คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 7 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  มิถุนายน  2019

เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่  วิญญาณใหม่

ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 7

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เรายังคงอยู่ในซีรี่ย์ของเรื่องเกี่ยวกับวันอีสเตอร์อยู่ เพิ่งจะเลยมาไม่กี่อาทิตย์ เดี๋ยวจะลืมไปเปล่าๆ ซึ่งเป็นความจริงที่สำคัญมากๆ เทศกาลอีสเตอร์จะจบลงที่ความยิ่งใหญ่ วันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด วันสำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์ทางวิญญาณของโลกนี้เลย คือวันเพ็นเทคอส วันที่ 50 หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย วันเพ็นเทคอสเป็นวันที่สำคัญที่สุดในข่าวประเสริฐของพระเจ้า และซีรี่ส์นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวันเพ็นเทคอส ที่พึ่งผ่านมาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ปีนี้ซึ่งตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน

เป็นวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปี? หลังจากที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป พระเจ้าต้องออกไปจากมนุษย์ มนุษย์ให้มารมาอยู่แทน อยู่ในวิญญาณของเขา วิญญาณของเขาเสียหายไป และวันเพ็นเทคอส คือวันที่รื้อฟื้นกลับคืนมา พระเจ้าล้างบาง พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้เรียบร้อยแล้ว โดยการกระทำให้สำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน นี่คือข่าวดีที่ประกาศมา 2,000 ปีแล้ว แล้วจะประกาศต่อไป

สัปดาห์ที่แล้วใช้ชื่อยาวมาก เรื่อง “เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว”

นี่คือความจริง พระคัมภีร์บอกว่าจงระวังพวกมาร พวกมารพยายามจะมาขโมยเรื่องราวแห่งความจริงนี้ไป ขณะที่เราที่รู้ความจริงแล้ว พยายามจะประกาศข่าวดี พูดข่าวดี มารก็พยายามประกาศข่าวร้าย ลบข่าวดีออก ต่อต้านกัน เป็นศัตรูกัน มารมีหน้าที่แค่นั้นเอง มันทำอะไรไม่ได้เลย ถ้ามันไม่ขโมยความจริงไป และวิธีการที่มารถนัดที่สุด ในการขโมยความจริง ก็คือทำให้ความจริงของพระเจ้า หรือข่าวดีของพระเจ้าที่สำคัญๆ มันผิดไปเลย หรือไม่ก็เพี้ยนไปมากที่สุด เท่าที่มันจะทำได้

เพ็นเทคอสวันที่พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ ใครๆ ก็อยากได้  แต่ทำไม 2,000 ปีที่ผ่านมา มีหลายคนที่ไม่รู้ความจริง แล้วก็ไม่เอา เพราะความจริงถูกทำให้เสียหาย เพี้ยนไป แต่พระเจ้าก็ยังทำงานของพระองค์อยู่ เราจึงจดจำเอาความจริงนี้ ความจริงที่พวกมารจ้องที่จะขโมยจากเรา คือความจริงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่พระเยซูประกาศนั่นเอง ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์เป็นผู้ประกาศ เป็นผู้แรก สรุปโดยรวมว่าข่าวดีนี้ คือมีเหตุอะไรเกิดขึ้น เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ที่นอกเมืองเยรูซาเล็ม ที่มีชื่อว่าหุบเขาโกละโกธา ข่าวคือมนุษย์บอกๆ กัน เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น เมื่อวานซืนเกิดอะไรขึ้น เมื่อ 2,000 ปีเกิดอะไรขึ้น

ตอนที่มันเกิดขึ้นใหม่ๆ เขาบอกเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เกิดอะไรขึ้น ผ่านมา 5 ปี เมื่อ 5 ปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นที่เยรูซาเล็ม ที่โกละโกธา ผ่านมา 2,000 ปี เราก็กำลังเล่าเหตุการณ์เหมือนเดิม มันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ มันเกี่ยวพันอะไรกับมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่เกิดขึ้น ที่นอกเมืองเยรูซาเล็ม ที่โกละโกธา มนุษย์สามารถเกิดใหม่ในวิญญาณ สามารถได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เลย  ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ความเชื่ออย่างเดียว ซึ่งพระเจ้าได้วางแผนการ ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ หลายๆ พันปีแล้ว  ตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งพระเยซูมาเกิดจริงๆ พระองค์บอกเป็นคำเผยพระวจนะ บอกล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ครั้งที่แล้ว เราใช้ข้อพระคัมภีร์ในเอเสเคียล 36:26-27 นี่เป็นการบอกล่วงหน้า ถึงแผนการของพระเจ้าว่าพระองค์จะทำอะไร ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ที่ไม้กางเขน ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงที่โกละโกธา ประมาณ 500 กว่าปี

เอเสเคียล 36:26-27  “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจ รักษาบทบัญญัติของเรา”

 

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้าแล้ว และเราได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว เราจึงมีสภาพ เป็นวิญญาณ ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว พอเราเชื่อในข่าวดีนี้ว่าเป็นอย่างนั้น เราก็บังเกิดใหม่ในวิญญาณ มีวิญญาณที่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เราจึงมีสภาพเป็นวิญญาณ และมีจิตใจที่เหมือนพระเยซู และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเราด้วย ซึ่งพระวิญญาณนี้ก็จะคอยเป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา เป็นสติปัญญา เป็นผู้คอยนำพาเรา ให้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ตามความต้องการของพระเจ้า ซึ่งเป็นธรรมชาติของวิญญาณ และจิตใจใหม่ภายในเรา ที่พระเจ้าทรงประทานให้ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่ที่เราได้อ่าน คือพระองค์ขจัดเอาใจหินออกไป ใจหิน คือใจที่ดื้อด้าน กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า นี่เขาเรียกว่าใจหิน แต่พระเจ้าเอาใจหินออกไป ใส่ใจเนื้อเข้ามาแทนที่ ใจเนื้อ ก็คือใจที่เข้ากับพระเจ้าได้ กลับคืนดีกับพระเจ้า พระเจ้าประทานวิญญาณใหม่ และความคิดจิตใจใหม่ให้กับมนุษย์ทุกคนได้แล้ว ถ้าพูดถึงผู้ที่ฟังอยู่ตอนนี้ ที่ยังไม่เชื่อนะ อยากจะบอกว่าพระเจ้าสามารถประทานวิญญาณใหม่ ชีวิตจิตใจใหม่ ให้กับท่านได้แล้ว และทำไปแล้วด้วย ที่ไม้กางเขน ถ้าท่านต้องการ เดี๋ยวนี้ได้ทันที เหมือนท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ คือมนุษย์สามารถเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระเจ้าได้ทันทีเลย ไม่ต้องรอตาย ไปสวรรค์ แล้วถึงจะได้รับ ได้รับทันทีตอนนี้เลย

เมื่อเราเชื่อแล้วพระเจ้าต้องการให้เราตั้งความคิดจิตใจ จดจ่อความคิดไปที่ความจริงตรงนี้ ตรงโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นนี้ เพื่อที่เราจะไม่ถูกขโมยเอาความจริงนี้ไป จากชีวิตของเรา 2 โครินธ์ 4:16-18

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชัวคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ แม้ร่างกายที่เราเห็นนี้จะต้องทรุดโทรมไป ต้องเจ็บป่วย จะต้องเหนื่อยยากลำบาก ต้องกลัว ต้องวิตกกังวลอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากบาปในร่างกายนี้ แต่เราได้รับจิตใจใหม่ วิญญาณใหม่ เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู เราได้รับแล้ว แล้วมันเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน  เพราะฉะนั้น เมื่อเอามาเทียบกันกับวิญญาณข้างในเรา ที่อยู่กับพระเจ้าแล้ว ที่เหมือนพระเยซู มาเทียบกับภายนอก ที่ยังทนทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้อยู่ ในนี้บอกว่าให้เราจดจ่อความคิดไปที่ความจริง คือไปที่โลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น คือวิญญาณของเรา เป็นตัวจริงๆ ของเรา

โลกใบนี้ ถูกทำให้เสียหาย เนื่องจากมนุษย์ตกลงไปในความบาป และถูกสาปแช่งไปถึงดินด้วย ดังนั้น ร่างกายมนุษย์จึงถูกสาปแช่งไปด้วยเช่นเดียวกัน เราจึงต้องตาย ปกติไม่ตาย สร้างเซลใหม่ไปเรื่อยๆ อยู่นิรันดร์เหมือนกับพระเจ้า แต่พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป เริ่มเจ็บป่วย เริ่มต้องตาย เริ่มต้องนับหนึ่ง เริ่มมีการแก่ เริ่มมีการเหี่ยว เริ่มมีตีนกา เริ่มมีรอยย่น เริ่มคิดมาก เริ่มมีความกลัว เริ่มมะเร็ง … มะเร็งเกิดมาตั้งแต่โน้น สมัยที่อาดัมทำบาปใหม่ๆ ถ้าพูดอย่างนี้ คนไม่เข้าใจ นึกว่าเราบ้าแล้วนะ มะเร็งเกิดจากเอวา เกิดมาได้อย่างไร? ก็เอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า เลยไปเรียกอาดัมมา ไม่เชื่อด้วย สองคนช่วยกันไม่เชื่อ พอไม่เชื่อก็กบฏต่อพระเจ้า พระพรออกไป พระเจ้าออกไปจากวิญญาณของมนุษย์ และคำสาป ก็ลงมาอยู่ที่โลกใบนี้ ก็คือร่างกายของเขา ซึ่งมาจากดิน ก็ไปด้วย

ตอนที่พระเยซูมาฟื้นฟู มาตายที่ไม้กางเขน แล้วทำให้เราได้เกิดใหม่ แค่วิญญาณและความคิดจิตใจเท่านั้น เพราะฉะนั้น นี่คือความจริงที่เราต้องเรียนรู้ด้วย พระเจ้ากำลังบอกว่าให้เรา จดจ่อความคิดไปที่โลกวิญญาณ เราย้อนกลับมาถึงตัวเราเองว่าเราควรจะจดจ่อไปที่โลกวิญญาณตรงไหน? ในเมื่อเรารู้จักข่าวประเสริฐ เราต้อนรับข่าวดีแล้ว อาจจะได้รับข่าวดีไปร้อยหนึ่ง บางคนอาจจะได้รับแค่แปดสิบ บางคนได้รับแค่เจ็ดสิบ แต่ทุกวันนี้ เจริญเติบโต ได้รับข่าวดีไปเรื่อยๆ ตอนนี้รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร? ควรจดจ่อ หมายถึงความคิด หมายถึงใคร่ครวญ พิจารณาในโลกวิญญาณตลอดเวลา เพราะว่ามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ มันจึงต้องใช้จดจ่อความคิด ให้ใส่เข้าไปทุกวันๆ ผมก็เลยคิดว่าเอาความจริงเหล่านี้มา บอกท่านว่าท่านควรจดจ่อตรงนี้อย่างไร ให้ชีวิตท่านมีสันติสุขมากขึ้น มีความสุขมากขึ้นด้วย คือมีความทุกข์น้อยลงนั่นเอง ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายที่มันต้องตายได้ ที่อยู่ใต้อิทธิพลของบาป แต่วิญญาณเกิดใหม่ ความคิดจิตใจเกิดใหม่ เหมือนพระเจ้าแล้ว แล้วทำอย่างไร?

วิธีทำ ก็คือพิจารณาใคร่ครวญ ภาวนา ตามความจริงนี้ ผมเอามาให้ท่านเป็นตัวอย่างนิดหนึ่ง ลองใส่ชื่อท่านลงไปในนี้ ถ้าผมพูดชื่อผม ท่านพูดชื่อท่าน แล้วพูดตามผมทั้งหมด ตามความจริงต่อไปนี้

“นครเป็นวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ และพระเจ้าได้ประทานจิตใจใหม่ ให้กับนคร

นครจึงเป็นวิญญาณที่มีความคิดจิตใจ ที่ใหม่สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูเป็นวิญญาณแห่งความรัก  เป็นวิญญาณแห่งความสว่างเหมือนพระเยซู ไร้มลทิน และไร้ความบาปใดใดทั้งสิ้น เป็นผู้ชอบธรรมอย่างแท้จริง  …   วิญญาณและความคิดจิตใจใหม่นี้ เป็นตัวจริงจริงของนครที่จะอยู่ตลอดไป  ในสวรรค์กับพระเจ้า

นครได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ในขณะนี้แล้ว ชีวิตของนคร คือวิญญาณ ...  และความคิดจิตใจนี้ ซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า … พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้จุ่มนครลงไปในความเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระบุตรพระเยซู และพระวิญญาณ”

ทำอย่างนี้ ทำบ่อยๆ กลางคืนก็คิด ก่อนนอนก็คิด  ตื่นมาก็คิด กินข้าวก็คิด คิดไปเรื่อยๆ คิดไปครึ่งหนึ่งก็คิด มีเวลานนิดหนึ่งก็คิดนิดหนึ่ง คิดได้ 2 บรรทัดก็หลับไป คือการต้องจดจ่อกับโลกวิญญาณอย่างนี้ เพื่อไม่ให้มันหลอกเรา อะไรที่เกิดขึ้นในโลกวัตถุ เรื่องสำคัญๆ เราลืมคิดไป สิ่งที่สำคัญกว่า คือโลกวิญญาณตรงนี้ต่างหาก เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ วิญญาณใหม่ของเราอยู่กับพระเจ้า และความคิดจิตใจที่ติดกับวิญญาณนั้น เป็นของพระเจ้าใส่ลงมาเลย นี่คือความจริง เพียงแต่อาศัยในร่างกายภายนอก เพียงชั่วคราว นี่คือความจริง ทั้งหมดนี้มาจากพระคัมภีร์ ผมสรุปมารวมให้ท่าน ได้เห็น และได้สามารถเอาไปภาวนา ง่ายๆ รวมหมดเลย ซึ่งร่างกายนี้ต้องตายลง และหมดลมหายใจเน่าเปื่อยไปในที่สุด ร่างกายนี้ยังคงได้รับอิทธิพลจากระบบของโลก ร่างกายที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ จากสิ่งต่างๆ ภายนอก ฟังให้ดีๆ ถ้าเรารับเชื่อแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณและความคิดจิตใจของเราใหม่เอี่ยมเหมือนพระเจ้า ไม่มีบาปเลย แต่ร่างกายนี้ยังได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอก จากสื่อต่างๆ ภายนอก ที่มันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ ซึ่งมันก็พยายามที่จะล่อลวง หลอกลวง ส่งสัญญาณชักจูงให้ร่างกายที่เราอาศัยอยู่นี้ ปฏิบัติในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า ตรงกันข้ามกับธรรมชาติลักษณะที่เป็นเหมือนพระเจ้า ภายในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา

ท่านเห็นหรือยังเกิดสงครามอะไรขึ้น ตะกี้นี้เราพูดกัน เราภาวนา เราเกิดใหม่ในวิญญาณ  เหมือนพระเจ้า แต่เราอยู่ในร่างกายที่ยังอ่อนแอ ยังรับอิทธิพลที่เต็มไปด้วยกระแสของโลกนี้อยู่ พูดง่ายๆ ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้า ร่างกายนี้ จะเปื่อยเน่าและตายไป และพระเจ้าได้จัดเตรียมร่างกายใหม่ ซึ่งเรียกว่าร่างกายสวรรค์ ที่ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของบาป เป็นร่างกายที่บริสุทธิ์ ไม่มีคำว่าเจ็บป่วย ปวดร้าว ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ตลอดไปนิรันดร์กาล ขอบคุณพระเจ้า นี่คือความหวังของเรา เพราะฉะนั้น ในนี้จึงบอกว่าเมื่อเราภาวนาอย่างนี้ จดจ่ออย่างนี้ ความทุกข์ยากลำบาก ความยากจนเอ่ย ปัญหาโน้นปัญหานี้ วุ่นวายไปหมดบนโลกใบนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดา มันต้องเกิดขึ้น แต่วันหนึ่งข้างหน้า เราไม่ต้องเผชิญสิ่งเหล่านี้อีก เรามีความหวังว่ามันจะสิ้นสุดลง มันจบ แล้วไม่ใช่จบแค่ 500 ปี ไม่ใช่ไปเสวยสุขอีก 200 ปี แต่ไปเสวยสุขนิรันดร์กาล

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ และเป็นความหวังใจอันเดียวในโลกวิญญาณเท่านั้น ของมนุษย์คนใดก็ตามที่ใช้สิทธิของเขา เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ทุกคนควรจะมีความหวังใจ ตรงนี้ อันเดียวเท่านั้นเอง อย่าหวังว่าจะมีความร่ำรวยบนโลกใบนี้ อย่าหวังว่าจะไม่มีปัญหาเลย  เพราะโลกใบนี้เสียหายไปแล้ว แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูบอกท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านก็ประสบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา แต่เราชนะโลกนี้แล้วนะ เอเมน มันทำเราได้แค่นี้เอง จบแล้ว เหลืออีกไม่กี่ปีเอง บางคนก็เหมือนไม่กี่ปี นี่พูดถึงเฉพาะเท่าที่เป็นไปได้นะ อาจจะ 30 ปี 20 ปี 10 ปี เมื่อเทียบกับนิรันดร์ มันเทียบกันไม่ติดเลย

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มารพยายามจะขโมยออกจากเราให้ได้ เราพยายามจะบอกพระเจ้าว่ามาเป็นคริสเตียนแล้ว เอาความทุกข์เราออกไปจากโลกนี้เถิด เราจะได้ไม่เป็นอันนั้น เราไม่อยากป่วย เราไม่อยากอะไร มันไม่ได้ มันเป็นจริงตามนั้น กฎของมันเป็นอย่างนั้น ก็ต้องรอ แต่ถ้าเราฝืนมัน ก็ไม่มีความสุข

แล้วก็มีความจริงอีกเรื่องหนึ่ง  ที่เป็นประเด็นฮิตฮอทอันดับต้นๆ ที่มารพยายามมาขโมยเหมือนกัน ที่พยายามบิดเบือนความจริงเรื่องนี้ บ่อยมาก คือเรื่องเกี่ยวกับการเชื่อฟังพระเจ้า โรม 6:16

โรม 6:16 “ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง  ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม”

 

ถ้าอ่านข้อนี้ข้อเดียว ถ้าท่านยังทำบาปอยู่ ก็แปลว่าท่านเป็นทาสของบาป ถูกไหม? ถ้าแปลง่ายๆ ก็คือถ้าท่านเชื่อฟังหัวหน้าบาป คือมาร แต่ถ้าท่านเชื่อฟังพระเจ้า ท่านก็ต้องทำตามคำสอนของพระเจ้า และไม่ทำบาป ถูกหรือเปล่า? ถ้าฟังข้อนี้ข้อเดียว ก็เลยต้องถามคำถามเดิมๆ ซ้ำๆ อีกว่าแล้วเป็นไปได้ไหม? เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว จะไม่ทำบาปอีกเลย? ก็เป็นไปไม่ได้ สรุปแล้ว ท่านก็เริ่มคิด เอาอย่างไร? ก็ไม่ยาก อย่าเอาข้อเดียวมาตีความ อยากรู้ก็ไปอ่านต่อว่าบริบททั้งหมดว่าอย่างไร? ข้อ 17 กับ 18

โรม 6:17-18 “17 แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายแก่ท่านนั้นอย่างสุดใจ 18 ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปและได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว”

 

อันนี้ต้องตั้งใจฟังนิดหนึ่ง เนื่องจากมันลึกซึ้งทางโลกวิญญาณ และภาษาไทยแปลออกมา แล้วเข้าใจยากนิดหนึ่ง ในนี้บอก แต่ขอบคุณพระเจ้า  แต่แสดงว่ามันไม่เป็นไปตามที่เราคิดเมื่อตะกี้นี้หรอก ถูกไหม? แต่ขอบคุณพระเจ้า เพราะแม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายไว้ให้ท่านสุดใจ อันนี้ผมแปลให้นิดหนึ่ง จากภาษาเดิม หมายถึงท่านเคยเป็นคนบาป แต่เดี๋ยวนี้ ท่านก็ยังเชื่อฟังคำสอน ซึ่งพระเจ้าได้ใส่ไว้ในจิตใจของท่าน แค่นี้เอง จำได้ไหมตะกี้นี้อ่านเอเสเคียลอันเดียวกันนี้แหละ คือจิตใจใหม่ พระเจ้าใส่ความเชื่อฟังลงไปแล้ว ใส่ความเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูลงไปแล้ว ใส่ความเป็นมิตรกับพระเจ้า เข้ากันกับพระเจ้าไปแล้ว เอาศัตรู เอาใจหินออกไปแล้ว แค่นี้เอง พอแปลอย่างนี้ ท่านก็เข้าใจง่ายขึ้นแล้ว

ข้อ 18 แปลต่อมาอีกว่าท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปแล้ว และได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว

ก็คือวิญญาณและความคิดจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น มันกลายเป็นทาส ก็คือติดสนิทกับพระเจ้าแล้ว เป็นทาสของพระเจ้า แต่ก่อนนี้ บาปครอบงำเราอย่างไร? ตอนนี้พระเจ้าครอบงำเราอย่างนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราทำอะไรเลยนะ ในขณะเดียวกัน ในอดีตก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราทำเลย อาดัมทำ โดนเรา ตอนนี้พระเยซูทำ โดนถึงเราเหมือนกัน เห็นภาพอะไรบางอย่างไหม?

สังเกตไหมครับคำว่า “เคยเป็นทาสของบาป” ก็คือในอดีตเคยเป็น แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว  ภาษาอังกฤษเรียกว่าเป็น Past tense เป็นอดีตไปแล้ว จบไปเรียบร้อยแล้ว

คำว่า “ทาสของความชอบธรรม” ที่ประโยคต่อมา ใช้คำว่า “ได้กลายเป็น (แล้ว)” มันเป็นอดีตเหมือนกัน แต่เป็นอดีตที่ยืดยาว เขาเรียกว่าได้รับแล้ว และปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ เขาเรียกว่า Present Perfect Tense  มันต่อเนื่องกันมา

ข้อที่ 17 “แต่ขอบคุณพระเจ้าที่แต่ก่อนนี้ เรายังไม่เกิดใหม่ เราเป็นทาสของความบาป มารครอบเราอยู่ แต่ในขณะนี้ ท่านก็เชื่อฟัง หมายถึงในขณะนี้ พระเจ้าได้ทำให้ท่านกลายเป็นวิญญาณใหม่ จิตใจใหม่ ที่พระเจ้าใส่ลงไป ให้เป็นวิญญาณและจิตใจที่เชื่อฟังพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว”

นี่คือความอัศจรรย์ของพระคุณพระเจ้า ที่เรียกว่า Amazing Grace เคยเป็นทาสของความบาป แต่ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแค่นั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเลย เราได้กลายเป็นผู้มีจิตใจใหม่เอี่ยมในพระเจ้า และได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากทาสบาปทั้งปวง แค่ด้วยความเชื่อเท่านั้นเอง เกิดใหม่ทางวิญญาณ และความคิดจิตใจที่ใหม่เอี่ยม ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ผ่าตัด เปลี่ยนใจหินกับเปลี่ยนวิญญาณของเราใหม่ ให้เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้า เปลี่ยนความคิดจิตใจของเราใหม่ ให้เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นทาส เชื่อฟังพระเจ้า เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระเจ้าผ่าตัดหัวใจให้ใหม่ เอาของใหม่ใส่มา ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกไปจากเจ้า และให้ใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในใจ ก็คือพระวิญญาณ โน้มนำเจ้า ก็คือนำพาเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา คือทางของพระเจ้า และใส่ใจในการรักษาบทบัญญัติของเรา บทบัญญัติของพระเจ้า คือความรัก ความถูกต้อง ความดีงาม ความชอบธรรม หัวใจใหม่ที่พระเจ้าประทานให้เรา ก็คือหัวใจที่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดใจ 100% มีธรรมชาติ มีเนเจอร์ที่เป็นของพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า หัวใจที่ต้องการทำทุกอย่าง ตามพระประสงค์ของพระเจ้า หัวใจที่ต้องการมอบถวายทุกสิ่งแด่พระเจ้า หัวใจที่มีความรักเหมือนพระเจ้า นี่คือธรรมชาติ ลักษณะของหัวใจ หรือความคิดจิตใจของผู้เชื่อทุกคนในพระเยซูคริสต์ในวิญญาณ เอเมน เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระเจ้าทำให้เราทุกอย่าง

เรามีคุณสมบัติอย่างนี้ ถ้าท่านเอาไปนั่งคิดอย่างนี้ แล้วภาวนาอย่างนี้อยู่บ่อยๆ จนท่านรู้ว่าตัวจริงๆ ท่านเป็นใคร? ท่านจะยืดอกเลยว่าขอบคุณพระเจ้า ท่านจะไม่รู้สึกห่อเหี่ยว หดหู่เลย แล้วถามว่าท่านจะเย่อหยิ่งไหมเมื่อรู้ความจริงนี้? ไม่เย่อหยิ่งเลย เพราะท่านรู้ว่าพระเจ้าทำ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย แม้แต่นิดเดียว แต่อย่างที่พูดเสมอว่าเรายังวนเวียนอยู่กับอิทธิพล และอยู่ใต้กระแสของโลกนี้ เพราะฉะนั้น เรายังมีโอกาสพลาดพลั้ง ถูกล่อลวง ให้ทำผิดบาป ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ และทำอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม แต่การกระทำผิดบาป ที่เกิดขึ้นจากภายนอก ไม่ใช่ในวิญญาณของเรา

ท่านพอจะเห็นภาพแล้วนะ วิญญาณและความคิดจิตใจเราใหม่เอี่ยมเลย ยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้นเอง ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวจริงของเรา วันหนึ่งเราต้องทิ้งมันไป เหมือนที่เปาโลพูดถึงการต่อสู้ ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ว่าในใจเขาคิดอย่างไร? ในใจเขามีความรู้สึกอย่างไร? ซึ่งผู้เชื่อทุกคนก็เป็นเหมือนกัน เปาโลพูดว่าอย่างไร? ในโรม 7:15-17 มาเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณก็ใหม่ จิตใจก็ใหม่ เหมือนพระเยซูเลย เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ เป็นวิญญาณแห่งความรัก เป็นความสว่าง เปาโลบอกว่า …

“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ สิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ ข้าพเจ้าไม่ทำ แต่ข้าพเจ้ากลับทำสิ่งที่ตนเองเกลียด และถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ข้าพเจ้าก็เห็นด้วยว่าบทบัญญัตินั้นดี ดังที่เป็นอยู่ จึงไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่เป็นผู้กระทำสิ่งนี้อีกต่อไป แต่เป็นเพราะบาปที่อยู่ในข้าพเจ้า”

“ข้าพเจ้า” หมายถึงใคร? “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำ เพราะข้างในข้าพเจ้าต้องการจะทำให้เหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย แต่ข้างนอก มันได้รับสื่อ  อิทธิพล ความคุ้นเคย ความชินกับชีวิตเก่าๆ มันทนไม่ไหว”

ยกตัวอย่างง่ายๆ ชัดๆ เปาโล ข้างในได้รับการบังเกิดใหม่ วิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย เต็มไปด้วยความรัก วิญญาณของเปาโลเป็นความรัก  มีความคิดจิตใจที่เป็นความรัก ความรัก คือการอดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ให้อภัยเสมอ แต่ปรากฏว่าเปาโลไปเจอคนที่ต่อต้านข่าวประเสริฐของพระเจ้าอย่างรุนแรงและดื้อด้านมากเลย ทำให้ผู้เชื่อใหม่ หลงหาย เปาโลทนไม่ไหว โกรธขึ้นมา ด่าสุดๆ เลย ถามว่าที่ด่านั้น กับวิญญาณตรงกันไหม? วิญญาณบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความรัก เป็นความรัก ไม่ด่า ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่งผยอง ไม่โกรธเกลียดใครแล้ว แต่ทนไม่ไหว เปาโลเป็นคนทำเหรอ? เปาโลบอกว่าตัวจริงๆ ฉันไม่ได้เป็นคนทำ แต่บาปที่อยู่ในตัวข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ  ที่โกรธนั้น ที่โมโหนั้น มันอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้ แต่วิญญาณไม่มี ความคิดจิตใจไม่มี มันเป็นเนเจอร์ เหมือนพระเจ้าไปแล้ว พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงประทานชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ หัวใจใหม่ให้กับเราแล้ว เป็นหัวใจที่สะอาด บริสุทธิ์ ไร้มลทิน ปราศจากบาป เพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะสามารถเข้ามาสถิตได้ เพราะถ้าข้างในเราไม่สะอาด พระวิญญาณพระเจ้าก็เข้ามาอยู่กับเราไม่ได้ มีสิ่งสกปรกเพียงนิดเดียว ก็อยู่ไม่ได้แล้ว เพราะว่าพระเจ้าจะสถิตที่ใด? ที่นั่นต้องสะอาดมากๆ เลย

พระเจ้ายกตัวอย่างให้ในพระคัมภีร์เดิม บอกให้รู้เลย การทรงสถิตของพระองค์ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ บริสุทธิ์ขนาดไหน?  ทำให้มนุษย์ได้เห็นแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงชำระล้างเราให้บริสุทธิ์ เพื่อพร้อมที่จะเป็นวิหารของพระเจ้า พลับพลาของพระเจ้า พระคัมภีร์เดิมวิหารของพระเจ้า หรือพลับพลาของพระเจ้า เป็นที่นมัสการที่มนุษย์ หรือเรียกว่าปุโรหิต เป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งครั้งแรกเลย พระเจ้าให้โมเสสสร้าง แล้วบอกว่านี่คือวิหารที่เราจะสถิตอยู่ แต่ทำด้วยมือนะ เลียนแบบ จำลองมาจากสวรรค์ จะเป็นวิหารที่ใช้สำหรับการนมัสการ ก็คือใช้ติดต่อกับพระเจ้า สมัยโมเสส มีเพียงปุโรหิตเข้าไปได้ แค่คนเดียว และได้ปีละครั้ง ก่อนจะเข้าไป ก็ต้องทำตัวให้สะอาดบริสุทธิ์ เพราะอันตรายมากๆ นึกออกใช่ไหมว่าพระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้เห็นว่าความบริสุทธิ์ของพระองค์ขนาดไหน? ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเหตุและผลเลย เกี่ยวกับความเป็นจริงของลักษณะวิญญาณพระเจ้าว่าสะอาด บริสุทธิ์มากๆ มนุษย์สกปรกนิดเดียวก็ไม่ได้เลย เข้าไปได้ปีละครั้ง  ถ้าคนนั้นเข้าไป เตรียมตัวไม่พร้อม ทำอะไรพลาดนิดเดียว ตาย ต้องดึงเชือกออกมา เขาถึงให้ใส่ลูกกระพรวน หมายถึงชุดเขาใส่ลูกกระพรวน กรุ๊งกริ๊งๆ ถ้าเสียงเงียบไปเมื่อไร ไม่มีโต้ตอบ ดึงลากออกมา ตายแล้ว เพราะไปทำอะไรบางอย่างที่ผิดจากที่พระเจ้าสั่งให้ทำ

นี่คือฤทธิ์อำนาจของความบริสุทธิ์ของพระเจ้า แล้วถ้าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเรา ตามพระคัมภีร์ใหม่ที่บอกไว้ มันอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เมื่อร่างกายเราที่บอกชำระจนสะอาดหมดจดเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าจึงเข้ามาอยู่ได้ เอเมน มันถึงเป็นข่าวดีมากๆ ในขณะเดียวกันคนที่ถูกล่อลวงด้วยมาร ไม่เชื่อในข่าวดีนี้ จะมีความรู้สึกว่า …

“มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ฉันสกปรก ฉันทำไม่ดีเลย ฉันจะมาอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร?”

พระเจ้าบอก “Noๆๆๆ เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเราเป็นคนทำให้เจ้าแล้ว ทำให้เอง เพียงแต่เจ้าเข้ามาใช้สิทธิ์เท่านั้นเอง”

พอมาถึงยุคพันธสัญญาใหม่ วิหารของพระเจ้า อยู่ในร่างกายของมนุษย์ “ในเรา” หมายถึงในผู้เชื่อทุกคน แล้วถ้าบอกว่าวันนี้ พระเจ้าชำระเราจนสะอาดบริสุทธิ์แล้ว พระวิญญาณมาสถิตอยู่ด้วยกันกับเราแล้ว แล้วเกิดวันหนึ่งข้างหน้า เราเผลอไปทำบาป ทำอันโน้นอันนี้ สกปรกอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วเราไม่ตายเหรอ พอเราโกหกทีหนึ่ง พระวิญญาณต้องออกไปแป๊บหนึ่ง เมื่อเช้านี้ เราขับรถมา เราหงุดหงิด ไปว่าคนตัดหน้าปุ๊บ พระวิญญาณออกไปแป๊บหนึ่ง พอเราขอโทษปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามา พอเราเข้ามาในโบสถ์ปุ๊บ เรารำคาญคนๆ นี้ พระวิญญาณออกไป พอเราเกิดเข้ามาในโบสถ์ อธิษฐาน พระวิญญาณเข้ามา แล้ววันหนึ่งจะกี่ครั้ง พระวิญญาณเข้าๆ ออกๆ ตัวเรา

ท่านจะรู้แล้ว มันไม่ใช่แน่ วิญญาณก็วิญญาณ วัตถุก็วัตถุ คนละเรื่องกัน อย่างที่ผมบอกเสมอ การตีความพระคัมภีร์ ต้องดูบริบท โดยรวม ภาพรวม ต้องยึดตามพื้นฐานข้อเชื่อในพระคัมภีร์เป็นหลักว่ามันรวมกันแล้ว เป็นลักษณะอย่างไร? ไม่อย่างนั้นมันจะตลกๆ

วิหารสมัยโมเสส ที่พระเจ้าบอกให้ทำ ก็คือวิหารที่ทำด้วยมือ จำลองว่าเป็นอย่างนั้น เพื่อเป็นเงาของวันเพ็นเทคอสว่าพระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ พระเจ้าบอกทำเลียนแบบที่อยู่ในสวรรค์ แล้วท่านดูนะว่ามันจริงไหม? ผมกำลังยกตัวอย่างให้ท่านดูสุดท้าย

วิหารสมัยโมเสส พระเจ้าให้ทำอย่างไร? มีลานชั้นนอก ไม่มีอะไรให้ดูเลย เดินผ่านลานชั้นนอกปุ๊บ มีประตูเข้าห้อง เรียกว่าห้องชั้นใน ในห้องชั้นในมีม่านกั้น หลังม่านเรียกว่าห้องบริสุทธิ์ที่สุด ห้องที่พระเจ้าสถิตอยู่  ถ้าพูดภาษาอังกฤษ ก็คือข้างนอก เรียกเอ๊าคอร์ด เรียกว่าลานวิหาร อันที่สอง ก็คือ Holy place คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พอผ่านม่านข้างใน อันที่สามเรียกว่า The most Holy place หรือเรียกว่า Holy of Holies แปลว่าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งจะมีหีบพันธสัญญา ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ที่นั่น  แล้วถ้าเทียบกับมนุษย์ในปัจจุบันล่ะ ที่พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนแล้ว เมื่อมนุษย์คนใดคนหนึ่งเชื่อในพระเจ้า เกิดอะไรขึ้น พระเจ้าจะเข้ามาสถิตกับเขา ที่ในวิญญาณ และจิตใจของเขา พระเจ้าจะผ่าตัดใจใหม่ ให้วิญญาณใหม่กับเขา แล้วพระองค์ก็เข้าไปอยู่กับเขาเลย ที่วิญญาณและจิตใจของเขา แต่ร่างกายของเขายังเป็นเหมือนเดิม ท่านเห็นไหม?

เพราะฉะนั้น ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของเรา คือวิหารของพระเจ้า มันแปลว่าอย่างนี้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ข้างในตัวเรานั่นแหละ และเราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป ซึ่งยังมีข้อพระคัมภีร์อื่นๆ ที่ยืนยันว่าพระเจ้าได้ประทานวิญญาณให้อยู่กับเรา จิตใจใหม่ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ผมจะยกตัวอย่างให้สักนิดหนึ่ง เพื่อยืนยันให้ท่านเห็น โรม 5:5

โรม 5:5 “ความหวังไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์ เข้ามาในจิตใจของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา”

 

เอเฟซัส 3:7 “ข้าพเจ้าได้เป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐนี้ โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ผ่านทางการทำงานของฤทธิ์อำนาจของพระองค์”

 

ท่านสังเกตดู 2 ข้อที่ผ่านมา ไม่มีการกระทำของมนุษย์เกี่ยวข้องเลย พระเจ้าเป็นผู้ทำหมดเลย ให้ฟรีๆ หมด จึงเรียกว่าพระคุณ พระองค์ทรงกระทำทั้งสิ้น วิญญาณที่พระเจ้าประทานให้อยู่กับเรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะอยู่กับเราได้ คือเราต้องสะอาดหมดจด บริสุทธิ์มากๆ ที่สุด  พระองค์ก็ทรงชำระให้เรา โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  พระองค์ทรงกระทำให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ที่เรียกว่าข่าวดี ถ้าเราต้องทำเอง เรียกว่าข่าวร้ายเลย เพราะไม่มีใครทำได้ ไม่มีใคร ทำตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ เหมาะที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่ด้วย เป็นไปไม่ได้เลย

ก่อนที่พระเยซูจะทำให้สำเร็จ แม้กระทั่งผิดนิดเดียว วันนี้อาบน้ำน้อยไปหน่อย จะต้องเข้าเฝ้าพระเจ้าปีละหนึ่งครั้ง สมมติมหาปุโรหิต แต่งตัวผิดนิดหนึ่ง ตาย เข้าไปแกว่งเครื่องหอม ซึ่งเรียกว่าการทรงสถิตของพระเจ้า ใส่ผงกำยาน ใส่ผิดไปนิดหนึ่ง ตาย  เพราะความบริสุทธิ์ของพระเจ้า มันไม่ได้เกี่ยวกันกับว่าในใจคุณคิดอะไร? คุณตั้งความหวังว่าอะไร? ไม่เกี่ยว อย่างที่ผมบอก มันเป็นกฎ มันเป็นธรรมชาติ พระเจ้าเป็นความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจในตัว ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับความบาป เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดี หรือไม่ดี หรือเป็นคนเลวอย่างไร? คุณเดินออกไปจากดาดฟ้า คุณก็ตกลงไป

2 โครินธ์ 1:22 “ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง”

 

พอท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าเป็นจริง พระเจ้าเปลี่ยนหัวใจท่านใหม่ เป็นหัวใจที่เหมือนพระเยซู เปลี่ยนวิญญาณท่านใหม่ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซู และในนี้บอกและทรงประทับตรา … “ประทับตรา” แปลว่าปิดห้อง ต่อจากนี้ไม่มีใครเอาเราออกไปจากมือของพระเจ้าได้แล้ว ต่อให้เป็นมารหรือตัวเราเอง ก็ออกไม่ได้ เมื่อเราได้ถูกเปลี่ยนแปลง เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว มันก็เป็นอย่างนั้น มันจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว ไม่ต้องห่วง

กาลาเทีย 4:6 “ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา พระวิญญาณผู้ทรงร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ””

 

“ในเมื่อท่านเป็นบุตร” เป็นบุตร เพราะท่านทำดี ไม่ใช่ เป็นบุตร เพราะท่านได้เกิดมาเป็นบุตร เกิดใหม่ พอท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ทรงชำระบาปให้กับท่านบนไม้กางเขน ท่านใช้สิทธิของท่าน ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามา เขาเรียกว่าบัพติศมาท่านด้วยไฟ คือจุ่มวิญญาณและจิตใจท่าน ลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุดนั้น และทำให้บังเกิดใหม่ในวิญญาณและความคิดจิตใจ เป็นไปตามที่พระเจ้าวางแผนมาตั้งนานแล้ว ในนี้จึงบอกว่าพระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เข้ามาอยู่ในใจของเรา วิญญาณก็เปลี่ยนใหม่ จิตใจก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ และพระวิญญาณผู้นี้ ก็จะค่อยๆ สอนเราในทางของพระเจ้าทั้งหมด ในทางของความรัก ความสว่าง และสอนเราในทางของความคุ้นเคย ความสัมพันธ์ในครอบครัว ก็คือให้เราเรียกพระเจ้าว่าพ่อ ให้เราเรียกพระเยซูว่าพี่ ให้เราเรียกพี่น้องคนอื่นๆ ที่เป็นคริสเตียนว่าพี่น้อง พระวิญญาณจะนำเรา นี่คือตัวอย่าง แล้วจะนำเราไปเรื่อยๆ ทุกอย่างทุกเรื่องแหละ เพียงแต่เราได้ยินพระองค์หรือเปล่า? ต่อไปนี้ เวลาจะอธิษฐาน ภาวนา หาความจริงอะไรต่างๆ ให้วิ่งไปที่พระคัมภีร์ อันนี้ก็มีส่วน แต่ท่านต้องตั้งความคิดจิตใจไว้ที่วิญญาณตลอด ถ้าอธิษฐาน ให้อธิษฐานด้วยใจ ด้วยวิญญาณ ถ้าจะถวาย ให้คิดถวายด้วยความประสงค์จากใจ มันหมายถึงตรงนี้  ทุกอย่างทำจากข้างในออกมาข้างนอก นั่นแหละ คือคริสเตียน

เวลาจะคิดอะไรก็ตาม คิดจากข้างใน คือฝ่ายวิญญาณของเรา ไม่ต้องออกไปข้างนอก ถ้าเมื่อไรก็ตามท่านทำอย่างนี้ เท่ากับเรากำลังลากมาร สมมติว่าเป็นการต่อสู้กันบนโลกใบนี้ เรากำลังลากมารขึ้นมาบนเวทีของเรา เวทีของเราที่เราจะชนะ 100% หมัดหนักที่สุด ก็คือเวทีทางโลกวิญญาณ เราแค่ฮุ๊กทีเดียวกระเด็นไปไกลเลย แต่ถ้าเราถูกมันลากลงจากวิญญาณ ลงไปอยู่บนโลกใบนี้ แล้วให้เราไปชกกับมัน ตายลูกเดียว ต่อให้เป็นคริสเตียน อย่างไรก็ตาย ต่อให้มีตำแหน่งในคริสเตียนก็ตาย เพราะว่าในทางคริสเตียน ตำแหน่งเท่ากันหมด เพราะฉะนั้นเราต้องลากมันเข้ามาตรงนี้ พยายามฝึกฝนที่จะทำอะไรก็ตาม ผลักออกจากใจ

พระคัมภีร์บอกจะนมัสการพระเจ้า จงนมัสการด้วยวิญญาณและความจริง ถ้าจะให้ ก็ต้องให้จากใจ รักพี่น้อง รักจากใจ ทุกอย่างจากใจหมด เพราะในใจนั้นบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า และมีพระเจ้าเป็นพี่เลี้ยงของเราอยู่ เอเมน

คำว่า “ภาวนา” “อธิษฐาน” “pray” อย่าไปนั่งคิด เราชอบนั่งคิดว่าการภาวนา คือต้องไปนั่งเงียบๆ นั่งในห้องคนเดียว อธิษฐาน คำว่า “อธิษฐาน” คือการติดต่อกับพระเจ้า ถามว่าติดต่อกับพระเจ้า ต้องติดต่อทางไหน? ทางวิญญาณ การภาวนา ก็คือการทำอะไรก็ตามที่จะติดต่อกับพระเจ้าทางวิญญาณ คิดไปถึงโลกวิญญาณ เขาเรียกว่าภาวนา เรียกว่า Pray  พระคัมภีร์จึงบอกให้เราอธิษฐานเสมอๆ อธิษฐานตลอด 24 ชั่วโมง แล้วใครไปนั่งอธิษฐานอย่างนั้นได้ มันไม่ได้แปลว่าอย่างนั้น อธิษฐาน 24 ชั่วโมง ท่านสามารถทำได้แล้วตอนนี้ คือในใจท่านจดจ่ออยู่กับเรื่องของโลกวิญญาณตลอด ท่านสามารถภาวนาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ท่านสามารถอธิษฐานได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลย เพียงแต่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ในบางวันเท่านั้น ที่ท่านมานมัสการพระเจ้า ในวิญญาณและมีเพลงประกอบ อาจเป็นเพลงไทย เพลงฝรั่ง เพลงจีนประกอบเท่านั้น แต่ท่านร้องเพลงจากวิญญาณของท่าน ท่านไม่ต้องมาที่โบสถ์ แล้วก็มาร้องด้วยวิญญาณตรงนี้ ท่านอยู่ที่ไหน ท่านก็ร้องได้ เพราะวิญญาณอยู่ในตัวท่านนั่นเอง  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 6 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  มิถุนายน  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่  วิญญาณใหม่

ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 6

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ผมใช้หัวข้อเรื่องว่า “เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” นี่คือข่าวดี มาพูดถึงวันกำเนิดคริสตจักรใหม่ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้พูดไปแล้ว เป็นวันเพ็นเทคอส เป็นวันก่อตั้งของ 2 คริสตจักรนี้ ทางโลกวิญญาณและโลกวัตถุ เผอิญมันเป็นวันเดียวกันพอดี แต่ห่างกัน วันเพ็นเทคอส ของเราครบรอบ 26 ปีกับของพระเจ้าฉลองไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ครบรอบประมาณ 2,000 ปี

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าหลังจากเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ในวันอีสเตอร์แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงปรากฎพระองค์ และอยู่กับเหล่าสาวกอีก 40 วัน จากนั้น ก็ทรงถูกรับ ลอยเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ทางโลกวิญญาณ ต่อหน้าต่อตาผู้คนจำนวนมาก ซึ่งเป็นพยานในวันนั้น บันทึกเอาไว้ในหนังสือกิจการ

และในมาระโก บทที่ 16 บันทึกเหตุการณ์อย่างนี้ว่าพระเยซูคริสต์ถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  … ลอยขึ้นไปนั่งในสวรรค์ ที่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น เรียกว่าสวรรค์ ซึ่งก่อนที่พระเยซูจะถูกรับไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้า คือในช่วง 40 วันที่อยู่กับเหล่าสาวก ที่เดินสอนกับเหล่าสาวก หลังจากเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงบอกไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าพระองค์จะต้องจากไปเร็วๆ นี้ และได้ทรงสัญญาว่าเมื่อจากไป จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้มาสถิตอยู่ด้วยกันกับพวกเธอ หรือกับมนุษย์นั่นเอง ตอนพูดตอนนั้น ไม่มีใครเข้าใจ แต่มีคนจดว่าพระองค์พูดอะไร? แล้วค่อยมาเข้าใจทีหลัง

เคยมีใครตั้งคำถามไหมครับว่าทำไมพระเยซูต้องถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ด้วย? ทำไมพระเจ้าถึงไม่ให้พระเยซูอยู่กับมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ หลังจากเป็นขึ้นจากความตายตลอดไปเลย บางคนบอกว่าพระเจ้าให้พระเยซูอยู่กับมนุษย์อย่างนั้นนะ รับรองป่านนี้คนทั้งโลกเชื่อพระเจ้าหมดแล้ว นี่คิดแบบมนุษย์

เรื่องราวข่าวประเสริฐของพระเยซู มักจะมีคนตั้งคำถามว่าทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้ คิดตามภาษาปัญญามนุษย์ เรื่อยเปื่อย เราจะมาดูคำตอบกัน พระองค์เป็นคนตอบว่าทำไมพระองค์ต้องจากไป เพื่ออะไร? ยอห์น 16:7

ยอห์น 16:7 “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่าการที่เราจะจากพวกท่านไป ก็เพื่อผลดีของพวกท่าน ถ้าเราไม่ไป องค์ที่ปรึกษาก็จะไม่มาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาพวกท่าน”

 

พระเยซูตอบเองเลยว่าเหตุผลที่พระองค์ถูกรับขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้า ก็เพื่อมนุษย์จะได้มีโอกาส มีองค์ที่ปรึกษามาอยู่ด้วย องค์ที่ปรึกษาในนี้ ก็คือพระวิญญาณ คือพระเจ้านั่นเอง ในรูปแบบของพระวิญญาณ 1 ใน 3 พระภาค พระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์นั่นเอง ถ้าพระเยซูไม่เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็ไม่สามารถมาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ พูดง่ายๆ อย่างนี้

วันเพ็นเทคอสที่เราได้ฉลองกันไป เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็คือวันที่องค์ที่ปรึกษา หรือองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระเจ้าได้มาอยู่กับมนุษย์เป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มาจนถึงทุกวันนี้ ประมาณ 2,000 ปี เราจึงฉลองเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ถ้าพระเยซูยังคงเป็นมนุษย์ เดินอยู่กับพวกเราบนโลกใบนี้ คิดให้ดีๆ แล้วที่บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับผู้เชื่อทุกคน มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะพระเยซูต้องอยู่ทีละแห่งๆ แล้วอยู่กับทุกคน ทำอย่างไร? ประชากรโลกมีจำนวนมากมาย หลายพันล้าน มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องมาในรูปแบบของวิญญาณ เพราะว่าพระเยซูไม่ใช่วิญญาณอีกต่อไป พระเจ้า พระบิดาเป็นวิญญาณ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นวิญญาณ แต่พระเยซูเป็นมนุษย์ และเป็นวิญญาณด้วย คือเป็นมนุษย์และเป็นพระเจ้าพร้อมกัน

ถ้าพระเยซูเป็นวิญญาณ ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับเราเลย แต่ถ้าเป็นมนุษย์ ก็คือเป็นต้นพันธุ์ เป็นเผ่าพันธุ์  เป็นหัวหน้าเราอีกทีหนึ่ง และหัวหน้าของเราชนะแล้ว เอเมน อาดัมก็เป็นหัวหน้าเราในอดีต แต่อาดัมแพ้

เพราะฉะนั้น แผนการของพระเจ้า ก็คือส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาเป็นตัวแทนของพระเยซู มาอยู่กับพวกเราทุกคน ทุกวันนี้นั่นเอง แผนการนี้วางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้ว ถ้ามนุษย์ตกลงไปในความบาป จะทำอย่างนี้  คือสรุปสุดท้ายให้พระวิญญาณพระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ทุกคนอีกครั้งหนึ่ง แต่พระเยซูต้องเข้ามาทำงาน ก็ว่ากันไป เอเมน ยอห์น 16:13-15 ลองอ่านดูว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อธิบายอย่างไรว่าพระองค์จะมาทำอะไร? อย่างไร? ในร่างกายเรา

ยอห์น 16:13-15 “13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่าน ไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัส โดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่าน ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 14 พระองค์จะทรงนำเกียรติสิริมาให้เรา โดยการนำสิ่งที่เป็นของเรา มาสำแดงแก่พวกท่าน 15 ทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดา ก็เป็นของเรา ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่าพระวิญญาณจะทรงนำสิ่งที่เป็นของเรา มาสำแดงแก่พวกท่าน”

 

“เรา” คือพระเยซู เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่าน

“พวกท่าน” ก็คือใครก็ตาม มนุษย์คนใดก็ตาม ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อในการกระทำของพระเยซูบนไม้กางเขน เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาช่วยเหลือ เป็นผู้ช่วยให้รอด คนนั้นแหละ

พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล ความจริงที่พระเยซูกำลังพูดตรงนี้ ทำให้เราเป็นไท แล้วอะไรคือความจริงทั้งมวล คำตอบก็ต้องมาจากพระคัมภีร์ อ่านดูต่อ ยอห์น 14:26 พระองค์ตอบเอง

ยอห์น 14:26 “องค์ที่ปรึกษา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรา จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน”

 

เอเมน พระบิดาจะส่งพระวิญญาณมาในนามของพระเยซู เพราะเราเริ่มต้นเชื่อที่องค์พระเยซู เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปให้กับเรา  ทางพระเยซูนั่นเอง พอใครเชื่อแบบนี้ปุ๊บ พระเจ้าก็จะทำให้คนนั้นเกิดใหม่ แล้วส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในร่างกายของเขา นั่นคือความจริง และพระวิญญาณผู้นี้ จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับท่าน

“เรา” คือพระเยซู และจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนท่าน และระลึกถึงคำพูดต่างๆ คำสอนต่างๆ อุปมาต่างๆ ที่เราไม่เข้าใจ ฟังแล้วงงไปงงมานั้น สอนเราอย่างละเอียดและเข้าใจดี โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์จะบอกกับท่านที่ในวิญญาณของท่าน เอเมน ขณะที่เราฟังคำบรรยายจากผู้บรรยาย หรือฟังคำพยานจากผู้ที่เป็นพยานเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระวิญญาณจะเป็นผู้อยู่ข้างในตัวเรา คอยเสริมให้กับเรา คอยบวกๆ ลบๆ อะไรที่ไม่ใช่ ก็บอกไม่ใช่ อะไรที่ใช่ ก็บอกใช่ บางครั้งอะไรที่ไม่ใช่ พระองค์บอกไม่ใช่ ในความคิดเราเคยบอกใช่ แต่ความตั้งใจของพระวิญญาณ คือกำลังสอนเราเกี่ยวกับเรื่องความจริง ที่พระเยซูบอกเราในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งมันมีนิดเดียว ความจริงทั้งมวล ที่พระคัมภีร์จะมาสอน และมานำพวกเรา ก็คือความจริงทั้งมวลที่พระเยซูได้ตระเวนสั่งสอน ประกาศแค่ 3 ปีเอง ไม่เยอะเลย นิดเดียว ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะทำงานสำเร็จ ที่ไม้กางเขน

พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี แต่สอนจริงๆ แค่ 3 ปีสุดท้าย พระองค์ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ไม่ได้มาสอนวิธีการทำความดี แต่มาสอนเรื่องเดียว 3 ปี ขมวดปมเลย สอนเรื่องสวรรค์ … สวรรค์กำลังมา จะเข้าสวรรค์ทำอย่างไร? สวรรค์เป็นอย่างไร? แค่นั้นเอง แล้วทำไมสอน 3 ปี แค่นั้นพอแล้ว พอท่านเข้าสวรรค์จริงๆ ปุ๊บ พระวิญญาณจะเสด็จมาอยู่กับท่าน ข้างในตัวท่าน และพระองค์ก็จะทรงสอนท่านเอง เรื่องอื่น เรื่องศีลธรรม เรื่องความรักในโลกใบนี้ เรื่องอะไรก็ว่ากันไป พระวิญญาณก็จะเป็นพี่เลี้ยง เป็นสติปัญญา เป็นที่ปรึกษา พาท่านเดินไปด้วยกัน เอเมน

แต่ถึงแม้ว่าเราจะได้รับการสอน การทรงนำจากพระวิญญาณไปสู่ความจริงทั้งมวลแล้ว ในขณะเดียวกัน เหล่าวิญญาณชั่วทั้งหลายที่ยังคงวนเวียนอยู่บนแผ่นดินโลกนี้ มันยังคงทำงานอยู่ ก็คือพวกมารซาตานและสมุนของมัน คือกลุ่มทูตสวรรค์ที่ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ สมุนของมาร พวกวิญญาณชั่วเหล่านี้ มันก็พยายามแยกย้ายกันทำหน้าที่ งานหลักของมารซาตาน ก็คือหลอกล่อมนุษย์ให้ต่อต้านพระเจ้า ให้กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่เชื่อข่าวดีของพระเจ้าเหมือนเดิม แล้ววิธีการของพวกมาร มันใช้ในการล่อลวงมนุษย์ ก็คือทำให้ความจริงของพระเจ้าผิดเพี้ยนไป นี่คือหน้าที่ของมันเท่านั้นเอง มันไม่ได้มาหลอกเราแบบในหนัง ผีหลอก ไม่มี ไม่ต้องห่วง ว่ากันตามจริง มันมีน้อยกว่าพวกเราอีก ถ้าพระคัมภีร์บอกว่ามารและสมุนของมัน 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ของพระเจ้า ตกกระป๋อง กลายเป็นมาร แล้วก็วิญญาณชั่วต่างๆ ที่คอยหลอกล่อเรา ให้ไม่รู้ความจริงของพระเจ้า 1 ใน 3 ก็แสดงว่ามีพวกเราเหลือ 2 ใน 3 ยังไม่นับแม่ทัพใหญ่ คือพระเยซูคริสต์อีก ชัยชนะเหลือล้นแล้ว ไม่ต้องห่วง มันทำอะไรไม่ได้เลย หลอกไม่ได้ ตอนกลางคืนกระตุกขาเราไม่ได้ ที่บอกกระตุกขา บางทีเราเครียด ไม่ต้องไปฟังเลย ไม่มีหลอก ถ้ามันกระตุกได้ เรามีอีก 2 ใน 3 เขามี 1 ใน 3 สมมติเขามี 100 คน เรามี 200 ถ้ามันกระตุกนะ  พวกเราตบกระโหลกเลย หมายถึงพวกเราทางโลกวิญญาณ ถ้าเกิดมีอย่างนั้นจริงๆ ท่านไม่ต้องห่วง แต่ที่น่าห่วงที่สุด  ที่มันทำได้ ก็คือมันบิดพลิ้วความจริง ทำให้ความจริงไม่มาถึงมนุษย์ ตรงนี้ แค่นี้เอง เมื่อไรก็ตามที่ความจริงในข่าวดีของพระเยซูไม่มาถึงมนุษย์คนใด คนนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม ก็ยังต่อต้านพระเจ้า ก็ยังเป็นทาสมารอยู่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้น วิธีการของมาร ก็คือทำอย่างไรก็ตามให้มนุษย์หลุดออกไปจากความรู้เรื่องความจริงของพระเจ้า เพื่อจะได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าต่อไป ไม่ได้รับสิทธิอะไรต่างๆ ที่พระเจ้าทำไว้เลย

แล้ววิธีการที่พวกมารใช้หลอกมนุษย์ ที่ดีที่สุด ก็คือการขโมย พระเยซูบอกว่ามารมาเพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย มันจะทำลายเราไม่ได้เลย ถ้ามันไม่เริ่มต้นด้วยขโมย ถ้ามันขโมยเงินเราไปได้   สมมติเรามีเงินในบ้าน   ใส่เชฟไว้    มารมันส่งวิญญาณชั่วมา    มองไม่เห็นเลย ทะลุเชฟได้ ไปเอาเงินได้ พระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาอีก 2 เท่า เอาเงินมาใส่ให้เราเยอะขึ้นกว่าเก่า ไม่ต้องทำงานทำการแล้วตอนนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ? มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องห่วง สิ่งที่มันทำได้ ก็คือขโมยความจริง … ความจริงที่จะทำให้เราเป็นไท

ยอห์น 10:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้ “9 เราเป็นประตูนั้น ผู้ใดเข้ามาทางเราจะรอด เขาจะเข้าออก และพบทุ่งหญ้า 10 ขโมยนั้นมาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย เราได้มา เพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิตและมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์”

 

พระคัมภีร์บอกว่าความจริง คือพระเจ้าได้ประทานชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ ให้กับท่านแล้ว ให้กับมนุษย์แล้ว ไปรับสิทธิได้ทันทีในพระเยซูคริสต์ 2,000 ปีมาแล้ว แปลว่าตอนนี้ท่านได้รับชีวิตใหม่จากพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องรอ ตอนนี้ท่านได้รับวิญญาณใหม่แล้ว

ตอนนี้ ท่านได้รับจิตใจใหม่ ที่ติดกับวิญญาณท่านแล้ว

ตอนนี้ ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว

ขอบคุณพระเจ้า ท่านรู้ไหมกว่าเราจะมาอย่างนี้ได้ เราใช้เวลาคุยเรื่องนี้ไปกี่ปี? มันไม่ง่ายเลยนะ ท่านลองไปถามใครก็ได้ ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ท่านอาจจะไม่ได้คำตอบแบบนี้ ท่านจะเห็นมันง่ายๆ แต่มันไม่ง่าย เวลามารมันจะขโมย มันจะขโมยสิ่งเหล่านี้ไปก่อน ทำให้ข่าวดี กลายเป็นข่าวค่อนข้างดี พระเจ้าทำให้เราบริสุทธิ์สะอาดเรียบร้อยแล้ว 100% กลายเป็นพระเจ้าทำให้เราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว 60% 50% ไม่มี ของพระเจ้า คือ 0 %  หรือ 100% ไม่มีตรงกลางๆ ฉันเป็นคนชอบธรรม กลางๆ คือฉันทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง เพราะฉะนั้น ฉันอยู่กลางๆ อยู่ประมาณ 50, 60% ไม่มี มีแต่ท่านเป็นศูนย์หรือท่านเป็นร้อย ท่านเป็นร้อยก็อยู่ในสวรรค์ ท่านเป็นศูนย์ก็อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้าเหมือนเดิม เหมือนตอนที่พระเยซูยังไม่มาทำอะไรที่ไม้กางเขน นี่คือความจริงทั้งมวลในพระคัมภีร์ ที่พระเยซูบอกว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท แต่พวกมารไม่ต้องการให้มนุษย์เป็นไท เพราะมันต้องการควบคุมโลกใบนี้เหมือนเดิม มันต้องการให้มนุษย์เป็นพวกมัน คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า

เพราะฉะนั้น วิธีการของมัน ก็คือทำให้ความจริงทั้งมวลเหล่านั้น เสียหาย ด้อยลง ถ้ามันเอาไปได้หมดเลย มันเอาไปหมด แต่ถ้ามันเอาไปไม่ได้ สมมติว่าเราได้รับข่าวดีมา 100%  ถ้าเป็นไปได้ มันคิดในใจเลย มันไม่เคยสงสารเราเลย มันจะขโมยทั้งร้อยนั้นไป แต่ถ้าเผื่อมีคนช่วยเรา พระวิญญาณช่วยเรา เราสนใจอะไรต่างๆ ศิษยาภิบาลมาช่วยกัน พี่เลี้ยงมาช่วยกัน ท่าทางช่วยได้ มันแค่มากที่สุด อาจจะได้ 30% คนๆ นั้นก็อยู่แบบกระท่อนกระแท่น เอาไป 70% ท่านพอเข้าใจไหม? แล้วเขาก็ไปประกาศข่าวดีกับคนอื่นต่อไป ประกาศไปได้แค่ 70 ไม่สามารถประกาศร้อยได้ เพราะเขารู้แค่ 70 เอง ก็ถูกขโมยไปแล้ว แล้วถ้าไปเรื่อยๆ ลูกเขาได้ 70 แล้วมาขโมยต่อ ไปถึงหลานได้ 50 ไปถึงเหลนได้เท่าไร? คิดในใจ ถึงเหลนน่าจะเหลือ 20 ไปถึงโหลนเหลือแค่นับถือศาสนาคริสต์ ก็ตามปู่ย่าตาทวดนั่นแหละ ไม่มีโบสถ์ ไม่อะไรทั้งสิ้น แต่ตามสำมะโนครัวเขียนว่าเป็นคริสต์ศาสนา ท่านพอเข้าใจไหม? ท่านพอมองเห็นภาพไหม? คนถามไม่รู้เรื่องเลย

แต่ท่านนั่งอยู่ขณะนี้ ท่านกำลังบอกว่าท่าน คือต้นพันธุ์ใหม่ที่เกิดและเรียนรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านกำลังตอบเมื่อตะกี้มันเป็นความจริงที่รุนแรงมาก ท่านตอบขณะนี้ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว แค่ประโยคเดียว มารดิ้นพาดๆ เลย เพราะมันไม่อยากให้ใครรู้เลยว่าการเข้าสู่สวรรค์ มันเดี๋ยวนี้เลย ไม่ใช่ต้องรอตายไปก่อน มันเดี๋ยวนี้ทันทีเลย มันพิสูจน์ได้ทันทีเลย  ท่านจะได้เห็นภาพสงครามฝ่ายวิญญาณมันสู้กันแค่นี้ ไม่ต้องกลัวผีอีกต่อไป แต่เรากลัวความมืด มันชิน ไม่ได้ชินกับความมืดนะ ชินกับความกลัว เพราะเรากลัวความมืด ลองไม่เคยดูหนังผีเลยสิ เราไม่เคยฟังเรื่องผีเลย  มาหลอกเรา มันก็ไม่มี ข้อมูลมาให้เรากลัว จริงหรือไม่จริง อยู่เมืองจีน ผีก็เป็นแบบนี้ เดินตัวตรง ยื่นมือออกมา แล้วกระโดด อยู่เมืองฝรั่ง อยู่อเมริกา ผีก็แต่งตัวสวย แต่งเป็นแด๊กคูล่า มีผ้าคลุม เพราะมันหนาว มาผีไทย เปิดหมดเลย ใส่สไบอย่างเดียว บ้านอยู่สูง มือต้องยาว อะไรอย่างนี้ เราจะได้เห็นภาพไงว่าความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น คืออะไร?

เพราะฉะนั้น พวกมารคอยจ้อง และพยายามที่จะเอาข่าวดีนี้ออกไป ตะกี้นี้เราอ่าน ขโมย มาเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย แต่พระเยซูบอกว่าเรามาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์ มันตรงกันข้าม ความจริง ก็คือเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ น่าจะเป็นเรื่องเล่าวันนี้ เล่าทุกวันเลยว่าเมื่อ 2,000 ปีเกิดอะไรขึ้นที่โกละโกธา ในโลกวิญญาณมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และมีเหตุอะไรบ้าง ทุกวันเป็นใหม่ทั้งนั้น สามารถพูดได้ตลอด เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว จึงเรียกว่าข่าวเล่า แสดงว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่ข่าวเดาเอา มนุษย์สามารถเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ เป็นความคิดจิตใจใหม่ เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์ผุดผ่อง เหมือนพระเจ้าเลย เหมือนพระเยซูเลย ทันทีเลย บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ไม่ต้องรอหมดลมหายใจ พระเจ้าได้วางแผนการนี้ไว้หลายพันปี ก่อนที่จะส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มากระทำให้สำเร็จบนไม้กางเขน โกละโกธา

ผมยกตัวอย่างข้อพระคัมภีร์ที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการที่พระเยซูกระทำที่ไม้กางเขน อย่างชัดเจนว่าเป็นแผนการของพระเจ้าอย่างไร? ที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ในแผนการที่พระคัมภีร์บอกว่าการเผยวจนะ ในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมดเลย นี่คือตอนหนึ่งในนั้น ที่ชัดเจนมาก เอเสเคียล 36:26-27 อันนี้บอกถึงเรื่องเพ็นเทคอส บอกถึงเรื่องพระเยซูทำสำเร็จที่ไม้กางเขน เกิดอะไรขึ้นอย่างไร? บอกก่อนล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูจะทำบนไม้กางเขน ประมาณพันปี

เอเสเคียล 36:26-27  “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจ รักษาบทบัญญัติของเรา”

 

พระเจ้าตรัสว่า “เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า” พูดมาก่อนพระเยซูคริสต์จะมาเกิด ประมาณพันปี จิตใจ คือความคิดจิตใจที่ติดกับวิญญาณ

นี่คือแผนการที่พระเจ้าเปิดเผยไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะเอเสเคียล ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ บอกว่า “จะ” จะให้จิตใจใหม่ จะให้วิญญาณใหม่ จะให้ชีวิตใหม่ และให้การดำเนินชีวิตแบบใหม่ ทั้งหมดนี้ จะให้เมื่อพระเยซูได้ทรงกระทำตามแผนการของพระองค์สำเร็จ แล้วพระเยซูก็ทำสำเร็จแล้ว ที่บนไม้กางเขน วันศุกร์ ตอนบ่าย 3 โมง  พระองค์ประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” ภาษากรีกว่า “Telelestai” แปลว่า “สำเร็จแล้ว” หรือแปลได้อีกคำหนึ่งว่า “จ่ายหมดแล้ว” จ่ายหนี้ของมวลมนุษยชาติหมดแล้ว

“เธอสามารถมาสวรรค์ได้เดี๋ยวนี้เลย ทันทีเลย พิสูจน์ได้เลย ร่างกายของเธอจะเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะสถิตอยู่ด้วย ภาษาไทยเขาเรียกว่ามีองค์ เข้าใจคำว่ามีองค์ไหม? ไม่ใช่องค์ธรรมดา องค์ใหญ่สูงสุดเลย ไปที่ไหนองค์อยู่กับเธอเลย”

มันเป็นจริงตามนั้น มันน่าตื่นเต้น แผนการสำเร็จแล้ว Telelestai แล้ว ตามที่เราอ่านในเอเสเคียล บอกล่วงหน้าว่ามันจะเป็นอย่างนั้น พอสำเร็จแล้ว มันก็เป็นตามที่เขียน นี่คือความจริง ที่จะทำให้มนุษย์เป็นไท แต่น่าเสียดาย ความจริงต่างๆ นี้ ถูกบิดเบือนไปเยอะ มีทั้งบิดเบือน เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ จนถึงเป็นการทำงานของพวกมาร สมุนของมัน  พยายามปิดบังตา พยายามหลอกล่อต่างๆ ที่จะเอาความจริงนี้ไปจากมนุษย์ และบิดเบือนโดยความเย่อหยิ่งของมนุษย์เองว่า …

“ฉันรู้ๆ”

แทนที่จะพึ่งพระวิญญาณ แทนที่จะค่อยๆ อธิษฐาน แล้วค่อยๆ สังเกตดูในพระคัมภีร์มันคืออะไร? พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าเราได้รับชีวิตใหม่ จิตใจใหม่ วิญญาณใหม่เรียบร้อยไปแล้ว ผมพยายามพูดเรื่อยนี้บ่อยมาก หลายปีนี้ พยายามเน้นคำหลังๆ ที่เขาไม่เน้น คือคำว่า “เรียบร้อยไปแล้ว” “ได้แล้ว” พยายามเน้น เพราะว่าตรงนี้ คือหัวใจของข่าวดีของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพราะก่อนพระเยซูมา มีแต่คนรอ เพราะรู้ว่าพระเจ้าจะประทานผู้ช่วยให้รอด มาช่วยเหลือมนุษย์ ทุกคนรู้ … รู้ระแคะระคายว่าวันหนึ่งจะมีคนมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากหนี้บาป เวรกรรม ความทุกข์ทรมานของมนุษย์ ลำบากลำบนไม่มีใครช่วยได้ เราต้องรอให้คนๆ หนึ่งที่มีบารมีมาเกิด รอ อันนี้รู้หมด แต่พอมาเกิดแล้ว เฉย ไม่รู้ว่าคนนี้มาเกิดแล้ว คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าได้รับชีวิตใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้รับวิญญาณใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีคน มีคริสเตียนเรา มีผู้เชื่อ สอนกันว่าตอนนี้เรายังเป็นคนเดิม เป็นเหมือนเดิมอยู่ ต้องรอจนกว่าตายไปแล้ว ถึงจะได้รับการสร้างใหม่ ถึงจะได้ไปสวรรค์หรือเปล่า? ฟังให้ดีๆ นะ ถึงจะได้ของใหม่ ต้องรอให้จากโลกนี้ไปก่อน

บางคำสอน ฟังให้ดีๆ แม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ก็ยังต้องระวังตัวในการดำเนินชีวิต ต้องละเว้นจากการทำบาป ต้องคอยระวังไม่ให้สูญเสียความเชื่อ ต้องรักษาความเชื่อเอาไว้ และถ้าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังต้องคอยระวังรักษาความเชื่ออีก ยังต้องลุ้นว่ามีการกระทำอะไรบ้างที่เป็นบวกหรือเป็นลบอยู่ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าพระคุณ Amazing Grace ได้อย่างไร? มันขัดกันมาก Amazing Grace คือฟรี เข้าใจไหมครับ เราก็ไม่มั่นใจเลยว่าตกลงเรารอดไหม? เชื่อพระเจ้าแล้ว ไหนบอกรอดแล้ว ไปอยู่สวรรค์แล้ว วันดีคืนดีมีบอกอยู่สวรรค์แล้วก็จริง แต่ต้องระวังตัวนะ อยู่บนโลกใบนี้ สุดท้ายต้องไปอยู่ต่อหน้า พิพากษาพระเจ้าอีก พระเจ้าจะดูว่าทำสมควรไหม?

“อ้าว ตกลง ฉันจะได้ไปสวรรค์ไหม?”

ไม่รู้ กลับมาที่เดิม เห็นไหม? ข่าวประเสริฐพระเจ้าเสียหายไปแล้ว ตะกี้บอกได้รับ สรุปตอนนี้ไม่ได้ ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ เห็นไหม? สิ่งนี้เกิดขึ้นไหม? เกิดขึ้น แล้วเกิดขึ้นบ่อยด้วย เกิดขึ้นเยอะด้วย เราต้องเรียนรู้จักถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ และอธิษฐานกับพระวิญญาณว่ามันคืออะไร? อยากรู้ๆ เดี๋ยวพระวิญญาณจะค่อยๆ สอนเราทีละนิดทีละหน่อย เวลาผมสอน ก็อย่าปักใจว่าอย่างนี้ใช่ ถูก ไปคิดดูว่าถูกไหม? ไปคิดตามเหตุผล ไปเปิดพระคัมภีร์ดูว่ามันจริงไหม? ว่ามันใช่ไหม? คุณนครพูดตามพระคัมภีร์หรือเปล่า? หรือพูดเอง แล้วตอนที่พูดพระคัมภีร์เหล่านั้น ไปศึกษาเองว่ามันใช่ไหม? มันคืออะไร? เรียนภาพรวมของข่าวประเสริฐ เรียนภาพรวมในพระคัมภีร์ 1 เล่ม ไม่ใช่เอาแค่เศษนิดๆ หน่อยๆ มาเรียน แล้วก็มาเดาเอาว่ามันเป็นอย่างนี้ แต่เอาภาพรวมว่าพระเจ้าคือใคร? ข่าวประเสริฐ คืออะไร? เหมือนเอาภาพรวมของช้างมารวมกัน แล้วเห็นว่าเป็นช้าง ไม่ใช่ไปจับ คลำงา แล้วก็บอกว่าช้าง จับคลำหาง แล้วบอกว่าช้าง จับแตะตัว แล้วบอกว่าช้าง มันถูกหมดแหละ แต่มันใช่ความจริงไหม?  ถามว่ามันถูกไหม?  ก็ช้างจริงๆ แต่ช้างไม่ใช่งา มีส่วนประกอบอีกต่างๆ ที่เป็นความจริง ที่จำเป็นต้องเรียนรู้ นี่แหละคือการงานของพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ 1 เปโตร 2:24 บันทึกไว้อย่างนี้ ลองอ่านดู นำมาให้ท่านเห็น เพื่อแยกแยะว่าอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วบ้าง?

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เอง ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”

 

โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หาย คำว่า “ได้รับการรักษาให้หาย” ตรงนี้หมายถึงได้รับการรักษาให้หาย ทางวิญญาณ จากโรคบาป ซึ่งก็มีหลายคนเอามาใช้ผิด หมายถึงว่าโดยพระเยซูแล้ว เราจะต้องหายโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกาย ทางวัตถุ ทุกอย่าง โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูรักษาทุกโรค คำว่า “รักษาให้หาย” ในบริบทนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว  เห็นไหม? ภาพรวมมันไม่ใช่เลย แต่เราเอาแค่นั้น แล้วเราก็ไปคิดของเราเอง

“รักษาให้หาย” คือหายจากโรคบาป เพราะวิญญาณเดิมของมนุษย์ ก่อนที่พระเยซูจะมาตายที่ไม้กางเขน ก่อนที่คนนั้นจะรับเชื่อในข่าวดีของพระเยซู วิญญาณเดิมของมนุษย์ก่อนที่จะได้รับการบังเกิดใหม่นั้น เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณที่สกปรก ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ เป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ พระเจ้าบอกขาว เขาบอกดำ พระเจ้าบอกไป ฉันไม่ไป อะไรก็ตามตรงข้ามกับพระเจ้าหมด พระเจ้าบอกรัก บอกฉันเกลียด ฆ่า ทำลาย อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าต้องการจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าให้มาสถิตกับมนุษย์ คิดให้ดีๆ พระองค์ก็ต้องทำให้วิญญาณของมนุษย์เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปสะก่อน เช็ด ทำความสะอาดที่อยู่นี้ก่อน เพราะมันสกปรกอยู่ แล้วพระองค์จึงจะมาสถิตอยู่กับเราได้  ถูกไหม?

และวิธีทำให้มนุษย์สะอาด ก็คือโดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ได้รักษาเราให้หายจากความสกปรกโสมม หายจากเชื้อโรค ไวรัสบาป หลุดออกไปเลย จากวิญญาณและความคิดจิตใจของเรา ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา เอาออกไปเลย และในการทำให้วิญญาณของมนุษย์สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากบาปได้นั้น พระเจ้าจำเป็นต้องใช้วิธีการผ่าตัดเปลี่ยนใหม่ ไม่ใช่ซ่อมแซม เพราะมันเสียหายมาก เสียหายยับเยิน มันซ่อมไม่ได้แล้ว มันเป็นหัวใจที่เละแล้ว มีทางเดียว คือจะอยู่ต่อ ต้องเปลี่ยนหัวใจใหม่เลย  ต้องเปลี่ยนทั้งวิญญาณ ทั้งความคิดจิตใจเราใหม่  การรักษาของพระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแค่บางส่วนได้ เปลี่ยนอะไหล่ได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าเป็นรถ เขาก็เรียกว่าเปลี่ยนทั้งยวงเลย คือทั้งวิญญาณและความคิดจิตใจ ที่เป็นตัวตนของมนุษย์จริงๆ ตัวตนของเราที่จะอยู่ไปตลอด คือวิญญาณของเราและความคิดจิตใจของเรา ไม่สามารถมาเปลี่ยนอะไหล่ตรงนี้ได้ แต่ต้องเปลี่ยนหมด เปลี่ยนของจริง ของใหม่เลย ซึ่งฟังดูแล้ว ก็เหมือนว่าน่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริง อย่างที่บอกไว้ มารมันจะพยายามบิดพลิ้ว ทำอะไรก็ได้ที่ให้เสียหายกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในการที่จะขโมยความจริงนี้ไปจากมนุษย์ พยายามที่จะทำทุกวิถีทางที่จะทำให้มนุษย์ไม่ได้เป็นไทสักทีหนึ่ง ไม่ได้รับความจริงสักทีหนึ่ง การทำงานของมาร มีทั้งการทำงานผ่านทางกระแสของโลกใบนี้ ที่เขาดำเนินกัน อันนี้เรียกสติปัญญาของโลก อันนี้เรียกความรู้วิชาการของโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ มันต่อต้านกับพระเจ้า ต่อต้านข่าวดีของพระเจ้าทั้งสิ้น ผ่านทางกระแสของโลกนี้ ผ่านทางข้อมูลข่าวสาร และกิเลสตัณหาของเราเอง ของมนุษย์ ของร่างกายที่เป็นวิหารนี้ มันยังมีกิเลสตัณหาอยู่ ผ่านทางคำสอนเท็จ จากผู้คนทั้งหลายที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือจงใจก็ไม่รู้นะ สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เพื่อขโมยเอาความจริงไปก่อน ค่อยๆ ขโมยความจริงไปทีละนิด แล้วค่อยๆ ฆ่าและทำลายแผนการของพระเจ้า ที่จะให้ชีวิตใหม่กับมวลมนุษยชาติ และให้ไปแล้วด้วย  แค่นี้เอง มารมันจ้องทำลาย โดยการฆ่า ขโมยความจริงไป แล้วฆ่าชีวิตนิรันดร์เสีย ไม่ได้แล้ว กลับไปอยู่ที่เดิม กลับไปตายเหมือนเดิม ไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า เพราะความจริง ถูกขโมยไปแล้ว

วิธีการของมัน ก็คือขโมยเอาความจริง และหลอกล่อด้วยความเท็จทั้งหลาย เอามาใส่เรา ถ้าเผื่อขโมยไปหมด ดี ถ้าเผื่อไม่หมด เอาครึ่งหนึ่งก็ยังดี ถ้าไม่ได้ครึ่งหนึ่ง เอา 10% ก็ยังดี พยายามดิ้น สุดท้าย ไม่ให้ข่าวประเสริฐ 100% กับมนุษย์เด็ดขาด  เพราะกลัว เพราะนี่คืออาวุธสำคัญที่สุดของพระเจ้า และทำสำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์มีชัยชนะ อยู่ที่ไม้กางเขน

โรม 2:5 ผมยกมาให้ท่านดู ท่านจะได้เห็นว่าวิญญาณเก่าของเราก่อนที่จะรับเชื่อในพระเจ้า ก่อนจะได้ข่าวดีของพระเจ้า มันเป็นลักษณะอย่างไร?

โรม 2:5 “แต่เพราะท่านใจแข็ง ดื้อด้าน และไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงส่ำสมพระพิโรธให้แก่ตนเองไว้ สำหรับวันแห่งพระพิโรธของพระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงสำแดงการพิพากษา อันชอบธรรม”

 

เห็นไหม ใจแข็ง จิตใจที่อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ดื้อด้าน ไม่กลับใจเลย ฟังอะไรก็ไม่รู้เรื่องเลย เพราะจิตใจนั้นมันเป็นทาสมาร มันยังอยู่ในความบาป

กิจการ  7:51 “ท่านเหล่าประชากรผู้หัวแข็ง ผู้มีจิตใจและหูที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ท่านก็เป็นเหมือนบรรพบุรุษของท่าน พวกท่านต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ”

 

เหล่าประชากรผู้หัวแข็ง หมายถึงชาวอิสราเอล ผู้หัวแข็ง เขาประกาศข่าวดี ข่าวประเสริฐแล้ว แต่ได้บอกถึงลักษณะของวิญญาณพวกเขาว่าเป็นวิญญาณที่แข็งกระด้างต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า พูดถึงสภาพลักษณ์วิญญาณเขาเป็นอย่างนั้น ผู้มีจิตใจและหูไม่ได้เข้าสุหนัต ก็คือหูทางฝ่ายวิญญาณไม่ได้อยู่ในทางพระเจ้า เข้าสุหนัต คือการทำพันธสัญญากับพระเจ้า การคืนดีกับพระเจ้า พูดง่ายๆ คือไม่ได้คืนดี การเข้าสุหนัตเป็นสัญลักษณะอันหนึ่งที่เล็งให้เห็นว่าเราต้องการคืนดีกับพระเจ้า ยื่นมือมา อันนี้ไม่ใช่ ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักพระเจ้า ก็คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า ท่านก็เป็นเหมือนบรรพบุรุษของท่าน ก็คือเหมือนชาวยิว สมัยก่อนพระเยซูจะมาเกิดนั่นแหละ พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดเลยนะ ก่อนหน้าพระเยซูคริสต์จะมาเกิดทั้งหมด รวมถึงกษัตริย์ดาวิด รวมถึงโมเสส อาโรนทั้งหมดเลย เป็นอย่างนี้หมด เป็นศัตรู เพราะวิญญาณเขาเป็นศัตรู พระเจ้าไม่ได้เข้าไปสถิตอยู่ข้างใน พระเจ้านำเขาอยู่ข้างนอก พระเจ้าต้องไปอยู่ในอภิสุทธิสถานที่ทำด้วยมือ คือพลับพลา ต้องมีสัญลักษณ์เป็นหีบพันธสัญญาว่าพระเจ้าอยู่ที่นี่ แต่บัดนี้ พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว คือพระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้แล้ว

นี่พูดถึงในอดีตก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า ก่อนที่จะรับเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ก่อนที่วิญญาณจะเกิดใหม่ จิตใจของมนุษย์สกปรกอย่างนี้แหละ พระเจ้าจึงจำเป็นต้องชำระวิญญาณและความคิดจิตใจของมนุษย์เสียใหม่ ให้เอี่ยมเลย เพื่อพระองค์จะได้มาอยู่ได้ วิธีการทำให้สะอาดบริสุทธิ์ ก็คือการส่งพระบุตรมาทำให้สำเร็จ คือ Telelestai ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเรา แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และประกาศว่าสำเร็จแล้ว นั่นแหละ พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว  ให้มนุษย์สะอาดแล้ว พร้อมที่พระองค์จะเข้ามาอยู่แล้ว คราวนี้รอมนุษย์คนนั้น จะรู้ข่าวดีนี้ แล้วก็เปิดใจว่าเอาด้วยคน อยากได้ๆ แสดงความต้องการออกมาแค่นั้นเอง ใช้สิทธิของเขา ในพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า เราจะเกิดการเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็คือพระเจ้ามาประทานวิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ให้กับเรา โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราจึงมีสภาพที่เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า  ถ้าเราต้อนรับข่าวดี และเรายังมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งคือตัวพระเจ้าเอง มาในรูปแบบพระวิญญาณบริสุทธิ์ มาสถิตอยู่กับเรา อยู่ข้างๆ วิญญาณของเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ในร่างกายนี้ด้วย ในขณะที่กำลังเดินบนโลกใบนี้แหละ เอเมน ในขณะที่เรายังป่วยเป็นมะเร็งอยู่เลย มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้เกิดใหม่แล้ว วิญญาณเปลี่ยนใหม่ ความคิดจิตใจเปลี่ยนใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาสถิตอยู่แล้ว เราก็ยังเป็นมะเร็งอยู่เลย แต่ข้างในมันสะอาดหมดจดแล้ว เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำเราต่อไปในการเผชิญกับปัญหามะเร็งนั่นแหละ แต่จะเผชิญแบบไหน? ผ่านอย่างไรไม่รู้ แต่มันผ่านแน่นอน เพราะความหวังเราไม่ได้อยู่ตรงนี้ ร่างกายเรา 80, 90, 100 ปี มันก็ต้องลงโลง มันต้องจบ สุดท้าย เพราะว่ามนุษย์บาป และความบาปนี้ ทำให้ร่างกายนี้ต้องตาย แต่วิญญาณเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว

พระวิญญาณคอยเป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา เป็นสติปัญญานำพาชีวิตเรา เขาเรียกว่าหนทางของพระเจ้า แนวทางของพระเจ้า ก็คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ ความชื่นชมยินดี ความรักอดทนนาน กระทำคุณให้ พระวิญญาณจะนำเราไป นำเราตรงไหน? วิญญาณของเรา ความคิดจิตใจของเรา ที่เปลี่ยนแล้ว นี่คือข่าวดี  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2019 เรื่อง “Celebrating 26 years of God’s Faithfulness” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  มิถุนายน  2019

 เรื่อง “Celebrating 26 years of God’s Faithfulness”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สุขสันต์วันเกิดครับ 2 วันเกิดเลย วันเกิดแรก คือวันเกิดคริสตจักร หรือภาษาไทย เราพูดกันแบบง่ายๆ คริสเตียนไทย เรียกว่า “โบสถ์” วันเกิดโบสถ์ แต่เป็นคริสตจักรสากล คำว่า “สากล” หมายถึงทั้งโลก เป็นโบสถ์เดียว คริสตจักรเดียว วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 2,000 กว่าปีของคริสตจักรสากล หรือโบสถ์สากล

โบสถ์หรือคริสตจักร หมายถึงสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ต้องเข้าใจตรงนี้นะ เพราะเราอยู่ไปนานๆ เป็นคริสเตียนไปนานๆ ชักงง พอบอกโบสถ์หรือคริสตจักร เราจะไปนึกถึงสถานที่ นึกถึงเก้าอี้ที่เรานั่ง นึกถึงทุกวันอาทิตย์เรานมัสการร่วมกัน อันนั้น ยังไม่ใช่โบสถ์จริงๆ อันนั้นเป็นสมมติว่าเป็นโบสถ์ มันเป็นสถานที่ที่เรียกว่าสถานที่ชุมนุม สถานที่ประชุม ไม่ต่างอะไรกันกับพารากอนฮอลล์ ไม่ต่างอะไรกับศูนย์วัฒนธรรม ไม่ต่างอะไรกับศูนย์วัฒนธรรมไทยญี่ปุ่นดินแดง ไม่ต่างอะไรกับโรงหนังใหญ่ๆ โรงหนึ่ง ที่สามารถรวบรวมคนมาชุมนุมกันได้ ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม เราเรียกว่าที่ประชุม

เพราะฉะนั้น โบสถ์ในลักษณะนี้ เขาเรียกว่าโบสถ์สมมติ ก็คือที่ชุมนุมชนของคนที่รู้จักพระเจ้า จะมาศึกษาเรื่องพระเจ้า จะมาพูดคุยเรื่องพระเจ้า จะมาทำกิจกรรมของพระเจ้าร่วมกัน เรียกว่าโบสถ์อีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่โบสถ์สากล

