทั้ง 3 พระภาคนี้ สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้แล้ว เอเมน พระเจ้าอยู่กับเรา พระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งเล่ม ตั้งแต่ปฐมกาล In the beginning จนถึงหน้าสุดท้าย วิวรณ์ Revelation การสำแดงความรู้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผ่านทางวิญญาณของมนุษย์ ให้รู้ว่าแผนการของพระเจ้า คืออะไร? สำเร็จลงอย่างไร?

ถ้าเผื่ออาดัมและอีฟไม่ทำบาป ไม่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ก็ไม่ต้องมีแผนการนี้เลย  เพราะฉะนั้น ทั้งเล่มนี้ เพื่อช่วยมนุษย์ เรื่องเดียวเลย เริ่มต้นตั้งแต่ในปฐมกาล ที่บันทึกเรื่องราวของมนุษย์คู่แรก คืออาดัมและเอวา ที่ได้ล้มลงในความบาป จากการไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า ต้องการอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ส่งผลให้มวลมนุษยชาติ ซึ่งเป็นลูกหลานของอาดัมและเอวา ต้องตกอยู่ในคำสาปแช่ง ตกอยู่ในความบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า สืบทอดกันต่อๆ มา เหมือนเชื้อเอดส์ แล้วพระเจ้าก็ได้ทรงจัดเตรียมพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ที่จะสละสภาพ ฐานะ เป็นพระเจ้านั้น ยอมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ โดยการตายที่ไม้กางเขน เป็นแพะรับบาปให้กับมนุษย์ บันทึกแผนการนี้ไว้ตั้งแต่หนังสือปฐมกาล ตั้งแต่หน้าแรก ตั้งแต่คำแรก เริ่มต้นเลย ภาษาฮีบรู เมื่ออ่านครบถ้วนบริบูรณ์ จะพูดถึงพระเยซูทั้งสิ้น  ทั้งเรื่องเลย  หลายอันเราไม่เข้าใจ แต่หลายอันพระวิญญาณบริสุทธิ์ สำแดงให้เราเห็นแล้ว นี่คือพระเยซู

นี่คือเรื่องบอกล่วงหน้า แต่จริงๆ ทุกคำในนั้นบอกล่วงหน้าทั้งสิ้น ถึงเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์จะมาเกิด เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ เพื่อจะพามนุษย์ให้พ้นจากคำสาปแช่ง ทั้งหมดเป็นอย่างนี้ เรื่องราวในพระคัมภีร์ ไบเบิ้ล พันธสัญญาเดิม ก็เป็นส่วนในแผนการของพระเจ้า ในการไถ่บาปให้กับมนุษย์ เริ่มตั้งแต่การเตรียมชนชาติอิสราเอล ให้เป็นตัวแทนของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เป็นประชากรของพระองค์ พูดกับอิสราเอล ก็เหมือนพูดกับมนุษย์บนโลกใบนี้ นั่นเอง

หล่อหลอมจิตใจของพวกเขา ก็คือของชาวยิว ให้มีความเชื่อ และวางใจในพระองค์สืบต่อๆ กันมา เพื่อจัดเตรียมให้มีพงศ์พันธุ์ความเชื่อที่เป็นแบบมนุษย์ เพื่อจะให้พระเยซู ที่เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ผ่านทางคนที่เชื่อในพระองค์ คือแมรี่กับโยเซฟ ถ้าเขาไม่มีความเชื่อ พื้นฐานแน่นพอ ใครจะไปเสี่ยงขนาดนั้น อยู่ดีๆ จะมาให้อุ้มบุญ สมัยนั้น ซึ่งมีสิทธิ์ตายได้ทันที ถูกเอาหินขว้าง หาว่าล่วงประเวณี ถูกไหม?

แล้วทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพื่อว่าพระเยซูจะได้มาเป็นหนึ่งในพวกมนุษย์ทั้งหลาย เป็นตัวแทนของเรา  นอกจากกลุ่มที่พระเจ้าวางไว้ว่าอิสราเอลเป็นหัวหน้า เป็นกลุ่ม ตัวแทนของมวลมนุษยชาติ แล้วพระเยซูเกิดในอิสราเอล เป็นยิว เป็นหัวหน้าของยิวอีกทีหนึ่ง ก็เลยเป็นหัวหน้าของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นตัวแทนของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เมื่อเป็นหัวหน้า เป็นตัวแทน ก็สามารถที่จะมารับบาปแทนมนุษย์ได้ นี่คือแผนการที่พระเจ้าวางไว้ จนมาถึงจุดสำคัญของหนังสือไบเบิ้ล คือตอนที่แผนการของพระเจ้า ที่จะมาช่วยมนุษย์ ได้ถูกทำให้สำเร็จ ที่ไม้กางเขน

ตอนที่พระเยซูถูกตรึงตายอยู่ที่ไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง ก่อนที่พระองค์จะยกเลิกวิญญาณ ยอมสละวิญญาณออกไป ยอมรับเอาความบาปทั้งหลายของเรา พระองค์บอกสำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” มันสำเร็จไปครึ่งเดียวเอง คือมนุษย์ได้รับการชำระให้สะอาดหมดจด พ้นจากความบาป ความบาปไปอยู่ที่พระเยซูแล้ว แต่แผนการของพระเจ้าไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ชำระให้มนุษย์พ้นจากบาปอย่างเดียว แต่จะพามนุษย์กลับคืนมาสู่ที่เดิมของเขา เขาเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าจะพาเขากลับมาที่บ้านของพระองค์ กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เหมือนเดิม กลับมาคืนดีกับพระองค์ โดยการชำระให้สะอาดก่อน  แล้วถึงมาสถิตอยู่ด้วยได้ พอพระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว ทันทีทันใดนั้น ฟ้ามืด ถล่ม พระเจ้าก็เสด็จออกไปจากพระเยซู พระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์ตลอดเวลา ตอนนี้อยู่ไม่ได้แล้ว เพราะพระเยซูกลายเป็นบาปแล้ว รับเอาบาปแทนมนุษย์ไป พระเยซูบอก …

“ไฉน จึงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

พระองค์ก็ตายแทนเราบนไม้กางเขน ในวันที่ 3 พระเยซูได้เป็นขึ้นมาใหม่ เป็นวันอีสเตอร์ ทำให้เราทั้งหลายที่เป็นผู้ที่ตามหัวหน้าของเรา คือพระเยซู เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ เราทั้งหลายก็ได้รับการเป็นขึ้นมาใหม่เหมือนกัน การเป็นขึ้นมาใหม่ตรงนี้ คือการกลับใจไปคืนสู่พระเจ้าเหมือนเดิม พ้นจากบาปแล้ว พระเจ้าสามารถสถิตอยู่กับเราได้แล้ว ณ วินาทีนั้น  แต่ด้วยเหตุผลอะไร เราไม่ทราบ แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้า เสด็จไป เก็บข้าวของ เก็บข้าวของอยู่กี่วัน? 10 วัน แล้ววันที่ 50 เก็บเรียบร้อยปุ๊บ ย้ายบ้าน ไม่ต้องอยู่ในวิหารแล้ว  เข้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ พระคัมภีร์จึงบอกว่า …

“ท่านไม่ทราบหรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นวิหารของพระเจ้าแล้ว”

ถ้าท่านยอมนะ แต่ถ้าท่านไม่ยอม ใครเขาจะยอมมาอยู่เล่า บังคับไม่ได้ พระเจ้าให้ท่านเป็นอิสระ เพราะฉะนั้น วิธีการที่ท่านจะยอมให้พระเจ้ามาอยู่ด้วย เพียงแค่ท่านเชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ที่ประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้ว่ามันเป็นจริงทางวิญญาณ มันเกิดขึ้น เป็นผลสืบเนื่อง ที่ทำให้มนุษย์ได้รับตรงนี้ ถ้าท่านเชื่อในข่าวดีนี้ว่าพระเจ้าได้มาสถิตอยู่กับท่าน ท่านก็เป็นวิหารของพระเจ้า มันก็สำเร็จตามที่พระเยซูประกาศบนนั้น สำเร็จแล้ว สำเร็จ 2 ช่วง คือ …

(1) ไถ่บาปให้เรียบร้อยแล้ว

(2) ท่านสะอาดแล้ว พระเจ้ามาสถิตกับท่านได้แล้ว

ในลูกา 24:44-46 “44 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เราบอกไว้ เมื่อยังอยู่กับท่านทั้งหลาย คือทุกสิ่งต้องสำเร็จ ตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรา ในหนังสือบัญญัติของโมเสส หนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดี” 45 จากนั้น พระองค์ทรงเปิดใจเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือพระคริสต์ต้องทนทุกข์ และเป็นขึ้นจากตาย ในวันที่สาม”

 

ฮาเลลูยา “ทุกสิ่งต้องสำเร็จ ตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรา ในหนังสือบัญญัติของโมเสส หนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดี”

นี่หมายถึงหนังสือพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด  คือพระเยซูกำลังบอกว่าเรื่องราวที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมดนั้น ล้วนเล็งมาถึงเรา เป็น Climax มันต้องสำเร็จ มันต้องเกิดขึ้นจริง เป็นไปตามนั้น  ไม่ว่าเริ่มต้นตั้งแต่การประสูติ การทนทุกข์ทรมาน การสิ้นพระชนม์ การเป็นขึ้นจากตาย การปรากฏพระองค์เอง หลังความตาย และคำตรัสของพระองค์ในวันสุดท้าย คือวันที่ 40 ก่อนถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ ที่บอกว่าไม่ช้า ไม่นาน ท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว เป็นไปตามหนังสือพระคัมภีร์ที่บันทึกเอาไว้ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย ในวันเพ็นเทคอสต์ในวันนี้  ที่เรามารวมกันระลึกถึงวันครบรอบ 1,988 ปี การได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ

การรับบัพติศมา ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือวิญญาณของคนๆ นั้น จะได้รับการชุบขึ้นมาใหม่ เหมือนกับการเคลื่อนไหวทางด้านเคมีอะไรบางอย่าง ในยุคปัจจุบัน พูดอย่างนั้น การบัพติศมาแปลว่าการจุ่มลงไป เหมือนท่านเทอะไรบางอย่างลงไป การถูกชุบขึ้นมาใหม่ เขาเรียกว่ามีปฏิกิริยาอะไรบางอย่าง ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นใหม่ ในนี้บอกว่าวิญญาณของมนุษย์คนนั้น  จะได้รับการชุบขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนจากวิญญาณที่เรียกว่าตายแล้ว ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า ต่อสู้พระเจ้า เย่อหยิ่งกับพระเจ้า กลายสภาพมาเป็นวิญญาณใหม่ คือวิญญาณที่ได้รับการเจิม ได้รับฤทธิ์เดชจากพระเจ้า ทำให้สภาพของวิญญาณนั้น มีลักษณะเหมือนพระเยซู หรือเราเรียกว่ามีพระฉายเหมือนพระเจ้า “เหมือน” นะ ไม่ใช่พระเจ้า เหมือนพระเยซู ไม่ใช่เราเป็นพระเยซู วิญญาณเหมือนกัน พูดง่ายๆ เหมือนกับว่าพอเราบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหมือนเรา  เข้าไปอยู่ในครอบครัวใหม่ ครอบครัวหนึ่ง ที่มีชื่อว่าครอบครัวของพระเจ้า เป็นทางการ เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระคริสต์

ในครอบครัวพระคริสต์นี้ มีชื่อเราอยู่ในทะเบียนบ้าน หัวหน้าบ้าน ชื่อพระคริสต์ ชื่อเล่น ชื่อพระเยซู บ้านพระคริสต์ คือมีพระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัว เราเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ 2 เข้าใจไหม?  ตอนแรกผมนึกว่าผู้อาศัย ไม่ใช่ เรามีสิทธิเท่ากับพระเยซู คือครอบครองบ้านหลังนี้ร่วมกัน ภาษาไทยเขาเรียกว่าหัวหน้าครอบครัวที่ 2 เรามีสิทธิที่จะไปขอน้ำขอไฟ มิเตอร์ต่างหากแยกมาได้ เพราะเราเป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่อย่างนั้น เขาให้เฉพาะหัวหน้าครอบครัวเท่านั้นเอง เราไปขอไม่ได้ เราเป็นผู้อาศัย แต่ถ้าในทะเบียนบ้านเขียนว่าเราเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ 2 เรามีสิทธิ์ขอมิเตอร์อีกอันหนึ่ง อะไรที่เป็นสิทธิของหัวหน้าครอบครัวที่จะมีได้ เราได้ด้วย เอเมน

เหมือนเราทำกับข้าวอย่างดี ให้ลูกกิน ลูกบอกเกรงใจ ให้พ่อกินเถอะ พ่อบอก พ่อกินอิ่มแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเททิ้ง เรากินครึ่งท้อง ปล่อยให้หิว เกรงใจพ่อ พ่อจะเขกกระบาลเรานะ พอเรากินอิ่ม พ่อดีใจ ลูบหลัง ดีมาก  กินเข้าไปเยอะๆ นะ ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส นี่แหละความรู้สึกของพระเจ้า  ให้เราเข้าไปเป็น หัวหน้าครอบครัวที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ฯลฯ

1 โครินธ์ 12:13 “เพราะเราทั้งหมด ก็รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณองค์เดียว เข้าเป็นกายเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นยิวหรือกรีก เป็นทาสหรือเป็นไท และเราทั้งหมด ก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

 

และการที่เราได้อยู่ในพระคริสต์ ได้รับการถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์ ได้เป็นส่วนหนึ่ง ในครอบครัวพระคริสต์ เราก็จะมีลักษณะชีวิตเหมือนพระเจ้า เพราะเราถือว่าเราได้เป็นลูกของพระเจ้า มีความบริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเจ้า สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ เหมือนที่พระเยซูบอกว่าพระองค์อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าอยู่ในพระองค์ ยอห์น 14:20 พระเยซูตรัสเอง

ยอห์น 14:20 “ในวันนั้น พวกท่านจะตระหนักว่าเราอยู่ในพระบิดาของเรา และพวกท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในพวกท่าน”

 

พระเยซูบอกว่าพระองค์อยู่ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในพระองค์ และเราอยู่ในพระคริสต์ สรุป คือเราอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าอยู่ในเรา ทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน

กิจการ 2:17-18 “17 พระเจ้าตรัสว่าในวาระสุดท้าย เราจะเทพระวิญญาณของเราลงเหนือประชากรทั้งปวง บุตรชายบุตรสาวของเจ้า จะเผยพระวจนะ คนหนุ่มของเจ้าจะเห็นนิมิต คนชราของเจ้าจะฝันเห็น 18 เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเทวิญญาณของเรา ลงมาเหนือผู้รับใช้ของเราทั้งชายและหญิง และพวกเขาจะเผยพระวจนะ”

 

แผนการพระเจ้าสำเร็จแล้ว พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าว่าเราจะเทพระวิญญาณ คือเอาวิญญาณเรามาอยู่กับมนุษย์ มนุษย์จะพูดถ้อยคำพระเจ้า จะให้พระเจ้าใช้ ให้พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา นำพาเขาไป  เหลือเชื่อนะ เพราะเหตุนี้ ถ้าไม่ได้รับการเปิดตาวิญญาณ เรียกว่า Revelation หรือการสำแดงความรู้ทางวิญญาณ ไม่มีวันเข้าใจ

ในหนังสือ 2 โครินธ์ 5:17 อาจารย์เปาโลได้รับการสำแดงจากพระเจ้าว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ปฏิกิริยาที่เราบัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป ใส่ลงไป กดลงไป ในพระเจ้า วิญญาณเรากดลงไปในพระเจ้า จุ่มลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  จนบังเกิดใหม่

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

 

ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ก็คือผู้ใดที่บัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป มุดลงไป ดำลงไป ถูกจุ่มลงไปในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ วิญญาณของคนนั้น ก็ถูกสร้างใหม่ สิ่งสารพัดเก่าๆ ในวิญญาณ ก็ล่วงไป นี่พูดถึงทางวิญญาณทั้งสิ้น  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่ตามองเห็น ที่เป็นร่างกาย ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณ

ชีวิตจริงๆ ของมนุษย์ที่จะอยู่ตลอดไป สำคัญที่สุด คือวิญญาณของเรา ร่างกายที่เราเห็นนั้น มันไม่ใช่ตัวจริง วิญญาณของเราตัวที่ทำพิธีทางศาสนาต่างๆ นั่นแหละคือวิญญาณของเรา สัตว์ไม่มีวิญญาณ เพราะสัตว์ไม่ร่วมกันทำพิธีทางศาสนา ไม่ว่าอะไรก็ตาม ไม่มีสัตว์ที่ไหนต้องมาร่วมกัน แล้วสวดมนต์ ไม่มี กี่ปีๆ ก็จะไม่มี แต่ว่ามนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุด มนุษย์ที่อยู่ในถ้ำ ก็จะร่วมกันทำพิธีทางวิญญาณ อย่างเช่น คนป่าทำพิธีเกี่ยวกับหมอผี  แต่จริงๆ เขาทำพิธีทางวิญญาณ ทางศาสนาของเขา ในสมัยโน้น มีมนุษย์เท่านั้น ที่แสวงหาทางวิญญาณว่า …

“ฉันมาจากไหน? และฉันจะไปไหน?”

แล้วทำอะไรบางอย่าง ทางวิญญาณ วิญญาณของเราจะเหมือน หรือจะเป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจด ปราศจากตำหนิ ปราศจากบาป สามารถเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ เพียงแต่มันยังอยู่ในร่างกายเก่าเท่านั้น รอวันเวลาที่จะได้รับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ในพระคัมภีร์เรียกว่าร่างกายสวรรค์

กาลาเทีย 3:26-28 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ 28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวง เป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์”

 

ไม่มียิว ไม่มีกรีก ไม่มีทาส ไม่มีไท ไม่มีชายหรือหญิง แปลว่าอะไร? คำว่ายิว ทาส ไท เป็นคนไทย เป็นคนอเมริกัน เป็นคนจีน เขาดูกันที่หน้าตาเป็นอย่างไร? แต่ในทางวิญญาณ เหมือนกันหมด เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน สิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นเงื่อนไขเดียว ที่ทำให้เราได้รับสภาพใหม่นี้ ซึ่งเรียกว่าสภาพถูกชุบให้บังเกิดใหม่ ในพระคริสต์นี้ วิธีจะทำได้ ก็มีทางเดียว ในพระคัมภีร์เขียนว่าด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น และใช้สิทธิของเขาในข่าวดีนี้

ข่าวดีนี้ ก็คือพระเจ้าวางแผนการให้พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ชำระมนุษย์ให้สะอาดหมดจด ให้เรียบร้อย เพื่อพระเจ้าจะมาสถิตอยู่ได้ และถ้ามนุษย์ได้ยินตรงนี้ แล้วบอก …

“ฉันอยากได้ ฉันจะใช้สิทธิ์ของฉัน”

ทันทีทันใด เขาได้รับสิทธิทันทีเลย ได้รับเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ต้องรอให้ตาย ค่อยได้ ได้นาทีนั้น วินาทีนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในรถ ก็ได้ จะอยู่ในห้องน้ำ ก็ได้

“ฉันรู้จักแล้ว ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันเชื่อแล้ว ฉันเข้าใจแล้ว”

มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ข้อ 27 บอกว่า “พวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว”

ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงการลงน้ำ ที่เราทำกันเป็นพิธี ในโบสถ์หรือที่ไหนก็ตาม การรับบัพติศมา ตรงนี้ คือการได้รับทันที คือได้เชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระคริสต์ และผลที่ตามมา ท่านก็จะได้รับการคุมกายของท่าน  กายทางวิญญาณของท่าน โดยพระคริสต์ จำที่ผมบอกพระคริสต์ ก็คือพระเยซูคริสต์ ท่านและพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านและพระเยซู พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อท่าน ถูกจุ่มลงไป ถูกกด ถูกใส่ลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า 1 ยอห์น 1:3-4 จึงบันทึกไว้อย่างนี้

1 ยอห์น 1:3-4 “3 เราประกาศให้ท่านทราบถึงสิ่งที่เราได้เห็นและได้ยิน เพื่อท่านจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเราด้วย และการสามัคคีธรรมกับเรา คือการสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ 4 เราเขียนข้อความเหล่านี้มา เพื่อให้ความชื่นชมยินดีของเราทั้งหลายเต็มบริบูรณ์”

 

ตั้งใจอ่านตรงนี้ให้ดีๆ คำว่า “สามัคคีธรรม” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Fellowship” ความหมาย ก็คือได้เข้าสู่การเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน มันแปลว่าตรงนี้ เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูบอกว่า …

“สามัคคีธรรมกับเรา”

คือการสามัคคีธรรมกับพระบิดา การเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู คือการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ความหมายตรงนี้ คือการได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู กับพระคริสต์ ก็เท่ากับได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าด้วย ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น ซึ่งอาจารย์ยอห์นได้รับประสบการณ์มา จึงบอกเราอย่างนั้น

เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา สรุปก็คือเราอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าอยู่ในเรา กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน เหมือนน้ำกับน้ำ ไม่ใช่น้ำมันกับน้ำ ถ้าน้ำกับน้ำ มันเข้ากันได้ แต่ถ้าน้ำมันกับน้ำ ต่อต้านกัน แล้วอาจารย์บอกว่า …

“ท่านทั้งหลาย ทั้งหมดที่เชื่อในข่าวประเสริฐนี้ ก็ร่วม Fellowship ร่วมสามัคคีธรรมกันและกัน ในพระคริสต์”

ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะได้มาคุยกันเรื่องพระคริสต์ ไม่ใช่ นั่นเป็นส่วน เป็นผล แต่เหตุเกิดขึ้นในวิญญาณ คือท่านที่มาเชื่อข่าวดีในพระคริสต์ ไม่ว่าใครก็ตาม ที่ไหนก็ตาม ท่านก็ได้เข้ามาร่วมอยู่ในการเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา หมายถึงผมกับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้ากับพระบิดาก็เป็นหนึ่งเดียวกัน เราทั้งหลายทั้งหมดในโลกนี้ เป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่าคริสตจักรสากล เอเมน ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เขาก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเหมือนกัน ไม่ใช่คริสตจักรสากล แปลว่าไปที่ไหน? คนนี้เป็นคริสเตียน คนนั้นเป็นคริสเตียน ไม่ใช่ นั่นเป็นกฎเกณฑ์ พิธีกรรมของมนุษย์ที่จะพูดมา แต่ในทางวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ ถ้าเขาเชื่อในข่าวประเสริฐ ทันทีทันใดนั้น เขาไม่เคยเห็นหน้าเราเลย  แต่เขาก็ได้ Fellowship กับเราแล้ว เขาก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ไม่ได้เจอหน้ากันเลย แล้วเป็นหนึ่งด้วยกันได้ยังไง? ไม่รู้ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น วิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ร่วมเป็นใหญ่ๆ ก้อนหนึ่ง เรียกว่าพระคริสต์ ซึ่งมีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นประธานใหญ่เลย แล้วเราทั้งหลายเชื่อในพระองค์นั้น ไม่ใช่ผู้อาศัย เป็นผู้ครอบครอง บ้านหลังนี้ ร่วมกับพระเยซู

