คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 4 “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อ ในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  กรกฎาคม  2018

 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”

ตอน 4 “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ ถึงเวลารับประทานอาหารฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญที่สุดของชีวิตของมนุษย์ อาหารร่างกายเลี้ยงดูร่างกายอย่างไร? วันหนึ่งร่างกายก็ต้องตาย แต่วิญญาณสำคัญกว่า เพราะจะต้องอยู่นิรันดร์ หมายถึงจะอยู่ตลอดไป  แต่จะอยู่ที่ไหนตลอดไป อยู่ในแสงสว่างตลอดไป หรืออยู่ในความมืดตลอดไป อยู่ในสวรรค์ตลอดไป หรืออยู่ในบึงไฟนรกตลอดไป อันนี้ขึ้นอยู่กับถ้อยคำแห่งความรู้ เรื่องราว หรือข่าวที่มาถึงเรา เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย ถ้าเป็นข่าวดี เราเข้าใจข่าวดีนั้นไหม? เราน้อมรับข่าวดีนั้น ด้วยความถ่อมใจ ไม่เย่อหยิ่งไหม? พระเยซูบอกข่าวดี ความจริงนั้น ก็จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสรภาพจากการถูกกดขี่ จากการที่ต้องไปอยู่ในที่มืด จากการที่เป็นทาสอยู่ในที่มืด ตลอดชีวิตของเรา แม้กระทั่งในวิญญาณตลอดไปนิรันดร์กาล เพราะฉะนั้น การเรียนรู้เรื่องถ้อยคำพระเจ้า จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด ในเรื่องของคริสเตียน เรื่องของโลกวิญญาณ เรื่องของพระเยซูคริสต์

พระเยซูให้ความสำคัญกับเรื่องถ้อยคำของพระองค์มาก ถึงขนาดพระคัมภีร์ให้ชื่อพระเยซู ว่าถ้อยคำ เมื่อพูดถึงถ้อยคำพระเจ้าเมื่อไร ก็คือพระเยซู พระคัมภีร์ไทยให้เกียรติยกย่องพระเยซู ก็เลยเรียกถ้อยคำว่าพระวาทะ … วาทะ แปลว่าถ้อยคำ เวลาเราเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ เหมือนเรากำลังกินในวิญญาณ มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเรา ไม่ใช่เฉพาะเท่านั้น พอเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว จากการเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วเราเกิดใหม่ วิญญาณเราเป็นของพระเจ้า วิญญาณเราเป็นลูกของพระเจ้า เราอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เราจะได้ยินเสียงของพระองค์ตลอดเวลา และถ้อยคำเหล่านั้นเป็นอาหารให้เราเจริญเติบโต  พอเติบโตขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณไม่ใช่หยุดอยู่แค่นั้น ถ้าหยุดแค่นั้น ผมว่าพระเจ้าคงจะนำเรากลับไปบ้านแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์สบายกว่าเยอะ ถามว่ายังอยู่ในร่างกายนี้อีกทำไม? ในเมื่อร่างกายนี้ ต้องประสบปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้อีก ก็เพื่อวิญญาณจะได้โตขึ้นๆ  และในพระคัมภีร์บอก จะได้เป็นที่อยู่อาศัยของนกกา ตัวเล็กๆ น้อยๆ ต่อไปในอนาคต มันมีประโยชน์ แล้วจะมีประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าต้นไม้ต้นนี้มันไม่โตสักที ออกมาเป็นผักชี มันก็ยังเป็นผักชี วันยังค่ำ จนสุดท้ายก็ยังเป็นผักชี ไม่ได้ พระเจ้าเรากำเนิดแล้ว ต้องโตขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วจะโตได้อย่างไร? ก็คือถ้อยคำแห่งความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่มาถึงเราแบบถูกต้อง ก็จะทำให้เราเจริญเติบโต

เวลาท่านมาคริสตจักร หลายคนเข้าใจผิด ให้ความสำคัญ 1, 2, 3 ผิดไป ในตอนที่ท่านมาคริสตจักร ตั้งแต่ สมมติ 9 โมงเช้า … 9 โมงเช้าก็มีเรียนถ้อยคำแล้ว มีชั้นเรียน 10 โมงก็เป็นช่วงเวลาของการนมัสการ ร้องเพลงกัน  … ร้องเพลงเสร็จปุ๊บ ก็เป็นช่วงให้โอกาส เราได้ฝึกฝนการให้ออกไป เขาเรียกว่าถวายทรัพย์ เสร็จแล้วจากนั้น ก็มีช่วงเวลาแห่งการบรรยายถ้อยคำพระเจ้า ก็คือมาเรียนรู้อีก เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า ก็เหมือนช่วงแรกๆ 9 โมงเช้า มาเรียนรู้จนกระทั่งถึงเที่ยง ก็มีอีกช่วงหนึ่ง คือช่วงรับประทานอาหารร่วมกัน สามัคคีธรรมร่วมกันระหว่างพี่น้อง ทานไป คุยไป อะไรต่างๆ เหล่านี้ หลังจากนั้นอาจจะมีชั้นเรียน หรือกลุ่มต่างๆ ซึ่งเข้ากลุ่มกัน ปรึกษาหารือชีวิตบ้าง เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าบ้าง ไม่หนักแล้ว ไม่เพียวๆ แล้ว แต่อาจจะเรียนรู้ผ่านทางประสบการณ์ในชีวิตของคนนั้น คนนี้เป็นอย่างไร? ถามทุกข์สุขกันอะไรอย่างนี่

ถามว่าทั้งหมด 5 ช่วงนี้ ช่วงไหนที่ท่านคิดว่าสำคัญที่สุด ท่านชอบช่วงไหนที่สุด? หลายคนก็บอกชอบช่วงนั้น ช่วงนี้ แต่ผมจะบอกเคล็ดลับให้ท่านฟัง ช่วงที่ดีที่สุด ในชีวิตของเรา  อาจจะไม่ตรงกับความรู้สึกในร่างกาย ยังชอบในช่วงนี้ แต่สำหรับวิญญาณ ชอบช่วง 9 โมงเช้ากับช่วง 11 โมงนั้นมากที่สุด วิญญาณชอบมาก ถึงแม้ร่างกายอาจจะเบื่อหน่าย ผมจะบอกให้ท่านว่าวิญญาณเขาชอบมาก นี่คือการเจริญเติบโต ส่วนช่วงเที่ยงนั้น เป็นช่วงที่ร่างกายชอบมาก เพราะเป็นการเจริญเติบโตเหมือนกัน โตขึ้นเรื่อยๆ ช่วงกินอาหารร่วมกัน แล้วช่วงรองลงไป ผมไม่ได้พูดว่าอะไรมันสำคัญกว่าอะไรนะ กำลังบอกท่านว่าท่านควรให้ความสนใจกับอะไร? เป็นพิเศษ ช่วงตอนบ่าย หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ตอนเข้ามาในกลุ่ม ได้มีถ้อยคำพระเจ้าและประสบการณ์ เพราะประสบการณ์ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้าเลยทีเดียว แต่เราฟัง ได้ช่วยเหลือพี่น้อง ได้หนุนใจกันไปกันมาเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญกว่ามาเรียนถ้อยคำ ถ้อยคำนั้นสำคัญกว่า เพราะเป็นของจริงในพระคัมภีร์ แต่เวลาเราคุยกัน เราแบ่งปันกัน บางทีพูดผิดพูดถูก บางคนก็บอกอย่างนี้ พูดอย่างนี้ บางทีก็ไม่ชัดเจน แต่ที่ชัดเจน คือเอาพระคัมภีร์มา แล้วมีผู้คนแบ่งปันในถ้อยคำพระเจ้า นั่นแหละ ตรงนี้สำคัญ

เลยอยากจะฝากบอกท่านว่าชีวิตคริสเตียนอยู่ได้ด้วยตรงนี้  และมาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีได้ ด้วยตรงนี้ เจริญเติบโตจากคนๆ เดียว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อพระเยซู เชื่อว่าพระองค์เอง คือใคร? จากประกาศเรื่องพระองค์เองคนเดียวบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว แล้วจากนั้น ก็ไล่ต่อมาจนถึงวันนี้ 2,000 ปีผ่านมาแล้ว มีผู้คนนับพันๆ ล้านๆ  คน มาเชื่อในข่าวดีนี้  ก็เพราะมันเจริญเติบโต เพราะถ้อยคำแห่งความจริงนี้ ไม่ตาย เพราะฉะนั้น ต้องให้ความสำคัญ มิได้พูด เพื่อจะบอกว่าร้องเพลงไม่สำคัญ อธิษฐานไม่สำคัญ เปล่า กินข้าวไม่สำคัญ หรือกินข้าวสำคัญ สำคัญ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เรียนอะไรงงไปหมดแล้ว ถ้าไม่ได้กิน แต่สำคัญน้อยกว่า การนมัสการพระเจ้าก็สำคัญน้อยกว่า เพราะการนมัสการพระเจ้า ก็คือถ้อยคำพระเจ้า ที่ขึ้นบนเวที ที่ท่านอ่าน ร้องเพลงไป บางคนร้องเหมือนอ่านนะ แต่ก็ยังโอเค ยังอยู่ในถ้อยคำพระเจ้า นี่พูดความจริงนะ บางคนร้องเหมือนอ่านเลย เขาก็มีความสุข ของใครของเขา นี่ไม่ใช่เอามาประจานกัน แต่กำลังจะเล่าให้ท่านฟังว่าอะไรมันสำคัญ อะไรควรจะให้ความสำคัญมากที่สุด

ฉะนั้น ถึงเวลาเรียน ตั้งใจจริงๆ เท่าที่ทำได้ แม้กระทั่งเวลาที่เราหลับไป แต่ถ้าเราตั้งใจจริงๆ เดี๋ยวเราตื่นขึ้นมา เรากลับบ้าน พระวิญญาณคงจะเตือนเรา ตะกี้เราฟังตอนนอน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นได้ ก็ดี แต่ถ้าเป็น ก็ช่วยไม่ได้ มันเพลีย หลับก็หลับไป ไม่ต้องพยายาม ให้เป็นอิสระ ดังนั้น คนที่ตะโกนมาตะกี้นี้ ชอบตอนนี้ที่สุด เพราะว่าชอบหลับ ก็โอเค ก็ทำไป ก็ยังดีกว่าไม่อยู่ที่นี่เลย เอเมนไหม? มาแล้วก็ตั้งใจ อย่างน้อย ได้เพลงสุดท้าย ก็ยังดี “สรรเสริญพระเจ้า ผู้อำนวยพร” ก็ยังได้สรรเสริญพระเจ้าว่าชีวิตเรา ความจริง ก็คือพระเจ้าสำคัญที่สุด พระองค์มี 3 พระภาค คือพระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างน้อยได้ตรงนี้ กลับบ้าน ก็ยังดี แล้วตลอดชั่วโมง ก็ดองอยู่ในเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ถึงแม้จะหลับไป ก็ดองอยู่ในนี้  กลับไป ก็ชื่นใจ

พอท่านให้ความสำคัญถูก พอท่านกลับไปอยู่ที่บ้าน หรือที่ไหน? ท่านก็จะให้ความสำคัญถูก ไม่ใช่วันทั้งวัน นั่งแต่ร้องเพลง อธิษฐานๆ ไม่ศึกษา ไม่ดูถ้อยคำเลย อย่างนี้มันก็ไม่สมดุล … ไม่สมดุลไม่พอ สิ่งสำคัญมันหายไป เหมือนไม่ได้กินข้าวเลย เข้าใจไหม? ถ้อยคำต้องสำคัญ จริงๆ มันก็คือความสมดุล ไม่ร้องเพลงเลยได้ไหม? ไม่ได้ ก็ควรจะร้องบ้าง?  แต่อะไรสำคัญกว่า  ถ้อยคำ อ่านบ้าง? ฟังบ้าง? เดี๋ยวนี้เขามีเครื่องไม้เครื่องมือที่พระเจ้าให้เยอะแยะ เราควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่นสมัยก่อนมี CD มีเทป มีมือถือบันทึกได้ เปิดยูทูปได้ เปิดเยอะแยะไปหมดเลย ถ้าบอกไม่ได้ฟัง มันเสียดายมาก เดี๋ยวนี้มีถึงขนาดอ่านให้เราฟังก็ได้ แค่นี้เราก็ยังขี้เกียจ ไม่ได้ว่าท่านนะ เพราะเนื้อหนังร่างกาย มันจะขี้เกียจอย่างนี้  สิ่งใดที่มันดีสำหรับเรา มันไม่อยากทำ เพราะมันเป็นเนื้อหนังอยู่ข้างนอก เป็นร่างกายที่ตาเรามองเห็น มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก ที่เรียกว่าเนื้อหนัง ก้อนนั้นมันอาจสกปรกบ้าง กระทบกระทั่งเราบ้าง ก็ต้องอภัยกัน เพราะมันเป็นก้อนเนื้อหนัง ไม่ใช่มองเขาอย่างเดียว เรามองตัวเราเองก็เห็น มันคือก้อนเนื้อหนัง ก้อนสกปรก ก้อนโสโครก ก้อนที่เป็นทาสของความบาป ก้อนที่เรียกว่าวิสัยของบาปอาศัยอยู่ในนี้ทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างหนึ่ง นิดหนึ่ง ก็ไม่มี แต่ทะลุลงไปในก้อนนี้ เป็นวิหารของพระเจ้า พระเมตตาคุณของพระเจ้าสถิตอยู่ในก้อนนี้ ขอบคุณพระเจ้า เข้าใจใช่ไหม เมื่อเราเห็นอย่างนี้ได้ เราจึงเน้นที่วิญญาณของเราว่าเราต้องจำเริญเติบโตทางวิญญาณให้ได้ สำคัญที่สุดตรงนี้ ฉะนั้น ถ้าเราแยกไม่ออก มันก็จะปะปนกันยุ่งไปหมด อะไรที่เนื้อหนังทำ เราต้องยอมรับรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเอง เพื่อเราจะอภัยให้คนอื่นได้ด้วยว่าเราก็เป็นอย่างนี้ เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะมันอยู่ในเนื้อหนังเหมือนกัน ต้องอภัยกัน และมองทะลุสิ่งเหล่านี้ไปสู่โลกวิญญาณ

ดังนั้น ถ้อยคำพระเจ้าที่ผมบอก จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่เราควรจะเอาใจใส่ ถือโอกาสวันนี้มาพูดตรงนี้ เป็นพิเศษ ยังไม่เข้าเรื่องบรรยายนะ ผมรู้ทุกคนอยากจะฟังแล้ว พอพูดอย่างนี้ตื่นเต้น อย่างน้อยๆ ต่อจากนี้สัปดาห์หนึ่ง ทุกคนจะตื่นเต้นเรื่องเกี่ยวกับกลับไปแล้ว ไปกินถ้อยคำพระเจ้า ไปศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ไปอ่านถ้อยคำพระเจ้า ไปฟังถ้อยคำพระเจ้า ผมเชื่อเลย ได้แค่อีก 7 วัน หลังจากนั้น ก็กลับมาเหมือนเดิม จริงหรือไม่จริง? ต้องยอมรับความจริง เพราะก้อนเนื้อหนัง มันไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่ง อะไรที่เป็นของพระเจ้ามันเบื่อ ผมจะพาให้ท่านไปเห็นว่าก้อนเนื้อหนัง ทำให้เราน่าสมเพช ทำให้เราน่าสงสารขนาดไหน? นี่ขนาดเปาโลนะ เปาโล คือผู้เชื่อที่ได้พบพระเยซูหน้าต่อหน้า ครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าพาเขาขึ้นไปบนสวรรค์ ตอนที่เป็นๆ อยู่นี้ ตอนที่เป็นมนุษย์ กลับมาทำงานต่อเลยนะ เห็นสวรรค์มาแล้ว ท่านลองคิดดู เปาโลคนนี้ รู้เรื่องหมดเยอะแยะขนาดนี้ พูดถึงก้อนเนื้อหนังของตัวเองว่าอย่างไร?  ในโรม 7:21-25 ท่านอยากรู้ไหม? เราต้องมีความหิวกระหายในถ้อยคำพระเจ้า จำไว้เลย คิดอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือเราหิวตลอดเวลา เรื่องถ้อยคำพระเจ้า อย่างที่ผมเคยบอก ท่านคิดถึง …

“เอ๊ะ! ตรงนี้มันคืออะไร? ตรงนี้มันไม่เข้าใจเลย”

ไม่เข้าใจ เป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าหยุดอยู่ตรงนั้น อธิษฐานสิ

“พระเจ้าตรงนั้น ลูกไม่เข้าใจ ลูกอยากรู้จักมากขึ้น ลูกไม่เข้าใจตรงนี้เลย ตรงนี้  คืออะไร? ลูกอยากรู้จักมากขึ้น”

นี่คืออธิษฐานอย่างนี้ แทนที่จะอธิษฐานขอความจำเป็นในชีวิตเยอะแยะ การกิน การอยู่ ปัญหาโน่นนี่ ไม่ใช่อธิษฐานไม่ได้ อธิษฐานได้ แต่พระเยซูบอกไม่จำเป็นต้องอธิษฐานมากมาย เหมือนชาวบ้านที่เขาไม่รู้จักพระเจ้าหรอก พูดไปมากๆ พระเจ้าจะได้ยิน มาตื้อๆ แล้วจะให้ ของเราไม่ใช่อย่างนั้น ยังไม่อธิษฐาน ก็รู้แล้ว อยากได้อะไร? ซื้อล๊อตเตอรี่ก็อยากให้มันถูก ไม่ต้องอธิษฐานหรอกว่าให้ถูก ไม่ต้องอธิษฐานหรอกว่าหิวข้าว ตอนนี้ขาดเงิน ไม่ต้องอธิษฐาน ก็รู้ อธิษฐานก็ไม่ต้องมากความ แล้วเอาเวลาที่เหลือ มาศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ใช้เวลาที่เหลือคิดถึงถ้อยคำพระเจ้า คิดถึงเรื่องสวรรค์มันคืออะไร? เคาะมันไม่หยุดเลย เรื่องสวรรค์ แสวงหาสวรรค์ ไม่หยุดเลย ไม่ใช่แสวงหาความร่ำรวย ไม่หยุด ไม่ใช่แสวงหาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เรื่องปัญหาบนโลกใบนี้ไม่หยุดหย่อน พระองค์รู้แล้ว อยู่บนโลกนี้ มันต้องประสบปัญหาธรรมดา แต่สิ่งที่พระเยซูให้เราเคาะตลอดเวลา ขอตลอดเวลา แสวงหาตลอดเวลา มันหมายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์ แล้วรู้ได้อย่างไร? มาทางถ้อยคำพระเจ้า มาทางพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วก็อธิษฐาน พระเจ้าก็จะสอนเราจากประสบการณ์ในชีวิต อันนี้ตรงกับถ้อยคำนั้น  อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เราฟังเทศน์ อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เราเปิดยูทูปฟัง อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เปิดอ่านบทความนี้ มันก็จะไปเรื่อยๆ อย่างนี้  วันแล้ววันเล่า หลับๆ ตื่นๆ แล้วมันก็งอกเงยขึ้นมาเป็นต้นไม้ใหญ่ เป็นประโยชน์ สำหรับบรรดาผู้คนรอบข้าง เอเมน

เราอยู่ในหัวข้อเรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” วันนี้เป็นตอนที่ 4 มีชื่อว่า “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2

ทบทวนนิดหนึ่ง ครั้งที่แล้ว เราสรุปว่าหนังสือฮีบรูที่ถูกเขียนไป เพื่อไปเตือน ชาวฮีบรูมี 3 กลุ่ม คือ …

กลุ่ม 1 คือกลุ่มที่ไม่เชื่อเลย ปฏิเสธพระเยซู เป็นศัตรูเลย

กลุ่ม 2 คือกลุ่มลักปิดลักเปิด แต่สรุปแล้ว ในใจลึกๆ ไม่เชื่อ แต่ข้าง

นอกดูเหมือนเชื่อ  ถูกอิทธิพลของโลกดึงดูด   จนกระทั่งในที่สุด   ก็คือไม่เชื่อ

นั่นแหละ

กลุ่ม 3 ก็คือกลุ่มคนที่เชื่อจริงๆ  เชื่อตั้งแต่ข่าวประเสริฐมาวันแรก  ก็เริ่มเชื่อๆ รับไป

เรื่อยๆ  กินไปๆ จนกระทั่งมัน หล่นตุ๊บลงไปที่วิญญาณ เกิดปิ๊งขึ้นมา กลายเป็น

บิ๊กแบงก์ กลายเป็นระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ในวิญญาณ กลายเป็นบังเกิดใหม่ เป็นลูก

พระเจ้า

ฮีบรู 6:9-12 มาอ่านอีกทีนะ

ฮีบรู 6:9-12 “9 แต่ว่า … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด 10 พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำและความรักที่ท่านแสดงให้พระองค์เห็น คือการที่ท่านช่วยเหลือประชากรของพระองค์ และยังช่วยพวกเขาต่อไป 11 เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคน สำแดงความพากเพียรนี้ จนถึงที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้จะเป็นจริง 12 เราไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้น ซึ่งได้รับมรดกตามพระสัญญา โดยอาศัยความเชื่อและความอดทน”

 

เวลาอ่านถ้อยคำพระเจ้า ต้องรู้ภูมิหลังว่าเขาเขียนถึงใคร จะได้จำได้ศัพท์ จับได้ความว่าของจริงมันเป็นอย่างนั้น รู้แล้วใช่ไหมว่าพูดถึงกลุ่มแรก ปฏิเสธ พูดถึงกลุ่ม 2 ปฏิเสธแบบไปๆ มาๆ สรุปแล้ว คือปฏิเสธ แรกๆ ดูท่าทางรับ แต่จริงๆ คือไม่ได้รับจริง ยังกลัวอยู่ ในที่สุด ก็ปฏิเสธ กลุ่มสุดท้าย ก็คือกลุ่มที่เชื่อจริงๆ บังเกิดใหม่จริงๆ เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ก็เลยใช้คำว่า “พวกพี่น้อง” ที่ตะกี้ผมบอกให้เติมข้างหน้า มีคำว่า “But”

“แต่ว่าเราไม่เหมือนกับ 2 กลุ่มนั้น  พวกเรากลุ่มนี้ คือกลุ่มที่เชื่อจริงๆ เลย”

พูดถึงยิว ไม่ใช่เรานะ นำมาใช้ในชีวิตของเราปัจจุบัน เอามาเทียบใช้ แต่จริงๆ ที่อ่านอยู่นี้ เขากำลังพูดถึงพวกยิว กลุ่มสุดท้ายบอกว่า …

“แต่พวกเราไม่เหมือน 2 พวกนั้นนะ เราไม่ปฏิเสธ เรารับเชื่อ และตอนนี้ เราเป็นพี่น้องกันแล้ว เพราะเราเกิดใหม่ในพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซู เป็นพี่น้องของพระเยซู เหมือนกันเลย  เพราะฉะนั้น เราพี่น้องกัน แต่ว่าพวกเราไม่เหมือนกลุ่มแรก คิดถึงกลุ่มคนเหล่านี้ ที่พระเยซูตอนที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูพูดถึงอาณาจักรสวรรค์ คนที่จะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณว่าเป็นเช่นไร? มัทธิว 13:3-9 มาทบทวนกัน …

มัทธิว 13:3-9 “3 พระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขา เป็นคำอุปมา เช่น “ชาวนาคนหนึ่ง ออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทาง และนกมาจิกกินไปหมด 5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก 6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไป  เพราะไม่มีราก 7 บางเมล็ดตกกลางพงหนาม โดนหนามงอกคลุม 8 แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี  ซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน 9 ใครมีหู จงฟังเถิด”

 

เพราะฉะนั้น ข่าวดีที่ประกาศออกไป ทั้งโลก ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม มันจะมีอยู่ 3 กลุ่ม แต่เป็นดิน 4 ประเภท ตามที่พระเยซูยกตัวอย่าง และพระเยซูก็อธิบายให้ฟังเลยว่าที่พูดเมื่อตะกี้นี้ มันหมายถึงอะไร? ในมัทธิว 13:18-23

มัทธิว 13:18-23 “18 “จงฟังความหมายของคำอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ 19 เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ  มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป  นี่คือเมล็ดพืชที่หว่านตามทาง 20 เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมาก คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21 แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้น ก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว 22 เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนาม คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสีย ทำให้ไม่เกิดผล 23 ส่วนเมล็ดพืช ซึ่งตกในดินดีนั้น คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป”

 

เรากำลังเรียนรู้เรื่องข่าวดีของพระเจ้า ผ่านทางหนังสือฮีบรู เรื่องความรอดของพระเยซู มาเปรียบเทียบให้ฟังกับชีวิตของคริสเตียนในยุคปัจจุบัน โดยเน้นถึงถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูเป็นผู้ตรัสเอง  เรื่องอุปมาว่ามันตรงกันอย่างไร? เวลาข่าวดีไปถึงใครก็ตาม มันเกิดอะไรขึ้น จะรอดได้อย่างไร? แล้วมันเกิดปฏิกิริยาอะไร เมื่อเจอกับคนบนโลกใบนี้ เมื่อฟังข่าวดี ซึ่งเราก็สามารถสรุปให้เห็นชัดๆ คือไม่ว่าที่ใดก็ตาม เมื่อข่าวดีประกาศออกไป จะมีบุคคลอยู่ 3 กลุ่ม ซึ่งในหนังสือฮีบรู หมายถึงกลุ่มคนเฉพาะชาวยิว แต่จริงๆ เราเอามาใช้ได้ทั้งหมด  ทั้งโลกก็มี 3 กลุ่มเหมือนกัน คือ …

กลุ่มที่ 1 คือเย่อหยิ่ง ไม่ฟัง ไม่สนใจเรื่องพระเยซู ไม่สนใจเรื่องความรอด จบกันไปเลย เขาก็ต้องอยู่ในคำพิพากษา ลงโทษจากพระเจ้า เหมือนเดิม ไม่ใช่พระเยซูตั้งใจมาพิพากษาเขา แต่เขาถูกพิพากษา เพราะเขาปฏิเสธคนที่จะมาช่วย เขาบอกว่า …

“ไม่ต้องช่วยฉัน ฉันก็อยู่ที่เดิม” ก็คืออยู่ที่ถูกพิพากษา

กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ได้ยินข่าวดี แล้วก็รับเชื่อ แต่พอไปเจอปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ ก็เริ่มเขว ก็ทิ้งข่าวดีนี้ไป หรือพยายามที่จะเอาข่าวดีพระเยซู มาผสมกับพิธีกรรมอื่นๆ อะไรต่างๆ ที่จะช่วยตัวเองให้รอดด้วย  นอกจากจะเชื่อพระเยซู แล้วยังจะเชื่อว่าตัวเอง ต้องช่วยเหลือตัวเอง ถึงได้รับความรอด ก็คือไม่เชื่อพระเยซูเต็มร้อย ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ไม่ได้รับความรอด ก็ต้องได้รับการพิพากษา สรุปแล้ว ก็คือปฏิเสธพระเยซูในที่สุด

กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่เกิดผล คือรักษาข่าวดีนั้น จนกระทั่งเกิดเป็นผลขึ้นมา เป็นวิญญาณเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า เป็นพี่น้องกับพระเยซูเลย

ซึ่งพระเยซูก็เอามาสอนให้เราฟังแล้วว่า 3 กลุ่มนี้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทชนิดของดิน ก็คือ …

ประเภทที่ 1 พระเยซูอธิบายเพิ่มเติมว่าเมล็ดที่ตกตามทาง นกมาจิกกินไปหมด ไม่เกิดอะไรเลย ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินการประกาศข่าวดีแล้ว แต่ยังไม่เกิดความเข้าใจ ยังไม่เกิดความเชื่อ และมารก็มาฉกฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขาออกไป เหมือนนกที่มากินเมล็ดไปหมดเลย ยังไม่แตะดินเลย มันไปทันที เผลอๆ ลงดิน ยังไม่รู้ ก็คือไม่เอาเลย หยิ่งมาก ไม่สนใจเลย ไม่ฟัง ไม่อะไรทั้งสิ้นเลย

ประเภทที่ 2 ก็คือเมล็ดพืชที่ตกลงในกรวดหิน ดินไม่ลึก ทำให้งอกขึ้นเร็ว ดินมันมีอยู่นิดเดียวเอง เร็วเลย  แต่อยู่ได้ไม่นาน ก็เหี่ยว เมล็ดพืชชนิดนี้ เปรียบได้กับ ผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้ว ก็รับไว้ทันที เริ่มเชื่อทันที ด้วยความเชื่อที่ตื่นเต้นและด้วยความยินดี แต่เพราะไม่หยั่งรากลึกลงไปข้างล่าง คือความเชื่อยังไม่ได้ดิ่งลงไปในใจ และไม่ได้พยายามเก็บรักษาความเชื่อนั้นไว้ จึงคงอยู่ได้แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหา เกิดการข่มเหง ก็เลิกราไปรวดเร็ว ก็คือเลิกเชื่อ

ประเภทนี้ ก็คือรับรู้ข่าวดี ฟัง พระเยซูมาไถ่บาปให้เรา พระเยซู คือพระผู้ช่วยให้รอด คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในอดีต เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นตัวแทนเราในการตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับเอาบาปของเราไป เพื่อให้เราได้รับอิสรภาพ ดีใจ อย่างนั้น เราก็ได้รับความรอด รับเชื่อด้วยปาก มันยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ถามว่าเรารู้ได้อย่างไรว่ายังไม่ดิ่ง ก็ง่ายนิดเดียว ก็คือพอกลับไปบ้าน ไปเจอกับปัญหา เจอกับการข่มเหง อาจจะญาติพี่น้อง พ่อแม่ ลูก ใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์กับเราลึกซึ้ง ที่เราเคารพนับถืออยู่ แล้วมาบอกเราว่า …

“แกไปเชื่อได้อย่างไร? แกจะทิ้งศาสนาเดิมเหรอ แกมองข้ามฉันไปเหรอ”

มันเจ็บ นี่คือการข่มเหง … การข่มเหง ไม่ใช่เอาไม้มาข่มขู่ หรือเอาปืนมาจ่อเรา ไม่ใช่ แค่นี้ก็ข่มเหงแย่แล้ว ลำบากใจแล้ว

หรือกลับไปที่ทำงาน ไปเจอคนมองเราเหยียดหยามมาก เป็นคนขายศาสนาตัวเอง ประมาณนี้ จริงๆ มันไม่ใช่เลย แต่เวลาเขาพูดมา ปรากฏว่าถ้าเราไม่ผ่านการข่มเหงนี้ เรากลัว ในที่สุด เราก็ทิ้งข่าวประเสริฐที่เราได้รับมา ก็มีค่าเท่ากับกลุ่มคนกลุ่มแรก คือไม่เชื่อในพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซู เมื่อไม่เชื่อ ก็กลับมาอยู่ที่เดิม คืออยู่ในการถูกพิพากษาอยู่แล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ประเภทที่ 3 เมล็ดที่ตกลงกลางพงหนาม มีหนามปกคลุม ไม่สามารถเกิดผลได้ ก็สามารถเปรียบได้กับผู้ที่รับรู้ข่าวประเสริฐ ข่าวดีมาแล้ว ได้ยินพระวจนะ แต่ถูกความพะวักพะวงในชีวิตนี้ และความหลอกลวงในทรัพย์สมบัติ ทำให้ไม่เกิดผล พูดง่ายๆ ก็คือถูกโลกนี้ ล่อลวงเรา คือเชื่อเสร็จปุ๊บ รับรู้ ข่าวประเสริฐ ดีๆ ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พอกลับไป เจออะไรนิดหนึ่ง ในนี้บอกพะวักพะวงในชีวิต กลับไป สมมตินะ มาตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งตอนนั้นพอดี

ฟังให้ดีๆ นะ ตรงนี้สำคัญมาก ตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งพอดี รักเขาสุดหัวใจ พะวักพะวง ปรากฏว่าฝ่ายผู้หญิง ทั้งบ้าน ไม่ยอมให้แต่ง ถ้าคุณยังเชื่อพระเจ้าอยู่ ไม่ต้องมาแต่งเลย  แล้วคุณจะตัดสินใจอย่างไร? คุณจะทิ้งพระเจ้าไปไหม? ผมไม่ตอบนะ ผมให้เป็นคำถาม นี่แหละคือพะวักพะวง และยังมีอีกหลายเรื่อง

กลับไปถึงที่ทำงาน แล้วก็เจอหลายๆ ปัญหา ต้องเลือกระหว่างหน้าที่การงานกับพระเยซู ในที่สุด เอาเลื่อนตำแหน่งดีกว่า ไม่เอาพระเยซู นี่แหละ คือพะวักพะวง จะเอาอย่างไรกันแน่ ยังมีอีกหลายเรื่องเยอะแยะ แต่ให้ท่านรู้มันหมายถึงอย่างนี้แหละ

ยังมีที่ถูกการล่อลวงของโลกใบนี้ ก็คือความโลภในลาภยศ ในทรัพย์สมบัติ สมมติว่าพอท่านเชื่อ ท่านกลับไป พ่อบอกไม่ให้มรดกนะ มรดกพ่อมีแค่ประมาณหมื่นล้านบาท ไม่ให้เลยแม้แต่บาทหนึ่ง ถ้ายังเชื่อพระเยซูอยู่ ไม่ต้องมาเอาเลย จะเอาอย่างไรดี? เอาเงินหรือเอาพระเยซูดี เอาเงินดีกว่า ตอนนั้นนะ พูดตอนนี้ มันพูดได้ ถึงจริงๆ จะรอดไหม? เราไม่รู้หรอก อย่านึกว่าตัวเองแน่ เคยได้ยินตรงนี้ไหม? เวลาคนเขาคอรัปชั่น เราอย่าไปพูดมาก

“ถ้าเป็นฉัน ฉันไม่เอาหรอก ขายชาติ อย่างนี้ ไม่ถูกต้องเลย”

อย่าพูดๆ เพราะว่าถึงเราเองจริงๆ เราอาจจะทำหนักกว่านั้น ก็ได้ สมมติเขาโกงไปพันล้าน ไปว่าเขาต่างๆ  อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ

“เป็นฉัน ฉันไม่หรอก”

เป็นท่าน เขาเอามาให้ร้อยล้าน ท่านอาจจะบอกว่า …

“ไม่มีทาง ฉันยึดความถูกต้อง”

“เอาไปสองแล้วกัน”

“ไม่มีทาง”

“เอาไปห้า”

“โอเค หยวนน่า”

ห้าร้อยล้าน ท่านก็ไปแล้ว นี่เขาตั้งพันล้าน เขาดีกว่าท่านตั้งเยอะ อย่าพูดว่าเราไม่ทำ เรากับเขาก็ไม่ต่างกัน เมื่อตกไปในการล่อลวงแล้ว มันเป็นไปได้ทุกคนแหละ รวมทั้งเราด้วย เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้

อย่างที่บอกรับรู้ข่าวประเสริฐมา แล้วไปเจอการล่อลวง โธ่! เอ๋ย เรื่องแค่นี้ ทิ้งพระเยซูไปแล้ว เอาไว้เจอกับคุณเอง คุณจะเข้าใจว่าเมื่อถึงเวลาตัดสินใจจะเลือกข้าง มันไม่ใช่เล่นๆ จริงไหม? พี่น้อง ต้องผ่านการเลือกมาแล้วทั้งนั้น ที่เลือกถูก ก็เพราะว่าข้างในมันเกิดใหม่แล้วจริงๆ สุดท้ายนั้น  มันต้องผ่านกระบวนการ การทดสอบอย่างนี้ จนกระทั่งมัน ไม่เอา เอาพระเยซู ท่านรู้ไหมว่าท่านบอกไม่เอา ทรัพย์สมบัติไม่เอา อะไรไม่เอา แล้วมาเอาพระเยซู บางครั้งที่พูดไปอย่างนั้น แล้วตัดสินใจไปอย่างนั้น มันยังไม่ไหลลงไปในวิญญาณท่าน ท่านยังไม่บังเกิดใหม่เลยนะ ท่านเพียงแต่เริ่มต้นแค่รับรู้เมล็ดนี้เท่านั้นเองนะ แต่เมื่อมันผ่านไปวันแล้ววันเล่า พิสูจน์ได้แล้วว่าท่านเชื่อจริงๆ มันไหลลงไปเรื่อยๆ จากการข่มเหงอันนี้ ท่านผ่าน มันก็ไหลลงไป จากการทดสอบ ล่อลวงของโลกใบนี้ เรื่องลาภ ยศ ชื่อเสียงต่างๆ ท่านก็ผ่าน ก็ไหลลงไปอีก ท่านยังเลือกพระเยซูอยู่ อาจจะไปอีก 20 ครั้ง ครั้งที่ 20 มันปิ๊ง ก็คือมันไหลลงไป ที่วิญญาณท่านเกิดบิ๊กแบ็งค์ขึ้นมา เกิดการระเบิดใหญ่ขึ้นในวิญญาณของท่าน เกิดการเนรมิตขึ้นมาถึงวิญญาณของท่าน บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ท่านไม่ต้องกลัวอีกแล้ว ไม่มีอะไรมาล่อลวงท่านได้แล้ว เพราะท่านเป็นลูกพระเจ้า อยู่ในอ้อมกอด อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างแท้จริง เอเมน และตรงนั้น คือดินประเภทที่ 4 ที่เรากำลังจะพูดถึง

เพราะฉะนั้น ดินประเภทที่ 2 กับ 3 รวมแล้ว ก็คือกลุ่มเดียวกัน คือกลุ่มคนที่ 2 ที่ไม่เชื่อ ปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ยอมรับพระเยซูนั่นเอง

ประเภทที่ 4 เมล็ดที่ตกบนดินดี ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และมีความเข้าใจ รับรู้ เก็บรักษาความเชื่อไว้อย่างดี จนกระทั่งความเชื่อนั้นหยั่งรากลึกลงไปในใจ ไปเรื่อยๆ ที่พระคัมภีร์บอกมันจะเกิดผลเป็น 100 เท่า 30 เท่า เกิดผลแน่นอนกี่เท่าก็แล้วแต่พระวิญญาณ เกิดใหม่แล้ว นั่นคือพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เอเมน ท่านเข้าใจแล้วใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ท่านสามารถรู้ตัวท่านเองอยู่ในสถานะอะไร? ท่านอยู่ในกลุ่มไหนตอนนี้ กลุ่ม 1 กลุ่ม 2 หรือกลุ่ม 3 แล้วถ้าท่านอยู่ในกลุ่ม 2 ท่านอยู่ในประเภทตอนไหน? ตอนนี้ กลุ่ม 2 ประเภทที่โดนอะไรข่มเหง หรือมีพะวักพะวงในชีวิต อะไรบางอย่าง กำลังเลือกทางอยู่ หรือกำลังไม่แน่ใจ แต่ท่านอยู่ในระหว่างรักษาข่าวดีนี้ไว้ตลอดเวลาไหม? เราไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ ใครก็ตามที่ดิ่งลึกลงไปในใจ วิญญาณปิ๊งขึ้นมา เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จะเป็นอย่างที่ผมบอกตอนแรก ท่านจะรู้ว่าท่านสะอาดหมดจดแล้ว ท่านไม่ต้องไปถามใครเลยว่าทำอย่างนี้ ตกนรกไหม? ทำอันนี้ เป็นอย่างนั้นไหม? เพราะข้างในบอกท่านเองทั้งหมดเลยว่าท่านเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว เอเมน รักษาตรงนี้ไว้ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง

เราขอบคุณพระเจ้าที่เราเป็นกลุ่มคนสุดท้าย คือคนที่บังเกิดใหม่ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระหัตถ์แล้ว ไม่มีหลุดรอดไปไหนแล้ว พระคุณของพระเจ้า ช่วยคนชั่วอย่างฉันเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว เสร็จไปแล้ว ไม่มีการย้อนกลับมาอีกแล้ว ซึ่งเราได้ย้ำกัน ด้วยข้อพระคัมภีร์นี้ สรุปจบในเรื่องนี้มาหลายครั้ง เที่ยวนี้ก็จะใช้ข้อนี้อีก โรม 8:31-39 อ่านให้ชัดๆ ว่าเราเป็นกลุ่มคนสุดท้าย กลุ่มที่รักษาข่าวประเสริฐ รักษาข่าวดี เมล็ดของข่าวดีนี้ไว้ จนกระทั่งมันไหลลงไปในวิญญาณ เกิดเป็นบิ๊กแบ็งค์ขึ้นมา เกิดฤทธิ์อำนาจ เกิดการระเบิดใหญ่เข้าไปในวิญญาณ เรียกว่านิวครีเอชั่น เรียกว่าถูกบังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือ Power of Holy Spirit ฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้ได้บังเกิดใหม่ขึ้นมาในวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า พอเกิดใหม่ปุ๊บ ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เป็นอย่างที่โรม 8:31-39 อ่านดู นี่คือตัวฉันเอง ตัวฉันที่เป็นวิญญาณจริงๆ นะ

โรม 8:31-39 “31 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ? 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย 35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์ โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  มิถุนายน  2018

เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”

ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์  โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ วันนี้เรามาต่อในซีรี่ส์ “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์ โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น”

ทบทวนกันสั้นๆ ประเด็นหลักๆ ที่เราเรียนรู้กันที่ผ่านมา

(1) ความหมายของคำว่า “เราเป็นไทแล้วจริงๆ” คือเราได้รับความรอดนิรันดร์ (ในทางวิญญาณแล้วจริงๆ) ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หรือข้อบังคับใดๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณแล้วจริงๆ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าทำอะไรได้บ้าง? ทำอะไรไม่ได้บ้าง? เพราะไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เราสูญเสียความรอดนิรันดร์ได้อีกแล้ว ตราบใดที่เรายังเชื่อในพระเยซูคริสต์อยู่ นี่พูดถึงในโลกวิญญาณ

(2) ผู้ที่จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นไทแล้วจริงๆ ไม่ใช่เชื่อพระเจ้าเฉยๆ แต่ต้องได้รับการบังเกิดใหม่ โดยผ่านทางความเชื่อ ความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หรือข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความประพฤติเลย  เป็นพระคุณพระเจ้าที่ให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว

(3) ผู้ที่จะได้รับการบังเกิดใหม่จะต้องผ่าน 2 ขั้นตอนนี้เสมอ ตามพระคัมภีร์ คือ …

3.1 คนนั้นจะต้องได้ยินข่าวดีเรื่องพระเยซูก่อน เรียกว่าได้ยินข่าวประเสริฐ เช่น มีคนมาประกาศ แจกใบปลิว หรืออะไรก็ตาม ฟังจากวิทยุ โทรทัศน์ มีเพื่อนมาพูด คนนั้นจะต้องได้ยินก่อน

3.2 เริ่มต้นเชื่อ คือเริ่มต้นรับเชื่อในถ้อยคำข่าวประเสริฐ ที่ตัวเองได้รับมานั้น แล้วก็ได้เก็บรักษาความเชื่อนี้ไว้ให้ดีๆ ไม่ปฏิเสธ รับไว้ เริ่มต้นเชื่อว่ามันจริง เหมือนเพลงที่เราร้องกันสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับความรอดนิรันดร์ในทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในทางพระเจ้า การรับบัพติศมาในน้ำ เป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่าเราเชื่อในพระเยซู เชื่อในข่าวดีของพระเยซู เขาเรียกว่าพิธี เขาก็บอกให้เราร้องเพลงเกี่ยวกับการบัพติศมาในน้ำ ซึ่งเพลงหนึ่งที่เราร้องกันในนั้น ก็คือ …

“ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

แม้ว่ากลับไปบ้าน กลับไปสู่ชีวิตเดิม ออกจากพิธีไปเรียบร้อยแล้ว เจออะไรก็ตาม ก็คือจะรักษาความเชื่อนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่หันกลับเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม จนกระทั่งวันหนึ่ง ไม่รู้เวลาไหน? วันเวลาใด เจ้าความเชื่อนั่น มันดิ่งในวิญญาณของเขา การบังเกิดใหม่ ลึกลงไปในใจ มันบังเกิดมาปุ๊บ เป็นการระเบิดเปรี้ยงครั้งยิ่งใหญ่ เหมือนตอนพระเจ้าเนรมิตสร้างโลก ด้วยความซุปเปอร์แบงค์ ระเบิดเปรี้ยงออกมา เขาบังเกิดใหม่ในวิญญาณทันที เริ่มต้นเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ และไม่มีใครเอาเขาออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว

เราก็ได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ฮีบรู ซึ่งเป็นจดหมายฝาก ซึ่งชาวฮีบรู ผู้เชี่ยวชาญ ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์เดิม ประเพณี การปฏิบัติ ในบัญญัติสมัยโมเสส ที่พระเจ้าสั่งไว้เยอะแยะมากมาย ซึ่งเล็งถึงพระเยซูคริสต์นั่นเอง เขารู้ทั้งสองอย่าง เขาก็เลยเขียนจดหมายมาแนะนำ มาสอน มาเตือน ให้บรรดาพี่น้องได้รู้เรื่องนี้  พี่น้อง ก็คือชาวยิวทั้งหลาย ไม่เกี่ยวอะไรกับคนที่ไม่ใช่ยิว เพราะฉะนั้น อ่านหนังสือจดหมายฝากฮีบรู จงนึกไว้ว่าเขาเขียน ถึงคนที่เป็นยิว คนที่ไม่ใช่ยิว ก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง เพียงแต่บางอันประยุกต์ใช้กับชีวิตเราได้บ้าง

