คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 7 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 4 “มรดกของผู้เชื่อในพระเยซู” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  พฤศจิกายน  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 7 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 4

“มรดกของผู้เชื่อในพระเยซู”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 7 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 4  ซึ่งมีเก้าอี้ 2 ตัวนี้อยู่เหมือนเดิม แต่วันนี้จะเน้นนิดหนึ่ง คือ “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” เรื่องมรดกของผู้เชื่อในพระเยซู

เรามาสรุปกันก่อนว่าความหมายและความแตกต่างของ 2 อาณาจักรจากโลกวิญญาณ ที่เราได้เรียนกันมา 6 ตอนแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?

สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ ก็คือโลกวิญญาณที่ซ้อนอยู่บนโลกวัตถุ บนโลกใบนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่ามี 2 อาณาจักร … อาณาจักรแรกที่เห็นทางซ้ายมือของท่านนั้น จะเป็นแบบสว่างหน่อย ทางขวามือมืดหน่อย จริงๆ ไม่เห็นด้วยตาเนื้อของเรา แต่พระเจ้าบอกจงมองให้เห็นเถิด

ชีวิตในฝ่ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ตัวจริงของเขาได้อาศัยอยู่ในครอบครัวพระคริสต์นี้ทันที เขาจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรผิดก็ตาม ก็ยังนับว่าเป็นถูกเสมอ นี่พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น  ไม่ว่าทำผิดอะไรแค่ไหน? ก็ยังถูก เพราะว่าแกนมันถูก พระเยซูบอกว่าต้นไม้ดี ก็จะให้ผลที่ดี ต้นไม้เลว ก็จะให้ผลที่เลว มันไม่ได้อยู่ที่ผล แต่มันอยู่ที่ต้นตอ

มาอีกอันหนึ่ง ทางขวามือของท่าน ก็คือมืดๆ พระคัมภีร์ให้ชื่อว่า “ครอบครัวของอาดัม” ใครที่อยู่ในอาดัม ก็คือใครที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เพราะมันมีอยู่ 2 อันเท่านั้นเอง จะบอกว่า …

“ฉันอยู่ตรงกลาง”

พระคัมภีร์บอกไม่มี มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นมืดหรือสว่าง ในครอบครัวอาดัมหรือในครอบครัวพระคริสต์

ใครอยู่ในครอบครัวอาดัม คนนั้นมีสถานะ ในพระคัมภีร์เรียกว่าคนอธรรมนิรันดร์ ก็คือผู้มีบาป ต้องชดใช้บาปเวรกรรมของเขาไปนิรันดร์ ซึ่งตรงกันข้ามกับแสงสว่าง คนที่มาอยู่ในพระคริสต์ เรียกว่าคนชอบธรรม

เพราะฉะนั้น ใครอยู่ในอาดัม พระคัมภีร์บอกว่าเขาเป็นคนอธรรมนิรันดร์ อธรรม คือยังคงมีบาป ต้องชดใช้บาปเวรกรรมของเขาไปนิรันดร์ และคนที่วิญญาณอยู่ในอาดัม เขาดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ทำถูก ทำดีแค่ไหน ก็ยังผิด นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เพราะว่าแกนมันผิด ไส้ในผิด เพราะว่าเป็นต้นไม้เลวแล้ว มันออกลูกอะไรมา มันก็ผิดทั้งนั้น เป็นต้นไม้ที่ออกผลมาเป็นเลวหมด นี่คือพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

สรุปแล้ว 6 สัปดาห์เรียนมาได้แค่นี้ พระเยซูจึงบอกว่าต้นไม้ดี ต้องให้ผลดี ต้นไม้เลว ก็ให้ผลเลว แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร?  แสดงว่าต้นไม้ดีหรือเลว ก็ต้องมองไปที่โลกวิญญาณ เพราะโลกวิญญาณ คือแกนของมนุษย์ทั้งปวง วิญญาณจะอยู่ตลอดไปนิรันดร์ แต่เนื้อหนังร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ มันอยู่แค่ชั่วคราว เพราะฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์นั้น สำคัญมากที่สุด  แต่ว่าพอเรามาคุย เรื่องความจริงแบบนี้ เนื้อหนัง คือความคิดของมนุษย์ ความเคยชินในความคิดของมนุษย์ ที่ไม่ใช่ถ้อยคำของพระเจ้า บางครั้งถ้อยคำของพระเจ้า มันตรงกับความคิดของมนุษย์ก็มี แต่หลายครั้ง ความคิดของมนุษย์ สติปัญญาของมนุษย์ ไม่สามารถจะเข้าใจโลกวิญญาณได้ พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ เนื้อหนัง ความคิด สติปัญญาของมนุษย์ มันก็เริ่มทำงานแล้ว มันเริ่มต่อต้าน พอเริ่มรู้ความจริงว่าพอเราได้มานั่งเก้าอี้ตัวนี้ปุ๊บ พอเรารู้ความจริงว่าเราเกิดมา ก็อยู่ในอาดัม

พระคัมภีร์บอกมนุษย์ ตั้งแต่เกิดก็อยู่ในอาดัมแล้ว เพราะว่ามันได้พรีโปรแกรมแล้ว ยกตัวอย่างลูกของผม ก็อยู่ในตัวผม ตั้งแต่เกิดแล้ว DNA ของผม ก็ถ่ายทอดไปที่เขา ในทำนองเดียวกัน ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงสุด มนุษย์ทั้งปวง ก็มาจากอาดัม นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น บรรพบุรุษของมนุษย์ คืออาดัม เพราะเราเกิดมาก็อยู่ในอาดัม … อาดัมบาป เราก็บาป อาดัม DNA ในวิญญาณเขาบาป เราก็ DNA เป็นบาป แต่พอเรามาเชื่อพระเยซู ที่ได้ไถ่บาป “เชื่อ” คำนี้ แปลว่ายอมรับว่าพระเยซูมาไถ่บาปให้กับผมจริงๆ ผมเชื่อจริงๆ ผมก็รับสิทธิของผม พระเยซูทำให้ผม 2,000 ปีมาแล้ว ผมยังไม่ได้รู้เรื่อง พอผมรู้ ผมจะใช้สิทธิของผมบ้างแล้ว พระเยซูเป็นตัวแทนผม รับบาปของผมไปแล้ว พอผมเชื่อปุ๊บ ทันทีทันใด พระเจ้าก็ให้วิญญาณผมบังเกิดใหม่ มาอยู่อาณาจักรแสงสว่าง ทันทีทันใด ผมก็เป็นลูกของพระเจ้า และผมจะอยู่ที่นี่ตลอดไป พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

พอคนเราฟังอย่างนี้ มันทำอะไรผิดก็ถูกหมดเลย เพราะเราอยู่ที่ขาวแล้ว คนที่อยู่ที่ดำ ทำอะไรที่ดีๆ ก็ผิดหมดเลย  ทำไมเป็นอย่างนั้น มันรับไม่ได้ใช่ไหม? ก็เลยเกิดความขัดแย้งว่าถ้าอย่างนี้ คนที่อยู่ในแสงสว่างแล้ว สะอาดนิรันดร์แล้ว พ้นจากบาปนิรันดร์ ไปสวรรค์แน่นอนนิรันดร์แล้ว

“อ้าว! อย่างนี้ จากนี้ต่อไป ผมอยู่ที่นี่ ก็จะทำอะไรก็ได้  ผมไปสวรรค์แล้ว ก็จะทำดีไปทำไม ไม่ต้องทำดีแล้ว ไม่ต้องรักตัว สงวนตัว หรือว่าพยายามฝึกฝนประพฤติแต่สิ่งที่ดีๆ ในโลกใบนี้ ก็สบายสิ พระเจ้าสอนให้มนุษย์เป็นคนเลวได้อย่างไร? ผมจะทำอย่างไรก็ได้ เพราะอย่างไรก็ได้รับความรอดอยู่แล้ว จริงหรือไม่จริง”

จริงในทางความคิดและสติปัญญาของมนุษย์อันน้อยนิด ทุกคนก็จะคิดอย่างนี้

พระคัมภีร์สอนให้เรามีความรัก มีความเมตตา กระทำดีกับผู้อื่น ไม่โลภ พระเยซูบอกว่าจงอย่าโลภ สอนให้เราไม่อิจฉา สอนให้เราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่งจองหอง และสอนเราในเรื่องผลของพระวิญญาณ 9 อย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้นเลย แต่ฟังให้ดีๆ พระคัมภีร์ไม่ได้สอนให้เราทำดี ละเว้นการกระทำชั่ว เพื่อที่จะได้รับความรอดจากบาป ที่ติดมาจากอาดัมที่เป็นเชื้อบาป เพื่อที่เราจะย้ายออกจากอาณาจักรของความมืดมาสู่ความสว่าง เพราะว่าไม่มีใครทำได้ดีพร้อมตามที่กฎเกณฑ์พระเจ้าได้วางเอาไว้ คือทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีเลย พระเจ้าจึงได้ส่งพระเยซูมาเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ทำแทนเรา เพราะฉะนั้น การจะได้รับสิ่งเหล่านี้ จะได้รับจากพระเยซูเท่านั้น

แต่พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราได้รับความรัก ความเมตตาจากพระเจ้า โดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่มาไถ่บาปให้กับเรา พอเราได้รับความรัก ความเมตตาจากพระเจ้าอย่างนี้แล้ว พระคัมภีร์สอนเราอย่างนี้ว่าเราก็ควร หรือสมควรที่จะเป็นลูกที่เชื่อฟัง ทำตามคำสอน เพื่อให้เป็นที่พอใจ หรือสบายใจของพ่อเรา  คือพระเจ้า ทดแทนพระคุณ ความรักของพ่อเรา พระคัมภีร์บอกว่าเรา ผู้ที่เชื่อในพระเยซู ที่ย้ายไปอยู่ ที่เก้าอี้พระเยซูคริสต์แล้ว สะอาดหมดจดแล้ว อยู่ในสวรรค์นิรันดร์แล้ว เราไม่ได้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตั้งใจจะทำความดี เพื่อที่จะได้มาเป็นลูกของพระเจ้า หรือเพื่อที่จะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เพราะเราได้อยู่ที่นั่นแล้ว แต่เพราะเราได้เป็นลูกแล้ว เราจึงสำนึกในพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ที่เป็นผู้พาเราไปตรงนั้น เราสะอาดแล้ว เราจึงไม่อยากทำสิ่งสกปรกแล้ว

วิญญาณของมนุษย์ทั้งปวงที่เชื่อเป็นอย่างนี้ นี่คือความจริง เราได้รับกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา  ที่จะช่วยนำพาเรา ให้ดำเนินชีวิตตามแผนการที่พระเจ้าวางไว้สำหรับเรา ตามคำสอนของพระองค์ที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ว่าให้ทำอะไร? พระวิญญาณก็จะพาเราไปทำสิ่งเหล่านั้น  พระคัมภีร์จึงใช้คำว่า “ผลแห่งพระวิญญาณ” เพราะว่าไม่ใช่กำลังของเราเอง แต่ผลแห่งการบังเกิดใหม่ของวิญญาณตัวจริงๆ ของเรา  เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว ย้ายมาตรงนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่กับเรา พระเจ้าก็อยู่กับเรา  วิญญาณเราก็สะอาดหมดจดแล้ว ไม่อยากจะทำอะไรที่เสื่อมเสีย สกปรกหรอก มันเป็นอย่างนี้

นี่คือความจริง ในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ เราไม่ได้ทำความดีหรือละเว้นความชั่ว เพราะความกลัวอีกต่อไป แต่ก่อนนี้ เราพยายามทำดี เพราะเรากลัวจะถูกลงโทษ เรากลัวจะตกนรก เราจึงไม่กล้าทำ แต่เดี๋ยวนี้ เราไปสวรรค์แน่นอน แต่เราทำ เพราะเรารักพ่อของเรา และทำเพราะเนเจอร์หรือธรรมชาติ ตัวจริงๆ ของเราเป็นบริสุทธิ์เหมือนพ่อเรา

เคยได้ยินเรื่องธรรมชาตินี้ไหม? เขาเอาหมู ทำให้สะอาดเลย โกนขน ชมพู เป็นเบ๊บเลยนะ แล้วก็ผูกคอด้วย ใส่กระดิ่ง เหมือนสุนัขคล้องเชือก เดินไปด้วยกัน ในห้างสรรพสินค้า คนก็มอง น่ารักมากเลย สักพักเราก็อุ้มมันขึ้นรถ พอกลับมาบ้าน เราก็ปลดโซ่ออก พอปลดออก มันวิ่งไปหาโคลนนอกบ้านทันที เพราะว่าธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้นเอง แต่เราบังเกิดใหม่แล้ว ธรรมชาติในวิญญาณของเรา เหมือนพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดแล้ว มันก็จะไม่วิ่งไปหาสิ่งสกปรก ถ้ามันไปเจอสิ่งสกปรก มันจะรีบวิ่งไปห้องน้ำ ไปขัดมันออก เพราะว่าธรรมชาติต้องการความสะอาด ตรงกันข้ามกับหมู ท่านเห็นภาพไหม? ของเราสะอาดหมดจดแล้ว มันก็จะวิ่งไปหาความสะอาด เพราะวิญญาณมันสะอาด อย่างไรก็วิ่งไปหาความสะอาด แต่ถ้าข้างในสกปรก เดี๋ยวมันก็ทนไม่ไหว ไปหาโคลน ตามธรรมชาติที่เป็นอยู่

อีกอันหนึ่ง ก็คือที่เราทำสิ่งที่ดีงาม ละเว้นความชั่ว เพราะว่าเรามั่นใจว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรสวรรค์ เป็นที่อยู่ถาวรนิรันดร์ของเราแล้ว เราอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเอาเราออกไปจากที่นี่ได้อีกแล้ว ในหนังสือโรม 8 ข้อท้ายๆ พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีฤทธิ์อำนาจใหญ่ขนาดไหน? ใคร? หรือทูตสวรรค์ หรืออะไรก็ตามที่จะมาเอาเราออกไปจากความรักของพระเจ้า ที่มีในพระเยซูคริสต์ เพื่อเราทั้งหลายอีกแล้ว อยู่ในกำมือพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเอาออกไปแล้ว พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงกระทำสิ่งสารพัด ไม่มีผู้ใด หรือสิ่งใดขัดขวางได้  พอไหม? พระเจ้ารับประกันขนาดนี้  พอแล้ว ท่านก็จะได้เดินอย่างสบาย แล้วก็ตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ดี เพราะว่าเราสำนึกในพระคุณ ความรัก ความเมตตา ที่พระเจ้ามีต่อเรา

นอกเหนือจากพระคุณพระเจ้าที่มีเมตตาต่อเราแล้ว เรายังยำเกรง เราไม่อยากจะเจอกับสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์บนโลกใบนี้ เพราะพ่อเราสอนไว้ ไม่ใช่พ่อเราบอกว่าเราจะตกนรก แต่พ่อบอกจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์ แต่ถ้าเธอไปเจอของสกปรกมา เธอแพ้นะ เธอผื่นขึ้นนะ เธออาจจะเป็นโรคผิวหนังนะ ถ้าเธอไม่เชื่อฉัน เธอจะเจ็บปวดในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้มันทุกข์ลำบากนะ แต่ถ้าเธอเชื่อฉัน มันก็ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบสันติสุข ทุกข์น้อยหน่อย เอาแบบไหน? ลูกก็บอกอยากจะเดินอย่างดี เผลอไปทำไม่ดีบ้าง ก็เกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นในชีวิตเรา ซึ่งเราเรียกตามภาษาทั่วๆ ไปว่าผลกรรมของโลกใบนี้ คือหว่านอะไรไปแล้ว ก็เก็บเกี่ยวตรงนั้นเข้ามา เป็นผลทั่วๆ ไป

สมัยต้องทำบ้าน ตกแต่งบ้านใหม่ ลูกก็ยังเล็กอยู่ … อยู่ไปด้วย ทำไปด้วย ไม่ได้สร้างใหม่ เขาก็กองไม้ไว้เยอะแยะ ทั้งไม้ที่ติดตะปู ก็พาลูกไป

“ลูกจำไว้นะ แถบสนามห้ามเข้าไปเลยนะ แต่ก่อนวิ่งได้ แต่ตอนนี้วิ่งไม่ได้ ตะปูมันเยอะแยะไปหมด เหยียบเข้าไป มันทะลุเข้าไปที่เท้าเจ็บปวดนะ เข้าใจไหม?”

“เข้าใจ”

วันหนึ่ง พ่อแม่ไม่อยู่ ลืมที่พ่อแม่สั่งไว้ อย่าเข้าไปในสนาม เล่นเพลินเพลิด เข้าไปในสนาม ก็ไปโดนไม้ที่มีตะปูจริงๆ ทิ่มทะลุรองเท้าผ้าใบ อายุประมาณ 4-5 ขวบ ทะลุรองเท้า เลือดไหลโชกเลย ไม่ร้องไห้สักคำ เพราะรู้ว่าไม่น่าเลย พ่อสั่งไว้แล้ว รีบไปให้แม่บ้านช่วยทายาให้ พอผมกลับมา ทำหน้าตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย  จนแม่บ้านมาฟ้อง

“วันนี้เหยียบไปเลือดไหลโชกเลย”

“ทำไมเขาเดินเหมือนไม่มีอะไรเลย”

ไม่กล้าบอก เพราะเราสอนแล้ว รู้สึกแล้วว่าถ้าเผื่อไม่เชื่อฟัง มันก็ได้ผลไม่ดี เหมือนที่พ่อได้บอกไว้ แล้วผมกลับมา ผมรู้แล้ว ผมจะทำอย่างนี้ไหม?  ไม่เชื่อฟัง เตะออกนอกบ้านไปเลย  ผมไม่ทำ เพราะเป็นลูกผม ต่อให้ทำมากกว่านี้ ก็ยังเป็นลูกอยู่ดี เห็นไหม?  ก็เหมือนกันเรากับพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าอย่าโลภ พอเราโลภ พระเจ้ามาบอก

“สมน้ำหน้า บอกอย่าโลภ ยังโลภ”

พระเจ้าพูดอย่างนี้ไหม?  พระเจ้าก็มาถึง ลูบหัว พ่อก็บอกแล้วไง แล้วเราก็บอกว่า

“ไม่น่าเลย วันหลังไม่เอาแล้วจริงๆ พ่อจ๋าช่วยด้วย”

พอปีต่อมา เราก็โลภอีก เพลินๆ ไป แล้วก็เผลอ เหมือนเด็กตะกี้นี้ เพลินๆ ไป วิ่งเล่นเข้าไปในสนามหญ้า ก็บอกอย่าไป  มันลืม เมื่อพลาด แทบจะไม่อยากกลับมาอธิษฐานเลย เพราะอาย นี่แหละคือความสำนึกที่อยู่ข้างใน ไม่ใช่ความกลัวแบบสมัยก่อน รู้ว่าอย่างไรเราก็รอด รู้ว่าอย่างไร? พระเจ้าก็ไม่ไล่เราออกจากบ้าน รู้ว่าอย่างไรเราก็อยากจะเชื่อฟัง แต่บางครั้งมันเพลินไปหน่อย เพราะว่าเนื้อหนังของมนุษย์ มันยังมีอิทธิพลของความบาป ยังต้องต่อสู้กันอยู่ บางครั้งเราก็ชนะเนื้อหนัง ทำตามถ้อยคำพระเจ้า ที่สอนเรา บางครั้งลืมตัวไปหน่อย โลภไปหน่อย พระเจ้าบอกให้เราอภัย ตอนนี้อภัยไม่ได้ เพราะมันเห็นต่อหน้า และเป็นครั้งที่ 10 แล้ว ที่เขาทำแบบนี้ ไม่ไหวจริงๆ บางคนไม่ถึง 10 หรอก แค่ครั้งเดียว ก็ไม่ไหวแล้ว  อภัยไม่ได้ พระเจ้าบอกถ้าไม่อภัย คืนนี้นอนไม่หลับนะ คืนนี้ก่อนจะนอนหลับ อภัยได้ไหม?  เป็นคนนอนเที่ยงคืน ถึงเที่ยงคืน อ้าว! อภัยแล้ว หลับ ได้หรือเปล่า? ง่ายอย่างนั้นไหม? ไม่ง่าย ไม่อภัย แล้วหลับไป ด้วยความโกรธ กัดฟันก๊อตๆ นอนก็ไม่หลับ แล้วก็แค้น แล้วใครทุกข์ คนที่เราโกรธ เขาทุกข์ไหม?  คนที่เขาทำเรา เขาทุกข์ไหม?  เราไม่รู้ แต่เรานั่น ทุกข์เห็นชัดๆ นอนก็ไม่หลับ ความดันขึ้นอีก ก็พ่อเราบอกแล้ว ตื่นเช้ามา พ่อบอก

“ก็ฉันพูด แล้วเธอไม่เชื่อฟัง บอกให้อภัย เห็นไหม?  ไป ออกจากบ้านไปเดี๋ยวนี้”

เป็นไปได้ไหม?  ไม่ได้ ท่านจะเห็นภาพ นอกจากพระคุณความรักของพระเจ้า ที่เราจะทดแทนแล้ว ความไม่อยากจะเจอสิ่งที่ไม่ดีในชีวิตเรา พระเจ้าบอกอย่าโลภ เราก็ไม่โลภ พระเจ้าบอกถ้าท่านตะกละ จงเอามีดจ่อที่คอหอยของท่าน  พอมันจะกลืน ท่านแทงมันเลย  เคี้ยว แล้วคายออกมา ทำได้ไหม? ถ้าท่านตะกละ จงเอามีดจ่อไว้ ก็คือถ้าท่านไม่ยอมหยุดยั้งในกิเลส หรือความอยากได้ พูดถึงอาหารยิ่งชัดเจน ถ้าท่านกินไม่เลือก ท่านก็จะต้องรับผลของมัน เมื่ออายุมากขึ้น แล้วมันส่งผลมา ท่านกินเข้าไปเลย แป้ง บอกกินน้อยหน่อย ก็กินเยอะ น้ำตาล บอกให้กินน้อยหน่อย ก็จะกินเยอะ มันอร่อย มันหวาน น้ำมันที่ไม่ดี บอกอย่ากิน มันอร่อย มันทอด แล้วมันสนุก ชีวิตมันต้องสนุกบ้าง นั่นพูด และในที่สุด ก็ต้องรับผลของมัน แล้วพ่อเราดีใจไหม? ดีใจ บอกแล้วอย่าทำ ทำ ถึงเป็นเบาหวาน ต้องไปตัดขา สมมตินะ

พ่อเราเป็นอย่างนี้ไหม? ไม่หรอก พ่อเราคงเสียใจ นี่แหละ คือความเสียใจ เมื่อเราทำบาป ขณะที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ขณะที่เราอยู่ในความสว่างตรงนี้แล้ว ที่บอกทำให้พ่อเสียใจ เพราะเราไม่ได้ทำสิ่งดี เพราะรักเรา  ไม่ได้เสียใจ เพราะเราทำบาป เราทำให้พ่อเราเสียเกียรติ ไม่ใช่ พ่อเรามีเกียรติเยอะแยะ แล้วพ่อไม่สนใจเกียรติอีกแล้ว แต่สนใจชีวิตเราว่าเราคงทรมาน ลูกเราไปเหยียบตะปู เลือดสาด ถ้าเขาเชื่อเรา เขาก็ไม่เป็นอย่างนี้  เจ็บใจตัวเอง ใช่ไหม? ถ้าเป็นมนุษย์ คงโกรธ เพราะรัก แต่ถ้าเป็นพระเจ้าไม่โกรธแล้ว เพียงแต่เสียใจว่า …

“ถ้าลูกไปทำอย่างนี้ ลูกก็มีความทุกข์ ลูกอย่าทำเลย เชื่อพ่อเถอะ”

แต่พ่อก็เข้าใจว่าทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงช่วยเรา ให้ดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ให้ทุกข์น้อยที่สุด เพราะอยู่บนโลกใบนี้ มันทุกข์อยู่แล้ว เพราะโลกใบนี้มันเสียหาย ตั้งแต่สมัยที่อาดัมมอบโลกใบนี้ ให้กับมาร ตกอยู่ในความมืดนั้น ความสาปแช่ง มันเข้ามา และคำสาปแช่งนั้น ก็ยังอยู่ในโลกวัตถุนี้อยู่ ยกเว้นคำสาปแช่งในโลกวิญญาณ พระเยซูไถ่หมดแล้ว เอเมน แต่วันหนึ่งข้างหน้า พระเยซูจะมาไถ่โลกวัตถุนี้ให้กับเรา คือวันที่พระองค์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง วันที่เราได้รับร่างกายใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ จะใหม่ทั้งสิ้น โลกใบนี้จะถูกทำใหม่ขึ้นมา เรียกว่าเยรูซาเล็ม เอเมน

ท่านเห็นไหม? พอเราเอาความจริงในถ้อยคำพระเจ้ามาพูดกันอย่างชัดๆ เราจะเห็นความรู้สึกของพระเจ้า เราจะเห็นมันเป็นจริงๆ นี่คือมันเกินสติปัญญาของมนุษย์ ที่จะเข้าใจ นี่คือสติปัญญาของพระเจ้าที่เขียนในพระคัมภีร์ให้เราได้เห็นอย่างนี้

ฟังดีๆ นะ ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกให้เชื่อฟัง เพราะความกลัว ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ ถ้าทำจะถูกลงโทษอย่างโหด ตามพระคัมภีร์เขาเรียกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน เอามันให้ตาย  ถามว่าเด็กเชื่อฟังไหม? เชื่อ เพราะกลัว แต่พอโต อาจจะสู้พ่อแม่ โตแล้ว เขาก็ออกไปใช้ชีวิตเอง อยากจะทำอะไรก็ทำ เขาไม่ได้คิดถึงพ่อแม่อีกแล้ว แต่ถ้าเราเลี้ยงดูเขาด้วยความรัก ด้วยความอบอุ่น ไม่ใช้การข่มขู่ ไม่ใช้การคาดโทษ อย่างที่ผมบอก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ใช้ฝึกวินัย มีการลงโทษเหมือนกัน ลงโทษด้วยความรัก เขาเรียกว่าฝึกวินัย ลงโทษด้วยความโหดร้าย เขาเรียกตาต่อตา ฟันต่อฟัน เอาให้มันตายเลย ว่ากันตามกฎเลย ตรงแป๊ะเลย

ความรักที่พ่อแม่มีให้กับเขานั้นแหละ ที่จะเป็นเกราะคุ้มกัน ไม่ให้เขาเดินไปในทางที่ผิด เพราะเขาไม่ได้กลัวการถูกลงโทษ แต่เขาไม่อยากจะทำให้พ่อแม่เสียใจ เพราะเขารักพ่อแม่ เขาสัมผัสความรักที่พ่อแม่มีให้กับเขาได้ เวลาท่านเลี้ยงลูกในครอบครัว ถามว่าลูกสัมผัสความรักของท่านในครอบครัวได้ไหม? ท่านถามตัวเอง ท่านจะรู้เอง  ไม่ต้องมีใครเช็คท่าน ลูกสัมผัสความรักของท่านได้ไหม? หรือว่าลูกเข้าหาท่านทีไร ขาสั่นตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น เด็กก็จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะพยายามทำสิ่งที่พ่อแม่สอนทั้งต่อหน้าและลับหลังให้ดีที่สุด หรือถ้าเผลอๆ ไปทำผิดอะไรจริงๆ เขาก็จะมาบอกเรา มาขอโทษ เพราะเขามั่นใจในเราว่าเรารักเขา เพื่อให้เราปลอบโยนเขา พันแผลให้เขา เขาไม่ได้มาขอให้เรายกโทษ เขารู้อยู่แล้วว่าเรายกโทษ เข้าใจไหม? การที่เราเข้าไปหาพระเจ้า เมื่อเราทำผิด คือให้พระเจ้าพันแผล ไม่ใช่ขอพระเจ้ายกโทษ … ยกโทษอะไร ก็ยกโทษตั้งแต่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขนแล้ว ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู ท่านมาอยู่ที่นี่แล้ว ท่านได้รับความรอดแล้ว ถามว่ามีใครที่รับพระเยซูแล้ว อยู่ในความเชื่อแล้ว อยู่ในแสงสว่างนี้แล้ว

“โอ! พระเจ้า ขอช่วยลูกให้ได้รับความรอดจากอาณาจักรของความมืด รอดจากนรกที”

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย ลูกทำอะไรผิดไป ลูกกลัวนรกนะ ชำระล้างลูกด้วย ให้ลูกเป็นผู้ชอบธรรม”

ใครยังอธิษฐานแบบนี้อยู่ ความรอดมาพร้อมความชอบธรรม มาพร้อมกับการบังเกิดใหม่ มาพร้อมกันทั้งกล่อง อภัยโทษทุกอย่างที่เราทำ ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน อนาคต ได้รับความรอด วิญญาณเปลี่ยนใหม่ บังเกิดใหม่ ทุกอย่างอยู่ในนี้ครบแล้ว แต่เนื่องจากชีวิตเดิมๆ ของเรามันเป็นอย่างนั้น  เราจึงไม่สามารถที่จะรับความผิดตรงนั้น พระเจ้าดูเราเหมือนเด็กๆ คนหนึ่ง แล้วเราตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่างที่ผมบอกว่ายิ่งคนที่ไม่เข้าใจพระเจ้ามากเท่าไร? ไม่ได้มาบังเกิดมากเท่าไร? ก็จะไม่เข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าสอนมากเท่านั้น แต่พอมาเรียนรู้กันตามถ้อยคำพระเจ้า ท่านจะเห็นภาพชัดเจน ท่านจะเห็นภาพชัดเจนว่ามันต่างกันอย่างไร?

ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ในเรื่องนี้ที่บอกว่าเราไม่ต้องทำดี เพื่อไปสวรรค์ แต่เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราจึงทำดี ตามธรรมชาติ แบบชาวสวรรค์ สำหรับคนภายนอกฟัง ตกใจ มันเป็นไปได้อย่างไร? แต่สำหรับเรา เราเริ่มเข้าใจแล้ว เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในวงจรความคิดแบบเก่าๆ เคยถูกปลูกฝังมานานว่าทำดี ก็ต้องได้ดีสิ  ทำชั่ว ก็ได้ชั่ว มันถูกในเรื่องของโลกวัตถุ แต่เรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ซึ่งมีผลเหมือนกันในทางวัตถุ ก็คือทางโลกวิญญาณ ถ้าเผื่อเราได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้า … พระเจ้าก็จะช่วยเราทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามบนโลกใบนี้ ได้สิ่งที่ดีๆ บนโลกใบนี้ มากขึ้นกว่าไม่มีใครช่วยเราเลย เพราะเราถูกปลูกฝังมานานว่าทำดี ได้ไปสวรรค์ ทำชั่วได้ไปนรก มันติดอยู่ในใจเราตลอดเวลา โดยเฉพาะคนเอเชีย ติดเยอะ

พอไปอยู่ในที่สว่างแล้ว พระเจ้าบอกนิรันดร์ พอเราทำอะไรผิดไป เราก็นึกว่าต้องลงนรกอีกแล้ว มันก็เลยไม่ตรงตามพระคัมภีร์ แค่นั้นเอง พระเจ้าจึงบอกว่าคนๆ นั้นต้องได้รับการเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ต้องมองทะลุเข้าไปทางวิญญาณ จึงจะเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้ได้ ไม่อย่างนั้นลำบากมากเลย

การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ จึงสำคัญที่สุด ไม่อย่างนั้น เราไปสะเปะสะปะในโลกวัตถุ   จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด ผิดหมด เบี้ยวไปเบี้ยวมา ถ้าท่านเริ่มที่โลกวิญญาณก่อน ท่านจะเริ่มถูกต้องแล้ว  มันอาจจะติดช้าหน่อย แต่ติดถูกเม็ด เพราะฉะนั้น ต่อไป มันก็เรียงตรง

เปาโลเป็นนักประกาศ พอมีคนเชื่อใหม่ปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็อธิษฐานไม่หยุดหย่อนเลย ในเอเฟซัส 1:17

เอเฟซัส 1:17 “ข้าพเจ้าเพียรทูลขออยู่เสมอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และวิญญาณการสำแดงความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์ เพื่อท่านจะได้รู้จักลึกซึ้ง และสนิทสนมกับพระองค์ เป็นการส่วนตัว และท่านจะได้มีความรู้ที่แท้จริง เรื่องพระองค์”

 

เปาโลบอก “ข้าพเจ้าเพียรทูลขออยู่เสมอ” เสมอๆ เลย ไม่ใช่เสมอธรรมดา “ให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดา ผู้ทรงพระเกียรติสิริ”

ก็คือขอให้พระเจ้า พ่อของพระเยซูที่เราเชื่อกันอยู่ กำลังพูดกับผู้เชื่อใหม่ชาวเอเฟซัส “เรา” ในที่นี้ รวมทั้งเปาโลด้วย

แสดงว่าที่ท่านได้ยินข่าวประเสริฐมา มันไม่พอ เพื่อท่านจะได้รู้มากกว่านั้น

“ขอพระเจ้า ให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และมีวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้”

วิญญาณนี้ หมายถึงโลกวิญญาณ … วิญญาณนี้ไม่ได้หมายถึง เพื่อท่านจะได้มีสติปัญญาแบบมนุษย์ เพื่อท่านจะขยันอ่านพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะขยันท่องพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะได้ขยันไปโรงเรียนพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะได้ขยันมาโบสถ์ เพื่อท่านจะขยันเข้าห้องเรียนพระคัมภีร์ สิ่งเหล่านี้ดีหมด แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  สิ่งสำคัญที่สุด นอกเหนือจากที่พูดมาทั้งหมด ต้องเริ่มที่วิญญาณ … วิญญาณตรงนี้อาจจะหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน ขณะที่เรามาอยู่ที่นี่ วิญญาณของท่านเป็นวิญญาณที่เป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่ อยู่ด้วยกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์บอกพระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับเรา เมื่อเราบังเกิดใหม่ มาเป็นพี่เลี้ยงเรา สอนเราในเรื่องเกี่ยวกับพ่อเรา เกี่ยวกับพระเจ้าและพระคริสต์ว่าในวิญญาณเป็นอย่างไร?

วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ตรงนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Revelation คนชอบไปใช้ผิด  พระเจ้าสำแดงความรู้ให้กับเราแล้ว รู้ว่าพระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? อีกประมาณ 10 กว่าปี ได้กลับแน่ โอ้! วิญญาณสำแดงให้เรารู้แล้ว รู้ว่าพระเจ้าจะอวยพรท่านในการทำธุรกิจนี้เจริญเติบโตจริงๆ ทำต่อไป ถูกหรือไม่ถูก?

“พระเจ้าประทานวิญญาณแห่งความรู้ให้กับผมแล้ว รู้ว่าตอนนี้ คุณเป็นโรคอะไร?”

เขาพูดอย่างนี้ คุณคิดว่าถูกไหม? บางครั้งผลของมันมา ที่ตะกี้พูด มันอาจจะตรงกับความจริงบ้าง? แต่มันไม่ใช่เรื่องของพระคริสต์ ที่ตรงบ้าง อะไรต่างๆ เหล่านั้น บางครั้งมาจากเรื่องลี้ลับ ไม่ได้มาจากเรื่องพระเยซู ก็ยังทำได้เลย ใช้พลังจิตก็ได้ ใช้หลักไสยศาสตร์ ก็ทำได้ วิทยาคมก็ทำได้ เราก็จะหลงไปในทางนั้น เรามาดูจริงๆ พระคัมภีร์บอกว่ามันคืออะไร?

วิญญาณแห่งสติปัญญาและวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์อย่างเดียว  ไม่เกี่ยวกับอย่างอื่นเลย ไม่เกี่ยวกับว่าปีหน้าไปทำงานที่นี่ ออกจากที่นี่ดีไหม? ปีนี้จะแต่งงานกับคนนี้ ดีไหม?  ผู้รับใช้พระเจ้าคนนี้มีของประทานมากในการสำแดงความรู้จากพระวิญญาณ จะมาบอกว่าอนาคตของท่าน ไปไหม?  ไม่ต้องไป ทำไม่ได้หรอก ถ้าท่านไป ไปหาหมอดูดีกว่า อาจจะเก่งกว่า เข้าใจไหม? ผมกำลังจะบอกท่านว่าวิญญาณสำแดงความรู้ เกี่ยวกับพระคริสต์ … พระคริสต์อย่างเดียวเลย ท่านต้องรู้โลกวิญญาณตรงนี้

ต่อไป “เพื่อท่านจะได้รู้จักลึกซึ้ง และสนิทสนมกับพระองค์”

เพิ่งมาเชื่อเอง ยังไม่สนิทสนมเลย ไม่รู้ว่าพระเยซูเป็นใคร? พระวิญญาณเป็นใคร? พ่อของเราเป็นใคร? พระคัมภีร์บอกว่าพระวิญญาณจะสำแดง พระเจ้าให้เรารู้ พอเรามาตรงนี้แล้ว ขอเสมอ ขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเรา เปิดตาฝ่ายวิญญาณเรา ให้เรามีสติปัญญาและความรู้เกี่ยวกับพระคริสต์ เพื่อเราจะได้รู้จักพระเยซูคริสต์ รู้จักพระเจ้า อย่างลึกซึ้งและสนิทสนมกับพระองค์ เป็นการส่วนตัวเลย ไม่ใช่ฟังมาจากพาสเตอร์บรรยายให้ฟัง อันนั้น เป็นส่วนเริ่ม จริงๆ จากข้างในเราเองนั่นแหละ สำคัญกว่า ถ้าท่านฟังผม แล้วท่านไม่เข้าใจ ไม่ต้องพยายามมาเชื่อผม แต่ถ้าท่านฟัง แล้วท่านเอาไปคิดตามอะไรต่างๆ พระวิญญาณคอนเฟิร์มว่านี่ คือพระคัมภีร์ในนั้นจริงไหม?  ถ้าจริง ถ้าท่านเชื่อ ก็ขอบคุณพระเจ้าไป เป็นการส่วนตัว และท่านจะได้มีความรู้ที่แท้จริง เรื่องพระองค์ เพราะฉะนั้น มันก็จะมีเรื่องที่ไม่แท้จริงของพระองค์แฝงอยู่ในนี้  ถูกไหม? ผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ชัดเจนเลย มาดูในข้อที่ 18

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น  และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางความเชื่อและรับสิทธิ์ของท่านที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาวิญญาณเปิดออก (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน)”

ไม่ใช่ตาเนื้อหนัง ที่เป็นสติปัญญาของท่าน ที่ท่านเรียนหนังสือ หรือเรียนปรัชญาของชีวิต ตาวิญญาณของท่านสว่าง เพื่อรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ เรื่องพระเจ้าจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่ท่านนั่งอยู่นั่นแหละ ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น อันนี้เปาโลบอกสำคัญมาก ตาวิญญาณท่านต้องถูกเปิดออก  และพระเจ้าช่วยท่าน เพื่อท่านจะได้ รับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่านแล้ว ผู้ที่ได้เป็นประชากรบริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว

แล้วแปลว่าเสร็จแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์แล้ว มีมรดก จัดเตรียมให้กับเราแล้ว เพราะฉะนั้น ใครที่ย้ายจากอาณาจักรความมืด มาสู่อาณาจักรความสว่าง ทันทีทันใด เขามีมรดกแล้ว

อาจารย์เปาโลทำหน้าที่เป็นพระเอก ไปค้นหาทายาทพันล้าน ก็ไปพบผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยู่ต่างจังหวัด น่ารักเชียว ถูกข่มเหงรังแกต่างๆ ก็ปลอมตัว เป็นเด็กเกเร ทำท่าเป็นผู้ชาย มีปมด้อย ไม่อยากจะเป็นผู้หญิง เสร็จแล้ว ก็ช่วยอุปการะ เรียกมาทำงานที่บ้าน ปรากฏว่ามาทำงานที่บ้าน โดนคนโน้นคนนี้รังแก ข่มเหง จนกระทั่ง เสียศูนย์ เสียสติไปเลย เสียมากๆ ในที่สุด วันหนึ่ง พ่อของพระเอกก็ตาย พ่อพระเอกเป็นเจ้าของมรดกมากมาย ก็ปรากฏว่าในพินัยกรรม เขียนมรดกให้เด็กคนนี้เป็นเจ้าของทั้งหมด แล้วทุกคนทั้งทนายความ ทั้งแม่และคนอื่นๆ ก็เป็นคนไปบอกว่า …

“มรดกเป็นของเธอ บัดนี้ เธอไม่ได้เป็นเด็กรับใช้ที่นี่ต่อไปแล้ว เธอเป็นเจ้าของบ้านเลย จะไล่คนไหนออก ก็ไล่ได้เลย”

ไม่เชื่อ ร้องไห้ วิ่งหนีไปเลย  ขนาดหาหลักฐานว่าในหนังสือพินัยกรรมบอกไว้ว่าคนๆ นี้ มีปานอยู่ข้างหลัง สีแดง 1 ปาน สีชมพู 1 ปาน สีน้ำตาล 1 ปาน สมมตินะ ไปดูได้ หลักฐานต้องเป็นคนนี้แน่นอน ถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน คงเป็น DNA ในหนังสือพินัยกรรมเขียนอย่างนั้นจริงๆ ปรากฏทนายและทุกคนตรวจ นางเอกคนนี้มีหลักฐานครบถ้วนบริบูรณ์ พอไปบอก นางเอกได้ยินได้ฟังอย่างนั้น ร้องไห้ ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ วิ่งหนีไปอีก

ถ้าอย่างนี้ต้องถึงเราแล้วสิ พระเอกก็เดินเข้าไปอธิบายด้วยความรัก เพราะพระเอกรักเขาอยู่แล้ว

“เป็นอย่างนี้นะ ที่ฉันทำทั้งหมดนี้ เพราะรักเธอ”

แค่บอกว่ารัก ผู้หญิงสัมผัสได้ เพราะว่าพระเอกทำดีกับเขามาตลอด ตั้งแต่สมัยยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาสัมผัสความรักได้ ก็เริ่มเปิดใจ จริงก็จริง เชื่อ ก็เลยเปลี่ยนสภาพตัวเอง จากหญิงสาวใช้ ถูกรังแก กลายเป็นเจ้าของบ้าน มีมรดกเยอะแยะมากมาย เพราะความรัก

เพราะฉะนั้น เวลาเราไปประกาศให้ใคร ต้องประกาศด้วยความรัก ให้ความรักสัมผัสเขา ค่อยๆ อดทน ให้พระวิญญาณทำงาน บางทีเราอดทนไม่ได้ กิเลสตัณหาเรา มันสูงกว่า เราจะเอาด้วยตัวเอง แล้วในที่สุด มันก็จะเกิดปัญหา พระคัมภีร์ หนังสือภาษาเดิมแปลว่าหนังสือมรดก ที่บอกให้ท่านอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน ที่ให้ท่านศึกษาพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะพระคัมภีร์ใหม่หรือพระคัมภีร์เก่า แปลว่ามรดกเก่า มรดกใหม่ มีในนั้นบอกเสร็จเลยว่ามรดกท่านเป็นอะไร? ท่านจะไปรับได้อย่างไร? New Testament แปลว่ามรดกใหม่

ในนี้บอกว่ามรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน คือเปาโลไม่รู้จะใช้คำไหนแล้ว มันใหญ่มหึมามาก นี่สุดแล้ว สุดของสุด ซึ่งการกระทำสิ่งเหล่านี้ ผ่านทางความเชื่อ

เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเราตอนนี้ เราอธิษฐานให้ตัวเราเองด้วย  อธิษฐานให้คนอื่นด้วยว่าขอพระเจ้าช่วยเรา ให้เราเข้าใจในโลกวิญญาณ มันสำคัญมาก อะไรที่ไม่เข้าใจ อย่าพึ่งติเตียนใคร อย่าพยายามคิดด้วยสติปัญญาของมนุษย์ ให้วางใจในพระเจ้า แล้วอธิษฐาน

