คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2019 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  พฤศจิกายน  2019

 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราก็จะเริ่มซีรี่ย์ชุดใหม่ แต่ประเด็นเนื้อหาก็ยังคงเวียนอยู่เรื่องเดิมๆ บางคนก็บอกว่าฟังพาสเตอร์พูด … พูดแต่เรื่องเดิม วนไปวนมาตลอดเลย ก็พระคัมภีร์ทั้งเล่ม พูดเรื่องเดิมทั้งนั้น เรื่องไปสวรรค์อย่างไร? ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องกินและเรื่องดื่ม แต่เป็นเรื่องสวรรค์ เรื่องโลกวิญญาณ เรื่องในสิ่งที่มองไม่เห็น ที่พระเยซูทำให้กับเรา ซึ่งถ้าตั้งใจฟังกันให้ดีๆ ถึงแม้จะดูเหมือนผมพูดเรื่องเดิมๆ ทุกอย่าง แต่มันจะมีมุมใหม่ๆ มีข้อคิดใหม่ๆ อยู่เสมอ ที่พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าสดใหม่เสมอ ใช้ได้กับทุกโอกาส ทุกสถานการณ์ และใช้ได้กับทุกยุค ทุกสมัย เอเมน

พระคัมภีร์บอกพระเยซู คือความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท พระเยซูจะทำให้ท่านเป็นอิสระ ซึ่งฟังดูก็ง่ายมาก ความหมายตรงๆ ไม่ต้องตีความอะไรทั้งนั้น แค่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู แล้วท่านจะเป็นไท เป็นอิสระ หลุดพ้นจากโทษของความบาป ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว เป็นไท โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ที่เรียกว่าพระคุณ เราเรียนกันมาแล้ว

คริสเตียนที่เชื่อพระเจ้าแล้วทุกคน มั่นใจไหมว่าได้รับความรอด จากบาปแน่นอน ถึงแม้จะพลั้งเผลอไปทำบาป หรือไม่ทำตามกฎบัญญัติเดิมๆ ของพระเจ้า ซึ่งทำแน่ๆ วันนี้ออกไป ทำบาปไหม? ทำแน่ๆ แล้วยังมั่นใจไหมว่าที่ทำแน่ๆ นั้น จะได้ไปสวรรค์จริงๆ คำว่ามั่นใจ หมายถึงมันเชื่ออย่างเต็มอกเลยนะ

ยกตัวอย่าง แม้กระทั่งปลุกขึ้นมาตอนดึกๆ เพลีย ง่วงมาก 11 โมงไปปลุกขึ้นมา ถามว่าไปสวรรค์ไหม? ไปแน่นอน อย่างนี้ คือข้างในมันรู้ 100% เข้าใจไหม? ไม่ใช่ปลุกขึ้นมา …

“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันอยู่ไหน จะไปสวรรค์เหรอ”

อย่างนี้ไม่มั่นใจ หรือไม่ต้อง 11 โมง ตื่นเช้ามา อากาศสดชื่น ดีเลย ไปสวรรค์ไหม? เมื่อตะกี้นี้ ตื่นขึ้นมาหงุดหงิด ไปว่าลูกก่อนไปโรงเรียน ไม่มั่นใจว่าจะไปสวรรค์หรือเปล่า?

แรกๆ บอก “ไปๆ” พอถามลึกๆ หลายคนเริ่มไม่มั่นใจ เพราะหลายคนยังมีความคิด หรือความเชื่อแบบเดิมๆ ติดตัวมา และยากที่จะลบล้างความเชื่อเดิมๆ เหล่านั้นออกไป มันก็เลยทำให้เรื่องข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซู ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย กลายเป็นเรื่องยาก จริงๆ มันง่ายนิดเดียว แต่คนชอบยากๆ มากกว่า พระเยซูบอกว่า …

“จงเข้าประตูทางแคบ”

ทางแคบ แปลว่าคนไม่ค่อยมาหรอก คนนึกว่าทางแคบ มันคงยาก ไม่ใช่ ทางแคบ คือมันง่ายเกินไป ไม่เอา ทำเองดีกว่า เพราะฉะนั้น ทุกคนก็จะไปทำเองๆ ฉันจะต้องสะสมความดี ฉันต้องสะสมบารมี ฉันจะต้องสะสมไปสวรรค์ให้ได้ เพราะฉะนั้น ทำเข้าไปๆ ทุกคนก็แห่ไปพึ่งตัวเองหมดเลย ซึ่งข่าวดีของพระเจ้า คือพึ่งพระเยซูเพียงผู้เดียว เอเมน พระเยซูบอกว่าทุกคนไปทางกว้างหมดเลย แต่ถ้าใครจะไปสวรรค์ต้องผ่านทางแคบ ทางแคบๆ ก็คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซู ทำให้เราเท่านั้น เวลาพูดมันง่าย เวลาปฏิบัติ มันยากมาก อาจารย์เปาโลเขียนในหนังสือโคโลสี 2:4

โคโลสี 2:2-4 “2 จุดมุ่งหมายของข้าพเจ้า ก็คือให้กำลังใจพวกเขา ให้พวกเขาประสานรวมกันด้วยความรักและด้วยความเชื่อมั่น อันเต็มเปี่ยม 3 ซึ่งเกิดจากความเข้าใจที่แท้จริง เพื่อว่าพวกเขาจะได้รู้ถึงความล้ำลึกของพระเจ้า คือพระคริสต์ซึ่งคลังสติปัญญา และความรู้ทั้งมวลซ่อนอยู่ในพระองค์ 4 ข้าพเจ้าบอกอย่างนี้ เพื่อไม่ให้ใครมาล่อลวงท่าน ด้วยถ้อยคำที่ฟังน่าเชื่อถือ”

 

“ข้าพเจ้าบอกอย่างนี้ เพื่อไม่ให้ใครมาล่อลวงท่าน” ท่านผู้เป็นคริสเตียนเชื่อใหม่ ล่อลวงท่าน ด้วยถ้อยคำที่น่าเชื่อ แบบมนุษย์ เพราะไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำที่ฟังน่าเชื่อถือ ก็เช่นถ้อยคำมาจากคำพูดของผู้ใหญ่ที่น่านับถือ มีตำแหน่ง โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำทางศาสนาในยุคนั้น หรือถ้อยคำที่มีสำนวนโวหารไพเราะ

“พี่น้อง บัดนี้ อะไรอย่างนี้”

ฟังแล้ว น่าเชื่อถือ ดูแล้วรู้สึกดี แล้วก็ไปเชื่อ คนนี้เทศน์ดีมาก สนุกมากเลย เชื่อ เปาโลบอกว่ามีโอกาสถูกหลอกลวงได้  เพราะฉะนั้น เตือนไว้ และคำสอนเหล่านี้ ก็ถูกถ่ายทอดกันต่อๆ มา คำหลอกลวงเหล่านี้  ที่ฟังดูแล้วไพเราะ เป็นสติปัญญาของมนุษย์ จนกลายเป็นความเชื่อที่เป็นประเพณีเก่าแก่ ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกว่าไม่ว่าคนพูดนั้น จะผู้ใหญ่ขนาดไหนก็ตาม หรือเป็นคำพูดที่ฟังดูน่าเชื่อถือขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าคำพูดนั้น ไม่ตรงกับความจริง ตามข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ คำพูดนั้น ก็เชื่อถือไม่ได้ มันมาหลอกลวงเรา นี่คือหัวข้อคำบรรยาย ซีรี่ย์ชุดใหม่นี้ ที่มีชื่อเรื่องว่า “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”

ซึ่งจะรวบรวมเอาความเชื่อที่มีมาแต่โบราณที่หลายเรื่อง ทำให้เรื่องง่ายๆ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์กลายเป็นเรื่องยาก แล้วเราก็จะมาศึกษากันว่าความเชื่อเก่าแก่เหล่านี้  ขัดแย้งความจริง ตามถ้อยคำพระเจ้าอย่างไร? เพื่อความจริงจะได้ทำให้เราเป็นอิสระจริงๆ เราเชื่อพระเยซู เราควรจะเป็นอิสระ (จริงๆ) แต่บางคนมาเชื่อพระเยซูแล้ว ยังไม่ค่อยเป็นอิสระเท่าไร? ทั้งๆ ที่สมควรเป็นอิสระ เพราะพระเยซูทำให้เราเป็นอิสระ คริสเตียนที่เชื่อแล้วจริงๆ วิญญาณเป็นอิสระแล้ว แต่กระทำชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เหมือนเป็นทาสอยู่ เปาโลพูดแบบนั้นเลย เหมือนเป็นทาสอยู่ ทั้งๆ ที่พระเยซูปลดปล่อย หลุดจากการเป็นทาส เรียบร้อยแล้ว

เริ่มต้นเรื่องแรก “การทำตามธรรมเนียมประเพณี” คริสเตียนเก่าแก่หลายคน โดยเฉพาะพวกที่ชอบศึกษาธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่โบราณ แล้วก็คิดไปเองว่าเราควรจะยึดธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิม ตามที่ผู้ใหญ่เขาบอกกันมา นี่พูดถึงในอดีตเป็นอย่างนี้จริงๆ นะ ผู้หลักผู้ใหญ่มียศ มีตำแหน่งทางศาสนาเขาว่ากันมา เพราะฉะนั้น เขาบอกว่าอย่างนี้ ตามเขา แล้วยังบอกกันว่าตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด อะไรประมาณนั้น แบบไทยๆ แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีหลายแห่งที่ยังยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติที่เรียกว่าศาสนกิจกันอยู่ ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ทั้งเล่มไม่มีตรงไหน บอกไว้เลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยกเว้น 2 เรื่องพระคัมภีร์มีบันทึกบอกไว้ คือ “พิธีมหาสนิท” กับ “พิธีบัพติศมาในน้ำ” แค่นี้เอง

แล้วคนก็เอา 2 อันนี้ไปใช้ ไปตีความหมายผิด พึ่งพิธีมหาสนิท เพื่อจะทำให้เรารอด พึ่งพิธีลงน้ำ เพื่อจะให้เรารอด ซึ่งไม่ใช่เลย

นอกจากพิธีกรรมต่างๆ แล้ว ก็ยังมีเรื่องข้อห้ามต่างๆ มีเรื่องกฎระเบียนที่ตั้งขึ้นมาเอง สำหรับผู้ใหญ่ต่างๆ เหล่านั้น  ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการสืบทอดธรรมเนียมปฏิบัติที่มาตั้งแต่ดั้งเดิม เก่าแก่ ต่อๆ กันมาตั้งแต่กฎหมายเดิม ตั้งแต่ชาวยิวเดิมๆ อาจารย์เปาโลทราบอยู่แล้วว่าจะต้องมีเหตุการณ์อย่างนี้ เกิดขึ้นแน่ๆ ก็เลยสอน ดักคอไว้ก่อน ในโคโลสี 2:8

โคโลสี 2:8 “จงระวังให้ดี อย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาส ด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ซึ่งอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมา และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ แทนที่จะอาศัยพระคริสต์”

 

“แทนที่จะอาศัยพระคริสต์” ก็คือแทนที่จะอาศัยข่าวดีของพระเยซู จะได้รู้ ปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ก็คือคำพูดหรือคำสอนที่เป็นปรัชญา ฟังดูเท่ห์ ฟังดูลึกซึ้ง เปาโลพูดภาษาชาวบ้านมากเลยนะ ท่านไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว และพระเจ้าได้ทำให้ท่านเป็นขึ้นมาจากความตาย ไม่มีเท่ห์เลย คำสอนเชิงปรัชญา ต้องมาคิดหลายตลบ ฟังดูแล้วน่าเชื่อถือ อ้างอิงจากธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่โบราณ ที่ฟังแล้วมันดูขลัง สมัยโมเสสเขายังทำอย่างนี้ อาโรนก็อย่างนี้แหละ

“พระเจ้าเคลื่อนไหวตอนนั้น อย่างนี้เลย ต้องทำอย่างนี้”

อะไรประมาณนั้น ดูขลัง ดูศักดิ์สิทธิ์ ยกตัวอย่างเช่น จะขึ้นบรรยายถ้อยคำพระเจ้าทั้งที ดูขลัง เพราะถ้อยคำพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ ในพระคัมภีร์บอกถ้อยคำพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ มันหมายถึงศักดิ์สิทธิ์ของการเป็นความจริง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ได้หมายถึงดูขลัง มีฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้น เวลาเราจะขึ้นไปอ่านถ้อยคำพระเจ้า หรือบรรยาย หรือเทศนา เราจะต้องแต่งชุด ให้ดูขลังหน่อย ใส่สายสะพาย ใส่อะไร ขึ้นมา เป็นเหมือนชุดปุโรหิตยิวโบราณ ที่พระเจ้าให้แต่ง แล้วก็เอามาดัดแปลง ให้ดูน้อยๆ ลงนิดหนึ่ง แต่ก็ยังแต่งอยู่ อันนี้ผมไม่ได้พูดถึงคนแต่ง ไม่เกี่ยวกัน แต่กำลังจะบอกให้ฟังว่าสิ่งเหล่านี้ มันทำให้ข่าวดีของพระเจ้าค่อยๆ ถูกทำให้เสียหายไป ถูกทำให้ค่อยๆ จางไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันไม่ตรงกับความจริงในถ้อยคำพระเจ้าเลย ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูพยายามสอนเรา บอกว่าพระองค์มาทำให้สำเร็จแล้ว ไถ่บาปเราแล้ว สวรรค์คืออะไร? การเข้าสวรรค์อย่างไร? เกิดในโลกวิญญาณอย่างไร? มันไม่ได้เกี่ยวกับการกิน การดื่ม การทำอะไรบนโลก เป็นศาสนกิจเลย ไม่เกี่ยวเลยแม้แต่นิดเดียว รวมทั้งพิธีมหาสนิทและพิธีบัพติศมาในน้ำ ก็ไม่เกี่ยวกับความรอดเลย แม้แต่นิดเดียว

เติมไปนิดหนึ่ง วันนี้ไม่ได้มาคุยเรื่องนี้ ทุกคนรู้จักบัพติศมาในน้ำ … บัพติศมาในน้ำไม่ได้ทำให้คนได้รับความรอด รู้ไหมบัพติศมาในน้ำ ผมคิดขึ้นมาเอง เปรียบเหมือนงานฉลองวันเกิด ท่านเกิดแล้วใช่ไหม? พอครบปีท่านก็มาฉลองวันเกิดใช่ไหม? ท่านก็ร้องเพลงอวยพรวันเกิด ท่านเกิดหรือยัง? เกิดแล้ว Happy Birthday ทำให้ท่านเกิดอีกทีไหม? ไม่ใช่ การบัพติศมาในน้ำ คือฉลองในหมู่ คนที่เขาเกิดใหม่แล้ว เขาเชื่อพระเยซูแล้ว ตั้งแต่เมื่อไร ไม่รู้ อาจจะเมื่อวาน เมื่อวานซืน อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ไม่รู้เมื่อไร? แต่วันนี้เขาจะฉลอง Happy Birthday to you แล้วเราร้องเพลงอะไร? สมมติว่าวันเกิดทางด้านมนุษย์ Happy Birthday to you ไม่เกี่ยวอะไรกับที่เราเกิด ถูกไหม?  เกิดในวิญญาณก็เหมือนกัน เกิดเมื่อไร? อาจจะรับเชื่อเดือนที่แล้ว  เกิดใหม่แล้ว วันนี้มาฉลอง “ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู” เหมือนกัน แค่นี้ อันนี้แถมให้

ปรัชญาอันไร้แก่นสารเหล่านี้ มันทำให้เกิดคำหลอกลวง คือบิดพลิ้วถ้อยคำพระเจ้า ค่อยๆ บิด ถ้าบิดไปหมดเลย ยิ่งดี ถ้าบิดไม่ได้หมด บิดสัก 10% ก็ดี  ถ้า 10% ไม่ได้ 5% ก็ยังดี 5 % ไม่ได้ 1% ก็ยังดี แต่ใจจริงมารอยากจะบิดให้มันได้ครบ 100 เลย   ก็คือคนที่ไม่เชื่อนั่นเอง  แต่มาเชื่อแล้ว ทำอย่างไรได้ เชื่อแล้วไม่เป็นไร ทำให้เพี้ยนๆ เพื่อที่จะไม่ให้เขาไปส่งต่อข่าวดีนี้กับคนอื่น คนนี้รอด ไม่เป็นไร  สงครามไม่ได้จบตรงที่ว่าเรามาเชื่อพระเจ้า แล้วมารปล่อย ไม่ใช่ เรามาเชื่อแล้ว เราเข้าไปอยู่ในมือพระเจ้าแล้ว เข้าไปอยู่ในบ้านพระเจ้า ในสวรรค์แล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว  ก็จริง แต่มันจะทำให้เราเป็นพยานเท็จ เราไปสวรรค์จริง แต่เราไม่สามารถทำให้คนอื่นเชื่อได้เลย เพราะการประพฤติของเราตลกๆ แปลกๆ

เราเป็นช่างตัดผมอยู่ดีๆ พอมาเชื่อพระเจ้าเราดีใจเหลือเกิน ไปโบสถ์ ทุกคนพอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ทุกคนต้องประกาศๆ เราเป็นผู้เชื่อใหม่ ไม่รู้จะทำอย่างไร? เขาบอกต้องประกาศๆ เป็นช่างตัดผมก็ประกาศได้ เราก็ถูกบังคับ พยายามจะประกาศ พอลูกค้ามาปุ๊บ เรากำลังลับมีดจะโกนหนวดให้เขา ไปปาดที่ใกล้ๆ คอ แล้วเราถาม …

“คุณเคยตายไหม? คุณกลัวตายหรือเปล่า?”

เราพูดไม่ถูกกาลเทศะเลยนะ คนนั้น …

“กลัวสิครับ”

“เชื่อพระเยซูไหม?”

“เชื่อๆ”

เขาเชื่อจริงหรือเปล่าล่ะ

เราชอบทำอะไรแปลกๆ อย่างนี้ คริสเตียนใหม่ คุยแล้วสนุก เอารถไปล้าง เด็กวิ่งมาถึง …

“จะรับบริการอะไรครับ 1, 2, 3, 4”

“หนูเชื่อพระเยซูหรือยัง?”

เขาถามว่าจะรับบริการอะไรไหม? ดันไปถามว่าหนูเชื่อพระเยซูหรือยัง?

“พี่จอดรถข้างๆ นะ”

“หนูรู้ไหม ถ้าเชื่อพระเยซู แล้วหนูจะไปสวรรค์”

คุยกันรู้เรื่องไหมเนี้ย มันเหมือนถูกบังคับ มันไม่เป็นธรรมชาติ มันไม่มีกาลเทศะ ถ้าถูกทางพระเจ้า มันจะดีงาม เรียบร้อย ลงล๊อค เข้าใจได้ ไม่มีอะไรแปลกๆ นี่ข่าวประเสริฐเสียหายไหม? คนที่ประกาศ คนที่เชื่อแล้ว รอดจริงๆ แต่เขาไม่สามารถที่จะไปบอกให้คนอื่น รู้ถึงข่าวประเสริฐที่ง่ายๆ ของพระเยซูได้ เพราะถูกขโมยบางส่วน ที่เป็นความจริงไปนั่นเอง ซึ่งปรัชญาอันไร้แก่นสาร หลอกลวงเหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็มาจากการไปศึกษาค้นคว้าดูว่าบรรพบุรุษ ผู้เชื่อในยุคก่อนๆ แทนที่จะไปศึกษาถ้อยคำพระเจ้า

ไปศึกษาดูว่าคนยุคก่อนๆ บรรพบุรุษของเรา ในคริสตจักรยุคแรกๆ เขาทำอะไรกัน ที่เปาโลเขียน ก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าเผื่อเขาเดินมากับพระเยซู เคยเดินกับพระเยซู ต้องถูกต้องหมด ต้องทำตามเขาให้หมด เราต้องทำตามเปโตร ต้องทำตามยอห์น ต้องทำตามยากอบ เพราะว่าเขาเดินกับพระเยซูมานะ เปาโลเป็นใครยังไม่เคยเดินกับพระเยซูเลย แล้วยังแถมฆ่าคริสเตียนด้วย อย่าไปเชื่อเขาเลย มาเชื่อคนเหล่านี้ดีกว่า เขามองอย่างนี้ เขาไม่ได้มองเนื้อแท้ๆ ของความหมายของข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาถึงถูกหลอกได้

เปาโลชัดเจน เปาโลอ้างอย่างนี้เสมอ “ข้าพเจ้าถูกเรียกมาเป็นอัครทูต แบบเมียน้อย อัครทูต ต้องเดินกับพระเยซูสิ ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลกใบนี้ แต่เปาโลไม่ได้เดินกับพระเยซู เพราะฉะนั้น หลายคนดูถูก แล้วผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านั้น ที่บอก น่าเชื่อถือ เปโตรก็น่าเชื่อถือ ต้องทำตามเขา เขาแบ่งแยกคริสเตียน โดยการกระทำของเขา โดยความกลัวของเขา คือเขายังคงรักษาประเพณี การไม่คบหากับคนต่างด้าว คนที่ไม่ใช่ยิวอยู่เลย แม้กระทั่งเขาเป็นผู้นำในเรื่องคริสเตียนแล้ว มีคริสเตียนที่เป็นชาวกรีก และอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิว เปโตรไม่กินอาหารโต๊ะเดียวกัน ถือว่าเขาต่ำกว่า เปาโลถือมากเรื่องนี้ โกรธมาก ทะเลาะกันแต่เรื่องนี้

“คุณทำอย่างนั้นได้อย่างไร?”

เปโตรที่ยืนกับพระเยซู ที่เดินกับพระเยซู แต่เนื่องจากความคุ้นเคย ความรับผิดชอบ ในฐานะเป็นอัครทูตของพระเจ้าที่ส่งไปให้ชาวยิว จึงตะขิดตะขวางใจมาก เคร่งครัดในเรื่องประเพณีในอดีตมากมาย นี่แหละคือสิ่งหนึ่งที่ความจริงถูกบิดเบือน ไม่ได้พิจารณาดูว่ามันตรงตามหลักการไหม? ถ้อยคำพระเจ้าหรือเปล่า? กลัวไปก่อนแล้ว ไบเบิ้ลบันทึกอย่างนั้นหรือ? ไม่รู้ รู้แต่ว่าเปโตรทำ ฉันทำบ้าง เพราะฉะนั้น …

“ข้างบ้านเขาเป็นชาวกรีกนะ เขาเพิ่งมาเชื่อพระเจ้า อย่าไปกินข้าวกับเขานะ”

“ทำไมทำอย่างนั้น เปาโลบอกว่ากินได้ เป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกันหมดแล้ว”

“ขนาดเปโตรเขายังไม่ทำเลย”

มันเป็นอย่างนี้  ขนาดเปโตรเขายังไม่ทำเลย  เปโตรเป็นใคร อะไรประมาณนี้

คริสเตียนมีอยู่ 2 ทางเลือก คือจะเลือกทำตามประเพณีปฏิบัติตามโบร่ำโบราณ ที่ถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมา หรือจะยึดตามแก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท

เห็นไหมมี 2 ทางเลือก สิ่งที่ยึดถือปฏิบัติมาตั้งแต่โบราณ เก่าแก่ยาวนาน ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เราเรียนมาตั้งเยอะแล้วนะ อิสราเอลในอดีต ทำผิด ทำพลาดตั้งเยอะ ผู้เชื่อชาวโครินธ์ก็มีแตกแยกหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายก็มีธรรมเนียมปฏิบัติแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปทำตามเขา ก็เละไปหมด ไม่มีพื้นฐานที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น พื้นฐานจะต้องมาจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่บันทึกเอาไว้

เปาโลจึงบอกว่า “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ไม่ได้อยู่ที่การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีที่สอนกันมาตั้งแต่โบราณ แต่อยู่ที่ข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เพียวๆ ไม่มีการผสม ไม่มีการแต่งเติมอื่นๆ เข้าไป

ข่าวดีเรื่องสวรรค์ เรื่องความรอดในพระเยซูนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ และต้องแปลความหมายให้ถูกต้องด้วย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบรรพบุรุษ คนแก่คนเฒ่า หรือผู้อาวุโสในอดีตได้กล่าวไว้ คือในเรื่องของความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูนี้ เราไม่สามารถใช้คำพังเพยที่ไทยๆ เราชอบพูดกัน

“เชื่อเถอะ”

“เพราะเขาอาบน้ำร้อนมาก่อนเรา เขาเชื่อพระเจ้ามาก่อนเราตั้งนานแล้ว”

กรณีนี้ใช้ไม่ได้เด็ดขาด มีโอกาสถูกหลอกได้อย่างง่ายๆ ซึ่งส่วนใหญ่บรรพบุรุษของเรา ก็เชื่อตามคำบอกเล่าของบรรพบุรุษ และบรรพบุรุษของเราก็เชื่อกันต่อๆ มาจากบรรพบุรุษอีกที ซึ่งพอถามว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ก็ตอบไม่ได้ เพราะเขาสอนต่อๆ กันมา ตอบไม่ได้ ถ้าท่านรู้ความจริง ในไบเบิ้ล ท่านจะรู้ว่าทุกอย่างในพระคัมภีร์มันต่อเนื่องกันหมด ตอบอะไรก็ได้ ไม่มีแย้งกันเลยสักนิดหนึ่ง ไม่อย่างนั้นมันยุ่งไปหมดเลย อันนั้นก็แย้ง อันนี้ก็แย้ง พระเยซูบอกทำสำเร็จแล้ว อันนี้บอกยังทำต่อ พระเยซูอภัยให้หมดแล้ว อันนี้บอกไม่ได้ เธอต้องขอการอภัยโทษ อย่างนี้เป็นต้น แต่สิ่งที่เราทราบแน่ๆ จากการได้ศึกษาในประวัติศาสตร์ก็คือบรรพบุรุษก่อนหน้าเรา แตกแยกจริงๆ มีความขัดแย้งทางความเชื่อเยอะแยะมากมายไปหมด ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน กว่า 2,000 ปี ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเชื่อ ตามบรรพบุรุษฝ่ายไหน ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้  ซึ่งเราเรียกกันว่านิกาย ก็ว่ากันไป ซึ่งจริงๆ มันไม่มี มันมีหนึ่งเดียว

จึงสรุปได้ว่าประเพณีเก่าแก่ ตั้งแต่โบร่ำโบราณ มิได้เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ทุกอย่างเสมอไป ถึงทำตามประเพณีตลอด แต่ถ้าไม่ตรงกับพระคัมภีร์ ก็มีสิทธิ์เพี้ยนไปก็ได้  แต่ที่ทำมาถูกต้อง ก็มีนะ ไม่ใช่ไม่มี

ดังนั้น เราจึงควรมีบรรทัดฐานเดียวกัน พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกไว้อย่างไร? เป็นเพียงหลักฐานเดียวเท่านั้น ที่เราจะต้องทำตาม ไม่ใช่ทำตามตำนานเล่าขาน สืบเนื่องจากความเชื่อของบรรพบุรุษอาวุโส

ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นอีกอันหนึ่ง ก่อนจะจบในวันนี้ เมื่อประมาณ 500 กว่าปีก่อน  มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น    ใหญ่โตมาก   ซึ่งทำให้เกิดคริสตจักรที่ถูกต้องตามกฎหมาย   แบบเราๆ เรียกกันว่าโปแตสแตนท์ ถ้าแบ่งคริสเตียนในปัจจุบัน  ในโลกนี้ทั้งหมด  แบ่งได้แค่ 2 กลุ่ม  คือโปแตสแตนท์ กับโรมันคาทอริค

เมื่อตอนที่เปาโลกำลังพูดอยู่นี้ ไม่มีโรมันคาทอริค ไม่มีโปแตสแตนท์ มีแต่คาทอริค เชิร์ท คาทอริค แปลว่าหนึ่งเดียว เริ่มประกาศที่กรุงเยรูซาเล็มไป แล้วเปาโลไปประกาศ และตั้งคริสตจักรที่ไหนก็ตาม เป็นคริสตจักรคาทอริคหมด เป็นคริสตจักรของพระเจ้า คริสตจักรของพระเยซูคริสต์ เหมือนกันหมด ไม่มีนิกายโน่นนี่ ทุกคนเหมือนกันหมด และทำตามที่พระเยซูบอก ทำตามข่าวประเสริฐ แล้วมันก็จะมีคนนี้ เริ่มเอาอย่างนั้นมาบวก จากข่าวประเสริฐเพียวๆ บวกอันนั้นไปนิดหนึ่ง บวกความเชื่อเดิม บวกประเพณีเดิม บวกกิเลสส่วนตัวเข้าไป บวกความอยากใหญ่อยากโตเข้าไป บวกความโลภเข้าไป  อยากได้เกียรติ มันเลยผสมปนเปกันมา จากเพียวๆ ก็เลยผสมกันเยอะแยะ เป็นหมู่เหล่าต่างๆ นานา แต่ก็ยังไม่แบ่งเป็นกลุ่มๆ ชัดเจนเหมือนปัจจุบัน

จนกระทั่งเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น เมื่อมหาอาณาจักรโรมัน ซึ่งเป็นมหาอำนาจในขณะนั้นเปลี่ยนศาสนาประจำชาติ มาเป็นเชื่อพระเยซู โดยคอนสแตนติน เมื่อประมาณปี ค.ศ.300 คือหลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ประมาณ 300 ปี โรมันซึ่งเคยข่มเหงและต่อต้านคริสเตียน ก็กลับกลายเป็นประเทศ เป็นมหาอาณาจักร ที่กลายเป็นมีศาสนาประจำชาติ เป็นคริสเตียน แล้วก็เหมือนเดิม พอเป็นคริสเตียนปุ๊บ  ก็จะมีผสมปนเปกันไปเยอะแยะไปหมด อย่างที่ผมบอก คนนี้ก็เชื่ออย่างนี้ คนนั้นก็เชื่ออย่างนั้น เอาของเก่ามาเสริมบ้าง การเป็นคริสเตียนของโรมันคาทอริคก็เริ่มบวกกับสิ่งที่เขาเคยเชื่อมาในอดีต เรื่องรูปเคารพอะไรต่างๆ รวมเข้าไปกับการนมัสการพระเยซูด้วย

เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกสไตล์เขาเอง ซึ่งแตกต่างกับคาทอริคเดิมแล้ว จากคริสตจักรเดิมๆ สมัยกรุงเยรูซาเล็ม สมัยเปาโล มันไม่เหมือนกันแล้ว เพราะเติมอะไรเข้าไปเยอะ มีทั้งคนถูกต้อง คนบริสุทธิ์ดีงามจริงๆ มีทั้งคนอยากเล่นการเมือง มีทั้งคนอยากใหญ่ อยากโลภ มีทั้งคนอยากจะร่ำรวยเข้าไปทางศาสนา เพราะฉะนั้น มันก็เลยกลายเป็น ชื่อว่าคาทอริค แบบโรมัน เขาเรียกว่าโรมันคาทอริค แล้วก็มาเรื่อยๆ จนพันสองร้อยปีผ่านมา ก็เป็น  ค.ศ.1500  ตอนที่เป็นโรมันคาทอริค เขาจะมีคนธรรมดา ที่เชื่อแบบธรรมดา เป็นคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าจริงๆ มันไม่เห็นตรงกับพระคัมภีร์เลย เคยอ่านมาบ้าง มันแปลกๆ ความรอดในพระเยซูบอกสำเร็จแล้ว ทำไมมันซื้อได้ด้วย ซื้อใบความรอด ก็ได้ คนทำบาปมา สารภาพบาปอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องจ่ายตังค์ด้วย ถึงจะบริสุทธิ์

อะไรอย่างนี้ ยกตัวอย่างให้ฟัง และอย่างอื่นอีกมากมาย คนก็เริ่มคิดต่างๆ นานา ทำไมมันไม่ตรง มันใช่เหรอ มันก็จะมีคนแย้งมาตลอดเวลา แย้งอยู่ใต้ดิน คนที่ต้องการอำนาจ ก็พยายามกำจัดคนที่แย้งๆ กันไป  เพื่อที่จะได้สิ่งที่ตัวเองอยากได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ จนกระทั่งประมาณ 500 ปีที่ผ่านมา  ก็มีคนๆ หนึ่ง ซึ่งก็คือหนึ่งในจำนวน คนเยอะแยะมากมาย ที่ประท้วงตลอดเวลาว่าอันนี้มันไม่ใช่เรื่องข่าวดีของพระเยซู นี่มันอะไรก็ไม่รู้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกให้ทำอย่างนี้สักหน่อย คนหนึ่งในจำนวนนั้นที่เป็นหัวหน้า มีชื่อว่ามาร์ติน ลูเธอร์ ก็คือหนึ่งในจำนวนผู้ที่แย้งอยู่ใต้ดิน ก็แอบแปลพระคัมภีร์ แอบไปอ่าน แอบไปทำ แล้วก็สอนใต้ดิน ให้คริสเตียนที่อยากรู้พระคัมภีร์จริงๆ อยากเป็นคริสเตียนแท้ๆ กลุ้มใจกับอันที่มันมั่วๆ กันหมด แอบเรียน ไม่แอบไม่ได้ ผิดกฎหมาย เพราะทางศาสนาตอนนั้น มันเข้มข้นมาก ในเรื่องของการเมือง เอาสั้นๆ นี่คือการต่อต้าน จนกระทั่ง ในสมัยของมาร์ติน ลูเธอร์ ต่อต้านจนสำเร็จ สรุปพูดง่ายๆ ก็คือต่อต้านจนกระทั่งพวกที่ต่อต้าน โผล่ขึ้นจากใต้ดินเยอะมากขึ้น จนกระทั่ง โรมันคาทอริค ไม่รู้จะทำอย่างไรได้  เพราะมันเยอะเหลือเกิน ปราบไม่หมดแล้ว เพราะฉะนั้น  ก็เลยยอมรับว่าโอเค ขึ้นมาเลย ให้เป็นอีกนิกายหนึ่ง เป็นความเชื่อหนึ่งในเรื่องพระเยซู

และจากนั้นมาร์ติน ลูเธอร์มาถึงปัจจุบัน 500 ปี ก็จะเกิดคริสเตียนแบบโปแตสแตนท์ คือพวกที่อยู่ในกลุ่มที่เขาเรียก โปแตส พวกประท้วง คริสเตียนพวกกลุ่มประท้วง เราก็อยู่ในข่ายพวกประท้วง ประท้วงว่านี่ไม่ใช่ และในกลุ่มผู้ประท้วงเอง ใน 500 ปีที่ผ่านมา ก็เชื่อไม่เหมือนกัน อย่างที่บอก บางคน ลงน้ำบัพติศมา ไม่เกี่ยวกับความรอด บางคนบอกไม่รู้ เขาว่ากันมาว่ามันเกี่ยว ทำดีกว่า ก็ทำต่อไป  พอทำต่อไป สอนลูกหลานว่าถ้าได้รับความรอด ไปสวรรค์ ต้องลงน้ำนะ ซึ่งในพระคัมภีร์ บอกไหมว่าจะไปสวรรค์ต้องลงน้ำ ไม่มี อย่างนี้เป็นต้น

อันนี้ไม่เป็นไร ก็แยกไป เขาได้รับความรอดจริง ไปบังคับให้ทุกคนลงน้ำ อันนี้เชื่อใหม่ ศึกษาแล้วไม่ใช่ ก็แบ่งแยกออกไป โปแตสของโปแตสอีกที คือกลุ่มประท้วงเขา แล้วก็แยกออกมาเป็นกลุ่มประท้วงของกลุ่มประท้วงอีกทีหนึ่ง มันก็แยกไปเรื่อยๆ เห็นภาพอะไรไหมว่าข่าวดีของพระเจ้าที่เป็นเพียวๆ 100% มันมีบิดมาบิดไป แต่ขอบคุณพระเจ้า จะบิดอย่างไรก็ตาม มันง่ายตรงที่รอดทางวิญญาณ เขารอดไปแล้ว เพียงแต่เขาจะส่งไม้ต่อให้กับคนหลังๆ ไม่ได้ดีนักเท่านั้นเอง  เพราะว่าเขาไปพูดข่าวประเสริฐที่ไม่ตรงตามพระคัมภีร์จริงๆ มันคือยาก

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพว่าข่าวประเสริฐมันไม่ได้ยากอย่างนั้น แต่ที่เราเรียนรู้กันอยู่ เพื่อจะได้รู้ว่ามารมันตกกระป๋องไป มันถูกถอดยศออกไปหมด มันทำอะไรไม่ได้เลยตอนนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระคัมภีร์บอกว่าท่านไม่รู้หรือ! คำว่าท่านไม่รู้หรือ! มันทำเสร็จแล้ว ถูกไหม? พระคัมภีร์จะพูดสิ่งนี้เสมอ ท่านไม่รู้หรือๆ เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้าแล้ว ปุ๊บ เปาโลจะบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าท่านสะอาดหมดจดแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขนครั้งเดียวเป็นพอ ชำระบาปให้ท่านหมดเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต จบไปแล้ว ท่านไม่รู้หรือท่านเชื่อพระเยซูแล้ว  ท่านอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็อยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่อาศัยในร่างกายนี้อยู่เท่านั้นเอง ท่านไม่รู้หรือ? แปลว่ามันสำเร็จแล้ว มันเป็นอย่างนั้นแล้ว

นี่คือข่าวดี ซึ่งอย่างที่บอก มารพยายามที่จะดันอันนี้ออกไปไกลๆ ให้มันยากๆ เข้าไว้ เพื่อให้คนรู้สึกก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่กับอันอื่นๆ เขา อันอื่นๆ ก่อนที่จะมา ก็มีเยอะแยะความเชื่อต่างๆ ที่บอกว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องช่วยเหลือตัวเอง คนเราเกิดมามีเวรมีกรรม ต้องชดใช้เวรกรรม กฎแห่งกรรมมีจริงนะ ทำบาปก็ต้องชดใช้สิ แล้วในพระคัมภีร์ว่าอย่างไร? พระเยซูมารับบาปของเราไปแล้ว หนังสือฮีบรู บทที่ 10 บอกว่าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และพระโลหิตของพระองค์ การตายของพระองค์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ ที่จะชำระท่านทั้งหลาย ให้สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ถวายแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์สะอาด เอเมน หมด

พระเยซูบนไม้กางเขนบอกสำเร็จแล้ว แปลว่าท่านมาเชื่อพระเยซู ท่านไม่ต้องทำอะไร พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว คราวนี้ก็อยู่ที่ท่าน ท่านจะเชื่ออะไร? ท่านจะเชื่อในพระคัมภีร์ หรือจะเชื่อที่เขาว่ามา  ท่านลองไปถามสิว่าเขาว่ามาจากไหน? ว่ามาจากความเชื่อเดิมๆ ตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดมาว่ามีเจ้ากรรมนายเวร มาคอยเจอตลอดเวลา เธอต้องชดใช้หนี้สิน เธอต้องชดใช้กรรม ชดใช้เวร ไม่มีทางหมดหรอก

แต่อีกฝั่งหนึ่ง พระเยซูบอก “ฉันใช้ให้หมดแล้ว หมดแล้วๆ”

เราจะจบตรงที่แล้วถ้าเราเรียนรู้ความจริงนี้แล้ว วิธีการที่เราจะไปใช้ ทำอย่างไร? จำที่ผมบอก ครั้งที่แล้วว่ามันมีสงครามฝ่ายวิญญาณอยู่จริงๆ และสงครามฝ่ายวิญญาณ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผีมารซาตาน จะมาหักคอท่านหรอก แต่มันเกี่ยวกับผีมารซาตานจะผ่านทางกระแสของโลกนี้ จะมาขโมยเอาความจริงออกไปจากสมองของท่าน ออกจากความคิดของท่าน พระคัมภีร์จึงบอกให้ท่านจดจ่อไปที่เบื้องบน ในสวรรค์สถานที่ท่านอยู่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ในสวรรค์ ซึ่งเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้แล้ว จดจ่อไปที่ถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกไว้อย่างนั้น อย่าให้มันขโมยออกไปด้วยถ้อยคำหลอกลวง

จดจ่อก็คือเซ็ตมายด์ ก็คือใคร่ครวญ ภาวนา โฟกัส จ้อง จับเอาความจริงเหล่านั้น ใส่ไว้ในสมอง ใส่ไว้ในความคิดของเราตลอดเวลา ฝึกตลอดเวลา ถ้ามันอยู่ในนี้ มันก็จะอยู่ตลอดไป ไม่มีใครมาเอาไปได้ มารก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะวิญญาณเราอยู่ในพระเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้จะจบทุกครั้ง ผมก็จะฝึกเราในการเอาถ้อยคำพระเจ้าเข้าไปในสมองของเรา เข้าไปในความคิดของเราว่านี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ นี่คือโลกวิญญาณที่ตามนุษย์มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ที่พระเจ้าบอกตระเตรียมไว้ให้คนที่รักพระองค์ ในพระเยซูคริสต์ มันเกิดแล้ว มันเสร็จแล้ว มันเรียบร้อยแล้ว ท่านอยู่ตรงนั้นแล้ว ทำอย่างไรถึงจะได้เห็น ก็จงมองให้เห็นเถิด ทำอย่างไรท่านถึงจะได้รู้ ก็จงมองให้เห็นเถิด เปิดตาวิญญาณ แล้วมองให้เห็นเถิด อ้าว! เปิดตาวิญญาณเลย วิธีเปิดตาวิญญาณทำอย่างไร? ที่จะฝึกต่อไปนี้ ก็คือความจริงในถ้อยคำพระเจ้าทั้งหมด ท่านก็พยายามพูดตามผมไปเรื่อยๆ เหมือนกับพูดกับตัวเอง กลับไปบ้าน ท่านก็พูดให้ตัวเองฟังลักษณะอย่างนี้ …

“ขอบคุณพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้ลูกเป็นอิสระ จากโทษของความบาป ขอบคุณพระเยซู ที่ชดใช้เวรกรรมให้กับลูก ขอบคุณพระเจ้า ที่ลูกได้เป็นลูกของพระองค์ ลูกขอบคุณพระเจ้า ลูกเชื่อว่าลูกเป็นวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ให้ลูกตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และชุบให้ลูกเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ลูกจึงได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ เป็นวิญญาณที่สะอาดหมดจด ไร้ตำหนิ ไร้โทษ และพระองค์ได้ประทานจิตใจใหม่ให้ลูกด้วย ลูกจึงเป็นวิญญาณที่มีความคิดจิตใจใหม่ ที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เป็นลูกของพระองค์ และอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ณ ขณะนี้แล้ว เพียงแต่ว่าลูกยังต้องอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้ เพื่อพระองค์จะสามารถใช้ลูกได้ ในการงานบนโลกใบนี้ แต่วันหนึ่งร่างกายที่จะต้องตายนี้ จะกลับไปสู่ดิน ตามโทษของความบาป จากบรรพบุรุษ คืออาดัม ณ วันนั้น วิญญาณของลูกและความคิดจิตใจของลูกจะออกจากร่างนี้ เตรียมไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เหมือนร่างกายของพระเยซู เต็มไปด้วยสง่าราศี เป็นความสว่าง ไม่มีการตาย ไม่มีความเจ็บปวด ไม่ต้องรับโทษใดๆ ไม่ต้องโศกเศร้า ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป และลูกจะอยู่ในสวรรค์ ในร่างกายทิพย์นี้ ครอบครองร่วมกับพระเยซู อยู่ในสวรรค์ของพระองค์ที่เรียกว่าในพระคริสต์ตลอดชั่วนิจนิรันดร์ ขอบคุณพระเจ้าในพระคุณของพระองค์ ที่ทรงกระทำทุกสิ่งนี้ให้กับลูก ขอบคุณพระองค์ในนามพระเยซู เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2019 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  ตุลาคม  2019

 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 4

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาต่อ “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอนที่ 4 ใน 2 โครินธ์ บทที่ 10 พูดถึงสงคราม หรือการสู้รบทางฝ่ายวิญญาณ หรือทางความคิด และพูดถึงอาวุธที่เราใช้ในการทำสงครามทางฝ่ายวิญญาณ เราก็พร้อม

ก่อนจะเรียนรู้กันต่อไป ผมอยากจะย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ ที่มาที่ไปของบันทึกจดหมายฝากฉบับนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เมืองโครินธ์ขณะนั้น และวัตถุประสงค์ของอาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฝากฉบับนี้  เพื่ออะไร? เราจะได้รู้เบื้องหลัง เราจะได้ศึกษาพระคัมภีร์อย่างตรงไปตรงมา และเป็นของจริง คือต้องเข้าใจถึงถ้อยคำที่อยู่ในบริบทนั้น อยู่ในหนังสือเล่มนั้น อยู่ในจดหมายฉบับนั้น มันแปลว่าอะไร? มันพูดถึงอะไร? เขียนถึงใคร มีเบื้องลึก เบื้องหลัง ที่มาที่ไปอย่างไร? เราถึงจะตีความได้ว่าหมายความว่าอย่างไร?