หนังสือฮีบรู เขียนสมัยตอนพระเยซูพึ่งจะเป็นขึ้นจากความตาย และเข้าไปอยู่ในสวรรค์สถานใหม่ๆ ช่วงประมาณ 30 ปีนั่น ไม่รู้เขียนตอนไหน? ซึ่งเนื้อหาในพระคัมภีร์ฮีบรูจะเน้นในเรื่องแก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าพระคัมภีร์เดิมบอกไว้ว่าพระเยซู คือผู้ที่จะมาทำสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้เผยพระวจนะ ที่พระเจ้าได้ทำการบอกล่วงหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ตั้งแต่ในสมัยอดีต ตั้งแต่บรรพบุรุษเรา ที่เรียกว่าพระคัมภีร์เดิมจดบันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูจะมาเกิดอย่างนี้ แล้วก็ให้โมเสสและชาวยิวเป็นตัวแทน ทำอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อเล็งถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาทำภายหลัง สมัยพระคัมภีร์เดิม โมเสส ที่หนังสือฮีบรูเรียกว่าเป็นเงาของพระเยซูที่จะมาทำให้สำเร็จในอนาคต ซึ่งตอนที่เขียนจดหมาย ฉบับฮีบรูนี้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว

นี่คือรายละเอียดต่างๆ ซึ่งพูดย่อๆ ในเรื่องเกี่ยวกับภูมิหลังของหนังสือฮีบรู เวลาจะศึกษาพระคัมภีร์ ต้องศึกษาให้ละเอียดว่าเขาเขียนถึงใคร? ลักษณะอย่างไร? ไม่ใช่เอาข้อเดียวมา เอาประโยคเดียวมาใช้ มันก็ผิดๆ ถูกๆ

เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ หลายครั้งเราเอาแค่ประโยคเดียวมา แล้วก็บอกว่าอันนี้เป็นอย่างนี้แหละ พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้ เรากำลังทำการฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียดหรือเปล่า? อาจจะจริงก็ได้ อาจจะใช่ก็ได้ แต่ว่าอันตราย วันนี้เรามาต่อ บทที่ 6

ฮีบรู 6:4-6 “4 สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว  ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์  ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า 6 หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

 

ผู้ที่เขียนนี้  ก็เดินอยู่ท่ามกลางเขาเหล่านั้น บางคนก็เป็นเพื่อนกันกับชาวยิวด้วยกัน ผู้เขียนกำลังบอกว่าในบรรดาชาวยิว หลายคนก็เดินอยู่กับพระเยซู เห็นอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ ได้เห็นพระเยซูเรียกคนตายเป็นขึ้นมาใหม่ ได้เห็นลาซารัสเดิน เห็นคนตาบอดมองเห็นอย่างอัศจรรย์ เป็นการพิสูจน์ว่าพระเยซูผิดกว่ามนุษย์คนอื่นมากมาย เป็นการพิสูจน์ว่าที่พระองค์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มันจริงนะ มีอยู่ผู้เดียวที่ทำอย่างนี้ได้ ตั้งแต่โลกนี้มีมา แล้วก็ได้ฟังพระเยซูพูดเลย  บางคนไม่ได้เห็นพระเยซู แต่เห็นอัครสาวกรุ่นแรกๆ อย่างเปโตร ยากอบ ยอห์น ทำการอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย ในกรุงเยรูซาเล็ม ได้เห็นกับตา ได้ฟังข่าวประเสริฐ และได้เห็นอะไรมากมายต่างๆ เหล่านั้น

คนเขียนก็บอกว่าคนเหล่านี้ได้รับรู้แจ่มแจ้งด้วยตาตัวเอง  ถึงแม้จะได้เห็น ได้เป็นพยานในการอัศจรรย์เหล่านั้นแล้ว ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เห็น จะเชื่อเหมือนกันหมด ใช่พระเจ้าแน่ เห็นแล้ว บางคนก็เชื่อจริงๆ รักษาความเชื่อไว้ จนกระทั่งบังเกิดใหม่จริงๆ อย่างเช่น เปโตร หรือมาระโก หรือแม้กระทั่งเปาโล … เปาโลแรกๆ ก็ไม่เชื่อ จนในที่สุด ก็ต้องยอมเชื่อ ด้วยเหตุการณ์อัศจรรย์เหมือนกัน บังเกิดใหม่เหมือนกัน แต่คนที่มองๆ ดูแล้ว เห็นกับตาไม่เชื่อ นี่แหละกำลังพูดถึงคนเหล่านั้น  ที่ตัวเองก็เคยลิ้มรสแล้ว เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวแล้ว ไม่เชื่อ แล้วยังมีบางพวกที่หนักกว่านั้น ก็คือไม่เชื่อว่าเป็นอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้า หาว่าพระเยซูเป็นพวกผี เพราะว่าเจ้านายเป็นผี เป็นพวกซาตาน พระเยซูบอกว่าอย่างนี้ เป็นพวกหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นพระเยซู หรือเห็นอัศจรรย์ หรือเห็นการงาน ฤทธิ์เดชอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ของแท้จริงๆ แล้วจะเชื่อพระเจ้านะ ไม่มีทางเป็นอย่างนั้น   เพราะฉะนั้น ปรับมาประยุกต์ใช้กับพวกเราในปัจจุบัน บางคนคิดว่าถ้าวันนี้พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่อีกทีหนึ่ง หรือไม่พระเยซูปรากฏเดินอยู่บนโลกใบนี้ ทั้งโลกคงจะมาเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซูหมดเลย เหมือนกับเรา ก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดี  อันนี้เป็นสัจจะธรรม เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่าสิ่งที่ท่านทำในตอนนี้ ทำอะไรต่างๆ ให้เห็นกับตาว่าพระเยซูมีชีวิตอยู่จริงๆ โดยการพิสูจน์แบบตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วจะได้รับผล ตามที่มนุษย์คิด มันไม่ใช่วิธีนั้น มันเกิดใหม่ในวิญญาณ มันไม่ใช่เกิดใหม่ทางด้านตามองเห็น ต่อให้เรียกคนมาตอนนี้ แล้วมีใครบางคนมีความเชื่อตรงนี้ แล้วก็เรียกเขาขึ้นจากความตาย ผมเชื่อว่าไม่ใช่ทั้งประเทศจะมารู้จักพระเจ้า อย่าว่าทั้งประเทศเลย เอาแค่ห้องนี้ ห้องเดียว สมมติถ้ามีคนไม่เชื่อสัก 10 คน ผมเชื่อว่าทั้ง 10 คนนั้น อาจจะเชื่อสัก 2 คนจริงๆ หรือเปล่า ก็ไม่รู้ อาจจะเริ่มต้นเชื่อ แล้วรักษาความเชื่อต่อไป เห็นวันนี้ คนนี้เป็นขึ้นมาใหม่ ดีใจ เชื่อๆ กลับไปบ้านเจอตอ เจอการข่มเหงรังแก เดี๋ยวอีก 3 วันก็ลืมไปแล้ว ลืมวันที่เห็นคนนี้ตาย แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ มีผู้เชื่อ อธิษฐานในนามพระเยซู เขาเป็นขึ้นมาใหม่ ทุกวันนี้ ยังเดินอยู่เลย  แต่ตัวเขาเอง เขาไม่เชื่อแล้ว ก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปหวังสิ่งเหล่านั้น

และท่านเคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหมครับ เวลาที่ไปต่างประเทศ สมมติคนที่ชอบไปทัวร์  พอแวะเมืองแรก เจอของที่อยากได้ กะจะซื้อมาเก็บหรือซื้อมาฝากก็แล้วแต่ แจ๋วเลย  ไปดูๆ จับๆ ใช่เลย ดีแล้ว แต่ไม่ซื้อหรอก หวังว่าไปเมืองต่อไป รัฐต่อไป อาจจะถูกกว่านี้  อันนี้ยังไม่ดีพอ จริงๆ มันดี แต่ยังๆ ขอเลือกต่อ ยังมีอีกหลายแห่งที่ต้องไป ปรากฏว่าวันพรุ่งขึ้น ไปอีกแห่งหนึ่ง มันถูกกว่าจริง แต่ไม่ใช่ของแท้ ไปอีกเมืองหนึ่ง อันนี้ก็ดี แต่มันยังไม่ใช่ ในสิ่งที่ต้องการ ไปอีกเมืองหนึ่ง อันนี้เขาบอกแน่นอน แพงระเบิดเลย ไม่มีเงินพอ ในที่สุด นึกขึ้นมาได้ อันแรกที่เจอวันแรก มันของแท้และถูกมากเลย เกือบจะฟรีเลย ก็เลยพูดคำนี้ …

“รู้อย่างนี้”

แปลว่ามันพลาดไปแล้ว “รู้อย่างนี้” ปรากฏที่รู้อย่างนี้ พูดตอนไหน? พูดตอนยืนอยู่ที่สนามบิน กำลังเดินทางกลับเมืองไทย หมดโอกาส จะกลับไปร้านเดิมได้ไหม? รู้อย่างนี้ สั้นๆ ก็คือเหมือนคนที่หมดลมหายใจแล้ว วิญญาณออกจากร่างแล้ว พึ่งจะรู้ว่า …

“รู้อย่างนี้ ฟังข่าวประเสริฐวันนั้น ฉันเชื่อก็ดี มันเป็นจริงๆ พระคัมภีร์พูดไว้จริงๆ เพื่อนฉันพูดข่าวดีกับฉันนั้น เป็นเรื่องจริงว่าให้เชื่อพระเยซูไว้ พระเยซูเป็นทางเดียวที่นำไปสู่ความรอด รู้อย่างนี้ มันก็สายไปแล้ว”

เปรียบเหมือนคนที่ได้รับฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดีแล้ว ได้จับ ได้ชิม ได้ลองดูแล้ว นิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่ตัดสินใจ เพราะคิดว่าอาจจะมีสิ่งอื่นรออยู่ที่ดีกว่า อาจจะมีข่าวที่ดีกว่านี้

ถ้าพูดย้อนกลับไปถึงชาวยิวในสมัยนั้น เขาคิดอย่างนี้จริงๆ มีคนยิวหลายคนในสมัยนั้น ก็คิดอย่างนี้จริงๆ เขาเห็นกับตาว่าพระเยซูทำการอัศจรรย์อย่างไร? ผู้ที่เชื่อพระเยซู อัครสาวกที่ประกาศข่าวดีกับการอัศจรรย์อย่างไร? และมาฟังถ้อยคำพระเจ้า มันตรงเป๊ะว่า …

“นี่ตรงเป๊ะกับที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมที่เขาเคยอ่านมา เขาได้เรียนมาตั้งนาน ตั้งเยอะแยะ ในพระคัมภีร์เดิมบอกไว้ว่าพระเยซูจะเป็นอย่างไร? จะมาเกิดอย่างไร?  จะตายที่ไม้กางเขนอย่างไร? และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์อย่างไร?”

แต่เขาก็ยังไม่เชื่อ เพราะคิดว่าอาจจะมีพระมาสิยาห์ องค์ต่อไป ที่เก่งกว่านี้อีก รอก่อนแล้วกัน ซึ่งเขาก็รอกัน จนกระทั่งทุกวันนี้ ยังรออยู่ก็มี

“พระมาซีฮาห์” หมายถึงผู้ที่ถูกเลือกสรร ผู้ที่ถูกเจิมตั้ง ผู้ที่ถูกพระเจ้าใช้ให้เป็นแพะผู้รับบาปให้กับมนุษยชาติ ได้มาเกิดแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อเขาไม่เชื่อ เขาก็รอไง

ในข้อ 5 กับข้อ 6 บอกไว้อย่างนี้ว่า “ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

สมมติว่าผมพาคนหนึ่งมาเชื่อพระเจ้า แล้วรับเชื่อพระเจ้าแล้วต่อหน้าผม แล้วก็ทิ้งพระเจ้าไป ผมเสียหน้าไหม? ผมบอกว่า …

“โดยฤทธิ์เดช แห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ และการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ถ้าท่านเชื่อพระเยซู ท่านจะได้รับความรอด เพราะพระเยซู ทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว จงรับเชื่อพระเยซูเถิด”

ปรากฏว่าเขารับข่าวดีนี้ไป เขาเชื่อในพระเยซูว่าเขาได้รับความรอด เขาเชื่อในถ้อยคำข่าวประเสริฐ วันหนึ่งเขาทิ้งพระเจ้าไป เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่จริง เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ได้ทำสำเร็จแล้ว เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ใช่บุตรพระเจ้า เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้  ไม่ใช่พระมาซีฮาห์ เขากำลังจะบอกว่าพระเยซูโกหก และคุณนครก็ไปเชื่อพระเยซู แล้วคุณนครก็เลยโกหกตาม โดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไร? เขาแค่ทิ้งไปแค่นั้น มันหมายความว่าอย่างนั้น

ปรับมาใช้กับยุคปัจจุบัน หลายครั้ง เราอาจจะเป็นอย่างนั้น ก็ได้  ถ้าเรายังไม่ได้เกิดใหม่จริงๆ ทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล หมายถึงในหมู่ชาวยิว อย่างที่บอกเขียนไปหาชาวยิว คนนี้ที่เริ่มต้นเชื่อ อาจจะเป็นปุโรหิตเก่า หรือเป็นปุโรหิตตอนนั้น เชื่อแล้วยังไม่แน่ใจ เอาอย่างไรดี? ในที่สุดทิ้งความเชื่อไป คนในสังคมชุนนุมชนยิวเขาจึงบอกว่า …

“เห็นไหม? ถ้าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์จริง เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริง นายคนนี้มาเชื่อ แล้วออกไปทำไม? นี่เป็นพยานให้เห็นชัดๆ ว่าพระเยซูไม่จริง ถ้าจริง คนที่เชื่อคนนี้ ก็ต้องเชื่อต่อไปสิ”

พูดง่ายๆ เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูกับพระเจ้า โดยการปฏิเสธข่าวดี ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ตัวจริง ปฏิเสธพระเยซูคริสต์นั่นเอง ท่านพอเห็นภาพนะ เขากำลังบอกว่าถ้าพระเยซูทำสำเร็จตามที่พระองค์พูดบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว ต่อไปนี้ ไม่ต้องทำพิธีล้างบาปให้ตัวเอง ไม่ต้องรักษาบัญญัติต่างๆ ต่อไปแล้ว แต่คนนี้ พอมาเชื่อพระเยซูแล้ว ก็กลับไปทำพิธีล้างบาปให้ตัวเอง ยังกลับไปถวายสัตว์ ยังกลับไปทำพิธีอีกอย่างอื่น เขาไม่ต้องพูด แต่การกระทำของเขา กำลังบอกว่าพระเยซูพูดไม่จริง เป็นการปฏิเสธพระเยซู การลบหลู่พระเยซู ลบหลู่พระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะว่าพระวิญญาณเท่านั้น ที่เป็นพระวิญญาณแห่งความจริงที่มาบอกว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรของพระเจ้าตัวจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงความจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และพระบิดา ให้กับมนุษย์ทั้งหลายได้รับรู้ แต่คนที่บอกว่า …

“ฉันก็เชื่อนะ ฉันเห็นสาวกหลายๆ คน เพื่อนฉันเอง เปโตรเปลี่ยนไปเยอะเลย ฉันเชื่อจริงๆ ว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ช่วยฉันได้ ฉันได้รับความรอด แต่สิ่งที่ฉันเคยทำตั้งแต่อดีตมา จนกระทั่ง ถึงอายุ 70 กว่าแล้วเนี้ย ในวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสั่งให้ทำ ตั้งแต่บรรพบุรุษมา ฉันเลิกไม่ได้ ฉันต้องทำต่อไป เพราะว่าฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันเอาชัวร์ๆ ดีกว่าว่าถ้าเกิดเปโตรพูดผิด ข่าวประเสริฐผิด ฉันยังช่วยตัวเองได้ เอามาชำระบาปด้วยตัวเอง ทำพิธีเหล่านี้ ท่านว่ามีคนเป็นแบบนี้ไหม? มี แล้วถามว่ามีคนแบบนี้แล้ว เรียกว่าได้รับความรอดไหม? ได้รับการบังเกิดใหม่ไหม? มีโอกาสบังเกิดใหม่ไหม? เป็นไปไม่ได้ ลองปรับมาเข้ากับปัจจุบัน ใครที่มั่นใจว่าท่านเชื่อในพระเยซูจริงๆ ท่านบังเกิดใหม่แล้วจริงๆ ท่านมั่นใจมากว่าท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านเชื่อไหมว่าท่านสามารถกลับไปทำอย่างเดิมได้ อย่างพิธีที่เคยทำอย่างเดิม ความเชื่อเดิม สมัยก่อน เอาข้อเดียวพอ ท่านจะทำสักครั้งหนึ่งได้ไหม? วันเกิดท่านครั้งต่อไป ไปสะเดาะเคราะห์ ท่านจะทำไหม? ไม่ทำ นี่แหละ อันเดียวกันกับที่บอกว่าท่านจะเห็นชาวยิว หนังสือฮีบรูที่เขียนไปหาเขา มันเป็นอย่างไร? การสะเดาะเคราะห์กับการที่เขาเอาสัตว์ไปถวายบูชาให้กับพระเจ้า เป็นประเพณีเดิมของชาวยิว มันก็อันเดียวกัน เป็นการกระทำที่เกี่ยวกับทางโลกวิญญาณ รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และต้องการชำระบาป ถ้าเชื่อพระเยซู จนสนิทใจ จนบังเกิดใหม่แล้ว ไม่ทำอะไรแล้ว เพราะมันสะอาดแล้ว แต่ถ้าเชื่อไม่สนิทใจ มันยังคั่งค้างอยู่ มันอยากจะทำ มันไม่สะอาดสักที มันก็สะเดาะเคราห์ ในวันเกิดของเรา ในปีนี้ เพราะปีต่อไป เราก็ต้องสะเดาะห์ต่อ สะเดาะห์ไปเรื่อยๆ

คำว่า “เกิดใหม่” ไม่ใช่รอให้ตายไป แล้วเกิด เกิดใหม่ เกิดเดี๋ยวนี้ ตอนที่อยู่ในร่างกายนี้  ต้องเกิดใหม่ วิญญาณเขาต้องเป็นใหม่แล้ว ตอนที่อยู่ในร่างกายนี้  ถ้ารอให้ออกจากร่างกาย มันสายไปแล้ว

ท่านไม่สามารถเอาพระเยซูเป็นตัวสำรองได้ และท่านก็ไม่สามารถเชื่อพระเยซูเป็นตัวเอก และเอาอันอื่นเป็นตัวสำรอง ก็ไม่ได้อยู่ดี ถ้าท่านรับพระเยซูเป็นตัวเอก ท่านจะไม่เอาตัวสำรอง เพราะท่านรู้ว่าท่านพึ่งและวางใจ และหวังใจในความสามารถของตัวเองนี้ได้  ท่านจะไม่มีสำรองอีกต่อไป

ข่าวประเสริฐมีมาไว้ สำหรับมนุษย์ทุกคน ไม่ได้มีไว้ สำหรับวิญญาณ ข่าวประเสริฐมีไว้สำหรับประกาศไปถึงมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้น วิญญาณไม่เกี่ยว เมื่อมนุษย์ตายไป  หยุดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง ก็จบการเป็นมนุษย์ เมื่อจบการเป็นมนุษย์ ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู ก็ไม่มีผลอะไรกับเขาอีกต่อไป  ดูในฮีบรู 6:7-8

ฮีบรู 6:7-8 “7 ผืนแผ่นดินซึ่งได้รับฝนชุ่มฉ่ำเสมอ และให้พืชผลอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เพาะปลูกนั้น ก็ได้รับพระพรจากพระเจ้า 8 แต่ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กหนามใหญ่ก็ไร้ค่า และตกอยู่ในอันตรายจากการถูกสาปแช่ง ในที่สุดก็จะถูกเผาทิ้ง”

 

ถ้อยคำตรงนี้ เปรียบให้เห็นถึงผืนแผ่นดิน 2 แห่ง 2 ลักษณะ หรือกลุ่มผู้เชื่อ 2 พวก กลุ่มคน 2 พวกที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อข่าวประเสริฐ

พวกหนึ่ง คือแผ่นดินที่ได้รับฝนชุ่มฉ่ำ และให้พืชผลอันเป็นประโยชน์ ก็คือพวกที่ผ่านขั้นตอน 3 พวกที่ผมพูดไว้ คือได้รับฟังข่าวดี  เชื่อในข่าวดีนั้น  และเก็บรักษาข่าวดีนั้นไว้ จนกระทั่งความเชื่อในถ้อยคำนั้น ค่อยๆ ดิ่งลึกๆ ลง จนเป็นการบังเกิดใหม่ในวิญญาณขึ้นมา ที่เขาเรียกว่าบิ๊กแบงค์ เกิดการเนรมิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ในวิญญาณ ในร่างกายของคนๆ นั้น เรียกว่าบังเกิดใหม่ นิวคีเอชั่น ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยม สะอาดหมดจด ในข้อนี้บอกว่า …

“เป็นแผ่นดินที่ให้พืชผลอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เพาะปลูก และได้รับพรจากพระเจ้า”

ฝน ก็คือน้ำ  น้ำฝน ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผืนแผ่นดิน ก็คือคน มนุษย์บนโลกใบนี้  เมื่อได้ข่าวดี น้ำฝนมานะ จะมีปฏิกิริยาเป็นอย่างไร? มันจะมีผลออกมาอย่างไร?

ส่วนอีกพวกหนึ่ง คือในข้อที่ 8 ที่บอกว่าเป็นผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็ก หนามใหญ่ เป็นผืนแผ่นดินที่ไร้ค่า ก็คือพวกที่ได้ฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูแล้ว ไม่เชื่อ ไม่เอา พวกนี้ ก็จะตกอยู่ในอันตราย  จากการถูกสาปแช่ง เพราะว่าในพระคัมภีร์ตะกี้บอก ในที่สุด ก็จะถูกเผาทิ้ง ความหมาย ก็คือเมื่อปฏิเสธข่าวดี ไม่มีปฏิกิริยาต่อน้ำฝน คือข่าวดีที่เข้ามา ไม่เกิดผลเลย  แห้งแล้งอยู่เหมือนเดิม  ก็คือปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ปฏิเสธข่าวดีของพระเจ้า  ปฏิเสธข่าวดีพระเยซู ก็ไม่มีทางอื่นใดเลย  ที่จะได้รับความรอดอีกแล้ว สุดท้ายก็จะได้รับโทษของความบาปและความตาย ซึ่งโทษนั้น ตามพระคัมภีร์บอกไว้ ก็คือบึงไฟนรกเผาผลาญนั่นเอง และข่าวดีสำหรับผู้ที่รับเชื่อแล้ว ผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซูจริงๆ และเก็บรักษาความเชื่อนี้ไว้อย่างนี้ จนกระทั่งความเชื่อนั้น ได้ดิ่งลึกลงไปในใจ จนกระทั่งบังเกิดใหม่ สิ่งที่จะได้รับนั้น  ก็คือชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า  ในฮีบรู 6:9-12 ได้บันทึกตรงนี้ไว้

ฮีบรู 6:9-12 “9 แต่ว่า … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด 10 พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำและความรักที่ท่านแสดงให้พระองค์เห็น คือการที่ท่านช่วยเหลือประชากรของพระองค์ และยังช่วยพวกเขาต่อไป 11 เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคน สำแดงความพากเพียรนี้ จนถึงที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้จะเป็นจริง 12 เราไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้น ซึ่งได้รับมรดกตามพระสัญญา โดยอาศัยความเชื่อและความอดทน”

 

กำลังจะบอก “แต่พวกเราไม่ใช่อย่างนั้น” ผู้ที่เชื่อแล้ว ถึงแม้จะถูกข่มเหงรังแก เราก็อดทน รักษาความเชื่อไว้ เพราะวิญญาณเราบังเกิดใหม่แล้วนะ เราเป็นลูกพระเจ้า  รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับความรอดนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว แปลว่ามันไม่ได้สุขสบาย ในนี้บอกว่าต้องอดทนนะ อาศัยความเชื่อและความอดทน

ในคำอุปมา ที่พระเยซูสอนบรรดาสาวกตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์เคยสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลักษณะอย่างนี้ เกี่ยวกับสวรรค์แบบนี้ แผ่นดินสวรรค์อาณาจักรเป็นอย่างไร? แล้วพระองค์ก็พูดเป็นคำอุปมา เปรียบเทียบ ผู้ที่เชื่อประเภทต่างๆ

พระเยซูบอกว่าผลที่เราจะได้กับการหว่านเมล็ดพืช  … เมล็ดพืช ก็คือข่าวดี ก็ขึ้นอยู่กับว่าเมล็ดที่เราหว่านออกไปนั่น มันไปตกอยู่ที่ดินประเภทใด ดินที่กินน้ำได้ดีไหม? หรือไม่ดี ไม่ยอมกินน้ำเลย เราหว่านด้วยวิธีการเดียวกันหมด แต่ผลที่ได้รับไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราหว่านลงไปอยู่ที่ไหนต่างหาก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการหว่าน แต่ขึ้นอยู่กับการรับเมล็ดที่หว่าน มัทธิว 13:3-9 ดูสิ พระเยซูสอนว่าอย่างไร?

มัทธิว 13:3-9 “3 พระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขา เป็นคำอุปมา เช่น “ชาวนาคนหนึ่ง ออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทาง และนกมาจิกกินไปหมด 5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก 6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไป  เพราะไม่มีราก 7 บางเมล็ดตกกลางพงหนาม โดนหนามงอกคลุม 8 แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี  ซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน 9 ใครมีหู จงฟังเถิด”

 

“ใครมีหู จงฟังเถิด” แสดงว่าบางคนไม่มีหูเหรอ? ตอนที่พระเยซูเดินอยู่ บางคนหูด้วนเหรอ? หูขาด ก็ยังได้ยินอยู่นะ ไม่มี กำลังบอกถึงใครมีหูทางฝ่ายวิญญาณ ให้ฟัง พระเยซูบอกว่า …

“แกะของเรา เขาก็จำเสียงได้เรา ถ้าไม่ใช่แกะของเรา เขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง”

ยกตัวอย่างในฮีบรู มี 3 ประเภท ดังนี้ …

ประเภทที่หนึ่ง คือเชื่อในข่าวดี รักษาไว้ จนกระทั่งมันดิ่งในวิญญาณ และบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เดินอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย ที่พระเจ้าบอกว่า …

“เราจะเข้าไปอยู่กับเขา เขาจะเป็นลูกของเรา เขาจะเป็นประชากรของเรา จะไม่มีใครสอนเขา เรื่องเราอีกต่อไป เราจะสอนเขา โดยส่วนตัว เรากับเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

กำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าอยู่กับเราตรงนี้เลย อยู่ในวิญญาณของเรา อยู่ขณะนี้เลย แล้วเขารู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเขา เขาเป็นลูกของพระเจ้า แล้วเขาสะอาดหมดจด ปราศจากบาปใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่เมื่อวานนี้ยังด่าคนนั้นอยู่เลย เมื่อตะกี้ขับรถมา ยังด่าคนนั้นอยู่เลย ยังหงุดหงิด ทนไม่ไหว แต่เขารู้ภายในใจว่าเขาสะอาดหมดจด เพราะว่าเขาไม่ได้สะอาดหมดจด เพราะการกระทำของเขา แต่เขาสะอาดหมดจด เพราะว่าเขาเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมเอาไว้ แต่งตั้งเอาไว้ ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเขา จนสะอาดหมดจด เรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีตำหนิใดๆ เลย  พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เรียบร้อยไปแล้ว  สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น เขาเชื่อ เขามั่นใจตรงนี้ เขาจึงดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออย่างนั้นตลอดไป เอเมน ใครเป็นอย่างนี้ …

“เมื่อเช้าก็ไปด่าเขา ตกนรกแน่เลย เดี๋ยวไปบ้าน จดไว้นิดหนึ่ง กลับบ้านไป ขอพระเจ้ายกโทษที เอ๊ะ แล้วอันไหนที่ยังจำไม่ได้ เราจะตกนรกไหมเนี้ย อันอื่นจำไม่ได้ ไม่แน่ใจวันก่อนนี้ ทำท่าอยากจะซื้อล๊อตเตอรี่ ไม่รู้ว่ามันบาปหรือเปล่า? เพราะว่าถ้าซื้อล๊อตเตอรี่เห็นเขาบอกว่าบาป เราอยากซื้อ แต่ไม่ซื้อมันบาปไหม? เขาบอกว่าไม่บาปนะ ถ้าอยากเฉยๆ ไม่ซื้อไม่บาป แต่พระเยซูบอกว่าแค่เห็นหญิง มีความกำหนัด ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว อันนี้เท่ากับที่เราจะซื้อล๊อต เตอรี่แล้วเราไม่ซื้อ แต่เราอยากซื้อ เท่ากับเราร่วมการซื้อไปแล้วหรือไม่? คิดไม่ตก สรุปว่าเราไปนรกหรือเปล่า ไม่แน่ใจ นอนไปกลัวไป

“ขอปรึกษาอาจารย์ คือเมื่อวานนี้ จะขึ้นรถเมล์ มันไม่จอด ไม่จอดไม่พอ มันวิ่งลงน้ำ กระเด็นขึ้นมาเลอะหมดเลย ปกติ ดิฉันก็เป็นคนอภัยให้เขาเสมอ วันนั้นมันทนไม่ไหวจริงๆ ด่าตามหลังไปเลย ด่าเสียๆ หายๆ เศร้ามาถึงวันนี้ 7 วันแล้ว ยังไม่หายเลย รู้สึกจะตกนรก อาจารย์อย่างนี้ตกนรกหรือเปล่า?  พระคัมภีร์บอกว่าถ้าเราไม่อภัยคนอื่น พระเยซูก็ไม่อภัยให้เราด้วย”

เก่งนะ ข้อพระคัมภีร์จำแม่นเลย ให้เราอภัยให้คนอื่น แล้วพระเจ้าจะได้อภัยให้เรา

“ยังอภัยให้เขาไม่ได้เลย ชุดแต่งมาอย่างดี กะจะไปโบสถ์ โบสถ์ก็ไม่ได้ไป เลอะไปหมดเลย  ไปไม่ทัน ยังโมโหไม่หายเลย อาจารย์อย่างนี้ตกนรกไหมเนี้ย?”

แล้วท่านจะตอบว่าอย่างไร? ไม่ตกเหรอ แต่รถมันตกหลุม น้ำกระเด็นขึ้นมา ไม่ตกเหรอ? แต่มันทนไม่ไหว อภัยให้เขาไม่ได้เลยนะ แล้วอย่างนี้พระบิดาจะอภัยให้เราเหรอ นอนไม่หลับมา 7 วันแล้ว ช่วยทีเถอะ  ผมก็จะบอกว่ามาฟังครั้งหน้า  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  มิถุนายน  2018

เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว  เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ถึงช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา คือรู้เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ในมหาจักรวาล เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลยนะ

วันนี้เราก็จะต่อจากครั้งที่แล้ว คือเรื่องเพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ ตอน 2 “เป็นไทแล้วจริงๆ” คือเราได้รับความรอดจากบาป ได้รับการชำระจากโทษแห่งความบาปและความตาย ทางฝ่ายวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง ก็คือเราไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หรือข้อบังคับใดๆ อีกต่อไป (หมายถึงทางโลกฝ่ายวิญญาณ) เราไม่ต้องคอยกังวลว่าอันนี้ทำได้ไหม? อันนั้นทำได้ไหม? นี่หมายถึงเกี่ยวข้องกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ต้องกลัวว่าเผลอไปทำผิด หรือบาปอะไร แล้วทำให้เราสูญเสียความรอดนี้ไป เพราะพระคัมภีร์บอกว่าไม่มีอีกแล้ว ถ้าเราได้รับความรอดจากพระเยซูคริสต์ จากการเชื่อจริงๆ เรื่องข่าวดีของพระเยซู เราได้ความรอดครบถ้วนบริบูรณ์จริงๆ พระเจ้าดูแลเรา ปกปักษ์คุ้มครองเรา อยู่ในความรอดนั้นตลอดไป

จากบทบัญญัติตามพันธสัญญาเดิม ที่เป็นกฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทุกคนต้องทำตาม ใครไม่ทำตามต้องถูกลงโทษ หรือเรียกว่าถูกสาปแช่ง พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ หลังจากที่พระเยซูได้ Telelestai ทำให้สำเร็จแล้ว ยุคแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็กลายมาเป็นยุคพระคุณ ที่ให้เปล่าๆ ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เราไม่ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติอีกต่อไปแล้ว

ไม่มีคำว่า “ต้องทำ” หรือ “ห้ามทำ” แต่เราจะทำทุกอย่างด้วยพื้นฐานของความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ซึ่งพื้นฐานนี้ ก็เต็มไปด้วยความรัก ความไม่เห็นแก่ตัว ความเสียสละ เห็นแก่ผู้อื่นก่อน ทำตามคำสอน ในพระคัมภีร์ที่พระเยซูสอนว่าบทบัญญัตินี้ สำหรับคนที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู “ห้าม” กับ “ต้อง” เปลี่ยนมาเป็น “ควรทำ” “ไม่ควรทำ” “จงระวัง” เราได้เรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว

ประเด็นที่เราย้ำกันในครั้งที่แล้ว ก็คือเราเป็นอิสระ เสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ ตามใจชอบ ที่พระคัมภีร์บอกไว้ วิญญาณข้างในของเรา  ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู เกิดการบังเกิดใหม่ขึ้นในวิญญาณ … วิญญาณเราได้รับการชำระโดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ใส สะอาดหมดจด ปราศจากตำหนิใดๆ เต็มไปด้วยความรัก ไม่มีความเกลียดอยู่ในนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนพระเยซู เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซูเลย

เพราะฉะนั้น ก็เลย สมควรทำตัวให้สมกับเป็นลูกพระเจ้าหน่อย ที่เปลี่ยนจากลูกมาร มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนจากวิญญาณแห่งการเกลียดชัง มาเป็นวิญญาณความรักแล้ว เปลี่ยนจากวิญญาณแห่งความบาป มาเป็นวิญญาณแห่งความชอบธรรม สะอาดหมดจด ปราศจากบาปแล้ว ก็สมควรเปลี่ยนอุปนิสัยข้างนอกบ้างสิ พระคัมภีร์จะพูดถึงลักษณะอย่างนี้ ผมพยายามรวมมาแปลให้ท่านฟังง่ายๆ คือให้กระทำทุกอย่าง ออกมาจากข้างในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณแห่งความรัก จากนี้ต่อไป

ใครเขาถามเราว่า … “คุณมีความรักไหม?”

ตอบเขาเลย … “ไม่มี แต่ฉันเป็นความรัก”

หนักกว่ามีอีก มีมันยังหมดได้ แต่เป็น ไม่มีเปลี่ยนแล้ว อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างผมเป็นผู้ชาย ผมไม่ใช่มีผู้ชายอยู่ คุณเป็นผู้หญิง คุณไม่ใช่มีผู้หญิง เพราะฉะนั้น ตอนนี้ คุณเป็นความรัก เพราะเราพูดถึงวิญญาณของเรา ที่เป็นตัวตนของเราตลอดไป  ไม่ใช่ร่างกายข้างนอกนี้ ซึ่งวันหนึ่งจะต้องลงหลุมไป กลายเป็นดินไป แต่วิญญาณเราอยู่นิรันดร์ และวิญญาณที่อยู่นิรันดร์นั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มันเป็นวิญญาณแห่งความรัก เหมือนพระเจ้า ซึ่งเป็นพระบิดาของเรา ใครถามท่าน ท่านทำอย่างนี้ เพราะอะไร?

“เพราะฉันเป็นความรัก” เอเมนไหม?

“อ้าว! ทำไมตะกี้นี้ ขับรถมาไปตวาดว่าเขา”

“ก็ฉันว่าไปด้วยความรักที่อยู่ข้างใน ข้างนอกมันเผลอไป โทษที”

จากนี้ต่อไป วิญญาณเป็นความรัก ขับรถ อดทนหน่อย มีอิสระแล้ว ทำให้มันเหมือนข้างในหน่อย ไม่ใช่มีอิสระแล้ว จะด่าใคร ก็ด่าเลย  รอดแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น ข้างในมันเปลี่ยนแล้ว คนที่เต็มไปด้วยความรักเขาไม่ทำกันอย่างนี้หรอก ฉันก็ต้องควบคุมเนื้อหนังบ้างสิ? ค่อยๆ ว่ากันไปทีละนิดทีละหน่อย ค่อยๆ ดีขึ้นๆ แต่ทุกอย่าง ทำมาจากพื้นฐานทางวิญญาณ คือวิญญาณแห่งความรัก ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ด้วยความเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เอเมน เห็นภาพไหม? ชัดแจ๋วเลยนะว่ามันต้องเป็นอย่างนี้

ทบทวนข้อพระคัมภีร์ในกาลาเทีย 5:13-15 บอกว่าเราควรมีอิสรภาพในท่าทีอย่างไร?

กาลาเทีย 5:13-15 “13 พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้น ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก 14 บทบัญญัติทั้งหมด สรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 15 หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดี จะย่อยยับไปตามๆ กัน”

 

พี่น้องทั้งหลาย คือผู้ที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน มีพระบิดาเดียวกัน คือพระเจ้า ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ เชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่แล้ว ผู้นั้นแหละ รวมเรียกกันว่าพี่น้องทั้งหมด ถ้าในปัจจุบัน เราพูดกันง่ายๆ คือคริสเตียน เมื่อไรที่ท่านเห็นคำว่า “พี่น้อง” นั่นแหละ กำลังพูดถึงกลุ่มคนพวกหนึ่ง ที่เชื่อข่าวประเสริฐแล้ววิญญาณได้บังเกิดใหม่แล้ว พระคัมภีร์ใช้คำว่าพี่น้อง

ความเชื่อต้องดิ่งลงไปในวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เขาได้เกิดใหม่ในวิญญาณ ซึ่งคนเหล่านั้นต้องเชื่อจริงๆ ถึงเกิดใหม่ ดูกันข้างนอก บางครั้งมองไม่เห็น แต่สิ่งที่พอจะเดาได้ เดาตัวเองนะว่าเราบังเกิดใหม่จริงๆ หรือไม่? ผมบอกเคล็ดลับนิดเดียว ท่านรู้ทันทีเลย ถ้าใครบังเกิดใหม่ หนึ่งอย่างที่ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ คือเขาจะหยุดแสวงหา หรือทำสิ่งต่างๆ ให้พ้นจากบาปเวรกรรม ถูกหรือไม่ถูก?  อะไรก็ตามที่ทำไปแล้ว รู้สึกว่าสิ่งนี้ ที่เราเคยทำ แล้วมันจะชดใช้บาป เวรกรรมของตนเอง เราไม่ทำแล้ว และไม่แสวงหาที่จะทำด้วย เอเมน ตรงนั้นแหละ คนนี้เกิดใหม่แน่นอน 100% นี่คือสิ่งที่สามารถวัดตัวเราเองได้ แค่อันเดียวเอง มันไม่ได้เกี่ยวกับการปฏิบัติ ทำอย่างอื่น อย่างอื่นเยอะแยะ ดูไม่ออกหรอกว่าโลภหรือไม่โลภ วุ่นวายไปหมด แต่อย่างนี้ชัด ถ้าบอกว่าบังเกิดใหม่แล้ว

“ฉันยังไปหา ทำอะไรบางอย่าง ที่รู้สึกว่าทำแล้ว ฉันจะได้ลด ชดใช้บาป เวรกรรม ในอดีต” ถ้าทำอย่างนี้อยู่แปลว่าไม่ใช่

เพราะฉะนั้น คนนั้น ต้องพบทางรอดแล้ว และรู้ว่าตัวเองรอด ด้วยโลหิตพระเยซู  พระเยซูทำให้เรารอดแล้ว สบายแล้ว หายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว นั่นแหละ คือบุคลิกของคนที่มีวิญญาณที่รอดแล้ว แต่หลายครั้ง ประกาศข่าวดี ในเรื่องพระเยซูคริสต์ ก็มีการบิดเบือนไปจากความจริง ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วก็ถูกนำมาสอนกันต่อๆ แบบผิดๆ นี่ผมกำลังพูดถึงบิดเบือนแบบบริสุทธิ์ใจ วันนี้ไม่ได้พูดรวมไปถึงบิดเบือนแบบตั้งใจ เอาไปทำมาหากิน พระคัมภีร์บอก มีคนเอาข่าวประเสริฐไปทำมาหากินนะ เพื่อปากท้องของตนเอง มีจริงๆ เพราะฉะนั้น นี่พูดถึงผิดแบบบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ตั้งใจเอาไปทำมาหากิน ไม่ได้ตั้งใจจะบิดเบือน เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่มีการตีความหมายตามพระคัมภีร์ไม่ถูกต้อง หรือได้รับการสอนแบบผิดๆ ก็ฟังผิดๆ ไป

นี่เป็นประสบการณ์ หัวข้อเรื่องเขาเรียกว่าประสบการณ์ที่มิรู้ลืมเลือน จากการไปประเทศญี่ปุ่น

… ซึ้งจัง เธอเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่สวยงาม งดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา ไม่ว่าจะมองมุมไหน? ก็สวยไปหมด ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง ก็ต้องพูดแบบผมแน่นอน …

ท่านคิดว่าเรื่องราวนี้น่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

… การได้มานั่งดื่มกาแฟที่นี่ ทำให้อารมณ์และจิตใจของผมสดชื่อ อย่างบอกไม่ถูกกับความสวยงาม แบบธรรมชาติ จนมิอาจลืมได้ ตราตรึงในหัวใจ เฝ้าคิดคำนึงตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น …

อ่านแค่นี้ ท่านคิดถึงว่าผู้ชายคนนี้คงจะไปเที่ยว แล้วไปเจอผู้หญิงญี่ปุ่นที่ชื่อ “ซึ้งจัง” เธอคงน่ารักมาก ลืมไม่ได้เลย นอนละเมอถึงเลย เกิดผู้ชายคนนี้มีภรรยา ได้อ่านแค่นี้ สามีคงมีสิทธิ์หัวร้างข้างแตกได้

“เธอไปทำอะไรอย่างนั้นมา”

“เดี๋ยวก่อนสิ ฟังให้จบก่อน”

“ไม่ฟัง ฉันจะเอาแค่นี้”

ก็มีสิทธิ์ที่จะไปคิดอีกอย่างหนึ่งได้ อ่านต่อไป

… เพราะการออกแบบสถานที่ ที่ดูโล่งโปร่งตา สถานที่ที่มีสีเขียวมากมาย รายล้อม รอบบริเวณเมืองนี้ รับรอง คุณจะไม่สามารถหาร้านกาแฟที่สวยขนาดนี้ได้อีกแล้ว คุณซึ้งจัง ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน เธอเล่าให้ฟังว่าเธอออกแบบและดูแลต้นไม้ทั้งหมดนี้ ด้วยตนเอง …

พออ่านถึงตรงนี้ ตกลงพูดถึงใคร? ร้านกาแฟ พอเราแปลผิดปุ๊บ กลายเป็นพูดถึงซึ้งจัง ผู้หญิง คนละความหมายเลย  นี่ยกตัวอย่างให้ง่ายๆ เล่นๆ เท่านั้นเอง ท่านพอเห็นไหมครับว่าเวลาเราจะตีความหมายในพระคัมภีร์ เราต้องนึกถึงภูมิหลังว่าเขาเขียนไปหาใคร? จดหมายนี้เป็นอย่างไร? อ่านให้มากๆ ไม่ใช่อ่านไม่หมด แล้วก็หยิบมาเล่า เอามาบรรทัดสองบรรทัด แล้วก็ตีความทั้งหมด หลังจากฟัง 2 บรรทัดแล้ว สิ่งที่ท่านคิดในใจ กับฟังจนจบ มันเหมือนกันไหม?  ไม่เหมือนเลยนะ เขาว่าอย่างไร? จากหัวเป็นหางเลย

นี่เป็นตัวอย่างให้ท่าน พอที่ท่านนึกออกว่าข่าวประเสริฐของพระเยซู หลายครั้งก็ถูกบิดเบือนด้วยเหตุผลเดียวกันกับเรื่องราวของร้านกาแฟซึ้งจังนี่แหละ คือบางคนอ่านพระคัมภีร์แค่บางช่วง บางตอน แล้วก็ตีความตามใจของตนเอง ใส่ความคิดของตนเองเข้าไปเลยว่ามันต้องเป็นแบบนี้แน่ เหมือนที่ตะกี้นี้ผมบอก ภรรยาได้อ่านมา 2 บรรทัด ตีความอย่างนี้ แล้วจากตีความเสร็จ ตีหัวต่อเลย   ซ้ำร้าย ที่หนักกว่า คือบางคนตีความใส่เนื้อหาที่ตัวเองต้องการเพิ่มเติมเข้าไปด้วย ตามกิเลสของตัวเองที่อยากได้ เช่น …

พระคัมภีร์บอกว่า “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ทำให้เราหายป่วย”

ก็เนื้อหนังเรา ความอยากเรา เราอยากหายป่วยไง ก็เลยตีความว่าพระเยซูแบกรับเอาความเจ็บป่วยของเราไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น พอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องไม่ป่วย ถ้าใครป่วย ก็แปลว่า … คิดเอาเองแล้วกัน คุ้นๆ นะ ถ้าใครป่วย ก็แสดงว่าไม่เชื่อ เอ๊า! ยุ่งกันใหญ่เลย และหนึ่งในจำนวนของถ้อยคำพระคัมภีร์ไม่เป็นไปตามหลักการพื้นฐานของข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็คือเรื่องความรอด ที่ทำให้เราเป็นไทจริงๆ ที่เรากำลังเรียนกันอยู่วันนี้ ขนาดพระคัมภีร์เขียนแบบชัดๆ เป็นตรรกะ เป็นเหตุเป็นผล ชัดเจน แบบไม่ต้องตีความเลย พระคัมภีร์มีหลายแห่งเลย ที่บอกว่า …

“เมื่อท่านรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ ท่านก็ได้รับความรอด ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดที่สุด และไม่มีใครสามารถปรับโทษท่านได้อีก ก็คือไม่มีการกลับไปกลับมาอีกแล้ว ไม่สามารถกลับไปเป็นคนบาปได้อีกแล้ว เอเมน”

