วารสาร Holy News ฉบับที่ 1309

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  เมษายน  2021

 เรื่อง “พระเจ้าวิงวอนมนุษย์ทุกคนว่า …  “กลับมาคืนดีกับพระองค์เถิด” …”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อเรื่องการบรรยายในวันนี้ “พระเจ้าวิงวอนมนุษย์ทุกคนว่า “กลับมาคืนดีกับพระองค์เถิด” ซึ่งอยู่ใน 2 โครินธ์ 5:20 พระเจ้าวิงวอนมนุษย์ทุกคนว่ากลับมาคืนดีกับพระองค์เถิด  มนุษย์ทุกคนเลย พระเจ้ากำลังส่งข่าวสารนี้มาบอกท่าน และบอกมานานแล้ว ความร้อนใจของพระองค์ ความเร่งรีบของพระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคนกลับมาคืนดีกับพระองค์ ง้อเราถึงขนาดนี้

ถ้าใครได้ยินได้ฟังคำบรรยายของผมในช่วง 2 ปีนี้ ก็จะรู้ถึงความจริงในถ้อยคำพระเจ้าแล้วว่ามนุษย์ทุกคนสามารถที่จะตัดสินใจเข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้เลยทันที เดี๋ยวนี้ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ทันทีเลย ผมจะอธิบายเรื่องนี้อยู่ 2 ปีอย่างลึกซึ้ง ชัดเจนมาก เพราะรู้ว่าพระเจ้าเร่งรีบ เร่งด่วน และห่วงใยมนุษย์มากๆ อย่างฟังข้อความในวันนี้  ที่ผมยกขึ้นมา จะทราบดีเลยใช่ไหม? ท่านรู้สึกอย่างไรที่ได้ยินว่าพระเจ้าวิงวอน ขอร้องมนุษย์ทุกคนว่า …

“กลับมาคืนดีกับเราเถิด กลับมาบ้านเถิด กลับมาเป็นลูกของเราเหมือนเดิมเถิด กลับมาอยู่ในสวรรค์เถิด”

คิดอย่างไร? ก็คิดเหมือนบรรดามนุษย์ทั้งหลายที่ได้ยินพระเจ้าพูดอย่างนี้ ก่อนหน้านี้ จนถึงปัจจุบัน ก็คือมนุษย์เป็นใครหนอ ที่พระองค์ทรงรัก ห่วงใย คิดถึงแต่เขา  เป็นห่วงเป็นใยเขา มากถึงขนาดนี้ มนุษย์เป็นใครหนอ ที่พระเจ้ารักดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์เลยทีเดียว  ถ้าใครได้ยินได้ฟังข้อความจากพระเจ้าอย่างนี้ แน่นอน เมื่อทุกคนฟังแล้ว คิดอย่างที่พระคัมภีร์บอกไว้แล้ว มนุษย์เป็นใคร? แล้วถ้าได้รับเป็นการส่วนตัว มีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้าแล้ว คือเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ติดสนิทกับพระเจ้าแล้ว ก็ยิ่งชัดเจนว่า …

“ฉันเป็นใคร? ลูกเป็นใครหนอ  ที่พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ทรงรักมากมายถึงขนาดนี้”

นี่แหละ คือที่มาของเรื่องราวในวันนี้ ที่เราจะพูดคุยกัน  เพื่อให้ซาบซึ้งถึงความรักของพระเจ้า  แน่นอน ข้อพระคัมภีร์นี้ จึงเป็นข้อพระคัมภีร์ที่ดัง ฮิตตลอดทุกยุค ทุกสมัย  ก็คือยอห์น 3:16 แต่วันนี้จะไปถึงข้อ 18 เพื่อจะเจาะลึกซึ้งถึงว่าเมื่อเรากลับคืนดีกับพระเจ้า แล้วเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ไม่เชื่อในข่าวดีที่พระเจ้าส่งมาให้  ไม่กลับมาคืนดีกับพระองค์ จะเกิดอะไรขึ้น  ทำไมพระเจ้าถึงห่วงใยเราขนาดนี้  ถึงขนาดเร่งรีบและขอร้อง วิงวอนให้เรารีบกลับใจมาหาพระองค์เถิด ลองอ่านกันดูนะ ยอห์น 3:16-18 …

ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักโลก ดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอด โดยพระบุตรนั้น 18 คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกพิพากษา ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจในพระนาม พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

ในข้อที่ 16 บอกว่าเพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก คือรักมวลมนุษยชาติ รักสิ่งของที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นบนโลกใบนี้ เป็นบ้านของมนุษย์ รักมนุษย์ยิ่งนัก คือสำแดง โดยการประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น วางใจในพระเยซูจะไม่พินาศ

“ไม่พินาศ” หมายถึงไม่ต้องถูกลงโทษว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ต้องรับโทษ แต่กลับได้มีชีวิตนิรันดร์ ก็คือได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ ก็คือมีชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า

ข้อ 17 บอกว่าเพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ก็คือให้พระเยซูมาบังเกิดในโลกนี้ ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก คือไม่ได้มาเพื่อทำการพิพากษาลงโทษโลก  ตามที่มนุษย์ถูกพิพากษาไปแล้ว  หมายความว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงประทานพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะทำการพิพากษาครั้งสุดท้าย เพราะว่ามนุษย์อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว

พระเจ้าไม่ได้ประทานพระเยซูคริสต์มา เพื่อทำให้มนุษย์ต้องได้รับโทษ ตามที่ได้ถูกลงโทษไปแล้ว พูดง่ายๆ อย่างนี้นะ แต่มาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ซึ่งถูกลงโทษอยู่แล้วนั้น  ให้รอดพ้นจากการถูกลงโทษ เพราะขบวนการการลงโทษ ยังไม่เสร็จสิ้น  ต้องรอการตัดสินครั้งสุดท้ายอีกทีหนึ่ง  เขาเรียกว่าการพิจารณาครั้งสุดท้ายของขบวนการการลงโทษนั่นเอง ซึ่งการจะหลุดรอดพ้นนั้น รอดพ้นโดยพระบุตร คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น

ข้อที่ 18 ได้บันทึกไว้  คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกลงโทษ ก็แสดงว่าคนที่ไม่วางใจ ก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว คนที่วางใจในพระบุตร จะได้รับการอภัยโทษนั่นเอง โทษอะไร? โทษที่เป็นคนบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า

ในนี้บอกว่าส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ คนที่ไม่เชื่อ ไม่ได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ไม่ได้วางใจในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ก็ถูกพิพากษา หมายถึงว่าคนที่ไม่ได้วางใจ ไม่ได้รับการช่วยให้รอด  ก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว  ก็ถูกพิพากษาลงโทษไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง เพราะว่าไม่ได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือไม่ได้วางใจในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าส่งมา เพื่ออภัยโทษ เพื่อยกโทษบาปให้กับท่านนั่นเอง

พูดง่ายๆ สรุปตรงนี้ ก็หมายถึงว่ามนุษย์ทุกคนตกอยู่ในการพิพากษาลงโทษไปแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษมา พูดง่ายๆ ว่าถูกตัดสินประหารชีวิตไปแล้ว แต่รอขบวนการลงมือประหารนั่นเอง ตอนนี้อยู่ในคุกตาราง รอวันเวลาขบวนการเอกสารสำเร็จ ก็นำไปประหารชีวิต แต่ในขณะที่อยู่ในคุกตาราง อยู่ในการลงโทษ ถูกประหารชีวิต พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่ออภัยโทษให้ ถ้าเชื่อในพระเยซูคริสต์นี้ โทษการถูกประหาร ก็ได้รับการยกเลิก แล้วออกจากคุก ออกจากตาราง เป็นอิสระ นั่นมันหมายถึงตรงนี้

พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเจ้าไม่ได้ต้องการให้คนใดคนหนึ่ง  คือมนุษย์คนใดต้องพินาศเลย  พินาศ คือถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาป  คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า เกลียดพระเจ้า พระเจ้าเป็นความสว่าง คนบาป ก็อยู่ในความมืด พระเจ้าเป็นความดี คนเกลียดความดี ก็คือคนชั่วนั่นเอง พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ แน่นอน คนที่เกลียดสวรรค์ ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ก็คืออยู่ในความพินาศ ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า  พระเจ้าจึงอยากให้ทุกคนมาได้รับความรอด จากการถูกพิพากษาอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว  โดยการได้รับการยกโทษจากพระองค์ ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ที่มาไถ่บาปให้กับเรา แล้วบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ในครอบครัวในสวรรค์ได้นั่นเอง หมายถึงอย่างนี้

พระเจ้าจึงต้องการมาก  และเตรียมทางให้กับมนุษย์เรียบร้อยแล้ว  คือส่งพระเยซูคริสต์มาบังเกิด เป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ เพื่อเปิดทางสู่สวรรค์ให้กับมนุษย์ เปิดทางให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่  เข้ามาเป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า  เข้ามาเป็นลูกของพระองค์ได้  พ้น เป็นอิสระจากการถูกตัดสินว่าเป็นคนบาป คนชั่ว  ต้องอยู่ในความพินาศตลอดไปนั่นเอง

พระเจ้าเตรียมทาง และทางนั้นมีทางเดียว ก็คือทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ทรงประทาน เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระเมสิยาห์  พระเจ้าต้องการให้เราวางใจในพระบุตร คือพระเยซู ไม่ใช่พึ่งพาความดี ความรอบรู้ การกระทำของตนเอง เพราะกระทำอย่างไร มันก็ไม่มีทางครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นคนดีได้  หมดบาป หมดสิ้นเลย  เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว  เราก็รู้ดี

เพราะฉะนั้น การบังเกิดใหม่ มาเป็นผู้บริสุทธิ์เลย โดยพึ่งพาความช่วยเหลือของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดของมนุษย์ทุกๆ คน พระเจ้าจึงวิงวอน ขอร้อง และให้ความสำคัญกับเรื่องการบังเกิดใหม่นี้มาก

พระเจ้าวิงวอนมนุษย์ทุกคนว่ากลับมาคืนดีกับพระองค์เถิด ก็คือมาบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มาอยู่ในครอบครัวของพระองค์เถิด พระองค์ทรงจัดเตรียมทางออกไว้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

ขบวนการการเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มันมีลักษณะอย่างนี้  ทำไมเราต้องบังเกิดใหม่  ก็เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกไว้ว่าทางฝ่ายวิญญาณเราเกิดมา อยู่ในเชื้อสายของบรรพบุรุษที่เรียกว่าอาดัมและเอวา ซึ่งเป็นเชื้อสายที่เป็นบาป  เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า  เกลียดพระเจ้า เกลียดชังความดีงาม  เป็นทาสของความชั่วร้าย เป็นทาสมาร  เราอยู่ในความพินาศ … พินาศ คือความชั่วร้าย ความตาย ความสาปแช่ง สิ่งที่ไม่ดี และเป็นอยู่อย่างนี้นิรันดร์

ฟังอีกที เราเกิดมาในฝ่ายวิญญาณ DNA ทางฝ่ายวิญญาณมาจากบรรพบุรุษเราที่อยู่ในความพินาศนิรันดร์ ถ้าเราไม่รีบย้ายสถานที่ ย้ายเผ่าพันธุ์ ย้าย DNA ของเรา ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ ตอนที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่  เราจะต้องพบกับความพินาศนี้ ต้องถูกลงโทษ  เนื่องจากความบาป ซึ่งความบาป ก่อให้เกิดความตาย และความชั่วร้าย  ความสาปแช่ง และความพินาศ  เราถูกพิพากษาลงโทษชั่วนิรันดร์ เราต้องรับโทษนี้ชั่วนิรันดร์ เพราะเราเกิดมาในคำสาปแช่ง  เราเกิดมาในความบาปของบรรพบุรุษของเรา ซึ่งเป็นเชื้อสายส่งมาถึงเราทางวิญญาณ นี่เป็นความจริงที่เราต้องรับรับรู้

เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องย้าย  ตัดสินใจย้ายออกจากความพินาศนี้ เข้ามาอยู่ในชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ในพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ทันที ตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ว่าพระเยซูคริสต์ได้ถูกส่งมาบนโลกใบนี้  เพื่อเป็นต้นพันธุ์ของมนุษย์พันธุ์ใหม่ พระเยซูทรงมาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อพระเจ้าจะได้สร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ขึ้นมา พันธุ์ใหม่ คือพันธุ์ที่รอดพ้น จากการถูกลงโทษ พินาศนิรันดร์นั่นเอง มารับชีวิตนิรันดร์ อยู่ในสวรรค์นิรันดร์กับพระเจ้าได้

มนุษย์พันธุ์ใหม่ ต้นพันธุ์ ก็คือพระเยซูคริสต์ มนุษย์พันธุ์เก่าที่ต้องอยู่ในความพินาศ ต้นพันธ์ ก็คืออาดัม มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องได้ยินข่าวประเสริฐนี้ และตัดสินใจเชื่อและวางใจ เพื่อจะได้ให้พระเจ้าย้ายวิญญาณ ตัวตนเราจริงๆ  จากครอบครัวเผ่าพันธุ์เดิม  คืออาดัม มาสู่ครอบครัวของพระเจ้า  คือสวรรค์สถาน ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง

และสิทธิที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ คือต้นพันธุ์ใหม่ ของมนุษย์พันธุ์ใหม่  นำสวรรค์มาอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูคริสต์กระทำให้กับมนุษย์ทุกคน เพราะพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนของมนุษย์  เป็นหัวหน้า เผ่าพันธุ์ของมนุษย์  เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะได้รับสิทธินี้  ประโยชน์นี้  ก็จะต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น  ทำไมต้องเน้นว่าเป็นมนุษย์ เพราะเป็นวิญญาณไม่ได้ หรือตามภาษาไทยเราเรียกว่าเป็นผีใช่ไหม?  เป็นผีไม่ได้ ต้องเป็นมนุษย์ … มนุษย์กับผี กับวิญญาณต่างกันอย่างไร? พระเยซูบอกว่าผีไม่มีเนื้อหนัง ไม่มีร่างกายแบบนี้  ไม่มีเลือด  เพราะมนุษย์ คือวิญญาณที่อยู่ในร่างกายแบบนี้เท่านั้น ที่เรียกว่ามนุษย์ มีสิทธิ์ที่จะใช้สิทธิที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำแล้ว ที่ไม้กางเขน  คือนำเอาสวรรค์เข้ามาให้กับมนุษย์  และมนุษย์สามารถบังเกิดใหม่  ย้ายจากอาณาจักรในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าความพินาศ คำสาปแช่ง ถูกลงโทษ ทุกข์นิรันดร์ มาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้นั่นเอง ฮีบรู 9:27-28 ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ …

ฮีบรู 9:27-28 “27 เหมือนที่มนุษย์ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว หลังจากนั้น ต้องพบกับการพิพากษา 28 พระคริสต์ก็ทรงถวายพระองค์เองครั้งเดียว เพื่อลบล้างบาปของประชาชน เป็นอันมาก และพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อรับแบกบาป แต่เพื่อนำความรอด มายังบรรดาผู้ซึ่งรอคอยพระองค์”

 

นี่คือกฎทางวิญญาณที่พระเจ้าทรงเป็นผู้ดูแลทุกอย่าง เหมือนกฎแรงดึงดูดของโลก  มันมีอยู่จริงๆ นี่คือกฎของฝ่ายวิญญาณที่เป็นอยู่จริงๆ  ซึ่งพระเจ้าสอนเรา เพื่อเราจะได้เรียนรู้  กฎทางฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้ คือมนุษย์ทุกคนตายแค่ครั้งเดียว  แล้วพบกับการพิพากษา เรามาวิเคราะห์ตรงนี้กันดู

“มนุษย์ตายแค่ครั้งเดียว” คือวิญญาณออกจากร่าง เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีออกจากร่าง ไปตาย แล้วมาเกิดใหม่ ไม่มี พอออกจากร่าง ก็เจอกับการพิพากษา  ซึ่งเราเรียนรู้แล้วว่ามันหมายถึงถูกลงโทษ รับโทษทัณฑ์ที่ถูกตัดสินไปแล้ว  ครั้งนี้เป็นการปฏิบัติการแล้ว  ถูกตัดสินว่าประหาร ครั้งนี้ประหารจริงแล้ว

มนุษย์ตายแค่ครั้งเดียว และหลังจากนั้น ถูกพิพากษาตัดสิน กระทำการ จบการลงโทษทัณฑ์ คือนำไปประหารนั่นเอง มันหมายถึงอย่างนั้น

พูดง่ายๆ ว่ามนุษย์ตายเพียงครั้งเดียว พอตายปุ๊บ ไปเจอกับการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้ายของเขา  ก่อนรับโทษทัณฑ์ พูดง่ายๆ

คริสเตียนที่ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว คือผู้ที่รับเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว พระคัมภีร์บอกว่าทุกคน ควรจะมีความมั่นใจ 100% ตามถ้อยคำของพระองค์ว่าเมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเจ้า และวิญญาณได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสรรค์กับพระเจ้าเดี่ยวนี้เลย ในพระคัมภีร์บอก

พระคัมภีร์บอกว่าควรจะรับรู้เรื่องนี้ว่าตอนที่เราอยู่ในโลกนี้ พอเราเชื่อในพระบุตร เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรสวรรค์เลย  เดี๋ยวนี้ทันที  แต่ปรากฏว่าหลายๆ คนอาจจะยังไม่เข้าใจตรงนี้ ยังมีความรู้สึกว่าเมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว เมื่อออกจากร่างแล้ว ยังต้องไปอยู่ในการพิพากษาหรือ? ตอนนี้ท่านก็พอจะทราบแล้วใช่ไหมครับว่าตามถ้อยคำเมื่อตะกี้นี้ที่เราเห็นชัดเจน เมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นอิสระแล้ว จากการถูกลงโทษ  เมื่อเป็นอิสระแล้ว ก็เป็นอิสระเลย  ก็เป็นลูกพระเจ้า และอยู่ในสวรรค์เลย อยู่แล้ว ก็ไม่ได้ไปไหนอีกแล้ว เพราะพระเจ้าปกปักคุ้มครองดูแลเราอยู่ในสวรรค์ ไม่ได้กลับมาลงโทษอีก  ท่านพอเข้าใจนะครับ

แต่เราพูดถึงหลายๆ คน ก็อยากจะตั้งคำถามว่าแล้วถ้าเกิดไม่เชื่อล่ะ ที่ตะกี้เราพูดถึงคนไม่เชื่อ ถ้าตายแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น วิญญาณของผู้คนเหล่านั้นที่ไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เมื่อถึงเวลาตาย คือวิญญาณออกจากร่างกายนี้แล้ว จะไปอยู่ที่ไหน?

ในฮีบรูที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ที่บอกว่า “มนุษย์ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว  หลังจากนั้นต้องพบกับการพิพากษา” ก็คือหลังจากนั้น ต้องพบกับการลงโทษ ครั้งสุดท้าย พระคัมภีร์เรียกว่าตายครั้งที่สองนั่นเอง พินาศครั้งที่สอง  คือถูกสั่งพินาศไปเรียบร้อยแล้ว  ตอนนี้ปฏิบัติการพินาศจริงเลย  ถูกสั่งให้ไปประหารชีวิตเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ถูกสั่งให้ไปประหารจริง

บันทึกไว้ชัดเจนว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาแล้ว ก็ต้องตายครั้งเดียว แล้วเมื่อตายแล้ว หลังจากนั้น ก็ต้องพบกับการพิพากษาลงโทษ  วิญญาณออกจากร่างกาย วิญญาณและจิตใจที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ  ออกจากร่างกายนี้ จะเห็นภาพว่าร่างกายนี้ ถูกฝัง ถูกเผา  ตายไปแล้ว วิญญาณและจิตใจซึ่งเป็นตัวตนของเราจริงๆ นั้นยังอยู่ ไปอยู่ในมิติวิญญาณถูกไหม? เราก็รู้กันอยู่ตรงนี้ ถูกย้ายเข้าไปอยู่ในมิติวิญญาณ ซึ่งในมิติวิญญาณไม่มีกาลเวลา หมายถึงอยู่อย่างนั้นตลอดไป  เมื่อตายแล้ว หลังจากนั้น พบกับการพิพากษา พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

เมื่อตายแล้ว เข้าไปสู่มิติวิญญาณแล้ว พบกับการพิพากษา ที่เราเรียนรู้แล้วเมื่อตะกี้นี้ หมายถึงการถูกลงโทษทัณฑ์ ครั้งที่สอง  ครั้งสุดท้าย  ทางปฏิบัติการนั่นเอง  ถูกนำไปประหาร  เพราะก่อนหน้านี้ถูกตัดสินลงโทษบาปไปแล้ว เมื่อออกจากร่างไปแล้ว  ไปสู่มิติวิญญาณ พบกับการลงโทษ สู่ความพินาศนิรันดร์นั่นเอง

นี่คือเหตุปัจจัยความจริงที่พระเจ้า จึงเศร้าใจ เป็นห่วงเป็นใย  เรียกร้อง วิงวอน ขอร้อง ตื้อให้มนุษย์ทุกคนกลับมาหาพระองค์เถิด มารับความรอดเดี๋ยวนี้เลย ทันที เพราะรู้แล้วว่ามนุษย์ออกจากร่างไม่ได้ ถ้าเผื่อยังไม่เชื่อพระเยซู ออกจากร่างเมื่อไร ก็พบกับการถูกลงโทษ ครั้งสุดท้าย ไม่มีทางแก้ไขได้แล้ว พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่าเวลานั้นเวลานี้  แต่เรารู้อยู่แล้วว่าเมื่อออกจากร่างกายนี้ไปสู่มิติวิญญาณ  ในมิติวิญญาณนี้ ไม่มีกาลเวลา  แต่พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าต้องเจอ หรือต้องพบกับการพิพากษา การถูกลงโทษครั้งที่สองแน่นอน แล้วเป็นคำพูดในประโยคที่เราอ่านแล้ว เรารู้สึกเลยทันทีว่ามันเกิดขึ้นทันที  มันไม่ต้องรอ เพราะว่าขณะอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้ มันก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว  อยู่ในความบาปอยู่แล้ว ถ้าเราไม่เชื่อ ถูกไหมครับ?

นี่คือเหตุปัจจัยที่ทำไมพระเจ้าจึงจำเป็นต้องให้เราช่วยกันประกาศข่าวประเสริฐ เมื่อเรารู้ความจริงแล้ว หรือต้องวิงวอนขอต่อผู้คน ที่ยังไม่รู้ความจริง หรือรู้ความจริงแล้ว แต่ยังเฉยเมยกับเรื่องนี้อยู่ ให้รีบตัดสินใจ กลับมาหาพระองค์เถิด กลับมาเป็นลูกของพระองค์เถิด  นี่แหละ คือความสำคัญ เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่ง มาถึงซึ่งการถูกลงโทษให้พินาศนิรันดร์นั่นเอง

ทุกคนได้ถูกกำหนดอยู่ในกฎว่าตายจากโลกนี้  ออกจากร่างนี้ ได้เพียงครั้งเดียว  หลังจากนั้นทันทีสู่การพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้าย คือตัดสินว่าเขาจะอยู่ในอาณาจักรไหน?  ถ้าเขาไม่ตัดสินใจย้าย เขาก็จะอยู่ในความพินาศ เป็นการตัดสินว่าเขาอยู่ฝ่ายไหน? อยู่ในอาณาจักรไหน? อยู่ในพระคริสต์ เรียกว่าในสวรรค์ หรืออยู่ในอาดัม อยู่ในความพินาศ  เมื่อวิญญาณของเขาออกจากร่าง สู่มิติวิญญาณ ก็พบกับความจริงนี้เลย เพราะในโลกวิญญาณ ไม่มีกาลเวลา เหมือนกับโลกใบนี้ที่พระเจ้าได้สร้างให้มีกาลเวลา มีวัน มีเดือน มีปี แต่ในโลกวิญญาณไม่มี เป็นอยู่อย่างไร? ก็เป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดกาล วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ พระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์คนใดอยู่ในความพินาศ อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า อยู่ในความทุกข์ทรมาน วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ แต่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์เข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระองค์ อยู่ในความดีงาม อยู่ในพระเยซูคริสต์ วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์นั่นเอง

เปาโลบอกอย่างนี้ว่า … “ข้าพเจ้าอยากออกจากร่างนี้เร็วๆ เพื่อจะไปพบกับพระเจ้า”

เปาโลผู้ซึ่งพระเจ้าเคยพาเข้าไปอยู่ในสวรรค์จริงๆ แล้ว มีประสบการณ์ในการเข้าไปอยู่ในสวรรค์จริงๆ ตอนเป็นอยู่ ได้มาบอกเราอย่างนี้ว่าในสวรรค์ดีกว่าเยอะ ถ้าเป็นไปได้ อยากจะออกจากร่างกายนี้ ย้ายมิติไปเท่านั้นเอง  เปาโลและทีมงานจึงตั้งใจแน่วแน่และทุ่มเทประกาศข่าวดีนี้ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย เพราะรู้ถึงสิ่งนี้  และเป็นตัวแทนของพระเจ้า ขอร้องให้มนุษย์นั้นกลับมาคืนดีกับพระเจ้าเร็วที่สุด เท่าที่ทำได้ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไร? มนุษย์คนใดจะออกจากร่างนี้ไป วิญญาณออกจากร่าง และหมดสิทธิ์ในการตัดสินใจ เพราะฉะนั้น มนุษย์จำเป็นจะต้องตัดสินใจในเรื่องนี้ ก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่าง เพราะว่าเมื่อตายแล้ว  เขาก็ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป เพราะฉะนั้น เราต้องตัดสินใจตอนที่ยังเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ในเรื่องนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดเจน ถ้าไม่ตัดสินใจเกิดใหม่  วางใจในพระเจ้า กลับมาหาพระเจ้า เขาก็จะต้องอยู่ในบาป อยู่ในความชั่วร้าย อยู่ในการถูกลงโทษ ไม่มีใครช่วยได้เลย  แม้แต่นิดหนึ่ง สิ่งเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในบัญชีของเขา ก็คือความบาป การถูกลงโทษ  เพราะเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นคนบาป  แต่ถ้าเขาเชื่อในพระเยซู พระเจ้าก็จะให้เขาบังเกิดใหม่  ด้วยวิญญาณที่เป็นนิรันดร์ เหมือนพระเยซู สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว ในบัญชีของเขา เพราะพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ลบบาปทั้งสิ้นของเขาไปเรียบร้อยแล้ว  ในฮีบรู 10:4 เขียนบันทึกไว้อย่างนี้ด้วยว่าเมื่อพระเยซูถวายตัวเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น สมบูรณ์แบบตลอดกาล พระเยซูตายที่ไม้กางเขนชำระบาปให้มนุษย์ทุกคน เพียงครั้งเดียว เพียงพอที่จะทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ สมบูรณ์ที่จะอยู่ในสวรรค์ได้  แต่มนุษย์คนนั้นต้องต้อนรับสิทธิของเขา ด้วยตัวเอง พระเจ้าจะไม่บังคับ  แต่พระเจ้าวิงวอนขอร้อง ต้องการมากเลยให้เขาตัดสินใจ ย้ายข้างซะ เปลี่ยนข้างซะ มาบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ซะ  เมื่อเขาย้ายข้างมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ หมดบาปแล้ว พระเจ้าตรัสว่า …

“เราจะไม่จดจำความบาปของเจ้าอีกต่อไป ตะวันออกห่างจากตะวันตกเท่าไร เราจะเอาบาปของเจ้าออกไปไกลจากเจ้าเท่านั้น”

ท่านลองคิดดูสิ ตะวันออก ตะวันตกไม่มีวันที่จะพบกันได้อีกเลย ก็คือบาปที่ถูกลบล้างออกไป ในวันที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์มันไม่มีทางกลับมาหาเราได้อีกเลย  แม้แต่นิดเดียว  ท่านจึงสมควรและมีคุณสมบัติครบถ้วน  บริบูรณ์ บริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เพราะว่าได้รับการรักษาทางวิญญาณ ให้กลับคืนดีกับพระเจ้าอย่างเรียบร้อยไปแล้ว  โดยการบังเกิดใหม่  รอดพ้นจากตัวตนเก่า ซึ่งถูกพิพากษาลงโทษ ประหารชีวิตไปแล้วนั่นเอง และสิ่งนี้ จะต้องเกิดขึ้นภายใต้ การเป็นมนุษย์ คือยังคงอยู่ในร่างกายนี้อยู่ คือต้องตัดสินใจก่อนที่จะตายนั่นเอง

เพราะฉะนั้น สรุปก็คือมี 2 ทาง …

ถ้าเชื่อในข่าวดี  ก็ได้ย้ายวิญญาณของตนเอง ทันทีเลย เข้าไปสู่สวรรค์ นั่งกับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์ทันที  ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นั่นเอง

แล้วอีกฝั่งหนึ่ง ถ้าไม่เชื่อ เมื่อออกจากร่างไป  เข้าไปสู่มิติวิญญาณ  ก็ทันทีเหมือนกัน ก็อยู่ที่เดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ  อยู่ที่ไหนที่เดิม มนุษย์ทุกคนเกิดมาบาป พระคัมภีร์บอก อยู่ในความพินาศ  อยู่ในความชั่วร้าย อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า อยู่ในความทุกข์ แสนสาหัสชั่วนิรันดร์

พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงเรื่องเกี่ยวกับว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อมนุษย์คนใดคนหนึ่ง ไม่เชื่อในข่าวดีนี้  แล้วออกจากร่างไปอยู่ในโลกวิญญาณ เรียกว่าอยู่ในความพินาศ  อยู่ในความตายนิรันดร์ เกิดอะไรขึ้น บันทึกไว้ในหนังสือวิวรณ์ 20:12-13 ว่า …

วิวรณ์ 20:12-13  “12 และข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ตายทั้งผู้ใหญ่ ผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง หนังสือเล่มต่างๆ เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่ง ก็เปิดออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต และผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตน ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น 13 ทะเล คืนคนตายที่อยู่ในทะเล ความตายและแดนมรณา ก็คืนคนตายที่อยู่ในนั้น และแต่ละคนถูกพิพากษาตามการกระทำของตน”

 

เรื่องระยะเวลา พระคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้บอกชัดเจนว่าพบเมื่อไร? แต่ถ้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น? ไปเจอกับอะไร? อันนี้ในพระคัมภีร์ชัดเจนที่สุดเลย ก็คือเจอความพินาศนั่นเอง  ผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษา ตามการกระทำของตน  ตรงนี้คือจุดหลักของข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้

เมื่อออกจากร่างแล้ว ตายแล้ว  เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาลงโทษ คือถูกประหารชีวิตอยู่แล้ว ตามการกระทำของตน  … การกระทำของตน คือไม่ได้ย้ายครอบครัว ไม่ได้ย้ายเผ่าพันธุ์จากเดิม มาสู่พระเยซูคริสต์ ตอนที่มีชีวิตอยู่ นั่นหมายถึงตามการกระทำของตน  ซึ่งคนที่ไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็เป็นคนที่อยู่ในโทษทัณฑ์ตลอดไป

ซึ่งในข้อนี้ ผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตน ข้อนี้มีการเข้าใจผิด  และนำไปใช้ผิดเยอะมากมาย  ทำให้ความจริง ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ผิดเพี้ยนไป

การพิพากษา คืออะไร?  การพิพากษา การถูกลงโทษ ในโทษทัณฑ์ ซึ่งมีอยู่แล้ว เป็นอยู่แล้ว ตอนเป็นมนุษย์ และการพิพากษาลงโทษในข้อนี้  หมายถึงการพิพากษาลงโทษ รอบที่สอง ครั้งสุดท้ายนั่นเอง นำไปตัดหัวได้ พอเข้าใจไหม? ในหนังสือวิวรณ์ 20:12-13 ที่ตะกี้เราอ่าน มันหมายถึงอย่างนี้  ถูกพิพากษา หมายถึงถูกนำไปประหารแล้ว ถูกพิพากษาตรงนี้ หมายถึงการถูกพิพากษาครั้งสุดท้าย

และถามว่าครั้งแรกถูกพิพากษาไปเมื่อไร?  ครั้งแรกถูกพิพากษาตั้งแต่ยังไม่เกิดเป็นมนุษย์เลย ถูกพิพากษาไปตั้งแต่อาดัมและเอวาล้มลงไปในความบาป ถูกพิพากษาและคำพิพากษานั้น การถูกลงโทษนั้น อาดัมถูกลงโทษ เราก็ถูกลงโทษหมดเลย เพราะเราเป็นลูกหลานของอาดัมทั้งนั้น มาจากอาดัม บรรพบุรุษของเรา พอจะเห็นภาพไหม?  นั่นคือการถูกลงโทษ ถูกพิพากษาไปแล้ว ให้ประหารชีวิตไปแล้ว  แต่รอกระบวนการยุติธรรม จากการจับตัวไปตัดหัว ระหว่างรอกระบวนการยุติธรรมนั้น เรายังมีโอกาส ได้รับการอภัยโทษ แต่ถ้าเราไม่ใช้สิทธิการอภัยโทษนั้น  ซึ่งพระเจ้าประทานให้แล้ว ผ่านทางพระเยซู ถ้าเราไม่ใช้ เราก็อยู่ในโทษทัณฑ์นั้น  เห็นภาพไหม?

พอวิญญาณออกจากร่าง กับการพิพากษา ตรงนี้หมายถึงการพิพากษาครั้งที่สองว่าเป็นผู้ถูกลงโทษ นำไปประหารนั่นเอง ชัดแล้วนะ

การพิพากษาครั้งที่สอง คือสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ คือยังไม่เชื่อพระเจ้า ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนนั่นเอง เพราะฉะนั้น คริสเตียนไม่ต้องมายืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษาแล้ว  เพราะเขาพ้นโทษไปแล้ว  สำหรับผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว  ที่ได้ย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ในสวรรค์ กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  เขาไม่ต้องได้รับการพิพากษานี้อีกแล้ว ไม่มีการพิพากษาครั้งที่สอง ไม่มีการนำไปประหารชีวิตอีกแล้ว  เขาย้ายมาตั้งแต่แรกแล้ว  พอจะเห็นภาพไหม?

เพราะฉะนั้น การพิพากษาเมื่อสักครู่ที่เราอ่านในหนังสือวิวรณ์ บทที่ 20 นี้  จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับผู้คน ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ ยังไม่เชื่อเท่านั้น  ย้อนกลับไปอ่านในหนังสือยอห์น 3:18 ที่บอกว่า … คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกพิพากษา คนที่วางใจในพระเยซูคริสต์ ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ ยังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ จะไม่ถูกพิพากษาครั้งที่สอง ครั้งแรกถูกพิพากษาไปแล้ว ครั้งที่สอง ไม่ต้องถูกพิพากษาอีก  เพราะว่าเขาย้ายที่แล้ว  เขาบังเกิดใหม่แล้วนั่นเอง  เขาเป็นอิสระแล้ว  ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจในพระเยซูคริสต์ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว ข้อ 18 บอกตรง ชัด สำหรับคนที่ไม่ได้วางใจ ไม่ได้ย้ายมา ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น เมื่อวิญญาณออกจากร่างไป ก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว  ต้องถูกนำไปประหารนั่นเอง  เพราะเขาไม่ได้วางใจในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า นี่ชัดเจนเลย  ผมจะพยายามค่อยๆ ไปทีละนิด  ให้ท่านเห็นชัดเจน เห็นถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ ความสำคัญขนาดความเป็นความตาย  พระเจ้าจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และทุกข์ใจมาก วิงวอนให้รับเอาความรัก ความเข้าใจนี้เข้าไปในจิตวิญญาณของเขา ให้เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซู

ในวิวรณ์ที่บอกว่า “ข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ตายทั้งผู้ใหญ่ ผู้น้อยยืนอยู่ต่อหน้าพระที่นั่ง”

“บรรดาผู้ตาย” ตรงนี้ หมายถึงผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ได้บังเกิดใหม่  เมื่อยังไม่ได้บังเกิดใหม่ เขาก็ยังคงตาย อยู่ในความบาปของเขา ในอาดัม ซึ่งเป็นเชื้อมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเขา คืออาดัมนั่นเอง  ไม่เคยได้รับความรอด คือไม่เคยได้เชื่อและได้รับความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์เลย ซึ่งต้องมายืนอยู่ต่อหน้าพระที่นั่ง เพื่อรับการพิพากษาตัดสินครั้งสุดท้าย  นำไปลงโทษนั่นเอง ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งที่สอง  เป็นนิรันดร์จากนั้น ถ้าถูกลงโทษ ถึงความตาย ก็ไปอยู่ในความตายนิรันดร์ เขาก็อยู่ในความพินาศนิรันดร์ พระคัมภีร์บอก ไปอยู่ในที่ซึ่งไม่มีพระเจ้า อยู่ในความทุกข์ทรมาน บนโลกใบนี้ ก็ทุกข์ทรมานมากพออยู่แล้ว  แต่ทุกข์ทรมานไม่นิรันดร์ มีจำนวนปีอยู่ แต่ถ้าเขาตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว ไปอยู่ในวิญญาณ  การถูกประหาร การถูกตัดสินให้อยู่ในความพินาศ มันเป็นนิรันดร์กาลเลย ทุกข์ทรมานมาก  พระเจ้าจึงห่วงใยมนุษย์มากยิ่งนัก

คราวนี้เรามาดู สำหรับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระบุตร  ได้ย้ายจากเผ่าพันธุ์เดิมมาสู่เผ่าพันธุ์ใหม่ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระองค์ รับการกลับคืนดีกับพระเจ้าแล้ว ดูสิว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่าง อะไรเกิดขึ้น? วิวรณ์ 21:1-4 เป็นของเขา …

วิวรณ์ 21:1-4 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้ เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงาม รอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้า มาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขา และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขาจะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

 

ผู้ที่วางใจ เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า  ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ตั้งแต่มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อวิญญาณออกจากร่างไป วิญญาณก็อยู่ที่เดิมนั่นแหละ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เหมือนเดิม แต่เขาจะได้รับร่างกายใหม่  ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่ไม่ต้องตาย ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน  นึกภาพออกใช่ไหม เหมือนร่างกายของพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย และเมื่อได้รับร่างกายใหม่นี้แล้ว เขาก็อยู่ในโลกใหม่นี้ด้วย ฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไป  บนโลกใบนี้จบสิ้นไปแล้ว  ไม่มีความบาปอีกต่อไป  เจ้าของความบาป ต้นเหตุของความบาป  คือมารซาตาน ก็ถูกจับโยนไปในบึงไฟนรก ท่านพอจะมองภาพออกไหม? มีโลกใหม่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งไม่ใช่โลกเดิมอีกต่อไปแล้ว  และเขาจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าอย่างนี้ชั่วนิรันดร์

ในนี้บอกว่า “พระองค์จะซับน้ำตาทุกหยดของพวกเขา”

ความทุกข์ลำบากที่เคยเกิดขึ้นกับเราตอนเป็นมนุษย์ เมื่อเราเข้าไปอยู่ในวิญญาณ พระเจ้าจะมาปลอบโยน มีสุขแล้ว นึกถึงภาพเมื่อเราออกจากร่างไปอยู่ในโลกวิญญาณ เราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า พระองค์จะเข้ามากอดเรา อันนี้เราจะดีใจขนาดไหน?

“จะไม่มีความตาย  หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้” ร่างกายไม่ต้องตาย ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องกลัวโควิด หรือโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ไม่ต้องกลัวมะเร็ง ไม่ต้องกลัวอุบัติเหตุ ไม่ต้องกลัวอะไรต่อไปอีกแล้ว  เพราะได้รับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซู ไม่มีการร่ำไห้  ไม่มีการเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป  เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว ระบบเก่า คือระบบคำสั่งสาปแช่ง  อยู่ในความบาป อยู่ในสวนเอเดน  ที่ล่มสลายไปแล้ว อยู่ในความวิปริต อยู่ในความชั่วร้าย  ซึ่งครอบครองอยู่เหนือโลกใบนี้ ซึ่งบัดนี้มันได้สูญสิ้นไปแล้ว มันได้จบไปแล้ว วันหนึ่งข้างหน้า โลกใบนี้จะสูญสิ้น ความบาป ความชั่วร้ายต่างๆ จะสูญสิ้นลงทั้งหมด แต่วิญญาณของมนุษย์จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานหรือไม่? หรือจะไปอยู่ในที่เดิม สูญสิ้นไปกับโลกใบนี้หรือเปล่า?  ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นตัดสินใจเลือกที่อยู่ในสวรรค์ หรือเลือกที่จะอยู่ในความพินาศนั้นนิรันดร์ทั้งคู่ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น

เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระบุตร คือพระเยซู ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลในเรื่องการพิพากษาอีกต่อไป เพราะการพิพากษานี้ มันจบสิ้น ไปแล้ว สำหรับเรา เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เราได้รับการอภัยแล้ว พระเยซูแบกรับโทษของความบาปของเราไปหมดแล้ว  เราใช้สิทธิของเราแล้ว เราหมดหนี้ หมดกรรมแล้ว  เราไม่ต้องใช้หนี้กรรม หนี้โทษอะไรอีกต่อไป เราไม่มีความผิดบาป ไม่ได้ถูกลงโทษพิพากษาตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

เมื่อเราตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่ได้อยู่ในความบาป ไม่ได้อยู่ภายใต้การถูกพิพากษาลงโทษอีกแล้ว ตั้งแต่มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ก็ไม่ได้ถูกลงโทษอีกแล้ว  พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ  สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์อีกต่อไปแล้ว ฮาเลลูยา ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ อยู่ในกฎวิญญาณของพระเยซูคริสต์ กฎของความรอดในพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยการกระทำของตนเอง เรารอดแล้ว และเป็นความรอดที่ได้รับตั้งแต่ตัดสินใจ ตอนนี้ ลมหายใจตอนนี้ และรอดไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ นี่มันเป็นอย่างนี้ ในหนังสือ 1 ยอห์น 1:17 จึงได้บันทึกไว้อย่างชัดเจน อย่างนี้ว่า …

1 ยอห์น 4:17 “แบบนี้สิ ความรักของพระเจ้าถึงสำเร็จ ตามเป้าหมายของพระองค์ในพวกเรา เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตจิตวิญญาณ ที่เรามี ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระคริสต์”

 

“มันต้องอย่างนี้สิ มันต้องแบบนี้”  พระเจ้าทำให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เราเปิดใจต้อนรับสิทธิของเรา และใช้สิทธิของเราเข้ามาบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ จากความตายในวันที่สามเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ตั้งแต่ตัดสินใจเชื่อไปเรียบร้อยแล้ว  หมายถึงอย่างนั้น

พอเป็นอย่างนั้นแล้ว เราก็มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ในวันพิพากษาครั้งที่สอง ครั้งสุดท้าย คือครั้งที่วิญญาณมนุษย์ออกจากร่างไป  พบกับโลกวิญญาณ เราไม่ต้องพบกับการพิพากษา ถึงวันนั้น เพราะว่าเราบริสุทธิ์สะอาด เราไม่ได้ถูกลงโทษตั้งแต่ก่อนตาย เพราะเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  เราก็เป็นลูกพระเจ้าเหมือนเดิม เราก็ไม่ต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษา เพราะไม่มีการพิพากษาลงโทษเราอีกต่อไป  จากโลกนี้ไป เราก็ไปอยู่ในสวรรค์เลย  ไม่มีการมาพิพากษาเราอีกแล้ว  มันหมายถึงอย่างนั้น

และในนี้ยังบอกอีกว่าเพราะขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ชีวิตของเรา ก็เป็นชีวิตเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ชัดเจนไหม? เพราะชีวิตจิตวิญญาณ ที่เรามี ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์ต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษาหรือ? เปล่าเลย  ไม่จำเป็นอีกแล้ว เรามีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเท่าๆ กันกับพระเยซูคริสต์ มันหมายถึงอย่างนั้น พระเยซูจึงเรียกว่าพี่น้อง พ่อแม่ เพราะว่าเราเป็นพี่น้องร่วมกับพระองค์ ในครอบครัวของพระบิดา  ก็คือพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าเดี๋ยวนี้เลยทันที ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ เราก็เป็นอย่างนี้แล้ว  เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระองค์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด กลับคืนดีกับพระเจ้า ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้  มันเกิดขึ้นแล้ว และเมื่อจากโลกนี้ไป เข้าสู่มิติทางโลกวิญญาณ มันก็จะเป็นจริงตามนี้แหละ จริงกว่านี้อีก ชัดกว่านี้อีก เพราะจะเห็นชัดเจนเลย เมื่อเรารู้อย่างนี้  เราพร้อมที่จะเจอพระเจ้า พระเยซูเร็วๆ เราก็มีความกระตือรือร้น  ตื่นเต้น ที่จะออกจากร่างกายนี้  ก็คือที่จะตายจากโลกใบนี้ไป เราจึงไม่กลัวตาย  เราจึงตื่นเต้นว่าเราจะได้พบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า  เราจะได้พบกับโลกใหม่ เราจะได้รับร่างกายใหม่  ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน  ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของความบาป ไม่ต้องถูกล่อลวงให้ทำบาป  ไม่ต้องถูกความทุกข์ทรมาน ไม่ต้องอดอยาก ไม่ต้องลำบากลำบน ไม่ต้องพบกับโรคภัยไข้เจ็บ ความเจ็บปวดอะไรอีกต่อไป  ใช่ไหม? เราก็ตื่นเต้นในสิ่งเหล่านี้  เพราะเรามั่นใจกับการอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ตั้งแต่ตอนนี้ มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้แล้ว เราก็รู้ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว  มันก็เกิดความตื่นเต้นและไม่กลัว  แล้วเรารู้ว่าเราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ชั่วนิรันดร์กาล เมื่อถึงวันพิพากษาเราก็ไม่ต้องมาพบกับการลงโทษครั้งสุดท้าย อย่างที่คนที่ไม่เชื่อเขาจำเป็นต้องพบ เราก็ไม่จำเป็นต้องไปพบแล้ว เพราะเราได้รับความรอดเรียบร้อยแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูแล้ว เราเป็นคนในครอบครัวของพระเยซูแล้ว

พระเยซูจึงตรัสว่า … “เราไม่รู้จักเจ้า ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับเจ้าเลย”  เมื่อถึงวันนั้น วันที่ออกจากร่างไป

คนก็จะบอกว่า … “พระเยซูผมทำดีอย่างนั้น ทำดีอย่างนี้ ทำดีอย่างนั้น”

พระเยซูบอกว่า … “ถ้าอยู่บนโลกใบนี้ เจ้ายังไม่วางใจในเรา ยังไม่เปิดใจต้อนรับเราเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระผู้ไถ่บาป  เราก็ไม่รู้จักเจ้าเลย เพราะเจ้าอยู่คนละขั้วกับเรา อยู่คนละครอบครัว อยู่คนละเผ่าพันธุ์ จะรู้จักกันได้อย่างไร? ความพินาศกับชีวิตนิรันดร์จะอยู่กันได้อย่างไร? ความมืดกับความสว่างจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? ความดีกับความชั่วจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?  มันเป็นไปไม่ได้ เราไม่รู้จักเจ้าหมายถึงอย่างนี้  เจ้าจะต้องตัดสินใจ กลับคืนดีกับพระเจ้า  ด้วยการเชื่อและวางใจเราว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น  เจ้าจึงสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า  มาบังเกิดใหม่และเป็นหนึ่งในครอบครัวเดียวกันกับเรา เราจะได้รู้จักเจ้าตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย รู้จักเจ้าตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย

ในทางวิญญาณ พอเราเปิดใจรับเชื่อ พระเยซูก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา  ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน  รู้จักตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว  เพราะฉะนั้น พระประสงค์ ความต้องการของพระเจ้า มีอย่างเดียวเท่านั้น ต้องการให้มนุษย์เปิดใจ  วางใจในพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระองค์ทรงเปิดทางไปสู่สวรรค์ ด้วยการบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์เลย  ณ บัดนี้  พระองค์จึงกระตือรือร้นต้องการ วิงวอนให้มนุษย์ทุกคนรู้ความจริงนี้ แล้วรับสิทธิของเขา  ในการบังเกิดใหม่นี้  ไม่พึ่งพาในการกระทำของตนเอง  หรือความคิด ความเข้าใจ หรือเหตุผลของตนเอง แต่จงวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดความคิด สุดกำลัง ไม่พึ่งพาความรอบรู้เหตุผลต่างๆ อันโน้น อันนี้ บนโลกใบนี้อีกเลย เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่เราต้องรีบตัดสินใจเดี๋ยวนี้เลย ใน 2 โครินธ์ 5:19-21 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

2 โครินธ์ 5:19-21 “19 พระเจ้าเองทำให้คนในโลกนี้กลับมาคืนดีกับพระองค์ โดยผ่านทางพระคริสต์ และยกโทษบาปให้กับพวกเขา พระองค์ได้มอบเรื่องการกลับคืนดีนี้ให้กับเรา เพื่อไปบอกคนอื่นๆ ต่อ 20 ดังนั้น เราจึงทำงานเป็นทูตของพระคริสต์ เพราะเชื่อมั่นว่าพระเจ้ากำลังขอร้องพวกคุณผ่านทางเรา เราขอวิงวอนคุณแทนพระคริสต์ว่า “กลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด” 21 พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาป เพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า”

 

“พระเจ้าเองทำให้คนทั้งโลกกลับมาคืนดีกับพระองค์ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ และยกโทษบาปให้พวกเขาเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือข่าวดีมากๆ เลย กลับมาหาพระองค์เถิด เราขอวิงวอนคุณ แทนพระคริสต์ว่า “กลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด” พระเจ้าผู้กระทำให้พระองค์ ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาป เพื่อเรา คือทำให้พระเยซูเป็นบาป รับบาปแทนเรา  เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เป็นคนดี เป็นลูกของพระเจ้าได้ บังเกิดใหม่ได้นั่นเอง เข้ามาอยู่ในสวรรค์ได้นั่นเอง”

… มีหญิงชราคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเครื่องบิน      ปรากฏว่าเครื่องบินประสบกับวิกฤติ เครื่องยนต์เสียไป 1 เครื่อง เครื่องบินกำลังดิ่งลงข้างล่าง  กัปตันก็กำลังพยายามหาทางที่จะแก้ไขอยู่ ผู้โดยสารเต็มลำ กรีดร้องจ้าละหวั่น กลัวไปหมด  คุณยายท่านนี้ก็นั่งอยู่ หลับตา แล้วก็ยิ้ม

เจ้าหน้าที่ก็เข้าไปถามคุณยายว่า … “คุณยายทราบไหมว่าตอนนี้ กำลังเกิดอะไรขึ้น?”

เห็นคุณยายไม่ลืมตา แล้วก็นั่งยิ้มอยู่

คุณยายลืมตา แล้วก็บอกว่า … “ทราบค่ะ ทราบทุกอย่าง”

“แล้วทำไมคุณยายไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย  คุณยายกำลังทำอะไรอยู่”

คุณยายก็บอกว่า … “ฉันกำลังยิ้ม คิดอยู่ในใจ”

“คุณยายคิดอะไรล่ะ คิดว่าเครื่องบินกำลังจะตกไหม? กำลังอธิษฐานกับพระเจ้าให้เครื่องบินไม่ตกใช่ไหม?”