2 โครินธ์ 10:1-2 “1 ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ด้วยความถ่อมสุภาพและอ่อนโยนของพระคริสต์  ข้าพเจ้าเปาโล ผู้ซึ่งท่านบอกว่า “ขลาดกลัว” เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน แต่ “ห้าวหาญ” เมื่ออยู่ไกล 2 ข้าพเจ้าขอร้องว่าเมื่อข้าพเจ้ามา อย่าให้ข้าพเจ้าต้องห้าวหาญอย่างที่ข้าพเจ้าคาดหมายจะทำต่อบางคน ที่คิดว่าเราดำเนินชีวิต ตามมาตรฐานของโลกนี้”

 

ใครที่ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องราวชีวิตของอาจารย์เปาโล แล้วมาอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ อาจจะเริ่มงงเล็กน้อยว่าเปาโลกำลังพูดถึงใคร?  และหมายความว่าอะไร? การที่จะเข้าใจคำพูดของอาจารย์เปาโลตรงนี้ ต้องเข้าใจถึงสภาพเมืองโครินธ์ในขณะนั้น และความเป็นอยู่ของผู้เชื่อ คือคริสเตียนชาวโครินธ์ ในยุคนั้นเป็นอย่างไร?  ชาวเมืองโครินธ์ตอนนั้น ก็เหมือนกับกรุงเทพในขณะนี้ เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองทางด้านวัตถุ ในช่วงที่เปาโลไปประกาศ มีทั้งชาวยิวที่เคยเป็นพวกเคร่งศาสนา แล้วก็มีทั้งชาวต่างชาติ กรีก แล้วก็ผู้เชื่อไสยศาสตร์ ผู้เชื่ออะไรเยอะแยะไปหมดเลย ซึ่งในขณะนั้นเกิดการแตกแยกในคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ ซึ่งผู้เชื่อเหล่านั้นได้มาเป็นคริสเตียน โดยละทิ้งความเชื่อเก่าๆ ของเขาไปหมด ซึ่งแตกต่างกัน มีทั้งยิวและไม่ยิว มันจึงเกิดการแตกแยกกัน คนนี้คิดอย่าง คนนี้ไปอีกอย่าง เพราะว่าเปาโลไปก่อตั้งคริสตจักร แล้วก็ออกไปประกาศยังสถานที่อื่นๆ ต่อไป

ชาวยิวที่เคยเคร่งศาสนายิว แม้จะรับเชื่อผ่านทางการประกาศของเปาโลแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีบางคน บางกลุ่ม ที่ยังติดอยู่กับกิจกรรมเดิม ข้อบัญญัติเดิม พิธีกรรมเดิม ที่เคยปฏิบัติมาเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะเกิดอีก ตั้งแต่บรรพบุรุษของยิว พอมาเชื่อพระเจ้า อยู่ในคริสตจักรเดียวกัน เขาก็เริ่มต้นดูหมิ่น ดูถูกผู้เชื่อคนอื่นๆ  ที่ไม่ใช่ยิว ที่มาจากความเชื่ออื่น แล้วก็เริ่มไปแนะนำให้คนเหล่านั้นมาทำตามเขา เชิงบังคับบ้าง ขู่บ้าง ถ้าไม่ทำอย่างนี้นะ พระเจ้าลงโทษ ไม่ได้รับพร ถ้าทำอย่างนี้นะ ไม่ได้รับความรอดแล้ว อะไรประมาณนั้น ท่านลองคิดดู เปาโลปวดหัวขนาดไหน? อันนี้เรื่องหนัก เรื่องสำคัญมาก เปาโลต้องเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องแข็งแกร่ง กล้าหาญ

ในจดหมายฝากโครินธ์ ฉบับที่ 1 เปาโลได้กล่าวถึงความคิดที่แตกแยกเหล่านี้ แล้วก็ให้แนวทางไว้แล้วว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรในเรื่องพิธีการ เรื่องการแต่งงาน เรื่องการใช้ชีวิตคู่ เรื่องการอยู่ด้วยกัน สามีภรรยา เรื่องการจัดการปัญหาต่างๆ ในแต่ละวัน แม้กระทั่งการกิน เรื่องการขัดแย้งต่างๆ และที่สำคัญ คือเรื่องของการยึดมั่นในความเชื่อ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูว่าเมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเรา แต่ความแตกแยกในเมืองโครินธ์ ก็ยังไม่จบ ยังคงมีอยู่ พวกที่อยู่ตรงข้าม คำว่า “ตรงข้าม” หมายถึงตรงข้ามกับอาจารย์เปาโลนะ พยายามให้ร้ายป้ายสีเปาโล พูดจาถากถาง นินทา พอแยกกลุ่มปุ๊บ ดูถูกเปาโลใหญ่เลย ทั้งๆ ที่เปาโลเป็นผู้วางรากฐานของคริสตจักรที่นั่น

พวกเหล่านี้ ก็เริ่มพูดจานินทา แล้วก็ยุยงให้ผู้เชื่ออื่น ในคริสตจักรเดียวกัน ด้วยการบิดเบือนความจริงข่าวดีของพระเยซู ที่เปาโลวางรากฐานไว้อย่างดี เริ่มเบี่ยงเบน เริ่มใส่เข้าไป

ยกตัวอย่าง ถ้ามาเชื่อพระเจ้า แล้วไม่พอนะ ยังคงต้องถวายสิบลดด้วย ไม่พอนะ วันสะบาโตต้องมานะ ต้องหยุดงานเลย เหมือนสมัยก่อน ทำงานไม่ได้ แล้วยังมีอีกเยอะแยะมากมาย เราต้องล้างมือ ฯลฯ

อันนี้จึงเป็นเหตุให้อาจารย์เปาโลได้ใช้คำขึ้นต้นจดหมายฝากฉบับนี้ว่า …

“ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านด้วยความถ่อมสุภาพ และอ่อนโยนของพระคริสต์ ข้าพเจ้าเปาโล ผู้ซึ่งท่านบอกว่าขลาดกลัว เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน แต่กล้าหาญ เมื่ออยู่ไกล ข้าพเจ้าขอร้องว่าเมื่อข้าพเจ้ามา อย่าให้ข้าพเจ้าต้องห้าวหาญ อย่างที่ข้าพเจ้าคาดหมาย จะทำต่อบางคนที่คิดว่าเราดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของโลกนี้ ข้าพเจ้าเปาโลผู้ซึ่งท่านบอกว่า …”

หมายถึงเขานินทากันว่าขลาดกลัว เมื่ออยู่ต่อหน้า เปาโลเคยไปประกาศ อยู่กับชาวโครินธ์ ตอนนี้ไม่อยู่ เขียนจดหมายมา เขานินทาบอกว่าเปาโล ตอนอยู่ต่อหน้า หน่อมแน้มมากเลย พอไม่อยู่เขียนจดหมายมาทำกร่าง ตรงนี้ ก็คือ 1 ในคำครหา นินทาว่าร้าย  ใส่ความเปาโล ตอนที่มาประกาศในเมืองโครินธ์ อาจารย์เปาโลมาในลักษณะเหมือนพระเยซู อ่อนโยน ถ่อมใจ ขณะเดียวกัน อาจารย์เปาโล ไม่มีของประทานในการพูดในที่สาธารณะ แบบมีโวหาร แบบชาวโลก แบบเนื้อหนัง อย่างเช่นนักเทศน์มาเทศน์ที่มีคำคม มีท่าทาง เปาโลไม่มีอย่างนั้น มีแต่เนื้อความล้วนๆ ของถ้อยคำของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซู ซึ่งเป็นฤทธิ์เดช เปาโลจึงบอกเสมอว่าเรามาประกาศ ไม่ใช่สติปัญญามนุษย์ แต่เป็นถ้อยคำพระเจ้าล้วนๆ เลย  จะไม่ไปเอาปรัชญากรีกมาพูด แล้วก็มาเทียบกับถ้อยคำพระเจ้า เป็นต้น

ในจดหมายฝากถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่ 1 อาจารย์เปาโลแนะแนวทางสำหรับผู้เชื่อว่าให้ดำเนินชีวิตเลียนแบบท่าน … “ท่าน” ในที่นี้ก็คือเลียนแบบอาจารย์เปาโลเอง เพราะอาจารย์เปาโลมั่นใจว่าท่านดำเนินชีวิตในทางของพระเยซูคริสต์ด้วยความมั่นคง ในความเชื่ออย่างแท้จริง

1 โครินธ์ 4:15-21 “15 ถึงแม้ว่าท่านมีผู้ปกครองดูแลนับหมื่นในพระคริสต์ แต่ท่านมีบิดาคนเดียว เพราะในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าได้เป็นบิดาของท่าน โดยทางข่าวประเสริฐ 16 ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอให้ท่านเลียนแบบข้าพเจ้า 17 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้ากำลังจะส่งทิโมธีลูกที่รักของข้าพเจ้า ซึ่งสัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าให้มาหาท่าน เพื่อเตือนท่านให้ระลึกถึงวิถีชีวิตของข้าพเจ้าในพระเยซูคริสต์ อันสอดคล้องกับทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าสอนทุกหนทุกแห่ง ในทุกคริสตจักร 18 บางคนในพวกท่านได้หยิ่งผยองขึ้นมา ราวกับข้าพเจ้าจะไม่มาหาท่าน 19 แต่ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะมาหาท่านในไม่ช้านี้ แล้วเมื่อนั้น ข้าพเจ้าจะได้รู้ ไม่เพียงสิ่งที่คนยโสพวกนั้นพูด แต่ฤทธิ์อำนาจที่เขามีด้วย 20 เพราะอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องฤทธิ์อำนาจ 21 ท่านชอบแบบไหนมากกว่า จะให้ข้าพเจ้าถือแส้มาหาท่าน หรือมาด้วยความรัก และด้วยใจอ่อนโยน”

 

สิ่งหนึ่งซึ่งเปาโลพยายามสอนและวางแนวทางให้ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ให้ดำเนินชีวิต เลียนแบบชีวิตของท่าน ก็คือการตอบสนองต่อปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต ด้วยแนวทางและความคิดแบบผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ เพราะเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นผู้เชื่อแล้ว เราต้องมองไปที่โลกวิญญาณอย่างเดียว ให้ลักษณะเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ และไม่ทำในลักษณะที่เป็นแบบตรงกันข้าม ก็คือทำแบบที่โลกนี้เขาทำกัน ส่วนใหญ่ที่ผู้ที่ไม่เชื่อเขาทำกัน ก็คือภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าแบบเนื้อหนัง บางทีเราไม่เข้าใจ แบบเนื้อหนัง ก็คือแบบไม่ใช่วิญญาณ  ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า พูดง่ายๆ แบบตัวฉัน ของฉัน แต่ถ้าฝ่ายวิญญาณ คือแบบวิญญาณที่เกิดใหม่แล้ว โดยที่ปรึกษาเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์

นี่คือที่มาที่ไปว่าทำไม อยู่ๆ อาจารย์เปาโลถึงขึ้นต้นจดหมายฝาก ด้วยคำพูดแบบนี้ ถ้าไม่ทราบเบื้องหลัง เบื้องหน้า ใครมาอ่านก็งง มาได้อย่างไร? เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมต้องพูดอย่างนี้ แล้วจดหมายฝากถึงชาวโครินธ์ 2 ฉบับนี้  เราพอจะประมาณการอุปนิสัยใจคอของอาจารย์เปาโลได้ว่าน่าจะเป็นแบบไหน? ที่เราสามารถนำไปเลียนแบบได้ ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์เปาโลเป็นคนกล้าหาญ ตายเป็นตาย แต่สุภาพอ่อนโยนมาก …

“พี่น้องจะให้ช่วยอะไรไหม? พี่น้องเป็นอะไรหรือเปล่า? พี่น้องต้องเชื่อในพระเจ้าต่อไปนะ พี่น้องพระเยซูทำอะไรให้กับท่านนะ ท่านได้เกิดใหม่แล้วนะพี่น้อง”

แต่ขณะเดียวกัน ใครจะมาจับเปาโล ว่ากล่าว ว่าร้ายอาจารย์เปาโล ตายเป็นตาย ตายก็ได้กำไร อยู่ก็อยู่เพื่อทำงานให้พระคริสต์ อยู่ก็อยู่เพื่อเสริมสร้างร่างกายพระคริสต์ให้เข้มแข็งในผู้เชื่อทั้งหลาย แล้วยังมีอะไรอีกที่เราสามารถเลียนแบบอาจารย์เปาโล อ่อนโยน แต่มั่นคง ชัดเจนในจุดยืน ไม่โอนเอนและไม่ก้าวร้าว มีใจถ่อม  แต่หนักแน่นในความเชื่อ ไม่ใช่ถ่อม แล้วก็โลเล ไม่ ถ่อมแล้วก็เป๊ะเลย ถ้าพระเยซูไถ่ท่านให้พ้นจากบาปแล้ว ท่านก็พ้นจากบาปจริงๆ ท่านไม่ต้องกลับไปนำแพะไปถวายพระเจ้า ปีต่อปีอีกแล้ว อะไรประมาณนั้น กล้าพูดเลย กับพี่น้องของเขานั่นเอง เขาเรียกว่ามีใจถ่อม แต่หนักแน่นในความเชื่อ อันนี้ไม่ใช่อุปนิสัย อันนี้ เป็นบุคลิกเกิดมาเป็น เขาเรียกว่าของประทานก็ว่าได้ หรือเป็นคนแบบนี้ ก็คือเป็นคนพูดไม่เก่ง พูดตะกุกตะกักอย่างนี้ อันนี้เป็นเหมือนกับพรสวรรค์

พวกเราได้ทราบข้อมูลในบริบท ถ้อยคำแล้ว เราก็สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ อย่างที่เราได้เรียนรู้กันไป 2 ตอน ในหัวข้อเรื่องต่อสู้ของโลกฝ่ายวิญญาณทางความคิด ที่หมายถึงการต่อสู้ระหว่างความจริงของพระเจ้ากับข้อมูลเท็จของมาร นี่คือรายละเอียดของสงครามฝ่ายวิญญาณ แค่นั้นเอง  ฟังให้ดีๆ เลยนะ ไม่อย่างนั้น ไปฟังจากที่อื่นมา แล้วก็มั่วไปหมดเลยว่าไปเกี่ยวอะไรกับทูตสวรรค์ ผีอะไร วุ่นวายกันไปหมด มันมีอยู่แค่นี้เอง ข้อมูลฝั่งไหน ครอบครองพื้นที่ได้มากกว่า ฝั่งนั้น ก็เป็นฝั่งชนะ แล้วความคิดเราอยู่ไหน?  ความคิดก็อยู่ในสมองเรา

แล้วเปาโลได้พูดถึงการทำสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 ปัจจัย คือคำว่า ..

  1. ป้อมปราการ คือที่มั่น
  2. อาวุธ
  3. กลยุทธ หรือวิธีการในการต่อสู้

2 โครินธ์ 10:3-5 ที่เรารู้จักกันดี เอามาใช้บ่อยๆ “3 เพราะแม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบตบมืออย่างที่โลกทำ 4 อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ 5 เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิดให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์”

 

ป้อมปราการของใครของมัน ป้อมปราการอยู่ที่สมองเรานี่ ป้อมปราการ ก็คือความคิด หรือสมองในการเก็บข้อมูล รับข้อมูล ข้อมูลอะไรก็ได้ อยู่ในสมองเราหมด อาวุธที่เราใช้ ก็คือถ้อยคำ หรือความจริงของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ และวิธีการต่อสู้ของเรา ก็คือสยบทุกความคิด ให้มันยอมจำนนและเชื่อฟังพระคริสต์ ก็คือเชื่อถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่บังคับให้คนอื่นเชื่อฟัง แต่บังคับตนเอง ไม่ใช่ไปสู้กับมารให้มันเชื่อฟัง แต่สู้กับความคิด ข้อมูลที่มันส่งเข้ามา ไม่เกี่ยวกับมารแล้ว เกี่ยวกับเราแล้ว มันส่งเข้ามา ไม่ต้องไล่มัน แต่ไล่ข้อมูลความคิดที่มันส่งเข้ามา รู้เขารู้เรารบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

2 โครินธ์ 10:6 “และเราพร้อมที่จะลงโทษ ทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว”

 

ความหมาย ก็คือเราฝึกฝนที่จะใช้ถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นอาวุธของเรา ในการต่อสู้กับข้อมูลเท็จของมาร เราจะพยายามเชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง ให้ถึงที่สุด และถ้ายังมีความคิดตรงไหนที่เผลอไปอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  พอไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า เรารู้ดี มันแปลกปลอมเข้ามา เราก็จะลงโทษเจ้าความคิดตรงนั้นแหละ ตรงที่มันแปลกปลอมมา อยู่ในสมองเรา จัดการลงโทษมัน  ก็คือเอาเจ้าความคิดที่ตรงข้ามกับพระเจ้า ที่มารส่งเข้ามา ไล่มันออกไปจากสมองของเรา จากความคิดของเรา กำจัดมันออกไปจากสมอง แล้วก็ใส่ข้อมูลของพระเจ้า ที่บอกถึงความจริงนั้นลงไปแทนที่ ต้องทำอย่างนี้ ใส่ข้อมูลของพระเจ้าที่บอกถึงความจริงใส่เข้าไปแทนที่ แล้วก็ทำทุกสิ่งให้อยู่ในฝั่งพระเจ้า อย่างนี้เขาเรียกว่าการลงโทษความคิดที่มันส่งเข้ามา

สมมติว่ามารส่งข้อมูลเข้ามา … “เราต้องโลภหน่อยนะ เราต้องเก็บเอาไว้เยอะๆ นะ เราต้องทำงานเยอะ เราต้องเก็บทรัพย์สมบัติไว้ เผื่อข้าวยากหมากแพง ไม่มีอะไรกิน เราไม่ต้องให้ออกไปหรอก เราไม่ต้องไปช่วยใครหรอก เก็บไว้ก่อน” อย่างนี้

หรือบอกให้เราโลภ “อย่างนี้ ไม่พอ พระเจ้าจะอวยพรเราอีก ลงทุนเลย ไปกู้หนี้ยืมสิน ลงทุนเข้าไป พระเจ้าอวยพรแล้ว ได้อีกแล้ว เขาบอกใครมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าอวยพรทั้งสิ้นแหละ ขอแล้วจะได้ ขอสิๆ ลงทุนใหญ่เลย”

หวังว่าจะรวยขึ้น เยอะขึ้นๆ อย่างนี้ใช่ทางของพระเจ้าไหม? ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้ในหนังสือฮีบรู บทที่ 13 ว่าอย่างไร? ตรงกันข้ามกัน พระเยซูบอกว่าอย่าโลภ ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าจงพึ่งพอใจในสิ่งที่ท่านกำลังมีอยู่ พระเจ้าทรงสัจธรรม ทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ไม่ทอดทิ้ง หรือละท่านเลย พระองค์จะอยู่กับท่านตลอดเวลา  แล้วกลัวอดเหรอ เห็นไหม? ต่างกันเยอะเลย เพราะฉะนั้น ท่านก็เอาถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นอาวุธใส่เข้าไปแทนที่ แล้วก็ท่องถ้อยคำนั้นตลอดเวลา ที่ทำให้ท่านโลภ มันก็ไม่โลภ

บางครั้งเปิดโอกาสให้ การได้ทรัพย์มาครั้งนี้ มันดูเหมือนเทาๆ จะว่าผิดศีลธรรมก็ไม่ใช่ แต่ท่าทางมันน่ารับไว้ น่าจะๆ ได้มากขึ้นอีก เหมือนกับจะเอาเปรียบเขานิดๆ โกงเขาหน่อยๆ นี่มารมันก็จะส่งเข้ามา ถ้าท่านยอมมัน เอาเงินไว้ ท่านก็จะเริ่มโกงเขานิดๆ แล้วท่านก็บอกว่านี่การโกงอย่างบริสุทธิ์ใจ พระเจ้าอวยพร เอะอะอะไรก็พระเจ้าอวยพร ไม่คิดถึงว่าสิ่งที่มา มันมาได้อย่างไร? ท่านโลภหรือไม่? อย่างนี้เป็นต้น นี่แหละ คือวิธีการหนึ่งในการต่อสู้ในโลกฝ่ายวิญญาณ

ย้อนกลับไปดูคำเริ่มต้นในจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล ที่ได้บรรยายถึงลักษณะธรรมชาติของพระเจ้าที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร? นี่คือความจริง อาจารย์เปาโลสนิทกับพระเจ้า แล้วก็บอกว่าลักษณะพระเจ้าเป็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น พวกท่านต้องรู้ว่าพระเจ้าของเรา  เป็นพ่อเรา มีนิสัยอย่างไร? ถ้าท่านรู้ ท่านก็จะไม่ถูกหลอก

2 โครินธ์ 1:3-4 “3 สรรเสริญพระเจ้า และพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  พระบิดาแห่งความเมตตาเอ็นดู และพระเจ้าแห่งการปลอบประโลมใจทั้งปวง 4 ผู้ทรงปลอบประโลมใจเราในความทุกข์ร้อนทั้งสิ้นของเรา เพื่อเราจะสามารถปลอบประโลมใจ บรรดาผู้ทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ  ด้วยการปลอบประโลมใจ ซึ่งเราเอง ได้รับจากพระเจ้า”

 

เปาโลเริ่มต้นจดหมายฝากด้วยการจัดระเบียบความเชื่อที่ถูกต้อง เกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้า เพื่อที่จะย้ำว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นพระเจ้าที่โหดร้าย  หรือเต็มไปด้วยข้อระเบียบ ข้อบังคับ ขู่เข็ญ เคี่ยวเข็ญ เหมือนเราเป็นทาส ไม่ใช่ แต่พระองค์เป็นพระเจ้า เป็นพ่อที่เต็มไปด้วยความรัก เป็นผู้ที่คอยปลอบโยนเรา อยู่ข้างเรา คอยดูแลเรา พระเจ้าเป็นความรัก ตามแบบอธิบายไว้ใน 1 โครินธ์ 13:4 เป็นต้นไป อดทนนาน ไม่อิจฉา ไม่จดจำความผิด พระเจ้าเป็นความรัก มันหมายถึงอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น พระเจ้าไม่มีความเกลียดชัง พระเจ้าไม่มีความอิจฉา ไม่มีความโหดร้ายอย่างเด็ดขาดเลย ไม่เป็น ไม่รู้จัก เราจำเป็นต้องใส่ข้อมูลความจริงเหล่านี้ว่าพระเจ้าเป็นใคร? พระเยซูคริสต์เป็นใคร? พระวิญญาณเป็นใคร? มีบุคลิกลักษณะเป็นอย่างไร? ความจริง คือพระเจ้าเป็นความรัก เป็นความเมตตา คอยปลอบโยน เป็นผู้ที่อยู่ข้างเราตลอดเวลา พระองค์ไม่ได้มา เพื่อจะตัดสินเรา หรือดูแลเราอย่างแข็งกระด้าง หรือบังคับเคี่ยวเข็ญเราตลอดเวลา ไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ เปาโลเริ่มต้นจดหมายอย่างนี้  แสดงว่ามีข้อมูลอะไรผิดมา  ผ่านมาทางมาร ผ่านมาทางผู้เชื่อนั่นแหละ แล้วเอามาใส่ลงไปในคริสตจักร เมืองโครินธ์ เปาโลจึงต้องเขียนอย่างนี้ว่า …

“พระเจ้าเป็นอย่างนี้ จงมั่นใจนะ”

เพราะฉะนั้น เราต้องใส่ข้อมูลความจริงเหล่านี้ เข้าไปในความคิด เข้าไปในสมองเรา ให้เป็นข้อมูลพื้นฐานเลย  เพื่อที่จะคอยหักล้าง หรือทำลายล้างข้อมูลเท็จที่มารส่งเข้ามา ตัวนี้สำคัญมาก ไม่อย่างนั้น เราจะไม่รู้ว่าใครเป็นศัตรู พอเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา แทนที่จะไปมองศัตรู กลับมองพ่อเราเอง แค้นพ่อเรา ทำไมพ่อเราทำอย่างนี้ ทำไมพ่อเราไม่สงสารเรา มันเป็นอย่างนี้ ตัวมาร มันทำอีก มันแอบอยู่หลังเสา แอบหัวเราะ จงมองเห็นภาพเถิด ในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้น ทารุณจิตใจพระเจ้าไหม? …

“เราไม่ได้ทำ ยังถูกใส่ร้ายอีก เราตั้งใจจะช่วย แต่เขาหนีเรา เพราะเขานึกว่าเราเป็นคนทำ”

“ไม่เชื่อพระเจ้าแล้ว นี่พระเจ้าทำให้เกิดขึ้น”

มีบางคนหนักกว่านั้น เชื่อพระเจ้ามาตั้งนาน ไปอเมริกา มันเกิดเหตุ เราก็เคยได้ยิน คนเสียสติ เอาปืนกราดยิงเด็กนักเรียนตายเต็มไปหมดเลย คนนี้บอก …

“ฉันเลิกเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าควบคุมได้ ทำไมพระเจ้าปล่อยให้มีคนมาฆ่าเด็กๆ ตายหมดเลย เด็กบริสุทธิ์ สงสารเด็กมากเลย พระเจ้าโหดร้ายอย่างนี้ ไม่เชื่ออีกแล้ว เพราะเชื่อว่าพระเจ้าควบคุมทุกอย่างได้ แล้วทำไมไม่ควบคุมเรื่องนี้”

เดี๋ยวไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้เอง นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ ฉะนั้น เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เราต้องรู้จักสงคราม รู้จักการหักล้างข้อมูลที่มารส่งเข้ามา เมื่อเราเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราได้รับความรอดแล้ว ปลอดภัยในพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว ด้วยความรัก และความเมตตาของพระเจ้า ด้วยความดีงามของพระองค์ เหมือนพ่อที่ใจดีมากๆ ไม่มีใครมาเอาเราออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อเราเชื่อและเกิดใหม่แล้ว เอเมน ตัวเราเองยังเอาออกไปไม่ได้เลย มันเกิดแล้ว

ท่านมีลูก ลูกท่านเกิดมา ท่านสามารถเอาลูกออกไปได้ไหม? ท่านอาจจะทำให้เขาตายได้ แต่เขาก็เป็นลูกท่าน ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น พระเจ้าให้ท่านเกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว ท่านเชื่อแล้ว ท่านก็เกิดใหม่ อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า พระเจ้าดูแลท่านอย่างดีเลย หลายคนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มักมีความคิดว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ถวายชีวิตให้พระองค์ พระเจ้าก็จะเริ่มเข้มงวดในชีวิตของเรา ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ ถ้าทำนะ ซัดเลย ลงโทษเลย ไม่ได้พระพรเลย ตาต่อตา ฟันต่อฟัน อย่างนั้นหรือ? ตั้งใจฟังต่อไป

ก็คล้ายๆ กับผู้ที่อยู่ที่เมืองโครินธ์ในสมัยนั้น สมัยที่เรากำลังพูดอยู่ ที่สอนกันไปต่างๆ นานา ห้ามทานข้าวกับพวกนอกรีต … “พวกนอกรีต” คือคนที่ไม่ใช่ยิว คนยิวสมัยก่อนนี้ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด เขาไม่กินข้าวกับคนที่ไม่ใช่ยิวเลย ถือว่าผิด มาเป็นคริสเตียนแล้ว ก็ยังไม่มากินอีก ถ้าอาหารไม่อร่อย ก็แล้วไปนะ นี่มันไม่เกี่ยว นี่หมายถึงว่า …

“คนละชั้น ชั้นเป็นคริสเตียนที่เป็นยิว ท่านเป็นคริสเตียนที่เป็นกรีก ไปไกลๆ ฉันบริสุทธิ์กว่า”

เป็นอย่างนี้ ถูกหลอก กินข้าวต้องล้างมือ อันนี้เป็นกฎต่างๆ ที่ใส่เข้าไป สมัยก่อนที่พระเยซูมาเกิด ห้ามทานของบูชารูปเคารพ พวกที่เคร่งในการทำสิ่งเหล่านี้ ก็จะคอยจับผิด ทำหรือเปล่า? ถ้าคนไหนทำ ก็แสดงว่าเป็นผู้เชื่อตกกระป๋อง ผู้เชื่อชั้น 2 ชั้น 3 ชั้น 4 ชั้น 5 ไปเรื่อยๆ คนทำได้เยอะๆ ก็เป็นชั้น 1 นี่มันเป็นอย่างนี้ และคอยกล่าวหาคนอื่น ที่ไม่ได้ทำตามว่าทำไมไม่ทำอย่างนี้ ทำไมไม่อย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น จึงเป็นที่มา ทำให้อาจารย์เปาโลต้องเขียนจดหมายมาจัดระเบียบให้

ซึ่งว่ากันตามตรง คริสเตียนเราในปัจจุบัน ผู้เชื่อหลายๆ คน ก็ยังมีความคิดแบบนี้อยู่ ใช่หรือไม่? ยังเชื่อว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องเคร่งครัด ต้องเคร่งศาสนานิดๆ ต้องทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าสอนไว้เป๊ะๆ แถมยังมีการสอนต่อๆ กันไปอีกว่าพระเจ้าจะนำสิ่งไม่ดีเข้ามา จะนำท่านเข้าไปในความทุกข์ร้อน เพื่อจะทำให้ท่านแข็งแรง อดทน แข็งแกร่งขึ้น ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก สิ่งไม่ดีในชีวิตนั้นแน่ มาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าจะให้เราแข็งแรงขึ้น จะให้เราโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ

ฟังให้ดีๆ เมื่อฝึกฝนเราให้แข็งแกร่ง เพื่อว่าพระองค์จะทำให้เราเหมือนทหาร มันต้องฝึกสิ โดยเปรียบเทียบกับชีวิตมนุษย์บาปๆ อย่างเรา ฝึกให้เจอความทุกข์ยากลำบาก ผมบอกความจริงให้ท่านนะ ท่านจะตกใจเลย ท่านรู้ไหมว่าเวลาพระคัมภีร์บอกว่าเวลาเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับการบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเกิดใหม่ เราเป็นทารกในวิญญาณในพระคริสต์ เข้ามาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทนุถนอมทารกคนนี้ ยิ่งกว่าไข่ในหินอีก เพราะว่าเป็นเด็กๆ แดงๆ เลย เพิ่งจะเกิด รักมากเลย รอดจากมาร รอดจากนรกแล้ว ลูกฉันๆ ท่านจะทำอย่างนี้กับลูกของท่านที่เป็นทารกไหม? เขาเป็นทารกอยู่ แล้วไม่ใช่ทารกธรรมดานะ ในพระคัมภีร์บอกเป็นทารกที่อ่อนแออีกต่างหาก ตาเกือบบอด เพราะมันอยู่ในร่างกายนี้ มันมองไม่เห็น เห็นพระเจ้ารางๆ เห็นพ่อรางๆ พ่ออยู่ไหน? ถ้าท่านมีลูกอย่างนี้ แล้วลูกคนนี้ กลางคืนอึราด ท่านจะลุกขึ้นมาตบเขาไหมครับ

“สอนกี่ครั้งแล้ว อย่าอึๆ อย่างนี้หรือ”

ลูกทารกแดงๆ แล้วยังแถมป่วยอีก ท่านลองคิดดู นี่คือเรื่องจริง ในพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอท่านเห็นภาพอย่างนี้ ท่านจะรู้ว่าเราเคยมองพระเจ้าผิดไป เราเคยใส่ร้ายพระเจ้า พ่อของเรา โดยที่เราไม่รู้ตัว ทำไมเรากล้าทำอย่างนี้ ก็เพราะศัตรูของพ่อเราไง ใครล่ะ ที่กล้าเหยียบทารก ทั้งๆ ที่ทารกนี้อ่อนแอ ตาบอด ก็คือศัตรูของพ่อเรา ศัตรูของครอบครัวเรา ก็คือมารนั่นแหละ มันเหยียบเรา

ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ บางคนก็สอนต่างๆ นานา พระเจ้าจะนำเราเข้าไปสู่ความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน  เพื่อจะดัดนิสัย นี่ใครเอามา มาร ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอก นี่คือมารทั้งสิ้น มารส่งมา ทางความคิดของเรา ซึ่งรับโดยทางเนื้อหนัง … เนื้อหนัง ก็คือร่างกายนี้ และในยามที่เราพลาดพลั้งไปทำอะไรผิด พระเจ้าก็ตีสอนเรา อะไรประมาณนี้  สอนแบบนี้  และบางครั้ง พระเจ้าก็จะนำเราไปในสถานที่ที่ทุกข์ยากลำบาก เพื่อจะทดสอบชีวิตเรา หรือทดสอบความเชื่อของเรา อะไรอย่างนี้ มันใช่ที่ไหน? ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น พระคัมภีร์บอกว่าขณะที่เราถูกทดลองให้ทำสิ่งที่ชั่วร้าย อย่าบอกว่าพระเจ้าทดลองเรา แต่ท่านถูกทดลอง เนื่องจากกิเลสตัณหาทางเนื้อหนังของท่านเอง โดยผ่านทางการยุแยงของศัตรูที่อยู่นอกตัวท่าน ก็คือมาร ที่ทำงานอยู่บนโลกนี้ มันส่งกระแสมา ข้อมูลท่านไม่มี ท่านยอมแพ้ในความคิด เพราะฉะนั้น ท่านก็จะทำในสิ่งที่เอาความทุกข์มาสู่ท่าน แล้วท่านก็ไปบอกว่าพระเจ้าเป็นคนพาท่านเข้าไป

พอเราต้องเจอความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ก็จะเจอคำพูดที่บอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่จะให้สิ่งเลวร้ายนี้ เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อให้เราได้เรียนรู้ เพื่อให้เราได้ฝึกฝน ให้เข้มแข็ง แข็งแกร่ง เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพื่อพระเจ้าจะได้ใช้ได้ ถ้าพระเยซูอยู่ทุกวันนี้ ท่านที่เป็นคนบาปอยู่ แล้วได้รับการอภัยจากพระเจ้า  เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านจะดูเด็กทารก ลูกของท่านอย่างนี้ไหม? ท่านก็คงบอก “No” ไม่มีใครทำหรอกใช่ไหม?

ใครที่เคยได้ยิน ได้ฟังข้อมูลแบบนี้ เรื่องราวของพระเจ้าแบบนี้  วันนี้ขอร้องเลย เป็นวันที่เริ่มต้นกันใหม่เลย เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เอาความคิดที่ถูกต้อง ข้อมูลที่ถูกต้อง เรื่องเกี่ยวกับพ่อของเรา ใส่เข้าไปในสมอง แม้ว่าตอนนี้ อาจจะไม่ค่อยเข้าใจนักก็ตาม แต่นี่คือถ้อยคำพระเจ้า เอเมน ใส่เข้าไปเลย แทนที่ไป แล้วพระเจ้าจะนำพาท่านต่อไปเรื่อยๆ เอาข้อมูลเก่าออกไปเลย ถ้าท่านได้ยินข้อมูลเก่า ที่บอกว่าพระเจ้าทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ อาจจะออกมาจากตัวผมเองก็ตาม ก็เอามันออกไปด้วยนะ ผมเอามันออกไปตั้งนานแล้ว เพราะถูกหลอกเหมือนกัน เราต้องใช้อาวุธ คือถ้อยคำพระเจ้ามาลบล้างข้อมูลออกไป เอาถ้อยคำพระเจ้าล้วนๆ มาใส่

คำกล่าวที่ว่าพระเจ้าจะทดสอบความเชื่อของเรา ความทุกข์ยากลำบาก  เพื่อจะฝึกฝนเราให้เข้มแข็ง นั่นคือความเท็จทั้งสิ้น มาจากมารทั้งนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วการทดสอบความเชื่อผ่านความทุกข์ยากลำบากเล่านี้ มาจากอะไร? เดี๋ยวผมบอกให้ท่านฟัง ท่านจะอ๋อเลย มีถ้อยคำพระเจ้ามาชี้ให้เราเห็น พระวิญญาณพระเจ้าที่เราเห็น เราจะเห็นชัดเลย ความทุกข์ยากลำบากอะไรที่เกิดขึ้น ความเสียหาย ความวิปริตต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันมาจากระบบของโลกนี้ ที่เสียหายไปแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของเราอาดัมและเอวาได้เอาบาปเข้ามาบนโลกใบนี้ มารก็เข้าครองบนโลกใบนี้ ระบบของมารครองโลกใบนี้อยู่ มันวิปริตไปแล้ว มันเสียหายไปแล้ว สงครามฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้น ก็เป็นความคิด ข้อมูลผิดๆ ที่มารส่งเข้ามาให้เราว่าพระเจ้าเป็นผู้เอาความชั่วร้ายเข้ามา ความทุกข์ลำบากเข้ามาในโลกนี้ ซึ่งมันไม่ใช่ พระเจ้าสร้างโลกใบนี้ 6 วัน แล้วพระองค์บอกว่า … “ดี” สร้างให้เป็นบ้านของเรา บ้านของมนุษย์ แล้วพระองค์อยู่กับเรา ในสวนเอเดน พระองค์สร้างไว้อย่างดี แล้วมารมันเข้ามาหลอกล่อบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ให้ทำพลาด  คือไล่พระเจ้าออกไป แล้วส่งมอบทุกอย่าง สิทธิของมวลมนุษย์ และลูกหลานของเรา คือมนุษยชาติทั้งหมด ให้เป็นสิทธิของมารซาตานไปแล้ว พระเจ้าก็ไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น พยายามช่วยเหลือมนุษย์กลับคืนมา โดยวางแผนการที่จะช่วยเหลือมนุษย์ โดยยอมสละพระบุตรเพียงองค์เดียว มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อที่จะช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากคำสาปแช่ง ความบาปนั้น แล้วก็ช่วยสำเร็จแล้ว ความสำเร็จนั้น มันเกิดขึ้นที่โลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว แต่ขบวนการที่จะเกิดผลสำเร็จจนกระทั่งถึงโลกใบนี้ เปลี่ยนใหม่ มันยังไม่ถึง มันต้องรอก่อน รอวันที่พระเยซูกลับมาใหม่ โลกจะถูกเปลี่ยนไป มารจะถูกผลักลงไปในบึงไฟนรก นิรันดร์

กลับมาที่ชีวิตเราคริสเตียน ในขณะที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา จะคอยช่วยนำพาเรา เป็นพี่เลี้ยง เป็นผู้ปลอบโยน คอยช่วยเหลือเรา ให้เราสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากที่มันเกิดขึ้น เป็นธรรมดาบนโลกใบนี้ได้ เพราะโลกใบนี้มันเสียหายไปแล้วต่างหากล่ะ ไม่ใช่เป็นผู้นำเราเข้าไป แต่เป็นผู้นำเราออกมา

นี่คือข้อมูลความจริง และเป็นพระลักษณะของพระเจ้าที่แท้จริง ที่เราเรียกกันว่าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ที่เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา ความดีงาม รักเราหมดหัวใจ ทุ่มเททุกอย่างให้กับเรา นี่แหละคือพ่อของเรา เห็นไหม นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณที่หนักที่สุดเลย ถ้าเราหาศัตรูไม่เจอ หรือไปเพ่งที่ผิด ผิดผู้ ผิดคน แย่เลย ศัตรูยังอยู่ ทำให้มิตรเราเสียหายไป พระเจ้าที่เป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความเมตตา พระเจ้าผู้ปลอบโยน จะไม่ติดต่อกับเรา หรือพูดคุยกับเราผ่านความทุกข์ลำบากที่ให้เกิดกับเรา ผ่านทางโศกนาฎกรรมอย่างเด็ดขาด เป็นไปไม่ได้เลย อย่างที่ตะกี้นี้ ที่ผมบอกแล้วนะ เพราะเราเป็นลูก แล้วยังเป็นลูกที่อ่อนแอด้วย  เป็นทารกที่เพิ่งเกิด พระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าที่ทำให้เกิดโศกนาฎกรรม หรือเป็นผู้อนุญาตให้มีการฆ่ากันตายบนโลกใบนี้ คนดีๆ ถูกฆ่าตาย  พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ก่อสิ่งเหล่านั้นขึ้นบนโลกใบนี้  โลกใบนี้มันวิปริตแล้ว เนื่องจากบาป แล้วพระองค์มาช่วยเรียบร้อยด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าทรงเป็นที่ปรึกษา เป็นที่ปลอบโยน และเป็นผู้นำพาเราผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก ให้สามารถดำเนินชีวิตผ่านทางความวิปริตบนโลกใบนี้ได้ เอเมน ถ้าคนเชื่อเต็มๆ เขาบอก …

“พระเจ้าจะพาเราผ่านพายุที่โหมกล้ากระหน่ำ ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ว่าเราเชื่อว่าพระองค์พาเราผ่านไปได้ ไม่ว่าขณะที่เดินผ่าน พระองค์ทำให้มันสงบหรือไม่? หรือพระองค์ต้องปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้น พระองค์ก็พาเราผ่านได้ ข้อมูลเท็จที่เรามักเคยได้ยิน พยายามที่จะบอกเราว่าโศกนาฎกรรมเหล่านั้น ความทุกข์ยากเหล่านี้มาจากพระเจ้า เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ใช่ ถูก เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องรับผิดชอบตรงนี้ด้วย เฮ้! อยู่ดีๆ ไปสรุปอย่างนั้นได้อย่างไรเล่า ต้องดูอะไรมันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มารมันไปอยู่ไหน? บางคนไปดูละคร ดูออกมาเสร็จ ตัวละครมีอยู่ 10 ตัว ดูอยู่แค่ 3 ตัวเท่านั้นเอง พระเอก นางเอก และนางร้าย ตัวประกอบคนอื่นไม่เห็นเลย ไม่มองเลย ในโลกใบนี้ มีผู้แสดงเยอะแยะ มีทั้งพระเจ้า มีทั้งมนุษย์  และมีทั้งมาร เราต้องมองให้เห็นชัดๆ ว่ามันเป็นอย่างนี้ ซึ่งความหลอกลวงเหล่านี้ คืออาวุธของมารที่พยายามส่งข้อมูลที่ผิดพลาดเข้ามาในสมอง เข้ามาในความคิดของเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย และผู้ที่ไม่เชื่อด้วย สิ่งไม่ดีเหล่านี้มาจากพ่อของเรา มาจากพระเจ้าๆ ใส่เข้ามาอย่างนี้ตลอด ถึงเวลาแล้วที่เราจะลุกขึ้นมา แล้วบอกว่าไม่ใช่ๆ โดยที่บอกตัวเราเองก่อน แล้วค่อยบอกคนอื่น ถ้าตัวเราเองชัดเมื่อไร? มันจะออกมาเป็นอัตโนมัติเอง ไม่ใช่แน่นอน เราจึงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังที่จะไม่ปล่อยให้ข้อมูลเท็จเหล่านี้ เข้ามาครอบครองพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในสมองของเราเด็ดขาด เมื่อเรามองไปที่ความตายบนโลกใบนี้ หรือความทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้ ซึ่งโดนกันทุกคน หรือโรคภัยไข้เจ็บบนโลกใบนี้ หรือความยากลำบากบนโลกใบนี้ ความเครียดในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ข้อมูลที่พวกมารพยายามส่งเข้ามา ก็คือพระเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้น เป็นผู้นำเข้ามาทั้งสิ้น ซึ่งมันเป็นข้อมูลไม่จริง แต่มนุษย์บนโลกใบนี้ ชอบคิดอย่างนี้ พอคิดถึงพระเจ้า ชอบคิดอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ เมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันก็ต้องเจออย่างนี้ เพราะโลกมันถูกสาปแช่งไปแล้ว เพราะโลกมันอยู่ในอำนาจของมาร แต่พระเยซูชนะแล้ว และชัยชนะนั้นมันจะเลยมาถึงการทำโลกใหม่ การจับมารเข้าไปขังอยู่ในนรกนิรันดร์กาล

เพราะฉะนั้น อาวุธของเรา คือพระเยซูคริสต์ คือความจริง แล้วความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไท ทำให้เราสามารถเอาชนะการหลอกลวง การล่อลวงของมาร เอาชนะสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ได้ เอเมน

ในข้อที่ 6 ที่บอกว่า “และเราพร้อมที่จะลงโทษ ทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว”

“เราพร้อมที่จะลงโทษ” ทุกคนรู้แล้วนะ

“ทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง” ไม่ใช่คนแล้วนะ

“หลังจากที่ท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์” หมายถึงการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็คือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า … พระเจ้าบอกขาว คนนี้บอกดำ ก็คือบาปนั่นเอง

การลงโทษความคิดที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็คือบาป ก็คือความคิดที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ความคิดที่อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เรามีหน้าที่ลงโทษมัน ไม่ใช่คนแล้วนะ ลงโทษความคิดที่เป็นศัตรู ลงโทษความคิดที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ยกตัวอย่าง เช่นความคิดที่บอกว่าตัวเราเองด้อยกว่าคนอื่น พระเจ้ารักเราน้อยกว่าคนอื่น มาโบสถ์บ้าง ไม่มาโบสถ์บ้าง ขี้เกียจอธิษฐานบ้าง ประกาศก็ไม่กล้าพูด แล้วอะไรอีกล่ะ ถวายทรัพย์ก็ได้แค่นิดเดียว สรุปสุดท้ายถ้าเราเชื่อมัน มันก็จะบอก “ฉันมันเลว” ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้าแล้ว อย่างนี้คือความคิดที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเราจับมันได้ปุ๊บ ความคิดอย่างนี้ต้องถูกลงโทษ คือไล่มันออกไป แล้วก็เอาถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นดาบสองคม แทงทะลุเข้าไปในความคิดของเรา เอาถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงเรื่องนี้ ที่เป็นความจริงใส่เข้าไป

ยกตัวอย่าง พูดไม่ดีมาตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว … “อันนั้นก็ไม่ได้ทำ อันนี้ก็แย่ ฉันเป็นคนเลวจริงๆ เซ็งตัวเองเหลือเกิน เดี๋ยวก็หงุดหงิด ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเลย เชื่อพระเจ้าอย่างเดียว ไม่เคยถวายเกียรติพระองค์เลย ฉันมันเลว”

ลุกขึ้นมาเลย เอาถ้อยคำพระเจ้าใส่เข้าไป แล้วลงโทษมันด้วยวิธีนี้ เชิดหน้าขึ้น แล้วก็บอกว่า …

“ในพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกว่าฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย แล้วจะมาบอกว่า “ฉันเลว” ได้อย่างไร?”