นี่คือเรื่องจริงในข้อพระคัมภีร์ แต่ก็จะมีคนสอนกันต่อๆ มาว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ห้ามทำบาปอีกต่อไป เพราะถ้าทำบาป พระเจ้าจะลงโทษ และยังไม่เชื่อ ยังขืนทำต่อไปอีก พระเจ้าจะทิ้งเลย แล้วเราก็ต้องกลับไปเป็นคนบาป ก็ได้รับโทษ ตกนรกอีก คุ้นไหม? แล้วเราเอาอย่างไร? ตกลงสรุปแล้วคืออะไร? หาไม่เจอ

เพราะฉะนั้น คนที่ยังหาไม่เจอกลับไปหาให้เจอให้ได้ว่ามันคืออะไร?  ตัดสินใจให้ถูก พอเริ่มต้นเป็นแบบนี้ ก็เหมือนที่ผมพูดตลอดว่าเหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด พอมันเริ่มผิดแล้ว เริ่มตีความว่าห้ามทำบาปอีกต่อไป ถ้าทำบาปแล้ว จะสูญเสียความรอด ทีนี้ทำอย่างไร? ไม่ทำบาปอีกเลย คิดต่อไปสิ แล้วเป็นไปได้ไหม? ไม่ได้ เอาแล้วสิ ยุ่งเลย

เมื่อเป็นไปไม่ได้ พระคัมภีร์ก็บอกว่าจะบาปเล็ก บาปน้อย บาปใหญ่ มันก็บาปทั้งหมดแหละ มันก็ต้องรับโทษทั้งหมด ถ้าเป็นแบบนั้น มันจะตีกันเองแล้วนะ  แล้วทำอย่างไร? ก็ค่อยๆ เริ่มบิดนิดหนึ่ง ใส่ความคิดของตนเองเข้าไป  บวกกับเนื้อหนัง กิเลสของตัวเองเข้าไป ความโลภเติมเข้าไปอีกนิดหนึ่ง แล้วสร้างเป็นกฎเกณฑ์ เป็นข้อบังคับขึ้นมา พอนานๆ เข้าก็กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ กลายเป็นนิกายต่างๆ นิกายแบบนี้ ความเชื่อแบบนี้ ตรงกับที่ผมพยายามอธิบาย ความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มันถูกบิดเบือนด้วยเหตุประการฉะนี้แหละ นี่บริสุทธิ์ใจทั้งนั้นนะ

พระคัมภีร์ในหนังสือฮีบรู เป็นบทสรุปที่เน้นย้ำในเรื่องนี้ว่าหลักการพื้นฐานของความเชื่อ คือความรอดที่เราได้รับนั้น เป็นความรอดนิรันดร์ มันไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีการกระทำใดๆ ที่ทำให้เรากลับไปเป็นคนบาปได้อีกแล้ว

พระคัมภีร์บอกว่าในบรรดาบาปทั้งหลาย ทั้งปวงนั้น ทั้งบาปที่ติดตัวมาตั้งแต่บรรพบุรุษ บาปที่เราได้ทำไว้ในอดีต ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ บาปที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบันนี้ รวมทั้งบาปที่เราอาจจะทำ หรือทำแน่นอนเลย ในอนาคต พรุ่งนี้ มะรืนนี้ อะไรต่างๆ บาปทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ได้ถูกชะล้างจนหมดสิ้นแล้ว ได้รับการอภัยแล้ว จากสิ่งที่พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน

ในหนังสือฮีบรู ผู้เขียน คือชาวยิวที่มีความรู้มาก ในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ ในเรื่องเกี่ยวกับพันธสัญญาเดิม ที่พระเจ้าทำกับอิสราเอล สมัยโมเสส ความรู้เรื่องวิญญาณ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ รู้ทั้งสองเรื่องเลย นอกจากนั้นยังมีความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมของศาสนายิวดั้งเดิม คือศาสนายูดาย ยิวนับถือศาสนายูดายก่อนพระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ หลังจากนั้น ก็ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้  บางท่านก็บอกว่าผู้เขียนน่าจะเป็นเปาโล บางคนก็บอกว่าน่าจะเป็นอปอลโล แต่อย่างไรก็ตามเป็นชาวยิวแน่นอน แล้วก็มีคุณสมบัติ มีความรู้คิดคล้ายๆ อาจารย์เปาโล

จดหมายฝากถึงชาวฮีบรูนี้ เขียนขึ้น ในช่วงเวลาหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ประมาณ 30 กว่าปี

วัตถุประสงค์ของหนังสือฮีบรู เพื่อสอนถึงแก่นแท้ของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ให้กับชาวยิวที่กลับใจเท่านั้น ซึ่งในขณะนั้น กำลังถูกล่อลวงอย่างหนัก คือคนที่เชื่อข่าวประเสริฐในยิว วุ่นวายมาก เพราะว่าเป็นแหล่งกำเนิดของพระเยซูคริสต์ เป็นต้นกำเนิดข่าวประเสริฐ เป็นแหล่งกำเนิดการปฏิเสธพระเยซูอย่างรุนแรง ถึงขนาดตรึงพระเยซู ที่ไม้กางเขน จากความเชื่อและวัฒนธรรมรอบด้าน ทำให้มันยากที่จะต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ คนที่เป็นยิว มาเชื่อพระเยซูแล้ว เขาจะต้องตัดสินใจว่าจะกลับไปนับถือศาสนาเดิม เหมือนแต่ก่อน ทำพิธีเหมือนแต่ก่อน หรือจะเดินหน้า เชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูต่อไป มีการข่มเหงด้วย  และสังคมด้วย แล้วตัวเองอีกต่างหาก มันไม่ง่ายเลย

นอกจากนี้ ก็ยังมีบางพวกที่เรียกว่าเป็นลูกผสม คือกลับใจมาเชื่อพระเยซูแล้ว แต่ข้างในยังอยากจะทำอะไรอยู่เหมือนเดิม ยังไม่แน่ใจ ขอเติมนิดหนึ่งได้ไหม?  เอา 2 อย่างได้ไหม? ซึ่งพระคัมภีร์บอกเสมอไม่ได้ ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเชื่อพระเยซูด้วย แล้วจะทำด้วยตัวเองด้วย ไม่ได้ จะพึ่งพระเยซูกับพึ่งตัวเองด้วย ไม่ได้ ต้องทำอันใดอันหนึ่งเท่านั้น  ที่ตะกี้นี้บอกว่าอุปนิสัย เกิดใหม่ ข้างในมันต้องมั่นใจ 100% ว่า …

“ฉันไม่ต้องขวนขวายหาอะไรอีกแล้ว ที่จะไถ่บาปให้ตัวเอง”

นั่นแหละ คือบังเกิดใหม่ คนเหล่านี้ยังไม่เกิดใหม่ แต่ไม่ได้ปฏิเสธถ้อยคำพระเจ้า ไม่ได้ปฏิเสธข่าวดีพระเยซู ต้อนรับ แต่ยังไม่มั่นใจ ยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ยังไม่บังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น มันก็อยากจะทำอะไรบางอย่างที่เป็นการชำระบาปให้ตนเอง เหมือนเดิม อยากไปปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีเดิม พูดง่ายๆ ก็คือยังทำใจไม่ได้กับความรอด ที่พระเยซูให้มาแบบง่ายเหลือเกิน ไม่ต้องทำอะไรเลย สมัยก่อนนี้ คนยิวกว่าจะได้รับความรอด ไม่ใช่รอดเลยนะ แค่จะได้รับพรจากพระเจ้าบ้าง ชำระบาปปีต่อปี กว่าจะได้ยากมากเลย ต้องทำเยอะแยะ แล้วยังมาบอกว่าเชื่อพระเยซูเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ได้รับความรอดแล้ว รับไม่ได้จริงๆ  ก็เลยคาไว้แค่นั้น  ก็เลยคิดว่าจะหันกลับไป  ทำดีไหม?

และกลุ่มที่อยู่ตรงกลางแบบลูกผสมนี้ แน่ๆ ก็คือพวกปุโรหิตชาวยิว ซึ่งนับถือศาสนายูดายเดิม เชี่ยวชาญในงานรับใช้ ในวิหารแบบเดิมๆ ซึ่งปุโรหิตเหล่านี้ ถึงแม้จะกลับใจมารับเชื่อแล้ว แต่ยังคุ้นเคยกับประเพณีเดิมๆ ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ คือไม่ทำแบบเดิมอีกต่อไป ยังไม่แน่ใจในการเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริงในพระเยซู นี่ยิ่งหนักใหญ่เลย เพราะว่าไม่ใช่ยิวธรรมดา แต่เป็นยิวที่เป็นผู้รับใช้ในวิหาร เชื่อเยอะแยะเลย  คำว่า “เชื่อ” หมายถึงเชื่อ แบบยังไม่เป็นลูกพระเจ้า ยังไม่เกิดใหม่ แค่เริ่มต้น ใช่ ข่าวดีของพระเยซู เห็นกับตา โอเค เชื่อด้วย แต่ตัวเองต้องเข้าสู่วิหาร ไปทำหน้าที่ประจำวัน มันก็ฝืนใจ มันยังไม่ดิ่งลงไป ทำใจลำบาก

และที่สำคัญก็ยังมีปุโรหิตบางกลุ่ม ที่มีอิทธิพลมาก ดูดีมีฐานะ แต่ปฏิเสธเด็ดขาดไม่ยอมเชื่อพระเยซู ต่อต้านเด็ดขาด ก็คือกลุ่มคนที่เอาพระเยซูไปตรึงไม้กางเขน ผู้คนเหล่านี้ มีอิทธิพล ดูดีในสังคม มีหน้ามีตา เพราะว่าหลักการของยิว ในอดีตนั้น ปกครองด้วยระบบศาสนานำ ปุโรหิตใหญ่กว่ากษัตริย์ คนเหล่านี้มีอิทธิพลอยู่ คอยข่มขู่ ต่อต้านคนที่เชื่อ ข่มเหงรังแกคนที่เชื่อ ทำให้ผู้เชื่อใหม่เกรงกลัวอำนาจ จำเป็นต้องปฏิบัติภารกิจตามประเพณีเดิม เพื่อไม่ให้มีเรื่อง จะด้วยเต็มใจ หรือไม่เต็มใจ ก็ไม่รู้แล้ว อันนี้อยู่ที่วิญญาณข้างใน เพราะฉะนั้น จะมีผู้ที่ยอมทำตามเขา โดยไม่เต็มใจ ผมเชื่อว่ามี ก็คือเชื่อแล้ว บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว แต่ไม่รู้จะทำไง ทำไปต่อหน้าทำเฉยๆ แล้วก็อธิษฐานในใจ ด้วยความทุกข์ทรมาน ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสรภาพ พาเขาออกจากหน้าที่เดิม พาเขาไปไหนก็ได้ ย้ายที่ไปไหนก็ได้ ย้ายประเทศไปไหนก็ได้  เขาไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เขาไม่อยากทำอย่างนี้แล้ว แต่ตอนนี้ทำไปก่อน เพราะความจำเป็นอะไรก็ว่าไป  เพราะเขาทำด้วยความรัก เขาไม่ได้กลัว และพระวิญญาณนำเขาไป ผมเชื่อว่ามันต้องมีอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน ท่านจะได้มองภาพชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในสังคมของชาวยิว ขณะนั้น ทำไมต้องเขียนหนังสือฮีบรูไปหาเขา

          เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือหนังสือฮีบรู เขียนไปเพื่อ …

(1) ให้กำลังใจกับคนที่บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก แล้วถูกข่มเหงรังแก ได้รับความทุกข์ยากลำบาก จากประเพณีเดิม จากคนที่ปฏิเสธพระเยซู จากคนที่ต่อต้านพระเยซู หนังสือนี้เขียนไปหนุนใจคนเหล่านั้น ให้อดทน รอการนำจากพระเจ้า พระเจ้าจะนำไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ หรือพระเจ้านำอย่างไรก็ตาม วิญญาณเราเป็นอิสระแล้ว วิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว  มองที่วิญญาณ พระเจ้าเตรียมสิ่งที่ดีไว้ให้กับเรา เรียบร้อยไปแล้วในสวรรค์ ดังนั้นต้องรักษาตรงนี้ไว้ อดทนต่อไป

(2) เตือนคนที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ แต่เปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐแล้ว ให้อดทน เลือกพระเยซู ถูกแล้ว พระเยซูคือตัวกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องให้ฟังว่าพระคัมภีร์เดิมที่โมเสสทำไว้ เป็นแค่เงา ที่พระเยซูจะมาทำให้สำเร็จ

(3) เตือนแบบค่อนข้างรุนแรง สำหรับพวกปุโรหิตที่ต่อต้านพระเยซูว่าถ้าท่านทำอย่างนี้ต่อไป ท่านหลงหาย ท่านตกนรก พูดง่ายๆ ท่านไปไม่รอดแน่ เรื่องนี้เรื่องจริง ท่านกำลังโดนของจริงแล้วนะ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ ไม่เหมือนแต่ก่อนที่พระเยซูยังไม่มาเกิด ตอนนี้พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ทำสำเร็จแล้ว ท่านต่อต้านอีก หมดแล้วนะ ไม่มีใครช่วยท่านได้อีกแล้ว ตายลูกเดียว อย่าเล่นกับพระเจ้า  อะไรประมาณนั้น  เรามาดูในฮีบรู 6:1-3

ฮีบรู 6:1-3 “1 เพราะฉะนั้น ให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้น  เกี่ยวกับพระคริสต์ และเดินหน้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าให้เราต้องวางพื้นฐานซ้ำอีก ในเรื่องการกลับใจจากการกระทำ อันนำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า 2 คำสอนเรื่องบัพติศมา เรื่องการวางมือ เรื่องการเป็นขึ้นจากตาย และเรื่องการพิพากษาลงโทษนิรันดร์ 3 และถ้าพระเจ้าทรงอนุญาต เราก็จะเดินหน้าต่อไป”

 

“เพราะฉะนั้น ให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้น เกี่ยวกับพระคริสต์ และเดินหน้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าให้เราวางพื้นฐานซ้ำอีก ในเรื่องการกลับใจจากการกระทำ อันนำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า”

ท่านพอมองเห็นคร่าวๆ จากการที่ได้ฟังภูมิหลังที่ผมอธิบายให้ท่านฟังว่าจดหมายนี้เขียนไปทำไม? เขียนไปหาใคร?  ถ้อยคำตรงนี้  ฟังดูเหมือนผู้เขียน เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องมาพูดเรื่องซ้ำๆ ซากๆ เป็นถ้อยคำไปถึงชาวฮีบรู ขณะนั้น ซึ่งมีทั้งผู้ที่เชื่อแล้ว พวกที่หลงหายไป รวมทั้งพวกที่กำลังตัดสินใจว่าจะเลิกเชื่อ หรือเชื่อต่อ ผู้เขียนกำลังบอกว่าเราคุยเรื่องนี้มาเยอะแล้วนะ เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ หลักคำสอนเบื้องต้นพื้นฐานของข่าวดีของพระเยซูคริสต์

พื้นฐานของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ สรุปง่ายๆ ก็คือ พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปของเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่คือหลักการต้นๆ ในนี้บอกว่าเบื่อเหลือเกิน ต้องมาพูดอย่างนี้อีกแล้ว ก็คือเรื่องเกี่ยวกับข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าสำเร็จแล้ว โดยการกระทำของพระเยซูที่ไม้กางเขน พูดกันมาตั้งนานแล้ว หลายปีแล้ว ไม่ไปไหนเลย ทำไมเรายังต้องกลับมาคุยเรื่องนี้กัน ซ้ำๆ ซากๆ อีก เราควรจะเข้าใจกันได้แล้ว ควรจะโตเป็นผู้ใหญ่ และเดินหน้ากันต่อไปได้แล้ว ทำไมยังต้องมาพูดถึงเรื่องเดิมๆ นี้อีก

เรื่องเดิมๆ คือเรื่องพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในยุคพระคัมภีร์เดิม พันธสัญญาเดิม เช่นการที่มหาปุโรหิต ต้องนำสัตว์ไปถวาย เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป พิธีกรรมการวางมือบนสัตว์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการถ่ายทอดความบาป  จากมนุษย์ไปสู่สัตว์ เป็นเครื่องสัตวบูชา ให้พระเจ้า ซึ่งการกระทำทั้งหมดนี้ มันถูกยกเลิกไปหมดแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน แล้วทำไมยังต้องมาถกเถียงกันเรื่องนี้ว่าทำได้ไหม? ยังต้องทำต่อไปอีกทำไม? เราควรจะผ่านเรื่องนี้กันไปได้สักทีแล้ว เป็นผู้ใหญ่กันแล้วนะ

สรุปรวมๆ เป็นลักษณะอย่างนี้  คือชาวฮีบรูในสมัยนั้น ยังคงเถียงกันในเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่บางคนยังยึดติดอยู่กับการติดพิธีเดิมๆ ซึ่งผู้เขียนพยายามที่จะบอกว่า 2 เรื่องนี้ มันอยู่ในเรื่องเดียวกันไม่ได้ มันจะเอามาผสมกันไม่ได้ ถ้าเราเชื่อในความรอดที่ได้รับจากพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูทำให้เราแล้ว เราก็ต้องหยุดในเรื่องของการกระทำพิธีกรรมด้วยตัวของเราเอง ถ้าเรายังทำเพื่อตัวของเราเอง ชำระบาปให้ตัวเอง เราก็ยังบอกว่าเราไม่เชื่อพระเยซู มันไปด้วยกันไม่ได้

“การกระทำอันนำไปสู่ความตาย” แปลตรงตัว คือการกระทำที่ไม่มีประโยชน์ คือการกระทำพิธีกรรมในวิหาร ซึ่งในอดีตนั้น เคยเป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญญัติให้ทำ เพื่อเล็งถึง เป็นเงาถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาทำภายหลัง ซึ่งมาถึงตอนนี้ ไม่ต้องทำพิธีกรรมเหล่านั้นแล้ว เพราะพระเยซูคริสต์มาแล้ว ทำสำเร็จแล้ว เพราะพิธีกรรมเหล่านั้น ถ้ายังทำอยู่ มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะพระเยซูมาทำให้สำเร็จแล้ว ทำไป มันก็ไม่ได้ให้ชีวิตเลย  แม้กระทั่งในอดีตที่ทำไป มันก็ไม่ได้ให้ชีวิต เพราะมันเป็นแค่เงา ที่เล็งถึงพระเยซูจะมาทำในอนาคต พระเยซูมาทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน  เป็นสิ่งที่ให้ชีวิตจริงๆ คือใครที่เชื่อฟังพระเยซู จะได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่จริงๆ แต่ใครที่เชื่อโมเสสสมัยอดีตนั้น พันธสัญญาเดิมนั้น และทำตามพิธีกรรมต่างๆ เอาสัตว์ไปถวาย ไม่ได้ชีวิตใหม่ ได้แค่ปกคลุมความบาป ปีต่อปีเท่านั้น ต้องรอจนกว่าพระเยซูคริสต์จะมา มันเป็นอย่างนั้น เขาจึงเรียกว่าพิธีกรรมที่นำไปสู่ความตาย มันไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเลย มันสำหรับคนที่ตายแล้ว เขาทำกัน แต่ถ้าเชื่อพระเยซู เป็นสิ่งที่พระเยซูสามารถให้ชีวิตใหม่ได้ มีประโยชน์ เอาพระเยซูเป็นแพะ มีประโยชน์กว่าเอาสัตว์เป็นแพะ พูดง่ายๆ เมื่อเอาพระเยซูเป็นแพะ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และก็แค่เชื่อเท่านั้นว่า …

“พระเยซูเป็นแพะของฉัน รับบาปของฉันไปแล้ว”

ความเชื่อตรงนี้ ทำให้เราได้รับชีวิตใหม่ ได้บังเกิดใหม่ แต่ถ้าเรายังไม่เชื่อ เรายังเอาสัตว์กลับไปถวายอยู่ การถวายนั้น เราไม่ได้รับชีวิต แต่เราได้รับความตาย  คือตายเหมือนเดิม ตายอยู่ที่เดิม พอเข้าใจใช่ไหม? ท่านพอมองเห็นภาพชัดไหม?

นี่คือสิ่งที่คนเขียนจดหมายไปบอกชาวฮีบรู พยายามตั้งใจที่จะอธิบายให้ฟังอย่างนี้ ในฮีบรู 6:2 เราควรจะเลิก ไม่ควรมาคุยเรื่องนี้แล้ว คำสอนเรื่องบัพติศมา ก็เพราะว่าเมื่อเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ สอนไปแล้วไง พวกนี้ก็ยังมานั่งคุยกันเรื่องว่า …

“บัพติศมา ก็ต้องบัพติศมาในน้ำ แบบยอห์นบัพติศโตทำ ต้องทำอีกไหม?” อะไรต่างๆ เหล่านี้

หรือเรื่องการวางมือ ท่านรู้ไหมว่าการวางมือ ไม่ได้หมายถึงการวางมือรักษาโรค การวางมือ คือการที่ปุโรหิตในวิหาร จะทำพิธีในวิหาร คือเอาสัตว์ที่ผู้คน เอามาถวายให้พระเจ้า แล้วปุโรหิตเป็นตัวแทนพระเจ้า เอามือเขาวางบนสัตว์ตัวนั้น  เพื่อเป็นการแสดงว่าเอาบาปของคนที่ถวายสัตว์ มาใส่ไว้ที่สัตว์ตัวนี้ สัตว์ตัวนี้มาแบกบาปเขาไป  สมมติเป็นแพะ ก็เป็นแพะรับบาปของเขาไปปีต่อปี ครั้งต่อครั้งว่ากันไป ต้องให้อธิบายเรื่องการวางมืออีกเหรอ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังอุตส่าห์เอาแพะให้ปุโรหิตวางมืออีกเหรอ แล้วคุณมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นปุโรหิต คุณจะวางมือให้กับประชาชนอีกเหรอ พูดตั้งกี่ครั้งแล้ว ไม่รู้ตัวอีกเหรอ อะไรประมาณนั้น นี่ใส่อารมณ์เอง ในฐานะที่ถ้าเป็นคนสอน ถ้าเป็นนิสัยเปาโล … เปาโล เป็นคนขี้ฉุนเฉียว แบบหงุดหงิดมากเลย อะไรที่ทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย  อาจารย์เปาโลจะโมโหมากเลย ไม่ใช่คนใจร้ายนะ เป็นคนที่ปกป้องข่าวประเสริฐอย่างดีมาก อย่ามาแตะต้องข่าวประเสริฐนะ โวยวายทันทีเลย

ต่อไปเรื่องอะไร? เรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย  เพราะว่ายังมีปุโรหิตและคนที่เป็นผู้นำทางศาสนา ที่เรียนเรื่องศาสนาเยอะๆ สูงๆ อย่างน้อย 2 พวก คือพวกฟาริสีที่เรารู้จักกันดี และพวกสะดูสี พวกสะดูสีเขาไม่เชื่อเรื่องเป็นขึ้นจากความตาย  ยังเถียงกันอยู่เลย นี่เป็นส่วนหนึ่งของข่าวดีของพระเยซู ก็คือพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างให้กับเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์ ถ้าเราเชื่อในพระเยซู เราก็จะเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูด้วย รับไม่ได้ ไม่เชื่อในเรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย  ยังเถียงกันอยู่เลย  แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องเริ่มต้นในการสอนแล้ว อยู่ในส่วนหนึ่งของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในพื้นฐาน ยังต้องมาสอนกันเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ

เรื่องการพิพากษาลงโทษ ก็เหมือนกัน พระเจ้าจะทรงอนุญาต เราก็จะเดินหน้าต่อไป หมายถึงการพิพากษาลงโทษ ก็คือไม่เชื่อพระเยซูถูกลงโทษ แค่นั้นเอง ไม่ต้องเถียงอะไรมากเลย ถ้าไม่เชื่อพระเยซูถูกลงโทษ จบ เพราะพระเจ้าประทานความชอบธรรม คือเป็นคนถูกต้อง โดยผ่านทางความเชื่อ ในพระบุตรที่พระองค์ทรงประทานให้เท่านั้น ไม่ว่าจะทำอะไรมาก็ตาม ไม่มีประโยชน์เลย

ในนี้สุดท้าย บอกว่า “และถ้าพระเจ้าทรงอนุญาต เราก็จะดำเนินต่อไป” หมายถึงตามน้ำพระทัยพระเจ้าว่าถ้าเผื่อเราหยุด เลิกมานั่งเถียงกันเรื่องเก่าๆ จบไปสักทีหนึ่ง และถ้าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เราจะได้เจริญเติบโตไปด้วยกัน เรียนเรื่องมาเชื่อพระเจ้า แล้วเป็นลูกพระเจ้าว่าเป็นอย่างไร? สวรรค์ที่พระเจ้าเตรียมให้ว่าเป็นอย่างไร? เรามีอิสรภาพในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นอย่างไร? พระเจ้าประทานอะไรให้บ้างในวิญญาณ ของประทานในวิญญาณพระเจ้ามีอะไรเยอะแยะไปหมดเลย  พระเจ้าประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา บริสุทธิ์ สะอาดเป็นอย่างไร? มันโตขึ้นไป เจริญเติบโตในโลกนี้ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า เตรียมไว้ให้กับเราอย่างไรบ้าง? เราควรทำอะไรบ้างบนโลกใบนี้ เราควรมองไปที่สวรรค์อย่างไร? สวรรค์เตรียมอะไรไว้บ้าง? ร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ก็มี เปาโลบอก สิ่งเหล่านี้ ควรจะมาเรียน โตแล้ว มานั่งวนเวียนอยู่ตรงนั้น พื้นฐานของความเชื่อ ท่านพอเข้าใจไหม?  นี่แหละ ทั้งหมดที่อ่านมาตะกี้นี้ คือความหมายของบทที่ 6 ข้อ 1-3 เรามาอ่านต่อ

ฮีบรู 6:4-6 “4 สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์ ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า 6 หากยังเตลิดไป ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

 

พระเยซูยกตัวอย่าง ไข่มุกเม็ดงาม เจอไข่มุกเม็ดงาม อยากได้ไหม? อยากได้ ต้องกลับไป ขายทรัพย์สมบัติทุกอย่าง  แล้วก็มาซื้อไข่มุกเม็ดงามนี้ ท่านพอมองเห็นภาพว่าเราอ่านดู เราเข้าใจเขาเหล่านั้น  มันยากมากสำหรับคนที่มีตำแหน่งเยอะๆ พระเยซูถึงบอกว่าคนที่เข้าแผ่นดินสวรรค์ยาก ไม่ใช่เข้าไม่ได้นะ เข้ายาก เหมือนเอาอูฐรอดรูเข็ม ไม่ได้หมายถึงรูเข็มจริงๆ นะ เอาเข้าไม่ได้อยู่แล้ว รูเข็ม หมายถึงประตูของเมือง เราดูในหนัง มันจะมีประตูใหญ่ๆ ปกติเขาปิด เขาไม่ได้เปิดไว้ ไม่มีใครเข้า ถ้าคนเข้าออกธรรมดา ก็เปิดประตูเล็ก คราวนี้คนค้าขายสมัยก่อนมา ก็เอารถเบนซ์ ซึ่งสมัยก่อนก็คืออูฐ แทนที่จะเอาลามา เอาอูฐมา มันเข้าไม่ได้ เพราะมันมีโหนกสูง เวลาจะเอามาแบกของข้างหลัง มันต้องช่วยกัน ทำให้อูฐมันย่อขา กดมันลงไป  หัวมันสูงกว่าตัวมัน พยายามกด ช่วยกัน เข้าได้ไหม? เข้าได้ แต่มันยากกว่าตัวอื่นๆ ทั่วไป

ดังนั้น คนเหล่านี้ เข้ายากกว่า เขามีตำแหน่ง เขาเป็นที่นับหน้าถือตา มีชื่อเสียงอยู่ มีทรัพย์สมบัติอยู่ เข้ายากไง มีปุโรหิตหลายคนที่ชนะสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ยอมทิ้งเหล่านั้น แล้วก็มาเชื่อในข่าวประเสริฐนี้  ยกตัวอย่างเช่นเปาโล เป็นต้น แล้วยังมีปุโรหิตอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมาย

ผมจะพาท่านไปดู เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ว่าคนเหล่านั้น ต้องมาเชื่อพระเยซูด้วยวิธีใด? อย่างไร? และสิ่งเหล่านี้ เอามาประยุกต์ใช้กับชีวิตของเราปัจจุบันได้ว่าถ้าเราจะเชื่อพระเยซู มันต้องหัวเด็ดตีนขาด คือเหมือนเพลงที่เราร้องกันเล่นๆ แต่ว่ามันเป็นจริงตามนั้น ที่ว่าร้องเล่นๆ เพราะเราไม่ได้ให้ความลึกซึ้งกับมัน เช่นเวลารับบัพติศมาในน้ำ แล้วเราร้องเพลงว่าอะไรนะ?

“ฉันตัดสินใจแล้ว    จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว    จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว    จะตามพระเยซู

ไม่หันกลับเลย        ไม่หันกลับเลย”

เราร้องไป เหมือนเราร้องไปปากเปล่าๆ ท่านตัดสินใจ หมายถึงอะไรรู้หรือเปล่า? ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่หันกลับไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะเดินต่อไป และถ้าคนทำอย่างนี้ ไปเรื่อยๆ มันจะเกิดการบังเกิดใหม่ในอนาคต ไม่หันกลับเลย แต่หลายคนไปยังไม่ทันเกิดใหม่เลย กลับ เพราะกลับไปบ้าน เจอการข่มเหงรังแก กลับไปในสังคมแบบเดิม กลับไปที่ที่ทำงานเดิม ที่ทำงานก็รับเราไม่ได้ หรือเรารับเขาไม่ได้ ในที่สุด เราต้องเลือก จะเอาสังคม ชื่อเสียง เพื่อนฝูง ในอดีต หรือจะเอาไข่มุกเม็ดงาม คือพระเยซูคริสต์ ต้องเลือกเอาอันใดอันหนึ่ง นี่แหละเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น สรุปตรงนี้สั้นๆ ว่าพระคุณพระเจ้าให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ โดยข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระเราให้พ้นจากความบาป บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว และให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มันเกิดขึ้นทันทีทันใด เมื่อข่าวดีมันไหลลงไปในวิญญาณของคนใดคนหนึ่ง และพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ ปิ๊ง ออกมาในขณะนั้น ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เขาได้เป็นอย่างนั้นทันที เป็นลูกพระเจ้าที่ดำเนินอยู่บนโลกนี้ ทันทีที่พระคัมภีร์เรียกว่าท่านไม่รู้เหรอ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน วิธีที่ให้พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ก็เพียงแค่รักษาข่าวประเสริฐนี้ไว้ ไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะไหลทิ้ง หรือลึกลงไปเมื่อไร? ตอนไหน? ไม่ต้องสนใจ สนใจแค่ …

“ฉันจะรักษาไว้ รักษาไปเรื่อยๆ ฉันจะไม่ทอดทิ้งเรื่องนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะต่อต้าน ฉันจะรักษาไว้”นล็น

มันจะเกิดขึ้นในวันหนึ่ง ไม่รู้เมื่อไร?

หลับๆ ตื่นๆ แล้วเมล็ดนั้น มันก็ออกมาเป็นต้นไม้ เขาเรียกว่าต้นแห่งความรอด

นี่เขาเรียกว่าพระคุณ ไม่ได้ทำอะไรเลย ขอพระเจ้าอย่างเดียว แล้วเฉยๆ รับข่าวประเสริฐไว้ แล้วรอ แค่นั้นเอง เมื่อเชื่อแล้ว เกิดใหม่แล้วยิ่งง่ายเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย พระคัมภีร์บอกอะไร? คนที่รักษาข่าวประเสริฐ จนกระทั่งได้เกิดใหม่ในวิญญาณ จนกระทั่งได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  เป็นอย่างไร? ท่านฟังถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้แล้ว ท่านจะตื่นเต้นมาก

“ฉันหายเหนื่อยและเป็นสุขตามที่พระเยซูบอกแล้วจริงๆ”

ในนี้พูดถึง “เรา” คือพูดถึงท่าน และผม และใครก็ตามที่เชื่อพระเยซู รับข่าวดีพระเยซู จนกระทั่งมันดิ่งลงไปในวิญญาณ และบังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ในโรม 8:31-39

โรม 8:31-39 “31 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ? 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย 35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  มิถุนายน  2018

เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ถึงช่วงที่สำคัญที่สุด คือช่วงแบ่งปันถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นอาหารทางฝ่ายวิญญาณของเรา พระเยซูบอกว่าความจริงทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ ความจริงจะทำให้ท่านมีสุข ไม่ถูกหลอกลวง และความจริงมาจากพระเยซู มาจากถ้อยคำของพระองค์นั่นเอง

วันนี้ ก็จะเป็นตอนของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้า ก่อนสร้างโลก และได้กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อน สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

พระคัมภีร์ทั้งเล่ม จะพุ่งไปประเด็นสำคัญตรงนี้ คือในพันธสัญญาเดิม ตรงที่ว่าข่าวดีหรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่สร้างโลก แต่ถูกปิดบังเอาไว้ก่อน รอถึงเวลาที่เหมาะสม ก็จะค่อยๆ เปิดเผยออกมา ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ หรือ “Prophet” คือผู้ที่พระเจ้าได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์จะให้อะไรเกิดขึ้นในอนาคต รอจนกระทั่ง พระเยซูมาทำให้สำเร็จนั่นเอง

“Prophet” คือผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้เป็นผู้ที่จะพูดข่าวสารที่พระองค์จะบอกกับมนุษย์ ให้คนนั้นพูดออกมา เรียกว่าเผยพระวจนะ พูดอนาคตว่าพระเจ้าจะทำอะไรบ้าง?  พระเยซูคริสต์จะมาเป็นอย่างไร? มาช่วยอย่างไร?  บอกเป็นแผนการลับ อยู่ในถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด

พอมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ ก็จะมาเน้นว่าข่าวดีที่ได้มีการบอกล่วงหน้า มีการเผยพระวจนะไว้ในพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา บัดนี้ เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว และถูกกระทำให้สำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน โดยพระเยซูคริสต์

ความจริงก็คือพระคัมภีร์เล่มนี้ทั้งหมดเป็นความจริง ความจริงทำให้เป็นไท เพราะความจริงจะทำให้ท่านรู้ว่าพระเจ้าทรงไถ่ถอนมนุษย์อย่างไร? วางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างไร?  และทั้งหมดนี้ ก็คือข่าวดีที่สำเร็จ ข่าวดีที่พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขนแล้ว พระเยซูเป็นผู้พูดเอง ประกาศว่าเราทำสำเร็จแล้ว ตามนั้นทุกประการ จุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่งก็จะไม่ลบเลือนหายไป  มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ จงเชื่อเถิด ถ้าใครเชื่อความจริงนี้ จะทำให้คนนั้นเป็นอิสระ

สมมุติว่าคนนี้เป็นหนี้ธนาคารอยู่ ก็ยังเป็นหนี้ธนาคารเหมือนเดิม แต่วิญญาณเป็นอิสรภาพแล้ว เดี๋ยวพระเจ้าก็จะนำพาไปลดหนี้ธนาคารทีหลัง บางคนก็บอกว่า …

“มาเชื่อพระเจ้าจะได้เป็นอิสรภาพ เป็นไทสักที ติดหนี้เขา จะได้หมดสักที”

อันนี้คนละเรื่องกัน ค่อยมารับพระพรทีหลัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ เมื่อพูดถึงข่าวดีของพระเจ้า

ถึงแม้เราจะได้เรียนรู้หัวใจสำคัญของพระคัมภีร์ไปแล้ว พูดซ้ำๆ ขนาดนี้ ย้ำขนาดนี้ ไปแล้ว แต่ด้วยเนื้อหนังของเรา ร่างกาย ความคิด จิตใจเก่าๆ ของเรา ความเชื่อเก่าๆ ของเรา  และด้วยความมีจิตใต้สำนึกที่เป็นคนบาปอยู่ ยังหยั่งรากลึกในความรู้สึก ที่ไม่รู้สึกปลอดภัย รู้สึกเป็นคนไม่สะอาด ไม่เหมือนในพระคัมภีร์บอกเลย พระเยซูบอกว่าไถ่ จนกระทั่งวิญญาณสะอาดหมด เรารู้สึกมันไม่สะอาดเลย ความรู้สึกในจิตใต้สำนึกนี้ มันลึกๆ ยังอยู่ในมนุษย์ทุกคน แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้วก็ตาม  มันก็เลยทำให้คนเชื่อในถ้อยคำพระเจ้ายาก เราที่เป็นลูกพระเจ้า หลายอย่าง เรายังยาก แล้วคนที่ไม่รู้เลย ไม่ได้เรียนข่าวประเสริฐเลย ยิ่งเชื่อในข่าวดีนี้ยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจเกิดขึ้น ทางโลกวิญญาณ

ยกตัวอย่างเช่นว่าเชื่อในข่าวดีนี้ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เชื่อจริงๆ นะ จะได้เกิดใหม่ทางวิญญาณ แค่นี้ก็เสร็จแล้ว แล้วเชื่ออย่างไร? เกิดอย่างไร? ขนาดนิโคเดมัสยังบอกว่าเกิดอย่างไร? ต้องมุดเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่งเหรอ ตามพระเยซู มันยาก แต่ไม่ยาก สำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้สำแดงความจริงนี้ เข้ามาในวิญญาณของเรา ให้เรารู้ ถ้าคนนั้นสนใจจริงๆ แสวงหาพระเจ้า แสวงหาความจริง คนนั้นจะพบพระองค์ แสวงหา ก็จะพบ เคาะ ก็จะถูกเปิดให้กับเขา ขอแล้วเขาจะได้ ทั้งหมดนี้พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ที่จะทะลุไปถึงความจริงแห่งพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซู เพื่อเขาเป็นไท เคาะบ่อยๆ เคาะตลอดเวลา ก็จะถูกเปิดให้เขา ใครที่ขอและขอตลอดเวลา ก็จะถูกประทานให้ตลอดเวลา

ใครที่แสวงหาตลอดเวลา แสวงหาไม่หยุด หาต่อเนื่อง เขาก็จะได้พบอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ นี่พูดถึงภาษาเดิม ในมัทธิว บทที่ 7 ตรงนี้ แปลว่าอย่างนี้ ถ้าทำอยู่เรื่อยๆ ก็จะได้เรื่อยๆ ตอนนี้เรากำลังทำอยู่เรื่อยๆ เราก็พูดแต่เรื่องนี้เรื่อยๆ พอถึงวันอาทิตย์ทีหนึ่ง เราก็มาพูดถึง บรรยายถึงถ้อยคำพระเจ้า เกี่ยวกับข่าวดีนี้ ก็ฟังแต่เรื่องข่าวดีนี้ว่าพระเยซูทำอะไรบ้าง? ฟังมาเป็นเวลา 30, 40 ปี บางคน 50 ปี ฟังมาแล้ว 5 ปี กลับบ้านก็ยังไปฟังอีก อ่านอีก ก็ฟังแต่เรื่องนี้ เรื่องเดียว ท่านกำลังหาและหาต่อเนื่อง ท่านกำลังเคาะ และเคาะต่อเนื่อง ท่านกำลังขอ และขอต่อเนื่อง ขอรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความจริงในสวรรค์สถาน ท่านก็จะได้รับจากพระเจ้า ต่อเนื่องเรื่อยๆ ก็เจริญเติบโตขึ้น เข้าไปในความจริง ก็จะทำให้ท่านเป็นไทมากขึ้น  เอเมน

บางทีก่อนนอน ผมก็คิดตรงนี้ พระเจ้าอยากรู้จริงๆ นานเท่าไรก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ มันก็รู้เรื่องนี้ขึ้นมา  ไม่เคยหยุดอ่านพระคัมภีร์ ไม่เคยหยุดอธิษฐานขอ ไม่เคยหยุดที่จะคิดว่าอาณาจักรสวรรค์มันเป็นอย่างไร? ขนาดเดินเที่ยว เดินซื้อของ เดินไปไหน? พอเห็นป้าย เห็นอะไรต่างๆ ก็จะคิดไปแต่เรื่องสวรรค์ นี่แหละ เขาเรียกว่าไม่ยอมหยุด ที่จะแสวงหา ที่จะเคาะ ที่จะขอ เราต้องมีอุปนิสัยอย่างนี้  เราจะได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้

พอคนมีพื้นเพของความเป็นคนบาป ตามพระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป แม้ว่าจะเชื่อพระเจ้าก็จริง ก็รู้สึกตัวเองสกปรก ก็เลยมีหลายคน เมื่อมาเชื่อพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  แต่คงพยายามที่จะขวนขวาย ทำอะไรต่อมิอะไร ด้วยตัวเอง เพิ่มเติม เพื่อให้ตัวเองรอดพ้น จากบาป เวรกรรมอีก ก็คือพระเยซูทำให้บนไม้กางเขน พระองค์บอกสำเร็จหมด เรียบร้อยแล้ว เรายังไม่พอ ขอทำอีก ทั้งที่รู้หรือไม่รู้ก็ตาม มันยังไม่พอ พระองค์บอกว่าปลดปล่อยเราออกจากกฎต่างๆ เรากลับไปเพิ่มกฎอีกนิดหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าทำตามกฎ แล้วรู้สึกสบายดี รู้สึกว่าตัวเองสะอาดขึ้น

ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ก็บอกชัดเจนว่าพระเยซูมายกเลิกกฎเกณฑ์ทุกอย่างแล้ว ทรงฉีกกรมธรรม์ ที่ผูกมัดเอาไว้ เอาไปตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว แต่เราก็ยังไม่วายที่จะมีคนเอากฎเกณฑ์เหล่านี้ กลับมาให้กับเราอีก หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง เอากลับมาใช้อีก เอามาตั้งเป็นข้อบัญญัติของตัวเอง เป็นข้อห้ามของตัวเอง แล้วก็สอนต่อๆ กันไปจนกระทั่งวุ่นวายกันไปหมด

ยังจำได้ไหมครับว่าที่ผมยกตัวอย่างครั้งที่แล้วว่าถ้าลองไปค้นหา ในอินเตอร์เนต โดยเฉพาะในพันธุ์ทิพ กระทู้เกี่ยวกับคริสเตียนจะมีคนถามเยอะแยะไปหมดว่าคริสเตียนทำนี่ได้ไหม? ทำอย่างโน้นผิดไหม? ทำอย่างนั้นบาปไหม? แต่ก่อนยังไม่คิดมากขนาดนี้ แต่พอเป็นคริสเตียนยุ่งไปหมดเลย

อย่างเช่น ไปร่วมงานบวชได้ไหม? ไปร่วมงานศพได้ไหม? ทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพได้ไหม? ไม่ออกไปประกาศกับเขาได้ไหม? ไม่ถวายสิบลด ผิดไหม? ต้องกลายเป็นคริสเตียนที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อีกครั้งหนึ่ง และมากกว่าเก่าด้วย แทนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว จะหายเหนื่อยและเป็นสุขตามที่พระเจ้าบอก ตามที่พระเยซูสัญญาไว้ ก็เลยกลายเป็นมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น เพราะยังต้องแบกภาระหนักต่อไป และหนักมากขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก

หัวข้อบรรยายวันนี้ คือ “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูบอกเป็นไทแล้ว เป็นอิสรภาพ รอดพ้นจากกฎแห่งบาปและความตายแล้ว วิญญาณเราเป็นไทอย่างแท้จริง  นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับโลกนี้ ที่เรายังไม่เป็นไท อย่างเช่น เป็นหนี้ธนาคารอยู่ หรือถูกจองจำอยู่ เพราะเราทำผิดกฎหมาย คนละเรื่องกัน

เราเป็นไทแล้วในฝ่ายวิญญาณจริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ยังสามารถทำให้ร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้รับอิสรภาพและเป็นไทได้ด้วยจริงๆ แต่เวลาดำเนินชีวิต เราไม่เห็นดำเนินตามถ้อยคำพระเจ้าที่ตะกี้เราพูดเลย เราไม่อิสระ ทำอันนี้ เราก็กลัว เราทำอันนั้น เรายังกลัวอยู่เลย นั่นแหละ เราเป็นคนเลือกว่าเราจะเป็นอิสระตามถ้อยคำพระเจ้า หรือเราจะไม่เป็นอิสระ เราจะยังอยู่ในบทบัญญัติ กฎหมาย หรือว่าอยู่ในที่จองจำต่อไป มันขึ้นอยู่กับตัวเรา เรามีสิทธิ์ที่จะทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ด้วยตัวเราเอง อย่างเช่นคอยหวาดระแวง เป็นกังวลว่าอันโน้นทำได้ไหม? อันนี้ทำได้ไหม? กลัวจะสูญเสียความรอดไป พอมาเชื่อพระเยซูปุ๊บ ได้รับความรอด จากนั้นอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นวิตกกังวลหนักกว่าเก่าอีก เพราะกลัวจะเสียความรอด

ก่อนมาเชื่อพระเยซู ทุกข์แค่ว่าเวรกรรมเมื่อไรจะใช้หมด ตอนนี้ทุกข์ 2 แห่ง ก็คือเชื่อพระเยซูแล้ว เชื่อว่าบาปเวรกรรมตัวเองก็ยังไม่หมด ต้องทำด้วยตัวเองไม่พอ ความรอดที่พระเยซูเคยให้มา ที่เชื่อว่าพระเยซูให้แล้ว ทำอันนี้ เดี๋ยวมันจะหายไปไหม? ยิ่งกลัวดับเบิ้ลกลัว นี่คือความกังวลซ้อนกังวล ที่อยู่ในจิตใจของลูกพระเจ้า ที่เรียกว่าเป็นคริสเตียน  ที่ยังไม่รู้ความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่รู้ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าอย่างลึกๆ ว่ามันคืออะไร? กังวลว่าจะสูญเสียความรอดไป มีบางท่านมาปรึกษาผม เครียดมากเลย

“ช่วยอธิษฐานให้หนูหน่อย”

“เป็นอะไร?”

