คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 13 “ไม่มีกฎ สำหรับลูกพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  มีนาคม  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 13 “ไม่มีกฎ สำหรับลูกพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 13 “ไม่มีกฎ สำหรับลูกพระเจ้า” (น้ำยาซักฟอกผ้าอัศจรรย์)

ครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันไปในเรื่องข้อพระคัมภีร์ ในหนังสือ 1 โครินธ์ 10:23 ที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวไว้ว่า “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะทำให้เสริมสร้างขึ้น” ที่เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว

เล่าแบ็คกราวด์ให้ท่านฟัง ในหนังสือโครินธ์ส่วนใหญ่เป็นการสอนของอาจารย์เปาโลที่มีไปถึงบรรดาผู้ที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูแล้ว ที่เมืองโครินธ์ ซึ่งในเมืองโครินธ์เป็นเมืองใหญ่ กำลังมีการแตกแยกในหมู่ผู้เชื่อ วุ่นวาย แตกแยกกันทางความคิด เนื่องจากโครินธ์เป็นเมืองหลวงใหญ่ มีพลเมืองจำนวนมาก แล้วก็มาจากกลุ่มลัทธิความเชื่อหลากหลาย มาจากวัฒนธรรมประเพณีที่แตกต่างกันก็มาก ผู้เชื่อชาวโครินธ์หลายคน ก็มาจากชาวกรีกโบราณ ชาวยิวก็มี พูดง่ายๆ ถ้าเทียบปัจจุบันก็เหมือนอยู่ในกรุงเทพ คิดดูว่ามันหลากหลายเยอะแยะ

ผู้เชื่อในเมืองโครินธ์แตกแยกเป็นกลุ่มๆ พวกๆ ซึ่งผู้นำแต่ละกลุ่ม ก็ได้วางกฎเกณฑ์ข้อบังคับของตนเอง ที่ตนเองคิดว่าใช่ เช่น …

“ถ้าเป็นคริสเตียน ต้องตามกฎฉันนะ ฉันวางกฎให้เธออย่างนี้”

นึกภาพออกไหม? ก็เหมือนในปัจจุบัน คริสเตียนนิกายต่างๆ เชื่อนิกายนี้ต้องทำอย่างนี้ ในสมัยโครินธ์ก็เป็นอย่างนี้แหละ แบ่งออกเป็นกลุ่ม ผู้นำก็จะบอกว่า …

“ถ้ามาอยู่กลุ่มฉัน ฉันมีข้อบังคับกฎเกณฑ์ต้องเป็นอย่างนี้”

ข้อปฏิบัติต่างๆ ก็จะบอกไว้ แล้วพวกผู้เชื่อก็จะคอยจับผิดกันและกัน กล่าวหากันและกัน

“ของฉันถูก ของเธอผิด”

อะไรต่างๆ เหล่านี้ ใครไม่ปฏิบัติตามกฎของตัวเอง ก็เป็นคริสเตียนที่ผิด กล่าวหากันถึงขนาด

“ถ้าไม่ทำตามฉัน พวกเธอเป็นลัทธิเทียมเท็จ หลงแล้ว ตกนรกแน่นอน”

ก็เถียงกันมากมาย ทั้งๆ ที่ทั้งหมดนั้น เปาโลใช้ชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้เชื่อ ก็คือเป็นคริสเตียน เปาโลก็มีหน้าที่มาจัดการความสับสนวุ่นวายนี้ ให้มันเรียบร้อยไป อาจารย์เปาโลก็เลยเขียนจดหมายนี้ ไปถึงบรรดาผู้เชื่อในเมืองโครินธ์ ก็คือไปบอกคริสเตียนทั้งหลายที่กำลังทะเลาะเบาะแว้ง แย้งกันไปแย้งกันมา คนนี้เชื่อเทียมเท็จ คนนี้เชื่อเกิน คนนี้เชื่อผิด คนนี้หลงไปแล้ว คนนี้เชื่อมาร มารเอาไปแล้ว ก็ว่าไป  เปาโลก็เลยเขียนไปบอกว่าให้หันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ คนที่ความคิดตะเลิดเปิดเปิงไปตามตามองเห็น ลากเข้ามาสู่โลกวิญญาณ บอกว่า …

“ในโลกวิญญาณ จำไว้ พวกเธอเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่มันมีอยู่จริง ให้คิดตรงนั้นดีๆ มัวแต่ไปมองคนนั้นทำอันนั้น คนนี้ทำพิธีอันนี้ ตามองเห็นคนนี้สอนว่าอย่างนี้ ตามองไม่เห็นว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงต้องมาย้ำยืนยันให้พวกเขารู้ว่าในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นหลัก พระเยซูมาทำอะไร? เพื่อใคร?  พระเยซูเป็นศูนย์กลางของเรานะ ไม่ใช่พิธีอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่ความเชื่อแปลกๆ เหล่านั้น

แล้วก็ให้แนวทางในการดำเนินชีวิต  เพื่อให้ผู้เชื่อทั้งหลาย หรือคริสเตียนทั้งหลายอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ และมีสันติเกิดขึ้น  สามารถเป็นหนึ่งในพระเยซูคริสต์ได้ในความแตกต่าง ทุกคนเป็นคนไทย แต่ไม่ใช่เป็นคนไทยแล้วต้องทำเหมือนกันหมดทุกคน ในทำนองเดียวกัน ทุกคนอยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่ทุกคนต้องทำเหมือนกัน แล้วทำอย่างไรล่ะ เปาโลก็เลยมาสอนย้ำว่านี่คือแนวทางปฏิบัติในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าให้เป็นอย่างนี้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับโลกวิญญาณเลยนะ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่เราบอกตะกี้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือโลกวิญญาณ เปาโลกำลังจะมาบอกว่าถ้าในโลกวัตถุ ที่เราดำเนินชีวิตแตกต่างกัน มันควรจะเป็นอย่างไร ในลักษณะการเป็นคริสเตียน? เป็นผู้เชื่อ ควรจะมีความคิดอย่างไร? เปาโลเลยสรุปแนวทางการปฏิบัติไว้ว่า …

“คริสเตียนได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้”

“แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่อนุญาตให้ทำ จะเป็นประโยชน์”

“เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่อนุญาตให้ทำ มันจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

ถูกไหม?  เปาโลเด็ดขาด แค่ประโยคเดียวก็วางหลักเกณฑ์ได้แล้ว ความหมาย ก็คือในทางวิญญาณ เมื่อเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อ เราได้ย้ายออกมาจากอำนาจของความมืด สกปรก มาสู่ความสะอาดหมดจดของพระเยซูคริสต์ทันทีทันใด เดี๋ยวนั้นเลย เมื่อความเชื่อเกิดขึ้น  เราเข้ามาอยู่กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ วิญญาณเราบริสุทธิ์สะอาดใสกริ๊ง เหมือนพระเจ้าเลย

จะไม่มีสิ่งใด หรือการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เมื่อท่านเชื่อจริง ขณะที่วิญญาณเราสะอาดหมดจด อยู่ในอาณาจักรแห่งความแสงสว่างแล้ว เราไม่ได้อยู่ตรงโน้นแล้วเพราะฉะนั้น เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ โดยไม่ต้องกลัวว่ากฎระเบียบจะบังคับเราให้ทำอันโน้นอันนี้ เพราะในโลกฝ่ายวิญญาณมันไม่มีกฎ อยู่กันแบบครอบครัว เป็นลูกของพระเจ้า เราไม่ได้อยู่ในกฎของบาปและความตายอีกต่อไป

ถึงแม้ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ก็จริง เปาโลเตือนว่าแต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เราทำ (ซึ่งไม่เกี่ยวกับวิญญาณแล้ว) จะเกิดประโยชน์ต่อตัวเราเอง หรือต่อผู้คนรอบข้าง หรือต่อโลกใบนี้นะ บางอย่างเรามีสิทธิ์ทำ แต่มันจะเกิดผล ไม่ดีกับเราเอง กับคนรอบข้าง และกับโลกใบนี้ ก็ได้เหมือนกัน ให้ระวังไว้ด้วย

ให้เราระมัดระวังในสิ่งเหล่านี้ว่ามันอาจจะไม่เป็นประโยชน์ อาจจะไม่เป็นการเสริมสร้างขึ้น ก็คือไม่ดีนั่นเอง แล้วก็มาจบตรงข้อ 31 ว่า …

1 โครินธ์ 10:31 “ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า ให้นึกถึงพระเจ้าว่าท่านเป็นลูกพระเจ้า ต้องคิดให้ดีๆ ที่จะทำต่อไป ท่านก็จะอ๋อ! เราเป็นลูกพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เราควรทำไหม? สมควรที่จะทำไหม? อะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่คือกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิต แบบคริสเตียนบนโลกใบนี้  ที่เปาโลวางรากฐานให้เราทำ คือสำหรับผู้เชื่อแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ห้ามทำ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องทำ ก็คือไม่มีกฎ … กฎ ก็คือต้องทำ และอย่าทำ

แต่สำหรับผู้เชื่อที่มาเป็นลูกพระเจ้า ได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ห้ามทำ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องทำ แต่จงทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และทำในสิ่งที่เป็นการเสริมสร้างขึ้น ไม่ได้บังคับให้ทำ แต่เป็นการคิดเอา ใช้สติปัญญา ที่มาจากพระเจ้า ให้พระวิญญาณข้างในนำเราว่าเป็นประโยชน์ไหม?  เสริมสร้างไหม? แก่ตนเอง แก่คนรอบข้าง และแก่ทั้งโลกเลย ที่พระเจ้าสร้างขึ้น ก็เป็นการถวายพระสิริแด่พระเจ้า คือนึกถึงพระเจ้าก่อน

แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ บางคนคิด สิ่งไหนเป็นการเสริมสร้างขึ้น เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว ไม่มีหลักเกณฑ์ชัดเจน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมของแต่ละคน แต่ละครั้ง แต่ละวินาที แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่ามาเลียนแบบกัน อย่ามาเทียบกัน  เชื่อวางใจในพระเจ้า เราอาจจะทำอย่างนี้ วินาทีนี้ มันถูกต้อง แต่สำหรับคนอีกแบบหนึ่ง ในวินาทีเดียวกัน เขาอยู่อีกแห่งหนึ่ง คนละสถานการณ์ ก็ได้ ถูกทั้งคู่ อย่างนี้เป็นต้น

พอคุยถึงเรื่องนี้  ผมก็เลยมานั่งคิดว่าจริงๆ แล้ว พวกเราตอนนี้ หมายถึงพวกเราคริสเตียนในเมืองไทย เราเองก็อยู่ท่ามกลางขนบธรรมเนียม แบบโครินธ์อย่างนี้เลย ลักษณะคล้ายๆ มีขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เยอะแยะมากมายในเมืองไทย เราอยู่ท่ามกลางสภาวะสังคมที่แตกต่างกัน แค่ในกรุงเทพเราก็เห็นเยอะแล้ว นี่ไปทั้งประเทศ เราเห็นภาพชัดเจน หลายคนอยู่ในสภาวะแวดล้อมของครอบครัว ที่รับรองได้ในนี้เกือบ 100% เป็นครอบครัวที่ไม่ใช่เป็นคริสเตียนทั้งหมด อาจมีเราคนเดียวก็ได้ นี่คือสิ่งที่คล้ายๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโครินธ์ เมื่อตอนนั้น ก็คือมันแตกต่างกันมาก เพราะว่าคริสเตียน หรือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย ท่านถึงเห็นความหลากหลายในการเชื่อเยอะแยะ อื่นๆ มากมาย มันจึงเกิดประเพณีที่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เหมือนกัน ก็คล้ายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในโครินธ์อย่างนั้น

หลายคนยังเป็นเพียงคนๆ เดียวในครอบครัว ที่มาเชื่อพระเจ้า หลายคนก็เป็นเพียงคริสเตียนคนเดียวในห้องเรียน อาจจะเป็นคนๆ เดียวทั้งโรงเรียน ก็เป็นไปได้ หลายคนก็เป็นเพียงพนักงานคนเดียว ที่เป็นคริสเตียน อันนี้เยอะเลย  ผมก็เลยสงสัยว่าแล้วคริสเตียนในบ้านเราจะมีคำถาม หรือมีความสับสนแบบเดียวกันกับชาวโครินธ์ ที่เชื่อในพระเจ้า เมื่อสมัยโน้นหรือไม่?

ผมไปหาในกูเกิ้ล (Google) แล้วคัดมาแต่ที่เด็ดๆ มาอ่านให้ฟัง เอาที่คุ้นๆ …

–  คริสเตียนไม่ไปโบสถ์วันอาทิตย์ได้ไหม? ผมรู้ เข้าใจว่าหมายถึงบางคนเชื่อไปอยู่ในบ้านปุ๊บ พ่อแม่จ้องเลย  พอรู้ว่าเชื่อพระเจ้าปุ๊บ จ้องเฉพาะวันอาทิตย์วันเดียวเลย แต่ก่อนนี้ ไม่เคยมองเราเลย วันอาทิตย์เราจะไปไหน?  ตอนนี้คอยมอง ไปโบสถ์หรือเปล่า? ไปก็มีเรื่อง อะไรแบบนี้  เขาก็เลยอึดอัด รักพ่อรักแม่ รู้ว่าพ่อแม่ยังไม่เข้าใจ ก็ไม่อยากมา พอไม่มา ผู้นำก็บอกว่าต้องมา ไม่มาตกนรก ไม่มาความเชื่อหาย ต้องรักษาความเชื่อไว้ Google ก็ไม่รู้จะทำอะไร? Google ก็เลยเขียนข้อความนี้ลงมาว่า …

“ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันไม่ได้ไปโบสถ์ได้ไหม?”

ถามผู้นำคนอื่นบ้าง คนอื่นเขาคิดอย่างไร? Google ไปช่วยเขา เห็นไหม? ช่วยให้เขาได้มีที่ระบาย ไม่อย่างนั้นเขาตายแน่เลย  แต่เขาไม่รู้ว่าจะถามใคร? ไปถามผู้นำ ผู้นำก็บอกเขา ต้องมา สู้สิ ความเชื่อต้องถึง สุดท้ายเลย  สำคัญที่สุด ทิ้งหมดเลยพ่อแม่ เป็นอย่างนั้นไปอีก คุ้นๆ น๊า

–  คริสเตียนไปทำบุญได้ไหม? คิดในใจ

–  คริสเตียนไปงานศพ จะกราบศพ เคารพศพได้ไหม?

–  คริสเตียนไปวัดได้หรือเปล่า?  บางคนบอกว่าไปเที่ยวต่างประเทศ เขามีโปรแกรมพาไปเที่ยววัด จะทำได้อย่างไร? ทำได้ไหม?  ทำดีไหม? ไปได้ไหม?  สมมติว่าไปแล้ว จะทำอะไรได้แค่ไหน? ไปเที่ยวอันนี้ งั้นไม่ไป อะไรประมาณนี้

แล้วก็มีผู้หวังดีมาช่วยตอบ ไม่รู้ว่าเป็นผู้หวังดีที่โลกไม่ต้องการหรือเปล่า? ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เป็นผู้หวังดีมาตอบ มีบางคนบอกว่าไปได้ แต่ไปแค่เดินชม เดินเที่ยวเฉยๆ อย่าไหว้รูปเคารพ

บางคนบอกว่าถ้าจำเป็นต้องทำจะไหว้ก็ได้ คำถามเดียวกัน คนถามคงงง แต่ห้ามจุดธูป บางคนบอกว่าถ้าจำเป็นต้องทำ จุดธูปก็ได้ แต่อย่าขอพร อย่าบน แล้วยังมีอีกนะ

–  คริสเตียนดื่มเหล้าได้ไหม? คำถามนี้ เป็นคำถามยอดนิยมเลย มีคนถามเยอะเลย ก็มีคำตอบ ว่าห้ามเด็ดขาด บางคนก็บอกว่าดื่มได้ แต่อย่าเมา แล้วใครจะรู้ไหมว่าตรงไหนมันคือเมาหรือไม่เมา คนเมา ส่วนใหญ่ว่าไม่เคยเมาเลย  บางคนก็บอกว่าไม่มีข้อห้าม ดื่มได้ เพราะพระเยซูยังดื่มเหล้าองุ่นเลย  อ้าว! แล้วถ้าเป็นเบียร์ทำไง? ยุ่งเลยนะ แล้วทุกคำตอบ ก็อ้างข้อพระคัมภีร์กันใหญ่ ใส่ข้อพระคัมภีร์เต็มที่ไปเลย  มีเหตุมีผลทุกคนเลย

แล้วยังมีคำถามอื่นๆ อย่างเช่น คริสเตียนมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานได้ไหม?

–  คริสเตียนแต่งงานกับคนที่ไม่เชื่อได้ไหม? อันนี้เยอะเลย สาวๆ ในนี้ หนุ่มๆ ในนี้สะดุ้งกันทุกคนเลย

–  คริสเตียนแต่งงานแล้ว ยังไม่พร้อมที่จะมีลูก คุมกำเนิดได้ไหม? ยุ่งไหม?

–  คริสเตียนไม่แต่งงานได้ไหม? ถ้าไม่แต่งงาน แสดงว่าพระเจ้าทิ้งเหรอ? ทำอะไรผิดใช่ไหมจึงหาคู่ไม่ได้

เปาโลยกตัวอย่างตัวเปาโลเองเป็นโสด

“ข้าพเจ้าเป็นอิสระเหมือนท่าน ข้าพเจ้าจะมีคู่ครองได้ แต่งงานก็ได้ เหมือนกับเปโตร เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าแต่งแล้ว มันไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวข้าพเจ้า อย่าเลียนแบบนะ เพราะข้าพเจ้าต้องออกไปประกาศโน่น ไปประกาศนี่”

พระเจ้าแต่งตั้งให้เป็นนักประกาศ เดินทางออกไปประกาศ เป็นอัครทูต ตั้งโบสถ์ที่นั่น ตั้งโบสถ์ที่นี่ ไปเยี่ยมเยือนที่นั่น เดินทางบ่อยๆ เพราะฉะนั้น ถ้ามีครอบครัวมันจะลำบาก นี่สำหรับเปาโลเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องไปเลียนแบบเปาโล เราไม่ได้เดินทางมากขนาดนั้น อยู่กรุงเทพ แต่งงานเถอะ แต่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นอีก เราอยู่ในกรุงเทพ แต่เรารู้สึกเหมือนเปาโลเลย เพราะว่าเราทำงาน เรารู้สึกสบาย เป็นอิสระแล้ว เราจะไปหาห่วงมาผูกคอทำไม? ไปแต่งทำไม? อยู่โสดดีแล้ว นั่นก็เป็นของคนๆ นั้น  เป็นของคนๆ นี้ อย่าไปเลียนแบบกันว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ฉันต้องแบบนั้น ฉันต้องแบบนี้

สรุปแล้ว แต่งงานได้ไหม? ไม่แต่งได้ไหม?  อันไหนดีกว่า ตอบไม่ถูก? สรุปแล้วของใครของเขา มันแล้วแต่สถานการณ์ มันแล้วแต่คนๆ นั้น ของประทานคนนั้น อย่าไปยุ่งเขา ถ้าเขามีของประทาน ก็คือพระเจ้านำเขามาให้เขาเป็นโสด เขาก็เป็นโสดนั่นแหละ เขาเองจะรู้ตัวเองว่าฉันเป็นโสดดีแล้ว แต่สำหรับบางคน พระเจ้าให้เขามีคู่ครอง เพื่อจะใช้งานเขาอีกแบบหนึ่ง เป็นครอบครัว เขาจะรู้เองว่าเขาจะแบกภาระหนัก เหนื่อยขึ้นในการมีครอบครัว พระเจ้าจะให้กำลังเขาเอง เอเมน มันไม่ใช่ดีกว่าอะไร? นี่ยกตัวอย่าง เรื่องนี้ต้องคุยยาวหน่อย เพราะมีผู้สนใจมาก

–  คริสเตียนเล่นหุ้นได้ไหม?

–  คริสเตียนปล่อยกู้ได้ไหม?

มันไม่มีวันจบเลยนะ ผมอ่านแล้ว ตั้งเยอะแยะมากมาย เห็นภาพชัดเลยว่าทำไมอาจารย์เปาโลถึงต้องเขียนจดหมายไปอธิบาย ไปเตือนบรรดาผู้เชื่อเมืองโครินธ์ว่าอย่าแตกแยกกันเลย  ถ้าแตกแยกกันอย่างนี้ ถ้าไม่มีใครมาเคลียร์ อีกไม่กี่ปี ยังไม่ทันถึงช่วงสมัยเรา ข่าวประเสริฐล้มหายตายจากหมดแล้ว แบ่งออกเป็นหมื่นกั๊ก ล้านกั๊ก

–  เป็นคริสเตียนลัทธิที่ไม่แต่งงาน

–  เป็นคริสเตียนที่มีลัทธิอีกลัทธิหนึ่ง ลัทธิที่สอง คือแต่งงาน แล้วไม่มีลูก

–  เป็นผู้เชื่ออีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่าเป็นคริสเตียนที่แต่งงาน ต้องมีลูกเยอะๆ

ทุกคนก็แบ่งออกเป็นเยอะแยะเลย ท่านพอมองเห็นภาพไหม?  เหมือนเมืองไทยไหม? เป๊ะเลย

บางคำตอบ ไม่น่าเชื่อ เป็นถึงขนาดนี้ แสดงว่าความจริง เรื่องถ้อยคำพระเจ้า มันไม่ได้เข้าไปในส่วนลึกของความเชื่อของคริสเตียนเลย ซึ่งมันเป็นพื้นฐานเท่านั้นเอง ที่เรากำลังเรียนกันอยู่นี้  หลายคนก็ไปค้นข้อพระคัมภีร์มาอ้างกันใหญ่ พระคัมภีร์เดิมบ้าง? พระคัมภีร์ใหม่บ้าง? ความเห็นชัดแย้งกันบ้าง? ข้อพระคัมภีร์ไม่ตรงตามบริบทบ้าง? เอาข้อเดียวมาอ้าง แล้วก็ใส่เลย ตอบกันไป ตอบกันมา จนกระทั่งในที่สุดใหญ่โต ถึงขนาดเป็นศัตรูกันก็มี จริงๆ ด่ากันเลย

เหตุมาจากไม่รู้เนื้อแท้ๆ ของข่าวดีของพระเจ้า มันจึงเกิดปัญหานี้ขึ้น  เปาโลถึงพยายามจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราไม่รู้ความจริง มันจะแบ่งออกมา เพราะหลักการเชื่อของเรานั้น มันผิด พอหลักการเชื่อผิดปุ๊บ มันก็ผิดหมด

อาจารย์เปาโลจึงบอกอีกคำหนึ่งว่าอาณาจักรสวรรค์ไม่ใช่เรื่องการกินและดื่ม เป็นเรื่องโลกวิญญาณ อันนี้ไม่กิน แต่งงาน กินเหล้าได้ไม่ได้ วุ่นวายไปหมด ถามอีกกี่ครั้ง ก็ไม่มีตรงกันหมดทั้งโลก ท่านนึกภาพออกไหม?  ผมว่าถ้าอาจารย์เปาโลยังอยู่ตอนนี้  สมมตินะ อาจารย์เปาโลอาจจะเขียนจดหมายฝากมาหมื่นฉบับ ฝากมาถึงคริสเตียนในเมืองไทย ให้ทำแบบนี้ๆ

ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง สมมติอาจารย์เปาโลเขียนมาเมืองไทย อาจารย์เปาโลก็จะเขียนหนึ่งในคำถามยอดฮิตของผู้เชื่อในบ้านเรา คือ …

“ไปวัดหรือไปทำบุญได้ไหม?”

คำตอบของอาจารย์เปาโลอาจจะอย่างนี้

“ไปได้ ถ้าเธอไปแล้ว เป็นประโยชน์ เช่น มันเกิดประโยชน์ขึ้น เพราะว่าต้องขับรถไปให้แม่ หรือไปแล้ว เป็นกำลังใจให้กับคนอื่นๆ หรือไปเพื่อรักษาสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว ให้แน่นแฟ้นขึ้น  เกิดความสงบขึ้น แบบนี้เรียกว่าเป็นประโยชน์นะลูกเอ๋ย ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราไม่ทำ แล้วทำให้พ่อแม่โกรธเคือง คนในครอบครัวไม่เข้าใจ เกิดสงครามขึ้นในครอบครัว ไม่สงบเกิดขึ้น  แบบนี้ เรียกว่าเกิดโทษ มันไม่เสริมสร้างขึ้น

อาจารย์เปาโลก็จะอธิบายอย่างนี้  เห็นไหม? ข้อเดียวกันนั่นแหละ ใช้ได้หมดทุกอัน ทุกเรื่องเลย ซึ่งผมได้บอกไปแล้วว่าการจะทำอะไรแค่ไหน? มากได้แค่ไหนนั้น ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละคน แต่ที่จริงแท้แน่นอนที่สุด เมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด เหมือนพ่อของเราแล้ว เราก็ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎใดๆ อีกต่อไป  เราจึงมีอิสรภาพในการทำอะไร? ก็ได้ทุกสิ่ง โดยไม่มีผลต่อความรอดในทางวิญญาณของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ในทางโลกนี้ การดำเนินชีวิตนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง คนรอบข้าง หรือบนโลก ทั้งหมดในโลกนี้หรือไม่เท่านั้น  โรม บทที่ 8 กฎวิญญาณแห่งชีวิต ทำให้เราเป็นอิสรภาพ จากกฎของความบาปและความตาย

เราอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตแล้ว ที่ผมบอกว่าท่านรับเชื่อพระเจ้า แล้วท่านย้ายเข้ามาอยู่ในนี้ ท่านอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิต กฎของวิญญาณที่ให้ชีวิตท่านเกิดขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์ ทำให้ท่านเป็นอิสระ จากกฎของความบาปและความตาย ซึ่งอยู่ในอาณาจักรดำ ท่านเป็นอิสระแล้ว

กฎหรือธรรมบัญญัติ ซึ่งภาษาไทยเรา ก็คือกฎทางด้านศีลธรรม ความดีงามของโลกใบนี้  ที่เรียกว่าทำดี ทำชั่ว เหล่านี้เรียกว่ากฎทั้งสิ้น ไม่ใช่กฎหมายปกครองบ้านเมือง คนละอย่างกัน

กฎหมายปกครองบ้านเมือง มีบทลงโทษ อย่างชัดเจน เช่น ฆ่าคนตาย ท่านติดคุก ถูกประหารชีวิต หรือขโมยเขา ต้องขึ้นศาล ถูกเขาจับเข้าคุก นี่เห็นบทชัดเจน แต่กฎหมายทางวิญญาณ ที่ไบเบิ้ลพูดถึง คือกฎหมายฝ่ายศีลธรรม ฝ่ายจิตใจ เป็นกฎหมายข้างในใจ มีการลงโทษหรือไม่ลงโทษ มีสำนึกอยู่ในใจ เราเรียกกันว่ากฎทางด้านศีลธรรม มันไม่มีบทลงโทษอย่างชัดเจน แต่ในจิตใจมนุษย์ทุกคนลึกๆ รับรู้ว่านี่คือกฎแห่งบาปบุญคุณโทษ เรารู้อยู่ข้างใน ซึ่งรวมความแล้ว คือกฎหมายทางด้านศีลธรรม

พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกไว้ว่ากฎเหล่านี้ คือบทบัญญัติทางด้านศีลธรรมที่อยู่ในใจของมนุษย์ ไม่ได้พูดคำนี้ ผมสรุปให้ทั้งหมดว่ากฎหรือธรรมบัญญัติเหล่านี้ มันเป็นเหมือนกับน้ำยาซักฟอกผ้าขาว ที่เราได้ยินโฆษณา

ถามว่าน้ำยาซักฟอกนี้ ประโยชน์มีไว้ทำอะไร? น้ำยาซักฟอก ก็มีไว้สำหรับซักผ้าที่มันสกปรก ให้มันสะอาดขึ้น ฉะนั้น น้ำยาซักฟอกผ้า จึงจำเป็นสำหรับผ้าที่สกปรกเท่านั้น กฎระเบียบ หรือบัญญัติที่วางไว้ ก็เช่นเดียวกัน ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอก กฎบัญญัติระเบียบทางด้านศีลธรรม มีไว้ก็เพื่อซักฟอกวิญญาณจิตที่สกปรก ให้สะอาด ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีทางที่จะซักจนสะอาดหมดจดได้เลย พระคัมภีร์บอกว่ามันต้องค่อยๆ ซักอยู่เรื่อยๆ ซักเท่าไรก็ไม่มีวันสะอาดหมดจด เป็นไปไม่ได้เลย

ฉะนั้น สรุป ก็คือกฎบัญญัติทางด้านศีลธรรม ที่ในพระคัมภีร์เรียกว่ากฎธรรมบัญญัตินั้น จึงจำเป็น สำหรับวิญญาณที่สกปรกเท่านั้น ในพระคัมภีร์บอกว่ายิ่งซักเท่าไร? ก็ยิ่งจะรู้ว่าวิญญาณมันสกปรกมากจริงๆ พอรู้ว่าสกปรกมาก ก็เลยยิ่งจำเป็นต้องซักมากขึ้นอีก อย่างน้อย ก็เพื่อให้มันสกปรกน้อยลง เพราะรู้ตัวว่ามันสกปรก อยากเอามันออกไป เจอสกปรก ยิ่งซักอีก นึกว่ามันจะขาว ไม่ขาว ซักต่อ พอมองเห็นภาพไหม?

ความสกปรกตรงนี้ ก็คือคำสาปแช่ง ความบาปที่อยู่ในจิตใจของมนุษย์ อยู่ในวิญญาณของมนุษย์ มนุษย์เป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกไว้ วิญญาณเขาจึงสกปรก ไม่บริสุทธิ์นั่นเอง จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติ ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนน้ำยาซักฟอกผ้าขาว เขาจึงจำเป็นต้องใช้ มาคอยชำระความสกปรกตลอดเวลา ซักให้สะอาดขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ก็ต้องค่อยๆ มาชำระกันไปเรื่อยๆ

ชำระความสกปรกให้มันออกไปจากวิญญาณ เพราะมนุษย์ทุกคนรู้อยู่ในจิตใจของทุกคน ลึกๆ ว่าตัวเองเป็นคนบาป สกปรก และต้องการจะให้มันสะอาด ไม่อยากสกปรกอย่างนั้น ข้างในลึกๆ รู้ อยากให้มันสะอาด เขาถึงขวนขวายหาน้ำยาที่ดีๆ มารักษาความสะอาด มาเอาความสกปรกออกไป ไปหาน้ำยาดีๆ มาล้างจิตใจที่สกปรกนั้น ให้มันออก

นี่คือต้นเหตุของการเกิดศาสนาทั้งปวงบนโลกใบนี้ ตั้งแต่นั้นมา ไม่ใช่ศาสนาอย่างเดียว ลัทธิด้วย เกิดความเชื่อต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมา ทั้งหมดพุ่งไปที่ที่เดียว ก็คือต้องการที่จะล้างข้างใน เพราะรู้ว่ามันสกปรก ยิ่งทำ ก็ยิ่งรู้ว่ามันสกปรก ก็ต้องหาวิธีล้างมัน  เขาเรียกว่าแสวงหาการหลุดพ้น หลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ก็คือหลุดพ้นจากความสกปรก จะเห็นชัดที่มาของศาสนานั่นเอง

ก่อนที่พระเยซูจะมาประสูติ กฎธรรมบัญญัติเดิม บันทึกไว้ว่าให้มนุษย์ไปปกคลุมบาปตนเอง โดยใช้เลือดสัตว์เป็นการไถ่บาป ขอรับการอภัย จากพระเจ้า ก็คือการชำระซัก โดยใช้น้ำยาล้างเป็นเลือดสัตว์ นี่คือหนึ่งในความเชื่อ ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ ในยุคนั้น จะมีกฎ ถ้ารู้ตัวว่าตัวเองบาป อยากจะชำระให้มันสะอาดขึ้นบ้าง ทำอย่างไร?  ซึ่งก็กระทำโดยตัวแทน เราเรียกว่ามหาปุโรหิต หรือปุโรหิต และต้องทำเป็นประจำทุกปี ปีละครั้ง โดยนำเอาเลือดสัตว์เข้าไปถวายพระเจ้า เลือดสัตว์นี้ ก็เหมือนกับน้ำยาล้างทำความสะอาด เป็นการปกคลุมความผิดบาป ที่ได้ทำมาตลอดทั้งปี แค่นั้น  ล้างอย่างไรก็ไม่หมด จำเจอยู่ตรงนั้น

หลังจากที่พระเยซูได้หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน   ในวันศุกร์ประเสริฐ      ในเทศกาล อีสเตอร์แรกของโลก เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเยซูได้หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน กฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ ก็ได้ถูกยกเลิกไป เพราะพระโลหิตของพระเยซูได้ทรงชำระล้างความสกปรกในวิญญาณของมนุษย์หมดเลย เกลี้ยงเลย จบเลย ฮีบรู 9:11-12 บันทึกไว้ …

ฮีบรู 9:11-12 “11 แต่เมื่อพระคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐ ซึ่งมาถึงแล้ว  ก็ได้เสด็จเข้าไปสู่เต็นท์อันใหญ่ยิ่งกว่าแต่ก่อน (ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือ คือไม่ใช่เต็นท์แห่งโลกนี้)   พระองค์เสด็จเข้าไปในอภิสุทธิสถานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น 12 และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป และทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์”

 

ผมจะเอาตรงนี้มาใส่ให้ท่านแทน เป็นภาษาพูดปัจจุบัน ท่านจะเห็นภาพ …

“พระเยซูไม่ได้นำเอาเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำน้ำยาซักฟอกผ้าอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เข้าไป  และทรงสำเร็จการไถ่บาป และทรงชำระล้างสิ่งสกปรกที่มีคราบฝังลึกๆ ในวิญญาณของมนุษย์ทั้งปวง จนหมด เปลี่ยน กลายเป็นผ้าใหม่เอี่ยม ขาวสะอาดเลย”

เห็นภาพหรือยังครับ? พระเยซูเข้าไป ไม่ได้เอาน้ำยาซักฟอกผ้าเหมือนแต่ก่อนนี้เข้าไป คือเลือด พิธีกรรม แต่พระองค์เข้าไป โดยเลือดของพระเจ้าเอง คือเลือดของพระองค์ เลือดของผู้บริสุทธิ์เข้าไป เลือดนั้น คือน้ำยาซักฟอกผ้า ยี่ห้ออัศจรรย์ยิ่งใหญ่ รักษาคราบฝังลึกข้างใน หมดจดสิ้น ไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว แต่เป็นผ้าใหม่เลย เปิดดู 2 โครินธ์ 5:17 …

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดเชื่อในข่าวดีของพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!”

 

สิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามา สะอาดหมดจด ณ วินาทีที่ท่านเชื่อแล้ว ไม่ต้องรอให้จากโลกนี้ไป ไม่ต้องรอให้ท่านตาย ตามภาษาชาวบ้าน ขณะที่ท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์จริงๆ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าประทานให้ เป็นพระมาซีฮา เป็นแพะรับบาป ที่พระเจ้าส่งมาให้ท่าน มนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งท่านด้วย พอเชื่อปุ๊บ พระเยซูเท่ากับเอาบาปท่านออกไปแล้ว ชำระท่านด้วยพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปี ชำระล้างวิญญาณท่านที่สกปรกมาตั้งนานแล้ว เหมือนใหม่เลย  อยู่ในที่ดำๆ ไม่ได้แล้ว ก็มาอยู่ในอาณาจักรสว่าง ที่เราเรียกกันว่าสวรรค์ของพระเจ้า ทันทีทันใดเลย วิญญาณของเรานั่งอยู่ตรงนี้ จึงเป็นอิสรภาพ จะทำอะไรก็ได้

สำคัญที่สุด พระเยซูทรงนำโลหิตของพระองค์ที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เข้าไปหาพระเจ้าเพียงครั้งเดียว ก็สามารถไถ่บาปจนหมดสิ้นนิรันดร์เลย เอเมน

เมื่อทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ ความบาปของมนุษย์ไม่ว่าจะติดตัวมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ คืออาดัมเอวา หรือตัวเองเกิดมา ทำบาปก็ตาม ทำในอดีต ในปัจจุบัน แม้กระทั่งบาปในอนาคต ที่เราอาจจะทำ หรือต้องทำอยู่แล้วแน่ๆ ก็ได้รับการชำระล้างจนหมดสิ้นแล้ว

ถ้าท่านไม่มีรากฐานของความเชื่ออย่างนี้  มันก็จะมีปัญหาไปเรื่อย ถามไม่มีจบสักที มันจะยุ่งวุ่นวาย จะแบ่งเป็นก๊กไปหมดเลย ชีวิตมันก็ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข ท่านไม่มีโอกาสที่จะประกาศข่าวดีของพระเยซูได้ตามน้ำพระทัยของพระองค์จริงๆ ท่านจะเป็นผู้ที่คนอื่น เห็นข่าวดีที่อยู่ในชีวิตของท่าน เพราะคริสเตียนไม่ใช่ศาสนา คริสเตียนไม่ใช่หลักข้อเชื่อ คริสเตียนเป็นประวัติศาสตร์ มีความจริงในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเท่านั้นที่พูดอย่างนี้  ที่ผมอธิบายให้ท่านดูอย่างนี้ ทุกศาสนาก็อยากให้คนเป็นคนดี ใช่ ทุกศาสนาก็อยากให้คนมีศีลธรรม ใช่ แต่คริสเตียนบอกไม่ใช่ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว ท่านสะอาดหมดจดแล้ว ท่านทำอะไรก็ได้ ท้าอย่างนี้เลย

เมื่อวิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีกฎระเบียบ ซึ่งเราไล่กันมาตั้งแต่ต้นแล้วว่ากฎระเบียบ ก็คือกฎทางด้านศีลธรรม เมื่อไม่ต้องมีกฎทางด้านศีลธรรม หรือธรรมบัญญัติ เขาจึงเรียกว่าเป็นอิสระจากกฎ พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นอิสระจากกฎ พระเยซูจึงบอกว่าท่านจะเป็นอิสระ เมื่อเชื่อในเรา เชื่อว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าส่งพระองค์มา เพื่อไถ่บาปให้กับเรา ถ้าใครเชื่อ เขาจะเป็นอิสระจริงๆ

เมื่อเราเป็นอิสระ หลุดพ้นจากกฎระเบียบต่างๆ เหมือนผ้าขาวสะอาดหมดจด จึงไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาซักฟอกใดๆ อีกต่อไป โลหิตพระเยซู ซึ่งเป็นพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีตำหนิเลย ชำระล้างเราให้สะอาดบริสุทธิ์เป็นใหม่เอี่ยมเลย เข้าไปอยู่กับพระเจ้า เป็นชนิดเดียวกับวิญญาณของพระเจ้า และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

คือแนบสนิทกับพระองค์ ไปไหนไปด้วยกันตลอดเวลา ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเชื่อ ณ บัดนี้ ท่านยังอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะเดียวกันท่านอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน สะอาดหมดจด ไม่มีใครมาทำอะไรท่านได้แล้ว เพราะท่านอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดอยู่กับท่าน ครอบครองท่าน ปกคลุมท่านอยู่ตลอดเวลา ไปไหนก็ไปด้วย ไปห้องน้ำ ก็ไปด้วย ท่านจะไปกินเหล้า พระองค์ก็ไปด้วย แต่พระองค์ไม่กินกับท่านนะ เข้าใจใช่ไหมครับ? ท่านโมโหพระองค์ก็อยู่กับท่าน ท่านกำลังโกรธ พระองค์ก็อยู่กับท่าน ท่านกำลังโลภ พระองค์ก็อยู่กับท่าน แล้วทำไมต้องบอกว่าอธิษฐาน พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วเวลาไม่อธิษฐาน พระเจ้าไม่อยู่ด้วยหรือไง? แล้วชีวิตมันจะเป็นอย่างไร? เข้าใจหรือเปล่าครับ? ผมกำลังจะบอกท่าน วันนี้ไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร? วันหนึ่งไปใคร่ครวญอย่างนี้ตลอดเวลา คิดสิว่าสิ่งที่ผมกำลังพูด คืออะไร? ถ้อยคำพระเจ้าทั้งสิ้น

สุดท้าย ผมจะให้ท่านเห็นว่าไม่มีใครมาแยกท่านออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อท่านมาเชื่อแล้ว ท่านก็มาอยู่ในอาณาจักรแสงสว่าง ในโรม 8:38-39 …

โรม 8:38-39 “38 เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่าแม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย 39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

นี่คือเรานั่งอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ตอบสิว่ามีใครเอาท่านออกไปได้ไหม?  พระเจ้าก็อยู่ข้างท่าน พระเยซูก็อยู่ข้างท่าน ทูตสวรรค์มากมายอยู่ข้างท่าน ถ้ามีคนเอาออกไปได้ ก็ไม่ต้องไปเชื่อแล้วพระเจ้า นี่คำพูดพระเจ้า แล้วยังมีคำพูดอีกเยอะแยะในนี้มากมาย เราค่อยๆ เรียนรู้กัน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 12 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  กุมภาพันธ์  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 12 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้

แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรื่อง  “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”  ตอนที่ 12 ชื่อตอนว่า “เราได้รับอนุญาต ให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์”

ความจริงทั้ง 11 ตอนที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะวนเวียนกัน ย้ำกันอยู่ตรงนี้ว่าเมื่อเราได้มาเชื่อในพระเยซูแล้ว เราก็ได้ย้ายออกจากอาณาจักรเดิมของเรา คืออาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาอยู่ในอาณาจักรใหม่ที่มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง หรืออาณาจักรของพระคริสต์

เราอาจจะบอกว่าเราเป็นคนชอบอ่านพระคัมภีร์ อ่านวันละ 2 ชั่วโมง แล้วอีก 22 ชั่วโมงทำอะไร?  22 ชั่วโมงนั่นแหละ คือการเรียนรู้พระเจ้า จากชีวิตของเรา  เพราะฉะนั้น การอ่านพระคัมภีร์มิได้หมายถึงจะรู้จักพระเจ้าเสมอไปเยอะๆ แต่การใช้จิตใจ อยากจะรู้จักพระเจ้า ตรงนี้มากกว่าที่มันตลอด 24 ชั่วโมง แม้หลับ คิด ฝัน มันยังจะคิดถึงพระเจ้าตลอด เอเมนไหม?  ไม่ใช่ว่าทุกวันท่านฝันถึงอย่างอื่นไม่ได้ อาจจะฝันได้บ้าง อาจจะเป็นเพราะกินเยอะไปตอนหัวค่ำ หรืออาจจะท้องอืดก่อนนอน แต่แม้กระทั่ง ท่านฝันอะไรที่ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า ตื่นขึ้นมาท่านก็นึกถึงพระเจ้า เมื่อคืนนี้ฝันอย่างนี้ มันหมายถึงอะไร? มันคืออะไรในเรื่องของพระเจ้า เข้าใจไหม?  คือชีวิตอยู่กับพระเจ้าตลอดเวลา และสิ่งเหล่านี้ได้เรียนรู้ตลอด 24 ชั่วโมงกับพระเจ้า แล้วเราอยากจะรู้จัก เราก็อธิษฐานกับพระองค์เสมอ จากเคยอธิษฐานเยอะแยะ ขอโน่นขอนี่อะไรต่างๆ มากมาย จนเดี๋ยวนี้  อธิษฐานนิดเดียวเอง สั้นๆ ว่า …

“อยากจะรู้จักพระองค์มากขึ้น อยากจะให้พระองค์ประทานสติปัญญาที่เราจะเข้าใจพระเยซูคริสต์มากขึ้น เข้าใจแผนการไถ่ของพระเยซูคริสต์มากขึ้น  เข้าใจเรื่องข่าวประเสริฐมากขึ้น ขอบอกที เปิดตาวิญญาณลูกทีเถอะ ให้ลูกรู้จักพระองค์มากขึ้น”

แค่นี้ แล้วทั้งวัน มันก็คืออธิษฐานอย่างนี้แหละ อยู่ในใจ เราอยากเรียนรู้ พออะไรนิดหนึ่งขึ้นมา ไม่ได้ อยากจะรู้ มันคืออะไร?  บางครั้ง ก็ไปค้นหาทั้งประวัติศาสตร์ที่มนุษย์เขียน เรื่องราวของมนุษย์ บางครั้งก็ไปค้นพระคัมภีร์บ้าง? ศึกษา บางครั้งก็ไม่เข้าใจ ก็ทิ้งมันไว้อย่างนั้น ก็อยากจะรู้ ปล่อย วันหนึ่งข้างหน้า มันก็รู้ขึ้นมาเอง โดยอะไรหลายๆ อย่าง ที่พระเจ้าสอนเรา บอกเราโดยไม่ได้บอกเป็นข้อความ แต่บอกเป็นชีวิตว่าอันนี้ พอถึงวันนั้น เราก็จะ “อ๋อ” ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนี้ นี่แหละคือการเรียนรู้จากพระเจ้ามากขึ้นทุกวันๆ

เรามั่นใจแล้วว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นแพะรับบาปให้กับเรา พระองค์เอาบาปเราออกไปแล้ว เราไม่มีบาปอีกต่อไป ไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้า กลับมาเป็นมิตร เป็นลูกพระเจ้าเหมือนเดิม กลับมาอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ซึ่งเรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว ทันทีทันใดเลย ที่วิญญาณรับเชื่อจริงๆ  พูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า พระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วิญญาณเราได้ถูกย้ายมานั่งที่นี่แล้ว ณ เวลานี้ เดี๋ยวนี้ ทันที ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน

พระเยซูบอกใครก็ตามที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาพระเยซู เขาจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูพูดกับเราในอดีตอย่างนี้ สำหรับผมคนเดียวนะ แล้วสำหรับท่านทั้งหลายที่ต้อนรับพระเยซูไปแล้ว อดีตก็คือพระเยซูบอกเราใช่ไหม? มารู้จักเรา เราจะทำให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข ใครที่คิดว่าเหนื่อยจงมาหาพระเยซู ผมก็เหนื่อย ท่านก็เหนื่อย เหนื่อยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทั้งการกิน การอยู่ และรวมทั้งวิญญาณที่เรียกร้อง อยากจะชดใช้บาปเวรกรรมของตัวเอง รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป ไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะหมดสักที เหนื่อยมาก แสวงหาแล้วแสวงหาอีก ก็เหนื่อย  จนมาพบพระเยซู แล้วก็เชื่อฟังพระเยซู เราก็หายเหนื่อยและเป็นสุข