“ขอให้พระเจ้าประทานวิญญาณสติปัญญา ในการสำแดงความรู้ ให้กับลูกด้วย ลูกจะได้มีปัญญาเข้าใจ ลูกไม่เข้าใจหรอก”

แล้วก็ฝากไว้ที่พระองค์ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แล้วก็หงุดหงิด เดี๋ยวอยู่ดีๆ มันก็จะเข้าใจไปเอง เอเมน เขาเรียกว่าเจริญเติบโตขึ้นในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 6 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  พฤศจิกายน  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 6 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 6 ยังอยู่ “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอนที่ 3 เรามาทบทวนความเข้าใจ ขั้นพื้นฐานของเรื่องโลกวิญญาณที่เราได้สรุปไว้ในครั้งที่แล้วกันก่อน ถ้าเราอยากจะเรียนรู้เรื่องพระเจ้าได้มากขึ้น  อยากจะเรียนรู้จักพระเยซูมากขึ้น  อยากจะมีชีวิตที่เจริญเติบโตในเรื่องพระเจ้ามากขึ้น อยากจะคุยกับใครถึงเรื่องพระเจ้า อยากจะตอบคำถามที่อยู่ในใจเราตั้งนานแล้วมากขึ้น เราต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้ความจริงในโลกวิญญาณนั้นว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ ให้มีความมั่นใจ มองอะไรต่างๆ ในชีวิตนี้ มันจะเปลี่ยนไปหมดเลยว่าเรามองทะลุไปถึง เรื่องทั้งสิ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในโลกวิญญาณ

เรามาทวนนิดหนึ่ง เริ่มต้นตั้งแต่โลกวิญญาณทั้งหมด มีพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมและครอบครองยิ่งใหญ่สูงสุด ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีมีอาณาจักรเดียว คืออาณาจักรแห่งความสว่างของพระเจ้า ที่มนุษย์ยังเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้

แล้วต่อมามนุษย์คู่แรก ที่พระเจ้าสร้าง ก็กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า หันไปเชื่อฟังคำพูดของศัตรูต่อพระเจ้า ก็คือมาร ขัดคำสั่งพระเจ้า เราเรียกกันตามภาษาพระคัมภีร์ว่าล้มลงในบาป “บาป” ก็คือการพลาดจากเป้าพลาด (Miss the target) ที่พระเจ้าตั้งใจให้ลูกพระองค์เป็นอย่างนี้ มันพลาดเป้าไป บาปก็เข้ามาในมนุษยชาติบนโลกใบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น คือโลกวิญญาณ ซึ่งเคยเป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง  ก็กลายเป็นอาณาจักรแห่งความมืด ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมาร และมนุษย์ทั้งหลายก็ได้รับเชื้อหนึ่ง เรียกว่าบาปกันหมดเลย เป็นตระกูลแห่งการกบฏ เพราะมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม กลายเป็นมนุษย์ทุกคน มีเชื้อบาป ถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขา โลกกบฏต่อพระเจ้า ความมืดเข้ามา

จนมาถึงเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และมารับโทษบาปแทนมนุษย์ทั้งปวง ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ตั้งแต่วันนั้น จนมาถึงวันนี้ โลกวิญญาณ ก็เกิดเป็น 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งแสงสว่างกับอาณาจักรแห่งความมืด ซ้อนกันอยู่ ซึ่งเปรียบได้กับ 2 เผ่าพันธุ์ 2 ครอบครัวใหญ่ๆ ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้นั่นเอง

อาณาจักรแห่งความสว่าง ก็คืออาณาจักรของพระเจ้า มีพระเยซูเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็มีมนุษย์ทั้งปวงที่เชื่อในพระเยซู เป็นสมาชิกในครอบครัว ปกครองครอบครัวนี้ด้วยความรัก มีพระเยซูเป็นพี่ เรียกเราทั้งหลายว่าน้อง เรียกว่าครอบครัวพระคริสต์

อาณาจักรแห่งความมืด ก็คืออาณาจักรของมาร ซึ่งมีอาดัมเป็นบรรพบุรุษ หรือเป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็มีมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ยังไม่เชื่อในพระเยซู เป็นสมาชิกในครอบครัว ครอบครัวนี้ปกครองด้วยการกดขี่ข่มขู่ ลักษณะเป็นทาส เป็นนักโทษ เป็นลูกหนี้ คอยถูกตามทวงตลอดชีวิต นี่คือภาพของอาณาจักรแห่งความมืด

และมนุษย์ทุกคนจะต้องเป็นสมาชิกอยู่ในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งอย่างแน่นอน ถ้าไม่เป็นสมาชิกในครอบครัวของอาดัม ก็จะเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ไม่ว่าท่านจะนั่งอยู่ที่นี่ หรืออยู่ในประเทศใดในขณะนี้ ในโลกวิญญาณ ไม่เกี่ยวกับประเทศไทย ไม่เกี่ยวกับประเทศจีน ไม่เกี่ยวกับอเมริกา เกี่ยวกับ 2 อาณาจักรเท่านั้น คือท่านไม่อยู่ในอาดัม ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ ท่านไม่อยู่ในความสว่าง ท่านก็อยู่ในความมืด พระคัมภีร์ได้บอกไว้อย่างนั้น

เมื่อเรารู้ความจริงในเรื่องถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จะได้ไม่ถูกมารหลอก ผ่านการเป็นอยู่บนโลกใบนี้ ผ่านความคิดเก่าๆ ของเรา ผ่านทางเพื่อนฝูงของเรา และผ่านทางในคริสตจักรเอง โดยเราไม่รู้อะไร แล้วสอนผิดไป ก็ถูกหลอก โดยรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง บางครั้งไม่รู้ เพราะว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังมันบังไว้ บางทีเราอยากได้ลาภ อยากได้ยศ อยากได้สรรเสริญ มันก็เผลอตัวไป ถูกหลอก แล้วก็สอนในสิ่งที่ผิดไป ก็เป็นไปได้ หรือบางทีไม่ได้ตั้งใจจะหลอก และไม่ได้ตั้งใจอยากได้อะไร? แต่มันไม่รู้จริงๆ นึกว่าถูกแล้ว ก็มี เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย สามารถจะถูกหลอก ในเรื่องเหล่านี้ได้ เช่นเดียวกัน เหมือนครั้งหนึ่งที่เราเคยอยู่ที่นี่

ตอนที่เริ่มใหม่ๆ เมื่อ 24 ปีที่แล้ว เราก็สอนอะไรหลายอย่างที่มันผิดไป แต่เราก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้น เรานึกว่ามันถูกแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องฤทธิ์เดช เรื่องอำนาจ จะต้องเรียกเงินเข้ามา จะต้องหายโรค จะต้องอะไรต่างๆ เราไม่รู้จริงๆ แต่เมื่อเรารู้ พระวิญญาณสอนเรา เราก็คำนับ และรับเอาสิ่งนั้น แล้วก็เปลี่ยนใหม่ซะ ให้มันถูกต้องว่ารอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ ที่เราเคยสอนว่ารักษาเราหายทุกโรค ถ้าเราเชื่อในถ้อยคำนี้ มะเร็งเราก็หาย มันไม่จริง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตอนนั้นเราไม่เข้าใจเรื่องโลกวิญญาณ เราก็อยากได้ทางโลกวัตถุ  แต่ในโลกวิญญาณหมายถึงด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ทรงตายที่ไม้กางเขน รักษาเราให้หายจากโรคบาป ซึ่งเป็นโรคทางวิญญาณ วิญญาณเราหายแล้ว เหมือนกับที่เรากำลังเรียนรู้เรื่อง 2 โลกว่าตอนนี้เราอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เป็นเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น

และเมื่อเราทั้งหลายรู้แล้วว่าเรามาเชื่อพระเจ้า … เชื่อพระเจ้า หมายถึงยอมรับในข่าวประเสริฐของพระเยซู ยอมรับเชื่อ ในพระคัมภีร์จะพูดเสมอว่าให้ท่านเชื่อ ท่านก็ไม่เข้าใจ ท่านคิดว่าพระคัมภีร์บอกให้ท่านเชื่อ หมายถึงเชื่อว่าพระเยซูรักษาท่านหายโรคได้ พระเยซูทำให้ท่านร่ำรวยได้ พระเยซูสามารถใช้หนี้สินที่ยังติดอยู่ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่หมายถึงยอมรับ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วเอาอาณาจักรแห่งความสว่างมาสถาปนา ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา แล้วท่านยอมรับตรงนี้ ที่ท่านยอมรับพระเยซูว่าท่านเชื่อตรงนี้  ทันทีทันใดนั้น ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง วินาทีนั้นเลย แต่เราไม่รู้ว่ามันวินาทีไหน? ที่เราเชื่อจริงๆ เราอาจจะได้ยินคนพูดเรื่องนี้มา 5 ครั้งแล้ว เริ่มต้นเชื่อนิดๆ หน่อยๆ แต่มันยังไม่เกิดขึ้นในวิญญาณเราจริงๆ ก็ได้ อาจจะเป็นครั้งที่ 15  ที่เราได้ยินเรื่องนี้ หรืออาจเป็นครั้งที่ 500 เราได้ยินเรื่องนี้ แล้วเราปิ๊งขึ้นมาทันทีในวิญญาณของเรา ในวินาทีนั้น มันเกิดสิ่งหนึ่ง ในโลกวิญญาณ คือเราได้บังเกิดใหม่ ย้ายจากโลกวิญญาณที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง ซึ่งเรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้าทันทีเลย

ในพระคัมภีร์บอกว่าจะไม่มีผู้ใด หรืออำนาจใด หรือสิ่งใดๆ หรือการกระทำใดๆ ที่จะสามารถนำท่านออกไปจากอาณาจักรนี้ได้อีกแล้ว ท่านจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลย

ท่านเชื่อหรือไม่ว่าพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อท่านย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง โดยที่ท่านเชื่อในพระเยซู ในการไถ่บาปของพระองค์ พระเจ้าได้ย้ายท่านเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเยซูคริสต์ พอท่านย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแสงสว่างแล้ว ท่านอยู่ที่นี่ตลอดไป ไม่มีทางออกไปอีกแล้ว มันจริงตามนั้น เพราะท่านเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ท่านเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ไม่มีทางเลย มันอยู่ไปตลอด ไม่มีการมาอยู่ แล้วก็ออก เข้าๆ ออกๆ พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้าควบคุมทุกสิ่ง ตอนนี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ท่านออกไปได้ไหม ถ้าเราเข้าไป แล้วเราออกมาได้ ก็แสดงว่าวันนี้เข้า พรุ่งนี้ออก วันนี้ทำดี ก็ได้เข้ามาอยู่ในความสว่าง อยู่กับพระเจ้า พรุ่งนี้ไปตะคอก ไปโกหกเขา ไปโมโหด่าเขา ทันทีทันใด ไปอยู่ที่มืดแล้ว ท่านคิดว่าเป็นไปได้ไหม? ท่านอยู่กับพระเจ้าตรงนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่ อยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เขาเรียกว่าดองกัน แยกกันไม่ออกเลย  วันนี้ทำดี วันนี้มาโบสถ์วันอาทิตย์ เลยอยู่ที่นี่  เดี๋ยวเดินออกไป แดดมันร้อน โมโห หงุดหงิด ไปด่าคนเขาบนรถเมล์ มาอยู่มืดเลยเหรอ กลับไปถึงบ้าน นึกขึ้นได้ พระเจ้าขอโทษด้วยๆ ทำผิดไปแล้ว เข้าไปอยู่สว่าง ลูกทำข้าวให้กินวันนี้ โมโหหิว ทุกทีให้ทำ 6 โมงเย็น ทำไมวันนี้ ไม่ทำ ลูกบอกลืมไป ตวาดลูก กลับไปอยู่มืดอีก อย่างนี้เหรอ เพลินๆ อิ่มแล้วสบายใจ นึกขึ้นได้ตะกี้ไปตวาดลูก บอกพระเจ้าลูกเสียใจด้วย  ท่านจะกลับไปกลับมาวันละกี่ครั้ง? ท่านลองนึกดู เป็นไปได้ไหม?

ความคิดเดิม ความเชื่อเดิม เราคิดอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่เราไม่ได้เอามาเจาะให้มันลึกละเอียดๆ อย่างนี้  พอเจาะละเอียดๆ อย่างนี้ เราก็จะรู้ว่าเราคิดผิด มันไม่ใช่ พระเจ้ายิ่งใหญ่เกินกว่าใคร พระเจ้าบอกว่าฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ไม่มีใครต้านทานได้ ไม่ว่าฤทธิ์เดชอำนาจใด ก็ไม่สามารถเอาท่านออกไปจากความรักของพระเจ้าได้ อย่างนี้ค่อยสมควรร้องเพลงพระเจ้ายิ่งใหญ่ ถูกไหม? ไม่ใช่กลับไปกลับมา ถ้าเราเชื่อในพระเยซูจริงๆ แล้ว ตลอด เราจะอยู่ในความสว่าง

ตอนนี้ถ้าท่านต้องกลับไปที่บ้านทุกคืน แล้วนั่งคิดว่าวันนี้ตรงไหนบ้างที่ฉันยังไม่ได้สารภาพบาป แล้วเกิดลืมไป ทำอย่างไร? ท่านต้องเอากระดาษแผ่นหนึ่ง เดินไปที่ไหนท่านคอยจด อันนี้ทำไม่ถูกต้อง กลับมาถึงบ้านเปิดลิสมาเลย 1, 2, 3, 4  สารภาพไปเลย สบายใจหน่อย หลับสนิท อย่างนั้นเหรอ ท่านก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ อีกทางหนึ่งต้องใช่สิ นั่นแหละคือทางพระคัมภีร์เป๊ะเลย ผมจะพาท่านไปอ่าน โรม 3:22-26

โรม 3:22-26 “22 ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้ ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ ไม่มีข้อแตกต่างกัน 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า 24 และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงได้ไถ่พวกเขา 25 พระเจ้าทรงให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาป  แก่ผู้ที่มีความเชื่อ ในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ เพราะโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ทรงลงโทษบาป ที่ทำไปก่อนหน้านั้น 26 พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน เพื่อว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ให้บรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมด้วย”

 

ความชอบธรรมจากพระเจ้า คือพระเจ้าตัดสิน แล้วว่าท่านไม่มีบาปแล้ว  ท่านสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ไม่มีโทษ ไม่มีตำหนิ ขาวมาก เรียกว่าผู้ชอบธรรม  … อธรรม คือท่านอยู่ตรงนี้ (ฝั่งดำ) ท่านเต็มไปด้วยความบาป สกปรก กบฏต่อพระเจ้า ต้องใช้หนี้เขา แต่บัดนี้ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซู เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าเรียกท่านว่าเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว อยู่ที่โลกแห่งความสว่าง อยู่กับพระเยซู อยู่กับพระเจ้าแล้ว ทันทีทันใด ในขณะที่ท่านอยู่บนโลกนี้ ท่านก็อยู่ในความสว่างนั้นแล้ว ไม่ต้องรอให้ตายแล้วค่อยไป เอเมน

ไม่มีข้อแตกต่างกัน เพราะทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ ได้ไถ่ แสดงว่ามันสำเร็จไปแล้ว ตอนพระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระคัมภีร์บันทึกว่าพระองค์ทรงตรัสก่อนสิ้นพระชนม์ว่า …

“สำเร็จแล้ว ได้ไถ่แล้ว ได้จ่ายเงินให้ครบหมดเรียบร้อยแล้ว จ่ายหนี้ให้พวกเธอหมดแล้ว เธอเป็นอิสระแล้ว เมื่อไรใครรับเชื่อ ก็ได้เลย” เอเมน

“ได้” คือสำเร็จแล้ว  พูดถึงการไถ่ของพระเยซู เมื่อไร? ในพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ยุคคริสเตียน หรือหลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขนแล้ว จะใช้คำว่า “ได้” ทั้งนั้น ผ่านมาแล้วทั้งนั้น เป็นอดีตไปแล้วทั้งนั้น  เอเมน แค่นี้นิดเดียว ความเชื่อเราเปลี่ยนไปแล้ว นึกว่ายังไม่ได้ รออยู่ตั้งนาน ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่พวกเขา

หมายถึง 2 พวกเท่านั้นเอง คือคนที่เชื่อพระเยซู และคนอิสราเอล 2 พวกนี้พระเจ้าเตรียมไว้ ให้เป็นผู้ชอบธรรม โลกนี้มี 2 เผ่าพันธุ์ คือยิวและอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ไม่ได้เป็นยิว เราก็อยู่ในพวกที่ไม่ได้เป็นยิว แต่เราเชื่อในข่าวดี คนที่เป็นยิว เขาก็จะต้องเชื่อในข่าวดีเหมือนกัน เขาจึงจะได้รับความรอด ไม่แตกต่างกัน เอเมน

ในนี้ก็เหมือนกัน พระเจ้าทรงให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาป แก่ผู้ที่มีความเชื่อในพระโลหิตพระเยซู ถ้าท่านฟังผมพูด ท่านจะรู้แล้วว่าตรงนี้ต้องแปลว่าพระเจ้าได้ให้พระเยซูเป็นเครื่องลบบาป ทำเสร็จไปแล้วทั้งนั้น แก่ผู้ที่มีความเชื่อ เชื่อในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าได้กระทำเช่นนี้  คือส่งพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้มนุษย์ทั้งปวง พระองค์ทรงทำให้เรียบร้อย ต้องเขียนคำว่า …

“พระเจ้าได้กระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ สำแดงว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ และโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ลงโทษบาปที่ทำไปก่อนหน้านั้น”

ก่อนพระเยซูคริสต์จะเกิด ลบออกหมดเลย หลังพระเยซูคริสต์ ลบออกหมดเลย พระองค์ได้กระทำเช่นนี้  เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ ในการปัจจุบัน ก็คือหลังจากพระเยซูตายและเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เพื่อว่าพระองค์จะเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ในบรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ก็คือพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เชื่อในพระเยซู พระองค์นับเขาว่าเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้านับเราเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ตัดสินเราเรียบร้อยแล้วว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม สมควรนั่งกับพระเยซูในสวรรค์สถานในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าโลกแห่งความสว่าง หรือเรียกว่าสวรรค์ หรือเรียกว่าในพระคริสต์ ทันทีทันใด เมื่อใครก็ตาม เชื่อ ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน ทันทีทันใด ขณะที่เขาเริ่มต้นเชื่อ เขาอาจจะฟังครั้งแรก มีคนมาพูด เขาก็สนใจนะ หรืออาจจะไม่สนใจก็ได้ ฟังครั้งที่ 2 จากวิทยุ เขาพูด ก็ดี อีกครั้งหนึ่ง ฟังครั้งที่ 300 จากใบปลิว ก็ดีเหมือนกัน ฟังครั้งที่ 7,000 จากเพื่อนสนิท ฟังครั้งที่หนึ่งหมื่น  จากภรรยาตัวเอง  มันเกิดอะไรขึ้นมา เกิดเอาไปคิด นั่งอยู่ที่บ้านก็คิดๆ ในเช้าวันหนึ่ง ก็คิด

“ฉันเอาดีกว่า ฉันเชื่อแล้วล่ะ”

นั่นแหละเขาเรียกว่ารับเชื่อ ในวิญญาณของเขามันเกิดการเปลี่ยนแปลง เรียกว่าการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เขายังไม่รู้ตัวเลย ไม่ต้องมีความรู้สึกขนลุก ขนพอง สยองเกล้า ไม่ต้องมีดีใจ ร้องไห้ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ บางคนไม่ได้ขึ้นอยู่ตรงนั้น บางคนอาจจะรู้สึก เชื่อพระเจ้าดีกว่า ซึ่งอาจจะเป็น ณ วินาทีนั้นก็ได้ ที่วิญญาณของเขาเกิดใหม่จริงๆ พระเจ้าได้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาเจิมเขา เรียกว่าชุบเขา เรียกว่าบัพติศมาเขา ด้วยฤทธิ์เดช ด้วยไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าย้ายเขามาอยู่นี่เลย  และนับเขาว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม เพราะว่าเขายอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาปแล้ว พระเยซูรับเขาแล้ว จบ เขาก็มาใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ทำให้มาตั้งนานแล้ว แล้วเขาไม่ใช้ ซึ่งเป็นสิทธิ์ของเขา มันอยู่ตรงนั้นมาตั้งนาน เป็นมรดกให้เขาตั้งนานแล้ว อยู่ที่เขาจะมารับหรือไม่รับ ใครไปรับแทนเขาก็ไม่ได้ ใครจะผลักเขามารับ ก็ไม่ได้ ต้องเขาเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่มีใครเอาเขาออกไปอีกแล้ว เขาจะอยู่ที่นี่ตลอดไป จบแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของพระเจ้า

คำถามที่มักมีคนถาม แม้กระทั่งตัวเราเอง อาจจะถามในใจว่าถ้าอย่างนั้น การมาเป็นคริสเตียน การเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ยอมรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือเมื่อรับเชื่อแล้ว ไม่ต้องทำความดีก็ได้สิ

ฟังให้ดีๆ ถูกไหม? ท่านจะถูกคนแย้งตามเหตุผลมนุษย์ ทำแต่เรื่องผิดๆ ก็ได้  เพราะแค่เชื่ออย่างเดียว ก็ได้รับความรอดแล้ว จริงไหม? มาดูโรม 12:1-2

โรม 12:1-2 “1 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายเมื่อพิจารณาถึงพระเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง 2 อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่าสิ่งใด คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดี อันเป็นที่พอพระทัย และสมบูรณ์พร้อมของพระองค์

 

ถ้าแปลตรงนี้ง่ายๆ ก็เหมือนตะกี้เราเชื่อพระเจ้าแล้วใช่ไหม? เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราก็เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเปลี่ยนไปเลย  สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เหมือนพระเจ้า เราอยู่กับพระเจ้า ในนั้น แต่เนื้อหนังข้างนอกเรายังเป็นเหมือนเดิม เป็นคนเดิม สรุปเป็นเหมือนกับการหนุนใจพี่น้องในครอบครัวแห่งความสว่าง ที่เขาอยู่กันด้วยความรัก

“น้อง!  น้องเข้ามาอยู่ใหม่  หรือน้องที่อยู่นานแล้ว  พระเจ้ารักเรามากนะ  ทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้เรา  รู้อยู่แล้วใช่ไหม? เราเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด”

“เพราะฉะนั้น  เนื้อหนังร่างกาย ก็พยายามทำอะไรก็ตาม ให้มันเป็นไปตามวิญญาณ … วิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว อย่าไปทำสิ่งสกปรกเหมือนเดิมนะ เห็นแก่พระเจ้า เห็นแก่พ่อเรา พ่อเรารักเรามากเลย”

รวมสรุป ต้องการให้เรารู้แค่นี้เอง  และเป็นอย่างนั้น ตั้งใจทำสิ่งที่มันสมควรที่จะกระทำ เพราะว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ เราสะอาดหมดจด เราสมควรทำสิ่งที่เป็นสะอาดๆ อย่าไปทำสิ่งเก่าๆ พระเจ้าจะไม่สอนเราว่า …

“รู้ไหม? ทำไมถึงเข้ามาในนี้ได้ เพราะพระเจ้ารักนครมากไง”

ไม่ใช่ รักเท่ากันทุกคนแหละ เข้าใจไหม?

“เพราะนครก่อนมาเชื่อ เขาทำดีไว้เยอะ พระเจ้ามองดูอยู่แล้ว”

จริงหรือไม่จริง? ไม่จริง

“ก่อนมาเชื่อพระเจ้า เธอเคยไปสร้างโบสถ์คริสเตียนไง”

จริงหรือไม่จริง? ไม่จริง หรือมาเชื่อแล้วก็ตาม

“เธอต้องทำดีเยอะๆ เลยนะ พระเจ้ารักคนที่ทำดีมากๆ”

ไม่ใช่อีกแหละ ถ้าเธอทำอย่างนี้ พระเจ้าไม่รักเธอแล้ว พระเจ้าเกลียดเธอเลย  จริงหรือไม่จริง? ไม่จริง เพราะพระเจ้ารักเราแล้ว และรักตลอดไป และอภัยให้เราตลอดไป เอเมน

ท่านพอมองเห็นภาพไหมว่าผมกำลังนำท่านให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณจริงๆ เราได้รับความรอด เพราะเป็นพระคุณ ความรัก ความเมตตาจากพระเจ้าที่ให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราจึงมีความรู้สึกตั้งใจ เชื่อฟังและจะทำตามคำสอนของพระเจ้า เพื่อให้เป็นที่พอใจของพ่อเรา พ่อเราดีใจ เรารักพ่อเราแล้ว แต่เราทำได้หมดไหม?  ไม่ได้  พอไม่ได้ พ่อเราโกรธ ว่า ตบซ้ายขวาหัน กระเด็นเป็นอย่างนั้นหรือ?

พระเจ้าเป็นความรัก            พระเจ้าเป็นความรัก  พระเจ้าเป็นความรัก

พระเจ้าอภัยให้เราเสมอแหละ พระเจ้าไม่ได้มองตรงนั้นเลย ทุกวันนี้ มานั่งบรรยายแก้ต่างให้พระเจ้าของเรา  ฟังให้ดีๆ นะ เราไม่ได้ทำความดี เพื่อมาเป็นลูกพระเจ้า หรือเพื่อจะได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะกระทำความดี เพื่อจะย้ายตัวเองมาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เพื่อจะมาอยู่ในพระคริสต์ แต่เพราะเราได้เป็นลูกของพระเจ้าด้วยความเชื่อ โดยไม่ได้ทำอะไรเลย ในพระเยซูคริสต์ เราจึงได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง พออยู่ในความสว่าง เราจึงสำนึกในพระคุณความเมตตาจากพระเจ้า และได้กำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสถิตอยู่กับเรา ให้ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า ตามคำสอนของพระองค์ ในพระคัมภีร์ได้ เอเมน คำว่าได้เมื่อตะกี้ ผมไม่ได้หมายถึงได้หมด หมายถึงตั้งใจ เราถึงจะมีความตั้งใจอย่างนั้น วิญญาณของทุกคนที่เชื่อในพระเยซู ไม่มีวิญญาณไหนอยากจะทำสิ่งที่ผิดพลาด เขาอยากจะทำถูกต้องหมด เพราะว่าวิญญาณเขาสะอาดหมดจด แต่ปัญหามันอยู่ที่ร่างกายเก่า ความคิดเก่าๆ ซึ่งจำเป็นจะต้องถูกเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ พระคัมภีร์บอกได้รับการเปลี่ยน ที่เราเรียนกันอยู่ทุกวันนี้ เราอ่านพระคัมภีร์ทุกวันนี้ หรือเราฟังถ้อยคำพระเจ้าทุกวันนี้ หรือเราดำเนินชีวิตกับพระเจ้าทุกวันนี้ พระวิญญาณกำลังสอนเรา กำลังเปลี่ยนแปลงเราไปเรื่อยๆ ในวิญญาณของเรา

เราสำนึกอยู่ในใจว่าเราสมควรทำในสิ่งที่พ่อเราบอก พ่อเราบอกว่าดี เราก็ทำ เราต้องยึดมั่นคงในความเชื่อว่าเราอยู่ในความสว่างนั้น เราเป็นผู้ชอบธรรม ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้เพียงกรณีเดียว ก็คือเพราะว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราต้องยึดกอดตรงนี้ไว้ให้แน่น เพราะเรามาเชื่อพระเจ้า เดี๋ยวมันก็เซไปเรื่อยๆ ว่าเราต้องทำอันโน้น เราต้องทำอันนี้ เพื่อเราจะรักษาตำแหน่งให้อยู่ตรงความสว่าง ไม่ใช่เลย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม คุณก็อยู่ในความสว่าง เอเมน มันฝืนกับความคิดเก่าๆ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เราไม่ได้ทำความดี หรือละเว้นการกระทำชั่ว เพราะความกลัวต่อไปแล้ว สมัยก่อนเราทำ เพราะเรากลัว แต่ตอนนี้ เราทำ ไม่ใช่ เพราะกลัวพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรัก ไม่กลัวแล้วว่าถ้าไม่สะสมความดี จะไม่ได้ไปสวรรค์ ไม่กลัวแล้วว่าถ้าทำบาป จะต้องไปนรก ถ้าท่านกลัวอย่างนั้น อย่างที่ผมบอก แล้วท่านรู้ได้อย่างไรวันหนึ่ง ท่านทำบาปไปกี่ครั้ง แค่ไปตะคอกเขา แค่อารมณ์เสียใส่เขา ก็บาปแล้ว พระเยซูบอก แค่ว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ก็ตกนรกแล้ว แค่เห็นผู้หญิง แล้วคุณมีความรู้สึก ความคิด ตกนรกแล้ว

พระเยซูกำลังจะบอกว่าไม่มีใครทำได้หรอก มาตรฐานของพระเจ้าในความบริสุทธิ์ โดยการกระทำด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้ ถ้าตาพาไปทำผิด ควักตาออก ถ้ามือขโมยของ ตัดมือทิ้ง ถ้าขาพาไปชั่ว ตัด ทุกคนเข้าสวรรค์ คงเป็นพิการหมด พระเยซูกำลังจะบอกว่ามันทำไม่ได้ พระเยซูบอกว่าอย่างไร?

“ท่านจงอธิษฐานอย่างนี้”

จบสุดท้ายบอกว่า “ถ้าท่านยกโทษให้กับคนที่ทำผิดต่อท่าน เหมือนกับที่พระเจ้ายกโทษให้กับท่าน พระเจ้าก็จะอภัยให้ท่านด้วย  ฟังให้ดีๆ พระเจ้าจะอภัยให้กับคนที่อภัยให้กับคนอื่นที่ทำไม่ดีต่อท่าน ท่านว่าเป็นไปได้ไหม? มีคนทำได้ไหม? แล้วพระองค์ก็ตรัส ที่ตะกี้นี้บอกว่าถ้าตา ทำให้ท่านไปทำบาป  ตัดทิ้ง  พูดง่ายๆ  พูดอะไรออกมา  มนุษย์ทำไม่ได้ทั้งหมดเลย  พวกฟาริสีเหล่านั้น เขารู้ทันทีว่าใครจะไปทำได้ โกรธเขา อภัยให้ตลอดเลย เขาทำอะไรให้ อภัยให้ตลอดเลย มันทำไม่ได้ นั่นแหละ พระเยซูกำลังบอกว่าทำให้ตาย ก็ทำไม่ได้ กำลังจะบอกว่าเราต้องพึ่งพระเจ้า พึ่งในการไถ่บาปของพระเยซู เวลาท่านอ่านไป พอท่านรู้ แล้วท่านจะขำว่าเสร็จแล้วเกิดอะไรขึ้น ฟาริสีเกิด 2 พวก พวกหนึ่งก็งง อีกพวกหนึ่งเจ็บแค้น พระเยซูเหมือนกับว่าเขาทางอ้อมว่าหน้าซื่อใจคด

อย่างที่ผมบอก พระเจ้าอภัยให้เราหมดแล้วที่ไม้กางเขน ที่พระเยซูบอก “สำเร็จแล้ว” หมายถึงบาปทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ได้ถูกลบล้างไปหมดแล้ว ท่านคิดดู มีเหตุผลไหม? บาปในอดีตของเรามาจากไหน? มาจากเราไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ใช่มาจากเราไปทำบาปนะ มันมาจากเราเกิดมา เราก็บาปแล้ว แล้วพอพระเยซูบอกว่าพระเจ้าส่งพระองค์มาเกิดบนโลกใบนี้  มีคนไถ่บาปให้กับเรา มนุษย์ทุกคนไม่ต้องทำดีอะไรเลย ก็พ้นจากบาปแล้ว ทีอย่างนี้ไม่เอา แต่ที่บอกว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาก็บาปแล้ว ต้องใช้หนี้ ใช้เวร ใช้กรรม เอา ไม่มีเหตุผลเลย  อยู่ดีๆ เกิดมา ใช้หนี้ ใช้กรรม

“อะไร ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำอะไร เมื่อไร บอกมาสิ ไม่เห็นมีใครบอก มีแต่บอกว่าเกิดมาต้องใช้หนี้ ใช้เวร ใช้กรรม”

แล้วเราก็เชื่อ แล้วมีอีกฝ่ายหนึ่งมาบอกข่าวดีของพระเยซูว่า …

“เธอมีหนี้ เวร กรรมต้องใช้ใช่ไหม? พระเยซูใช้ให้หมดแล้ว ต่อไปนี้ เธอไม่ต้องทำอะไร? แค่เชื่อพระเยซูก็ใช้หมดแล้ว”

“เป็นไปไม่ได้  คนเราต้องทำสิ่งที่ดีๆ มันเป็นไปได้อย่างไร?”

อ้าว! ตอนที่คุณรับ บอกว่าผิด มีบาป ใช้เวร ใช้กรรม คุณไม่เห็นพูดกับเขาเลย

“ผมไปทำเวรกรรมที่ไหน? บอกผมมาสิ ผมต้องใช้แค่ไหน? ผมต้องทำดีเท่าไร ถึงจะใช้มันหมด กี่ตังค์ว่ามา”

ไม่เห็นพูดเลย “ใช้ไปกี่ปี กี่ชาติก็ไม่มีวันจบ”

อ้าว! พูดอย่างนั้นอีก แล้วคุณก็เชื่อด้วยนะว่าเกิดมาใช้เวร ใช้กรรมตลอด พอพระเยซูมาบอก พระเจ้าส่งพระเยซูมา เพื่อเราจะหมดเวร หมดกรรม หมดเลย มันเชื่อยากจริงๆ

นี่พูดให้ท่านเห็นชัดๆ การมาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ ก็เพื่อให้ท่านเกิดความมั่นใจว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออาณาจักรสวรรค์ จะเป็นที่อยู่ถาวรนิรันดร์ของท่าน ท่านแค่ยอมรับ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่ส่งมาเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แค่นั้นเอง ในโลกวิญญาณมีแค่นั้น นอกนั้น ท่านคิดกันเองหมด แล้วต่อจากนั้น เราทำสิ่งที่ดีๆ ก็เพราะเราสำนึกในพระคุณ เรารักพ่อของเรา เราอยากทำสิ่งที่ดีๆ ทำผิดพลาดไป พ่อเราก็อภัย แต่เราตั้งใจทำสิ่งที่ดี แค่นั้นเอง จบ แล้วก็มั่นใจว่าพระคริสต์นำพาเราได้ ฤทธิ์เดชอำนาจพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือเกินมหาศาล

เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่บอกว่าอาณาจักรแห่งความสว่างของพระคริสต์ เขาปกครองกันแบบครอบครัว เต็มไปด้วยความรักอย่างนี้แหละ มันไม่เหมือนกับโลกของความมืด ที่ตะกี้เราบอกว่าควบคุมโดยความบาปของมาร อยู่เหมือนเป็นทาส ถูกข่มเหง ถูกตวาด ถูกข่มขู่ ถูกใช้งาน เหนื่อย เข้ามาอยู่กับพระเยซูหายเหนื่อยและเป็นสุข แต่อย่างที่ผมบอก โลกวิญญาณเป็นเรื่องความจริงที่ตามนุษย์เรามองไม่เห็น หูมนุษย์ ก็ไม่ได้ยิน จึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ของเรา มันจึงยากที่จะเข้าใจ มันจึงต้องใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่สอนเรา ทีละนิดทีละหน่อย แล้วค่อยๆ ให้พระวิญญาณนำไป ย่อยไปทีละนิด ถึงจะเข้าใจได้ อย่าใช้ความรู้สึก ซึ่งอยู่ในสัมผัส อย่าใช้ตา ต้องเห็น อย่าใช้มือ ต้องจับ ไม่ใช่ ไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตใต้สำนึก ไม่ได้ช่วยเราในเรื่องพระเจ้าเลย  แม้แต่นิดหนึ่ง ถ้าใครไปยึดติดอยู่ตรงนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่ง กลับกลายเป็นแย่ด้วยซ้ำไป ในเรื่องของสัมผัสว่าถ้าพระวิญญาณมา ต้องขนลุกนิดๆ ถ้าพระวิญญาณมา ต้องลอยไปลอยมา หรือพระวิญญาณมาได้รับการเจิม ต้องนอนกลิ้งไป หรือล้มลงไป ไม่ใช่เลย ไม่เกี่ยวเลย  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตรงนั้น

นี่คือความจริง จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายในการที่จะมาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ แล้วตอนนี้ ฉันอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งในโลกวิญญาณจริงๆ ไม่ว่าจะโลกวิญญาณ แบบที่เรียกว่าโลกแห่งความสว่างของพระเจ้า หรือโลกวิญญาณที่เรียกว่าความมืด ฉันอยู่ที่ใดที่หนึ่งจริงๆ ที่เราจะมั่นใจว่ามันเป็นจริง ร่างกายฉันตอนนี้นั่งอยู่ในโบสถ์โฮลี่ อยู่ที่ซอย 8 กรุงเทพกรีฑาก็จริง แต่วิญญาณอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เอเมน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

พระคัมภีร์จึงบอกว่าคนที่จะได้รับรู้ เรื่องโลกวิญญาณ เรียนรู้อย่างนี้  แล้วก็มากขึ้นในโลกวิญญาณ เข้าใจ จึงไม่สามารถจะใช้อธิบายด้วยตามนุษย์ หรือปากมนุษย์ หรือความคิดแบบมนุษย์ แล้วเข้าใจอย่างนี้ได้

ตอนนี้เราจะพูดถึงคนที่ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในนี้เป็นอย่างไร? พอย้ายมาแล้ว มาอยู่ในความสว่างก็จริง แต่นิสัยเดิมๆ ความคิดเดิม มันก็ติดมาหมดแหละ สมมติเสื้อตัวนี้ คือร่างกายเรา ร่างกายก็ร่างกายเดิม มีวิญญาณเท่านั้นที่เป็นขาวใหม่ เท่านั้นเอง ในหนังสือเอเฟซัส 1:18 อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐานให้กับบรรดาผู้เชื่อเริ่มต้นเหล่านี้ว่าเธอต้องได้รับตรงนี้ แล้วเธอถึงจะเจริญเติบโต รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน? มีชีวิตที่เต็มไปด้วยชัยชนะ มีชีวิตที่จะสามารถสัมผัสกับบรรดาผู้คนมากมาย เพื่อให้ข่าวประเสริฐไปหาเขาทุกคนได้ เป็นชีวิตที่พระเจ้าจะใช้ได้ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ได้

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์  ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางความเชื่อและรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

แปลจากอันสุดท้ายขึ้นมาก่อน “ผ่านทางความเชื่อและรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูไถ่บาปให้ท่าน”  ผมนั่งอยู่ที่นี่ ผมได้ยินข่าวประเสริฐ เขาบอกว่าพระเยซู เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน ชำระบาปเวรกรรมให้กับมนุษย์ทั้งปวง และพระองค์ทรงทำเสร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปี ผมได้ยินอย่างนั้น ผ่านทางความเชื่อ รับสิทธิที่พระเยซูทำให้ ผมเชื่ออย่างนั้น ผมจะรับสิทธิของผมแล้ว ผมจะได้รับการไถ่บาป พอได้รับการไถ่บาปปุ๊บ ผมก็กลายมาเป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้า

บริสุทธิ์นี้ ใช้คำๆ เดียวกับโบสถ์เลย Holy ใช้คำเดียวกับที่พระเยซูทำเลย ก็คือชำระ ซึ่งได้รับเป็นประชากรของพระเจ้า ที่ถูกชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ชอบธรรม ไม่มีบาปเลยของพระเจ้าแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็อยู่ที่มืดๆ ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะย้ายมาตรงนี้แล้ว

ตอนต้นบอกว่า  “ข้าพเจ้าอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาวิญญาณ” วิญญาณซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน ที่เราเห็นกันอยู่ นั่งกันอยู่ ไม่ใช่ตัวจริงๆ ของเรา ร่างกายเราถูกสร้างด้วยดิน ก็ต้องกลับไปสู่ดิน เวลาเขาทำพิธีฝังศพที่สุสาน ศิษยาภิบาลก็จะบอกว่ามาจากดิน ตามถ้อยคำพระเจ้า ก็ไปสู่ดิน แล้วก็เอาดินกลบ  เป็นสัญลักษณ์ ดินนั้น ก็คือดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้ง 4 บนโลกใบนี้  พอเราตาย ร่างกายนี้ ถูกฝังเข้าไปในดิน บางคนกลัวถูกเผา เป็นคริสเตียน ไม่กล้าให้เผา เพราะกลัวร้อน  งง จริงๆ มีบางคน ติดจากของเก่า กลัวร้อน แล้วบางคนก็บอกว่าเดี๋ยวตอนพระเยซูกลับมาใหม่ ในพระคัมภีร์บอกว่าร่างกายของเราที่ตายไปแล้ว จะกลับขึ้นมาใหม่ แล้วมันจะเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? มันถูกเผาไปหมดแล้ว คิดไปถึงขนาดนั้น ลืมคิดไปว่าฝังลงไปในดิน มันก็หายไปหมด เหมือนกัน

ดินก็ไปสู่ดิน น้ำก็ไปสู่น้ำ ไฟก็ไปสู่ไฟ ลมก็ไปสู่ลม หมดทั้งตัว ไม่เหลืออะไรเลย คำว่า “เป็นขึ้นมาใหม่” พระเจ้ามีวิธีทำให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ด้วยร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า เอเมน ไม่ต้องพยายามคิดหรอกว่าทำอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างไร?