“หนูกังวลมากเลย นอนไม่หลับทุกคืน  อธิษฐาน ดึกดื่น”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“คือหนูกลัวว่าหนูจะตกนรก”

“แล้วหนูไปทำอะไรมา”

“ไม่ได้ทำอะไร? หนูรู้สึกว่าหนูกลัวว่าหนูจะไปทำอะไร? ที่จะทำให้หนูผิดสัญญากับพระเยซู กลัวตกนรก หนูเลยเครียด ทำให้นอนไม่หลับ”

“แล้วไปทำอะไรหรือยัง?”

“ยัง แต่กลัวจะไปทำ”

เป็นอย่างนี้จริงๆ ถึงอยากจะเล่าให้ฟังว่าเวลาเราไม่เป็น ก็ไม่เป็นไร แต่คนเป็น มันเครียดจริงๆ นอนไม่หลับเลย ไม่ใช่คนเดียว หลายคนเหมือนกัน เราจึงจำเป็นต้องมาศึกษาเรื่องนี้

ทุกเรื่องในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถ้าเราเข้าใจหลักการพื้นฐานในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่พระเจ้าแนะนำ สอน เราก็จะสามารถตัดสินใจได้ถูกในทุกพื้นที่ชีวิตว่าอะไรควรทำ? อะไรไม่ควรทำอย่างมีอิสรภาพ เราจะไม่ต้องไปวุ่นวายมากมาย เพราะเรามีฐานมั่นคง หลักการจากพระเจ้านำเรา

ยกตัวอย่างเช่น จะทำพิธีต่างๆ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทำได้ไหม? ผมต้องใส่คำนี้ว่า “จะทำพิธีอะไรเกี่ยวกับโลกวิญญาณ” ก็คือทำอะไรที่เล็งไปถึงโลกวิญญาณ

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง ก็คือ …

การไปดูหมอดู ก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณนะ

การถือโหราศาสตร์ ก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณ

การไปเข้าเจ้าเข้าทรงก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณ

ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่าทำอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ทำได้ไหม? เกี่ยวกับเรื่องนี้

ที่บ้านยังมีการไหว้ตามเทศกาลต่างๆ จะร่วมทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพได้ไหม?

ไปร่วมงานศพได้ไหม? แค่เรื่องงานศพนะ กระทู้ที่มีคนตั้งคำถามว่าคริสเตียนไปร่วมงานศพ ที่วัดได้ไหม? ปรากฎว่ามีคนช่วยกันตอบเยอะแยะมากมาย มีตั้งแต่บอกอย่างนี้ว่าไปไม่ได้ อีกคนหนึ่งมาตอบว่าไปได้ แต่ไม่เข้าร่วมพิธี อีกคนบอก แค่ไปให้เจ้าภาพเห็นหน้าเฉยๆ ก็พอ ไปร่วมได้ แต่ห้ามกราบศพ … กราบศพ ก็ได้ แต่ห้ามจุดธูป จุดธูป ก็ได้ แต่อย่าเกิน 2 ดอก นี่มันถูกจองจำชัดๆ หนักกว่าเดิม

ซื้อล๊อตเตอร์รี่ได้ไหม?  บางคนก็บอกซื้อไม่ได้ พระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? พระเยซูตรัสว่า …

“จงระวังเว้นเสียจากความโลภทุกชนิด ระวังห่างจากความโลภทุกชนิด”

เพราะฉะนั้น สรุปซื้อล๊อตเตอร์รี่ไม่ได้ ซึ่งเอาว่ากันตามจริงๆ ไม่ต้องซื้อล๊อตเตอร์รี่หรอก ก็สามารถโลภได้เหมือนกัน ถวายเงินให้โบสถ์ โลภได้ไหม? ได้ ไม่ว่าจะซื้อล๊อตเตอร์รี่หรือถวายทรัพย์ ก็โลภได้เท่ากัน ถ้าจะโลภ ไม่ได้อยู่ที่ล๊อตเตอร์รี่ ไม่ได้อยู่ที่ถวายทรัพย์

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจในพื้นฐานของคำสอน ความจริงในพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้ง เราก็จะสามารถตอบคำถามต่างๆ เหล่านี้ได้หมด

พื้นฐานของคำตอบที่เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ มีบันทึกไว้ใน 1 โครินธ์ 10:23 ที่ครั้งที่แล้ว เราได้คุยกันนิดหนึ่ง เรามาดู …

1 โครินธ์ 10:23 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

หลายสิ่งหลายอย่าง ที่ในสมัยพันธสัญญาเดิม เป็นบทบัญญัติที่จำเป็นต้องปฎิบัติตาม ถ้าไม่ทำตาม หรือฝ่าฝืน ถูกลงโทษ ที่เรียกว่ากฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน นั่นคือตอนที่พระเยซูยังทำไม่สำเร็จ พระเยซูยังไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ ยังไม่ตายที่ไม้กางเขน แต่พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ หลังที่พระเยซูได้ Tetelestai ได้ทำสำเร็จ การงานของพระองค์ที่ไม้กางเขนแล้ว คือทำให้พันธสัญญาของพระเจ้าสำเร็จ ตามที่ได้สัญญาไว้ ตั้งแต่ก่อนหน้าโน้น กฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็ถูกลบล้างไปแล้ว กลายมาเป็นยุคกฎแห่งพระคุณ คือให้เปล่าๆ นี่คือหลักการ ซึ่งในยุคแห่งพระคุณนี้ เราไม่ได้อยู่ใต้กฎเกณฑ์ ไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติอีกต่อไปแล้ว ไม่มีคำว่า “ต้องทำ”  ไม่มีคำว่า “ห้ามทำ” มิฉะนั้น จะถูกลงโทษ ไม่อีกแล้ว แต่เราจะทำทุกอย่างด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ที่บอกสำเร็จแล้วเท่านั้น ทำด้วยความรัก ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว และด้วยความเสียสละ เห็นแก่ผู้อื่นก่อนเสมอ นี่คือหลักการ อิสรภาพอยู่ตรงนี้

เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อในข่าวดีทุกคน หรือเรียกว่าคริสเตียนทุกคน สามารถทำอะไรก็ได้ แต่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อในวิญญาณ พระเยซูเป็นพระเจ้า เป็นผู้ช่วยให้รอด และกระทำทุกสิ่งด้วยความรักแท้จริง จากวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ข้างใน ด้วยความเชื่อ เป็นวิญญาณที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิใดๆ ตามพระคัมภีร์บอก เป็นวิญญาณของความรักแท้ของพระเจ้า ที่อยู่ในเรา ที่เสียสละเหมือนพระเยซูนั่นแหละ ถ้าทำจากตรงนั้น มันถูกหมด ได้หมด เอเมน

นี่คือความหมายที่บอกว่าเมื่อพระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว เราก็ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทแล้วจริงๆ ตรงวิญญาณข้างในเรา เรารู้ว่าเราเป็นใคร รู้ว่าเรากำลังทำด้วยความรักแท้จริง  ไม่เห็นแก่ตัว คำตอบที่ว่าจะทำอะไรได้หรือไม่? เราไม่ได้ตอบจากกฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับใดๆ เรารู้จากข้างในวิญญาณเรา ขณะที่ทำ เพราะฉะนั้น อะไรจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม แต่วิญญาณข้างในมันไม่เปลี่ยน เหตุการณ์อาจจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วกับเดี๋ยวนี้ ต่างกันเยอะ จากนี้ต่อไปอีกพันปีก็ต่างกันเยอะ แต่พื้นฐานพระเยซูทำให้เราเป็นไท เป็นอิสรภาพ โดยวิญญาณ ที่ไม้กางเขนนั้น มันไม่เปลี่ยนแปลงเลย เพราะฉะนั้น ใช้ฐานนี้ สามารถใช้ได้ทุกเรื่องทุกราว ถูกหมด เอเมน

มีข้อหนึ่งที่จะให้ท่านเห็นว่ากฎเกณฑ์ ฐานที่ท่านควรจะเอาไปเทียบกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ การมีอิสรภาพทางวิญญาณ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นอย่างไร? คือในหนังสือกาลาเทีย 5:13-15

กาลาเทีย 5:13-15 “13 พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้น ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก 14 บทบัญญัติทั้งหมด สรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 15 หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดี จะย่อยยับไปตามๆ กัน

 

ท่านต้องเอาฐาน 2 ข้อนี้ไปดูบ่อยๆ ว่ามันคืออะไร? ฐานนี้จะทำให้ท่านไปไหนก็ได้ ไม่ต้องถามใครแล้วว่าตรงนี้ทำได้ไหม? เป็นงานศพได้ไหม? ไปวัดได้ไหม? ไปอะไรได้ไหม?  ท่านจะรู้จากข้างในว่าอยู่ในเกณฑ์นี้ไหม? อยู่ในเกณฑ์อิสรภาพแบบนี้ไหม? ท่านมีอิสรภาพ อิสรภาพท่านอยู่ในเกณฑ์แบบผู้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นอิสรภาพจริงๆ จากกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางวิญญาณ ในวิญญาณของเราที่มันเปลี่ยนไป หลุดพ้นด้วยการเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเท่านั้น เราจึงมีอิสรภาพ ไม่ใช่ด้วยวิธีอะไรอื่นๆ ไม่ใช่ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ หรือวิธีไปพยายามว่ามันถูกไหม? มันได้ไหม? อย่างนี้มันทำได้ไหม? ไม่ใช่ แต่ด้วยอิสรภาพทางวิญญาณ ท่านรู้จริงๆ ทางโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใคร? ในพระคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ท่านเป็นอิสรภาพแล้ว ก่อนจะเชื่อพระเยซู วิญญาณเราอยู่ในที่จองจำ พระคัมภีร์บอกว่าเหมือนอยู่ในคุก พอเราเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ มันจะเกิดการบังเกิดใหม่ มีฤทธิ์ขึ้นใหม่ในวิญญาณของเรา คือพระเจ้าทำให้วิญญาณที่เราตายไปแล้วนั้น มันเกิดใหม่ หลุดออกมาจากคุก กลายเป็นอิสรภาพ มีเสรีภาพ เหมือนคนที่ติดคุกอยู่ แล้วออกจากคุกมา อย่างนั้นเลยในโลกวิญญาณ ท่านต้องเห็นภาพนั้นให้ได้ว่าในวิญญาณท่านเป็นอะไรตอนนี้

ความรอดจากบาป การออกจากที่จองจำในโลกวิญญาณ มันจะเกิดขึ้นได้ทางเดียวเท่านั้น คือโดยทางความเชื่อในพระเยซู และได้บังเกิดใหม่เท่านั้น มันถึงจะเป็นอิสระได้ เชื่อในข่าวดี หรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น

ขั้นตอนที่ 1 คนนั้น เริ่มได้ยินข่าวดี มีคนมาพูดถึงข่าวดี ไม่ว่าจะเป็นทางไหน? จะอ่านเอาเอง จะฟัง จะมีคนมาบอก ฟังจากวิทยุ ฟังจากทีวี อ่านหนังสือด้วยตัวเอง อ่านหนังสือพิมพ์ มันมีข้อมูลข่าวสาร ข่าวดีของพระเยซูเข้ามาหาคนนั้น

ขั้นตอนที่ 2 คนนั้น ไม่ปฏิเสธข่าวดีนี้ เริ่มต้นด้วยการรับรู้ เริ่มต้นเชื่อ และเก็บรักษาความเชื่อ ข่าวดีไว้ในใจ

ขั้นตอนที่ 3 คนนั้น เก็บเอาไว้ จนกระทั่งความเชื่อที่เขาเก็บเอาไว้ และเริ่มต้นได้รับมา มันดิ่งลงไปในวิญญาณ ดิ่งลงไปในใจลึกๆ สำแดงออกมาเป็นการเนรมิต เรียกว่าครีเอชั่น เรียกว่าเหมือนตอนที่พระเจ้าสร้างโลก คล้ายๆ อย่างนั้น คือเกิดการบังเกิดใหม่ขึ้นมาในวิญญาณ กลายเป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งตามพระคัมภีร์โรม 10:9-10 บอกไว้อย่างนั้น

โรม 10:9-10 “9 ถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด”

 

เมื่อท่านเริ่มรับเชื่อ รักษามันไว้ให้ดีๆ เก็บเมล็ดพันธุ์นั้น ที่มีคนหว่านมาทางวิญญาณ แล้วก็บ่มมันไว้ ไม่ทิ้งไปไหนเลย ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบากอะไร ก็จะเก็บไว้ ไม่เข้าใจ มีคนว่าก็จะเก็บไว้ มีคนบอกไอ้โง่ ก็จะเก็บไว้ ยังไม่ได้ตามที่อยากได้ ก็เก็บอยู่ ไม่ทิ้ง วันหนึ่งมันต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี ข่าวดีมาจากพระเจ้าแน่นอน ถ้าท่านไม่ทิ้งมัน เกิดผลแน่นอน มันก็จะเกิดเป็นการเกิดใหม่ในวิญญาณ เรารู้ว่าเริ่มต้นรับรู้เมื่อไร? พอจะจำได้บ้าง? แต่เราไม่รู้ว่าจริงๆ วันที่เมล็ดนี้งอกทางวิญญาณ เปรี้ยงขึ้นมา เป็นต้นไม้นี้  วันที่ใบเล็กๆ มันโผล่มา ไม่รู้ว่ามันเป็นเมื่อไร? แต่นี่มันชัดเจน

และเมื่อบังเกิด 3 ขั้นตอนนี้  เกิดขึ้นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ท่านก็จะมีสถานะเป็นลูกของพระเจ้าตลอดไป  ไม่มีเปลี่ยนกลับไปกลับมาอีกแล้ว ตามพระคัมภีร์เลย

ตัวอย่าง โต๋เป็นลูกผม เพราะเกิดมาเป็นลูก ไม่ใช่เพราะเขาไปทำอะไรมา ถึงมาเป็นลูกเรา เราเตือนเขาว่าอย่าไปเล่นตรงกองไม้ กำลังซ่อมแซมบ้าน มีตะปูระวัง เดี๋ยวมันจะทิ่มเท้า เราบอกอย่าไปนะ แล้วเขาก็ไม่เชื่อฟัง เขาก็ไปเหยียบตะปู เลือดไหล ทันทีทันใด เรากลับมา เลยบอกว่าเลิก ไม่ต้องเป็นลูกแล้ว เป็นไปไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน เขาก็เจ็บปวดไป แต่เขาก็ยังเป็นลูกอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรตัดเขาออกจากการเป็นลูกของเราได้เลย ต่อให้เขาทำมากกว่านั้น เขาก็ยังเป็นลูกเรา

ลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ที่เขาไม่เชื่อฟัง ทำให้เกิดความทุกข์ลำบาก เจ็บตัวมากขึ้น  ลำบากมากขึ้นในชีวิตของเขานั่นเอง

พระคุณ คือการให้เปล่าๆ ให้ด้วยความรักแท้จริง เราได้มาเป็นลูกของพระเจ้า  เกิดใหม่ในวิญญาณ ด้วยการกระทำของเราหรือ? ไม่ใช่ ด้วยพระคุณ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้เราฟรีๆ ไม่ใช่ด้วยการกระทำสิ่งใดๆ เลย เราได้มาเป็นลูกพระเจ้า ไม่ใช่เป็นคนดี มาตลอดชีวิตเรา พระเจ้าจึง เรียกเรามาเป็นลูกพระองค์ เปล่าเลย พระเยซูตายตั้งแต่เรายังไม่เกิดเป็นมนุษย์เลย เราก็สกปรกเท่ากับคนอื่นเขาทั่วๆ ไป พระคัมภีร์บอกว่าทุกคนเป็นคนบาป ไม่มีบาปน้อย บาปมาก ทุกคนเป็นคนบาปเท่ากันหมด พระเยซูตายเพื่อคนบาป ตายเพื่อเรา ฉันใดฉันนั้น การกระทำสิ่งใดๆ ก็ไม่สามารถให้เราขาดจากการเป็นลูกของพระเจ้า แม้แต่นิดเดียว มันจึงไม่มีการกลับไปกลับมา ถ้าเกิดใหม่ ท่านก็เกิดใหม่ ไม่เกิดใหม่ ก็คือไม่เกิดใหม่ พระเจ้าเองได้ตรัสเสมอว่า …

“พระคุณ ความรักของพระองค์ใหญ่หลวง และไม่มีวันสิ้นสุด อยู่นิรันดร์เลย” เอเมน ฮาเลลูยา

พูดทั้งเล่มเลย ตั้งแต่พระคัมภีร์เก่า บอกล่วงหน้า พระคุณความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ที่เป็นคนบาปนั้น อยู่นิรันดร์กาล ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อพระคุณไม่มีวันสิ้นสุด การเป็นลูกของพระเจ้า ก็ไม่มีวันหมดไป ไม่ว่าคุณจะไปทำอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้น ไม่ว่าบาปอะไร? ใหญ่ขนาดไหน? จะแดงเหมือนเลือดนกขนาดไหน ก็ตาม? ที่พูดนี้มาจากพระคัมภีร์ทั้งนั้น  พระคุณของพระเจ้า ที่สำแดงผ่านทางพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ก็สามารถชำระล้างได้ ให้ขาวเหมือนหิมะ

นี่คือพื้นฐาน พระคัมภีร์บอกว่าบาปทั้งปวง ทั้งหมดของมนุษยชาติ อภัยให้หมดแล้วที่ไม้กางเขน ทำสำเร็จแล้ว มนุษย์เป็นอิสรภาพจากบาปแล้ว แต่ว่ามีบาปอีกชนิดหนึ่ง เป็นชนิดเดียวเท่านั้น ที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถได้รับการอภัย บาปที่ร้ายแรงที่สุด อันตรายที่สุด นั่นก็คือบาปแห่งการไม่เชื่อข่าวดี ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ความหมาย ก็คือไม่เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์นั่นเอง ไม่เชื่อในพระคุณของพระเจ้า นี่คือบาปอันเดียว ในพระคัมภีร์บอกว่าอันนี้ ทำให้ตาย ร้ายแรงที่สุด คือปฏิเสธพระเจ้า ไม่ยอมรับพระเยซู

ผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ฮีบรู 6:4-6  ก่อนอ่านเรื่องนี้ เล่าให้ฟังถึงภูมิหลังของจดหมายที่ได้เขียนถึงชาวยิวเหล่านี้ มันเป็นลักษณะอย่างไร?  คือฮีบรู เป็นหนังสือสอนข่าวประเสริฐให้กับชาวยิว  ชาวยิวคุ้นเคยกับพระเจ้ามากเลย จดหมายนี้เขียนไปถึงชาวยิว 3 ประเภท

ประเภทที่ 1 ยิวที่เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นคนที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ถึงขั้นตอนที่ 3 แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว คำว่าเป็นคริสเตียน ผมหมายถึงเป็นจริงๆ เชื่อ บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ เป็นลูกพระเจ้าตลอดไปเลย

ประเภทที่ 2 ยิวที่กำลังเริ่มต้นรับรู้ความจริงเรื่องพระเยซู กำลังเสาะแสวงหาพระเยซู กำลังเรียนรู้พระเยซู ยอมรับในข่าวดีของพระเยซู แต่มันยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ยังไม่ถึงเวลานั้น กำลังดูๆ อยู่ เอาอย่างไรดี ถูกเขาว่ามาอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น ต้องกลับไปทำพิธีถวายสัตว์ ถ้าไม่ทำ พ่อแม่ก็ไม่ยอม ไม่ถวาย เอาเลือดไปที่วิหาร ฟาริสีที่รู้จักกัน ปุโรหิตที่รู้จักกัน ก็มาดุว่าหลุดจากพันธสัญญาเก่าไปแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็กลัวๆ กล้าๆ แต่ขณะเดียวกัน ข่าวประเสริฐก็ถูกดี เพื่อนเรายังเชื่อเลย  แล้วเราเห็นพระเยซูเดินต่อหน้า พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ เราเห็นพระเยซูทำอัศจรรย์ เรียกคนตายให้ฟื้น พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ แล้วที่ทำในอดีตเล็งถึงพระองค์ น่าเชื่อถือ กลับมาถึงบ้านปุ๊บ มาเจอพ่อแม่หัวเก่า บอกว่า …

“ทำอย่างนี้เธอตกนรกแน่ เธอต้องไปขอขมาต่อพระเจ้า ทำไม่ได้”

มันยุ่งไปหมดเลย ก็เลยกล้ำๆ กลึ่งๆ จะไปทางไหนดี ไปนั้นดี ไปนี้ดี ก็เลยยังไม่ดิ่งลงไป แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังไม่ทิ้งวันสะบาโต บางคนก็ไม่ต้องแอบ บางคนต้องแอบมานะ เดี๋ยวญาติพี่น้อง ฟาริสีที่รู้จักกัน หรือคนที่ต่อต้านพระเยซู เขาจะข่มเหง เขาจะว่ากล่าว ดุอะไรต่างๆ ก็ว่าไป ต้องแอบเข้ามาสู่ที่ชุมนุม … “ที่ชุมนุม” คืออะไร? มันไม่ใช่โบสถ์นะ มันคือที่ประชุมของคนที่เชื่อในข่าวดีนี้ และจะมีคนที่เชื่อในข่าวดีนี้  มาสอน แบบในหนังสือฮีบรู คล้ายๆ กับมีเปาโลมาสอนให้ฟัง เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีนี้ว่าพระเยซู คือใคร? พระองค์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนอย่างไร? โมเสสเล็งให้เห็นถึงพระเยซูทั้งสิ้น การกระทำในอดีต ในบัญญัติต่างๆ ที่พระเจ้าสั่งไว้นั้น  ทำให้เล็งเห็นถึงว่าพระเยซูจะเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน  และทำให้สำเร็จ เมื่อพระเยซูทำสำเร็จแล้ว เราก็ไม่กลับไปทำอย่างนั้น อีกต่อไป พวกนี้ก็ต้องแอบไปฟัง เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า

พอฟังเสร็จ ก็ต้องกลับมาอยู่ท่ามกลางบรรดายิวทั้งหลาย ที่ยังปฏิเสธพระเยซูอยู่ ท่านพอเห็นไหม? หลายคนก็ยังไม่ตัดสินใจแน่นอน ยังรอวันที่เมล็ดพันธุ์ข่าวประเสริฐ จะเป็นผลขึ้นมา คือบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็เป็นพวกที่สอง

ประเภทที่ 3 คือพวกที่เป็นยิว และยังปฏิเสธพระเยซู เป็นยิวกลุ่มเดียวกับที่ใส่ร้ายพระเยซู ให้จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน เพราะหาว่าพระเยซูหมิ่นประมาทพระเจ้า หาว่าพระเยซู อ้างตัวเองว่าเป็นลูกพระเจ้า ปฏิเสธเด็ดขาด 100% ไม่สนใจข่าวประเสริฐด้วย

เพราะฉะนั้น จดหมายนี้เขียนไปถึง 3 พวกนี้ ที่เป็นยิวทั้งหมด ใต้พื้นฐานเดียวกัน ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้ศาสนายิวเก่าทั้งสิ้น พอเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ? ดูสิว่าในนี้ คนที่เขียนไป เขาเตือนไว้ว่าอย่างไร? ฮีบรู 6:4-6 …

ฮีบรู 6:4-6 “4 สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว  ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์  ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า 6 หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

 

อันนี้เขียนไปถึงพวกที่ 2 พวกที่เริ่มต้นด้วยความเชื่อ ยอมรับข่าวประเสริฐ แต่ยังไม่ตัดสินใจจริงๆ ยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ จนบังเกิดใหม่ บางคนในนี้อาจจะเห็นพระเยซูเดิน และเดินกับพระเยซู วันที่พระเยซูทำการอัศจรรย์ จริงๆ เลย เห็นกับตา เห็นเปโตรเรียกคนง่อยลุกขึ้นยืน ที่หน้าวิหาร เห็นพระวิญญาณลงมาในวันเพ็นเตคอส สาวกพูดภาษาต่างประเทศได้ โดยที่ไม่ได้เรียนมา พูดภาษาตุรกี ภาษาฮีบรู ทั้งที่ไม่ใช่คนฮีบรู พูดภาษากรีก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนกรีก พูดคล่องเลย อัศจรรย์ทั้งนั้น คนเหล่านี้เห็นหมด ผู้ที่เคยลิ้มรสเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า  และอนุภาพของยุคหน้า คือรู้เรื่องต่างๆ ที่พระเยซูอาจจะเป็นผู้พูดเองเลยก็ตาม ผมจะพูดให้ท่านฟังว่ายังอยู่ในสมัยของบางคนที่อายุยืน ยังอยู่ตรงนั้น เขาอาจจะได้ยิน หรือได้ยินจากอัครสาวกรุ่นแรกๆ หรือเขาอาจจะได้เห็นก็ตาม แต่เนื่องจาก อย่างที่บอก กลับมาที่บ้าน กลับมาที่สังคมเดิม หลายสิ่งหลายอย่างมันสู้กันจนกระทั่งเขาตัดสินใจยังไม่ถูก ไม่ใช่ไม่เอา แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี? ในนี้เตือน หากยังเตลิดไป ทำในสิ่งที่พระเยซูบอกเป็นอิสระแล้ว ก็เท่ากับไม่เชื่อพระเยซู กลับไปที่บ้าน ที่บ้านบอกว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องนำสัตว์ ไปให้ปุโรหิต และฆ่าถวายพระเจ้า เพื่อลบล้างบาปให้กับตัวเอง ที่ทำประจำมา แต่ก่อนนี้ตั้งนานแล้ว หลายปีแล้ว ปีนี้ก็ต้องทำนะ ในใจก็บอก …

“เอ๊! เราก็ได้ยินว่าพระเยซูชำระเราพ้นบาปให้เรียบร้อยแล้ว ตายที่ไม้กางเขนแล้ว” เข้าใจใช่ไหม? แต่ในความคิด เขาบอกว่า …

“มันจะจริงเหรอ!”

สรุปแล้ว ก็คืออาจจะไม่จริงก็ได้  เราต้องช่วยเหลือตัวเราเองสิ ก็คนข้างๆ พ่อแม่เราเอ่ย หรือปุโรหิต ก็บอกเราว่าเราต้องช่วยเหลือตัวเราเอง เราต้องเชื่อและรักษาบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด ก็เลยทำ ทำด้วยจิตใต้สำนึกที่ต้องการ เพื่อชำระบาปตัวเอง

ฟังให้ดีๆ ทำเพื่อต้องการชำระบาปของตนเอง ให้มันหมด ทั้งๆ ที่ข่าวประเสริฐบอกว่าพระเยซูชำระให้หมดแล้ว เหมือนเอาพระเยซูไปตรึงอีกครั้งหนึ่ง ทำให้พระเยซูได้รับความอับอาย เมื่อพระเยซูบอกว่าเราได้ไถ่บาปเจ้าหมดแล้ว เรากำลังบอกว่าไม่จริงหรอก ยังไม่หมดหรอก เพราะฉะนั้น เราต้องไปทำเอง เขาเรียกตบหน้าพระเยซูอย่างแรง คือพระเยซูพูดโกหก ไม่ได้เป็นพวกพระเยซู เป็นศัตรูต่อพระเยซู เป็นศัตรูต่อข่าวประเสริฐ

ผมยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ท่านจะเห็นชัดเองว่าสิ่งเหล่านี้ มันจึงเกิดขึ้นได้จากคนที่มารับข่าวประเสริฐแล้ว ยังไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหนดี อาจจะถูกทางโลกผลักดัน จนกระทั่งในที่สุดทิ้งข่าวประเสริฐ เตลิดไป ก็จะไม่มีอะไรช่วยเขาได้แล้ว เป็นบาปที่ร้ายแรงที่สุด คุณปฏิเสธพระเยซู ปฏิเสธพระคุณ ก็จะไม่มีใครมาช่วยแล้ว

มันเหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับโฮลี่ เมื่อหลายปีก่อน คนที่อยู่ที่นี่หลายคน ก็เป็นคนที่รักษาเมล็ดพันธุ์นี้ไว้ จนกระทั่งเกิดผล เป็นลูกพระเจ้า จนมาถึงทุกวันนี้ แต่ละคนที่เห็นอัศจรรย์พระเจ้า เห็นการวางมืออธิษฐาน การหายป่วยอย่างอัศจรรย์ ได้รับอัศจรรย์อย่างเยอะแยะ แล้วก็เตลิดไปในที่สุด ไปเจอสังคมทางโลก ข้อบังคับทางโลก ในที่สุดทิ้งพระเยซูไป ก็เยอะ ทั้งที่รับข่าว และก็เห็นกับตาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำอะไร? เมื่อหลายปี หลายคนที่นี่ ก็ได้รับอัศจรรย์อย่างนั้น และยังอยู่จนเกิดใหม่ หลายคนที่ได้รับแล้ว ไปเลย ก็มี หลายคนมาไม่รับ แล้วก็ไปเลย ก็มี คน 3 ประเภทเหมือนกันเลย

พระคัมภีร์จึงคอยย้ำเตือนให้เรามั่นคง ยืนอยู่ข้างพระเยซู ไม่เป็นศัตรูกับพระองค์ ถึงแม้ว่าความรู้สึก หรือตามที่ตามองเห็น จะไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของเรา แต่ก็จำเป็นที่ต้องยืนหยัดอยู่ในความเชื่อ อยู่ในข่าวดีที่พระเยซูได้ตรัส สำเร็จแล้วให้ได้ ตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ เราเชื่อตามนั้น  ไม่ว่าคิดออกหรือไม่ออก ไม่ว่าจะเห็นเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะแย้งกับสถานการณ์อย่างไร?  หรือไม่ว่าคนจะพูดอย่างไรใส่หู ก็ตาม ที่มันแย้ง เราต้องยืนหยัดในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าทั้งนั้น

อยากจะฝากข่าวสารนี้ไปถึง 3 ประเภทนี้ ก็คือ …

สำหรับพวกที่หนึ่ง ผู้ที่ปฎิเสธ ไม่ยอมรับข่าวเลย ซึ่งในพระคัมภีร์บอกอยู่ในการถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ยอมรับข่าวดี ไม่ฟังเลย  ก็อยากขอร้องให้ท่านกลับไปคิดให้ดีๆ ให้เวลากับเรื่องนี้สักหน่อย อย่าเพิ่งทิ้งไป

สำหรับพวกที่สอง ที่ยังไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า แต่เริ่มต้นเชื่อ เริ่มต้นยอมรับ อยู่ในระหว่างการรับรู้เรื่องข่าวดีของพระเยซูอย่างต่อเนื่อง ก็อยากจะบอกท่านว่าอย่าทิ้งความเชื่อในข่าวดีนี้ ที่ท่านได้รับมา อาจจะหลายวันก่อน หลายเดือนก่อน หลายปีก่อนก็ตาม มันได้เริ่มต้นไปแล้ว อย่าทิ้ง รักษาไว้ จนมันดิ่งลงไปในใจของท่าน ให้มันเกิดใหม่ จนเกิดเป็นการพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ นำไปสู่ความรอด บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า และท่านได้พักหายเหนื่อยและเป็นสุข ท่านจะได้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ทุกวันนี้ ท่านอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ

และในที่สุด สำหรับผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว รู้แล้วว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า ท่านไม่ไปไหนแล้ว ท่านก็อยู่ที่นี่ตลอดไป  แต่เนื่องจากเรายังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนัง มีเชื้อบาปอยู่ ก็อยากเตือนให้ท่านดำเนินชีวิต ด้วยความรัก ที่อยู่ในตัวเราที่เชื่อ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ด้วยอิสรภาพและเสรีภาพจริงๆ ในวิญญาณ อย่าตกเป็นทาสอะไรอีกต่อไป ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีสันติสุข มีความสงบสุข รอคอยวันข้างหน้า ด้วยความหวังเต็มล้น ที่จะได้อยู่กับพระเจ้าตลอดนิรันดร์ในสวรรค์สถาน คนที่เป็นลูกพระเจ้า จะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ทำความดีให้ที่สุด เท่าที่สามารถจะทำได้ ภายใต้พระคุณ และการถ่อมใจ … ถ่อมใจว่าที่ได้รับความรอดนี้ ไม่ใช่เพราะทำดี แต่เป็นเพราะพระคุณ ยิ่งทำดีมากเท่าไร? ต้องยิ่งถ่อมใจ เพราะทำดีไปเรื่อยๆ กลายเป็นหยิ่งยโส นึกว่ารอด เพราะว่าฉันเป็นคนดี อันนี้เสร็จอีกแล้ว กลับไป มันไม่ได้กลับไปที่เดิมนะ แต่มันทำให้เกิดความเสื่อมเสีย ไม่ได้พระพรเต็มที่ โดยเฉพาะคนที่กำลังศึกษา ยังไม่ได้เกิดเป็นลูกพระเจ้า ก็อาจกลายเป็นหลุดไปเลย ไปสู่ความเชื่ออีกแบบหนึ่ง

ทั้งหมดนี้ ให้เชื่อและมั่นใจในฤทธิ์อำนาจของพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเจ้าเท่านั้น ไม่พึ่งพาในการกระทำดีของเราเอง เราทำดี เพราะเราเป็นลูกแล้ว ไม่ใช่ทำดี เพราะเราอยากเป็นลูก เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2018 เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอน 3 “ข่าวดีจริงๆ คืออะไร?” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  พฤษภาคม  2018

เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ

กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู

ตอน 3 “ข่าวดีจริงๆ คืออะไร?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เรายังอยู่ในซีรี่ย์ “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะกับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอนนี้ตอนที่ 3 แล้ว ใช้ชื่อตอนว่า “ข่าวดีจริงๆ คืออะไร?” 2 สัปดาห์ที่แล้ว เราก็ได้เรียนรู้ความหมายของความแตกต่าง เรื่องการเผยพระวจนะกับข่าวดี เรื่องพระเยซู สรุปง่ายๆ ก็คือคำเผยพระวจนะเป็นพันธสัญญาของพระเจ้า ที่เตรียมการไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก และได้ถูกปิดบังเอาไว้ก่อน ยังไม่มีการเปิดเผย รอจนกระทั่งถึงเวลาที่เหมาะสม จึงเปิดเผยออกมาทีละเล็กทีละน้อย ทางผู้เผยพระวจนะ ที่เรียกว่า “Prophet” หรือที่พระเจ้าใช้ เป็นผู้บอกล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอนาคต ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งเอาไว้ นั่นคือแผนการ หรือข่าวดีที่ยังไม่สำเร็จ จนกระทั่งเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว สิ่งที่เรียกกันว่า “คำเผยพระวจนะ” หรือเรียกว่า “คำบอกล่วงหน้า” ก็เกิดขึ้นจริง คือพระบุตร พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ทนทุกข์ทรมาน และตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับโทษบาป ไม่ใช่ เพียงอิสราเอลเท่านั้น  แต่แทนมนุษยชาติทั้งปวง และ ณ เวลานั้น คำเผยพระวจนะหรือคำบอกล่วงหน้าที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม ก็ถูกเรียกใหม่ว่าเป็นข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ เพราะว่าแผนการของพระเจ้าที่บอกล่วงหน้าไว้ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว จึงกลายเป็นข่าวดี

พระคัมภีร์จึงบอกว่าให้ไปประกาศข่าวดีนี้ ต่อๆ ไปเรื่อยๆ จนสุดปลายแผ่นดินโลก ใครเชื่อในข่าวนี้ ก็ได้รับผลจากข่าวดีนี้ ได้รับสิทธิจากข่าวดีนี้ คือได้รับความรอด … รอดจากนรก รอดจากโทษของความบาป และได้รับอะไรเยอะแยะตามสิทธิที่บันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ หัวใจสำคัญของการประกาศข่าวดีนี้ ก็คือข่าวดีนี้ มันสำเร็จแล้วนั่นเอง Testelesti

แผนการที่พระเจ้าวางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก เพื่อจะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป รอดจากความทุกข์ทรมานทั้งฝ่ายจิตวิญญาณและฝ่ายร่างกาย มันสำเร็จแล้ว จบแล้ว นี่คือข่าวดี

แล้วทำไมเราต้องมาเรียนรู้กันเยอะแยะ ทำไมผมต้องมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวดีนี้ ก็เพราะว่าด้วยเนื้อหนังของเรา ที่เราเห็นกันอยู่นี้ ความเคยชินของเรา ที่เราเป็นกันอยู่ ดำเนินชีวิตกันอยู่ด้วยความเชื่อเก่าๆ ของเรา วัฒนธรรม ประเพณีเก่าๆ ที่เรา ดำเนินอยู่ตลอดมา ด้วยสำนึกในจิตใจเก่าๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งยังอยู่กับเรา สำนึกในจิตใจนี้ ที่หยั่งรากลึกมาถึงทุกวันนี้ มันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกเราว่าเราเป็นคนบาป มันจึงทำให้เราเชื่อเรื่องข่าวดีได้ยาก เชื่อในเรื่องฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐหรือข่าวดีนี้ ได้ยาก ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามันเป็นฤทธิ์เดช และเชื่อยาก มนุษย์ก็เลยมีความรู้สึกว่าอยากจะทำอะไรบางอย่างเพิ่มมากขึ้น เพื่อแลกกับความรอดที่ได้รับ แม้เชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ยังทำอยู่ อยากจะลบมันบ้าง เพราะมันเคยชินกับจิตใต้สำนึกอย่างนี้ พูดง่ายๆ ก็คือไม่เชื่อในข่าวดีจริงๆ ของพระเจ้า พระเยซู ปากก็บอกเชื่อ แต่ทนไม่ไหว เพราะฉะนั้น ผมจึงมาย้ำเรื่องนี้บ่อยๆ เรื่องสำคัญและย้ำตามพระคัมภีร์เลย  พระคัมภีร์ใหม่ ในจดหมายฝากของอาจารย์ต่างๆ จะเน้นเรื่องนี้มาก ให้ความสำคัญมาก พระเยซูเองก็ประกาศ สอนเรื่องนี้ ในพระกิตติคุณหลายๆ เล่ม ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ และสอนมนุษย์ด้วยตัวตนที่เป็นมนุษย์อยู่ พูดถึงเรื่องนี้เยอะเลย ยกตัวอย่างมากมายไปหมด บางคนคิดเอง ทำเองไม่พอ ไปสอนคนอื่นให้ทำอย่างนี้ด้วย

ผู้เชื่อใหม่บางคน เพิ่งมาเชื่อพระเจ้า พอมาเจอการสอนแบบใหม่นี้ หมายถึงแบบที่เสริมเอง เติมเอง ก็เข้าใจว่าคริสเตียนต้องทำแบบนี้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาเชื่อฟัง เพราะเขาเป็นผู้รับใช้ เขาอยู่บนเวทีต้องให้เกียรติ ต้องเชื่อ ก็ทำตาม ทำตามไม่พอ ยังสอนลูกสอนหลาน สอนผู้เชื่อใหม่ต่อๆ ไปอีก มันก็เลยเป็นหางว่าวไปยาวเลย นี่แหละคือความสำคัญ ที่ผมพยายามมาพูดย้ำบ่อยๆ แล้วพยายามทำให้มันละเอียด ก็เพราะอย่างนี้แหละ สอนกันต่อๆ มา หนักเข้าๆ ก็เลยกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นความเข้าใจผิดในวงกว้าง หลายๆ คนก็เลยคิดว่าพอมาเป็น คริสเตียน มาเป็นผู้เชื่อแล้ว มีกฎบังคับเต็มไปหมด ข้อห้ามเยอะแยะทั้งสิ่งที่ต้องทำ และสิ่งที่ห้ามทำ ใช่หรือไม่? ทุกคนคิดในใจอันนี้ต้องทำ อันนี้ห้ามทำ

ในขณะที่พระคัมภีร์บอกว่าให้เราประกาศข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีนี้ต่อๆ ไป พระเยซูเป็นผู้แรกที่ประกาศ บนโลกใบนี้เลยว่าสำเร็จแล้ว ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกนั้น มันจบแล้ว ช่วยเหลือมนุษย์ เป็นอิสรภาพแล้ว เราไม่มีบาปแล้ว มนุษย์ได้รับความรอดแล้ว จากการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ มนุษย์ได้รับการลบล้างบาปชั่วนิรันดร์แล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มจากนี้ มันสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ตามพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้น แต่ผู้เชื่อหลายคน ก็ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ห้ามทำ” “ต้องทำ” ก็คือกฎนั่นแหละ พระเยซูบอกว่าเป็นอิสระแล้ว แล้วมันคืออะไร?

มีผู้เชื่อใหม่หลายคน พอต้องมาเจอการสอนแบบนี้ ก็เริ่มรู้สึกอึดอัด ซึ่งในยุคนี้ พออึดอัดแล้ว ทำอย่างไร? ท่านก็กดไปทั้งไลน์ เฟสบุ๊ค พันธุ์ทิพย์ Google อยากรู้ว่าอะไรคือความจริง พออึดอัด ก็ต้องโพสต์ทั้งโซเซียนมีเดีย ตั้งกระทู้ เต็มไปหมด

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านฟังบางส่วนที่อ่านเจอมา และต่อไป ถ้าเราไม่แก้ไขเรื่องนี้ให้มีหลักฐานตามถ้อยคำพระคัมภีร์ ยิ่งเจริญเติบโตในประเพณีวัฒนธรรม ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุสิ่งของที่มันเจริญ ยุ่งไปหมดเลย คราวนี้ ข้อห้ามคงจะเยอะขึ้น มาเป็นคริสเตียนตอนนี้อาจจะมี 500 ข้อ อีก 5 ปีผ่านไป เมื่อเราไปอยู่ดวงจันทร์แล้ว คงจะเพิ่มไปอีกประมาณ 3,000 ข้อ เพราะเราไม่มีพื้นฐานที่ถูกต้อง จริงๆ ถ้าพื้นฐานถูกต้อง ไม่ว่ามันจผ่านไปอีกกี่ปี? มันก็ต้องเหมือนเดิม ตอนที่พระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือสำเร็จแล้ว ไม่ใช่นานๆ ไป เหลือครึ่งสำเร็จ

เรามาดูสิว่าผมไปเจออะไรมาบ้าง? มันตรงกับใจเราไหม? มีโพสต์อันนี้บอกว่า …

“อาจารย์ที่โบสถ์สอนว่าห้ามทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพ แต่ไม่กล้าบอกที่บ้าน ทำอย่างไรดี?”

ที่บ้านเขายังไหว้อยู่ แล้วเราก็นั่งอยู่ เขาก็กินกัน แต่อาจารย์บอกว่า “อย่ากิน” เราก็เลยกินไม่กิน? สรุปแล้ว ไม่บอก? แล้วแต่

“เป็นคริสเตียน บางคนบอกกินปลาดุกได้ บางคนบอกกินไม่ได้ สรุปว่ากินได้ไหมครับ? ปลาดุกฟูนี้อร่อยมาก ผมชอบ ขอคำแนะนำด้วยครับ?”

ใครที่กำลังมีแฟน อ่านตรงนี้ให้ดีๆ

“ให้คำแนะนำด้วยค่ะ แฟนยังไม่เชื่อพระเจ้า วางแผนเตรียมแต่งงาน แต่มีหลายคนเตือนอย่าเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ”

สะดุ้งโหยงเลย สรุปว่าแต่งไหม? ต่อไป

“เพื่อนๆ เรา ที่โบสถ์อื่น ต้องออกไปประกาศกันหรือเปล่าค่ะ บางอาทิตย์ทำงานเหนื่อยมาก แต่โดนตามตลอด บังคับให้ไปประกาศ การประกาศเกี่ยวกับความเชื่อ ความรอดไหมค่ะ?” คุ้นๆ ไหม?

“เป็นคริสเตียนเล่นน้ำสงกรานต์ ตามประเพณีไทยได้ไหม?”

“มีญาติจะบวช แม่ให้ไปร่วมงานที่วัดด้วย แต่พี่เลี้ยงที่โบสถ์บอกว่า “ห้ามไปเด็ดขาด” ทำอย่างไรดี?”

“เมื่อไรจึงจำเป็นต้องอดอาหารอธิษฐานกับพระเจ้าบ้าง?”  เมื่อไรครับ?

“การเฝ้าเดี่ยว เราควรใช้เวลานานเท่าไรในแต่ละวัน”

เหล่านี้จะเป็นคำถามที่เราได้ยินหรือแม้กระทั่งตัวเราเองมีในใจบ่อยๆ ถ้าท่านเป็นสมาชิกที่นี่ โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ แล้วมีใครถามท่านส่วนตัว สมาชิกที่นี่ต้องตอบได้แล้ว รับรอง ผมเชื่อเลย  เพราะว่าได้เรียนรู้ไปบ้าง? เราจะตอบว่าอย่างไร? ใน 1 โครินธ์ 10:23 เป็นคำเฉลย

1 โครินธ์ 10:23 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

นี่คำตอบแล้ว ทำได้ไหม? ไม่รู้ มันเป็นประโยชน์ไหม? ถ้าเป็นประโยชน์ก็ทำ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ต้องทำ

พันธสัญญาเดิม คือแผนการที่พระเจ้าวางไว้ เล็งถึงพระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จ คือไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาป

ในสมัยพันธสัญญาเดิม มีบทบัญญัติที่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม เพราะว่ามันยังไม่สำเร็จ ถ้าไม่ทำตาม หรือฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ ในพระคัมภีร์เดิมเขียนชัดเจนเลย ที่เรียกว่ากฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน

แต่พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ หลังจากที่พระเยซูได้ Testelesti (ทำสำเร็จแล้ว) ที่ไม้กางเขน ทำให้พันธสัญญาของพระเจ้า กฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันนี้ ก็ถูกลบไปแล้ว ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระเยซูได้ฉีกกรมธรรม์ที่ผูกมัดเราไว้ และนำไปตรึงที่ไม้กางเขน  คือบทบัญญัติต่างๆ ไม่มีผลต่อวิญญาณ ทางชีวิตของเราอีกต่อไปแล้ว เราจึงเรียกยุคนี้ว่ายุคแห่งพระคุณ “พระคุณ” คือให้ฟรีๆ ได้มาฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องลงแรงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว มันจึงเรียกว่าข่าวดี ท่านเคยเห็นโฆษณาไหม?