บอกมันอย่างนี้ นี่แหละคือการลงโทษ เข้าใจไหม? ไม่ใช่ใส่ถ้อยคำเข้าไปอย่างเดียว แต่เป็นการพูดให้มันได้ยิน   หรือบางอย่างต้องใช้การกระทำ  สมมติว่ากลัวๆ เขาให้ขึ้นไปเป็นพยานบนธรรมาส ไม่กล้าขึ้น เรายังไม่บริสุทธิ์พอ คราวนี้แหละ …

“อาจารย์ขอเป็นพยานหน่อยได้ไหม? ฉันจะขึ้นไปพูด”

ทั้งที่เป็นคนกลัว ไม่กล้า เพราะรู้สึกตัวเองไม่ดีพร้อม วันนี้กล้า ทำอะไร? กำลังลงโทษมันไง ลงโทษความไม่เชื่อฟังตะกี้นี้ ที่คิดว่า “ตัวฉันเลว” กลายเป็นมั่นใจแล้ว โอเค วันนี้ขอเป็นพยาน ขึ้นมา อธิษฐานเต็มที่เลย แล้วพูดว่า …

“ผมมาเชื่อพระเจ้าวันนั้น วันนี้ บัดนี้ผมเข้าใจแล้วว่าการเชื่อพระเจ้า คืออะไร? ผมเจริญเติบโตในวิญญาณ ผมเข้มแข็ง ผมเป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาด เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้ ผมก็ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว”

เห็นไหม? มันตรงกันข้ามกับที่มารโกหกหลอกลวงแบบนี้เยอะแยะเลย ตัวอย่างเยอะแยะไปหมด ท่านสามารถเอาไปใช้ได้  อย่างนี้เขาเรียกว่าความคิดที่ต้องถูกลงโทษ ไล่มันออกไป แล้วก็แก้แค้นมันเลย เพราะฉะนั้น อาวุธที่ร้ายแรงที่สุด ที่เป็นเหมือนปรมณู สำหรับชีวิตคริสเตียน ก็คือความจริงที่พระเจ้าบอกว่าเราหรือท่านที่เชื่อแล้ว เป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านเกิดใหม่แล้ว อย่าให้ใครมาขโมยความจริงนี้ไปได้โดยเด็ดขาด รวมทั้งผู้ที่ยังไม่เชื่อด้วยเช่นเดียวกัน  เพราะว่าในพระเยซูคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่ สะอาดหมดจด พ้นจากบาปเวรกรรม เป็นของมนุษยชาติทุกคน เพียงแต่เรามาเชื่อแล้ว เราได้รับแล้ว คนที่ยังไม่เชื่อ เขายังไม่ได้รับ แต่ก็เป็นของเขาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น มารมันพยายามปิดบังตา พยายามใส่ข้อมูลเท็จต่างๆ เข้าไป เพื่อไม่ให้คนได้มารับตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราต้องรักษาตรงนี้ไว้

วันนี้ผมจะนำท่าน ติดอาวุธปรมณูไว้ที่สมองของท่าน วิธีติดอาวุธทำอย่างไร? อย่างที่บอก เอาถ้อยคำแห่งความจริงในนี้ว่าท่านเป็นใครในพระคริสต์ใส่เข้าไป ขณะเดียวกัน สำหรับผู้ที่ฟังอยู่ทางบ้าน หรืออยู่ที่นี่ก็ตาม ถ้าท่านยังไม่เชื่อพระเจ้า ไม่เชื่อพระเยซู ไม่ได้บังเกิดใหม่ สิ่งที่พูดมันเป็นของท่าน พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน ไม่ใช่เพื่อผู้เชื่อทั้งหลายเท่านั้น แต่ผู้ที่ไม่เชื่อด้วย พร้อมทั้งผม ก็คืออดีตที่ไม่เชื่อนั่นแหละ แต่พอได้รู้ความจริงแล้ว ก็มาเชื่อ เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้ท่านรู้ความจริง ท่านก็แค่มาเชื่อ ก็เป็นของท่านแล้ว อย่าให้มารหลอกลวงท่านอีกต่อไปว่านี่คือการเปลี่ยนศาสนา นี่คือการเปลี่ยนอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้น ยุ่งไปหมดเลย เอาเป็นว่าให้เป็นประโยชน์ของท่าน ไม่เสียหายอะไร?

คราวนี้ผมจะนำผู้ที่เชื่อแล้ว ติดอาวุธของท่านเข้าไป ก็คือที่ผมเคยบอกบ่อยๆ ว่าใช้วิธีการใส่ถ้อยคำพระเจ้าเข้าไปในสมองของเรา วิธีใส่เขาเรียกกันว่าใคร่ครวญภาวนาถ้อยคำพระเจ้า วันนี้เราจะฝึกต่อ พูดพึมพรำเบาๆ พูดกับตัวเอง ก็คือการเอาถ้อยคำพระเจ้าใส่ลงไปในความคิดของเรา พูดเบาๆ แล้วให้ตาฝ่ายวิญญาณของเราได้เปิดออก ให้เห็นภาพเป็นไปตามนั้น นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้แหละ …

“ฉันเป็นวิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อ ในการไถ่บาปของพระเยซู ที่ไม้กางเขน พระเจ้าได้กระทำให้ฉันตายไปพร้อมกับพระเยซู ชดใช้บาป เวรกรรม ด้วยการตายที่ไม้กางเขน พร้อมกับพระเยซู และพระเจ้า ได้ชุบให้ฉันเป็นขึ้นมาใหม่ ได้เกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซู ฉันถึงเป็นวิญญาณที่เกิดใหม่พร้อมพระเยซู เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ ไร้บาป ไร้ตำหนิ ชอบธรรม เหมือนพระเยซู อยู่ในบ้านของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณ อยู่ในฐานะ เป็นลูกของพระเจ้า ครอบครองมรดกของพระเจ้าในสวรรค์ร่วมกับพระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู และพระเจ้าได้ประทานจิตใจใหม่ให้กับฉัน ฉันจึงเป็นวิญญาณที่มีความคิดจิตใจใหม่ เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด ไร้มลทินใดๆ เหมือนพระเยซู เพียงแต่ยังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ บนโลกใบนี้ ซึ่งร่างกายนี้ จะต้องตาย ต้องเจ็บป่วย เสียหาย เสื่อมโทรมไปสู่ความตาย กลับไปสู่ดิน เป็นไปตามโทษของความบาป ตั้งแต่บรรพบุรุษ คืออาดัม

ฉะนั้น ตัวจริงๆ ของฉัน คือวิญญาณของฉัน จะอยู่ในร่างกายนี้เพียงชั่วคราว ความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้น ในขณะที่อยู่ในร่างกายนี้ มันจึงแค่แป๊บเดียว เล็กน้อย ไม่สามารถเทียบได้กับสง่าราศีนิรันดร์ ในสวรรค์สถาน ที่พระเจ้าได้เตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เหมือนพระเยซูให้กับฉันวันหนึ่งข้างหน้า และฉันจะอยู่ในร่างกายใหม่นี้ ที่ไม่ต้องตาย ไม่มีเจ็บป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีอิทธิพลของความบาป อีกต่อไป และฉันจะอยู่ในร่างกายสวรรค์นี้ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าตลอดไป ชั่วนิรันดร์ ขอบคุณพระเจ้า ในนามพระเยซู เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2019 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  ตุลาคม  2019

 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราจะต่อซีรี่ย์นี้ เรายังอยู่ในเรื่องของ “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 3 ที่พระคัมภีร์บอกว่าในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่เราต้องเจอ และต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา ก็คือสงครามทางฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็พูดถึงสงครามทางฝ่ายวิญญาณนี้ ตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวิวรณ์ ซึ่งหลายๆ คน ก็ไม่เข้าใจเรื่องสงครามฝ่ายวิญญาณ เที่ยวนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน แล้วเห็นชัดว่ามัน คืออะไร จะได้ไม่ถูกหลอก

ครั้งที่แล้ว ผมได้อธิบายให้ฟังแล้ว จุดกำเนิดของมารซาตาน จุดกำเนิดของความบาป คือความชั่วร้ายมาจากไหน? ก็คือมาจากทูตสวรรค์ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ ซึ่งพอตกกระป๋อง ก็มีชื่อเปลี่ยนไปว่าซาตาน ความชั่วร้าย  ที่เกิดขึ้น ก็คือในตัวของลูซีเฟอร์ เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมาเอง อยากเป็นพระเจ้าเสียเองเลย มันโผล่ขึ้นมา มันก็เออร์เล่อ เกิดความผิดปกติในตัวของมันเอง มันก็จะคิดกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า  ทำสงครามกับพระเจ้า แล้วมันก็พ่ายแพ้ จึงตกกระป๋อง กลายเป็นซาตาน

แล้ววิธีทำสงครามของมัน ก็คือการใส่ข้อมูล ที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของพระเจ้า บิดเบือนถ้อยคำของพระเจ้า ส่งเข้ามาในความคิดของมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นพระฉายของพระเจ้า มันต้องการทำลายทุกอย่างที่เป็นของพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  เริ่มต้นครั้งแรกในสวรรค์ ไม่ใช่บนโลก มันมีพรรคพวก 1 ใน 3 หลังจากตกกระป๋องมาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว มันก็เริ่มหลอกพระฉายของพระเจ้า คือลูกของพระเจ้า คือพวกเรา เริ่มต้นจากอาดัมและเอวา ในสวนเอเดน ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ เริ่มหลอกว่า …

“พระเจ้าบอกว่า “อย่ากิน วันใดเจ้ากิน เจ้าจะต้องตาย”

แต่มันบอกว่า “พระเจ้าบอกว่าอย่ากิน”

ถูกครึ่งหนึ่ง แล้วมันบอกต่อว่า “ถ้าเจ้ากิน เจ้าจะเหมือนพระเจ้า”

ถ้ามันหลอกคำแรกเลย อาจจะไม่ฟัง คำแรกนะถูก พระเจ้าบอกอย่ากิน แต่พระเจ้าบอก ถ้าวันใด ขืนกิน เจ้าจะต้องตาย ถูกสาปแช่ง แต่มันบอกไม่ถูกสาปแช่งหรอก ไม่ตายหรอก แต่เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า

ก็คือนิสัยของมันนั่นเอง มันอยากจะเป็นพระเจ้า มันก็เอาสิ่งเหล่านั้น มาใส่ให้กับมนุษย์ หลอกมนุษย์ ผลก็คืออาดัมและเอวาบรรพบุรุษของเรา ก็เชื่อมาร คือมีความคิดเหมือนกับที่มันส่งเข้ามา ก็คืออยากจะเป็นเหมือนพระเจ้า อยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง ความคิดเดียวกันกับมาร ตอนสมัยที่เป็นลูซีเฟอร์ตกลงไปในความบาป อันเดียวกัน เพราะฉะนั้น มันถ่ายทอดจากความคิดของมาร มาสู่ความคิดของมนุษย์ คู่แรก ก็คืออาดัมและเอวา พูดแล้วจะขนลุกเลยว่าขณะที่อาดัมและเอวา เชื่อฟังต่อคำโกหกและหลอกลวงของมาร และตกลงไปในความบาป ไปเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ในขณะที่อาดัมและเอวาไม่เชื่อฟังนั้น มนุษยชาติทุกคนบนโลกใบนี้ ตั้งแต่วันที่พระเจ้าสร้างมาวันแรก ซึ่งทั้งหมด อยู่ในตัวของอาดัมและเอวา ซึ่งเรียกว่า DNA พวกเราอยู่ในนั้นแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่ออาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป ตกลงไปในคำสาปแช่ง ถูกลงโทษ พวกเราก็เลยถูกลงโทษด้วย  เพราะเราอยู่ในนั้น เราก็ถูกลงโทษไปด้วย นี่คือสิ่งที่มารต้องการ และมารก็เยาะเย้ยพระเจ้าว่า  …

“นี่ไง เห็นไหม ลูกของพระองค์ตอนนี้ มาเป็นทาสเราแล้ว ลูกของพระองค์ตอนนี้มาเป็นพวกเราแล้ว”

ลูกของพระเจ้า แต่ตอนนี้ มาเป็นศัตรูกับพระเจ้า มารและพวกสมุนของมัน ก็ยังคงเดินหน้า ก่อการกบฏ และทำสงคราม ถามว่าสงครามนี้ มันจะสิ้นสุดเมื่อไร? พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ในหนังสือวิวรณ์ว่าต้องรอถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาอีกครั้งหนึ่ง  เพื่อทำการพิพากษา ปราบพวกมารเหล่านี้ให้สิ้นซาก

พระเยซูบอกว่าเมื่อข่าวดีถูกประกาศไปถึงมนุษย์คนสุดท้าย ตอนนี้ข่าวดีประกาศไปประมาณ 2,000 ปี และอีกกี่ปี พระเยซูถึงจะกลับมาใหม่ ถึงจะจบสักที จับมารขังคุก ลงนรกไปเลย อีกกี่ปี ก็ไม่รู้ แต่พระเยซูบอกว่าเมื่อวันที่ข่าวดีนี้ประกาศไปถึงมนุษย์คนสุดท้าย

ฟังดูสิ มนุษย์คนสุดท้ายจะเกิดเมื่อไร? ไม่รู้ แต่มันจะมีวันหนึ่งแหละที่มนุษย์คนสุดท้ายจะเกิด สมมติว่าเอาสิ้นปีนี้ มนุษย์คนสุดท้ายเกิด แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? คนสุดท้ายเกิด เราไม่มีทางรู้ จนกว่าพระเยซูจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้น เมื่อสิ้นปีนี้ มีเด็กเกิดมา อีก 7 ปีข้างหน้า เด็กคนนี้เจริญเติบโตไปจนถึงอายุ 7 ขวบ สมมตินะ แล้วข่าวดีนี้ได้ถูกประกาศไปถึงคนๆ นี้ คนสุดท้าย แล้วพระเยซูก็กลับมา กลับมาเป็นผู้พิพากษา จัดการเรียบร้อยทุกอย่าง แล้วก็สร้างโลกใหม่ให้กับมนุษย์ได้อยู่ แล้วก็เอาความชั่วร้ายต่างๆ ไปที่บึงไฟนรกนิรันดร์ ไม่ขึ้นมาอีกแล้ว จบ

นี่คือความหวังใจ นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่าโลกใบนี้มันเสียหายอยู่ มันเสียหาย เพราะบาปคงทำงานอยู่ พระเจ้าไถ่เราแล้วก็จริง แต่ไถ่ทางวิญญาณเท่านั้น ทางด้านวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้นั้น มันยังคงตกอยู่ในคำสาปแช่ง วันก่อนไปดูที่ดินกับพี่น้องที่เขาซื้อไว้ แล้วก็ทำสวน ปลูกต้นกล้วยบ้าง ปลูกแก้วมังกรบ้าง เลี้ยงปลา เขาบอกว่าปลูกยากลำบากจริงๆ เลย  เดี๋ยวแมลงก็มา ปลูกมะพร้าวเป๊บเดียว ตัวด้วงกิน ไม่เหลือเลย เหนื่อย เลยบอก พระคัมภีร์บอกไว้  สวนเอเดน ทุกอย่างดีหมด พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป ถูกสาปแช่ง โลกใบนี้เปลี่ยนไป พระเจ้าบอกว่าผืนดินจะให้หนาม พูดง่ายๆ ทำมาหากินลำบากลำบน ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ของที่กินได้ ปลูกแทบตาย ศัตรูพืชเต็มไปหมด แล้วก็เดินไปอีกแปลงของพี่น้องอีกคนหนึ่ง ปรากฏว่าเขาไม่ค่อยได้มา ขึ้นดกเลย  คือไมยลาพ มีหนามด้วย เดินเข้าไปไม่ได้เลย แล้วอย่างนี้มันไม่ใช่คำสาปแช่งเหรอ อันที่กินไม่ได้ มันขึ้นอย่างสวยงามมากเลย อันที่กินได้ เลือดตาแทบกระเด็น กว่าจะได้สักชิ้นหนึ่ง นี่ถ้อยคำพระเจ้าทั้งสิ้น

แล้วถามว่าจะรอเมื่อไร พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน พระองค์บอกไถ่บาปเราเลยนะ  สำเร็จในโลกวิญญาณ วิญญาณนะเรียบร้อยแล้ว มนุษย์ทุกคน เมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว วิญญาณเขาได้เกิดใหม่ แต่ยังอยู่ในร่างกายเก่าอยู่ ร่างกายที่เรานั่งอยู่นี้ วิญญาณใหม่เราอยู่ข้างใน พระคัมภีร์พูดอย่างนี้เสมอ ในพระคัมภีร์ใหม่ บอกให้เรามองให้เห็นเถิดว่าวิญญาณเราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นใหม่ทั้งสิ้นเลย 100% แต่เรายังอยู่ในร่างกายเก่า  ร่างกายเก่าที่จำเป็นจะต้องเจ็บและตายในที่สุด ตายก็แปลว่าลงดินไป ตามคำสาปแช่ง ในปฐมกาล ตอนที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป หนึ่งในคำสาปแช่งนั้น คือร่างกายของเจ้าที่ไม่ต้องตาย บัดนี้เจ้าจะต้องตาย ร่างกายของเจ้าสร้างมาจากดิน มันก็กลับไปสู่ดิน

เพราะฉะนั้นร่างกายของมนุษย์ที่เราเห็นๆ อยู่นี้  มันก็ต้องไปสู่ความตาย ลงไปสู่ดิน สักวันหนึ่ง เนื่องเหตุจากคำสาปแช่งนั่นเอง วิญญาณอยู่นิรันดร์ และพระเจ้าก็จัดเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ เป็นเหมือนพระเยซู ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ต้องตายอีกต่อไป ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป  ให้กับผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู เมื่อวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเขาทิ้งร่างกายนี้แล้ว พระเจ้าสัญญาว่าเขาจะได้ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ ซึ่งศักดิ์ศรีนิรันดร์  ศักดิ์ศรียิ่งใหญ่ สูงกว่าร่างกายปัจจุบันมากเหลือเกิน เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูเลย เดินผ่านทะลุกำแพงได้เลย

สรุป ก็คือตราบที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ และตราบเท่าที่พระเยซูยังไม่เสด็จกลับมา บรรดาพวกมาร ก็ยังคงทำงานของมันต่อไปเหมือนเดิม เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่จะต้องดำเนินต่อไป จนกว่าจะถูกจับทิ้งลงไปในบึงไฟนรก โดยพระเยซูคริสต์ของเรา และกองทัพผู้ชอบธรรมทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งเราด้วย ในอนาคตอันใกล้หรือไกล ไม่มีใครรู้

เรากลับมาที่ร่างกาย ในสมองหรือความคิดของมนุษย์ทุกคน ก็ยังคงต้องเป็นสมรภูมิรบ หรือเรียกว่าสนามรบต่อไป พระคัมภีร์บอก สมองความคิดของเรา  ที่เรามองไม่เห็น  จับต้องไม่ได้ มันทำงานอะไรก็ไม่รู้ แต่รู้ว่ามันมีความคิดอยู่ตรงนี้ จะเรียกว่าสมอง จะเรียกว่าความคิดจิตใจก็ได้ นี่คือสงคราม ที่กระทำการงานอยู่ในสนามรบ มนุษย์ทุกคนเป็นเช่นนี้

นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราต้องมาคุยกันในเรื่องนี้เยอะๆ เพราะมันมองไม่เห็น พระคัมภีร์เป็นโคม เป็นแสงสว่างส่องให้เราเดิน ให้เรารู้ว่ามันคืออะไร? เราต้องมาย้ำกันเยอะๆ มาเล่าให้ฟัง อย่างละเอียดบ่อยๆ เพราะเราอยู่ท่ามกลางสนามรบ เราต้องเผชิญกับการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา มันถึงต้องบอกบ่อยๆ

ยกตัวอย่างเช่น พวกเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู ได้รับการชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว (ในวิญญาณของเรา) มองไม่เห็น พูดอย่างนี้บ่อยๆ เราได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด ของมาร มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง อันเป็นที่รักของพระองค์ ในพระเยซูคริสต์ไปแล้ว  ตอนนี้ วิญญาณเราอยู่ที่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเยซูคริสต์แล้ว ที่เรียกว่าอาณาจักรพระคริสต์ มองเห็นไหม? ไม่เห็น มันถึงต้องย้ำกันอย่างนี้

นี่แหละคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ เมื่อไม่เห็นต้องย้ำ พระคัมภีร์ก็บอกเป็นระยะว่าเพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อทั้งหลาย ให้จดจ่อความคิดของท่านไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่มันเกิดขึ้นนี้ ซึ่งใช้คำว่าจดจ่อไปยังเบื้องบน

“เบื้องบน” หมายถึงมิติที่มันดีกว่า มิติที่อยู่สูงส่งกว่า มิติบนโลกใบนี้ที่มองไม่เห็น จะเป็นมิติที่ 4 หรือ 5 ก็ไม่รู้ … รู้ว่ามันมีอยู่จริง  แต่ร่างกายธรรมดาของมนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าไปสัมผัสรับรู้ได้ ต้องใช้วิญญาณเท่านั้น และวิญญาณก็จะถูกนำ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่านั่นคืออะไร? เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกพระเจ้าอย่างไร? ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มากกว่าอื่นๆ ทั้งปวงเลย พระคัมภีร์จึงพยายามพูดวนเวียนถึงสิ่งเหล่านี้ และมารก็พยายามที่จะดึงเราออกจากสิ่งเหล่านี้ ให้มาอยู่ที่วัตถุ ให้มาอยู่ในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ พระเจ้าผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะพาเราไปในโลกฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น แล้วก็บอกเราว่าที่นั่นเป็นอย่างไร? อยู่อย่างไร? เขาเป็นอย่างไรบ้าง และมีอะไรเกิดขึ้น พระเจ้าสัญญาอย่างไร? เรายิ่งใหญ่ขนาดไหน? เราเป็นลูกพระเจ้าอย่างไร? เราบริสุทธิ์สะอาดอย่างไร? มารก็พยายามดึงเราลงเวทีล่าง เพื่อจะชกเรา เพื่อจะอัด เพื่อจะให้เราเป็นทาสมันให้ได้ อย่างนี้เราเรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ

เคยได้ยินไหมครับ “ตำราพิชัยสงคราม” ที่บอกว่าในการทำสงคราม สิ่งที่สำคัญที่สุด คือต้องรู้เขารู้เรา รบ 100 ครั้ง ก็ชนะ 100 ครั้ง ในขณะที่เรากำลังทำสงครามกับพวกมารอยู่ เราก็ต้องรู้ว่าพวกมันทำงานกันอย่างไร? และเราควรต้องรับมืออย่างไร? เช่นเดียวกัน มันเข้ามา 100 ครั้ง เราก็ชนะ 100 ครั้ง ถ้าเรารู้วิธี คือดึงมันขึ้นมาที่โลกวิญญาณ ดึงขึ้นมาที่เวทีวิญญาณ ดึงมันขึ้นมาข้างบนนี้ให้ได้ อย่าไปชกกับมันที่โลกวัตถุ อย่าไปชกกับมันที่สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้

บางคนไม่เข้าใจ เวทีโลกวิญญาณ เวทีโลกวัตถุมันเป็นอย่างไร? เอาง่ายๆ สมมติว่ามีข้อมูล มีคนมาถามท่านว่า …

“เชื่อพระเจ้าแล้ว ไม่เห็นแข็งแรงเลย ทำไมยังป่วยอย่างนี้อยู่อีกล่ะ มันไม่ควรจะป่วย พระเจ้ายิ่งใหญ่เหลือเกิน พระเยซูต้องก็รักษาได้สิ”

สมมติถ้าท่านจะชกกับมัน  มันมาแล้ว สงครามเริ่มต้นแล้ว

“ป่วยอย่างนี้ได้อย่างไรล่ะ เป็นลูกพระเจ้า ดูสิ พระเยซูรักษาก็หายแล้ว วางมือก็หายแล้ว”

นี่วางไปกี่ครั้งแล้ว ยังไม่หายเลย คุ้นๆ ไหม? เติมอีกนิดหนึ่ง ก็ได้

“นี่เป็นลูกพระเจ้า ทำไมอดๆ อยากๆ อยู่เลย ทำงานก็เจ๊งหมด อธิษฐานขอในพระเยซูมันได้หมดทุกอย่างไง ไม่ใช่หรือ?”

มี 2 เวทีให้ท่านเลือก ท่านจะชกอย่างไร? ถ้าเวทีวิญญาณ ท่านก็ดึงมันขึ้นมา

“ไม่ เพราะฉันไม่ท้อใจ 2 โครินธ์ 4:16 บอกมาเลย”

นี่ดึงขึ้นมาข้างบน “เพราะฉันไม่ท้อใจ ไม่กังวลใจ แม้ว่ากายภายนอกจะเจ็บป่วย หรือตายก็ตาม เพราะมันแค่แป๊บเดียว มันไม่สามารถเทียบกับศักดิ์ศรีนิรันดร์ที่ฉันจะได้รับ ที่พระเจ้าเตรียมให้ คือร่างกายในสวรรค์ได้  เพราะว่าฉันได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว วิญญาณฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันสะอาดหมดจด”

ไปอีกเยอะเลย มันตกม้าตายไปแล้ว เห็นหรือยัง? ท่านชนะไปแล้ว ถูกไหม? ท่านเดินผิวปากไป ทั้งๆ ที่ยังเจ็บหลัง แต่จิตใจท่านเต็มไปด้วยสันติสุข นี่คือของแท้ แล้วในใจท่านยังพูดอีกว่า …

“ฉันก็รู้ คนเราเกิดมาบนโลกใบนี้ มันก็เจ็บป่วยอย่างนี้แหละ คนที่ไม่เชื่อไม่เจ็บป่วยหรือไง? แกไปถามดูสิ ไอ้มาร แกมาจดจ่อกับฉันคนเดียว พอฉันเป็นคริสเตียนมาถามว่าทำไมฉันต้องเจ็บป่วย ตอนไม่เป็นคริสเตียน เจ็บป่วย ทำไมไม่ถามบ้างล่ะ มันก็เหมือนกันแหละ แสดงว่ามันไม่เกี่ยวกับพระเจ้าเลย มันเกี่ยวกับการหลอกลวงของแกนั่นเอง”

เริ่มเห็นชัดแล้ว แต่ถ้าเราถูกมันหลอก เราแพ้ เราลงไปชกกับมัน บนเวทีที่ตามองเห็น จับต้องได้

“ไหนไม่เห็นหายเลย”

“จริง ปวดเหลือเกิน พระเยซูรักษาลูกให้หายป่วยด้วยเถิด”

ไปให้ใครวางมือ เที่ยวตะลอนไปหาอาจารย์เยอะแยะ ไปให้เขาวางมืออธิษฐาน เพื่อจะหายโรค พอมองอะไรออกไหม? ท่านก็จะทุกข์ต่อไปเรื่อยๆ เพราะมันปกติ อันนี้เป็นวิสัยจริงตามนั้น เพราะว่ามนุษย์ถูกสาปแช่งมาตั้งแต่โน้นแล้ว แต่มันไม่บอกความจริงกับเรา ถ้าเผื่อไปวางมืออธิษฐาน มีโอกาสไหม? พระเจ้ารักษาโรคหาย มีไหมคำพยาน มี ถามว่ามีเยอะมีน้อย? มีเยอะ ก็เราไปมองดูมันเยอะ ลองเทียบกับคริสเตียนทั้งหมด มีเยอะหรือมีน้อย นิดเดียว คนไม่เป็นคริสเตียน ทำได้ไหม? ทำได้ ไปหาอาจารย์แดง อาจารย์ดำ ทำไสยศาสตร์อะไรต่างๆ มันก็หายบ้าง ไม่เห็นแตกต่างอะไรตรงไหนเลย  เห็นไหม? แต่สิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับเรา คือวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดหมดจดแล้ว  มั่นใจแล้วว่าไปสวรรค์ 100% และตอนนี้ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว  พระเจ้าได้เตรียมร่างกายใหม่ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปนิรันดร์ เป็นความหวังของเรา เมื่อถึงวันที่ร่างกายเราต้องทิ้ง จากร่างกายนี้ไป นั่นคือชัยชนะของเรา ความหวังใจนี้เต็มเปี่ยม อย่างนี้ ถามว่าอาจารย์ดำ อาจารย์แดง อาจารย์เยอะแยะ ไสยศาสตร์เหล่านี้ สามารถให้เราได้ไหม? ให้ไม่ได้  เห็นหรือยังว่าเราสามารถถูกหลอกลงไปที่เวทีข้างล่าง แล้วเราก็ไปมัวคิดแต่ว่าอยากจะแข็งแรง อยากจะร่ำรวย อยากจะมีชื่อเสียง อยากจะได้พระพร อยากจะประสบผลสำเร็จ ซึ่งอยู่ในโลกที่วิปริตแบบนี้ เรายังอยากได้อย่างนั้นอยู่ เราก็ซวยสิ มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ทุกข์ใจ มันก็ไม่มีวันเป็นสุขเลย มีวันนี้รวยมหาศาลล้นฟ้า อีก 30 ปีต่อมา จนไม่มีอะไรจะกิน เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ แล้วถ้าเราฝากชีวิตไว้กับสิ่งเหล่านั้น เราจะเป็นอย่างไร? เราก็ทำลายชีวิตของเราเอง เพราะเราไปฝากความหวังไว้ในที่ที่มันไม่มีความหวัง ฝากความหวังไว้ในที่โลเล พระคัมภีร์ใช้คำว่าอนิจจัง มันกินลม กินแล้ง ไปฝากความหวังไว้ที่กินลมกินแล้ง แต่ถ้าเราฝากความหวังไว้ที่ความจริงของพระเจ้า ที่ความชัดเจนนี้  เรามั่นคงแข็งแกร่งอย่างนี้เป็นต้น  นี่คือสงคราม เห็นไหม?

ฉะนั้น ตอนนี้เรารู้แล้วว่ากลยุทธของมาร ก็คือพยายามทำทุกสิ่ง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างไร? มันก็พยายามทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ก็คือมันพยายามที่จะมาขโมยความจริงในถ้อยคำพระเจ้าออกไปจากจิตใจเรา วิญญาณของเรา ถ้าเรามีความจริงอยู่ 50 มันก็พยายามจะขโมย 50 นั่นไปเรื่อยๆ ถ้าเรามีอยู่ 100 ก็จะพยายามขโมย 100 และมันไม่มีสงสารเราว่ามันขโมยแล้วจะให้เราเหลือบ้าง ไม่ใช่นะ มันอยากจะขโมยให้หมดเลย

พระคัมภีร์บอกว่าสำหรับคนเหล่านั้น  ที่ยังไม่เชื่อฟัง หมายถึงสำหรับคนเหล่านั้นที่ไม่ได้เชื่อถ้อยคำพระเจ้า สำหรับคนเหล่านั้น ที่ไม่เชื่อพระเยซู พูดง่ายๆ สำหรับคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังพระเยซู ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระผู้ไถ่บาป ในพระคัมภีร์บอก เขาเหล่านั้น ถูกมารปิดบังตา 100% เลย ไม่ได้เชื่อ เป็นศูนย์ แต่ปรากฏว่าคนนี้หลุดไปได้ เห็นแสงสว่างในสายตาฝ่ายวิญญาณของเขา ได้เชื่อพระเจ้า เหมือนกับเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ได้รับความรอดเข้ามาปุ๊บ มารมันหยุดงานไหม? หยุดทำสงครามไหม? ไม่หยุด มันก็ทำต่อไป คือให้เราได้รับความรอดที่มันยากที่สุด ได้รับพรน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อไม่ให้เราไปเป็นพยานต่อคนอื่นๆ อีกต่อไป นี่คือวิธีการ มันก็ปิดบังตาเรานั่นแหละ เพื่อว่าเราไม่สามารถบอกคนอื่นอีกต่อไปว่าการเชื่อพระเยซูคริสต์มันง่ายมากๆ แต่มันพยายามหลอกเรา อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้น เราต้องพยายามรู้ความจริง ตอนนี้ เรารู้แล้ว ความคิดเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เป็นสมรภูมิที่สู้กันในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นความสำคัญในการต่อสู้สงครามฝ่ายวิญญาณ หรือสงครามทางความคิดนี้ ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ ก็คือตรงนี้แหละ คือการต่อสู้ระหว่างความจริงของพระเจ้า ที่จะทำให้เราเป็นไท ตามที่พระเยซูบอกกับข้อมูลเท็จของมาร ที่จะทำให้เราตกอยู่ใต้อำนาจ อิทธิพลของมัน และไม่ได้รับอิสรภาพ ข้อมูลฝั่งไหนครอบครองพื้นที่ในความคิดของเราได้มาก ฝั่งนั้น ก็ชนะ ข้อมูลของฝั่งไหนอยู่มาก ฝั่งนั้นชนะ ถ้าข้อมูลคิดแต่เรื่องเบื้องบน สวรรค์ๆ พระเยซูชนะ แต่ถ้าคิดแต่ข้างล่างๆ บนโลกใบนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ มารชนะ

ในหนังสือ 2 โครินธ์ พระคัมภีร์ได้สอนวิธีการต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่เราได้เริ่มอ่านกันแล้ว ที่เน้นว่าเราไม่ได้สู้รบแบบที่โลกนี้เขาทำกัน แล้วอาวุธที่ใช้ทำสงคราม ก็ไม่เหมือนกับบนโลกนี้เขาใช้ทำสงคราม ใช้นิวเคลียร์ ใช้ระเบิด ใช้ปืน แต่ในโลกวิญญาณ ไม่ใช่ 2 โครินธ์ 10:3-5

2 โครินธ์ 10:3-5 “3 เพราะแม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบตบมืออย่างที่โลกทำ 4 อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ 5 เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้งและคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิดให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์”

 

อาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ที่สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ ที่มั่นต่างๆ อยู่ที่ความคิด ก็หมายถึงถ้อยคำพระเจ้า ที่พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้านั้น คมยิ่งกว่าดาบสองคม แทงทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณ ข้อต่อและไขกระดูก ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้ว ที่ผมบอกว่าสมัยก่อนชาวยิวใช้มีดสั้น ที่มีความคมทั้งสองด้าน ในการฆ่าสัตว์ และสมัยนั้น มีดแบบนี้ถือว่าเป็นอาวุธที่มีความคมที่สุด พระคัมภีร์จึงเปรียบเทียบถ้อยคำพระเจ้าว่าคมยิ่งกว่าดาบสองคม แทงทะลุทั้งด้านโน้นด้านนี้ ลึกเข้าไปเลย และเป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้าง ประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ขัดขวางความรู้พระเจ้า  และเป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

อาวุธที่เปี่ยมไปด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าตรงนี้ ก็คือพระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า คือความจริง พระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า และคือความจริง นี่คืออาวุธของเราอย่างเดียวเท่านั้นที่มีฤทธิ์อำนาจมาก

นี่แหละ เราจะชนะด้วยวิธีนี้ เพราะว่าเป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจ สามารถทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง มารมันโต้แย้ง ส่งข้อมูล ผ่านทางความคิดของเรา โต้แย้งกับถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ ที่วิญญาณเราอาศัยอยู่ในร่างกายทุกวันนี้ มันจะต้องเจ็บ มันจะต้องป่วย และไปสู่ความตายในที่สุด เพราะเหตุจากบาป ตั้งแต่สมัยอาดัม มันต้องตาย นี่คือความจริง

มันก็โต้แย้งว่า … “ไม่ใช่ พระเยซูสามารถทำอัศจรรย์ได้ พระเยซูรักษาคนโรคเรื้อนยังหายได้เลย”

มันเคยบอกพระเยซูใช่ไหม?  ตอนพาพระเยซูไปทดลอง พระเยซูมาเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนเรา ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรต่างๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ มันหลอกพระเยซู ตอนที่พระเยซูอดอาหารในถิ่นทุรกันดาร แล้วพระเยซูหิว เหมือนมนุษย์เราทั่วไป มันบอกว่าถ้าเป็นลูกพระเจ้าจริง สั่งก้อนหินให้เป็นขนมปังเลย หิวๆ อยู่ พระเยซูไม่ทำ เพราะว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ ไม่สามารถละเมิดกฎว่าเป็นมนุษย์มาทำอย่างนี้ได้ไง มารมันมีวิธี เล่ห์กลต่างๆ  เพื่อให้เรา ทำอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าบอก

เพราะฉะนั้น อาวุธของเรา ก็คือถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง พูดง่ายๆ ก็คือไม่ว่าพวกมารจะใช้วิธีอะไร? ใช้ข้อมูลแบบไหนที่มาโกหกเราก็ตาม ถ้าเรามีพร้อม อาวุธของเรา ก็คือพระเยซู … ในนามพระเยซู (ไม่ใช่ไล่ผีออกไปนะ) ในนามพระเยซูออกไปเลย ข้อมูลต่างๆ ที่มันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้า ไปให้พ้นเลย ถ้ามันหลอกเราให้เราโลภ

“มาเชื่อพระเจ้าอย่างนี้ พระเจ้าจะอวยพรให้โลภแน่เลยอย่างนี้ ต้องได้ดีแน่เลย ไปลงทุนเลย กู้หนี้ยืมสินมา อัดเข้าไปเลย อย่างนี้ อธิษฐานเยอะแยะเลย อดอาหารมากๆ รับรองได้ รวย”

ถ้าเราเชื่อมัน เราก็ซวย แต่ถ้าเราไม่เชื่อมัน เราไล่เลย

“ไปให้พ้นไอ้ความโลภ” แค่นี้เอง

แล้วก็เอาถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงว่า “จงพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ พระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้ง และไม่ละท่านเลย มนุษย์คนใดเล่าจะทำอะไรท่านได้ พระเจ้าอยู่กับท่านแล้ว”

มีอะไรหรือเปล่า? และไม่ถูกหลอกลงไปในการล่อลวงให้เป็นคนโลภ นี่แหละวิธีการ 2 โครินธ์ 10:6 ลองอ่านดู

2 โครินธ์ 10:6 “และเราพร้อมที่จะลงโทษ ทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว”

 

คราวนี้ ตรงนี้ต้องอธิบายละเอียดหน่อย เพราะว่าผู้คนพูดกันไปหลายทิศหลายทาง ตอนนี้ท่านพอจะมองเห็น ผมเกริ่นมาตั้งหลายตอน คำว่า “เชื่อฟัง” ฟังให้ดีๆ นะ บางคนเข้าใจว่าเป็นการเชื่อฟังคำสอนของพระเจ้า ในเรื่องการประพฤติปฎิบัติตน ตามกฎดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยพระเยซูยังไม่ไถ่ และพอบอกว่าเราพร้อมที่จะลงโทษทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง ก็กลายเป็นว่าใครที่ไม่เชื่อฟัง หรือไม่ทำตาม ก็จะเจอการลงโทษ ซึ่งมันไม่ใช่เลย เดี๋ยวจะพาไปดู นี่สงครามฝ่ายวิญญาณ ที่เราอ่านมาตั้งแต่ต้น ที่บอกว่าอาวุธที่เราใช้ต่อสู้ ไม่ใช่อาวุธของโลก เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิด ให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์

“และเราสยบทุกความคิด ให้ยอมจำนน เชื่อฟังพระคริสต์”

คำว่า “และเราสยบ” ภาษาเดิมแปลว่า “จับ” เหมือนจับอะไรบางอย่างที่มันดิ้น จับแบบออกแรง และบังคับมันด้วย ให้มันเชื่อฟังต่อพระคริสต์ เชื่อฟังต่อพระเยซู พระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า พระเยซูคือความจริง ให้มันเชื่อฟังต่อถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง

ให้ความคิดของเราเชื่อฟัง อย่าไปนึกถึงมาร ไม่ต้องไล่เลย มารมันอยู่ตรงนั้นแหละ มันไม่ไปไหนหรอก แต่มันจะส่งถ้อยคำ ไล่ข้อมูลผิดๆ ในความคิดของเราออกไป นี่คือการลงโทษ  เห็นไหม? แล้วมันก็มาหลอกเราว่าความคิด กลายเป็นการลงโทษ คนนี้ไม่เชื่อฟัง คนเชื่อตรงนี้ผิดในอดีต จับผู้เชื่อที่ไปทำอะไร ที่เขาไม่เชื่อฟัง ไปเผาทั้งเป็น แล้วกล่าวหาว่าเขาเป็นแม่มด ไม่ต้องอดีตมาก ถ้อยคำแบบนี้ เราจะต้องทำการแก้แค้น ลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อฟัง  กลายเป็นคนเลย อ้าว! ถูกหลอกไปอีก คริสเตียนที่ไม่รู้อีโหน่งอีเหน่

“และเราพร้อมที่จะลงโทษทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง”

“เรา” ตรงนี้หมายถึงตัวเราเองนั่นแหละ ความหมาย ก็คือเราพยายามที่จะใช้ถ้อยคำ คือความจริงของพระเจ้าในการต่อสู้กับข้อมูลของพวกมาร ข้อมูล ไม่ใช่ตัวมาร เราจะพยายามยืนยันความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเข้าไปที่ความคิดของเรา ให้ถึงที่สุดเลยว่านี่คือของจริง นี่คือใช่ แล้วใช้ฤทธิ์อำนาจนี้จัดการกับความไม่เชื่อฟัง ที่มันโผล่เข้ามาในความคิดของเรา เอเมน จบ ขอบคุณพระเจ้า

และถ้าเรายังมีความคิดตรงไหนที่ยังเผลอไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระเจ้า ทำอย่างไร? ลงโทษมันด้วยการขับไล่มันออกไป วิธีขับไล่มันออกไป คือใส่ข้อมูลของพระเจ้าเข้ามาๆ สมมุติว่าตอนนี้ บางคนยังติดนิสัยอยากจะเจออัศจรรย์ในเรื่องพระเจ้า อยากจะไปขับผี อยากไปวางมืออธิษฐาน รักษาโรค อยากไปอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไปหาถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าการอยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างไร? อย่างที่ตะกี้บอก เอาหนังสือ 2 โครินธ์ 4:4-18 ไปท่องเยอะๆ ท่องมากๆ นั่นคือความจริง ใส่เข้าไปว่าพระเจ้าสอนเราแบบนี้ ให้เราหวังในสิ่งที่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ  ในสวรรค์สถาน ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อย่าหวังในสิ่งที่มองเห็นจับต้องได้ เพราะมันอยู่ชั่วคราว มันพลิกไปพลิกมา มันวิปริตไปแล้ว บนโลกใบนี้ ถ้าไปหวัง ถ้าไปอยากได้ในสิ่งของบนโลกใบนี้ ท่านจะเสียใจ ท่านจะเป็นทุกข์ ให้เราหวังในโลกฝ่ายวิญญาณ นั่นคือความหวังนิรันดร์ และไม่มีใครมาขยับได้ มันเข้มแข็ง แข็งแกร่งเรื่อยๆ ทุกวันๆ นั่นคือพรอันยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าบอกไว้ พรนานานัปการในสวรรค์สถาน  พระองค์ทรงประทานให้มนุษย์เรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน  เอเมน

เพราะฉะนั้น ใครอยากได้พร? ไปแสวงหาในถ้อยคำพระเจ้าว่าในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร? ในพระเยซูคริสต์ เรามาเชื่อพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าเลย เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย ไม่ต้องไปทำอะไรให้มันชอบธรรมมากขึ้น เพราะพระเจ้าให้เราเกิดมาเป็น สมัยก่อนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เราเกิดมาซวย เกิดมาบาป ไม่ได้ทำอะไรเลย เราอยู่ในอาดัม … อาดัมเป็นคนทำ เราเกิดมาบาป เราเกิดมาซวยเลย  เกิดมา นรกรอเราอยู่ ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์มาเป็นผู้ช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน และเมื่อเราเชื่อ เราได้ตายพร้อมกับพระเยซู ไม่ต้องทำอะไรเลย  อดีตเกิดมาบาปเลย  เพราะอาดัมทำให้เรา ตอนนี้เราเกิดมาเป็นลูกพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด ไร้มลทิน เรามีตำแหน่งเป็นลูกพระเจ้า สูงเท่าๆ กับอาจารย์เปาโล อาจารย์เปโตร และอาจารย์อื่นๆ รวมทั้งคุณนครด้วย เราพึ่งมาเชื่อเมื่อวานนี้ เราก็มีสิทธิเท่าเขาด้วย

นี่คือความเป็นจริง นี่คือความหวังใจนิรันดร์ ที่เราได้รับ ในสิ่งที่มองเห็นชัดๆ มันเป็นอย่างนี้ และเอาข้อมูลเหล่านี้ ไปพูดให้ตัวเองฟังบ่อยๆ ใส่เข้าไปๆ นี่แหละเขาเรียกว่าจดจ่อความคิดท่านไปที่เบื้องบน ณ สถานที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และพระเจ้าก็นำท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ชีวิตท่านซ่อนอยู่ในพระคริสต์ เมื่อพระคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรค์สถานกับพระเจ้า ท่านก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน

พระเยซูบอกว่าใครก็ตามที่เชื่อในการไถ่ของพระเยซูคริสต์ พอเชื่อปุ๊บ สมมติชีวิตท่าน คือกระดาษแผ่นนี้ พอท่านเชื่อ นี่คือพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าพอท่านเชื่อปุ๊บ พระเจ้าใส่วิญญาณท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นผู้เชื่อ ตอนนี้เราอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระเจ้าบอกว่าในพระคริสต์นี้ พระเจ้าได้ให้พระเยซูคริสต์ตาย ชดใช้บาป ขณะที่พระเยซูคริสต์ตายอยู่ในนรก เพื่อใช้บาป เราก็ตายด้วย เราก็ตายต่อบาป บาปทำอะไรเราไม่ได้แล้ว แล้ววันที่สาม พระเยซูคริสต์ก็เป็นขึ้นมาใหม่ เราก็เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยกัน แค่นั้นไม่พอ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์ตรัสเองเลย พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงประทานฤทธิ์เดชอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ทั้งหมดเลย ยกให้พระเยซูและประทานนามนามหนึ่ง และตั้งพระองค์ไว้ที่สูงสุด เหนือนามทั้งปวงเลย วางไว้บนที่สูงสุด แล้วเราก็อยู่ที่สูงสุด ร่วมกับพระเยซู เพราะเราอยู่ในพระคริสต์

สิ่งเหล่านี้ต้องพูดให้ตัวเองฟัง นี่แหละมารมันกลัวมากเลย กลัวกว่าไล่ผีเยอะเลย  นี่คือความจริงทั้งหมด นี่คือถ้อยคำพระเจ้า แล้วท่านมองดูสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ เยอะๆ ท่านก็อยู่บนโลกใบนี้ อย่างผู้มีชัยชนะนิรันดร์ เอเมน ท่านก็จะหลุดออกจากสิ่งที่หลอกลวงต่างๆ จะรวย จะมี จะจน อะไรก็แล้วแต่พระเจ้า แล้วอะไรก็ได้ ท่านก็จะไม่กังวล จะเจ็บป่วยอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไป จะมีทุกข์บ้าง มีอะไรบ้างต่างๆ บนโลกใบนี้ มันเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ มันเป็นจริง เพราะว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้ว ไม่เชื่อไปดูต้นไมยลาพก็ได้ ดูทีไร นึกถึงพระเจ้าทุกที

เพราะฉะนั้น มองเห็นสัจจธรรมอย่างนี้ มันหลอกเราไม่ได้อีกต่อไป  พระคัมภีร์จึงให้เราหนุนจิตชูใจ ซึ่งกันและกัน ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์หนุนจิตชูใจให้เรา ปลอบประโลมจิตใจของเราทั้งหลาย เพราะว่าอยู่บนโลกใบนี้ มันต้องทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา แต่พระเยซูบอก แต่เราชนะโลกแล้ว ทนอีกนิดเดียว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2019 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  กันยายน  2019