ยกตัวอย่างอันหนึ่งให้ดู เอาใกล้เคียงที่สุดเคยเห็นต้นข้าวไหม? ต้นข้าว ออกดอกเหลืองอร่าม แล้วช่อก็สวยงาม ต้นนี้เปรียบเหมือนเราได้รับร่างกายใหม่จากพระเจ้า ต้นข้าวเริ่มต้นจากเมล็ดเดียวเล็กๆ  แล้วในพระคัมภีร์ใน 1 โครินธ์ 15 บอก เมล็ดนั้นต้องลงไปที่ดิน ต้องเน่าก่อน ใช้คำว่าเน่าเลย  แล้วมันถึงเกิดสิ่งใหม่ขึ้นมา

ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณของเรา ซึ่งจะอยู่ตลอดไป ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาจักรของความมืด หรืออยู่ในอาณาจักรของความสว่าง ก็จะอยู่ที่นั่นตลอดไป และวิญญาณตัวนั้น มีตาวิญญาณที่จะรับรู้ ให้ตาวิญญาณของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงท่าน นำพาท่านไป ตามทางที่พระเจ้าวางไว้

เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่ท่านนั่งอยู่นั่น สวรรค์แล้ว ท่านไม่รู้เรื่อง ท่านจะได้มีความมั่นใจว่าท่านนั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเจ้าได้พาท่านเข้ามาอยู่ในนี้แล้ว เรียนรู้ด้วยทางวิญญาณ ไม่ใช่เรียนรู้ด้วยความคิดมนุษย์ ท่านต้องเรียนรู้ใหม่

อย่างเช่น เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณมี 2 อาณาจักรแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

“และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ได้รับมรดกเรียบร้อยแล้ว”

ยกตัวอย่าง นางเอกถูกข่มเหงตลอด มารู้ทีหลังว่าเป็นทายาท คุณปู่ยกสมบัติให้ แต่เธอไม่เชื่อ พระเอกก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? จะไปขุดเอาคุณปู่ขึ้นมา ก็ไม่ได้ เพราะคุณปู่ตายแล้ว เอาแม่ของตัวเอง ซึ่งเป็นลูกสาวของคุณปู่มา ยืนยัน ใช่จริงๆ ตอนเธอเกิด คุณปู่บอกเลยว่าเธอเป็นลูกคนโน้นคนนี้ เขารักเธอมาก ยกให้เธอคนเดียวเลย ไม่เชื่อหรือ? คุณปู่บอกฉันว่าเธอมีปานซ้าย ที่มือขวาข้างหลัง อะไรก็ว่าไป เปิดมาดู มีจริงๆ ใช่แน่นอน นางเอกบอกว่าไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้

เพราะสิ่งเหล่านี้ มาเทียบกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า มาตรงเลย เพราะเอาเหตุผลของมนุษย์มาเทียบไม่ได้เลย ต้องทางวิญญาณจริงๆ แล้วทำอย่างไรนางเอกถึงจะเปลี่ยนใจได้ พระเอกมาบอกใหม่

“ฉันบอกความจริงเธอทั้งหมด เพราะฉันรักเธอจริงๆ”

โอ้โห! รับได้เลย เพราะไม่ได้ด้วยเหตุผลแล้ว ความรัก คืออะไรบางอย่างที่มันเหนือเหตุผล

“เพราะฉันรักเธอ ฉันไม่โกหกเธอหรอก”

“ใช่”

เห็นไหม? ความคิดมนุษย์ จะไปบอกเรื่องพระเยซูกับใคร? มรดกยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ไม่เชื่อหรอก เหมือนนางเอกเรื่องนี้ แต่ในที่สุด เขาก็ได้รับมรดกของเขา ตามที่เขาสมควรจะได้รับ เพราะมีใครบางคนรักเขาจริงๆ เขามั่นใจคนนี้ จากนั้นเขาเลยเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องกฎหมาย ไปอ่านดู มรดกที่เขียนไว้ เริ่มเข้าใจ อันนี้ก็ของฉันจริงๆ นี่ก็ของฉันจริงๆ จากนั้นนางเอกเปลี่ยนจากเป็นคนใช้ กลายเป็นคนใช้เขา กลายเป็นเจ้าของบ้าน ชีวิตก็เปลี่ยนไปทุกอย่าง นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ เรียนรู้กันเรื่องนี้ ต่อไปเรื่อยๆ พระเจ้าจะนำท่านต่อไปเอง แล้วท่านจะเดินต่อไป เราเรียกที่นี่ว่าในพระคริสต์  … ในพระคริสต์ เราจึงมีความหวัง … ความหวังไม่ใช่พึ่งการกระทำของตัวอีกต่อไป ความหวังไม่ใช่พึ่งความสามารถของตนเองอีกแล้ว

ความหวัง ก็คือฉันฝากชีวิตไว้กับพระเยซู ฉันจะเดินกับพระองค์ เหมือนกับเพลงที่บอกว่าอยู่ในพระคริสต์ เดินอยู่กับพระคริสต์ อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร เพราะหมดหน้าที่ มอบให้กับพระเจ้าแล้ว เป็นของพระองค์ต่อไป เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 5 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  ตุลาคม  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 5 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้ “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 5 เรื่อง “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 2 จะย้ำอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการจะให้ทุกท่านได้เข้าใจ ได้เชื่อ ได้มั่นใจ เขาเรียกว่าได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง รู้สึกลึกซึ้งจริงๆ ว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น พระเยซูมักพูดเสมอๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่า Behold แปลว่าจงมองให้เห็นเถิด

ท่านรู้ไหมคำนี้ โมเสสใช้ตอนที่คนอิสราเอลตกใจกลัว หนีมาชนทะเลแดง ตายแน่ ลงไปก็จมน้ำตาย หันไปข้างหลัง กองทัพเต็มไปด้วยอาวุธเต็มขนาดมา ฆ่าเราตายแน่ๆ โมเสสได้รับคำสั่งจากพระเจ้า ทำอย่างไรจึงจะสยบความกลัวของประชาชนเยอะแยะมากมาย เป็นล้านๆ โมเสสขึ้นไปบนก้อนหินสูงๆ ยกไม้เท้าขึ้น แล้วบอกว่า …

“Behold”

ตะโกนดังลั่นเลย  “จงมองให้เห็นเถิด”

ทางโลกฝ่ายวิญญาณว่า “Behold ความช่วยให้รอด พระหัตถ์พระเจ้ามาแล้ว”

ท่านนึกภาพ เห็นโมเสสตอนนั้น ที่อยู่บนก้อนหิน แล้วตะโกนไปเห็นคนเป็นล้าน แล้วทุกคนกำลังกลัว โมเสสต้องเรียกเอาความสนใจของเขามาที่นี่ให้หมด พระเจ้าตรัสว่า …

“จงมองให้เห็นเถิด”

เริ่มต้นตั้งแต่โลกวิญญาณทั้งหมด มีพระเจ้าเป็นผู้ควบคุม และครอบครองยิ่งใหญ่สูงสุด จงมองให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ จำไว้ว่าทั้งหมดนี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น และอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณที่ซ้อนหรือคลุมโลกอยู่ในเวลานั้น ก็มีเพียงอาณาจักรเดียว คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ที่มีมนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้สนิทสนมเป็นมิตร เป็นลูกเป็นพ่อกัน นี่ปฐมกาล

แล้วต่อมามนุษย์คู่แรก ที่พระเจ้าทรงสร้าง คืออาดัมและเอวาก็กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า หันไปเชื่อฟังคำพูดของมาร ซาตาน ขัดคำสั่งพระเจ้า จึงล้มลงในความบาป จากนั้น โลกวิญญาณ ที่เคยเป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง ก็กลับกลายเป็นอาณาจักรแห่งความมืด จากการถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมาร และมนุษย์ทั้งหลาย ก็ได้รับเชื้อบาป มาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม กลายเป็นคนบาป ที่ถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า ถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และจนมาถึงเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว แผนการของพระเจ้าที่ได้ทรงเตรียมไว้ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกก็เกิดขึ้น คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาเป็นตัวแทนมนุษย์ รับโทษของความบาปทั้งหลายทั้งมวลของมนุษย์ โดยผ่านทางการตาย และหลั่งพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน เอาโทษออกไป และจากวันนั้น 2,000 ปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ เดี๋ยวนี้ โลกวิญญาณที่ซ้อนอยู่ หรือครอบคลุมโลกวัตถุนี้อยู่ ก็เกิดเป็น 2 อาณาจักรขึ้นทันที คืออาณาจักรแห่งความสว่างกับอาณาจักรแห่งความมืด โดยทั้ง 2 อาณาจักร ก็เปรียบได้ เท่ากับครอบครัวใหญ่ๆ 2 ครอบครัวของมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ นั่นเอง

อาณาจักรแห่งความสว่าง ก็คืออาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งมีพระเยซูคริสต์ เป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็มีมนุษย์ เป็นสมาชิกในครอบครัวนี้ ครอบครัวนี้ มีชื่อเรียกว่าครอบครัวพระคริสต์ ผู้ที่อยู่อาศัยในครอบครัวนี้ จึงถูกเรียกว่าอยู่ในพระคริสต์

สำหรับอาณาจักรแห่งความมืด ก็คืออาณาจักรของมาร ซึ่งมีอาดัมเป็นบรรพบุรุษ หรือเป็นหัวหน้าครอบครัวเดิม ตั้งแต่สมัยโน้นอยู่ แล้วก็มีมนุษย์เป็นสมาชิกในครอบครัวนี้ ครอบครัวนี้มีชื่อว่าครอบครัวอาดัม ผู้ที่อาศัยอยู่ในครอบครัวนี้  ได้ชื่อว่าอยู่ในอาดัม

และจากที่เราได้เรียนรู้จากข้อพระคัมภีร์ ถ้อยคำต่างๆ ที่อยู่ในพระคัมภีร์ ที่อธิบายถึงลักษณะ สภาพ และความเป็นอยู่ พอสังเขปได้ของอาณาจักรแห่งความมืด ก็จะมีคำต่างๆ เหล่านี้ ในพระคัมภีร์ ที่บอกถึงสภาพ ลักษณะในอาณาจักรนี้ว่าเขาอยู่อย่างไร? เป็นอย่างไร? พอจะเข้าใจได้บ้าง พอสังเขป   เช่น ความมืด, ตายนิรันดร์, คนบาป, คนอธรรม, ถูกสาปแช่ง, ความเกลียดชัง, ความพิโรธของพระเจ้า, กดขี่ข่มเหง, ข่มขู่, ลูกแห่งการกบฏ เป็นต้น เหล่านี้ คือถ้อยคำ หรือลักษณะของพระคัมภีร์ที่อธิบายถึงสภาพของอาณาจักรแห่งความมืด

และในพระคัมภีร์ที่อธิบายถึงสภาพและลักษณะของอาณาจักรแห่งความสว่าง ก็จะมีคำต่างๆ เหล่านี้ ท่านจะคุ้นๆ มาก  เช่น  ความสว่าง, อาณาจักรสวรรค์, ชีวิตนิรันดร์, ผู้ชอบธรรม, บริสุทธิ์,  ความรัก, พระเกียรติสิริ, พระคุณ, สง่าราศี, ลูกของพระเจ้า เป็นต้น ถ้อยคำเหล่านี้  จะบอกลักษณะสภาพของผู้ที่อยู่ในอาณาจักรนี้ ซึ่งเราได้ยินบ่อยๆ เพราะเราเรียนรู้แล้ว อย่างเช่นพระเยซูบอก ตอนที่พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกนี้ พระองค์บอกว่า …

“สวรรค์กำลังมา และอยู่ที่นี่แล้ว”

ตอนนี้สวรรค์อยู่ที่นี่ และพระองค์ทรงเป็นผู้นำเอาสวรรค์มา ตอนนี้พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นแสงสว่าง เอาแสงสว่างเข้ามาบนโลกแล้ว พระองค์กำลังจะพูดถึงว่าอีกไม่นาน พระองค์จะตายที่ไม้กางเขน และสถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้ขึ้นมา ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ใครที่เชื่อเรา (พระเยซู) เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ แปลว่าชีวิตที่เหมือนพระเจ้า อะไรอย่างนี้เป็นต้น ตอนนี้ท่านเริ่มอ๋อ! แล้วท่านฟังไปเรื่อยๆ พระวิญญาณจะย่อยสลายถ้อยคำเหล่านี้ ลงไปในวิญญาณของท่าน เกิดเป็นสติปัญญา เกิดเป็นการรับรู้ในเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าว่าพระเจ้า คือใคร? และทำอะไรให้ฉันบ้าง? ให้มนุษยชาติบนโลกใบนี้บ้าง?

ฝั่งอาณาจักรของความสว่าง ที่มีพระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็จะปกครองอยู่ในอาณาจักรนี้ ด้วยความรักฉันท์พี่น้อง แบบครอบครัว เรียกว่าครอบครัวพระคริสต์ เหมือนที่เราชอบลงท้ายจดหมายหรืออะไรต่างๆ ว่า “รักในพระคริสต์” “ความรักในพระคริสต์” แปลว่าอย่างนี้  ในครอบครัวของความสว่าง ในโลกวิญญาณ

ส่วนฝั่งของอาณาจักรแห่งความมืด มีอาดัมอยู่ อาดัมมอบอำนาจให้มารไปแล้ว ก็เท่ากับว่ามีหัวหน้าครอบครัวเป็นอาดัม แต่เซ็นต์มอบอำนาจให้มารเป็นใหญ่ ก็จะปกครองด้วยการกดขี่ข่มขู่ ให้หวาดกลัวตลอดเวลา ตกนรก เธอแย่ เธอเลว เธออะไรต่างๆ เหล่านั้น เธอสมควรตาย เหมือนอยู่ในคุก เหมือนที่กักขังทาส ทุกคนเป็นเหมือนทาส เป็นเหมือนเชลย

นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์ได้อธิบายให้เราฟัง ถึงสภาพของ 2 อาณาจักรนี้  ซึ่งในโลกวิญญาณบอกว่ามนุษย์ทุกคน จะต้องเป็นสมาชิกในครอบครัวใด  ครอบครัวหนึ่งอย่างแน่นอน หนีไม่พ้น ตราบใดที่ท่านเป็นมนุษย์ และเดินอยู่บนโลกใบนี้ ท่านต้องอยู่ในอันใดอันหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสว่างหรือมืด พระเยซู หรืออาดัม

ยกตัวอย่างว่าท่านเดินออกไปข้างนอก กลางวัน ที่มีดวงอาทิตย์ ทุกคนก็แดดร้อนเท่าๆ กันหมด เหมือนที่บอกว่าโลกกลม ไม่ว่าท่านจะบอกว่าโลกแบนหรืออย่างไร? แต่ในที่สุด มันก็คือโลกกลม

แผนการของพระเจ้าที่ได้ทรงส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษย์นั้น เพื่อมนุษย์จะได้มีโอกาสเลือกและสามารถย้ายสำมโนครัว จากครอบครัวเดิม สู่ครอบครัวใหม่ที่ดีกว่าได้ แค่นั้นเอง พระเจ้าทำสำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน พระเยซูตรัสชัดเจนว่าสำเร็จแล้ว เริ่มต้นปฐมกาล พระเจ้าบอกว่าจะทำ จะส่งพระบุตรลงมาบนโลกใบนี้ เพื่อจัดการไถ่บาปให้กับมนุษย์ และเตรียมโลกใหม่ให้กับมนุษย์ เตรียมครอบครัวใหม่ให้กับมนุษย์ จะได้พ้นจากบาป จากเวร จากกรรมเสียทีหนึ่ง เวลาผ่านมาเนิ่นนานมากมาย จนกระทั่งพระเยซูที่ไม้กางเขน พระองค์บอกทำแล้ว เสร็จแล้ว จบแล้ว ต่อไปนี้ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพราะทำให้เสร็จแล้ว ไปบอกข่าวดีนี้ให้กับทุกคน มนุษยชาติ ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ว่ามันมีที่ที่ดีกว่าแล้ว ย้ายเถอะๆ ท่านต้องมีความรู้อะไรมากมายไหม? ไปประกาศข่าวดีนี้ โลกวิญญาณมี 2 อาณาจักร มีอาณาจักรแห่งความมืด และตอนนี้มีอาณาจักรแห่งความสว่าง ดีกว่าตั้งเยอะแยะมากมายเลย  พระเยซูมาทำให้แล้ว พระเจ้าส่งพระบุตรมาให้เรียบร้อยแล้ว ตายที่ไม้กางเขนเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนเลย รับสิทธิท่านไป เปลี่ยนทันที ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้ท่านเรียบร้อยแล้ว แค่นี้ ฮีบรู 2:11

ฮีบรู 2:11 “พระองค์ผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายบริสุทธิ์กับบรรดาผู้ที่ทรงทำให้บริสุทธิ์นั้น เป็นครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอาย ที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง”

 

พระเยซูเรียกท่านว่า “พี่น้อง” แล้วทำไมท่านเรียกพระเยซูว่าพระองค์ล่ะ อ้าว! ท่านต้องเรียกพระองค์ว่าพี่ กล้าเรียกไหม? เขินอ่ะ เพราะว่าเราไม่รู้จักพระองค์จริงๆ แต่พระองค์รู้จักเรา ถูกไหม? พระเยซูเจอทัศนัย

“น้องนัยว่าอย่างไร?”

น้องนัยหันกลับมา “ข้าพระองค์”

รู้สึกห่างเหินจริงๆ พระเยซูบอกอยากจะเข้าไปกอด “อย่ากอดหม่อนฉันเลย”

มันเป็นอย่างนี้จริงๆ วิธีแก้ไขทำอย่างไร? เรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น เรียนรู้จักวิธีใด ก็พยายามอธิษฐานขอพระเจ้า ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงให้เรารู้ว่าพระองค์คือใคร? แล้วเราเป็นใคร? นี่แหละ เรากำลังเรียนรู้ ตอนนี้เราสนิทขึ้นตั้งเยอะแล้ว สมัยก่อนเราสนิทอย่างนี้ไหม? เราก็ไม่ได้สนิทถึงขนาดนี้ แต่ถามว่าสนิทขนาดนี้ มากขนาดนี้ได้ไหม? เรียกพระเยซูว่าพี่ได้ไหม? ยังไม่ได้ใช่ไหม?  แต่วันหนึ่งจะได้ ถูกไหม? แต่ตอนนี้ก็เริ่มสนิทแล้วนะ ตอนก่อนหน้านี้ แย่กว่านี้ หลายคนเชื่อใหม่ๆ ไม่กล้าอธิษฐาน ต้องคุกเข่า พอไม่คุกเข่า รู้สึกมันไม่ถ่อมใจ ยืนอธิษฐานไม่ได้ บางคนยืนอยู่บนรถเมล์ไม่กล้าอธิษฐาน บางคนอยู่ในห้องน้ำไม่กล้าอธิษฐานเลย นี่เรื่องจริง ผมก็คือหนึ่งในนั้น เข้าห้องน้ำรู้สึกเขินๆ มีความรู้สึกว่าจะอธิษฐาน ต้องหาที่สงบๆ ห้องเงียบๆ ปิดประตูหมด รู้สึกพระเยซูอยู่ใกล้เหลือเกิน จริงๆ ก็ใกล้เหมือนเดิมนั่นแหละ ที่เดียวกัน ในห้องน้ำเหมือนกัน แต่ตัวเราเอง รู้จักพระองค์ไม่พอ พอเข้าห้องน้ำ เขินพระเยซู ไม่กล้าอธิษฐาน รู้สึกโป๊ ไม่สุภาพ จะอธิษฐานต้องไปเตรียมชุดให้ดีๆ ใส่ชุดให้เรียบร้อย เข้าไปสง่างาม คุกเข่าลง  ท่านเห็นภาพหรือยัง? ฮีบรู 2:14-15

ฮีบรู 2:14-15 “14 ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อ พระองค์จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตายคือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดา ผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิต ตกเป็นทาสเนื่องจากกลัวความตาย”

 

“ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อ” บุตรทั้งหลาย ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เชื่อพระองค์ มนุษย์ทั้งหลาย ในเมื่อน้องๆ ทั้งหลาย เป็นมนุษย์ พี่ก็ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของน้องๆ ได้ พี่เป็นพระเจ้า เป็นวิญญาณเฉยๆ มาช่วยน้องๆ ไม่ได้ พี่ก็เลยต้องยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนน้องๆ ต้องมาอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายที่มองเห็น ต่ำต้อยมาก ยอมมาอยู่ในนี้ เพื่อว่าพี่จะได้สามารถตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับน้องๆ ทั้งหลายได้  เรื่องพระเจ้า คือเรื่องครอบครัวแค่นี้เอง ถ้าท่านเห็นภาพในโลกวิญญาณ เห็นชัดเจน ท่านเข้าใจ ท่านจะสามารถพูด อย่างที่ผมพูดอย่างง่ายๆ เลยว่ามันเป็นครอบครัว กำลังเล่าให้ฟังว่าพี่ไปทำอะไรมา? มาช่วยน้องๆ อย่างไร? พ่อส่งพี่มาช่วย พ่อให้พี่มาช่วย  แล้ววิธีช่วยของพี่ คือพี่ต้องเข้ามาอยู่กับน้องๆ อยู่ท่ามกลางน้องๆ เพื่อจะได้เป็นพวกเดียวกันกับน้องๆ เพราะว่าถ้าพี่ยังเป็นพระเจ้าอยู่ พี่ตายไม่ได้ ไม่สามารถหมดลมหายใจได้ ไม่สามารถมีเลือดหลั่งออกมาชำระบาปได้ เพราะฉะนั้น พี่ต้องมาในสภาพเหมือนน้องๆ คือเป็นร่างกายที่มีเนื้อหนัง มีเลือด เพื่อว่าจะได้ตายได้ จะได้เลือดหลั่งได้  เพื่อการตายและหลั่งเลือดนั่น ชำระบาป ตามกฎกติกาของพระเจ้า เพื่อช่วยให้น้องๆ ได้หลุดพ้น จากการถูกลงโทษได้ หลุดพ้นจากคำสาปได้ ก็แค่นี้เอง

อ่านแล้วมันศาสนาเหลือเกิน มันไม่เข้าใจเลย เราคิดมากไป เราคิดเยอะไป ไม่มีอะไร มีอยู่แค่นี้  พอเรามาแกะเปลือกออกปุ๊บ เหลือแต่แก่นเท่านั้น แก่นมันไม่มีอะไรเลย ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ ขอบคุณพี่พระเยซูมากเลย พี่ดีกับเรามากจริงๆ

การถ่อมใจ คือการยอมรับในสิ่งที่พระเยซูบอกว่ามันเป็นจริง พระเยซูบอกว่าเป็นพี่น้อง ถ้าเราบอกเป็นพี่น้อง พี่พระเยซู … พระเยซูเรียกอย่างนี้ว่าถ่อมใจ แต่ถ้าพระเยซูบอกเราเป็นพี่น้อง แล้วเราบอกเราต้องคุกเข่าลง พระเยซูบอกไม่ถ่อมใจเลย  มันกลับกัน นั่นคือความถ่อมใจแบบมนุษย์ … มนุษย์ถ่อมใจ คือต้องคุกเข่า พระเยซูบอกเราเป็นพี่น้องกัน คุกเข่าทำไม? เพราะเราไม่เชื่อ เพราะความรู้เราไม่พอ หรือไม่เชื่อ เพราะการรับรู้ของเราไปไม่ถึง แต่รวมความแล้ว เรายังไม่ถ่อมใจจริงๆ การถ่อมใจในฝ่ายวิญญาณ ในทางพระเจ้า คืออย่างนี้ รับรู้ในสิ่งที่พระองค์ทรงบอกว่าเป็น เราก็บอกว่าเป็นอย่างนั้น นั่นแหละคือการถ่อมใจ ถ้าพระองค์บอกว่าเป็นอย่างนี้ แล้วเราบอกไม่ใช่ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่ถ่อมใจ เขาเรียกว่าเย่อหยิ่ง พระเยซูบอกเราเป็นพี่น้องกัน เราบอกไม่ใช่ พระองค์ยังเป็นเจ้านายอยู่เหมือนเดิม อย่างนี้ไม่ถ่อมใจ แต่ถ้าพระองค์บอกเราเป็นพี่น้องกัน แล้วเราบอก อ้าว! พี่ว่าอย่างไร? พระเยซูบอกนี่ คนถ่อมใจเป็นคนนี้

พระองค์จึงชอบว่าพวกฟาริสีที่ชอบทำตัวเป็นเคร่งครัดทางศาสนา ดูเหมือนถ่อมใจ พระเยซูบอกถ่อมใจไม่ใช่อย่างนั้น ลองดูว่าเรากล้าพูดมั๊ย

“พี่ รถเมล์ไม่มาเลย รอนานแล้ว ฝนจะตกแล้วพี่ พี่ขอรถเมล์ด่วนจี๋มาสักคันได้ไหมพี่ ช่วยหน่อย”

อันนี้คิดในใจนะ สมมติ “พี่ ช่วยน้องหน่อยเถอะ วันนี้ เห็นเขาบรรยายว่าให้เรียกพี่ เรียกน้อง … น้องก็ไม่ค่อยกล้าเรียกมาก ทดลองเรียก พี่ช่วยหน่อยนะพี่นะ”

ท่านคิดในใจอย่างนี้ ท่านคิดว่าพี่ แต่ท่านรู้ว่าคำว่าพี่ของท่าน คือใคร? ท่านคิดแต่ว่าพระเยซูบอกว่าไม่ได้ เธอต้องบอกว่าพระเยซูช่วยน้องด้วย อย่างนี้เหรอ ท่านบอกว่าพี่ แต่ในใจท่านคิดว่าใคร ก็คือท่านนั่นแหละ คนนั้นแหละ คำว่าเยซู … พระเยซู แปลเป็นภาษาของมนุษย์แล้วไม่รู้กี่พันภาษานะ มันไม่ได้สำคัญตรงชื่อนั้น ทุกวันนี้ยังมีคนใช้ชื่อเยซู … เยซู โยชูวา มันไม่ได้สำคัญตรงคำพูดของคน แต่สำคัญตรงคนที่พูด แล้วรู้ความหมายว่า …

“ฉันกำลังพูดถึงใคร?  ฉันบอกว่าโยชูวา หรือฉันบอกว่าเยซู แต่ฉันหมายถึงคนนั้นแหละที่เกิดมาจากพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อฉัน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับฉัน และมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ฉันหมายถึงคนนี้ ต่อให้ท่านพูดเพี้ยนๆ เป็นเยซูๆๆๆ ก็ถูก”

หรือท่านไม่ต้องกล่าวถึงชื่อเลย แค่ระลึกถึง เรียกเขาว่าพี่ พอเข้าใจใช่ไหม? จึงต้องอธิบายในทางของพระเจ้า ที่บอกว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วท่านจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ท่านเดือดร้อนอะไร?  ก็คุยกับพระเยซู คุยเลย คุยกับพี่เราอย่างนี้

“พี่ช่วยน้องหน่อยนะ ไม่ไหวแล้ววันนี้ ช่วยหน่อย”

ฝึกไปเรื่อยๆ จนคล่อง มันก็จะชิน จนเกิดการรับรู้ว่าเราสนิทกัน ท่านกำลังทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยมากที่สุด ท่านกำลังถ่อมใจมากๆ พระเจ้าพอใจคนถ่อมใจมากๆ ก็ด้วยวิธีนี้แหละ เอเมน พอถึงพระเจ้า ก็บอก …

“พ่อจ๋า วันนี้”

เรายังชินมากนะ พระเยซูเรียกเป็นพี่ มันไม่เคย ในนี้จึงบอกว่าพระเยซูไม่ทรงละอาย ที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง พระองค์เป็นพี่ เราเป็นน้อง

วิญญาณของมนุษย์ผู้ใดที่ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว เขาอยู่กับพระเยซูแล้ว เขาจะอยู่ในความสว่างอย่างนี้ตลอดไป  แม้ว่าวันหนึ่ง ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ อายุ 80 ปี 70 ปี หรือ 90 ปี 100 ปี จะต้องกลับไปสู่ดิน จะต้องสูญสิ้นไป  ทรุดโทรมไป  หมดไป แต่วิญญาณเขาไม่ได้ไปไหน เขายังอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม และเมื่อใครก็ตามเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างนี้ มาอยู่กับพระเยซูคริสต์ ย้ายจากครอบครัวเดิม คือครอบครัวอาดัม มาอยู่นครอบครัวพระเยซู อยู่ในความสว่างกับพระเจ้า กับพระเยซู เขาจะอยู่ที่นี่ตลอดไป และในพระคัมภีร์บอกว่าขณะที่เขาอยู่ ไม่มีใครที่ไหน แม้กระทั่งตัวเขาเอง จะสามารถเอาเขาออกไปจากอาณาจักรแห่งความสว่าง กลับมาอยู่ในความมืดนี้ได้ ไม่มีทางเด็ดขาด เพราะเขาได้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดนี้แล้ว เอเมน

นี่คือความสบายใจและการหายเหนื่อยและเป็นสุข ที่พระเยซูบอก หลายคนไม่เข้าใจ กลัว ฉันจะได้รับความรอดไหม? วันนี้ ถ้าฉันทำไม่ดีไป ฉันจะตกกลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิม  ปรากฏว่าวันทั้งวันย้ายไปก็ย้ายมา เมื่อตะกี้นี้ขับรถมา ทนไม่ไหว คนขับรถตัดหน้า ด่าไปแบบสุดๆ เลย ท่านมีความเชื่อว่าถ้าไม่สารภาพบาป ท่านยังต้องตกนรกอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านก็ยังตกนรกอยู่ ถ้าผมไม่ได้เตือนท่าน แล้วท่านต้องคอยจำว่าตั้งแต่เช้ามาท่านทำอะไรผิดไปบ้าง แล้วสารภาพหรือยัง?

เพราะฉะนั้น ถ้าใช้ความเชื่อแบบเดิมๆ ท่านเดินไปเดินมา ทำผิด ท่านก็ต้องสารภาพผิด ขอโทษพระเจ้า ไปไหนมาไหน ก็ต้องขอโทษพระเจ้า หนักกว่าเดิม ไม่ใช่หายเหนื่อยแล้วเป็นสุข พระคัมภีร์บอกว่าท่านเป็นนิวครีเอชั่น ได้เป็นสิ่งที่ถูกสร้างใหม่แล้ว พระเจ้าสร้างท่านใหม่ ก่อนจะเชื่อพระเยซู ท่านอยู่ในอาดัม อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด เหนื่อย ทุกอย่างต้องทำด้วยตัวเอง ไม่รู้จะไปพึ่งใคร? เมื่อท่านได้ยินข่าวประเสริฐ ท่านบอก …

“ข่าวประเสริฐดีจริง ฉันเชื่อแล้ว ฉันเอาด้วย ฉันจะใช้สิทธิของฉันในพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูทำให้ฉัน คือตายแทนฉันที่ไม้กางเขน เป็นพี่ชายให้กับฉัน มารับโทษบาปแทนฉัน ฉันเอาด้วยคน ฉันใช้สิทธิของฉันแล้ว ฉันรับแล้ว”

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อท่านพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับท่าน … ท่านจะรอด พอท่านพูด ท่านเชื่อปุ๊บ พระคัมภีร์บอกว่าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า กระทำการงาน โดยวินาทีนั้นทันที 2 โครินธ์ บทที่ 17 สร้างท่านขึ้นใหม่ เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ นิวครีเอชั่น  คำเดียวกับปฐมกาลเลย ถูกสร้างขึ้นใหม่ ในพระเยซูคริสต์ สิ่งเก่าๆ ๆก็ล่วงไป นี่แหละ Behold อันเดียวกัน แปลว่าจงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยมทั้งสิ้น วิญญาณเก่าเอาออกไป เราให้ใจใหม่กับเจ้า เอเมน พระเจ้าบอกไม่มีฤทธิ์อำนาจใดๆ เอาท่านออกไป จากความรักของพระเจ้าได้อีกแล้ว ไม่ยอมให้ใครมาเอาไปเด็ดขาด ท่านว่าพระเจ้าทำได้ไหม? ทำได้แล้ว และทำไปแล้ว นี่คือความสบายใจ ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว เมื่ออยู่กับพระเจ้า

พูดถึงเรื่องนี้ ผมเคยตกใจ ผมว่าหลายคนก็เคยตกใจเหมือนผม มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปบ้านเพื่อน คนรู้จัก เลี้ยงหมาดุเอาไว้ แต่จำเป็นต้องไป เพื่อนก็ไม่บอกเรานะว่าหมามันดุมาก

“ไม่เป็นไร มันไม่ได้ดุอะไรมาก”

เราก็เดินจะเข้าประตู ปุ๊บ มันกระโจนมาเลย ดุมาก หมาไทย ขอบคุณพระเจ้า โซ่มันพอดี คือเขาผูกไว้พอดี ให้แขกสามารถเดินเข้าบ้านเขาได้ ด้วยความตกใจกลัวสุดขีด มันบอกไม่เป็นไร เพราะมันผูกไว้แล้ว  ตัวเจ้าของเขารู้ว่าไม่กัดแน่ แต่ผมไม่รู้ หัวใจแทบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม มันกระโจนมา เรารู้สึกเฉียดนิดเดียว แต่จริงๆ ไม่นิด ก็ 3 – 4 คืบ คือสุดปลายโซ่ ถ้าขึ้นบันได มันก็สุดปลายโซ่ แต่ทำไมเรากลัว ใจหายเลย  ถามว่ามันดุจริงไหม? จริง ถามว่ามันจะกัดจริงหรือเปล่า? จริง ถ้าไม่มีใครผูกไว้ มันกัดผมแน่ ฉันใดก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่ามารมันเป็นเหมือนสิงคำรามรอบตัวท่าน มันคอยจะกัดท่าน ถ้ามันทำได้ แต่มันทำไม่ได้หรอก เพราะว่าพระเจ้าผูกมันไว้ ถ้าท่านอยู่ฝั่งอาดัม มันกัดท่านอยู่ทั้งวัน แต่ท่านย้ายมา มันกัดท่านไม่ได้แล้ว มันได้แต่ทำให้เรากลัว สะดุ้งตกใจ แต่พอนานๆ เริ่มชิน มันทำอะไรเราไม่ได้นี่หน่า มันจะทำเราได้ต่อเมื่อเราไม่ได้อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง แต่ตราบใดที่เราย้ายมาแล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

เพราะฉะนั้น คนที่ย้ายมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ควรจะทำเหมือนที่พระเยซูบอก คือถ่อมใจ บอกว่า …

“ฉันหายเหนื่อย และเป็นสุขแล้ว”

ก็คือนั่ง แล้วไข่วห้างด้วย มันสบาย ไม่ใช่นั่งไป กลัวไป  เมื่อไรจะมา ขู่ได้ไหม? ได้ เข้าใจไหม?  พระองค์มีชัยชนะเหนือทุกสิ่ง เราอยู่ที่นี่แล้ว ได้แต่ขู่เรา

“แน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้ทำอะไรผิดบาปแล้ว แน่ใจได้อย่างไร? เมื่อวานยังมีความรู้สึกโลภ”

พระเยซูบอกแค่โลภก็แย่แล้ว เมื่อวานนี้ยังดูการประกวดนางงามอยู่เลย พระเยซูบอกแค่คิดกำหนัด ก็บาป ตกนรกแล้วนะ ชักไปใหญ่แล้ว แล้วสิบลดยังไม่ได้ถวาย ศิษยาภิบาลบอกตกนรกอีก ฉันอยากกลับไปเหมือนเดิม นี่แหละถูกมารมันเห่าตลอดเวลา ตกลงชักจะกลับไปเหมือนเดิมแล้วนะ ท่านดีอย่างไร? ท่านจึงสามารถอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ได้ ฉันไม่ได้ทำอะไรดีเลย พระเยซูบอกฟรี แล้วไปให้เขาขู่ว่าไม่ได้ทำอะไรดีเลย  แล้วสมควรจะอยู่ในสวรรค์เหรอ คนนั้นทำดีกว่า คนนี้ทำดีกว่า ทำไมเธอมั่นใจตัวเองไปสวรรค์แน่นอน

นี่คือการขู่ ฤทธิ์อำนาจของพระเยซู คือมั่นใจในถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนี้ ฉันก็บอกอย่างนี้ จบ กัดฉันไม่ได้แน่นอน ได้แต่ขู่ไป ไม่มีประโยชน์ เห็นหรือยัง? พอท่านมาอยู่ที่นี่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะสอนท่านในการดำเนินชีวิต แบบใหม่ แบบคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ให้ระลึกถึงพระคุณของพระเยซูคริสต์ที่ไถ่บาปให้กับเรา ให้ระลึกถึงความดีงามของพระองค์ พ่อเรา ที่รักเรามาก เป็นครอบครัว ไม่ใช่ให้กลัว ให้ระลึกถึง แล้วตั้งใจจะทำชีวิตให้ดีงาม ให้เป็นที่พอพระทัยของพ่อของเรา ทำได้ครบบ้าง ไม่ครบบ้าง แต่ไม่กลัว เพราะพ่อเราไม่ได้ว่าอะไรหรอก เราก็ตั้งใจของเราได้แค่นี้ หล่นบ้าง ตกบ้าง ไม่สนใจ เพราะได้แค่ขู่ฉัน ทำอะไรฉันไม่ได้ ชัยชนะแปลว่าอย่างนี้

ชนะความบาป ก็หมายถึงอย่างนี้ ชนะหมดเลย เกลี้ยงเลย เธอทำอะไรฉันไม่ได้อีกแล้ว จบ

“เธอทำบาป จะได้รับความรอดได้อย่างไร? เธอมาเชื่อพระเจ้า เธอยังโกหกอยู่เลย เธอจะได้รับความรอดได้อย่างไร?”

บอกมันเลย  “ต่อให้โกหกฉันก็ได้รับความรอด ฉันได้รับการชำระโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ไปแล้ว ฉันไม่ได้ชำระตัวเองด้วยความดีของฉัน ฉันได้รับการชำระ ฉันมาอยู่ตรงนี้ เพราะว่าพระเยซูทำให้ ฉันได้มาฟรีๆ เพราะฉะนั้น ต่อให้ฉันเผลอไปโกหก ฉันก็รอดอยู่ดี”

นี่แหละ คือคำที่สยบมารที่คำรามใส่เรา แล้วพระวิญญาณก็นำพาเรา ให้เราทำสิ่งที่ดีๆ ที่สุด เพื่อพ่อเรา เพื่อพระเจ้าที่ทำดีกับเรา เรารักพ่อ เราเลยอยากทำสิ่งที่ดี สิ่งที่พลาดไป

“ขอโทษทีพ่อ ลูกพลาดไป ลูกขอโทษ”

จบ ไม่ต้องไปคิดมันแล้ว ต่อไปก็อยู่กับพ่อเหมือนเดิม ผมนึกถึงสมัยที่ผมจบใหม่ๆ ผมไปเล่นดนตรีอยู่ที่แคมป์ทหาร ที่นครพนม ตอนนั้น ทหารอเมริกันไปรบ แล้วกลับมาพักที่แคมป์ เขาไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะตายหรือไม่?  เที่ยวหน้าต่อไป เขาอาจจะไม่ได้กลับมาก็ได้ เขาก็ใช้เงิน ใช้ทอง เสพความสุขต่างๆ ให้มากที่สุด หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือเรื่องของยาเสพติด มีหมดทุกชนิดเลย แล้วผมเป็นนักดนตรีก็ต้องคลุกคลีกับพวกทหารเหล่านี้ เป็นเพื่อนกัน ถามว่ารอดจากยาเสพติดเหล่านั้นได้อย่างไร? คือพ่อแม่ไม่ได้บังคับผมเลยนะ พ่อแม่อยู่กรุงเทพ ผมก็รู้ว่าท่านเป็นห่วง แต่ด้วยความรักของพ่อแม่  ผมรู้ว่าพ่อแม่รัก อะไรที่ไม่ดี พยายามที่จะรู้ตัวว่ามีคนที่รักเราอยู่ เราก็ไม่อยากทำ ความรักเป็นพลังให้กับเรา  แต่เราทำได้ 100% ไหม? ไม่ได้ 100% แต่ผมรู้ถึงไม่ได้ 100% แต่ถ้าพ่อผมได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้ แม่ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้ แม่คงไม่เอาหวายมาเฆี่ยนผม  แม่ก็คงเข้าใจผม พ่อก็คงเข้าใจ ไม่คิด ไม่ถือสาตรงนั้น ให้ลูกได้รอด ก็แล้วกัน ผมรอด เพราะความรักของพ่อแม่ เป็นพลังให้กับเรา ในการที่เราจะเป็นคนที่ดี แต่เราไม่สามารถเป็นคนที่ดีพร้อมได้ แต่เราสามารถเป็นคนดีได้  ด้วยพลังที่พ่อให้เรา  ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าเป็นพลัง พระเยซูเป็นพลัง พระคุณเป็นพลัง เมื่อเห็นแก่พระคุณของพระองค์ เราตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุด ถวายร่างกายนี้ ให้พระองค์ใช้ดีที่สุด ส่วนจะผิดพลาดพลั้งไป ตามสัญชาตญาณบาปที่ทำงานอยู่ในเนื้อหนังนี้ ก็ว่ากันไป แต่ในใจ ผมไม่เคยคิดเลย ที่จะไปทำอะไรให้พ่อแม่ไม่สบายใจ ในหนังสือโรม บทที่ 12 จึงบอกว่า …

“ท่านรู้ในเหตุการณ์ที่พระเจ้า  ทำให้ท่านได้รับความรอดอย่างนี้แล้ว โดยท่านไม่ต้องทำอะไร? ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ที่ทำให้ท่านมานั่งตรงนี้ ทำให้เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ผู้เป็นพ่อที่รักท่านมากๆ ให้ดำเนินชีวิตในทางที่เป็นที่ถวายเกียรติ ให้พระเจ้าพอใจ”

ให้ทดแทนพระคุณพระเจ้า ดำเนินชีวิตให้ดีๆ ตั้งใจ พลาดไป ก็ไม่เป็นไร แต่ให้ท่านตั้งใจตรงนี้  นี่คือความสบายใจของผู้ที่ย้ายตัวเองมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ หายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูบอกสวรรค์มาแล้ว ก็คืออาณาจักรแห่งแสงสว่าง ที่พระองค์จะทรงนำเข้ามา กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เมื่อพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน มันเริ่มสถาปนาแล้ว เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม อาณาจักรแห่งสวรรค์ อาณาจักรแห่งความสว่างได้ลงมาบนโลกนี้แล้ว มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาอยู่ในนี้ได้ ง่ายนิดเดียว เพราะพระเยซูทำให้แล้ว เปิดให้แล้ว เพียงแต่เดินก้าวเข้ามา แล้วบอกว่า …

“ฉันเชื่อ”

จบ พระเยซูตอนที่เดินอยู่บนโลกนี้ บอกว่าบุตรมนุษย์ คือพระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน และพระองค์จะถูกยกขึ้นมา แล้วพระองค์จะทรงรอ คือดึงเอามนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เข้ามาหาพระองค์ด้วยวิธีนี้แหละ ผมก็ถูกดึงเข้ามาหาพระองค์ ทุกคนก็ถูกดึงเข้ามาหาพระองค์ คือเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง เข้ามาสู่ความสงบ เข้ามาสู่การพักผ่อน จบแล้ว ต่อไปนี้ ก็ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาเรา วันต่อวันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปกลัวอะไรเลย เราอยู่เหนือทุกสิ่งแล้วในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น ทุกอย่าง ทุกสิ่ง ทั้งโลกฝ่ายวิญญาณ โลกฝ่ายวัตถุอยู่ใต้เท้าพระเยซูคริสต์ แล้วเราไปกลัวอะไร? เอเมน เรากำลังอยู่ในสวรรค์ รอเพียงแค่ ให้มันชัดเจน มองได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องพยายามเหมือนทุกวันนี้ จงมองให้เห็นเถิด โลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร? เพราะเรายังติดอยู่ในร่างกายเก่านี้ พระเจ้ายังต้องใช้ร่างกายเก่าของเรานี้ ให้เป็นประโยชน์ในการประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ เพราะเราต้องเป็นมนุษย์ ถึงจะประกาศได้

เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าเลิกใช้เราเมื่อไร? ร่างกายนี้หมดลมหายใจ เมื่อไร? เป็นวันที่เราเป็นอิสระ เราอยู่ในสวรรค์ที่เดิม แต่เราเห็นชัดเจน ตาต่อตา เห็นชัดแจ๋ว ทุกวันนี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ล เปาโลบอกว่าเราเห็นเพียงรางๆ จึงต้องมาอธิษฐาน ขอพระเจ้าช่วยเรา จงมองให้เห็นเถิด แต่วันนั้น ถ้าร่างกายเราทิ้งไปแล้ว เป็นอิสระแล้ว เราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไปแล้ว เอเมน แล้ววันนั้น มันก็ใกล้เข้ามา พระเจ้าจะใช้เราอีกนานต่อไปเท่าไร? ก็อยู่ที่พระองค์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  ตุลาคม  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ เรากำลังเรียนรู้ ถ้อยคำพระเจ้า เรื่องความจริงจะทำให้เราเป็นไท ที่พระคัมภีร์พูดถึงนี้ ไม่ได้ใช้เฉพาะโลกวิญญาณ หรือเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น  จริงๆ ใช้ในชีวิตเราทั้งหมดเลย ถ้าเรารู้เรื่องจริง อะไรก็ตาม จะทำให้เราเป็นอิสระ ไม่ถูกหลอก เมื่อไม่ถูกหลอก เราก็ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง กับตัวเราเอง ในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องสุขภาพ เรื่องอะไรก็ตาม ทุกเรื่องเลย ถ้าเรารู้ความจริง แม้กระทั่งเรื่องคนอื่นที่เราไปวิพากษ์วิจารณ์ ไปเขียนในเฟสบุ๊ค ในโซเชียลมีเดียทั้งหลาย บางทีเราไม่รู้ว่าเบื้องหลัง มีอะไร? เราก็คิดของเราไปเรื่อยเปื่อย เราก็ตัดสินใจผิด คอมเม้นท์ผิด แล้วก็ไม่รู้ว่าจริงๆ เกิดอะไรขึ้น เห็นไหม? ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูพูดไปตั้งนานแล้ว ตั้ง 2,000 ปีแล้ว ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราพูดไปในความไม่จริง ก็จะเกิดความเสียหาย ใครเสียหายมากที่สุด ตัวคนๆ นั้นแหละ ที่ทำ

