คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2020 เรื่อง “พระเยซูฟื้นแล้ว ฉันฟื้นด้วย” ตอน 3 “ฉลอง 1990 ปี อิสรภาพของมวลมนุษยชาติ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  เมษายน  2020

 เรื่อง “พระเยซูฟื้นแล้ว ฉันฟื้นด้วย”

ตอน 3 “ฉลอง 1990 ปี อิสรภาพของมวลมนุษยชาติ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีพี่น้อง เรายังอยู่ในเช้าสัปดาห์สำคัญ เรายังอยู่ในบรรยากาศของการฉลองอีสเตอร์อยู่ อย่างที่เราคุยกันไปแล้วว่าวันอีสเตอร์ เป็นวันประกาศชัยชนะ ครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด แห่งประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ เพราะฉะนั้น ขนาดการแข่งขันกีฬา ระดับประเทศ หรือระดับโลก ธรรมดา โอลิปิก ใครได้รางวัลมา เขายังฉลองกันเป็นเดือนๆ แต่นี่ระดับชัยชนะมหาจักรวาล จะไม่ฉลองใหญ่โตกว่านั้นหรือ?

วันนี้เราก็จะมาฉลองกันต่อ  เป็นการฉลองวันแห่งการประกาศอิสรภาพครั้งยิ่งใหญ่  ครั้งสำคัญที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ คือการประกาศอิสรภาพทางฝ่ายวิญญาณ  ที่ประกาศโดยพระเยซูคริสต์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ และเป็นขึ้นจากความตายในวันอาทิตย์ นี่คือข่าวดีมาถึงมนุษยชาติทุกคน

ข่าวดีต้องตะโกนนะ “มีข่าวดีมาบอก” เหมือนคนขายของเขาตะโกนดังลั่นเลย …

“มีข่าวดีมาบอก สำเร็จแล้ว มนุษยชาติเป็นอิสรภาพแล้ว” บรรยากาศควรจะเป็นอย่างนี้

คือหลังจากพระเยซูได้รับชัยชนะ  เป็นผู้มีชัยในการทำศึกสงครามกับพวกมารเรียบร้อยแล้ว กับบาป กับความตาย ผลที่เกิดขึ้น คือมวลมนุษยชาติได้รับอิสรภาพ ที่ผมเล่าในครั้งที่แล้วว่าเดิมพันของการต่อสู้ครั้งนี้ คืออิสรภาพของมนุษยชาติ ถ้าพระเยซูชนะ มนุษย์ก็ได้รับการเป็นอิสระจากมาร กลับคืนสู่บ้านของเขา คือพระเจ้า กลับคืนสู่สวรรค์ได้  ถ้ามารชนะ มนุษย์ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของมาร เป็นทาสมาร อยู่ในความบาป ความตาย อยู่ในนรกต่อนั่นเอง

เพราะฉะนั้น   วันอีสเตอร์    นอกจากจะเป็นการประกาศชัยชนะของพระเยซูคริสต์แล้ว    ยังเป็นการประกาศอิสรภาพของมวลมนุษยชาติด้วย    นี่คือเหตุผลว่าทำไมทั่วโลกเขาจึงเฉลิมฉลองวัน อีสเตอร์อย่างมากมาย บางแห่งเป็นเดือนเลยนะ ตื่นเต้นมากกว่าวันคริสตมาสอีก  มีหลายแห่งที่ผมเคยไปสัมผัสมาจริงๆ

และหัวข้อในการพูดคุยในวันนี้จึงมีชื่อเรื่องว่า “ฉลอง 1990 ปี อิสรภาพของมวลมนุษยชาติ” เอเมน บางท่านอาจกำลังสงสัยว่าทำไมต้อง 1990 ปี เพราะส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการนับปี ค.ศ. ปีนี้ก็คือ 2020 ใช่ไหมครับ?  เพราะฉะนั้น วันอีสเตอร์แรกก็ต้องผ่านมา 2020 ปีแล้ว อะไรประมาณนั้น

แต่จริงๆ แล้วตามที่บันทึกไว้ เราเริ่มต้นนับค.ศ.1  เมื่อพระเยซูอายุ 3 ปี และตอนที่พระเยซูถูกตรึงและสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน ตอนนั้นมีอายุ  33 ปี ก็คือถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เมื่อปี ค.ศ. 30 สรุปว่าอีสเตอร์แรกผ่านมาแล้ว 1990 ปี 2020-30 =1990 ปี จึงเป็นการฉลอง 1990 ปี แห่งการประกาศอิสรภาพทางฝ่ายวิญญาณของมวลมนุษยชาติ นี่แหละมีข่าวดีมาบอก 1990 ปีมาแล้วนะ แล้วยังบอกต่อไป จนถึงวันสุดท้าย

วันสุดท้าย คือเมื่อไร? เราไม่รู้ แต่พระคัมภีร์บอกตอนนี้  เป็นช่วงเวลาแห่งความรอด ช่วงเวลาแห่งพระคุณที่พระเจ้า ได้ประทานให้กับมนุษยชาติบนโลกใบนี้  รีบกลับใจเสียใหม่ มารับเอาสิทธิหรือชัยชนะที่พระเจ้า พระเยซูทำให้เรา โดยด่วน เพราะจะมีวันหมดโปรโมชั่น ทุกอย่างก็จบกัน คนไหนที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ ก็เท่ากับอดได้รับสิทธิ์นั้นไปเลย  แทนที่จะชนะก็แพ้ ดังนั้น ต้องระมัดระวังตรงนี้ด้วย

และพระคัมภีร์ก็ได้บันทึกเอาไว้ล่วงหน้าว่าทั้งหมดนี้ เป็นแผนการของพระเจ้า ที่ได้วางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระเยซูได้พูดตรงนี้เองว่าพระองค์มาเพื่ออะไร?  ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ประมาณอายุ 30  พระองค์ได้เริ่มต้นประกาศว่าพระองค์เป็นใคร? มาทำอะไรบนโลกใบนี้? จุดประสงค์ของพระองค์มาเพื่ออะไร? แน่นอนอย่างที่เรารู้ มาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคน ให้กลับบ้าน ไปอยู่กับพ่อเขา ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้นั่นเอง  นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงประกาศเริ่มต้น ใน 3 ปีสุดท้ายของพระองค์บนโลกใบนี้ ลูกา 4:16-21 …

ลูกา 4:16-21 “16 พระองค์เสด็จมายังเมืองนาซาเร็ธ ที่ซึ่งทรงเติบโตขึ้น และในวันสะบาโตพระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาอย่างที่ปฏิบัติเป็นประจำ และทรงยืนขึ้นอ่านพระธรรม 17 เขาส่งม้วนพระคัมภีร์อิสยาห์ให้พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่ออกมา ก็พบข้อความที่เขียนไว้ว่า 18 “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้ พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่ผู้ถูกจองจำ และให้คนตาบอดมองเห็น ให้ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ 19 ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” 20 จากนั้น พระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนแก่เจ้าหน้าที่แล้วประทับนั่งลง สายตาทุกคู่ในธรรมศาลาก็จ้องมองมาที่พระองค์ 21 พระเยซูทรงเอ่ยขึ้นว่า “ในวันนี้ พระคัมภีร์ตอนนี้เป็นจริงแล้วตามที่ท่านได้ฟัง”

 

ย้อนกลับไปประมาณ 1990 ปี นึกภาพสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้  ที่ลูกาบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยโน้น  ก่อนหนังสือลูกาอีก บันทึกไว้ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม หรือพันธสัญญาเดิม  โดยผู้เผยพระวจนะที่มีชื่อว่าอิสยาห์ว่าพระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูคริสต์ให้มาประกาศแก่มวลมนุษยชาติทั้งหลาย

ถามว่าประกาศอะไร?  คือประกาศอิสรภาพแก่ผู้ที่วิญญาณถูกครอบงำ  เป็นทาสของความบาป ให้คนตาบอดมองเห็น  ก็คือให้คนที่ตาบอดฝ่ายวิญญาณ  เพราะความผิดบาป ให้สามารถเป็นอิสระ ตามองเห็นพระเจ้า  มารู้จักพระเจ้าได้  และสุดท้าย ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ ก็คือปลดปล่อยผู้ที่อยู่ใต้อำนาจการเป็นทาสของมารซาตาน ให้เป็นอิสระนั่นเอง

นี่พระเยซูบอกว่าพระองค์มาทำงานนี้แหละ ซึ่งรวมความหมายทั้งหมด  ก็คือพระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูไว้  เพื่อให้มาประกาศอิสรภาพ อภัยโทษให้แก่มวลมนุษยชาตินั่นเอง ให้มนุษยชาติได้รับอิสรภาพจากการเป็นทาสของความบาป และความตาย ให้สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า

พูดแบบเข้าใจง่ายๆ แบบภาษาเรา ก็คือเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า ที่ได้ประกาศนิรโทษกรรมให้กับมวลมนุษยชาติทั้งหลายนั่นเอง

ถามว่าการประกาศนี้ มาถึงมนุษยชาติ เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย?  ข่าวดี  ประกาศอิสรภาพให้กับผู้ที่ถูกจองจำ  ประกาศการนิรโทษกรรม โดยพระเจ้า ให้กับมวลมนุษยชาติ

และในข้อที่ 19 เขียนไว้อย่างนี้ว่า … “ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

ตรงนี้ต้องเติมว่า “เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นเหลือ” พระคัมภีร์ใช้คำนี้ คือนอกจากได้รับการนิรโทษกรรม เป็นอิสระจากการเป็นทาสแล้ว ยังรับเรามาเป็นลูกของพระองค์อีกด้วยต่างหาก เข้าใจใช่ไหมครับ?  เป็นพระคุณซ้อนพระคุณจริงๆ  นอกจากอภัยให้กับเราแล้ว ยกโทษให้กับเราแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ ยังรับเรามาเป็นลูกของพระองค์ด้วย อย่างนี้เรียกว่าข่าวดีไหม? ต้องตอบว่าข่าวดีมาก ไม่ใช่ข่าวดีธรรมดา Amazing  Grace พระคุณซ้อนพระคุณสำหรับเรา ข่าวดีนี้สำหรับมนุษยชาติ คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  มีสิทธิ์ มีส่วนตรงนี้ทุกๆ คน ไม่ว่าท่านจะเชื่อในข่าวดีนี้หรือไม่เชื่อก็ตาม แต่ท่านมีส่วนในข่าวดีนี้ ท่านมีสิทธิในข่าวดีนี้ ทั้งนั้น

มนุษย์ทุกคนได้รับอิสรภาพไปแล้ว  1990 ปี พระเยซูจึงบอกว่าข่าวดีนี้ควรและต้องถูกประกาศออกไปเรื่อยๆ  เริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม ไปถึงแคว้นยูเดีย ไปถึงประเทศชาติใกล้ๆ แล้ววนออกไปกว้างออกไปเรื่อยๆ จนสุดปลายแผ่นดินโลก ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น ก็คือสุดปลายแผ่นดินโลก ไม่รู้สุดตรงไหน? ข่าวดีนี้จะต้องถูกประกาศอกกไป และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ  ใน 1990 ปี ที่ผ่านมา ที่เราได้เรียนชัดๆ วันนี้

จุดเริ่มต้นของยุคพระคุณซ้อนพระคุณนี้อยู่ตรงไหน?  คือนับจากวันที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน  เมื่อ 1990 ปี ที่แล้ว ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่ายุคใหม่เริ่มต้น  ยุคใหม่เริ่มต้นเมื่อ 1990 ปีที่ผ่านมา  เป็นยุคที่มนุษย์ได้รับนิรโทษกรรมจากพระเจ้า  บอกว่าเป็นยุคใหม่ เพราะฉะนั้น ทุกคนก็จะคิดว่ายุคเก่าคืออะไรล่ะ ถ้าบอกยุคใหม่ ก็แสดงว่ามันต้องมียุคเก่าถูกไหม? ก่อนจะเปลี่ยนเป็นใหม่ มันก็ต้องมีเก่ามาก่อน  เรามาดูนิดหนึ่ง ผมจะสรุปให้เล็กๆ สั้นๆ

 

ยุคเดิม/พันธสัญญาเดิม                                         ยุคใหม่/พันธสัญญาใหม่

(ระบบเดิม / กฎเดิม)                                               (ระบบใหม่ / กฎใหม่)

มีอาดัมเป็นหัวหน้าครอบครัว                         มีพระเยซูคริสต์เป็นหัวหน้าครอบครัว

 

ยุคเดิม พันธสัญญาเดิม กฎเดิม มีอาดัมเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นต้นพันธุ์ เป็นตัวแทน  เป็นบรรพบุรุษ ก็ว่าได้

พอพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เข้าสู่ยุคใหม่  พระคัมภีร์เรียกว่ามนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่ เข้าสู่ยุคพันธสัญญาใหม่  ซึ่งเรียกกันว่าระบบใหม่  หรือกฎใหม่ ซึ่งมีพระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นต้นพันธุ์ใหม่ และเป็นตัวแทนของมนุษยชาติในยุคใหม่นี้

ท่านเห็นภาพแล้วนะ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  ผมจะพาท่านไปดูในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ซึ่งจะยืนยันว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้จริงๆ  นี่คือความจริงที่พระเจ้าได้สอนเรา  ในฮีบรู 9:15 …

ฮีบรู 9:15 “ด้วยเหตุนี้ พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อบรรดาผู้ที่ทรงเรียกนั้นจะได้รับมรดกนิรันดร์ ซึ่งทรงสัญญาไว้ เพราะพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เป็นค่าไถ่ เพื่อปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากบาป ซึ่งได้ทำภายใต้พันธสัญญาเดิม”

 

พันธสัญญาใหม่ คือพระคริสต์ หรือพระเยซูเป็นคนกลาง ก็คือเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นตัวแทน  และที่เขียนว่าบรรดาผู้ที่ทรงเรียก หมายถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  พระองค์ทรงเรียกทุกคน มาเพื่อจะได้สิทธินี้ สิทธินี้  ก็คือจะได้สิทธิ์ภายใต้พันธสัญญาใหม่ สิทธิ์นั้น ก็คือได้รับมรดกนิรันดร์ ได้รับการไถ่ ได้รับการปลดปล่อยจากบาปและโทษของความบาป  ซึ่งได้ทำภายใต้พันธสัญญาเดิม  บาป คือความผิด  บาป ก็คือถูกต้องโทษ ต้องชดใช้

บาปเมื่อตอนที่เราอยู่ภายใต้พันธสัญญาเดิม  ก็คือใครก็ตามที่ทำผิดกฎบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้เพียงนิดเดียว ก็ถือว่าทำผิดทำบาป  ต้องได้รับโทษของความบาป คือความตาย และอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า  ก็คืออยู่ในนรกนั่นเอง ในที่สุด ซึ่งมนุษย์ทุกคนก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลยที่จะสามารถทำได้ครบ ก็คือไม่มีใครเลยที่ไม่ทำบาป  เพราะมันเป็นทาสบาปอยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจอยู่แล้ว ที่สุดก็ทำบาปอยู่ดี  จึงไม่มีใครทำได้เลย  เพราะจริงๆ ว่ากันตามตรงแล้ว  ในสมัยนั้น พระคัมภีร์เดิมได้บันทึกไว้ว่ามีกฎบัญญัติ เอาแค่ที่บันทึกได้ อันที่บันทึกไม่ได้ ยังไม่ได้เขียน เช่น กฎนี้อย่าทำ  มี 600 กว่าข้อ  ไม่ใช่ศีล 5  ศีล 8 ศีล 10 อะไรอย่างนั้น  นี่ศีล 600 กว่าข้อ  จะต้องทำให้ได้ครบหมดทุกข้อ จึงจะสามารถพ้นจากบาปได้  ทำผิดข้อเดียว ก็เท่ากับทำผิด 600 ข้อ  เพราะว่ายังเป็นบาปอยู่

สรุปคือภายใต้พันธสัญญาเดิม  ที่มีอาดัมเป็นตัวแทนเรา  เป็นหัวหน้าครอบครัวเรา มนุษย์ทุกคนบาปหมดแหละ เกิดมาก็บาปแล้ว  ยังไม่ได้ทำอะไรเลยก็บาปแล้ว เพราะบาป มาจาก DNA ของอาดัม เป็นทาสของความบาป เป็นทาสของมาร ที่จะต้องทำตาม มนุษย์ทุกคนทั้งหมด จึงไม่สามารถที่จะไม่ทำบาปได้  ก็คือมนุษย์ทุกคนทำบาป  และบาปเหล่านี้ก็ต้องได้รับโทษบาปกันทุกคน ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้รับโทษ

แต่พอมาพันธสัญญาใหม่  มนุษย์ทั้งหลายได้รับมรดกนิรันดร์  ซึ่งทรงสัญญาไว้ เพราะพระคริสต์ได้วายพระชนม์ เป็นค่าไถ่ ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ในพระคัมภีร์บอกว่าเป็นการไถ่บาป  คือเป็นการยกโทษบาป  เป็นการหมดเวร หมดกรรม หมดบาปของมนุษยชาติทั้งปวงแล้ว เป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ทั้งปวงว่าได้ชำระบาปให้เรียบร้อยแล้ว จบสิ้นกันแล้ว เรามาดูในฮีบรู 10:9-10

ฮีบรู 10:9-10 “9 จากนั้นจึงตรัสว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ข้าพระองค์มาแล้ว เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกระบบเดิม เพื่อตั้งระบบใหม่ 10 และโดยพระประสงค์นี้เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

 

ชัดเจนเลยนะ “และพระองค์ทรงยกเลิกระบบเดิม  เพื่อตั้งระบบ ยกเลิกสำมะโนครัวเดิม  มาตั้งสำมะโนครัวใหม่ของมนุษยชาติ ยกเลิกครอบครัวเดิม ครอบครัวอาดัม มาตั้งครอบครัวใหม่ ชื่อว่าครอบครัวพระเยซูคริสต์ เห็นชัดเจนเลยนะครับ

สมัยก่อน  ที่เป็นเงาของเรื่องนี้ ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์  และกระทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จ  พระเจ้าได้บอกมนุษย์ในยุคเดิม ยุคอาดัม บอกให้ชาวอิสราเอล มนุษย์ได้ทำอย่างนี้ คือให้มาผ่อนบาป  ผ่อนเวร ผ่อนกรรมให้กับตัวเอง โดยการนำเลือดสัตว์ ที่ไม่มีมลทิน ถือเป็นสัตว์บริสุทธิ์ มาฆ่า แล้วเอาเลือดมาชำระเป็นค่าไถ่ ถือว่าเป็นค่าผ่อน  พูดง่ายๆ เหมือนเอาสัตว์บริสุทธิ์นี้  ที่ไม่มีมลทิน มาฆ่า และตาย และเอาโลหิตมาชำระกับพระเจ้า เป็นค่าไถ่ว่าเราเป็นคนบาป  เพราะฉะนั้น ปกปิดบาปให้สักหน่อยหนึ่ง  เป็นการผ่อนบาป  ไม่สามารถเอาบาปนั้นออกไปจากเราได้เลย  แต่ว่าปกปิดได้  ทำไม่ดีมาตลอดทั้งปี อันนี้ปกปิดไว้  เดี๋ยวพอออกไป ก็ทำบาปอีกแล้ว  ยังไม่ทันข้าม 4 ชั่วโมงเลย ก็ทำบาป ก็ต้องทำอย่างนี้เป็นประจำทุกปี และเป็นช่วงๆ ไป

แต่พอมาถึงพระเยซูคริสต์ ในนี้บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นต้นพันธุ์แห่งพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาใหม่ คือใช้เลือดของพระองค์เอง  พระเยซูเป็นทั้งพระเจ้าและเป็นทั้งมนุษย์ อยู่ในบุคคลเดียวกัน ฟังอีกที พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เพราะฉะนั้น ชีวิตของพระเยซูคริสต์บนโลกใบนี้ ก็คือการเป็น พระเจ้าและเป็นมนุษย์พร้อมๆ กัน  ในวิญญาณ พระองค์จึงบริสุทธิ์สะอาดมาก และไม่มีบาปเลย  เพราะฉะนั้น เลือดของมนุษย์คนเดียวบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีบาปเลย ก็คือพระเยซูสามารถลบล้างบาปออกหมดเกลี้ยงเลย  ลบล้างบาปให้กับมวลมนุษยชาติ เพียงครั้งเดียวพอ คือไม่ต้องมาทุกปีแล้ว เพราะครั้งเดียวหมดไปแล้ว เมื่อหมดแล้ว ก็ไม่ต้องทำแล้ว ก็คือจบแล้ว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น  ในฮีบรู 10:14 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดขึ้นไปอีกนะ

ฮีบรู 10:14 “เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้ บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์ โดยการถวายบูชาครั้งเดียว”

 

คือการได้รับอภัยโทษ หรือได้รับนิรโทษกรรมทางพระเยซู ในการตายของพระองค์บนไม้กางเขน โดยพระเยซู มันจะเป็นการอภัยโทษ หรือนิรโทษกรรมแบบตลอดไปเลย  ไม่ใช่เป็นชั่วคราว ก็คือการไถ่บาปนั้น เป็นการยกโทษบาป ทั้งบาปในอดีต และบาปในปัจจุบัน  รวมถึงบาปในอนาคตด้วย ก็คือเอาบาปออกไปทั้งสิ้น  ทั้งหมดเลย สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงเรียกมา  ผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้  มีพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน จะได้รับสิ่งนี้  1 เปโตร 1:3-4 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:3-4 “3 สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา! ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสียหรือเลือนหายไป ซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์ เพื่อพวกท่าน”

 

นอกจากการนิรโทษกรรม อภัยในโทษบาปแล้ว ซ้อนพระคุณ คือให้เราได้เกิดใหม่  การบังเกิดใหม่ คือการรับเรามาเป็นลูก เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเหลือ ไม่ได้เกิดใหม่เฉยๆ  แล้วก็เข้ามาอยู่ในบ้าน  เป็นผู้รับใช้ หรือเข้ามาอยู่ในบ้านเป็นคนงาน หรือเข้ามาอยู่ในบ้านเป็นทูตสวรรค์ เปล่า แต่เข้ามาอยู่ในบ้าน คือในสวรรค์  ในฐานะลูกของพระองค์ ก็คือลูกของเจ้าของสวรรค์นั่นเอง ท่านลองคิดดู ตายที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  อย่างไรบ้าง  พระคุณยิ่งใหญ่  เวลาฟังเพลง Amazing Grace หรือพระคุณพระเจ้า ถ้ารู้ลึกเข้าไปขนาดนี้ ท่านต้องอดที่ขอบคุณและขอบคุณ ไม่รู้จะใช้คำว่าขอบคุณอะไรดีพอสุดจิตสุดใจเลย เพราะว่ามันเหลือที่เชื่อได้  แต่มันเกิดขึ้นแล้ว และมันเป็นอย่างนั้นแล้วจริงๆ

อย่างที่เราได้เรียนกันไปแล้ว พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว เมื่อเราย้ายมาอยู่ในครอบครัวพระเยซู เข้ามาให้พระเยซูเป็นตัวแทน เข้ามาสู่ยุคใหม่  เชื่อในการไถ่ของพระเยซู เมื่อ 1990 ปีที่ผ่านมา  พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว  ฉันจึงเป็นขึ้นด้วยไง  มันหมายถึงอย่างนี้  …

“พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันจึงเป็นขึ้นด้วย”

เป็นขึ้นด้วยอะไร?  ด้วยการบังเกิดใหม่ โดยพระเจ้า  เป็นวิญญาณใหม่ มีจิตใจใหม่  ที่เหมือนพระเยซูคริสต์เลย และจะมีร่างกายใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย  ผมหมายถึงโดยความเชื่อในโลกฝ่ายวิญญาณ  พระคัมภีร์ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น  ที่อ่านไปใน 1 เปโตร 1:3-4  หมายถึงความหวังใจอย่างนั้น  คือพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย  และเข้าในมรดกที่ไม่มีวันเสื่อมสลายเน่าเสีย คือนอกจากวิญญาณเราจะเปลี่ยนใหม่  เป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระเจ้าแล้ว  พระองค์ทรงเตรียม  มรดกนิรันดร์ไม่มีวันเสื่อมสลายเน่าเสีย หรือเลือนหายไป  ที่ทรงเตรียมไว้ให้เราในสวรรค์สถาน ก็คือร่างกายใหม่ วิญญาณได้เกิดใหม่เดี๋ยวนี้แล้ว จิตใจได้ถูกประทานให้ใหม่ พร้อมกับวิญญาณแล้ว  แต่เรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิม แม้เราจะอยู่ในกฎใหม่แล้วก็จริง แต่วิญญาณและจิตใจใหม่ยังอยู่ในร่างกายเดิม  ซึ่งต้องตาย เรียกว่าเสื่อมลงไปทุกๆ วัน และกลับไปสู่ดิน ขณะที่กลับไปสู่ดินนั้น วิญญาณ และจิตใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน และวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อวิญญาณและจิตใจใหม่นี้ออกจากร่าง ซึ่งต้องลงไปอยู่ในหลุมฝังศพแล้ว  พระเจ้าสัญญาว่าจะเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่ไม่เน่าเสีย เป็นร่างกายที่มีสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นขึ้นจากความตายอย่างนั้น ให้กับเราไว้ เพื่อเราจะได้ปรากฏพร้อมกันกับพระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่งนั่นแหละ

นี่แหละครับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ผมก็พยายามที่จะอธิบายค่อยๆ ช้าๆ แต่ไม่เป็นไร อย่างที่บอกเป็นข่าวดี  สำหรับคนที่ฟังข่าวดีนี้ใหม่ๆ ก็อาจจะงงๆ นิดๆ ค่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ  และใช้สิทธิให้หมดเลย รับรู้ให้หมดเลยว่าเราได้รับอะไรบ้าง?  และมันเป็นอย่างไรบ้าง?  ชีวิตจึงจะมีความสุข และมีสันติสุขอย่างแท้จริงบนโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าโลกใบนี้จะวุ่นวายสับสนเน่าเสียอย่างนี้ แต่วิญญาณข้างใน ความหวังของเราในโลกวิญญาณนั้น สวยสด งดงามแล้ว เรียบร้อยแล้ว โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว … เรามาดู 2 เปโตร 1:4 ก็ยิ่งพูดชัดเจนใหญ่เลยนะถึงเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร?

2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

 

“โดยทางพระสัญญาเหล่านี้” สัญญาเหล่านี้ ก็คือความสำเร็จของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย โดยทางพันธสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วน มนุษย์ทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวง  ที่เชื่อในข่าวดีนี้ จะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า  โดยทางพันธสัญญาเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ทำไว้กับพระเยซูคริสต์ ในพันธสัญญาใหม่ ในยุคใหม่ มนุษยชาติสามารถเลือกได้ ผู้ที่เลือกข้างพระเยซู ย้ายข้างมาสู่ยุคใหม่ ยุคที่มีพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน  เป็นหัวหน้าครอบครัวนั้น  เชื่อในข่าวดีนี้นั้น  พวกเขาจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า แปลว่าเขาจะได้มีส่วนเข้าไปเป็นชีวิตที่เหมือนพระเจ้า

ถ้าจะแปลง่ายๆ ก็คือถ้าเรามีลูก ลูกเราคลอดออกมา หรืออยู่ในครรภ์มารดา ก็จะมีส่วนในลักษณะเหมือนเราแล้ว มีเซลอะไรต่างๆ ทุกอย่างในชีวิต มาจากเรา มีเชื้อสายมาจากเรา  เป็นเหมือนเรานั่นเอง  ท่าทางอะไรต่างๆ เหมือนเรา DNA เหมือนเรา นี่พูดถึงสิ่งที่มองเห็นเป็นมนุษย์ธรรมดา

ที่อ่านนี้ มันเกิดขึ้นในทางวิญญาณ คือวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า  จะมีส่วนเข้าไปในพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือเป็นลูกของพระเจ้า  มีส่วนเหมือนพระเจ้า เหมือนพ่อของเขา วิญญาณที่ก่อนหน้านั้นมืด เป็นทาสของมาร  เป็นความบาป สกปรกโสโครกในพระคัมภีร์บอก กลับกลายเป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า  และความคิดจิตใจที่ติดมากับวิญญาณนั้น  สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า  พระคัมภีร์บอกว่า The mind of Christ ก็คือความคิดจิตใจใหม่นั้น เหมือนพระเยซูเลย  ถ้าท่านที่เชื่อแล้วนะ แต่ถ้าท่านที่ยังไม่เชื่อ  ยังไม่ย้ายเข้ามา ถ้าท่านตัดสินใจย้ายเมื่อไร?  ก็เหมือนทันที  สำหรับผมเหมือนไปแล้ว  เพราะว่าผมเชื่อมาตั้ง 30 กว่าปีแล้ว  ต้อนรับข่าวดีนี้ และเกิดประโยชน์ในชีวิต และรับสิทธินี้  สิทธินี้เกิดขึ้นในชีวิตไปแล้ว  30 กว่าปี  ผมมีวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็น DNA เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า  และมีความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว

รับฟังอีกทีนะ ท่านที่ได้รับความจริงเรื่องนี้ไปแล้ว ต้อนรับความจริง ข่าวดีนี้ไปแล้ว  ต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาป  เป็นผู้ไถ่บาป  และเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ท่านได้เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย ได้เกิดใหม่แล้ว มีวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า  มีจิตใจที่เหมือนพระคริสต์ สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า  เป็นฐานะลูกพระเจ้า  และรอคอยวันเวลา เมื่อพระเยซูคริสต์กลับมา  ท่านที่เป็นวิญญาณ ที่เป็นลูกพระเจ้า  ที่เหมือนพระเจ้า  ที่มีความคิด ที่เป็นเหมือนพระคริสต์ ที่ตอนนี้ วิญญาณของท่าน และความคิดจิตใจอันใหม่ เป็นชีวิตที่ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์  แม้ว่าจะอยู่ในร่างกายเนื้อหนังที่ต้องตายก็ตาม แต่วิญญาณและความคิดจิตใจใหม่ของท่าน ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เมื่อวันที่พระคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง  เราทั้งหลายผู้ซึ่งมีวิญญาณที่เป็นลูกพระเจ้า และมีความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระคริสต์นั้น  ก็จะได้รับร่างกายใหม่  ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่ไม่มีความเจ็บปวด  ไม่มีความทุกข์ทรมาน เต็มด้วยสง่าราศี  เหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตาย  และเราจะกลับมาพร้อมกับพระเยซู พระเยซูกลับมาพิพากษาบนโลกใบนี้  เราก็จะกลับมาด้วย

เคยได้ยินเพลงนี้ไหม? “โอเว่นเดอะเซ็นต์ โอมัดยัวร์เนม” ก็คือเมื่อธรรมิกชน คือผู้เชื่อทั้งหลาย  ที่บริสุทธิ์ สะอาดที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้เกิดใหม่แล้ว  เดี๋ยวนี้ ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ และถึงวันนั้น เมื่อพระคริสต์ปรากฏและเดินทัพมา พระองค์ไม่ได้มาคนเดียว  พระองค์มาพร้อมกับพวกเราทั้งหลาย ที่ได้รับร่างกายที่เกิดใหม่  ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย สวมเข้าไปอีกทีหนึ่ง และมาพร้อมกับพระเยซู พูดง่ายๆ  ณ วันนั้น เราก็จะมีวิญญาณ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ที่เป็นลูกพระเจ้า มีความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และอยู่ในร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ไม่มีความตาย ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีการเสื่อมถอย ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป  และเราจะอยู่ในสวรรค์ ในลักษณะอย่างนี้กับพระเจ้า  ครอบครองสวรรค์นิรันดร์กาล

ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทั้งสิ้น ในการฉลอง 1990 ปี มันเป็นกฎทางวิญญาณ  ไม่ได้เกิดขึ้นธรรมดา มันเป็นกฎ มันเกิดขึ้นจริงๆ บนโลกใบนี้  ไม่ว่าเราจะเห็นหรือไม่เห็น จะเชื่อหรือไม่เชื่อ  มันเกิดขึ้นแล้ว  พระคัมภีร์บันทึกไว้ และพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง  ให้เป็นไปตามกฎระเบียบ กฎหมายของพระองค์ อันนี้เป็นเรื่องจริงๆ บันทึกไว้

คำว่า “พระเจ้าทรงควบคุม” หมายถึงอย่างนี้เลย พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก และเป็นพระเจ้าผู้พิพากษาดูแลความยุติธรรมให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าผมยกตัวอย่าง ท่านอาจจะเข้าใจมากขึ้น  เหมือนกฎของแรงดึงดูดของโลก เราไม่เห็น  แต่มีอยู่จริง ใครเป็นผู้ควบคุมกฎแรงดึงดูดของโลก ก็พระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ พระคัมภีร์บอก เพราะฉะนั้น พระองค์เป็นผู้ดูแลเหล่านี้ไว้ กำหนดไว้แล้วว่ามีแรงดึงดูดโลก มาจากพลังงานอะไรต่างๆ แกนของโลกที่ภายใต้โลก ทำให้เกิดแรงดึงดูดของโลก เพื่อให้อะไรหลายๆ อย่างสวยสดงดงาม และมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้  เพราะฉะนั้น แรงดึงดูดของโลก พระเจ้าควบคุมอยู่ ไม่มีใครไปทำลายแรงดึงดูดของโลกได้  ถ้าเราเคารพแรงดึงดูดของโลก มันก็จะมีอยู่จริง  ถ้าเรารู้จักใช้ มันก็จะเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตของเรา

เช่นเดียวกัน กฎของการโคจรของดวงดาว ยกตัวอย่างเช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ โลก ง่ายๆ สิ่งเหล่านี้พระเจ้ากำหนดไว้หมดแล้ว พระคัมภีร์บอก พระองค์เป็นผู้กำหนดไว้หมดแล้วว่าให้โลกหมุนอย่างไร? ให้ดวงอาทิตย์ขึ้นอย่างไร?  ไม่มีทางที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกได้ ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ตกทางทิศตะวันตกเป็นประจำ ถามว่ามีโอกาสไหมที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก? ผมจะตอบให้ท่านตกใจ หลายคนบอกพระเจ้าอยู่ในคอนโทรลแล้ว ไม่มีทางที่จะขึ้น ไม่จริง  แม้พระเจ้าจะสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อแบ่งปัน แบ่งเวลาอะไรต่างๆ  ในแผนการที่ดีๆ ของพระองค์ที่ให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  เพื่อมนุษย์จะได้อยู่อย่างสบายก็ตาม แต่พระองค์ไม่ได้บังคับนะ พระองค์ไม่ได้สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ แล้วสั่งว่าต้องอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้  นั่นเป็นวิถีของมาร ไม่ใช่ความรัก เพราะพระเจ้าเป็นความรัก และไม่ควบคุมสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วยความหวาดกลัว หรือด้วยการบีบบังคับ หรือเป็นทาส สั่งให้ทำ ไม่ใช่ ถ้าเช่นนั้น พระเจ้าก็ไม่ใช่เป็นพระเจ้าแห่งความรัก คนสรรเสริญพระเจ้า ก็สรรเสริญพระเจ้าด้วยความกลัว ก็ไม่ใช่  ที่เราสรรเสริญพระเจ้า ยกย่องพระองค์ ก็เพราะความดีงามของพระองค์ล้นเหลือ เราเต็มใจที่จะเชื่อฟัง พระคัมภีร์บอกว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวอะไรต่างๆ เต็มใจที่จะเชื่อฟังพระเจ้า เหมือนกับบรรดามนุษย์ที่เกิดบนโลกใบนี้ก็ตาม พระเจ้าก็ไม่ได้บังคับให้เป็นเหมือนหุ่นยนต์ เพราะฉะนั้น ก็ปล่อยอิสรภาพ เพียงแต่บอกว่าอย่าไปทำอย่างนั้น อย่าไปทำอย่างนี้นะ ถ้าทำอย่างนั้นจะไม่ดี ก็ปล่อยอิสรภาพ แล้วมนุษย์ก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกกระทำดี ไม่ดีก็ตาม  และมนุษย์ก็ทำไปแล้ว ตั้งแต่สมัยอาดัมนั่นแหละ เอาไว้เล่าเรื่องนี้อีกทีหนึ่งวันหลัง มันสนุกมากถึงเรื่องกฎต่างๆ

กฎทางวิญญาณ ก็เช่นเดียวกันกับกฎทางวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ที่เรามองไม่เห็น  ที่ตะกี้ผมยกตัวอย่างให้ท่านฟัง กฎทางวิญญาณที่เกิดขึ้น ในพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน พระองค์ก็ให้อิสระไม่บังคับ เราไปดูภาพเมื่อสักครู่นี้อีกครั้งหนึ่งนะ ยุคใหม่ ยุคเก่า พระองค์ไม่บังคับ ให้เราเลือกอย่างเป็นอิสระ ให้มนุษย์ทั้งหมดบนโลกนี้เลือกเป็นอิสระ เลือกเอาเองว่าจะเอากฎไหน แต่บอกไว้เลยว่ากฎไหนเป็นอย่างไร?  มีประโยชน์อย่างไร?  จะเอากฎใหม่ก็ได้ เอากฎเก่าก็ได้  จะเลือกกฎใหม่ คือกฎแห่งพระคุณ โดยพระมหากรุณาธิคุณ หรือจะอยู่ในกฎเดิม กฎแห่งความบาปและความตาย  โดยการพึ่งตนเอง  ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สิ่งเหล่านี้ อยู่ในกฎหมด

ตามกฎเดิม ก็คือพึ่งในการกระทำของตนเอง  ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จะต้องทำให้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ 100% ถึงจะเป็นผู้ชอบธรรม โดยสมบูรณ์ ไม่บาป ซึ่งก็คือไม่มีมนุษย์คนใด สามารถรักษากฎนี้ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ได้เลย 1000% เป็นไปไม่ได้เลย  นึกออกใช่ไหม?

ตามกฎใหม่ ก็คือไม่พึ่งการกระทำของตนเอง แต่พึ่งการกระทำของพระเยซูให้เป็นตัวแทน แล้วได้บังเกิดใหม่  เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ครบถ้วน 100% เลย  เป็นลูกของพระเจ้า มีพระลักษณะเหมือนพระเจ้า คือมีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า มีจิตใจที่เป็นจิตใจของพระคริสต์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย และจะได้รับร่างกายใหม่ในวันหนึ่งข้างหน้า  เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูเลย

กฎทางวิญญาณทั้งสองนี้ ยังคงอยู่ถึงทุกวันนี้  กฎใหม่นั้น พระเยซูทำเสร็จไปแล้ว  1990 ปี บรรดามนุษยชาติได้ทยอยกันมา แห่กันเข้ามา ย้ายเข้ามาสู่ครอบครัวของพระเยซูคริสต์ คือเข้ามารับสิทธิในพันธสัญญาใหม่นี้มากมายเหลือเกิน มากขึ้นไปเรื่อยๆ  กฎทั้งสองนี้ ยุคเดิม ยุคใหม่นี้ ทั้งพันธสัญญาเดิม พันธสัญญาใหม่ ทั้งกฎเดิมและกฎใหม่นี้  ทุกวันนี้ยังคงอยู่ เหมือนกับที่ผมบอกกฎของแรงดึงดูดของโลก มันมีอยู่จริงๆ ให้เราเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ของกฎที่พระเจ้าได้ทรงเป็นผู้ควบคุมอยู่อย่างนี้  กฎทางวิญญาณทั้งสองกฎนี้ ยังอยู่ในทุกวันนี้  ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ได้ยินหรือไม่ได้ยินในข่าวดีนี้  ในเรื่องนี้ก็ตาม  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต้องอยู่ในกฎดึงดูดของโลก หรือยกเว้นเมื่อค้นพบกฎแห่งการยกขึ้น มาชนะกฎแรงดึงดูดของโลก เช่น เครื่องบิน จรวดลอยอยู่ได้ แต่มิได้หมายถึงว่าทำจรวดได้ ทำเครื่องบินได้แล้ว กฎแรงดึงดูดของโลกจะหายไป มันคงมีอยู่

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนต้องอยู่ภายใต้ หรือกำลังอยู่ภายใต้กฎใดกฎหนึ่งใน 2 กฎนี้ ไม่กฎเดิมก็กฎใหม่  ถ้าท่านอยู่ในกฎเดิม ก็ไม่ได้อยู่ในกฎใหม่ ท่านอยู่ในกฎใหม่ ก็ไม่ได้อยู่ในกฎเดิม ท่านไม่สามารถจะบอกว่า …

“ผมอยู่ในกฎทั้งเดิม ทั้งใหม่ ขาคนละข้าง”

มันเป็นไปไม่ได้ ท่านต้องอยู่ในกฎใดกฎหนึ่ง และพระเจ้า คือความรักและความห่วงใย  พระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคน ในพระคัมภีร์เขียนอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา พระเยซูก็ตรัสบอกเรื่องนี้ตลอดเวลาว่าพระเจ้าทรงรักโลก รักมนุษย์ยิ่งนัก พระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคนตัดสินใจรับสิทธิของเขา เมื่อรับรู้ข่าวดีนี้  เมื่อรับรู้ความจริงในโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นนี้  พระเจ้าอยากให้ตัดสินใจย้ายมาอยู่กฎใหม่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้  เตรียมแผนการไว้ให้ตั้งนานมาแล้ว  และทำสำเร็จแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ เมื่อ 1990 ปี พระองค์ต้องการให้ท่านรับสิ่งเหล่านี้  และก็เริ่มต้นชีวิตใหม่  เรียกว่าชีวิตแห่งสวรรค์เลยทันที ไม่ใช่ว่าท่านมารับสิทธิของท่านตอนนี้  ในข่าวดีนี้  แล้วก็รอวันที่ต้องตายจากโลกนี้ไป แล้วจึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่

ตามเรื่องที่ผมเล่าให้ฟัง สัปดาห์ที่แล้ว ถ้าท่านรับสิทธิของท่านตอนนี้ ย้ายสำมะโนครัว จากเดิมอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ เชื่อในการตายของพระคริสต์ และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ของพระคริสต์ว่าพระองค์เป็นตัวแทนของท่าน ท่านจะได้รับความรอด คือท่านจะถูกย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรใหม่ พันธสัญญาใหม่ ยุคใหม่ทันที และวิญญาณของท่านจะบังเกิดใหม่ตามที่เราได้เรียนกัน วิญญาณของท่านและจิตใจที่ติดมากับวิญญาณ จะเกิดใหม่ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า เป็นความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และอยู่ในสวรรค์ทันทีเลย  โดยซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ สวรรค์เกิดขึ้นอย่างนี้ แม้ว่าขณะที่เกิดอยู่ในสวรรค์นั้นแล้ว จะยังคงอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ก็ตาม แต่มันอยู่ในร่างกายเดิมชั่วคราว แป๊บเดียว อีกแค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง เมื่อร่างกายนี้เสร็จสิ้นไป วิญญาณข้างในและความคิดจิตใจข้างใน ก็ไปรอสวมร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น สวรรค์มันจึงเริ่มต้นเดี๋ยวนี้  ณ ที่นี่ บนโลกใบนี้ และมันจะไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์  อย่าให้ใครมาหลอกท่านว่าสวรรค์ต้องรอคอยอนาคต ต้องมองไป ถ้าวันนี้ท่านไม่เห็นสวรรค์ ท่านไม่มีความหวังในเรื่องอนาคตว่าจะมีสวรรค์ หวังลมๆ แล้งๆ มากกว่า ถ้าสวรรค์มีจริง วันนี้ท่านต้องสัมผัสมันได้เลยทันที ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น สวรรค์มันเริ่มต้นเดี๋ยวนี้ ที่นี่ ณ บัดนาว พระคัมภีร์ใช้คำว่านาว ความเชื่อ ณ ปัจจุบันทันที ทำให้เราจับต้องมองเห็นได้ ในสวรรค์ที่มองไม่เห็น  มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ทันทีเลย

พอท่านประกาศตนเองว่ายอมรับในสิ่งเหล่านี้ ในข่าวดีนี้  อย่างที่ผมบอกวิญญาณท่านจะได้เริ่มต้นในสวรรค์ และพระวิญญาณจะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน และจะสอนท่าน ท่านจะอยู่ในสวรรค์ ค่อยๆ เจริญเติบโตไปเรื่อยๆ  และจะอยู่ในสวรรค์นี้ไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งนิรันดร์ นี่คือความหวังใจของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ของคริสเตียน คริสเตียนเป็นคำที่เขาเรียกคนที่เชื่อ คริสเตียนเองไม่ได้เรียกเราเองว่าคริสเตียน เราคือผู้ที่เชื่อในข่าวดี และเรามีหน้าที่มาประกาศข่าวดี  พอเรารู้ข่าวดีนี้แล้ว  เพราะเรารู้ว่าพระเจ้า พ่อของเราอยากให้มนุษย์ทุกคนมารู้ในข่าวดีนี้ และมาเชื่อในข่าวดีนี้ และได้รับสิทธิของเขาในข่าวดีนี้ เราก็ทำตามที่พ่อเราบอกในวิญญาณเท่านั้นเอง และท่านก็จะได้ไม่ต้องเดินคนเดียวต่อไป  เพราะชีวิตบนโลกใบนี้มันลำบากเหลือเกิน มันวุ่นวายไปหมด เพราะมันเสียหายไปแล้ว โลกใบนี้ทุกวัน มันยังปกคลุมด้วยยุคเดิมอยู่ เมื่อ 1990 ปี สวรรค์เพิ่งเริ่มต้น  และก็จะขยายไปเรื่อยๆ  จนวันหนึ่งข้างหน้า สวรรค์จะคลุมโลกใบนี้หมดเลย  โลกใบนี้ยุคเดิมจะหายไปหมดเลย เมื่อโลกเดิมสิ้นสุดลงแล้ว ความชั่วร้ายจะหายไป  นั่นแหละคือสิ่งที่เราหวังไว้ พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น อย่าเดินคนเดียวอีกต่อไปเลย เชื่อผมเถิด เดินคนเดียวเป็นทาสมาร แต่ถ้าเดินกับพระเยซูเป็นลูกของพระเจ้า และพระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่กับท่านด้วย ในร่างกายของท่านเดี๋ยวนี้ทันที เดินไปกับท่านในทุกปัญหา  ทุกสิ่งในชีวิตของท่าน  พระองค์สามารถที่จะนำพาไปเรื่อยๆ ได้ เป็นไปตามน้ำพระทัยทันที ไม่ได้เดินคนเดียวอีกต่อไป  แต่มีพระเจ้าผู้มีชัยชนะเหนือความบาปและความตาย  ผู้มีชีวิตนิรันดร์สถิตอยู่ในร่างกายของท่าน และพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคนี้ เข้าไปสถิตอยู่ในร่างกายของท่าน ณ บัดนาว เดี๋ยวนี้ทันที เมื่อท่านใช้สิทธิ และไปไหน ไปด้วยกันกับท่านเสมอ ไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไปแล้ว นี่คือสิ่งที่ท้าทายมาก ขอบคุณพระเจ้า  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2020 เรื่อง “พระเยซูฟื้นแล้ว ฉันฟื้นด้วย” ตอน 2 “ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  เมษายน  2020

 เรื่อง “พระเยซูฟื้นแล้ว ฉันฟื้นด้วย”

ตอน 2 “ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สัปดาห์ที่แล้ววันอีสเตอร์ เป็นวันเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์  ยังจำได้ใช่ไหมครับว่าที่ผมเล่าเหตุการณ์ แบบเป็นเรื่องเป็นราวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์ คืออะไร? ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่ผมตั้งขึ้นมาว่าเปรียบเสมือนศึกมหากาฬแห่งโลกวิญญาณ ซึ่งศึกมหากาฬศุกร์ประเสริฐ อีสเตอร์เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.30 ก็คือประมาณ 1,990 ปีผ่านมาแล้ว  ค.ศ. เขาเริ่มต้นตั้งแต่ตอนพระเยซูมีอายุ 3 ขวบ เกิดขึ้น ณ กรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล เป็นการชิงชัยระหว่าง 2 ค่ายใหญ่ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  เขารู้กันหมด แต่โลกฝ่ายมนุษย์ อาจจะรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง  ก็แล้วแต่

ค่ายที่หนึ่ง คือซาตาน เจ้าแห่งความบาปและความตาย  แชมป์เดิมที่ครองอำนาจ  ครองเข็มขัดอยู่ คือมีอำนาจอยู่เหนือมนุษย์ มนุษย์เป็นทาสเขาอยู่ เขามีอำนาจอยู่บนโลกใบนี้เด็ดขาด 100%

ค่ายที่สอง คือพระเยซูคริสต์ ผู้ท้าชิง เป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ มาท้าชิง เพื่อจะมาช่วยเหลือพี่น้องร่วมมนุษยชาติให้พ้นจากการเป็นทาสของมาร  แล้วถ้าเกิดพระเยซูชนะ มวลมนุษยชาติชนะด้วย  ก็จะได้กลับคืนดีกับพระเจ้า และมาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้  หลุดจากการเป็นทาสมาร  แต่ถ้ามารชนะ มนุษย์ก็ยังเป็นทาสมารอยู่ต่อไป ไม่สามารถเป็นอิสรภาพได้  ไม่สามารถกลับมาหาพระเจ้าได้ นี่คือเดิมพันต่อรองในวันนั้น เมื่อ 1990 ปีที่ผ่านมา ในโลกวิญญาณ อีสเตอร์แรกของโลก

ครั้งที่แล้ว ผมก็ได้นำเรื่องนี้มาบรรยาย เป็นมวยข้างสนามแล้ว สนุกๆ มาทวนอีกทีหนึ่ง  จำได้ใช่ไหมครับ

ยกที่ 1 พระเยซูถูกจับตั้งแต่คืนวันพฤหัสฯ  ถูกทรมาน ถูกทุบ ถูกตี ถูกเฆี่ยน  จนกระทั่งถูกตรึงที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ด้วยความทุกข์ทรมาน เหมือนยกที่ 1 ถูกศัตรู ก็คือมารอัด ถูกความบาปและความตายอัดๆ จนเกือบจะแพ้  จนกระทั่งปลายยกที่ 1 พระเยซูสวนหมัดเด็ดเข้าไปหมัดเดียว  หมัดนั้นมีชื่อว่า “หมัดไพรีพิฆาต” โดยหมัดนี้ ส่งออกไปด้วยการตายของพระองค์บนไม้กางเขน  มารลงไปนอนนับแปด เพราะกระดิ่งช่วย

ยกที่ 2 พระเยซูก็เข้าไปซัดเต็มอีกหมัดหนึ่ง หมัดนี้ พระเยซูยืนยันความตาย ตายจริงๆ อยู่ในอุโมงค์ถึง 2 วัน  หมัดเด็ดนี้ ก็คือ “หมัดมัจจุราชสิ้นฤทธิ์” คือมารถูกนับแปดไปแล้วใช่ไหม? ในยก 2 นี้ จมกองเวทีเลย แต่ไม่แพ้ ยังมีระฆังช่วยอยู่

ยกที่ 3 พระเยซูซัดด้วยหมัดสุดท้าย หมัดเด็ด ตามพระคัมภีร์เรียกว่าเหยียบหัวมารแหลกเลย พ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด พระเยซูชนะอย่างขาวสะอาดเลย  หมัดนี้ผมให้ชื่อว่า “หมัดผู้พิชิตนิรันดร์” คือการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู เป็นผู้พิชิตนิรันดร์  จบ เรียกว่าปิดฝาโลง มารซาตานพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด

ที่ผมเล่าทบทวนการทำสงครามมหากาฬครั้งนี้ ในวันนี้ ก็เพื่อจะนำเข้าสู่การบรรยายในวันนี้ เป็นการต่อเนื่อง  หลังจากที่จบการต่อสู้ การยกมือให้พระเยซูชนะเด็ดขาด เป็นผู้พิชิตแล้ว เกิดอะไรขึ้น?