นี่ มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาอะไร? ไม่ว่าเขาจะเป็นคนประเทศอะไร? ไม่ว่ากรีก หรือยิว หรือไทย หรือเป็นทาส คือข้างนอกทั้งสิ้น แต่ข้างในเหมือนกันหมด ก็คือมันดำอยู่ แล้วต้องรอให้เขารับสิทธิของเขา ต้อนรับพระเยซู ที่ไม้กางเขน ทำให้กับเขาแล้ว ถ้าเขาไม่ใช่ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร?  แต่ถ้าเขารับสิทธิของเขา ทันทีพอเขาใช้สิทธิ์ปุ๊บ ร่างกายเดิม ยังคงมีสีผิว เพราะว่าเป็นคนแอฟาริกา สีผิวยังอยู่ แต่วิญญาณเขาสะอาดแล้ว พอสะอาดปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เริ่มทำให้เขาเป็นนิวครีเอชั่น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน เขาก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับคนไทย คนที่เป็นชาวป่า อยู่อะเมชอน เขาไม่เหมือนเรา สีผิวก็ไม่เหมือนเรา  แต่พอเขาเชื่อในพระเยซู เขาก็เป็นหนึ่งเดียวกับเรา  ถ้าเราไม่ยอมรับสิทธิ์นี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ไม่ทำอะไร เพราะทำไม่ได้

โคโลสี 1:21-22 “21 พระ‍องค์​ทรง‍ฉีก ​กรม‍ธรรม์​ ซึ่ง​ได้ผูก‍มัด​เรา​ ด้วย​บัญ‌ญัติ​ต่างๆ ซึ่ง​ขัด‍ขวาง​เรา และ​ได้​ทรง​หยิบ​เอา​ไป​เสีย​ให้​พ้น​ โดย​ทรง​ตรึง​ไว้​ที่​กาง‌เขน “ครั้งหนึ่งพวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน 22 แต่บัดนี้ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหาต่อหน้าพระองค์”

 

วิญญาณที่สกปรกขัดขวางเรา เราไปไหนไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าเราทำดี หรือเราทำชั่ว ไม่ใช่ เราเกิดมาเป็นอย่างนี้ เพราะเราเป็นคนเลว พระเจ้าไม่ได้เกลียดใครเลย สงสารมากด้วยว่าเขาเกิดมาเป็นอย่างนี้ อยากจะช่วยเราเต็มที่ ช่วยทุกอย่าง ช่วยหมด อะไรก็ได้ จนกระทั่งประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์เอง มาช่วยเขา แล้วทุกวันนี้ ก็พยายามที่จะง้อเขา บอกเขา ฟังข่าวดีสิ เชิญเถิดๆ แค่นั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย มนุษย์ก็ถามว่าไม่ต้องทำอะไรจริงๆ เหรอ จริงๆ แค่นี้เอง

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ให้ท่านนึกถึงภาพนี้ พระองค์ได้ทรงเอาสิ่งที่ขัดขวางเรา ทำให้เรามาหาพระเจ้าไม่ได้ เอามันออกไปแล้ว โดยตรึงไว้ที่ไม้กางเขน  เพราะฉะนั้น ให้ท่านเห็นภาพไม้กางเขน  แล้วนึกว่าท่านเป็นใคร? ตัวจริงของท่าน คือวิญญาณของท่าน วิญญาณของท่านเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของพระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณ และวิญญาณที่เป็นของผู้เชื่อในพระองค์  ในมหาจักรวาลนี้ทั้งหมด เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นก้อนเดียวกัน ใหญ่ๆ เลย วิญญาณท่านเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ทุกวันนี้ มันเป็นอย่างนั้น ให้ท่านเห็นภาพ รอวันที่ร่างกายที่ท่านอยู่ทุกวันนี้ มันสลายไปเท่านั้นเอง ท่านก็จะเข้าไปในพระคริสต์ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ด้วยร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าให้ไว้  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 18 “เป็นไปตามแผนการพระเจ้าทุกอย่าง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  พฤษภาคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 18 “เป็นไปตามแผนการพระเจ้าทุกอย่าง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า ตอนที่ 18 วันนี้อยากจะให้ท่านได้เห็นภาพ และมั่นใจว่าอะไรก็ตามที่พระเจ้า ทรงบอกไว้ล่วงหน้า เผยพระวจนะไว้ มันก็จะเกิดขึ้นเป็นไปตามนั้นจริงๆ คำเผยพระวจนะ หรือคำบอกล่วงหน้า ที่มีมาตั้งแต่สมัยพันธสัญญาเดิม ตั้งแต่เริ่มต้นใหม่ บันทึกไว้เป็นหลักฐาน เป็นร้อย เป็นพันปี มาถึงวันนี้ สิ่งที่เผยพระวจนะล่วงหน้า ตั้งแต่หน้าแรก จนถึงหน้าสุดท้าย มันเกิดขึ้นตามนั้นจริงๆ แล้ว ตามประวัติศาสตร์ที่เราได้เห็น ที่เราได้อ่าน ได้เรียนรู้ 80 – 90% ชี้ให้ท่านเห็น เพราะฉะนั้น อีกหลายๆ อย่าง ที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ อีกประมาณ 20% มันก็ต้องเกิดขึ้น เป็นไปตามนั้น เช่นเดียวกัน เอเมน

การบรรยายในวันนี้ มีชื่อตอนว่า “เป็นไปตามแผนการพระเจ้าทุกอย่าง” วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจให้ละเอียด ในความหมายของถ้อยคำพระเจ้า ที่มีมาถึงดาเนียล หลังจากที่ดาเนียลอธิษฐาน ทูลขอ การช่วยกู้จากพระเจ้า  ในการนำอิสราเอลให้พ้นจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน ในบทที่ 9

ที่มีคำว่า “70 ของ 7”   “62 ของ 7”  “1 ของ 7” จริงๆ ในพระคัมภีร์ไม่มีคำว่า “ของ” เหมือนเราพูด 7  11  เลข 7 แปลว่า “ครบถ้วนบริบูรณ์”

สมมติใครถามท่านว่า “คริสตจักรของเราจะมีที่ใหม่ แล้วก็สร้างสถานนมัสการให้ใหญ่กว่านี้ นั่งสบาย มีที่จอดรถ จอดได้ง่ายๆ เห็นบอกจะสร้าง สร้างเมื่อไร?”

ท่านตอบว่า “ไม่รู้”

ก็ได้หมด 7 วันก็ได้ 7 ปีก็ได้ … 7 แปลว่าเมื่อถึงเวลานั้น เวลาครบถ้วนบริบูรณ์ เวลาสมบูรณ์ เวลาสมควร มันก็จะเกิดขึ้น เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า

ก่อนที่จะเข้าเรื่อง 70 ของ 7 ย้อนกลับไปเริ่มต้น ราวๆ ปี 605 ก่อนพระเยซูเกิด คำเผยพระวจนะ คำบอกล่วงหน้าของเยเรมีย์ ผู้รับใช้ บอกว่า …

“อาณาจักรยูดาจะล่มสลาย และชาวยิวจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่เมืองบาบิโลน”

ตัวเอก คืออิสราเอล สถานที่เอก คือเยรูซาเล็ม เป็นเมืองหลวง

มาดูว่าเยเรมีย์ พูดเผยพระวจนะนี้อย่างไร? เยเรมีย์ 20:4-5

เยเรมีย์ 20:4-5 “4 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราจะทำให้เจ้าเป็นที่สยดสยอง ทั้งแก่ตัวเจ้าเอง และแก่เพื่อนฝูงทั้งปวงของเจ้า ตาของเจ้าเอง จะเห็นพวกเขาล้มตายด้วยคมดาบของเหล่าศัตรู เราจะมอบยูดาห์ไว้ในเงื้อมมือกษัตริย์บาบิโลน ซึ่งจะกวาดต้อนพวกเขาไปยังบาบิโลน หรือฆ่าทิ้ง 5 เราจะมอบทรัพย์สมบัติทั้งปวงของกรุงนี้ แก่ศัตรูของพวกเขา ได้แก่ผลิตผลทั้งปวง ทรัพย์สินมีค่า และสมบัติทั้งสิ้นของบรรดากษัตริย์ยูดาห์ ศัตรูจะปล้นและริบไปยังบาบิโลน”

 

ประมาณเกือบ 20 ปี หลังคำเผยพระวจนะ คือประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล กรุงเยรูซาเล็ม ก็ถูกรุกราน โดยกองทัพกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน และชาวยิวถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยจริงๆ พวกบาบิโลนได้เผาทำลายกรุงเยรูซาเล็ม รวมทั้งวิหารในกรุงเยรูซาเล็มก็ถูกเผาทำลายหมดด้วย เป๊ะเลย และในพระคัมภีร์อิสยาห์ก็มีคำเผยพระวจนะอย่างนี้ เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับบาบิโลน หลังจากนี้ หลังจากที่เยเรมีย์เผยพระวจนะไว้ อิสยาห์มาเผยพระวจนะว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในอิสยาห์ 13:17-19

อิสยาห์ 13:17-19 “17 ดูเถิด เราจะเร่งเร้าชาวมีเดีย ผู้ไม่แยแสเงินและไม่ใส่ใจทอง มาต่อสู้กับพวกเขา 18 ธนูของเขาจะสังหารพวกคนหนุ่ม เขาจะไม่ปรานีเด็กอ่อน หรือเวทนาสงสารผู้เยาว์ 19 บาบิโลน มณีแห่งอาณาจักรทั้งหลาย ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของชาวบาบิโลน จะถูกพระเจ้าล้มล้าง เหมือนเมืองโสโดมและโกโมราห์”

 

คำเผยพระวจนะบอกว่าบาบิโลนจะถูกลบล้างโดยชาวมีเดีย เปอร์เซีย และสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ตามประวัติศาสตร์ ก็คือในปี 539 ก่อนคริสตศักราช กษัตริย์ไซรัสได้นำทัพ บุกยึดกรุงบาบิโลนสำเร็จ บอกล่วงหน้าแล้ว และระหว่างที่ชาวยิวยังเป็นเชลยอยู่ที่บาบิโลนอยู่นั้น ก็ยังมีคำเผยพระวจนะมายังเยเรมีย์ ซึ่งอาศัยอยู่ เป็นหนึ่งในจำนวนเชลย เยเรมีย์เปิดเผยอีกว่าพระเจ้าจะทรงปลดปล่อยให้ชาวยิวเป็นอิสระ หลังจากที่เป็นเชลยครบ 70 ปี ในเยเรมีย์ 9:10 บันทึกเอาไว้

เยเรมีย์ 9:10 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เมื่อเป็นเชลยในบาบิโลนจนครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะมาเยือนเจ้า และทำตามสัญญาแห่งพระคุณ ที่จะนำเจ้ากลับคืนมาที่นี่”

 

นี่เป็นหนึ่งในจำนวนคำสัญญาที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า จริงๆ บอกล่วงหน้าเรื่อยๆ เยอะแยะ พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะให้ไปเป็นเชลย 70 ปี จากนั้น ก็จะทรงปลดปล่อยให้เป็นไท และให้กลับบ้านเกิด เยรูซาเล็ม เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น มันก็ต้องเกิดขึ้นตามนั้นเป๊ะ ทั้งเวลา ทุกอย่างเป๊ะหมดเลย 2 พงศาวดาร 36:22-23

2 พงศาวดาร 36:22-23 “22 ในปีที่หนึ่งของรัชกาลกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงกระทำให้พระดำรัสของพระองค์ ที่ตรัสผ่านทางเยเรมีย์สำเร็จ โดยองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดลพระทัยกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ให้ออกประกาศทั่วราชอาณาจักรของพระองค์ และให้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรความว่า 23 กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียตรัสดังนี้ว่า “‘พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานราชอาณาจักรทั้งสิ้นของโลกนี้แก่ข้าพเจ้า และได้ทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้า สร้างพระวิหารถวายแด่พระองค์ที่เยรูซาเล็ม ในเขตยูดาห์ ผู้ใดในหมู่พวกท่านที่เป็นประชากรของพระเจ้า ขอให้พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเขา สถิตกับเขา และให้เขากลับไปเถิด”

 

“ในปีที่ 1 ของรัชกาลกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้พระดำรัสของพระองค์ ที่ตรัสผ่านทางเยเรมีย์สำเร็จ”

ก็คือพระองค์ทรงบอกล่วงหน้าไว้แล้ว และพระองค์ทรงทำให้สำเร็จ พระองค์ควบคุมทุกอย่าง พูดคำไหน ก็เป็นอย่างนั้น ใครจะมาขวางพระองค์ได้

“โดยองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดลพระทัยกษัตริย์ไซรัส”

เห็นไหม? เพราะฉะนั้น  มีใครไม่ชอบท่านตอนนี้ไหม? คิดในใจ แสดงว่าพระเจ้าดลใจให้เขาไม่ชอบหน้าเรา พระเจ้าควบคุมทุกอย่างจริง กษัตริย์ยังควบคุมได้เลย แล้วประสาอะไรกับคนธรรมดาจะควบคุมเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปโกรธเลย

กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียมีความโปรดปรานชาวยิว ปล่อยให้ชาวยิวไปเป็นอิสระ พระเจ้าทรงดลใจ พระเจ้าสามารถทำอะไรกับเราก็ได้ ตอนนี้ ท่านก็รู้วิธีแก้ไขปัญหาแล้วว่าต้องทำอย่างไร? ก็เข้าไปหาพระเจ้าผู้ทรงควบคุม บังคับ บัญชาการอยู่เบื้องหลังทั้งหมด ท่านอยากจะได้อะไร?  ที่คิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วอธิษฐานฝากสิ่งนั้นไว้กับพระองค์ แล้วพระองค์จะทำสิ่งนั้นให้กับท่านดีที่สุด เกินกว่าที่ท่านจะตั้งใจไว้ว่าอยากจะได้อย่างนี้ พระเจ้าอาจจะให้ท่านเยอะ และดีกว่านั้นอีกมากมาย เอเมน

ในปีที่ 1 แห่งรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ตอนที่กษัตริย์ไซรัสออกพระราชกฤษฎีกานี้ อยู่ในระหว่างปี 538 ก่อนคริสตศักราช และตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของคำตอบของดาเนียล จากพระเจ้า ในบทที่ 9 ตอนที่ดาเนียลอธิษฐานกับพระเจ้าอยู่นั้น เป็นตอนที่กำลังอ่านพบในพระคัมภีร์เดิม คำเผยพระวจนะของเยเรมีย์ว่าพระเจ้าจะให้อิสราเอลเป็นเชลยอยู่ในบาบิโลน 70 ปี แล้วนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ 66 ปี อีกไม่กี่ปีก็จะครบ 70 แล้ว ดาเนียลก็เลยเร่งรีบอธิษฐานกับพระเจ้าใหญ่เลย   และพระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานเขา    ผ่านทางทูตสวรรค์กาเบรียล   ดาเนียล 9:24-27

ดาเนียล 9:24-27 “24 เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’ ทรงกำหนดไว้แล้วสำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้ยกเลิกการล่วงละเมิด ลบล้างบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด 25 “จงรับรู้และเข้าใจข้อนี้เถิด คือตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’ และหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ จะมีการสร้างถนนหนทางและคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก 26 หลังจากหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้จะถูกประหาร และจะไม่เหลืออะไร ประชาชนของผู้ครอบครองจะมาทำลายกรุงนั้นและสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้ 27 ผู้นั้น จะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมากเป็นเวลาหนึ่งของ ‘เจ็ด’ แต่กลางของ ‘เจ็ด’ นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของพระวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา ตามที่กำหนดไว้”

 

ข้อที่ 24 “70 ของ 7 ทรงกำหนดไว้แล้วสำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้ยกเลิกการล่วงละเมิด ลบล้างบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุด”

ดาเนียลอธิษฐานกับพระเจ้าว่าจะครบกำหนด 70 ปีแล้ว ตามสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้า  ขอทรงเมตตาด้วยเถิด ให้อิสราเอลได้กลับไปเยรูซาเล็ม ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ด้วยเถิด  แต่พระเจ้าตอบว่าแผนการของพระองค์ ตามเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดไว้นั้น คือแผนการสำหรับมวลมนุษยชาติ ที่พระองค์ทรงกระทำ ดีกว่าที่ดาเนียลขอ ก็คือพระองค์กำลังทำการลบล้างความบาป เอาความชั่วร้ายออกไปจากมวลมนุษย์ ออกไปจาก DNA ของมนุษย์ DNA ทางวิญญาณนะ ให้มันจบสิ้นไปสักทีหนึ่ง เอาความบาป คำสาปแช่งออกไปจากมนุษย์ มนุษย์ไม่ต้องรับโทษของความบาป อีกต่อไป และจะได้กลับมาเป็นผู้ชอบธรรมถาวรนิรันดร์ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกคร่าวๆ กับดาเนียลว่าพระองค์เตรียมอย่างนั้นไว้ ถ้อยคำตรงนี้ เป็นแผนการของพระเจ้า เราจะแบ่งเป็น 3 ช่วง

ช่วงที่ 1 คือ 7 ของ 7

ช่วงที่ 2 คือ 62 ของ 7

ช่วงที่ 3 คือ 1 ของ 7

ช่วงที่ 1 คือช่วง 7 ของ 7 เริ่มต้นตั้งแต่ที่กษัตริย์ไซรัสได้ออกพระราชกฤษฎีกา ให้อิสราเอลในขณะนั้น ยังเป็นเชลยอยู่ที่บาบิโลน สามารถกลับไปฟื้นฟู ประเทศของตัวเองได้ คือที่เยรูซาเล็ม ก่อนหน้านั้น ไปไม่ได้ ออกจากเมืองก็ไม่ได้ ช่วงนั้นอยู่ในราวปี 538 ก่อนคริสตศักราช ตามคำเผยพระวจนะ ที่เราได้อ่านไปตอนต้น และหลังจากที่ออกกฤษฎีกา ใน 538 ก่อนคริสตศักราชแล้ว ประมาณ 2 ปีต่อมา คือราว 536 ก่อนคริสตศักราช ชาวยิวก็ได้กลับกรุงเยรูซาเล็ม บูรณะบ้านเมือง และสร้างวิหารขึ้นมาใหม่ ช่วงแรกของ 7 ของ 7 นี้ ก็จะไปจบที่ … จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมี 7 ของ 7

และผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ให้เป็นผู้ครอบครองในข้อนี้ หมายถึงเอสรา เป็นหัวหน้าผู้ครอบครองอิสราเอลในสมัยนั้น เป็นปุโรหิต ไม่ใช่เป็นกษัตริย์ ซึ่งในเอสรา บทที่ 7 มีบันทึกเอาไว้ ตามประวัติศาสตร์

เอสรา 7:6, 10 “6 เอสราผู้นี้ เดินทางมาจากบาบิโลน เอสราเป็นครูผู้เชี่ยวชาญในบทบัญญัติของโมเสส ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลประทาน กษัตริย์ประทานทุกอย่างตามที่เขาทูลขอ เพราะพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเขา อยู่เหนือเขา 10 เพราะเอสราได้อุทิศตนในการศึกษาและปฏิบัติตามบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเพื่อสอนกฎหมาย และบทบัญญัตินั้น ในอิสราเอล”

 

เอสรา เป็นเชื้อสายของอาโรน และเป็นปุโรหิต ที่ถูกกวาดต้อนไปอยู่บาบิโลนด้วย  และเป็นผู้ที่ร่วมนำเชลยชาวยิว เดินทางกลับเยรูซาเล็ม ร่วมกันฟื้นฟูบ้านเมือง และก่อสร้างวิหารขึ้นมาใหม่ ฟื้นฟูการนมัสการพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งในเยรูซาเล็ม ซึ่งรกร้างไป 70 ปี เป็นหัวหน้า ก็คือผู้ครองชาวอิสราเอลในสมัยนั้น ตรงตามคำเผยพระวจนะเป๊ะ ซึ่งช่วงเวลาตรงนี้ อยู่ราวปี 460 – 440 ก่อนคริสตกาล ตรงเป๊ะอีกแล้ว บอกมาก่อนล่วงหน้าแล้ว

จากนั้น มาถึงช่วงที่ 2 คือช่วง 62  7   ที่บอกว่าจะมีการสร้างถนนหนทาง และคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก มาดูสิว่าประวัติศาสตร์เกิดอะไรขึ้น  ในขณะนั้น  คือหลังจากที่ชาวยิวกลับมาเยรูซาเล็มแล้ว ในช่วงแรก ก็พากันบูรณะรื้อฟื้นบ้านเมือง สร้างวิหาร สร้างคูคลอง และที่บอกว่าทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก เรามาเรียงดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในประวัติศาสตร์ ในเยรูซาเล็มในขณะนั้น

ตอนที่ยิวเดินทางกลับบ้าน จากบาบิโลน เยรูซาเล็มก็ยังเป็นเมืองขึ้นของเปอร์เซียอยู่ ตอนนี้เปอร์เซียมาครอบครอง มีอำนาจปกครองแทน แล้วเปอร์เซียก็มอบหมายให้เหล่าปุโรหิต ผู้เป็นหัวหน้าดูแลประชากร คือเป็นใหญ่ในยิวขณะนั้น ก็เริ่มต้นที่เอสรา ปุโรหิตเป็นใหญ่ จนกระทั่ง ประมาณ 332 ปีก่อนคริสตกาล กองทัพกรีก นำโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช ก็สามารถพิชิตอาณาจักรเปอร์เซียลงได้ ทำให้ยิวต้องตกมาอยู่ใต้อำนาจของกรีก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็บอกไว้ล่วงหน้า ในหนังสืออื่นๆ อีกมากมาย

พอเปอร์เซียหมดอำนาจไป  กรีกเข้าครอบครองเยรูซาเล็ม ชาวยิวก็ต้องขึ้นตรงกับกรีก กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ในช่วงนั้น  ต้องการแผ่ขยายอำนาจและวัฒนธรรมของกรีกไปทั่วโลก กะว่าจะครองโลกเลย ทำให้พวกยิวที่เป็นชาตินิยมไม่พอใจ และเป็นห่วงอนาคตของลูกหลานเผ่าพันธุ์ยิว จึงได้มีการจัดตั้งกองทัพประชาชนที่มีชื่อว่า “แมคคาบี” เพื่อต่อต้านกรีก โดยเฉพาะ และลอบสังหารข้าราชการกรีกที่ส่งมาบริหารเยรูซาเล็ม เป็นเหตุให้มีการข่มเหงชาวยิวอย่างหนัก ชาวยิวก็สู้ เขาก็ต้องใช้ไม้แข็ง ในการปกครอง เมืองขึ้น พูดง่ายๆ มีทั้งการเผาเมืองเยรูซาเล็ม และปล้นวิหาร เป็นชนวนให้เกิดสงครามระหว่างกรีกกับยิว และในที่สุด ปี 165 ก่อนคริสตกาล ยิวก็สามารถเอาชนะกรีกได้ และสามารถตีเอานครเยรูซาเล็มกลับมา จากกรีกได้สำเร็จ พูดง่ายๆ กรีกเริ่มเสื่อมอำนาจลง เนื่องจากอเล็กซานเดอร์มหาราช สิ้นพระชนม์ตั้งแต่เยาว์วัยและแม่ทัพที่อยู่ด้วยกันตอนนั้น ก็เริ่มแย่งอำนาจกัน แบ่งอาณาจักร

และต่อมา ในปี 143 ก่อนคริสตกาล อาณาจักรยูดา ก็ได้รับการสถาปนาให้เป็นเอกราช ชาวยิวจึงได้กลับมามีอิสรภาพอีกครั้งหนึ่ง ในรอบหลายร้อยปี ที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้น เกิดการแตกแยกในอาณาจักรยิวด้วยกันเอง เป็นช่วงก่อนพระเยซูเกิดประมาณ 100 กว่าปี คราวนี้ ว่างจากช่วงที่คนมาครอบครอง เพราะฉะนั้น ก็ตีกันเอง แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย

ฝ่ายแรก เรียกว่า “พวกธรรมจารย์” คือพวกที่เคร่งครัดศาสนาและบทบัญญัติของโมเสส

ฝ่ายสอง เรียกว่า “ฟาริสี” เป็นชาตินิยม ต่อต้านกรีก

ฝ่ายสาม เรียกว่า “สะดูสี” จะเป็นพวกที่นิยมกรีก

ความขัดแย้งใน 3 กลุ่มนี้ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นสงครามกลางเมืองรบพุ่งกันเอง ระหว่างพวกสะดูสีและพวกฟาริสี และในขณะที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายแตกแยกอยู่นั้น ขณะที่กำลังตีกันไปตีกันมา ซึ่งอยู่ในประมาณช่วงเวลา 63 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรหนึ่งก็เริ่มมีอำนาจขึ้นมาเรื่อยๆ อาณาจักรนั้น คือพระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่เป็นรูปเหมือนสัตว์ประหลาด มีฟันเป็นเหล็ก ก็คือโรมัน เริ่มมีอำนาจมาแทนกรีก โรมันได้เข้ายึดครองอาณาจักรยูดา และเปลี่ยนชื่อให้เป็นยูเดีย จากนั้น ยิวก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน และถูกกดขี่ข่มเหงจากกรีก ต่อเนื่องจนมาถึงโรมัน หนักขึ้นไปอีก

นี่คือความหมายของช่วงที่ 2 ที่เรียกว่า 62  7  หรือ 62 ของ 7 ที่บอกว่าจะมีการสร้างถนนหนทาง และคูเมืองต่างๆ ในเยรูซาเล็ม แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก ฟื้นไม่ไหว ถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก

จากนั้นเข้าสู่ช่วงเวลาที่ 3 คือช่วงสุดท้าย 1 ของ 7 หลังจาก 62 ของ 7  ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ ตะกี้นี้ เราอ่าน คำเผยพระวจนะบอกว่า …

“หลังจาก 62 ของ 7 ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้จะถูกประหาร และจะไม่เหลืออะไร กลางของ 7 นั้น เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชา และของถวายต่างๆ”

ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ ในข้อนี้  ก็คือพระเยซูคริสต์ นี่หลังจาก 62 ของ 7 หลังจากโรมันเข้ามาครอบครองเยรูซาเล็ม ชาวยิวตกเป็นทาสของโรมัน ในนี้พูดถึงผู้ที่ถูกเจิมตั้ง ที่ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้า ก็คือพระเยซูคริสต์

เหตุการณ์ช่วงนี้อยู่ในยุคอาณาจักรโรมัน เริ่มต้นจากจักรพรรดิออกัสตัสซีซาร์ ที่เรารู้จักกันดี เป็นจักรพรรดิ องค์แรกของจักรวรรดิโรมัน พระเยซูคริสต์ทรงประสูติในสมัยจักรพรรดิองค์นี้ ตามที่ลูกาบันทึกไว้ว่า …

“อยู่มาคราวนั้น มีรับสั่งจากมหาจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน นี่เป็นครั้งแรกที่มีการจดทะเบียนสำมะโนครัว”

พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระเยซูเกิดตอนนี้ ท่านจะมองเห็นภาพชัดขึ้น ตอนที่พระเยซูเกิด ทุกคนดีใจ นึกว่าพระเยซูจะมาเป็นหัวหน้า นำทัพสู้รบกับเขาอีก พระเยซูไม่ได้ตั้งใจเอาดาบมาตีกับดาบ พระองค์ตั้งใจมาไถ่เราทางวิญญาณมากกว่า เขาไม่เข้าใจ ท่านพอจะเห็นภาพไหม?