ยกตัวอย่างเช่น ความกตัญญู เขาบอกให้เรามีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ต่อผู้มีพระคุณทั้งหลาย พระเยซูบอกแม้แต่น้ำแก้วหนึ่ง ยังให้เรามีความกตัญญูเลย น้ำแก้วหนึ่งยังได้รับอะไรบางอย่าง ที่เรียกว่าสิ่งที่ดีๆ ตอบแทน คนที่เขาให้น้ำแก้วหนึ่ง ด้วยความรักแท้ ด้วยความจริงใจ ไม่ได้หวังอะไรกลับคืน ความกตัญญู คนอื่นก็นึกว่าพ่อแม่ต้องการให้เราไปช่วย พ่อแม่ต้องการความกตัญญู ไม่ใช่ พูด สอน เพื่อให้ประโยชน์เกิดขึ้นกับคนที่กตัญญู คนที่กตัญญูก็จะได้ กตัญญูต่อแผ่นดิน ก็ได้พระพร ได้สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต กตัญญูต่อพ่อแม่ กตัญญูต่อธรรมชาติ น้ำอะไรต่างๆ ให้มันสะอาด อย่าทำให้มันสกปรก อย่าเอาขยะทิ้งลงไป นี่คือความกตัญญู คนนั้นก็ได้พร คือได้สิ่งที่ดีๆ ในชีวิตของเขา ถ้าเขาไม่กตัญญู เขาก็จะได้สิ่งที่ไม่ดี ไม่รู้จักคุณค่าของสัตว์ ของสิ่งมีชีวิต ของป่าไม้ ของพืชพรรณ ของอากาศที่ดีๆ ไม่รู้จักคุณ ไม่กตัญญูต่อเขา ทำสิ่งไปต่อต้านเขา คนนั้น ก็ได้สิ่งที่ไม่เป็นพร เข้ามาในตัวเอง เรียกว่าได้คำสาปแช่งเข้ามา นี่เห็นไหม แค่พูดถึงเรื่องถ้อยคำเดียวที่พระเยซูบอกว่าความจริง จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ แค่นี้ก็พูดไม่จบเลย นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์

วันนี้เป็นตอนที่ 4 ใช้ชื่อเรื่องว่า “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ให้พูดบ่อยๆ เพื่อเราจะได้ชินกับคำศัพท์ที่ใช้ในโลกวิญญาณ ชินกับความคิด เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณที่มนุษย์มองไม่เห็น มือจับต้องไม่ได้ หูไม่ได้ยิน แต่เป็นจริงในพระคัมภีร์สอนไว้ เพื่อจะชินกับการคิด มองด้วยตาฝ่ายวิญญาณ ทะลุให้เห็นว่าโลกวิญญาณมีจริง และหน้าตามันเป็นอย่างไร? นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าท่านทั้งหลาย หรือผมควรจะทำและฝึกบ่อยๆ ยิ่งฝึกมาก มันก็จะชำนาญมากขึ้น ทุกทีๆ พระเยซูบอกว่าผู้ที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ผู้ที่จะมีสวรรค์เป็นของเขา เรียนถ้อยคำพระเจ้า เรียนเรื่องสวรรค์ เราต้องทำตัวเป็นเด็ก

วันนี้การบรรยายชุด “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” โลกวิญญาณมันซ้อนอยู่ในโลกนี้ มันเป็นอีกมิติหนึ่ง อยู่ตรงนี้แหละ มันคลุมอยู่กับโลกที่เรานั่งอยู่ที่นี่ ที่เราเห็นอยู่ตรงนี้ เหมือนที่พระเยซูพูด …

  1. โลกวิญญาณอยู่ที่ไหน?  อยู่ที่นี่ หมายถึงคลุมอยู่บนโลกใบนี้  ซ้อนกันอยู่ตรงนี้
  2. ตอนที่มีโลกใหม่ๆ ตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ โลกวิญญาณมีกี่อาณาจักร?  1 อาณาจักร
  3. ใครเป็นผู้นำความมืดเข้ามาในโลกวิญญาณ? อาดัม ผ่านทางมาร อาดัมไม่มีความมืด ผ่านทางมาร เชิญมารเข้ามา
  4. ตอนความมืดเข้ามาครั้งแรก โลกวิญญาณตอนนั้น มีกี่อาณาจักร? 1 อาณาจักร เพราะความมืดเข้ามา พระเจ้าก็ถอยออกไป
  5. เวลาเลยมา ยาวยืดจากปฐมกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้  โลกวิญญาณมีกี่อาณาจักร? 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง และอาณาจักรแห่งความมืด
  6. อาณาจักรแห่งความสว่างเกิดขึ้นได้อย่างไร? เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเจ้า แต่งตั้งให้พระเยซูคริสต์นั่งที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถาน เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ พระองค์ทรงนำเอาความสว่างเข้ามาในโลกนี้ ซ้อนเข้ามาอยู่บนโลกนี้เลย โลกวิญญาณ ก็เลยมี 2 อาณาจักรเกิดขึ้น จนถึงปัจจุบัน
  7. ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความสว่าง? พระเยซูคริสต์ … ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความมืด? มาร

เหนือพระเยซูคริสต์ ใครเป็นผู้ให้สิทธิอำนาจพระเยซูคริสต์? พระเจ้า … พอมาอาณาจักรแห่งความมืด ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักร? อาดัม ใครเป็นคนให้สิทธิอำนาจแก่อาดัม ในการเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความมืดบนโลกใบนี้ ชื่อมาร ท่านเห็นภาพไหม? นี่คือความเป็นจริงในโลกที่เราเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์พระเจ้า อยากให้เราลูกๆ ของพระองค์ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เราจะได้เป็นไท เป็นอิสระ

  1. ใครเป็นผู้มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออยากจะอยู่ในอาณาจักรมืดต่อไป? มนุษย์ เป็นผู้เลือกเอง ไม่มีใครเลือกให้ ทูตสวรรค์ พระเยซูไม่ได้เลือกให้ มารก็ไม่ได้เลือกให้ มนุษย์เป็นผู้มีสิทธิ์ ต้องเป็นผู้เลือกด้วยตัวเอง ไม่ใช่มนุษย์เลือกให้อีกคนหนึ่ง พ่อแม่เลือกให้ได้ไหม? ไม่ได้
  2. ขณะที่ท่านนั่งอยู่ในห้องนี้ ตอนนี้ วิญญาณของท่านอยู่ที่ไหน? อยู่ในอาณาจักรไหน? มืดหรือสว่าง? ตัวใครก็ตัวเขาแหละ ถามคนที่บ้านว่าขณะที่ท่านฟังคลิปนี้อยู่ในยูทูปหรือเฟสบุ๊คของโฮลี่ก็ตาม วิญญาณท่านอยู่ที่ไหน? ไม่ได้อยู่ที่บ้านหรอก ที่บ้านท่านก็มีโลกวิญญาณเหมือนกัน โลกวิญญาณซ้อนโลกนี้อยู่ คลุมโลกนี้อยู่ทั้งหมด ถามตัวท่านเองในใจ? ถามตัวเองที่กระจกว่า …

“ฉันอยู่ที่ไหน?” ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้

และในวันนี้ เราก็จะมาเรียนรู้กันต่อว่าระหว่างอาณาจักรแห่งความสว่างและอาณาจักรแห่งความมืด พระคัมภีร์ได้มีคำอธิบายหรือมีคำบอกเล่าคุณลักษณะความแตกต่างของทั้งสองอาณาจักรไว้อย่างไรบ้าง? เพื่อท่านจะได้คุ้นกับหูของท่าน ซึ่งเป็นหูทางฝ่ายเนื้อหนัง ฝ่ายร่างกาย หูวิญญาณท่านเปิดแล้ว ท่านเข้าใจแล้ว แต่หูข้างนอก มันไม่คุ้น เราก็เลยต้องมาทำความคุ้นเคย ซึ่งถ้าเราได้เข้าใจในความหมายเล่านี้ เวลาอ่านพระคัมภีร์เราจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น มากขึ้น เร็วขึ้น อย่างที่ผมย้ำอยู่เสมอว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคำสอนในพระคัมภีร์ เป็นอุปมา ตัวอย่าง คำเปรียบเทียบ หรือแม้แต่เป็นนิทาน หรือเรื่องเล่า หรือประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ล้วนเล็งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ในโลกวิญญาณทั้งนั้นเลย

ยกตัวอย่าง เช่นถ้อยคำที่บอกว่าในพระคัมภีร์เขียนว่า “เราได้ตายแล้ว และบังเกิดใหม่แล้ว” แค่นี้ ถ้าเราไม่ได้คิดถึงโลกวิญญาณ เราไม่เข้าใจเลย แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว วิญญาณเราได้ตายไปแล้ว เราได้เกิดใหม่แล้ว คือเราเกิดในวิญญาณ

ผมก็เลยพยายามรวบรวมถ้อยคำ คำศัพท์ต่างๆ ที่ปรากฏในพระคัมภีร์นี้ เท่าที่ทำได้ เป็นคำศัพท์ที่กล่าวถึงอาณาจักรแห่งความสว่างและอาณาจักรแห่งความมืด ที่เรากำลังเรียนอยู่นี้

เอเฟซัส 4:2-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์  พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

 

คำเหล่านี้เกี่ยวข้องกับอาณาจักรแห่งความสว่างในโลกวิญญาณ ท่านต้องเข้าใจในโลกวิญญาณอย่างเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่รู้เรื่องเลยว่ามันแปลว่าอะไร?  พอท่านเข้าใจในโลกฝ่ายวิญญาณว่าที่ขีดไว้นั้นหมายถึงอะไร? ….

“มีชีวิตอยู่กับพระคริสต์” ก็คือมีชีวิตเหมือนพระเจ้า “อยู่กับพระคริสต์” ก็คืออยู่กับพระคริสต์

“รอดโดยพระคุณ” ก็คือไม่ต้องทำอะไร? รอด ก็คือรอดจากความมืดมาสู่ความสว่าง รอดโดยพระคุณ คือ …

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันเลือกเอา แล้วพระเจ้าช่วยให้ฉันรอด”

“ให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์” ท่านรู้แล้วว่าความหมายคำนี้จะเปลี่ยนไป แต่คำว่า “เป็นขึ้นมา” คือ …

“ตอนที่ฉันอยู่ในความมืด ก็แสดงว่าฉันตายอยู่ ตอนนี้ผ่านทางพระเยซู พระเจ้าทำให้ฉันเป็นขึ้นมาใหม่กับพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในความสว่าง”

“ในพระเยซูคริสต์” แปลว่าฉันนั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซู

“นั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์” ฉันนั่งอยู่ในพระคริสต์ ฉันได้นั่งอยู่ในสวรรค์สถานเดี๋ยวนี้ พระคัมภีร์บอกว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวนี้ และอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ตลอดไป

ถ้าท่านมองไปในโลกวิญญาณ ไม่ศึกษาทางวิญญาณ ไม่เข้าใจเลย โลกมันซ้อนกันอยู่ โลกวิญญาณซ้อนกันอยู่ แม้กระทั่งตอนนี้ฉันเดินอยู่ในห้องใต้ดิน ซึ่งปิดไฟมืดสนิท ฉันก็อยู่ในอาณาจักรของความสว่าง แม้ว่าคนที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ของเขาในพระเยซูคริสต์ เขาจะเดินอยู่ตอนเที่ยงวัน แดดจ้า ร้อนมาก เขาก็กำลังเดินอยู่ในความมืด ท่านเห็นแล้ว

โรม 14:17 “เพราะอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของการกินการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรม  สันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

“อาณาจักรของพระเจ้า” ก็คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ที่มีพระคริสต์เป็นหัวหน้าอยู่

“ความชอบธรรม” แปลว่าไม่ผิด ไม่บาป ถูกต้อง ทำอะไรก็ถูกหมด ดีหมด คนดี ดีงามเหมือนพระเจ้าเลย  อยู่ตรงนี้ แล้วมันก็มีสันติสุข

“สันติสุข” คือความสงบสุข ไม่กลัวโดนลงโทษ ไม่เหมือนกับคนที่อยู่ตรงนี้ (เก้าอี้ที่มีผ้าดำ) มีข้อกล่าวหา เป็นนักโทษ ผิดหมด ถูกลงโทษ แต่อันนี้ถูกหมด ไม่ถูกลงโทษ สันติสุข แปลว่าอย่างนี้

“ความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์” พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระวิญญาณของพระเจ้า  (เก้าอี้ที่มีผ้าขาว) เรานั่งอยู่ที่นี่  เรามีความแฮปปี้ ยินดี มีความสุข ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่มีความสุขที่สุดในโลก (ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ) ถ้าเข้าใจสิ่งนี้ มันหลุดเลย มันจึงเป็นไทจริงๆ

โรม 5:1-2 “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่นี้ ด้วยความเชื่อ และเราจึงชื่นชมยินดีในความหวัง ที่จะได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

“ผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ” พอพูดผู้ชอบธรรมปุ๊บ  ท่านรู้ อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  อยู่กับพระเจ้าผู้ชอบธรรม ไม่ได้โดนลงโทษอีกต่อไป ไม่ใช่เป็นนักโทษ ผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ แสดงว่าฉันไม่ได้ทำเอง พระเยซูทำให้

“ร่มพระคุณ” แปลว่าฉันเข้ามาอยู่ในพระคุณ ฉันเลือกที่จะเข้ามาอยู่ในร่มพระคุณ ปกคลุมด้วยพระคุณ พระเจ้าทำให้ฉัน และฉันใช้สิทธิ์นี้ ถ้าฉันไม่ใช้สิทธิ ฉันไม่ได้อยู่ในร่มของพระคุณ พระเจ้าทำให้กับฉันฟรีๆ ฉันรอดแล้วในพระคริสต์ เหมือนร่มอันหนึ่งที่กางออกมาแล้ว ถ้าฉันไม่เข้าไปในร่มนี้  ฉันก็ไม่ได้อยู่ในร่มพระคุณ ฉันจะอยู่ในร่มพระคุณ เพราะฉันยอม ที่จะรับว่ามันเป็นจริง และเชื่อ ฉันขอเข้าไปอยู่ในร่มด้วยคน เหมือนฝนตก แล้วคนถือร่มมา ถ้าท่านไม่ไป ขอเข้าไปด้วยคน ท่านก็เปียกฝน ในขณะเดียวกัน ตรงนี้ก็เหมือนกัน พระเจ้ากางร่มให้ท่านแล้ว แล้วบอกมาสิ เข้ามาสิ เข้ามาในแสงสว่าง เข้ามาในความรอดในพระเยซูคริสต์สิ ท่านมีหน้าที่เชื่อ และเอาๆ ขอร่มด้วยคน แล้วท่านก็เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณ แค่นี้เอง ไม่ต้องเสียอะไรเลย ถือร่มไว้แล้ว ร่มนี้ ชื่อร่มพระเยซูคริสต์

“พระคุณ” แปลว่าไม่ได้จ่ายตังค์ ไม่มีอะไรเลย  และไม่มีใครสามารถผลักท่านเข้าไปได้ด้วยไม่มีใครสามารถลากเข้าไปได้ ท่านต้องตัดสินใจด้วยตัวท่านเองว่าท่านจะเข้าไปอยู่ในร่มนี้ หรือไม่? หรือจะยืนตากฝน ตากแดดอยู่ต่อไป พระเจ้าให้คนเชิญท่านได้ คือประกาศข่าวดีให้กับท่าน แต่ท่านต้องเป็นคนตัดสินเองว่าจะเข้ามาในร่มหรือไม่? คุณพ่อคุณแม่ คนที่มีพระคุณ ศิษยาภิบาลใหญ่ๆ ศิษยาภิบาลที่ดังๆ นักประกาศ ก็ไม่สามารถ นี่ตามหลักพระคัมภีร์นะ พระเจ้าสามารถทำทุกสิ่งได้ ยกเว้นอย่างเดียว คือบังคับให้คุณเข้ามาอยู่ในนี้ ทำไม่ได้ นอกจากเชื้อเชิญ เคาะประตูแล้ว เคาะประตูอีก ง้อคุณแล้ว ง้อคุณอีก เอาข่าวประเสริฐให้คุณฟังตั้งหลายครั้งแล้ว ตั้งกี่ปี คุณก็ไม่เชื่อ แถมไล่พระเจ้าออกไป ไล่พระเยซูไปอีก ไม่สนใจอะไรเลย  พระองค์ไม่เคยงอน ไม่เคยโกรธ ไม่เคยรู้สึกน้อยใจเลย จะตามคุณไปเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าคุณไม่เข้าใจ

พระเจ้าทำได้แค่นั้น ผ่านทางทุกเหตุการณ์บนโลกใบนี้ ผ่านทางมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ แม้กระทั่ง สัตว์ป่า สัตว์ใช้งาน หรือต้นไม้ เรียกผ่านทางสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เพื่อให้มนุษย์ที่ยังไม่รู้จักพระองค์ได้เข้ามาในร่มพระคุณนี้

พระเกียรติสิริ คือพระลักษณะของพระเจ้า ถ้าผมจะแปลเป็นยกตัวอย่างง่ายๆ แบบไทยๆ แบบมนุษย์ธรรมดา จะแปลได้อย่างนี้ว่าลูกของผม โต๋เต๋เขาก็มีสิริของผม อยู่ในตัวเขา ลูกของท่านก็มีสิริของพ่อแม่อยู่ในตัวเขา เข้าใจไหม? สิริ ก็คือตัวตนของผู้ที่ให้กำเนิด เพราะฉะนั้น ในนี้บอกว่าท่านอยู่ในพระเกียรติสิริของพระเจ้า คือท่านเข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า DNA ทางฝ่ายวิญญาณ ท่านมีส่วนอยู่ในนั้น เหมือนลูกผมมี DNA ของผมกับแม่อยู่ในตัวของเขา เหมือนลูกของท่านมี DNA ของท่านและคู่ครองของท่านอยู่ในตัวเขา เราพอเข้ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว รับสิทธิ เราอยู่ในพระคริสต์ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ในโลกวิญญาณนะ เรามีส่วนเข้าไปอยู่ใน DNA ทางโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าพระเจ้า ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระสิริ” หรือ “พระเกียรติสิริ” หรือ Glory of God ความสง่างาม ความยิ่งใหญ่ ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ เรามีส่วนเข้าไปอยู่ในนั้นทันที

เพราะฉะนั้น เมื่อได้ร่มพระคุณแล้ว  เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณแล้ว ด้วยความเชื่อ เราจึงชื่นชมยินดีและมีความหวังที่ได้มีส่วนอยู่ในพระสิริของพระเจ้าแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ติดอยู่ในร่างกายนี้ชั่วคราวเท่านั้นเอง แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็หมดไปแล้ว อีกไม่กี่สิบปี

โคโลสี 1:22  “บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหา ต่อหน้าพระองค์”

 

“คืนดีกับพระเจ้า” ก็แสดงว่าตอนที่เราอยู่ที่นี่ (เก้าอี้ผ้าดำ) ตรงกันข้ามกับคืนดี ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ เราเป็นเหมือนน้ำกับน้ำมัน น้ำกับไฟ เจอกันไม่ได้เลย  มีเรื่อง อย่ามายุ่งกันดีกว่า พระเจ้าบริสุทธิ์ แต่เรานั้นสกปรก บาป แต่ตอนนี้ เราได้คืนดีกับพระเจ้าแล้ว มีส่วนเข้าไปในพระสิริของพระองค์

“ผู้บริสุทธิ์  ปราศจากตำหนิ”  คืนดีกับพระเจ้า  มาเป็นเหมือนพระองค์ เพราะฉะนั้น เราจึงบริสุทธิ์ ไม่เป็นบาป ไม่สกปรกอีกต่อไป ปราศจากตำหนิ คือไม่มีจุดด่างดำ แม้แต่นิดเดียว

ในพระคัมภีร์เขียนบอก เป็นเดี๋ยวนี้ ทันทีเลย  ไม่ต้องรอตาย  ยังอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายนี้อยู่ ก็เป็นตามนี้แล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ

“พ้นจากข้อกล่าวหา”  คือพ้นจากการเป็นนักโทษ ไม่ต้องใช้เวร ใช้กรรมแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ฉันไม่ต้องทำอะไร? พระเยซูทำให้หมดแล้ว ทำเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และผลเกิดเดี๋ยวนี้แล้ว ไม่ต้องรอตาย คริสเตียนจึงไม่ควรที่จะมีทุกข์เลย ต้องมีน้อย ข้างในใจต้องมีการชื่นชมยินดีมากที่สุด ยิ่งถ้าเราได้รับรู้ทางโลกวิญญาณอย่างนี้มาก มันก็จะเกิดความชื่นชมยินดีในวิญญาณเรามาก ขนาดตามที่เรารู้ … รู้มาก ก็สันติสุขมาก รู้น้อย ก็สันติสุขน้อย รู้น้อย ก็กลัวมาก รู้มาก ก็กลัวน้อย

ยอห์น 17:3 “นี่แหละ คือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แต่องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงส่งมา”

 

พระเยซู พระเจ้าส่งมา เห็นไหม?

“ชีวิตนิรันดร์” แปลว่าอยู่ในแสงสว่าง ชีวิตที่เหมือนพระเจ้า ชีวิตที่มีพระเกียรติสิริของพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ในตัวเรา ชีวิตที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากตำหนิ ชีวิตที่สง่างาม ชีวิตที่เต็มไปด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด ชีวิตที่ชอบธรรม ที่เราว่ามาตั้งแต่ต้นทั้งหมด เรานั่งอยู่นี่ เรามีชีวิตนิรันดร์ มิได้หมายถึงว่าเรามาเชื่อพระเจ้า แล้วเรามีชีวิตตลอดไป ต่อให้เรามีชีวิตในความมืด เราก็มีชีวิตตลอดไป เพียงแต่เราอยู่ในความมืดตลอดไป  โลกวิญญาณเป็นอย่างนี้

สรุปแล้ว เราได้คำอะไรบ้างที่พระคัมภีร์อธิบาย เวลากล่าวถึงอาณาจักรแห่งความสว่าง

–  อาณาจักรสวรรค์ / อาณาจักรของพระเจ้า  / อาณาจักรของพระคริสต์

–  ในพระคริสต์  /   พระเกียรติสิริ  /  สง่าราศี  /   ความสว่าง

–  เป็นขึ้นมาใหม่  /  มีชีวิต  /  ชีวิตนิรันดร์

–  ความชอบธรรม  /  เป็นผู้ชอบธรรม  /   พระคุณ  /  ความรัก

–  บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า /  ลูกของพระเจ้า /  คืนดีกับพระเจ้า  /   ติดต่อกับพระเจ้าได้

นี่คือคำศัพท์ที่พูดถึงลักษณะสภาพของคนที่อยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าอาณาจักรของความสว่างของพระคริสต์

คราวนี้ มาดูอีกฝั่งหนึ่ง แน่นอนฝั่งอาณาจักรของความมืด ดูว่าพระคัมภีร์มักใช้คำอะไร? ที่พูดถึงสภาพของอาณาจักรแห่งความมืดในโลกวิญญาณบ้าง?

โคโลสี 1:21 “ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน”

 

“แยกขาดจากพระเจ้า” ตอนที่ฉันยังไม่รับเชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิของฉันในพระเยซูคริสต์ ฉันนั่งอยู่กับอาดัมกับมาร ในอาณาจักรแห่งความมืด ฉันอยู่ในอาดัม โดยการควบคุมของมาร อยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่าความมืด ตอนนั้นฉันขาดจากพระเจ้า ติดต่อกันไม่ได้ เป็นศัตรูกัน ต้านกันอยู่ เป็นน้ำกับน้ำมัน เป็นไฟกับน้ำ เป็นอะไรที่อยู่ตรงกันข้าม เป็นบวกกับเป็นลบ

“เป็นศัตรูกับพระเจ้า” ตอนที่ฉันอยู่ในอาณาจักรของความมืด ฉันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉันยังไม่ได้คืนดีกับพระเจ้า ฉันยังต่อต้าน สู้ตลอดเวลา  มีคนมาประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ให้ฉัน ฉันอาจจะยิ้มรับๆ แต่ในใจฉันต่อต้าน ฉันรับไม่ได้เลย พูดเรื่องพระเยซู ฉันทรมานใจมากเลย ทั้งๆ ที่ฉันไม่รู้ว่าทำไม? เคยรู้สึกไหม? พูดเรื่องอะไรก็ได้ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ฉันไม่รำคาญเลย แต่พอพูดเรื่องพระเยซู ฉันรำคาญมากเลย  เมื่อไรจะพูดเสร็จสักที ทั้งๆ ทีเขาก็พูดไปนิดเดียว แต่พอพูดเรื่องอื่น ฉันอยากฟังมากเลย ไม่แปลก เพราะว่าพระคัมภีร์บอกไว้แล้ว

เพราะตอนนั้น ฉันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของความสว่าง รับไม่ได้เลย ฉันไม่รู้ตัวหรอก  แม้บางครั้ง ฉันจะไปโบสถ์คริสเตียน ตามคำเชิญของคนที่รักกันทางมนุษย์ ยกตัวอย่าง อาจจะเป็นพ่อฉัน แม่ฉัน เป็นญาติพี่น้องที่เคารพกัน  เชิญฉันไปงานคริสตมาส แล้วฉันก็ไป ดูเหมือนท่าทางข้างนอกดีหมดเลย มีมารยาทที่ดีมากเลย แล้วบางครั้ง ฉันไปทำอะไรพิเศษให้เขา ผมก็เหมือนรับตามมารยาท ผมก็ไปร้องเพลงพิเศษในวันคริสตมาส ผมก็ร้องไปอย่างนั้น แต่ในใจผมไม่ชอบ ไม่มีเหตุผล คิดย้อนกลับมา เดี๋ยวนี้ ถามตัวเองว่าไม่ชอบพระเยซูเหรอ ไม่รู้สิ คำนี้มาไม่ชอบ ผมเป็นอย่างนั้นนะ เคยคุยกับหลายๆ ท่าน เป็นอย่างนั้นจริงๆ  เพราะว่าผมเป็นศัตรู

ที่กำลังพูดนี้ เรากำลังพูดศัพท์เหล่านี้  เป็นศัพท์ทางฝ่ายวิญญาณ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งหมด เพราะฉะนั้น ผมเป็นศัตรูกับพระองค์ทางวิญญาณ ทางข้างนอก ไม่มีอะไรกันเลย  เขาไม่ได้ทำอะไรผม ช่วยผมด้วยซ้ำไป สมมตินะ ให้เรียนภาษาอังกฤษฟรีด้วย  เลี้ยงข้าวคริสตมาส ก็ฟรีด้วย ผมเอาแต่สิ่งที่ฟรีๆ เหล่านั้น แต่สิ่งที่ฟรีในโลกวิญญาณผมไม่เอา เพราะในวิญญาณผมยังเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่แค่นี้เอง

มัทธิว 12:25-26  “25 พระเยซูทรงตรัสว่า “ทุกๆ อาณาจักรที่แตกแยกกันเอง ย่อมถูกทำลาย และทุกๆ บ้านเมืองหรือครัวเรือนที่แตกแยกกันเอง ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ 26 หากซาตานขับไล่ซาตาน มันก็แตกแยกกับตัวเอง แล้วอาณาจักรของมัน (ซาตาน) จะตั้งอยู่ได้อย่างไร”

 

“อาณาจักรที่แตกแยก” อาณาจักรแห่งความมืดที่กำลังพูดถึงนี้ ไม่มีแตกแยกเลย มันมืดสนิท อยู่ใต้การควบคุมของมาร เช่นเดียวกัน ในอาณาจักรแห่งความสว่าง สว่างจ้าเลย  ไม่มีการแตกแยกกัน ทั้งหมด เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเหล่าผู้เชื่อทั้งหมด ผู้ที่ใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ไถ่เขาแล้ว เขาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ รวมทั้งทูตสวรรค์อีกทั้งกอง เยอะแยะมากมาย เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีใครต่อต้านกันเลย ในทำนองเดียวกัน ทางนี้ก็มืดสนิท แย้งกัน

“อาณาจักรของมัน (ซาตาน)” นี่เป็นคำพูดพระเยซูนะ ก็แสดงว่าอาณาจักรของซาตาน หรืออาณาจักรมารตรงนี้ มีจริงๆ ในโลกวิญญาณ ตอนนี้เรากำลังพูดถึงศัพท์ที่ใช้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่พูดถึงสภาพของอาณาจักรของความมืดในโลกวิญญาณ

โรม 3:23  “เพราะว่าทุกคนเป็นคนบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

“คนบาป” เรากำลังพูดถึงฝั่งความมืด เพราะว่าทุกคนเป็นคนบาป … บาป ภาษาเดิม ภาษาฮีบรู แปลเป็นภาษากรีก “Miss the target” แปลเป็นภาษาไทยว่า “ไม่ตรงตามเป้าหมาย” ไม่เป็นไปตามความตั้งใจ ก็คือผู้ที่ให้กำเนิดเรา  ก็คือพระเจ้า เราบาป ก็คือเราไม่เป็นไปตามคาดหมายของพระเจ้า พระเจ้าตั้งใจให้เราอยู่กับพระองค์ เราจะหนีพระองค์ไป เราไปอยู่กับมารซะ อะไรอย่างนี้

“เสื่อมจากพระเกียรติสิริ” คือพระเกียรติสิริหายไป DNA. ที่เป็นของพระเจ้าเสียหายไป กลายเป็นมะเร็งทางวิญญาณ กลายเป็นมะเร็งใน DNA.  … DNA. ที่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเจ้า มันกลายเป็นเชื้อบาปเข้ามา เมื่อมารเข้ามาปุ๊บ ความมืดทางวิญญาณเข้ามาปุ๊บ DNA. ทางวิญญาณกลายเป็นมะเร็ง กลายพันธุ์ไป ก็แค่นั้น ทั้งหมดที่กำลังพูดตอนนี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

พระเจ้าบอกว่าเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์เมื่อไร?  เมื่อพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเจ้าตรัสไว้ล่วงหน้า เป็นพันๆ ปีมาแล้วว่าเมื่อนั้น มนุษย์ทุกคนไม่มีใครมาสอนใครแล้ว ให้รู้จักกับพระเจ้า แต่เขาจะรู้จักเราด้วย ตัวเขาเอง เราจะไปสอนเขาเอง เราจะไปอยู่กับเขา  แค่เริ่มต้นใช้สิทธิของเขาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ไม่ใช่ให้รู้จักพระเจ้าหรอก หน้าที่ของเรา คือประกาศข่าวดีเท่านั้นเอง พอประกาศข่าวดีแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เดี๋ยวพระเจ้าสอนเขาเอง พาเขาไปเอง เอเมน

ยากอบ 1:15 “หลังจากมีตัณหาแล้ว ก็ก่อให้เกิดบาป และเมื่อบาปโตเต็มที่ ก็ก่อให้เกิดความตาย

 

“ความบาป” ตรงกันข้ามกับความชอบธรรม ในความมืดเขาเรียกว่าบาป เพราะฉะนั้นตรงกันข้าม เขาเรียกในทางแสงสว่าง เรียกว่าความชอบธรรม ถ้าเรายังไม่ย้ายไป  เรายังไม่รับเชื่อพระเยซู เราเป็นคนบาป ถ้าเราย้ายไป เราเป็นคนชอบธรรม

“ความตาย” ความตายอยู่ในอาณาจักรของความมืด อยู่กับมาร ถ้าตรงกันข้ามเรารับเชื่อพระเยซู มาอยู่แสงสว่าง ตรงกันข้ามกับความตาย เรียกว่ามีชีวิต และมีชีวิตที่เหมือนพระเจ้า เรียกว่ามีชีวิตนิรันดร์ ความตาย คือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า

ยอห์น 3:36 “ผู้ใดที่เชื่อในพระบุตร ก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระบุตร ก็จะไม่ได้เห็นชีวิต (ตายนิรันดร์) เพราะพระพิโรธของพระเจ้ายังอยู่กับเขา”

 

“ไม่ได้เห็นชีวิต (ตายนิรันดร์)” คำว่า “นิรันดร์” ตรงนี้ ตายนิรันดร์จริงๆ ไม่ได้เห็นชีวิตเลย  ไม่ได้เห็นพระเจ้าเลย  เห็นแต่มาร

“พระพิโรธของพระเจ้า” ตรงกันข้ามกับพระพิโรธของพระเจ้า เรียกว่า “ร่มพระคุณ” ในพระคัมภีร์บอก พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าแห่งความรัก  พระองค์ไม่เคยโกรธใครเลย พระพิโรธตรงนี้หมายถึงอยู่ตรงข้ามกัน ต่อต้านกัน เป็นศัตรูกัน ถ้าทำอะไรผิด ตายเลย ตายเพราะว่าเข้ากันไม่ได้ ไม่ใช่ตาย เพราะว่าพระเจ้ามาฆ่าเรา มันเหมือนไฟช๊อตเรา ไฟฟ้าพลังมหาศาล เราไปจับก็ตาย  ไฟฟ้าโกรธเรามากเหรอ เมื่อวานนี้ มีช่างไฟฟ้าทำงาน แล้วก็เอาบันไดเหล็กไปพาดไฟฟ้าแรงสูง ไฟฟ้ามันโกรธมากเลย ฆ่าคนนั้นตายเลย ไม่ใช่ ไฟฟ้าต่อต้านกับคน แต่คนรับพลังงานไฟฟ้านั้นไม่ได้ พอไฟฟ้าวิ่งผ่านเราลงดิน เราตายเลย เพราะฉะนั้น เราต้องมีฉนวน ไม่ให้ไฟฟ้าผ่านตัวเรา ให้มันลงดินไปก่อน มีประจุไฟฟ้า

ในทางพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าโกรธเรามาก พระเจ้าอยากจะเจอกันจริงๆ อยากจะกอดเรา กอดไม่ได้ กอดไป เราตาย  เพราะเราไม่มีแรงต้านทานความยิ่งใหญ่  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เราเป็นมนุษย์สกปรก โสโครก เต็มไปด้วยความบาป  ถ้าแตะเรา เราตายเลย แล้วต้องทำอย่างไร? รักษาเราให้หายก่อน แล้วเรามากอดทีหลัง รักษาอย่างไร? คิดเองอย่างนี้นะ พระองค์ก็สร้างวัคซีนหนึ่ง ชื่อวัคซีนว่าโลหิตพระเยซูคริสต์  สามารถที่จะรักษาเราหายจากบาปได้ พอเราหายแล้ว เราก็มีภูมิต้านทาน เราก็ไปอยู่กับพระเจ้า กอดได้เหมือนเดิม นี่คือร่มพระคุณ เพราะฉะนั้น ท่านจะเข้าใจ พระเจ้าเสียที

โรม 2:12 “คนทั้งปวงที่ไม่มีบทบัญญัติ และได้ทำบาปจะพินาศ โดยไม่ต้องอ้างถึงบทบัญญัติ และคนทั้งปวงที่อยู่ภายใต้บทบัญญัติ และได้ทำบาปจะถูกตัดสินตามบทบัญญัติ”

 

“พินาศ” แปลว่าอยู่ในความมืด  ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า นิรันดร์กาล ต้องอยู่ในความทุกข์ทรมานนิรันดร์ อยู่กับมารนิรันดร์ไปเลย แม้ร่างกายจะตายไปแล้ว วิญญาณก็อยู่ในความมืดนี้ตลอดไป

ข้อนี้บอกว่าทั้งคนที่พยายามปฏิบัติตามบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้ สมัยโมเสส และคนที่ไม่ปฏิบัติ ถือว่าฉันไม่ได้เป็นยิว ฉันไม่ต้องทำก็ได้ ไม่ว่าจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ไม่ว่าจะทำได้มากขนาดไหน? ล้วนต้องอยู่ในความพินาศทั้งสิ้น เพราะว่าจะย้ายไปอยู่กับพระเจ้าได้ มีทางเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่รักษาธรรมบัญญัติ ไม่ใช่รักษาความดีงาม ผมไม่ได้พูดว่าเราไม่ควรทำความดีนะ แต่ไม่ใช่การรักษาความดี ทำให้เรารอด แต่เรารอด เพื่อเราจะไปรักษาความดีทีหลัง เข้าใจใช่ไหมครับ? ท่านไม่สามารถที่จะทำด้วยตัวเอง แล้วบริสุทธิ์สะอาด ไปอยู่กับพระเจ้าได้ ไม่มีทางหรอก ทำให้ตาย ท่านก็ยังมืดอยู่ดี มันแปลว่าอย่างนั้น ไม่ว่าท่านจะบอกว่าบัญญัติไม่สำคัญ หรือท่านจะบอกว่าบัญญัติสำคัญมากเลย คนเราต้องเข้มงวดเรื่องศีลธรรมมากเลย  ไม่ว่าจะ 2 อย่างนี้ ท่านก็อยู่ในความมืดอยู่ดี ไม่มีทางไปฝั่งโน้นได้เลย ไม่มีวันไปแสงสว่างได้เลย  เพราะแสงสว่างนั้น มาได้โดยทางร่มพระคุณเท่านั้น คือพระเจ้าให้ฟรีๆ เพราะรู้ว่าเราทำไม่ได้ ท่านลองคิดง่ายๆ มีมนุษย์คนไหน? ที่ทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ และไม่เคยทำบาปเลย เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว และโลกวิญญาณ เราก็รู้เป็นเรื่องจริงว่าเราบาป ไม่ใช่เพราะตัวเรา เราบาป เพราะเราอยู่ในอาดัม และอาดัมมอบเราให้กับมาร มอบเราให้กับบาป เอาเชื้อบาปเข้ามา เราน่าสงสารมาก เราไม่ได้ทำอะไรเลย  เราเกิดมา เราก็บาปแล้ว บาปใน DNA. วิญญาณของเราบาป เพราะเราอยู่กับอาดัม ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น เราไม่มีทางช่วยตัวเอง จนกระทั่งเราบริสุทธิ์ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่มีทางเลย นอกจากคนที่มีความสามารถมาช่วยเรา พระเจ้าจึงส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ถามว่าทำไมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนของมนุษย์ไง เพราะผมเป็นมนุษย์ พระเยซูก็เป็นมนุษย์ ตอนที่ผมอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ผมอยู่ในมนุษย์คนแรก บรรพบุรุษของเรา ที่ชื่ออาดัม เราทั้งหลายอยู่ในอาดัม พระคัมภีร์บอกเราเกิดมาก็อยู่ในอาดัมแล้ว ก่อนเราเกิด เราก็อยู่ในอาดัม พระเจ้าโปรแกรมไว้เรียบร้อยแล้วว่าเราจะเกิดมาบนโลกใบนี้  โดยมีอาดัมเป็นแม่พิมพ์ของเรา  เหมือนพระเจ้า เหมือนเขาจะสร้างรถแสนคัน แต่ตอนนี้ ทำแม่พิมพ์ออกมาคันหนึ่งแล้ว แต่อีก 99,999 คันยังไม่ได้ทำ ถามว่าคันที่ 1,000 อยู่ที่ไหน? อยู่ที่แม่พิมพ์อันนี้ เพราะในที่สุดสั่งพิมพ์ไป เดี๋ยวมันก็ออกมา พอเข้าใจใช่ไหมครับ ก็เหมือนกันถ่ายเอกสาร 1 แสนชิ้น ชิ้นสุดท้าย มันก็เหมือนกับชิ้นแรก  ชิ้นแรกขีดฆ่าผิดอะไร ชิ้นสุดท้ายก็ผิด แม้ว่าตอนนี้พิมพ์อยู่แค่ 3 แผ่นเอง แต่แผ่นสุดท้าย แผ่นที่แสน มันก็ถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้ว เหมือนกัน

เราอยู่ในอาดัม .. อาดัมตกลงไปในความบาป เราก็ตกด้วย  เราเกิดมา ก็อยู่ในอาดัม เพราะว่าเราถูกโปรแกรมอยู่ในอาดัม พระเจ้าจึงส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาตั้งอาณาจักรของมนุษย์ใหม่ 1 อันที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง พระเยซูเป็นมนุษย์เหมือนอาดัมเลย เหมือนพวกเราเลย แต่ต่างกันอย่างเดียว คือวิญญาณของพระองค์ไม่ได้บาปเหมือนเรา เพราะว่า DNA. ของพระองค์มาจากพระเจ้าโดยตรง แต่พระองค์เกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น พระองค์มาสถาปนา คืออาณาจักรของความสว่าง เพื่อจะได้อยู่บนโลกนี้ได้ เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง ถ้าไม่มีมนุษย์เราไม่รู้จะไปไหนแล้ว เพราะอยู่เผ่าพันธุ์เดียว คือทุกคนเกิดในอาดัม

แต่ตอนนี้ พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาเป็นทางเลือกให้กับเราว่าบนโลกใบนี้ มีมนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์สวรรค์ เรียกว่าพระคริสต์ เกิดขึ้นแล้ว 2,000 ปี ผู้ใดได้ยิน เปลี่ยนซะ ย้ายตัวเขาเอง ย้ายสำมะโนครัว จากอาดัมมาอยู่ในพระคริสต์ซะ เขาไม่ต้องอยู่ในอาดัมอีกต่อไป  แต่เขาจะอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์เป็นแสงสว่าง บาปหมดไป  กลับมาเป็นลูกพระเจ้า คืนดีกับพระเจ้า และจะอยู่กับพระคริสต์ตลอดไป และพระคริสต์ได้รับการสถาปนาจากพระเจ้า  สิทธินี้เป็นของพระเจ้า ทรงประทานให้เป็นของพระคริสต์ ตั้งเหมือนครอบครัวใหม่ เพราะฉะนั้น ท่านเพียงแต่ย้ายสำมะโนครัวแค่นี้เอง ไม่มีอะไรเลย ถ้าท่านไม่ย้าย ก็ไม่มีใครช่วยท่านได้ เพราะท่านเกิดมาอย่างไร? ท่านก็เป็นอย่างนั้น ท่านอยู่ในอาดัม ก็อยู่ในอาดัม ท่านไม่มีทางทำอะไร สั่งสมเท่าไร? ก็ไม่มีทางแก้ DNA. นั้นได้ มีทางเดียวที่พระเจ้าวางไว้ให้ก็คือย้ายซะ ไม่ได้เกี่ยวกับท่านรักษาหรือไม่รักษาบัญญัติ ท่านตั้งใจทำความดีมากน้อยเพียงใด ไม่ใช่ มันเกี่ยวกับท่านรู้ความจริงนี้ไหม? ความจริงทำให้ท่านเป็นไท แค่นี้เอง