พระเยซูท้าชิงแล้ว  ชนะแล้ว เท่ากับมวลมนุษยชาติชนะ  เมื่อมวลมนุษยชาติชนะแล้ว  ในโลกฝ่ายวิญญาณ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับมวลมนุษยชาติ มวลมนุษยชาติได้รับรางวัลเป็นอะไรจากศึกในครั้งนี้  วันนี้เราจะมาบรรยายเรื่องนี้ด้วยกัน  เพื่อท่านจะได้รู้ว่ามนุษย์ได้รับอะไรบ้างในรางวัลอันนี้  หัวข้อการบรรยายในวันนี้ จึงเป็นภาคต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว คือ “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันเป็นขึ้นด้วย” ตอนที่ 2 จำได้ใช่ไหมครับ? เดิมพันการต่อสู้ครั้งนี้ ก็คืออิสรภาพของมวลมนุษยชาติ ผลของการต่อสู้ ได้รับการประกาศเป็นเอกฉันท์แล้วว่าพระเยซูเป็นฝ่ายชนะ คือเป็นขึ้นจากความตาย และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงเรียกวันอีสเตอร์ว่าวันประกาศชัยชนะ ครั้งยิ่งใหญ่  และสำคัญที่สุด แห่งประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ เพราะในโลกฝ่ายวิญญาณได้ถูกบันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว  สถาปนาไว้เรียบร้อยแล้ว

นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  ที่ได้ทำให้หน้าประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง มวลมนุษยชาติได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ เรียกว่ายุคพันธสัญญาใหม่ ยุคพระคุณ ยุคนิรโทษกรรม ยุคที่ได้รับอิสรภาพจากการเป็นทาส ไม่ต้องชดใช้โทษของความบาปและความตายอีก  เป็นอิสระ หมดหนี้สิน หมดบาป หมดเวร หมดกรรม เป็นยุคที่มนุษย์ได้อพยพกลับบ้าน บ้านของมนุษย์ คือสวรรค์ สู่อ้อมกอดของพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ คือพระเจ้า ยุคที่มนุษย์ได้พักผ่อน หายเหนื่อย และเป็นสุข เป็นความหวังใจเดียวเท่านั้น  ที่มันเกิดขึ้นในขณะนั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ยุคใหม่เกิดขึ้นเมื่อไร? ใครถาม? ท่านสามารถตอบได้เลย เกิดขึ้นเมื่อ 1990 ปี  เมื่อ ค.ศ.30 เริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล ในขณะนั้น  และเกิดผลมาถึงทุกวันนี้

และพระคัมภีร์บอกว่าผู้ใดก็ตามที่เชื่อในเหตุการณ์นี้ เชื่อในสิ่งที่พระคัมภีร์บอก ที่ผมเล่าให้ฟังนี้ และเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ และเหตุการณ์นี้สำหรับมวลมนุษยชาติ แน่นอน  เราต้องเรียกว่าข่าวดี เพราะมนุษย์เป็นฝ่ายชนะในข่าวดีแน่นอน  ถ้ามนุษย์แพ้ เป็นข่าวไม่ดี  เมื่อใครก็ตามเชื่อในเหตุการณ์นี้ พระคัมภีร์บอกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตัวของคนๆ นั้นที่เชื่อในข่าวดีนี้ ที่เขาเป็นวิญญาณ ในวิญญาณเขาเกิดอะไรขึ้น  ชีวิตเขาเกิดอะไรขึ้น  เพียงแค่เชื่อเท่านั้นเองว่า …

“เหตุการณ์นี้เป็นจริง ฉันมีส่วนด้วย ในชัยชนะ ในครั้งนั้น  และก็รับเอาสิทธิของตัวเองเข้ามา”

มีอะไรบางอย่างยิ่งใหญ่เกิดขึ้น วันนี้แหละ เป็นวันที่จะอธิบายให้ฟังว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง?  อะไรบางอย่างนั้น ก็คือพระเจ้าได้ทำการผ่าตัดวิญญาณ ย้ายวิญญาณของผู้นั้นเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฟังแล้วอาจจะงง แต่ในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นจริงๆ  ผมจะยกข้อพระคัมภีร์มาให้ท่านเห็น เพื่ออธิบายให้ท่านฟังว่าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้อธิบาย ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับใครก็ตามที่เชื่อในเหตุการณ์นี้ว่ามันเกี่ยวข้องกับเขา เป็นข่าวดีสำหรับเขา มนุษย์ 1 คน บนโลกใบนี้  และเขารับเอาสิทธิของเขาในข่าวดีนี้ สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเขาทันที  ณ วินาทีนั้นเลย  โคโลสี 1:13-14

โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้เราได้รับการไถ่บาป  คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

“ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาปของเรา” คือการอภัยโทษบาปของเรา การผ่าตัดของพระเจ้า คือการย้ายวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกไว้หน้าแรกๆ เลยว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ที่มาจากพระองค์

การผ่าตัดของพระเจ้า ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดี เชื่อในชัยชนะของพระเยซูต่อมารซาตาน ที่ไม้กางเขน  การผ่าตัดย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้  ออกจากอาณาจักรของความมืด ที่ตะกี้เราอ่าน  มาสู่อาณาจักรของพระบุตรของพระเจ้า  คือพระเยซูที่เป็นที่รักของพระองค์ คืออาณาจักรสวรรค์ พูดง่ายๆ คือย้ายวิญญาณของคนๆ นั้น  มาอยู่ในอีกที่หนึ่ง

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพว่าในโลกวิญญาณ มีอาณาจักรอยู่ 2 อาณาจักร  อาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด  อีกอาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง  อาณาจักรของความมืด คืออาณาจักรของมารซาตาน  อาณาจักรแห่งแสงสว่าง ก็คืออาณาจักรของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ผู้มีชัยชนะ

ย้ายวิญญาณ ย้ายอย่างไร?  จำครั้งที่แล้วที่ผมยกตัวอย่างได้ใช่ไหม? มนุษย์ทุกคน พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอก เกิดมาเขาตกอยู่ใต้อำนาจของความบาป และความตาย วิญญาณเขาเป็นบาป  ไม่ใช่มีบาปนะ  เป็นบาปแล้วค่อยมีบาปทีหลัง เป็นบาป แล้วค่อยทำบาป  แต่ในวิญญาณเป็นบาป  อยู่ในอำนาจของมารซาตาน คืออยู่ในอาดัม  … อาดัมคือบรรพบุรุษของเรา เราทั้งหลายที่เป็นลูกหลานของบรรพบุรุษ คืออาดัมและเอวา  เราทั้งหลายอยู่ใน DNA ของอาดัม แล้วอาดัมบาป วิญญาณบาป  เพราะฉะนั้น เราก็อยู่ในบาปนั้นด้วย  เมื่อคลอดออกมา ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เราก็เป็นบาปแล้ว ยังไม่โกหกสักคำเลย เราก็เป็นบาปแล้ว  ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เราก็เป็นบาปแล้ว อย่างนี้เรียกว่าวิญญาณที่อยู่ในความมืด  วิญญาณที่อยู่ในบาป  เป็นบาปอยู่

พอคนที่เชื่อในข่าวดีนี้ พระเจ้าได้ผ่าตัดย้ายเขาจากวิญญาณที่อยู่ในอาดัม อยู่ในความมืด  มาสู่พระเยซูคริสต์ผู้มีชัยชนะเหนือความตาย  เหนือความมืด พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทั้งหลายอยู่ในอาดัม อยู่ในความมืด ครั้งที่แล้วผมยกตัวอย่างว่าไอโฟน คือชีวิตของเรา  วิญญาณของเราอยู่ในอาดัม ซองใส่ไมค์คืออาดัม  เกิดอะไรขึ้น เมื่อคนนั้นเชื่อในข่าวดี  โคโลสี 1:13-14 พระเจ้าได้ทำการผ่าตัด  (เอาไอโฟนเข้าไปใส่ไว้ในซองไมค์แล้วรูดซิป) ทุกคนอยู่ในอาดัม ก็คือเป็นบาป  ถูกตัดขาดจากพระเจ้า พอเชื่อในข่าวดีของพระเยซูปุ๊บ ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณ ย้ายวิญญาณเขาออกจาก DNA ของอาดัม  (รูดซิปเอาไอโฟน ออกมาจากซองไมค์) ย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ ก็คือย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรของพระคริสต์ ที่ได้เป็นขึ้นจากความตาย ย้ายเข้ามาอยู่ในนี้ ครั้งที่แล้วที่ผมทำให้ดู (เอาไอโฟนเข้าไปอยู่ในพระคัมภีร์) นี่แหละคือความหมายของเมื่อสักครู่นี้ เป็นอย่างนั้น  ในพระคริสต์นี้ ก็คือในสวรรค์สถาน  ในโลกฝ่ายวิญญาณ  พระคริสต์เป็นฝ่ายชนะ

เพราะฉะนั้น การตายและการถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าทำให้เราได้รับการอภัยโทษ จากบาปทั้งสิ้น  จากความผิดบาปทั้งปวง  ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต คือไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว  ตอนที่พระคริสต์ตาย  เราก็ตายด้วย ถูกฝังในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย การตายและถูกฝัง คือการพ้นจากบาป  เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซู ก็ทำให้เราได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าด้วยพระคุณของพระองค์ ก็คือให้เราฟรีๆ โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย กลายเป็นลูกของพระเจ้า ได้อภัยโทษจากความบาปทั้งหมด เห็นไหม?  ครั้งที่แล้วที่ยกตัวอย่างให้ท่าน พอจับเราผ่าตัดวิญญาณเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตอนที่พระคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  เราตายด้วย  ตอนที่พระคริสต์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ยืนยันการตายนั้น  เราก็ถูกฝังด้วย  วันที่สาม พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  ถูกยกขึ้นสูงสุด  เหนือทุกสิ่ง  เราก็ถูกยกขึ้นมาด้วย  เพราะเราอยู่ในพระคริสต์นั่นเอง  นี่ชัดเจน

และถามว่า “พระคุณ” นี้คืออะไร?  พระคุณ คือเราได้ฟรีๆ เปล่าๆ  ไม่ต้องทำอะไรเลย  โดยพระเจ้าประทาน  เขาเรียกว่าพระมหากรุณาธิคุณ ให้มนุษย์ทั้งปวง ด้วยวิธีการนี้

จะยกตัวอย่างอันนี้ให้ชัดเจน เหมือนกับมนุษย์เราปัจจุบัน  ถ้าเรานึกถึงภาพ จะเห็นภาพ  เหมือนกับนักโทษประหารที่อยู่ในเรือนจำ รอวันประหาร  ไม่มีอนาคตเลย ทุกข์ทรมาน ด้วยความกลัวตลอดเวลา  เสร็จแล้วมีอยู่วันหนึ่ง  ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระมหากษัตริย์อภัยโทษให้ทุกคนเลย  ที่ต้องโทษประหาร นักโทษประหารนั้น ก็ได้เป็นอิสระ ออกจากเรือนจำมา นั่นคือพระคุณ

แต่พระคุณซ้อนพระคุณคืออะไร?  กษัตริย์ไม่ได้ให้อภัยโทษแค่นั้น  เพราะออกมาจากเรือนจำ พ้นจากโทษก็จริง  แต่ไม่มีอนาคตเลย  ยังเป็นอดีตนักโทษอยู่ มีประวัติเป็นนักโทษ อาจจะติดยาเสพติด หรืออะไรต่างๆ ติดการทำชั่วอยู่  ไม่มีชีวิตที่มีความสุขได้เลย  ไม่มีความหวังอยู่ดี แม้ว่าจะเป็นอิสระจากโทษประหารแล้วก็ตาม  แต่กษัตริย์ได้บอกว่าไม่ใช่อภัยโทษอย่างเดียว  นอกเหนือจากนั้นแล้ว ขณะที่อภัยโทษ พอออกจากเรือนจำปุ๊บ ส่งไปที่โรงพยาบาลที่มีเทคโนโลยีสูงๆ ไปผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ  เปลี่ยนความคิดจิตใจเขา เปลี่ยนเอาสิ่งที่ชั่วร้ายออกไป  สิ่งที่เสพยาเสพติด  สิ่งที่ไม่ดีออกไป  เอาออกไปให้หมด แล้วเปลี่ยนความคิดจิตใจที่ดีเข้าไปแทนที่  แล้วพอตื่นจากการผ่าตัดจากโรงพยาบาลปุ๊บ พอออกมาปุ๊บ รับเข้ามาเป็นลูก เป็นราชบุตรราชธิดา  ในราชวัง เข้ามาอยู่ในวังเลย เป็นลูกของพระองค์ นี่แหละคือซ้อนพระคุณ คล้ายๆ อย่างนั้น ให้เห็นชัดเจนขึ้น

เช่นกัน โดยพระคุณซ้อนพระคุณอันยิ่งใหญ่  ที่พระเจ้าได้ประทานชีวิตใหม่ รับเราทั้งหลายมนุษย์ทุกคน มาเป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ มนุษย์คนนั้น ก็สามารถกลับไปสู่สวรรค์ ก็คือวังของพระเจ้านั่นเอง  ไม่ใช่เป็นอิสรภาพ  จากโทษของความบาปและความตาย หรือการเป็นทาสของบาปเวรกรรม แค่นั้น แต่ได้รับชีวิตใหม่ เข้าไปอยู่ในวังเลย  โดยไม่ต้องทำอะไร? ไม่ต้องพึ่งความดีของตนเองเลย  แม้แต่นิดหนึ่ง เราจึงเรียกกันว่า พระคุณอันมหัศจรรย์ ที่เขาเรียกว่า Amazing Grace นั่นเอง

เท่านั้นยังไม่พอ พระคัมภีร์ยังมีบันทึกอีกว่าหลังจากผ่าตัดย้ายวิญญาณของเราแล้ว จากอาณาจักรแห่งความมืด มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง รับเราเป็นลูกแล้ว ประทานชีวิตใหม่ให้กับเราแล้ว  ให้เราได้อยู่ในสวรรค์แล้ว  แค่นั้นยังไม่พอ ยังไม่หมดอีก ยังมีอะไรอีกมากมายที่พระเจ้าประทานให้กับผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้  รับสิทธิของเขาในส่วนที่พระเยซูชนะที่ไม้กางเขนนี้ ที่เชื่อในพระองค์นี้ อีกเยอะแยะมากมาย  ซึ่งวันนี้จะพาท่านไปดูว่าเขาได้รับอะไรอย่างอัศจรรย์ อย่างเรียกว่าพระคุณซ้อนพระคุณ  แล้วซ้อนพระคุณอีกทีหนึ่งก็ได้  โคโลสี 2:9-10

โคโลสี 2:9-10 “9 เพราะในพระคริสต์พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของพระองค์ 10 และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะเหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น”

 

สิ่งที่เราได้รับ ก็คือความบริบูรณ์ในพระคริสต์ … ความบริบูรณ์ในพระคริสต์คืออะไร? ตะกี้นี้ที่เราอ่านพร้อมกัน บอกว่า “ในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า  ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของพระองค์” ก็หมายความว่าพระเจ้ามีพระลักษณะอย่างไร? ธรรมชาติของพระเจ้า เนเจอร์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร? พระคริสต์ก็เป็นอย่างนั้น และพระคริสต์มีพระลักษณะอย่างไร? มีเนเจอร์ มี DNA มีสปีซี่ของชีวิตเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้น “เรา” หมายถึงมนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีนี้ เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ เมื่อ 1990 ปีที่แล้ว ที่เยรูซาเล็ม  ประเทศอิสราเอล วันอีสเตอร์แรกของโลกนั้น  ใครก็ตามที่เชื่อแค่นี้  ก็จะได้เข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า  พูดง่ายๆ ว่าเป็นหนึ่งในตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งในพระเจ้า  เป็นลูกของพระเจ้า มีลักษณะชีวิต  เหมือนพระเจ้าพระบิดา  เหมือนพระเจ้าพระบุตร พระเยซูนั่นเอง ตื่นเต้นนะครับ

นี่แหละเป็นเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา 1990 ปี ผู้คนมากมายเยอะแยะหลั่งไหลเข้าไปสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้ เข้าไปสู่ความยิ่งใหญ่นี้ทั้งนั้น แล้วท่านล่ะ อยู่ตรงนั้นแล้วหรือยัง  หรือว่าอยู่แล้ว ท่านรู้หรือไม่?  พระคัมภีร์ชอบบอกอย่างนี้ว่า …

“ท่านรู้หรือไม่? ท่านรู้หรือเปล่าว่าร่างกายท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน เป็นหนึ่งเดียวกับท่าน รู้ไหม?”

โคโลสี 2:11-13 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ “11 ในพระองค์ท่านยังได้เข้าสุหนัต คือการสลัดวิสัยบาปทิ้ง เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ แต่ทำโดยพระคริสต์ 12 ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย 13 เมื่อท่านตายแล้วในบาปของท่าน และในวิสัยบาปของท่าน ซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต พระเจ้าได้ทรงให้ท่านมีชีวิตด้วยกันกับพระคริสต์ พระองค์ทรงอภัยโทษบาปทั้งสิ้นของเรา”

 

“ในพระองค์ท่านยังได้เข้าสุหนัต” “ในพระองค์” คือในพระคริสต์ ที่ท่านอยู่แล้ว อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ผมใส่ไอโฟนเข้าไป

ในพระคริสต์ท่านยังได้เข้าสุหนัต … “สุหนัต” คือการขลิบปลายอวัยวะเพศชาย ที่สมัยอิสราเอลดั้งเดิม ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะตายที่ไม้กางเขน  พระเจ้าสั่งให้ทำตรงนี้  เพื่อเล็งถึงวันหนึ่งที่ในโลกวิญญาณ ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะเข้าสุหนัตนี้ ทางโลกวิญญาณ  เล็งถึงสิ่งนั้น  เขาทำอะไรในอดีต ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์  พระเจ้าให้ชาวอิสราเอลทุกคน ชายทุกคนให้เข้าสุหนัต  การเข้าสุหนัต คือการไปขลิบปลายอวัยวะเพศด้วยมีดคมๆ  เพื่อให้เลือดหลั่งไหลออกมา  เป็นสิ่งที่บ่งบอก เล็งให้เห็นถึงพันธสัญญากับพระเจ้าว่าเมื่อทำสิ่งนี้  พงศ์พันธุ์ของคนๆ นั้น  อยู่ในการดูแล เป็นประชากรของพระเจ้า  แค่นี้นะ

ในนี้บอกว่าท่านยังได้เข้าสุหนัต ในพระเยซูคริสต์ คือท่านยังได้เข้าไปถูกกรีด ผ่าตัดด้วยมีดคมๆ อย่างตะกี้นี้ผมบอก ผ่าตัดทางวิญญาณ เพื่อทำพันธสัญญาใหม่ ในนี้บอกว่าคือการสลัดวิสัยบาปทิ้ง  การสลัดวิสัยบาป ก็คือผ่าตัดเอา วิสัยบาป ก็คือตัวตนบาป เนเจอร์บาป ที่อยู่ในวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในอาดัมตั้งแต่แรก นั่นแหละ เรียกว่าตัวตนบาป  วิญญาณที่บาปอยู่  การเข้าสุหนัตตรงนี้  คือการผ่าตัดเข้าไปเอาวิญญาณตัวนั้น ให้ออกมาซะ ทิ้งมันซะ  เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์  สมัยก่อนที่อิสราเอล  ใช้มือมนุษย์เป็นคนผ่า แต่ตอนนี้บอกว่าไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์  แต่ทำโดยพระคริสต์ คือพระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน ฝังในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  นั่นแหละ คือการเข้าสุหนัต

ในข้อ 12 บอกว่าท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ ในพิธีบัพติศมา ก็คือบัพติสมาที่ผมอธิบายให้ฟังหลายครั้ง  บัพติศมาแปลว่าจุ่มลง มุดลง เป็นหนึ่งเดียวกัน  ก่อนหน้าที่เราจะเชื่อในพระเยซูคริสต์ มนุษย์ทุกคนบัพติศมาอยู่ในอาดัม คือจุ่มอยู่ มุดอยู่ใน DNA ของอาดัม แต่พอเชื่อปั๊บ พระเจ้าก็ผ่าตัดเอาออกจากในอาดัม ใน DNA อาดัม เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ก็คือเข้ามาบัพติศมา มุดเข้ามา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์นั่นเอง  และในนี้บอกว่าและทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระองค์ คือพระเยซูตาย เราก็ตายด้วย  พระเยซูถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย  พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย พระเจ้ายกพระเยซูคริสต์สูงสุด  เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย

ในข้อต่อไป เห็นชัดเจนเลย บอกว่าทั้งหมดนี้ ผ่านทางความเชื่อของท่าน  เชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย   ก็คือเชื่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากตาย  เชื่อว่ามีวัน อีสเตอร์จริงๆ  เชื่อว่าพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน  และลงไปอยู่ในหลุมฝังศพ  ยืนยันว่าพระองค์ทรงตายจริงๆ เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ตายได้ อยู่ในอุโมงค์ เพื่อจะได้เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ได้ ในวันที่ 3 พระองค์ก็เป็นขึ้นจากความตาย  ใครก็ตามที่เชื่อฤทธิ์อำนาจนี้  ในโลกวิญญาณก็จะเกิดการผ่าตัด

ในข้อ 13 ได้บอกว่าเมื่อท่านตายแล้ว ในบาปของท่าน นี่พูดถึงว่าก่อนจะผ่าตัด วิญญาณของท่านตายแล้วในบาปของท่าน วิญญาณเป็นบาป ตายอยู่ในอาดัม และในวิสัยบาปของท่าน ก็คือใน DNA ในวิญญาณของท่าน เป็นธรรมชาติของบาป ในนี้บอกว่าซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต ก็คือยังไม่ได้ถูกการผ่าตัดจากพระเจ้า เข้ามาสู่พันธสัญญาใหม่  พระเจ้าได้ทรงให้ท่าน กลับมีชีวิตอยู่ ก็คือขณะที่ท่านเป็นอยู่อย่างนั้น อยู่มืดๆ อยู่ในอาดัมอย่างนั้น ตายอยู่ในนั้น ยังไม่ได้ทำพันธสัญญาใหม่กับพระเจ้า  พระเจ้าได้ทรงให้ท่านมีชีวิตด้วยกันกับพระคริสต์ คือผ่าตัดท่าน  เอาท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ และได้เป็นขึ้นมาจากความตายกับพระคริสต์ และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น  โดยพระคริสต์เป็นคนไถ่บาปให้กับท่าน เป็นตัวแทนให้กับท่าน มันหมายถึงอย่างนี้ ในโคโลสี 2:14-15 บอกไว้อย่างนี้

โคโลสี 2:14-15 “14 ทรงยกเลิกหนังสือสัญญาที่ผูกมัดเราด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งขัดขวางและต่อต้านเรา พระองค์ทรงเอาหนังสือนี้ ออกไปตรึงที่กางเขน 15 และทรงปลดเทพผู้ทรงเดชานุภาพและเทพผู้ทรงอำนาจต่างๆ ลง พระองค์ได้ทรงประจาน และพิชิตพวกนี้โดยกางเขนนั้น”

 

“สิ่งที่ผูกมัดเรา” คือเราเป็นคนบาป  เมื่อเป็นคนบาป มีวิสัย หรือว่าสันดานที่ทำบาปแน่นอน  ทำโดยธรรมชาติจากวิญญาณข้างใน ที่เป็นบาป ที่อยู่ในอาดัม  ยังไงก็ทำบาป และกฎของมัน ก็คือต้องโดนลงโทษ ทำไม่ดี ก็ต้องได้ไม่ดีด้วย  ทำชั่ว ก็ต้องได้ชั่วตลอด พูดง่ายๆ อย่างนั้น แต่พระเยซูทรงเอาชนะสิ่งเหล่านี้ ด้วยการตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ชัยชนะนี้ หมัดสุดท้าย หมัดผู้พิชิตนิรันดร์  เหยียบหัวมารแหลก สิทธิอำนาจที่มารมีอยู่ หมดเกลี้ยงเลย เพราะว่าพระเจ้า โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ได้ปลดปล่อยมนุษย์  ให้เป็นอิสรภาพจากบาปเวรกรรม ได้รับการอภัยโทษเรียบร้อยแล้ว รับมาเป็นลูก เกิดใหม่  เท่ากับว่าพระเยซูได้ประกาศ ในนี้เขียนบอกว่าทรงปลดเทพผู้ทรงเดชานุภาพ เทพผู้ทรงอำนาจต่างๆ ลง และได้ประจานความพ่ายแพ้ของมัน  พิชิตพวกนี้ โดยไม้กางเขน  โดยความตายจริงๆ ฝังในอุโมงค์จริงๆ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สามจริงๆ เอาชัยชนะนี้มาให้มวลมนุษยชาติทั้งปวง ผู้ที่ไม่ต้องทำอะไรเลย  แต่ได้รับผลของชัยชนะนี้  ได้รับรางวัลเท่าๆ กับพระเยซูเลย

พระคัมภีร์จึงเรียกพวกเรากันเองว่ายิ่งกว่าผู้พิชิต ไม่ใช่เราเรียกนะ พระคัมภีร์เรียก พระเจ้าเรียกพวกเราทั้งหลายที่เชื่อในข่าวดีในพระเยซูว่าพระเยซูเป็นตัวแทนของเรา  ช่วยให้เราได้รับชัยชนะ อะไรต่างๆ เหล่านี้  พระเจ้าเรียกพวกเราผู้เชื่อเหล่านี้ว่าเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ถ้าพระเจ้าเรียกพระเยซูว่าผู้พิชิต เรียกพวกเราว่ายิ่งกว่าผู้พิชิต คือเราไม่ต้องทำอะไร แต่ได้เท่ากับพระเยซู พระเยซูได้อะไร เราได้ด้วย  พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราเป็นด้วย พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค สถาน เรานั่งด้วย  พระเยซูได้รับสิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี อยู่ในกำมือของพระองค์ เราก็ได้รับด้วย  พระเยซูได้รับฐานะเป็นผู้ครอบครองมรดกของพระเจ้าในสวรรคสถาน เราก็ได้ครอบครองในมรดกนั้นด้วย  เท่ากันเลย  โคโลสี 3:1-4 จึงเตือนเราทั้งหลายว่านี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นบนโลกวิญญาณ เนื่องจากเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ตามนุษย์มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน สัมผัสไม่ได้  แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วในโลกวิญญาณ มันสำคัญกว่าโลกวัตถุที่เรามองเห็น  ฝนตกเอย จับต้องมีความร้อน อะไรต่างๆ เรามองเห็น  เรานึกว่ามันเป็นจริง แต่โลกที่มองไม่เห็น มันจริงกว่า  เพราะมันอยู่นิรันดร์ โลกที่มองเห็นมันอยู่ชั่วคราว  พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  ในโคโลสี 3:1-4 เขาจึงเตือนเราให้ทำอะไร? อ่านพร้อมกัน

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

ในเมื่อท่านรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว อธิบายให้ฟังแล้วนะว่าในโลกวิญญาณ มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของท่าน ท่านเชื่อในข่าวดีนี้ ที่พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของมนุษยชาติได้รับชัยชนะนิรันดร์กาลมา แล้วก็เอามาให้กับมนุษย์ทั้งปวง  เมื่อท่านเชื่อและท่านรับสิทธิของท่าน เกิดอะไรขึ้น ท่านเรียนรู้ไปแล้ว  และในนี้บอกว่าในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกันกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน  เมื่อท่านรู้อย่างนี้ทั้งหมดแล้ว  ท่านตายพร้อมกับพระเยซู ฝังไว้พร้อมกับพระเยซู เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซู ได้รับสิทธิอำนาจ ได้รับมรดกต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เท่าพระเยซูเลย  เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว  ก็จงให้ใจของท่าน  ความคิดของท่านจดจ่อ  ดูตลอดเวลาทางฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นแบบนี้ เบื้องบน ก็หมายถึงโลกฝ่ายวิญญาณ  ให้จดจ่อในสิ่งที่โลกฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้น  เดี๋ยวมันลืมๆ

โลกฝ่ายวิญญาณที่พระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  คือที่สูงสุด  ที่ได้รับสิทธิอำนาจ เหมือนเป็นผู้สำเร็จราชการที่พระเจ้าให้อำนาจสูงสุดเลย พระเจ้าจะให้พระคริสต์และผู้ที่อยู่กับพระคริสต์ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ เรียกว่ามรดก รับมรดกนิรันดร์ร่วมกัน เราทั้งหลายมีสิทธิเท่าพระเยซูเลย  พระเยซูได้อะไร เราได้เท่ากันกับพระองค์เลย  พระเยซูมีอะไร เรามีเหมือนกับพระองค์เลย  พระเยซูยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เรายิ่งใหญ่เท่านั้นเลย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ข้อ 2 บอกว่า “จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” จงให้จิตใจความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับเรื่องนี้ เรื่องที่เล่าเมื่อสักครู่นี้ ในโลกวิญญาณ  ไม่ใช่จดจ่ออยู่ว่าจะขับรถอะไร? จะอยู่อย่างไร? จะกินอย่างไร? โควิดมันจะมา จะตกงานไหม? อันนี้ว่ากันไปทีละวันๆ อธิษฐานกับพระเจ้าได้ แต่ให้จดจ่อในโลกวิญญาณว่า …

“ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้นะ ตอนนี้อยู่ในสวรรค์แล้ว”

ไม่ต้องรอให้ตายไปก่อน  ตอนนี้ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว

ข้อ 3 บอกว่าเพราะท่านตายแล้ว  และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า เพราะว่าตัวเก่าของท่าน วิญญาณเก่าของท่านที่อยู่ในอาดัม มันตายไปแล้ว มันจบไปแล้ว ตอนนี้ท่านได้เกิดใหม่แล้ว  พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่ในนี้แล้ว อยู่ในพระคริสต์ ให้รู้ตลอดเวลา  วิญญาณเราถูกซ่อนอยู่ในนี้  และจะอยู่ในพระคริสต์ ปกคลุมอยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลา

ข้อ 4 บอกว่าเมื่อพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ คือเมื่อพระเยซูกลับมาอีกครั้ง เพื่อพิพากษาโลก  เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย  หมายถึงวันที่พระองค์กลับมาบนโลกใบนี้  ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ที่ปรากฏให้กับหลายๆ คน เมื่อ 1990 ปีที่ผ่านมา ที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ปรากฏให้กับผู้คนได้เห็น  40 วัน เยอะแยะมากมายที่ทุกคนได้เห็นพระองค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ จับต้องมองเห็นหน้าต่อหน้า ร่างกายนั้นจะกลับมาใหม่  พระเยซูจะกลับมาใหม่ ในวันหนึ่งข้างหน้า

ขณะพระเยซูกลับมา ในนี้บอกว่าเมื่อพระองค์ปรากฏ ท่านจะปรากฏพร้อมกับพระองค์  คำว่าปรากฏ หมายถึงอย่างนี้ ตอนนี้เราถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ชีวิตเราถูกซ่อนอยู่ เรายังไม่มีร่างกายใหม่  แต่วันที่พระเยซูกลับมาใหม่ อาจจะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ อาจจะเป็นมะรืนนี้ก็ได้  อาจจะเป็นเดือนหน้า ปีหน้า  10 ปีหน้า  อีกพันปีหน้าเราก็ไม่รู้ แต่เรารู้ว่าพระองค์กลับมาแน่ พระองค์สัญญาไว้ ถ้าพระเยซูกลับมา พระองค์มาด้วยร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  ที่ออกจากอุโมงค์หลุมศพ  ในวันที่สามตอนเช้า พระองค์จะกลับมาอย่างนั้น แล้วเราทั้งหลายที่เชื่อที่ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ เราก็จะปรากฏด้วย ก็คืออย่างนี้ (ไอโฟนที่ซ่อนอยู่ในพระคัมภีร์ ก็ปรากฏออกมาด้วยเหมือนกัน) แล้วเราก็จะสวมร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  ที่มีคุณลักษณะเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็คือไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวด ไม่ต้องตาย ไม่ต้องมีความทุกข์ทรมาน  ไม่ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ อะไรอีกเลย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความเศร้าโศก เสียใจอีกต่อไป  เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า  ปรากฏพร้อมๆ กับพระองค์อย่างนี้  (โชว์ไอโฟนและพระคัมภีร์คู่กัน)

นี่คือความหวังใจสุดท้ายของคนที่เชื่อในข่าวดีนี้ มันจะเป็นเช่นนี้ เห็นไหม? เราจะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริ

คำว่า “พระเกียรติสิริ” หมายถึงลักษณะชีวิตที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยความสวยงาม เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์  เหมือนพระองค์ไม่มีผิด  จำภาพนี้ไว้ให้ดีๆ

พระคัมภีร์ในหนังสือโคโลสี 3:1-4 ที่กำลังอธิบายให้ท่านฟัง ให้เราจำ แล้วก็คิดใคร่ครวญ  จดจำถึงสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา ให้ความสำคัญมากกว่าสิ่งที่อยู่บนโลก อย่างที่บอก การกิน การอยู่ การแต่งงาน การทำงาน อะไรแล้วแต่ เยอะแยะ ให้เวลากับมัน ให้ความสำคัญกับมันนิดเดียวพอ ไม่ต้องเยอะ  แต่ให้ความสนใจและจดจ่อ ฝักใฝ่ในโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น  แล้วตอนนี้ชีวิตเราอยู่ที่ไหน?  ตรงนี้สำคัญกว่า วันหนึ่งเราจะได้ร่างกายใหม่  และจะได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย  เราจะเดินผ่านทะลุกำแพง เหมือนที่พระเยซูเดิน  พระองค์ลอยไปบนฟ้าได้  เราก็จะลอยขึ้นไปบนฟ้า เราจะกลับมาร่วมกับพระองค์แหละ เอเมน

ก็มาถึงข้อสรุปทั้งหมดที่ผมพูดมา อันนี้ข้อสำคัญยิ่งกว่าเมื่อตะกี้นี้อีกนะ ว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ ก็คือความจริงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล  ไม่ได้พูดเองเลย มีข้อพระคัมภีร์ไบเบิ้ลกำกับ มากกว่านี้อีก ถ้าให้เอามาว่ากันเป็นปีๆ เลยนะ ซึ่งท่านติดตามต่อไป ทั้งหมดนี้มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งสิ้น  ซึ่งไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม  ความจริงในโลกวิญญาณจะส่งผลให้กับมนุษย์ทุกคน  ตามกฎของวิญญาณอย่างแน่นอน  และโลกวิญญาณก็มีอยู่จริงๆ อย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน

ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์เป็นวิญญาณ พระคัมภีร์บอกไว้ ถึงจะมองไม่เห็น ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม  ความจริง

ก็คือมนุษย์เป็นวิญญาณ เหมือนแรงดึงดูดโลก เรามองไม่เห็น  แต่มีกฎของแรงดึงดูดของโลกอยู่จริงๆ  เหมือนลม ก็มีอยู่จริงๆ  แต่เราก็ไม่เห็น  เพราะฉะนั้น ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ลมก็มีอยู่จริงๆ  และพระคัมภีร์ก็มีบันทึกเอาไว้ว่าสิ่งที่มีอยู่จริง จะส่งผลอย่างไรต่อผู้ที่เชื่อและต่อผู้ที่ไม่เชื่อในโลกฝ่ายวิญญาณ ในโลกวิญญาณที่มีอยู่จริงๆ นี้  พระคัมภีร์เหมือนลายแทงบอกให้ว่าถ้าใครทำตามกฎของโลกวิญญาณอย่างนี้ ก็จะได้รับอย่างนี้  ใครไม่ทำตาม ก็จะได้รับอย่างนี้  ยอห์น 3:16-18 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

ยอห์น 3:16-18 “16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว  เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

นี่เป็นคำประกาศ คำพูดที่สำคัญมาก คือพระเจ้าพูดเอง พระเยซูเป็นผู้ตรัส  หรือเป็นผู้พูดสิ่งนี้ เอง ด้วยความรักและความห่วงใยต่อบรรดามนุษยชาติบนโลกใบนี้ พี่น้องของพระองค์นั่นเอง

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

เพราะพระเจ้าทรงรักโลกและมนุษยชาติบนโลกใบนี้ยิ่งนัก จึงประทานพระเยซูผู้เดียว  เป็นลูกของพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ด้วยความทุกข์ทรมาน และยืนยันการตายอยู่ในอุโมงค์ 2 วัน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3  ใครที่เชื่อตรงนี้ ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ ชีวิตที่เหมือนพระเจ้า ชีวิตที่เป็นแบบพระเยซูคริสต์ ชีวิตที่บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเจ้า  เป็นลูกของพระเจ้า เขาจะไม่พินาศอีกต่อไป  เขาจะไม่ต้องอยู่ในความมืด อยู่ในอาดัม เป็นทาสของผีมารซาตาน เป็นทาสของความบาป เป็นเหมือนนักโทษประหารอีกต่อไป  เพราะพระเจ้าไม่ได้ส่งพระบุตรมาในโลก เพื่อพิพากษาโลก พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์  ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อพิพากษาโลก เพื่อลงโทษมนุษยชาติบนโลกใบนี้ว่าทำบาปอย่างนั้น ทำชั่วอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ต้องได้ความชั่วไป อะไรต่างๆ เหล่านั้น

ถ้าเกิดพระเจ้าจะลงโทษความชั่วของมนุษย์ ไม่มีใครดีสักคนในโลก พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น  มนุษย์มีแต่ความชั่วร้าย  แต่ส่งพระบุตรของพระองค์มา เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น ช่วยมนุษยชาติบนโลกให้รอดพ้นจากการพิพากษา พ้นจากโทษที่ถูกพิพากษา ไปแล้วตั้งแต่สมัยอาดัมเอวา  มวลมนุษยชาติถูกลงโทษไปแล้ว  เพื่อรอดพ้นจากโทษที่ถูกลงโทษนั้น เพื่อได้รับนิรโทษกรรม ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็ไม่ถูกพิพากษา  ใครที่เชื่อในพระบุตร  พระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ที่มาตาย ที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับท่าน และอยู่ในอุโมงค์ 2 วันจริงๆ พิสูจน์ยืนยันว่าตายจริงๆ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั้น ใครที่เชื่อตรงนี้  เขาจะไม่ถูกพิพากษา  เขาจะไม่ถูกการลงโทษอีกต่อไป  เขาจะไม่ต้องโทษอีกต่อไป  เขาจะไม่ได้รับโทษทัณฑ์อีกต่อไป  เขาจะเป็นอิสระ เขาจะออกจากเรือนจำ

แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ  ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว  เห็นไหมครับ? ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็อยู่ในเรือนจำอยู่แล้ว อยู่ในการเป็นทาสบาป  ทาสมารซาตาน อยู่ในความมืดอยู่แล้ว  เกิดมาก็อยู่ในนั้นแล้ว ตกอยู่ในความบาป ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย  ผู้ใดไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าว่าพระองค์มาทำให้กับเขา  ไม่เชื่อสิทธิที่ทำให้กับเขาว่าเขามีสิทธิที่จะมาใช้สิทธินี้ ไม่เชื่อในชัยชนะเหนือความตาย ไม่เชื่อในหมัดเด็ดผู้พิชิตนิรันดร์  ที่พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนทำให้กับเขา  เขาไม่เชื่อตรงนี้ เขาก็ไม่ได้รับสิทธิ์ในชัยชนะตรงนี้  เขาก็ไม่ได้รับความรอดจากโทษทัณฑ์ที่ได้รับอยู่  ก็ยังอยู่ในเรือนจำต่อไป  และก็ถูกประหารในที่สุดนั่นเอง  แทนที่จะออกจากเรือนจำ ใช้สิทธิของตัวเองออกจากเรือนจำ รับการผ่าตัดวิญญาณเสียใหม่ ความคิดจิตใจเสียใหม่ แล้วก็ย้ายไปอยู่ในพระราชวังกับพระเจ้า  ครอบครองในราชสมบัติร่วมกับพี่ชายที่ชื่อว่าพระเยซู ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่ตัดสินใจเท่านั้นเอง  แต่ถ้าไม่ทำ เขาก็ยังคงอยู่ในเรือนจำ และจะยังอยู่จนกระทั่งถึงประหารชีวิต