ในนี้บอกว่า “กลางของ 7 เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ”

กลางของ 7 ก็คือช่วงสุดท้ายของเหตุการณ์นี้  เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชา และของถวายต่างๆ หมายถึงการสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ลบล้างเอาความผิดทั้งหมดของมวลมนุษยชาติออกไป มนุษย์ไม่ต้องถวายเครื่องบูชาอีกต่อไปแล้ว เพื่อขออภัยโทษ หรือขอพรจากพระเจ้า ไม่ต้องอีกต่อไปแล้ว ซึ่งเหตุการณ์นี้ อยู่ตรงกลางของ 7 คืออยู่ตรงกลางของช่วงสุดท้าย  เพราะฉะนั้น ก็พอจะอนุมานได้ว่าเริ่มต้นของช่วง 1 ของ 7 ก็คือการประสูติของพระเยซูคริสต์ ในยุคของจักรพรรดิออสกัสตัสซีซาร์นั่นเอง และช่วงตรงกลางของช่วงสุดท้ายนี้ คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตและชำระเรา มนุษย์ทั้งปวงให้พ้นจากความบาปผิด นั่นเอง ตรงเป๊ะ และเป็นไปตามถ้อยคำเมื่อตะกี้ ที่บันทึกไว้ว่า …

“ประชาชนของผู้ครอบครอง จะมาทำลายกรุงนั้น และสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกัน จนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดเอาไว้”

บอกล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างนั้น  ก็คือในประวัติศาสตร์ ที่บอกว่าหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์แล้ว ชาวยิวก็ยังถูกข่มเหงรังแกอย่างหนักตลอดมา จากโรมัน ราวปี ค.ศ. 54 – 68 พระเยซูเสด็จเข้าไปสู่สวรรค์แล้ว หลายปีแล้ว เป็นสมัยของจักรพรรดินีโร หรือเนโร ซึ่งตรงกับสมัยของอัครสาวกตามประวัติศาสตร์ เป๊ะเลย ช่วงนั้น อัครสาวกเปโตร เปาโล กำลังประกาศอยู่

ประวัติศาสตร์ บันทึกไว้ว่าจักรพรรดิเนโร ปกครองบ้านเมืองอย่างบ้าคลั่ง กระหายเลือด จนได้ชื่อว่านีโร จอมโหด และในยุคนี้เอง ที่คริสเตียนถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก เมื่อครั้งที่เปลวเพลิงเผาผลาญกรุงโรม 6 วัน 6 คืน เนโรสั่งให้เวนคืนที่ดิน มาสร้างพระราชวังทองคำ คนเขาก็นินทากันว่าสงสัยเนโรเป็นคนวางเพลิงเอง เป็นทางการเมือง เนโรได้ยินอย่างนั้น ก็เลยหาทางแก้ โดยเอาแพะมารับบาป ก็คือเอาความผิดโยนให้ชาวยิว บอกว่ายิวเป็นคนกบฏ ยิวเป็นคนเผาเมือง เพราะฉะนั้น ต้องจัดการลงโทษยิวอย่างหนัก อิสราเอลก็ได้รับการลงโทษ ข่มเหงรังแกอย่างหนัก จนเกิดการประหารหมู่คริสเตียน ด้วยข้อหาไปเผากรุงโรม ซึ่งเปาโลก็ถูกคุมขังในโรม สมัยนั้น และในที่สุด ก็ถูกประหาร ในช่วงสมัยของจักรพรรดิเนโรตรงนี้แหละ

ในช่วงปี ค.ศ.66 ชาวยิวได้รวมตัวกันก่อกบฏต่อต้านการปกครองของรัฐบาลโรมัน ทนไม่ไหว ที่เนโร ได้มอบหมายให้นายพลเวสปาเชียน แม่ทัพใหญ่รวมกับบุตรชาย ชื่อทิตัส นำทัพไปปราบกบฏชาวยิว ที่เยรูซาเล็ม ที่ยูเดีย ต่อมาเวสปาเชียนได้ครอบครองอำนาจต่อจากเนโร ถูกเรียกตัวกลับไปเป็นจักรพรรดิ ก็มอบอำนาจต่อให้ทิตัสเป็นผู้ดูแลต่อ จนมาถึงปี ค.ศ.70  เวสปาเชียนได้มอบอำนาจให้ทิตัส นำกำลังปิดล้อมกรุงเยรูซาเล็มด้วยกองทัพที่ใหญ่มาก เพราะนานแล้ว ทนไม่ไหวแล้ว โมโหมาก จนชาวยิวไม่สามารถเดินเข้าออกกรุงเยรูซาเล็มได้ เพราะถูกปิดล้อมไว้หมดเลย เอาไม้ในป่าแถบๆ นั้นมา ปักล้อมไว้ ไม่ให้ใครออกเลย ใครออกมาหาข้าวหาปลา หาเสบียง จับได้ ก็ตรึงไม้กางเขนเลย ชาวยิวล้มตายมหาศาลก่อนที่จะถูกตี ล้อมและฆ่าเผ่าพันธุ์ในที่สุด ในปี ค.ศ.70 ซึ่งพระเยซูบอกนิมิตไว้ล่วงหน้าแล้วว่ามันจะเป็นอย่างนั้น แม้กระทั่งหินก้อนหนึ่ง ที่สร้างวิหาร ก็จะไม่เหลือ ถูกทำลายหมดเลย เพราะว่าเขาจะเอาทอง เผาทองละลาย พอทองละลายลงมา อยู่ในซอกหินต่างๆ พอจะเอาทอง ก็ต้องทุบ ต้องรื้อหิน โค่นหินลงมาหมด เพื่อเอาทองในซอกต่างๆ เหล่านั้น ไม่เหลือสักก้อนหนึ่ง

จนสุดท้าย ทิตัสได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิต่อจากเวสเปเชียน แต่ก็ครองอำนาจอยู่ได้แค่ 2 ปีเท่านั้น ก็เสียชีวิตจากโรคร้าย โรคประหลาด โรคอะไรไม่รู้ ตรงตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้แบบเป๊ะๆ เลย ทุกอย่างบอกไว้ และมันก็เป็นไปตามนั้น

ในบทที่ 9 ข้อที่ 24 จนถึงข้อที่ 27 ที่บอกว่า …

“ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ จะถูกประหาร และไม่มีอะไรเหลือ”

นี่หมายถึงพระเยซู ถูกประหารชีวิต ตายที่ไม้กางเขน นี่คือช่วงสุดท้ายของนิมิตนี้ พระเยซูถูกใช้และถูกประหาร ที่ไม้กางเขน และจะไม่เหลืออะไร? ก็คือไม่มีใครอยู่กับพระองค์ ทุกคนก็หนีหมด รวมทั้งพระเจ้าก็หนีด้วย เพราะพระองค์เป็นบาปแล้ว

“ประชาชนของผู้ครอบครองจะมาทำลายกรุงนั้น” ก็คือกองทัพของผู้ครอบครอง ตามประวัติศาสตร์ คือกองทัพของทิตัส ของโรมัน จะมาทำลายกรุงนั้น  และสถานนมัสการ เกลี้ยงเลย

“วาระสุดท้ายจะมาถึงเหมือนน้ำท่วม” ก็คือฆ่าหมดเลย ลูกเล็กเด็กแดงฆ่าหมด

“สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และวิบัติตามที่กำหนดไว้” มันต้องเป็นไปตามนั้น

“ผู้นั้นจะยืนยันคำมั่นสัญญาเป็นอันมาก เป็นเวลา 1 ของ 7” ผู้นั้น หมายถึงพระเยซู จะทำพันธสัญญา ให้กับมวลมนุษยชาติ เป็นเวลาสมบูรณ์ครบถ้วนที่พระเจ้าวางไว้ 1 ของ 7 นั่นเอง

“แต่กลางของ 7 นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายบูชาต่างๆ” ที่ตะกี้นี้บอกไปแล้ว ไม่ต้องถวายของต่างๆ ให้กับพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว พระเยซูเป็นแพะรับบาปให้กับมวลมนุษยชาติไปหมดแล้ว

ต่อด้วย “แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งสิ่งสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของวิหาร”

นี่หมายถึงทิตัส หมายถึงโรมัน ทำสิ่งที่สะอิดสะเอียนต่อวิหารของพระเจ้า พังวิหารของพระเจ้าเลย

ในนี้บอก “ซึ่งเป็นเหตุทำให้เกิดความเริดร้าง” ก็คือวิหารของพระเจ้า ในเยรูซาเล็มถูกเผาหมด

“จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา” ก็คือทิตัสในที่สุด อีก 2 ปีต่อมาก็เสียชีวิต ด้วยโรคประหลาด

มันเป๊ะๆ ผมจะย้อนให้ท่านอ่านพระคัมภีร์ตรงนี้นิดหนึ่ง ที่บอกว่า …

“เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’ ทรงกำหนดไว้แล้วสำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้ยกเลิกการล่วงละเมิด ลบล้างบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด”

นี่หมายถึงรวมทั้งหมดเลยว่าพระเจ้าตอบมนุษย์ผ่านดาเนียลว่าพระเจ้ากำลังจะทำอย่างนี้ คือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ไม้กางเขนนั่นเอง ตอนที่พูดกับดาเนียล พระเจ้าตอบมานี้ ประมาณ 500 กว่าปี ก่อนที่พระเยซูจะเกิด พอพระเยซูคริสต์เกิด ทุกอย่างที่บนไม้กางเขน คือที่พูดนี้ทั้งหมดเลยว่ายกเลิกการล่วงละเมิด การลบล้างบาป คือดาเนียลเป็นตัวแทนของมนุษย์ เป็นตัวแทนของอิสราเอล ดาเนียลอธิษฐานกับพระเจ้า

“เราสัญญากับพระองค์ว่าไม่ทำ เราก็ทำอีกแล้ว เราชั่ว เลวจริงๆ มันแย่จริงๆ”

“เรา” สำหรับดาเนียลแล้ว หมายถึงตัวเขาและชาวอิสราเอล แต่ในพระคัมภีร์จริงๆ หมายถึงมนุษย์ทั้งปวง เป็นอย่างนี้ เพราะมนุษย์เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง เพราะมนุษย์มีเชื้อบาปอยู่ในตัว เขาเป็นคนบาป เขาก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น ดาเนียลจึงอธิษฐาน (พอผมพูดถึงดาเนียล ขอให้ท่านคิดถึงมนุษย์ทุกคน)

“ขออภัยให้ลูกด้วยเถิด อภัยให้ชาวอิสราเอลอีกทีหนึ่งเถิด ขอทรงช่วย ด้วยเถิด”

เปรียบเทียบกับบุตรน้อยหลงหาย ขอแค่เศษอาหาร ไม่กลับไปแล้ว ไม่อยากอยู่ข้างนอกแล้ว ขอกลับไปบ้าน อภัยด้วยเถิด ขอไปเป็นทาส แต่พระเจ้าตอบคำอธิษฐานให้ดาเนียล ให้กับมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ดีกว่าที่เราคิดตั้งมากมาย ดีกว่าตั้งเยอะ

ดาเนียลขอว่า “โปรดอภัยให้ด้วย”

พระเจ้าตอบว่า “ฉันอภัยให้เธอ 70×7”

70×7 แปลว่าสมบูรณ์ครบถ้วน คือพระเจ้าบอกว่า …

“ฉันให้เธอ 70×7 เลย คือไม่ให้อภัยอีกแล้ว เธอไม่ต้องมาขออภัย ฉันอีกแล้ว ต่อไปนี้ไม่ต้องขอแล้ว เพราะว่าความชั่วร้ายได้ถูกเอาออกไปหมดแล้ว”

เวลาเข้าไปหาพระเจ้า ไม่ต้องขออภัยให้ฉันอีกแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ กับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เพราะเป็นอิสระแล้ว  พระเยซูเอาความชั่ว ความบาปออกไปแล้ว เอเมน

ท่านจะเห็นภาพแล้วว่าขณะที่มนุษย์ โดยดาเนียลเป็นตัวแทน เขาวิงวอนขอเศษอาหาร พระเจ้าให้เป็นเจ้านายเลย ให้กลับมาเป็นลูก  และเป็นทายาท  เป็นผู้ครอบครองบ้านทั้งหมดเลย ทั้งสวรรค์ทั้งหมดเป็นของเขา มันต่างกันขนาดไหน?  นี่หมายถึงอย่างนั้น

พระเจ้าบอกว่า “เราจะเอาบาปของเจ้าออกไปเลย”

สมมติบาปเป็นก้อนอะไรบางอย่างที่เรากอดไว้ ตอนนี้พระเยซูเอาไปแล้ว มันไม่ได้อยู่ที่เราแล้ว ไปขออภัยบาปอะไรอีก ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด ท่านทำผิดบาป  จากวิญญาณของท่านที่เป็นคนบาป แล้วมันก็ออกมาทางเนื้อหนัง ช่วยตัวเองไม่ได้ เรียกว่าอ่อนแอ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น จึงต้องพึ่งพระเจ้า พอพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาเอาบาปเราออกไปแล้ว วิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว เราเป็นของพระเจ้า บริสุทธิ์ ไม่มีบาปอีกเลย แม้แต่นิดเดียว ท่านไม่สามารถทำบาปได้อีกเลย แม้แต่นิดเดียว เอเมน (ภายในท่านไม่สามารถทำบาปได้) แต่ร่างกายข้างนอก มันมีเชื้อบาปอยู่ มันก็เผลอไปทำในสิ่งที่เคยทำบนโลกใบนี้ เผลอไปทำวิสัยของมัน วิสัยบาป

เพราะฉะนั้น โรม บทที่ 7 จึงบอก “ข้าพเจ้าน่าสมเพชอย่างไร?” มี 2 ร่างอยู่ในตัว แต่ขอบคุณพระเจ้า ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราเป็นอิสระแล้ว วิญญาณเราเป็นของพระเจ้า วิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว มันหมายถึงตรงนี้ พระองค์เอาบาปออกไปแล้ว ก็คือคำเผยพระวจนะที่เราอ่านกันว่ายกเลิกการล่วงละเมิด ลบล้างบาป ลบล้างความชั่ว คือเอาสิ่งเหล่านี้ออกไป และนำความชอบธรรมมั่นคงนิรันดร์มาให้ ทูตสวรรค์กาเบรียลบอกดาเนียลอย่างนั้น

พอตอนนี้ท่านจะเห็นภาพเลยว่าในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนชอบธรรม แปลว่าไม่ผิด ไม่ใช่นักโทษ ไม่มีการลงโทษอีกต่อไป เราเป็นคนถูกต้อง ดีงามแล้ว จบเลย

1 โครินธ์ 5:17 บอกว่า “ในพระเยซูคริสต์เราเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ เป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น”

 

ถามว่าที่ไหน? ที่วิญญาณของเรา เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา หลั่งพระโลหิต ล้างบาปเราแล้ว ตอนนี้เราถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เอเมน

มันหมายถึงตรงนี้มากกว่า คำเผยพระวจนะนี้ มาถึงดาเนียลแล้ว และอิสราเอล และมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ในโรม บันทึกไว้อย่างนี้ว่าเราทั้งหลายได้ตรึงตัวบาปของเรา ไว้กับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนแล้ว ไม่มีบาปในตัวเราอีกแล้ว บัดนี้ ชีวิตของเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในวิญญาณของเรา รอรับร่างกายใหม่ในอนาคต เอเมน มันหมายถึงตรงนี้

ในพระเยซูคริสต์ เราจึงถูกชำระ โดยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระโลหิตพระเยซู บันทึกไว้อย่างนั้น ในพระคัมภีร์ และใน 1 เปโตร2:24 บอกว่า …

“โดยตัวของพระองค์เอง ได้แบกรับเอาความบาปทั้งหลายของเราไว้ที่พระองค์ บนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตมาสู่เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราทั้งหลายได้รับการรักษาให้หายแล้ว”

หายจากโรคบาป ในวิญญาณของเรา และวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า เมื่อสิ้นโลกนี้ไปแล้ว เมื่อหมดภารกิจบนโลกใบนี้แล้ว สิ่งที่จะออกจากร่างของเราไป ก็คือวิญญาณของเรา ร่างกายก็ทิ้งไปสู่ดิน จบ วิญญาณเราเป็นอิสรภาพ ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน รับร่างกายใหม่จากพระเจ้า ซึ่งไม่มีเชื้อบาปอีกต่อไป นั่นคือสิ่งที่เราหวังไว้ พระเจ้าบอกว่ามันจะเป็น ซึ่งมันเป็นแค่ 10% 20% ของที่เหลือเท่านั้นเอง 80 – 90% มันเป็นไปตามคำเผยพระวจนะนี้ทั้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่เหลือทั้งหมด ก็ควรเป็นไปตามนี้ด้วย เช่นเดียวกัน เป๊ะๆ

เพราะฉะนั้น ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าในพระเยซูคริสต์ เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว และเป็นผู้ชอบธรรมตลอดไป ไม่ว่าวันนี้ พรุ่งนี้ ท่านจะทำอะไรผิด ไม่ว่ามะรืนนี้ท่านจะทำอะไรไม่ถูกต้องไม่ได้เกี่ยวกับความชอบธรรมของท่านที่อยู่ในวิญญาณของท่านเลย เข้าใจไหม? ถ้าท่านพึ่งในการกระทำของท่านอยู่ ท่านก็กลับมาเป็นคนบาปเหมือนเดิม อาจารย์เปาโลกำลังพยายามอธิบายอย่างนี้ ให้ผู้คนได้ฟัง เขาไม่เข้าใจ เพราะเขาถือกฎบัญญัติเดิม เขาจะทำด้วยตัวเอง แต่พระเจ้าบอก …

“เธอทำด้วยตัวเองไม่ได้ เธอทำไม่ไหว เธอต้องพึ่งฉัน”

เวลาจะพึ่งฉัน ทำอย่างไร? ก็พึ่งในพระเยซู โดยพึ่งในกฎแห่งวิญญาณ แห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ที่โรม 8:1 บันทึกเอาไว้ว่า …

“ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในกฎของวิญญาณในชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์นี้ เพราะกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ทำให้เขาเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย”

คุณจะอยู่กฎไหน? เลือกเอาข้างหนึ่ง คุณเลือกกฎนี้ คุณก็ทำด้วยตัวเอง ก็ต้องตัดสินด้วยการกระทำของตัวเอง แต่ถ้าคุณอยู่ในกฎของความเชื่อ คุณก็เชื่อพระเยซูลูกเดียว

“ไม่รู้ ฉันเชื่อพระเยซูลูกเดียว ฉันจะทำอะไรในอดีต ฉันไม่รู้ เมื่อวานฉันไปปล้นเขาอยู่เลย วันนี้ ฉันอยู่บนไม้กางเขน บอกฉันเชื่อพระเยซูลูกเดียว”

พระเยซูบอก “พรุ่งนี้เจ้าจะอยู่กับเราในสวรรค์”

“ฉันจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์” หมายถึงตรงนั้น

พระเยซูบอก “เราเอาบาปของเจ้าออกไปแล้ว”

พระเยซู “เอาบาปของฉันออกไปแล้ว”

ความเชื่อหมายถึงตรงนี้

และต่อจากคำว่า “และนำความชอบธรรมมั่นคงนิรันดร์มาให้”

ในข้อ 24 สุดท้าย บอกว่า “เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมผู้บริสุทธิ์ที่สุด”

ตรงนี้ เจ็บสุดเลย  นี่คือไฮไลท์ของนิมิตนี้  ของพรนี้ ของข่าวดีนี้ พระเจ้าให้กาเบรียลมาบอกดาเนียล ซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ ได้รับความชอบธรรม โดยพระเยซูแล้วนะ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ ก็คือเพื่อทำให้คำพยากรณ์ และนิมิตที่พูดถึงพระเยซูคริสต์ว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน มาหลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้มนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาปนั้น  พูดมาตั้งแต่เริ่มต้นหน้าแรกปฐมกาล จนถึงหน้าสุดท้ายวิวรณ์นั้น มันสำเร็จ ประทับตรา หมายถึงทำให้สำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์นี่แหละ เอเมน เมื่อกลางของ 7 สุดท้ายแห่งคำเผยพระวจนะ ในบทที่ 9 ของดาเนียลนี้  ที่ตรงกลาง ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์จะมาลบล้างความบาป เลิกล้มความชั่วร้าย นำเอาความชอบธรรมนิรันดร์มาให้ มันหมายถึงตรงนี้ และมันก็สำเร็จ 500 ปีต่อมา พระเยซูตายที่ไม้กางเขนจริงๆ  และมันก็เป็นไปตามนี้จริงๆ และมันก็เป็นอย่างนั้น มาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว

เห็นไหม? มีเหตุ มีผล มีรองรับทุกอย่าง เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ พูดมาหลายพันปีแล้วใช่ไหมว่าพระเยซูจะมาเหยียบหัวมาร เหยียบแล้วที่ไม้กางเขน ปลดมาร และพวกศักดิเทพ อิทธิเทพ ประจานความพ่ายแพ้ของมัน ที่ไม้กางเขน  ในหนังสือโคโลสีบอกไว้อย่างนั้น

“เพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด” ไม่ใช่สถานที่ จะเล็งถึงเพื่อเจิมผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุด เมื่อพระเยซูเอาความชอบธรรมมา ก็คือคำพยากรณ์ต่างๆ พระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงประทับตรานิมิตว่ามันสำเร็จแล้ว ตรงไม้กางเขน พระองค์ทรงบอกว่า …

“เสร็จแล้ว … Testelesti … จ่ายหมดแล้ว … สำเร็จแล้ว”

แล้วก็สิ้นพระชนม์จบ แล้วพระองค์ก็เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ประทับตรา เพื่อเจิมผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุด พอพระองค์เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงยกพระเยซูคริสต์ขึ้นสูงสุด ประทานสิทธิอำนาจทั้งหมด ให้กับพระองค์ และทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้เท้าของพระองค์ พระองค์ทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ตัวนี้แหละ คือผู้บริสุทธิ์ที่สุด ที่ถูกเจิมตั้งไว้ สุดท้าย

เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูเท่ากับเป็นหัวหน้าของมนุษย์  เป็นผู้ทำทุกอย่างแทนเราหมดเลย พระองค์ตายที่ไม้กางเขน ก็เท่ากับเราตายด้วย พระองค์ชนะ เท่ากับเราชนะด้วย  พระองค์ทรงถูกยกขึ้นมา เราก็ถูกยกด้วย  พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้าในสวรรค์สถาน เราก็นั่งด้วย ทำไมเราต้องคลานเข้าไปล่ะ นี่ไม่ได้หมายถึงเราไปเย่อหยิ่งในพระเจ้านะ ไม่ใช่ ผมกำลังพยายามพูดให้ท่านเห็นถึงสิทธิอำนาจว่ามันเป็นอย่างนี้  เรารักพระเจ้า เรารักพระเยซู เราเคารพพระเยซู คนละเรื่องกับเรื่องสิทธิอำนาจ ที่เราจะต้องใช้ต่อไป ต้องรู้ต่อไป  เพราะนี่เป็นข่าวดี เราจะต้องบอกข่าวดีกับลูกหลานต่อไป ถ้าเราทำข่าวดีให้มันน้อยลง ให้มันเบาลงเรื่อยๆ ไปถึงเหลนเรา ข่าวดี มันเลยเป็นข่าวชักไม่ค่อยดีแล้ว เพราะเราต้องทำเองแล้ว ท่านพอเข้าใจไหม? ข่าวเต็ม 100 ท่านเอาไปทำให้ค่อยๆ ลดลงๆ จากคนรุ่นหนึ่ง ไปถึงคนรุ่น 10 อาจจะเหลือข่าวดีแค่ 1% เองว่ามาเชื่อพระเยซู แล้วตาย เผื่อได้ไปสวรรค์ อย่างนี้ไม่ใช่ข่าวดี ข่าวดีของพระเยซูต้อง 100% เต็ม

พระคัมภีร์จึงบอกว่า By Grace through faith แปลว่าโดยพระคุณ ท่านถึงรอด By Grace แปลว่าโดยพระคุณ พระคุณแปลว่าให้ฟรีๆ แต่แค่นั้น ไม่รอด ต้อง Through faith ก็คือผ่านทางความเชื่อศรัทธาจึงจะได้ มันต้อง 2 อันคู่กัน นี่คือข่าวดี

โคโลสี 1:14 บันทึกไว้อย่างนี้ “พระเยซูทรงยกเลิกหนังสือสัญญาที่ผูกมัดเราด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งขัดขวางและต่อต้านเรา พระองค์ทรงเอาหนังสือนี้ออกไปตรึงที่กางเขน”

ถ้าพระคัมภีร์อีกเวอร์ชั่นหนึ่ง บอกว่า “พระองค์ทรงฉีกพันธสัญญานี้ ที่ผูกมัดเราไว้ ด้วยบาปเวรกรรม ความชั่วร้ายต่างๆ ที่มาตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา แล้วก็ตรึงไว้ที่ไม้กางเขน เพื่อเราจะได้เป็นอิสระ จากมันเสียทีหนึ่ง จากบาปเวรกรรมเสียทีหนึ่ง”

หมายถึงตรงนั้น  เอเมน และตอนนี้มันอยู่ที่นั่นมา 2,000 ปีแล้ว นี่คือข่าวดีที่ไปถึงเราทุกคน มนุษยชาติบนโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น ไม้กางเขน คือสัญลักษณ์ เห็นไม้กางเขน ไม่ใช่เห็นความเศร้าโศกเสียใจ แต่เห็นพระคุณของพระเจ้า และเห็นกรมธรรม์ที่บังคับให้เราต้องใช้เวรกรรม ที่เกิดมา เมื่อไรจะใช้เวรกรรมหมดสักที บาปเวรกรรมนั้น  มันถูกตรึงที่ไม้กางเขน ไม่ได้อยู่ในตัวเราอีกต่อไปแล้ว อย่าให้ใครมาหลอกเราอีกต่อไปว่ามันอยู่ที่ตัวเรา เราต้องทำ ล้างมันออกไป  พระเยซูล้างให้หมดแล้ว พระเยซูลบออกไปหมดแล้ว พระเยซูยกออกไปหมดแล้ว ด้วยโลหิตของพระองค์ และชีวิตของพระองค์ ชัดเจนที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 17 “ประวัติศาสตร์ตามนิมิตของดาเนียล” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  พฤษภาคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 17 “ประวัติศาสตร์ตามนิมิตของดาเนียล”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ทบทวนกันสักนิดในดาเนียล บทที่ 9 เริ่มจากดาเนียลไปอ่านเจอพระคัมภีร์เดิมเยเรมีย์ว่ากรุงเยรูซาเล็มจะถูกทิ้งร้าง และชาวอิสราเอลต้องไปเป็นทาสที่เมืองบาบิโลน เป็นเวลา 70 ปี แล้วตัวเองก็อยู่บาบิโลนมาตั้ง 66 ปีแล้ว เหลือเพียงแค่ 4 ปี ก็จะได้เป็นอิสระแล้ว

ตอนบาบิโลนยึดเยรูซาเล็ม เป็นช่วงเวลาราว 605 ปีก่อน ค.ศ. คือก่อนพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตอนที่ดาเนียลกำลังอธิษฐานอยู่ ในหนังสือดาเนียล บทที่ 9 ที่เรากำลังบรรยายอยู่นี้ ก็อยู่ในช่วงประมาณ 539 ปีก่อนคริสตราช ก่อนพระเยซูคริสต์เกิด ตามคำเผยพระวจนะก็เหลือแค่ 4 ปี ดาเนียลก็อดอาหาร อธิษฐาน วิงวอน ขอการอภัยจากพระเจ้า ในใจดาเนียลตอนนั้น คงตื่นเต้น เพราะก่อนหน้านี้ คำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกว่าเยรูซาเล็มต้องถูกยึด กลายเป็นเมืองร้าง เป็นเมืองขึ้น  ชาวอิสราเอลต้องถูกต้อนไปเป็นเชลย สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ เพราะตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในเหตุการณ์นั้น  คือถูกต้อนไปเป็นเชลยจริงๆ

เริ่มต้นดาเนียล 9:21-27 “21 ขณะที่ข้าพเจ้ายังอธิษฐานอยู่นั้น กาเบรียล ผู้ซึ่งข้าพเจ้าเห็นในนิมิตครั้งก่อน เหาะมาหาข้าพเจ้าอย่างรวดเร็ว ในเวลาถวายเครื่องบูชายามเย็น 22 เขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ดาเนียลเอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ 23 ทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบซึ่งเราได้นำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง ฉะนั้น จงใคร่ครวญเนื้อความและเข้าใจนิมิตนั้น  24 “เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’  ทรงกำหนดไว้แล้วสำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด 25 “จงรับรู้และเข้าใจข้อนี้เถิด คือตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’ และหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ จะมีการสร้างถนนหนทางและคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก 26 หลังจากหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้จะถูกประหารและจะไม่เหลืออะไร  ประชาชนของผู้ครอบครอง จะมาทำลายกรุงนั้นและสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้   27 ผู้นั้น จะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมากเป็นเวลาหนึ่งของ ‘เจ็ด’ แต่กลางของ ‘เจ็ด’ นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของพระวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา ตามที่กำหนดไว้”

 

เขาบอกทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าประทานคำตอบ ซึ่งเรานำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง “ท่าน” ก็คือดาเนียล เป็นตัวแทนของอิสราเอล … อิสราเอลเป็นที่รักยิ่งของพระเจ้า อิสราเอลเป็นตัวแทนของมนุษย์บนโลกใบนี้ ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักยิ่ง ถูกหรือไม่ถูก? คำตอบนี้มาถึงเราด้วย เอเมน

ครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันตรงประเด็น ในข้อที่ 23 ที่บอกว่า “ดาเนียลเอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ ทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าประทานคำตอบ ซึ่งเรานำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง ฉะนั้น จงใคร่ครวญและเข้าใจในนิมิตนั้นเถิด”

พระเจ้ากำลังบอกมนุษย์ทั้งหมดว่าจงใคร่ครวญและฟังนะ นี่เป็นจริง ฉันทำเพื่อเธอ ทูตสวรรค์บอกว่าทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน  พระเจ้าก็ประทานคำตอบให้แล้ว อธิษฐานยังไม่ทันเสร็จเลย แค่เริ่ม

“ข้าแต่ …”

ตอบแล้ว จบแล้ว  เวลาเราอธิษฐาน

“ข้าแต่พระเจ้า …”

แค่เริ่มต้นอธิษฐาน พระเจ้าตอบแล้ว พระเจ้ารู้ล่วงหน้าหมดแล้ว คิดอะไรอยู่ในใจ จะอธิษฐานขออะไร? พระองค์ก็ได้เตรียมคำตอบไว้ให้ดีที่สุดกว่าที่ที่มนุษย์จะคิดได้ด้วยซ้ำ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น และแผนการของพระเจ้า จัดเตรียมไว้ให้นั้น  จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ดาเนียลอาจจะแค่ทูลขอให้ประเทศของเขา ชนชาติของเขา คืออิสราเอล ได้มีโอกาสกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนจริงๆ ตามคำเผยพระวจนะ และขอพระเจ้าเมตตาช่วยเหลือชาวอิสราเอล และลูกหลานของเขา ประชาชนของเขา  อย่าดื้อกับพระเจ้าอีกเลย  อย่าทำบาปอีกเลย อย่าเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้าอีกนะ เขาคงคิดว่าอย่างนั้น แต่พระเจ้าบอกว่าสิ่งที่พระองค์เตรียมไว้ให้นั้น ดีกว่านี้  และเป็นแผนการของพระองค์ที่ดีที่สุด

ภาษาฮีบรู ตรงนี้แปลว่าทูตสวรรค์มาบอกว่าพระเจ้าได้เตรียมคำตอบนั้น จงฟังให้ดีๆ คำตอบนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเจ้า พูดคำนี้เลย

จำได้ไหมครับว่าตัวอย่างในครั้งที่แล้ว ที่บอกว่าคำตอบของพระเจ้า ก็เหมือนคำตอบของพ่อ ในเรื่องบุตรน้อยหลงหาย ที่ลูกชายกลับมาขอเป็นลูกจ้าง เพื่อแลกกับเศษอาหาร แต่พ่อก็บอกว่าอย่ามัวแต่ขอเศษอาหารเลย มาเป็นลูกเราดีกว่า จัดงานเลี้ยงไว้ให้เลย  แล้วยังแถมเป็นเจ้าของมรดกต่างๆ เป็นทายาทเลย ไม่ต่างกัน เรามนุษย์คิดแค่จะไปเป็นทาส ถ้าพระเจ้าจะให้เป็นบุตรเลย ไม่เป็นบุตรธรรมดา เป็นทายาท เป็นทายาทแปลว่ามีมรดกให้ด้วย เป็นเจ้าของคฤหาสน์เลย  ยกตัวอย่างให้เห็นว่าพระเจ้าเตรียมสิ่งดีให้กับมนุษย์เสมอ

และประเด็นที่เราจะมาดูกัน ในวันนี้ ก็คือคำตอบของกาเบรียล ซึ่งเป็นแผนการของพระเจ้า ซี่งจัดเตรียมไว้ให้มนุษย์ทุกคน

นี่ก็คือส่วนหนึ่งของข่าวดี ที่เราจะต้องได้ยินได้ฟัง จะได้ไปบอกคนอื่น ที่เขายังไม่รู้ ยังไม่ได้มาเชื่อพระเยซู ยังไม่ได้มาเป็นคริสเตียน เขาจะได้ยินข่าวดีนี้ เพราะข่าวดีนี้ พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้ มนุษย์สำคัญที่สุดบนโลกใบนี้ ในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งสิ้น เพราะว่ามนุษย์เป็นลูกของพระองค์ เป็นพระฉายของพระองค์นั่นเอง ก่อนที่จะมาดูรายละเอียดว่าคำตอบที่กาเบรียลนำมาบอกให้ฟังนั้น  หมายถึงอะไร? ผมจะอ่านประวัติศาสตร์ก่อน

ประวัติศาสตร์ คือเรื่องจริงที่มันเกิดขึ้นแล้ว มีร่องรอยหลักฐานที่จดบันทึกไว้ทั้งหมด เราเรียกว่าประวัติศาสตร์ ผมจะอ่านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องกรุงเยรูซาเล็ม

 

ประวัติศาสตร์เมืองเยรูซาเล็ม

ไม่ได้เกี่ยวกับเฉพาะชาวยิว ที่เรารู้ว่าตอนนี้อยู่เยรูซาเล็ม ไม่ได้หมายถึงเกี่ยวพันกับชาวคริสต์ แต่เกี่ยวพันกับมนุษย์ทั้งโลก รวมทั้งเราด้วย

เยรูซาเล็ม  เป็นเมืองหลวงทางศาสนาของประชากรกว่าครึ่งหนึ่ง ของมวลมนุษยชาติ ….สำหรับชาวยิว  เยรูซาเล็ม เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังในอนาคต  ..  สำหรับชาวคริสต์ เยรูซาเล็ม เป็นเมืองที่ เป็นพยานถึงการสิ้นพระชนม์  และการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์

เยรูซาเล็ม ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก อีกทั้ง ยังเป็นเมืองแห่งความทารุณโหดร้ายแห่งสงคราม   ที่ประตูเมืองแห่งนี้  มีการสู้รบ  มากกว่าเมืองใดใดในโลก … เมืองเยรูซาเล็ม  เคยถูกล้อมมากกว่า 50 ครั้ง  เคยถูกยึด 36 ครั้ง   และเคยถูกทำลายมาแล้ว กว่า 10 ครั้ง  … ไม่มีการบันทึกไว้ชัดเจนว่า  กรุงเยรูซาเลมเริ่มมีขึ้นมาเมื่อใด   ครั้งแรกที่พระคัมภีร์กล่าวถึงเมืองนี้  ก็คือในสมัยอับราฮัม โดยมีชื่อว่า “ซาเล็ม”  ซึ่งแปลว่า  “สันติสุข”

ในศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาล กษัตริย์เดวิด ได้ยึดเมืองนี้  และตั้งเป็นเมืองหลวง  โดยนำหีบพันธสัญญามาตั้งไว้ … พระเจ้านำดาวิด บอกให้ดาวิดทำอย่างนี้

ปี 965-922 ก่อนคริสตกาล กษัตริย์ซาโลมอน โอรสของกษัตริย์เดวิดได้ปรับปรุงเมืองนี้ และสร้างพระวิหาร แห่งพระเจ้าสูงสุด

วิหารเริ่มสร้างขึ้น  ตอนสมัยดาวิด ยังใช้พลับพลา สร้างด้วยมือ แบบโมเสส พอลูก คือซาโลมอน สร้างเป็นวิหาร เป็นอิฐ เคลื่อนที่ไม่ได้ เรียกว่าวิหารของซาโลมอน ในกรุงเยรูซาเล็ม

ประมาณ 600 ปี ก่อนคริสตกาล อาณาจักรบาบิโลน ได้ยึดกรุงเยรูซาเลม ทำลายพระวิหารและกวาดต้อนชาวยิวไปเป็นทาสที่เมืองบาบิโลน ทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นเมืองร้าง

ประมาณ 540 ปี ก่อนคริสตกาล ชาวยิวได้กลับสู่กรุงเยรูซาเลม และสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ … ซึ่งเรากำลังจะเรียนต่อไป

ประมาณ 332 ปี ก่อนคริสตกาล กษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งกรีก  ได้ยึดกรุงเยรูซาเล็ม

ประมาณ 168  ปี ก่อนคริสตกาล  กษัตริย์อันติโอกัส ได้ทำลายกำแพงเมืองเยรูซาเลม

ประมาณ 63  ปี ก่อนคริสตกาล  อาณาจักรโรม ได้ยึดเมืองเยรูซาเล็ม

ประมาณ 37  ปี ก่อนคริสตกาล  เฮโรด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ของชาวยิว  พระองค์ได้ทำการปรับปรุง กรุงเยรูซาเล็มให้กลับมาสวยงาม และได้สร้างกำแพงและพระวิหาร … ใช้ชื่อว่าวิหารของเฮโรด ขึ้นใหม่ อย่างสวยงามกว่า (ช่วงที่พระเยซูมาเป็นมนุษย์ ก็คือในสมัยกษัตริย์เฮโรดนี้)

ท่านเข้าใจแล้วนะ พระเยซูเกิดช่วงนี้ ช่วงเฮโรดเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ที่ถูกแต่งตั้ง โดยโรม

พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าเฮโรด มีพระราชโองการ ให้ประหารเด็กทุกคนในหมู่บ้านเบธเลเฮม เพราะทรงหวาดกลัวว่าเด็กที่เกิดใหม่จะเติบโตขึ้นมาเป็น “กษัตริย์แห่งชาวยิว” เพราะเข้าใจผิดว่าคำเผยพระวจนะบอกล่วงหน้า ในช่วงนี้ จะมีบุคคลหนึ่งมาเกิด เป็นกษัตริย์ของชาวยิว แต่ความหมายตรงนี้ คือกษัตริย์ทางวิญญาณ หมายถึงพระเยซู แต่เฮโรดตกใจ กลัวว่าจะเป็นกษัตริย์ ธรรมดา ไม่เข้าใจหรอก ก็กลัวไว้ก่อน คิดว่าจะมาเป็นกษัตริย์แทนเขา ก็เลยตัดสินใจฆ่า ตั้งแต่อายุ 2 ขวบลงมา

ปี ค.ศ.70  กรุงเยรูซาเลมถูกทำลายโดยกองทัพ โรมัน  นำโดย ทีตัส

หลังปี ค.ศ.70 ชาวยิวได้รวมตัวก่อกบฎต่อต้านการปกครองของรัฐบาลโรมัน ส่งผลให้จักรพรรดิ์เวสปาเซียน มีพระบัญชาให้ทีตัส แม่ทัพใหญ่ แห่งกองทัพโรมัน ปิดล้อมกรุงเยรูซาเล็มจนชาวยิวไม่สามารถเดินทางเข้าออกจากกรุงเยรูซาเล็มได้ ประมาณกันว่ามีชาวยิวเสียชีวิต ในสงครามครั้งนี้ กว่าล้านคน

ปี ค.ศ.132-135 จักรพรรดิเอเดรียน ได้สร้างกรุงเยรูซาเลมขึ้นใหม่ และสร้างสถานนมัสการตามแบบอย่างของโรมัน ตั้งชื่อว่า “เอลีอา กาปีโตลียา” ในช่วงนี้ พวกยิวถูกห้ามเข้าเมืองเด็ดขาด หากจับได้จะมีโทษประหารชีวิต

ปี ค.ศ.330  จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ผู้กลับใจมาเชื่อพระเยซู เป็นจักรพรรดิ์โรมัน ได้เปลี่ยนกรุงเยรูซาเลมให้เป็นเมืองคริสต์

ปี ค.ศ.614 ชาวเปอร์เซียยึดกรุงเยรูซาเลม และทำลายวัดวาอารามต่างๆ

ปี ค.ศ.636  เยรูซาเลมตกอยู่ภายในอำนาจของอาหรับ ซึ่งได้รักษาอำนาจนี้เป็นเวลา 500 ปี

ปี ค.ศ.1099 กรุงเยรูซาเลมถูกยึดจากสงครามครูเสด และกลายเป็นที่ตั้งของอาณาจักรละติน

ปี ค.ศ.1517 เมืองตกอยู่ในเงื้อมมือของชาวเติร์ก และอยู่ในการปกครองตลอด 400 ปี

ปี ค.ศ.1917 พันธมิตรได้ยึดกรุงเยรูซาเลม และให้อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 1 – 2

พอจบสงครามโลก ครั้งที่ 2 เริ่มเข้าที่แล้ว หลายคนก็เป็นอยู่ในตอนนี้ว่าผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อพันธมิตรชนะ ก็ได้ยื่นข้อเสนอให้ศาลในขณะนั้น  ที่พิพากษาเรื่องเกี่ยวกับกรณีสงคราม กรณีต้องจ่ายค่าใช้หนี้ คนไหนแพ้

สรุปแล้ว ตอนนั้น ได้มีทำพันธสัญญาเกิดขึ้น และได้อนุญาตให้ชาวอิสราเอลทั้งหมด ที่ไม่ได้มีประเทศอยู่ ตั้งหลายปีมาแล้ว สามารถกลับมายังประเทศของตนเองได้ ที่ประเทศอิสราเอลในปัจจุบันนี้ เข้ามารวมตั้งประเทศอิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง จากไม่มีแล้ว หายไปแล้ว  เป็นศูนย์ไปแล้ว เหมือนประเทศเกิดใหม่อีกที มีแต่ประชากร แต่ไม่มีประเทศ ประชากรไปอยู่ไหน? อยู่ในประเทศโน้นประเทศนี้ อยู่ในอเมริกา อยู่ในยุโรป อยู่ในประเทศไทยก็มี ยิวทั้งหลายทั่วโลก ก็แห่กันกลับไปตั้งรกราก กลับไปอยู่ที่เดิม ทุกวันนี้ ตอนนั้น ปี ค.ศ.1948

ปี ค.ศ.1948 เกิดสงครามระหว่างยิวและอาหรับ … ไปตั้งแล้ว อาหรับ ประเทศที่อยู่ข้างๆ อยู่ดีๆ มาได้อย่างไร? ก็เห็นว่ามีพวกมากกว่า ก็เลยพยายามที่จะเข้าไป ขับไล่ชาวยิว ชาวอิสราเอล

เกิดสงครามระหว่างยิวและอาหรับ กรุงเยรูซาเลมถูกแบ่งดินแดนเป็นเยรูซาเลมตะวันตก ปกครองโดยอิสราเอล และเยรูซาเลมตะวันออก ปกครองโดยจอร์แดน

ปี ค.ศ. 1967 มีสงคราม 6 วัน อิสราเอลได้ยึดเยรูซาเลมตะวันออก ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจอร์แดน  และประกาศให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล

นี่คือประวัติศาสตร์ ให้ท่านเห็นภาพการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น อย่างที่ผมบอกท่าน เมื่อพูดถึงเยรูซาเล็มเมื่อไร? ท่านจงนึกถึงภาพ เหมือนเยรูซาเล็มเป็นตัวดำเนินเรื่องระหว่างพระเจ้า ติดต่อกับมนุษย์อย่างไร? จะพาให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป คำสาปแช่ง เยรูซาเล็ม เหมือนสถานที่การดำเนินเรื่อง สำหรับบุคคลที่แสดง ก็คือชาวยิว อิสราเอล