โบสถ์สากล คือโบสถ์ทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าได้สถาปนาโบสถ์ทางโลกฝ่ายวิญญาณนี้เรียบร้อยไปแล้ว 2,000 กว่าปีผ่านมาแล้ว วันที่สามหลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ … การเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นการสถาปนาทั้งหมดเลยว่ามีโบสถ์ขึ้น โบสถ์สากล พระเจ้าลงมาสถิตกับมนุษย์ได้แล้ว รอวันฤกษ์ดีเท่านั้นเอง และฤกษ์ดีนั้น ก็คือหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย นับมา 50 วัน เรียกว่าวันเพ็นเทคอส ย้อนกลับไป 2,000 ปีที่แล้ว วันนี้แหละเป็นวันครบรอบที่พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ มนุษย์ทุกคนก็เลยเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยได้ ถ้าเขาต้องการ ถ้าเขายินยอม ถ้าเขาไม่ต้องการ พระองค์ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้าเขาต้องการให้พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา เขาทำได้โดยการเชื่อ ในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูว่าเป็นการกระทำ เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน เตรียมมนุษย์ทุกคนให้พร้อม บริสุทธิ์ สะอาดทางฝ่ายวิญญาณ เพื่อเป็นสถานที่ที่อาศัยของพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์สูงสุด ยิ่งใหญ่สูงสุดได้

เมื่อเขาเชื่อว่าพระเยซูทำได้ ทำสำเร็จแล้ว เขาก็จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาดผุดผ่องตามนั้น พอสะอาดบริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าก็สามารถที่จะเข้ามาอยู่กับเขาได้ ไม่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้ มนุษย์เข้ามาสัมผัสพระเจ้า ตายเลย แต่ด้วยความเชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ได้ตาย และได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้มนุษย์ทุกคนสะอาดบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ในพระคัมภีร์บอกสะอาดเท่ากับพระบุตร คือสะอาดเท่ากับพระเยซูเลย จึงสามารถให้พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขาได้ และครั้งแรกที่เกิดขึ้น คือเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากเป็นขึ้นจากความตาย 50 วัน พระเจ้าลงมาสถิตอยู่ด้วย เรากำลังมาฉลองกัน ตอนนี้เขาฉลองกันทั่วโลก ครบรอบ 2,000 ปี พระเจ้าสถิตอยู่ เพราะฉะนั้น ขณะที่ท่านรู้จักพระเจ้าตอนนี้ ท่านเชื่อในพระเจ้าตอนนี้แล้ว ท่านรู้ไหมว่าใครอยู่กับท่าน? พระเจ้า ท่านเชื่อไหม? เมื่อเช้ายังหงุดหงิดอยู่เลย แต่ขณะเดียวกัน …

“ฉันผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในฉัน”

เดี๋ยวนี้ในร่างกายนี้ ที่เรามองในกระจกนี้ พระเจ้าอยู่กับเราตรงนี้แล้ว พระเจ้าผู้นี้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เอาแค่ง่ายๆ โมเสสยกไม้เท้าขึ้น พระเจ้าทำลมพัดอย่างแรง ทำทะเลแดงให้แยกออกเป็นสองข้าง ให้คนอิสราเอลเดินข้ามไป เอาแค่นี้ ใหญ่ไม่พอใช่ไหม? ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้า ผู้ทรงเคลื่อนไหว เรียกสิ่งที่ไม่มี ให้มีขึ้น สร้างมหาจักรวาลทั้งหมด ที่เรามองขึ้นไป ทั้งโลก ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ดวงจันทร์และอะไรอื่นๆ อีกมากมายที่เรามองไม่เห็น ลึกลงไปในท้องฟ้า ในอวกาศ ในจักรวาลทั้งหมด พระเจ้าผู้นี้แหละ ผู้ที่แยกทะเลแดงนั่นแหละ เป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเลย

พระเจ้าผู้นี้ ยิ่งใหญ่ที่สุด ตอนนี้อยู่ในตัวเราแล้ว อยู่ในร่างกายเราแล้ว นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะต้องมีการประกาศ ที่ต้องมีการพูดออกไปในวันเพ็นเทคอสของทุกๆ ปี มากๆ ไม่อย่างนั้นเราจะลืม พอเรามาเป็นคริสเตียนนานๆ เข้า เรานึกว่าเรากำลังนับถือศาสนาคริสต์ ข่าวดีก็จะไปไม่ถึงลูกถึงหลานเรา พอถึงลูกถึงหลานเรา ก็จะกลายเป็นนับถือตามพ่อแม่ นับถือศาสนาคริสต์ ถามว่าเป็นอะไร? ไม่รู้ … เป็นใคร? ไม่รู้  …พระเจ้าทำอะไร? ไม่รู้  … ตัวเองเป็นใคร? เป็นลูกพระเจ้า? ไม่รู้ … ทำอย่างไรถึงเป็นลูกพระเจ้า? ไม่รู้ ข่าวดีของพระเจ้า ก็จะเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ ฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ก็ทำงานผ่านมนุษย์ไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์ไม่ได้เชื่อตามนั้น ก็คือไม่ยอมนั่นเอง ไม่ยอมกับไม่เชื่อ ก็มีค่าเท่ากัน พระคัมภีร์จะใช้คำนี้เสมอ ท่านจะได้ยินบ่อยๆ  คือการยอมรับ ที่เขาเรียกว่า “รับเชื่อไหม?” จริงๆ มันแปลว่า “ยอมรับไหม?” แปลเป็นภาษาไทย เหมือนยอมรับสารภาพ คล้ายๆ ในทางไทย เราเอาคำนี้มาใช้กับในทางลบ ไม่ค่อยจะดี

ยกตัวอย่างเช่น …

“ยอมรับไหมว่าเธอไปขโมยเขา”

“ยอมรับไหมว่าเธอฆ่าเขาตาย”

“ยอมรับไหม?” … ก็คือยอมรับสารภาพไหม? ในพระคัมภีร์ใช้คำเดียวกัน แต่เป็นคำที่ดี คือยอมรับไหมว่าพระเจ้าช่วยเธอให้รอดแล้ว  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน เธอได้บริสุทธิ์สะอาด เธอสามารถเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย เธอจะยอมรับไหม? มันแปลว่าอย่างนี้ ถ้าเธอยอมรับ พระเจ้ายิ่งใหญ่ สามารถทำงานผ่านชีวิตของเธอได้ ทำอัศจรรย์ใหญ่กว่าแยกทะเลแดงออกเป็น 2 ข้างก็ได้ ใหญ่กว่านั้น ก็ได้ ใหญ่กว่าสร้างมหาจักรวาลนี้ ก็ได้ ผ่านทางชีวิตของเธอ เธอยอมรับไหม? ทุกวันนี้ เรามานมัสการอะไรต่างๆ เรามาร้องเพลง หรืออธิษฐานก็ตาม เราขอพูดคำเดียว คือเราขอยอม เราบอกว่าเป็นไปตามน้ำพระทัย ก็คือเรากำลังบอกว่ายอม ไม่มีอะไรเลย วันแรกที่ก้าวเข้ามาหาพระเยซู ก้าวเข้ามารับเชื่อพระเจ้า ก้าวเข้ามารู้จักพระเจ้า ก็คือการยอมแล้ว ยอมสารภาพแล้วว่าตัวเองเอาตัวไม่รอด ขอพึ่งในพระเจ้า ยอมทุกอย่าง พระเจ้าใช้ชีวิตเราเลย พระเจ้าก็จะใช้ชีวิตเราต่อไป

นี่พูดถึงแง่มุมหนึ่งของวันเกิดของคริสตจักรสากล ตอนนี้ มีคริสตจักรสากลอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง เต็มโลกใบนี้ทั้งหมด ตามที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่หนังสือพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน ตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนแล้ว บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวันหนึ่ง อาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้าจะปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมดเลย วันนั้นมาถึงแล้ว คือวันที่พระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเจ้าปกคลุมไปหมดทั้งโลกแล้ว โดยผ่านทางมนุษย์ที่ยอมให้พระเจ้าใช้ ยอมจำนนต่อพระเจ้า ยอมเชื่อว่าพระเจ้าทำได้จริง และอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ตอนนี้ที่ไหนๆ ก็มี นั่นแหละ คือวันเกิดของคริสตจักร หรือโบสถ์สากล ซึ่งเราทั้งหลาย ก็เป็นหนึ่งในนั้น

เขาถึงมีคำ “เราเป็นหนึ่งเดียวกัน” หมายถึงเราเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ และเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วเราต่างฝ่ายต่างก็เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย เพราะเราอยู่ในที่เดียวกัน อยู่ที่สวรรค์ในพระเจ้าเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหนก็ตาม เราก็เป็นหนึ่งในวิญญาณเดียวกัน เอเมน

แล้วอันที่สองเป็นคริสตจักรสมมติ คือเป็นคริสตจักรที่เรียกว่าคริสตจักร แต่ไม่ใช่สถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เป็นแค่สถานที่ทางวัตถุ หรือเรียกกันว่าพลับพลา หรือคริสตจักรที่ทำด้วยมือของมนุษย์ แต่ร่างกายของเราที่บอกว่าเป็นคริสตจักรสากล ในพระเยซูคริสต์ นั่นคือพระหัตถ์พระเจ้าทำ ทางโลกวิญญาณ แต่คริสตจักรที่เรากำลังพูดถึงอันที่สอง คือคริสตจักรที่เป็นสมมติ คือสถานที่ที่เราเรียกว่าโบสถ์ คริสตจักรทั่วโลกที่มีอยู่ ตั้งอยู่ เป็นแค่สมมติ ถูกสร้างโดยมนุษย์ ที่พระเจ้าทำงานผ่านเขา ให้ช่วยดูแล ช่วยนำที่ดินมาให้ ช่วยนำมาจ้างคนงานมาก่อสร้าง นี่แหละคือฝีมือมนุษย์ทั้งนั้น ที่พระเจ้าสามารถใช้เขาได้ ให้เขาลงไม้ลงมือ ก่อสร้างสถานที่นี้ขึ้นมา แต่ไม่ใช่สถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่

ฟังอีกทีหนึ่ง ทำไมผมต้องเน้นตรงนี้บ่อยๆ เพราะว่าอยากให้ข่าวประเสริฐจริงๆ ไปถึงลูกหลานเรา พระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่ ณ คริสตจักรที่ทำด้วยมือ เราแต่งให้สวย เราทำให้ดี เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยของพี่น้องที่มาชุมนุมด้วยกัน เรามีห้องน้ำที่ดี เรามีอะไรต่างๆ เหล่านั้น เพื่อประโยชน์ในการอยู่ด้วยกัน อยู่ร่วมกัน ใช้สถานที่นี้เป็นที่ชุมนุม เรียนรู้เรื่องพระคัมภีร์ หนุนใจกัน สอนกันในเรื่องข่าวดีของพระเจ้า ให้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น แต่ไม่ใช่สถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ว่าพระเจ้าจะอยู่ที่นี่ เพราะพระเจ้าอยู่ในเรา อยู่ในมนุษย์ นี่คือข่าวดี

ถ้าเราไม่พูดอย่างนี้บ่อยๆ พอนานๆ ไป ก็เลอะเทอะไปเรื่อยเปื่อย ไปหาพระเจ้าที่ไหน? ที่โบสถ์  … โบสถ์ไหน? ที่ศรีนครินทร์ หรือที่แพรกษาที่เรากำลังจะไป ไม่ใช่ สถานที่นั้นเป็นสถานที่ชุมนุมชนของผู้ที่เชื่อ ที่พระเจ้าเรียกเขามาชุมนุมกัน เพื่อจะใช้งานเขา ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ในวิถีใดวิถีหนึ่ง ในทางใดทางหนึ่ง โดยเฉพาะมารวมกัน เอเมนไหม? และมันเกิดขึ้นได้ โดยพระเจ้าเข้าไปทำงานในชีวิตของเขาแล้ว สถิตอยู่กับเขาแล้ว แล้วก็กล่อมเกลาเขา นำพาเขา ให้เขาเข้ามาลงไม้ลงมือสร้าง มันไม่เหมือนกับคริสตจักรสากลที่พระเจ้าลงมือสร้าง เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับมนุษย์ เพราะมนุษย์ทำอะไรไม่ได้เลย พระองค์ลงมือด้วยตัวเองเลย ก็คือพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราไม่ต้องเกี่ยวข้อง แต่หลังจากนั้น มาทำคริสตจักรที่ทำด้วยมือ เราต้องเกี่ยวข้อง เพราะเราเป็นมนุษย์ เราต้องลงไม้ลงมือ พระเจ้าจะไม่มาใส่ชฎา ลอยลงมา …

“วันนี้เราจะมาประชุมที่แพรกษา เพราะฉะนั้น จงเกิดอาคารขึ้น”

ไม่ทำอย่างนั้นนะ แต่พระองค์ทรงเตรียมประชากรของพระองค์ ผู้ที่ยอมให้พระเจ้าใช้ คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาแล้ว แล้วก็ยอมต่อไปเรื่อยๆ พระเจ้าก็จะนำเขามาร่วมกัน คนนี้เป็นช่าง คนนี้เป็นวิศวกร คนนี้เป็นนักการค้า คนนี้เป็นนักธุรกิจ คนนี้เป็นแม่บ้าน คนนี้เป็นคนธรรมดา ไม่ได้เป็นแม่บ้านด้วย เป็นพ่อบ้าน  อยู่บ้านเฉยๆ ทุกคนมีส่วนร่วม แล้วพระเจ้าก็ทำงานผ่านในวิญญาณของเขา ให้เขายอมที่จะให้พระองค์ใช้ ทำอะไรก็แล้วแต่ เราก็จะเห็นภาพคริสตจักรของพระเจ้าก่อร่างสร้างขึ้นมา แต่ให้รู้ความจริงว่าเป็นคริสตจักรสมมติ แต่จริงๆ เรียกว่าสถานที่ชุมนุมชนของคนที่รู้จักพระเจ้ามาร่วมกัน

ฉะนั้น เราจะได้รู้ว่าเราควรจะให้เกียรติตรงไหน? อย่างไร? ขนาดไหน? ให้ถูกต้อง เพื่อจะได้รักษาข่าวประเสริฐนี้ต่อไป  เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ถ้าบอกว่าจะไปหาพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ไปมองกระจกเลย พระเจ้าอยู่ในตัวเรา เราต้องพูดให้ลูกหลานฟังอยู่เรื่อยๆ แต่มิได้หมายถึงที่ชุมนุมชนไม่สำคัญ … ที่ชุมนุมชนก็สำคัญ เพราะว่าพระเจ้าทรงตั้งขึ้น  สถาปนาขึ้น แม้จะเป็นแหล่งสมมติว่าพระเจ้าสถิตอยู่ก็จริง แต่เป็นสถานที่ที่เราจะมาเรียนรู้จักพระเจ้า เราจะมาร่วมกันรับใช้พระเจ้า เราจะมาร่วมกันอยู่ในแผนการของพระเจ้า ที่พระเจ้าจะทรงนำต่อไป ให้ข่าวดีของพระเจ้า ให้ความรักของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ไปถึงบรรดาผู้คนอีกมากมายเยอะแยะ ที่เขายังไม่รู้ความจริงในอดีตที่เราไม่รู้ ไม่มีความหวัง ตายลูกเดียว ให้เรามีความรักอย่างนั้น หนุนใจกัน  ดูแลซึ่งกันและกัน และจับมือกัน ช่วยคนอื่นเขาต่อไป

ถามว่าช่วยอย่างไร? ช่วยตามน้ำพระทัยพระองค์ ตามแต่พระองค์จะทรงนำไป เราไม่รู้หรอกอนาคตจะเป็นอย่างไร? แต่เรารู้อย่างเดียว มีความหวังชัดเจนแน่วแน่ว่าพระเจ้ากำลังนำเราอยู่เดี๋ยวนี้ เรามีชีวิตอยู่ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่ออนาคตอย่างเดียว เรามีชีวิตอยู่ เรามีความหวังแน่นอน ความหวังของเรา คืออนาคตสุดท้ายเลย คือเราไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์ เราสบายแล้ว แต่การอยู่บนโลกนี้ เราต้องหวังเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ รอหวังว่าปีหน้าจะทำอันโน้น ปีหน้าจะทำอันนี้ ไม่ใช่วางแผนไม่ได้ วางแผนได้ แต่เราไม่รู้ พระคัมภีร์บอกว่าอย่าบอกนะว่าพรุ่งนี้จะไปทำอะไร? เพราะไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้ ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า? แต่ทำวันนี้ ให้ดีที่สุด วันนี้ท่านจะทำอะไร? ทำเดี๋ยวนี้ ท่านจะรับใช้พระเจ้า ท่านจะยอมรับใช้พระเจ้า ท่านจะมีส่วนในการดูแลที่ชุมนุมชนของพระเจ้า อย่างไรบ้าง ให้พระเจ้าเปิดตา ให้พระเจ้าเสริมกำลัง และทำมันเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องมาบอกพระเจ้า …

“พระเจ้า ลูกหวังว่าอีก 3 ปีข้างหน้า ลูกจะอย่างนั้น”

ไม่ต้องสัญญากับพระเจ้าเลย เอาวันนี้ ทำวันนี้ เท่าที่วันนี้ทำได้ สมมติวันนี้ มีอยู่พันหนึ่ง เหลือจากสิ่งจำเป็นต้องใช้สอยจริงๆ ในชีวิตประจำวันแล้ว พันหนึ่งนั้น จะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องบอกพระเจ้าว่า …

“พ่อ ตอนนี้มีอยู่พันหนึ่ง ถ้าเผื่อมีล้านหนึ่งเมื่อไรนะ ลูกจะทำอันโน้นอันนี้”

ไม่ได้ทำหรอก ทำมันเดี๋ยวนี้ ทันที พรุ่งนี้ก็ไม่รู้จะมีโอกาสหรือเปล่า? เราจะเปลี่ยน หรือพระเจ้าหมดหน้าที่การงานบนโลกใบนี้แล้ว จบแล้ว พระเยซูกลับมาใหม่ หรือเราจบชีวิตเราก็ตาม เราไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้น ตอนนี้ เรามีโอกาสของเรา ก็ทำอย่างนั้นแหละ วันนี้เลยถือโอกาสมา Happy birthday ที่ชุมนุมชนที่เราอยู่ร่วมกันที่นี่ คือคริสตจักรสมมติ ที่เป็นชื่อเดียวกันกับในพระคัมภีร์ คืออภิสุทธิสถาน หรือ Holy of Holies ครบรอบ 26 ปี ใครอยู่มา 26 ปียกมือขึ้น เยอะแยะไปหมดเลย บางคนอยู่ 27 ปี คืออยู่ตั้งแต่ก่อนจะมาเป็นคริสตจักร หลายคน ที่ไม่ยกมือ หลายคน 27, 28 ปี เห็นหน้ากันมาตลอด

ก็ขอบคุณพระเจ้า ที่เราได้เห็นการเจริญเติบโต อย่างที่ผมบอก การเจริญเติบโตที่สำคัญที่สุด คือการเจริญเติบโตของสมาชิกหรือผู้เชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่ การเจริญเติบโตของคริสตจักรสมมติ ที่เรามองกัน แต่การเจริญเติบโตทางวิญญาณ คุณภาพทางวิญญาณของคนนั้นที่เชื่อในที่ชุมนุมชนนี้ มันเป็นที่หนุนจิตชูใจเราอย่างมาก ใน 26 ปีนี้ เราเห็นเยอแยะมากมาย มีผู้คนได้เปลี่ยนชีวิต และเป็นเครื่องมือของพระเจ้า ในการใช้สอยในชีวิตของเขามากมาย ยิ่งกว่าอัศจรรย์ เราได้เห็นหลายคน ได้รับอัศจรรย์แบบวัตถุ แต่เราได้เห็นหลายคนที่อัศจรรย์กว่านั้น ก็คือไม่ได้เกี่ยวกับวัตถุ แต่เกี่ยวกับชีวิตเปลี่ยนแปลง ครอบครัวเปลี่ยนแปลง สิ่งรอบข้างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ก็เป็นไปได้ หรือหลายคน ที่ไม่น่าจะมาถึงวันนี้เลยนะ เพราะอุปสรรค ปัญหามันเยอะเหลือเกิน แต่ในที่สุด เขาก็ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหา จนทุกวันนี้เขาก็เจริญเติบโต เข้มแข็งในทางวิญญาณอย่างมาก และยังเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นได้อีกด้วย ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก

วันนี้ จึงขอบคุณพระเจ้า ในโอกาสฉลองครบรอบ 26 ปีด้วยกัน  … 26 ปีนี้ เราย้ายมาหลายแห่ง แล้วเราก็ไม่ได้คิด ไม่ได้คาดหวังว่าวันหนึ่งจะต้องมีที่ดินของตนเอง ถามว่าอยากได้ไหม? ก็อยากได้ แต่ก็แล้วแต่พระเจ้า อย่างที่บอกว่าเมื่อเรารู้ความจริงแล้ว ทุกอย่างก็อยู่ที่พระเจ้า ก็อธิษฐานต่อไป

มาถึงปีนี้ 26 ปี ขอบคุณพระเจ้าอย่างมากๆ เลยว่าสิ่งที่น่าดีใจมากกว่านั้น ไม่ใช่ที่ดินที่เราจะได้มาก่อสร้างสถานที่ชุมนุมชน สำหรับลูกหลานเรานะ เราใช้ได้แน่ๆ อยู่แล้ว แต่ลูกหลานเราจะได้ใช้ด้วย เพราะว่าคราวนี้เราจะไม่ต้องย้ายไปไหน? ลูกหลานก็จะอยู่ที่แพรกษานี้ ไปจนตลอด จนพระเยซูกลับมานั่นแหละ

สิ่งที่น่ายินดี ไม่ใช่สถานที่ที่ได้รับ ท่านลองคิดดู ที่ยินดี ก็เพราะว่าเราได้คุยกันบ่อยๆ ในพระคัมภีร์ ผมได้ย้ำอยู่เรื่อยๆ แล้วย้ำมากๆ บ่อยๆ ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงการถวายทรัพย์ ซึ่งผมไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องเหล่านี้ นานๆ จะถูกทีหนึ่ง พอพูดทีไร ผมก็จะบอกเสมอว่าความรักในทางพระเจ้า คือการให้ … ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้มือซ้าย มือขวาไม่รู้ ให้มือขวา มือซ้ายไม่รู้ ให้โดยไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องการเกียรติ ไม่ต้องการคำชม ที่ผมบอก นั่นแหละ คือการให้จริงๆ เราต้องฝึกใช่ไหม? ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสพูด ผมก็จะบอกมาถึงเวลาฝึกฝนในการถวายทรัพย์ ฝึกฝนในการรู้จักให้ แล้วมันก็เกิดผล … เกิดผลตรงไหน? ตรงที่ 2 โครินธ์ 9:6 ที่ผมบอกอยู่บ่อยๆ จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตะหนี่ ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวาง ก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก แต่ละคนที่เขาควรจะเป็น ที่เขาคิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือ แก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะได้มีทุกอย่างที่จำเป็น อยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง เหมือนที่เขียนไว้ว่าเขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน ความชอบธรรมของเขาจะดำรงอยู่เป็นนิจ

ถามว่าตรงนี้ ดีใจตรงไหน? ดีใจตรงที่สถานที่ที่เราได้ จะไปสร้างสถานชุมนุม ที่นมัสการของเรา อีก 3 ปีข้างหน้า ผู้ที่ให้ ได้แสดงเจตจำนงค์ตั้งแต่แรกแล้ว … เคยได้ยินไหม แต่ก่อนเขามีบริจาคน้ำท่วม ที่ออกทีวี  แล้วมีคนโทรศัพท์เข้ามาบริจาค เราจะได้ยินว่าคนนี้บริจาคเท่าไร? ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม เท่าไร? ก็ย้อนกลับไปที่บอกพี่น้องของเรา ผู้นี้ยืนยันบอกว่าผมขอ 2 อย่างเท่านั้น …

อย่างแรก คือให้เอาไปเร็วๆ หมายถึงให้รับโอนเร็วๆ เอาไปใช้เลย รีบๆ

อย่างที่สอง คือผมขออยู่อย่างเงียบๆ ไม่ต้องบอกว่าใครเป็นคนให้เลย

สิ่งนี้มันน่ายินดีกว่าที่ดินอีก ที่ดินเมื่อไรได้ ก็ได้ เมื่อพระเจ้าจะให้ แต่ตรงนี้ พระเจ้าทำก็ไม่ได้ ต้องคนๆ นั้นยินยอมให้พระเจ้าค่อยๆ สร้างเขาขึ้นมาในความเชื่อ ต้องค่อยๆ ได้รับการสอน ได้รับถ้อยคำพระเจ้าในแต่ละครั้ง แต่ละวัน แต่ละคำบรรยาย ที่เขาฟัง ฟังเพื่อให้โลภมากขึ้น ฟังเพื่อให้ลด ให้ละมากขึ้น ฟังให้เกิดความเบียดเบียน หรือเห็นแก่ตัวมากขึ้น หรือฟัง เพื่อให้เกิดความเสียสละมากขึ้น  เขาได้ตรงไหนไป? แล้วถามว่าพระเจ้าต้องการอะไร? พระเจ้าต้องการกล่อมเกลาจิตวิญญาณของเรา โดยคำบรรยาย โดยคำเทศนาของศิษยาภิบาล หรืออาจารย์ต่างๆ ตลอดเวลา ทุกอาทิตย์ๆ หรือวันธรรมดาเอาไปฟัง เพื่อให้ความคิดเขาเปลี่ยนแปลง ให้เหมือนน้ำพระทัยพระเจ้า ให้เขาดำเนินชีวิตเหมือนวิญญาณเขาได้เกิดใหม่ เหมือนพระเจ้า วิญญาณที่เรียกว่าวิญญาณแห่งความรัก กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่งผยอง เป็นคนที่เสียสละ ให้เขาฝึกฝนที่จะใช้ความรักนั้น ที่อยู่ข้างในตัวเขาออกมาข้างนอก ซึ่งโลกนี้กำลังต้องการ และนี่คือผลของมัน ที่ได้แล้ว ไม่ใช่ อธิษฐานเมื่อวานแล้วได้ มันต้องค่อยๆ ใช้เวลาฝึกฝนทีละนิดทีละหน่อย

นี่คือสิ่งที่น่ายินดีมาก และผมก็ลืมไป เพราะว่าได้คุยกันเมื่อปลายปีที่แล้วว่าเจตจำนงค์ของพี่น้องท่านนี้ต้องการอะไร? ก็รับรู้ไว้ แล้วก็บอกว่าโอเค ผมกับคณะกรรมการจะรีบจดทะเบียนมูลนิธิฯ ก็ไปปรึกษาทางฝ่ายกฎหมายว่าจะทำอย่างไร? ถึงจะปลอดภัยที่สุด สำหรับการบริหารที่ดินนี้ เขาก็บอกว่าใช้ในนามมูลนิธิดีที่สุด ก็ไปจดทะเบียนมูลนิธิ ก็คิดว่าเมื่อมันเสร็จแล้ว จด เพื่อที่จะโอนที่ดินเข้ามูลนิธิ แรกๆ เขาบอกใช้เวลา 2, 3 เดือน ก็เสร็จแล้ว ปรากฏว่าเลยมา 7, 8 เดือนแล้วมั้ง เนื่องจากมูลนิธิเก่าที่มีอยู่ มันเยอะมาก แล้วใช้เส้นสายไปจดกันเละไปหมด จนกระทั่งมั่วบ้าง มีของปลอมบ้าง เขาจึงต้องการสังคยาณา เอาของเก่าให้มันเรียบร้อยไปก่อน อันไหนไม่ใช่ก็ตัดทิ้ง ไปตรวจสอบอันเก่าให้เรียบร้อยก่อน แล้วอันใหม่ เขาก็ค้างไว้ เขาว่านะ ก็อยู่ในคำอธิษฐานต่อไป

กลับมาเมื่อตะกี้นี้ ปรากฏว่าก็รอ ไม่ได้สักที พี่น้องท่านนี้ก็ถามอยู่เรื่อย เมื่อไรจะมารับไปสักที ก็มันยังจดไม่ได้ จนกระทั่งถึงเวลาที่ผมสัญญากับที่ประชุมไว้หลายปีแล้วว่า 3 ปีสุดท้ายของสัญญาที่เช่าที่นี่ ผมต้องประกาศแล้วว่าเราจะไปไหน? ทุกคนจะได้เตรียมตัวว่าใครจะไปไหน? อธิษฐานร่วมกันอย่างไร? เพราะว่ามีเวลาอยู่ 3 ปีเท่านั้น ก่อนหน้านี้จะไม่พูดเลย เพียงแต่บอกว่ามันเหลืออีกกี่ปีเท่านั้น แต่บอกแล้วว่าถ้าภายใน 3 ปี จะบอกหมดว่าจะทำอะไรอย่างไร? จะได้มีเวลาเพียงพอ ก็ครบรอบวันนี้ คือเหลืออีกประมาณ 3 ปี ก็ต้องบอกวันนี้ว่าแผนการเราจะไปที่ไหน? ก็เลยต้องแจ้ง โดยที่ยังไม่โอนที่ดินมา และมูลนิธิก็ยังไม่เสร็จ อยู่ในการจดทะเบียนอยู่ ก็เลยจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อบอกกล่าวกันทุกคนแล้วว่าทุบหม้อข้าวแล้วนะครับตอนนี้ ตัวใครตัวฉันแล้วนะ เรากำลังจะไปที่ไหน? เมื่อไร? อย่างไร? เพื่อทุกคนจะได้ตื่นตัว ก็เลยบอกล่วงหน้า วันนี้จะบอกความคืบหน้าว่าเราจะย้ายไปไหน? หลายคนก็ถามตลอด เราจะไปอย่างไร? อย่างที่อาจารย์นำบอก อยากอยู่ที่เดิม เพราะแน่นอนความสบาย มันขี้เกียจ ไม่อยากไปไหนแล้ว แต่นั่นแค่เศษๆ เพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยตัวเราเอง เราอยู่ด้วยน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เราไป เราก็ไป

วิธีที่รู้ว่าพระเจ้าต้องการให้เราไป คือพระเจ้าไม่ให้เราอยู่ เขาก็ไม่ให้เราอยู่ เราก็ต้องไป

ก็เลยต้องมาบอกในวันนี้ วันเริ่มต้นของแคมเปญการย้ายสถานที่ รู้แล้วตอนนี้ชัดเจน ขับรถไปดูกันเอง ไปอธิษฐานกันเอง

พี่น้องเราท่านนี้ที่ได้ถวายที่ดิน ใช้สถานที่แพรกษาเป็นที่ชุมชน ใช้ประโยชน์ในการประกาศข่าวดี แล้วให้พี่น้องศึกษาเรื่องพระเจ้า ได้ย้ำยืนยันแล้วว่าเจตนารมณ์ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาถวาย ผมก็ลืมไป นึกว่าวันนี้ว่าจะติดต่อเชิญมา เพื่อทำพิธีให้ทุกคนได้รู้ว่านี่คือโฉนด? นี่คืออะไร? นิดเดียวๆ เลยให้ทางคณะกรรมการเขาติดต่อไป พี่น้องท่านนี้ก็พูดและยืนยันกลับมาเหมือนเดิม ผมดีใจมากเลย ยืนยันมาบอกว่า …

“ขออภัยด้วยนะครับ ถ้าให้ขึ้นไปเป็นพยานเรื่องพระเจ้า โอเค พูดได้ แต่ถ้าให้ขึ้นไปแสดงตนว่าเป็นผู้ให้ ขออยู่เงียบๆ นะครับ”

มันชื่นใจ บางทีทำอะไรเยอะแยะ ก็ลืม ลืมไปว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราบอกตั้งแต่แรกแล้ว ฝึกฝนตัวเอง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ให้มือขวา อย่าให้มือซ้ายรู้ ให้ไป ไม่ต้องมีใครรู้เลย เงียบๆ ยิ่งเงียบยิ่งดี เอเมนไหม?

นี่คือตัวอย่างอันหนึ่งที่ได้เอามาหนุนจิตชูใจกัน สำหรับผมแล้ว ผมถือว่าอัศจรรย์มากกว่าที่ดินที่เราจะได้ไปอยู่ร่วมกัน และใช้สถานที่ที่เป็นของเราจริงๆ แล้วจะไม่ต้องถูกเขาไล่ไปไหนอีกแล้ว ผมว่าตรงนี้อัศจรรย์กว่า มันมีโอกาสเป็นอย่างนี้ได้น้อยมาก สำหรับผู้คน ไม่ใช่คริสเตียนอย่างเดียว แต่ผู้คนในปัจจุบันนี้ มันเป็นได้น้อยมาก ทำดี แล้วไม่เอาหน้า ผมว่ามันยากมากจริงๆ บางทีเราไม่อยากได้หน้า แต่คนอื่นเขาเผลอชมนิดหนึ่ง เราก็เผลอสวมกอดเลยนะ เราก็รับเลย พอรับไปนานๆ มันก็จะเหลิงไป นึกออกใช่ไหม? สมมติว่าย้อนกลับมาที่พี่น้องคนนี้อาจจะปล่อยเลยตามเลย

“อ้าว! ก็อาจารย์เขาเชิญแล้ว”

ก็ไปเลย แต่เขายังรักษาเหมือนเดิม เหมือนเมื่อหลายเดือนที่แล้วว่าไม่ต้องการให้ใครรู้ มันตรงพระคัมภีร์ ให้ด้วยใจ ไม่ตะหนี่ มีความคิดในใจ ให้ คือให้ ไม่ใช่ลงทุน การให้ แล้วหวังว่าเราจะได้เกียรติกลับมา คือการลงทุน  การให้ เพื่อหวังว่าพระเจ้าจะอวยพรเรากลับมาเยอะแยะ คือการลงทุน แต่การให้ เพราะรัก … ความรัก คือเห็นผู้คนเขาลำบาก เขายังไม่รู้จักพระเจ้า ไปแถวไหน? อาจเป็นพระพร สำหรับเขา เด็กแถวนั้นอาจไม่มีที่เรียน อาจจะสร้างเป็นโรงเรียน เราคิดล่วงหน้าไว้แล้วนะ แต่ก่อนหน้านี้ ก็เคยคิดว่าอยากจะเป็นโรงเรียน เด็กแถวนั้นจะได้มาเรียนหนังสือ อะไรแบบนั้น แต่เราไม่รู้หรอกว่าพระเจ้าจะทำอะไร? การให้ คืออย่างนี้

เพราะฉะนั้น เลยอยากหนุนใจพวกเราทุกคนที่มีส่วนในที่ประชุมแห่งนี้ ในอนาคตอันใกล้นี้ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ให้ตั้งใจอย่างนี้ พระคัมภีร์ก็บอกว่าพระเจ้าพอพระทัยมาก คือพอพระทัยให้เราทำตามที่เราเป็น คือวิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า เต็มไปด้วยความรัก เหมือนพระเยซู เพราะฉะนั้น เราทำเหมือนพระเยซู ฝึกฝนเหมือนที่พระวิญญาณสอนและนำพาในชีวิตเราแต่ละวัน และพระองค์พอใจมากที่สุด อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมแบบนี้แหละ ร่วมเท่าที่เราเป็นอยู่ ผมบอกเลยนะว่าถ้าพูดถึงวัตถุสิ่งของ ไม่ต้องพึ่งเลย พระเจ้าผู้เดียวทำได้ทุกอย่าง แต่พึ่งเรา เพื่อที่จะสร้างเราแต่ละคนขึ้นมา เพื่อจะใช้เราต่อไป ในการประกาศข่าวดีของพระองค์ ไม่ใช่สร้างเรา เพื่อเราจะมีเงิน เอาของมาให้ ไม่ใช่ สร้างเรา เพื่อให้เรามีคุณภาพ ในชีวิต ที่จะเป็นพยานด้วยชีวิตของเรา ให้กับผู้อื่น รอบข้างเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลาน เหลนโหลนเรา สำคัญที่สุด

บางทีเราดู เราคิด เหมือนใกล้ๆ นะ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ มันเป็นแผนการยาว ไกลมาก พระเจ้าไม่ได้มองชีวิตเราแค่นี้ พระเจ้ามองไปทะลุถึงลูกหลาน เหลนโหลนเรา ไปถึงครอบครัว ต่อเนื่องกันเยอะแยะไปหมดเลย นี่คือสายพระเนตรพระเจ้า ไม่ใช่มองดูแค่สั้นๆ ว่าเราได้ เราให้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ เราอยู่ในโลกใบนี้ เราคงจะได้ดี ต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่วิธีนั้น ในทางพระเจ้า คือดูแลเราด้วยความรักและวางแผนไว้สำหรับความรักนั้น จะได้เผื่อแผ่ไปยังบรรดาผู้คน ที่เขาตกทุกข์ได้ยาก ลำบากที่สุด ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักข่าวดี ไม่มีความหวังในชีวิตนิรันดร์ ไม่มีความหวังในสวรรค์เลย ไม่รู้จักอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ก็คนตาบอดนั่นเอง เราที่รู้แล้ว ตาสว่างแล้ว อย่างไรก็ไปรอดแล้ว เราควรจะนึกถึงคนที่เขาตาบอด เราควรจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อให้ความรักนี้ ไปถึงพวกเขา เหมือนพวกเราในที่นี้

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าอยากให้มันเกิดขึ้น ในวิญญาณของเรา โดยไม่ถูกบังคับ โดยสบายๆ ถ้ายังทำไม่ได้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิด เดี๋ยวพระวิญญาณจะค่อยๆ กล่อมเกลาท่านทีละนิด ทีละหน่อย ให้เปลี่ยนแปลง ค่อยๆ มีความรักอย่างนี้แน่นอน เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าให้มาสถิตกับเรา เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ไม่ใช่ เพื่อแค่ทำการอัศจรรย์ร่างกายเราอย่างเดียว แต่ทำการอัศจรรย์กว่านั้น คือเปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอของเรา ให้เป็นเหมือนพระเยซู ซึ่งคือวิญญาณข้างในนั่นเอง เอเมน

เราไม่ได้หวัง แค่พระวิญญาณอยู่กับเรา แล้วอัศจรรย์เกิดขึ้น อาจจะมี หรือไม่มี ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญควรจะมี ก็คือชีวิตเราควรจะเปลี่ยนแปลงนะ ไม่ใช่ บอกเชื่อพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว  ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยสักนิดหนึ่ง ผมว่ามันไม่น่าใช่ มันต้องมีเปลี่ยนแหละ แล้วใครรู้ ตัวเราเองแหละรู้ มากน้อยเพียงใด

นี่ก็เอามาเป็นสิ่งที่ได้คุยกันในวันนี้ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราก็จะเริ่มรณรงค์ ให้ทุกคนมีส่วนเข้ามาอยู่ในนี้ จำไว้เลยนะ ไม่ใช่รณรงค์ เพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากทุกคน เข้ามาช่วยพระเจ้า ในการสร้างอาคารไม่ใช่ ถ้าเป็นเช่นนั้น เพลงเมื่อตะกี้เราร้อง ก็ร้องผิดหมดเลย ที่ร้องว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่  มันก็ไม่ยิ่งใหญ่จริง  พระเจ้ายังต้องการให้เราช่วยเลย แล้วเราจะให้พระองค์ช่วยอะไรเรา แล้วพระเจ้าจะใหญ่ได้อย่างไร? ไม่จำเป็น เพราะอย่างไรมันก็เสร็จอยู่แล้วล่ะ เอเมนไหม? สถานที่ประชุมที่แพรกษา มันเกิดขึ้นในวิญญาณตั้งนานแล้ว ถ้าเป็นน้ำพระทัย วางแผนไว้พระเยซูจะมาตายที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มันเกิดขึ้นก่อนหน้า 2,000 ปีแล้ว พระองค์บอกไว้ล่วงหน้าก่อนว่ามันจะเป็นอย่างนั้น และพอถึงวันจริงๆ มันก็เกิดขึ้นตามที่เป็น แล้วเรามีส่วนเกี่ยวข้องอะไร? ก็คือพระเจ้ากำลังทำงานของพระองค์ … พระองค์ต้องการให้พวกเรามีส่วนเข้ามาร่วม เพื่อจะใช้ชีวิตเราให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นรอบข้างเรา โดยเฉพาะลูกหลาน เหลนโหลน เรายินยอมไหม? แค่นั้นเอง  อย่าไปคิดนะว่าท่านต้องกลับไปทำงานให้หนักขึ้น เพื่อจะเอาเงินมาช่วยพระเจ้า  อย่าไปคิดว่าท่านจะกลับไปเทกระปุกให้หมดเลย มันเหลือเท่าไร จะเอามาให้หมด อย่าไปคิดอย่างนั้น  แต่ถ้าพระเจ้านำท่าน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งของใครของเขา แล้วแต่ แต่กำลังจะบอกให้ว่าอย่าใช้ความรู้สึก เข้าใจใช่ไหมครับ

ขนาดพี่น้องที่มอบที่ดินนี้ ครั้งแรกมา ผมบอกให้กลับไปคิดดูก่อน คิดดีๆ ไม่ได้บอกดีใจ เอามาเลย กำลังอยากได้พอดีเลย คิดดูก่อน ไม่เป็นไรนะ ไปประชุมทั้งครอบครัวเลย ไม่ให้ก็ไม่เป็นไรนะ อย่ามีความรู้สึกว่าตอนนี้จะให้ เราต้องการของจริงๆ ไม่ใช่รู้สึกว่ามา เราดีใจ เราก็จะสร้างบาปให้กับครอบครัวนั้น เพราะมันไม่ใช่ เมื่อไม่ใช่ ความรู้สึกโลภ อยากได้ด้วย ก็เลยทั้งสองฝั่งรู้สึกไม่ใช่การนำ ในที่สุด ก็จบด้วย อวสานด้วยโศกนาฎกรรม ไม่มีใครผิดนะ แต่โศกนาฎกรรม มันไม่สวยงาม

เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ เมื่อกี้บอกว่าให้สบายใจกันทั้งคู่ ทั้งสองฝั่ง คนรับก็สบายใจ ไม่ต้องเร่งรับ แล้วก็ไม่ต้องบอกมาแล้ว ฉันต้องรีบเอา เดี๋ยวเขาไม่ให้ ที่นี่รับรองได้ว่าไม่มีอย่างนั้นเลย บอกแล้วว่าได้ทำอย่างนี้มาตลอด แล้วครั้งนี้ก็ยังทำอยู่นะ ที่บอกว่ารอให้มูลนิธิจดเรียบร้อย แล้วประกาศ ก็เป็นส่วนหนึ่ง ในวิธีการรับของถวาย จากพี่น้องที่จะมาร่วมกันสร้าง เหมือนกัน ก็คือไม่อยากจะบีบบังคับว่าในขณะที่รอการจดทะเบียน พี่น้องสามารถเปลี่ยนใจได้นะ ก็รอจนกว่าวันสุดท้าย  เมื่อไปโอน อันนั้นมันจบแล้ว

ให้เราทุกคนมีความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน ส่วนท่านจะไปสัญญากับพระเจ้าอย่างไร? ไปอธิษฐานกับพระเจ้า เป็นแบบกันเองอย่างไร? เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง มีหลายคนก็ทำอย่างนี้ ผมก็เคยทำอย่างนี้ คือเหมือนสัญญาพ่อลูก ไม่ใช่สัญญาแบบติดสินบน บางทีผมใช้วิธีนี้

“พระเจ้า ฟังดูแล้ว โครงการนี้ (ครั้งที่แล้ว ที่ย้ายมาที่นี่) ลูกอยากมีส่วนร่วมมากเลย  ลูกตั้งใจไว้ว่าจะมีส่วนสักเท่านี้ๆ ถ้าเป็นไปได้ …”

อย่างนี้ได้ ส่วนตัว แล้วไม่ต้องเอาตรงนี้มาบอกผม บอกศิษยาภิบาล ผมอธิษฐานแล้ว ผมอยากจะให้ส่วนนี้ ไม่ต้อง คุยกับพระเจ้าเป็นส่วนตัวเลย ให้ก็ให้ ไม่ให้ก็ไม่ให้  ไม่เป็นไร?  ไม่ต้องมาบอกคริสตจักรว่า …