 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาดูกันต่อเรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 2 หรือภาษาติดปากของชาวคริสเตียนทั่วๆ ไปเรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ เราจะมาคุยถึงเรื่องนี้ ที่เราต้องเผชิญอยู่ทุกวัน ตลอดเวลา ตราบที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ อยู่บนโลกใบนี้ เราจำเป็นต้องอยู่ในสงครามฝ่ายวิญญาณนั่นแหละ หนีก็ไม่ได้ ไม่ร่วมก็ไม่ได้ เมื่อวันที่ท่านบังเกิดใหม่ในพระเยซู เมื่อวันที่ท่านรับเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู ท่านเข้าไปสู่สงครามฝ่ายวิญญาณนี้ เต็มรูปแบบแล้ว แต่ถามว่าตอนที่ยังไม่เชื่อ ท่านอยู่ในสงครามไหม? ว่ากันแล้ว ท่านก็อยู่ในสงคราม เพียงแต่ท่านเป็นเชลยอยู่ แต่ตอนนี้ท่านเป็นอิสระแล้ว เพราะท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ท่านรอดแล้ว แต่ท่านก็ยังอยู่ในสงคราม แต่เป็นสงครามที่เราชนะแล้ว

ผมจะอธิบายให้ฟังว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ สงครามโลกวิญญาณ มันคืออะไร? แล้วมันเกิดขึ้นเมื่อไร? มารแน่นอนใช่ไหม? ที่เป็นศัตรูของพระเจ้า สงครามฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นตั้งแต่มารยังมีชื่อเดิม ซึ่งเป็นชื่อที่ดี ยังไม่เป็นมาร ยังไม่เป็นซาตาน ซึ่งแปลว่าความชั่วร้าย ชื่อเดิม ที่ดีๆ ของมารหรือซาตาน คือลูซีเฟอร์

ลูซีเฟอร์เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ไม่ใช่มนุษย์นะ ลูซีเฟอร์เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ตนหนึ่ง  ที่โดดเด่นมากในเรื่องเกี่ยวกับการนมัสการ ในพระคัมภีร์บอกว่าสวยงามมาก และดังมาก เก่งมาก คำชมเหล่านั้น จากเหล่าทูตสวรรค์ และแม้กระทั่งอาจจะพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ชมด้วย

ในพระคัมภีร์บอก แล้ววันหนึ่ง อยู่ๆ ลูซีเฟอร์ที่ถูกสร้างมาเป็นทูตสวรรค์ดีๆ มันก็เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมา อยากจะเป็นพระเจ้าเอง เป็นการเริ่มต้นของความชั่วร้าย ที่เรียกว่าความบาป ซึ่งเรียกว่า Miss the target  แปลว่าไม่ตรงตามเป้าหมาย ที่พระเจ้าได้สร้างไว้ เมื่อท่านได้ฟังตรงนี้บ่อย ก็จะเข้าใจถึงกฎระเบียบที่มนุษย์ต้องตกลงไปในความบาป มันเกิดขึ้นมาเอง ไม่ใช่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ในพระคัมภีร์เขียนอย่างนั้นว่าความชั่วร้าย การเป็นกบฏ ผิดเป้าหมาย ตามที่พระเจ้าได้ประสงค์ สร้างไว้ว่าทูตสวรรค์ตนนี้ ทำหน้าที่อะไร? เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น แต่จู่ๆ สิ่งดีในตนที่เรียกว่าลูซีเฟอร์ มันเกิดความเย่อหยิ่งจองหอง อยากเป็นพระเจ้าเสียเอง อยากจะแข่งกับพระเยซู ในพระคัมภีร์พูดอย่างนั้น เพราะอะไร? ไม่รู้ ในพระคัมภีร์พูดอย่างนี้ เราก็เชื่ออย่างนั้นว่ามันเกิดขึ้นมาเอง

เพราะฉะนั้น ถามว่าผู้สร้างความชั่วร้ายให้เกิดขึ้น ใช่พระเจ้าไหม? ไม่ใช่ ใครเป็นผู้สร้างความชั่วร้าย? ไม่รู้ แต่มันเกิดขึ้นมาเอง ที่ในตัวตนของทูตสวรรค์ตนหนึ่ง ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ ท่านต้องจำตรงนี้ไว้ คือถ้าฐานของความรู้ท่าน ง่ายๆ ชัดๆ แข็งแรง ก็ไม่มีอะไรจะมาโกหกท่านต่อไปในอนาคต

ความชั่วร้ายมันเกิดขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้อย่าบอกว่าพระเจ้าอนุญาต หรือทำให้สิ่งชั่วร้ายเกิดขึ้น ถามว่าตอนที่สิ่งชั่วร้ายเกิดขึ้นมาเอง ในตัวตนของลูซีเฟอร์ พระเจ้าอนุญาตให้มันเกิดขึ้นไหม? ไม่ พระเจ้าไม่ต้องการ ไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนี้ แต่มันเป็นขึ้นมาเอง แล้วมันก็เริ่มกบฏ

“กบฏ” ก็คือบาปนั่นแหละ บาป แปลว่า Miss the target แปลว่าผิดเป้าหมาย  ก็คือการทำอะไรก็ตามที่ผิดจากวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าต้องการ หรือที่พระเจ้าได้สร้างเอาไว้ พระเจ้าสร้างให้ตัวตนของลูซีเฟอร์ เป็นทูตสวรรค์ที่ดี แต่มันกลายเป็นสิ่งที่ทำตรงกันข้ามกับความดี เรียกว่าความชั่วนั่นเอง เพราะฉะนั้น มันเริ่มทำบาป มันเริ่มกบฏต่อพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าบอกขาว มันก็บอกดำ พระเจ้าบอกไป มันก็ไม่ไป อะไรก็ตามที่มันตรงกันข้ามกับพระเจ้า มันทำหมด พระคัมภีร์บอกพระเจ้าเป็นความรัก เพราะฉะนั้น ลูซีเฟอร์เป็นต้นกำเนิดของความเกลียด พระเจ้าเป็นแสงสว่าง ลูซีเฟอร์ ก็เป็นความมืด ท่านพอรู้แล้ว แต่ก่อนนี้ ก่อนที่ลูซีเฟอร์จะตกลงไปในความบาป มีความมืดไหม? ไม่มี ทุกอย่างเป็นความสว่างหมด มีความเกลียดชังไหม? ไม่มี มีแต่ความรัก ท่านพอมองเห็นแล้วว่ามันเกิดมาจากตรงไหน? นี่คือต้นเหตุของทั้งหลาย ทั้งปวง ในความเป็นจริง ในโลกฝ่ายวิญญาณ

วิธีการของมัน ก็เริ่มต้น ก็คือความบาป การทำตรงข้ามกับพระเจ้า อยู่ในตัวมัน มันก็มีบาปเกิดขึ้นในตัวลูซีเฟอร์เพียงหนึ่งเดียว แล้วมันก็เริ่มต้น ไปหาพรรคพวก ด้วยวิธีเดียวที่มันทำ แล้วพระเยซูก็บอกด้วย คือวิธีขโมย เพื่อฆ่าและทำลาย มันขโมยความจริง พระเจ้าเป็นความจริง มันเป็นความโกหก มันก็เริ่มไปหลอกชาวบ้านเขา ชาวบ้านสมัยนั้น ก็คือทูตสวรรค์ มันคงไม่ไปหลอกพระเยซูนะ เพราะมันก็คงรู้แหละว่าพระเยซูเป็นความจริง มันหลอกไม่ได้ มันก็ไปหลอกทูตสวรรค์ทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้างประชากรในสวรรค์ตอนนั้น มีแต่ทูตสวรรค์ ในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ทูตสวรรค์ก็ถูกมารเข้าไปหลอก มันอาจจะไปหลอกมีคาเอลก็ได้ มันอาจจะไปหลอกกาเบรียลก็ได้ 2 ตนนี้ก็เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ … หัวหน้าทูตสวรรค์มี 3 ตน ลูซีเฟอร์ตกไปหนึ่ง มันอาจจะเริ่มไปหลอก หัวหน้าทูตสวรรค์ 2 ตนนั้น แต่มีคาเอลกับกาเบรียลไม่สนใจ มันก็หลอกทูตสวรรค์ชั้นรองลงมา อาจจะเป็นชั้นนายพัน นายเอก นายร้อย นายสิบ จนกระทั่งเป็นพลทูตสวรรค์เยอะแยะ

ฟังให้ดีนะ เนื่องจากความสามารถของมัน ความเก่งของมัน ความอ่อนหวาน ปากเป็นเอก เนื่องจากสิ่งเหล่านี้พระเจ้าสร้างมันขึ้นมา ให้เอาความเก่งเหล่านี้ไปในทางที่ดี แต่มันเอาความเก่งเหล่านี้มาทำในทางที่ไม่ดี มันก็สามารถไปโกหก หลอกลวงทูตสวรรค์ได้ถึง 1 ใน 3  ก็คือ 33.3% ของทูตสวรรค์ทั้งหมด  ถ้าสมมติว่าตอนนั้นทูตสวรรค์มี 1 ล้านตน มันก็สามารถหลอกทูตสวรรค์ไปได้ 333,333 ตนอะไรประมาณนั้น ที่เหลือก็ไม่ไป ยังอยู่ในกองทัพของพระเจ้าอยู่ ยังเชื่อฟังพระเจ้า ปรากฏว่าทูตสวรรค์เหล่านั้น 1 ใน 3 ที่เชื่อมัน ก็เลยกลายเป็นไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า บาปก็เริ่มเพิ่มจำนวนมาแล้ว เริ่มจากลูซีเฟอร์

ผมพยายามแยกให้ชัดเจนว่าพระเจ้าคือใคร?  ลูซีเฟอร์คือใคร?  บาปคืออะไร? ความชั่วร้ายคืออะไร? อย่าเอาพระเจ้าเข้ามาอยู่กับความชั่วร้ายเด็ดขาด เพราะฉะนั้น  มาร ลูซีเฟอร์ก็เลยสามารถไปโกหกหลอกลวงทูตสวรรค์เหล่านี้ ตั้ง 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด มาเป็นพรรคพวก เรียกว่าทูตสวรรค์ตกกระป๋อง ก็คือตกลงไปในความบาป  เพราะฉะนั้น ตอนนี้ ในโลกความมืด มีสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา คือลูซีเฟอร์ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นซาตาน  ลูซีเฟอร์ แปลว่าดาวแห่งรุ่งอรุณ ดาวสวยงามมาก เจิดจรัส กลายเป็นชื่อซาตาน แปลว่าความชั่วร้าย ทูตสวรรค์ตนนี้ เรียกว่าตัวชั่วร้าย  เวลาเราเรียกใคร ไอ้ชั่วร้าย คือนั่นแหละ กำลังเล็งถึงซาตาน และความชั่วร้ายนี้ ถูกส่งต่อไปยังทูตสวรรค์ตนอื่นๆ อีก 1 ใน 3 เป็นกลุ่มทูตสวรรค์ที่ชั่วร้าย ท่านเห็นภาพแล้วนะ

ปรากฏว่าแพ้สงคราม พระเจ้าก็ตัดสินคดี ในพระคัมภีร์เขียนว่าให้ทูตสวรรค์ 1 ใน 3 ซึ่งมีหัวหน้าตกกระป๋อง ถูกเหวี่ยงลงมาอยู่ในโลกนี้ เราไม่รู้ อย่าไปสนใจว่ามันคืออะไร? พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ เราก็เชื่ออย่างนี้ ถ้าในพระคัมภีร์ไม่ได้บอก เราก็ไม่ต้องไปรู้ ยังมีอีกเยอะแยะมากมายหลายอย่างที่เราอยากรู้ แต่เราไม่รู้ เอาเท่าที่รู้แค่นี้ เราก็หัวโตแล้ว

ตอนนี้ความชั่วร้ายอยู่ที่สิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เรียกว่าทูตสวรรค์เท่านั้น สิ่งเหล่านี้มีชีวิต จากนั้นพระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ เหมือนพระองค์เลย แล้วก็บอกว่าให้เชื่อฟัง

มารก็ทำหน้าที่มัน ก็คือเอาการโกหกหลอกลวง มาหลอกอาดัมและเอวา ซึ่งตอนนั้นบริสุทธิ์ ไร้เดียงสากับบาปใดๆ ทั้งปวง เพราะเป็นฝ่ายพระเจ้า 100% โดยวิธีการโกหก หลอกลวง เอาความจริงของพระเจ้ามาบิดพลิ้ว ให้มันฟังแล้วดูเหมือนใช่ แต่มันไม่ใช่ ก็ไปบอกเอวาว่า …

“ก็กินผลไม้ต้นนี้สิ”

เอวาบอก “ไม่ได้ พระเจ้าสั่งห้าม ต้องเชื่อฟัง เราเป็นลูกที่เชื่อฟัง”

มารบอกว่า “ไม่จริงหรอก พระเจ้าโกหก”

นี่คือสิ่งที่ท่านต้องจำไว้เลย แล้วมันจะใช้วิธีนี้  วิธีเดียว ไม่มีวิธีอื่น ไม่ต้องกลัวว่ามันมาหักคอ ไม่ต้องกลัวมันมาอยู่ในที่มืดๆ ไม่ต้องกลัวมันมากระโดดหยองๆ ผมก็แปลกใจ ทำไมคนกลัวผีก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องใช้พระเยซู มันก็ไปนะ เอาไฟนิออน สปอร์ตไลท์ฉายไป ผีหายหมดเลย แปลกดี ผีต้องไปอยู่ที่มืดๆ ไกลๆ ให้ไปอยู่ในป่าช้า ผีดุมาก เอาสปอร์ตไลท์ทั้งหมดฉายเข้าไปเลย สว่างทั้งกลางวันกลางคืน เหมือนกันหมด ไม่เจอแน่นอน ให้เราไปนอนกลางคืน ตีหนึ่ง เรากล้าไปไหม? กล้าไป เพราะไม่มีแล้ว  มันโดนสปอร์ตไลท์ไล่ไปแล้ว อันนี้เรื่องจริง ไม่ต้องไปอยู่ในที่แอบๆ ที่ลับๆ เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง มันไม่ใช่อย่างนั้น

เอวาบอกว่า … “พระเจ้าบอกว่า “วันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตาย”

มันบอก “พระเจ้าพูดไม่จริง ถ้าวันใดเจ้ากิน เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า”

ครึ่งหนึ่งถูก พระเจ้าสั่งว่า “อย่ากิน ถ้าวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะตาย”

มันก็บอกว่า “เออ! ใช่ พระเจ้าสั่งอย่ากิน”

มันไม่ได้แย้งว่าไม่ใช่ พระเจ้าไม่ได้สั่ง มันบอกเลยว่า “ใช่ พระเจ้าสั่งไม่ให้กิน”

คนก็ อันนี้มันก็พูดตรงกับถ้อยคำพระเจ้าครึ่งหนึ่ง แต่พระเจ้าสั่งว่า “ไม่ให้กิน ถ้าวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตาย มันเป็นพิษ” พูดง่ายๆ “กินแล้วเจ้าจะเป็นพิษ”

มันแทนที่จะบอกว่าพระเจ้าไม่ได้สั่ง คนก็จะรู้ว่าอย่ามาโกหก พระเจ้าสั่ง ฉันได้ยินกับหู จดไว้ด้วย แต่มันบอกว่า “พระเจ้าสั่งใช่แล้ว แต่ …” ตอนท้ายบิดไป ไม่ให้กิน เพราะว่า “ถ้าเจ้ากิน เจ้าจะไม่เป็นพิษ แต่จะมีอายุวัฒนะ” อันนี้สมมติให้ฟัง เป็นอายุวัฒนะ เสริมสร้างพลังกาย สุขภาพแข็งแรงด้วยซ้ำ มันหลอก

พ่อบอก “อย่ากินนะ มันเป็นพิษ”

มันบอก “กิน สุขภาพแข็งแรง ยอดเยี่ยมเลย”

มันบอกเอวาว่า “วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะรู้ทันพระเจ้า จะเป็นเหมือนพระเจ้า”

ทั้งๆ ที่พระเจ้าสร้างอาดัมและเอวามา ตามพระฉายของพระองค์ เหมือนแล้ว เขาเรียกว่าความเล่ห์เหลี่ยม เพราะว่ามันไม่ใช่ทูตสวรรค์ธรรมดา แต่มันเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ที่มีชื่อเสียง มีฝีมือ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา พอมันกลายเป็นชั่วร้าย มันชั่วร้ายระดับโปรเลย หาที่จับไม่ได้เลย จับผิดยากมากเลย มันหลอกลวงมากเลย

ในที่สุด เราก็รู้อยู่ดีว่าอาดัมและเอวา ทั้งสองตกลงไปในการกระทำอันเดียวกัน ต้นเหตุ คืออยากเป็นเหมือนพระเจ้า จึงทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ากบฏ ทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าบาป ทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า Miss the target ทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า ทำสิ่งหนึ่ง คืออยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เข้าไปเป็นพวกเดียวกันกับมารและสมุนของมัน พวกกบฏ พวกบาป เห็นไหม? แค่นี้เอง ท่านจะมองภาพ เห็นชัดๆ เลยว่าไม่ได้เกี่ยวกับพระเจ้าเลย พอบาปเข้ามาปุ๊บ มันย้ายข้างเข้ามา ความมืด ก็ปกคลุมอยู่เหนือ

อย่างตะกี้เห็น อาดัม เอวาอยู่ในแสงสว่าง พอความมืดเข้ามา แสงสว่างก็หายไป เป็นความมืด ความสาปแช่ง คือสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เข้ามาแทนที่พระพร คือสิ่งดีๆ ที่มาจากพระเจ้า ที่อยู่ในแสงสว่าง อาณาจักรทั้งโลกใบนี้ สลาย มืด โลกใบนี้เหมือนบ้านของอาดัมและเอวา ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ระบบของโลกนี้ทั้งหมด ตกอยู่ในคำสาปแช่ง

คำสาปแช่ง ก็คือความตายทางฝ่ายวิญญาณ คำสาปแช่ง ก็คือพ่อบอกอย่าแยงมือลงไปในรูปลั๊กนี้นะ ลูกอย่าแยง และวันหนึ่ง ลูกก็ไม่เชื่อฟัง มีคนบอกมาว่าไม่เป็นไร แยงเข้าไปเถอะ ลูกก็เอานิ้วแยงเข้าไป แล้วมันก็ช๊อต ผมร่วงหมดเลย สมมติ ชัก เป็นพิการไปเลย ให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่พิการ ท่านเห็นไหม? ถามว่าเราผู้เป็นพ่อทำให้เขาพิการไหม? ไม่ใช่ กฎทางธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ที่พระเจ้าต้องการ คือความดีงามให้กับลูกของตัวเอง รัก สร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขา แล้วก็บอกเขาอย่าทำอะไรที่ไม่ดี แล้วถ้าเขาทำ กฎระเบียบมันก็ออกไป เขาย้ายไปเป็นพวกมาร และไม่ใช่แต่โลกใบนี้ที่ปกคลุมด้วยความมืดและด้วยความบาปเท่านั้น แต่รวมถึงอาดัมและเอวาซึ่งเป็นต้นพันธุ์ของมนุษยชาติทั้งหมด เพราะว่าพระเจ้าสร้างอาดัมและเอวาเป็นแม่พิมพ์ที่ดี เพื่อจะให้เขากำเนิด มนุษยชาติให้กับมนุษย์ทั่วโลก เท่าไรไม่รู้ แต่รู้ว่าพระเจ้าสร้าง ให้เต็มโลกเลย

พระเจ้าบอกจงมีเผ่าพันธุ์ขยายเต็มโลก อวยพรให้อาดัมและเอวามีเผ่าพันธุ์ ถ้าเทียบกับปัจจุบัน เหมือนโรงงานที่สร้างต้นแบบรถยนต์ขึ้นมา กว่าจะสร้างนานมากเลย จนสวยงามเรียบร้อยดีแล้ว มองดู โอเค ดี เข้าโรงงาน มี order 1,000 กดปุ่ม 1,000 แล้วจากนี้มันก็ผลิตไปเรื่อยๆ 1,000 ที่ออกมา จะเหมือนต้นฉบับไม่มีผิด พระเจ้าก็สร้างมนุษย์อย่างนั้นแหละ จริงๆ มันห่างกันเยอะวัตถุสิ่งของกับสิ่งที่มีชีวิตเหมือนพระเจ้า มีลมปรานของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับเขา จึงพามนุษยชาติทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันสามารถพูดตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ว่ามนุษย์ทั้งหมดอยู่ในดีเอ็นเอของอาดัมกับเอวา

ดีเอ็นเอเข้าใจใช่ไหม? ผมก็ไม่เข้าใจนะ แต่รู้ว่าดีเอ็นเอ มันหมายถึงรหัสต้นพันธุ์ของมนุษย์ว่าคนนี้เป็นลูกใคร? มาจากใคร? แล้วเขาไล่ไปไกลมาก เป็นหมื่นปี พิสูจน์แล้วว่ามันมาจากนั้นจริงๆ เราไม่ต้องไปสนใจวิทยาศาสตร์มากนัก เอาแค่ว่าในพระคัมภีร์ว่าอย่างนั้น วิทยาศาสตร์หาเจอก็ดี เขาเรียกว่าเอามาฟังเป็นชิวๆ ฟังแบบสนุกๆ แต่อย่าไปหวังมันมาก เพราะถ้าขืนเราไปฝากความหวัง หรือไปมองที่วัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ มารมันจะบิดพลิ้วอีก เดี๋ยวเราจะเละตุ้มเป๊ะ เรากลับมาที่ถ้อยคำพระเจ้าพูดไว้อย่างนี้ เราก็ว่าอย่างนี้ เพียงแต่เอามาคุยเล่น

สรุปแล้วก็คือมนุษย์ทุกคนอยู่ในตัวอาดัมและเอวา พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เมื่อเอวา อาดัมทำผิด หลักการที่สมควรที่จะเป็น ที่พระเจ้าสร้างมา คือทำบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า เพราะฉะนั้น จึงพาเหล่ามวลมนุษยชาติทั้งหมดที่อยู่ในอาดัมตกลงไปในความบาปด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งหมดเลย รวมทั้งโลกใบนี้ด้วย ระบบของโลกใบนี้ด้วย ทั้งหมดเลย

พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเจ้ามองลงมาจากสวรรค์ไม่มีใครดีเลย ทุกคนเป็นคนชั่วทั้งสิ้น แล้วพระเจ้าเป็นพ่อควรจะทำอย่างไร? เจ็บปวดรวดร้าวมากๆ เลย ถูกไหม? โกรธลูกไหม? ถ้าเป็นท่าน ท่านจะโกรธลูกไหม? ลูกเรานะ เราสอน อย่าแยง เข้าไป แล้วก็มีพี่เลี้ยงอยู่คนหนึ่งบอกว่าแยงก็ไม่เป็นไรหรอก พูดทุกวัน จนลูกเราเผลอ แทนที่จะจำสิ่งที่เราสอน เชื่อเรา เผลอไปแยง อาจจะลองแยงดู แล้วมันเกิดเป็นอัมพาตขึ้นมา แล้วเราจะไปเตะลูกเราไหม?

“สมน้ำหน้า แทนที่จะเชื่อฉัน ทำอย่างนี้อีกแล้ว ตบให้มันจำ”

ไปที่โรงพยาบาล กำลังนอนให้น้ำเกลือ หายใจไม่ออก ตบมันอีก

“ไอ้ลูกไม่รักดี ทำไมดื้ออย่างนี้ บอกแล้วอย่าทำ ดูสิ เป็นอย่างนี้”

ท่านว่าท่านทำหรือเปล่า? พระเยซูบอกว่าเราที่เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีๆ กับลูกเรา แล้วนับประสาอะไรกับพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์จะให้สิ่งที่ดีสำหรับเราเสมอ มีเหรอ ลูกขอปลา พ่อจะเอางูให้ พอเขาขอขนมปัง เอาก้อนหินให้ มีพ่อคนไหนเป็นอย่างนี้บ้าง ถ้าไม่เคยเห็นท่านคิดไม่ออก รับรองพระเจ้าก็จะไม่เป็นอย่างนั้นเด็ดขาด พระองค์เอาความชั่วร้ายมาสู่มนุษย์ได้อย่างไร?  เป็นไปไม่ได้ พระเยซูมาเพื่อบอกความจริง กระชากเอามนุษย์ออกมา เราถูกมารหลอก เป็นอัมพาตไม่พอ แถมบอกว่า …

“พ่อทำฉัน”

ทารุณไหม? พ่อเศร้าใจมากเลย เศร้าใจหนึ่ง คือลูกฉันไม่เหมือนเดิม ลูกฉันเป็นอัมพาต สองลูกฉันยังกล่าวหาว่าฉันเป็นคนทำอีก  ทั้งๆ ที่ฉันเป็นคนช่วยเขา ฉันดูแลเขาอย่างดี เจ็บมากเลย ท่านลองคิดดูสิ นี่คือหัวใจของพระเจ้า  เราจะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เพื่อพื้นฐานที่ถูกต้อง พอพื้นฐานถูกต้อง ท่านจะเข้าใจ เห็นชัดเจนว่าใครอยู่ข้างใคร? ใครเป็นขาว ใครเป็นดำ อย่ามามั่วเด็ดขาด พอเห็นสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ พระเจ้าอนุญาตให้ทำ อันนี้พระเจ้าควบคุม พายุฝนอย่างนี้ พระเจ้าปล่อยให้คนจมน้ำตายได้อย่างไร? ทำไมพระเจ้าควบคุมทุกสิ่งได้ พระเจ้าไม่ควบคุมตรงนี้ด้วย อะไรอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้พระเจ้าเสียชื่อ แต่พระเจ้าไม่มีวันเสียชื่อ พระองค์เป็นความจริง อย่างไรก็เป็นจริง แต่ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีโอกาสได้รับความรอด ไม่มีโอกาสได้รับพระพร สมอย่างที่เขาควรจะได้รับ แค่นั้นเอง ผมไม่ห่วงพระเจ้าหรอก ผมห่วงมนุษย์ที่เป็นผู้ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา แล้วยังถูกหลอกเท่านั้นเอง ยอมเสียเวลาตรงนี้ มารมา เพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย ขโมยความจริง มันทำอย่างอื่นไม่ได้หรอก จำไว้เลย มันไม่มีฤทธิ์อำนาจ ทำอะไรได้สักนิดหนึ่ง มันถูกถอดออกไปแล้ว ต้องจำใส่ใจ จำใส่สมองเรา ถ้ามันไม่เอาความจริงออกไปจากเรา มันจะทำอะไรเราไม่ได้เลย มันต้องขโมยความจริงออกไปก่อน  แล้วจากนั้น มันก็มาฆ่าและทำลายเรา ด้วยฤทธิ์อำนาจและความสามารถของตัวเราเองนั่นแหละ พระคัมภีร์บอกว่าตอนที่ท่านตกลงไปในความบาป  ทำสิ่งที่ชั่วร้าย หรือเข้าไปอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก อย่าพูดนะว่าพระเจ้าทดลองท่าน พระเจ้าไม่เคยทดลองใคร พระเจ้ามีแต่ความรัก ความเมตตา ความช่วยเหลือ แต่ที่ท่านตกลงไปในความบาป ทุกข์ยากลำบาก ถูกทดลอง เพราะกิเลสตัณหาของท่าน รับเอาแรงกระตุ้น ความโกหกหลอกลวงของมาร ที่อยู่บนโลกใบนี้ ส่งให้ท่าน แล้วท่านรับด้วย กิเลสตัณหานี้ ท่านก็ตกลงไปในการล่อลวงของมัน ความทุกข์ยากลำบาก ก็เข้ามา

นี่คือการปูพื้นฐานสำหรับวันนี้ ถามว่ามารทำอย่างนี้เพื่ออะไร? เพราะว่าธรรมชาติของมาร คือความชั่วร้าย  เป็นศัตรูกับพระเจ้า โดยตรง เพราะฉะนั้น ทำอะไรก็ตาม ที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้ารักลูกของพระองค์ทั้งหลาย มันก็มีหน้าที่พามนุษย์ทั้งหลายมาเป็นพวกของมัน เยาะเย้ยพระเจ้า

“ไหน ลูกของพระองค์เป็นอย่างนี้ ไหน ลูกของพระองค์ ไม่เห็นสักคนหนึ่งเลย  มันก็หัวเราะเยาะ ไหนโลกสร้างมาอย่างสวยงาม ทำไมมันวิปริตอย่างนี้ล่ะ อากาศก็เป็นพิษ อาหารที่ควรจะเกิดขึ้นมาดีๆ อย่างง่ายดาย แทบจะไม่ต้องปลูก มันก็เกิดขึ้นเอง ปลูกมา 3 ปี ไม่ขึ้น ที่กินไม่ได้ ที่เป็นพิษ มันก็ขึ้นดี ต้นอะไรต่างๆ บางต้นที่กินไม่ได้ เป็นพิษ ขึ้นเฉยๆ ไม่มีอะไรเลย จะไปปลูกผักสักต้นหนึ่ง ปลูกต้นไม้ที่กินได้ต้นหนึ่ง ลำบากลำบน แมลงมากัดมาแทะ”

ใช่หรือไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้เรามองไม่เห็น ผืนดินลำบากลำบน แม้กระทั่งมนุษย์ยังถูกสาปแช่ง ต้องทำมาหากินบนโลกใบนี้ อาบเหงื่อต่างน้ำ ก็คืออยากอยู่ห้องแอร์ เป็นไปตามธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เย็นๆ สบายๆ แต่เนื่องจากถูกสาปแช่งไปแล้ว เพราะฉะนั้น อยู่ห้องแอร์ก็ป่วย อยู่ในห้องแอร์ เสร็จแล้วก็ออกไปข้างนอก ให้เหงื่อออก แล้วจะรู้สึกดี ก็กฎมันเป็นอย่างนี้ หนีไม่พ้น โลกมันวิปริตไปหมดแล้ว แต่พระเจ้าสัญญาแล้ว ความหวังใจในพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าสัญญาแล้ว โลกใบนี้ พระองค์ชนะแล้ว แต่รอการสร้างใหม่เท่านั้นเอง  วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อไรเราไม่รู้ แต่ในพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราข้างในถูกสร้างใหม่แล้ว เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2019 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  กันยายน  2019

 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้จะเริ่มหัวข้อเรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ยังจำได้ไหมครับ ที่ผมเคยตั้งคำถามครั้งที่แล้วว่าชีวิตคนเรา ที่มีความทุกข์ เพราะอะไร? ต้นเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ทั้งหลาย ทั้งปวงของมนุษยชาติ ไม่ได้อยู่ที่ปัญหานั้น ไม่ได้อยู่ที่ความเจ็บป่วย ไม่ได้อยู่ที่ความยากจน แต่อยู่ที่ความคิด ความท้อใจ ความกังวล ความกลัว เหล่านี้มาจากความคิดทั้งนั้น ไม่มีเงิน ก็ทุกข์ เพราะว่าคิด กลัวจะไม่มีกิน  มีเงินเยอะ ก็ทุกข์ เพราะกลัวเงินหมด แล้วไม่พอใช้  เจ็บป่วยก็ทุกข์แน่นอน เพราะกลัวว่าตาย หรือไม่ก็เจ็บทนไม่ไหว นี่คิดทั้งนั้นนะ  แข็งแรงก็ทุกข์ เพราะกลัวจะไม่แข็งแรงในอนาคต คือจะป่วย แม้แต่เด็ก ก็ยังทุกข์ เพราะอยากจะเป็นผู้ใหญ่  ผู้ใหญ่ก็ทุกข์ เพราะอยากจะเป็นเด็ก ดูหน้าทุกวัน ไปซื้ออาหารเสริม เพื่อให้ดูเป็นเด็ก เด็กก็กลุ้มใจ  เมื่อไรจะโตสักที อยากเป็นผู้ใหญ่สักที คิดทั้งนั้น คิดให้มันทุกข์

สรุป ก็คือความคิดแบบโลกนี้ ทำให้เราทุกข์ ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าเป็นผลของการที่เราไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เป็นของโลก  คือเป็นวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ เราเรียกกันว่าโลกวัตถุ เราไปจดจ่อ จับจ้อง เอาจริงเอาจังกับมันเยอะมากในชีวิต  คือสิ่งที่ตามองเห็น จับต้องได้ ซึ่งจะทำให้เราเป็นทุกข์แน่นอน เพราะมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าใครไปจับ ยิ่งจับมันเยอะเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น     ถ้อยคำพระเจ้าจึงบอกให้เราจดจ่อ เอาจริงเอาจัง มองไปที่เบื้องบน มองไปที่มิติทางวิญญาณ ซึ่งมันเหนือกว่า มันสูงกว่า

“เบื้องบน” หมายถึงมองทะลุเข้าไปในมิติที่เป็นวิญญาณ หรือเราเรียกกันว่าโลกวิญญาณ หรือเรียกว่าอาณาจักรวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Spirit world เป็นมิติอะไรบางอย่าง ซึ่งมีอยู่จริงๆ ซึ่งเป็นสถานที่ที่อยู่แท้จริงของเรา ที่เราเรียกกันว่าสวรรค์นั่นเอง

สวรรค์อยู่ในอาณาจักรทางวิญญาณ เพราะฉะนั้น มองอาณาจักรโลกวัตถุนี้ มองไม่เห็นสวรรค์หรอก การไปจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบนตามพระคัมภีร์บอก คือไปจดจ่ออยู่ที่โลกวิญญาณ ไม่ใช่โลกวัตถุบนโลกใบนี้  จะทำให้เราเห็นชัด ในความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณนั้น มันเป็นอย่างไร? เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นผู้บอกเราว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง? และก็อธิบายให้ฟังเลย เรียบร้อยเลยว่าถ้าเป็นโลกวัตถุนะ มันไม่เที่ยง มันหลอกเรา แต่ถ้าเป็นอาณาจักรวิญญาณ มันเรื่องจริง เป็นอย่างนี้ๆ ให้เราเชื่อฟัง พระเจ้าสอนเรา  เพื่อเราจะได้ไปในทางที่ดีๆ พูดง่ายๆ

เพราะฉะนั้น การตั้งความคิด จดจ่อไปที่เบื้องบน ก็คือจดจ่อไปที่ความจริงในโลกวิญญาณ หรืออาณาจักรวิญญาณ ที่พระเจ้ากำลังบอก สอนเรานั่นเอง เพราะว่าความจริงในโลกวิญญาณ เราไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร? เพราะมองไม่เห็น เราก็จะรู้เฉพาะสิ่งที่พระเจ้าอธิบายให้เราฟัง บอกเรา สอนเราว่าโลกวิญญาณมันคืออะไร? มันเป็นอย่างไร? ถ้าไม่บอกเรา ไม่สอนเรา เราไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าไม่รู้ คือเราไม่เชื่อด้วยว่ามีโลกวิญญาณ หรืออาจจะเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง มั่วไปหมดเลย ก็คือตาวิญญาณเราตาบอด มองไม่เห็นทางโลกวิญญาณ เพราะฉะนั้น ก็มาสอนเราให้เรารับรู้ และที่พระเจ้ามาบอกเราอยู่ที่ถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และผู้ที่จะสอนเราจริงๆ ไม่ใช่ศิษยาภิบาล แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สอนเรา ตัวจริงๆ ค่อยๆ สอนเรา จากข้างในออกมาข้างนอก ศิษยาภิบาลมีหน้าที่สอน จากข้างนอกไปข้างใน คือพูดให้ท่านฟัง เป็นเหมือนเครื่องมืออันหนึ่ง แต่ผู้ที่จะยืนยันกับท่านว่ามันเป็นจริงอย่างไรในโลกวิญญาณ ท่านจะรู้ ท่านจะร้องอ๋อเมื่อไร นั่นเป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งสถิตในท่าน และกระทำการงานอยู่บนโลกใบนี้ 2,000 ปีมาแล้ว

เพราะฉะนั้น  การจดจ่อไปยังโลกวิญญาณ ที่อยู่เบื้องบน อาณาจักรทางวิญญาณ ที่เรียกว่าเบื้องบนนั้น ก็คือจดจ่อในถ้อยคำพระเจ้า ผมเคยบอกอยู่เสมอๆ สิ่งที่เราเรียนรู้กัน สิ่งที่เป็นอาวุธประจำตัวเรา คือพระคัมภีร์เล่มนี้ ทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโลกวัตถุ … วัตถุต้องไปหาอย่างอื่นเรียนเอา เอ็นไซโคบีเดีย ไปดู Google เยอะแยะไปหมดเลย วิชาความรู้ของโลกใบนี้ แต่หยิบพระคัมภีร์ขึ้นมา จงนึกถึงเลยว่าเรากำลังเรียนรู้สิ่งที่พระเจ้ากำลังสอนเรา เกี่ยวกับโลกวิญญาณ เพราะฉะนั้น การจดจ่อที่ถ้อยคำพระเจ้า ที่พระองค์เปิดเผย สอนเราเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันจึงเป็นสิ่งสำคัญว่าในโลกวิญญาณมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีลักษณะเป็นอย่างไร? มันสีขาว สีดำ สีเหลือง สีแดง เดินซ้าย เดินขวา หน้าหลังเป็นอย่างไร? เดินอย่างนี้ไม่ดี เดินอย่างนั้น ดีอย่างไร? พระเจ้าเป็นผู้สอนเราทางโลกวิญญาณทั้งสิ้น อยู่ในพระคัมภีร์ เราจึงต้องจดจ่อ ให้ความสนใจกับถ้อยคำของพระเจ้า

พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ก็คือลายแทงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระองค์ทรงสอนเราว่าระบบของโลกทางฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร? มันทำงานอย่างไร? พระเจ้าสอน ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์  และผ่านทางการอ่านพระคัมภีร์เอง ผ่านทางการฟังศิษยาภิบาลพูด ฟังครูอื่นๆ สอน ฟังคำพยานของพี่น้องที่รู้เรื่องนี้ มีชีวิตอยู่ในเรื่องนี้ แล้วเขาเล่าให้ฟัง แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะคอนเฟิร์ม ก็คือเป็นพยานยืนยันว่าถูกต้อง ค่อยๆ สอนเราในตัวของเราเองนั่นแหละ

นี่คือวิธีการเรียนรู้ในการจดจ่อในถ้อยคำของพระเจ้า ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะบ้านของเราอยู่ที่นั่น ถ้าไม่ใช่บ้านของเรา  เราก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน บ้านเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ แม้ว่าเราจะมีบ้านอยู่บนโลกใบนี้ แต่มันเป็นบ้านสมมติ มันอยู่แค่เพียงชั่วคราว อีกไม่นาน ก็ไปแล้ว แต่บ้านจริงๆ ของเราอยู่ที่สวรรค์ … สวรรค์ อยู่ที่อาณาจักรโลกฝ่ายวิญญาณ

แล้วทำไมเราต้องจดจ่ออยู่ตลอดเวลาด้วย ก็เพราะว่ามันเป็นโลกวิญญาณ ซึ่งตาฝ่ายเนื้อหนังเรามองไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน จับต้องก็ไม่ได้ ซึ่งว่ากันในอดีต ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ตอนที่วิญญาณเรายังไม่ตกลงไปในความบาป ยังไม่ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า ยังไม่เป็นวิญญาณที่ตาย เรายังมีความสามารถมองไปในมิติทางวิญญาณสบายๆ มองเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า แต่เนื่องจากมนุษย์คู่แรก ตกลงไปในความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งสิ้น มนุษยชาติทั้งหมดจึงถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า ไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ ตาบอด ความสามารถลดลงมากเลย ขนาดเราเป็นมนุษย์ เรายังรู้เลยนะ พอเราอายุแก่ขึ้นมากๆ ความสามารถในสายตาเรายังด้อยลง บางทีอยู่ไกลๆ เรามองไม่เห็นแล้ว เห็นไม่ค่อยชัด อ่านไม่ได้เลย ยังด้อยลง แต่เรื่องความบาปของมนุษย์นั้น ร้ายแรงมาก จากตาที่มองเห็น ทางโลกวิญญาณ มองไม่เห็นแล้ว ไม่มีพระเจ้าแล้ว สำหรับเขา เพราะว่าเขามองไม่เห็น ที่บอกว่าไม่มี อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น การให้ความสำคัญในเรื่องของการมารู้จักพระเจ้าผ่านทางถ้อยคำพระเจ้า ที่อธิบายและสอนเราเรื่องโลกวิญญาณนี้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียนหรือไม่ก็ตาม ที่จะเรียนรู้เลย เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าตาวิญญาณจะไม่ถูกเปิดออก ตาฝ่ายวิญญาณจะถูกเปิดออก เมื่อรับเชื่อ ก็คือใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูทำให้เขาที่ไม้กางเขน  ปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ จากความบาป เมื่อเขาเป็นอิสระจากความบาปแล้ว เมื่อบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ การบังเกิดใหม่นั้น วิญญาณเขาอุแว้ขึ้นมา เขาก็เริ่มต้นมอง และสัมผัสในโลกฝ่ายวิญญาณได้บ้าง จะ เหมือนสมัยก่อนโน้นที่ไม่ได้ทำบาปเลย ยังไม่ได้  เพราะยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ แต่วิญญาณข้างในเริ่มต้นรับรู้แล้ว มนุษย์ทำบาป มนุษย์ก็ต้องตกลงไปในความเสียหาย ตาบอดทางฝ่ายวิญญาณ มองไม่เห็น เลยจับต้องมองไม่ได้ ในสิ่งที่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ    เพราะฉะนั้น พอไม่มีพระเจ้า ไม่รู้เรื่องราวของพระเจ้า พระเจ้าจึงต้องเตรียมให้กับมนุษย์ ที่ตาบอดฝ่ายวิญญาณ

วิธีการเตรียม ก็คือเตรียมลายแทง แผนที่ทางโลกวิญญาณไว้ให้ คือในพระคัมภีร์นี้นั่นเอง จึงต้องมีแผนที่ทางฝ่ายวิญญาณให้ เราที่เป็นมนุษย์ที่อยู่ในร่างกายนี้อยู่ จึงจำเป็นต้องดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าบอกไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะเรามองไม่เห็น เราจึงต้องพึ่งในแผนที่ คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่เราสามารถเชื่อถือได้ เพราะว่าเป็นถ้อยคำของพระเจ้า ที่พระองค์บอกว่าเป็นความจริง และเรารู้ได้อย่างไร? เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ข้างในเรา และพระเจ้าผู้นี้เป็นผู้ให้กำเนิดเรา เป็นพ่อเรา รักเรามาก สัตย์ซื่อ เที่ยงตรง เที่ยงธรรม เราจึงไว้ใจได้ว่าแผนที่นี้ดีสำหรับเราแน่นอน เราจึงเดินตามพ่อเราไปตามถ้อยคำ เราที่อยู่บนโลกใบนี้ หมายถึงโลกวัตถุ ตอนนี้อยู่ เราทุกคนต้องมีพ่อแม่อยู่แล้ว ในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็บอกแล้วว่าเราเป็นลูกพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกเรา

ให้เราเอาความจริงในโลกวิญญาณเหล่านี้ มาจดจ่อ วิธีการจดจ่อ ก็คือใส่ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เข้าไปอยู่ในความคิด ให้มันจดจำได้ แล้วก็ใคร่ครวญ ให้หลับตา แล้วนึกถึงภาพ ไม่เหมือนสิงโตกินเนื้อ แต่มันเหมือนวัวกินหญ้า ค่อยๆ เคี้ยวเอื้องไปเรื่อยๆ เอาถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้มาใคร่ครวญ ให้มันชัดเข้าไปเรื่อยๆ เอาสารอาหารเข้าไปเรื่อยๆ ให้มันย่อยเข้าไปเรื่อยๆ ย่อยถ้อยคำ ย่อยความจริงเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เข้าไปเลี้ยงดูตัวตนฝ่ายวิญญาณของเราข้างในนั้น จนกระทั่งสิ่งที่มองไม่เห็น มันเริ่มต้องมองเห็น ตาทางฝ่ายวิญญาณ เริ่มโตขึ้น เพราะวิญญาณข้างในโตขึ้น เริ่มมองเห็นรางๆ แล้ว สิ่งที่ตะกี้บอก จับต้องมองไม่ได้ เริ่มจับต้องมองเห็นได้ขึ้นมาทันที ค่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย ก่อนมาเชื่อพระเจ้า ไม่เคยกล้า หรือบอกว่า

“ฉันบริสุทธิ์สะอาด สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ ฉันเป็นลูกพระเจ้า”

แต่ก่อนนี้ ไม่กล้าพูดเลย  แต่เดี๋ยวนี้บางคนอธิษฐาน น่าอิจฉามากเลย บางคนที่เขาไม่รู้จักพระเจ้า แล้วมาแอบฟังเรา อยู่ในห้องส่วนตัว

“พระบิดาเจ้าข้า ลูกรักพระองค์เหลือเกิน”

เป็นจริงเป็นจังมากเลย ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่ห้องส่วนตัวด้วย บางคนส่วนรวมเลย อยู่โต๊ะอาหารใหญ่ ร้านอาหารใหญ่โตมาก

“ข้าแต่พระเจ้า ลูกขอบคุณพระองค์ สำหรับอาหารมื้อนี้”

ใครจ่าย เราก็จ่าย แล้วทำไมเขาขอบคุณพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นพระเจ้าแล้วไง ถึงแม้จะไม่เห็นชัดๆ หน้าต่อหน้า แต่เขาเห็นรางๆ  เห็นไหม? ตรงนั้นเขาเรียกความเชื่อ … เชื่อว่าวิญญาณที่มองไม่เห็นนั้น เป็นจริง ความเชื่อไม่ได้หมายถึงเชื่อว่าอธิษฐานแล้ว คนตายจะเป็นขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่อย่างนั้น ความเชื่อ คือการรู้ว่าโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น มันมีอยู่จริงๆ