ประวัติศาสตร์ที่ผมพูดมานี้ คือแผนการของพระเจ้า ที่เปิดเผยในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และหนึ่งในนั้น เรากำลังเรียนในหนังสือดาเนียล บทที่ 9 นี้

พระคัมภีร์ทั้งเล่ม คือการบอกล่วงหน้า ถึงแผนการล่วงหน้าของพระเจ้า ที่จะมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย  แล้วเฉพาะเรื่องของดาเนียล ที่เรากำลังเรียนอยู่ตอนนี้ มันช่วง 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์จะเกิด  หรือประมาณ 2,600 ปีนับย้อนไปจากนี้

คราวนี้เรามาเข้าเรื่องในพระคัมภีร์ดาเนียล  บทที่ 9   มาดูว่าสิ่งที่ทูตสวรรค์กาเบรียลได้ตอบดาเนียลนั้น มีความหมายอย่างไร?  และตรงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอย่างไรบ้าง? ฟังแล้วเต็มไปด้วยความเชื่อ เต็มไปด้วยความหวังใจ เต็มไปด้วยความชุ่มชื่นใจว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ เรานึกว่าเรามาเชื่อพระเยซู ดีใจแล้ว เราไม่นึกว่าเรื่องราวของพระองค์ละเอียดยิ๊บ และจะยิ่งใหญ่อย่างนี้จริงๆ เลย เราก็เคยเชื่อว่าพระองค์ทรงครองโลกทั้งหมด ดูแลทุกอย่าง แต่พอเรามาเห็นรายละเอียดต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ และให้มันเกิดขึ้นจริงๆ ที่ผ่านมาแล้ว มีหลักฐานด้วย  เรายิ่งเกิดความชุ่มชื่นใจ รู้สึกพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าเดิม จริงๆ เท่าเดิมแหละ แต่ความรู้สึกยิ่งใหญ่กว่าเดิม เรานั่นแหละเปลี่ยน พระเจ้าไม่ได้เปลี่ยน

เริ่มที่ข้อ 24 ที่บอกว่า “จงใคร่ครวญเนื้อความและเข้าใจนิมิตนั้น เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’ ทรงกำหนดไว้แล้ว สำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์และเพื่อเจิมผู้บริสุทธิ์ที่สุด”

มีคนที่เขาศึกษาพระคัมภีร์เคยบอกไว้ว่าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งหมด ในข้อนี้ ที่เรากำลังจะตีความ ยากที่สุด  ยากตรงที่ “70” ของ “7” หลายคนก็พยายามจะเชื่อมโยงภาษาเดิมบ้าง? นับวัน นับเดือน นับปีให้ได้ บางทฤษฎีก็เรียก “70” ตรงนี้ว่าเป็น 70 สัปดาห์ 70 สัปตะ 70 ทศวรรษ อะไรก็ว่าไป ผมก็ได้ค้นคว้าและศึกษามาหลายทฤษฎีแล้ว แล้วก็ได้สรุปว่า 70 นี้ ไม่รู้เหมือนกัน  ไม่มีใครฟันธงสักคนว่าเป็นอย่างไร? ทุกคนที่เขาศึกษาทุกยุคทุกสมัย หลายร้อยปีแล้ว สรุป …

หนึ่งอาจจะเป็นอย่างนี้

สองอาจจะเป็นอย่างนี้

สรุปมา 9 ข้อ แล้วก็บอกว่าใน 9 ข้อ ไม่แน่อาจจะข้อไหน? จบ เลิก เก็บสมุด กลับบ้าน เสียเวลาไป 20 กว่าปี อะไรประมาณนั้น เพราะฉะนั้น ผมเสียเวลาน้อยกว่าเขา ก็สรุปว่าไม่รู้เหมือนกัน

บางคนบอกไว้อย่างนี้ว่ามันอาจเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ ที่บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ครบถ้วน ซึ่งผมเชื่อ ผมชอบอันนี้มากกว่า

สรุปแล้ว คือเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่ง เป็นตัวเลขที่บอกถึงความครบถ้วน ความบริบูรณ์ ความสมบูรณ์ เพราะพระคัมภีร์มีหลายแห่งที่ใช้เลข 7 เพื่อบอกความหมายในลักษณะอย่างนี้ เช่น พระเจ้าทรงใช้เวลาสร้างโลก 6 วัน และหยุดพักในวันที่ 7 คือมันครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว วันสะบาโต คือวันที่ 7 เพราะมันครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ที่พระเยซูบอกให้เราอภัยให้คน 70×7 ก็คือเป็นการยกโทษให้แบบสมบูรณ์ ยกโทษแน่นอน คือเราไม่ได้คิดอะไรเลย

คำว่า “ยกโทษแน่นอน” ก็คือเราไม่ได้คิดโกรธเขาเลย แม้แต่นิดหนึ่ง เมื่อเราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เราไม่มียกโทษให้ใครแล้ว เพราะมันไม่มีโกรธ ไม่มีถือโทษ แล้วจะไปยกโทษอะไรเล่า เข้าใจหรือเปล่า?  เหมือนเราเกิดใหม่ในพระคริสต์ เราเกิดใหม่ พระเจ้าไม่ต้องอภัยให้เราแล้ว เราไม่ต้องมานั่ง พระเจ้าขออภัยให้ลูกด้วย เพราะอภัยให้ 70×7 ไปแล้ว แปลว่าอภัยให้เรา 490 ครั้งเหรอ ไม่ใช่ แปลว่าอภัยให้เราแบบครบถ้วนบริบูรณ์ไปแล้ว  ไม่ต้องมาขออีก เข้าใจไหม?  ผมเชื่ออย่างนี้มากกว่า คำว่า “7” ตรงนี้ คือครบถ้วนบริบูรณ์

เพราะฉะนั้น ตัวเลข 7 ในที่นี้ ก็คือช่วงเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ คือแผนการพอดี ครบ เท่าไรไม่รู้ มีพระองค์ผู้เดียวที่ทราบ คือพระบิดา เหมือนที่เราเรียนรู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ บทที่ 8 ที่บอกวาระ ครึ่งวาระ สองวาระ สามวาระ แล้วเราก็สรุปวาระ ก็คือช่วงเวลา ก็มีเวลาหนึ่ง จบ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใจความที่สำคัญของความหมายในข้อนี้ มันไม่ได้อยู่ที่ระยะเวลา แต่อยู่ที่ มันเกิดอะไรขึ้น  และมันเกิดขึ้นตามนั้นจริงไหม และสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้น มีความหมาย มีความสำคัญต่อเรา  มนุษย์บนโลกใบนี้อย่างไรบ้างต่างหาก ตรงนี้สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น อย่าทิ้งตรงนี้ เสียเวลาไปนั่งหา 7777

นี่ข่าวสารมาจากพระเจ้า มาถึงมนุษย์ทุกคน มาถึงเราด้วย  70 ของ 7 ทรงกำหนดไว้แล้ว สำหรับพี่น้องร่วมชาติ ก็คือเวลาช่วงหนึ่ง ได้กำหนดแล้ว พี่น้องร่วมชาติ นครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ เพื่อเจิมผู้บริสุทธิ์ที่สุด

คำว่า “เลิกการล่วงละเมิด” เลิกทำบาปตรงนี้  ภาษาไทยอาจจะใช้คำที่ไม่ค่อยจะตรงนักกับความหมายเดิม เพราะถ้าแปลตามภาษาเดิม ตรงนี้หมายถึงพระเจ้าเตรียมการลบล้าง การทำให้สิ้นสุดของความบาป และคำสาปแช่งที่ต้องชดใช้ เนื่องจากเหตุแห่งการทำบาป

ภาษาอังกฤษ คือ To finish the transation to make and ate of end. ก็คือเอาความบาปออกไป เอาการลงโทษออกไป  พระเจ้าเตรียมตรงนี้ไว้ให้ จะเห็นภาพชัดเจน  ความหมายของข้อนี้ ก็คือในช่วงเวลาที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ สำหรับมวลมนุษยชาติ พระองค์จะทรงลบล้างความบาป ความชั่วร้ายให้จบสิ้นไปสักทีหนึ่ง ไม่ใช่จากอิสราเอลอย่างเดียว  ไม่ใช่จากชีวิตของดาเนียลอย่างเดียว แต่จากชีวิตของมวลมนุษยชาติ มนุษย์ไม่ต้องรับโทษของความบาปอีกต่อไป ก็คือคำสาปแช่งนั่นเอง และจะได้กลับมาเป็นผู้ชอบธรรมอย่างถาวรนิรันดร์ มาเป็นลูกของพระเจ้า

กลับมาที่ 70 ของ 7 อีกทีหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถรู้ได้ว่าจริงๆ แล้ว คือระยะเวลาเท่าไร? แต่จากระยะเวลาที่เราอ่านในข้อที่ 24-27 พอสรุปได้ว่าเหตุการณ์ตรงนี้ ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ พระเจ้าบอกว่ามันแบ่งออกเป็น 3 เหตุการณ์

ช่วงที่ 1 ในพระคัมภีร์เขียนว่า 7 ของ 7 แปลว่าไม่รู้ ต้องการแค่นี้

ช่วงที่ 2 เรียกว่า 62 ของ 7 ระยะเวลาเท่าไร? ไม่รู้

ช่วงที่ 3 เรียกว่า 1 ของ 7 นานเท่าไร? ไม่รู้

มาดูกันว่าแต่ละช่วงเกิดอะไรขึ้นบ้าง? เริ่มต้นจากช่วงที่ 1 ในข้อ 25 คือตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’

7 ของ 7 เริ่มต้นตอนที่กษัตริย์ไซรัสได้ออกพระราชกฤษฎีกาให้ชาวยิว ชาวอิสราเอล ที่เป็นเชลยอยู่ สามารถกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน ไปกอบกู้ ไปฟื้นฟูประเทศของตัวเองได้ ที่เยรูซาเล็ม ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ในเอสรา 1:1-3

เอสรา 1:1-3 “1 ในปีที่หนึ่งของรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้พระดำรัสของพระองค์ ที่ตรัสผ่านทางเยเรมีย์สำเร็จ โดยองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดลใจกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย ให้ออกประกาศทั่วราชอาณาจักรของพระองค์ และให้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ความว่า 2 “กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ตรัสดังนี้ว่า “‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ได้ประทานราชอาณาจักรทั้งสิ้นของโลกนี้แก่ข้าพเจ้า และได้ทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้า สร้างพระวิหารถวายแด่พระองค์ ที่เยรูซาเล็มในเขตยูดาห์ 3 ผู้ใดในหมู่พวกท่านที่เป็นประชากรของพระเจ้า ขอให้พระเจ้าของเขาสถิตกับเขา และให้เขากลับไปยังเยรูซาเล็มในยูดาห์ และสร้างพระวิหารของพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระเจ้าผู้ประทับในเยรูซาเล็ม”

 

นี่คือกฤษฎีกาที่ออกโดย “ไซรัส” เรากลับมาดาเนียล 9:25 “ตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’”

จะมีช่วงเวลานี้  เพราะฉะนั้น ช่วงแรก คือ 7 ของ 7 จะเริ่มต้นที่การออกพระราชกฤษฎีกาของกษัตริย์ไซรัส และไปสิ้นสุดที่ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง

เรามาดูตรงนี้ว่าคือใคร? คำว่า “ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้” ภาษาเดิมใช้คำว่า “Annointed one” คือผู้ที่ถูกเลือกไว้ว่าจะใช้ แปลแค่นี้นะ ซึ่งส่วนใหญ่ชอบไปแปลว่าพระเยซู พระคัมภีร์เดิมไม่ได้หมายถึงพระเยซูผู้เดียว เยอะแยะไปหมดเลย อาโรน ก็เป็น Annointed one โมเสสก็เป็น Annointed one ดาวิดก็เป็น Annointed one คือผู้ที่ถูกเจิม เรียกเอาไว้ ใช้อะไรบางอย่าง ที่พระเจ้าจะใช้เป็นพิเศษแค่นั้นเอง ซึ่งจริงๆ แล้วคำว่า “ปุโรหิต” หรือ “ผู้เผยพระวจนะ” ก็เป็นผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ ตั้งไว้เหมือนกัน และในข้อนี้ เป็นไปได้ว่าน่าจะหมายถึงเอสรา … เอสราเป็น Annointed one ได้ เพราะว่าเขาอยู่ในตระกูลปุโรหิต อยู่ในเชื้อสายอาโรน อาโรนเป็นต้นตระกูลของกลุ่มชนชาติอิสราเอลที่พระเจ้าเลือกเป็นพิเศษให้เป็นปุโรหิต พระเจ้าจะใช้เฉพาะญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลนี้ เป็นปุโรหิต และเอสราก็เป็นเชื้อสายของอาโรนด้วย จบไปแล้ว หนึ่งช่วง

ช่วงที่ 1 ก็คือตั้งแต่ออกกฤษฎีกาให้กลับไปกรุงเยรูซาเล็มได้ จนกระทั่งเจอคนที่จะเป็นคนนำทัพ คือเอสรา กลับไปสร้างกรุงเยรูซาเล็มใหม่ กลับไปรื้อฟื้นการนมัสการ กลับไปรื้อฟื้นวิหารของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม

มาถึงช่วงที่ 2 หกสิบสองของเจ็ด จะมีการสร้างถนนหนทางและคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก  พระเจ้าบอกแล้วเป็นอย่างไร? จำประวัติศาสตร์ของเมืองเยรูซาเล็มที่ผมได้อ่านให้ฟัง เมื่อตอนต้นได้ไหมครับ? เยรูซาเล็มถูกยึด ถูกทำลาย แล้วก็ได้รับการสร้างใหม่ แล้วก็ถูกทำลายอีก แล้วก็สร้างใหม่อีก ชาวยิวถูกข่มเหงรังแก นับครั้งไม่ถ้วน สงครามหลายครั้งทำลายชีวิตชาวอิสราเอล ชาวยิวไปมากมายมหาศาล และนี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น คือความหมายของช่วงที่ 2 “62 ของ 7” ที่บอกว่าจะมีการสร้างถนนหนทางคูเมือง แต่ในช่วงนี้เป็นช่วงทุกข์ยากลำบาก

พอช่วงแรกจบลงที่เอสราพาคนกลับไปรื้อฟื้น หลังจาก 70 ปี ได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลของไซรัส จากเปอร์เซีย ก็ไปสร้างเมือง สร้างอะไรต่างๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ สวยสดงดงาม จบ

เริ่มช่วงที่ 2 ที่สวยสดงดงาม ก็เริ่มมีคูคลองเมือง อะไรต่างๆ พอเริ่มมีคูคลองเมืองปุ๊บ เริ่มต้นทุกข์ยากลำบากแล้ว เพราะความโปรดปรานที่พระเจ้าให้ผ่านทางกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย และมีเดียที่ครอบครองขณะนั้น มีเดียเปอร์เซียเริ่มแพ้สงคราม คนที่เข้ามาครอบครองบาบิโลน และครอบครองไปถึงเยรูซาเล็ม ในแถบนั้นทั้งหมด ก็คือกรีก อเล็กซานเดอร์มหาราชเข้ามา พอเปลี่ยนมือปุ๊บ ความโปรดปรานหมดไปด้วย ก็เริ่มถูกรังแก … รังแกมาก รังแกน้อย แล้วแต่พระเจ้าจะให้ใครมาครอบครอง แต่ไม่เคยเป็นอิสระเลย เป็นทาสเขามาตลอด ถูกเขาแกล้งตลอด ถูกเขาข่มเหงตลอด

อเล็กซานเดอร์มาครอบครองแป๊บเดียวเอง เพราะอเล็กซานเดอร์ เสียชีวิตไปอย่างเร็วมาก ยังพระชนม์น้อยมาก ทหารคนสนิทที่อยู่กับอเล็กซานเดอร์ ก็แย่งอำนาจกัน แบ่งกันครอบครอง ที่เป็นหัวใหญ่ๆ เลยของกรีก ก็มี 2 ขั้วใหญ่ๆ ขั้วหนึ่งเรียกว่าทอลามี คือตระกูลทอลามี อยู่อียิปต์ และอีกขั้วหนึ่งเรียกว่าเซรูซิส อยู่ซีเรีย แล้วทั้งสองอันนี้ ตรงกลาง คือเยรูซาเล็ม เขาสองกลุ่มบางทีก็ทะเลาะกัน แย่งกันไปแย่งกันมา แย่งอำนาจกัน ก็เชื้อสายกรีกนั่นแหละ แต่แย่งอำนาจกัน และมีเยรูซาเล็มเป็นที่รองรับอารมณ์ เวลาจะรบกันก็ต้องเดินผ่านอิสราเอล เยรูซาเล็ม เวลาใครจะตีใครก็ต้องเดินผ่านเยรูซาเล็ม 2 ประเทศนี้ 2 หัวขั้วนี้ แย่งชิงอำนาจกัน เยอะแยะยาวนานเลย  และมีหลายครั้งที่ฆ่า ปล้นเยรูซาเล็ม ปล้นพระวิหาร มีเงินมีทองอยู่ในนั้น อย่างนี้เป็นต้น

ต่อจากกรีก คือโรมัน … โรมันชนะอียิปต์ ชนะซีเรีย ก็มาครอบครองเยรูซาเล็ม อันนี้ท่านพอจะเห็นภาพแล้ว โรมันเข้ามา ก็มาข่มเหงอีกแหละ

ในช่วงที่ 2 จะมีการสร้างถนนหนทาง และคูเมือง และทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก ก็คือถูกข่มเหงรังแก โดยคนที่เข้ามาครอบครองใหม่ทั้งนั้น ช่วงที่ 2 ก็จะมาจบตรงที่โรมันเข้ามาครอบครอง

ช่วงที่ 3 ช่วงนี้สำคัญ ช่วงสุดท้าย ในพระคัมภีร์ใช้ช่วงว่า “1 ของ 7” นานเท่าไร? ไม่รู้ ตรงนี้ตื่นเต้นที่สุด ในข้อที่ 26-27 บันทึกอย่างนี้ไว้

ข้อ 26-27 “หลังจากหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ จะถูกประหาร และจะไม่เหลืออะไร ประชาชนของผู้ครอบครองจะมาทำลายกรุงนั้น และสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้”

ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ ในข้อนี้ ในภาษาเดิม ภาษาฮีบรู หมายถึงพระมาซีฮาห์ หมายถึงพระเยซูคริสต์ โดยตรงเลย ใช้คำนี้เป๊ะเลย  ที่บอกว่าจะถูกประหาร จะไม่เหลืออะไร? ฟังให้ดีนะ ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ พระเยซูถูกประหาร ถูกฆ่า ถูกตรึงที่ไม้กางเขน โดยไม่มีใครอยู่ข้างพระองค์เลย ตรงนี้มันแปลว่าอย่างนี้ พระองค์ถูกทอดทิ้ง แม้กระทั่งพ่อ คือพระบิดา ก็ทอดทิ้งพระองค์ พระเจ้าไม่สามารถอยู่ได้ พระเจ้าต้องออกจากพระองค์ไป เพราะพระองค์รับโทษบาปทั้งหลายของเราไว้ที่ตัวพระองค์ บนไม้กางเขน เป็นตัวแทนของความบาปของเรา พระเจ้าอยู่กับความบาปไม่ได้ ไม่ได้เกลียด แต่อยู่ไม่ได้ พระเจ้าต้องละพระองค์ไป พระองค์อยู่คนเดียวเลย รับโทษบาปของเราผู้เดียวเลย มนุษย์ก็ไม่เข้าใจ นี่มันหมายถึงตรงนี้ จำได้ไหมที่พระเยซูอยู่ไม้กางเขน แล้วบอกว่า …

“เอลี เอลี ลามา สะบักธานี พระบิดา พระบิดา ไฉน จึงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

มันหมายถึงตรงนี้นั่นเอง นี่มันตรงเป๊ะ ที่พระเจ้าบอกไว้อย่างไร? ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ จะถูกประหาร และจะไม่เหลืออะไร ก็คือไม่เหลือผู้รอบข้างเลย สาวกไป ก็ยังโอเค เขาไม่เข้าใจ  แต่พระเจ้าที่อยู่กับพระองค์มาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ก่อนกำเนิดโลกนี้ ไม่เคยห่างกันเลย เป็นหนึ่งเดียวกันมาตลอด พระองค์ยังไปเลย พระองค์ไม่เหลือใครแล้ว

“ประชาชนของผู้ครอบครอง จะมาทำลายกรุงนั้น และสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไป จนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้”

ตามประวัติศาสตร์ที่บอกว่าหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตและเป็นขึ้นมาในวันที่ 3 ตรงนั้นอยู่แถวๆ ค.ศ.30 ใน ค.ศ.30 ชาวยิวก็ยังคงถูกข่มเหงอย่างหนัก ตลอดมา จากโรมัน ผมเชื่อว่าเป็นแผนการของพระเจ้า ที่ให้เกิดสิ่งนี้ เพราะยิวเอง ก็ไม่ค่อยจะนิ่ง พระเยซูบอกว่าใครใช้ดาบ ก็ต้องตายด้วยดาบ ถ้ามาทางพระเยซูไม่ใช่วิธีนี้  แต่ยิวเอง ก็พยายามที่จะช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากการเป็นทาสเขา นึกว่าพระเจ้าจะมาช่วยเขาให้รอดจากการเป็นทาส หมายถึงการเป็นทาสจากมนุษย์ แต่ “ทาส” ที่พระเยซูบอก หมายถึงทาสทางฝ่ายวิญญาณ ทาสของความบาป แต่เขานึกว่าช่วยเขา เหมือนกับสมัยกษัตริย์ดาวิดที่ถูกเจิมตั้งไว้ ประเทศอิสราเอลเป็นประเทศมหาอำนาจ เขาคิดว่าอย่างนั้น เขาพยายามดื้อ พยายามกบฏ จำบารับบัสได้ไหม? ที่คนเลือกให้ปล่อย ปิลาตบอกนี่โจรชัดๆ ไปปล่อยเขาทำไม? พระเยซูบริสุทธิ์ ไปตรึงเขาทำไม? แล้วปุโรหิตเอง ฟาริสีที่เป็นปุโรหิตของอิสราเอล ชาวยิวขณะนั้น ตะโกนบอกว่า …

“เอาเขาไปตรึง”

“คุณแน่ใจนะว่าเอาเขาไปตรึง”

“เอาเขาไปตรึง”

แล้วปิลาตบอก “ถ้าคุณบอกเอาเขาไปตรึง คุณรับผิดชอบเองแล้วกัน ผมไม่เกี่ยว ผมล้างมือนะ ผมไม่ได้เป็นคนตรึงเขา”

ตรงตามพระคัมภีร์เป๊ะอีกแล้วว่าผู้ที่จะมอบแกะรับบาปนี้ได้ ต้องเป็นปุโรหิตของพระเจ้า เขามอบพระเยซูไป  แล้วคนเหล่านั้น อยากจะช่วยตัวเอง แม้กระทั่งยูดาส หนึ่งในสิบสองของสาวกพระเยซู เป็นพรรคชาตินิยม ก็คือเขายุ่งเกี่ยวอยู่กับพรรคของเขา คือพวกชาวยิวที่อยากจะต่อต้านกับโรมันที่มาข่มเหงรังแก โดยใช้ดาบ แล้วเขาก็นึกว่าพระเยซูคงมาเป็นผู้สนับสนุนเขา เพราะมีคนติดตามพระเยซูเยอะ พระเยซูไม่ทำอะไรเลย ทนไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองดีกว่า

ให้ท่านเห็นภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้โรมันเกิดความเหลืออด เหลือแค้น เดี๋ยวก็ดื้ออีกแล้ว เดี๋ยวก็กบฏอีกแล้ว พอไปทำอะไรนิดหนึ่ง ไม่พอใจ ก็กบฏอีก แล้วเรื่องที่กำลังพูดอยู่นี้ ในที่สุด พอพระเยซูสิ้นพระชนม์ เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว มันก็เกิดการขัดแย้งกันระหว่างชาวยิวกับผู้ครอบครองเมือง ที่ต่อจากปิลาตมา