เราหายเหนื่อยและเป็นสุข ภาษาพระคัมภีร์ เขาเรียกตรงนี้ว่าความหวังใจ ถามว่ามันหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะมันรวยขึ้นเหรอ บางคนบอกรวยขึ้นนิดหนึ่ง บางคนก็บอกโซๆ บางคนก็บอกแย่ลงกว่าเก่าอีก ทำแล้วแข็งแรงขึ้นไหม? บางคนตอนมาหาพระเยซู กะว่าพระเยซูจะมาทำการอัศจรรย์ รักษาโรคให้หาย ทุกวันนี้เป็นหนักกว่าเดิมอีก แต่บอกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะมันอยู่ในใจ เรามีความหวังใจในชีวิต ความหวังใจนี้ คือความเชื่อที่มีอยู่ลึกๆ ในใจ บอกใครก็ไม่ได้ แต่มันออกมาที่ใบหน้า และคำพูดของเราว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข แม้บนโลกใบนี้ เราอาจจะพบกับความทุกข์ยากลำบากอะไรต่างๆ นานา อุปสรรคในการดำเนินชีวิตต่างๆ เหมือนกับคนทั่วๆ ไป แต่ข้างในมันไม่ใช่แล้ว เรามีพระเจ้าสถิตกับเรา เดินไปกับเราตลอดเวลา ท่ามกลางพายุร้าย ท่ามกลางอุปสรรคปัญหาต่างๆ เราไม่กลัว เพราะว่าพระเจ้าเดินอยู่กับเราบนโลกใบนี้ เรารู้ เพราะว่าอยู่ในใจ ตรงนี้ จึงเรียกว่าความหวังใจ คริสเตียนต้องมีความหวังใจ

สำหรับอาณาจักรสวรรค์ มีประตูเดียว คือประตูทางเข้า ไม่มีประตูทางออกเลย เมื่อเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู พระเยซูกอดรัดแน่น ใครก็เอาเราออกจากพระหัตถ์ของพระองค์ไปไม่ได้เลย ไปอ่านดูในหนังสือโรม บทที่ 8 ทั้งบทเลย

นี่คือการหายเหนื่อยและเป็นสุข นี่คือความสบายใจ ที่พระคัมภีร์ย้ำยืนยันกับเรา ทำให้เรารู้สึกมั่นใจว่าตอนเข้ามาก็ไม่ใช่ด้วยกำลังของเราเอง และเข้ามาแล้ว จะหลุดออกไปหรือไม่? ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราแล้ว เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ถ้าพระองค์ใหญ่จริง เป็นพระเจ้าจริง เราเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า ไม่มีใครเอาเราออกไปได้ พระคัมภีร์สอนให้เราระมัดระวัง รักษาความเชื่อ ความหวังใจนี้ไว้

คำว่า “รักษาความเชื่อ” ที่พระคัมภีร์บอกเรา หรือว่าคริสเตียนเราบอก รักษาความเชื่อให้ดีๆ มันหมายถึงถ้าเราไม่รักษาความเชื่อ เราจะหลุดจากความเชื่อ แล้วเราจะกลับไปอยู่ที่มืด มันไม่ใช่  คำว่า “รักษาความเชื่อ” “รักษาความหวังใจ” ตรงนี้หมายถึงตอนที่คนนี้ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เมื่อข่าวประเสริฐวันแรกมาถึงผม เมื่อตอนอายุสัก (สมมติ) 14 ปี ผมได้ยินแล้ว ผมก็ชอบ ชอบฟัง ชอบสนใจ แล้วผมก็ไม่ติดตามต่อไป ผมเฉยๆ ผมไม่ได้รักษาความเชื่อ ที่ผมเชื่อเขาตั้งแต่แรก ที่ตั้งแต่มิชชั่นนารีเล่าให้ผมฟัง ผมปล่อยมันไป ผมไม่ได้สนใจมัน ผ่านมาอีกตั้งเกือบ 20 ปี  ผมก็ได้ยินมาตลอด 20 ปีนี้ ก็เฉยๆ ไม่รักษาความเชื่อด้วย จน 20 ปี ผมตั้งใจฟัง แล้วผมก็ตั้งใจรักษาไว้ ประมาณเกือบปี จนในที่สุด ความเชื่อที่ผมรักษาไว้ มันเกิดเปรี้ยงขึ้นมา เป็นปากผมพูด ผมเชื่อพระเยซูว่าเป็นผู้ช่วยให้รอด เชื่อในข่าวประเสริฐนี้แล้ว ผมต้อนรับพระเยซู จากใจของผมจริงๆ ทันทีทันใดนั้น  ผมถูกเปลี่ยน มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เป็นคริสเตียนแท้ๆ จริงๆ มาอยู่ในนี้  และจะไม่หลุดออกจากนี้ ไปอีกแล้ว ไม่ต้องรักษาอีกแล้วตอนนี้ เอเมน

เพราะฉะนั้น อย่าเข้าใจผิด ไม่ต้องกลัว ต้องรักษาความเชื่อ พระเจ้าช่วยลูกด้วย  ลูกจะกลับไปตกนรกหรือเปล่า?  ช่วยลูกเชื่อในพระเยซู ไม่ต้องมีอย่างนั้นอีกแล้ว ท่านไม่ต้องอธิษฐานอย่างนั้นอีกแล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว บางครั้งท่านอาจจะรู้สึกว่าไม่เชื่อ บางครั้งรู้สึกดื้อดึง มันเป็นเนื้อหนังข้างนอกเท่านั้น แต่วิญญาณท่าน ท่านเชื่อแล้ว ได้รับการเจิม หรือว่าได้รับฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากการที่ท่านเชื่อด้วยใจและพูดด้วยปาก ตามโรม 10:10 แล้ว มันเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าทันที ไม่ต้องรักษาความเชื่ออีกต่อไป เอเมน

ในสวรรค์นี้ เขาไม่ต้องมีความเชื่ออีกต่อไป  ความเชื่อ ความหวังใจเป็นของผู้ที่เริ่มต้นจะต้องรักษาไว้ จนกระทั่งมันเกิดผลขึ้น เกิดผลแล้ว ไม่ต้องรักษาแล้ว จากนี้ก็ Enjoy life ก็คือหายเหนื่อยและเป็นสุข ดำเนินไปกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดไป ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น  ตอนนี้เริ่มต้นเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ อธิษฐานแค่ 5 นาที ตอนหลังๆ อธิษฐาน 50 นาทียังไม่พอเลย  เพราะเขาบอกยังไม่พอ ต้องมากกว่านั้น ต้องให้ได้ 3 ชั่วโมง ถึงจะมีความมั่นใจว่าเรารักษาความเชื่ออยู่ อธิษฐานไป 3 ชั่วโมง ไปได้สักพักหนึ่ง ในใจรู้สึกว่ายังไม่พอ ยังต้องทำได้มากกว่านั้นอีก คือนอกจากอธิษฐาน 3 ชั่วโมงแล้ว ต้องอดอาหารด้วย ก็อดอาหารสิ พออดอาหารไป ไม่พออีกแล้ว ต้องทำต่อนะ นี่มันหลอกเรา อย่างนี้ไง ไม่มีวันจบ ก็เลยกลับมาที่เดิม ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข เหนื่อยเหมือนเดิม คือต้องกลับมาที่เราทำอีกแล้ว ทำเพื่อจะได้รับความรอด จริงๆ มันรอดไปแล้ว

ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรก พระเจ้าบอกว่าในสวนเอเดน เจ้าจะทำอะไรก็ได้ มีอิสระทุกอย่าง เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าห้าม คือห้ามกินผลไม้ต้องห้าม ซึ่งผมเองเดี๋ยวนี้ ผมมั่นใจว่าตรงนี้ไม่ได้หมายถึงกินผลไม้เป็นความสำคัญ ผมว่าเป็นเชิงสัญลักษณ์มากกว่า เพราะไม่รู้จะบันทึกอะไรให้มนุษย์เข้าใจ เอาเขียนแค่นี้ว่าไม่เชื่อฟัง ก็คือเป็นเชิงสัญลักษณ์ คือขอเพียงอย่างเดียว คือเชื่อฟังพ่อเท่านั้น พ่อบอกให้ทำอะไร? ก็ทำตาม เข้าใจใช่ไหม? ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อฟังพ่ออย่างเดียวเลย พ่อ คือพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ พระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้เป็นอย่างนั้น  ไม่รู้อะไรดีไม่ดีไม่รู้ พ่อให้ ก็ทำ พ่อบอกอย่างนี้ ก็อย่างนี้ เข้าใจใช่ไหม แล้วอะไรที่ทำให้อาดัมและเอวาขัดคำสั่งพระเจ้า “ขัดคำสั่ง” ก็คือไม่เชื่อฟัง ซึ่งเรียกว่าบาป อะไรทำให้เขาไม่เชื่อฟัง ฝืน เชิงสัญลักษณ์ คือพระเจ้าบอกว่าอย่ากิน เขาก็ไปกิน ทำตรงกันข้าม ก็คือไม่เชื่อฟัง สิ่งที่ทำให้มนุษย์ขัดคำสั่งพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ทำบาปต่อพระเจ้า ก็คือการล่อลวงของมาร ซึ่งมีศัตรูอีกฝั่งหนึ่ง

มารล่อลวงว่าถ้าได้กินผลไม้นี้แล้ว จะมีปัญญาเหมือนพระเจ้า คือรู้ดีและรู้ชั่ว เหมือนกับรู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ฟังให้ดีๆ ท่านอาจจะฟังว่าการรู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ไม่ดีตรงไหน? พอเจอการล่อลวงแบบนี้เข้า  มนุษย์คู่แรกก็อยากเป็นเหมือนพระเจ้า อยากมีสติปัญญาเหมือนพระเจ้า ก็เลยกบฏต่อพระเจ้า ฝืนคำสั่งของพระเจ้า ไม่เชื่อฟังแล้ว เพราะอยากจะไปแทนพระเจ้า ไม่ต้องการพึ่งพระเจ้าแล้ว

พระเจ้าบอก “เธออยู่เป็นลูกฉัน ฉันรักเธอมาก เธอเชื่อฉันอย่างเดียวพอแล้ว ไม่ต้องทำอะไร?”

ลูกบอก “ไม่ ฉันจะดูแลตัวฉันเอง มีอะไรไหม?”

มันแปลว่าอย่างนั้น  ก็ฝืน ซึ่งเรียกว่ากบฏ เรียกว่าบาป … บาป คือกบฏ สิ่งที่พระเจ้าบอกไม่ทำ เราจะทำ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความบาป กบฏ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาของมวลมนุษยชาติ และรวมถึงทุกสิ่งบนโลกใบนี้ เพราะมนุษย์อยากจะอยู่ด้วยตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อฟังพระเจ้าอีกต่อไป พอเริ่มมีความบาปเข้ามา ก็ถูกแยกออกจากพระเจ้า อยากอยู่ด้วยตัวเอง มันก็จะเกิดสิ่งที่เสียหาย ซึ่งเราเรียกว่าคำสาปแช่ง มนุษย์ก็เริ่มพยายามทุกอย่าง ในการที่จะกระทำการลบล้างความบาป ไม่อยากเป็นศัตรูกับพระเจ้า รู้ว่าการสาปแช่งเข้ามาแล้ว ความทุกข์เข้ามาแล้ว ไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว อยากหลุดพ้นออกไป  เพราะรู้ดีว่าความบาปมันไม่ดี มันสกปรก มันไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ ถ้าเลือกความบาป ก็ต้องเลือกอยู่ด้วยตัวเองเลย  ไม่มีพระเจ้าอยู่กับเราแล้ว และรู้ดีว่าโทษของความบาปนั้น คือความตาย ก็คือวิญญาณจะไม่อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ มนุษย์รู้ดีว่าตัวเองจะอยู่ตลอดไป  ไม่มีวันสูญสิ้น เพราะวิญญาณเขามาจากพระเจ้า แต่สถานที่เขาอยู่ ไม่มีพระเจ้านิรันดร์ มนุษย์จึงโหยหา ที่จะหลุดจากความบาปนี้ กลับไปหาพ่อของเขา ผู้สร้างเขา เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ที่เชื่อแบบไหนก็ตาม ในวิญญาณเขาไขว่คว้า ที่จะกลับไปที่เดิมของเขา กลับไปอยู่กับพระเจ้าผู้สร้างเขา เพียงแต่เขาจะหาเจอหรือไม่? เขาก็พยายามทุกวิถีทาง ผมถึงบอกบ่อยๆ ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น  ที่แสวงหาทางวิญญาณ เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ

มนุษย์จึงสอนกันต่อมาเรื่อยๆ แต่ละยุค แต่ละสมัย ตั้งแต่อาดัมว่าเราอยู่ในความบาป เราต้องทำให้พระเจ้าพอพระทัย เราจึงจะได้พ้นจากบาปเราบ้าง พยายามนะๆ ลูกเอ๋ย ทำตามกฎ ตามระเบียบ เพื่อเป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามากที่สุด เพื่อเราจะได้หมดบาป พระเจ้าจะกลับเข้ามาเหมือนเดิม สอนให้ทำดี เพราะเขารู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี มนุษย์หลายๆ คนก็ยังยึดติดอยู่กับความคิดเดิมๆ ที่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ คือ …

“ฉันต้องทำ เพื่อได้รับความรอดให้ได้ อยู่ดีๆ จะมีคนหนึ่ง ที่ชื่อพระเยซู มาช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปเวรกรรม มันไม่น่าเป็นไปได้ และมันต้องเป็นไปไม่ได้แน่ๆ  คนเราต้องใช้เวรกรรม ด้วยตนเองสิ ต้องสั่งสมบารมี แล้วก็ใช้ไปจนหมด วันหนึ่งมันต้องหมด จะกี่พันปี กี่หมื่นปี ฉันไม่รู้ ฉันต้องใช้ด้วยตัวเองให้หมด”

มันก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ก็คือการแย้งกับข่าวดีของพระเจ้าว่าพระเยซู พระเจ้าทรงประทานให้มาไถ่มนุษย์ ให้หลุดพ้นจากบาป ง่ายๆ ฟรีๆ เรียกว่าพระคุณแล้ว แต่ก็มีคนที่ไม่เชื่อ เพราะอยากจะดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ

ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์จะอธิบายอย่างชัดเจนว่าพระคุณพระเจ้า คือบทบัญญัติทั้งหลาย ได้ถูกกระทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว โดยพระเยซูคริสต์มาทำแทนแล้ว เป็นแพะผู้รับบาปให้เรียบร้อยแล้ว อธิบายอย่างชัดเจนว่ามนุษย์ทั้งปวง ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า แบบนิรันดร์แล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เราได้รับความรอดนิรันดร์แล้ว เมื่อพระเยซูทรงทำให้เราสะอาดหมดจดแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น วางใจ และหายเหนื่อย และเป็นสุขเถิด  คนไหนที่ต้อนรับ ก็หลุดพ้นจากการพึ่งตัวเอง คนไหนที่ไม่ต้อนรับ ก็ยังคงพยายามด้วยตัวเองต่อไป ซึ่งมันทำไม่ได้

ขนาดพระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนขนาดนี้  แต่เนื้อหนังมนุษย์อย่างที่บอกไว้ มันมีอิทธิพลของความบาปอยู่ มันก็ไม่วายที่จะย้อนกลับไป เหมือนเดิมอีก คือพยายามด้วยตัวเอง แล้วก็บอกตัวเอง แล้วก็สอนลูกหลานต่อไปว่า …

“เราได้รับความรอด โดยพระคุณแล้วก็จริงนะ มีพระเยซูมาแล้วก็จริงนะ แต่ก็ยังต้องรักษาการดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์ คือผสมแล้ว”

เชื่อพระเยซูไหม? เชื่อ แต่ต้องทำไหม? ต้องทำ ไม่ทำ ไม่บริสุทธิ์นะ มันก็เลยอะไรก็ไม่รู้ ครึ่งๆ กลางๆ

“เชื่อพระเยซู ได้รับความรอดหรือยัง?”

“ได้รับความรอดแล้ว”

“เป็นนิรันดร์หรือเปล่า?”

“เป็นนิรันดร์แล้ว”

“แล้วถ้าเธอไม่อธิษฐาน เธอไม่มาโบสถ์ เธอตกนรกนะ”

“อ้าว! ไปตกอย่างไร?”

งง ตีกันยุ่ง วุ่นวาย ต้องถวายสิบลด ถ้าไม่ถวายสิบลด ต้องตกนรก อ้าว! …

“เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราดำเนินชีวิตด้วยความบริสุทธิ์แล้ว โดยที่ไม่ต้องทำอะไรก็บริสุทธิ์แล้ว”

แต่อีกฝั่งหนึ่งบอก … “ไม่ได้ เธอเชื่อพระเจ้าแล้ว เธอจะต้องทำตรงนี้  ต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า”

มิฉะนั้นจะถูกพิพากษาลงโทษ ขู่อีกต่างหาก หลายคนก็เลยต้องทุกข์ทรมาน แทนที่จะหายเหนื่อย ตื่นตี 4 มาเฝ้าพระเจ้า อธิษฐาน เพราะเขาเทศน์มา บอกต้องอธิษฐาน พระเจ้าจะได้รักเรา จะได้อวยพรเรา  เราจะได้รักษาความเชื่อ อย่างนี้หรือเรียกว่าหายเหนื่อย พี่น้องเรา ญาติเราอาจจะไม่ได้เชื่อพระเจ้า เขาบอกชีวิตเรา ไหนบอกหายเหนื่อยและเป็นสุข เป็นสุขไม่ได้ถึงเดือนเลย มันเป็นจริงไหมเนี้ย นี่ยกตัวอย่างให้ท่านดู แล้วมาขู่เราว่าถ้าไม่ทำ จะถูกพิพากษาลงโทษ หรือถ้าไม่ทำตาม คำสอนของพระเยซู หนักกว่านั้น คือเมื่อตายไปแล้ว พระเยซูจะบอกว่า …

“เราไม่รู้จักเจ้า”

ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุขไม่พอ ยังพลอยหมดหวังอีก

ที่พระเยซูบอกว่า “ถึงวันนั้นแล้ว เราจะบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้า” หมายถึงใครก็ตามที่ปฏิเสธว่า …

“พระเยซู เป็นพระมาซีฮาห์ ใครก็ตามไม่เชื่อข่าวประเสริฐของพระเยซู ไม่เชื่อว่าพระเจ้าพระบิดาส่งพระบุตรมาเกิดบนโลกใบนี้ เพื่อไถ่บาปให้กับเธอ เพื่อเป็นแพะรับบาปให้กับเธอ ผู้นั้น เมื่อถึงวัน เราจำเป็นต้องบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้า ก็คือเธอไม่ได้รับความรอด เพราะเธอจะชดใช้บาปด้วยตัวเองไง”

มันหมายถึงตรงนี้ ก็เอาไปใช้ตรงนั้น ให้เหนื่อยเพิ่มขึ้น  สอนกันไป สอนกันมา จนบางคนเกิดเป็นกติกาของความเชื่อแบบคริสเตียน เหมือนฟาริสี คือรายการที่ห้ามทำ และยังมีรายการยาวเหยียดที่ต้องทำ เหนื่อยกว่าเดิม จนทุกวันนี้ ศิษยาภิบาลหรือผู้นำหลายคน ก็ยังคงเจอคำถามของสมาชิกอยู่ โบสถ์นี้ ก็ยังมีอยู่ แต่น้อยลงเรื่อยๆ น้อยมาก ที่มาถามว่าอย่างนี้ทำได้ไหม? … อันนั้นทำได้ไหม? … ไปวัดได้ไหม? … จุดธูปได้ไหม? … ไปเช็งเม้งได้ไหม?  … ไม่อธิษฐานก่อนกินข้าว ลืมไปได้ไหม? … ไม่ครบ 3 มื้อ อย่างนี้ต้องอธิษฐานไหม? … กินแค่ของว่างอธิษฐานหรือเปล่า?

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรัก และห่วงใยเราอย่างมากที่สุด ในโรม บทที่ 8 เพราะฉะนั้น ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถทำให้พระเจ้ารักเราได้มากกว่านี้อีกแล้ว และไม่มีสิ่งใดเอาเราออกไปจากมือพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว ท่านต้องปักข้อนี้เป็นข้อแรก เมื่อท่านมาเชื่อพระเจ้า ท่านต้องฝังข้อนี้ลงไปในวิญญาณท่านให้ได้ ฝังลงไปในความคิดจิตใจ ซึ่งมีอิทธิพลของความบาปอยู่ให้ได้ ให้ชนะมันว่า …

“ไม่ใช่ ฉันไม่มีวันไปที่อื่นอีกแล้ว อย่างไรก็ตาม ต่อให้ฉันเมื่อเช้านี้ว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ก็ตาม ฉันก็ไม่ลงนรก ไม่อย่างนั้น คนก็จะมาหลอกฉันอีกว่าบอกพี่น้องว่าไอ้โง่ลงนรกนะ ฉันอยู่ที่นี่แล้ว พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น ฝังมันลงไป”

ที่ความคิดจิตใจของเราว่ามันเป็นความจริงอย่างนั้น พระคัมภีร์บอกว่าสงครามมันเกิดขึ้น ที่ความคิดของเรา จงทำลายป้อมปราการแห่งความคิดนี้ ให้มันเชื่อฟังต่อถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า …

“ในพระคริสต์ ฉันเป็นผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด พ้นจากบาปเรียบร้อยไปแล้ว”

ส่วนเนื้อหนังร่างกายมันจะไปทำอะไรบางอย่าง ที่ตรงกันข้าม ส่งมาบอกว่ายังไม่บริสุทธิ์หรอก บริสุทธิ์ได้อย่างไร? ยังโกหกเขาอยู่เลย คนละเรื่องกัน นี่วิญญาณของฉันต่างหาก เอเมน

พระคัมภีร์บอกว่า …

“ฉันได้รับการชำระแล้ว ได้รับการไถ่ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ฉันเชื่อในพระเจ้า และจะเป็นอย่างนี้ ตลอดไปนิรันดร์ เอเมน”

เมื่อเราย้ายมาอาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้  ไม่ได้เป็นเรื่องของกฎ ข้อบังคับ ที่บอกว่าเราจะต้องทำอะไร? หรือห้ามทำอะไร? เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ รักษาความเป็นลูกของพระเจ้า  แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะของครอบครัว เป็นพ่อลูกกัน ที่ไม่มีอะไรจะมาตัดขาดความสัมพันธ์นี้ได้อีกแล้ว เรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นวิญญาณดวงเดียวกัน  เป็นเหมือนพระเจ้าเป๊ะ สะอาดบริสุทธิ์ หลายคนเอาไปแต่งเป็นเพลง เพราะได้สัมผัสตรงนี้

“When you cry I cry,  When you laugh I laugh,  When you  pray  I pray with you”

แปลว่า “พระเยซูบอกว่า “ขณะที่เจ้าโศกเศร้า ร้องไห้ เราร้องไห้กับเจ้า ขณะที่เจ้าหัวเราะ  เราหัวเราะกับเจ้า  ขณะที่เจ้าอธิษฐาน เราอธิษฐานกับเจ้า ขณะที่เจ้าเดินไปไหน เราอยู่กับเจ้า ขณะที่เจ้านอน เราอยู่กับเจ้า”

เราจำเป็นต้องยึดความจริง ตามที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูบอก …

“พระบิดากับลูกเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไร? ลูกอธิษฐานขอให้คนที่มาเชื่อลูกนั้น เขาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราทั้งสอง”

ไปไหนไม่ได้แล้ว ผมใช้คำว่า “ดองกัน” ที่ผมยกตัวอย่าง กระเทียมดอง ท่านไม่สามารถทำกระเทียมดอง ให้เป็นกระเทียมธรรมดาได้อีกแล้ว ท่านกับพระเจ้าดองกันอย่างนั้นแหละ ไม่มีกฎ ไม่มีระเบียบ มาบังคับอะไรอีกแล้ว อยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน  โดยธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

มีคำพูดเปรียบไว้อย่างนี้ว่ากฎหมาย หรือข้อบังคับต่างๆ เป็นความชัดเจน แบบขาวหรือดำ ที่กำหนดไว้ตายตัวว่าต้องทำอะไร? ห้ามทำอะไร? ปฏิบัติตาม ก็คือถูก ไม่ปฏิบัติตาม ก็คือผิด ถูกลงโทษ แต่การสอนของพระเจ้า ไม่ได้ชัดเจนแบบขาวหรือดำเสมอไป จริงอยู่พระคัมภีร์มีแนวทางสำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่ไม่ได้บันทึกเป็นแบบ list รายการว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้  นี่คือสิ่งที่จะต้องทำ และนี่คือสิ่งที่จะต้องไม่ทำ ไม่มี หมายถึงพระคัมภีร์ใหม่นะ เพราะถ้าเกิดเป็น list รายการแบบนั้น เราก็จะมีหน้าที่ทำตาม สุดท้าย เราก็พึ่งตัวเราเองนั่นแหละ ไม่ใช่พระคุณแล้ว ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น เราก็ไม่ต้องพึ่งพระเจ้า แค่ทำตามรายการด้านซ้ายที่บอกว่าต้องทำอะไร ก็ทำตาม ด้านขวาบอกห้ามทำอะไร? ก็ไม่ทำ มันก็ไม่ได้ใช้ความเชื่อ ไม่ต่างอะไรกับสมัยก่อนที่เราตั้งใจทำอย่างนี้

ถ้าพระเจ้าสอนเราด้วยวิธีนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องแสวงหาพระเจ้า เพราะมีกฎอยู่แล้ว ก็ทำตามสิ อันนี้บอกให้ทำ ก็ทำ อันนั้นบอกไม่ให้ทำ ก็ไม่ทำ ถามว่าเราจะไปพึ่งพระเจ้าตอนไหน? เห็นไหมความสัมพันธ์มันไม่ใช่พ่อลูกแล้วนะ มีกฎระเบียบมาขวางกั้น  เราจะอธิษฐานอะไรกับพระเจ้า ไม่ต้องติดต่อกับพระเจ้าแล้ว เพราะมีกฎบอกไว้แล้ว อะไรทำได้ อันนั้นทำไม่ได้  ในเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามกฎที่ถูกวางไว้ทั้งหมด แล้วเราก็ทำตามอย่างเดียว กฎข้อห้าม กฎข้อบังคับต่างๆ ไม่สามารถช่วยเราให้เจริญเติบโต มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราได้เลย เพราะวันๆ หนึ่ง คืนๆ หนึ่ง แทนที่จะไปหาพระเจ้า เราก็ไปดูที่กฎ อันนี้ทำได้ อันนี้ทำไม่ได้ แล้วเราก็เดินออกไป  เราก็ท่องอันนี้ทำได้ อันนี้ทำไม่ได้ เราไม่เคยคุยกับพ่อเรา

“พ่อสบายดีหรือเปล่า? วันนี้พ่อดีนะ โอเคนะ วันนี้อากาศดีมาก”

ไม่เคยพูดเลย เพราะวันๆ เราท่องแต่ว่าอันนี้ทำได้ อันนี้ทำไม่ได้ วันหนึ่งก็มีคนมาถาม

“เต๋ พ่อชื่ออะไร?”

“ลืมไปอ่ะ”

เพราะตื่นขึ้นมา ไม่ได้คุยกันเลย เพราะไปดูแต่กฎ ว่าพ่อเขียนไว้ว่าอย่างไร?  อย่างนั้นหรือ!  เราก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ พูดให้ท่านเห็นภาพเท่านั้น ท่านก็ต้องว่าไม่ใช่แน่นอน กฎของพระเจ้า มีเพียงข้อเดียว นั่นคือกฎแห่งความรอด ในวิญญาณในพระเยซูคริสต์ กฎแห่งความเชื่อในวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์  ในโรม 8:1-3 กฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ คือกฎที่เรียกว่าเชื่อพระเยซูว่าเป็นผู้ไถ่บาป คือรอด จบแล้ว แต่เราไปเขียนเยอะแยะ จนเราไม่มีโอกาสมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า  ถ้าเราใช้กฎของวิญญาณแห่งชีวิต ใช้ความเชื่อนี้ เราก็เอาเวลาเหลือทั้งหมด มาพูดคุยกับพ่อเรา สนิทสนมกับพ่อของเรา

แต่สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าไม่ได้สอนเราแบบขาวกับดำอย่างนี้นะ ว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ การทำตามกฎ อย่างที่บอก มันเป็นวิธีการของผู้ที่เรียกว่าเจ้านายชีวิตเรา เราเป็นทาสเขา พูดง่ายๆ คือมารใช้บังคับเรา ในอดีต แล้วเรามาอยู่ในความสว่าง เราไม่ควรกลับไปอยู่ในความเป็นอดีตอีกแล้ว เรามาเป็นอิสรภาพในพระเยซู เราไม่ควรกลับไปเป็นทาสอีกแล้ว ในการที่จะต้องทำอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เปาโลบอกไว้อย่างนั้น  เมื่อท่านเป็นอิสระแล้ว ท่านจะกลับไปเป็นทาสอีกทำไม?

เราพูดกันอยู่เสมอว่าให้อธิษฐานทูลขอการทรงนำจากพระเจ้า ในการที่จะเรียนรู้จักดำเนินชีวิต ให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ ก็คือเรียนรู้จักที่จะพึ่งพาพระเจ้า ไม่พึ่งพาความคิดและความรอบรู้ของตนเอง บางครั้งการดำเนินชีวิต มันจะถูกบ้าง? ผิดบ้าง? ก็ใช้ความเชื่อว่าไม่เป็นไร?  เราอยู่ในทางของพระเจ้าอยู่แล้ว เราอยู่ในแสงสว่างของพระเจ้า เราอยู่ในอาณาจักรนี้อยู่แล้ว นี่คือวิธีการที่จะดำเนินชีวิตที่พระเจ้าจะสอนเรามากกว่า แล้วเราก็เจริญเติบโตไปกับพระองค์ บางครั้งล้มลง เจ็บปวด พระเจ้าก็เข้ามาเล้าโลมจิตใจเรา ร้องไห้ไปกับเรา หัวเราะไปกับเรา ดีใจไปกับเรา เสียใจไปกับเรา นี่แหละคือวิธีการของพระเจ้ามากกว่า พระเจ้าอยู่ข้างเรา ไม่มีการลงโทษแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์

นี่คือสิ่งที่สมควรจะเกิดขึ้นกับคนที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อพระเจ้าจริงๆ วิญญาณเขาเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ แบบเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นทาส นี่คือวิธีที่พระเจ้าฝึกฝนเรา หรือเลี้ยงดูเราให้เจริญเติบโต จริงๆ คำว่าเลี้ยงดูในพระคัมภีร์ ไม่ได้เน้นถึงการเลี้ยงดูแบบชีวิตประจำวัน แต่พระเจ้าจะเลี้ยงดูวิญญาณให้เจริญ ง่ายๆ ธรรมดาๆ แบบเด็กๆ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องพยายามช่วยพระเจ้า เพราะท่านจะเหนื่อยล้า แล้วก็ไม่ได้ถวายเกียรติพระเจ้า เพราะว่ามันไม่ได้ออกเป็นผลที่พระเยซูบอกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุขนั่นเอง

พระประสงค์ของพระองค์ ที่ต้องการให้เราเป็นลูก ที่รักของพระองค์ และได้รับสิ่งที่ดีที่สุด จากพระองค์ ก็คือการฝึกฝน นำพาเราไปดีที่สุด  เพราะฉะนั้น ท่านต้องเชื่อว่าพระเจ้าเป็นพ่อของท่าน สถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา  และพระองค์ทรงรักท่านมากมาย พระองค์จะมีแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กับท่านเสมอ พาท่านไปทำสิ่งที่ดีๆ เสมอ แต่ท่านอาจจะพลาดไปบ้าง อะไรบ้าง พระองค์ก็อยู่ข้างท่าน ท่านต้องคิดอย่างนี้เสมอ มันถึงจะหายเหนื่อยและเป็นสุข

เราไม่ได้มาเรียนรู้เรื่องพระคุณของพระเจ้า  เพื่อจะหาช่องทางในการกระทำผิด ในการทำตามเนื้อหนัง หรือในการละเลยต่อการประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม หรือละเลยต่อการอยู่ในศีลธรรมที่ดีงาม อย่างที่เปาโลได้เตือนสติไว้ ที่เราได้รับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต เป็นผู้ช่วยให้รอดแล้ว จิตใจข้างในจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น  มีความต้องการที่จะทำตามคำสอนของพระเจ้า ทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ทำในลักษณะที่ไม่ถูกบังคับให้ทำ ทำเพราะต้องการจะทดแทนพระคุณพระเจ้า ทำเพราะรักแท้ มันเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา เพราะรักอยากจะทำ ทำเพราะธรรมชาติข้างในเปลี่ยนเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พออยากจะทำ ก็พยายามทำตามข้างในออกมา แต่ถ้าสู้ข้างนอกไม่ได้ สู้การทดลองไม่ได้ ก็เฉยๆ ก็ทำใหม่ โรม 6:5 บันทึกไว้อย่างนี่ …

โรม 6:5 “เช่นนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาป เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  แต่อยู่ใต้พระคุณหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย”

 

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราได้ชำระให้บริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีสิ่งใด หรือการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เมื่อเราได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว ไม่ว่าจะทำผิดแค่ไหน?  หรือทำบาปแค่ไหน?  เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าตลอดไป เมื่อมาเป็นลูกของพระเจ้า  จะทำอะไรก็ได้ จะทำผิดแค่ไหน? ทางวิญญาณก็ได้รับความรอดแน่นอน ได้ไปสวรรค์แน่นอน ได้ไปอยู่กับพระเจ้าแน่นอน เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทางวิญญาณไม่ได้รับผลแล้ว วิญญาณรอดแล้ว รอดนิรันดร์ ท่านต้องฝังตรงนี้ให้ได้ แต่ชีวิตบนโลกใบนี้ ในร่างกายเรายังต้องได้รับ สิ่งที่กระทำนั้นอยู่ ต่างกันไหม? ในหนังสือ 1 โครินธ์ 10:23-33 อาจารย์เปาโลได้บอกไว้อย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 10:23-33 “23 เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้  แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น 24  ทุกคนไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น 25 สิ่งใดที่วางขายตามตลาดเนื้อ ก็ให้รับประทานไปเถิด โดยไม่ต้องถามตนเองว่าผิดหรือไม่ 26 เพราะแผ่นดินโลกและทุกสิ่งในโลก  เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า 27 หากผู้ไม่เชื่อบางคนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหาร และท่านประสงค์จะไป จงรับประทานสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าท่านไปเถิด โดยไม่ต้องถามว่าผิดหรือไม่ 28 แต่ถ้ามีใครมาบอกว่าของนี้ได้นำไปเซ่นไหว้แล้ว ก็อย่ารับประทาน เพื่อเห็นแก่ทั้งคนที่บอกและจิตสำนึกผิดชอบ 29 ข้าพเจ้าหมายถึงจิตสำนึกของคนนั้น ไม่ใช่ของท่าน ทำไมเสรีภาพของข้าพเจ้าจึงถูกตัดสิน โดยจิตสำนึกของคนอื่นเล่า 30 ถ้าข้าพเจ้ารับประทาน โดยขอบพระคุณพระเจ้า ทำไมข้าพเจ้าจึงถูกตำหนิ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว 31 ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า 32 อย่าเป็นต้นเหตุให้ใครสะดุด ไม่ว่าจะเป็นคนยิว คนกรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้า 33 เหมือนที่ข้าพเจ้าเอง พยายามทำให้ทุกคนพอใจในทุกด้าน เพราะข้าพเจ้าไม่ได้แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว แต่แสวงหาประโยชน์ของคนทั้งหลาย เพื่อให้พวกเขารอด”

 

เราได้รับอนุญาตให้กินทุกอย่างได้ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่เรากินแล้วจะเป็นประโยชน์ ตกลงขาหมูกินได้ไหม? ปูกินได้ไหม?  หอยสกปรกกินได้ไหม? แล้วแต่ท่าน อาหารบางอย่างกินเยอะไป ก็ไม่ดี อาหารบางอย่างกินน้อยไป ก็ไม่ดี เกิดผลเสีย ผลอันตรายต่อสุขภาพร่างกายทั้งนั้น แต่มันขึ้นอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้นเอง ไม่เกี่ยวกับวิญญาณของเรา  เราได้รับอนุญาตให้เล่นโทรศัพท์มือถือได้ เราได้รับอนุญาตให้เล่นไลน์ได้ แต่ถ้าเราเล่นแบบทั้งวันทั้งคืน ไม่พักผ่อน ก็เป็นโทษ ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราได้ เป็นอันตรายต่อสายตา และถ้าเล่นแบบไม่ลืมหูลืมตา ยิ่งหนักใหญ่เลย อาจจะผิดกฎหมายอีก ไปใส่อะไรบางอย่างที่เดี๋ยวนี้เขามีกฎหมาย ใส่ไปผิดๆ ถูกๆ  หรือแม้แต่บางคนเล่นขนาดเดินข้ามถนน ยังใส่หูฟังเล่น รถชนตาย  ถามว่าคนนั้นที่รถชนตายนั้น  เป็นคริสเตียนได้ไหม? อาจจะเป็นคริสเตียน มันคนละเรื่องกัน ตายแล้วไปสวรรค์หรือเปล่า? ไป ไปถึงสวรรค์ แล้วพระเจ้าไล่กลับไหม?  ไม่ไล่

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ถ้ามีใครถามท่านว่าเป็นคริสเตียน ต้องทำอะไรบ้าง? หรือห้ามทำอะไรบ้าง? ก็ตอบตามพระคัมภีร์ว่า …

“ฉันได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่จะทำนั้น เป็นประโยชน์”

เราได้รับอนุญาตได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่จะทำนั้น  เสริมสร้างขึ้น ว่ากันไปแต่ละสถานการณ์ว่าอันนี้ทำให้ดีขึ้น หรือว่าแย่ลง คุยกับพระเจ้าเป็นเรื่องๆ ไป นี่คือความสัมพันธ์ กฎไม่สามารถทำอะไรละเอียดขนาดนี้ได้ กฎบอกว่าฝ่าไฟแดง คือฝ่าไฟแดง กฎจะไม่บอกว่าฝ่าไฟแดง เพราะว่ามีคนป่วยอยู่บนรถ ต้องรีบไปโรงพยาบาล กฎบอกฝ่าไฟแดง ก็ต้องโดนลงโทษ อย่างนี้เป็นต้น

สรุป คือสิ่งใดที่คิดว่าเป็นประโยชน์ สิ่งใดที่คิดว่าเป็นการเสริมสร้างขึ้น อธิษฐานกับพระเจ้า ก็ทำไปเถิด ถ้าไม่ได้อธิษฐาน เชื่อลึกๆ อยู่ในใจอย่างนี้ ก็ทำไปเถิด  ไม่มีคำว่าผิดอยู่แล้ว มั่นใจในการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า ในชีวิตของเรา พระเจ้าอยู่กับเราเสมอ ไปไหนไปด้วยกัน อย่างที่ผมบอก อยู่ในห้องน้ำ ก็อยู่ด้วยกัน ขณะที่เล่นไลน์ ก็เล่นไลน์ไปกับเราด้วย เล่นเกมส์ออนไลน์อยู่ ก็กำลังเล่นเกมส์กับเราด้วย  แต่ตอนท้ายๆ เตือนแล้ว ไปนอนๆ เราไม่ได้ยินเองตอนนั้น ตอนแรกๆ อยู่กับเรา ตอนท้ายก็อยู่กับเรา เตือนเราตั้งหลายที นอนสิๆ เราก็ยังเล่นต่อ ในที่สุด ตื่นมาป่วย ขอพระเจ้ารักษา ถ้าเป็นพ่อฝ่ายโลก ก็คงบอก ก็เตือนแล้ว เล่นได้ แต่ให้มันพอดีๆ ให้มันเสริมสร้าง

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเสริมสร้างขึ้นล่ะ ข้อ 31 บอกว่า …

“ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

นี่ไง เพราะรักพระเจ้า ท่านจะรู้เลยว่าจะไปเช็งเม้งนี้ได้ไหม? ไม่มีใครห้ามเลย เป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าไหม? ถ้าคิดว่าถวาย ก็ไป ถ้าคิดว่าไม่ถวาย ก็ไม่ต้องไป  มันจะลงเองแหละ อย่าลืมที่พระเยซูบอกว่า …

“ผู้ใดแบกภาระและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเข้ามาหาพระเยซูแล้ว เราจะต้องหายเหนื่อยและเป็นสุข เพื่อเป็นพยานทางฝ่ายพระองค์ หายเหนื่อยจากความพยายามที่จะกระทำความดีด้วยตัวเอง เพื่อชดใช้เวรกรรมของตัวเอง และเป็นสุข จากการที่ได้รับรู้ มั่นใจว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความรอด ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กับพระเจ้าแน่นอน ชีวิตเป็นอิสระ ตามพระคัมภีร์พูดเลย I am free, Free indeed พระองค์บอกใครก็ตามที่มารู้ความจริง ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาจะเป็นอิสระ แล้วเป็นอิสระจริงๆ ไม่ต้องไปถามใครอีกแล้วว่าอะไรทำได้ ไม่ได้

ยกตัวอย่างขึ้นเครื่องบิน พอขึ้นเครื่องปุ๊บ มองไปทุกคน ไม่มีใครสูบบุหรี่เลย ดีเท่ากันหมดเลย แต่พอลงจากเครื่องบิน มีกลุ่มหนึ่ง รีบเข้าไปในห้องอนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ สูบใหญ่ อีกพวกหนึ่งไม่สูบบุหรี่ เขาก็เดินเฉยๆ พอมองเห็นไหม?

อิสรภาพ คือไม่ว่าจะอยู่บนเครื่องบิน หรือลงมาจากเครื่องบิน อนุญาตให้ท่านสูบ ฉันก็ไม่สูบ ไม่ใช่ ฉันไม่สูบ เพราะกล้องเขาส่องอยู่ เขาเขียนกฎ ห้ามสูบ ฉันจึงบังคับตัวเอง ทำตามกฎ ไม่สูบๆ พอกฎหายไป ฉันก็สูบ อย่างนี้ เขาไม่บริสุทธิ์จริง อิสรภาพ คือไม่มีกฎบอกว่าสูบไม่ได้ ท่านก็ไม่สูบ แต่เขาบอกว่าสูบได้แล้ว ฉันก็ไม่สูบ

เวลาเราฝ่าไฟแดง เพราะเราไม่เห็นตำรวจ หรือเราไม่เห็นสัญญาณ ส่วนใหญ่เราไม่เห็นตำรวจมากกว่า

นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ ในทางพระเจ้า พอเรามาเป็นคริสเตียน เราไม่ฝ่าไฟแดง เพราะเราเห็นเป็นกฎ ไม่ว่าจะเห็นตำรวจหรือไม่?  ข้างใน อยากจะทำอย่างนี้แล้ว ไม่อยากจะฝืนกฎแล้ว เป็นคนที่เชื่อฟัง เปลี่ยนไปแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกฎมาบังคับเรา

ไม่ขับรถเร็ว เพราะกฎเขียนว่าห้ามขับเกินนี้ เขาจะจับเรา อีกฝั่งหนึ่ง ไม่ขับรถเร็ว เพราะกลัวตาย ถูกไหม? แล้วคนที่มาเชื่อพระเยซู เป็นคนลักษณะไหน? ไม่ใช่เพราะกฎ เพราะมันไม่เป็นประโยชน์

ท่านเคยเห็นหรือเปล่า ที่เขามีการแข่งรถ  เป็นสนามสำหรับคนที่ชอบขับรถเร็ว แบบบ้าคลั่งมาแข่งกันในถนนหลวง ที่ผิดกฎหมาย เอารถแรงๆ วิ่ง 200 กว่ากิโลเมตร วิ่งกันบนถนน แล้วตำรวจก็ไล่จับ เขาก็จะมีสนามหนึ่ง ที่ให้คนเหล่านี้ไปเล่นสนุก เขาเรียกว่าสนามทดลองใจ มีจริงๆ นะ ในอเมริกาก็มี เขาจะทำเลนไว้เลย ใหญ่ๆ แล้วก็ให้เราเช่า จะเป็นชั่วโมงหรืออะไรต่างๆ และจะมีรถแรงให้เราเช่า หรือเอารถเราไปเองก็ได้  มันจะอยู่ในทะเลทรายเลย แล้วในนั้น เขียนว่าพอคุณเอารถเข้าไปในนั้น ไม่มีกฎระเบียบอะไรทั้งสิ้น ไม่มีการจำกัดความเร็ว คุณจะขับเร็วเท่าไรก็ได้ ตามที่คุณอยากจะขับ ให้มันไปเลย เข้าใจไหมครับ ก็มีคนขับหลายคนไปลอง ที่เคยถูกกฎห้ามในกรุงเทพ กฎเขาห้ามเกิน 120 ขับไป 200  คราวนี้เขาบอกไม่มีกฎเลย เป็นอิสระเลย ไปถึงปุ๊บ เฆี่ยนเต็มที่ 200 ปุ๊บ ไม่ไปแล้ว ทั้งๆ ที่เครื่องมันยังไปได้อีก 400 ไม่ไปแล้ว ถามว่าไม่ไป เพราะอะไร? กฎเขาว่าอิสระแล้ว แต่กลัวตาย  รู้ว่าไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตเรา ก็ลดลง

คริสเตียนก็อย่างนั้นแหละ พระเจ้าก็จะให้สติปัญญาว่าทำไปมีประโยชน์อะไรล่ะลูก ไม่บังคับ แต่มีประโยชน์ไหม? ไม่มีประโยชน์ เราก็อย่าทำ

เพราะฉะนั้น จากนี้ไป เราก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับชีวิตในโลกใบนี้ พระเจ้าอยู่กับเรา และดูแลนำพาเราอย่างไร?  ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราจะพลาดพลั้งไปบ้าง? ผิดไปบ้าง? เผลอทำบาปไปบ้าง?  แต่เราก็มั่นใจตลอดเวลาว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราอยู่ที่ครอบครัว ที่เรียกว่าครอบครัวสวรรค์ อยู่เดี๋ยวนี้เลย เมื่อจากร่างกายนี้แล้ว เราก็อยู่ที่เดิม อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า แล้วครอบครัวนี้มีสำมะโนครัวด้วย เรียกว่าสำมะโนครัวครอบครัวของพระเจ้า มีพระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ 1 แล้วก็มีผู้อาศัยอยู่ในนี้เต็มไปหมดเลย แล้วผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่อถูกจดอยู่ในสำมะโนครัวนี้ แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าใครก็ตาม ที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ในสำมะโนครัวเล่มนี้ เขาจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ ในหนังสือวิวรณ์ 20:15 บันทึกไว้อย่างนั้นว่าถ้าผู้ใดไม่ได้มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นต้องถูกทิ้งอยู่ในบึงไฟ … บึงไฟ คือที่ไม่มีพระเจ้า ที่ที่ลำบาก อาณาจักรของความมืด ที่มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน และทุกข์ทรมานตลอดนิรันดร์

เพราะฉะนั้น ท่านเลือกเอา ถ้าท่านเลือกมาอยู่ทางนี้ ท่านก็หายเหนื่อยและเป็นสุขตลอดไปเลย เพราะท่านจะอยู่ตรงนี้ และอยู่ที่นี่ตลอดไป ชื่อท่านจดอยู่ที่นี่แล้ว  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 11 “ทำดี เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่ เพื่อความรอด” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  กุมภาพันธ์  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 11 “ทำดี เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า

ไม่ใช่ เพื่อความรอด”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 11 มีชื่อตอนว่า “ทำดี เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่ เพื่อความรอด” เป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว เรามาทบทวนกันหน่อยว่าครั้งที่แล้ว เราได้เรียนอะไรกันไป และเรื่องราวในวันนี้ จะต่อเนื่องกันอย่างไร? ครั้งที่แล้ว เราได้ทำความเข้าใจกับความหมายที่แท้จริงของถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือมัทธิว ที่พระเยซูบอกว่า …

“บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้วว่าคำๆ นี้ เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น และเราได้เรียนรู้กันมาตั้งนานแล้ว ผมได้บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่ม 99% เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณ ต้องเตือนตัวเองตลอดเวลา เพราะฉะนั้น  คำนี้ ก็เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องฝ่ายโลกวิญญาณเช่นเดียวกัน

“บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก (ในวิญญาณ)”

หมายถึงผู้ที่กำลังแบกภาระ จากความพยายามที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ที่ต้องชดใช้ รู้อยู่ลึกๆ ในใจ สำนึกของทุกคน รู้ดีว่าตัวเองเป็นคนบาป  และต้องการที่จะหนีจากความบาป ที่เราพูดกันติดบาปว่า …

“เมื่อไรมันจะใช้เวร ใช้กรรมหมดสักที เกิดมามีเวร มีกรรมจริง” ไม่ต้องมีใครสอน ก็พูดได้

และคำว่า “เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข” ก็หมายถึงได้พักสงบทางวิญญาณ จากการได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์  มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเวรกรรมที่ต้องชดใช้ พระเยซูคริสต์เป็นแพะรับบาป แทนให้กับฉัน มันก็เลยสบาย เอาแอกออกไป เอาหนี้ออกไป ในโลกวิญญาณ แต่ทางฝ่ายร่างกาย ใช้หนี้ธนาคาร ที่ไปเบิกเขามา ไปกู้เขามาซื้อบ้าน ผ่อนเดือนละ 20,000 แม้ว่ามาเชื่อพระเยซูแล้ว ยังต้องจ่าย ไม่จ่าย เขาก็มายึดบ้านไป จบ  เห็นชัดไหม?