ทั้งหมดไม่ต้องทำอะไรเลย  พระเยซูเป็นตัวแทนทำให้หมด เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าประทานให้ทุกอย่าง  แต่พระเจ้าจะไม่บังคับเราเลย  สิ่งเดียวที่เราต้องทำ ก็คือเปิดใจ ยอมรับความจริงเรื่องนี้  แม้ความเข้าใจของมนุษย์จะไม่สามารถเข้าใจสิ่งนี้ได้  แต่ความจริงก็ต้องเป็นความจริงวันยังค่ำ เหมือนแรงดึงดูดโลก เราก็ไม่เข้าใจ  ทำไมมีแรงดึงดูดโลก แต่เรารู้ว่ามันมีอยู่จริงๆ เราต้องเคารพในกฎนั้น ไม่อย่างนั้น เราก็ไม่ได้รับประโยชน์จากการรู้ความจริงนี้ เช่นเดียวกัน  … ในโรม 10:9 ได้บอกเคล็ดลับวิธีใช้สิทธิของเรา วิธีเปิดใจทำอย่างนี้

โรม 10:9 “นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด”

 

นี่คือสิ่งเดียวที่ท่านต้องทำ คือเชื่อในพระบุตร  เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นตัวแทนของท่าน เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ พระเจ้ามาช่วยท่าน โดยการส่งพระเยซู มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาเกิดเป็นมนุษย์  พระองค์เป็นพระเจ้า สละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน  ยืนยันการตายของพระองค์ โดยการอยู่ในอุโมงค์ 2 วัน และได้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 แค่นี้  หน้าที่ของท่าน คือเปิดใจยอมรับความจริงตรงนี้เท่านั้นเอง การยอมรับความจริงนี้  ไม่ได้หมายถึงต้องเข้าใจทั้งหมด รู้แล้ว หมายถึงเป็นขึ้นจากความตายเป็นอย่างไร? ฉันเป็นอย่างนั้น

เหมือนที่ผมอธิบายให้ท่านฟังในหลักของพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้  ไม่จำเป็นต้องรู้จักตรงนั้นทั้งหมด ตอนที่ผมมารู้จักใหม่ๆ มาต้อนรับข่าวดีนี้ใหม่ๆ เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ผมก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายขนาดนี้  รู้แค่งูๆ ปลาๆ ว่าเริ่มเปิดใจ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉันรอดจากบาปได้  พระองค์เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แน่นอน แค่นี้เอง ไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วความเข้าใจก็ค่อยๆ มาทีหลัง หลังจากที่เชื่อและเกิดผล  โดยที่พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณ  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่แล้วนั่นแหละ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ค่อยๆ เริ่มสอนผม  สอนให้เจริญเติบโตในความรู้ ความจริงเหล่านี้  ค่อยเรียนรู้ไปทีละนิดทีละหน่อย  อ๋อๆ ไม่มีวันจบสิ้นเลย  จนมาถึงทุกวันนี้ 30 กว่าปี  ยังอ๋ออยู่เลย

แล้วไม่ใช่แค่นั้นนะ สิ่งที่ไม่เข้าใจ แต่สามารถปฏิบัติได้ด้วย  พอท่านใช้สิทธิของท่านตามที่บอกไป เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต้อนรับพระองค์เข้ามาในชีวิตของท่านว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นตัวแทนของท่าน  พอท่านเชื่อแค่นี้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในตัวท่าน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาค เข้ามาสถิตในตัวท่าน อยู่ในร่างกายของท่าน วิญญาณที่ได้ถูกผ่าตัดใหม่นี้ เปลี่ยนแปลงไปเหมือนพระเจ้า เปลี่ยนแปลงเป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาค ท่านไปที่ไหนมี 4 วิญญาณอยู่ที่นั่นด้วย  วิญญาณของท่าน วิญญาณพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไปไหนกับท่านตลอดเวลา และท่านสามารถมี ประสบการณ์การเดินกับพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว ท่านสามารถอธิษฐานได้ทุกวัน ทุกนาที ทุกเสี้ยววินาที อธิษฐานได้ทุกเรื่องทุกอย่าง  ต้องการอะไร ท่านพูดได้ บอกได้

ยกตัวอย่าง โควิดตอนนี้ ท่านเดือดร้อนอะไร ท่านคุยกับพระเจ้าได้ ถ้าไม่ใช้สิทธิท่านในเรื่องนี้ ในโรม 10:9 ท่านจะคุยกับพระเจ้าได้อย่างไร?  ท่านอาจจะคุยกับรัฐบาลได้อย่างเดียวว่า …

“ทำไมรัฐบาลไม่ช่วยฉันๆ”

แต่นี่ท่านสามารถบอกพระเจ้าได้ว่า …

“พระเจ้าช่วยลูกที  ปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลลูกจากความร้ายแรงของโรคนี้ที ช่วยลูกที ลูกไม่มีเงินแล้ว จะทำอย่างไร?  เดือนนี้ไม่มีเงินพอเพียงที่จะอยู่ ที่จะกินทั้งครอบครัวเลย  ทำอย่างไรดี จะช่วยอย่างไรดี”

ท่านสามารถพิสูจน์ได้เรื่องนี้ จริงหรือไม่? แล้วมันจริงๆ เพราะว่าพระองค์สามารถช่วยท่านได้  เกินกว่าความคิดของท่านที่จะเข้าใจ  บางทีเราขอแค่นี้ แต่พระเจ้าให้มากกว่านั้นอีก เราไม่เข้าใจหรอก เราเดินไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะพบกับความจริงว่าอัศจรรย์ หมายสำคัญ  ที่บอกว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านจริงๆ มันเกิดขึ้นจริงๆ ถ้าไม่อย่างนั้น  มันคงไม่มาจนถึงทุกวันนี้หรอก 1990 ปี เกิดขึ้นกับมนุษย์เยอะแยะมากมาย และคนที่เชื่อในเรื่องนี้ ได้ผลอย่างมากมาย มหาศาล ทุกวันนี้หลั่งไหลเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระองค์เยอะแยะมากมาย เขาพิสูจน์แล้วจริงๆ  เพราะฉะนั้น อยู่ที่ท่านแล้วล่ะครับ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2020 เรื่อง “พระเยซูฟื้นแล้ว ฉันฟื้นด้วย” ตอน 1 “ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  เมษายน  2020

 เรื่อง “พระเยซูฟื้นแล้ว ฉันฟื้นด้วย”

ตอน 1 “ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันอีสเตอร์ครับ  สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตาย  พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว  สิ่งสำคัญ ถ้าพระเยซูเป็นขึ้นแล้ว เราจะดีใจ ไม่ดังมาก แต่จะบอกว่า … “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว  ฉันเป็นขึ้นด้วย”

“พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันเป็นขึ้นด้วย”

“พระเยซูชนะแล้ว ฉันชนะด้วย” พูดกับใคร? พูดกับตัวเอง

วันนี้เป็นวันที่เรามาร่วมกันฉลองวันประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่  ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ทำไมเราถึงเรียกวันอีสเตอร์ว่าเป็นวันประกาศชัยชนะ ประกาศอิสรภาพ  ความยิ่งใหญ่ในชัยชนะของมวลมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งตัวท่าน บอกกับตัวเองว่ารวมทั้งฉันด้วย

ถ้าจะเล่าให้เห็นภาพ เราจะเปรียบเรื่องราวที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ให้เห็นชัดขึ้น  เป็นการต่อสู้ศึกมหากาฬในโลกวิญญาณ  ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ค่ายใหญ่  ผมพยายามทำให้เป็นเหมือนหนัง เพื่อท่านจะได้จำได้ อันนี้ย่อข้อมูลต่างๆ จากพระคัมภีร์ ให้มันเหลือแค่นิดเดียว เพื่อท่านจะได้จำได้ว่าชัยชนะนี้มาจากไหน? และเป็นอย่างไร?  เป็นศึกมหากาฬในโลกวิญญาณ  ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ค่ายใหญ่

ค่ายที่หนึ่ง ชื่อว่าค่ายมนุษยชาติ เจ้าของค่าย คือพระเจ้า ส่งตัวแทนมนุษยชาติลงมา ชื่อว่าพระเยซู พระบุตรของพระองค์

ส่วนค่ายที่สอง เรียกค่ายนี้ว่าค่ายมารซาตาน  เจ้าของค่าย ก็รู้จักกันอยู่แล้ว คือลูซีเฟอร์ หรือมารซาตาน  ส่งอะไรมา ส่งเอาความบาปและความตายลงมาแข่ง  โดยมีเป้าหมาย เพื่อจะทำลายล้าง มนุษยชาติให้สิ้นซาก

นี่คือมหากาฬของสงครามโลกฝ่ายวิญญาณ ระหว่างหัวหน้ามาร  ที่กำลังจะต่อสู้กับพระเจ้า ซึ่งมันก็พยายามต่อสู้มาตลอด  พยายามเป็นกบฏ ต่อต้านพระเจ้ามาตลอด  คราวนี้เราจะเห็นภาพ ถ้าพระเยซูชนะสงครามนี้ มนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด ก็จะกลับคืนสู่สภาพดี  กลับคืนสู่พระเจ้า เป็นอิสรภาพจากการเป็นทาสมาร แต่ถ้าพระเยซูพ่ายแพ้ต่อความบาปและความตาย  พ่ายแพ้ต่อมารในสงครามนี้  มนุษย์ก็จะตกอยู่ใต้อำนาจของมารซาตาน เป็นทาสมัน ตลอดไป เหมือนเดิม

ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มต้นของศึกสงครามครั้งนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร?  เริ่มต้นตอนที่พระเจ้า สร้างโลก และสร้างมนุษย์ทั้งปวง ในสมัยโน้น ตอนเริ่มสร้างใหม่ๆ  พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าสร้างสิ่งที่ดีทั้งหมด  สร้างโลกใบนี้ ดีหมดเลย ทุกอย่างดี ไม่ชั่วร้าย  ไม่วิปริตเหมือนปัจจุบันนี้  สร้างมนุษย์ ก็สร้างสิ่งที่ดีทั้งหมดเลย  มนุษย์ก็ดีหมด ไม่มีการทำชั่วเลย แล้วมารก็มาล่อลวงมนุษย์ตอนนั้น ที่บันทึกเอาไว้ ผ่านทางงู ล่อลวงให้มนุษย์กบฏต่อพระเจ้า  มอบโลกใบนี้ รวมทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ลูกหลานเหลนโหลนของตัวเองให้กลายเป็นทาสของมารซาตาน  เชิญมารเข้ามาครอบครองบนโลกใบนี้ ตั้งแต่วินาทีนั้นมา  โลกก็เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง  เต็มไปด้วยความวิปริต เสียหาย เกิดโรคภัยไข้เจ็บ อะไรที่แปลกๆ ที่ยุ่งวุ่นวายไปหมด เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ความชั่วร้ายต่างๆ มาจากมารทั้งสิ้น แล้วก็มาผ่านทางมนุษย์ที่เป็นทาสของมันอยู่ อย่างโควิด-19 ก็มาจากมารแหละ โดยผ่านทางมนุษย์  ผ่านทางความบาป ที่มนุษย์ให้พระเจ้าออกไปจากชีวิตของตนเอง ออกไปจากโลกใบนี้ ซึ่งเป็นของเขา … “เขา” หมายถึงมนุษยชาติทั้งปวง  เห็นไหมครับ? แล้วพระเจ้าทำอะไร? พระเจ้าก็ตั้งหน้าตั้งตา รอวันเวลาที่จะช่วยมนุษย์กลับคืนมา  นี่คือสงคราม

แผนการของพระเจ้าคืออะไร? ปฐมกาล 3:15  ผมอยากให้ท่านอ่านนิดหนึ่ง ท่านจะได้เห็นภาพชัดเจนว่ามหากาฬของโลกฝ่ายวิญญาณ ในศึกครั้งนี้ มันเกิดขึ้นอย่างไร? และเป็นลักษณะอย่างไร?  ร้ายแรง รุนแรงขนาดไหน?  พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้านั้น  บันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล 3:15 ถ้านับตั้งแต่วันที่เกิดขึ้นนี้ มาถึงปัจจุบัน นับปีไม่ถ้วน  เพราะสมัยนั้น  มนุษย์พึ่งตกลงไปในการบาป พึ่งจะเริ่มตาย  เริ่มนับหนึ่ง ก่อนหน้านี้เป็นชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์  ไม่มีวันตาย เพราะฉะนั้น จะบอกว่า 1 ปี หรือล้านปี ก็เป็นไปได้หมด ปฐมกาล 3:15 ทำให้มนุษย์นับหนึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตั้งแต่ 1, 2, 3, 4, วัน จนกระทั่ง 1 ปี 2 ปี กี่ปีก็ว่าไป  เราอ่านดูนะ

ปฐมกาล 3:15 “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้ากับพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”

 

“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” คำว่า “เจ้า” ตรงนี้ ก็คือมารซาตาน  ที่ได้ล่อลวงอาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเรา มนุษย์ทั้งปวงให้กบฏต่อพระเจ้า  พูดง่ายๆ ว่าเชิญพระเจ้าออกไปจากโลกใบนี้ ออกจากชีวิตของตนเอง และครอบครัวของเขา แล้วเชิญมารเข้ามาแทนที่ นั่นแหละ เขาเรียกว่าบาป กบฏ

พงศ์พันธุ์ของหญิงที่ตะกี้นี้อ่านในพระคัมภีร์จะทำให้หัวของเจ้าแหลก “เจ้า” ตะกี้ เล็งไปถึงมารซาตาน ผู้ที่เป็นหัวหน้าค่ายในสงครามครั้งนี้

คราวนี้มาถึงพงศ์พันธุ์ของหญิง จะทำให้หัวของเจ้าแหลก  เล็งถึงผู้ที่เป็นหัวหน้าค่าย  คือพระเจ้าจะส่งผู้ที่จะมาทำลายเจ้ามารนี้  ให้หัวแหลกเลย ก็คือได้รับชัยชนะเด็ดขาด ชนะเหนือความบาปและความตายให้หมดสิ้นเลย  พระเจ้าส่งตัวแทนมา ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระบุตรของพระองค์

“เจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” ก็หมายถึงมารก็ทำได้แค่ส้นเท้าของพระเยซูคริสต์ฟกช้ำ “ส้นเท้าฟกซ้ำกับหัวแหลก” ท่านลองคิดดูว่ามันต่างกันขนาดไหน?  นี่คือแผนการของพระเจ้าที่เตรียมไว้สำหรับมนุษยชาติทั้งปวง ที่จะไถ่มนุษยชาติ ทำศึกสงคราม เพื่อเอามนุษยชาติกลับคืนสู่พระองค์ให้ได้  และเมื่อถึงเวลา มันก็เกิดขึ้นตามแผนที่พระองค์ทรงวางไว้  ก็ประกาศตัวแทนของพระองค์ ตั้งแต่วันนั้นมา พระเจ้าก็เตรียมตัวแทนของมนุษยชาติ ให้มาลงกับศึกสำคัญครั้งนี้  เตรียมมาเป็นเวลาหลายพันปีกว่าจะสำเร็จ เตรียมผ่านผู้คนต่างๆ จนมาถึงคนสุดท้าย ก็คือครอบครัวของโยเซฟกับมารี หญิงพรหมจารีที่ให้กำเนิดพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ให้มาเกิดเป็นมนุษย์

พระเยซูก็มาเกิด และเป็นตัวแทนของมนุษย์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  คราวนี้มาถึงความตื่นเต้นของหนังเรื่องนี้ ที่จะเล่าให้ฟัง เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟังได้  … เริ่มต้น เวลาผ่านมา คู่ต่อสู้พร้อมทั้งสองฝั่ง มารมันพร้อมตั้งนานแล้ว เพราะว่ามันควบคุมมนุษย์ ซึ่งเป็นทาสของมันอยู่ ส่วนมนุษย์พร้อมแล้ว  มีตัวแทนที่คิดว่าสามารถที่จะต่อสู้กับมารได้แล้ว ก็เริ่มต้นศึกสงครามในครั้งนี้

ยกที่ 1  เริ่มต้นที่คืนวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ที่สวนเกทเสมเน ที่พระเยซูไปอธิษฐาน  จนเหงื่อเป็นเลือด เพราะว่ากลัวมาก กลัวจะต้องเข้าสู่สังเวียน ศึกมหากาฬนี้  เพราะมันหนักมาก  หนักถึงขนาดว่าเปลี่ยนใจได้ไหม? เปลี่ยนใจไม่ขึ้นชกได้ไหม?  เพราะคิดว่าอาจจะสู้ไม่ไหว  ท่านลองคิดดูสิ  ขนาดเตรียมมาตั้งหลายพันปีนะ  พระเยซูเองบอกหนักมาก ทำไม่ไหว  พระเยซูบอกไม่อยากขึ้นไปเลย เพราะว่ามันไม่ไหว  แต่ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย ปรากฏว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าของค่าย บอกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  ไม่เป็นไร เราชนะแน่  เพราะฉะนั้น ก็เลยให้พระเยซูขึ้นชก

เริ่มยกแรก ตั้งแต่ถูกจับ  โดยเหล่าปุโรหิตของยิว มารก็เริ่มใส่ผ่านทางมนุษย์ ใส่อะไร? เริ่มชก เริ่มอัดพระเยซู จนกระทั่ง เลือดอาบทุกข์ทรมาน ในพระคัมภีร์บอกว่าหน้าพระองค์ ไม่เหมือนหน้ามนุษย์เลย เละไปหมดเลย แย่  ถูกซัด ถูกอัด ถูกเตะ ถูกเฆี่ยน ถูกตี สุดท้ายก็ถูกตั้งแต่คืนวันพฤหัสฯ ต่อเนื่องมาถึงเช้าวันศุกร์  9 โมงเช้า ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ไม่ไหวแล้ว  พูดง่ายๆ ว่าบนสังเวียน เราจะเห็นภาพ คือปลายๆ ยกแรก พระเยซูถูกมารซัด ถูกมารใช้ความบาปอัด จนเละไปหมดเลย แพ้ ล้มแล้วล้มอีก กรรมการมานับแปดแล้ว 2-3 ครั้งแล้ว แต่พระเยซูก็ยังลุกขึ้นมายืน  โดยหัวหน้าค่ายบอกว่าลุกขึ้นสู้ๆ พระเยซูรับเอาบาปของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ หนักมาก จนกระทั่งไม่ไหวแล้ว  สุดท้ายปลายยกที่ 1 พวกมารซาตาน  สมุนของมันที่เชียร์อยู่ เฮกันใหญ่ พวกเราชนะแล้ว  บุตรพระเจ้าแพ้แล้ว  เป็นทาสของเราต่อไป นี่ไง เราชนะแล้ว อัดเลย ก็เชียร์ให้อัดพระเยซูจนถึงที่สุด  มารก็เพลิน อัดไปๆ

จนกระทั่งบ่าย 3 โมงของวันศุกร์ ยกแรกใกล้จะหมด พระเยซูไม่ไหวแล้ว  บ่าย 3 โมงของวันศุกร์พระเยซูปล่อยหมัดเด็ด หมัดเดียวอยู่เลย  ถามว่าหมัดนั้นคืออะไร?  ฝั่งพระเยซูกำลังพ่ายแพ้  แต่บ่าย 3 โมง อัดด้วยความรุนแรงสุดขีด ปรากฏว่าเกิดหมัดเด็ด คือพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ ตายบนไม้กางเขน  นั่นแหละคือหมัดเด็ด ที่พระเจ้าเตรียมไว้ เป็นหมัดที่ผมตั้งชื่อให้  เมื่อเช้าวันนี้เองว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูในปลายยกที่ 1 นั่น  เป็นหมัดเด็ดที่เรียกว่า “ไพรีพิฆาต” หมัดเดียวอยู่เลย  บ่าย 3 โมง สิ้นพระชนม์  หมัดไพรีพิฆาตซัดลงไปที่มารซาตาน  เกิดอะไรขึ้น มารซาตานล้มลงไปเลย ล้มไป กรรมการก็ไปนับ 1, 2, 3 ถึง 8 กระดิ่งหมดยก ลุกขึ้นมางงๆ เกิดอะไรขึ้น  สติสตังค์ยังไม่กลับมาอยู่ที่ตัวเลย

ต่อมาเป็นยกที่ 2  เริ่มต้นยก มารก็ยังงงๆ อยู่เกิดอะไรขึ้น  ตะกี้เราชนะมาตลอด ทำไม มันเกิดอะไรขึ้น ยังงงๆ

ยกที่ 2  ผมให้ชื่อยกว่า “ยืนยันอยู่ในอุโมงค์” คือยืนยันว่าพระองค์ทรงตายจริงๆ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่ไม้กางเขนนั้น พระองค์ตายจริงๆ พระองค์เป็นตัวแทนของมนุษย์จริงๆ  ร่างของพระองค์ เป็นแบบของมนุษย์จริงๆ ฝังอยู่ในอุโมงค์จริงๆ นั่นแหละครับ มารยังงงอยู่ พวกตัวเชียร์ทั้งหลายของมาร มันคุยกันใหญ่ มันเกิดอะไรขึ้น  งงอยู่

“แล้วพระบุตรของพระเจ้าตายได้อย่างไร?  ปกติต้องไม่ตายสิ พระเจ้าต้องอยู่นิรันดร์ ไม่ตาย แล้วนี่ตายได้อย่างไร?”

กำลังสับสน แต่ยกที่ 2 ของการแข่งขัน ก็ยังเป็นการแข่งขันอยู่ เพราะว่ามันยังไม่ได้ชนะ  กรรมการยังไม่ได้จับให้มือพระเยซูยกขึ้น เป็นผู้ชนะ เห็นไหม?  เพราะฉะนั้น พอกำลังงงอยู่ ก็ลุกขึ้น พระเยซูก็เดินเข้าไปอย่างสบายๆ  นอนมาแล้วสบายๆ เลย  พระเยซูก็ซัดหมัดที่ 2 ปลายยกที่ 2 ซัดเต็มที่เลย โครม  ลอย ล้มลงไป  กรรมการนับ หมัดที่ 2 ในยกที่ 2 ผมตั้งชื่อให้ว่า “หมัดมัจจุราชสิ้นฤทธิ์” ซาตาน เจ้าแห่งความบาปและความตาย  ถูกตัวแทนของมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ ซัดหมัดที่ 2 ไป ลอย ล้มลงไปกองอยู่บนเวที  กรรมการวิ่งมานับ ปกติต้องนับ 10 นับไปถึง 8 กระดิ่งช่วยอีก หมดยก

พอยกที่ 3 มารซาตานคราวนี้งงใหญ่เลย หัวปั่นไปหมดแล้ว  เริ่มต้นที่ยกที่ 3 ปุ๊บ พระเยซูเดินไปเฉยๆ ง่ายๆ แล้วก็ปล่อยหมัดเด็ดที่สุด สุดท้าย  เหยียบหัวมารแหลก เหมือนดั่งที่พระเจ้าได้เตรียมแผนการไว้ตั้งแต่สมัยปฐมกาล  ด้วยวิธีการให้พระเยซูใช้หมัดพิเศษ หมัดนี้ ยกที่ 3 เรียกว่า “เป็นขึ้นจากตาย” ผมให้ชื่อหมัดนี้ว่า “หมัดผู้พิชิตนิรันดร์”  อันนี้กรรมการยังไม่ทันนับ หลับไปเลย จบไปเลย ผู้พิชิตนิรันดร์  พูดง่ายๆ ว่าหมัดนี้เรียกว่าหมัดตอกฝาโลง เพราะไม่ต้องนับแล้ว  เพราะสลบไปเลย ไม่ลุก ลุกไม่ขึ้น แล้วกระดิ่ง ก็ช่วยไม่ได้ เพราะต้นยกเอง  จำไว้เลยนะ

ยกที่ 1 สิ้นพระชนม์ หมัดไพรีพิฆาต

ยกที่ 2 ยืนยันในอุโมงค์ หมัดมัจจุราชสิ้นฤทธิ์

ยกที่ 3 เป็นขึ้นจากตาย หมัดผู้พิชิตนิรันดร์

ตื่นเต้นยังไม่หายเลยนะ ตื่นเต้นขนาดไหน?  เพราะฉะนั้น มหากาพย์แห่ง สงครามฝ่ายวิญญาณ ซาตาน เจ้าแห่งความบาปและความตาย  VS คือสู้กับพระเยซูคริสต์ ตัวแทนของมนุษยชาติ ผลออกมาเรียบร้อยแล้วว่ามนุษยชาติได้รับชัยชนะแล้ว  กองเชียร์ของมนุษย์เฮกัน กระโดดขึ้นมาแบบโลดเต้นไปเลย  กองเชียร์มารหน้าเศร้า แตกฮือไปหมดเลย มนุษย์เฮกันใหญ่ ไชโย โห่ฮิ้ว มา 2,000 ปีแล้วมันเป็นอย่างนี้  ในหนังสือ 1 โครินธ์ 15:55-57 ได้บันทึกเลยว่าเหตุการณ์นี้ ความเฮนี้ เขียนไว้ว่าอย่างไร? ลองอ่านดู ท่านคิดดูว่าถ้าท่านเป็นมนุษย์ แล้วรู้ความจริงเหล่านี้ ท่านจะเฮไหมตั้งแต่ตรงนั้นมา  แล้วมันเฮมาตลอด เพราะเป็นการพิชิตนิรันดร์ คือชัยชนะนิรันดร์นั่นเอง

1 โครินธ์ 15:55-57 “55 “ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า? ความตายเอ๋ย ไหนล่ะเหล็กไนของเจ้า?” 56 เหล็กในของความตาย คือบาป และอานุภาพของบาป คือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า! พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

 

ภาษาเดิมตรงนี้ คำแรกเลย ใช้คำว่า “มัจจุราช” แปลตรงๆ เลยนะ แปลว่าความตาย  แต่เวอร์ชั่นที่ใช้คำว่า “มัจจุราช” ผมชอบ มันตรงกับเรื่องราวที่ตะกี้ผมเล่าให้ฟัง

“มัจจุราชเอ๋ยชัยชนะเจ้าอยู่ที่ไหน?” ไหนล่ะ มัจจุราช แกเคยเป็นเจ้านาย เป็นใหญ่เหนือมนุษยชาติใช่ไหม? บัดนี้ แกแพ้แล้ว  เพราะฉะนั้น ขอบคุณพระเจ้า  พระองค์ประทานชัยชนะให้แก่เราทั้งหลาย โดยผ่านทางตัวแทนของเรา  คือองค์พระเยซูคริสต์ของเรา  เฮๆ ตลอด 2,000 ปีแล้ว เราจะเฮตลอดไปถึงนิรันดร์ เพราะฉะนั้น บอกเลย ความตายเอ๋ย มัจจุราชเอ๋ย  เจ้าแห่งความบาปและความตาย แกอยู่ที่ไหน?  แกไม่มีฤทธิ์อำนาจเหนือฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันคือมนุษย์ผู้มีชัยชนะเหนือแก เจ้ากรรมนายเวรเอ๋ยอยู่ที่ไหน?  ไม่ต้องมาจ่ายอะไรให้แก ไม่เป็นทาสแกอีกต่อไปแล้ว แกพ่ายแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว  แกอย่ามาหลอก

จากการที่พระเยซูเอาชนะความบาป และความตาย  ชนะมาร อำนาจของมัน จนหมดสิ้น  ผลก็คือบรรดามวลมนุษยชาติทั้งปวง ย้ำอีกที ผลของมัน คือมวลมนุษยชาติทั้งปวง ได้รับชัยชนะไปด้วย เพราะพระองค์เป็นตัวแทนเราไง เหมือนสมัยก่อน  ตอนที่สร้างโลกใหม่ๆ  ตัวแทนเรา ก็คือบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ได้พ่ายแพ้ไป  เราทั้งหลาย ก็แพ้ไปด้วย  ไม่ได้ทำอะไรเลย ยังพ่ายแพ้เลย  ยังไม่ทันเกิดมา ก็พ่ายแพ้แล้ว  เป็นมนุษย์ก็พ่ายแพ้แล้ว เพราะมนุษยชาติพ่ายแพ้เขา  พ่ายแพ้มารซาตาน  แต่บัดนี้ 2,000 ปี ที่ผ่านมา พระเยซูได้ชนะมาร ชนะความบาปและความตายแล้ว เอาชัยชนะนั้นมาให้กับมนุษยชาติทั้งปวง  ยังไม่ทันเกิด ก็ชนะแล้ว เหมือนกัน  ทั้งหมดนี้บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น

พระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พิชิตความตาย  ผู้พิชิตมาร เจ้าแห่งความตายและความบาป  โดยพระองค์ยอมเสียสละ  ยอมแบกรับเอาความทุกข์ทรมาน มาไว้ที่พระองค์บนไม้กางเขน  ยอมเลือดอาบ ถูกอัดตั้งแต่ยกแรกเต็มๆ จนเกือบพ่ายแพ้  จนสุดเลย ถึงจะได้ชัยชนะมา แต่บรรดามนุษยชาติทั้งปวง  ได้รับชัยชนะนี้ด้วย  โดยไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  ซึ่งในพระคัมภีร์เรียกว่าพระคุณ  พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้ว่ามนุษยชาติทั้งปวงที่ได้รับพระคุณนี้  จึงถูกเรียกว่าเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ท่านเป็นคนใช่ไหม? ท่านเป็นมนุษยชาติใช่ไหม? ท่านเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เพราะพระเยซูคริสต์เป็นผู้พิชิตความตาย  พิชิตมาร ท่านเป็นยิ่งกว่า ใหญ่กว่าผู้พิชิต ก็คือใหญ่กว่าพระเยซูอีก  เพราะว่าท่านไม่ต้องทำอะไรเลย  พระเยซูทนทุกข์ทรมาน ทำซะเหนื่อยสาหัสสากัน และเอาชัยชนะนั้นมาให้กับท่าน ผู้ไม่ต้องทำอะไรเลย บอกได้ เอาไปเลย เหมือนกับชนะ เอามงกุฎแห่งชัยชนะมาจากเวที เลือดอาบ  ขับรถกลับบ้าน เอาไปให้เราทั้งหลายที่อยู่ที่บ้าน เชียร์อย่างเดียว นี่แหละ เราทั้งหลายจึงเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต

นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงเรียกวันอีสเตอร์ว่าเป็นวันประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ และที่สำคัญที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ในโลกวิญญาณ มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายมหาศาล ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม  อย่างที่ผมบอก ไม่ว่ามนุษย์ได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม  ความจริง คือโลกวิญญาณ มันมีอยู่จริงๆ  และมนุษย์เป็นวิญญาณ สิ่งที่ตาเรามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน มือสัมผัสไม่ได้ คือโลกฝ่ายวิญญาณมีอยู่จริงๆ  และทุกคนก็พยายามแสวงหาความจริง ในโลกวิญญาณ และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้เป็นเจ้าแห่งโลกวิญญาณ ได้อธิบายความจริงให้กับเราฟัง และนี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ผมเล่าให้ฟัง ศึกสงครามที่พระเยซูชนะมาร  พิชิตมารแล้วนั้น  มันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสต์ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้  และในโลกวิญญาณด้วย  เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง มนุษยชาติได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่

มนุษยชาติทั้งปวง เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากความตายแล้ว  มนุษย์ทั้งปวงได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่  ยุคพันธสัญญาใหม่  ยุคพระคุณ ยุคนิรโทษกรรม เป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาปและความตาย  เป็นยุคที่มนุษยชาติสามารถอพยพกลับบ้านของเขา คือสวรรค์ สู่อ้อมกอดของพ่อของเขา  พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ เจ้าของสวรรค์ เป็นยุคแห่งการพักผ่อน หายเหนื่อยและเป็นสุขของมนุษยชาติทั้งปวง ไม่ต้องจ่ายหนี้ ไม่ต้องเป็นหนี้บาปเวรกรรมใคร คอยผ่อนให้อีกต่อไปแล้ว เพราะเขาเป็นอิสระเรียบร้อยแล้ว เอาความจริงนี้เข้าไปใช้ในชีวิต นั่นแหละ เป็นยุคใหม่

อย่างที่ผมบอก สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งมนุษย์เกี่ยวข้องมากเลย เพราะเราเป็นวิญญาณ เพราะฉะนั้นอยากบอกว่าให้มาใช้สิทธิของท่าน ในชัยชนะนี้ เพราะท่านมีส่วนในชัยชนะนี้  ทิ้งไป ก็ไม่มีใครเอาของท่านไปใช้ได้ เพราะมนุษย์ทุกคนมีส่วนในชัยชนะนี้ทั้งหมด  รับชัยชนะนี้เข้าไปอยู่ในชีวิตของท่าน  หายเหนื่อยและเป็นสุขเถิด  เข้ามาสู่ยุคใหม่ ยุคของพระคุณ ได้รับการไถ่บาป  เข้ามาสู่พระคุณของพระเจ้า  ให้พระเจ้านำพาชีวิตของท่าน และให้พระเจ้าสอนท่าน บอกท่านถึงเรื่องความจริงในโลกวิญญาณอย่างนี้ต่อไป

ท่านอาจจะเพียงเริ่มต้นรู้แค่นี้ วันนี้เอง  ตัดสินใจ ยอมรับว่ามันเป็นจริงตามนี้แหละ แล้วก็สืบสาว หาเรื่องราว เรื่องนี้ต่อไป โดยการคุยกับพระเจ้าเองเลยว่าเรื่องนี้เป็นมาอย่างไร?  เกี่ยวกับลูกอย่างไร? เกี่ยวกับฉันอย่างไร?  ช่วยนำฉัน สอนฉันที  ให้รู้จักเรื่องจริงเรื่องนี้ มากยิ่งขึ้น  แค่นั้นเอง ขอบคุณพระเจ้า

เราจะเข้าหัวข้อเรื่องในวันนี้ คือ “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันเป็นขึ้นด้วย ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย” ตอน 1 วันนี้ผมจะเน้นให้ท่าน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเป็นขึ้นจากความตาย เราได้ฟังเรื่องราวที่ผมเล่าถ้อยคำ เป็นสตอร์รี่ เป็นการเล่าเรื่องแล้ว ให้เห็นภาพว่าหมัดเด็ดสำคัญสุดท้าย  ก็คือหมัดผู้พิชิตนิรันดร์ การเป็นขึ้นจากตายของพระเยซู เป็นหมัดเด็ด ที่ทำให้หัวมารเละ แหลกเลย เพราะฉะนั้นการเป็นขึ้นจากตาย จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นเรื่องของข่าวดีของพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว สำคัญถึงขนาดไหน? ถึงขนาดมารมันรู้เรื่องนี้ มารจึงพยายามปกปิดเรื่องนี้  เล่นขี้โกง พูดง่ายๆ  มันพ่ายแพ้และหัวแหลก แล้วมันบอกยังไม่แหลก มันขี้โกง เผื่อว่าคนอาจจะไม่ได้ติดตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือข่าวที่หน้าทีวี  เรื่องเกี่ยวกับศึกมหากาฬครั้งนี้  อาจจะไม่รู้เรื่อง เลยส่งข่าวไปบอกยังไม่ได้แพ้หรอก  กรรมการยังไม่ได้นับเลย  มันพูดแค่ยก 2 เท่านั้นเอง  ที่มันมึนๆ ในยก 2 มันคงกระซิบให้ พรรคพวกที่เชียร์อยู่ว่าสงสัยฉันแพ้แน่ ยก 2 ที่มึนๆ  มันคงบอกพรรคพวกอย่างนี้ …

“พวกแกพยายามไปหลอกลวงชาวบ้านเขานะว่าฉันยังไม่แพ้”

พอยกที่ 3 มันถูกน็อค โดยพระเยซูเป็นขึ้นจากความปุ๊บ  มารที่มันหลอกลวงมนุษย์ว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นจากตายหรอก ยก 3 ไม่มีหมัดพิชิตนิรันดร์  เริ่มต้นหลอก ผ่านทางมนุษย์  ที่มันสามารถใช้ได้ อย่างเช่นพวกเหล่าหัวหน้าปุโรหิตที่จับพระเยซูไปตรึง ก็เริ่มจ้าง เรียกทหารที่คุมอยู่ที่อุโมงค์ เห็นพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย จ้าง ถ้าใครถาม ให้บอกว่าสาวกมาขโมยศพไป  ปิลาตก็ยอมด้วย ปิลาตคือผู้สำเร็จราชการโรมัน ก็เอากับเขาด้วย พยายามที่จะบิดเบือนว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาหรอก แต่สาวกมาขโมยร่างของพระเยซูไป  สิ่งเหล่านี้พูดแค่ผ่านมาให้เห็นว่ามารก็เริ่มต้นทำงาน

หลังจากการชก ศึกมหากาฬ ในโลกวิญญาณครั้งนี้แล้ว ซึ่งพระเยซูเป็นผู้มีชัยชนะเด็ดขาด มารหัวแหลก เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  ไม่กี่เดือนต่อมา  ข่าวสะพัดเยอะแยะไปหมดว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาหรอก  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปจริง บางรายที่ถูกหลอก แต่พระองค์ไม่ได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ก็เริ่มมีหลักข้อเชื่อแบบนี้  แทรกเข้ามาอยู่ในคนที่ติดตามข่าวนี้ หรือเชื่อพระเยซู แบบไม่สะเด็ดน้ำ  คนที่ไม่เชื่อ ไม่ต้องพูดถึง ไม่เชื่ออยู่แล้ว คนที่เชื่อก็มีการสู้รบจริง  มีการแข่งขันจริง  พระเยซูยังไม่ชนะเด็ดขาด ยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ

เปาโลซึ่งเป็นอัครสาวกในขณะนั้น เป็นผู้พิทักษ์ข่าวดีของพระเจ้าทราบอย่างนี้ รู้อย่างนี้ ไม่ได้เลยนะครับ ต้องจัดการกับเรื่องนี้ เด็ดขาดมาก  ก็เริ่มเขียนหลักข้อเชื่อ ที่สำคัญที่สุด ถูกต้องที่สุดของการเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในชัยชนะของพระองค์ว่าคืออะไร?  หลักข้อเชื่อนี้ พูดถึงความจริงใน 3 ยกที่ผมได้เล่าให้ท่านฟังเป็นสตอร์รี่ไปเมื่อตอนต้นรายการว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  อันนี้เป็นหมัดเด็ดจริงๆ  และจำเป็นต้องมีตรงนี้ พระเยซูได้รับชัยชนะจริงๆ และชัยชนะนี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเราทุกคนด้วย ใน 1 โครินธ์ 15:1-8

1 โครินธ์ 15:1-8 “1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากเตือนท่านให้ระลึกถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่าน ซึ่งท่านได้รับไว้และตั้งมั่นอยู่บนฐานนี้ 2 ถ้าท่านยึดมั่นในถ้อยคำที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านก็จะรอด โดยข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้นท่านก็เชื่อโดยเปล่าประโยชน์ 3 เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้น เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้ท่าน คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 4 ทรงถูกฝังไว้และในวันที่สามพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ 5 และทรงปรากฏแก่เปโตร  จากนั้นปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสองคน 6 ต่อมาพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แม้บางคนได้ล่วงลับไปแล้ว 7 จากนั้น พระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบและแก่อัครทูตทั้งปวง 8 และในท้ายที่สุดพระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้าด้วย ผู้เป็นเหมือนทารกที่คลอดผิดปกติ”

 

สิ่งที่สำคัญที่สุด คืออะไร?  … “ข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้แก่ท่าน คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน ใช่ไหมครับ เพราะไถ่บาปให้กับท่าน  ชำระท่านให้พ้นจากบาป  ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์”

อันดับที่ 2 ยก 2 … “ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และในวันที่ 3 พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งบันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์”

แล้วเปาโลก็เน้นถึงข้อสุดท้าย พระองค์เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ โดยที่ยกตัวอย่างพยานว่ามีผู้ติดตาม ผู้เชื่อในพระองค์ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ ขณะที่บันทึกตรงนี้  บางคนล่วงหลับไปแล้ว ก็มี  แต่บางคนยังมีชีวิตอยู่  เขาเหล่านี้ เห็น พบ สัมผัสพระองค์ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย  พระองค์ทรงปรากฏกับเหล่าสาวกมากกว่า 500 คน

การปรากฏครั้งหนึ่งมีคน 500 กว่าคนมาดู ผมนั่งคิดดู สมัยก่อน ผู้คนไม่ได้เยอะเท่ากับปัจจุบัน  ถ้า ณ ปัจจุบัน ก็คือพระองค์ปรากฏครั้งเดียว  500,000 คนได้ไหมเนี้ย  จาก 5,000 คนนั้น จาก 500 คน 5,000 คน  เป็น 50,000 คน 500,000 คนได้ไหม? เพราะปัจจุบัน คนเยอะมาก เทคโนโลยีอะไรต่างๆ เหล่านี้ ยิ่งถ้าเผื่ออินเตอร์เนต ผมว่าพระองค์ปรากฏแก่คน 50 ล้านคน ไม่ยากเลย แล้วยังยืนยันบอกว่านอกจากปรากฏกับผู้คนเหล่านี้  ไปถามเขาได้เลย บางคนเขายังมีชีวิตอยู่เลยในขณะนี้ ไปกินกาแฟกับเขา ไปกินชากับเขา แล้วไปคุยกับเขาเลยว่าเขาเห็นพระเยซูตายที่ไม้กางเขนกับตา  ใส่อุโมงค์ไปกับตา  แล้วเขาก็เห็นพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  มานั่งคุยกับเขา ไปสัมภาษณ์เขาได้

เปาโลกำลังจะพูดถึงอย่างนี้ และนอกเหนือจากนั้น เปาโลยังบอกว่าแล้วยังปรากฏกับอัครสาวกคนอื่นๆ เปโตร ยอห์น ยากอบ และรวมถึงอาจารย์เปาโลเองด้วย จากการพบกับพระเยซูระหว่างที่เดินทางไปดามัสกัส จะไปจับชาวคริสเตียนมาใส่คุก ข่มเหงเขา เปาโลกำลังทำอะไร? กำลังยืนยันในหมัดเด็ดของพระเยซู หมัดผู้พิชิตนิรันดร์ คือการเป็นขึ้นจากความตาย  ซึ่งสำคัญมาก

และต่อๆ ไปในบทที่ 15 นี้  ซึ่งวันนี้ไม่ได้เอามาให้อ่าน  ท่านไปอ่าน ศึกษาต่อไป  เปาโลเน้นเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายอย่างมาก ว่าการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ส่งผลอะไรในชีวิตของเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นการส่วนตัวเลย  หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือการเป็นขึ้นจากความตาย ทำให้เราทั้งหลายได้เกิดใหม่ในวิญญาณ  ได้ชีวิตที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายนั้น เข้ามาอยู่ในชีวิตเรา  เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป ก็คือวิญญาณที่เป็นบาปอยู่นั้น จบสิ้นไป  และได้เป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซู ก็คือได้วิญญาณใหม่ โดยพระเจ้า วิญญาณนิรันดร์ เข้ามาแทนที่ มันหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ

อาจารย์เปาโลได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ในโรม 5:8-10  เกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากความตาย  ดูสิว่ามันทำอะไรให้กับเรา ในชีวิตนี้บ้างว่าการเป็นขึ้นจากความตาย  ถ้ามันเป็นจริงตามนี้  แล้วได้รับผลอะไรเกี่ยวกับชีวิตของเราแต่ละคนบ้าง?

โรม 5:8-10 “8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา 9 ในเมื่อบัดนี้เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นเราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์อย่างแน่นอน! 10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน!”

 

โรม 5:8-10 ที่เราได้อ่าน ผมจะให้ท่านเน้นตรงนี้  …

เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ก็คือการตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน  ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากการเป็นนักโทษ  พ้นจากการถูกกล่าวโทษ  พ้นจากการที่จะต้องติดคุก พูดง่ายๆ  ต้องอาญา  แต่ข้อสำคัญอยู่ที่ข้อสุดท้าย ก็คือเราก็จะได้รับความรอด  โดยพระชนม์ชีพของพระองค์

นอกจากการตายที่ไม้กางเขนแล้ว เราได้รับการชำระให้หมดบาป  หมดเวรหมดกรรม ไม่ต้องติดคุกแล้ว  ไม่ต้องใช้หนี้เขาแล้ว  เป็นผู้ชอบธรรม ก็คือบริสุทธิ์สะอาด เรียบร้อยแล้ว  เราก็จะได้รับความรอด  ตรงนี้หมายถึงว่าในวิญญาณ เราก็จะได้รับความรอด จากการเป็นทาสของความตาย   พูดง่ายๆ ไม่ใช่ทำบาป  วิญญาณที่ตายอยู่  วิญญาณที่เป็นบาป ก่อนที่พระเยซูจะมีชัยชนะ วิญญาณนั้น  ก็จะได้รับความรอดจากการเป็นทาส  รอดจากการเป็นคนบาป  เป็นวิญญาณบาป โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ ก็คือโดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู พูดง่ายๆ ว่าการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ทำให้เราทั้งหลาย เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ด้วย  แต่ก่อนนี้วิญญาณเราตายอยู่ มีสภาพวิญญาณเป็นบาปอยู่ มีชีวิตนิรันดร์ ก็คือกลับคืนมาเป็นวิญญาณที่ไม่ตายอีกต่อไป  เป็นวิญญาณนิรันดร์  มีสภาพเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณแห่งชีวิตนิรันดร์ เหมือนพระเจ้า  ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น  ในเอเฟซัส 2:5-6 ก็บันทึกไว้ลักษณะเดียวกัน  อันนี้ยิ่งชัดใหญ่เลย

เอเฟซัส 2:5-6 “5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

 

อันนี้อาจจะเข้าใจยากนิดหนึ่ง   ผมจะขยายความให้ท่านจากภาษาเดิม  จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา  (ของผมและของท่าน ก็คือของมนุษยชาติทั้งปวง) กลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณของเราได้ตายไปแล้วในบาป การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ แม้ในขณะก่อนหน้านี้ วิญญาณของเราได้ตายอยู่ ไม่ใช่กับบาป แต่ตายอยู่ในบาป  ก็คือเป็นบาปนั่นเอง  วิญญาณท่านเป็นบาป  คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด รอดจากการลงโทษ  จากคำสาปแช่งต่างๆ ด้วยพระคุณ คือเราไม่ต้องทำ และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา ที่มันตายอยู่ ในบาปนั้น  พระเจ้าได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นจากตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่กับเฉยๆ ต้องพร้อมกับ ด้วยกันกับ คือพร้อมกันเลย  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซู เพราะเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว

ถึงบอกต้องช้านิดหนึ่ง  ต้องค่อยๆ ถึงจะเห็นภาพชัดเจนว่าอะไรเกิดขึ้น? เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตาย

เพราะฉะนั้น การเป็นขึ้นจากความตาย จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก  สำหรับข่าวดีที่มาถึงมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้  การตายของพระองค์บนไม้กางเขน เป็นพระคุณ เราซาบซึ้ง เราก็รู้ว่ามีสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญมากกว่านั้น ที่พระเจ้าต้องการให้เราไม่ลืม ก็คือการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูว่ามันเป็นจริงๆ  และมีผลต่อชีวิตของเรา อย่างมากมายมหาศาล อย่างนี้แหละ ในโรม 6:3-5 ยิ่งชัดใหญ่

โรม 6:3-5 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์? 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์”

 

“ท่านไม่รู้หรือว่า?”