พูดง่ายๆ ก็เกิดความขัดแย้งระหว่างวิธีการปกครองของโรมันกับชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเกี่ยวกับศาสนา ความเชื่อ วิหารของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ชาวยิวเลยรวมหัวกัน เอาดาบมาสู้ ตอนแรกๆ ยิวชนะหลายครั้ง จนกระทั่งเนโร ซึ่งเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันในขณะนั้น ส่งกองทัพมา นึกว่าสู้ง่ายๆ แพ้อีก ในที่สุด ก็ส่งกองทัพใหญ่มาสู้รบ นำโดยนายพลติตัส ฆ่าไม่เหลือเลย

ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ในข้อที่ 27 ที่บอกว่า “ประชาชนของผู้ครอบครอง (ก็คือกองทัพของจักรวรรดิโรมัน) จะมาทำลายกรุงนั้น และสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม (ก็คือฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฆ่าหมดเลย ทั้งเด็ก คนแก่ ชาย หญิง เพราะโมโหมาก แค้นมาก ไม่ใช่สงครามธรรมดา) สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และวิบัติตามที่กำหนดไว้ (ก็คือพระเจ้ารู้ล่วงหน้าบอกไว้แล้ว)

พระเยซูก็ได้เผยพระวจนะถึงเรื่องนี้ด้วย คือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ที่กำลังพูดนี้ คือ 40 ปีหลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บวกกับ ค.ศ.30 ก็คือ ค.ศ.70 เป็นปีที่โศกนาฏกรรมของอิสราเอล ของเยรูซาเล็ม ตามประวัติศาสตร์ที่บอกว่าหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูแล้ว ชาวยิวก็ยังคงถูกข่มเหงรังแกอย่างหนักตลอดมา 40 ปี จนถึงสุด ตามพระคัมภีร์ที่เผยพระวจนะไว้

ในหนังสือมัทธิว พระเยซูเอง ก็ได้ตรัสคำทำนายถึงเหตุการณ์นี้ ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงใกล้ๆ ปี 70 บันทึกไว้ในมัทธิว 24:6-19

มัทธิว 24:6-19 “6 ท่านจะได้ยินข่าวสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม จงระวัง อย่าตื่นตกใจ สิ่งเหล่านั้นต้องเกิดขึ้น แต่ยังไม่ถึงจุดจบ 7 ประชาชาติต่อประชาชาติ อาณาจักรต่ออาณาจักรจะสู้รบกัน จะเกิดการกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ 8 สิ่งทั้งปวงนี้ คือขั้นเริ่มต้นของความเจ็บปวดก่อนคลอดบุตร 9 “แล้วท่านจะถูกมอบไว้ให้เขาข่มเหงและประหัตประหาร ชนชาติทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะเรา 10 ครั้งนั้น หลายคนจะหันเหจากความเชื่อ จะทรยศหักหลังและเกลียดชังซึ่งกันและกัน 11 แล้วจะมีผู้เผยพระวจนะเท็จมากมาย มาหลอกลวงประชาชนเป็นอันมาก 12 เนื่องจากความชั่วร้ายเพิ่มทวีขึ้น ความรักของคนส่วนใหญ่จะเย็นชาลง 13 แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงที่สุด จะได้รับการช่วยให้รอด 14 และข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้านี้ จะถูกประกาศไปทั่วโลก เป็นพยานแก่มวลประชาชาติ แล้วยุคนี้จะสิ้นสุด 15 “ฉะนั้นเมื่อท่านเห็น ‘สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ’ ในสถานบริสุทธิ์ ดังที่ได้ตรัสไว้ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะดาเนียล 16 แล้วให้ผู้ที่อยู่ในยูเดียหนีไปที่ภูเขา 17 ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้านของตน อย่าลงมาหยิบสิ่งใดออกจากบ้าน 18 ผู้ที่อยู่ตามทุ่งนา อย่ากลับมาเอาเสื้อคลุม 19 วันเหล่านั้น น่าหวาดกลัวยิ่งนัก สำหรับหญิงมีครรภ์และแม่ลูกอ่อน”

 

ในดาเนียล 9:27 ได้บอกว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เกิดขึ้นตรงกลางช่วง 1 ของ 7 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า … “ผู้นั้นจะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมาก เป็นเวลาหนึ่งของ ‘เจ็ด’ แต่กลางของ ‘เจ็ด’ นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ  จะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ ไว้ที่ด้านหนึ่งของพระวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา ตามที่กำหนดไว้”

ตรงนี้แปลว่าอย่างนี้ นี่คือความหมายที่บันทึกไว้ในหนังสือฮีบรูว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียว ได้ลบล้างความผิดบาปของมวลมนุษยชาติได้ทั้งหมด และตลอดไป ทำให้มนุษย์กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ แบบถาวรนิรันดร์ … ตรงนี้หมายถึงพระเยซู จะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมาก ก็คือมวลมนุษยชาติ เป็นเวลา 1 ของ 7 ก็คือครบถ้วนบริบูรณ์ แต่กลางของ 7 (คือระหว่างประกาศนั้น) ช่วงกึ่งกลางนั้น เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชา และของถวายต่างๆ ก็คือเมื่อตายที่ไม้กางเขนเสร็จแล้ว ก็เอาโลหิตไปถวายพระเจ้า ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด แล้วก็สั่งยุติเครื่องบูชา คือต่อไปนี้ ไม่ต้องมาไถ่บาปตัวเองอีกแล้ว ตรงนี้แปลว่าอย่างนั้น

ตรงนี้บอกล่วงหน้า ถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูจะตายที่ไม้กางเขนและหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเราทั้งหลาย และมนุษย์ทุกคน รวมทั้งอิสราเอลมาหาพระเจ้าได้ โดยไม่ต้องเสียอะไรอีกแล้ว พูดง่ายๆ  ฮีบรู 10:11-14 ก็พูดถึงเรื่องนี้ คือพระเยซูทำเรียบร้อยแล้วทั้งหมด แล้วเปาโลได้รับการสำแดงจากพระเจ้า จากพระเยซู ได้เห็นในนิมิต ความหมายเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ให้กาเบรียลมาบอกกับดาเนียลได้รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้

ฮีบรู 10:11-14 “11 วันแล้ววันเล่า ที่ปุโรหิตทุกคนยืนปฏิบัติศาสนกิจ ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เขาถวายเครื่องบูชาแบบเดียวกัน ซึ่งไม่สามารถลบล้างบาปให้สิ้นไปได้เลย 12 แต่เมื่อปุโรหิตองค์นี้ ถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปครั้งเดียว สำหรับตลอดไป แล้วก็ประทับลงที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 13 นับแต่นั้นมา พระองค์ทรงรอคอยจนกว่าเหล่าศัตรูของพระองค์จะถูกทำให้เป็นแท่นวางพระบาทของพระองค์ 14 เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์ โดยการถวายบูชาครั้งเดียว”

 

นี่คือความหมายของดาเนียล 9:27 ในช่วงแรกของข้อนี้

สำหรับช่วงที่ 2 ที่บอกว่า “แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งให้เกิดสิ่งสะอิดสะเอียน เป็นต้นเหตุของความวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนสุดท้ายมาถึงเขาตามกำหนดไว้”

ตรงนี้หมายถึงนายพลติตัส ที่จักรวรรดิโรมัน เอสฟาเซียนส่งมา เพื่อที่จะทำลายกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อที่จะมารบกับชาวยิวในขณะนั้น และเขาก็ทำลายได้จริงๆ  สิ่งที่เขาทำ ก็คือเขาได้ทำลายวิหาร แล้วไปตั้งพระของเขา ซึ่งเป็นรูปเคารพมาบูชาในวิหารของชาวยิว ทำให้ชาวยิวยิ่งโกรธมาก รวมกันสู้ แบบถวายชีวิต ยิ่งสู้ ยิ่งแย่ ในที่สุด ก็ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปหมดเลย ซึ่งพระเยซูก็ได้บอกล่วงหน้าแล้วว่ามันจะเกิดอย่างนี้ขึ้น

ชาวยิวในสมัยก่อน ได้รับรู้เรื่องราวผ่านทางผู้เผยพระวจนะอย่างนี้ แต่เขาก็อยู่ด้วยความเชื่อ เพราะเขาไม่มีประวัติศาสตร์ บอกล่วงหน้า ไม่เหมือนเรา เราเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ โดยเรียนรู้เทียบประวัติศาสตร์ว่าเกิดขึ้นจริงตามนั้น เราได้เปรียบกว่ามากเลย

เพราะฉะนั้น พวกเราในวันนี้ มันก็ไม่น่าจะยากเลย ในการที่จะเชื่อมั่นในพระเจ้าว่าส่วนที่เหลือทั้งหมด ที่พระคัมภีร์เผยพระวจนะ โดยพระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้า มันเหลืออีกนิดเดียว มันก็ต้องเป็นไปตามนั้นแน่ๆ

ถ้อยคำทั้งหมดนี้ ที่มาถึงเราในวันนี้ ก็เพื่อที่จะย้ำยืนยันเราทุกคน เหมือนกับที่ทูตสวรรค์นำความหมาย นำข่าวดีนี้มาบอกกับดาเนียลว่า …

“ประชากรของพระเจ้าเอ๋ย เรามาเพื่อท่านจะได้ประจักษ์แจ้ง และเข้าใจ ทันทีที่ท่านได้เริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบ ซึ่งเราได้นำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง”

ประชากรของพระเจ้า ก็คือมนุษย์เอ๋ย พระเจ้ารักท่านมาก รักจริงๆ รักอย่างสุดหัวใจเลย ท่านขอเพียงแค่ได้พระพรบนโลกใบนี้นิดเดียวเอง แต่พระเจ้าประทานให้ท่านอยู่ในสวรรค์ ท่านขออาจจะได้อยู่ในสวรรค์ แต่พระเจ้าบอกว่าท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นเจ้าของสวรรค์ด้วย  ครอบครองสวรรค์เลย  ท่านอาจจะขอว่าพระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอเพียงแค่ได้เกิดใหม่ไปเป็นมนุษย์ที่มีความร่ำรวย อย่าเกิดเป็นสัตว์เลย พระเจ้าบอกว่า …

“ฉันมีอย่างอื่นที่ดีให้กับเธอ ก็คือเธอไม่ต้องเกิดอีกเลย ไม่ต้องทุกข์อีกเลย ฉันมีร่างกายใหม่ให้กับเธอ มีโลกใหม่ให้กับเธอ”

บางคนอาจจะขอว่า “ชาติหน้าให้รวยๆ หน่อย ไม่ต้องอดอยาก เหมือนปัจจุบันนี้”

พระเจ้าบอกว่า “ฉันจะให้เธอรวยกว่านั้นอีก รวยทั้งร่างกาย จิตใจ รวยทั้งวิญญาณ เธอไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องโศก ไม่ต้องมีโรคภัยอีกต่อไป มันเป็นไปได้จริงๆ ฉันให้เธอแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์” หมายถึงอย่างนั้น

พระคัมภีร์บอกว่า “โดยพระองค์เอง พระเยซูคริสต์ ได้แบกรับเอาความบาปทั้งหลายของเราไว้ที่ตัวพระองค์เองที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตมาอยู่ในความชอบธรรม โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการชำระ ได้รับการรักษาให้หายแล้ว”

หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่เป็นมะเร็งหรือ! ไม่ใช่ หายจากการเป็นบาป  มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า สามารถอยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์กาลแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นเจ้าของสวรรค์ ไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นทาส แต่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าของสวรรค์ ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้อาศัยด้วย แต่อยู่ในฐานะของผู้บริหาร ร่วมกับพระเยซูคริสต์

ดังนั้น เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่พระเจ้าสร้างโลก จนมาถึงเหตุการณ์บนไม้กางเขน  รวมทั้งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น นับจากนี้ต่อไป ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นแผนการของพระเจ้า ที่จะนำเอาความรอดจากบาป และชีวิตนิรันดร์มาให้กับมนุษยชาติที่พระองค์ทรงรักยิ่งมากเลย อยากจะพูดคำนี้ ไปถึงท่านทั้งหลายที่ฟังอยู่ว่าข่าวนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อให้คริสเตียนฟังอย่างเดียวเท่านั้น คริสเตียนเขาได้ไปแล้ว

แต่ข่าวดีนี้ มีสำหรับคนที่ยังไม่ได้ยินข่าวดี หรือได้ยินแล้วยังเฉยๆ อยู่ จึงอยากบอกว่ามันสำคัญมาก ทำไมต้องมีไม้กางเขน ไม้กางเขน คือสัญลักษณ์เท่านั้นเอง ที่ทำให้นึกถึงสิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขนจริงๆ เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ ในวันที่ 3 พระองค์ได้แบกรับเอาบาปทั้งหลายเราไปแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เพียงแต่ใช้สิทธิของเรา เปิดใจของเรา

“ฉันเอาๆ”

แค่นี้เอง จบแล้ว นี่คือข่าวดี ข่าวประเสริฐ บางคนบอกข่าวดี ประกาศเมื่อตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย นั่นก็ถูก แต่จริงๆ มีข่าวดีมาตั้งแต่วันแรกแล้ว ตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้ว ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย ก็เป็นข่าวดีทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ให้ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์แห่งการเตือนใจ ให้เรานึกถึงถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าที่บอกเราในเรื่องราวความจริง เกี่ยวกับการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ในคำบรรยายนี้ทั้งหมด วางภาระเราลง วางความเห็นว่าตัวเองถูก ตัวเองดี วางความหยิ่งยโส ความจองหองลงไว้กับพระเจ้า แล้วก็ดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจ เข้ามาหาพระองค์ ถ้ายังไม่รู้ ก็พระเจ้า เขาพูดถึงเรื่องนี้ อยากจะรู้ อยากจะได้ เดี๋ยวท่านก็จะเจอเอง และให้เราวางใจในพระเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จากนี้ต่อไป ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีต่างๆ เรารู้ตอนจบแล้ว ตอนจบเราชนะ ตอนจบเราไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ขอพระเจ้าทรงใช้เรา ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ นี่คือคำอธิษฐานของเรา ต่อไปนี้ไม่ต้องอธิษฐาน

“ขอพระเจ้าช่วยลูกด้วย”

ไม่ต้องขออะไรมากเลย ขออย่างเดียว

“พระเจ้าขอใช้ลูกให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ให้เป็นไปตามที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ในแผนการใหญ่ๆ ของพระองค์ ให้ลูกมีส่วนร่วมอยู่ในนั้น เพราะลูกรู้แล้ว”

เอเมน ขอบคุณพระเจ้า  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 16 “คำอธิษฐานของดาเนียล” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  พฤษภาคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 16 “คำอธิษฐานของดาเนียล”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราก็ต่อ “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนที่ 16  เราจะมาดูเรื่องราวของดาเนียลกันต่อ ในหนังสือดาเนียล มีอยู่ทั้งหมด  12 บท เราเรียนรู้ผ่านกันไปแล้ว 8 บท วันนี้จะมาต่อในบทที่ 9 และทั้งหมดที่เราเรียนมา 15 ตอน จากดาเนียลทั้ง 8 บท ทั้งเรื่องราวตามพระคัมภีร์ ทั้งสืบเสาะเรื่องในประวัติศาสตร์มาควบคู่กันด้วย  สรุปสุดท้ายของทุกบททุกตอน ก็ย้ำกันตรงนี้แหละว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ครอบครองยิ่งใหญ่สูงสุด  ทรงเป็นผู้ครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลาย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงเป็นผู้กำหนด และเป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น พระองค์จะเป็นผู้กระทำ ให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลดีสำหรับเราทั้งหลาย ที่รักพระองค์ เอเมน ที่เราใช้คำว่าพระเจ้าเป็นผู้กำกับที่ดีของโลกละครโลกนี้นั่นเอง เอเมน

เราจะมาเรียนรู้จักชีวิตของดาเนียลในบทที่ 9 มีชื่อตอนว่า “คำอธิษฐานของดาเนียล” ผมจะเล่าพื้นฐานให้ท่านฟังก่อน เพื่อว่าท่านฟังถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์จะได้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ตั้งแต่ปฐมกาลมา พื้นฐาน คือมนุษย์ตกลงไปในความบาป ตกอยู่ในคำสาปแช่ง และพระเจ้าต้องการช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากคำสาปแช่ง

แล้ววิธีการของพระองค์ คือวางแผนไว้ แล้วแผนนั้น เริ่มต้นเขียนให้เรารู้ก่อนล่วงหน้า ในปฐมกาล  บอกเป็นแผนผังเลยว่าจะเกิดอันนี้ขึ้น สิ่งที่เรียกว่าจะเกิดต่อในอนาคต เราเรียกว่าคำเผยพระวจนะ เราเรียกว่านิมิต ความฝันที่บอกถึงอนาคต เพื่อว่าทุกคนจะได้รู้ว่าพระเจ้าควบคุมอยู่ นี่เกิดขึ้นจริงๆ ใช่พระเจ้าแล้ว ทุกคนก็รอคอยวันนั้น วันที่พระเจ้าบอกว่ามนุษย์จะเป็นอิสรภาพจากความบาปและคำสาปแช่ง

แผนการของพระเจ้าเป็นอย่างนี้ พระองค์เริ่มต้นดิวกับมนุษย์ ให้มนุษย์ได้รู้ข่าวดีนี้ ข่าวดีที่พระเยซูจะมาปลดปล่อยให้มนุษย์เป็นอิสรภาพ จากความบาปและคำสาปแช่ง เริ่มต้นบอกข่าวดีนี้ตั้งแต่ตอนปฐมกาล

โดยเลือกตัวแทนมนุษย์ เพื่อจะติดต่อสื่อสาร กลุ่มนี้เราเรียกกันว่าชาวยิว หรืออิสราเอล คือมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่พระเจ้าเลือกไว้เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหลายที่จะกระทำแผนการนี้ให้สำเร็จ

อิสราเอลทั้งกลุ่ม พระองค์ไปพูดกับทุกคนไม่ได้ พระองค์จึงเลือกอีกกลุ่มหนึ่งออกมา เป็นตัวแทนของกลุ่มนี้อีกทีหนึ่ง เพื่อที่จะมาใกล้พระองค์ เรียกว่าผู้รับใช้ เรียกว่าปุโรหิต หรือไม่ก็กษัตริย์ หรือไม่ก็ผู้รับใช้ที่เป็นผู้เผยพระวจนะ อย่างนี้เป็นต้น

ปุโรหิตจะทำหน้าที่ทางฝ่ายวิญญาณโดยเฉพาะ อยู่ในวิหาร ที่ทำด้วยมือ วิหาร ก็คือวัด อยู่ในวัด ทำพิธีอะไรต่างๆ ที่พระเจ้ากำหนดไว้ เพื่อจะเล็งให้เห็นถึงอนาคตที่พระเยซูจะมาไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง ความทุกข์ทรมาน ในกลุ่มปุโรหิต ก็จะมีหัวหน้าอีกคนหนึ่ง ใหญ่สูงสุด เรียกว่ามหาปุโรหิต มหาปุโรหิต คือตัวแทนของมนุษย์ ทุกคน ที่จะติดต่อกับพระเจ้า ปุโรหิต ไม่ใช่ตัวแทนเฉพาะชาวยิว  พระเจ้าเล็งไปถึงมนุษย์ทุกคนของกลุ่มชาวยิว กลุ่มชาวยิวเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคนเลย รวมทั้งเราทั้งหลายคนไทยด้วย  จะมีชาติไหนไม่รู้ จะรวมหมดเลย มหาปุโรหิตเป็นตัวแทน ติดต่อกับพระเจ้า พระเจ้าก็เริ่มแล้ว ในฐานะที่มนุษย์คนนั้นเป็นทาส

คำว่าทาสในที่นี้ เป็นเหมือนคนที่อยู่ในคุกตะราง ติดต่อพระเจ้าไม่ได้ ตกอยู่ในความบาปและความตาย ที่เรียกว่าคำสาปแช่ง หนึ่งในคำสาปแช่ง ก็คือมนุษย์ไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ ไม่สามารถติดต่อพระเจ้าได้ พอมนุษย์บาป พระเจ้าบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ เข้าใกล้กันไม่ได้ ตายเลย ไม่ใช่พระเจ้าต้องการฆ่าเขานะ แต่ตาย โดยคุณภาพ เหมือนกับที่บอกว่าทหารไปจับแค่หีบพันธสัญญา ที่เล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า แตะปุ๊บ ตายเลย  พระเจ้าไม่ได้ฆ่าเขา  แต่ฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในความบริสุทธิ์ ในหีบนั้น กับความสกปรกของมนุษย์ แตะปุ๊บ ช็อตตาย เหมือนเราเอามือไปจับไฟฟ้าแรงสูง การไฟฟ้าไม่ได้ฆ่าเรานะ เราไปจับไฟฟ้าแรงสูง แล้วถูกดูดตาย นายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล ไม่ได้ฆ่าเรา แต่ความเป็นจริงของธรรมชาติฆ่า เพราะว่าไฟฟ้าแรงสูง แรงเยอะ เรารับไม่ไหว ถ้าเราไปจับแบตเตอร์รี่ 12 โวลท์ก็ไม่เป็นไร?