วิญญาณของเรา จะได้รับอิสรภาพ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นแพะรับบาปของเรา เป็นผู้รับบาปเราไป วิญญาณเราไม่ต้องตกอยู่ภายใต้การชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป ไม่ต้องแบกภาระหนักเหน็ดเหนื่อย ในการชดใช้แต่ละวันๆ  ไม่ต้องบ่นอีกต่อไป และไม่ต้องพูดออกจากปากอีกต่อไปว่าเมื่อไรมันจะหมดเวร หมดกรรมสักที เพราะว่าฉันเชื่อพระเยซู หมดเวรไปแล้ว เพราะพระเยซูได้เอาความบาปออกไปจากชีวิตฉันเรียบร้อยแล้ว เอเมน มันก็หายเหนื่อย

คำว่า “พระเยซูทำให้หมดแล้ว” ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูยกเลิกศีลธรรมคุณงามความดีต่างๆ ที่ผู้คนสอนกันมาตลอดเวลา ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ตั้งแต่สมัยโบราณ พระเยซูก็จะทรงสอนเอง สอนทั้งฟาริสี สอนทั้งคนทั่วไปว่าที่กำหนดเอาไว้มนุษย์ต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์ สะอาด ต้องรักษาศีล ทำสิ่งที่ดีงาม ห้ามทำบาป ห้ามทำสิ่งที่ผิดต่างๆ เหล่านั้น สอนกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ พระเยซูบอก …

“ฉันไม่ได้มาลบพวกนี้ทิ้งหมด พวกนี้ยังอยู่นะ”

ศาสนาก็เหมือนกับรัฐบาล เหมือนกับกฎหมายทางศีลธรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหนก็ตาม มีบทบัญญัติ มีระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่บอกว่าสิ่งใดต้องทำ สิ่งใดห้ามทำ ซึ่งของคริสเตียน ก็เช่นเดียวกัน มีบทบัญญัติที่ถูกวางไว้ตั้งแต่สมัยโมเสสแล้ว บทบัญญัติเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่เข้าใจดีว่าถ้าใครปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตามสิ่งเหล่านี้ ก็จะได้สิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพร ใครไม่ประพฤติตาม ก็จะถูกลงโทษ พระเยซูบอกว่าพระองค์ไม่ได้มายกเลิกบทบัญญัติเหล่านี้นะ แต่พระองค์มาเสริม และเน้นให้ชัดเจนขึ้นอีกว่ากฎ ทั้งศีลและธรรมเหล่านี้  ข้อห้ามและข้อให้ทำเหล่านี้ พระเจ้าเป็นผู้มอบให้กับมนุษย์เอง เป็นสิ่งที่ดีงาม พระองค์เสริมว่าอย่างไร?

ใครที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้นั้น สวรรค์ ก็คือบ้านของพระเจ้า บ้านที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ และมนุษย์ทุกคนลึกๆ ในใจ อยากจะไปอยู่ที่นี่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรียกภาษาอะไรก็ตาม อยากอยู่ในสวรรค์ทั้งนั้น พระเยซูก็อธิบายให้ชัดเจนขึ้นว่าใครที่อยากจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ขาต้องรักษาศีล รักษาความดีให้ครบถ้วนบริบูรณ์ที่สุด ถึงขั้นที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ถึงจะไปอยู่ในสวรรค์ได้

ยกตัวอย่างนิดหนึ่ง เช่น บทบัญญัติที่บอกว่าห้ามฆ่าคน เราก็รู้แล้วว่าดี ทุกศาสนาก็บอกว่าห้ามฆ่าคน แต่การจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ตามที่พระเยซูบอก คือแค่โกรธ ก็ไม่ได้

ไปด่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ก็ไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นบาปแล้ว อันนั้นตกนรกแล้ว

บทบัญญัติเดิมบอกว่าห้ามล่วงประเวณี แต่การจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไปอยู่ในสวรรค์ได้ ต้องทำได้มากกว่านั้น แค่มอง แล้วเกิดความรู้สึก คือเกิดความต้องการ ก็ผิดแล้ว ก็เท่ากับล่วงประเวณี บาปไปแล้ว

บทบัญญัติเดิมบอกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน สู้กัน แต่การจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ต้องอดทน ให้อภัยทุกอย่าง คนตบแก้มซ้าย ให้ยื่นแก้มขวาให้เขาตบด้วย ใครขอเสื้อท่าน ท่านต้องเอาเสื้อคลุมให้เขาด้วย ทำได้ไหม?

ไม่มีใครสามารถรักษากฎบัญญัติเหล่านี้ได้หรอก กฎธรรมดาก็ไม่ได้แล้ว นี่พระเยซูมาเสริมอีก ฟาริสี หรือนักศาสนา พยายามที่จะปฏิบัติตามศีลธรรมของตนที่วางไว้ ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ อย่างมากที่สุด ก็ได้เยอะนะ หรือเรียกว่าเป็นปุโรหิต ก็มี ถือว่าเป็นบรรดาพระชั้นผู้ใหญ่ ในยิวผู้เคร่งศาสนาก็มี คิดว่าตัวเองทำได้ยอดเยี่ยมแล้วนะ เป็นมหาอาจารย์ แต่พอมาเจอพระเยซูพูด หงอยเลย

“ที่ฉันคิดว่าฉันทำได้หมด มันเป็นศูนย์ไปเลย ฉันคิดว่าฉันไม่ฆ่าคน ฉันก็ดีแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ก็ดีแล้ว แต่ที่ไหนได้ วันก่อนฉันด่าลูกศิษย์ไป โมโหลูกศิษย์”

แค่นี้ ก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว อะไรอย่างนี้ ทำให้มนุษย์หมดสิทธิ์ที่คิดว่าทำเองได้  ตามบทบัญญัติของพระเจ้า พูดง่ายๆ คือทำไม่ได้นั่นเอง มันเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าจึงวางกฎไว้ว่ารู้แล้วว่ามนุษย์ทำไม่ได้ จึงต้องหาตัวช่วย ไม่อย่างนั้น มนุษย์ตายแน่ ตกนรกอย่างเดียวแน่นอน ไม่มีทางช่วยตัวเองได้ เมื่อกฎเกณฑ์ยังอยู่ บทบัญญัติยังอยู่ แต่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง  พระเจ้าจึงส่งพระเยซูมาเป็นแพะรับบาป มาทำแทน

คำว่า “สำเร็จแล้ว” ที่พระเยซูพูดที่ไม้กางเขน คือจ่ายหนี้หมดแล้ว แปลเป็นภาษากรีกวันนั้น  บ่าย 3 โมง ที่เนินเขาโกละโกธา ที่ถูกตรึงกางเขนอยู่ ตอนสิ้นพระชนม์ ที่บอกสำเร็จแล้ว Testelesti จ่ายหนี้ให้มนุษยชาติทั้งหมดแล้ว มารับสิทธิ์ของเธอไปเลย นี่คือข่าวดี

ความหมาย ก็คือบทบัญญัติทั้งหลาย ศีลธรรมทั้งหลาย  ความดีงามทั้งหลาย ที่มนุษย์จำเป็นต้องประพฤติปฏิบัติตามนั้น ได้ถูกกระทำแทนแล้ว โดยฉัน คือพระเยซูคริสต์ สำเร็จครบถ้วนบริสุทธิ์ บริบูรณ์จริงๆ ที่ไม้กางเขนนั้น  ผลตามมา ก็คือมนุษย์ได้ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว มารับสิทธิของเธอไปเลย แค่นั้นเอง และเมื่อมนุษย์ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว สามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ทันทีเลย

นี่คือเป้าหมายสูงสุดแล้ว ไม่มีอันอื่นแล้ว ที่ดีกว่านี้ พระเจ้าก็ต้องการตรงนี้ มนุษย์ก็ต้องการแค่นี้เอง ไม่มีอะไรที่อยากได้มากกว่านี้อีกแล้ว มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องทำตามกฎบัญญัติอีกต่อไป  เพราะว่ามันได้ไปแล้ว

เพราะฉะนั้น บทบัญญัติเหล่านี้ยังอยู่ เฉพาะผู้ที่ไม่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู แต่สำหรับคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นแพะผู้รับบาปแล้ว สำหรับเขา บทบัญญัตินี้เท่ากับเป็นศูนย์ไปแล้ว นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเยซู

ตอนมาเชื่อวันแรก เราบอกว่าพระเยซูเป็นผู้ไถ่บาป ความรอดมาถึงเราฟรีๆ เราไม่ต้องทำอะไรเลย พอเชื่อไปสักพักใหญ่ๆ ท่านเริ่มมี list ในใจ ในหัว ในความคิดท่านแล้วว่า …

“ฉันมาเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันควรจะทำอะไร? ไม่ควรทำอะไร? ฉันต้องทำอะไร? ไม่ต้องทำอะไร?”

แล้วก็ได้รับการสอนว่าถ้าทำได้แบบนี้ ก็จะได้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามาก จะได้รับพระพร ไหนบอกอิสรภาพ กฎใหม่มาแล้วเนี้ย  เข้ามานั่งปุ๊บ ทำอย่างนี้ จะได้พระพร ก็แปลว่าถ้าไม่ทำ พระเจ้าไม่พอพระทัย (ถูกลงโทษ) หรือหนักเข้าไปอีก บางรายถ้าฝ่าฝืน จะกลายเป็นคนบาปเหมือนเดิม ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตกลง ฉันรอดหรือไม่รอด หนักกว่านั้นอีก บางคนบอกว่า …

“ท่านผู้เชื่อใหม่ทั้งหลาย ถ้าท่านไม่ทำตามนี้นะ วันสุดท้าย วันที่พระเยซูกลับมาใหม่ หรือท่านไป เจอพระเยซู แล้วพระเยซูจะบอกท่านว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า’”

ถ้าหลักของความเชื่อแบบนี้ เป็นความจริง มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มีข้อห้าม อย่าทำอันนี้ ต้องทำอันนั้น ผมคิดว่าในสวรรค์ของพระเจ้า คงต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับคิดเลข อันใหญ่เลย  แล้วก็มีโปรแกรมของพวกเรา แต่ละคนไว้ในนั้น ทุกคน แทนที่จะจดชื่อไว้ในสมุดแห่งความรอดบนสวรรค์ จดไว้ในคอมพิวเตอร์ เพื่อวัดดูว่าทำอะไรไปบ้าง? วันนี้ทำความดีได้พอสมควร +5 คะแนน พรุ่งนี้พูดโกหก โดนหัก 8 คะแนน มะรืนนี้บริจาคให้คนจน ได้ +10 คะแนน มะเรืองนี้ บริจาคให้คนจนเหมือนกัน แต่ -10 ทำไมล่ะ เพราะเที่ยวก่อนบริจาคด้วยใจจริง ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน แต่วันนี้ บริจาค เพราะอยากได้ชื่อเสียง เลย -10 จนถึงวันสุดท้าย ที่อยู่บนโลกนี้ เป็นวันปิดการโหวต ปิดการนับคะแนน บวก ลบ คูณ หาร เบ็ดเสร็จแล้ว ใครที่ได้คะแนนรวมแล้ว เกิน 100 คะแนน ได้ไปอยู่ในสวรรค์กับเรา ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ พระเยซูคงไม่บอกว่า …

“จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ถ้าเป็นอย่างนี้ ขอเหนื่อยแค่นั้นพอแล้ว มาหาพระเยซูยิ่งเหนื่อยกว่าเดิม จะอะไรมากขนาดนั้น พระเยซูบอกข่าวประเสริฐของพระเยซูง่ายนิดเดียว ทำให้หมดแล้ว แล้วเราไปทำให้มันเหนื่อยมาก

แบบนี้ไม่ใช่หลักการของความเชื่อ ไม่ใช่ลักษณะของพระคุณพระเจ้า  เชื่อและพระคุณ คือเราไม่ต้องทำอะไร? มีบางท่านทำให้เราเสร็จ เชื่อ หมายถึงเชื่อว่าเขาทำให้เรา พระคุณ หมายถึงทำโดยที่เราไม่ทำอะไรเลย เราไม่สมควรได้รับ เขาเรียกว่าพระคุณ ไม่ใช่บุญคุณ พระคุณพระเจ้า ก็คือเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เราได้รับความรอดนี้ เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อพระเยซูทรงทำให้เราสะอาดหมดจด เรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อเราได้รับสิทธิของเรา ในความเชื่อนี้แล้ว เราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้านิรันดร์ ไม่สามารถทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เอเมน ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เลย สะอาดก็สะอาด สกปรกก็สกปรก ไม่มีการมาแยกกลับไปกลับมา วันนี้สกปรก พรุ่งนี้สะอาด คอมพิวเตอร์พังหมดเลย  คิดไม่ทัน เพราะสมองเรามีแต่เดี๋ยวสกปรก เดี๋ยวสะอาด เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวเกลียด เดี๋ยวรัก เดี๋ยวชัง คอมพิวเตอร์อาจจะพังไปเลย สำหรับคนๆ เดียว อยู่ไป 80 ปี ถูกไหม? ถ้าท่านเชื่อ ท่านก็ได้รับความรอดนิรันดร์

เมื่อบทบัญญัติทั้งหลาย ได้ถูกกระทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ เรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้บทบัญญัตินั้น บกพร่องหรือตกหล่นไปได้อีกแล้ว เพราะว่าสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ มันเรียบร้อย มันสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ต้องเติมเข้าไปอีก มันครบแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรักและห่วงใยเราอย่างมากที่สุด เพราะฉะนั้น ไม่มีสิ่งใดที่เราจะสามารถทำให้พระเจ้ารักเราได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะว่าเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว จบแล้ว เมื่อเราเป็นลูก พระองค์ก็รักเราในฐานะที่เป็นลูก เราจะดี จะเลว ไปปฏิบัติตัวอย่างไร? พระองค์ก็รักเราเป็นลูก พอเห็นไหม? เราจะทำดีแค่ไหน เราก็เป็นลูก ไม่มีมากขึ้น อีกคนหนึ่งในสายตาของมนุษย์ อาจจะทำแย่กว่าเรา พระองค์ก็รักเขาเป็นลูก ยังไงๆ ก็เป็นลูก

เพราะเหตุมันเกิดจากความเชื่อของคนๆ นั้น ในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน  ทำให้คนนั้นวิญญาณเกิดใหม่ มาเป็นลูก ไม่ใช่ เป็นลูก เพราะว่าเขาทำดี  มาเป็นลูก ไม่ได้ทำอะไรเลย โจรบนไม้กางเขน จึงสามารถเป็นลูกของพระเจ้าได้ ขณะเดียวกันกับมหาปุโรหิตของยิว ที่ติดสนิทกับพระเจ้ามาตลอด แต่เย่อหยิ่งจองหอง คิดว่าตัวเองดีพร้อม ไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า เพราะว่ารักษาบัญญัติไม่ครบถ้วนบริบูรณ์

ยกตัวอย่างง่ายๆ โต๋เต๋  ผมรักเขา เพราะเขาเป็นลูก เขาจะทำอย่างไร? เขาก็เป็นลูก ผมอยากให้เขาทำสิ่งที่ดี อยากให้เขาเชื่อฟัง แต่ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง เขาก็เป็นลูก เขาทำดี เขาก็เป็นลูก เขาทำไม่ดี เขาก็เป็นลูก ไม่ใช่เพราะเขาทำดีหรือไม่ดี แต่เขาเป็นลูก เพราะว่าเขาเกิดในตระกูล เกิดจากผม

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพราะการกระทำดีใดๆ ที่ทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้า แต่เป็นความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ทั้งหมดนี้ แปลว่าเราไม่จำเป็นต้องทำตามบทบัญญัติอีกต่อไปแล้วใช่ไหม? ไม่จำเป็นต้องรักษาศีลธรรมอันดีอีกแล้วเหรอ ไม่จำเป็นต้องทำความดีอีกแล้วใช่ไหม? เพราะความรอดจากบาป ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่เราได้รับมาแล้วนั้น เป็นความรอดแบบนิรันดร์ เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เป็นลูกแล้ว โต๋เต๋ก็เป็นลูกแล้ว เราก็เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว แล้วจะไปทำดีทำไม? เราอาจจะคิดอย่างนั้น

เป็นความรอดที่มาจากพระคุณพระเจ้า  ได้มาฟรีๆ เราไม่ได้ทำเอง เพราะฉะนั้น  เราจะประพฤติตัวอย่างไรดี? เราจะประพฤติตัวเหลวแหลกก็ได้ใช่ไหม? ถ้าท่านคิดภาพเช่นนั้น  ท่านลองคิดว่าโต๋เต๋อยากไปทำอะไรก็ได้ โต๋เต๋เป็นลูก อย่างไรพ่อก็ไม่มีทางกำจัดเราไปจากลูก เราก็ยังเป็นลูกอยู่ดี เดี๋ยวมรดกก็ต้องได้อยู่ดี เพราะฉะนั้น ทำตัวอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องสนใจ ท่านต้องคิดภาพอย่างนี้ ท่านจะได้มองเห็น พอนึกถึงลูกมนุษย์ ท่านจะนึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ นั่นแหละ ในทางวิญญาณ เราเป็นลูกพระเจ้า ก็เช่นกันว่าสิ่งที่เราคิด เป็นไปได้ไหมว่าเราเป็นลูกพระเจ้า แล้วเราจะทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจแล้ว เพราะตอนนี้สบาย มันเป็นอย่างนั้นหรือ?

เพราะเมื่อรอดแล้ว โดยพระคุณพระเจ้าแล้ว ผ่านทางพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ลบล้างบาปให้กับเราหมดแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตทั้งหมด เพราะฉะนั้น จากนี้ไป การกระทำใดๆ ความประพฤติใดๆ ก็ไม่มีผลต่อความรอดของเราอีกต่อไปแล้ว นี่คือหลักการจริงๆ ในพระคัมภีร์ ถามว่าคิดแบบนี้ ถูกหรือผิด? เรามาดูว่าในพระคัมภีร์เขียนว่าอย่างไร? โรม 6:5

โรม 6:5 “เช่นนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาป เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  แต่อยู่ใต้พระคุณหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย”

 

เปาโลตอบว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย” อาจารย์เปาโลกำลังเตือนสติคริสเตียน ที่เชื่อแล้ว ที่คิดแบบเมื่อตะกี้นี้ พระเยซูให้เรารอดพ้นจากความบาป โดยที่เราไม่ต้องกระทำด้วยตัวเอง แล้วเราจะละเลย ต่อการประพฤติปฏิบัติอันดีงาม ละเลยต่อศีลธรรมอันดีหรือ! ไม่ใช่อย่างนั้น เรามาสอนเพื่อที่จะเน้นให้ทำมากขึ้นด้วย เหมือนที่พระเยซูเน้น ในลักษณะของความจริง ก็คือสำนึกในจิตใจของเรา ในวิญญาณของเรา เราอยากจะทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าสอนหมด แต่เราก็รู้ตัวเองดีว่าเราไม่สามารถทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้ได้ ยิ่งรู้ถึงพระคุณมากเท่าไร? ก็จะสัมผัสถึงความรักของพระเจ้ามากเท่านั้น ข้างในใจก็อยากจะทำให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำ

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิตเราแล้ว เมื่อเราได้รับความรอดแล้ว วิญญาณข้างใน ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ได้ถูกสร้างใหม่ เกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า มีความต้องการที่จะทำตามคำสอน คำบอกเล่าของพระเจ้าแน่นอน แต่ทำในลักษณะที่เป็นลูก ไม่ได้เป็นทาส ทำตามด้วยความรัก ด้วยการอยากจะทดแทนพระคุณของพระเจ้ามากกว่าอย่างอื่น สำคัญกว่านั้น อยากทำ เพราะวิญญาณมันบังเกิดใหม่แล้ว เหมือนพระเจ้า วิญญาณสะอาด ทำบาปไม่เป็นเลย  ตัวข้างใน อยากจะทำในสิ่งที่ธรรมชาติของเขาเป็น ก็คือเป็นลูกพระเจ้า อยากทำสิ่งที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์นั่นเอง มันเป็นธรรมชาติ อยากทำ แต่ทำไม่ได้ เพราะมันยังอยู่ในเนื้อหนัง ที่มีเชื้อบาปอยู่ ก็คือความคิดเก่าๆ วิญญาณที่อดีต ก่อนจะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะรับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ วิญญาณที่อดีต เป็นศัตรูกับพระเจ้า  เรียกว่าความบาป ไม่อยากทำตามพระเจ้าเลย  โกรธเกลียดพระเจ้า พระเจ้าพูดขาว ฉันบอกดำ พระเจ้าบอกดำ ฉันบอกขาว พระเจ้าบอกสูง ฉันก็บอกเตี้ย พูดออกมาเถอะ ฉันจะต้องต้านหมดแหละ เพราะธรรมชาติวิญญาณฉันต่อต้านตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะมีเหตุผล หรือไม่มีเหตุผล ก็เหมือนกับทุกวันนี้ เราไปประกาศ บางคนยังไม่ทันฟังอะไรเลย ไม่เอาๆ ไม่ดีๆ มันเหนือเหตุผล เข้าใจใช่ไหมครับ?

วิญญาณข้างในมันต่อต้านกับพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าจะพูดอะไร ฉันต่อต้านหมดแหละ พระเจ้าบอกสว่าง ฉันบอกมืด พระเจ้าบอกอย่านอนดึก ฉันนอนดึก อะไรอย่างนี้ พระเจ้าบอกไม่ดีๆ ฉันจะกิน ในพระคัมภีร์มีอย่างนี้จริงๆ ถ้าฟังจากภาษาเดิม มันแปลว่าอย่างนั้นจริงๆ มีอะไรหรือเปล่า? คือเย่อหยิ่งมากกับพระเจ้า เพราะไม่ได้ตั้งใจจะเย่อหยิ่ง มันเย่อหยิ่งจากธรรมชาติที่อยู่ในวิญญาณ พอมาเชื่อพระเยซู แล้วเกิดใหม่ วิญญาณเป็นเหมือนพระเจ้า มันก็ตรงกันข้ามกัน อะไรๆ ก็ทำตามพระเจ้าหมดทุกอย่างเลย พระเจ้าบอกขาว ฉันก็บอกขาว พระเจ้าบอกดำ ฉันบอกดำ หมดเลย  พระเจ้ายังไม่ได้บอก ฉันเอเมน ไปอ่านดู พระคัมภีร์บอก จากนี้ต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่าง เอเมน เพราะว่าข้างในบริสุทธิ์ อินโนเซ้นท์ สำหรับบาปเลย  แต่เนื่องจากมันยังอยู่บนโลกใบนี้ มันยังอยู่ในร่างกาย  ร่างกายนี้ลงหลุมฝังศพ เมื่อไร มันหมดฤทธิ์ วิญญาณมันเชื่อฟังพระเจ้าอยู่แล้ว

พระคัมภีร์ในโรมจึงบอกว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้  วิญญาณฉันรับใช้พระเจ้า เอเมนกับพระเจ้าตลอด แต่เนื้อหนัง ของเก่ามันยังอยู่ในนี้ตลอด มันก็รับใช้ความคิดเก่าๆ เชื้อของความบาปอยู่ สู้กับมันตลอดเวลา นี่คือความเป็นจริง

โคโลสี 2:6-7 บันทึกไว้อย่างนี่ “6 ดังนั้น ในเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป 7 ด้วยการหยั่งราก และรับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ มั่นคงขึ้นในความเชื่อ ตามที่ได้รับการสอนมา และเต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ”

 

โดยความเชื่อ เราทราบว่าเราสะอาดหมดจดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ได้ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลย แต่เราต้องการดำเนินชีวิต ให้สมกับที่เราบริสุทธิ์แล้ว เรียบร้อยแล้ว จากการไถ่บาปของพระเยซู

ตะกี้นี้เราอ่านพร้อมกัน บอกว่า “ดังนั้น ในเมื่อท่านได้ต้อนรับพระเยซูแล้ว เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิต ในพระองค์ต่อไป”

ให้รู้ว่าตัวเองบริสุทธิ์ สะอาด และอยู่ตรงนี้แล้ว ตอนนี้เลย ไม่ต้องรอตายไปแล้ว จึงไป ทันทีทันใด เมื่อท่านเชื่อพระเยซู วิญญาณท่านก็เป็นอย่างนี้

สมัยก่อนนี้ กลับตรงกันข้ามกัน ผมอยากทำอะไรก็ตาม ที่วิญญาณอันมืดบอดของผม วิญญาณที่ต่อต้านกับความดีงามของพระเจ้า ข้างนอกอยากทำ ข้างในมันก็บอกไม่เอา ผมก็ต้องสู้กับมันตลอด เขาเรียกว่าชดใช้หนี้เวรกรรม ก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น ข้างในบังคับมันเท่าไร? เดี๋ยวโผล่มาอีกแล้ว เมื่อไรจะใช้หนี้หมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อมาเชื่อพระเยซู หมดหนี้ หมดเวร หมดกรรมแล้ว วิญญาณข้างใน มันบริสุทธิ์สะอาด มันไม่ได้ถูกบังคับให้ทำ แต่มันอยากทำโดยธรรมชาติ ทำผิดไป ก็ยังรู้ตัวว่าฉันบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า เดี๋ยวเริ่มต้นใหม่ๆ อยากทำ เพราะว่ามันสมควรที่จะกระทำ เพราะฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว โต๋เต๋สมควรทำ เพราะโต๋เต๋เขาเป็นลูกของคุณนครนะ เขาสมควรจะทำอย่างนี้ ไม่ใช่เขาต้องทำ ถ้าไม่ทำ เดี๋ยวถูกเฉดหัวออกไป ไม่ได้เป็นลูกของผม ไม่ใช่

นี่แหละ คือแรงจูงใจของการที่จะทำในสิ่งที่ดีงาม ในขณะที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันควรจะสอนในลักษณะแบบนี้มากกว่าที่จะบอกว่าอะไรต้อง อันนี้ไม่ต้อง ยุ่งไปหมดเลย ให้มันขึ้นตรงกับพระเจ้า ทำเพราะรักพระเจ้า

ในพระคัมภีร์ใหม่ทั้ง 1 เปโตร ทั้งโรม ทั้งยอห์น อัครสาวกทั้งหลาย ได้สอนอย่างนี้ว่า …

“จงบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์”

แล้วก็เติมต่อว่าพระเยซูบอกว่าจงบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์ แต่เมื่อพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเรา แล้วเปโตร เปาโลจึงบอกว่า …

“จงบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าได้ทำให้ท่านบริสุทธิ์แล้วตอนนี้ พระเยซูทำให้ท่านบริสุทธิ์แล้ว จากนี้ต่อไป สมควรที่จะมีชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของพระเจ้า”

โคโลสี 2:8-10 สังเกตดูว่าพอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้ ในอดีต 2,000 ปีมาแล้ว  ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้

โคโลสี 2:8-10 “8 จงระวังให้ดี อย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาส ด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ซึ่งอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติ ที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมา และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ แทนที่จะอาศัยพระคริสต์ 9 เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ ในพระกายของพระองค์ 10 และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะเหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น”

 

เปาโลเตือนผู้เชื่อทั้งหลายว่าหลักการ หรือแก่นสารที่แท้จริงของผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู คือเชื่อในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น ไม่พึ่งพา การกระทำของตัวเอง เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาบอก หรือมาสอนว่าจะทำอะไร? หรือควรจะทำอะไร? ห้ามทำอะไร? ต้องทำอะไร? เพื่อรักษาความรอด อะไรทำแล้ว ทำให้เราหลุดจากความรอด หมายถึงความรอดหายไป ฟันธงไปเลยว่ามันหลอกลวง

สมัยก่อนช่วงตรุษจีนจะมีคนถามว่า “อันนั้นทำได้ไหม?”

ถ้าเรียนรู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ท่านจะไม่ต้องมาถาม ท่านจะรู้ข้างในของท่านว่าจะทำหรือไม่ทำ ไหว้ได้ไหม? จุดธูปได้ไหม? ไปวัดได้ไหม?  คำถามเยอะแยะไปหมด แล้วมาดูสิว่าอาจารย์เปาโลตอบว่าอย่างไร?

โคโลสี 2:16 “เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครมาตัดสินท่าน จากสิ่งที่ท่านกิน หรือดื่ม หรือเกี่ยวกับเทศกาลทางศาสนา ไม่ว่าวันฉลองขึ้นหนึ่งค่ำ หรือวันสะบาโต”

 

นี่ 2,000 ปีมาแล้วนะ ถ้าอาจารย์เปาโลตอบช่วงนี้ คำตอบก็อาจจะเป็นอย่างนี้ว่า …

“อย่าให้ใครมาตัดสินท่าน จากสิ่งที่ท่านกินหรือดื่ม หรือเกี่ยวกับเทศกาลตรุษจีน หรือไหว้พระจันทร์ หรือเช้งเม็ง หรือไม่ว่าจะเป็นฉลองปีใหม่ วันวาเลนไทน์ สงกรานต์ ลอยกระทง”

ถามว่าในพระคัมภีร์มีสอนถึงเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ แนวทางการดำเนินชีวิตว่าสิ่งใด ควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ  มี  แต่กฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้มีผลอะไรต่อการเป็นคริสเตียนหรือความรอดของท่าน เพราะว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้ท่านเป็นอิสรภาพจากกฎของความบาป และความตาย

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ ของแต่ละคน มันไม่เหมือนกัน อยากทำ ก็เชิญทำ ไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย

โคโลสี 2:20-23 “20 ในเมื่อท่านตายกับพระคริสต์ พ้นจากหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ ทำไมยังยอมอยู่ใต้กฎต่างๆ ราวกับว่าท่านยังเป็นของโลก 21 เช่นกฎที่ว่า “ห้ามหยิบ ห้ามชิม ห้ามแตะต้อง” 22 สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ถูกกำหนดให้เสื่อมสูญไป เมื่อใช้มัน เพราะตั้งอยู่บนคำสั่งและคำสอนของมนุษย์ 23 ที่จริงกฎเกณฑ์พวกนี้ ดูเหมือนมีปัญญา พวกเขานมัสการตามแนวที่กำหนดขึ้นเอง เสแสร้งถ่อมตัวและทรมานร่างกายของตน แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ต่อการควบคุมกิเลสตัณหาเลย”

 

ตอนจบอาจารย์เปาโลบอกว่าโอเค สรุปสั้นๆ อะไรก็ตามที่ท่านทำ โดยปราศจากความเชื่อ (หมายถึงเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์) ท่านก็เป็นบาปอยู่ดี ต่อให้ทำดี ก็บาป แต่ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว มันไม่ได้บาปอะไรทั้งสิ้น เพราะท่านทำด้วยความเชื่อ

คือเมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เหตุผลเดียวที่เราต้องการที่จะพยายามทำชีวิตให้เป็นไปตามคำสอนของพระเจ้า พ่อของเรา พยายามรักษาศีลธรรมอันดีงาม พยายามทำสิ่งที่ดีๆ เหตุผลนั้น ก็คือเราต้องการจะรักษาชีวิตของเรา ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ข้างในเราเป็นลูกของพระเจ้า ศักดิ์ศรีเราเป็นลูกพระเจ้า เราต้องทำให้มันเด็ดขาด เราต้องพยายามทำสงครามกับเนื้อหนังของเรา สู้กับมัน ไม่ยอมทำตามมัน เพื่อเราจะได้สมศักดิ์ศรีว่าเราเป็นลูกพระเจ้านะ แพ้ไป เดี๋ยวก็ขึ้นมาใหม่ๆ จนกระทั่งวันสุดท้ายนั่นแหละ สู้ไม่มีวันจบ ตรงนี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

มาเชื่อพระเจ้า ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณข้างใน เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ ทำบาปไม่ได้แล้ว ไม่มีทางเลย ถ้าเขาจะทำบาป เพราะมันอยู่ในเนื้อหนังนี้ มันแพ้ยกนั้น ยกที่อารมณ์ไม่ดี แดดร้อน ข้าวไม่ได้กิน ออกจากโบสถ์ไป รถคันนั้นมันเฉี่ยวหน้าพอดี มันทนไม่ไหว ด่าเขาไป นั่นแหละ มันแพ้ตอนนั้น วิญญาณไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้นเลย

วิญญาณ “ไม่เป็นหรอก อภัยให้ เข้าใจกัน”

แต่เนื้อหนังมันทนไม่ได้ มันแพ้ แค่นั้นเอง เข้าใจใช่ไหมครับ วิญญาณไม่เคยคิดจะคอรัปชั่นอะไรเลย แต่เผอิญลูกก็ป่วย ต้องการจะใช้เงิน 3-4 ล้านในการรักษา รักลูกมาก พอดีมีใครมาให้ใต้โต๊ะ เรามีอำนาจที่จะเซ็นต์ได้ ใต้โต๊ะมีจำนวนเงินอยู่ 5 ล้านบาทพอดี คิดแล้วคิดอีก อธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก ในที่สุด เอาเงินดีกว่า ไปรักษาลูกให้หาย เป็นไปได้ไหม จบอย่างนี้ เป็นคริสเตียนนะ เป็นไปได้ไหม? เป็นคริสเตียนแล้ว ยังตะโกนใส่รถคันหน้าได้ไหม? มันหงุดหงิดขึ้นมาทันที มันไม่ไหวแล้ว ขอด่าสักทีหนึ่ง ได้หรือไม่ได้? ด่ามากกว่าคำว่า “ไอ้โง่” อีก ได้ไหม?  ได้ แล้วคอรัปชั่นเมื่อกี้ ได้หรือเปล่า? ก็แค่นั่นแหละ แต่ข้างในสู้เต็มที่ เพราะว่าเราเป็นลูกพระเจ้า ลูกพระเจ้าต้องเป็นอย่างนี้ เพราะธรรมชาติของเรา  เป็นอย่างนี้  เหมือนธรรมชาติของเราเป็นปลา  มันต้องอยู่ในน้ำ ลูกของพระเจ้า มันต้องทำความดี บริสุทธิ์ เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ทำสกปรกไม่เป็น วิญญาณของท่านไร้เดียงสามาก แต่เนื้อหนังของท่าน ร่างกายของท่านที่เห็นอยู่ มันแย่มากเลย  ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? มันอยากจะทำชั่วเต็มที่ ท่านก็อยู่กับเขา ในอาณาจักรสวรรค์ คนหนึ่งอินโนเซ้นต์มาก เป็นเด็กๆ สะอาดบริสุทธิ์ อีกคนหนึ่งเชี่ยวชาญการทำชั่วที่สุดเลย  ก็คือเนื้อหนังตัวท่านเอง เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 10 “ความจริงแห่งพระคุณพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  กุมภาพันธ์  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 10 “ความจริงแห่งพระคุณพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายในซีรี่ส์ ชุดความจริงจะทำให้เป็นไท วันนี้ มาถึงตอนที่ 10 แล้ว ชื่อตอนว่า “ความจริงแห่งพระคุณพระเจ้า” เราจะเริ่มต้นกันด้วย ถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือมัทธิว 11:28-30 พระเยซูตรัสว่าอย่างนี้ …

มัทธิว 11:28-30 “28 “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านได้พักสงบ 29 จงรับแอกของเราแบกไว้ และเรียนรู้จากเรา เพราะเราสุภาพและถ่อมใจ  แล้วจิตวิญญาณของท่านจะพักสงบ 30  เพราะแอกของเรานั้นพอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”

 

พระคัมภีร์ตรงนี้ เป็นหนึ่งในข้อพระคัมภีร์ที่เราจะเห็นบ่อยๆ ได้ยินบ่อยๆ ตามคริสตจักรต่างๆ หน้าคริสตจักรเราก็มีป้ายนี้ หลายๆ คริสตจักรทั้งเมืองไทยและต่างประเทศ เขาก็จะมีข้อพระคัมภีร์นี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าคริสตจักร หรือในคริสตจักร ก็จะมีข้อพระคัมภีร์นี้ เป็นข้อที่โดดเด่นมาก เป็นคำตรัสของพระเยซู ทำไมคริสตจักรหลายๆ แห่งจึงเลือกใช้ข้อพระคัมภีร์นี้ มาประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ จะใช้คำว่าดึงดูดใจ หรือประกาศข่าวดี คำโฆษณา เพราะว่าฟังดูแล้ว มันเป็นความหวังเดียวของมนุษย์ เพราะทุกคนก็อยากหายเหนื่อย พรุ่งนี้มาทำงานอีกแล้ว หาเช้ากินค่ำ  ทำนาไป น้ำท่วม ตายหมดเลย มันรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยยากในชีวิต รู้สึกว่าข้อพระคัมภีร์นี้  เหมือนโปรโมชั่นที่ดี ที่ทำให้คนสนใจว่ามาเชื่อพระเยซูจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข

เราทราบดีว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต่างคนก็ต่างทุกข์ลำบาก แล้วก็มีภาระหนักด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นใคร ศาสนาใดก็ตาม พอเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้  มันเหนื่อยยากลำบาก เหลือเกิน เป็นสัจจะธรรม และลึกๆ แล้วในจิตใจของมนุษย์ทุกคน ก็ต้องการหาที่พักในใจด้วย ไม่ใช่ว่าจะพักแต่เฉพาะข้างนอก คนที่มีเงิน ประสบความสำเร็จในกิจการต่างๆ ไม่ว่าจะทำสวน ทำไร่ ทำนา หรือทำธุรกิจก็ตาม เราก็รู้ว่ามันเหนื่อยข้างในใจด้วย แสดงว่าไม่ใช่แค่อยากที่จะหายเหนื่อยจากการทำงานอย่างเดียวนะ แต่ในใจเขาก็อยากหายเหนื่อยด้วยเช่นเดียวกัน นี่คือสัจจะธรรมของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว

แต่ในขณะเดียวกัน พระคัมภีร์ข้อนี้ ก็เป็นหนึ่งในพระคัมภีร์หลายๆ ข้ออีกเหมือนกัน ที่ถูกเอาไป ตีความผิด เอาไปสอน เอาไปบอก เอาไปใช้กันแบบผิดๆ ที่บอกเอาไปผิดนี้ คือมันไม่ตรงตามที่พระเยซูคริสต์ตรัสไว้วันนั้น ต้องการสื่อความหมายอย่างนี้ แต่เราเอาไปใช้อีกแบบหนึ่ง อย่างนี้เขาเรียกว่าผิด บางครั้งมันผิด มันเกิดประโยชน์เหมือนกันนะ แต่มันก็ผิดอยู่ดี มันไม่ตรงตามที่ผู้พูด ต้องการสื่อความหมายว่าอะไร?