แสดงว่ามันเป็นไปแล้ว มันเป็นจริง ท่านไม่รู้หรือว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้  ท่านไม่รู้หรือว่าชีวิตท่านเป็นอย่างนี้  ตอนนี้ เมื่อท่านใช้สิทธิของท่าน  ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำที่ไม้กางเขนให้กับท่าน คือได้ตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต และอยู่ในอุโมงค์ และวันที่ 3 พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ มีผลต่อมวลชีวิตของมนุษยชาติทั้งปวงทุกคน  เมื่อท่านเชื่อในเรื่องนี้ ท่านใช้สิทธิของท่าน พอท่านใช้สิทธิของท่านเรียบร้อยแล้ว โรมข้อนี้เป็นของท่าน  พระเจ้ากำลังถามท่าน พอท่านใช้สิทธิของท่าน จะบอกท่านว่าท่านรู้ไหม?  ท่านไม่รู้หรือ? มนุษย์ทั้งหลาย  ก็คือท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวง ก็คือคนเชื่อทั้งปวง เกิดขึ้นกับมนุษย์ทั้งปวง แต่ถ้าไม่เชื่อ มันก็ไม่เกิดผลอะไรขึ้น ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระคริสต์

คำว่า “บัพติศมาในพระคริสต์” คืออะไร? “บัพติศมา” แปลว่าจุ่มลง มุดลง  เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน

ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา หมายถึงท่านทั้งหลาย “เรา” ตรงนี้หมายถึงมนุษยชาติ ที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้ เรื่องที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วเชื่อ พอเขารับเชื่อ ใช้สิทธิของเขา  เขากำลังถูกจุ่มลง ถูกบัพติศมา ยอมรับปุ๊บ ก็ถูกจุ่มลงไป ถูกมุดเข้าไป ถูกใส่เข้าไปในพระเยซูคริสต์

เมื่อท่านได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้  เรื่องศึกสงคราม มหากาฬในโลกฝ่ายวิญญาณ ว่าพระเยซูทำอะไร เป็นตัวแทนมนุษย์ และได้รับชัยชนะไปเรียบร้อยแล้ว  โดยหมัดเด็ดของพระองค์ 3 หมัดเต็มๆ การตาย  การอยู่ในอุโมงค์ และการเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ทั้งหมดนี้ เมื่อท่านได้ยินได้ฟัง แล้วท่านเชื่อว่ามันจริง  มันเกี่ยวข้องกับชีวิตท่าน  เพราะท่านเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน  ท่านจะใช้สิทธิของท่านในฐานะมนุษย์ว่า …

“ฉันจะเอาชัยชนะนี้ด้วย ฉันจะขอเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูด้วย  เพราะพระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ เท่ากับเป็นตัวแทนฉัน”

เมื่อท่านประกาศอย่างนี้ เชื่ออย่างนี้ปุ๊บ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ท่านรับเชื่อในข่าวดีนี้” ทันทีที่ท่านเชื่ออย่างนี้ ด้วยปากและด้วยใจ ท่านไม่ต้องไปทำพิธีที่ไหนเลย  ด้วยปากของท่านพูดว่า ..

“ฉันเชื่อข่าวดีนี้ ข่าวดีนี้เป็นอย่างนี้  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  เพื่อฉัน พระเยซูอยู่ในอุโมงค์ ยืนยันการตายจริงๆ ของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ฉันเชื่อในเรื่องนี้ ขอพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับฉัน ฉันเชื่อแล้วว่าพระองค์เป็นตัวแทนของฉัน”

ทันใดนั้นเอง เกิดสิ่งหนึ่งขึ้นมา คือพระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณของท่าน เอาวิญญาณของท่านบัพติศมาเข้าไปในพระคริสต์ คือเอาท่านจุ่มลงไปในพระคริสต์ มุดลงไปในพระคริสต์

ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวง  ที่ได้รับเชื่อในข่าวดีนี้  ได้รับบัพติศมามุดเข้าไปในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ด้วย  ก็คือเข้าไปมุดอยู่ในการตายของพระองค์ ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมา โดยการจุ่มเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พูดง่ายๆ ว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  เราก็ตายด้วย  เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ตายที่ไม้กางเขน เราก็ตายอยู่ที่ไม้กางเขนด้วยเช่นเดียวกัน  พระคริสต์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็อยู่ในอุโมงค์ด้วย  ในนี้บอกว่าเพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกันกับพระองค์ ที่ทรงให้พระคริสต์ เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา ก็คือเราทั้งหลายก็สามารถที่จะเป็นขึ้นจากความตายด้วย เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตาย ก็คือเราจุ่มลงไปแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว  เมื่อพระองค์ตาย เราก็ตายด้วย เหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน

ง่ายๆ นิดเดียว ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านดู สมมติว่าไอโฟน  คือวิญญาณของเราทั้งหลาย  พระคัมภีร์นี้เป็นพระคริสต์ พระเยซูที่ตายที่ไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 เป็นขึ้นจากความตาย  บัพติศมาหมายถึงอะไร? พอท่านเชื่อในเรื่องนี้  ในข่าวดีนี้  ทันทีทันใดนั้น ด้วยความเชื่อของท่าน พระเจ้าก็ให้ท่านเข้าไปบัพติศมา คือเข้าไปอยู่อย่างนี้ ตอนนี้ไอโฟนผมเข้าไปอยู่ในพระคัมภีร์แล้ว ตอนนี้ ไอโฟนผม คือวิญญาณของผมเข้าไปอยู่ในพระคัมภีร์ คือพระคริสต์ มันแปลว่าอย่างนี้  โรม 6:3-5 ที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ เป็นแบบนี้

บัพติศมา แปลว่ามุด เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ตอนนี้ไอโฟนเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคัมภีร์เล่มนี้แล้ว  พระคัมภีร์คือพระคริสต์ ไอโฟนคือวิญญาณของมนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีนี้  พอเริ่มเชื่อปุ๊บ เป็นอย่างนี้ พอมันเป็นอย่างนี้ แล้วเกิดอะไร? พระคัมภีร์บอกว่าพระคริสต์ได้ตายที่ไม้กางเขน  เห็นไหมครับตอนนี้ตายที่ไม้กางเขนแล้วนะ  เราที่อยู่ในพระคริสต์ ก็ตายด้วย  ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูตาย เราก็ตายด้วย  พระคัมภีร์อยู่ตรงนี้ ไอโฟนก็อยู่ตรงนี้ด้วย  เสร็จแล้วต่อมาพระเยซูคริสต์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราทั้งหลายที่อยู่ในพระคริสต์ก็ถูกฝังในอุโมงค์ด้วยเช่นเดียวกัน  ไอโฟนอยู่ในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์อยู่ในอุโมงค์ พระคัมภีร์ลงมาข้างล่าง ไอโฟนก็อยู่ในนั้นด้วย วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  พระเจ้ายกพระเยซูขึ้นสูงสุด ให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน นั่งอยู่กับพระเจ้านะ  ถามว่าไอโฟนตอนนี้อยู่ไหน?  ไอโฟนอยู่ที่สูงสุด  อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ถูกยกขึ้นสูงสุด  ไอโฟนที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ถูกยกขึ้นมาสูงสุด  ไอโฟนไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลแล้ว วิญญาณของเราถูกยกขึ้นมาสูงสุด โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะวิญญาณของเราอยู่ใน หรือบัพติศมา มุดเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เมื่อพระเจ้าให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  และยกพระองค์ขึ้นสูงสุด  เราทั้งหลายอยู่ในพระคริสต์ ก็ถูกยกขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  คำว่าเบื้องขวาของพระเจ้า ก็คือสำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้รับฤทธิ์อำนาจทั้งหมด สิทธิทั้งหมด ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี อยู่ในมือของพระเยซูคริสต์ ก็คืออยู่ในมือของเราด้วย เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เมื่อพระคริสต์ชนะ เราก็ชนะด้วย  เอเมน  เมื่อพระคริสต์ครอบครอง เราก็ครอบครองด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน เมื่อพระคริสต์ถูกยกขึ้นนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า สำเร็จราชการ  ในมหาจักรวาล เราก็ได้รับสิทธิอำนาจนั้น ด้วยเช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องทำอะไรเลย  เรียกว่าเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตนั่นเอง

สุดท้าย เมื่อมันสำคัญ พระคัมภีร์ไบเบิ้ล พระเจ้าจึงอยากให้มนุษย์ทั้งหลาย  อย่าลืมๆ  อย่าลืมสิ่งนี้เด็ดขาดว่ามันเกิดอะไรกับเราบ้าง  อย่างที่บอกเริ่มต้นที่เมื่อตะกี้ที่เราอ่าน โรม 6:3-5 บอก …

“ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวง ที่เชื่อในเรื่องนี้แล้ว ได้ถูกจุ่มลงไป มุดลงไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์”

จึงใช้คำว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า” คืออยากให้ท่านรู้จริงๆ

พระเจ้าจึงเตือนเราอย่างนี้ ว่าเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว  ให้เราทำอย่างไร? โคโลสี 3:1-4

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย  ที่เชื่อและใช้สิทธิของท่าน ในข่าวดีนี้  เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ถูกยกขึ้นสูงสุดอย่างนี้แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน  ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรานั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานอย่างนี้ นึกถึงภาพดีๆ ว่าเราอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระคริสต์อยู่สูงสุด  เราอยู่ตรงนั้นแล้ว ที่วิญญาณของเรา จดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน  คือจดจ่อ หมายถึง Set mind ก็คือตั้งความคิด จดจ่อทั้งวันและทั้งคืน ให้เห็นภาพนี้ตลอดเวลา ในโลกวิญญาณ ซึ่งมองไม่เห็น บอกตัวเองว่าจงมองให้เห็นเถิด ในโลกวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ  อย่าถูกหลอกอีก จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน  ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  จงให้ความคิดทั้งหมดของท่าน อยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน คือโลกวิญญาณ อย่างความจริงอย่างนี้  ไม่ใช่ลงมาดูอะไรต่างๆ เหล่านี้ ที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้  ที่มารพยายามหลอกลวงว่ามันยังไม่แพ้นะ  ยังชนะนะ พวกแกยังต้องส่งส่วยให้ฉันนะ ต้องชำระหนี้บาป เวรกรรมอีกต่อไป  ยังไม่หมดเวรกรรมหรอก  ไม่มองในระบบโลกนี้ที่มองเห็นได้  แต่มองทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเราชนะแล้ว

ข้อ 3 บอกว่าเพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ตรงนี้ต้องเปลี่ยนนิดหนึ่ง “ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์”  แก้เป็น “ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า” ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์แล้วยังอยู่กับพระเจ้า พูดง่ายๆ มองไปโลกฝ่ายวิญญาณให้รู้ว่าตัวเก่าของท่านที่เป็นวิญญาณบาป เป็นทาสของมารซาตาน  เป็นวิญญาณแห่งความตายนั้น  วิญญาณสกปรกดำมืด บัดนี้มันจบไปแล้ว มันตายไปแล้ว  แล้วมันได้เกิดใหม่แล้ว ชีวิตของท่านเกิดใหม่ โดยถูกซ่อนอยู่ แอบอยู่ในพระคริสต์ เข้าไปบัพติศมา  อยู่ในพระคริสต์แล้ว และอยู่กับพระเจ้า อย่างที่ผมบอกว่าไม่ใช่พระเจ้าอย่างเดียว แล้วก็มีพี่เลี้ยง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น จงจำไว้ จงมองให้เห็นเถิดว่าท่านจะไปไหนก็ตาม  วิญญาณท่านมีอีก 3 วิญญาณที่อยู่กับท่าน  พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู แล้วพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคนี้ ไปไหนไปด้วยกันกับท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของท่านเลยทีเดียว  และมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  มันหมายถึงอย่างนั้น ให้เราจำ ให้เรามองสิ่งต่างๆ เหล่านี้  มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้วว่ามันเป็นจริง

ข้อ 4 บอกว่าเมื่อพระคริสต์ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ ก็คือเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ ปรากฏ ก็คือพระเยซูคริสต์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษาโลกใบนี้ เมื่อพระเยซูคริสต์กลับมา  เมื่อนั้นเราก็จะได้รับร่างกายใหม่  เหมือนพระเยซูคริสต์เลย  เราก็จะได้ปรากฏพร้อมกับพระองค์ในเกียรติสิริด้วย ก็คือเมื่อพระเยซูกลับมา เราทั้งหลายก็ปรากฏ ก็คือเราทั้งหลาย ก็ได้รับร่างกายใหม่  ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  ออกจากหลุมฝังศพอย่างนี้ เราทั้งหลาย ก็กลับคืนสู่ชีวิตใหม่ โดยร่างกายของเรา เป็นร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ วิญญาณ ความคิดจิตใจ ที่ใหม่ ก็จะสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้  เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูเลย ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน  ไม่ต้องเป็นไข้ เป็นหวัด ไม่ต้องกลัวเป็นโควิดอีกต่อไป ไม่ต้องมีความทุกข์ทรมานอีกต่อไป  ไม่ต้องมีน้ำตาอีกต่อไป เป็นร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซู ซึ่งเป็นของเรานั้น  เราก็จะได้รับในวันนั้น  และเราก็จะอยู่อย่างนั้น  เหมือนที่พระเยซูอยู่ ณ วันนี้  ตลอดชั่วนิจนิรันดร์ ในสวรรค์ของพระเจ้า เอเมน

เพราะฉะนั้น อยากจะบอกว่านี่คือความจริง เพียงท่านใช้สิทธิของท่านเท่านั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย  เขาเรียกว่าพระคุณ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต พระเยซูเป็นผู้พิชิต ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราเพียงแต่ยกมือบอก …

“ฉันเอาด้วย ฉันรับด้วย ฉันต้องการ”

แค่นั้นเอง  ที่เหลือพระเจ้าพระบิดาจัดการเองทั้งหมด  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2020 เรื่อง “พระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ให้เป็นประโยชน์ และเป็นผลดีกับเราทุกคน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  เมษายน  2020

 เรื่อง “พระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ให้เป็นประโยชน์ และเป็นผลดีกับเราทุกคน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สัปดาห์ที่แล้วเราได้เรียนรู้กันไป ตามภาษาไทยๆ ว่าเรา  มีองค์สถิตอยู่ภายในเราแล้ว  เมื่อเราเชื่อในพระเยซู คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง พระเจ้าองค์นี้แหละสถิตอยู่ในเราผู้เชื่อในข่าวดีของพระเยซู และพระเจ้าองค์นี้ คือพ่อของเรา ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยอห์น 1:12-13 “12 คนทั้งปวงที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ แต่เกิดจากพระเจ้า”

 

พอเชื่อในนามพระเยซูก็ได้รับสิทธิให้เกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้า ทางวิญญาณ ถ้อยคำพระเจ้าทางพระคัมภีร์ก็ยืนยันกับเราว่าพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเรา  รักเรามากมาย คอยปกป้องคุ้มครองเรา และพูดกับเราด้วยความรัก และความห่วงใย ไม่บีบบังคับ คอยปลอบโยนจิตใจเราให้กำลังใจเรา และเสริมความกล้าหาญ ให้กับเราตลอดชั่วชีวิตของเรา ไปจนถึงนิรันดร์ พูดง่ายๆ ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้  และเราจะอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ไปถึงนิรันดร์กาลเลยทีเดียว

อย่างที่เรียนรู้กันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าไม่ใช่พระเจ้าพระบิดาเท่านั้น  ที่สถิตอยู่กับเราแล้วตอนนี้ แต่เป็นพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 องค์ คือ 3 พระภาคสถิตอยู่กับเราในวิญญาณเรา ในร่างกายเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเราเลยทีเดียว พูดอย่างนี้ชัดเจนเลยนะ

เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันไปเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว และในขณะนี้ ทั่วโลก ดูในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือในข่าวต่างๆ ได้เลย ทุกแห่งเงียบสนิท หมดสนุกเลย  ทั่วโลกกำลังหวั่นวิตกกับเรื่องโรคระบาดโควิด-19  หลายคนต้องตกอยู่ภายในความหวาดกลัว กลัวจะติดเชื้อ กลัวไม่มีรายได้  แล้วจะกินอย่างไร? จะอยู่อย่างไร? ฟังข่าวทุกวัน ก็กลัวว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อไปถึงไหน? สิ้นเมษาฯ นี้จะอยู่ถึงไหม?  หรืออีก 6 เดือนข้างหน้าจะสิ้นสุดหรือยัง? ถ้าโควิดไม่สิ้นสุด ชีวิตฉันอาจจะสิ้นสุดก็ได้  เพราะฉันเหนื่อยล้าและกลัวมากเหลือเกิน  อะไรต่างๆ เหล่านั้น  ซึ่งขณะที่เรากำลังกลัวอยู่นี้ มองไปทางโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ก็กำลังบอกเราอยู่ตลอดเวลา ในวิญญาณของเรา บอกมนุษย์ที่เป็นลูกของพระองค์ว่า …

“อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้า เราอยู่ข้างในเจ้านี่แหละ อย่ากลัวเลย เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าไปไหน เราจะไม่ละเจ้าไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว”

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าพูดกับเราทุกคนที่เชื่อในพระเยซู ที่พระองค์มาสถิตอยู่ในร่างกายเราแล้ว พระเจ้ากำลังพูดกับเรา ไม่ว่าเราจะได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ตาม  แต่ผมเอามาเน้นให้ท่านอีกครั้งหนึ่งว่าความจริงในโลกวิญญาณ  ก็คือพระเจ้ากำลังพูดกับท่านว่า …

“อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่ในเจ้า เราจะไม่ทิ้งเจ้าไปไหนหรอก เราเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า เรากับเจ้าอยู่ในสวรรค์ด้วยกันแล้วตอนนี้ เรากับเจ้าจะไปด้วยกันอย่างนี้ชั่วนิรันดร์”

เพราะฉะนั้น เราทุกคนที่มีฐานะเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ด้วยความเชื่อ  และมีพระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว เราจึงไม่กลัวไง บางคนบอกเป็นได้อย่างไรไม่กลัว  คริสเตียนไม่กลัวเหรอ กลัว แต่ไม่กลัวจนสติแตก ไม่กลัวจนเกินกว่าเหตุ กลัวเป็นเรื่องธรรมดา  อยู่บนโลกใบนี้ก็ต้องกลัวแล้ว พระเยซูบอกว่าอยู่บนโลกนี้ ท่านก็พบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาเหมือนกับคนอื่นเขาแหละ แต่จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะเราชนะโลกนี้แล้ว ในวิญญาณเราชนะแล้ว แต่เรายังคงดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราก็ต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา สิ่งที่เผชิญทุกข์ยากลำบากต่างๆ หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือความกลัว แต่เราชนะความกลัวแล้ว  เราจึงไม่ให้มันมามีอิทธิพลเหนือชีวิตของเรา  แต่ให้ที่มันนิดๆ หน่อยๆ อยู่ในความคิดของเราได้นิดเดียว ไม่เยอะ เพราะมันต้องอยู่ เพราะเรายังอยู่บนโลกใบนี้ มันต้องได้ยินได้ฟังได้สัมผัสสิ่งต่างๆ ที่เป็นข้อมูลของความกลัว ที่ส่งมาจากมารและระบบของโลกใบนี้อยู่ เพราะฉะนั้น เราก็เกิดความกลัวเป็นเรื่องธรรมดา แต่ให้เราจดจ่อวิญญาณของเราที่มีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย จะให้กำลังกับเรา มีความกล้าหาญ มีความเชื่อ มีความไว้วางใจในพระองค์ และไม่เป็นทาสของความกลัวนั้น  สยบเอาความกลัวนั้นอยู่ใต้เท้าเรา  ใต้เท้าเราอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ในตัวเรานั่นแหละ อยู่ในความคิดเรา แต่เล็กๆ มันมามีอิทธิพลเหนือเราไม่ได้นั่นเอง และวันหนึ่งมันก็จะไม่มีอยู่ในตัวเราเลย เมื่อวันที่เราทิ้งร่างนี้แล้ว  คือตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว  จบกันเสียที นั่นแหละ No อีกต่อไปเลย

พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลายอย่างมากมาย ไม่มีอาวุธใดที่จะถูกสร้างขึ้นมา  ไม่มีอาวุธใดที่จะถูกประกอบขึ้นมา  ไม่มีเชื้อโรคใดที่จะประกอบขึ้นมา ทำลายล้างเราจะสามารถทำสำเร็จได้  ไม่มีทาง ตรงนี้หมายถึงวิญญาณของเรา พระเจ้าดูแลเราอยู่ โควิดจะทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเผื่อพระเจ้าไม่อนุญาต ถ้าเผื่อโควิดจะทำอะไรเราได้ ในวิญญาณเราเกิดใหม่ เป็นผู้พิชิตแล้ว  เข้าใจแล้วนะ

ฟังตรงนี้แล้ว บางท่านก็อาจจะแย้งในใจ เกิดคำถามในใจว่าถ้าพระเจ้ารักเรา  พระองค์อยู่ในเราถึง 3 พระภาค พระองค์บอกว่าพระองค์คอยปกปักคุ้มครองดูแลเรา ห่วงใยเรา  ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านน่าจะคิด หรือบางทีเพื่อนท่านอาจจะถามท่าน …

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมยังมีผู้ที่เชื่อพระเจ้า ผู้ที่เป็นคริสเตียน ที่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา ยังคงติดเชื้อโควิดเยอะแยะเต็มไปหมดเลย แถมยังมีข่าวอีกด้วยว่าในบางประเทศ มีการแพร่กระจายของเชื้อจากการร้องเพลงนมัสการในโบสถ์ด้วยซ้ำไป”

น่าคิดไหม? เอาล่ะ เรามาดูกันว่าพระคัมภีร์อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างไร? ก็เลยถือโอกาสเข้าสู่หัวข้อการบรรยายในวันนี้ เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่กำลังบอกพวกเราทุกคน … “พระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ให้เป็นประโยชน์ และเป็นผลดีกับเราทุกคน” … บันทึกไว้ในหนังสือโรม 8:28 ดังนี้ว่า …

โรม 8:28 “เรารู้ว่าในทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”

 

เรารู้ว่าในทุกๆ สิ่ง ไม่ใช่ทุกสถานการณ์อย่างเดียว  แต่ทุกสิ่ง สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างหมด ไม่ว่ามด แมลง ต้นไม้ ดวงดาวอะไรต่างๆ พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

ในทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงให้มันทำงานร่วมกัน เพื่อเกิดเป็นผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์

ถ้าเรารู้ตัวว่าเราคือผู้ที่พระเจ้ารัก และรู้ตัวว่าเมื่อพระเจ้ารักเรา  ความรักนั้น ทำให้เราเกิดใหม่ในวิญญาณ เพราะเราเชื่อ เราต้อนรับความรักของพระเจ้า  เราได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เมื่อเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณเราจะเหมือนพระเจ้าไม่มีผิด ก็คือพระเจ้าทรงรักเราก่อน เราจึงรักพระองค์ได้ นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้ …

“เพราะพระองค์ทรงรักข้าก่อน ข้าพระองค์จึงรักพระองค์ ถ้าพระองค์ไม่รักข้าพระองค์ก่อน พระองค์ไม่เอาความรักมาให้ข้าพระองค์ ไม่ให้ข้าพระองค์เกิดใหม่ ข้าพระองค์ไม่มีความสามารถที่จะรักพระองค์ได้ เพราะข้าพระองค์เป็นคนบาป รักพระองค์ไม่ได้หรอก เข้ากับพระองค์ไม่ได้ด้วย  แต่เพราะพระเยซูไถ่บาปให้ข้าพระองค์จนสะอาดหมดจดแล้ว ทำให้ข้าพระองค์กลับคืนดีกับพระองค์ได้”

กลับคืนดี ก็คือเป็นวิญญาณที่เปลี่ยนใหม่ เป็นวิญญาณจากบาป กลายเป็นผู้ชอบธรรม เป็นวิญญาณจากที่เคยเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่เปลี่ยนใหม่ จากวิญญาณที่เคยเกลียดพระเจ้า กลายเป็นวิญญาณที่เป็นมิตรกับพระเจ้า  เป็นวิญญาณที่รักพระเจ้า เห็นไหม?

คำว่า “รัก” จากวิญญาณข้างใน เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้บังเกิดใหม่ ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว ทันทีทันใดนั้น เราได้บังเกิดใหม่ รักพระเจ้าแล้ว  พอรักพระเจ้า สิ่งนี้เกิดขึ้นทันที พระเจ้าจะกระทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างทำงานร่วมกัน ให้เกิดผลดีแก่เราทั้งหลาย  ผู้ที่รักพระองค์ได้ สามารถรักพระองค์แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเรามั่นใจว่าเรารักพระเจ้า ก็จงเชื่อและวางใจเถิดว่าพระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ให้เป็นผลดีกับเราเสมอ  เราที่เป็นลูกของพระองค์ ที่มีความสามารถที่รักพระองค์ เป็นมิตรกับพระองค์ เข้ากันกับพระองค์ได้แล้ว

ถึงแม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นนั้น  ด้วยสายตาของมนุษย์ ของเราเอง เราอาจบอกว่ามันไม่ดี ไม่ชอบ มนุษย์ก็คิดอย่างนี้  แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น … “ทุกสิ่งทุกอย่าง” หมายถึงที่เราคิดว่าดี และคิดว่าไม่ดีนั้น ทั้งหมด ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นผลดี  หรือเป็นสิ่งดีต่อชีวิตของเรา

ตัวอย่างที่ผมเคยใช้บ่อยๆ คือเวลาเราทำอาหารหรือทำขนม สมมติว่าทำขนมเค้ก มันก็จะมีส่วนผสมหลายอย่าง เช่น แป้ง น้ำตาล ไข่ เนย ลูกเกด ผงฟู ช็อคโกแลต ผลไม้ หรืออะไรแล้วแต่ ซึ่งแต่ละอย่างประกอบกันเป็นเค้ก  แต่ถ้าเราแยกส่วนออกมาแต่ละอย่างๆ  บางอย่างก็ไม่ค่อยจะปลื้ม กินเดี่ยวๆ ไม่ได้ เช่นผงฟูมาใส่ปาก ก็ไม่ไหว เอาช็อคโกแลตมาใส่ปากก็พอได้  เอาน้ำตาลมาใส่ปากนิดๆ หน่อยๆ  พอได้ แต่หลายสิ่งหลายอย่างอยู่โดดเดี่ยว ไม่น่าอภิรมย์เลย ถูกไหมครับ? นี่ก็เหมือนกัน แต่พอเอาทุกอย่างมารวมกัน  ตามสัดส่วนที่ดีๆ  เอาแป้ง น้ำตาล ผงฟู ช็อคโกแลต ผลไม้มารวมกัน  ตามสัดส่วนที่เหมาะสม รวมเสร็จ ใส่เข้าไปในภาชนะ เข้าตู้อบ เอาออกมา ชอบหมดเลย ผงฟูก็ชอบ อะไรที่ขมๆ ก็กินได้แล้ว เพราะว่ามันผสมผสานกันแล้ว นี่แหละคือมันร่วมกัน เกิดเป็นผลดีสำหรับเรา ที่ทำเค้ก แป้ง น้ำตาล ที่มันกินไม่ได้เดี่ยวๆ  มันรวมกันจนกระทั่งเป็นผลดี สำหรับเราที่ทำเค้ก

ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราแยกสถานการณ์ แยกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แยกเป็นเรื่องๆ ไป  บางเรื่องเราอาจจะรู้สึกว่ามันดี  น่าชื่นชมยินดี ขอบคุณพระเจ้าได้ แต่บางเรื่องความรู้สึกเราไม่เอา ไม่ดี มันขมเหลือเกิน พระเจ้าไม่ชอบเลย  แต่พระคัมภีร์บอกว่าในทุกสิ่ง ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา  ที่เราเผชิญนั้น  พระเจ้าสามารถทำให้ ทุกสิ่งเหล่านั้น ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นผลดี แก่ชีวิตของเรา  ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ และได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว

ตัวอย่างที่ผมชอบยกบ่อยๆ ในเรื่องนี้ มนุษย์ก็คิดแบบนี้นะไอ้นี่ดี ไอ้นั่นไม่ดี ไม่ค่อยคิดถึงว่ามันรวมกันแล้ว เป็นผลดีหรือผลเลว สำหรับชีวิตเราที่ได้เกิดขึ้น พออะไรไม่ดีมา เราก็ …

“ทำไมมันซวยอย่างนี้”

พอเกิดโชคดีขึ้นมา

“โอ้โห เฮงๆ” … นี่ความคิดของมนุษย์

เคยได้ยินเรื่องนี้ใช่ไหม ที่ผมเล่าอยู่บ่อยๆ … มีชาวนา ชาวไร่อยู่ครอบครัวหนึ่ง เป็นคนยากคนจน ทำไร่ไถนา มีม้าอยู่ตัวหนึ่งก็ดีใจแล้ว เพราะม้าตัวหนึ่งก็ช่วยลดแรงได้เยอะ คนทำไร่มีสองคน คือพ่อกับลูก ม้าก็ช่วยไถ ช่วยยกของ ช่วยลากของหนักๆ ได้ เช้าวันหนึ่ง ลูกตื่นขึ้นมา ไปทำไร่ไถนา ตามปกติ ปรากฏว่าไปดูที่โรงม้า ม้ามันหนีไป ม้าหายไป ตกใจ มาบอกพ่อ พ่อบอก …

“ตายแล้ว ซวยจริงๆ”

คือโชคไม่ดีเลย ม้ามันหายไป  เพราะไม่มีใครมาช่วยงานอีกต่อไป ทำไมซวยอย่างนี้ บ่นซวยไป 2 วัน วันที่สามตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงม้า วิ่งไปดู ปรากฏว่าม้าที่มันวิ่งหนีเข้าป่าไป  มันไปพาตัวเมียกลับมาอีกตัวหนึ่ง เป็น 2 ตัว มีคู่ คราวนี้ไปบอกพ่อ พ่อบอก …

“ทำไมเฮงอย่างนี้  ทำไมโชคดีอย่างนี้  ม้าหายไปตัวหนึ่ง  ตอนนี้มี 2 ตัวเลย  ดีกว่าเก่าอีก”

ดีใจมากเลย ชื่นชมยินดีใหญ่ ก็เลยบอกลูกให้ไปฝึกม้าป่าอีกตัวหนึ่ง ที่ได้มาฟรีๆ นั้น  ไปฝึกให้มันทำงาน เอามาใช้งานได้อีก ดีๆ

ลูกชายก็ไปฝึกม้าป่าตัวนี้ เนื่องจากมันเป็นม้าป่า เพราะฉะนั้น มันก็ไม่ค่อยเชื่อง ไปฝึกมัน ปรากฏว่าพบอุบัติเหตุ ม้ามันดีดเอาลูกชายตกจากหลังม้า ขาหักเลย  พ่อมาเห็น พ่อบอกว่า …

“ทำไมมันซวยอย่างนี้ ลูกขาหัก ก็ไม่มีใครช่วยแล้วตอนนี้”

ม้าก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะไม่มีใครควบคุมมัน เพราะลูกก็ไม่สบาย  ทำไมมันซวยอย่างนี้  ลูกขาหัก ก็ไปหาหมอ รักษาอยู่เรื่อยๆ อาทิตย์ต่อมา ทางราชการส่งเจ้าหน้าที่มาเกณฑ์ทหาร เด็กหนุ่มทั้งหมู่บ้าน ไปเป็นทหารหมดเลย เพราะมีสงครามด่วน สงครามของประเทศชาติ ต้องการชายหนุ่มทุกคนให้ไปเป็นทหาร ไปตามบ้าน ก็มาเจอบ้านของชายคนนี้ ปรากฏว่าก็ไม่เกณฑ์ไป เพราะว่าขาหัก เดินไม่ได้ จะไปเป็นทหารได้อย่างไร? ก็เลยมองข้ามไป  ไม่เกณฑ์ ปรากฏว่าทหารที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นกองหนุนของหมู่บ้านนี้ เสียชีวิตในสงครามหมดเลย เพราะฉะนั้น พ่อก็บอกว่า …

“เราโชคดีจริงๆ นะ ถ้าแกไม่ขาหัก ป่านนี้ แกตายไปแล้ว  ทำไมแกเฮงจริงๆ เราเฮงจริงๆ แกไม่ตาย เพราะขาหักไป”

มนุษย์เราก็เป็นอย่างนี้  แต่พระเจ้าสามารถทำให้มันเป็นสิ่งที่ดีได้ สมมติว่าลุงคนนี้  เป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อ  แล้วลูกก็เป็นผู้เชื่อ ขอบคุณพระเจ้าตลอด ไม่ว่าม้าหายไป ก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าม้ากลับมาเพิ่มอีกตัวหนึ่ง ก็ขอบคุณพระเจ้า  ไม่ว่าม้าจะดีดขาหัก ก็ขอบคุณพระเจ้า  ไม่ต้องไปสงคราม แล้วต้องตาย  ยังอยู่ทำงานได้ ก็ขอบคุณพระเจ้า  สมมติถ้าเป็นอย่างนั้น  พระเจ้าอาจจะนำให้เป็นประโยชน์ เป็นผลดี สำหรับครอบครัวนี้ ไม่ใช่แค่นั้น ขณะที่ถูกม้าดีด ขาหัก  ต้องไปหาหมอทุกวัน   ขณะรักษาไป ก็ไม่ได้บ่นเลยว่าซวยๆ  แต่พูดตลอดเวลาว่าขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าทั้งๆ ที่ขาหัก หมอได้ยินได้ฟัง เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นๆ  ทั้งลุงผู้เป็นพ่อ และเด็กหนุ่มคนนี้ ขอบคุณพระเจ้าเรื่อยๆ นะ ขาหักก็ยังขอบคุณพระเจ้าอยู่ จึงถามเด็กหนุ่มและพ่อว่าทำไมมีทัศนคติที่ดีอย่างนี้ แม้ขาหัก ไม่รู้รักษาหายหรือไม่หาย ก็ยังมีกำลังใจ ขอบคุณพระเจ้าอยู่  มีความชื่นชมยินดีอยู่ แม้จะมีสถานการณ์ที่ทุกข์ยากลำบาก ตามสายตามนุษย์ก็ตาม หมอก็อาจจะถามด้วยความสงสัย ด้วยการสังเกต แล้วพ่อกับลูกชายก็จะตอบว่า …

“เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า พระเยซูเป็นกำลังของเรา”

เขาประกาศข่าวดีให้กับหมอ แล้วในที่สุด หมอก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้รับความรอดมาถึงซึ่งการเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนกับลุงและลูกชายคนนี้ ที่ขาหัก เห็นไหมความรอดไปถึงอีกทางหนึ่ง โดยที่พระเจ้ากำลังนำผ่านทางชีวิตของเรา ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีอะไรก็ตาม

นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ ชีวิตของเราก็จะเป็นเช่นนั้นแหละ เพราะฉะนั้น  ไม่ว่าเราจะอยู่ในอาการเช่นไร เราก็สามารถชื่นชมยินดีได้ เสมอ ตลอดเวลา  ในชีวิตของเรา เพราะว่าเราสามารถขอบคุณพระเจ้าว่าพระเจ้าสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในชีวิตของเรา ที่มนุษย์เห็นว่ามันเฮง หรือมันซวยก็ตาม แต่สำหรับเราที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะทำให้สถานการณ์ ทั้งเฮง ทั้งซวย เหล่านั้น ให้เกิดเป็นผลเฮงลูกเดียว สำหรับเราทั้งหลาย ผู้ที่วางใจและเชื่อในพระองค์ และเป็นลูกของพระองค์แล้ว

เพราะฉะนั้น  ความคิดของเรามนุษย์ ไม่เหมือนความคิดของพระเจ้า  ผลดีคืออะไร? บางทีเรามองไม่เห็นหรอก ตามสายตามนุษย์ ตามตาเนื้อ และความรู้สึกที่เห็น มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ส่วนผลดีคืออะไร? จะเกิดขึ้นเมื่อไร เราไม่มีทางที่จะทราบได้ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าความคิดของเรา ไม่เหมือนความคิดของพระเจ้า และข้อสำคัญคือเวลาของเรา ก็ไม่ใช่เป็นเวลาของพระเจ้า  เราบอกมันนานแล้ว รอมาตั้ง 10 ปี พระเจ้าบอกแป๊บเดียว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลดีแก่ชีวิตของเรา พูดแค่นี้ ตามทางของพระองค์ และตามเวลาของพระองค์ ไม่ใช่ให้เกิดผลดีตามใจเรา ต้องเข้าใจตรงนี้ ไม่ได้บอกว่าพระเจ้าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดผลดี ตามใจเรา และตามเวลาที่เราต้องการ  อย่างนั้นไม่ใช่แล้ว  ถ้าเราบอกว่าตามน้ำพระทัย ตามใจพระเจ้า ก็ต้องวางใจในพระเจ้า รับรองได้ ออกมาเป็นผลดีอย่างแน่นอน

พี่น้องไม่ว่าท่านจะเชื่อในข่าวประเสริฐหรือยัง? เป็นลูกพระเจ้าแล้วหรือยัง? ที่ฟังอยู่ขณะนี้  อยากจะบอกว่าขณะที่เราต้องเผชิญกับวิกฤตปัญหา หรือสถานการณ์ที่ โดยเฉพาะวิกฤตในขณะนี้ โควิดนี้ ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ถือว่าวิกฤตหนักนะ พระเจ้าจะทำ 2 อย่าง คือขจัดวิกฤตปัญหาเหล่านั้นให้กับเรา ซึ่งแน่นอน ทางเลือกนี้ เป็นสิ่งที่เราทั้งหลาย ปรารถนาเป็นอันดับแรก มนุษย์ต้องการอย่างนี้ ต้องการอัศจรรย์เดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้เป็นไปได้ ให้โควิดหยุด  มะรืนนี้เป็นไปได้ ให้มีการสร้างวัคซีนได้ทันทีเลย  ให้จบเหตุการณ์นี้ พระเจ้าช่วยด้วยเถิด ขอให้จบสักที นี่คือความต้องการของมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่พระเจ้าจะทำ 2 อย่าง ตามหลักพระคัมภีร์ คือ …

(1) ขจัดปัญหาไป พรุ่งนี้ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้  หรือ …

(2) พระเจ้าจะประทานกำลังให้กับเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์ ที่วางใจในพระองค์ ให้มีเพียงพอที่จะอยู่กับปัญหานั้น  และสามารถเผชิญกับวิกฤตปัญหานั้นได้  ด้วยสันติสุข และความสงบสุขในพระคริสต์ พระเจ้าจะประทานกำลังให้กับเรา  ให้กับใครก็ได้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ ฝากความหวังไว้ที่พระองค์ ฝากความหวังในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างนี้  พระเจ้าจะให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นกำลังเพียงพอ สำหรับคนนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะทำให้เขาพอเพียง ทั้งกำลังใจ กำลังกาย อะไรก็ตามในชีวิตนี้  ที่จะอยู่กับโควิดนี้  อยู่กับวิกฤตปัจจุบันได้ เผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ได้ โดยมีสันติสุขและความสงบในใจของเขา ซึ่งตามที่ยกตัวอย่าง แล้วผลดีจะเป็นอะไร ก็ไม่รู้ แต่รอไปเถอะ  อย่างไรก็จะเป็นผลดีในชีวิตเราแน่ ผลดีอันหนึ่งตอนนี้ที่เราเห็น คือเรามีสันติสุข มีความสงบสุข เราไม่กลัวจนเกินกว่าเหตุ เราอยู่ได้  แล้วที่เหลือก็ปล่อยเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า

มีตัวอย่างในพระคัมภีร์เหมือนกัน

แบบที่หนึ่ง ได้รับอัศจรรย์ อย่างเช่นตัวอย่างเปาโล … เปาโลที่รับใช้พระเจ้า ที่ยิ่งใหญ่ ที่เคยได้รับการอัศจรรย์ ได้รับการรักษาจากพระเจ้าอัศจรรย์มาก ตอนที่เดินทางไปดามัสกัส  ตอนที่เขายังไม่เชื่อ พระเยซูได้ปรากฏให้เขาเห็นกลางทาง และได้พูดคุยกับเขา และหลังจากนั้นเขาตาบอด แล้วพระเจ้าก็รักษาเขาอย่างอัศจรรย์มาก ถือว่ามากที่สุด  ตาบอด แล้วเดินทางไปที่ดามัสกัส ไปคอยอยู่ที่ห้อง แล้วก็เริ่มอธิษฐานว่า …

“โอ้ พระเจ้า ลูกขอพระองค์ทรงรักษาลูกด้วยเถิด”

กลัวด้วยนะ เพราะตามองไม่เห็นเลย  พระเจ้าทรงรักษาเขาอย่างอัศจรรย์  ตาหายบอดอย่างอัศจรรย์ พอตาหายบอดอย่างอัศจรรย์ เขาก็เริ่มต้นกลับใจใหม่ เริ่มต้นประกาศข่าวดีของพระเยซู  ออกไปพูดถึงข่าวดีของพระเยซู ให้คนมาเชื่อเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์

และต่อมา ในคนๆ เดียวกัน คือเปาโลก็ได้แบบที่สอง ที่พระเจ้าตอบเขา คือเปาโลมีความทุกข์ทรมาน ในสุขภาพของเขา อันหนึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่รู้ว่าหนักมาก สาหัสมาก เปาโลใช้คำว่าทรมานมาก เปาโลอธิษฐานขอพระเจ้าให้ช่วยในเรื่องนี้ ถึงสามครั้ง แล้วพระเจ้าตอบว่า …

“พระคุณของเราก็เพียงพอสำหรับเจ้า และฤทธิ์เดชอำนาจของเรา จะทวีคูณขึ้นเต็มขนาดในความอ่อนแอของเจ้า”

แปลว่าอาการเจ็บป่วยที่ทุกข์ทรมานของเปาโลนั้น ยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ก็ยังคงเป็นต่อไป  แต่พระเจ้าประทานพระคุณ ประทานกำลังให้อาจารย์เปาโลสามารถที่จะเผชิญกับความเจ็บป่วยนั้นได้อย่างมีความสงบสุข มีความสุข มีสันติสุข คืออยู่ได้  ถึงขนาดไหน? ถึงขนาดอาจารย์เปาโลพูดในข้อพระคัมภีร์ ซึ่งเดี๋ยวเราจะได้อ่าน ดูสิว่าอาจารย์เปาโลมีสันติสุขขนาดไหน?  พูดว่าอย่างไร?