ในหนังสือฮีบรู บทที่ 11 อธิบายไว้ว่าพระเจ้าสร้างสิ่งต่างๆ ที่มองไม่เห็น แล้วเราก็มองไม่เห็นเหมือนกัน แต่ด้วยความเชื่อ สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น จะเกิดร่องรอยหลักฐาน จับต้องมองเห็นได้ทันที ใส่ความเชื่อปุ๊บ มองเห็นทันที และความเชื่อนั้น เกิดขึ้นได้จากตาดู หูฟัง ปากพูด ใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้า มันกลับไป กลับมาอยู่นั่นแหละ นี่คือวิธีการ หลักการที่พระเจ้าจะนำพาเราให้อยู่ในเส้นทางของพระองค์ ที่ไปดี พูดง่ายๆ ก็คือเอาข้อมูลความจริงที่พระเจ้าบอกในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณใส่เข้าไปในสมองนี้ ไปล้างสมอง เอาของไม่ดีออกไป เอาของดีเข้ามา ล้างสมอง โดยการใส่ความจริงเข้ามา ซ้ำๆ กัน จนกระทั่งสิ่งที่เรามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ มันกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ มีอยู่จริงๆ เพราะความเชื่อมันเกิดขึ้นในความคิดของเรานั่นเอง นี่คือวิธีการและความหมายที่บอกว่าให้เราจดจ่อ ตั้งความคิด ใคร่ครวญไปที่สิ่งที่อยู่เบื้องบน คือโลกฝ่ายวิญญาณ ก็คือสวรรค์ ก็คือถ้อยคำพระเจ้าที่อธิบายให้เราฟัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำคัญมาก

แต่ในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้ ร่างกายที่เป็นวัตถุ ที่เราเห็นอยู่นี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่เราจะบังคับความคิด ให้จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันไม่ใช่ง่ายๆ เลย  เพราะมันแย้งกัน มันเห็นอยู่ สิ่งที่มองไม่เห็น มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มองเห็นมันชัดมากกว่า อะไรอย่างนี้ มันก็ไขว้เขวได้ง่ายๆ มันเกิดความแย้งกัน เห็นเป็นอย่างนี้ แต่ไม่เห็นมันเป็นจริง  มันทารุณนะ มันยากนะ แต่มันไม่ยากตรงที่พระเจ้าเริ่มสอนเราบอกว่าให้เราเริ่มทำทีละนิด เพราะในขณะที่เราพยายามที่จะเชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า ว่าแผนที่ทางโลกฝ่ายวิญญาณพระเจ้าเป็นอย่างไร? พยายามที่จะทำตามถ้อยคำพระเจ้า พยายามที่จะรับรู้ความจริงที่พระเจ้าบอก ในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างไร? ในขณะเดียวกัน พวกมารที่ทำงานอยู่บนโลกใบนี้ มันก็พยายามทำหน้าที่ของมันอยู่เหมือนกัน คือทำทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริง เอาความจริงออกไปจากเราให้หมดเลย ทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าสอนเรา มารก็จะมาเอาความจริงออกไป แล้วเอาความโกหกมาใส่ ถ้ามันสามารถเอาความจริงออกไปหมด 100% ได้ มันเอาไปเลย ถ้ามันเอาออกไปไม่ได้  สมมติว่ามันเอาออกไปได้ 10% มันก็จะเอาออกไป 10% ถ้ามันเอาออกไปได้ 50 มันก็จะเอาออก 50 แล้วก็ผสมอันอื่นเข้าไป เพื่อให้ความจริงนั้น จริงไม่ค่อย 100% เหมือนอย่างบางคนมาเชื่อพระเจ้า เชื่อว่าความรอด โดยพระเยซูคริสต์

“ฉันรอดแล้ว”

แต่ในพระคัมภีร์ รอดในพระเยซูคริสต์ มันหมายถึงรอดทางฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า การรักษาของพระองค์ รักษาความบาปของเรา โรคภัยร้ายแรง ที่แย่ที่สุดของมนุษย์ทุกคน ก็คือความบาป พระเยซูรักษาโรคภัยไข้เจ็บของเราหายแล้ว คือบาปนั้นหายแล้ว บาปนั้นหลุดไปแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า พ้นจากบาปแล้ว เป็นลูกของพระเจ้า ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น มันก็หลอก แล้วก็ยัดเหยียดใส่ไป รวมถึงโรคภัยไข้เจ็บของเธอต้องหายด้วยนะ คนนั้น ก็งงสิ

“อ้าว! วิญญาณฉันไปอยู่กับพระเจ้า ฉันเป็นมะเร็งอยู่ ฉันก็ต้องหายด้วยสิ”

ก็พยายามจะเอามะเร็งให้หาย มันหายได้อย่างไร? ก็ไม่ได้เป็นพันธสัญญาของพระเจ้า  มันไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ พอไม่หาย เริ่มไม่แน่ใจว่า …

“ตกลงที่ฉันรอดแล้ว ทางวิญญาณที่บอกว่าฉันเป็นลูกพระเจ้า ที่เกิดจริงๆ แล้ว ตามพระคัมภีร์ มันเป็นจริงไหม”

ท่านพอมองเห็นภาพไหม? มันก็เลยไม่มั่นใจสักอย่าง ที่ควรจะได้ ก็ไม่ได้ ที่ไม่ควรจะได้ ก็อยากจะได้ มันก็เลยเละ นี่แหละ คือการขโมยไป 50% นี่สมมติ แต่ถ้ามันขโมยไปได้หมดเลย ก็คือใครมาพูดถึงเรื่องพระเยซูไถ่บาป ฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว แล้วจะเป็นลูกพระเจ้า ตายไปแล้วจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ต้องตกนรก ฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่ามันขโมยไปหมดเลย แต่ถ้าขโมยไปครึ่งเดียว คือตอนแรกๆ ที่บอก เชื่อ แต่ทำไมทำอย่างนี้ หวังอะไรแปลกๆ เพราะความจริงได้ถูกขโมยไป

เพราะฉะนั้น นี่คือการต่อสู้ที่เรียกว่าสงครามทางวิญญาณ หรือสงครามฝ่ายวิญญาณ หรือสงครามทางความคิดนั่นเอง เห็นไหม? แล้วก็ถูกหลอกอีก พระเจ้าก็บอกว่าสงครามมันเกิดขึ้นทางความคิด ที่โลกวิญญาณ พอได้ยินอย่างนี้ มารก็มาหลอกเราอีก พระเจ้าสอนอย่างไร? สงครามฝ่ายวิญญาณ ต้องไล่ผี ไปที่ไหนต้องไล่ผี ต้องผูกมัด ต้องอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่เลย วิญญาณเราเกิดใหม่ พระเจ้าบอกเราเกิดจากพระเจ้า พอเราเกิดจากพระเจ้า เราอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้แล้ว นี่เราไปที่ไหน ก็ต้องไปไล่ผี ไปกลัวผี บางคนไล่ 30 ครั้ง 40 ครั้ง ผีที่ไหนจะมาอยู่ ในเมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาแล้ว เชื่อแล้ว บางคนไล่วันนี้ อาทิตย์หน้าอาจารย์คนนี้มา ต้องไปไล่ที่โน่น อาจารย์บอกไล่ไป ยังเหลืออีก 30 ตัว อาทิตย์หน้ามาไล่ต่อ นี่เรื่องจริงนะ ไม่ใช่พูดเล่นๆ สรุปแล้ว ก็ทำเหมือนกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ต่างอะไรกันเลย ใช่ไหม? ยกตัวอย่างให้ฟัง วันนี้ไม่ได้มาสอนเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น ถ้ามันทำได้หมด มันก็เอาหมด

และนี่คือหัวข้อของการบรรยายในวันนี้ การต่อสู้ทางโลกฝ่ายวิญญาณ ทางความคิด สงครามฝ่ายวิญญาณ คือสงครามทางความคิด พระคัมภีร์บอกว่าสงครามโลกวิญญาณ ที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราไม่ได้สู้รบแบบที่โลกนี้เขาทำกัน อาวุธที่ใช้ในการทำสงคราม ก็ไม่เหมือนกัน 2 โครินธ์ 10:3-5 บอกว่า …

2 โครินธ์ 10:3-5 “3 เพราะแม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบตบมืออย่างที่โลกทำ 4 อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ 5 เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิด ให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์”

 

แม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบปรบมืออย่างที่โลกทำ อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ก็คือถ้อยคำพระเจ้า สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ ท่านคิดว่ามันหมายถึงอะไร? มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถูกต้อง ถึงแม้ว่าเรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ เขาเรียกว่าเนื้อหนังที่มองเห็น จับต้องได้  เขาไม่ทำแบบใช้ความคิดแบบมนุษย์ แต่ต้องทำแบบโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งตรงนี้หมายถึงพื้นเพ ชาวโครินธ์ในขณะนั้น เขาต่อสู้สงครามนี้ แบบมนุษย์ ก็คือคิดว่าบางสิ่งบางอย่างที่เราทำ มันพิเศษกว่าคนอื่นเขา อาจารย์เปาโลเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อจะเตือนชาวโครินธ์ว่าท่านไม่ใช่มาเชื่อพระเจ้า เพราะเป็นคนยิว แล้วคุณดีกว่าเขา ไม่ใช่ แล้วคนที่มาเชื่อพระเจ้า แล้วไม่ใช่ยิว ก็กลัว ไม่มั่นใจว่าเราเป็นลูกพระเจ้า หรือเป็นลูกเมียน้อย ไม่แน่ใจว่าเราสะอาด หมดจดแล้ว หรือเรายังประพฤติไม่ได้ เหมือนกับคนที่เป็นยิวเลย  เราเป็นคนต่างชาติ เราถือศีลกินเจ ยังสู้ฟาริสี สู้คนยิวไม่ได้เลย คนยิวก็อยู่ในบัญญัติของพระเจ้า มาตั้งนานแล้ว แต่เราทำอะไรไม่ได้เหมือนเขาเลย ไม่ได้ถวายสิบลดเลย เพราะฉะนั้น เราเชื่อพระเยซูแล้ว เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าครึ่งเดียว สู้พวกชาวยิวไม่ได้หรอก ชาวโครินธ์ที่ไม่ใช่ยิว ก็คิดอย่างนี้ ชาวยิวเองก็คิดอย่างนี้

“ฉันเป็นคนยิว ฉันเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษ ติดสนิทกับพระเจ้า มีอภิสิทธิ์มากกว่า เป็นคนที่รักษาบัญญัติของพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว ปฏิบัติพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว อยู่ใกล้พระเจ้าด้วย ทำมากกว่าคนอื่นๆ พระเจ้ารักมากกว่าคนอื่นเขา”

และชอบคิดว่า “พระเจ้าเตรียมความรอดในพระเยซูคริสต์ไว้ให้กับชนชาติอิสราเอลเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคนต่างชาติ”

คนเหล่านี้ เชื่อแล้วนะ เป็นคริสเตียนนะ อาจารย์เปาโลเขียนไป พวกนายยังเป็นอย่างนี้เหรอ อาจารย์เปาโลชี้ให้เห็นอย่างนี้ คือสงคราม ถ้าเปรียบกับผู้เชื่อหรือคริสเตียนในยุคนี้ ก็คงคล้ายๆ กับว่าคนที่คิดว่าตัวเองติดสนิทกับพระเจ้า อธิษฐานเยอะกว่าคนอื่น รับใช้เยอะกว่าคนอื่นๆ ถวายก็เยอะกว่าคนอื่นๆ แล้วก็คิดว่าพระเจ้ารัก มากกว่าคนอื่น ต้องได้พระพรมากกว่าคนอื่น คือยกระดับตัวเองว่าเป็นผู้เชื่อที่มีมาตรฐานสูงกว่าคนอื่น มีไหม? มี เยอะไหม? เยอะ

แล้วด้วยระบบของโลกนี้ ก็ส่งเสริมให้ผู้เชื่อมีความคิดแบบนี้ด้วย ซึ่งอย่างที่บอก เป็นผลของมารนั่นแหละ เป็นการงานของมาร ลองยกตัวอย่าง สังคมคริสเตียน เจอกัน ไม่ว่าจะไปงานไว้อาลัย งานฉลอง งานขึ้นโบสถ์ใหม่ เขาจะถามอะไร? เขาจะคุยอะไร?

“อ๋อ! เป็นคริสเตียนเหรอ? เชื่อมากี่ปีแล้ว?” ถามทำไม?

“รับใช้บ้างหรือเปล่า?”

“ออกไปประกาศบ้างไหม?”

“อธิษฐานเป็นประจำหรือเปล่า?” ถ้าเราบอกว่าอธิษฐานเป็นประจำ “นานเท่าไร?”

“อดอาหารหรือเปล่า?”

“ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ไหม?” ไม่ไป หรือไม่ตอบ

ผมไป แล้วผมรำคาญตรงนี้มาก ตั้งแต่ไหน? แต่ไร? คือคำถามอะไรรู้ไหม?

ตอนนี้โบสถ์มีกี่คนแล้ว?

ถามทำไม?  ผมไม่ได้หมายถึงตอนนี้ ตั้งแต่สมัยโฮลี่เป็นแชมป์เรื่องเพิ่มพูนคริสตจักรนะ ไม่กี่เดือนมีสมาชิก 4-5 ร้อยคนในสมัยนั้นนะ ทุกคนแวะมาดู ผมไม่เคยไปไหน แล้วถามใครเลยว่าคริสตจักรมีกี่คนแล้ว? ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่ามีกี่คน? หมายถึงคริสตจักรเราเอง เรายังไม่รู้ว่ามีกี่คน? ชอบถามกันอย่างนี้ ไม่รู้อะไรอยู่ในใจ คุ้นๆ ไหม? นี่ยกตัวอย่างแค่นี้ แล้วท่านไปคิดเอา ถามอะไรแปลกๆ ซึ่งคำถามพวกนี้ พวกเราเองก็เคยถูกเขาตั้งคำถาม แล้วก็เคยถามเขาไหม? แต่คิดว่าน้อย  เพราะว่าด้วยระบบของโลกนี้ ระบบแบบมนุษย์คิด แทนที่จะใช้อาวุธ ที่เป็นศาตราวุธ ที่เป็นของพระเจ้าในโลกวิญญาณ มาใช้อาวุธ ที่คิดแบบสติปัญญาแบบเนื้อหนัง รักพระเจ้ามากๆ ก็ต้องอดอาหาร ต้องอธิษฐานเยอะๆ ไม่ใช่ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ดี ผมกำลังพูดคนละมุมกันนะ  มักจะใช้ระบบของโลก หรือมาตรฐานของโลก เป็นตัวคิด เป็นตัววัด ซึ่งก็คือวัดการกระทำของเราและของเขา แล้วก็เอามาคำนวณ แบบมนุษย์ว่าใครทำมาก ก็ได้มาก

ซึ่งในทางพระเจ้า มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนว่าในทางพระเจ้า มีเพียงขาวกับดำ ไม่มีเทา ไม่มีสีเนื้อ เชื่อก็คือเชื่อ ไม่เชื่อ ก็ไม่เชื่อ ไม่มีเชื่อเยอะกว่า หรือเชื่อน้อยกว่า ลูกพระเจ้าทุกคน พระเจ้าก็รักเท่ากันหมด ไม่มีรักใครมากกว่า ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าใคร? รอดจากบาป ก็คือรอด ไม่ใช่รอด 80% ไม่มี เป็นผู้ชอบธรรมในพระเยซูคริสต์แล้ว ด้วยความเชื่อ ก็เป็นผู้ชอบธรรม 100% ชอบธรรมก็คือชอบธรรม ไม่ใช่ชอบธรรมแค่ 90 ไม่มี ถ้าไม่ชอบธรรม ก็คือยังคงเป็นคนบาปอยู่ ก็คือบาป 100% ต่อให้เข้ามาโบสถ์ แล้วบอกเชื่อพระเจ้า ก็ยังเป็นคนบาป 100% เป็นคริสเตียน มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็เป็นผู้เชื่อพระเจ้า 100% แม้ว่าเพิ่งมาเชื่อพระเจ้า  3-4 วัน เมื่อวานนี้ยังทะเลาะกับเขาอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังโลภอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังด่าเขาอยู่เลย เขาเชื่อวันนี้แล้ว เขาเป็นผู้ชอบธรรม 100% แล้วเขากลับไปที่บ้าน เขายังกินเหล้าเมายา เหมือนกับเมื่อวานที่เขายังไม่เชื่อ เพื่อนมาชวนไปกินเหล้า ก็ยังไปอยู่ หรือเพื่อนมาที่บ้าน เขาก็ยังกินอยู่ สมมติ แล้วตอนที่เขากินอยู่นั้น ถามว่าเขาเป็นคริสเตียนเชื่อใหม่ 1 วัน เขาเป็นผู้ชอบธรรมกี่เปอร์เซ็นต์? 100% แน่นอน

ทีอย่างนี้ทำไมท่านเห็นชัด แต่พอผ่านไปนานๆ เป็นผู้เชื่อมา 10 ปีแล้ว ไม่เห็นท่านคิดอย่างนี้ ท่านคำนวณใหญ่เลยว่าอันนี้ 10 ปีทำอันนี้ สมควรจะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น รอดแค่ 20% ท่านคำนวณใหญ่เลย เพราะมันยาวใช่ไหม? แต่พอบอกแค่วันเดียว ท่านเริ่มเห็นชัด วันเดียวไม่ต้องคำนวณแล้ว 100 เหมือนกัน ไม่อย่างนั้น พระเจ้าจะมีคำพยานเหรอ? โจรบนไม้กางเขน หันมาหาพระเยซู แล้วเชื่อพระเยซู บอกฝากชีวิตเขาไว้กับพระเยซูด้วย เอาผมไปสวรรค์ด้วย ท่านเป็นพระเมสิยาห์แน่นอน พระเยซูบอกว่าเดี๋ยวเจอกันที่สวรรค์ นั่นโจรจริงๆ นะ ทำชั่วมาจนกระทั่งถูกประหารชีวิต  ไม่ถึง 1 วันเลย แต่เขาได้ไปสวรรค์ แล้วอย่างนี้ ความคิดแบบมนุษย์รับได้ไหม? รับไม่ได้ ความคิดนั้น ไม่มีทางรับได้เลย ถ้าตราบใดยังใช้อาวุธแบบมนุษย์ ไม่มีทางที่จะชนะเลย แพ้มันเด็ดขาด ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะชนะ มันต้องใช้ถ้อยคำพระเจ้า ที่ชนะสงครามนี้

“ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างไร? ฉันเชื่อตามนั้น ฉันไม่รู้ล่ะ ถ้าถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าไม่ใช่ด้วยการกระทำ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้า ใครมาเชื่อพระเยซู เขาได้รับความรอด เอเมน” จบ

เหมือนนักเลงสมัยนี้ถาม “จบไหม?”

“ครับ จบครับจบ”

ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น จบก็คือจบ ใครจะรับใช้แค่ไหน? อธิษฐานมากขนาดไหน? ถวายแค่ไหน? หรือแม้กระทั่งมีตำแหน่งหน้าที่ในการงาน เป็นศิษยาภิบาล เป็นอาจารย์สอน เป็นผู้นำ โดยตามนุษย์เกิดผลเยอะแยะในทางพระเจ้า  แต่ในทางโลกฝ่ายวิญญาณ ความเป็นจริงที่พระเจ้าสอน ไม่มีการเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้กับโลกวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่บอกเครดิตทั้งหมดยกให้พระเจ้า พระวิญญาณ เราไม่มีส่วนเลย แล้วจริงๆ มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ

ซึ่งการทำสงคราม เอาชนะความคิดเหล่านี้ได้ ต้องใช้ถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริงเท่านั้น ไม่ใช่พยายามเอาตำแหน่งหน้าที่การงาน เอาการกระทำของตนเองไปเปรียบเทียบหาคุณค่าของเราในพระเยซูคริสต์ คุณค่าของเราในพระเยซูคริสต์อยู่ที่ถ้อยคำ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าในพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อแล้ว ท่านทำอะไรบ้าง? เคยทำอะไรบ้างไหม? ฟ้องผิดตลอด มานั่งตรงนี้ ถามว่าตั้งแต่เชื่อพระเจ้ามา คุณทำอะไรบ้าง? แค่นี้ก็ตายแล้ว เป็นประโยคที่ทับถม ไม่ใช่ พระวิญญาณมาอยู่กับมนุษย์ พระคัมภีร์บอกเหรอ พระวิญญาณไม่ได้มาเพื่อทับถม แต่มาเพื่อนำพา เพื่อเป็นผู้นำ เป็นพี่เลี้ยง ค่อยๆ สอนว่าเราเป็นใคร?

ถ้อยคำพระเจ้า ก็คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าได้บอกว่าเมื่อท่านเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ท่านได้เกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์  … ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลาย หรือเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อนั้น ได้รับการชำระ จนสะอาด หมดจด ครบถ้วน บริบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว ได้เป็นประชากรของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ในฐานะลูกของพระเจ้าที่เป็นทายาท รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ใช่โดยการกระทำของท่านเลย ไม่ใช่โดยชาติตระกูลด้วย ไม่ใช่โดยเชื้อสาย เผ่าพันธุ์ด้วย แต่ด้วยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น นี่คือพระคัมภีร์ นี่แหละคืออาวุธ ไม่ใช่การโต้เถียงกับความโกหกหลอกลวง ที่อยู่ในความคิดของเรา ไม่ต้องไปบอกใครเลย ภาวนาอยู่คนเดียวนั้นแหละ ทำสงครามอยู่คนเดียวนั่นแหละ ในความคิด

เพราะฉะนั้น นี่คือความจริง … ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เราจึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาความชอบธรรมด้วยตัวของเราเอง แสวงหาความสมบูรณ์ครบถ้วนในการเป็นลูกของพระเจ้า ด้วยตัวเราเอง  เราไม่จำเป็นต้องแสวงหาความชอบธรรม ด้วยการกระทำใดๆ เพิ่มเติมอีก นอกจากที่พระเยซูทำให้เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูบอกสมบูรณ์ ก็สมบูรณ์แล้ว เราไม่ต้องทำ เอเมน

ทั้งหมดนี้ คือความจริง และเป็นความจริงที่ถาวรนิรันดร์ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงหรือลบล้างได้ คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกมนุษยชาติทั้งปวงว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณบ้าง และท่านเชื่อพระเยซูคริสต์ เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมาช่วยมนุษยชาติ ที่เกิดขึ้นแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านจะได้รับสิทธินี้ทันทีในโลกฝ่ายวิญญาณ  แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือความจริงเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มารมันทนไม่ได้ มันเหลืออยู่สิ่งเดียวที่มันทำได้ คือโกหก หลอกลวง เพราะหน้าที่ของมาร ก็คือโกหก ทำลายความจริงเหล่านี้ เพราะฉะนั้น มันก็พยายามที่จะส่งข้อมูลความคิดที่ตรงกันข้ามกับความจริงเหล่านี้ ให้กับเรา เช่นให้เรามีความภาคภูมิใจกับบางสิ่งบางอย่างที่เราทำ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำบางสิ่งบางอย่างที่ดีๆ เราก็ภูมิใจ มันก็เชียร์ใหญ่เลย ภูมิใจสิๆ อย่างนี้ พระเจ้าชอบ พระเจ้าพอพระทัย ใช่ไหม? มันก็จะให้เรามีความภาคภูมิใจกับบางสิ่งบางอย่างที่เราทำ เช่น …

เราถวายสิบลดเป็นประจำ มันก็จะบอก ภูมิใจสิๆ เดี๋ยวเราก็อดไม่ได้

เราอธิษฐานอยู่เสมอ มันก็บอกภูมิใจสิๆ อธิษฐานเสมอ

เราออกไปประกาศบ่อยๆ มันก็บอกภูมิใจๆ

เราพาคนมาเชื่อพระเจ้าเยอะๆ มันก็บอกตัวเธอเป็นพระพรๆ

ซึ่งแน่นอนสิ่งเหล่านี้ เป็นการกระทำที่ดี ไม่ได้ต่อต้านนะ แต่มันเชียร์ให้เรารู้สึก ฉันทำอะไรบางอย่าง พอมากๆ ไป มันก็เกิดการพึ่งในการกระทำของตนเอง ดีไหม? ดีทั้งนั้นแหละ อธิษฐานอยู่เสมอดีไหม? ดี … ถวายสิบลดเสมอดีไหม? ดี … ประกาศดีไหม? ดี … พาคนมารับเชื่อดีไหม? ดี แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ดีพอ ที่จะทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ในสายพระเนตรของพระเจ้า ในมาตรฐานของพระเจ้าได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเราทำไม่ได้ พระเจ้าจึงต้องส่งพระเยซูมา แต่พวกมารก็จะคอยส่งข้อมูลให้เราเกิดความภาคภูมิใจในสิ่งเหล่านี้ และอาวุธที่อันตรายที่สุดของพวกมัน ก็คือข้อมูลส่งเสริมให้เราเปรียบเทียบกับคนอื่น พอเราภูมิใจมากๆ เราก็จะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าเราทำได้มากกว่า เช่น ถวายมากกว่าคนอื่น อธิษฐานมากกว่าคนอื่น รับใช้มากกว่าคนอื่น ช่วยเหลือพี่น้องมากกว่าคนอื่น ทำดีกับพี่น้องมากกว่าคนอื่นอีก เพราะฉะนั้น พระเจ้ารักเรามากกว่าคนอื่น เราสมควรจะได้รับฐานะเป็นลูกของพระเจ้ามากกว่าคนอื่น ไปแหละ ไปโลดแล้ว รางวัลที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเราจะต้องมีมากกว่าคนอื่นด้วยเช่นเดียวกัน ไปไกลเกิน มารก็จะทำหน้าที่อย่างนี้

นี่คือ Spiritual warfare สงครามฝ่ายวิญญาณ ซึ่งถ้าเราไม่ระวัง และติดกับดักแห่งความภาคภูมิใจเหล่านี้ เมื่อถึงวันที่เราผิดพลาดอะไรขึ้นมาในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นโน่นนิดนี่หน่อย ซึ่งมันผิดพลาดแน่นอน คนๆ นั้น หรือเราก็จะไม่มีความมั่นใจในความรอดในพระเยซูคริสต์อีกต่อไป แม้เราเชื่อในพระเจ้าแล้วก็ตาม เรายังคงพึ่งความสำคัญในการกระทำของตนเอง เพื่อที่จะได้รับความรอด แทนที่จะพึ่งในพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ท่านพอมองเห็นไหม?

และวิธีที่เราจะสามารถระวัง ไม่ให้ติดกับดักการล่อลวงของมารอย่างนี้ได้ ก็คือต้องใช้อาวุธป้องกันตัว ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว ซึ่งก็คือถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง ก็คือความจริงของพระเจ้าที่บอกเรา สอนเรา พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าเปรียบเหมือนดาบสองคม ดูสิว่ามันแรงขนาดไหน? ฮีบรู 4:12 บอกไว้

ฮีบรู 4:12 “เพราะว่าพระดำรัสของพระเจ้านั้น มีชีวิตและทรงอานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณ ข้อต่อและไขกระดูก วินิจฉัยความคิดและท่าทีในใจ”

 

ในสมัยนั้น ดาบสองคมถือว่าร้ายแรงที่สุด 2,000 ปีโน้น แต่คำว่า “ดาบสองคม” ในข้อนี้ หมายถึงมีดสั้นนะ ที่มีความคมทั้งสองด้าน ชาวยิวรู้จักดี เพราะชาวยิวโบราณจะใช้มีดสั้น 2 คมนี้ไว้เชือดคอแกะหรือแพะให้มันตายเร็วๆ จะได้ไม่ทรมาน และง่าย

ประเด็นสำคัญของคำว่า “ดาบสองคม” ความหมายก็คือเป็นมีดที่คมที่สุด ที่มนุษย์สามารถจะทำได้ในสมัยนั้น และพระวจนะหรือถ้อยคำพระเจ้า ก็จะมีพลังอำนาจคมที่สุด สามารถแทงทะลุทุกส่วนในชีวิตของมนุษย์ สามารถอ่านวิถีทางความคิดของมนุษย์ได้นั่นเอง มันหมายถึงอย่างนั้น คือเอามาเป็นสงคราม สู้กับข้อมูลคำพูดของมาร ที่ส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดของเรา ทำอย่างนี้เป็นลูกพระเจ้าได้อย่างไร? ทำอย่างนี้ เป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร? ไม่ใช่เป็นยิวสักหน่อยเลย แล้วจะมาบอกว่าเป็นลูกพระเจ้าได้อย่างไร? เป็นคนต่างชาตินะ เมื่อมารส่งผ่านข้อมูล วิถีทางของโลกวัตถุนี้เข้ามาในความคิดของเราว่าพฤติกรรมนิสัยของเราในโลกนี้ ยังเทียบคนอื่นเขาไม่ได้เลย ยังไม่สมควร คนเขาไม่เชื่อพระเจ้า อยู่ข้างบ้าน เขายังมีศีลธรรมดีกว่าท่านเลย เขายังไม่หงุดหงิดเลย เขาดูดีไปหมดเลย เพียงแต่เขาไม่เชื่อพระเจ้าเท่านั้นเอง ท่านเชื่อพระเยซู แค่นี้เอง แล้วยังสู้เขาไม่ได้ แล้วยังจะไปบอกว่าได้รับความรอด ไปอยู่ในสวรรค์ คนข้างบ้านเขายังไม่บอกว่าเขาอยู่ในสวรรค์เลย เขายังสั่งสมบารมีต่อไป ถูกไหม? แล้วท่านจะว่าอย่างไร? ท่านจะสู้เขาอย่างไร? นี่แหละคือสงคราม เราก็ต้องสู้ด้วย สงครามโลกฝ่ายวิญญาณ เอาถ้อยคำพระเจ้าสู้ เราก็ต้องส่งดาบสองคมเข้าไป ที่ป้อมปราการที่มันยึดเอาไว้ ป้อมปราการ ก็คือความคิดของเรา ในสมองของเรา ใส่เข้าไปเลย ถ้อยคำพระเจ้าที่บอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม ถ้อยคำพระเจ้าที่เราเรียนอยู่เรื่อยๆ ที่มันอยู่ที่สมองเรา

มันบอกเราเมื่อตะกี้นี้ว่า “เราไม่สมควรที่จะเป็นผู้ชอบธรรม ลองเปรียบเทียบดูสิ คนข้างบ้าน หรือเพื่อนคนนี้เขายังดีกว่านายเลย”

เราก็บอกว่า “ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ และสามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า ที่กระทำผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ที่ตายที่ไม้กางเขน และชำระบาปให้กับฉัน ฉันไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรม ด้วยการกระทำของฉันเอง ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น”

พูดกับตัวเอง ไม่ใช่ไปพูดกับคนอื่นนะ 2 โครินธ์ 10:4-6 บอกไว้อย่างนี้ ให้ทำสงคราม โดยเอาถ้อยคำพระเจ้า เอาข้อมูลของพระเจ้าเข้าไปจัดการ แล้วก็นำเอาความไม่เชื่อฟังพระเจ้า สิ่งที่มารใส่เข้าไป ปัดมันทิ้งไป ทำให้มันเป็นศูนย์ไป คือฆ่ามันตาย พูดง่ายๆ เอาให้มันราบพนาสูญไปเลย แล้วเอาถ้อยคำพระเจ้าเข้าไปแทนที่

ความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้านี้ บวกกับการจดจ่อในถ้อยคำพระเจ้า โดยการใส่ถ้อยคำพระเจ้า ใส่ความจริงของพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณนี้ เข้าไปในความคิดจิตใจของเรา มันคือการตั้งความคิดไว้ที่เบื้องบน โลกฝ่ายวิญญาณนั้นเอง ที่เราเรียกกันว่าใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้า ภาวนาถ้อยคำพระเจ้า

การภาวนาถ้อยคำพระเจ้า การใคร่ครวญ ใส่ความจริงของพระเจ้าเข้าไปในโลกวิญญาณ ในความคิดจิตใจของเรา คือการเตรียมพร้อม การอยู่บนโลกใบนี้ อย่างผู้มีชัยชนะมากที่สุด ภาวนาถ้อยคำพระเจ้า หมายถึงพูดสิ่งที่เป็นความจริง ในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณซ้ำๆ กัน มากๆ ในความคิดจิตใจของเรา ให้มันจดจำให้ได้ เราต้องเอาความจริงใส่เข้าไปบ่อยๆ ให้มันเป็นป้อมปราการที่ฝ่ายเรายึดครองอยู่ ถ้อยคำของพระองค์ยึดครองอยู่ ฤทธิ์อำนาจของถ้อยคำพระเจ้าเต็มอยู่ในความคิดจิตใจ ในสมองเราเลย

เพราะฉะนั้น การต่อต้านของมาร ที่มาจากข้างนอกส่งเข้ามา มันเข้ามาไม่ได้ นั่นแหละ คือชัยชนะ เมื่อมารพยายามส่งข้อความที่เป็นความไม่ถูกต้อง เป็นข้อมูลเท็จ ส่งข้อมูลที่ผิดเข้ามา ผ่านทางโลกนี้ ผ่านทางวัตถุสิ่งของ ตามองเห็น หูได้ยิน จับต้องได้ เข้ามาทางเนื้อหนัง ฝ่ายร่างกาย เข้ามาในความคิดจิตใจของเรา เราก็จะเอาถ้อยคำเหล่านี้ที่เราเตรียมไว้เรียบร้อย ในการสู้รบต่อต้านทันที เราก็จะไม่กลัว เราก็จะเต็มไปด้วยสันติสุข

นี่คือสิ่งเดียวที่เป็นวิธีการที่พระเจ้าสอนเรา ในการทำสงครามฝ่ายวิญญาณ คือภาวนาถ้อยคำพระเจ้า เคยบ่นพึมพำอะไรไหม? เขาเรียกว่าบ่นพึมพำแบบดีนะ เขาเรียกว่าใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ตรึกตรองข้อความอะไรบางอย่าง แบบพึมพำอย่างดี

ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าเป็นตัวเลขแล้วกัน 7+5+4 ได้เท่าไร? เราก็คิด พึมพำๆ โอเคๆ คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ คือใส่ใจตรึกตรองสิ่งเหล่านั้น

“เชื่อพระเยซูคริสต์ ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าฉันเกิดใหม่แล้ว ในพระเยซูคริสต์พระเจ้าบอกว่าฉันเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ฉันมาเชื่อพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่า … เมื่อฉันมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าให้ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว ฉันเป็นวิญญาณ ชีวิตฉันเป็นวิญญาณ พระคัมภีร์บอกว่าชีวิตของฉันเป็นวิญญาณ ที่ฉันเห็นในร่างกายนี้ มันไม่ได้อยู่ตลอดไป มันอยู่ชั่วคราว อีก 70 ปี 80 ปี มันก็ต้องตายไป แต่วิญญาณของฉันถาวรนิรันดร์ ทุกวันนี้ มันเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันๆ”

พูดมันทุกวันๆ มันจะอ๋อไปเรื่อยๆ มันจะอย่างที่ตะกี้บอก …

“อ๋อ! เข้าใจแล้ว”

มาที่โบสถ์ได้ยินศิษยาภิบาล หรือใครสอน เรื่องเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า มันก็จะเสริมเข้าไป

“อ๋อ! ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เพราะความเชื่อ พระเยซูตายที่ไม้กางเขนเพื่อฉัน”

มันก็จะเสริมเข้าไปเรื่อยๆ ป้อมปราการก็จะใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีใครมาทำร้ายท่านได้เลย มันจะทำร้ายท่านได้แค่อันเดียว คือเอาความจริงออกไปจากความคิดของท่าน และมันเอาเข้าไม่ได้เลย ถ้าท่านเอาความจริงใส่เข้าไปเรื่อยๆ และไม่ยอมใส่ของปลอมเข้ามา คือง่ายๆ สมองเราไม่มีวันว่าง เหมือนขวดน้ำเปล่า สมองก็เป็นอย่างนั้น ขวดน้ำเปล่า ที่ท่านเห็นอยู่ มันไม่เคยว่างนะ มันไม่เคยเป็นสูญญากาศ  มันมีอากาศหรือมีน้ำ ถ้าท่านอยากเอาอากาศออกไป ต้องเอาน้ำใส่เข้าไป อากาศมันก็หายไป

ในทำนองเดียวกัน สมมติว่าน้ำคือถ้อยคำพระเจ้า ถ้ามันมีของโกหกอยู่ครึ่งสมอง ท่านบอกอยากเอามันออกไป ต้องใส่ถ้อยคำพระเจ้าลงไป จนครบ อันนั้นมันไปเอง มันพูดถึงเรื่องอะไร เราเอาเรื่องเหล่านั้นในพระคัมภีร์พูดกับมัน มันพูดถึงความชอบธรรม เราเอาความชอบธรรมพูดกับมัน มันพูดถึงความเจ็บป่วย เราเอาความเจ็บป่วยพูดกับมัน

ครั้งที่แล้วเราก็ได้เรียนรู้กัน มันพูดถึงความเจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน ไหนบอกเชื่อพระเจ้า ไม่ทุกข์ทรมานไง บอกมันเลย 2 โครินธ์ 4:16 พูดกับตัวเอง  แต่ก็พูดกับมารนั่นแหละ ไม่ต้องเอาตรงๆ เอาแค่ข้อมูลเรื่องราวก็ได้

2 โครินธ์ 4:16 “เหตุฉะนั้น ฉันจะไม่ย่อท้อ ฉันจะไม่ท้อแท้ ฉันจะไม่กลัว ฉันจะไม่วิตกกังวล แม้ว่าร่างกายภายนอกจะทรุดโทรมลงไปทุกวัน จะแก่ลงไปทุกวัน จะเจ็บปวด และจะต้องตายในวันหนึ่งในที่สุด เพราะว่ามันเป็นร่างกายบาป แต่วิญญาณข้างในฉันเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เข้าไปสู่ความไพบูลย์ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้ฉันเรียบร้อยแล้ว วันนหนึ่ง ฉันจะทิ้งร่างกายนี้ ไปรับร่างกายใหม่ และร่างกายใหม่นั้น เป็นร่างกายที่สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ทรมาน เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ 100%”

พูดบ่อยๆ ก็จะชิน ถามว่าชินกับใคร? ชินกับตัวเอง คล้ายๆ อย่างนี้ แล้วทำไมตะกี้นี้ผมต้องหลับตา เพราะหลับตา มันจะเห็นชัดไง

นี่แหละเขาเรียกว่าสงคราม  และสงครามนี้ทำให้เราชนะอยู่ตลอดเวลา

วันนี้เราลองฝึกเลย ฝึกตามผม ผมจะเอาพื้นฐานจาก 2 โครินธ์ 5:17 พื้นฐานมันต้องมาจากความรู้ของจริงที่พระเจ้าสอนเราเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เอาตรงนั้นมาภาวนา มาจดจำ พูดไปเรื่อยๆ ยิ่งสำคัญมากๆ เกี่ยวกับความรอด พูดมันไป ไตร่ตรองมันไปตลอดชีวิต ก็ได้ 2 โครินธ์ 5:17 เดี๋ยวท่านพูดตามผม แล้วท่านจะได้ไปฝึกด้วย แล้วต่อไปนี้ ทำเมื่อไรก็ได้ ทำในรถ อยู่ในห้องน้ำ ก่อนนอน ตื่นนอน อยู่ห้องประชุม ถ้าเขายังไม่ประชุม อยู่ว่างๆ เราก็หลับตาคิด หรือพูดไป ในหัวเราคิดเองก็ได้ ฝึกไปมากๆ แล้วเราคิดเอง ไม่ต้องพูด ยังสามารถทำได้อยู่

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!”

 

พูดตามผมนะ “ฉันเป็นวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์ วิญญาณฉันเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าชุบฉันให้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู และประทานใจใหม่ให้กับฉันด้วย ที่บริสุทธิ์ ไร้ที่ติ ปราศจากบาป เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ตัวเก่า วิญญาณเก่าที่เป็นวิญญาณบาปได้ตายไปแล้ว และมองให้เห็นเถิด

ตอนนี้วิญญาณฉันที่เกิดใหม่แล้ว สะอาดหมดจด ไร้ที่ติ บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซู เป็นวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณแห่งความสว่าง เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยความชอบธรรม ไร้เดียงสาต่อบาปทุกชนิด ฉันเป็นวิญญาณที่เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเจ้า ครอบครองสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู และฉันจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป

ขอบคุณพระเจ้า ตัวใหม่ฉัน วิญญาณฉันบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า โดยความเชื่อ ไม่ใช่การกระทำของฉัน แต่เป็นการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งฉันด้วย ฉันจึงเป็นผู้ชอบธรรม สะอาดหมดจดพ้นจากบาป ด้วยความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์นี้ ขอบคุณพระเจ้า ที่ได้ให้ความจริงนี้ กระจ่างอยู่ในใจตลอดเวลา เอเมน”

นี่ประมาณสัก 2 นาที ทำอย่างนี้ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ใน 2 โครินธ์ 5:17 ท่านก็เอาข้ออื่น ยังมีอีกเยอะแยะ แล้วท่านก็พูดให้ตัวเองฟังทุกวันๆ ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*******************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2019 เรื่อง “จงมีใจถ่อม” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  สิงหาคม  2019

เรื่อง “จงมีใจถ่อม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เมื่อเช้าตอนแต่งตัวมาโบสถ์มีใครดูกระจกบ้าง? ที่ไม่ได้ยก ไม่ได้ดูเหรอ แล้วมีใครดูกระจก แล้วพูดกับตัวเองว่า …

“ทำไมเราดูดีจัง?”

มีใครคิดอย่างนั้นไหม?  มีใครมองกระจก แล้วบอกตัวเองว่า …

“เรายังไม่แก่เลยนะเนี้ย?  ดูอ่อนกว่าอายุจริงตั้งเยอะ?”

เคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหมครับ ที่เวลามองคนอื่น ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเรา แล้วรู้สึกว่า …

“เอ๊ะ! ทำไมคนนี้ดูแก่จัง ดูโทรมจัง เราว่าเราดูหนุ่ม ดูสาวกว่าเยอะเลยเนอะ”

เคยคิดอย่างนั้นไหม? ไม่ต้องตะโกนดังๆ ก็ได้ ลองฟังเรื่องนี้ดูว่าคุ้นๆ บ้างไหม?

ชัยมีนัดครั้งแรกกับหมอฟันคนใหม่ ระหว่างนั่งรอ ก็มองเห็นใบปริญญาที่ติดอยู่ เห็นชื่อกับนามสกุล ก็จำได้ว่าเป็นเพื่อนนักเรียนที่เคยเรียนมัธยมปลายห้องเดียวกัน ยังจำถึงภาพเพื่อนคนนี้ เป็นหนุ่มหล่อ เป็นนักกีฬาของโรงเรียนด้วย นึกดีใจว่าจะได้พบเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันตั้ง 40 ปีแล้ว

ปรากฏว่าพอถึงคิวเข้าห้องทำฟัน หน้าของหมอฟันที่เห็น กลายเป็นชายสูงอายุ ศีรษะเกือบล้าน ผมที่เหลืออยู่น้อยนิด ก็กลายเป็นสีขาวโพลน ชัยทำฟันไป ก็คิดในใจว่า …

“ไม่น่าจะใช่เพื่อนเรา คงชื่อซ้ำกันมั้ง เพื่อนเราไม่น่าจะดูแก่กว่าเราเยอะขนาดนี้เลยนะ”

และหลังจากที่ทำฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังสงสัยในใจ ก็ถามหมอว่า …

“หมอ หมอเรียนม.6 ที่โรงเรียนบางแสนหรือเปล่าครับ?”

หมอก็ตอบว่า “ใช่ครับ”

ชัยก็ถามต่อว่า “หมอจบปีไหนครับ?”

หมอก็ตอบว่า “ปี 2508” หมอก็ตอบแบบงง ถามทำไม?

แล้วหมอก็ถามต่อว่า “ทำไมหรือครับ ถามทำไม?”

ชัยก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็เรียนห้องเดียวกับผมสิ ผมจำชื่อหมอได้”

คราวนี้ หมอก็เริ่มค่อยๆ จ้องหน้าชัย แบบพยายามทบทวนความจำ แล้วหมอก็ถามออกมาว่า … “ขอประทานโทษเถอะครับ ผมยังไงก็ยังนึกไม่ออกจริงๆ อาจารย์สอนวิชาอะไรครับ?”