“ผมตั้งใจจะสร้างอาคารให้ 10 ล้านบาทเลย ถ้าผมกำไรจากตรงนี้”

ไม่ต้อง ไม่มีก็ไม่มี มี 10 บาท ก็เอา 10 บาทมา พอแล้ว นั่นแหละ มีความสุข เข้าใจใช่ไหมครับ ผมไม่รู้จะอธิบายให้ฟังอย่างไร? เรื่องเหล่านี้ ต้องค่อยๆ เล่าสู่กันฟัง เพราะว่าเงินทองของบาดใจ พูดอะไรมากไม่ได้ มันเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น ให้มีความรู้สึกสบาย แล้วก็สงบ แล้วก็ไม่ทำลายความเชื่อของตัวเอง การทำลายความเชื่อของตัวเอง คือเราคาดหวังไว้สูง แล้วเราใช้ความรู้สึก แล้วมันทำไม่ได้ เพราะเราใช้ความรู้สึก ไม่ใช่ความเชื่อ ความรู้สึกวันนั้น มันเป็นอย่างนี้ สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างนี้ ทำให้เกิดรู้สึกอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่ความจริง แล้วมันเป็นไปไม่ได้ แล้วเรามานั่งฟ้องผิด วุ่นวายไปหมด บางคนบางทีไปแอบเอาเงินลูกมาถวาย เพื่อจะสร้างโบสถ์ แล้วในที่สุด ลูกรู้เข้าทีหลัง สมมติลูกยังไม่เชื่อ แล้วเกิดอะไรขึ้น โศกนาฎกรรมไหม? เห็นภาพเลยนะ คนไปเอามา คือแม่นะ แต่เป็นเงินของลูก แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรไปเอาเงินของเขา ต่อให้เป็นเงินของคุณเอง คุณก็ไม่ต้องให้ ถ้าเผื่อคุณไม่พร้อมที่จะให้ นี่เงินของลูกนะ หรือเงินของสามีก็ตาม หรือภรรยาก็ตาม จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม อย่างนี้เป็นต้น ถ้าไม่มีสันติสุข ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้ามาจากพระเจ้า ต้องมีสันติสุข ต้องพร้อมๆ กัน สามีภรรยา ใช่ นี่เป็นเงินของเรา สิทธิของเรา ไม่ใช่เงินลูก ไม่ต้องถามลูก เราก็ตัดสินใจได้เลย แต่ถ้าเป็นเงินของลูก ลูกให้เราแล้ว ก็เป็นของเราแล้ว อย่างนี้ได้ แต่ไม่ใช่ เป็นเงินบัญชีของลูก ลูกถวาย ตื้อลูกทุกวัน แล้วลูกก็ไม่ได้เชื่อพระเจ้าสักทีหนึ่ง เพราะพ่อแม่ทำอย่างนี้ จึงไม่เชื่อ  ลูกก็คงคิดว่า …

“ไงแม่ร้องอยู่บ่อยว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ๆ ให้ลูกไปช่วยพระเจ้า ดูสิ”

อย่างนี้ คือสิ่งที่ผมว่ามันไร้สาระ คิดให้ดีๆ เรามาเชื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เรากำลังเชื่อว่าพระเจ้าเป็นจริง พระเจ้าช่วยเราได้ เสร็จแล้ว เราก็มาบอกว่าเรากำลังจะช่วยพระเจ้า เราให้พระเจ้าทำอย่างนี้ดีกว่า ให้พระเจ้าทำการงานผ่านชีวิตเรา ถ้ามันเป็นไปตามนั้นได้ ก็ดี ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิด แสดงว่าพระเจ้าต้องการใช้เราแค่นี้เอง ถ้าเรามีส่วนในการสร้างอาคารได้ ตามที่เราเคยคิดก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ ก็แสดงว่าพระเจ้าต้องการให้เรามีส่วนร่วมในงานนี้เท่านี้ พอแล้ว เอเมนไหม? ถ้าพระเจ้านำพาเราผ่านทางการอธิษฐาน เราสามารถอธิษฐานให้ทุกคืนเลย เรื่องเกี่ยวกับอาคารที่จะก่อสร้างที่นี่ ทุกคืนเลย คืนละ 10 นาที 5 นาที ถ้าเราทำได้ ทำไป ถ้าคนข้างๆ เขาทำได้แค่นั้น เขาหลับ เขาลืมไป ก็ไม่ต้องไปว่าเขา พระเจ้าก็ใช้เขาอย่างนั้น เข้าใจใช่ไหมครับ ไม่ใช่เอามาเปรียบเทียบว่า …

“ฉันอธิษฐานทุกคืน เธอไม่อธิษฐานเลย ทำไมอย่างนี้”

แค่พูดแค่นั้น คนที่อธิษฐาน ก็สอบตกแล้ว

“ฉันมีส่วนร่วมอธิษฐาน ไม่เห็นมีใครอธิษฐานเลย”

มนุษย์เราจะเป็นอย่างนี้ ทำๆ ไป แล้วเพลิน

“ฉันทำงานจนเหนื่อยจะตาย ไม่เห็นมีใครทำอะไรเลย”

มันจะเป็นเพลิน ไปดูสถานที่ใหม่สิ ทุกคนช่วยกันอย่างนั้น คนนี้ไม่ช่วยเลย มันเรื่องของเขา  ไม่ใช่เรื่องเรา เราได้แค่ไหน ก็แค่นั้น ถ้าเราเอามาเปรียบเทียบกัน เราก็จะกลับกลายเป็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ถ้าเราเชื่อพระเจ้า เราต้องมั่นใจว่าวันนี้วันเกิดของพระเจ้า พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์แล้ว  พระองค์จะเป็นผู้นำพาเขาเอง  ถ้าเขาทำได้แค่นั้น แสดงว่าพระเจ้านำพาเขาแค่นั้น พระวิญญาณบอกเหมาะสมแล้ว พระวิญญาณที่อยู่กับเรา ให้เราทำเหมือนเยอะกว่า ก็เพราะว่าเราเหมาะสมอยู่อย่างนั้น และถ้าเราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับเขา  เขาทำน้อยกว่า แล้วเราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนที่ทำได้เยอะกว่า เราก็ตายลูกเดียว เราก็เครียด รับใช้ไปเครียดไป ไม่ใช่ วิธีรับใช้พระเจ้า คือยอม แค่นั้นเอง ไม่ใช่วิธีรับใช้พระเจ้า คือพยายามๆ ทำด้วยตัวเอง  ไม่ใช่ ไม่ต้องพยายาม วิธีรับใช้พระเจ้า คือยอมให้พระวิญญาณทำงานผ่านชีวิตของเรา เอเมน มันต่างกันกับว่าวิธีรับใช้พระเจ้า ต้องพยายามทำนะ อันนี้ไม่ใช่วิธีรับใช้พระเจ้า เราไม่ได้เป็นทาสอย่างนั้นต่อไปแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตอยู่กับเรา ต่อให้เราไม่ทำอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่อธิษฐานด้วย สำหรับโครงการนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังสถิตอยู่กับเราไหม? อยู่ แล้วพระวิญญาณยังทำงานอยู่ในชีวิตเราไหม? ทำ แล้วพระวิญญาณทำเหมือนกับคนอื่นๆ ไหม? ทำ

ก็วางใจ ยอมรับว่าจะเป็นอย่างนั้น วางใจในพระองค์ไว้ ถึงเวลา พระองค์จะทรงกระทำอย่างอื่นเอง มันจะได้มีความสุข เราก็มีคุณค่าเท่าคนอื่น ไม่ใช่ คนอื่นเขาทำเยอะ เราทำน้อย เราก็เศร้าใจ

“ทำไมฉันทำได้แค่นี้ ฉันเป็นคนด้อย”

ด้อยอะไร? เราเป็นลูกพระเจ้าเท่ากันเลย ไม่ต่างอะไรกันเลย ไม่ว่าจะเป็นศิษยาภิบาล คนมอบที่ดินที่นี่ หรือจะเป็นคนมอบอาคาร หรือเป็นแค่อธิษฐานให้ มีค่าเท่ากัน ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย แม้แต่นิดเดียว เราต้องทำความเข้าใจตั้งแต่วันแรกนี้ เรากำลังเริ่มแคมเปญนี้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องในทางของพระเจ้าอย่างไร? ทุกสิ่งที่พูดมานี้ อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น แล้วเราได้เรียนรู้กันมาตลอด ให้ฝึกฝนกันมาตลอด นี่แหละคือความรัก นี่แหละคือความจริง นี่แหละคือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่ออกมาเป็นความรัก ที่สำแดงแล้ว ที่ออกมาในพระเยซูคริสต์ แล้วเราทุกคนต้องมีส่วนอย่างนี้แหละ

และเราถือโอกาสอย่างนี้ ซึ่งเป็นวันดี ที่เป็นวันที่เราระลึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นครั้งแรก โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  เป็นผู้ดำเนินการ เคลื่อนไหวในชีวิตของเรา ร่างกายของมนุษย์ที่ยินยอมให้พระองค์เข้ามา คือเปิดใจต้อนรับพระเยซู ยอมรับว่าพระองค์เป็นผู้ช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปและเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว 2,000 ปีมาแล้ว รับสิทธินี้ไว้ ทันทีทันใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาบัพติศมา คือจุ่มเราเข้าไปในฤทธิ์เดช หรือเรียกว่าไฟแห่งพระวิญญาณ ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ กลายเป็นลูกของพระเจ้าทันที ทำอย่างนี้มาแล้ว เริ่มทำมาแล้ว 2,000 ปีแล้ว ทุกวันนี้กำลังทำอยู่ ทุกวันนี้เกิดอย่างนี้ขึ้นในทั่วหัวระแหงในโลกใบนี้  ทุกประเทศมีอย่างนี้เกิดขึ้นตลอด เราพูดอยู่นี้ ก็มี พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเจิมใครด้วยไฟ และกำลังชุบให้เขาเป็นขึ้นมาใหม่ เหมือนพระเยซู ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน? แต่ละนาทีมีอย่างนี้ตลอด และจะมีไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจบแผนการของพระเจ้า คือพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มาชำระทุกอย่างให้เรียบร้อย ทุกอย่างจบ เอเมน นี่คือข่าวดี

และสิ่งเหล่านี้ ควรจะมีการพูดต่อไป พูดให้ลูกหลาน เหลนโหลนฟังว่านี่คือข่าวดี ข่าวประเสริฐ วันนี้เป็นวันอะไร? มันเกิดอะไรขึ้น ฟังดูแรกๆ อาจจะดูเหมือนเพ้อเจ้อ แต่ทั้งหมดนี้ มาจากพระคัมภีร์ทั้งสิ้น ขอให้ท่านพูดความจริงนี้ไปเรื่อยๆ ลูกหลาน เหลนโหลนจะค่อยๆ ได้ อินเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย พระคัมภีร์ เปาโลบอกไว้อย่างไร? ข่าวประเสริฐ สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก เขานึกว่าเป็นข่าวของคนโง่ พระคัมภีร์บอกว่าแต่ข่าวประเสริฐสำหรับเรานั้น ผู้เชื่อ  คือ Power คือฤทธิ์เดชอำนาจ คือบางอย่างที่สามารถทำสิ่งที่เกินกว่ามนุษย์จะเห็น มนุษย์จะเข้าใจ มนุษย์จะใช้ความรู้สึก  เกินกว่าเหตุผลของเขา เขาถึงเรียกว่าฤทธิ์เดช เขาถึงเรียกว่า Power สำหรับคนที่เชื่อ  คือเราทั้งหลายที่เชื่อแล้ว ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่มาสถิตอยู่กับเรา ที่เรียกว่าข่าวดีนี้ เป็นฤทธิ์อำนาจที่ทำอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงมาก คือทำให้มนุษย์บาปอย่างเรา กลายเป็นลูกพระเจ้าได้ มันอัศจรรย์ขนาดไหน? และสามารถเกิดขึ้นได้ทุกหนทุกแห่ง ตอนนี้พร้อมกันเลย ทั่วโลกเลย ตรงนี้ก็เกิด ตรงนั้นก็เกิด ทำงานพร้อมกันหมดได้ นี่แหละคือสิ่งที่คนที่เชื่อแล้วได้สัมผัสฤทธิ์เดชอำนาจนี้ แต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ เขาก็นึกว่าเป็นเรื่องงมงาย ก็แน่นอน เพราะว่าเขาไม่มีทางที่จะเข้าใจ เพราะฤทธิ์เดชอำนาจนี้ มันเกินความเข้าใจของมนุษย์ เกินสติปัญญาของมนุษย์ แล้วต้องอาศัยอะไร? พระคัมภีร์บอกอาศัยการฟังถ้อยคำแห่งความจริงบ่อยๆ แล้วคนนั้น ที่ยังไม่เข้าใจ ก็จะเริ่มเข้าใจ เริ่มรู้ และยอมรับว่าข่าวดีนี้ เป็นจริง

ในหนังสือโรมบอกแล้วเขาจะได้ยินได้อย่างไร ถ้าไม่มีคนพูดว่าเพ็นเทคอสคืออะไร? มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของมนุษยชาติมันเกิดอะไรขึ้น ในโลกวิญญาณ มันไม่ใช่หนึ่งในศาสนาต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น  เพื่อจะยึดเหนี่ยวจิตใจ หรือเป็นกฎหมายทางด้านศีลธรรมที่จะมาอยู่ร่วมกันด้วยความดีงาม มันไม่ใช่แค่นั้น มันเป็นความเป็นจริง แห่งประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่เกิดขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้ ประวัติศาสตร์มนุษยชาติได้บันทึกไว้แล้ว มนุษย์ตกลงไปในความบาป เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วพระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และพิสูจน์แล้ว และเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จนถึงวันนี้ สิ่งที่คาดไม่ถึง คือมนุษย์สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้า สามารถเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขาได้ เต็มหัวระแหงเยอะแยะ มากขึ้นทุกวันๆ ไม่ใช่ศาสนาคริสต์มากขึ้นทุกวัน แต่คนที่เชื่อในพระเจ้า และเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ในตัวเขา มากขึ้นทุกวันๆ เดินไปที่ไหน คนนี้ ข้างในวิญญาณเขา ก็เป็นวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย มากขึ้นทุกวันๆ มันตื่นเต้นตรงนี้

ถ้าเราไม่พูดตรงนี้ ในวันอย่างนี้ ก็ไม่มีโอกาสพูดให้เขาฟัง อาจจะเป็นคริสตมาสบ้าง แต่มันก็ไม่ชัดเจน อย่างวันอีสเตอร์กับวันเพ็นเทคอสอย่างนี้ ผมพยายามเล่า วันนี้ไม่ได้จดพระคัมภีร์มาให้ เพราะไม่อยากเอาข้อพระคัมภีร์มาขวางในการที่เราจะจำ อยากให้ท่านจำเป็นสตอรี่ จำเป็นเรื่องเฉยๆ  แล้วไปเล่าต่อ ในอดีตเมื่อหลายพันปี มันก็เป็นแค่นี้ มันไม่มีหนังสือพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์เพิ่งจะแปล พึ่งจะเขียนมา ประมาณ 500 ปีนี่เอง มันไม่มีพระคัมภีร์อย่างนี้ให้อ่าน ก็เล่าต่อกันมา เล่าให้ลูกหลานเหลนโหลนฟัง เปาโลจึงเล่าและบอก ย้ำยืนยันอยู่เรื่อยๆ ว่าโมโหมากที่สุด อย่าให้ใครมาทำให้ข่าวดีของพระเจ้าลดน้อยถอยลงไป อย่าให้ใครมาบิดเบือนข่าวดีของพระเจ้า โมโหมาก เพราะเปาโลทราบดีว่าถ้าเกิดข่าวดีมันบิดเบือน มันจะเสียหายหมดเลย  สิ่งเดียวที่มารต้องการทำทุกวันนี้ คือต้องการบิดเบือนข่าวดี  พยายามให้ไปไกลๆ ให้มันเป็นศาสนาไปก็ดี ให้เป็นอะไรอะไรปะรำปะราก็ดี แต่ไม่ใช่ มันเป็นอะไรที่ทันสมัยที่สุด  เกิดขึ้นได้ทันที เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ พิสูจน์ได้ รับรู้ได้ และเกิดขึ้นทุกหัวระแหงเท่ากัน ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ในป่า ในเขา ที่ไหนก็ตาม เกิดขึ้นเหมือนกัน คือมนุษย์ทุกคนสามารถเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขา ในร่างกายเขาได้ทันที ไม่ต้องรอตายไป เดี๋ยวนี้ทันทีได้เลย นั่นแหละคือวันสำคัญ วันเพ็นเทคอส ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว” ตอน 5 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  พฤษภาคม  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว”  ตอน 5

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ อีก 2 อาทิตย์เรามีนัดกันนะครับ ฉลองอีกแล้ว เป็นคริสเตียนดีเนอะ ฉลองบ่อยเหลือเกิน วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน เป็นวันครบรอบของโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ อภิสุทธิสถาน ผมหมายถึงในโลกวิญญาณนะ “Holy  of  Holies” หรือภาษาไทย “อภิสุทธิสถาน” แปลว่าบริสุทธิ์สะอาดที่สุด ที่พระเจ้าประทับอยู่ เราฉลองสถานที่ที่พระเจ้าประทับอยู่ ไม่ใช่หมายถึงอาคารหลังนี้ แต่ทางโลกวิญญาณ หมายถึงร่างกายของมนุษย์ได้กลายเป็นสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่มีชื่อว่า “โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์” หรือ “อภิสุทธิสถาน” ที่พระเจ้าลงมาประทับอยู่ เราระลึกถึงครั้งแรกที่พระเจ้าลงมาประทับอยู่กับมนุษย์ ในร่างกายของมนุษย์ ที่สะอาดหมดจด เป็นอภิสุทธิสถาน เป็นโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ของพระองค์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เราระลึกถึงวันนั้น มีชื่อว่า “วันเพนเตคอส” วันที่ 50 หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย วันที่ 50 หลังจากวันอีสเตอร์ ปีนี้ก็ตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน เพราะฉะนั้น เราจึงมีนัดกันที่จะมาฉลอง ระลึกถึงวันเกิดของโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ แต่อย่าไปนึกถึงโบสถ์เรานะ

วันเกิดของอภิสุทธิสถาน ซึ่งแปลว่าสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าประทับอยู่ เป็นวันที่ในโลกวิญญาณ เกิดอัศจรรย์มากมาย เกิดความยิ่งใหญ่มาก ทั้งหลายทั้งปวง ถ้าเกิดมีใครทำหนัง ที่มองทะลุ ถ่ายภาพทางโลกวิญญาณได้ วันนั้นเป็นวันที่เกิดปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่มหาศาลมาก และมีผลยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูอีก เพราะว่าระเบิดปรมาณู หลังจากระเบิดแล้ว มีความรุนแรงแล้ว อาจจะมีเชื้อกำมันตภาพรังสีอีกสัก (สมมตินะ) ร้อยปี สองร้อยปี แต่อันนี้มีผลไปตลอด นิรันดร์เลย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันเพนเตคอส มันเกิดผลในโลกวิญญาณ และมันเกิดผลตลอดต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ และตลอดไป จนนิรันดร์เลย คือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้แล้ว นิรันดร์แล้ว โดยพระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำให้แผนการของพระเจ้าที่จะมาสถิตอยู่กับมนุษย์นั้น สำเร็จแล้ว เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าวางแผนการไว้ตั้งนานว่าจะมาสถิตกับมนุษย์ กลับมาคืนดีกับมนุษย์ เหมือนเดิม แต่ก่อนโน้น เหมือนสมัยสวนเอเดน แล้วก็วางแผนไว้เรียบร้อยว่าพระเยซูจะมาเป็นผู้กระทำ เขียนไว้ในหนังสือตั้งแต่ปฐมกาล ที่เราเรียกกันว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเดิม กระทั่งมาถึงเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วได้ถูกจับไปตรึงตายที่ไม้กางเขน แผนการทั้งหมด พระเยซูจึงได้กระทำให้สำเร็จแล้ว

สำเร็จแล้ว วันนี้เป็นตอนสุดท้ายของซีรี่ส์ในปีนี้ ถ้าว่ากันตามจริง จะว่ากันเรื่องพระคัมภีร์ เรื่องพระเจ้า หรือมาบรรยาย ประกาศ ก็เรื่องเดียวกันหมด พระคัมภีร์ทั้งหมดทั้งเล่มก็พูดเรื่องนี้เรื่องเดียว ไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลย ฟังดูเหมือนเรื่องอื่น แต่จริงๆ เล็งมาถึงเรื่องนี้ เรื่องเดียว คือเรื่องพระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว

เรามาร่วมระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว ในวันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในหนังสือโรม บทที่ 8 ที่เราได้เรียนกันไป 3 ตอนที่ผ่านมาว่าจะเป็นเรื่องราวที่ผมยกขึ้นมาให้ท่านเห็นชัดๆ สรุปให้เราได้เข้าใจว่าก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์พูดคำสุดท้ายว่า …

“สำเร็จแล้ว” ภาษากรีกพูดว่า “Tetelestai”

หลังจากนั้น ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ทางโลกวิญญาณ มหาศาลจนมาถึงทุกวันนี้

สิ่งที่เราเรียนรู้ไปเมื่อ 3 ตอนที่แล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” ทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง? …

(1) สำเร็จแล้ว … เราได้ย้ายสำมะโนครัว เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว

(2) สำเร็จแล้ว … ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ หรืออยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้ เพราะฉะนั้น ใครที่อยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ เชื่อในข่าวประเสริฐ มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้ ก็จะไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว

(3) สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้ว ร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน คำว่า “ตายที่ไม้กางเขน” คือเราได้ชดใช้หนี้ของเราไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขนนั้น ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เราได้ตายไปด้วย เป็นการชดใช้หนี้ เป็นพยานกับพระเยซู บอกว่า “จบแล้ว” เอเมน ไม่มีหนี้สินที่ต้องชดใช้อีกต่อไปแล้ว

(4) สำเร็จแล้ว … พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่กับเราได้แล้ว หรือเราเรียกนัยหนึ่งว่าเข้ามาเจิมเราด้วยไฟ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าเจิมเราด้วยไฟ พระเยซูเจิมเราด้วยไฟ บัพติศมาเราด้วยไฟ คือจุ่มเราลงไปในไฟ … ไฟ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ … พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ขมวดปม แล้วก็ทำปรากฏการณ์ชุบเราให้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เมื่อเราเชื่อในข่าวดีนี้ ทั้งหมดนี้เราได้รับมาหมดแล้ว ไม่ว่าท่านจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ความจริงได้รับไปแล้ว ท่านอาจจะไม่รู้สึก อาจจะมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ไม่มีกลิ่น ไม่มีอะไรต่างๆ ไม่มีความคิดจะเชื่อด้วยซ้ำ แต่วิญญาณที่ท่านเคยเชื่อแล้วจริงๆ ในพระเยซูคริสต์ในข่าวดีนั้น มันเกิดอย่างนี้แล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ เอเมน

เราจึงต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เชื่อในถ้อยคำ ไม่ใช่เชื่อด้วยความรู้สึก สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราได้ลองหมดแล้ว ซึ่งเป็นผลจากสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันศุกร์ พระองค์ตะโกนลั่นว่าสำเร็จแล้ว เขาจึงเรียกว่าศุกร์ประเสริฐ ศุกร์แห่งข่าวดี ศุกร์แห่งสิ่งที่ดีๆ สำหรับมวลมนุษยชาติ ข่าวร้ายของมาร

จากคนที่อยู่ในสภาพชั่วร้าย เลวทราม สกปรกสิ้นดี เป็นคนบาป ตอนนี้กลายเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ที่บอกพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว ก็เป็นลูกพระเจ้าได้แล้ว

โรม 8:14 “เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า

 

“พระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า” ชัดเจนเลย ที่เราเรียนกันมาทั้งหมด ก็เพื่อให้เห็นตรงนี้

ที่บอกว่า “ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว” เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์ เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วยกับเรา เราได้เกิดใหม่แล้ว ข้อ 14 ตรงนี้ กำลังบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้น ทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นกับเราแล้ว ก็แปลว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องรอให้ตาย แล้วท่านค่อยเป็น แต่ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ทั้งหมดนั้น มันเกิดขึ้นแล้ว

โรม 8:15 “ท่านไม่ได้รับวิญญาณ ซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณ ผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบา พ่อ

 

อาจารย์เปาโลกำลังแบ่งแยกให้เราเห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างสภาพในวิญญาณของคนที่เชื่อในพระเจ้ากับคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า คนที่เชื่อตามข่าวดีบอกว่าสำเร็จแล้ว ฉันเชื่อตามนั้น อีกคนหนึ่งบอกว่าไม่เชื่อ ฉันก็อยู่ของฉันอย่างนี้ ฉันไม่รู้เรื่อง สำเร็จแล้ว อะไรไม่สนใจ อาจารย์เปาโลกำลังให้เห็นสภาพของวิญญาณของทั้งสองฝั่งว่ามันเป็นเช่นไร?  ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า คือก่อนที่เราจะย้ายสำมะโนครัวในโลกวิญญาณ ก่อนที่เราจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เราเกิดใหม่ สถิตอยู่กับเรา ก่อนหน้านั้น วิญญาณเราเคยอยู่ภายใต้การควบคุมของวิญญาณแห่งความชั่วร้าย ซึ่งภาษาไทยแปลจากความหมายของภาษาเดิมว่ามาร … มาร คือวิญญาณชั่วร้าย ที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เราอยู่ใต้การควบคุมของมัน ซึ่งควบคุมเราด้วยการข่มขู่ ให้เราเป็นทาสมัน มันจึงเกิดความกลัว ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ถ้าไม่ทำต้องได้รับการลงโทษ ซึ่งมันเป็นจริงตามนั้น เพราะเราอยู่ในบาป

นี่คือสภาพที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทาสของความกลัว” เป็นสภาพของคนที่ยังอยู่ในอาณาจักรของความมืด อาณาจักรของมาร อาณาจักรของความชั่วร้าย ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ยังไม่เชื่อในข่าวดีว่าเขามีสิทธิ์ที่จะย้ายมา เขายังอยู่ในอาณาจักรเดิม อาณาจักรแห่งความมืด ภายใต้การควบคุม และกดขี่ข่มเหง โดยมาร ทำให้เขาพยายามที่จะทำสิ่งที่ดี เหมือนเราในอดีต ก่อนจะเชื่อพระเจ้า เราตั้งใจ พยายามทำสิ่งที่เรียกว่าดี เพื่อหวังจะชดเชยหนี้บาปเวรกรรม เพราะเรากลัว กลัวนรก กลัวผลของมัน กลัวมาก เราจึงตั้งใจให้มันดีที่สุด ในอดีตเป็นอย่างนั้น ซึ่งพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว วิญญาณแห่งความกลัวไม่ได้อยู่ในเรา เราก็ยังคงทำดี พยายามทำดีเหมือนกัน แต่เราไม่ได้พยายามทำดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะกลัว  แต่เราทำ เพราะมันเป็นธรรมชาติ อยู่ในวิญญาณของเรา มันอยากทำดี เพราะข้างในมันอยากดี และเราไม่ได้ทำดี เพราะจะได้ไปสวรรค์ ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเยซูทำให้แล้ว เพราะฉะนั้น ฉันตั้งใจจะทำสิ่งที่ดี เพราะว่าฉันสมควรทำสิ่งดี

ความหมายตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงคนบางกลุ่มที่เป็นผู้เชื่อแล้ว ย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว แต่ยังคงประพฤติ ปฏิบัติตัวเสมือนว่ายังคงเป็นทาสแห่งความกลัวอยู่ คือแม้จะเชื่อข่าวดีแล้ว แต่ยังถูกล่อลวงด้วยผู้คนรอบข้าง ให้พยายามทำดี เพื่อไปสวรรค์อยู่ เหมือนเดิม ฟังให้ดีๆ ตั้งใจหน่อย ยังเตือนคนเหล่านั้นว่า …

“นายเชื่อแล้ว นายรอดแล้ว นายอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ นายเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ ตอนนี้ นายไม่ได้ทำดี เพื่อที่จะไปสวรรค์อีกแล้ว เพื่อจะชดใช้หนี้อีกต่อไป พระเยซูทำสำเร็จแล้ว แต่นายตั้งใจทำดี เพื่อพระเจ้า เห็นแก่พระคุณพระเจ้า”

และเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติของชีวิตใหม่ของท่าน มันเป็นอย่างนั้น เปาโลเอาตรงนี้นิดหนึ่งมาพยายามเตือน สอนความจริงให้กับผู้เชื่อแล้ว ให้เขารู้ว่าเขาควรจะปฏิบัติอย่างไรในความเชื่อที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้ข่าวประเสริฐมันเสียหาย

เปาโลจึงบอกว่า “ท่านไม่รู้หรอกหรือว่าท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่ในตัวแล้ว ทำให้ท่านได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และผู้ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเขานั้น ที่ได้เกิดใหม่แล้วนั้น ได้ถูกเรียกว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว”

มันหมายถึงอย่างนั้น และเมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ทำไมยังทำตัวอย่างนั้นอยู่ มันหมายถึงแค่นี้ ทำตัวอย่างนั้นทำไม? หมือนก่อนนี้ที่ยังไม่เชื่อ เราทำสิ่งที่ดี เพื่อจะชดใช้หนี้สินของตัวเอง เพื่อชดใช้หนี้บาปของตัวเอง เพื่อไปสวรรค์ใช่ไหม? ทำอย่างนั้นอยู่อีกเหรอ ไหนบอกเชื่อข่าวดี พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ทำไมทุกวันนี้ทำดี เพื่อจะไปชดใช้หนี้อีกล่ะ ไม่ควรคิดอย่างนั้น เปาโลกำลังเตือนเขา เพราะไม่อย่างนั้น ข่าวดีจะเสีย

เพราะฉะนั้น คำว่าพระวิญญาณผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ตามพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ ในพระคัมภีร์ภาษาเดิมใช้คำว่า “You have received the Spirit of adoption as sons.” ซึ่งถ้าแปลตรงตัว ก็จะได้ความหมายว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่รับท่านเป็นบุตร” ทำไมเขาต้องใช้คำว่าบุตรบุญธรรม เพราะว่าพื้นเพ เบื้องหลังของพระคัมภีร์ที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ เขียนเมื่ออาณาจักรโรมันรุ่งเรือง ตอนนั้น วัฒนธรรมเป็นเช่นไร? เขาจะใช้คำนั้น เพื่อว่าคนอ่านในตอนนั้นจะได้เข้าใจว่า …

“อ๋อ! ฉันเป็นลูกพระเจ้ามีสิทธิ์อะไรบ้าง”

กฎหมายที่ใหญ่ที่สุด และเข้มแข็งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลานั้น ก็คือกฎหมายของโรมันนั่นเอง เพราะเป็นประเทศมหาอำนาจ ในสมัยกรีกและโรมัน เรื่องการรับรองเป็นบุตรบุญธรรม ตามกฎหมายเขา เป็นเรื่องปกติทั่วไปมาก ทำกันเยอแยะมาก เป็นกฎหมายที่ระบุให้บุตรบุญธรรมมีสถานะ และสิทธิเท่าเทียมกับบุตรทางสายเลือดทุกประการ รวมทั้งสิทธิ์ในการรับมรดก ก็ได้รับเท่ากันทุกอย่าง เขาถึงใช้คำนี้ไง แต่เดี๋ยวนี้เขาอาจจะไม่ได้ใช้แล้ว

ในพระคัมภีร์เดิม เมื่อพูดถึงพระบุตรหรือคำว่าพระเยซูคริสต์ ก็จะใช้คำว่า “Natural Son of God” พูดง่ายๆ ว่าเมื่อพูดถึงพระเยซู พระบุตร เป็นบุตรของพระเจ้าโดยธรรมชาติกำเนิด โดยทางสายเลือดนั่นเอง  ส่วนผู้ที่เชื่อข่าวดี ก็จะเป็น “Adopted sons by Grace” ก็คือเป็นบุตรบุญธรรมที่รับเข้ามาเป็นลูก โดยพระคุณ คือได้ฟรีๆ ให้เปล่าๆ เพราะฉะนั้น คนที่รับมาเป็นลูก ก็จะได้รับสถานะและสิทธิ์ทุกอย่าง รวมทั้งมรดกทุกประการของพระเจ้า เทียบเท่ากับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซู

เขาเขียนอย่างนี้ เข้าใจเลย ถ้าอ่านตอนนี้ อาจจะไม่เข้าใจมากนัก แต่กำลังอธิบายให้ท่านเข้าใจขึ้น และในนี้บอกว่า “และโดยพระองค์ เราร้องเรียกว่า “อับบา … พ่อ” อับบา แปลว่าพ่อ ก็คือเมื่อเราได้รับการรับรองให้มีสถานะเป็นลูกของพระเจ้า เทียบเท่ากับพระบุตร คือพระเยซูแล้ว พระวิญญาณที่เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ก็จะสอนเราให้เรียกพระเจ้า ที่เราเคยกลัว จะลงโทษเรา  ที่เรารู้ว่าเป็นพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ เข้าใกล้นิดหนึ่งก็ไม่ได้ เข้าใกล้นิดหนึ่ง ก็ตายแน่เลย พระวิญญาณผู้นี้ ก็จะค่อยๆ สอนเรา  บอกเราว่าให้เรียกพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ สูงสุด ผู้นี้แหละว่าเป็นปาป๊า อับบา แปลว่าป๊า สนิทมากนะ  ไม่ใช่เป็นพระราชบิดาอย่างที่เขียนไว้ เป็นป๊า เป็นพ่อ แล้วค่อยๆ สอนเราให้เรียกอย่างเต็มปากว่าพ่อ โดยไม่ต้องรู้สึกเขิน ซึ่งใหม่ๆ เราก็จะรู้สึกเขิน เพราะว่ามันยังไม่ชิน แล้วใครทำให้เราชิน พระวิญญาณที่อยู่ในเรา ค่อยๆ สอนเรา

ถามท่าน ท่านนึกถึงวันแรกที่ท่านเข้ามารับข่าวประเสริฐของพระเจ้า และเริ่มต้นดำเนินตามพระวิญญาณ เริ่มต้นอธิษฐานกับพระเจ้า มีใครเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาบ้าง? มีใครเรียกพระเจ้าว่าพ่อ ส่วนใหญ่ก็เรียกพระบิดา เพราะตามเขามา ไม่กล้าเรียกว่าพ่อ ถูกไหม? บางทีเรียกพระบิดา ยังเขินๆ เลย มันเหมือนลิเก เพราะยังไม่เคยชิน แต่ขณะที่ยังไม่เคยชินนั้น พระวิญญาณค่อยๆ สอน จนทุกวันนี้ บางคนเชื่อมา 30, 40 ปี พ่อกินข้าวนะ  แต่ก่อนนี้แรกๆ อาทิตย์แรก …

“โอ้ … ข้าแต่พระบิดา ขอบคุณพระบิดาสำหรับอาหารมื้อนี้มากเลย”

พูดเยอะแยะ แต่เดี๋ยวนี้ “พ่อกินแล้วนะ”

เพราะพระวิญญาณสอนเราว่านี่พ่อเรา หิวก็กินสิ ไม่ใช่สอนเราไม่ให้อธิษฐานนะ ไม่ใช่นะ เข้าใจใช่ไหม? หมายถึงสนิทสนม ไม่มีอะไรเลย นอกนั้นเป็นวิธีของมนุษย์ ก็ว่ากันไป ส่วนใหญ่เราจะเรียนมามากกว่า มีพี่เลี้ยงสอนเรา เราก็จดจำมา เผลอๆ จำไม่ได้ จดใส่กระดาษเลย

“พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ ข้าพระองค์ขอบคุณพระองค์ สำหรับอาหารมื้อนี้”

อะไรก็ว่าไป ท่องจนจำได้ แล้วก็ติด จำในสมองมาจนถึงทุกวันนี้ จนวันหนึ่ง สนิทกับพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ธรรมชาติในวิญญาณ จึงออกมาจากปากของเรา พ่ออย่างนี้ไม่ไหวแล้วไม่ไหว แต่ก่อนเราไม่กล้าพูด นี่แหละคือสิ่งที่เปาโลกำลังพยายามที่จะอธิบายให้เราฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า เมื่อเรารับเชื่อแล้ว เกิดอะไรขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณบ้าง เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เรียกพระเจ้าว่าพ่อ โดยไม่ต้องเขิน เราสามารถพูดกับพ่อ เหมือนพูดกับพ่อที่สนิทกันบนโลกใบนี้ เป็นคนที่โคตรดีเลย  เพราะพ่อเราคนนี้ เป็นพ่อที่มีบุคลิกลักษณะแห่งความรัก 100% เลย อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่หยิ่งผยอง ไม่เห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว พ่อเราเป็นอย่างนี้ ท่านลองคิดดู ไม่สนิทได้อย่างไร? ทุกอย่างสวยงามเลย เราชอบนึกถึงพ่อปุ๊บ ต้องทำเหมือนพ่อเราที่เป็นมนุษย์  พ่อเราที่เป็นมนุษย์ ยังเป็นมนุษย์อยู่ ไม่เพอร์เฟคไง เขาอาจจะรักเรามาก แต่เขาทำไม่ได้ เขาอาจจะรักเราเยอะ แต่เขาทำได้แค่นี้ ไม่ใช่เขาไม่รัก อย่างนี้เป็นต้น

โรม 8:16 “พระวิญญาณเอง ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเรา ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า

 

หลายครั้งเรานึกว่าประสบการณ์ การมาคริสตจักรของเรา ประสบการณ์การเรียนรู้คำอธิษฐาน อย่างอ่านพระคัมภีร์ต่างๆ เป็นตัวทำให้เรารู้สึกสนิทสนมกับพระเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ตรงกันข้ามเลย ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือพระวิญญาณเอง เป็นส่วนสำคัญที่สุด ส่วนอื่นเป็นส่วนประกอบ ไม่มีก็ได้ มีก็ดี แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่พระวิญญาณ ถ้าไม่มีพระวิญญาณ ต่อให้ท่านไปเรียนโรงเรียนพระคัมภีร์เลย ศึกษา ค้นคว้าประวัติศาสตร์ลึกซึ้งมาก ท่านก็ไม่สามารถเรียกพระเจ้าว่าพ่อได้ เป็นไปไม่ได้ เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ในทำนองเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม คือแม้ท่านจะเป็นลูกชาวนา และเป็นชาวนาที่ไม่ได้เรียนหนังสือเลย ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ในสิ่งต่างๆ แต่ท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ท่านรับเชื่อในพระเยซูปุ๊บ ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณจะสอนให้ท่านสามารถเรียกพระเจ้าว่าพ่อ หรือพระบิดาก็ได้ เขาจึงบอกทำไมคนเชื่อเหมือนง่ายๆ แต่บางทีเรียนรู้เยอะๆ กลับไม่เชื่ออะไรอย่างนี้

พระวิญญาณของพระเจ้าที่อยู่ในเรา ก็จะเป็นพยาน ยืนยันให้กับเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ยืนยันตลอดเลย เธอเป็นลูกพระเจ้านะๆ ก็คือพระวิญญาณจะคอยชี้นำเรา สอนเรา ตักเตือนเรา คอยนำทาง ให้เรารู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า เพราะบางทีเราเผลอ พอเจอปัญหาหน่อย เจออะไรบางอย่างที่มันไขว้เขว สับสน หรือไม่มั่นใจว่าเอ๊ะ เราใช่ลูกพระเจ้าหรือเปล่านะ พระวิญญาณก็จะยืนยันกับเราว่าใช่

โรม 8:17 “บัดนี้ ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย”

 

เมื่อพระวิญญาณได้ทำให้เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว ให้เราเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้า เราก็ได้เป็นทายาทโดยสมบูรณ์ของพระเจ้าด้วย และเมื่อเราได้ชื่อว่าเป็นทายาทโดยสมบูรณ์ของพระเจ้าแล้ว เราก็มีสิทธิในมรดกของพระเจ้าด้วย อย่างที่ตะกี้นี้บอก ตามกฎหมายเป๊ะเลยในสมัยโน้น ในข้อนี้บอกว่าเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระเยซู … พระเยซูที่เราเรียกว่าพระองค์เป็นเจ้านาย เป็นพระเจ้า ตอนนี้เรามีสิทธิเท่ากับพระองค์เลย เราไม่ได้พูดเอง ในนี้เขียนไว้ พระเจ้าให้บันทึกไว้เลยว่าพวกเธอมีสิทธิเท่ากับพระบุตร มีลายลักษณ์อักษรเสร็จ เหมือนมีพินัยกรรมเสร็จ พระคัมภีร์ มันสามารถแปลได้ด้วยว่าหนังสือพินัยกรรม คือหนังสือมรดก เขียนไว้เสร็จเลย  ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

เราเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ พูดง่ายๆ คือพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยสายเลือด อยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่ก่อนจะสร้างทุกสิ่งเลย พระองค์ได้รับมรดกอะไรจากพระเจ้า เราก็ได้รับสิ่งนั้นด้วย เหมือนกัน เอเมน และเมื่อเป็นทายาทโดยสมบูรณ์แล้ว ได้รับมรดกทุกอย่างร่วมกันแล้ว ก็ต้องได้รับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อยากได้เหมือนกัน ใช่ไหม? เหมือนร่วมหัวจมท้าย เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ทุกอย่างในนี้ คืออะไร? ในข้อ 17 ตอนท้ายๆ ที่เราไม่ค่อยอยากอ่าน ในนี้บอกว่า …

“ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย”

“ร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์” หลายคนคิดใหญ่ ทุกข์อย่างไร? ก็คือขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอยู่ในตัวเรา ในขณะเดียวกัน เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ ยังอยู่บนโลกของความชั่วร้ายนี้อยู่ พระเจ้ายังไม่ได้ตกแต่งโลกนี้ใหม่ ไม่ได้ทำโลกใหม่ โลกยังโลกเก่า ซึ่งตกอยู่ในความบาป

เพราะฉะนั้น ระบบของโลกนี้ ซึ่งเป็นระบบของบาป มันก็มีอิทธิพลส่งกระแสเข้ามาในชีวิตเราได้ มันก็เกิดการต่อสู้ ขัดแย้ง เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่ผมบอกท่านไงว่ามันส่งผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดของเรา สู้กันใหญ่เลย  พระวิญญาณที่ทรงนำเราอยู่บอกว่าให้เราทำทุกสิ่งผ่านทางพระวิญญาณ  เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า เป็นความรัก วิญญาณเราเป็นความรัก ไม่ใช่พระเจ้าเป็นความรักอย่างเดียว ตัวเราเอง วิญญาณตัวจริงๆ ข้างใน ที่เกิดใหม่ เป็นความรัก เพราะฉะนั้น พระวิญญาณสอนเรา เราต้องดำเนินชีวิตเป็นความรัก ความรักอดทนนาน มีความเมตตา ไม่โกรธ ให้อภัย ไม่โลภ แต่ขณะที่เราเดินอยู่บนโลกใบนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดเรา กระแสภายนอกที่ผ่านเข้ามาทางสัมผัสเหล่านี้ มันพยายามที่จะล่อลวงเราไปในทางตรงกันข้าม พระเจ้าบอกอดทนนาน มันบอกว่าทนไม่ได้แล้ว … กระทำคุณให้ ใครเคยกระทำความเสียหายให้คนอื่นบ้าง ไปด่าเขา มีไหม? ไม่มี ดีมาก … ไม่อิจฉา ไม่มีใครอิจฉาเลยใช่ไหม? ถูก เห็นไหม? อย่างนี้ทำตามพระวิญญาณ แต่โลกมันพยายามบอกให้เรา อย่างนี้มันดูมากไม่ได้หรอก มันร้อนตา อิจฉาตาร้อนไง คืออย่างนี้

นี่คือความทุกข์ลำบาก ไม่ทุกข์เหรอ อ่านต่อไป ในข้อเมื่อกี้ มันทุกข์จริงๆ พระคัมภีร์ชั้นหนึ่งเลยนะ มันเป็นความขัดแย้งที่จำเป็น เพราะท่านเลือกข้างไปแล้ว เลือกที่จะอยู่ข้างข่าวประเสริฐ ข่าวดี คือเลือกที่จะอยู่กับพระเยซู เพราะฉะนั้น ท่านไม่ตามโลกนี้ พอไม่ตามโลกนี้ โลกนี้ ก็จะเป็นศัตรูกับท่าน สู้กับท่าน แต่ถ้าท่านยอมโลกนี้ ท่านก็ไม่ต้องสู้กับโลกใบนี้ แต่ท่านต้องสู้กับความสำนึกในใจ ที่พระเจ้าบอกท่านเป็นคนบาป จะเอาอย่างไร?