จากตัวอย่างของอาจารย์เปาโลจะเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงกระทำ 2 สิ่งที่แตกต่างกันในคนเดียวนี่แหละ แต่ทั้งสองสิ่งที่เกิดขึ้น มันเกิดเป็นผลดีสำหรับอาจารย์เปาโลเสมอ  ทั้งสองอย่างเลย  คือเปาโลสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสันติสุข มีความสงบ  ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร? ไม่ว่าได้รับการอัศจรรย์อย่างชัดเจน หรือว่าได้รับกำลัง ได้รับพระคุณให้มีสันติสุขก็ตาม นี่คือที่บอกว่าพระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นผลดี สำหรับชีวิตเราได้ ลองมาดูสิว่าอาจารย์เปาโลมีความรู้สึกอย่างไร?  2 โครินธ์ 12:8-10 ได้บันทึกอย่างนี้

2 โครินธ์ 12:8-10 “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้งให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 ด้วยเหตุนี้แหละเพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

 

เห็นไหมครับ? อาจารย์เปาโลบอก เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดว่าเราเก่งเหรอ อวดว่าเราแข็งแรง อวดว่าได้รับอัศจรรย์จากพระเจ้า  ไม่ใช่เลย … ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความทุกข์ทรมาน  ถามว่าเพื่ออะไร? เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า  จะได้สำแดงออกมาให้คนเห็น

ข้อ 10 บอกว่าด้วยเหตุนี้แหละ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ กลับกลายเป็นปิติยินดีในความเจ็บป่วยอีก  แต่อยู่ในใจปิติยินดี  ถ้าพระเจ้าไม่รักษาให้หาย ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ก็จะทวีคูณขึ้นเต็มขนาดในความเจ็บป่วย ในความอ่อนแอของเรา พระคุณของพระองค์ยังอยู่ตรงนี้แหละ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

แล้วข้าพเจ้ายังชื่นชมยินดีในความอ่อนแอ ชื่นชมยินดีในการถูกสบประมาท ชื่นชมยินดีในความยากลำบาก ชื่นชมยินดีในการถูกกดขี่ข่มเหง เขาเอาหินขว้างเปาโล ก็เคยโดนมาแล้ว ชื่นชมยินดีในความยุ่งยาก ถามว่าเพราะอะไร? ทำไมอาจารย์เปาโลจึงชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ได้  ฟังให้ดี เพราะเมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้น ข้าพเจ้าเข้มแข็ง ก็คือเมื่อนั้น ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเข้ามา เข้มแข็งได้

ถ้าเป็นตอนนี้เราอาจจะพูดกันว่าข้าพเจ้าชื่นชมในวิกฤตโควิด-19 ตอนนี้ ชื่นชมภายใน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเหลือเกิน ทุกวันตื่นขึ้นมา ก็มีแต่ความหวาดกลัว กลัวเชื้อโรคติด กลัวลูกจะติด กลัวครอบครัวจะติด ตื่นขึ้นมากลัวเงินที่เก็บไว้จะหมด เงินที่ไม่ได้เก็บไว้ก็จะหมดไปแล้ว กลัวต่างๆ นานาเยอะแยะตามข่าวสาร ต้องรีบวิ่งเข้าไปซุกศีรษะไว้ในถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ อธิษฐานด้วยความอ่อนแอ อ่อนกำลัง ให้พระเจ้าเล้าโลมจิตใจทุกวันๆ จนเกิดความกล้าหาญขึ้นมา เดินออกจากห้อง อยู่ได้ไปอีก 1 วัน  ทั้งๆ ที่ตื่นเช้าขึ้นมาความกลัวรอบข้างตลอดเวลา แต่พระเจ้าปลอบโยน ให้สามารถอยู่ได้  เห็นไหม? จับความกลัวให้มัน กลายเป็นทาสเรา อย่างนี้เป็นต้น

เปาโลเป็นตัวอย่างที่ดีเลย ตัวอย่างแบบอาจารย์เปาโลก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคนเลยนะ ไม่มียกเว้น บางครั้งอธิษฐานขออะไรบางอย่าง  พระเจ้าก็ประทานให้กับเราตามที่เราขอ แต่บางครั้งก็อธิษฐานไปตั้งนานแล้ว ก็ดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ตอบ แล้วจริงๆ พระเจ้าตอบไหม? ถามว่าดูเหมือนเงียบเลย พระเจ้าไม่เห็นตอบเลย ขอพระเจ้าทรงรักษาให้หายจากโรคนี้ ทรมานมาตั้งนานแล้ว  ไม่หายเลย 10 ปี 20 ปี มันก็ยัง เอ๊ะ หันหลังกลับไป

“20 ปีผ่านมา อยู่ได้อย่างไรหนอ ขอพระเจ้าทรงอวยพรให้กิจการงานเจริญรุ่งเรืองเถิด ลูกก็ทำดีทุกอย่าง ทำทุกอย่างตามที่พระองค์บอกแล้ว  มันไม่เห็นรวยเหมือนเขาเลย คนอื่นเขาไม่เชื่อพระเจ้า เขายังทำงานร่ำรวยได้เลย แล้วทำไมลูกไม่ได้ร่ำรวยสักที”

เหมือนไม่ตอบเราแล้ว เงียบ แต่หันหลังกลับไป  พระเจ้าถามว่า …

“แล้ว 20 ปี 30 ปีที่ผ่านมา แกขาดอะไรบ้าง?”  ยังมีชีวิตอยู่ ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ได้ บางทีก็เป็นอย่างนั้นนะ

ซึ่งจริงๆ แล้ว พระเจ้าตอบแล้ว  แต่เราแกล้งไม่ได้ยิน หรือเราไม่อยากจะได้ยิน  ก็คือตอบแบบที่ตอบเปาโลไง ตอบว่าอย่างไร?

“พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า พระคุณเพียงพอ สำหรับความทุกข์ยากลำบากของเจ้า  พระคุณของเราเพียงพอ สำหรับความเจ็บป่วย เจ็บปวด ปัญหาต่างๆ ที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่ พระคุณความรักของเราเพียงพอ และฤทธิ์เดชอำนาจของเราจะสำแดงทวีคูณขึ้นเต็มขนาด ผ่านทางความอ่อนแอของเจ้า”

นี่แหละ ผ่านทางความอ่อนแอของเจ้า มีกิน ไม่มีกินบ้าง เจ็บป่วยบ้าง แข็งแรงบ้าง  หรือเจ็บป่วยแล้วไม่ค่อยแข็งแรงด้วย อยู่ได้  ในใจเข้มแข็งได้  อะไรอย่างนี้ เวลามันดีๆ ใครๆ ก็ทำได้ ให้มีความชื่นชมยินดี แต่อยู่บนโลกใบนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป และมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย และเสมอไป แน่นอน คืออยู่บนโลกใบนี้ ท่านต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา เป็นเรื่องจริงเลย ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อพระเจ้า โลกใบนี้มันเสียหายไปแล้ว มันตกอยู่ใต้คำสาปแช่ง ซึ่งมาจากบรรพบุรุษแล้ว  มันไม่มีทางที่จะแก้ไข มันต้องเป็นอย่างนี้แหละ  มันต้องทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ใต้ฟ้านี้ มันมีความทุกข์ยากลำบาก อย่างแสนสาหัสอยู่บนโลกในนี้แล้ว  แต่พระเจ้าสามารถพาท่านเดินผ่านทะลุความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ไปได้ด้วยดี

เพราะฉะนั้น  นี่คือสิ่งที่เราควรจะน้อมคิดในใจของเราว่าพระเจ้าตอบเราแล้ว แต่เราไม่ค่อยอยากได้รับคำตอบอย่างนี้  เพราะใจเราอยากจะตอบว่าพระเจ้าให้เรารวยเลย แล้วรวยเท่าไรถึงพอ ท่านลองคิดดูสิ ถ้าท่านขอพระเจ้าสักหมื่นหนึ่ง ท่านคิดว่าท่านได้หมื่นหนึ่ง ท่านพอไหม?  ครั้งต่อไปท่านจะอธิษฐานขอพระเจ้าห้าพันไหม? ผมว่าไม่หรอก เพราะระบบของโลกใบนี้มันเป็นอย่างนั้น เนื้อหนังมันไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันก็จี้ท่าน พอท่านได้หมื่น ท่านก็จะขอพระเจ้าเป็นแสน แล้วพระเจ้าก็ให้อีก ให้แสนหนึ่ง แล้วท่านจะพอไหม?  พอแล้วแสนหนึ่ง มันก็เหมือนเดิม แต่หนักขึ้น ก็คือก้อนมันใหญ่ขึ้น ภาระมากขึ้น  วิตกกังวลมากขึ้น  ท่านก็ขอพระเจ้าล้านหนึ่ง พอได้ล้านหนึ่ง ระบบของโลกก็จี้ท่านอีก ส่งสัญญาณที่ความคิดของท่าน ให้โลภต่อ ท่านจะขอพระเจ้าไหม พระเจ้าตอนนี้มีล้านหนึ่ง ขอลดลงเหลือแค่ห้าแสนก็พอแล้ว  ไม่มีหรอก เป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้

นี่คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ นี่แค่เห็นชัดๆ เรื่องเดียว เรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ท่านก็ขอไปสิบล้าน  แล้วก็ไปร้อยล้าน  แล้วก็เป็นพันล้าน  แล้วก็เป็นหมื่นล้าน ขณะที่ดำเนินการไปเรื่อยๆ ในกิเลสความโลภนี้  สิ่งหนึ่งที่ท่านจะสูญเสียไป ก็คือความรักของพระเจ้า ท่านก็เริ่มเอาเปรียบคนอื่น  ท่านจะเริ่มเห็นแก่ตัว ท่านจะเริ่มเบียดเบียนผู้อื่น  แล้วในที่สุด ท่านจะเริ่มโกงบ้าง โกงอย่างบริสุทธิ์ โกงอย่างแอบๆ โกง ท่านเริ่มทำบาป ที่เรียกในใจว่าบาปบริสุทธิ์

พระเจ้าพอใจให้ท่านมีชีวิตอย่างนั้นเหรอ แล้วมันมีสันติสุขไหม? ไม่มีเลย  พระเยซูบอกการให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ อย่างนี้ ท่านจะให้ได้อย่างไร ในเมื่อท่านจะกอบโกยตลอดเวลา  บางคนบอกเขาให้ไปตั้งล้านหนึ่ง  ขณะที่ท่านมีเป็นพันล้าน ให้ล้านหนึ่งเหรอ แต่สำหรับคนที่เขาให้ เขามีแค่พันเดียว แต่เขาสามารถให้เป็นร้อย ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่ามันต่างกัน มันไม่ได้อยู่ที่ความคิดของมนุษย์เป็นอย่างนั้น

หรือว่าเปรียบเทียบกับสุขภาพก็เหมือนกัน  ที่เราขอพระเจ้า รักษาให้หาย เท่าไรถึงพอ ถามตัวเองสิ  สมมติว่าท่านเป็นภูมิแพ้ ท่านขอพระเจ้าหายจากภูมิแพ้ พระเจ้าทำอัศจรรย์ หายจากภูมิแพ้เลย  แล้วท่านหยุดอยู่แค่นั้นไหม? ต่อไปท่านจะไม่เป็นโรคอะไรอีกเลย ใช่ไหม?  ถ้าไม่เป็นอะไรอีกเลย แล้วท่านจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร? ท่านจะดูแลตัวเองไหม? สุขภาพเป็นอย่างไร? ท่านจะไม่เย่อหยิ่งหรือ? ท่านแน่ใจใช่ไหม?  ในที่สุด ท่านก็จะต้องพลาดในความเย่อหยิ่ง ในความแข็งแรง เอาความแข็งแรงนั้นไปทำอะไรต่างๆ  ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บเพิ่มเติมขึ้นไปในร่างกายของท่าน แล้วท่านต้องการอะไรอีก นี่ก็คืออย่างที่บอก

ถ้าเราจะเอาทั้งหมดนี้ มอบให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินให้เราไม่ดีกว่าหรือ? เหตุฉะนั้น พระคัมภีร์บอก จงวางใจในพระเจ้า พระองค์ฉลาดกว่าเราเยอะ พระองค์รู้หมดแล้วอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวนี้ ข้างหน้า ในอนาคต ในชีวิตของเรา  จงวางใจในพระเจ้า แล้วมอบภาระให้กับพระองค์ทั้งหมดเลย  ให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินว่าสถานการณ์หรือวิกฤต ปัญหาต่างๆ  เราควรจะจัดการอย่างไร?  หรือพระองค์จะจัดการอย่างไรให้มันเกิดขึ้นในชีวิตของเราบ้าง  เราควรจะเผชิญอย่างไร ที่เหมาะสมที่สุด สำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน  และให้มันเกิดผลดีที่สุด ในชีวิตของเรา ซึ่งรวมๆ ระยะยาวๆ  และไม่ใช่เกิดผลดีในชีวิตของเราอย่างเดียว  แต่เกิดผลดีในชีวิตของเรา และไปถึงผลดีสำหรับผู้คนอื่นๆ รอบข้าง อย่างนี้เขาเรียกว่าความรัก ใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่า ไม่ใช่อยู่เพื่อเห็นแก่ตัว เพื่อตัวเอง แต่อยู่เพื่อคนอื่นเขาด้วย บางทีเรายอมทุกข์บ้าง  เพื่อให้คนอื่นเขาได้สิ่งที่ดีๆ ไป ก็ต้องยอม อย่างนี้เป็นต้น พระเจ้าจะนำพาชีวิตเราอย่างนั้น  เมื่อวันหนึ่งเราไปอยู่ในสวรรค์ เราจะดีใจมาก …

“พระเจ้า ขอบคุณมากเลย ที่นำพาลูกอย่างนี้ ดีแล้วที่ลูกไม่เดินด้วยตัวเอง  คงจะเห็นแก่ตัวกว่านี้เยอะเลย”

เพราะฉะนั้น ในชีวิตของเรา  และในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น  พระเจ้าทรงทราบหมดทุกอย่าง แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น  และอย่างไร? รู้ลึกซึ้งกว่าเราเยอะ เกินกว่าที่เราจะเข้าใจ เกินกว่าที่จะอธิบายให้เราฟังว่า …

“ทำไมพ่อถึงนำพาลูกเป็นอย่างนี้ ทำไมพ่อไม่รักษาลูกให้หายปล่อยให้ลูกเจ็บปวดทรมาน  ขอตั้งสามครั้ง”

ผมเคยขอพระเจ้าไม่ใช่ 3 นะ 300 ครั้ง ไม่เข้าใจ แล้วถามว่าทุกวันนี้ เข้าใจใช่ไหมว่า 300 ครั้ง ความทุกข์ทรมาน พระเจ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้น  มาเป็นเวลา 10 ปี 20 ปีแล้ว ตอนนี้เข้าใจแล้วหรือ? ไม่เข้าใจหรอกครับ แต่วางใจมากขึ้น เพราะว่าประสบการณ์ผ่านมา 20 กว่าปี มันทุกข์ทรมานจริงๆ   ไม่ต่างอะไรจากเปาโลเลย เพราะแต่ละคนก็มีภาชนะในตัวเองที่เรารับไว้ไม่เหมือนกัน แต่ละคนจะไปวัดไม่ได้ คนนี้แค่นี้ทำไมทุกข์แล้ว ก็ได้แค่นั้น พระเจ้าให้เขาแค่นั้น  คนนี้ได้เยอะ คนนี้ได้น้อย ไม่เหมือนกัน แต่ความรู้สึกมันทุกข์เท่ากันหมดทุกคนแหละครับ

เพราะฉะนั้น จงจำไว้ว่าไม่ว่าสถานการณ์ต่อหน้าท่าน ต่อหน้าเรา  จะเป็นเช่นไรก็ตาม ต่อหน้าเราจะเป็นวิกฤตโควิด-19 รอบข้างมีแต่คนเจ็บป่วย ล้มตาย ทรมาน อดอยาก มืดมน ไม่มีที่จะไป จงจำไว้ว่าพระเยซูคริสต์ตรัสไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เมื่อเราเชื่อในพระองค์ เมื่อเราวางใจในพระองค์ต้อนรับพระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระเยซูคริสต์และพระเจ้าเจ้า 3 พระภาคจะทรงนำหน้าเราอยู่เสมอ จูงมือเราเดินอยู่เสมอ ตลอดเวลา ผ่านสถานการณ์เหล่านั้นได้ อย่างแน่นอน และทำทุกอย่างที่เกิดขึ้น  ท่ามกลางการเดินไปกับพระองค์นั้น ให้เกิดเป็นผลดีแก่เราทั้งหลายผู้ที่เป็นลูกพระองค์ และเกิดเป็นผลดีสำหรับผู้อื่น รอบข้างชีวิตของเราด้วย ซึ่งเราก็อยากให้เขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แม้ว่าเขาจะรู้จักเราหรือไม่รู้จักเราก็ตาม เขาเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราอยากให้สิ่งที่ดีที่สุด เกิดขึ้นกับเขา

นี่แหละ เขาถึงเรียกว่าชีวิตแห่งการรับใช้ ชีวิตที่มอบให้พระองค์ทำ เพราะฉะนั้น บางครั้งมันเจ็บปวดบ้าง  แต่มันไม่เกินไป เพราะพระเจ้าประทานกำลังให้กับเรา  ประทานพระคุณให้กับเราเพียงพอเสมอ สำหรับทุกอย่างที่พระองค์ทรงใช้เรา เพราะฉะนั้น ให้พระเจ้าจูงมือเราเดิน ย่อมดีกว่าที่จะเดินโดยลำพังโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่มีพระเจ้า กับพระเจ้าสถิตอยู่กับเราถึง 3 พระภาค พระเจ้า พระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทั้งสากลโลกเรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด บัดนี้ พระองค์สถิตอยู่ด้วยกันในร่างกายของเรา พระเจ้ากับวิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน และพระองค์จะทรงนำเราไปตลอด ชั่วชีวิต ไปจนกระทั่งถึงชีวิตนิรันดร์ ไม่ว่าจะมืดมนขนาดไหน?  ไม่ว่าจะดีหรือเลวขนาดไหน ตามสายตามนุษย์ พระเจ้าอยู่กับฉันเสมอ และจูงมือฉันเดินอยู่ตลอดเวลา  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2020 เรื่อง “อย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  มีนาคม  2020

 เรื่อง “อย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ครั้งที่แล้ว ผมได้ยกข้อพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ว่ามันเป็นแผนการของพระเจ้าที่พระองค์ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ที่จะมาสถิตอยู่ในมนุษย์ พระเจ้าได้พูดล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ในพระคัมภีร์เดิมเยอะแยะมากมาย ซึ่งเราเรียกกันว่าการเผยพระวจนะ การบอกล่วงหน้า หนึ่งในจำนวนนั้น อยู่ในอิสยาห์ 41:10 ที่เราอ่านกันไปครั้งที่แล้ว

อิสยาห์ 41:10 “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นและจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

 

ตอนนี้ สำหรับผม ผมอยากจะอ่านอย่างนี้ว่า … “พาสเตอร์อย่ากลัวเลย เพราะพวกเราฟังอยู่ อย่าท้อแท้พูดต่อไป เพราะพวกเราเป็นสมาชิก จงเข้มแข็งเถิด มีคนฟังอยู่จริงๆ” อะไรอย่างนี้

เมื่อตะกี้ที่เราอ่านอิสยาห์ 41:10 นี่แผนการของพระเจ้าบอกล่วงหน้าว่าจะมาอยู่กับมนุษย์ ก็คือพระองค์จะประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายบนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติทั้งปวง และพระองค์เอง และพระเยซูคริสต์ก็จะเข้ามาสถิตอยู่ในมนุษย์ทั้งหลาย เป็นหนึ่งเดียวกัน ครั้งที่แล้วเรียนรู้ไปตอนต้น และแผนการของพระเจ้าก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว หลังจากที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน ที่ได้เตรียมไว้เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ในฮีบรู 13:5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

ฮีบรู 13:5 “อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้าแล้ว เราจะไม่ทอดทิ้ง เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า”

 

หมายถึงพระเยซูบังเกิดแล้ว ตายที่ไม้กางเขนแล้ว หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับมวลมนุษยชาติแล้ว เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามแล้ว  และใครก็ตามที่เชื่อตรงนี้  เปิดใจต้อนรับพระเยซู เขาก็จะได้รับการผ่าตัดวิญญาณ  ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาเป็นบุตรของพระเจ้า  ได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าในวิญญาณ สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปสถิตอยู่กับเขา ร่วมกับวิญญาณเขา อยู่ในร่างกายของเขาทันที ฮีบรู 13:5 ที่เมื่อกี้ได้อ่าน … “อย่ากลัวเลย เราคือพระเจ้า 3 พระภาคอยู่กับเจ้าแล้ว และจะไม่ทอดทิ้งเจ้าไปไหนอีกแล้ว  แล้วจะไม่ละเจ้าไปไหนอีกเลย เพราะอยู่กับเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน

เพราะฉะนั้น เราจะมาดูว่าที่บอกว่า … “อย่ากลัวเลย เราสถิตอยู่กับเจ้าแล้ว” ตอนนี้ ตอนที่ 2 จะเน้นเรื่องอะไร? เราจะเน้นเพราะว่าตอนนี้ทุกคนกลัว พระเจ้าจึงบอกว่าอย่ากลัวเลย  เพราะเรากลัว ติดเชื้อไวรัส กลัวมาตรการที่ต้องกักตัวอยู่ในบ้าน เห็นแห่ตุนของหมดชั้น หมดตู้ อันนั้นแพงขึ้น จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เริ่มต้นกลัว จะไม่มีอะไรกิน จะไม่มีเสบียง ต้องแย่งกันซื้อ ต้องกักตุนหรือเปล่า ตามเขาหรือเปล่า? หรือธุรกิจที่เราเกี่ยวข้องอยู่ เขาต้องปิดตัวชั่วคราว กลัวว่าจะขาดรายได้ไป  ไม่มีเงินจะทำอย่างไร? เพียงพอค่าใช้จ่ายหรือไม่?  คนที่มีครอบครัว มีลูกก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น จะมีเงินมาเลี้ยงครอบครัวไหม?  ลูกจะไปเรียนหนังสืออย่างไร? จะติดเชื้อโรคตัวนี้ไหม? ยังเด็กอยู่ กลัวเยอะแยะไปหมดตอนนี้  มันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องตกใจ  ไม่มีใครไม่กลัว  เพราะฉะนั้น พี่น้องเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะบรรยายในวันนี้ว่าอย่ากลัวเลย เราอยู่ในเจ้า ตอน 2 ย้ำอีกที เพราะจริงๆ แล้วความกลัวเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษยชาติ ฟังให้ดีๆ ปฏิกิริยาของความกลัว มันอยู่ในมนุษยชาติทุกคนอยู่แล้ว ตราบใดที่โลกใบนี้ยังถูกควบคุม และดำเนินการโดยมาร ผ่านทางความกลัว การบีบบังคับ ผ่านทางการข่มเหง จากนั้น มนุษย์ทุกคนอยู่ท่ามกลางโลกใบนี้  ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ เราอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราอยู่ในระบบโลกนี้  แม้ว่าเราจะเป็นลูกพระเจ้าแล้วในวิญญาณ แต่อย่างที่บอก พระเยซูบอกว่าท่ามกลางบนโลกนี้  เราจะทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราชนะโลกแล้ว  ก็คือพระเยซูชนะโลกแล้ว ได้รับชัยชนะแล้ว แต่เรายังอยู่ในโลก กระแสของโลก ทำให้เราเกิดความกลัวได้ เป็นเรื่องธรรมดา

เบอร์หนึ่งเราต้องยอมรับก่อนว่าความกลัวเป็นเรื่องธรรมดา จะได้ไม่ตกใจ พอเรากลัวปุ๊บ เราก็เริ่ม …

“เพราะฉันไม่มีความเชื่อ ฉันถึงกลัว เพราะฉันไม่ได้ ประกาศข่าวประเสริฐเลย ฉันจึงกลัว”

ไม่จริง กลัวทุกคนแหละครับ ถ้าไม่กลัว พระเจ้าคงไม่บอกว่าอย่ากลัวเลยๆ  เพราะพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ทั้งใหม่และเก่าก็บอกอย่ากลัวเลย  พระคัมภีร์ก็บอกแล้วว่ามารซาตาน มาเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย ยอห์น 10:10 บอกไว้

ยอห์น 10:10 “ขโมยนั้นมาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิตและมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์”

 

ที่พระเยซูบอกว่าขโมยมา เพื่อลัก ฆ่าและทำลาย  มารมา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย ด้วยวิธีทำให้มนุษย์เกิดความกลัว แต่เมื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดได้เข้ามาสถิตอยู่ในเราถึง 3 พระภาคแล้ว เมื่อเราเชื่อแล้ว  เราก็จะมีฤทธิ์เดชอำนาจ จากพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในร่างกายของเรา เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา ให้เรามีพลังฤทธิ์อำนาจนี้ สามารถอยู่เหนือความกลัวได้ ไม่ได้ขจัดความกลัวออกไป แต่เอาฤทธิ์อำนาจนี้ทับความกลัวไว้อีกที ให้มันสยบลง มันจะอยู่ ก็อยู่ไป พระองค์บอกว่าเหมือนสุนัขที่ดุมากๆ ซึ่งไม่มีกรง มันกัดเราเมื่อไรก็ได้  แต่ตอนนี้สุนัขดุๆ นั้น พระเจ้าเอากรงใส่ สุนัขยังอยู่ไหม? อยู่  แต่มันกัดเราไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะมีกรงกั้นไว้แล้ว แค่มากก็ข่มขู่  เราก็หัวเราะไป กัดเราไม่ได้แล้ว แกกัดฉันไม่ได้แล้ว จบ มันเป็นอย่างนั้น ยอห์น 14:26-27 ได้บอกเลยว่าทำไมเราไม่ต้องกลัวมัน เพราะพระเจ้าอยู่กับเราแล้ว กลัวอะไรล่ะ

ยอห์น 14:26-27 “26 แต่องค์ที่ปรึกษาคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเราจะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน 27 เรามอบสันติสุขแก่พวกท่าน สันติสุขที่เราให้ไม่เหมือนที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านทุกข์ร้อนและอย่ากลัวเลย”

 

อย่ากลัวเลย  เรามีองค์แล้ว  3 พระภาคอยู่กับเราแล้ว พระเจ้าอยู่กับเราแล้ว ตอนนี้ เราเลือกได้แล้ว เลือกที่จะกลัวก็ได้ เลือกที่จะไม่กลัวก็ได้ สมัยก่อนเราเลือกไม่ได้ เรามีแต่กลัวลูกเดียว เพราะว่าวิญญาณเราเป็นทาสมาร วิญญาณเราเป็นทาสระบบของมาร เมื่อมันข่มขู่เรา ข้างในเราก็จะตายอยู่แล้ว  ก็เลยกลัวเข้าไปใหญ่ พอกลัวก็เกิดความโลภ นี่คือการงานของมารเท่านั้น พอกลัวปุ๊บ เกิดความโลภ … โลภ เพราะเกิดความเห็นแก่ตัว อันนี้เป็นหลักใหญ่เลย สำคัญ จำไว้เลยว่าถ้าท่านต้องการลดความเห็นแก่ตัวลง ดำเนินด้วยความรัก เพราะความกลัว พยายามไปปั้นความรักขึ้นมา มันไม่ได้ ตราบใดที่มีความกลัวอยู่ ความรักจะไม่เกิด ถ้าความกลัวมันเยอะ ความรักมีน้อย ถ้าความกลัวมีเยอะ ความเห็นแก่ตัวมีมาก พยายามลดความเห็นแก่ตัว ต้องกลัวน้อยลง นี่เป็นหลักการ เพราะฉะนั้น ความกลัวจึงทำให้เกิดความชั่วร้ายต่างๆ บนโลกใบนี้ทั้งหมด ทั้งความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความหยิ่งผยอง ความทะเยอทะยาน การลัก ฆ่า ขโมยและทำลาย  ก็คือมารซาตานนั่นเอง ความชั่วร้ายทุกประการ มาจากความกลัวที่มันส่งเข้ามาก่อน กลัวว่าเขาจะมาแย่งตำแหน่งเรา เพราะฉะนั้น เลื่อยขาซะเลย วางแผนใส่ร้ายเขา อะไรอย่างนี้ นี่คือความกลัวทั้งนั้น กลัวว่าจะไม่มีกิน กลัวว่าจะเจ๊ง เพราะฉะนั้น โลภไว้ก่อน เอาเท่าไร ก็หยิบมาเอาไว้ก่อน โลกนี้มันพินาศก็อย่างนี้ จะเห็นภาพเลยว่าระบบของโลกใบนี้ อย่างเช่นเอาง่ายๆ โพลูชั่น มลภาวะเกิดจากโลกร้อน  มันก็เกิดจากความเห็นแก่ตัว ถามว่าเห็นแก่ตัวเพราะอะไร?  เพราะว่ากลัวไง เริ่มจากจุดเล็กๆ กลัวจะไม่มี กลัวจะไม่พอ  ก็เลยกอบโกย เป็นความโลภ การเกินพอดี เขาเรียกว่าโลภ คือการหามาใส่ตัวเอง พอดีๆ ก็ไม่ได้โลภ โลภ มันคือเกินพอ โลภ คือการเห็นแก่ตัว พอโลภมากๆ มันก็เกิดการเห็นแก่ตัว ทำลาย ทำร้ายโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นทำโรงงาน แล้วปล่อยน้ำเสียออกมา ปล่อยสารพิษออกมา เพื่อจะขายอะไรต่างๆ ที่ตัวเองทำมา เพื่อจะได้ความร่ำรวย อะไรอย่างนี้ แล้วมันก็จะเป็นระบบซับซ้อนไปเรื่อยๆ ว่าทุกคนก็มีความกลัว ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว แล้วก็ทำเพื่อตัวเอง และทำร้ายคนอื่น ทำลายโลกใบนี้  โดยไม่รู้ตัว เยอะแยะไปหมด ท่านก็สามารถเอาตรงนี้ไปวิเคราะห์ ทุกเรื่อง ทุกเหตุการณ์บนโลกใบนี้ได้ มันเกิดจากความกลัวทั้งสิ้น เมื่อขจัดความกลัวได้ สิ่งเหล่านี้ ก็จะลดน้อยลง

เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าบอกเราว่าอย่ากลัว ก็แสดงว่าพระองค์สามารถทำให้เราไม่กลัวได้  แล้วเมื่อพระองค์บอกว่าอย่ากลัวเลย บางคนไม่เข้าใจ พอพระเจ้าบอกว่าอย่ากลัว บางคนก็บอกว่าพระเจ้ากำลังตำหนิเราว่า …

“เจ้ากลัว ทำไมไม่เชื่อ นี่พ่อนะ ทำไมไม่เชื่อพ่อ  เจ้าทำบาปนะ เจ้ากลัว แทนที่จะเชื่อ เจ้ามีความเชื่อน้อยจริงๆ เลย ทำไมกลัวล่ะ”

ไม่ใช่ท่าทีของพระเจ้า  อย่าลืมว่าพระคัมภีร์บอกพระเจ้าเป็นความรัก เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความดีงาม ในพระองค์ไม่มีความมืดเลยแม้แต่นิดหนึ่ง  ไม่มีความชั่วร้ายเลย  ตรงกันข้ามกับมาร ในมารมีแต่ความชั่วร้ายอย่างเดียวโดดๆ 100% คือชั่ว ดำมืด ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีขาวเลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะฉะนั้น พระเจ้าเป็นความดีงาม

ดังนั้น เวลาพระเจ้าบอกเราว่าอย่ากลัวเลย พระเจ้าพูดในท่าทีที่ไม่ใช่ตำหนิเรา ไม่ใช่ท่าทีที่ว่าจะกล่าวตักเตือนเรา  ไม่ได้ตั้งใจจะตักเตือนเรา  หรือกำลังบอกเราว่าเจ้าไม่ดี  ไม่เชื่อพ่อ พ่อบอกอย่ากลัวเลย  ไม่ใช่ ไม่ใช่ท่าทีนั้น ฟังให้ดีๆ นะ ถ้าท่าทีอะไรล่ะ ตรงกันข้ามกับที่เราคิด หรือมารพยายามใส่ภาพพระเจ้าให้เราเห็นว่าพระเจ้าโกรธมาก เราไม่เชื่อ ไม่ใช่เลย  แต่พระเจ้าเวลาพูดกับเราว่าอย่ากลัวเลย  เป็นท่าทีของความรัก ความห่วงใย เป็นการแสดงการปกป้องคุ้มครอง ดูแล เป็นการแสดงถึงความรัก ความหวงแหน ความห่วงใย การป้องกันภัยให้กับลูกเล็กๆ  ที่กำลังกลัว ตกใจ

ถ้ายังไม่เห็นชัด ผมจะยกตัวอย่างให้เหมือนเรามีลูกเล็กๆ เวลาเขาหกล้ม ถูกแมลงกัด ถูกน้ำร้อนลวก หรือถูกรังแก ตกใจกลัว วิ่งมาหาพ่อแม่ เราคิดดู แล้วเราบอกว่า …

“ทำไมไม่เชื่อฉัน”

ไม่ใช่เลย เราทั้งหลายก็เป็นลูกเล็กๆ ของพระเจ้า แล้วพระเจ้าทำอะไรกับเรา แล้วเราทำอะไรกับลูกของเรา เหมือนกัน ลูกวิ่งเข้ามาหาเรา ถูกรังแก หรือถูกแมลงกัดต่อย ถูกไฟช๊อต ถูกน้ำร้อนลวก อะไรต่างๆ วิ่งมา ตกใจกลัว พอเจ็บปุ๊บ ลูกจะร้องหาพ่อแม่ก่อนเลย ร้องว่าอย่างไร?

“พ่ออยู่ไหน? แม่อยู่ไหน?”

แล้วเราก็จะตอบว่า “แม่อยู่นี่ … พ่ออยู่นี่แล้ว อย่ากลัวเลย ไม่เป็นไรหรอกนะ แม่จะทายาให้ ไม่ต้องกลัวๆ” แล้วคนไทยเราชอบทำอะไร? “โอมเพี้ยง หายแล้วๆ”

นี่คือท่าทีที่พระเจ้าบอกเราว่าอย่ากลัวเลย  พระเจ้าทำกับเราอย่างนี้เหมือนกัน หลังจากที่บอกเราว่าอย่ากลัวๆ เลย เพราะเราอยู่กับเจ้า ไม่เป็นไร เราอยู่ที่นี่แล้ว พ่อแม่อยู่ที่นั่นแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้ว อย่างนี้ เหมือนกัน ตอนนี้ เรากลัวหมด รายได้ไม่มี รายได้ขาด มองไปมืดไปหมดเลย โรคภัยไข้เจ็บก็เยอะ ออกจากบ้านก็ไม่ได้ แล้วมันจะถึงเมื่อไร? อีกกี่ปี? กี่เดือน?  ถึงจะกลับมาคืนปกติได้  เรากลัว เป็นเรื่องธรรมดา ถูกน้ำร้อนลวก เซ้นต์มันก็บอกกลัว  ถูกยุงกัด ถูกแมลงกัดต่อย ตกใจ ถูกคนเขาข่มเหงรังแก ถูกคนเขาขู่ ตกใจ วิ่งไปหาพ่อแม่ เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ตอนนี้ท่านถูกขู่ จากระบบของโลกใบนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดา ติดเชื้อไวรัส ไวรัสมีตัวใหม่มาอีก 30 ตัว 50 ตัว ทำมาหากินไม่ได้แล้ว จะอยู่อย่างไร? เกิดความกลัวทั้งนั้น เป็นเรื่องธรรมดา วิ่งไปหาพ่อเราเลย ไปหาพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็จะกอดเรา แล้วบอกเราว่าเราอยู่กับเจ้าแล้ว เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าไปไหนเลย  เราจะไม่ละเจ้าเลย เราอยู่กับเจ้าตลอดเวลา แม้ขณะที่เจ้านอน เราก็อยู่ด้วย เรามองอยู่ตลอด ไม่ต้องกลัว เรารักเจ้า ไม่มีอะไรจะทำร้ายเจ้าได้เลย โอ๋ๆๆๆ เพี้ยงๆ ไม่ต้องกลัวนะ

เพราะฉะนั้น พระเจ้าบอกว่าอย่ากลัว เราคือพ่อของเจ้า เราจะชูเจ้าขึ้น ด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา แล้วบอกว่าจงนิ่งเสีย และรับรู้ว่าพ่อที่สถิตอยู่ในเจ้า เป็นพระเจ้านะ พ่อที่อยู่ในเจ้า เป็นพระเจ้า เอาอีกครั้งหนึ่ง พ่อเป็นพระเจ้านะ จงนิ่งเสีย และรับรู้เถิดลูกเอ่ย พ่อมีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้  ไม่มีใครมาทำอะไรเจ้าได้เลย แม้แต่นิดเดียว พระเจ้าผู้นี้แหละ ที่เป็นพ่อของเจ้า  และเจ้าเป็นลูกของเรา  ซึ่งเรารักอย่างมากมาย  เพราะฉะนั้น โอ๋ ไม่ต้องกลัวนะ พ่ออยู่กับเจ้าแล้ว นี่คือท่าทีของพ่อเรา คือพระเจ้า ที่สถิตอยู่กับเราแล้ว ตอนนี้  ใน 1 เปโตร 5:7 บอกไว้อย่างนี้ ความรู้สึกของพ่อกระวนกระวายใจมากเลย เมื่อเห็นลูกวิตกกังวล อย่ากลัว

1 เปโตร 5:7 “จงละความกังวลทั้งสิ้นของท่านไว้กับพระองค์  เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน”

 

“จงโยนเอาความวิตกกังวล ความกลัวต่างๆ มาให้เราเลย มาให้พ่อ พ่อดูแลเองได้ เพราะว่าพ่อห่วงใย พ่อรักและดูแลเจ้าได้ ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัว” นี่คือท่าทีของพ่อ

เรามาสรุปง่ายๆ เป็นหัวข้อชัดๆ ว่าเพราะอะไรเราจึงไม่ต้องกลัวเกินกว่าเหตุ เราจึงสามารถชนะความกลัว และอยู่ตรงนั้นได้ความกลัว ไม่สามารถทำร้ายเราได้อีกต่อไปแล้ว ก็เพราะว่า …

(1) พระจ้าสถิตอยู่ในเรา 3 พระภาคเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา

(2) พระเจ้าทรงรักเรา และอยู่เคียงข้างเราเสมอ ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย แม้แต่นิดหนึ่ง  ไม่เคยห่างแม้แต่นิดหนึ่ง อยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ ไม่มีใครมาทำร้ายเรา ทำอันตรายเราได้เลย แม้แต่นิดเดียว  มั่นใจตรงนี้ไว้ บอกกับตัวเองไว้

(3) พระเจ้าทรงหวงแหนเรา ยิ่งกว่าแม่ไก่ดูแลลูกไก่ ปกป้องคุ้มครองเรา จากสิ่งชั่วร้าย สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายได้

(4) พระเจ้าผู้นี้ที่สถิตอยู่ในเรา สามารถกระทำทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ให้มันเป็นผลดี เอื้ออำนวยให้เป็นผลดี สำหรับเรา ลูกของพระองค์ได้อย่างแน่นอน เพราะว่าพระองค์ทรงรักเรามาก พระองค์มีกำลังที่จะทำได้  ไม่ว่าสถานการณ์เกิดขึ้นกับเราจะเป็นเช่นไรในความคิดของเรา  มันอาจจะไม่ดี  มันอาจจะรู้สึกไม่ชอบใจ มันอาจจะทุกข์ อาจจะอะไรต่างๆ  แต่พระเจ้าสามารถทำให้สิ่งเหล่านั้น มันกลายมาเป็นผลดีสำหรับเราได้ พระคุณของพระองค์เพียงพอเสมอ สำหรับเราที่เป็นลูกของพระองค์ และฤทธิ์อำนาจของพระองค์จะทวีคูณขึ้นเต็มขนาดในความอ่อนแอของเรา  ที่เป็นลูกของพระองค์

ฉะนั้น สรุปสุดท้าย ก็คือวิธีที่จะเอาชนะความกลัวนั้น กดความกลัวลง ไม่ให้มันมีอิทธิพลในชีวิตของเราได้  ให้มันเป็นแค่ความรู้สึกเป็นแค่ระบบของโลกใบนี้ ที่เป็นร่างกายของเรา  ที่สัมผัสได้ วิธีที่จะเอาชนะความกลัวเหล่านี้  สรุปแล้ว วิธีแก้ไข ก็มี 2 ทาง ในทางวิญญาณกับทางร่างกาย  สรุปง่ายๆ สั้นๆ นะ

วิธีชนะความกลัวในทางวิญญาณ ก็คือ …

(1) ให้ใส่ข้อมูลของพระเจ้า ก็คือถ้อยคำของพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริงว่าเราเป็นใคร? ที่เราเชื่อแล้วว่าเป็นใคร? ใส่ข้อมูลของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเจ้าเข้าไปในสมอง ความคิดของเราเยอะๆ  นี่ในทางวิญญาณ

(2) อธิษฐานวิงวอนขอบพระคุณ

(3) จดจ่อที่เบื้องบน จดจ่อไปที่สวรรค์ ที่พระเจ้าสถิตอยู่ จดจ่อไปที่พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในร่างกายของเรา จดจ่อไปที่นั่น ให้รู้ตัวตลอดเวลา

(4) ให้ใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้า  เหมือนที่เราได้ฝึกกันมา นั่งนิ่งๆ แล้วทบทวนถ้อยคำพระเจ้า ภาวนาถ้อยคำพระเจ้า …     นี่คือทางวิญญาณ

วิธีชนะความกลัว ในทางร่างกาย เรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ร่างกายก็มีระบบของร่างกาย มีกฎเกณฑ์ของเขาอยู่ เพราะฉะนั้น เราต้องเชื่อฟัง เคารพกฎเกณฑ์นี้ด้วยเช่นเดียวกัน  ก็คือ …

(1) ทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ไม่มีเวลาจะอธิบายให้ละเอียดทั้งหมด พอจะหาข้อมูลได้  เพราะอาหารสำคัญมาก สามารถทำให้เราเกิดความกลัวได้ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะกลัว ให้เราลดความกลัวได้ ก็เพราะอาหารสำคัญด้วย

ยกตัวอย่างที่เคยคุยกันเมื่อหลายปีก่อน อย่างเช่นลดน้ำตาลลง แป้งขัดขาว น้ำมันที่ไม่ดี น้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี ก็ค่อยๆ หาเวลามาทบทวนกัน เพราะฉะนั้น ต้องดูแลสุขลักษณะของเรื่องอาหารการกิน

(2) ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ต้องบังคับตัวเอง ไม่ใช่กลางคืนเล่นเกม เล่นอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่นอนอะไรต่างๆ เขาให้กักตัวเองอยู่บ้าน มีเวลาก็พักผ่อนเยอะๆ การพักผ่อนนอนหลับ ทำให้สู้กับโควิดได้ดีด้วย และสู้กับทุกอย่างได้ รวมทั้งสู้กับความกลัวได้ด้วย  ยังไม่มีเวลาอธิบายอย่างละเอียดในเรื่องนี้

(3) ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ อันนี้ก็ใช่  เวลาเรากลัวมากๆ  พอออกกำลังกายปุ๊บ ความกลัวหายไปเลย  อันนี้เรื่องจริงนะ  ส่วนจะหายไปมากน้อยเพียงใด ค่อยมาศึกษากัน ออกกำลังกายบ้างตามสมควร

วิธีเอาชนะความกลัว … ลดความเครียดลง อันนี้ก็ใช่ เมื่อเวลาเรายิ่งเครียด ระบบในร่างกายมันลวนหมด ความกลัวก็จะเพิ่มพูนขึ้น ไม่สามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่ อย่างเช่น …

(1) ไม่เสพข่าวที่เป็นทางลบจนเกินไป  พอประมาณ พอเป็นข่าวสาร เป็นความรู้ พอจะปฏิบัติตัวอย่างไร? พอแล้ว ไม่ต้องให้มันเยอะ ให้มันสมดุล

(2) มีเวลาก็ภาวนาถ้อยคำพระเจ้าบ้าง  อ่านถ้อยคำพระเจ้า ภาวนา ท่องถ้อยคำพระเจ้า  สงบๆ  อยู่กับบ้านตอนนี้ มีเวลาเยอะหน่อย  แล้วก็พยายามที่จะทำสิ่งเหล่านี้

(3) แล้วถ้าทำไม่ได้จริงๆ ทำอย่างไร? บางครั้งก็ต้องปรึกษาแพทย์ บางครั้งไม่ได้เกี่ยวกับโลกวิญญาณแล้ว อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความเชื่อน้อย ไม่ใช่ มันเกี่ยวกับความเจ็บไข้ การป่วยทางด้านความคิด ธรรมดา ก็ปรึกษาแพทย์ได้ว่าเราควรทำอย่างไร? นอนไม่หลับ เครียดทำอย่างไร?  อย่าปล่อยให้มันสะสมมากจนกระทั่งแก้ไม่ได้ อธิษฐานกับพระเจ้า ปรึกษากับผู้รู้ที่เป็นคริสเตียน เป็นพี่น้อง คริสเตียน อธิษฐานร่วมกัน ปรึกษาหารือกัน พระเจ้าก็จะชี้ทางออกให้กับเรา

นี่คือขอบเขตคร่าวๆ ที่จะเอาชนะความกลัวในช่วงนี้  ซึ่งถ้าท่านปฏิบัติตัวตามนี้ ตามวิธีต่างๆ ที่บอกมาแล้ว ผลที่จะได้รับ คืออะไร? ฟิลิปปี 4:7 จะไปถึงท่านแล้ว

ฟิลิปปี 4:7 “แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

 

“แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจของมนุษย์ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่าน ไม่ให้มีความกลัวเกิดขึ้น จนเกินกว่าเหตุไว้ในพระเยซูคริสต์”

ในนี้ไม่ได้บอกว่าแล้วความร่ำรวยของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ ไม่ได้บอกอย่างนั้น

ในนี้ไม่ได้บอกว่าแล้วความสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ ก็ไม่ได้บอก ความสุขนะ เกี่ยวกับร่างกาย

แล้วก็ไม่ได้บอกว่าแล้วสุขภาพที่แข็งแรงอย่างมากมาย ที่พระเจ้าจะให้กับท่าน ซึ่งเกินความเข้าใจ ก็ไม่ได้บอกไว้อย่างนั้น

แล้วมีอะไรอีก แล้วท่านจะไม่มีปัญหาทั้งปวงเลย  ก็ไม่ได้บอกอย่างนั้น แต่ในนี้บอกว่า แม้อยู่ท่ามกลางปัญหา ความลำบากลำบน ความทุกข์ยากร่วมกับพี่น้องมวลมนุษยชาติบนโลก ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เขาประสบกับความทุกข์ยากลำบากอะไรต่างๆ นานาอย่างไร? เราก็ไม่ต่างอะไรกับเขา เราก็เป็นมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้  แต่ถ้าเราเชื่อในพระเจ้า และวางใจในพระองค์ กระทำตามนี้ได้ สันติสุข คือความสงบของพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ เราไม่เข้าใจ เราไม่นึกว่าเราจะทำได้ขนาดนี้  จะปกป้องความคิดจิตใจของเรา ไว้ในพระคริสต์ เราจะไม่กลัวจนเกินไป

เพราะฉะนั้น จงจำไว้ว่าไม่ว่าสถานการณ์ต่อหน้าเราจะเป็นเช่นใด  พระเยซูคริสต์จะทรงนำหน้าเราอยู่เสมอ พระองค์จะจูงมือเราผ่านสถานการณ์เหล่านั้นได้ และได้ด้วยดีทุกครั้งเสมอ เพราะฉะนั้น จงจำไว้ว่าไม่ว่าสถานการณ์ตอนนี้  ที่ท่านเห็น ที่ท่านได้ยิน ที่ท่านได้ฟัง ที่ท่านประสบอยู่เป็นส่วนตัวของท่าน เป็นส่วนตัวของกลุ่มของท่าน  ส่วนครอบครัวของท่าน  ส่วนของประเทศ ทำให้เกิดความหวาดกลัว ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร?  จะเลวร้ายอย่างไร? หรือจะดีขึ้น หรือจะเลวร้ายที่สุดอย่างไร? จงจำไว้ว่าพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในท่าน ในผู้เชื่อ และพระองค์จะจูงมือผ่านสถานการณ์เหล่านั้นได้  ไม่ว่าสถานการณ์เหล่านั้น จะเลวร้ายขนาดไหน? ตามที่เราคิดก็ตาม พระเจ้าสามารถพาเราผ่านได้ พระคริสต์จะทรงนำหน้าเราทุกฝีก้าวในชีวิต จนกระทั่งถึงนิรันดร์ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2020 เรื่อง “อย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  มีนาคม  2020

 เรื่อง “อย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ในฟีลิปปี 4:6-7  อ่านทบทวนด้วยกันอีกครั้งนะครับ

ฟิลิปปี 4:6-7 “6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

 

ข้อก่อนหน้านี้บอกว่าจงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ เพราะพระเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว และเมื่อเราชื่นชมยินดีในทุกสถานการณ์ได้ มาข้อนี้ เลยบอกว่าอย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ คืออย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ แต่จงทูลขอทุกสิ่งจากพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน และการขอบพระคุณ

เมื่อพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ หมายถึงว่าเพราะพระเจ้าอยู่ในท่านแล้ว ท่านไม่รู้เหรอว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ไม่ใช่อยู่กับท่าน

ในสมัยก่อนหน้านี้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่มีใครสามารถอยู่กับพระเจ้า ให้พระเจ้าเข้ามาสถิตในร่างกายได้เลย เพราะว่าวิญญาณบาปอยู่สกปรก ได้แค่เพียงกลุ่มเดียว ก็คืออิสราเอลที่พระเจ้าเลือกเอาไว้ แต่ไม่ใช่หมายถึงว่าพระเจ้าจะเข้าไปสถิตอยู่ในตัวเขา ถ้าเขาเชื่อฟัง วางใจตามกฎของพระเจ้า พระเจ้าแค่อวยพรเขา บางครั้งแค่เลือกบางคน หรือบางกลุ่มเท่านั้น มาสถิตด้วยกันกับเขา คือเดินข้างเขา เดินข้างๆ ก็ดีใจแล้ว แต่พอเขาทำพลาด ทำผิดจากกฎระเบียบ พระเจ้าก็จะละห่างไป เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ต้องเดินตามกฎบัญญัติ ซึ่งมนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ เนื่องจากบาป  แต่พอพระเยซูไถ่บาปให้มนุษย์แล้ว ร่างกายของมนุษย์สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ พระเจ้าสามารถเข้ามาอยู่ใน (ไม่ใช่กับนะ) อยู่ในได้แล้ว ร่างกายมนุษย์จึงกลายเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจึงเข้ามาสถิตอยู่ในตัวของเขาได้เลย ที่ต้อนรับพระเยซู ที่เชื่อพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าร่างกายนั้น เป็นวิหารของพระเจ้าทันที และพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับวิญญาณของเขา ซึ่งได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า

และคำว่า “พระเจ้าเข้ามาอาศัย เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา เข้ามาอยู่ในร่างกายของเรานี้” ไม่ใช่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเราเท่านั้น แต่พระคัมภีร์บอกแต่เรา ซึ่งหมายถึงวิญญาณนะ  แต่วิญญาณของเราก็เข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ไม่ใช่เข้าไปสถิตอยู่เฉยๆ แต่แนบสนิท เป็นเนื้อเดียวกันเลย ในพระคัมภีร์ว่าไว้อย่างนั้น  ซึ่งเป็นพระพรมหาศาล มากกว่าคนสมัยก่อนที่เป็นยิว แล้วก็ดำเนินตามบัญญัติของพระเจ้า และพระเจ้าอวยพร พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา “อยู่กับเขา” ไม่ได้อยู่ในเขา เหมือนตอนนี้ที่อาดัมและเอวา ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่ แล้วยังไม่ทันทำบาป พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเขานะ ไม่ใช่อยู่ในเขา แบบทุกวันนี้ พระเจ้าอยู่ในเรา เพราะเราเชื่อพระเยซูแล้ว พระเจ้าอยู่ในเรา ต่างกันเยอะ มากมายมหาศาล เมื่อพูดถึงพระคุณพระเจ้า ก็อดไม่ได้ที่จะพูดให้ฟังว่ามันลึกซึ้งอย่างไร? อยากให้ทุกท่านได้ศึกษาเรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับศาสนาเลย มันเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เหมือนเรื่องกำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ว่ามนุษย์มาอย่างไร? เป็นอย่างไร? มนุษย์มีส่วนประกอบอะไรบ้าง? มีวิญญาณ ความคิดจิตใจ มีร่างกาย และเป็นอย่างไรบ้าง? ในโลกวิญญาณ มนุษย์มองไม่เห็น มีอะไรอยู่บ้าง? มีโลกวิญญาณจริงๆ นะ อะไรประมาณนั้น ให้ศึกษาและยืนยันได้จากพระคัมภีร์ ยืนยันและเห็นได้จากสติปัญญาที่พระเจ้าให้ทุกวันนี้ และทุกวันมองไปยังโลกใบนี้ มันใช่จริงๆ ก็เลยอดไม่ได้ พอเฉี่ยวเรื่องนี้ ก็แถเรื่องนั้นที

โอเค กลับมาที่ข้อนี้ว่า “อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า  ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนและการขอบพระคุณ” ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้กันไปแล้วว่า “ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน” ตรงนี้ ก็หมายถึงว่าเมื่อเรามีพระเจ้าอยู่ข้างใน อยู่ในวิญญาณเราแล้ว ก็ให้เราวางใจในพระเจ้า ไม่ต้องกระวนกระวายมากนัก เพราะความคิดบางทีมันเจอระบบของโลกนี้ เจอสถานการณ์โควิดอย่างนี้ ร่างกายข้างนอก ความคิดการอยู่บนโลกนี้ มันเกิดความกลัว ความวิตกกังวล รับข้อมูลตกใจมา มันก็ตกใจเป็นธรรมดา เหมือนกับเราเอามือไปโดนไฟ มันก็ร้อนเป็นธรรมดา เหมือนกับเราเอามือไปโดนน้ำแข็ง มันก็เย็น ชา มันเป็นเซ้นต์ หรือสัมผัสปกติของร่างกายมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ มันมีความคิด พอได้ข้อมูลนี้ หูมันได้ยิน ถ้าหูไม่ได้ยิน มันก็ไม่คิดหรอก แต่หูมันได้ยิน ตาก็ยังเห็นอยู่ มือก็สัมผัสได้ แล้วจะทำอย่างไร?