แล้วพอท่านมาอยู่ตรงนี้  ท่านจะสามารถรักษาความดีที่ท่านเคยทำตรงนี้ ได้มากกว่าเก่าด้วย มันไม่ครบถ้วนหรอก สมมติท่านทำแต่ความดีตรงนี้ได้ ระดับดี ถ้าท่านรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วก็ย้ายอาณาจักรมาอยู่กับพระคริสต์ ท่านจะได้ B+ ถ้าท่านอยู่ตรงนี้ ได้เกรด D แบบแย่มาก เป็นคนที่ขี้เหล้าเมายา ไม่เอาถ่านเลย นี่พูดถึงวิญญาณนะ  พูดถึงความตั้งใจของมนุษย์ ที่มนุษย์เห็น ท่านมาตรงนี้ ท่านอาจจะได้ C หรือได้ D+ นิดหนึ่ง เพราะท่านตายก่อน ไม่ได้ทำความดีมาก พอย้ายมาแป๊บหนึ่ง ตายแล้ว คนละเรื่องกัน พระเจ้าดูที่วิญญาณเรา ซึ่งเป็นที่จะอยู่ถาวร สิ่งสำคัญกว่า แค่นี้เอง แล้วเราค่อยๆ เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อยอย่างนี้ อาจจะเหมือนย้ำอยู่กับที่ แต่สิ่งเหล่านี้ มันต้องย้ำอยู่บ่อยๆ ย้ำจนกระทั่งท่านตอบผม แล้วไม่มีใครตอบผิดเลย  ตะโกนมาถูกหมดเลย  มันคล่องปากว่ามันเป็นอย่างนี้ วนอยู่แค่นี้  แล้วท่านไปอ่านพระคัมภีร์ มันก็จะไปอยู่ตรงนั้น แล้วถ้าใครอ่านจากนี้ต่อไป มีคำอะไรที่รู้สึกแปลกๆ ไม่เข้าใจตรงนี้ เขียนมาถามได้ ส่งจดหมายมาถามก็ได้ ส่งจดหมายที่โฮลี่ แล้วผมจะเอามาตอบท่าน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 3 “เรื่องจริงแห่งโลกวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  ตุลาคม  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 3 “เรื่องจริงแห่งโลกวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรากำลังเรียนรู้และเน้นในซีรี่ย์นี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณ หรือโลกฝ่ายวิญญาณนี้  เราไม่ค่อยได้คุ้นเคยเท่าไร? มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และผมอยากให้ทุกท่านเข้าใจจริงๆ ถ่องแท้ละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ฟังผ่านๆ ไปเท่านั้น แต่ให้ตั้งใจจริงๆ เพราะเป็นพื้นฐานของเรื่องของพระเจ้าทั้งหมด และเป็นพื้นฐานของชีวิตของมนุษย์ทั้งสิ้นทุกอย่าง อยากให้ท่านมีความเข้าใจในเรื่องนี้ ชนิดที่เรียกว่าลึกซึ้ง เห็นภาพชัดเจน และมั่นใจ 100% ในความเชื่อว่าโลกวิญญาณ มีอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น ทุกคำพูด ทุกคำอธิบายจากนี้ต่อไป ต้องใช้คำพูด เหมือนพระเยซูคริสต์ชอบพูดเสมอ เพราะพระเยซูทรงรู้จักโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดแล้ว พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ในร่างกายของท่าน ก็เหมือนมนุษย์คนหนึ่งเดินบนโลกนี้ แต่พระองค์เป็นมนุษย์ที่ไม่บาป วิญญาณมาจากพระเจ้า ใสสะอาดบริสุทธิ์ มองทะลุ เห็นโลกวิญญาณหมดเลย

เพราะฉะนั้น เวลาพระเยซูจะสอนอะไรเกี่ยวกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ พระเยซูจึงต้องพูดคำนี้  ภาษาอังกฤษเขาแปลจากภาษาเดิม ใช้คำว่า Behold แปลว่าจงมองให้เห็นเถิด หรือไม่ก็บอกว่าใครมีตา จงให้เห็น ใครมีหูให้ได้ยิน แล้วใครไม่มีล่ะ มีทั้งนั้นแหละ หมายถึงในวิญญาณ จงมองให้เห็นเถิดว่ามันเป็นจริงๆ แต่พระองค์ทรงทราบก่อนล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่พูดตรงนี้ เพื่อว่าวันหนึ่งเมื่อพระองค์กระทำงานสำเร็จเรียบร้อยแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถลงมาที่มนุษย์ได้แล้ว มนุษย์บังเกิดใหม่แล้ว หลังจากที่พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน แล้วนั้น มนุษย์จะสามารถเห็นในสิ่งที่พระองค์พูด เข้าใจในสิ่งที่พระองค์พูดว่าจงมองให้เห็นเถิด ในก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้น ผมก็จะขออนุญาตพระเยซู ใช้คำนั้นว่าจงมองให้เห็นเถิด มองทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ

วันนี้กลับไปบ้าน เข้าห้องน้ำ แปรงฟัน มองไปที่กระจก พูดกับตัวเองว่าจงมองให้เห็นเถิด โลกฝ่ายวิญญาณมันมีอยู่จริงๆ แล้วตัวนี้ จะเป็นตัวพื้นฐานในการอ่านพระคัมภีร์ทั้งหมดเลย  เพราะทั้งหมดนั้น เวลาอ่านจะเข้าใจ มันต้องมองให้ทะลุเข้าไปในความหมายทางโลกวิญญาณ ไม่ใช่อ่าน แล้วไปเข้าใจทางโลกวัตถุ ทางปัญญามนุษย์คิด แต่จงมองไปในโลกวิญญาณว่ามันคืออะไรในโลกวิญญาณ เอเมน นี่คือพื้นฐาน แค่นี้ก็จบแล้ว

ผมจะพาท่านย้อนไปพูดตอนที่ 1 อีกนิดหนึ่ง โลกวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษ เขาใช้คำว่า “Spirit World” เป็นโลกที่อยู่คู่กันกับโลกวัตถุ ที่เรามองเห็น จับต้องได้ ตรงนี้แหละ พระเยซูจึงบอกว่าสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเราแล้ว จะมาสอนเราในเรื่องนี้ว่าโลกวิญญาณอยู่คู่กันกับโลกวัตถุนี่แหละ จะใช้คำว่าครอบคลุมอยู่ก็ได้ หรือจะใช้คำว่าทับซ้อนอยู่ ก็ได้ กับโลกวัตถุนี้ เพราะฉะนั้น เข้าใจอันดับแรก คือโลกฝ่ายวิญญาณอยู่ตรงนี้ คลุมซ้อนกันอยู่ตรงนี้ เป็นอีกมิติหนึ่ง มนุษย์ไม่เข้าใจ จึงเรียกว่าอีกมิติหนึ่ง ที่เรามองด้วยตาเนื้อมนุษย์ไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ อยู่ตรงนี้  ไม่ต้องไปไกล ถ้าท่านเข้าใจแค่นี้  ท่านจะเข้าใจถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์อีกเยอะมากมาย

โลกวัตถุ คือโลกใบนี้ที่ตาเรามองเห็น จับต้องได้ และเป็นโลกที่พระเจ้าสร้างขึ้น  ให้เป็นที่อาศัยของบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลาย นี่พูดถึงโลกใบนี้ และที่ผมพูดเสมอว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ชนิดเดียวที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นวิญญาณ เพราะฉะนั้น จะมีเพียงมนุษย์เท่านั้น บนโลกใบนี้ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวพันไปกับทั้ง 2 โลก … โลกทางวิญญาณด้วย และโลกทางวัตถุ ที่จับต้องมองเห็นได้ด้วย เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ แต่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลกใบนี้นั้น ไม่มีวิญญาณ รู้แต่เรื่องสัญชาตญาณ โลกวัตถุเท่านั้น จับต้องมองเห็นได้ ไม่มีวิญญาณ ไม่เป็นวิญญาณ

พูดถึงมนุษย์ ร่างกายอยู่ในโลกวัตถุ จับต้องมองเห็นกัน ส่วนวิญญาณของมนุษย์ ก็อยู่ในโลกวิญญาณ ในขณะเดียวกันเลย พร้อมกันเดี๋ยวนี้เลย คือในขณะที่ท่านนั่งอยู่ในห้องนี้ ร่างกายของท่าน ก็อยู่ในคริสตจักรอภิสุทธิสถาน ในเวลาเดียวกัน วิญญาณของท่าน ตามหลักพระคัมภีร์ต้องบอกว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ใช่ “มี” เพราะวิญญาณ คือตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์นั่นเอง ที่จะอยู่ตลอดไป ถาวรนิรันดร์ ส่วนร่างกายนั้น จะอยู่เพียงชั่วคราว และมีวันที่จะต้องเสื่อมสลาย ตามอายุขัย และดับลง คือตายไปในที่สุด เน่าเละไปในที่สุด เพราะแต่ก่อนนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่จุดหมายดั้งเดิมที่พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ พระเจ้าสร้างมนุษย์ แม้เป็นร่างกายวัตถุจับต้องมองเห็นได้ ก็จะไม่มีวันเสื่อมสลาย ไม่มีการตาย เป็นนิรันดร์เหมือนกัน นิรันดร์แบบความยาวเหมือนกัน แต่เพราะมนุษย์ตกลงไปในความบาป ร่างกายนี้ มันต้องถึงวาระสุดท้าย คือต้องตายนั่นเอง แต่วิญญาณอยู่นิรันดร์ อยู่ตลอดไป

ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพ ระหว่างร่างกายที่เป็นชั่วคราว ที่เราเห็นกันอยู่ กับวิญญาณที่เป็นถาวรนิรันดร์ เราอาจจะเปรียบได้กับชีวิต ที่ผมเห็นบ่อยๆ ไปทะเลก็จะเห็น ปูเสฉวน ซึ่งมันมีเปลือกแข็ง ท่านลองนึกภาพตามนะ ระหว่างเปลือกหอยกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในเปลือกหอย ท่านว่าอันไหนคือตัวตนแท้จริงของหอย เวลาเราบอกมันวิ่งๆ เรากำลังบอกไหมว่าเปลือกมันกำลังวิ่ง เปล่า เรากำลังหมายถึงตัวที่อยู่ข้างใน นั่นแหละ ฉันใดฉันนั้น ข้างใน ตัวจริงของมัน อยู่ในเปลือกหอย ซึ่งเปลือกหอยมีวันที่จะแตกหัก โดนอะไรชน แต่ตัวจริงมันอยู่ข้างใน เหมือนมนุษย์ที่ผมบอกว่าข้างในของเรา เป็นวิญญาณ ชีวิตมนุษย์ ร่างกายเรา ที่มีวันเสื่อมสลาย เสื่อมสภาพ ตายลง ตามอายุขัย แต่ตัวตนที่แท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรา จะอยู่ตลอดไป ตามการทรงสร้างของพระเจ้า แค่นี้ คือความจริงอันยิ่งใหญ่ ที่เราต้องเตือนตัวเองตลอดเวลา แม้เราเชื่อพระเจ้า เรายังต้องเตือนว่ามันเป็นอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องจริงตามพระคัมภีร์บอก พระเจ้าอธิบาย สอนเราอย่างละเอียดในพระคัมภีร์ บอกหมดเลย เราจะเรียนรู้ไหม? เราจะยอมรับไหมเท่านั้นเอง

เช่นเดียวกัน ที่อยู่อาศัยของร่างกายของมนุษย์ อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ที่จะมีวันเสื่อมสูญ ก็คือมีโอกาสถูกทำลายลงเหมือนกัน คือโลกใบนี้  คริสตจักรนี้ โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์นี้ มันก็ถูกคำสาปแช่ง เนื่องจากมนุษย์เอาความบาปเข้ามา มันก็ต้องเสื่อมสลายไปเหมือนกัน ไม่วันใดก็วันหนึ่งในอนาคต

และวิญญาณของมนุษย์ที่อาศัยในโลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์บอก มันอยู่ตลอดไป  แม้โลกใบนี้สิ้นสุดหมดแล้ว ถูกเผาพลาญหมดแล้ว วิญญาณของเรายังอยู่ตลอดไป  แต่มันอยู่ที่ไหนไม่รู้ ถ้าเผื่อมันทุกข์ หมายถึงมันทุกข์ตลอด มันไม่มีวันสิ้นสุด น่ากลัว นี่คือความจริง เราคุยกันเหมือนเรื่องง่ายๆ ตามพระคัมภีร์ บางครั้งก็คุยสนุกๆ แต่ความหมาย เมื่อรู้ลึกซึ้งแล้ว มันน่ากลัวมาก ร่างกายเราอยู่ชั่วคราว เราอาจจะทุกข์มาก เราอาจจะเจ็บป่วย บาดเจ็บ หรือทุกข์ใจ เจอปัญหาบนโลกใบนี้ แต่เรายังมีความหวังว่ามันยังอยู่ชั่วคราว 80 ปี เอาให้ 100 ปี 120 ปี มันก็ต้องจากโลกนี้ไป จบสิ้น แต่วิญญาณมันไม่มีการจบเลย ถ้าเกิดเจอความทุกข์ มันก็คงหมดหวังเลย มันทุกข์นิรันดร์ ทุกข์ตลอดไป

โลกวิญญาณมันก็เหมือนโลกทางวัตถุใบนี้ ที่มีการแบ่งแยกดินแดนออกเป็นอาณาจักรต่างๆ ประเทศต่างๆ ซึ่งแต่ละประเทศ หรือแต่ละอาณาจักรบนโลกนี้ ก็จะมีลักษณะภูมิประเทศแตกต่างกันออกไป มีการปกครองที่แตกต่าง มีสภาวะแวดล้อมต่างกันออกไป เรียกว่าแบ่งกันเป็นประเทศในโลกวัตถุนี้ แม้ที่เรานั่งอยู่นี้ แบ่งเป็นคริสตจักรนี้ แบ่งเป็นซอยกรุงเทพกรีฑา รามคำแหง 150 อะไรแล้วแต่ มันก็แบ่งออกไปเรื่อยๆ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าโลกวิญญาณมีแบ่งแยกออกเป็น 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรแห่งความมืด และอาณาจักรแห่งความสว่าง ตอนพระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ มีอยู่แค่อาณาจักรเดียว ที่คลุมโลก หรือซ้อนโลกวัตถุนี้อยู่ คืออาณาจักรแห่งความสว่าง

พระคัมภีร์บอกว่าโลกถูกปกคลุมด้วยพระสิริของพระเจ้า ในสมัยเริ่มต้นปฐมกาล พระสิริของพระเจ้า ก็คือความสว่างของพระองค์ คือฤทธิ์อำนาจ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าในตอนแรกเริ่มนั้น มีแต่ความสว่างเพียงเท่านั้น แล้วอาณาจักรแห่งความมืดของมาร อยู่ในชั้นฟ้าอากาศ นอกโลก มารมันถูกเขี่ยตกกระป๋องออกจากอาณาจักรของพระเจ้า

หลังจากบรรพบุรุษของมนุษย์ คืออาดัมกับเอวาได้นำเอาเชื้อโรคในวิญญาณตัวร้ายแรง ที่เรียกว่าเชื้อบาป ไวรัสบาป เข้ามาสู่ DNA ของอาดัมและเอวา DNA อันนั้น มีพวกเราทั้งหลายมนุษย์ทุกคนอยู่ในนั้น เพราะพระเจ้าสร้างแบบเทคโนโลยี แบบสมัยใหม่มาก สร้างมนุษย์ขึ้นทั้งหมด จากคนๆ เดียวเลย แล้วก็ให้พวกเราอยู่ในนั้น แล้วค่อยๆ ผลิตออกมา ท่านพอจะเห็นภาพชัดเจน

เพราะฉะนั้น DAN ของความบาปนี้ ที่ติดเชื้อบาปนี้ เราก็เลยติดไปด้วย ซึ่งเจ้าไวรัสบาป หรือเชื้อบาปตัวนี้ มาจากมาร เข้ามาสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เข้ามาสู่โลก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความมืดก็เข้ามาแทนที่ความสว่างของพระเจ้า ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ในโรม บทที่ 3

โรม 3:23 “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

ตรงนี้ไม่ใช่ทำบาปนะ ตรงนี้ภาษาเดิมบอกว่า “เพราะว่ามนุษย์ทุกคนบาป มีเชื้อบาป ติดเชื้อบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป หรือเป็นบาป ติดเชื้อบาปเข้าไปแล้ว จึงเสื่อมพระสิริของพระเจ้า ก็คือหลุดออกไปจากความสัมพันธ์กัน เหมือนกับเชิญความมืดเข้ามา ไล่ความสว่างออกไป เสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า ก็คือเสื่อม หรือหายไป เสียหายไป แสงสว่างของพระเจ้าหายไป ความมืดเข้ามาแทนที่ เข้ามาปกคลุมอยู่เหนือโลก และทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาบนโลกใบนี้ ที่มีชีวิต ทั้งหมดเลย ทั้งสัตว์เล็กสัตว์น้อย  สัตว์ใหญ่ รวมกระทั่งพืชเล็กพืชน้อย แม้กระทั่งก้อนหิน วัตถุทุกอย่าง ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดทั้งหมดเลย

ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระคัมภีร์เดิมทั้งหมดเลยจะพูดถึงเรื่องนี้ว่ามนุษย์ตกอยู่ตรงนี้แหละ และมีหลายแห่งที่บอกชัดๆ เลยว่าทุกคนเป็นคนบาป พระเจ้าบอกมองลงมา มีแต่คนทำชั่ว ไม่มีสักคนเลยที่เอาพระเจ้า ไม่มีสักคนเลยที่ทำดี เพราะความมืดปกคลุมอยู่ มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวมนุษย์ มันเกี่ยวกับโลกนี้  และวิญญาณมนุษย์ทุกคนก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดสนิทนั่นเอง อยู่ในอาณาจักรของความมืด ไม่มีทางเลือก ต่างคนก็ต่างมืดด้วยกันทั้งคู่ บรรพบุรุษเราก็มืด เราเกิดมาก็มืด คนต่อไปก็มืด มองไปทุกอย่างมืดหมด แม้กระทั่งสัตว์ พืช มืดหมด ไม่มีใครช่วยใครได้เลย จนกระทั่งถึงวันที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ วางแผนการเลยว่าจะกลับมาช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความมืดนี้ นี่คือแผนการใหญ่ของพระเจ้า ใหญ่มาก โดยพระเจ้าตั้งใจที่จะทำให้โลกวิญญาณได้กลับสว่างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พระเยซูตรัสว่า …

“เราเป็นความสว่าง ความสว่างเข้ามายังโลก”

มนุษย์ทุกคนเป็นความมืด แต่พระเยซูบอกว่า “เราเป็นความสว่าง” และตอนนี้ความสว่างกำลังเข้ามาสู่ความมืด

เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว วันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่วิญญาณพระองค์เป็นพระเจ้า วิญญาณพระองค์สะอาดหมดจด แล้วพระองค์ทรงดำเนินไปถึงตายที่ไม้กางเขน เพื่อหลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเรา ให้กับมนุษย์ทุกคน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นการสถาปนาอาณาจักรแห่งความสว่างขึ้นอีกครั้งหนึ่ง บนโลกใบนี้

การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขน ทำให้โลกวิญญาณ แบ่งแยกออกเป็น 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความมืด ที่อยู่ก่อนหน้านี้ และอาณาจักรที่เกิดใหม่ ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง แต่ทั้งหมด ที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นเฉพาะในโลกวิญญาณเท่านั้น มันไม่ได้รวมถึงโลกวัตถุ ที่เราจับต้องมองเห็นด้วยตานี้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้น โลกที่เราจับต้องมองเห็นได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ เป็นตัวเราเอง ร่างกายนี้  มันก็เหมือนเดิม ก็ยังอยู่ในการลงโทษของบาปอยู่ดี ร่างกายเราก็ยังต้องตายอยู่ดี แต่อะไรบางอย่างในโลกวิญญาณมันเปลี่ยนไปแล้ว

ตอนนี้มนุษย์มีสิทธิ์เลือกว่าจะเข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง หรือจะยังคงอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดเหมือนเดิม

และนี่คือความจริงที่ทำให้เราเป็นไทอย่างแท้จริง เพราะถ้าเรารู้และเข้าใจอย่างถูกต้องลึกซึ้งในโลกวิญญาณอย่างนี้แล้ว การมีชีวิตบนโลกนี้ ของมนุษย์ทุกคน หรือของเรา มุมมองในเรื่องการแก้ปัญหาต่างๆ ของเรา มันก็จะเปลี่ยนไปหมดเลย มุมมองในการตั้งเป้าหมายในชีวิตก็เปลี่ยนไป การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ การแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไป มันจะอยู่บนพื้นฐานของโลกวิญญาณทั้งหมดเลย จะเห็นภาพชัดเลย แล้วมันก็จะเกิดเป็นความหวัง ความอดทน ความสุข ความสงบ ความพอเพียงขึ้นในใจ ในชีวิตของคนๆ นั้น ที่รู้ความจริงตรงนี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ขอให้เขาเป็นมนุษย์เถอะ เขาจะได้รับตรงนี้แหละ

ความรู้ ความเข้าใจในโลกวิญญาณแบบนี้ ก็เปรียบเหมือนที่ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องกลัดกระดุมผิด สมัยตอนที่เล่นดนตรีอยู่นั้น บางคอนเสิร์ตต้องเข้าไปเปลี่ยนชุด ต้องเปลี่ยนเร็วมาก เพื่อจะออกมาให้ทัน เข้าไปถึงจะมีคนมารุมเราเลยนะ สมมติว่าเรากำลังใส่รองเท้าอยู่ ก็จะมีคนมาใส่เสื้อให้ แล้วก็มีคนกลัดกระดุมให้ กลัดรีบๆ เลย พอจะเดินออกไป เฮ้ย! จับคอเสื้อทำไมไม่ได้สักที เพราะว่ามันกลัดไปเรียบร้อยแล้ว แต่กระดุมเม็ดแรกมันผิดกลัดไปอีก 10 เม็ด เวลาจะแก้ ช้ากว่าเก่าตั้งเยอะ เลย มันต้องถอดทีละเม็ดๆ พอมันผิดตั้งแต่เริ่มต้น ต้องแก้ใหม่หมดเลย

ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราเริ่มแก้ปัญหาจากสิ่งที่ผิด มันก็จะผิดตลอดไป อย่างที่บอกว่าความรู้ ความเข้าใจในโลกวิญญาณ ก็เปรียบเหมือนการติดกระดุม ถ้าท่านรู้เหตุผลมันคืออะไรเกิดขึ้น มันมีเงื่อนไขอย่างไร? มันเป็นอย่างไร? ตอนนี้อาจจะแก้ช้าหน่อย แต่มันก็สำเร็จอยู่ดี แต่ถ้ามันผิด มันไม่ใช่ ท่านรีบอย่างไร? ท่านทุ่มเทอย่างไร? ยิ่งผิดใหญ่เลย ยิ่งทุ่มเทมาก ยิ่งผิดเยอะ แทนที่จะติดกระดุมผิด ไป 5 เม็ด แต่ติดกระดุมผิดไป 10 เม็ดเลยทีนี้ ทุ่มเทเยอะ แต่ว่าเริ่มต้นมันผิดแล้ว

อย่างเช่นเรื่องข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโลกนี้ ที่ผมบอกบ่อยๆ ว่าพระเจ้าบอกว่าโลกกลม สมัยก่อนนี้มนุษย์ก็ไม่เชื่อฟัง ก็บอกว่าโลกแบน พยายามคิดค้นทฤษฎีต่างๆ มาสนับสนุน เชื่อว่าโลกแบน คิดอะไรออกมาเยอะแยะก็ผิดหมด ทดลองอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง เสียเวลาไปเยอะแยะมากมาย ก็เพราะว่าพื้นฐานมันผิด เริ่มต้นมันผิดแล้วว่าโลกมันแบน ก็เหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดนั่นแหละ พระคัมภีร์บอกโลกวิญญาณมีจริงๆ และมีอยู่ 2 อาณาจักร คืออาณาจักรของความมืด และอาณาจักรของความสว่าง และมนุษย์มีสิทธิ์เลือกได้เองว่าจะเข้าไปอยู่ในอาณาจักรใดก็ได้ พระคัมภีร์บอกว่ามีสิทธิ์เลือกได้เอง โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ใช้เชื่อเอา เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้เรียบร้อยแล้ว แค่เลือกและใช้สิทธิ์ของตัวเองเท่านั้น แต่มนุษย์จำนวนมาก ก็ยังไม่ยอมเชื่อความจริงตรงนี้ ยังพยายามที่จะขวนขวาย คิดตามเหตุผลว่าเราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ เราก็ไม่สมควรจะได้ ถ้าเราอยากได้ เราต้องทำ ก็ทำต่อไปด้วยตัวเอง ซึ่งทำเท่าไร? มันก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะถ้าความจริงมันเป็นอย่างนี้ ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เหมือนกับแก้ไขกระดุมอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ถ้าไม่แก้ที่กระดุมเม็ดแรกที่ผิดไปนั่น

เม็ดแรก เทียบกับโลกวิญญาณมันมีจริงๆ พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปมนุษย์จริงๆ หรือแม้กระทั่งเทียบกับเรื่องคุณยายหาเข็มก็ได้ ถ้าคิดตามเหตุผลแล้ว มนุษย์คิดเองนะ เพราะมนุษย์มาจากพระเจ้า พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา คิดเก่งมากเลย ตามเหตุผล ตามตรรกะ หรือตามภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าตามโลจิกต์ มนุษย์เก่งมาก ถ้าอันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ อันนั้นต้องเป็นอย่างนี้คิดทุกเรื่องเลย แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณคิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะโลกฝ่ายวิญญาณ มันสูง เทคโนโลยีมากกว่าที่ความคิดมนุษย์คิดไปถึง มันเยอะกว่ามากเลย มนุษย์ก็คิดว่าถ้าจับตรงนี้ได้ แสดงว่าหน้าตาพระเจ้าคงมีแข็งๆ เหมือนจับช้าง ไปจับเอาที่ตรงงา ช้างต้องเป็นอย่างนี้ ปลายๆ แหลมๆ และแข็งๆ อีกคนหนึ่งไปแตะถูกตรงกลาง ตัวนิ่มๆ พระเจ้าต้องเป็นอย่างนี้ ดูเหมือนถูก แต่ผิดหมดเลย เพราะมนุษย์ใช้ความคิดของตัวเอง

เพราะคิดแบบโลจิกต์ คิดแบบเหตุผลของมนุษย์ พระเจ้าจึงบอกให้เราเชื่อ ถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ พระองค์บอกอย่างไร ก็จงเชื่ออย่างนั้นเถิด เพราะเราเป็นเหมือนเด็กคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับความรู้ของพระเจ้า ถ้าเด็กคนหนึ่งมาถามท่านว่า …

“แม่ ไมโครเวฟมันทำงานอย่างไร?”

ท่านจะตอบไหม? หรือท่านจะบอกว่า  …

“อย่าถามมากเลย กดอันนี้ มันก็ใช้งานแล้ว กดไป 1 นาที น้ำเดือดแล้ว ไม่ต้องอธิบาย ฉันอธิบายไม่ได้เหมือนกัน”

ถูกไหม? ถ้าท่านไปอธิบายให้เด็ก 10 ขวบฟัง เรื่องระบบมันมีคลื่นไฟฟ้านะ คลื่นไฟฟ้าแปลงเป็นคลื่นอิเล็กโทลนิก เรียกว่าคลื่นไมโครเวฟ และคลื่นไมโครเวฟไปทำงานเป็นโมเลกุล … โมเลกุลสั่นสะเทือน โมเลกุลจะกลายเป็นความร้อน ท่านว่าเด็กเข้าใจไหม?  ถ้าเผื่อพระเจ้าจะอธิบายให้เราอย่างนั้น เราจะตายก่อน แล้วลงไปอยู่ในนรก ไม่มีโอกาสได้เลือกพระเจ้าแล้ว ช้าไปแล้ว และไม่มีวันได้ด้วย

พระคัมภีร์ได้อธิบาย ให้มนุษย์ได้รู้จักสภาพของอาณาจักรทั้งสองแห่งนี้ เพื่อจะได้เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในโลกวิญญาณ คำที่ใช้บ่อยในพระคัมภีร์จะมีคำว่า …

 

                   –  อาณาจักรสวรรค์ / อาณาจักรของพระเจ้า  / อาณาจักรของพระคริสต์

 

ต่อไปนี้ ท่านจะเห็นคำเหล่านี้ ท่านจะมองภาพเห็น ที่วันนั้น เราสาธิตกัน จำเก้าอี้ตัวนั้นได้เลย ที่เป็นสีขาว สมมติว่าเป็นอาณาจักรๆ หนึ่ง เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระคริสต์

 

                   –  ในพระคริสต์  /   พระเกียรติสิริ  /  สง่าราศี  /   ความสว่าง

 

แล้วในพระคัมภีร์ยังเรียกคนที่อยู่ในอาณาจักรนี้  อยู่ในพระคริสต์ ตอนนี้ฉันอยู่ในพระคริสต์ คือฉันอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ในอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้า

คือในพระคริสต์ ฉันมีความหวัง ในพระคริสต์ ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระคริสต์ ฉันเหมือนพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ฉันไม่กลัวตายอีกต่อไป ตายทางร่างกายนี้ ก็แค่เปลี่ยนมิติ ก็อยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหนด้วย ไปไหนมาไหนก็สะดวกขึ้น พระคัมภีร์เรียกว่าอินเนอร์แมน คือมนุษย์ตัวใน คือวิญญาณของฉัน

จะพูดถึงตรงนี้ในอาณาจักรแห่งความสว่าง พระเกียรติสิริ  /  สง่าราศี  /   ความสว่าง … พระเกียรติสิริ คือความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ความสะอาด บริสุทธิ์ของพระเจ้า ความอลังการของพระเจ้า แบบเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ ถ้าท่านจะยกตัวอย่างพระสิริ ท่านต้องนึกถึงดวงอาทิตย์ ท่านมองไปที่ดวงอาทิตย์ ท่านยังมองไม่ได้เลย พระสิริของพระเจ้า มันยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ล้านๆ เท่า และตอนนี้ท่านนั่งอยู่ในดวงอาทิตย์ วิญญาณท่านประกอบด้วยพระสิริพระเจ้า ท่านเห็นอะไรบางอย่างไหม? ท่านจะกลัวผีอีกต่อไปไหม? ก็กลัวต่อไป เพราะถ้ากลัว มันก็กลัว มันอยู่ในความคิด มันอยู่ในร่างกายภายนอก อันที่ไม่กลัว ที่เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริของพระเจ้า มันอยู่ข้างในนี้ ขาววอก วิญญาณผมสะอาดบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า แต่ข้างนอกผมคลุมไปด้วยร่างกาย ที่เต็มไปด้วยผิดบ้าง? ถูกบ้าง? ดำบ้าง? ขาวบ้าง?  มัวบ้าง? เทาๆ บ้าง? ทุกท่านก็ใส่เสื้อเหมือนผม ร่างกายท่านใส่เสื้อแบบนี้ คือเสื้อลายขาว ดำ เทา ก็คือมันมีขาวๆ ทำดีบ้าง? อยากทำดี ทำไม่ดีบ้าง? แต่ข้างในนี้ สีขาวหมด เอเมน

เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ บอกกันได้ เดี๋ยวนี้เราอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ทั้งหมด พูดถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น

                   –  เป็นขึ้นมาใหม่  /  มีชีวิต  /  ชีวิตนิรันดร์

 

“เป็นขึ้นมาใหม่”  ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ในเรื่องอาณาจักรแห่งความสว่าง จะมีคำนี้บ่อยๆ ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์  ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับพระเยซู พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่ ท่านก็เป็นด้วย ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ในโลกวิญญาณเป็นขึ้นจากความตาย คือมืดสนิทเลย  ตอนนี้ตายอยู่ เป็นขึ้นจากความตาย คือ …

“พระเยซูลูกเชื่อพระองค์ ว่าพระองค์เป็นผู้ไถ่บาป แล้วก็ได้มาชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน ลูกได้ยินข่าวดีนี้แล้ว ลูกเชื่อ ตอนนี้ลูกขอต้อนรับสิทธิที่พระองค์ทรงทำให้กับลูกที่ไม้กางเขน ตายที่ไม้กางเขนเพื่อลูก ชำระบาปให้กับลูก และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่าง บัดนี้ ลูกเชื่อแล้ว ลูกขอรับสิทธินี้”

ทันทีทันใดนั้น  ในวินาทีนั้น ผมเกิดใหม่ อย่างนี้เขาเรียกว่าเกิดใหม่ วิญญาณเก่าตายไปแล้ว ตัวมืด ตายไป ตัวเก่าๆ ที่เรียกว่าวิญญาณ ในพระคัมภีร์เรียกว่าตายไป แล้วมันเกิดมาใหม่ นี่พูดถึงวิญญาณนะ ข้างใน ข้างนอกยังคนเดิม แต่ข้างในเปลี่ยนแล้ว เมื่อกี้ข้างในเสื้อกล้ามดำ ตอนนี้เสื้อกล้ามขาว เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริของพระเจ้า เหมือนดวงอาทิตย์ร้อนแรงอยู่ในวิญญาณของเรา มีสง่าราศี พระเกียรติสิริของพระเจ้าอยู่ในนั้น ความบริสุทธิ์อยู่ในนั้น นี่คือคำศัพท์ที่ใช้บ่อย แล้วมีอะไรอีก?

“มีชีวิต” พระองค์บอกว่าพระองค์มา เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีชีวิต ฉันยังไม่ตายเลย จะมีชีวิตได้อย่างไร?  คำว่ามีชีวิต หมายถึงมีชีวิตกลับคืนสู่พระเจ้า

คำว่า “มีชีวิต” แปลว่าเกิดใหม่ แต่ก่อนนี้ ไม่มีชีวิต คือตายอยู่ พระเยซูบอก เรามาเพื่อท่านทั้งหลายจะมีชีวิต คือเมื่อมารับพระเยซู ท่านก็กลับมามีชีวิต

“ชีวิตนิรันดร์” นอกจากท่านจะมีชีวิตแล้ว คำว่า “มีชีวิต” เป็นกริยา คือการบังเกิดใหม่ มีชีวิตขึ้นมา  แต่คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ตรงนี้ เป็นคำนาม แปลว่าสภาพ คุณภาพของชีวิต ไม่ใช่ นิรันดร์ แปลว่าอยู่ตลอด อดีตยังไม่รับเชื่อ เราอยู่ในที่มืด เราก็อยู่ในความมืดนิรันดร์ คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ตะกี้นี้ ในบทบาทของความสว่าง คือเมื่อท่านมาเชื่อพระเยซู ท่านมีชีวิตนิรันดร์ แปลว่าอีเทอร์เนลไลฟ์ คือชีวิตที่เป็นนิรันดร์ ไม่ใช่มียาวนิรันดร์ มีคุณสมบัตินิรันดร์ คำนี้ใช้เฉพาะกับคุณภาพของวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น แต่ดั้งเดิม วิญญาณของพระเจ้า มีชื่อวิญญาณว่าวิญญาณนิรันดร์ พระเจ้าอยู่นิรันดร์อยู่แล้ว แต่วิญญาณพระองค์เป็นวิญญาณชนิด นิรันดร์ ไม่ใช่อยู่นิรันดร์ แต่เป็นคุณภาพนิรันดร์ จำเอาแล้วกัน มันไม่มีทางเข้าใจหรอก พูดง่ายๆ คำว่า “นิรันดร์” มันมี 2 ความหมาย ตามภาษาไทย ตามตรรกะมนุษย์ คือ …

–  นิรันดร์ตัวแรก เขาเรียกว่านิรันดร์แบบบอกถึงระยะทาง ก็คืออยู่หลายๆ ปี ไม่สิ้นสุด เรียกว่าตลอดกาล

–  นิรันดร์ที่สอง เป็นลักษณะ คุณภาพของวิญญาณ คุณภาพและวิญญาณของพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ คุณภาพและวิญญาณของมารซาตาน  เรียกว่าวิญญาณตาย วิญญาณบาป วิญญาณกบฏ ท่านจะได้เห็นภาพ คุณภาพวิญญาณ แต่วิญญาณจะอยู่นิรันดร์ ก็พยายามเข้าใจแล้วกัน เข้าใจแบบพระเจ้า ถ้าเข้าใจแบบมนุษย์ มันลำบาก อย่างที่บอก ไม่สามารถอธิบาย ในโลกฝ่ายวิญญาณ มีคำอะไรอีก

 

                   –  ความชอบธรรม  /  ผู้ชอบธรรม  /   พระคุณ  /  ความรัก

 

“ความชอบธรรม” คือเราไปศาล เราถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าคนตาย แล้วศาลตัดสินคดีว่าเธอไม่ได้เป็นคนฆ่าหรอก เธอเป็นอิสระ นั่นแหละ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว คำว่าชอบธรรม คือถูกต้อง ไม่ใช่ทำดีนะ  ความชอบธรรม หมายถึงว่าถูกตัดสินว่าเป็นคนไม่ผิด  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรม คือความถูกต้องนั่นเอง จะใช้กับคนที่มาอยู่ในแสงสว่าง ชอบธรรม เพราะฉะนั้น อยู่ตรงข้าม คือความไม่ชอบธรรม

และจากนั้น มี “ผู้ชอบธรรม” คือผู้ที่มีความชอบธรรม กลายเป็นคนนั้น เป็นผู้ชอบธรรม คือเป็นอิสระจากการถูกตัดสินลงโทษ

และต่อไป ก็มีคำว่า “พระคุณ”  “ความรัก”   พอบอกความรักของพระเจ้า อย่าไปนึกถึงความรักแบบรักกัน ไม่ใช่ เป็นคุณภาพของวิญญาณ เรียกว่าความรัก พระเจ้าไม่มีทางโกรธใครเลย พระองค์ “เป็นความรัก” ไม่ใช่ “มีความรัก” เมื่อผมมาเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณผมเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ข้างในผม เป็นความรัก ผมไม่ได้มีความรัก และผมไม่ได้ดำเนินในความรักตลอดไป ผมเป็นความรัก แต่ข้างนอกจะดำเนินชีวิตเป็นความเกลียดบ้าง เป็นอะไรบ้าง แล้วแต่เนื้อหนังเก่าๆ ที่มันทำอยู่ ก็คนละเรื่องกัน แต่วิญญาณผมไม่มีเกลียดใครอยู่แล้ว ผมไม่เคยโกรธใครเลยแม้แต่นิดเดียว มันสะอาดหมดจด มันเป็นความรัก ไม่ใช่เป็นความเกลียด มันทำไม่ได้เลย เพราะมันขาวสะอาด นี่แหละ คือคำว่าความรัก

ถ้าพระเจ้าเป็นความรัก เรามาเป็นเหมือนพระเจ้า เราก็เป็นความรักเหมือนกัน เมื่อเราเป็นความรัก เปโตรมาถามว่าถ้ามนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ดี ทำบาปต่อเรา เราจะต้องอภัยให้กี่ครั้ง? พระเยซูบอกอภัยให้ตลอดเลย คือไม่ต้องอภัยกัน เมื่อท่านมาเชื่อในพระเจ้า ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะไม่โกรธใครอีกแล้ว เพราะข้างในท่านบริสุทธิ์ ท่านไม่ต้องอภัยหรอก เพราะมันอภัยอยู่แล้ว ท่านไม่เคยโกรธ ท่านจะไปอภัยทำไมล่ะ สมมติคนบอกให้ท่านให้อภัยคนนี้สิ แต่คุณไม่เคยโกรธเขาเลย คุณจะไปอภัย ก็คงขำ หัวเราะ อภัยให้เขา ผมไม่เคยโกรธเขาเลยนะ ผมอภัยให้ได้อย่างไร?  ผมอภัยให้ไม่ได้หรอก ทำไมเป็นคนอภัยให้ใครไม่ได้ ก็ผมไม่เคยโกรธเขาเลย  จะไปอภัยให้ได้อย่างไร? เหมือนกัน วิญญาณ ความรักตรงนี้

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ เมื่ออธิบายทางโลกวิญญาณแล้ว มันจะเห็นภาพชัดเจนอีกอันหนึ่ง ซึ่งสามารถเข้ากับข้อพระคัมภีร์ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ทั้งเล่มได้

 

                   –  บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า /  ลูกของพระเจ้า /  คืนดีกับพระเจ้า  /   ติดต่อกับพระเจ้าได้

 

“บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า” พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราสะอาด บริสุทธิ์จริงๆ ข้างใน พูดถึงวิญญาณของเรา เพราะเราอยู่กับพระเจ้า เราไม่สามารถสกปรกได้เลย เพราะสกปรกอยู่กับพระเจ้าไม่ได้

“ลูกของพระเจ้า” พอเรามาอยู่ในความสว่าง เราเป็นลูกๆ ของพระเจ้า เขาเรียกเราว่าลูกๆ ของพระเจ้า พระเจ้าเรียกเราว่าลูกๆ ของพระเจ้า ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่คนรับใช้ เป็นลูกเลย ลูกจริงๆ พระเจ้าบอกท่านเป็นคนบาป ยังรู้จักรักลูกของตนเอง แล้วพระเจ้าเป็นความรัก รับท่านเป็นลูก จะรักท่านมากขนาดไหน? ท่านลองคิดดูแล้วกัน ท่านจะเห็นภาพเหล่านี้

“คืนดีกับพระเจ้า” ท่านเคยได้ยินใช่ไหม? โดยพระเยซูคริสต์ เราได้รับการคืนดีกับพระเจ้า แปลว่าท่านไปโกรธกับพระเจ้าเมื่อไร?  คืนดี ก็คือแต่ก่อนนี้เข้ากันไม่ได้ แต่ก่อนนี้คนละเคมี แต่พระเยซูชำระเราให้สะอาดแล้ว เคมีเดียวกัน เข้ากับพระเจ้าได้ คืนดีกับพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้

“ติดต่อกับพระเจ้าได้” “เป็นหนึ่งกับพระเจ้า” อยู่บ้านหลังเดียวกันแล้ว

ซึ่งวันนี้ เอาแค่นี้ก่อน แล้วค่อยๆ เรียนรู้กันต่อๆ ไป ในอาณาจักรของความมืด ความสว่างเป็นอย่างไร? ท่านจะเห็นภาพชัดเจนว่าถ้าเราไม่เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เราเสียโอกาสไปเยอะขนาดไหน? และถ้าเราเรียนรู้ความจริงเหล่านี้ เราจะเห็นภาพว่าเราสามารถที่จะเชื่อพระเจ้าได้ง่ายขึ้น เยอะเลย พระเยซูจึงบอกว่าท่านจะรู้ความจริง และความจริง จะทำให้ท่านเป็นไท

ในหนังสือที่บอกอย่างชัดเจน ก็คือในหนังสือยอห์น 3:16 เป็นข้อพระคัมภีร์ที่เขาประกาศข่าวประเสริฐกันมากเลย แต่ถ้าเขาประกาศอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น สำหรับคนที่รับเชื่อ รับสิทธิของเขา

ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก (คือมนุษย์ยิ่งนัก) จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (พระเยซู) เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

ไม่พินาศ คือไม่ตายลงไปในวิญญาณ  ไม่ต้องอยู่ในนรกนิรันดร์ แต่มามีชีวิตเหมือนพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรสว่างนิรันดร์

พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูมา เพื่อลงโทษมนุษย์บนโลกใบนี้ แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น ก็คือช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอด โดยพระบุตร คำว่า “โลกนี้” มันรวมทั้งมนุษย์ทุกคน และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างบนโลกใบนี้

ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ผู้ใดที่เชื่อในพระเยซู ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะอยู่ในอาณาจักรของความมืดอยู่แล้ว ไม่ได้เลือกใช้สิทธิ มันก็อยู่ในความมืด พระเยซูไม่ได้มาทำอะไร?