เรามาดูสิว่าพระเยซูคริสต์ตรัสคำนี้ มันคืออะไร? คือคำว่า “ผิด” สอนผิด ใช้ผิด บางที่ บางครั้ง หลายคนก็ไม่รู้ว่ามันผิด ก็เขาว่ากันมาอย่างนี้  เขาสอนมาอย่างนี้ ก็ทำตามไป หลายคนก็รู้ ถึงแม้จะรู้ ก็ขอผิดสักหน่อย เพราะมันโปรโมทดี มันโฆษณาดี โฆษณา แล้วทำให้คนสนใจ ยอมฟังเราหน่อยหนึ่ง ไม่อย่างนั้น เขาไม่ยอมฟัง เขาเดินไปเลย

“คุณทำงานเหนื่อยๆ อย่างนี้ หนักๆ อย่างนี้ กิจการคุณกำลังเหนื่อยใช่ไหม? กำลังลำบากใช่ไหม? มาหาพระเยซูสิ พระเยซูช่วยได้”

มันก็รู้สึก “ฉันตกงานอยู่ ฉันก็อยากจะมา ให้พระเยซูหางานให้ทำ” อะไรแบบนี้

บางครั้ง ตีความผิด แล้วคิดว่าตั้งใจด้วยความดี แต่ว่าจะดีหรือไม่ดี มันก็คือตีความผิด หรือแปลไม่ถูกความหมายตามบริบท คือเรื่องราวที่พระเยซูพูดในวันนั้น มันคืออะไร?  ไม่ใช่เอามาข้อเดียว แล้วก็มาตีความของเราเอง อย่างนี้เรียกว่าผิด เรามาดูว่าไม่ถูกอย่างไร? ผู้ที่เชื่อแล้ว บางคนอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้แล้ว ไปเข้าใจว่าอย่างนี้ พอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ภาระทางโลกอันหนักอึ้ง ที่ตัวเองกำลังแบกอยู่นั้น มันจะหมดไป การใช้ชีวิตจากนี้จะหายเหนื่อยแล้ว พระเจ้าจะทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ มีความสุข  ใครเคยคิดอย่างนี้บ้าง ตอนมาเชื่อใหม่ ก็อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้แหละ

มีกี่คนเชื่อ มีกี่คนที่มั่นใจว่าท่านมาเชื่อพระเยซูแล้ว จากนี้ต่อไป ท่านไม่เจ็บป่วยอีกเลย ท่านเป็นคนที่มีความแข็งแรงมาก มั่นใจ 100% เลย  มีกี่คนที่มั่นใจเลยว่าเชื่อพระเยซูแล้ว จากนี้ต่อไป ท่านไม่มีวันขัดสนเรื่องการงาน การกิน การอยู่เลย ก็มีน้อย

คราวนี้ผมถามว่าเป็นคริสเตียนแล้ว มีใครบ้างที่มั่นใจว่าเมื่อจากโลกนี้ หรือตายจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปอยู่บนสวรรค์ยกมือ หมดทุกคนเลย เห็นหรือยัง? นี่คือพิสูจน์ความจริงเลย เพราะเชื่อจริงๆ มันอยู่ที่ในใจ แต่ตะกี้นี้ที่บอกว่าแข็งแรง มันอยู่ที่ไหน? มันไม่ได้อยู่ในใจ มันอยู่ที่หัวเข่า เมื่อเช้านี้เดินก๊อกๆ ไม่กล้าพูด แต่ก่อนก็เชื่อ พออายุมากขึ้นเรื่อยๆ เดินหัวเข่าเจ็บ ไม่กล้าพูดมากแล้ว เพราะอธิษฐานไป 3 ปีแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ใช่เหมือนเดิม มันหนักกว่าเดิมด้วย เพราะว่ามันแก่ลงไง ก็เลยไม่กล้าพูด ชักจะเริ่มปลง

ถ้าใครมาเชื่อพระเจ้า แล้วเจอข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ มัทธิว 11:28-30 ที่พระเยซูตรัส เรื่องการหายเหนื่อยและเป็นสุข และคิดหรือคาดหวังว่าจะได้รับอย่างนี้ อย่างที่ผมบอก ท่านก็จะพบกับความผิดหวังแน่นอน ถ้าท่านคิดว่าจะหายเหนื่อยและเป็นสุข จากการไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยอีกแล้ว ไม่ต้องยากจนอีกแล้ว สบายแล้ว ชีวิตนี้นอนๆ กินๆ อยู่เฉยๆ ท่านก็ผิดหวังแน่นอน

ที่พระเยซูบอกว่า “บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาหาเรา”

พระคัมภีร์ข้อนี้ ถ้าเราอ่านจากพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ ภาษาเดิมๆ ฉบับขยายความ จะมีคำอธิบายไว้ชัดเจนว่าอย่างนี้ คำว่า “ผู้เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก” ตรงนี้ หมายถึงผู้ที่กำลังแบกภาระหนักจากความพยายาม ให้ตัวเองหลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ผู้ที่มีจิตวิญญาณในใจ ไม่มีสันติสุขอยู่ในนั้น เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะชดใช้หนี้บาปเวรกรรมได้หมดสักทีหนึ่ง กำลังแสวงหาอะไรบางอย่าง เรียกว่าสัจจะธรรมในโลกวิญญาณ นี่พระเยซูกำลังพูดถึงตรงนี้  สรุปความหมายของพระคัมภีร์ข้อนี้

คำว่า “ได้พักสงบ” เมื่อมาพบพระเยซูนั้น หมายถึงได้พักสงบ และหายเหนื่อยจากการแบกภาระชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และต้องชดใช้บาปเวรกรรมของตัวเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะหมดสิ้นสักที แต่พอมาพบพระเยซู … พระเยซูจะชำระในจิตวิญญาณเขา ให้พ้นจากบาป เขาก็เป็นสุขว่าเขาพ้นบาปแล้ว

คำว่า “ชดใช้บาปเวรกรรม” ก็คือต้องอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ตามหลักพระคัมภีร์ ซึ่งก็คือการถูกลงโทษ อันเนื่องมาจากเหตุที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ที่เรียกว่าการทำบาป โดยผ่านทางบรรพบุรุษของมนุษย์ คืออาดัมและเอวา พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

พอมนุษย์กลายสภาพมาอยู่ภายใต้ความบาป ก็ตกอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย เงื่อนไขของกฎนี้ ก็คือห้ามทำผิด ห้ามทำบาป โดยเด็ดขาด นิดเดียวก็ไม่ได้ ถ้าทำผิดบาป เพียงนิดเดียว ก็ได้รับโทษทันที เพราะมันเป็นกฎ ระเบียบ ฝ่าไฟแดงนิดหนึ่ง ก็มีค่าเท่ากัน ท่านจะฝ่าไฟแดง เพราะไฟเหลืองผ่านไปแป๊บเดียว แค่เสี้ยววินาที แล้วฝ่าไฟแดง เขาก็จับท่าน โทษฐานฝ่าไฟแดง ท่านจะฝ่าไฟแดงขณะรถจอดหมดแล้ว แล้วไฟแดงเลยไปหนึ่งนาที ก็วิ่งออกไปอีก เขาเรียกฝ่าไฟแดงเหมือนกัน กฎของโลกนี้และกฎของพระเจ้าว่าไว้อย่างนี้แหละ ท่านบอกว่าท่านโกหกนิดเดียว ไม่มี โกหกมากหรือโกหกน้อย มันก็โกหกเหมือนกันแหละ ผิดเหมือนกันหมด

ดังนั้น คำว่า “ผู้แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย” หมายถึงมนุษย์ทุกคนที่รู้ตัวว่าเป็นคนบาป และรู้ตัวว่าต้องแบกภาระการชดใช้หนี้บาป เวรกรรมของตัวเอง ไว้ที่ตัวเองนั้น รู้ตัวเองดีว่าไม่สามารถทำให้หลุดพ้น จากบาปเวรกรรมของตัวเองได้ มันก็เลยเหนื่อย ข้างในมันเหนื่อยมากๆ ชดใช้เท่าไรก็ไม่หมดสักที เพราะข้างในมันเหน็ดเหนื่อย พระเยซูกำลังพูดถึงตรงนี้  เหมือนมนุษย์ทุกวันนี้ ใครที่มีหนี้สินเยอะๆ จนกระทั่งถูกฟ้องล้มละลายไปแล้ว มันหมดหวัง ไม่อยากจะทำอะไรเลย? ทำอะไรเขาก็เอาไปหมด

ท่านลองคิดดู นั่นขนาดหมดหวังทางด้านการเงินที่บนโลกใบนี้ เท่านั้นเอง แล้วนี่หมดหวังทางด้านวิญญาณ ตายไปแล้ว จะไปไหน ก็ไม่รู้ ต้องชดใช้อีกกี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านปี ก็ไม่รู้ แล้วจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป ด้วยความไม่มีสันติสุข ไม่มีการได้หายเหนื่อยนั่นเอง ตรงนี้คือผลของวิญญาณของมนุษย์ที่ถูกสาปแช่ง มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ตั้งแต่ปฐมกาล มันเป็นเช่นนี้แหละ พระเยซูมาเกิด พระเยซูจึงบอกตรงนี้ก่อนเลยว่าใครที่รู้ว่าเหน็ดเหนื่อย ก็เหนื่อยทุกคน พระองค์ก็รู้แล้ว ใครที่รู้ตัว ใครที่ไม่เย่อหยิ่ง เหนื่อยแล้วแกล้งบอกว่าไม่เหนื่อย รู้ตัวว่าเหนื่อยจริงๆ มาหาพระองค์ซะ พระองค์จะให้คนๆ นั้น หายเหนื่อยและเป็นสุขไง บริบทของมัทธิว 11:28 ตรงนี้พระเยซูตรัส เพราะอย่างนี้ และต้องการความหมายแบบนี้

ถูกลงโทษ คือคำสาปแช่ง … คำสาปแช่งเข้ามาที่วิญญาณของเรา ที่ร่างกายของเรา และร่างกายเราทำมาจากดิน คือโลกใบนี้ คำสาปแช่งปกคลุมโลกนี้หมดเลย วัตถุสิ่งของถูกสาปแช่งหมดเลย พูดง่ายๆ ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุถูกปกคลุมด้วยความสาปแช่งจากบรรพบุรุษของเรา  อาดัมและเอวา ไม่เชื่อฟังพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้าจึงถูกลงโทษ โลกทางฝ่ายวัตถุ คือร่างกายของมนุษย์ รวมทั้งโลกใบนี้ทั้งหมด รวมทั้งสิ่งของทั้งหมดบนโลกใบนี้  ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาดีงาม ก็ตกลงไปอยู่ในความเสื่อมเสียหมด เสื่อมพระสิริของพระเจ้า เสื่อมเกียรติของพระเจ้า เสื่อมสิ่งที่ดีๆ ของพระเจ้าไปหมดเลย กลายเป็นความชั่วร้ายเข้ามาแทนที่หมดเลย วิญญาณของมนุษย์ ก็ตกอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนกัน

มาดูตัวอย่างในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ในปฐมกาลว่าตอนที่อาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเราทำบาป และถูกคำสาปแช่ง ถูกพิพากษาลงโทษ คำสาปแช่งนั้นลงมาเขียนไว้ว่าอย่างไร? บันทึกไว้ในปฐมกาล 3:17-19 …

ปฐมกาล 3:17-19 “17 พระองค์ตรัสกับอาดัมว่า “เพราะเจ้าฟังภรรยาของเจ้า และกินผลไม้ซึ่งเราสั่งเจ้าว่า ‘เจ้าต้องไม่กินผลจากต้นไม้นั้น’ แผ่นดินจึงถูกสาปแช่งเพราะเจ้า เจ้าจะหาเลี้ยงชีพจากแผ่นดินด้วยความลำบากตรากตรำ ตลอดชีวิตของเจ้า 18 ต้นหนามน้อยใหญ่จะงอกขึ้นมาบนแผ่นดิน และเจ้าจะกินพืชพันธุ์จากท้องทุ่ง 19 เจ้าจะทำมาหากิน อาบเหงื่อต่างน้ำ ตราบจนเจ้ากลับคืนสู่ดิน”

 

“แผ่นดินจึงถูกสาปแช่ง เพราะเจ้า”

“เจ้า” คืออาดัมและเอวา

นี่คือหนึ่งในคำสาปแช่งทางโลก คือแผ่นดินนี้  ที่บอกว่ามนุษย์จะต้องทำงานหนัก หาเลี้ยงชีพด้วยความลำบาก ตรากตรำ ต้องทำมาหากิน อาบเหงื่อต่างน้ำ และไม่ใช่เพียงแค่นี้เท่านั้น ยังมีคำสาปแช่งอื่นๆ สรุปรวมความว่าพระคัมภีร์บอกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากแน่นอน นี่คือสัจจะธรรมความจริง ที่ไม่มีใครหลีกหนีได้

เหตุที่หมอและทุกคนรู้ว่าอยากจะมีสุขภาพที่ดี พอสมควรไหม? แข็งแรง โดยไม่ต้องเจ็บป่วยเลยไหม?  ไม่ใช่ แต่เจ็บป่วยน้อยลง คือให้ออกกำลังกาย เพื่อให้อาบเหงื่อต่างน้ำ มนุษย์ก็พยายามจะฝืนพระเจ้า ไม่อยากอยู่ในคำสาปแช่ง เพราะธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา ให้อยู่อย่างสบาย ไม่ต้องลำบากอย่างนี้  มนุษย์ก็อยากจะกินแล้วนอน นอนแล้วกิน มันเป็นธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างนั้น แต่เราทำไม่ได้ เพราะว่าเราตกอยู่ในคำสาปแช่งแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าเรากินแล้วนอนไม่ได้แล้ว จากนี้ต่อไป เราต้องทำงานหนัก เพราะฉะนั้น พอเรากินแล้วนอนๆ เราฝืน คำสาปแช่งนี้ก็เกิดผล ก็คือกินแล้วนอนๆ ในที่สุด เราก็นอนอย่างเดียวเลย  ไม่ต้องลุกขึ้นมา มันก็เป็นโรคเป็นภัย

ทำไมเราต้องออกกำลังกาย ก็เพราะเราทำงานแบบคนในเมือง ชาวนา ชาวสวนจะต้องออกกำลังกายไหม? คนหาปลากลางคืน เขาเหนื่อยจะตายแล้ว เขาอาบเหงื่อต่างน้ำมาทั้งวันแล้ว พอแล้ว แต่เราเข้า office เปิดแอร์เย็นๆ แล้วก็เอาปากกามานั่งคิด อันนี้อย่างนี้ ตัวเลขนั้นเป็นอย่างนี้ กลับบ้าน  อยากจะพักนอน จึงถูกบังคับ  ถ้าอยากจะมีความสุขขึ้นนิดหนึ่ง ก็ให้ไปออกกำลังกาย ต้องแกล้งไปวิ่ง เหนื่อยแล้ว ทำตามนั้น สาปแช่งไปแล้วจบ นอนได้ หรือไม่อย่างนั้น ก็สาปแช่งตัวเองตั้งแต่เช้าเลย ตื่นขึ้นมาก็สาปแช่งตัวเอง ไปวิ่ง ออกกำลังกาย ให้มันอาบเหงื่อต่างน้ำซะ ให้มันเป็นไปตามกฎระเบียบ มันก็ทุกข์น้อยลง เสร็จปุ๊บ เราก็เข้าไปทำงานในห้องแอร์ได้ ถ้าใครที่ทำสวนอยู่ ก็ไม่ต้องไปวิ่งแล้วนะ ขอร้อง เยอะไปๆ แค่นี้ก็ทุกข์พอแล้ว เห็นหรือยัง?

ยิ่งเราเรียนรู้จักถ้อยคำพระเจ้า ยิ่งเห็น มันชัดจริงๆ มันใช่เลย  ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ ก็เพราะนี่คือสัจจะธรรม นี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกมนุษย์ นี่คือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ข้างในลึกๆ  “เธอเป็นใคร? ฉันบอกเธอ ฉันมีพิมพ์เขียวให้กับเธอว่าเธอเป็นใคร? เธอควรจะทำอยู่อย่างไร? บนโลกใบนี้ ที่ดีที่สุด สำหรับวิญญาณของเธอ และร่างกายของเธอ ในการอยู่บนโลกใบนี้ แบบให้มันทุกข์น้อยที่สุด ดีที่สุดนั่นเอง” เอเมน

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ทุกคนก็ออกกำลังกาย ฝืนตัวเอง นึกในใจตอนออกกำลัง กำลังได้รับคำสาปแช่ง เพราะฉะนั้น ตื่นเช้าขึ้นมา ท่านออกไปวิ่ง หรือท่านขึ้นไปออกกำลังกาย หรือทำอะไรก็ตามเกี่ยวกับการออกกำลังกาย ท่านพูดกับตัวเองว่าท่านกำลังถูกสาปแช่ง พูดกับตัวเองนะ แล้วก็จำไว้เลยว่า …

“อาดัมนะอาดัม แต่ไม่เป็นไร ฉันมีความหวังในพระเยซูคริสต์ ฉันจะไม่เป็นอย่างนี้ตลอดไป หรอก เอเมน”

รวมความ ก็คือคำสาปแช่งที่มาถึงมนุษย์ทุกคน เป็นคำสาปแช่งทั้งทางวิญญาณ ที่ทำให้ต้องพบกับความตาย คือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า และคำสาปแช่งทางโลกวัตถุ ที่ภายใต้ร่างกายนี้ เราต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้

 

สรุป ก็คือภายใต้กฎแห่งความบาป และความตาย มนุษย์ทุกคนต้องเหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก ทั้งทางวิญญาณและทางร่างกายด้วย พอเห็นชัดแล้ว สรุปแล้วความจริง คือเมื่อพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง  ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงเอาบาปของเราไป ได้ชำระล้างเราจนหายจากโรคหนี้สินทั้งปวงแล้ว เป็นการชำระล้างทางวิญญาณ 1 เปโตร 2:24 ที่บอกว่า …

“ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว วิญญาณหายจากโรคบาป”

ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพร่างกายของเรา พระองค์รักษาวิญญาณให้หายจากโรคบาปเรียบร้อยไปแล้ว พระคัมภีร์ตรงนี้ ก็เป็นอีกข้อหนึ่ง ที่มักมีการเข้าใจผิด เอามาใช้กันในเรื่องของสุขภาพทางฝ่ายร่างกายว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องไม่ป่วย เพราะว่าพระองค์ทรงรักษาทางวิญญาณเราหายแล้ว รอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ ได้รักษาทางร่างกายเราหายด้วย เขาเชื่ออย่างนี้ ทำให้ร่างกายเราปราศจากโรคแล้ว ที่ไม้กางเขน

บางคนเชื่อถึงขนาดไม่ยอมไปหาหมอ เฝ้าแต่คิดถ้อยคำนี้ตลอดเวลาว่าด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูรักษาฉันหายแล้ว แล้วมันหายจริงๆ คือหายจากโลกไปเลย คือตาย นี่เรื่องจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง 2,000 ปีคงไม่มีโรงพยาบาลเลย แสดงว่ามันไม่ใช่ ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไร?

ส่วนร่างกายเรา จะได้รับการไถ่อย่างสมบูรณ์ เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกทีหนึ่ง หรือเรียกว่าวันแห่งองค์พระเยซูคริสต์นั่นเอง

ถามว่าขณะที่เรากำลังทุกข์ยากลำบากในเนื้อหนังร่างกาย ในการเป็นอยู่ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความทุกข์ยากลำบาก เจ็บป่วย แต่เรามีความหวังใจอยู่ในนั้น เจ็บป่วยก็มีความหวัง ยากจนก็มีความหวัง ทำงานทำการลำบาก มีปัญหา ก็มีความหวังอยู่ในนั้น ความหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับการไถ่ถอนอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือวันที่พระเจ้าจะให้ร่างกายใหม่กับเรา ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณของเราทุกวันนี้ วิญญาณเราเป็นอยู่นั้น  เป็นวิญญาณเดิมนั่นแหละตอนนี้ เปลี่ยนเป็นวิญญาณเหมือนพระเยซูไปแล้ว และเป็นวิญญาณนี้ตลอดไป แต่ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ เป็นร่างกายเก่า ต้องถูกทิ้งไปวันหนึ่ง แล้วพระเจ้าจะให้ร่างกายใหม่กับเรา พระคัมภีร์บอกว่า …

“รู้ไหม พระเจ้าให้ร่างกายใหม่เราได้”

ทุกคนบอก “ได้อย่างไร?”

เปาโลบอก “ง่ายนิดเดียว เคยเห็นต้นข้าวไหม? ถ้าต้นข้าว เมล็ดมันไม่เน่าซะก่อน จะเกิดต้นใหม่ ไม่ได้ คนทำนารู้ดี เอาข้าวเมล็ดดีๆ สวยๆ ลงไป แล้วต้องรอให้เมล็ดนั้น เจอน้ำเยอะ มันเน่า จนกระทั่งงอกใหม่”

มนุษย์ก็เหมือนกัน ร่างกายที่เราไม่ต้องการ ที่ถูกสาปแช่ง จะถูกเปลี่ยนใหม่เลย ไม่ได้ ต้องรอให้ร่างกายนี้มันเน่าเสียก่อน พระเจ้าจะทำให้ร่างกายที่เน่าไปแล้วนั้น เกิดใหม่ขึ้นมา เหมือนที่พระเยซูได้บังเกิดใหม่ เราจะได้รับร่างกายใหม่ตอนนั้นแหละ เอเมน เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูเลย

นี่คือความหวัง ร่างกายใหม่ ใหม่เอี่ยมเลย ร่างกายที่บริสุทธิ์ เป็นร่างกายที่มาจากสวรรค์ และเป็นวันที่พระเจ้าจะสร้าง ไม่ใช่ร่างกายเราใหม่อย่างเดียว ร่างกายเรามาจากดิน  พระเจ้าจะสร้างดินใหม่ให้กับเรา ดินที่เสียหายไป โลกใบนี้ที่เสียหายไป ต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ ทุกชนิดที่เสียหายไป  ก็จะได้รับการกู้ขึ้นมาใหม่ ได้รับการช่วยให้รอดขึ้นมาใหม่ ถูกสร้างใหม่ เรียกว่าโลกใบใหม่ เยรูซาเล็มใหม่ หรือเรียกว่าสวรรค์ของพระองค์ ที่เราจะอยู่ที่นั่น กลับมาที่เดิม ไม่ต้องทุกข์ยากลำบาก ทั้งร่างกายและวิญญาณอีกต่อไป นิรันดร์เลย เอเมน

นั่นแหละ คือความหวังของเรา เป็นวันที่เราจะได้พักผ่อนอย่างจริงๆ เสียที ตามที่พระเยซูตรัสไว้ เป็นวันที่เราจะหายเหนื่อยและเป็นสุขอย่างแท้จริง ไม่ต้องแบกภาระอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการแบกภาระทางวิญญาณ หรือทางร่างกายนี้ ก็ตาม ไม่ต้องปวดเข่า ไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องเป็นเก๊า ไม่ต้องเป็นจิปาทะโรค มันเยอะไปหมด เป็นไวรัสลงนั้น ลงนี้ ตับ ไต ไส้ พุง มีแต่วันเสื่อมเสียไปทั้งนั้น ทุกวันนี้เราจึงยิ้ม สามารถเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเรามีความหวังที่จะกลับคืนสู่สภาพเดิม เหมือนสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยปฐมกาลตอนแรกๆ  ที่ให้กับอาดัมและเอวา และเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคน ก่อนที่จะตกลงไปในความบาป เรามีความหวังตรงนั้น เราจึงหายเหนื่อยได้

ในโรม 8:24 บอกไว้อย่างนั้น สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด รวมทั้งเรา ก็คือมนุษย์ … มนุษย์ที่เชื่อในพระเยซูแล้ว ที่วิญญาณได้รับการไถ่แล้ว กำลังคร่ำครวญมากๆ เลย  รอวันแห่งการไถ่ถอนครบถ้วนบริบูรณ์จากพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เอเมน เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ท่านเดินไป ท่านรู้ไหมต้นไม้ ใบหญ้า ทุกต้น กำลังสรรเสริญพระเจ้า

“พระเจ้า พระเยซูเสด็จกลับมาเถิด กำลังรออยู่”

ท่านเห็นหมา แมว นก ปลา หรืออะไรต่างๆ กำลังรอคอยวันที่พระเจ้าจะกลับมาไถ่พวกเราอีกครั้งหนึ่ง ทั้งโลกใบนี้ กลับคืนสู่สภาพดี ทุกวันนี้ สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทุกข์ทรมานด้วยกันกับเรา คร่ำครวญมาพร้อมกับเรา เพราะว่าความบาปมันปกคลุม ความชั่วร้าย คำสาปแช่งมันปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้

ลองไปอ่านในปฐมกาลช่วงเริ่มต้นกับวิวรณ์ช่วงท้ายๆ จะได้รู้ว่าสวรรค์ใหม่ หรือโลกใหม่ ที่เราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างมีความสุขนั้น เป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกไว้ว่าไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป นี่คือความหวังของผู้ที่รู้ความจริงของพระเจ้า และเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์แล้ว และเป็นแผนการของพระเจ้าที่จะให้มนุษย์กลับไปอยู่กับพระองค์ และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง กลับไปเหมือนที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาใหม่ๆ พระองค์ต้องการแค่นี้ กลับคืนมา คืนสู่สภาพเดิมหมดทุกอย่าง กลับมาอยู่ในครอบครัวของพระองค์ มิน่าเขาถึงร้องเพลง …

“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้ ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่ ณ ประตูบนวิมาน

และฉันรู้ว่าโลกนี้ ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

เห็นไหม? โลกหน้าเป็นบ้านของเรา แต่โลกนี้ไม่ใช่ โลกหน้า ก็คือสวรรค์ โลกนี้ คือนรกดีๆ นี่เอง เปาโลบอกว่า …

“ถ้าเลือกได้ ฉันไม่อยากอยู่แล้ว เพราะฉันรู้จักพระเจ้าแล้ว เห็นชัดแล้ว อยากจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว อยากจะไปจากโลกนี้”

แต่ที่จำเป็นต้องอยู่ เพราะว่าพระเจ้ายังใช้เปาโลสอนความจริง ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้กับบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้อยู่ ถ้าเลือกได้เปาโลไปก่อนแล้ว พวกเราที่นี่เหมือนกัน ถ้าเลือกได้ เราไปเหมือนกันแหละ หมายถึงจิตใจมันสบาย แต่มันยังทำไม่ได้ ก็ว่ากันไป ถ้าทำไม่ได้ แสดงว่าพระเจ้ายังไม่อนุญาตให้เราคิดอย่างนั้น ก็ให้เรามีห่วงอยู่ จะได้อยู่บนโลกใบนี้แบบมีภาระหน่อยหนึ่ง ภาระทำตามที่พระเจ้าวางแผนไว้ให้กับเรา ดูแลลูกหลาน ดูแลการงาน ก็ว่ากันไป แต่ถ้าพระเจ้าให้เห็นชัดเจนบางอย่าง และพร้อม เราจะพูดเหมือนเปาโลว่าอยู่ก็ดี ถ้าไปก็ดีกว่า คิดแค่นี้ ก็มีความสุขแล้วนะ มันมีความหวัง และความหวังที่แท้จริง เพราะมันออกจากวิญญาณของเราด้วย มันไม่ใช่แค่พูดเฉยๆ

พอผมอธิบายอย่างนี้ ก็ยังมีผู้เชื่อบางคน ที่อาจได้รับคำสอนมาแบบต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ก็จะเริ่มแย้งว่าทางวิญญาณจะหายเหนื่อย เป็นสุขได้อย่างไร? หมายถึงคริสเตียนเก่าแก่ ที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่เล็กเลย คือพูดง่ายๆ เชื่อพระเจ้ามาตามพ่อแม่ พ่อแม่พูดอย่างไร? ก็ฟังๆ บางทีตัวเองก็ไม่ได้คิด พอผมอธิบายอย่างนี้ ฟังแล้ว …

“จะเป็นไปได้อย่างไร? พระเยซูบอกจะหายเหนื่อยและเป็นสุข เป็นคริสเตียนใครบอกหายเหนื่อย แล้วเป็นสุข ไม่จริงหรอก”

ไม่จริงเพราะว่า “ตั้งแต่ฉันรู้จักพระเจ้ามา พ่อแม่พามาโบสถ์ ฉันไม่เห็นมีอะไรหายเหนื่อยและเป็นสุขเลย”

เพราะอะไร?  “คิดดูสิ จะเล่นเกมก็ไม่ได้ วันอาทิตย์ก็ต้องมาโบสถ์ ไม่มาก็ไม่ได้ ต้องอธิษฐาน ไม่อธิษฐานก็ไม่ได้ แล้วแถมยังต้องท่องพระคัมภีร์ ไม่ท่องก็ไม่ได้ ไม่อ่านก็ไม่ได้ โอ๊ย! มันยุ่งกว่าเก่าอีก ฉันไม่เห็นมีความสุขเลย ไม่เห็นหายเหนื่อยตรงไหน? มันหนักกว่าเดิมอีก”

จริงหรือเปล่า ไม่เป็นคริสเตียน ไม่เห็นมีกฎเหล่านี้เลย ตอนนี้เป็นคริสเตียน กฎเพิ่มขึ้นมาอีก จากถือศีลกี่ข้อๆ ตอนนี้เพิ่มมาอีก วันอาทิตย์ต้องไปโบสถ์ ถวายสิบลดอีก มันเยอะไปหมดเลย ดูหนังผีก็ไม่ได้ ดูแฮรี่ พอตเตอร์ก็ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร? ไปเที่ยวก็ไม่ได้ แล้วยังมาบอกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข มันไม่เป็นสุข มันหนักกว่าเดิม จริงไหม? จะมีคนถามท่านอย่างนี้ ใช่ไหม? ลูกๆ หลานๆ อาจจะถามท่านอย่างนี้

“ไหนพ่อ ไหนหายเหนื่อยเป็นสุขตรงไหน? เพื่อนเขายังเป็นสุขบ้าง ยังหายเหนื่อยมากกว่า”

นี่เรากลับกลายต้องอันโน้น ต้องอันนี้ เยอะไปหมดเลยหรือ? พระคัมภีร์มีคำสอนเรื่องเกี่ยวกับข้อห้าม กฎต่างๆ มากมาย มัทธิว 5:21-47 ซึ่งพระเยซูเป็นผู้สอนเอง คนก็เอามาใช้เหมือนกัน แต่ใช้แบบไหนท่านลองคิดดู พระเยซูสอนตั้งแต่ห้ามฆ่าคน อย่าโกรธเคืองพี่น้อง อย่าพูดดูหมิ่นพี่น้อง ใครว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ตกนรกทันทีเลย จงปรองดองกับศัตรู รักศัตรูเหมือนเพื่อนบ้าน พอเขาตบแก้มขวา เอาแก้มซ้ายให้เขาตบทันทีเลย  แล้วยังสั่งว่าห้ามล่วงประเวณี มีมองหญิงด้วยใจกำหนัด ก็ไม่ได้ ก็แค่คิด ก็ผิดแล้วนะ ห้ามหย่าร้าง อย่าสาบาน จงให้ผู้ขอ ขออะไรต้องให้หมด นี่เป็นกฎระเบียบทั้งนั้นนะ แล้วท่านคิดดูว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วท่านไปบอกลูกๆ หลานๆ หนุ่มๆ สาวๆ ว่านี่คือกฎระเบียบที่ต้องทำ แล้วถ้าท่านบอกว่าพระเยซูบอกว่าจะให้เธอหายเหนื่อยและเป็นสุข คนนั้นก็บอกมันเหนื่อยมากขึ้นนะเนี้ย มานั่งสู้กับความคิด จะคิดก็ไม่ได้ จะว่าเพื่อนว่าไอ้งั๋ง ตกนรกอีกแล้ว มันหนักกว่าเดิมใช่หรือไม่?

แล้วพระเยซูก็จบคำสอนเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำนี้ ยิ่งหนักใหญ่เลย ซึ่งถ้าเราเอาไปสอนตรงๆ อย่างนี้ ตายเลยนะ ไม่มีคำว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูจบคำสอนในมัทธิว 5:48

มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น จงดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงดีพร้อม”

 

“จงดีพร้อม” แปลว่าเพอร์เฟค แปลว่าสมบูรณ์แบบ จงสมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้า จงบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย  ต่อจากนี้ ออกจากบ้านใส่ชุดขาวอย่างเดียวเดิน คิดอะไรก็ไม่ได้ พระเยซูต้องการให้เราทำอย่างนั้นเหรอ นี่พระเยซูสอนเองนะ

พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าท่านต้องการไปสวรรค์ ท่านก็ต้องทำชีวิตของท่านให้ดีพร้อม ให้เพอร์เฟค เหมือนพระบิดาในสวรรค์ของท่าน คือต้องไม่มีบาปเลย ไม่เคยคิดบาปเลย และเหล่านี้ คือบทบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้นานแล้ว ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิมโน่นแล้ว อยากอยู่พวกเดียวกับพระเจ้า ก็ต้องทำเหมือนพระเจ้า ต้องทำตัวให้บริสุทธิ์ จึงจะเหมือนพระเจ้าได้

แล้วในพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูมายกเลิกบทบัญญัติเหล่านี้เหรอ มาเลิกศีลธรรมอันดีงานเหล่านี้ไปเหรอ ไม่ใช่ พระเยซูไม่ได้มายกเลิกกฎเหล่านี้  เพราะว่าพระเยซูบอกในมัทธิว 5:17-20 ว่ากฎเหล่านี้ยังอยู่ ไม่ได้หายไปเลย

มัทธิว 5:17-20 ““ 17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหาย จากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน 19 ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเหล่านี้แม้ข้อเล็กน้อยที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสั่งสอนตามคำบัญชาเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ 20 เพราะเราบอกท่านว่าหากความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าของพวกฟาริสีและเหล่าธรรมาจารย์แล้ว ท่านจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน”

 

สั้นๆ ง่ายๆ ตรงนี้บอกว่ากฎของธรรมาจารย์เขาบอกว่าห้ามล่วงประเวณี แต่กฎธรรมบัญญัติพระเจ้า ในอาณาจักรสวรรค์บอกว่าคิดก็ไม่ได้ พวกฟาริสีเขาบอกแค่ไม่ล่วงประเวณี เขาเท่ห์มาก เขาเป็นคนที่สูงกว่าคนอื่น บริสุทธิ์ เขารักษาศีลได้ดีมาก พระเยซูบอกแค่นั้นไม่พอ ต้องสูงกว่านี้ ถ้าอยากเข้าสวรรค์ แค่เธอคิดก็ไม่ได้ แว๊บหนึ่งก็ไม่ได้เลย ฟาริสีทำได้ไหม? ไม่แว๊บเลย นี่หมายถึงอย่างนั้น

กฎทั้งหมด ยังคงอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่เพราะว่าพระเจ้าทราบดีว่ามนุษย์ไม่สามารถทำตามกฎนี้ได้หรอก พระองค์จึงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มา เกิดเป็นมนุษย์มาทำแทน มาเป็นตัวแทน มาเป็นแพะรับบาปให้กับเรา บทบัญญัติทั้งหมดยังอยู่ครบ ใครที่ต้องการไปสวรรค์ ต้องมีชีวิตที่เพอร์เฟค สมบูรณ์แบบ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า คือไม่มีบาปเลย ถ้าทำได้ตามธรรมบัญญัติ ที่บอกไว้ทั้งหมด 1,000 กว่าข้อ หรือมากกว่านั้นอีก ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนดีพร้อมเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ไปสวรรค์ได้ ยังอยู่ครบถ้วน แต่อีกทางหนึ่ง สิ่งที่พระเยซูได้กระทำให้แล้ว บนไม้กางเขน ก็คือทำให้เกิดผลเช่นเดียวกัน ก็คือมนุษย์สามารถดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ ไม่มีบาปได้ สามารถไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ได้ โดยความเชื่อในการกระทำแทนของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทำแทนเรา นี่มันยังอยู่ครบถ้วน ไม่ใช่กฎหายไป สำคัญมากเลย

สรุป ก็คือมนุษย์มีเหลืออยู่ 2 ทางทุกวันนี้ ในการดำเนินชีวิต ที่เป็นเหมือนพระเจ้าได้ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ เพอร์เฟคเหมือนพระเจ้าได้ สมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้าได้ คือ …

(1) ทำตามกฎที่บอกมาทั้งหมดเลย ไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว จะได้สมบูรณ์พร้อม จะได้ไปสวรรค์ได้ อันนี้ถูกต้องเลย พระเจ้ายินดีต้อนรับ ประตูเปิด

(2) เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เราแล้ว ที่ไม้กางเขน คือไถ่บาปเรา ชดใช้บาปเวรกรรมแทนเราไปแล้ว จะเอาอย่างไร?  อย่างที่หนึ่งต้องทำเอง อีกอย่างหนึ่ง คือเชื่อพระเยซูคริสต์ ทำให้เรา

ท่านก็รู้แล้วว่าอย่างแรกมันทำไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้ พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเรา ให้เราพูดที่ทำไม่ได้ ยอมรับเถิด ยอมถ่อมใจเถิด อย่าเย่อหยิ่งเลย  เชื่อพระเจ้าเถิดว่า …

“ฉันทำไม่ได้ ฉันขอความช่วยเหลือ ช่วยลูกด้วยเถิด ลูกขอพึ่งในพระองค์ ตกลงเป็นแพะรับบาปให้ลูกๆ ยอมเชื่อแล้วว่าพระองค์ไถ่บาปให้ลูก ลูกยอมสยบแล้วว่าทำเองไม่ได้”

พระเยซูก็ช่วยเขาทันที เขาก็รอด เพอร์เฟคทันที บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้าทันที ได้สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ทันที และในขณะนี้ ที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราเรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน หรือผู้ที่ใช้สิทธิของเรา  ที่พระเยซูไถ่บาปให้กับเราแล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว ก็แปลว่าพวกเราได้เลือกทางที่ 2 ไปแล้ว แต่ก่อนเรายังอยู่ในทางที่หนึ่ง แต่ตอนนี้เราเลือกทางที่ 2 แล้ว คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้กับเราแล้วที่ไม้กางเขน และเราก็ได้รับผลจากความเชื่อนั้น คือขณะนี้ เรามีชีวิตที่ดีพร้อม สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ที่วิญญาณของเรา ส่วนเนื้อหนังก็ว่ากันไป รอคอยวันที่จะได้รับร่างกายใหม่มา ทุกวันนี้เดินไปที่ไหน วิญญาณเราก็แฮปปี้ ไชโย ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า ชนะแล้ว แต่ในเนื้อหนังร่างกายจงถ่อมใจ จงรู้ว่ามันยังอยู่กับศัตรู มันยังอยู่กับสาปแช่งอยู่ ก็ประคับประคองมันไป รอวันไถ่ถอน

นี่คือชีวิตของคริสเตียนทุกคน ที่สมควรที่จะได้รับรู้ความจริงเหล่านี้  จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุขทางวิญญาณ 100% และหายเหนื่อย เป็นสุขทางร่างกาย คือทุกข์น้อยหน่อย ลำบากน้อยหน่อย มันรู้ความจริงแล้ว มันก็รับได้ ตั้งรับได้ ไม่ใช่ตั้งรับ กะว่ามาเชื่อพระเยซูไม่เจออะไรเลย  พอเจอแล้ว ไม่ไหว ตกใจใหญ่ ไม่ต้องตกใจ เจอก็รับได้ พระเยซูอยู่กับเรา อยู่ในตัวเรา มันต้องทุกข์ โอเค สู้กับมันไปเลย มันก็เบา วางลง ไม่ใช่ป่วยที ก็ …

“พระเยซูต้องรักษาๆ”

ถ้ารักษาอย่างนั้นได้ ป่านนี้ก็ไม่ต้องมีโรงพยาบาล 2,000 ปีไม่ต้องขอพระเยซูหรอก ถ้าทำได้พระเยซูทำให้แล้ว มันทำไม่ได้ มันเป็นกฎระเบียบ ที่พระเจ้าวางไว้ ตั้งแต่สมัยโน่น จงรับรู้ความจริงนี้ สอนความจริงนี้แล้ว วิญญาณจะไม่ต้องห่วง ยอมแล้ว แต่ร่างกายเธอรับรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้  แล้วดูแลให้ดีที่สุด พระเจ้าก็จะค่อยๆ สอนเราทีละนิดๆ ให้เราออกกำลังกายบ้าง กินข้าวตรงนั้น ตรงนี้ กินนั้นนิด กินนี้น้อยหน่อย เข้าใจไหม?  เพื่อประคับประคองให้ร่างกาย มันพออยู่ได้ แต่อย่าไปเทิดทูนร่างกายมัน ในที่สุด มันต้องตาย มันต้องเน่า เพื่อจะได้เกิดร่างกายใหม่ ต้นใหม่จะเกิดขึ้น เมื่อเมล็ดมันเน่า เอเมน เพราะฉะนั้น การตายจึงดีกว่าอยู่สำหรับคริสเตียน แต่ทั้งหมด ก็อยู่ที่การทรงนำของพระเจ้าทั้งสิ้น ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 9 “ความจริงแห่งกฎทางโลกวัตถุ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  มกราคม  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 9 “ความจริงแห่งกฎทางโลกวัตถุ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เตรียมพร้อมที่จะรับของขวัญปีใหม่จากพระเจ้าหรือยังครับ? เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็บอกล่วงหน้าว่านี่เป็นของขวัญปีใหม่ ตั้งใจฟังให้ดีๆ รวมกับคำบรรยาย เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกับวันนี้ ถือว่าเป็นของขวัญ เป็นพระพรปีใหม่ที่พระเจ้ามาให้กับเราจริงๆ มีค่ามากมาย มากจริงๆ มากกว่าถูกล๊อตเตอร์รี่รางวัลที่ 1 มากกว่าทรัพย์สมบัติทั้งโลกเลย อันนี้มากที่สุดเลย และสามารถที่จะถ่ายทอด เป็นมรดกให้กับลูกหลานด้วย

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 9 ชื่อเรื่องว่า “ความจริงแห่งกฎทางโลกวัตถุ” ซึ่งเราจะมาต่อกันกับซีรี่ย์ชุดเดิม โลกวัตถุ คือโลกที่มองเห็น จับต้องได้ สัมผัสได้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย

ในครั้งที่แล้ว เราได้เน้นกันถึงเรื่องความจริงแห่งกฎทางโลกวิญญาณ … โลกวิญญาณ คือตรงกันข้ามกับโลกวัตถุ โลกวิญญาณ คือไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่สัมผัสได้ด้วยวิญญาณเท่านั้น

พระคัมภีร์บอกไว้ ในโรม 8: 1 ว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสรภาพ จากกฎของความบาปและความตาย กฎของความบาปความตาย คือการตกลงไปในคำสาปแช่ง ไม่ได้พระพรจากพระเจ้า ติดต่อกับพระเจ้า คุยกับพระเจ้าไม่ได้ อยู่ในสวรรค์ไม่ได้ ใครก็ตาม ที่อยู่ในความบาปในความตาย ต้องโทษนี้อยู่ แต่พระเยซูคริสต์สามารถทำให้คนนั้น เป็นอิสระ จากความบาปและความตายได้ พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้น เนื่องจากกฎของโลกวิญญาณมันมองไม่เห็น สัมผัสแตะต้องไม่ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เราจึงต้องเตือนตัวเองด้วยถ้อยคำพระเจ้า ให้ตัวเองได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ว่านี่คือกฎของวิญญาณนะ นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้นะ ใครทำ ก็ได้พระพร กฎนี้ บอกไว้ว่าอย่างนี้ว่า …

“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ         แก่ฉันผู้อาศัยในพระเยซู

ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ         แก่ฉันผู้อาศัยในพระเยซู”

เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ      แห่งชีวิตในเยซู

ได้ทำให้เรา พ้นจากบาปและความตาย”

เพราะว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต คือวิญญาณฉันมีชีวิตขึ้นมาใหม่ด้วยกับพระเยซู ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ พ้นจากกฎของความบาปและความตาย พ้นจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า พ้นจากการเป็นกบฏต่อพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม กลับมาอยู่สวรรค์เหมือนเดิมได้ ติดต่อกับพระเจ้าได้ เอเมน

เมื่อสักครู่ที่เราร้องเพลงกันนั้น นั่นคือกฎในโลกวิญญาณที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ ซึ่งใครผู้ใดที่เชื่อในกฎความจริงในโลกวิญญาณอันนี้ ผู้นั้น ก็ได้รับสิทธิที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เขาแล้ว คือเป็นแพะรับบาป ให้กับเขา เพราะฉะนั้น เขาก็พ้นจากบาป ไม่มีบาปอีกต่อไป คือได้รับอิสรภาพ เป็นไทไม่ต้องเป็นหนี้สินใคร ไม่ต้องใช้หนี้ ที่เราเรียกกันว่าหนี้บาปเวรกรรมกับใครอีกแล้ว เพราะพระเยซูใช้ทดแทนให้กับฉันเรียบร้อยไป หมดแล้ว เอเมน

ส่วนผู้ใดที่ไม่เชื่อ ผู้นั้น ก็ไม่ได้รับสิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพร จากกฎนี้ ไม่ได้ผลของกฎนี้ ก็คือไม่ได้อิสรภาพ ไม่ได้เป็นไท ยังคงมีหนี้บาป เวรกรรมติดตัว ที่ต้องชดใช้ต่อไป ไม่รู้จักจบ จักสิ้นนั่นเอง ไม่มีใครสามารถช่วยได้ มันเป็นกฎ เป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้ากฎนี้มีอยู่จริง มันก็ต้องเป็นไปตามนี้

และอย่างที่ผมเกริ่นไว้ครั้งที่แล้วว่าถึงแม้ว่าใครคนใด คนหนึ่ง หรือเราจะรับเชื่อแล้ว ทางวิญญาณว่าเชื่อในกฎของวิญญาณในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ได้รับความรอดแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าชีวิตเรา เมื่อได้รับความรอดทางกฎของโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว เราจะได้รับอิสรภาพต่อไปบนโลกใบนี้เลย จะทำอะไรก็ได้ ได้รับการอภัยหมดแล้ว ไม่ได้รับผลอะไรทั้งสิ้นเลย มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะมันมีอีกกฎหนึ่ง ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ด้วย

กลับมาที่เก้าอี้ 2 ตัวเหมือนเดิม โลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์บอกว่าขณะนี้ คนที่เชื่อในสิทธิในโลกฝ่ายวิญญาณ เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ เป็นแพะรับบาป คนที่เชื่ออย่างนี้ เขากำลังเชื่อว่าพระเจ้าพูดความจริงเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พระเยซูคริสต์มองไม่เห็น วิญญาณมองไม่เห็น แต่เราเชื่อ เพราะพระคัมภีร์บอกเราอย่างนี้ เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาเอาบาปของเราไป เอาหนี้ เอาสิน ที่เราต้องชดใช้บาปเวรกรรม เอาออกไปแล้ว พอเราเชื่อ เราใช้สิทธิของเรา  เราก็บริสุทธิ์สะอาด ไม่เป็นคนบาป เมื่อไม่เป็นคนบาป เราจึงสามารถกลับมาอยู่กับพระเจ้า มาคืนดีกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้าได้

นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ที่ตาเราไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ สัมผัสไม่ได้ ผมจึงจำเป็นต้องทำสิ่งนี้ขึ้นมาให้ท่านได้เห็นภาพ เล็งถึงว่าทางฝั่งสีขาว นี่คือโลกทางวิญญาณ ส่วนสีดำข้างๆ นี้คือโลกทางวัตถุ ที่เรามองเห็นทุกวันนี้ และขณะเดียวกัน มีโลกทางวิญญาณปกคลุมอยู่เหนือตรงนี้ด้วย คือขณะที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราเกิดเป็นมนุษย์ … มนุษย์เป็นวิญญาณ แต่ร่างกายเป็นโลกวัตถุ ร่างกายมนุษย์ถูกสร้างมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ ก็คือวัตถุที่สร้างโลกใบนี้ ที่เราเรียกกันว่าดิน

“ดิน” ตัวนี้ ภาษาเดิมแปลว่าดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งหมดนี้ สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ได้ถูกสร้างเป็นขึ้น แต่วิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น มนุษย์มีส่วนประกอบของการเป็นวิญญาณ และอยู่ในร่างกาย เป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งเดียวในมหาจักรวาล หรือในสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงสร้างเพียงสิ่งเดียว ที่มีลักษณะเป็นเช่นนี้ คือเป็นวิญญาณ และเป็นสสาร วัตถุ สิ่งของ รวมกันอยู่ในชีวิตเขา ชีวิตเดียว นอกจากมนุษย์แล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกใบนี้ มีลักษณะเป็นอย่างนี้เลย ถามว่ารู้ได้อย่างไร?  เพราะว่าพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างนั้น ว่ามนุษย์เท่านั้นที่เป็นวิญญาณ สัตว์ไม่เป็น ต้นไม้ไม่เป็น หินไม่เป็น

ขณะที่มนุษย์เป็นวิญญาณบนโลกใบนี้ มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่มีส่วนประกอบ 2 สิ่ง ก็คือสัมผัสทางโลกวิญญาณ ด้วยวิญญาณของเขา สัมผัสโลกวัตถุด้วยร่างกายของเขา สัมผัสร้อนเย็น มองเห็นวัตถุสิ่งของด้วยร่างกายของเขา แต่สัมผัสทางวิญญาณ ติดต่อกับพระเจ้า พูดคุยกับพระเจ้าทางวิญญาณ ที่มาจากพระเจ้า ซึ่งอยู่นิรันดร์ตลอดไป  ส่วนจะอยู่ที่ไหนเท่านั้นเอง เมื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป มนุษย์ต้องเป็นศัตรูกับพระเจ้านิรันดร์ ก็คืออยู่นิรันดร์ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้านิรันดร์ ในพระคัมภีร์จึงบันทึกว่ามันมีทั้งสองกฎเลย  กฎที่มองเห็นกับกฎทางวิญญาณ ซึ่งกฎของวิญญาณ มันจบตรงที่พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ

แม้ว่าเราจะได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ ใช้สิทธิของเราแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้กับเราแล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว แต่ร่างกายของเรายังเป็นร่างกายที่เป็นทาสของบาป ตกอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนเดิม แต่วิญญาณเราเป็นอิสรภาพแล้ว วิญญาณเราไม่ได้อยู่ในคำสาปแช่งอีกต่อไป วิญญาณเราไม่กบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป แต่เนื้อหนังร่างกายยังไม่ตาย ยังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้อยู่ และยังตกอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนเดิม

นี่คือปัญหาที่เราจะต้องเรียนรู้ความจริงตรงนี้ ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสรภาพมากขึ้นในทางโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ ได้พระพรมากขึ้น เพราะเรารู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร?  ไม่อย่างนั้น เราไม่รู้เรื่องเดินสะเปะสะปะ พอมาเชื่อพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เรารอดแล้ว วิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า เนื้อหนังก็เป็นลูกพระเจ้าด้วยมั้ง เพราะฉะนั้นจะกินอะไร? จะทำอะไร? ก็ไม่ต้องสนใจเลย เพราะเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าคุ้มครองหมด ไม่ใช่เลย มันยังแยกกันอยู่ ร่างกายก็ยังต้องดำเนินตามกฎของร่างกาย ซึ่งมันถูกสาปแช่งไปแล้ว สาปแช่ง คือไม่ได้พร ไม่ดี ร่างกายมันสูญเสีย มันเสียหายไปแล้ว มันไม่ได้เหมือนกับตอนที่พระเจ้าสร้างเรามาใหม่ๆ แต่สิ่งที่ได้รับการสร้างใหม่ คือวิญญาณเราต่างหาก ที่มันใหม่เอี่ยม ตาม 2 โครินธ์ 5:17 วิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว เป็นนิวครีเอชั่น เป็นความใหม่เอี่ยม ที่ถูกสร้างขึ้นมา เกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น เอเมน นี่ตามองไม่เห็น

แต่สิ่งที่ตามองเห็น คือร่างกายเราดูในกระจก ตัวเราเหมือนเดิมหมดเลย เราเชื่อพระเจ้ามา 30 ปีก็เหมือนเดิม แก่ลงด้วย  เพราะว่ามันอยู่ในคำสาปแช่ง คือคำที่ไม่ดี อยู่ในการถูกลงโทษอยู่ มันยังรับโทษของมันอยู่ พร้อมๆ กับโลกใบนี้ทั้งใบ ที่มันเป็นโลกวัตถุยังไม่ได้ถูกไถ่ออกมา แต่โลกวิญญาณได้ถูกไถ่แล้ว เอเมน วิญญาณเราเป็นอิสรภาพแล้ว อย่างไรเราก็ไปสวรรค์ ตอนนี้เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว นี่ใช้ความเชื่อเอา ตามพระคัมภีร์บอก

ส่วนทางเนื้อหนังร่างกายเรา ยังเป็นปกติเหมือนเดิม ยังถูกสาปแช่งเหมือนเดิม รอการฟื้นฟูใหม่ รอการช่วยให้รอดจากพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ บนโลกใบนี้แล้ว คือร่างกายเราหมดลมหายใจ พระเจ้าไม่ใช้ร่างกายเราแล้ว จบงานของเราแล้ว วิญญาณเราออกจากร่าง นั่นแหละ จบสิ้น พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ให้กับเราแล้ว นั่นคือการเป็นอิสรภาพ รอดทางฝ่ายวัตถุ ทางฝ่ายร่างกายของเรา แต่ถ้าเรายังไม่ตาย พระเยซูมาก่อน ก็จบสิ้นเหมือนกัน  เราก็จะทิ้งร่างเดิมนี้ แล้วไปรับร่างใหม่ จากพระเยซู จากพระเจ้า ในสวรรค์ เหมือนกัน เอเมน

นี่คือพื้นฐาน เพื่อท่านจะเห็นภาพชัดเจน คือกฎของโลกวิญญาณ และกฎของโลกวัตถุ ซึ่งใครก็ตามที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว ใครก็ตามที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เรากำลังอยู่ในกฎของโลกวิญญาณ คือได้รับความรอด จบไปแล้ว แต่เนื้อหนัง ร่างกายของเขา ยังต้องดำเนินอยู่ในกฎของโลกวัตถุ ซึ่งมันถูกสาปแช่งไปแล้วอยู่ อย่าเอามาผสมกันมั่ว ท่านจะงงไปหมดเลย นี่ก็อยากได้  ทำไมพระเจ้าไม่ให้ ไหนบอกจะให้ บางคนไม่เข้าใจ นึกว่าพอเราได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์ ทางโลกวิญญาณแล้ว พอเรารับเชื่อ ทางโลกวัตถุ เราจะดีไปหมดเลย ทุกอย่าง เข้าใจผิด ไม่ใช่เลย เราก็ยังไม่ทิ้งตรงนี้อยู่ เพียงแต่ว่าเราได้ภาษีดีกว่า ผู้นำเรา ที่อยู่ในวิญญาณ พลังที่อยู่ในวิญญาณเรา คือพระเจ้าจะเป็นพี่เลี้ยงเรา จะช่วยเรา โดยบอกเราว่าตรงนี้เป็นอย่างนั้น ตรงนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วเราทำตาม เราก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่ไม่ว่าจะดีที่สุดหรือไม่ดีที่สุด ก็ตาม เราก็ยังอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายที่ถูกสาปแช่งอยู่ดี

คราวนี้มาถึงกฎของโลกวัตถุ ที่สัมผัสแตะต้องด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เราเรียกกันว่ากฎแห่งการหว่าน กฎธรรมชาติ ซึ่งพระคัมภีร์ก็ใช้คำว่าหว่านออกไป ท่านปาอะไรออกไป มันจะกระเด้งกลับมา ยังไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี พระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่าถ้าเราหว่านอะไรออกไป เราก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ถ้าเราให้สิ่งดีๆ หรือทำแต่สิ่งที่ดีๆ ออกไป มันก็จะสะท้อนถึงสิ่งที่ดีๆ กลับมา

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรมันคือดี เพราะบางครั้งดีของเรา กับดีของพระเจ้า มันไม่เหมือนกัน เรานึกว่าของเราอย่างนี้ดี แต่พระเจ้าบอกไม่ใช่ เลวมากกว่าที่คนอื่นที่เขาเห็นอีก เพราะเราอาจจะเย่อหยิ่งอยู่ในขณะนั้น เราไม่รู้ตัว และขณะนั้น เรากำลังโลภอยู่ เรานึกว่าเราทำดีอยู่ ไม่ใช่เลย พระเจ้าบอกขยะแขยง พระเจ้าบอกอย่างนี้ก็ได้  ขณะที่คิดว่าเราเท่ห์มากเลย เราอดอาหารสัปดาห์ละ 3 วัน  เราถวายสิบลด เป็นประจำ สม่ำเสมอไม่เคยขาด เราบริจาคไม่มีการหยุดหย่อนเลย เรามาช่วยงานที่โบสถ์เกือบทุกวันเลย แต่พระเจ้าอาจจะบอกว่าทั้งหมดที่เราทำ มันไม่ได้จริงใจเลยสักอย่าง แม้กระทั่ง เราหลอกตัวเราเอง ตัวเราเองยังไม่รู้เลย ทำไปนั้น เพื่ออะไร?