คุณยายบอก … “เปล่าหรอก  ฉันกำลังคิดว่าฉันจะไปพบหน้าพระเยซูคริสต์ และพบกับญาติพี่น้องคนอื่นๆ ที่ได้วางใจในพระเยซู ที่เข้าไปอยู่ในสวรรค์ก่อนหน้าฉัน  ฉันก็คิดถึงพวกเขาเหมือนกัน ฉันกำลังคิด ตื่นเต้นเหลือเกินที่จะได้ไปพบกับพระเยซู พบหน้าพระเจ้า และพบพี่น้องที่เขาไปก่อนหน้านี้  แต่ขณะเดียวกัน  ฉันกำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าฉันก็กำลังเป็นห่วงบรรดาผู้คนที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่รู้จักความจริง ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉันก็กำลังคิดในใจว่าฉันจะไปเป็นพยานในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร?  พระเจ้าจะใช้ฉันอย่างไรในการเป็นพยานในเรื่องเกี่ยวกับการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ หลังจากรอดอย่างปาฏิหาริย์จากเครื่องบินตกครั้งนี้  ฉันกำลังคิดว่าฉันจะไปทางไหนดี มันดีทั้งคู่ ฉันจะได้มีโอกาสประกาศข่าวดี”

ปรากฏว่าอะไรดีกว่า มันดีทั้งคู่ แล้วแต่พระเจ้า

นี่คือผลของผู้ที่ย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาคืนดีกับพระเจ้าแล้ว ต้อนรับคำเชิญของพระเจ้า คือกลับคืนดีกับพระเยซูคริสต์ กลับคืนดีกับพระเจ้าแล้ว  มาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น เทียบกันในขณะนี้ ในขณะที่โลกกำลังอยู่ในความวิตกกังวลอย่างใหญ่หลวง ในเรื่องเกี่ยวกับเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น? ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร?  จะตาย จะเป็น จะกิน จะอยู่อย่างไร?  ลำบากขนาดไหน? ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระบุตร ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว  ท่านเข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว

ท่านก็จะมีความคิดว่าไม่ติดเชื้อ … ไม่ติดเชื้อ ท่านก็ขอบคุณพระเจ้า  ที่ปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลเมตตาไม่ติดเชื้อ แล้วถ้าเกิดติดเชื้อขึ้นมาล่ะ ก็ขอบคุณพระเจ้า  ได้เป็นพยานทางฝั่งพระเจ้า  ก็ว่ากันไปตามขบวนการการรักษา และถ้าติดเชื้อถึงตายล่ะ  ก็ขอบคุณพระเจ้า เพราะจะได้เข้าไปพักผ่อนอยู่ในสวรรค์ เห็นหน้าพระเจ้ากับพี่ๆ น้องๆ อีกหลายๆ คน ญาติพี่น้องที่เชื่อพระเจ้าและจากไปก่อนหน้านี้แล้ว จะได้เจอทักทายกัน และจะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล

เห็นไหม? ได้หมดเลย  ได้ทุกสถานการณ์ ข้อสำคัญ ก็คือเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเดี๋ยวนี้เลย  ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเยซู และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค จะเข้ามาสถิตกับเราในร่างกายของเราเดี๋ยวนี้เลย วินาทีนี้เลยทันที เราจะไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป  พระเจ้าจะจูงมือเราเดิน แม้ว่าโลกใบนี้จะเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน  เต็มไปด้วยความชั่วร้าย  แต่พระเจ้าจะนำพาเราเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นไปด้วยกันกับพระองค์ จะไปกลัวอะไรล่ะ เดินไป มีเป้าหมาย เพื่อปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ประกาศข่าวดี  และเดินไปด้วยความมั่นใจในความรักของพระเจ้า ที่อยู่กับเรานิรันดร์ และเราอยู่ในสวรรค์แล้ว  และจะอยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์กาลนั่นเอง ก็แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้นเอง

บทเพลงที่จบสุดท้ายในวันนี้  ก็จะเป็นบทเพลงนี้แหละ ที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ต้องกลัวอะไร? นี่คือปัจจุบันของเรา ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างนี้  และอนาคตของเรา ก็คืออยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาลนั่นเอง

“เมื่อเดินผ่านหุบเขาเงาความตาย               ไม่กลัวพระเจ้าทรงอยู่ด้วย

คฑาและธารพระกรปลอบโยน                  พระองค์สถิตอยู่ชูช่วย

แท้จริงความดี ความรักมั่นคง                    จะติดตามข้าตลอดไป

และข้าจะอยู่ในพระนิเวศน์                         พระเจ้าของข้าเสมอไป”

เห็นไหมครับ? แม้จะเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราชบนโลกใบนี้ ซึ่งแน่นอนความทุกข์ยากลำบาก ความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ที่วิปริต มันกำลังสูญสิ้นไปทั้งหมด แต่เราสูญสิ้นไปกับมันไหม? สูญสิ้นไปแค่ร่างกายนี้เท่านั้น แต่วิญญาณจิตพระเจ้าสถิตอยู่ข้างใน และวันหนึ่ง เราจะได้รับร่างกายใหม่  เราไม่ได้สูญสิ้นไปกับมันเลย ไม่ได้พินาศไปพร้อมกับมัน เพราะเราย้ายข้างไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าแล้วตั้งแต่เดี๋ยวนี้  และพระเจ้าจะนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ความรัก ความดีงามของพระองค์จะอยู่กับเราไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์กาล

นี่คือสิ่งดี และดีที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด จึงเรียกว่า Amazing Grace พระคุณอันอัศจรรย์ใหญ่หลวง ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ร้องด้วยความมั่นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเดี๋ยวนี้และไปถึงนิรันดร์อีกครั้งหนึ่ง

“เมื่อเดินผ่านหุบเขาเงาความตาย               ไม่กลัวพระเจ้าทรงอยู่ด้วย

คฑาและธารพระกรปลอบโยน                  พระองค์สถิตอยู่ชูช่วย

แท้จริงความดี ความรักมั่นคง                    จะติดตามข้าตลอดไป

และข้าจะอยู่ในพระนิเวศน์                         พระเจ้าของข้าเสมอไป”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”   (1 เปโตร 2:24)

 

เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว  วิญญาณเราได้รับการรักษาให้หายแล้ว คือวิญญาณเราไม่มีบาปหลงเหลืออ ยู่แล้ว แต่เนื้อหนังในร่างกายของเรา ยังคงมีเชื้อบาปอยู่ และอาจจะหันไปทำบาปได้อีก แต่เราก็ยังคงมั่นใจได้ ถึงความรอดทางวิญญาณที่เราได้รับมาแล้ว

 

คือทางฝ่ายร่างกาย เรายังคงเป็นคนบาป แต่ในทางวิญญาณ เราได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  เราไม่เป็นคนบาป (ฝ่ายวิญญาณ)  อีกต่อไปแล้ว เราได้รับชีวิตนิรันดร์แน่นอนแล้ว

 

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูได้แบกรับเอาบาป (ทางวิญญาณ) ของเราออกไปหมดแล้ว … แต่ทางเนื้อหนัง เราก็ยังคงมีเชื้อบาปอยู่ และเชื้อบาปทางเนื้อหนัง ก็จะแสดงอาการของความบาปออกมา  ผ่านทางความคิด จิตใจ  คำพูด  การกระทำ

 

แล้วเมื่อไหร่  ที่เราเผลอไปทำบาปตามเนื้อหนัง  พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเจ้าประทานให้มาสถิตอยู่กับ เรา ก็จะช่วยเรา  ย้ำยืนยันในถ้อยคำของพระเจ้า ให้เรามั่นใจว่าเราได้รับการอภัยแล้ว  วิญญาณเราไม่มีเชื้อบาปแล้ว  พระเยซูทรงเอาออกไปหมดแล้ว  พระองค์ทรงแบกรับแทนเราหมดแล้ว และพระวิญญาณก็จะค่อยๆ นำพาเรา ขัดเกลาชีวิตเรา ให้ทำบาปน้อยลง  (เราไม่ต้องรับโทษของความบาปทางวิญญาณอีกแล้ว แต่ผลหรือโทษของการกระทำบาปทางฝ่ายร่างกาย ทางโลก เราก็ยังคงต้องรับอยู่นะครับ คนละเรื่องกัน)

 

ไบเบิลบันทึกไว้ว่า … “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต  ได้ปลดปล่อยท่าน  ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”  (โรม 8:1-2)

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1306

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4 เมษายน  2021

 เรื่อง “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันเป็นขึ้นด้วย  ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เป็นวันอีสเตอร์ ก็เป็นการระลึกถึงการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ วันนี้ก็เลยมีหัวข้อเรื่องว่า “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นด้วย ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย” ฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู เรารู้อยู่แล้ว ทั่วโลกก็รู้ แต่ฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของตัวฉันด้วย ที่เชื่อในเรื่องนี้

เพราะฉะนั้นเพลงที่ตะกี้ร้อง ควรจะเป็นเนื้อที่ผมแก้มาให้ เราต้องจำได้ ต่อไปนี้ ร้องเพลงนี้ 2 เนื้อให้มันครบถ้วนบริบูรณ์ …

“เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็น ขึ้นพร้อมพระองค์”

ตะกี้เห็นคนที่ร้อง แล้วก็ยกมือขึ้นมา  เยี่ยมเลย  ร้องอีกทีหนึ่ง แล้วก็ยกมือขึ้นมา ตอนนี้เราต้องการย้ำยืนยันและสถาปนาความจริงลงมาในชีวิตของเรา  และผู้คนรอบข้าง เป็นการประกาศข่าวดีไปในตัวว่า …

“เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว  (อ้าวชูมือขึ้นมาเลย)

เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็น ขึ้นพร้อมพระองค์” เอเมน

พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว วันหนึ่งเราคงได้ไปสวรรค์มั้ง  ก็ดี ก็ขอบคุณพระเจ้า  แต่ถ้ารู้ความจริง ลึกไปกว่านั้น  พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว เป็นเหตุให้ฉันเป็นขึ้นกับพระเยซูด้วย  อันนี้เกี่ยวกับตัวเรา เกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัวเราแล้ว เราก็จะตื่นเต้นมากขึ้น  จริงไหม? มนุษย์เราก็อย่างนี้แหละ อะไรที่เกี่ยวกับเรา เราก็จะสนใจมากกว่า

วันนี้เรามาเฉลิมฉลอง วันประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด  แห่งประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ทำไมเราจึงเรียกวันอีสเตอร์ว่าวันประกาศแห่งชัยชนะ ก็เพราะว่าถ้ามีการประกาศแห่งชัยชนะ ก็แสดงว่าก่อนหน้านั้น มีสงคราม ถูกไหม? มีการต่อสู้เกิดขึ้น  แล้วปรากฏว่าพระเยซูเป็นฝ่ายชนะ  พระเยซูจึงสั่งให้เราไปประกาศเรื่องนี้กับมนุษย์ทุกคนให้รู้ว่าชัยชนะเป็นของพระเยซู และเป็นของเรา มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ด้วย

ถ้าจะเล่าให้ท่านฟังเป็นภาพที่เกิดขึ้นถึงเรื่องสงคราม ที่ก่อนหน้านี้ ก่อนที่พระเยซูจะได้รับชัยชนะ  สงครามเกิดขึ้นอย่างไร?  ผมจะเปรียบเทียบเรื่องนี้ ตามเรื่องราวแบบพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์พระเจ้าจะบอกแผนการอะไรต่างๆ ของพระองค์ด้วยการเผยพระวจนะ … เผยพระวจนะเป็นเรื่องเป็นราว และเล็งให้เห็นว่าเรื่องราวเหล่านี้  เล็งถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์จะกระทำ ในอนาคต

เพราะฉะนั้น การต่อสู้ในศึกครั้งนี้ ที่ทำให้พระเยซูเป็นฝ่ายชนะ  และมนุษย์เป็นฝ่ายชนะ  ผมตั้งชื่อศึกนี้ว่า “ศึกมหากาฬฝ่ายวิญญาณ” คือใหญ่ที่สุดแล้ว  ในโลกวิญญาณ สำหรับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นการต่อสู้กันระหว่าง 2 ค่ายยักษ์ …

ค่ายยักษ์ที่หนึ่ง ก็คือมนุษยชาติ ซึ่งมีหัวหน้า ก็คือพระเจ้าของเรา ส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์เข้ามา เพื่อต่อสู้แข่งขันกับค่ายต่อมา ซึ่งมีเป้าหมาย ที่ต้องการปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของมาร ของความบาปและความตาย

ค่ายที่สอง แน่นอน ก็คือค่ายของมารซาตาน เจ้าของค่าย ก็คือมาร ก็คือซาตาน ส่งความบาปและความตายเข้ามาเป็นตัวแทนของมัน  เพื่อมาต่อสู้กับพระเยซูคริสต์ ตัวแทนของมนุษยชาติทั้งปวงนั่นเอง  เป้าหมายของมาร ก็คือต้องการฆ่า ขโมย และทำลาย ต้องการให้มนุษย์ยังอยู่ใต้อำนาจของมันเหมือนเดิม พอจะมองเห็นภาพนะ

            … สรุปศึกมหากาฬในโลกวิญญาณ …

            ค่ายที่ 1 ค่ายมนุษยชาติ … เจ้าของค่าย คือพระเจ้า ส่งพระบุตร คือพระเยซู ลงแข่ง โดยมีเป้าหมาย  เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด

            ค่ายที่ 2 ค่ายมารซาตาน … เจ้าของค่าย คือหัวหน้ามาร ส่งความบาปและความตาย ลงแข่ง โดยมีเป้าหมาย เพื่อทำลายล้างมนุษยชาติ

ก่อนที่จะได้รับชัยชนะ สงครามนี้เกิดขึ้นอย่างไร? ในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้นนะ นี่รวบรวม เรื่องราวทั้งพระคัมภีร์เดิมทั้งเล่มมาย่อสั้นๆ เป็นเรื่องเล่าให้ฟัง พอเห็นภาพแล้วนะว่าสงครามการต่อสู้ครั้งนี้ เป็นการต่อสู้ระหว่างใครกับใคร? นึกในใจ ระหว่างหัวหน้ามาร ซึ่งกำลังพยายามต่อสู้กับพระเจ้า เหมือนเดิม ซาตานเป็นศัตรูกับพระเจ้า มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และมันต้องการล้มล้าง ต้องการทำอะไรก็ได้ที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า และเดิมพันการต่อสู้ครั้งนี้ ก็คืออิสรภาพของมนุษยชาติ

ถ้าพระเยซูชนะ มวลมนุษย์ก็เป็นอิสระจากความบาปและความตาย และถ้าพระเยซูแพ้ มนุษย์ก็พ่ายแพ้ด้วย ก็ยังคงอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตายอยู่ นี่คือเดิมพัน

เราเล่าย้อนไปตั้งแต่เริ่มต้นของศึกสงครามนี้ ซึ่งเริ่มต้นตอนที่พระเจ้าได้สร้างโลกมนุษย์ใหม่ๆ และมวลมนุษย์มีหัวหน้า มีเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่าอาดัมกับเอวา อาดัมพ่ายแพ้การล่อลวงของมาร ไปมอบโลกใบนี้ให้กับมาร มอบสิทธิอำนาจ ตกเป็นทาสของมารตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เรียกว่ามวลมนุษยชาติตกไปเป็นทาสของมาร และพระเจ้าก็วางแผนการ ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ให้กลับคืนมาหาพระองค์ หลุดจากการเป็นทาสมาร เป็นทาสของความบาปและความตาย พระองค์ทรงวางแผนไว้ และแผนการนั้นได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ในหนังสือปฐมกาล 3:15 เรามาอ่านร่วมกันตรงนี้  ตั้งแต่เริ่มต้น ปฐมกาลในพระคัมภีร์เดิมเลย …

ปฐมกาล 3:15 “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”

 

นี่คือแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ว่าจะส่งพระบุตรของพระองค์มาช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้รอดพ้นจากการเป็นทาสของมารที่ตกลงไป ที่อาดัมพ่ายแพ้มาร พระเจ้าวางแผนการที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติกลับมาใหม่ พงศ์พันธุ์ของหญิงที่ตะกี้เราอ่าน

“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”

คำว่า “เจ้า” ตรงนี้ ก็คือ “มาร” ที่ได้ล่อลวงอาดัมและเอวา ให้กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้าด้วยความบาปและความตาย ตกลงไปในความบาปและความตาย  รวมทั้งเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ เรียกว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาปและความตาย เป็นทาสของมาร

“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก” เล็งถึงผู้ที่เป็นหัวหน้าค่าย คือพระเจ้าส่งมา เพื่อทำลายล้างอำนาจของมาร ความบาปและความตายให้หมดสิ้นไปนั่นเอง “พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก” เล็งถึงพระเยซูคริสต์

และต่อมาบอกว่า “เจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” หมายถึงความพยายามครั้งแล้ว ครั้งเล่าของมารซาตาน  ที่จะเอาชนะตัวแทนของมนุษย์ที่พระเจ้าจะส่งมา ตั้งใจไว้อย่างนั้น  จะเอาชนะให้ได้ ซึ่งพอพระเยซูมา  มันก็ทำได้แค่ ทำให้ส้นเท้าของพระเยซูฟกช้ำ ต่างกันเยอะเลยนะ ระหว่าง “หัวแหลก” กับ “ส้นเท้าฟกช้ำ”

นี่คือแผนการของพระเจ้า เจ้าของค่ายมนุษยชาติได้เตรียมไว้ สำหรับการป้องกัน ช่วยเหลือมนุษยชาติให้รอดพ้นออกมา จากการเป็นทาส และเมื่อถึงเวลาตามแผน ในหนังสือกาลาเทีย 4:4 บอกว่า  …

“เมื่อถึงกำหนดเวลา พระเจ้าก็ส่งพระบุตรของพระองค์ ลงมาเกิดในหญิงพรหมจารี ชื่อแมรี่”

ก็คือพูดถึงพระเยซู เมื่อถึงกำหนดเวลา พระเจ้าก็ประกาศชื่อว่าบุคคลที่จะมาสู้ด้วย  ตั้งแต่ปฐมกาลที่เขียนไว้นั้น  คือพระบุตรของพระองค์เอง เป็นตัวแทนในการต่อสู้กับความบาปและความตาย ซึ่งชื่อของพระองค์นั้น ก็คือ “พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า”

ทำไมต้องบอกพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่พระเยซูเฉยๆ  คำว่า “พระเยซู” แปลว่าผู้ช่วยให้รอด “คริสต์” แปลว่าคนที่ถูกเจิมตั้งไว้  คนที่พระเจ้าจะใช้  ให้มาช่วยมนุษย์ให้รอด  จึงเรียกว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า

คราวนี้เริ่มต้นต่อสู้แล้ว  ตัวแทนมาปรากฏแล้ว  รอมาตั้งนาน รอมาหลายพันปี จนถึงกำหนดเวลา  พระเยซูพร้อม พระเจ้าพร้อม ส่งพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์  เริ่มต้นยกแรก …

ค่ำวันพฤหัส ก่อนวันศุกร์ประเสริฐ ก่อนที่เขาจะจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน  นั่นคือเริ่มยกที่ 1  พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ดำเนินชีวิตมา 30 ปี ไม่ได้ทำอะไรเลย  เริ่มปีที่ 31 – ปีที่ 33  ก่อนถูกตรึง พระองค์เริ่มประกาศข่าวดี เรื่องที่เราเล่ากันอยู่นี้ เรื่องที่พระเจ้าส่งพระองค์มาช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอด

พระองค์เริ่มประกาศ เรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์กำลังมาแล้ว พระองค์ได้ประกาศ และปลายปีที่ 3 พระองค์ก็เข้าสู่สังเวียนการสู้รบ

เย็นวันพฤหัส พระองค์ทรงรู้แล้วว่าพระองค์ต้องขึ้นชก ต้องขึ้นสังเวียนนี้  ซึ่งเป็นศึกที่หนักมาก เรานึกว่าพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้า แล้วจะง่ายๆ  ได้ถูกบันทึกว่าพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์และเป็นพระเจ้าในผู้เดียวกัน เป็นมนุษย์ ก็คือเป็นมนุษย์เหมือนเราไม่มีผิด 100% เลย มีความเจ็บ มีความปวด มีความรู้สึก มีความกลัว วิตกกังวล เพราะฉะนั้น แม้จะรู้ว่าตนเอง จะมาเป็นผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด  มาชกในศึกครั้งนี้ มีพระเจ้าหนุนหลังอยู่ แต่ขณะเดียวกัน เป็นมนุษย์ก็เกิดความกลัว วิตกกังวล พอจะเริ่มชก พอจะเริ่มการต่อสู้ พระองค์ก็กลัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงค่ำวันพฤหัส กลัวที่สุด ถึงขนาดเหงื่อออกมาเป็นเลือด วิตกกังวลมาก เครียดมาก เส้นเลือดฝอยแตกเป็นเลือดออกมา เพราะว่ากำลังจะขึ้นชก แสดงว่าความบาปและความตาย ที่เป็นเจ้านายของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่เล่นๆ ไม่ใช่ย่อยๆ มันมีฤทธิ์อำนาจมานานแล้ว มากเลย  โดยเฉพาะกับมนุษย์บนโลกใบนี้ พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์ จึงหวาดกลัวอย่างนั้นแหละ วิตกกังวล  จะไหวไหมเนี้ย จะไหวไม่ไหว

“พระเจ้าไม่ไหวแน่ๆ ไม่เอาได้ไหม?  เปลี่ยนวิธีอื่นได้ไหม”

อธิษฐานถึง 3 ครั้ง เราก็รู้กันอยู่แล้ว

นี่คือยกแรก ตัดสินใจว่าให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า … พระเจ้าบอกพระองค์ทรงเตรียมมาตั้งนานแล้ว ตั้งหลายพันปีแล้ว  ถึงเวลาชกแล้ว อย่างไรก็ต้องขึ้น เพราะฉะนั้น พระเยซูก็ตัดสินใจ เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ขึ้นชกเลย

หลังจากสวนเกเสมนี  พระองค์ถูกจับ นั่นแหละเริ่มต้นยก 1 ถูกจับมารก็เริ่มซัด  นึกภาพของการชกมวย จะเห็นภาพหมด บนสังเวียนมี 2 ฝั่ง ฝั่งหนึ่งเรียกว่าความบาปและความตาย ฝั่งหนึ่งคือพระบุตรของพระเจ้าที่เกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ พระเยซูขึ้นไป พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ถูกแต่งตั้งมา เพื่อรับโทษความบาป เพื่อตายแทนมนุษย์ทั้งปวง ไม่ได้มาสอนให้มนุษย์ทำดี มีศีลธรรมที่ดี ซึ่งโมเสสก็สอนมาหมดแล้ว  ไม่ต้องแล้ว มนุษย์รู้แล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว  แต่มันทำไม่ได้ เพราะเป็นทาสมาร  เป็นทาสความบาปความตายอยู่ พระองค์ต้องการมาอย่างเดียว คือมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น เอาบาปของมนุษย์ออกไป นี่คือเป้าหมายของพระองค์ตรงนี้

ฉะนั้น เมื่อเริ่มต้นยก มารก็เริ่มซัดเข้ามา มารก็รู้พระองค์เป็นพระเจ้า  และเป็นมนุษย์ มารก็พยายามที่จะยั่ว ยุ แหย่ และทรมาน ให้พระเยซูหลุด ยอมพ่ายแพ้ คือลงจากสังเวียนซะ คือไม่เอาแล้ว กลับมาเป็นพระเจ้าเหมือนเดิมดีกว่า  ไม่ยอมเป็นมนุษย์อีกแล้ว ไม่ยอมรับความทุกข์ทรมาน ไม่ยอมรับเอาความบาปของมวลมนุษยชาติ โทษของมนุษย์ที่พระองค์จะต้องรับแทนนั้น  รับไม่ไหวแล้ว  ไม่เอาแล้ว กลับมาเป็นพระเจ้า เหมือนเดิม ซึ่งมารมันต้องการอย่างนั้นแหละ มันต้องการให้พระเจ้าพ่ายแพ้ รับบาปไม่ได้  มันก็ยั่วยุ โดยจับพระเยซูไป แล้วก็ถากถาง พูดหมิ่นประมาท ตบ ถ่มน้ำลาย  พวกฟาริสี พวกคายาฟาส พวกปุโรหิตยิว ที่ไม่รู้ความจริง ที่เป็นเครื่องมือของมาร ถ่มน้ำลาย  ทุบตี เยาะเย้ย ถากถาง ดูหมิ่น เหยียดหยามอย่างมาก ให้พระเยซูทนไม่ไหว  จะได้เลิกซะ  พระเยซูรับได้

นี่คือยกแรก  เท่ากับมารซัดหมัดแล้วหมัดเล่า  พระเยซูกองกับพื้น ขึ้นมาก็ถูกชกอีก ถูกส่งให้ปีลาต ทหารไม่รู้อีโหน่อีเหน่ มารใช้ทหารเหล่านั้น ใส่ความเกลียดชัง  เคียดแค้นเข้าไปในจิตใจของทหาร แล้วเปลื้องผ้าของพระองค์ออกให้น่าอาย นอกจากเจ็บร่างกายแล้ว ยังอายเขาอีก เพื่อที่จะเยาะเย้ย ถากถางให้เจ็บปวดอับอาย เพื่อพระเจ้าจะได้เลิกชก เลิกสู้ เลิกรับบาปแทนมนุษย์ซะ พระเยซูก็ทนเอา  เอามงกุฎหนามใส่ ท่านจะเห็นภาพเหล่านี้ คือการชกของมารทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับมนุษย์เลย  มนุษย์เป็นแค่เครื่องมือ ที่มารใช้ส่งออกมาในเรื่องของความเกลียดชัง  การเป็นศัตรู การเป็นความบาปและความตาย ต่อต้านพระเจ้านั่นเอง ซัดใหญ่เลย เพื่อให้พระเยซูยกเลิกซะ จนกระทั่งลากพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน  ด้วยการให้แบกกางเขนของตัวเองด้วยความน่าอาย ท่านคิดดูสิ พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  พระองค์ไม่ยอมก็ได้  พระองค์แค่พูดคำเดียว ทูตสวรรค์ลงมาเยอะแยะ พระองค์กลับเป็นพระเจ้าเหมือนเดิม  ไม่เอาแล้ว ไหนใครที่ตะกี้นี้มาเฆี่ยนเรา จัดการมันซะ พระองค์ทำอย่างนั้นได้ แต่พระองค์ไม่ทำ ยอมทนทุกข์ทรมาน รับเอาความบาป รับเอาความเจ็บปวด ด้วยความทุกข์ทรมาน แบกกางเขน อายเขาก็อาย  พระองค์เป็นพระเจ้า ทำไมทำเสื่อมเสีย ยอมเสียเกียรติขนาดนี้  ตั้งเป้าไว้ในใจเรื่องเดียว คือ …

“อดทน ทนทุกข์ รับบาปแทนมนุษยชาติ มองไปที่ข้างหน้า  มนุษย์คนสุดท้าย เขาจะได้รับความรอด เขาไม่ต้องเป็นทาสมารอีกต่อไป  จะช่วยเขาให้รอดทั้งหมด  เรามาเพื่อการนี้”

พูดให้ตัวเองฟังมาตั้งนานแล้ว  ตั้งแต่ 3 ปีก่อน ก็พูด ตอนนี้ก็นึกในใจว่า …

“ฉันจะยอม ฉันจะทนทุกข์ ฉันจะรับโทษบาป ฉันจะทำตามน้ำพระทัย”

แต่ขณะเดียวกัน มารก็บอก … “เลิกซะ”

ก็คือเหยียดหยาม ข่มขู่ ให้กลัว ให้อาย ให้เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เฆี่ยนก็เจ็บปวด แบกกางเขนด้วยความทรมาน ก็เจ็บปวด  และอายเขาอีก ไปถึงลานประหาร ที่ภูเขาโกละโกธา ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ตายด้วยวิธีอื่น ก็ยังไม่เจ็บปวด โอ้โห! คิดดูสิ ตอกตะปูตัวแรก แทบจะ …

“ไม่เอาแล้ว เลิกดีกว่า”

ในใจน่าจะมีความคิดตรงนี้ เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ แต่ทำไม? นึกถึงมนุษย์ ตอกอันที่สอง  ทหารไม่รู้จักพระองค์เลยนะ  ทหารเขาก็รู้อยู่แล้วว่าคนนี้เป็นคนดี แต่ถามว่าทหารทำหรือเปล่า? ทำเพราะอะไร?  เพราะถูกครอบงำโดยมารซาตาน ในขณะนั้น ความเกลียดชัง ได้โถมเข้ามาผ่านทางทหารเหล่านั้น กระทำสิ่งเหล่านั้นต่อพระเยซูคริสต์ ตอกด้วยความเกลียดชัง เฆี่ยนด้วยความเกลียดชัง แล้วก็ยกพระองค์มาตั้งไว้บนกางเขน  พระองค์รู้หมดแล้ว สิ่งเหล่านี้ว่ามันทุกข์ทรมานขนาดไหน? เหงื่อจึงเป็นเลือด ไม่อยากจะขึ้นมาชก เพราะอย่างนี้

ท่านคิดดู ขึ้นไปยกแรก มนุษย์ก็จะตายอยู่แล้ว  แพ้แน่ๆ ไปถึงเที่ยง เลือดพระองค์หลั่งออกมาที่ไม้กางเขน  น้ำหนักตัวถ่วงลง เจ็บปวดขนาดไหน? มารบอก …

“เลิกเถอะ  ยกเลิกซะ พอแล้ว  ยอมแพ้ซะ  เลิกทนเถอะ”

พระเยซูคิดในใจ เพื่อเขาทั้งหลาย อยู่บนกางเขน มองลงมา เห็นทหาร เห็นเหล่าสาวก เห็นผู้เยาะเย้ยพระองค์  …

“ไหนบอกเป็นพระเจ้าไง ช่วยคนอื่นให้รอด ตัวเองยังช่วยไม่ได้เลย โธ่เอ่ย! ลงมาสิ ถ้าเป็นพระเจ้าจริง”

เห็นไหม? นอกจากเจ็บปวดทางร่างกายแล้ว ยังเจ็บปวดทางใจ ถูกเยาะเย้ยอีก เป็นพระเจ้านะ ถูกเขาเยาะเย้ยอย่างนี้  ไหวเหรอ? ทนไหว พระองค์ก็ทรงทน เที่ยงแล้ว ก็ยังต้องทนอยู่ ท่านนึกภาพ เหมือนการต่อสู้บนสังเวียน  พระองค์ก็เหมือนถูกทุบ ถูกอัด ถูกซัดด้วยหมัดขวาหมัดซ้ายของเจ้าบาปและความตาย  บาปเข้ามา ความตายเข้ามา โทษของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ โถมเข้ามาที่พระเยซูหมดเลย ความบาปที่เราควรจะได้รับโทษจากบาปนั้นของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ สมมติว่ามีพันล้านคน … พันล้านคนเหล่านั้น บาปของเขาได้โถมเข้ามาที่พระเยซู ที่ไม้กางเขน คนแล้วคนเล่าๆ ก็อัดต่อไป ทุกข์ …

“พอแล้ว ยอมเถอะ ลงจากกางเขนเถอะ” … มันก็พูดอย่างนี้

เห็นภาพไหม? จนกระทั่ง เกือบจะบ่าย 3 โมง  พระเยซูถูกอัดลงไปกองกับพื้น  กรรมการเข้ามานับเลย นับ 8 ยังไม่ถึง 10 พระองค์ก็ลุกขึ้นมาเซๆ ได้ยินพี่เลี้ยง คือพระเจ้าบอกว่า …

“ใกล้จะครบแล้ว เหลืออีกคนเดียว”

รับบาปของมวลมนุษยชาติ แน่นอน มันจะต้องมีคนสุดท้าย

“อดทนอีกนิดหนึ่ง เหลืออยู่คนเดียว”

เมื่อใกล้บ่าย 3 โมง  พระองค์ได้ยินคำนั้น อีกนิดเดียวเอง  กัดฟัน รับเอาคนสุดท้าย  ซึ่งเป็นใครเราไม่รู้ มนุษย์คนสุดท้ายนั้น  พระองค์ทรงรับเอาบาปของมนุษย์ทั้งหลายไว้ที่พระองค์ แบกไว้จนหมด พระเจ้าผู้เป็นพี่เลี้ยง กระซิบบอก …

“จบแล้ว เสร็จแล้ว”

ทันทีทันใดนั้น ในนับ 8 นั้น พระองค์ขึ้นมาเซๆ  พอได้ยินคำนี้ว่าหมดเรียบร้อยแล้ว คราวนี้แหละ พระองค์ตะโกนลั่นเลยว่า …

“สำเร็จแล้ว”

สำเร็จแล้ว คืออะไร?  คือพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  แล้วบอกสำเร็จแล้ว ก็คือจ่ายบาปให้กับมนุษย์เรียบร้อยแล้ว จ่ายโทษของความบาปเรียบร้อยไปแล้ว  นั่นแหละคือหมัดแรกของยกแรก ที่พระเยซูลุกขึ้นมา นับ 8 ซัดเข้าไป ที่มารซาตาน เที่ยวเดียว  ลงไปกองเลย

คราวนี้กลับกันแล้วนะ หมัดเดียวของพระเยซู ตอนตายที่ไม้กางเขน ในยกแรก  ทำให้ความบาปและความตายลงไปกองที่พื้น  กรรมการวิ่งเข้ามานับ นับ 8 เผอิญกระดิ่งช่วยไว้ก่อน  ยังไม่แพ้

หมัดเด็ดของพระเยซู หมัดแรกที่พระเจ้าสอนให้  คือหมัดการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หมัดนี้  ผมตั้งชื่อว่า “หมัดไพรีพิฆาต” คือหมัดยกที่ 1 คือพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไพรีพิฆาต เปรี้ยง!  สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน จัดการความบาปและความตาย ลงไปกองกับพื้นนับ 8

ยกที่ 2 พระเยซูอยู่ในอุโมงค์ มารถูกนับ 8 งง คุยกันกับพวกกลุ่มวิญญาณชั่วทั้งหลายว่า …

“ตัวแทนของเรา ความบาปและความตายมันถูกนับ กองอยู่ เมื่อปลายยกที่แล้ว มันเกิดอะไรขึ้น  พระเยซูกำลังจะแพ้แล้ว มนุษย์กำลังจะแพ้แล้ว ทำไมอยู่ดีๆ  เป็นอย่างนี้ล่ะ  ทำไมพระองค์ตายได้” เขาก็พูดกันในนั้น

“พระองค์เป็นมนุษย์  … มนุษย์ก็ต้องตายได้ เราคงทำเกินไปมั้ง”

คงพูดกันใหญ่เลย  “นี่เขาตายจริงๆ แล้ว เขาตายได้อย่างไร? เป็นพระเจ้า”

“ทำไมเขาตายได้ล่ะ”

“ก็เขาเป็นมนุษย์ด้วย”

“อ้าว! เป็นมนุษย์ทำไมไม่ตาย แล้วก็ตายไปเลยล่ะ”

“ก็เห็นชัดๆ แล้วเนี้ย ก็ตายจริงๆ ก็อยู่ในหลุมฝังศพ”

“อ้าว! เขาเป็นพระเจ้า เขาต้องไม่ตายสิ”

“นี่เห็นๆ ก็ฝังอยู่ในอุโมงค์”

การฝังในอุโมงค์ ก็คือยกที่สอง ที่มารซาตานพยายามจะต่อสู้ด้วยการที่จะแย้งว่า …

“พระองค์ตายได้อย่างไร? พระองค์เป็นพระเจ้า”

แต่พระเยซูบอก … “เราเป็นมนุษย์”

บุตรมนุษย์ เคยได้ยินไหม? ถึงเวลาพูด บางครั้ง บางโอกาส พระองค์ก็บอกบุตรพระเจ้า เรามาจากพระเจ้า เราเป็นบุตรพระเจ้า  บางครั้งพระองค์บอกเป็นบุตรมนุษย์  ตอนนี้พระองค์เป็นบุตรมนุษย์  เป็นตัวแทนมนุษย์ เพราะฉะนั้น พระองค์ตายได้จริงแล้ว ถูกฝังไว้ในอุโมงค์จริงๆ  ตอนนี้ ถือเป็นยก 2  ซึ่งได้รับชัยชนะ

ยก 2 คือการถูกฝังไว้ในอุโมงค์ พระองค์เท่ากับเดินขึ้นมาชิวๆ แล้วก็เข้าไปหาตัวแทนของมาร คือบาปและความตาย ซัดหมัดอีกหมัดหนึ่งเข้าไป ตะกี้เรียกว่าหมัดไพรีพิฆาต ใช่ไหม? หมัดที่ 2 ผมให้ชื่อว่า “มัจจุราชสิ้นฤทธิ์”  ความบาปและความตายสิ้นฤทธิ์เลย

ยก 2 คือพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เป็นหลักฐานชัดเจนว่าพระองค์ทรงตายจริงๆ และไม่ได้ฝังอย่างเดียว มีคนมาควบคุมปากอุโมงค์เรียบร้อย ปิดสนิท ทุกอย่างแท้ๆ แน่ๆ นอนๆ นั่นแหละ คือหมัดที่ 2 ที่พระเจ้าตั้งเอาไว้ และสอนพระเยซูไว้ ถูกฝังในอุโมงค์ คือมัจจุราชสิ้นฤทธิ์  ความตาย ความบาปสิ้นฤทธิ์ไป

ยังไม่พอ เอาให้มันสะเด็ดน้ำเลย พระเยซูเดินลงไป หมัดที่ 2 โครม มัจจุราชสิ้นฤทธิ์ ปรากฏว่าลงไปกองกับพื้น กระดิ่งช่วยไว้อีก กระดิ่งช่วยความบาปกับความตาย สู้ต่อยกที่ 3

พอกระดิ่งยกที่ 3 ขึ้นมาปุ๊บ พระเยซูเดินเข้าไปมอง เป็นไง? ตัวแทนของบาปและความตายที่ขึ้นมาชก  มองขึ้นมา งงหมดเลย เกิดอะไรเนี้ย  เราคงพ่ายแพ้มันแล้ว  พระเยซูเดินเข้ามาบอก …

“แกแพ้นิรันดร์แล้วล่ะ เสียใจด้วยนะ”

พระองค์เลยซัดหมัดสุดท้าย ในยกที่ 3 คือการเป็นขึ้นจากความตาย  หมัดที่ 3 ของพระองค์ ผมให้ชื่อว่า “หมัดผู้พิชิตนิรันดร์” ไม่ใช่ผู้พิชิตเฉยๆ แต่ผู้พิชิตนิรันดร์ ก็คือความบาปและความตายแพ้นิรันดร์ การเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ เท่ากับเป็นหมัดตอกฝาโลงให้กับบาปและมาร  คราวนี้ไม่ต้องนับเลย นับร้อยก็ไม่ขึ้น  นับมากกว่า 10 ก็ไม่ขึ้นแล้ว

การตอกฝาโลง คือการเป็นขึ้นจากความตาย ที่เรามาฉลองกันวันนี้ การเป็นขึ้นจากความตาย จึงสำคัญอย่างนี้ ผู้พิชิตนิรันดร์

สรุปแล้วจำได้ไหมครับ ยกแรก คืออะไร? …

ยกที่ 1 คือการสิ้นพระชนม์  “หมัดไพรีพิฆาต” … พระเยซูถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน

ยกที่ 2 คือการถูกฝังไว้ในอุโมงค์ “หมัดมัจจุราชสิ้นฤทธิ์” … พระเยซูถูกฝังในอุโมงค์

ยกที่ 3 คือการเป็นขึ้นจากความตาย “หมัดผู้พิชิตนิรันดร์” … พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย

สามยกนี้ เราต้องจำไว้ให้ตลอด เล่าให้ลูกให้หลานฟัง ยกแรก เรียกว่าไพรีพิฆาต การสิ้นพระชนม์เท่ากับไพรีพิฆาต การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เขาเรียกว่ามัจจุราชสิ้นฤทธิ์ การเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เรียกว่าผู้พิชิตนิรันดร์ พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย สิ่งที่เรากำลังฉลองกันในวันนี้

เรื่องเล่านี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ ผมเล่ามานี้ สรุปให้สั้นที่สุด เท่าที่ทำได้  แล้วให้จำให้ได้    เพื่อเราจะได้เล่าให้ลูกหลานเราฟัง  ทำไมจะต้องมีการฉลองวันศุกร์ประเสริฐ  วันอีสเตอร์ ซึ่งฉลองกันตลอดเวลาเลย ไม่ใช่ฉลองกันแค่ปีละครั้งหนึ่ง พระเยซูให้ฉลองบ่อยๆ เลย ก็คือการทำพิธีมหาสนิท คือให้ฉลองเรื่องนี้แหละ

เวลาทำพิธีมหาสนิท โต๊ะองค์พระผู้เป็นเจ้า กินขนมปัง ดื่มน้ำองุ่น ก็ให้ระลึกถึงพระองค์ ก็ให้ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ ระลึกถึง 3 ยกนี้  ระลึกถึง 3 หมัดนี้  ระลึกถึงชัยชนะ  ระลึกถึงพระคุณความเมตตาของพระองค์ที่ได้ชัยชนะนั้นมา ให้มนุษย์ทั้งปวงด้วยความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน อย่าให้มันเสียไปเปล่าๆ  กว่าจะได้มา ไม่ใช่ง่ายๆ  เล่าให้ลูกหลานฟัง เพราะว่ามารมันก็ทำหน้าที่ของมันต่อไป มันแพ้แล้วก็จริง ถูกไหม?  ปรากฏว่ามารแพ้ บาปและความตายก็พ่ายแพ้หมดแล้ว มนุษย์เป็นฝ่ายชนะ  แต่มารมันก็รู้ แต่นิสัยของมัน ก็คือขี้โกง ขโมย ฆ่า และทำลาย  ก็พยายามปิดความจริงเหล่านี้  ปิดข่าวดีเหล่านี้  ให้ข่าวดีนี้ไปไม่ถึงมนุษย์ทุกคนว่าเขาชนะความบาปและความตายแล้ว

นี่คือกลเม็ดเด็ดพายของมาร ความโกหกหลอกลวงของมัน ซึ่งพยายามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  และพยายามต่อไปเรื่อยๆ เพื่อปกปิดความพ่ายแพ้ของมัน เผื่อว่ามันจะหลอกใครได้บ้าง?

หน้าที่ของเรา ก็คือประกาศออกไปเรื่อยๆ  ประกาศข่าวดีนี้ว่าเราอยู่ฝ่ายพระเจ้า  เราอยู่ฝ่ายพระเยซู … พระเยซูชนะมารซาตานแล้ว พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ได้รับชัยชนะ เราก็ได้รับชัยชนะด้วยนั่นเอง

ในวันที่พระเยซูได้รับชัยชนะ  ท่านลองนึกถึงภาพที่ชกกันบนสังเวียน ฝ่ายเชียร์ นึกออกไหม? ฝ่ายมารซาตานวิญญาณชั่วทั้งหลายพ่ายแพ้ หน้าตาเศร้า รีบวางแผนกันใหญ่  …

“เอ็งไปโกหกเลยนะ เอ็งไปใช้กลวิธีล่อลวง บอกว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายหรอก มีคนมาขโมยศพไป  เอ็งไปหลอกลวงผู้คน อย่าไปเชื่อเรื่องนี้ ปิดบังตาเขาเลยนะ”

ฝั่งที่เชียร์อีกด้านหนึ่ง ฝั่งที่เชียร์พระเยซู ฝ่ายพระเจ้า พอพระเยซูได้รับชัยชนะ ดีใจใหญ่

“เฮ! ชนะๆ”

นึกถึงภาพสิ มันเป็นอย่างนั้นในโลกวิญญาณ ชนะแล้ว พระเจ้าก็ดีใจ มวลมนุษย์ก็ดีใจ ผู้เชียร์พระเจ้าก็ดีใจ เราชนะแล้ว มนุษย์ชนะแล้วๆ  เฮ! เลย เฮ! มาตั้งแต่ตอนโน้นแล้ว  ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน ตั้งแต่ขึ้นชกไปใหม่ๆ เรื่องสดๆ ร้อนๆ อยู่ มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ด้วยนะ ใน 1 โครินธ์ 15:55-57 เป็นความรู้สึกของมวลมนุษยชาติในขณะนั้น ซึ่งผ่านทางการบันทึกของอาจารย์เปาโล อัครทูตไว้ว่า พระเยซูคริสต์ทำให้มนุษย์ชนะมาร ชนะความบาปและความตายแล้ว เรามาเฮ! กันดีกว่า เรามาอ่านพร้อมกัน 1 โครินธ์ 15:55-57 นึกถึงภาพเมื่อตะกี้นี้ สังเวียน เพิ่งขึ้นชกใหม่ๆ ฝ่ายไหนแพ้ ฝ่ายไหนชนะ  รู้แล้วใช่ไหมครับ?  ฝ่ายชนะก็เฮ! กัน ฉลองกัน แล้วก็บอกว่า …

1 โครินธ์ 15:55-57  “55 โอ มัจจุราชเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน? ว่าไง! ความตายเอ๋ย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน 56 เหล็กในของความตายนั้น คือบาป และฤทธิ์ของบาป คือธรรมบัญญัติ  57 สาธุการแด่พระเจ้า  ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลาย  โดยพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

 

พูดง่ายๆ ว่า … “เฮ้ย! ความตาย ความบาปที่ฉันกลัวแกมานาน ฉันเป็นทาสแกมานาน ตอนนี้แกไปอยู่ไหน ฉันชนะแล้วครับ โทษที ว่าไง มีอะไรหรือเปล่า?  แต่ก่อนฉันกลัวตาย แต่เดี่ยวนี้ ฉันไม่กลัวแล้ว  เพราะฉันมีชัยชนะแล้ว เหนือแก”

อะไรอย่างนี้  นึกถึงภาพ นี่คืออาการ ความรู้สึกของคนที่รู้เรื่องนี้ รู้ความจริงในโลกวิญญาณนี้ จากการที่พระเยซูเอาชนะความบาปและความตาย และทำลายล้างอำนาจของมารซาตานจนหมดสิ้น ผล ก็คือบรรดามวลมนุษยชาติเป็นฝ่ายชนะความบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูคริสต์บนสังเวียนอดทน ตั้งนาน จนกระทั่งได้ชื่อว่าผู้พิชิตความบาปและความตาย

พระองค์มีนามว่าผู้พิชิตความบาปและความตาย และพระองค์เอาชัยชนะนั้นมาให้กับพวกเราทั้งหลาย เอามงกุฎ เอารางวัลแห่งชัยชนะ เหนือความบาปและความตายมาให้มนุษย์ทั้งปวงทุกคน มนุษย์ทุกคนไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดเดียว  แต่ได้รับรางวัลเท่าพระองค์เลย มนุษย์ทุกคน พระคัมภีร์จึงใช้ชื่อว่าเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เพราะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ได้เท่ากัน เป็นอย่างนั้น

นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงเรียกวันอีสเตอร์ว่าวันแห่งการประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ และครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ (ในโลกฝ่ายวิญญาณ) ซึ่งมันมีอยู่จริงๆ และนี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  มีพยานยืนยันยังอยู่อย่างนั้นอยู่ และอยู่ตลอดไปในโลกวิญญาณ ความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ได้ทำให้หน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง หมดเลย เกลี้ยงเลย พระเยซูบอกว่าเป็นยุคใหม่  เป็นพันธสัญญาใหม่ มนุษยชาติได้ก้าวสู่ยุคใหม่ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  มนุษยชาติก้าวเข้าสู่ยุคใหม่  ยุคพันธสัญญาใหม่ ยุคพระคุณ ยุคนิรโทษกรรม ให้เราหลุดพ้นจากการเป็นทาสของความบาป และความตาย  ยุคอพยพกลับบ้าน  คือสวรรค์สู่อ้อมกอดของพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ยุคพักผ่อน หายเหนื่อยและเป็นสุข ดังที่พระเยซูบอกให้เรามาหาพระองค์ แล้วเราจะหายเหนื่อยและเป็นสุข มนุษย์ทุกคนควรจะรับรู้ และจำเป็นต้องรู้เรื่องจริงเหล่านี้  เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เพราะมันเป็นจริงอยู่อย่างนั้นแน่นอน  พระเยซูบอกอะไรที่มันเป็นจริง มันก็เป็นอย่างนั้นแน่นอน ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันได้เป็นอย่างนั้น และมันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ  สมควรที่เราจะรับรู้และเชื่อ เพราะมารอย่างที่บอก มารมันพยายามที่จะปิดความจริงเหล่านี้  ไม่ให้เกิดขึ้น โดยให้เราไปสนใจแต่เรื่องวัตถุสิ่งของ บนโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้ อย่าไปสนใจโลกวิญญาณ ไม่จริงหรอก  แต่ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเป็นมา 2,000 ปีแล้ว

พระเยซูจึงประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นแล้ว  และให้เราไปประกาศทั่วโลกทั่วไป ตลอดไป ทุกยุคทุกสมัยว่าพระเยซูบอกพระองค์เป็นขึ้นแล้ว และทำให้เราทั้งหลายเป็นขึ้นด้วย มันจึงสำคัญตรงนี้  พระเยซูเป็นขึ้นแล้วเฉยๆ มันเป็นความจริง มารก็พยายามปิดความจริง ถ้าปิดไม่ได้หมดว่าพระเยซูเป็นขึ้นแล้ว มันก็ปิดให้หมดเลยว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้น แต่ถ้ามันปิดไม่ได้ คนพอรู้แล้ว มันก็ปิดครึ่งหนึ่ง พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว โอเค รู้แล้วใช่ไหม? รู้แค่นั้นพอ  ไม่ต้องรู้มากกว่านี้ รู้ไปกว่านี้ ก็คือพระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ทำให้ฉันเป็นขึ้นด้วยนะ อันนี้แหละเขาปิดไว้  ยิ่งรู้มากเท่าไร เราก็ได้รับอิสรภาพมากเท่านั้น ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท

เพราะฉะนั้น  “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นด้วย” จึงเป็นการฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  สมัยก่อนเรานึกว่าการฉลองวันอีสเตอร์ คือการฉลองวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วการฉลองการเป็นขึ้นจากความตายในวันอีสเตอร์ คือการฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของมวลมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งพระเยซู หัวหน้าของเรา เป็นผู้กระทำการนี้ให้กับเราทั้งหลาย  ตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่เป็นข่าวดีเหลือเกิน ข่าวดี ข่าวประเสริฐที่สำคัญมาก เปาโลก็เขียนไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ คือหัวใจของข่าวดี การประกาศข่าวดี คือต้องประกาศตรงนี้ให้ได้ อย่าประกาศข่าวดีแค่ 20%  ประกาศข่าวดีแค่ 50%  ประกาศข่าวดี ต้องประกาศให้ครบ 100 คือต้องครบทั้ง 3 หมัด ไพรีพิฆาต  มัจจุราชสิ้นฤทธิ์ และผู้พิชิตนิรันดร์ ต้องให้มันครบ เพื่อที่จะได้รับข่าวดีอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ในผลของข่าวดี สิทธิของข่าวดีนั้น เราจะได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ 1 โครินธ์ 15:1-8 เปาโลจึงได้บอกไว้อย่างนี้ …

1 โครินธ์ 15:1-8  “1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากเตือนท่านให้ระลึกถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่าน ซึ่งท่านได้รับไว้และตั้งมั่นอยู่บนฐานนี้ 2 ถ้าท่านยึดมั่นในถ้อยคำที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านก็จะรอดโดยข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้น ท่านก็เชื่อโดยเปล่าประโยชน์ 3 เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้ท่าน คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ เพราะบาปของเราตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 4 ทรงถูกฝังไว้และในวันที่สามพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ 5 และทรงปรากฏแก่เปโตร  จากนั้นปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสองคน 6 ต่อมาพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แม้บางคนได้ล่วงลับไปแล้ว 7 จากนั้น พระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบและแก่อัครทูตทั้งปวง 8 และในท้ายที่สุดพระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้าด้วย ผู้เป็นเหมือนทารกที่คลอดผิดปกติ”

 

พระเยซูทราบดีว่ามารมันขี้โกง มันแพ้ไปแล้ว  มันก็พยายามไปโกหกมนุษย์ อย่างน้อยก็ไปบอกเขาว่าไม่แพ้หรอก หรือว่าแพ้ไม่หมด พยายามไปหลอกลวง ปกปิดความพ่ายแพ้ของมัน

นี่เขียนหลังจากเหตุการณ์การชกนั้น  การถูกตรึงที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาจากความตาย  ไม่กี่ปี พระเยซูรู้ พระองค์จึงบอกสาวกของพระองค์ ที่บันทึกไว้นี้คือบอกเปาโลว่าเปาโลไปจัดการสิ่งนี้ นี่สำคัญที่สุดเลย ต้องให้จำให้ได้นะ อย่าให้มารมันหลอก ในข้อที่ 3 เปาโลบอกว่า “เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้น” รับมาจากใคร?  รับมาจากพระเยซู พระเยซูสั่งเปาโล … อันนี้ต้องจำให้ดีนะ เรื่องที่พระเยซูสั่งให้เปาโลมาบอกพวกเรา มนุษย์รุ่นต่อๆ ไปว่ามารมันจะหลอกอย่างนี้  เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ต้องจำให้ได้ จำอย่างอื่นไม่ได้ ไม่เป็นไร  แต่ต้องจำตรงนี้ให้ได้ คือ …

“เรื่องที่พระเยซูสั่งผมมา เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ก็คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ เพราะบาปของเรา  ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์”

ก็คือยกแรก พระองค์ทรงตายบนไม้กางเขน  ด้วยความทุกข์ทรมาน  ไพรีพิฆาตไปแล้ว

ข้อ 4 บอกว่า “ทรงถูกฝังไว้” คือยกที่ 2  ถูกฝังไว้ คือมัจจุราชสิ้นฤทธิ์ เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ ตายจริงๆ อยู่ในอุโมงค์ “และในวันที่ 3 พระองค์ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ก็คือผู้พิชิตนิรันดร์ ในยกที่ 3

เห็นไหมต้องจำตรงนี้ไว้ให้แม่น แน่นอนเลยว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ในวันที่ 3  คนไหนที่เชื่อแล้วว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน  ไถ่บาปให้ก็ดี แต่มันก็ปิดบังตาว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตายหรอก  เชื่อก็เชื่อว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้อย่างเดียว  ไม่ต้องไปรู้หรอกว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย คนนั้นก็จะใช้สิทธิอำนาจ หรือใช้สิทธิของตัวเองในฐานะผู้ชนะได้แค่ครึ่งเดียว ได้แค่ไถ่บาปเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย  ไม่สามารถมาเป็นลูกของพระเจ้า ที่เรากำลังจะเรียนรู้ต่อไปได้ ก็คือสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์หายไป  ในโรม 5:8-10 ก็ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

โรม 5:8-10 “8 แต่​พระเจ้า​ได้​แสดง​ความรัก​ต่อ​เรา โดย​ยอม​ส่ง​พระคริสต์​มา​ตาย​เพื่อ​เรา ทั้งๆ​ ที่ ​เรา​ยัง​เป็น​คน​บาป ​(เป็นศัตรูกับพระเจ้า) อยู่ 9 ตอนนี้​ พระเจ้า​ยอมรับ​เรา​ (เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว​  เพราะ​เลือด​ของ​พระคริสต์  ยิ่งกว่า​นั้น​ เรา​จะ​รอด​พ้น​จาก​ความ​โกรธ ​(การถูกลงโทษ เพราะบาป) ของ​พระเจ้า​ (ในวันพิพากษา) เพราะ​พระคริสต์​อย่าง​แน่นอน 10 เพราะถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู (บาป) ต่อต้านกับพระเจ้าอยู่นั้น  เรายังได้รับการรักษาให้กลับคืนดี  เข้ากันได้กับพระเจ้า  ผ่านทางการตายของพระบุตรแน่นอน มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร ที่เดี๋ยวนี้ เราได้คืนดี เข้ากันได้กับพระเจ้าแล้ว เราก็ได้รับการปลดปล่อย ช่วยให้รอด จากการเป็นทาสของอำนาจของความบาป ผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์”