“วันนี้ฉลองเปิดที่ดูแลล้างรถใหม่ เพราะฉะนั้น อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ล้างรถฟรี”

นี้คือข่าวดี เขาเขียนว่าข่าวดี เบ้อเริ่มเลย “ล้างรถฟรี” เห็นไหมข่าวดี ในยุคแห่งพระคุณนี้ ไม่มีคำว่า “ต้อง” ไม่มีคำว่า “ห้าม” แต่มีคำว่า “ควรทำ” หรือ “ไม่ควรทำ” หรือ “ไม่สมควรจะทำ”  ทำแล้วเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ทำแล้วเกิดการเสริมสร้างขึ้นหรือไม่? ถ้าทำในสิ่งควร เป็นประโยชน์ ทำในสิ่งที่ส่งเสริมมันก็ทำให้เกิดสันติสุข เกิดความสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกิดผลดี ก็ทุกข์น้อยลงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ นี่เรียกว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้าแล้ว แต่ถ้าทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ ไม่เหมาะสมกับผู้ที่เกิดใหม่ ผู้ที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่เกิดประโยชน์ ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เพิ่มขึ้นอีก ทั้งโลกตกลงไปในความบาป มันทุกข์ลำบากอยู่แล้ว ยิ่งไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำในสิ่งที่ในพระคัมภีร์บอกว่าอย่าทำ ไม่ดี ยังไปทำอีก เพิ่มความทุกข์ยากในชีวิตของเรา ไม่เกี่ยวอะไรกับความรอด ในพระเยซูคริสต์เลย แม้แต่นิดเดียว แต่ทั้งหลายทั้งปวง ความรอดทางวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ประทานให้กับเรานั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำที่บอกสมควรหรือไม่สมควรเลยแม้แต่นิดเดียว จึงบอกว่าไม่มีคำว่าต้องไง

ความรอดนิรันดร์ทางวิญญาณของมนุษยชาติ ได้รับจากความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  นั่นแหละ คือหัวใจแห่งความรอดในวิญญาณนิรันดร์ของเรา คือความเชื่อตรงนี้ อันเดียวเลย

ผมชอบไปเดินออกกำลังกาย โดยเฉพาะวันสุดสัปดาห์ นิดหนึ่งก็ออกไปเดิน ออกกำลังกาย เพราะทำให้จิตใจสภาพดี เพราะว่าเวลาเราไปดูทุ่งนา ทุ่งหญ้า หรืออะไรกว้างๆ ใหญ่ๆ เราจะสามารถเห็นพระคุณของพระเจ้าได้มากขึ้น เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด วิญญาณพวกเราถูกสร้างโดยพระเจ้าจะชินกับสิ่งเหล่านี้ คือสวนใหญ่ๆ กว้างๆ ทุกประเทศ ทุกแห่ง นานมาแล้ว เป็นพันๆ ปีมาแล้ว สวนสาธารณะอะไร เป็นสิ่งที่มนุษย์ขวนขวายหามากที่สุด

เมื่อไปเดินออกกำลังกายในสถานที่แห่งหนึ่ง เขามีบึงใหญ่ มีต้นไม้ล้อมรอบ เขากักน้ำเอาไว้ เขาก็จะมีป้ายติดไว้ตรงบ่อน้ำ หลายท่านคงเคยเห็นบ่อยๆ ผมเห็น ก็สะดุดตา นึกถึงเรื่องนี้แหละ พอเรานึกถึงพระเจ้า เราก็จะมองอะไรเป็นเรื่องพระเจ้าหมด ป้ายใหญ่เลยนะ  บรรทัดแรก เขียนว่า “ห้ามตกปลา” อีกป้ายหนึ่งเขียนว่า “อย่าลงเล่นน้ำ”

ฟังให้ดีๆ “ห้ามตกปลา” อีกป้ายหนึ่ง “อย่าลงเล่นน้ำ”  ผมอ่าน แล้วรู้สึกเปรียบเทียบกับที่เรากำลังเรียนเรื่องข่าวดี ความสำเร็จที่พระเยซูทำ คำว่า “ห้าม” กับ “อย่า” ท่านคิดว่าเหมือนกันไหม? เพื่อจะได้เข้าไปในจิตใจลึกๆ ผมก็เดินๆ ไป แล้วก็คิด ไม่เหมือนนะ

คำว่า “ห้าม” แปลว่า “ทำไม่ได้” ใครฝ่าฝืน กระทำ มีความผิด ต้องถูกลงโทษ เช่น หากถูกตำรวจจับ ถูกปรับ

คำว่า “อย่า” หมายถึงไม่แนะนำให้ทำ หรือไม่ควรทำ แต่ถ้าเราจะฝ่าฝืนไปทำ ก็ไม่ได้เป็นความผิด ถึงขนาดต้องโดนลงโทษ แต่อาจจะมีผลร้ายต่อชีวิต หรือเสียประโยชน์ตัวเอง เช่น ป้ายบอกว่า “ห้ามตกปลา” ถ้าเราฝ่าฝืนเอาเบ็ดไปนั่งตกปลา เจ้าหน้าที่อาจจะเรียกตำรวจมา อาจจะต้องเสียค่าปรับไป ปลาก็ไม่ได้เลย ยึดปลาเราคืน ยึดเบ็ดไปอีกต่างหาก แต่ป้ายที่เขียนว่า “อย่าว่ายน้ำ” ถ้าใครเกิดคะนอง โดดลงไปว่ายน้ำ เจ้าหน้าที่คงไม่ไปตามตำรวจมาจับ แต่เขาก็จะมาเรียกเรา

“ขึ้นมาเถิด เพราะน้ำมันสกปรก ตายไปหลายคนแล้ว ติดเชื้อ” สมมติ อย่างนี้ หรือ

“มันอันตราย เดี๋ยวจมน้ำตายหรอก ไม่ดี ขึ้นมาเถอะ”

แค่นั้นเอง แล้วเราก็ขึ้น ไม่มีอะไร ถูกไหม?

ผมพยายามพูดให้ท่านเห็นภาพ ความแตกต่างระหว่างกฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน กับกฎแห่งพระคุณมันคืออะไร?  พระคัมภีร์เดิม กฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน พระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว เป็นกฎแห่งพระคุณ กฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟันบอกว่าจะไปเฝ้าพระเจ้า ต้องนำเลือดสัตว์ เลือดแพะไปถวาย เพื่อชำระบาป ต้องเข้าพิธีสุหนัต ห้ามกินเนื้อสัตว์ที่เป็นมลทิน แล้วก็มีอีกหลายร้อย หลายพันข้อ ห้ามอีกเยอะแยะมากมายที่ต้องทำตาม แต่พอมาถึงยุคพระคุณ ในสมัยพระเยซู เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น  พูดง่ายๆ คืออันนี้อย่าทำ อันนี้ควรทำ

อันนี้ยกตัวอย่างแบบหินเลย สะดุดเยอะเลยเรื่องนี้ ยกไปถึงอดีต ในสมัยยุคหลังพระเยซู เป็นขึ้นจากความตายใหม่ๆ พึ่งจะประกาศ ข่าวประเสริฐนี้ เริ่มเข้า ประกาศที่คนยิวก่อนเลย

เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ร้ายแรงของชาวยิวมาก คือเรื่องการเข้าสุหนัต การขลิบอวัยวะเพศชาย เพื่อทำพันธสัญญากับพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าสั่งให้ทำตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม บอกล่วงหน้าเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ เป็นพันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าจะทำให้สำเร็จแล้ว ตั้งแต่สมัยพระเยซูนั่นเอง เล็งให้เห็นถึงเรื่องราวที่พระเยซูจะมาทำให้สำเร็จ ซึ่งพระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว เราก็ไม่ต้องทำ

พูดถึงเรื่องการเข้าสุหนัต ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้ ในหนังสือกาลาเทีย ผมเอามาให้ท่านอ่าน ท่านจะเห็นภาพชัดๆ ลึกๆ และสามารถเอามาเทียบกับชีวิตของเราได้ คือผู้เชื่อชาวกาลาเทีย ในยุคที่เรากำลังพูดถึงนี้  ได้รับการประกาศ โดยอาจารย์เปาโล  แล้วเขาก็เชื่อในข่าวดี แล้วเขาก็เป็นคริสเตียน คนที่มาเชื่อพระเยซู ที่เป็นคริสเตียนแล้ว จากการประกาศของเปาโล ก็เชื่อในผู้นำ เปาโลก็เป็นยิว แต่ปรากฏว่าเปาโลมีหน้าที่ประกาศไปเรื่อยๆ พอเชื่อปุ๊บ สร้างฐานพอสมควรแล้ว อาจารย์เปาโลก็ลาไปเมืองอื่นๆ เพื่อจะประกาศต่อไป ก็ปล่อยให้ผู้นำยิวอื่นๆ และผู้นำคริสตจักรกลุ่มชน ดูแลกันเอง

ปรากฏว่ามีผู้นำยิว ที่ไม่ใช่เปาโลแล้วนะ ก็เริ่มเข้ามาสอนผู้เชื่อใหม่ แล้วผู้นำยิวเหล่านี้ ในสมัยนั้น แม้ว่าเขาจะเชื่อพระเยซู บางคนอายุถึงได้เห็นพระเยซูยืนอยู่บนโลกใบนี้  ทำอัศจรรย์ต่อหน้าเลย เห็น เขาก็เชื่อว่าข่าวดีนี้เป็นจริง แต่เขาก็ยังไม่เชื่ออย่างมั่นใจ เพราะว่าเขายังคุ้นเคยกับประเพณีเก่าๆ ที่เขายังยึดติดอยู่ในพิธีเดิมทางความเชื่อของเขา ศาสนายิวของเขาอยู่  เขาก็เลยเชื่อว่าสิ่งที่พระเยซูทำบนไม้กางเขนนั้นจริง แต่ยังจริงไม่ครบ เขาก็เลยสอน โดยแกมบังคับให้ผู้เชื่อ ที่อาจารย์เปาโลบอกเป็นอิสระแล้ว ไปสอนให้ผู้เชื่อเหล่านั้น ต้องเข้าสุหนัต ตามบทบัญญัติเดิม ที่ชาวยิวเคยทำมาในอดีต ซึ่งเล็งถึงสิ่งที่พระเยซูจะมาทำในอนาคต พระเยซูทำสำเร็จแล้ว คือข่าวดี คนเหล่านี้บอกยังไม่สำเร็จ โดยไม่ได้พูดคำนี้  แต่พูดให้ไปทำส่วนนั้น ก็แสดงว่าพระเยซูยังทำไม่สำเร็จนั่นเอง  อาจารย์เปาโลก็โมโหมากเลย ในกาลาเทีย 3:1-14

กาลาเทีย 3:1-14 “1 ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย ใครสะกดท่านให้หลงไปเสียแล้วเล่า ภาพพระเยซูคริสต์ ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ก็ชัดเจนอยู่ต่อหน้าต่อตาท่าน 2 สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากรู้จากท่าน คือท่านได้รับพระวิญญาณโดยการทำตามบทบัญญัติ หรือโดยการเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน 3 ท่านโง่เขลาปานนี้หรือ! หลังจากที่เริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ บัดนี้ ท่านกำลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่าน ด้วยการขวนขวายของมนุษย์หรือ! 4 ท่านได้ทนทุกข์มากมายโดยเปล่าประโยชน์หรือ! สิ่งนี้เป็นการเปล่าประโยชน์จริงๆ หรือ! 5 พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน และทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น ก็เพราะท่านรักษาบทบัญญัติ หรือเพราะท่านเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน

6 จงพิจารณาดูอับราฮัม “เขาเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้ พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” 7 ฉะนั้น จงเข้าใจเถิดว่าคนที่เชื่อก็เป็นวงศ์วานของอับราฮัม 8 พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้าว่าพระเจ้าจะทรงนับว่าคนต่างชาติเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อ และประกาศข่าวประเสริฐล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่า “ทุกประชาชาติจะได้รับพรผ่านทางเจ้า” 9 ฉะนั้น ผู้ที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัม บุรุษแห่งความเชื่อ 10 คนทั้งปวงที่พึ่งการทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตาม ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”

11 เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยบทบัญญัติ เพราะว่าคนชอบธรรมจะดำรงชีวิต โดยความเชื่อ 12 บทบัญญัติไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ แต่ “ผู้ใดที่ทำสิ่งเหล่านี้ จะมีชีวิตอยู่โดยสิ่งเหล่านี้” 13 พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ก็ถูกแช่งสาปแล้ว” 14 พระองค์ทรงไถ่เรา เพื่อว่าพระพรที่มีแก่อับราฮัมจะมาถึงคนต่างชาติ โดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าโดยความเชื่อ เราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา”

 

ดูสิ ความรัก จึงทำให้เกิดอารมณ์ แบบโกรธมาก

“ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย”

โอ้โห! ท่านอ่านทั้งฉบับนี้ จะรู้ว่านี่เปาโลรักเขาเหล่านี้มาก เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดทางฝ่ายวิญญาณ ยกตัวอย่าง …

“คือท่านได้รับพระวิญญาณ โดยการทำตามบทบัญญัติหรือ! หรือโดยการเชื่อในสิ่งที่ท่านได้ยิน”

พูดง่ายๆ ก็คือ … “ท่านได้รับพระวิญญาณ ท่านได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้เชื่อ เป็น คริสเตียน โดยการทำตามบทบัญญัติหรือ! หรือโดยข่าวดีที่ผมเล่าให้ฟัง”

เปาโลกำลังบอก ก็คือโดยข่าวดีนั่นเอง

“ท่านโง่เขลาป่านนี้หรือ!”

หนักเลย หลังจากที่เริ่มต้นดีๆ ด้วยความเชื่อทางพระวิญญาณ บัดนี้ท่านกำลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่าน ด้วยความขวนขวายของมนุษย์หรือ! กลับมาทำเองอีกแล้วใช่ไหม? จะลบล้างบาปให้ตัวเองอีกแล้ว ดูสิ โมโหไหม?

“พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน ก็คือให้ท่านได้เกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่เอี่ยมเลย  และทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น คือทำให้ท่านเป็นลูกของพระเจ้า ก็เพราะว่าท่านรักษาบทบัญญัติหรือ! หรือเพราะท่านเชื่อ (ในข่าวดี) ในสิ่งที่ท่านได้ยิน ที่ผมหรือเปาโลได้ประกาศออกไป”

เห็นไหม? ผมเลือกเอาเฉพาะที่มันๆ มานะ ที่ใช้อารมณ์นี้ คนต่างชาติ ก็คือคนไม่ใช่ยิว

“คนต่างชาติเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อ และประกาศข่าวประเสริฐล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่าทุกประชาชาติจะได้พรผ่านทางเจ้า คนทั้งปวงที่พึ่งการกระทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง และมีเขียนไว้ว่าขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”

พูดง่ายๆ ว่า “ถ้าคุณดำเนินด้วยตัวเองตามธรรมบัญญัติ จะทำด้วยตัวเอง คุณต้องทำให้ตลอดรอดฝั่งนะ บัญญัติเขาเขียนไว้อย่างนั้น แล้วมันไหวไหม? ทำได้ไหม?”

“ไม่ได้”

ไม่ได้ ก็ไปพึ่งพระเยซูสิ พูดง่ายๆ อย่างนั้น

“พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำแช่งสาปของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำแช่งสาป แทนเรา ซึ่งมีเขียนไว้ว่า … เนื่องจากพระคัมภีร์เดิม คำเผยพระวจนะ พระเจ้าเล็งถึง บอกล่วงหน้าว่า ‘ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกสาปแช่งแล้ว’”

เล็งถึงพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ถูกสาปแช่งแทนเรา นี่คือการบอกล่วงหน้าในพระคัมภีร์เดิม ถูกสาปแช่ง เพื่อพระพรจะมาถึง โดยผ่านทางความเชื่อ เพื่อคนเหล่านั้น จะได้รับพระวิญญาณตามสัญญา

ได้รับพระวิญญาณ หมายถึงวิญญาณได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า 2 โครินธ์ 5:17 บอกว่าวิญญาณใหม่เอี่ยมเลย ได้บังเกิดใหม่ หลังจากที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู นี่หมายถึงอย่างนั้น

นี่พูดถึงเรื่องพิธีเข้าสุหนัต และพิธีอื่นๆ แต่ผมยกเอาพิธีเข้าสุหนัตมา เดี๋ยวพระคัมภีร์ตอนนี้ ก็จะพูดถึงตอนนี้ชัด เพราะว่าเรื่องนี้ เรื่องสำคัญ ถ้าพลาดไป ข่าวประเสริฐจะเบี้ยวไปเลย พอมาถึงเรื่องนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้เชื่อ ซึ่งจะเป็นผู้รับใช้อีกท่านหนึ่ง ชื่อว่าทิโมธี เด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นลูกแกะ เป็นศิษย์เอกของอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลคนเดียวกันกับที่ตะกี้นี้โกรธมากในเรื่องนี้

ทิโมธี เบื้องหลัง ก็คือมีแม่เป็นชาวยิว และพ่อเป็นชาวกรีก และเปาโลกำลังจะรวบรวมทีมไปรับใช้ด้วยกัน และจะเอาทิโมธีไปด้วย และอาจารย์เปาโลต้องการให้ชาวยิวร่วมมือกับอาจารย์เปาโล ยอมรับอาจารย์เปาโล เพื่อจะเอาข่าวประเสริฐไปประกาศให้กับคนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว อาจารย์เปาโลไม่อยากให้มีการต่อต้านมากเกินกว่านี้ หรือทุกข์ลำบากเกินกว่าเท่าที่จำเป็น ได้บันทึกไว้ในหนังสือกิจการ 16:1-3  ผมอ่านให้ฟัง นึกภาพตามนะ

กิจการ 16:1-3 “1 เขามาถึงเมืองเดอร์บี จากนั้นไปยังเมืองลิสตรา ที่นั่นมีสาวกคนหนึ่งชื่อทิโมธีอาศัยอยู่ มารดาของเขาเป็นผู้เชื่อชาวยิว แต่บิดาของเขาเป็นชาวกรีก 2 ทิโมธีมีชื่อเสียงดีในหมู่พี่น้องที่เมืองลิสตราและเมืองอิโคนียูม 3 เปาโลต้องการจะพาทิโมธีไปด้วย จึงให้เขาเข้าสุหนัตเพราะเห็นแก่ชาวยิวที่อยู่แถบนั้น เนื่องจากใครๆ ก็รู้ว่าบิดาของเขาเป็นคนกรีก”

 

เห็นแก่คนยิวเหล่านั้น ที่ความเชื่อเขายังน้อยอยู่ เพราะฉะนั้น เปาโลจึงบอกทิโมธีไปเข้าสุหนัต  เห็นไหมครับว่ามันไม่มี คำว่า “ห้าม” ไม่มีคำว่า “ต้อง” มีแต่คำว่า “อิสระ ในพระเยซูคริสต์” เท่านั้น  มีอิสระในการทำว่าทำแล้ว เกิดผลดีหรือไม่ดี? เสริมสร้างหรือไม่เสริมสร้างเท่านั้น อยากจะทำอะไร? มีอิสระที่จะทำได้ แต่ไปคิดเอาเองว่ามีประโยชน์ไหม? ถ้ามีประโยชน์ ก็ทำ ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็อย่าทำ เห็นไหม?  เปาโลรู้ว่า … ในหนังสือกาลาเทีย ตอนที่ผู้นำยิวมาใส่ความเชื่อผิดๆ ให้กับผู้เชื่อที่กาลาเทีย เปาโลโกรธจัด ไม่ได้ แล้วแรงถึงขนาดไหน?  อ่านไปตอนจบบอกว่า …

“ข้าพเจ้าเกลียด (หมายถึงโมโห) คนเหล่านี้มาก ที่มาสอนให้พวกท่านเข้าสุหนัต พวกนี้ ไม่ใช่สมควรเข้าสุหนัตนะ แต่สมควรตัดทิ้งทั้งอันเลย เอาไปตอนซะเลย”

จริงๆ ในข้อสุดท้ายของกาลาเทีย โมโหมากเลย แต่พอมาถึงทิโมธีทำไมทำอย่างนี้ล่ะ ก็เพราะแตกต่างกันด้วยวาระ แตกต่างกันด้วยสถานการณ์ในขณะนั้นๆ เพราะฉะนั้น วันก่อนผมถึงถามไง ไปเช็งเม้งได้ไหม?  ทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม? ไปคิดเองว่ามันเสริมสร้างไหม? จะเอาคนนี้มาใส่คนนี้ไม่ได้ เห็นอาจารย์นครยังทำอย่างนี้เลย เราไปทำบ้าง ไม่ใช่ ผมอาจจะต้องทำอย่างนั้น แต่ท่านอาจจะต้องทำอย่างนี้  แต่ทั้งหมดทำเพื่อเสริมสร้าง เป็นประโยชน์ เป็นความรักในพระเยซูคริสต์ต่างหาก ท่านพอจะเห็นภาพไหม? มันขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าทำแล้วเกิดประโยชน์ ทำแล้ว เป็นการเสริมสร้าง ส่งเสริม หรือทำแล้ว ให้เกิดการสะดุด ไม่มีเสริมสร้าง ทำให้หลักการเสีย นี่คือหลักการที่แท้จริง ในยุคพระคุณ คือดำเนินชีวิตด้วยความรัก เสียสละ เห็นแก่ผู้อื่นก่อน  พระเยซูจึงบอกว่าทั้งหมดมันรวมกันมาเหลือข้อเดียวแล้ว ตอนที่พระเยซูมาทำให้สำเร็จแล้ว บทบัญญัติเยอะแยะเป็นหลายพันข้อ รวมกันเหลืออันเดียว คือความรัก

ความรัก คือการเสียสละ เห็นแก่คนอื่นก่อน ท่านทำอย่างนี้หรือไม่? ท่านไปวัดดู ถ้าท่านทำอย่างนี้ ท่านอยากจะทำอะไร ก็ทำไป ถ้าในใจท่านรู้ว่าท่านทำสิ่งนี้ เพื่อความรัก เพื่อผู้อื่นก่อน เป็นประโยชน์ ท่านก็ทำ อย่างนี้เป็นต้น

พอพูดถึงเรื่องห้ามทำ ต้องทำ มันจำเป็นต้องคุยถึงเรื่องนี้ สำคัญ เรื่องนี้ ทำให้หลายคนตื่นเลย เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานที่สุด และเป็นเรื่องที่พูดถึงมากที่สุด มีกระทู้เยอะที่สุด ตั้งแต่เคยมีมา เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจผู้คนมากที่สุด เป็นเรื่องที่ทำให้คนตื่นเต้นที่สุด เป็นเรื่องที่ทำให้คนหลุดออกจากพระเจ้ามากที่สุด คือเรื่องเงินในกระเป๋า เอาล่ะสิ คนที่ไม่มีเงินสบาย คนมีเงิน …

“มาแล้ว มายุ่งกระเป๋าฉัน จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ อย่ามาพูดเรื่องกระเป๋าฉันนะ”

ถ้าเราไม่มีเงิน พูดไปเถอะ แต่ถ้ามีเงินเยอะๆ …

“ศิษยาภิบาลพูด ต้องการเงินในกระเป๋าเราแล้วสิ”

ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการถวายสิบลด ซึ่งเป็นบัญญัติของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม หายใจโล่งเลย ในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งมันเลิกไปแล้วใช่ไหม? น่าจะดีใจ โอเค เรามาพูดถึงเรื่องถวายสิบลด กระทู้ที่อ่านเจอมีอย่างนี้นะครับ อาจจะโดนใจใครหลายคน มีผู้เชื่อ เขาถามมาว่า …

“ผมเพิ่งขายที่ดินไป พอศิษยาภิบาลทราบข่าว ก็มาคุยกับผมเรื่องให้ถวายสิบลดให้พระเจ้า พระเจ้าทรงทราบดีว่าผมขายไปได้เป็นเงินเท่าไร? สิบลดจะเป็นเงินจำนวนเท่าไร?”

“อย่าโกงพระเจ้า อย่าเหมือนอานาเนีย” อันนี้ศิษยาภิบาลขู่เขานะ

“‘อย่าเป็นเหมือนอานาเนียกับซับฟีราที่โกงพระเจ้าเรื่องนี้’ ทำให้ผมเครียดมาก ที่ดินที่ผมขายไป เพราะผมเอาเงินมาใช้หนี้ และตอนนี้ ใช้เงินกู้ไปซื้อ ตอนนี้ก็เหลือแค่ไม่เท่าไรเอง ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ?”

นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น ไปอ่านดูเยอะแยะ ทุกข์ทรมานไหม?  นี่มันข่าวดีไหม ผมเชื่อพระเยซูต่อไปดีไหม?

ขอโทษทีที่อ่านขำไป ผมเชื่อทุกวันนี้ยังมีอย่างนี้อยู่ เพราะฐานมันยุ่งไปหมดแล้ว ไม่รู้ฐานมันอยู่ตรงไหน? เราต้องหาทางให้เจอ

จริงๆ แล้วในเรื่องการถวายสิบลด คุยไปหลายครั้งแล้ว ย้ำแล้วย้ำอีกว่าการถวายสิบลด ไม่มีผลอะไร? เกี่ยวกับความรอด โดยความเชื่อของเราเลย และไม่ได้ทำให้พระเจ้ารักเรามากขึ้นด้วย และไม่ได้ทำให้พระเจ้ารักเราน้อยลงด้วย วันนี้ ผมและพวกเราทุกคนที่นี่ ขอยืนยันว่าเป็นอย่างนี้ อาเมน โอ๊ย! สบายแล้ว ไม่ต้องถวาย ดีใจจัง เป็นอิสระแล้ว ใช่หรือเปล่า? คนที่มีเงินใช่หรือเปล่า?  พระคัมภีร์บอกว่าในพระคริสต์ พระเจ้ารักเราทั้งหมดเหมือนกัน

เหมือนกัน แปลว่าอะไร? คนที่รู้สึกว่าคนอื่นมองว่าดี คนที่รู้สึกคนอื่นมองว่าไม่ดี คนนี้คนอื่นบอกว่านิสัยไม่ดี คนนี้คนอื่นบอกนิสัยดี คนนี้คนอื่นบอกว่าเป็นคนถวายเก่ง คนนี้คนอื่นบอกขี้เหนียว ไม่ค่อยถวาย พระเจ้ารักเท่ากัน

พระเจ้าบอกในกาลาเทีย 3:26 บอกว่า “ในพระเยซูคริสต์ ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ในสวรรค์ที่เรียกว่าพระคริสต์นี้ ของผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เข้ามาอยู่ บัพติศมาในพระคริสต์ บัพติศมาเข้าในส่วนของพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระคริสต์แล้ว

กาลาเทีย 3:26 “ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายเป็นลูกๆ ของพระเจ้า โดยผ่านทางความเชื่อ” จบ

โดยความเชื่อ เป็นลูกๆ ของพระเจ้าแล้ว รักเท่ากันหมดเลย

ในยุคแห่งพระคุณนี้ การถวายสิบลด ไม่ใช่บทบัญญัติ ที่จะมาบังคับให้ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคนต้องทำอีกต่อไป แต่ว่าเป็นการแนะนำ ฝึกฝน ให้ผู้เชื่อ คือประชากรของพระเจ้า ลูกๆ ของพระเจ้าทั้งหลาย รู้จักการให้ออกไป ด้วยความรัก มีใจชื่นชมยินดี เพื่อแนะนำให้บทเรียนในการดำเนินชีวิต ในโลกใบนี้ เพื่อจะดำเนินการบนโลกใบนี้ด้วยสันติสุข อยู่ด้วยความสงบสุข และทุกข์น้อยลง

ทุกข์น้อยลง ไม่ใช่ไม่มีทุกข์ เพราะพระเยซูบอกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ก็ทุกข์เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ทุกๆ คนแหละ เพราะโลกมันเสียหายไปแล้ว เนื่องจากบาป นี่เรื่องจริง แต่มาเป็น คริสเตียน มาเชื่อพระเยซูแล้วว่าพระองค์อยู่กับเรา  พระองค์ดูแลเรา นำพาชีวิตและสอนเราให้ดำเนินชีวิตอะไรที่มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราและคนอื่น เราก็ทุกข์น้อยลง สันติสุขมากขึ้น คนอื่นก็ทุกข์น้อยลง สันติสุขมากขึ้น นั่นแหละ พระเจ้าจะสอนเราทำ รวมทั้งการถวายสิบลดด้วย

เรามาดูในพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลสอนเรื่องเกี่ยวกับการให้ และการถวายนี้อย่างไร? ชัดเจนมาก ใน 2 โครินธ์ 9:1-15

2 โครินธ์ 9:1-15 “1 ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเขียนถึงท่านเกี่ยวกับการรับใช้ เพื่อประชากรของพระเจ้าครั้งนี้ 2 เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกระตือรือร้นอยู่แล้วที่จะช่วย และข้าพเจ้าได้อวดเรื่องนี้ต่อชาวมาซิโดเนียว่าตั้งแต่ปีที่แล้ว พวกท่านที่แคว้นอาคายาก็พร้อมจะถวายแล้ว และความกระตือรือร้นของท่านทั้งหลาย ได้กระตุ้นพวกเขา ส่วนใหญ่ให้ลงมือทำตาม แต่ที่ข้าพเจ้าส่งพี่น้องเหล่านั้นมา เพื่อว่าสิ่งที่เราอวดไว้เกี่ยวกับท่านในเรื่องนี้ จะไม่สูญเปล่า 3 แต่เพื่อท่านก็จะได้พร้อมอยู่ สมกับที่ข้าพเจ้าได้บอกไว้ 4 เพราะถ้าชาวมาซิโดเนียคนใดที่มากับข้าพเจ้า พบว่าพวกท่านไม่พร้อม อย่าว่าแต่ท่านเลย เราเองก็จะอับอายที่มีความมั่นใจเสียเหลือเกิน 5 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงคิดว่าจำเป็นต้องกำชับพี่น้องเหล่านั้น ให้มาหาท่านล่วงหน้า และจัดเตรียมของบริจาคด้วยใจกว้างขวาง ตามที่ท่านได้สัญญาไว้ให้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลา ก็มีของบริจาคไว้พร้อม เป็นของที่ให้ด้วยใจกว้างขวาง ไม่ใช่เป็นของที่ให้ด้วยการฝืนใจ หว่านด้วยใจกว้างขวาง

6 จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตระหนี่ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวางก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก 7 แต่ละคนควรให้ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือสำหรับการดีทุกอย่าง 9 เหมือนที่มีเขียนไว้ว่า “เขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่นิรันดร์ 10 บัดนี้ พระองค์ผู้ประทานเมล็ดแก่ผู้หว่าน ประทานอาหารแก่ผู้คน จะประทานและเพิ่มพูนยุ้งฉางของท่านเช่นกัน และจะทรงขยายการเก็บเกี่ยวความชอบธรรมของท่าน

11 พระองค์จะทรงให้ท่านมั่งคั่งในทุกด้าน เพื่อท่านจะสามารถเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้ในทุกโอกาส และโดยทางเราความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่าน ส่งผลให้มีการขอบพระคุณพระเจ้า 12 การรับใช้ที่ท่านทำอยู่นี้ ไม่เพียงจุนเจือประชากรของพระเจ้าเท่านั้น ยังเป็นเหตุให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าอย่างล้นพ้นด้วย 13 ท่านได้พิสูจน์ตนเองด้วยการรับใช้นี้  และเพราะการรับใช้นี้ ผู้คนจะสรรเสริญพระเจ้า เนื่องด้วยการเชื่อฟังของท่าน ซึ่งมาพร้อมกับการประกาศตัวว่าเชื่อข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และเนื่องด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่านในการแบ่งปันแก่พวกเขาและแก่คนอื่นๆ ทั้งปวง 14 และใจของพวกเขาจะคิดถึงพวกท่าน ขณะอธิษฐานเพื่อท่าน เนื่องด้วยพระคุณล้นพ้นที่พระเจ้าประทานแก่ท่าน 15 ขอบพระคุณพระเจ้า สำหรับของประทานอันสุดจะพรรณนาของพระองค์” เอเมน

 

ผมพูดถึงเรื่องถวายมาตลอดว่าไม่จำเป็นต้องถวายสิบลด หลายคนก็เข้าใจผิด คงนึกว่าผมคงไม่ทำ แต่ผมบอกท่านวันนี้เลยว่าผมทำมาก … มากจริงๆ ไม่ใช่ว่าถวายสิบลด เพราะว่าผมรักษาบัญญัติ แต่มันเป็นประโยชน์ มันง่ายกว่าการคิดว่ารายได้เข้ามา ถวาย 10% แต่ก่อนนี้ ตอนเข้ามาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ถวายสิบลด เพราะเขาสั่งมา กลัวจริงๆ กลัวตามที่อ่าน แล้วหัวเราะไปด้วย นั่นคืออดีตของผม ที่บ้านก็จะอย่างนี้ เพราะว่ากลัว แต่ตอนหลังรู้แล้ว ยังรักษาไว้ ยังทำอยู่ ไม่กลัวแล้ว แต่ยังถวายสิบลดอยู่เหมือนกัน มันคิดง่ายดี ไม่รู้จะให้เท่าไร? เราตั้งหลักตามข้อพระคัมภีร์ตะกี้นี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าคิดหมายไว้ก่อน ตั้งแต่อยู่ในใจแล้วว่า …

“ถ้ารายได้เข้ามา ฉันจะตัดอันนี้เป็นค่าใช้จ่าย ตัดนี้เป็นค่ารถ ตัดนี้เป็นค่าน้ำ ตัดนี้เป็นค่ารักษาพยาบาล ตัดนี้เป็นสิบลด”

สิบลด แปลว่า 10% เราไม่ให้ได้ไหม? ได้ แต่ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ และก็ไม่เคยขาดเลย ที่ตั้งไว้ มันได้ทุกที และได้มากกว่าอีก เพราะเป็นการฝึกฝนไง  ถ้าให้ 10 ได้ ต่อไปก็ให้ 20, 30 ได้ ถ้าให้ 30 ได้ ก็ให้ 50 ได้ ถ้าให้ 50 ได้ ก็ให้ร้อยหนึ่งได้ เพราะมันไม่มีทางที่อยู่ดีๆ ไม่ให้ แล้วมาให้ร้อย ไม่จริงแล้ว แสดงว่าข้างในต้องการกลับคืน ไม่ใช่วิธีนั้น แต่ก่อนนี้มาใหม่ๆ ยอมรับว่าเคยถวายสิบลด เพราะอยากได้กลับคืน เขาบอกว่าถวาย แล้วจะได้ 10 เท่า 100 เท่า 5 เท่า อะไรก็ว่ากันไป  อยากได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ไม่มีความหวังเลย ในพระคัมภีร์เขาให้ความหวังเรา แต่ไม่ใช่ความหวังที่เราจะต้องมาเรียกคืนว่าจะต้องเป็นเท่านั้น ต้องอย่างนี้ พระเจ้าไม่ใช่ตู้ ATM นะ ใส่ไปเท่านี้  เด้งออกมาเท่านี้ ไม่ต้องทำมาหากินพอดี

ถ้าเข้าใจถึงความรักพื้นฐานข่าวดีของพระเจ้า จะเข้าใจตรงนี้ชัดๆ พระเจ้ารักเรามาก พยายามไม่แตะต้องเงินเราเลย รู้ว่าเรารักเงินมากเลย  ท่านจะมีเงินและมีพระเจ้าพร้อมๆ กันไม่ได้ พระเยซูบอกเลย เพราะรู้แตะเรื่องนี้ทีไร? มันแตะหัวใจของพวกเราทุกทีเลย …

“จะมาเอาอะไรกับฉันอีกล่ะ”

ในนี้บอกว่าให้เราเตรียมพร้อมในใจไว้ก่อน เรื่องที่เรากำลังพูดอยู่นี้  เกิดการกันดารที่เยรูซาเล็ม แล้วแถบนั้นอดอยาก จึงมาเรี่ยไรเงินจากที่นี่ไปช่วย … ช่วยทั้งคนเชื่อและคนไม่เชื่อ ในนี้ถึงเรียกว่าเป็นบริจาค มันไม่มีสิบลด มันมีแต่ว่าท่านสามารถเอาคำนี้ แปลเป็นไทย แล้วเอาใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตท่านว่าท่านเตรียมตัว เหมือนคนไปธนาคาร ต้องวางแผนล่วงหน้าในชีวิต ในการใช้เงินของเรา เราจะสะสมเงินไว้เท่าไร? กี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้? เราจะใช้เงินเท่าไร? อันนี้เป็นประโยชน์ในการทำบัญชี ท่านว่ากี่เปอร์เซ็นต์ที่ท่านเตรียมไว้ในการรู้จักให้ออกไปฟรีๆ ให้ไม่คิดอะไรทั้งสิ้นว่าจะได้อะไรกลับมา พระคัมภีร์ใช้คำว่าหว่านออกไป

“หว่านออกไป” คือท่านทำนา ปีนี้ทำมาได้ 30 ถัง ท่านคิดว่าจะกินสักกี่ถัง? เอาไปขายกี่ถัง? แล้วที่เหลือท่านต้องเตรียมเป็นเมล็ดเอาไว้หว่านในฤดูหน้า ไม่อย่างนั้น ท่านกินหมด ฤดูหน้า ท่านไม่มีหว่าน อดตายพอดี ธรรมชาติ ไม่เห็นมีอะไรเลย  เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหารการเงิน ที่พระเจ้าสอนเรามากกว่า เห็นไหม? มันชัดๆ ง่ายๆ เอาไปใช้ได้หมดเลย เตรียมไว้สำหรับค่าพยาบาลกี่ตังค์? กี่เปอร์เซ็นต์? อย่าซี้ซั่วใช้ อันนี้ใช้สุรุ่ยสุร่ายได้กี่เปอร์เซ็นต์? มันเป็นอย่างนี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือต้องฝึกฝนในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นผู้เชื่อจริงไหม? ถ้าท่านเชื่อในข่าวดีจริงๆ ท่านต้องรู้จักการให้ออกไป  ไม่ใช่ไม่มีสักเปอร์เซ็นต์เลย ยังเป็นหนี้อยู่ จะมาเอาอะไรกับฉัน ท่านก็อยู่อย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ ท่านไม่ได้เชื่อจริงแล้ว ถ้าเชื่อจริง ท่านต้องไม่ขาด ต้องมีเหลือให้ด้วย เพราะมันเป็นเปอร์เซ็นต์ นี่เป็นคำแนะนำจากพระเจ้า เป็นเปอร์เซ็นต์นะลูก เราได้มา 10 บาท 10% ของ 10 บาท มันบาทเดียวนะ ท่านให้บาทหนึ่งกับคนให้ 10 ล้าน มีเงิน 100 ล้านเท่ากัน ไม่มีใครดีกว่าใคร? แต่พระเจ้าต้องการให้ได้รับสิ่งดีๆ ในนี้บอกว่า …

“และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างเหลือล้นแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่าง ที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา เพราะท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง”

ไม่ใช่เงินอย่างเดียวนะ ทุกอย่าง เพื่อเอามาทำดีต่อไป  ถ้าเราเรียนรู้ลึกซึ้งไป พระเจ้านำเราไปเรื่อย เราเชื่ออย่างเดียวได้ผลออกมาอย่างนี้ทุกคน เราคอยคิดโน่น คิดนี่ มันจะไปไหน? พระเจ้าไม่ได้ต้องการเงินจากเรา พระเจ้าต้องการให้เราดีที่สุด  แต่กลัวว่าเงินมันจะทำร้ายชีวิตเรา กลัวว่าเงินจะทำอันตรายความเชื่อเรา จึงต้องค่อยๆ สอนเรา ค่อยๆ ฝึกเรา ไปทีละนิดที่ละหน่อย เพราะฉะนั้นวันนี้ เข้าใจแล้วนะ

ผมพูดอยู่เสมอ พอพูดถึงเรื่องสิบลด ก็จะบอกว่าไม่จำเป็น ไม่ต้องถวายก็ได้ โฮลี่ส์เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราเคยคุยกันอยู่ตลอด ถ้าไม่มีใครถวายเลย เราก็เลิก ไม่มีเงินแล้ว ไม่มีอะไร? ไม่ยากเลย  ถ้าไม่มีเงินดูแลสถานที่แล้ว ก็เลิกสิ ไม่เห็นมีอะไรเลย ถ้าเป็นคริสตจักรของพระเจ้าจริง พระเจ้าต้องดูแลสิ  ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา คำว่า “เกี่ยวอะไรกับเรา” หมายถึงยังต้องให้ เพื่อฝึกฝนตัวเราเอง เข้าใจใช่ไหมครับ? แต่มันมาเกี่ยวอะไรกับเรา ทำไมต้องให้คริสตจักรมีเงินเยอะๆ เข้ามา เพื่อเราจะอยู่ได้  ถ้าพระเจ้าให้อยู่ มันก็จะอยู่เอง ถูกไหม? เราเอาความถูกต้องดีกว่า อะไรที่มันถูก เราก็บอกว่าถูก อะไรที่เป็นประโยชน์ เราก็บอกเป็นประโยชน์ เหมือนพระคัมภีร์พูดเดี๋ยวนี้ ในเรื่องนี้ เรื่องการถวายนี้

อีก 4 ปี เราจะหมดสัญญา เราก็ต้องเตรียมสถานที่ใหม่ พระเจ้าไม่ได้โยนเงินมาจากข้างบนหรอก พระเจ้าก็จะใช้ทั้งโลก เหมือนครั้งที่แล้ว เมื่อ 16 ปีที่แล้ว เราจำเป็นต้องย้ายที่ ก็ไม่มีเงินอย่างนี้แหละ  ในที่สุด มันก็มีมาจนได้ แล้วก็ใช้คนที่พร้อม เพราะที่นี่ไม่เคยสอนผิดจากหลักพระคัมภีร์ กล้ายืนยัน โดยเฉพาะเรื่องนี้  ไม่เคยบังคับว่าให้คนต้องให้ๆ บอกเสมอว่าอย่าให้นะ ถ้าฝืนใจ ไม่ต้องให้ ไม่ต้องถวายสิบลดก็ได้ แต่ให้ท่านไปคิดดูว่ามันฝึกฝนไหม? มันฝึกฝนชีวิตเราหรือเปล่า?  อะไรอย่างนี้  เพราะฉะนั้น เที่ยวนี้ก็เหมือนกัน อีก 4 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่รู้ ฝากไว้ที่พระเจ้า ทุกอย่าง แต่มิใช่หมายถึงพวกเราจะไม่มีหน้าที่ตรงนี้

ผมเป็นศิษยาภิบาลมีหน้าที่สอนในสิ่งที่ดี ไม่ใช่ต้องการอยากจะได้เงินจากพวกท่าน พูดกลับไปกลับมา พูดถึงเรื่องนี้ พูดยากนะ พูดเรื่องอื่นสนุกสนาน พูดเรื่อง ก็ไม่สนุกเลย  นานๆ ถึงพูดที ไม่อยากจะพูด ไม่พูดก็ไม่ได้  พอไม่พูด ก็เหมือนไม่บอกทางสว่างให้กับท่าน มีทางที่ท่านจะเจริญรุ่งเรือง แต่ก็ไม่อยากจะพูดอย่างนี้  พูดอย่างนี้ ก็กลายเป็นไปทำให้เขาโลภ มันไม่ใช่ มันคือตรงกลาง เข้าใจไหม? ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ผมก็ไม่เข้าใจ มันวนไปวนมา สมมติผมจะบอกว่าเมื่อ 16 ปีที่แล้ว มีคนได้พรตามนี้ จากความเชื่ออย่างนี้ ร่วมกันก่อสร้างตรงนี้มาตลอด และได้พรตามนี้เป๊ะเลย  และตอนนี้ ท่านฝึกฝน ท่านรู้จักให้ออกไป ท่านก็จะได้พรจากนี้ต่อไป อีก 4 ปีข้างหน้า เราจะมีสถานที่ใหม่ หรืออะไรก็แล้วแต่ ท่านก็อยู่ตรงพรในโลกใบนี้นะ ไม่ใช่ไปสวรรค์แล้วมันได้ ไปสวรรค์ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ในโลกใบนี้  ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ ดำเนินชีวิตด้วยสันติสุข ความสงบสุข และพระเจ้าสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือทุกอย่าง เพื่อการดีต่อๆ ไป เยอะแยะมากมาย เหมือนที่เขาเขียนไว้ว่า …

“เขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์”

ผมอยากให้ท่านได้ตรงนี้ ก็เลยมาหนุนใจท่าน ฝึกให้ออกไปบ้าง กลับมาตรงนี้อีกแล้ว เห็นไหมศิษยาภิบาลพูดลำบาก ยากไหม? ไม่พูดไม่ได้ ผมจำเป็นต้องพูด ผมพูดเสมอๆ ตลอดมาว่าไม่จำเป็นต้องถวาย ให้ไปฝึกฝน ตรงนี้มันคือพร มันไม่ใช่ได้เงินกลับมาอย่างเดียว มันได้ทุกอย่างเลย  ในนี้บอกทุกอย่าง

“พระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการ อย่างเหลือล้นแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา”

เวลารถท่านตายกลางถนน บนทางแยก ทางด่วน ไม่มีใครจะทำให้ ก็จะมีคนไปดูแลท่าน เอเมน ยกตัวอย่างให้ ไม่รู้จะยกตัวอย่างอะไรแล้ว มันไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องอื่น ท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม หมายถึงอย่างนั้น  แต่ตอนเราให้ เราไม่ได้หวังตรงนี้ เข้าใจไหม? พูดยากอีกแล้ว เราไม่ได้หวังว่าเราให้ออกไป แล้วเราจะได้ตรงนี้ ไม่ใช่ ให้วันนี้ไป