ยกตัวอย่าง พระเจ้าบอกจงให้ออกไป โดยที่มือซ้าย อย่าให้มือขวารู้ อย่าไปบอกใครเลย เงียบๆ ไว้ สอนอะไร? สอนเรื่องความบริสุทธิ์ข้างในใจ ที่เราทำออกไปทั้งหมด ที่ความดีทั้งหมดนั้น  เราหวังว่าจะได้สิ่งโน้นสิ่งนี้กลับมา มันเป็นการเย่อหยิ่ง เราต้องการเกียรติ เราต้องการมากขึ้น  เราต้องการความโลภมากขึ้น เราจึงให้ออกไป เราคิดว่าให้ออกไป เราจะได้ 100 เท่ากลับมา นี่เห็นไหม?  เราไม่รู้ตัวเลยว่าเรากำลังทำอะไร? เรานึกว่าเรากำลังให้ออกไป แต่จริงๆ ข้างในใจลึกๆ ของเรา คือเราให้ออกไป เพื่อหวังว่าจะได้พร พระเจ้าสัญญาไว้อย่างนั้นไม่ใช่เหรอ จริงๆ ไม่ได้สัญญาอย่างนั้นหรอก เราคิดเอง ให้ออกไป แล้วได้ 100 เท่ากลับคืน ถ้าพระเจ้าสัญญาอย่างนี้ ป่านนี้คริสเตียนรวยที่สุดในโลกแล้วนะ 100 เท่ากลับคืน ที่นั่งอยู่ที่นี่ ป่านนี้เรานั่งเรียนอยู่ในอวกาศแล้ว เพราะว่าเรามีเงินเยอะมาก แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ถูกไหม? แต่บางคนเขาคิดอย่างนั้น พอเขาคิด เขาให้ออกไป ดูท่าทาง ดูเหมือนดี แต่มันไม่ดีสำหรับพระเจ้า

เพราะฉะนั้น คำว่า “หว่าน” หรือ “ให้ออกไป” หรือ “มอบออกไป” หรือทำอะไรออกไป ที่คิดว่าเราดี จะได้สิ่งดีกลับมา หมายถึงดีในทางพระเจ้า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? ดีนั่นในทางพระเจ้าหรือไม่? หรือดี ในทางตัวเราคิดเอง เรารู้ เพราะพระคัมภีร์บอกไว้ เพราะพระคัมภีร์เป็นพิมพ์เขียวที่พระเจ้าเขียนเอาไว้เลยว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์เป็นผู้สร้างทั้งหมด พระองค์ทรงทราบดีทุกอย่าง และพระองค์ต้องการให้ลูกของพระองค์ มนุษย์ทุกคนได้สิ่งที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น เราควรจะเชื่อตรงนี้  ถ้าเราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าสอนในพระคัมภีร์ เราก็ได้สิ่งที่ตรงกันข้าม ถ้าเราทำตามสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนเรา เราก็จะได้สิ่งที่พระเจ้าบอกว่าจะได้

ยกตัวอย่างที่เราพูดถึงเรื่องการให้ออกไป ถ้าเราให้ออกไปตามใจจริงเลย ไม่ได้คิดหวังสิ่งตอบแทนเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ พระเจ้าบอกเราได้เต็มที่เลย ได้สันติสุขในใจ เอเมน ถ้าเราไปหวังทรัพย์สิ่งของมากมาย บ้ากันไปใหญ่ โลภไม่มีวันจบสิ้น เราจะไม่ได้สันติสุข

เพราะฉะนั้น การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แบบปลอดภัยที่สุด ก็คือดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพิมพ์เขียวของพระเจ้า ก็คือถ้อยคำพระเจ้าที่ได้เขียนบอกเรา สอนเราในพระคัมภีร์ทั้งเล่มนี้ ซึ่งเกี่ยวกับโลกวัตถุ บอกหมดเลย ทุกอย่างที่จำเป็นต่อเราในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตตามถ้อยคำพระเจ้าที่สอนเรา แนะนำเราในพระคัมภีร์นี้  ถ้าเราเชื่อตรงส่วนไหน? เราก็จะได้รับพระพรในส่วนนั้น ส่วนที่ยังไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับพระพร หรืออาจจะได้รับคำสาปแช่ง อาจจะได้รับสิ่งที่ไม่ดี มากหรือน้อยไม่รู้ อะไรที่บอกว่าตามพระคัมภีร์ แล้วเราจะได้สิ่งที่ดี เราก็จะได้สิ่งนั้นเหมือนกัน

สุภาษิต 3:5-7 “5 จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งพาความเข้าใจของตนเอง 6 จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้า ให้ราบเรียบ 7  อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และหลีกหนีจากความชั่ว”

 

นี่คือข้อหนึ่งในพระคัมภีร์ ผมชอบตรงนี้ที่สุดเลย

“อย่าคิดว่าตนฉลาด”

มันใช่เลย วันแรกที่ผมอ่านข้อนี้ มันแทงเข้าไปในหัวใจจี๊ดเลย  อย่าคิดว่าตนเองฉลาด แสดงว่าพระเจ้ารู้ว่าเราชอบคิดว่าตัวเองฉลาด และจริงๆ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? เราเถียงพระเจ้าอยู่เรื่อยเลย ง่ายๆ พระเจ้าบอกว่าพระองค์มีจริงๆ เราบอกว่าไร้สาระ มองก็ไม่เห็น เชื่อพระเจ้าทำไม? หัวเราะเยาะเขาอีกต่างหาก ก่อนที่เราจะเชื่อ จริงหรือไม่จริง? มนุษย์ก็อย่างนี้ อย่าคิดว่าตัวเองฉลาด เขาบอกว่า …

“พระเยซูเป็นแพะรับบาปให้กับเธอแล้ว ไถ่บาปเธอเรียบร้อยแล้ว”

“บาป ก็เป็นของฉัน ฉันควรจะชดใช้ด้วยตัวของฉันเองสิ”

อย่างนี้ เขาเรียกว่าตนเองฉลาด แต่พระคัมภีร์บอกอย่าคิดว่าตัวเองฉลาด จงยำเกรงในพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าพระเยซูเอาบาปของเธอออกไปแล้ว ไถ่บาปให้เธอแล้ว จงเชื่อตามนี้ นี่ยำเกรงในพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้ด้วย

“จงยำเกรงในพระเจ้า และหลีกหนีจากความชั่ว” ก็คือจงเชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า และหนีจากความชั่ว บางคนนึกว่าความชั่ว หมายถึงผิดศีลธรรมแค่นั้น ไม่ใช่ ความชั่วตรงนี้หมายถึงสิ่งที่ไม่ตรงตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือความบาปนั่นเอง คืออะไรที่ต่อต้าน ตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้าที่แนะนำเราไว้

ยกตัวอย่างเช่น เราไม่ยำเกรงพระเจ้า ตรงที่เราไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ รวมทั้งตัวเราด้วย เราไม่เชื่อ นี่แหละ ในพระคัมภีร์บอกเรากำลังทำตรงกันข้ามกับพระเจ้า เรากำลังทำบาป บาปตัวนี้ แปลว่าต่อต้านกับพระเจ้า

วันนี้เราจะมาดูตัวอย่างว่าพิมพ์เขียวที่พระเจ้าได้วางไว้ให้กับเรา พอจะมีอะไรบ้างที่เราจะนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกี่ยวกับพระพรทางด้านวัตถุ เพื่อเราจะได้รับพระพร และได้รับความสงบสุข … สุขทางใจ สุขทางกายขึ้นด้วยในระหว่างการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ แม้ว่าวิญญาณจะจบสิ้นไปแล้ว เป็นอิสระแล้ว เป็นลูกพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีการต่อสู้กันอยู่ในร่างกายนี้ การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ด้วย

ในพระคัมภีร์มีหลายแห่งที่พระเจ้าสอนแนวทางในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความพอเพียง ความรัก การให้อภัย แม้กระทั่งเรื่องอาหาร และการดูแลสุขภาพ

ตัวอย่างเรื่องอาหาร การดูแลสุขภาพ สำคัญมาก การดำเนินชีวิต ไม่ใช่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ เสร็จแล้วในที่สุด เราก็ได้รับผลของการกระทำนั้น สุขภาพก็เสื่อมโทรม ทุกข์ทรมาน ไม่ได้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเท่าที่ควร จะได้ หรือจะเป็น

เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ พระเจ้าก็ทรงออกแบบพิมพ์เขียวของร่างกายมนุษย์ไว้หมดแล้ว แล้วก็สอนด้วยว่ามนุษย์ควรจะทำอย่างไร? เพื่อให้มีสุขภาพดี ควรกินอาหารอย่างไร? ควรใช้ชีวิตอย่างไร? ควรมีอารมณ์ มีความคิดอย่างไร?  อยู่ในพระคัมภีร์นี้ทั้งหมดเลย  ถามว่าทำไมพระเจ้าต้องเขียนไว้ในพระคัมภีร์ ถ้าเผื่ออาดัมและเอวาบรรพบุรุษเราไม่ตกลงไปในความบาป และนำพาพวกเราไปอยู่ในการสาปแช่งในโทษของความบาปนั้น พระเจ้าไม่ต้องเขียนอะไรเลย แต่นี่พระเจ้าต้องเขียนบอกมนุษย์ เพราะมนุษย์ตกลงไปในคำสาปแช่ง ตกลงไปในความบาปแล้ว พระเจ้าเขียนไว้ เพื่อมนุษย์บนโลกใบนี้ ได้มีโอกาสอยู่แบบทุกข์น้อยหน่อย ไม่ใช่หมดทุกข์ เพราะมันยังอยู่ในคำสาปแช่งอยู่ ถ้าเราตั้งใจและดูแลในเรื่องสุขภาพ หว่านในด้านสุขภาพ ตามพระเจ้าบอกไว้ หว่านการเลือกอาหารที่ดีๆ ที่มีประโยชน์ หว่านการออกกำลังกาย ที่พระเจ้าบอกว่ามันมีประโยชน์ และวางไว้เป็นกฎ ให้เหงื่อมันออก จะได้เก็บเกี่ยวความเจริญรุ่งเรืองทางสุขภาพร่างกายได้บ้าง? แต่ยังต้องตายอยู่ดี แต่มันไม่ทุกข์ทรมานมากนัก ซึ่งในพระคัมภีร์ก็ได้บอกเรา เตือนเราในเรื่องนี้  ไม่ใช่ว่าพอมาเป็นคริสเตียน ก็ไม่สนใจ ไม่ดูแลสุขภาพ กินอะไรก็ได้ ฝากไว้ที่พระเจ้า

แต่ก่อนนี้มีเพื่อนคนหนึ่ง จะกินกาแฟวันละหลายแก้ว

“ทำไมกินได้?”

“ไม่เป็นไรหรอก เราวางมือในนามพระเยซู เอาพิษออกไป แล้วกินเลย”

แล้วเป็นไง? ไม่รู้ อย่าไปทำแล้วกัน มันไม่ใช่วิธีนั้น เราชอบคิดของเราเอง เป็นอย่างนี้

ความเจริญรุ่งเรืองทางด้านสุขภาพ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เจ็บป่วยอีกเลย ฟังให้ดีๆ ตราบใดที่พระคัมภีร์เป็นจริง ตราบนั้น มนุษย์ทุกคนต้องป่วยแน่นอน ถ้าไม่ป่วย และมันจะแก่ได้อย่างไร? ถ้าไม่แก่ แล้วมันจะตายได้อย่างไร? นี่เฉพาะกรณีพิเศษว่าตายก่อนแก่ อุบัติเหตุ เรื่องไม่ธรรมดา การแก่ ก็คือการป่วยนั่นแหละ ท่านเข้าใจไหม?

“ฉันไม่ได้เจ็บป่วยอะไร?”

แก่ลง ก็คือเจ็บป่วยแล้วล่ะ วันนี้กับเมื่อปีที่แล้ว ต่างกันไหม? บางคนบอกไม่ต่าง กับ 10 ปีที่แล้ว ต่างกันไหม? บางคนไม่ต่าง กับ 20 ปีที่แล้วล่ะ แล้ววันนี้กับ 20 ปีอนาคต ต่างกันไหม? ต่างกันแน่นอน ความแก่คือความป่วย เพราะคำสาปแช่ง น่าจะดีใจ แสดงว่าถ้อยคำของพระเจ้าเป็นจริงอีกแล้ว

“แม้ฉันจะเชื่อพระเจ้า อธิษฐานตั้งเยอะ พยายามทำตามที่พระเจ้าบอกตั้งเยอะ แต่ฉันยังป่วยอยู่ ฉันจงดีใจว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง”

มนุษย์ตกลงไปในคำสาปแช่ง ไม่มีใครชนะตรงนี้ได้เลย ไม่มีใครทำยาอายุวัฒนะ ทำอะไรก็ตาม ที่ชนะตรงนี้ได้เลย  เพราะว่ามันเป็นคำสาปแช่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้ว ถ้าคำสาปแช่งนี้เป็นจริง พระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน มาไถ่บาปฉันทางวิญญาณนั้น ก็เป็นจริงด้วยเช่นเดียวกัน เพราะอยู่ในหนังสือเล่มเดียวกัน เพราะผู้บอก ผู้สอน ก็คือผู้เดียวกัน คือพระเจ้านั่นเอง

ในหนังสือปฐมกาลมีบันทึกไว้ว่าพืช ผัก ผลไม้ และสมุนไพร คืออาหารที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์  มนุษย์ก็เปลี่ยนไป คำสาปแช่งเข้ามา หลังจากเกิดน้ำท่วมโลก ที่น้ำท่วมโลก เพราะมนุษย์ทำชั่ว วุ่นวายไปหมดเลย พระเจ้าเศร้าใจมาก ล้างโลก ด้วยน้ำท่วมโลก

หลังจากน้ำท่วมโลก พระเจ้าก็เริ่มอนุญาตให้มนุษย์สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ แต่กำหนดไว้ว่าสัตว์อะไรกินได้ อะไรไม่ควรกิน อะไรที่เป็นโทษต่อร่างกาย ก็อย่าไปกินมัน อะไรที่เป็นโทษน้อยหน่อย ก็กินมัน เพราะจริงๆ เธอไม่ควรกินอยู่แล้ว แต่เนื่องจากเธอตกอยู่ในคำสาปแช่ง มันวุ่นวายไปหมด อนุญาตให้กินได้ เอาแค่นี้พอ

สิ่งที่พระคัมภีร์สอนว่าอย่ากินมีอะไรบ้าง? ว่ามันจะเป็นโทษ? ตัวอย่างเช่น ปลาที่ไม่มีครีบ ปลาที่ไม่มีเกล็ด เช่นปลาไหล หรือปลาที่มีหนวด เช่นปลาดุก รวมทั้งหอย ปู กุ้ง เป็นต้น เหล่านี้ พระคัมภีร์บอกอย่ากิน … กินแล้วมันจะเป็นโทษนะ เพราะสัตว์เหล่านี้ กินแต่ของเสีย กินแต่ของสกปรก เป็นเทศบาลที่พระเจ้าให้ไว้บนโลกใบนี้ เพื่อกำจัดของเสีย ท่านลองนึกภาพแล้วกัน เท่ากับท่านกำลังกินขยะเข้าไปทุกวันๆ เดี๋ยวเที่ยงนี้กินขยะไหม? ไปชายทะเลกินอะไร? กินหอย ปู กุ้ง กินขยะ นี่หมายถึงตามพระเจ้านะ ไม่เกี่ยวอะไรกับผม นี่ผมอ่านพระคัมภีร์ให้ท่านฟัง

สัตว์ใหญ่ เช่น แกะ แพะ รับประทานได้ แต่สัตว์ที่เท้าไม่มีกีบ และไม่เคี้ยวเอื้อง อย่ากิน เท้าไม่มีกีบ ไม่ได้เคี้ยวเอื้อง อย่างเช่นอูฐ เป็นสัตว์ที่เคี้ยวเอื้อง แต่เท้ามันไม่มีกีบ เหมือนเท้าช้าง หรืออย่างหมู เป็นตัวที่แยกกีบ คือมีกีบ แต่มันไม่ได้เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์ที่มีมลทิน กินไม่ได้ ฟังอีกที หมูกินไม่ได้ หมูไม่ควรกิน นี่ผมไม่ได้พูดนะ พระคัมภีร์บอก แล้วที่พระคัมภีร์บอกไม่ให้กินหมูเพราะปัจจุบันเรารู้แล้วว่าหมู นิสัยมันสกปรก มันเป็นสัตว์สกปรก

พูดง่ายๆ ให้ท่านได้เห็นภาพว่าพระเจ้าบอกไว้ทั้งหมด นี่เป็นกฎนะ คือใคร ก็ได้ ไม่เชื่อพระเจ้าทำ ก็ได้ เพราะว่ามันเป็นกฎระเบียบอยู่ ในหนังสือเลวีนิติ มีข้อห้ามว่าห้ามกินเลือดสัตว์ และห้ามกินไขมันสัตว์ เราลองอ่านดู

เลวีนิติ 7:22-27 “22 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 23 “จงสั่งประชากรอิสราเอลว่า ‘อย่ากินไขมัน ไม่ว่าไขมันจากวัว แกะ หรือแพะ 24 ไขมันจากสัตว์ที่พบเมื่อตายแล้ว หรือถูกสัตว์ป่าทำร้าย อาจจะใช้ทำอย่างอื่นได้ แต่อย่ากิน 25 ผู้ใดกินไขมันจากสัตว์ ซึ่งถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยไฟ จะต้องถูกตัดออกจากหมู่ประชากรของเขา 26 และไม่ว่าเจ้าอาศัยที่ไหนก็ตาม  ห้ามกินเลือด ไม่ว่าเลือดนก หรือเลือดสัตว์ใดๆ 27 ถ้าผู้ใดกินเลือด ผู้นั้นจะต้องถูกตัดออกจาก หมู่ประชากรของเขา’”

 

พระเจ้าบอกห้ามกินไขมันสัตว์ ไขมันนั้นให้ถวายพระเจ้า ถามว่าพระเจ้าอยากได้ไขมันไปทำอะไร? ไม่ใช่เลย ต้องการช่วยเรามากกว่า ไม่ให้เรากิน เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่ากินไขมันมากๆ มันเป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา ร่างกายของเราไม่เหมือนเดิมแล้ว มันวุ่นวายไปหมดแล้ว พยายามบอกลูกๆ ว่านี่คือพิมพ์เขียวที่บอกให้ว่าจะได้สิ่งที่ดีๆ จากสิ่งเหล่านี้ มนุษย์เพิ่งจะมารู้จักไขมันเมื่อไม่นานมานี่เองนะว่าไขมันอะไรดี อะไรไม่ดี และไขมันมากๆ มันไม่ดีอยู่แล้ว แต่พระเจ้าสั่งมนุษย์ไว้ตั้งนานว่าอย่ากิน

ในสมัยพระคัมภีร์เดิม สิ่งเหล่านี้เป็นข้อห้าม เป็นกฎบังคับ แต่พอพระคัมภีร์ใหม่ เราก็มีอิสรภาพในการกินอาหาร พระเยซูยกเลิกกฎต่างๆ หมดแล้ว แต่มีกฎหลายอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ยกเลิกจริงๆ เพราะโลกวิญญาณเราได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ไปแล้ว แต่กฎทางวัตถุ มันยังคงอยู่

คำว่า “คงอยู่” ก็คือกฎอะไรก็ตามที่มันมีอยู่ตั้งแต่ดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยโมเสส แต่มันมีผลเกี่ยวกับทางโลกวัตถุ มันยังคงอยู่เหมือนเดิม เพราะว่าร่างกายวัตถุเรายังไม่ได้ถูกไถ่ถอนออกมา มันยังอยู่ภายใต้การถูกสาปแช่งอยู่ เพราะฉะนั้น พระเจ้าแนะนำอะไร มันยังเป็นประโยชน์อยู่ อย่ามาเหมารวมกันว่าพระเยซูยกเลิกกฎ เพราะฉะนั้น หมูกินได้ เอ๊า! กินไปสิ  เพราะฉะนั้น อะไรที่พระเจ้าบอกกินไม่ได้ กิน ปลาดุกกินได้ ก็กินไปสิ แล้วเดี๋ยวก็รู้สึก ในปัจจุบัน ก็พิสูจน์กันทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสัตว์ต่างๆ เหล่านี้มันสกปรกจริงๆ

นี่คือสติปัญญาจากพระเจ้าล้วนๆ ผ่านทางถ้อยคำของพระองค์ว่าแปลนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มา อะไรมันถูกกับเรา อะไรมันผิดกับเรา จากร่างกายที่เป็นอัจฉริยะเหมือนพระเจ้า ตอนนี้เป็นร่างกายที่ถูกบาปครอบหงำ ถูกคำสาปแช่งอยู่ มันสมควรจะดูแลร่างกายอย่างไร?  พระเจ้ารู้หมด แล้วก็แนะนำเรา อะไรที่เหมาะ อะไรที่ไม่เหมาะ อะไรที่ควร อะไรที่ไม่ควร บอกหมดเลย เราก็น่าจะตามพระเจ้าดีที่สุด เพื่อจะเลือกเอาสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับสุขภาพร่างกายของเรา ไม่ใช่ว่าพอพระเจ้าบอกไม่ เราก็จะกิน แล้วบอกว่าเราใช้ความเชื่อ ไม่ใช่ ถ้าเชื่อพระเจ้า ต้องเชื่อจริงๆ เชื่อทั้ง 2 กฎ ไม่ใช่เชื่อกฎเดียว คือกฎในโลกวิญญาณ ก็ว่าได้รับความรอด กฎทางวัตถุ ก็เชื่อว่าอย่ากิน มันต้องเป็นโทษกับเรา เราก็ไม่กิน แต่ไม่ได้หมายถึงว่าถ้ากิน แล้วเราจะตกนรก ไม่ใช่ เรากิน เราก็เพียงทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้มากกว่าธรรมดาเท่านั้นเอง มันก็ไม่ควรใช่ไหม? เพราะเวลาทุกข์จริงๆ แล้วเราก็ปวดใจ ปวดตัว ปวดกายจริงๆ เราก็เดือดร้อนคนอื่นจริงๆ แล้วถึงเวลานั้นเราก็ครางมาจริงๆ ว่า …

“ช่วยทีๆ รู้อย่างนี้ ไม่กิน ก็ดี รู้อย่างนี้ ออกกำลังกาย ก็ดีแล้ว”

รู้อย่างนี้ๆๆๆๆ ตลอดเวลาเลย เพราะฉะนั้น ก่อนจะรู้อย่างนี้ ก่อนมันจะเกิดเหตุ เราอดทนเชื่อ แล้วก็วางใจในพระเจ้า แล้วก็พยายามทำตามพระเจ้า ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดีไหม? มันดีกว่า ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย  แล้วก็ไม่ใช่ว่าเคร่งมากเลย กินไม่ได้ อย่ากินเลือดนะ พระเจ้าห้าม ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น หมายถึงแนะนำเราว่ามันมีประโยชน์ต่อชีวิตเรา ถ้าเราไม่เชื่อ ก็เก็บเกี่ยวความทุกข์ลำบากร่างกายไปบ้าง? แค่นั่นเอง มันไม่ได้หมายถึงการตกนรก

ทุกวันนี้ รู้ไหมว่าอาหารประเภทไหนดี? มีประโยชน์ต่อร่างกาย? อาหารประเภทไหนไม่ดี? มีโทษต่อร่างกาย? รู้ไหมว่าของหวานๆ มากๆ ของทอด ปิ้ง ย่างเกรียมๆ ดำๆ น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยวเยอะแยะไปหมด ทานเยอะๆ เข้าไป มีโทษต่อร่างกาย รู้ … รู้ว่าไม่ดี แล้วยังทาน เพราะมันอร่อย … อร่อย แปลว่ามันบังคับตัวเองไม่ได้ เพราะว่าร่างกายมันอยากกิน เพราะว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้วไง มันอยากจะเอาโทษใส่ร่างกาย มันอยากจะเอาสิ่งที่ไม่ดีใส่ร่างกายตลอดเวลาเลย มันบังคับไม่อยู่ เพราะว่ามันเป็นทาสของความบาป และคำสาปแช่งอยู่ วิญญาณเราสะอาดหมดจด รับใช้พระเจ้าอยู่ แต่เนื้อหนังร่างกายรับใช้ความบาป

เปาโลพูดเองในหนังสือโรม บทที่ 7 “ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้า วิญญาณข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ รับใช้พระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้าหมด ยอมพระเจ้า เอเมนกับพระเจ้าตลอด แต่ขณะเดียวกัน ร่างกายที่อยู่นี้ มันเอเมนกับกิเลส ตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง อะไรที่แย่ๆ ตรงกันข้ามกับพระเจ้า มันเอาหมด นี่คือสงครามที่อยู่ในตัวเราทุกวันนี้ เราจึงพูดกับกระจกอยู่บ่อยๆ ไงว่าหมูกินน้อยๆ หน่อย ต้องพยายามสู้กับมัน

พระเจ้ารู้หมดว่าวิสัยบาป ที่อยู่ในร่างกายของเราเป็นอย่างไร? พระเจ้าจึงบอกไว้ในสุภาษิต 23:2 ว่า …

สุภาษิต 23:2 “ถ้าเจ้าเป็นคนตะกละ เจ้าจงจ่อมีดไว้ที่คอของเจ้า”

 

ท่านรู้ไหมคำว่า “จ่อมีดไว้ที่คอ” เป็นสำนวนโบราณ ภาษาฮีบรู มีความหมายว่า “จงบังคับตัวเองไว้” ในที่นี้ต้องบอกว่าจงบังคับปากของตัวเองไว้ บางครั้งก็เป็นตัวเอง ให้นึกถึงภาพเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เรา ที่ชอบกินไม่หยุด นึกถึงภาพใครที่เราเตือนแล้วไม่เชื่อ แล้วก็หันไปหาเขานิดหนึ่ง แล้วก็บอก เพราะว่าถ้าไม่บังคับ เคยได้ยินใช่ไหม? ปากพาไปสู่ความจน ปากพาจน อันนี้ปากพาสู่โรค ทุกข์ลำบากมากขึ้น ทำให้ถูกต้องตามพระเจ้า ก็ทุกข์อยู่แล้ว นี่อยู่ๆ ไปเพิ่มทุกข์มากขึ้น

เห็นไหมครับว่ามนุษย์ต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้า เสียเงิน เสียเวลากับงานวิจัยมากมายมหาศาล กว่าจะค้นพบว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อาหารอะไรที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นโทษ แต่ข้อมูลเหล่านี้แทบจะไม่มีประโยชน์กับมนุษย์เลย เพราะมนุษย์สู้กับกิเลสตัณหา รู้ แต่ทำไม่ได้ พระเจ้าบันทึกมาเป็นพันๆ ปีแล้ว เรารู้จากพระเจ้า และเรามีกำลังจากข้างในวิญญาณของเรา แล้วเราอธิษฐานขอพระเจ้า เราก็จะมีโอกาสทำได้มากกว่าคนอื่นๆ เขา เพราะมีผู้ช่วย พระคัมภีร์จึงบอกผู้ช่วยเรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยช่วยเรา ช่วยให้เราทำสงครามทางกิเลสตัณหา ให้เราชนะมันบ้าง ก็ยังดี แทนที่จะแพ้มันตลอด แทนที่จะกินมันตลอด ทุกทีกิน 2 ห่อ ตอนนี้กินมันเหลือครึ่งห่อพอ ตั้งใจจะกินให้เหลือครึ่งของครึ่งอีกที วันสุดท้ายจะชนะมัน และไม่กินอีกต่อไปแล้ว แล้วก็ชนะจริงๆ

นอกจากเรื่องอาหารที่เราชอบกันแล้ว สิ่งที่จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงได้ ก็คือการใช้ชีวิต เรื่องอารมณ์ ถ้อยคำพระเจ้าก็สอนเราอีกแหละ เรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร? จัดการกับอารมณ์ความคิดเราอย่างไร? ซึ่งเป็นศัตรู เป็นมะเร็งอีกอันหนึ่งที่ทำร้ายร่างกายของเรา  เรื่องอารมณ์ทุกตำราแพทย์ก็บอกว่าถ้าเรามีอารมณ์ขุ่นมัว มีแต่เครียด ก็มีโอกาสสูง ที่จะเจ็บป่วย เป็นโรค ยกตัวอย่างเช่น โรคมะเร็ง โรคกระเพาะอาหาร โรคความดัน เพราะสภาวะทางอารมณ์มีผลต่อสุขภาพร่างกายอย่างมากเลยทีเดียว ในปัจจุบัน ทางวิทยาศาสตร์รู้กันหมดแล้ว แต่พระคัมภีร์บอกว่าสิ่งเหล่าอย่าทำ สิ่งเหล่านี้เป็นโทษกับเราหลายพันปีแล้ว … แล้วเราเชื่อไหม? เราไม่เชื่อหรอก

พระคัมภีร์บอกว่าให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก รู้จักให้อภัย  เพราะถ้าโกรธใคร? แค้นใคร? จิตใจเราก็ไม่สงบ มีแต่ความเครียด พิมพ์เขียวของพระเจ้าจึงบอกว่าอย่าโกรธข้ามวันข้ามคืน อย่าให้ตะวันตกดิน แล้วยังโกรธเขาอยู่ เพราะมันจะทำให้อารมณ์ไม่ดี ทำให้เครียด หลับไม่สนิท เครียดหนักๆ เข้าก็ป่วย คนที่เราโกรธ เขาไม่เป็นไร? แต่เราโกรธเขา เราก็เครียด เราก็ป่วย  เพราะเราไม่สงบ และสงบไม่ได้ เพราะว่าเรามีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง เราต้องรู้ก่อนว่าศัตรูเราคือใคร? มันพยายามเร้าเราอย่างนี้  เราต้องเข้ามาหาพระเจ้า แล้วสู้กับมัน พระเจ้าจะบอกเราว่าวิธีที่จะทำให้ไม่โกรธคืออะไร? คือให้อภัย เห็นไหม? พอเรารู้อย่างนี้ปุ๊บ เราให้อภัยไม่ได้ เราก็รีบไปเปิดถ้อยคำพระเจ้าฟังเอา เราก็รีบเปิดอ่านถ้อยคำพระเจ้า แล้วก็อธิษฐาน …

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ให้อภัยเขา”

ดูในกระจก ให้อภัยเขาๆ มันก็เริ่มสู้กัน แล้วเราตั้งใจบ่อยๆ เราก็เริ่มชนะ แล้วก็ทำได้ มากหรือน้อยไม่เป็นไร? มันเป็นประโยชน์กับเรา ทำน้อย ก็ได้ประโยชน์ แต่อาจจะได้น้อยหน่อย  ก็ทำไปเรื่อยๆ ก็ได้ตลอด ไม่มีการไม่ได้ เพราะพระเจ้าเป็นผู้ดูแลรักษากฎเหล่านี้อยู่ ให้เป็นไปตามกฎ ไม่มีทางว่าท่านไม่ได้ ถ้าท่านทำแล้ว ได้แน่นอน

ยกตัวอย่างเช่นวันสะบาโต วันที่เรามาโบสถ์ วันอาทิตย์ พระเจ้าจึงบอกว่าต้องมีวันสะบาโต คืออาทิตย์หนึ่ง ให้หยุด 1 วัน  เพราะพระเจ้ารู้แล้วมนุษย์ตกลงไปในความบาป แล้วมันเสียหายแล้ว เขาต้องพักผ่อน แต่ก่อนพักผ่อนตลอดทุกวันเลย ตั้งแต่ตกลงไปในความบาป คำสาปแช่งลงมา มนุษย์ต้องตรากตรำทำงานหนัก หาเช้ากินค่ำ หน้าสู้ดินหลังสู้ฟ้า นี่คำสาปแช่งมันเป็นอย่างนั้น  พืชพันธุ์ธัญญาหารที่จะกินได้ มันจะขึ้นลำบากหมดเลย แม้กระทั่งทุเรียน มันจะหนามแหลม มันอร่อยมาก ในนั้นบอกไว้ แต่ไม่ได้บอกทุเรียนนะ สิ่งที่เจ้ากินได้ มันจะขึ้นหนามแหลม ลำบาก เกิดความทุกข์ทรมาน บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะฉะนั้น เจ้าต้องทำงานหนัก แต่อย่าให้หนักเกินไป วางใจในพระเจ้า ให้ 7 วัน พักสักวันหนึ่ง แล้วเราพักไหม? เราก็ไม่พัก เราไม่พักไม่พอ แถมวันธรรมดา มี overtime อีก ไปเรื่อย มันก็เกิดความเครียดในร่างกาย เกิดการทำงานหนักจนเกินไป เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย รับคำสาปแช่งเข้ามามากขึ้น คือสุขภาพเสื่อมโทรมเยอะขึ้น

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเตือนไว้ มนุษย์ไม่เชื่อ พยายามต่อต้าน เพราะกลัว กลัวจะไม่มีกิน แต่พระเยซูบอกอย่ากลัวเลย นกในอากาศ พระเจ้ายังเลี้ยงดูอยู่ แล้วเจ้าเป็นใคร เราจะไม่เลี้ยงดูเหรอ นี่หมายถึงคนที่เชื่อในกฎของวิญญาณ ในเรื่องพระเยซู หมายถึงเป็นคริสเตียนแล้ว

พระคัมภีร์สอนเราเยอะแยะมากมาย ให้เรารู้เรื่องเกี่ยวกับการเงินการทอง ให้เรารู้จักความพอเพียง พอดี เพราะที่มนุษย์ทั้งหลายทำงานหามรุ่งหามค่ำ พักผ่อนไม่พอ นอนน้อย ไม่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ส่วนใหญ่ก็มาจากสาเหตุการไม่รู้จักพอ พูดง่ายๆ โลภ ต้องการมีทรัพย์สินเงินทองมากขึ้น มีเท่าไรก็ไม่พอ เพราะข้างในมันกลัว เน้นว่านี่ส่วนใหญ่นะ มีส่วนน้อยที่ทำงานหนัก เพราะมันจำเป็น แต่ส่วนใหญ่ทำงาน เพราะกลัว กลัวไม่มีกิน จนไม่ดูอะไรที่สำคัญกว่า ร่างกายสำคัญกว่า ก็ไม่สนใจ จะเอาเงินอย่างเดียว หนักๆ เข้า กลายเป็นคนรักเงิน เมื่อมนุษย์เริ่มรักเงินมากๆ มนุษย์ก็ยิ่งทำความเสียหายให้กับตัวเอง ชีวิต ผู้คนรอบข้างมากมาย ตกอยู่ในความน่าอัปยศ แล้วก็ตกอยู่ในอันตรายนานัปการ ตามที่พระคัมภีร์บอก เช่น สุขภาพเสื่อมโทรม จากการโหมทำงานหนัก อันตรายจากการไปสิ่งชั่วร้าย เช่น ไปโกงเขา ก็จะต้องได้รับผลของการกระทำนั้น หว่านไปแล้ว เสียชื่อเสียง ติดคุกบ้าง พระคัมภีร์จึงเตือนอยู่เสมอว่าให้พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ขณะที่ทำงานหนัก ทำงานเต็มที่นะ จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ขี้เกียจนะ ขี้เกียจก็อย่าให้เขากิน อย่าไปติดกับดักของโลกใบนี้  ที่จะทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ โดยการแสวงหาทรัพย์มากๆ โดยไม่นึกถึงการพักผ่อน ไม่นึกถึงร่างกายนี้เลย  แต่ให้วางใจในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเลี้ยงดูเราได้ ใน 1 ทิโมธี 6:6-10 บันทึกไว้อย่างนี้

1 ทิโมธี 6:6-10 “6 แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมี ย่อมเป็นกำไรงาม 7 เพราะเราเข้ามาในโลกตัวเปล่า เมื่อออกจากโลก ก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ 8 แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น 9 คนที่อยากรวย ก็ตกหล่มเย้ายวนให้ทำบาป ติดกับ  และตกในความปรารถนาต่างๆ อันโง่เขลาและอันตราย ซึ่งดึงมนุษย์ดิ่งลงในห้วงแห่งความพินาศย่อยยับ 10 เพราะการรักเงิน เป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละ บางคนจึงเตลิดจากความเชื่อ และทำให้ตัวเองต้องปวดร้าว ด้วยความทุกข์โศกนานา”

 

มีคำกล่าวว่าถ้าต้องการจะมองหาแต่คนที่มีแต่ความทุกข์ ให้ไปมองหาในหมู่คนร่ำรวย รับรองเจอเยอะเลย แต่บางทีเรามองไม่เห็น คนที่มีเงินทองมากมายมักจะเป็นทุกข์ เพราะว่ายิ่งมีเยอะ ยิ่งอยากได้เยอะ เกิดความความอยากได้ไม่มีสิ้นสุด ไม่รู้จักพอ และเมื่อไม่พอ แทนที่จะรวย ก็เลยกลายเป็นคนจน น่าสมเพชมาก ก็เลยเป็นทุกข์ อนิจังสามานย์ยิ่งนัก พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ปัญญาจารย์ 5:10, 12 “10 คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน และคนรักสมบัติไม่รู้จักอิ่มกำไร นี่ก็อนิจจังด้วย 12 การหลับของกรรมกรก็ผาสุก ไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมี ก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ”

 

เหล่านี้เป็นพิมพ์เขียว ที่พระเจ้าสอนเราเรื่องความจริงในโลกวัตถุ มันเป็นจริงตามนี้ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณจริงๆ ว่าพระเยซูมาไถ่บาปเราแล้ว เหมือนกันเลย

ตัวอย่างที่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่พระเจ้าวางไว้ให้แล้ว และเป็นกฎทางธรรมชาติ ที่กำหนดไว้แล้วว่าถ้าเราทำตาม เราก็จะได้สิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพร และถ้าเราไม่ทำตามสิ่งที่พระเจ้าแนะนำ เราก็ได้รับ คำสาปแช่ง สิ่งที่ไม่ดี ก็เกิดขึ้นในชีวิตเรา ตัวเราเป็นคนเลือกเอง

นี่เป็นกฎความจริงของโลกวัตถุ ที่เราได้เรียนรู้กันในโลกใบนี้ มีอยู่จริงๆ ไม่มีใครช่วยท่านได้เลย ถ้าท่านไม่ทำตามที่พระเจ้าบอก และท่านอยากได้สิ่งที่ดีๆ เข้ามา มันไม่ได้เลย  นี่เป็นกฎแห่งความจริงของโลกวัตถุ ซึ่งเป็นความจริง 100% เหมือนๆ กับกฎของโลกฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นแล้ว ในพระเยซูที่บอกไว้ว่า …

“ดังนั้น ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ วิญญาณไม่มีการลงโทษอีกแล้ว วิญญาณเป็นอิสรภาพ ไม่มีหนี้บาปเวรกรรมอีกต่อไป ไม่ว่าจะทำอะไรในโลกวัตถุก็ตาม ไม่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณอีกต่อไป วิญญาณเขาเป็นลูกพระเจ้าตลอดไป ตลอดกาลเลย แม้กระทั่งขณะนี้ ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว และจะอยู่ที่นี่ตลอดไป แต่ขณะเดียวกัน ร่างกายที่ยังอยู่นี้ มันยังต้องดำเนินชีวิตตามโลกใบนี้อยู่ ต้องอยู่ในกฎของโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ด้วยเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็จะได้พระพรครบถ้วนบริบูรณ์ วางใจในพระเจ้า แล้วก็ทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรพระเจ้า ก็จะได้สิ่งที่ดีตามที่พระเจ้าบอกไว้ นี่คือพร นี่คือของขวัญที่พระเจ้ามอบให้กับเราทั้งหลายในวันปีใหม่นี้ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 8 “กฎแห่งความจริง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  มกราคม  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 8 “กฎแห่งความจริง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็เป็นการบรรยายครั้งแรกของปี 2018 สำหรับผม วันนี้เราจะกลับมาคุยกันต่อในซีรี่ย์ ชุดเดิมของเรา ที่ผมเริ่มเรื่องไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ซึ่งเป็นคำพูดของพระเยซูคริสต์ เอามาใช้ได้ตลอดกาล ใช้ได้ในทุกพื้นที่ชีวิตของเราทั้งหลาย เมื่อไรก็ใช้ได้

วันนี้เป็นตอนที่ 8 มีชื่อตอนว่า “กฎแห่งความจริง” ตลอด 7 ตอนที่ผ่านมา เราก็วนเวียนกันอยู่ในเรื่องของโลกวิญญาณ ที่ทุกครั้งจะเห็นผมนั่งสลับไปสลับมา เก้าอี้ขาว เก้าอี้ดำ เก้าอี้ดำ เขียนว่า “อาดัม” เก้าอี้ขาวเขียนว่า “พระเยซูคริสต์”

เราก็จะย้ำอยู่แค่นี้ เพื่อจะได้ให้เห็นภาพว่าโลกวิญญาณที่ตาเรามองไม่เห็น พระคัมภีร์บอกมีอยู่จริงๆ ลักษณะเป็นอย่างไร? พอจะเล็งออกง่ายขึ้น ซึ่งผมย้ำอยู่ตลอดเวลาว่าเรื่องทั้งหมด ที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ ที่เล่ากันในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมจนถึงพระคัมภีร์ใหม่ สิ่งที่สำคัญ เรื่องที่สำคัญที่สุด คือเรื่องโลกวิญญาณ ต้องจำไว้ เพราะมองไม่เห็น เดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็ไม่สนใจ เดี๋ยวก็นึกว่ามันจริงไหม? จะคิดอย่างนี้อยู่เรื่อย มนุษย์มักกบฏ ไม่ชอบฟังพระเจ้า ไม่ชอบจริงๆ นะ ไม่อยากจะรู้ ต้องเตือนตัวเองบ่อยๆ