พระวิญญาณที่นำเราอยู่ จะบอกเราเสมอ ในทางของพระเจ้า ในวิญญาณ ในธรรมชาติของเรา ให้ทำอย่างไร? ตรงนี้แหละสัจจธรรมความจริง ที่พระคัมภีร์บอกว่าอยู่บนโลกนี้ เราก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาๆ แต่เราชนะโลกนี้แล้ว เราอยู่บนโลกนี้แป๊บเดียว มันไม่ใช่ความทุกข์ยากลำบากทางกาย ไม่ใช่เรื่องของความยากจน ปัญหาปากท้อง สุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่เป็นความยากลำบากของการต่อสู้ในด้านจิตวิญญาณ และความคิดจิตใจข้างใน ที่เรียกว่าทำดี ทำไม่ดี ทำอะไรถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ซึ่งมันทุกข์ทรมาน ใครก็ตามที่มาเชื่อพระเจ้า มาเป็นลูกพระเจ้า มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยข้างใน ก็จะต้องเป็นแบบนี้ทุกคน ก็จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากในลักษณะอย่างนี้กันทั้งนั้นทุกคน ไม่อยากทำ แต่ก็ทำ ทำเสร็จแล้ว อยากจะเลิก เข้าไปหาพระเจ้า

เมื่อเราเชื่อในข่าวดี ตัวตนที่แท้จริงของเราข้างใน เราไม่อยาก และไม่ต้องการทำอะไรที่ไม่ใช่ทางของพระเจ้า ไม่ใช่ธรรมชาติของตัวเรา ธรรมชาติตัวเราที่เกิดใหม่ เหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย เป็นวิญญาณแห่งความรัก เป็นอากาเป้ ไม่รู้จักโกรธ เกลียด อิจฉาริษยา ไม่รู้จักเลย เพราะฉะนั้น ร่างกายที่ทำอะไรตรงกันข้าม มันจะทรมาน สู้กันเอง เราไม่อยากทำอะไรที่เป็นตามโลกใบนี้  ซึ่งเรียกว่าความชั่วร้าย ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ตรงกันข้ามกับธรรมชาติที่อยู่ในวิญญาณเรา เราไม่อยากโลภ ไม่อยากโกรธ ไม่อยากโกหก นี่คือสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ให้ทำแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันกระแสของโลกนี้ ที่อยู่รอบข้างเราเต็มไปหมด ก็ผ่านเข้ามา ล่อลวงเรา ผ่านทางเนื้อหนัง วิสัยบาป ถึงเราไม่ได้เป็นทาสมันแล้วนะ แต่เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ตา หู จมูก ลิ้น กายเรายังอยู่ ความคิดเรายังอยู่  มันส่งเข้ามา เราก็มีโอกาสที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้ ถ้าเราไม่ระมัดระวัง ก็ทำเยอะ ถ้าระมัดระวัง ก็ทำน้อยหน่อย มันพยายามจะล่อลวงเราให้ทำตามมัน ตามกระแสของโลกนี้  พยายามหลอกลวงให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า พยายามชักชวนเราให้หลงในทางของโลก มันก็จะต่อสู้กันอย่างนี้ตลอดชีวิตของเรา ซึ่งมันก็ชนะบ้างแพ้บ้าง

ถามว่าคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว  เชื่อในข่าวดีแล้ว ยังคงทำผิด ยังคงทำบาปอยู่ไหม? ทำ แน่นอน แต่ทำไป เพราะมันต้านไม่ไหว แต่ก่อนทำไม่มีต้านเลย แต่ตอนนี้ต้านไม่ไหว บางครั้งมันอ่อนแอเกินไป แต่ตัวตนที่แท้จริงของเรา ไม่ได้อยากทำอย่างนั้นเลย เปาโลจึงบอกว่า …

“โอ๊ย! ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพช”

แต่ต่อด้วยอะไร? “แต่ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าได้รับความรอด โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระเยซูคริสต์”

นึกภาพออกไหม? ข้างในมันรอดแล้ว คนอื่นทำผิดทำบาปแล้ว อาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่พวกเรามันไม่ปกติแล้ว เมื่อมาเชื่อแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับตัวแล้ว เราไม่สามารถทำเหมือนคนที่ไม่เชื่อ คือทำผิดทำบาปเฉยๆ ไม่เดือดร้อนอะไร เป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้เขาทำกัน โลภแบบนี้ก็ธรรมดา โกรธแบบนี้มันธรรมดา แค้นนี้ต้องชำระ ธรรมดา แต่ลูกของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยในตัว และได้เกิดใหม่แล้ว เมื่อพลาดไปแล้ว ถ้าเป็นลูกพระเจ้าจะไม่กลัว ทำบาปไปแล้ว ไม่มีตกนรกแล้ว แต่เราเสียใจ ไม่อยากทำให้พระเจ้าเสียใจ และเราก็ไม่ได้เข้าไปหาพระเจ้า ให้ยกโทษ ไม่มีโทษแล้ว แต่เราเข้าไปหาพระเจ้า ขอพระเจ้าช่วยด้วย ลูกเสียใจ ลูกไม่อยากทำเลย ให้กำลังลูกด้วย แบบนี้มันถูก แล้วมันจะไปดี แต่ถ้าเราไปถึงบอก …

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”

อ้าว! แล้วพระเยซูบอกทำสำเร็จแล้ว แปลว่าอะไร? มันก็แย้งกันอยู่เรื่อยๆ มันไม่จบสักที แล้วเราก็ไม่สามารถบอกลูกหลานและคนต่อๆ ไป ให้รู้จักข่าวประเสริฐ 100% ได้ มันก็จะเอียงๆ

“พ่อ ไหนขออภัยจากพระเจ้าอยู่เลย แล้วไหนพ่อบอกว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว เมื่อวันอีสเตอร์”

ลูกก็จะงง ลูกก็ไปบอกหลานต่อ สรุปแล้ว ไปถึงเหลน ไม่รู้ข่าวประเสริฐ คืออะไร? นับเป็นศาสนาไปแล้วกัน ในที่สุดไปถึงโหลน ก็เลิกเชื่อ  เพราะไม่มีผลเลย เปาโลจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะพูดเรื่องนี้ให้ชัดๆ แล้วต่อว่าอย่างรุนแรงเลย สำหรับคนที่เฉียงออกไป ทำให้ข่าวประเสริฐด้อยลง เวลาเราทำผิดอะไร ก็แค่ …

“พ่อจ๋า ลูกเสียใจ”

นี่แสดงว่าคนนี้เชื่อถูกต้องจริงๆ ว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ข่าวประเสริฐเขารักษาไว้จริงๆ ข่าวดีที่พระเยซูบอก เราทำสำเร็จแล้ว ใช้หนี้บาปเรียบร้อย จบ ไม่มีการมาขอโทษ อภัยบาปอีกแล้ว มีแต่ …

“ลูกเสียใจมากเลย ลูกไม่อยากทำมากเลย ขอประทานสติปัญญาให้กับลูก ที่จะรู้ว่าจะสู้กับมันอย่างไร? จะทำอย่างไร? ด้วยเถิด เอเมน”

แล้วก็หัวเราะต่อไป ไม่ใช่หมกมุนอยู่แต่กับ “ยกโทษให้ลูกด้วยๆ” ไม่ใช่ ถ้าจะอดอาหาร อดอาหาร เพื่อจะชนะกับกิเลสตัณหาตัวนี้ เสียใจกับสิ่งนี้ ลูกจึงอดอาหาร เพื่อจะสู้กับมันตรงนี้ ไม่ใช่อดอาหาร เพื่อพระเจ้าจะได้ยกโทษให้ลูก นี่บาปกี่ครั้งแล้ว ไม่ใช่ นี่เขาเรียกว่าเป้าหมายมันผิดไป การกระทำเหมือนกัน แต่เป้าหมายในใจผิดไป ทำให้ข่าวประเสริฐเสีย แล้วมันไม่ได้ผลเท่าที่ควร

เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งหนึ่งที่เปาโลกอยากให้ข่าวประเสริฐมันชัดเจนอย่างนั้น เราไม่อยากกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เพราะเรากลัวถูกลงโทษ เพราะเรามั่นใจแล้วว่าไม่มีการลงโทษใดๆ เกิดขึ้นกับเราอีกแล้ว เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์

ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู

ถูกหรือเปล่า? ร้องวันนั้น ตกเย็นมา “พระเจ้าช่วยด้วย ขออภัยให้ลูก แล้วลงโทษได้อย่างไร?” ก็ไหนบอกไม่มีแล้วไง ไม่มี ก็ไม่มี “ไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว ท่านแค่เสียใจเท่านั้น” นี่หมายถึงโลกวิญญาณ ที่มีผลต่อการควบคุมของพระเจ้าที่ดูแลเรื่องโลกวิญญาณทั้งหมดเลย แต่ในกฎของโลกวัตถุ มันก็มีของมันนะ ท่านไปตีหัวชาวบ้านเขา พระเจ้าก็ไม่ได้โกรธอะไรท่านหรอก ท่านมาเสียใจ ไปตีหัวเขาแล้ว เผลอไป ไม่ได้ควบคุมสติ แทนที่จะรักเขา เขาก็เรียกตำรวจมาจับท่าน ท่านก็ถูกปรับหรือท่านก็ไปติดคุก ไม่ใช่เดินไปหาตำรวจ …

ดังนั้นไม่มี ที่จะลงโทษใด

เขาก็จับท่านไป นี่ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ มันอีกเยอะ เรื่องจะเป็นอย่างนี้ทั้งหมด ไม่ใช่ท่านไปทำความโลภ

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย ที่ลูกโลภ ไปโกงเขา”

ไม่ต้อง ทำอย่างไร? “พระเจ้าลูกเสียใจ ลูกไม่น่าไปทำอย่างนั้นเลย แทนที่ลูกจะเชื่อในพระองค์ ประทานสติปัญญาให้ลูกในครั้งต่อไป ที่ลูกจะมีความมั่นคงกว่านี้ ที่จะไม่โลภด้วยเถิด”

เดินไปอีกข้างหนึ่ง ตำรวจเดินมา เอาสร้อยข้อมือมาให้ฟรีๆ ท่านก็บอก … “ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าช่วยดูแลลูกด้วย”

พระเจ้าก็ดูแล อาจจะไม่ติดคุก แต่ท่านก็ต้องโดนอะไรบางอย่าง พระเจ้าอาจจะดูแลอะไรบางอย่าง ตามระบบ ระเบียบ กฎของโลกวัตถุที่มันมีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์บอกให้ท่านมีสติ ท่านบอกท่านไม่มีสติ ท่านเดินออกไปชั้น 3 แล้วหล่นตุ๊บลงไป ไม่ต้องหล่นสิ ลูกอธิษฐานสม่ำเสมอเลย ลูกไม่ควรหล่น .. หล่นไหม? หล่น เพราะมันมีกฎอยู่บนโลกใบนี้ กฎแรงดึงดูดของโลก ก็ว่ากันไปตามนั้น แต่ในโลกวิญญาณ ไม่เกี่ยวกันเลย คนละเรื่องกัน ค่อยๆ เรียนรู้ไป เพราะฉะนั้น คำว่า “ไม่ต้องลงโทษใดๆ” คือเรื่องของโลกฝ่ายวิญญาณ คือโทษของความบาป คือความตาย ท่านไม่ต้องรับอีกต่อไปแล้ว โทษที่จะทำให้ท่านหลุดออกไปจากสวรรค์ ท่านไม่ต้องกลัวอีกแล้ว แต่โทษบนโลกใบนี้ ที่มันมีกฎระเบียบของมันอยู่ ท่านก็ต้องรับ เพราะฉะนั้น ใครที่มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังเผชิญกับสงครามทางจิตใจ หรือกำลังต่อสู้อย่างหนักว่าจะเลือกฝั่งไหนดี มันส่งเข้ามา อันนี้ก็ดี อันนั้นก็ดี แต่พระเจ้าบอกอย่า จงดีใจเถิดว่าท่านมาถูกทางแล้ว มันมีการต่อต้านอยู่ข้างในว่าที่เราทำไปนั้นมันโลภ มันไม่ดี เราเอาเปรียบชาวบ้านเขาอยู่เหรือเปล่า อย่างนี้ เป็นสิ่งที่ดี พระวิญญาณกำลังนำพาท่าน เป็นลูกพระเจ้า กล่อมเกลาจิตใจของท่านให้เข้มแข็งและมีกำลังพอที่จะต่อสู้กับสิ่งต่างๆ บนโลกนี้ ที่จะมาล่อลวงให้เราทำตามมัน

นี่คือความหมายของคำว่า “เราต้องทุกข์ร่วมกับพระเยซูคริสต์” ถ้าเราคิดว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว เราได้รับสิทธิ รับมรดกในทางพระเจ้ามากมาย สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นออโต้ คือความทุกข์ยากลำบาก เหมือนเราอยู่ในฝั่งขาว แล้วมันต้องต่อต้านกับฝั่งดำ มันเป็นธรรมชาติ กำลังพูดถึงอย่างนี้ ถ้าท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู พระเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว วิญญาณท่านเปลี่ยนไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความรักแล้ว ท่านอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ต่อต้านกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า มันเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้น ท่านจะเหมือนปลาที่อยู่บนบก แต่ไม่ใช่ตายนะ มันยังมีชีวิตอยู่ แต่มันกระเสือกกระสน มันมีความสุขไหม? เอาปลาช่อนวางไว้บนบก มันดิ้นๆ ไปหาธรรมชาติของเขา ธรรมชาติของเขาต้องอยู่ในน้ำ ธรรมชาติลูกของพระเจ้าจะต้องอยู่ในพระวิญญาณ ต้องอยู่กับความรักของพระเจ้า มันก็ดิ้นเข้าไปหาน้ำ น้ำคือความรักของพระเจ้า มันก็จะดิ้นอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น นี่คือความทุกข์ทรมานของคนที่เชื่อแล้ว จะเป็นอย่างนี้ วันทั้งวันท่านจะเห็นอันนั้นอันนี้ ในใจเขาสู้กันไปสู้กันมา

เพราะฉะนั้น เปาโลจึงบอกว่า “ถ้าข้าพเจ้าเลือกได้นะ ข้าพเจ้าขอเข้าไปอยู่ในน้ำตลอดไป ไม่อยู่แล้วบนบกนี้  ไม่ไหว”

เปาโลก็จะบอกว่า “ถ้าข้าพเจ้าเลือกได้ ข้าพเจ้าขอไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ จากโลกนี้ ไปเลยดีกว่า”

เห็นไหม? เปาโลยังพูดอย่างนี้ แล้วเราจะพูดอย่างไร? “แต่ข้าพเจ้าต้องอยู่ เพราะอยู่เพื่อท่าน พระเจ้าใช้ทำงานต่อ อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ เพื่ออาณาจักรของพระคริสต์จะได้เจริญรุ่งเรือง เพื่อผู้คนในอาณาจักรพระคริสต์จะได้รู้ความจริงมากขึ้น เพื่อผู้คนที่ยังไม่ได้เข้ามาในอาณาจักรนี้ จะได้เริ่มเข้ามาเยอะขึ้น”

อยู่เพื่อพระคริสต์ ก็คือทำงาน แต่ถ้าตาย ก็กำไรมหาศาลเลย สู้ไปดีกว่า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า สบายแล้ว … ถ้าคิดอย่างนี้ได้ มันก็จะรู้วิธีว่าเราควรจะทำตัวอย่างไร? เพราะฉะนั้น ใครที่เผลอไปโมโหใคร? เผลอไปด่าใคร? แล้วกลับมานั่งเสียใจว่าเราไม่น่าทำอะไรเมื่อตะกี้นี้เลย เราไม่ควรตะโกนด่าเขาไปเลย ขณะที่เขาขับรถตัดหน้าเรา เราน่าจะใจเย็นกว่านี้ ขณะที่เขาโกงเราไป เราแค้นเขามาก เราทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เราไม่ควรพูดจาอย่างนี้กับเขาเลย กลับไปเสียใจมาก

นี่คือข่าวดีสำหรับท่าน ท่านทำถูกแล้ว นี่แหละคือความทุกข์ทรมานที่พระคัมภีร์บอกท่านต้องร่วมทุกข์กับพระเยซู นี่ไม่ได้ยกตัวอย่างอย่างอื่นอีก หลายอย่างที่จะต้องฝึกฝน นี่พยายามพูด พยายามหาอะไร? หลายคนก็คงเจอว่ามันมีอะไรหลายอย่างที่มันฝืนกับข้างในมาก ทำไม่ได้ ก็เสียใจ แล้วก็ดีใจเถิดว่าเรามาถูกทางแล้ว มันต้องมีอย่างนี้ขึ้น เราต้องเสียใจ และรู้ในใจดีว่าพระวิญญาณกำลังทำงานในเรา ค่อยๆ ฝึกเราให้ดีขึ้น เสียใจอยู่พักหนึ่ง แล้วจบ เข้ามาหาพระวิญญาณต่อ มั่นคงในความเชื่อ มั่นคงในความรอด มั่นคงในความบริสุทธิ์สะอาดแห่งวิญญาณของเรา มั่นคงในความชอบธรรมที่วิญญาณของเราได้รับ โดยผ่านทางพระเยซูกระทำที่ไม้กางเขน มั่นคงในความเชื่อเหล่านี้ แล้วก็เดินต่อไป ล้มอะไรก็กลับมาใหม่ พระคัมภีร์เดิมจึงได้พูดเป็นเงาไว้ว่าคนชอบธรรมล้มแล้ว เขาจะลุกขึ้นมาใหม่ พระวิญญาณก็จะปลุกเขาให้ลุกขึ้นมาใหม่

เพราะฉะนั้น อยากให้ท่านทั้งหลายตัดสินใจเชื่อในข่าวดี และก็ย้ายสำมะโนครัว ย้ายอาณาจักรจากความมืด สำมะโนครัวจากในอาดัม ซึ่งเต็มไปด้วยความบาป กลับมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระเจ้า มาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ มาร่วมกันครอบครองมรดกในสวรรค์นิรันดร์กาล ร่วมกับผู้ที่เชื่อแล้ว

หน้าที่ของเราผู้ที่เชื่อแล้ว ก็คือเอาข่าวดีนี้ ไปบอกคนอื่นเขา ไม่ต้องทำอะไรเลย ถามไปสวรรค์ต้องทำอะไร? ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ทำให้มนุษย์ทุกคนเข้าสวรรค์ได้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย มารับสิทธิของท่านเท่านั้นเอง ท่านสามารถเป็นลูกของพระเจ้าได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ท่านสามารถเข้ามาเป็นทายาทของพระเจ้า รับมรดกต่างๆ เท่ากับพระเยซูคริสต์เลย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะพระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  พฤษภาคม  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์”  ตอน 4

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้หัวข้อเรื่องนี้นะ “สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์”

“สำเร็จแล้ว” คือแผนการของพระเจ้าที่ช่วยกู้มวลมนุษยชาติ ให้พ้นจากโทษของความบาปและความตาย และถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว โทษของความบาปและความตาย คือการตายในวิญญาณ สำคัญมากๆ คือการไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ตาบอด ไม่เห็นพระเจ้า ในวิญญาณตาบอด กระเด็นจากพระเจ้าไป ออกไปจากสวนเอเดน อยู่คนละขั้วกัน นั่นเขาเรียกว่าโทษของความบาป ความตาย  ดังนั้น “สำเร็จแล้ว” คือบัดนี้ เรากับพระเจ้าคืนดีกันได้แล้ว นี่กำลังพูดถึงมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่ผู้เชื่อเท่านั้น

เมื่อ 2,000 ปีก่อน มวลมนุษยชาติมีตัวแทนผู้หนึ่ง ชื่อ เยซู ชาวนาซาเร็ธ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ได้ไปชำระหนี้ให้กับมวลมนุษยชาติแล้ว ใครเชื่อ ไปใช้สิทธิ์ เขาก็ได้รับสิทธิ์นี้ไปทันที เอเมน อันนี้แถม วันนี้ไม่ได้พูดเรื่องนี้

และสิ่งที่ได้เกิดขึ้น หลังจากสำเร็จแล้ว ก็คืออาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ซึ่งพระคัมภีร์มีเรียกอาณาจักรสวรรค์นี้ว่าอาณาจักรพระคริสต์ หรืออาณาจักรของพระเยซู หรืออาณาจักรแห่งแสงสว่าง ในโรม บทที่ 8 เป็นบทสรุปที่เราได้เรียนแล้วว่าหลังจากแผนการของพระเจ้าได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว หลังจากที่อาณาจักรสวรรค์ หรืออาณาจักรพระคริสต์ได้ถูกตั้งขึ้นบนโลกใบนี้ สำเร็จแล้ว หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น หัวใจสำคัญที่สุด ก็คือ โรม 8:1 ที่บอกว่า … “ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์”  คนที่จะได้อย่างนี้ ต้องเชื่อในข่าวดี แล้วมาต่อที่ข้อ 2 ที่ เป็นการขยายความเหตุและผลว่าทำไมบรรดาผู้ที่ได้ย้ายสำมะโนครัว ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ด้วยความเชื่อ จึงไม่มีการลงโทษใดๆ อีกต่อไป เพราะอะไร? และบรรยายว่าคุณลักษณะหรือตัวตนที่แท้จริง หรือธรรมชาติ หรือเราใช้คำให้ชัดๆ ว่า “สันดาน” ของผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร? แตกต่างจากพวกที่อยู่ในอาณาจักรเดิมอย่างไร?

แล้ววันนี้ เราจะมาต่อกัน ข้อ 11 ซึ่งยังคงเป็นเรื่องเดียวกัน ผลจากความสำเร็จแล้ว พระเยซูบอก ผลจากการตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน แล้วบอกสำเร็จแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว แก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือผู้ที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักพระคริสต์แล้ว ผู้ที่ได้เชื่อแล้ว เกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว โรม 8:11 เราเริ่มต้นเลย

โรม 8:11 “และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย สถิตในท่าน   พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้น โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ผู้สถิตในท่าน”

 

ผมจะไปช้ามากๆ เพราะว่าช่วงประมาณไม่กี่ข้อ เป็นข้อที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่ผมบอกว่าถ้าท่านจะเรียนพระคัมภีร์ จะอ่านพระคัมภีร์ ศึกษาพระคัมภีร์ มองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ถ้าใครไม่มองไปที่นั่นจะไม่มีทางเจอ เพราะฉะนั้น ผมจะไปช้าๆ

“ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซู เป็นขึ้นจากความตาย สถิตในท่าน” “ท่าน” ในที่นี้หมายถึงผู้ที่เชื่อในข่าวดีแล้ว  ย้ายสำมะโนครัว เข้ามาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ที่เรียกว่าสวรรค์แล้ว ซึ่งใครก็ตามที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์แล้ว พระวิญญาณของพระเจ้า ก็จะเข้ามาสถิตอยู่ในตัวของเขา เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเขา มาอยู่ด้วยกันกับวิญญาณของเขา ที่ได้เกิดใหม่ และตรงนี้บอกว่าเมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่านแล้ว พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย  คือพระบิดาผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย จะประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่กับเราผู้เชื่อ จะให้ชีวิตกับกายนี้ด้วย

ส่วนใหญ่จะตีความว่าประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตาย หมายถึงร่างกายใหม่ ที่พระคัมภีร์พูดถึงในหนังสือวิวรณ์ ที่เราต้องคอยรอรับ หลังจากที่พระเจ้าได้สร้างโลกใหม่แล้ว หลังจากที่พระเจ้าได้สำเร็จการงานทั้งหมด พระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่จะคิดอย่างนี้ แต่จริงๆ แล้ว เหตุการณ์ทั้งหมด ที่อาจารย์เปาโลพูดถึงในหนังสือโรม ในขณะนี้ ที่เราเรียน ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น เพราะสำเร็จแล้ว

–  อาณาจักรสวรรค์จึงมาตั้งอยู่แล้ว

–  บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว

–  พระเยซูเอาชนะโทษของความบาปและความตายแล้ว

–  เราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว

–  เราได้นั่งในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาแล้ว

–  พระวิญญาณของพระเจ้าก็สถิตอยู่กับเราแล้ว

–  ตัวเก่าที่เป็นบาปของเราได้ตายแล้ว

–  ตัวใหม่ได้เกิดใหม่แล้ว

“พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย ได้ประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย (แล้ว)”

อันนี้ท่านเริ่มเข้าใจแล้ว ท่านไม่ต้องรอให้ได้ร่างกายใหม่ มันคือร่างกายนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน พระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบิดา ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ให้มาสถิตอยู่กับท่าน พระวิญญาณนี้ก็จะให้ชีวิตแก่ท่านแล้ว ด้วย  มันไปพร้อมกันเลย กายที่ต้องตาย ก็คือร่างกายของเรา ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่วันหนึ่ง จะต้องสิ้นอายุขัย เน่าเปื่อย กลายเป็นดิน แต่วิญญาณเราจะอยู่นิรันดร์กับพระเจ้า ซึ่งคำว่า “นิรันดร์” นี้ ไม่ใช่คนที่เชื่อ คนไม่เชื่อ ก็นิรันดร์เหมือนกัน นรกนิรันดร์ อยู่คนละข้างกับพระเจ้านิรันดร์ ถ้าเป็นผู้เชื่อ รับสิทธิ์เขา อยู่ในสวรรค์ ที่เดิม แล้วที่บอกว่าพระเจ้าได้ประทานชีวิตให้แก่กายของเรา ซึ่งต้องตายด้วย หมายความว่าพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าพระเจ้าจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของท่าน  ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณของท่าน ให้เป็นรูปร่างหน้าตาเก๋ไก๋ บางคนบอก ถ้าให้ชีวิตกับร่างกาย ที่เป็นอยู่นี้  มะเร็งมันควรหายสิ อ้าว! มาแล้ว ตื่นมาหน้าตายังโทรมอยู่เหมือนเดิมเลย ทำไมเป็นอย่างนั้น ลองคิดดู มันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แต่คำว่า “ประทานชีวิตให้แก่กายของท่านที่ต้องตายด้วยแล้ว” ความหมายคือเมื่อท่านได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ในสวรรค์แล้ว วิญญาณของท่าน  ก็จะเป็นเหมือนพระคริสต์ เมื่อวิญญาณของท่าน เข้าสนิทอยู่กับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณท่านมีลักษณะเหมือนพระคริสต์ เป็นวิญญาณแห่งความดีงาม มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเป็นพี่เลี้ยง

พระเจ้าก็จะทำให้ร่างกายของท่าน เป็นเครื่องมือของพระองค์ ที่พระองค์จะใช้ได้ ในการสำแดงพระสิริของพระองค์ สง่าราศีของพระองค์ ความดีงามของพระองค์ ร่างกายที่ตายของท่าน นี่แหละคือชีวิตที่พระเจ้าสัญญาว่าเมื่อพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา พระวิญญาณจะให้ชีวิตของพระเจ้ากับเรา ในร่างกายนี้ ร่างกายที่มันต้องตาย ร่างกายที่ต้องอยู่ 80, 90 ปี ร่างกายที่เคยขี้โกรธ ขี้งอน หลายขี้เลย พระเจ้าจะใช้ให้เป็นประโยชน์เลย โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นพี่เลี้ยง ให้สติปัญญา ค่อยๆ ฝึกฝนเราไป ให้สำแดง ลักษณะความดีงามของพระเจ้า เหมือนถ้อยคำพระเจ้า บอกว่ากายของเรา ก็คืออวัยวะของพระคริสต์ พระเจ้าสามารถใช้เรา เป็นเครื่องมือในการแสดงความรัก ความเมตตาของพระองค์ ทุกอย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถที่จะสำแดงความรักของพระเจ้าออกมาได้ทั้งสิ้น จากวิญญาณของเรา ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์กับเราวิญญาณที่เกิดใหม่ เอเมน สิ่งเหล่านี้ สามารถเป็นเครื่องมือของพระเจ้าที่จะใช้ได้  ในร่างกายนี้ทั้งหมด  มันหมายความว่าอย่างนี้

นี่คือความหมายที่ว่าพระเจ้าประทานชีวิตของพระองค์แก่กายที่ต้องตายของเราด้วย เดี๋ยวนี้ กายนี้ ถึงแม้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า น่าจะต้องตาย แต่พระเจ้ามาใช้ตรงนี้ มีประโยชน์ในทางของพระองค์ ให้มีชีวิตของพระองค์ อยู่ในนี้ ขณะที่ตามองไป ก็มองในสายพระเนตรของพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนี้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเราแล้ว สอนเรามองแบบพระเจ้า คิดแบบพระเจ้า เคยได้ยินเพลงนี้ไหม?

“ฉันเห็นภายในคุณ ราศีของพระเป็นเจ้า”

ชื่อเพลง “ฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า”  เห็นได้อย่างไร? เพราะคุณใช้เครื่องมือต่างๆ ในร่างกายนี้ ทำอะไรหลายอย่าง ฉันเห็นราศีของพระเป็นเจ้า ผ่านทางการกระทำของคุณ  คุณเป็นคนอดทนนาน คุณเป็นคนกระทำคุณให้ เป็นคนไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่ง คุณยอมเขาได้ทุกอย่าง คุณไม่โลภ คุณมีแต่ให้เขา นี่ไง ถามว่าใครเป็นคนทำ? เราเหรอ มีส่วนนิดหนึ่ง แต่ใคร? พระเจ้าถูกครึ่งหนึ่ง ในนี้บอกว่าพระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์เข้ามา เพื่อให้พระวิญญาณนี้ให้ชีวิตกับเรา ชีวิตของพระเจ้า

โรม 8:12-13 “12 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธะต่อวิสัยบาปที่จะต้องดำเนินชีวิตตามนั้น 13 เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่”

 

“เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธะต่อวิสัยบาปที่จะต้องดำเนินชีวิตตามนั้น”

วิสัยบาป ก็คือเนเจอร์ของความบาป สันดานบาป

คำว่า “พันธะ” ตรงนี้ ภาษาเดิม หมายความว่าเหมือนเรามีพันธะต่อแบงค์ เราต้องจ่ายหนี้เขา พูดง่ายๆ พันธะตรงนี้ คือหนี้

ตรงนี้บอกว่าเรายังมีหนี้อยู่ แต่ไม่ใช่หนี้บาป เพราะว่าหนี้บาปได้ถูกชำระไปเสร็จสิ้นหมดแล้ว จ่ายหมดแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อน เพราะฉะนั้น ในนี้บอกว่าหนี้นี้ ไม่ใช่หนี้บาป แต่หนี้ที่เรายังมีอยู่ คือหนี้บุญคุณ หรือหนี้แห่งพระคุณของพระเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อเราไม่ได้เป็นหนี้แห่งบาปแล้ว เราก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของบาปอีกต่อไป ไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป แต่เราเป็นหนี้แห่งพระคุณพระเจ้า เราจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

ข้อ 13 บอกว่า “เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่”

ภาษาเดิมบอกว่า … “เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตอยู่ในบาป เป็นทาสบาปอยู่ ยังอยู่ในอาณาจักรเดิมอยู่ ยังอยู่ในอาดัมอยู่”

ท่านไม่เปลี่ยน ท่านไม่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ท่านยังอยู่ในความบาป ถ้าอยากจะหลุดออกมา ท่านจำเป็นต้องตาย ไม่ใช่ร่างกายตาย แต่วิญญาณท่านต้องตาย ร่วมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน พระเยซูทำให้ท่านแล้ว ถ้าท่านไม่ทำอย่างนั้น ท่านไม่มีวันได้หลุดพ้นจากการเป็นทาสของวิสัยบาปนี้ได้เลย แต่ถ้าท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ท่านได้ประหารการกระทำชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณ ฆ่ามัน โดยเชื่อในพระเจ้า  เชื่อในข่าวดีของพระเยซู พอเชื่อในข่าวดีของพระเยซูปุ๊บ พระองค์จะบัพติศมาเราด้วยไฟ หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไฟ ก็คือสัญลักษณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จเข้ามาชุบเราให้เป็นขึ้นจากความตาย กายอันชั่วร้ายนั้น ก็จะจบไป บาปทำอะไรเราไม่ได้ ตรงนี้ ภาษาพระคัมภีร์เขาใช้คำว่า “เราก็จะตายร่วมกับพระเยซู” และ “ตายต่อบาป” หมายถึงต่อไปนี้ บาปทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว ท่านตายแล้ว เตะท่านก็ไม่ได้  บังคับท่านก็ไม่ได้  เพราะตายแล้ว

ในข้อ 12 อาจารย์เปาโลกำลังกล่าวเตือนไปถึงกลุ่มคนที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว อยู่ในพระคริสต์แล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับตัวแล้ว ที่ยังทำตัวเหมือนกลุ่มที่ยังไม่เชื่อ ยังปฏิบัติตัวเหมือนกลุ่มที่ยังไม่เชื่อ ยังขุ่นเคือง ยังโมโห ยังยกคนนั้นใหญ่ คนนี้ใหญ่ ยังอิจฉาริษยา ยังทำตัวแบบเดิมๆ ยังปล่อยให้ตัวเอง เป็นไปตามกระแสของโลกนี้ เป็นไปตามเชื้อบาปของโลกนี้ ยังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เปาโลกำลังบอกว่าท่านเป็นคนใหม่แล้ว ท่านมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยแล้ว ไม่ได้เป็นหนี้ใครแล้ว ไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป ทำไมไปยอมมันอีกล่ะ เราไม่จำเป็นต้องติดยานี้ตลอดชีวิตของเราได้นะ มาสิ มาหาพระวิญญาณบริสุทธิ์ หาวิธี อธิษฐาน คือเข้ามาปรึกษากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเรา จะบอกเรา จะสู้กับมันเพื่อเรา  เราก็จะได้มีผลของพระวิญญาณออกมา เต็มไปด้วยความรัก ความอดทนนาน ไม่ขี้โกรธ ขี้อิจฉา ความรักของพระเจ้าก็จะขึ้นมาในเรา  มาแทนที่ จะมากหรือน้อยก็ตาม มันหมายถึงอย่างนั้น

แล้วที่บอกว่าถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย ก็คือถ้าท่านยังอยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าสันดานบาป อาณาจักรนรก อาณาจักรความมืด  ท่านต้องเชื่อและต้องตายพร้อมกับพระเยซู คือตายต่อบาป เพื่อท่านจะได้เกิดใหม่ได้ คนที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็คือคนที่ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ และยังไม่ได้เกิดใหม่นั่นเอง และคนเหล่านี้ เมื่อยังไม่เกิดใหม่ เขาอยากเกิดใหม่ เขาจำเป็นต้องไปตายเสียก่อน ถ้าไม่ตาย ก็ไม่เกิดใหม่

สำหรับผู้ที่อยู่ในอาณาจักรพระคริสต์แล้ว ท่านได้ตายต่อบาปไปแล้ว บาปทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว … แล้วตอนนี้ ท่านได้รับชีวิตใหม่แล้ว ท่านมีพระวิญญาณอยู่ด้วยแล้ว เพราะฉะนั้น จงดำเนินชีวิตของท่าน ภายใต้พระวิญญาณเถิด ขอร้อง ไม่ควรดำเนินชีวิตตามการควบคุม หรือเป็นทาสวิสัยบาป อีกต่อไปแล้ว เพราะมันไม่ได้เป็นเจ้านายเราอีกต่อไปแล้ว เพราะหนี้สินต่างๆ เราจ่ายหมดแล้ว เราเป็นอิสระหมดแล้ว ประกาศอิสรภาพสิ อย่าไปยอมมัน มันหมายถึงแค่นี้

ข้อที่ 13 บอกว่า “ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่”

คำว่า “ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน” ตรงนี้หมายถึงการตายร่วมกับพระเยซู พอเราเชื่อในข่าวดีปุ๊บ เราได้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระวิญญาณจะสอนท่านเอง ท่านฟังไปก่อน การตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน คือการประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกาย คือการประหารตัวเก่าของเรา ที่เป็นตัวบาป ฆ่ามันให้ตาย โดยการเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พอเชื่อปุ๊บ ในโลกวิญญาณ เราได้สิทธิ์ทันที ก็คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เราอยู่ตรงนั้นแหละ เราอยู่ในนั้น  เราอยู่ในพระเยซู พอเราเชื่อพระเยซู มันเกิดผลทันทีเลย เราย้อนกลับไป 2,000 ปีก่อน เราได้ตายพร้อมกับพระเยซู

เพราะฉะนั้น พอเราตายพร้อมกับพระเยซูปุ๊บ วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ เราก็จะเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย  การตายร่วมกับพระคริสต์ที่ไม้กางเขน กายเดิมของเราที่อยู่ภายใต้เชื้อบาป เป็นทาสของวิสัยบาป เป็นทาสของสันดานบาป ได้ถูกตรึงตายไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน ที่ไม้กางเขน พร้อมกับพระเยซู ไม่ใช่ตายไปเมื่อตอนที่เรารับเชื่อ เมื่อ 10 ปีก่อน มันเกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีแล้ว แต่เราพึ่งรู้ เราพึ่งใช้สิทธิของเรา

กาลาเทีย 2:20  “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหาก ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า”

 

“ข้าพเจ้าได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว”

“ข้าพเจ้า” คือผู้ที่เชื่อ หมายถึงเปาโล … เปาโลกำลังบอกเขาเชื่อแล้ว เขาถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนที่พระคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เขาก็ถูกตรึงแล้ว “ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป” เราตายไปแล้ว “พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” พระคริสต์ ก็คืออาณาจักรพระคริสต์ที่เราได้เป็นขึ้นมาอยู่ในพระคริสต์ ที่เรามีวิญญาณเหมือนพระคริสต์ “ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ในขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตร” เห็นหรือเปล่า พอเราเชื่อในพระบุตร เราก็ได้สิทธิ เราที่ทำมาแล้วเมื่อ 2,000 ปี ที่เปาโลพูดนี้ แค่หลายสิบปีเท่านั้นเอง มาอีกข้อหนึ่ง โรม 6:6 ในพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่งเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซู จะใช้ Tense นี้ทั้งหมด ใช้คำว่า “ได้” และ “แล้ว”

โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาป อีกต่อไปแล้ว”

 

ท่านจะยิ่งชัดขึ้น เมื่อเติมคำว่า “แล้ว”

“เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว” เมื่อ 2,000 ปีแล้ว “เพื่อกายบาป” ตัวที่ตายไป มันเป็นตัวบาป “จะได้ถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสของมันอีกต่อไปแล้ว” เราไม่เป็นทาสมันแล้ว

ถ้าเป็นเช่นนั้น คนที่ยังไม่ได้เชื่อในข่าวดี เหมือนกับเรา เขาก็เป็นทาสของความบาป ต้องใช้หนี้อีกต่อไปหรือไม่? ตอบ  “ไม่”  ภาพมันเป็นอย่างนี้ เขาไม่ได้เป็นแล้ว แต่ที่เขายังไม่รู้ เพราะว่าเขาถูก god of this world ก็คือผู้ควบคุมระบบเสียหายของโลกนี้ มันปิดบังตาเขาไว้ เขาไม่เห็น ถ้าเขาเห็น เขาจะรับแน่นอน เหมือนอย่างเราทั้งหลายที่เห็นแล้ว เราจะมองคนที่ไม่เชื่ออีกสภาพหนึ่ง ไม่มีอะไรเลย พระเยซูจึงบอกว่า The truth has make you free อะไรทำให้ท่านเป็นอิสระ พระเยซูไม่ได้บอกว่าพระองค์ได้ทำให้เราเป็นอิสระ พระองค์บอกว่าความจริง เพราะพระเยซูทำเสร็จไปแล้ว ไม่ต้องพึ่งพระเยซูแล้วตอนนี้ พึ่งความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พอรู้สิทธิ์ ก็จบแล้ว พระเยซูไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมเลย  พระองค์ไม่ต้องมาตายอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ไม่ต้องถูกเขาทรมานอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต้องเลย พระองค์ไม่ต้องรีบมาช่วยเราชำระบาป เพราะชำระให้หมดเลยมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะมีอีกเท่าไร? อีกพัน อีกหมื่นล้านคน ถูกไหม?