ท่านลองคิดดูสิ่งเหล่านี้ มันทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่าที่เขาพูดมามันน่ากลัว มันก็รับความคิดเข้ามา ความคิดจะเป็นศูนย์ที่รับข้อมูลเหล่านี้มา พอข้อมูลร้ายๆ เข้ามา ความคิดก็เริ่มคิดไปตามข้อมูลนั้น ข้อมูลทำให้เราตกใจ เราก็ตกใจ อย่างที่ตะกี้ที่ผมบอก ถ้าเราจับของร้อน ข้อมูลก็บอกว่าร้อนมากเลย ความคิดก็ร้อนๆ เหมือนกัน ข้อมูลบอกตายแน่ๆ แล้ว ไม่มีจะกินแล้ว ลำบากแล้ว มันจะเป็นถึงเมื่อไร? อีกปีหนึ่งจะหมดไหม? สามปีจะหมดไหม? เราจะอดตายกันแล้ว มันก็เกิดความคิดเรื่องธรรมดาว่าต้องกลัว แต่ตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ของเรา ไม่ใช่ร่างกายนี้ ร่างกายนี้มันอยู่แค่ชั่วคราว ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณที่อยู่ข้างใน ซึ่งเกิดใหม่นั้น เรามีพระเจ้าอยู่ข้างใน พระเจ้าจะช่วยเรา จะนำพาเราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ด้วยดี มันก็เกิดข้อมูลใหม่เข้ามาว่าพระเจ้าอยู่ในเรา ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวพระเจ้าก็พาเราผ่านได้ เหมือนที่พาเราผ่านมาทุกๆ เรื่อง อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น การอธิษฐาน การวิงวอน ก็คือการบอก การเข้าไปคุยกับพระเจ้า คือการเบนเอาความคิดของเรา เกี่ยวกับสถานการณ์บนโลกใบนี้ ที่ทำให้เกิดความกลัว หันมาหาพระเจ้าซะ หันมาหาโลกวิญญาณซะ Set our mind คือจดจ่อ เบนความคิดของเรามาที่พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา พระองค์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระองค์ใหญ่กว่าโควิดขนาดไหน? พระองค์ใหญ่กว่าปัญหาที่เราเผชิญอยู่มากมาย พระองค์สามารถช่วยเราได้อย่างแน่นอน และพระองค์ไม่เคยละทิ้งเรา พระองค์อยู่กับเรา พระองค์สถิตอยู่กับเรา ในเรา 3 พระภาคเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณกับเราเป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์ไม่ทอดทิ้งเรา อยู่ด้วยกันกับเราเสมอ และสามารถช่วยเราได้อย่างแน่นอน 100% เลย

ข้อมูลเหล่านี้ พอเข้ามามากๆ มันก็ผลักเอาข้อมูลทางโลกออกไป ทำให้เกิดความมั่นใจว่าพระเจ้าช่วยเรา อยู่กับเรา และทรงสถิตอยู่ในเรา นี่แหละคือความจริงที่ทำให้เราเป็นไท พระเจ้าก็อยากให้เรามีชีวิตอยู่ที่เป็นสันติสุขอย่างนี้เกิดขึ้น  ก็สอนเราให้เราทำตามนี้  ก็คือเจอปัญหา เจออะไรต่างๆ ชื่นชมยินดีได้ ในการเข้าไปหาพระเจ้า ที่เราอยู่กับพระองค์ในสวรรค์นั่นแหละ แล้วอธิษฐาน วิงวอน ขอบพระคุณ ก็คือเล่าให้ฟัง …

“พระเจ้ามันเกิดปัญหาเหล่านี้  ลูกก็มีปัญหา ลูกก็ต้องตกงาน รายได้ก็ไม่มี แต่ลูกก็ยังมั่นใจในพระองค์ พระองค์สามารถพาลูกผ่านได้”

พูดไปเรื่อยๆ พูดอะไรก็พูด “ลูกจะไม่กลัว  พรุ่งนี้ลูกจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนนี้ เป็นค่าเล่าเรียนลูก เป็นค่าอาหาร เป็นค่าอะไรก็แล้วแต่ที่จำเป็นต้องใช้ ลูกจะทำอย่างไรดี ลูกกลัวเหลือเกิน นำพาลูกผ่านด้วยเถิด” อะไรอย่างนี้

การวิงวอนมันก็ควบคู่ไปกับอารมณ์ กลัวก็ร้องไห้ เสียใจ หวั่นวิตก แล้วพระเจ้าผู้เป็นพ่อจะโปรดปลอบใจเรา อย่างที่เราคิดไม่ถึงว่าเป็นอย่างไร? เราไม่เข้าใจว่ามันจะผ่านพ้นไปได้อย่างไร? เราเพียงแต่รู้อย่างเดียวว่าพระเจ้าของเราสามารถพาเราผ่านได้ ตรงนี้แหละคือเคล็ดลับ

และในข้อต่อไป ข้อสุดท้ายของฟิลิปปี 4:6-7 นี้ ข้อสุดท้ายบอกเมื่อเราทำตามที่พระเจ้าบอกแล้ว ในฟิลิปปี 4:8 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่าเมื่อท่านอธิษฐานวิงวอน ขอบพระคุณ รู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ในท่านตลอดเวลา รักท่านตลอดเวลา เมื่อทำอย่างนี้แล้ว เกิดอะไรขึ้น

ฟิลิปปี 4:8 “สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศหรือสิ่งที่ควรสรรเสริญคือ สิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง”

 

ก็คือเมื่อทำได้อย่างนั้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว พี่น้องจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง หมายถึงพี่น้องก็รู้อย่างนี้แล้ว จากนี้ต่อไป ก็เอาความคิดของเราที่จะไปเกาะข่าวโน้นเกาะข่าวนี้ นินทาชาวบ้านเขา  เกาะอะไรที่ตื่นตระหนกตกใจ แทนที่จะไปเกาะตรงนั้น  ก็เบนความคิดมาใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ ก็คือถ้อยคำที่เกี่ยวกับพระเจ้าในสวรรค์ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้ เราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ อยู่กับพระเยซูคริสต์ หลังจากที่เราเชื่อในพระเยซูว่าเป็นพระบุตรพระเจ้า  ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ มาไถ่บาป ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม  เราเชื่อแค่นี้ ตอนนี้เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ เราเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด ปราศจากบาป เป็นลูกของพระเจ้าที่มีความบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับพระเยซูเลย  พระเจ้ารักเรามากเท่าพระเยซู แล้วพระเจ้า พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาสถิตอยู่ในเราเลย ในร่างกายนี้  วิญญาณเรากับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลย พระเจ้าหวงแหนเรามาก ปกปักคุ้มครองดูแลเรา ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้เลย  พระเจ้าอยู่ข้างเราแล้ว ไม่ละเรา ไม่ทอดทิ้งเราเลย ใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้ สรรเสริญและขอบคุณพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา อยู่กับเราตลอดเวลา ใคร่ครวญอยู่ตลอดเวลา สมองมันก็สั่งการ ไปที่ความชื่นชมยินดี ก็มีสันติสุขเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เห็นไหม? เปาโลกำลังจะบอกว่าให้เอาความคิดนี้ มาคิดถึงถ้อยคำพระเจ้าว่าเมื่อท่านเชื่อในพระเยซู แล้วท่านเป็นใครในพระเยซู เพราะโลกใบนี้จะพยายามโกหกท่าน บอกว่าท่านไม่ได้เป็นตามนั้น แต่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกเอาไว้ ตั้งสองพันปีแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้น พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากคำสาปแช่งต่างๆ เหล่านี้ หลุดพ้นจากความกลัวเหล่านี้ หลุดพ้นออกจากนรก หลุดพ้นออกจากการต้องชดใช้เวรกรรม โดยพระองค์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แค่ท่านเชื่อ แค่นี้เอง ท่านก็ได้การชำระพ้นจากบาปเวรกรรมเหล่านั้น และได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทันที

ระบบของโลกนี้ มันถูกควบคุมโดยมาร เหตุเนื่องจากโลกมันล่มสลายไปตั้งแต่อาดัมและเอวาได้กบฏกับพระเจ้า ไม่เชื่อพระเจ้า  มันเข้ามาแล้ว และความเสียหายนี้ ความชั่วร้ายนี้ ที่มาจากมาร ก็ยังคงอยู่ทุกวันนี้ ทำร้าย ทำลายมวลมนุษยชาติ ทำร้ายและทำลายบ้านหลังนี้  ก็คือโลกใบนี้ ที่พระเจ้าสร้าง และพยายามที่จะยัดเยียดว่าพระเจ้าเป็นคนทำ พี่น้องมันไม่ใช่เลย พระคัมภีร์บันทึกไว้ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายว่าพระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความดีงาม ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้เลย นอกจากความดีและความรักจากพระเจ้า

เพราะฉะนั้น สิ่งไม่ดี สิ่งชั่วร้าย จะออกมาจากสิ่งที่ดีๆ ไม่ได้เลย สิ่งไม่ดี สิ่งชั่วร้ายจะออกมาจากผู้ที่เป็นความดีได้เหรอ สิ่งเลวร้าย สิ่งชั่วร้าย  สิ่งไม่ดีนั้น จะออกมาจากผู้ที่มีนามว่าพระเจ้าแห่งความดีงามได้หรือ? ไม่มี แต่มารซาตาน มีชื่อว่าเจ้าแห่งความชั่วร้าย  มาเพื่อขโมย ฆ่า และทำลายอย่างเดียว ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับขโมย ฆ่าและทำลาย ก็มาจากมารเท่านั้น  ทุกสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าความชั่ว มาจากมารเท่านั้น  คิดแค่นี้ ต้องสรุปแค่นี้ เอาในใจเรา เอาสมองเราคิด วิเคราะห์อยู่แค่นี้ เราจะเห็นภาพทันทีเลยว่าพระเจ้าต้องการดูแลพวกเราทุกคนอย่างไร? คนที่เชื่อแล้ว ก็ดูแลง่ายหน่อย  เพราะว่าพระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่ในวิญญาณของเรา เข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาแล้ว ถ้าพูดตามภาษาเล่นๆ ตามภาษาไทย ตอนเด็กๆ ผมก็ได้ยินบ่อยๆ ว่า …

“คนนี้มีองค์”

ตอนนี้ มาเชื่อพระเจ้า แค่รับด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้แก่มนุษย์ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แค่นี้นะ เป็นรหัสที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าแค่เชื่อแค่นี้ ท่านสามารถกลายเป็นลูกของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้เลยทันที เดี๋ยวนี้เลย ก็แปลว่า ณ วินาทีนั้น นี่คือพาสเวิร์คที่ทำให้ท่านกลายเป็นผู้มีองค์ในตัวเลย ไม่ใช่องค์เดียวนะ มี 3 พระภาคเลย มีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอยู่ในวิญญาณท่าน ไม่ใช่อยู่กับท่านนะ อยู่ในร่างกายของท่าน และเข้าไปเป็นหนึ่งเดียว เป็นเนื้อเดียวกันกับวิญญาณของท่านเลย แก้กันไม่ออก ถอดกันไม่ออก ไม่มีวันพรากจากกันเลยนิรันดร์กาล มีองค์อยู่ตลอดเวลา และองค์นี้ ในพระคัมภีร์บอกไว้ และใครๆ ก็รู้อยู่แล้ว องค์นี้มีนามรวมกันว่า “องค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด” ไม่ว่าใครๆ บนโลกใบนี้ก็รู้จักดี แต่อาจจะเรียกตามภาษาของแต่ละประเทศ แต่รวมกันแล้ว ก็หมายถึงผู้นี้แหละ หมายถึงผู้ที่ตาเรามองไม่เห็น หูเราไม่ได้ยิน แต่เรารู้ว่ามีชีวิตอยู่ และยิ่งใหญ่มหาศาลมากเลย  เราเรียกผู้นี้ว่า “พระเจ้า” หรือ “God” ภาษาอังกฤษ ภาษาจีนกลางพูดว่า “เสิง”

ตอนนี้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ครอบครองเหนือทุกสิ่ง ผู้ทรงเป็นเจ้าเหนือทุกอย่าง ผู้นี้สถิตอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน  เราเป็นลูกของพระองค์

คิดดูสิ สิ่งเหล่านี้ เราควรที่จะรับรู้ และเข้ามาอยู่ในความคิดที่ฟิลิปปี 4:8 ตรงนี้บอกไว้ จงใคร่ครวญสิ่งที่เลอเลิศ สิ่งที่น่าสรรเสริญ นี่แหละที่น่าสรรเสริญ น่าคิด คิดอยู่ตลอดเวลา  พูดอยู่ตลอดเวลา คุยกับลูก คุยกับสามีภรรยา คุยกับคนในครอบครัว คุยกับพี่น้อง คุยเรื่องเหล่านี้ เรื่องโควิดปัจจุบันนี้ คุยให้น้อยหน่อย เอาเฉพาะเนื้อๆ ว่าทางการเขาว่าอย่างไร? ข่าวคราวเขาว่าอย่างไร? มันจะไปถึงไหนอย่างไร? ไม่ต้องไปเจาะทะลุ ติดตามมันตลอดเวลา  กลายเป็นเครียด กลายเป็นตกใจ และทำให้เกิดความกลัว  ซึ่งวันนี้เลยตั้งใจจะมาพูดถึงมารพยายามจะยัดเยียด ใส่วิญญาณแห่งความกลัวมาให้เรา

ความกลัวตรงนี้  มันอันตรายมาก เพราะฉะนั้น หัวข้อในการบรรยายในวันนี้ จึงใช้ชื่อเรื่องว่า “อย่าไปกลัว อย่ากลัวเลย พระเจ้าบอกเราอย่ากลัวเลย” ในสถานการณ์รอบด้าน ที่ดูเหมือนน่ากลัว น่าวิตกอย่างนี้ มารมันอัดเต็มที่ส่งข้อมูลต่างๆ เข้ามา เพื่อให้เราเกิดความกลัว  อย่างเช่น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่คนทั้งโลกหวาดกลัวอยู่ขณะนี้ จะสิ้นสุดลงเมื่อไร? จะทำอย่างไร? สิ่งสำคัญที่สุด คือเราต้องยึดมั่นให้ดี ด้วยถ้อยคำและข้อมูลจากพระเจ้า ผู้สถิตอยู่ในเราว่าพระเจ้าว่าอย่างไรในเรื่องนี้ ในหนังสือฮีบรู 13:5 ได้บอกไว้ว่า … “อย่ากลัวเลย เราจะอยู่กับเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้าเลย” นี่พระเจ้าคุยกับเรา

ฮีบรู 13:5 “ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย”

 

เห็นไหม?ข้อมูลจากข้างในวิญญาณพูดอย่างนี้ เรากำลังกลัวโควิดใช่ไหม? เราได้ยินข่าวคราว เราได้ยินไม่ธรรมดาใช่ไหม? ข้างในวิญญาณเรา พระเจ้าบอกเราว่า …

“อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้าแล้ว เราจะไม่ทอดทิ้ง เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า”

และทุกๆ ครั้งที่มีเหตุการณ์เลวร้าย หรือวิกฤตร้ายแรงต่างๆ ก็มักจะมีคนเข้าใจผิดอยู่เรื่อยๆ โทษพระเจ้าว่าพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้น พระเจ้าคงเอาเชื้อโควิด ในสมัยอดีตผมจำได้ พระเจ้าเอาเชื้อไวรัสเอดส์เข้ามา เพื่อลงโทษคนที่ทำบาป รักร่วมเพศ หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้  โควิดมาก็บอกว่าพระเจ้าลงโทษมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์ห่างเหินพระเจ้า ทำบาปชั่วร้ายอะไรต่างๆ เหล่านั้น อย่างที่ตะกี้ผมบอกแล้วใช่ไหมครับว่าพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ดี พระเจ้าไม่ได้เป็นพระเจ้าร้าย จะไม่มีสิ่งร้ายมาจากพระเจ้า แล้วถามว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ก็เกิดขึ้นจากผลของความบาป ที่มารเป็นผู้ก่อกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่แรก แล้วก็ตกกระป๋องจากสวรรค์ลงมา บาปคือการต่อต้านกับพระเจ้า ชั่วร้าย แล้วก็เอาวิญญาณบาป วิญญาณแห่งความชั่วร้าย มาล่อลวงมนุษย์คู่แรก คือบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา  ล่อลวงให้มนุษย์คู่แรกทำบาป   ทำสิ่งที่ชั่วร้าย  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และกบฏกับพระเจ้า แล้วมนุษย์ก็ตกลงไปในความบาป

ใน DNA ของมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ในอาดัมและเอวา ก็ติดเชื้อบาปนี้กันไปหมดทุกคน ก็ต้องรับโทษของความบาป  ความสาปแช่ง หรือผลของความบาป ความตายและคำสาปแช่งลงมาสู่บ้านของอาดัมและเอวา คือโลกใบนี้ ความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มาจากอาดัมถูกมารหลอก มารเกิดความชั่วร้ายในตัวของมันเอง  โดยธรรมชาติของตัวมันเอง พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ให้มันเป็นโรบอท ไม่ใช่สร้างมนุษย์ให้เป็นโรบอท เขาคิดจะเชื่อฟัง ก็เชื่อฟัง แต่ถ้าเขาคิดไม่เชื่อฟัง เขาก็จะได้รับโทษของมัน ซึ่งมันเป็นกฎกติกา ไม่ใช่เป็นความชั่วร้ายของพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้มาจากพระเจ้า มาจากมาร เราต้องรู้เขารู้เรา พออาดัมและเอวาทำบาป  พระเจ้าบอก …

“ดีแล้วเพราะแกทำบาป ฉันเอาสิ่งชั่วร้ายใส่แก แต่ไม่ใช่ แกทำบาป แกก็ต้องได้รับผลของมัน ตามกฎกติกา แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะช่วยเจ้าเอง”

นี่คือท่าทีของพระเจ้า ช่วยด้วยนำพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดพ้นจากความบาป คำสาปแช่ง ในวันข้างหน้า และพระองค์ก็ทรงกระทำสำเร็จแล้ว  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วพระเยซูก็เสด็จมาจริงๆ

อย่าไปบอกว่าพระเจ้าเป็นคนทำ ไม่ใช่ พระเจ้าเป็นผู้เข้ามาเคลียร์ เพื่อจะให้มันกลับคืน  และพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์ รอวันที่พระเจ้านำโลกใหม่มาให้พวกเรา รอวันนั้นมาถึง ซึ่งพระเจ้าสัญญาไว้แล้ว เพราะฉะนั้น ก็อย่างที่บอก คิดในสมองสิ่งชั่วร้ายมาจากมาร  สิ่งดีมาจากพระเจ้า  ท่องไว้เลยตลอด ถ้ามีสิ่งชั่วร้าย ที่คิด มองแล้วชั่วร้าย มาจากมาร ถ้ามีสิ่งดีงามทั้งหมด มาจากพระเจ้า จบเลย

เมื่อมารทำร้าย ทำลายมวลมนุษยชาติ ทำให้พระเจ้าไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ได้ เพราะมนุษย์บาป พระเจ้าก็เตรียมไว้ ต้องการที่จะกลับมาช่วยมนุษย์ใหม่ให้มนุษย์สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ให้พระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ ในร่างกายได้ พระองค์ก็ทรงเตรียมไว้ อิสยาห์ 7:14 นี่คือคำเผยพระวจนะที่บันทึกไว้ล่วงหน้าเป็นพันๆ ปี ได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว  คือการที่พระเจ้าเข้ามาสถิตในร่างกายมนุษย์ได้แล้ว แต่ที่เราจะอ่าน คือการพยากรณ์ล่วงหน้า เป็นการบอกล่วงหน้าของแผนการของพระเจ้าว่าในวันหนึ่งข้างหน้า  พระเจ้าจะทำอย่างไร?  จะแก้ไขสถานการณ์ที่มนุษย์ตกลงไปเป็นทาสมารได้อย่างไร? บอกไว้ในหนังสืออิสยาห์ 7:14 ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้น  คือประมาณสัก 700 ปีได้ คือ 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด

อิสยาห์ 7:14 “ฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะประทานหมายสำคัญแก่ท่าน คือหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และจะเรียกบุตรนั้นว่าอิมมานูเอล

 

นี่เขาเรียกว่าคำเผยพระวจนะ ก็คือคำบอกล่วงหน้าถึงแผนการของพระเจ้า ที่พูดถึงการมาช่วยมนุษย์หลุดพ้นจากคำสาปแช่ง และความบาปที่ได้กระทำไป โดยการหลอกลวงของมาร ซึ่งในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด เป็นเงาของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นว่าพระเยซูจะมาทำอะไร? บอกล่วงหน้า ในนี้บอกถึงเรื่องกำเนิดของพระเยซู ที่พระเจ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ เน้นคำนี้ว่า “และจะเรียกบุตรนั้นว่าอิมมานูเอล”

“อิมมานูเอล” แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

เห็นหรือยัง พูดง่ายๆ ก็คือพระเจ้าจะเข้ามาอยู่ในมนุษย์ นี่พูดก่อนแล้ว 700 ปี ก่อนที่พระเยซูจะมาทำให้สำเร็จ ที่ไม้กางเขน พระเจ้าจะอยู่กับมนุษย์ อยู่ในมนุษย์

มัทธิว 1:23 พูดถึงเรื่องนี้  นี่ช่วงพระเยซูมาเกิดจริงๆ แหละ คือ 700 ปีผ่านมาปุ๊บ มัทธิว 1:23 บันทึกไว้ว่า …

มัทธิว 1:23 “หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และเขาจะเรียกท่านว่า อิมมานูเอล” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”

 

นี่จากมัทธิวนำข้อความนี้มาบอกว่าเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว พระเยซูคือผู้นี้แหละ ผู้ที่เรียกว่าอิมมานูเอล พระเยซูจะทำให้มนุษย์กับพระเจ้าคืนดี และพระเจ้าจะเสด็จเข้ามาอยู่ในมนุษย์ได้แล้ว พระเจ้าทรงอยู่กับเรา

ในอิสยาห์ 41:10  ได้บอกอย่างนี้ นี่ก็เป็นการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น สามารถเอามาใช้เดี๋ยวนี้ได้

อิสยาห์ 41:10 “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นและจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

 

นี่คือคำบอกล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน ก่อน 700 ปี พอพระเยซูมากระทำให้สำเร็จแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ผมจะบอกอย่างนี้นะ อิสยาห์ 41:10 ตั้งแต่วันที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว คือตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม จนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีมาแล้ว  มันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วว่าแผนการล่วงหน้านี้สำเร็จแล้ว  เพราะฉะนั้น ข้อความที่บอกล่วงหน้าตรงนี้ ก็ต้องแก้เป็นอย่างนี้ว่าอิสยาห์ 41:10 สำเร็จแล้ว

“ดังนั้น อย่ากลัวเลย ในขณะนี้ เพราะเราพระเจ้าอยู่ในเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพ่อของเจ้า ที่สถิตอยู่กับเจ้า เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเจ้า เราได้ทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น  และจะช่วยเจ้า และได้ชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา ก็คือได้ชูเจ้าไว้ด้วยพระบุตรของเรา คือพระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเจ้า  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม”

พูดง่ายๆ คือ “เราได้อยู่กับเจ้า และทำให้เจ้าได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของเรา ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระบุตรของเรา เจ้านั่งอยู่ที่เบื้องขวาของเรา ร่วมกับพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานแล้วเดี๋ยวนี้” มันต้องเป็นอย่างนี้

พระเจ้ากำลังบอกอย่างนี้กับทุกคนว่า “อย่ากลัวเลย” เพราะความกลัวมันอันตรายมาก ความกลัวทำให้เกิดสิ่งชั่วร้ายมากมายมหาศาล ความกลัวทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว ความกลัวทำให้เกิดความโลภ ความกลัวทำให้เกิดการฆ่า ทำลาย ความกลัวเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทุกชนิด เพราะฉะนั้น  พระเจ้าไม่อยากให้เรากลัว พระเจ้าจึงบอก “อย่ากลัวเลย” ถามว่าเรากลัวอะไร? พระเยซูทราบดี พระเยซูก็เตือนเรา ในมัทธิว 6:25-34 พระเยซูพูดชัดเจนเลยว่าถ้าเรากลัว วิตกกังวลในเรื่องโน้นเรื่องนี้  ทำให้ชีวิตเราเสียไปเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย พระเยซูบอกว่าพระเจ้าดูแลเราได้ทุกอย่าง ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่านะว่าพระเยซูพูดคำนี้ สามารถมาใช้ในเหตุการณ์ทุกอย่างได้ บางคนประสบวิกฤตตอนนี้ โควิดอย่างนี้ ไม่รู้จะพึ่งใคร? อย่างที่บอกไป ตกงาน ไม่มีงานทำ ก็ไม่รู้ว่าจะไม่มีงานทำไปถึงเมื่อไหร่?  คนที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องทัวร์ คนที่ทำงานเกี่ยวกับที่ต้องใช้ชุมชนเยอะๆ แม้กระทั่งศูนย์การค้าก็ตาม แล้วจะอยู่ได้อย่างไร? หรือคนที่กำลังติดเชื้อโรคนี้อยู่จะหาย แล้วจะทำอย่างไร?  หรือคนที่ยังไม่ติด กลัวว่าจะติด แล้วจะออกไปอย่างไร? อะไรอย่างนี้ หรือคนที่บอกว่าไปซื้อของคนอื่นเขาตระหนกตกใจ ไปกว้านซื้อของจะหมดชั้นแล้ว ไม่มีน้ำกิน ไม่มีข้าวจะอยู่อย่างไร? อะไรอย่างนี้ ฟังพระเยซูปลอบใจเรา แล้วจะอธิบายให้เราฟังสั้นๆ ง่ายๆ ชัดเจนดี มัทธิว 6:25-34

มัทธิว 6:25-34 “25 “เพราะฉะนั้น เราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกินหรือเอาอะไรดื่ม หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ? 26 จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่าน หรือเก็บเกี่ยว หรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูหมู่นก ท่านไม่ล้ำค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ? 27 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวล แล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งได้? 28 “แล้วทำไมท่านจึงกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม? จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย 29 กระนั้น เราบอกท่านว่าแม้แต่กษัตริย์โซโลมอน เมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการ ก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่าเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง 30 ในเมื่อพระเจ้าทรงตกแต่งต้นหญ้าในท้องทุ่งถึงเพียงนั้น ต้นหญ้าซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้และพรุ่งนี้ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ? 31 ฉะนั้นอย่ากังวลว่า ‘เราจะเอาอะไรกิน?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรดื่ม?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม?’ 32 เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้าขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงทราบว่าท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ 33 แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย 34 เพราะฉะนั้น อย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็จะมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีความเดือดร้อนของมันพออยู่แล้ว”

 

เอาข้อความเหล่านี้ไปอ่าน ไปท่อง ไปดูเยอะๆ ในช่วงนี้มากๆ แล้วเราจะเห็นพระคุณของพระเจ้า เห็นความจริงของพระเจ้าดูแลเราได้อย่างไร?  รักเรามากขนาดไหน?  ถ้าเรากังวลในความคิด ก็จะไม่มีความหวัง ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า เราต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งในความคิดของเรา  จะกลัวหรือวางใจ จะกังวลหรือไว้ใจในพระเจ้า ในหนังสือ 1 เปโตร 5:7 ได้บอกอย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 5:7 “จงละความกังวลทั้งสิ้นของท่านไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน”

 

ในวันนี้จะทิ้งท้ายไว้แค่นี้ ในเหตุการณ์ต่างๆ เช่นนี้ จงละความกังวลของท่านไว้กับพระเจ้า มันแปลได้อีกอันหนึ่งว่าจงโยนเอาความกังวลนั้นไปไว้ที่พระเจ้า เพราะพระเจ้าบอกว่าจงโยนมันมาที่เรา เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน ห่วงใยมาก มากถึงมากที่สุด เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักมาก รักมากขนาดที่ประทานพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา เพราะพระเจ้ารักเรามาก และต้องการช่วยเราทุกคน ย้ำอีกทีว่าต้องการช่วยเราทุกคน มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระเยซูมาตายบนไม้กางเขน ชำระบาป และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามให้กับมนุษย์ทุกคน พูดอีกครั้งหนึ่ง ให้กับมนุษย์ทุกๆ คน ไม่ใช่ให้กับผู้เชื่อเท่านั้น แต่ให้กับมนุษย์ทุกคน แต่ผู้เชื่อ คือผู้ไปรับสิทธิ์ของเขา ผู้ที่ไม่ไปรับสิทธิ์ของเขาก็ยังมี ถามว่าพระเยซูคริสต์ได้ตายเพื่อเขาไหม?  ชำระบาปให้กับเขาไหม? ชำระบาปให้กับเขา ถามว่าพระเจ้ารักเขาไหม? รักเขา ถามว่าพระเจ้าตามหาเขาไหม? ตามหา ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าตามหาคนที่จะใช้สิทธิ์เหล่านี้ ให้ความสนใจกับเขามากกว่าคนที่เชื่อแล้วเสียอีก ถ้าคนที่เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้ายังรักมากขนาดนี้  เป็นห่วงเป็นใยมากขนาดนี้ มากกว่านั้นสักเท่าใด? มนุษย์คนที่ยังไม่มารับเชื่อ ยังไม่ใช้สิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ พระองค์จะห่วงใยเขาคนนั้นมากสักเท่าใด พระเยซูได้ยกตัวอย่างว่าเหมือนกับคนๆ หนึ่งที่ยังไม่เชื่อ สมมติว่ามีมนุษย์ 100 คน มี 99 คนเชื่อแล้ว มีคนหนึ่งที่ยังไม่เชื่อ พระเจ้าจะละ 99 คนที่เชื่อแล้วไว้ “ละ” หมายถึงเอาไว้ก่อน แล้วใจจดใจจ่อวิ่งไป พยายามหา แล้วก็กระวนกระวายที่จะหา ช่วยเหลือคนๆ เดียวที่หลงหายไป ยังไม่ได้เชื่อ

เพราะฉะนั้น พี่น้อง มนุษย์ที่อยู่ร่วมโลกเดียวกัน ในขณะที่เหตุการณ์เป็นอย่างนี้  เราไม่รู้มันจะอีกนานเท่าไร? สำหรับบางคนเหมือนโลกแตกนะ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร? มันดูทะมึน มันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างนี้ มาเป็นเวลาหลายปี ในชีวิตผมก็ไม่เคยเห็นร้ายแรงขนาดนี้ และไม่รู้ว่ามันจะจบลงได้ด้วยวิธีใด แล้วถ้าเราไม่มีพระเจ้าอยู่ เราจะดูแลตัวเราเองไหวเหรอ ได้เหรอ แต่ถ้าเราใช้สิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ เราได้รับทันที เดี๋ยวนี้เลย  เราไม่ต้องเสียอะไรเลย  ไม่ต้องมีอะไรเลยสักอย่างหนึ่ง พระคัมภีร์บอกเป็นพระคุณ เป็นของฟรี เป็นของขวัญ ความรอดนี้ พระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว

เพียงแต่ท่านเข้ามารับไว้เท่านั้นเอง อยากจะบอกท่านว่าให้ท่านถ่อมใจลง และยอมรับความจริงเรื่องนี้ และต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้า ผู้ไถ่บาปท่าน และพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองว่าพระเจ้าทำตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ เมื่อท่านเชื่อแค่นี้ เท่าเมล็ดมัสตาร์ดแค่นี้  พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของท่าน ท่านจะรู้เองว่าท่านมีองค์แล้วตอนนี้  เป็นองค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด 3 พระภาคมาอยู่ในวิญญาณของท่าน มาอยู่กับท่าน และวิญญาณของท่านกับพระเจ้า ก็จะเป็นหนึ่งเดียวกัน  พระวิญญาณก็จะนำท่าน สอนท่านเรื่องพระเจ้าต่อไป ท่านก็จะเหมือนกับผมและคนในโลกนี้ ค่อนโลกนี้ที่รู้อยู่แล้ว เพราะเขารับสิทธิของเขาแล้ว และท่านจะไม่วิตกกังวลจนเกินกว่าเหตุอีกต่อไป ท่านจะไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป  พระเจ้าจะนำพาท่านช่วยท่าน เหมือนที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2020 เรื่อง “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ” ตอน 2 “อย่ากระวนกระวายใจ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  มีนาคม  2020

 เรื่อง “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ”

ตอน 2 “อย่ากระวนกระวายใจ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            โลกทุกวันนี้ พวกเรามนุษยชาติกำลังเผชิญกับสงครามวิกฤตต่อสู้กับไวรัส ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นเรื่องที่ง่ายมากเลยที่มนุษย์จะเอาชนะเจ้าเชื้อโรคเหล่านี้ เพราะเรามนุษยชาติได้เอาชนะเชื้อร้ายนับไม่ถ้วนเลย ที่เจอมาสาหัสกว่านี้เยอะแยะผ่านมาแล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือเรากำลังต่อสู้กับไวรัสมองไม่เห็น คือเรากำลังต่อสู้กับความกลัว ความหวาดระแวง ความสิ้นหวัง ความเห็นแก่ตัว ข่าวลือ การแตกแยก การกล่าวโทษ การแย่งชิง การฆ่าและทำลายกันเอง ในมนุษยชาตินี้ นี่คือสงครามหนักกว่าเยอะ แต่พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ทรงรักมนุษยชาติมากยิ่งนัก พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างพวกเราเสมอ และจะช่วยนำพาเราผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยดีเช่นเคย ด้วยความรักเท่านั้น หมายถึงไม่ใช่พระองค์ทรงรักอย่างเดียว แต่พระองค์จะทรงกระทำ และมันชนะโดยผ่านทางมนุษย์ทั้งหลาย มีความรักแบบพระเจ้า รักกัน ช่วยกัน เห็นอกเห็นใจกันเท่านั้น ถึงจะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ และทุกๆ ครั้งก็ผ่านไปได้ด้วยดี  ด้วยความรักเท่านั้น  เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก

สัปดาห์ที่แล้วเราได้ฟังเรื่อง “จงชื่นชมยินดีเถิด” ตามถ้อยคำในหนังสือฟีลิปปี บทที่ 4 ที่บอกว่า …

ฟีลิปปี 4:4-5 “4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด 5 ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว”

 

เราได้รับรู้แล้วว่าเราสามารถชื่นชมยินดีได้ในยามที่ต้องเผชิญทุกสถานการณ์ ย้ำอีกที สามารถชื่นชมยินดีได้ในยามเผชิญกับทุกสถานการณ์ เพราะพระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ในเราแล้ว สัปดาห์ที่แล้วเรารู้เรื่องนี้

“เรา” ในที่นี้ หมายถึงผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ทางวิญญาณเท่านั้น คือผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สั้นๆ เท่านั้น และเราในที่นี้ผู้ที่เชื่อแล้วนั้น ก็ได้รับของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือความชอบธรรม สันติสุข และความชื่นชมยินดี เป็นของขวัญ เป็นของประทาน และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมต้องชื่นชมยินดีได้ในทุกสถานการณ์ ก็เพราะความชื่นชมยินดีนั้น ได้อยู่ในตัวเราแล้ว อยู่ในวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา เรามีอยู่ เราไม่ใช่ไม่มี  มีความชื่นชมยินดีอยู่ เพียงแต่เอามันออกมาใช้เท่านั้น

ความชื่นชมยินดีที่เป็นของประทานของตัวเรานี้ มันอยู่ที่ใจของเรา เพราะฉะนั้นให้มันผ่านทางใจ ออกมาที่ความคิด แล้วก็สั่งร่างกายทั้งหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย จงชื่นชมยินดีเถิด เหมือนกับที่เราฝึก ครั้งที่แล้ว

ลองดูอีกทีหนึ่งนะ หลับตาลง สมมติ หลับตาลงปุ๊บ ไปที่สวรรค์เลย ไปที่โลกวิญญาณ set your mind คือจดจ่อความคิดของเราไปที่โลกวิญญาณ  เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน อยู่ในโลกวิญญาณ อยู่ในสวรรค์แล้ว ตรงนั้นมีความชื่นชมยินดีอยู่ เอาความชื่นชมยินดีนี้ ส่งข้อมูลไปที่ความคิดของเรา ความคิดในร่างกายนี้ โอเค ส่งไปแล้วนะ มีความชื่นชมยินดีอยู่ในพระเจ้า แล้วก็เอาความคิดนี้ สั่งสมองทั้งหมด เส้นประสาทในสมอง ที่ควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย เอาสมองสั่งการตา หู จมูก ลิ้น กายว่า …

“จงชื่นชมยินดีเถิด”

นี่คือฝึก เราสามารถชื่นชมยินดีได้ แป๊บเดียวเลย สับสวิตช์ปุ๊บ ไปสวรรค์ปั๊บ เอาความชื่นชมยินดี สั่งเลย จงชื่นชมยินดีเถิด สั่งใคร? สั่งตัวเอง อย่าไปสั่งคนอื่นเขา เดี๋ยวโดนโวย

เธอไปทำซิ ฉันไม่เป็นเธอหรอก ฉันเป็นฉัน เพราะฉะนั้น ด้วยการควบคุม ความคิดจิตใจของเรา ให้เป็นไปตามตัวตนแท้จริงในวิญญาณของเรานั่นเอง จงชื่นชมยินดีเถิด เจอคนเขาข่มเหง เจอคนเขาเอาเปรียบ จงชื่นชมยินดีเถิด เจอคนเขากำลังทุกข์ยากลำบาก เจอคนที่เขาต้องการการช่วยเหลือ

“จงให้แสงสว่างออกจากตัวท่านไป ออกจากตา หู จมูก ลิ้น กาย”

ตาก็มองเขาด้วยความเมตตา ก็เป็นแสงสว่าง พอมองออกไหม? เพราะพระเยซูบอกว่าเราเป็นแสงสว่าง เราผู้ที่เชื่อพระเจ้า เป็นแสงสว่าง เพราะฉะนั้น เราต้องทำอะไร ต้องสับสวิตช์ความคิด ไปที่เบื้องบน … เบื้องบนคืออะไร? สัปดาห์ที่แล้วได้เรียนแล้ว ทบทวนนิดหนึ่ง เบื้องบน ก็คือที่สวรรค์ หรือในโลกวิญญาณ ที่ใช้ชื่อว่าในพระคริสต์ ทุกคำในพระคัมภีร์จะบอกตลอดเวลา เราเกิดใหม่ ทั้งหมด สิ่งที่เราได้มา จะลงท้ายด้วย “ในพระคริสต์” คือในสวรรค์ ในโลกวิญญาณ ที่เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในสวรรค์สถาน ในพระคริสต์

เพราะฉะนั้น สับสวิตช์ไปที่นั่น ไม่ใช่สับสวิตช์ไปที่สถานการณ์รอบข้าง สับสวิตช์ไปที่เบื้องบนซะ  ตามที่พระคัมภีร์ได้ใช้คำว่า “ให้เราจดจ่อความคิดของเรา ไปที่เบื้องบน” ฟิลิปปี โคโลสี พระคัมภีร์หลายแห่งเลยบอกอย่างนี้ ให้เราจดจ่อความคิดของเราไปที่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์สถิตอยู่ ให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน มีอะไรเกิดขึ้น ก็มองไปที่เบื้องบน จดจ่อไปที่การได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  (แล้ว) พอสับสวิตช์ปุ๊บ เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ อยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้ว ไม่ใช่อยู่ธรรมดา อยู่แบบยอดเยี่ยม อยู่แบบเป็นลูกที่สำเร็จราชการ เพราะในนั้นเขียนไว้ว่าที่เบื้องขวาพระหัตถ์ ก็คือผู้สำเร็จราชการของพระเจ้านั่นเอง