สรุปว่านิทานเรื่องนี้ ใครดูแก่กว่า หมอหรือชัย? หมอดูหัวล้าน ผมขาว รูปร่างเปลี่ยนไปเยอะจากนักกีฬา แต่หมอมาดูชัยใกล้ๆ

“สวัสดีครับ อาจารย์”

อาจารย์กับศิษย์ ท่านลองคิดดูใครแก่กว่า เพราะฉะนั้น ใครที่ดูกระจก เมื่อเช้านี้ ลองถามคนข้างๆ สิว่าดูเป็นอย่างไร? เป็นไปตามที่เราดูในกระจกเมื่อเช้าหรือเปล่า? เราอาจจะดูตัวเอง แล้วหลงตัวเองหรือเปล่า?  คนข้างๆ เขาจะเป็นคนบอกเราเองว่าเราเหมือนหมอหรือเหมือนชัย

หัวข้อในการบรรยายวันนี้ ก็จะมีชื่อว่า “จงมีใจถ่อม” ซึ่งตรงกันข้ามกับความเย่อหยิ่ง ความโอ้อวด ความอวดดีนั่นเอง การมีใจถ่อม ซึ่งมันยาก เรารู้ว่ามันยาก ยอมรับความจริงว่ามันยาก เราจะได้รู้ จะได้เตือนตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่าสิ่งนี้มันมีโอกาสผิดพลาดได้เสมอ ซึ่งอย่างที่เราได้เรียนรู้กันมาตลอด ย้ำกันไปย้ำกันมา ในซีรี่ย์ต่างๆ แล้วว่าหลังจากที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณข้างในของเรา ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ตัวตนจริงๆ ของเรา ใน 2 โครินธ์ 5:17 ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเรียบร้อยแล้ว ทั้งวิญญาณและใจของเรา พระเจ้าให้ใหม่เอี่ยมเลย หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เหมือนพระเยซูเลย เราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง เรียกว่าอาณาจักรในสวรรค์ของพระเยซูคริสต์แล้ว ธรรมชาติ หรือเนเจอร์ หรือสันดานของเรา ตัวจริงของเรามันเปลี่ยนไปแล้ว บริสุทธิ์สะอาดเรียบร้อยแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตัวตนใหม่ของเรา เป็นวิญญาณที่สะอาด เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า  เพราะฉะนั้น เราจึงสมควรที่จะประพฤติตน ให้เหมาะสมกับการเป็นลูกของพระเจ้า ทำอะไรก็ตามให้เป็นไปตามวิญญาณข้างในของเรา

ซึ่งในตัววิญญาณของเรา รักพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเรา และพยายามฝึกฝนตัวเองให้ประพฤติตามที่พ่อพอใจ พ่อสบายใจ หรือที่พ่ออยากให้เราทำ ก็คือสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่อยากจะทำอะไรก็ตามที่ไม่ใช่เนเจอร์ของเราอีกต่อไป ไม่ใช่ธรรมชาติของเราอีกต่อไป ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น ที่บังเกิดใหม่ ที่เป็นเนเจอร์ หรือเป็นธรรมชาติ หรือเป็นสันดานที่เกิดใหม่ในวิญญาณของเรา คือการมีใจถ่อมเหมือนพระเจ้าเลย เราต้องทำบุคลิกลักษณะข้างนอก ในโลกใบนี้ ให้มันเหมือนกันกับ หรือสอดคล้องไปกับวิญญาณที่อยู่ข้างในเรา ใจที่อยู่ข้างใน ซึ่งเป็นใจถ่อม แค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น มันยากไง ที่จะประพฤติปฏิบัติตามให้เป็นเหมือนใจ ซึ่งตัวนี้ เดี๋ยวเราจะเรียนรู้ต่อไป เราร้องเพลงกันก่อน

พระเจ้า มันยาก  ที่จะให้ถ่อม                     เมื่อข้า  ดูดี  ในทุกทาง

ข้าชอบ  ดูตัวเอง ในกระจก                        เพราะข้านั้น  ดูดีขึ้น  ทุกวัน

ใครได้ พบข้า ต้องชื่นชม                            เพราะข้ามี  ราศี  สุดสง่า

พระเจ้า  มันยาก ที่จะให้ถ่อม                     แต่ข้า จะทำให้ ดีที่สุด

เอาไปร้องเป็นประจำเลยนะครับ เพราะในเนื้อ มันก็เป็นการยาก เพราะวิญญาณข้างในของเรา อันนี้เป็นความรักแล้ว เป็นวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า พระเจ้ามีใจถ่อมมากๆ พระเจ้าไม่อวดดี วิญญาณใหม่ของเรา ใจใหม่ของเรา เป็นความรัก เหมือนพระเจ้าเลย ความรักอดทนนาน ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว เป็นความถ่อมใจทั้งสิ้น

ฉะนั้น การดำเนินชีวิตในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราพยายามจะควบคุม ต้องฝึกฝน และดูแลความประพฤติของตัวเอง ให้อยู่ในเส้นทางที่เป็นเหมือนในวิญญาณของเรา บางคนได้มาก บางคนได้น้อย ก็แล้วแต่จะฝึกฝน แต่ละคนไม่เหมือนกัน และไม่มีหน้าที่ที่จะไปเปรียบเทียบกัน ที่ผมยกตัวอย่างอยู่เสมอๆ ก็คือเหมือนเรื่องทาร์ซาน ตัวตนแท้ๆ ของเขา เป็นลูกมนุษย์ แต่หลงพลัดไปอยู่กับลิงนาน ทำตัวเหมือนลิงมานาน พอกลับมาอยู่บ้านพ่อ ก็ต้องฝึกฝน ควบคุม ปฏิบัติตัวใหม่ ให้สมกับที่เป็นลูกมนุษย์ ไม่ใช่ลูกลิงอีกต่อไป ผมพยายามยกตัวอย่างนี้ เพราะตัวอย่างนี้ทำให้เราได้เห็นชัดมากเลย เขาต้องมาฝึกจริงๆ เพราะมันชิน

พวกเราเมื่อมาเป็นลูกของพระเจ้า ถึงแม้ตัวตนที่แท้จริงจะเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์แล้ว แต่ความประพฤติข้างนอก ก็ควรที่จะฝึกฝน พยายามที่จะควบคุมให้เป็นไปตามวิญญาณเราด้วย  พยายามควบคุมตัวเอง  ไม่ทำในสิ่งที่พระเจ้าเกลียด ก็คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติ หรือเนเจอร์ชีวิตของพระเจ้า แล้วเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระเจ้าเกลียด ก็คือสิ่งที่เราเกลียดด้วยนั่นเอง  สิ่งที่ไม่ตรงกับในวิญญาณของเรา เราต้องควบคุมการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้เป็นไปด้วยกันกับเนเจอร์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นเนเจอร์ เป็นธรรมชาติของเราด้วยนั่นเอง

คนที่เชื่อพระเจ้าจริงๆ และได้บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ วิญญาณได้เปลี่ยนใหม่แล้วจริงๆ ไม่มีใครอยากจะทำอะไรก็ตามที่มันตรงกันข้ามกับวิญญาณที่อยู่ข้างใน หรือใจใหม่ที่อยู่ข้างใน ที่พระเจ้าให้แล้ว ส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจทำหรอก ไม่อยากโกหก แต่มันเผลอ เผลอมาก เผลอน้อย บางคนบอกเขาตั้งใจโกหก ใช่เขาอาจจะดูเหมือนตั้งใจโกหก แต่พอเขาโกหกไปแล้ว เขาจะรู้สึกไม่น่าเลย คือหลงไปเชื่อหรือหลงไปกระทำตามกิเลสตัณหาของมารที่ส่งเข้ามา ผ่านทางเนื้อหนังร่างกายเรา ผ่านทางความคิด ให้เราเชื่อมัน ไม่อยากอิจฉาเลย แต่มันก็เผลอ ไม่อยากจะคิดร้าย แต่มันก็เผลอ เมื่อวานผมขับรถไปธุระแล้วผมเผลอไปฆ่าคนตาย จริง ขับไปอยู่ดีๆ รถบรรทุกใหญ่ เขาแซง เบียดมา เกือบชน ผมหันไป ทำท่าเอาปืนยิง ยิ้มๆ นะ เหมือนจะอภัย ยิ้ม

“ฉันอภัยให้”

ผมทำท่าเอาปืนยิง ผมกำลังฆ่าคนตายในสายพระเนตรพระเจ้านะ พระเยซูบอกแค่คิด ก็เท่ากับทำ ผมฆ่าคนตายนะเมื่อวานนี้ เขาเรียกว่าเผลอ เพราะฉะนั้น อาการเผลอ มันฝึกฝนได้ ครั้งต่อไป เวลาเขาเบียดเรา เราก็จะไม่ยิง เพราะเรานึกขึ้นได้ นึกขึ้นได้เมื่อไร? ทันทีทันใดที่ยิงไปแล้ว ทันทีทันใดที่หันไปยิ้ม อุตส่าห์ เขาเรียกอะไรนะ Holy Angry คือความโกรธ ความเกลียดแบบบริสุทธิ์ ทั้งที่หน้ายังยิ้มๆ อยู่ มันโมโห มันตกใจ หันมายิ้มๆ ยิงไปเลย ปืนยิงเขาไปแล้ว ความรู้สึกข้างใน อย่างนี้เรียกว่าเผลอ

ซึ่งในบรรดาสิ่งเหล่านี้ ตัวที่เผลอง่ายที่สุด ก็คือความเย่อหยิ่ง ความจองหอง ความอวดดี ก็คือความไม่ถ่อมใจ อันนี้เผลอง่ายที่สุด ซึ่งเรื่องอื่นๆ ที่เผลอทำไปแล้ว ยังรู้ตัวทีหลัง อย่างเช่นเมื่อตะกี้นี้ ผมได้ฆ่าคนตาย เมื่อวานนี้ ยังรู้ตัวทีหลัง จะเร็วหรือช้า ก็รู้ตัวได้ง่าย เช่นเผลอไปด่าเขา ไปโกรธใคร ก็ยังรู้ตัว ไปนั่งนึกเสียใจทีหลัง แล้วพยายามฝึกฝน ควบคุม พยายามสู้ใหม่ วันหลังเราจะอภัยได้มากขึ้นกว่านี้ เราจะไม่เผลอ หรือเผลอไปอิจฉาใคร เผลอไปทะเลาะกับใคร ก็รู้ตัว เผลอไปโลภ ไปโกง ไปเอาเปรียบ ใครก็รู้ตัวเหมือนกันว่าทำอะไรลงไป แต่ความเย่อหยิ่ง ความอวดดี ความไม่ถ่อมใจ เป็นสิ่งที่เราอาจเผลอ โดยไม่รู้ตัวเลย เมื่อวานที่ผมเผลอไปฆ่าคน รู้ตัวทันทีเลย ภายในเสี้ยววินาที แต่เมื่อวานนี้ ผมอาจจะทำอะไรเย่อหยิ่งเยอะแยะ ทั้งความคิด ทั้งคำพูด ไม่รู้  ทำไปเมื่อไร วันไหน? น่าสงสาร อะไรที่มันสังเกตยาก

ตัวอย่างเรื่องหมอฟันเมื่อตะกี้นี้ เขาก็คิดแบบบริสุทธิ์ใจว่าหมอดูหน้าแก่กว่า ก็คือเขาไม่รู้เลย เขาคิดแบบธรรมชาติ นึกว่าจะเจอหมอเหมือนที่เขาคิดในจินตนาการ  ตอน ม.6 เป็นอย่างไร? พอเจอหมอ หมอแก่ลงไปเยอะ ความคิดเขาสบายเลย แล้วอิสระแบบธรรมชาติ หลงตัวเอง แบบธรรมชาติเลย หมอดูแก่กว่าเยอะ ลืมชะโงกดูเงาตัวเองว่าเราเป็นเช่นไร? เขาไม่รู้เรื่องเลย อย่างนี้เป็นต้น เหมือนเนื้อเพลงที่เราร้องว่า “ข้าชอบดูตัวเองในกระจก เพราะข้านั้นดูดีขึ้นทุกวัน ใครได้พบข้า ต้องชื่นชม เพราะข้ามีราศีสุดสง่า” แม้กระทั่งเอาความจริง ในเรื่องโลกวิญญาณ เราได้รับสง่าราศีจากพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า ก็อดไม่ได้ ที่จะมาใช้ในทางติดลบว่าเราเหนือกว่าคนอื่นเขา เรามีสง่าราศีมากกว่าคนอื่นเขา ท่านพอมองออกไหม?

พอบังเกิดใหม่แล้ว มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว มองกระจกทีไร รู้สึกตัวเองมีสง่าราศี มีราศีเหมือนพระเจ้า  ก็หลงตัวเอง เผลอคิดว่าดีกว่าคนอื่น หนักๆ เขาก็ติดเป็นนิสัย ยกตนข่มท่าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ตัวว่าเรากำลังยกตนข่มท่าน พระเจ้าจึงมาเตือนเราอยู่บ่อยๆ สำหรับพระเจ้าแล้ว มนุษย์ทุกคนเท่าเทียบกันหมด ทุกคนเป็นคนบาป เหมือนกันหมด ไม่มีใครหนักกว่ากัน ไม่มีใครดีกว่ากัน พระเยซูยอมเสียสละ ยอมตาย เพื่อมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด ไม่มีใครดีกว่าใคร? ไม่ใช่ว่าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะดีกว่าคนอื่น ไม่ใช่ ไปดูถูกคนอื่น ไปดูหมิ่นคนอื่น โดยเฉพาะกับพี่น้องคริสเตียนที่เชื่อด้วยกันแล้ว ยิ่งไม่ได้ใหญ่ ไม่มีใครมีศักดิ์ศรีสูงกว่ากัน ไม่ใช่ว่าคนนี้มีความเชื่อเยอะ เชื่อนานแล้ว  เขาจะมีศักดิ์ศรีมากกว่าคนที่เชื่อเมื่อวาน เท่ากัน ไม่ใช่ว่าคนนี้ เขารับใช้พระเจ้าด้วย พระเจ้าจึงรักเขามากกว่า ไม่มี มันเท่ากันหมด ไม่ใช่ว่าคนนี้ อดอาหารอธิษฐานเยอะ อ่านพระคัมภีร์เยอะ เขาจะมีสง่าราศีมากกว่า ไม่มี เท่ากันหมด ทุกคนเป็นลูกพระเจ้าเท่ากันหมด ได้รับสิทธิการเป็นบุตรพระเจ้าเท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครดีกว่ากัน

ถ้าตามหลักการในพระคัมภีร์แล้ว มี 100% กับมี 0% มารจะพยายามทำให้เรามัวๆ กลายเป็นว่าคนนี้เป็นคนชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ ทำได้ 90% คนนี้ดีกว่าได้ 100% ไม่มี ถ้าทำความชอบธรรมได้ 90% คนนั้นก็ยังอยู่ในความพินาศอยู่ ถ้าเชื่อพระเยซูจริงๆ เชื่อว่าพระเยซูไถ่บาปที่ไม้กางเขน เขาจะเป็นผู้ชอบธรรม 100% ไม่มี 99.99 ไม่ว่าเขาจะเป็นโจร หรือทำผิดอะไรก็ตาม เขาเป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสต์ 100%

สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเยซูเลย ไม่รับพระเยซูเป็นผู้ไถ่บาป ต่อให้เขาทำดีขนาดไหนก็ตาม ไม่มีวันที่จะได้ครบ 100% มันแยกกันอย่างนี้ ไม่ว่าจะเกิดใหม่วันนี้ ในพระเยซู หรือเกิดใหม่มาแล้ว 30 ปี ทั้งสองท่านนี้  เป็นผู้ชอบธรรม 100% เท่ากัน

เรากลับมาดูคำว่า “เย่อหยิ่ง, จองหอง, อวดดี” ในภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “PRIDE” ซึ่งเรามักจะแปลเป็นภาษาไทยว่า “ความภาคภูมิใจ” ก็กลายเป็นสิ่งดี มันตรงกันข้ามกับความหมายจริง พอภาษาไทยบอกภาคภูมิใจปุ๊บ ในความรู้สึก มันก็ดีนะ แต่พระคัมภีร์ Pride หรือความรู้สึกภาคภูมิใจ ก็คือความรู้สึกเย่อหยิ่ง อวดดี ผยองนั่นเอง  ภาษาไทยเราต้องคิดให้ดีๆ น่าจะใช้คำว่า Pride นี้ แปลเป็นภาษาไทยว่าอวดดี ผยอง เย่อหยิ่ง มากกว่า โดยเฉพาะข้อความในพระคัมภีร์ เอาเรื่องเล็กๆ เช่น แม่ครัวทำอาหารอร่อย ดูว่า Pride ตัวนี้มันเกิดขึ้นอย่างไร? คือคำไทยที่บอกว่าภูมิใจ มันติดลบได้อย่างไร? เอาเรื่องเล็กๆ ก่อน เช่นแม่ครัวทำอาหารอร่อย มีแต่คนชม ก็รู้สึกภูมิใจในฝีมือทำอาหารของตัวเอง พอคนชมเยอะๆ ใครจะติ ใครจะวิจารณ์ จะแนะนำ ก็ไม่ยอมฟังแล้ว  นี่ก็คือความเย่อหยิ่ง ซึ่งแม่ครัวก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเย่อหยิ่ง แต่นึกว่ากำลังภูมิใจ

หรืออย่างนักธุรกิจที่ทำงานเก่งๆ เป็นผู้บริหารระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ตอนอายุน้อยๆ มีคนชื่นชมเยอะๆ เป็นอย่างไรครับ? ภูมิใจทุกคน ภูมิใจในความสำเร็จ พอภูมิใจแล้วเป็นอย่างไร? เหมือนกัน ใครจะว่า ใครจะเตือน ไม่ฟัง คราวนี้รั้น เราจะเห็นอยู่บ่อยๆ ในสังคม

สังเกตไหมคำว่า “ภูมิใจ” “เย่อหยิ่ง” หลายครั้งมันแยกกันไม่ออกจริงๆ โดยที่เราก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าเรากำลังภูมิใจ แบบถ่อมใจ หรือภูมิใจ แบบเย่อหยิ่งจองหองกันแน่ ซึ่งส่วนใหญ่มันออกมาทางเย่อหยิ่งมากกว่า เดี๋ยวเรียนต่อไป ก็จะรู้ว่าทำไมเป็นอย่างนั้น

ทราบไหมครับว่าบาป เรื่องความเย่อหยิ่ง โผล่ขึ้นมาครั้งแรกจากไหน? ที่มาของความเย่อหยิ่งบนโลกใบนี้ ที่มาของความอวดดี ที่มาของความผยอง ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน มาจากมาร มันเป็นบาปแรกเลย ที่เกิดขึ้น ที่มารหรือซาตาน สร้างขึ้นมาเอง พระเจ้าไม่ได้สร้างนะ พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น มันสร้างขึ้นมาเป็นธรรมชาติในตัวของมันเอง คืออยู่ดีๆ มันเกิดขึ้นมาในตัวของมาร ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ หรือซาตาน แล้วมารก็เอาบาปชนิดนี้ ความเย่อหยิ่ง ความผยอง ความไม่ถ่อมใจ มาให้กับมนุษย์คู่แรก ก็คืออาดัมกับเอวา

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามีทูตสวรรค์ตนหนึ่ง ชื่อลูซีเฟอร์ เป็นทูตสวรรค์ชั้นสูง มีรูปลักษณ์สง่างามมาก และเพราะลูซีเฟอร์ลำพองว่าตัวเองเก่ง มีอำนาจเหนือทูตสวรรค์อื่นๆ เพราะเป็น 1 ในหัวหน้าทูตสวรรค์ ที่เก่งมาก และสวยงามมาก รูปร่างดี อะไรทุกอย่าง มันก็รู้ตัวมันเอง มันก็เริ่มจากภูมิใจ พระเจ้าก็ชม พระเยซูก็ชม พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ชม ทูตสวรรค์ทุกตนก็ชม ลูซีเฟอร์ยอดเยี่ยม เก่ง ก็เกิดความหยิ่งยโส ภูมิใจเกินเหตุ เกิดความ Pride ก็คือความเย่อหยิ่งจองหอง และพยายามที่จะครอบครอง ควบคุมอำนาจความยิ่งใหญ่นั้น ด้วยตัวเอง แทนพระเจ้า คิดยกตนเองขึ้นมาเทียบพระบุตร คือเทียบพระเยซูเลย เป็นพระเจ้าเองเลย ก็เลยกบฎต่อพระเจ้า คือทำบาป เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า แล้วก็ชักชวน 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด ร่วมก่อการกบฏ เกิดสงครามในสวรรค์สถาน เพราะตอนเป็นทูตสวรรค์มันสง่างาม และเก่งมาก ใครๆ ก็ชื่นชม ใครๆ ก็ยกย่องสรรเสริญ พอได้รับความชื่นชมเยอะๆ ได้รับการสรรเสริญมากๆ ความลำพองใจ ความเย่อหยิ่งก็ตามมา ก็เลยเกิดความคิดที่อยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง ในที่สุด ลูซีเฟอร์กับเหล่าสมุนของมันที่คิดกบฏต่อพระเจ้า ก็ถูกปราบลง และถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ลงมาอยู่ในแผ่นดินโลก เปลี่ยนสถานะจากทูตสวรรค์ มาเป็นมารซาตาน ซึ่งแปลว่าเจ้าแห่งความชั่วร้าย

เมื่อความเย่อหยิ่งเกิดขึ้น มันก็ทำบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้าทันที และเจ้าซาตาน ก็ได้ถ่ายทอดเชื้อบาป ความเย่อหยิ่งนี้ มาสู่มนุษย์ โดยผ่านทางอาดัมกับเอวาที่สวนเอเดน  ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรก และสั่งว่า …

“เจ้ามีอิสระที่จะกินผลจากต้นไม้ในสวนนี้ใดๆ ก็ได้ แต่ต้องไม่กินผลจากต้นแห่งความรู้ดี รู้ชั่ว”

สั่งไว้อย่างนั้นใช่ไหม? ทำได้ทั้งหมด ยกเว้นอันเดียว แล้วเกิดอะไรขึ้น  เจ้าซาตานที่มาในร่างของงู ก็มาล่อลวงเอวา ให้ขัดคำสั่งพระเจ้า และกินผลไม้นั้น ปฐมกาล 3:4-5 บันทึกไว้อย่างนี้

ปฐมกาล 3:4-5 “4 งูบอกหญิงนั้นว่า “เจ้าจะไม่ตายแน่นอน 5 เพราะพระเจ้าทรงทราบว่าเมื่อใดที่เจ้ากินผลไม้นั้น เจ้าจะตาสว่างขึ้น และจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรู้ผิดชอบชั่วดี”

 

เพราะความเย่อหยิ่งที่ต้องการจะเทียมพระเจ้า มนุษย์คู่แรกจึงกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้าด้วย ไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่ไปเชื่อมารแทน ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าตกลงไปในการล่อลวงให้ทำบาป คือเป็นศัตรูกันกับพระเจ้า แล้วเชื้อบาปนี้ ก็ถูกส่งต่อมายังมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนก็เลยมีเชื้อบาปแห่งความเย่อหยิ่งจองหองติดตัวมาตลอด จะเห็นว่าบาป หรือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า กับความเย่อหยิ่ง มันแยกกันไม่ออกว่าอะไรเกิดก่อน มันใกล้กันมากเลย ไม่ใช่ เพราะมีบาป จึงเย่อหยิ่งนะ แต่เพราะเย่อหยิ่งก่อน แล้วจึงตกลงไปในความบาปทันที เย่อหยิ่ง ก็คือบาปอันหนึ่ง ก็คือไม่ตรงตามธรรมชาติของพระเจ้า แล้วก็ทำอะไรบางอย่างที่กบฏต่อพระเจ้า ตรงกันข้ามกับพระเจ้า และมีเชื้อแห่งความเย่อหยิ่ง ความไม่ถ่อมใจอยู่แล้ว มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป

คนบาป ก็คือคนที่กบฏต่อพระเจ้า คือคนที่เป็นศัตรูต่อพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า  คนที่มีเนเจอร์ที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ก็จะมีความเย่อหยิ่งจองหอง คือไม่มีความถ่อมใจ ใครที่กำลังคิดว่าตัวเองไม่มีความเย่อหยิ่งเลย ฟังให้ดีๆ นะ ยิ่งเป็นความคิดที่น่ากลัวมากๆ เพราะเราไม่รู้เลยว่าศัตรูอยู่ในตัวเรา มันก็คือหยิ่งเกินกว่าจะยอมรับว่าตัวเองหยิ่ง

“ฉันถ่อมใจแล้ว” แต่อาจจะไม่ถ่อมใจ ไม่มีคนใดทำได้ 100% หมายถึงการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นะ

เบนจามิน แฟรงคลิน  บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศอเมริกา นักปราชญ์และ นักวิทยาศาสตร์ ผู้คิดประดิษฐ์สายล่อฟ้า เขาเป็นคริสเตียนและเป็นผู้เชื่อที่เข้มแข็งมาก ได้กล่าวไว้ว่า …

“คงไม่มีเชื้อธรรมชาติอะไรอีกแล้วในตัวเรา ที่จะเข้มแข็งได้มากเท่ากับเชื้อแห่งความเย่อหยิ่ง  เราไม่มีทางที่จะต่อสู้กับมันได้เลย  ล้มมันลง  กำจัดมันออกไป  ไม่ว่าเราจะจัดการกับมันอย่างไรก็ตาม  เจ้าเชื้อนี้ก็จะคงอยู่กับเรา  ถ้าเราจะพูดว่าเราสามารถเอาชนะความเย่อหยิ่งได้แล้ว นั่นคงเป็นเพราะว่าเรากำลังภาคภูมิใจ หยิ่งผยอง อวดดีในความถ่อมใจของเรานั่นเอง”

น่ากลัวๆ การไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าส่งพระบุตร พระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วยทุกคนให้รอด และรวมทั้งฉันด้วย นั่นคือความเย่อหยิ่ง ความอวดดีของมนุษย์ที่อยากจะทำด้วยตัวเอง อยากจะชดใช้บาปด้วยตัวเอง คิดว่าตัวเองทำได้ ไม่เชื่อพระเจ้า พระผู้สร้าง และในทางกลับกัน ผู้ที่มาเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีใจถ่อมเท่านั้น ไม่มีทางอื่นเลย ถ้าเราไม่ถ่อมใจว่าเราเป็นคนบาป ถ้าเราไม่ยอมลดตัวเราเองลงว่าเราเป็นคนบาป เราเป็นคนไม่ดี เราต้องการความช่วยเหลือ เราก็จะไม่มีโอกาสได้พบพระเจ้าจริงๆ เลย ไม่ได้โอกาสที่จะได้รับความรอดในพระเยซูเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าคุณจะคิดว่าคุณไปเรียนพระคัมภีร์ขนาดไหน มีสติปัญญาขนาดไหน ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้น

ถามว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราควรจะมีความภูมิใจไหม ไม่ควร เพราะบอกแล้วไงว่าความภูมิใจ มันออกมาทางลบ มันออกมาทางความเสียหาย ไม่ใช่ศัพท์ที่ดี แต่เนื่องจากภาษาไทยมันเป็นอย่างนี้ เราควรจะมีความชื่นชมยินดี ในฐานะเป็นลูกพระเจ้า มันควรจะเป็นอย่างนี้มากกว่า เราควรจะมีความชื่นชมยินดี ในการมีสง่าราศีของพระเจ้า อยู่ในวิญญาณของเรา ชื่นชมยินดีกับภูมิใจมันต่างกันเยอะนะ แต่เรามักจะพูดกันเสมอ

เราควรภูมิใจว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เลยเละเลย ซึ่งแน่นอน เราควรจะมีความชื่นชมยินดี มีความปิติยินดี ในธรรมชาติใหม่ที่เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นลูกพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า ซึ่งเราก็ควรจะใช้ความปิติยินดี ความชื่นชมยินดีนี้ในลักษณะ การขอบพระคุณ กตัญญูต่อพระเจ้า ที่ทำให้เรา และฝึกฝนตัวเองไป พยายามปฏิบัติตัวเองให้สอดคล้องกับวิญญาณที่เกิดใหม่ ที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เหมือนที่ยกตัวอย่าง เรื่องทาร์ซานนั่นแหละ ตอนนี้เราเข้ามาอยู่ในบ้านพระเจ้าแล้ว ปฏิบัติตัวใหม่ให้มันสมเกียรติ สมศักดิ์ศรีลูกของพระเจ้า

ไม่ใช่ภูมิใจ ซึ่งมันจะกลายเป็นอย่างอื่นไปในที่สุด  ตัวตน แท้จริงของเรา เป็นความรัก เป็นเหมือนพระเจ้า ปิติยินดีในพระคริสต์ เราระลึกถึงพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอ ก็คือถ่อมใจอยู่เสมอ ในพระคัมภีร์บอกให้ขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอๆ การขอบคุณพระเจ้า คือการถ่อมใจ ถ้าเราขอบคุณพระเจ้าอยู่บ่อยๆ โอกาสที่เราจะเย่อหยิ่งจองหองแทบจะไม่มีเลย ทุกเรื่องมาขอบคุณพระเจ้า ใครจะมาชม ขอบคุณพระเจ้า เอเมน โอกาสที่เราจะถูกล่อลวง ไม่ใช่ไม่มี มันมีน้อยลง ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ มันก็เกิดตาละปัด แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มีวิญญาณแห่งความรักอยู่ในตัวเรา แทนที่เราจะปิติยินดี ชื่นชมยินดีในฐานะเป็นลูกพระเจ้า เรากลับไปภูมิใจ (แบบไม่ดีนะ) ตะกี้นี้บอกแล้ว เรากลับไปหยิ่งผยอง โอ้อวดว่าเราเป็นใคร ฉันเป็นใครรู้ไหม? เพราะฉะนั้น ฉันเลยยกตนเองขึ้นข่มท่านทั้งหลาย ใครก็ตาม มนุษย์หน้าไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราก็เริ่มยกตนเองสูงกว่าเขา เริ่มรังเกียจคนอื่น ที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าให้เราหนีออกจากโลกไป อย่าไปคบคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกว่าให้เราออกไปประกาศหาเขา ด้วยความรัก และถ้าเผื่อเชื่อพระเจ้าด้วยกันแล้ว ยังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเยอะๆ บางครั้งเราตัด เราไม่คบ เพราะเดี๋ยวทำให้สถาบันผู้ที่เชื่อพระเจ้าเข้าใจผิด อย่างนี้มันคนละเรื่องกับความเย่อหยิ่ง เข้าใจใช่ไหมครับ หลายคนก็ทำอย่างนี้ โดยไม่รู้ตัวว่าเรากำลังเย่อหยิ่งในความเป็นคริสเตียนของเรา

“ฉันเป็นคริสเตียน ฉันเป็นใคร ฉันสะอาดหมดจดแล้ว ฉัน …”

คิดเหมือนฟาริสีเลย คนอื่นเขาตีอกชกหัว

“ลูกแย่ ลูกไม่เชื่อพระเจ้า ทำไมลูกบาปอย่างนี้”

“ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันเชื่อพระเจ้า พระเจ้าล้างชำระฉันสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ คนละรุ่นกัน คนละชั้นกัน”

ไม่ใช่เลย ไม่ใช่ท่าทีที่ถูกต้อง ท่าทีที่ถูกต้อง ก็คือ …

“ขอบคุณพระเจ้า ลูกก็เป็นอย่างนั้นแหละ สกปรกเหมือนเขาเลย แต่พระองค์เมตตาชำระบาปให้ลูก ลูกไม่มีอะไรดีเลย แล้วลูกขอพระองค์ทรงช่วยเขา เหมือนที่พระองค์ทรงช่วยลูก ลูกเห็นใจ ลูกเข้าใจเขา เหมือนที่ครั้งหนึ่ง มีคนอื่นเขาเห็นใจลูก”

อย่างนี้ เป็นต้น นี่คือท่าทีที่ถูกต้องของความถ่อมใจ ของความไม่เย่อหยิ่ง เมื่อความภาคภูมิใจแบบมนุษย์ ก็คือความเย่อหยิ่งผยองเกิดขึ้น มันก็ล้นออกมา จนกลายเป็นความอาฆาต ความทุกข์ใจ เมื่อไรก็ตาม ที่เรารู้สึกว่าเราภูมิใจอะไรเป็นพิเศษ เกินกว่าปกติ ให้ระวังตัวให้ดีๆ เพราะว่าเรื่องเล็กๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ เพราะเราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ในอันตราย ให้รู้ตัวเลยว่าเมื่อไร เรารู้สึกภูมิใจในตัวเอง เตรียมตัวไว้เลย ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ พูดในใจไว้เลยว่า …

“อันตรายๆ”

มีใครมาชมเราเยอะๆ อันตรายๆ  วันนี้รู้สึกเชิดหน้าชูตา ถวายเกียรติแด่พระเจ้า อันตรายๆ ส่วนใหญ่เราจะพูดอย่างนี้เสมอ เราจะแก้ตัว เรากำลังถวายเกียรติแด่พระเจ้า  แต่มันอดไม่ได้หรอก รับมันไว้จริงๆ ลองไปคิดดูให้ดีๆ เดี๋ยวมันก็โผล่ออกมาอีก ต้องไม่รับมันเลย มันอันตรายที่จะก้าวจากความภูมิใจ และกลายเป็นความเย่อหยิ่งจองหอง ซึ่งเป็นบาปที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคน และจะทำลายผู้นั้น ที่ไม่ระวังตน ถ้าเราปล่อยมันไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นแผลลึกขึ้น เป็นเชื้อมากขึ้น

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อไรที่ความเย่อหยิ่งจองหอง คือความไม่ถ่อมใจเกิดขึ้น ความพินาศก็จะตามมาทันที ยกตัวอย่างให้ 2 ข้อ สุภาษิต บทที่ 11 และบทที่ 16

สุภาษิต 11:2 “เมื่อความเย่อหยิ่งมา ความอัปยศก็ตามมา ส่วนปัญญามากับความถ่อมสุภาพ”

สุภาษิต 16:18 “ความยโสโอหัง จะทำให้พินาศ และใจหยิ่งผยอง จะทำให้ล้มคว่ำ”

 

จะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ตาม ปกติแล้ว พอพระเจ้าอวยพรอะไรให้ หรือประทานความสามารถพิเศษอะไรให้ แรกๆ …

“ขอบคุณพระเจ้าทุกสิ่งที่ลูกมี ที่ลูกเป็น ล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น พระองค์เป็นผู้ประทานทุกอย่าง ขอถวายเกียรติแด่พระองค์ผู้เดียว”

อันนี้แทบจะท่องได้ แต่พอนานๆ เข้า ความสำเร็จมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ ความคิด มันก็เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ที่เคยบอกว่าทุกอย่างมาจากพระเจ้า คราวนี้เริ่มคิดว่าตัวเองเก่ง เริ่มเปรียบเทียบกับผู้อื่น ลองเช็ดดูว่าเราเป็นอย่างนั้นไหม? เริ่มโอ้อวด เย่อหยิ่ง กลายเป็น …

“ตัวเราแน่ ตัวเราดีกว่าคนอื่น”

ความหยิ่งผยองมักเกิดขึ้น เมื่อเรารู้สึกว่าเราเหนือกว่าคนอื่น จากที่เคยเชื่อฟังคำสอน คำแนะนำของผู้อื่น ก็กลายเป็นไม่ฟังใครๆ ทั้งสิ้น สอนไม่ได้ เตือนไม่ได้ แนะนำไม่ได้  ตรงนี้อันตรายที่สุด

ในพระคัมภีร์มีตัวอย่างเยอะ และตัวอย่างที่น่าประพฤติ ปฏิบัติตาม คืออาจารย์เปาโลเก่งขนาดไหน? อาจารย์เปาโลถ้าทางโลก เป็นนักปราชญ์ ทางพระคัมภีร์เป็นนักปราชญ์เหมือนกัน เรียนสูง รู้เรื่องเยอะในพระคัมภีร์ รู้เรื่องพระเจ้าเยอะ รู้เรื่องประวัติศาสตร์เยอะ อาจารย์เปาโลบอกทั้งหมดนั้น เป็นหยากเยื่อ ไร้สาระ แล้วอาจารย์เปาโลเป็นอัครทูต เขียนไปหาผู้เชื่อใหม่ที่กรุงโรม ตอนหนึ่งในนั้นบอกว่า …

“ข้าพเจ้าวิงวอนพระเจ้า ข้าพเจ้าเตรียมตัวที่จะไปหาท่านอยู่เสมอๆ คิดถึงท่านอยู่หลายครั้งเลย เตรียมตัว แพ็คของแล้ว จะไปหาท่าน วันหนึ่งไปพบท่านแน่นอน”

ไปพบ เพื่อ …  “เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในการแบ่งปันคำพยานชีวิตดีๆ ส่งเสริมให้ท่านดีขึ้น และท่านก็จะได้เป็นพยานเล่าเหตุการณ์ ประสบการณ์ให้กับข้าพเจ้า หนุนใจข้าพเจ้าโตขึ้นเช่นเดียวกัน เท่ากันเลย”

อาจารย์เปาโลไม่ได้ตั้งใจจะไปสอนอย่างเดียว แต่ตั้งใจจะไปแบ่งปัน อาจารย์เปาโลใช้คำว่า “แบ่งปัน” เราจะไปแบ่งปันสิ่งที่เราได้ของประทานจากพระเจ้ามา เรื่องอะไรที่พระเจ้าประทานให้ ให้เห็นถึงความจริง เป็นการเล่าเรื่องพระคริสต์ให้ฟัง ในประสบการณ์ของฉัน และฉันก็จะได้รับอย่างนี้เหมือนกันจากพวกคุณ … พวกคุณ คือผู้เชื่อใหม่ เขาก็มีคำพยาน ที่พระเจ้าใช้ผ่านชีวิตของเขา เอามาเล่าสู่กันฟัง เอามาเสริมกำลัง เสริมจิตวิญญาณของเปาโลให้สูงขึ้น เช่นเดียวกัน นี่คือถ่อมไหม? ไม่ใช่อาจารย์เปาโลบอกว่า …

“ฉันเป็นใคร? ฉันจะเอาไปให้อย่างเดียว ใครไม่มีกำลังมาเลย เดี๋ยวฉันจะวางมือให้ กำลังมาทันทีเลย”

ทุกคนก็ต้องวิ่งเข้าไปหาคนๆ นี้ พระคัมภีร์สอนเราอย่างนี้เหรอ หรือมนุษย์ทุกคนเท่ากัน ท่านคิดว่าอะไร? ท่านลองไปคิดเองแล้วกันว่าพระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เราทุกคนเท่ากันใช่ไหม? พระเจ้าไม่มีลำเอียง โดยเฉพาะอย่างนี้ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้กับผู้นำเยอะ ผู้นำในทางโลก ที่เห็นๆ อย่างเช่น ผู้มีอำนาจ ผู้นำ นักแสดง ศิลปิน ที่มีของประทานที่ได้รับจากพระเจ้า หรือแม้แต่ผู้รับใช้พระเจ้า ที่รับใช้ ที่เรียกว่าศิษยาภิบาล หรืออะไรก็ตาม ผู้สอน ผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่ของประทานโดดเด่นมากๆ โดดเด่นในสายตามนุษย์ ซึ่งจริงๆ แล้วทุกคนมีของประทานเท่ากันหมดแหละ แต่บางครั้ง บางคนอาจจะมีบางส่วนที่โดดเด่นกว่าคนอื่นเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์อยากจะได้ เห็นชัดๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้แหละ มีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดความเย่อหยิ่งจองหอง แล้วก็พินาศในที่สุด ก็คือตามพระคัมภีร์แล้ว ทุกคนบาปและหยิ่งอยู่ในกมลสันดานทั้งนั้น และทุกคนที่หยิ่ง ก็จะได้รับความพินาศกันหมด เพียงแต่ว่าพวกที่โดดเด่นมากๆ ในสังคมมนุษย์ที่ตามองเห็น เวลาพินาศก็จะเห็นได้ชัดกว่าคนอื่นๆ เท่านั้นเอง เป็นคนธรรมดา เป็นแม่บ้าน เป็นนักเรียน เป็นพนักงาน เป็นลูกจ้าง ถ้าเมื่อใดหยิ่งผยอง ก็เจอความพินาศเหมือนกันหมด เพียงแต่ความเสียหายไม่เท่ากัน และไม่มีใครเขาสนใจ ความเย่อหยิ่งเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ ที่สามารถทำลายชีวิตของเรา อย่างเงียบๆ

เคยได้ยินไหมครับ มีคำพูดที่บอกว่า “ความสำเร็จ สามารถฆ่าคนได้”

หมายความว่าคนที่ประสบความสำเร็จ มักถูกฆ่าตายด้วยความเย่อหยิ่ง ด้วยความภูมิใจตนเองจนเกินไป เพราะโอกาสที่จะเกิดความรู้สึกภูมิใจเกินกว่าเหตุ มันเยอะ มีคนเชียร์เยอะ มีคนคอยชื่นชมสรรเสริญ ยกย่องเยอะ จึงมีโอกาสที่จะขโมยจากพระเจ้าไปนิดหนึ่ง ในความชื่นชมยินดีในการที่เขาชมนั้น แทนที่จะส่งไปให้พระเจ้าเลย

เขาว่าเคล็ดลับอันหนึ่งที่ดี คือไม่ว่าคนจะนินทาหรือสรรเสริญ ส่งไปให้พระเจ้าหมดเลย ไม่รับอะไรทั้งสิ้น อันนี้มีความสุขและปลอดภัย แต่มันทำยาก ทำได้หรือเปล่า? ไม่ว่าดีหรือร้าย ส่งไปให้พระเจ้าหมด เขาด่ามา โดนใคร โดนพระเจ้า เขาชมมาล่ะ รับเอง ไม่ใช่ เขาด่ามารับไหม? ไม่รับ เขาชมมารับไหม? อย่ารับเหมือนกันสิ ถูกไหม? เพราะฉะนั้น ไม่รับทั้งสิ้น ส่งต่อให้พระเจ้าหมดเลย ถ้าเขาชมมา ส่งต่อให้พระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า ถ้าเขาว่ามา ก็โยนให้พระเจ้า แล้ว …

“พระเจ้า ลูกเป็นอย่างนั้น จริงไหม? ขอทรงช่วยลูกด้วยเถิด” ก็ว่าไป ไม่รับอะไรทั้งสิ้นเลย ก็ปลอดภัย

ความภาคภูมิใจเยอะ โอกาสที่จะกลายเป็นความเย่อหยิ่งก็เยอะ ซึ่งพอมันเยอะ โอกาสที่จะพินาศตามพระคัมภีร์ มันก็เยอะ โอกาสพัง ไม่เป็นท่า มันก็มีเยอะ ลองฟังเรื่องนี้ดู …

มีกบตัวหนึ่ง  อาศัยอยู่ในหนองน้ำแห่งหนึ่ง  ร่วมกับห่านอีก 2 ตัว … สัตว์ทั้ง 3 ตัว  เป็นเพื่อนรัก  เพื่อนเล่น  ที่คอยดูแลกันและกันเป็นอย่างดี … จนกระทั่ง ฤดูร้อนมาถึง … อากาศที่อบอ้าว  และแสงแดดที่ร้อนจัด  ได้แผดเผาหนองน้ำแห่งนั้น จนกลายเป็นดินแห้งแตกระแหง … ทำให้สัตว์ทั้ง 3 ตัว  ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ต่อไป ต้องอพยพ … สำหรับห่านทั้ง 2 ตัว  มันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะมันสามารถบินไปหาที่อยู่ใหม่ ได้อย่างง่ายดาย … แต่เจ้ากบ ไม่มีหนทางที่จะไป

หลังจากช่วยกันคิดหาทางออก ประชุมกัน … แผนการอพยพก็เริ่มขึ้น โดยเจ้ากบได้ไปหาเศษไม้เล็กๆ มาให้ห่านทั้ง 2  ตัว คาบไว้ที่ปลายข้างละตัว แล้วเจ้ากบก็ใช้ปากของมันคาบไม้ตรงกลางเอาไว้ เพื่อให้ห่านทั้ง 2 ตัว ช่วยกันบินพามันไปด้วย เพื่อนรักกัน ห่าน 2 ตัวมันทำให้อยู่แล้วล่ะ มันเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนนะ คงพูดในใจว่าให้เพื่อนคาบดีๆ เดี๋ยวเราไปด้วยกัน ทนอีกสักนิดหนึ่ง แต่กบตรงกลางตา มันมองข้างหน้าอย่างเดียว

ระหว่างที่กำลังบินอยู่บนฟ้า ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ ก็พากันชื่นชมในความคิดที่ฉลาด แหลมคม มีชาวนาคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า …

“โอ้!  มันยอดมากเลย  ใครกันนะ  ที่เป็นเจ้าของความคิดที่วิเศษเช่นนี้”

เจ้ากบ ซึ่งกำลังคาบไม้อยู่บนท้องฟ้า  ก็ตะโกนขึ้นมาว่า  … “มันเป็นความคิดของข้าเอง”

ท่านลองคิดดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น คิดเอาเองก็แล้วกัน

สรุปว่าที่กบต้องตาย เพราะการโอ้อวด ความคิด ความสามารถของตัวเอง จริงๆ แล้วตอนแรก มันแค่คิดหาวิธีที่จะอพยพ ให้ห่านช่วยเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรมากมายเลย แรกๆ มันไม่ได้คิดว่ามันเก่งนะ มันก็แค่คิดออกแค่นี้เอง แต่พอมีคนเห็น และชื่นชมในความคิด มีคนชม คราวนี้ก็อดไม่ได้ที่จะภูมิใจ อดไม่ได้ที่จะโอ้อวดตัวเอง พอเริ่มโอ้อวดตัวเอง หยิ่งผยอง ก็พบกับความพินาศ ในนิทานใช้กบกับห่าน เราก็เลยรู้สึกไม่ใกล้ตัวเท่าไร แต่ในชีวิตจริง คนที่เป็นเหมือนกบ มีเยอะมาก บางทีเราทำอะไร หรือคิดอะไรขึ้นมา แรกๆ ก็ไม่รู้สึกอะไรในสิ่งที่เราคิดหรอก แต่อย่าให้มีคนชมนะ พอมีคนชื่นชม ได้รับคำชมมากๆ ก็เริ่มเขวจากความคิดธรรมดา กลายเป็นเราก็หนึ่งในตองอู จากที่ให้คนอื่นชม คราวนี้ก็เริ่มชมตัวเอง โอ้อวดตัวเอง

พระเจ้า มันยาก  ที่จะให้ถ่อม                     เมื่อข้า  ดูดี  ในทุกทาง

ข้าชอบ  ดูตัวเอง ในกระจก                        เพราะข้านั้น  ดูดีขึ้น  ทุกวัน

ใครได้ พบข้า ต้องชื่นชม                            เพราะข้ามี  ราศี  สุดสง่า

พระเจ้า  มันยาก ที่จะให้ถ่อม                     แต่ข้า จะทำให้ ดีที่สุด

ดูเหมือนมันไม่มีอะไร? แต่มันมีอะไรอยู่ในตัว มันคือความจริงในชีวิตคริสเตียนว่าจะเป็นอย่างนี้ อย่าไปล้อเล่นกับมัน จงยอมรับว่าเราเป็นอย่างนั้น และเตือนตัวเอง และบอกพระเจ้าว่า …

“มันยากจริงๆ เลยพระเจ้า (คือพูดง่ายๆ) พระเจ้า สิ้นชีวิตนี้ไป คงไม่ได้หมดหรอก แต่ขอให้ลูกทำให้มันดีที่สุด  ให้ลูกทำได้มากที่สุด”

พระคัมภีร์จึงเตือนเราว่าให้คนอื่นเป็นคนยกย่องเราก็พอ อย่าโอ้อวดตัวเอง สุภาษิต 27:2 ท่องจำไว้เลย

สุภาษิต 27:2 “อย่ายกย่องตัวเอง ด้วยปากของเจ้าเอง ให้คนอื่นเป็นผู้ยกย่อง ไม่ใช่ด้วยริมฝีปากของเจ้าเอง”

 

อันนี้ไม่ต้องแปลเลย “อย่ายกย่องตัวเอง ด้วยปากของเจ้าเอง ให้คนอื่นเป็นผู้ยกย่อง ไม่ใช่ด้วยริมฝีปากของเจ้าเอง”

แต่มันยากนะ ยิ่งมีคนชมมากๆ ปิดปากเงียบไปเลย พระเจ้ายากมาก แต่เราก็จะทำให้ดีที่สุด

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการถ่อมใจ ซึ่งตรงกันข้ามกับความเย่อหยิ่งจองหอง วิธีเดียวที่จะหลีกพ้นจากความพินาศ ที่เกิดขึ้น จากความเย่อหยิ่งจองหอง การยกตนข่มท่าน ก็คือการมีใจถ่อม พระคัมภีร์เตือนสติเราอยู่เสมอ การเดินกับพระเจ้า ต้องมีความถ่อมใจและเชื่อฟัง สุภาษิต 3:5-6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ อ่านชัดเลยนะ

สุภาษิต 3:5-6 “5 จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งความเข้าใจของตนเอง 6 จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้าให้ราบเรียบ”

 

ในทางพระเจ้า ผู้ที่มีใจถ่อมต่อพระเจ้า ก็คือผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่พึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง คือไม่พึ่งพาความคิด สติปัญญาของเราเอง คือแปลว่า …

“ต่อให้ตามองเห็นมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าพูด ฉันก็จะเชื่อพระเจ้า ตามองเห็นเป็นสีดำ พระเจ้าบอกว่าเป็นสีขาว ฉันก็จะเชื่อพระเจ้าว่าเป็นสีขาว” เอเมน

ไม่พึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง จะฉลาด จะเรียนอะไรมา เราเก่งขนาดไหน ก็ตาม เราก็ไม่สามารถช่วยตัวเราเองได้ เราพึ่งพระเจ้าดีกว่า และเรียนรู้ว่าทุกสิ่งในชีวิตนั้น มาจากพระเจ้าทั้งสิ้น วางใจในพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้

ในพระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อตะกี้บอกว่า “จงวางใจในพระเจ้า อย่างหมดใจ” หมดใจ คือเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ สิ่งที่พระเจ้าพอใจที่สุด คือการยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตร ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย อันนี้เป็นความถ่อมใจอย่างสุดๆ เป็นการเชื่อพระเจ้าอย่างหมดใจจริงๆ สำคัญมากอันนี้ ซึ่งเราทำไปแล้ว อย่าพึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตนเอง ไม่พึ่งพาสติปัญญามนุษย์

จงยอมรับพระองค์ในทุกทาง ยอมรับว่าพระองค์ถูก จงยอมรับว่าใช่ แม้ลูกจะมองไม่เห็น ลูกก็ว่าใช่ เพราะสิ่งที่ตามองไม่เห็น  หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้กับผู้ที่รักพระองค์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แล้วพระองค์จะทำทางของเจ้าให้ราบรื่น เห็นไหม?