สิ่งที่เราต้องพึ่ง คือความจริง … ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงทำให้มนุษย์เป็นอิสระ เขาเป็นอิสระแล้ว เขาถูกหลอก มารจึงมีชื่อหนึ่งในขณะนี้ว่าไอ้ตัวหลอกลวง มันหลอกตลอด เพื่อไม่ให้คนไปรับสิทธิของเขาที่ตัวแทนของมนุษยชาติผู้หนึ่ง ได้มาทำให้มันสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ผู้นี้มีชื่อว่า “เยซูคริสต์” เขาได้สร้างอาณาจักรหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า “สวรรค์” แล้ว แล้วก็พามนุษย์ทั้งหมดทั้งมวล เข้ามาหาพระองค์ ย้ายมาจนหมดแล้ว ไม่มีอะไรย้ายมาแล้ว แต่ถ้าคนนั้นไม่เชื่อในสิทธิของเขา เขาไม่รับ เขาก็ไม่ยอมมา แค่นั้นเอง แล้วถ้าเขาเข้ามา เขาต้องไปสู้กับมารไหม? ไม่ต้อง เดินเข้ามาเฉยๆ ไม่มีอะไรเลย อาวุธอย่างเดียวของมาร ก็คือการหลอกลวง ปิดบัง ไม่ให้เขาคนนั้น รู้ความจริง เพราะความจริงจะทำให้เขาเป็นอิสระ แค่นั้นเอง  ข่าวดีของพระเจ้าจึงจะแถไปแถมา ไม่ได้พูดเจาะตรงนี้เลย เพราะว่ามันถูกมารล่อลวงหลายอย่างหลายประการ ก็คือเกือบดี จะให้เป็นสีขาว มันก็ทำให้เป็นสีเทาๆ อะไรประมาณนี้ ผู้คนก็เลยไม่เข้าใจ ทำไมมันรับยากรับเย็น จริงๆ มันไม่มีอะไร? รับง่ายมาก แต่ฟังแล้วดูเหมือนยาก เพราะเราถูกหลอกมาเยอะ พอโผล่มาได้ทีหนึ่ง เหนื่อยๆ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำ สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูทุกวันนี้ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า สถิตในสวรรค์สถาน ไม่ได้ยืนอยู่ ถ้ายืนอยู่ แปลว่าต้องทำอะไรสำเร็จแล้ว นั่งอยู่เท่านั้น แล้วก็มอง คอยลุ้น …

“เชื่อทีสิๆ เชื่อหน่อย เชื่อมารอีกแล้ว ง่ายขนาดนี้ เอาหน่อยน่า”

ลุ้นมากเลย พอคนหนึ่งรับเชื่อ ดีใจทั้งสวรรค์หมดเลย โคโลสี 2:12 ซ้ำไปที่เดิมอีกจะได้จำแม่นๆ นึกในใจนะ ใส่คำว่า “ได้” เข้าไปในใจ ใส่คำว่า “แล้ว” เข้าไปในใจ หรือจะตะโกนออกมาก็ได้

โคโลสี 2:12  “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย”

 

“ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา” นึกถึงลงน้ำใช่ไหม? ยอห์น บัพติศโต ผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ตอนที่พระเยซูบังเกิดเป็นมนุษย์ และทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน ได้เผยพระวจนะไว้ว่าพระเจ้าให้เขามา เพื่อเตรียมงานไว้สำหรับพระเยซู โดยหลักการของเขา คือกำลังบอกว่าถึงเวลาแล้ว ที่คนเขารอมาตั้งนาน ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ หลายพันปีก่อนที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะส่งมาซีฮาห์และได้มาเกิดแล้ว อีกไม่นานจบแล้ว ให้เขาเตรียมใจของคนในชาติหรือ มนุษย์ตอนนั้น ให้เป็นเงา เหมือนกับที่โมเสสสร้างวิหารที่ทำด้วยมือ คือพลับพลา ซึ่งเล็งถึงสวรรค์ของพระเจ้าในโลกวิญญาณ ที่จะมาบังเกิดขึ้น  ตอนที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และมาถึงวันเพ็นเตคอส มันคือเงา

คนที่เชื่อในพระเจ้า สมัยก่อน เขาต้องเชื่อในผู้เผยพระวจนะ งานรับใช้ของยอห์น ก็คือให้บอกคนที่เชื่อในพระเจ้าว่าพระเจ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ เป็นข่าวดี คนที่กลับใจว่าจะเชื่อพระเจ้า จะรักพระเจ้า จะไม่ดำเนินตามทางของโลกนี้แล้ว อยากจะชำระบาป ให้มาหายอห์น บัพติศโตจะจุ่มเขาลงไปในน้ำ เป็นการประกาศว่ากลับใจใหม่ เป็นการสำแดงออกว่ากลับใจใหม่ มีคนไปถามยอห์นว่าเขาคือพระคริสต์ใช่ไหม?  ยอห์นตอบว่าที่เขารอคอยมาแล้ว คนๆ นี้จะไม่มาทำอย่างนี้แล้วนะ ที่ฉันทำเป็นเงาให้ดู แต่คนที่มาใหม่ คือพระเยซู เขาจะมาบัพติศมาท่านด้วยไฟ ก็คือโดยเดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วมันก็เป็นจริงตามนั้น

ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในบัพติศมา พอเราอ่านอย่างนี้ เราไม่เข้าใจ เรานึกว่าบัพติศมา เป็นภาษา เท่ห์ คงเป็นภาษาศาสนา อะไรบางอย่างที่มันลึกซึ้ง ไม่มีอะไรเลย ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีจุ่มลงไปในน้ำ หรือจุ่มลงไปในอะไรก็ได้ ไม่ใช่ในน้ำอย่างเดียว ยอห์น บัพติศโตใช้น้ำ เพื่อเล็งให้เห็นถึงน้ำ คือพระวิญญาณ บัพติศมาจริงๆ แปลว่าจุ่มลงไปเฉยๆ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันเฉยๆ รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันเฉยๆ อากาศกับอากาศเข้ากันได้ น้ำกับน้ำ ก็เข้ากันได้ น้ำมันกับน้ำมันเข้าได้ น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้ อะไรอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา ก็หมายความว่าเมื่อท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ท่านได้ถูกฝังไว้กับพระเยซู ก็คือตาย ในพิธีบัพติศมา คือตอนที่พระวิญญาณจุ่มท่านลงไปในโลกฝ่ายวิญญาณ ให้ท่านได้เกิดใหม่ ก่อนเกิดใหม่ ท่านก็ต้องตาย ตัวเก่าท่านตาย วิญญาณท่านตายหมดเลย ปิ๊งขึ้นมาเกิดใหม่ สัญลักษณ์ที่ยอห์น บัพติศโตทำ ก็คือจับคนกดลงไปในน้ำ พอขึ้นมาจากน้ำ ถือว่าเกิดใหม่ เล็งให้เห็นถึงสิ่งที่พระเยซูกำลังจะมาทำ อีกไม่กี่วันข้างหน้านั่นเอง

ต่อไปบอก “และทำให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์” “กับพระองค์” ท่านตายไปพร้อมกับพระเยซู แล้วท่านก็เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู เมื่อ 2,000 ปี

“และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อในข่าวดี” พอท่านเชื่อข่าวดีปุ๊บ โดดลงไป 2,000 ปีเลย ใครก็ตามวันนี้ ที่ยังไม่เชื่อ พอเชื่อในข่าวดีปุ๊บ เขาโดด ไทม์แมชีนวิ่งไปที่ 2,000 ปีที่แล้ว เขาตายกับพระเยซู ไปพร้อมกับพระเยซูเมื่อวันศุกร์ ตอนบ่ายสามโมง และเขาเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูเมื่อวันอาทิตย์ทันที รับปุ๊บ เป็นแพตเกจ ผ่านทางความเชื่อในสิทธิของเขา ที่พระเยซูทำให้กับเขา เป็นข่าวดี ในนี้บอกว่าผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย คือเชื่อมั่นเลยว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ดังนั้นสิ่งที่พระเยซูพูดที่ไม้กางเขน ที่บอกว่าสำเร็จแล้ว จ่ายหมดแล้ว มันจริงๆ สวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว ฉันเชื่อแล้ว ทันทีทันใด ไทม์แมชีนวิ่ง ชีวิตท่านวิ่งไปที่อดีต 2,000 ปีที่แล้ว

กลับมาถึงปัจจุบัน  ท่านก็เป็นอย่างที่เขาบอกในพระคัมภีร์ว่าวิญญาณท่านใหม่เอี่ยมเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์หมดจดไร้ที่ติ มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซู คิดเหมือนพระเยซูเลย แต่ว่ายังอยู่บนโลกนี้อยู่ ยังมีปัญหาอยู่ จริงๆ จบงานแล้วล่ะ เอาวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เอาความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว ไปอยู่สวรรค์เลย จริงๆ ไปอยู่สวรรค์แล้ว ไม่ต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถามว่าทำไมไม่ให้เรากลับไป เพราะต้องใช้งานเราไง เหมือนที่เปาโลบอก ข้าพเจ้าอยู่ ก็เพื่อพระคริสต์ รับใช้ไป  แต่ถ้าตาย ก็ได้กำไร ไปดีกว่าเยอะ แต่จำเป็นต้องอยู่ เพื่อท่านทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งเราด้วย เปาโลบอก เพื่อท่านทั้งหลาย ถ้าผมไป ใครจะมาพูดล่ะ พระเจ้าก็ใช้ผม ซึ่งเป็นคนชอบศึกษา ชอบค้นคว้า ผมก็ไปค้น ถามว่าใครทำ พระเจ้าทำหมด ผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย  ใครมีอะไรก็ทำ ในส่วนของเรา ถ้าตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่

ถ้าเราเชื่อในข่าวดีนี้แล้ว บังเกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราความคิดจิตใจเราอยู่กับพระเจ้าแล้ว แล้วเรายังอยู่บนโลกใบนี้ ยังหายใจอยู่ ตราบนั้น พระเจ้ามีงานใช้เราแน่นอน เพราะถ้าไม่มี พระองค์เอากลับไปแล้ว

เมื่อเรายังอยู่บนโลกนี้ ในโรม บทที่ 12 ข้อ 1 จึงบอกอย่างนี้ เมื่อฟังมาอย่างนี้ พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าขอร้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณพระเจ้า ให้ท่านทั้งหลาย เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ก็คือให้มาจดจ่ออยู่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในตัวเรา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะค่อยๆ เตือนเรา ปลอบใจ ปลอบโยนเรา ไม้อ้อซ้ำแล้ว พระองค์ก็จะไม่หัก ไม่ทำลาย ไม่ใช่จะตีสอน จะทำโน่นนี่ ไม่ใช่ เป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา ลูกเอ่ย อย่างนี้ไม่ดีๆ ค่อยๆ ทีละนิดๆ แล้วก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า

นี่เป็นภาพของพระคุณ ของข่าวประเสริฐ ของข่าวดีของพระเจ้า  ซึ่งเป็นข่าวดีแท้ๆ 100% แล้วถ้าท่านรู้อย่างนี้แล้ว พอท่านไปอ่านเองต่อไปในหนังสือโรม บทที่ 8 ท่านจะเห็นชัดเลย ไล่ต่อไปเรื่อยๆ เปาโลกำลังจะให้เห็นชัดๆ ถ้ามาเชื่อแล้ว มาอยู่ที่ไหน? ถ้าไม่เชื่อ มาอยู่ที่ไหน? ถ้าเชื่อในข่าวประเสริฐ ถ้าไม่เชื่อ แล้วเป็นอย่างไร? ถ้าเชื่อแล้ว ก็ไม่ควรที่จะไปทำเหมือนคนไม่เชื่อ เราไม่จำเป็นต้องไปทำอย่างนั้นแล้ว แต่ถ้าทำ มันก็เป็นโทษสำหรับชีวิตของเรา วิญญาณเราได้รับความรอด มันก็จะรอด เหมือนรอดในไฟ มันทุกข์ทรมาน ก็บอกแล้วอย่าทำ อย่าโลภ โลภแล้วเจ็บตัว ก็บอกแล้วอย่ากิน เตือนตั้งหลายครั้งแล้ว อย่ากินๆ กิน แล้วเป็นมะเร็ง เดี๋ยวก็จะมาโอดครวญกับพระเจ้า ก็บอกอย่ากินไง แต่ไม่ฟัง ปากอยาก ลิ้นไปแตะ อดไม่ไหว น้ำตาล แป้ง ไปกิน แล้วผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หนึ่งในนั้น คือรู้จักบังคับตนเอง ผมไม่ได้พูด ไม่ได้บังคับนะ แต่ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อันหนึ่ง คือเราสามารถบังคับตัวเองได้ อ้วนไป ก็กินให้มันน้อยหน่อยสิ เข้าใจไหม? แล้วมันไม่ได้สำคัญอะไร? ต่อให้ไม่เชื่อพระวิญญาณ รับโทษไป มันทุกข์ทรมาน  เป็นโรค เป็นอะไร? ก็ทุกข์ทรมานไป แต่วิญญาณเขาก็ไปสู่สวรรค์เหมือนเดิม มันคนละเรื่องกัน แต่มันไม่ถวายเกียรติต่อพระเจ้าเท่าที่ควร แล้วถามว่ามีคนทำได้ 100% ไหม? ไม่มีครับ ไม่มีทำถูกต้องตามพระวิญญาณหมด  100% ทุกอย่างดีหมดเลย เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าร่างกายมันอ่อนแอ พระเจ้าจึงส่งพระบุตรของพระองค์มาทำ แล้วไม่ใช่เพราะพระเยซูทำให้ แล้วเราก็เลิกทำเลย ต่อไปนี้ ฉันจะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง อะไรที่เป็นประโยชน์ก็ทำไป อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ก็อย่าไปทำ  อะไรที่เป็นการเสริมสร้าง ก็ทำไป อะไรที่ไม่เสริมสร้าง ก็อย่าทำ จบ ทำ ก็เดือดร้อนคุณเองแหละ มันเห็นชัดๆ เลย ไม่มีอะไร ที่ยกตัวอย่างนี้ มันเห็นชัดสุด มองเห็น เพราะเป็นวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ เรื่องการกิน

สูบบุหรี่ดีไหม? เป็นบาปไหม? กินเหล้าดีไหม? เป็นบาปไหม? เห็นไหม? พระวิญญาณสอนไหม อย่ากินเลย กินนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไร อย่ากินจนเมา พระวิญญาณสอนไหม คนนี้ต้องเลิกเหล้าแล้ว ตอนมาเริ่มเชื่อนั้น กินไปเยอะแล้ว ตับมันจะแข็งอยู่แล้ว แล้วพระวิญญาณจะอยู่เฉยๆ เหรอ ตับแข็ง พระวิญญาณพยายามที่จะกล่อมเกลา ให้ความรู้กับเขา ไม่ใช่พระวิญญาณเข้ามาตบ หยุด ไม่ใช่ ค่อยๆ นะ วิธีใด …

ยกตัวอย่าง เขามาโบสถ์ เขาอาจจะฟังเทศนา คนเขาเทศนาเรื่องสำเร็จแล้ว ฟังไปฟังมาได้อยู่คำเดียวเองว่าให้เลิกเหล้า ขับรถออกไป ไปเจอรถเมล์ ข้างหลังเขาเขียนว่า “เลิกเหล้าดีกว่า” พระวิญญาณบริสุทธิ์จะใช้วิธีนี้ กลับไปเล่นเปิดเฟสบุ๊คจะชวนเพื่อนไปกินเหล้า เปิดมาหน้าแรก เขียนว่า “ให้เหล้าเท่ากับแช่ง” บ่อยๆ ชักจะเริ่มสำนึกได้ พระวิญญาณจะทำอย่างนี้

เรื่องอื่นๆ อีกมากมาย เต็มไปหมด ถามว่าพระวิญญาณทำงานเต็ม 24 ชั่วโมงไหม? เต็มตลอด แต่เราก็ดื้อตลอด เพราะเป็นธรรมชาติบนโลกใบนี้ มันทารุณ พระเยซูจึงบอกว่ามันต้องทุกข์ยากลำบาก เมื่ออยู่บนโลกใบนี้ เพราะว่ามันคนละขั้วกัน ขั้วที่เราเกิดใหม่แล้ว เราไม่อยากจะทำอย่างนั้นอีกแล้ว แต่ขั้วในโลกใบนี้ ที่เรายังอยู่ มันพยายามดึงใจเราให้พยายามทำสิ่งที่เหมือนเดิม มันเลยตีกันไง เดินอยู่บนโลกนี้ ที่มันตีกันกับวิญญาณของเราข้างใน สนุกไหมล่ะ เปาโลจึงบอกไม่สนุกเลย อยากกลับบ้านไปหาพระเจ้าดีกว่า มันเหนื่อยเหลือเกิน คนอื่นไม่รู้จักพระเจ้ายังสบายกว่าเลย แม้เขาทำอะไรไม่ดี เขาก็ไม่รู้สึกฟ้องผิดมากมายนัก แต่เราทำนิดหนึ่ง ก็โห้ พระเจ้าอภัยสิ เพราะข้างในเราไม่อยากทำไง นี่คือความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เราค่อยๆ ฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป แล้วก็ค่อยๆ ไปทีละนิดทีละหน่อย ได้เท่าไร ก็เอาเท่านั้น ก็ว่ากันไป อดทน จนถึงวันที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่ามันจบ ก็คือเรากลับไปอยู่ในโลกวิญญาณ หรือไม่พระเยซูก็กลับมาใหม่ ก็คือโลกใบนี้จบแล้ว อันใดอันหนึ่ง เกิดขึ้น เราก็รอถึงวันนั้นแล้วกัน  วันที่จบ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่จบดีแน่นอน เพราะเรามีความหวัง 100%

เปาโลจึงพูดไว้ในหนังสือฟีลิปปี 1:6 บอกว่า “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในพวกท่านทั้งหลาย เชื่อแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ เป็นไปตามน้ำพระทัย จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์ คือมันสำเร็จไปแล้ว”

            ปล่อยไปตามน้ำ คือพูดง่ายๆ ข้าพเจ้ามั่นใจเลย ยังไง พระเจ้าก็พาท่านไปรอด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง เบาหวาน เป็นอะไรก็แล้วแต่ ไปรอดแน่ แต่ถ้าท่านเงี่ยหูฟังมากๆ ท่านก็ทุกข์น้อยหน่อย ถ้าท่านควบคุม มีการบังคับตนเองเยอะๆ ท่านก็ทุกข์น้อยหน่อย ถ้าท่านมุ่งไปทางพระวิญญาณบริสุทธิ์เยอะๆ ท่านก็ทุกข์น้อยหน่อย แต่จำไว้ ไม่มีใครทำได้ 100%  เพียงแต่ทุกข์น้อย หรือทุกข์เยอะ ถ้าท่านโลภ ท่านก็ทุกข์มากหน่อย ถ้าท่านกินไม่เป็นเรื่องเป็นราว ท่านก็ทุกข์มากขึ้น เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … ไม่มีโทษแห่งความบาปอีกแล้ว” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  เมษายน  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … ไม่มีโทษแห่งความบาปอีกแล้ว”  ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ชื่อเรื่อง “สำเร็จแล้ว … ไม่มีโทษแห่งความบาปอีกแล้ว” วันนี้เราจะมาดูกันต่อในหนังสือโรม บทที่ 8 ซึ่งเป็นเรื่องต่อจากวันอีสเตอร์ สัปดาห์ที่แล้วว่าในวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากที่พระเยซูได้ตรัสคำว่า “สำเร็จแล้ว” ก่อนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับบรรดาผู้ที่เชื่อในข่าวดี ที่พระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว”

คำว่า “สำเร็จแล้ว” คือคำสุดท้ายที่พระเยซูประกาศบนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์ แต่เป็นการเริ่มต้นประกาศข่าวดีของพระองค์ว่าแผนการของพระเจ้า ในการช่วยกู้มนุษย์ให้รอดพ้นจากโทษของความบาปและความตายนั้น ได้วางมาตั้งแต่นมนาน บัดนี้ได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว พระคัมภีร์ทั้งเล่มสำเร็จแล้ว สิ่งที่พระเยซูได้เคยเทศนา หรือได้ประกาศไว้ ในขณะที่ยังคงสภาพของการเป็นมนุษย์อยู่ในขณะนั้น คือยังไม่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูตระเวนสั่งสอนเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ คำอุปมา คำเทศนา ทั้งหมด ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ … อาณาจักรสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ พระเจ้ามีน้ำพระทัยในอาณาจักรสวรรค์อย่างไร? มนุษย์จะเข้าในอาณาจักรสวรรค์ได้อย่างไร? พระองค์สอนแค่นี้ จนไปสุด 3 ปีที่โกละโกธาที่ไม้กางเขน พระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือสวรรค์ ที่บอกกำลังมา ก็มาแล้ว

สรุปคำว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือแผนการของพระเจ้าทั้งหมด ได้สำเร็จแล้ว อาณาจักรสวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้ 2,000 ปีแล้ว และอาณาจักรสวรรค์บนโลกนี้มีชื่อว่า “อาณาจักรพระเยซูคริสต์” หรือ “อาณาจักรพระคริสต์” นั่นเอง เพราะฉะนั้น คำว่าในพระคริสต์ ก็คือในสวรรค์ อาณาจักรพระคริสต์ ก็คืออาณาจักรสวรรค์

พระเจ้าได้ตั้งอาณาจักรสวรรค์บนโลกนี้สำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” ตอนที่พูด เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ ก่อนพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์นั้น ภาษากรีกใช้คำว่า “Tetelestai” แปลว่า “จ่ายหมดแล้ว” สำเร็จแล้ว ก็คือจ่ายหมดแล้ว โดยผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ คือการตายของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน อาณาจักรสวรรค์นี้ จึงมีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ เพราะพระเยซูคริสต์เป็นคนจ่าย เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่ผู้จ่าย คือพระเยซู จึงใช้ชื่ออาณาจักรนี้ว่าอาณาจักรพระคริสต์

คือก่อนที่แผนการของพระเจ้า ที่วางไว้ทั้งหมดตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม จนกระทั่งถึงหมดทั้งเล่ม จะถูกกระทำให้สำเร็จ โลกวิญญาณในตอนนั้น เคยมีเพียงอาณาจักรเดียว ซึ่งในพระคัมภีร์ใช้ชื่อว่า “อาณาจักรแห่งความมืด” ซึ่งบางทีใช้คำว่า “อาณาจักรแห่งความบาปและความสาปแช่ง” ซึ่งรวมๆ พระคัมภีร์ใหม่ใช้คำว่า “อาณาจักรอาดัม” หรือในอาดัม ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับในพระคริสต์ แต่พอพระเยซูบอกสำเร็จแล้ว อาณาจักรสวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว โลกวิญญาณก็เพิ่มมาอีกหนึ่งอาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ซึ่งบางครั้งก็ใช้คำว่า “อาณาจักรสวรรค์” “อาณาจักรพระคริสต์” รวมๆ กันเรียกว่าอาณาจักรพระคริสต์ หรือในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น 2,000 ปีที่ผ่านมานั้น จนถึงทุกวันนี้ โลกวิญญาณมี 2 อาณาจักร

หนังสือโรม บทที่ 8 ที่เราได้เรียนกันสัปดาห์ที่แล้ว ก็เป็นบทสรุปว่าหลังจากที่แผนการพระเจ้าได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว หลังจากที่อาณาจักรสวรรค์หรืออาณาจักรพระคริสต์ได้ถูกตั้งบนโลกใบนี้สำเร็จแล้ว หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น เราทบทวนกันนิดหนึ่ง โรม 8:1-5

โรม 8:1-5 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระจาก  กฎแห่งบาปและความตาย 3 เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เอง มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทำเช่นนี้ พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาป ในมนุษย์ที่เป็นคนบาป 4 เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วน ในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ 5 ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”

 

การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นผลให้เกิดการตั้งอาณาจักรสวรรค์บนแผ่นดินโลกนี้ เรียกว่า “อาณาจักรสวรรค์” สำเร็จแล้วด้วย ตามแผนการของพระเจ้าที่ได้ตั้งไว้ว่าวันนั้น วันนี้จะมีการตั้งอาณาจักรหนึ่งขึ้นมาบนโลกใบนี้ อาณาจักรนั้นตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เป็นอาณาจักรที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์ เรียกว่าอาณาจักรโลกวิญญาณ คืออาณาจักรสวรรค์ พระเจ้ากับมนุษย์จะมาอยู่ด้วยกัน ตามแผนการที่พระเจ้าได้ตั้งไว้ และสัญญาไว้ตั้งแต่นมแต่นาน แต่อ้อนแต่ออกแล้วว่าพระเจ้าจะทำอย่างนี้ มันเกิดขึ้นเมื่อสำเร็จแล้ว “จ่ายหนี้หมดแล้ว” พระเยซูได้จ่าย … จ่ายในนามของมวลมนุษยชาติ พอจ่ายหนี้หมด ก็มีครอบครัวมนุษย์เกิดขึ้น 1 ครอบครัว เรียกว่า “ครอบครัวพระคริสต์” ซึ่งไม่มีหนี้แล้ว

ซึ่งอาณาจักรสวรรค์ที่ว่านี้ เป็นอาณาจักรสวรรค์ทางโลกวิญญาณ ตามองไม่เห็น มือจับต้องไม่ได้ แต่ใช้ความเชื่อ ความรู้ทางวิญญาณของเราว่ามันมีอยู่ เรียกว่าพร ที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ซึ่งอาณาจักรสวรรค์ทางโลกวิญญาณนี้ ที่ทำให้วิญญาณมนุษย์สามารถที่จะอยู่กับพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ได้ในฐานะเป็นบุตรของพระองค์ ไม่ต้องรอให้ตายนะ 2,000 ปีที่ผ่านมา สวรรค์ตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว มนุษย์สามารถเข้าไปอยู่กับพระเจ้า ติดต่อพระเจ้าได้เรียบร้อยแล้ว เพราะจ่ายหนี้บาปหมดแล้ว มีข้อแม้ว่าต้องอยู่ในสำมะโนครัวที่ 2 ซึ่งมีหัวหน้า ชื่อพระเยซูคริสต์

ในโรม บทที่ 8 เปาโลได้แยกแยะให้เราเห็นความแตกต่าง ระหว่างผู้ที่ยังอยู่อาศัยในอาณาจักรเดิม ที่ยังเป็นหนี้อยู่ กับผู้ที่ได้ย้ายออกมาสู่อาณาจักรใหม่ สู่สำมะโนครัวใหม่ ซึ่งจ่ายหนี้หมดแล้วว่ามันแตกต่างกันอย่างไร? คนที่ยังมีหนี้อยู่ ก็ต้องใช้หนี้ต่อไป

ในข้อที่ 1 ผลเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ คือไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ก็แสดงว่าผู้ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ก็ยังมีโทษอยู่ พูดง่ายๆ ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะไม่มีหนี้สินแล้ว

ในข้อ 2 บอกว่า “เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ได้ปลดปล่อยให้ผู้นั้นเป็นอิสระจากกฎของความบาป และความตาย” เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ก็ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยหลุดพ้นออกจากความบาปและความตาย ก็คือต้องรับโทษอยู่เหมือนเดิม เพราะว่าคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ มีกฎแห่งวิญญาณว่าเขาได้เกิดใหม่แล้ว เขาได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสรภาพแล้ว เพราะกฎของวิญญาณได้บอกแล้วว่าหนี้สินที่มนุษย์ติดหนี้ไว้ ตั้งเยอะแยะมากมาย ตั้งแต่บรรพบุรุษมานั้น พระเยซูคริสต์ได้จ่ายหมดเรียบร้อยไปแล้ว หนี้มองไม่เห็น เพราะไม่เห็นนั่นแหละ เขาถึงเรียกว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต

กฎแห่งวิญญาณ คือกฎที่มองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ และถ้าใครเชื่อ ก็ได้รับตามนั้น เพราะวิญญาณเขาไม่ต้องใช้หนี้ ก็เป็นอิสระ

ข้อที่ 3 บอกว่าเพราะว่ามนุษย์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พระเจ้าจึงส่งพระบุตรมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นี่คือข่าวดี ซึ่งใครเชื่อข่าวดีนี้ ก็ได้รับความรอด ไม่ต้องพึ่งการกระทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ใครที่ยังไม่เชื่อ ก็ยังไม่ได้รับ ก็อยู่ที่เดิม

ข้อ 3 หมายถึงตรงนี้ มนุษย์ไม่สามารถใช้หนี้ของมนุษย์เองได้ เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เป็นคนบาป ติดหนี้เขา จะไปใช้หนี้เขาได้อย่างไร? ต้องมหาเศรษฐีจึงจะใช้หนี้ได้ พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้อยู่ในตระกูลเป็นคนบาป ไม่ได้ติดหนี้ใคร มาในฐานะร่ำรวยมากเลย ก็เลยสามารถมีตังค์ มาใช้หนี้ให้เลย หนี้ของมนุษย์จริงๆ ถูกใช้ไปหมดเรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมทุกวันนี้ไม่หมด เพราะคนที่ได้รับการชำระหนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เขาไม่เชื่อ

“เกิดมาต้องใช้เวรใช้กรรมเป็นเรื่องธรรมดา จะมีใครมาชดใช้แทนเราได้”

ก็คิดแบบนี้ เหมือนกับเราเป็นหนี้เขาสักห้าล้านบาท เยอะมาก ไม่มีวันใช้หมดอยู่แล้ว ตายก็ไม่หมด  ได้เงินวันละ 150, 300 บาท ไม่มีทางใช้หมด มีอยู่วันหนึ่ง มีคนข้างบ้าน เขามาถึงบอกว่าห้าล้านบาทใช้ให้หมดเรียบร้อยแล้ว

“ใครจะมาช่วยเรา อยู่ข้างบ้าน ไม่มีอะไรสัมพันธ์กันมากมาย พวกเราใช้หนี้กันต่อไปเถอะ”

พอไม่เชื่อ ก็มีค่าเท่ากับเป็นหนี้เหมือนเดิม ใช้ชีวิตเหมือนเดิม

ข้อที่ 4 พูดถึงความแตกต่างของผู้ที่อาศัยอยู่ใน 2 อาณาจักรนี้ว่าลักษณะชีวิต คุณภาพมันแตกต่างกันอย่างไร? ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ กำลังบอกถึงธรรมชาติสันดานของทั้งสองอาณาจักรนี้ อยู่ในอาณาจักรนี้สันดานเป็นอย่างไร? อยู่ในอาณาจักรนั้นสันดานเป็นอย่างไร?

ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็คืออยู่ในสวรรค์ก็จะมีสันดาน วิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นความรัก เป็นความสัตย์ซื่อ มีเมตตา

ผู้ที่อยู่ในอาดัม อยู่ตรงข้าม ก็จะมีสันดานทางวิญญาณ มีลักษณะที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับทางพระเจ้า ถ้าพระเจ้าเป็นความรัก เขาก็เป็นความเกลียดชัง ถ้าพระเจ้าสัตย์ซื่อ เขาก็เป็นคนคดโกง โกหก ถ้าพระเจ้ามีเมตตา เขาก็เป็นคนโหดร้ายทารุณ

มาถึงข้อ 5 อธิบายเพิ่มเติมว่าธรรมชาติของผู้เชื่อ ซึ่งอยู่กับพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์แล้วก็จริง แต่บ่อยครั้งที่อาจจะยังคงกระทำบาป หรือกระทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความดีงามของพระเจ้า ในขณะที่ธรรมชาติของวิญญาณของผู้ไม่เชื่อ ยังคงตรงกันข้ามกับพระเจ้า แต่บ่อยครั้งที่อาจกระทำความดี เหมือนพระเจ้า ถูกหรือไม่ถูก? สังเกตให้ดีๆ ตรงนี้กำลังบอกว่าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เราดูข้างนอกบางครั้งเขาก็กระทำสิ่งที่ดีๆ เหมือนพระเจ้าทำ คนที่เชื่อพระเจ้าบางทีก็ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ทำไมเป็นอย่างนี้ ไม่เห็นเหมือนพระเจ้าเลย

พูดง่ายๆ ก็คือในทางภายนอก อาจทำสิ่งที่เหมือนหรือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้าก็ได้ แต่วิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริง ภายในอยู่ที่อาณาจักรไหน? อาณาจักรใหม่หรือเก่า อยู่ในธรรมชาติลักษณะไหน? มันก็เป็นอย่างนั้น เหมือนที่พระเยซูพูดอยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างให้ใช่ไหม? ต้นไม้ดี ก็จะให้ผลดี ต้นไม้เลวก็จะให้ผลเลว ถ้ามันดี ก็ดีที่ต้นมัน ไม่ใช่ดีที่ปลาย  มาดูข้อต่อไป

โรม 8:6-7 “6 จิตใจของคนบาป  นำไปสู่ความตาย  แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุมนำไปสู่ชีวิตและสันติสุข  7 จิตใจที่เต็มไปด้วยบาป  ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า  ทั้งไม่สามารถอยู่ได้ด้วย”

 

จิตใจตรงนี้ หมายถึงจิตใต้สำนึกก็ได้ หมายถึงความคิดข้างในลึกๆ ของเรา เป็นจิตใต้สำนึกที่อยู่ติดๆ กับวิญญาณ พระคัมภีร์บอกแล้วว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจ  หมายถึงความคิดจิตใจตรงนี้

“ฉันเป็นวิญญาณ ฉันมีความคิดจิตใจ ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ชั่วคราว”

เพราะฉะนั้น 2 อันแรก เรามองไม่เห็น แต่อันสุดท้ายเราเห็นร่างกายนี้ เฉพาะบริบทนี้ พออ่านถึง “จิตใจ” จงนึกถึงเลยว่ามันอยู่ติดกับตัวตนแท้จริงของเรา ก็คือวิญญาณ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อนะ มันหมายถึงอย่างนั้น  คนไม่เชื่อพระเจ้าก็เป็นวิญญาณและมีความคิดจิตใจ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เหมือนกับเรา แต่ไม่เหมือนกัน

ที่ผ่านๆ มา มีคนพยายามที่จะตีความในถ้อยคำโรม บทที่ 8 นี้ว่าหมายถึงผู้เชื่อ 2 กลุ่ม คือผู้เชื่อตามวิสัยบาป กับผู้เชื่อที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วก็สอนแบบขัดแย้งกันไปๆ มาๆ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้รับการชำระบาปแล้ว เราเป็นอิสระจากโทษของความบาปแล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต ต้องดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องไม่ทำบาปอีกต่อไป ส่วนใหญ่เขาจะตีความและสอนกันอย่างนี้

คำถาม ก็คือเราทุกคนรู้ตัวดีว่าแม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ชีวิตข้างในวิญญาณเปลี่ยนแปลงหมด เหมือนพระเจ้าแล้ว เราก็ยังมีโอกาส 100% ที่ยังคงทำบาปอยู่ ตรงกันข้ามกับพระเจ้าอยู่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เมื่อเรามาเชื่อ เราจะรอดไหม? แล้วจะรอดกี่ครั้ง แล้วที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าเราทั้งหลายรอด โดยพระคุณพระเจ้า ได้มาฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย หมายความว่าอย่างไร? ถ้ายังมีข้อกังขา หรือข้อแม้ว่าเมื่อมาเชื่อแล้ว เรา “ต้อง” ทำทุกอย่างให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ต้องไม่ทำบาป แล้วในนี้บอกว่าเราไม่ต้องทำอะไร ได้มาฟรีๆ มันหมายความว่าอย่างไร? มันแย้งกันไหม

สาเหตุที่ทำให้หลายๆ คนเข้าใจความหมายตรงนี้ผิด ก็เพราะไปตีความคำว่า “ผู้ไม่ดำเนินชีวิต ตามวิสัยบาป” ก็ไปแปลผิดว่าหมายถึงผู้ที่ไม่กระทำบาป บนโลกนี้อีกเลย ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่จะเลิกทำบาปได้เลย และในสายพระเนตรของพระเจ้า มาตรฐานของพระเจ้า แค่คิด ก็บาปแล้ว นึกโกรธในใจ ก็เท่ากับทำบาปแล้ว  แค่ไม่ให้อภัยเขา พระเจ้าก็ไม่อภัยให้เราแล้ว แล้วเราจะไปทำอะไรได้ เราพึ่งตัวเองได้หรือ?

ข้อที่ 6 ที่เราอ่าน “จิตใจของคนบาป  นำไปสู่ความตาย  แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิตและสันติสุข”

จิตใจตรงนี้ หมายถึงจิตใต้สำนึกลึกๆ ที่มันติดกับวิญญาณตัวจริงๆ ของเรา “เรา” ในที่นี้หมายถึงมนุษย์ที่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ เหมือนกัน นี่เป็นลักษณะ สรีระร่างกายของมนุษย์ทุกคน คือเป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ และอาศัยในร่างกายนี้ชั่วคราว

มาถึงตรงนี้ อธิบายได้ว่าอย่างไร? จิตใจของคนบาป  ก็คือจิตใต้สำนึกที่ติดอยู่กับวิญญาณของคนบาป คนบาปอยู่ในอาณาจักร นำไปสู่ความตาย  “ตาย” ในที่นี้หมายถึงตัดขาดออกจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า  ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า เกลียดพระเจ้า ท่านเริ่มเข้าใจนะ

แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิต คือจิตใจที่อยู่ติดกับวิญญาณ ซึ่งมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ด้วย ท่านก็รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน? ตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ นำไปสู่ชีวิต

“ชีวิต” นี้หมายถึงชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้านิรันดร์ ซึ่งแปลสั้นๆ ว่าชีวิตนิรันดร์ พูดง่ายๆ ก็คือจิตใต้สำนึกลึกๆ ของคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ที่ได้เกิดใหม่แล้ว อยู่กับพระเจ้า เขาได้รับชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า แปลแค่นี้เอง

มาถึงตรงนี้ คิดว่าทุกคนคงเข้าใจว่าทุกครั้งที่เราได้เห็นคำว่า “คนบาป” นั้น หมายถึงผู้ที่ยังไม่เชื่อ แล้วถ้าเป็นจิตใจของผู้ที่เชื่อแล้ว อยู่ในพระคริสต์แล้ว แต่ยังเผลอไปทำบาป เรียกว่าจิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม พระคัมภีร์บอกนะ ผมไม่ได้พูดเอง เรียกเขาว่า “จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม”

เพราะผู้ที่เชื่อ ได้ย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ทางโลกฝ่ายวิญญาณ เขาจะไม่มีคำว่า “ตาย” อีกต่อไปแล้ว เพราะคำว่า “ตาย” แปลว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ แต่เข้าไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว บัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันไปเรียบร้อยแล้ว เขาเชื่อแล้ว เพราะความรอดที่ได้รับมานั้น  เป็นความรอดนิรันดร์ การคืนดีกับพระเจ้าตอนที่เรารับเชื่อ ตอนที่เราเกิดใหม่แล้ว มันเป็นนิรันดร์ มันเป็นอย่างไรเป็นอย่างนั้นเลย เกิดใหม่แล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณ เราไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกต่อไป ไม่มีทางได้เป็นเลย  เพราะวิญญาณเปลี่ยนไปแล้ว ธรรมชาติ ตัวตนแท้ๆ ของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว

ข้อที่ 7 บอกว่าจิตใจที่เต็มไปด้วยบาป ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า จิตใจที่ติดอยู่กับคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าเป็นคนบาปอยู่นั้น เขาก็จะเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าคิดอย่างนี้ เขาก็คิดอย่างนั้น พระเจ้าบอกขาว เขาบอกดำ พระเจ้าบอกอย่า เขาบอกจะทำ ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า มันดื้อ โดยสันดาน โดยธรรมชาติ จิตใจก็คิด พยายามที่จะทำอะไรก็ตามที่ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น  เข้ากับพระเจ้าไม่ได้

โรม บทที่ 8 ที่เราได้เรียนกันมา ได้แบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ที่เรียกว่าอยู่ในพระคริสต์แล้ว อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว  กับกลุ่มที่ยังไม่ได้เชื่อ และใช้สิทธิของเขาในพระเจ้า ซึ่งในนี้เรียกว่าอาณาจักรอาดัม อยู่ในความมืด แบ่งกันแบบนี้ ไม่ใช่แบ่งโดยวิธีการดำเนินชีวิต เพราะถ้าท่านเห็นความจริงเหล่านี้ ท่านจะเห็นชัดเจนขึ้นว่าข่าวดีนี้ เป็นข่าวดีอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นท่านจะสับสนมาก วุ่นวายไปหมด

พระคัมภีร์บอกว่าผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าสำเร็จแล้ว สวรรค์มาตั้งอยู่แล้ว สำมะโนครัวใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว เขาจะได้รับการย้ายสำมะโนครัวทางโลกวิญญาณ เข้ามาสู่อาณาจักรสวรรค์ อยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืดมาสู่อาณาจักรของความสว่าง

“ท่านไม่รู้เหรอ ท่านได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่างแล้ว” เอเมน

เรายังอยู่ประเทศไทยเหมือนเดิมเลย ไม่ได้ย้ายบ้าน เขากำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ท่านถูกย้าย ท่านไม่ได้ย้ายเองด้วย พระเจ้าย้าย เพราะเคารพสิทธิของท่าน ท่านบอกไม่เอาแล้ว ไม่อยากอยู่สำมะโนครัวเดิม อาดัมไม่ไหวแล้ว ไม่อยากจะชดใช้บาปด้วยตัวเอง ไม่อยากจะพึ่งตัวเองแล้ว พึ่งพระเยซูดีกว่า แค่นั้นเอง ขอเชื่อในข่าวดีที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อฉัน ทันทีทันใด ท่านก็ถูกย้ายสำมะโนครัว และวิญญาณของท่านเข้ามาอยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าอาณาจักรพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ

ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อในข่าวดี ก็ยังคงอยู่ในสำมะโนครัวเดิม คืออยู่ในอาณาจักรเดิม ซึ่งมีชื่อว่าอาณาจักรแห่งความบาปและความตาย  และความสาปแช่ง ซึ่งในพระคัมภีร์เรียกว่าอยู่ในอาณาจักรของอาดัม อยู่ในความมืด เหมือนเดิม  พระเยซูไม่ได้มาทำให้เขาอยู่ในความมืด แต่เขาอยู่ในความมืดเหมือนเดิม เพราะเขาไม่ใช้สิทธิของเขาเท่านั้นเอง

พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเยซูไม่ได้มา เพื่อตัดสินมนุษย์ ไม่ได้มา เพื่อพิพากษามนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยให้รอด ใครต้องการความช่วยเหลือ ก็ได้รับความรอด ใครที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือ ก็อยู่ที่เดิม พระเยซูไม่ได้ทำอะไรเลย สักนิดหนึ่ง มาช่วยให้รอด ไม่ได้มาซ้ำเติม ไม้อ้อช้ำแล้ว ก็ไม่ซ้ำเติม มาช่วย แต่ถ้าไม่เชื่อ พระองค์ก็เสียพระทัย เพราะว่าช่วยไปแล้ว  เธอไม่ใช้สิทธิของเธอเอง

ในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้า ที่เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกอยู่อาศัยได้ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในพระคริสต์ หรืออยู่ในอาดัมเหมือนเดิมก็ได้ อยู่ในความมืดเหมือนเดิม หรืออยู่ในความสว่างก็ได้  อยู่กับพระเจ้าก็ได้ อยู่กับมารก็ได้ ถ้าเราตัดสินใจเลือกที่จะอยู่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์ก็เรียกว่า “อยู่ในพระวิญญาณ” ถ้าไม่ใช้สิทธิ์ ท่านก็อยู่ในอาดัม อยู่ในวิสัยบาป แปลว่าเนเจอร์ แปลว่าธรรมชาติบาป แปลว่าสันดานบาป ฉันก็อยู่ในอาดัม อยู่ในมาร แต่ถ้าย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ฉันก็อยู่ในพระวิญญาณ อยู่ในเนเจอร์ อยู่ในสันดานวิญญาณพระเจ้า  เหมือนพระเจ้า พูดอย่างนี้ เพื่อให้ท่านเห็นคำว่า “สันดาน” ไม่ได้ร้ายแรง ไม่ได้เป็นคำด่า แต่เป็นคำละเอียดภาษาไทยเราดีมากๆ ที่ให้เห็นชัดๆ ว่าสันดาน หมายถึงอะไร? สมัยก่อนโดนด่าอยู่บ่อยๆ ผู้ใหญ่ชอบว่า …

“แกนิสัยเนี้ย สันดรยังแก้ได้ แต่สันดานแก้ไม่ได้แล้ว”

เรารู้แล้วว่าสันดานเป็นสิ่งธรรมชาติ แก้ไม่ได้

เลือกอยู่ในพระคริสต์ ก็คือในพระคัมภีร์ใช้คำว่าถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ก็คือเลือกที่จะคืนดีกับพระเจ้า คืนดีกัน เข้ากันได้ แต่ถ้าท่านอยู่ในอาดัม ก็ยังคงเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า เป็นตรงกันข้ามกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้

อยู่ในพระคริสต์ ก็เป็นประชากรของพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกว่าท่านไม่รู้หรือ! ท่านเป็นประชากรของพระเจ้า  ท่านไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าอีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าท่านไม่เลือกเปลี่ยนมาอยู่ในพระคริสต์ ท่านอยู่ในอาดัม ก็เป็นประชากรของโลกนี้ ซึ่งวิปริตไปแล้ว ซึ่งตกในความบาปไปแล้ว โลกนี้มันชั่วร้าย เพราะความบาปปกคลุมอยู่ ถ้าอยู่ในพระคริสต์ ก็เป็นผู้ชอบธรรม พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ธรรมิกชน” ถ้ายังอยู่ในอาดัม ก็เรียกว่าเป็นคนบาป ที่จะต้องถูกพิพากษาลงโทษ เพราะใช้หนี้ไม่หมด

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “อยู่ในพระคริสต์” จิตใจที่ลึกๆ ที่ติดอยู่กับวิญญาณของท่านนั้น ก็จะถูกควบคุมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า … พระเจ้า ซึ่งสมัยอดีต ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน แค่มองยังไม่ได้เลย แต่ตอนนี้วิญญาณของฉัน ตัวจริงๆ ของฉันกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนั้น  แต่ถ้าท่านยังอยู่ในอาดัม จิตใจตรงนี้ มันจะเป็นเหมือนกันทั้งหมดเลย มันจะเป็นความบาป ซึ่งบังคับโดยมาร ให้ท่านเห็นภาพมันตรงกันข้ามกันสุดขั้ว ทรมานมากเลย

เวลาคนประกาศข่าวประเสริฐ รู้ลึกๆ อย่างนี้ ถึงทุ่มเทชีวิตประกาศๆ เปาโลจึงประกาศ ใครมาขวางทางเรื่องประกาศข่าวดี เปาโลต่อว่าแรงเลย ไม่ว่าจะเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ใช่พวกเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว ซึ่งเชื่อแล้วก็ตาม เพราะเปาโลไม่อยากให้ข่าวดีของพระเจ้าเสียหาย กลายเป็นข่าวเกือบดี … เกือบดี มันก็คือไม่ดี หรือกลายเป็นข่าวท่าทางจะดี ก็คือยังไม่สำเร็จ หรือเป็นข่าวน่าจะดี ก็ยังไม่สำเร็จ แต่เปาโลบอกมันเป็นข่าวดีแล้ว สำเร็จแล้ว พระคัมภีร์ต้องการให้ข่าวดี เป็นข่าวดีจริงๆ