“ใช่ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ฉันเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงมองไม่เห็นก็เชื่อ”

ให้พูดความจริงของพระเจ้าที่หน้ากระจก แล้วพูดให้ตัวเองฟังชัดๆ จำไว้ๆ เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกแล้ว ตัวตน ชีวิตของมนุษย์จริงๆ เป็นวิญญาณ เกิดจากวิญญาณ และวิญญาณนี้ต้องอยู่นิรันดร์ ทำไมถึงต้องใส่คำว่า “ต้อง” ถึงไม่อยากอยู่นิรันดร์ ก็เป็นอยู่นิรันดร์ เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระเจ้าสร้างมนุษย์เป็นนิรันดร์

คำว่า “นิรันดร์” ไม่ได้หมายถึงคุณภาพว่าจะดีหรือไม่ดี? แต่หมายถึงระยะทาง ความสามารถในการอยู่ได้ คือตลอดไป ไม่มีการสูญสิ้นนั่นเอง มันแปลว่าอย่างนี้ก่อน ตามที่มีบันทึกไว้ในหนังสือ 2 โครินธ์ว่าเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ สำคัญอย่างไร? ถึงจะต้องมานั่งพูดซ้ำๆ ซากๆ เพราะว่า 2 โครินธ์ 4:16-18 ได้บันทึกว่านี่แหละคือประโยชน์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สำหรับเราทั้งหลาย ที่พระเจ้าสอนเรา บอกเราว่าให้สนใจเรื่องโลกวิญญาณไว้ให้ดีๆ มากกว่าอะไรทั้งปวง

2 โครินธ์ 4:16-18  “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

ใครที่ตื่นนอนขึ้นมา รู้สึกท้อใจ รู้สึกเหนื่อย หรือบางครั้งไม่ได้ตื่นนอนตอนเช้า บางครั้งตื่นแล้ว ก็พอได้อยู่ พอเผชิญปัญหาในตอนกลางวัน ในตอนสาย ไปทำมาหากิน หรือทำอะไรก็แล้วแต่ เจอปัญหา เหนื่อย หมดแรง ท้อใจ ไม่อยากมีชีวิตอยู่เลย มันเซ็งเหลือเกินโลกใบนี้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้  ก็เพราะว่าเขาไม่ได้พูดกับตัวเอง ไม่ได้ย้ำกับตัวเองว่าเราไม่ได้จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น มันไม่จีรัง ยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์

“วิญญาณของฉันและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณที่ฉันมองไม่เห็น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ และฉันเชื่อในพระเยซูแล้ว มันดีแน่นอน ส่วนตอนนี้ฉันเผชิญปัญหาอะไรที่ตามองเห็น ฉันจับต้องมองเห็นได้ ฉันปวดหัว ตัวร้อนเป็นไข้ เห็นชัดๆ เลย มันอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันต้องสิ้นสุดไป มันต้องหมดไป จะหมดไปด้วยการหายโรค หรือตัวฉันหมดไป ก็คือฉันตาย มันหมดอยู่ดี วิญญาณฉันไปอยู่ในที่ที่ดี เรียบร้อยไปแล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว”

มันก็บรรเทาความทุกข์ยากลำบากลงมา นี่คือตัวอย่างที่ยกนิดหนึ่ง ให้เห็นว่าข้อพระคัมภีร์นี้มันแปลว่าอะไร? ทุกวันเราต้องจดจ้องอย่างนี้ ทุกวันเราต้องมองทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น นี่คือสิ่งที่คริสเตียน หรือมนุษย์ทุกคนควรจะทำ

คำว่า “จิตใจภายใน” ของเรา คือวิญญาณข้างในของเรา เกิดใหม่ขึ้นทุกวัน มีพลัง เป็นลูกของพระเจ้า ตรงนี้สำคัญ สิ่งที่มองไม่เห็น เป็นสิ่งที่เราจะต้องจับ ยึด เกาะติดแน่นไว้ตลอดเวลา ทุกเสี้ยววินาที ทั้งๆ ที่มันเป็นความจริง ก็เพราะว่าเรามองไม่เห็น ถามว่าทำไมเรามองไม่เห็น เพราะเราตกลงไปในความบาป เราอยู่ในเชื้อของความบาป เราเป็นคนที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น นี่คือตัวเหตุผลที่ทำให้เราเชื่อ พระคัมภีร์บอกเราบาป มันจริงๆ พอบาปปุ๊บ ตาฝ่ายวิญญาณมันบอด พอบอด มันก็ไม่เห็นความเป็นจริงในโลกวิญญาณว่ามันมีอยู่จริง แต่ตาเราบอดไง ถามว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริงไหม? มีอยู่จริง แต่ที่เราไม่เห็น เพราะว่าตาเราบอด

เหมือนร่างกายทุกวันนี้ ถ้าเราเดินออกไปข้างนอก เราเห็นต้นไม้อยู่ อีกคนหนึ่งตาบอด เขาบอกว่าไม่เห็นต้นไม้ แล้วถามว่าต้นไม้มีอยู่จริงไหม? มีอยู่ แต่ทำไมไม่มีสำหรับเขา เพราะว่าเขาตาบอด ในโลกวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่มองเห็น ที่ไม่จีรังยั่งยืน ตามพระคัมภีร์บันทึกเมื่อกี้นี้ ถามว่าคืออะไร? ก็คือวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ที่มันสามารถจับต้องมองเห็นได้ด้วยตา สัมผัสด้วยกาย หรือสัมผัสด้วยกลิ่นก็ตาม สิ่งเหล่านี้เรียกว่าสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน มันอยู่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็น ที่เป็นถาวรนิรันดร์ ก็คือโลกวิญญาณที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ และตาวิญญาณก็ไม่เห็น เพราะเราเป็นคนบาป และมันบอดไปแล้ว มันไม่เห็น ก็คือดวงวิญญาณของมนุษย์ และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ เช่น ทูตสวรรค์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และมารซาตาน  สมุนของมันอีก และทูตสวรรค์ของพวกเราเยอะแยะมากมาย แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นเหล่านี้ มันมีอยู่จริง สวรรค์สถานที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย มีอยู่จริง ที่ไม่ใช่สวรรค์สถาน ที่เรียกว่าที่มืด ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ ที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ตลอดไป มีอยู่จริง

และในโลกวิญญาณมีกฎ มีความจริงอยู่ในนั้น ว่ากันตามจริงแล้ว พระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นหนังสือกฎทั้งหมดเลย กฎหมายของพระเจ้า เป็นกฎต่างๆ ซึ่งใครทำตาม ก็ได้พร ใครไม่ทำตาม ก็ได้ในสิ่งที่กฎเขียนเอาไว้ เหมือนเราขับไปข้างนอก มันมีกฎหมายอยู่ คุณไม่เชื่อว่ามีกฎหมาย คุณซี้ซั้วขับไป  คุณก็ได้รับการสาปแช่ง ถูกใบสั่งบ้าง บาดเจ็บบ้างอะไรต่างๆ มีเรื่องราวปัญหา แต่ถ้าคุณออกไป คุณเชื่อว่ามันมีกฎจริงๆ แล้วคุณพยายามไปศึกษาว่ากฎเขาว่าอย่างไร? คุณก็พยายามทำตามกฎ คุณก็ปลอดภัย ไม่โดนจับด้วย

เพราะฉะนั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ ก็มีกฎของโลกวิญญาณ ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าความเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปมนุษย์ ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ตรงนี้ ทำให้คนๆ นั้นเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย  นี่คือกฎที่เขียนไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ กฎเป็นอย่างนั้น ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือความเชื่อในความจริงของกฎโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าบันทึกเอาไว้ให้เรารู้ว่ามันมีกฎตรงนี้อยู่ ความจริงที่บอกว่าวิญญาณของมนุษย์ทุกคนมีเชื้อบาปติดอยู่ ซึ่งจะต้องใช้หนี้บาปเวรกรรม ก็คือต้องอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า อยู่ในความทุกข์ทรมานตลอด นิรันดร์ เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว อย่างที่เราบอกว่าวิญญาณต้องอยู่นิรันดร์ แต่ต้องอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ทรมาน ในที่ที่มืด ที่ไม่มีพระเจ้านิรันดร์

และวิธีการที่จะให้หลุดพ้นจากหนี้เวรกรรมตรงนี้ได้ ก็มีอยู่ทางเดียว ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกไว้ ก็คือให้เชื่อว่าพระเจ้าได้ส่งพระบุตรของพระองค์ ผู้เดียว ที่มีพระนามว่าพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน เป็นเครื่องบูชาลบบาปออกไปจากดวงวิญญาณของมนุษย์ทุกคนแล้ว นี่คือความจริงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ ที่มีขึ้นมา ณ ปัจจุบัน เป็นอย่างนี้  ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตาม มันเป็นอย่างนี้อยู่

ผู้ใดที่เชื่อกฎนี้ ผู้นั้น ก็ได้รับสิทธิที่พระเยซูได้กระทำให้กับเขา หรือให้กับมนุษย์ทั้งปวง ก็คือได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องเป็นหนี้ เป็นสิน ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป คือเป็นไท พระคัมภีร์ใช้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม “ชอบธรรม” หมายถึงเป็นอิสระ จากการเป็นนักโทษ ชอบธรรมแปลว่าถูกต้อง ดีแล้ว นี่คือกฎในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นความจริง ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ ส่วนผู้ใดที่ไม่เชื่อ กฎนี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับสิทธิ แค่นั่นเอง เรามาดูต่อไปว่าไม่เชื่อ ไม่ได้รับ มันคืออะไร?

คำว่า “ไม่ได้รับสิทธิดีๆ จากพระเจ้า” ภาษาพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เราเรียกกันว่าไม่ได้รับพระพรจากกฎ ที่พระเจ้าวางไว้ในโลกวิญญาณนี้ เพราะว่าไม่เชื่อในกฎนี้  ก็ไม่ได้รับอิสรภาพ จากกฎที่บอกว่าเป็นอิสรภาพแล้ว ก็เป็นหนี้บาป เวรกรรมติดตัวอยู่ ที่ยังคงต้องชดใช้ด้วยตัวเองต่อไป ซึ่งไม่มีทางใช้หมดเลย

ฉะนั้น คำพูดที่บอกว่าผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็จะได้รับสิ่งที่ไม่ดี ก็คือได้รับคำสาปแช่ง ก็คือไม่ได้รับพระพร ผู้ใดที่ไม่เชื่อกฎวิญญาณที่พระเจ้าบอกนี้  ก็จะไม่ได้รับพระพร ก็คือไม่ได้รับสิ่งที่ดีๆ จากกฎนี้นั่นเอง พระคัมภีร์ก็ใช้คำว่าได้รับคำสาปแช่ง อะไรก็ตามที่มันไม่ดีแค่นั้นเอง ท่านอย่าไปคิดมากเลย คำสาปแช่ง ก็เหมือนกับขึ้นศาล ผู้พิพากษาตัดสินคดี แล้วบอกว่าท่านต้องถูกจำคุก การถูกจำคุก ก็เรียกว่าท่านถูกสาปแช่ง หรือสั่งว่าท่านต้องไปชดใช้หนี้เขาพันล้านบาท นี่คือคำสาปแช่ง แต่ถ้าศาลบอกว่าท่านเป็นอิสระ ท่านไม่ได้เป็นอะไรเลย กลับบ้านได้ อย่างนี้เรียกว่าพระพร

พระพร คำสาปแช่ง จะเอาแบบไหน?  วันนี้ผมจะเอาวิถีทางที่ท่านจะได้พระพร และคำสาปแช่งมาวางไว้ตรงหน้า ให้ท่านเลือกเอา ท่านอยากได้พรหรืออยากได้คำสาปแช่ง ท่านมีสิทธิ์เลือกด้วยตนเอง พระเจ้าก็เลือกให้ท่านไม่ได้ แต่พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล สามารถมองดู ถ้าท่านเลือกพระพร ท่านได้พรแน่นอน เพราะว่าพระเจ้าดูอยู่ ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับท่านเลย แต่ถ้าเลือกคำสาปแช่ง พระเจ้าก็ไม่สามารถช่วยท่านได้ด้วยเหมือนกัน เพราะท่านเลือกเอง

แต่ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม สิ่งที่มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณ มันก็ยังเป็นอยู่วันยังค่ำ หลายคนบางครั้งพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า …

“ถ้าเราไม่เชื่อ” ก็ปลอบใจตัวเองว่า  “มันคงไม่ได้เป็นไปตามนั้นหรอก”

พอเราไม่เชื่อ เราก็นึกว่ามันไม่ใช่ แต่อย่าลืมว่าถึงเราไม่เชื่อ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ วิญญาณของมนุษย์ทุกคนอยู่ใต้คำสาปแช่งอยู่แล้ว ตั้งแต่ปฐมกาล พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าคนที่ไม่เชื่อ ก็ถูกปรับโทษอยู่แล้ว พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูคริสต์มาเพื่อปรับโทษ มาเพื่อสาปแช่งมนุษย์เลย แต่มาเพื่อช่วยมนุษย์ที่กำลังถูกสาปแช่งอยู่นั้น ลองอ่านดูยอห์น 3:16-18 ดูสภาพวิญญาณของมนุษย์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง? พระเยซูคือใคร? มาทำอะไร? นี่คือกฎของโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าสอนเรา ให้เรารู้ความจริงในโลกวิญญาณ เพื่อประโยชน์จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราเอง พอรู้จักความจริง เราเลือกในสิ่งที่ดี สิ่งที่ดี ก็เข้ามาในชีวิตของเรา

ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว ถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เชื่อพระเยซู แต่เขาถูกสาปแช่งอยู่แล้ว พอเขาไม่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูมาช่วยเขา เขาก็เลยอยู่ที่เดิม ไม่ได้หนักขึ้น อันเก่าก็หนักพอสมควรแล้ว

นักประกาศหลายท่าน รวมทั้งบิลลี่ แกรแฮม ได้บอกว่าถ้อยคำที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ เป็นเสมือนหัวใจของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ที่รวมเอาแผนการของพระเจ้าทั้งหมด รวมเอาพระลักษณะของพระเจ้า รวมเอาเหตุและผลของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์มาไว้ในข้อพระคัมภีร์ 3 ข้อนี้

แผนการของพระเจ้า คือต้องการช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป เวรกรรมทั้งหลาย ก็คือคำสาปแช่งที่ถูกสาปไป ตั้งแต่เริ่มต้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ บรรพบุรุษของเรา คืออาดัม

พระลักษณะของพระเจ้าที่เราได้เห็นในข้อนี้ คือความรัก ความเมตตา ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ ถึงขนาดยอมให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ มาตายด้วยความทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขน เพื่อช่วยมนุษย์ เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษยชาติ คิดดูก็แล้วกัน นี่คือความรักและความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สำแดงออกแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน

เหตุและผลของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปอยู่แล้ว ถูกสาปแช่งอยู่ ต้องได้รับโทษของความบาป คือการสาปแช่ง และทางเดียวที่จะทำให้มนุษย์ได้รับอิสรภาพ หลุดพ้นจากคำสาปแช่งนั้นได้ ก็คือต้องเชื่อในข่าวดีนี้ว่าพระเยซูทรงเอาไปแล้ว เชื่อว่าพระเยซูมาเป็นแพะรับบาปแทนเราแล้ว

เพราะฉะนั้น ผลของข่าวดี หรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือผู้ใดที่เชื่อในพระเยซู ก็จะไม่ถูกลงโทษ ไม่อยู่ในคำสาปแช่งอีกต่อไป เป็นอิสระไปเลย ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็อยู่ที่เดิม ก็ถูกสาปแช่งเหมือนเดิม นี่คือความจริงของกฎของโลกวิญญาณ  ซึ่งมีอยู่จริงๆ พระเจ้ากำลังสำแดงให้กับเรา ให้เรารู้ ให้เราเข้าใจว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ มีกฎนี้อยู่จริงๆ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ท่านจะรับสิทธิของท่านหรือไม่ก็ตาม แต่มันมีกฎนี้อยู่จริงๆ

ซึ่งกฎนี้ สรุปได้อย่างนี้ว่าก่อนที่พระเจ้าจะประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ให้นั้น มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และอยู่ภายใต้การถูกสาปแช่งอยู่แล้ว แต่ด้วยความรักเมตตา ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จึงทำให้เกิดข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีนี้ขึ้น ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้ามาตายที่ไม้กางเขน ตามแผนการของพระเจ้า เพื่อมาไถ่บาป เพื่อมารับโทษของความบาป แทนมนุษย์ทั้งปวง ทำให้มนุษย์ทั้งปวงสามารถเป็นอิสรภาพจากความพินาศนิรันดร์ ในนรกได้ โดยแค่เชื่อพระเยซู เชื่อในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ

มีนักเขียนอยู่คนหนึ่ง เป็นนักเขียนหนังสือที่โด่งดังมาก เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และเขียนเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ มีผลงาน ขายดีที่สุด หรือ The best seller ออกมาเยอะแยะ แล้ววันหนึ่งเขาก็เขียนหนังสือเล่มหนึ่งออกมา เป็นหนังสือใหม่ของเขา  มีชื่อว่า “ทำอะไรจึงได้ไปสวรรค์” และ “ทำอะไรจึงต้องไปนรก” ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีมาก เพราะเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากจะรู้ อยากจะแสวงหามาก เพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณอยู่ข้างใน รู้ว่าตัวเองอยากไปสวรรค์ เมื่อจากโลกนี้ไป ไม่อยากจะไปอยู่ในนรก คนก็ดีใจ

“ฉันอยากจะรู้ เพราะฉันอยากไปสวรรค์ มาสอนฉันว่าไปอย่างไร? สบาย”

และยังสอนด้วยว่าทำอย่างไรไปนรก ไม่มีคนอยากจะอ่าน แต่อ่านดูนิดหนึ่ง เผื่อเรากำลังทำ จะได้เลิกทำ

หนังสือเล่มนี้จึงมีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรก คือทำอะไรได้ไปสวรรค์ เรื่องที่สอง คือทำอะไรได้ไปนรก ทุกคนก็สนใจมาก ไปซื้อหนังสือเล่มนี้มา เล่มหนามาก พอเปิดหนังสือเล่มนี้ออกมา หน้าแรก เขียนหัวเรื่องใหญ่โตเลยว่าเพราะมนุษย์ทำอะไร จึงได้ไปสวรรค์ แล้วหน้าต่อๆ ไป ทั้งเล่มเลยนะครับ เปิดไป เป็นกระดาษเปล่าหมดเลย  ไม่ได้บันทึกอะไรเลย ประมาณเกือบครึ่งเล่ม แล้วก็มีตัวหนังสือโผล่มาที่กลางเล่ม เขียนตัวโตๆ ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อ จบเรื่องแล้ว

แล้วทุกคนก็ต่อไป แล้วจะไปนรก ทำอย่างไร? ก็เปิดต่อ นี่คือครึ่งเล่มแล้วนะ เขียนหัวข้อตัวใหญ่เหมือนกันว่า “เพราะมนุษย์ทำอะไร จึงต้องไปนรก” ไม่อยากไปนรก จะได้ฝึกฝนทำตามที่เขาสอน  และก็เหมือนเดิม หน้าต่อไป ว่าง ว่าง ว่าง จนหมดเล่มเลย มาเจอคำตอบ หน้าสุดท้ายเขียนตัวใหญ่มากว่า “ไม่ต้องทำอะไรเลย” จบเล่ม

ไม่ต้องทำอะไรเลย  นี่คือความหมายของความจริง ของกฎของโลกวิญญาณ ที่บอกว่าพระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์มาเพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ ไม่ถูกสาปแช่ง แต่ใครที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว ถ้าเราเชื่อความจริงตรงนี้ เราหรือใครก็ตาม ก็จะได้รับสิ่งที่เรียกว่าพระพร ตามที่พระเจ้าสอนไว้ บอกไว้ ในกฎ ในความจริงของพระองค์ ซึ่งพระพรตรงนี้ ก็มีเงื่อนไขของเวลา ตามที่พระคัมภีร์เขียนบันทึกไว้ว่าตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือก่อนที่วิญญาณออกจากร่าง ตายจากโลกนี้ไป หรือไม่ก็พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ ถ้าถึงตอนนั้น ก็หมดเวลาที่จะตัดสินใจจะเชื่อหรือไม่เชื่อ? ไม่มีสิทธิ์ บางคนบอกว่าหลังความตายค่อยมาตัดสินใจว่าจะเลือกเชื่อพระเยซูหรือไม่? จะได้เห็นทันตาวิญญาณเลย พอตายไปปุ๊บ ก็เห็นเลย  เพราะทุกวันนี้ไม่เห็น เพราะร่างกายมันถูกสาปแช่ง อยู่ในร่างกายที่แย่มาก มันบอดทางวิญญาณ แต่วันหนึ่งวิญญาณออกจากร่าง ก็จะเห็นแล้ว ค่อยมาเชื่อได้ไหม? ถ้าได้ผมก็ไม่ต้องมาประกาศสิ ถ้าได้พระเยซูก็ไม่ต้องมาประกาศ ถ้าได้พระเจ้าคงล้างโลกเลย มนุษย์ทุกคนก็รอดหมด เพราะทิ้งร่างกายนี้ไป ก็เจอพระเยซูหมด

ถามว่าทำไมไม่ได้? เพราะว่าพระเยซูคริสต์ ต้องเกิดเป็นมนุษย์ เกิดจากหญิงพรหมจารี เป็นมนุษย์จริงๆ  เพื่อมาเป็นตัวแทนให้มนุษย์ เริ่มครอบครัวใหม่ เริ่มเผ่าพันธุ์ใหม่ เริ่มสำมะโนครัวใหม่ของมนุษย์ เพื่อมนุษย์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น มนุษย์ คือวิญญาณที่อยู่ในร่างกายที่มีเนื้อและเลือด พระเยซูบอกเรามีเลือดและเนื้อ คือเราเป็นมนุษย์จริงๆ เราไม่ได้เป็นวิญญาณ ถ้าเป็นวิญญาณ ไม่มีร่างกายนี้ เราไม่ได้เรียกว่ามนุษย์ … มนุษย์ต้องมีร่างกายนี้อยู่

พระเยซูตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาป แทนมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น มนุษย์เท่านั้น จึงมีสิทธิที่จะไปรับสิ่งที่พระเยซูทำได้ แต่เมื่อมนุษย์วิญญาณออกจากร่างแล้ว เขาไม่มีร่างกายแล้ว เขาไม่เป็นและไม่ได้ถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป เขาถูกเรียกว่าเป็นวิญญาณ หรือภาษาไทยเดิมเรียกว่าเป็นผี ไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะครับ ธรรมดา ผีก็คือวิญญาณ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ คนไม่เข้าใจ คิดว่าพระเยซูเป็นผี ใช้คำว่าผี … ผี ก็คือวิญญาณ … วิญญาณ ไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นวิญญาณ ก็ไม่มีสิทธิ์ เพราะว่าพระเยซูไม่ได้เป็นตัวแทนรับโทษบาปให้กับวิญญาณ หมดสิทธิ์ไปเลย

นี่คือสิ่งที่น่ากลัวมาก เราไม่รู้ว่าวันเวลาใดที่เราจะต้องจากโลกนี้ไป เราไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว แล้วเราจะกลับมารับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดก็ไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่มนุษย์ พระเยซูเป็นตัวแทนมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าเปิดเผยให้เรารู้ แล้วเรามาเรียนรู้ เพื่อเราจะได้พระพร ได้สิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้นกับเรา ในการตัดสินใจนั่นเอง

และทุกครั้งที่เราคุยกันเรื่องนี้ ที่บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อพระเยซูอย่างเดียว เราก็ได้รับพระพร ได้รับอิสรภาพ ตามสิทธิที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา ที่ไม้กางเขนแล้ว เมื่อพูดแบบนี้ ก็มาดักกันอีกทางว่าไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจว่าอย่างนี้ก็สบาย มาเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอดแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว เพราะฉะนั้น ทำอะไรก็ได้ พระเยซู พระเจ้าก็อภัยให้หมด จะทำผิดทำบาป ก็ได้ ได้รับการอภัยให้หมดเลย เดี๋ยวก่อน ฟังตรงนี้ต่อไป ได้หมดเลย ได้พระพรหมดเลย ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะในพระคัมภีร์สอนถึงเรื่องกฎต่างๆ แม้ว่าเราจะบอกว่ากฎของโลกฝ่ายวิญญาณสำคัญที่สุด ก็ตาม

ถ้าใครกำลังคิดว่าสบาย มาเชื่อพระเยซูแล้วจะทำอะไรก็ได้รับพระพรแน่ๆ อยากจะเตือนว่าอย่าลืมว่าชีวิตที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ มันก็มีกฎของโลกใบนี้อยู่ ซึ่งเรียกว่ากฎฝ่ายวัตถุ คือฝ่ายที่ตามองเห็นอยู่เหมือนกัน ความรอดที่ได้รับมาแล้ว เป็นสิทธิในพระเยซูคริสต์นั้น เป็นความรอดในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันไม่ใช่กฎทางโลก แต่มันมีกฎของโลกวัตถุด้วย สิ่งของที่จับต้องได้ มันมีกฎอยู่ แล้วพระเจ้าก็เขียนไว้ในนี้หมด เพียงแต่เราไม่เข้าใจ เราสะเปะสะปะ แต่ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้ กฎแห่งโลกวัตถุนี้ ก็ยังมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเรา

เช่นเดียวกัน เราก็ยังคงต้องให้ความสำคัญกับกฎของโลกวัตถุนี้ ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  แม้ว่ามันจะสำคัญน้อยกว่าโลกฝ่ายวิญญาณก็ตาม ไม่ใช่ไม่มองมัน แล้วก็ไม่สนใจ แต่มิพระพรในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ถึงแม้ว่าเราจะมั่นใจแล้วว่าวิญญาณเราไปสวรรค์แน่นอน ณ เวลานี้ วิญญาณเราอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ 100% ตามพระคัมภีร์บอก ในโลกฝ่ายวิญญาณว่าอย่างนั้น เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน พระคัมภีร์บอกเรานั่งอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ เรายังไม่ทิ้งจากร่างนี้ไป เราอยู่ในร่างมนุษย์นี้นะ ในขณะเดียวกัน เรานั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเช่นกัน  ตอนนี้ อยู่ในสวรรค์แล้ว เราเชื่ออย่างนี้ก็ตาม

แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องให้ความสนใจด้วยว่าแล้วกฎแห่งการดำเนินชีวิตอย่างนี้ ที่ยังเป็นมนุษย์ แต่อยู่ในสวรรค์แล้ว มันเป็นอย่างไร? มันไม่ใช่วิญญาณอยู่ในสวรรค์ แต่เป็นร่างกายมนุษย์ที่อยู่ในสวรรค์ มันเป็นอย่างไร? และจะต้องทำอย่างไร? แม้พระคัมภีร์จะเตือนแล้วว่าอยู่บนโลกนี้ เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก แม้วิญญาณจะอยู่ในสวรรค์ แต่ร่างกายยังอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอย่างแน่นอน เผชิญกับอุปสรรค์ปัญหาต่างๆ แต่เราก็ยังมีทางเลือกที่จะดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ ดำเนินชีวิตตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา เพื่อให้ทุกข์ยากลำบากน้อยที่สุด เท่าที่เราทำได้ เพราะพระเจ้ารักเรา อยากให้เรามีความสุขที่สุด แม้ว่าวิญญาณเราจะอยู่ในสวรรค์ก็ตาม

ความจริงของกฎ แห่งโลกวัตถุ พระคัมภีร์ก็เตือนเราว่าถ้าท่านหว่านสิ่งใดลงไป ท่านก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น กลับมา กฎแห่งโลกวัตถุนี้ ก็คือถ้าท่านหว่านสิ่งที่ดี หว่านสิ่งที่พระคัมภีร์สอน ท่านก็ได้รับสิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพรกลับมา แต่ถ้าท่านหว่านสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระเจ้า ท่านก็จะได้รับสิ่งที่ไม่เป็นพระพร เรียกว่าคำสาปแช่งมาเหมือนกัน ไม่ว่าวิญญาณท่านจะอยู่กับพระเยซูแล้วหรือไม่ก็ตาม เอเมน

ทำในสิ่งที่ดี หมายถึงดี ตามพระคัมภีร์บอก ไม่ใช่ ดีตามที่ท่านบอก ดีตามที่ท่านคิดกับดีของพระเจ้า บางอย่างมันเหมือนกัน แต่บางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนกัน

พระคัมภีร์ก็เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของกฎ ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เพราะว่าทั้งโลกแห่งวิญญาณและโลกวัตถุนี้  เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น พระเจ้าสร้างพิมพ์เขียวขึ้นมาทั้งหมดเลย พระองค์เป็นผู้กำหนดว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ จะดำเนินไปทางไหน? อย่างไร? ต้องพบกับอะไร? นี่คือโลกวัตถุ แน่นอนว่าพิมพ์เขียวของพระเจ้าต้องเป็นพิมพ์เขียวที่ดีที่สุด ต้องเกิดผลดีที่สุด สำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะเป็นลูกของพระองค์ เขียนก่อนที่มนุษย์จะตกลงไปในความบาป คำสาปแช่งแล้วว่ามีกฎอยู่ตรงนี้ ให้มนุษย์ได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด มีความสุขที่สุด ในบ้านหลังนี้ เรียกว่าโลกนะ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเชื่อในพิมพ์เขียวของพระเจ้า คือดำเนินชีวิตตามคำบอก คำสอน คำแนะนำของพระเจ้า เราก็ได้รับสิ่งที่เราหว่านลงไป คือสิ่งที่ดีๆ ที่พระเจ้าบอกไว้ คือได้รับพระพร ชีวิตก็ทุกข์น้อยๆ หน่อย แต่ถ้าเราไม่ยอมฟัง ดื้อดึง ซึ่งมันก็เป็นนิสัยดั้งเดิมของมนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป พยายามที่จะดื้อ เดินห่างออกจากคำสอนของพระเจ้า ออกจากพิมพ์เขียวที่พระเจ้าบอกไว้ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โอกาสที่ชีวิตเราจะเดินบนโลกใบนี้ จะพบกับความผิดพลาด พบกับความล้มเหลว พบกับความทุกข์ ก็เป็นไปได้อย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะได้รับพระพรทางโลกวิญญาณแล้วหรือไม่ก็ตาม พูดง่ายๆ ว่าแม้ว่าเราจะเป็นคริสเตียนก็ตาม

เหมือนเวลาที่เราจะสร้างบ้าน ก่อนลงมือสร้างบ้าน เราก็ทำแปลน เราก็ดำเนินตามแปลนนั้น ทำซะอย่างดี พอเริ่มสร้าง ซีซั่วทำ มั่วซั่ว บ้านก็พังลงมา ก็เช่นเดียวกัน พิมพ์เขียวของพระเจ้ามีบอกไว้เยอะ เต็มไปหมด ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเล่มนี้ บอกทั้งหมดเลย เรียนไม่จบเลย มีพิมพ์เขียวบอกเสร็จสรรพเลยว่าท่านควรจะทำอะไร? และได้อะไร? ถ้าเราเชื่อตรงไหน? เราก็จะได้พรตรงนั้น ถ้าตรงไหนเราไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ มันแยกกันนะ ไม่ใช่ว่าได้ตรงนี้ แล้วได้หมด ไม่ใช่ โลกวิญญาณท่านได้ไปแล้ว แต่โลกวัตถุ ถ้าท่านทำสิ่งนี้ ท่านก็ได้สิ่งนี้ ถ้าท่านไม่ทำ ท่านก็ไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าวางเป็นกฎระเบียบว่าท่านทำสิ่งนี้ มันก็จะเกิดสิ่งนี้ขึ้น ท่านหว่านอย่างนี้ ท่านก็จะได้อย่างนี้  ถ้าท่านหว่านอย่างนี้ ท่านก็จะไม่ได้อย่างนี้ อะไรต่างๆ

ยกตัวอย่าง ในพระคัมภีร์บันทึกมาเป็นหลายพันปี บอกว่าเนื้อสัตว์ชนิดไหนท่านควรกิน? เนื้อสัตว์ชนิดไหนท่านไม่ควรกิน? ถ้าท่านกินสิ่งที่ไม่ควรกิน ที่เรียกว่าเป็นมลทิน สัตว์สกปรก ที่พระเจ้าบอกไว้ ท่านจะเป็นโรค เกิดความทุกข์ทรมานในร่างกายของท่าน เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคอะไรต่างๆ แต่ไม่ได้พูดถึงอันนั้น หมายถึงว่าเกิดอะไรไม่ดีในร่างกายของท่าน

ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีอาจจะสัก 40 – 50 ปี ไม่เกินนี้ จนมาถึงปัจจุบัน พึ่งจะค้นพบทางวิทยาศาสตร์เห็นว่าสัตว์ที่พระเจ้าบอกว่าอย่ากิน มันสกปรกจริงๆ มันมีสารเคมีอะไรบางอย่างที่เป็นสารเคมีที่เขาใช้ชื่อตามวิทยาศาสตร์ ค้นพบแล้วว่าสารตัวนี้ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายของคน

ยกตัวอย่าง ปลาดุก ปลาที่มีหนวด ปลาที่ไม่มีเกล็ด ปัจจุบันเขาค้นพบแล้ว ปลาพวกนี้ มันมีไขมันที่เลวมาก มันสกปรกมาก มันกินขยะทั้งนั้น นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ยังมีอย่างอื่นเยอะแยะ ถามว่าเราเป็นคริสเตียน เราอยากจะกิน กินได้ไหม? ได้ ก็ในเมื่อโลกวิญญาณสำคัญกว่า อย่างไรเราก็อยู่ในสวรรค์นิรันดร์แล้ว แต่อยู่บนโลกใบนี้เราก็เจ็บป่วย

“พระเจ้า รักษาลูกให้หายโรคที”

จะรักษาอย่างไร? ในเมื่อกินอยู่อย่างนั้น พระเจ้าก็ต้องมาเริ่มต้นเบอร์หนึ่งใหม่ ฝึกฝนที่จะเรียนรู้ในการกิน อดทนหน่อยนะ เอามีดจ่อคอหอยหน่อยนะ สิ่งที่ไม่ดี ก็อยากกิน สิ่งดีๆ ก็ไม่อยากกิน เพราะถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง เพราะมนุษย์อยู่ในความบาป ร่างกายนี้ ยังอยู่ในอิทธิพลของความบาปอยู่ แม้ว่าวิญญาณเราจะรอด วิญญาณเราจะถูกสร้างใหม่เอี่ยม ในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีอะไรมาทำอะไรเราได้เลย  วิญญาณเราเป็นลูกของพระเจ้า จะอยู่กับพระเจ้าตลอดชั่วนิจนิรันดร เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจดแล้วทั้งสิ้นเลย ก็ตาม แต่ร่างกายเราที่ยังอยู่บนโลกใบนี้  ที่พระเจ้าจะใช้เราทำอะไรบนโลกใบนี้ ยังเป็นมนุษย์อยู่นั้น มันยังอยู่ในกฎของโลกวัตถุอยู่ กฎของโลกวัตถุบอกว่าอย่ากินอันนี้นะ กินแล้วมันจะเป็นโรค เราก็ไปกิน เราก็เก็บเกี่ยวความเป็นโรคเข้ามาในร่างกายของเรา ยังมีอย่างอื่นเยอะแยะมากมาย ใน 1 โครินธ์ 3:10-15

1 โครินธ์ 3:10-15 “10  โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างผู้ชำนาญ และคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น กระนั้น แต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร 11 เพราะใครจะมาวางฐานรากอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์ 12 ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟางก่อขึ้นบนฐานรากนั้น 13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้น สิ่งนี้จะถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น”

 

จริงๆ แล้วตรงนี้ ไม่ค่อยตรงกับที่ผมพูดมาทั้งหมดหรอก มันเป็นการบอกกล่าวถึงคนที่มีหน้าที่เป็นนักประกาศ ไม่ใช่ผู้เชื่อธรรมดา ผู้ที่มีหน้าที่ออกไปสอน  ออกไปประกาศ บางทีสอนๆ ไป ก็ใช้เนื้อหนังเข้าไปด้วย ต้องการชื่อเสียง ต้องการอะไร? ซึ่งตัวเขาเอง เขาก็เชื่อพระเยซู เขาก็ได้รับความรอด แต่ได้รับแบบทุกข์ทรมาน เพราะว่าอย่างอื่นไปทำไม่ถูก

ยกตัวอย่าง ถ้าเราเป็นคริสเตียน แล้วเราไปโกงเขา การเป็นคริสเตียนของเรา ก็เป็นวิญญาณอยู่ ได้รับความรอดอยู่ แต่เราไปโกงเขา เราจะต้องได้รับสิ่งที่ไม่ดีกลับมา ซึ่งตอนนั้น เราอาจจะรู้สึกว่าดี พระเจ้าอวยพรๆ เดี๋ยวก็โดน เพราะว่าพระคัมภีร์พูดไว้เช่นไร มันก็เป็นเช่นนั้น เข้าใจใช่ไหมครับ? บางคนเอาอันนี้มาอ้าง อธิษฐานในใจ แต่คำอธิษฐานนั้นเอาเปรียบชาวบ้านเขาหมดเลย พระเจ้าตอบคำอธิษฐานด้วย  ก็จะไม่ตอบได้อย่างไร? เราอยากได้อย่างนั้น ไม่ใช่พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ใจเราอยากได้ เราก็พุ่งตรงไปทำสิ่งนั้น มันก็ได้สิ ก็คือเราหว่านสิ่งนั้น เราก็ได้ เอาเปรียบเขา ปกปิดเขา ไม่ให้เขารู้ พระเจ้าก็เตือนเราหลายครั้ง แต่เราไม่ได้ยินหรอก เพราะว่าเนื้อหนังเรามันเสียงดังกว่า

“พระเจ้าอวยพรแล้ว เอาเลย”

เราก็คว้าหมับ แล้วอย่างไร? ถ้ามันสำคัญจริงๆ ก็ติดคุก ติดคุกแล้วอย่างไร? ก็อธิษฐานกับพระเจ้า และถ้าออกมาแล้ว ยังไม่สำนึกอีก ติดอีกไหม? ก็แล้วแต่ว่าคุณจะทำอะไร? นึกออกใช่ไหม?

มันต้องมีเหตุจากเราทั้งสิ้น อย่าไปโทษพระเจ้าเลยว่าพระเจ้าให้เกิดขึ้น ไม่มี ถ้าทำได้ พระเจ้าไม่ให้เกิดอะไรที่ไม่ดีในชีวิตเรา พระองค์ทรงรักเรามาก อยากให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่เนื่องจากเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หว่านในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 2 เหตุผล

เหตุผลแรก ก็คือเราไม่รู้จริงๆ เหมือนกับโลกกลมกับโลกแบน ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร? ไม่รู้จริงๆ ว่ากินอันนี้ เห็นเขาบอกกินได้ ก็กิน ไม่รู้จริงๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่รู้ความจริงเฉยๆ แต่มีอีกฝั่งหนึ่ง คือทั้งๆ ที่รู้ความจริงด้วยว่าพระคัมภีร์บอกว่าอย่าโลภ แต่เราจะโลภ เราสู้เนื้อหนังไม่ได้

เห็นไหม มันมี 2 ลักษณะ เพราะฉะนั้น อย่านึก แต่ทั้งสิ้นทั้งหมด มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าพระเจ้าทำให้เราเป็นอะไร? เราเองเป็นผู้เลือก

วันนี้เอามาฝากท่านว่าให้ท่านเลือกเอา จะเอากฎไหน? กฎที่ได้พร หรือกฎที่ได้คำสาปแช่ง

สรุปว่าโลกฝ่ายวิญญาณที่เริ่มต้นมาวันนี้ บอกแล้วว่าโลกฝ่ายวิญญาณ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว และจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล เพราะว่ากฎหมายของพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณ ในโรม 8:1 บอกว่า …

โรม 8:1 “ไม่มีการลงโทษใดๆ คำสาปแช่งใดๆ กับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปที่อยู่ในอาดัมและความตาย คืออยู่ในอาณาจักรมืด”

 

นี่คือกฎหมายของพระเจ้าที่บันทึกไว้เรียบร้อยแล้วว่าตอนนี้ ท่านอยู่ในกฎไหน? เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ที่นี่แล้ว เราอยู่ในกฎแห่งวิญญาณ แห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ กฎวิญญาณ ไม่ใช่กฎโลกวัตถุ กฎวิญญาณ ที่มีชีวิตในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่แล้ว ฉันดีใจก่อนแล้วกัน

สัปดาห์หน้ามาเรียนรู้กันต่อครับ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2017 เรื่อง “ความหมายวันคริสตมาส” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  ธันวาคม  2017

 เรื่อง “ความหมายวันคริสตมาส

โดย นคร  เวชสุภาพร

            Merry Christmas” ภาษาไทย คือ “ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้กับท่านแล้ว”

ก่อนจะเฉลิมฉลองวันสำคัญ เราควรต้องรู้ความหมายที่แท้จริงก่อน ทุกคนทราบดีว่าวัน คริสตมาส ก็คือวันประสูติของพระเยซูคริสต์ แต่ความหมายที่แท้จริง ที่เป็นเหตุให้มีการเฉลิมฉลอง ใหญ่โตมโหฬารกันทั่วโลก มากขึ้นทุกวันๆ วันจริงๆ ไม่รู้หรอก เป็นวันเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อลบล้างบาปให้กับมวลมนุษยชาติ

ท่านเคยคิดไหม? ทำไมพระเยซูจำเป็นต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้า แล้วก็มาช่วยมนุษย์เลยไม่ได้หรือ!  เหตุผลที่พระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาไถ่บาป ให้มนุษย์รอดพ้นจากการถูกลงโทษ เพราะความบาป พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้บันทึกไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และต้องได้รับโทษของความบาปนั้น คือจะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็ตาม พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น ในวิญญาณของเขา ในจิตสำนึกของทุกคน จะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาปอยู่ มีบาป เวรกรรมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยตัวเองได้อย่างไร?  จะหลุดพ้นจากบาปนั้นได้อย่างไร?  หรือหมดเวร หมดกรรม ได้อย่างไร? ซึ่งในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ว่ามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปเวรกรรมของเขาได้ ก็คือพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่จะรับโทษของความบาปทั้งหมด แทนมวลมนุษย์ เขาเรียกว่าตัวตายตัวแทนนั่นเอง

เพราะว่าตัวการที่ทำให้มนุษย์ทุกคนตกลงไปเป็นคนบาป ได้รับโทษของบาป ก็คือบรรพบุรุษของมนุษย์ ชื่ออาดัมและเอวา พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ ทำให้มนุษย์หมดเวรหมดกรรมได้ ก็ต้องเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกัน โดยมนุษย์เป็นตัวแทนของมนุษย์เท่านั้น ทูตสวรรค์ วิญญาณลงมาแทนมนุษย์ไม่ได้ นี่คือกฎระเบียบทางวิญญาณ ที่พระเจ้าได้วางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้ว เพราะฉะนั้น พระเจ้าเองก็ต้องทำตามกฎของพระองค์ ก็คือพระองค์ทรงลงมาเป็นพระเจ้า และช่วยมนุษย์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงต้องสละสภาพพระเจ้า ลงมาเกิดในร่างกายของมนุษย์ นี่คือคำตอบที่ว่าทำไมพระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือทำไมต้องมีวันคริสตมาสนั่นเอง เพราะว่ามนุษย์ช่วยตัวเองไม่ได้ และมนุษย์ไม่มีใครช่วยใครได้เลย  เพราะต่างคนต่างบาปหมด เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

แล้วคราวนี้ มนุษย์ที่มีนามว่าเยซู ที่เรากำลังกล่าวถึง มีอะไรพิเศษ แตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ จึงสามารถเป็นตัวแทนไถ่บาปให้มนุษยชาติได้ทั้งหมด ก็เพราะว่ามนุษย์ทุกคน มีเชื้อบาปติดตัวมาเหมือนกันทุกคน ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ เป็นเชื้อบาปที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษอาดัมและเอวา พระคัมภีร์ใช้คำว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในอาดัม

ฟังให้ดีๆ พระเจ้าบันทึกไว้ สอนเราทั้งหลายว่ามนุษย์ทุกคนตกอยู่ในความบาป และมนุษย์ทุกคนอยู่ในอาดัม ก็คืออยู่ในชีวิตอาดัม เชื้อบาปอยู่ในอาดัม เราก็เป็นบาปไปด้วย  เกิดก็บาปแล้ว และเมื่อมนุษย์มีเชื้อบาปอยู่ มนุษย์ก็อยู่ใต้อำนาจของมาร ไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับอำนาจของความบาปและความตายได้ และไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ซึ่งกันและกันได้ พระเยซูซึ่งแม้มาเกิดในสภาพมนุษย์ก็จริง มีเลือด มีเนื้อ เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระคัมภีร์ทรงบันทึกไว้อย่างนั้น และในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงไม่มีบาปเลย พระองค์จึงไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของมาร ของบาป ดังนั้น พระเยซูจึงสามารถรับโทษบาปทั้งปวง แทนมนุษย์ได้ พระเยซูไม่ได้เกิดมาอยู่ในอาดัม 1 ยอห์น 3:5

1 ยอห์น 3:5 “แต่ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มา เพื่อขจัดบาปของเรา และในพระองค์  ไม่มีบาป”

 

ในพระเยซูไม่มีบาป คำถามที่ตามมา คือพระเยซูซึ่งมาเกิดเป็นมนุษย์ มีเลือด มีเนื้อ เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แล้วทำไมพระองค์จึงเป็นมนุษย์เพียงผู้เดียวที่ไม่มีบาปเล่า ก็เพราะว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า อยู่ในสภาพพระเจ้า ที่ลงมาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี คือแมรี่ โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยไม่มีเชื้อจากมนุษย์

“จุติ” ภาษาไทย แปลว่าแปลงสภาพจากวิญญาณ มาสู่เนื้อหนัง พูดง่ายๆ ก็คือพระเยซูแปลงสภาพวิญญาณจากพระเจ้าลงมาอยู่ในเนื้อหนัง ในครรภ์ของแมรี่หญิงพรหมจารีย์ หนังสือลูกาได้บันทึกเหตุการณ์ในช่วงที่โยเซฟกับแมรี่หรือมารีย์ยังเป็นคู่หมั้นกัน และพระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์ไปบอกข่าวกับนางมารีย์อย่างนี้ ตั้งใจฟังให้ดีๆ นี่คือกำลังจะเกิดวันคริสตมาสแรกในโลก ย้อนกลับไปประมาณ 2,000 ปี ใกล้ๆ วันที่พระเยซูจะประสูติ เป็นทารก ก่อนหน้านั้น สักปีหนึ่ง พระเจ้ามาบอกข่าว ทูตสวรรค์มาบอกมารีย์ ในลูกา 1:31-35