 

เห็นไหม? เปาโลพยายามปกป้องความจริงเหล่านี้ อันเดิมนั่นแหละ เกี่ยวกับการตาย การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ว่ามันเกิดขึ้น ประโยชน์ของเรา  ที่มาถึงเรามนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ คืออะไร?  พระเจ้าแสดงความรักต่อเรา  โดยขณะที่เรายังเป็นคนบาป ทั้งๆ ที่เป็นคนบาป พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อเรา อันนี้ไม่ยาก พอเห็นกับตาได้ว่าพระองค์ทรงตายด้วยความทุกข์ทรมาน บนไม้กางเขน

และในนี้บอกว่าด้วยเหตุนี่แหละ ด้วยการตายของพระเยซูคริสต์ตรงนี้ พระเจ้าจึงรับเราว่าเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว “ผู้ชอบธรรม” คือคนดีพร้อม ดีงามในสายพระเนตรของพระเจ้า  สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ โดยผ่านทางเลือดของพระคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน  ทำให้เราได้กลายเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว พระเจ้ารับเราได้แล้ว

ในนี้บอกว่ายิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธ คือการถูกลงโทษ เพราะบาป การโกรธ คือการเข้ากันไม่ได้ของพระเจ้า และมีผลปฏิกิริยาเกิดขึ้น เรียกว่าความโกรธ เหมือนกันกับที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ว่าเหมือนเราไปจับไฟฟ้าแรงสูง โดยไม่มีชนวนอยู่ เอามือเปล่าๆ ไปจับไฟฟ้าแรงสูง แล้วไฟฟ้าแรงสูงมันโกรธเรามากเลย ทำให้ช๊อตเรา  เกือบตาย หรือตายเลย  ความโกรธมันหมายถึงอย่างนั้น  หมายถึงเข้ากันไม่ได้  ถูกลงโทษ เพราะบาป บาปคือการเป็นศัตรู เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ “ในวันพิพากษา” คือวันที่เราจากร่างนี้ ไปอยู่ในโลกวิญญาณจริงๆ เราก็อยู่ในสวรรค์ไม่ได้ อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ถ้าไม่มีเลือดพระเยซูมาชำระล้างเรา  มันหมายถึงอย่างนี้

แล้วในข้อที่ 10 อันนี้สำคัญ  เพราะถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู เป็นบาป ต่อต้านพระเจ้าอยู่นั้น หมายถึงชีวิตของเราอันเดิม เรายังได้รับการรักษาให้กลับคืนดี เข้ากันกับพระเจ้า ขณะที่เราเป็นคนบาปนั้น พระเจ้ายังให้พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ทำให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ผ่านทางการตายของพระบุตร แน่นอนมากกว่านั้นอีกสักเท่าไร? นึกภาพนะ ที่เดี่ยวนี้เราได้คืนดีกับพระเจ้า  เข้ากันได้กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เราก็ได้รับการปลดปล่อย ช่วยให้รอด จากการเป็นทาสของอำนาจของความบาปและความตาย จากการเป็นคนบาปผิด ได้รับอิสรภาพ ผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

พูดง่ายๆ นอกจากตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตชำระล้างเราจนสะอาดหมดจด เป็นผู้บริสุทธิ์ เรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว  มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร? ท่านรู้ไหมว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย มาเป็นลูกของพระเจ้า พ้นจากความบาป ไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในบาปอีกต่อไป แต่เป็นคนที่อยู่ในความชอบธรรม อยู่ในพระเจ้า อยู่ในความบริสุทธิ์ของพระเจ้า กลับกลายเป็นลูกของพระเจ้าเลย มาจากการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู และท่านก็เลยได้เป็นขึ้นมาด้วย ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น

“พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันเลยเป็นขึ้นด้วย”

เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราจะได้เป็นขึ้นด้วย เอเฟซัส 2:5-6  จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้อีกว่า …

เอเฟซัส 2:5-6  “5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ใน ขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการถูกลงโทษ จากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

เฮๆๆๆ … ไม่ดีใจเลยเหรอ! เราควรจะดีใจมากนะ “ พระองค์ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา ที่ตายอยู่ในอาดัม  ที่เป็นบาปอยู่ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า  กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายไปแล้วในบาป  คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด จากการถูกลงโทษ จากการคำสาปแช่ง จากการเป็นคนบาป  เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ ท่านได้รับความรอดออกมา โดยพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยการกระทำดีของท่าน แต่โดยที่พระเจ้ากระทำผ่านทางพระเยซูคริสต์ และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ ชัดไหม? วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ เป็นขึ้นมาเมื่อไร? เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นมาด้วย และเราจะใช้สิทธิของเราหรือไม่?  ถ้าเราใช้สิทธิของเรา เราก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นเดียวกัน

“และในพระเยซูคริสต์ ที่เราเป็นขึ้นจากความตายนั้น  พระเจ้าได้ให้เรานั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระคริสต์” … นั่งแล้วเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นในขณะนี้ เมื่อเราเชื่อในข่าวดีนี้  เราได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่ไหนในขณะนี้? นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระคริสต์นั่นเอง เอเมน

พูดง่ายๆ พระเจ้าย้ายเราออกจากอาดัมในอดีต ให้กลับมาอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้านั่นเอง  ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ย้าย ก็คือย้ายเลย  โรม 6:3-5 ก็ได้พูดลักษณะนี้เหมือนกัน อธิบายให้เห็นชัดเจนขึ้นว่าเราได้ถูกย้ายจากในอาดัม ในการเป็นคนบาป มาอยู่ในพระคริสต์ มาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นคนชอบธรรมดีงาม ด้วยวิธีใด? …

โรม 6:3-5 ”3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์? 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์  แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ คืออะไร? …

“เมื่อเราเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ว่าพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ เป็นตัวแทนของฉันด้วย  ฉันก็เป็นมนุษย์ พระองค์เป็นหัวหน้ามนุษย์  ได้รับชัยชนะแล้ว ฉันจะเอาด้วย ฉันจะรับสิทธินี้ด้วย  ฉันจะเป็นพวกเดียวกับพระเยซู”

นั่นแหละ คือการเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ในโลกวิญญาณเกิดสิ่งนี้ขึ้นกับท่าน

เปาโลบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา”

รับบัพติศมา แปลว่าถูกจุ่ม ถูกเข้าส่วน

“ท่านไม่รู้หรือ? เราที่ถูกพระเจ้านำเราจุ่มลงไป  เข้าส่วนลงไปในพระเยซูคริสต์ ท่านไม่รู้หรือ?” ก็คือเมื่อเราเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ พระเจ้าได้ผ่าตัด ย้ายวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ ของเรา  ซึ่งอยู่ในอาดัม อยู่ในบาป ย้ายจากอาดัมเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ (ทำอีกแล้ว … เอากระดาษ (วิญญาณของเรา) ใส่เข้าไปในพระคัมภีร์ (พระคริสต์) …) เรียกว่าบัพติศมาเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อมนุษย์คนใดเปิดใจต้อนรับความจริงของข่าวดีนี้ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นตัวแทนของมนุษยชาติที่พระเจ้าแต่งตั้ง ประทานให้มนุษยชาติ  พอเขาเปิดใจปุ๊บ พระเจ้าทำสิ่งนี้เลย  คือเอาวิญญาณของเขา วิญญาณเดิม  บัพติศมาเข้าไปอยู่ในพระคริสต์

ข้อ 4 บอก “ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย”

ยกแรก พระเยซูคริสต์ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน เราเลยถูกตรึงตายที่ไม้กางเขนกับพระองค์ วิญญาณท่านถูกตรึงอยู่แล้ว ตอนนี้ พระเจ้าได้ทำการผ่าตัดวิญญาณท่าน เอาวิญญาณท่านเข้ามาในพระเยซูคริสต์ พอพระเยซูถูกตรึง ท่านก็ได้ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซู เห็นไหม? พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ท่านถูกตรึงด้วย

“เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตเช่นเดียวกันกับที่พระองค์ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา” ก็คือขณะที่เราตายกับพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็ไปอยู่ในอุโมงค์ด้วย และในวันที่ 3 พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากคาวมตายด้วย มันหมายถึงอย่างนั้น

“ถ้าเราได้มีส่วนกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์” ถ้าเราอยู่ในการตายที่ไม้กางเขน อยู่ในพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขนร่วมกับพระองค์ “แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์” ตอนที่พระองค์ถูกยกขึ้นมาสูงสุด  อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในโลกวิญญาณนั้น  เราก็อยู่ในพระคริสต์ เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานด้วยเช่นเดียวกัน  นี่แหละที่เราร้องเพลงกันว่า …

“เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็น ขึ้นพร้อมพระองค์”

นี่คือข่าวดี  ถามว่ารอให้ตายแล้วถึงเป็นไหม?  ไม่ใช่ เป็นขึ้นแล้ว ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้อยู่ และมันจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดนิรันดร์  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย

เห็นภาพนี้ไว้ก่อนนะ จำไว้นะว่าเราอยู่ในพระเยซู … เห็นไม้กางเขน พระเยซูถูกตรึง เราก็ถูกตรึงอยู่ด้วย  พระเยซูถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย  วันที่ 3 พระเจ้าได้ชุบพระเยซูให้ขึ้นจากความตาย และแต่งตั้งให้พระองค์นั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน มีอำนาจสูงสุด  ครอบครองเหนือทุกสิ่ง ด้วยฤทธิ์อำนาจ  เราก็อยู่ในพระองค์นั่นแหละ อ่านโคโลสี 3:1-4  …

โคโลสี 3:1-4  “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

“ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว” เห็นภาพแล้วนะตอนนี้  เห็นชัดเลยว่าท่านอยู่ที่ไหน? ท่านกำลังนั่งอยู่กับพระคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ท่านกำลังนั่งอยู่ที่นั่นในขณะนี้

“ฉันกำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานกับพระเยซูคริสต์”

“ก็จงให้ใจของท่าน” ก็คือความคิดจิตใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” เมื่อเป็นอย่างนั้น เกี่ยวกับโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นอย่างนั้น  ก็จงให้ความคิดของท่าน  คิดอยู่ตลอดเวลาว่า …

“ฉันได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลกจะแย้งอย่างไร? ไม่ว่ามารจะโกหกอย่างไร? ฉันก็ยังคงยึดมั่น เห็นภาพนั้นว่าฉันนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น” นี่แหละ คือการฉลอง

ข้อ 2 บอกว่า “จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ให้จดจ่อกับความจริงเรื่องเบื้องบน  คือตะกี้นี้ที่เราพูดถึงที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในโลกวิญญาณ จดจ่อตรงนี้ตลอดเวลา อย่าให้ถูกดึงไปตรงนั้น ดึงไปตรงนี้

มารก็จะส่งข้อมูลเข้ามา “เราเป็นมนุษย์คนเดียว ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าได้อย่างไร? โอ๊ย! ยังคิดอิจฉาเขาอยู่เลย  ยังคิดโลภอยู่เลย แล้วจะไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานได้อย่างไร?”

“ใม่รู้แหละ ในโลกวิญญาณ ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว มารแกแพ้ไปแล้ว แกหมดฤทธิ์ไปเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่ได้เป็นทาสแก ฉันไม่เชื่อแกอีกต่อไป”

ข้อ 3 บอกว่า “เพราะตัวเก่าของท่านได้” ตายไปเมื่อไร?  ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขนร่วมกับพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ ถูกตรึงตายไปแล้ว ก่อนจะเป็นขึ้นมาใหม่ ก็ต้องตายก่อน ไม่อย่างนั้นจะเป็นขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร? การเป็นขึ้นมาใหม่ตรงนี้ ก็คือการบังเกิดใหม่ที่พระเยซูคริสต์บอก ใครจะเข้าสวรรค์ได้ ต้องบังเกิดใหม่  การบังเกิดใหม่ ก็คือการเป็นขึ้นมาใหม่ อันเดียวกันนั่นแหละ คนจะเข้าสวรรค์ได้ ต้องเป็นขึ้นจากตาย ก็คือต้องบังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูที่บังเกิดใหม่  ฉะนั้น ก่อนที่พระเยซูจะบังเกิดใหม่ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เราก็ได้ตายไปแล้ว เพื่อจะได้บังเกิดใหม่

ในนี้ก็บอก “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า” ซ่อนอยู่ในพระคริสต์ อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระองค์

ข้อ 4 “เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ” เราถูกซ่อนอยู่ในนี้  ซ่อนอยู่ถึงเมื่อไร? “เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”  หมายถึงเมื่อถึงวันเวลาที่พระคริสต์จะกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อจบการพิพากษาบนโลกใบนี้ พระองค์จะกลับมาใหม่ เราทั้งหลายไม่ต้องถูกซ่อนอยู่อย่างนี้แล้ว เราทั้งหลายได้รับร่างกายใหม่จากพระเจ้า ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ทุกข์ทรมาน ไม่เจ็บป่วย ไม่มีการตายอีกต่อไป  ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตาย  เราจะได้รับร่างกายอย่างนั้นแหละ วิญญาณของเราจะได้รับร่างกายอย่างนั้น เมื่อเราจากโลกนี้ไป ทิ้งร่างเดิมนี้ไปเรียบร้อยแล้ว และวิญญาณ และร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ที่จะกลับมาครอบครองโลกใหม่  สวรรค์ใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นหัวหน้าของเรา เหมือนบทเพลงที่ร้องว่าวันนั้นจะมาถึง วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหลาย ในหนังสือวิวรณ์เขียนไว้ ที่บอกว่า …

“ร้องสรรเสริญว่าฮาเลลูยา ร้องสรรเสริญว่าฮาเลลูยา

ร้องสรรเสริญว่าฮาเลลูยา    คนชอบธรรมเดินหน้าเข้ามา”

ถึงวันนั้น วันพิพากษา  วันจบสิ้นโลกใบนี้แล้ว  พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหัวหน้าของมนุษยชาติทั้งหลาย ผู้ได้รับชัยชนะ เดินเข้ามาบนโลกใบนี้  เหล่าธรรมิกชนทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งปวงที่ได้เชื่อในพระองค์ ที่ได้เกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ ที่ได้มีชีวิตซ่อนอยู่ในพระองค์ ปรากฏมาร่วมกับพระองค์ เดินมาพร้อมพระองค์ นี่แหละเขาเรียกว่าอย่างนั้น  และท่านเป็นหนึ่งในจำนวนธรรมิกชนเหล่านั้นที่เดินเข้ามาหรือเปล่า? ต้องถามตัวท่านเอง ในห้องนี้คงจะอยู่ในนั้นหมดแล้ว กำลังถามท่านที่ฟังอยู่ที่บ้าน ที่ออนไลน์ว่า …

“ท่านคิดว่าท่านเป็นหนึ่งในนั้นไหม?”

ท่านจะเป็นหนึ่งในนั้นได้ ก็ต่อเมื่อท่านร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมพระองค์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์พร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และทำอย่างนั้นได้ด้วยวิธีใด? เปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ ต้อนรับข่าวดีนี้  เรียกพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ ในการทำศึกสงครามกับความบาปและความตาย และได้รับชัยชนะไปแล้ว เปิดรับพระองค์เข้ามา เอาชัยชนะในพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต แค่เปิดใจเท่านั้นเอง  ที่เหลือพระเจ้าทำหมด  ที่เหลือพระเจ้าจะเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของท่าน  นำวิญญาณท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ แล้วเริ่มขบวนการตาย  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ได้รับชีวิตของพระเจ้านิรันดร์ ท่านจะทำไหม? ท่านอาจจะรับรู้ครั้งแรกในวันนี้ เรื่องราวของความจริงในโลกวิญญาณ ท่านลองกลับไปคิดใคร่ครวญไตร่ตรองดูว่ามันจริงหรือไม่จริง? และสมควรอย่างไร? และจำเป็นอย่างไร? ที่มนุษย์ทุกคนควรจะรับรู้เรื่องเหล่านี้ แล้วก็คิดใคร่ครวญ ทบทวนว่าเราพร้อมในการจากโลกนี้ไปไหม? เราพร้อมที่จะกลับมาใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์หรือเปล่า? เราพร้อมจะยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้พิพากษาของมหาจักรวาลในวันพิพากษาไหม? เราพร้อมที่จะพูดว่าเราบริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีบาปอะไรเลยในตัวเราแม้แต่นิดเดียว  เราพร้อมไหม?   พระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

พระเยซูผู้บริสุทธิ์  ได้มาล้างบาปให้กับมนุษย์ที่มีมลทินสกปรก โดยการรับเอาบาปและสิ่งสกปรกของมนุษย์  มาไว้ที่พระองค์เอง

 

ไบเบิลบันทึกไว้ว่า … “พระองค์เอง ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย” (1 เปโตร 2:24)

 

และนี่คือวิธีเดียวเท่านั้น ที่ทำให้มนุษย์ได้รับการชำระล้างความสกปรก ให้กลับมาสะอาดได้ ชำระเอาความบาปออกไป กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ได้

 

มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า และเพราะความบาปของมนุษย์ ไม่ได้มาจากการกระทำของมนุษย์เองเท่านั้น  แต่เป็นเชื้อบาปที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้น การล้างบาป มนุษย์จึงไม่สามารถกระทำเองได้ การลบล้างความบาป จึงต้องไปแก้ที่ต้นเหตุ คือไปลบล้างเชื้อบาป ซึ่งพระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงส่งพระเยซู พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาประสูติเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว ที่จะช่วยมนุษย์ได้

“ในผู้อื่น ไม่มีความรอดเลย เพราะไม่ได้ประทานนามอื่น ที่จะช่วยให้เราทั้งหลายรอด แก่มนุษย์ทั่วใต้ฟ้า”   (กิจการ 4:12)

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1305

คำบรรยายวันศุกร์ประเสริฐที่  2  เมษายน  2021

 เรื่อง “บริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบตลอดกาล  ด้วยพระโลหิตพระเยซู”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

หลายแห่งเขาก็ฉลองเทศกาลศุกร์ประเสริฐและอีสเตอร์ วันสิ้นพระชนม์กับวันเป็นขึ้นจากความตาย ต้องคู่กัน เขาฉลองเป็นสัปดาห์ เรียกว่าสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นปาล์มซันเดย์ พระเยซูคริสต์เดินทางเข้ามากรุงเยรูซาเล็ม พระคัมภีร์บอกหมด ตั้งแต่นานมาแล้ว ก่อนหน้าที่จะเดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็ม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตลอด 3 ปี ที่พระเยซูได้ประกาศบนโลกใบนี้ ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ พระองค์บอกล่วงหน้าแล้วว่าพระองค์จะเข้ามากรุงเยรูซาเล็ม ในสุดท้ายชีวิตของพระองค์ เพื่อให้เขาจับไปฆ่า เพราะเป็นการงานที่พระองค์ได้ถูกแต่งตั้งให้กระทำสิ่งนี้ บอกมาเป็นระยะๆ ตลอดเวลา

วันนี้เราเลยจะมาระลึกถึงเหตุการณ์นี้ร่วมกัน ว่าพระเยซูทราบล่วงหน้า แล้วว่าจะเข้ากรุงเยรูซาเล็มในสัปดาห์นี้ เพื่อให้เขาจับไปฆ่าด้วยการถูกตรึงที่ไม้กางเขนอย่างทรมาน  เพราะความรักยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ว่าพระองค์ทรงทุกข์ทรมาน เพื่อเรามากขนาดไหน?  เราจะมาเริ่มต้นที่ยอห์น 19:28-30 เลยว่าเมื่อพระองค์ทรงเดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็ม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รู้แล้วว่ามาครั้งนี้ พระองค์จะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน  และพระองค์ทรงว้าวุ่นใจ กังวลใจตั้งแต่แรกแล้ว รู้ว่าพระเจ้าให้กระทำสิ่งนี้  แต่ก็รู้ว่ามันหนักหนาสาหัส ยิ่งใกล้วันมา วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัส ยิ่งกังวลใจมาก ยิ่งกลัวในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ ลองคิดดูสิว่าพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าที่พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่พูดคุยกับพระเจ้าตลอดเวลา  แล้วพระองค์ทรงบอกว่าพระองค์ทรงกังวลใจ  พระองค์ทรงกลัว มันจะเป็นภาระหนักขนาดไหนที่พระเยซูจะทรงก้าวเข้าไปทำ ในการถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ทั้งๆ ที่รู้ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสวนเกทเสมนีในวันพฤหัส คือเมื่อวานนี้  ก่อนที่จะถูกจับไปทุกข์ทรมาน และตรึงบนไม้กางเขน พระองค์อยู่กับเหล่าสาวก แล้วขอร้องให้เหล่าสาวกมาเป็นเพื่อนหน่อย  แสดงว่ากลัว กังวล

กังวลถึงขนาดบันทึกไว้ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์อธิษฐานด้วยความทุกข์ทรมานถึง 3 ครั้ง  พระเจ้าพระบุตร อธิษฐานกับพระบิดา ขอให้ภาระนี้ หน้าที่นี้ การถูกตรึงที่ไม้กางเขนนี้ เป็นไปได้ไหมที่จะผ่านไป ไม่รับ ไม่เข้าไป  ไม่ถูกตรึงได้ไหม? มีวิธีอื่นไหม? แต่ทั้ง 3 ครั้ง เนื่องจากพระองค์ทรงทราบล่วงหน้า มาตั้งเป็นพันๆ ปีมาแล้วว่าพระองค์ทรงถูกแต่งตั้งให้มาทำงานนี้ พระองค์ก็ทรงทราบ  แต่ในใจหนึ่ง ก็ทรงกลัว แล้วพระองค์ก็ทรงชนะจิตใจตัวเอง โดยการอธิษฐานว่า …

“พระเจ้าถ้ามันเลื่อนไม่ได้ มันจำเป็นที่ลูกจะต้องเดินเข้าไป  ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ อย่าเป็นไปตามใจลูกเลย”

อธิษฐานอย่างนี้ 3 ครั้ง แสดงให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัว น่าหวาดกลัว น่าสยดสยองของสิ่งที่พระเยซูคริสต์กำลังเผชิญอยู่ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ตอนเย็น จนกระทั่งถึงเมื่อบ่าย 3 โมง วันนี้ที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราจะมาดูกันว่าพระองค์กลัวอะไร? แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เพื่ออะไร? ทำไมพระเจ้าต้องทำสิ่งเหล่านี้ด้วย มารซาตานรู้อย่างเดียวว่าอยากจะเอาชนะพระเยซู สิ่งเดียวที่ทำให้พระเยซูแพ้มารซาตานในเรื่องนี้ได้ ก็คือซาตานมันรู้แล้วว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่มันไม่รู้แผนการทั้งหมดของพระเจ้า ในการไถ่ถอนมนุษย์ มันไม่รู้ลึกซึ้งขนาดนั้น พระคัมภีร์บอกมันไม่รู้ เพราะฉะนั้น มันพยายามที่จะทดลอง ที่จะยุแหย่พระเยซูให้ทำอะไรก็ได้  ให้ละเมิดสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนมนุษย์ ในการสำแดงตัวพระเจ้าออกมา ถ้าสำแดงตัวของพระเจ้าออกมาเมื่อไร? ก็ไม่ได้เป็นมนุษย์เมื่อนั้น เข้าใจใช่ไหมครับ?

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อวานนี้ถูกจับ มันทั้งล้อเลียน ยุแหย่ ทั้งไม่ให้เกียรติ ถ่มน้ำลาย ตบหน้าพระเยซู เฆี่ยนพระเยซู เยาะเย้ยต่างๆ เพื่อให้พระเยซูบอกว่า …

“ไม่เอาแล้ว ไม่ไหวแล้ว กลับมาเป็นพระเจ้าดีกว่า ไม่ยอมให้ถูกรังแกอย่างนี้  ไม่เอาเด็ดขาด”

นั่นแหละ คือพระเยซูแพ้ แต่ขอบคุณพระเจ้า ผลปรากฏออกมาแล้วว่าพระเยซูไม่แพ้  ทนจนกระทั่งสุดท้ายที่ไม้กางเขน แบกรับเอาความน่าอาย แบกรับเอาความทุกข์ทรมาน  แบกรับเอาความยุแหย่ เจ็บปวด ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นพระเจ้า สามารถที่จะหนีจากสิ่งเหล่านี้ สามารถที่จะชนะสิ่งเหล่านี้  สามารถลงจากกางเขนได้ทันที เรียกทูตสวรรค์มาเป็นกองๆ ทันทีเลย  ใครจะทำอะไรพระองค์ได้ แต่พระองค์ไม่ทำ  ยอมทำให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า  ยอมทนทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวด ความรักอันยิ่งใหญ่นี้พระองค์ทำเพื่อใคร? ในที่สุด พระองค์ก็ทรงชนะ คือทรงสิ้นพระชนม์ รับบาปของมวลมนุษยชาติ จนกระทั่งคนสุดท้าย

สมมติว่ามนุษย์มีทั้งหมด แสนล้านคน พระองค์รับแบกบาปมวลมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์ ตั้งแต่คนแรก รับไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เย็นวันพฤหัส ถูกจับปุ๊บ ค่อยๆ รับความทุกข์ทรมาน รับเพิ่มไปเรื่อยๆ  รับจนกระทั่งบนไม้กางเขน ใกล้ๆ บ่าย 3 โมง พระองค์อาจจะนับไป 99,999 เหลืออีกคนเดียวเอง พอถึงบ่าย 3 โมงพระองค์รับอีกคนหนึ่งไว้ ด้วยความทุกข์ทรมาน พอรับไป พระองค์บอกว่ารับหมดเรียบร้อยแล้ว แบกบาปของคนทั้งโลกไว้ที่พระองค์เรียบร้อยแล้ว ด้วยความอับอาย ด้วยความเจ็บปวด ทำอะไรเขาได้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ตอนนี้ เพราะรับบาปของมวลมนุษยชาติ ต้องอดทน รับแบกบาปของมวลมนุษย์ไว้ จนคนสุดท้าย  รับครบเมื่อไร? เมื่อบ่าย 3 โมง พระองค์ก็เลยบอกว่าจบแล้ว เสร็จเรียบร้อยแล้ว สำเร็จแล้ว เรามาอ่านดูตรงนี้กัน ยอห์น 19:28-30 …

ยอห์น 19:28-30  “28 หลังจากนั้น พระเยซูรู้ว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้คำต่างๆ ในพระคัมภีร์เกิดขึ้นจริง พระองค์พูดว่า “เราหิวน้ำ” 29 มีไหใส่เหล้าองุ่นเปรี้ยวอยู่ที่นั่น พวกเขาจึงเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวนี้ ใส่ปลายกิ่งไม้หุสบ แล้วยื่นไปจ่อไว้ที่ปากของพระองค์ 30 เมื่อพระองค์ได้ชิมเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว จึงได้ร้องว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้น ก็คอพับ และสิ้นใจตาย”

 

สิ่งที่พระองค์ทรงกลัวมาก คือการทนทุกข์ทรมาน อย่างที่บอก ถูกเยาะเย้ย ถูกเหยียดหยาม ถูกทรมาน  เอาสิทนได้ใช่ไหม? ก็ทรมานอีก ทนได้ ทรมานอีก จนกระทั่ง พระเยซูรู้ว่าทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ ตามที่พระเจ้าวางแผนไว้แล้ว ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย รับแบกบาป เรียบร้อยแล้ว  พระองค์ทรงทราบและสำเร็จแล้ว พระองค์จึงได้ร้องประกาศข่าวดีอีกแล้ว ตลอด 3 ปีมา ที่ดำเนินบนโลกใบนี้ เริ่มสั่งสอนนั้น พระองค์ไม่ได้มาสั่งสอนให้คนทำความดีนะ มาประกาศแผ่นดินสวรรค์ ประกาศปีแห่งการโปรดปรานของพระเจ้าว่าพระเจ้าอภัยให้มนุษยชาติ พระองค์มา เพื่อไถ่บาป พระองค์จึงได้ร้องว่าข่าวดีที่บอกไว้นั้น เกี่ยวกับสวรรค์มา บัดนี้ สำเร็จแล้ว แล้วก็สิ้นพระชนม์ สิ้นพระชนม์ก่อนหน้านี้ไม่ได้ ตายก่อนหน้านี้ไม่ได้  ต้องรับจนหมดเกลี้ยงเลย มวลมนุษยชาติ บาปของเขา พระองค์ทรงรับไว้หมดเกลี้ยงเลย แล้วพระองค์ก็บอก …

“สำเร็จแล้ว” สิ้นพระชนม์

ในภาษาเดิม ที่เขาใช้ภาษากรีกบันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ตรงนี้ คำว่า “สำเร็จแล้ว” ตรงนี้ เราได้เคยคุ้นกันบ่อยๆ ทุกๆ ปีก็จะมาพูด เรียกว่า “Testelestai” คือสำเร็จแล้ว จ่ายหมดแล้ว ทำครบแล้ว สมบูรณ์แบบแล้ว  มันหมายถึงตรงนั้น พระองค์อยู่บนไม้กางเขนเมื่อตอนบ่าย 3 โมงวันนี้ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว แผนการของพระเจ้าที่จะช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากอำนาจมืดของผีมารซาตาน เป็นทาสของผีมารซาตานนั้น บัดนี้ สำเร็จแล้ว หนี้บาป เวรกรรมของมนุษย์ที่ติดตัวมา ตั้งแต่สมัยอาดัมนั้น ได้ถูกจ่าย ให้ครบถ้วนหมดแล้ว Testelestai ก็คือจ่ายหมดแล้ว พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่  พันธุ์ที่สามารถรับความบาปของมวลมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์ได้ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า ไม่มีบาป บริสุทธิ์ผุดผ่องเลย  ไม่มีมนุษย์คนใดเลยในโลก สักคนเดียวที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะทั่งหมด มาจากแหล่งเดียวกัน มาจากที่เดียวกัน คือมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน คืออาดัม ทุกคนติดเชื้อบาปกันมาทั้งสิ้น ยกเว้นพระเยซูคริสต์ที่บังเกิดจากหญิงพรหมจารี กำเนิดโดยหญิงพรหมจรรย์ จากพระวิญญาณของพระเจ้า พระองค์จึงบริสุทธ์ เป็นมนุษย์ 100% และเป็นพระเจ้า 100%  พระองค์จึงเป็นตัวแทนของมนุษย์จ่ายหนี้บาป เรียบร้อย หมดไปแล้ว เกลี้ยงเลย

แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าถ้าใครรู้ข่าวดีนี้ ต้องการที่จะหมดหนี้ หมดบาป ก็ง่ายนิดเดียว คือเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ว่ามันเป็นจริงเท่านั้นเอง

มนุษย์ผู้ใดอยากได้สิทธิ์นี้ ก็ต้องย้ายออกจากพันธุ์เดิม คือพันธุ์อาดัม ก็เป็นพันธุ์ของเรา พันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ก็มาจากอาดัม ต้องย้ายจากอาดัมมาอยู่พันธุ์ใหม่ มาอยู่ในพันธุ์ของพระเยซูคริสต์ ให้พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน เป็นหัวหน้าเรา เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  เราก็จะได้รับสิทธินี้ คือหนี้บาปเวรกรรมของเรา ก็ได้ถูกจ่ายไปเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าหัวหน้าของเรา คือพระเยซูคริสต์ได้จ่ายให้หมดแล้ว

แสดงการใช้สิทธิ์นี้ ด้วยเจตจำนง คือใช้ความเชื่อ พระคัมภีร์ใช้คำว่า “กลับใจใหม่”  หรือเรียกว่า “เปิดใจต้อนรับข่าวดี” พระเยซูบอกเราเคาะที่ประตูใจของท่าน  เราประกาศข่าวดีให้กับท่าน มาอยู่เรื่อยๆ ทั้งผ่านตรงโน้น ผ่านตรงนี้ เคาะอยู่เรื่อยๆ  ให้ท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอดของท่าน ท่านก็ได้รับสิทธิ์นี้ทันนี้

นี่คือการแสดงเจตจำนงในการรับสิทธิในข่าวดีที่พระเยซูทำให้ ที่ไม้กางเขน เมื่อบ่ายนี้ นี่ผ่านมาแล้ว 2,000 ปี หนี้บาปเวรกรรมของมนุษย์ ได้ถูกจ่ายเรียบร้อยไปแล้ว และก่อนอื่นเลย ที่มนุษย์คนนั้นจะใช้สิทธิ์ อันดับแรก ซึ่งผ่านไปไม่ได้เลย ก่อนที่จะใช้สิทธิ์นี้ คือเขาต้องยอมรับตัวเองก่อนว่าเขาเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ต้องการผู้ช่วยให้รอดจากบาป ไม่สามารถชดใช้บาปตัวเองได้  พูดง่ายๆ ใช้บาป เวรกรรมตัวเองไม่หมด  และต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น ก็คือมีพระเยซูผู้เดียว  ตรงนี้จึงเป็นอันดับแรกที่ต้องเกิดขึ้นในใจก่อน มนุษย์คนนั้นต้องยอมรับก่อนว่าตัวเองเป็นคนบาป และอ่อนแอ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ตรงนี้มันยากนะ ที่มนุษย์คนหนึ่งจะยอมถ่อมใจลง

“ฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ฉันทำดีอย่างไรก็ยังไม่เพียงพอ  เพราะฉะนั้นขอตัวช่วย”

และตัวช่วย ก็มีอยู่ผู้เดียว คือพระผู้ช่วยให้รอด  พระเยซู … เยซู แปลว่าผู้ช่วยให้รอด เมื่อใดเมื่อนั้น ถ่อมใจตรงนี้ เขาก็จะได้รับสิทธิ์นี้ทันที ในโรม 5:8-9 ได้อธิบายถึงทำไมพระเยซูต้องยอมทนทุกข์ทรมาน ถึงขนาดนั้น เพราะรักใครมาก? ลองอ่านดู ท่านจะรู้ว่าความรู้สึกของพระเยซู ของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้นั้น เป็นความรักขนาดไหน? …

โรม 5:8-9  “8 แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อเรา โดยยอมส่งพระคริสต์มาตายเพื่อเรา 9 ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาป (เป็นศัตรูกับพระเจ้า) อยู่  ตอนนี้พระเจ้ายอมรับเรา (เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว เพราะเลือดของพระคริสต์  ยิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธ (การถูกลงโทษ เพราะบาป) ของพระเจ้า (ในวันพิพากษา) เพราะพระคริสต์อย่างแน่นอน”

 

ท่านคิดดูสิ ความรักของพระเจ้าใหญ่แค่ไหน? ทั้งๆ ที่มนุษยชาติบนโลกใบนี้ยังเป็นคนบาป ยังเป็นศัตรูกับพระเจ้า ยังดุด่า ว่ากล่าวพระเจ้า ล้อเลียนพระเจ้า อยู่ตรงข้ามพระเจ้า ดูหมิ่นพระเจ้า แต่ในขณะที่เรายังเป็นอย่างนั้น พระเจ้าโกรธเหรอ? พระเจ้าจะลงโทษเราใช่ไหม?  เพราะเราเป็นศัตรูกับพระองค์ใช่ไหม? ในนี้บอกว่า …

“แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อมนุษยชาติบนโลกใบนี้ โดยยอมส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตาย เพื่อเราที่ไม้กางเขน”

ที่เราพูดคุยกันเมื่อสักครู่นี้ ด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อมนุษยชาติที่เป็นศัตรูกับพระองค์ หมิ่น เหยียดหยาม ทั้งหมดออกมาที่เมื่อวานนี้ ที่ผมบอกให้ฟัง ที่มารมันใส่เข้าไปในจิตใจมนุษยชาติ ที่เกลียดพระเยซูมาก นั่นแหละ ข้างในของมนุษย์เป็นศัตรู เยาะเย้ยถากถาง เอามงกุฎหนามสวมเข้าไป ปลดฉลองพระองค์ให้พระองค์ละอาย แม้ตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน ก็บอกว่า …

“อ้าว! ลงมาสิ เก่งจริงลงมา”

คือทำทุกอย่าง นั่นแหละคือศัตรูกับพระเจ้า ทั้งๆ ที่มนุษย์เป็นศัตรูอย่างนั้นนะ พระเจ้าบอก …

“เราไม่ถือโทษ เราส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรเรามาตายที่ไม้กางเขน  เพื่อยอมรับเจ้า กลับมาหาเราใหม่”

พระเจ้ายอมรับมนุษยชาติ ยอมรับเรา ผู้เป็นคนบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ให้กลายเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซู เลือดของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งตั้งแต่ก่อนไม้กางเขน จนกระทั่งถึงไม้กางเขน และสิ้นพระชนม์นั่นแหละ

และในนี้บอกว่า “ยิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธของพระเจ้า” หมายถึงอะไร?

เราจะพ้นจากการถูกลงโทษ เพราะบาป เพราะเราเป็นศัตรูกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ทำอะไรเราหรอก มันเป็นกฎตามธรรมชาติ เมื่อเราเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับความดีงาม เราก็ได้รับโทษ ถูกพิพากษาลงโทษ

ในนี้บอกว่า … “รอดพ้นจากความโกรธ การถูกลงโทษ เพราะบาป ในวันพิพากษา” ก็คือในวันสุดท้าย เมื่อชีวิตเราหมดสิ้นจากโลกใบนี้ไปแล้ว ทุกคนต้องเข้าสู่การพิพากษาของพระเจ้า ถ้าเรายังเป็นศัตรูกับพระเจ้า ง่ายนิดเดียว พระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า การถูกพิพากษา คืออะไร? ท่านก็ทราบ มันก็เข้ากันไม่ได้อยู่แล้ว มันก็ต้องจำใจปล่อยไปตามทางของเรา เราก็ไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่สวรรค์ของพระเจ้า สำหรับคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้รับการชำระโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ กลายเป็นผู้ชอบธรรม คนดีงามแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาป ไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกแล้ว เขาก็รอด จากการพิพากษา  แค่นี้เอง รอดจากการถูกลงโทษ ในวันสุดท้าย เขาก็ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า นั่นหมายความว่าอย่างนี้ ฮีบรู 9:12 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

ฮีบรู 9:12  “พระองค์เข้าไปในห้องที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้น เพียงครั้งเดียวก็พอ สำหรับตลอดไป พระองค์ไม่ได้เอาเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ได้ถวายเลือดของพระองค์เอง พระองค์จึงทำให้เรา เป็นอิสระจากบาปตลอดไป

 

“พระองค์เข้าไปในห้องที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด” หมายถึงพระองค์เข้าไปในสถานที่ประทับของพระเจ้า ในสวรรค์ ในโลกวิญญาณเลย ในขณะที่ตายที่ไม้กางเขนแล้ว วิญญาณของพระองค์เข้าไปในพลับพลา หรือเรียกว่าอภิสุทธิสถาน สถานที่บริสุทธิ์ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์จริงๆ เข้าไปหาพระเจ้า เพื่อเอาเลือด ไปไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่ด้วยเลือดของสัตว์ แต่ด้วยเลือดของพระองค์เอง  พระองค์จึงทำให้มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นอิสระ หลุดพ้นจากบาปตลอดไป

จำไว้ “หลุดพ้นจากบาป” คือหลุดพ้นจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้าตลอดไป  บาป คือศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าบอกบวก เราบอกลบ  พระเจ้าบอกขาว เราบอกดำ นี่คือธรรมชาติของคนที่อยู่ในบาป

แล้วพระองค์ทรงกระทำอย่างนี้ เมื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสรภาพ มนุษย์ก็สามารถที่เป็นอิสรจากบาป  ก็คือมีโอกาสที่จะหลุดจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า  คือสามารถกลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับมาเป็นมิตรกับพระเจ้า  เหมือนแต่ก่อนได้ กลับมาเข้ากันได้กับพระเจ้า  ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ตรงนี้ ใน 2 โครินธ์ 5:16-21 ผมจะนำท่านไปดูคำว่า “คืนดี” มันแปลว่าอะไร? …

2 โครินธ์ 5:16-21 “16 ดังนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป เราจะไม่พิจารณาใครตามทัศนะของโลก แม้ครั้งหนึ่ง เราเคยพิจารณาพระคริสต์แบบนั้น แต่เราก็จะไม่ทำเช่นนั้นอีกต่อไป 17 เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา 18 ทั้งหมดนี้ มาจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์ โดยทางพระคริสต์ และทรงมอบหมายพันธกิจแห่งการคืนดีนี้แก่เรา 19 คือพระเจ้าได้ทรงให้โลกคืนดีกับพระองค์ในพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษบาปของมนุษย์ และพระองค์ทรงมอบหมายเรื่องราวแห่งการคืนดีนี้ไว้กับเรา       20 ฉะนั้น เราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ เสมือนหนึ่งพระเจ้าทรงร้องเรียกท่านทั้งหลายผ่านทางเรา 21 เราจึงขอร้องท่าน ในนามของพระคริสต์ว่าจงคืนดีกับพระเจ้า พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาปเพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า

 

พระเยซูหลั่งพระโลหิต ตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระมวลมนุษยชาติ ให้พ้นจากความบาป  พ้นจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า พ้นจากการอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  พ้นจากการเข้ากับพระเจ้าไม่ได้

ทำไมผมเอา 2 โครินธ์ บทที่ 5 ขึ้นมาเมื่อตะกี้นี้  เพื่อจะเน้นให้ท่านเห็นถึงว่าที่พระเยซูมา ทำให้กับเรา คือทำให้มนุษย์สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า เป็นเคมีเดียวกัน ถ้าเรายังเป็นบาปอยู่ เราเหมือนน้ำกับไฟกับพระเจ้า  เจอกันไม่ได้ โดยธรรมชาติเลย

ในนี้บอกว่า … “ดังนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป เราจะไม่พิจารณาใครตามทัศนะของโลก”

ตามทัศนะของโลก ก็หมายถึงเราจะไม่ตัดสินใคร? มองใครตามลักษณะของสิ่งที่ตามองเห็น หูได้ยิน คือสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้   ตามระบบของโลกนี้นั่นเอง

“ซึ่งครั้งหนึ่งเราเคยพิจารณาพระคริสต์” คือเราเคยตัดสินพระเยซูอย่างนั้น พระเยซูพูดอะไร? ฟังไม่รู้เรื่องเลย ก็พระเยซูมาพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับโลกที่จับต้องมองเห็นได้ไง แต่เราไปตัดสินพระองค์ในเรื่องเกี่ยวกับสติปัญญาแบบโลก แบบจับต้องมองเห็นได้

ซึ่งในนี้บอกว่า … “เราจะไม่ทำเช่นนั้นอีกต่อไป  เหตุฉะนั้น เพราะถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา ทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์ โดยทางพระคริสต์”

โดยทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทำให้มนุษย์ทั้งหมด สามารถกลับมาเข้ากันได้กับพระเจ้า มาเข้าส่วนกันได้ มาคุยกันได้รู้เรื่อง มามีเคมีเหมือนกัน มาเป็นน้ำกับน้ำ แต่ก่อนนี้เป็นน้ำกับไฟ หรืออยู่ตรงข้ามกัน  แต่ตอนนี้มาเป็นน้ำกับน้ำ  เคมีเข้ากัน  สามารถเข้ากันได้ เป็นหนึ่งเดียวกันได้  และเมื่อเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เราก็สามารถถูกสร้างใหม่ บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยมเลย  ใหม่ เพราะว่าอันเก่ามันเป็นศัตรูกับพระเจ้าหมด ทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย เป็นศัตรูหมดเลย  เข้ากับพระเจ้าไม่ได้เลย ต่อต้านพระเจ้าหมด ทั้งที่รู้หรือไม่รู้ก็ตาม มันเป็นอย่างนั้น  แต่ต่อไปนี้ โดยทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทำให้มนุษย์สามารถถูกสร้างขึ้นใหม่ เกิดใหม่ มาเข้ากันได้กับพระเจ้า ทั้งหมด ทั้งความคิดจิตใจ ร่างกาย และวิญญาณ มันหมายถึงอย่างนั้น

“และทรงมอบหมายพันธกิจแห่งการคืนดีแก่เรา” … “เรา” ในที่นี้หมายถึงอาจารย์เปาโลและทีมงาน ผู้เป็นอัครทูต ผู้เป็นผู้ประกาศข่าวดี

พระเจ้าได้มอบหมายงานนี้ งานออกไปประกาศ ไปบอกผู้คน  เรื่องข่าวดีนี้ เขาเรียกว่างานแห่งการให้คนมาคืนดีกับพระเจ้า พระเจ้าเปิดประตูให้คืนดีแล้ว  รีบมาเข้าหาพระเจ้าเร็วๆ อะไรอย่างนี้

คือพระเจ้าทรงให้โลกคืนดีกับพระองค์ “โลก” หมายถึงมนุษย์  พระเจ้าทรงให้มวลมนุษยชาติคืนดีกับพระองค์ในพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษบาปของมนุษย์อีกต่อไป  ให้มนุษย์คืนดี  ก็คือให้มนุษย์สามารถเข้ากันได้กับพระองค์ ให้มนุษย์สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ เข้ามาในครอบครัวของพระเจ้า  มาเป็นลูกของพระองค์ได้แล้ว

“ฉะนั้น เราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ เสมือนหนึ่งพระเจ้าทรงร้องเรียกท่านทั้งหลายผ่านทางเรา”

“ท่านทั้งหลาย” คือมนุษย์ทุกคน … เรียกร้องมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้แหละ  ที่ได้ยินข่าวดีนี้ ผ่านทาง ผู้รับใช้ คือเปาโลและทีม เมื่อพูดถึงพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าเรียกร้องให้มนุษย์ทั้งหลาย มาคืนดีกับพระองค์

“เราจึงขอร้องท่านในนามพระเยซูคริสต์” … เปาโลกำลังขอร้องใครก็ตามที่ได้ยินข่าวดีในวันนี้ ผมก็ขอร้องเหมือนกัน  ขอร้องตามน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะรู้ว่าพระเจ้าต้องการให้ท่านคืนดีกับพระองค์

“จึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ว่าจงคืนดีกับพระเจ้า” จงคืนดีซะ เพราะเดี๋ยวนี้คืนดีได้  รับสิทธิของท่านที่พระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับท่าน ท่านก็สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้แล้ว

จบสุดท้ายในข้อความนี้บอกว่า … “เพราะพระเจ้าทรงกระทำพระเยซู ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาป เพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อม สมบูรณ์แบบของพระเจ้า”

ทั้งหมดนี้ ให้คืนดี เพราะพระเจ้าส่งพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน  กลายเป็นคนบาป รับบาปแทนเรา  จนกระทั่งถึงบ่าย 3 โมง ตายที่ไม้กางเขน  เป็นคนบาป เพื่อเอาบาปออกไปจากมวลมนุษยชาติ ให้มนุษยชาติกลับมาเป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อม สมบูรณ์แบบ เหมือนพระเจ้าได้ มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อสอนให้มนุษย์ทำความดี หรือมาสอนศีลธรรม ไม่ได้ให้มนุษย์ติดตามพระเยซู เพื่อคิดว่าพระเยซูสั่งให้ทำอะไรบ้าง? ทำความดีอย่างไร? เหมือนโมเสสสั่ง ไม่ใช่ เพราะสิ่งที่โมเสสสอน ที่พระเจ้าให้บันทึกไว้ เป็นกฎ มันดีมากมาย อยู่แล้ว เยอะ แต่พระเยซูคริสต์มา เพื่อเป้าหมายเดียว อย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้ มาเพื่อตายด้วยความทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขน  เพื่อแบกบาปของมวลมนุษยชาติไป  ต้องจำตรงนี้ไว้เลย เพราะไม่อย่างนั้นข่าวดีของพระเจ้า  มันจะไม่มาถึงมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง มาเพื่อเป็นแพะรับบาป แทนมนุษย์ เพื่อปลดปล่อยให้มนุษย์เป็นอิสระ จากการเป็นทาสของบาป ไม่สามารถหลุดจากมันได้ ด้วยตัวของตัวเอง  พระเยซูจึงมาช่วยแบกเอาบาปนั้น โดยการตายที่ไม้กางเขน เป็นหลักการใหญ่ที่สุด  และพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และในวันที่ 3 พระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย  เพื่อมนุษย์จะได้สามารถบังเกิดใหม่ มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เป็นคนดีเหมือนพระองค์ได้

พระเยซูไม่ได้เป็นผู้มาก่อตั้งกฎระเบียบ แบบใหม่ หรือไม่ได้เป็นผู้มาก่อตั้งหลักการกระทำความดีอย่างใหม่ พระองค์ไม่ได้มาสอนกฎระเบียบ ให้คน หรือมนุษย์ทั้งหลาย กระทำความดีตามกฎ เพราะโมเสสสอนให้คนทำดีตามกฎระเบียบอยู่แล้ว และยังมีกฎระเบียบอื่นๆ เยอะแยะ ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาตามลักษณะของโมเสสเยอะแยะไปหมด ดีอยู่แล้ว  และมนุษย์ก็รู้อยู่ด้วยว่าอะไรดี? อะไรไม่ดี? รู้อยู่แล้วทั้งหมด ไม่ต้องสอนแล้ว รู้หมด แต่มนุษย์ไม่สามารถทำได้

มนุษย์ไม่สามารถทำตามกฎระเบียบที่มีอยู่แล้วได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ดีพร้อมตามข้อกำหนดกฎนั้นๆ ได้  เพราะมนุษย์เกิดมา ก็เป็นบาป เป็นศัตรูกับความดีงาม เป็นศัตรูกับพระเจ้าไง  ข้างใน ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แก้ไม่ได้อยู่แล้ว

แต่พระเยซูผู้เดียวเท่านั้น ที่เป็นพระบุตรของพระเจ้าและเป็นมนุษย์ มาเพื่อกำจัดการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ในใจของมนุษย์ ในวิญญาณของมนุษย์  เป็นตัวตนแท้ๆ ของมนุษย์ กำจัดการเป็นศัตรูออกไป  แล้วให้สามารถมาคืนดี มาเข้ากับพระเจ้าได้ สามารถมาเป็นคนดีพร้อม สมบูรณ์แบบ ในสายพระเนตรของพระเจ้าได้ โดยผ่านทางการหลั่งพระโลหิต ตาย ถูกฝังไว้  และรับการบังเกิดใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้

พระเยซูจึงเน้นย้ำแต่เรื่องเหล่านี้ 33 ปีบนโลกใบนี้  30 ปีไม่ได้ทำอะไรเลย  3 ปีเท่านั้น ที่ออกมาประกาศ ไม่อยากบอกว่าสั่งสอนเลย พระองค์ไม่ได้สอนอะไรเลย พระองค์มาประกาศว่าพระองค์มาทำอะไร?  เน้นย้ำอยู่นั่นแหละ มาเพื่อตาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้กลับมาหาพระเจ้า พระเยซูมาเพื่อการนี้  จึงได้เน้นย้ำ ประกาศข่าวดีอย่างนี้ ให้กับมนุษย์ทุกๆ คน ให้เชื่อและวางใจในคำพูดของพระองค์แค่นั้นเอง

วางใจและเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้นั่นแหละ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ พระองค์คือพระคริสต์ คือพระมาซีฮา คือพระผู้ช่วยให้รอด  ที่มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งมวล ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา ตั้งแต่บรรพบุรุษมา รอคอยมาตั้งนานว่าเมื่อไรพระมาซีฮา คือพระผู้ช่วยให้รอด ที่เรียกว่าพระคริสต์ ที่ถูกเจิมตั้งไว้จะมาเกิดสักทีหนึ่ง  จะมาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาปเวรกรรม พระองค์มาแล้ว พระองค์ก็พยายามที่จะอธิบายให้พวกเขาฟังอย่างนี้  พระองค์จึงไม่ได้มาสอนให้คนทำดี  แต่มาทำให้คนเป็นคนดีได้ โดยกำเนิดใหม่ จากพระเจ้านั่นเอง

พระเยซูมาล้างบาป ลบออกไปเลย  แล้วก็ให้มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ เป็นคนดี โดยกำเนิดและทำดีตามธรรมชาติ ตัวตนภายในที่เกิดใหม่  ที่เหมือนพระองค์ นี่คือสิ่งที่พระองค์มาทำ

พระเยซูจึงตรัสว่า “เราไม่ได้มาลบล้างกฎต่างๆ ที่ดีงามเหล่านั้น  แต่เรามาทำให้มันสมบูรณ์ครบถ้วน ใครมีหูจงฟังเถิด เราไม่ได้มาลบล้าง”

ทุกกฎ ตั้งแต่กฎโมเสส หรือกฎไหนๆ มันดีอยู่แล้วล่ะ  แต่คนที่อยู่ในความเชื่อของกฎเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกฎของยิว โมเสส หรือกฎของใครก็ตาม มันไม่ได้ทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ใช่ไหม? เราก็รู้อยู่ พระเยซูบอก …

“ดีแล้ว ทำแบบนั้นดี  เธอทำไม่ได้ใช่ไหม? เดี๋ยวฉันเข้าไปช่วย” มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคนเลย ไม่ว่าท่านจะถือกฎอะไรอยู่ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกฎโมเสส หรือกฎอะไรก็ตาม หลักข้อเชื่ออะไรทั้งหมด พระเยซูจึงเป็นหัวใจสำคัญที่สุด คือท่านต้องล้างวิญญาณของท่านเสียใหม่ก่อน โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์

นี่คือความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของวันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์ ก็คือพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อให้มนุษย์มีทางเลือกที่จะเป็นคนดีโดยกำเนิด เป็นคนดีได้