อันใหญ่ราบรื่นไปแล้ว คือเราเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าว่าพระเยซูเป็นใคร? เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าส่งมาให้มนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย อันนี้เราได้รับความรอด ไม่พินาศแล้ว  ตายจากโลกนี้ไป วิญญาณออกจากร่างนี้ไป เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาลแล้ว ขอบคุณพระเจ้า อันนี้สำคัญที่สุด แต่นอกเหนือจากนั้น ยังมี คือตอนที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่วิญญาณยังไม่ออกจากร่างกาย ที่จะต้องตายในวันหนึ่งข้างหน้า ถ้าเราวางใจในพระเจ้า  เชื่อในพระเจ้า ในหนทางที่พระองค์บอกทั้งหมด โดยไม่คิดว่าตนเองฉลาด พระเจ้าก็จะทำทางของเราให้ราบรื่นเหมือนกัน ชีวิตเราก็จะไม่ทุกข์มากเกินกว่าเหตุ เราก็จะไม่ต้องไปสวรรค์แบบคนวิ่งผ่านไฟ เราก็จะใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ แบบสงบ มีสันติสุข และมีความสุขมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ พอมองเห็นไหม?

เพราะฉะนั้น จงวางใจในพระเจ้าในทุกสิ่ง ถ้าพระเจ้าบอกอะไร จงเชื่อฟังอย่างนั้นแหละ และอดทนฝึกฝน ปฏิบัติตามในความถ่อมใจ เพราะต้องอาศัยการฝึกฝนปฏิบัติตาม มันถึงจะได้รับ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … จงให้ความคิดของท่านจดจ่อ กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอน 8.2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  กรกฎาคม  2019

เรื่อง “สำเร็จแล้ว … จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน  ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอน 8.2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้จะเป็นการบรรยายต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จึงต้องมาเรียนรู้กัน พระเจ้าจึงบอกลายแทงอยู่ที่ไหน? หน้าตาเป็นอย่างไร? และมนุษย์ทุกคนสามารถอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? โดยผ่านทางหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ล นี่แหละคือสิ่งที่เราเรียนรู้กัน ตั้งแต่หน้าแรก จนหน้าสุดท้าย ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมเลย  และหัวข้อการบรรยายในวันนี้ ก็คือหัวข้อเดิมจากสัปดาห์ที่แล้ว “จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอนที่ 2 พระเจ้าจะช่วยเรา ให้เราจดจ่อตรงนี้แหละ เราเองแหละ คอยจะหนีไป แต่พระเจ้าพยายามนำพาเรากลับมาตรงนี้ให้ได้ เพราะตรงนี้คือเวทีของเรา เวทีที่เราได้รับชัยชนะนิรันดร์ ตรงนี้แหละที่พระเยซูประกาศว่าเราชนะแล้ว แม้ว่าท่านอยู่บนโลกนี้จะประสบกับความทุกข์ยากลำบาก แต่เราชนะโลกนี้แล้ว ชนะตรงเวทีตรงนี้

สัปดาห์ที่แล้วเราเริ่มที่โคโลสี บทที่ 3 ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ย้ำยืนยันกับเราว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่เราเชื่อพระเยซูเป็นใคร? แล้วผลจากการกระทำที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกวิญญาณ โลกวัตถุไม่ต้องบอกนะ เห็นๆ อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร? แต่ในโลกวิญญาณ มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตัวเก่า คือวิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นแล้วนะ วิญญาณใหม่ของเรา จิตใจใหม่ที่พระเจ้าประทานให้กับเรา ที่เป็นขึ้นมาใหม่นั้น ลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร? ธรรมชาติของวิญญาณใหม่ของเรา จิตใจใหม่ของเรา ที่เกิดใหม่นั้น หรือเรียกว่าวิสัย หรือเรียกว่าสันดานใหม่ของเรา เป็นลักษณะอย่างไร? เราเรียนไปแล้ว

หลังจากที่เราได้รับรู้ และเชื่อในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้แล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรา ในตัวตนใหม่ของเรานั้น พระคัมภีร์ได้สอนเราอย่างไรในเรื่องแนวทางในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้บ้าง เพื่อให้เราได้สงบ ได้รับผลประโยชน์ มีสันติสุข มีความสุขมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้บนโลกใบนี้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ 100% แต่อย่างน้อย ก็ยังได้เยอะกว่าไม่รู้เรื่องเลย เยอะกว่าคนตาบอดมองไม่เห็นเลย เยอะกว่าคนที่ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์มาชี้ทางให้ เพราะว่าการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเรารู้ว่ามันมีอะไรเป็นจริงฝ่ายวิญญาณบ้าง ก็จะทำให้เรามีสันติสุข มีความสุขมากขึ้น ในระหว่างการที่ต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ในระหว่างที่ยังรอคอยวันเวลาที่เราจะได้กลับไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานถาวรนิรันดร์ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่าทุกวันนี้เราก็อยู่ในสวรรค์แล้วล่ะ เราเรียนรู้ตามพระคัมภีร์บอก เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า นั่งอยู่ในสวรรค์สถานเดี๋ยวนี้แล้ว แต่มันยังเห็นลางๆ เห็นไม่ชัด เห็นจากถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเรา เห็นจากความเชื่อที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานให้กับเรา อยู่ในจิตใจเรา … เรารู้ เหมือนที่บทเพลงที่เราร้อง …

“ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ”

มันเกิดขึ้นที่ถ้อยคำก่อน เกิดขึ้นที่ตาดู หูฟัง และปากพูดถ้อยคำพระเจ้า มันออกมาจากใจ นั่นแหละ ตรงนั้นมันรู้ มันเห็นไหม? ไม่เห็น แต่มีไหม? มี พระคัมภีร์เขาเรียกว่าเห็นแบบลางๆ แต่พระคัมภีร์สัญญาไว้ว่าวันหนึ่งที่เราออกจากร่างนี้ ตัวตนที่แท้จริงของเรา คือวิญญาณของเราออกจากร่างนี้เมื่อไร? เราก็อยู่ที่เดิม แต่คราวนี้จะไม่มีอะไรบังเราอีกแล้ว เราจะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า ชัดเจนแจ่มใส เหมือนที่ผมเห็นท่าน หรือท่านเห็นผมในตอนนี้เลย นี่คือความหวังใจนิรันดร์ของผู้ที่เชื่อในพระเยซู ว่าโลกที่มองไม่เห็นนั้น เป็นจริง ตามที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ ตามที่พระเจ้าได้ชี้แจงเอาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เป็นตัวอักษร และพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ยืนยันให้กับเรา ในวิญญาณข้างในของเรา

หัวใจที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้เราได้พบกับความสุข ความสงบ  และสันติสุขที่แท้จริงบนโลกใบนี้ ท่ามกลางโลกที่สับสนวุ่นวายวิปริตวิปลาส ที่เรียกว่าโลกบาป โลกที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว พระเจ้ารอวันเวลาของพระองค์ที่จะฟื้นฟูใหม่ แต่ตอนนี้ยังไม่ฟื้นฟู เมื่อยัง ก็วุ่นวายอย่างนี้ จะเอาแน่เอานอนกับมันไม่ได้ แล้วมันก็เป็นโลกแห่งความชั่วร้าย ทำอย่างไรเราจะอยู่บนโลกแห่งความชั่วร้ายนี้ได้ โดยมีความทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ มีความสุข มีสันติสุข มีความสงบสุขมากที่สุดเท่าที่ทำได้ คือจงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก

“สิ่งเบื้องบน” ก็คือโลกที่มองไม่เห็น  โลกวิญญาณ ซึ่งมันเหนือกว่า เขาจึงใช้คำว่าเบื้องบน มิได้หมายถึงให้มองไปที่ข้างบน แต่ให้มองทะลุไปที่โลกวิญญาณ มิติหนึ่งที่อยู่ในโลกวิญญาณ ตามหลักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน มีคำว่า “มิติ” ซึ่งสมัยก่อนไม่มี สมัยก่อนเขาบอกมองไปที่เบื้องบน หมายถึงมองไปอีกมิติหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์คิดค้น รู้ว่ามี 3 มิติ, 4 มิติ ให้มองไปอีกมิติหนึ่ง มิตินั้น เรียกว่ามิติโลกวิญญาณที่ตามนุษย์ธรรมดามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ดมกลิ่นก็ไม่มี แต่มันมีอยู่จริงๆ พระคัมภีร์บอก และที่นั่นแหละที่พระเจ้าสถิตอยู่ เรียกว่าสวรรค์สถาน และที่นั่นแหละ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และที่นั่นไม่มีทั้งอดีต ไม่ทั้งปัจจุบัน และไม่มีทั้งอนาคต เป็นอยู่อย่างไร? เป็นอย่างนั้น เหมือนที่พระคัมภีร์บอก พระเยซูเป็นอยู่อย่างไรในอดีต พระองค์จะเป็นอยู่ในปัจจุบัน และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปเป็นนิตย์ มันหมายถึงว่าที่นั่น มันเป็นอย่างนั้นเอง ไม่มีอดีต … อดีตคือโลกใบนี้เราคิดกัน เราคิดตัวเลขกันว่า 2,000 ปีผ่านไปแล้ว วันนี้หนึ่งวัน ดวงอาทิตย์ขึ้น จดไว้ แต่ในโลกวิญญาณ มันไม่มีวันเวลาใดๆ ทั้งสิ้น ถึงเรียกว่านิรันดร์ … นิรันดร์อยู่กับพระเจ้า ดังนั้น ทุกวันนี้เราก็อยู่แล้ว เพียงแต่เรายังอยู่ในร่างกายที่เต็มไปด้วยความบาป และยังต้องดำเนินชีวิตอยู่ ซึ่งมันก็ต้องใช้วิธีการที่ทำอย่างไร ถึงจะฉลาดในการอยู่

เคยได้ยินคำนี้ไหม? เวลาคนทำอะไร แล้วรู้จักประจบประแจง อะไรต่างๆ สมมติอยู่ในบ้าน รู้ว่าคนนี้ มีอิทธิพลสูงสุด มีอำนาจสูงสุด ทำอะไรก็ประจบคนนี้  เพื่อว่าจะได้สิ่งที่ดีๆ จากคนนี้ เขาเรียกว่า “อยู่เป็น” อยู่บ้านอยู่เป็นไหม?  อยู่เมืองไทย อยู่เป็นไหม? รู้จักเส้นสายไหมว่าให้อยู่เมืองไทย ต้องอย่างนี้ จึงจะอยู่ดี อยู่เมืองนอก อยู่อเมริกาอยู่อย่างไร?  เขาเรียกว่าอยู่เป็น ไม่ใช่ไปที่ไหน ไปฝืนเขาหมด อย่างนี้เขาเรียกว่าอยู่ไม่เป็น ทำให้เกิดทุกข์ สุภาษิตโบราณไทยบอกว่า …

“อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัว ปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”

นั่นแหละ เขาเรียกว่าอยู่เป็น เจ้าของบ้านเขาจะได้รักเรา ในทำนองเดียวกัน ถ้ามาเชื่อในพระเจ้าแล้ว รู้ว่ามีโลกวิญญาณแล้ว ต้องอยู่เป็นด้วย วิธีอยู่เป็น ก็คือให้เอาความคิดของเราไปจดจ่ออยู่ที่โลกวิญญาณว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในโลกวิญญาณ เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง เหมือนลายแทง เหมือนพระคัมภีร์บอกว่า …

“ถ้อยคำของพระองค์ เป็นโคมส่องเท้าให้ข้าพระองค์เดินไป”

มีโคมตลอดเลยว่าจะเดินซ้ายกี่องศา ขวากี่องศา จะได้สะดุดมันน้อยหน่อย โลกใบนี้มันมืดมาก มันเดินไม่ไหวหรอก ถ้าเราไม่มีโคม เราก็เดินแบบคนหลับตา ทุกข์ตลอด เจ็บปวดตลอด แต่ถ้ามีโคมมันชนไหม? ชน บางทีเราไม่เชื่อ เขาบอกเราอย่างนี้ เราทดลองดูอย่างนี้ มันคุ้นๆ เคยเดินอย่างนี้ เที่ยวนี้เดินไป เจอก้อนหิน เจอตะปู จำไว้ให้ดี อย่าเดินตรงนี้อีก อันใหม่แล้ว ให้เดินทางนี้ 40 องศา เอียงซ้ายนิดหนึ่ง ขวานิดหนึ่ง โอเค ผ่านพ้น ไม่เจ็บ มันเคยชิน ขอลองสักที ลองไปทีไร มันเจ็บทุกที พอเจ็บนานๆ ชักชิน นี่แหละ คือการมองทะลุในโลกวิญญาณ มองไปที่เบื้องบน มันก็ค่อยๆ ฝึกฝนไปทีละนิดๆ มันก็จะเดินถูกมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทุกข์น้อยลงเรื่อยๆ  ถูกน้อยลงเรื่อยๆ ก็บาดเจ็บมากขึ้น มันก็ทุกข์มาก จะเอาอย่างไร? นี่พระคัมภีร์ พระเจ้าสอนเราหมด เพื่อจะให้เราเชื่อพระเจ้า แล้วก็เกิดใหม่ รอคอยวันเวลาในการไปอยู่บนสวรรค์อย่างเดียว แล้วพระเจ้าบอกตัวใครตัวมัน รออย่างเดียว ไม่ใช่ บอกเรา สอนเราว่าอะไรเหมาะสม อะไรดีงาม อะไรที่เราควรทำ และหัวใจในการที่จะสอนเรา อันดับแรก ก็คือการต้องผ่านตรงนี้ก่อน คือให้ความคิดของเราจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก ก็คือไม่ใช่ที่ตามองเห็น ตามองเห็น มันเป็นจริงเลย  แต่ในโลกวิญญาณเขาว่าอย่างไร? ตรงนั้นมากกว่า

เราจะมาทบทวนข้อพระคัมภีร์ที่เราเรียนรู้เรื่องนี้ โคโลสี 3:1-6 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย 5 เหตุฉะนั้น จงประหารโลกียวิสัยของท่าน คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความโสมม ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ 6 เนื่องด้วย สิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง”

 

นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หวังว่าทุกคนคงเข้าใจหมด นี่เป็นการทบทวนสั้นๆ เฉยๆ เห็นไหม? บอกว่าเราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์แล้ว เป็นขึ้นมาเมื่อไร? โน้น 2,000 ปีเราก็เป็นขึ้นมาแล้ว ในโลกวิญญาณ เขาบอกอย่างนี้ว่าเราเป็นพร้อมกับพระองค์ อย่างที่ผมบอก ไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีอนาคต ไม่มีวันเวลา สำหรับโลกวิญญาณ ใครมาเชื่อในพระเยซู ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมพระองค์ ณ เดี๋ยวนั้นแหละ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  แต่ในโลกวิญญาณ เป็นจริงๆ มันเป็นเดี๋ยวนี้ เป็นอยู่เลย

ผมนึกตรงนี้ได้ ยกตัวอย่างให้ท่านดู ตอนไปต่างประเทศ ได้เห็นภาพตรงนี้จริงๆ ว่าเมื่อเราคิดอะไรบางอย่าง ความเป็นจริง มันไม่เหมือนที่เรามองเห็น  ผมเคยไปนั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูง ประมาณ 300 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง รถมันวิ่งเร็วมาก จนเรามีความรู้สึกว่าเรานั่งเฉยๆ ถ้าเผื่อช้ากว่านี้ เราอาจจะรู้สึกว่าเรากำลังวิ่งอยู่ เรากำลังนั่งอยู่ นี่มันเร็วมาก จนกระทั่ง เรารู้สึกเหมือนกับเราผ่านไป เหมือนเราลอยๆ มันเร็วมาก มันนิ่งมาก จนกระทั่ง แก้วน้ำบนโต๊ะไม่สะเทือนเลย น้ำที่อยู่ในนั้นไม่ขยับ มันอยู่นิ่งเลย ผมก็มองดู ถ้าแก้วน้ำพูดได้ หรือขวดน้ำพูดได้ มันไม่ได้เดินทางอะไรเลย มันอยู่เฉยๆ แต่ในขณะเดียวกัน เรารู้อยู่ว่าเรานั่งอยู่ที่ไหน?  เรามองดูอยู่ รถไฟฟ้ากำลังพาแก้วน้ำวิ่งด้วยความเร็ว 300 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามภาษามนุษย์ มันเร็วมาก แต่มองดูแล้ว สำหรับแก้วน้ำ แก้วน้ำบอก …

“ฉันไม่ได้ไปไหนเลย ฉันอยู่ที่เดิม ฉันไม่ได้ขยับขาเลยแม้แต่นิดหนึ่ง”

มันก็จริง ผมก็ไม่ได้ขยับอะไรเลย แต่มันกำลังวิ่ง เร็วมาก รู้เรื่องไหมเนี้ย ผมยังไม่รู้เรื่องเลยเล่าอะไรให้ท่านฟัง แต่อยากจะบอกว่าอะไรบางอย่าง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  แต่พระคัมภีร์บอก เราก็เชื่อฟัง บางอย่าง นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบไปไม่ถึง แต่เรารู้ เราเชื่อฟังพระเจ้า เป็นหลักการ ถ้อยคำพระเจ้าในนี้ บอกว่าในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระเยซูแล้ว เป็นขึ้นอะไรล่ะ ฉันเพิ่งจะเกิด พระเยซูเป็นขึ้นใหม่ตั้ง 2,000 ปีผ่านไปแล้ว นี่ปัญญามนุษย์จะคิดอย่างนั้น

ฝ่ายโลก คือฝ่ายปัญญาของโลก บอกเป็นไปได้อย่างไร? ฉันเพิ่งจะเกิดมา ไม่ถึง 80 ปี แล้วพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ตั้ง 2,000 ปี ในนี้บอกว่าเมื่อทรงให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับพระเยซู ร่วมกับพระเยซูเลย พระเยซูเป็น เราเป็นด้วย เป็นอย่างไร? ฉันยังไม่เกิดเลย เห็นไหม? เราก็เชื่อตามนั้นว่าเราเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ก็จงให้จิตใจท่านจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ที่พระคริสต์ประทับอยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก อันนี้ชัดเลย

จดจ่อสิ่งเบื้องบน คืออะไร?  สิ่งที่เบื้องบน ที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน มีสิทธิทั้งหมดอยู่กับพระเจ้า ทั้งสิ้น ให้เราจดจ่ออยู่ตรงนั้น  เพราะว่าเรานั่งกับพระองค์แล้วตรงนั้น เรามองไป เพ่งไป เราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย มันก็ยากนะ แต่เชื่อไปเรื่อย ตามถ้อยคำพระเจ้าไปเรื่อยๆ คิดอยู่เรื่อยๆ มันก็จะเป็นจริง เป็นจังขึ้นมา เหมือนถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือฮีบรู บทที่ 11 บอกว่าความเชื่อ คือร่องรอยหลักฐาน และสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ในสิ่งที่มองไม่เห็น งงไหม? พูดง่ายๆ ว่าพอเราคิดไปเรื่อยๆ และเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าไปเรื่อยๆ ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ทำให้สิ่งที่มองไม่เห็นในโลกวิญญาณ มันกลายเป็นสิ่งที่มองเห็น จับต้องได้ทันที มีร่องรอยหลักฐานว่าใช่ ตรงนี้มีหนังสือเล่มหนึ่งสีดำ เห็นชัด อย่างนี้ไม่ต้องใช้ความเชื่อ

“ตรงนี้ในพระคริสต์ ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์สถานแล้วตอนนี้”

เห็นไหม? จับต้องได้ไหม? มีหลักฐานไหม? ไม่มี แต่ผมเชื่อ เพราะว่าพระวิญญาณสถิตอยู่กับผม และสอนผมให้เชื่อว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง พอผมเชื่อปุ๊บ เรานั่งอยู่ที่นี่ พระเยซูยิ้มหน่อย เราก็ยิ้ม โอเค อยู่ด้วยกันนะ เป็นหนึ่งเดียวกัน สำหรับในฝ่ายโลก เขาบอกคนนี้บ้า แต่ทางเราเรียกว่าความเชื่อ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า นี่คือความจริง เราบอกว่าฮาเลลูยา ไม่ใช่บ้า จะเอาอะไรล่ะ จะเอาโลก หรือจะเอาเบื้องบน จะเอาโลก หรือเอาทางฝ่ายวิญญาณทางพระเจ้า  มันไม่สามารถมาผสมกันได้  คุณต้องเอาอย่างหนึ่ง ถ้าคุณคิดว่าคุณเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า คุณไม่มีทางคุยกับผู้คนบนโลกใบนี้รู้เรื่องหรอก มันไม่รู้เรื่องแน่นอน คุณเตรียมตัวไว้เลย เป็นศัตรูกันแน่นอน เพราะถ้าคุณเชื่อ แสดงว่าคุณอยู่ในทางพระเจ้า อยู่ฝ่ายพระเจ้า พระเจ้ากับความมืดจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? คนละขั้วกันอยู่แล้ว เอเมน นี่คือสิ่งที่เอามาเสริมกับสัปดาห์ที่แล้ว

สัปดาห์ที่แล้ว ที่ข้อ 5, 6 บอกว่า “5 เหตุฉะนั้น จงประหารโลกียวิสัยของท่าน คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความโสมม ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ 6 เนื่องด้วย สิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง”

ตรงนี้ที่ผมบอกว่าอยู่เฉยๆ หมายถึงความบาป ที่ก่อให้เกิดการกระทำสิ่งที่ชั่วร้าย มันไม่ใช่มีแค่ 1, 2, 3, 4, 5 อย่างเท่านั้น มันรวมถึงความโกรธ ความเกลียด ความอาฆาต ความชั่วร้ายต่างๆ ทุกอย่าง  ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ ทำไมเขาใช้คำนี้ว่า “ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ” เขาเปรียบเทียบกับคนยิวในสมัยนั้น คนยิวจะรู้ทันทีเลย เชื่อพระเจ้ากับรูปเคารพ หมายถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ บูชารูปเคารพ คืออยู่คนละขั้วกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า จะเจอพระพิโรธของพระเจ้า เพราะว่าอยู่คนละขั้วกัน เข้ากันไม่ได้ คนจะรู้ทันทีว่าเป็นการบูชารูปเคารพ คือพระเจ้ารังเกียจ ถามว่าอยู่ดีๆ พระเจ้าไปรังเกียจคนเหรอ ไม่ใช่ มันเข้ากันไม่ได้ เวลาอ่านพระคัมภีร์ พระเจ้าลงโทษ พระเจ้าพิโรธ พระเจ้ารังเกียจ ให้จำไว้เลยว่าเป็นธรรมชาติของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ปราศจากบาป ไม่สามารถเข้ากับความสกปรกได้เลย แม้แต่นิดเดียว เป็นธรรมชาติ มีนิสัยเกลียด ไม่ใช่ เข้าใจนะ ครั้งที่แล้วเรายกตัวอย่างไฟฟ้าแรงสูง ใช่ไหม? ถ้าคนไม่มีชนวนเอามือเปล่าๆ ไปจับ ไฟฟ้ามันก็วิ่งมาสู่เรา จริงๆ ไฟฟ้าไม่ได้เกลียดเราหรอก แต่เราไม่รู้เรื่อง อะไรประมาณนั้นแหละ

คราวนี้ เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง อย่างที่บอกว่ากำลังพูดถึงคนที่ไม่เชื่อ อยู่ในรูปเคารพอย่างนี้  มิได้หมายถึงคนที่ไม่ได้เชื่อ ต้องไปไหว้รูปเคารพ ไม่ใช่ อันนั้น เป็นเงา เป็นตัวสำแดงให้เราเห็นว่าในอดีต ก่อนพระเยซูจะเป็นขึ้นจากความตาย มันเป็นอย่างนั้น เป็นภาพรางๆ พระเจ้าวาดให้เห็นว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้ารังเกียจ มันอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ปัจจุบันไม่ต้อง ไหว้รูปเคารพ คือการไม่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ไม่เชื่อพระเยซู นี่ไหว้รูปเคารพแล้ว ไม่เชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ไถ่บาป ไม่ต้องเอาอะไรมาไหว้เลย ก็เป็นคนไหว้รูปเคารพแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น โปรดเข้าใจ

และถ้ายังเป็นอย่างนั้นอยู่เกิดอะไรขึ้น เมื่อไม่เชื่อในพระเยซู พระพิโรธของพระเจ้า ก็มาถึง หนังสือยอห์น 3:16 ก็เขียนไว้ว่าพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก  คือรักมนุษย์ยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา คือพระเยซูคริสต์ เพื่อผู้คนเหล่านั้น มนุษย์เหล่านั้น ที่เชื่อวางใจในพระเยซู จะไม่พินาศ และได้รับชีวิตนิรันดร์ ก็ได้ไปอยู่ในสวรรค์

และข้อต่อมา บอกว่าพระเยซูไม่ได้มา เพื่อตัดสิน เพราะว่าเขาอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว แต่พระเยซูมา เพื่อเป็นพระผู้ช่วย ไม่ใช่พระผู้พิพากษา พระองค์มา เพื่อช่วยให้รอด พระองค์ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อมาช่วยคนที่อยู่ในความพินาศ ให้ได้รับความรอด เห็นไหม? มันต่างกันเยอะเลย  เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เชื่อในพระเยซู ก็อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว อยู่ในการไหว้รูปเคารพอยู่แล้ว  มันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้หมายถึงการกระทำ

วันนี้เรามาต่อข้อ 7 …

โคโลสี 3:7-9 “7 ครั้งหนึ่ง ท่านเคยดำเนินชีวิตในทางเหล่านี้ 8 แต่บัดนี้ ท่านจงกำจัดสิ่งทั้งปวงต่อไปนี้ ให้หมดจากตัวท่าน คือความโกรธ ความเกรี้ยวกราด การคิดปองร้าย การกล่าวร้าย และวาจาหยาบช้า จากปากของท่าน 9 อย่าโกหกกัน ในเมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่าๆ พร้อมกับความประพฤติเดิมๆ แล้ว”

 

“ครั้งหนึ่ง ท่านเคยดำเนินชีวิตในทางเหล่านี้ แต่บัดนี้ ท่านจงกำจัดสิ่งทั้งปวงต่อไปนี้ ให้หมดจากตัวท่าน”

ก็คือเมื่อก่อนนี้ เมื่อสมัยที่ท่านยังไม่ได้ตายกับพระคริสต์ ก็คือตอนสมัยที่ท่านยังไม่เชื่อ หรือไม่รู้ว่าพระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์มา เพื่อเป็นหัวหน้ามนุษย์ มาช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาป ท่านยังไม่เชื่อ ตอนนั้นท่านเคยดำเนินชีวิตอยู่กับสิ่งสกปรกเหล่านั้น ก็คือวิญญาณท่าน มันสกปรก วิญญาณเต็มไปด้วยความบาป เนเจอร์ ธรรมชาติในวิญญาณ เป็นความบาป เป็นนะ ไม่ใช่มีความบาป … มีความบาป นั่นเป็นผลจากการเป็นนั่นแหละ เพราะวิญญาณข้างใน ใจข้างใน เป็นใจบาป ตรงกันข้ามกับเนเจอร์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น เลยออกมาทำบาปข้างนอก เช่น มีความโกรธ มีความเกรี้ยวกราด คิดปองร้าย มีการกล่าวร้าย และพูดจาหยาบช้า การโกหก แต่ตอนนี้ ท่านรับเชื่อแล้ว พระเจ้าประทานวิญญาณใหม่ และใจใหม่ให้กับท่านเรียบร้อยไปแล้ว

“ใช่ๆ ฉันจะรับสิทธิของฉัน ฉันจะรับผลประโยชน์ที่พระเยซูทำให้กับฉัน ที่ไม้กางเขน … (นี่เขาเรียกกลับใจใหม่) … ตอนนี้ ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  มีวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซู เหมือนพระเจ้าเลย”

พระคัมภีร์พูดอย่างนั้นเลยนะ ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ที่เอาพระคัมภีร์ให้ท่านดู เพราะฉะนั้น ก็จงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับการเป็นลูกพระเจ้าหน่อยสิ แค่นี้เอง ตะกี้นี้บอกว่าเราได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูอย่างไร? ขอบคุณพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับเบื้องบน

ตอนนี้มาบอกว่าเราเกิดใหม่แล้วนะ วิญญาณเรา เนเจอร์ข้างใน ธรรมชาติข้างใน สันดานเป็นใหม่หมด เพราะฉะนั้น การกระทำข้างนอก ให้มันเป็นไปด้วยกันกับข้างในหน่อย อย่าให้มันฝืนมากนัก อะไรต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าต้องการให้เราได้เห็นภาพตรงนี้ จริงๆ ว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

โคโลสี 3:10 “ในเมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่าๆ พร้อมกับความประพฤติเดิมๆ แล้ว และสวมตัวตนใหม่ ซึ่งกำลังทรงสร้างขึ้นใหม่ ตามพระฉายขององค์พระผู้สร้าง ขณะที่ท่านเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น”

 

ในเมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่าๆ สลัดไปแล้ว เมื่อตอนที่ท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วท่านรับเชื่อ ท่านได้ประหารตัวเก่าไปแล้ว คือสลัดทิ้งตัวเก่า สิ่งทั้งหมดนี้ กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อหนังร่างกาย แล้วสวมตัวตนใหม่ ซึ่งกำลังทรงสร้างขึ้น มองไปก็หน้าเดิมทั้งนั้น ไม่เห็นตัวตนใหม่เลย แล้วในนี้บอกตัวตนใหม่ เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน ผมเห็นทุกคนก็แก่ลงทุกวัน ไม่เห็นมีใหม่ขึ้นเลย มีแต่เก่าลงๆ แก่ลง เพราะกำลังพูดถึงโลกวิญญาณ จงให้ใจจดจ่อ ความคิดไปที่เบื้องบน ในโลกวิญญาณ  มันจะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตัววิญญาณของเรา ที่เรามองไม่เห็น มันเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน เหมือนพระฉายขององค์พระผู้สร้าง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ตัวตนเก่าที่เต็มไปด้วยความบาป ความชั่วร้าย เต็มไปด้วยความประพฤติเดิมๆ ได้ถูกประหารเรียบร้อยไปแล้ว โดยผ่านความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน มนุษย์ทุกคน ก็มีสิทธิ์ตายพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขนด้วย เอเมน

ตายอย่างไร? ถูกประหารอย่างไร? คราวนี้เอาแบบสายตามนุษย์ก็ได้ แบบที่ตามองเห็นบ้าง? เช่น แต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะรับเชื่อ วิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งความเกลียดชัง วิญญาณแห่งการฆ่าทำลาย วิญญาณของมาร เราไม่มีวิญญาณแห่งความรักเลย แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้า  เรามีพระฉายพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า เราเป็นวิญญาณแห่งความรัก แต่ก่อนนี้เราไม่ได้เป็นวิญญาณแห่งความรัก เราเป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับความรัก จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เช่น ขี้ทั้งหลาย เป็นคนขี้อิจฉา ไม่เคยกระทำคุณให้ใคร? เป็นคนไม่รักใคร? เป็นคนอวดตัว หยิ่งผยอง พูดง่ายๆ ตรงกันข้ามกับ 1 โครินธ์ 13:4 …

“ความรักก็อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย”

แต่ก่อนนี้ เราเป็นความเกลียดชัง ไม่อดทนนาน ไม่กระทำคุณให้ อิจฉา อวดตัว หยิ่งผยอง แต่ตอนนี้เราประหารตัวตนเก่านี้ทิ้งไปแล้ว ตัวตนที่มันอิจฉาริษยาเขา น้อยใจเขา โกงเขา  เอาเปรียบเขา เห็นแก่ตัว ทนไม่ได้ โมโหง่าย ตัวนี้มันตายไปแล้ว มันได้ถูกประหารทิ้งไปแล้ว แล้วเราได้รับวิญญาณใหม่ หรือตัวตนใหม่เข้ามาแล้ว ตัวตนใหม่ของเรา เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก อดทนนาน เหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย อินโนเซ้นต์กับเรื่องของความบาปเลย ไม่รู้เลย ความบาป เหมือนที่อาดัมและเอวาถูกสร้างขึ้นมาใหม่  สมัยที่ยังไม่ล้มลงไปในความบาป แก้ผ้ายังไม่รู้เลย ต้องอายใคร? มันอินโนเซ้นต์ในความบาป ท่านเข้าใจไหม? เราก็ไม่เข้าใจหรอก พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เราก็ว่าตามนั้น ผมก็ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าผมพูด แล้วผมเข้าใจ นี่ผมพูดตามถ้อยคำพระเจ้า ตัวตนใหม่ของเรา เป็นเหมือนพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก

“ฉันเป็นวิญญาณ วิญญาณฉันเป็นความรัก วิญญาณฉันเป็นความสว่าง วิญญาณฉันสะอาดบริสุทธิ์ ไร้บาป อินโนเซ้นต์ต่อบาปทั้งปวง”

นี่ตัวตนเราจริงๆ เป็นอย่างนี้ มองทะลุให้เห็น ใครที่ชอบหงุดหงิดยกมือขึ้น พูดอย่างนี้แล้วหายหงุดหงิดไหม? ไม่หายหรอก มันอาจจะค่อยๆ หาย แต่มันไม่หายไปหมดหรอก ถามว่าตัวหงุดหงิด ใครหงุดหงิด ตัวจริงๆ ท่านหงุดหงิดไหม? ไม่เลย เห็นหรือยัง?

ใครชอบขี้โกรธบ้าง อารมณ์เสียๆ ตะกี้ที่บอกว่า … “วิญญาณฉันเป็นความรัก วิญญาณฉันบริสุทธิ์” พูดด้วยจริงใจหรือเปล่า? จริงใจ เพราะฉันรู้ว่านั่นคือวิญญาณของฉัน แต่ที่ฉันหงุดหงิด มันอยู่ในร่างกายนี้ เราค่อยว่ากันไปเรื่อยๆ ว่าจะสู้กับมันอย่างไร?

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงเตือนว่าจงฝึกฝน ประพฤติตัว ภายนอก ให้เป็นไปกับตัวแท้จริงข้างในของเรา ข้างในเรามีธรรมชาติอย่างนี้ แล้วเราจะไปทำทำไม? วิญญาณเราเป็นความรัก แล้วเราไปโกรธ มันไม่น่าดูเลย แค่นั้นเอง แล้วถามว่าเราทำได้ครบไหมตอนนี้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเป็นไปไม่ได้ พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา ช่วยเราทางวิญญาณ ที่เป็นตัวจริงๆ ของเรา  ให้มันสะอาดหมดจด ผุดผ่องไปเลย แต่ยังไงก็ตาม ถ้าเราทำตามถ้อยคำพระเจ้า เราจะมีความสุขมากขึ้น มันจะค่อยๆ เปลี่ยนนิสัยเราข้างนอก ถ้าเราจดจ่ออยู่ที่มัน ไม่ใช่จดจ่อฝ่ายโลก คือวันนี้ชอบหงุดหงิด แล้วคนมาเตือน แทนที่จะเราเป็นวิญญาณแห่งความรัก ค่อยๆ ฝึกฝน มองไปที่โลกวิญญาณ ในเบื้องบน เราเป็นวิญญาณแห่งความรัก เราควรจะฝึกฝนตนเอง ให้อภัยและอดทนนานขึ้น เปล่า กลับไปจดจ่อฝ่ายโลก ให้อภัยได้อย่างไร 30 ครั้งแล้ว มัวแต่จดจ่อที่ฝ่ายโลก มันก็ไม่มีวันที่จะดีขึ้น แต่ถ้าฝ่ายวิญญาณ มันไม่มีข้อยุติเลยว่าจะเถียงอะไรกับพระเจ้า เพราะว่ามันเป็นเนเจอร์ เป็นธรรมชาติ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราต้องจดจ่ออยู่ที่ธรรมชาติ ไม่อย่างนั้น เราก็จะปกป้องตัวเราเอง ไม่ได้ บางคนก็บอกไม่ได้  อย่างนี้ต้องปกป้องศักดิ์ศรี … ศักดิ์ศรีอะไร? ศักดิ์ศรีฝ่ายโลก ไม่ใช่ศักดิ์ศรีฝ่ายพระเจ้า … ศักดิ์ศรีของพระเจ้าใหญ่กว่าตั้งเยอะ ศักดิ์ศรีฝ่ายพระเจ้า ก็คือเราเป็นลูกพระเจ้า แต่ศักดิ์ศรีฝ่ายโลก เขากล่าวหาเรา เราไม่ได้เป็นจริงตามนั้น บอกทุกคนว่าฉันไม่ได้เป็น เรากำลังอยู่บนเวทีโลก กำลังป้องกันตัวเอง แบบโลก เราถูกล่อไปแล้ว ถ้าเราไม่สนใจ เรามองไปที่โลกวิญญาณอย่างเดียว  เราก็จะสงบ เห็นไหม? ความทุกข์ก็จะน้อย ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา ก็จะน้อยลง นี่คือความสุขที่พระเจ้าสามารถให้เราได้ โดยแค่เราเราจดจ่อที่เบื้องบน จดจ่อที่โลกวิญญาณ มันจะไม่เหมือนกับฝ่ายโลก แล้วถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยๆ นิสัยข้างนอก เราก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากคนที่หงุดหงิดมากๆ ก็หงุดหงิดน้อยลง จากคนที่ไม่ค่อยให้อภัยใคร ก็สามารถให้อภัยได้ จากคนที่ทนอะไรไม่ค่อยได้ ก็สามารถทนได้มากขึ้น นี่แหละ คือความสุข

เราถูกรับตัวจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ตัวตนที่แท้จริงของเรา เปลี่ยนไปแล้ว จากลูกสมุนแห่งความชั่วร้าย คือมาร กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในบ้านพระเจ้า แล้วเรายังจะคงทำตัวเหมือนเดิมอีกหรือ? เรามีวิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณที่เรียกว่าวิญญาณแห่งความรัก พระวิญญาณก็จะค่อยๆ สอนเรา ให้ประพฤติปฏิบัติตัวภายนอก ให้มันสอดคล้องกับภายใน ให้มันเป็นความรักด้วย มันจะไม่ได้ 100% หรอก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย แต่เป็นประโยชน์ มันทำให้ชีวิตเราดีขึ้น บนโลกใบนี้ ทำให้ท่านมีความสุขมากขึ้น มีสันติสุขมากขึ้นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพระองค์เลย บางคนบอก เพื่อจะได้ถวายเกียรติพระองค์ พระองค์บอก ..

“ไม่ใช่ อันนั้นถวายเกียรติ เดี๋ยวฉันทำเองได้ ฉันห่วงเธอมากกว่า ฉันอยากให้เธอมีความสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฉันจะใช้เธอเป็นตัวอย่าง เป็นคำพยานในชีวิตต่อไป” อย่างนี้มากกว่า

ความรักตามพระคัมภีร์ คืออดทนนาน กระทำคุณให้ มีเมตตา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดี เมื่อประพฤติชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ อดทนบากบั่นอยู่เสมอ วันนี้ยังทำไม่ได้ ไม่เป็นไร ก็ค่อยๆ ฝึกฝนไป พระวิญญาณก็จะนำพาเราไปทีละนิดทีละหน่อย ได้มากเท่าไรก็เป็นประโยชน์ต่อตัวเองมากเท่านั้น  ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่ออะไรอย่างอื่นเลย นึกถึงเวลาเราเลี้ยงลูก เราอยากให้ลูกมีความสุข เพราะเราจะมีความสุขหรือ? เปล่า เราคิดอย่างเดียว ให้เขา เขาจะได้ดีๆ ใช่ไหม? มีใครมานั่งเลี้ยงลูก เขาจะได้มาเลี้ยงเรา  อันนั้นมันลงทุนแล้ว ใช่ไหม?

นี่คือความหมายที่บอกว่า “จงสวมตัวตนใหม่ ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นใหม่ ตามพระฉายของพระองค์ ในขณะที่ท่านเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น”

นี่คือความหมายรวม สวมตัวตนใหม่ ก็คือฝึกฝน ทำตามที่ธรรมชาติในวิญญาณของเรา ที่เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ธรรมชาติวิญญาณของเราที่เป็นแบบสวรรค์ เป็นของสวรรค์ ไม่ได้เป็นฝ่ายโลก พระคัมภีร์จึงเตือนย้ำให้เราจดจ่อไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องบน คือสวรรค์ มันก็จะเป็นผลดีต่อตัวเราก่อนเลย ในระหว่างที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เพราะจะทำให้เราได้เห็นความชัดเจนเลยทีเดียวว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันไม่ได้จีรังยั่งยืนเลย แต่ที่ยั่งยืนถาวรนั้น คือในสวรรค์ ในโลกวิญญาณต่างหาก พระเจ้ากำลังพาเรามาถูกทางแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น และถ้าเราไปยึดติดอยู่กับอะไรที่เกี่ยวกับโลกใบนี้อยู่ วันหนึ่งก็จะมีการเปลี่ยนแปลง สูญสิ้นไป ดับสูญไป แล้วชีวิตเราก็จะไม่มีวันที่จะพบกับความสงบสุข สันติสุขได้เลย เพราะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย แต่ถ้าเรามองไปในสิ่งที่อยู่เบื้องบน สิ่งที่ตามองไม่เห็น แต่เรามีความหวังใจอยู่ตรงโน้น และความหวังใจตรงนั้น มันไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันนิ่งเลย มันถาวรนิรันดร์ แล้วมันก็เป็นของเราจริงๆ ด้วย แค่พูดแค่นี้ ท่านคิดดู ท่านจะมีความสุขขนาดไหน? ถ้าใครจดจ่ออย่างนั้นได้ ตลอด 24 ชั่วโมง มันจะมีความสุขมาก จดจ่อได้แค่ 1 ชั่วโมง ก็จะมีความทุกข์อยู่อีก 23 ชั่วโมง ท่านไปคิดคำนวณดูแล้วกัน 2 โครินธ์ บทที่ 4 เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งสอดคล้องกัน เรื่องเกี่ยวกับการจดจ่อ ชัดเจนมากเลยว่ามันเกิดประโยชน์อะไรกับชีวิตของเรา

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรา กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา  ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์  ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้นไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

นี่คือความหมายที่บอกว่าการจดจ่อความคิดของเราไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องบน จะเป็นผลดีต่อตัวเราเอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะจะทำให้เราไม่ท้อใจ ไม่กังวล ไม่กลัว ไม่เครียด ท่านคิดว่าชีวิตคนเราที่มีความทุกข์เกิดจากอะไร?

ต้นเหตุที่แท้จริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่ทำให้เกิดทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ปัญหานั้นๆ แต่อยู่ที่ … ในพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 10:3-5 บอกว่าเพราะศาสตราอาวุธของเรา ผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่เป็นวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ แต่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ ที่จะทำลายป้อมปราการ ข้อต่อมาบอกว่าจงจับความคิดทั้งหมด ให้มันเชื่อฟังต่อพระคริสต์ ต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด ความทุกข์ทั้งหมด มันอยู่ที่ความคิด ถ้าคิดถูกมันก็มีสุข ถ้าคิดไม่ถูก ก็มีทุกข์  คิดไม่ถูกยิ่งหนักใหญ่ หนักเข้าไปเรื่อยๆ ความท้อใจ ความกังวล ความกลัว วันนี้ไม่มีเงิน เป็นทุกข์ เพราะกลัวจะไม่มีกิน ถูกไหม? ใช่ความคิดไหม?

ฟังให้ดี วันนี้ไม่มีเงิน ก็เป็นทุกข์ เพราะกลัวจะไม่มีกิน  กลัว คือคิดกลัวแล้ว

วันนี้มีเงินเยอะ ก็เป็นทุกข์ เพราะกลัวว่าเงินมันจะหมด  มันจะลดลง เพราะกลัวว่าใครจะมาขโมยไป หรือกลัวว่าที่มีอยู่มันไม่พอ เดี๋ยวมันไม่พอ จะทำอย่างไร?