ลูกา 1:31-35 “31 เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู 32 พระองค์จะทรงยิ่งใหญ่และได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์แก่พระองค์ 33 และพระองค์จะทรงครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบตลอดไป  อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุดเลย” 34 มารีย์ถามทูตสวรรค์นั้นว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี?” 35 ทูตนั้นตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอและฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะปกคลุมเธอ ดังนั้น องค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมา จะได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้า”

 

นึกถึงสภาพตอนนั้น ย้อนกลับไปประมาณ 2,000 ปี ตอนที่ทูตสวรรค์พูดกับมารีย์ว่าเธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย แน่นอนทีเดียว แมรี่ก็ต้องไม่เชื่อ คิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร? เพราะว่าตอนนั้นเธอเองเป็นคู่หมั้นของโยเซฟอยู่ ยังไม่ได้แต่งงาน ในช่วงนั้น ประเพณีของชาวยิว ถ้าหญิงใด ร่วมกับชาย โดยไม่ได้แต่งงาน เอาหินขว้างให้ตาย ประหารชีวิต ลองคิดดู แล้วพระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาบอกแมรี่อย่างนี้ เธอจึงตกใจ เป็นไปได้อย่างไร?  เธอจึงถามทูตสวรรค์ว่า …

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี”

ทูตสวรรค์ก็ตอบว่า “เป็นไปได้ เพราะบุตรชายที่จะเกิดมาในครรภ์ของเธอนั้น มาจากพระเจ้า มาจากฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้มาจากการปฏิสนธิตามธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง”

ทูตสวรรค์กำลังบอกอย่างนี้ ไม่ อย่าไปคิดแบบมนุษย์ นี่เป็นอัศจรรย์ที่พระเจ้าจะกระทำ แล้วมารีย์จะเข้าใจไหมเนี้ย ไม่มีทางเข้าใจหรอก แต่พระเจ้าฟูมฟัก ประชากรของพระองค์ คือชาวอิสราเอล หรือชาวยิว ซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษยชาติทั้งมวลให้ติดสนิทอยู่กับพระองค์มาตั้งนานแล้ว เป็นพันๆ ปีแล้ว เพื่อฝังรากลึกของความเชื่อในพระเจ้า แม้ว่ามองไม่เห็นก็ตาม ด้วยสุดจิต สุดใจ ไม่ว่าตาจะเห็นอย่างไร? คิดอย่างไร? พระเจ้าบอกอย่างไร? ฉันจะเชื่ออย่างนั้น ฝังมาตั้งนานแล้ว เป็นพันๆ ปี ก็เพื่อการนี้แหละ พระเจ้าบอกว่า …

“ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? ความคิดของเรา ก็อยู่เหนือความคิดของเจ้า สติปัญญาเรามากกว่าของเจ้า เพราะฉะนั้น เจ้ามีอย่างเดียว คือเชื่อเราเท่านั้นเอง”

ฝังรากลึกมาเป็นพันๆ ปี จนกระทั่งถึงมารีย์ เกิดในตระกูลของชาวยิวที่มีความเชื่อสูง ก็คือพระเจ้าเล็งจะใช้เธอตั้งนานแล้ว เธอก็มีความเชื่อส่งต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเธอในครอบครัว ตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ตั้งแต่เชื่อพระเจ้า เขาเรียกว่าหลับหูหลับตาเชื่อจริงๆ ถึงแม้ความคิดภายนอกต่างๆ มันจะแย้งหมดเลย เป็นไปได้อย่างไร? ไม่ได้แย้งอย่างเดียว แถมกลัวตายอีกต่างหาก

“ถ้าเกิดท้องขึ้นมา ไม่ได้แต่งงาน แล้วจะไปพูดอะไรกับว่าที่สามี คือคู่หมั้นที่ชื่อโยเซฟ … โยเซฟคงตกใจ หนีไปแล้ว แต่ว่าฉันเป็นหญิงพรหมจารีที่ตั้งครรภ์ ฉันไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเลย ใครจะเชื่อฉัน คู่หมั้นฉันจะเชื่อไหม? คู่หมั้นฉันคงจะถอนหมั้น แล้วฉันก็จะถูกเอาหินขว้างตาย”

เขาคงคิดอย่างนี้แหละ เพราะเรากำลังพูดถึงเหตุการณ์เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว  การที่หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และคลอดลูก มันเป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่ 100 ปีก่อนนี้ ก็เป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ ถ้าใครมาพูดกับเราในสมัยโน้น สมัย 500, 600 ปีที่แล้ว หรือ 200 ปีที่แล้ว เราคงว่าคนนี้บ้าหรือเปล่า? แต่ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันนี้ ด้วยเทคโนโลยี และวิวัฒนาการทางการแพทย์ การที่หญิงสาวพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และทำให้เกิดทารกขึ้นในครรภ์ ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากเลย มีทั้งการอุ้มบุญ ทั้งผสมเทียน ทั้งการทำเด็กหลอดแก้ว เยอะแยะไปหมด

แต่ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ หรือทางเทคโนโลยีก็ตาม ทารกทุกคนต้องเกิดจากเชื้อของผู้ชาย  เป็นพงศ์พันธุ์ของชาย มาจากชายทั้งสิ้น และไปผสมกับไข่ของแม่ ไม่ว่าจะทำกิ๊ฟท์ อุ้มบุญ ผสมเทียม การทำเด็กหลอดแก้ว ต้องมีเชื้อผู้ชายอย่างแน่นอน ถึงจะทำได้ เซลแรก หรือกำเนิดชีวิตแรกของมนุษย์ใดๆ ก็ตาม มาจากเชื้อของผู้ชายมาผสมกับไข่ของผู้หญิง จึงเกิดเป็นเซลแรกขึ้นในครรภ์ ในมดลูก ตอนนี้เราเห็นชัดแล้วนะ

แต่การประสูติของพระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่ได้อาศัยเชื้อจากชายเลย ตามที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้  ถ้าจะพูดให้เห็นภาพทางวิทยาศาสตร์แบบปัจจุบัน ก็คงพูดว่าพระเจ้าทรงให้กำเนิดเซลแรกขึ้นในครรภ์ หรือในมดลูกของมารีย์ เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น โดยไม่ต้องอาศัยเชื้อจากมนุษย์ผู้ชายเลย แต่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าเพียงแค่ …

“มารีย์ เราขออาศัยครรภ์ของเธอหรือมดลูกของเธอ เพื่อจะฟูมฟักเซลแรกนี้ แบบมนุษย์ทั่วๆ ไป จนถึงวันคริสตมาส เพื่อจะได้คลอดเขาออกมาเป็นทารกที่บริสุทธิ์ ที่ปราศจากเชื้อบาปเลย แม้แต่นิดเดียว ก็คล้ายๆ กับที่เขามีการจ้างหญิงที่แข็งแรง สาวๆ ที่มดลูกแข็งแรง ร่างกายแข็งแรง มาอุ้มบุญ แทนที่จะเป็นพระเจ้าไปบอก ปัจจุบันเป็นหมอไปบอก หมอบอก …

“มีครอบครัวหนึ่งนะ มีปัญหาเรื่องมีบุตร เขาอยากมีบุตรมากเลย  เขาขอจ้างเธอ ช่วยอุ้มบุญให้ที เขาจะเอาเชื้อของคนเป็นพ่อและเป็นแม่มาผสมกัน เสร็จแล้วก็จะฉีดเข้าไปในครรภ์ของเธอ ให้เธอช่วยอุ้มครรภ์ไว้สัก 9 เดือน แล้วก็คืนเขาไป ให้เธอสัก 300,000 เอาไหม?”

พระเจ้าเราไฮเทคมาก 2,000 ปีกับปัจจุบัน มันต่างกันเหมือนฟ้ากับเหวเลยนะ เราจึงเห็นพระเจ้าพูดอะไร มันเป็นตามนั้นจริงๆ แม้บางครั้ง ตอนพูด เราไม่เข้าใจ แต่วันหนึ่งเราจะเข้าใจ ไม่ว่าวันที่เข้าใจจะอยู่ในโลกใบนี้ หรืออยู่ในสวรรค์ก็ตาม จะเข้าใจเอง

ขอบคุณพระเจ้า หลายครั้งพระองค์เปิดตาให้เรารู้ก่อนเลย บนโลกใบนี้  อย่างเช่น ตอนนี้เรามาศึกษาเรื่องนี้ เทคโนโลยีไม่กี่ปีเท่านั้นเอง ทำตรงนี้ได้ เราจึงเห็นว่าพระเยซูมาเกิดในหญิงพรหมจารี เป็นเรื่องหมูมากเลย เมื่อประมาณ 5, 6 ปีก่อน แค่ร้องเพลงคริสตมาส ปากยังเขินอยู่เลย พระเยซูเกิดในหญิงพรหมจารี หัวเราะ เดี๋ยวนี้ร้องไป ทึ่ง ใช่จริงๆ ด้วย เหมือนที่บอกว่า …

“โลกกลม เป็นพันๆ ปี ไม่เชื่อ ไม่กี่ร้อยปีนี้มาพิสูจน์ เอ่อ! โลกมันกลมจริงๆ”

คล้ายกันอย่างนี้ มันตื่นเต้นนะ

พระเยซูจึงไม่มีเชื้อบาปใดๆ อยู่ในตัวพระองค์เลย มารีย์จึงเป็นผู้คลอดมนุษย์พิเศษ คือพระเยซู ที่ไม่มีมลทินใดๆ เลย ท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้นั่นเอง พระเยซูจึงเป็นมนุษย์ ผู้เดียวที่แตกต่างกว่ามนุษย์ทั้งปวงบนโลกทั้งหมดเลย ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าพระเยซูเป็นพงศ์พันธุ์ของหญิง เพราะมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นพงศ์พันธุ์ของชายทั้งสิ้น เกิดมาจากชายทั้งสิ้น

พระเยซูเป็นพระเจ้า สำคัญไหม? สำคัญ ต้องเชื่อ แต่ต้องเชื่อไหมว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ ต้องมากยิ่งกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าอีก เพราะถ้าท่านไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ พระเยซูไม่สามารถเป็นตัวแทนท่านได้นั่นเอง จบข่าว พระองค์เป็นมนุษย์ อยู่กับเราได้ เป็นตัวแทนเราได้ เอาบาปของเราไปได้ ถ้าพระเยซูไม่เป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้าอย่างเดียว อยู่ห่างจากเรา เราก็ได้แต่ เหมือนหมาแหงนดูเครื่องบิน ได้แต่เห็น บริสุทธิ์ สะอาด ช่วยอะไรเราไม่ได้เลย  แต่พระองค์ทรงสภาพมาเกิดเหมือนเราเลย แต่ไม่มีบาป เพราะฉะนั้น การเกิดของพระเยซูที่เป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องบรรยาย ที่จะต้องเทศนา ต้องประกาศไปเรื่อยๆ ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ เวลาพูดกับใครต้องพูดตรงนี้ชัดๆ อย่าบอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าเฉยๆ ต้องบอกว่าเป็นมนุษย์ เพราะว่าพระคัมภีร์บันทึก และเน้นตรงนี้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์

คำว่า “เป็นมนุษย์” ในพระคัมภีร์อธิบายหลายอัน เมื่อเป็นมนุษย์และเป็นพระเจ้าด้วย จึงสามารถไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติได้ พระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ เกิดเหมือนเราจริงๆ รับประทานอาหารเหมือนเราจริงๆ ตอนที่อยู่ในท้อง ในครรภ์ ก็ได้รับอาหารจากแม่ทางสายสะดือแบบพวกเราจริงๆ  เพียงแต่จุดกำเนิด ก็คือเซลแรก ในครรภ์นั้น ไม่เหมือนเรา ฮีบรู 2:14-17 บันทึกไว้เกือบ 2,000 ปีว่าทำไมพระเยซูจึงต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ สำคัญอย่างไร?

ฮีบรู 2:14-17 “14 ในเมื่อบุตรทั้งหลาย (มวลมนุษย์) มีเลือดและเนื้อ พระองค์ (พระเยซู) จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตาย คือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิตตกเป็นทาส (บาป) เนื่องจากกลัวความตาย 16 เพราะแน่นอนว่าพระองค์ไม่ได้ทรงช่วยทูตสวรรค์ แต่ทรงช่วยวงศ์วานของอับราฮัม (มวลมนุษย์) 17 ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต (เป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ ติดต่อกับพระเจ้า เพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์) ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและความสัตย์ซื่อ ในการรับใช้พระเจ้า และเพื่อจะได้ทรงลบมลทินบาปของปวงประชากร (มวลมนุษยชาติ)”

 

“ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง” เป็นพี่น้อง ก็คือเป็นมนุษย์นั่นเอง เผ่าพันธุ์ ครอบครัวมนุษย์ เรียกว่าพี่น้องครอบครัวใหญ่ๆ นี้  คือพระองค์ต้องมาเป็นมนุษย์เหมือนเขา

“เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต”

คำว่า”ปุโรหิต” แปลว่าผู้รับใช้พระเจ้า มีหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าติดต่อกัน ไม่ใช่มีพระเยซูผู้เดียว ยังมีมนุษย์คนอื่นๆ ที่เป็นปุโรหิตและมหาปุโรหิตด้วย ยกตัวอย่างเช่น อาโรน เป็นต้น และอีกเยอะแยะที่เขามีหน้าที่ทำพิธีกรรมต่างๆ คนที่ทำเหล่านี้เขาเรียกว่าปุโรหิต … ปุโรหิต ก็คือคนที่ติดต่อกับพระเจ้า แล้วก็เป็นตัวแทนมนุษย์

ยกตัวอย่างเช่น ตรุษยิว ก็แล้วกัน เมื่อหลายพันปีก่อนตรุษยิว ท่านก็เอาวัวไปแล้วก็บอกอาโรน

“อาโรนช่วยเอาวัวนี้ไถ่บาปให้ฉันที เอาไปให้พระเจ้าที บอกว่าอภัยให้ฉัน อวยพรให้ฉันด้วย ปีต่อไป”

อาโรน ก็คือปุโรหิต เอาวัวตามที่ท่านบอกไป แล้วก็ไปฆ่าวัว แล้วก็บอกพระเจ้า

“พระเจ้า จ๋องเขาจะมาไถ่บาปเขา ปีนี้ ผมเป็นผู้รับใช้ เป็นปุโรหิต ทำแล้ว”

จบ ทำให้เรียบร้อยแล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่าปุโรหิต

มหาปุโรหิต คือใคร? ง่ายๆ ก็คือหัวหน้า มีปุโรหิตอย่างนี้หลายคน คนนี้ทำให้จ๋อง คนนั้น ทำให้จิ๊ก หลายๆ คนไปช่วยกันทำ แต่ในหลายๆ คน มีหัวหน้าอยู่คนหนึ่ง เรียกว่ามหาปุโรหิต ในโลกวิญญาณพระเยซูมาเป็นมหาปุโรหิต ให้กับมวลมนุษย์เลย  ทั้งหมดเลย  โดยแทนที่จะเอาวัวไปฆ่า พระองค์เอาตัวเองไปให้ถูกฆ่า เพื่อไถ่บาปพวกเรา

พระเยซูทรงถือกำเนิดเป็นทารกที่ปราศจากเชื้อบาป และตลอดชีวิตของพระเยซู จนถึงวันสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  พระองค์ไม่เคยมีบาป ไม่เคยทำบาปเลย  พระองค์จึงสามารถที่จะแบกรับความบาปทั้งหมดของมวลมนุษยชาติ ไว้ที่พระกายของพระองค์ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ซึ่งพระเจ้าก็ได้เตรียมแผนการนี้ บอกไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกว่ามันจะเป็นอย่างนี้ 1 เปโตร 1:19-20

1 เปโตร 1:19-20 “19 แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ผู้เป็นลูกแกะอันปราศจากตำหนิ หรือข้อบกพร่องใดๆ 20 พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพระคริสต์ไว้ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้ เพื่อท่านทั้งหลาย”

 

ย้อนไปนิดหนึ่ง พูดถึงมหาปุโรหิตที่บอกว่าเป็นตัวแทนมนุษย์ ท่านรู้ไหม? ใครเป็นผู้ถวายพระเยซูแทนมนุษย์ทั้งปวง ก็ต้องเป็นมหาปุโรหิตใช่ไหม? คือมหาปุโรหิตในสมัยเมื่อ 2,000 ปี ไม่ใช่มหาปุโรหิตผู้เดียว คณะปุโรหิตในตอนนั้น เกือบทั้งหมด เห็นด้วยกันกับที่จะเอาพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน บอกให้ปีลาตสั่งตรึงเสีย ปีลาตบอกเขาไม่ได้ทำผิดอะไร ตรึงทำไม? ต้องตรึงเขาให้ได้ แล้วก็ไปปลุกระดมมวลชน ให้พูดในสิ่งที่เขาต้องการ คือฆ่าเขาซะ เอาเขาไปตรึงๆ พระคัมภีร์บันทึกไว้ พูดง่ายๆ ก็คือปุโรหิตที่เป็นคนตอนนั้น และกลุ่มปุโรหิต ได้ทำการบูชาพระเยซูบนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับเรา นี่ชัด แต่พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตแบบโลกวิญญาณ ไม่ใช่แบบมนุษย์แล้ว ทำการใหญ่กว่านั้น ก็คือเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติทั้งหมดเลย และก็เอาเลือดของตนเอง ที่ปราศจากตำหนิ ไปถวายพระเจ้า เพื่อไถ่บาปเขา

กลับมาที่เรื่องพระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป พระเจ้าทรงให้พระเยซูมาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารีและให้ประสูติในวันคริสตมาส ในสภาพของมนุษย์ที่ปราศจากบาป ช่วงนี้ไปไหนก็ตาม จะได้ยินเพลงนี้เยอะแยะไปหมด Silent Night,  Holy Night, Virgin Mother, Holy Child คือความบริสุทธิ์นั่นเอง ปราศจากบาป เพื่อรอให้ถึงวันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน ตายไป และถูกฝังไว้ 3 วัน วันอีสเตอร์เป็นขึ้นมาใหม่ ซึ่งเราถือว่าฉลองเทศกาลการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซู คืออีสเตอร์ ให้พระเยซูเกิดในวันคริสตมาส แล้วไปตายในวันศุกร์ประเสริฐ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 คือวันอีสเตอร์

ทั้งหมดนี้ เพื่อจะรับเอาโทษของความบาป ของมนุษย์ทั้งปวงไว้ที่พระองค์เอง เพื่อให้มนุษย์ทุกคนหลุดพ้นจากความบาป และเป็นอิสรภาพจากโทษของความบาป ที่เกิดขึ้นในอาดัม ถ้าเอาออกจากอาดัมได้ เราก็อยู่ในพระคริสต์ เราจะเห็นภาพอย่างนี้ชัดเจนขึ้น ให้เราเป็นอิสรภาพจากโทษที่เราอยู่ในอาดัม ก็คือจากโทษที่เราไม่ได้ทำเลย  ที่หลายๆ คนบอกว่า …

“เกิดมา ฉันไม่ได้ทำอะไร? ทำไมฉันตกอยู่ในบาป เวรกรรม”

ก็เพราะบรรพบุรุษของเรา เป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้เรามีทางเลือกใหม่แล้ว คือพระเยซูคริสต์เป็นบรรพบุรุษให้กับเราได้ สายใหม่ให้กับเราได้ และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เป็นแผนการที่พระเจ้าบันทึกไว้ล่วงหน้าแล้ว หลายร้อยปี ก่อนพระเยซูจะมาประสูติ ก่อนที่จะมีวันคริสตมาสอีก นี่คือหนึ่งในจำนวนมากมาย ในพระคัมภีร์ ที่บันทึกไว้ว่าพระเจ้าจะทำอย่างนี้ พระเยซูจะมาจุติ จากสภาพเป็นพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย มาเกิดในหญิงพรหมจารี บันทึกไว้อย่างนี้ทั้งเล่ม อิสยาห์ 7:14

อิสยาห์ 7:14 “องค์พระผู้เป็นเจ้าเอง จะประทานหมายสำคัญแก่ท่าน คือหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และจะเรียกบุตรนั้นว่าอิมมานูเอล”

 

“อิมมานูเอล” แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา

นี่คือหมายสำคัญและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในวันคริสตมาส ที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ถ้าใครมีไหวพริบ พอบอกโลกวิญญาณปุ๊บ ท่านจะมองเห็นอะไรทันที? เห็นเก้าอี้ 2 ตัว มาอีกแล้ว ทำไมต้องมีเก้าอี้ 2 ตัว?  เพราะโลกวิญญาณมองไม่เห็น ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? ก็เลยมีอันนี้มา เพื่อให้เห็น เป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้นนิดหนึ่ง

อย่างที่บอก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด เกี่ยวพันและเป็นเรื่องโลกวิญญาณล้วนๆ เลย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในวัตถุ ในนี้ที่เป็นเรื่องเป็นราวอะไรต่างๆ ทั้งหมด เล็งไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น ยังจำได้นะ อาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ ซึ่งเดิมนั้น เป็นอาณาจักรแห่งความมืด นับตั้งแต่มนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวาล้มลงในความบาป ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่ามนุษย์ทั้งหลายอยู่ในอาดัม มนุษย์ทั้งหลายอยู่ในความมืด อันเดียวกัน ตั้งแต่อาดัมและเอวาบรรพบุรุษของมนุษย์ พาญาติโกโหติกา ครอบครัวของตัวเอง คือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดตกลงไปในความบาป คือตกลงไปในความมืด เป็นทาสของความบาปและความตาย  คืออยู่ในสภาพความมืดบอดนั่นเอง อยู่ในสภาพของการได้รับโทษ คือเป็นเหมือนอาชญากร  ที่ต้องได้รับการลงโทษ คือความตาย มนุษย์ทั้งหลายอยู่ในอาดัม และเพราะมีวันคริสตมาส เกิดขึ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว   ตามแผนการของพระเจ้าจึงนำไปสู่การเกิดอาณาจักรแห่งความสว่างขึ้น   ตั้งแต่วัน คริสตมาสนั้นเป็นต้นมา ก่อนวันคริสตมาสไม่มี มีแต่ในอาดัม ในความมืด โลกนี้อยู่ในความมืด แต่พอมีวันคริสตมาส มีวันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วันอีสเตอร์ ทันทีทันใด เกิดมีพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นขึ้นมาใหม่ และมีความสว่าง นี่คือข่าวดี ที่มาถึงมนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว จำไว้เลย ไม่มีศาสนาคริสต์นะ แล้วแต่คนจะเรียก

แต่นี่เป็นความเป็นจริงของมวลมนุษยชาติ ศาสนาเป็นสิ่งที่ดี ที่เป็นกฎหมายต่างๆ แล้วแต่ประเพณี การเป็นอยู่ วัฒนธรรม เป็นกฎหมายทางศีลธรรม มันดีอยู่แล้ว แต่เรื่องพระเยซูคริสต์ที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ เป็นประวัติ ในเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านเอาคำว่าโลกวิญญาณออกไป ท่านจะฟังไม่รู้เรื่องเลย แล้วท่านจะบอกเป็นไปไม่ได้ๆ ไม่รู้เรื่อง แล้วท่านจะอ่านพระคัมภีร์ ก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ท่านต้องเข้าใจเบอร์แรกเลยว่ามันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น

เกิดตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว วันคริสตมาสแรกของโลก เกิดเป็นเก้าอี้ 2 ตัวนี้ทันทีเลย คืออันหนึ่งเล็งถึงความสว่าง ก็คือผ้าขาว อีกอันหนึ่ง ก็คือผ้าดำ ในอาดัม 2 อาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ คืออาณาจักรแห่งความมืด

เพราะมีวันคริสตมาสเกิดขึ้น มนุษย์จึงมีโอกาส ที่จะย้ายจากอาณาจักรแห่งความมืดไปอยู่อาณาจักรแห่งความสว่าง ถ้าไม่มีวันคริสตมาสจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาฉลองกันทั่วโลก

Joy to the world the Lord is come

แปลว่า           ชาวโลกทั้งหลายชื่นใจยินดี มีพระราชาประสูติ

คือพระเยซูเสด็จลงมา ให้เราร้องเพลงสรรเสริญ

ฟังให้ดีๆ ถ้าไม่มีพระเยซูเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บันทึกว่าอยู่ตรงนี้ ไม่มีทางเลือกเลย นี่คือเหตุที่ทำไม พระเจ้าจึงจำเป็นต้องให้พระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ จำเป็นต้องให้มีวันคริสตมาส ก่อนสร้างโลกก็กำหนดไว้แล้วว่าต้องมี เพราะถ้าไม่มีมนุษย์ก็อยู่ในอาดัมตลอด

ในประวัติศาสตร์โลกบอกว่าพระเยซูเกิดราว ค.ศ.4 หรือ 3 ประมาณนี้  สมมติว่าก่อนคริสตศักราช 4 แล้วกัน ที่พระเยซูจะเกิด มนุษย์อยู่ตรงนี้ทั้งหมด (ฝั่งดำ) สมมติว่าพระเยซูเกิด ค.ศ.4 เดือนธันวาคม พอวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.4 ในพระคัมภีร์บอก มีดวงดาวส่องตรงที่พระเยซูประสูติ ที่เบธเลเฮม แต่มนุษย์ยังอยู่ฝั่งดำอยู่ จนเด็กทารกผู้นี้ คลอดออกมา 30 ปีไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ใช่ไม่ทำ ทำอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไปตามแบบมนุษย์ธรรมดา ทำมาหากิน เพื่อสำแดงให้ผู้คนทั้งหลายในโลกนี้ ทั้งมหาจักรวาลว่า …

“ฉันเป็นมนุษย์เหมือนเขาเลย ฉันต้องทำมาหากิน ต้องทำงาน แล้วฉันก็ไม่รู้จักกับพระเจ้าทุกอย่าง ทุกเรื่อง เป็นพระเจ้าหมด ไม่ใช่ ฉันก็เป็นคนธรรมดา ค่อยๆ เรียนรู้จากพระเจ้า ค่อยๆ ศึกษาหาความรู้สติปัญญาในทางโลกวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ” ในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น

เสร็จแล้ว ก็ค่อยๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ จนอายุ 33 ปี ค.ศ.37 พระองค์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทันทีทันใดนั้น มาฝั่งขวาเลย ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ไม่กี่ปี พระเยซูยังบอกเลยว่าสวรรค์กำลังมา ความสว่างกำลังมา เราคือความสว่าง แต่ยังไม่ได้บอกว่าสถาปนา จนกระทั่งพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระองค์ทรงประกาศว่า …

… บัดนี้ สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว จงไปประกาศเรื่องนี้ให้กับมวลมนุษยชาติทั้งหมดได้รู้เลย บัดนี้ สิทธิอำนาจทั้งหมด ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ได้ถูกมอบให้กับมนุษย์ โดยผ่านทางเรา ซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว จงไปบอกเขาทั้งหลาย ให้ย้ายซะ ย้ายมาอยู่ให้หมดเลย พระเยซูบอกให้ไปประกาศข่าวดี ให้กับทุกคนในโลกนี้เลย

“จงไปประกาศ จนสุดปลายแผ่นดินโลก”

พูดคำนี้ จบเลย ตรงไหนที่ยังไม่มีประเทศ ไม่เป็นไร เดี๋ยวมีประเทศ เธอไปประกาศแล้วกัน เพราะฉันสั่งไปแล้ว ไม่ใช่ไปประกาศให้มนุษย์ทุกคนเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ แต่บอกว่าจงไปประกาศ จนสุดปลายแผ่นดินโลกเลย ก็คือประเทศไทยยังไม่เกิด ตอนนี้เกิดแล้ว ก็อยู่ในคำสั่ง เพราะประเทศไทยก็อยู่ในสุดปลายแผ่นดินโลกเหมือนกัน พระองค์ทรงสั่งอย่างนี้ มันสำคัญและง่ายมากเลย สิทธิอำนาจถูกมอบให้กับเราแล้ว ตอนนี้สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว พระบิดาบอกผ่านทางเรา จบแล้วนะ ไปบอกให้หมดเลย เอเมน

สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เกิดขึ้นที่โลกวิญญาณทั้งนั้น ในโลกวัตถุมันก็ดูเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ นี่คือโลกวิญญาณ โคโลสี 1:12-13

โคโลสี 1:12-13 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วน ในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักร (แห่งความสว่าง) ของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

นั่งตรงนี้ (ฝั่งดำ) เครียดทั้งวัน หน้ายุ่ง ชีวิตทำไมมันทุกข์ลำบากอย่างนี้ ความหวังก็ไม่มี

ตอนนี้ (ฝั่งขาว) นั่งยิ้ม Joy to the world the Lord is come

เราถูกย้ายออกจากอาณาจักรแห่งความมืดมาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างด้วยความเชื่อ … เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งฉันด้วย โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สรุปง่ายๆ คือเชื่อในความเป็นจริงในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูนั่นเอง ข่าวดีของพระเยซู ก็คือเชื่อในวันคริสตมาส เชื่อในวันศุกร์ประเสริฐ เชื่อในวันอีสเตอร์ จบข่าว

และอย่างที่ผมพูดอยู่บ่อยๆ ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตาม ท่านเป็นวิญญาณ ร่างกายที่เราเห็นกันอยู่นี้ ไม่ใช่ตัวจริงของเรา วันหนึ่งมันต้องลงไปในดิน มันต้องถูกทิ้งไป เหมือนเสื้อผ้า แต่ตัวจริงๆ ของท่าน คือวิญญาณ จะอยู่ตลอดไป และที่อยู่อาศัยของวิญญาณ ก็คือโลกทางวิญญาณนั่นเอง เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกว่าพระคัมภีร์ต้องอ่านแล้ว เรียนรู้ทางโลกวิญญาณ  เพราะท่านจะได้เข้าใจ และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งอาณาจักรโลกวิญญาณ มี 2 อาณาจักร มืดและสว่าง วิญญาณของมนุษย์ทุกคน ก็จะต้องอยู่ในอาณาจักรใด อาณาจักรหนึ่ง ไม่ว่ามืดหรือสว่างก็ตาม ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ … เชื่อข้อมูลนี้ หรือไม่เชื่อก็ตาม ในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้นว่ามนุษย์ทุกคนในปัจจุบันต้องอยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ไม่ว่าจะมืดหรือสว่างก็ตาม อย่างแน่นอน เหมือนที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านกำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วโลกใบนี้มันหมุนรอบตัวเอง มันโลกกลม ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่โลกกลมจริงๆ

ผมอยากจะยกตัวอย่าง สภาพในโลกวิญญาณของโลกใบนี้ ขณะนี้ เส้นทางการดำเนินชีวิตของมนุษย์ แต่ละคนบนโลกใบนี้ เปรียบเหมือนการนั่งรถโดยสารที่จะขับเคลื่อน นำพาชีวิตเราไป ซึ่งจะมีรถโดยสารให้เลือกอยู่ 2 คัน มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก็ต้องอยู่บนรถโดยสารนี้ ไม่คันใด ก็คันหนึ่งอย่างแน่นอน

รถโดยสารคันที่หนึ่ง เป็นรถโดยสารที่สว่างไสว มีผู้ขับเคลื่อนรถคันนี้ ชื่อพระเยซูคริสต์ และมีพระเจ้าเป็นผู้กำกับทาง  เป็นผู้คอยให้กำลังใจ คอยปลอบโยน  ระหว่างทาง  อาจจะเจอถนนขุระบ้าง เจอหลุมกระแทกบ้าง เจอพายุพัดไปพัดมา เสียวไส้อะไรต่างๆ พระเจ้าก็จะมาคอยปลอบใจ ให้กำลังใจทุกคน

“สบายๆ นะ ไม่ต้องกลัวๆ เราอยู่ด้วยๆ”

ส่วนรถโดยสารอีกคันหนึ่ง เป็นรถที่มืดสนิท คนขับรถชื่ออะไรก็ไม่รู้ เป็นใครก็ไม่รู้ รู้แต่พระเยซูบอกว่าเป็นพวกขโมย ฆ่าและทำลาย เป็นพวกมิจฉาชีพ ที่คอยมาหลอกล่อลักพาตัวผู้คนไปขึ้นรถ จับเป็นตัวประกัน แล้วคนที่คอยกำกับระหว่างทาง ก็เต็มไปด้วยความโหดร้าย เต็มไปด้วยความน่ากลัว คอยข่มขู่ เคี่ยวเข็ญตลอดเวลา

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในรถโดยสารคันที่ 1 คันที่เป็นแสงสว่าง ก็มีแต่ความสุข ความสงบ แม้หนทางจะเป็นหลุม เจอบ่อเป็นระยะ เจอถนนเรียบบ้าง ขุระบ้าง แต่ก็ยังมีสันติสุข มีความสงบ ผู้คนบนรถเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา ถ้อยทีถ้อยอาศัย แบ่งปัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน วางใจในพระเจ้า ให้ผู้กำกับรถคันนี้ คือพระเจ้าเป็นผู้นำพาชีวิตต่อไป ตามรถคันนี้ และที่เป็นแบบนี้ได้ ก็เพราะว่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในรถแสงสว่างนี้ ทราบดีว่ารถคันนี้ กำลังจะวิ่งไปไหน แล้วเคลื่อนไปที่ไหน? จุดหมายปลายทางอยู่ที่ใด? และที่นั่นเป็นอย่างไร? เขาจะอยู่อย่างไร? พูดง่ายๆ มีความหวังว่าจะไปถึงสวรรค์นั่นเอง

ในขณะที่รถโดยสารคันที่ 2 ที่เป็นความมืดมิด ตลอดเส้นทาง มีแต่การข่มขู่ มีแต่การคาดโทษ มีแต่ตวาด  และถึงแม้ว่ารถคันมืด  บางครั้งขับไปบนถนนราบเรียบ  ไม่เจอหลุม  ไม่เจอบ่อ  ถนนไม่ขุระ แต่ทุกคนที่อาศัยอยู่ในรถคันนี้ ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้กระทั่งถนนเรียบ ยังกลัวเลย กังวลตลอดเวลา คอยแก่งแย่งกัน เบียดเบียนกัน มีแต่ความกระสับกระส่าย วุ่นวาย เครียดกันไปทั้งรถ ไม่มีใครเลยบนรถคันนี้ ที่จะมีสันติสุขและความสงบสุขที่แท้จริงได้ มันกลัว มันระวังไปหมด

และเหตุผลที่ผู้คนในรถคันที่สองที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เต็มไปด้วยการแก่งแย่งกัน เบียดเบียนกัน ก็เพราะว่าคนที่อยู่บนรถคันนี้ ที่มืดมิด ทั้งสับสนวุ่นวายนี้ ไม่มีใครสักคนเลยรู้ว่ารถคันนี้กำลังขับเคลื่อนไปทิศทางใด? จะไปไหน? จะไปจุดหมายปลายทางที่ใด? และที่นั่นจะเป็นอย่างไร? ชีวิตหลังจากลงจากรถแล้ว จะเป็นอย่างไร? จะเกิดอะไรขึ้น? พูดง่ายๆ มันมืดแปดด้าน มันไม่มีความหวังนั่นเอง

นี่คือภาพที่ผมเปรียบเทียบ ให้เห็นชัดๆ ในโลกทางวิญญาณ ตามหลักพระคัมภีร์ เมื่อเราได้รับเชื่อในข่าวดีในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว เราก็จะได้ขึ้นไปในรถโดยสารคันที่ 1 คันที่เรียกว่าแสงสว่าง ที่มีผู้ขับชื่อพระเยซูคริสต์ เราก็จะมีสันติสุข มีความสงบสุข แม้ว่าทางจะขุระบ้าง เจอทางลำบากบ้าง? เจอพายุบ้าง แต่เรารู้ว่ารถคันนี้จะไปไหน? แล้วผู้ที่คอยปลอบโยน ที่คอยดูเราตลอดเวลา คือพ่อของเรา คือพระเจ้านั่นเอง เราก็สบายใจ มีสันติสุขได้ และเมื่อเราขึ้นอยู่บนรถคันนี้ เราจึงมีความรู้สึกเหมือนพระเยซูคริสต์บอก

“ผู้ใดที่แบกภาระและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ก็คือเราหายเหนื่อยและเป็นสุข เมื่อเรารับพระเยซูคริสต์ เราก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง รถแห่งความสว่าง รถคันนี้เต็มไปด้วยสันติสุข เราก็จะหายเหนื่อยและเป็นสุข และเมื่อเราอยู่ในรถแห่งความสว่างนี้  เราก็จะสัมผัสถึงสิ่งต่างๆ ที่ตะกี้เล่ามาทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มต้น แล้วเราอยากที่จะบอกข่าวดีนี้ให้ใครก็ตามที่อยู่ข้างๆ เรา อยากให้โลกได้รู้ โลกก็คือมนุษย์ อยากให้มนุษย์ทุกคนได้รู้จริงๆ ว่ามันง่ายนิดเดียว ในการที่จะมีสันติสุขแบบที่เรามี ง่ายนิดเดียวที่จะมาอยู่ในสวรรค์ เพียงเชื่อในข่าวดีของพระเยซู แล้วก็ย้ายมาแค่นั้นเอง ทิ้งความเย่อหยิ่ง ทิ้งความอวดดี ทิ้งสติปัญญา ทิ้งอะไรทั้งหมดของเรา แล้วเชื่อ … เชื่ออย่างเดียว ไม่ต้องเสียอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วทันทีทันใด พระเจ้าก็จะย้ายเราไปอยู่ในนี้ เราก็จะเต็มไปด้วยสันติสุข

และจากนั้น พอเกิดขึ้นกับตัวเราเอง เราก็อยากจะไปบอกคนอื่นแล้วว่าข่าวดีนี้คืออะไร? เราอยากให้เขาได้สันติสุขและความสงบทางใจ อันเกิดจากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ที่ทรงไถ่บาปให้กับเรา เพราะฉะนั้น ร่วมกันทำทุกวัน จึงจัดเป็นงานฉลองว่าปีหนึ่งจึงมีใหญ่ๆ ครั้งหนึ่ง นอกนั้นมีเล็กๆ ทุกวันก็เป็นคริสตมาส สำหรับเรา แต่วันที่รวมกันใหญ่ๆ ก็คือปีหนึ่งมีครั้งหนึ่ง ในวันที่ 25 นี้ ก็คือวันคริสตมาส เราจึงอวยพรทั้งโลกเลย ไม่ว่าใครมีโอกาส ติดที่บ้าน ติดที่ไหนก็ตาม

ติดคำว่า … “Merry Christmas”

Merry แปลว่าขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ

Christmas มาจาก Christes Maesse แปลว่ามิซซาของพระคริสต์ คือการเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์ การที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ เรียกว่ามิซซา … มิซซาของพระคริสต์ ก็คือการที่พระเยซูถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้มนุษย์กับพระเจ้าสามารถคืนดีกันได้ ตรงนี้ เรียกว่ามิซซาของพระคริสต์ เรียกว่าคริสตมาส

ดังนั้นมาแปลเป็นไทย ไปที่ไหน เราก็อยากจะอวยพรกันว่า Merry Christmas ก็คือขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ อันเหตุเกิดขึ้น จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงตาย เพื่อไถ่บาปให้กับท่านแล้ว เอเมน         ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2017 เรื่อง “สุขสันต์วันพ่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  ธันวาคม  2017

 เรื่อง “สุขสันต์วันพ่อ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เป็นวันพิเศษ วันพ่อของโบสถ์จัดก่อน วันพ่อ ก็คือวันที่ 5 แน่นอน เมื่อได้ยินคำว่า “วันพ่อ” ทุกคนก็ต้องนึกถึงพ่อหลวง หรือในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งแม้ตอนนี้พระองค์ท่านจะสวรรคตแล้ว แต่คนไทยทุกคน ก็ยังคงระลึกถึง และยังคงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่มีต่อปวงชนชาวไทยทั้งปวงอย่างมากมาย

          เมื่อต้นปี ทางราชการประกาศให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญของชาติไทย คือ …

          (1)เป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนม์ชนพรรษาของในหลวงรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

          (2) เป็นวันชาติ

          (3) เป็นวันพ่อแห่งชาติ

หลายปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาใกล้ๆ วันพ่อแบบนี้  เรามักจะคุ้นเคยกับชื่อโครงการนี้ เป็นโครงการหนึ่งของในหลวง รัชกาลที่ 9 ของเราเป็นผู้ริเริ่ม หลายคนอาจเคยเข้าไปร่วมในกิจกรรมด้วย คือโครงการทำดีเพื่อพ่อ ซึ่งเป็นโครงการที่รณรงค์ให้คนไทย ได้ร่วมกันกระทำความดีอย่างสามัคคี โดยเน้น เพื่อให้เกิดพลังแห่งการให้ออกไปในสิ่งที่ดีๆ ในมิติต่างๆ ในชีวิต ในสังคม

ยกตัวอย่างเช่น รณรงค์ให้คนทำดี เพื่อพ่อ โดยการให้อภัย ให้โอกาส ให้รอยยิ้ม ให้เวลา ให้ความรู้สึกดีๆ ให้ความรัก ให้ความช่วยเหลือ ทั้งร่างกาย แรงกาย วัตถุสิ่งของการเงิน ให้ความใกล้ชิด ให้ความจริงใจ ให้ความสัตย์ซื่อ เช่นนี้เป็นต้น และอีกหลายๆ อย่าง ถามว่าทำไมคนไทย จึงพร้อมใจกัน ตั้งใจที่จะทำดี เพื่อพ่อ หรือทำความดีนี้ เพื่อพ่อ ลองถามสิ เพราะอะไร? ออกเป็นกฎหมายหรือเปล่า? ไม่ใช่ เพราะกฎหมายบังคับ เพราะกลัวว่าถ้าไม่ทำแล้ว จะเกิดมีความผิดหรือเปล่า? ไม่ใช่ หรือคิดว่าทำแล้วจะได้บุญ หรือได้รับผลตอบแทน กลับคืนมาหรือเปล่า? ไม่ใช่ พ่อหลวงจะได้รับผลจากความดีที่เราทำหรือเปล่า? เราก็ไม่คิดอย่างนั้น  ถูกไหม? แล้วถามว่าเราร่วมใจกัน เป็นความสามัคคีของคนไทยทั้งชาติเลย อยากจะทำความดีเพื่อพ่อ ก็เพราะว่าเรามีพ่อหลวงที่ประเสริฐ ที่มีความรัก ความเมตตา เป็นพ่อผู้เสียสละ อย่างเห็นได้ชัดเจน เป็นเวลาหลายสิบปี พิสูจน์แล้ว ใช่ไหม?

นั่นคือความรักมันเกิดขึ้นแล้ว ในใจของคนไทยทั้งปวง เพราะเรารู้ดีว่าพระองค์ท่านอยากเห็นคนไทย ซึ่งเป็นเสมือนลูกหลานของพระองค์ มีความรักซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีกัน มีสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข สันติสุข และอยู่ดีกินดีกันทุกๆ คน คนไทยจึงพร้อมใจกันทำสิ่งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน เพียงแค่อยากทำให้พระองค์พอพระทัย คุ้นๆ หูเนอะ ทำให้พระองค์พอพระทัย ทำให้พระองค์สบายใจ มีความยินดี เห็นไหมมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา ไม่มีใครบังคับเราเลย แต่เราอยากทำ เพราะเราสัมผัสในความรัก ความเมตตาของพระองค์ท่านที่มีต่อเราเท่านั้นเอง

ถามว่าคนไทยร่วมใจกันทำความดีเหล่านี้แล้ว พระเจ้าอยู่หัวได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอะไรหรือเปล่า? นอกจากความยินดีพอพระทัย ไม่ได้รับอะไรเลย แล้วเราทำดีอย่างนี้ เราเพิ่มพระเกียรติ เพิ่มพระบารมีให้พระองค์ท่านหรือเปล่า? เปล่าเลย พระเกียรติ พระบารมี พระเจ้าอยู่หัวยิ่งใหญ่มากมายอยู่แล้ว ไม่ต้องการให้เราช่วยเหลือเลย แล้วเราช่วยไม่ได้ด้วย  ถูกไหม?  ในทางกลับกันเมื่อเราตั้งใจทำความดี เพื่อพ่อ ผลที่ได้รับ จะตกอยู่กับพวกเราเองนั่นแหละ ความสงบสุขของสังคม ความสงบสุขของประเทศชาติ ก็ส่งผลมาเป็นความสงบสุขของตัวเราเอง การกินดี อยู่ดีของเรา ของประชาชนชาวไทย ก็เกิดขึ้น เป็นผลสืบเนื่องและกระทบมาถึงพวกเราทุกคน คนทำนั่นแหละได้ดีเอง ถูกไหม?  และสำหรับพวกเราผู้เชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ที่เราเรียกกันติดปากว่าพวกคริสเตียน ที่เชื่อ ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษยชาติทั้งปวงให้พ้นจากบาป และสามารถบริสุทธิ์ผุดผ่อง มาสถิตอยู่ด้วยกับเขา และเขาจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เพราะว่าพ้นจากบาปแล้ว ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเหล่านี้ ที่เรียกว่าคริสเตียน นอกจากพ่อทางกาย และพ่อหลวงของคนไทยแล้ว เรายังมีพระเจ้าที่เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเราด้วย เป็นพ่อของเรานั่นเอง

เช่นเดียวกัน ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ก็สอนให้เราทำความดี ให้ใช้ชีวิตในขณะที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ยอมรับพระเยซูแล้ว ได้สิทธิเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ให้เราดำเนินชีวิตที่สำแดงออกมาถึงสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่เป็นความดี ทำดี เพื่อพ่อของเราเหมือนกัน แต่เป็นพ่อทางฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์สอนเราอย่างนี้ เหมือนกัน

พระคัมภีร์บอกอย่างไร? สรุปง่ายๆ ทำดีอย่างไร? ให้ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในวิญญาณของเรา ที่เราบังเกิดใหม่ในพระเจ้าแล้ว รับเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ เรารับสิทธิของเราที่พระเยซูไถ่บาปให้กับเราที่ไม้กางเขน ทันทีทันใด เราก็มาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง มีพระเจ้าเป็นพ่อของเรา มีพระเยซูเป็นพี่ชายคนโตของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สถิตอยู่กับเรา เราสะอาดหมดจดแล้ว เราอยากจะทำสิ่งที่ดีๆ เพื่อพ่อของเรา เราอยากจะสำแดงผลของพระวิญญาณ คือข้างในที่เราบังเกิดใหม่ เราอยากสำแดงวิญญาณที่เราบังเกิดใหม่ ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรานั้น ออกมา มันจะออกมาอย่างไร? เราจะรู้ได้อย่างไร?  มันจะมีผลลักษณะอย่างนี้อยู่ 9 อย่างเท่านั้นเอง ถ้าออกมา 9 อย่างนี้ แสดงว่ามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผล 9 อย่างนี้ คือความรัก  ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข  ความอดกลั้นใจ  ความปราณี  ความดี  ความสัตย์ซื่อ  ความสุภาพอ่อนน้อม  และการรู้จักบังคับตน มันจะออกมาจากวิญญาณของเรา บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า นี่คือทำดี เพื่อพ่อ รู้ว่าทำสิ่งนี้ดีเพื่อพ่อ ดูว่ามันอยู่ใน 9 อย่างนี้ไหม?