วันนี้เดี๋ยวสักครู่เราจะทำพิธีมหาสนิทด้วยกัน นึกถึงวันที่พระเยซูก่อนจะถูกตรึง ก็คือเมื่อวานนี้ พระองค์ทรงอยู่กับเหล่าสาวก บันทึกไว้ในหนังสือ 1 โครินธ์ 11:23-26 …

1 โครินธ์ 11:23-26  “23 ในคืนที่เขาทรยศพระเยซูเจ้านั้น  พระองค์ทรงหยิบขนมปัง 24 เมื่อขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว  ทรงหักและตรัสว่า “นี่คือสิ่งที่เล็งถึงกายของเรา ซึ่งได้สละให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำเช่นนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเรา” 25 เมื่อรับประทานแล้ว ทรงหยิบถ้วยขึ้น กระทำอย่างเดียวกัน และตรัสว่า “ถ้วยนี้ คือพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดที่พวกท่านดื่ม จงทำเช่นนี้ เป็นที่รำลึกถึงเรา” 26 เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกท่านรับประทานขนมปังนี้ และดื่มจากถ้วยนี้ ก็เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกท่านได้ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าจะถึงวันที่พระองค์เสด็จมา”

 

“จงทำเช่นนี้ เป็นการรำลึกถึงเรา” ทั้งกินขนมปัง ที่เล็งถึงร่างกายของพระองค์ ที่แตกหัก ที่ถูกทุบตีเฆี่ยนตี ถูกทรมาน และตายที่ไม้กางเขน  และเลือดของพระองค์ คือพันธสัญญาใหม่  ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำบนไม้กางเขนนั่นเอง

พระองค์ทรงกระทำตรงนี้ เมื่อค่ำวานนี้ว่าพรุ่งนี้ พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป พระองค์จะถูกจับและถูกทรมานอย่างแสนสาหัส  เพื่ออะไร? จำไว้นะ  สิ่งที่ได้บอก ได้สอนมา 3 ปี และตอนนี้ก็ประกาศอีก

วัตถุประสงค์ที่พระองค์ทรงกระทำตรงนี้ เรียกว่า The last supper  หรือเรียกว่ามหาสนิท หรือเรียกว่าอาหารมื้อสุดท้าย ก่อนจะถูกตรึง วัตถุประสงค์ของพระเยซู คือต้องการให้เราระลึกถึงสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำในวันพรุ่งนี้  ตั้งแต่คืนนี้  หมายถึงในคืนวันพฤหัส ซึ่งมันผ่านมาตั้ง 2,000 ปี ก็คือหมายถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำที่ไม้กางเขน  ซึ่งสำเร็จแล้ว

พระองค์บอกให้ระลึกถึงเรา ก็คือเมื่อพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว คือข่าวดีได้ถูกกระทำจนสำเร็จ ครบถ้วนแล้ว ข่าวดีที่พระองค์นำสวรรค์มา บอกตั้งแต่ 3 ปีก่อนหน้านี้ เดี่ยวนี้  บัดนี้ ได้ถูกทำให้เรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนนั้น เริ่มตั้งแต่การไถ่บาปให้กับมนุษย์จนหมดสิ้น  ทำให้มนุษย์ได้สามารถบังเกิดใหม่ การที่พระเจ้า พระองค์สามารถมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้ และให้มนุษย์สามารถเข้าส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้า คือคืนดีกับพระเจ้า  เข้ากันได้กับพระเจ้า และมีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ ให้เราสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด สมบูรณ์แบบเหมือนพระองค์เลย ให้เราระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ เวลาเราทำพิธีมหาสนิทนี้ เหมือนที่พระองค์ทรงกระทำ ในคืนวันนั้น พระองค์อยากให้เราระลึกถึงอย่างนี้ ว่าพระองค์ทรงกระทำทั้งหมดนี้ เพื่ออะไร? และมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หลังจากสิ่งเหล่านั้น

ซึ่งทั้งหมดนี้ มนุษย์ได้มา โดยเป็นของขวัญ  ของประทานจากพระบิดา เป็นพระคุณ โดยที่มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย  ไม่ใช่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  ไม่ใช่ อันนี้ทำอะไรก็ตาม  เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ  แล้วก็ได้รับในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้นั่นเอง คือได้รับการไถ่บาป

ข่าวดีของพระเยซู คือเมื่อเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ก็จะได้รับความรอด จากบาป คือรอดจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ต่อต้านพระเจ้าอีกต่อไป  และได้รับการย้ายจากอาณาจักรของความมืดมาสู่อาณาจักรของความสว่าง  ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า  ได้รับชีวิตที่เป็นพระเจ้า  ชีวิตที่เป็นของพระเจ้า  เรียกว่าชีวิตนิรันดร์

เวลาพระคัมภีร์บอกว่า “มาเชื่อพระเยซู แล้วได้รับชีวิตนิรันดร์”  ไม่ได้หมายถึงมาเชื่อพระเยซูแล้ว ได้รับชีวิต ไม่ตายเลย  นิรันดร์ แปลว่าอยู่ไปเรื่อยๆ  ไม่ใช่นะ แต่หมายถึงได้รับชีวิตของพระเจ้ามาเป็นของเรา เป็น DNA ของพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนั้น เป็นชีวิตที่สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป  ที่เรียกว่า “ผู้ชอบธรรม”  หรือ “เป็นคนดี โดยตัวตนแท้ๆ ข้างในวิญญาณ โดยกำเนิด” และสุดท้าย คือได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  ร่วมกับพระเยซูคริสต์ บริบูรณ์ สมบูรณ์ครบถ้วน บริสุทธิ์ครบถ้วนตลอดไป

นี่คือสิ่งที่พระเยซูอยากให้เราระลึกถึงในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำทั้งหมดนี้  และทั้งหมดนี้ เป็นชีวิตที่เกิดใหม่ทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ชีวิตที่เกิดใหม่นี้  จะอยู่ในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บอกว่าจะถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ทันทีที่เราต้อนรับข่าวประเสริฐ ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเราจริงๆ  ความรักของพระองค์ให้พระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน พระโลหิตของพระองค์ชำระบาปให้กับเราได้จริงๆ ทันทีทันใดที่เราเชื่อตรงนี้ เราใช้สิทธิของเรานั้น ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้ทำการผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายวิญญาณเราออกจากอาดัม ออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่ความสว่าง โดยให้เรามาติดสนิทอยู่กับพระเยซูคริสต์ ย้ายวิญญาณเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ แทนที่จะอยู่ในอาดัม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในพระคัมภีร์บอกว่าโดยการรับบัพติศมา ซึ่งบัพติศมา แปลเป็นภาษาไทยว่า โดยการเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ อย่างที่ตะกี้นี้บอก สามารถคืนดีกันได้ เข้ากันได้ วิญญาณเราเข้าไปอยู่ในวิญญาณของพระเยซู ไปเป็นหนึ่งเดียวกัน และเมื่อเปิดใจใช้สิทธิ์ก็ได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เกิดขึ้นในวิญญาณของคนๆ นั้นทันที ได้นั่งอยู่ในสวรรค์แล้วทันที

เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่ใช้สิทธิและเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่ไถ่บาปให้กับเรา ที่ไม้กางเขนนั้น เขาจะได้นั่งอยู่ในสวรรค์ทันที ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย ไม่ต้องรอให้ตาย แล้วไปสวรรค์ แต่เขาจะได้สัมผัส การนั่งอยู่ในสวรรค์ ในวิญญาณของเขาทันที พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น  เดี๋ยวเราจะได้อ่านร่วมกัน

ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ว่าจะอยู่ในอาดัม หรืออยู่ในพระคริสต์ อยู่ในอาณาจักรของความมืด หรืออยู่ในอาณาจักรของความสว่าง ต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งอยู่แล้ว  แต่ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู ท่านจะได้มาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ซึ่งเป็นอาณาจักรของพระเจ้า แน่นอนพอบอกพระเจ้า ก็คืออาณาจักรสวรรค์ ก็เป็นแสงสว่างแน่นอน

ให้ท่านคิดดู ชีวิตของเรา หรือของใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีนี้ จะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน?  เมื่อท่านรับรู้ว่าท่านกำลังนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานแล้ว  ทุกวันนี้นะ ขณะที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้  วิญญาณของท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าพระบิดา ตอนนี้แล้ว ไม่ต้องรอคอย ให้ตายไปแล้ว จะไปอยู่ในสวรรค์ตุ๊มๆ ต่ามๆ จะได้ไปหรือไม่ได้ไป? ลองอ่านข้อความนี้ดู เอเฟซัส 2:2-3 …

เอเฟซัส 2:2–3 “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ จากการล่วงละเมิดและในบาป (ในอาดัม) ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณ ที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปของพระเยซู) ทำตาม ตัณหาของวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมัน ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา (ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษสาปแช่ง เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้”

 

ในอาดัมหรือไม่ก็ในพระเยซู ไม่ว่าที่ใดที่หนึ่ง ท่านต้องเลือกเอา ในอาดัมหรือในพระเยซู ในบาป ในความมืด  ในความพินาศ หรือในความชอบธรรม ในความดีงาม ในความสว่าง ในสวรรค์ ต้องเลือกเอาข้างใดข้างหนึ่ง  ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ท่านลองคิดดู เอเฟซัส 2:4 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:4 “แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม”

 

ที่อ่านมาเมื่อสักครู่นี้ เกิดขึ้น เพราะเนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษยชาติ   ต่อเรานั่นเอง พระเจ้าจึงเปี่ยมล้นด้วยความเมตตากรุณาอย่างอุดม ทำสิ่งนี้ให้กับเราฟรีๆ เป็นของขวัญ เอเฟซัส 2:5 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:5 “จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเรา ได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ”

 

ทำไมพระเยซูคริสต์ต้องมาทนทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขน? ทำไมต้องมีศุกร์ประเสริฐ ทำไมต้องตายอย่างทรมานถึงขนาดนั้น? ทำไมพระเจ้าจึงให้พระบุตรของพระองค์ลงมาทุกข์ทรมาน จนเกือบจะรับไม่ได้เลย? ก็เพราะสิ่งเหล่านี้แหละ  ความรักต่อมนุษย์ และการกระทำนั้น ทำให้วิญญาณของมนุษย์ทั้งหลาย  ที่อยู่ในความมืดบอด  หรือพระคัมภีร์เรียกว่าตายอยู่ ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นทาสของมาร เป็นทาสของความบาป ความชั่วร้าย สามารถจะมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ก่อนหน้านี้ แต่พระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราจะได้กลับมาหาพระเจ้าได้ คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดจากบาป จากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า และถูกลงโทษ โดยพระคุณความรัก ความดีงามของพระเจ้าที่ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน และทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่เป็นเพราะท่านทำอะไรเลย ไม่ใช่เป็นเพราะเราทำความดี ไม่ใช่เลย ทำดีอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะดีพอ ที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้

เพราะฉะนั้น ท่านต้องเลือกเอาว่าพระเจ้าได้ส่งพระเยซูคริสต์มาเพื่อย้ายเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ตกอยู่ในความบาป เป็นทาสมาร อยู่ในความตาย อยู่ในนรกนั้น  ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ โดยผ่านทางพระโลหิตของพระเยซู ผ่านทางการตายของพระเยซู พระองค์ทรงย้ายแล้ว  แต่ท่านจะยอมย้ายไหม?  ท่านจะเชื่อในข่าวดีนี้ไหม? เชื่อในพระเยซูคริสต์ไหม? วางใจในพระองค์ไหมว่าพระองค์ทรงมาช่วย  พระเจ้าย้ายมนุษย์ออกมา ท่านจะย้ายไปกับพระองค์ไหม? ไปอยู่ในสวรรค์ เทียบกับเงาที่พระองค์ ทรงบอกเหตุการณ์นี้ล่วงหน้าในอดีต เมื่อพันกว่าปี ในสมัยโมเสส ตอนที่พระเจ้านำชาวอิสราเอล ชาวยิว ปลดปล่อยเขาจากการเป็นทาสในอียิปต์ 430 ปี พระเจ้าให้โมเสสบอกคนอิสราเอลว่า …

“จะไปแล้วนะ เลิก ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป”

หลายคนก็ไม่ไปนะ หลายคนยอมเป็นทาสต่อไป แล้วก็ไม่มั่นใจในสิ่งที่โมเสสพูดว่าเป็นจริงหรือเปล่า?  พระเจ้าจะพาไปยังดินแดนแห่งน้ำผึ้งและน้ำนมได้ไหม? เป็นทาสเขาอย่างนี้ ต่อไปดีกว่า ไม่เชื่อ เขายังเป็นทาสในอียิปต์ต่อไป  แต่คนที่เชื่อก็หลั่งไหลกัน วางใจในโมเสส

พระเยซูบอก … “เราใหญ่กว่าโมเสส เราเป็นพระบุตรของพระเจ้า ยิ่งใหญ่กว่าโมเสส มาช่วยมนุษยชาติทั้งหมดทั้งปวงให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสมารซาตาน ซึ่งมันหนักกว่าเยอะมากเลย”

ท่านจะยอมย้ายไหม? ท่านลองกลับไปคิดเอาเองก็แล้วกัน เมื่อไรก็ตามที่ท่านตัดสินใจ พระเจ้าพร้อม  พระเยซูบอกว่า …

“เราเฝ้าเคาะประตูอยู่ตลอด เรารออยู่ตลอดเลยนะ  เราจดจ่ออยู่ตลอดเลย ถ้าท่านตัดสินใจปุ๊บ  ได้รับสิทธิ์นั้นทันที” … ฝากไว้ด้วยก็แล้วกัน

ย้ายออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ ไปอยู่ในคานาอัน เป็นอิสรภาพ พระเยซูบอกว่าย้ายจากการเป็นทาสมาร ย้ายจากในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ อยากจะอยู่ในอาดัมต่อไป หรืออยากจะอยู่ในพระคริสต์เชิญเลือกเอา ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ  ไม่มีว่าอยากอยู่ทั้งสองข้าง แล้วก็ไม่มีว่าพอย้ายมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว วันดีคืนดีกลับไปอยู่ในอาดัม ไม่มี ถ้าอยู่ในพระคริสต์ก็อยู่เลย  พระคัมภีร์บอกอยู่ในพระคริสต์ คืออยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่มีใครทำอันตรายได้ ท่านจะอยู่ที่นั่นตลอดชั่วนิจนิรันดร์  เอเฟซัส 2:6 …

เอเฟซัส 2:6  “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

“พระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์” เป็นขึ้นมาได้อย่างไร?  ก็เพราะเราเข้าไปมีส่วนในพระคริสต์ เมื่อพระคริสต์ตาย เราก็ตายด้วย  เมื่อพระคริสต์ถูกฝังในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย  เมื่อพระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย  และในพระเยซูคริสต์ที่เราเข้าไปอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระเจ้าได้ทรงทำให้เรานั่งที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ ได้นั่งแล้วทันที ย้ายปุ๊บ ก็นั่งปุ๊บทันที ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ อีก นั่งก็นั่งเลย

เราจะทำสิ่งที่พระเยซูบอกให้เราทำ เพื่อระลึกถึงพระองค์ ในการกระทำของพระองค์ เริ่มจากศุกร์ประเสริฐนั่นแหละ ทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน  ประกาศให้โลกได้รู้เลยว่าพระบุตรของพระเจ้ามารับบาป ให้กับมนุษยชาติ  เป็นแกะ เป็นแพะรับบาป ให้กับมนุษยชาติ ตายด้วยความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน  พอพระองค์ตายได้ ก็ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เพื่อยืนยันว่าตายจริงๆ และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า  เมื่อตายได้ ก็เป็นขึ้นมาได้  ถ้าไม่ตาย ก็ไม่มีโอกาสเป็นขึ้นมาใหม่

เพราะฉะนั้น เราจึงจะกระทำสิ่งนี้ ซึ่งเราเรียกกันว่าโต๊ะองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือมหาสนิท คือระลึกถึงว่าเราสนิทกับพระเจ้ามากขนาดไหน? พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา ตามที่เราได้เรียนรู้มาวันนี้ พระองค์ตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตของพระองค์ ร่างกายของพระองค์ที่แตกหัก เพื่อเราทั้งหลาย เพื่อเราจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด และให้เรากระทำอย่างนี้ว่าเมื่อเราเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ เราได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์จริงๆ

ขนมปัง เล็งถึงพระกายของพระเยซูที่แตกหัก เพื่อเรา และให้เราสามารถเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระกายของพระองค์ พระเยซูสละชีวิตบนไม้กางเขน  เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เพื่อเราและได้เป็นขึ้นจากความตาย  และได้ให้ชีวิตของพระองค์ ที่เป็นขึ้นมาใหม่แก่เรา  เพราะเราร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว โดยการกินขนมปัง … กินขนมปังแล้ว ให้เรารับรู้และระลึกถึง สิ่งที่เกิดขึ้นว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระองค์ ในขณะนี้ เล็งให้เห็นถึงโลกวิญญาณว่าวิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ แนบสนิทกับพระองค์ และรวมกันกับผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เราก็เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นธรรมิกชน เป็นผู้เชื่อมากมาย เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ ให้เรากินขนมปังนี้ และระลึกถึงสิ่งเหล่านี้  ที่พระเยซูทำให้กับเราร่วมกัน

ใน 1 โครินธ์ 12:27 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า … “ส่วนท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และแต่ละอวัยวะก็เป็นส่วนหนึ่งของกายนั้น”

 

“ท่านทั้งหลาย” ตรงนี้ หมายถึงผู้เชื่อ ผู้ที่ใช้สิทธิแล้ว เชื่อในพระเยซู เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้แล้ว  ก็เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เป็นร่างกายของพระคริสต์ และแต่ละคนก็เป็นอวัยวะในร่างกายนั้น  บางคนเป็นนิ้ว บางคนเป็นมือ บางคนเป็นตา เป็นผม เป็นหู เป็นอะไรแล้วแต่ มันหมายถึงอย่างนั้น  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เล็งให้เห็นในโลกวิญญาณว่าเป็นอย่างนั้น

อันดับต่อไป ก็คือน้ำองุ่นสีแดง ทำไมต้องเป็นน้ำองุ่นสีแดง เพราะเล็งให้เห็นถึงพระโลหิตของพระคริสต์สีแดง ที่หลั่งออกมา เพื่อชำระล้างบาป  สิ่งเหล่านี้ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณเหมือนกัน  เราไม่สามารถมองทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณได้ เราจึงทำตามที่พระเยซูคริสต์ทำขึ้น เพื่อให้เราระลึกถึงและเล็งให้เห็นถึงว่านี่พระโลหิตของพระองค์ ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นในโลกวิญญาณ ก็คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่หลั่งออก เพื่อชำระล้างบาป เพื่อพระเจ้าจะได้ให้อภัยในความบาปของมนุษย์ตลอดไป

พระโลหิตของพระเยซูที่หลั่งตั้งแต่เมื่อวานนี้  ตั้งแต่ที่สวนเกเสมนี เหงื่อของพระองค์เป็นเลือด และหลังจากนั้นมา ก็หลั่งมาเรื่อยๆ ตลอดทุกระยะ จนถูกเฆี่ยน ถูกทุบ ถูกสวมมงกุฎหนาม จนในที่สุด ถูกตรึงที่ไม้กางเขน แขวนอยู่บนนั้น 6 ชั่วโมง เลือดพระองค์หลั่งลงมา เพื่อชำระล้างบาปให้กับมวลมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย  ให้เราดื่มน้ำองุ่นนี้ และระลึกถึงสิ่งนี้ร่วมกัน

การกินขนมปังและดื่มน้ำองุ่นนี้ ทำให้เรารำลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เราทั้งหลาย บนไม้กางเขน  แล้วเราจะไม่ลืม เราทำได้บ่อยๆ เลย ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ว่าพระองค์ทรงตาย เพื่อเรา  ระลึกด้วยการคิดถึงพระคุณความดีงามของพระองค์ ระลึกถึงการอภัยโทษ จากบาปทั้งหลายของเรา เราได้รับการอภัยบาปทั้งสิ้น ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตตลอดไป เป็นผู้ชอบธรรม ที่บริสุทธิ์สมบูรณ์แบบครบถ้วนตลอดกาล ตลอดไปเลย เราจึงขอบคุณ และสรรเสริญพระองค์ และประกาศข่าวดีนี้ ด้วยความหวังใจนี้ ให้กับบรรดาผู้คนรอบข้างได้ยิน ได้ฟังข่าวดีนี้  ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ  นี่คือพันธกิจ นี่คือความประสงค์ของพระเจ้า และของพระเยซูคริสต์ในทุกวันนี้นั่นเอง  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป มีเชื้อบาปติดตัวมาตั้งแต่เกิด และเพราะมนุษย์ทุกคนรู้ตัวว่าเป็นคนบาป ก็เลยพยายามแสวงหาหนทางต่างๆ  ที่จะลบล้างความผิดบาปของตัวเอง เพราะลึกๆ แล้ว  มนุษย์ทุกคนรู้ดีว่าตัวเองบาป  และผลของความบาป มีโทษร้ายแรง

 

พระคัมภีร์เปรียบคนบาป เป็นเสมือนคนป่วยที่ต้องการหมอ และเมื่อมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจึงต้องการหมอ พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์มาหาคนเหล่านั้น  ที่รู้ว่าตัวเองป่วย และต้องการรับการรักษา พระองค์มาหาคนเหล่านั้นที่บกพร่อง พระองค์ไม่ได้มา เพื่อหาคนที่คิดว่าตัวเองสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง

 

“พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “คนสุขภาพดี ไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ เราไม่ได้มา เพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มา เพื่อเรียกคนบาป ให้กลับใจใหม่”   (ลูกา 5:31-32)

 

พระคัมภีร์เปรียบมนุษย์ทุกคนว่าเป็น คนป่วย (จากโรคบาป) ที่ต้องการหมอ  และมีหมอเพียงผู้เดียวเท่านั้น  ที่สามารถรักษาโรคบาปนี้ได้  ก็คือพระเยซู โดยที่  พระองค์ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์  ตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตของพระองค์  เพื่อชำระล้างบาปแทนเรา รับเอาบาปจากเรา  ไปไว้ที่พระกายของพระองค์เอง

 

ไบเบิลบันทึกไว้ว่า “และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่พวกเขา พระเจ้าทรงให้พระเยซู เป็นเครื่องบูชาลบบาป แก่ผู้ที่มีความเชื่อ ในพระโลหิตของพระเยซู” (โรม 3:24-25)

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1304

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  มีนาคม  2021

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 48

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือลูกา 1:67 คราวที่แล้วเราจบลงที่ข้อ 66 พูดถึงเศคาริยาห์ที่พอลูกคลอดออกมา ญาติก็จะให้ตั้งชื่อว่าเศคาริยาห์  แต่นางเอลีซาเบธบอกว่า …

“ไม่ได้ ต้องตั้งชื่อว่ายอห์น”

ทุกคนก็แปลกใจว่าทำไมให้ตั้งชื่อว่ายอห์น ก็ให้ไปถามเศคาริยาห์ว่าจะให้ตั้งชื่อว่าอะไร? ซึ่งในตระกูลก็ไม่มีใครชื่อฉีกแนวขนาดนั้น พอถามเศคาริยาห์ว่า …

“ตกลงจะให้ลูกชื่ออะไร?”

เศคาริยาห์ก็เลยเขียนคำว่า “ยอห์น” พระเจ้าก็เปิดปากให้สามารถที่จะพูดได้เลย เพราะว่าน้ำพระทัยที่พระองค์ได้วางไว้สำหรับยอห์น ให้มาคลอดก่อนพระเยซู 6 เดือน เพราะฉะนั้น เป็นคนที่ถูกจัดเตรียมไว้ เพื่อที่จะกรุยทางให้พระเยซูเข้ามาสู่การปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าในอนาคต ก็คืออีก 30 ปีข้างหน้า พอเศคาริยาห์พูดได้ปุ๊บ ในข้อที่ 67

ลูกา 1:67-75 “67 ฝ่ายเศคาริยาห์ผู้เป็นบิดาประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  แล้วได้ทำนายว่า 68 “สาธุการแด่พระเจ้าของพวกอิสราเอล  ด้วยว่าพระองค์ทรงเยี่ยมเยียนและช่วยไถ่ชนชาติของพระองค์ 69 และได้ทรงให้ผู้ช่วยทรงฤทธิ์เกิดมา  ในวงศ์ของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ 70 ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ตั้งแต่โบราณ  โดยปากของผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ 71 คือทรงให้รอดพ้นจากพวกศัตรูของเราทั้งหลาย  และพ้นจากมือของคนทั้งปวงที่ชังเรา 72 ดังนั้นจึงทรงสำแดงพระกรุณาซึ่งทรงสัญญาแก่บรรพบุรุษของเรา  และทรงระลึกถึงพันธสัญญาบริสุทธิ์ของพระองค์ 73 คือคำปฏิญาณซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำไว้  กับอับราฮัมบรรพบุรุษของเราว่า 74 เมื่อเราทั้งหลายพ้นจากมือศัตรูของเราแล้ว  จะทรงโปรดให้เราปรนนิบัติพระองค์โดยปราศจากความกลัว 75 ด้วยความบริสุทธิ์และด้วยความชอบธรรม  จำเพาะพระพักตร์พระองค์ตลอดชีวิตของเรา”

 

นี่คือสิ่งที่เศคาริยาห์ได้เผยพระวจนะ เป็นการเผยพระวจนะที่ได้ถูกบันทึกไว้ ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม เป็นเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งพระเจ้าได้กำหนดไว้เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อาดัมและเอวาล้มลงในความบาป และพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอดให้กับมนุษยชาติ ก็คือจะมีเด็กคนหนึ่งคลอดจากหญิงพรหมจารีย์ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าได้กำหนดไว้หลายพันปี แล้วพระองค์ก็ทรงดำเนินการงานของพระองค์มาตลอดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นแน่นอนในเวลาที่เหมาะสมของพระองค์ด้วย

ไม่ว่าอะไรก็ตามที่พระองค์ได้ทรงบอกกับเรา พระองค์มีกำหนดเวลา ไม่ใช่เวลาของเรา เป็นเวลาของพระองค์ หรือหลายๆ อย่างที่พระองค์ได้ประทานให้กับชีวิตของพวกเรา ก็จะมีกำหนดเวลาของพระองค์ว่าพระองค์จะให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เกิดขึ้นเมื่อไร? อย่างไร? ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

อันนี้ก็เช่นเดียวกัน พระองค์ก็กำหนดพระเยซูคริสต์ไว้ให้อยู่ในพงศ์พันธุ์ของดาวิด ตรงนี้เศคาริยาห์ก็อธิษฐานเผยพระวจนะตามที่พระคัมภีร์เดิม บอกไว้ชัดเจนว่าเกิดจากพงศ์พันธุ์ของดาวิด อันแรก คือพระเจ้าได้สัญญากับอาดัม-เอวามาจนถึงยุคของอับราฮัม

อับราฮัมเป็นคนแรกที่พระเจ้าทำพันธสัญญาเลือด คือก่อนหน้านั้น เป็นคำปฏิญาณหรือเป็นคำมั่นสัญญาเฉยๆ แต่พอถึงยุคของอับราฮัม พระเจ้าก็ให้ทำพันธสัญญาเลือด เราจะเห็นชัดเจนว่าการไถ่ของพระเยซูคริสต์จะมีเรื่องของเลือดเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พระเจ้าได้ช่วยอาดัมกับเอวา มนุษย์ก่อนที่จะล้มลงในความบาป มีวิญญาณเหมือนพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด อาดัมกับเอวาไม่ต้องใส่เสื้อผ้า และไม่มีความอายต่อกันด้วย เพราะบริสุทธิ์มาก พอล้มลงในความบาปปุ๊บ จึงรู้สึกว่าตัวเองโป๊อยู่และไม่สะอาด พอรู้สึกโป๊ เขาก็ไปเอาใบไม้มาคลุมกาย ซึ่งเมื่อก่อนไม่ต้อง พอพระเจ้ารู้ปุ๊บ พระเจ้าทำให้เป็นแบบอย่าง ให้ดูครั้งแรก ก็คือพระเจ้าฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง เพื่อเอาหนังสัตว์มาห่อหุ้มร่างกายของมนุษย์ นั่นคือการทำให้มนุษย์เห็นว่าเลือดของสัตว์ หรือสัตว์ตัวหนึ่งจะต้องถูกฆ่า เพื่อที่จะได้มาปิดบังความบาปให้กับมนุษย์ หรือปิดบังความน่าอายของมนุษย์

แล้วครั้งแรกที่พระเจ้าทำพันธสัญญาเลือดกับมนุษย์ ก็คืออับราฮัม พระเจ้าให้ทำพิธีเข้าสุหนัต คือต้องมีการหลั่งเลือด เฉพาะผู้ชายทุกคนของอิสราเอล เมื่ออายุ 8 วัน เขาก็จะพาเข้าไปในพระวิหาร เพื่อทำพิธีเข้าสุหนัต เป็นพันธสัญญากับพระเจ้าว่าเราเป็นของพระองค์ … พระองค์เลือกเราไว้

พอเสร็จสรรพ ในตรงนี้ ที่เศคาริยาห์ได้อธิษฐาน ก็คือพระเจ้าได้ทำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และเป็นขั้นตอนมาตลอด จนถึงยุคของโมเสสที่พระเจ้าได้ทรงเลือกเผ่าอิสราเอล และแยกเผ่าเลวีออกมา เพื่อทำหน้าที่ถวายเครื่องบูชา มีเผ่าเดียวเท่านั้น ที่สามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถานได้ เพื่อถวายเครื่องบูชา มนุษย์ก็ต้องทำอย่างนี้ทุกปีๆ เหมือนกับส่งดอกเบี้ย เหมือนเราเอาของบางอย่างไปจำนำไว้ แล้วเราไม่มีเงินต้นที่จะไปไถ่ถอนสิ่งนี้ออกมา เราไม่อยากสูญเสียสิ่งนี้ เราก็ต้องไปจ่ายดอกเบี้ย ตามที่โรงรับจำนำเขาบอกไว้ว่าดอกเบี้ยเท่าไรต่อเดือน ต้องเอาไปจ่าย ไม่อย่างนั้น ของมันจะหลุดจำนำ  ลักษณะเดียวกันเลย

มนุษย์ถูกขายเป็นทาส พระเจ้าก็ใช้วิธีการให้มนุษย์มาล้างบาป 1 ปีต่อ 1 ครั้ง เพื่อชำระบาป ชั่วคราว เหมือนการส่งดอกเบี้ย เพื่อที่จะยืดลมหายใจ ในลักษณะที่ยังสามารถเป็นคนของพระเจ้าอยู่ แต่ลำบากนะในยุคนั้น เขาก็ต้องทำอย่างนี้ตลอด

พอถึงตรงนี้ พระเจ้าเมตตา พันธสัญญาของพระเจ้าที่ได้บอกไว้ตั้งแต่สมัยอาดัม-เอวากำลังจะสำเร็จ ตรงนี้พระเยซูคริสต์ยังไม่ได้เกิด ถ้อยคำตรงนี้ที่ได้พูดถึงยอห์น บัพติศโตได้คลอดออกมา แล้วตั้งชื่อว่ายอห์น … เศคาริยาห์ได้มองเห็นล่วงหน้าว่าหลังจากนี้ อีก 6 เดือน พระเยซูคริสต์จะมาเกิด เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับชนชาติอิสราเอล ในสมัยก่อน เขาคิดว่าสัญญานี้มีเฉพาะชนชาติอิสราเอลเท่านั้น แต่ความเป็นจริงน้ำพระทัยของพระเจ้า คือพระสัญญานี้ พระเจ้าทำไว้สำหรับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ เป็นความรักที่พระเจ้าส่งต่อมาให้พวกเราทุกคนที่อยู่ในความบาป อยู่ในความกลัว เป็นทาสของมาร เป็นทาสของความชั่วร้าย มีสิทธิ์หรือมีความสามารถที่จะหลุดจากการเป็นทาสของมาร เข้ามาอยู่ในพระคุณของพระเจ้าได้ สิ่งนี้ ได้ทำให้สำเร็จแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว แล้วในถ้อยคำเหล่านี้ ก็ได้เขียนให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าพระองค์ได้เตรียมการอะไรไว้บ้าง? เมื่อพรเยซูคริสต์เสด็จมาบังเกิด และทำหน้าที่ของพระองค์สำเร็จ ก็คือเดินไปที่ไม้กางเขน และสิ้นพระชนม์เป็นขึ้นมาจากความตาย จะทำให้มนุษย์พ้นจากความกลัว

กลัวว่าเราจะต้องชดใช้หนี้เวรกรรมของเราเอง แล้วเราต้องทำดีขนาดไหน? เพื่อที่จะชดใช้ให้มันหมด แล้วกลัวอีกว่าเมื่อชดใช้ไม่หมด แล้วเราจะอยู่อย่างไร? ถ้าหลังความตาย เราจะอยู่ในสภาพแบบไหน? เราไม่มีความสามารถที่จะทำดีจนกระทั่งตัวเองมีความมั่นใจ 100% ว่าเราจะได้ไปสวรรค์ ไม่มีใครสามารถทำได้เลย ไม่กล้าคิดด้วยซ้ำไปว่าเราจะได้ไปสวรรค์ เพราะว่าความดีของเรามีไม่พอ ฉะนั้น พระเจ้ารู้ดีที่สุดว่ามนุษย์อ่อนแอ มนุษย์เป็นคนบาป มนุษย์ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เมื่อมนุษย์ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ พระเจ้ารักเรามาก ก็เลยต้องหาวิธีที่จะช่วยเรา แล้วเป็นวิธีที่ง่ายๆ ง่ายเกิน จนทำให้มนุษย์ไม่สามารถรับได้ เพราะก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราถูกสอนมาว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราจะต้องทำโน่นนี่นั่น ด้วยกำลังของเราเอง เพื่อส่ำสมบารมี ส่ำสมบุญวาสนาอะไรต่างๆ เพื่อเราจะได้ลบกลบหนี้บาปที่เรามีอยู่ในใจ แต่มันก็ไม่ลบหายไปไหน?

ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ ใครก็ตามมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วเปิดใจยอมรับ หมายความว่ายอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ยอมรับว่าตัวเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ยอมรับว่าต่อให้เราทำดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถไปสวรรค์ได้ มันเป็นการยอมรับที่ลึกๆ อยู่ในใจว่าเรารู้สึกว่าทำดีมาก มากที่สุด ทำดีทุกวัน แต่ข้างในสะอาดจนขนาดที่เรารู้สึกว่าจากโลกนี้ไป ฉันได้อยู่สวรรค์แน่ๆ ไม่มีใครทำตรงนั้นได้ ฉะนั้น พระเจ้าก็เลยส่งพระเยซูคริสต์มา ทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ

ทำไมพระเจ้าต้องให้พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ จริงๆ ตามหลักการ พวกเรามนุษย์คิดอะไรง่ายๆ เรารู้สึกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้า เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นผู้ครอบครองควบคุมกัลปจักรวาลนี้ เป็นผู้ที่ตรัสแล้วทุกสิ่งก็เกิดขึ้น ทำไมพระเจ้าไม่ตรัสว่าเราลบบาปให้พวกเจ้า ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องส่งพระเยซูคริสต์มาด้วย ทำไมพระเจ้าไม่ทำ  เหตุผล คือพระเจ้าตั้งกฎไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าอาดัมกับเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า ผลที่เกิดขึ้น คือเขาจะต้องตาย

ตายในความหมายของพระเจ้า คือไม่ใช่ พอไม่เชื่อฟังปุ๊บ แล้วก็หงายท้องตึง แล้วก็ตายเลย ไม่ใช่  แต่ว่าความตายตรงนี้ หมายถึงมนุษย์จะถูกตัดขาดจากพระเจ้า จากการที่เคยเดินคู่กับพระเจ้า เกี่ยวก้อยกันเดินคุยกันสนุกสนาน เหมือนพ่อกับลูก ต้องถูกตัดขาด กลายเป็นเส้นขนานที่ไม่สามารถมาบรรจบกันได้ แล้วพระเจ้าก็บอกว่าความตายอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถชดใช้บาปได้ คือความตายต้องชดใช้ด้วยความตาย เมื่อชีวิตชดใช้ด้วยชีวิตปุ๊บ ตอนนี้เป็นปัญหาแล้ว เพราะว่ามนุษย์ทุกคนบาปหมด ไม่มีใครสามารถชดใช้แทนใครได้ เหมือนกับเราเป็นหนี้ทั้งโลก ทุกคนเป็นหนี้หมด แล้วมีใครที่จะสามารถปลดหนี้ ให้กับใครได้ ไม่มีทาง มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ไม่มีหนี้ ถึงสามารถปลดหนี้ให้เราได้ แล้วพระเยซูคริสต์ผู้นี้แหละ ถูกส่งมา โดยที่พระเจ้าบอกว่าจะส่งพระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี

หญิงพรหมจารี ทุกอย่างพระเจ้ากำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว  ตั้งแต่วันแรกที่พระเจ้าบอก พระเจ้าก็กำหนดบุคคลที่พระเจ้าจะใช้งาน  อย่างบุคคลที่พระเจ้าใช้งานอันดับแรกเลย ก็คือเศคาริยาห์กับเอลีซาเบธ คือในยุคของพระเยซูคริสต์ ที่จะให้กำเนิดยอห์น ผู้ให้รับบัพติศมา หรือเราเรียกว่ายอห์น บัพติศโต เพื่อที่จะมากรุยทาง มานำทางพระเยซูคริสต์ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเริ่มพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าก็เตรียมยอห์นไว้  เพื่อการนั้น พอหลังจากนั้น พระเจ้าก็เตรียมอีก เตรียมนางมารีย์ ที่พระองค์จะใช้ครรภ์ของเธอ เป็นที่ปฏิสนธิของพระวิญญาณบริสุทธิ์

สมัยก่อนคนอาจจะไม่เข้าใจ มันเป็นไปได้อย่างไร? แต่ยุคปัจจุบัน เราเห็นมีเด็กหลอดแก้ว หรือเขาจะมีวิธีการ โดยที่คุณแม่ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย ไม่อยากแต่งงาน แต่อยากมีลูก แล้วแถม ไม่อยากไปขอเขามาเลี้ยง คืออยากตั้งท้องเอง ก็ไปขออสุจิจากผู้ชาย ก็คือต้องไปขอจากโรงพยาบาล หรือไปขออย่างไรก็แล้วแต่ ต้องมีการยินยอม แล้วก็มาทำวิธี โดยให้คุณหมอฉีดเข้าไปในมดลูก แล้วก็ตั้งท้อง  สมัยนี้เขาทำได้

ในยุคของพระเยซูคริสต์ เขายังไม่สามารถรับรู้เรื่องนี้ได้ แต่พระเจ้าได้บอกกับคนอิสราเอล ในยุคนั้นว่าพระเจ้าจะส่งพระเยซูคริสต์มาประสูติ จากหญิงพรหมจารี และผู้หญิงคนนั้นชื่อมารีย์ แล้วมารีย์หมั้นกับโยเซฟ โดยที่โยเซฟก็เป็นพงศ์พันธุ์ของเผ่ายูดา สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด โยงจนเสร็จ ทุกอย่าง พระเจ้าได้กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ให้โยงมาเป็นเรื่องเดียวกัน ตามสิ่งที่พระเจ้าได้บอกไว้

สมมติเป็นว่าเรารู้จักเพื่อนคนหนึ่ง ที่เฟสบุ๊ค แล้วเพื่อนคนนี้ ก็ไม่เอาหน้าขึ้นมาด้วย บางคนไม่ชอบเอาหน้าขึ้นมา ก็เอาภาพวิว ภาพอะไรก็แล้วแต่ เสร็จ เราก็ไม่สามารถรับรู้ว่าคนนี้คือใคร? หน้าตาเป็นอย่างไร?  รู้จักแต่ชื่อ พูดคุยกัน จนเราอยากจะรู้จักมากขึ้น เราก็นัดเจอกัน

เมื่อนัดเจอกัน ก็ต้องมีกำหนดใช่ไหม? สมมติว่าเรานัดเจอกันที่เดอะมอลล์บางกะปิ เราจะไปยืนอยู่ตรงหน้าแมคโดนัล

“ฉันมีรูปลักษณะสัณฐานแบบนี้ ฉันตัดผมซอย ย้อมผมสีทอง วันนี้ฉันจะใส่เสื้อสีเขียว กางเกงสีแดง ฉันจะไปยืนอยู่ตรงนี้นะ ตัวขาวๆ ส่วนสูงประมาณ 150”

อะไรก็แล้วแต่ พอนัดเสร็จ อีกคนก็ต้องบอกลักษณะ สัณฐานของตัวเองว่า …

“ฉันเป็นแบบนี้”

พอมาเจอกันปุ๊บ มองแล้ว ตามที่เขาบอกเป๊ะๆ ใช่เลยคนนี้ เราก็เข้าไปทักทาย พระเยซูเหมือนกัน พระเจ้าได้กำหนดไว้ชัดเจนเลยว่าพระองค์จะมาเกิดที่ไหน? อย่างไร? และเจริญเติบโตอย่างไร? แล้วเมื่อถึงเวลาเท่าไร พระองค์จะประกอบภารกิจของพระองค์ และเมื่อไรที่พระองค์จะต้องเดินไปที่ไม้กางเขน  เพื่อสิ้นพระชนม์ เพื่อหลั่งพระโลหิต เพื่อไถ่บาปของมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน ก็ได้รับความรอด รอดตรงนี้ ก็คือรอดพ้นจากความผิดบาปทั้งปวง ไม่ต้องไปชดใช้หนี้บาปอีกต่อไป ไม่ต้องมานั่งผวาว่าเดี๋ยววันนี้ พรุ่งนี้ ลมหายใจเราออกจากร่าง แล้วเราจะไปอยู่ไหน?

พระคัมภีร์บอกเราชัดเจน เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราไม่มีบาปอีกเลย เมื่อไรที่ลมหายใจเราออกจากร่าง เราสามารถที่จะไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์สถานทันที เราจะย้ำกันบ่อยๆ ว่า ณ ปัจจุบัน ในโลกวิญญาณ เราได้นั่งอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

ฉะนั้น เราไม่มีความกลัวใดๆ ไม่ว่าปัญหาอุปสรรคบนโลกใบนี้ ก็ไม่สามารถทำให้เราเกิดความกลัวได้แม้แต่นิดเดียว เราจะมีความมั่นใจในการเดินกับพระเจ้า มั่นใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และรู้ว่าเราไม่ได้เดินคนเดียว แต่พระเจ้าไปกับเราด้วย พระเจ้าทรงดูแลเราทุกย่างก้าว พระองค์สัญญาอย่างนั้น ไม่เพียงแต่ในโลกวิญญาณ ก็คือเรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าทำจบไปแล้ว เราได้อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว แต่ในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าก็ยังคงสัญญาว่าพระองค์จะดูแลเรา พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา พระองค์จะจูงมือเราเดิน ไม่ว่าเราจะทุกข์ยากลำบาก เจอปัญหาอะไรก็ตาม  พระเจ้าจะพาเราผ่านได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า ไม่ว่าด้วยวิธีอะไรก็ตาม พระเจ้าจะสามารถทำให้เราผ่านไปได้แน่นอน

ลูกา 1:76-80 “76 “ท่านทารกเอ๋ย  เขาจะเรียกท่านว่าเป็นผู้เผยพระวจนะของผู้สูงสุด  เพราะว่าท่านจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า  และจัดเตรียมมรรคาของพระองค์ไว้ 77 เพื่อจะให้ชนชาติของพระองค์มีความรู้ถึงความรอด  ที่มาทางการทรงยกบาปของเขา 78 โดยพระทัยเมตตากรุณาแห่งพระเจ้าของเรา  แสงอรุณจากเบื้องสูงจึงมาเยี่ยมเยียนเรา 79 ส่องสว่างแก่คนทั้งหลายผู้อยู่ในที่มืด  และในเงาแห่งความมรณา  เพื่อจะนำเท้าของเราไปในทางสันติสุข” 80 ฝ่ายทารกนั้นก็ได้เจริญวัยขึ้น  และวิญญาณจิตก็มีกำลังทวีขึ้น  ท่านไปอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร  จนถึงวันที่ท่านจะได้มาปรากฏแก่ชนชาติอิสราเอล”

 

ยอห์นผู้นี้แหละ เมื่อคลอดเสร็จ ได้ประมาณหนึ่ง เราก็ไม่รู้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนว่ายอห์นไปอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ตอนอายุเท่าไร? แต่พระเจ้าก็ให้เขาไปอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เหมือนไปเก็บตัว จนถึงเวลากำหนดของพระเจ้า ยอห์นก็ปรากฏตัวขึ้นมาเฉยๆ อย่างนั้นแหละ พอยอห์นปรากฏตัวปุ๊บ ยอห์นก็ประกาศแผ่นดินของพระเจ้า ให้คนกลับใจใหม่ ทำพิธีบัพติศมา ให้กับคนอิสราเอล

เชื่อมั่นว่าคนอิสราเอลเขารับรู้เรื่องราวของสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาทั้งหมด เขารับรู้อยู่แล้ว ไม่เหมือนพวกเรา เราไม่ใช่อิสราเอลโดยกำเนิด เราก็ต้องมาเรียนรู้กัน แต่คนอิสราเอลเขารู้ พอยอห์นปรากฏขึ้น เชื่อมั่นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้แบ็คอัพยอห์นอยู่ ทำให้ผู้คนเกิดความยำเกรง พอยอห์นประกาศให้กลับใจเสียใหม่ ทุกคนก็ชักแถวมาเลย มาให้ยอห์นทำพิธีบัพติศมา

การทำพิธีบัพติศมา คือการสำแดงตัวเองว่าเรากลับใจใหม่แล้ว เราตัดสินใจจะเดินติดตามพระเจ้า ตลอดชีวิต สำแดงตัวเองว่าเราเป็นพวกของพระองค์

ยอห์นผู้นี้ก็มีลักษณะขวานผ่าซาก คือพูดเพราะไม่เป็น  พูดตรงๆ แล้วการที่จะพูดตรงๆ พูดแบบไม่รักษาน้ำใจใครเลย ถ้าไม่ได้มาจากพระเจ้าตายแน่นอน พระเจ้าก็แบ็คยอห์นไว้ จนถึงเวลากำหนด เวลายอห์นจะเตือนใคร ยอห์นก็เตือนตรงๆ ไปเตือนเฮโรด จนถูกจับไปติดคุก และถูกตัดคอตาย นี่คือภารกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้ยอห์นทำ เป็นช่วงเวลาที่สั้น

ช่วงที่ยอห์นมาบอกว่าแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว ให้กลับใจเสียใหม่ ก็มีคนติดตามยอห์นเยอะมาก  นี่ผู้เผยพระวจนะมาจากพระเจ้านะ แต่พอตอนที่พระเยซูปรากฏตัวปุ๊บ ยอห์นไม่ได้รู้สึกหวงคนที่ติดตามยอห์นเลย ยอห์นจะชี้ให้ดูว่า …

“นั่นไงๆ คือพระเมษโปดก”

พระเมษโปดก หมายถึงแกะ ในอนาคตพระเยซูคริสต์จะเป็นแกะที่จะถูกนำไปฆ่าตาย เพื่อลบบาปมนุษยชาติบนโลกใบนี้  พอยอห์นบอกว่า …

“นั่นไง พระเมษโปดก คนนี้ใหญ่มาก ขนาดฉันไม่คู่ควรที่จะไปแก้สายรองเท้าของพระองค์ด้วยซ้ำไป”

หมายความว่าพระองค์อยู่สูงมาก ขนาดยอห์นที่คนยกย่อง นับถือ ยังพูดขนาดนี้  แล้วขณะที่ยอห์นพูดแบบนี้  ก็มีสาวกหลายคนที่ติดตามยอห์น หันไปติดตามพระเยซู เราจะเห็นภาพหนึ่ง คือยอห์ไม่ได้รู้สึกอะไร? ไม่ได้รู้สึกว่าทำไมไปกันหมดแล้วล่ะ

ผู้รับใช้ของพระเจ้า มีหน้าที่อย่างหนึ่ง คือนำคนไปถึงพระเจ้า ไม่ใช่นำคนมาถึงเรา แน่นอน ต้องนำผู้คนไปถึงพระเจ้า เพราะพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้น ที่จะช่วยเราได้ ผู้รับใช้ไม่มีความสามารถที่จะช่วยท่านได้ ผู้รับใช้ก็เป็นเหมือนท่านคนหนึ่ง ที่เป็นคนบาป ที่ได้กลับใจใหม่ แล้วเป็นคนที่พระเจ้าเลือกมา เพื่อทำงานให้พระองค์แค่นั้นเอง จบ เรามีสถานะเดียวกัน คือเป็นลูกของพระเจ้าเท่ากัน แล้วเรามีสถานะเดียวกัน คือเรามีโอกาสล้มลงในความบาปเท่ากันด้วย เนื่องจากเราเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด แต่ร่างกายเรายังสามารถถูกล่อลวงด้วยเนื้อหนัง ด้วยระบบของโลกใบนี้ ที่หลายครั้ง เราก็ถูกล่อลวง ให้ออกจากทางของพระเจ้า แต่ไม่ว่าเราจะถูกล่อลวง ด้วยลักษณะไหนก็ตาม ให้พี่น้องมั่นใจว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณเรารอดแน่นอน พอเป็นอย่างนี้ยอห์นก็เจริญเติบโตในถิ่นทุรกันดาร

เรามาดูในลูกา บทที่ 2 พระเยซู ก็ถูกกำหนดเหมือนกัน ตอนที่ทูตสวรรค์มาหานางมารีย์ นางมารีย์อาศัยอยู่ที่นาซาเร็ธ แต่ว่าโยเซฟมีถิ่นกำเนิด ที่เบธเลเฮม เหมือนเราเกิดที่หนึ่ง แล้วย้ายถิ่นฐานไปอีกทีหนึ่ง แล้วพระเจ้าได้เขียน และกำหนดไว้ว่าพระเยซูคริสต์จะต้องคลอด หรือกำเนิดที่เบธเลเฮม ถ้าเป็นอย่างนั้น นางมารีย์กับโยเซฟอยู่ที่นาซาเร็ธ แล้วจะมาคลอดที่เบธเลเฮมได้อย่างไร มันต้องมีขบวนการ ต้องมีเหตุทำให้ต้องเดินทาง เรามาดู

ลูกา 2:1-4 “1 อยู่มาคราวนั้น  มีรับสั่งจากมหาจักรพรรดิซีซาร์  ออกัสตัส  ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน 2 นี่เป็นครั้งแรกที่ได้จดทะเบียนสำมะโนครัว  เมื่อคีรินิอัสเป็นเจ้าเมืองซีเรีย 3 คนทั้งปวงต่างคนต่างได้ไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน 4 ฝ่ายโยเซฟก็ขึ้นไปจากเมืองนาซาเร็ธ  แคว้นกาลิลีถึงเมืองของดาวิดชื่อเบธเลเฮม  แคว้นยูเดียด้วย  เพราะว่าเขาเป็นวงศ์วานและเชื้อสายของดาวิด”

 

ตามเป๊ะเลย ที่พระเจ้ากำหนดไว้

ลูกา 2:5 “เขาได้ไปกับมารีย์ที่เขาได้หมั้นไว้แล้ว  เพื่อจะขึ้นทะเบียน  และนางมีครรภ์”

 

ที่พระคัมภีร์เขียนว่ามารีย์เขาได้หมั้นไว้แล้ว ก็คือตอนนี้รับมาเป็นภรรยา เพราะเหตุที่นางมารีย์ตั้งครรภ์พระเยซู แล้วทูตสวรรค์มาบอกกับโยเซฟว่านางมารีย์ตั้งครรภ์ โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉะนั้น โยเซฟเลยรับนางมารีย์ไว้ ในสถานะ ณ เวลานี้ ก็ยังคงเหมือนคู่หมั้นอยู่นะ แม้ว่าจะรับมาอยู่ด้วยกัน พระคัมภีร์เขียนว่าโยเซฟไม่ได้แตะต้องนางมารีย์เลย จนกว่าพระเยซูคลอดออกมา หลังจากนั้น โยเซฟกับมารีย์ก็ใช้ชีวิตแบบสามี-ภรรยาปกติ ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูมีน้องๆ

แต่น้องๆ เหล่านั้น ก็คือคนบาปเหมือนพวกเรา มีพระเยซูผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย

ลูกา 2:6-7 “6 เมื่อเขาทั้งสองยังอยู่ที่นั่น  ก็ถึงเวลาที่มารีย์จะประสูติบุตร 7 นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี  เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า  เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม”

 

พอทุกคนต้องไปขึ้นทะเบียนสำมะโนครัว คนก็แห่แหนกันไป แต่ละคนอยู่เมืองไหนก็ไป พอมาถึงเบธเลเฮม คนมาเยอะมาก จนโรงแรมทุกโรงแรม คนแน่นไปหมด ไม่มีห้อง สำหรับโยเซฟกับนางมารีย์ … นางมารีย์ก็ใกล้กำหนดคลอดพอดีเลย คือเดินทางต่อไม่ได้แล้ว เจ้าของโรงแรมใจดีนะ บอกมีที่ว่างห้องหนึ่ง ก็คือในคอกแกะ เป็นที่เลี้ยงสัตว์ มันคงเหม็นมาก แต่ด้วยสิ่งแวดล้อมที่ไปไหนไม่ได้แล้ว นางมารีย์ต้องคลอดบุตรแล้วล่ะ  ก็เลยไปอยู่ที่คอกแกะ แล้วพระเยซูก็กำเนิดในคอกแกะ ในรางหญ้า มีผ้าอ้อมพัน ตามที่ผู้เผยพระวจนะได้บันทึกไว้ว่าพระเยซูจะคลอดในลักษณะแบบไหน? ก็เป็นไปตามนั้น พอพระเยซูคลอดปุ๊บ ในข้อที่ 8