นี่คือความหมายที่บอกว่าเราสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ ท่ามกลางทุกสถานการณ์ ซึ่งเราได้เรียนรู้ไปสัปดาห์ที่แล้ว จริงๆ การอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ หลายคนเข้าใจว่าพอมาเชื่อพระเยซูแล้ว พระเยซูสัญญาว่าเราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ ก็รอให้ตายก่อน รอหมดลมหายใจ แล้วเราก็ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ มันก็ถูก แต่จริงๆ พระคัมภีร์ถูกมากกว่านั้นก็มี ก็ตรงที่การอยู่ในสวรรค์กับพระเยซู หรือกับพระเจ้า มันอยู่เดี๋ยวนี้เลยนะ มันต่อเนื่องไปเลย เดี๋ยวนี้ และหลังความตาย  และไปถึงนิรันดร์ นั่นหมายถึงอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าพอเรารับเชื่อพระเยซู เชื่อในข่าวดีแล้ว  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว รอให้ตายก่อน ค่อยไปถึงสวรรค์ ไม่ใช่ พอเราเชื่อปุ๊บ มันสับสวิตช์ เกิดขึ้นทันที พระเจ้าได้ย้ายเราออกจากอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ เดี๋ยวนี้ทันทีเลย  แล้วก็เริ่มขบวนการย้าย เราเข้ามาอยู่ในวิญญาณ แต่ร่างกายยังไม่ย้าย รอวันหนึ่งเมื่อร่างกายหมดอายุขัยค่อยมา ย้ายถาวร เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า และรอคอยวันที่จะได้รับร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซู ที่พระเยซูเดินทะลุกำแพงอีกครั้งหนึ่งในอนาคตข้างหน้า เอเมน

คราวนี้รู้แล้วนะ เพราะฉะนั้น เราสามารถชื่นชมยินดีได้ในทุกสถานการณ์ ก็เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราอยู่ในสวรรค์แล้ว

แล้วจะไปชื่นชมยินดีได้อย่างไร? เปาโลบอกว่าท่านเชื่อแล้วนะ พอท่านเชื่อแล้ว พระเจ้าจะมาอยู่กับท่าน ท่านบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับท่านแล้ว แล้วค่อยมาข้อนี้ที่บอกว่าเพราะฉะนั้น จงชื่นชมยินดีเถิดในทุกสถานการณ์ เพราะพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว พระเจ้าอยู่ในเธอแล้ว อยู่ในตัวท่านแล้ว ฮีบรู 13:5-6 ลองอ่านดูนะ หนึ่งข้อ ในจำนวนหลายๆ ข้อที่มีบอกว่าพระเจ้าสัญญาว่าอย่างไร? เมื่อเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เมื่อเราเชื่อในพระเยซูแล้ว แม้เรากำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ก็ตาม แม้เราจะมองไม่เห็นพระเจ้าก็ตาม แต่พระเจ้าบอกเราความจริงในโลกวิญญาณว่าอะไรเกิดขึ้น …

ฮีบรู 13:5-6 “5 จงรักษาชีวิตของท่านให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง และจงพอใจในสิ่งที่ตนมี เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน เราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน” 6 ดังนั้นเราจึงกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัวมนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า”

 

พระเจ้าตรัสว่าเราจะไม่ทอดทิ้งท่าน และจะไม่ละท่านเลย ก็แสดงว่าอยู่กับเราตลอด ไม่ต้องกังวลในเรื่องใดๆ เลย เพราะการเขียนตรงนี้ ตอนนั้นผู้เชื่อ ที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเผชิญกับความทุกข์ นอกจากถูกข่มเหงแล้ว ยังเกิดการกันดารอาหาร ในนี้บอกไม่มีเงิน ไม่ต้องกลัวอะไร? เพราะว่ามีพระเจ้าสถิตอยู่กับเธอ พระเจ้าสัญญาแล้วหนีเธอไป พอเศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิดปุ๊บ พระเจ้าไปแล้ว ไม่ใช่ ถึงโควิดจะทำอะไรเธอ ก็ไม่ต้องกลัว เพราะว่าพระเจ้าอยู่กับเธอ อยู่ในตัวเธอนั่นแหละ แล้วพระเจ้าสัญญาว่าจะไม่ละทิ้งท่าน จะไม่ทอดทิ้งท่าน สองกิริยา ไม่ทอดทิ้งกับไม่ละทิ้ง คือไม่ทิ้งก็คือไม่ทิ้งเลย ไม่ละเหมือนกัน แสดงว่าพระองค์กำลังสนใจมากเลยว่าเอาล่ะสิ ถึงตอนนี้จะจัดการกับลูก ช่วยลูกฉันได้อย่างไรบ้าง? ก็ว่ากันมา อะไรอย่างนี้ แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นกับผู้ที่เชื่อในพระเยซู เชื่อในข่าวดีของพระองค์เท่านั้น มันก็ยังเป็นที่น่าเสียใจอยู่ ยังมีพี่น้องอีกหลายท่านที่ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ในร่างกายของเขา เหมือนกับเรา แต่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์คนใด ใครก็ตามที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า ไม่อยากเดินคนเดียวอีกแล้ว ไม่อยากช่วยเหลือตัวเองตามลำพังอีกแล้ว อยากมีพระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่ แบบที่ตะกี้นี้ คุณนครพูด แบบที่ตะกี้นี้  พระคัมภีร์บอก อยากจะมีพระเจ้า อยู่ด้วยตลอดเวลา ไม่ละทิ้ง อยากจะชื่นชมยินดีได้ในทุกสถานการณ์ อยากจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยนำพาชีวิตในแต่ละวัน แต่ละวินาที ตามที่พระคัมภีร์บอก ก็ทำได้ง่ายนิดเดียว ง่ายมากเลย ง่ายจนเราไม่อยากจะเชื่อกันหรอกว่ามันง่ายอย่างนี้ แต่มันง่ายจริงๆ

ซึ่งครั้งที่แล้ว ก็ได้แนะนำไปแล้วว่าแค่ตัดสินใจเชื่อในข่าวดีนี้ พอแล้ว ทุกอย่างพระเจ้าเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เตรียมรอสับสวิตช์ เคาะที่ประตูหัวใจของทุกคน  พร้อมที่จะเข้าไป  แล้วก็ทำงาน ขบวนการทุกอย่าง เตรียมพร้อม ของขวัญเตรียมพร้อม ความรักทุกอย่างเตรียมพร้อมทั้งหมดแล้ว ชัยชนะ พระพร เตรียมพร้อมหมด รออย่างเดียว รอกุญแจสำคัญ ให้คนนั้นเปิด เคาะแล้วต้องเปิด พระองค์ไม่ได้มา เพื่อจะมานั่งพิพากษา เราทำอะไรมา เราแย่อย่างนี้ เราเป็นคนไม่ดี ทำอะไรมาก่อนนั้น ไม่สนใจเลย  เพราะมนุษย์ทุกคนเลวเท่ากันหมดเลย ชั่วเท่ากันหมดเลย ในสายพระเนตรพระเจ้า ไม่มีว่าท่านคนนี้เลวกว่าคนนี้ คนนี้เลวกว่าคนนั้น ไม่มี เท่ากันหมด พระเจ้าไม่สนใจเลย พระเจ้าคอยแต่ว่าจะช่วยเขาอย่างไร? เปิดสิๆ กดเลยๆ เปิดประตู ฉันจะได้เข้าไป  แค่เปิดประตูเท่านั้น  นอกนั้นพระองค์เป็นผู้กระทำทั้งสิ้นเลย ไม่ต้องทำอะไรแล้ว และรู้ไหมว่ากุญแจที่เปิดประตูนั้น มันใช้แค่นิดเดียวเอง ง่ายเท่ากับอะไรรู้ไหม? ความเชื่อนี้ ตามพระคัมภีร์เท่ากับเมล็ดมัสตาร์ด เล็กมาก แทบมองไม่เห็นเลย เป่าทีเดียว เมล็ดเป็นหมื่นออกไปเลย

พระเยซูยกตัวอย่างเมล็ดมัสตาร์ด ขอให้ท่านมีความเชื่อแค่เมล็ดมัสตาร์ดแค่นั้นพอแล้ว ภูเขาทั้งลูก ลงไปทะเลได้เลย ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ สำหรับพระเจ้า ถ้าเผื่อท่านมีความเชื่อแค่เมล็ดมัสตาร์ด เพราะว่าพระเจ้าจะเข้าไปทำเอง ไม่ใช่ท่านทำ เอเมน เพราะฉะนั้น มันง่ายนิดเดียว ท่านอย่าปล่อยให้ความทุกข์ยากลำบาก วิกฤตปัญหาในชีวิตระลอกแล้วระลอเหล่า ท่านก็ทนเอา สู้ด้วยตัวเองๆ ถามจริงๆ ไม่เหนื่อยเหรอ เหนื่อยแน่ เพราะผมก็ผ่านมาแล้วหลายๆ คนที่นี่ก็ผ่านมา พระเยซูบอกว่า ผู้ใดที่แบกภาระหนัก และเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้น หายเหนื่อยและเป็นสุข ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอให้ตาย หายเหนื่อยและเป็นสุขเดี๋ยวนี้เลย พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับท่าน จะมาอยู่ในท่าน นำพาท่าน เดินตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เป็นต้นไป ตั้งแต่ท่านใช้เมล็ดมัสตาร์ดที่ผ่านทางปากของท่าน โรม 10:9-10 ได้บอกเคล็ดลับว่าเมล็ดมัสตาร์ด ท่านจะใช้อย่างไร? เริ่มต้นจากได้รับเมล็ดมัสตาร์ดนี้ ทำอย่างไร?

โรม 10:9-10  “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด   10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด”

 

นี่คือวิธีการใช้เมล็ดมัสตาร์ด ที่พระเยซูบอก ขอให้ท่านมีความเชื่อแค่เมล็ดมัสตาร์ด เล็กนิดเดียว ไม่ต้องเชื่ออะไรมากเลย เชื่อแค่พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูเป็นพระเจ้า  และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย  และพระองค์เป็นขึ้นจากความตาย จบ ถูกไหม? อย่างนี้ เขียนแค่นี้  ท่านก็จะได้รับความรอด … รอดจากนรก รอดจากคำสาปแช่ง รอดจากการเป็นคนบาป  ซึ่งอยู่คนละขั้วกับพระเจ้า  พระเจ้าเข้ามาสถิตไม่ได้ แต่เมื่อท่านเชื่อ ท่านก็รอดจากคนบาป กลายเป็นคนชอบธรรม ไม่บาปอีกต่อไป บริสุทธิ์สะอาด พระเจ้าก็เข้ามาสถิตได้ เพราะท่านสะอาด บริสุทธิ์แล้ว สะอาดเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย เหมือนพระเยซูเลย พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับท่านได้

เพราะฉะนั้นใช้เมล็ดมัสตาร์ด ความเชื่อแค่นิดเดียวของท่าน พูดตอนนี้เลย และที่เหลือ เป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพระเยซูคริสต์ที่บอกว่า …

“เราเคาะประตูใจของท่าน ใครที่เปิด เราจะเข้าไป”

แค่นั้นเอง ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพระองค์ ที่จะนำพาเรา เพราะเมล็ดมัสตาร์ดนี้ ทำให้ภูเขา ทำการอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างเทียบกันไม่ติดเลยระหว่างเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ กับอะไรที่จะเกิดขึ้น เพราะถ้าท่านใช้เมล็ดมัสตาร์ด ความเชื่อแค่นี้นิดเดียว แค่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาตายแทนบาปของท่านบนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ไถ่บาปๆ เคยได้ยินเขาบอกไถ่บาป เมล็ดมัสตาร์ดแค่นี้ พอท่านใส่เหมือนโค๊ด เหมือนกับคีย์รหัสคำนี้เข้าไปปุ๊บ พอใจท่านเปิดปุ๊บ พระวิญญาณเข้าไปปั๊บ อัศจรรย์เกิดขึ้น วิญญาณท่านเกิดใหม่ เรียกว่าบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ เกิดขึ้น ณ วินาทีนั้น ทันที โดยที่พระเจ้าย้ายท่านทันทีเลย ย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด อาณาจักรของมาร อาณาจักรของอาดัม เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานทันที ท่านรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทันทีเลย แล้วพระเจ้าก็จะเลี้ยงท่าน ดูแลท่าน เหมือนลูกอ่อน ให้นมท่าน ท่านรู้เรื่องทันทีไหม?

ถามท่านเดี๋ยวนี้ คนที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว หรือถามผมที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ผมเป็นลูกพระเจ้ามา 30 กว่าปีแล้ว แต่ถามจริงๆ ว่าตอนผมเกิดใหม่เป็นทารก ผมรู้ไหมว่าตอนไหน? ไม่รู้ แต่รู้ว่าแถวๆ นั้น ปี ค.ศ.1988 แต่ไม่รู้ว่าตอนไหน? เพราะเหมือนตอนผมเกิด ในทางเนื้อหนัง ผมก็ไม่รู้ ผมรู้ว่าแม่ผมเขียนไว้ในนั้นว่าผมเกิดเดือนตุลาคม 1951 แต่ผมรู้ไหม? 1951 ผมนอน อุแว๊ๆ ไม่รู้เรื่อง ถูกไหม? ในทำนองเดียวกัน เกิดในวิญญาณ ลักษณะเดียวกัน เขาเป็นเบบี้ทางวิญญาณ แต่พระเจ้าก็เลี้ยงดูไป ค่อยๆ โตขึ้น  ถามว่าเลี้ยงไปถึงไหน? นิรันดร์ การอยู่บนโลกใบนี้มันแค่ไม่กี่ปี เลี้ยงไปเท่านั้นแหละ แต่ที่เหลือจะเลี้ยงต่ออีก เพราะเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว ในบ้านของพระองค์แล้ว  จะไม่มีใครเอาเราออกจากบ้านของพระองค์ได้อีกต่อไป  เอเมน

เพราะฉะนั้น ท่านใช้ตรงนี้ได้เลย อย่างที่บอก อยากจะบอกเลยว่าอย่าทำเหมือนผมที่ยอมให้ความทุกข์ทรมาน มาเบียดบังความสุขไปตั้งนาน เดินด้วยตัวเอง พยายามด้วยตัวเอง เหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก จนในที่สุด วันหนึ่งผมไม่ไหวแล้ว บอกพระเจ้าว่า …

“เห็นข่าวประเสริฐ มีคนเขาพูดถึงเรื่องพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ ลูกก็อยู่ที่นี่แล้ว อยากรู้จักจริงๆ เลย ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยแล้ว”

ในขณะที่พูด ก็พูดท่ามกลางรูปเคารพเยอะแยะไปหมดเลยนะ ในใจก็คิดว่าถ้าเผื่อเพิ่มพระเยซูมาอีกองค์หนึ่งก็ไม่น่าเกลียด เพราะว่าพระเจ้าไม่ถือตรงนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย มันเกี่ยวกับความจริงใจ ท่านจริงใจไหม?  ทุกคนในนี้ เหมือนกัน ที่บังเกิดใหม่ ไม่มีใครมาเชื่อ และจะรู้หมด ทุกอย่าง มันต้องค่อยๆ แล้วพระเจ้าจะค่อยๆ สอนทีละนิดทีละหน่อย แต่มันเกิดแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้อันโน้นอันนี้เท่านั้นเอง อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น อย่าเดินคนเดียวอีกต่อไป ให้พระเยซูคริสต์มาเดินเคียงข้าง เคียงคู่ท่านกับเราในที่นี้ ที่มีประสบการณ์ ได้รับการจูงมือเดิน มีความสุขจริงๆ มันหายเหนื่อยและเป็นสุขจริงๆ มันสามารถหายเหนื่อย เป็นสุขได้ในทุกสถานการณ์จริงๆ นี่บอกจริงๆ เลย มันสามารถเผชิญได้ทุกอย่างจริงๆ มันรู้จริงๆ ว่าเราเผชิญอะไรอยู่ และใครอยู่กับเรา และมันสามารถเผชิญกับความตายในอนาคตได้จริงๆ และต่อให้วันนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น โควิดมันจะระบาดไปทั่วโลกอย่างไรก็ตาม ถามว่าในทางร่างกายและการมองในระบบของโลกใบนี้ มันตกใจไหม? ตกใจ แต่พอสับสวิตช์ไปในโลกวิญญาณ เป็นลูกพระเจ้าปุ๊บ มันหายเลย  อย่างนี้เรียกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้น ท่านสามารถมีประสบการณ์นี้ได้ ง่ายนิดเดียว การจะมาเป็นลูกพระเจ้าง่ายนิดเดียว การจะหายเหนื่อยเป็นสุขง่ายนิดเดียว การชนะความกลัว ความวิตกกังวล ความโกรธ เกลียด การอาฆาต ความหมองใจ เรื่องเกี่ยวกับโควิด มันง่ายนิดเดียว เปิดใจท่าน เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และทรงเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อไถ่บาปมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ เพราะไม่อย่างนั้น ชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านลำบากแน่

สิ่งที่ดีใจมาก คือประสบการณ์ของเราทั้งหลาย ที่เคยมีมาในอดีต เราได้เกิดใหม่แล้ว พี่น้องเราได้เกิดใหม่มาอีก ขอบคุณพระเจ้า จริงๆ ข่าวประเสริฐ มันง่ายนิดเดียว อย่างนี้จริงๆ แต่เราถูกหลอก ถูกปิดบังตา ถูกโกหก จนกระทั่ง มารมันทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้อยลง เรื่อยๆ กว่าใครจะเข้ามาหาพระเจ้า ทำไมมันลำบากลำบนขนาดนี้ ซึ่งพระเยซูบอกมันเท่ากับเมล็ดมัสตาร์ดเท่านั้นเอง เราทำแบบ ต้องทำโน้น ต้องทำนี้ ต้องมีข้อแม้เยอะแยะ แต่พระเยซูไม่มีข้อแม้ พระเจ้าไม่มีข้อแม้ มีแค่นั้นเอง

กลับมาที่สถานการณ์รอบข้างในขณะนี้ มันก็เหมือนกับทุกขณะ นอกจากโควิดแล้ว ต่อไปมันก็จะมีอันอื่นอีกเรื่อยๆ มันดูเหมือนน่ากลัว ทุกครั้งไม่ว่าซาร์ ไม่ว่าอะไรก็ตาม แต่จริงๆ ซาร์ไม่ยาก เพราะชื่อมันบอก มันไม่ไปไหนหรอก มันก็ซาร์ไป โควิดยังหาไม่ออกเลยนะว่ามันจะไปทางไหน?  มันก็น่าวิตกกังวล แต่อย่างที่บอกถ้าเรามัวแต่ไปเอาข้อมูลจากโลกใบนี้ จากระบบของโลกใบนี้ มีแต่น่ากลัวๆ ซึ่งเราไม่ได้ไม่ฟังนะ เราฟังแบบมีสติปัญญา มีความรู้ด้วย ไม่ใช่ไม่ฟัง ไม่ใช่ปิดหูปิดตา ฟังนะครับ แต่ฟังแบบมีสติ ไม่ใช่ไร้สติ เสียสติ หรือสติแตก เพราะฉะนั้น เราฟังข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ แต่ขณะเดียวกัน ฟังแล้วให้มันพอดี พอเหมาะ อย่าไปฟังเยอะเกินไป เอาเวลาส่วนใหญ่มาฟังข้อมูลจากพระเจ้าบ้างสิ พระเจ้าว่าอย่างไร? จากพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา อยู่ในร่างกายนี้ ผู้เป็นพ่อของเรา ที่บอกกับเราเมื่อตะกี้นี้ในฮีบรู 13:5  อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่ละทิ้งเจ้า ไม่ต้องกลัวมัน ไม่ต้องกลัวใครทั้งสิ้น ไม่มีใครทำอะไรเราได้ มนุษย์ทำอะไรเราไม่ได้ ก็หมายถึงว่ามารจะทำอะไร มันก็ผ่านมนุษย์ทั้งนั้น อยู่ดีๆ มาหักคอเรา มันหักไม่ได้หรอก มันต้องทำให้มนุษย์คนนั้น เพี้ยนไปแล้ว อาจจะติดยาบ้า  ติดยาเสพติด สติสตางค์เพี้ยนไป มันหมายถึงอย่างนั้น ใน 2 ทิโมธี 1:7 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

2 ทิโมธี 1:7 “เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงให้เรามีใจขลาดอาย แต่ประทานใจอันเปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจ ความรัก และการรู้จักบังคับตนเองแก่เรา”

 

จริงๆ ถ้อยคำตรงนี้บอกว่า … “เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานวิญญาณแห่งความขลาดกลัวกับเรา”

เพราะฉะนั้น ความกลัวไม่ได้มาจากพระเจ้า ย้ำในเรื่องของประทาน ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ประทานให้กับเราแล้ว ตรงนี้บอกว่าไม่ได้ให้วิญญาณแห่งความกลัวกับเรา แต่ทรงให้วิญญาณแห่งฤทธิ์เดช วิญญาณแห่งความรัก และความคิดจิตใจที่ดีกับเรา เราเอาข้อมูลตรงนี้ ใส่เข้าไป  เพราะฉะนั้น วิญญาณที่เกิดความกลัว แน่นอน มันไม่ได้มาจากวิญญาณพระเจ้า ก็แสดงว่ามันไม่ได้มาจากวิญญาณ ที่อยู่ข้างในตัวเรา  แต่มันมาจากข้อมูลที่อยู่ข้างนอก ก็คือวิญญาณที่อยู่ข้างนอก ก็คือวิญญาณชั่ว  ก็คือมาร ผ่านทางระบบของโลกใบนี้ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่าเนื้อหนัง ก็ส่งผ่านเข้ามาอย่างที่ครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้กัน ผ่านทางระบบของโลกใบนี้ ผ่านทางกิเลสตัณหาของเนื้อหนังนี้ ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เข้าไปสู่ความคิด แล้วพอคิดๆ แล้วมันก็สั่งการให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย กลัว พอความกลัวมา ความชั่วร้ายทุกอย่าง ก็มาเต็มไปหมด เพราะฉะนั้น ตรงนี้ จึงสำคัญมาก

และเมื่อเรามีความชื่นชมยินดีแล้ว เราสามารถชื่นชมยินดีได้ทุกสถานการณ์ เพราะไม่มีความกลัว ไม่มีอยู่ในตัวเรา แต่เมื่อเราไม่ฟังมัน เราก็จะไม่มีความกลัวเลย มีแต่ความชื่นชมยินดี เพราะว่าวิญญาณของเรา มีแต่สิ่งที่พระเจ้าให้มาผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือความชอบธรรม ความรัก ความชื่นชมยินดี และสันติสุข นี่ชัดเจน อีกข้อหนึ่งแล้วเราจะสรุปวันนี้ ฟิลิปปี 4:6-7 ครั้งที่แล้วเราเรียนฟิลิปปี 4:4-5

ฟิลิปปี 4:6-7 “6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน และการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ ในพระเยซูคริสต์”

 

ตรงนี้ ถ้าให้ละเอียดกว่านี้นิดหนึ่ง แปลอย่างนี้ว่า … “อย่ากังวล อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย ในทุกเรื่อง แต่จงให้ความต้องการของท่าน ให้พระเจ้ารับรู้” … ตรงนี้มันหายไป มันไม่ชัด

“แต่ให้ความต้องการของท่าน ทูลต่อพระเจ้า ให้พระเจ้ารับรู้” ละเอียดขึ้นกว่าที่แปล “แต่จงทูลขอทุกสิ่ง”

“ทูลขอทุกสิ่ง” ก็คือบอกพระเจ้าเลยว่าท่านต้องการอะไร? ท่านอยากได้อะไร? เห็นไหม? ฟังให้ดีๆ นี่ยอดเยี่ยม “แต่ให้พระเจ้ารับรู้ในสิ่งที่ท่านอยากได้ ด้วยการอธิษฐาน วิงวอน หรืออ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ” ให้พระองค์รับรู้ นี่แหละคือขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าเข้าใจเราดีว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ เจอปัญหาต่างๆ รอบข้าง

ในข้อที่ 5 บอกว่า “จงให้ความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพประจักษ์ต่อมนุษย์ทั้งปวง” ต่อมนุษย์ทั้งปวง ยิ้มแย้มแจ่มใส

“ไม่เป็นไรครับ อภัยให้ได้ครับ โอเคครับ”

แต่ไปหาพระเจ้า “พระเจ้า ดูมันทำกับลูกสิ ทำไมมันแย่อย่างนี้ มันเอาเปรียบมากเลย ช่วยอย่าให้เขาเอาเปรียบลูกอย่างนี้”

เข้าใจใช่ไหมครับว่าพระเจ้าเข้าใจดี ไม่ใช่เราพูดไม่ได้ ไม่ใช่เป็นคริสเตียนบ่นอะไรไม่ได้เลย บ่นได้ แต่ไปบ่นกับพระเจ้า เข้าไปหาพระเจ้า นี่คือเคล็ดลับ พูดหมดเลย จะว่าเขา มันแย่ มันอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ดี ว่าไปเลย แต่จบด้วยขอบพระคุณ ขอบคุณ ออกมา เจอหน้าเขา ก็สวัสดีครับ นี่คริสเตียนเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่หน้าไหว้ หลังหลอกนะ แต่หน้ามันรับไม่ได้ ต้องยอมรับความจริง มันทนไม่ไหว แต่ลับหลัง ไปอยู่กับพระเยซู ไปอยู่กับพระเจ้า  เข้าไปในโลกวิญญาณ  สงบสติอารมณ์ ถ้าทำบ่อยๆ เข้า มันก็ด้านหน้า มันก็จะทำได้มากขึ้น รักษาความสงบ ให้ความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพ ประจักษ์ต่อมนุษย์ทั้งปวง รอบข้าง นี่ของแท้ คือเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าจริงๆ เขาเสียสละอย่างนี้แหละ แรกๆ เสียสละอย่างไร? อย่างนี้ไม่ได้ ตอนหลังได้ พอเข้าใจใช่ไหม ยกตัวอย่าง เต็มไปหมดเลย ในชีวิตประจำวัน

เพราะฉะนั้น เคล็ดลับคำอธิษฐาน การวิงวอน และการขอบพระคุณ ให้ทุกสิ่งที่ท่านอยากได้ ทูลขอต่อพระเจ้า แล้วพระองค์จะทำให้ไหม? ทำให้หรือเปล่า? ไม่ทำ ไม่ได้บอกว่าพระองค์จะทำให้สักหน่อยเลย ไม่ได้พูดเลย แล้วสันติสุขของพระเจ้า เอาไปเลยสันติสุข ส่วนจะเป็นผลออกมาอย่างไร? ขึ้นอยู่กับพระองค์  พระเจ้ารู้ว่าอะไรดีที่สุด สำหรับลูกของพระองค์เสมอ เอเมน ลูกของพระองค์อยากจะกินช๊อคโกแลตตลอดเวลา ป้อนเข้าไปๆ ฟันจะได้ผุซะ ท้องจะได้ผุซะ อย่างนั้นเหรอ พระองค์รู้ดี พอๆ เอากล้วยน้ำว้าบ้าง เห็นหรือยัง? อย่างนี้เป็นต้น

ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ใช่แบบท่านอยากได้อะไร? บอกมา แล้วให้ เราตายแน่เลย แต่นี่บอกว่าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน   ยิ่งการวิงวอน ยิ่งชัดใหญ่ คุณจะเห็นภาพชัดเลย คำว่าวิงวอน มันมาจากคำภาษาอังกฤษว่า “ซับพรีเคชั่น” มันแปลว่าอยากจะบ่น อยากจะพูดอะไร? พูดไปเรื่อยเปื่อย  เหมือนคนพูดเพ้อเจ้อ พูดง่ายๆ ตอนนี้กำลังจะบอกว่าอย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย อย่ากังวลเลย แต่จงบอกสิ่งที่ท่านต้องการกับพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การทูลขอ การวิงวอน คือการบ่น เอะอะโวยวาย ตัดพ้อต่อว่ากับพระเจ้าเลย แต่จบสุดท้ายด้วย ขอบพระคุณ เพราะมันเหนื่อยแล้ว หมดแรง ออกมา ก็เหนื่อย  และอะไรเกิดขึ้น สันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจ เข้าไปหาพระเจ้า คิด เจอชื่อคนนี้ ฉันก็ตกใจกลัวแล้ว เจอชื่อคนนี้ ฉันก็เบื่อมาก เจอชื่อคนนี้ ฉันก็แย่แล้ว แต่พอเสร็จเรียบร้อย ออกมา เจอชื่อคนนี้ ยิ้ม สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า รับได้แล้ว เจอโควิดไป ทำกิจการงานเจ๊งเลย ตกงาน งานตกไป ยิ้มได้  เมื่อวานซืนนี้ เผอิญๆ ไปทำงาน คนที่ทำงานเป็นโควิด เพราะฉะนั้น เขาบอกให้เราไปตรวจ เสียเวลาไปตรวจ ต้องไปกักตัวอีก 14 วัน บ่นใหญ่เลย ตอนนี้หาพระเจ้า บ่นกับพระเจ้า

“ทำไมลูกต้องเป็นอย่างนี้ ลูกระวังตัวตลอดเวลา”

ออกมา กักตัวก็กักตัว ขอบคุณพระเจ้าดีแหละ พระเจ้าใช้ 14 วัน ให้เป็นประโยชน์ ฟังถ้อยคำพระเจ้าทุกวัน หมดเรื่องหมดราว มันรับได้ นี่แหละวิธีการของพระเจ้า คือการกระทำดังนี้ ในนี้บอกว่าแล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความคิดมนุษย์ที่เข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระคริสต์ เห็นไหม? จะปกป้อง เมื่อท่านอธิษฐาน ไปอยู่ในโลกวิญญาณ ไปอยู่ที่เบื้องขวาพระเจ้า สันติสุขนี้จะปกป้องความคิดของท่าน จากระบบของโลกนี้ จากความกลัว ที่ส่งมาจากมาร มันก็จะเป็นสิ่งที่ดีๆ ปกป้องความคิดจิตใจของท่าน ไว้ที่ในพระคริสต์ ความคิดจิตใจท่านอยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลา มองอะไรก็อยู่ในพระคริสต์ มันก็มีความสุข มันก็หู ตา จมูก ลิ้น กาย ดูอะไรก็ดีไปหมด ฝุ่นละออง 2.3 มา ดี (ดีแบบมีสติปัญญา) เข้าใจใช่ไหมว่ารับได้ เข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น ไม่ทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2020 เรื่อง “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  มีนาคม  2020

 เรื่อง “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ วันนี้คำบรรยายก็มีเรื่องเดียว มันจำเป็น ไม่พูดเรื่องนี้ ถือว่าเชยมาก เหตุการณ์ในช่วงนี้ คงไม่มีอะไรน่าสนใจ น่าตื่นเต้นเท่ากับเรื่องโควิด-19 ใช่ไหม? ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกันอยู่ และบรรดามนุษยชาติทั่วทั้งโลกกำลังอยู่ในอาการหวาดผวา วิตกกังวล กลัว ข่าวที่ออกมาแต่ละวัน ก็ยิ่งเพิ่มความเครียด เพิ่มความวิตกกังวล เพิ่มความกลัวเข้าไปเรื่อยๆ มากขึ้นทุกวันๆ ฉะนั้น ใครที่ชอบบริโภคข่าว ก็บันยะบันยังบ้าง

เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะคุยกันว่าแล้วเราที่เป็นคริสเตียน  เป็นผู้เชื่อแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เราควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อภาวะวิกฤตอย่างนี้ ถือเป็นโชคดีสำหรับเราทุกคนที่เกิดมาเป็นคริสเตียน แล้วมีโอกาสได้เจออะไรแบบนี้ เราจะได้รู้ว่าคริสเตียนเราควรจะทำอย่างไร? ตอบสนองอย่างไรต่อสถานการณ์ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ วันนี้เราจะมาเริ่มที่ฟิลิปปี 4:4-8

ฟิลิปปี 4:4-8 “4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด 5 ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ 8 สุดท้ายนี้ พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์  สิ่งที่น่ารัก  สิ่งที่น่ายกย่อง”

 

ก่อนอื่นเรามาฟังเบื้องหลังก่อน อย่างที่บอกนะว่าเวลาเราจะเรียนพระคัมภีร์ เราควรที่จะรู้ว่าอันนี้เป็นจดหมายของใคร? เขียนไปให้ใคร? เรื่องราวพื้นฐานเป็นอย่างไร? ไม่ใช่อยู่ๆ ก็เอาแต่อันนี้มา แล้วก็มาตีความ นี่แน่นอนเปาโลเป็นคนเขียน เปาโลเป็นผู้คงแก่เรียนในศาสนายิว เป็นคนที่มีความรู้มาก มีชื่อเสียง มีคนนับถือ มีชาติตระกูล มีอะไรเยอะแยะ ดีๆ หมดเลยในแบบโลก แต่พอมาเจอพระเยซูปุ๊บ ก็ทิ้งทุกอย่างเลย แถมยังยอมให้เขาตามฆ่า ตามล่า เพราะไปบอกด้วยว่าของเก่าที่เขารู้จักมานั้น  ที่เขาเชื่อมาว่าพระเยซูเป็นผู้หมิ่นประมาทพระเจ้า ที่บอกเป็นลูกพระเจ้า ที่เราบอกว่าเขาสมควรตาย ที่เราเอาเขาไปตรึงกางเขน  เราทั้งหลายนั่นแหละ เราหมายถึงชาวยิวที่ไม่เชื่อเหล่านั้น ซึ่งเปาโลก็เป็นหัวโจก คนหนึ่งในสมัยนั้น ไปบอกเขาว่าเราผิดไปแล้ว พระเยซูของจริงเลย ที่พระเยซูพูดเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย ใครจะเข้าใจใช่ไหม?

แน่นอนตามสายตามนุษย์ ตามความคิดมนุษย์ ใครไปพูดอย่างนี้ แล้วใครจะเข้าใจ แล้วคนเหล่านั้น เพื่อนเราทั้งนั้น อาจารย์เราก็มี ศาสนา เคร่งจัด  ถ้าเราขืนพูดอย่างนี้ เราตายแน่ๆ แล้วก็ตายจริงๆ พระเจ้าต้องปกปักคุ้มครองดูแลเปาโลตลอดเลย เพราะเพื่อนเก่า ชาวยิวที่ไม่เข้าใจ ที่ยังคงเข้าใจเหมือนเปาโลในอดีตที่ยังไม่กลับใจใหม่ ยังไม่เจอพระเยซูเขาคิดกันว่าเปาโลก็หมิ่นประมาท เปาโลยิ่งสมควรตายใหญ่ เพราะเหมือนกับว่าเป็นไส้ศึก คราวนี้แย่ใหญ่เลย เปาโลก็เลยถูกตามล่า ตามฆ่า น่าหวาดเสียว เหมือนเราตอนนี้เลย ถามว่าตอนนี้เรากลัวไวรัสโควิด-19 ไหม? กลัว กังวล ตามประสามนุษย์ธรรมดา ต้องกังวล ท่านคิดว่าตอนนั้นเปาโลเขากลัวไหม? กลัวจนตัวสั่น ยกเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมา ท่านจะรู้ว่าเปาโลกลัวขนาดไหน? ให้พระเจ้านำ ก็จริง แต่กลัว คือมนุษย์ต้องกลัวแหละ มีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง เปาโลต้องหนีคนเหล่านี้ ที่เขาตามล่า จะฆ่าเปาโล พวกยิวด้วยกัน หนีด้วยวิธีแอบย่องมาตอนกลางคืน แล้วลงตะกร้า ให้เขาหย่อนลงมา แล้วรีบหนีเลย อย่างนี้เรียกว่าความกล้าหาญ หรือความเชื่อไหม? อย่างนี้เรียกว่ากลัว แค่นี้พอแล้ว

มนุษย์เราจริงๆ มันก็มีความคิด มีสติปัญญา สมองแบบมนุษย์ กลัว เหมือนเราตอนนี้ ผมจึงยกตัวอย่างนี้ เอาข้อพระคัมภีร์นี้ขึ้นมา แล้วเล่าภูมิหลังให้ท่านฟัง มันเหมือนกับเราเดี๋ยวนี้ แต่เราน้อยกว่าเยอะ แล้วดูสิเปาโลที่มีความหวาดกลัวอย่างนี้เยอะเลย เขามีความเห็นว่าอย่างไร? เขาเขียนจดหมายฟิลิปปีมา เพื่อหนุนใจ เพราะคริสตจักรฟิลิปปีนี้ เปาโลเป็นคนก่อตั้งขึ้น พูดง่ายๆ มาหนุนใจลูกแกะ ที่เพิ่งเกิดใหม่ ไม่ได้สอน มาหนุนใจมากกว่าว่าควรจะทำอย่างไร?  คนเหล่านี้ก็รักเปาโลมาก แล้วรู้ไหมเปาโลเขียนจากที่ไหน? เปาโลเขียนจากกรุงโรม สมัยนั้นใหญ่มาก เจริญ อยู่ในคุก เขากำลังจะตัดสินคดี แล้วเปาโลก็รู้อยู่แล้ว โดยภายในว่าเที่ยวนี้ เขาไปไม่กลับอยู่แล้ว แล้วก็ไปพลีชีพที่นั่น เขารู้อยู่แล้ว รอว่าเมื่อไรจะถึงวันนั้นสักที วันที่จะละจากร่างกายนี้ แล้วไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้าทันที เอเมน

ท่านเห็นภาพแล้วนะ เห็นภูมิหลังแล้ว คนเขียนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมาตลอด ตั้งแต่เจอพระเยซูทางที่จะไปดามัสกัส จนตัวเองทิ้งทุกอย่างในอดีตทั้งหมดเลย วิชาความรู้อะไรต่างๆ ที่คนนับถือ ทรัพย์สินเงินทอง ตำแหน่งต่างๆ ทิ้งหมด มาเป็นเหมือนจำเลย ที่เขาล่า เพื่อจะฆ่าให้ตาย และตอนนี้ที่เขียนอยู่ อยู่ในที่คุมขัง ที่คุก ที่กรุงโรม และกำลังจะรอตัดสินคดี และในที่สุด ก็ถูกตัดสินคดีให้ตัดศีรษะ คราวนี้รู้ภูมิหลังแล้ว ท่านจะได้เห็น

ก็สถานการณ์เดียวกับเรา เราก็เหมือนติดคุกอยู่ตอนนี้ ไปต่างประเทศก็ไม่ได้ ต่างประเทศมาหาเราก็ไม่ได้ ญาติพี่น้องมาหาเรา ไม่ใช่ไม่ได้นะ ได้ แต่มันลำบาก ในที่สุด ไม่ไปดีกว่า จะไปกินอาหาร อันนี้ก็กลัว ไปร้านนั้น ก็กลัว แย่งซื้ออันนั้น แย่งซื้ออันนี้ อย่างวันนี้ทุกคนก็ใส่หน้ากากมาหมดเลย ทั้งๆ ที่อยากจะเปิดเผยว่าตัวเองเป็นใคร แต่ก็ต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา ตามคำแนะนำของรัฐบาล เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เอ๊ะ! ทำไมเปาโลเป็นอย่างนั้น แล้วยังเขียนมาหนุนใจเขาอีกนะว่าให้จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด แล้วคนเขียนก็ต้องชื่นชมยินดีสิ พวกเราที่เป็นผู้เชื่อ พื้นฐานแห่งความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในวิญญาณของเราคืออะไร? ไม่พูดถึงโลกวัตถุ บนโลกใบนี้ ไม่นับว่าเราเป็นคริสเตียนมา 5 ปี 2 ปี 3 ปี เราอยู่โบสถ์นี้ เราอยู่โบสถ์นั้น เราเคยทำอันนั้น เคยทำอันนี้ ไม่เอา นี่ในโลกวิญญาณว่าพวกเรา ผู้ที่เป็นผู้เชื่อ หรือเรียกว่าคริสเตียนแล้ว พื้นฐานของเรื่องความเชื่อนี้ในวิญญาณของเราเป็นอย่างไร? ลองคิดในใจตอนนี้ดู ตรงกันไหม?

ท่านเป็นลูกพระเจ้า … นี่คือโลกวิญญาณ มีพ่อแม่เป็นคนไทย คนจีน แล้วบอกว่าเป็นลูกพระเจ้า นี่คือโลกวิญญาณ นี่คือพื้นฐานความเชื่อ ท่านเป็นลูกพระเจ้า ที่ท่านกำลังเดินอยู่นี้  มองดูในกระจก เห็นหน้าตาอย่างนี้ ที่ใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตอนนี้ ร่างกายของท่านเป็นที่อาศัยของพระเจ้า พระเจ้า 3 พระภาคเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ สถิตอยู่ในท่าน นี่คือพื้นฐาน เห็นไหม? ท่านเชื่อเมื่อไร? ก็เป็นเหมือนกันหมด เกิดใหม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเชื่อ 1 ปี 1 วัน 1 นาที หรือเชื่อมา 100 ปีแล้วก็ตาม ท่านก็เป็นลูกพระเจ้า และเป็นลูกพระเจ้าตลอดไป พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน และท่านได้รับพระพรมากมายนานับประการ ในฐานะเป็นลูกพระเจ้า ได้รับเท่าๆ กับพระเยซูคริสต์เลย พยายามพูดนิดหน่อยพอ ไม่ต้องเยอะ ให้ท่านรู้ว่าในโลกวิญญาณ เราคริสเตียน เราควรจะรู้ว่าเราเป็นใคร? พื้นฐานเราควรจะมีตรงนี้ไว้ตลอดเวลา  ไม่ใช่พื้นฐานเรา คือในแบงค์ มีเหลืออยู่เท่าไร? ไม่ใช่พื้นฐาน คือเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ ไม่ใช่พื้นฐาน คือเราอธิษฐานน้อย ไม่ใช่ พื้นฐาน คือเหมือนกัน คือเราเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา  รักเราเท่าๆ กับคนที่อธิษฐานเยอะๆ มากๆ ด้วย รักเราเท่าๆ กับรักคนที่ถวายเยอะๆ รักเราเท่าๆ กับคนที่เขาอ่อนน้อมถ่อมสุภาพ ไม่หงุดหงิดเลย เราขี้หงุดหงิดมากเลย ทุกคนพยักหน้าใหญ่ เพราะฉะนั้น ที่นี่หงุดหงิดเยอะเลย  อะไรประมาณนั้น

พระคัมภีร์บอกว่า “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง”

แสดงว่าสำคัญมาก ย้ำอีกครั้งว่า “จงชื่นชมยินดีเถิด” ฟังให้ดี “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า”

เปาโลอยู่ในคุกเขียนมาหาพวกเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย  “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด”

หลับตาลง แล้วพูดอีกครั้ง ให้คำพูดนี้เหมือนกับว่าเปาโลพูดกับเรา “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า”

หลับตาไว้อยู่นะ คราวนี้ผมเป็นคนพูด “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้า ผมนครขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ผมก็กำลังพูดกับท่านทั้งหลาย ปีค.ศ.นี้ เดี๋ยวนี้ว่าท่านเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ท่านมีพื้นฐานเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว”

เหมือนกับที่พระคัมภีร์บอกในนี้ไม่มีผิด คือผมกำลังบอกท่านว่าจงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ขอย้ำอีกครั้งหลายๆ ครั้งว่าขอจงชื่นชมยินดีเถิด พูดย้ำขนาดนี้ ก็แปลว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ มันไม่น่าชื่นชมยินดี เข้าใจไหม? ถ้าอยู่ธรรมดา ผมคงพูดครั้งเดียวนะ

“จงชื่นชมยินดี”

แล้วก็ไม่เน้นอย่างนั้น  แต่วันนี้ต้องเน้นๆ เพราะรู้ว่าสิ่งทั้งหลายรอบตัวเราขณะนี้ มันไม่น่าชื่นชมเลย สังเกตให้ดีๆ นะ ในนี้ไม่ได้บอกว่าผมไม่ได้บอก เปาโลไม่ได้บอกว่าจงชื่นชมยินดีในชีวิตของเรา การดำเนินชีวิตของเรา ณ ปัจจุบัน แต่บอกว่าจงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คือในพระคริสต์  ที่เราทั้งหลายอยู่ที่นั่นแล้วกับพระองค์   ก็คือในสวรรค์  จงชื่นชมยินดีอยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์แล้วเดี๋ยวนี้ และท่านอยู่ที่นั่นในวิญญาณของท่านเป็นอย่างนั้น แต่โควิด-19 ไวรัสตัวนี้มันอยู่นอกพระคริสต์ มันอยู่บนโลกใบนี้ มันคนละเรื่องกัน ท่านเห็นภาพนะ

ความหมาย คือในพระคริสต์ เราได้รับความรอด เราเป็นลูกของพระเจ้า พอบอกว่าในพระคริสต์เมื่อไร? ท่านจำไว้นะ นี่ผมพูดให้ท่านฟังหลายๆ คำบรรยายแล้ว ให้จำง่ายๆ พอ “ในพระคริสต์”เมื่อไร? ท่านนึกถึงโลกวิญญาณ นึกถึงสวรรค์ นึกถึงว่าท่านอยู่ที่นั่นแล้วตอนนี้  และท่านจะอยู่ที่นั่นตลอดไป ในฐานะลูกของพระเจ้า ที่เป็นทายาท มีมรดกด้วย

“ในพระคริสต์” เราได้รับความรอด รอดจากนรก รอดจากความบาป คำสาปแช่ง เราเป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้ประทานให้กับเรา ของ

ประทานที่เรียกว่า gift เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว เรามีแล้วตรงนี้ 3 อย่างชัดๆ เลย ที่เราชอบร้อง

“Ringhteousness, peace, joy in the Holy ghost

Ringhteousness, peace, and joy in the Holy ghost,    That the Kingdom of God!”