ยกตัวอย่างว่าเมื่อเช้านี้ รอรถเมล์อยู่ รถเมล์แทนที่จะจอด ไม่จอด จะมาโบสถ์ไม่ทัน เราก็เลยหงุดหงิด เราก็บ่น …

“คนนี้จะขับรถไปตายที่ไหน คนรออยู่ ทำไมไม่จอด”

ใช่วิญญาณบริสุทธิ์ไหม? ไม่ใช่ แล้วใครทำ? ก็เนื้อหนัง ตัวเก่าฉันนี่แหละ ที่ฉันเห็นในกระจกทุกวัน มันไม่ใช่ลูกพระเจ้าหรอกตัวนี้  ตัวนี้ ตายไปแล้ว มันรอวันที่จะเปลี่ยนใหม่ เสื้อคลุมนี้ ตัวร่างกายเก่านี้ แต่ถ้าเผื่อรถมันขับไม่จอด ผ่านไปเมื่อเช้านี้  เราบอก …

“ขอพระเจ้าอวยพร วันนี้เขาคงมีธุระสำคัญ เขาคงจะไปรับคนข้างหน้า ขอบคุณพระเจ้า เรารออีกสักหน่อย อาจารย์นำคงไม่ว่า นำนมัสการช้าหน่อยก็ได้”

อะไรประมาณนี้ สมมตินะ เราก็สงบสุข ขอบคุณพระเจ้า อย่างนี้เขาเรียกว่าบังคับตน ทั้งๆ ที่ในร่างกายนี้มันกำลังจะโมโห เพราะว่ารอไป 2 คัน ไม่จอด อย่างนี้เป็นต้น ท่านจะเห็นภาพชัดเจน อะไรที่มันตรงกันข้ามกับ 9 อย่างนี้ แสดงว่ามันไม่ได้มาจากข้างในของเรา แต่มาจากข้างนอก ซึ่งเป็นร่างกายที่มีเชื้อบาปอยู่ เห็นไหม? แต่ถ้าเราทำจากข้างใน คือเราทำดีเพื่อพ่อ … พ่อเรา คือพระเจ้า … พระเจ้าก็จะได้พอพระทัย พระเจ้าจะได้ยินดี สบายใจ เราถวายเกียรติพระเจ้ามากขึ้นไหม? ไม่ใช่เลย  วิธีการถวายเกียรติพระเจ้า ก็คือเรามีสุข แล้วพ่อเรา พระเจ้าก็มีสุข ยินดีกับเราด้วย ใน 2 ทิโมธี 3:16-17 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

2 ทิโมธี 3:16-17 “16 พระคัมภีร์ทุกตอน ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน การว่ากล่าวตักเตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง และการฝึกฝนในความชอบธรรม 17 เพื่อเตรียมคนของพระเจ้า ให้พรักพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง”

 

เพื่อพรักพร้อมในการกระทำความดีทุกอย่าง  การดีทุกอย่าง คือผลออกมาจากการกระทำของพระวิญญาณ เราจะรู้ว่านี่คือการดีได้ เมื่อเราทำแล้วมันสอดคล้องกับในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ บางครั้ง คำว่าความดีของมนุษย์ กับความดีในสายตาพระเจ้า ไม่เหมือนกัน ฟังให้ดีๆ หลายอย่าง เรานึกว่าเราทำดีแล้ว แต่ไปค้นในพระคัมภีร์ ไม่เห็นมีบอกว่าตรงนี้ทำดีเลย ปรากฏว่าตรงนี้ยังบอกด้วยซ้ำว่ากำลังเย่อหยิ่งอยู่ เป็นไง แสบมากเลย ถามจริงๆ มีไหม? มี หลายอย่างเลย บางทีเราทำอาการหลายอย่างเลย เช่น การให้ทรัพย์ คือหยิบเงินในกระเป๋าที่เรามีสิทธิ์เต็มที่ นี่เงินของเรา  เราจะยกให้ใครก็ได้

สมมติเราเอามาร้อยหนึ่ง นี่เป็นเงินของเรา ให้ใครไปก็ได้ อาการนี้ ถ้าตามนุษย์มองเห็น ทุกคนเรียกว่าการให้ ถูกไหม? แต่พระเจ้าบอกว่ามันอยู่ที่ข้างใน อาการเหมือนกันเลย อีกคนก็ให้ออกไป 100 พระเจ้าบอกไม่เหมือนกัน คนที่สอง นั่นให้จริง เขาจะได้พร คนแรกเย่อหยิ่งจองหอง มนุษย์สรรเสริญคนแรกมากเลย เพราะเห็นเขาให้ เหมือนๆ กัน เผลอๆ ให้เยอะกว่าอีก ทำไมมนุษย์มองเห็นว่าน่าสรรเสริญ แต่พระเจ้าว่าไม่น่าสรรเสริญ ไม่ได้จริงใจ พระเจ้ามองที่ใจ เพราะอาการข้างนอก เราเห็นเขาให้ แต่เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจที่จะให้หรอก ข้างในเขากำลังให้ออกไป แล้วก็คิดว่าตรงนี้ เขาจะได้กลับคืนมาสัก 10 เท่า คือให้ไป 100 จะกลับมา 1,000 บาท ถ้าผมให้ไป 100 แล้วผมหวังว่าจะได้ 1,000 บาทกลับคืนมา อย่างนี้เป็นการลงทุน

เมื่อเรารู้ว่าพระเจ้าเสียสละ รักเรามากขนาดไหน? เราควรจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตามท่าทีที่พระเจ้า ผู้เป็นพ่อในฟ้าสวรรค์ของเรา ต้องการ และยินดี ก็คือทำตามที่พระคัมภีร์บอกว่าควรทำ

เรากลับมาที่ว่าคนไทยพร้อมใจกันทำดี เพื่อพ่อ ก็เพราะว่าเรามีพ่อหลวงที่บริสุทธิ์ ที่ประเสริฐ ที่รักเรา ที่เราเห็นได้ชัดว่าพระองค์รักเราจริงๆ เราจึงสัมผัสความรักนั้นได้ แล้วก็สามารถทำสิ่งที่เรียกว่าความดีได้ โดยที่ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน

นอกจากคริสเตียน ที่มีพระวิญญาณที่อยู่ในเราแล้ว เรามีถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ เป็นเหมือนกับไกด์นำทางให้เรา บอกเราว่าเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร ถึงจะได้สิ่งที่ดีๆ ในชีวิตเราเอง ไม่ใช่สิ่งที่ดีๆ สำหรับพ่อของเรา พระเจ้า ไม่ใช่สิ่งดีๆ ที่จะไปยกให้พระเจ้า ไม่ใช่สิ่งดีที่จะเป็นผลประโยชน์แด่พระเจ้า ไม่ใช่ไปถวายเกียรติพระเจ้า  แต่จริงๆ แล้วพระเจ้าต้องการให้เราได้สิ่งที่ดีที่สุด และพระองค์ก็ดีใจ เพราะลูกได้สิ่งที่ดีๆ

พระคัมภีร์สอนเราให้ฝึกฝนที่จะทำความดี ตักเตือน ให้แก้ไขข้อบกพร่อง ไม่ใช่ เพื่อการได้รับความรอด หรือการรอดพ้นจากการถูกลงโทษจากบาป แต่พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราได้รับความรอด ผ่านทางพระคุณความรักของพระเจ้าแล้ว ผ่านทางความเมตตาของพระเจ้าแล้ว เราควรเชื่อฟัง เห็นไหม? ไม่ได้บังคับเรา พระเจ้าผู้เป็นพ่อฝ่ายวิญญาณ ก็ไม่ได้บังคับเรา ตอนที่เราทำดี เพื่อพ่อ ในการรณรงค์ในประเทศไทย ก็ไม่มีใครออกกฎหมายมาบังคับเรา เรายินดีทำ ในทำนองเดียวกัน ในทางพระเจ้า ในทางเป็นคริสเตียน ก็เหมือนกัน เราตั้งใจจะทำดีเพื่อพ่อ เพราะว่าเรารักพ่อเราแล้ว พ่อเราสำแดงความรักของพระองค์ประจักษ์แก่ชีวิตของเราแล้ว โดยประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน รับบาปแทนเรา เราซาบซึ้งแล้ว เรารู้แล้ว พอเรารู้แล้ว เราก็อยากจะทำดี เพื่อพระองค์ เพื่อพ่อของเรา นี่คือท่าทีที่อยู่ข้างในว่าเราควรเชื่อฟัง ไม่ใช่เราต้องเชื่อฟัง คนละอันนะ เราควรเชื่อฟัง ถ้าเราไม่เชื่อฟัง ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผลร้ายจะเกิดขึ้นกับเราเอง เพราะเราทำไม่ได้ดี ผลไม่ดีเกิดขึ้น ไม่ใช่พ่อเรามาไล่ตีเรา ไม่ใช่พ่อเรามาจับเราเข้าคุก เปล่า ถ้าอย่างนั้น ต้องเรียกว่าเราต้องทำดี แต่นี่ไม่ใช่  ต้องเชื่อฟัง แต่ควรเชื่อฟัง ถ้าไม่เชื่อฟัง ก็เจ็บตัวเอง พ่อไม่ได้ทำอะไรหรอก พ่อก็เสียใจด้วย มานั่งลูบหัวเรา

“น่าสงสารจริงๆ ถ้าเชื่อเรา ก็จะได้ดีนะ”

พ่อไม่ซ้ำเติมเราหรอก ชัดไหม?  เราควรจะเชื่อฟังและทำตามคำสอนของพระเจ้า เพื่อให้เป็นที่พอพระทัย เป็นที่ยินดี สำหรับพ่อเรา พอเราได้ดี พ่อเราก็ดีใจแล้ว ในโรม 12:1 บอกไว้ชัดเจน

“เพื่อเห็นแก่พระเมตตาคุณของพระเจ้าที่ได้ทรงไถ่เรา พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ท่านมีชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์สะอาด ตามที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับท่านนั่นแหละ บริสุทธิ์สะอาดแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของพระองค์”

เราไม่ได้ทำสิ่งที่ดีๆ หรือทำความดี เพื่อที่จะได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ถ้าอย่างนั้น เราต้องเปลี่ยนโครงการนี้ว่า “ทำดี เพื่อมาเป็นลูกพระเจ้า” ไม่ใช่ เราทำดี เพื่อพ่อของเราเฉยๆ เราไม่ได้กระทำความดี เพื่อจะได้รับสิทธิมาเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ แต่เพราะเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราจึงได้สำนึกในพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า และได้รับกำลัง จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในวิญญาณของเราที่บังเกิดใหม่ ที่ได้รับกำลังแล้ว ที่จะช่วยนำพาเรา ให้กำลังกับเรา จากข้างใน ออกมาข้างนอก ควบคุมข้างนอกให้สามารถดำเนินชีวิต ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ตามคำสอนในพระคัมภีร์ได้นั่นเอง (ได้เท่าที่ได้) ไม่ใช่ได้หมด ได้มากขึ้น

เอเฟซัส 2:8-9 ยืนยันตรงนี้ไว้ว่าอย่างนี้ “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีตัวเอง ในความรอดของตนได้”

 

เพื่อที่จะไม่มีใครโอ้อวดและอ้างว่า “ฉันรอด เพราะว่าฉันทำดี ฉันเป็นคนดี”

หรือบางคนก็อ้างหนักกว่านั้นเลย “คนนี้รอด เพราะฉันไปอธิษฐานให้เขา” ไปกันใหญ่

“คนนี้รอด เพราะว่าฉันทำอะไรให้เขา”

ไม่ใช่ ทุกอย่าง ความรอดเป็นของประทาน มาจากพระเจ้าประทานผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงตายที่ไม้กางเขน  เพื่อมนุษยชาติทั้งปวง และพระองค์ทรงกระทำเสร็จไปแล้ว 2,000 ปี ใครก็ตามที่ได้รับรู้เรื่องข่าวดีนี้  ความจริงนี้ และยอมรับในข่าวดีนี้ เชื่อในข่าวดีนี้ เขาก็ได้รับสิทธิของเขา ที่พระเจ้าได้ทำให้กับเขา ผ่านทางพระเยซูคริสต์ จึงไม่มีใครสามารถอวดอ้าง หรือแอบอ้างความดีความชอบตรงนี้ได้เลย  ในความรอด จากบาปของมนุษยชาติทั้งปวง เอเมน

กลับมาที่พ่อที่เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างเราในสังคมนี้  ในสังคมโลก พูดถึงพ่อทั่วๆ ไป  พระคัมภีร์สอนอย่างไร สำหรับคนที่เป็นพ่อในการปกครองดูแลลูกของตน สุภาษิต  22:6

สุภาษิต 22:6 “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาจะ ไม่พราก จากทางนั้น”

 

พระคัมภีร์บอก “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป”

ฝึกตัวนี้ คือฝึกวินัย  ให้มีวินัย  พระคัมภีร์บอก “จงฝึกวินัยเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป” ควรจะเดินไปทางไหน?  ดูในพระคัมภีร์บอกไว้ พ่อบางคนก็ตั้งหน้าตั้งตาฝึก ฝึกฝน กฎระเบียบทุกอย่างต้องเป๊ะ ต้องปฏิบัติตาม ฟังให้ดีๆ กิริยามารยาททุกอย่าง ต้องเป๊ะ ฝึกจนกระทั่งเครียดไปทั้งบ้านเลย เพราะเขาใช้คำว่า “ต้อง”

ในพระคัมภีร์บอกว่า “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป” ไม่ได้บอกว่าต้อง และให้เราเลียนแบบพระเจ้า … พระเจ้าไม่เคยบังคับเราเลย ตั้งแต่เราเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น พ่อบนโลกใบนี้ รวมทั้งแม่ด้วยนะ เพราะเนื่องจากวันนี้ เทศน์ในวันพ่อ จึงพยายามพูดไปถึงพ่อ จริงๆ รวมทั้งแม่ด้วย 2 คนช่วยกัน มีหน้าที่ดูแลบุตรหลานอยู่แล้ว พระคัมภีร์บอกให้ฝึกฝน ไม่ใช่ครอบงำ ไม่ใช่ข่มขู่ ถ้าครอบงำ ไม่ใช่ความรัก ถ้าข่มขู่ ไม่ใช่ความรัก ต้องเมตตา โอเค พระคัมภีร์จึงมีคำสอนให้คนเป็นพ่อด้วยว่าให้อบรมสั่งสอนบุตร ตามหลักของพระเจ้า เอเฟซัสพระเจ้าเตือนคนที่เป็นพ่อ (เป็นแม่ด้วย) ว่าอย่างไร?

เอเฟซัส 6:4 “ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดา (มารดา) อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

 

ทำไมเขาถึงเขียนบิดาอย่างเดียว เพราะสมัยโน้น เขาเรียกว่าวัฒนธรรม ประเพณีของมนุษยชาติ ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้ชายจะเป็นผู้นำ เวลาเขาจะนับประชากรของพระเจ้า เขาไม่นับผู้หญิงเลย เขาจะนับผู้ชาย แล้วก็คูณกะประมาณเอาว่ามีกี่คน? คำนวณประชากร ผู้ชายเป็นผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ เพราะฉะนั้น ครอบครัวเขาก็จะนับแต่ผู้ชายๆ ผู้ชายจึงรับผิดชอบสูง แต่มาปัจจุบัน ไม่ใช่แล้ว ต้องร่วมกัน หลังๆ จะเห็นสังคมยอมรับ ในการที่ผู้หญิงจะออกไปทำงานข้างนอกมากขึ้น เมื่อไม่กี่สิบปีนี้ แต่ก่อนนี้ ถ้าผู้หญิงไปทำงานนอกบ้าน จะรู้สึกแปลกๆ ครอบครัวนี้ทารุณมากเลย  เอาเพศแม่ไปทำงานด้วย เขาต้องเลี้ยงลูก เขาต้องทำงานบ้าน เขาต้องทำอะไรต่างๆ ใช่ไหม?

หลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า คืออะไร? ซึ่งเราย้ำกันมาตลอดว่าพระเจ้าเป็นความรัก เพราะฉะนั้น หลักการของพระเจ้า ก็คือความรัก และความรัก  คืออดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่หยิ่งผยอง ไม่อวดตัว ไม่เห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว เห็นแก่ผู้อื่น ไม่ยินดีเมื่อกระทำผิด เยอะแยะไปหมด ใน 1 โครินธ์ 13:4 เป็นต้นไป  นั่นเป็นความรัก เราก็รู้กันหมดว่าคืออะไร?  นี่คือหลักการ เห็นไหม? ไม่ใช่เราคิดเอง เราเป็นผู้ปกครอง เป็นพ่อแม่ เราคิดเอง เขาจะต้องเรียนหมอให้ได้ เพราะเราคิดดีแล้ว เป็นหมอนะดีแล้ว ดีที่สุด เกิดมาก็ใส่ความคิด ให้เขาตั้งแต่เด็กเลย เรียนหมอๆ พอครูถาม อยู่อนุบาล 3 ครูถามว่า …

“ความฝันของเด็กๆ เป็นอะไร?”

“เรียนหมอ”

รู้เรื่องไหมถามจริงๆ? ไม่รู้หรอก ฟังพ่อแม่มา อายุกี่ขวบ? อนุบาล 3 ถึง 4 ขวบ เขาจะรู้เหรออนาคต หมอคืออะไร? พ่อแม่ใส่มา ให้ ป.1 ด้วย เขียนเรียงความมา อยากจะเป็นอะไร? อยากเป็นทหาร ถูกหรือไม่ถูก? ใครเป็นคนใส่มา? พ่อแม่ก็ตอบ ฉันไม่รู้นะ ฉันไม่ได้ใส่ คือมาจากพ่อแม่นั่นแหละ อายุตั้งแต่เด็กจนป.1 ใครสมควรเป็นผู้ดูแล แล้วจะบอกว่าเขาเอามาจากทีวี ก็อาจเป็นไปได้นะ แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของเราที่ให้เขาดูทีวีมากกว่าดูเรา จนกระทั่ง เขาไปติด มันต้องติดมาจากใครคนหนึ่ง เพราะเด็กขนาดนั้น ไม่มีโอกาสที่จะมานั่งคิดอยากจะเป็นอะไรในอนาคต ใช่ไหม? ถ้าเผื่ออายุมากขึ้นแล้ว อาจจะคิด 15 – 16 ก็ว่าไป อย่างนี้เราจะเห็นภาพ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เพราะฉะนั้น มันต้องมาจากความรัก

ในพระคัมภีร์จะเห็นว่าคำสอนของพระเจ้าจะควบคู่กันไปตลอด ระหว่างการฝึกฝนกับความรัก นี่คือหลักการของพระเจ้า มันต้องไปด้วยกันเสมอ แต่ความรักมาก่อนนะ เพราะว่าเชื้อของความบาป ที่มันยังอยู่ในชีวิตเก่าๆ ร่างกายเก่าๆ ของเรา ทำให้มนุษย์ทำอะไร มันก็ไม่พอดีไปหมด มันไม่สมดุล

ความไม่สมดุลของเรา ยกตัวอย่างเช่น เรื่องเงินๆ ทองๆ เราอยากได้มากเกินกว่าพอดี เขาเรียกกันว่าโลภ เราอยากได้น้อยเกินกว่าสมควร เรียกว่าขี้เกียจ อย่าให้เขากิน พระคัมภีร์บอก แสดงว่าขี้เกียจ มันต้องพอดี ขยันพอดี แต่ไม่โลภ ขยันได้เงินมา แบ่งปัน ให้ออกไป เขาบอกกันว่ามารไม่ต้องทำอะไรมนุษย์เลย  มารเพียงแต่หลอกมนุษย์ ทำสิ่งเดียว คือทำสิ่งที่ไม่มากไป ก็น้อยไปเท่านั้น เพราะมากไป ก็ตกขอบ น้อยไปก็ตกขอบ มันต้องพอดีๆ เหมือนที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่สอนเราในโครงการพอเพียง การพอดีลึกซึ้งในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ มันพอดี ไม่ใช่เฉพาะแค่ที่เรามองเห็น พระองค์ท่านให้เราลึกซึ้งในชีวิตเราว่าต้องพอดีในทุกอย่าง แม้กระทั่งคำพูด ก็อย่าพูดเยอะไป บางครั้งเงียบบ้างก็ได้  แต่ก็ไม่ใช่เงียบตลอด เขาจะถามความเห็น สติปัญญาอะไร ก็เงียบ ไม่พูดสักอย่าง มันไม่ใช่เงียบ แล้วดีตลอด เห็นไหม? ทั้งๆ ที่บางทีก็ต้องเงียบ ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรจะเงียบ เมื่อไรจะพูด ก็พึ่งพระเจ้า มันก็ต้องฝึกฝนไป หลุดไปบ้าง

“ฉันไม่น่าพูดมากขนาดนั้น วันนี้น่าจะพูดแค่ 2 คำแล้วหยุด พระเจ้าช่วยลูกด้วย สอนลูก ครั้งต่อไปที่ลูกควรจะพูดอะไร”

นี่แหละ ความบาป คือการทำอะไรก็ตามที่มันไม่พอดี ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือทำอะไรก็ตามที่มันพอดี แค่นั้นเอง มันง่ายนะ

มันมีเหมือนลัทธิหนึ่ง ความเชื่อหนึ่งก็ได้ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าเป็นวัตถุเคารพ บางครั้งเราอ่าน เราชอบไปนึกถึงรูปปั้น อะไรต่างๆ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ มันเป็นการบูชาความดี เคยได้ยินไหม? ยกย่องความดีจนเกินไป  ก็มีอยู่ในชีวิตของมนุษย์ มีมาตั้งนานแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังมี คือบูชาความดี ยกย่องความดีจนเกินไป จนทำให้เกิดความไม่พอดี ยกตัวอย่าง บางครั้งเราบอกบูชาความดี ต้องให้ออกไป เราให้จนเกิน นี่ให้จริงๆ นะ อาการเหมือนตะกี้ที่บอกเลย แต่ไม่ได้ดูกำลังตัวเองว่าควรให้ไหม? ปรากฏให้จนลูกเมียอดอยาก ไม่มีอะไรจะกิน มันเกินไปแล้วไง เข้าใจไหมครับ ผมกำลังจะบอกว่ามันไม่พอดีปุ๊บ มันเป็นการบูชาความดี ซึ่งการให้ออกไป เราให้จริงๆ นะ แต่มันเกินกำลังไปแล้ว เกิดความเดือดร้อนกับผู้อื่น กับสังคม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรืออะไรก็ตาม มันมีโอกาสจะเป็นอย่างนี้จริงๆ

หรือตรงกันข้ามกัน อีกฝ่ายหนึ่งก็บูชาความดีเหมือนกัน คือเหนียวตลอด ไม่ยอมจ่ายเลย บาทหนึ่งก็ไม่ยอมจ่าย คนเดือดร้อนอย่างไร ก็ไม่สนใจ อยู่คนเดียว เป็นเศรษฐีคนเดียว รวยอยู่คนเดียว พอใจแล้ว อย่างนี้เรียกว่าแล้งน้ำใจ เป็นคนไม่มีน้ำใจ เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นไหม มันก็กลายเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่มีเยอะแยะ ถ้าฉันจะให้ออกไป ฉันจะต้องหวังว่ามันจะต้องได้อะไรกลับมา ไม่อย่างนั้นฉันไม่ปล่อยแม้แต่เม็ดเดียว ซื้อมังคุดก็ 3 โล 100 เขาจะขายโลละ 30 ก็ 3 โล 100 โอเคซื้อ ทั้งๆ ที่ตัวเองเสียเปรียบ ก็ซื้อ เพราะโลภ คิดในใจกลัวเสียเปรียบๆ นี่ก็น่าเป็นทุกข์ เขาเรียกว่าไม่พอดี

บางคนมีรายได้น้อย แต่ไปใช้จ่ายมากเกินตัว ก็เกิดหนี้สิน เป็นความทุกข์ เป็นความลำบากภายหลัง เรียกว่าไม่พอดี บางคนก็มีรายได้พอเพียง มีพอ แต่ใช้ไม่พอเพียง  คือไม่ยอมใช้เลย กลายเป็นคนขี้เหนียว แล้วก็ไม่มีความสุข เพราะเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ช่วยเหลือคนอื่นเลย ไม่มีเมตตากับทุกคนเลย รวมทั้งไม่มีเมตตากับตัวเองด้วย คือนึกแต่วัตถุๆ ต้องเก็บทรัพย์สมบัติไว้ ทรัพย์ที่มองไม่เห็น มีราคามากกว่าตั้งเยอะ เช่น สุขภาพร่างกายของตัวเอง มองไม่เห็น สุขภาพของคนในครอบครัว มองไม่เห็น เห็นแต่วัตถุอย่างเดียว คือทรัพย์สินเงินทอง กลายเป็นคนแข็งกระด้าง คนเครียด ทั้งๆ ที่เงินมีไหม? พอเพียงไหม? พอเพียง เห็นไหม? แต่ทำตัวเหมือนคนจน

ฉันใดก็ฉันนั้น วันนี้พูดถึงเรื่องพ่อ การดูแลบุตรหลานของท่านที่เป็นพ่อแม่ ก็เช่นเดียวกัน พ่อบางคน หรือพ่อแม่บางคนก็ฝึกลูกด้วยวินัย ตามถ้อยคำพระเจ้าไหม? ตาม แต่ไม่ตามตรงที่ฝึกวินัย แต่ตรงนี้ฝึกวินัยลูก ไม่พอดี มากจนเกินไป แข็งจนเกินไป กลายเป็นตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทุกอย่างต้องตามใจพ่อให้ได้ ถ้าพ่อพูดอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ให้ได้ ต้องเป็นไปตามความคิดของพ่อเท่านั้น ส่วนพ่อแม่บางราย ก็ไม่มีการฝึกวินัยลูกเลย ปล่อยตามสบาย ลูกอยากจะทำอะไรก็เชิญสนองให้ อยากได้อะไรก็เอาให้ ให้ทุกอย่างตามใจลูกทั้งสิ้น ลูกนอนดิ้นๆ อยู่ที่ลานขายของในซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือตามห้าง ซื้อให้ทันที มีตัวอย่างนะ

ถามว่าการดูแลแบบไหนจะทำให้เกิดปัญหากับลูก? มีปัญหาทั้งสองทาง คือไม่พอดี คือไม่เบาไป ก็หนักไป ก็คือไม่พอเพียง ไม่สมดุล มันต้องอยู่ตรงกลาง มันต้องพอเพียง ต้องมีสมดุล ถึงจะดีที่สุด การฝึกวินัย ต้องฝึกด้วยความรัก อย่างที่ผมบอก ความรักกับการฝึกวินัย ต้องอยู่ควบคู่กันเสมอ ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง จริงๆ ตรงนี้เอามาใช้ได้ในชีวิตของเราทั้งหมด ไม่ใช่ฝึกเด็กอย่างเดียว ฝึกตัวเองด้วย  ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง เอาแต่ฝึกวินัยอย่างเดียว ก็กลายเป็นตาต่อตา ฟันต่อฟัน จะเอาให้ตายให้ได้ หรือใช้แต่ความรักลูกเดียว ก็ปล่อยปละละเลย  ทำให้ลูกเสียคน เหมือนคำพูดที่บอกว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน ในภาษาสำนวนไทยพูดคำนี้มา แสบมาก เจ็บไปทั้งตระกูลเลย เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างไร? ก็คือต้องทำให้มันสมดุล

ผมพยายามนึกหาคำที่จะอธิบายความหมายของการฝึกวินัยควบคู่ไปกับความรัก พยายามหา แล้วก็นึกถึงละครไทย ทำไมชอบดูละคร ผมไม่ได้ดูนะปกติ ไม่เคยดูเลย แต่มันก็เข้ามาในหัว แสดงว่ามันฮิตมาก ผมก็ไปนึกถึงละครไทย ซึ่งมักจะมีบทนี้ ซึ่งคนติดกันงอมแงม ตบจูบๆ เคยได้ยินไหม?  ผมมานั่งคิด มันก็จริงๆ นะ การลงวินัย ฝึกวินัยเด็ก ไม่ว่าจะลงโทษด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการตี กักบริเวณ ตัดค่าขนม จะต้องควบคู่ไปกับความรักด้วยเสมอ แรงจูงใจในการที่จะสอนด้วยความรักต่างหาก สำคัญที่สุด ต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน

ผมจึงนึกภาพขึ้นได้ ฉะนั้น ความรักสำคัญกว่าคำว่าวินัยด้วยซ้ำไป ถูกไหม? วินัยอย่างเดียวไปไม่รอด ความรักอย่างเดียวไปรอด ผมนึกถึงภาพแซนวิท มีขนมปังก่อน แล้วก็วางด้วยผัก ด้วยเนื้อตรงกลาง แล้วก็ประกบด้วยขนมปังอีกแผ่นหนึ่ง การฝึกเด็กแบบแซนวิท คือตรงกลาง มันไม่ใช่เนื้อ ไม่ใช่ผัก แต่มันเป็นพริกเผ็ดๆ หรือผักอะไรก็ตามที่ขมมากๆ ทั้งเผ็ดทั้งขมอยู่ตรงกลางเลย  และขนมปังที่อยู่ข้างบนกับข้างล่าง ก็คือความรักนั่นเอง

เริ่มต้นด้วยความรัก ตามด้วยฝึกวินัย ลงวินัย และตามด้วยความรัก ก็จะเป็นความรัก วินัย ความรัก ให้นึกภาพแซนวิทไว้

เพราะว่าถ้าทำเช่นนี้แล้ว ผู้ที่ถูกฝึกวินัย หมายถึงลูกของเรา ก็จะเจริญเติบโตไปในทางที่เป็นความรักทั้งสิ้น เพราะการลงวินัยหรือการถูกลงโทษนั้น มันเต็มไปด้วยข้างบนและข้างล่างที่เป็นความรักอย่างแท้จริง เขาจะหนีไปไหนไม่ได้เลย ประกบไปได้เลย ไปไหนไปด้วยกัน

และอันนี้ มันก็ไม่ใช่สำหรับการดูแลเด็กได้เท่านั้น มันดูแลอย่างอื่นได้ด้วย สามารถใช้ได้ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในองค์กร สมมติเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนดูแล หรือข้าราชการ โรงเรียน แม้กระทั่งคริสตจักรก็ตาม ฟังอีกที แม้กระทั่งคริสตจักรก็ตาม บางคนบอกอุตส่าห์มาโบสถ์ นึกว่าสบายๆ ทำไมระเบียบเยอะจัง ต้องมีระเบียบไหม? อาจารย์ต่างๆ ศิษยาภิบาล ผู้ที่ดูแลระเบียบเหล่านี้ เขาดูแลระเบียบด้วยความรัก … รักเริ่มต้น ติเตียนท่าน แล้วเต็มไปด้วยความรักท่าน

เข้ามาถึง เขาอธิษฐานให้ท่านแล้ว ดูแลท่านด้วยความรัก อาจารย์วราพรทำกับข้าวให้อร่อยๆ เขาเรียกว่าขนมปัง มาเจอผม ผมก็โอเค ดีนะ โอ๋ให้กำลังใจ ไปเจอคนที่เขามีหน้าที่พระเจ้าเตรียมเขามาดูแลระเบียบ เขาก็จัดการตามระเบียบ เพราะฉะนั้น ท่านต้องดีใจ นี่เป็นขบวนการของการเจริญเติบโต ขบวนการของการทำสิ่งที่ดีให้พ่อเรายินดี เอเมน มันต้องมีระเบียบ ไม่อย่างนั้น เราก็ไม่โต

ถ้าพ่อแม่ใช้วิธีการดูแลลูกหลานตามหลักการที่ผมบอกวันนี้ ลูกหลานก็จะเจริญเติบโตขึ้น เป็นคนดีของสังคม มีวินัย ไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม เพราะเขารู้ว่าเขาถูกฝึกมา และถ้าสังคมทุกสถาบัน ทุกองค์กร ใช้ระบบการดูแล การบริหารด้วยวิธีการแบบนี้ สังคมก็จะอยู่รอด ไม่มีปัญหา

เวลาลงวินัย มันลงได้หลายวิธี สมมติว่าลูกเกเรวันนี้ โดดเรียน อันนี้ไม่ดีแน่นอน ท่านเรียกลูกมา ท่านจะพูดอะไรกับเขาก่อน ที่ตามพระคัมภีร์ เอาง่ายๆ ท่านก็เข้าไปกอดเขา

“วันนี้พ่อรักลูกมากนะ”

ทำได้ไหม? ผมจะบอก ทำไม่ได้หรอก ถ้าท่านไม่ฝึก เพราะท่านกำลังโมโห ตะกี้นี้ ครูผู้ปกครองโทรมาหยกๆ มันหนีเรียน พอเขาเดินเข้ามาปุ๊บ ท่านบอก …

“พ่อรักลูก”

ทำไม่ได้ แต่มันทำได้ ถ้าท่านฝึก พระวิญญาณจะช่วยท่าน เอเมน อธิษฐานก่อน พระเจ้าช่วยลูกด้วย จดเป็นสคริปไว้เลย พอมาถึงกอดทีหนึ่งก่อน เรามาอธิษฐานกันก่อนนะ ต่อไปนี้ ถ้าท่านทำอย่างนี้บ่อยๆ ลูกหนาวเลย  วันหลังพอลูกมาถึง ขอกอดหน่อย พ่อจะกอดเหรอ มีอะไรอีกวันนี้ ท่านเสียว แต่วันนี้ไม่มีอะไร? กอดฟรีๆ วันนี้มีแต่ขนมปังอย่างเดียว ท่านก็กอดเขา อย่างที่บอก ถ้าทำไม่ได้ ก็อธิษฐานด้วยกัน สั้นๆ ท่านสงบแล้ว สมาธิเกิด ปัญญามาทันที พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานได้ทันที ท่านจะรู้ว่าควรจะพูดอะไร ในสิ่งที่เขาทำผิดพลาดไป ด้วยความรัก ท่านก็พูดไปตามที่เขียนไว้

“ตะกี้นี้อาจารย์ปกครองที่โรงเรียนโทรมานะ”

ก็เล่าให้เขาฟัง คราวนี้ก็ว่าไปเรื่อย สมมติจะต้องมีการลงวินัย

“ค่าขนมที่เคยให้ไว้ อาทิตย์ละ 200 พ่ออยากจะฝึกวินัยตามถ้อยคำพระเจ้า พ่อก็ไม่อยากทำหรอก แต่ทำเพื่อตัวเราเอง มันต้องลำบากหน่อยนะ เพราะฉะนั้น ตัดเหลือ 100 บาท เข้าใจนะ”

ลูกก็เข้าใจแล้ว ความรักมาแล้ว จบสุดท้าย

“โอเคนะ  จากนี้ต่อไป สัก 4 อาทิตย์ เอาเป็นอาทิตย์ละ 100 พอ”

ฝึกฝนตัวเองใหม่ จบเข้าไป กอดอีกทีหนึ่ง แล้วก็อธิษฐานกัน

แล้วมีอะไรอีกล่ะ เอาแรงกว่านั้น ขโมยเงิน เขาอยากได้ของมาก ขโมยเงินพ่อไปซื้อของมา จับได้ ท่านก็เรียกเขาไปหา ถ้ายังกอดเขาไม่ได้ อธิษฐานก่อนก็ได้ บางทีมันกอดไม่ลงจริงๆ มันโมโหไง คนที่เคยเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาอย่างนั้น จะรู้ดีว่าเวลาตอนนั้น มันไม่ง่ายอย่างนี้ เวลาบอกในโบสถ์ สอนอย่างนี้ มันง่ายนะ บอกให้ท่านอธิษฐานให้เขา อภัยให้คนที่ทำร้ายเรา อภัยให้คนที่รังแกเรา ละเมิดสิทธิ์เรา พูดนะง่าย  แต่พอมาทำจริงๆ ไม่อยากจะอธิษฐาน อธิษฐานยังไม่ออกเลย  อย่าว่าแต่ไปเจอหน้าแล้วเข้าไปกอดเขา มันไม่ไหว ก็เท่าที่ทำได้ แล้วรอไว้ก่อน

ในทำนองเดียวกัน ท่านอาจจะทำไม่ได้ ท่านได้แต่คิด มาอธิษฐานกัน ข้างในมันยังกับไฟแล้ว พอท่านอธิษฐาน มันก็จะสงบลง ท่านก็จะลงวินัยเขา ไม่ลงวินัยไม่ได้นะ จำไว้ ขาดไม่ได้ ตอนนี้เราเน้นถึงขนมปัง แต่ข้างในตรงกลาง ขาดไม่ได้ คือพริกเผ็ดๆ อะไรที่ขมๆ มีไว้เสมอ ไม่อย่างนั้นมันไม่เป็นแซนวิท ตรงกลาง คือการฝึกวินัย ฝึกให้ถูกลงโทษบ้าง ด้วยความรัก อันนี้มันแรงขึ้น  เที่ยวนี้ต้องตีแล้วนะ

ไม้เรียวจะทำให้เขาโต ทำให้เขาเป็นคนดี พ่อต้องตี แม่ต้องตี ด้วยความรัก

“เอาสักกี่ทีดี 3 ทีดีไหม?”

เปิดโอกาสให้ท่านได้คุย เสร็จปุ๊บ โอเค หันก้นมา

“เอ๊ะ ใส่กางเกง 2 ชั้นมาเนี้ย  ไหนดูสิกางเกง อ้าว! ใส่สองชั้นมา”

คราวนี้ ถอดกางเกงหมดเลย  หนักกว่าเก่า อย่างนี้เป็นต้น เพื่อจะฝึกเขา ในพระคัมภีร์บอกไว้ว่าให้ลงวินัยด้วยไม้เรียว ไม้เรียวตีเจ็บแป๊บเดียว มันหายไปแล้ว บางคนบอกไม่ตีลูก เพราะว่าเรามีความรักเขา ไม่กล้าตี ไม่ใช่ เราไม่รัก ถ้าเรารัก เรากล้าทำ ถึงแม้เราจะเจ็บ เราก็ทำ เพราะเรารู้ว่าเราทำสิ่งดี

ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ตีเลย  ให้เขาเจ็บจริงๆ ให้มันขม ให้มันเผ็ด แล้วสุดท้ายก็ตามด้วยความรัก ก็คือขนมปังอีกชิ้นหนึ่งมาประกบท้าย อธิษฐานด้วยกัน กอดกัน ร้องไห้ด้วยกัน เขาก็ร้อง เราก็ร้อง เขาก็ซึ้ง เราก็ซึ้ง นี่แหละจะอยู่กับเขาไปตลอด ไม่ว่าเขาจะไปไหน? ท่านก็อยู่ด้วย  ต่อให้ท่านไม่อยู่แล้ว ท่านตายไปแล้ว เขาจะไปไหน? ท่านก็อยู่กับเขาด้วย  เอเมน

พระเจ้าเราก็จะทำอย่างนี้แหละ นี่คือตัวอย่างเอามาใช้ในชีวิตของผู้เป็นพ่อแม่ ที่เป็นมนุษย์ พระเจ้าดูแลลูกของพระองค์ อย่างนี้เหมือนกัน เราทั้งหลายเป็นลูกของพระองค์ ในพระคัมภีร์ พระเจ้าบอกไว้ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:1 “ดูเถิด ความรักของพระเจ้ามีให้กับเรามากล้นเพียงใด ที่พระองค์ทรงให้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว”

มากเหลือเกิน ถ้าเราเข้าใจตรงนี้แล้ว เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าก็จะดูแลเราอย่างดี แต่มันไม่เหมือนกันตรงไหน? ฟังให้ดีๆ นะ มันไม่เหมือนกันตรงที่พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า เข้าใจไหม?  พระเจ้าทำแซนวิทกับเราง่าย เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เราจะไปทำแซนวิทกับลูกเรา บางครั้งเราก็ผิด เราก็พลาด เพราะว่าเราไม่ใช่พระเจ้า เราเป็นมนุษย์ ที่มีเชื้อของความบาปอยู่ในร่างกายนี้ เรายังมีความคิดเดิมๆ อยู่ บางครั้ง ก็สู้มันไม่ได้ อดไม่ได้ หลุดออกมาบ้าง ก็แค่นั่นเอง แต่พระเจ้าไม่มีหลุดเลย พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าก็ดูแลลูกของพระองค์ เป็นความรัก ไม่ใช่ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ว่าในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าจำเป็นต้องดิวกับมนุษย์ คือติดต่อกับมนุษย์ ในฐานะที่ไม่ใช่ลูกพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้านิดหน่อย พวกอิสราเอลที่พระเจ้าเลือกไว้ ยังไม่เป็นลูกของพระเจ้า ทั้งหมด ทั้งโลกนี้ ก่อนพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านั้น ทั้งหมด มนุษย์ทั้งปวงไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า แต่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 บอกว่า … “เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนนี้ ท่านเป็นอย่างนั้น สมควรอยู่ในพระพิโรธของพระเจ้า สมควรถูกลงโทษ”

และพระเจ้าก็ดิวกับมนุษย์ คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพราะจะช่วยเขาไง เพียงแต่รอแผนการว่าทำทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น เพื่อให้พระเยซูได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ในครอบครัวของแมรี่ และตายที่ไม้กางเขนได้ เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง เพื่อจะพามนุษย์กลับคืนมาใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า และพระองค์จะได้ติดต่อเขา ดูแลเขา ด้วยพระคุณความรัก ไม่ใช่ตาต่อตา ฟันต่อฟันอีกต่อไป แต่เป็นความรัก พระองค์จะได้ทำแซนวิทให้เขาได้ เอเมน

1 ยอห์น 3:1 “ดูเถิด ความรักที่พระบิดาทรงมีต่อเราทั้งหลายนั้น ใหญ่หลวงปานใด ในการที่เราได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า! และเราก็เป็นเช่นนั้น! เหตุที่โลกไม่รู้จักเรา ก็เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์”

 

ดูเถิด ความรักของพระบิดาทรงมีต่อเรา ใหญ่หลวงขนาดไหน? ที่เรียกเราว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าก็จะดูแลเราอย่างนี้ ท่านไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะชีวิตท่านที่อยู่บนโลกใบนี้ ตอนนี้ ที่ผมยกตัวอย่างเมื่อสักครู่นี้ เรื่องแซนวิท พระเจ้าก็ใช้วิธีนี้กับท่านเหมือนกัน พระเจ้าพูดในหนังสือโรม บทที่ 8 บอกว่าพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า หรือผู้ซึ่งมาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปกับท่าน ทุกวันนี้ยังอธิษฐานให้กับท่าน อยู่ในสวรรค์นั้น จะเป็นผู้ลงโทษท่านเหรอ ตี เฆี่ยนท่านเหรอ

“ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีความรัก หรือความเกลียดชัง ฤทธิ์เดชอำนาจใด? วิญญาณตัวไหน? เอาพวกเธอออกไปจากมือฉันได้อีกแล้ว ออกไปจากแซนวิทนี้อีกแล้ว เพราะฉันรักเธออย่างสุดหัวใจ”

ไม่มีใครที่อยู่ในพระคริสต์ ที่พระเจ้าบอกว่าจะรักเขามากขึ้น  ไม่มีทาง เพราะว่ามันรักสุดไปแล้ว ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน แล้วท่านมารับเชื่อในความรักไปเท่านั้นเอง มันรักสุดไปแล้ว ไม่สามารถที่จะรักท่านมากขึ้นกว่านี้ได้อีกแล้ว

เพราะฉะนั้น ชีวิตท่านจงสบายใจ อบอุ่น หายเหนื่อยและเป็นสุขอยู่ในความรักนี้ บนก็ความรัก ล่างก็ความรัก แล้วตรงกลางล่ะ ตรงกลาง คือการฝึกวินัยแบบพระเจ้า ฝึกวินัยอย่างพระเจ้า อย่างที่บอกพระองค์ก็จะทรงนำเราไป ปล่อยเรา ไม่ได้ตีเราหรอก ถ้าเราทำผิดจากที่พระเจ้าสอนไว้ มันก็โดนลงโทษเอง ไม่ต้องทำอะไร พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์มาไม่ใช่เพื่อลงโทษมนุษย์ แต่พระองค์มาบังเกิด เพื่อจะช่วยมนุษย์ให้รอด ถ้าใครไม่เชื่อ ก็โดนลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่พระองค์ไปลงโทษเขา ถ้าท่านทำไม่ดี ทำไม่เป็นไปตามที่พระเจ้าสอนในพระคัมภีร์ ท่านก็จะเก็บเกี่ยวผลของความไม่ดีไปเอง พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรท่านเลย  พระเจ้าทำตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ไปปลอบโยนท่าน

“ลูกอดทนหน่อยนะ ลูกก็ต้องฝึกทำให้มันดีหน่อยสิ อดทนกว่านี้ได้ไหม? ฝึกฝนมากขึ้น  พ่อบอกอย่าทำ ลูกก็อย่าทำนะ  อย่าก้าวเข้าไปในการทดลอง พยายามนะ”

ลูบหัวเรา ในปัจจุบัน มันจะเป็นอย่างนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดเจน วันนี้ผมเอาความรักของพระเจ้า  มาเทียบกับความรักของมนุษย์ และมาเทียบกับการสั่งสอน ฝึกวินัยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ และฝึกวินัยแบบมนุษย์ ที่อยู่ในความบาป แม้จะได้รับความรอด โดยวิญญาณแล้วก็ตาม แต่การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เนื้อหนังนี้ ยังมีเชื้อของความบาปอยู่ ผมเอามาให้ท่านเปรียบเทียบกันว่าเราควรทำอย่างไร? ถ้าเราเป็นพ่อ เป็นแม่ เราควรปฏิบัติตัวอย่างไรต่อคนที่เรารัก  คือลูกของเรา  และเราควรทำอย่างไรในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ทุกคนเป็นลูกของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ที่เกิดใหม่ในพระเยซู เราสมควรทำอย่างไร? ให้พระองค์ยินดี  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************