“พระเจ้าบอกว่าจะให้ ไม่เห็นให้สักที ไหนล่ะ วันนี้ต้องมานั่งเข็นรถ ไหนล่ะ รถพิเศษที่บอกว่าจะเตรียมมา ไม่เห็นมาเลย”

ไม่ใช่ มันอธิบายยากใช่ไหม? สรุปแล้ว มันไม่เข้าใจหรอก ท่านเชื่อไหม? อย่างนี้ดีกว่า ท่านทำตามพระคัมภีร์นี้ว่าฝึกฝน รู้จักให้ ผมจะบอกว่ามันเป็นชีวิตที่มีความสุขที่สุด ให้อย่างไม่ได้คิดอะไรเลย มือซ้ายให้ มือขวาไม่รู้ ไม่มีใครรู้เลยว่าท่านให้อะไรเท่าไร?  ไม่ต้องบอกเลยว่าให้อะไรเท่าไร? ไม่ต้องใส่ชื่อฉัน กรุณาอย่าใส่ ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องออกบิลก็ได้ ออกบิลดีแล้ว ให้ตามหน้าที่เขา จะได้ลงบัญชีเอาไว้ อะไรอย่างนี้

คือผมอยากจะอธิบายให้ท่านฟังว่าสิ่งนี้เป็นพระพรมากมาย ไม่ใช่เป็นการเรียนอย่างเดียว เพราะว่าผมฝึกฝนปฏิบัติตามมา 30 ปีแล้ว โง่ๆ เซ่อๆ เรื่องข่าวดี ทำตามเขาไป ผิดๆ ถูกๆ แก้ไขความเชื่อไปเรื่อยๆ  แต่ยังปฏิบัติตามเหมือนเดิมตลอดๆ  และผมเชื่อว่าข่าวดีนี้  มันไปถึงลูกหลานเหลนโหลนของผม ไปบอกคนอื่นๆ ต่อๆ ไป มันก็เป็นไปตามพระคัมภีร์ตรงนี้เลยว่าเราได้เป็นพระพรด้วย เกิดการขอบคุณพระเจ้าขึ้น เกิดการสรรเสริญพระเจ้าขึ้น ข่าวดีนี้ถูกประกาศออกไป เราได้ทำสิ่งที่ดีๆ น้ำท่วม คนเกิดลำบากยากจน เราก็เข้าไปช่วยได้ เพราะว่าเขามี ถามว่าเขามี เพราะอะไร? เพราะว่าเขาเก็บเมล็ดไว้ สำหรับหว่าน พอเราหว่านปุ๊บ พระเจ้าก็อวยพรให้ต้นไม้เจริญเติบโต เราก็เก็บเกี่ยวไปอีก เราก็หว่านออกไปอีก เอเมน

เพราะฉะนั้น สรุปก็คือเราเป็นลูกๆ ของพระเจ้าแล้ว ไม่มีข้ออะไรที่ให้เราต้องอันนั้น ต้องอันนี้ แต่พระองค์แนะนำในสิ่งที่ดีๆ เราควรจะทำตาม และสิ่งเดียว สำหรับลูกของพระเจ้า ที่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ มีข้อห้ามเพียงข้อเดียวเอง ซึ่งจะสอนตอนต่อไป แต่วันนี้ ให้เป็นกระสายนิดหนึ่ง

ข้อห้ามเพียงข้อเดียว คือห้ามทิ้งความเชื่อ เรื่องข่าวดีของพระเยซูเด็ดขาด เพราะเมื่อไรท่านทิ้งข่าวดี ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ท่านกำลังปฏิเสธพระเยซู เหยียบย่ำพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่บริสุทธิ์สะอาดว่าไม่มีค่า ก็คือเข้าพิธีสุหนัต หรือทำพิธีอะไรต่างๆ ด้วยใจท่านรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องทำ ท่านทำ เพราะว่าท่านกลัวว่าท่านไม่รอด นั่นแหละคือค่อยมาเรียนต่อครั้งหน้าว่าพระคัมภีร์พูดตรงไหน?  ถึงเรื่องนี้ว่าห้ามทิ้งความเชื่อ เรื่องข่าวดีนี้ เด็ดขาด รักษาไว้เป็นของท่าน ห้ามปฏิเสธข่าวดีของพระเยซู และที่เหลือมีเต็มไปหมด  ควรทำตามไหม? ควรทำตาม เพราะมันเป็นประโยชน์ เสริมสร้าง พระคัมภีร์จะสอนเรา ยกตัวอย่างเช่น อย่าโลภ  อย่ามีรูปเคารพ  อย่าโกรธ  อย่าเกลียด  อย่าอาฆาต  อย่าผิดศีลธรรมทางเพศ  อย่าโกง  อย่าเห็นแก่ตัว  อย่าเล่นไสยศาสตร์  อย่าเล่นคาถาอาคม  อย่าโกหก  อย่าหลอกลวง   และอย่า … อื่นๆ อีกเยอะแยะไปหมดเลย  ที่พระเจ้าสอนท่าน  พอท่านรู้ว่าอย่า ก็อย่าไปทำ หรือพยายามให้น้อยลงๆ ทำเมื่อไร ก็เจ็บตัวเมื่อนั้น  ก็เขาบอกอย่าแล้วไง ดังนั้น จงทำสิ่งที่พระวิญญาณ หรือสติปัญญาท่าน หรือในพระคัมภีร์บอกว่าดี ก็ทำตามนั่นแหละ เพื่อชีวิตที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ จะได้ถวายเกียรติพระเจ้า แล้วมันมีแต่สันติสุข มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น  วางใจในพระเจ้านะ และทำสิ่งที่ดีเหล่านี้  เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2018 เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอน 2 “แก่นแท้ความจริงของการประกาศข่าวดี” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  พฤษภาคม  2018

เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ

กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู

ตอน 2 “แก่นแท้ความจริงของการประกาศข่าวดี”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายวันนี้ ก็จะเป็นเรื่องต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ชื่อเรื่องว่า “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะกับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอน 2 “แก่นแท้ความจริงของการประกาศข่าวดี” และครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้แล้ว จากรากศัพท์ของคำว่า “ผู้เผยพระวจนะ” แปลมาจากภาษาเดิม ภาษาอังกฤษ ก็คือ “Prophet” …

“Pro” แปลว่า “เบื้องหน้า”

ส่วน “Phet” มาจากคำภาษากรีก ที่แปลว่า “พูด” หรือ “กล่าวออกไป”

รวมความแล้ว “Prophet” หรือ “ผู้เผยพระวจนะ” ก็หมายถึง “ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ เพื่อเป็นผู้บอกเล่าเหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นในเบื้องหน้า หรือในอนาคต”

เรารู้แล้วว่าผู้เผยพระวจนะ คือใคร? แปลว่าอะไร? ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

ซึ่งการเผยพระวจนะทั้งหมดในพระคัมภีร์ จะถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เกือบทั้งหมด ผู้เผยพระวจนะ มีก่อนพระเยซูคริสต์จะมาถือกำเนิด และเรื่องราวการเผยพระวจนะทุกเรื่อง ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ อ่านตรงนั้น แล้วเล็งถึงหรือไม่เล็งถึง แต่พระคัมภีร์เล็งไปถึงพระเยซูคริสต์ทั้งหมดเลย

เรื่องนางรูธ ก็เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ เรื่องโมเสส ก็เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่รู้ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ เรียนรู้ถึงหรือไม่ถึง ทั้งหมดนั้น พูดเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ทั้งหมดเลย

เรื่องราวคำเผยพระวจนะของพระเจ้าที่บอกล่วงหน้า พอมาถึงพระเยซูคริสต์ จึงกลายเป็นข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ ได้รับการประกาศกันต่อๆ มาว่าที่พระเจ้าวางแผนไว้ เมื่ออดีต ตั้งนานมาแล้ว บัดนี้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน

เพราะฉะนั้น  จึงสามารถพูดว่าข่าวดี แห่งความสำเร็จ มันสำเร็จแล้ว ถึงเป็นข่าวดี ถ้ายังไม่สำเร็จ ก็ต้องลุ้นต่อไป มันยังไม่ดีจริง แต่สำเร็จแล้ว มันคือข่าวดี

การประกาศข่าวดีของพระเจ้า ประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ของพระเจ้า ก็คือเรื่องของสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ล่วงหน้าสำเร็จแล้ว นี่คือข่าวดี ได้ถูกประกาศมาตั้งแต่วันนั้น วันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม จนถึงวันนี้ เกือบ 2,000 ปีแล้ว ประมาณนั้น

และเรื่องราวเล่านั้น ที่กำลังพูดถึง ก็คือพันธสัญญาของพระเจ้าที่บอกว่าจะช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป รอดพ้นจากคำสาปแช่ง โดยจะประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ มาเป็นผู้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ ได้รับมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คืออาดัมและเอวา เอาความทุกข์ยากลำบาก ความทุกข์ทรมาน เนื่องจากคำสาปแช่ง ซึ่งเป็นผลจากการทำบาป ต่อต้านพระเจ้า หนีพระเจ้าไป ไปอยู่ใต้หรือไปเชื่อฟังมาร มนุษย์ตั้งแต่นั้นมา ก็ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก

คำสัญญาของพระเจ้า ก็คือจะส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาไถ่บาป ด้วยการทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน รับโทษบาปทั้งหมด แทนมนุษยชาติ

นี่คือเรื่องราวที่มีการเผยพระวจนะบอกล่วงหน้า ถึงเหตุการณ์เหล่านี้ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะมาตลอดที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ที่เราเรียกกันว่าภาคพันธสัญญาเดิม คือสิ่งที่บอกไว้ตั้งแต่เดิม ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด คำว่า “เดิม” คำว่า “ใหม่” แบ่งกันตรงที่พระเยซูเกิดหรือยัง? ถ้าพระเยซูคริสต์ยังไม่เกิด เรียกว่าพันธสัญญาเดิม …

เดิมบอกไว้ว่าพระเยซูคริสต์จะมาช่วยให้รอด เดิมบอกว่าพระองค์เตรียมแผนการนี้ ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป และหลังจากการเผยพระวจนะ ผ่านไป เป็นเวลาหลายๆ พันปี ก็ถึงเวลาที่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ และมาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ และมาตายที่ไม้กางเขนจริงๆ ด้วย  รับโทษบาปแทนมนุษย์จริงๆ ทำแผนการของพระเจ้าที่บันทึกไว้ล่วงหน้า ที่สัญญาไว้ล่วงหน้านั้น สำเร็จ ณ เวลานั้น สิ่งที่เคยถูกเรียกว่าการเผยพระวจนะ หรือการทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ก็ถูกเรียกใหม่ว่าข่าวดี

นี่คือการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ พระคัมภีร์เดิมสัญญาไว้ว่าอย่างนี้ๆ เรียกว่าพระคัมภีร์เดิม พอพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูมาทำให้สำเร็จ จากการบอกล่วงหน้า จึงกลายเป็นสำเร็จแล้ว

“สำเร็จแล้ว” เราทุกคนต้องอยู่ในคำนี้เยอะ จนตลอดชีวิตของเรา ไปชั่วลูกชั่วหลาน จนกระทั่งหมดลมหายใจ ไปถึงนิรันดร์เลย ต้องจำให้ได้ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ “สำเร็จแล้ว”  ภาษากรีกพูดว่า “Testelesti”

โรม 1:1-4 อาจารย์เปาโล ก็คือผู้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เหมือนเราอย่างนี้  อยู่ในยุคก่อนเรา เกือบ 2,000 ปี ก็ได้พูดอย่างนี้แหละ

โรม 1:1-4 “1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโล ผู้เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูต และทรงแยกไว้ เพื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้า 2 คือข่าวประเสริฐซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า ผ่านทางเหล่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ 3 ข่าวประเสริฐนั้น เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้ซึ่งในฐานะมนุษย์ ทรงเป็นวงศ์วานของดาวิด 4 และผู้ซึ่งโดยทางพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ พระองค์ได้รับการประกาศ ด้วยฤทธานุภาพว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

 

ข่าวประเสริฐ ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า ผ่านทางเหล่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ พระคัมภีร์ มาจากคำว่าไบเบิ้ล … ไบเบิ้ล แปลว่า book … book แปลว่าหนังสือ … หนังสือที่บันทึกไว้ Holy แปลว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะพระเจ้าใช้เขาบันทึก ตามพระองค์บอก เขาถึงเรียกว่า Holy ศักดิ์สิทธิ์ เขาหมายถึงอย่างนี้

พระคัมภีร์บอกเรื่องราวข่าวประเสริฐนี้ เป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก แต่ปิดบังไว้ก่อน เป็นแผนการลับ ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผย รอถึงเวลาที่เหมาะสม ก็ค่อยๆ เปิดเผยออกมาทีละนิดๆ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ ให้บอกล่วงหน้าว่าพระองค์จะทำอะไร?

แค่พูดคำว่า “เป็นแผนการ หรือสัญญาที่พระองค์ทรงเตรียมล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก”

ท่านเข้าใจไหม ก่อนสร้างโลก ไม่เข้าใจ เรามีหน้าที่เชื่ออย่างเดียว เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น แต่วันหนึ่งเราจะเข้าใจเองแหละ วันไหน? วันที่เราอยู่บนโลกนี้หรือเปล่า เราก็ไม่รู้ หรืออาจจะเป็นวันหนึ่ง ที่เราจากโลกนี้ไปแล้วก็ได้ เปาโลบอกว่าวันที่เราจากโลกนี้ไป เราจะรู้ ในสิ่งที่เราอยากจะรู้เยอะแยะมากมายไปหมดเลย คือวันที่เราไปเห็นพระองค์หน้าต่อหน้านั่นเอง ทิ้งร่างกายนี้ไปแล้ว

พระเจ้าค่อยๆ สำแดงและเปิดเผยพันธสัญญาของพระองค์ ก่อนที่เหตุการณ์จริงจะเกิดขึ้น เพื่อจะได้เล้าโลมจิตใจของมนุษย์ทั้งหลาย ก่อนช่วงที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด มันไม่มีความหวังอะไรเลย มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนบาปทั้งสิ้น และอยู่ภายใต้ความกลัวการถูกลงโทษในใจลึกๆ เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น พระเจ้าจึงค่อยๆ เปิดเผยพันธสัญญาของพระองค์ แผนการของพระองค์ ให้มีความหวังใจว่าสักวันหนึ่ง วันหนึ่งอาจจะไม่ใช่เวลาของเรา อาจจะไปถึงลูกหลานของเรา หรือเหลนของเราก็ได้ วันหนึ่งข้างหน้า ความบาปผิดเหล่านี้ ความทุกข์ทรมานเหล่านี้ มันจะได้รับการชำระ ได้รับการไถ่ เราจะหลุดพ้นเสียทีหนึ่ง เราจะหมดเวรหมดกรรมเสียทีหนึ่ง ต้องมีสักวันหนึ่ง พระเจ้าต้องการอย่างนี้ และเพื่อให้มนุษย์ใจจดใจจ่อในสิ่งเหล่านี้ และเมื่อวันที่เกิดขึ้นจริงๆ เขาจะได้รู้ว่าเป็นพระเจ้าแน่ๆ เพราะพระองค์บอกล่วงหน้ามาแล้ว  โรม 16:25-26 บันทึกเรื่องนี้ไว้

โรม 16:25-26 “25 บัดนี้ แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถให้ท่านตั้งมั่น โดยข่าวประเสริฐของข้าพเจ้า และการประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ ตามการทรงสำแดงข้อล้ำลึก ซึ่งได้ทรงปิดบังไว้ ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา 26 แต่บัดนี้ ได้ทรงสำแดงและเปิดเผยให้รู้ทั่วกัน ผ่านทางข้อเขียนต่างๆ ของผู้เผยพระวจนะ ตามพระบัญชาของพระเจ้าองค์นิรันดร์ เพื่อปวงประชาชาติจะได้เชื่อวางใจและเชื่อฟังพระองค์”

 

เห็นไหม? เพื่อว่าเมื่อเกิดขึ้น ปวงประชาชาติจะได้เชื่อวางใจ และเชื่อฟังพระองค์ในข่าวประเสริฐนี้ จากพระสัญญาของพระเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก แผนการลับ ที่จะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากคำสาปแช่ง ถ้าเผื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป คำสาปแช่ง แล้วมนุษย์ก็ตกลงไปจริงๆ ซึ่งแต่เดิมเคยถูกปิดบังไว้ เรียกว่าเป็นแผนการลับ จนมาถึงได้รับการเปิดเผยผ่านทางผู้เผยพระวจนะทีละนิดทีละหน่อย จนมาถึงการเกิดขึ้นจริงๆ ในวันที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต จากนั้นเป็นต้นมา พันธสัญญาหรือคำเผยพระวจนะเหล่านี้ จึงกลายเป็นข่าวดี ให้เราทั้งหลายประกาศออกไปว่ามันสำเร็จแล้ว ประกาศไปจนกระทั่งสุดปลายแผ่นดินโลก

พระเยซูทรงประกาศข่าวดีนี้เป็นคนแรก ที่ไม้กางเขน ในวันศุกร์ประเสริฐ ตอนบ่าย 3 โมง  พระเยซูก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงประกาศดังลั่นในใจ แต่ปากอาจจะพูดเบาๆ เพราะว่าทรมานมาก หายใจไม่ออกแล้ว จะยกเลิกวิญญาณตัวเอง

พระองค์บอกว่า … “สำเร็จแล้ว” บันทึกไว้เป็นภาษากรีกว่า “Testelesti”  ทุกอย่างจ่ายเรียบร้อยแล้ว ที่วางแผนมาทั้งหมด ตั้งหลายพันปี จบแล้ว บาปเวรกรรมของมนุษย์ได้ถูกชดใช้เรียบร้อยแล้ว จงประกาศตามพระเยซู พระองค์ประกาศอย่างไร? ท่านก็ไปประกาศอย่างนั้นแหละ ประกาศตามถ้อยคำพระเจ้าที่ได้สัญญาไว้ล่วงหน้าว่าเป็นบัญชา คือเป็นคำสั่ง เป็นคำพูดของพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิมว่าเมื่อถึงเวลามันจะต้องเกิดขึ้นตามนั้น ฉันจะช่วยลูกฉันกลับมาใหม่

หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ เราจึงต้องยึดหลักถ้อยคำในพระคัมภีร์ทั้งสอง คือทั้งพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ให้มันตรงกัน เป็นแนวทางสำคัญในการประกาศข่าวดีว่าสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ไปทุกแห่งทุกหน ไม่มีที่สิ้นสุดของความจริงนี้ คือพระคัมภีร์เดิม ยืนยันด้วยพระคัมภีร์ใหม่ พูดพระคัมภีร์ใหม่ก่อน ยืนยันด้วยพระคัมภีร์เดิมว่า …

“ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่จริงๆ แม้กระทั่งจุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ก็ไม่ถูกลบหายไป จนกว่ามัน จะเกิดขึ้น”

จุดๆ หนึ่ง คือแม้พระเยซูต้องนั่งลาที่บริสุทธิ์ ที่ไม่มีใครเคยขี่เลย เดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็ม ในอาทิตย์ที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ก็ยังถูกบันทึกเอาไว้ก่อน บอกล่วงหน้าแล้วว่าจะเป็นอย่างนี้ ไปอ่านดู จะบอกโดยผู้เผยพระวจนะเขียนไว้ว่าพระเมสโปดก พระเจ้าจะเข้ามา หมายถึงพระเยซู ท่านคิดดูสิ จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่งจะไม่ถูกลบเลือนหายไป จนกว่ามันจะเกิดขึ้น เป็นไปตามพันธสัญญา เป็นไปตามคำบอกเล่าล่วงหน้าของบรรดาผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าพูดผ่านเขาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้แหละ ฮาเลลูยา เห็นความยิ่งใหญ่ไหม?

เพราะฉะนั้น การประกาศข่าวดี ท่านต้องเห็นทั้งสองอันเลย  ก็จะสนุกในการอ่านพระคัมภีร์ อ่านพระคัมภีร์เดิมนึกไม่ออกว่าตรงนี้แปลว่าอะไร? แต่รู้ในใจว่ามันเล็งถึงใคร? ฉันไม่รู้ ฉันรู้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องพระเยซู ตอนที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว เกี่ยวข้องหมดแหละ ฉันมีหน้าที่รู้แค่นี้ ไม่ ต้องรู้หมด อันไหนรู้ ก็รู้  ไม่รู้ ก็สรุปว่าเป็นไปตามนี้ เอเมน นี่คือหลักการที่เราจะไปประกาศข่าวดี นี่คือความจริงที่เราจะเป็นผู้สืบสาน พูดให้ลูกหลาน เหลน โหลนของเราภายภาคหน้า

ปัญหาของการประกาศข่าวดี คือมนุษย์มักจะใช้ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองในใจ ซึ่งเต็มไปด้วยความเชื่อเก่าๆ ความรู้เก่าๆ ความเคยชินเก่าๆ การฟ้องผิดเก่าๆ ในชีวิตเดิม ความเคยชินกับการฟ้องผิดในใจว่าตนเองเป็นคนบาป มีมลทิน ที่อยู่ในวิญญาณ อยู่ในความคิดจิตใจ อยู่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ และอยู่ในร่างกายใช้คำว่าเนื้อหนัง ที่มีเชื้อบาป อยู่ภายใต้การกระตุ้นของร่างกาย ความคิดจิตใจที่เป็นทาสของความบาป เป็นเชื้อบาปในตัวเองอยู่ มักจะไปเอาตรงนี้ มาใส่ลงไปในการประกาศข่าวดี เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ในใจลึกๆ จิตใต้สำนึกก็คอยที่จะฟ้องว่าตัวเองเป็นคนบาป สกปรก มันฟ้องตลอดเวลา แล้วมนุษย์ก็มักจะใช้ความรู้สึกเคยชินนี้ ในการเข้ามามีความสัมพันธ์ติดต่อกับพระเจ้า เมื่อมารู้จักพระเจ้า หรือไม่รู้จักก็ตาม แทนที่จะใช้สิ่งที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า คือถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้เมื่อตะกี้นี้ ที่เป็นความจริง ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ไม่ว่าพระคัมภีร์เดิม หรือพระคัมภีร์ใหม่ก็ตาม ที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว มาเป็นบรรทัดฐาน มาเป็นรากฐาน มาเป็นกรอบในการประกาศข่าวดีในชีวิตของตนเอง

พระคัมภีร์บอกว่าอะไรที่พระเจ้าบัญชาไว้ แผนการของพระองค์ที่ได้วางไว้ ที่พระเจ้าได้บันทึกไว้เป็นอย่างไร? พระเยซูได้มาทำทั้งหมด สำเร็จแล้ว ก็ให้เราเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น ตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ ใครจะถามว่า …

“เป็นลูกพระเจ้าหรือเปล่า?”

ไม่ค่อยกล้าพูด เพราะไม่ค่อยมั่นใจว่าสะอาดพอจะเป็นลูกพระเจ้าหรือเปล่า? ทั้งๆ ที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์แล้ว อย่างนี้เป็นต้น เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าอย่างไร? เราก็ควรจะเชื่ออย่างนั้น ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยตามมองเห็น หรือด้วยความเข้าใจแบบมนุษย์ หรือใช้ความรู้สึกเอา คริสเตียนที่แท้จริง ต้องไม่ใช่ว่าฉันรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่นี่ ไม่มีคำว่า “รู้สึก” ต้องมีแต่ “ฉันรู้” “ฉันเชื่อ”

“วันนี้ ฉันรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวที่นี่” ถูกหรือผิด?  คิดเอาเอง

“วันนี้ ฉันมีความรู้สึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”  ถูกหรือผิด?  ผิด

“ฉันมีความรู้สึกว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มากเลย” ถูกหรือผิด?  ผิด

เห็นไหม ท่านจะเริ่มเข้าใจแล้ว

“ฉันมีความรู้สึกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง” ถูกหรือผิด?

“ฉันมีความรู้สึกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอย่างลึกซึ้งมาก ขนลุกไปหมด”  ถูกหรือผิด? แล้วทำไมทำล่ะ

“ฉันรู้สึกว่านมัสการเมื่อเช้านี้ อินมากๆ พระเจ้าสถิตอยู่กับฉันด้วยวันนี้มากกว่าเมื่อวานนี้อีก มากกว่าสัปดาห์ที่แล้ว” ถูกหรือผิด?

ต่อให้ท่านวันนี้ ตื่นไม่ทัน ต่อให้เมื่อตะกี้นี้รถตัดหน้า ต่อให้รอรถเมล์อยู่ รถเมล์ลงไปในโคลน กระเด็นขึ้นมาสาดท่าน ท่านเข้ามาที่นี่ตัวเปรอะโคลน เลอะมาก ทั้งหงุดหงิด ทั้งโกรธ ทั้งโมโห นั่งลงไปปุ๊บ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยไหม? แถมเล่นเพลงไม่ชอบอีก พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยไหม?  เห็นไหม? โดยความรู้สึกหรือความเชื่อ  เพราะถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เมื่อเรารับเชื่อในพระองค์แล้ว ต้อนรับพระองค์แล้ว เอเมน นี่หมายถึงอย่างนั้น ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง

บางครั้งที่เรารู้สึกว่าดี เมื่อได้ยินคนพูดถึง หรืออธิษฐานเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า โดยใช้เนื้อหนังของเขาอธิบาย บางครั้งเรารู้สึกดี เมื่อได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้ ตามความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ซึ่งไม่เป็นไปตามถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ ก็เพราะว่าเรากับเขาคนนั้น ต่างคนต่างเป็นคนบาปเหมือนกัน มีเนื้อหนัง มีความรู้สึกฟ้องผิดเช่นเดียวกัน และเรารู้สึกว่ามันสบายใจขึ้นจัง เมื่อได้รับการปลดปล่อยในจิตใจ แล้วก็คิดเอาเองว่านั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการมั้ง เพราะมันได้ผล มันโล่งเลยวันนี้

เช่น เวลาเจ็บป่วย แล้วก็คิดว่าเป็นการลงโทษจากพระเจ้า เพราะไปทำผิดอะไรมา แล้วก็มีคนอธิษฐานให้ว่า …

“ขอพระเจ้าทรงเมตตา อภัยในความบาปผิดของเขาทั้งหลายที่ได้กระทำมา รักษาเขาให้หายด้วยเถิด”

เรารู้สึกสบายใจเลย แล้วก็ว่านี่แหละคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ถูกหรือไม่ถูก? ที่ถามนี้ คือท่านจะรู้สึกอย่างนั้นจริงไหม?  มันปลดปล่อยเลย  แต่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าอย่างไร? ซึ่งพระคัมภีร์ก็บอกอยู่แล้วว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้รับการอภัยโทษ บาปผิดทั้งหมด ทั้งสิ้นแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน รวมถึงบาปในอนาคต และไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ นี่คือสำเร็จแล้ว ข่าวดีที่พระเยซูบอก แทนที่จะเชื่อพระเยซู เชื่อคนนี้ที่อธิษฐานให้เราดีกว่า เพราะเรารู้สึกสบาย รู้สึกได้รับการปลดปล่อย เขามาอธิษฐานให้ แต่มันผิด ก็คือผิด เพราะเราใช้ความรู้สึกในการรับรู้ เราไม่ได้ใช้ถ้อยคำพระเจ้าเป็นตัวบรรทัดฐานว่าจริงไหม? เหมือนที่ตะกี้นี้ผมบอกว่าท่านเข้ามาในโบสถ์ ท่านรู้สึกว่าวันนี้พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

เพราะฉะนั้น การที่เราทำตามเนื้อหนัง ความรู้สึกนึกคิดแบบเนื้อหนัง ตามความเคยชินเก่าๆ ทำตามความเชื่อเก่าๆ จากแรงกระตุ้น เนื่องจากบาปในเนื้อหนังของเรา นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามหลักการพระคัมภีร์ ยิ่งไปกว่านั้น อาจเป็นการปฏิเสธพระเยซู โดยเราไม่รู้ตัวก็ได้ เรากำลังบอกพระเยซูว่าไม่สำเร็จหรอก ถ้าสำเร็จจริง เราจะมาพอใจในการที่เขาอธิษฐานให้เราว่าเราไปทำบาปอะไรมา เราถึงได้รับการเจ็บป่วย เพราะเราไปทำผิดมา มันไม่ใช่ ถ้าเราเชื่อเขา เราก็ปฏิเสธพระเยซู ถ้าเราเชื่อพระเยซู เราก็ไม่เชื่อเขา

บางคนเห็นเพื่อนหรือคนใกล้ชิดป่วย แล้วก็คิดเอาเองว่าคงไปทำอะไรมา ที่เป็นการผิดต่อพระเจ้า หรือทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย ก็เลยลงโทษให้สุขภาพเสื่อมโทรม แล้วก็ได้รับสิ่งที่ไม่ดีเยอะแยะ และด้วยความปรารถนาที่ดี ที่เขาเรียกว่าความหวังดีที่โลกไม่ต้องการ ความปรารถนาดีอย่างจริงใจเลย ก็พยายามมาร่วมกันอธิษฐาน เป็นหมู่ใหญ่เลย อธิษฐานโต้รุ่งช่วยกัน

“ขอพระเจ้าโปรดเมตตาความผิดใดๆ ที่เพื่อนกระทำลงไป ด้วยความไม่รู้เท่าถึงการ ขอทรงโปรดยกโทษให้เขา อย่าไปลงโทษเขาเลย” อะไรประมาณนี้ เป็นต้น มันถูกตามหลักพระคัมภีร์ไหม?

คราวนี้เรามาดูว่าถ้อยคำพระเจ้า ข่าวประเสริฐแห่งความสำเร็จแล้วของพระเยซูเป็นอย่างไร? ว่ากันตามจริง ตามหลักพระคัมภีร์เลยนะ การกระทำอย่างนี้เขาถือเป็นบาปอย่างหนึ่ง คือไม่เชื่อในข่าวดี ต่อต้านพระเยซู เป็นปฏิปักษ์กับพระเยซู ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว เหมือนชาวยิวในอดีต ที่คุ้นเคยกับประเพณีเก่าๆ และนำสิ่ง ที่พระเจ้าได้สั่งให้ทำไว้ในอดีต มาใช้ในความสัมพันธ์ติดต่อกับพระเจ้า ในยุคหลัง จากที่พระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว คือกำลังบอกว่าพระเยซูทำไม่สำเร็จ เราเลยต้องทำต่อไง เช่น  สมัยพันธสัญญาเดิม ก่อนจะเข้าไปหาพระเจ้า ต้องนำเลือดสัตว์ไปถวาย เรียกว่าสัตวบูชา เพื่อปกคลุมบาปของตนเอง แล้วค่อยเข้าไปบัลลังก์ของพระเจ้าได้ แต่หลังจากที่พระเยซูได้ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้แล้ว ทุกเวลา ทุกเมื่อ ด้วยโลหิตของพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยโลหิตของสัตว์อีกต่อไปแล้ว แต่ด้วยความเชื่อเก่าๆ ด้วยความคิดแบบเก่าๆ ตามเนื้อหนังของตนเอง ก็ยังรู้สึกว่าขอเติมอีกหน่อย น่าจะต้องมีพิธีการอะไรสักหน่อยหนึ่งนะ ก่อนจะเข้าไปหาพระเจ้าสัตวบูชาสักหน่อยดีไหม? เวลาจะติดต่อกับพระเจ้า ขออีกสักนิดหนึ่ง เรากำลังบอกว่าพระเยซูทำให้เราไม่พอ ขอทำอีกหน่อยหนึ่ง ช่วยพระเยซูหน่อย คล้ายๆ อย่างนั้น

ซึ่งพระคัมภีร์ในพันธสัญญาใหม่บอกว่าการกระทำแบบนี้ คือการกระทำโดยความไม่เชื่อ ในฤทธิ์อำนาจแห่งพระโลหิตของพระเยซู ซึ่งก็เป็นบาปที่รุนแรงมากที่สุด ที่อภัยไม่ได้ เพราะเป็นบาปที่กำลังต่อต้านพระคริสต์ พระเยซู กำลังบอกว่าสิ่งที่พระเยซูพูดบนไม้กางเขน คำเผยพระวจนะ คำบอกล่วงหน้าที่พระเจ้าบอกไว้ ช่วยมนุษย์ได้สำเร็จ เสร็จแล้ว มันไม่จริง เรากำลังปฏิเสธพระเยซู มันเลยรุนแรงตรงที่ว่าจากนี้ต่อไป เราไม่มีพระเยซูแล้วนะ ไม่มีใครมาช่วยให้เรารอดแล้ว มันถึงรุนแรง ท่านทำบาปอย่างอื่นมา ท่านก็กลับมาหาพระเยซูได้ แต่ถ้าท่านปฏิเสธพระเยซู ท่านจะไปหาใคร? เหลือเพียงท่านเดียวแล้ว ก็คือพระเยซู พระคัมภีร์จึงบอกว่าทำอย่างนั้น  มันไม่ดีเลย  อย่าทำดีกว่า เพราะเท่ากับว่าท่านกำลังปฏิเสธพระเยซู และกำลังเหยียบย่ำพระคุณ ซึ่งเป็นบาปร้ายแรง และไม่มีใครสามารถช่วย ให้รอดจากบาปนี้ได้อีกเลย  ไม่ใช่พระเจ้าโกรธ  ก็ท่านปฏิเสธผู้ที่พระเจ้าส่งมาช่วยท่านให้รอด  ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก็แค่นั้นเอง  ท่านจะปฏิเสธอย่างอื่นอะไรต่างๆ แต่ยังเหลือพระเยซู ท่านยังมีโอกาสกลับมาหาพระเยซู แต่ถ้าท่านปฏิเสธพระเยซู แล้วจะหาใครล่ะ เพราะพระเจ้าได้ประทานพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว แต่เราปฏิเสธพระคุณนี้ ซึ่งพระเจ้าบอกว่านอกจากพระเยซูคริสต์ ไม่มีผู้ช่วยให้รอดอื่นใดอีกแล้ว พระคัมภีร์จึงย้ำแล้วย้ำอีกว่าเราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ด้วยเหตุผลและความคิดของเราเอง ไม่ใช่ด้วยเนื้อหนัง แรงกระตุ้นจากเชื้อบาปในตัวเรา ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าเนื้อหนังอ่อนแอมาก พระเจ้าประทานกำลังให้เราที่วิญญาณ ไม่ใช่เนื้อหนัง

พระคัมภีร์จึงบอกว่าท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อ บันทึกไว้ในกาลาเทีย 3:26 มันสำเร็จแล้ว พระเจ้าต้องการทำให้เรา เป็นลูก บัดนี้ทำสำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ที่เราต้องรักษาไว้

ตอนที่เกิดเรื่องการถกเถียงกันอย่างนี้ในกลุ่มชาวยิวว่าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ ตอนที่ข่าวประเสริฐมาถึงชาวยิวใหม่ๆ อาจารย์เปาโลสรุปไว้ง่ายๆ เลยว่าสิ่งใดที่ทำด้วยความเชื่อ ถ้าผมบอก “ความเชื่อ” ท่านต้องคิดต่อ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูที่ทำสำเร็จแล้ว

“สิ่งใดที่ทำด้วยความเชื่อ ก็ถูกหมด แต่อะไรก็ตามที่ไม่ได้ทำด้วยความเชื่อ ในข่าวดีนี้ ก็ผิดหมด” สรุปง่ายๆ

โรม 4:22-23 “22 ดังนั้นสิ่งใดๆ ก็ตาม ที่ท่านเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ จงเก็บไว้เป็นเรื่องระหว่างท่านเองกับพระเจ้าเถิด ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่กล่าวโทษตนเอง ในสิ่งที่เขาเห็นชอบ 23 แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขากินก็มีความผิด เพราะเขาไม่ได้กินตามความเชื่อ และการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป”

 

พูดง่ายๆ มีความสุขกับการที่มีความเชื่อในความจริงแห่งข่าวดีของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ และถ้าเขาไม่เชื่อล่ะ ไม่ว่าเขาทำอะไร ก็ไม่มีความสุขเลย มันเป็นบาปทั้งนั้น เพราะเขาไม่เชื่อข่าวดี พูดง่ายๆ แค่นั้นเอง คือเมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู เชื่อในฤทธิ์อำนาจแห่งพระโลหิตพระเยซูคริสต์ เราก็จะเชื่อว่าไม่มีสิ่งใด หรือการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เรากลับกลายเป็นคนบาปได้อีกแล้ว เพราะมันสำเร็จไปแล้ว Testelesti ไปแล้ว และไม่มีการลงโทษใดๆ จะเกิดขึ้นกับเราอีกแล้ว (ทางวิญญาณ) โรม 8:1 ได้บันทึกเอาไว้

ท่านอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่ามันบันทึกไว้ตรงไหน? แต่ท่านเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง และพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นจริงๆ ท่านก็ได้รับผลตามนั้น พระคัมภีร์จึงย้ำว่าเมื่อปากเราพูดว่าเชื่อ การกระทำของเรา ต้องออกมาตามปากที่พูดนั้นด้วย เชื่อก็ต้องทำด้วย ไม่ใช่ปากเชื่อแล้วว่าพระเยซูมาไถ่บาปให้ลูกแล้ว มาลบล้างความผิดบาปให้ตัวลูกจนหมดสิ้นแล้ว แต่การกระทำข้างนอก ยังแสวงหาวิธีการที่จะลบล้างบาปให้ตัวเองเพิ่มอยู่เลย ยังพยายามทำให้ตัวเองบริสุทธิ์มากขึ้นอยู่เลย แล้วมันคืออะไร? ปากพูดอย่าง แล้วทำอีกอย่าง ยากอบ 2:24 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยากอบ 2:24 “จะเห็นได้ว่าผู้ใดจะถูกนับว่าชอบธรรม ก็ด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว”

 

พูดง่ายๆ คือเมื่อเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ได้ไถ่บาปให้เราแล้ว ก็ต้องกล้าที่จะปฏิบัติตามนั้นด้วย คือไม่ต้องถวายเครื่องบูชาลบบาป ประจำปี ประจำเดือน ประจำวัน ซึ่งชาวยิว เคยยึดถือปฏิบัติมาเป็นเวลานานอีกต่อไปแล้ว ถ้าเชื่ออย่างนั้น ก็ต้องกล้าทำอย่างนี้ พระคัมภีร์เปรียบเทียบการกระทำแบบนี้ว่าเปรียบเหมือนเชื้อเพียงนิดเดียว ก็ทำให้แป้งขนมปังฟูขึ้นทั้งก้อนได้ เป็นคำพูดที่พระเยซูได้เตือนว่าจงระวังเชื้อของฟาริสี เชื้อความไม่เชื่อเพียงนิดเดียว เราอาจจะเห็นไม่สำคัญ แต่พระเยซู พระเจ้าเห็นสำคัญ เชื้อของไม่เชื่อเพียงนิดเดียว เช่น กินอาหารที่บูชารูปเคารพ แล้วเกิดฟ้องผิด ไปกินข้าว คบหาสมาคมกับคนอื่น ที่ไม่ใช่ชาวยิว ก็ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ กลัวคนเขาเห็น เชื้อเหล่านี้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจสามารถฟูขึ้นมาได้ คือเกิดเป็นความคิดที่เชื่อผิดๆ แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างได้

ถ้าเทียบกับปัจจุบัน พระคัมภีร์ใหม่ ผมไม่ได้ต่อต้านเรื่องนี้นะ คือเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องถวายสิบลด พระเจ้าจึงพอพระทัย ถ้าเผลอ ไปทำผิดบาปอะไรมา ต้องรีบอธิษฐาน ขอการอภัยจากพระเจ้า เป็นการลบล้างบาป พระเจ้าจึงจะอภัยให้ ถ้าเจ็บป่วย อธิษฐานแล้วยังไม่หาย แสดงว่าต้องไปทำบาปอะไรมา หรือถ้าไม่ได้ทำด้วยตัวเอง ก็อาจจะมีคนในครอบครัวไปทำอะไรลบหลู่พระเจ้า จึงถูกลงโทษ อะไรประมาณนี้ ซึ่งเราก็เคยคุ้นๆ กันอยู่ ถ้าความจริงไม่มาถึงเรา … เราก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ใครส่งข่าวดีนี้มาให้เรา ซึ่งมันไม่ใช่ข่าวดีจริง นี่คือตัวอย่างที่บอกเป็นเชื้อแห่งความไม่เชื่อ ถ้าปล่อยไว้ ก็อาจฟู เผยแพร่กันออกไปเยอะแยะทั้งก้อนเละ ทั้งโบสถ์ ไปกันทั้งคณะก็ได้  ในขณะที่เรากำลังบอกว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู

ข่าวดีของพระเยซู คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก บอกว่าจะช่วยเหลือมนุษย์ ปลดปล่อยมนุษย์ อะไรเยอะแยะในนั้น สำเร็จแล้ว

ในขณะที่เรากำลังบอกว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู พระองค์ได้ทรงชำระล้างเราด้วยพระโลหิตของพระองค์ จนเราสะอาดหมดจด ปราศจากตำหนิ โดยร่างกายของพระองค์ได้แบกรับเอาความบาปของเราไปจนหมดสิ้นแล้ว ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ในขณะเดียวกัน เราจะรู้สึกสบายใจ เมื่อได้อธิษฐานว่า …

“ขอพระเจ้าทรงโปรดอภัยในความผิดบาปของลูก ขอทรงโปรดชำระล้างลูกให้สะอาด”

ทำไมมันแย้งกันเหลือเกิน ในขณะที่ปากเราเชื่อในข่าวดี แต่ความประพฤติเราไม่ใช่อย่างนั้นเลย นี่แหละคือเรากำลังปฏิเสธ เรากำลังต่อต้านพระเยซู โดยไม่รู้ตัว ปากบอกว่าเชื่อ แต่ไม่กล้าที่จะทำ ด้วยอะไรก็ตาม เรากำลังทำให้ข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซูเสียหายไป จนในที่สุดถึงลูก หลาน เหลน โหลน เขาก็อาจจะไม่รู้จักความจริงในข่าวดีของพระเจ้าเลย จนกระทั่งเลวร้ายที่สุด เขาอาจจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยข่าวดีจริงๆ อีกครั้งหนึ่งก็ได้

ท่านเคยรู้สึกดีไหม? เมื่อได้ทำบุญ ทำทาน และบริจาค หรือรู้สึกสันติสุข มันคนละอย่าง ผมหมายถึงตอนนี้ ท่านเชื่อในข่าวดีแล้ว ท่านได้บริจาค ช่วยน้ำท่วม ท่านรู้สึกว่าตัวเองบริสุทธิ์ขึ้นไหม?  รู้สึกเราได้สะสมความดีมากขึ้นไหม? คิดไปเรื่อยๆ นะ ผมพาท่านไปเรื่อยๆ ท่านมีความรู้สึกไหมว่าท่านได้ช่วยเหลือหมาจรจัด ที่มันเดินสะเปะสะปะ หรือสัตว์อะไรที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ท่านมีความรู้สึกไหมว่าบาป เวรกรรมของท่านลดน้อยลง

ตอนก่อนที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราเคยคิดกันอย่างนี้ ผมก็เคยคิดอย่างนี้ ถ้าผมไปช่วยสุนัข บาปเวรกรรมผมน้อยลง บางทีสุนัขจะช่วยเราบ้าง หมายถึงตอนนั้นนะ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ถูกไหม? แต่ผมกำลังบอกว่าเราสามารถมีโอกาสคิดย้อนกลับไปชีวิตเดิมได้ว่าตอนนี้ท่านเคยรู้สึกไหมว่าท่านอยากจะทำความดีเยอะเลย อยากออกไปประกาศทุกวัน อยากรับใช้พระเจ้าทุกวัน เพราะท่านกำลังอยากสะสมความดี เพื่อจะให้มีคุณภาพมากขึ้น จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ เคยคิดไหม? ไม่คิดก็แล้วไป

พระคัมภีร์จึงบอกไว้ว่าผู้ชอบธรรมจะดำรงชีวิตด้วยความเชื่อ … เชื่อในข่าวดีว่าสำเร็จแล้ว ท่านต้องนึกในใจ ข่าวดี สำเร็จแล้ว สิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ สำเร็จแล้ว ผู้เชื่อ ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น  ไม่ใช่ด้วยความคิดเห็น ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น ด้วยความเข้าใจ แบบมนุษย์ เชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้อย่างไร? ก็เชื่อตามนั้นว่ามันเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า

นี่คือข่าวดีของพระเจ้า ต้องสู้กับความคิดเก่าๆ แบบเนื้อหนัง ที่มันกระตุ้นมาด้วยเชื้อของความบาป ต่อต้านข่าวดีของพระเยซูอยู่เรื่อยๆ  โคโลสี 3:1-4 บันทึกไว้อย่างนี้ …

โคโลสี 3:1-4  “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เชื่อไหม? เชื่อ ไม่เข้าใจ แต่เชื่อ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ส่วนพระเจ้าจะให้สว่างขนาดไหน? แต่ไม่ว่าฉันจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เข้าใจมากหรือเข้าใจน้อยก็ตาม ฉันใช้ความเชื่อเอา พระคัมภีร์บอกให้จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน … สิ่งเบื้องบน คือในสวรรค์ บัดนี้เราได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว เริ่มต้นบอก ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งตัวท่านอยู่กับพระคริสต์ ท่านก็ได้นั่งอยู่เบื้องขวากับพระองค์ เข้าใจไหม?  ไม่เข้าใจ เชื่อไหม? เชื่อ อยากเชื่อเยอะขึ้นทำอย่างไร? ไปอ่านช้าๆ อ่านบ่อยๆ พูดให้ตัวเองฟังบ่อยๆ

“ฉันเป็นขึ้นมาร่วมกับพระเยซูคริสต์ และตอนนี้พระเยซูคริสต์อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพราะฉะนั้น ตามเหตุและผล ฉันจึงอยู่ในสวรรค์สถานด้วย”

สำหรับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็ว่าเราบ้าทั้งนั้นแหละ แต่พระคัมภีร์ให้เราจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้  ถ้าเราไม่จดจ่อ เราก็จะถูกเหตุผลของโลกดึงเราไป ตามแรงกระตุ้นแห่งกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็คือไม่เชื่อในข่าวดีนั่นเอง

“จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” พูดง่ายๆ เลือกพระเจ้า ไม่ใช่เลือกระบบของโลก เลือกที่จะเชื่อ ไม่ใช่เลือกที่จะเข้าใจ ไม่ว่าอะไรที่เป็นของโลกทั้งหมด ไม่เอา ไม่สนใจ ระบบของโลกเลิกไปเลย ตอนนี้ฉันอยู่ในระบบของวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ฉันเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่เลย ยังเดินอยู่ มาบอกท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตท่านซ่อนอยู่ หมายถึงท่านตายต่อบาปไปแล้ว ผมได้แค่นี้เหมือนกัน บัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ชีวิตของเราทั้งหลายตอนนี้ ซ่อนอยู่ในพระคริสต์

ท่านก็เอาถ้อยคำนี้ ไปพูด ไปอ่านบ่อยๆ เดี๋ยวพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะให้ท่านเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ท่านไม่มีทาง สามารถเข้าใจแบบมนุษย์ได้เลย เมื่อพระคริสต์ผู้เป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมพระองค์ในพระเกียรติสิริ พระเกียรติสิริ คือสง่าราศีของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือตัวเรา ถ้อยคำในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ ได้ทำให้เราทั้งหลายเป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทำให้เราเป็นลูกของพระองค์ และย้ายเราเข้ามาอยู่ในบ้านของพระองค์ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ และเรียกว่าในพระคริสต์

เพราะฉะนั้น ตอนนี้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้า ขณะที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราก็อยู่ในพระคริสต์ ขณะที่เราอยู่ในประเทศไทย เราก็อยู่ในพระคริสต์ ขณะที่เราอยู่ในกรุงเทพ เราก็กำลังอยู่ในพระคริสต์ เรานั่งอยู่ในโบสถ์ขณะนี้ เราก็อยู่ในพระคริสต์ … ในพระคริสต์ คือในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง มีพระเจ้าเป็นพระบิดา และพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทูตสวรรค์อีกมากมาย และเราอยู่ในนั้น แล้ว สำเร็จแล้ว ไม่ใช่ต้องรอ และเราก็อยู่ที่นี่ไปตลอด ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้อีกแล้ว  ไม่มีใครเอาเราออกไปจากอาณาจักรของพระเจ้านี้ได้อีกแล้ว เพราะเราซ่อนอยู่ในความยิ่งใหญ่ แห่งฤทธิ์เดชอำนาจ และสง่าราศี และพระสิริของผู้หนึ่งที่มีชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งสารพัด ผู้ทรงกระทำทุกสิ่งได้ ไม่มีสิ่งใดยากสำหรับพระองค์ นั่นแหละเราอยู่ในพระองค์ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2018 เรื่อง “สำเร็จแล้ว” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  เมษายน  2018

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตาย เอเมน ชื่อเรื่องของวันอีสเตอร์นี้ว่า “สำเร็จแล้ว”

เมื่อนึกถึงวันอีสเตอร์ เราก็นึกถึงก่อนหน้านี้ 2-3 วัน ก็คือวันพฤหัส  วันศุกร์ ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเยซูเริ่มทนทุกข์ทรมาน รับเอาความบาปของเราทั้งหลายไป นั่นคือหนึ่งในแผนการของพระเจ้าที่จะทำให้สำเร็จในวันอีสเตอร์ด้วยเช่นเดียวกัน

สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากตาย สุขสันต์วันสำเร็จแล้ว สุขสันต์วันแห่งชัยชนะของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่ของพระเยซูผู้เดียว พระองค์เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ เมื่อพระองค์ทรงชนะ มนุษยชาติชนะด้วย และแผนการนี้ สำเร็จแล้ว ไม่ใช่การทำสงคราม แต่สงครามใหญ่ยิ่งนี้ ได้ทำสำเร็จแล้ว ได้รับชัยชนะเรียบร้อยแล้ว เอเมน ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่รอว่ากำลังเกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้ว กำลังรับผลอยู่ตลอดเวลา เราจึงมาร่วมฉลองการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์ในเช้าวันนี้

หลังจากที่พระเยซูถูกทหารจับไปเมื่อวันพฤหัสฯ ที่สวนเกเสมนี ถูกทรมาน ถูกตรึงที่ไม้กางเขน จนกระทั่งตายที่ไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง จนถึงวันอาทิตย์ตอนเช้าตรู่ พระองค์ก็ฟื้นจากความตาย พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าเมื่อวันศุกร์ หลังจากที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว พระศพของพระเยซูได้ถูกอัญเชิญไปฝังที่อุโมงค์ ซึ่งปีลาตสั่งให้ปิดปากอุโมงค์อย่างแน่นหนา ด้วยหินก้อนใหญ่ แล้วจัดทหารเฝ้าเวรยาม อย่างเข้มแข็งตลอดเวลา

และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันอาทิตย์ ก็คือวันนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว คือเช้ามืด ได้เกิดแผ่นดินไหวที่อุโมงค์ มีทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาเลื่อนหิน ที่ปิดปากอุโมงค์ออก ก้อนใหญ่ คนผลักไม่ได้ แต่ทูตสวรรค์ผลักออกมา พวกทหารยามที่เฝ้าอุโมงค์อยู่นั้น ก็ตกใจกลัว เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พากันวิ่งหนีไปหมดเลย แล้วเหล่าสาวกของพระเยซู ก็ได้มาพบอุโมงค์ที่ว่างเปล่า ไม่มีพระศพ ไม่มีร่างอยู่ในนั้น และในที่สุด ก็ได้พบกับพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ แล้ว พระคัมภีร์บอกว่าการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เป็นการประกาศยืนยัน สถานภาพการเป็นพระเจ้าของพระองค์ ที่พระองค์พูดมาตลอดว่าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า  เป็นพระเจ้า แต่ไม่มีคนเชื่อ เพราะฉะนั้น การเป็นขึ้นจากความตาย เป็นการยืนยัน โรม 1:4 ได้บันทึกเอาไว้

โรม 1:4 “โดยทางพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ พระองค์ได้รับการประกาศด้วยฤทธานุภาพว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

 

พระองค์ได้รับการประกาศด้วยฤทธานุภาพว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา การเป็นขึ้นจากตายของพระเยซู คือใบประกาศยืนยันว่าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้าจริงๆ คือเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ตอนที่พระเยซูเป็นมนุษย์ ก่อนตระเวนสั่งสอน เป็นช่างไม้ด้วยซ้ำไป ไม่ได้ทำอะไรเลย ตลอด 30 ปี อายุ 31  เริ่มประกาศถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ และเริ่มประกาศว่าพระองค์เป็นใคร? พระเจ้าส่งพระองค์มาทำอะไร? และบอกว่าพระองค์ คือพระบุตรของพระเจ้า ทั้งบอกตรงๆ และบอกอ้อมๆ ตอนนั้นหลายคนได้ยินได้ฟัง ไม่เชื่อ แม้กระทั่งสาวกที่สนิทกัน อยู่ใกล้ๆ กัน ก็ยังไม่เชื่อ แม้พวกเขาเหล่านั้นจะได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ ในช่วงที่เดินอยู่บนโลกใบนี้มากมายใหญ่โต พวกเขาก็ไม่สามารถเชื่อจริงๆ ได้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะเชื่อได้ โดยเฉพาะพวกยิวทั้งอิจฉา ทั้งต่อต้าน ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งกลัวว่าอิทธิพลของตนเองในฐานะที่เป็นปุโรหิต หรือเป็นพระของยิว ที่ผู้คนนับถือ จะลดน้อยถอยลงไป ยิ่งต่อต้านพระเยซูมาก ยิวเหล่านี้ รับไม่ได้เลยนะว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เพราะว่าเขาถือว่าใครพูดอย่างนี้ ถือว่าเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าของเขาอย่างมากมายเลย มนุษย์บาปอย่างเราจะไปเป็นพระเจ้าได้อย่างไร? เป็นบุตรพระเจ้าได้อย่างไร? เขาถือว่าหมิ่นพระเจ้า เขาถึงโกรธพระเยซูใหญ่ พระเยซูจึงต้องเป็นขึ้นจากความตาย ให้เขาเห็นเลย เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ ตามที่บอกไว้ ทั้งหมดก็เป็นแผนการของพระเจ้า ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกอีก ก่อนจะมีพวกเราทุกคน แผนการนี้วางไว้เรียบร้อยแล้ว แผนการนี้มีชื่อว่าแผนการลับ แปลว่าลี้ลับ แปลว่าไม่มีใครรู้ ถูกซ่อนไว้ มีพระองค์เพียงผู้เดียวที่รู้ คือพระเยซูยังไม่รู้นะ  รู้ระแคะระคาย แต่ไม่รู้ครบถ้วนบริบูรณ์ รู้ตามที่พระเจ้าอนุญาตให้รู้ ทราบอยู่ผู้เดียว คือพระเจ้าพระบิดา

ถามว่าพระเยซูต้องเป็นขึ้นจากความตาย เพื่ออะไร?  ทำไมต้องยืนยันสถานภาพการเป็นพระเจ้าของตนเอง? ทั้งหมด เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่พระองค์พูดไว้ทั้งหมด นอกเหนือจากว่าที่พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแล้ว พระองค์เป็นบุตรพระเจ้า แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม? สวรรค์อยู่นี่แล้ว คืออะไร? เราจะพาพวกท่านไปหาพระเจ้า คืออะไร? แล้วสอนเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณอีกเยอะแยะ มันเป็นจริงอย่างไร? สอนไปตอนก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ ก่อนที่จะเป็นขึ้นมาจากความตาย สอนไว้เยอะแยะเลย ผู้คนฟัง ก็ฟังไปอย่างนั้น  แต่ตอนนี้เป็นขึ้นมาจากความตาย เอาไปย้อนดูสิว่าเราเคยพูดอะไรไว้? ยืนยันว่ามันเป็นจริงตามนั้นทั้งหมดแล้ว เมื่อเราบอกว่าเราจะเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเป็นขึ้นจริงๆ เพราะฉะนั้น  สิ่งที่เราพูดเยอะแยะไปหมด ก็คือเป็นจริงทั้งสิ้น นี่คือเหตุที่พระเยซูต้องเป็นขึ้นจากความตาย มีผลตรงนี้ด้วย

ลูกา 24:44-46  “44 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่านี่คือสิ่งที่เราบอกไว้ เมื่อยังอยู่กับท่านทั้งหลาย คือทุกสิ่งต้องสำเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรา ในหนังสือบัญญัติของโมเสส หนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดี” 45 จากนั้น พระองค์ทรงเปิดใจเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือพระคริสต์ต้องทนทุกข์ และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม”

 

นี่อาจจะเป็นเหตุการณ์ ที่เรียกว่าเป็นการประกาศข่าวดีในเรื่องพระเยซูเป็นครั้งแรกของโลกนี้ ก็ได้  โดยพระเยซูประกาศเอง เพราะนี่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ยังไม่ได้พบกับเหล่าสาวกทั้งหมดเลยนะ พบไม่กี่คน? แล้วก็ตรัสเมื่อสักครู่นี้

เมื่อพระเยซูประกาศยืนยันแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ โดยการเป็นขึ้นจากความตาย เพราะฉะนั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้กล่าวถึงพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงพูดไว้ และที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเกี่ยวกับพระองค์ เผยพระวจนะเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ไว้ทั้งหมด ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม มาถึงจบพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่หน้าแรก ปฐมกาลจนกระทั่งจบมาลาคี เป็นจริงตามนั้นทั้งหมดเลย พระเยซูกำลังยืนยันว่ามันเป็นตามนั้นทั้งหมด ตรงนี้แหละคือสิ่งที่พระคัมภีร์ รวมทั้งทุกคนที่มาเชื่อพระเจ้า พยายามที่จะเน้นแล้วเน้นอีก ย้ำแล้วย้ำอีกว่าความจริงเหล่านี้ มันจะทำให้คนที่รู้ความจริง เป็นไทย เป็นอิสระ ที่พระเยซูบอกว่า …

“ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท หมายถึงท่านจะรู้ความจริงของเรา ความจริงเหล่านั้นอยู่ที่ไหน?  อยู่ที่เราบอกท่าน ที่เราเดินอยู่กับท่าน 3 ปี สอนท่าน และที่เขาพูดถึงเกี่ยวกับเราในพระคัมภีร์เดิม ที่บันทึกไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส ตั้งแต่ปฐมกาลมาจนถึงมาลาคี พูดถึงเราทั้งเล่มเลย”

ความจริงเหล่านี้จะทำให้ท่านเป็นไท ผมก็เป็นไทจากความจริงเหล่านี้ และคนอีกมากมาย ก็จะเป็นไทจากความจริง ในเรื่องพระเยซูคริสต์ จากถ้อยคำของพระองค์ และความจริงที่จะเป็นข้อบรรยายในวันนี้ อีกตอนหนึ่ง ก็คือคำพูดสุดท้ายของพระเยซู ที่อยู่ในร่างของมนุษย์ ก่อนสิ้นพระชนม์ ที่ไม้กางเขน ยอห์น 19:30 บันทึกเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์

ยอห์น 19:30 “พระเยซูตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้น พระองค์ก้มพระเศียรลง และสิ้นพระชนม์”

 

นึกถึงภาพว่าเราทำอะไรบางอย่างเสร็จแล้ว ด้วยความเหนื่อยยาก ด้วยความทุกข์ทรมาน ถึงแม้มันเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม แต่มันเสร็จงาน  เหมือนเราสร้างบ้าน  เหนื่อยมาตั้งแต่วันแรก สร้างมา 3 ปี  ตะปูตัวที่จะตอกสุดท้าย สำเร็จแล้ว ส่งเราไปโรงพยาบาลพอดี เราเหนื่อยเหลือเกิน

ถามว่าเราเหนื่อย แล้วเราดีใจไหม? ดีใจ มันเสร็จแล้ว ถามว่าตะโกนไหม? ไม่ มันไม่มีแรง ได้แค่นั้น เพราะมันเหนื่อย พระเยซูก็อย่างนั้นแหละ ทุกข์ทรมาน แต่คำพูดนั้น เต็มไปด้วยพลังแห่งความยินดีว่ามันสำเร็จ มันอาจจะเบา แต่ข้างในมันดัง เพราะรู้ว่ามันสำเร็จแล้ว

คำว่า “สำเร็จแล้ว” ภาษาเดิมใช้คำว่า “Testelesti” ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Paid in Full” หรือภาษาไทย “จ่ายครบถ้วน” หรือ “จ่ายหมดแล้ว”

ใครที่ซื้อรถ  ซื้อบ้าน ที่ผ่อนหมดแล้ว จะมีความสุข วิ่งรอบเมืองเลย จ่ายหมดแล้ว เป็นอิสระแล้ว พระเยซูพูดคำนี้ วันนั้นแหละ ความหมาย ก็คือการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ได้ทรงปลดหนี้สินให้เราหมดแล้ว เอเมน ทุกคนในนี้คุ้นปากมาตลอด …

“เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมสักที”

ตอนที่เขาไล่เราออกจากงาน หรือตอนที่หมอบอกป่วยกระทันหัน เป็นอะไรหนักๆ  หรือตอนน้ำท่วมบ้านเยอะๆ แล้วเราก็บอกว่าเมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรม พระเยซูบอกจ่ายหมดแล้ว มนุษย์ทุกคนเกิดมา มีหนี้สินติดตัว หนี้สินนี้คือหนี้สินทางวิญญาณ พอเกิดปุ๊บ พูดง่ายๆ ก็ถูกจับเซ็นต์สัญญา เป็นหนี้ทันทีเลย เพราะบรรพบุรุษของเรา ไปเป็นหนี้เขา คืออาดัมไปเป็นหนี้บาป … หนี้บาป ก็ติดมา มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย  เกิดมาก็เป็นคนบาปแล้ว มีหนี้บาปอยู่ และจะต้องชดใช้หนี้บาปนี้ ไม่มีทางจะหมดได้ แต่ก็ต้องผ่อนต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งมนุษย์ทุกคน ก็รู้ดี ในวิญญาณ ในจิตใจว่าลบล้างอย่างไรก็ไม่หมด เพราะจิตสำนึกทุกคนเป็นวิญญาณ ที่มาจากพระเจ้า รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป แล้วรู้ว่าที่จะหมดบาปได้  โดยกระทำดีเยอะๆ แต่ทำไป เดี๋ยวก็ทำบาปอีกแล้ว ทำดีแค่ไหน? ก็ไม่พอ

คราวนี้กลับมาถึงวันศุกร์  เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว ศุกร์ประเสริฐ ที่พระเยซูคริสต์ถูกจับไปตรึงตายที่ไม้กางเขน การถูกตรึงบนไม้กางเขนของพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ได้ทรงปลดหนี้บาปให้กับมนุษย์ทุกคน จนหมดสิ้นเลย  ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มนุษย์ทุกคนจึงไม่มีหนี้บาปอีกต่อไปเลย ตั้งแต่วันศุกร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วพูดคำว่า

“สำเร็จแล้ว”

คำว่า “สำเร็จแล้ว” หรือ “Testelesti” ที่พระเยซูกล่าวที่ไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์ ความหมายอย่างแรก ก็คือการอภัยโทษในบาปให้กับมนุษยชาตินั้น มันเสร็จเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว ครบถ้วนแล้ว ไม่ต้องมายุ่งอะไรกับพวกเราอีกต่อไป เพราะพระองค์เป็นตัวแทน เพราะฉะนั้น พระเยซูทำอะไร เราก็ทำอย่างนั้นแหละ พระเยซูจ่ายแทนเรา เป็นตัวแทนของเรา เป็นแพะรับบาปให้กับเรา

พระคัมภีร์บอกว่าการไถ่ของพระเยซู เพียงครั้งเดียว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก็เพียงพอที่จะลบล้างหนี้บาปให้กับมนุษยชาติทั้งปวง ได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และถาวรนิรันดร์ ในฮีบรู 9:12-14 บันทึกเอาไว้อย่างนี้  …

ฮีบรู 9:12-14 “12 พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไป ด้วยเลือดแพะหรือเลือดวัว แต่พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพียงครั้งเดียวเป็นพอ  และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา 13 เลือดแพะ เลือดวัว หรือเถ้าถ่านจากวัวตัวเมีย ที่ประพรมลงบนผู้มีมลทิน ตามระเบียบพิธี ได้ชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะสะอาดภายนอก 14 แล้วยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด พระโลหิตของพระคริสต์ ผู้ถวายพระองค์เอง อย่างปราศจากตำหนิ แด่พระเจ้า โดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ ย่อมชำระจิตสำนึกของเรา จากการกระทำอันนำไปสู่ความตาย เพื่อเราจะได้รับใช้ พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”

 

ในสมัยก่อนนี้  พวกมหาปุโรหิตที่เป็นมนุษย์ เขาก็จะนำเลือดสัตว์ เป็นวัว แพะ เข้าไปถวาย เป็นการปกปิดบาปเอาไว้ ชั่วคราว ปีหนึ่งทำครั้งหนึ่ง แต่พระเยซูคริสต์ทรงใช้เลือดของตนเอง ซึ่งเป็นเลือดที่บริสุทธิ์แด่พระเจ้า เป็นการชดใช้ หนี้บาปของมนุษยชาติ เป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ซึ่งพระคัมภีร์เขียนว่า …

“เพียงครั้งเดียว ก็พอแล้ว”

ครั้งเดียว พอเลย เพราะว่าพระองค์ยิ่งใหญ่ เป็นพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ ครั้งเดียวพอ ได้รับการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ ชดใช้หนี้สินหมดแล้ว ไม่ต้องเป็นหนี้บาปใครอีกต่อไป นิรันดร์ ตลอดไปเลย

ฮีบรู 10:12-14 “12 แต่เมื่อปุโรหิตองค์นี้ ถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปครั้งเดียว สำหรับตลอดไปแล้ว ก็ประทับลงที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 13 นับแต่นั้นมา พระองค์ทรงรอคอยจนกว่าเหล่าศัตรูของพระองค์ จะถูกทำให้เป็นแท่นวางพระบาทของพระองค์ 14 เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์  โดยการถวายบูชาครั้งเดียว

 

โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้มนุษยชาติทั้งปวง ได้บรรลุสมบูรณ์พร้อมนิรันดร์ คือเรียบร้อยเลย ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เพราะว่าพระเยซูจ่ายให้หมดเรียบร้อยแล้ว

ถ้าพูดเป็นตัวเป็นตน จับต้องมองเห็นได้ บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า มีวิญญาณที่เป็นสปีซี่ย์เดียวกับพระเจ้า สามารถมีสิทธิ์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ วิญญาณใสกริ๊งสะอาดบริสุทธิ์เลย ใหม่เอี่ยมเลย ไม่เคยมีสิ่งสกปรก คือความบาปอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว และไม่สามารถมีได้เลยตลอดไป  รับเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน บ่าย 3 โมงวันศุกร์ แล้วพระองค์บอกสำเร็จแล้ว นั่นแหละได้ไปแล้ว แต่เราพึ่งมาเกิดตอนนี้ และตอนเกิด เราก็ยังไม่รู้ข่าวดีนี้  ไม่มีคนมาเล่าให้เราฟังอย่างนี้  หรือเล่าแล้ว เรายังไม่เชื่อ เพราะเรายังเย่อหยิ่งอยู่ หรือเราขี้เกียจฟัง เรายังไม่ถึงจนตรอก เรายังช่วยตัวเองได้ เรารู้สึกว่าเรายังมีกำลังจะผ่อนต่อ ก็ผ่อนไปเรื่อยๆ เรายังมีความรู้สึกว่าเรายังไม่อยากเป็นลูกพระเจ้า มันเว่อร์ไป ขอเป็นลูกมนุษย์ที่มีเงิน ก็พอแล้ว เราคิดของเราไปอย่างนั้นแหละ แต่วันหนึ่ง เราตัดสินใจแล้วว่าเราจะกลับไปหาพระเจ้าแล้ว เราจะใช้สิทธิ์ของเรา เราเชื่อแล้วว่านี่เป็นจริง พระเยซูตายที่ไม้กางเขน มันสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว เวรกรรมของเราไม่มีอีกต่อไปแล้ว พอเราเชื่อปุ๊บ พระคัมภีร์บอกว่าปากพูด ใจเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทันทีทันใดนั้น ความชอบธรรมเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา ปิ๊งขึ้นมาทันทีเลย กลายเป็นคนไม่มีบาปอีกต่อไป กลายเป็นลูกพระเจ้า นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น

ในหนังสือโคโลสี บทที่ 1 ได้ขยายความผลที่เราได้รับ ถ้าใช้คำว่า “จะได้รับ” หมายถึงเรายังไม่เชื่อ มันก็เลย ไม่ได้รับสักที แต่ความเป็นจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเสร็จไปแล้ว ได้รับไปแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้กับคุณนครเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปี แต่คุณนครจะได้รับ ก็ต่อเมื่อคุณนครเชื่อ  ดูโคโลสี 1:12-14 ดูผลว่าการไถ่บาปชั่วนิรันดร์นี้ เป็นลักษณะเช่นไร?

โคโลสี 1:12-14 “12 ขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงทำให้พวกท่าน เหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

ได้ไปแล้ว พระคัมภีร์เขียนไว้ตั้ง 2,000 ปี ผลที่เราได้รับจากการไถ่บาปนิรันดร์ของพระเยซู ก็คือที่เราอ่าน นี่เห็นชัดเลยว่าผลก็คือข้อ 13 ย้อนกลับมานิดหนึ่ง

โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

พระบุตร ชื่อพระเยซู มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในสถานที่หนึ่ง ที่เรียกว่าโลกวิญญาณจริงๆ มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วพระองค์บอกสำเร็จแล้ว คือพระองค์กำลังเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ พามวลมนุษยชาติออกจากอาณาจักรของความมืด ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าครอบครัวอาดัม … อาดัมตกลงไปในความบาป เป็นทาสของมาร เป็นทาสของความบาป ในวันนั้น วันที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว ก็คือแผนการพระเจ้าที่จะย้ายลูกของตนเองออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง มันสำเร็จแล้ว พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในอาดัม มนุษย์ทุกคนอยู่ในความบาป เราแค่ตัดสินใจใช้สิทธิ์ตัวเอง ยกมือเท่านั้น  ไม่ได้ทำอะไรเลย

“ลูกเชื่อแล้วว่าลูกเป็นไปตามพระคัมภีร์ ลูกเป็นตระกูลบาป จากอาดัม ลูกต้องการความช่วยเหลือ จากนี้ไป ไม่ช่วยเหลือตัวเองอีกแล้ว ไม่ใช้กำลังตัวเองที่จะทำทุกอย่าง เพื่อจะหลุดพ้นอีกแล้ว พระเยซูนั่นแหละเป็นตัวแทน เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เป็นตัวแทนให้กับฉัน เป็นบรรพบุรุษอีกคนหนึ่งต่อจากอาดัม มีพระเยซูอีกคนหนึ่ง ขอย้าย เชื่อแล้วว่ามันเป็นจริง”

ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นฤทธิ์อำนาจ ทำเสร็จแล้ว มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งเหล่านี้ที่ผมยกตัวอย่างมาให้ท่านดู มันมาจากพระคัมภีร์ทั้งสิ้นเลย  ย้ายเราจากอาณาจักรของความมืด มาสู่ความสว่าง โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ หลั่งพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียว พอแล้ว มนุษย์ไม่ต้องทำไรอีกแล้ว เพราะมันเสร็จสิ้นไปแล้ว ท่านทำอะไรก็ไม่เกี่ยวข้องเลย ถูกหลอกให้เหนื่อยเปล่าๆ ในหนังสือเอเฟซัส ก็พูดตรงนี้ชัดอีก ผมจะยกมาให้ท่านอีกข้อหนึ่ง พูดเหมือนกันเลย  จริงๆ ในพระคัมภีร์ ถ้าท่านเริ่มสังเกต ต่อไปนี้ท่านจะเห็น สังเกตเลย  ไปอ่านดูในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด ที่พูดถึงข่าวประเสริฐ จะพูดเป็นลักษณะสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว ทำไปแล้ว ได้ไปแล้วทั้งสิ้น ไม่ใช่ “จะๆๆๆ” เหมือนอย่างที่หลักข้อศาสนาชอบสอนเราว่าจะ …

“รักษาตัวให้ดีๆ นะ แล้วเธอจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า” เคยได้ยินไหม? บ่อยเลย

“พยายามถวายทรัพย์เยอะๆ นะ แล้วเธอจะได้พระพรจากพระเจ้า” ถูกหรือไม่ถูก?

“มาวันอาทิตย์บ่อยๆ มาเรียนพระคัมภีร์นะ ถ้าอยากจะได้พระพรจากพระเจ้า” ถูกไหม?

จริงๆ พระพรจากพระเจ้าให้เราหมดแล้ว ทั้งหมด ครบถ้วน บริบูรณ์ เพื่อจะดำเนินชีวิตอยู่ในการที่ดีของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว ส่วนการกระทำเหล่านั้น มันเป็นสิ่งที่สมควรทำ ให้เกิดประโยชน์บ้าง แล้วแต่สถานการณ์

เอเฟซัส 1:7 “ในพระเยซูเราได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า”

 

ตกลงได้รับการอภัยโทษหรือยัง? ได้รับแล้ว เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ทำไม่ได้ด้วยตัวเอง พระเจ้าจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์ มาทำให้เรา แล้วเราก็ถูกหลอกไปเรื่อยๆ พอไปถึงลูกหลานเรา  เขาก็นึกว่ายังไม่ได้ ถ้าได้ แล้วพ่อแม่เราจะอธิษฐานอย่างนี้หรือ?

 

… ความหมายของคำว่า “สำเร็จแล้ว” …

ข้อแรก ก็คือเราได้รับการอภัยโทษ จากบาปเรียบร้อยไปแล้ว

ข้อที่สอง คือมนุษย์ได้รับอิสรภาพแล้ว จากหนี้บาปเวรกรรมทั้งสิ้น อันนี้ก็สำเร็จแล้ว

เมื่อสำเร็จแล้ว ไม่ได้เป็นหนี้บาปเวรกรรม เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงได้บันทึกว่าคนที่เป็นมนุษย์ที่เชื่อตรงนี้ หรือเชื่อพระเยซู ตายที่ไม้กางเขน บังเกิดขึ้นแล้ว คือทำให้มนุษย์ทั้งปวงได้ตายต่อบาปแล้ว พูดง่ายๆ คือบาปไม่สามารถทำอะไรเราได้อีกแล้ว บาป แต่ก่อนนี้ทำอะไรเราได้ ก็คือลงโทษเรา  เราทำผิด ก็โดน ฟันต่อฟัน ตาต่อตา แต่ต่อไปนี้ พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ทำให้เราเป็นอิสระจากบาปแล้ว เพราะฉะนั้น บาปทำอะไรเราไม่ได้ ก็คือเราตายต่อบาป พระคัมภีร์ใช้คำนี้ ท่านจะได้เข้าใจด้วยว่าภาษาพระคัมภีร์ หมายถึงอะไร? ตายต่อบาป หมายถึงเป็นผลดี เราตายต่อบาป ท่านเคยเห็นคนตายไหม? จะด่าเขาอย่างไร? เขาก็นอนอยู่เฉยๆ จะเตะเขาอย่างไร? เขาก็ไม่เจ็บ

คำว่า “ตายต่อบาป” แปลว่าบาปทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เราไม่ได้อยู่ในกฎของความบาป แต่เราอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ เราอยู่ในเมืองนี้ไม่มีกฎแล้ว เมืองนี้มีแต่พระคุณ(ฝั่งพระเยซูคริสต์) เมืองนี้มีแต่กฎ ฟันต่อฟัน ตาต่อตา (ฝั่งอาดัม)

เพราะฉะนั้น เวลาอ่านพระคัมภีร์ท่านต้องสังเกตตรงนี้ ให้ดีๆ ว่ามันเสร็จสิ้นไปแล้วหรือยัง?  อะไรบ้างที่ยังไม่เสร็จสิ้น ท่านจงทำ แต่ถ้าท่านอ่านดูแล้ว และอะไรสำเร็จแล้ว ท่านอย่าทำนะ ท่านจงรู้ว่าท่านได้รับไปแล้ว ฝืนมันหน่อย การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สะอาดหมดจดเหมือนพระเจ้าแล้ว บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ในสายพระเนตรพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูเลย แทบไม่กล้าพูดใช่ไหมว่าเหมือนพระเยซู เพราะว่าพระเยซูคริสต์กับเรา มีค่าเท่ากันแล้วตอนนี้ เพราะพระองค์เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนเรา แต่ตอนนี้พระองค์พาพวกเรากลับไปเหมือนพระองค์ ก็คือเอาบาปเราออกไป แล้วเราเป็นบุตรของพระองค์ เป็นวิญญาณเดียวกับพระองค์เลย รอวันแห่งการเปลี่ยนแปลงร่างกายเก่าของเราเท่านั้นเอง รอให้เราตายไป สิ้นสุดเวลาของร่างกายนี้ วิญญาณเราออกจากร่าง เตรียมไปรับร่างกายใหม่ พระคัมภีร์จึงบอกว่าการตาย มีกำไรมากกว่าการอยู่ เพราะอย่างนี้ ในฮีบรู บทที่ 8 พระสัญญาที่พระเจ้าทำกับเราในพระเยซูคริสต์ เป็นพันธสัญญาใหม่ ซึ่งมันเกิดการเปลี่ยนแปลงดีกว่าพันธสัญญาเก่าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ใช้การกระทำ ฮีบรู 8:8-13 …

ฮีบรู 8:8-13 “8 แต่พระเจ้าทรงเห็นข้อผิดพลาดของเหล่าประชากร และตรัสว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่าเวลานั้นจะมาถึง เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์ 9 เป็นพันธสัญญาซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญา ที่เราได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของเขา เมื่อเราจูงมือพวกเขา นำออกมาจากดินแดนอียิปต์ เพราะพวกเขาไม่ได้คงความสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญาของเรา และเราเมินหนีจากพวกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 10 นี่คือพันธสัญญา ที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 11 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด 12 เพราะเราจะอภัยความชั่วช้าของเขา และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป” 13 โดยการตรัสเรียกพันธสัญญานี้ว่า “พันธสัญญาใหม่” พระองค์ทรงทำให้พันธสัญญาแรกพ้นสมัยไป สิ่งที่พ้นสมัยหรือเก่า ย่อมจะสูญสิ้นไปในไม่ช้า”

 

“เพราะเราจะอภัยความชั่วช้าของเขา (เขา คือมวลมนุษยชาติ) และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป” พระเจ้าตรัสเช่นนั้นแหละ ไม่จดจำเลย

สิ่งที่เราต้องการ คือการเปลี่ยนแปลงจากวิญญาณของเรา ซึ่งพระเจ้าทำเสร็จแล้ว ในพระเยซูคริสต์ เอาใจใหม่ให้เราเลย คือวิญญาณใหม่เอี่ยม 2 โครินธ์ 5:17 ดูสิ ใหม่เอี่ยมทั้งสิ้นเลย  เอาวิญญาณใหม่ให้กับเราเลย เพราะวิญญาณเก่าใช้ไม่ได้ บังเกิดใหม่ ซึ่งพระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว คือการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณข้างใน มันสำคัญมาก ร่างกายภายนอก ความคิดภายใน พยายามทำสิ่งที่ตนเองคิดว่าดี หรือพระคัมภีร์เดิมคิดว่าถูกต้องตามกฎ เราก็รักษากฎๆ พยายามทำ พลาด ก็พลาดอีกแล้ว ทำใหม่ เหนื่อยจนตาย ก็ไม่จบสักที ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่สามารถล้างข้างในออกได้ ล้างข้างนอกได้บ้าง? ล้างความคิดได้บ้างว่า …

“ฉันได้ทำบุญบ้าง? ฉันรู้สึกได้ทำดีบ้าง? รู้สึกดีขึ้น”

เราจะได้คุณภาพเหมือนพระเจ้าอย่างนี้ได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือทำจากข้างในออกมาข้างนอก พระเจ้าต้องมาเปลี่ยนวิญญาณเราใหม่ โดยใช้พระเยซูคริสต์เป็นผู้มาช่วยเรา ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระเรา พอชำระปุ๊บ ข้างในมันเปลี่ยน พอข้างในเปลี่ยน ข้างในสะอาดแล้ว คราวนี้กลับกันนะ ข้างในบริสุทธิ์สะอาดขาวเลย แต่ข้างนอกมีนิสัยเดิมๆ มีความคิดเดิมๆ เพราะมีเชื้อของบาปอยู่ แต่มันคนละเรื่องกัน เขาเรียกว่าข้างในรับใช้พระเจ้าไปแล้ว อยู่กับพระเจ้า ข้างนอกยังติดอยู่กับมารอยู่ ติดกับความมืดอยู่ เดี๋ยวก็จะทิ้งแล้ว อีกไม่นาน พระเจ้าก็เอากลับไปแล้ว เรากลับบ้านแล้ว เพราะวิญญาณเราอยู่กับพระเจ้า ท่านพอเข้าใจไหม? ตรงนี้มันจบ พระเจ้าจึงจัดการย้ายเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร? เพราะเราทำไม่ได้ พระเจ้าจึงให้พระเยซูมาทำแทนเราที่ไม้กางเขน

ข้อสำคัญที่สุด ท่านไม่ต้องห่วงว่าพูดอย่างนี้ เดี๋ยวคนก็ไปทำบาปกันหมดสิ ไม่มีทาง ถ้าท่านเชื่อจริงๆ ท่านได้ย้ายมาอยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ วิญญาณของเราเองก็รู้ แต่บางทีเราไม่ได้ย้ำยืนยันการสอนแบบนี้ นานๆ บ่อยๆ เราจึงไม่กล้าพูด ให้เรารู้ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เขาจึงมีเพลงนี้ไง …

พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า       พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์           พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

บางคราวต้องผ่าน ความทุกข์มืดมัว          บางคราวโศกเศร้า บังเกิดความกลัว

บางคราวราบรื่น ชื่นใจยินดี                        พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

ฟังเพลงฮิมเยอะแยะเลย  จะร้องอย่างนี้ พระเจ้าอยู่กับเราๆ ตลอด พระเจ้าอยู่ตรงนี้แหละ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ บางทีเราไม่ได้คุยกัน นานๆ มันลืมไป เรามัวแต่ไปคิดตามทางเราเอง จะกลับมาหาวิธีของตนเอง ดำเนินชีวิตด้วยตนเอง มีอีกเพลงหนึ่ง ชอบเพลงนี้  กำลังซึ้งกับเพลงนี้  พระเจ้าดีต่อฉัน ก็เหมือนกัน …

ไม่ช้าและไม่สาย ไม่รีบร้อน ตามใจฉัน

ทรงดี ดีต่อฉัน และทรงทันเวลาเสมอ

ไม่รีบร้อนตามใจ พระองค์ทรงควบคุม ครอบครองเราแล้วตอนนี้ เอเมน สบายใจเลย  ทำอะไรก็ตามตอนนี้ ให้รู้ว่าพระเจ้าอยู่กับท่านแน่นอน และเมื่อพระเจ้าอยู่กับเรา พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วันอีสเตอร์ ทำไมสำคัญกับเรา พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นตัวอย่างให้กับเราทั้งหลายว่าเราก็เป็นขึ้นมาจากความตายเหมือนพระองค์นั่นแหละ ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นนะ พระเยซูเป็นตัวแทน พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เราก็เป็นเหมือนพระองค์ ตอนที่พระองค์ตาย วิญญาณของพระองค์มืดดำเลย เมื่อวันศุกร์ ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ “สำเร็จแล้ว” วิญญาณของพระองค์เข้ามาอยู่ในความมืด เนื้อหนังพระองค์ก็ตาย อยู่ในความมืด ทรมานมาก คิดไม่ออกเลยว่าทรมานลึกซึ้งขนาดไหน? พระองค์อยู่ในความตาย วิญญาณตาย ถูกตัดขาดจากพระเจ้า มืดสนิท เหมือนเราทั้งหลาย ที่อยู่ในอาดัม พระเยซูเข้ามาอยู่ในอาดัม ตาย เสร็จแล้ว พอวันอาทิตย์ วันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เป็นตัวแทนเรา ขณะที่พระเยซูตาย เราก็ตายด้วย เราตายอยู่แล้วแหละ เราตายก่อนพระเยซูอีก คือเราอยู่ในความบาปอยู่แล้ว แต่พอวันที่สาม ก็คือวันอีสเตอร์ พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์กลับมาที่เดิม กลับมาเป็นพระเจ้าเหมือนเดิม และพระองค์พาลูกหลาน เหลนโหลน ที่เป็นพี่น้อง มนุษย์ทุกคนมานั่งตรงนี้ (ฝั่งพระเยซู) ขาวสะอาด เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้าเหมือนกัน พอมองเห็นภาพไหม? เหมือนเลย

เพราะฉะนั้น การมีอีสเตอร์ หรือการมาเฉลิมฉลองวันเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ จึงทำให้เรามีกำลัง พระเยซูเป็นขึ้นอย่างนั้น เราก็เป็นขึ้นอย่างนั้น  ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นมาแล้ว 2,000  ปี เพราะพระเยซูคริสต์ทำในฐานะมวลมนุษยชาติ เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย มีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น เราก็สามารถมีชีวิตอยู่ เพราะพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เราก็มีความหวังใจว่าเราก็เป็นขึ้นมาใหม่เหมือนพระองค์อย่างนั้นแหละ เพียงแต่ทุกวันนี้ ก็ให้พระเจ้าใช้ร่างกายนี้ ดำเนินชีวิตในโลกนี้ ตามทางของพระเจ้า ขอพระองค์ทรงนำในทางพระองค์ ทำสิ่งที่ดีๆ ในแผนการ ในชีวิตของเราแต่ละคน เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันศุกร์ประเสริฐที่ 30 มีนาคม 2018 เรื่อง “พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันศุกร์ประเสริฐที่  30  มีนาคม  2018

 เรื่อง “พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สุขสันต์วันศุกร์ประเสริฐ จริงๆ ที่เราแต่งชุดดำกัน เพื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์ ใจเรามีสันติสุข มีความสงบสุขกับวันศุกร์ประเสริฐ

เชิงสัญลักษณ์ หมายถึงเรากำลังระลึกถึงความรักของพระเยซูคริสต์ ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ ที่ได้ยอมตายด้วยความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนจริงๆ คือมีจริง 2 อย่าง ทุกข์ทรมาน เจ็บปวดจริงๆ และตายจริงๆ คือถูกตัดขาดจากพระเจ้าจริงๆ ทุกข์ทรมานทางวิญญาณจริงๆ เราเลยทำเป็นเชิงสัญลักษณ์ แล้วก็ได้มาพิสูจน์ ทำให้ท่านเห็น เพื่อจะได้เข้าใจมากขึ้น

ก่อนที่เราจะบรรยายวันนี้ เป็นแผนการของพระเจ้ามาตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ตั้งแต่ก่อนมีวันนี้ มีแต่โลกวิญญาณ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ใน 1 เปโตร 1:19-20  บันทึกไว้อย่างนี้

1 เปโตร 1:19-20 “19 ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ผู้เป็นลูกแกะ อันปราศจากตำหนิ หรือข้อบกพร่องใดๆ 20 พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพระคริสต์ไว้ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้ เพื่อท่านทั้งหลาย”

 

พระเจ้าได้จัดเตรียมแผนการนี้ไว้ตั้งแต่ก่อนพระองค์สร้างโลก คือรู้ล่วงหน้าแล้วว่ามนุษย์มีโอกาสที่จะตกลงไปในความบาป และตกแน่ๆ พระเจ้าช่วยหมดทุกอย่าง แล้วทำไมปล่อยให้มนุษย์ตกลงไปในความบาป เคยคิดไหม? พระเจ้ารู้ทุกอย่าง  แต่เราไม่รู้ทุกอย่าง เข้าใจไหม?  ต้องไปถามพระเจ้าเอาเอง สรุปแล้ว คือไม่รู้นั่นเอง มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่รู้ แต่ว่าเราอยากจะรู้ แล้วเราก็นึกว่ามันต้องมีเหตุผลสิ เอาแค่ง่ายๆ ทำไมโลกมันต้องกลมด้วย มีเหตุผลไหม มนุษย์ลองหาเหตุผลหน่อย ทำไมโลกมันต้องกลม ดวงดาวต่างๆ ทั้งหมด ทำไมมันต้องกลมด้วย มันเป็นสี่เหลี่ยมไม่ได้เหรอ ห้าเหลี่ยมก็ได้ ทำไมพระเจ้าต้องสร้างมันกลม แค่นี้ก็ตอบไม่ถูกแล้ว เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดมาก เมื่อพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราก็ฟัง เชื่อไว้ ถ้าไม่เชื่อ อย่างน้อย ก็ฟังหูไว้หู

พระเจ้าได้จัดเตรียมพระคริสต์ไว้ เพราะมนุษย์ตกลงไปในความบาป ก็คือตกไปอยู่ในอำนาจของความมืด ถ้าไม่มีเก้าอี้สองตัวนี้ พระเจ้าก็ไม่ต้องให้พระเยซูคริสต์มา แต่คำว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาป คือมนุษย์ตกไปที่อาณาจักรความมืด ไม่อย่างนั้น ก็จะอยู่ทางขาว

คำว่า “ตกไปในความบาป” คือสมัยนั้นยังไม่มีพระคริสต์ … พระคริสต์ แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด มนุษย์ไม่ต้องการพระเจ้าให้มาช่วยให้รอด เพราะเขารอดอยู่แล้ว เขาอยู่ในอาณาจักรในแสงสว่าง แต่ปรากฏว่าในพระคัมภีร์บอกพระเจ้าเตรียมพระคริสต์ พระเจ้ารู้แล้วว่าวันหนึ่งมนุษย์ก็ตกลงไป เมื่อตกลงไปในความบาปและความตาย ตกลงไปในความมืด ถูกตัดขาดออก จากพระเจ้า ถูกตัดขาดออกจากพระสิริของพระเจ้า ถูกตัดขาดจากการเป็นมิตรกับพระเจ้า ถูกตัดขาดออกจากการเป็นลูกของพระเจ้าถูกตัดขาดจากอะไรก็ตาม ที่ในพระคัมภีร์เขียนถึงเกี่ยวข้องกับเรื่องแสงสว่างนี้ทั้งหมด ถูกย้าย ถูกกระเด็นออกมาจากอาณาจักรแห่งแสงสว่าง มาอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ท่านจะใส่อะไรลงไป มันถูกหมดแหละ ถ้าท่านเห็นภาพนี้ ท่านจะเห็นชัด ในพระคัมภีร์มันชัดเจนเลยว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาป แปลว่าอะไร? นี่ทั้งหมดเลย ฝั่งสีขาวนี้ พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นอยู่ ฝั่งนี้ (ฝั่งดำ) เรียกว่าตาย

ฝั่งสีขาว เรียกว่าแสงสว่าง                                     ฝั่งสีดำ เรียกว่าความมืด

ฝั่งสีขาว เรียกว่าชีวิต                                               ฝั่งสีดำ เรียกว่าความตาย