สรุป ก็คือถ้าเผื่อท่านเลือกที่จะอยู่ในพระคริสต์ ก็เท่ากับท่านเลือกที่จะมาอยู่กับแสงสว่าง มองทุกอย่างเห็นหมดเลย  เข้าใจหมด ชีวิตไปโลด แต่ถ้าท่านไม่เลือก จะอยู่ที่เดิม วิญญาณของท่านอยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าความมืด มืดสนิท มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มีความทรมานนิรันดร์ มันหมายถึงอย่างนั้น แต่ถ้าท่านย้ายมาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง มันสว่างนิรันดร์ คำว่า “นิรันดร์” เหมือนกัน แต่จะสว่างนิรันดร์ หรือจะมืดนิรันดร์เท่านั้นเอง โรม 8:8-9 อันนี้จะทำให้เราเห็นชัดขึ้นอีก

โรม 8:8-9 “8 บรรดาผู้ที่วิสัยบาปควบคุมอยู่ ไม่อาจเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้ 9 อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาปแต่โดยพระวิญญาณ และถ้าผู้ใด ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์”

 

“บรรดาผู้ที่วิสัยบาปควบคุมอยู่” คือวิญญาณของคนบาป วิญญาณเขาเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่อาจเป็นที่ชอบพอพระทัยของพระเจ้าได้ ไม่ใช่พระเจ้าเกลียดเขา แต่มันเข้ากันไม่ได้ พระเจ้าพูดหนึ่ง เขาไปสอง พระเจ้าบอกขาว เขาไปดำ โดยเนเจอร์มันไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาปนะ ถ้าเราเชื่อ พระเจ้าเข้ามาควบคุม พระวิญญาณอยู่ในเรา ก็ไม่มีวิสัยบาป มันมีวิสัยอันเดียว คือวิสัยของความบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ในเรา เราเป็นความรัก อดทน ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว เราอภัยได้ เราอินโนเซนต์ เราไร้เดียงสาในเรื่องกระทำสิ่งที่ชั่วร้าย เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า นี่พูดถึงในวิญญาณ แต่ถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์

ถ้าเราเชื่อ เราเป็นของพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่ได้เป็นของพระเจ้าเลย ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า คนละเรื่อง คนละขั้วเลย พระคัมภีร์บริบทนี้ต้องการให้เราเห็นชัดเจน เด็ดขาดของคน 2 กลุ่ม ลักษณะของคน 2 กลุ่ม คุณภาพของคน 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่อยู่ในสำมะโนครัวใหม่ ที่มีชื่อว่า “พระคริสต์” ที่เรียกว่า “สวรรค์” กับกลุ่มเดิมที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไม่ยอมเชื่อในข่าวดี ยังอยู่ที่เดิม เรียกว่าในอาดัม อยู่ในความมืด มันต่างกันอย่างไร? เพื่อจะบอกคนเหล่านั้นว่านี่คือข่าวดี มาเถอะ ง่ายนิดเดียว คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูทำ ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งถ้าเป็นเปาโล ก็อาจจะบอกว่าเชื่อในสิ่งที่พระเยซูทำ แล้วประกาศที่ไม้กางเขนแล้ว เมื่อหลายปีก่อน

“บังเกิดใหม่” หมายถึงมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรใหม่ เข้ามาสู่สำมะโนครัวใหม่ เกิดใหม่จริงๆ ไม่ใช่ย้ายเข้ามาเฉยๆ คือเกิดจากคนบาปมากลายเป็นคนชอบธรรม เกิดจากอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง

ที่ตะกี้บอกมนุษย์เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจ ทั้งวิญญาณก็เกิดใหม่เหมือนพระเจ้า ทั้งความคิดจิตใจก็เหมือนพระเจ้า ติดมาเลย เพียงแต่ยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เหมือนเดิมเท่านั้นเอง ตอนที่เราเชื่อพระเจ้ามี 2 สิ่งที่เปลี่ยนทันที รุนแรงในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น ก็คือวิญญาณและความคิดจิตใจลึกๆ ตรงนี้ ที่มันติดอยู่ในวิญญาณ เปลี่ยนใหม่ ได้ถูกชำระ โดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระโลหิตพระเยซู

มนุษย์เรา เมื่อบังเกิดใหม่แล้ว ก็จะมีความคิดจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเจ้าเลย จิตใต้สำนึกเราเหมือนพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ ขณะเดียวกันเรายังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้อยู่ ร่างกายนี้ มีสมอง แล้วมันก็มีความคิดของมันด้วย ความคิดอาจพอจะจับได้ แต่ไม่ชัดเจน  แต่สมองชัดเจนแน่ เวลาเราคิดอะไรใช้สมอง และความคิดในสมอง พอคิดอะไรปุ๊บ จะสั่งให้ร่างกายกระทำ นี่คือเรื่องจริงๆ ของธรรมชาติของร่างกาย ไม่ว่าท่านจะเดิน สมองต้องเป็นคนสั่ง ซึ่งบางคนที่บอกเป็นอัมพาต เพราะบางแห่งของสมองเสียหายไป เขาก็บังคับมือขวาไม่ได้ บังคับมือซ้ายไม่ได้ ก็แล้วแต่

สมองตัวนี้ หรือความคิดในสมองตรงนี้ ยังคงรับอิทธิพล จากโลกใบนี้ ที่มันตกลงไปในความบาป ยังคงรับอิทธิพลจากบาป หรืออะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า ที่มันพยายามส่งกระแส จะกระตุ้นตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของเรา กระตุ้นไปในทิศทางที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ให้ความคิดและสมอง สั่งการ ให้ทำตามอิทธิพลของมัน  พูดง่ายๆ มันก็ส่งไวไฟ ส่งสัญญาณกระตุ้น …

“อย่างนี้มันอภัยไม่ได้แล้ว อภัยไป 3, 4 ครั้งแล้ว อย่างนี้ต้องอัดแล้ว” อะไรอย่างนี้

นี่คือสิ่งที่ส่งเข้ามา แล้วความคิดก็คิด สมองก็เริ่มกลั่นกรอง ความเคยชินต่างๆ ไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณตอนนี้  ส่วนขณะเดียวกัน ทางโลกวิญญาณ … วิญญาณของเราที่ได้เกิดใหม่แล้ว อยู่กับพระเจ้าแล้ว ความคิดจิตใจที่อยู่ติดกับวิญญาณเลย สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว เต็มไปด้วยความรัก พระวิญญาณก็ส่งกระแสมา

“เราเกิดมาเป็นลูกพระเจ้า เต็มไปด้วยความรัก อดทนนาน กระทำคุณให้ อย่างนี้ อภัยเขาเถอะ อย่าไปคิดมากเลย  เขาทำอย่างนี้ เพราะเขาจำเป็นต้องทำ อภัยให้เขาเถอะ แต่ก่อนนี้เราก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันใช่ไหม? แต่ตอนนี้เราดีขึ้นแล้ว เรารู้ เราเข้าใจ เราอภัยให้เขานะ เราไม่ใช่มีเนเจอร์ สันดานเป็นอย่างนั้นนะ เนเจอร์ สันดานเราเป็นของดี”

เห็นไหม? มันก็ตีกัน ในขณะเดียวกันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวของเราพยายามส่งกระแสแบบนี้ เพื่อจะเปลี่ยนแปลงความคิดของเราเสียใหม่ และพระวิญญาณก็ส่งความคิดนี้เข้ามา ซึ่งพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Mine of Christ” แปลว่าความคิดของพระคริสต์ ความคิดในลักษณะของคนที่อยู่ในพระคริสต์ ความคิดของลักษณะคนที่อยู่ในสวรรค์ เขาคิดกันอย่างนี้  เรามีอยู่ในตัวของเรา อยู่ในความคิดของเรา เป็นอย่างนั้น ความคิดจิตใจอย่างนี้ มันก็จะสู้กัน เป็นเหมือนที่ปรึกษาเรา ความคิดจิตใจตรงนี้ก็จะช่วยเราในการเปลี่ยนแปลงความคิดเคยชินของเรา ให้เป็นไปด้วยกันกับพระเจ้า ผ่านทางสื่อของพระเจ้า เช่นถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า คุยเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พูดง่ายๆ อะไรก็เกี่ยวกับพระเจ้าทั้งหมด เพื่อมาสั่งการสมองอีกที

“สมอง ฉันจะสั่งแก อภัยให้เขาสะ แทนที่จะยกมือตบ แกยกมือไหว้เขาเลย”

บางทีมันเร็วมากเลยนะ ยกมือตบกับยกมือสวัสดี มันต่างกันนะ เกิดโมโห กำลังทะเลาะกัน ตบเลย เรื่องกลายเป็นใหญ่โตเลย ถ้ามีอะไรฉันทำผิด ขอโทษด้วยนะ คนนั้นเงียบ อีกคนสยบทันที เกิดความรัก เขาเรียกว่าลบความบาปออกไปเยอะเลย ถ้าตบเลย คนนั้นตบกลับ ตำรวจมา เป็นเรื่องใหญ่โต เขาเรียกว่าบาปทั้งนั้น แต่พอเปลี่ยนจากตบ เป็นสวัสดีปุ๊บ ทุกอย่างสงบ เต็มไปด้วยความรัก ทุกอย่างเป็นดีหมด กระจกในร้านก็ยังดีอยู่ โต๊ะข้างๆ เขาก็ไม่หัวแตก เพราะเราตีกัน โดนลูกหลงไป ท่านเห็นภาพไหม? มันเป็นอย่างนี้ นี่พูดให้เห็นชัดๆ บางเรื่องเท่านั้นเอง เพื่อเราจะได้เห็นว่าสมองเป็นคนสั่งการ แต่ก่อนที่มันจะสั่งการ ต้องมีข้อมูลให้มันว่า …

“ฉันจะทำอย่างนี้แหละ”

แล้วใครเป็นคนสั่งให้ทำอย่างนี้ ก็มี 2 พวก รับจากที่ปรึกษาคนไหน? ถ้ารับจากที่ปรึกษาที่เป็นวิญญาณของเราที่เกิดใหม่แล้วจากพระเจ้า มันก็อีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้ารับจากโลกใบนี้ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ผลประโยชน์ฉัน ฉันไม่ยอมเด็ดขาด อันนี้ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ผลของการกระทำก็จะถูกสมองสั่งให้เป็นแบบนั้น

สมองหรือความคิดของเราตัวนี้แหละที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “เป็นป้อมปราการ” มันสำคัญที่สุด ที่จะเกิดการต่อสู้ที่เรียกว่า “Spiritual Warfare” ไม่ได้หมายถึงว่าอธิษฐานสู้กับมาร วิญญาณสู้กัน ส่งทูตสวรรค์ไปตีกับมาร รบกัน ส่งระเบิดปรมณูทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ “Spiritual Warfare” ตรงนั้นในโลกวิญญาณไม่ต้องห่วง พระเจ้าเรายิ่งใหญ่มาก พระเยซูนั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ครอบครองควบคุมทั้งหมด พระเจ้ามอบให้พระเยซูทั้งหมดแล้ว ไม่ต้องกลัวเลย แต่มากลัวตรงนี้มากกว่า ตรง …

“ฉันเอง มีที่ปรึกษาผิดหรือเปล่า? ที่ปรึกษาฉันถูกไหม?”

จริงๆ มันสู้รบกันตรงนี้ “Spiritual Warfare” ตรงสมองและความคิดของเรา ระหว่างสื่อที่ส่งผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เรียกว่า “Mine of Christ” ความคิดของพระเยซูคริสต์ ความคิดแบบพระเยซูคริสต์ ที่ส่งผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ กับสื่อที่ส่งผ่านมาทางโลกนี้ เจ้าแห่งโลกนี้ ก็ตัวนั้นแหละ พระคัมภีร์บอก มารกระทำการงานในคนที่ไม่เชื่อทั้งหลาย  คนไม่เชื่อทั้งหลายอยู่ใต้อำนาจของมัน เห็นแก่ตัวบ้างอะไรต่างๆ ทำให้เราวุ่นวายไปหมด และมาแยงให้เราทำอะไรก็ได้ ในสิ่งที่มันตรงกันข้ามกับวิญญาณของเรา มันก็ทุกข์ทรมานนะ โกงเรา แกล้งเรา แล้วในวิญญาณบอกว่าให้เราอดทน ให้เราให้ความรักเขา ให้เราอธิษฐานให้เขา ให้เราอภัยให้เขา  มันก็ทุกข์ทรมาน

ใครสามารถยึดป้อมปราการตรงนี้ได้ สมองหรือความคิดตรงนี้ได้ ก็สามารถควบคุมการสั่งการได้ อวัยวะร่างกาย มี 2 พวกเอง ขาวหรือดำ สมองที่เคยชิน ยึดความคิดเราว่า …

“ถ้าใครขับรถตัดหน้า ด่าเลย”

นี่คือสมอง พระคัมภีร์บอกไปเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ โดยการไปอธิษฐานกับพระเจ้า ไปอ่านถ้อยคำพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าไปเรื่อยๆ Set your mine หมายถึงจงเอาความคิดจิตใจนี้ ไปจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ที่มันอยู่นิรันดร์ อย่ามาสนใจบนโลกใบนี้ ที่มันอยู่ชั่วคราว มันหมายถึงอย่างนั้น และถ้าเราจดจ่อกับเบื้องบน จดจ่อกับพระเจ้า  เช่นอย่างที่บอก เรื่องถ้อยคำพระเจ้าอะไรต่างๆ ถ้อยคำพระเจ้า จะมีอิทธิพลอยู่ในความคิด อยู่ในสมองของเรา เคยชินกับเรื่องถ้อยคำพระเจ้า เราก็จะมีกำลังพอ ที่จะทำให้อวัยวะมันทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราจะได้รู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้าที่ดีที่สุด คืออะไร?

แต่ทั้งหมดนี้ ก็ต้องกลับมาที่เดิมว่าไม่เกี่ยวกับความรอดทางวิญญาณเลย เพราะวิญญาณของเราถูกควบคุม 100% โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เกิดใหม่แล้ว เกิดแล้วก็เกิดเลย ไม่มีตายอีกแล้ว ไม่ใช่ เกิดๆ  ตายๆ ตายๆ เกิดๆ เมื่อไรมันจะเสร็จ มันไม่ใช่ เกิดแล้วก็เกิดเลย ถ้าเกิดแล้วตายได้ พระเจ้าไม่เก่งแล้ว พระเยซูทำไม่สำเร็จแล้ว พระเยซูทำสำเร็จแล้ว พอเราเชื่อแล้ว นั่นแหละ คือเกิดใหม่ ได้แล้ว จบ

มันไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณที่เราพูดเมื่อตะกี้ “Spiritual Warfare” ทางสมอง ความคิด เพราะวิญญาณของเราได้เกิดใหม่แล้ว โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ วิญญาณของเราตอนนี้ถูกควบคุม ติดสนิท เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า 100% เขาเรียกกันว่าบัพติศซึม เป็นหนึ่งเดียวกัน เขาเรียกว่าวิญญาณสามัคคีธรรมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์กับวิญญาณของพระเจ้า พระบิดา พระบุตร กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีธรรมแปลว่าการรวมกันเป็นหนึ่ง เหมือนเอาน้ำกับน้ำใส่ลงไป มันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เขาเรียกว่าการบัพติศมาในไฟ พลังแห่งอำนาจของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน ฤทธิ์อำนาจพระเจ้าอยู่กับเราแล้ว เปลี่ยนแปลงเราเป็นหนึ่ง เหมือนพระองค์แล้ว ใครจะมาเอาเราออกไปจากพระเจ้าได้ พระเจ้าบอก มันใหญ่ขนาดไหนที่จะมาเอาคนนี้ออกจากมือเรา พระเยซูบอกไม่มีใครเอาแกะออกไปจากคอกของเราได้ ถ้าเขาเข้ามาในคอกแล้ว มีใครบ้าง ไม่ว่าฤทธิ์อำนาจใด ความยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ลึกหรือกว้างขนาดไหน? ไม่มีทางที่จะมาเอาเราออกไปจากความรักของพระเจ้าได้เลย ในพระเยซูคริสต์ โรม บท 8 ตอนท้าย สรุปไว้อย่างนี้

เมื่อท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู วิญญาณของท่านจะเกิดใหม่ และเป็นวิญญาณที่มีคุณลักษณะเป็นอากาเป้เลย โรม 8:10-11 สุดท้าย

โรม 8:10-11 “10 แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป เพราะบาป ถึงกระนั้นจิตวิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรม 11 และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตายสถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้น โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ผู้สถิตในท่าน”

 

ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน ก็หมายถึงถ้าท่านเชื่อในพระเยซู กายของท่านก็ตายไปเพราะบาป ตรงนี้คือหลักข้อเชื่อที่เราได้เรียนกันมา ตั้งแต่เริ่มต้น ตอนเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ที่ต้องได้รับโทษของความบาป คือความตายและตาย  ก็คือตายทั้งร่างกาย และตายทั้งวิญญาณ ร่างกายตาย ก็แปลว่าร่างกายต้องมีวันที่จะหมดอายุขัย คือตายแบบมนุษย์ แต่ตายครั้งที่สอง ก็คือตายทางวิญญาณ อันนี้ไม่มี 80 ปี 100 ปี อันนี้นิรันดร์ ตายอันที่สองทางวิญญาณ คือไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต้องชดใช้หนี้สิน  อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ และต้องอยู่ในความมืด อยู่ในนรกนิรันดร์

ตายแรก คือตายทางร่างกาย ที่ทุกคนต้องเจอ จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า ก็ต้องเจอ วันหนึ่งต้องจากโลกนี้ไป ในนี้เขาถึงบอกว่าถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายท่านต้องตายไปในความบาป ถึงแม้ว่าเรามาเชื่อพระเจ้า  เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว ความคิดจิตใจสะอาดเหมือนพระเจ้าเลย แม้ว่าเป็นอย่างนั้นก็จริง แต่กายเรายังต้องตาย เพราะบาป แต่จิตวิญญาณของท่าน ก็ยังมีอยู่ เพราะความชอบธรรม คือวิญญาณของท่านยังมีชีวิตอยู่ เพราะเป็นผู้ชอบธรรม เพราะพระเยซูไถ่ท่านแล้ว มันแปลว่าอย่างนี้

แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน พูดง่ายๆ แต่ถ้าท่านเชื่อในข่าวดี และวิญญาณของท่านได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ย้ายมาอยู่ในสำมะโนครัวของพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว แม้ถึงวันที่ร่างกายต้องตายจากโลกนี้ไป อันนี้พูดถึงเราชัดๆ เลยนะ แต่วิญญาณที่เกิดใหม่ ที่อยู่กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของพวกเราจริงๆ และจะอยู่ตลอดไป ที่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ นี่คือความหวังใจ นี่คือสันติสุข ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เรารู้แล้ว รู้ล่วงหน้า รู้อนาคตหมดแล้วว่าชีวิตเราจะไปอยู่ที่ไหน? เอเมน

ทั้งสองอาณาจักรในโลกวิญญาณนี้ ให้ประโยชน์และให้โทษ เขาเรียกว่าต่างสุดขั้วกันเลย และมนุษย์ทุกคน มีสิทธิ์ที่จะเลือกเอาว่าจะอยู่ในอาณาจักรไหน? ในพระคริสต์ ซึ่งไม่มีการลงโทษใดๆ เนื่องจากบาปอีกต่อไป ที่เรียกว่าสวรรค์ หรือยังคงอยากจะอยู่ในอาดัม ในความมืด ที่จะต้องรับโทษของความบาปและการสาปแช่งอีกต่อไป นิรันดร์เช่นเดียวกัน และในพระคัมภีร์บอกว่าเลือกไม่ยากเลย ต้องใช้เงินเหรอ? ใช้สติปัญญาเหรอ? เปล่าเลย เลือกโดยใช้ความเชื่อเท่านั้น พระคัมภีร์บอกว่าพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ พูดว่า …

“พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อชำระบาปให้กับฉันไปแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม”

พูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ จบแล้ว ไม่ได้ทำอะไรเลย และเมื่อท่านพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าฉันยอมรับข่าวดีนี้ ฉันยอมรับว่าข่าวดีนี้เป็นจริง ทันทีทันใด ในโรม บท 8 ที่เราเรียนกันมา มันเกิดขึ้นออโตเมติก เกิดขึ้นในวิญญาณท่านก่อน แล้วก็เกิดขึ้นรอบวิญญาณของท่าน เป็นอาณาจักรวิญญาณ และท่านจะถูกย้ายมาอย่างนั้นจริงๆ เอเมน ขอให้ท่านเลือกที่จะอยู่กับพระคริสต์ โดยใช้สิทธิของท่าน เชื่อในข่าวดีที่พระเยซูทำให้กับท่านที่ไม้กางเขน  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เรียบร้อยไปแล้ว มารับไปเถิด มันเป็นของท่านไปแล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … ได้สำเร็จแล้ว” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  เมษายน  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … ได้สำเร็จแล้ว”  ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สุขสันต์วันอีสเตอร์ครับ สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู วันนี้ผมให้ชื่อเรื่องว่า “ได้สำเร็จแล้ว”

ปีนี้ วันอีสเตอร์มาค่อยข้างช้า ปกติจะอยู่ก่อนวันสงกรานต์ บ้านเรา บางท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วกำหนดกันอย่างไรว่าวันที่เท่าไรเป็นวันอีสเตอร์ จริงๆ แล้ว คำว่า “อีสเตอร์” หรือ “เทศกาลอีสเตอร์” ไม่อยู่ในพระคัมภีร์นะ แต่เป็นการตั้งขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

คำว่า “อีสเตอร์” มาจากชื่อของเทพเจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ ที่เขานับถือกันในสมัยโน้น ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด เพราะฤดูใบไม้ผลิเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ หรือการเกิดใหม่ ต้นไม้ใบหญ้า ดูเหมือนตายไปแล้ว ในช่วงฤดูหนาว  มันก็โผล่ต้นอ่อนๆ ขึ้นมา เริ่มเขียวชะอุ่มมีชีวิตชีวา ออกดอก ออกผลในฤดูใบไม้ผลินี่แหละ   ก็เลยมีการกำหนดให้วันอีสเตอร์อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ  การกำหนดวัน อีสเตอร์จะใช้ปฏิทินจันทระคติ คือปฏิทินที่นับตามการโคจรของดวงจันทร์ โดยดูจากปรากฏการข้างขึ้น ข้างแรมของดวงจันทร์ ซึ่งวันอีสเตอร์ของทุกปี จะตรงกับวันอาทิตย์แรก หลังวันเพ็ญแรกของฤดูใบไม้ผลิ

วันเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ คือวันที่ 21 มีนาคม เพราะฉะนั้น นับว่าวันที่ 21 มีนาคมเป็นต้นไป ถ้ามีวันไหนเป็นคืนวันเพ็ญ ก็คือวันที่ดวงจันทร์เต็มดวง วันอาทิตย์หลังจากดวงจันทร์เต็มดวง ก็คือวันอีสเตอร์   และวันอีสเตอร์ของทุกปี   ก็จะอยู่ระหว่างวันที่ 21 มีนาคม  ไปจนกระทั่งถึงวันที่ 25 เมษายน ไม่เร็วกว่า 21 มีนาฯ และไม่ช้ากว่า 25 เมษาฯ  เพราะฉะนั้น นับจากวันนี้ย้อนกลับไป 5-6 วัน  ต้องมีวันเพ็ญวันหนึ่ง  ไม่รู้วันไหน  ก่อนจะมีวันอีสเตอร์ แน่นอน ก็ต้องมีวันศุกร์ประเสริฐ หรือทั่วโลกเขาใช้ชื่อว่า “Good Friday” ก็คือ “วันศุกร์ที่ดี” ถามว่าดีสำหรับใคร? ดีสำหรับมวลมนุษยชาติ

หัวใจของข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ หัวใจของความรอด หัวใจของชีวิตนิรันดร์ทั้งหลายทั้งปวง คือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น ในวัน Good Friday หรือศุกร์ประเสริฐ หรือศุกร์ดี เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และวันอีสเตอร์ก็เปรียบเสมือนใบเสร็จที่จะมายืนยันข่าวดี หรือ Good Friday นั้นว่ามันเป็นจริง

วันศุกร์ประเสริฐ หรือวัน Good Friday เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนบ่าย 3 โมง นี่เริ่มต้น Good Friday 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนพระเยซูจะเกิด และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ได้พูด หรือตรัสคำสุดท้ายว่าสำเร็จแล้ว ภาษากรีก ใช้คำว่า “Tetelestai” หรือสำเร็จแล้ว  แปลได้ว่า “จ่ายหมดแล้ว” Good Friday ก่อนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ตะโกนว่า “สำเร็จแล้ว” หรือ “จ่ายหมดแล้ว” ยังฟังดูเหมือนกำลังสำเร็จ เริ่มต้นสำเร็จแล้ว อะไรประมาณนั้นนะ นึกย้อนกลับไป 2,000 ปีที่แล้ว ที่ไม้กางเขน แต่พอพระเยซูสิ้นพระชนม์ปุ๊บจะกี่นาทีก็ไม่รู้ หลังจากที่พระเยซูพูดคำว่า “สำเร็จแล้ว” แล้วก็สิ้นพระชนม์ พอพระเยซูสิ้นพระชนม์ทันที คำว่า “สำเร็จแล้ว” ก็เลยกลายเป็นได้จ่ายหมดแล้ว ได้สำเร็จแล้ว นี่คือชื่อเรื่องในวันนี้

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็มีการประกาศอย่างนี้ บอกข่าวอย่างนี้ต่อกันไปเรื่อยๆ ว่า “ได้สำเร็จแล้ว” “ได้จ่ายหมดแล้ว” เปโตรได้ประกาศครั้งแรก ก็ประกาศว่าได้สำเร็จแล้ว ได้จ่ายให้หมดแล้ว เปาโลมาประกาศต่อ ก็ประกาศบอกว่าได้สำเร็จแล้ว ได้จ่ายหมดแล้ว จนทุกวันนี้ พวกเราก็ได้ประกาศกันต่อไปว่าได้สำเร็จแล้ว ได้จ่ายหมดแล้ว

พระเจ้าได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เพื่อบอกล่วงหน้า ตั้งแต่ปฐมกาล จนกระทั่งถึงหนังสือวิวรณ์ เป็นแผนการที่พระเจ้าบอกมนุษย์ ทั้งทางตรงบ้าง ทางอ้อมบ้าง ผ่านทางการเผยพระวจนะของผู้คนบ้าง ผ่านทางเหตุการณ์บ้าง ผ่านทางพิธีกรรมต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวง บอกเป็นเงาว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร? เพื่อจะบอกมนุษย์ว่าพระองค์มีแผนการ ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้นจากหนี้บาป และจะมาสถาปนาอาณาจักรของพระองค์บนโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง พูดง่ายๆ ว่าจะกลับมาอยู่กับมนุษย์อย่างใกล้ชิดสนิทสนมกัน คืนดีกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่แยกกันไป ทะเลาะกันไป เพราะว่ามนุษย์เป็นหนี้บาป เพราะทำบาป จึงต้องชดใช้บาป ต้องไปสู่ความตาย อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ต่างคนต่างอยู่ พระเจ้าเสียพระทัยมาก ต้องการกลับมาอยู่กับมนุษย์เหมือนเดิม ก็ต้องช่วยเหลือ วางแผนไว้ และบัดนี้ มันสำเร็จแล้ว เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ ศุกร์ดี ก็คือพระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ผ่านมา 2,000 ปีเรียบร้อยแล้ว

และนับตั้งแต่บ่าย 3 โมงของวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แผนการช่วยกู้มนุษย์ ที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ได้ถูกทำให้สำเร็จแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน และเป็นการประกาศว่ามันจริงๆ ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ก็คือวันอีสเตอร์ ที่เราเฉลิมฉลองกันนั่นเอง

ทั้งวันศุกร์ประเสริฐ และวันอีสเตอร์ที่เรามาร่วมประชุม เฉลิมฉลองกันนี้ ก็เป็นไปเพื่อจุดประสงค์เดียว เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูทำ พระเยซูกำชับให้พวกเราที่เชื่อในพระองค์ ตั้งแต่วันแรก 2,000 ปีก่อน ให้พวกเราระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ อย่าลืมข่าวดีนี้นะ กำชับบอกพวกเราให้ทำการระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ซึ่งการระลึกถึงวันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐปีละ 1 ครั้ง แต่จริงๆ พระเยซูให้เราทำแทบทุกวันเลย ก็คือพิธีมหาสนิทไง ที่เราหักขนมปัง ดื่มน้ำองุ่นนั้น

พิธีมหาสนิท เราทำกันทุกเดือน เดือนละครั้ง จริงๆ พระเยซูให้เราทำทุกวัน ทานข้าวเมื่อไร ก็มาระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว เพื่อเล่าให้ลูกหลานฟัง เตือนตัวเองด้วย บอกครอบครัวด้วย บอกเพื่อนฝูง มากินข้าวกัน มาหักขนมปัง ดื่มน้ำองุ่น แล้วระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ว่าเพื่ออะไร? พระองค์สอนคำอุปมาตั้งเยอะแยะมากมาย ตั้งแต่วันนั้น เป็นต้นมา ข่าวดีของพระเยซูจึงสามารถมาถึงพวกเราทุกวันนี้ได้ ก็เพราะอย่างนี้แหละ ดังนั้น เราต้องรู้ความหมายว่าเราหักขนมปังและดื่มน้ำองุ่น แปลว่าอะไร?

มหาสนิท แปลว่าเข้าไปสนิทกันมากๆ เป็นหนึ่งเดียวกันเลย วิญญาณเรากับวิญญาณพระเจ้าคืนดีกัน เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว มันแปลว่าอย่างนั้น ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้นั่นเอง

ตั้งแต่ตอนที่พระเยซูตระเวนสั่งสอนผู้คน 3 ปีก่อนที่จะถูกตรึง ไม่ว่าจะเป็นคำสอน คำเทศนา หรือคำอุปมาต่างๆ ที่พระองค์ทรงพูด ก็พุ่งตรงไปที่เรื่องเดียวเลย คือเรื่องของอาณาจักรสวรรค์ การบังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์เขาทำอย่างไร? ระบบสวรรค์เป็นอย่างไร? สวรรค์กำลังมา ไม่ว่าจะเป็นอุปมาเรื่องถุงหนังเก่า ถุงหนังใหม่ เหล้าองุ่น แกะหาย เหรียญเงินหาย บุตรน้อยหลงหาย ทุกเรื่องก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่กำลังมาตั้งอยู่ เพราะพระเยซูยังไม่ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พอปีที่ 2 ก็บอกใกล้แล้วๆ พอปีสุดท้ายบอกเร็วๆ นี้แหละ สวรรค์มาแล้ว มนุษย์กับพระเจ้าอยู่ด้วยกันสักที

มนุษย์อยู่กับพระเจ้าได้ ก็คือเรียกว่าสวรรค์ อาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว พอพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน บ่าย 3 โมง พระองค์ก็เลยบอกว่าที่พูดมา 3 ปี ได้สำเร็จแล้ว สวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว สถาปนาแล้ว วันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เป็นการสถาปนาสวรรค์ โดยพระเยซูได้ทำให้สำเร็จ  และตะโกนว่า …

“สำเร็จแล้ว สวรรค์มาอยู่แล้ว จ่ายหมดแล้ว”

บรรดาหนี้บาปของมนุษยชาติทั้งหมด ได้ถูกจ่ายให้หมดเรียบร้อยแล้ว สวรรค์มาแล้ว อาณาจักรสวรรค์มาตั้งอยู่ที่นี่แล้ว พระเจ้ากับมนุษย์ได้คืนดีกันแล้ว เย้ๆ แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ประกาศไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ และจะประกาศต่อไป จนกระทั่งจบวางไว้ว่าใครเป็นคนสุดท้าย เราก็ไม่รู้

คำว่า “สำเร็จแล้ว” เป็นคำสุดท้ายที่พระเยซูประกาศบนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์ แต่เป็นการเริ่มต้นของการประกาศข่าวดีว่าแผนการของพระเจ้าที่จะช่วยกู้มนุษย์ให้รอดพ้น ได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ เป็นครั้งแรกที่พระองค์ทรงประกาศบนไม้กางเขน  และหลังจากนั้นมนุษย์คนอื่นๆ ก็ประกาศต่อ พระเจ้าได้ตั้งอาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้สำเร็จแล้ว โดยผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน อาณาจักรสวรรค์นี้ จึงมีชื่อว่า “อาณาจักรพระเยซู” ซึ่งภาษาเดิมเรียกว่า “อาณาจักรพระคริสต์” หรือ “อาณาจักรไคร์ซ” คนไทยเราเคารพอะไร เราก็จะใส่คำว่า “พระ” ลงไป เพราะฉะนั้น อาณาจักรสวรรค์ตรงนี้ จึงมีชื่อว่า “อาณาจักรพระคริสต์” ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ

มาดูพระคัมภีร์ว่าหลังจากที่แผนการของพระเจ้าทั้งหมด ที่วางไว้ ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว คืออาณาจักรของพระคริสต์ได้มาตั้งอยู่ บนโลกใบนี้แล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น? โรม บทที่ 8 คือถ้อยคำที่ยืนยันของผลวันศุกร์ประเสริฐ และวันอีสเตอร์

โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์”

 

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์มีแค่ 2 พวกเท่านั้น คือพวกที่อยู่ในพระคริสต์ กับพวกที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ พวกที่อยู่ในพระคริสต์ ก็จะไม่มีการลงโทษใดๆ อีกต่อไป แต่อีกพวกหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ก็ยังคงถูกลงโทษเหมือนเดิม นี่ความจริงในโลกวิญญาณ มีอยู่แค่นี้ มีอยู่ 2 สถานที่สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ความจริงก็เป็นความจริงวันยังค่ำ

แผนการของพระเจ้าได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว อาณาจักรสวรรค์ หรืออาณาจักรของพระคริสต์ได้มาตั้งอยู่บนโลกนี้แล้ว  สวรรค์ได้มาแล้ว บรรดาผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ คือผู้ที่ยอมเชื่อว่าพระเยซูพูดความจริง และพระเยซูทำที่ไม้กางเขนนั้น มันเรื่องจริง เขาจึงใช้สิทธิของเขา ย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ที่เราเรียกกันว่า “รับเชื่อ” แปลว่าเชื่อความจริง … ความจริงของพระเยซู บอกว่าอย่างนี้ เราเชื่อ พอรับเชื่อปุ๊บ เขาก็ได้ถูกย้ายจากอาณาจักรหนึ่งในอดีต ที่ต้องรับโทษ มาอยู่ในอาณาจักรของพระเยซู หรือเรียกว่าพระคริสต์

พระคัมภีร์ใช้หลายคำที่บ่งบอกถึงผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ยกตัวอย่างเช่น คนนั้นอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง และคนนั้นเป็นประชากรของพระเจ้า มีพระวิญญาณอยู่กับเขา จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ท่านจะได้รู้ว่าพูดถึงเหล่านี้เมื่อไร? ก็คือกำลังพูดถึงบรรดาผู้ที่เชื่อ และได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสำมะโนครัวของพระเยซูคริสต์แล้ว เอเมน

ส่วนผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรอีกอาณาจักรหนึ่ง  อาณาจักรเดิม ก่อนที่พระเยซูจะสถาปนาอาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้  อาณาจักรนั้นยังอยู่ถึงทุกวันนี้ พระคัมภีร์บอกว่าอยู่ในอาดัม คนที่อยู่ในอาดัม เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอยู่ในเนื้อหนัง หรือวิสัยบาป หรือเรียกอีกอันหนึ่งว่าอยู่ในอาณาจักรของความมืด หรือเรียกว่าเขาเป็นประชากรของโลกนี้ อีกพวกหนึ่งเป็นประชากรของพระเจ้า อีกพวกหนึ่งเป็นประชากรของโลกนี้ อยู่ใต้อิทธิพลการควบคุมของมาร

มนุษย์ทุกคนจึงมีแค่ 2 พวกเท่านั้นเอง นี่คือความจริงในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล สอนลูกสอนหลานด้วยนะ ไม่ว่าจะไปเห็นบรรดามนุษยชาติพันธุ์ใด ผิวใด ต่างๆ ที่ไหน อย่างไร แตกต่างกันประเพณี ศาสนาอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์มีเพียงแค่ 2 พวกเท่านั้น ทางโลกฝ่ายวิญญาณ สั้นๆ ก็คือพวกที่อยู่ในพระคริสต์กับพวกที่อยู่ในอาดัม อยู่ในพระคริสต์ ก็จะไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว อยู่ในอาดัมก็ยังมีการลงโทษอยู่ เรามาดูต่อ ข้อ 2 ซึ่งจะเป็นคำตอบว่าเพราะเหตุใด จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า อยู่ในพระเยซูนี้ โรม 8:2

โรม 8:2 “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

“เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์” ท่านรู้ไหมว่าแปลไม่ชัดแค่นิดเดียว ความหมายก็ผิดไปเลย แต่พอแปลตรงๆ จากภาษาเดิม จะขยายความชัดมากเลย

ในนี้บอกว่า “เพราะว่าโดยทางพระเยซู กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ” แต่จริงๆ มันคือเพราะว่าโดยในพระคริสต์ ตาสว่างเลย “โดยทางพระเยซูคริสต์” เรายังต้องทำงานอยู่มั้ง เราต้องไปทางพระเยซู แต่นี่ไม่ใช่ นี่หมายถึง “ในพระคริสต์” ที่เราคุยกัน เมื่อเราเชื่อปุ๊บ เราย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ในพระเยซู พอคุณเข้ามา กฎของวิญญาณแห่งชีวิต ปลดปล่อยคุณ ให้เป็นอิสระ จากกฎของความบาปและความตายไปแล้ว เอเมน

ก็แปลว่าก่อนที่เราจะเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ แต่เดิมนั้น เราเคยอยู่ใต้กฎแห่งบาปและความตาย ก็คืออยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เราเรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด ในอาดัม ง่ายๆ ก็คือถ้ายังมีบาปอยู่ หรือเคยทำบาป ก็ต้องรับโทษ และพระคัมภีร์บอกว่าโทษของความบาป ก็คือความตายทางวิญญาณ ไม่ใช่ทำบาปตอนนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้หายใจไม่ออก ตาย ไม่ใช่นะ วิญญาณตาย ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เหมือนที่ผมเคยยกตัวอย่างบ่อยๆ ว่าเรื่องกฎแรงโน้มถ่วงของโลก เราโยนสิ่งของขึ้นไปในอากาศ มันก็จะตกลงมา จะโยนกี่ครั้ง? มันก็ตกลงมา จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มันก็ตกลงมา ไม่อยากตั้งใจให้มันตกนะ มันก็ตก จนกว่าจะมีการค้นคิดการเอาชนะกฎแรงโน้มถ่วงมันได้ จึงจะชนะมันได้ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องบินหรือร่มชูชีพ เป็นต้นว่ามันดูดเราไม่ได้

เช่นเดียวกัน กฎแห่งความบาปและความตาย ที่บอกว่าเมื่อมีบาปเมื่อไร? ก็ต้องรับโทษเมื่อนั้น ไม่มีแต่ ไม่มีอธิบาย มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และทำบาป พระคัมภีร์บอกไว้ เพราะฉะนั้น ด้วยกฎนี้ มนุษย์ทุกคน ก็ต้องได้รับโทษแห่งความบาป คือความตาย ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ที่เรียกว่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทุกข์ทรมาน ซึ่งภาษาไทย ให้คำจำกัดความตรงนี้ว่านรก ทรมานมาก

โทษของความบาป คือความตาย ก็คือไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ไปอยู่ในที่ที่มันทรมานมาก แต่เพราะการเสียสละของพระเยซูคริสต์ในวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งความบาปและความตาย ก็เหมือนกฎแห่งการยกขึ้น ที่ได้เอาชนะกฎของการดึงดูดของโลก ทำให้เครื่องบิน บินขึ้นได้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ได้ทำให้เกิดกฎใหม่ขึ้นมา ซึ่งพระคัมภีร์ใช้ชื่อกฎนี้ว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต กฎนี้ ได้ปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย

โรม 8:3 “เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น  พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เอง  มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทำเช่นนี้  พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาปในมนุษย์ที่เป็นคนบาป”

 

“เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว”

สิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ ก็คือการทำให้มนุษย์เป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากบาป ไม่มีมนุษย์คนใดเลย ที่สามารถที่จะทำให้ตัวเองสะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาปได้ โดยการประพฤติ หรือทำตามบทบัญญัติที่สั่งไว้ เป็นไปไม่ได้เลย  เดี๋ยวก็ผิดๆ เพราะข้างใน มันผิด เพราะวิญญาณหรือธรรมชาติมันเป็นบาป เดี๋ยวมันก็ทำบาป มันจึงทำไม่ได้

ในพระคัมภีร์ฮีบรู ก็มีบันทึกไว้ว่าบทบัญญัติ หรือกฎระเบียบเดิมๆ สมัยก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรมนุษย์ได้เลย ฮีบรู 7:18-19 บันทึกไว้อย่างนี้ …

ฮีบรู 7:18-19 “18 กฎระเบียบเดิม ถูกล้มเลิกไป เนื่องจากไม่มีประสิทธิภาพ และเปล่าประโยชน์ 19 เพราะบทบัญญัติ ไม่ได้ทำให้สิ่งใด  ครบถ้วนสมบูรณ์ได้เลย”

 

และในหนังสือโรมบอกไว้ว่ากฎระเบียบมีไว้ เพื่อประจาน หรือสำแดงให้มนุษย์รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป  เพราะว่ากฎบอกว่าอย่าทำๆ ทำอย่างนี้เรียกว่าบาป ทำอย่างนี้เรียกว่าไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า และมนุษย์ก็ทนไม่ไหว ก็ทำอยู่ดี มนุษย์จึงรู้ว่าตัวเองอ่อนแอ สู้ไม่ไหว อยากจะรักษาอย่างไร? เผลอก็ต้องทำ เพราะข้างในมันไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง ข้างในเป็นธรรมชาติของความสกปรก แต่สิ่งที่บทบัญญัติ หรือกฎระเบียบไม่สามารถทำได้นั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว แปลว่าทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เป็นการกระทำที่สมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ในอดีต จบแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน พระคัมภีร์ตรงนี้ สรุปง่ายๆ คือ …

“เพราะเธอทำไม่ได้ ฉันจึงทำให้ จบ โอเคไหม? เธอเป็นหนี้สินเขาทั้งหมดเลย เธอไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้หรอก ฉันเอาเงินไปจ่ายให้ โอเคไหม?”

พระเจ้าได้ส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป มาเป็นแพะรับบาป ก็คือตัวแทน การกระทำเช่นนี้ ก็เปรียบเสมือนว่ามนุษย์ทั้งหลาย ที่เป็นคนบาป ที่ต้องใช้หนี้บาปนั้น ได้รับการตัดสินลงโทษเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว พ้นโทษแล้ว โดยพระเยซูมารับโทษแทน

อันนี้ลึกซึ้งมาก โดยส่งพระเยซูลงมาเกิดในมนุษย์ เพื่อให้พระเยซูมีส่วนร่วมใน DNA ที่เป็นมนุษย์ ฟังให้ดีๆ พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนมาจากอาดัม มี DNA ของอาดัม พระเยซูถูกส่งเข้ามาเกิดในหญิงพรหมจารี แต่ยังคงเป็นมนุษย์ เดินเหมือนมนุษย์ แต่วิญญาณไม่ใช่มนุษย์ วิญญาณไม่ได้บาปเหมือนมนุษย์ แล้วไปตายที่ไม้กางเขน เพื่อบอกว่า …

“มนุษย์ได้จ่ายค่าชดใช้บาป ที่เขาทำมาเรียบร้อยไปแล้ว ฉันเป็นมนุษย์ ฉันขอเดินก้าวออกมา”

ในพระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทำ มนุษย์ก็ต้องเป็นผู้ชดใช้ อาดัมทำ เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ลูก หลาน เหลน โหลนก็ต้องลงไปในความบาปหมด พระเยซูมาบอกว่า …

“ฉันบริสุทธิ์ ฉันจะชดใช้หนี้ทั้งหมดของมนุษย์ให้”

ถามว่า “เธอเป็นใคร? เธอเป็นวิญญาณเหรอ เป็นวิญญาณ มาไม่ได้นะ ต้องเป็นมนุษย์”

“ฉันเป็นมนุษย์”

“เป็นได้อย่างไร?”