ชัดไหม? พระเยซูจึงบอกว่าเราไม่ได้มา เพื่อพิพากษาโลก พิพากษามนุษย์ ไม่ใช่ เพราะมนุษย์อยู่ในความมืดอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่รับสิทธิ ที่เราทำให้ เขาก็อยู่ในความมืด และสำหรับคนที่รับสิทธิแล้ว ทันทีทันใด เขาก็ได้รับความรอด เขาถึงเรียกข่าวดี ข่าวประเสริฐมาถึงมนุษย์ทุกคน มันง่าย ไม่ต้องทำอะไร? มนุษย์ทุกคนอยู่ในอาณาจักรของความมืด  ต้องรับโทษนิรันดร์เลย แล้วพระเยซูก็มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อสถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่าง แล้วก็มาเคาะประตูเราตลอดเวลาว่าให้เราย้ายเถิดๆ ย้ายตอนไหน? ย้ายก่อนตาย ก่อนทิ้งร่าง เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์เท่านั้น

ถ้าผมเป็นมนุษย์อยู่ตรงนี้ ผมจึงให้พระเยซูเป็นตัวแทนได้ แต่ถ้าวันหนึ่งที่ผม ร่างกายผมเน่าไปแล้ว วิญญาณออกจากร่าง ผมไม่ได้เป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว ตอนนั้น ผมเป็นวิญญาณเฉยๆ ผมใช้สิทธิ์ไม่ได้แล้ว เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์ มนุษย์เท่านั้นที่จะใช้สิทธิที่พระเยซูทำ เป็นตัวแทนให้ได้

พระคัมภีร์จึงให้เราตัดสินใจก่อนที่วิญญาณเราจะออกจากร่าง เพราะถ้าวิญญาณเราออกจากร่างแล้ว มันสายไปแล้ว วิญญาณเราออกจากร่างแล้ว เราอยู่ไหน? ก็อยู่ตรงนั้น  ถ้าวิญญาณเราออกจากร่าง เราอยู่ในอาณาจักรของความมืด เราก็อยู่ตรงนี้ ไม่มีทางเลือกแล้วตลอดไป ไม่มีใครช่วยให้เรารอดแล้ว ไม่มีพระเยซูอีกต่อไปแล้ว มีเราก็ทำอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถใช้สิทธิในการเป็นมนุษย์ได้ เราเป็นวิญญาณที่อยู่ในความมืด เป็นวิญญาณที่อยู่กับมาร เป็นวิญญาณที่พินาศไปแล้ว

ท่านคิดดูว่ามันง่ายขนาดไหน? ท่านประกาศข่าวประเสริฐแค่นี้ ให้เขารับสิทธิเขา มันไม่ได้เกี่ยว ไม่ต้องทำอันโน้น อันนี้  ไม่ต้องทำอะไรเลย  ทำอย่างเดียว คือรับสิทธิสิ รับสิทธิ์ทำอย่างไร?

“ฉันเชื่อ พระเยซูไถ่บาปให้กับฉันใช่ไหม? ฉันเอาแล้ว ฉันเอาด้วยคน ใครไม่เอา ฉันไม่รู้ ฉันตัดสินใจเอาเท่านี้ เข้าใจไม่เข้าใจ ฉันเชื่อ เชื่อคนมาพูด ก็ได้”

ทันทีทันใดนั้น ท่านก็ย้ายมาอยู่ฝั่งสว่างเกิดอะไรขึ้น? วิญญาณท่านก็ขาวสะอาด ท่านอยู่ในสวรรค์แล้วทันทีเลย  ไม่ต้องรอให้ตายแล้วไปสวรรค์ ท่านเชื่อปุ๊บ ท่านอยู่ในสวรรค์ทันทีทันใดเลย แล้วจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ไม่มีใครเอาวิญญาณท่านออกไปได้แล้ว เพราะพระเจ้าคลุมตรงนี้อยู่ตลอด ไม่มีใครจะโผล่เข้ามาในแสงสว่าง แบบดวงอาทิตย์เป็นล้านๆ ดวงในวิญญาณของท่านอีก ไม่มีทางแล้ว ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน วันหนึ่งท่านจะตายจากโลกนี้ ท่านจะดีใจมากเลย เพราะแค่ไปสู่อีกมิติหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านก็พะงาบๆ หมดภารกิจสักที พอวิญญาณท่านออกจากร่างไป ท่านก็ไปอยู่สวรรค์ คราวนี้ท่านก็สบาย มองเห็นทุกอย่าง ไม่ต้องมาวุ่นวาย  ไม่ต้องนั่งแท็กซี่ ใช้เหาะไป อันนี้พูดไปเรื่อยเปื่อย แต่ไม่รู้เทคโนโลยีเป็นอย่างไร? แต่ท่านก็เหมือนพระเยซู ท่านไม่ต้องทุกข์ลำบากอีกแล้ว นั่งนานก็ไม่ได้ ไข่วห้างนานก็ไม่ได้ อะไรก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด ท่านไม่ต้องวุ่นวาย วิญญาณท่านอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ไม่ได้ไปไหนเลย

เพราะฉะนั้น เวลาที่บอกว่าพระบิดารอคอยเราอยู่ในสวรรค์ แปลว่าพระบิดารอคอยให้เราจากความมืด ย้ายมาสู่ความสว่าง จากนั้นพระบิดาไม่รอคอยแล้ว พระบิดารอคอยเราในสวรรค์ ก็คืออย่างนี้ พอเราขึ้นมาอย่างนี้ปุ๊บ อยู่กับพระบิดาแล้วตอนนี้  อยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

******************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 2 “อาณาจักรแห่งความสว่าง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  กันยายน  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 2 “อาณาจักรแห่งความสว่าง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ การบรรยายในวันนี้ เป็นตอนต่อจากครั้งที่แล้ว ซีรี่ย์ชุด “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ความจริง คือถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง  ความจริงนี้ จะทำให้เราเป็นไท จากความกลัว ความวิตกกังวล ในทุกๆ เรื่อง ก็คือในอนาคตนั่นเอง ยกตัวอย่างง่ายๆ กลัวว่าอนาคตตายแล้วจะไปไหน? ไปอยู่อย่างไรตอนหลังความตาย นี่คือความกลัวที่อยู่ลึกๆ ในใจมนุษย์ทุกคน จะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม

หรือกังวลว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร? จะกินอยู่อย่างไร? ถ้าเกิดเศรษฐกิจไม่ดี ภัยพิบัติ ธรรมชาติอย่างรุนแรง แล้วเราจะอยู่อย่างไร? นี่คือความวิตกกังวลเล็กๆ น้อยๆ หรือมาก แล้วแต่บุคคล ที่แอบอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนเหมือนกัน คือเรากลัวอนาคตนั่นเอง ไม่รู้อะไรเป็นอะไร? แต่ถ้าเรารู้ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราอย่างนี้  เราจะคลายความวิตกและคลายความกลัวไปมากเลย

สัปดาห์ที่แล้ว เราเริ่มต้นกันด้วยความจริง เรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าได้บอกความจริงกับเรา ในไบเบิ้ล ในพระคัมภีร์นี้ ให้เราทราบถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณที่ตามนุษย์เรามองไม่เห็น มันมีอยู่จริงๆ

เชื่อจริงหรือ? ตอนนี้เกิดเรื่องอะไรบางอย่าง ขัดผลประโยชน์กัน หรือขัดแย้งกัน ทำไมทะเลาะกันใหญ่เลย  ไม่ได้นึกถึงโลกฝ่ายวิญญาณเลยนะตอนนั้น นึกแต่เรื่องเดี๋ยวนี้  ฉันเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร?  มันก็แปลก

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้ ทำไมพระเจ้าต้องบอกเราเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้ เป็นต้นเหตุของทุกอย่าง เคยได้ยินเรื่องนี้ไหม? คุณยายหาเข็ม ผมนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังหลายครั้ง คือถ้าเราไม่รู้ความจริง เราไปแก้ที่ไม่ใช่ต้นเหตุของมัน แก้อย่างไร ก็ไม่ถูก ไม่มีอะไรสำเร็จเลยในชีวิต

คุณยายหาเข็มตกในห้องนอน คุณยายก็หาอยู่นั่นแหละ หาไม่เจอ

ลูกมาถึงก็บอกว่า “คุณยายหาอะไร?”

คุณยายก็บอก “หาเข็ม ที่ตกอยู่ในห้อง”

“และหาเจอไหม?”

“ไม่เจอ”

คุณยายบอก “ฉันมองไม่เห็น ช่วยจูงไปหน้าบ้านหน่อย หน้าบ้านสว่าง จะได้หาเจอ ไปช่วยกันหาหน่อย”

ลูกก็บอกว่า “ถ้าจูงไปหน้าบ้าน จะหาเจอได้อย่างไร? ก็มันตกในนี้”

“อ้าว! ข้างในมันมืด มองไม่เห็น ไปข้างนอกสว่างๆ มันจะได้เห็นไง”

ตามเหตุผลมันก็ถูก ต้องไปหาที่สว่างๆ แต่ที่สว่างๆ เข็มมันไม่ได้ตกตรงโน้น มันตกในห้องนอน เพราะฉะนั้น ต้องเปิดไฟในห้องนอน แล้วค่อยหา

ถ้าเราไม่รู้ต้นเหตุ ยังไงก็ไม่เจอต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้น ในพระคัมภีร์บอกเราว่ามนุษย์ทุกๆ คน เป็นวิญญาณ ดังนั้นมนุษย์ทุกคนก็อาศัยอยู่ในโลกวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเราเชื่อแล้วว่ามี วิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้า เพราะฉะนั้นตัวตนจริงๆ ของเรา ก็คือวิญญาณ อาศัยในโลกวิญญาณจริงๆ ตัวตนทางร่างกาย ก็อยู่ในโลกฝ่ายวัตถุ ที่ตาเรามองเห็น วิญญาณก็อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณของเขา ตามธรรมชาติของเขา ที่พระเจ้าสร้างเขามา คือความจริง ถ้าเราไม่รู้ความจริง เริ่มต้นอย่างนี้เสร็จแน่

สมัยก่อนเราคิดว่าเรามีวิญญาณ ไม่ใช่มี ถ้ามีมันหายไปได้ ถ้ามีมันหมดไปได้ ถ้ามี มีคนขโมยไปได้ แต่ถ้าเป็นขโมยไปไม่ได้ ที่ผมยกตัวอย่างบ่อยๆ เหมือนเราเป็นผู้ชาย มีใครมาขโมยเอาผู้ชายของผมไปไหม? ไม่มี คุณเป็นผู้หญิง มีใครขโมยความเป็นผู้หญิงไปได้ไหม? ไม่ได้ เพราะมันเป็นไง และพระคัมภีร์บอกว่าโลกฝ่ายวิญญาณมีอยู่ 2 แห่ง หรือเรียกว่า 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความมืด และอาณาจักรแห่งความสว่าง

เพราะฉะนั้น วิญญาณมนุษย์ทุกคนต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง อาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ในโลกวิญญาณนี้อย่างแน่นอน หนีไม่พ้น ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ว่าจะได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ตาม พระเจ้าสอนเราว่ามันเป็นอย่างไรบ้างในโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น เราก็จะแก้ปัญหาและดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง บนโลกใบนี้ และเป็นโลกทั้งฝ่ายวัตถุที่เราเห็นด้วยตา และโลกวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งทำงานร่วมกัน

เดิมเราอยู่ในอาณาจักรของความมืด แล้วก็ได้ย้ายเรา  มาอยู่ในอาณาจักรของความสว่าง ผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ในโคโลสี 1:12-13 ครั้งที่แล้วเราได้เรียนกัน

โคโลสี 1:12-13 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

ถ้าอ่านตรงนี้  แปลว่าอาณาจักรแห่งความมืดมาก่อน แล้วค่อยมีสว่างทีหลัง ถูกหรือเปล่า? แต่ถ้าย้อนกลับไป ตั้งแต่ปฐมกาล ตอนพระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ ตอนที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่าโลกถูกปกคลุมไปด้วยการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณ ก็คือพระเจ้า  … พระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้าง และพระเจ้า คือพระสิริของพระองค์ พระสิริ ก็คือความสว่าง ก็คือพระเจ้านั่นเอง พระเจ้าปกคลุมอยู่ ก็แสดงว่าในปฐมกาล ก่อนที่จะถูกสร้างโลกใบนี้ โลกใบนี้เต็มไปด้วยความสว่าง

มีแต่อาณาจักรของความสว่าง เพราะพระเจ้าปกคลุมอยู่หมดเลย แล้วความมืดเข้ามาตอนไหน? โรม 3:23 เป็นอันเล็กๆ อันหนึ่งที่ได้เห็นว่าความมืดมันเข้ามาได้อย่างไร?  จำได้ใช่ไหม? ความสว่าง คือพระองค์ คือตัวตนของพระเจ้า ซึ่งพระองค์เต็มไปด้วยพระสิริ … พระสิริ คือฤทธิ์อำนาจ คือสง่าราศี ความสง่างาม ความยิ่งใหญ่ ความสว่างไสว

โรม 3:23 “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

“เสื่อมจากพระเกียรติสิริ” แปลว่าเสื่อม ก็คือหายไป พระสิริของพระเจ้า คือความสว่าง ได้หายไป

“เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า” ถ้าแปลตามตะกี้ที่เราเรียนกัน ก็คือ “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจาก … หลุดออกไป … ขาดออกไปจากความสว่างของพระเจ้า”

เสื่อมจากพระสิริ ก็คือพระสิริหายไป ตัวตนของพระเจ้าก็หายไป เมื่อตัวตนของพระเจ้าหายไป พระเจ้าเป็นความสว่าง ความสว่างก็เลยหายไปด้วย  เพราะฉะนั้น เมื่อพระสิริหาย ความสว่างก็หาย ความมืดก็เข้ามาแทนที่

ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม นี่คือความจริงในพระคัมภีร์บอก อาดัมคือต้นพันธุ์ของมนุษย์ทั้งปวง และมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้  มีชีวิตอยู่ในตัวอาดัม คล้ายๆ กับว่าตอนก่อนผมเกิด ชีวิตผมก็อยู่ในพ่อผม ก่อนพ่อจะเกิด ชีวิตของพ่อก็อยู่ในปู่ผม ก่อนปู่จะเกิด ชีวิตของปู่ก็อยู่ในทวดของผม ก่อนทวดจะเกิด ชีวิตของทวดก็อยู่ในทวดทวดของผม ไปเรื่อยๆ ท่านพอจะเห็นภาพไหม

แต่พออาดัม เอาเชื้อหนึ่งเข้ามา ซึ่งผมอยากจะเรียกในยุคปัจจุบันนี้ว่าไวรัส เพราะว่ามันจะชัดมาก พอบอกไวรัส ตามองไม่เห็น แต่รู้ว่ามันมีตัวตนอยู่จริงๆ มีฤทธิ์อยู่จริงๆ มันทำอะไรบางอย่างได้  ทำให้เราตายก็ได้ ทำให้เราปวดท้องก็ได้ ผมเลยอยากใช้คำว่าไวรัส อาดัมไปเอาไวรัสตัวหนึ่งเข้ามา ที่มีชื่อว่าไวรัสบาป หรือเชื้อบาป ท่านนึกถึง HIV ก็ได้ เพราะอาดัมคนเดียวเอาบาปเข้ามา  โลกทั้งหมด ก็กลายเป็นความมืด เพราะบาปมันเข้ามา

บาปทำให้เกิดสิ่งหนึ่ง คือต่อต้านพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ชอบพระเจ้า เกลียดพระเจ้า ไม่อยากได้พระเจ้า เคยอยู่กับพระเจ้าดีๆ ไล่พระเจ้าออกไป ประมาณนั้น  พระเจ้าอยู่ไม่ได้ พระเจ้าเป็นพ่อเรา บางคนบอกพระเจ้าทิ้งลูก ไม่ใช่ ลูกนั่นแหละทิ้งพ่อ ฟังให้ดีๆ พระเจ้าถูกไล่ออกไปนั่นเอง จากนั้น ความสว่าง ก็คือพระองค์ คือพระเจ้าถูกกำจัดออกไป ถูกขจัดออกไป โดยศัตรูที่มีชื่อว่ามาร ส่งเชื้อไวรัสบาปเข้ามาสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ทำให้มนุษย์ตกอยู่ในความมืด

ความมืด คือศัตรูของความสว่าง  ไม่ชอบพระเจ้า  อยู่ตรงข้ามกัน เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ นี่แหละ คือความมืด ตั้งแต่นั่นเป็นต้นมา โลกวิญญาณ ก็เหลืออาณาจักรเดียวเหมือนกัน แต่เป็นอาณาจักรมืด หมายถึงโลกวิญญาณที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคน ก็ตกลงไปอยู่ในอาณาจักรความมืดนี้ ติดเชื้อกันมาทุกคน

อยากจะอธิบายตรงนี้ให้ชัดเจนอีกนิดหนึ่งว่าโลกที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ เรากำลังย้อนกลับไปตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ  ตามที่มีบันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล หยุดอยู่แค่นี้ เราไม่ได้ย้อนไปก่อนปฐมกาลอีก พระเจ้าทรงอยู่ก่อนปฐมกาล ตั้งแต่มีมหาจักรวาล จักรวาล หรือแม้แต่โลก ซึ่งพระเจ้าสร้าง

เพราะก่อนที่พระเจ้าจะสร้างโลกที่มีอาดัม เอวาเป็นมนุษย์คู่แรก พระองค์อาจจะเคยสร้างโลกอื่นๆ มาก่อนแล้วก็ได้ ในปฐมกาล บทที่ 1 พูดไว้

ปฐมกาล 1:1 “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และโลก ขณะนั้น โลกยังไม่มีรูปทรง และว่างเปล่า”

 

ตรงนี้ ภาษาเดิมแปลว่า “ขณะนั้น โลกเสียหายอยู่” ก็แสดงว่ามันมีโลกก่อนหน้าที่ถูกสร้างนี้  ถูกหรือไม่ถูก? ต้องการพูดแค่ให้รู้ว่าพระเจ้าเรายิ่งใหญ่ขนาดไหน?

เรากลับมาที่โลกใบนี้ต่อ โลกใบนี้ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นในสมัยปฐมกาล สรุปก็คือเริ่มแรก เดิมที โลกถูกปกคลุมไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ที่มีแต่ความสว่าง ความดีงาม ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าปกคลุมอยู่ ต่อมา อาดัมทำบาป

คำว่า “ทำบาป” คืออาดัมนำเชื้อไวรัสตัวหนึ่ง ที่มีชื่อว่าไวรัสบาปเข้ามา ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ จากนั้นเป็นต้นมา ต้องถูกอาการของความบาป ทำให้มนุษย์เกิดความเกลียดพระเจ้า ไม่อยากได้พระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าต้องหายไป หนีไป ออกไป ก็กลายเป็นความมืดเข้ามาแทนที่ ความมืดเป็นศัตรูของพระเจ้า ที่เรียกว่ามนุษย์กบฏต่อพระเจ้า กบฏ คือต่อต้านพระเจ้า

ตอนที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้ถูกกำหนดให้มาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตามคำบอกก่อนล่วงหน้าของพระเจ้า ตายที่ไม้กางเขน ชำระบาปให้กับเรา รักษาเราในพระคัมภีร์บอกว่าโดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ พระองค์ทรงรักษาเราหายแล้ว หายจากไวรัสบาป เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์ทรงตายที่นั่น  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นการประกาศชัยชนะว่ามี 2 อาณาจักรแล้ว ต่อไปนี้มนุษย์มีทางเลือกแล้ว คืออาณาจักรแห่งความสว่างได้เข้ามาแล้ว

อาณาจักรแห่งความมืด ก็ยังคงเป็นมารกับสมุนของมารดูแลควบคุมอยู่ เหมือนเดิม และอาณาจักรแห่งแสงสว่าง มีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน ควบคุมอยู่เหนืออาณาจักรแห่งความสว่างนี้ และรวมทั้งผู้รับใช้ของพระองค์อีกมากมาย ที่พระองค์ทรงสร้าง เพื่อรับใช้มนุษย์ ที่มีชื่อว่าทูตสวรรค์ ควบคุมดูแลอยู่เหนืออาณาจักรนี้ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง

ตอนอาดัมทำบาป อาดัมอยู่ในความมืด พระสิริพระเจ้าหายไป ก่อนหน้านี้ อยู่ในความสว่าง เห็นพระเจ้า คุยกับพระเจ้าได้ ไม่กลัวพระเจ้า แต่พอมันมืดปุ๊บ DNA ติดเชื้อปุ๊บ เชื้อนี้เกิดผลทันที

ในพระคัมภีร์เขียนว่าอาดัมกับเอวากลัว เกิดมาไม่เคยกลัวเลย เป็นครั้งแรกในชีวิตของมนุษย์ และเริ่มต้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยความกลัวอย่างนี้แหละ เราทั้งหลายยังมีเชื้อของอาดัมอยู่ เราจึงกลัว เราจึงกังวลไง ก่อนหน้านี้ อาดัมและเอวาไม่เคยกังวลอะไรเลย  เพราะพระเจ้าอยู่ ก็คุยกับเขา  สัตว์นี้ชื่ออะไร? นั่นชื่ออะไร? พระเจ้าก็บอกเธอตั้งชื่อสิ อาจจะถามพระเจ้าตลอดเวลา ดวงดาว ดาวลูกไก่ เราสร้างเอง เราสร้างให้กับลูก สำหรับเล่นตอนนอน สมมติให้ฟัง ให้ท่านเห็นภาพว่าง่ายๆ ไม่มีอะไรยาก ในการเรียนรู้เรื่องพระเจ้า มันคือชีวิต เหมือนครอบครัวหนึ่ง แต่บังเอิญเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ซึ่งเราถูกปิดบังตา จนกระทั่งเกินเลยไปมาก จนกระทั่งคิดไม่ออกว่ามันเป็นอย่างไร? จริงๆ ก็คือเทียบกับชีวิตของเราทุกวันนี้ ในครอบครัวเป๊ะ

เสร็จแล้วอยู่ในความมืดนี้ พระเจ้าเหมือนเจ็บใจมากๆ แต่ไม่เคยเกลียดมนุษย์เลย  ท่านเห็นภาพว่าจะไปเกลียดมนุษย์ได้อย่างไร? เขาติดเชื้อ เขาไม่สบาย  เหมือนลูกเราเกิดไปติดเอดส์มา เราจะไปโมโหเขา ไปโกรธเขาเหรอ เขาไม่สบายอยู่ พระเจ้าเจ็บแค้น แค้นมารมากกว่าแค้นลูกตัวเอง มารมันหลอก แต่พระเจ้าก็วางแผนไว้ เพื่อช่วยมนุษย์หลุดออกมาให้ได้ หนึ่งในจำนวนนั้น ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ปฐมกาล บอกว่า …

“หน่อเชื้อของหญิงจะเหยียบหัวเจ้า”

ก็คือพระเยซู หน่อเชื้อของหญิงจะเกิดจากหญิงพรหมจารีย์ ที่ชื่อแมรี่ เหยียบหัวมาร มีอำนาจทำลายสิ่งต่างๆ สิ่งที่ถูกโกงไป เอากลับคืนให้หมด

เลยมาถึง 2,000 ปี แผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้พระเยซูมาเกิด เพื่อรักษามนุษย์ให้หายจากโรคบาปนี้  ก็สำเร็จ เราจึงรู้ว่าดี บนไม้กางเขน พระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ได้ถูกทำให้เป็นบาป โดยพระเจ้า คือเอาบาปของเราทั้งหมด ใส่ไว้ในพระเยซู พระเยซูซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เพราะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เหมือนอาดัมเป็นตัวแทนของเรา พระเยซูก็เป็นตัวแทนของมนุษย์ ดังนั้น พระเยซูจึงจำเป็นต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะจะได้เป็นตัวแทนมนุษย์ไง ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นมนุษย์คนแรก ที่เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ในโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น พอเป็นขึ้นมาในวันที่ 3 สถาปนา จ่ายครบหมดแล้ว ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา 2,000 ปีที่แล้ว ความสัมพันธ์กลับมา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในโลกที่มองไม่เห็น เรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณที่ครอบอยู่เหนือโลกใบนี้นั้น มีทางเลือกแล้ว มี 2 อาณาจักร เรียกว่าอาณาจักรของความสว่าง เข้ามาสู่ความมืด ความมืดต้องเผ่นไป ไปไกลๆ เลย ไปไหน? ไปไหนก็ได้ อยู่แถวๆ นี้ อย่ามายุ่ง เอเมน มนุษย์มาอยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระเยซูคริสต์ มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มีเงื่อนไขอยู่แค่นี้เอง คือ …

(1) ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น เป็นวิญญาณไม่ได้ เพราะพระเยซูมาเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ในพระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้น

(2) ต้องเป็นมนุษย์ที่เชื่อในการกระทำของพระเยซู ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่ได้เข้า ถ้าเชื่อก็ได้ครับ คือต้องเป็นมนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดี ก็คือพระเยซู พระบุตรพระเจ้า พระองค์ทรงประทานให้มาช่วยมนุษย์ โดยการรับบาป ไถ่บาปให้กับมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เอาความรอดจากบาป รักษามนุษย์ให้หายจากเชื้อไวรัสบาป เอามาให้กับมนุษย์ทุกคนที่เชื่อ ใครไม่เชื่อ ก็ไม่ได้

นี่คือข่าวดีที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคน ซึ่งผู้ใดได้ยินแล้ว เชื่อและยอมรับ ความจริงนี้ แล้วรับสิทธิของตัวเอง ให้พระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัว ซึ่งพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของทุกคนอยู่แล้ว เรายอมรับ รับสิทธิของเรานั่นเอง ผู้นั้น ก็จะได้รับการย้ายจากอาณาจักรของความมืด เข้าไปสู่อาณาจักรของความสว่างทันที เพราะอาณาจักรแห่งความสว่างอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ใช่รอให้มา  ส่วนผู้ใดที่ได้ยินข่าวประเสริฐนี้แล้ว และไม่เชื่อ ก็ยังอยู่ที่อาณาจักรของความมืดเหมือนเดิม พระเยซูไม่ได้มาพิพากษาอะไรเลย คนนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม  สองเงื่อนไขของการเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง

มีตรงไหน? บอกว่าเราต้องทำอะไร? หรือเราต้องจ่ายเท่าไร? มีไหม? เราต้องสะสมอะไรบางอย่างที่ดีๆ เพื่อแลกกับการเข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างนี้ มีไหม? ไม่มี

พระคัมภีร์จึงเรียกว่า By grace แปลว่าโดยพระคุณ แปลว่าให้ฟรีๆ ให้เปล่าๆ แม้ว่าจะทำไม่ดีมา ก็ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายอะไร? แล้วเมื่อเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างแล้ว ถามว่าเกิดอะไรขึ้น?

ขณะที่ท่านกำลังนั่งอยู่นี้ ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้ ถ้าท่านเชื่อตรงนี้ ไม่กลัวอะไรแล้ว ท่านไม่ต้องบอกว่า …

“ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่แล้ว

และยังมีกองทัพทูตสวรรค์อีกมากมาย เตรียมพร้อมจะรบ เพื่อนครคนเดียวเลย  ถ้าเผื่อจำเป็นนะ ถ้าคุณพิชิตจำเป็นต้องใช้อะไรบางอย่าง ที่ต้องใช้ทูตสวรรค์สัก 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด อาจจะมีเป็นล้านๆ ตน ถ้าจำเป็นนะ เขาก็จะทำงานให้คุณพิชิต โดยมีพระเยซูเป็นแม่ทัพ แล้วคุณพิชิตพอใจไหม? หรือจะให้ศิษยาภิบาลอธิษฐานเพิ่มไหม?  ท่านเห็นภาพแล้วใช่ไหม? ท่านก็จะไม่ต้องพึ่งมนุษย์ที่มีบารมี เก่ง ไม่มีใครเก่งเลยสักคน ทุกคนเท่ากันหมด ต่างก็เป็นลูกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ลูกแห่งความสว่างเท่ากันหมดเลย  เราก็จะพึ่งพระเจ้าผู้เดียว ความจริงแค่นี้  ก็ทำให้เราเป็นไทมากมายมหาศาลแล้ว สามารถถอนหายใจได้แล้ว  เอเฟซัส 5:8

เอเฟซัส 5:8 “เพราะเมื่อก่อน ท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ ท่านเป็นความสว่าง ในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง”

 

การดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง ก็คือการดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามกองทัพพระเจ้า ที่หนุนหลังเราอยู่ตลอดเวลา อยู่กับเราตลอด ตามพระประสงค์ของพระองค์นั่นเอง แปลว่าอย่างนี้ ในชีวิตเชื่อและวางใจ ให้พระองค์นำไป  พระประสงค์ในชีวิตของเรา คืออะไร?  เอเฟซัส 2:10

เอเฟซัส 2:10 “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้น ในพระเยซูคริสต์  เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เรากระทำ”

 

อ่านข้อนี้แล้ว ต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อนว่าการกระทำดีใดๆ ก็ไม่สามารถนำเราไปสู่อาณาจักรของความสว่างได้ ไม่สามารถรอดจากเชื้อบาปได้ ต้องผ่านทางความเชื่อในพระเยซูที่ไถ่บาปให้เราที่ไม้กางเขนเท่านั้น แต่พระเจ้าได้ทรงนำเราสู่อาณาจักรแห่งความสว่างนี้ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผ่านให้เราฟรีๆ ประทานความรอดให้กับเรา เพื่อเราจะสามารถกระทำดีได้ จากนี้ต่อไป

ความหมาย คือเมื่อเราได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ให้ใจใหม่กับเรา  คอยดูแลเรา คอยเป็นพี่เลี้ยงเรา ตามพระคัมภีร์บอกไว้ คอยช่วยเหลือเรา คอยให้กำลังเรา เพื่อให้เราสามารถ จากนี้ต่อไปดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง คือดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า พระประสงค์พระเจ้า ซึ่งเป็นการประกอบการดีตามสายตาพระเจ้า ลูกแห่งความสว่างจะสำแดงการกระทำดีออกมา เป็นผลมาจากการได้รับความรอดด้วยพระคุณ ทำดี เพราะได้รอดแล้ว เพราะเหตุแห่งความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นการเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณอย่างหนึ่ง คือที่ย้ายจากธรรมชาติของอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง เราย้ายตัวเองไม่ได้ พระเจ้าย้ายเรา ที่วิญญาณของเรา ใน 2 โครินธ์ 5:17 ได้บันทึกอย่างนี้

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

 

นี่กำลังพูดถึงวิญญาณของมนุษย์ ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณเขาจะได้รับสิ่งหนึ่ง คือได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่แล้ว เกิดใหม่แล้ว เอี่ยมเลย เต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า เต็มด้วยแสงสว่างของพระเจ้า ฉายแสงเลย ทันที มันหมายถึงตรงนี้ ในวิญญาณท่านใหม่เอี่ยมเลย  เป็นลูกพระเจ้า 100% เลย

พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่กับเราในฐานะเราเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้เป็นพี่เลี้ยงเรา จะคอยขัดเกลาความคิดเดิมๆ ของเรา คิดให้ถูกต้อง แต่วิญญาณถูกต้องอยู่แล้ว ไม่มีการผิดเพี้ยน พระวิญญาณจะทำงานจากภายใน ออกมาภายนอก เป็นการกระทำที่ถูกต้อง ดีงาม ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ตามพระประสงค์ของพระเจ้า

นี่คือผลจากที่เราเชื่อในข่าวประเสริฐ แล้วเราได้รับความรอดจากบาป แล้วมันจะเกิดมาเป็นผลว่าเราจะออกไปทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทำสิ่งที่เรียกว่าดีในสายพระเนตรพระเจ้า พระเยซูคริสต์จึงตรัสว่าท่านเป็นลูกแห่งความสว่าง เป็นลูกของพระเจ้า เป็นตะเกียงส่องแสง ที่พระเจ้าสามารถใช้งานได้ พระองค์ใช้แน่นอน มัทธิว 5:14-16 บันทึกไว้

มัทธิว 5:14-16 “14 ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ 15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น 16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ  เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” เอเมน

 

ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ เมื่อจุดตะเกียงแล้ว”

พระเจ้าจุดตะเกียงแล้ว เพื่อให้แสงส่องสว่างกับทุกคนที่เดินไปมา เพื่อเขาจะได้เห็นทาง จะได้เดินไม่สะดุด ไม่เดินล้ม เมื่อมาเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันของเรา เราจะได้เห็นชัดขึ้น พระเจ้าจุด ก็เพื่อว่าจะได้เอาไปใช้ เป็นแสงสว่าง เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้านำเราไปสู่ความสว่าง คือจุดตะเกียงให้เราแล้ว ติดแล้ว สว่างแล้ว พระองค์จะไม่ครอบเอาไว้หรอก แต่พระองค์จะเดินถือตะเกียงนั้นไป ตรงไหนที่มันมืดๆ ถ้าสว่างแล้วไม่ไป ไปที่มืดๆ เพราะที่มืดๆ ต้องการความสว่าง สว่างแล้วเอาเข้าไป มันไม่มีประโยชน์หรอก ที่ต้องการความสว่าง คือที่มืดที่สุด ถ้ามืดนิดๆ ก็ไม่ต้องการความสว่าง ที่มืดสนิทเลย ยิ่งต้องการความสว่าง ความสว่างเพียงนิดเดียว เข้าไปอยู่ในความมืดสนิทเลยนะ ยังมีฤทธิ์เลย

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นลูกแห่งความสว่างที่ได้เริ่มเติบโตขึ้นในพระเจ้า เราก็จะเป็นตะเกียงที่ส่องสว่าง ที่พระเจ้าจะใช้เราได้ ให้ไปส่องสว่างให้กับบรรดาผู้คนที่อยู่ในความมืด แล้ววิธีการส่องสว่างทำอย่างไร?

“ท่านทั้งหลาย ก็เหมือนตะเกียง ส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์สถาน”

ฟังนะครับ นี่คือความหมายของการประกาศข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ โดยการกระทำของเรา โดยผ่านทางการนำของพระเจ้า ไม่ใช่ของเราเองเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีใครได้รางวัลในสิ่งนี้เลย พระเจ้าใช้เราเท่านั้นเอง

ขณะที่เราเห็นตอนเที่ยงวัน กลางวัน อยู่กลางถนน คนนั้นอาจจะอยู่ในความมืดนะ ในโลกวิญญาณ เข้าใจใช่ไหม?  ตอนนี้ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ง่ายยิ่งขึ้น พระเจ้าจะนำเราไปส่องสว่างในที่มืดอยู่

แล้วพระเจ้าก็จะนำเขา ไปที่มืด เพื่อนำแสงสว่างให้คนที่อยู่ในความมืด ได้เห็นแสงสว่างในการกระทำของเขาเมื่อตะกี้นี้ ไม่มีเครดิตอะไรเลยนะ เพราะพระเจ้าใช้เขา เขาไม่ได้มีบารมีมากกว่าใคร? เขาไม่ได้มีผลประโยชน์มากกว่าใคร? ไม่มีรางวัลมากกว่าใคร? ไม่ว่าจะเป็นเปาโล เปโตร ก็ไม่ได้มีรางวัลมากกว่าเรา ไม่ว่าผมหรือใครก็ไม่มีรางวัลมากกว่าท่าน แล้วแต่พระเจ้าจะใช้ไป แล้วในที่สุด เขาเข้าไปเป็นแสงสว่าง คนที่อยู่ในความมืดก็ออกมาด้วย อาจจะก่อนที่จะเห็นแสงสว่าง ซึ่งพระเจ้าใช้อยู่ แล้วแต่พระเจ้า เราไม่รู้ ก่อนเห็นแสงสว่าง อาจจะเห็นความดีของเขา แล้วถึงเห็นแสงสว่างก็ได้ แล้วแต่พระเจ้าจะใช้ใครไปหาใคร? อย่างไร? …

“ท่านทั้งหลายก็เหมือนตะเกียง ส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีของท่าน หรือการดีของท่าน ที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์สถาน”

คนที่ถูกนำออกจากความมืด โดยแสงสว่าง เริ่มสรรเสริญพระเจ้าแล้ว คำว่าสรรเสริญพระเจ้า ก็คือนมัสการพระเจ้าได้ เพราะว่าเขากลับมาอยู่ในทางของพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ชีวิตของคนที่อยู่ในความมืด เปลี่ยนไปแล้ว เป็นลูกแห่งความสว่าง ต่อไปนี้เขาสรรเสริญพระบิดาเจ้า ตลอดชีวิตของเขาแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

เราจึงเห็นว่าทุกอย่างไม่ได้เกี่ยวพันกับมนุษย์ เกี่ยวพันกับพระเจ้าอย่างเดียว และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณจริงๆ มันสำคัญมาก ทั้งหมดที่พูดมาถึงตอนนี้ เพื่อจะย้ำยืนยันกับท่านว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าสอนเราอย่างนี้ว่ามันมีโลกฝ่ายวิญญาณอยู่จริงๆ และมีอาณาจักรเพียง 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรของความสว่าง และอาณาจักรของความมืด และตัวตนแท้จริงของมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือเป็นวิญญาณ ซึ่งเราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาฝ่ายร่างกาย ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างหรืออาณาจักรแห่งความมืด ท่านก็เป็นวิญญาณ

เมื่อเราเชื่อและรับสิทธิของเราในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจะย้ายวิญญาณของเราออกจากอาณาจักรหนึ่งของโลกวิญญาณ เขาเรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเจ้าทันทีเลย  2 โครินธ์ 4:16-18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก  18 ขณะที่เราไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น อยู่เพียงชั่วคราว ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นเป็นถาวรนิรันดร์”

 

ถ้าท่านรู้ความจริงตรงนี้ แล้วก็เกิดสิ่งนี้ขึ้น แล้วท่านปฏิบัติตาม 2 โครินธ์ 4:16-18 เป็นอย่างไร? นี่คือความจริง

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป กำลังตายไป ร่างกายนี้กำลังทรุดโทรม เดี๋ยวก็เจ็บป่วย เพราะมันถูกเชื้อไปแล้ว เดี๋ยวมันก็ต้องตาย ในนี้บอกว่าแต่ตัวตนภายใน คือวิญญาณของเราจริงๆ นั้น กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน เป็นใหม่สะอาด แจ๋วเลย  รอไปอยู่กับพระเจ้าในวิญญาณเราดีใจตลอดเลย เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ถ้าเราเห็นอย่างนี้ได้ ถ้าเราเชื่อความจริงได้ การทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้ายังใช้เราอยู่ หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นตะเกียงแล้ว มันกลายเป็นเล็กน้อยเลย พระเจ้าใช้เถิด เปาโลจึงไม่กลัวตาย ให้เขาไปตัดคอก็ได้  ถ้าพระเจ้าอนุญาตให้เขาตัดคอ ก็ตัดเลย เปโตรถึงไม่กลัวเลย ถ้าพระเจ้าจะให้เขาถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เขาไม่แคร์เลย เพราะเขารู้ว่าคืออะไร? เขารู้ในโลกวิญญาณชัดเจน เขาถึงบอกตายก็ได้กำไร? ตายก็ดีกว่า? พักผ่อนเสียที ถ้าอยู่ ก็ทำงานให้พระเจ้าไป ก็แล้วแต่พระเจ้าจะนำไปทำอะไร?

เห็นไหม? มันเหลือเชื่อนะ นี่คือความจริงทั่งสิ้น ร่างกายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป กำลังป่วย กำลังเจ็บไข้ มันควรจะดีใจนะ ถ้าเราทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณนี้ชัดๆ มากๆ ทุกครั้งที่เราเกิดความเจ็บป่วย หรือแก่ลง มองกระจก เราจะมีความยิ้มแย้มแจ่มใส เราใกล้ที่จะได้พักผ่อนสักที ถ้าแข็งแรงมากๆ ทำงานต่อ

ในนี้บอกว่าเราสามารถมีความรู้สึกอย่างนี้ได้ ก็ต่อเมื่อขณะที่เราไม่จับจ้องในสิ่งที่มองเห็น ก็คือในขณะที่เราไม่จ้องมองอยู่แต่โลกวัตถุ เราคิดว่ามีแค่โลกวัตถุ แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น คือจดจ้องไปก็เห็นแต่โลกวิญญาณตลอด เห็นโลกวัตถุต่ำกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ เห็นโลกวัตถุสำคัญน้อยกว่าโลกวิญญาณ มันหมายถึงอย่างนี้

เพราะสิ่งที่เรามองเห็นอยู่นั้น คือโลกใบนี้ วัตถุต่างๆ ที่เรามองเห็นนั้น มันอยู่ชั่วคราว ไม่ว่าจะลาภ ยศ สรรเสริญ เกียรติยศ ชื่อเสียง สุขภาพแข็งแรง มันอยู่ชั่วคราวทั้งนั้น มันหลอกเรา ถ้าเราไปติดอยู่กับมัน เสร็จเลย มันไม่จีรังยั่งยืนถาวร แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็น ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณนั้น มันมีอยู่จริงๆ และมันอยู่ถาวรนิรันดร์ และเราเป็นลูกของพระเจ้า และเราอยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทูตสวรรค์อีกมากมาย และจะอยู่กับพระองค์อย่างนี้ ตลอดไป เอเมน

สำหรับคนที่ไม่ได้เชื่อในข่าวประเสริฐ ไม่ได้เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ก็อย่างที่บอกว่าวิญญาณก็ยังอยู่ในอาณาจักรของความมืด ก็ยังต้องรับโทษของความบาปอยู่ดี และอยู่ในความตายทางฝ่ายวิญญาณ อยู่ในความมืดที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีแสงสว่างนิรันดร์ สำหรับเราที่อยู่ในแสงสว่าง ถึงบอกว่าถ้าเผื่อเราเรียนรู้เรื่องนี้มากๆ ลึกซึ้งในเรื่องนี้มากๆ เราจะวางใจในพระองค์ จะหลุดจากความกลัว ความวิตกกังวล ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม มันสามารถทำได้ ไม่ยาก เพียงแต่เปลี่ยนมุมมองของเราเท่านั้น เขาถึงบอกว่าให้มองไปที่เบื้องบน  ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในพระเจ้า ในสวรรค์สถาน โลกฝ่ายวิญญาณนี้ นึกแต่โลกฝ่ายวิญญาณนี้ มองแต่โลกฝ่ายวิญญาณนี้ เอเมน

ลองหลับตา นิ่งๆ คิดตามที่ท่านได้เรียนมาวันนี้ แค่นี้นิดเดียวเอง เขาเรียกว่าใคร่ครวญความจริง ต้องนิ่งๆ และคิดตามว่า …

“ในโลกฝ่ายวิญญาณ และวิญญาณฉันตอนนี้ เป็นวิญญาณที่เรียกว่าแสงสว่าง อยู่ในอาณาจักรของความสว่าง ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันอยู่ในความสว่าง ฉันเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณตัวตนแท้จริงของฉัน เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้ และยังมีกองทัพทูตสวรรค์อีกมากมายคอยทำงานให้กับฉันบนโลกใบนี้ ดูแลตลอดเวลา ไม่ว่าฉันจะไปไหน? ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมทั้งสิ้น และวิญญาณของฉันจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานอย่างนี้ ในฐานะเป็นลูกของพระองค์นิรันดร์กาล ตลอดไป เมื่อร่างกายนี้ทรุดโทรมไป ทิ้งไป มันเป็นส่วนดี คือวิญญาณฉันจะได้เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณเต็มที่ ไม่มีอะไรกีดขวางอีกต่อไป และรับร่างกายวิญญาณ ร่างกายใหม่ ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ทุกข์ทรมาน ไม่มีอิทธิพลของเชื้อไวรัสบาป ที่จะมาทำอะไรฉันได้อีกแล้ว และฉันจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนั้นตลอดไป ซึ่งเราเรียกกันว่าอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 1 “อาณาจักรแห่งความมืดกับความสว่าง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  กันยายน  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 1 “อาณาจักรแห่งความมืดกับความสว่าง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เราจะมาเริ่มการบรรยายในซีรี่ย์ชุดใหม่ ชื่อชุดว่า “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” พระเยซูบอกว่าท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท? ท่านเป็นใครที่สมควรรู้ความจริง ก็คือท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักมาก ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา บอกความจริงกับท่านว่าความจริง คืออะไร?

พระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับความจริงทั้งสิ้น ความจริงที่มนุษย์ไม่รู้ และมีความจริงมากมาย ในพระคัมภีร์เล่มนี้ ถ้าเราได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ชีวิตเราจะเป็นไทจริงๆ เป็นอิสรภาพจริงๆ พระเยซูบอกว่า Indeed แปลว่าจริงๆ You shall be setfree.  ท่านจะถูกทำให้เป็นอิสระ แล้วพระเยซูบอกว่า …

“เราเป็นความจริง”

คำว่า “เป็นอิสระ” หรือ “เป็นไท” ตรงนี้ คือเป็นไท จากความกลัว จากความวิตกกังวล และถ้าถามทุกคนว่าท่านกลัวอะไรมากที่สุด? ผลที่ได้มา 5 อันดับแรก ที่มนุษย์กลัวมากที่สุด คือ …

อันดับที่ 1      กลัวความตาย

อันดับที่ 2      กลัวความยากจน  ขัดสน

อันดับที่ 3      กลัวความเจ็บปวด   หรือเจ็บป่วย

อันดับที่ 4      กลัวผี

อันดับที่ 5      กลัวความมืด

มันถูกหมดเลย วิจัยดีมาก และในทางจิตวิทยา ตามหลักวิชาการบอกว่าต้นเหตุหลัก ที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้มนุษย์มีความกลัว มีความวิตกกังวลมากที่สุด เพราะเราไม่มีคำตอบ เพราะเราไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร? ยิ่งไม่รู้ ยิ่งกลัว รู้สะเลย กลับไม่กลัว นี่คือสิ่งที่เราจะมาเรียนกัน พระเยซูจึงบอกรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว คนกลัวตาย ก็เพราะว่าไม่รู้ว่าตายแล้วเป็นอย่างไร?  จะไปไหน?  จะต้องเผชิญอะไรหลังจากความตาย

คนที่กลัวความยากจน ขัดสน ก็เพราะว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่รู้ เกิดเศรษฐกิจไม่ดีขึ้นมา อนาคตจะกินอะไร? นุ่งห่มอะไร? ดื่มอะไร? อยู่อย่างไร? ทำให้เขาเกิดความรู้สึกกลัวความขัดสน ถ้าขัดสน ใครจะช่วยเรา ถ้าตอนไม่มีกิน มันก็กลัว พอกลัวมากๆ ก็กลายเป็นโลภ ก็สั่งสมใหญ่เลย  ทำบาปทุกอย่าง ก็เพราะว่ากลัว

ทำไมผู้คนมากมายถึงชอบเรื่องพยากรณ์ ชอบเรื่องทำนายโชคชะตา ก็เพราะอยากรู้ว่าจะตายเมื่อไร? อยากรู้ว่าเมื่อไรจะรวยซะที? อยากรู้ว่าสุขภาพที่กำลังเสื่อมโทรม ที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บอยู่  เมื่อไรมันจะหายซะที เพราะกลัว

คนที่กลัวความมืด กลัวผี ก็เพราะเขาไม่รู้ว่าในความมืดนั้น มีอะไรอยู่ พอกลัว ก็เกิดจินตนาการไปต่างๆ นานา จนกลายเป็นความกลัว จากใบกล้วย ก็กลายเป็นนางตานีได้ จากผลกล้วย  ก็กลายเป็นตัวเลขได้ นั่นไม่ใช่ความกลัว นั่นเป็นความโลภมากกว่า

เราจะมาเริ่มต้นค้นคว้า และเรียนรู้ไปด้วยกัน ในซีรี่ย์นี้ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท

ตอนที่ 1 เราจะมาเรียนรู้ความจริง เกี่ยวกับอาณาจักรแห่งความมืดและอาณาจักรแห่งความสว่าง ซึ่งอาณาจักรแห่งความมืดกับความสว่างตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงบนโลกวัตถุว่าห้องนี้สว่าง ห้องนั้นมืด แต่เราพูดถึงเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งสำคัญมาก

อาณาจักรในโลกฝ่ายวิญญาณที่พระคัมภีร์บอกว่ามีอยู่จริงๆ  แต่ความสามารถในตาเนื้อทางร่างกาย เราไม่เห็น และถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ลึกๆ ในใจของมนุษย์ก็เชื่อว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ เพราะมนุษย์ทุกคนแสวงหาอะไรบางอย่าง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทางวิญญาณ เพราะเขารู้ว่าตัวเองเป็นวิญญาณ และวิญญาณของเขามาจากวิญญาณที่ใหญ่ๆ ในใจลึกๆ ข้างในมันรู้ ก็เลยพยายามที่จะหาอะไรบางอย่าง ถามว่าจะเชื่อไหม? ก็ไม่ชัดเจน เพราะไม่รู้ความจริงเรื่องนี้ ตามพระประสงค์ของพระเจ้าเดิม มนุษย์ถูกสร้างให้รับรู้และมองเห็นได้ในโลกวิญญาณ นี่คือความจริง พระคัมภีร์บันทึกไว้ พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้สามารถมองเห็นทะลุเข้าไปในวิญญาณได้ ตอนเริ่มต้นใหม่ๆ แต่พอความบาปเข้ามา ก็ทำให้ตาฝ่ายวิญญาณมืดบอดไป ที่เคยมองเห็น ก็เลยกลายเป็นไม่เห็น ที่เราได้ยินบ่อยๆ คือตาในวิญญาณมันบอดไป มองไม่เห็นแล้ว พอมองไม่เห็น ก็เลยคิดว่ามันคงไม่มีจริง เพราะมองไม่เห็นพระเจ้า นึกว่าไม่มีพระเจ้ามั้ง แต่ในใจลึกๆ รู้สึกว่า …

“มีอะไรบางอย่าง ฉันคงมาจากที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ฉันรู้ว่ามีโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อฉันจากโลกนี้ไป วิญญาณฉันจะไปที่ไหนสักแห่ง”

คือไม่ค่อยแน่ใจ เพราะไม่รู้ความจริง จนกว่าพระเจ้าจะเปิดตาฝ่ายวิญญาณของคนๆ นั้น ให้ได้รับรู้ความจริง ทางโลกวิญญาณนี้ และเชื่อในสิ่งนี้ แม้ตาฝ่ายร่างกายอาจจะไม่เห็นอยู่ แต่ท่านเชื่อแล้ว เพราะพระเจ้าเปิดตาวิญญาณของท่านให้รับรู้ ให้เริ่มต้นเห็น ท่านจึงเริ่มเชื่อ

พระคัมภีร์จึงบอกว่าถ้าท่านเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น พระเจ้าพอพระทัย ชื่นชมยินดีมากแล้ว แค่นี้ ไม่ทันไรเลย ชื่นชมแล้ว เพราะโอกาสที่ท่านจะได้ไปในทางที่ดีมีเยอะแยะ เพราะพระเจ้ารักเรา

ฮีบรู 11:1-3 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ “1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เพราะความเชื่อนี้เอง ที่คนในสมัยก่อน ได้รับการทรงชมเชย 3 โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจาก สิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา”

 

การเชื่อและมั่นใจในสิ่งที่มองไม่เห็น ที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยและชื่นชม ก็คือเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ คือเชื่อว่ามีพระเจ้าจริงๆ พอเรารู้ว่ามีพระเจ้าจริงๆ แค่นี้พระเจ้าดีใจมากเลย และการแสดงออกในความเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ  หรือทรงพระชนม์จริงๆ ก็คือเชื่อว่าทุกสิ่งที่มีอยู่ ที่ตาเรามองเห็น พระเจ้าเป็นผู้สร้างทั้งสิ้น ไม่นับสิ่งที่มองไม่เห็น คือมองทุกอย่าง เท่าที่มองเห็นบนโลกใบนี้ ทั้งดวงดาวต่างๆ เท่าที่เห็นนี้ ยังไม่นับที่มองไม่เห็น เชื่อว่ามีผู้สร้าง พอมีผู้สร้างปุ๊บ มันจบที่พระเจ้าหมด ไม่ว่าตั้งแต่สมัยไหน จนถึงสมัยนี้ หรือสมัยโน้นก็ตาม ทุกคนก็ต้องจบตรงที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร?  จึงเรียกว่า “พระเจ้า” พระเจ้า แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้นั้น ที่อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะไม่รู้ชื่อ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร?

ที่บอกว่า “โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า เพราะฉะนั้นสิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา”

ถามว่าตรงไหนสำคัญกว่าจากพระคัมภีร์ที่อ่านไปเมื่อสักครู่นี้ สิ่งที่มองเห็นอยู่ คือสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ที่เราเห็นอยู่ ต้นไม้ ใบหญ้า มนุษย์ทั้งหลาย รถราอะไรต่างๆ เหล่านี้ สิ่งที่เรามองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา ก็คือไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นๆ อยู่นี้ ก็คือเกิดจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น คือโลกฝ่ายวิญญาณ

คำว่า “จักรวาล” ตรงนี้ ไม่ใช่เพียงแค่โลก ที่ตะกี้นี้บอก ตามองเห็น มือจับต้องได้เท่านั้น แต่โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ ยังมีโลกที่เราไม่สามารถมองเห็น หรือจับต้องด้วยร่างกายนี้ได้ ครอบอยู่ด้วย  พระคัมภีร์บอกไว้ว่าสิ่งที่ครอบอยู่ คือโลกฝ่ายวิญญาณนั่นเอง แค่นี้ก็เป็นอิสระแล้ว นี่คือความจริง โคโลสี 1:12-14 ดูว่าความจริงคืออะไร?

โคโลสี 1:12-14 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่าน เหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  13 เพราะพระองค์ ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

“ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสม ที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า”

เขาเรียกเป็นภาษาแบบกฎหมายเลย  เหมือนสัญญา หรืออะไรบางอย่างที่เป็นเอกสาร ในนี้บอกว่าผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วน ในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด โลกฝ่ายวิญญาณ ก็มี 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง และอาณาจักรแห่งความมืด ที่เรามองเห็นอยู่ ก็คือโลกนี้ที่เราจับต้องมองเห็นได้

ข้อที่ 13 กับ 14 บันทึกไว้อย่างนี้ “13 เพราะพระองค์ ได้ทรงช่วยเรา (เราคือมนุษย์ทุกคน) ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ (พระเยซู) เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

ในนี้บอกว่า “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา” แปลว่าทำเสร็จแล้ว รอมาเอา จบ ไม่ใช่จะทรงช่วยเรา แต่ได้ช่วยเราแล้ว

อาณาจักรของพระบุตร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรของพระเยซู เราได้รับการไถ่บาป ก็คือเราได้รับการไถ่ตัว ออกจากอาณาจักรหนึ่ง ที่มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งความมืด ออกมาสู่ความสว่าง

และเมื่อเราได้รับการไถ่ออกมาจากอาณาจักรแห่งความมืดแล้ว เราก็ถูกย้ายมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งพระบุตร คือพระเยซู มีแค่นี้ ถ้าท่านไม่อยู่ในความสว่าง ท่านก็อยู่ในความมืด ไม่มีใครสามารถบอกว่า …

“ฉันไม่อยู่ทั้งสองอันเลย ฉันไม่เชื่อ เพราะฉะนั้น ฉันขออยู่ตรงกลาง คือเทาๆ ไม่สว่างไม่มืด สลัวๆ โรแมนติกดี” ไม่มีนะครับ

“ฉันขออยู่ระหว่างกลางของ 2 อาณาจักรนี้”

ไม่มี ไม่อันใดก็อันหนึ่ง ไม่สว่าง ก็มืด และมืด ก็ไม่มีการว่าอยู่แค่มืดนิดเดียว ไม่มี และอยู่แค่สว่างนิดเดียว ไม่มี มืดก็คือมืด สว่างก็คือสว่าง ท่านเป็นคนไทย ท่านก็เป็นคนไทย ท่านเป็นคนอังกฤษ ท่านก็เป็นคนอังกฤษ ท่านจะบอกว่า …

“ฉันเป็นคนไทยเหมือนกัน แต่เป็นคนไทยนิดเดียว” ไม่มี

ถ้าท่านถือบัตรประชาชนเป็นคนไทย ท่านก็คือคนไทย เอเมน เห็นภาพไหมครับ? โรม 5:10-11 บันทึกไว้อย่างนี้

โรม 5:10-11 “10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน 11 ไม่เพียงเท่านี้ แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว”

 

ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ก็คือตอนที่เรายังไม่เชื่อ เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า

คำว่า “ศัตรู” ตรงนี้ ไม่ได้หมายความว่าศัตรูที่มาตีกัน ทะเลาะกัน ไม่ใช่ แต่หมายถึงสิ่งที่ตรงกันข้าม  เข้ากันไม่ได้ เช่น ความมืดเป็นศัตรูกับความสว่าง เข้ากันไม่ได้ คำว่าศัตรูแปลว่าอย่างนี้  เรากับพระเจ้าไม่สามารถที่จะเข้ากันได้ เรากับพระเจ้าไม่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้

แต่ “โดยพระเยซูคริสต์ เราได้คืนดี” ก็ตรงกันข้ามกับศัตรู ดีกันแล้ว เข้ากันได้แล้ว ไม่ได้เป็นศัตรูแล้ว

เรามาลองสมมติว่าคริสตจักรเราตอนนี้ คือโลกฝ่ายวิญญาณ ตัวจริงๆ ท่าน คือวิญญาณ

โลกฝ่ายวิญญาณ มีตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลกใหม่ๆ พระคัมภีร์บอกว่าพระสิริของพระเจ้า  คือความสว่างของพระเจ้า ความดีงาม สง่าราศีของพระเจ้า รัศมีของพระเจ้าทรงปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ รวมทั้งพวกเราที่อยู่ที่นี่ด้วย คือในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นอย่างนี้หมด แล้วจู่ๆ บรรพบุรุษของเรา คืออาดัม ก็ได้นำเอาเชื้อหนึ่ง ที่เรียกว่าความบาปเข้ามา  เหมือนเอดส์กระจายจากคนหนึ่ง ไปทีเดียวเลย มนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์ทั้งหมด ตกลงไปในความบาป แล้วเกิดความตายขึ้น

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โลกวิญญาณทั้งหมด ถูกครอบด้วยอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรของความมืด ไม่มีความสว่างเลย  ก่อนพระเยซูเกิด ประชากรของพระเจ้าที่พระเจ้านำพา ผ่านทางโมเสส ก็อยู่ในความมืดเหมือนกัน พระเจ้ายังต้องมีม่านกั้น ไม่ให้คนเข้ามาหาพระองค์ เพราะว่าแสงสว่างกับความมืดมันเข้ากันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะเกิดความพิโรธ “พิโรธ” คือเป็นศัตรูกัน  เข้ากันไม่ได้ พระเจ้าก็วางแผนที่จะช่วยมนุษย์

จนย้อนจากนี้ไปประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว แผนการพระเจ้าที่ให้พระบุตา คือพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยให้มนุษย์มีทางเลือกใหม่ มีแสงสว่างเข้ามาบนโลกใบนี้ ซึ่งพระคัมภีร์เดิม บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพระบุตรจะถูกส่งมา เพื่อเป็นแสงสว่าง ตอนนี้มืดหมดเลย เสร็จแล้ววันนั้นเกิดขึ้น ไม่ใช่วันที่พระเยซูนอนอยู่รางหญ้า อันนั้นเป็นสัญลักษณ์เฉยๆ ว่ามีดาวเกิดขึ้น อันนี้พระเยซูเป็นความสว่างจริง แต่ความสว่างยังไม่ได้เข้ามา จนวันที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วพระองค์สิ้นพระชนม์ ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว ไถ่บาปเสร็จแล้ว และอยู่ในอุโมงค์ 3 วัน และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่จากความตาย วันที่เป็นขึ้นมาจากความตาย วันนั้นแหละ โลกใบนี้จึงถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง

ถามว่าแล้วอาณาจักรแห่งความมืดตะกี้นี้ไปไหน? นั่นไง ห้องคอนโทล ห้องนั้นยังมืดอยู่ ถามว่าแสงสว่างไปไหน? อยู่นี่แล้วไง (ห้องประชุม) แต่ทำไมห้องนั้นยังมืดอยู่ ก็เพราะในห้องนั้น เขายังไม่ย้ายเข้ามาอยู่ในนี้ มันขึ้นอยู่กับตัวเขาว่าเขาจะย้ายมามั๊ย ถ้าเขาเปิดประตู แล้วก็ต้อนรับพระเยซู แล้วก็ออกมา เขาก็มาอยู่ในแสงสว่างกับเรา

นี่คือหลักพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ผมพยายามยกตัวอย่างให้ง่ายๆ ให้ท่านเห็นชัดๆ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ ทุกวันนี้มันยังเป็นอย่างนี้อยู่ คือแสงสว่างเข้ามาแล้ว เคยได้ยินเพลงนี้ หรือข้อพระคัมภีร์นี้ไหม?

“ความมืดต้องเผ่นไป  เมื่อแสงสว่างเข้ามา”

เผ่นไปนะ ไม่ใช่หายไป  มันก็ไปอยู่ของมัน มันยังไม่สิ้นสุดการงานของพระเจ้าที่ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่อาณาจักรของพระเจ้า เริ่มต้นตั้งแต่วันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน แล้วใครที่ยังอยู่ในอาณาจักรของความมืดอยู่ ก็คือผู้ที่ยังไม่เชื่อในข่าวดี ที่พระเยซูทำที่ไม้กางเขน  ที่เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3  เขาอาจจะเคยได้ยินมา แต่เขาไม่เชื่อ เขาก็ยังดำเนินอยู่ในอาณาจักรความมืดต่อไป  เพราะเขาไม่ได้ต้อนรับพระเยซูมาเป็นผู้ช่วยให้รอด จากอาณาจักรของความมืดมาสู่ความสว่าง ถ้าเขายอมเชื่อ เขาก็ได้ ท่านเห็นภาพไหม?

ที่ยกตัวอย่างแบบนี้  เพราะว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรากำลังศึกษากันอยู่นี้ เราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา ถึงต้องพยายามยกตัวอย่างให้ท่านเห็นภาพชัด แล้วท่านต้องเอาไปเล่าต่อไปเรื่อยๆ ให้มันชัดขึ้นทุกวันๆ เพราะว่าโลกฝ่ายวิญญาณ มันต้องอาศัยความเชื่อ และในขณะเดียวกัน ก็ต้องยกตัวอย่างอะไรบางอย่างให้เราเห็นภาพ มันถึงเข้าใจมาก ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นนั่นเอง พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราต้องใช้ความเชื่อ เมื่อพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น และเรารู้ว่าทุกสิ่งที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เป็นจริงๆ ต่อให้ไม่ยกตัวอย่างให้เห็น พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้  เราก็เชื่อตามนั้น

“จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ จะยกตัวอย่างหรือไม่ยก ฉันเชื่อตามพระคัมภีร์ พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ ฉันก็เชื่อ พระคัมภีร์บอกตอนนี้ฉันอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ฉันก็บอกว่าฉันอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  พระคัมภีร์บอกว่าฉันนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์  เบื้องขวาของพระเจ้า  ในสวรรค์สถาน ฉันก็นั่งอยู่ ใครจะมาว่าอย่างไร ฉันไม่รู้ ฉันกำลังนั่งอยู่ ใครหาว่าฉันบ้า ฉันไม่รู้ ฉันรู้ว่าพระคัมภีร์บอกว่าฉันนั่งอยู่ ฉันก็นั่งอยู่จริงๆ ในขณะที่ฉันนั่งอยู่ในโบสถ์ แต่ในทางโลกวิญญาณ ที่ครอบอยู่นั่น ฉันนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า”

ฮีบรู 11:6  จึงบันทึกอย่างนี้ “ถ้าไม่มีความเชื่อ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้า ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ และประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้น ที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง” เอเมน

 

ตะกี้ที่ผมพูด พระองค์ดีใจมากเลยที่ใช้ความเชื่อ

“เชื่อฉันดีแล้ว เพราะถ้าเธอเชื่อสายตาเธอ เธอไม่ได้ไปถึงไหนเลย มัวแต่นั่ง ไม่ไปไหน?”

พระเจ้าสอนเราว่า … “มีอาณาจักรหนึ่ง โลกหนึ่ง มิติหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งความสามารถของตาเธอ ตามนุษย์ ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ ลูกเอ่ย และเป็นโลกที่มีอิทธิพลต่อฝ่ายวัตถุนี้อย่างมากมาย ซึ่งเรามองไม่เห็นด้วยตา”

โลกที่เรามองเห็นอยู่  คือโลกวัตถุนี้  พระคัมภีร์บอกว่าเป็นแค่ชั่วคราว แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณที่กำลังพูดถึง ที่พระเยซูบอกให้เราดู ที่พระเยซูเป็นหัวหน้า ให้เราเห็น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ ที่เขาพูดกันตามพระคัมภีร์ 1,000 ปีของเรา เท่ากับ 1 วันของพระเจ้า แว๊บ ไปแล้ว 1,000 ปี = 1 วัน เพราะฉะนั้น อายุยาวมาก 100 ปี เท่ากับกี่นาที? แป๊บเดียว เราอยู่กันไม่กี่นาทีของพระเจ้า พระคัมภีร์จึงบอกว่าชีวิตมนุษย์ เหมือนลมหายใจ วันหนึ่งผ่านไปแล้ว ยังไม่ถึงวันเลย ผ่านไปแล้ว แต่โลกวิญญาณมันอยู่ตลอด ยาวนานมาก

สิ่งต่างๆ ของโลกใบนี้ ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ประวัติศาสตร์อะไรก็ว่าไป  ที่กำลังเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ และทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ และที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้อีก เกิดขึ้นจากต้นเหตุในโลกวิญญาณก่อนเสมอ ท่านเชื่อไหม? เชื่อ เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น

นี่คืออันดับแรกที่มนุษย์ทุกคนควรจะรู้ และต้องรู้ เพื่อแก้ปัญหาชีวิต เพื่อดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง แม่นยำในโลกใบนี้ คือรู้ตื้นลึกหนาบางของชีวิต ของตัวเราเอง ของโลกใบนี้ ว่ามันคืออะไร? เป็นอย่างไร?  ปัญหามันคืออะไร?  ถ้าเรารู้แหล่งว่ามันเป็นมาจากตรงนี้ เราก็แก้ถูก  ถ้าเรามัวแต่คิดว่าบนโลกใบนี้เกิดอย่างนี้ขึ้น เพราะอย่างนี้ มันมีเหตุผลมากมาย ใช่หมด ถูกหมด แต่ลึกกว่าเหตุผล ที่มนุษย์คิดไว้ มันมีอยู่บนโลกวิญญาณอีกทีหนึ่ง ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น  เชื่อยากจริงๆ เอะอะอะไรก็จะใช้ความคิดของเราอยู่เสมอ เพราะมันเห็นจริงๆ มันถูกแหละ แต่ก่อนที่เขาจะทำ มีอะไรบางอย่างในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็นด้วย มันเชื่อยาก เราจึงจำเป็นต้องบังคับตัวเราเอง ให้เชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า ภาษาพระคัมภีร์บอกว่านำเอาเนื้อหนังเรา ที่ชอบคิดเอง จับมันเป็นตัวประกัน แล้วสั่งมันว่า …

“จงเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า”

เหมือนเราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ก็เลยต้องทำอย่างนี้ ดูเหมือนยาก แต่ฝึกๆ ไป ก็จะไม่ยาก บางครั้งต้องสะบัดหน้า แล้วบอกว่า “ไม่ใช่” มันมีอะไรบางอย่างข้างบน ขณะที่เขาทะเลาะกันจะเป็นจะตาย ดูเหมือนคนนี้ทำผิด ดูเหมือนคนนั้นทำถูก หาเหตุผลแทบตาย เราต้องสะบัดหน้า แล้วแก้ปัญหาในโลกนี้อย่างนี้ แต่เรารู้ว่าบางอย่างเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ทำให้เกิดเรื่องอย่างนี้ เข้าใจไหม?  ซึ่งมันยาก ถ้าเราไม่รู้ความจริง ตรงนี้

ถ้าเราไม่รู้ว่ามีโลกวิญญาณจริงๆ พระคัมภีร์ยกตัวอย่าง เราก็จะเหมือนคนตาบอด อยู่บนโลกใบนี้  ก็เดินแบบสะเปะสะปะ ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ไม่รู้อะไรอยู่กับเรา ชนอะไรก็ไม่รู้ พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเจ้าเปิดตาวิญญาณเรา ให้ตาเราสว่างขึ้น ให้รับรู้ถึงความจริงในโลกวิญญาณก่อนอื่นเลย  ไม่อย่างนั้นจะนำเราต่อไปได้อย่างไร?  พอท่านมารับเชื่อพระเจ้า พอท่านเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง พระเจ้าทำสิ่งแรกกับท่าน คือเปิดตาฝ่ายวิญญาณของท่าน  ท่านเชื่อไหมว่าเป็นอย่างนี้

นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ถ้าตาฝ่ายวิญญาณไม่เปิด ท่านจะเดินสะเปสะปะมาก

แล้วพระคริสต์ก็นำหน้าเราไป พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า แล้วเราเต็มใจไหม?  “เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์ พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที” แต่ส่วนใหญ่เราจะร้อง “ไม่ค่อยเต็มใจเดินตาม” เพราะเรามองไม่เห็น เราอยากจะหาเหตุผล แล้วก็เดินด้วยตัวเอง นี่แหละเนื้อหนัง มันเป็นอย่างนี้

พอใจมนุษย์คนหนึ่งที่เริ่มต้นเชื่อว่ามีโลกฝ่ายวิญญาณ มีมิติวิญญาณ มีอีกอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรวิญญาณ และมีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ที่นั่น ไม่ต้องเรียนรู้อะไรมาก แค่นี้ พระเจ้าก็ดีใจมากๆ แล้ว และมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกใบนี้ ที่เป็นวิญญาณ สัตว์ไม่มีวิญญาณ มีแต่สัญชาตญาณ พืชไม่มีวิญญาณ มีแต่ชีวิต ก้อนหินไม่มีวิญญาณ มีแต่ชีวิตเหมือนกัน ท่านจะเห็นว่าไม่เหมือนกัน สัตว์ก็มีชีวิต แต่ไม่มีวิญญาณ แต่ก็ยังสูงกว่าต้นไม้ พืช  ต้นไม้ก็ไม่มีวิญญาณ มีแต่ชีวิต แต่ลำดับเตี้ยกว่า เพราะเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ แต่สัตว์ยังเดินไปได้ ต้นไม้ไฟไหม้มา มันก็อยู่กับที่ สัตว์ยังรู้จักวิ่งหนี แต่ไม่มีวิญญาณ ไม่รู้จักคิด มีแต่สัญชาตญาณ พอไปก้อนหินยิ่งแย่กว่า มีชีวิตเหมือนกัน แต่เป็นชีวิตที่ต่ำกว่าต้นไม้อีก ก็คือมันไม่มีอะไรเลย

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียว ที่เป็นวิญญาณ ท่านเคยเห็นสัตว์รวมตัวกันทำพิธีกรรมทางวิญญาณ หรือทางศาสนาไหม?  ยกตัวอย่างรวมตัวกันสวดมนต์ รวมตัวกันอธิษฐาน ไม่เคยเห็น ตั้งแต่สมัยมนุษย์ยังไม่นุ่งผ้าเลย  ใส่ใบไม้ใบหญ้าปกปิดแค่นั้น ก็ทำพิธีทางวิญญาณแล้ว เขาให้หมอผีทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้ผลหมากรากไม้เติบโตดี นี่ไง  ในยอห์น 12:46-48 บอกว่า …

ยอห์น 12:46-48 “46 เราเข้ามาในโลก ในฐานะที่เป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่เชื่อในเราจะไม่อยู่ในความมืด 47 “ส่วนผู้ที่ได้ยินคำของเรา แล้วไม่ปฏิบัติตาม เราไม่พิพากษาเขา เพราะเราไม่ได้มา เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด 48 มีผู้พิพากษา สำหรับคนที่ปฏิเสธเรา และไม่ยอมรับถ้อยคำของเราอยู่แล้ว คือถ้อยคำที่เรากล่าวนั้นเอง จะตัดสินลงโทษเขา ในวันสุดท้ายนั้น”

 

พระเยซูอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ส่วนมารอยู่ในอาณาจักรของความมืด ความสว่างเข้ามา แต่ความมืดไม่ได้หายไป โลกนี้ยังอยู่ในความมืด แต่พระองค์นำเอาความสว่างมา ใครอยากจะอยู่ในความสว่าง ก็ไปหาพระองค์ คำพูดของพระเยซูได้บอกเราแล้วว่าเราอยู่ในความมืด และพระองค์มาช่วยเราให้เข้าไปอยู่ในความสว่าง ซึ่งตัวเราเองไม่สามารถที่จะทำด้วยตัวเราเองได้  เราไม่สามารถย้ายตัวเราเองได้ พระเยซูเป็นความสว่าง เป็นความจริง

นี่คือข่าวดีของพระเยซู ผู้ใดได้ยินแล้ว เชื่อและปฏิบัติตาม แปลว่าเชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แบบวิทยาศาสตร์ แบบประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เกิดขึ้น  ก็ทำตามแค่นั้นเอง คือยอมรับให้พระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัว ก็จะได้รับความรอดจากความมืด คือรับสิทธิที่พระเยซูทำให้ที่ไม้กางเขน รับเฉยๆ แค่นั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย

คุณสมบัติ ที่พระเยซูตั้งไว้ว่าคนที่เข้ามาอยู่ในแสงสว่าง ผ่านทางพระองค์ได้ ขอให้เป็นมนุษย์เท่านั้นเอง ไม่ต้องเอาความดีความชอบ ฉันทำอันนั้น ฉันเป็นอันนี้ ไม่ต้องเลย เลวเท่าไร ก็ไม่พูดถึง ดีเท่าไร ก็ไม่พูดถึง จะจ่ายเท่าไร ก็ไม่พูดถึง จะไม่จ่ายเลย ก็ไม่พูดถึง จะว่าฉันมาก่อน ก็ไม่พูดถึง จะดูถูกฉันก่อน ก็ไม่สนใจเลย เพราะฉันทำให้ไปนานแล้ว มารับไป ฟรี แม้ว่าตอนนี้จะอยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่โลกฝ่ายวิญญาณที่ครอบอยู่ มี 2 อาณาจักรนั้น  เขาจะย้ายจากความมืด เข้าไปอยู่ในความสว่าง พระคัมภีร์ที่บันทึกไว้อย่างนี้ทั้งหมดเลย

ส่วนผู้ใดที่ได้ยิน แล้วไม่เชื่อ ไม่ยอมรับพระเยซูมาเป็นผู้ช่วยให้รอด ประจำตัว ไม่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูพูด ก็จะไม่ได้รับความรอดนั้น คือไม่ได้เข้ามาอยู่ในความสว่าง ก็ยังคงอยู่ที่เดิม คือ อาณาจักรของความมืด พระเยซูไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด มาช่วยเฉยๆ ไม่ได้ไปตัดสินอะไร เขาก็ยังอยู่ที่เดิม เอเฟซัส 5:8 บันทึกไว้อย่างนี้

เอเฟซัส 5:8 “เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ ท่านเป็นความสว่าง ในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง”

 

พระเยซูบอกเราว่า …

“เมื่อก่อนท่านเป็นความมืด” ไม่ใช่มีความมืด

“แต่เดี๋ยวนี้ท่านเป็นความสว่าง” ไม่ใช่มีความสว่าง

เราเป็นความสว่าง ถ้าเมื่อก่อนเรามีความมืด เราคงสามารถใช้เวลาในการขจัดความมืดให้ออกไปจากชีวิตได้ ทีละนิดทีละหน่อย แล้วคงสามารถพยายามที่จะสั่งสมความสว่างให้มีขึ้นในชีวิตได้ ในทำนองเดียวกัน ยกตัวอย่าง เราเกิดเป็นผู้หญิง หรือเป็นผู้ชาย เราไม่ใช่เกิดมามีผู้หญิง หรือมีผู้ชาย เพราะฉะนั้น เราจึงไม่สามารถที่จะเอาเพศหญิง เพศชายออกไปจากชีวิตเราได้ เพราะมันเป็น ถึงแม้ว่าเราจะพยายาม หรือใช้เทคโนโลยีอะไรก็ตาม มันก็ดูเหมือนเท่านั้น ไม่ใช่ของจริง ของจริงเป็นอย่างไร?  มันก็เป็นอย่างนั้น  แล้วใครล่ะ ที่จะสามารถช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างได้ หลุดพ้นจากโทษของความบาปได้ ในโคโลสี 1:12-14 บันทึกอย่างชัดเจน นี่คือสิทธิที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ กระทบลงมาถึงโลกฝ่ายวัตถุ คือมนุษย์ทุกคนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ด้วยว่ามันเป็นอย่างนี้ สิทธิที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีก่อน มาดูว่าพระเจ้าบอกว่าอย่างไร?

โคโลสี 1:12-14 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่าน เหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากความมืด คือทำสำเร็จแล้ว ย้ายเราแล้ว เราใช้สิทธิของเราเท่านั้นเอง ถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายอะไร?  เพราะพระเยซูทำหมดแล้ว ได้ทำแล้ว นี่คือสิทธิ์ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ เพราะเป็นโลกที่สำคัญกว่าโลกวัตถุบนนี้  เพราะมันยาวนาน  ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่พระเจ้าได้บอกความจริงให้เราทราบถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณว่ามีอยู่จริงๆ จริงยิ่งกว่าโลกฝ่ายวัตถุ ที่มองเห็นด้วยตานี้อีก และโลกฝ่ายวิญญาณนี้ มีเพียง 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรแห่งความสว่างและอาณาจักรแห่งความมืด และมนุษย์ทุกคนต้องอยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ในโลกวิญญาณนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรแห่งความมืด หรืออาณาจักรแห่งความสว่าง นี่คือความจริง

และนี่คือสิ่งที่บอกว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท พระองค์ไม่ได้มาเพื่อพิพากษามนุษย์ ลงโทษมนุษย์ แต่พระองค์นำเอาความสว่างมาช่วยเรา ก่อนที่พระเยซูมา เราอยู่ในความมืด เราไม่มีทางออกเลย ไม่ว่าจะเป็นยิว ไม่ยิว อิสราเอล ประชากรของพระเจ้า หรือต่างชาติ ทุกคนอยู่ในความมืดหมด แต่ตอนนี้ ตั้งแต่ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แสงสว่างได้เข้ามาแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าตอนที่พระองค์มา แสงสว่างได้เข้ามา ตอนพระเยซูเกิด ก็ทำให้มีดวงดาวพิเศษดวงหนึ่ง

นั่นเป็นสัญลักษณ์เฉยๆ ว่าพระองค์ คือแสงสว่าง แต่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เขียนอยู่แล้วว่าวันนั้น แสงสว่างจะเข้ามาบนโลก แสงสว่างจะส่องเข้ามา หลังจากวันที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั่นเอง โลกที่เคยมืดมาตลอด เป็นหลายพันปี เพราะก่อนหน้าความมืดจะเข้ามานั้น มันไม่มีวันไม่มีเวลา มนุษย์ยังอยู่นิรันดร์อยู่ตอนนั้น ถ้าอาดัมไม่ได้นำเอาไวรัสบาปเข้ามา มนุษย์ก็ยังอยู่ในนิรันดร์ตลอด ไม่มีการนับวันนับคืน ไม่ต้องตาย แต่เข้ามาปุ๊บ ก็ต้องนับ 1 ทันที เพราะความตายเข้ามาแล้ว โลกที่เคยอยู่ในความมืดมาตลอด

ตอนนี้มีให้เลือกแล้ว คือมีอาณาจักรเกิดขึ้นแล้ว คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ท่ามกลางความมืด แต่ก่อนนี้ไม่มี เพิ่งจะมีเมื่อประมาณ 2,000 ปีนี่เอง มีให้เลือกแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวกับเปลี่ยนศาสนา ไม่ใช่เลย จะอยู่บนโลกใบนี้ จะเป็นศาสนาอะไร? จะเป็นใครอย่างไร? จะทำอะไรก็เชิญเถอะ ประเพณีเป็นอย่างไรก็ว่ากันไป ยิ่งพูดยิ่งชัด มันคนละเรื่องเลย เรากำลังพูดถึงวิทยาศาสตร์ สูงกว่าวิทยาศาสตร์อีก คือเข้าไปในมิติหนึ่ง ที่เรียกว่าโลกวิญญาณ มันมีอยู่จริงๆ ท่านนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ถ้าท่านลองอ่านในบันทึก ในพระคัมภีร์นี้ดู วันหนึ่งท่านก็จะได้เห็นเหมือนกับที่บอกว่าดวงดาวมองไม่เห็น แล้วบอกว่าไม่มี หรือที่พระคัมภีร์บอกโลกกลม ท่านบอกโลกแบน วันหนึ่งท่านจะเจอความจริง เรื่องนี้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ท่านก็ตัดสินใจเองว่าท่านจะเลือกหรือไม่เลือก อะไรที่เป็นความจริง มันก็เป็นความจริงวันยังค่ำ ไม่ว่าท่านจะปฏิเสธหรือไม่? ตามหลักการพระคัมภีร์แล้ว ผมก็จะสรุปให้ท่านฟังคร่าวๆ

ในอาณาจักรแห่งความสว่าง มีพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตรพระเยซู  พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกัน และมีเหล่าทูตสวรรค์ หัวหน้าทูตสวรรค์ มีชื่อว่ามีคาเอลกับกาเบรียล และกองทัพทูตสวรรค์อีกมากมาย 66.6% ของทูตสวรรค์ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาทั้งหมด ในพระคัมภีร์บอกว่าทูตสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อรับใช้มนุษย์  ทำงานร่วมกัน เพื่อมนุษย์อย่างเดียวเลย ยกเว้นทูตสวรรค์ที่ตกกระป๋อง ที่กบฏ คือลูซีเฟอร์ หรือมีอีกชื่อหนึ่ง เมื่อตอนตกกระป๋อง ชื่อซาตาน และมันก็หลอกบรรดากองทัพทูตสวรรค์ที่ตามมันไปอีก 33.33%  ของเราเยอะกว่าตั้งเยอะเลย ไม่นับถึงพระเจ้านะ

ทูตสวรรค์เหล่านี้ คอยดูแลเรา ดูแลลูกๆ ของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เพราะเขายินดีให้ดูแลไง ไปอยู่ในความมืด แล้วเขาจะไปดูแลได้อย่างไร? มันคนละที่กัน ทุกคนที่มาเชื่อพระเจ้า เป็นลูกแห่งความสว่าง

และทั้งหมด กองทัพใหญ่ๆ นี้ ทั้งทูตสวรรค์ ทั้งพระเจ้าผู้บัญชาการ พระเยซูผู้ได้รับสิทธิอำนาจจากพระเจ้า อยู่ที่เบื้องขวาพระเจ้า ในโลกวิญญาณ กำลังดูแล นำพาลูกๆ หรือประชากรในแสงสว่าง ด้วยความรักแท้ จริงใจ ซื่อตรง เพราะเป็นพ่อ มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา เหมือนที่พระเยซูบอกว่าท่านเคยเป็นคนบาปใช่ไหม? ท่านเคยคิดไหมว่าท่านเคยเป็นคนบาป ท่านเคยคิดไหมที่จะให้สิ่งที่ไม่ดีกับลูกของตัวเอง ท่านยังไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย แล้วพ่อผู้สถิตในสวรรค์สถาน จะให้สิ่งที่ดีกับท่านขนาดไหน? พระเยซูพูดเอง

เพราะฉะนั้น พระเจ้าและกองทัพที่พูดมาตะกี้ทั้งหมดในโลกวิญญาณ กำลังกำหนดอะไรต่างๆ ให้กับนครได้สิ่งที่ดีที่สุด  เอเมน ถ้าท่านเชื่อว่าในโลกฝ่ายวิญญาณมีจริง และกำหนดโลกใบนี้อยู่ ผมต้องได้อะไรก็ตามที่มันดีที่สุด แต่ไม่ใช่ตามสายตาของผมนะ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่ดีที่สุดสำหรับผม เพราะโลกใบนี้มันแป๊บเดียว พระเจ้ามองที่นิรันดร์มากกว่า ที่ผมจะไปอยู่กับพระองค์นิรันดร์ เอเมน

เมื่อเราได้มาอาศัยในอาณาจักรแห่งความสว่างของพระเยซูคริสต์นี้แล้ว จงวางใจว่ากองทัพของพระเจ้า และ 3 พระภาคของพระเจ้า คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ให้เป็นผลดีกับเราอย่างแน่นอน และประชากรของพระองค์ทุกคน ก็จะได้สิ่งที่ดีอย่างแน่นอน ไปจนถึงนิรันดร์ มันต้องเห็นอย่างนี้ให้ได้ มันถึงเผชิญกับทุกสิ่งได้ ทุกสิ่งที่เราเผชิญอยู่ในโลกวัตถุนี้ ที่เรามองเห็นอยู่วันนี้ ที่มีผลกระทบมาถึงชีวิตของเรา เป็นสิ่งที่เกิดผลดีกับเราอย่างแน่นอน เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น แม้เราจะเห็นว่ามันไม่ดี แต่มันดี เราสามารถวางใจได้ ถามว่าที่ผมพูดมาอย่างนี้ วางใจได้ไหม? กองทัพใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม ทำงานเพื่อเรา พระเยซูจึงตรัสว่า …

“ผู้ใดแบกภาระหนัก และเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ใครที่รู้สึกเหนื่อยในการอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดมาก่อน รีบๆ ย้ายมาอยู่อาณาจักรแห่งความสว่าง จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข เอเมน พระเจ้าพระบิดา นำโดยพระเยซูและกองทัพทั้งปวงของความสว่าง  กำลังนำพาเราทุกวัน ทุกเสี้ยววินาที ซึ่งเป็นประชากรของพระองค์ อาณาจักรแห่งความสว่างนี้ ไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสันติสุข สุขนิรันดร์ในสวรรค์สถาน  แต่โดยขั้นตอนสุดท้าย คือการปลดแอกเรา ปลดวิญญาณเรา ออกจากร่าง ซึ่งอยู่ใต้สภาพของเนื้อหนัง ที่เราเห็นนี้ แก่ลงทุกวัน เหี่ยวลงทุกวัน เดี๋ยวก็ตายแล้ว ถูกไหม? ขั้นตอนสุดท้าย คือปลดแอกวิญญาณของเรา นำวิญญาณเราออกจากร่าง

กองทัพที่อยู่ในโลกวิญญาณ ทำทุกอย่าง เมื่อถึงวันที่พระองค์ทรงใช้เรา หมดหน้าที่แล้ว นำวิญญาณเราออกจากร่าง ซึ่งอยู่ภายใต้สภาพเป็นเนื้อหนังที่เก่าๆ ไปสู่อาณาจักร ไปสู่มิติในโลกวิญญาณ เพื่อรอรับร่างกายใหม่ ร่างกายทางวิญญาณใหม่ ที่เป็นอิสรภาพจากอิทธิพลบาป ไม่เน่า ไม่เปื่อย ไม่แก่ ไม่ต้องทาหน้า ไม่ต้องย่นอีกต่อไป นี่มันเป็นจริงๆ ทั้งหมด ความจริง ทำให้เราเป็นไท

เปาโลจึงบอกว่าถ้ามีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ ก็จะอยู่เพื่อปฏิบัติ เพื่อพระคริสต์ ไม่ใช่ เพื่อไปทำงานรับใช้ ไม่ใช่หมายถึงอย่างนั้น เฉพาะความหมายนี้นะ ความหมายนี้ เพื่อจะได้อยู่ปฏิบัติตามพระคริสต์ เชื่อฟัง พูดง่ายๆ เป็นประชากรของพระองค์ ทำตามที่พระองค์ทรงนำ นั่นเอง แต่ถ้าออกจากร่างนี้ไป คือตาย เปาโลบอกได้กำไร ได้พักผ่อน หมดงานสักทีหนึ่ง เอเมน

ความกลัวจะหมดไปได้ ก็โดยวิธีเอาความจริงนี้เข้าไปเยอะๆ สมองเราไม่สามารถว่างได้ มันต้องมีที่หนึ่ง ใส่ให้มันอยู่ ความจริงหรือการหลอกลวง ถ้าเราใส่ความจริง ถ้อยคำพระเจ้าไปเยอะๆ การหลอกลวงในโลกใบนี้ มันก็น้อยลงไป  แต่ถ้าเราไม่ใส่ มันก็มีที่ว่าง ทางโน้นก็เข้ามา มันไม่มีการอยู่เฉยๆ ไม่ว่ามืดหรือสว่าง มีอิทธิพลต่อชีวิตบนโลกใบนี้เสมอ มันยังอยู่หมด ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอบจบ ตอน 23 “วาระสุดท้าย ตอน 2” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  สิงหาคม  2017

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอบจบ

ตอน 23 “วาระสุดท้าย ตอน 2”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้จะเป็นตอนสุดท้ายของการบรรยาย “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” วันนี้เป็นตอนที่ 23  ดาเนียล 12:7 …

ดาเนียล 12:7 “ชายผู้สวมเสื้อผ้าลินิน ซึ่งอยู่เหนือแม่น้ำ ก็ชูมือทั้งสองข้างขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์และข้าพเจ้าได้ยินเขาปฏิญาณอ้างพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ว่า “จะเป็นหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ เมื่ออำนาจของประชากรของพระเจ้าหมดสิ้นลง ในที่สุด สิ่งทั้งปวงนี้ ก็จะสำเร็จสมบูรณ์”

 

“เมื่ออำนาจของประชากรของพระเจ้าหมดสิ้นลง” คือเมื่อพลังการต่อสู้ของฝ่ายพระเจ้า ของคริสเตียนหมดลง แพ้ สิ่งทั้งปวงนี้ ก็จะสำเร็จ สมบูรณ์

ก็คือในยุคสุดท้าย ผู้คนของพระเจ้าจะถูกข่มเหงรังแก ถูกทำลายล้าง จนไม่มีอำนาจเหลืออยู่เลย ถูกโจมตี ถูกทำสงคราม จนพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ถึงเวลานั้น สิ่งเหล่านี้ ก็จะสำเร็จ สมบูรณ์

คำว่า “สำเร็จ, สมบูรณ์” ภาษาฮีบรูเดิม แปลว่าอวสาน จบ ครบบริบูรณ์ โลกที่วิปริตนี้ จะจบสิ้นอย่างบริบูรณ์ เริ่มโลกใหม่ ฟ้าใหม่ เมื่อถึงเวลานั้น ประชากรของพระเจ้าจะได้รับชัยชนะนิรันดร์ ได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์กาล ได้ครอบครองสวรรค์ ที่พระเจ้าจัดให้ใหม่ โลกที่ถูกสร้างใหม่ โลกที่ตบแต่งขึ้นมาใหม่ โลกเก่าหมดไปแล้ว บัดนี้เป็นโลกใหม่ ผู้ที่เชื่อในพระองค์จะครอบครองร่วมกับพระคริสต์นิรันดร์ นั่นแหละคือความหวังของเรา

แต่เวลานั้น ที่จะมาถึงเมื่อไร? ไม่มีใครรู้ พระเจ้าแค่ต้องการให้เรารับรู้เท่านั้นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น  แต่ไม่ต้องการให้รู้ว่าเมื่อไร?