ฝั่งสีขาว เรียกว่าพระสิริของพระเจ้า        ฝั่งสีดำ เรียกว่าความบาป คำสาปแช่ง

เห็นไหม? มันตรงข้ามกันหมดเลย ท่านอ่านพระคัมภีร์ตรงนี้ ก็จะรู้แล้วว่ามันแปลว่าอะไร? บางทีเราแปลไม่ออก เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดขึ้น การอุบัติขึ้นทางโลกฝ่ายวิญญาณ มันใช้คำศัพท์มนุษย์เข้าไป แล้วคิดไม่ออก แต่พอเราเอาภาพมาให้เห็นอย่างนี้ เป็นสื่ออย่างนี้ เราจะเห็นภาพชัดเจน แล้วเราจะอ๋อ! ในโลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น

คำว่า “มนุษย์ตกลงไปในความบาป”  มันก็คือแค่นี้เอง ก็คือเขาได้ย้ายออกจากอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด ตกกระป๋อง มาอยู่ที่นี่เท่านั้นเอง ในพระคัมภีร์เขียนว่าย้ายมา ตกลงมา หลุดออกมา อยู่ที่นี่ ในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็เลยจำเป็นต้องวางแผนการ เพื่อจะย้ายลูกของตัวเองกลับบ้าน กลับมานี่ (มาฝั่งขาว) นี่แหละเหตุผลที่ต้องมีวันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ วันคริสตมาส เห็นไหม? ข่าวดีมีอยู่แค่นี้

พอมนุษย์ตกลงไปในความบาปปุ๊บ ทันทีทันใด พระเจ้าเตรียมพระเยซูคริสต์ เพื่อให้พวกเราทั้งหลาย ที่ตกลงไปในความบาป อยู่ในความมืด ได้ถูกย้ายเข้ามาสู่พระเยซูคริสต์ อาณาจักรแห่งแสงสว่าง กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

เหตุการณ์เกิดขึ้นว่าพระเยซู ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า ไม่ได้เป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้า ฟังให้ดีๆ เป็นพระเจ้าตอนโน้น ก่อนที่จะตายที่ไม้กางเขน ก่อนที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ไม่ได้ตกลงไปในความบาปเหมือนเรา แต่พระเจ้ายังคงเป็นพระเจ้า อยู่ในแสงสว่าง พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า จำเป็นต้องมาเกิด พระเจ้าเตรียมแผนการนี้  วันคริสตมาส คือพระเจ้าเตรียมพระเยซูคริสต์ ย้ายมาก่อน มาอยู่ที่นี่ (ฝั่งดำ) ชั่วคราว นี่เป็นมนุษย์หนึ่งคน เรียกว่าพี่น้องกับมนุษย์ทั้งหลาย เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ซึ่งสามารถที่จะเป็นตัวแทนเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถ้าเป็นพระเจ้า มาเป็นตัวแทนไม่ได้ ในหนังสือ 1 ยอห์น 2:2 ได้บันทึกอย่างนี้  นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า

1 ยอห์น 2:2 “พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชา ลบบาปของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปของเราเท่านั้น แต่บาปของคนทั้งโลกด้วย”

 

พระเยซูที่พระเจ้าส่งมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์มาเพื่อลบบาป ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราถูกกระเด็นมานี่ บาป คือกบฏกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เชื่อฟังมาร ตามกฎแล้ว อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ มันบาป มันสกปรก พระสิริของพระเจ้าไม่มีแล้ว มองไม่เห็นพระเจ้าด้วยซ้ำไป พระเยซูมาเพื่อพาเรากลับบ้าน ง่ายๆ ก็คือเอาเหตุแห่งการตกกระป๋องไป คือบาป ลบมันทิ้งไป มนุษย์ก็อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว (ฝั่งดำ) เพราะสะอาดหมดจด ก็มาอยู่กับพระเจ้าได้ (ฝั่งขาว) นี่คือแผนการที่พระเจ้าทำทั้งหมด ต้องการแค่นี้  ในนั้นบอกว่าไม่ใช่บาปของพวกเราเท่านั้น แต่บาปของคนทั้งโลก เพราะว่าหนังสือนี้ เขาเขียนไปให้คนที่เป็นยิว

คนยิวสมัยโบราณ เขานึกว่าพระเยซูถูกประทานให้กับเขา เพราะว่าพระเจ้าสร้างชนชาติยิวมาเป็นกลุ่มตัวแทนมนุษยชาติทั้งหมด เขามองคนอื่น อยู่นอกสายตา คนนี้ไม่ใช่พวกพระเจ้าเลือก แต่ไม่ใช่ ไม่จริง พระเจ้าเลือกทั้งหมดเลย  ข้อความเมื่อตะกี้นี้จึงบอกว่า …

“ไม่ใช่มาไถ่บาปพวกเธอพวกเดียวนะ (หมายถึงพวกชาวยิว) แต่เป็นบาปของมนุษย์ทั้งหมดเลย ทั้งไม่ใช่ยิว ทั้งประเทศอื่น คนเชื้อชาติอื่น ใครที่เป็นคนๆ นั้น พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อลบบาปให้กับเขาด้วยเช่นเดียวกัน”

ตรงนี้  ต้องการพูดให้คนยิวตอนนั้นฟัง  พอฟังอย่างนี้  เราจึงจะชัด  เพราะฉะนั้น  เรื่องของพระเยซูคริสต์ เกี่ยวข้องกับคนทั้งโลก ไม่ใช่ศาสนาที่คนยิวสร้างขึ้น แม้ว่าพระเยซูจะเกิดในชนชาติยิวก็ตาม แต่พระองค์มาเพื่อคนทั้งโลก ทำแค่นี้ ทั้งโลกเกี่ยวพันหมดเลย  เพราะมนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ และมนุษย์ทุกคนถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็อยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งในโลกวิญญาณนี้ ไม่ว่าดำหรือขาว ก็ตาม ซึ่งเรียกว่าโลกวิญญาณ ไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะปฏิเสธ เขาจะต่อต้าน ฉลาด หรือไม่ฉลาด ไม่ว่าเขาจะรู้ข่าวประเสริฐ หรือไม่รู้ข่าวประเสริฐ เขาก็อยู่ในที่ใดที่หนึ่ง แห่งนี้  ทั้งโลกเลย มนุษย์ทุกคน

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ลควรจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้  ซึ่งพูดถึงเรื่องลึกซึ้งของมนุษยชาติ คือไม่ได้พูดเรื่องของสิ่งที่ตามองเห็น และหูได้ยิน ไม่ได้พูดถึงแต่สิ่งของที่จับต้อง มองเห็นได้ คือร่างกายเท่านั้น แต่พูดลึกเข้าไป 100% คือเรื่องเกี่ยวกับชีวิตจริงๆ ของมนุษย์ ก็คือวิญญาณของเขาสำคัญที่สุด

และทำไมถึงต้องให้พระเยซู ผู้ทรงเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อรับโทษบาปนี้ด้วย คำตอบ ก็เพราะมนุษย์ตกลงไปในความบาป จึงไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับอำนาจของความบาปและความตาย มนุษย์จึงไม่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันเองได้ พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่มีเชื้อบาป เป็นมนุษย์พิเศษ เป็นมนุษย์พร้อมกับเป็นพระเจ้าไปในตัวทันที เมื่อเกิด วิญญาณเป็นพระเจ้า แต่ร่างกายเกิดแบบมนุษย์ทั่วไป

เพราะฉะนั้น เกเสมเน หรือศุกร์ประเสริฐ พระองค์จึงเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย คือถูกตะปูตำ ก็เจ็บ หิวข้าว กลัวได้ด้วย เพราะว่าพระองค์เป็นมนุษย์ เหมือนเราไม่มีผิดเลย เพียงแต่พระองค์เป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาป  ก็คือวิญญาณพระองค์ใสกริ๊ง เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนที่เราทั้งหลายเคยเป็นมาก่อนในอดีต ก่อนที่อาดัมบรรพบุรุษของเราจะตกลงไปในความบาป และเอาพวกเราลงไปในเชื้อบาปนั้น ก่อนหน้านั้น ที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มีวิญญาณสะอาดใสกริ๊ง อินโนเซ็นต์กับเรื่องบาป พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์อย่างนั้นแหละ จึงเป็นมนุษย์ผู้เดียวเท่านั้นที่บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีตำหนิใดๆ เลย แม้แต่นิดเดียว จึงสามารถมาทำลายอำนาจของมาร ทำลายกิจการของมารได้ ตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ใน 1 ยอห์น 3:5

1 ยอห์น 3:5 “ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มา เพื่อขจัดบาปของเรา และในพระองค์ไม่มีบาป”

 

“ในพระองค์ไม่มีบาป” คือพระองค์เป็นมนุษย์พิเศษ เพียงผู้เดียวที่เกิด โดยไม่มีเชื้อของพ่อเลย เกิดจากหญิงพรหมจารี

พระเยซูเป็นมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า เขาเรียกว่ามาจุติ “จุติ” แปลว่าการแปลงสภาพจากวิญญาณ มาสู่วัตถุ แปลงจากโลกวิญญาณ มาสู่โลกที่จับต้องมองเห็นได้ ในครรภ์ของแมรี่ พระองค์จึงสะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป และเพราะพระองค์เป็นมนุษย์ จึงมีเลือด มีเนื้อ เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง จึงทรงสามารถรับโทษ แทนมนุษย์ทั้งปวงได้ เป็นตัวแทนได้ เพราะว่าเป็นมนุษย์เหมือนกัน

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าบาปของมนุษย์ ต้องลบล้าง โดยมนุษย์เท่านั้น ไม่มีใครมีแรงพอ แต่มีอยู่คนหนึ่งเดินออกมา แล้วบอกว่า …

“ผมเอง ฉันเอง”

คนนั้น แสดงว่าจะต้องมีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่น คนนั้น คือพระเยซูที่เป็นคนพิเศษ ฮีบรู 2:17 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ฮีบรู 2:17 “ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา และความสัตย์ซื่อในการรับใช้พระเจ้า และเพื่อจะได้ ทรงลบมลทินบาปของปวงประชากร”

 

พระองค์จึงเป็นเหมือนกับพี่น้อง คือมนุษย์คนอื่นๆ ทุกอย่าง เกิดมาเป็นพี่น้องกัน เป็นมนุษย์คนหนึ่ง อยู่ท่ามกลางพวกเรา เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ปุโรหิตมีหน้าที่เป็นตัวแทนระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ทำพิธี มหาปุโรหิต ก็คือผู้รับใช้พระเจ้าใหญ่ยิ่ง ในการที่จะติดต่อกับพระเจ้า เหมือนโมเสส คือมหาปุโรหิตคนหนึ่ง และเป็นคนบาปคนหนึ่งด้วย แต่พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตที่บริสุทธิ์ สะอาด หมดจดเลย

พระคัมภีร์บอกไว้ล่วงหน้าหมดว่าเมื่อพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ มันจะเป็นอย่างไร? จะดำเนินเรื่องไปอย่างไร? บอกมาเป็นระยะๆ พระเจ้าบอกตั้งแต่ปฐมกาล จนกระทั่งถึงวันนี้ เมื่อ 2,000 ปี คือวันที่พระเยซูมาถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พูดมาตลอดเลยว่า …

“ฉันเตรียมแผนการให้พวกเธออย่างไร? พวกเธอต้องฟังให้ดีๆ นะ บอกลูก บอกหลาน บอกเหลน บอกโหลนต่อไปนะว่าฉันเตรียมอย่างนี้ไว้ให้ เพื่อจะได้ไม่ลืม”

ลูกา 24:44-47 “44 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เราบอกไว้ เมื่อยังอยู่กับท่านทั้งหลาย คือทุกสิ่งต้องสำเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรา ในหนังสือบัญญัติของโมเสส หนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดี” 45 จากนั้น พระองค์ทรงเปิดใจเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือพระคริสต์ต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม 47 และให้ประกาศการกลับใจใหม่ และการอภัยบาป ในพระนามของพระองค์แก่มวลประชาชาติ เริ่มตั้งแต่ที่เยรูซาเล็ม”

 

นี่เป็นการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู หลังจากวันอาทิตย์ที่เป็นขึ้นจากความตาย อาจจะเป็นวันนั้นเย็น หรืออีกไม่กี่วันเท่านั้นเอง ที่พระองค์ได้ทรงปรากฏกับสาวก แล้วสาวกก็จำพระองค์ไม่ได้ แล้วพระองค์ก็เริ่มเปิดตาใจเขา ให้เขาได้รู้ แล้วพระองค์ก็ตรัสตรงนี้ว่า

“จำไม่ได้เหรอ พระคัมภีร์เดิมที่เขียนถึงฉันทั้งหมด มันเป็นจริงตามนั้น แล้วสุดท้าย ในพระคัมภีร์ที่เขียนถึงฉันว่าฉันจะมาไถ่บาปให้พวกเธอ แล้วฉันจะตายที่ไม้กางเขน แล้วฉันจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่เป็นขึ้นมาแล้ว เดินกับเธอตอนนี้ แล้วเปิดตาฝ่ายวิญญาณของเขาได้เห็น”

เขาเลยเห็นว่าเป็นพระองค์ จึงไปประกาศข่าวดีต่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เป็นไปตามพระเจ้าวางแผนไว้ตั้งนานแล้ว  พระองค์บอกว่า …

“สิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราตั้งแต่ต้นมาเลย มันเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ที่พระเจ้าบอกว่าเขาจะเหยียบหัวเจ้าจนแหลก”

หมายถึงพระเจ้าพูดกับเอวา ตอนที่อาดัมและเอวาถูกสาป

“เจ้าจะเป็นศัตรูกับงู”

หน่อเชื้อของหญิง เล็งถึงพระเยซูจะเหยียบหัวของเจ้าแหลก ขยี้หัวเจ้าแหลก หมดฤทธิ์ไปเลย แล้วมันก็คือวันนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน ขยี้หัวมารจนแหลกเลย การตายที่ไม้กางเขนของพระเยซู เป็นการชดใช้บาป แทนมนุษยชาติทั้งปวง ไม่ใช่แทนคนที่เป็นคริสเตียน ไม่ใช่แทนคนที่นับถือศาสนาคริสต์ ไม่ใช่เลย แต่แทนใครก็ตาม มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ได้ถูกชดใช้บาปเรียบร้อยไปแล้ว ถามว่าเขาถูกชดใช้บาปเรียบร้อยไปแล้ว บาปเขาหมดหรือยัง? หมดแล้ว อ้าว! ถ้าบาปหมดแล้ว ทำไมเขายังไม่ได้รับสิ่งที่เขาสมควรได้ เพราะเขาไม่มารับเอง แต่บาปมันถูกใช้ไปหมดแล้ว

เหมือนกับเงินช่วยเหลือคนที่เกษียณอายุ 60 ปีขึ้นไป จะได้ 600 บาทต่อเดือน ทุกวันนี้  มีหลายคนไม่ไปรับ เงินออกมาแล้ว อยู่ที่เขต ถ้าท่านไม่ไปรับนานๆ อาจจะมีคนแอบเอาไป ก็ไม่รู้ แต่ถ้าท่านไปรับเมื่อไร? มันก็อยู่ตรงนั้น ถ้าท่านใช้สิทธิ์ มันก็ได้ตามสิทธิของท่าน

นี่คือสิ่งที่พระเยซูบอกว่าสิ่งที่พูดเกี่ยวกับพระองค์ ได้ถูกเขียนไว้แล้ว และมันเป็นจริงตามนั้นทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู จากสภาพเป็นพระเจ้า ต้องย้ายมาเกิดเป็นสภาพมนุษย์ที่ต่ำต้อย อยู่ในอาณาจักรของความมืดบอด อยู่กับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าเลย แต่ตัวพระองค์เองรู้จักพระเจ้า สะอาดหมดจด อยู่กับคนสกปรกต่างๆ เหล่านี้  ด้วยความรัก ความเข้าใจ  และความเห็นใจพวกเขาทั้งหลาย อยู่ท่ามกลางพวกเขา รักพวกเขา ถึงขนาดรู้ว่าตัวเองมาเพื่อทุกข์ทรมาน เพื่อเขา เขาไม่เข้าใจ เขาด่า เขาเยาะเย้ย เขาถ่มน้ำลาย เขาถากถาง จนกระทั่งเขาจับไปฆ่า  พระองค์ก็เข้าใจเขา เพราะเขาเป็นคนบาป เขาไม่เข้าใจตรงนี้จริงๆ เขามองไม่เห็นโลกวิญญาณ แต่เราสิ เรารู้หมดทุกอย่าง เราจึงน่าจะอภัยให้เขา เราจึงสมควรอภัยให้เขา พระเยซูก็อภัยให้มนุษย์ทุกคน รักเขาทุกคน แล้วก็ยอมทนทุกข์ทรมาน ตายบนไม้กางเขน เพราะรัก

ให้ท่านเห็นความจริงเหล่านี้ว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ว่าพระเจ้ายอมมาเกิดเป็นมนุษย์ พอเห็นแล้ว โอ้โห! ไม่ใช่ผมคนเดียว ไม่ใช่เราแค่นี้  มีแค่ไม่กี่คนเอง แต่มนุษย์ทั้งโลก ตั้งแต่สมัยอาดัม จนกระทั่งมาถึงพวกเรา ลูกหลานเหลนโหลนของเรา ไม่รู้ตั้งกี่พันกี่หมื่นล้านคน ก็เป็นมนุษย์ทั้งโลก ถ้าพระเยซูไม่มาตายที่ไม้กางเขน คนเหล่านั้นจะต้องอยู่ในที่มืด ที่เรียกว่าที่ไม่มีพระเจ้าอยู่  ทุกข์ทรมาน ถูกรังแก เป็นทาสมารซาตานตลอด เมื่อร่างกายตายไปแล้ว หมดสภาพไปแล้ว หมดวาระไปแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปแล้ว ก็ยังอยู่ที่เดิม อยู่ในความมืด เป็นทาสของมาร อยู่ในความทุกข์โศก

พระคัมภีร์เล็งให้เห็นถึงตรงนี้ ใช้สัญลักษณ์ คือบึงไฟนรก คือมันร้อน มันไม่ได้ร้อนอย่างที่เราร้อนอย่างนั้น ผมเชื่อ มันหมายถึงความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ท่านลองคิดดูว่าชีวิตทุกวันนี้ มันทุกข์ไหม? ถ้าท่านคิดว่าทุกข์ มันทุกข์กว่านั้นแสนสาหัส เพราะมันบึงไฟนรก คนทั่วไปเรียกว่านรก บางครั้งเราไปเจอคนบางคนมีปัญหาชีวิตหนักๆ แบบหนีเสือปะจระเข้ หนีจากตรงนี้ ไปเจออันนั้น เขาเรียกว่าผีซ้ำด้ามพลอย ไม่ไหวเลย พอเราไปถาม เขาก็บอก …

“คุณไม่รู้หรอก ถ้าคุณมาเป็นผม คุณจะรู้ว่านรกนั้น มีจริง”

คนเข้าใจคำว่า “นรก” หมายถึงอะไร? ไม่อย่างนั้น มันจะมีอันนี้เหรอ ต้มยำนรก น้ำพริกนรก ก็มี เผ็ดนรกเลย กินเข้าไปได้อย่างไร? นี่แหละ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ “บึงไฟนรก” เป็นที่ที่มันลำบาก พระคัมภีร์ใช้อีกคำหนึ่ง ก็คือ “ที่ที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” คือมันทรมานมาก เหมือนคนเอามาแทงตลอดเวลา ถามว่าจะจบเมื่อไร? ไม่มีจบ ท่านเคยปวดท้องไหม?  ท่านเคยปวดหัวไหม? แค่มาก ปวดสุดท้าย มันก็คือตาย ก็ยังมีจบนะ แต่นี่มันไม่ตาย มันเป็นวิญญาณ มันทรมานสุดๆ เลย เขาไม่ตายๆ แล้วก็ทรมานสุดๆ ตลอด นั่นแหละ พระคัมภีร์ต้องการอธิบายให้ท่านฟังว่าอาณาจักรของความมืด ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ คือสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า คืออะไร?  ที่มนุษย์ต้องอยู่ ถ้าเผื่อพระเยซูไม่มาไถ่บาปให้เขา ไม่มาลบเขาออกจากบาปผิดทั้งปวง ไม่มาพาเขากลับมาที่เดิม ที่อยู่กับพระเจ้า ที่มีคุณภาพตรงข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมด ถ้าพระองค์ไม่ทำ เขาเหล่านั้นจะต้องอยู่ในบึงไฟนรกอย่างนั้น ชั่วกัลป์ชั่วกัน ไม่มีใครไปช่วยเขาได้เลย และถ้าพระเยซูทำ แล้วคนนั้นไม่เชื่อ ก็มีค่าเท่ากับพระเยซูยังไม่ได้ทำ

พระเยซูไม่ทำไม่ได้ ต้องทำ ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปคนเหล่านี้ เพราะสงสารมวลมนุษยชาติทั้งโลก ที่ตกลงไปในความบาป แล้วพระองค์มาแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์ตายที่ไม้กางเขน วันนี้ วันศุกร์ ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์มองทะลุไปที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลยว่าเขาต้องอยู่ในบึงไฟนรกนี้แน่ๆ ถ้าพระองค์ไม่มาไถ่เขา พระองค์ก็เลยเปิดทางช่วยเขาทั้งหมด ไม่ใช่ช่วยแค่ไม่กี่คน ไม่ใช่ช่วยแค่คนดีนะ สำหรับพระองค์ไม่มีทั้งคนดีและคนเลว ทุกคนเป็นคนชั่วทั้งนั้น แต่พระองค์ทรงรักทุกคน เขาไม่อยากจะทำชั่วหรอก แต่เขาเกิดมา ก็ชั่วแล้ว บาปแล้ว

เพราะฉะนั้น พระองค์รักเขา ต้องการช่วยเขาหลุด “เขา” นี่คือคนทั้งโลก เขาไม่ได้หมายถึงคนที่มาเชื่อพระเยซูเท่านั้น  คนที่เป็นศัตรูพระองค์ คนที่ตรึงกางเขนพระองค์ ทหารโรมัน หรือแม้กระทั่งปุโรหิตยิวที่ไม่รู้เรื่อง จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์ก็ตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปเขาเหมือนกัน เพราะเขาคือหนึ่งในจำนวนมนุษย์บนโลกใบนี้  พระองค์ต้องการให้เขาหลุดมาจากอำนาจมืดของมารซาตาน จากนรก มาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า และพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว เมื่อเช้านี้ ที่ไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์บอกเสร็จแล้ว จบแล้ว ไถ่บาปให้เรียบร้อย แผนการนี้เริ่มมาตั้งนานแล้ว มันจบแล้ว สำหรับพระองค์แล้ว จบจริงๆ พระองค์ก็มานั่งที่นี่ เสร็จงานแล้ว บัดนี้ พระองค์ไม่ต้องอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

ในพระคัมภีร์บอกว่าประทับอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า คอยมองดู เมื่อไรจะมาให้หมดสักทีหนึ่ง พระองค์ทำงานเสร็จแล้ว แต่อย่างที่บอก สำหรับคนที่ไม่เชื่อ คนๆ นั้น สำหรับเขา ก็คือพระเยซูยังทำไม่สำเร็จ พระเยซูไม่มีตัวตน สำหรับเขา พระเยซูไม่ได้ไถ่บาปให้กับเขา ซึ่งมันน่าเสียดาย เพราะว่าจริงๆ คือพระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเขา หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเขา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ประทับตราแห่งชัยชนะนั้นเรียบร้อยไปแล้ว รวมทั้งเขาด้วยที่ไม่เชื่อ มันน่าเสียใจใช่ไหม? ในโรม 3:22-26 บอกดังนี้

โรม 3:22-26 “22 ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้ ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ ไม่มีข้อแตกต่างกัน 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า 24 และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่พวกเขา 25 พระเจ้าทรงให้พระเยซู เป็นเครื่องบูชาลบบาป  แก่ผู้ที่มีความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ เพราะโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ทรงลงโทษบาป ที่ทำไปก่อนหน้านั้น 26 พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน เพื่อว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ให้บรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมด้วย”

 

ที่พระองค์ต้องทำอย่างนี้ เพราะสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน เพื่อให้ทั้งโลกเลย ที่พระองค์ดูแลทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาของโลกใบนี้ว่าพระองค์ทรงยุติธรรม ไม่ใช่อยากจะช่วยลูกตัวเอง ก็ฝ่าฝืนกฎหมายเข้าไปช่วย เมื่อมนุษย์ทำผิดบาปก็ต้องชดใช้ อภัยไม่ได้ ว่ากันมาตามกฎระเบียบ ชดใช้อย่างไร? ก็ให้มีตัวแทนมนุษย์ ก็ส่งพระเยซูไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้า แต่อยู่ในร่างของมนุษย์ ต้องทุกข์ทรมานเจ็บปวด เหมือนมนุษย์เลย  ต้องรับโทษจริงๆ เจ็บจริงๆ ปวดจริงๆ แบกรับเอาโทษนั้นของมนุษยชาติไปไว้ที่พระองค์จริงๆ แทนที่จะเอาคำสาปแช่ง ลงที่มนุษย์ทั้งปวง รับไปคนเดียว เมื่อรับไปคนเดียว ศาลพิพากษา ก็ถือว่าผ่าน รับไปแล้ว  แล้วมนุษย์ทุกคนก็รอด จ่ายเงินแล้ว จ่ายหนี้แล้ว ก็จบ ถูกไหม?

มนุษย์ทุกคนจึงมีสิทธิ์กลับมาเป็นผู้ชอบธรรม เพราะหมดหนี้บาปแล้ว ไม่ต้องใช้บาป ไม่ต้องใช้หนี้เวรกรรมแล้ว อยู่ดีๆ จะบอกว่า …

“เขาเป็นลูกเรา ไม่ต้องใช้หนี้แล้ว”

ไม่ได้ เดี๋ยวดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ทูตสวรรค์อีกมากมาย ที่พระองค์ทรงเป็นผู้ดูแลปกครองอยู่ เกิดกบฏขึ้นมาทำอย่างไร? วันๆ ไม่ทำตาม ตอนเช้าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ยุ่งเลยนะ หรือวันพรุ่งนี้ โลกอยู่ดีๆ หมุนๆ กลับข้าง

“ทำไม วันนี้ฉันจะหมุนทางนี้ มีอะไรหรือเปล่า? มันไม่ได้ บางทีเราคิดถึงธรรมชาติ เป็นวัตถุ ไม่ใช่ มันมีชีวิตของมัน อีกสปีซี่หนึ่ง ต้นไม้ต้นหญ้า ดอกไม้ สัตว์อะไรต่างๆ มันทำตามคำสั่ง บัญชาการ กฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ทั้งสิ้น” นี่แหละเขาถึงเรียกว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม

เราประกาศข่าวประเสริฐ ต้องบวกไปเสมอว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และทรงเป็นมนุษย์ ต้องคู่กัน ถ้าเป็นพระเจ้าอย่างเดียว ช่วยมนุษย์ไม่ได้ และถ้าเป็นพระเจ้าอย่างเดียว มาช่วยมนุษย์ได้ พระเจ้าองค์นั้น ก็ไม่ยุติธรรม พระเจ้าไม่เที่ยงธรรม ก็ไม่ใช่พระเจ้าสิ พอเข้าใจไหม? พระเจ้าต้องเที่ยงธรรม ต้องส่งพระเยซู ซึ่งเกิดจากพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐ คือพระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เจ็บปวดจริงๆ ทรมานจริงๆ กลัวจริงๆ เมื่อคืนวานนี้ ตั้งแต่วันพฤหัสในสวนเกเสมเน พระองค์ต้องตัดสินใจจริงๆ พระคัมภีร์ว่าอย่างนั้น ไม่ใช่มนุษย์คิดเอง แต่เป็นพระเจ้าให้มนุษย์ จดบันทึกไว้ และบางประโยคเป็นคำพูดของพระเยซูเอง …

“เราทุกข์แทบจะตายแล้ว อยู่กับเราสักหน่อยหนึ่งไม่ได้หรือ!”

พระเยซูผู้เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ วันที่สวนเกเสมเน วิญญาณข้างในของพระองค์ขาวสะอาด ร่างกายของพระองค์ ก็คือมนุษย์ทั่วๆ ไป เจ็บปวดได้ พระองค์เริ่มต้นทุกข์ทรมาน เริ่มต้นรับเอาความสาปแช่ง ความบาปของมนุษยชาติ รับไว้ที่ตัวของพระองค์ เริ่มตั้งแต่วันนั้น ว่ากันตามจริง เริ่มทั้งสัปดาห์มาแล้ว เริ่มทุกข์ใจ เริ่มกลัว ก่อนหน้านั้นไม่เคยกลัวใครเลย ใครจะมาจับพระองค์ พระองค์เดินหนี หายไปเลย  เพราะยังไม่ถึงเวลา แต่พอถึงเวลาแล้ว ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่พระองค์ตัดสินใจว่า …

“เราจะเดินเข้ากรุงเยรูซาเล็ม”

ก่อนไปเข้าเมือง มองลงไปข้างล่างกับสาวก มองเห็นกรุงเยรูซาเล็ม ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา วันอาทิตย์ของสัปดาห์แห่งการไถ่บาปมนุษย์ พระเยซูกำลังจะเดินทางเข้ามา บอกกับสาวกว่า …

“เราจะเข้ากรุงเยรูซาเล็มไปให้เขาฆ่า” รู้อยู่แล้ว

พวกสาวกคงคิดในใจว่า … “จะบ้าเหรอ ไม่เอาน่า”

เปโตรอาจจะบอก … “ไม่เอา พระองค์อย่าไปเลย ไปเขาจับเราตายแน่ ทุกวันนี้ต้องแอบหลบไปหลบมา พวกนี้ต่อต้านจะตาย”

พระเยซูบอก … “มันต้องเป็นไปตามนั้น เพราะว่ามันมีเขียนไว้อย่างนั้น บุตรมนุษย์จะถูกจับ ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน และวันที่ 3 เราจะเป็นขึ้นมาจากความตาย ต้องไป”

สาวกบอก … “พระเยซูตัดสินใจ จะไปต้องไป”

ในใจคงคิดว่า … “เอาล่ะ ตายก็ตาย ลงไปโดนเขาจับตายแน่”

แล้วก็เดินทางลงไป ตั้งแต่วันนั้น พระองค์ก็ทุกข์ใจ เพราะรู้ว่าใกล้เข้าไปทุกวัน ก็จะเริ่มรู้แผนการครบถ้วนบริบูรณ์ที่พระเจ้าเปิดเผยลึกซึ้งขึ้น ก็คือต้องทำอย่างไรบ้าง? คำว่า “รู้ว่าตายที่ไม้กางเขน” รู้ แต่คำว่า “แล้วจะต้องตาย โดยที่วิญญาณตายด้วย”

ผมจะชี้ให้ท่านเห็น เมื่อบ่าย 3 โมงของวันนี้ วันที่พระเยซูถูกตรึง แล้วตายที่ไม้กางเขน มิได้ทุกข์ทรมานตรงที่ถูกตอกตะปูไว้ที่แขนทั้งสองข้าง หรือที่เท้าของพระองค์ ไม่ใช่แค่นั้น  เพราะถ้าเป็นแค่นั้น คิดว่าพระองค์ไม่ทุกข์ทรมานถึงขนาดวันพฤหัสฯ ก่อนจะถูกจับตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจอีก ต้องอธิษฐานถึง 3 ครั้ง พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าเปลี่ยนแผนการได้ไหม?  มีวิธีการอื่นไหมที่จะไถ่บาปมนุษย์ โดยที่ไม่ต้องเข้าไปแบบนี้ มันไม่ไหว พระเจ้า อาจจะฉายภาพให้พระองค์เห็นในคืนวันนั้น ก็ได้ คืนที่สวนเกเสมเน ที่กำลังอธิษฐานอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าอาจจะให้เห็นภาพว่ามันไม่ธรรมดานะ รุ่งขึ้นพระเยซูต้องโดนขนาดหนัก หนักขนาดไหนรู้ไหม? วิญญาณที่มันขาวอยู่นี้ของพระเยซู ซึ่งขาวอย่างนี้มาตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างมี พระเจ้ากับพระเยซูอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ สะอาดหมดจดอย่างนี้เลย  และถ้าพรุ่งนี้ตาย หมายถึงรับบาปของมนุษย์เข้าไป วิญญาณของพระเยซูจะต้องเป็นบาปจริงๆ คือไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นมนุษย์บาปเหมือนพวกเรา

มนุษย์บาป คือข้างในมันมืด ไม่มีพระเจ้าเลย มองพระเจ้าก็ไม่เห็น ไม่รู้จักพระเจ้าอีกต่อไป ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นอีกต่อไป ไม่มีการทรงนำ ไม่มีอะไรทั้งสิ้นอีกต่อไป อยู่ในความทุกข์ทรมาน  พูดง่ายๆ เป็นทาสของมารเลย  มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ณ วันนั้น  อยู่ดีๆ คล้ายบอกท่านว่า …

“พรุ่งนี้ ท่านจะตาบอด ท่านจะมองอะไรไม่เห็นเลย”

ท่านก็ตกใจแล้ว “ต้องตาบอด จะไม่เห็นอะไร ทำไง”

วิญญาณจะบอดไปเลย เคยอยู่กับพระเจ้ามาตลอด  หมื่นๆ  ล้านๆๆๆๆ ปีกับพระเจ้า  คุยกระหนุงกระหนิง รู้จักพระเจ้าตลอด ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังคุยกับพระเจ้าอยู่ พระเจ้าให้ทำอะไร ก็ทำตลอด แต่ถ้าพรุ่งนี้ ตายที่ไม้กางเขนแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้นะ คือพระเจ้าจะไม่อยู่กับเธออีกต่อไป ไม่มีพระเจ้าเลย อยู่ดีๆ จะกลายเป็นคนบาปสกปรกโสโครกเลย  รับได้ไหม? นี่แหละคือสิ่งที่พระเยซูรับไม่ได้ ไม่รู้จะเทียบอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องโลกวิญญาณ เหมือนพรุ่งนี้มาบอกเราว่า …

“ให้ไปช่วยหนอนนะ ถ้าเธอยอม พรุ่งนี้เธอต้องกลายเป็นหนอน เข้าไปอยู่ในอึของสุนัขนะ”

แล้วเราเอาไหม? เราไหวไหม? … “แล้วเธอจะตัดขาด เธอจะไม่มีสติปัญญา เหมือนมนุษย์ เธอจะไม่รู้เรื่องอะไรของมนุษย์อีกต่อไปเลย เธอจะเป็นหนอนตอนนั้น”

สภาพมันคงจะรับไม่ได้ นี่คือพระเยซูกลัวอย่างนี้ และกลัวจริงๆ ที่สวนเกเสมเน พระองค์จึงสำแดงความกลัว วิตกกังวลออกมา หลายคนเคยถามผมว่า …

“พระเยซูเป็นพระเจ้า อธิบายให้ที ทำไมพระองค์ต้องกลัวด้วย”

กลัวไหมล่ะ เป็นพระเจ้าอยู่ …

“พรุ่งนี้ฉันจะต้องสละสภาพพระเจ้าแล้วจริงๆ ตอนที่มาเกิดเป็นมนุษย์ สละสภาพพระเจ้า แต่ยังเป็นพระเจ้าที่อยู่ในร่างมนุษย์ เป็นวิญญาณขาวๆ แต่พรุ่งนี้ฉันจะต้องสละวิญญาณขาวๆ ข้างใน กลายเป็นเหมือนพวกเธอเลย คราวนี้ดำปี๋เลย คือเอาบาปของพวกเธอมาใส่ที่ฉันแทน ฉันรับไว้คนเดียวเลย”

ไม่ใช่ดำนิดเดียว แต่ดำมาก ทรงรับหมดทั้งโลกไว้ที่พระองค์ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า จึงกลัวไง

“พระเจ้า ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ ไม่รับไม่ได้เหรอ รับน้อยกว่านี้หน่อยได้ไหม?”

สามครั้ง ก่อนจะถึงครั้งที่สาม ไปดูสาวก

“เปโตร ยอห์น ยากอบ ช่วยเป็นเพื่อนกันหน่อยหนึ่ง กลัว”

เมื่อกี้สาวกรับปากว่าจะอยู่ด้วย หลับไปแล้ว คุ้นๆ เวลามาอธิษฐานกับพระเจ้า หลับไปแล้ว  ไม่มีใครเลย  ว้าเหว่คนเดียว พระเจ้าก็เงียบ เพราะพระเจ้าเริ่มไปแล้ว คือคำว่า “พระสิริไปจากพระเยซู” ไม่ใช่ไปทันที แต่ผมเชื่อว่าค่อยๆ จางหายไป ความบาปค่อยๆ เข้ามา ฤทธิ์อำนาจค่อยๆ ออกไป ความสว่าง พระสิริของพระเจ้าค่อยๆ ออกไป วิญญาณค่อยๆ มืดลง จนกระทั่งนาทีสุดท้าย พระเยซูตรัสว่า …

“เอลี  เอลี  ลามาสะบักธานี”  แปลว่า  “พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” แปลว่า …

“ไปแล้ว พระเจ้าไปแล้ว ก่อนหน้านี้พระเจ้าอยู่กับเรา เราพูดอะไร? คือพระเจ้าพูด เราทำอะไร? คือพระเจ้าทำกับเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า”

แต่ตอนนี้ อยู่ที่ไม้กางเขนด้วยความทุกข์ทรมาน นั่นแหละคือความทุกข์ทรมานครั้งสุดท้าย แสนสาหัส แล้วหลังจากนั้น ปิดฉากความมืดเข้ามาทันทีเลย พระองค์ไม่รู้เรื่องอะไรอีกแล้ว วางใจในพระเจ้า นี่แหละคือวางใจ

พวกเราทำอย่างนี้ มันง่าย เพราะเราไม่มีอะไรแลก เราคือคนบาปอยู่แล้ว แต่พระองค์อยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่ก่อนหน้า พระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ไม่ได้ทำบาปอะไรเลย แล้วทำไมต้องมาทุกข์ทรมานอย่างนี้ด้วย จากนั้นต่อไป ก็คือชีวิตพระองค์อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้าอย่างเดียวแล้ว ขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระองค์อาจจะคิดว่าพระองค์อาจจะต้องอยู่ในความมืดอย่างนั้น ตลอดนิรันดร์ก็ได้ เพื่อไถ่พวกเรา พระองค์ไม่รู้แล้วตอนนั้น ก่อนหน้านั้น  พระองค์อาจจะบอกว่าแล้วเราจะเป็นขึ้นมาในวันที่สาม ก็เพราะพระเจ้าบอกว่าจะเป็นขึ้นมาใหม่ ก็เชื่อในพระเจ้าว่าจะเป็นขึ้นมาใหม่ แต่พอตอนตาย … ตายไปจริงๆ ไม่รู้แล้วว่าที่เราพูดไปคืออะไร? มันจบไปแล้ว ลืมหมดเลย  เพราะตกลงไปในความมืด เหมือนอยู่ดีๆ ไฟฟ้าดับ ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้แล้ว เคว้งคว้างหมด คล้ายๆ โทรศัพท์ขาดตอน ก่อนนี้โทรศัพท์คุยกับพ่อตลอด วันนี้แบตเตอร์รี่หมด เราก็ต้องวางใจในพ่อ

เราจึงควรระลึกถึงพระคุณของพระเจ้า ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อบรรดามนุษยชาติ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ได้ทรงย้ายเราออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง  ในหนังสือโคโลสีบอกว่า …

โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

พระองค์ทรงย้ายเราออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงไถ่บาปให้กับเราแล้ว

ที่พระเยซูทำทั้งหมด เพื่อสิ่งนี้เท่านั้น เพื่อให้เรารู้ถึงความยากลำบากที่พระเยซูได้ถูกส่งมาทำ แล้วพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขนนั้น มันยากเย็นมากๆ เพื่อสิ่งนี้ คือมนุษย์สามารถเข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้แบบง่ายๆ พระองค์ทำยากมากเลย แต่เรามนุษย์รับง่ายๆ  อยากจะเน้นตรงนี้

วันนี้จะมาจบตรงนี้ว่าพระเยซูทำแสนยากมากเลย ภารกิจของพระองค์หนักจริงๆ หนักสุดๆ เจ็บสุดๆ ทุกข์ทรมานสุดๆ ไม่มีใครเข้าใจพระองค์เลย แม้ตัวพระองค์เองยังไม่เข้าใจเลย  ก็ด้วยความรักอย่างเดียว ที่รักเราทั้งหลาย จึงยอมทำอย่างนี้ ตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและวิญญาณพระองค์ วางใจในพระเจ้าสุดๆ เลย ทำให้มนุษย์สามารถย้ายจากอาณาจักรแห่งความมืด มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตรกลับมาที่เดิมใหม่ หาพระเจ้าได้ อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดเดียว เพียงแค่รับเอาไปเฉยๆ เท่านั้นเอง หลายคนถามว่า …

“มาเป็นคริสเตียนต้องมาโบสถ์ไหม? ต้องถวายทรัพย์ไหม? ต้องอันโน้น ต้องอันนี้ไหม?”

ไม่ต้องอะไรเลยสักอย่างหนึ่ง ไม่เกี่ยวข้องกัน ค่อยไปดูทีหลังว่ามันมีอะไรมีประโยชน์ก็ทำไป แต่ถ้าจะรับความรอด จะย้ายมาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง ไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว รับสิทธิไปฟรีๆ เหมือนกับสมัยที่ท่านเกิดมา แล้วท่านตกลงไปในความบาป ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรเลยใช่ไหม? หรือว่าท่านต้องทำชั่วก่อน ท่านจึงจะอยู่ในความบาป อยู่ในความมืด ไม่ต้องเลย  พออยู่ในครรภ์มารดา ท่านก็อยู่ในความมืดนี้แล้ว ถูกไหม? เพราะเป็นกฎของมันอย่างนั้น ในทำนองเดียวกัน ตอนนี้มีครอบครัวใหม่ขึ้นมา เรียกว่าครอบครัวพระคริสต์ ท่านไม่ต้องอยู่ในความมืด อยู่ในอาดัมอีกต่อไปแล้ว ท่านเกิดมา ท่านไม่ต้องทำอะไร ท่านก็อยู่ในอาดัมอยู่แล้ว อยู่ในความมืดนี้ แต่ทุกวันนี้ ท่านสามารถย้ายไปอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ชูมือขึ้นมา แล้วบอกว่าไปด้วย แค่นั้นเอง ไม่เอาแล้ว พอกันสักที ทุกคนในนี้ทำมาหมดแล้ว รวมทั้งผม เมื่อ 30 ปีก่อน ผมเหนื่อยมากเลย ผมหาทางที่จะออกจากที่มืด หาแล้วเหนื่อย เขาบอกให้ทำอย่างนี้ ทำๆ เขาบอกทำอย่างนี้ แล้วมันจะหลุดออกไปสู่แสงสว่าง ทำๆ ไป ยิ่งทำยิ่งเหนื่อย ยิ่งต้องทำมากขึ้น เขาบอกให้ทำแค่ 10 จะได้หลุดพ้น พอทำไปถึง 10 เขาบอกว่ามีอีก 10 พอทำเพิ่มไปอีก 10 เขาบอกมีอีก 10 พอทำไปถึง เขาบอกต้องอีก 30 ถึงจะถึง พอทำไปถึง 30 เขาบอกไม่มีทางหรอก ต้องทำเป็นร้อย นี่คือประสบการณ์จริง มันเป็นอย่างนั้นแหละ เหนื่อยๆ  จนวันหนึ่ง เมื่อ 30 ปีที่แล้ว มันเกิดปิ๊งขึ้นมา พูดสั้นๆ คือ …

“จนวันหนึ่งไม่พึ่งตัวเองอีกต่อไป ไม่พึ่งความดีงามของตัวเองอีกต่อไป ไม่พึ่งกำลังของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ขอพึ่งสิ่งที่พระเยซูทำให้ที่ไม้กางเขน คือได้ไถ่บาปให้ฉัน พาฉันไปสู่แสงสว่าง โอเค พระเยซูพาไปเลย ตั้งแต่วันนั้น มาถึงทุกวันนี้ เป็นอย่างนี้”

ท่านเอง ก็เป็นอย่างนี้แหละ ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรเลย  พระเยซูทำให้เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันเดียวกันนี้  วันศุกร์อย่างนี้ ที่ไม้กางเขน  ที่พระองค์ทรงถูกตรึงตั้งแต่ 3 โมงเช้าจนกระทั่งถึงบ่าย 3 โมง 6 ชั่วโมง จริงๆ ทรมานตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว เมื่อคืนพฤหัสฯ แล้วบ่าย 3 โมง พระองค์บอกว่า Testelesti จ่ายหมดแล้ว สำเร็จแล้ว แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ ก็คือจ่ายหนี้ให้มนุษย์เรียบร้อยแล้ว แผนการพระเจ้าที่วางมาทั้งหมด เรียบร้อยแล้ว บัดนี้ เปิดทางโล่ง ครอบครัวใหม่ในพระเจ้า ชื่อครอบครัวพระเยซูคริสต์ มาเลยพี่น้อง พระองค์ทรงเรียกมนุษย์ทั้งปวงว่าพี่น้อง ใครที่เป็นมนุษย์ มาเลย ที่เป็นพี่ หรือเป็นน้องพระเยซูก็ตาม ถ้าเป็นอายุมากกว่า ก็เรียกว่าเป็นพี่ของพระเยซู แต่ถ้าอายุน้อยกว่า ก็เรียกเป็นน้องพระเยซู พระเยซูบอก …

“พี่น้องมาเลย ฟรีทุกอย่างฉันทำให้เสร็จเรียบร้อย ชัยชนะอยู่ที่ฉัน ฉันเอามาให้เรียบร้อย มาใช้สิทธิ์ของเธอ มาเลยๆ”

แล้วพระองค์ก็บอกคนที่มา แล้วรู้เรื่อง ไป ไปบอกข่าวดีนี้ ไปบอกให้ทุกคนทั้งโลกเลย ข่าวดีฟรี ไม่ต้องทำอะไรเลย เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************