ลูกา 2:8-13 “8 ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนา  เฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน 9 มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขา  และพระสิริของพระเป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขา  และเขากลัวนัก 10 ฝ่ายทูตองค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า  “อย่ากลัวเลย  เพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย  คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง 11 เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย  คือพระคริสต์เจ้า  มาบังเกิดที่เมืองดาวิด 12 นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย  คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า” 13 ในทันใดนั้น  มีชาวสวรรค์หมู่หนึ่งมาอยู่กับทูตองค์นั้นร่วมสรรเสริญพระเจ้า”

 

คนกลุ่มแรกที่ทูตสวรรค์ไปหา ก็คือคนเลี้ยงแกะ เราจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้เลี้ยงแกะกับแกะ ที่ได้เขียนไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า  ตอนที่พระเยซูเจริญเติบโต แล้วพระองค์ได้ทำพระราชกิจ พระเยซูตรัสว่าเราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี พระองค์ทรงดูแลแกะทุกตัว  และในพระคัมภีร์บอกว่าแกะทุกตัว พระองค์จะเรียกชื่อของเขา หมายความว่าพระเยซูคริสต์ทรงจำชื่อแกะของพระองค์ได้ทุกตัว

พี่น้องอาจจะคิดว่าเราเป็นคนเล็กน้อยมากเลย ไม่มีบทบาทอะไรในอาณาจักรของพระเจ้า พระเยซูคงจำชื่อเราไม่ได้ แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าจำชื่อของแกะได้ทุกตัว แล้วพระองค์ทรงเรียกชื่อแกะของพระองค์ด้วย แล้วแกะของพระองค์จะไม่ตามคนอื่นไป แต่จะตามพระเยซูมา นี่คือลักษณะของแกะ ดังนั้น เมื่อเราเป็นลูกแกะของพระเจ้า เราก็จะฟังเสียง เข้าใจเสียงของพระเยซูคริสต์ เสียงของพระเยซูคริสต์ในปัจจุบัน เราฟังได้จากถ้อยคำของพระเจ้า ทุกครั้งที่เราได้อ่าน ได้ฟัง ได้ยิน ได้ทบทวน มันเป็นลักษณะเหมือนจดหมาย ที่พระเจ้าเขียนมาให้เรา ความรู้สึกของพระเจ้า  ที่จะบอกพวกเราว่าพระองค์รักเราขนาดไหน? พระองค์ทำอะไรเพื่อเราบ้าง? แล้วทำสำเร็จไปแล้วด้วย หมายความว่าเราไม่ต้องไปทำอะไรเลย  เราแค่รับเอา เหมือนของขวัญ ซื้อเสร็จแล้ว ไม่ต้องไปขวนขวาย ไปเดินห้างเป็นชั่วโมง 2 ชั่วโมง เพื่อหาซื้อของขวัญอีก พระเยซูบอก …

“ไม่ต้อง ของขวัญ ฉันทำให้เรียบร้อยแล้ว”

ทำหน้าที่อย่างเดียว คือเดินมารับเอา จบ รับของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ที่พระเยซูคริสต์ ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว แล้วสิ่งที่พระเจ้าทำ คือกำหนดทุกอย่างที่มันออกมาเป๊ะๆ พอทูตสวรรค์มาพบกับพวกคนเลี้ยงแกะ คำแรกที่พูด ก็คือ …

“อย่ากลัวเลย”

ทูตสวรรค์มาหา ตกใจ ทูตสวรรค์บอก …

“ไม่ต้องกลัว ฉันนำข่าวดีมา”

ข่าวดี ก็คือเรื่องของพระเยซูคริสต์ ที่จะมาเกิดบนโลกใบนี้ และ ณ เวลานี้ ก็เกิดแล้ว ประสูติในรางหญ้า  ฉะนั้น มันจะเกิดความปรีดี คือความชื่นชมยินดี  เพราะคนอิสราเอลรอคอย พระผู้ช่วยให้รอด มาหลายพันปี ที่พระเจ้าบอกว่าจะส่งมาๆ ลุ้นแล้ว ลุ้นอีกว่าตกลงคนนี้ใช่ไหม? คนนั้น ใช่ไหม? จนถึงพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องจริง ส่งมาปุ๊บ คนอิสราเอลไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ คือคนที่พระเจ้าส่งมา แต่ว่ามีคนที่พระเจ้าเปิดตาใจ ให้เขาสามารถเห็นความจริง แล้วเขาก็ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดนเ็นเรื่

ยุคที่พระเยซูคริสต์ทำภารกิจบนโลกใบนี้อยู่ ก็จะมีมนุษย์อยู่ 2 พวก คือพวกหนึ่งเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ อีกพวกหนึ่งก็คือไม่เชื่อ ปฏิเสธพระองค์ จนถึงยุคนี้ ยุคปัจจุบันเหมือนกัน เมื่อเราได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็จะแยกออกมาเป็น 2 พวก พวกหนึ่ง ก็คือเชื่อ เปิดใจต้อนรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน อีกพวกหนึ่ง ก็คือไม่เชื่อ ต่อให้รู้สึกว่าดีขนาดไหน ก็ไม่เอา  ต่อให้รู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงฤทธิ์สามารถชุบคนตายให้เป็นขึ้นมา เห็นจะๆ กับตาเลย ก็ยังไม่เอาพระเยซู มีความรู้สึกว่ามันง่ายไป …

“ฉันต้องทำด้วยตัวของฉันเอง

ที่ต้องทำด้วยตัวของฉันเอง เหมือนกับเรามีอีโก้แรง …

“ทำไมเราต้องไปพึ่งใครก็ไม่รู้ ที่เขาบอกว่าชื่อเยซู ไม่ต้องหรอก เราพึ่งตัวเองได้  เรายังมีความสามารถอยู่ เราจะทำด้วยกำลังของเราเอง เราจะพยายามปฏิบัติความดี ด้วยตัวของเราเอง”

ดังนั้น กลุ่มคนกลุ่มนี้ ไม่ถ่อมใจ ไม่กลับใจใหม่ ถ้ายังคงไม่กลับใจ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ก็คือขาดทุนย่อยยับ เมื่อลมหายใจออกจากร่าง อย่างที่บอก มนุษย์มีสิทธิ์ที่จะเชื่อพระเจ้า เฉพาะในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น พระเยซูจำเป็นต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ เมื่อลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ ไม่ใช่มนุษย์ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะกลับใจใหม่  ไม่มีสิทธิ์ที่จะเชื่อพระเยซูคริสต์

ฉะนั้น เราจำเป็นต้องเปิดใจต้อนรับพระองค์ ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ผลมันจะเกิดทันที ตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ ก็คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าได้เข้ามาเปลี่ยนวิญญาณเรา จากวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณชอบธรรม ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกปลดปล่อยคนที่อยู่ในความมืดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนเราไม่ได้เชื่อพระเจ้า เราอยู่ในความมืด มืด 8 ด้านเลย  เราอยู่ในการควบคุมของผีมารซาตาน มารจะจับเราไปทำโน่นทำนี่ ทุกอย่างตามใจเขา แล้วเราก็ฝืนไม่ได้ด้วย  เราก็ทำตาม แต่ ณ บัดนี้ พระเจ้าบอกว่าพระองค์มาปลดปล่อยเราแล้ว เรามีความสามารถที่จะต่อต้าน ขัดขืน เราไม่จำเป็นจะต้องเชื่อฟังมาร เราเชื่อฟังพระเจ้า

ฉะนั้น คนที่เข้ามาหาพระเจ้าจะได้รับอิสรภาพ เป็นผู้ชอบธรรมทันทีเลย แล้วมาเป็นลูกของพระเจ้าทันทีด้วย พระเจ้าเขียนไว้อย่างนั้นว่าคนที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาจะมีสถานะเป็นลูกของพระเจ้า พอเป็นลูกปุ๊บ ก็เป็นเลย ไม่ใช่วันนี้เป็นลูก พรุ่งนี้เป็นทาส มะรืนนี้เป็นลูก อีกวันหนึ่งเป็นทาส ไม่ใช่ พอเป็นลูก ก็เป็นลูกเลย พระเจ้ารับเราเป็นลูก และเมื่อรับเราเป็นลูก พระองค์ก็จะดูแลเรา พระองค์จะนำทางเรา พระองค์จะชี้ทางให้กับเรา พระองค์จะคอยประคบประหงมเรา พระองค์จะทรงแนะนำเราว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แล้วเมื่อถึงอันตราย พระองค์ก็จะจูงมือเรา พาเราไปด้วยกัน แล้วก็ผ่านพ้นไปได้

เมื่อเรามีความทุกข์ พระองค์อยู่กับเรา เมื่อเรามีความสุข พระองค์ก็อยู่กับเรา พระเจ้าไม่มีแม้แต่วินาทีหนึ่งที่ทอดทิ้งเรา เพราะพระคัมภีร์บอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีการแยกจากกันอีกแล้ว เมื่อสถิตอยู่กับเรา เราก็ไม่ต้องไปอธิษฐานขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยนะ เราติดไง เราติดคำอธิษฐานว่า …

“พระองค์เจ้าข้า ขอสถิตอยู่ด้วย”

ตอนนี้เลิกพูดแล้วนะว่าขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ไม่ต้องขอ เพราะพระเจ้าบอกว่า …

“ฉันอยู่ในเธอ อยู่ในนี้แล้ว เมื่อเธอเปิดใจต้อนรับฉัน ฉันอยู่ในนี้ แล้วฉันจะไม่ทิ้งเธอไปไหนด้วย จะอยู่ตลอดไป”

นี่คือพระคุณ ความรัก ความเมตตา ที่พระเจ้าทรงมีอยู่เหนือชีวิตของพวกเราทั้งหลาย พระองค์ไม่ได้เริ่มต้นจากคนที่มีฐานะสูงส่ง แต่พระองค์เริ่มจากคนเลี้ยงแกะ  ผู้ที่ต่ำต้อย แล้วก็ให้มีโอกาสได้พบกับพระเยซูคริสต์

ฉะนั้น มนุษย์บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะอะไร? อยู่เป็นมหาเศรษฐี หรือเป็นยาจก ที่เป็นขอทาน ก็มีสิทธิ์เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าได้ แล้วเมื่อเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เรามีฐานะเท่ากัน ไม่ใช่พอมหาเศรษฐีมาเชื่อพระเจ้า เขาจะมีอภิสิทธิ์ หรือเป็นอภิสิทธิ์ชน ไม่มี เป็นนายร้อย นายพัน นายหมื่น ก็ไม่มีอภิสิทธิ์ ก็คือเป็นลูกของพระเจ้าเท่ากันกับคนที่เป็นยาจกเดินเข้ามา เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็มีสถานะเป็นลูกของพระเจ้าเท่ากันเป๊ะๆ เลย

ฉะนั้น เราจึงมีความรู้สึกขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณที่พระองค์ทรงเลือกเรา ขอบคุณที่พระองค์ทรงเปิดตาใจเรา ให้เราสามารถเห็นความรักของพระเจ้า ขอบคุณที่พระองค์ทรงให้เราสามารถเข้ามาอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า อยู่ในการดูแลของพระองค์ อยู่ในการควบคุมทั้งหมดของพระองค์ และให้เรามีความมั่นใจในพระองค์มากขึ้นทุกวันๆ ไม่ว่าบนโลกนี้เราจะเผชิญกับอะไรก็ตาม ความทุกข์ยากลำบาก อันนั้นไม่เป็นปัญหา แต่เรามีความมั่นใจว่าพอจากโลกนี้ไป เราได้มีที่ที่สวยงามที่สุด ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้สำหรับเรา คือสวรรค์สถาน ซึ่งมีถนนทำด้วยทองคำ  มีที่อยู่เป็นอันมาก ตามที่พระเจ้าได้บอกไว้  แล้วพระเจ้าก็ทรงสัญญากับผู้เชื่อทุกคนว่าพระองค์ไปจัดเตรียมที่ไว้ให้กับเรา แล้วสัญญาอีกว่าพระองค์จะเตรียมร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้า ให้กับพวกเราด้วย ซึ่งปัจจุบัน เราอยู่บนโลกนี้ อยู่ในร่างกายบาปนี้  เราก็มีวันที่จะเหี่ยวเฉา โรยราไป พออายุมากขึ้น ก็เจ็บโน่นเจ็บนี่ เป็นเรื่องปกติ พี่น้องไม่ต้องรู้สึก เราเป็นคริสเตียน ทำไมเราป่วยได้  ไม่เกี่ยวกันนะ เป็น คริสเตียนก็ไม่เกี่ยวอะไรกับป่วยหรือไม่ป่วย เพราะว่าร่างกายนี้ เป็นร่างกายที่วันหนึ่งจะต้องถูกทิ้งไป ต่อให้เราเจ็บป่วยขนาดไหน? เรามั่นใจอย่างหนึ่ง ก็คือเมื่อถึงเวลากำหนดของพระเจ้า พระเจ้าจะเอาวิญญาณเราออกจากร่าง แล้วพระองค์เตรียมร่างกายใหม่ สำหรับพวกเราทุกๆ คน เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น อยู่บนโลกนี้ อยู่ให้มีความสุข อยู่ด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้ารักเรามาก มากขนาดไหน? ถ้าวันไหนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจว่า …

“ทำไมเจอปัญหาเยอะแยะมากมายอย่างนี้ พระเจ้าไม่รักเราหรือ?”

ให้นึกภาพว่ารักขนาด ให้พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อเรา แค่นี้จบเลย  ไม่มีอะไรสามารถแยกเราออกจากพระเจ้าได้ หรือไม่มีปัญหาใดๆ ที่ทำให้เรารู้สึกน้อยอกน้อยใจพระเจ้าได้เลย พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ภายในจิตใจของผู้ที่ได้รับการชำระล้างบาปแล้ว ล้วนปรารถนาที่จะทำแต่สิ่งที่ดี ตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่ก็ยังคงต้องต่อสู้กับเนื้อหนังที่ยังคงมีเชื้อบาปอยู่ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ ตามที่อาจารย์เปาโลได้คร่ำครวญไว้ว่า …

“ด้วยว่าการดีนั้น ซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่ว ซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเอง เป็นผู้กระทำ” (โรม 19-20)

 

หลายคนก็ต้องเคยมีประสบการณ์แบบนี้ คือใจอยากจะทำดี  ไม่อยากทำบาป แต่เนื้อหนังสู้ไม่ไหว

 

และในที่สุด  ผู้ที่มีพระวิญญาณคอยช่วยอยู่  ก็จะค่อยๆ ทำบาปน้อยลงเรื่อยๆ และในขณะเดียวกัน เรายังคงสามารถมั่นใจได้ว่าเราได้รับการอภัยแล้ว   วิญญาณเราไม่เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว

 

พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีมนุษย์คนใดที่สมบรูณ์พร้อม แม้ทางจิตวิญญาณจะได้รับความรอดแล้วก็ตาม แต่ทางกายก็ยังมีเชื้อบาปอยู่ ยังต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาทางเนื้อหนังอยู่

 

แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงโปรดอภัยให้เรา  และคอยอยู่เคียงข้างเรา  นำพาเราในทุกสถานการณ์  คอยช่วยเหลือและให้กำลังเรา ในการต่อสู้กับการล่อลวง และไม่ว่าเราจะผิดพลาดไปกระทำบาปแค่ไหนก็ตาม พระองค์ก็ไม่เคยปรับโทษเราอีกเลย แต่ยังคงอธิษฐานเพื่อเราอยู่เสมอ

 

ไบเบิลบันทึกไว้ว่า … “ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์และยิ่งกว่านั้นพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าและทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย” (โรม 8:34)

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1303

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  มีนาคม  2021

 เรื่อง “คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ทำไมถึงยังทำบาปอยู่?” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง เราพบกันอีกครั้งหนึ่ง เราจะต่อจากสัปดาห์ที่แล้วเลย เรื่อง “คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ทำไมถึงยังทำบาปอยู่?” ตอนที่ 2 ตำราพิชัยสงครามของซุนวูบอกว่า …             “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”

รู้เขา ก็คือรู้ว่าศัตรูของเราคือใคร? และรู้วิธีการของศัตรูที่ใช้แผนการอะไรเข้ามาโจมตีเรา ตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญ

และอันดับที่ 2 คือรู้เรา ก็คือรู้ว่าเราเป็นใคร? มีกำลังอยู่ตรงไหน? มีความถนัดตรงไหน? ใครบ้างที่อยู่ฝ่ายเรา

ความจริงอันดับแรกที่เราต้องรับรู้และต้องมั่นใจในการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราเสียใหม่ ตามพระคัมภีร์บอก ก็คือตัวตนจริงๆ ของเรา นี่ผู้เชื่อนะ ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้าแล้ว ผู้ที่เรียกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ตัวตนจริงๆ ของท่านที่พระเจ้าได้ให้กำเนิดใหม่แล้วนั้น  ที่เรียกว่าบังเกิดใหม่แล้ว บริสุทธิ์ สะอาดในสายพระเนตรของพระเจ้า ทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกายด้วย

นี่เป็นส่วนประกอบของร่างกายของมนุษย์นั่นเอง เราเป็นการฝีมือชิ้นเอก เขาเรียกว่าเป็นบทกวีที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์ ตอนเราบังเกิดใหม่ พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์  ก็คือฝีมือของพระเจ้า ที่เป็นชิ้นเอกเลย

ภาษาเดิม สามารถแปลผลงานชิ้นเอกนี้ได้ว่าเป็นบทกวี  เราเป็นบทกวีที่พระเจ้าสร้างขึ้น เขียนด้วยความบรรจง เวลาเราพูดกัน จะถ่ายทอดสื่ออะไรให้ ยกตัวอย่างง่ายๆ สื่อว่าเรารักเขาขนาดไหน? คนรัก เขาถึงเขียนเป็นบทเพลง บทกวี หมดเลย เพราะว่ามันสื่อได้มากขึ้นกว่าที่จะพูดว่า …

“ฉันรักเธอ ฉันคิดถึงเธอ”

เขาเอาคำว่า “ฉันรักเธอ ฉันคิดถึงเธอ” ไม่รู้จะพรรณนาอย่างไร? ก็เขียนเป็นบทกวีออกมา พออ่านบทกวีซาบซึ้ง อะไรนั่นแหละ ฉะนั้น เราทั้งหลายเป็นชิ้นเอกขนาดไหน? ที่พระเจ้าสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นคนใหม่จริงๆ เรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้สร้าง ให้กำเนิดเรา  เราต้องรู้ก่อนว่าจะสู้รบกับศัตรู เราเป็นใคร? และใครเป็นใคร? ตอนนี้เรารู้แล้วนะว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นการฝีมือชิ้นเอก เป็นบทกวีที่พระเจ้าสร้างขึ้นอย่างยอดเยี่ยมที่สุด นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้เลย เพราะฉะนั้น ต้องย้ำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ อย่าให้พลาด อย่าให้ใครขโมยเอาความจริงนี้ไป

อย่างที่ย้ำไปเมื่อครั้งที่แล้วว่าธรรมชาติ วิสัยบาปของเรา คือบาปนั้นได้ถูกลบออกไป ได้ถูกล้างออกไป หมดไปแล้ว มันตายไปแล้ว ตัวเก่าที่เป็นวิสัยบาป ตัวเก่าที่เป็นบาปมันตายไปแล้ว เพราะฉะนั้น ตัวใหม่ที่เป็นการฝีมือชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีบาปเจือปนอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีวิสัยบาป ไม่มีธรรมชาติบาป มีแต่ธรรมชาติของพระเจ้าอยู่ในตัวตนที่แท้จริงของเรา จึงเรียกว่าเราบริสุทธิ์ สะอาด  เพราะเราเหมือนพระเจ้า ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเรามีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ พระองค์ประทานชีวิตนิรันดร์ให้เรา คือเป็นแบบนี้ เราไม่ได้กระทำ มันเกิดมาเป็น แต่ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังมีลมหายใจ อยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งร่างกายนี้ แม้เราจะเกิดใหม่เป็นคริสเตียนแล้ว พลังและอิทธิพลของความบาป ยังกระทำการงานอยู่ในร่างกายของเรา ซึ่งมันครอบคลุมไปถึงระบบของโลกใบนี้หมดเลย มันเข้ามาตั้งแต่สมัยที่อาดัม บรรพบุรุษของเราเปิดประตูรับเอาความบาปเข้ามา พลังของความบาป เนื้อหนังมันเข้ามาครอบคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ระบบของโลกใบนี้  และรวมถึงร่างกายของเราที่แม้ว่าเราจะเป็นคริสเตียนแล้วก็ตาม มันยังคงกระทำการงานอยู่ เราจึงมีโอกาสถูกล่อลวง ชักชวน ด้วยอิทธิพลของความบาปนี้ ด้วยพลังของความบาปนี้ และอิทธิพลของเนื้อหนังนี้ได้ เมื่อล้มลง พลาด ถูกล่อลวง ให้กระทำตาม ซึ่งผ่านทางร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิดของเรานั่นเอง ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราจึงเห็นชัดไง นี่คือสิ่งที่เราเรียนไปครั้งที่แล้ว

ต้องรอจนกว่าวันหนึ่งข้างหน้า วันที่เราหมดลมหายใจ ถึงบอกว่าตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ตราบนั้น เราอยู่ในการล่อลวงตลอดเวลา เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา  แต่มันอยู่ในเรา วิธีการจะหมดปัญหา ง่ายนิดเดียว ออกจากร่างซะ ตายจากโลกนี้ คือตาย วิญญาณออกจากร่างแล้ว มันก็หมดปัญหา ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ก็ไม่มีปัญหาแล้ว

เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน มาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราเป็นเหมือนคนต่างด้าว ท้าวต่างแดน เราไม่ใช่เป็นของโลกนี้อีกต่อไปแล้ว แต่เราอยู่บนโลกแบบโลกนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา  เราเพียงอาศัยชั่วคราวเท่านั้นเอง  อาศัยไปด้วย ต่อสู้ไปด้วย ให้พระเจ้าใช้ร่างกายเราให้เป็นไปตามแผนการของพระองค์ นำเอาข่าวประเสริฐ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ผ่านทางชีวิตของเราที่พระองค์ทรงสร้างมาเป็นผลงานชิ้นเอก ดำเนินไป แล้วข่าวดีนั้นจะอยู่ในเรานั่นแหละ เดี๋ยวพระเจ้าทำเอง เอาข่าวดีไปยังบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ บอกเขาว่าพระเยซูช่วยท่านแล้ว พระเยซูรักท่าน  พระเยซูตายเพื่อท่าน พระเยซูทำให้ท่านสามารถบังเกิดใหม่ สะอาดหมดจด พ้นจากบาปได้ และไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้นิรันดร์ เอเมน เป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราก็จะได้รู้ว่าเราอยู่ในการสงคราม (สงครามแบบไหน?) จะได้ไม่ถูกหลอกอีก ไม่ใช่อยู่ในการสงคราม มาหลอกเราอีกว่าสงครามแบบเราต้องแพ้  แต่นี่เป็นสงครามแบบเราชนะเรียบร้อยไปแล้ว เราต้องเรียนรู้ด้วย

พลังอิทธิพลของความบาป ของเนื้อหนังเป็นศัตรูกับพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่มันล้มลงไปในความบาป ตั้งแต่สมัยความบาปเกิดขึ้นมาในตัวของมันเอง คือตั้งแต่ลูซีเฟอร์ล้มลงไปในความบาป ตั้งแต่เป็นทูตสวรรค์ แล้วมันนำเอาสิ่งเหล่านี้ คืออุปนิสัยของมันลงมาบนโลกใบนี้ แล้วมันมาหลอกลวงมนุษย์

เพราะฉะนั้น อิทธิพลของความบาป และเนื้อหนังเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า มันไม่ใช่ตัวเราที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า เราอยู่ฝ่ายพระเจ้า มันจึงไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นพลัง อิทธิพลที่ดำเนินการ หนุนหลังโดยมาร หรือลูซีเฟอร์ในอดีตนั่นเอง เป็นผู้ทรงอิทธิพลอยู่เหนือระบบของโลกใบนี้อย่างที่บอกไว้  โดยถ้ามันทำได้ ก็คือมนุษย์ที่ยังไม่ได้ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ยังเป็นทาสของมันอยู่ มันก็ปิดบังข่าวประเสริฐ ไม่ให้คนมารับเชื่อพระเยซู ไม่ให้ได้รับความรอด ยังเป็นทาสของมันอยู่ มันก็สบาย มันก็จะใช้พลังอำนาจที่มันมีอยู่และระบบของเนื้อหนังที่มีอยู่นั้น มีอิทธิพลชักชวนให้คนๆ นั้น ทำอะไรก็ตามที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทั้งหลาย ก็เป็นแค่เครื่องมือของมารเท่านั้นเอง ซึ่งมาในลักษณะของพลังของความบาป และอิทธิพลที่เราเรียกว่าเนื้อหนัง

สมมติว่ามันบังคับไม่ได้แล้ว คนนั้นได้รับเชื่อแล้ว ข่าวประเสริฐไปถึงเขา แล้วเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาเป็นอิสระ เขาไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไปแล้ว เขาเกิดใหม่แล้ว  มันก็ยังทำอยู่นะ ไม่ใช่ไม่ทำ นี่เรากำลังพูดถึงคริสเตียนที่ไปทำบาป ก็มาถึงจุดนี้ว่าทำไมคริสเตียนทำบาป ก็คือไม่ได้อยู่ในการเป็นทาสของมันแล้ว เป็นอิสระจากมันแล้ว มันใช้วิธีใดต่อ มันก็จะใช้เล่ห์กล ขโมยเอาความจริง ทำให้เราเข้าใจผิด แล้วก็ล่อลวงชักจูง โน้มน้าว เหย้ายวน จูงใจ โฆษณาชวนเชื่อ  ทำให้โน้มเอียงไปในแนวทางของมัน ก็คือแนวทางในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า  บางครั้งไม่รู้ตัวด้วย กำลังต่อต้านพระเจ้า เพราะถูกหลอก โดยผ่านทางความไม่รู้ และความเคยชินกับอิทธิพลของเนื้อหนัง ซึ่งก่อนที่จะรับเชื่อ มันดำเนินอยู่ มันชินกับความคิดเดิมๆ และผ่านทางการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ผ่านทางผู้คนรอบข้าง สถานการณ์รอบข้าง ที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ มันก็จะหลอกเราว่านั่นหมายถึงอะไร? อันนี้ต้องโต้ตอบอย่างไร? เขายังโต้ตอบกันอย่างนี้เลยระบบของโลกใบนี้ เขาก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละ เขาอิจฉาตาร้อน เขาโลภกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เขาเห็นแก่ตัวอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้น เราทำอย่างนี้ ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก เราก็ทำได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันกระตุ้น ส่งข้อมูลผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดจิตใจของเรา

เราเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราเกิดใหม่ จิตใจก็ได้มาใหม่ด้วย จิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ แต่จิตใจนี้ยังสามารถรับรู้อะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ไม่ใช่จิตใจ เป็นหุ่นยนต์ ฟังแต่พระเจ้าอย่างเดียว  ไม่ใช่ พระเจ้าให้เราเป็นอิสระ เราสามารถมองดูอันนั้น อันนี้ แล้วเราสามารถที่จะคิดได้ และสามารถตัดสินใจได้ รู้สึกได้ว่าจะตัดสินใจเชื่อใคร มันก็หลอกเรา ซึ่งความคิดจิตใจนี้ พระวิญญาณก็กำลังทำงานอยู่ในคริสเตียนทุกคน คือกำลังช่วยเรา ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ให้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจให้เรา คิดเหมือนพระเจ้าคิด อย่าไปคิดแบบเดิมๆ กำลังอยู่ในระหว่างการทำงาน เราจะได้เห็นภาพชัดเจนว่าสมรภูมิเป็นอย่างไร? กลยุทธเป็นอย่างไร?

กลยุทธของมาร ก็อย่างที่พระเยซูบอก สรุปแล้ว คือขโมย ฆ่า และทำลาย จำเอาไว้เลย ล่อลวงให้เราทำบาป ให้เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า พอเป็นศัตรูกับพระเจ้าปุ๊บ ก็ยัดเยียด บอกว่า …

“แกเป็นคนทำเองแหละ”

พอเราเป็นคนทำเอง เราก็รู้สึกเข้าหน้าพระเจ้าไม่ติด เราเป็นศัตรู มันแหละเป็นคนยุแยง ส่งเสริม ผลักดันให้เราทำ แล้วมันก็บอก …

“แกเป็นคนทำเอง แกตัดสินใจเอง แกเป็นคนเลว”

แล้วในที่สุด พอนานๆ เข้า ก็บอกว่า … “ฉันมันเลว ฉันมันแย่ พระเจ้าเมตตาลูกด้วย สงสารลูกเถิด อภัยให้ลูกด้วย ลูกมันแย่เหลือเกินๆ”

มารมันหัวเราะก๊าก ชอบใจใหญ่เลย พระเจ้าจะเข้ามากอดเรา เราไม่ให้กอด …

“อย่ากอดลูกเลย ลูกมันแย่เหลือเกิน”

ทั้งๆ ที่ตอนแรกๆ เกิดใหม่บอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว พระโลหิตพระเยซูชำระเราจนหมดจด เกิดใหม่แล้ว แต่ตอนนี้กลับบอกว่าลูกไม่ควรเป็นลูกของพระองค์แล้ว ไปกันใหญ่เลย

“ลูกหลงหายไป ลูกไม่ควรเป็นลูกของพระองค์เลย ลูกแย่ ลูกไม่ดี”

เห็นไหม? ถ้าเราไม่รู้มือที่สาม ก็จะทำอย่างนี้แหละ แล้วมันก็ทุบเราเข้าไปอีก ให้เรารู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี อะไรต่างๆ พอไม่ดีปุ๊บ ตะกี้ยุแยงให้เราโกรธกับพระเจ้า คราวนี้ยุแยงให้เราคิดว่าพระเจ้าโกรธเรา ตอนนี้มันยุแยงว่า …

“ที่ไม่ดีนี้เพราะว่าพระเจ้ากำลังตีสอน ทุบตีแกอยู่ แกมันเลว พระเจ้าไม่ให้อภัยแล้ว จะตีแกให้ตาย”

คราวนี้เราเริ่มงอนพระเจ้าแล้ว … “ทำไมต้องตีลูกถึงขนาดนี้ด้วย”

เห็นไหม มือที่สามเห็นชัดหรือยัง? พยายามแยกเราออกจากพ่อของเรานั่นเอง ด้วยวิธีการอย่างนี้ นี่แหละคือกลยุทธ

ตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่นโควิด-19 เกิดกับทุกคนบนโลกใบนี้ มันเกิดจากระบบของโลกใบนี้ ที่เสียหายจากมารมาหลอกให้มนุษย์เปิดประตูให้ความบาปเข้ามา คำสาปแช่งเข้ามา ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเรา ระบบของโลกนี้จึงเสียหาย วิปริตไปหมดเลยทุกอย่าง แล้วพอเกิดสิ่งที่ชั่วร้ายขึ้นมา ไวรัส อุทกภัย หรือภัยธรรมชาติรุนแรงมา แม้กระทั่งโควิด-19 มันก็บอกว่าพระเจ้ากำลังลงโทษมนุษย์ เพราะเราทำบาป ทุกคนก็สำรวจกันใหญ่ เราทำบาปตรงไหน? นึกออกไหม? ทำไมพระเจ้าโหดร้ายอย่างนี้ ถึงขนาดเทไปหมดเลย คนตายเป็นเบืออย่างนั้นหรือ? รวมทั้งประชากรของพระองค์ด้วย ก็ยังมีคนเชื่อแบบนี้อีก

ถามว่าเชื่อเพราะอะไร? ก็เพราะถูกหลอก ถูกขโมยเอาความจริง จากความคิดจิตใจของเขาไปนานแล้ว จนกระทั่งถึงแค่นี้ยังไม่เห็นอีกหรือว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? พระเจ้าประทานพระบุตร คือองค์พระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนบนโลกใบนี้ ที่วางใจในพระบุตร จะได้รับความรอด และจะไม่ได้รับความพินาศ แล้วพระองค์จะส่งอะไรที่พินาศมาให้เราหรือ? พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่แสนดี สำหรับพระองค์เป็นพระเจ้าที่ดี แต่มาร คือความชั่วร้าย เราลืมสิ่งเหล่านี้ไปหมดเลย เพราะตา หู จมูก ลิ้น กาย รับเอาข้อมูล เอาความคิดต่างๆ ของมาร ของระบบของโลกใบนี้มาจนกระทั่งเละตุ้มเป๊ะไปหมดเลย  คอยตัดสินใหญ่เลยว่าคิดตามภาษามนุษย์แล้วว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

เหมือนอย่างที่บอกแล้วว่าพอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเป็นคนชอบธรรม เราดีพร้อม โดยการกำเนิดเกิดมาเป็นในพระเยซูคริสต์ มารก็พยายามหลอกเราไปเรื่อยๆ

“เกิดมาเป็นบริสุทธิ์ สะอาด ทำดีแล้วใช่ไหม? แล้วทำไมยังคิดอย่างนี้อยู่ล่ะ คิดสกปรกอยู่เลย คิดโลภอยู่เลย คิดอิจฉาเขาอยู่เลย คิดโกรธ คิดเกลียดเขาอยู่เลย นี่หรือดีพร้อม มันดีพร้อมที่ไหนล่ะ”

เห็นไหม? พอมาดูในพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์บอกเราเป็นผลงานชิ้นเอก เป็นบทกวีของพระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์ ดีพร้อมแล้ว … มันดีพร้อมตรงไหน?  … ใครเป็นคนให้ข้อมูลเหล่านี้มา เราควรจะเชื่อใคร? อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะมาค้นหาศัตรูตัวจริงของเรากันต่อ  มาดูว่าศัตรูของเรา ก็คือเนื้อหนังและพลังอำนาจของความบาปมันอยู่ที่ไหน? มันเป็นอย่างไร? ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าตามที่มีบันทึกกันในพระคัมภีร์บอกไว้ว่าอย่างนี้ เราต้องรับรู้กันตรงนี้เลยว่ามนุษย์เราในพระคัมภีร์บอกว่ามีอยู่ 3 ส่วน คือวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย ต้องจำไว้เลย ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้า มนุษย์เรามี 3 ส่วนอย่างนี้

“วิญญาณ” หรือภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า “Spirit” มาจากคำว่า “Pneuma”  ในภาษากรีก แปลว่า “ลมหายใจ หรืออากาศ” วิญญาณมองไม่เห็น หรือลม

“ความคิดจิตใจ” ก็คือ “Soul” มาจากภาษากรีก “Suke” ซึ่งเป็นรากศัพท์ ของคำว่า “Psychology” หมายถึง “ความคิด  หรือความรู้สึกทางจิตใจ” ผมให้คำนี้ เวลาพูด อธิบายคำนี้สั้นๆ ว่าความคิดจิตใจ  มันรวมถึงความรู้สึก การตัดสินใจ ความคิด วิเคราะห์ตรงนี้แหละ

ส่วน “ร่างกาย” หรือเรียกว่า “Body”  เราเห็นๆ กันอยู่ง่ายๆ ก็คืออวัยวะทุกส่วนที่ประกอบเป็นร่างกายของมนุษย์ ทั้งสมองด้วยนะ เป็นร่างกายที่เราใช้ในการดำเนินชีวิต จนกว่าจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ก็คือออกจากร่าง ก็คือตัวตนจริงๆ เราออกจากร่าง ร่างกายเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบหนึ่ง เป็นเพียงแค่เสื้อ ซึ่งวันหนึ่งเราจะถอดทิ้ง ไปรับร่างกายใหม่จากพระเจ้า

มาถึงคำว่า “เนื้อหนัง” หรือ “Flesh” ที่เราได้เรียนรู้กันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  ท่านจะมองเห็นภาพชัดเลย ไม่เห็นมีอยู่ในแผนผังรูปเลย  ไม่ได้เกี่ยวกับร่างกายของเราเลย

พอใช้คำว่า “เนื้อหนัง” ภาษาไทย แปลคำว่า “Flesh” หลายคนเลยเข้าใจผิด คิดว่าคำว่าเนื้อหนัง หมายถึงร่างกาย พอบอกเนื้อหนังปุ๊บ นึกถึงร่างกาย แต่มันไม่ใช่

ร่างกาย ตะกี้นี้เราดูในแผนภูมิ เราเห็นแล้วว่าร่างกายอยู่ตรงไหน? แต่ Flesh ไม่เห็นมีเลย ไม่ได้อยู่ในร่างกายของเรา  ใช่ไหม?

มนุษย์เราประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย เพราะฉะนั้น เนื้อหนัง ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเราเลย  นี่คือความจริงในพระคัมภีร์ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระจากการล่อลวง จากศัตรูที่จะคอยทำลายเรา

ถ้าเราเปรียบว่าทั้ง 3 ส่วนในตัวเรา คือวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย ประกอบเข้าด้วยกัน สมมติว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ก็คือเป็น Hardware เนื้อหนังหรือ Flesh ก็เปรียบเสมือน Software คือไม่ได้เป็นตัวตน มันอยู่นอกเครื่อง เป็นตัวใส่เข้าไป เขาเรียกว่าโปรแกรม สามารถใส่โปรแกรมเข้าไปได้ แต่ตัว Hardware ต้องไปซื้อใหม่ Hardware พระเจ้าสร้างให้ใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์  เกิดใหม่  เป็น Hardware ส่วนความคิดเดิมๆ ความคิดเก่าๆ เป็นโปรแกรม เขาเรียก Software โปรแกรมตัวนี้ จะเป็นตัวที่บอกว่า Hardware ควรจะทำงานอย่างไร? ทำงานควบคู่ไปกับ Software

คราวนี้ พอเนื้อหนัง ทำงานลักษณะเดียวกันกับ Software เนื้อหนังก็ทำงานลักษณะเป็นโปรแกรมหนึ่ง  จะเป็นตัวคอยโน้มน้าวความคิดจิตใจของเรา มองดูแผนภูมิ มันคอยโน้มน้าวความคิดจิตใจของเรา ให้ทำตามโปรแกรมของมัน ก็คือทำตามเนื้อหนัง และตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ แม้เกิดใหม่แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เจ้าโปรแกรม หรือเจ้าเนื้อหนัง ตัว Flesh ตัวนี้ มันก็ยังทำการงานอยู่ในร่างกายเราอยู่ มันเป็นเหมือนปรสิต เหมือนกาฝากที่แอบซ่อนอยู่ในเรา ถ้าเราเผลอ มันก็จะโผล่ออกมา มีอิทธิพลทำให้เราทำตามโปรแกรมของมัน ก็คือทำตามเนื้อหนังนั่นเอง ซึ่งเป็นศัตรู ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ซึ่งเราเรียกกันว่า “ทำบาป” เราจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

และวิธีการที่เราจะเอาชนะเจ้าปรสิต เจ้า Flesh หรือโปรแกรม หรือเนื้อหนังตัวนี้ได้ ก็คือเมื่อมันเป็น Software เป็นโปรแกรมใช่ไหม? เหมือนเราใช้คอมพิวเตอร์ พอซื้อเครื่องใหม่มา เราก็ต้องทำการ Reset ใหม่ ลบโปรแกรมเก่าออก ตั้งโปรแกรมใหม่เข้าไป เพื่อให้มันเข้ากับเครื่องใหม่ที่รับมา ล้างเอาโปรแกรมเก่าออก แล้วใส่โปรแกรมใหม่เข้าไปแทนที่ ได้ Software หรือโปรแกรมใหม่ที่ดีๆ เข้ามา ทำงานอย่างดีไปกันกับเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ ก็คือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลโปรแกรมใหม่เสีย  เอาข้อมูลโปรแกรมเก่า ซึ่งเป็น Flesh ออกไปซะ

Software คือโปรแกรมเดิมๆ ที่เราดำเนินชีวิตก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า ตอนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า  พระคัมภีร์บอกเราเป็นศัตรูกับพระเจ้าอยู่ เราเคยชินกับโปรแกรมนั้นอยู่ ล้างมันออกไป ค่อยๆ Reset ไปเรื่อยๆ Renew ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดไปเรื่อยๆ เปลี่ยน Software ไปเรื่อยๆ ความคิดเดิมๆ หรือความประพฤติเดิมๆ นิสัยเดิมๆ ก็จะถูกลบล้างออกไป จากความคิดของเรา ถามว่าหมดไหม? ไม่หมดหรอก แต่ทำเป็นกิจวัตรประจำวันไปเรื่อยๆ พระวิญญาณก็จะคอยช่วยเรา

วิธีการ ก็คือการล้างโปรแกรมเนื้อหนังออก และใส่โปรแกรมใหม่เข้ามาแทนที่ โปรแกรมใหม่ ก็คือความจริงของถ้อยคำพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ที่ทำให้เราเป็นไท อย่างเช่นเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เรากำลังเรียนรู้อยู่ เรากำลังทำการใส่โปรแกรมใหม่เข้าไป รู้ว่าเจ้า Flesh หรือเนื้อหนังนี้ มันคือใคร? ไม่ใช่ตัวเรา นี่คือการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ แรกๆ ความคิดเก่าๆ  Flesh บอกว่าตัวเนื้อหนัง คือตัวแกนี่แหละ คือเจ้านั่นแหละ ที่ทำไม่ดี ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เราถูกขโมยเอาความจริงไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้เอาความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ใส่เข้ามาในความคิดจิตใจของเรา

วิธีล้างโปรแกรมเนื้อหนังนี้ออก ก็คือการเปลี่ยนแปลง และจดจ่อ จดจำให้ขึ้นใจถึงความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ในโลกวิญญาณ ยกตัวอย่าง เช่น เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้วเดี๋ยวนี้,  เราเกิดใหม่แล้วเดี๋ยวนี้ เราเป็นลูกพระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้  ขณะนี้นั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ต้องรอให้ไปสวรรค์ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว อย่างไรๆ เราก็ไปสวรรค์ จะทำผิดทำถูกมากขนาดไหน? ก็ไปสวรรค์อยู่แล้ว เราเกิดใหม่แล้วนะ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พ่อเราบอกไว้อย่างนั้น พ่อเราอยู่กับเรา อยู่ในตัวเรานี่แหละ  ย้ำยืนยันอยู่เรื่อยๆ เรียกว่าจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ

ความคิดของเราก็จะพุ่งไปที่ความจริงเบื้องบนเหล่านี้ มันก็เป็นการขจัดเอาอิทธิพลของความคิดเดิมๆ โปรแกรมเดิมๆ จากเนื้อหนังออกไป มันไม่หายไปหรอก มันจางลง เขาเรียกกันว่าเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่

นี่คือสรุปคำตอบแรกของหัวข้อการบรรยายในครั้งนี้ ที่ถามว่าคริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ทำไมยังทำบาปอยู่? นั่นคือข้อ 1 คือ Flesh คือเนื้อหนัง เพราะว่าในตัวเรายังมีโปรแกรมเดิม  ก็คือมีเนื้อหนังนี้อยู่ ซึ่งมันมีอิทธิพล เหมือนปรสิตที่แอบซ่อนอยู่ พระคัมภีร์จึงสอนให้เราหมั่นล้างโปรแกรมนี้บ่อยๆ ด้วยการจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง บางทีมันถูกล่อลวง หลอกลวงด้วยอิทธิพลของความบาป ด้วยมาร ด้วยวิธีการเอาถ้อยคำพระเจ้า เหมือนให้เราจดจ่อ แต่ไปจดจ่อถ้อยคำพระเจ้าที่ไม่ใช่เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นความจริง มันเป็นการโกหกอีกแล้ว โกหกผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าเลย บอกนี่คือถ้อยคำพระเจ้า  มันใช่ที่ไหน? มันไม่ใช่ พอมันไม่ใช่ เรายิ่งไปจดจ่อ ยิ่งไปกันใหญ่เลย อย่างนี้เป็นต้น

เรามาดูกันต่อว่านอกจากเรื่องเนื้อหนัง หรือ Flesh  หรือระบบโปรแกรมเดิมๆ โปรแกรมบาปแล้ว พระคัมภีร์มีคำตอบอะไรอีกว่าคริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว ทำไมยังทำบาปอยู่? ยังมีตัวที่สอง สำคัญกว่าตัวแรกอีก ตัวที่อยู่เบื้องหลังของ Flesh หรืออยู่เบื้องหลังของเนื้อหนังอีกทีหนึ่ง อยู่เบื้องหลังของโปรแกรมนี้อีกทีหนึ่ง เป็นตัวใหญ่ที่แอบอยู่ สำคัญกว่านี้อีก ก็คือเราจะมาดูด้วยกัน ในหนังสือปฐมกาล 4:7 จะเห็นภาพชัด …

ปฐมกาล 4:7  ”หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกที่ควร (เชื่อฟังพระเจ้า และทำในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย) เจ้าก็จะเป็นที่ยอมรับไม่ใช่หรือ?  แต่หากเจ้าไม่ทำสิ่งที่ถูกต้อง  (ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  เป็นศัตรูกับพระเจ้า)  บาปก็จะหมอบอยู่ที่ประตู เพื่อคอยเล่นงานเจ้า เป้าหมายของบาป คือการเอาชนะเจ้า   แต่เจ้าจะต้องเอาชนะมันให้ได้”

นี่คือพระเจ้ากำลังสอน แนะวิธีการให้กับคาอิน  … คาอิน-อาแบล คือบรรพบุรุษของเรา ลูกของอาดัม-เอวา รุ่นแรกเลย คาอินไม่ทำตามที่พระเจ้าสอนว่าวิธีการที่จะชนะบาป ก็คือต้องไถ่บาปตัวเอง โดยใช้เลือดสัตว์ ซึ่งอาแบลทำตาม  แต่คาอินไม่ทำ  พระเจ้าก็เลยเตือน

“ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ถูกที่ควร คือเชื่อฟังพระเจ้า ทำในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย” คือพระเจ้าให้ฆ่าสัตว์ แล้วก็เอาเลือดมาชำระบาปให้ตนเอง มาไถ่บาปให้ตนเอง เป็นครั้งคราวไป เขาไม่ทำ เขาไปเอาอย่างอื่น พูดง่ายๆ เขาไม่ทำ  เขาไปเอาพวกผลิตผลทางการเกษตร พระเจ้าบอกเอาเลือด เขาไม่เอา  เขาดื้อ

ถ้าเจ้าทำตามที่เราบอก เจ้าก็เป็นที่ยอมรับไม่ใช่หรือ?  ถ้าเจ้าทำ มันก็ดี แต่หากเจ้าไม่ทำสิ่งที่ถูกต้อง ก็คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า อย่างนี้เรียกว่าเป็นศัตรู คือไม่เชื่อฟัง พระเจ้าบอกให้ทำอย่างนี้ ไม่ทำ

บางทีศัตรู เรานึกว่าต้องดื้อมาก ไปด่าพระเจ้า ไม่ใช่ ศัตรูตรงนี้หมายถึงอะไรก็ตามที่แอนตี้พระเจ้า  คือไม่เห็นด้วย  ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ที่เขาเรียกว่าแอนไทไคร์ซ หรือแอนตี้ไคร์ซ คือแอนตี้ ไม่ชอบ เหมือนเราไม่ชอบคนๆ นี้ เราแอนตี้เขา ไม่ต้องถึงขนาดไปว่าเขา หรือไปโกงเขา ไปตีเขา ฟังแล้วไม่ชอบ เรากำลังแอนตี้เขา นี่หมายถึงอย่างนั้น แอนตี้พระเจ้า คือไม่เชื่อฟัง เป็นศัตรูพระเจ้า

ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่เชื่อฟังพระเจ้า บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู เพื่อคอยเล่นงานเจ้า บาปตัวนี้เป็นคำนามนะ เป้าหมายของบาป คือมันต้องการเอาชนะเจ้า  แต่เจ้าจะต้องเอาชนะมันให้ได้ เอาชนะใคร? เอาชนะมัน เป็นตัวตนเลยนะ

คำว่า “บาป” ในที่นี้จะเห็นว่าหมายถึงความบาปที่เป็นคำนาม ไม่ใช่บาป ที่เป็นกริยา หรือกระทำบาป ไม่ใช่ แต่มันมีอะไรบางอย่างที่เป็นตัวเป็นตนที่เรียกว่าความบาป

ในภาษาเดิมเลย ภาษาฮีบรูตรงนี้ แปลชัดเจนกว่านี้ ตรงที่ใช้สรรพนามตัวที่ 3 ว่า “เขา” … เขาจะหมอบอยู่ที่ประตู … “เขา” หมายถึงบุรุษที่ 3 หมายถึง He ถ้าแปลตรงตัวมาถึงภาษาไทยเดี๋ยวนี้ ตรงๆ แบบขวานผ่าซากเลย

“บาปเขาผู้ชายก็จะหมอบที่ประตูนั้น และเจ้าจะต้องเอาชนะเขาผู้ชายให้ได้” สรรพนามที่ 3 ซึ่งบ่งบอกถึงเพศชาย นี่หมายถึงภาษาเดิม เพื่อให้ท่านได้เห็นชัดเจนว่าบาปมันเป็นตัวเป็นตนจริงๆ

ถ้อยคำตรงนี้ ก็กำลังพูดถึงตัวบาป  หรือความบาป ที่มัน หรือเขากำลังจ้องเล่นงานเราอยู่ มันจ้องมาตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว หลายพันปีก่อนโน้น บาปมันมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาชนะเรา พาพวกเรา ให้เป็นพวกมัน คือให้เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ให้เราดื้อกับพระเจ้า ให้เราไม่ชอบพระเจ้า แอนตี้พระเจ้า  ถ้าเป็นคริสเตียนก็ให้เราแอนตี้ไคร์ซ คือเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์นั่นเอง จะมากหรือน้อยไม่รู้

ซึ่งคำว่า “ความบาป” หรือ “ตัวบาป” ที่เป็นคำนามนี้ ในภาษาอังกฤษ คือคำว่า “ฮามาเทีย” ซึ่งแปลความหมายได้ว่าเป็นระบบหรือกฎแห่งการครอบครองหรือพลังอำนาจ ในการบังคับ ในการส่งเสริมการเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นตัวเป็นตนจริงๆ เป็นพลังงานอะไรบางอย่างที่จับต้องมองเห็นได้ เป็นบุคคล บางครั้งเราพูดกันบ่อยๆ เราอาจจะถูกหลอกเอาความจริงไปนึกในใจ เป็นแค่นามธรรม เป็นแค่ความบาป แต่นี่เป็นตัวเป็นตนจริงๆ และในหนังสือโรม มีพูดถึงเจ้าตัวบาปนี้ว่าหมายถึงพลังอำนาจที่ควบคุมอยู่เหนือการกระทำของอวัยวะต่างๆ ผ่านทางร่างกายของมนุษย์

รวมความ ก็คือเจ้าตัวบาปนี้ มันมีพลังอำนาจในการที่จะเอาชนะ พยายามที่จะเอาชนะมนุษย์ และอยู่เหนือมนุษย์ พยายามที่จะคอยควบคุมอยู่เหนือมนุษย์ ผ่านทางร่างกายของมนุษย์ ซึ่งรวมถึงความคิดจิตใจด้วยนะ ควบคุมสมอง ให้ทำตามสิ่งต่างๆ ที่มันต้องการ ก็คือให้เป็นศัตรูกับพระเจ้า พูดง่ายๆ ก็คือมันพยายามล่อลวง หลอกลวง ชักจูง ให้เราเป็นทาสของมัน เพื่อต้องการให้เราเป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า และถ้าเรายังเป็นทาสมันอยู่ มันง่ายเลย แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นทาสมันแล้ว เป็น คริสเตียนแล้ว เราก็จะถูกมันล่อลวง  แล้วก็ถูกมันข่มขู่ เคยได้ยินไหม? มันทำอะไรเราไม่ได้ มันได้แต่ข่มขู่ อดีตทาส ตอนนี้ไม่ได้เป็นทาส แต่เผื่อว่าคนนี้เขาไม่รู้ ขู่ไว้ก่อน พระเยซูใช้หนี้ให้เราหมดไปแล้วล้านบาท เจ้าหนี้มาถึง …

“ยังไม่ได้จ่ายเลย งวดนี้ ทุกทีจ่ายเดือนละหมื่น เดือนนี้ไม่เห็นจ่ายเลย”

แรกๆ เราก็บอกว่า … “พระเยซูจ่ายไปหมดแล้ว”

“เหรอ!”

เดือนหน้ามันก็มาอีก … “เห้ย! เดือนนี้จ่ายหรือยัง? ทำไมไม่จ่าย”

คราวนี้มันมาเยอะๆ มันพาพวกมาเลย … “เห้ย! ไม่จ่าย เอาตายนะ”

“หยวนๆ น่า จ่ายไปเถอะ”

พอจ่ายๆ ไป ชักนาน ชักชิน เลยจ่ายเป็นประจำไปเลย จ่ายตามความอยากจ่าย เขาเรียกว่าข่มขู่ ตามที่มันต้องการ เพราะก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน เราพูดเน้นถึงการเป็นคริสเตียนก่อน

ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน เราเป็นทาสมันอยู่ โอกาสเกิดขึ้นอย่างนี้ มันไม่ยากเลย เพราะเราเคยเป็นทาสมันอยู่ เมื่อเป็นทาสมัน ก็ติดนิสัย เราเคยเป็นทาสมัน มันข่มขู่สักหน่อย เดี๋ยวเราก็เสร็จมันได้ใช่ไหม?