แปลว่าอะไร? Ringhteousness แปลว่าความชอบธรรม

Peace  แปลว่าสันติสุข

สุดท้าย Joy แปลว่าความชื่นชมยินดี

ถ้าพระวิญญาณสถิตอยู่กับท่าน 3 สิ่งนี้มันเป็นเหมือนของแถมติดมากับพระวิญญาณแล้ว ท่านไม่ต้องทำอะไร มันอยู่กับท่าน ติดอยู่ในวิญญาณของท่าน ถ้าท่านร้องเพลงนี้เป็นภาษาไทยได้

“ความชอบธรรม  สุข  ยินดีในพระวิญญาณ

ความชอบธรรม  สุข  ยินดีในพระวิญญาณ

คือแผ่นดินของพระเจ้า”

มันอยู่ในตัวเราแล้ว เหมือนพระเจ้าให้ทองมา ทองอยู่ในตัวท่านแล้ว ท่านไม่ต้องไปหา ชัดไหม? มันเป็นของประทาน ความชอบธรรม สันติสุข และความชื่นชมยินดี ซึ่งเราได้รับมาเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่เราเกิดใหม่ รับเชื่อปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ทำให้เราเกิดใหม่ พระวิญญาณสถิตอยู่กับเราปุ๊บ 3 สิ่งนี้เป็นของเราผู้เชื่อ หรือเรียกว่าคริสเตียนแล้ว หรือลูกพระเจ้าแล้ว อยู่ในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน

เพราะฉะนั้น ในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคนมีของประทานเหล่านี้อยู่แน่นอน 100% เพียงแต่เขาจะเอามาใช้ไหม? เขารู้ไหม?  เหมือนที่พระคัมภีร์บอกว่า …

“ท่านไม่รู้เหรอ ท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์”

ท่านไม่รู้เหรอ? ก็ไม่รู้จริงๆ พระเจ้าต้องมาย้ำยืนยันให้เรารู้ว่าพระองค์ทำอะไรไว้บ้างกับชีวิตของเรา ผ่านทางพระเยซูคริสต์

พระเยซูบอกเมื่อท่านเชื่อพระเยซูแล้ว ท่านเป็นแสงสว่าง ไม่ใช่ท่านมีนะ ท่านเป็นแสงสว่าง เมื่อท่านเชื่อปุ๊บ ท่านเป็นแสงสว่าง เหมือนพระเยซู ถูกไหม? แล้วบอกอย่างไรต่อไป …

“จงให้แสงสว่างในตัวท่าน ฉายแสงออกไป”

ไม่ใช่ท่านต้องมาทำแสงสว่างเอง ไม่ใช่ต้องมาเชื่อพระเยซู แล้วก็ต้องมาทำความดีอะไรต่างๆ ปั้มแสงสว่างๆ ปั้มๆ ไม่ใช่ จงรู้เถิด พูดง่ายๆ เหมือนกับที่บอกว่าท่านไม่รู้เหรอว่าท่านเป็นวิหาร ท่านไม่รู้เหรอ ท่านเป็นแสงสว่าง จงให้ร่างกายท่าน ปลดปล่อยแสงสว่างในวิญญาณท่านออกมา มันแปลว่าอย่างนั้น มันออกมาเป็นการทำดี เป็นความรัก เป็นความเมตตา เป็นความกรุณา เป็นสิ่งดีงามทั้งหมด เป็นความบริสุทธิ์ โดยไม่ใช่ข้างนอกเข้ามา แต่จากข้างในออกไป ความชื่นชมยินดีตรงนี้ ก็เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร สิ่งรอบข้างจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าจะเป็นโควิด-19 เป็นอะไรก็แล้วแต่ เราสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ ถูกเขาเอาเปรียบอย่างไร? เราสามารถให้แสงสว่าง จากวิญญาณพุ่งออกไปได้ ไม่ว่าเราจะหงุดหงิดแค่ไหน?  เราด่าเขาไปเมื่อสักครู่นี้ เราจะโลภ เราก็สามารถเอาวิญญาณเราที่มีแสงสว่างนั้น ปลดปล่อยออกไปได้ เอเมน ไม่ว่าเราจะกลัวโควิดขนาดไหน? ไม่ว่าเราจะวิตกกังวลในข่าวที่ลือขนาดไหน? ไม่ว่าจะมองเห็นคนเขากักตุนขนาดไหน?  เราสามารถปลดปล่อย ความชื่นชมยินดี ออกจากวิญญาณไปได้ เอเมน พอจะเห็นภาพไหม? ไม่ต้องพยายามเลย มันอยู่ข้างในตัวของเรา

สถานการณ์ไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าเราชื่นชมยินดีได้หรือไม่? เพียงแต่เรารู้หรือไม่ว่าความชื่นชมยินดีนั้นอยู่ในตัวเราแล้ว เราไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง เราเพียงแต่ถ่ายทอด เอามาใช้ เอาพลังของความชื่นชมยินดี ที่อยู่ข้างใน มาใช้ แล้วมันต้องหัดใช้ ฝึกใช้ ใหม่ๆ ก็ใช้ไม่เป็น มีทองอยู่ ก็ใช้ไม่เป็นเหมือนกัน เราสร้างความชื่นชมยินดีขึ้นมาเองไม่ได้ มนุษย์ทำไม่ได้ เพราะโลกใบนี้มันถูกสาปแล้ว มันเป็นอย่างนี้ ระบบโลกใบนี้มันเสียหาย จะชื่นชมยินดีได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้หรอก ถูกเขาเหยียบขา ชื่นชมยินดีได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ เหมือนที่พระเยซูบอก มันทำไม่ได้  จึงต้องพึ่งพระเจ้าไง เหมือนที่บอกว่าเราเป็นแสงสว่าง เราสร้างแสงสว่างเองก็ไม่ได้ พระเจ้าต้องทำให้เราเป็นแสงสว่างเลย โดยความเชื่อเล็กน้อยของเราในการเชื่อพระเยซูคริสต์เท่านั้น

เพราะฉะนั้น จงชื่นชมยินดีในวิญญาณ เรามีความชื่นชมยินดีอยู่ แต่ประเด็น คือเราจะเอาออกมาใช้ด้วยวิธีใด แต่ก่อนนี้เราไม่รู้ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าความชื่นชมยินดี ในตัวเราเต็มเลย เราไม่เคยใช้เลย เรามีทองเต็มเลย ทำเป็นคนยากจนไปได้ เรามีความชื่นชมยินดีเต็มเลย ทำเป็นคนกลัวผีไปได้ ทำเป็นคนหงุดหงิดไปได้ ท่านพอมองเห็นภาพไหม? เรามีเงินเยอะแยะเลย มีอาหารเยอะแยะเลยในบ้านเรา แต่ไม่รู้เรื่องเลย ทำเหมือนคนอดอยาก ตอนนี้รู้แล้ว แล้วเราจะเอามาใช้อย่างไร?

พระคัมภีร์มีสอนหลายอย่าง เช่น ให้เราควบคุมความคิดของเรา เพราะโดยธรรมชาติของความคิด ถ้าเราไม่ควบคุมมัน เราก็จะรับข่าวสารจากทางโลก ระบบของโลก ที่ระดมใส่เข้ามาว่าตรงนั้นอันตราย ตรงนั้นไม่ดี ตรงนั้นแย่แล้ว โรคร้ายรักษาไม่หาย การระบาดของมันจะเยอะขึ้น เศรษฐกิจจะแย่ๆ ทุกอย่างจะแย่ๆ แล้วเธอก็จะแย่ ฉันก็จะแย่ๆ นี่พูดแบบย่อๆ สั้นๆ นี่แหละระบบของโลก คือแปลว่าอย่างนี้ แล้วถ้าเรารับระบบ ข้อมูลจากนี้อย่างเดียว แล้วจะไปชื่นชมยินดีได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ พอรับข้อมูลแบบนี้เข้ามาเยอะๆ แล้วไม่มีการควบคุมเลย ปล่อยให้มันเข้ามาเฉยเลย เช้าขึ้นมา แทนที่จะอธิษฐาน ก็เปิดข่าวสด ข่าวแห้ง ข่าวร้าย เฟสบุ๊ค ส่งไลน์อีก ส่งเรื่องสรรเสริญพระเจ้า เปล่าส่งว่ามันเป็นแบบไหน? มันมาอย่างไร? มันจะตายแล้ว ระบาดข่าวร้ายทั้งสิ้น แล้วจะไปเอาอะไรที่มาเชื่อล่ะ พระคัมภีร์เตือนเราอย่างนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ระมัดระวัง รับข้อมูลข่าวร้ายเข้ามา เราก็จะเกิดความกลัว ความกระวนกระวาย ความวิตกกังวล แล้วพอความคิดของเราจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้ที่เป็นทางลบมากๆ พอมันเข้ามาในความคิดของเราเยอะๆ ในความคิดของเรา มันเหมือนคอมพิวเตอร์ มันมีเส้นประสาทนับไม่ถ้วน เยอะแยะเลย  และมีสารเคมีเยอะแยะเลย ที่จะปรับ ที่จะปรุงแต่งอะไรก็ได้ ที่มันคิดมา  ทำให้ร่างกายทำตามความคิดนั้น

ค่อยๆ ฟังให้ดีๆ ตรงนี้เป็นเคล็ดลับมากๆ ถ้าเราอยู่กับข้อมูลติดลบตรงนี้เยอะๆ ในความคิดของเรา สมองเราก็จะสั่งการให้เราตอบสนองออกไปเป็นความกลัว ความกลัวทำให้เกิดความหงุดหงิด ความกลัวทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว ความกลัวทำให้เกิดการทำร้ายผู้อื่น ความกลัวทำให้เกิดการกักตุน แล้วความกลัวมาจากไหน? ก็มาจากข่าวนั่นนิด เพื่อนไลน์หน่อยหนึ่ง หนังสือพิมพ์นี้นิดหนึ่ง โทรทัศน์นิดหนึ่ง แล้วมันก็ปรุงแต่งในความคิดของเรา แล้วตัวสื่อประสาท มันก็ทำงาน ตามธรรมชาติของมัน ที่พระเจ้าสร้างมา พอข้อมูลเข้ามาปุ๊บ กดออกมาเป็นกลัว วิตกกังวล  แล้วมันก็ไปตามร่างกายต่างๆ ทำให้เกิดท้องอึด ท้องเฟ้อ ปวดหัว คอเคล็ด อะไรก็ตามที่ความเครียดมันทำให้เราเป็นอย่างนั้นแหละ

นี่คือวิทยาศาสตร์แล้วนะ ที่บอกให้ช้าๆ เพราะว่าผมพยายามดึงมันมา ให้เห็นภาพทางวิทยาศาสตร์ ทางแพทย์เลย มันจึงมีข่าวออกมาเยอะแยะในช่วงนี้ มีทั้งการกักตุนอาหาร แย่งซื้อหน้ากากอนามัย ไปจนถึงกระหน่ำด้วยคำด่าอย่างรุนแรง เพราะปัจจุบันเป็นยุคโซเซียวมีเดีย ทุกคนมีสิทธิ์พูดกันหมดเลย อยู่ปลายนิ้วเท่านั้นเอง สมัยก่อนเราพูด บางคนด่าอยู่ในบ้านคนเดียว ไม่มีใครได้ยิน เดี๋ยวนี้จิ้ม ได้ยินทั้งโลกเลย เราก็จะกัดกันเอง เหมือนจิ้งหรีดที่เขาปั้นหัวให้มันกัดกัน มนุษย์ต่อมนุษย์ก็กัดกันเอง เราจะเห็นภาพเลย เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้อย่าไปเสพ ถ้าเห็นอะไรที่เป็นการคอมเม้นท์ หรือแสดงความคิดเห็นทางลบ ข้ามไปเลย ไม่ต้องไปดูมัน ไม่ว่ามันจะสนุกขนาดไหน? ไม่ว่ามันจะดูดีขนาดไหน? อย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าเป็นการคอมเม้นท์ เป็นการติเพื่อก่อ มีสติปัญญา เป็นความรัก อย่างนั้น ไลน์ส่งต่อได้ มันเป็นประโยชน์ แต่อันที่ว่ากันรุนแรงๆ ต่อให้มันมีเหตุผล ก็ไม่เอา เพราะมันอยู่ภายใต้ระบบของโลกนี้ มันไม่ใช่พระวิญญาณ มันเป็นวิญญาณอะไรก็ไม่รู้ นอกจากพระวิญญาณแล้ว นอกนั้น ก็เป็นผีทั้งนั้นแหละ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ต้องระมัดระวัง เรากำลังเรียนโลกวิญญาณอยู่ใช่ไหม? มองไปที่โลกวิญญาณ มองสิว่าใครได้ใครเสีย  ถ้าเรายอมอย่างนั้น ยอมเป็นเครื่องมือของมาร มารได้ มารหัวเราะเลย

“นี่ไง มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา  แล้วพระองค์ทรงรักมาก เขากำลังกัดกันเห็นหรือเปล่า?  เขากำลังเห็นแก่ตัว เขาไม่เห็นเหมือนพระองค์เลย นี่ลูกไม่จริงหรอก เป็นลูกฉันมากกว่า”

มารบอก “ฉันเจ้าแห่งการทะเลาะวิวาท เจ้าแห่งการยุยง ยุแยงตะแคงรั่ว ฉันเจ้าแห่งการเกลียดชัง เจ้าแห่งการขโมย ฆ่า และทำลาย ไม่สร้างสรรค์ เห็นไหม? มองมาเห็นทั้งโลกเลย”

เราต้องระมัดระวังตรงนี้อย่างมาก  ฟังดูแล้ว เหมือนเล็กน้อยนะ แต่เล็กน้อยมันคือกำเนิดของเรื่องใหญ่ มันมาจากตรงนี้แหละ แรกๆ มันเข้ามาในความคิดของเรา มันเป็นไข่เล็กๆ แล้วไข่นี้ค่อยๆ โตขึ้น แล้วมันก็จะฟักเป็นตัวออกมา แล้วจากนั้นมันก็จะเริ่มตัวใหญ่ขึ้นๆ และมันยิ่งใหญ่เท่าไร มันยิ่งทำความเสียหายให้กับมนุษยชาติ และโลกใบนี้มากเท่านั้น และนี่แหละ คือหัวใจของพระเจ้าที่อยากจะบอกมนุษย์อย่างนี้ แล้วมันก็พยายามเสี้ยมสอนมนุษย์ว่าพระเจ้าเป็นคนอนุญาตให้เกิดขึ้น พระเจ้าเป็นคนทำ ไม่ใช่ฉันทำนะ  ตัวมันแหละ โดยการล่อลวงมนุษย์ให้เป็นผู้ทำเอง ท่านจะเห็นภาพนะ อยากให้ท่านเห็นภาพชัดๆ อาจจะไม่บรรยายเหมือนระบบของโลกนี้ที่เขาบรรยาย แต่มันไม่ยาก มันเป็นเรื่องจริงๆ ถ้าท่านเข้าใจเรื่องพระเจ้า เรื่องวิญญาณ ท่านจะรู้ว่ามันใช่จริงๆ

แต่พระคัมภีร์บอกว่าสิ่งที่เราควรทำ คือเอาข้อมูลจากวิญญาณมาสู้กับมัน เอาข้อมูลจากโลกวิญญาณ ที่เรารู้เรื่องพระเจ้า ในข้อพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ในสติปัญญาที่พระเจ้าคุยกับเราทางวิญญาณ ที่เราเป็นลูกพระเจ้า ที่เราเกิดใหม่แล้วนั้นแหละ มาสู้กับมัน

ข้อมูล คือถ้อยคำพระเจ้า ความรู้เรื่องพระเจ้า  เราเรียกว่าข้อมูล แต่ต้องเป็นข้อมูลความรู้เรื่องพระเจ้าที่ถูกต้องด้วยเช่นเดียวกัน นี่แหละคือเล่ห์กลของมาร ถ้าเราไปหาถ้อยคำพระเจ้า มันก็ไปบิดถ้อยคำพระเจ้า ผิดอีก มันต้องค่อยๆ แล้วอธิษฐาน แล้วคิด มีสติปัญญา

ถามว่าข้อมูลเหล่านี้ ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ สู้กับมันที่ไหน? สู้กับมันที่สมรภูมิ ก็คือที่ความคิดของเราเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย อย่าไปยุ่งกับคนอื่นเขา พอเรารู้อย่างนี้แล้ว เขาเรียกว่ายุทธศาสตร์การรบ รู้เขารู้เรา รบ 7 ครั้ง ชนะ 8 ครั้ง แถมให้ 1 ครั้ง เอาข้อมูลถ้อยคำพระเจ้าใส่ลงไปในความคิดของเรา สู้กับมันที่โลกวิญญาณ ที่ในพระคริสต์ หรือในพระคัมภีร์ชอบพูดว่าที่เบื้องบน บางคนบอกว่าเบื้องบนรอตายก่อน ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้เลย เบื้องบน หมายถึงสิ่งที่มัน above สิ่งที่มันดูดีกว่า สิ่งที่มันยอดเยี่ยมกว่า มีฤทธิ์เดชอำนาจมากกว่า งดงามมากว่า ก็คือพระเจ้า ก็คือสวรรค์ ก็คือในพระคริสต์ที่เราอยู่แล้ว ตรงนั้นแหละ กลับไปบ้านของเรา ในโลกวิญญาณ วิธีกลับไปง่ายนิดเดียว ไม่ต้องนั่งรถ ไม่ต้องนั่งเครื่องบิน สับความคิดปุ๊บ ไปทันทีเลย

เดี๋ยวเราทดลองดู ตอนนี้ท่านนั่งอยู่ที่โบสถ์โฮลี่ ที่กรุงเทพกรีฑา ซอย 8 ถูกไหม? ผมบอกว่าสับไปนั่งที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานของพระเจ้าเดี๋ยวนี้ทันที เพราะในพระคัมภีร์บอกว่า เมื่อท่านเชื่อพระเจ้าแล้ว ท่านได้นั่งอยู่กับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

สับกลับมา นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ที่โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ กรุงเทพกรีฑา ซอย 8  แต่ในขณะเดียวกัน สามารถสับไปที่วิญญาณ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน มันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วพื้นที่การทำสงครามมันอยู่ที่ความคิด ต้องสับความคิดไปอยู่ที่เบื้องบน ไปอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระคริสต์ แล้วก็เอาฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความชื่นชมยินดี ที่เราได้เรียนรู้ไปเมื่อตะกี้นี้ว่าเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา เรามีคลังทรัพย์ ความชอบธรรม สันติสุข และความชื่นชมยินดีอยู่ในนั้น ตอนนี้เราต้องการความชื่นชมยินดี เอาความชื่นชมยินดี เข้ามาในความคิดของเรา พอเข้ามาในความคิดของเราปุ๊บ พระวิญญาณให้ของประทานเราเป็นความชื่นชมยินดี สับไปที่ความคิดของเรา เราก็บอกความคิดของเรา …

“ความคิด มันเป็นอย่างนี้นะ ชื่นชมยินดีนะ”

สั่งสมองเลย  “สมองจงชื่นชมยินดี”

สมองก็เปลี่ยนเลย สื่อประสาทสมองก็ทำงานของมัน สับขั้วใหม่ ตามที่ความคิดมันสั่ง ตามธรรมชาติ สั่งปุ๊บ ตา หู จมูก ลิ้น กายทั้งหลายที่สัมผัสมาถึงสมอง มันก็จะถูกสั่งการให้อวัยวะในร่างกาย ถวายเกียรติแด่พระเจ้า คำว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้า มันดีสำหรับคุณ พระเจ้าได้รับเกียรติ คือให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้ารักเรามาก เป็นพ่อเรา อยากให้เรามีความสุข มันก็สั่งร่างกาย

ยกตัวอย่างเช่น ถูกเขาขโมยของ เสียดาย โมโห สมองสั่ง อย่างนี้มันเอาเปรียบ วิญญาณขึ้นไปข้างบน สั่ง …

“อภัยให้เขาเถอะ ขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่นะ เรายังมีเหลือให้เขาขโมยนะ เขาไม่มีจะกิน จนต้องมาขโมยเรา น่าสงสารเขา น่าโมโหเขาไหม?”

ยกตัวอย่าง ขึ้นรถเมล์ อันนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย คราวนี้กาย ขึ้นรถเมล์ วันนี้รถแอร์เสีย มันร้อน สัมผัสที่กาย กายมันบอกร้อน แย่แล้ว กายมันส่งข้อมูลไปที่สมอง มันร้อน หงุดหงิด (มันเริ่มมาแล้ว) ทำไม คนขับรถไม่เช็คก่อน ทำไมคนนั่งข้างๆ มันเบียดอย่างนี้  ทำไมมันเหม็นอย่างนี้”

ทำไมใหญ่เลย เริ่ม แต่เราสับสวิทส์ไปที่วิญญาณ ในวิญญาณบอกชื่นชมยินดีอยู่ เอามาใช้สิ สับสวิทส์ เอาความชื่นชมยินดีเข้ามาในชีวิต ให้ความคิดสั่งสมองว่าจงชื่นชมยินดี ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นะ เอาความชื่นชมยินดีที่มีอยู่ เอามาใช้ ไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง เอามาใช้เท่านั้นเอง มันก็สั่งเลย เอาความชื่นชมยินดีจากพระวิญญาณบริสุทธิ์มาใช้ สมองก็สั่ง มันเย็นขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ นี่แหละ พระเจ้าสร้างมา พระองค์ทรงทราบดีว่าระบบของร่างกายนี้เราเป็นอย่างไร? สมองและความคิดของเรา เมื่อถูกป้อนข้อมูลเข้าไปว่าจงชื่นชมยินดีเถิด สมองก็จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง ให้เห็นนะ ที่จะสั่งร่างกาย ให้ทำตาม ก็คือจงชื่นชมยินดี มันจึงต้องย้ำให้สมองฟังบ่อยๆ ให้สมองซึ่งเลอะเทอะกับความคิดแบบระบบของโลกมาเยอะมากแล้ว ให้มันได้รับรู้ ทุกวันๆ และสั่งการให้ไปในทิศทางเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเราอยู่เสมอๆ คือตลอดเวลา ตามที่เปาโลบอก “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ” มันแปลว่าอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ ที่อยู่ดีๆ เดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วบอกจงชื่นชมยินดีเสมอ มีแต่เรื่องวุ่นวายตลอด ยิ่งปัจจุบัน ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านพอเห็นภาพใช่ไหม? นี่แหละ คือการรบ

จับอะไรก็ชื่นชมยินดี  เห็นอะไรก็ชื่นชมยินดี ฟังอะไรก็ชื่นชมยินดี ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสอะไร? ทางไหน? ต่อไปนี้บอกมันว่าจงชื่นชมยินดี แต่ท่านอาจจะเพิ่งรู้ หรืออาจจะรู้แล้ว ทำแล้วก็ตาม ท่านลองถามตัวเองเลยว่าตอนนี้ ในความคิดของท่านอะไรมากกว่า ข้อมูลบวกหรือข้อมูลลบ ข้อมูลจากพระเจ้าหรือข้อมูลจากมาร อะไรมากกว่า? อะไรมากกว่าท่านก็จะสั่งสมองให้ไปทางนั้นแหละ บางคนไม่ค่อยหงุดหงิด เพราะว่าสมองเขามีข้อมูลความคิดเกี่ยวกับพระเจ้ามากกว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวคุณเลยว่าคุณจะเป็นอะไร? มันมาจากสงครามเท่านั้นเอง ตัวเราเป็นคนดีเลิศ ประเสริฐศรี เป็นคนชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า เป็นคนมีสันติสุข มีความชื่นชมยินดีตลอดเวลา เป็นคนบริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เท่าพระเยซูเลย นี่คือตัวเราจริงๆ แต่ความคิดมันไม่ใช่ตัวเรา ความคิดเป็นความคิด ความประพฤติก็ไม่ใช่ตัวเรา ความประพฤติก็มาจากความคิด และสั่งสมองให้ทำ ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราก็เป็นตัวเราอยู่ดี ไม่หนีไปไหน? พอเข้าใจนะ

ทั้งหมดนี้ พระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 10 บอกไว้ว่านี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ ก็คือสงครามทางความคิด จะแพ้ชนะ ก็อยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อ ตั้งความคิดของเราไว้ที่เบื้องบน ก็คือที่พระคริสต์สถิตอยู่ ก็คือที่ในพระคริสต์ ก็คือที่ในสวรรค์ ที่เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ที่เราได้รับพระพรนานัปการ ที่นับไม่ถ้วน เยอะแยะมากมาย บนโลกใบนี้ อย่างดีเยี่ยม โดยพระเจ้าประทานให้เราแล้ว ไม่ใช่จะประทาน แต่ประทานให้แล้ว

ตั้งความคิดของเราไว้ที่เบื้องบน … เบื้องบน ก็คือที่มันเหนือกว่าระบบของโลกใบนี้เต็มไปหมด ชนะขาดลอย เพราะพระเยซูทำให้เราชนะ เหมือนครั้งที่แล้วบอกว่าทำให้เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ไม่ได้เสียเลือดสักหยดหนึ่งเลย ไม่ต้องทุกข์ทรมานเลย พระเยซูทำให้เสร็จ เอาชัยชนะมาให้กับเรา ตอนนี้เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต

ให้เอาความจริงตรงนี้ เอาข้อมูลตรงนี้ บังคับให้ความคิดของเรามันเชื่อฟังต่อข้อมูลของพระเจ้า จับความคิด ให้มันเป็นทาส มันแปลตรงๆ อย่างนี้ จับมันให้เป็นทาส แล้วบังคับให้มันเชื่อฟังพระคริสต์ มันบอกว่า …

“เมื่อวานนี้ยังหยาบคายอยู่เลย ยังโลภอยู่เลย แกก็เป็นคนบาป”

“ไม่จริง ในพระคริสต์บอกว่าเมื่อฉันเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันเป็นคนที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว”

“ชอบธรรมได้อย่างไร เมื่อวานไปขโมยของเขา”

“ไม่รู้ ขโมยส่วนขโมย แต่ตอนนี้ในวิญญาณฉันเป็นลูกพระเจ้า”

เข้าใจไหมครับ? … “การขโมยมันเป็นการกระทำ ไม่ใช่ตัวฉัน ฉันเกิดใหม่ในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่ฉันชอบธรรม เพราะฉันไปกระทำดี  แต่ชอบธรรม เพราะฉันเกิดใหม่ เกิดเป็นลูกพระเจ้า เกิดเป็นผู้ชอบธรรม

เหมือนลูกผม โต๋เต๋ เกิดมาเป็นลูกแล้ว เขาก็เป็นลูกผมตลอดไป บางครั้งเขาอาจทำไม่ถูกใจผม เขายังเป็นลูกหรือเปล่า? เป็น หรือเขาไปทำอะไรที่ผมบอกว่าอย่าทำ แล้วเขาไปทำ แล้วเขายังเป็นลูกหรือเปล่า? เป็น  นี่มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น อย่าไปฟังมัน มันก็พยายามหาเหตุผลอะไรต่างๆ นานา

“เป็นไปไม่ได้หรอก”

พระเจ้าบอกว่าให้เรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับคนที่รักพระองค์ แล้วความรักก็ไม่ใช่เราทำเอง พระเจ้าประทานความสามารถให้เรารัก เราหลงได้ คิดดูสิอย่างนี้เรียกว่าพระคุณไหมล่ะ ไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง

เราชื่นชมยินดีได้ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว มีของประทานจากพระวิญญาณที่เรียกว่าชื่นชมยินดีอยู่ในตัวเรา เอามาใช้ เราไม่ต้องกลัวอะไรอีกเลย พอเราไม่กลัวแล้ว ฟังให้ดีนะ ตามถ้อยคำพระเจ้าที่ตะกี้เราอ่านกัน พอไม่กลัวแล้ว สมองมันก็จะสั่งการให้แสดงออกมาเป็น สั่งให้ร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นความอ่อนน้อม ถ่อมสุภาพประจักษ์แก่ผู้คนทั้งหลายรอบข้าง พอสมองมันสั่งการเป็นความชื่นชมยินดี สายตาก็มองอ่อนโยน จากตะกี้จะฆ่าตาย อิจฉาริษยา สายตามันบอก แต่ตอนนี้ ยิ้มไปหมด ก็คือเราก็จะไม่เห็นแก่ตัว เพราะไม่กลัว ถ้าเทียบกับสภาวะปัจจุบัน โควิด-19 เราก็จะไม่กักตุน กำลังซื้อๆ อยู่ กักตุนอยู่ พอดีถ้อยคำพระเจ้าโผล่มาเมื่อเช้านี้ เข้ามาในสมอง สมองสั่งการ กำลังซื้อของอยู่ …

“ฉันจะเอาอันนี้ คุณมาสาย”

พวกหน้ากาก ที่ล้างมือ สมมติมันมีแค่ 10 ชิ้น เราจองไว้ 10 ชิ้น คนมาทีหลังไม่มีซื้อเลย เราเอาไปแล้ว 10 ชิ้น จำได้ ถ้อยคำพระเจ้าเมื่อเช้า เพิ่งท่องมา ความชื่นชมยินดีเป็นของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเรา ให้เราได้ชื่นชมยินดีเถิด ไม่ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไหน มือที่หยิบเห็นแก่ตัว ก็เริ่มอ่อนลง แล้วก็เริ่ม …

“แบ่งให้เธอแล้วกัน”

มาอีก 4, 5 ราย แบ่งไปคนละ 2 อันแล้วกัน แทนที่เราจะเอาไป 10 อันคนเดียว อ้าว! แบ่งคนละ 2 อัน ท่านพอมองเห็นภาพไหม? แล้วถ้าเผื่อท่านอย่างนี้เยอะๆ มันอาจจะมีวันหนึ่ง 10 อัน ท่านให้เขาไปหมดเลย ท่านขอบคุณพระเจ้าอีก สรรเสริญพระเจ้า อะไรก็ได้ อันนี้ผมไม่ได้พูดเว่อร์ ผมกำลังพูดให้ท่านเห็นว่ามันเป็นไปได้ทุกอย่าง  นี่แหละที่เรียกว่าไม่มีสิ่งใด เป็นไปไม่ได้ สำหรับพระเจ้า มันแปลว่าอย่างนี้ ทำผ่านเรานั่นแหละ เขาเรียกว่าสำแดงพระเจ้าให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็น ตะกี้เราอ่านพระคัมภีร์ใช้คำว่า …

“จงให้ความอ่อนน้อม ถ่อมสุภาพของท่านประจักษ์แก่มนุษย์ทั้งปวง เพราะพระเจ้าอยู่กับท่าน อยู่ในท่านแล้ว”

นึกออกใช่ไหม? ท่านก็จะอ่อนน้อม ถ่อมสุภาพ ก็จะไม่เห็นแก่ตัว ไม่กักตุน ไม่ด่าคนอื่นเขา เข้าใจเขาว่าทุกคนก็หวาดกลัว และตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด ท่านก็จะไม่ไปทับถมเขา เมื่อเขาทำผิด ใช่ไหม? ไม่เอะอะโวยวาย ไม่กลัว ถึงขนาดที่จะเห็นแก่ตัว พูดง่ายๆ

ท่านคิดสิ มนุษย์ไม่มีใครพร้อมหรอก ที่จะยอมตาย เพื่อคนอื่นเขา แต่ถ้าเผื่อท่านเข้าไปในโลกวิญญาณเมื่อไร? เป็นไปได้ทันที

เอาใหม่อีกที … ไม่มีมนุษย์คนไหนพร้อมหรอก ทำอย่างไรก็ทำไม่สุด ทำได้ดีประมาณหนึ่ง แต่ถ้าเข้าไปหาพระเจ้า ในโลกวิญญาณ ท่านสามารถทำเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ โดยเฉพาะความคิดของท่านเอง ท่านจะสามารถทำได้ เมื่อถึงเวลานั้น เพราะฉะนั้น ไม่รู้วันไหน? คือติดอาวุธทุกวัน ติดอาวุธด้วยอะไร? ด้วยถ้อยคำพระเจ้า ด้วยข้อมูลของพระเจ้า ใส่เข้าไปในความคิด พระเจ้าจะใช้เมื่อไรไม่รู้ ใช้ในสถานการณ์อะไรก็ไม่รู้ แต่วันหนึ่งพระเจ้าจะใช้เหมือนที่เปาโลได้รับจากพระเจ้า และใช้อยู่ทุกวันนี้  ไปเยี่ยมเยือนประกาศครั้งสุดท้ายที่กรุงโรม แล้วถูกจับติดคุก ยังอุตส่าห์เขียนจดหมายหนุนใจว่า …

“จงชื่นชมยินดีเถิด ข้าพเจ้าขอย้ำยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าจงชื่นชมยินดี จงให้ความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพของพระเจ้า ประจักษ์แก่คนทั้งปวง เพราะพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ อยู่ในท่านแล้ว”

ตรงกันข้ามกับการแสดงออกมา ที่มีความเมตตาอ่อนโยน เห็นใจคนที่กำลังเดือดร้อน มีอะไรช่วยได้ ก็ช่วยเขา พยายามช่วยที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ มันจะออกมาเป็นอย่างนี้ ไม่ทำตัวเหมือนคนอื่น บนโลกใบนี้ เขาเห็นแก่ตัวกัน ไม่เหมือนคนอื่น เพราะเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราเชื่อแล้ว เรามีพระเจ้าอยู่ในตัวเรา จะทำเหมือนคนอื่นได้อย่างไร? ที่ทำเหมือนคนอื่น เพราะเราไม่ยอมไปที่โลกวิญญาณ เราก็เหมือนกับเขานั่นแหละ ถามว่ารอดไหม? ในวิญญาณรอด แต่พระคัมภีร์บอกรอด เหมือนรอดจากไฟ กลัวไป รอดไปอย่างนี้  เรามีทางเลือกอย่างอื่นตั้งเยอะ แล้วได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย ถ้าเราพร้อม เราก็ไม่สติแตก เมื่อถึงวันนั้น จนกลายเป็นคนทำอะไรเหมือนที่เขาเรียกว่าพวกไร้สติ

เวลาเกิดเหตุอย่างนี้ มันจะเป็นการพิสูจน์ เหมือนข้อสอบ ชัดเจน มีคนเยอะแยะทำอะไรต่างๆ เหมือนไร้สติ คนที่มีวิชาความรู้ดีๆ เรียนสูงๆ ทำไมพูดอย่างนี้ ไม่ให้กำลังใจกันเลยเหรอ ทุกคนก็อยู่ในสภาพเดียวกัน ปัญหาเดียวกัน มันน่าจะเห็นอกเห็นใจ เขากลัว ก็ต้องเข้าใจเขา ไม่ใช่จะเอาถูกต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนี้ทั้งหมดมันรวมกันหมดแล้ว ไม่มีใครถูกต้องหรอก มองไปที่ไม่ถูกต้องมีผู้เดียว คือมาร ที่พยายามปั่นให้เราฆ่ากันเอง และที่เราแสดงออกมาทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ตัวเราเอง เมื่อเรามีความปิติยินดี เมื่อเรามีความชื่นชมยินดี ความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพ ก็โผล่มา เพราะฉะนั้น เปาโลจึงบอกว่า …

“ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้า  ในความอ่อนแอของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถชื่นชมยินดีได้ เพราะข้าพเจ้าอ่อนแอ แต่มีความอ่อนแอที่ไหน ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าจะทวีคูณขึ้นเต็มขนาดที่นั่น เพราะฉะนั้น เท่าที่จะทำได้ เพราะว่าข้าพเจ้าได้รับฤทธิ์อำนาจจากพระเจ้า ผ่านทางถ้อยคำของพระองค์นั่นเอง”

ไม่ใช่ตัวเราเอง ก็จะถ่อมใจ เพราะมันเป็นของประทานจากพระเจ้าด้วย เพราะพระวิญญาณอยู่ข้างในตัวเรา และประทานของประทานพิเศษให้กับเรา คือความชื่นชมยินดี ซึ่งความชื่นชมยินดีนี้ คือความไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง คือความรัก คือสันติสุข

ในที่สุด เมื่อเรารู้เรื่องจริงอย่างนี้แล้ว เราก็ให้ความชื่นชมยินดีที่อยู่ในวิญญาณของเราออกมาใช้ทุกวัน ทุกวินาที อยู่บ้านก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเจอมนุษย์ก็ทำได้ ความคิดมันส่งได้ ยกตัวอย่างเช่นความคิดไปถึงคนๆ นี้ เกลียดมัน หมั่นไส้มัน ไม่อภัยให้มัน ทำได้ไหม? ต้องนั่งรถไปหาเขาไหม? ไม่ต้อง เปลี่ยนแปลงความคิดเป็นชื่นชมยินดี หลับตา …

“น่ารักอย่างนี้ พระเจ้าลูกรักคนนี้ ลูกชื่นชมยินดี”

เห็นไหม? ฝึกได้ตลอดเวลาเลย ไม่จำเป็นต้องออกมาข้างนอก เจอคนโน้นคนนี้ แต่ถ้าเจอกัน จะดีกว่านะ ให้ความชื่นชมยินดีที่อยู่ในวิญญาณของเรา มันออกมา บังคับความคิดให้เชื่อฟัง และทำในสิ่งที่แสดงออกมา เป็นความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพ ประจักษ์ต่อมนุษย์ทั้งปวงรอบข้างเราว่าพระเยซูทรงพระชนม์อยู่จริงๆ คนเหล่านี้ถึงสามารถทำอย่างนี้ได้ เอเมน

“ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นผู้กระทำ สิ่งเหล่านี้เอง สรรเสริญพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้กระทำเอง”

และบอกเขาว่าอยากได้อย่างนี้ไหม? ทุกคนอยากได้ วันนี้ผมจะบอกวิธีให้ แต่ที่นี่เราทุกคนได้ไปหมดแล้ว เป็นผู้เชื่อไปแล้ว ทำอย่างไรพระเจ้าถึงจะมาสถิตอยู่กับเราอย่างนี้ อยากได้มากเลย โรม 10:9-13 ง่ายมากเลย เนื่องจากมารทำให้มันยุ่งยากวุ่นวาย ท่านเลยไม่เข้าใจ ตอนนี้ผมจะมาบอกท่าน ท่านเอาไปคิดดูง่ายๆ เอง ท่านก็จะสามารถเหมือนกับเราได้ มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับท่าน พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของท่าน ท่านก็ไม่ต้องกลัวโควิดอีกต่อไป ท่านจะไม่ต้องกลัวสถานการณ์อะไรอีกต่อไป ท่านจะเป็นเหมือนที่ได้บรรยายมาตั้งแต่ต้นว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน อยู่กับท่าน

โรม 10:9-13 “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด   10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด 11 ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดที่วางใจในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอายเลย  12 เพราะไม่ว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติก็ไม่ต่างกันเลย พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง และทรงอวยพรอย่างอุดมแก่คนทั้งปวงที่ร้องเรียกพระองค์ 13 เพราะว่า “ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับการช่วยให้รอด”

 

เพราะฉะนั้น ใครที่เป็นลูกพระเจ้า ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ใครที่มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ในร่างกายของเขา ก็ได้เปรียบตรงนี้ นอกจากจะคุ้มครองดูแล และให้ความรอดทางโลกวิญญาณ คือไม่เป็นคนบาป ไปอยู่ในสวรรค์แน่นอน เมื่อจากโลกนี้ เพราะตอนนี้ก็อยู่แล้ว ก็ยังปกปักคุ้มครองดูแลความคิดของเราในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวสำคัญได้ด้วย ให้พลังกับเรา ให้กำลัง ให้ความสามารถกับเราได้ด้วย ให้เราสามารถเผชิญกับความกลัวด้วย ให้เราสามารถเผชิญกับความกังวลด้วย ให้เรามีความหวังอยู่เสมอ ท่านอยากได้ใช่ไหม? ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นตัวช่วย ลองคิดดูนะ ถ้าท่านไม่มีเลย ท่านหัวเดียวกระเทียมลีบจริงๆ  ถ้าใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังตรงนี้แล้ว มีความรู้สึกกลัว และอยากได้ตัวช่วยอย่างที่เราคริสเตียน ผู้ที่เชื่อพระเจ้าได้ เหมือนที่ผมอธิบายมา เหมือนกับผู้ที่มีพระเจ้าอยู่ในตัวแล้ว อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไม่ยากเลย ตามถ้อยคำพระเจ้าที่อ่านเมื่อตะกี้นี้ พระเจ้าบอกว่าเคาะอยู่ที่ประตูใจทุกคน ทุกวันนี้ พระเยซูเคาะต้องการจะช่วย แล้วท่านทั้งหลายก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเราเลย  ก็เป็นลูกเท่านั้นเอง เพียงแต่ยังไม่เคยได้ยินข่าวดีนี้ ข่าวดีจริงๆ

พระคัมภีร์ที่ตะกี้เราอ่าน สรุปง่ายๆ ก็คือถ้าท่านยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ ท่านรู้ไหมตรงนี้คืออะไร? แค่ท่านเชื่อด้วยใจ รับด้วยปาก แค่นี้เอง ไม่มีข้อแม้นะ ในนี้ไม่ได้บอกว่าถ้าท่านยอมรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ แต่ต้องไม่มีศาสนาอื่น  เชื่อด้วยปากและรับด้วยใจ ต้องทิ้งตัวตน ไม่มี พระเยซูบอกว่าเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ มันกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ได้ ขอให้ท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด มันเล็กมาก นิดเดียว ลมพัดก็ปลิวแล้ว เป็นพันๆ ล้านๆ เม็ด มันก็คือมนุษย์ และพระเจ้าบอกว่าเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ มันกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ เวลาท่านพูดว่า …

“พระเยซูลูกเชื่อแล้ว ลูกรับ”

ในใจหรือความคิดของท่าน หรืออะไรต่างๆ ของท่านอาจจะบอกว่าไม่จริง พระเยซูจะเป็นขึ้นมาใหม่ จากความตายได้อย่างไร? มันเป็นเรื่องธรรมดา ผมจะบอกท่าน ผมเอง หรือท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่เป็นคริสเตียน ก็คิดอย่างนั้นแหละ มีใครที่ไม่เคยคิดอย่างนี้ว่าท่านเชื่อเหรอ พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เชื่อ 100% จริงๆ เชื่อไหม? ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ ในใจของท่านไม่เชื่อ แต่ความคิดของพระเจ้าเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ พระเจ้าไม่สนใจตรงนั้นหรอก ขอแค่ท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ พูดเท่านั้นเองว่า …

“พระเยซูลูกต้องการพระองค์” จบ

เดี๋ยวพระองค์ก็เข้าไป แล้วจากนี้เราก็เริ่มต้นนับหนึ่ง เกิดใหม่แล้ว พระเจ้าก็เข้าไปอยู่กับท่าน และจะจูงมือท่านเดินทีละวันๆ เอเมนไหม? ไม่ยากเลย เราไปทำให้มันยาก จนคนกลัว ต้องทิ้งประเพณีนั้น ประเพณีนี้ ต้องไม่มีนั้น ต้องไม่มีนี้ ในนี้ไม่มีบอกเลยแม้แต่นิดหนึ่งว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ขอให้ท่านมีแค่เมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ ว่า …

“ฉันเชื่อข่าวดีที่วันนี้คุณนครเขาประกาศมา ฉันเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และช่วยฉันได้ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย”

จบ ตามพระคัมภีร์ มนุษย์ไม่ต้องไปใส่อันนั้นอันนี้ ไม่มีข้อแม้ เอาแค่นี้ ทุกวันนี้พระเจ้าก็คอยอยู่ เคาะประตูอยู่ เมื่อไรจะเปิดสักที ไม่มีข้อแม้อะไรเลย ไม่ได้บอกว่าท่านต้องทิ้งศาสนาอื่นนะ ไม่ได้บอก หรือว่าต้องหยุดไหว้รูปเคารพ ไม่ได้พูด หรือท่านต้องหยุดทำพิธีทางศาสนาใดๆ ไม่ได้บอก ไม่มีเลย มันง่ายนิดเดียวเอง แม้ทุกวันนี้เราเชื่อแล้วก็ตาม ท่านก็มีอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่ทำไปเหมือนไปกับคนที่เขายังไม่เชื่อ แล้วจะต่างอะไรกันล่ะ หรือแม้แต่ตัวผมเอง ก็ทำหลายๆ อย่าง ที่เหมือนคนไม่เชื่อ บางครั้งผมก็โมโห บางครั้งผมก็โลภ แล้วถามว่าโลภกับโมโหมันต่างอะไรกับคนนับถือศาสนาอื่น มันต่างอะไรกัน ไม่ใช่รูปเคารพเหรอ แล้วบางคนมาเชื่อพระเจ้า เห็นแก่ตัวมีไหม? มี ถามว่าเห็นแก่ตัวเป็นรูปเคารพไหม? เป็น แล้วมันต่างอะไรกัน บางคนมาเชื่อพระเจ้าแล้ว  นับถือศิษยาภิบาลเป็นรูปเคารพ มีไหม? มี แล้วมันต่างกันอย่างไร? อย่างนั้นใครจะไปรอด

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ครั้งเดียวเป็นพอ ใครเชื่อก็ได้เลย ไม่มีการต้องไปทำอะไร เพราะโดยพระคุณ มันเป็นการเกิดมาได้รับ ทางวิญญาณ พอเชื่อตรงนี้ มันก็เกิดใหม่ในวิญญาณ พอเกิดใหม่มา จบ อย่างนี้จึงเรียกว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ถ้ามาเหมือนเดิมอย่างนั้น พระเยซูยังไม่สำเร็จแล้ว ไม่มีใครได้ไปสวรรค์สักคน ถ้าอย่างนี้ มันจะไปสวรรค์กันเยอะมากทีเดียว และขออวยพรให้ท่านได้ตัดสินใจง่ายๆ พูด …

“ลูกต้องการพระเยซู ลูกต้องการอยากได้อย่างนี้”

พูดให้ชัดเจน จำอะไรไม่ได้หมด ก็ไม่เป็นไร พูด “พระเยซูลูกต้องการพระองค์ ลูกต้องการพระองค์ ลูกเชื่อแล้ว”

แค่นี้ แล้วพระองค์จะนำไปตลอด เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************