ตอนนี้ท่านรู้แล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ เวลาปุโรหิตในพระคัมภีร์ทำอะไร? ท่านจงเล็งไปถึง มนุษย์ทุกคนทำ เวลาพระเจ้าพูดกับปุโรหิต หรือพูดเผยพระวจนะไปยังผู้เผยพระวจนะ ผู้รับใช้ พระเจ้ากำลังพูดกับมนุษย์ทุกคน พระเจ้าบอกจะช่วยมนุษย์ทุกคน พระเจ้าบอกสาปแช่ง มนุษย์ทุกคน และถามว่าพระเจ้าตั้งใจจะสาปแช่งไหม? ไม่ได้ตั้งใจ ก็เหมือนอย่างที่บอก แตะไปแล้ว แตะเข้าไปสู่ความบริสุทธิ์ ฤทธิ์อำนาจของสายไฟฟ้าแรงสูงก็เข้ามาทำลายเรา ก็เหมือนเรา ตกลงไปในความทุกข์ลำบากแล้ว มันเป็นกฎ เป็นระเบียบ เราต้องเป็นอย่างนั้น  ศาลไม่ได้ตั้งใจจะจับเราติดคุก ตำรวจไม่ได้ตั้งใจจับเราติดคุก แต่กฎหมายระบุไว้อย่างนั้นว่าถ้าเราไปตีหัวชาวบ้าน หรือฝ่าไฟแดง เราจะถูกจับ ตำรวจที่มาจับเรา เป็นแค่ทำตามบทบาทเท่านั้นเอง พระเจ้าทำตามกฎหมายของพระองค์ เมื่อมนุษย์ทำบาป เมื่อมนุษย์เป็นกบฏ ไม่ฟังพระเจ้า ไม่อยู่ในระเบียบวินัย ก็ต้องโดนลงโทษ และการโดนลงโทษนั้น ก็เรียกว่าคำสาปแช่งนั่นเอง

เมื่อมีเผยพระวจนะมา อันนี้หมายถึงเราและมนุษย์ทุกคนด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จะเล็งไปถึงพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา ก็คือหัวหน้ามนุษย์ พระองค์จึงต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อจะไปเป็นตัวแทนให้กับพวกเรา มนุษย์ทั้งหลาย ไม่ใช่เป็นตัวแทนของชาวยิว ไม่ใช่เป็นตัวแทนของคนเป็นคริสเตียน แต่เป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคน

“พระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย”

ก่อนจะเข้าเรื่องดาเนียลในวันนี้ ผมจะสรุปให้ฟังก่อน เรื่องบุตรน้อยหลงหาย ในพระคัมภีร์ที่พระเยซูยกตัวอย่าง ชายคนหนึ่งมีบุตร 2 คน อยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายคนเล็ก ก็ลุกขึ้นมา ขอแบ่งมรดกจากพ่อ เพราะต้องการไปเผชิญชีวิตด้วยตัวเอง พูดง่ายๆ อยากอยู่ด้วยตัวเอง ไม่ฟังพ่อแล้ว จะไปท่าเดียว ไม่เชื่อฟังต่อไปแล้ว นึกว่าตัวเองแน่ กบฏต่อพ่อนั่นเอง พ่อก็เลย ให้สมบัติไป อยากได้เอาไป ให้ไปส่วนหนึ่งตามที่เขาควรจะได้ ปรากฏว่าลูกคนนี้ เอาเงินทองไปผลาญจนหมด เรียกว่าสำมะเรเทเมา แย่มาก เสียชื่อพ่อด้วย จนในที่สุด ไม่เหลืออะไร จนต้องไปอาศัยเลี้ยงหมู กินข้าวหมูแทน ชีวิตลำบากมาก ทุกข์ยาก จนกระทั่งนึกขึ้นมาได้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมีความสุขสบาย เราเป็นถึงลูกเศรษฐีนะ สำนึกตัวได้ ก็เลยอยากจะกลับไปหาพ่อ แต่ก็กลัวว่าพ่อจะไม่รับ กลัวว่าเราทำผิดเยอะขนาดนี้  วันนั้นที่พ่อพูด แล้วเราเถียง เราแย่มาก ทำตัวไม่ดีด้วย พ่อเราชื่อเสียงเสียหมด

เพราะฉะนั้น ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไป แต่ก็คิดในใจว่าก็ไม่มีที่ไหน อย่างไรก็ต้องกลับไป ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ทำผิดเอาไว้เยอะ ก็เลยตั้งใจว่าจะขอกลับไป บอกพ่อว่า …

“พ่อ ไม่ต้องอภัยให้ ขอเป็นแค่ลูกจ้างก็พอ”

ปรากฏว่าเมื่อกลับไปถึงบ้าน พ่อเห็นลูกชายเดินมาแต่ไกล ก็ดีใจมาก เข้ามาสวมกอด พอลูกชายกำลังจะคุกเข่า บอกว่า …

“พ่อขอเป็นทาส”

ยังไม่ทันจะพูดเลย  พ่อบอกว่า “ไม่ต้องพูดๆ”

ลูกตกใจ นึกว่าพ่อไม่ให้เราอยู่ ไม่ใช่ ไม่ต้องพูด ไม่มีการอภัยเด็ดขาด เพราะไม่ได้คิดเลยว่าเขาทำอะไรผิด พ่อไปเรียกคนรับใช้มา ไปเอาแหวนกับเสื้อคลุมมาให้เขา แหวนกับเสื้อคลุม คือสิทธิอำนาจในการเป็นบุตร และในการครอบครองในบ้านหลังนั้น ยังไม่ได้ทำความดีอะไรเลย ทำความชั่วมาตลอด อยู่ดีๆ เดินเข้ามาปุ๊บ เอาไปเลย มาเป็นลูกเหมือนเดิม แล้วครอบครองบ้านหลังนี้เลย แล้วให้คนใช้ ไปจัดงานเลี้ยงเลย ล้มวัวเลย เพราะว่าลูกของฉันคนนี้ เขาตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ เหมือนมีชีวิตกลับคืนมาใหม่ ดีใจ

พระเยซูเล่าให้เราฟังว่าพระเจ้าคิดอย่างนี้ ผมเชื่อว่าคนที่มาเป็นคริสเตียนแล้ว มาเชื่อพระเจ้าแล้ว รู้จักพระเจ้าแล้ว ได้รับการไถ่จากพระเยซูแล้ว ก็จะมีคำอธิษฐานเหมือนเมื่อตะกี้นี้ มีความรู้สึกเหมือนกับเป็นลูกคนที่ไปทำชั่วมา และจะกลับมาขอแค่เป็นทาส ก็พอแล้ว เพราะผมรู้ว่าทุกคนคิดว่าตัวเองหลงหายไป ไปทำอะไรที่แย่ๆ มากๆ แม้เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเยซูแล้ว หลายครั้ง เรายังทำแย่อยู่เลย พอแย่ทีหนึ่ง เราก็รู้สึกฟ้องผิด

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย แย่เหลือเกิน”

แต่ผมอยากจะบอกท่านว่าทุกครั้งที่ท่านทำผิดพลาดไป พระเจ้าก็จะทำแบบนี้ พระองค์เข้าใจดีว่าเราเป็นมนุษย์ที่อยู่ในร่างกายบาปนี้อยู่ เราก็เผลอ เดี๋ยวๆ ก็คิดหลงทางไป เดี๋ยวก็ทำผิดไป อยู่เสมอๆ พระองค์ทรงเข้าใจ แต่เมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เพราฉะนั้น หลายครั้งที่เราพลาดพลั้งไปทำอะไรผิด แล้วก็สำนึกได้ มันก็เหมือนกับบุตรน้อยหลงหาย เรื่องนี้เลย คือคิดว่าพระเจ้าคงโกรธ คงผิดหวังในตัวเรามากเลย ไร้ค่า แล้วก็สารภาพบาปกับพระเจ้า

“ลูกผิดไปแล้ว ขอโปรดให้อภัยลูกด้วย  ลูกแย่จริงๆ และลูกเลวที่สุด”

พระเจ้าไม่อยากให้เราคิดอย่างนั้น เดี๋ยวฟังเรื่องนี้ต่อไป ดาเนียลที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ ก่อนที่พระเยซูจะเกิดประมาณ 500 ปี พระเจ้าตอบเขาว่าอย่างไร?  เหมือนเมื่อตะกี้ เราเล่าเรื่องบุตรน้อยหลงหาย  พระเจ้าตอบว่า …

“แค่กลับมา พ่อก็ดีใจแล้ว อย่ามามัวขออภัยโน่นนั่นนี่เลย”

เพียงอยากได้แค่เศษอาหาร            พ่อไม่ใช่ให้แค่เศษอาหาร พ่อให้บ้านทั้งหลังไปเลย เข้ามาเลย ครอบครองไปเลย นี่เป็นของเจ้าอยู่แล้ว เรารอเจ้ามาตั้งนานแล้ว เราตั้งใจช่วยเจ้ามาตั้งนานแล้ว รอให้เจ้ากลับมา พอเจ้ากลับมา ก็ดีใจ

แค่นี้ คือสิ่งที่พระเจ้าจะทำกับเราทั้งหลาย ที่คิดว่าเราแย่ เราไม่ดี

เรื่องราวของดาเนียล ตั้งแต่บทที่ 1 ที่บาบิโลนได้เข้ายึดครองกรุงเยรูซาเล็ม ในปี 605 ก่อน ค.ศ. และกวาดต้อนเอาชาวยิวมาเป็นเชลย ดาเนียล และเพื่อนอีก 3 คน คือชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก เป็นเชลยรุ่นแรก ในบทที่ 9 เป็นช่วงเวลาประมาณ 66 ปีหลังจากที่ชาวยิวถูกกวาดต้อนมา ตอนที่บาบิโลนเข้ายึดกรุงเยรูซาเล็ม ช่วงนั้นดาเนียลยังเป็นเด็กหนุ่มๆ อยู่ อายุประมาณ 14-15 เวลานี้ผ่านมา 66 ปีแล้ว เวลานี้ดาเนียลก็มีอายุประมาณ 80 กว่าๆ

ดาเนียล 9:1-2 “1 ในปีที่หนึ่งแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส โอรสของเซอร์ซีส (ทรงมีเชื้อสายมีเดีย) ซึ่งได้ครองอาณาจักรบาบิโลน 2 ในปีแรกแห่งรัชกาล ข้าพเจ้าดาเนียล เข้าใจจากพระคัมภีร์ เกี่ยวกับพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งตรัสกับผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ว่ากรุงเยรูซาเล็มจะเริศร้างอยู่เจ็ดสิบปี”

 

อายุ 80 ดาเนียลกำลังอ่านพระคัมภีร์เดิม สมัยก่อน ไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ กำลังอ่านผู้เผยพระวจนะ ชื่อเยเรมีย์ พบถ้อยคำตรงนี้ว่ากรุงเยรูซาเล็มจะถูกทิ้งร้าง เป็นเวลา 70 ปี ในเยเรมีย์ 25:1บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

เยเรมีย์ 25:11 “ดินแดนทั้งหมดนี้ จะกลายเป็นซากทิ้งร้างว่างเปล่า และชนชาติเหล่านี้ จะรับใช้กษัตริย์บาบิโลน เป็นเวลาเจ็ดสิบปี”

 

เขาได้อ่าน คำเผยพระวจนะนี้บอกไว้ก่อน ตั้งแต่ก่อนเขาจะมาเป็นเชลยอีก แล้วมันก็เป็นจริงตามนั้นด้วย ตอนนี้ดาเนียลอยู่บาบิโลนมา เป็นเวลา 66 ปีแล้ว เพราะฉะนั้น เหลือเวลาอีก 4 ปีเอง ดาเนียลต้องตื่นเต้นแน่ๆ มาดูว่าอะไรเกิดขึ้นต่อ ดาเนียล 9:3-6

ดาเนียล 9:3-6 “3 ข้าพเจ้าจึงขะมักเขม้นอธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการถืออดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบและคลุกขี้เถ้า 4 ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าและทูลสารภาพบาปว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่และน่าครั่นคร้าม ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาแห่งความรักต่อบรรดาผู้ที่รักพระองค์ และเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ 5 ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำผิดทำบาป ทำชั่วและกบฏต่อพระองค์ หันหนีจากบทบัญญัติและพระบัญชาของพระองค์ 6 ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เชื่อฟังเหล่าผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่งกล่าวในพระนามของพระองค์แก่บรรดากษัตริย์ เจ้านาย บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย ตลอดจนประชากรของแผ่นดิน”

 

หลังจากที่ดาเนียลนับไปนับมาอยู่ว่าเหลือเวลาอยู่อีกแค่ 4 ปี ก็จะได้เป็นไท กลับไป เมืองเดิม คือเยรูซาเล็มแล้ว ดาเนียลขะมักเขม้นอธิษฐาน การถืออดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบและคลุกขี้เถ้า อดอาหาร คือประเพณี วัฒนธรรมอันหนึ่งของชาวยิว ที่สำแดงถึงความถ่อมใจ

นี่คือวิธีการอธิษฐาน สารภาพบาปกับพระเจ้าในสมัยพระคัมภีร์เดิม คือช่วงที่พระเยซูยังไม่มาไถ่บาป ผมบอกพื้นฐานท่านไปแล้ว คือช่วงที่มนุษย์ยังอยู่ในคำสาปแช่งอยู่ ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้ สกปรก

ดาเนียลเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง พระเจ้ากำลังติดต่อกับมนุษย์ทั้งปวง ผ่านทางดาเนียล เวลาพระเจ้าพูดกับดาเนียล ก็คือพระเจ้าพูดกับมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันที่อยู่ที่นี่ด้วย เวลาดาเนียลอธิษฐาน ดาเนียลก็เป็นตัวแทนของพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ ที่กำลังอธิษฐาน นี่คือภาพรวม ดาเนียลก็คร่ำครวญ กำลังสารภาพบาปกับพระเจ้าว่า …

“ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำผิดบาป ทำชั่ว และกบฏต่อพระองค์ หันหนีจากบทบัญญัติ และพระบัญชาของพระองค์”

ถูกต้องเป๊ะเลย มนุษย์เป็นอย่างนี้จริงๆ เมื่อมนุษย์สำนึกในใจของตัวเอง ถ้าเขาไม่ปฏิเสธ เขาจะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป  เมื่อไรจะชดใช้บาปกรรมหมดสักที แล้วเขาบอกว่า …

“ข้าพระองค์ทั้งหลาย”

ตรงนี้ หมายถึงบรรดาชาวอิสราเอล และประชากรทั้งหมดบนโลกใบนี้ แต่เฉพาะของดาเนียลเขาคิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเฉพาะเขากับชาวอิสราเอลเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วบอกว่าพระเจ้าให้อิสราเอลเป็นตัวแทน เล็งเห็นถึงมนุษย์บนโลกใบนี้

“ข้าพระองค์ทั้งหลาย” ตรงนี้หมายถึงบรรดาชาวอิสราเอลทั้งหลาย ที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยนั้น ดาเนียลสำนึกผิดต่อพระเจ้าบอกว่าเป็นเพราะชาวยิวทำผิดต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นกบฏ จึงเป็นการสมควรแล้วที่จะได้รับการลงโทษแบบนี้ ก็เหมือนเราทั้งหลาย  ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า ถ้าเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราก็จะอธิษฐานอย่างนี้  หรือมนุษย์ทั้งปวง ก็จะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป มันสมควรแล้วที่เป็นอย่างนี้ แม้กระทั่งเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังอธิษฐานอย่างนี้เลย

เพราะหลายคน เวลามารู้จักพระเจ้า ก็จะได้รับการสอนอย่างนี้ อธิษฐานตามแบบอย่างของคนที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิม พระเยซูมาที่ไม้กางเขน บอกข่าวดีให้เราแล้ว เรายังอธิษฐานเหมือนเดิม พระองค์มีความชื่นชมยินดีไหม? ถ้าเรายังเป็นทาสอยู่ พระองค์อุ้ม ยกเราขึ้นมา ใส่เสื้อผ้าให้เรา เราก็ลงไปคุกเข่า ยังเป็นทาสๆ พระองค์พาเราลงไปกินข้าวตอนเช้าอย่างดี มีคนมาเสิร์ฟให้ เราตื่นเช้า เราก็โดดออกหน้าต่าง แล้วตะโกน แล้วก็โหนเชือกลงมา แล้วก็โดดตุ๊บๆ เหมือนลิง แล้วก็เข้ามาสู่หน้าต่างของห้องทานข้าวเช้า แล้วก็มานั่งที่โต๊ะ แล้วช้อนส้อมก็ไม่ใช้ เรายังคุ้นเคยกับชีวิตเก่าๆ ตอนอยู่ในป่า แต่พระเจ้าเอาเราออกมาแล้ว ไม่ใช่ทาร์ซานแล้ว

มาดูกันต่อดาเนียลอธิษฐานกันต่ออย่างไรอีก จะใช่ลักษณะเดียวกับเราอธิษฐานกับพระเจ้าทุกวันนี้หรือเปล่า? นี่พระคัมภีร์เดิมนะ เราทั้งหลายนั่งอยู่ที่นี่ เราพระคัมภีร์ใหม่แล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าพระเยซูมาไถ่เราแล้ว

ดาเนียล 9:7-11 “7 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงชอบธรรม แต่ทุกวันนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องอับอายขายหน้า ไม่ว่าชาวยูดาห์ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม และปวงชนอิสราเอลทั้งใกล้และไกล ในประเทศต่างๆ  ซึ่งพระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายกระจัดกระจายไป เพราะเราไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ 8 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายตลอดจนบรรดากษัตริย์ เจ้านาย และบรรพบุรุษต้องอัปยศอดสู เพราะได้ทำบาปต่อพระองค์ 9 องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา และทรงให้อภัย แม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายกบฏต่อพระองค์ 10 ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เชื่อฟังพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย และไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่พระองค์ประทาน ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ผู้รับใช้ของพระองค์ 11 อิสราเอลทั้งปวง ได้ล่วงละเมิดบทบัญญัติของพระองค์ และหลงเตลิดไป ไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ ฉะนั้น คำสาปแช่งและโทษทัณฑ์ทั้งปวง ซึ่งบันทึกไว้ในบทบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า จึงตกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ทำบาปต่อพระองค์”

 

ผมเติมให้ท่านนิดหนึ่ง ท่านจะเห็นชัดขึ้น “อิสราเอลทั้งปวง” ผมจะเปลี่ยนเป็น “มนุษยชาติทั้งปวง”

“มนุษยชาติทั้งปวง ได้ล่วงละเมิดบทบัญญัติของพระองค์ และหลงเตลิดไป ไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ ฉะนั้น คำสาปแช่งและโทษทัณฑ์ทั้งปวง ซึ่งบันทึกไว้ในบทบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า จึงตกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ทำบาปต่อพระองค์ ได้กบฎต่อพระองค์ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ เป็นศัตรูกับพระองค์ หนีพระองค์ไป” เอเมน ถูกหรือไม่ถูก? เป๊ะ

ดาเนียลเริ่มเกริ่นในคำอธิษฐานก่อนว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงชอบธรรม แต่ทุกวันนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องอับอายขายหน้า”

เหมือนคำอธิษฐานของหลายๆ คนที่สำนึกแล้ว รู้ตัวแล้วว่าทำไม่ดีเลย ไม่งามเลย สมควรได้รับโทษ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี้ มันกำลังทำให้อับอายขายหน้า ไม่ใช่ตัวเอง พระเจ้า เมื่อเราสำนึกได้ เรารู้สึกว่าอับอายขายหน้าพระเจ้ามากว่านี่หรือเป็นประชากรของพระเจ้า ทำไมอยู่ในสภาพอย่างนี้  ไหนอิสราเอล เป็นประชากรของพระเจ้า ดูสิ กลายเป็นทาสเขาไปแล้ว ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ไม่มีสง่าราศีเลย  เห็นไหม?  ท่านลองนึกภาพที่ผมบอกสิ พิมพ์ภาพนี้ไปยังมนุษยชาติทั้งปวง จะเห็นภาพเลย นี่หรือมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง เป็นพระฉายของพระองค์ พระฉายของพระองค์เป็นอย่างนี้เหรอ ทั้งโลภ ทั้งทำชั่วอย่างรุนแรง ทั้งโกหก หลอกลวง ปลิ้นปล้อน นี่หรือ! พระฉายของพระองค์ นี่หรือ! พระองค์ทรงสร้างเขา มารคงหัวเราะเยาะ เป๊ะเหมือนกัน

ตรงที่บอกว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา และทรงให้อภัย แม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายกบฏต่อพระองค์ ในภาษาอังกฤษใช้คำนี้ชัดขึ้น เป็นพหูพจน์ คือให้เห็นว่ามันมีมาก ก็คือมีหลายๆ ครั้ง หรือเกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่ใช่ครั้งเดียว ทำผิดมาแล้วหลายครั้ง สำนึกผิดแล้วหลายครั้ง พระเจ้าก็ให้อภัยหลายๆ ครั้ง เหมือนกัน ตามมาตลอด  มันหมายถึงอย่างนี้ ก็แสดงว่ามันเป็นวงจรว่ามนุษย์ต้องทำผิดแน่นอน และพระเจ้าก็ต้องอภัยให้แน่นอน เพราะพระเจ้ารู้ว่ามนุษย์อ่อนแอ เมื่อผิด ก็ผิดอยู่ดี จะไปไหนพ้น มันอยู่ในความบาป

“วันหนึ่ง ฉันจะส่งลูกชาย พระเยซูมา วันหนึ่ง คือแผนการฉันจะพุ่งไปที่พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน ในวันศุกร์ประเสริฐนั่นแหละ เพื่อชำระบาป จะได้หมดเวร หมดกรรมสักที รออีกหน่อย”

อะไรประมาณนั้น  ถ้าทุกวันนี้ ทำผิดล่ะ  ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ เป็นไปตามกฎแหละ ไม่รู้จะทำอย่างไร? ยังอยู่ในชนัก คุ้นๆ ไหมว่าคำอธิษฐานนี้ ก็คือเราทั้งหลายที่อธิษฐาน

“โอ้! พระเจ้าลูกผิดไปแล้ว ลูกสำนึกบาป อภัยให้ลูกด้วย ลูกสัญญาว่าจะไม่ทำอีก รับรองลูกไม่ทำอีกเลย”

แล้วทำไม?  ทำ  พอเราทำ แล้วพระเจ้าให้อภัยไหม?  ให้ ให้กี่ครั้ง?  70×7 ก็คือ 490 ครั้งต่อหนึ่งความผิด  วันนี้โกหก ให้อภัย โกหก เกิน 490 หรือยัง ถ้ายังไม่เกิน โกหกได้ต่อ วันนี้ไปโกงเขา  โกงเขามากี่ครั้งแล้ว 490 ครั้งหรือยัง? ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น 70×7 คือความหมายว่าให้อภัยอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คืออย่างไรก็ให้อภัย ให้อภัยอย่างอันลิมิต ครบบริบูรณ์  ก็คือจนสุดของการอภัย ไม่มีการยกเลิก มันหมายถึงอย่างนั้น นี่คือวงจรของมนุษย์ที่เป็นคนบาป และวงจรการให้อภัยของพระเจ้า เพระพระองค์รู้ว่ามนุษย์อ่อนแอ อยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง ช่วยตัวเองไม่ได้  พระคัมภีร์พูดอย่างนั้น  หนังสือโรมบอกว่ามนุษย์อ่อนแอช่วยตัวเองไม่ได้ พระเจ้าทรงเมตตาทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระเยซูมาช่วยเรา เพราะเราช่วยตัวเองไม่ได้ นี่คือความหมายในคำอธิษฐานที่ดาเนียลรู้ตัวว่าที่ผ่านมา บรรพบุรุษของชาวยิวเคยทำผิดบาปต่อพระเจ้ามากแค่ไหน? นับครั้งไม่ถ้วนขนาดไหน? กี่ครั้งก็ตาม พระเจ้าก็อภัยอยู่เรื่อยๆ ในพระคัมภีร์ บางครั้ง ให้ท่านเห็นว่าชาวยิวทำผิด ทำอะไรต่างๆ พระเจ้าทรงกริ้ว

“พระเจ้าทรงกริ้ว” สำหรับผมเป็นอย่างนี้ จะถูกจะผิดไม่รู้ ท่านฟังก็แล้วกัน ตะกี้ผมยกตัวอย่างให้ท่านดูใช่ไหม? เหมือนไฟฟ้าแรงสูงมันวิ่งผ่าน แล้วเราเอามือไปจับ พอเราจับปุ๊บ ไฟฟ้ามันกริ้วเรามาก ดูดเราตายเลย เราไม่ควรไปจับมันเลย ในทำนองเดียวกัน พระเจ้ากริ้วมาก มนุษย์ไม่ควรทำบาป แต่ทำ เหมือนกัน คือกริ้ว ผมคิดว่าเป็นลักษณะอย่างนี้ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย ถ้าโหดร้าย ไม่เตรียมพระเยซูไว้หรอก แต่จริงๆ แล้ว คือแผนการแห่งความรักทั้งสิ้น ตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? ทรงกริ้ว ก็คือมันเป็นเรื่องที่มนุษย์กับพระเจ้าเข้ากันไม่ได้ ถ้าทำผิดกฎก็ต้องได้รับโทษ คือคำสาปแช่งนั่นเอง เรามาดูเลวีนิติ 26:32-35 บันทึกไว้ว่า …

เลวีนิติ 26:32-35 “32 เราจะทิ้งให้แผ่นดินเริศร้าง จนศัตรูของเจ้า ที่เข้ามาพักอาศัยตกใจ 33 เราจะทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไป ท่ามกลางชนชาติต่างๆ เราจะชักดาบออกจากฝักรุกไล่เจ้า ดินแดนของเจ้า จะถูกทิ้งร้าง และเมืองต่างๆ จะถูกทำลาย 34 แล้วแผ่นดินจะได้ชื่นชมกับปีสะบาโตของมัน 35 ตลอดช่วงที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งเจ้าตกอยู่ในดินแดนของศัตรู แผ่นดินจะได้พักสงบ และชื่นชมกับสะบาโตของมัน ชดเชยกับที่ไม่ได้หยุดพัก ในช่วงสะบาโต ขณะที่เจ้าอาศัยอยู่ในแผ่นดิน”

 

นี่คือแผนการของพระเจ้า และความจริงที่มนุษย์ตกอยู่ในความบาป คำสาปแช่ง ที่พระเจ้าให้มนุษย์ได้เรียนรู้ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่าจะให้สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้น ดินแดนของเจ้าจะถูกทิ้งร้าง และเมืองต่างๆ จะถูกทำลาย และเหตุการณ์เหล่านี้ ก็เกิดขึ้นจริงๆ ตรงเป๊ะตามที่พระองค์บอกไว้ ก็คือเยรูซาเล็มก็ถูกทิ้งร้าง โดยถูกบาบิโลนเข้ายึดครอง และทำลาย กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย จนกลายเป็นเมืองร้าง ตรงตามคำเผยพระวจนะเป๊ะเลย บอกให้เป็นอย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้ แต่ทั้งหมดนี้ ก็อยู่ในแผนการของพระเจ้าที่จะไถ่มนุษย์ทั้งหมดหลุดพ้นออกจากคำสาปแช่ง ท่านจงเห็นภาพใหญ่ๆ  เวลาอ่าน ท่านจะได้เข้าใจ ไม่อย่างนั้น เราจะรู้สึกว่าพระเจ้าทำไมโหดร้ายอย่างนี้ ไม่เลย พระเจ้าเราเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความดีงาม พระเจ้าแห่งความเมตตา พระเจ้าแห่งความสงสาร สงสารเรามาก คิดดูว่าพระเยซูยกคำนี้ ท่านคิดว่าอย่างไร?