วันนี้เจ็บป่วย ก็ท้อใจ กลัวเจ็บมากขึ้น กลัวตาย

วันนี้มีปัญหาเรื่องงาน ก็ทุกข์ เพราะกังวลว่าเดี๋ยวจะตกงานหรือเปล่า? ตอนนี้ทำงานอยู่นะ แต่ไปคิดล่วงหน้าว่าพรุ่งนี้เขาจะไล่เราออก

อย่างนี้เป็นต้น นี่คือผลของการจดจ่ออยู่กับสิ่งฝ่ายโลก คือสิ่งที่ตามองเห็น จับต้องได้ ซึ่งจะทำให้เราเป็นทุกข์แน่นอน เพียงแต่จะทุกข์มาก หรือทุกข์น้อยเท่านั้น แต่ถ้าเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ในโลกวิญญาณ ความกลัว กังวล ความท้อใจ ก็น้อยลง ความทุกข์ก็จะน้อยลงไป สันติสุข ความสุขมันก็เข้ามาแทนที่ได้มากขึ้น จะบอกว่าสุขเลยนะ ไม่ใช่สันติสุขอย่างเดียว  นี่แหละ คือที่เรียกว่าเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง พระเจ้าต้องการให้เราได้รับอย่างนี้ มันไม่ง่าย แต่มันก็ไม่ยาก เพราะว่ามีแสงสว่างให้เราเดิน

ไม่กลัวความลำบากอีกแล้ว แม้ว่ากายภายนอกของเราจะทรุดโทรมไป แม้ว่า … ก็แสดงว่าต่อให้มันเป็น  ฉันก็ไม่ท้อใจ

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่กลัว

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่กังวล

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่เครียด

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่ซึมเศร้า

ถึงแม้ว่ากายภายนอก นี่พูดถึงกายจริงๆ แล้วนะ มันจะทรุดโทรมลงไปทุกวันๆ แก่แล้ว เหี่ยวแล้ว มันเดินทางไปสู่ความตาย ตามธรรมชาติของมัน ซึ่งมันต้องตาย เพราะบาป แต่ถ้าเราจดจ่อ จดจ้องไปที่โลกวิญญาณ และเรารู้ว่าวิญญาณข้างในเราเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน มันก็จะมีความสุข มีชีวิตที่เป็นสุขบนโลกใบนี้ เพราะความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันเปรียบอะไรไม่ได้เลยกับศักดิ์ศรีถาวรนิรันดร์ ที่เราได้รับจากพระเจ้าในโลกวิญญาณ ถ้าเราเปรียบตรงนี้มันจะเห็นชัด มันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้ จดจ่อได้มาก ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้มาก จดจ่อได้น้อย ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้น้อย ต้องจดจ่อ เอาเรื่องนี้ ไปท่องทุกวัน ตามที่ผมเคยแนะนำไปครั้งที่แล้ว ให้ใช้การใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้า

อย่างถ้อยคำนี้ “เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่ท้อถอย ไม่ท้อแท้ แม้ว่าตอนนี้เป็นไมเกรนอยู่ แม้ว่าตอนนี้แก่แล้ว เดินไม่ไหว แม้ว่าตอนนี้ เป็นโรคภูมิแพ้ รักษาไม่หาย แม้ว่าตอนนี้เป็นอะไรก็แล้วแต่ ทุกข์ยากลำบากเหลือเกิน เดี๋ยวก็โน่น เดี๋ยวก็นี่ กำลังทรุดโทรมไป แต่ว่าวิญญาณใหม่ข้างใน ที่ฉันได้รับจากพระเจ้า วิญญาณใหม่ที่เหมือนพระเยซู ใจใหม่ที่สะอาด บริสุทธิ์ ที่อยู่กับพระเจ้าแล้ว มันกำลังเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันๆ เพราะฉันเห็นแล้วว่าความทุกข์ลำบากในร่างกายที่เจ็บป่วย เดินเหินลำบาก มันเพียงชั่วคราว เดี๋ยวไม่กี่ปี มันก็ต้องจบ แต่ศักดิ์ศรีถาวรนิรันดร์ที่ฉันจะได้รับในโลกวิญญาณ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน และพระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ให้กับฉัน ที่ไม่ต้องมีน้ำตาอีกต่อไป ไม่ต้องมีความทุกข์อีกต่อไป ไม่ต้องเป็นไมเกรนอีกต่อไป ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป นั่นถาวรนิรันดร์เลย  อีกไม่นาน ก็จะได้รับแล้ว”

แบบนี้มีกำลังขึ้นมาเยอะเลย “ฉันไม่ต้องหาเช้ากินค่ำ ลำบากลำบนต่างๆ ทุกวันเหนื่อยเหลือเกิน แต่มีวันหยุด มีวันสิ้นสุด แต่สิ่งที่ฉันหวังไว้ในชีวิตนิรันดร์ มันไม่มีสิ้นสุด ฉันจะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์ ร่างกายใหม่ฉันจะอยู่อย่างนั้นนิรันดร์ ไม่มีน้ำตา พระองค์จะเช็ดน้ำตาทุกหยด ไม่มีโรคอีกแล้ว ตลอดไป นิรันดร์”

ความหมายมันแปลอย่างนี้เมื่อเทียบกับความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ พรุ่งนี้จะต้องไปทำมาหากินเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เงินก็ไม่พอใช้ อะไรก็ว่ากันไป แต่มาเทียบกับชีวิตนิรันดร์ที่ฉันหวังไว้ มันขี้ประติ๋ว ก็ทำให้มีพลังอยู่ต่อ

และนี่คือน้ำพระทัยพระเจ้าที่ให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างมีสันติสุข มีความสุขที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับทุกคน พระเจ้าวางแผนไว้ให้เสร็จเรียบร้อย ผมจะจบลงที่ 1 เปโตร 1:3-4

“เราจึงสรรเสริญพระเจ้าตลอดเวลา ขอบคุณพระเจ้าตลอดเวลา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันไม่สามารถเทียบกับสิ่งที่ฉันได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับฉันในสวรรค์สถาน และสัญญาว่าจะให้ร่างกายใหม่กับฉันในสวรรค์สถาน ไม่มีอะไรเทียบแล้ว”

1 เปโตร 1:3-4 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์ เพื่อพวกท่าน”

 

พระเจ้าได้ทรงประทานของประทานทางฝ่ายวิญญาณ พระพรทางฝ่ายวิญญาณ นานัปการ ไม่มีวันหมดสิ้นเลยจริงๆ เยอะแยะไปเลย ให้กับเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู เรียบร้อยไปแล้ว จบหมดแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ ไม่ใช่โลกวัตถุนี้

ให้เราฝึกฝนใคร่ครวญถ้อยคำนี้ เพื่อเราจะได้รู้จริงๆ ว่าอะไร คือความจริงที่เรามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จับต้องไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ ให้พูดตามผมนะครับ

“เหตุฉะนั้น ฉันจะไม่ท้อใจ ไม่กังวล ไม่เครียด ไม่วิตก แม้ว่าร่างกายนี้ จะทรุดโทรมไปทุกวัน จะเจ็บปวด เจ็บป่วย แก่ลงทุกวัน แต่วิญญาณของฉัน วิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าได้ให้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และใจใหม่ที่ทรงประทานให้ ที่เป็นใจที่เหมือนพระเยซู บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า ที่ไร้มลทิน ไร้บาปทุกชนิด กำลังเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันและทุกวัน และฉันเห็นว่าความทุกข์ลำบาก ปัญหาต่างๆ ในการดำเนินชีวิตในร่างกายบนโลกใบนี้ ในขณะนี้ มันเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับศักดิ์ศรีถาวรนิรันดร์ ที่ฉันจะได้รับ จากพระเจ้า คือร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่ไม่ต้องเจ็บปวด เจ็บป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์เศร้าโศก ที่ทรงจดเตรียมไว้ให้กับฉันวันหนึ่งข้างหน้า และนี่คือความหวังใจของฉันที่จะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์นี้ ไม่ใช่ 100 ปี ไม่ใช่ 200 ปี และไม่ใช่ 1,000 ปี แต่จะมีความสุขอย่างนี้นิรันดร์ นี่คือความหวังใจของฉัน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอน 8.1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  กรกฎาคม  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน  ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอน 8.1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราเรียนรู้โลกวิญญาณ ความจริงในถ้อยคำพระเจ้ากันมามากเลยนะ จริงๆ อยากให้ทุกคน ถ้ามีโอกาสกลับไปฟังเยอะๆ การฟังบ่อยๆ มากๆ จดจ่อที่เรื่องโลกวิญญาณ ซึ่งไม่รู้จะไปหาที่ไหน มันมีแต่ความรู้บนโลกใบนี้ เกือบ 100% โลกวิญญาณไม่ค่อยมีใครพูดถึงเลย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้  ถ้าเราคิดว่าเราจะอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสงบ มีความสุขมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ มีความทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ต้องรู้เรื่องความจริงเหล่านี้ มันเหมือนแผนที่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งมันมีที่เดียว แล้วเรามั่นใจว่ามันเป็นความจริง เพราะว่าเป็นคำพูดของพระเยซูเอง เป็นคำพูดของพระเจ้าเอง และบันทึกในพระคัมภีร์ สามารถไปเปิดดู ค้นดู ค้นคว้าว่ามันใช่ไหม? มันถูกไหม? แล้วดูชีวิตของเรา มันเป็นจริงตามนั้นจริงๆ ไหม?

นี่แหละคือเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตที่มาเชื่อพระเจ้าแล้วจะถวายเกียรติพระเจ้า หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าการถวายเกียรติพระเจ้า ต้องทำอะไรเยอะแยะมากมายไปหมด แต่การถวายเกียรติพระเจ้า คือการได้รับรู้เรื่องจริงๆ ว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พูดง่ายๆ ว่ารู้ลึกซึ้งในเรื่องข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู และนำมาใช้ในชีวิตให้ถูกต้อง นั่นแหละ พระเจ้าได้รับเกียรติสูงสุด วันนี้ เราจะมาต่อ จริงๆ ก็ต่อทุกวัน ผมต่อมา 30 ปีแล้ว ก็ต่อเรื่องเดียวกันนั่นแหละ เรื่องพระคัมภีร์ เรื่องความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งลึกซึ้งเข้าไปเรื่อยๆ

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือเราจะต้องติดตามคำบรรยายสดใหม่เสมอๆ ไม่ใช่ไปติดอยู่ที่อันเก่า เมื่อ 2 ปีที่แล้ว 3 ปีที่แล้ว 10 ปีที่แล้ว 20 ปีที่แล้ว ไม่ใช่ แต่เราต้องติดตามใหม่ว่าสัปดาห์ที่แล้วพูดถึงอะไร? สัปดาห์ก่อนนี้ พูดถึงอะไร? วันนี้จะพูดถึงอะไร? มันจะต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ นี่คือการเรียนเรื่องโลกวิญญาณ หรือการเรียนพระคัมภีร์ที่ถูกต้อง เจริญเติบโตไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นจริงตามถ้อยคำพระเจ้า ถ้าเป็นพระเจ้าจริง มันจะมีมาใหม่เสมอ ในทุกๆ วันใหม่ เอเมน พระเจ้าจะบอก จะสอนเรา ถ้าเราสนใจ พระเยซูบอกว่า …

“จงเคาะแล้วจะเปิด จงหาแล้วจะพบ จงขอแล้วจะได้”

ในพระคัมภีร์ภาษาเดิม เขาจะพูดถึงรายละเอียดในคำนั้นมากกว่าภาษาไทยที่เราอ่านกัน ตรงนี้พระเยซูพูดอย่างนี้ว่า …

“จงขอและขออย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ แล้วท่านจะได้รับอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ จงเคาะแล้วเคาะต่อไปเรื่อยๆ แล้วมันจะถูกเปิดเรื่อยๆ จงหาและหาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะพบเรื่อยๆ และได้มาพบความจริงนั้นเรื่อยๆ นี่แหละ”

ไม่ใช่ รู้แล้ว รู้ข่าวประเสริฐ คืออะไร? จบ ก็ได้แล้วไง ได้แค่นั้น ก็จบอยู่แค่นั้น ไม่เจริญเติบโตต่อไป ก็ไม่เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ถ้าท่านรู้ความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูมากขึ้น ท่านก็จะถวายเกียรติต่อพระเจ้าได้มากขึ้น ถ้าท่านรู้ในเรื่องโลกวิญญาณมากขึ้น ท่านก็ทำให้พระเจ้าพอใจมากขึ้น พระเจ้าพอใจที่ชีวิตท่านมีความสุข มีสันติสุขมากยิ่งขึ้น หลายครั้งเราอธิษฐาน เราอยากขอให้หายป่วย พระเจ้าพยายามตอบเราๆ แต่เราจะได้รับพระพรนั้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความรู้ในโลกวิญญาณว่าเรารู้อะไรไหม? ถ้าเรามาฝังอยู่ในโลกวัตถุ ในโลกใบนี้ว่า …

“ฉันต้องหายๆ”

แล้วคิดดู ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างไร? ในเมื่อโลกนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น แล้วมันคืออะไรล่ะ? ก็แสวงหาในโลกวิญญาณว่าพระเจ้าตอบเราว่าอย่างไร? นี่แหละ พอท่านรู้ พระเจ้าก็ยิ้ม คำว่ายิ้มไม่ได้หมายถึงว่าท่านหายโรค หรือไม่หาย แต่ท่านมีสันติสุข มีความสุข สามารถเผชิญได้กับทุกสิ่ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ตามน้ำพระทัย เอเมน

เราเพิ่งจะเรียนรู้เรื่องซีรี่ย์ชุด “Tetelestai” จ่ายหมดแล้ว สำเร็จแล้ว ที่เป็นผลจากสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เราเรียนกันมา 7 ตอน

–  No Condemnation in Christ – ได้สำเร็จแล้ว

–  ได้สำเร็จแล้ว

–  สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์

–  สำเร็จแล้ว … ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว

–  สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่แล้ว

–  สำเร็จแล้ว … เราได้รับวิญญาณและความคิดจิตใจใหม่แล้ว

–  สำเร็จแล้ว … เราได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

เราได้เรียนในซีรี่ย์นี้ สิ่งที่บอกว่า “แล้วๆ” ทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ตามองไม่เห็นทั้งสิ้น จึงต้องมาเรียนรู้ จึงต้องมาเฝ้าดูบ่อยๆ เพราะมันไม่เห็น สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ แสวงหาพระองค์

วันนี้เราจะมาดูกันต่อว่าจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว พระคัมภีร์สอนให้เรานำมาใช้ หรือนำมายึดถือ ปฏิบัติตัวอย่างไร? ในระหว่างที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นโลกวัตถุ ที่ตามองเห็น จับต้องได้ จะอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น ความจริงในโลกวิญญาณที่พระเยซูสอนเราว่า “สำเร็จแล้ว” มันเกี่ยวเนื่องกับการดำเนินชีวิตของเราอย่างไร? เอามาใช้อย่างไร? ผมใช้หัวข้อเรื่องวันนี้ว่า “จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

จงให้ความคิดจิตใจของท่านจดจ่อ แปลว่าตั้งมั่นอยู่ที่เบื้องบน คือโลกวิญญาณ ไม่ใช่ฝ่ายโลก คือโลกวัตถุที่ตามองเห็นจับต้องได้ ไม่ใช่ แต่ในโลกวิญญาณ เราตายไปแล้วกับพระคริสต์ ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว ได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว ได้รับวิญญาณใหม่แล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่เราได้เรียนรู้กัน จากพระคัมภีร์ ตอนนี้ควรจะดูแลชีวิตอย่างไร? ควรดูแลตัวเองอย่างไรดี ควรจะระวังเรื่องอะไรในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เอาความจริงนั้นมาใช้อย่างไร? เป็นลูกพระเจ้า แล้วจะทำตัวอย่างไรในโลกใบนี้

พระคัมภีร์ในหนังสือโคโลสี บทที่ 3 จะเป็นบทสรุปของลักษณะวิสัย หรือธรรมชาติวิสัย ก็คือสันดานของผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว มีสันดานอย่างไร? มีธรรมชาติวิสัยในตัวเขาจริงๆ ในวิญญาณเขาจริงๆ อย่างไร? โลกวัตถุยังมีเหมือนเดิม อยู่บ้านเดิม กินข้าวเหมือนเดิม ทำอะไรเหมือนเดิม มีปัญหาอะไรต่างๆ ก็เหมือนเดิม แต่ในโลกวิญญาณ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันเปลี่ยนไป

โคโลสี 3:1-2 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

 

จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก ก็คือจงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลกที่มองเห็นได้ และจับต้องได้ ตรงนี้เป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดของการดำเนินชีวิตคริสเตียน หรือผู้เชื่อในข่าวดี เป็นกระดุมเม็ดแรกเลย ถ้ากลัดกระดุมเม็ดแรกนี้ผิด ต่อไปผิดหมดเลย เละเลย กระดุมเม็ดแรก คืออะไร ศูนย์รวมทางความคิดของผู้เชื่อทั้งหมด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ ให้มองทะลุว่าเรา ฉันอยู่เบื้องบน อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เบื้องบน คือที่มันดีกว่า ในโลกวิญญาณ ฉันอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ให้มองทะลุไปให้เห็นว่ากำลังเดินอยู่ กำลังนั่งอยู่ขณะนี้ ท่านนั่งอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ท่านนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เยอะแยะไปหมดเลย บ้านถาวรของเราอยู่ที่สวรรค์ อยู่ที่โลกวิญญาณนี้ พ่อถาวรของเรา คือพระเจ้า ทรัพย์สมบัติถาวรของเรา เก็บไว้ที่สวรรค์ ท่านจะเห็นภาพชัด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น ที่เรามี ที่เราเป็นบนโลกใบนี้ ล้วนเป็นของไม่เที่ยง ล้วนเป็นอนิจจัง ล้วนเป็นสิ่งชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าวันนี้ จะมั่งมี หรือยากจน มันก็แค่ชั่วคราว สุขภาพวันนี้จะแข็งแรงหรือเจ็บป่วย มันก็แค่ชั่วคราว ชีวิตวันนี้ จะสุขสบาย หรือทุกข์ลำบาก มันก็แค่ชั่วคราว ทุกสิ่งมันเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ที่เขาบอกว่าความแน่นอน คือความเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง มีขึ้น มีลง มีเกิดขึ้นและดับไป เกิดขึ้นแล้วหายไป เกิดขึ้นแล้วสิ้นไป

แต่สิ่งที่อยู่เบื้องบน คือในโลกวิญญาณ ทุกอย่างเป็นนิรันดร์ และมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป และถ้าศึกษาลึกเข้าไป ท่านจะเห็น แล้วว่ามันเป็นแค่นั้นไม่พอ มันเป็นเดี๋ยวนี้เลย ท่านอยู่ในนั้น เดี๋ยวนี้ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เข้าใจยาก แต่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ขอบคุณพระเจ้า เคยฟังเพลงนี้ไหม?

“สักวันแล้วมันก็จะผ่านไป ไม่มีเรื่องอะไรใหม่ เกิดขึ้นแล้ว ก็ผ่านไป

สักวันน้ำตาจะหยุดไหล สุขทุกข์ร้ายดีเท่าไร แค่ไหน ก็ผ่านไป”

นี่คือพระคัมภีร์บอกเรา  เพราะฉะนั้น เราควรจดจ่อตามที่พระคัมภีร์สอนเรา ให้เราฉลาด จดจ่อในอะไรก็ตามที่มันไม่เปลี่ยน ก็คือโลกวิญญาณ ในเบื้องบนนั่นเอง แล้วถ้าเรายึดทางความคิดได้แบบนี้ การดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้  การประพฤติปฏิบัติของเราบนโลกใบนี้ มันก็จะเปลี่ยนแปลงไปทันทีเลย มันขึ้นอยู่กับเราตั้งเป้าหมายในความคิด

โคโลสี 3:3-4 “3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เข้าใจยากมากเลย  เพราะท่านตายแล้ว เฮ้! ยังหายใจอยู่เลย บอกว่าตายได้อย่างไร?  เห็นได้ชัดไหม? ถ้าเราไม่เรียนรู้ ไม่เคาะต่อพระเจ้าว่าคืออะไร? เราก็จะไม่เอาแล้ว เพราะว่าท่านตายแล้ว ไม่ตายนิ ตายที่ไหน? ท่านรู้แล้ว ตายที่โลกวิญญาณ ตายเมื่อไร? ตายพร้อมกับพระคริสต์บนไม้กางเขน ทางวิญญาณ ตายอย่างไร? ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันเป็นความจริง รู้แต่ว่าพระคัมภีร์บอกว่าตัวเก่าของเราได้ตายไปแล้ว ก็คือวิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว บัดนี้ เราได้รับชีวิตใหม่ ทั้งวิญญาณ จิตใจใหม่หมด ที่วิญญาณของเรา

โรม 8:11 “และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย สถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้น โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ผู้สถิตในท่าน”

 

และวิญญาณจิตใจใหม่ของเรา  ที่พระเจ้าประทานให้ มีลักษณะเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูทุกประการเลย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  มีชีวิตที่ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า ซ่อนอยู่ แอบอยู่ เพราะมันมองไม่เห็น แต่อยู่ที่นั่น อยู่ในพระคริสต์ อยู่ร่วมกับพระเยซู อยู่ร่วมกับพระเจ้า

ข้อ 4 บอกว่า “เมื่อพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฎ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

ที่บอกว่าเมื่อพระคริสต์ผู้เป็นชีวิตของท่านปรากฏ คำว่า “ปรากฏ” ตรงนี้ พระคัมภีร์บางฉบับมีอธิบายว่าหมายถึงการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระเยซูคริสต์ พวกเราที่เชื่อพระเยซูแล้ว ที่เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว ก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ พระเยซูมีสภาพอย่างไร? มีลักษณะเป็นอย่างไร? เราทั้งหลายก็จะมีสภาพ มีลักษณะเดียวกันกับพระองค์เป๊ะเลย วันใดก็ตามที่จบโปรแกรมที่พระเจ้าวางไว้ สำหรับโลกใบนี้ เมื่อนั้น พระคริสต์จะกลับมาใหม่ ถ้าก่อนหน้าที่พระคริสต์กลับมา เราตายก่อนหมายถึงตายทางโลก วิญญาณเราก็ออกไปจากร่าง ไปอยู่ที่สวรรค์เหมือนกัน ไปรอที่นั่น มันมีความสุขไหมล่ะ

ถ้าเรามองเห็นภาพความจริงอย่างนี้ โลกวิญญาณมีความสุขไหม? ไม่ว่าพระคริสต์จะกลับมาพรุ่งนี้หรือไม่? หรือเราตายไปก่อน เราก็ไปรออยู่ในสวรรค์ ไม่ต้องไปไหนเลย อยู่ที่นั่นแหละ และมีสภาพเหมือนพระคริสต์เลย เหมือนที่เราอยู่ทุกวันนี้ แต่ทุกวันนี้เราอยู่ในร่างกาย ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของบาปบนโลกใบนี้อยู่ มันเลยทำอะไรลำบากลำบน นั่นเป็นแผนการของพระเจ้าที่จะใช้เราบนโลกใบนี้

โคโลสี 3:5-6 “5 เหตุฉะนั้น จงประหารโลกียวิสัยของท่าน คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความโสมม ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ 6 เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง”

 

ตรงนี้ตั้งใจฟังเป็นพิเศษ ขอพระวิญญาณที่สถิตอยู่กับท่าน ให้ปัญญาท่านในการฟังด้วย พระคัมภีร์ตรงนี้ มีหลายคนเข้าใจผิด ข้อ 5 บอกว่า “จงประหารโลกียวิสัยของท่าน” โลกียวิสัย ก็คือสันดานบาป จงประหารสันดานบาปของท่าน สันดานบาปมองไม่เห็น แต่ยกตัวอย่าง คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความปรารถนาชั่ว ความโลภ มาถึงข้อที่ 6 บอกว่า “เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง” ตะกี้นี้บอกวิสัยบาป โลกียวิสัย ยกตัวอย่างให้แค่ไม่กี่อัน แต่ผมอยากให้เห็นภาพชัดขึ้น คือความปรารถนาชั่ว ความโกรธ ความอิจฉาริษยา  และๆๆๆๆ เต็มเลย นี่เขายกตัวอย่างให้นิดเดียวเอง

ท่านมองภาพนะว่าทำไมผมถึงพาท่านมาตรงนี้ บางคนก็เลยตีความตรงนี้ว่าเป็นเรื่องของการกระทำ แล้วก็สอนต่อๆ กันมาว่าเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว เมื่อได้เกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว ต้องละเว้นจากการทำชั่วเหล่านี้ เพราะถ้าใครยังกระทำชั่ว พระพิโรธของพระเจ้าก็จะมาถึงผู้นั้น คิดให้ดีๆ กับความจริงที่เราได้รับรู้มา มันแย้งกันไหม?

ถามว่าสอนอย่างนี้ สอนไม่ให้กระทำชั่ว แบบนี้ มันผิดไหม? มันไม่ได้ผิดในเชิงการสอนศีลธรรม เพราะใครๆ ก็สอนอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาใด ที่ใด และใครๆ ก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ถูกต้อง แต่พระเยซูถามกลับว่า แล้วทำได้ไหม? ทำครบไหม? บางคนก็เถียงพระเยซูว่า …

“ครบ ทำหมดเลย เราได้ขายอันโน้นอันนี้ เราได้รักษาศีลต่างๆ เยอะแยะมากมาย”

พระเยซูบอกเศรษฐีหนุ่มคนนั้นว่า “ไปขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดเลย แล้วตามเรามา”

เศรษฐีหนุ่มนั้นไม่ไปนะ นี่คือเรื่องหนึ่งในจำนวนหลายๆ เรื่องที่พระเยซูแย้งกลับ

พระเยซูกำลังสอนว่า … “ทำดี ถูกต้อง แต่เราไม่ได้มาสอนให้ทำดี เพราะเจ้าทำดีอย่างไร?” ก็ไม่ครบ

จะมีคนเถียงไหม? เพราะเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ยังเถียงพระเยซูเลยว่าครบๆ พระเยซูรู้ว่าในใจเขาขาดอะไรอยู่ ไปขายทรัพย์สมบัติ เพราะได้ทรัพย์สมบัติเยอะ เป็นเศรษฐี และตามเรามา ร้องไห้ ไม่ไปแล้ว พระเยซูบอกว่าถ้าท่านโกรธ ด่าพี่น้องว่าไอ้บ้า เท่ากับฆ่าเขาตาย ท่านบอก ฉันไม่เคยฆ่าคนเลย สัตว์ยังไม่ฆ่าเลย เคยโกรธใครไหม? ไม่เคยเลยเหรอ เคยด่าใครว่าไอ้บ้าหรือเปล่า? เคยด่าใครว่าไอ้สันดาน (วงเล็บ ไม่ได้พูดธรรมดานะ ในใจเกลียดชัง) แค่นั้นนิดเดียวพอ มีค่าเท่ากับฆ่าคนตาย เห็นหรือยัง? แสดงว่าไม่ใช่ ไม่ได้มาสอนศีลธรรมตรงนี้ เพราะว่าทำไม่ได้ครบถ้วน 100% อยู่แล้ว แล้วก็ไม่ต้องสอนด้วย เพราะว่าใครๆ เขาก็รู้หมดแล้ว ใครๆ เขาก็สอนอย่างนี้ ทั้งนั้นแหละว่าสิ่งเหล่านี้ มันไม่ดี แต่การสอนเหล่านี้ มันไม่ผิดทางด้านเชิงศีลธรรม แต่มันผิด ไม่ถูกต้องตามหลักข้อความเป็นจริงในพระคัมภีร์ ซึ่งเรียกว่าข่าวประเสริฐของพระเยซู  มันแย้งกับข่าวประเสริฐของพระเยซู เพราะข่าวประเสริฐไม่ได้พูดถึงเรื่องเหล่านี้ อันนี้ไม่ใช่ เอาข้อความที่พระเยซูพูด เอาข้อความในข่าวประเสริฐ แล้วมาพูดทางด้านนี้ มันก็ผิด มันไม่ใช่บริบท

บริบทนี้ สอนเรื่องนี้ว่าในโลกวิญญาณ เป็นอย่างนี้ ก็เหมือนที่ผมพูดแล้วพูดอีก และย้ำแล้วย้ำอีกว่าพระคุณของพระเจ้าไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำเลยทั้งสิ้น และข่าวประเสริฐของพระเจ้า  มันเกี่ยวกับพระคุณอย่างเดียวเลย  และถ้อยคำของพระเจ้า มันเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้าทั้งเล่มเลย  ไม่ได้เกี่ยวกับการมาสอนคนให้ทำดี ทำดี ดีไหม? ดี คนก็รู้อยู่แล้ว แต่ได้ 100% ไหม? ไม่ได้ ทุกคนก็รู้ แล้วใครช่วยล่ะ นี่มาถึงข่าวดีแล้ว มาถึงข่าวประเสริฐแล้ว ถ้าเราสอนผิดๆ ไป ก็ไม่มีคนมาหาพระเยซู เพราะเขาทำดี ก็ทำได้แล้ว ช่วยเหลือตัวเอง ก็ไปทำให้มันมากขึ้น ทำปีนี้ไม่พอ ปีหน้าทำเพิ่ม ชีวิตนี้ทำไม่พอ ชาติต่อไปทำเพิ่ม แล้วมันใช่ข่าวประเสริฐไหม? ท่านเห็นไหม?

นี่เป็นหัวใจ ทำไมต้องมาจี้จุดตรงนี้บ่อยๆ แล้วดูเหมือนดี แต่มันไม่ถูก ไม่ถูกก็คือไม่ถูก ดูเหมือนดี ก็ไม่เอา แต่ถ้าถูก ดูเหมือนไม่ดี ก็เอา  อย่างเช่นที่บอกว่า …

“อย่างนี้ก็ดีสิ เชื่อพระเยซู ทำบาปอะไรก็ไปสวรรค์”

จริงหรือไม่จริง? จริง แต่คนทั่วไปรับได้ไหม? คริสเตียนบางคนยังรับไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ทำไม่ได้จริงๆ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ไม่โกรธใครเลย ทำได้ไหมล่ะ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำตัวเป๊ะ เหมือนพระเยซู 100% เลย ทำได้ไหม? ไม่ได้ แล้วเป็นอย่างไร? ตกนรกเหมือนเดิมเหรอ แล้วข่าวประเสริฐ คืออะไร? พระคุณพระเจ้าให้เรารอด คืออะไร?  นี่แหละ คือสิ่งสำคัญที่บอกว่าเล็กๆ น้อยๆ แต่ผมพยายามจะเน้น เน้นมากๆ เลย แล้วจะไม่สอนสิ่งที่ไม่ใช่ข่าวประเสริฐ ไม่สอนคำสละสลวย แบบที่เปาโลบอกคำสละสลวย ปัญญาของโลกนี้ ไม่สอน สอนตรงๆ พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ ผมก็บอกอย่างนี้ ไม่เข้าใจ เดี๋ยวไปให้พระวิญญาณสอนเอง นำพาท่านไป

ผมจะอธิบายความหมายของถ้อยคำตรงนี้ ฟังให้ดีว่าในโลกวิญญาณ ในบริบทนี้ มันแปลว่าอะไร ตะกี้นี้เราอ่าน คือเราต้องไปอ่านที่ต้นฉบับภาษาเดิม อย่างที่เคยบอกอยู่เรื่อยๆ มันละเอียดกว่า ความหมายมันมากกว่า ซึ่งบันทึกไว้อย่างชัดเจนแล้วในพระคัมภีร์ ความหมายของข้อนี้ ไม่ได้พูดถึงเรื่องการกระทำเลย แต่หมายถึงวิญญาณ ตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็คือวิญญาณของเรา

คำว่า “ชีวิตใหม่” หลังจากที่วิญญาณเก่าได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์ มันหมายถึงอย่างนี้ ชีวิตก็ ท่านเป็นวิญญาณใหม่ ที่มีจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทุกประการ ตามพระคัมภีร์บอก มันหมายถึงอย่างนั้น …

“ที่วิญญาณ ตัวตนที่แท้จริงของฉัน และใจใหม่ ที่พระเจ้าทำให้ ประทานให้ มากับวิญญาณนี้ที่เกิดใหม่ในพระคริสต์ โดยความเชื่อในข่าวดี”

เขากำลังพูดถึงตรงนี้ มันถึงได้ 100% ไง มันสะอาดหมดจด บริสุทธิ์เลย มันดี 100% ดีที่ไหน? ที่ข้างใน ที่วิญญาณ หัวข้อเรื่องนี้ ก็คือจดจ่อที่เบื้องบน จดจ่อที่โลกวิญญาณ โลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น อย่าถูกหลอกไปดูเอาโลกวัตถุ เพราะว่าโลกวัตถุมันเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่โลกของจริง โลกของจริงอยู่ที่โลกวิญญาณ อยู่นิรันดร์

ข้อนี้ในภาษาเดิมแปลได้ดังนี้ ต่อเนื่องจากข้อก่อน วิญญาณเก่าของเรา ถูกตรึงตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งวิญญาณเก่าของเรา ก็คือวิญญาณที่เป็นของโลกนี้ ซึ่งเป็นวิญญาณที่เต็มไปด้วยความบาป ความชั่วร้าย 100% ทำอย่างไร? ก็เป็นวิญญาณบาป 100% เป็นโลกียวิสัย เป็นสันดานบาป ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เป็นกบฏกับพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าไม่ได้  อยู่ตรงข้ามกัน 100% ตามธรรมชาติ ไม่ใช่ตามความอยากของเราเอง

การยอมรับให้ตัวตนเก่าของเรา หรือให้วิญญาณเก่าเราตายไป ต้องทำอย่างนี้ ก็คือต้องกลับใจใหม่ มายอมรับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระเยซู คือพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับโทษบาป 100% ของมนุษย์ และรวมถึงตัวของเราด้วย ต้องรับตรงนี้ก่อน พอยอมรับตรงนี้ พูดง่ายๆ คือยอมรับเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว  จึงสามารถรับวิญญาณใหม่เข้ามาแทนที่ มันแปลว่าอย่างนี้

ส่วนข้อที่ 6 ที่บอกว่า “เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง”

หลายคนก็สามารถตอบได้แล้วนะตอนนี้ พอเข้าใจตรงนี้ปุ๊บ เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง ในภาษาเดิมก็อธิบายเพิ่มอีกว่าก็หมายถึงพระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง บรรดาผู้ที่ยังไม่เชื่อในข่าวประเสริฐ ยังไม่ยอมรับในพระเยซู ยังไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่เชื่อว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน รวมทั้งเราด้วย ผู้นั้นแหละ เขาได้โดยพระพิโรธของพระเจ้า  เมื่อวันนั้น วันสุดท้าย จะไปสุดท้ายพระเยซูมาใหม่ หรือเป็นสุดท้ายของชีวิตเขา คือเขาต้องทิ้งร่างแล้ว ต้องตายไป เขาต้องไปเจอกับอะไร? คนที่เชื่อ ก็ไปเจอกับสวรรค์ในโลกวิญญาณ  คนไม่เชื่อก็จะไปเจอกับพระพิโรธหมด

ทำไมต้องพิโรธ ก็เพราะมันคนละขั้วกัน ไม่ใช่พระเจ้าโกรธอย่างนั้น มันเหมือนไฟช็อต ไฟไม่ได้ตั้งใจจะช็อตเรา อยากให้เราเอาไปเปิดไฟสว่าง เปิดพัดลม ตู้เย็น แอร์ได้ ไม่ได้ตั้งใจช็อตเรา เรารู้วิธีใช้งาน เขาบอกให้เอาชนวนหุ้มไว้ เพื่อมันจะไม่ดูดเรา แล้วเราก็ไม่เชื่อ เอาชนวนทิ้งไป แล้วก็เอามือเปล่าๆ ไปจับ ไฟฟ้าแรงสูง เราตายไหม? เราตาย เพราะพระพิโรธของไฟฟ้าแรงสูง  ผมแนะนำท่าน ถ้าเผื่อฝนตกหนักๆ พายุหนัก อย่าไปอยู่ใต้เสาไฟฟ้าแรงสูง มันอันตราย โดยเฉพาะในเมืองไทย แล้วถ้าท่านไปยืน ท่านอาจจะโดนพระพิโรธลงมา เพราะว่าท่านไม่เชื่อในสิ่งที่เขาแนะนำ เรื่องความรู้ ความจริง แม้ท่านเป็นคนดีมากเลย เป็นคนมีศีลธรรม มีเมตตา รู้จักทำบุญทำทานมาก ไฟมันจะดูดท่านไหม? คนนี้ไปฆ่าคนตายมา เป็นฆาตกร เพิ่งออกจากเรือนจำ แต่อยู่ในเรือนจำไปอ่านเจอข้อความหนึ่งที่เขาเขียนเตือน ถ้าเผื่อฝนตกหนัก อย่าอยู่ใต้เสาไฟฟ้า จำได้ ก็เลยเดินหนีไป เขารอด เขาสมควรรอดไหม? เทียบกับเมื่อตะกี้นี้ คนดีมากเลย ท่านจะมองเห็นภาพ มันไม่ได้เกี่ยวกันกับอะไรที่มนุษย์คิดเลย ไม่ใช่ปัญญาของมนุษย์เลย แต่มันเกี่ยวกับการรู้ความจริง พระคัมภีร์จึงบอกว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ ไม่ใช่ ความดี จะทำให้ท่านเป็นอิสระ ไม่ใช่ความดีจะทำให้ท่านเป็นไท

โอกาสที่จะพูดอย่างนี้มีเยอะไหม? น้อยมาก นี่แหละคือข่าวดี แต่ปัญญามนุษย์ฟังไม่ได้ อะไร คนทำดียังต้องมารับกรรม อันนี้ทำชั่ว ไม่สมควรเลย อย่างนี้ เห็นไหม? มันเกิดขึ้น ต้องยอมรับความจริงเหล่านี้ จึงจะสามารถพบกับความจริงในโลกวิญญาณของพระเจ้าได้เช่นเดียวกัน แล้วท่านจะสามารถอธิบายในพระคัมภีร์หมดเลย

เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวเท่านั้น คือยอมรับ ถามว่ายอมรับเชื่อ คือยอมรับว่าพระเยซูพูด พระเจ้าพูดมันเป็นความจริง มาเชื่อพระเยซูแล้ว ไม่ต้องทำดีเลย ไม่ใช่ ทุกคนก็อยากจะให้ทำดีอยู่แล้ว พระเยซูก็สอนให้ทำดีอยู่แล้ว แต่ทำดีจากข้างใน ด้วยความรอดในโลกนิรันดร์ มันคนละเรื่องกัน เอเมน

ความหมายทั้งหมด ก็แค่นี้ พอแปลผิดปุ๊บ ไปไหนก็ไม่รู้ แล้วก็แย้งกับข่าวประเสริฐไปหมด กลายเป็นทำลายข่าวประเสริฐไปในตัว เรากำลังพูดว่าพระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว โกหก เรากำลังบอกว่าพระเจ้าไม่จริง เราไปไหนก็ไม่รู้ ความหมายตรงนี้ ก็มีอยู่แค่นี้ กำลังจะบอกว่าท่านมาเชื่อ ความลับในข่าวดี ซึ่งเป็นความจริงของพระเยซูแล้ว ก็เท่ากับว่าวิญญาณเดิมของท่าน ที่เป็นวิญญาณเก่าสกปรก ได้ถูกตรึงตายไปพร้อมกับพระเยซูแล้ว ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ นี่คือความจริง ตายไปพร้อมกันแล้ว วิญญาณเก่านะ และท่านได้รับวิญญาณใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่มีจิตใจใหม่ เหมือนพระเยซู ไม่มีผิด สะอาด บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไร้ที่ติ ไร้มลทิน ไร้สิ่งโสโครกใดๆ ทั้งสิ้น 100% ไม่ใช่ 99%  … 99% ก็เข้าสวรรค์ไม่ได้ ต้อง 100% มันถึงเข้ากันได้ มีแค่นี้เอง

เพราะฉะนั้น ถ้าแปลให้ถูก มันง่ายมากเลย แทบจะไม่มีอะไรเลย แต่ต้องใช้ปัญญาของพระเจ้า ปัญญาที่ถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์ ปัญญาทางโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ปัญญาที่เป็นนักปราชญ์หรืออะไรต่างๆ ทางโลก เขาเหล่านั้น ฟังเราพูดอย่างนี้  ตามพระคัมภีร์เขาจะหัวเราะ เป็นไปได้อย่างนี้เหรอ ไม่มีทาง ถ้าท่านเอาสติปัญญามนุษย์มาเทียบเคียงตามเหตุผลของมนุษย์ ไม่มีทางที่จะเข้าใจ สิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับท่านหรอก ไม่มีทางเลย ความหมายเมื่อตะกี้ก็เท่ากับว่าวิญญาณเดิมที่เต็มไปด้วยความบาปของท่าน ได้ถูกประหารไปเรียบร้อยแล้ว ตามที่ตะกี้นี้อ่าน โลกียวิสัย ก็คือสันดานบาปได้ถูกประหารเรียบร้อยแล้ว  โดยเชื่อในพระเยซูคริสต์ถึงจะได้ถูกประหาร ไม่ใช่วันๆ หนึ่ง อยากได้รับความรอด อันแรกบอกว่าเอามีดฆ่าตัวตายเลย ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับการกระทำของเราเลย แต่เกี่ยวกับการกระทำของพระเยซูคริสต์ เราทำแค่เชื่อ เรารับเอา ซึ่งเกิดอะไรขึ้น ในนั้นบอกว่า “บัดนี้ ท่านมีชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว” ก็คือท่านมีวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เมื่อถูกประหาร ตัวเก่าตายไปแล้ว ตัวใหม่เป็นขึ้นมาใหม่ โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ใครที่ยังไม่ได้ถูกประหารวิญญาณเดิม ใครที่ยังไม่ได้ถูกตรึงวิญญาณเดิมร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็จงระวังให้ดี แปลว่าอย่างนี้ พระพิโรธของพระเจ้าจะมาถึงผู้นั้น

ผู้นั้นคือผู้ไหน? คือผู้ที่วิญญาณเก่ายังสกปรกอยู่ ไม่ได้ถูกประหารไปพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน เขาจะต้องระวังตัวให้ดี เพราะเขากำลังจะเผชิญกับพระพิโรธของพระเจ้า ที่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าเขาตายก่อน แล้วไปเจอ หรือไม่ก็พระเยซูกลับมาใหม่ ตอนที่เขายังเป็นๆ อยู่ เขาจะเจอแน่ กับไฟฟ้าแรงสูงช็อต พระพิโรธพระเจ้า

ท่านจะได้เห็นว่าพระเจ้าเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้น พระเจ้าไม่ได้โหดร้าย ไม่ได้อะไรเลย แต่กฎ ระเบียบ กฎธรรมชาติเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น กฎแรงดึงดูดของโลก อย่างที่ผมบอกว่าคนเลว ถ้าเขานั่งเครื่องบิน เขาก็ไม่ตกลงมา เขานั่งจรวด เขาก็ไม่ตกลงมา แล้วเขาก็ไม่เดินออกไปที่ที่มันไม่มีที่รองรับ แต่คนจะดีอย่างไร? เดินออกไปบนชั้น 3 ของตึก ไม่มีที่รองรับ มันก็ตกลงมาเหมือนกันหมด อย่างนี้ มันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่สติปัญญาของมนุษย์ว่าอะไรทำดี อะไรคือน่าจะได้ นั่นคือความคิดของมนุษย์ที่คิด  แต่พระคัมภีร์พูดเฉพาะกฎ

กฎ คือสิ่งที่ถูกตั้งขึ้น และมันต้องเป็นอย่างนั้น ยกตัวอย่าง น้ำมาจาก H2O มันก็เป็นอย่างนั้น ยกตัวอย่างแรงดึงดูดของโลก  อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น อยากชนะแรงดึงดูดของโลกทำอย่างไร? ไปหากฎอื่นมา ที่มันชนะอยู่ แต่ตอนที่เครื่องบินยังบินอยู่ กฎแรงดึงดูดของโลกยังมีอยู่ มันก็มีกฎของมัน ไม่ได้หนีไปไหน เหมือนกัน กฎพระพิโรธของพระเจ้าก็เหมือนกัน พระพิโรธของพระเจ้ายังอยู่ไหม? อยู่ พระคุณพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ยังอยู่ไหม? อยู่ ทำไมอยู่พร้อมกันล่ะ ก็เป็นจริง เป็นกฎธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับท่านรู้ไหม รู้วิธีใช้กฎเหล่านี้ไหม? ถ้ารู้วิธีใช้ มันก็เป็นประโยชน์ต่อชีวิตท่าน แต่ถ้าไม่รู้วิธีใช้ ตายอย่างเดียว ถ้ารู้วิธีใช้ ก็มีความสุข นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

ทุกอย่างในพระคัมภีร์ที่กำลังพูดทั้งหมด มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระคุณพระเจ้าทั้งสิ้น เป็นการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าวางแผนให้มาทำอย่างนี้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด เพราะมนุษย์ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจด 100% ทำอย่างไรก็ไม่ถึงเกณฑ์ของพระเจ้า  จะเข้าสวรรค์ได้มันต้อง 100% จะเข้าสวรรค์ได้ เหมือนเราไปต่างประเทศตอนนี้ มันต้องผ่านด่าน ท่านมีเศษกระดุมเม็ดหนึ่ง เครื่องมันก็ดัง เขาก็ไล่ท่านออกไป ขึ้นเครื่องไม่ได้ ไม่ว่าท่านจะเป็นใครด้วย ไม่ว่าท่านจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ท่านทำบุญทำทานมากมาย มีชื่อเสียงใหญ่โต ท่านเดินไปถึงปุ๊บ มีกระดุมเม็ดเดียว มีเหรียญบาทเหรียญหนึ่งอยู่ในนั้น เครื่องบอกว่าคนนี้เป็นคนดี ยอมหยวนๆ เขาน่า เป็นไหม? เครื่องมันก็ดัง ขณะที่อีกคนเดินตามหลังมา เป็นฆาตกร เป็นคนเลว ทั้งโลกเขารู้ดี แต่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีเหรียญบาท ไม่มีกระดุม ผ่านไหม? ผ่าน ฉันใดฉันนั้น นี่แหละ เขาเรียกว่าพระคุณพระเจ้า ความจริงทำให้เราเป็นไท ความรู้ในความจริง ในพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระ มันขึ้นอยู่กับพระคุณของพระเจ้า ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีเลย มีเพียงอย่างเดียว ท่านเชื่อไหมว่านี่พระเจ้าส่งมา เพื่อชำระบาปท่าน ท่านเชื่อจริงๆ ไหม? แค่นี้เอง สนเกี่ยวกับความเชื่อ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************