วิธีที่จะเอาชนะเจ้าตัวบาป ตัวนี้ อิทธิพลของความบาปตัวนี้  ในพระคัมภีร์บอกว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล ซึ่งพระเจ้าใช้กับคริสเตียนทุกคนแล้ว ก่อนที่เราจะเชื่อในพระเจ้า ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน  เราเป็นทาสมันอยู่ ไม่มีทางเอาชนะมันได้เลย พระเจ้าบอกว่าวิธีจะเอาชนะมันง่ายนิดเดียวเอง เราคิดไม่ถึง แต่จริงๆ แล้วตามปกติวิสัยของมนุษย์ ดำเนินบนโลกใบนี้ เราก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นจริงตามนั้น ก็คืออยากชนะมัน ง่ายนิดเดียว คือต้องตาย  และเกิดใหม่ ไม่อยากเป็นทาสใช่ไหม? ไม่ยากเลย ตายแล้วเกิดใหม่ ก็คือความตาย เอาชนะพลังอำนาจตัวบาปนี้ได้ ไม่ต้องเป็นทาสมัน   โรม  7:1 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 7:1  “พี่น้องทั้งหลาย  ท่านไม่รู้หรือว่าบทบัญญัตินั้น  มีอำนาจเหนือมนุษย์ ตราบเท่าที่  เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น”

 

“ท่านไม่รู้หรือว่าพลังอำนาจนี้ เป็นเจ้านายเรา ก็ต่อเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น” เมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้มีโอกาสตายพร้อมพระองค์ด้วย วิญญาณเราก็ได้รับการเป็นอิสระจากการเป็นทาสของตัวบาปนี้ ก็เพราะเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา จำได้ไหม? นำวิญญาณเก่าเราเข้าไปตรึงที่ไม้กางเขน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ไปตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เพื่อประกาศชัดเจนว่านี่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระ จากพลังตัวบาปนี้นั่นเอง

ฉะนั้น เมื่อก่อนเราเคยเป็นทาสของตัวบาปนี้ ต้องยอมให้มันครอบงำความคิดจิตใจ วิญญาณของเรา ไม่ใช่มารมันเข้ามานะ มารมันส่งอิทธิพลเข้ามา ตัวนี้ ผลักดันให้เราอยู่ใต้อำนาจมัน เป็นทาสมัน แต่บัดนี้ ตัวเก่าของเรา ก็คือตัวบาปนี้ ได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน เราจึงได้รับการปลดปล่อยแล้ว ไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไปแล้ว ตามถ้อยคำเมื่อสักครู่นี้  โรม 7:4-6 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 7:4-6  “4 ดังนั้น พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ท่านเองก็ตายจากบทบัญญัติแล้ว โดยทางพระกายของพระคริสต์  เพื่อท่านจะเป็นของอีกผู้หนึ่ง  คือเป็นของพระองค์ ผู้ทรงเป็นขึ้นจากตาย เพื่อเราจะเกิดผล ถวายแด่พระเจ้า 5 เพราะเมื่อก่อนเราถูกความบาปควบคุมอยู่ จึงถูกบทบัญญัติ กระตุ้นตัณหาชั่ว ให้ออกฤทธิ์ในกายของเรา เพื่อให้เราเกิดผล อันนำไปสู่ความตาย 6 แต่บัดนี้ โดยการตายต่อสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยผูกมัดเรา เราก็ได้รับการปลดปล่อยจากบทบัญญัติแล้ว”

 

“ท่านเอง ก็ตายจากบทบัญญัติแล้ว โดยทางพระกายของพระคริสต์” ก็คือเราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เราก็เลยตายด้วย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ท่านได้รับการปลดปล่อย จากการเป็นทาสบาปแล้ว ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของมัน ท่านจะได้เห็นภาพชัด แยกออกให้เห็นชัดเลยว่าศัตรูของมนุษย์คือใคร? และทำงานอย่างไร? มันไม่ใช่ตัวเรา

แล้วถ้าเราไม่ได้อยู่ในการควบคุมของมัน  ไม่ได้เป็นทาสของมัน ไม่ได้เป็นทาสของพลังความบาปอีกต่อไปแล้ว ถ้าอย่างนั้น ทำไมเรายังทำบาปอยู่ล่ะ ท่านก็ลองคิด ก็คือคำถามที่เราตั้งเป็นหัวข้อเรื่อง ทำไมเรายังมีความคิดแบบโลกอยู่ ทำไมเรายังคิดโกรธ คิดเกลียด คิดอิจฉาริษยา คิดสกปรก ทำไมเรายังคิดอย่างนั้นอยู่เล่า ในเมื่อเราไม่ได้เป็นทาสมันแล้ว เปาโลก็มีคำถามแบบเดียวกันนี่แหละว่าทำไม? โรม 7:15 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 7:15  “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ  ข้าพเจ้าไม่ทำ แต่ข้าพเจ้ากลับทำสิ่งที่ตนเองเกลียด”

 

เห็นไหม? เปาโลก็ถามเหมือนเราที่กำลังถามนี้ ทำไมคริสเตียนยังทำบาปอยู่ เปาโลบอก …

“ข้าพเจ้าทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ อยากทำในสิ่งที่ไม่ได้อยากทำ”

นี่คือคำถามที่ผมบอกว่าเป็นคำถามยอดฮิตของคริสเตียนทุกยุคทุกสมัย คือคำถามนี้แหละว่า …

“คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ทำไมยังทำบาปอยู่?”

คริสเตียนส่วนใหญ่จะถามตัวเองก่อนเลย พอเป็นคริสเตียนแล้ว รู้ว่าสะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว ได้ยินได้ฟัง คำบรรยาย คำเทศนา อ่านถ้อยคำพระเจ้า แต่นั่งคิด …

“เอ๊ะ! ทำไมเรายังทำอย่างนี้อยู่”

พอเอ๊ะไปนานๆ  ถูกหลอกมากขึ้น เรามันเลว เราไม่สมควรได้ไปสวรรค์ มันไปกันอย่างนั้นเลย มันถูกหลอก ถูกขโมยไปไกลเลย ถ้าเผื่อความจริงไม่ไปถึงเขา  อย่างที่บอกแล้ว ศัตรูเราคือใคร? เราก็จะสามารถตอบคำถามนี้ได้  รู้เขา รู้เรา คือรู้จักศัตรูว่าทำงานอย่างไร? รู้เรา คือรู้ว่าเราเป็นใคร? ลักษณะตัวตนของเราเป็นอย่างไร? ส่วนประกอบของเราเป็นอย่างไร?

ตอนนี้เรารู้แล้วว่าศัตรูของเรา ก็คือเนื้อหนัง โปรแกรมการดำเนินชีวิตที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า แบบเดิมๆ เป็นเหมือนปรสิต ซ่อนอยู่ในตัวเรา แล้วเจ้าเนื้อหนังนี้มันทำงานภายใต้พลังอำนาจหนึ่งที่เป็นตัวตน ที่เรียกว่าพลังของความบาป ตัวบาป ที่เรียกว่า Power of sin หรือตัวบาป ที่มันคอยหมอบอยู่ แล้วก็จ้องจะเล่นงานผู้ที่มันสามารถทำได้ และพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาเราไปเป็นพวกมัน ให้เราเป็นศัตรูกับพ่อของเรา ให้เราเป็นศัตรูกับพระเจ้านั่นเอง

เปาโลจึงสรุปไว้ในตอนท้ายของโรม บทที่ 7 ว่ารู้แล้วว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ตอบคำถามตัวเอง ตอบคำถามให้กับคริสเตียนทุกคนได้รู้ด้วยว่าทำไมสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ ข้าพเจ้าก็ยังทำอยู่ เป็นเพราะโรม 7:25 … เดี๋ยวอธิบายให้ฟัง

โรม 7:25 “ดังนั้นแล้ว ในด้านจิตใจ ข้าพเจ้าเองเป็นทาสของกฎแห่งพระเจ้า แต่ในด้านเนื้อหนัง  ข้าพเจ้าเป็นทาสของกฎแห่งบาป”

 

แปลตรงนี้ได้อย่างนี้ว่า … “ดังนั้นแล้ว ในด้านวิญญาณและจิตใจของข้าพเจ้าที่บังเกิดใหม่แล้วนั้น ที่เหมือนพระเจ้าแล้วนั้น ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระเจ้า อยู่ในการควบคุมดูแลของพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า เป็นลูกแห่งความเชื่อฟัง แต่ในขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าสามารถที่จะผ่านทางเนื้อหนังนี้ รับเอาอิทธิพลของเนื้อหนัง โปรแกรมเก่าๆ เข้ามาได้ ในขณะนั้น ก็เป็นเหมือนเป็นทาสของเนื้อหนังนั่นเอง นึกออกแล้วนะ พอไล่มาตามความจริงเหล่านี้ จะเห็นชัดขึ้น ดูถ้อยคำพระเจ้าในเอเสเคลีย 36:25-27 จะชัดขึ้น นี่คือคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกไว้ว่าเมื่อพระเยซูคริสต์มาบังเกิด เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดมาปรากฏ คือพระเยซูคริสต์มาปรากฏ พระเยซูคริสต์จะมาทำการไถ่มนุษย์ และปลดปล่อยมนุษย์เป็นอิสรภาพได้ และพระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์อย่างไร?  เมื่อพระองค์ทรงทำที่ไม้กางเขนเสร็จ นี่คือสิ่งที่บอกไว้ล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน …

เอเสเคียล 36:25-27  “25 เราจะประพรมน้ำ ชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด 26  เราจะชำระล้างเจ้า  จากมลทินโสโครกทั้งปวง  และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า 27 และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า  เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า  และให้เจ้ามีใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า  โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา  และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

 

นี่คือสิ่งที่พระเยซูกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ข้อที่ 25 คือพระเยซูหลั่งพระโลหิตของพระองค์ปะพรม ชำระเราครั้งเดียวเป็นพอ สะอาดหมดจด บริสุทธิ์เลย เรียบร้อย เสร็จแล้ว พอสะอาดหมดจดปุ๊บ วิญญาณของเรา พระเจ้าได้ให้เราบังเกิดใหม่ ทั้งวิญญาณและความคิดจิตใจ (กลับไปดูแผนภาพ) พระเจ้าได้ให้เราบังเกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซูคริสต์ เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ เราก็เป็นขึ้นมาด้วย เป็นขึ้นมาใหม่ที่วิญญาณของเรา  และความคิดจิตใจใหม่ให้กับเรา และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เป็นวิญญาณของเรา ตัวตนของเราแท้ๆ กับความคิดจิตใจใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ใส่เข้ามาอยู่ในการบังเกิดใหม่ของเรา เพื่อเอาใจหิน คือใจที่ดื้อดึง ดื้อด้าน ที่เคยเป็นทาสมาร เอาออกไปซะ ให้เจ้ามีใจเนื้อ ก็คือมีความคิดจิตใจที่เชื่อฟังต่อพระเจ้า และเราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า

ใส่วิญญาณ ก็คือเอาพระวิญญาณบริสุทธิ์ของเราใส่เข้าไปในเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา หมายถึงอย่างนั้น  ข้อความตรงนี้มี 2 วิญญาณ วิญญาณใหม่อันหนึ่ง ก็คือวิญญาณของเราเองได้บังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณนิรันดร์ เหมือนพระเยซู พระเยซูแบ่งวิญญาณให้กับเรา รวมทั้งความคิดจิตใจ

ส่วนอีกวิญญาณหนึ่ง พระเจ้าใส่ลงมา ก็คือวิญญาณของเรา (คือพระเจ้า) พระเจ้าใส่วิญญาณของพระองค์เข้ามา ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา เพราะฉะนั้น พระวิญญาณกับเรา จึงแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียว พระวิญญาณจึงเป็นพี่เลี้ยง ดูแลวิญญาณของเรา โดยนามนะ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่กับเราหมดเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์

“เราจะใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า” ก็คือวิญญาณที่ไม่ได้อยู่ใต้กฎเดิม คือกฎของความบาปและความตาย ไม่ได้เป็นทาสของบาปอีกต่อไป วิญญาณใหม่ของเรา ก็คือธรรมชาติใหม่ ที่สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์นั่นเอง ไม่ได้หมายถึงอยู่ไปนิรันดร์ ถึงไม่เชื่อพระเจ้า ก็อยู่นิรันดร์เหมือนกัน แต่เป็นพินาศนิรันดร์ แต่เราอยู่ในชีวิตนิรันดร์ คนละอย่างกัน

เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เราจะทำอะไร? ที่ไม่ตรงตามน้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือเรากำลังฝืนธรรมชาติจากภายในนั่นเอง เปาโลจึงบอกว่าเมื่อเรารู้ความจริงตรงนี้แล้ว เราควรทำตัวอย่างไร? นี่คือความจริงที่เปาโลบอก เข้าใจแล้ว อ๋อ!

ขณะที่เราปล่อยให้อิทธิพลของความบาป พลังอำนาจของความบาป ผ่านทางอิทธิพลของเนื้อหนัง โปรแกรมเดิมๆ หลอกล่อให้ร่างกายของเราเป็นศัตรู หรือเรียกว่าบาป ตอนนั้น ข้างในตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณและความคิดจิตใจเราที่เหมือนพระเยซู อึดอัดๆ ไม่อยากทำเลย มันต่อสู้กันอยู่ โรม 6:12-14 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 6:12-14  “12 เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตาม ความปรารถนาชั่วของกายนั้น  13 อย่ายกส่วนต่างๆ ในกายของท่าน ให้แก่บาป เป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย แต่จงถวายตัวของท่านเอง แด่พระเจ้า ในฐานะผู้ที่ทรงให้มีชีวิตเป็นขึ้นจากตาย และถวายส่วนต่างๆ ในกายของท่าน แด่พระองค์ ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม 14 เพราะบาปจะไม่เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ

 

ขอบคุณพระเจ้า เปาโลจึงบอกว่าเมื่อรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว เมื่อรู้กลยุทธแห่งการสงคราม และศัตรูตัวจริงของเรา และความจริงทั้งหมดเหล่านี้แล้ว เราควรจะทำตัวอย่างไร? และคิดอย่างไรในการสงครามนี้ เหตุฉะนั้น อย่ายอมให้ปรสิต ตัวบาปตัวนี้มันครอบครองอีกต่อไป เหมือนแต่ก่อนนี้ ครอบครองผ่านทางกายที่ต้องตายของท่าน ก็คือร่างกายนี้ อย่าให้มันมาบังคับเราอีกต่อไป ซึ่งทำให้เราต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของมัน ไม่ใช่ของกายนี้ ของมัน กายเราบริสุทธิ์สะอาด กายเราดีอยู่แล้ว แต่ถูกตัวนี้ มันแอบเข้ามาบงการ ล่อลวง มีอิทธิพล

อย่ายกส่วนต่างๆ ของร่างกายของท่านให้แก่บาป ให้แก่ปรสิตตัวนี้ ให้ไวรัสตัวนี้ เป็นเครื่องมือในการทำชั่วร้าย อย่าไปยอมมัน แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้า ในฐานะผู้ทรงให้มีชีวิตเป็นขึ้นจากความตาย และถวายส่วนต่างๆ ในร่างกายของท่านแด่พระองค์ ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม คือตรงกันข้ามกัน แต่ให้พระเจ้าที่ทำให้เราได้บังเกิดใหม่แล้ว ที่เป็นตัวตนจริงๆ ที่สถิตอยู่กับเรา เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่กับเรา ที่เป็นวิญญาณใหม่ของเรา ความคิดจิตใจใหม่ของเราที่เหมือนพระคริสต์ เอาร่างกายนี้ และอวัยวะทุกส่วนในร่างกายนี้ ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิดมอบให้ฝั่งพระวิญญาณ และความคิดจิตใจของเราที่เกิดใหม่ดีกว่า อย่าให้ปรสิตนี้มันแอบอยู่ เห็นชัดๆ ว่ามันแอบอยู่ ศัตรูตัวนี้มันแอบอยู่

ข้อ 14 บอกว่าเพราะบาป เพราะปรสิตตัวนี้ มันเคยเป็นเจ้านายท่าน ต่อไปนี้มันไม่ได้เป็นนายท่านอีกแล้ว เพราะว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้กฎบัญญัติ ซึ่งเป็นเครื่องมือของมันอีกต่อไป แต่ท่านอยู่ใต้พระคุณของพระเจ้า ท่านเกิดใหม่แล้ว โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องไปสนใจ เกิดใหม่แล้วจริงๆ นี่มันเป็นอย่างนั้น

พอเราเห็นภาพความเป็นจริงอย่างนี้ เราจะชัดเจนว่าตัวบาปเอย พลังของความบาปที่ตัวตนนี้เอย หรืออิทธิพลของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นโปรแกรมเก่าๆ ที่ทำให้เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ที่เรียกว่าทำบาปนั้น มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นปรสิต มันเป็นเหมือนไวรัส ถ้าเราไม่รู้อย่างนี้ เราก็จะตีกันกับตัวเอง เรานึกว่าตัวเราเองแย่เหลือเกิน มันก็หาไม่เจอ เราก็ยิ่งแย่ลงไปทุกวันๆ นี่มันชัดเจนเลย

เหมือนสมมติว่าบาปตัวนี้มันเป็นไวรัส เข้ามาในร่างกาย  แล้วเราไปหาหมอ แล้วหมอหาไวรัสไม่เจอ หมอไปรักษาแต่อาการมัน แต่ตัวไวรัสมันแอบอยู่ ปรสิตตัวนี้แอบอยู่ เกิดไวรัสตัวนี้มันทำให้มือข้างขวามันเน่า เพราะมีไวรัสบางอย่างเข้าไป แต่หมอหาไม่เจอ หมอบอกไม่ได้แล้ว ตัดมือทิ้ง มันจะเป็นอย่างนี้ ตัดมือขวาทิ้ง ก็ไปขึ้นเป็นมือซ้าย ก็ตัดมือซ้ายทิ้ง มาขึ้นที่ตา ตาบอด ควักตาทิ้ง มาขึ้นที่ขา ตัดขาทิ้ง เพราะตัวแอบอยู่ เราไม่เห็น เราไม่ได้รักษาต้นตอของมัน เราไปตัดหมด เหมือนพระเยซูบอกถ้าใครจะเข้าสวรรค์ได้ สงสัยต้องตัดหมด เลยกลายเป็นคนพิการหมด

ตาทำให้ทำบาปใช่ไหม? ทำให้ตาบอดซะ  ควักลูกตาออก มือทำให้ทำบาป ตัดมือทิ้ง พระเยซูกำลังพูดความจริงให้เรารู้ว่าถ้าเราสู้รบในสมรภูมิอย่างนี้ แล้วเราไม่รู้ความจริง เราถูกมันหลอกตลอด ถ้าเรารู้ความจริง  … ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไท 2 โครินธ์ 5:17 บอกว่า …

2 โครินธ์ 5:17  “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์  การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว  สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา”

 

เหตุฉะนั้น ทุกอย่างในชีวิตของเราถูกสร้างขึ้นใหม่เอี่ยม ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณ 3 อันนี้สะอาดหมดจดแล้ว ร่างกายเป็นพระวิหารของพระเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่ ร่างกายเราสะอาดหมดจดเลย แล้วร่างกายทำไมทำบาป ก็มันไม่ใช่ตัวเรา มันมีปรสิตที่แอบอยู่ เป็นไวรัสที่ทำให้เราเป็นอย่างนั้น  แต่ตัวร่างกายเองจริงๆ ไม่เป็น เราปวดหัว ไม่ใช่ร่างกายเราปวดหัว เราปวดหัว เพราะไวรัสไปทำอาการบางอย่างในหัวเรา จนกระทั่งเราปวดหัว มันไม่ใช่ตัวเรา แต่ตัวเราบริสุทธิ์สะอาด พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น ร่างกายเราถูกชำระสะอาดหมดจด เป็นโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์เลย เป็นสถานที่สถิตของพระเจ้า  ผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ถูกแยกส่วน เป็นทรัพย์สมบัติของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว วิญญาณเหมือนพระองค์ ความคิดจิตใจเหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วจะเอาอะไรอีก สะอาดหมดจดแล้ว สิ่งเหล่านี้ต้องฝังอยู่ สิ่งเหล่านี้ คือการบังเกิดใหม่ เป็นสิ่งใหม่ๆ ทั้งสิ้น เอเมน อย่าไปคิดว่าวิญญาณเกิดใหม่แล้ว ความคิดจิตใจเหมือนพระเยซูคริสต์ แต่ร่างกายมันสกปรก มันไม่ดี แต่เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าสิ่งสกปรกมาจากอะไร? รู้แล้วนะ

เพราะฉะนั้น 2 สิ่งที่มีอิทธิพลทำให้เราทำบาป …

(1) อิทธิพลของเนื้อหนัง คืออิทธิพลของระบบความคิดและการกระทำแบบเดิมๆ  แบบเก่า สมัยที่ยังเป็นทาสของความบาป ทำให้เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า

(2) พลังของความบาป ซึ่งเราเคยเป็นทาสของมันอยู่ มันครอบครองชีวิตของเราอยู่ ครอบงำชีวิตของเราอยู่ ครอบครองอยู่เหนือชีวิตและตัวตนจริงๆ ของเรา  แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นทาสของพระเยซู พระเยซูเข้าครอบครองชีวิตของเรา ครอบงำตัวตนแท้ๆ ของเราตลอดเวลาเลย

พลังของความบาปและอิทธิพลของเนื้อหนังกระทำการงาน ผ่านทางอวัยวะในร่างกายของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิดจิตใจเท่านั้น ผ่านทางระบบของโลกใบนี้ ผ่านทางผู้คน กิจการต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ ซึ่งมารมันยังครอบงำอยู่ คอยเย้ายวนชวนเชื่อ ชักจูง ข่มขู่ โน้มน้าวให้เรากระทำตามมัน  มันเปรียบเหมือนสิงห์ที่คำรามได้ แต่กัดเราไม่ได้ แต่ทำให้เราตกใจและกระทำสิ่งที่ไม่ดีได้ เพราะเราตกใจ

ดังนั้น จงจำไว้ว่าพลังของความบาปและอิทธิพลของเนื้อหนัง ที่ทำงานอยู่ในตัวเรานี้ มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นศัตรูของเรา เป็นปรสิต เป็นไวรัสอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ตัวเรา  แต่เป็นศัตรูกับพระเจ้า  และเป็นศัตรูกับเรา คอยจะนำเราให้ไปเป็นพวกมัน เพื่อจะเป็นศัตรูกับพระเจ้าไปด้วย  เพราะฉะนั้น  อย่าให้มารปั่นหัว อย่าให้มันหลอกให้เราสู้รบกับตัวเราเอง เรามันแย่ เราไม่ดี เนื้อหนังเราแย่มากเลย นี่มันกำลังสู้รบกับตัวเราเอง

อย่าให้มันหลอกเราสู้รบกับตัวเราเอง หรือสู้รบกันเองกับคนอื่น คนข้างๆ หรือสู้รบกับพระเจ้า หรือสู้รบกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา อย่าให้มันหลอกให้เราสู้รบกันเอง พระเยซูบอกว่าถ้าบ้านนั้นสู้รบกันเอง บ้านนั้นอยู่ไม่ได้หรอก พังแน่นอน มันเป็นไปไม่ได้

เพราะฉะนั้น สรุปตัวเก่าเรา ที่อยู่ในอาดัม อยู่ภายใต้เนื้อหนัง ก็คือระบบโปรแกรมของทาสของความบาป ความคิดแบบเดิมๆ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในอาดัม อยู่ภายใต้พลังของความบาป ที่ขับเคลื่อนในชีวิตของเราในอดีต แต่แม้ว่าตอนนั้น เรายังไม่เชื่อ มันก็ไม่ใช่ตัวเราอยู่ดี เพียงแต่เราเป็นทาสมันเท่านั้นเอง เราอยู่ในอาดัม เราอยู่ภายใต้การเป็นทาสของพลังของความบาปนี้ มันไม่ได้เข้ามาอยู่ในตัวเราหรอก มารนะ แต่มันมีพลังของความบาปและอิทธิพลของเนื้อหนัง กระทำการงานอยู่ในเรา ในอาดัม สมัยที่เรายังไม่รับเชื่อในพระเจ้า มันคอยทำเรา ให้โงหัวไม่ขึ้น พูดง่ายๆ แต่มันไม่ใช่ตัวเรา ตัวตนเก่าของเรา ที่อยู่ในอาดัม ที่เป็นทาสของอิทธิพลของความบาป พลังของความบาป และอิทธิพลของเนื้อหนัง มันตายไปแล้ว ในพระเยซูคริสต์ แต่เนื้อหนังและพลังของความบาป ยังอยู่ในตัวเรา แต่ไม่ใช่ตัวตนของเรา มันยังคงกระทำการงานอยู่ในร่างกายของเรา นี่คือสมรภูมิที่เราเห็นชัดๆ

แต่มันไม่ใช่ตัวตนของเรา มันเป็นเหมือนกับไวรัส พยาธิ ปรสิต หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตัวเรา ที่มันคอยแอบอยู่ในตัวเรา มันเป็นศัตรูของเรา ตัวเราบริสุทธิ์ สะอาด เป็นของพระเจ้า ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ถ้อยคำพระเจ้ามีอยู่มากมายหลายแห่ง ที่ย้ำยืนยันกับเราว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าและได้รับความรอดแล้ว วิญญาณเราก็ได้รับการชำระล้างบาป จนหมดสิ้น กลายเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว วิญญาณเรา ได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว (ถ้าผู้นั้น เชื่อพระเจ้าจากใจจริง และมีใจปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้าจริงๆ)

 

ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า … “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดฟังคำของเรา  และเชื่อพระองค์ ผู้ทรงส่งเรามา  ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และจะไม่ถูกลงโทษ”   (ยอห์น 5:24)

 

พระคัมภีร์บอกว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซู ก็คือผู้ที่อยู่ในพระเยซู ซึ่งจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์มานำพาชีวิต และผู้นั้นจะมีใจปรารถนา ที่จะดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ

 

คือสำหรับผู้ที่ได้มาเชื่อพระเยซูอย่างจริงใจแล้ว ถึงแม้กายภายนอก ทางเนื้อหนัง ซึ่งยังมีเชื้อบาปอยู่ ยังถูกล่อลวงให้ไปกระทำบาปได้ก็จริง  แต่วิญญาณข้างใน ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว จะมีความคิดที่ตรงข้ามกัน และเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะสามารถทำบาปได้อย่างสบายใจ เพราะทางวิญญาณถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว

 

“ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาปไว้ที่กางเขนแล้ว  ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด”  (กาลาเทีย 5:24-25)

 

หลายครั้งในชีวิตคริสเตียน แม้ว่าเราจะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว  วิญญาณสะอาดบริสุทธิ์แล้ว  แต่เพราะเนื้อหนังทางร่างกาย มันยังมีเชื้อบาปอยู่  มันจึงเกิดการสู้กัน  ระหว่างวิญญาณที่ปรารถนาจะทำความดี และดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า กับเนื้อหนังที่ยังถูกล่อลวงให้กระทำบาป
แม้แต่อัครทูตเปาโลเอง ก็ยังต้องผ่านสถานการณ์เช่นนี้  ตามที่มีบันทึกไว้ว่า … “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น เหตุฉะนั้น ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำ และข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ” (โรม 7:15-20)

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1302

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  มีนาคม  2021

 เรื่อง “คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ทำไมถึงยังทำบาปอยู่?”  ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้หัวข้อเรื่องชื่อ “คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ทำไมยังทำบาปอยู่?” น่าคิดนะ เราได้เรียนรู้จักถ้อยคำพระเจ้าแล้วว่าความชอบธรรมของเรา คือการเป็นคนดี  สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ได้อย่างสง่าผ่าเผย ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล คือพระเจ้า ผู้ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องไปยืนอยู่ต่อหน้า วันหนึ่งในอนาคต หลังจากตายจากโลกใบนี้แล้ว  และพระเจ้าผู้นี้มีพระนามว่า “พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์” เพราะฉะนั้น ใครที่จะยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ ต้องเป็นคนที่ดีพร้อม เราได้เรียนรู้แล้วว่าเราผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ดีพร้อมในสายตาของมนุษย์ แต่ดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า ซึ่งสำคัญกว่าสายตาของมนุษย์เยอะ เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล และทุกคนต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ ไม่ใช่ยืนอยู่ต่อหน้ามนุษย์

และความชอบธรรมนี้ ที่เราสามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เป็นคนดีพร้อมได้ เป็นของประทานฟรีๆ เป็นของขวัญจากพระเจ้า  โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อของเรา ในพระผู้ช่วยให้รอด ที่มีชื่อว่าพระเยซูคริสต์นั่นเอง  ซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะสามารถกลายเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้าได้

พระคัมภีร์ได้พูดไว้ในหนังสือ 2 โครินธ์ 5:21 “พระเจ้าทรงกระทำให้พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งไม่เคยเป็นคนบาป ไม่เคยทำบาปเลย แต่ต้องกลายมาเป็นคนบาป  เพื่อเห็นแก่เราทั้งหลายผู้ซึ่งเป็นคนบาปและทำบาปมากมาย เพื่อเราทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาปนั้น จะได้กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม”

 

พระเยซูคริสต์ผู้ไม่รู้จักบาป ผู้ไม่ได้เป็นคนบาป  แต่พระเจ้าทรงกระทำให้พระเยซูคริสต์ กลายเป็นคนบาป เพื่อว่าเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นคนบาป  ไม่เคยทำดีอะไรเลย ในพระคัมภีร์บอก แต่พระเจ้าได้ทรงทำให้เราทั้งหลายที่เป็นคนบาปนั้น กลับกลายเป็นคนดีพร้อม โดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเยซูผู้ซึ่งไม่ได้ทำบาปเลย  แต่ต้องกลายเป็นคนบาป แลกกัน  เราทั้งหลายผู้ไม่เคยทำดีเลยสักนิดหนึ่ง แต่กลายเป็นคนดีพร้อม  1 คนดีพร้อม แต่ต้องกลายมาเป็นคนบาป  อีกหลายคนมากมาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่มีใครดีพร้อมเลยสักคนหนึ่ง กลายเป็นคนดีพร้อมได้  โดยการกระทำของพระเจ้า  พระเมตตา เรียกกันว่าพระคุณ ประทานให้ฟรีๆ  ฉะนั้น เราเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม ดีพร้อม โดยการกระทำของพระเจ้า ให้เราบังเกิดใหม่

“เราเป็นคนดีพร้อม เป็นคนชอบธรรม เพราะเราได้กำเนิด เกิดมาเป็นผู้ดีพร้อม ซึ่งเรียกกันว่าลูกของพระเจ้า”

เรากำเนิดเกิดมาเป็น ตรงนี้เป็นหัวใจ เป็นพื้นฐานของความรอด ในพระเยซูคริสต์ที่ต้องจำไว้แม่นๆ ว่าเราได้รับสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ เราเป็นคนดีพร้อม  เพราะเรากำเนิด เกิดมาเป็นลูกพระเจ้า

พอพูดอย่างนี้ ก็รู้แล้วนะว่าไม่มีใครกำเนิดด้วยตัวเองได้ ต้องมีผู้ที่ให้กำเนิดเรา แล้วผู้ที่ให้กำเนิดเรานั้น ก็คือพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ โดยการประพฤติของตัวเราเอง  ที่ทำให้เราเกิดใหม่ได้ รู้กันอยู่ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

และพระเจ้าได้กระทำสิ่งเหล่านี้ สำเร็จแล้ว ตามพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งผลของการกระทำเหล่านี้  ที่พระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน พร้อมแล้วที่จะให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มาใช้สิทธิของเขา  ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้  คือรับของขวัญนี้ไป  โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต หรือเรียกว่า “ได้รับการบังเกิดใหม่” ทันที หลังจากการเปิดใจต้อนรับสิทธินี้ในพระเยซูคริสต์  เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูช่วยได้ ช่วยให้คนไม่ดี กลายเป็นคนดีได้ ช่วยให้คนบาป กลายเป็นคนดีพร้อม กลายเป็นผู้คนชอบธรรม สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้  สิ่งเหล่านี้ ถ้าเผื่ออยากได้ เปิดใจต้อนรับ พร้อมแล้วสำหรับท่าน พระเจ้าทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เป็นลูกของพระเจ้า

สำหรับผู้ที่เปิดใจต้อนรับสิทธิไปแล้ว หรือว่าเชื่อในพระเจ้าแล้ว ลองถามตัวท่านเองว่าท่านบังเกิดใหม่แล้วหรือยัง?  ทุกคนก็ต้องมั่นใจว่าเราบังเกิดใหม่แล้ว เพราะว่าเราเชื่อในพระเยซู ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว อันนี้ไม่ยาก

ที่บอกว่า “เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว” ถามตัวเองดูสิว่าท่านสะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เท่าไร? ตอนที่ท่านรับเชื่อในพระเจ้าแล้ว  ขณะนี้เลย ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ที่บอกท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ท่านสะอาด ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์เท่าไร?  …

“เธอว่าฉันศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์เท่าไร?”

เราลองหาคำตอบนิดหนึ่งนะ เมื่อลองถามตัวเองแล้ว  คราวนี้ลองมาถามพระเจ้าดีกว่า มาดูในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร?  ในขณะที่เรารับเชื่อแล้ว  เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว  เป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว  เราบริสุทธิ์ เป็นลูกพระเจ้าขนาดไหน?  เท่าเปาโลได้ไหม? หรือเท่าเปโตร? หรือบริสุทธิ์เท่าพาสเตอร์ที่เราชื่นชอบ? หรือบริสุทธิ์เท่าคนโน้นคนนี้ได้ไหม?  และตัวเราเองทำอะไรบ้าง? ที่เรียกว่าเราบริสุทธิ์เท่านั้นได้  เรามั่นใจขนาดไหน?  อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ ข้อเดียวเท่านั้นเอง  ท่านจะตกใจเลย เป็นไปได้หรือ? เป็นไปแล้วสิ จริงๆ มันมีหลายข้อ ในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ตรงนี้ ซึ่งเราอาจจะไม่ค่อยได้สังเกต แต่ข้อนี้มันชัดเจนมาก  1 ยอห์น 4:17 ครั้งที่แล้วเรายกมาครั้งหนึ่งแล้ว

1 ยอห์น 4:17  “แบบนี้สิ  ความรัก​ของ​พระเจ้า  ​ถึง​สำเร็จ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์  ​ใน​พวก​เรา  เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ ก็​เพราะ​ชีวิต​ที่​เรา​มี​ใน​โลก​นี้  เป็น​ชีวิต​ที่​เหมือน​กับชีวิต​ของ​พระคริสต์

 

“แบบนี้สิ” ขึ้นมาแบบนี้ … แบบนี้คือแบบไหน? ก็แบบที่บริบทก่อนหน้านี้ ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ในหนังสือ 1 ยอห์น ก่อนหน้านี้ กำลังพูดถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้เข้าไปอยู่ในความรักของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรักและเขาเองก็เป็นความรัก ได้บังเกิดใหม่เป็นความรัก ความรักของเขาสมบูรณ์ เพราะเขาเข้าไปอาศัยอยู่ในความรักของพระเจ้า คือวิญญาณเขากับพระเจ้าเข้าสวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่เราเรียกกันว่าบัพติศมา วิญญาณของมนุษย์เข้าไปเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า  เป็นหนึ่งเดียวกันเลย สะอาด บริสุทธิ์พร้อมกับพระเจ้าเลย

ในนี้จึงบอกว่าแบบนี้สิ  ก็คือแบบการเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  แบบนี้สิ ความรักของพระเจ้าถึงสำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ เป้าหมายของพระเจ้า ในพวกเรา เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา

จำได้ไหมตะกี้นี้บอก “ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล คือพระเจ้าผู้บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา  ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม  ก็เพราะชีวิตที่เรามีอยู่ในโลกนี้  เป็นชีวิตที่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์”

เพราะฉะนั้น เท่ากับเราบริสุทธิ์เท่ากันกับพระเยซู กล้าพูดหรือยังคราวนี้  เราบริสุทธิ์เท่ากับพระคริสต์  เราไม่ได้บริสุทธิ์เท่ากับศิษยาภิบาลเท่านั้น รู้สึกว่าเขารู้เรื่องพระเจ้าเยอะ มีความเชื่อเยอะ เราไม่ได้บริสุทธิ์เท่ากันกับอาจารย์เปาโล หรือเปโตร อัครทูตเท่านั้น แต่ในพระคัมภีร์บอก ว่าเราบริสุทธิ์เท่ากันกับพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจในการยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ในวันสุดท้าย  วันที่เราจากโลกนี้ไป เราอยู่ในสวรรค์ได้ เพราะเรายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าเราบริสุทธิ์เหมือนพระคริสต์ เรามั่นใจพอๆ กันกับที่พระเยซูคริสต์มั่นใจ ท่านคิดว่าพระเยซูคริสต์มั่นใจไหมว่าพระองค์สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ เรามั่นใจเท่าพระเยซูคริสต์เลย

และข้อสำคัญ ก็คือเหมือนพระองค์ในโลกนี้ ก็แปลว่าเดี๋ยวนี้ ที่นี่ บนโลกนี้เลย เอเมน บางทีเราไม่ค่อยได้สังเกต พอเราสังเกต เราไปวิเคราะห์ดู ตกใจเลย ในโลกนี้ หลายคนก็รอว่าเราจะบริสุทธิ์เมื่อวันหนึ่งที่เราตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว  ออกจากร่างกายนี้แล้ว แต่พระคัมภีร์บอกเราว่าเราบริสุทธิ์เท่าพระเยซูคริสต์ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย เพราะเรามั่นใจว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ เราก็บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์แล้ว  เราจึงมั่นใจว่าเราก็บริสุทธิ์อย่างนี้ เมื่อวันหนึ่งที่เราออกจากร่างนั่นเอง เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้า  ก็คือเป็นแสงสว่างดั่งที่พระเยซูคริสต์บอกว่าเราเป็นแสงสว่าง  เป็นความรักที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ เหมือนพระเยซู เหมือนพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นตรงนี้  และจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป

เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจในการพิพากษา 100% เลย มั่นใจเท่าๆ กับพระเยซูมั่นใจนั่นแหละ จริงๆ คริสเตียน ความเชื่อน่าจะเป็นอย่างนี้ว่าเราหวังไว้ว่าจะไปสวรรค์ไหม หลังความตาย? เราไม่หวังหรอก  เพราะความหวังของเรา คือเราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ มันน่าจะเป็นอย่างนั้น

ความหวังของเรา ก็คือความหวังที่เป็นเดี๋ยวนี้ Now  ความหวังของเรา คือพระวิญญาณยืนยันกับเราว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้  และเราจะอยู่ในสวรรค์นี้ตลอดไป  พระเจ้าไม่ให้ใครมาเอาเราออกจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ได้ ไม่ว่าใครก็ตาม ใหญ่ขนาดไหนก็ตาม มีฤทธิ์อำนาจขนาดไหนก็ตาม ไม่มีใครสามารถเอาเราออกไปจากพระหัถต์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าได้ ในพระเยซูคริสต์ เอเมน นี่คือความมั่นใจ

บริสุทธิ์ สะอาด เพราะว่าก่อนที่เราจะรับเชื่อ ตัวเก่าของเรา วิญญาณเก่า จิตใจเก่าของเราเป็นมนุษย์บาป เป็นคนบาป ได้ถูกตรึงตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ตัวเก่ามันตายไปแล้ว และเดี๋ยวนี้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ครบถ้วน บริบูรณ์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย  เพราะได้เกิดใหม่แล้ว ตัวเก่ามันจบไปแล้ว  มันไม่มีแล้ว

เพราะฉะนั้น เมื่อตัวเก่า ที่เรียกว่าตัวบาป ที่เราเคยมีชีวิตอยู่นั้น มันจบไปแล้ว ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  ตอนนี้เราเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ จิตใจใหม่แล้ว  ก็เกิดคำถามตามหัวข้อเรื่องในวันนี้ว่า “แล้วทำไมเรายังคงทำบาปอยู่” คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ทำไมจึงยังทำบาปอยู่? อยากรู้ใช่ไหมว่าความจริง คืออะไร?

พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นคนใหม่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยม 2 โครินธ์ 5:17 ใช่ไหม?  “จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งใหม่เอี่ยม เราเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่ ตัวเก่าของเรา ที่เป็นบาปตายไปแล้ว  ตัวตนใหม่ของเรา เป็นผู้ชอบธรรม ที่สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า

ช่วยกันตีความพระคัมภีร์แบบผิดๆ ถูกๆ ใช้ความคิด สติปัญญา ความเข้าใจแบบมนุษย์บ้างว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น มันน่าจะเป็นอย่างนี้  แล้วก็เพิ่มลงไปจากพระคัมภีร์อะไรต่างๆ เหล่านั้น

คราวนี้เรามาลองดูว่าพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้อย่างไร?  มันตรงกับความคิดของมนุษย์ไหมที่คิดว่าทำบาป เพราะอย่างนั้น อย่างนี้ ลองดูสิว่าพระคัมภีร์บอกไว้ว่าทำบาปเพราะอะไร?  เพราะอย่างที่บอก ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงมีอยู่ที่เดียว คือในถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นความจริง ให้พระวิญญาณนำพาเราไป

เราก็ได้เรียนรู้กันมาตลอดว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ได้รับตัวตนใหม่ อ่านให้ดีๆ ช้าๆ ตัวตนใหม่ คือวิญญาณใหม่กับจิตใจใหม่ วิญญาณใหม่ หรือใจใหม่ ไม่ใช่ร่างกายใหม่ ร่างกายยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ ค่อยๆ ไปนะ

ตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่จะอยู่ตลอดไป ก็คือวิญญาณกับจิตใจตัวนี้  หรือจะบอกว่าความคิดจิตใจก็ได้  หรือจะบอกใจตัวเดียวก็ได้ พระคัมภีร์ใช้ทั้ง 2 คำนี้ วิญญาณรู้อยู่แล้ว ก็คือ Spirit จิตใจ ก็คือ Soul หรือ Mind ก็คือความคิดจิตใจ ติดอยู่ด้วยกันตลอดไป

เพราะฉะนั้น เวลาพูดว่า “เรามี” หรือ “ได้บังเกิดใหม่” เป็นตัวตนใหม่ ก็หมายถึงเราได้มี หรือได้เป็นวิญญาณใหม่ + จิตใจใหม่  ไม่ใช่ร่างกายใหม่ อันนี้ต้องจำไว้แม่นๆ อันนี้เป็นไปตามพระคัมภีร์เป๊ะ โคโลสี 3:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โคโลสี 3:9-10 “9 เมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่าๆ  พร้อมกับความประพฤติเดิมๆ แล้ว 10 และสวมตัวตนใหม่  ซึ่งกำลังทรงสร้างขึ้นใหม่ ตามพระฉายขององค์พระผู้สร้าง  ขณะที่ท่านเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น”

 

“เมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่า” ตัวตนเก่า ก็คือวิญญาณและจิตใจ ที่เป็นบาป ตายอยู่ เป็นศัตรูกับพระเจ้า  พร้อมกับความประพฤติเดิมๆ  เห็นไหม? คนละอันกันนะ  ตัวตน คือตัวตนเก่า  ความประพฤติก็แยกกันมา เป็นความประพฤติ ตัวตนกับความประพฤติ ไม่ใช่อันเดียวกัน  และสวมตัวตนใหม่ ก็คือวิญญาณใหม่ + จิตใจใหม่  หรือความคิดจิตใจใหม่  ซึ่งกำลังทรงสร้างขึ้นใหม่  ตามพระฉายของพระองค์ พระผู้สร้าง

“ซึ่งกำลังทรงสร้างขึ้นใหม่” ท่านก็บอกอ้าว! ตะกี้บอกสำเร็จแล้วไง  วิญญาณนะ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นเหมือนพระเจ้า  ความคิดจิตใจ ก็เป็นเหมือนพระคริสต์ แต่ต้องมีการสร้างความคิดจิตใจให้เพียวๆ  เพราะความคิดจิตใจยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  มันสามารถรับสื่ออะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ได้ เราค่อยเรียนรู้กันต่อไป  ถูกสร้างความคิดจิตใจเพียวๆ เลย  รับสื่อจากพระเจ้าทางเดียวเท่านั้น  จากทางวิญญาณเท่านั้น  ก็จะได้เหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้ทำตามพระฉายของพระองค์

ขณะที่ท่านเรียนรู้จากพระองค์มากขึ้น เห็นไหม? เรียนรู้จากพระองค์ จากถ้อยคำพระเจ้าที่เรากำลังเรียนรู้  ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงจะทำให้จิตใจที่ใหม่ของเรา  ไม่ถูกของเก่า หรือความสกปรกของโลกใบนี้ เข้ามาทำให้เลอะเทอะมัวๆ ต่อไปเอเฟซัส 4:22-24 …

เอเฟซัส 4:22-24  “22 เกี่ยวกับวิถีชีวิตเดิมนั้น  ท่านได้รับการสอน  ให้ทิ้งตัวตนเก่าของท่าน  ซึ่งกำลังถูกทำให้เสื่อมโทรมไป โดยตัณหาอันล่อลวงของมัน 23 เพื่อรับการสร้าง ท่าทีความคิดจิตใจขึ้นใหม่ 24 และเพื่อสวมตัวตนใหม่ ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้น ให้เป็นเหมือนพระองค์ ในความชอบธรรม และความบริสุทธิ์ที่แท้จริง”

 

ชัดเจนเลย โดยตัณหาอันล่อลวงของมัน  ไม่ใช่ของเรา เป็นของมัน มีศัตรูอยู่ มีมือที่สามอยู่

ข้อ 24 บอกว่า “และสวมตัวตนใหม่ ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้น ให้เป็นเหมือนพระองค์ ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง”

“ตัวตนใหม่” ก็คือวิญญาณใหม่+ความคิดจิตใจใหม่ ที่เหมือนพระองค์ สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ คิดเหมือนพระองค์

จิตใจใหม่ ในพระคัมภีร์เขาใช้คำนี้ด้วยว่า “เป็นจิตใจที่เหมือนพระคริสต์” เขาเรียกว่า “The mind of Christ” ก็คือความคิดจิตใจที่เป็นของพระคริสต์  เป็นความคิดจิตใจของเราอันใหม่

ด้วยถ้อยคำตรงนี้ เลยทำให้คนมาตีความ  และสอนกันต่อๆ มาว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว  เราจะมีอยู่ 2 ตัวตน 2 ฝั่ง …

ฝั่งหนึ่งคือตัวตนเดิม  ซึ่งมีธรรมชาติ วิสัยบาปที่รับมาจากบรรพบุรุษ ที่เกิดมาจากอาดัม และติดตัวมาตั้งแต่เกิด คือเป็นคนบาปนั่นเอง

ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง คือตัวตนใหม่ ซึ่งเป็นธรรมชาติใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ ที่เหมือนพระเจ้า

พอคนตีความ จากโคโลสีและเอเฟซัส เมื่อสักครู่นี้ ก็คิดว่าให้เราทิ้งตัวตนเก่า  และมาดำเนินชีวิตตัวตนใหม่  ทั้งสองตัวนี้ มันอยู่ในตัวเรา  ที่เดียวกัน เขาจะคิดอย่างนี้

แต่ก่อนนี้ ผมก็เคยได้รับการสอนมาอย่างนี้ แล้วก็เข้าใจแบบนี้ว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า เรามีตัวตนใหม่ ขณะที่ตัวตนเก่าก็ยังอยู่ อยู่ในตัวคนเดียวนี่แหละ มี 2 ตัวตน เดินไปที่ไหน มี 2 ตัวตนอย่างนั้น แต่อ่านพระคัมภีร์จริงๆ  ศึกษาตามพระคัมภีร์จริง มันไม่ใช่ ถ้าเผื่อเราไปตีความหมายผิดปุ๊บ พระคัมภีร์จะตีกันยุ่งเลย มันจะไม่สามารถสอดคล้อง ได้ทุกข้อ และตามบริบทของแต่ละข้อด้วย

คราวนี้เรามาพูดถึงตัวตนใหม่กับตัวตนเก่า ก็มีความเข้าใจกันว่าตัวตนเก่าและตัวตนใหม่ มันก็จะแข่งขันอยู่ในตัวเรา  สู้กันอยู่ในตัวเราตลอดเวลา  นี่คือความรู้แบบเก่าๆ

บางคนก็จินตนาการออกมาเป็นตัวขาวกับตัวดำ เรามีตัวขาวกับตัวดำอยู่ในตัวของเรา พอทำไม่ดี ตัวดำเป็นคนทำ พอทำดี ตัวนี้ตัวขาว  พอโกรธขึ้นมา ตัวดำเป็นคนทำ อันนี้ตัวขาว สู้กันตลอดเวลา ผลัดกันไปผลัดกันมา แพ้บ้าง ชนะบ้าง แล้วก็มีคำสอนว่าต้องพยายามกำจัดตัวดำออกไปให้ได้  ต้องพยายามจับมันให้อยู่ และบังคับมัน ให้เลี้ยงดู ประคบประหงมตัวขาวให้มันเจริญเติบโต ที่พูดถึงนี้ คืออยู่ในตัวเราหมดนะ  ท่านลองคิดดูว่ามันถูกไหม?  อะไรทำนองอย่างนั้น

นี่คือความเชื่อของคริสเตียนแล้วนะ ตะกี้นี้ ที่พูดนี้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อหรือคริสเตียน ก็เลยอยู่ในความคิดแบบนี้มายาวนานมาก ตัวดำตัวขาว ตัวขาวตัวดำ ตัวบาปก็อยู่ในตัวเรา  ตัวบริสุทธิ์ก็อยู่ในตัวเรา แล้วจะเอาอย่างไร? พระเจ้ากับมารมาอยู่ที่เดียวกัน พระเยซูบอกว่าเรือนนั้น ก็อยู่ไม่ได้  พระเยซูขับผีออก พวกฟาริสีบอกมารขับ พระเยซูบอกว่าถ้าเรือนนั้นทะเลาะกันเอง  ข้างในนั้นมันอยู่ไม่ได้หรอก มันต้องเป็นอันเดียวกัน

เพราะฉะนั้น พอเริ่มเชื่ออย่างนี้นานๆ เข้า  ใครที่รู้สึกว่าตัวดำมันชักทำเยอะ สู้กับมันไม่ไหว

“ฉันไม่อยากทำตามตัวดำ สู้กับมันไม่ไหว”

ก็ฝังใจลึกลงไปเรื่อยๆ  จนในที่สุด พ่ายแพ้ ก็คิดว่า …

“ตัวดำไม่เคยจะหมดไปจากชีวิตฉันสักทีหนึ่ง ไม่เคยขาวสะอาดบริสุทธิ์สักทีหนึ่ง มีตัวดำอยู่ตลอดเลย เพราะฉะนั้น ฉันก็เป็นเทาๆ”

แทนที่ตะกี้นี้ เราเริ่มต้นบอกว่าบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเยซู ตอนนี้ชักไปนานๆ ผ่านไปปี สองปี เป็นคริสเตียนแบบชักจะไม่ค่อยบริสุทธิ์แล้ว  จากบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ขาวเริ่มกลายเป็นสีเทา เพราะมีสีดำเข้ามาผสม

“ฉันบังเกิดใหม่มาเป็นสีเทาๆ”

ก็เลยเกิดความไม่มั่นใจ ในความรอดในพระเยซูคริสต์ ก็คือไม่มั่นใจว่าวันหนึ่งที่จากโลกนี้ไป เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษาของมหาจักรวาล คือพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ในสวรรค์นั้น  …

“ฉันจะเป็นคนดีพร้อมหรือเปล่า? มันยังเทาๆ อยู่เลย”

ใช่หรือไม่? ถ้าได้รับการเรียนรู้อย่างถูกต้องวันแรก บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเยซู อย่างที่ตะกี้นี้เราเรียนรู้มาตั้งแต่เริ่มต้น 1 ยอห์น 4:17 ชัดเจนเลย มั่นใจในการยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า …

“ฉันบริสุทธิ์ สะอาด ฉันบังเกิดใหม่แล้ว”

แต่ถ้ามีการสอนผิด ข้อมูลผิดๆ เข้ามาเรื่อยๆ ความคิดจิตใจก็เริ่มเปลี่ยน จากบริสุทธิ์นั้น ก็เริ่มเทาๆ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ที่ได้รับจากพระเจ้าตอนบังเกิดใหม่ ก็เริ่มความคิดจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์เข้ามาแล้ว เพราะข้อมูลมันผิด ข้อมูลมันถูกขโมย ศัตรูมาขโมยอะไรบางอย่างออกไป นี่เราจะเห็นชัดเจน

เรามาดูกันว่าความจริงในถ้อยคำพระเจ้าที่ทำให้เราเป็นไทในเรื่องนี้ เป็นอิสระจากการหลอกตรงนี้ ให้เรามีความมั่นใจในความบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ของเราตลอดไป อยู่ตรงไหน? เรามาเรียนรู้ด้วยกัน

คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ ได้รับตัวตนใหม่แล้ว ก็คือวิญญาณใหม่ + ความคิดจิตใจใหม่ แต่ยังคงทำบาปอยู่ เหตุผลอย่างแรกเลย ก็คือมาจากสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่า “เนื้อหนัง”

ที่ผ่านมา การแปลพระคัมภีร์ในเรื่องเกี่ยวกับการทำบาปของคริสเตียน เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า “วิสัยบาป”  ซึ่งมีปรากฏอยู่เยอะเลยในพระคัมภีร์ใหม่ ตัวอย่าง คำว่า “วิสัยบาป” เรามาเรียนรู้กัน ตัวชัดเจน ที่ทำให้มันวุ่นวายไปหมด ทำให้เกิดการถูกหลอก ถูกขโมยเอาความจริงไป ในโรม 8:5 บันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 8:5 “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติของพระวิญญาณ  ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”

 

ท่านรู้ไหมว่าภาษาเดิมตรงนี้ จะเน้นให้ฟังมันคืออะไร?

“ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติวิสัยบาป” ภาษาเดิมเขาบอกว่า “ผู้ที่มีชีวิตอยู่” พอเราบอกว่า “ดำเนินชีวิต” มันเหมือนกับเรากำลังกระทำอะไรบางอย่าง ถูกไหม? แต่ถ้าเราบอกว่า “ผู้ที่มีชีวิตอยู่” เป็นสถานะว่าเขาอยู่ที่นั่น

“ผู้ที่อยู่ในธรรมชาติวิสัยบาป” ตรงนี้ภาษาเดิมจริงๆ  “ผู้ที่อยู่ในเนื้อหนัง ก็จดจ่อ (ปักใจ) อยู่ในสิ่งที่เป็นเนื้อหนัง”

ตรง “วิสัยบาป” มันแปลว่า “เนื้อหนัง”

“แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติของพระวิญญาณ ก็คือผู้ที่อาศัยอยู่ในพระวิญญาณของพระเจ้า ก็จะจดจ่อในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”

ก็คืออยู่ตรงข้ามกับเนื้อหนัง พอมองออกไหม? ไม่ออก ค่อยๆ ตามมานะ ช้าๆ กลับไปฟังที่บ้านทบทวนอีกหลายๆ เที่ยวก็ได้ประมาณสัก 10, 20 เที่ยว

“ผู้ที่อาศัยอยู่ในเนื้อหนัง”พูดง่ายๆ ตามพระคัมภีร์ ก็คือ “ผู้ที่อาศัยอยู่ในอาดัม” ก็ปักใจในเรื่องของเนื้อหนังต้องการ ใครต้องการ? เนื้อหนังต้องการ เอาแค่นี้ก่อน แล้วเดี๋ยวท่านจะรู้เนื้อหนังแปลว่าอะไร?  คนที่อยู่ในพระวิญญาณ ก็คืออยู่ในพระคริสต์ เขาก็จดจ่อ มีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ตามพระประสงค์ของพระวิญญาณ

พอใช้คำว่าวิสัยบาป  ก็กลายเป็นความเข้าใจแบบเดิมๆ ที่ผิด  ที่บอกว่ามี 2 ตัวตนอยู่ในเรา วิสัย คือธรรมชาติ เป็น 2 ธรรมชาติ อันหนึ่งคือธรรมชาติเดิม  คือตัวดำ ที่เป็นวิสัยบาป  อีกอันหนึ่ง คือธรรมชาติใหม่ คือตัวขาว ที่มีวิสัยที่เป็นเหมือนพระเจ้า ค่อยๆ ตามไปนะ

ถ้าแปลผิด มันจะอย่างนี้ เวลาที่ไปทำบาป ก็จะบอกว่าเป็นเพราะทำตามธรรมชาติเดิม  ตอนไหนที่ทำดี ก็จะบอกว่าตอนนั้นทำตามธรรมชาติใหม่  เพราะฉะนั้น เราเลยมี 2 ตัวตน  ไม่รู้จะเอาธรรมชาติไหนดี

อ่านให้ดีๆ นะ ธรรมชาติ ก็แปลว่าเกิดมาเป็น

เพราะฉะนั้น ถ้าแปลตรงๆ ตามข้อความอย่างนี้ ตามถ้อยคำอย่างนี้ จะเห็นชัดเจนว่าพอบอกว่า “ธรรมชาติ” ปุ๊บ มันควรจะ หรือมันต้องมีแค่เพียงธรรมชาติเดียว คนเราจะมี 2 ธรรมชาติอยู่ในตัว ธรรมชาติ คือเกิดมาเป็น เกิดมาเป็นผู้หญิงผู้ชาย อยู่คนๆ เดียวกัน เป็นไปไม่ได้ มันคงผิดเพี้ยนไปมาก  ถึงไม่เข้าใจตรงนี้

มันชัดเจนว่ามนุษย์เรา ไม่ว่าจะเกิดใหม่หรือไม่เกิดใหม่ มันควรจะมีธรรมชาติเดียว  คือเกิดมาเป็นเหมือนอาดัมหรือเกิดมาเป็นเหมือนพระคริสต์  เกิดมาเป็นแสงสว่างหรือเกิดมาเป็นความมืด  มันไม่ควรจะเกิดมาเป็นเทาๆ คงไม่มีใครเกิดมาเป็นพระอิด (คริสต์กับอาดัมมารวมกัน) คืออยู่ในอาดัมด้วย อยู่ในพระคริสต์ด้วย กลายเป็นในอิด ไม่มี มีว่าในอาดัมหรือในพระคริสต์เท่านั้นเอง ชอบธรรมหรือเป็นคนบาปเท่านั้น

เหมือนที่ผมยกตัวอย่างบ่อยๆ เรื่องทาร์ซาน  … ทาร์ซานคือมนุษย์ ต่อให้ไปอยู่กับลิงนานแค่ไหน? พยายามพูดภาษาลิง ทำท่าทางเหมือนลิง กินอาหารเหมือนลิงได้ แต่ธรรมชาติของทาร์ซาน ตัวตนแท้ๆ ของทาร์ซานเป็นมนุษย์วันยังค่ำ อย่างไรก็เป็นมนุษย์ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้  เพราะนี่คือธรรมชาติ เขาเกิดมาเป็นมนุษย์ ต่อให้เขาอยู่กับลิงมาเป็น 10 ปี ประพฤติปฏิบัติตัวเหมือนลิง เขาก็ยังเป็นมนุษย์  มีธรรมชาติเดียว คือธรรมชาติมนุษย์  แต่ประพฤติเหมือนลิง อย่างนี้ถึงจะถูก

ฉันใดก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่า “เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า และได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว บริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลง ให้เราเกิดใหม่ มีธรรมชาติตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็คือธรรมชาติของเรา จากธรรมชาติวิสัยบาป หรือภาษาเดิม ที่แปลภาษาอังกฤษ เรียกว่า Sinful nature มาเป็นธรรมชาติแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า คือเป็นเหมือนพระเยซู เป็นเหมือนพระเจ้า และเมื่อพระเจ้าได้เปลี่ยนธรรมชาติของเรา จากการบังเกิดใหม่แล้ว ก็ไม่มีอะไรอีกแล้วที่สามารถเปลี่ยนกลับไปเหมือนเดิมได้อีก เพราะมันถูกเปลี่ยนแล้ว สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เปลี่ยนไปแล้ว ก็เปลี่ยนเลย กำเนิดเกิดมาแล้ว ก็กำเนิดเกิดมาเลย เกิดมาเป็น แล้วก็เป็นเลย  ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้อีกแล้ว กำเนิดเกิดมาเป็น

อย่างที่ตะกี้นี้บอก เกิดมาเป็นแสงสว่าง ก็เป็นแสงสว่างเลย เกิดมาเป็นความรักเหมือนพระเจ้า ก็เป็นความรักเลย ไม่ใช่มาผสมกัน เป็นความรัก แล้วก็เป็นเกลียด เป็นฆ่ากัน ไม่มี มันมีแต่เป็นความรัก แต่ยังประพฤติเกลียดเขาอยู่ มันมีแต่เป็นความรัก แต่ยังอิจฉาเขาอยู่ มันมีแต่เป็นความรัก แต่ยังเห็นแก่ตัวอยู่ เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ แต่ไม่ใช่เป็นความรัก แล้วเป็นความเกลียดอยู่ในตัวเดียวกัน  มันพิสดาร มันไม่มี ถ้าเราวิเคราะห์กันอย่างนี้ เราจะเห็นชัดขึ้น

นี่คือหลักการของพระคัมภีร์จริงๆ  และสามารถตอบได้หมด ทุกๆ คำถามที่ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้

เพราะฉะนั้น สรุปว่าคริสเตียนมีธรรมชาติเดียว ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน ก็มี 1 ธรรมชาติเหมือนกันหมด ต้องจำไว้ว่าธรรมชาติ คือการเกิดมาเป็น เขาถึงเรียกว่าธรรมชาติ ธรรมะจัดสรร

คำตอบ ก็คือคริสเตียนก็มี 1 ธรรมชาติเท่านั้น คือธรรมชาติแห่งความรัก ธรรมชาติของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในตัวเรา เห็นไหม? ธรรมชาติที่เป็นวิญญาณใหม่ เหมือนพระเจ้า มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นตัวใหม่ ที่บังเกิดใหม่ นี่คือธรรมชาติของคริสเตียนทุกคน

พูดอีกครั้ง คริสเตียนมีธรรมชาติเดียว คือธรรมชาติวิญญาณเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเจ้า และมีความคิดจิตใจเหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าเขาจะประพฤติอย่างไรก็ตาม เขาเป็นตรงนี้แล้ว เขาเปลี่ยนไปไม่ได้  เอเมนไหม?

กลับไปที่คำถามเดิมว่าคริสเตียนที่มีธรรมชาติ คือมีวิญญาณและความคิดจิตใจ ที่เหมือนพระเจ้าแล้ว เป็นความรัก เป็นความสว่างแล้ว ยังทำบาปไหม?

ทำหรือไม่ทำ? ตอบ ทำสิ ก็ต้องทำบาปอยู่ ก็เห็นๆ อยู่ ไม่มีการหลบลี้ หรือตอบปฏิเสธ ทำ แต่เป็นการทำบาป ที่ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติของความบาป ถูกไหม? คือเขายังคงทำบาป แต่ไม่ได้ทำจากวิญญาณและความคิดจิตใจของเขา ซึ่งเป็นเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เอเมน

ค่อยๆ ตามไปทีละนิดทีละหน่อย จะได้เห็นชัดว่ามันอยู่ตรงไหน?  ทำบาปเพราะอะไร? เอาให้ชัดๆ เลย โรม 6:6 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 6:6  “เรารู้แล้วว่าคนเก่าของเรานั้น  ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อตัวที่บาปนั้น  จะถูกทำลายให้สิ้นไป  และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”

 

เรารู้แล้วว่าคนเก่า ก็คือวิญญาณเก่า ความคิดจิตใจเก่าของเรานั้น ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  ตรึงไว้เพื่อว่าวิญญาณและความคิดจิตใจที่เป็นตัวบาป จะได้ถูกทำลายให้สิ้นไป  สิ้นไปหรือยัง? สิ้นไปแล้ว และเราจะได้ไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป เพราะว่าวิญญาณเรา ความคิดจิตใจเราสะอาด บริสุทธิ์แล้ว จากการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  และจากการเปิดใจรับเชื่อพระเยซู พระเจ้าได้ทำให้เราตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน นั่นแหละ การตายนั้นคือเราจัดการเอาตัวบาป วิญญาณบาปและความคิดจิตใจเก่า ตัวดำนั้น จบสิ้นไปแล้ว ต้องย้ำตรงนี้เลย พระคัมภีร์บอกหมดสิ้น ก็คือหมดสิ้น ถูกทำลายไปหมดสิ้นแล้ว

ตัวเก่าของเรา ก็คือวิญญาณ ความคิดจิตใจเก่า  ที่เป็นธรรมชาติ วิสัยบาปอยู่ ถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้วที่ไม้กางเขน ถูกทำลายจนหมดสิ้นไปแล้ว  เราได้เปลี่ยนธรรมชาติวิสัยบาปนั้น มากลายเป็นธรรมชาติวิสัยดีงาม เหมือนพระเจ้า  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เอเมน

ธรรมชาติวิสัยของลูกพระเจ้า ก็คือสะอาด บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ไม่มีบาป  และไม่ทำบาป เพราะฉะนั้น เมื่อไรที่เราทำบาป  ก็แปลว่าเรากำลังฝืนธรรมชาติในตัวเรา ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  เหมือนพระเยซู เรากำลังฝืนมันอยู่ ฝืนได้ไหม? ได้ ทำไมจะไม่ได้ พระคัมภีร์ยังบอกไว้

วิญญาณของเรา จิตใจใหม่ของเราดี คือตัวตนแท้ๆ ของเราดี แต่มีอะไรบางอย่างมากระตุ้นให้เราใช้ร่างกาย ความคิดจิตใจที่ไม่ดี ทำไป เรียกว่าความประพฤติ ไม่ใช่ตัวตนเรา  มันคืออะไร? ใครมาให้เราฝืนธรรมชาติของตัวเราเอง  ซึ่งเราไม่อยากทำเลย

เหมือนธรรมชาติของมนุษย์ เราต้องเดินตัวตรง 2 ขา  ใครมาหลอกเราให้คลาน มันไม่ใช่ธรรมชาติของเรา

เหมือนทาร์ซานยังคงชินกับการเดินเหมือนลิง มันธรรมชาติของเขาไหม?  ดูแล้วเก้ๆ กังๆ เคยดูหนังใช่ไหม?  ตอนที่ทาร์ซานยังอยู่ในป่า  ลิงที่คอยดูแลทาร์ซานวิ่ง  ลิงมันวิ่งอย่างไร? เอามือลงไปคลาน เดินช้ากว่ามนุษย์ที่เป็นนักวิ่งมาราทอนอีก เพราะว่ามนุษย์ธรรมชาติเขาต้องเดินต้องวิ่งอย่างนั้น  ไม่ใช่ลงไป 4 ขา เขาไม่มี 4 ขา เขามี 2 มือ ถูกไหม? มันฝืนธรรมชาติมากเลย

ซึ่งจริงๆ แล้วคำว่าธรรมชาติ วิสัยบาป หรือ Sinful nature ตรงนี้ มีการเข้าใจผิดกันเยอะมาก เพราะว่ามันมีการแปลผิดอยู่ในพระคัมภีร์บางฉบับ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยด้วย อันนี้เป็นสาเหตุหนึ่งด้วย  ที่ทำให้เข้าใจผิดตรงนี้มากขึ้น เพราะว่าความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าได้ถูกบิดเบือน จากการแปลผิด ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วยกับการไปอ่านพระคัมภีร์ การอ่านพระคัมภีร์ดี แต่กำลังจะบอกกับท่านว่าอ่าน ก็ต้องระมัดระวัง ในการเรียนรู้ด้วยว่าให้มันถูกต้องจริงตามนั้น แปลกันมา 2,000 กว่าปี มันก็ต้องมีผิดมีพลาดบ้าง?  เป็นเรื่องธรรมดา เราเอาประโยชน์ส่วนใหญ่ของการอ่านพระคัมภีร์เป็นหลักการ แต่แน่นอน มันก็จะมีส่วนผิดบ้างในนั้น ก็ต้องพยายามที่จะศึกษา ใช้ความคิด สติปัญญาด้วย อธิษฐานกับพระเจ้าด้วย

อย่างเช่นเรากำลังศึกษาพระคัมภีร์เดิม  ตอนที่เขียนขึ้นมาใหม่ๆ ใช้ภาษากรีก ใช้ภาษาฮีบรู โอกาสจะผิดเพี้ยนก็จะมีน้อย จะเข้าใจตรงกัน แต่พอเลยมาหลายๆ ปี แปลเป็นภาษาโน้น ภาษานี้ เลยมา 2,000 ปี มีไม่รู้กี่เวอร์ชั่น เต็มไปหมด  ภาษาอังกฤษอย่างเดียว ไม่รู้กี่ร้อย? กี่พัน? แล้วภาษาไทยอีกกี่เวอร์ชั่น? เพราะฉะนั้น คนแปลก็ว่ากันไป บางท่านแปล ไม่ใช่คริสเตียนก็มี ใช้หลักการประวัติศาสตร์ ใช้หลักการความคิดแบบมนุษย์มาใส่ก็มี มันก็มีผิดพลาดบ้าง แต่ที่พูดทั้งหมดนี้ ยังอ่านพระคัมภีร์อยู่นะครับ พระคัมภีร์ยังมีประโยชน์ แต่พูดให้ฟังเท่านั้นเองว่าต้องระมัดระวัง

เรื่องนี้ เรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติบาป หรือว่าเรื่องเกี่ยวกับเนื้อหนังอะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่การแปล มีส่วนทำให้เข้าใจผิดกันเยอะขึ้น

คริสเตียนมีธรรมชาติวิสัยเดียว คือธรรมชาติวิสัยเหมือนพระเจ้า  เรารู้กันตรงนี้แล้วนะ แต่ยังคงทำบาปอยู่  เพราะยังคงมีเนื้อหนัง ภาษาเดิมใช้คำว่า “ซาร์” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Fresh” แปลเป็นภาษาไทย ตรงๆ เลย คือเนื้อหนัง ซึ่งซาร์ หรือ Fresh หรือเนื้อหนัง มันไม่ใช่ธรรมชาติลักษณะของตัวของเราจริงๆ ใช้คำนี้ แต่มันเป็นปรสิตหรือกาฝาก ที่แอบซ่อนอยู่ในตัวเรา  แต่ในโรม 8:5 บอกไว้อย่างนี้

โรม 8:5 “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง ก็ปักใจในสิ่งที่เนื้อหนังต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”

 

ที่ตะกี้นี้เราอ่านไป ในโรม 8:5 ถ้าจะแปลให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง ตามภาษาเดิม ก็จะแปลอย่างนี้ว่า … “ผู้ที่อยู่อาศัยในเนื้อหนัง ก็จะปักใจจดจ่อ ความคิดจิตใจของเขา ไปที่เนื้อหนังต้องการ แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในพระวิญญาณ ก็จะมีความคิดจิตใจ ปักใจไปที่สิ่งที่พระวิญญาณพระเจ้าทรงประสงค์”

มาถึงตรงนี้แล้ว น่าจะเข้าใจมากขึ้น  ถึงตรงนี้ เราก็สรุปแล้วว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็คือวิญญาณและจิตใจที่มีธรรมชาติวิสัยที่เป็นเหมือนพระเจ้า  จดจ่อความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ไปที่พระเจ้า นี่คือธรรมชาติตัวตนที่แท้จริงของคริสเตียนที่เกิดใหม่ และจะเป็นอย่างนี้ และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้อีก เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเราได้รับความรอด ได้ไปสวรรค์แน่นอน 100% มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้  ส่วนการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  จะเป็นอย่างไร? ขึ้นอยู่กับว่าจิตใจใหม่ของเรา ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้   เราจะเชื่อฟังใคร?  หรือจดจ่อ  จดจ้องความคิดของเราไปที่ไหน?     ความคิดจิตใจมันยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันยังมีของล่อลวงอยู่ในโลกนี้  โรม 8:5-9 …

โรม 8:5-9 “5 ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง ก็ปักใจในสิ่งที่เนื้อหนังต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”  6 จิตใจของคนบาปนำไปสู่ความตาย  แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิตและสันติสุข 7 จิตใจที่เต็มไปด้วยบาป ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ทั้งไม่สามารถอยู่ได้ด้วย 8 บรรดาผู้ที่วิสัยบาปควบคุมอยู่ ไม่อาจเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้  9 อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาป แต่โดยพระวิญญาณ”

 

ผู้ที่อยู่ในเนื้อหนัง ก็จะคิดตามที่เนื้อหนังต้องการ เนื้อหนัง ก็คือให้ทำตามวิสัยบาป  เป็นศัตรูกับพระเจ้า แต่ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คืออยู่ในพระวิญญาณของพระเจ้า  ก็จะมีความคิดจิตใจที่จดจ่อไปที่จะเชื่อฟังพระวิญญาณเป็นพวกเดียวกัน

ข้อ 6 บอกว่าจิตใจของคนบาป ตรงนี้ ก็คือจิตใจของคนที่เป็นเนื้อหนัง กำลังจะให้เห็นชัดๆ ว่าถ้าจิตใจยังเป็นเนื้อหนังอยู่ จะนำไปสู่ความตาย  รู้ใช่ไหม? ความตาย ก็คืออยู่ตรงข้ามกับพระเจ้านั่นเอง ก็คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า

แต่จิตใจที่จดจ่อไปที่พระวิญญาณทรงควบคุมอยู่ นำไปสู่ชีวิต และสันติสุข ก็คือจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ใจใหม่ของเราที่เหมือนพระเยซูคริสต์ อันนี้มันจะนำไปให้เชื่อฟังต่อพระเจ้า เกิดสันติสุข

ข้อ 7 บอกว่าจิตใจที่เต็มไปด้วยบาป ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ตรงนี้แปลเองก็ได้แล้วนะ  จิตใจหรือความคิดจิตใจที่เต็มไปด้วยเนื้อหนัง ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ก็คือไม่ยอมทำตามพระเจ้า ความดีงามของพระเจ้า ทั้งไม่สามารถอยู่ได้ด้วย เพราะว่ามันไม่สามารถครึ่งๆ กลางๆ ได้นั่นเอง

ข้อ 8 จึงบอกไว้อย่างนี้ว่าบรรดาผู้ที่เนื้อหนังควบคุมอยู่  ไม่อาจเป็นที่ชอบพอพระทัยของพระเจ้าได้ ถ้าเขายังไม่เชื่อ วิสัยบาป คือเนื้อหนังมันควบคุมอยู่ มันไม่มีทางทำให้พระเจ้าพอใจได้เลย  ทำดีอย่างไรก็ไม่พอใจ? เพราะว่ามันอยู่ข้างในลึกๆ ในวิญญาณมันยังถูกควบคุมโดยวิสัยบาป  เพราะฉะนั้น มันจึงทำตาม และคิดตามความคิดจิตใจที่เป็นเนื้อหนัง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับความคิดจิตใจใหม่ของคริสเตียน ซึ่งเป็นความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์

ข้อ 9 จึงได้บอกว่าอย่างไรก็ตาม อันนี้พูดถึงคนที่เป็นคริสเตียนนะ ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน  ก็คือบังเกิดใหม่แล้ว  ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาป โดยเนื้อหนังอีกต่อไป คือไม่ได้เป็นศัตรูอีกต่อไป แต่โดยพระวิญญาณ ก็คือวิญญาณที่เกิดใหม่ เป็นผู้ควบคุมท่าน

นี่คือสภาวะที่เป็นจริงของคริสเตียน ที่บังเกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณเป็นสิ่งที่ตามองไม่เห็น ที่ในพระคัมภีร์ได้อธิบายให้เห็นถึงว่ามันเป็นอะไร? มันเป็นลักษณะอยู่อย่างไร?

ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้  ก็คือยังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ เรายังคงมีเนื้อหนัง หรือเจ้าปรสิตตัวนี้ แอบซ่อนอยู่ แต่มันไม่ใช่ตัวเรา จำไว้ มันไม่ใช่ตัวเรา แต่มันแอบซ่อนอยู่ ซึ่งเมื่อไรเราเผลอ  มันก็แสดงตัวตนของมัน แสดงฤทธิ์ของมัน อิทธิพลของมันออกมา และล่อลวงให้เราทำตามมัน ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นพยาธิ เป็นเชื้อไวรัส มันมีอิทธิพลบางอย่าง มันไม่ใช่ตัวเรา  ทำให้เราเจ็บป่วยได้ พูดง่ายๆ  ป่วยทางวิญญาณ ไม่ใช่ตัวตนของเราจริงๆ

วิธีการที่เราจะเอาชนะเจ้าปรสิตนี้ได้ คือจดจ่อความคิดของเรา ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ไปจดจ่ออยู่ตรงนั้น ว่าเราเหมือนพระเยซูอย่างไร? ในพระคัมภีร์บอกให้เราจดจ่อความคิดจิตใจของเราไปที่เบื้องบน  ที่พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ให้เรารู้ว่าตัวตนจริงๆ ของเราเป็นใคร? แล้วเราจะได้จัดการกับมันได้

เหมือนเวลาเราใช้คอมพิวเตอร์หรือเครื่องโทรศัพท์ พอซื้อเครื่องใหม่มา เราต้องรีเชตเครื่องใหม่หมดเลย  รีเซตซอฟแวร์ใหม่ ได้เครื่องมาใหม่แล้ว เราต้องเปลี่ยนหรือเซตระบบของซอฟแวร์ใหม่ ล้างโปรแกรมเก่าๆ ออกไปให้หมด แล้วใส่โปรแกรมใหม่เข้าไปแทนที่ เพราะเครื่องรุ่นใหม่มันจะทำงานร่วมกันกับโปรแกรมเก่าไม่ได้ มันเหมือนไวรัส มันเกิดเอ่อร์เร่อ เราต้องล้างของเก่าออกไป เรามีธรรมชาติใหม่แล้ว เราต้องเอาซอฟแวร์ตัวใหม่เข้ามา ให้มันเข้ากันกับเครื่องใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ ไม่อย่างนั้นมันฝืน เรียกว่าเอ่อร์เร่อๆ มันไปไม่ได้  มันฝืน มันแฮงค์

เช่นเดียวกันตัวตนของเรา ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว เป็นตัวตนใหม่แล้ว วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระเยซู เราก็ควรจะล้างโปรแกรมเดิมๆ ออกไปจากความคิดจิตใจ ในชีวิตของเรา โปรแกรมเดิมในที่นี้ ก็คือความคิดแบบเดิมๆ ความประพฤติแบบเดิมๆ นิสัยแบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคย แบบเนื้อหนังๆ … เนื้อหนัง คือระบบของโลกใบนี้ ระบบของความบาปที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ที่พยายามที่จะผลักดันให้มนุษย์ทำอะไรก็ตาม ที่มันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เยาะเย้ยพระเจ้า สู้กับพระเจ้า ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ เรียกว่าแอนตี้ไคร์ซ

เพราะเมื่อก่อน ตอนที่ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงวิญญาณใหม่ของเรา เราเคยตกอยู่ภายใต้บาปเหล่านี้ เป็นทาสของมันอยู่ เป็นทาสนานๆ จนชิน  จนกระทั่งทำตามวิสัย ตอนนั้น ตอนที่เรายังไม่ได้เปลี่ยนวิสัยมาเป็นวิสัยพระเจ้านะ  เป็นลูกของพระเจ้า ยังเป็นวิสัยบาปอยู่ เป็นทาสมัน 100% เลย  โงกหัวไม่ขึ้นเลย  แต่บัดนี้ เราได้รับการเปลี่ยนแปลงแล้ว เราไม่ได้เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป  เราไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังมันอีกแล้ว แต่ก่อนนี้เราต้องเชื่อฟังมัน แต่เดี๋ยวนี้ เราไม่ต้องเชื่อฟังมันอีกแล้ว  อย่าให้มันหลอกเรา  โรม 6:11-14 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 6:11-14  “11 ในทำนองเดียวกัน  จงถือว่าตัวท่านเองตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ เพื่อพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ 12 ดังนั้น ​อย่า​ปล่อย​ให้​บาป​มา​เป็น​เจ้า​ ครอบ​ครอง​ร่างกาย​ที่​ต้อง​ตาย​ของท่าน​อีกเลย คือให้​ความบาปทำ​ให้​ท่าน​ต้อง​เชื่อฟัง​ และ​ทำ​ตาม​กิเลส​ตัณหา​ของ​มัน 13 ท่านไม่​ควร​ยอม​ให้​บาป ​มา​ใช้​อวัยวะ​ส่วน​ไหน​ก็​ตาม​ของท่าน  ​เป็น​เครื่องมือ​ใน​การ​ทำ​ชั่ว แต่​ให้​มอบ​ชีวิต​ของ​ท่าน​เอง​กับ​พระเจ้า  ให้​สม​กับเป็น​คน​ที่​ตาย​ไป​และ​ฟื้น​ขึ้น​มา​ใหม่​แล้ว  ดังนั้น​ ขอ​ให้​ท่าน​ยอม​ให้​พระเจ้า​ ใช้​อวัยวะ​ทุก​ส่วน​ของ​ร่างกาย​ท่าน​ ให้​เป็น​เครื่องมือใน​การ​ทำ​ความดี   14 เพราะบาปจะไม่เป็นนายของท่านอีกต่อไป  ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ

 

สรุปง่ายๆ ว่าตัวเก่าเราที่เป็นสกปรกโสโครก มันจบสิ้น ตายไปแล้ว  วิญญาณเก่า พร้อมกับความคิดจิตใจเก่า ที่มีวิสัยธรรมชาติบาป  ทำบาปอยู่เรื่อย ต่อสู้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่รู้ล่ะ จะรู้จักไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้าทุกอย่าง ตอนนี้  ตัวนี้มันตายไปแล้ว  ไม่ได้เป็นทาสของมันอีกต่อไปแล้ว  พระเจ้าให้เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เรามีวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้า มีความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระเจ้าเลย แต่ยังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายเก่านี้ เพราะฉะนั้น มันอาจจะเคยชินกับของเก่าๆ  ซอฟแวร์เก่าๆ การล่อลวงเก่าๆ  ที่พยายามส่งผ่านเข้ามาเหมือนปรสิต มันไม่ใช่ตัวเรา  อย่าไปยอมให้มันทำอีก

อ่านตรงนี้อีกครั้ง “และทำตามกิเลสตัณหาของมัน” เราจะไม่ยอมทำตามกิเลสตัณหาของมันอีกแล้ว สมัยก่อนเราต้องถูกให้ทำตามกิเลสตัณหาของมัน มันไม่ใช่กิเลสตัณหาของเรา แต่มันเป็นกิเลสตัณหาของมัน

ถ้าถามว่าคริสเตียนมีกิเลสตัณหาไหม? ไม่มีแล้ว เพราะพูดถึงคริสเตียน  เกิดมาเป็นลูกพระเจ้า เกิดมาเป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้า เกิดมาเป็นความคิดจิตใจเหมือนพระเจ้า มันเป็นไปแล้ว เพราะฉะนั้น เราจะทำอะไร? เราก็ทำเหมือนพระเจ้า  สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าหมดเลย แต่บางครั้งทำอะไรตรงกันข้าม มันฝืนทำ มันไม่ได้อยากจะทำนะ มันถูกหลอก มันถูกกระตุ้นด้วยอะไรบางอย่าง ในนี้จึงบอกว่าไม่ต้องไปยอมมันอีกต่อไป  แต่ก่อนนี้เราเป็นทาส ยอมมัน ตอนนี้ไม่ต้องยอมมัน  สู้กับมันได้เลย และใครช่วยเรา? พระวิญญาณของพระเจ้า และความคิดจิตใจใหม่ที่อยู่ที่ความคิดจิตใจของเรา

วิธีการ ก็คือเราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่เสียก่อน  เอาถ้อยคำพระเจ้าเข้ามา เบอร์หนึ่ง ถ้อยคำพระเจ้าที่สำคัญที่สุด อันดับแรกในการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ เป็นซอฟแวร์ของเรา ก็คือเราเป็นอิสระจากมันแล้ว เราสะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว มันไม่ใช่ตัวเราที่เป็นผู้กระทำ ตรงนี้ต้องเอามาเปลี่ยนแปลงก่อนเลย ต้องย้ำยืนยันว่าเราสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ไม่ว่าเดี๋ยวนี้หรือหลังจากตาย และตลอดไปนิรันดร์ เราสามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ที่บริสุทธิ์ สะอาด และศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะเราบริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์ ดีพร้อมในสายพระเนตรของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ว่าเราจะมีความประพฤติอะไรก็ตาม

ที่พูดทั้งหมดนี้ ที่อ่านตั้งแต่ต้นมา ไม่ใช่เอาตรงนี้ไปพูดว่าผมกำลังจะบอกว่าความประพฤติไม่สำคัญ  ความประพฤติก็สำคัญ และในนี้ก็บอกแล้ว สรุปว่าเราอย่าปล่อยให้มันทำอย่างนี้  เราอย่าปล่อยให้ปรสิตเหล่านี้มาทำร้ายเราอีกต่อไป เราสามารถสู้มันได้ และสู้ได้มากน้อยขนาดไหน?  เราไม่ต้องห่วง เรารอด ปลอดภัย ในพระเยซูคริสต์ ด้วยการบังเกิดใหม่ กำเนิดเกิดมาเป็นในพระเยซู โดยพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

พระคัมภีร์บอกว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ชนะโลกแล้ว …

“เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยต่อโลก และความเชื่อของเรานี่แหละ เป็นชัยชนะที่ชนะโลก ใครเล่าชนะโลก ไม่ใช่คนอื่น คือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั่นเอง”

(1 ยอห์น 5:4-5)

 

คำว่า “มีชัยชนะอยู่เหนือโลก”  ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะทำให้ชีวิตของเราราบรื่นตลอดเวลา ไม่ต้องเจอปัญหา ไม่ต้องเจอความทุกข์ยากลำบาก  แต่โดยความเชื่อนั้น   เราจะได้รับการเสริมกำลัง ที่จะทำให้สามารถเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้

 

ชนะปัญหา ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องเจอปัญหา ปัญหายังมีอยู่  แต่สามารถเผชิญได้ ชนะความยากจน ไม่ได้แปลว่าร่ำรวยขึ้นมา อาจยังยากจนอยู่  แต่ก็สามารถผ่านได้ ชนะความเจ็บป่วย ก็อาจหมายถึงอาการป่วยยังคงมีอยู่ แต่สามารถเผชิญได้ คือสามารถมีความพึงพอใจได้ในทุกสถานการณ์นั่นเอง

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2021 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 47 โดย วราพร คงล้วน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  มีนาคม  2021

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย”  ตอน 47

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือลูกา   ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับผู้คนของพระองค์ ตั้งแต่เริ่มต้น มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็เตรียมแผนการ การช่วยกู้ การช่วยให้รอด ให้กับมนุษยชาติ แผนการนี้ถูกเตรียมไว้เป็นเวลายาวนานมาก หลายพันปี แล้วพระเจ้าทรงเป็นผู้เดินเรื่องทั้งหมด ที่ เริ่มต้นจากทูตสวรรค์ไปพบกับเศคาริยาห์ ซึ่งเป็นปุโรหิต ในสมัยนั้น ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไถ่บาปของพวกเราทั้งหลาย มนุษยชาติยังต้องพึ่งพาตัวเอง ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน พระเจ้าทรงเลือกชนชาติอิสราเอลมาเป็นแบบอย่าง ในเรื่องของพระคุณความรัก ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้

ฉะนั้น พระเจ้าก็ทำงานผ่านผู้เผยพระวจนะ บอกคนอิสราเอลว่าในแต่ละปีคนอิสราเอลจำเป็นต้องนำเอาแพะ เอาแกะมาถวาย เป็นเครื่องบูชา เพื่อลบบาปปีต่อปี หมายความว่าบาปของมนุษยชาติ เราไม่สามารถลบล้างด้วยความดีของเรา แล้วพระเจ้าก็ทรงเลือกเผ่าหนึ่งของอิสราเอล มาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ก็คือเผ่าเลวี เป็นปุโรหิต มหาปุโรหิตที่จะเข้าไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า

ฉะนั้น มหาปุโรหิต คือคนที่พระเจ้าเลือกไว้ใหญ่ที่สุด ปีหนึ่งสามารถเข้าไปเฝ้าพระเจ้าในอภิสุทธิสถาน แค่ครั้งเดียว แล้วปุโรหิตคนแรกที่พระเจ้าทรงแต่งตั้ง ชื่อว่าอาโรน อยู่ในตระกูลเลวี แล้วหลังจากนั้น ลูกหลานของอาโรนก็จะเป็นสายพันธุ์ ที่พระเจ้าเลือก แยกออกมา โดยเฉพาะเจาะจงที่จะปรนิบัติรับใช้ในพระวิหารของพระเจ้า

และการที่จะได้เข้าไปในอภิสุทธิสถาน เป็นขบวนการที่ยุ่งยากมาก ปีหนึ่งเข้าได้ครั้งเดียว  แล้วเข้าไป ต้องรีบๆ ถวายเครื่องบูชาให้เสร็จ แล้วมหาปุโรหิตที่ได้เข้าไป  เริ่มต้นจากการต้องชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ ต้องสารภาพบาป ก่อนที่จะเข้าไปถวายเครื่องบูชา ดังนั้น คนที่ลืมสารภาพบาปเข้าไป มีความบาปติดตัวนิดหนึ่ง เข้าไปปุ๊บ ตายทันที  ความบาปไม่สามารถอยู่ร่วมกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้  ก็คือโดยปริยาย พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย  ดังนั้น ปุโรหิตที่ไม่เตรียมพร้อม ไม่ชำระตัวเองให้บริสุทธิ์เข้าไป ก็ตายลูกเดียว

อิสราเอลมีความเกรงกลัวพระเจ้ามาก อย่างที่บอกในยุคพระคัมภีร์เดิม  เราเรียกว่ายุคพระเดช คือใครทำอะไรผิดปุ๊บ ตายอย่างเดียว พอมาถึงยุคของพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่ายุคพระคุณ  คือพระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษยชาติแล้ว และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อมนุษยชาติเช่นเดียวกัน

อันนี้แหละ คือข่าวประเสริฐที่พวกเราผู้เชื่อ ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน  เราก็ประกาศอยู่อย่างนี้แหละ เรื่องนี้ถูกประกาศมาตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ จนถึงยุคปัจจุบัน ก็ยังคงเป็นเรื่องเดิม เรื่องเดียวกัน ที่เราจะประกาศไป  ดังนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้า มีแค่ 5 ประโยค คือพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ณ เวลานี้

ดังนั้น ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูกระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน ก็ได้รับการเปลี่ยนวิญญาณ จากวิญญาณที่เคยบาป เป็นวิญญาณบาป  เป็นวิญญาณที่รอวันตาย ที่นรกนิรันดร์กาล เปลี่ยนมาเป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ ผ่านทางความเชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน วิญญาณของพวกเรา ผู้เชื่อ ณ เวลานี้ สะอาดบริสุทธิ์หมดจด เป็นผู้ชอบธรรม แล้วพระคัมภีร์ก็ได้บอกเราว่าเราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ ณ เวลานี้

ขณะที่เรายังต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าบอกว่างานเรายังไม่เสร็จ คือทุกคนมีงานที่พระเจ้าจะให้ทำ งานอะไรก็แล้วแต่ที่พระเจ้าเตรียมเอาไว้  งานเรายังไม่เสร็จ ลมหายใจเราก็ยังมีอยู่ เราก็ไม่จากไปไหน พระเจ้าก็บอกทำงานก่อน แต่เมื่อไรก็ตามที่งานเราเสร็จ  พระเจ้าก็เอาลมหายใจออกจากร่าง ก็คือวิญญาณเราได้ไปอยู่กับพระเจ้า ครบถ้วนสมบูรณ์  นี่คือสิ่งที่คริสเตียนทุกคนในโลกใบนี้ ตั้งเป้ารอคอย

พวกเราเช่นเดียวกัน เราก็รอคอยวันนั้นแหละ วันที่เราเสร็จงาน พี่น้องนึกภาพนะ เวลาเราทำงาน เหนื่อยไหม? เหนื่อย กิจวัตรประจำวันทุกวัน ตื่นมา ก็ต้องอาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว เดินทางออกจากบ้าน  บางวันรถติด กว่าจะไปถึงที่ทำงาน  3 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง เหนื่อยมาก ทำงานเสร็จ กลับบ้านตอนเย็น เจอช่วงเวลารถติดอีก กว่าจะไปถึงบ้าน มืด ค่ำ ดึกดื่น เราต้องทำอย่างนี้ทุกวัน บางคนขอบคุณพระเจ้า ทำอาทิตย์ละแค่ 5 วัน  ได้หยุดพัก 2 วัน บางคนอาทิตย์ 6 วัน บางคนอาทิตย์ 7 วัน อันนั้นเยอะไป ถ้าใครทำงานอาทิตย์ละ 7 วัน ก็ช่วยๆ หยุดสักวันหนึ่ง ให้ร่างกายเราได้พักผ่อน

ฉะนั้น เป็นการยากลำบากบนโลกใบนี้มากๆ ที่เราจะต้องดำเนินชีวิต  แต่พระเยซูคริสต์ยังคงตรัสกับเราว่าในโลกนี้ เราจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้เราชื่นใจเถิด เราชนะโลกนี้แล้ว ไม่ว่าความทุกข์ยาก ปัญหาอุปสรรค ไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่เหนือพวกเราทุกคน เราสามารถลอยตัว เพราะเรารู้ว่าต่อให้ทุกข์ยากขนาดไหน?  มีเวลาจบ เหมือนเราทำงาน เหนื่อยขนาดไหน? เรารู้แล้ว  เดี๋ยว 5 โมงเย็น จบงาน เราได้กลับบ้านแล้ว  เราได้พักผ่อนแล้ว พรุ่งนี้ก็ว่ากันใหม่  เป็นลักษณะแบบนั้นจริงๆ

แต่ในโลกวิญญาณที่เราดำเนินกับพระเจ้า  เรารู้ว่าวันจบสุดท้ายของเรา คืองานการที่พระเจ้ามอบหมายบนโลกใบนี้จบ  แล้วเราก็ได้พักจริงๆ พักผ่อนถาวรนิรันดร์กาล ที่สวรรค์กับพระเจ้า เรายังอดอิจฉาพี่น้องที่ไปก่อนไม่ได้ คือเขาจากไป  ในด้านของมนุษย์ ดูเหมือนเราโศกเศร้า  เราเสียใจ บางคนจากไป ตั้งแต่อายุยังน้อย เรารู้สึกยังเด็กอยู่เลย ทำไมพระเจ้าถึงพาเขากลับบ้าน เราก็รู้สึกเสียใจ  แต่ว่าความเสียใจของมนุษย์ เราก็แค่เสียใจว่าจากนี้ เราไม่สามารถเจอหน้าเขาบนโลกใบนี้ แต่เรามีความหวังใจในฐานะที่เป็นคริสเตียนว่าหลังจากโลกนี้ไป เราได้ไปเจอคนที่เรารัก ที่สวรรค์สถานนิรันดร์กาล แต่ว่าต้องตามเงื่อนไขที่พระเจ้าบอกไว้ คือสำหรับผู้เชื่อเท่านั้น ผู้ที่เชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเรา บนไม้กางเขนเท่านั้น  ถึงมีสิทธิ์ไปอยู่ในที่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้

สำหรับคนที่พยายามพึ่งพาตนเอง ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องพึ่งพระเจ้า  เรามีความสามารถพอ เราเก่งกาจพอ เราสามารถที่จะสั่งสมบารมีของเราเอง อันตราย เพราะว่าถึงจุดจบของชีวิต ก็ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะไปถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ จุดจบ ก็คือไปอยู่นรกนิรันดร์กาล

นี่คือเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าบอกให้เราไปประกาศข่าวประเสริฐ ให้เราประกาศข่าวดี  เป็นข่าวดีจริงๆ ตรงที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  พระเจ้าทำให้เราเสร็จหมดทุกอย่าง แค่เราเดินมารับของขวัญเท่านั้นเอง เหมือนเรามางานฉลองวันคริสตมาส  เราก็เตรียมตัวเตรียมใจเลย เพื่อที่จะรับของขวัญ ก็มีการให้ของขวัญแก่กันและกัน  ฉะนั้น การได้รับของขวัญ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราชื่นชมยินดี   แต่ว่าของขวัญบนโลกใบนี้ ไม่มีของขวัญชิ้นไหนที่มีค่ามาก เท่ากับของขวัญชิ้นพิเศษที่พระเจ้าประทานให้ คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า  ที่ได้ประทานให้กับพวกเรา

วันนี้เรามาต่อในลูกา 1:39-45 “39 คราวนั้นมารีย์ จึงรีบออกไปถึงเมืองหนึ่ง ในแถบภูเขาแห่งยูเดีย 40 แล้วเข้าไปในเรือนของเศคาริยาห์ ทักทายปราศรัยนางเอลีซาเบธ 41 เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำปราศรัยของมารีย์ ทารกในครรภ์ของเขาก็ดิ้น และนางเอลีซาเบธก็เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 42 จึงร้องเสียงดังว่า “ในบรรดาสตรีท่านได้รับพระพรมาก  และทารกในครรภ์ของท่านก็ได้รับพระพรด้วย 43 เป็นไฉน ข้าพเจ้าจึงได้ความโปรดปรานเช่นนี้ คือมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ได้มาหาข้าพเจ้า 44 เพราะดูเถิดพอเสียงปราศรัยของท่านเข้าหูข้าพเจ้า ทารกในครรภ์ของข้าพเจ้า ก็ดิ้นด้วยความยินดี 45 สตรีที่ได้เชื่อก็เป็นสุข เพราะว่าจะสำเร็จตามพระดำรัสจากพระเป็นเจ้า ที่มาถึงเขา”

 

เหตุการณ์ตรงนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่เศคาริยาห์เข้าไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้า มาบอกว่านางเอลีซาเบธ ซึ่งอายุเยอะมากแล้ว จะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรคนหนึ่ง แล้วทูตสวรรค์ก็บอกว่าบุตรชายคนนี้ ให้ตั้งชื่อว่ายอห์น เขาจะเป็นคนที่นำทางพระเยซู ก็คือก่อนที่พระเยซูจะประกาศภารกิจของพระองค์ในโลกใบนี้ ยอห์นจะเป็นผู้มากรุยทางก่อน

แล้วเศคาริยาห์ก็สงสัยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร? ภรรยาก็แก่มากแล้ว ทูตสวรรค์ก็เลยบอกว่าเพราะเธอไม่เชื่อ ก็เป็นใบ้ไปเลย พูดไม่ได้ พอออกจากห้องถวายสัตวบูชา คือห้องอภิสุทธิสถาน  เศคาริยาห์ก็พูดไม่ได้  หลังจากนั้น นางเอลีซาเบธก็ตั้งครรภ์ คือนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ก่อนที่นางมารีย์จะได้พบกับทูตสวรรค์ 6 เดือน แต่ว่าเหตุการณ์เดียวกันได้เกิดขึ้น ตอนที่นางมารีย์อยู่คนเดียว แล้วทูตสวรรค์ก็มาหา  พูดในทำนองเดียวกันเลย

“เธอเป็นคนที่พระเจ้าโปรดปราน พระเจ้าจะให้เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์มาจุติในครรภ์ของเธอ แล้วเธอจะคลอดบุตรคนหนึ่ง แล้วตั้งชื่อบุตรคนนั้นว่าเยซู เพราะว่าบุตรคนนี้จะเป็นผู้มาปลดปล่อยชนชาติของพระองค์ให้เป็นอิสระ”

นี่คือสิ่งที่ทูตสวรรค์ได้พูดกับมารีย์

นางมารีย์ก็ … “เอ๊ะ! เป็นได้อย่างไรล่ะ ฉันยังไม่เคยไปนอนกับใครเลย จะตั้งครรภ์ได้อย่างไร?”