“ท่านทั้งหลาย ที่เป็นคนบาป  (มีทั้งหงุดหงิด มีทั้งโกรธ มีทั้งเห็นแก่ตัว) ยังรู้จักรักลูกของตัวเอง ให้ของดีๆ กับลูก และพระเจ้า (ไม่ใช่คนบาป) เป็นพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก จะรักท่านทั้งหลายมากขนาดไหน? ลองคิดดู” ท่านก็รู้ว่าขนาดไหน?  เรามาดูในดาเนียล 9:12-19

ดาเนียล 9:12-19 “12 พระองค์ทรงทำตามที่ตรัสไว้แล้วว่าจะนำภัยพิบัติยิ่งใหญ่ มายังข้าพระองค์ทั้งหลาย และผู้ครอบครองทั่วใต้ฟ้า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เสมอเหมือนที่เกิดกับเยรูซาเล็ม 13 ภัยพิบัติทั้งปวงนี้ เกิดกับข้าพระองค์ทั้งหลาย ตามที่บันทึกไว้แล้ว ในบทบัญญัติของโมเสส ถึงกระนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลาย ก็ไม่ได้แสวงหาความเมตตาจากพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย โดยหันกลับจากบาป และไม่ได้ใส่ใจในความจริงของพระองค์เลย 14 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงรีรอที่จะนำภัยพิบัตินี้ มายังข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงชอบธรรมในทุกสิ่งที่ทรงกระทำ ถึงเพียงนี้แล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายยังไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ 15 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงนำประชากรของพระองค์ออกจากอียิปต์ ด้วยพระหัตถ์อันทรงอานุภาพ และผู้สถาปนานามของพระองค์ ซึ่งยืนยงตราบเท่าทุกวันนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำผิดทำบาปไปแล้ว

16 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้สอดคล้องกับการกระทำ อันชอบธรรมทั้งปวงของพระองค์ ขอโปรดทรงหันเหพระพิโรธ จากเยรูซาเล็มเมืองของพระองค์ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เพราะบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย และความชั่วช้าของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นเหตุให้เยรูซาเล็มและประชากรของพระองค์กลายเป็นที่เหยียดหยามของคนทั้งปวงที่อยู่โดยรอบ 17 “ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้ ขอทรงสดับคำอธิษฐานวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเห็นแก่พระองค์เอง โปรดเหลียวแลสถานนมัสการอันเริศร้างของพระองค์ด้วยความโปรดปรานเถิด 18 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเอียงพระกรรณสดับฟัง โปรดทอดพระเนตรความเริศร้างของกรุง ซึ่งใช้พระนามของพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายทูลวิงวอนต่อพระองค์ ไม่ใช่เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายชอบธรรม แต่เพราะพระเมตตายิ่งใหญ่ของพระองค์ 19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสดับ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงอภัย ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสดับและทรงช่วย ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขออย่าทรงล่าช้า เพื่อเห็นแก่พระองค์เอง เพราะนครของพระองค์ และประชากรของพระองค์ ใช้พระนามของพระองค์”

 

ช่วงที่มนุษย์อยู่ในความบาป และพระเยซูยังไม่มาไถ่ เมื่อคนไหนสำนึกบาป เขาจะอธิษฐานอย่างนี้แหละ เพราะเขารู้ตัวว่าเขาเป็นคนบาป ท่านลองใส่อย่างที่ผมบอก ตัวแทน ใส่มนุษย์ลงไป ตรงหมดเลย คำอธิษฐานนี้ ก็คือคำอธิษฐานของอาดัมกับอีฟ มนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา ก็ต้องอธิษฐานอย่างนี้

“ข้าพระองค์ทำอย่างนี้ พามนุษย์ลูกหลานของฉันตกลงไปในความบาปหมดเลย แย่เลย”

แต่นี่เป็นเรื่องของดาเนียลส่วนหนึ่ง ท่านต้องเข้าใจให้ชัดว่าพระเยซูไม่ได้มาช่วยแค่คนยิว คนอิสราเอลเท่านั้น  แต่เล็งไปถึงมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้

ดาเนียลอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ เป็นเพราะบรรพบุรุษของอิสราเอลได้กระทำผิดต่อพระเจ้า กบฏ ไม่เชื่อฟัง ทำผิดต่อบทบัญญัติของพระเจ้า หันเหไปจากบทบัญญัติของพระเจ้า สมควรแล้วที่จะต้องได้รับโทษอย่างนี้ ที่เป็นอยู่นี้ แต่ก็ขอเมตตา พระเจ้าช่วย อภัยให้ด้วย นี่คือความเป็นจริง เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เมื่อพระองค์ตรัสคำไหนแล้ว ต้องเป็นคำนั้น พระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล เมื่อพระองค์ตรัสแล้ว ก็ต้องเป็นอย่างนั้น พิพากษาแล้วก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้ากบฏ ไม่เชื่อฟัง เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า ก็ได้รับโทษ คือคำสาปแช่ง เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อพระองค์ตรัสแล้วว่าจะทำให้เยรูซาเล็มต้องถูกทำลาย กลายเป็นเมืองร้าง ผู้คนต้องทุกข์ทรมานในต่างแดน สิ่งนั้น ก็ต้องเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้น เพื่อเป็นผลดีทีหลัง และมันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ตามที่ได้บันทึกไว้แล้ว ตรงเป๊ะ

“แต่เพื่อพระนามของพระองค์ ขอทรงโปรดให้อภัยแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายสักครั้งเถิด”

ดาเนียลกำลังอยู่ในช่วง 4 ปีสุดท้าย ที่พระเจ้าสัญญาว่าครบ 70 ปีแล้วจะให้กลับไปเยรูซาเล็ม ดาเนียลอธิษฐาน มันจะถึงเวลาแล้ว โปรดให้อภัยเมื่อครั้งที่แล้ว และต่อไปอีก ช่วยเหลือที่จะไม่ทำอีกเถิด

สังเกตดูให้ดีๆ นะ ดาเนียลไม่ได้อธิษฐานว่า “ขอทรงโปรดให้อภัย เพื่อเห็นแก่ข้าพระองค์ หรือเพื่อเห็นแก่ชาวยิว แต่ขอทรงโปรดให้อภัย เพื่อพระนามของพระองค์จะได้ไม่เสื่อมเสีย”

“เพื่อพระนามของพระองค์จะไม่เสื่อมเสีย” คือเพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์เป็นผู้สร้างมนุษยชาติ เป็นผู้สร้างเราทั้งหลายอิสราเอล พระองค์เป็นพระเจ้าของเรา ถ้าเราแย่ พระองค์ก็เสียเกียรติ แล้วมนุษย์เป็นอย่างนี้ ไม่มีความรัก มีแต่ความเกลียดชังกัน ฆ่ากันอย่างนี้เหรอ พระเจ้าเสียเกียรติ แต่เรามารู้จักพระเจ้า เราดำเนินชีวิตด้วยความรักในพระเจ้า พระเจ้าได้รับเกียรติ มนุษย์ต้องเป็นอย่างนี้ เต็มไปด้วยความรัก อภัย เสียสละ แม้ชีวิตของตัวเองให้กับคนอื่นก็ได้  พระเจ้าได้รับเกียรติ ตรงนี้ หมายถึงอย่างนั้น

มาดูต่อว่าหลังจากดาเนียลอธิษฐานแบบนี้แล้ว พระเจ้าตอบอย่างไร?  มนุษย์ทุกคนกำลังบอกว่า …

“แย่ ฉันเป็นคนบาป ฉันไม่ดี ฉันทำผิดอีกแล้ว ทำผิดอีกๆๆๆ ขออภัยๆๆๆ”

ดูสิว่าพระเจ้าตอบว่าอย่างไร? ดาเนียล 9:20-27

ดาเนียล 9:20-27 “20 ขณะข้าพเจ้าอธิษฐานสารภาพบาปของตัวเอง และของชนอิสราเอล พี่น้องร่วมชาติ และทูลอ้อนวอนพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า เพื่อภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ 21 ขณะที่ข้าพเจ้ายังอธิษฐานอยู่นั้น กาเบรียล ผู้ซึ่งข้าพเจ้าเห็นในนิมิตครั้งก่อน เหาะมาหาข้าพเจ้าอย่างรวดเร็ว ในเวลาถวายเครื่องบูชายามเย็น 22 เขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ดาเนียลเอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ 23 ทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบ ซึ่งเราได้นำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง ฉะนั้น จงใคร่ครวญเนื้อความและเข้าใจนิมิตนั้น 24 “เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’ ทรงกำหนดไว้แล้ว สำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด 25 “จงรับรู้และเข้าใจข้อนี้เถิด คือตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’ และหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ จะมีการสร้างถนนหนทางและคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก 26 หลังจากหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้จะถูกประหารและจะไม่เหลืออะไร ประชาชนของผู้ครอบครองจะมาทำลายกรุงนั้นและสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้ 27 ผู้นั้นจะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมากเป็นเวลาหนึ่งของ ‘เจ็ด’ แต่กลางของ ‘เจ็ด’ นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของพระวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา ตามที่กำหนดไว้”

 

หลังจากที่ดาเนียลอธิษฐานเสร็จแล้ว พระเจ้าก็ส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมาตอบคำอธิษฐานให้ ตรงเนื้อหาในคำตอบ เป็นเรื่องราวที่ถ้าผมอธิบายให้ท่านฟัง ท่านจะต้องตื่นเต้น และไชโยโห่ฮิ้วเลยนะ ถึงขั้นเรียกว่าขนลุกเลย  เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แบบเป๊ะของเป๊ะๆ อีกทีหนึ่งเลย มีหลักฐานทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ที่บันทึกไว้เลยว่ามันเป็นไปตามที่อ่านมาทั้งหมดเลย แต่มันต้องเล่าละเอียด แต่ไม่ยากนะ ง่ายๆ

ดาเนียล 26:22-23 “22 “ดาเนียลเอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ 23 ทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบ ซึ่งเราได้นำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง”

 

ดาเนียลเป็นตัวแทนของอิสราเอล … อิสราเอลเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น  ผมจะลองใส่ดู ท่านจะได้เห็นภาพ

พระเจ้าตอบแล้วนะ “มวลมนุษย์เอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ ทันทีที่พวกท่านเริ่มอธิษฐาน เรียกร้องในใจของท่าน พระเจ้าก็ประทานคำตอบ ซึ่งเราได้นำมาบอกมวลมนุษย์ เพราะมวลมนุษย์เป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง” เอเมน

เพราะมวลมนุษย์เป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง แล้วจริงไหม? จริง

“ฉะนั้น จงใคร่ครวญเนื้อความและเข้าใจนิมิตนั้น 70 ของ 7 ทรงกำหนดไว้แล้ว สำหรับมนุษยชาติ (ร่วมโลกใบนี้) และนครศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์บนโลกใบนี้ ให้ยกเลิก”

จำที่ผมฉีกกรมธรรม์ได้ไหม?

“มันได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ให้ยกเลิกการล่วงละเมิด (คือความผิดที่ได้ไปล่วงละเมิด) ยกเลิกความบาป การเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า และให้ลบล้างความชั่วที่เคยทำไว้ทั้งหมด ที่เป็นคำสาปแช่งทั้งหมด ให้ยกเลิกหมดเลย มันได้ถูกกำหนดไว้ว่าจะทำอย่างนั้น และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้”

ชอบธรรมมั่นคง ก็คือบริสุทธิ์มั่นคง ไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป

“เพื่อประทับตรานิมิต และคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ ก็คือร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า”

เห็นภาพไหม? นี่คือข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ ผมถึงบอกว่าต้องเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้พื้นฐานทั้งหมดนี้ อย่าไปเล็งว่าเป็นของอิสราเอลเท่านั้น เป็นของมนุษย์ทั้งหลาย  ท่านใส่มนุษย์เข้าไป มันจะเห็นภาพเป๊ะเลย

ทูตสวรรค์บอกว่าทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน  ทันทีที่มนุษย์อธิษฐาน ทันทีทันใดเลย พระเจ้าก็ประทานคำตอบให้แล้ว พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าหมดแล้วว่าเราอธิษฐานขออะไร? เราลำบากตรงไหน? พระองค์ทรงเตรียมคำตอบไว้ให้เรียบร้อยแล้วด้วย ก่อนที่ดาเนียลจะอธิษฐาน หรือก่อนที่เราจะอธิษฐาน พระองค์ทรงรู้ว่าเราทุกข์ลำบากขนาดไหน? มนุษย์ ที่ตกลงไปในความบาป ตกอยู่ในคำสาปแช่ง มันทรมานขนาดไหน? พระองค์ทรงรู้แล้ว แค่เราจะค้นหาสัจจะธรรมในชีวิต ก็จะเจอพระองค์

พระคัมภีร์จึงบอกว่า “พระเจ้ามองตลอดทะลุแผ่นดินโลกนี้ เพื่อมองหาผู้คนเหล่านั้น ที่แสวงหาพระองค์ด้วยความจริงใจ”

ขอให้เรามีความจริงใจเท่านั้น เราก็จะเจอพระเจ้า ผมมาเจอพระเจ้า ก็เพราะความจริงใจ ไม่ใช่ เพราะเราเก่ง เพราะเราฉลาด แต่เพราะเราไม่รู้จะไปไหน? เราหาพระเจ้า เราเกิดมาจากใคร? เราเป็นใคร? วิญญาณข้างในเราเรียกร้อง เราก็จริงใจ เราก็เจอพระเจ้า เพราะพระเจ้าเตรียมคำตอบให้เราแล้ว ก่อนที่เราจะอธิษฐาน ตอบก่อนที่เราจะอธิษฐาน รู้ว่าเราต้องการอะไรข้างใน ขอให้เรากล้าเข้ามาหาพระองค์ด้วยความจริงใจ พระเจ้าพระเยซู คือใคร? พระเจ้า คือใคร? ที่เคยได้ยินมา อยากรู้จัก พระองค์จะสำแดงพระองค์ให้กับคนนั้น ได้รู้จัก เพราะว่าพระองค์เมตตาสงสารต่อมนุษยชาติอย่างมาก ที่ตกลงไปในความบาป ลูกของพระองค์ทั้งนั้น  และที่สำคัญ คือแผนการที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้นั้น มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ดาเนียลอาจทูลขอเพียงแค่เรื่องที่เห็นอยู่ตรงหน้า ก็คือขอแค่สามารถพาชาวอิสราเอลกลับไปบ้านเกิดเมืองนอน กลับไปรื้อฟื้นเยรูซาเล็ม กลับไปพบกับความสงบอีกครั้งหนึ่ง แต่พระเจ้าบอกว่าพระองค์เตรียมไว้ให้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด  พระคัมภีร์เดิมตรงนี้ แปลได้ว่า The best ให้คำตอบ คือขอเศษอาหาร พระองค์ให้ดีที่สุดเลย  คำตอบของพระเจ้า ก็เหมือนกับที่พ่อของลูกชายที่หลงหายไป ตอบเขา … เขาจะขอไปกินเศษอาหาร เป็นทาส แต่พ่อบอกว่าให้ดีกว่านั่นอีก ให้เป็นเจ้าของบ้านเลย  กลับมาเหมือนเดิม ไม่ได้คิดลงโทษ จัดงานเลี้ยงให้อีกต่างหาก แถมให้ฐานะกลับคืน เป็นบุตรเหมือนเดิม เป็นราชบุตรเหมือนเดิม  เราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู เราทั้งหลายกลับมาเป็นบุตรของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น ที่ผมบอกไว้ตอนต้นว่าฟังเรื่องนี้จบแล้ว เราอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในท่าทีในการอธิษฐาน เราไม่ต้องหงอ อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่ใช่ แล้วพระเจ้าก็ไม่ได้ต้องการอย่างนั้น พระเจ้าต้องการให้เรารู้ตัวตนของเรา ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ที่ได้รับการไถ่นั้น  เป็นอย่างไร? ให้เรามีความมั่นใจ ไม่ใช่อยู่ในบ้านแบบหงอๆ กลัวๆ แต่ให้เราอยู่ในบ้านด้วยความมั่นใจว่าอยู่ในบ้านหลังนี้ ที่มีชื่อว่าพระคริสต์ เรามีฐานะเป็นบุตร เป็นทายาทครอบครอง เราอาจจะทำเผลอไปบ้าง เราอาจจะทำเหมือนสมัยก่อนบ้าง อาจจะเป็นทาร์ซานที่ยังติดนิสัยอยู่ในป่าบ้าง ไม่เป็นไร พระเจ้าค่อยๆ ส่งคนมาเทรนเรา ฝึกเรา สอนเราทีละวันๆ เดี๋ยวเราก็กลับมาเป็นผู้ดีเองแหละ เอเมน และสอนด้วยวิธีอะไร? ท่านจะรู้เอง ชีวิตทุกวัน เราได้รับการสอนจากพระเจ้าตลอด พระวิญญาณจะนำพาเราทุกวันๆ สอนให้ทาร์ซานกลับใจสักทีหนึ่ง เอเมน ถ้าท่านไม่ค่อยให้อภัย เกลียดคนเรื่อยๆ พระเจ้าก็สอนไปๆ วันหนึ่ง ท่านก็เริ่มให้อภัยได้มากขึ้น เริ่มเห็นอกเห็นใจคนอื่นได้มากขึ้น มันต้องเป็นอย่างนี้

นั่นแหละ พระเจ้าต้องการแค่นี้เอง แต่ท่านต้องมั่นใจก่อน ไม่อย่างนั้น ท่านจะถูกเปลี่ยนไม่ได้  ถ้าท่านยังมาเป็นทาสอยู่ จะสอนท่านได้อย่างไร? วันๆ ท่านก็คอยแต่จะโหนต้นไม้ลงมาจากบนหลังคา พระเจ้าบอกเมื่อไรจะลงมา เป็นลูกเราสักที เป็นลิงอยู่นั่นแหละ เข้าใจใช่ไหม? ผมยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ชีวิตเราจะเปลี่ยนไป พระคัมภีร์บอกไว้ใน 1 เปโตร 2:24

1 เปโตร 2:24 “พระเยซูทรงแบกรับบาปเราไว้บนไม้กางเขน บนต้นไม้ เพื่อว่าการตายต่อบาปของเรานั้น เราจะได้เป็นผู้ชอบธรรม ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว คือหายจากการเป็นบาปแล้ว” เอเมน

 

เราชอบธรรมแล้ว เราก็ยังบอกว่าตัวเองบาป เราเคยเป็นคนบาป แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นผู้ชอบธรรม เอเมน

ดังนั้น การอธิษฐานของเราจะเปลี่ยนไป ท่าทีเราจะเปลี่ยนไป สัปดาห์ที่แล้ว ทุกอย่างทำมา ในพระคัมภีร์เดิมเขียนคำนี้เยอะที่สุดเลย  วันหนึ่งพระเจ้าจะฉีกกรมธรรม์นั้น จะปลดโซ่ตรวนที่มันยึดเราไว้ เอาโซ่ตรวน เอากรมธรรม์ที่พิพากษาเราเป็นคนบาป เป็นคนได้รับคำสาปแช่ง เป็นคนเลว คนชั่วนั้น พระองค์จะตรึงมันไว้ที่ไม้กางเขน ในโคโลสี 2:14 แล้วพระเยซูก็ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน  คือฉีกกรมธรรม์ แล้วตรึงไว้ที่ไม้กางเขน โซ่ที่ตรึงเรา เอาโซ่นั้นไปพันธนาการที่ไม้กางเขน เราเป็นอิสระแล้ว เราอ่านโคโลสี 2:14 พร้อมกัน

โคโลสี 2:14 “พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเรา ด้วยบัญญัติต่างๆ ซึ่งขัดขวางเราและได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้น โดยทรงตรึงไว้ที่กางเขน” เอเมน

 

ให้พูดจนเข้าไปในวิญญาณจิตของท่าน ให้มันลึกๆ ว่ามันอยู่ตรงนั้น ไม่ได้อยู่ที่ท่านอีกแล้ว  ท่านไม่เกี่ยวอะไรอีกแล้ว ต่อให้ท่านทำบาปวันนี้ ท่านก็ไม่ใช่คนบาป มันเป็นนิสัยเดิม มันเป็นความเคยชินเดิม ท่านยังอยู่ในความบริสุทธิ์ของพระคริสต์เหมือนเดิม แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ทาร์ซานจะไปปีนต้นไม้บ้าง เขาก็ยังเป็นลูกของพระเจ้า ที่พ่อเจ้าของบ้าน พาเขาออกมาอยู่ในราชวังแล้ว บางครั้ง เขาจะไปปีนต้นไม้บ้าง? บางครั้งเขาปีนหลังคาบ้าง? เพราะเขาเคยปีนมาก่อน นานๆ เขาก็จะรู้ว่าต่อไปนี้พระเจ้าบอกมีลิฟต์ ทำไมไม่ใช้ลิฟต์ เขาก็หัดใช้ลิฟต์ ทุกวันนี้เราก็กำลังหัดใช้ลิฟต์อยู่ บางครั้งเราเพลินไป เราก็ขอปีนต้นไม้หน่อย ขอลงจากชั้น 4 ลงมากินข้าว แทนจะลงลิฟต์มา เราก็สไลด์ที่เท้าบันไดลงมา เหมือนเด็กๆ เล่นลงมา แล้วเราก็ล้มหัวทิ่มลงมา เจ็บตัวอีก เราก็นึกว่าพระเจ้าตีเรา ไม่ได้ตีเลย ก็เราไปเล่นอย่างนั้น มันก็โดนสิ นึกภาพออกไหม?

บัดนี้ โซ่ตรวนที่ตรึงเราไว้ ได้ถูกทำลายเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระองค์ในวันที่ 3 พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้ในหนังสือเอเฟซัส 2:8 บอกว่า …

เอเฟซัส 2:8 “เราทั้งหลายได้รับความรอดจากโซ่ตรวนเหล่านี้ ด้วยความเชื่อในพระคุณของพระเจ้า”

ไม่ใช่ด้วยการกระทำดีของพวกเรา แต่ด้วยพระคุณของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้กับเราบนไม้กางเขนนั้น และในอดีตเราเรียกร้องขอแค่การยกโทษ แต่พระเจ้าให้พระคุณแทน ไม่ใช่พระคุณธรรมดา แต่เป็นพระคุณที่อัศจรรย์มากเลย คือให้ตลอดเวลา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************