คำว่า “หนึ่งวาร” “สองวาระ” หรือว่า “ครึ่งวาระ” ก็เป็นเพียงแค่กำหนดเวลาของพระเจ้า ซึ่งมันเกินกว่าความเข้าใจหรือความคิดและสติปัญญาของมนุษย์ว่ามันคืออะไร?

ดาเนียลก็เหมือนพวกเรานี่แหละ พอได้รับรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ก็อยากรู้ต่อไปอีกว่าแล้วเมื่อไรมันจะเกิดขึ้นอีกนะ เพราะได้รู้คำตอบแล้วว่าเป็นวาระหนึ่ง ครึ่งวาระ หรือวาระอะไรก็แล้วแต่ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทูตสวรรค์ก็เลยบอกดาเนียลอย่างนี้ว่าไม่เข้าใจใช่ไหม? ไม่เป็นไร? มาดูดาเนียล 12:9-12 เรามาต่อวันนี้

ดาเนียล 12:9-10 “9 เขาผู้นั้นตอบว่า ‘ดาเนียลเอ๋ย จงไปตามทางของท่านเถิด เพราะถ้อยคำเหล่านี้ ถูกเก็บงำและประทับตราไว้ จวบจนวาระสุดท้าย 10 คนเป็นอันมากจะถูกถลุง และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ ส่วนคนชั่วยังคงทำชั่วต่อไป ไม่มีคนชั่วคนใดจะเข้าใจ แต่ผู้มีปัญญาจะเข้าใจ 11 “ตั้งแต่ยกเลิกการถวายเครื่องบูชาประจำวัน จนถึงวาระที่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ ถูกตั้งขึ้นเป็นเวลา 1,290 วัน 12 ผู้ที่รอคอยและอยู่จนครบ 1,335 วันก็เป็นสุข”

 

จุดสูงสุดของหนังสือดาเนียล ทั้ง 12 บท มาอยู่บทที่ 12 ตอนท้าย เพราะฉะนั้น ท่านต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษ มากกว่า 12 บทที่เรียนมาแล้ว นี่คือสิ่งที่ท่านต้องจำไว้ นี่คือความหวังให้เราเห็นชัดเจน นี่คือคำตอบของทูตสวรรค์

          “ดาเนียลเอ๋ย จงไปตามทางของท่านเถิด  เพราะถ้อยคำเหล่านี้ ถูกเก็บงำและประทับตราไว้ จวบจนวาระสุดท้าย”

นี่คือคำตอบ ไม่เข้าใจเลย อยากจะเข้าใจมากกว่านี้  นี่ดาเนียลได้รับคำตอบจากพระเจ้าแล้ว ก็เหมือนผู้ใหญ่คุยกับเด็กว่าคงประมาณนี้นะ

“เด็กน้อยดาเนียลเอ๋ย เจ้าฟังอย่างไรก็คงไม่เข้าใจหรอก อย่าไปสนใจเรื่องวันเวลาเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องลี้ลับ ฟังแล้วก็เก็บไว้ แล้วก็ใช้ชีวิตไปเถอะ จะทำอะไร ก็ไปทำ เพราะอีกไม่กี่วัน เจ้าก็จะต้องตายแล้ว เก็บเรื่องไว้สำหรับอนาคต เราจะติดต่อกับลูกหลานของเจ้าในอนาคตต่อไปภายหน้า”

อะไรประมาณนั้น ไว้พอถึงเวลา มันก็จะเกิดขึ้นเองแหละ ก็คือถึงเวลา ลูกหลานของเจ้า ในอนาคตเขาจะรู้เอง คือเรานั่งอยู่ที่นี่  ดาเนียลที่พูดอยู่นี้  ประมาณ 2,000 กว่าปี แต่ยังมีเพิ่มเติมอีกในข้อ 11, 12

ดาเนียล 12:11-12 “11 “ตั้งแต่ยกเลิกการถวายเครื่องบูชาประจำวัน จนถึงวาระที่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ ถูกตั้งขึ้นเป็นเวลา 1,290 วัน 12 ผู้ที่รอคอยและอยู่จนครบ 1,335 วันก็เป็นสุข”

 

จริงๆ ไม่อยากจะบอกเป็นวันเลย เพราะมันก็ไม่รู้อยู่ดี จริงๆ พระเจ้าให้รู้แค่นี้ น่าจะพอแล้วนะ นี่ทูตสวรรค์แถมอีกนิดหนึ่ง ผมอ่านถ้อยคำตรงนี้  ก็ยังคิดเองว่าเหมือนทูตสวรรค์แหย่ดาเนียลเล่นๆ อยากรู้มาก เอาตัวเลขให้ เมื่อกี้ยังบอกว่าคือวาระหลายวาระเป็นกำหนดเวลาที่พระเจ้าวางไว้ เป็นโค้ด ไม่สามารถเข้าใจได้หรอก แล้วมาตรงนี้กลับมาบอกเป็นตัวเลข 1,290 วัน 1,335 วัน ซึ่งจริงๆ มันอาจจะเป็นโค้ดก็ได้ ท่านรู้ไหม? 2,000 กว่าปีนี้ มีผู้ทำทฤษฎีเรื่องเกี่ยวกับวัน มันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? นับไม่ถ้วน ทุกทฤษฎีก็ผิดหมด ก็ยังมีคนอยากรู้จริงๆ 1290,  1335 แปลว่าอะไร?  ยิ่งมาถึงยุคปัจจุบัน ยุคที่ข้อมูลท่วมโลก แบบปัจจุบัน อินเตอร์เนตแบบนี้ พยายามค้นหากันใหญ่ เอาอันโน้นมาใส่อันนี้ เอาตัวเลขมาใส่ เอาเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วย

มีนักศาสนศาสตร์เยอะแยะไปหมด ที่จะพยายามตีความจากตัวเลขในพระคัมภีร์ แล้วพยายามจะหาให้ได้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเวลาเท่าไรกันแน่ ความพยายามแบบนี้  เหมือนเรากำลังพยายามจะต่อภาพจิ๊กซอ ประมาณแสนชิ้น เป็นรูปอะไรก็ไม่รู้ แถมแสนชิ้นที่ให้มา มันหายไป 6,000 ชิ้น ต่อรูปอะไรก็ไม่รู้นะ สมมติว่าเป็นรูปท้องทะเล มันเหมือนกันหมด ต่อให้ถูกไหมล่ะ มันเหมือนอย่างนั้น แต่คนเราก็อยาก พระเจ้าบอกแล้ว ก็ยังอยากทำอยู่ จริงๆ แล้ว ถ้าพระเจ้าบอกตัวเลข กำหนดเวลาว่าเป็นกี่วัน? กี่เดือน? กี่ปี? ตรงนี้ ไม่ได้หมายความว่าให้เรามาตีความว่าจะเป็นระยะเวลาเท่านั้น เท่านี้แน่นอน แต่ย้ำให้เราแน่ใจว่ามันมีเวลากำหนดแน่นอน จากพระเจ้า พระองค์ทรงควบคุมอยู่ ดูอยู่ตลอดเวลา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เจ้ารู้ไป ก็ไม่มีประโยชน์ แล้วรู้ว่าใจเจ้าอยากจะรู้ ก็เลยบอกได้แค่นี้ มันเหมือนเวลาคนถามผม ผมฟังคนร้องเพลง เราเป็นนักดนตรี เราเรียนดนตรีมา เรียนรู้วิชาการดนตรี มันก็มีความรู้นิดหนึ่งติดตัวมา คนที่ไม่ได้เรียน เขาก็ไม่รู้

“เอ๊ะ! คุณร้องตรงนี้ มันเพี้ยนนะ”

เขาบอก “มันเพี้ยนอย่างไร? ผมฟังแล้วไม่เห็นเพี้ยน”

“แต่เราว่ามันเพี้ยนนะ”

แล้วเอาอะไรมาบอกว่าเพี้ยน เราก็ใช้วิชาความรู้ ที่มันเพี้ยน โน้ตทั้งหมด ควรจะเป็นตัวเดิม แต่คุณร้องไป มันเร็วไปนิดหนึ่ง ตัวชาร์ปไปนิดหนึ่ง ไม่ถึงครึ่งเสียง แต่ประมาณเกือบๆ ครึ่งเสียง แล้วถ้าคุณร้องเอื้อนอีกนิดหนึ่ง ลากนิดหนึ่งให้ครบตัวชาร์ปจริงๆ ก็จะตรงนะ ถามว่าเขาเข้าใจที่ผมอธิบายไหม? เขาไม่ได้เรียนรู้ เขาไม่เข้าใจ ผมบอกเขาว่ามันเพี้ยน ก็เพี้ยนจริงๆ เขามั่นใจในผมว่าผมมีความรู้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ บอกว่าเพี้ยน เขาก็อาจจะไม่เชื่อผม ผมก็อธิบายให้ฟัง ถามว่าอธิบายนั้น เขารู้เรื่องไหม? ไม่รู้ แต่เขามีความมั่นใจและความเชื่อถือผมมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน ผมว่าพระเจ้าก็จะอย่างนั้นแหละ พระองค์ทรงรู้ควบคุมทุกอย่าง อธิบายอย่างละเอียดเลย ถามว่าเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่รู้ว่าพระองค์ยิ่งใหญ่ พระองค์วางไว้เป๊ะๆ แน่นอน

และเมื่อครบกำหนดตามที่พระเจ้าวางไว้นั้น วาระสุดท้าย ก็คือตอนอวสาน จะมาถึงอย่างแน่นอน ตามที่พระเจ้ากำหนดเวลาไว้ อาณาจักรของพระคริสต์จะเจริญเติบโตขยายกว้างขวางไปเรื่อยๆ จนคลุมโลกใบนี้เลย เชื่อไหม? เชื่อ เมื่อไร? ไม่รู้ คริสตจักรถูกข่มเหงอย่างรุนแรง แต่เลยมา 2,000 ปี ทุกวันนี้คลุมโลกเลย ยิ่งไปดูตะวันออก ยุโรปทั้งหมด  มีแต่ไม้กางเขนเต็มไปหมด คริสตจักรเต็มไปหมด

ผมจะบอกให้ท่านฟังว่ามีคนเชื่อในพระเยซู เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเยซูมากขึ้นทุกวัน  แต่ละวินาทีเลย แต่โรมันไม่มีแล้ว เหลือแต่ซากของจักรวรรดิโรมัน ตามกำหนดไว้ของพระเจ้า

มีคนถามพระเยซูว่าแล้วเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร? พระเยซูก็ไม่รู้เหมือนกัน ในมัทธิว 24:36-39 …

มัทธิว 24:36-39 “36 ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ 37 ในสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์มาก็เป็นอย่างนั้น 38 เพราะในวันเวลาก่อนน้ำท่วมโลก ผู้คนกินดื่ม แต่งงาน และยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในเรือ 39 พวกเขาไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น จนถูกน้ำท่วมกวาดล้างไปหมด เมื่อบุตรมนุษย์มา ก็จะเป็นเช่นนั้นแหละ”

 

นี่พระเยซูตรัสเอง ไม่มีใครรู้วันเวลา  ที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น คือวาระสุดท้าย แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ

คำว่า “เหตุการณ์เหล่านั้น” ก็คือเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึงในวาระสุดท้ายก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่โลกใหม่จะถูกสถาปนาขึ้น และมนุษย์ทุกคนต้องเข้าสู่การพิพากษาในขณะนั้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกอย่างชัดเจนเลย จะมีกำหนดให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตายเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น และวิญญาณออกจากร่างได้แค่ 1 ครั้ง และวิญญาณนั้นยังอยู่ ไม่ได้สูญสิ้นไป แต่รอการพิพากษา ไม่ว่าทำดีหรือทำชั่ว ก็จะไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้าเพื่อรอการพิพากษา แต่สำหรับคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์เตือนเอาไว้เลยว่าเมื่อถึงวันนั้น ไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์ของผู้พิพากษา เราทั้งหลายไม่มีชั่วแล้ว เพราะว่าชั่วตรงนี้ คือบาป … บาปเรา พระเยซูเอาไปหมดแล้ว จึงเตือนเราให้เชื่อตรงนี้ เตือนผู้ที่ยังไม่เชื่อ ให้เชื่อตรงนี้  เตือนผู้ที่เชื่อแล้ว อย่าทิ้งตรงนี้ไป เราเชื่อในพระเยซู เราได้รับการชำระบาป … บาปได้ถูกเอาออกไปแล้ว ไม่มีความชั่วใดๆ ในโลกใบนี้เลย นอกจากบาปอย่างเดียว

เมื่อพูดถึงการทำชั่ว พูดถึงคนชั่ว ก็คือบาปทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเอาแทนไปได้เลยว่ามีแต่ดีกับบาป และไปยืนต่อหน้าของพระเจ้าในวันสุดท้าย  ไม่มีคนไหนที่เป็นคนดีเลยสักคน พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ พระเจ้ามองมา ไม่มีดีเลย  เพราะทุกคนเป็นคนบาป ยกเว้นบาปนั้น ได้ถูกชำระแล้ว โดยการหลั่งโลหิตโดยพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ไม่มีการหลั่งโลหิต ไม่มีการชำระบาป ไม่มีการจ่าย สตังค์ คืนให้กับแบงค์ … แบงค์ไม่ยกหนี้ให้กับเรา … เรายังคงเป็นหนี้แบงค์อยู่ ไม่ว่าเราจะไปกราบสักเท่าไร? เราจะบอกเราอุทิศตนทำความดี จากนี้ต่อไปเท่าไร? ไม่ว่าเราจะไปขอขมาเขาเท่าไร? ขอโทษแล้วขอโทษอีก น้ำตาเป็นสายเลือด บอกว่า …

“ไม่ทำอีกแล้วๆ”

แบงค์ก็บอกว่า “สงสารเจ้า แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? ต้องขึ้นสู่พิพากษา เอาเงินมาคืน จึงจบกัน”

พระเจ้าก็เหมือนกัน สำหรับพระเจ้าเลือด คือชีวิต ต้องเอาชีวิตมาเท่านั้น ถึงได้รับการยกโทษ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ไม่ว่าจะร้องไห้สักกี่ครั้ง? ไม่ว่าจะอดอาหารสักเท่าไร? ไม่ว่าจะทำดีมากสักเท่าไร? ไม่ว่าจะสะสมความดีขนาดไหน? ไม่ว่าจะเสียสละมากขนาดไหน? จะขายบ้านขายช่อง ขายชีวิตตัวเองก็ได้ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย พระเจ้าอยากจะช่วย แต่ทำไม่ได้ เอาอย่างเดียวมาเท่านั้น คือชีวิต และชีวิตให้มาแล้ว คือพระเยซูคริสต์หลั่งพระโลหิต ยอมสละชีวิตของตัวเอง ยอมไถ่บาปให้กับเรา นั่นแหละคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ไปหาพระเยซูซะ

วาระสุดท้าย  คือวาระที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่  และมนุษย์จะรับการพิพากษา  อย่างที่ตะกี้อธิบายไป ส่วนเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? ไม่มีใครรู้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ อาจจะเกิดขึ้นสัปดาห์หน้าก็ได้ อาจจะเกิดขึ้นปีหน้าก็ได้ อาจจะเกิดขึ้นอีก 100 ปีก็ได้ เราไม่รู้

ในข้อนี้ยังบอกว่า “ในสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร?  เมื่อบุตรมนุษย์มา ก็เป็นอย่างนั้น”

เป็นการขยายความเพิ่มเติม ให้เห็นภาพชัดเจนว่ากำหนดเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมานั้น ไม่มีใครสามารถบอกได้ เหมือนตอนเกิดน้ำท่วมโลกในยุคโนอาห์ มนุษย์ก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ทั่วๆ ไป แต่มีพวกเดียวเท่านั้น ที่รู้ว่าแถวๆ นี้ พระเจ้าบอกกำลังมาแล้ว ถามว่าเขารู้มากกว่าคนอื่นได้อย่างไร? เพราะเขาจดจ่อ เชื่อในพระเจ้า ก็คือโนอาห์และครอบครัว พระเจ้าบอกว่าแถวๆ นี้แหละ เขาไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้ฝนจะตกไหม? เขาก็ต่อเรือไป เขาต่อเรือ เพราะเขาเชื่อว่าน้ำจะต้องท่วมแน่ๆ

คนเหล่านี้ คือคนที่ได้รับความรอด ก็เหมือนคริสเตียน เราเชื่อ เราไม่รู้ เราไม่คาดหวังหรอกว่าอาจจะเป็นพรุ่งนี้ อาทิตย์หน้า เมื่อไรก็ไม่รู้ แต่จะมาเมื่อไรก็ตาม เราพร้อมหรือยัง? พรุ่งนี้พระเยซูมา พร้อมหรือยัง? วันนี้ท่านยังไม่ได้อธิษฐานเลย ตะกี้ยังไม่ได้ถวายทรัพย์เลย เมื่อกี้ขึ้นรถเมล์มา ยังด่าเขาอยู่เลย  ยังหงุดหงิดกับเขาเลย ยังว่าเขาอยู่เลย แถมป้ายรถเมล์ตั้งไกล กว่าจะเดินเข้ามาถึงโบสถ์ มาสายเลย บ่น มาตลอดทางเลย  แล้วพระเยซูมาเลย พร้อมไหม? พร้อม

ถามว่า “ทำไมพร้อม?”

“เพราะพระเยซูไถ่บาปให้ฉันแล้ว ฉันไม่ได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เพราะว่าฉันทำดี ฉันทำเอง แต่เพราะฉันเชื่อในพระเยซูว่าเป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับฉัน เอเมน”

พระคัมภีร์ตรงนี้จึงอธิบายให้เราเห็นภาพว่าวาระสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันก็จะเป็นแบบนี้แหละ เหมือนที่พระเยซูอธิบายเทียบกับโนอาห์ โผล่ออกมาทันที เราเป็นพวกที่ถือตะเกียงมีน้ำมันอยู่ เราก็สบาย เราเป็นผู้ที่เชื่ออยู่แล้ว คนอื่นอาจจะไม่รู้ตัว แต่เรารู้ตัวตลอดเวลา เพราะเราเชื่อในพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่บาป เพราะเราเชื่อในพระเยซู และรู้จักถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ที่บอกว่าพระเยซูเป็นใคร? และช่วยเรารอดด้วยวิธีใด ตรงนี้ต่างหาก ที่ทำให้เราพร้อมและเชื่ออยู่ตลอดเวลา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราเชื่อในพระเยซูแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ วิญญาณเราสะอาดหมดจด

จำที่ผมเคยพูดได้ไหม? วิญญาณเราไม่ได้มีแสงสว่าง วิญญาณเป็นความสว่างอยู่ตลอด เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะหลับหรือตื่นอยู่ เรารู้ตลอดเวลา พร้อมตลอดเวลา มันหมายถึงอย่างนั้น  และถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้กำหนดเวลาอย่างชัดเจนว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เราก็ไม่สนใจ เพียงแค่เรารู้และมั่นใจว่าสิ่งนี้ มันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คือความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัส มันจะเกิดขึ้นแน่นอน ตามพระคัมภีร์ได้บอกไว้ และหลังจากที่ความทุกข์ลำบากอย่างแสนสาหัสแล้ว หมายถึงความพ่ายแพ้ของคริสเตียน อย่างราบคาบบนโลกใบนี้แล้ว นั่นแหละ คือจุดสำคัญ กลับเปลี่ยนเลย คือการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ เพื่อนำเอาชัยชนะนิรันดร์มาให้กับพวกเราทุกคนที่เชื่อในพระองค์ นี่ต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญ

ในข้อที่ 8 ที่บอกว่า “คนเป็นอันมากจะถูกถลุง และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ”

“คนเป็นอันมาก” ในบริบทนี้ หมายถึงบรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย คริสเตียนทั้งหลาย

ที่ข้อก่อนหน้านี้บอกว่า “ต้องถูกข่มเหงรังแก และต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัส แบบที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน”

ก็คือเป็นการถลุงให้เขาบริสุทธิ์ คนที่ไม่เชื่อ กลับเชื่อ นี่พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ขณะที่ยุคสุดท้ายมาถึงคนที่ไม่เชื่อถูกถลุง กลับกลายเป็นมาเชื่อพระเจ้า เพราะเห็นถ้อยคำพระเจ้าที่บอกนิมิตนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดขึ้นอย่างนั้น กลับใจใหม่มาเชื่อพระเยซู ยิ่งถลุงเท่าไร? ยิ่งเชื่อ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เมื่อสมัยจักรพรรดิ์เนโร ในยุคเริ่มต้นแรกๆ ของจักรวรรดิ์โรมัน ที่ข่มเหงคริสเตียนอย่างหนัก ยิ่งข่มเหง ยิ่งเอาคริสเตียนไปตรึงไม้กางเขน  เผาทั้งเป็น ยิ่งฆ่าตายเท่าไร? ยิ่งมีคนเชื่อมากขึ้น  เพราะมันเป็นการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเหตุผลมนุษย์เลย ในอนาคตมันก็จะเป็นลักษณะอย่างนี้  แต่มากกว่า ถ้าพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ ยังมีชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมา

สมมติ นั่งอยู่ตรงนี้อีกชั่วโมงหนึ่ง พระเยซูกลับมา ถามว่าใครจะถูกข่มเหงรังแก ก็คือเราทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่ายังไม่ได้มาวันพรุ่งนี้หรอก เพราะวันนี้เรายังไม่ถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก หรือบางคนโดนหนัก อันนั้นไม่ใช่ อันนั้นยังไม่หนักพอ อันนี้มันหนักทั่วไป  หนักเฉลี่ยกัน ทุกคนโดนหมด แต่เราก็รู้ว่าพวกเราในนี้ ที่จะถูกข่มเหงรังแก แต่ก็คือพวกคริสเตียน พวกที่เป็นของพระเจ้า พวกที่พระเจ้าบอกรักมาก ปกปักษ์คุ้มครองดูแลเขานั่นแหละ แล้วทำไมอนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้า ที่ให้พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ด้วย เอเมน

แล้วท่านคิดว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านจะทนได้ไหม?  ทนได้แน่นอน เพราะเรามั่นใจว่า …

(1) มันเป็นเพียงความทุกข์ยากลำบาก เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะพระเจ้าบอกเราก่อนแล้วว่ามันมีกำหนดเวลาของมัน และมันมีจุดจบของมัน กำหนดไว้แล้วโดยพระเจ้า

(2) สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันคุ้มค่ามากมหาศาล  เอเมน

พระเจ้าบอกให้เรามีความหวังใจแบบนี้ว่ามันทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสจริง แต่มันแค่สั้นๆ มันจบนะ หลังจากจบ แล้วสุขนิรันดร์

เพราะเมื่อครบตามวาระที่พระเจ้าวางไว้ ชัยชนะ ก็จะเป็นของเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ สุดท้ายแล้ว เราจะเป็นผู้ที่ชนะนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร? เราก็ชนะนิรันดร์เท่านั้น ช่วงแรกเป็นความทุกข์ใจ ทรมาน แต่ทุกข์ใจ เพื่อที่จะไปสู่ความมีชัยนิรันดร์ถาวร

ยกตัวอย่างเหมือนเราไปหาหมอนวดจับเส้น สมมติเราเป็นอัมพาต เส้นปวดเมื่อย เขาต้องจับให้ถูกเส้น พอถูกเส้นเขาจะขยี้ หมอนวดนะมัน แต่คนไปรักษาเจ็บ แล้วหมอนวดก็จะบอกว่ามันถูกเส้นแล้ว ยิ่งเจ็บ มันยิ่งหายเร็ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เดินได้แล้ว แขนขาก็เป็นปกติแล้ว ไม่ต้องทนปวดตลอดชีวิต แล้วมันเป็นจริงตามนั้น นี่แผนไทย นี่เรื่องจริง เห็นไหม?

หรือท่านเคยไปทำฟันไหม? ท่านกลัวที่สุด คือเสียงกรอฟัน เมื่อไรมันจะจบสักที แล้วหมอฟันก็ชอบมาถามตอนนั้น เจ็บไหม? เสียวไหม? ขอโทษทีนะ แล้วเราจะพูดได้อย่างไร? ปากติดอยู่ จะเปิดปากบอก ไม่ไหวแล้ว ก็เปิดไม่ได้ พูดไม่ออก แต่เรารู้ว่าหลังจากนั้น ฟันเราก็ไม่ผุ เราไม่ปวดตลอดไป เราจะหาย เราทนได้ มันอีกแป๊บเดียว เราก็นั่งนับ เดี๋ยวก็จบแล้ว เหงื่อแตก หมอก็มาซับๆ อีกแป๊บเดียวๆ พอเสร็จปุ๊บ โล่ง

หรือตัวอย่างสุดท้าย  ยิ่งในช่วงวันแม่จะเห็นชัด ก็คือแม่ที่ตั้งท้องลูก คลอด เจ็บปวดสุด ไหนจะแพ้ท้อง นอนก็ไม่ได้ เพราะยิ่งใกล้ๆ คลอด ท้องป่อง หายใจก็ไม่ออก ยิ่งไปคลอด ทรมาน บางคนร้องไห้น้ำตาเล็ด แต่พอลูกคลอดออกมา เขาอุ้มลูกไปให้ดู น้ำตาไหล ชื่นชมยินดี ก็ทนมาทั้งหมด ตั้ง 8 เดือน 9 เดือน 10 เดือนได้ เพราะมีความหวังว่าเขาจะชื่นชมยินดีเมื่อเห็นลูก ลูกในไส้ของเขา ที่เขาให้กำเนิด ลองให้เขาทำอย่างนั้นดู แล้วไม่มีลูก ทำจนจบสุดท้ายบอกไม่มีอะไรหรอก ทำเล่นๆ ไม่มีกำลังใจเลย คงไม่มีใครยอมทนถึงขนาดนั้นหรอก ที่ทนเพราะว่ามีความหวังรอไว้สุดท้าย พระเจ้าก็เหมือนกัน พระคัมภีร์จะชอบยกตัวอย่างนั้นว่าความทุกข์ทรมาน วาระสุดท้าย เหมือนหญิงคลอดบุตร มันทรมานจริง แต่มันมีความสุข รออยู่ข้างหน้า

สรุปรวมทั้งหมดแล้ว สิ่งที่จะทำให้เราสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากลำเค็ญในยุคสุดท้ายมีอยู่ 2 ปัจจัย ก็คือ …

(1) เรารู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ชั่วคราว

(2) เรารู้ว่าตอนจบมันดี มีอะไรดีๆ ที่รออยู่ พูดง่ายๆ ว่ามีความหวังนั่นเอง เจ็บปวดชั่วคราว แต่ว่ามีความนิรันดร์  ตรงนี้ต่างหาก

ดาเนียล 12:13 “ส่วนท่าน จงไปตามทางของท่านจวบจนวาระสุดท้าย ท่านจะพักสงบ และเมื่อสิ้นยุค ท่านจะเป็นขึ้นมา เพื่อรับมรดกส่วนของท่าน”

 

แปลความหมายได้ว่าตอนนี้  ท่านได้รับรู้เหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตบางส่วน เมื่อยุคสุดท้ายมาถึง จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ท่านก็ไม่ต้องไปสนใจมันมากนักว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? รู้แต่ว่าท่านตายก่อน อยู่ไม่ถึงหรอก คือพักสงบ และหลังจากนั้น ท่านก็จะได้เป็นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง

พระเจ้าบอกดาเนียลว่า “เธอจะตายก่อนสิ้นยุคที่จะมาเกิดขึ้น เธอไม่ต้องไปวุ่นวายกับมันมาก เพียงแต่จดๆ ไว้ ปิดๆ ไว้ เดี๋ยวข้างหลังมา เขาจะมาเปิดดูเอง เดี๋ยวพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเขาเอง พอเธอตายไป หลังจากนั้น เธอก็จะได้เป็นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง”

หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่นั้น ดาเนียลจะได้เป็นขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อรับมรดกของดาเนียล คือชัยชนะที่พระคริสต์ได้มอบให้กับท่าน คือชีวิตนิรันดร์ คือการครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์นั่นเอง คือครอบครองร่วมกับลูกๆ หลานๆ เหลนๆ ผู้ที่เชื่อในอนาคต คือปัจจุบันนี้ ก็คือคริสเตียนทั้งหลายที่ดาเนียลไม่รู้ว่ามีคริสเตียน ดาเนียลรู้ว่ามีพงศ์พันธุ์ที่จะมีประชาชาติที่จะเชื่อในพระเจ้าต่อจากเขา แต่เรารู้แล้วตอนนี้ว่าผู้ที่เป็นขึ้นจากความตาย ก่อนเรา คือใคร? เมื่อพระเยซูกลับมา เราก็จะเป็นขึ้นมาด้วย แต่ไม่ใช่เราเป็นก่อนนะ พวกดาเนียลเป็นก่อน หนังสือเธสะโลนิกาก็บอกไว้อย่างนั้น ดาเนียลจะเป็นขึ้นจากความตาย แล้วถ้าเรายังอยู่ เรายังไม่ตาย เราก็ลอยไปหาดาเนียล ไปหาพระเยซู แล้วเราก็ร่วมครอบครองพร้อมกัน ใครจะเป็นขึ้นก่อนไม่สำคัญ … สำคัญตรงที่ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์พร้อมกัน ระหว่างในอดีตจนถึงปัจจุบัน เอเมน

นี่คือความหวังของเรา นี่ดีที่สุดแล้ว นี่คือมรดก ในพระคัมภีร์เขียนตรงนี้ว่าเป็นมรดก ท่านรับมรดกของท่าน บอกดาเนียลว่า …

“เชื่อพระเจ้า แล้วตายไปเถอะ เธอพักผ่อนสงบไป เดี๋ยวถึงเวลา เธอก็มารับมรดกนิรันดร์”

เราก็เหมือนกัน ถ้าพรุ่งนี้เราตายไป พักสงบ เดี๋ยวถึงเวลา เราก็ไปรับ มรดกนิรันดร์

คำตอบของทูตสวรรค์ตรงนี้  ไม่ได้มาถึงดาเนียลแค่คนเดียว แต่มาถึงเราทุกคนในพระเยซูคริสต์ด้วยว่าเราจะได้พักสงบ คือถ้าเผื่อเราตายก่อนวันสิ้นยุค เพราะฉะนั้น ท่านอยากตายไหมตอนนี้? ตายก่อนก็ดี จะไม่ต้องเข้าสู่ความทุกข์ยากลำบาก ไม่ต้องเข้าไปสู่วาระของการข่มเหงคริสเตียน อย่างรุนแรงก่อนสวรรค์นิรันดร์ลงมา แต่เราเลือกไม่ได้ เพราะพระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่าท่านจะได้พักเมื่อไร? เวลาทำงาน ก็ทำไป ไม่อยากทำงาน ก็ต้องทำไป  ถ้าไม่ทำ ก็จะถูกลากไปทำ

เราสรุปจากเรื่องราวทั้งหมดของดาเนียลที่เราเรียนรู้กันมา 22 ตอน ก็เพื่อจะโยงมาถึงสิ่งที่พระเจ้าต้องการจะหนุนใจพวกเราทุกคน ที่เชื่อในพระองค์ เหมือนที่พระองค์ทรงหนุนใจดาเนียลว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นภายใต้มหาจักรวาลนี้ ล้วนอยู่ในการควบคุม การกำหนดของพระองค์ทั้งสิ้น เอเมน โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ ก็เปรียบเหมือนโรงละครโรงใหญ่ ที่พระเจ้าเป็นผู้เขียนบทและกำกับ ส่วนพวกเราแต่ละคน ก็เปรียบเสมือนตัวละครในบทบาทต่างๆ ที่พระเจ้ากำหนดไว้ให้แล้ว พวกเราก็มีหน้าที่เพียงแค่ดำเนินชีวิตไปตามบทบาทที่พระเจ้าวางไว้ ด้วยความอดทนและเชื่อฟังเท่านั้น ถ้าไม่เชื่อฟังก็ทุกข์ทรมานมาก แต่ยังไงก็ต้องไปตามนั้นอยู่ดี เพราะฉะนั้น เชื่อฟัง ก็จะได้ลำบากน้อยหน่อย เพราะต้องตามนั้นอยู่ดีเหมือนกัน และบางครั้งพระเจ้าอนุญาตให้ทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้น ก็เพื่อนำไปสู่แผนการใหญ่ของพระองค์ ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง คือให้พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ในชนชาติอิสราเอล ในช่วงอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง  และตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง นี่คือแผนการใหญ่

แผนการใหญ่ ก็คือพระเยซูต้องมาตาย ที่ไม้กางเขน แผนการใหญ่ ก็คือมนุษย์ทุกคนต้องได้รับความรอดจากบาป รอดจากนรก

แผนการใหญ่ของพระเจ้าจะไม่เกี่ยวกับคนๆ หนึ่ง บนโลกใบนี้ แต่เกี่ยวกับมนุษย์ทั้งมวล พระเจ้าทรงทราบดีว่าพระองค์ทรงกำลังทำอะไรอยู่ และทำเพื่ออะไร? ทำเพื่อใคร?  และพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงอนุญาตให้ทุกสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ให้เป็นไปตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ทั้งสิ้น เราอาจจะไม่เข้าใจ เราอาจจะถามโน่นถามนี่ ผมจะบอกให้ ทุกครั้งที่เราไม่เข้าใจ ทุกครั้งที่เราตั้งคำถาม ทุกครั้งที่เราบ่นว่าทำไม? เพราะเรากลัวและเราเห็นแก่ตัวนั่นเอง เพราะเชื้อบาปอยู่ในเรา แต่เป็นบาปที่ไม่สามารถกัดเราได้แล้ว มันยังอยู่กับเรา แต่มันไม่สามารถทำอันตรายเราได้แล้ว เพราะเราตายต่อบาปแล้ว ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

แต่ก่อนนี้ เราไม่เชื่อพระเยซู มันทั้งข่มขู่ ทั้งกัด ทั้งกินเรา ตอนนี้มันกัดเรา กินเราไม่ได้แล้ว มันได้แค่อยู่กับเรา และเห่าไปวันๆ หนึ่ง ไม่ต้องไปกลัวมันเลย

ประเด็นสำคัญ คือบางครั้งพระเจ้าทรงอนุญาตให้ความทุกข์ยากลำบาก บางอย่างเกิดขึ้นกับประชากรของพระองค์ เพื่อนำไปสู่แผนการใหญ่ของพระองค์ แต่ละคน เข้าไปตามขนาด และหน้าที่ ตามกำหนดที่พระเจ้าวางไว้ให้แต่ละคน

การอยู่เพื่อพระคริสต์ คืออยู่เพื่อรับใช้ เพื่อแผนการใหญ่ของพระเจ้าสำเร็จ คือมนุษย์ทุกคนมาถึงซึ่งความรอด จากบาป ในพระเยซู นี่คือความหวังใจ นี่คือความต้องการของพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว พระองค์ต้องการจะรวบรวมผู้คนให้มากที่สุด ซึ่งเป็นลูกของพระองค์ทั้งนั้น เป็นพระฉายของพระองค์ทั้งนั้น เข้ามาอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถาน ท่านเข้าใจไหม? ความทุกข์ทรมาน ที่ต้องเห็นลูกคนหนึ่งตกนรกไป มันทรมานมากมายอย่างไร? ท่านลองนึกภาพเอาเองแล้วกัน พระองค์ได้สัญญาแล้วว่าในขณะที่เราต้องอยู่ในความทุกข์ยากลำบากนั้น พระองค์จะอยู่เคียงข้างเรา และคอยช่วยเหลือเรา

ทุกถ้อยคำของพระองค์ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ จะพูดอย่างนี้เสมอว่า …

“เวลาทุกข์เราอยู่กับเจ้านะ เราจะช่วยเจ้า”

“แล้วทำไมต้องมีทุกข์อยู่บ่อยๆ”

เพราะมันจำเป็นไง ใช้งานลูก … ลูกก็ต้องเหนื่อยสิ ก็จะใช้ ถ้าไม่ใช้ ก็เอากลับไปแล้ว ถ้ายังอยู่ ก็ต้องใช้ พระเจ้าก็จะบอกเราเสมอว่าทนแค่แป๊บเดียว …

“ไหนบอกทนแป๊บเดียวไง นี่ตั้งนานแล้ว ตั้ง 4 ปีแล้ว 10 ปีแล้ว 20 ปีแล้ว”

เราเทียบ 20 ปีกับอะไร? ขึ้นอยู่กับที่เราเทียบ แต่พระเจ้าบอกทนอยู่แป๊บเดียวเอง อีกนิดเดียว เพื่อแผนการของพระเจ้าจะได้สำเร็จ พระเจ้าใช้เราอีกแป๊บเดียว พระเจ้าเทียบกับสวรรค์นิรันดร์ ที่เราจะไปอยู่กับพระองค์ เราทุกข์แค่นี้ เทียบกันไม่ติดเลย เทียบได้ตามที่พระเจ้าต้องการให้เราเทียบ เราก็จะสามารถเผชิญได้กับความทุกข์ยากต่างๆ นานา เหมือนกับผู้เชื่อต่างๆ มากมายที่พระเจ้าใช้เขา แล้วเขาก็ทนได้ เหมือนกับเปาโล เปโตร ตายก็ยังยอม ถูกตรึงที่ไม้กางเขนก็ไม่เป็นไร? เพราะเขาเทียบกับสิ่งที่เขาจะได้ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล ซึ่งมีอยู่แน่นอน 100% เพราะเขารู้อยู่ในใจแล้วว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้ มันเสร็จแล้ว สวรรค์สร้างเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ทุกวันนี้เป็นของเราไปเรียบร้อยแล้ว เอเมน มันเป็นของเราแล้ว เลยมีกำลังใจ

พระคัมภีร์บอกโลกใบนี้วิปริต ถ้าไม่วิปริตร พระเยซูคงไม่กลับมา เพื่อจะสร้างโลกใหม่ เขาจึงบอกว่า …

“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา  ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้  ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่  ณ ประตูบนวิมาน

แต่ฉันรู้ว่าโลกนี้ ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

สวรรค์ใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว  รอวันครบถ้วนบริบูรณ์  รอใคร? รอพี่น้องของเราอีก อาณาจักรพระคริสต์กำลังครอบคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ตามคำทำนาย  สมัยดาเนียลไม่มีผิด และทุกคนที่เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ถูกปรับตัวให้เป็นทหารทุกคนเลย ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตาม

แล้วเรากำลังรออะไร? เรากำลังรอร่างกายใหม่ ร่างกายที่อยู่นี้ มันกำลังจะเน่าเปื่อยไปทุกวัน มันแก่ไปทุกวัน มันจะต้องตายไปในทุกวัน ค่อยๆ ตายไป ในที่สุด จะหมดลมหายใจ แต่วิญญาณที่เกิดใหม่ มันจะมีสง่าราศี เป็นแสงสว่างเหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วมันกำลังรอคอยร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าสัญญาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงวันนั้น เราเป็นขึ้นมาใหม่ คือเราจะได้รับร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่จากพระเจ้า ซึ่งเป็นร่างกายที่จะไม่มีความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เหมือนทุกวันนี้ ไม่มีปัญหาอีกต่อไป นิรันดร์ ตอนนี้เราอยู่กับพระเยซู และพระเยซูก็อยู่กับเรา จะกี่วัน? กี่เดือน? กี่ปี? ขอพระเจ้าเมตตาช่วยให้เรามีความอดทนได้ พระองค์จะค่อยๆ พาเราอดทน เดินไปกับพระองค์ผ่านพ้นไปแน่ๆ เพราะไม่มีอะไรเกินกว่าที่เราจะรับได้ พระองค์ทรงสัญญาไว้เช่นนั้น วิวรณ์ 21:1-5  สุดท้าย เราจบตรงนี้ว่านี่คือความหวังของเรา

วิวรณ์ 21:1-5 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่!” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไปเพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้”

 

เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

***************************************