“ฉันเกิดในมนุษย์ ฉันเดินเหมือนมนุษย์ กินเหมือนมนุษย์ รับอาหารจากสายสะดือของมนุษย์ เกิดเป็นตัวเป็นตนเหมือนมนุษย์ ฉันเป็นมนุษย์หนึ่งคน”

พอเข้าใจไหม? เพราะฉะนั้น เมื่อจ่ายค่าบาปเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์จึงสถาปนาว่า …

“ฉันเป็นมนุษย์ที่ชำระบาปให้กับญาติพี่น้อง วงศ์ตระกูลของมนุษย์ นามสกุลมนุษย์เนี้ยได้ถูกจ่ายไปแล้ว ทุกคนจงรับรู้”

มนุษย์ทุกคนจงรับรู้นะ บัดนี้ มีพวกเราคนหนึ่ง ได้ไปใช้หนี้หมดเรียบร้อยแล้ว เราเป็นอิสระแล้วนะ จบ แค่นี้เอง เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ที่จะรับรู้ว่าเราเป็นอิสระแล้ว แล้วเราไปใช้สิทธิของเรา แค่นั่นเอง ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอะไรเลย โรม 8:4 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 8:4 “เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ”

 

ส่งพระเยซูมาทำไม? มาเป็นตัวแทน มาเป็นแพะรับบาป เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย  เพราะกระทำตามบทบัญญัติ มันไม่สามารถทำให้เกิดผลได้ พระเจ้าจึงต้องส่งพระเยซูมา ทำให้มันเกิดผล และบัดนี้ ก็ทำแล้ว และเกิดผลแล้ว คือเราทั้งหลาย จึงกลายเป็นผู้ที่ไม่มีบาป เพราะพระเยซูมาทำให้แทน คือชดใช้หนี้บาปนั้น ถ้าข้อนี้จบ แค่คำว่า “สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย” ฟังให้ดีนะ เราคงเข้าใจได้แล้ว แต่บังเอิญมีคำขยายต่อไปว่า “เราทั้งหลายผู้ไม่ดำเนินชิวตตามวิสัยบาป” ทุกคนตกใจ …

“อ้าว! ตกลงไหนบอกได้ฟรีๆ ไง”

มาเจอคำว่า  “ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป” เขาต้องดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณจึงจะได้ เหรอ! ใช่ไหม? พอเจอคำว่า “ดำเนินชีวิต” คนส่วนใหญ่ก็มักไปผูกกับการกระทำที่ต้องทำ มาดูความหมายจริงๆ มันแปลว่าอะไร?

การไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็แปลว่าไม่กระทำบาปอีกต่อไปสิ อ้าว! กลับมาที่เดิมอีกสิ ซึ่งในชีวิตจริง เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังทำบาปไหม? ทำ ยังมีความโกรธไหม? มี … มีโมโหไหม? มี อิจฉาไหม? เชื่อพระเจ้าแล้วนะ ยังโกหกหรือเปล่า? ยังโลภไหม?

สมมติว่าแปลอย่างนี้นะ แต่ในชีวิตจริง เราก็ยังคงทำบาปอยู่ แล้วจะอย่างไร? ทำไมมันแย้งกันอย่างนี้ ในใจคนมักแย้งกันอย่างนี้ อดีตผมก็แย้งกันอย่างนี้ ก็อธิษฐานกับพระเจ้า

“พ่อ ลูกไม่เข้าใจเลย ทำไมมันอย่างนี้อย่างนั้น อ้าว! ไหนบอกไม่ต้องพึ่งการกระทำ เชื่อแล้วก็ต้องพึ่งอยู่ดีแหละ แล้วตกลงรอดไหมเนี้ย”

ก็อธิษฐานกับพระเจ้าไปเรื่อยๆ เคาะไปเรื่อยๆ มันก็จะถูกเปิดให้กับเรา ขอไปเรื่อยๆ มันก็ถูกให้กับเรา แสวงหาไปเรื่อยๆ ก็จะพบเรื่อยๆ พบความรู้ เรื่องความจริงในโลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์คืออะไร? ซึ่งการตีความแบบเมื่อตะกี้ เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง และไม่ตรงตามประเด็นสำคัญของข่าวดีของพระเจ้าทั้งเล่มที่บอกว่า …

“เรารอด โดยพระคุณ โดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูกระทำ ในวันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำก่อนหรือหลังที่มาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม”

“เราทั้งหลายผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” เราคิดว่าคือการประพฤติ คือการดำเนินชีวิต การทำ แต่ภาษาเดิมจริงๆ ความหมายมันไม่ได้แปลอย่างนั้น ประโยคนี้เป็นคำอธิบายเรื่องเกี่ยวกับสรรพคุณ คุณลักษณะของคนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว คือผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ตามพระเจ้า หรือผู้ที่มีพระวิญญาณพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในตัวแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำ การดำเนินชีวิตบนโลกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ข้อที่ 5 อธิบายต่อ

โรม 8:5 “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป  ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ  แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”

 

คำว่า “ดำเนินชีวิต” ตรงนี้ จะอธิบายข้อนี้ให้ฟัง ต้องไปหาภาษาเดิม ที่แปลมาจากต้นฉบับอีกทีเป็นภาษาอังกฤษ มันก็จะอธิบายได้ชัดขึ้นกว่าภาษาไทย ถ้าภาษาเดิม จากภาษากรีก ยิ่งลึกซึ้งใหญ่เลย ภาษาอังกฤษใช้เขียนอย่างนี้ว่า “For those who are according to the flesh set their minds on the things of the flesh, but those who are according to the Spirit, the things of the Spirit”

ภาษาอังกฤษ คือ “For those who are according to the flesh” ภาษาไทยบอก “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “For those who are” คำว่า “ARE” แปลว่า “เป็น อยู่ คือ” จะเห็นว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำเลย มันเกี่ยวกับลักษณะ สภาพ ว่าอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร? นี่เป็นตัวสำคัญมากๆ “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” ก็คือผู้ที่อยู่ในพระวิญญาณนั่นเอง อยู่ในพระคริสต์นั่นเอง อันเดียวกัน ตั้งแต่เริ่มต้นบท 8 ข้อ 1 “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” ก็คือผู้ที่อยู่ในพระวิญญาณนั่นเอง

คำว่า “ดำเนินชีวิต” ในข้อนี้ ไม่ได้หมายถึงวิถีการใช้ชีวิต หรือการกระทำบนโลกใบนี้ แต่หมายถึงสถานที่ที่เขาอยู่ในโลกวิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? วิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? ไม่ใช่เขาทำอะไร? เขาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์หรือในอาณาจักรของอาดัม ก็มีแค่ 2 อันเอง  ท่านเห็นชัดขึ้นแล้วนะ

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่เป็นวิสัยบาป หมายถึงผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านของคนบาป ก็คือบ้านอาดัม ครอบครัว สำมะโนครัวที่ชื่ออาดัม ซึ่งเป็นสำมะโนครัวบาป ก็จะมีธรรมชาติของวิญญาณเป็นวิสัยบาป หรือใช้คำว่า “สันดาน” พูดง่ายๆ มีสันดานบาป ธรรมชาติบาป ต่อให้หน้าตาดูดีอย่างไร ข้างในก็เป็นบาปอยู่นั่นแหละ

ปักใจอยู่ในวิสัยบาป ก็คือโดยธรรมชาติทางวิญญาณของผู้มีสันดานบาป ก็จะต้องการทำตามสันดานบาปที่อยู่ในตัววิญญาณของตนเอง เรียกว่าความบาป … ความบาป ก็คือกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ศัตรูต่อความดีงาม  อยู่ตรงกันข้ามกับพระลักษณะของพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนี้ทั้งหมด มันไม่ได้หมายถึงการกระทำ ต่างคนต่างกระทำ ไม่ใช่ แต่พูดถึงสันดาน ธรรมชาติข้างในว่ามันเป็นอย่างไร?

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็คือผู้ที่เชื่อแล้ว แล้วก็ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว เขาจะเป็นไปตามธรรมชาติที่ชีวิตเขา ปักใจในพระวิญญาณ ก็คือจะมีธรรมชาติทางวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู โดยวิสัยที่แท้จริง ก็จะต้องทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะเขาเป็นลูก เขามีสันดานเหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย เขามีสันดานเหมือนพระเยซูเป๊ะเลย  เขาต้องการทำเหมือนพระเยซูเป๊ะเลย เขาไร้เดียงสาต่อบาป ไม่รู้จักว่าบาปเป็นอย่างไร? ไม่รู้เรื่องเลย เขาเกิดมาสะอาด บริสุทธิ์เป๊ะเลย วิญญาณเขาเป็นความรักแบบพระเจ้า อากาเป้ ไม่ใช่ มี ทุกคนบอกพยายามทำนะ 1 โครินธ์ 13:4-7 ให้ทุกคนพยายามปฏิบัติตาม พยายามอย่างไรก็ไม่ได้ ทำได้อย่างเดียว คือเขาต้องย้ายจากอาณาจักรของอาดัม มาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเยซูคริสต์ เขาจึงเป็นเลย ไม่ต้องทำ ก็เป็นเลย เอเมน 1 โครินธ์ 13:4-7 บันทึกไว้อย่างไร? ตัวท่านเป็นอย่างนี้

1 โครินธิ์ 13:4-7 “4 ความรักย่อมอดทนนาน  ความรักคือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด 6 ความรักไม่ปีติยินดีในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ และอดทนบากบั่นอยู่เสมอ”

 

ท่านเชื่อไหมว่าท่านเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านไม่ต้องฝึก มันเป็นอยู่ นี่คือความแตกต่าง ถ้าแปลผิดว่าชีวิต คือการกระทำปุ๊บ ไม่ใช่คุณลักษณะปุ๊บ มันจึงผิด นี่คือคุณลักษณะของคนที่อยู่ในพระคริสต์ คนที่เชื่อพระเยซูแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่รู้ ข้างในท่านเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านลองอ่านดูว่าท่านจะกระดากปากไหม?  อ่านตามผมนะ 1 โครินธ์ 13:4-7

“ฉันเป็นความรัก ฉันอดทนนาน ฉันมีความเมตตา ฉันไม่อิจฉา ฉันไม่อวดตัว ฉันไม่หยิ่งผยอง ฉันไม่หยาบคาย ฉันไม่เห็นแก่ตัว ฉันไม่ฉุนเฉียว ฉันไม่เคยจดจำความผิด ฉันไม่มีความปีติยินดีในความชั่วเลย ไม่ชอบทำชั่วเลย แต่ฉันชื่นชมยินดีในความจริง ฉันมีความหวังอยู่เสมอ ฉันอดทนบากบั่นได้ทุกอย่าง ฉันเหมือนพระเยซู ฉันเป็นลูกพระเยซู”

พอใจไหม? เชื่อไหม? บอกแล้ว มันง่ายมาก และอยากจะเป็นทั้งหมดนี้ไหม? แล้วต้องพยายามทำไหม? ทำอย่างไร? ถึงจะได้ พระเยซูทำตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนที่ไม้กางเขนแล้ว เชื่อเท่านั้นเอง แล้วก็ใช้สิทธิ ย้ายมาอยู่ในนี้ปุ๊บ วิญญาณเป็นอย่างนี้ทันทีเลย เมื่อเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ โดยธรรมชาติของเราแล้ว โดยวิญญาณของเราแล้ว จะเป็นเหมือนพระเจ้า แต่ว่าในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ ในโลกนี้อยู่ ก็ยังตกอยู่ใต้อิทธิพลของวิสัยบาป ซึ่งยังอยู่ แม้ว่าตัวเราไม่มีวิสัยบาปแล้วก็ตาม อิทธิพลคืออะไร? มันยังรับสื่อ สัญญาณมันยังเข้ามาอยู่ เพราะเรายังอยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายเราไม่มีวิสัยบาปแล้ว แต่มันสื่อเข้ามา คือมันมาแยงเรา

“เอาไหม? เอาน๊า”

มันโฆษณาทุกวัน ส่วนพระวิญญาณที่อยู่ข้างในเราก็บอก “มันโกหก มันไม่ใช่” ก็พยายามฝึกฝนเราไปเรื่อยๆ ร่างกายเราสะอาดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว เราไม่สกปรก เราไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป ไม่ใช่บาปทางวิญญาณ และไม่ใช่บาปทั้งร่างกายด้วย ร่างกายบริสุทธิ์ พระเจ้าชำระเรียบร้อยแล้ว เป็นของถวายบริสุทธิ์ แยกเป็นส่วนตัว สำหรับพระเจ้า คือร่างกายนี้ ท่านไม่รู้เหรอ ร่างกายท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น วิหารของพระเจ้าจะมาเป็นบาปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ได้เป็นบาป แต่ว่ามันยังอยู่ในโลกนี้ มันยังรับสื่อ สื่อที่แยงๆ พอแยงมากๆ มันเผลอไปทำ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณเราอยากจะทำ เพราะฉะนั้น คนที่เป็นอย่างนี้ จึงไม่มีความสุขเลยที่จะอยู่บนโลกใบนี้  เพราะโลกไม่ใช่บ้านของเราอีกแล้ว เราไม่อยากอยู่ ไม่ใช่ เพราะเซ็งกับการเงินไม่ใช่ ไม่อยากอยู่ เพราะวิญญาณเราไม่อยากทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แต่บางครั้งเราเผลอ อิทธิพลมันแยงเข้ามา แค่อากาศร้อนหน่อย เราก็หงุดหงิดแล้ว เราจึงไม่มีความสุขใจเลยในการกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่ตรงกันข้ามกับวิญญาณของเรา มันก็เลยอยากจะออกจากร่างนี้ ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่ต้องมาอยู่บนโลกใบนี้ แล้วก็รอคอยวันที่พระเจ้าจะสร้างโลกนี้ใหม่ ปรับปรุงโลกนี้ใหม่ จัดการโลกใบนี้ใหม่ ให้มันไม่มีวิสัยบาปอีกต่อไป

เพราะฉะนั้น อย่าเกลียดเนื้อหนังร่างกายของเราเอง ร่างกายของเราพระเจ้าชำระแล้ว เมื่อวันที่เราเชื่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ชำระความคิดจิตใจ ร่างกายเราสะอาดหมดจดแล้ว แต่ว่าอย่างที่บอก เรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ อิทธิพลการสื่อสาร ยังคงกระซิบข้างหูเราอยู่ แต่ต่อให้ทำอย่างไร? มันก็ไม่เกี่ยวกับวิญญาณตัวจริงๆ ของเรา ตัวจริงๆ ของเราเป็นวิญญาณและมีความคิดจิตใจ  อาศัยอยู่ในร่างกายนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ต้องเอาความจริงนี้ใส่เข้าไป ซึ่งเมื่อเรารู้จักความจริงเหล่านี้แล้ว มันถูกต้องชัดเจนอย่างนี้แล้ว เราจึงรู้ว่าถึงแม้เราเป็นอิสระเป็นไทจริงๆ ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท ถึงแม้เรารู้แล้วว่าเป็นความจริง แต่หลายครั้ง สื่อที่จากรอบข้างเรา ส่งเข้ามา ถ้าเราไปรับสื่อเหล่านั้นมากๆ เราก็จะเผลอไปคิดตามสื่อ ซึ่งถามว่าคิดตามสื่อ มันเป็นความจริงไหม? มันไม่จริง พระคัมภีร์จึงบอกว่ามารมีแต่หลอกลวง อย่าไปเชื่อมัน แสดงว่ามันหลอกลวงเราตลอด มันยิงศรเพลิงแห่งความโกหกมาตลอด แล้วเราต้องปกป้องอย่างไร? ปกป้องด้วยความเชื่อ ความเชื่อเกิดขึ้นได้อย่างไร? จากการได้ยินถ้อยคำพระเจ้า ฟังข้อมูลของพระเจ้าบ่อยๆ สิ อย่างที่ผมบอกเอาพระคัมภีร์คำสอนเหล่านี้ไปฟังเยอะๆ ฟังว่ามันคืออะไร? ตัวจริงๆ ฉันเป็นใคร? ตื่นเช้ามาเห็นหน้ากระจก สวยขึ้น หล่อขึ้นเยอะเลย หน้าตาดูดีขึ้นเยอะเลย เพราะฉันรู้แล้ว ฉันเป็นใคร? ฉันเคยถล่มตัวว่าฉันเป็นคนที่แย่มาก มีความคิดอิจฉาเขา น้อยใจ อันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ดีต่างๆ มามองไป โอ้โห! ฉันเป็นความรัก อดทนนาน กระทำคุณให้ ฉันไม่อิจฉา ฉันไม่อวดตัว ไม่โกรธใครเลย แล้วเมื่อวานล่ะ ไม่ใช่ตัวฉัน นั่นเผลอไป จากมันกระซิบมา ฉันไม่เชื่อแกอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่สนใจแกอยู่แล้ว มันเป็นเชื้อโรค มันเป็นพยาธิ มันไม่ใช่ตัวจริงๆ ของเรา น็น็ป

พระคัมภีร์จึงบอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท สิ่งเหล่านี้คือความจริง เพราะเหตุนี้ วันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์จึงมีความสำคัญมากจริงๆ เพราะว่าความจริงวันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ได้ทำให้

มนุษย์เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้เท่านั้นเอง พวกเราที่อยู่ในสวรรค์เรารู้ เราใช้สิทธิ์ของเรา ถามว่าคนเหล่านั้นที่ไม่เข้ามาอยู่ในสวรรค์ เขาอยู่ในสวรรค์แล้วหรือยัง? แต่เขาได้รับข้อมูลที่ผิด เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ในนั้นแล้ว เพียงแต่ยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วใช้สิทธิ์ของเขาเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้น มารก็มาหลอกลวง ยังไม่ใช้หนี้ บาป เมื่อไรจะใช้หมดสักที เขาก็พูดตามมา เมื่อไรบาปจะหมดสักที กี่ปีกี่ชาติ ทั้งๆ ที่มันได้ถูกชำระเรียบร้อยไปแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน พระคัมภีร์จึงบอกอย่างนี้ชัดเจน ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ตาม สำหรับมนุษย์เหล่านั้นที่ได้ย้ายสำมะโนครัว เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เพราะเขาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม เขาอยู่ในพระเจ้าแล้ว เอเมน เหมือนที่เราร้องกันบ่อยๆ …

ดังนั้นไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ฉันที่อาศัยในพระเยซู

ดังนั้นไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ฉันที่อาศัยในพระเยซู

เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ  แห่งชีวิตในเยซู

ได้ทำให้ฉันพ้นจากบาปและความตาย

ดังนั้นไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ฉันที่อาศัยในพระเยซู

นี่คือผลของวันศุกร์ประเสริฐ อีสเตอร์ ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว ง่ายๆ ใครเชื่อและใช้สิทธิของเขาก็ได้ จบ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องอธิบายเลย  ใครเชื่อก็ได้ทันที เพราะมันทำสำเร็จไปแล้ว 2,000 ปีมาแล้ว นี่คือข่าวดี ที่จะต้องบอกกันต่อๆ ไป ที่จะต้องช้ำกันอยู่เรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นเราก็จะแถไป ถูกมารหลอกไปเรื่อยๆ ให้เป็นข่าวกึ่งๆ ดี ข่าวค่อนข้างดี ข่าวเกือบดี ข่าวดูเหมือนดี แต่ไม่ใช่ข่าวดี เพราะมันเกือบเหมือน ของพระเจ้าพระเยซูมีอย่างเดียว คือข่าวดี เราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นเลย เพียงแค่เชื่อเท่านั้น ใช้สิทธิของเราเท่านั้นเอง เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

 

คำบรรยายวันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … No Condemnation in Christ – ได้สำเร็จแล้ว” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันศุกร์ที่  19  เมษายน  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … No Condemnation in Christ – ได้สำเร็จแล้ว” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ สุขสันต์วันศุกร์ประเสริฐ ทักทายกันหน่อย ภาษาอังกฤษ เขาใช้ชื่อ Good Friday “Good” แปลว่าดี เป็นวันศุกร์ที่ดีมาก  เขาตั้งเทศกาลนี้มา เพื่อบอกว่ามันดี วันศุกร์เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนบ่ายสามโมง พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์วินาทีสุดท้าย พระองค์ตะโกนคำว่า “ได้สำเร็จแล้ว”

ทุกปีผมมาบรรยาย ก็จะมีหัวข้อเรื่อง คือ “สำเร็จแล้ว” ปีนี้มาคิดเบื่อเหลือเกิน ทุกปีก็ใช้หัวข้อเดิม ปีนี้เปลี่ยนใหม่ “ได้สำเร็จแล้ว” ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร?

เพราะตั้งแต่วันนั้น บ่ายสามโมงวันศุกร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากวันนั้น 1 นาที มันก็คือได้สำเร็จแล้ว พระเยซูประกาศว่าสำเร็จแล้ว ปุ๊บ หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง ก็ได้สำเร็จแล้ว ตอนเปาโลมาประกาศข่าวดี ก็บอกว่าสิ่งที่พระเยซูทำที่ไม้กางเขน ได้สำเร็จมาหลายปีแล้ว พวกเราก็บอกว่าพระเยซูได้ทำสำเร็จ 2,000 ปีมาแล้ว

แผนการการช่วยกู้มนุษย์ให้พ้นจากความตายทางวิญญาณและร่างกายด้วย เนื่องจากโทษของความบาป โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว จึงเป็นความชื่นชมยินดี เป็นเรื่องราวยินดี เขาถึงเรียกว่า Good Friday มาฉลองกัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่ Good Friday แบบมาฉลองเป็นปี แบบเทศกาลอีสเตอร์แบบนี้ แบบธรรมดา เราก็เรียกข้อมูลนี้ว่า “ข่าวดี”

ถามว่า “ข่าวดี” สำหรับใคร? สำหรับมนุษย์ทุกคน พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

การเฉลิมฉลอง   ระลึกถึงวันศุกร์ประเสริฐ   ที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน    และวันอีสเตอร์ คือวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แต่ละปี เขาตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นการระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำบนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากตายของพระองค์ ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว

เพราะฉะนั้น เทศกาลอีสเตอร์ ให้เราระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว เหมือนกับที่พระเยซูกำชับให้พวกสาวก ให้ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน ด้วยการทำพิธีเมื่อตะกี้นี้ ที่กินน้ำองุ่นและกินขนมปังรวมกัน ให้ทำบ่อยๆ รู้ไหมกินน้ำองุ่นและขนมปัง ก็คืออาหารการกินของคนสมัยเริ่มต้นนั่นแหละ คนกินข้าวทุกวัน ระลึกถึงพระองค์ว่าพระองค์ได้ทำสิ่งใด ส่วนใหญ่ ตอนที่เราทำมหาสนิท เราระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ แต่บางคนไม่ใช่อย่างนั้น ทำมหาสนิทระลึกถึงสิ่งที่ฉันได้กระทำ

“เมื่อวานฉัน อธิษฐานน้อยไป ฉันทำไม่ดี ฉันไม่สมควรเป็นคริสเตียนเลย”

ไม่ใช่ พระเยซูไม่ได้ต้องการให้เราทำตรงนั้น พระเยซูให้เราชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จไปแล้ว โดยระลึกถึงข่าวดี เพื่อเราจะได้ไปเล่าให้ลูกฟังต่อไป ไม่ใช่ทำมหาสนิท แล้วต่างคนต่างเศร้า

“ฉันมันแย่ ฉันเป็นคนบาป ฉันไม่สมควรได้รับความรอดเลย”

ไม่ใช่อย่างนั้น พระองค์ทำสิ่งเหล่านี้ แล้วกำชับให้เราทำ เพื่อเป็นหนึ่งในการประกาศข่าวดีออกไป จะได้มาถึงพวกเราทุกคน สองพันปี ไม่อย่างนั้นหายหมดเลย หนีหมดเลย ข่าวดีนี้มันหายไปว่าพระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ต้องพูด ต้องย้ำอยู่เรื่อยๆ เพราะพระเยซูก็พูดแค่นี้ ไม่ได้พูดอะไรเยอะกว่านี้เลย ต้องการให้เราระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว

“พวกเธอไม่ต้องทำอะไร? ฉันทำให้สำเร็จแล้ว พวกเธอมีหน้าที่อย่างเดียว คือเอาสิ่งที่ฉันทำสำเร็จแล้ว ไปบอกต่อเท่านั้นเอง”

บอกต่อว่าพระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว คุณไม่ต้องทำอะไรเลย คุณมารับความรอดไปฟรีๆ เลย นี่คือเป้าหมายของเทศกาลศุกร์ประเสริฐและอีสเตอร์ ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ และพูดอยู่เสมอๆ ก่อนที่จะกระทำสำเร็จ พูดเป็นอุปมา 3 ปี สอนวนเวียนอยู่นั่นแหละ ในสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ หลังจาก 3 ปีนี้ พูดอุปมาตลอดเวลา ถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์จะมาตั้งอยู่ พอวันศุกร์ประเสริฐ พระเยซูบอก “สำเร็จแล้ว” แสดงว่าสวรรค์มาตั้งอยู่แล้ว ก่อนหน้านั้น บอกว่า “จะมา” พูดอุปมานั้น อุปมานี้ พูดเกี่ยวกับเรื่ององุ่น เกี่ยวกับเรื่องตะลันต์อะไรต่างๆ ที่พระเจ้าพูดถึงเสมอ พูดถึงสวรรค์ทั้งหมด เข้าสวรรค์ทำอย่างไร? เพราะว่าสวรรค์กำลังมา พอพระองค์อยู่บนไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ พระองค์บอกมาแล้ว พระวิญญาณเข้ามาปุ๊บ เปิดตาฝ่ายวิญญาณ รู้ เข้าใจแล้วว่าหมายถึงอะไร? เมล็ดที่หว่านลงไป มันเกิดเป็นผลแล้ว สวรรค์มาแล้ว

เมื่อวันศุกร์ตอนบ่ายสามโมง พระองค์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว แล้วสิ้นพระชนม์ นั่นแหละเป็นคำแรกของการประกาศว่าแผนการของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด สำเร็จแล้ว ตั้งแต่วันแรก เขาประกาศกันมาถึงวันนี้ คือพระเจ้าต้องการช่วยมนุษย์ให้รอด สำเร็จแล้ว

เรามาดูกันว่า “อะไรสำเร็จ” พระเจ้าได้ตั้งอาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้ สำเร็จแล้ว โดยผ่านทางพระบุตร ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน คือพระเยซูคริสต์ อาณาจักรสวรรค์นี้ จึงมีชื่อว่า “คริสต์” หรือ “ไคร์ซ” ถ้าเป็นภาษาไทย เรายกย่องผู้ที่นับถือ เราจึงใส่คำว่า “พระ” เข้าไป ก็เลยกลายเป็น “พระคริสต์” หมายถึงพระเยซูนั่นแหละ อาณาจักรสวรรค์ มีชื่อว่า “พระคริสต์”

เรามาดูข้อพระคัมภีร์บางข้อที่บอกว่าอาณาจักรเหล่านี้ ได้สำเร็จแล้ว เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วบอก “สำเร็จแล้ว” พระคัมภีร์จะบอกถึงเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ สถานที่ต่างๆ ในโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น? เพราะมนุษย์มองไม่เห็นในโลกวิญญาณ พระเจ้าเป็นวิญญาณ สิ่งต่างๆ ที่บอกได้สำเร็จแล้ว ก็เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทั้งสิ้น  มนุษย์ก็เป็นวิญญาณ และวิญญาณเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นสิ่งที่จะอยู่ถาวร มากกว่าสิ่งที่ตามองเห็นอีก พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงต้องอธิบายทางฝ่ายวิญญาณให้มนุษย์ได้ยิน ได้ฟัง ใครมีตา จงเปิดออก ใครมีหู จงได้ยิน ไม่มีหู ไม่มีตาเหรอ มี แต่มีฝ่ายวิญญาณ ให้เปิดออก จะได้รู้ว่าในโลกวิญญาณ อันนี้ คือเป็นจริงๆ นะ พระเจ้ามีจริงๆ อาณาจักรสวรรค์มีจริงๆ อาณาจักรพระคริสต์ตามองไม่เห็น แต่มีจริงๆ พระคัมภีร์จึงอธิษฐาน เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้นเลย เพื่อให้มนุษย์ได้รู้ว่าโลกที่ซ้อนอยู่บนโลกใบนี้ สถานที่ที่เรียกว่าโลกวิญญาณ มันมีอยู่จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่อยู่ถาวรนิรันดร์ด้วย

เรามาดูสิว่า “ได้สำเร็จแล้ว” ในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์พูดถึงว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นตรงนั้นบ้าง มีอะไรสำเร็จบ้าง สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ เรามาดูโรม บทที่ 8 กัน

โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์”

 

พระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา เหตุการณ์เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อบ่ายสามโมง 2,000 ปีที่พระเยซูประกาศ สำเร็จแล้ว บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ หรืออยู่ในพระคริสต์

พระคริสต์ เป็นสถานที่ที่หนึ่งในโลกวิญญาณที่เรียกว่าพระคริสต์ พระเจ้าสถาปนาอาณาจักรหนึ่งขึ้นมา เรียกว่าพระคริสต์ และในนี้บอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว เพราะว่าเขาอยู่ในสวรรค์ ที่มีชื่อว่า “พระคริสต์” สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่า “พระคริสต์” แสดงว่าใครที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ยังถูกลงโทษอยู่ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรในโลกวิญญาณเหมือนกัน ที่เรียกว่า “ในอาดัม” เพราะฉะนั้น ใครอยู่ในอาดัมยังถูกลงโทษเหมือนเดิม ยังต้องชดใช้บาปตัวเองเหมือนเดิม เมื่อตายแล้ว ก็ยังต้องไปอยู่ในนรกเหมือนเดิม อยู่กับพระเจ้าไม่ได้

ในพระคริสต์ เขาเรียกกันว่า “ในวิญญาณ” นอกพระคริสต์ ในอาดัม เขาเรียกว่า “ในเนื้อหนัง” ในกิเลสตัณหา ไม่เกี่ยวกับการกระทำของคน เกี่ยวกับว่าคนนั้นอยู่ในตำแหน่งไหน? ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเขาทำดีทำชั่ว เกี่ยวกับว่าเขาอยู่ที่ไหนตอนนั้น พอเราเชื่อพระเยซู เราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระคริสต์ เราไม่ได้ทำอะไรเลย เราเชื่ออย่างเดียว คนที่ไม่ได้ย้ายมา เขาก็ยังอยู่ที่เดิม อยู่ในอาดัม ก็เรียกว่าอยู่ในเนื้อหนัง อยู่ในพระคริสต์ เขาเรียกว่าอยู่ในพระวิญญาณ

มี 2 อาณาจักร ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ อาณาจักรหนึ่งเรียกว่าพระคริสต์ ถ้าเป็นอาณาจักรพระคริสต์  คนนั้นในพระคัมภีร์ถูกเรียกว่าเป็นเดอะเซนต์ เป็นธรรมิกชน เป็นประชากรของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ซึ่งอยู่ในตำแหน่งใหญ่โตมาก ซึ่งเรียกว่าอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซู คนนั้นที่เชื่อในข่าวดีที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว พอเชื่อปุ๊บ เข้าไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานพร้อมกับพระเยซูเลย

เบื้องขวาหมายถึงมีสิทธิอำนาจที่พระเจ้ามอบให้เลย ดูแลอาณาจักรสวรรค์ทั้งหมด ผู้เชื่อจึงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันในการครอบครองอาณาจักรนี้ นี่คือมรดกของเรา

นี่คือโลกวิญญาณที่พระคัมภีร์อธิบายให้เราได้เห็นว่าคำว่า “ในพระคริสต์” เป็นอย่างไร? คนนั้นเป็นธรรมิกชนของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว ขณะที่เดินบนโลกใบนี้ แต่วิญญาณเขาอยู่ในสวรรค์ เรียกว่าพระคริสต์ เป็นประชากรของพระเจ้า หรือเขาไม่เชื่อ แล้วยังคงอยู่ที่โลกใบนี้  เป็นประชากรของโลกใบนี้ อยู่ใต้อำนาจของมารและความบาป ซึ่งส่งผลถึงความตาย ต้องรับโทษต่อไป เขาจะอยากอยู่ที่ไหน? นี่คือความจริงที่พระคัมภีร์ได้อธิบายให้เราได้เห็นภาพชัดเจนว่าโลกวิญญาณเป็นอย่างไร? มาดูต่อไปในโรม 8:2 ว่าข่าวดี Good Friday ศุกร์ประเสริฐ มันประเสริฐอย่างไร?

โรม 8:2 “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

เขาอธิบายต่อว่าในโลกวิญญาณนี้ กฎของความบาปและความตาย คือทำบาป ก็ต้องได้รับโทษถึงตาย บาป 1 ครั้ง ก็มีค่าเท่ากับทำบาปล้านครั้ง ทำบาปหนึ่งครั้ง ก็ได้รับโทษถึงตายเหมือนกัน แต่พระวิญญาณ ที่ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เนื่องจากเชื่อในสิ่งที่พระเยซูได้กระทำให้สำเร็จแล้ว พอเราเชื่อปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามาสถิตอยู่กับเรา วิญญาณที่ตายอยู่ได้รับการสร้างใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง และการเกิดใหม่ตรงนี้ มันจึงทำให้เราเป็นอิสระ จากโทษของความบาปและความตาย เราไม่ต้องรับโทษของความบาปและความตายอีกแล้ว จบกันไปเลย ในโลกวิญญาณ มันมีสองอัน ถ้าเราไม่เชื่อ เราต้องอยู่ในกฎเดิม กฎของความบาปและความตาย เราทำบาป เราก็ต้องรับ ทำบาปครั้งหนึ่งก็ตกนรก ทำบาปล้านครั้งก็ตกนรก รวมความคือตกนรกลูกเดียว เราจะเอาอย่างไร? เลือกข้างให้ถูก เลือกสถานที่จะไปให้ถูก เลือกคนให้ถูกเท่านั้นเอง มองให้ดีๆ (ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น) ในโรม 8:3 บอกต่อไปว่าอย่างไร? เมื่อพระเยซูบอกว่าได้สำเร็จแล้ว  มันเกิดอะไรขึ้น

โรม 8:3 “เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น  พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เอง  มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทำเช่นนี้  พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาปในมนุษย์ที่เป็นคนบาป”

 

“เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น” ในหนังสือฮีบรูบอกว่ากฎหรือบัญญัติต่างๆ ไม่สามารถทำให้มนุษย์เป็นผู้ชอบธรรมได้ แต่กฎบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น ทำไว้เพื่อมนุษย์จะได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาปและอ่อนแอ ถ้าไม่มีกฎ เราจะทำอะไร เราก็ไม่ผิด ถ้ามีกฎ เราทำปุ๊บ ผิดเลย

ยกตัวอย่าง ถ้าเขาบอกว่าให้ขับรถไปที่นี่ แล้วมันไม่มีป้ายบอก ไฟเขียว ไฟแดง เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เราขับไปเรื่อยๆ ไม่ผิด ขับอย่างไรก็ไม่ผิด แต่พอเขามีกฎแล้ว มีไฟแดง ไฟเขียว พอไฟแดง เราต้องหยุด ถ้าเราไม่หยุด ถือว่าผิด นี่เรียกว่ากฎ ปรากฏว่ามนุษย์ก็มีบาปอยู่ในตัว พอเจอไฟแดง ก็อยากจะฝ่าไฟแดง ที่ไม่ฝ่า เพราะว่าตำรวจอยู่ แต่ (สันดาน) ชอบทำ ฝ่าอยู่แล้ว นี่แหละคือมนุษย์อ่อนแอ แปลว่าอย่างนี้  พอมีกฎแสดงว่ามนุษย์จะรู้ทันทีว่า …

“ฉันเป็นคนบาป ฉันไม่อยากทำอันนี้ เขาบอกว่าไม่ดี เขาบอกว่าการโกรธ การไม่ให้อภัยคน ไม่ดี การอิจฉาคน ไม่ดี ฉันพยายาม ไม่อิจฉา แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันเป็นคนบาป”

เพราะฉะนั้น ในนี้กำลังจะบอกเราว่าต่อให้มนุษย์พยายามทำให้ถูกต้อง แต่ข้างในใจ มันไม่สะอาดจริง มันไม่สามารถทำให้เธอชอบธรรม ก็คือสะอาดหมดจด ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้เลย เพราะฉะนั้น ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องโดนลงโทษแน่ๆ

เมื่อมนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว  ผ่านทางพระบุตร โดยส่งพระบุตรของพระองค์เองมา ในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ คือมาเกิดเป็นมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติทั้งปวง พระองค์ได้ตัดสินลงโทษมนุษย์ ที่เป็นคนบาปไปแล้ว ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้จนต่อไปในอนาคต ที่ยังไม่เกิดมา บาปทั้งหมดได้ถูกจัดการ ชำระ ถูกตัดสินว่ามนุษย์รับบาปไปหมดแล้ว สมมติ โทษจำคุก 100 ปี ถูกย้ายไปอยู่ที่พระเยซูหมดแล้ว พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว รับไปแล้ว 100 ปี พวกเราก็ไม่ต้องรับแล้วไง ถือว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราอยู่ในพระเยซู เราตายพร้อมกับพระเยซู เรารับโทษพร้อมกับพระเยซู … พระเยซูรับโทษ 100 ปี เราก็รับโทษ 100 ปี  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เราก็ตายที่ไม้กางเขนในวันนั้นด้วย ศุกร์ประเสริฐนั้น พอพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นด้วย เพราะจบไปแล้ว บาปได้ถูกชำระไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อถูกชำระบาป เราก็ไม่มีบาปแล้ว ทุกวันนี้ วิญญาณเราสะอาดหมดจด เพราะเราได้รับการชำระแล้ว เราจ่ายเงินไปแล้ว จ่ายค่าจ้างของความบาป ซึ่งคือความตาย ที่ไม้กางเขนพร้อมกับพระเยซูแล้ว พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ เราได้ตายพร้อมกับพระองค์  พระเยซูกำลังจะบอกเราว่าให้เราเห็นภาพว่า …

“เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อฉันรับโทษ พวกเธอก็รับไปพร้อมๆ กัน เหมือนตอนเธอรับโทษ สมัยอาดัม เธอก็รับโทษพร้อมกับบรรพบุรุษ ตอนนี้ฉันจ่ายโทษให้แล้ว จ่ายหนี้ให้แล้ว เธอก็อยู่กับฉัน จ่ายไปพร้อมๆ กัน จำไว้ เตือนกัน ต่อๆ ไป หมดแล้ว จบแล้ว ไม่ต้องมีใครมาทวงหนี้อีกแล้ว อย่าไปหลงเชื่อมาร”

แค่นั้นเอง ในพระคัมภีร์จะพูดวนเวียนตรงนี้ตลอดเวลาว่าจ่ายไปหมดแล้ว พระเยซูมาทำเพื่อเรา มีค่าเท่ากับว่าเราทำเองตรงนั้น ไม่เข้าใจใช่ไหม? ให้ใช้ความเชื่อเอา กฎบัญญัติต่างๆ บอกว่ามนุษย์ทำไม่ได้ อ่อนแอ พระเจ้ารู้ จึงได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา  เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ เหมือนหนังสือยอห์น 3:16 บอกไว้ว่า …

ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อมนุษย์จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

อันเดียวกัน ได้ทำแล้ว ส่งมาแล้ว เพราะฉะนั้น มนุษย์ได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว ขึ้นอยู่กับเขาจะเลือกไหม? เขาจะเอาไหม?  ถ้าเขาเอา ก็คือเชื่อ ก็ย้ายข้างมา จบ ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้เกี่ยวกับจะทำดี ทำชั่ว แต่เกี่ยวกับการย้ายสถานที่อยู่ในโลกวิญญาณเท่านั้น จากดำมาขาว จากโลกวิญญาณที่เรียกว่าอาดัม มาสู่พระคริสต์ จากโลกวิญญาณที่เรียกว่านรก มาอยู่ในความสว่างเรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้า จากประชากรของโลก เนื้อหนัง มาเป็นประชากรที่เรียกว่าธรรมิกชนของพระเจ้า ในพระคริสต์ ไม่ได้เกี่ยวกับคนที่ทำดี ทำชั่วเลย เกี่ยวกับว่าเขาอยู่ไหน? ขณะที่อยู่ในอาดัม เขาไม่ย้ายเข้ามา ยังอยู่ที่เดิม อยู่ในเนื้อหนัง ก็จะมีทั้งคนดี คนไม่ดี ที่เรามองเห็นว่าคนนี้ทำดี คนนี้ทำไม่ดี บวกไปบวกมา ในทำนองเดียวกัน เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ก็จะมีผสมกัน มองดูคนนั้นนิสัยไม่ดี คนนั้นยังไม่ดีอยู่ แต่มันคนละเรื่องของโลกวิญญาณ วิญญาณสะอาดหมดจด อยู่ในสวรรค์แล้ว  ไม่ต้องรับโทษอะไรอีกต่อไปแล้ว เอเมน มันเป็นแค่นี้เอง

ข้อสุดท้าย โรม 8:4 บอกว่าได้สำเร็จแล้ว แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เมื่อพระเจ้าส่งพระเยซูมา ถามว่าส่งมาเพื่ออะไร? โรม 8:4 ได้บอกไว้อย่างนี้

โรม 8:4 “เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ”

 

พระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาทำ และได้ทำสำเร็จแล้ว เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติจะได้ชอบธรรมครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย ก็คือในตัวมนุษย์ทั้งหลาย ก็เพื่อสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายทำไม่ได้ เพราะอ่อนแอ รักษาบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์ไม่ได้ เดี๋ยวก็ทำผิดๆ ตั้งใจจะทำถูกอย่างไร? พระเยซูบอกแค่โกหก ก็ไม่ซื่อ ไปขโมยของเขา ไปโกรธเขา เกลียดเขา ก็เท่ากับฆ่าเขาตาย ไปมองผู้หญิงด้วยใจกำหนัด ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว ทำอะไรก็ผิดหมด ไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้ พระเยซูกำลังจะบอกมนุษย์ว่าพวกเธอช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พระเจ้าก็เลยส่งพระเยซูมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขน ในนี้บอกว่า …

“เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบัญญัติจะได้สำเร็จ ครบถ้วนบริบูรณ์ในตัวเราทั้งหลาย”

คือในตัวมนุษย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เชื่อจะได้รับผลเลย ได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แปลว่า …

“เพื่อว่าเราจะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย”

พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อว่าเราจะได้รับการชำระบาป ให้เป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยได้ถูกย้ายออกจากการดำเนินชีวิต อยู่ในอาณาจักรนี้ มามีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณ ได้เกิดใหม่ อยู่ในสวรรค์

ตอนที่พระเยซูกำลังจะเดินทางเข้าไปสู่การถูกตรึงที่ไม้กางเขน สาวกก็ห้ามปราม พระเยซูบอกว่า …

“ฉันต้องไป ฉันต้องทำ”

คือตายและถูกตรึงที่ไม้กางเขน และบอกว่า …

“เมื่อเราถูกยกขึ้น ก็คือถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราจะดึงเอาผู้คนมากมาย มาสู่เรา”

หมายถึงเราจะเอาเผ่าพันธุ์มนุษย์ผ่านทางเรา ไปอยู่กับพระเจ้า และทุกวันนี้ ไปอยู่กับพระเจ้าเท่าไรแล้ว ผ่านทางพระเยซูคนเดียว มนุษย์หลั่งไหลเข้าสู่ ง่ายๆ เลย  โดยยกมือเท่านั้นเอง 2,000  ปีมาแล้ว นี่คือข่าวดี ที่สมควรที่จะถูกประกาศออกไป  ไม่ต้องพึ่งการกระทำของใคร ของคนโน้นคนนี้ ของตัวท่านเอง หรือใครมาช่วยท่านเลย แม้กระทั่งไม่ต้องพึ่งพระเยซูเลย เพราะพระเยซูได้ ทำสำเร็จแล้ว พระองค์ไม่ได้เหนื่อยขึ้นเลย ที่จะมาช่วยอีกคนหนึ่งให้รอด เพราะช่วยทีเดียว ไปทั้งหมดเลย นี่คือความดีของคำว่า “Good Friday”  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************