ทูตสวรรค์ก็บอกว่า … “ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาจุติในครรภ์ของเธอ แล้วเด็กคนนี้จะเรียกว่าวิสุทธิ์ ก็คือไม่มีเชื้อบาปของมนุษย์คนใดเลย”

นางมารีย์พอฟังอย่างนั้น ก็บอกว่า … “เป็นอย่างนั้นเหรอ ก็ให้เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ตรัสไว้  พระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าตาม”

คราวที่แล้วเราก็จบตรงนี้ว่านางมารีย์ต้องใช้ความกล้าอย่างมากมาย เพราะว่าหญิงสมัยก่อน ถ้าตั้งครรภ์ โดยไม่มีสามี ก็จะถูกหินขว้างให้ตาย แต่นางมารีย์ก็ตัดสินใจที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์

ให้พี่น้องมั่นใจเลย ถ้าพระเจ้าทรงใช้ท่าน หรือใช้ใครก็ตาม พระเจ้าจะหนุนหลังพวกเรา แม้ว่าเรื่องนั้นจะมีภัยอันตรายมากขนาดไหน? พระเจ้าก็จะปกป้องคุ้มครองเราไว้ ให้เราทำสิ่งที่พระเจ้าได้มอบหมายให้กับเราไปจนสำเร็จ แล้วนางมารีย์ก็เป็นอย่างนั้น ในหนังสือมัทธิวไม่ได้แจงรายละเอียด แต่ในหนังสือเล่มอื่นๆ ก็บอกว่าโยเซฟเป็นคู่หมั้นของมารีย์ พอได้ข่าวว่านางมารีย์ตั้งครรภ์ โยเซฟก็ได้แต่คิดว่าจะไปแอบถอนหมั้นลับๆ โดยที่ไม่ให้นางมารีย์อับอาย  ก่อนที่โยเซฟจะตัดสินใจ ทูตสวรรค์ของพระเจ้า ก็มาคุยกับโยเซฟบอกว่าให้รับนางมารีย์เป็นภรรยา เพราะว่านางมารีย์มิได้เป็นหญิงสำส่อน แต่ว่าทารกในครรภ์ของเธอ มาจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า ที่โยเซฟฟังปุ๊บ เชื่อเลย ก็ไปรับนางมารีย์มาเป็นภรรยา ในพระคัมภีร์เขียนว่าก็ไม่ได้แตะต้องตัวนางมารีย์เลย จนนางมารีย์คลอดพระเยซูคริสต์ออกมา

เหตุการณ์นี้พระเจ้าได้เขียนไว้ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม  แล้วก็เดินเรื่องมาตลอด แล้วโยเซฟอยู่ในตระกูลยูดาห์  เพราะว่าพระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์จะมาจากตระกูลยูดาห์ เป็นสายพันธุ์ของกษัตริย์ดาวิด แล้วก็เดินเรื่องมาเป็นเรื่องเดียวกัน

หลังจากนั้น นางมารีย์ก็ไปหานางเอลีซาเบธ เพราะเขาเป็นญาติกัน พอไปถึงนางมารีย์พูดปุ๊บ เด็กในครรภ์ ก็คือยอห์น ที่ถูกพยากรณ์เอาไว้ เต้นใหญ่เลย คือลิงโลด มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาเยี่ยมเขา คือได้สัมผัสในวิญญาณถึงเด็กในครรภ์ของนางมารีย์ ก็คือพระเยซูคริสต์ เด็กในครรภ์ตื่นเต้น นางเอลีซาเบธก็ตื้นเต้นด้วย

“เห็นไหม? พอเธอพูดปุ๊บ เด็กในครรภ์เต้นใหญ่เลย” … ก็คือมีความชื่นชมยินดี

ทำไมนางเอลีซาเบธถึงชื่นชมยินดี?  เพราะจริงๆ แล้วคนอิสราเอลรู้เรื่องนี้ดีมาก เพราะเป็นคำพยากรณ์ เป็นคำเผยพระวจนะของพระเจ้าตั้งแต่อดีต สมัยปฐมกาล เริ่มต้นที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็บอกเรื่องนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น คนอิสราเอลก็ตั้งตารอคอยพระผู้ช่วยให้รอด ที่จะมาปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสรภาพ แต่ ณ เวลานั้น คนอิสราเอลยังไม่เข้าใจคำว่าอิสรภาพอย่างแท้จริง

ดังนั้น แผนการของพระเจ้าที่จะมาปลดปล่อยชนชาติอิสราเอล และปลดปล่อยมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ คืออิสรภาพในทางวิญญาณ อิสรภาพจริงๆ ที่เราจะไม่ต้องกลัว ที่ต้องชดใช้บาปอีกต่อไป  เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ก็คือแยกทางเลย ไม่สามารถเดินกับพระเจ้า ก่อนหน้านั้น เดินคุยกัน จับมือกัน แต่เริ่มจากมนุษย์ล้มลงในความบาป เดินเป็นเส้นขนานกับพระเจ้า  ไม่มีโอกาสที่จะบรรจบกันเลย  แล้วไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ด้วย เพราะว่ามนุษย์มีเชื้อบาป  ไม่บริสุทธิ์พอตามกำหนดของพระเจ้า กำหนดของพระเจ้า คือดีครบถ้วน 100% เต็ม ไม่มีใครทำได้  แล้วมนุษย์ก็พยายามแสวงหา เพราะว่าวิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้า

พระเจ้าได้ระบายลมปราณเข้าไปในดินก้อนที่พระเจ้าปั้น แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ มีวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า ฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์หลังจากล้มลงในความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า แต่ความหิวกระหาย ในการอยากจะแสวงหาพระเจ้า มันมีอยู่ แต่ว่าหาเท่าไร ก็หาพระเจ้าไม่เจอ เพราะว่าความบาปกับความบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ พอหาไม่เจอ มนุษย์ก็พยายามหาอะไรมาทดแทน หรือชดเชย  มนุษย์ก็เริ่มสร้างพระ สร้างศาสนา สร้างอะไร เพื่อคิดว่าจะเป็นพระผู้นั้นแหละ ที่เขาเคยอยู่ด้วยกัน แต่ก็หาพระเจ้าไม่เจอ เพราะว่ามนุษย์ไม่สามารถหาพระเจ้าเจอด้วยกำลังของตัวเอง  ต้องพึ่งพระเจ้าเท่านั้น

ดังนั้น พระเยซูคริสต์มารับภารกิจนี้ เพื่อมนุษยชาติทั้งหมด เป็นพระสัญญาที่พระเจ้าได้สัญญากับมนุษย์คู่แรก  แล้วพระเจ้าก็รักษาพันธสัญญาของพระองค์มาตลอด แล้วทำให้เกิดเป็นจริงตามที่พระเจ้าสัญญาไว้ แล้วสิ่งที่พระเจ้าสัญญา ก็สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาบังเกิด

ดังนั้น ณ เวลานี้ นางมารีย์ก็ตั้งครรภ์แล้ว  แล้วนางเอลีซาเบธก็ชื่นชมยินดีมาก คือรอคอยมานานมากเลย พระมาซีฮา บัดนี้ได้มาแล้ว กำลังจะมาเกิดบนโลกใบนี้แล้ว

เรามาดูต่อในลูกา 1:57-61 “57 ครั้นเวลาซึ่งนางเอลีซาเบธจะคลอดบุตรครบถ้วนแล้ว นางก็คลอดบุตรเป็นชาย 58 เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องของนางได้ยินว่าพระเจ้าได้ทรงสำแดงพระมหากรุณาแก่นาง เขาทั้งหลายก็พากันเปรมปรีดิ์ด้วย 59 ครั้นถึงวันที่แปดแล้ว เขาก็พากันมาให้ทารกนั้นเข้าสุหนัต และเขาจะให้ชื่อทารกว่าเศคาริยาห์ตามชื่อบิดา 60 ฝ่ายมารดาจึงตอบว่า “ไม่ใช่ แต่ต้องให้ชื่อว่ายอห์น” 61 เขาพากันตอบว่า “ไม่มีผู้ใดในพวกญาติของท่านที่มีชื่ออย่างนั้น”

 

ณ เวลานี้ พระเยซูยังไม่ได้ทำให้ภารกิจของพระองค์สำเร็จ คนยิวในยุคนั้น ก็ยังต้องใช้กฎเดิมอยู่

กฎเดิมที่พระเจ้าตั้งไว้ครั้งแรก ที่พระเจ้าให้ทำพิธีเข้าสุหนัต ก็คือเป็นพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เป็นครั้งแรกด้วยเลือด พระเจ้าสั่งให้อับราฮัมทำพิธีเข้าสุหนัต คือขลิบหนังปลายองคชาติของผู้ชาย ฉะนั้น พระเจ้าให้อับราฮัมทำเป็นคนแรก และตอนที่อับราฮัมทำพิธีนี้ อับราฮัมอายุ 99 ปี ที่พระเจ้ามาบอกอับราฮัมว่าในวันนี้ ปีหน้า นางซารายจะคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และให้ตั้งชื่อว่าอิสอัค นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้

แล้วพระเจ้าก็บอกกับอับราฮัมว่าให้ตั้งเป็นกฎเกณฑ์ เป็นพันธสัญญาเลือด คือต้องมีโลหิตหลั่งออก เพื่อที่จะเป็นพันธสัญญาของมนุษย์กับพระเจ้า ให้เด็กชายทุกคนของชนชาติอิสราเอล พออายุถึง 8 วัน ก็ต้องพาเข้าไปในพระวิหาร แล้วก็ทำพิธีนี้ เหมือนถวายให้พระเจ้า เหมือนปัจจุบันเราเรียกพิธีถวายบุตร ก็ไม่ใช่ 8 วันหรอก เด็กที่เอามาถวายบุตร เราก็รอให้เขาแข็งแรงหน่อย อาจจะ 2 เดือน 3 เดือน 4 เดือน คุณพ่อคุณแม่ก็พามามอบถวายให้กับพระเจ้า แต่สมัยนั้น 8 วัน ต้องพาไปที่พระวิหาร  แล้วก็ไปทำพิธีเข้าสุหนัต

พอทำพิธีนี้เสร็จ ก็เข้าสู่ขบวนการที่ต้องตั้งชื่อของเด็กคนนี้ ญาติๆ ก็บอกว่าให้ตั้งชื่อว่าเศคาริยาห์แล้วกัน จะได้เป็นเหมือนพ่อ สมัยก่อนเขาก็ตั้งชื่อตามพ่อ อะไรประมาณนั้น  เชื่อมั่นว่าตอนที่เศคาริยาห์ออกมาจากอภิสุทธิสถาน ที่พูดไม่ได้ กลับไป เขาคงคุยกับนางเอลีซาเบธด้วยการเขียนว่า …

“เขาได้เห็นหมายสำคัญ ได้เห็นทูตสวรรค์มาบอกฉันอย่างนี้ แล้วเด็กคนนี้ ถ้าคลอดออกมา ต้องตั้งชื่อเขาว่ายอห์นนะ”

ฉะนั้น พอญาติๆ มาถามว่า … “เอาอย่างนี้ดีไหม? ตั้งชื่อว่าเศคาริยาห์”

นางเอลีซาเบธบอกว่า … “ไม่ได้ๆ ต้องตั้งชื่อว่ายอห์น”

ซึ่งญาติๆ ก็งงเหมือนกันว่าในตระกูลเรา ไม่เห็นใครตั้งชื่อแบบนี้ อาจจะฉีกแนวไปจากตระกูลของเขา ที่จะตั้งชื่อ ฉะนั้น ทุกคนก็บอกไม่น่าจะเป็นไปได้ แล้วในข้อที่ 62-64 จึงว่า …

ลูกา 1:62-64 “62 แล้วเขาจึงใช้ใบ้กับบิดาถามว่าท่านอยากจะให้บุตรนั้นชื่ออะไร 63 บิดาจึงขอกระดานชนวนมา เขียนว่า “ชื่อของบุตรคือ ยอห์น” คนทั้งหลายก็ประหลาดใจนัก 64 ในทันใดนั้น ปากและลิ้นของท่านก็คืนดีอีก แล้วท่านกล่าวสรรเสริญพระเจ้า”

 

ก็คือเหตุการณ์ที่พระเจ้าได้พูดกับเศคาริยาห์ว่านางเอลีซาเบธจะตั้งครรภ์ และเมื่อคลอดบุตร บุตรคนนี้ชื่อว่ายอห์น  และบุตรคนนี้จะเป็นผู้นำทาง คือเดินนำหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาประกอบภารกิจ แล้วเศคาริยาห์ หลังจากที่พูดไม่ได้ เชื่อมั่นว่าข้างในใจรู้แล้วว่าสิ่งที่เขาพบเจอเป็นเรื่องจริง ทูตสวรรค์พูดจริงแน่นอน หลังจากที่นางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ เขาก็ตั้งเป้าว่าลูกคนนี้ต้องชื่อยอห์น เป็นอื่นไม่ได้

พอเขาแสดงเจตจำนงว่าลูกคนนี้ต้องชื่อยอห์น ปุ๊บ ปากเขาพูดได้เลย เมื่อเศคาริยาห์พูดได้ปุ๊บ ก็สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณสำหรับแผนการล้ำเลิศที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานให้กับครอบครัวของเขา

ลูกา 1:65-66 “65 เพื่อนบ้านของท่าน ก็บังเกิดความกลัว และเหตุการณ์ทั้งปวงนั้น ก็เลื่องลือไปทั่วแถบภูเขาแคว้นยูเดีย 66 บรรดาคนที่ได้ยินก็จดจำไว้ในใจ และว่า “แล้วทารกนั้นจะเป็นอะไรข้างหน้า ด้วยว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับเขา”

 

เพราะว่าพระเจ้าเตรียมยอห์นไว้เรียบร้อยแล้ว ที่จะทำดภารกิจที่ยิ่งใหญ่ให้กับพระเจ้า แล้วยอห์นคนนี้อายุไม่ยาวนะ อายุสั้น  ก็คือมากรุยทางก่อนพระเยซูคริสต์ออกมาสำแดงตัวเอง ปกติคนยิวทุกปี ก็จะพาตัวเอง และลูกหลานไปที่พระวิหาร เพื่อถวายเครื่องบูชา  แล้วพระเยซูก็ถูกพาไปทุกปีๆ  จนพระเยซูอายุ 12 ก็พาไปเหมือนเดิม พอเสร็จภารกิจทุกคนก็เดินทางกลับบ้าน เดินไปประมาณหนึ่ง พระเยซูหายไปไหน? ทุกคนก็เลยชักแถวเดินกลับไปที่เดิม ปรากฏว่าเห็นพระเยซูนั่งถกถ้อยคำกับพวกปุโรหิต พวกธรรมาจารย์  แล้วจากนั้นพระเยซูก็ติดตามนางมารีย์และโยเซฟกลับไปบ้าน

โยเซฟเป็นช่างไม้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกอะไรมากมาย เชื่อมั่นว่าพระเยซูคงใช้ชีวิตปกติ ช่วยพ่อทำงาน ไสไม้ ต่อโต๊ะ อะไรก็แล้วแต่ จนอายุ 30 พระเยซูก็เริ่มต้นภารกิจของพระองค์ พระเยซูก็ออกมา ประกาศ …

“แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว  จงกลับใจเสียใหม่”

แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว ก็คือใกล้ถึงเวลาที่พระเจ้าจะสำเร็จภารกิจของพระองค์ คือสิ่งที่พระเยซูประกาศตอนอายุ 30 ก็คืออีก 3 ปีกว่าๆ เท่านั้น มนุษยชาติจะได้รับความรอด ผ่านทางสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน มนุษยชาติจะไม่ต้องใช้บาปของตัวเองอีกต่อไป มนุษยชาติจะไม่ต้องไปถวายเครื่องบูชาของตัวเองปีต่อปีอีกต่อไป และมนุษยชาติก็สามารถที่จะคืนดีกับพระเจ้าด้วย นี่คือภารกิจที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์มาทำ เพื่อพวกเราทุกๆ คน

ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งนี้ ก็ได้รับทั้งหมดที่พระเยซูคริสต์ได้บอกไว้ เราสามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ เราไม่เหมือนคนสมัยเดิม ที่คนยิวต้องพึ่งปุโรหิต สารภาพบาป ก็ต้องไปคิดๆ บาปของตัวเอง ทำไว้เท่าไร? เยอะแค่ไหน? แล้วก็ไปสารภาพกับปุโรหิต แล้วปุโรหิตก็ต้องจำๆ ด้วยนะ  แล้วก็เอาไปสารภาพกับพระเจ้า  งงเหมือนกันว่าเขาทำกันได้อย่างไร?  คนยุคนั้น เขาทำอย่างนั้นจริงๆ  แต่ว่าพอถึงยุคนี้ การสารภาพบาปของพวกเราทุกคน มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ที่เราต้องกลับใจใหม่ สารภาพบาปกับพระเจ้าว่าเราเป็นคนบาป เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เราต้องการการช่วยเหลือจากพระเจ้า เราขอรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราที่ไม้กางเขนเข้ามาเป็นของเรา  ยอมรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า นั่นคือการสารภาพบาปครั้งแรก ครั้งเดียว จบ คริสเตียนทำแค่นั้น

มาคุยเรื่องนี้ มีพี่น้องหลายๆ คนก็สงสัยตรงนี้ …

“อ้าว! ในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าเราทำบาป ให้เรามาสารภาพกับพระเจ้า พระเจ้าจะได้ยกโทษบาปให้กับเรา”

แล้วในตอนนี้ในถ้อยคำ เรารับรู้ว่าสารภาพแค่ครั้งเดียวพอ ก็คือกลับใจใหม่แค่ครั้งเดียว สารภาพบาปทั้งหมด พระเยซูบอกว่า …

“บาปของเจ้าถูกยกแล้ว เราไม่เอาผิดเจ้า”

หมายความว่าพระเยซูชดใช้บาปให้กับพวกเราเรียบร้อยแล้ว แปลว่าพวกเราที่เป็น คริสเตียน เป็นผู้เชื่อ ณ เวลานี้  เราไม่มีบาปเลย เราเป็นผู้ชอบธรรมจริงหรือไม่?  จริงตามถ้อยคำพระเจ้า ตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น ถ้อยคำบอกเราอย่างนั้น เราไม่มีบาปเลยในโลกวิญญาณ เราไม่มีความจำเป็นที่ต้องสารภาพบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกต่อไป นี่คือความจริง

ในพระธรรมฮีบรูบอกว่าพระเยซูคริสต์ทำให้เราครั้งเดียวพอ ก็คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนครั้งเดียว เป็นขึ้นมาจากความตาย จบ  ก็คืองานทุกอย่างที่พระเจ้าทำให้กับเรา มันจบเรียบร้อย สมบูรณ์ ครบถ้วน เรารับมา ก็คือสมบูรณ์ครบถ้วน เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป ณ เวลานี้ ธรรมชาติของเรา คือผู้ชอบธรรม ในวิญญาณนะ

แต่ว่าในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ เรายังมีร่างกายนี้ ที่เป็นเนื้อหนังอยู่ เราอาจจะถูกล่อลวงด้วยตัวเราเอง หรือด้วยผีมารซาตาน หรือด้วยอะไรก็ตามที่ทำให้เราหลงไปทำบาปบ้าง ไม่ทำบ้าง ทำดีบ้าง อะไรก็แล้วแต่ แล้วในพระคัมภีร์บอกว่ามันจะมีผล ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หลังจากที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณเราสะอาดหมดจด ชอบธรรม ไม่มีบาปอีกต่อไป ต่อให้เราตายตอนไหน? เราก็เป็นผู้ชอบธรรม ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า คือที่เดิม  ที่ปัจจุบันเราเป็นอยู่

ไม่ต้องกลัวว่าวันนี้เราทำบาป ตกลงเราจะตกนรกไหม? ไม่มีนะ เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นว่าทันทีที่เราเชื่อ พระเจ้าได้เอาวิญญาณของเราบัพติสมาเข้าไป เป็นเนื้อเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมทั้งวิญญาณของเรา 4 วิญญาณหลอมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้น จะไม่มีบาปอีกต่อไปในวิญญาณของเรา

แต่ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องบนโลกใบนี้ เราก็จะรับผล ไม่ได้หมายความว่าพอเราไม่มีบาปในวิญญาณแล้ว เราทำอะไรก็ได้  เราทำบาป ก็ได้ เราไปโกงเขาก็ได้ พระเจ้าจะไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่จริงนะ ก็คือเรายังต้องรับผลในโลกใบนี้อยู่ แต่แค่ผลในโลกใบนี้เท่านั้น ถ้าเราฆ่าคนตาย ก็ถูกจับติดคุก ถ้าเป็นโทษหนักๆ ก็ถูกนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า ประหารชีวิต ร่างกายตายเท่านั้น แต่วิญญาณท่านยังรอด แยกให้ชัดเจนนะ

ถ้าพี่น้องแยกได้ชัดเจน เชื่อว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ไม่มีใครหรอกไปทำแบบนั้น ต่อให้หลุดไป แบบไม่ไหว ไปเชื่อสิ่งที่อยู่รอบข้าง ชักจูงเราไป ให้ทำผิด เราคงไม่ทำผิดหนักถึงขนาดที่ว่าไปฆ่าใครตาย

ตอนที่เชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ก็ถูกสอนมาว่าเราต้องสารภาพบาปทุกวัน แล้วเราก็ทุกข์ คือจำไม่ได้ พี่น้องเคยจำสิ่งที่เราทำเองไม่หมดไหม? จำไม่ได้ พอตกเย็น เราไปทำอะไรมา แล้วเราจะรอดไหมเนี้ย  ถ้าเราสารภาพไม่หมด  นั่นคือความทุกข์ใจ ที่เรารู้ความจริงไม่หมด  พอเรารู้ความจริงครึ่งๆ กลางๆ ไม่หมดตามที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้  เราก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตแบบมั่นคงเดินกับพระเจ้าได้  เราก็กลัว ในพระคัมภีร์บอก ในความรักไม่มีความกลัว ความกลัวเข้ากับการลงโทษ ดังนั้น เราควรจะต้องไม่มีความกลัวอีกต่อไป  เพราะว่าเราเชื่อในสิ่งที่พระเยซูกระทำ วิญญาณเราอย่างไรก็รอด  แต่ไม่ได้หมายความว่าพอเราไม่กลัว เราจะไปทำตัวเหลวไหล ไปทำบาป มันก็คงไม่ใช่  เราก็คงพยายามสุดกำลังแหละ ล้มลง ก็ลุกขึ้น รู้ว่าตรงนี้พลาดแล้ว …

“พระเจ้าลูกขอโทษนะ  ลูกเสียใจ”

ไม่ต้องไปสารภาพบาปแล้ว … “คือเสียใจที่ทำไป ให้กำลังลูกด้วย ที่ลูกจะไม่ทำอีก”

แต่ต่อให้เราอธิษฐานแบบนี้ เราก็ยังทำอีกแหละ ในเรื่องเดิม เหมือนเรามีแผล เวลาไปเดินชนอะไร ไม่ได้ชนที่อื่นหรอก ชนแผลตัวเองประจำ แล้วก็เจ็บซ้ำเจ็บซาก

เหมือนกัน หลายครั้งเราทำผิดในเรื่องเดิมๆ แต่ว่าพระเจ้าจะให้กำลังเรา ที่เราจะทำน้อยลง  ถ้าเรายิ่งเข้าใจในถ้อยคำของพระเจ้ามากเท่าไร?  เห็นถึงความรักที่พระเยซูคริสต์มีกับเรามากเท่าไร? เราก็จะระวังชีวิตของเรา เราก็จะไม่ทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ชอบ และทำให้พระเจ้าเสียใจ  เหมือนเรารักพ่อแม่ ถ้าเรารักพ่อแม่ได้มากเท่าไร เราก็จะไม่ทำสิ่งที่พ่อแม่ไม่ชอบ แล้วก็เสียใจ ไม่ใช่ว่าพอเราทำบาปปุ๊บ พ่อแม่ตัดเราออกจากการเป็นลูก ตัดเราออกจากกองมรดก มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเป็นพ่อแม่แล้ว ก็เป็นไปตลอดชีวิต เหมือนเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็เป็นลูกของพระองค์ไปตลอดชีวิต ไม่มีรายการว่าวันนี้เราทำบาป พระเจ้าบอกว่าตัดหางปล่อยวัด ไม่มี

พอเราซาบซึ้ง ซึมซับ เห็นความรักของพระเจ้ามากเท่าไร? จะเป็นกำลังใจให้กับพวกเรา ที่พวกเราจะสามารถเอาชนะการล่อลวง ทุกรูปแบบได้ อาจจะนานๆ แพ้บ้าง? อะไรบ้าง? ก็ไม่เป็นไร  แต่ไม่ว่าเราจะล้ม แพ้ หรือหลงทำบาป  อย่าให้มารหลอกเราว่า …

“นี่ไง ทำบาปแล้ว เธอไม่รอดแน่ๆ  เธอตายแน่ๆ”

ไม่จริงนะ เชื่อแล้วเชื่อเลย เป็นลูกแล้วเป็นลูกเลย วิญญาณเราถูกเปลี่ยนเรียบร้อยไปแล้ว ก็เป็นอย่างนั้นเลย ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงกลับไปที่เดิมได้อีก

นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เปิดตาใจให้เราเห็นชัดๆ เมื่อก่อนเห็นไม่ชัด กลัว วันนี้ทำอีกแล้ว จะรอดไหม  ต่อให้เป็นผู้รับใช้ ก็รู้สึกนะ  ตกลงเราจะรอดไหม อะไรแบบนี้

แต่ว่าตอนนี้ พอรู้ความจริง  ความจริงก็ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ เป็นไท เราก็ไม่ต้องไปกลัวแล้วว่าตกลงเราจะรอดหรือไม่รอด แค่ว่าถ้าเธอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เธอก็เจ็บ  เจ็บบนโลกใบนี้ อย่างไรเธอก็ต้องรับผล อะไรอย่างนี้

เราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับอาจารย์นครที่สอนเราในเรื่องของตัวตนจริงๆ ของเรา สมัยก่อน มีพระคัมภีร์เล่มแรกที่หายไป นั่งแท็กซี่แล้วก็ลืมไว้ในรถ เสียดายมาก จดอะไรเยอะแยะมากมาย แต่ดีแล้วล่ะ  เพราะที่จดๆ มันไม่ใช่  เคยวาดรูปการ์ตูนด้วย เคยสอนด้วย คือสอนว่าตื่นเช้าขึ้นมา เราก็จะสู้กับตัวเอง คือตัวเก่าของเรา กับตัวใหม่ด้วย แล้วสู้กัน แล้วดูสิว่าตัวไหนจะชนะ ถ้าตัวเก่าชนะ เราก็ไปทำบาป ถ้าตัวใหม่ชนะ เราก็ไม่ทำบาป ซึ่งมันไม่ใช่นะ ความจริงที่พระเจ้าเปิดให้เห็น ก็คือเราไม่ต้องสู้กับตัวเอง  เราไม่ได้เป็นศัตรูกับตัวเอง  เราเป็นมิตรกับตัวเอง เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราไม่ต้องต่อสู้อะไร สิ่งที่เราต้องสู้ คือผีมารซาตานที่มันมาล่อเรา นั่นแหละ ศัตรูตัวจริงๆ ของเราที่แอบแฝงอยู่ เราสู้กับศัตรูตัวนี้แหละ ตัวเอง เราไม่ต้องสู้แล้ว  เพราะตัวเก่า ตัวบาปของเรา ได้ตายไปแล้ว ถูกฝังไปกับพระเยซูคริสต์ ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราเรียบร้อยไปแล้ว ตายแล้ว วิญญาณบาปตายแล้ว ณ เวลานี้ วิญญาณเราเป็นวิญญาณใหม่ ชอบธรรม สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย

นี่คือความจริง ความจริงที่เราต้องรับรู้ พระเยซูถึงบอกว่า …

“ถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยท่านให้เป็นไท ให้เป็นอิสรภาพ”

โดยที่เราไม่ต้องหวาดกลัวอะไร แล้วเรารู้ว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะคอยช่วยเหลือเรา คอยเป็นกำลังใจให้กับเรา คอยหนุนจิตชูใจเรา คอยพยุงเรา แล้วพระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา พระองค์จะจับมือเราเดิน ไม่ว่าจะยากขนาดไหน? พระเจ้าจะพาเราเดินผ่านไป ด้วยพระคุณ ด้วยความรัก ซึ่งมาจากพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

***************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2021 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ตอน 3 “ความรักของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจ ให้เรากระทำดีตามน้ำพระทัย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  กุมภาพันธ์  2021

 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

ตอน 3 “ความรักของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจ ให้เรากระทำดีตามน้ำพระทัย”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เราก็มาสู่ตอนจบ ในการบรรยายเรื่องเกี่ยวกับความรัก หัวข้อก็คือ “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ผ่านไปแล้ว 2 ตอน

ตอนที่ 1 คือ “จงมองให้เห็น ซึมซับ และรับเอา”

ตอนที่ 2 คือ “พระคุณความรักของพระเจ้า เป็นพลังให้เราทำดี ตามความปรารถนาในใจ”

วันนี้จะเป็นตอนที่ 3 มีชื่อตอนว่า “ความรักของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจ ให้เรากระทำดี  ตามน้ำพระทัย”

การได้เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจความรักยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ้นสุดของพระเจ้า  ที่มีต่อเราทั้งหลายนั้น จะเป็นแรงผลักดัน สร้างกำลังใจ สร้างแรงจูงใจ ให้กับเรา ขับเคลื่อนเรา ควบคุมเราในการกระทำดี ชนิดที่ดีจริงๆ ในแบบพระเจ้า  ก็คือดีตามน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงที่ 2 โครินธ์ 5:14-15 ….

2 โครินธ์ 5:14-15  “14 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่  เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่าถ้าผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้น คนทั้งปวงจึงตายแล้ว 15 และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์ เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่  จะมิได้เป็นอยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมา เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย”

 

ข้อความที่สำคัญที่สุดของข้อนี้ ก็คือ “ก็เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่” ความหมาย ก็คือได้ครอบครอง ควบคุม ขับเคลื่อนชีวิตของเราอยู่  เพราะว่าพระเยซูตาย เพื่อเรา ตัวเก่าเราตายไปแล้ว  นี่เราเกิดใหม่แล้ว  เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า พระคริสต์ให้วิญญาณกับเรา เกิดใหม่ เกิดเป็นวิญญาณของความรัก

ความรักของพระเจ้าเป็นแรงผลักดันในใจ ให้เราประพฤติดีตามน้ำพระทัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะทำตามน้ำพระทัย ก็คือทำตามพลังอำนาจของความรักแบบของพระองค์ ที่อยู่ในใจของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเปิดใจ และปล่อยให้พลังความรักของพระเจ้าเข้ามา ทำตามที่ 2 โครินธ์บอกไว้ มาควบคุมครอบครอง เข้ามาครอบงำ เป็นแรงบรรดาใจ เพื่อจะผลักดัน ชักชวน หว่านล้อม ชักจูง ดลใจ และแนะนำ มีอิทธิพลต่อทัศนคติ ความคิดต่อทางเลือกในการตัดสินใจ และมีอิทธิพลต่อทุกสิ่งทุกอย่าง  ที่เราเป็น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทำ กำลังดำเนินตลอดเวลา และตลอดไป มันหมายถึงอย่างนั้น เปิดใจ รับเอา พลังอำนาจเข้ามา และถ้าเราไม่รู้จัก ไม่ถ่อมใจลง ไม่ยอมรับความรักชนิดนี้ ก็คือไม่เห็นถึงพลังอำนาจ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า  ที่มีต่อเราแต่ละคน มนุษย์บนโลกใบนี้ว่ามันมากมาย ใหญ่โตขนาดไหน? ถ้าเราไม่เห็นพลังความรัก เราก็ไม่สามารถที่จะให้ความรัก พลังอำนาจนี้ ผลักดัน ควบคุม มีอิทธิพลต่อทัศนคติ ต่อการดำเนินชีวิตของเราได้เลย บนโลกใบนี้ เห็นไหมครับว่าสำคัญมาก

เพราะฉะนั้น มี “ต้อง” อันเดียว ก็คือต้องเรียนรู้ความรัก เพื่อให้ตาวิญญาณได้เห็น ตาเนื้อมองไม่เห็นหรอก ความรักเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่าความรักสำแดงออก ที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน มองไป ก็ไม่เห็นหรอก แต่ต้องใช้ตาฝ่ายวิญญาณ  ที่ถูกมองทะลุ เราจึงต้องเรียนรู้ ให้ตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก ให้เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจในความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึมซับ รับเอา ยิ่งรับมากเท่าไร? ก็เท่ากับว่าเราได้ชาร์จพลังงานความรักของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตเรามากขึ้นเท่านั้น เราก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ และดำเนินชีวิตอยู่ด้วยพลังขับเคลื่อนด้วยแรงบันดาลใจ ด้วยพลังความรัก แบบอากาเป้ของพระเจ้านี้ได้ ในชีวิตของเรานั่นเอง

ไม่ใช่จากพลังความรักของตัวเอง ที่คิดเอง สร้างขึ้นเอง ตามใจตัวเอง คิดว่าถูก คิดว่าอย่างนี้รัก ซึ่งมันมีเงื่อนไข ถ้าเราพึ่งตนเองมีขีดจำกัด ความรักของเรามีไม่พอหรอก เราต้องพึ่งพลังอำนาจของความรักของพระเจ้าเท่านั้น เหมือนถีบจักรยาน ผมมีจักรยานอยู่ 2 คันที่บ้าน  คันหนึ่งเป็นแบบโบราณหน่อย คือเวลาถีบจักรยานตอนกลางคืน ต้องเปิดไฟ ไม่ได้เปิดสวิตช์ ผลักดันเกียร์ปุ๊บ มันเปิดไฟ ซึ่งเราถีบไป มันจะปั่นไฟให้เรา พอเราปั่นเร็วเท่าไร? ไฟก็จะสว่างขึ้นเท่านั้น ไฟจักรยานโบราณ มันปั่นไฟจากการถีบของเรา

แต่มีอีกคันหนึ่งสมัยใหม่หน่อย พอขึ้นไปนั่ง เราก็เปิดสวิตช์ไฟ  พลังงานดวงไฟมันสว่างจ้าเลย ถ้าเราใช้กำลังของเราเอง ถีบจักรยานรุ่นเก่า ถีบๆ ไป ในที่สุดมันหมดแรง พอหมดแรงมันค่อยๆ อ่อนลงๆ ในที่สุดถีบไม่ไหว มันก็ดับ แต่จักรยานสมัยใหม่ มันมีแบตเตอร์รี่เสร็จเรียบร้อยในนั้น เปิดสวิตช์เท่านั้นเอง เปิดแล้วซึมซับ และรับเอาพลังงานในนั้น เปิดปุ๊บ ยังไม่ได้ถีบเลย ขี่ไปไหนก็ได้ มันสว่างแล้ว ฉันใด ก็ฉันนั้น นี่คือการยกตัวอย่าง ที่เห็นชัดเจน

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือพระเยซูบอกเราเป็นแสงสว่างใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องพยายามไปปั่นไฟเอง เพราะพระองค์บอกว่าเราเป็นแสงสว่าง มันก็จะเหมือนถีบจักรยานเมื่อสักครู่นี้

สมมติว่าบ้านเราใช้ไฟฟ้า แล้วเราปั่นไฟด้วยตัวเอง ใช้น้ำมัน ไปซื้อน้ำมันมาใส่ พอน้ำมันหมด ก็ไฟดับ เพราะมันไม่ปั่นไฟแล้ว มันปั่นได้ เพราะเราวิ่งออกไปซื้อน้ำมัน

แต่ในสมัยปัจจุบัน  มันไม่ต้องทำอย่างนั้นแล้ว มันมีไฟฟ้าหลวง จากองค์การไฟฟ้าส่งเข้ามา ถ้าเราอยากให้มันสว่าง เราเพียงแค่ไปเปิดสวิตช์  รับเอาพลังงานจากองค์การไฟฟ้าวิ่งมา บ้านสว่างทันที ไม่ต้องวิ่งออกไปให้เหนื่อย ไปซื้อน้ำมันมาใส่ มันสว่างตลอด นี่แหละชัดเจนดีไหม?

เพราะฉะนั้น เราแก้ไขอย่างไร? เปิดสวิตช์และปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้า จากองค์การไฟฟ้า รับพลังงานใหญ่เข้ามา ในบ้านของเราให้มันสว่าง ใช้ให้เป็นประโยชน์ในพลังงานนั้น อย่างนี้เป็นต้น

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง อันนี้ก็ชัดเจนดี เหมือนเราเอาสำลี … สำลีเปรียบเหมือนความคิดจิตใจของเรา  … เหมือนเราเอาสำลีจุ่มลงไป ซึมซับน้ำหอมในขวด พอเอาสำลีออกมา ไม่ต้องทำอะไรเลย กลิ่นมันหอม ไปที่ไหน? มันก็หอมที่นั่น

สำลี ก็คือความคิดจิตใจเรา จุ่มลงไป ก็คือเอาความคิดจิตใจของเรา จดจ่อลงไปที่ขวดน้ำหอม คือพลังอำนาจของความรักของการบังเกิดใหม่ของเรา ในพระเยซูคริสต์  ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา ที่ให้เราบังเกิดใหม่นั้น จุ่มลงไป มันก็ชุ่มด้วยความหอมของพระคริสต์  เคยได้ยินไหม? กลิ่นหอมของข่าวประเสริฐ กลิ่นหอมของพระคริสต์ มันก็อบอวลความรักของพระคริสต์ แบบไม่มีเงื่อนไข ในชีวิตเรา ไปที่ไหนมันก็มีกลิ่นออกไป ไม่ต้องไปพยายามสร้างกลิ่น กลิ่นมันออกมาเอง เพราะว่าเราจดจ่อความคิดของเรา ซึมซับ รับเอากลิ่นหอมของข่าวประเสริฐของความรักของพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของเรา มันก็จะถูกปลดปล่อยออกไป โดยธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต บางคนชอบคิดว่าเรากำลังถวายชีวิตของตัวเองให้กับพระเจ้า มอบถวาย บางทีร้องกันไปตลอดชีวิตเลยว่ามอบถวายชีวิตของเราแด่พระเจ้า แต่ตามพระคัมภีร์แล้ว เราไม่ได้ถวายชีวิต แด่พระองค์ แต่พระองค์ต่างหากที่ให้ชีวิตกับเรา เรามอบชีวิตให้กับพระองค์ครั้งเดียว คือแบกกางเขนของเรา ตามพระองค์ไป ตายที่ไม้กางเขน เพื่อว่าเราจะได้รับชีวิตใหม่จากพระองค์มอบชีวิตให้เรา พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา เราไม่ได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อพระองค์นะ เราตายที่ไม้กางเขน เพื่อจะได้รับชีวิตของพระองค์เข้ามาในชีวิตของเรา เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ถวายอะไรให้พระองค์เลย แต่พระองค์ต่างหากที่มอบชีวิตพระองค์ให้เรา แบ่งปันชีวิตของพระองค์ให้กับเรา เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ ทัศนคติหลายๆ อย่างจะเปลี่ยนไป เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกอย่างเป็นพระคุณเท่านั้นเอง

ชีวิตเราหลังจากเชื่อข่าวดี เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว คือเรารับเอาชีวิตของพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ก็คือเข้ามาเริ่มต้นชีวิตของเรา พูดง่ายๆ เราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพระเยซูคริสต์นั่นเอง เราจึงคิดเหมือนพระองค์ เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์ รักเหมือนพระองค์เลย ดำเนินชีวิตอยู่ เพื่อพระองค์ โดยพระองค์ เป็นของพระองค์เท่านั้น เป็นธรรมชาติ บังเกิดใหม่เป็นอย่างนี้เอง เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์

การได้รับรู้ ได้เห็น ซึมซับและรับเอาความจริงเหล่านี้เข้ามาในความคิดจิตใจของเรา คือการชาร์จแบตเตอร์รี่ คือการชาร์จพลังงานอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า ที่เรียกว่าอากาเป้ เข้ามาในความคิดจิตใจ แล้วเราก็ปลดปล่อยพลังอำนาจนี้ ที่พระองค์ทรงใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา ในพระเยซูคริสต์นี้ ให้ควบคุมพฤติกรรม ตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา ให้ดำเนินชีวิต ตามทางของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และตลอดไปเลย

คราวนี้เราจะมาเรียนรู้ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรากำลังทำ ที่เราคิดว่าเราทำดีแล้ว ที่สายตามนุษย์มองดูข้างนอก อาจจะมองดูว่าดี  เพราะหลายอย่าง ไม่ดี ก็เห็นอยู่แล้วว่าไม่ดี แต่บางอย่างมันดูเหมือนดี เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทำดีจากพลัง การกระทำของตนเอง ที่สร้างขึ้น เหมือนปั่นจักรยานด้วยตนเอง หรือเรากำลังทำจากความรักของพระเจ้า พลังอำนาจของพระเจ้า

เราจะรู้ได้อย่างไร? โดยการสังเกตว่าที่เรากำลังทำดีอยู่นั้น ที่เราคิดว่าดีอยู่นั้น เราทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเองหรือเปล่า? หรือเพื่อพระคริสต์ เพื่อพระเจ้ากันแน่ ค่อยๆ คิดตามนะ ช้าๆ เราลองคิดดู เอ๊ะ! เราทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเองไหม? ถ้าไม่ชัด เดี๋ยวตามต่อมา

แต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะเชื่อในพระเจ้า ก่อนที่เราจะบังเกิดใหม่ เราทำดี เหมือนทำบุญ ทำทาน หวังจะได้ผลบุญ จากการกระทำดีนั้น ใช่หรือไม่?  แล้วเมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว มาเกิดใหม่แล้ว เรายังหวังผลจากการกระทำที่เราคิดว่าดีอีกหรือเปล่า? คิดให้ดีๆ

หรือเราทำดีจากแรงบันดาลใจของวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ ที่เหมือนพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เป็นความรักเหมือนพระเยซู เป็นความต้องการของพระองค์ที่ผลักดันให้เรากระทำสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเราเรียกว่า “อยู่เพื่อพระคริสต์ มิใช่อยู่เพื่อตนเอง” ภาษาอังกฤษตรงนี้ชัดมาก เปาโลบันทึกเอาไว้หลายตอนบอกว่า “To live is Christ” แปลเป็นภาษาไทยยาก การมีชีวิตอยู่ is Christ จะบอกว่าอยู่เพื่อพระคริสต์มันก็ไม่เชิงนะ ต้องบอกว่า To live is Christ อยู่ก็อยู่เป็นแบบพระคริสต์เถอะ

บางคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว กระทำดี ก็ยังหวังว่าจะตั้งใจทำให้ดี เพื่อจะได้รางวัลในสวรรค์ดีกว่าคนอื่นๆ โอ้โห! อันนี้ชัดมากเลย บางทีเราไม่ได้นึกว่าจะมากกว่าคนอื่นๆ แต่พอมาดูอีกที มันใช่ ครั้งหนึ่งเมื่อเริ่มเชื่อ ยังไม่โตในโลกวิญญาณ ผมก็คิดอย่างนั้นว่ากระทำดีเหล่านี้ เพื่อเราจะได้สะสม ไปรับรางวัลในสวรรค์มากๆ อาจจะมีคอนโดใหญ่กว่าเขาบ้าง? บ้านใหญ่กว่าเขาบ้าง? รับใช้มากๆ จะได้ มีอะไรดีๆ บนสวรรค์ เป็นเรื่องธรรมดา เราจะคิดอย่างนั้นได้ แต่พระเยซูบอกว่าไม่มีหรอก ขึ้นไปบนนั้น บนสวรรค์เท่ากันหมดแหละ ไม่มีคนต้นคนปลายหรอก ทุกคน พระเจ้าจ่ายให้เท่ากัน รางวัล ก็คือไปสวรรค์ ยังไม่พออีกหรือ? แค่ไปสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ อยู่ตลอดไปเลย ในบ้านของพระองค์ ในสวรรค์สถานที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้ แค่นั้นก็เหลือเฟือแล้ว ยังจะเอา คิดอยากมีมากกว่าคนอื่นอีกหรือ? คิดดูสิ ผมลองคิด แล้วอายตัวเอง คิดไปถึงอดีต ตอนที่เรายังไม่รู้เรื่อง

บางคนบอกว่าประกาศข่าวดี ไปให้กับผู้ที่ยังไม่เชื่อ เพื่อหวังว่าจะได้รับรางวัล ได้รับคำชมจากพระเจ้า ขึ้นสวรรค์แล้ว พระเจ้าจะได้ชมว่า …

“เยี่ยมมากเลยๆ”

แต่พระคัมภีร์บอกว่าไม่ใช่การกระทำที่จะมาอวดอ้างได้ว่า …

“ฉันทำดีอย่างนั้น ฉันทำดีอย่างนี้”

แล้วแต่จะคิดนะ ท่านไปคิดเรื่อยๆ แล้วกันว่าจะเห็นด้วยกันกับผมหรือไม่?

พระคัมภีร์บอกไว้ว่าอย่างนี้ สรุปว่าความรัก คือการให้ ถูกไหม? การให้ ให้จริงๆ นะ

การให้ คือการไม่หวังสิ่งตอบแทน ถ้าเราหวังสิ่งตอบแทน ก็ไม่เรียกว่าการให้ ถ้าเราหวังสิ่งตอบแทน ก็คือการลงทุน ไม่ใช่การให้

เพราะฉะนั้น การให้จริงๆ ออกจากความรัก ก็คือการให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน  เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถรักแบบอากาเป้ รักแบบพระเจ้า โดยหวังสิ่งตอบแทน ได้เลย ไม่มีทางเลย

อีกครั้งหนึ่ง … เราไม่สามารถแสดงความรัก หรือมีกิริยาที่เรียกว่าความรัก แบบพระเจ้า หรืออากาเป้ได้ โดยหวังสิ่งตอบแทน  เราสามารถให้ โดยปราศจากความรัก แบบอากาเป้ได้ อย่างที่บอก ให้เพราะสงสารก็ได้ …

เราสามารถให้ โดยปราศจากความรัก แบบอากาเป้ แต่เราไม่สามารถรักแบบอากาเป้ คืออย่างไม่มีเงื่อนไขได้ โดยปราศจากการให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

กลับไปใคร่ครวญคิดดูให้ดีๆ ตรงนี้ เราจะไม่สามารถรักแบบอากาเป้ได้ ตราบใดที่เรายังไม่เห็น ซึมซับ และรับเอา ชาร์จแบตเตอร์รี่ พลังงานอันยิ่งใหญ่แห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า เข้ามาในชีวิตของเรา เราไม่มีทางจะปล่อยความรักนี้ออกไปได้เลย เพราะเราไม่มีอยู่ข้างใน จะให้ได้อย่างไร? มีจึงจะให้ได้ มันไม่มี จะให้ได้อย่างไร?

ความรัก แบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่เรียกว่าอากาเป้นี้ เราได้มาแล้ว เรายังต้องมองให้เห็นถึงความจริงนี้ และซึมซับ และรับเอา ซึ่งเรียกว่าชาร์จพลังแบตเตอร์รี่ ต้องเรียนรู้ ซึมซับ และรับเอา ต้องเรียนรู้ให้ตาเปิดออก ให้เห็นให้ได้ ซึ่งเปาโลก็เพียรอธิษฐาน วิงวอน ขอต่อพระเจ้า ขอเปิดตาวิญญาณเขาๆ ให้เขาเห็นถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำให้พระเยซู ที่ไม้กางเขนนั้น คือความรักที่พระองค์ทรงสำแดง ทุกวันนี้ ฤทธิ์อำนาจนี้ ยังทำงานอยู่ในตัวเขา ผู้เชื่อทั้งหลาย ให้เขาได้เห็น เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ และหมั่นพูดอยู่เสมอ ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเรา เห็นมากเท่าไร? ซึมซับมากเท่าไร? ก็มีพลังมากเท่านั้น เอามาใช้ได้มากเท่านั้น

พูดอย่างนี้ บางคนเขาก็กลัวว่าถ้าเราสอนความจริงของพระเจ้าอย่างนี้ ว่าความรักของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นอากาเป้ คืออภัยความบาปให้กับเราหมดแล้ว ทั้งในอดีต บาปในปัจจุบันด้วย และบาปที่จะทำให้อนาคตอีกต่างหาก พระเยซูเอาออกไปหมดแล้ว เป็นความรักแบบอากาเป้

ถ้าเกิดเรารับรู้ความจริงอย่างนี้ จะทำให้เสียนิสัย ทำบาปมากขึ้น ท่านคิดว่ามันจริงไหม? มันเป็นไปได้ไหม? ที่ผมเคยยกตัวอย่างในตอนแรก เรื่องเกี่ยวกับแม่ที่รักลูกมาก ที่ลูกดื้อ ทำตัวเหลวไหล เกเร และลูกได้เห็นความรักของแม่ที่ไม่มีเงื่อนไข คุกเข่าขอชีวิตกับนายทุน เจ้าหนี้ ให้กับลูกของตนเอง พอลูกเห็นความรักของแม่อันยิ่งใหญ่นั้น แล้วทำบาปมากขึ้นหรือ? ลองคิดดูแค่นี้

ถ้าเรามาเรียนรู้จักความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าแต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะเชื่อพระเจ้า เราอยู่ในอาดัม ถูกครอบงำด้วยความบาป เกลียดชังพระเจ้า คือเกลียดชังความดี ต้องฝืนมากเลย ที่จะทำความดี หรือทำความชอบธรรม ฝืนมากเลย ถ้าจะมีความรักแบบแท้ๆ แบบอากาเป้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราเป็นทาสของมาร โดยกำเนิด ถูกหรือไม่ถูก? คิดไปด้วยกันช้าๆ แต่เดี๋ยวนี้เราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระคัมภีร์เมื่อตะกี้ที่เราอ่าน บอกว่าเราถูกครอบงำ เป็นทาสของพระคริสต์ เหมือนสมัยก่อนอาดัม แต่มันตรงกันข้ามกันเท่านั้นเอง เป็นทาสเหมือนกันเลย ถูกครอบงำ เพราะฉะนั้น เราเป็นทาสของความรัก แบบอากาเป้ของพระเจ้า ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น เราต้องฝืนมากเลย ที่จะทำบาป และฝืนมากที่จะทำความเกลียดชัง มันฝืนกันมากเลย จากความเป็นจริงในวิญญาณของเรา

ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระคุณความรักของพระเจ้า ทำให้เราทำบาปน้อยลง ลบความบาปออกไป จำนวนมากมาย เหตุจากความรักและพระคุณของพระเจ้า

คราวนี้เรามาดูว่าความรัก แบบอากาเป้ตรงนี้ ที่บอกว่าเป็นพลังอำนาจมหาศาล ที่กำลังทำงานอยู่ในผู้เชื่อ ที่เกิดใหม่แล้ว อยู่ในวิญญาณของเรา จากการกำเนิด เกิดมาเป็น หน้าตาของความรัก พลังอำนาจของความรักเป็นอย่างไร? คร่าวๆ ดูสิว่าพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร? อย่าลืมว่าเรากำเนิด เกิดมาเป็นเลยนะ “เป็น” ตรงนี้แหละว่าความรักที่ทำงานอยู่ในวิญญาณของเรา ตัวตนแท้ๆ ของเรานี้ หน้าตามันเป็นอย่างไร? อยู่ในหนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 13 ก่อนที่จะอ่านบทที่ 13 ไปอ่านบทที่ 12 ข้อ 31 ก่อน 1 โครินธ์ 12:31 …

1 โครินธ์ 12:31  “แต่ท่านทั้งหลายจงขวนขวายของประทานต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า  และข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงทางที่ดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย”

 

ก่อนหน้านี้เปาโลกำลังอธิบายถึงเรื่องเกี่ยวกับพรสวรรค์หรือของประทาน ที่พระวิญญาณให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย ในความถนัด พูดง่ายๆ “ถนัด” จะเห็นชัด มีพรสวรรค์ พระองค์ทรงประทานให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเป็นครูสอน บางคนเป็นศิษยาภิบาล บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ  บางคนอธิษฐานวางมือรักษาโรค บางคนมีของประทานแห่งความเชื่อ ทำการอัศจรรย์ ทั้งหมดนี้ พระวิญญาณเป็นผู้ประทานให้เยอะแยะ

แล้วก็มาพูดสรุปสุดท้ายว่า … “แต่ท่านทั้งหลาย จงขวนขวายของประทานต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า” ก็คือให้เป็นไปตามที่พระเจ้าเตรียมท่านไว้ว่าของประทานของท่านเป็นอะไร?

“และข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงทางที่ดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย” ก็คือและตอนนี้ ต่อไป จะบอกว่า ที่ให้ขวนขวายหาของประทาน เพื่อรับใช้กันและกันนั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือความรักตรงนี้แหละ 1 โครินธ์ 13:4-8 …

1 โครินธ์ 13:4-8  “4 ความรักย่อมอดทนนาน  ความรัก คือความเมตตา  ไม่อิจฉา  ไม่อวดตัว  ไม่หยิ่งผยอง  5 ไม่หยาบคาย  ไม่เห็นแก่ตัว  ไม่ฉุนเฉียว  ไม่จดจำความผิด  6  ความรักไม่ปีติยินดีในความชั่ว  แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ  ไว้วางใจเสมอ  มีความหวังอยู่เสมอและอดทนบากบั่นอยู่เสมอ 8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น  แม้การเผยพระวจนะจะเลิกรา  การพูดภาษาแปลกๆ จะเงียบหาย  ความรู้จะล่วงพ้นไป”

 

แต่ความรักอยู่ไปตลอด จนนิรันดร์ เพราะเป็นพระลักษณะของพระเจ้า และเราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์นั่นเอง คริสเตียนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับถ้อยคำตรงนี้อย่างดี หลายคนเอาไปท่องจำขึ้นใจเลยนะ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง จริงๆ แล้วสาระสำคัญของถ้อยคำตรงนี้ บรรยายถึงคุณสมบัติของความรักแบบอากาเป้ของพระเจ้า แบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า หน้าตามันเป็นอย่างนี้ กำลังอธิบายถึงลักษณะ คุณสมบัติ แต่สิ่งที่คนมักจะเข้าใจผิด คือไปหยิบยกเอาข้อความนี้มา แล้วก็บอกว่า …

“นี่คือสิ่งที่คริสเตียน ต้องทำให้ได้”

เอาล่ะสิ เพราะคริสเตียนต้องมีความรัก  คริสเตียนต้องรักผู้อื่น   เพราะฉะนั้น คริสเตียนต้องมีเมตตา  ต้องไม่อิจฉา  ต้องไม่อวดตัว  ต้องไม่หยาบคาย  ต้องอดทนให้ได้  สารพัด “ต้อง” ต้องๆๆๆๆ รวมความ ก็คือต้องกระทำด้วยตัวเอง ให้เป็นไปตามนี้ ถูกหรือไม่? มีคริสเตียนส่วนใหญ่ ก็คิดอย่างนี้

แล้วถ้าเรามาศึกษาความหมายของถ้อยคำตรงนี้จริงๆ จะเห็นว่าคำว่า “ความรัก” ที่ตะกี้นี้อ่านกัน มันเป็นคำนาม ซึ่งหมายถึงเป็นคุณสมบัติ เป็นคุณลักษณะ ไม่ใช่เป็นคำกิริยาว่าการกระทำ ต้องทำ ในบริบทนี้ ในข้อพระคัมภีร์นี้ จากตรงนี้เลย เป็นคำนาม ก็คือ “มี” ความรักแบบนี้ ไม่ได้บอกให้ทำแบบนี้ ซึ่งในทางกลับกัน ต่อให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นความอดทนนาน มีเมตตา ไม่อิจฉา ไม่หยาบคาย ต่อให้ทำได้มากขนาดไหน? ก็ตาม ซึ่งดูแล้วมันดีใช่ไหม? ใครๆ ก็บอกว่าดี ทำอย่างนี้ อดทนก็ดี  ไม่อิจฉา ก็ดี ไม่หยาบคาย ก็ดี ซึ่งต่อให้ทำได้มากขนาดไหน? ซึ่งไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความรัก แบบอากาเป้ ก็ไม่สามารถเป็นพลัง หรือเป็นแรงขับเคลื่อน ที่เป็นของแท้ๆ ที่มาจากพระเจ้าได้เลย คิดให้ดีๆ

อาจารย์เปาโลก็รู้ ก่อนหน้าในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:4-8 จึงได้เขียนไว้ในข้อที่ 1-3  บอกว่าต่อให้ทำดีถึงขนาดขายของทั้งหมดเลย ยอมยากจนเลย แล้วเอาไปให้กับคนจน  หรือเอาตัวไปเผาไฟ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่ได้ถูกผลักดันด้วย ข้อ 4-8 ก็คือไม่ได้ถูกผลักดันด้วยความรักแบบนี้ ก็แสดงว่าตามสายตาของมนุษย์ ข้างนอกที่เรามองเห็น มันวัดกันไม่ได้นะว่าทำอย่างนี้มันดีหรือไม่ดี ดูเหมือนดี เหมือนๆ กัน ขายของทั้งหมดเลย แล้วเอาไปให้คนจน ดูดีหมดทุกคน แต่เป็นไปได้ว่าขายของให้คนจนทั้งหมด เพื่อหวังสิ่งตอบแทนอะไรบางอย่าง ไม่รู้ คนนั้นรู้เอง

เห็นไหม? น่าตกใจขนาดไหน? คุยกันไม่จบเลยนะเรื่องนี้ ที่บอกว่าทำอย่างนี้คือดี ทำอย่างนี้คือความรัก เปาโลบอกว่าพระเจ้าให้ดูที่ข้างใน เราอาจจะเป็นหลุมศพฉาบปูนขาวก็ได้ ข้างในเหม็นหึ่งเลย ข้างนอกดูเหมือนมีกลิ่นหอม แต่เป็นน้ำหอมเทียม เดี๋ยวมันก็หมดไป อะไรอย่างนี้

เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาอยู่กับเรา ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา ทำการอัศจรรย์ ผ่าตัดวิญญาณเรา เรียกว่าบัพติศมาเราด้วยไฟ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา ให้เราบังเกิดใหม่  เป็นความรักแบบนี้ ตาม 1 โครินธ์ 13:4-8 ต้องให้เห็น ซึมซับ และรับเอาให้ได้ เห็นมากเท่าไร? ก็ใช้ประโยชน์ได้มากเท่านั้น

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา ให้ตัวเราเป็นความรัก  แบบนี้ คือให้มีคุณสมบัติในวิญญาณที่บังเกิดใหม่แบบนี้ ไม่ใช่ต้องทำให้เป็นแบบนี้ ด้วยตัวเราเอง แต่จะเป็นแบบนี้ จากการบังเกิดใหม่ กำเนิด เกิดมาเป็นความรักแบบนี้เลย เอเมน

บางคนบอกว่าเราเป็นถึงผู้รับใช้ เป็นถึงศิษยาภิบาลต้องมีความอดทน โกรธไม่ได้ ด่าใครก็ไม่ได้ ผู้รับใช้ทั้งหลายเลยต้องพยายามนับ 1 – 100 กัดฟันทน  ทนดีไหม? ดี … ดีในสายตาใคร? สายตาคนรอบข้างดูดีหมด แต่ถามว่าความอดทนนั้น มาจากความรักแบบอากาเป้ข้างใน มาจากแรงผลักดัน จากพระเยซูที่อยู่ข้างในหรือไม่? อันนี้ก็ไม่รู้นะ บางคนเครียดเลย เพราะถูกสอนมาว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องพยายามทำให้ได้ตามนี้ทั้งหมด ก็เลยพยายามไปหาซื้อหนังสือที่เขาสอนว่า “วิธีฝึกให้มีความอดทน” “วิธีฝึกให้รู้จักบังคับตัวเอง” มีหนังสือคริสเตียนเต็มไปหมดเลย ที่สอนวิธีการฝึก ฝึกให้เป็นไปตามผลของพระวิญญาณ สังเกตคำว่าฝึกและผลนะ สอนวิธีฝึกให้เป็นไปตามผลของพระวิญญาณ

เมื่อตะกี้เราบอกแล้วนะว่าเราบังเกิดใหม่ โดยการกำเนิด เกิดมาเป็น

บางแห่งก็มีสอนว่าเราต้องสร้างผลของพระวิญญาณทั้ง 9 อย่างขึ้นมา ความรัก  สันติสุข  ความปลาบปลื้มใจ  ความอดทน  ความปราณี  ความดี  ความสัตย์ซื่อ  ความสุภาพอ่อนน้อม  และการรู้จักบังคับตน  นี่คือคุณสมบัติของผลของพระวิญญาณ ใครที่ยังทำไม่ได้ทั้งหมดนี้ ก็พยายามค่อยๆ ฝึกไปทีละอย่าง เจอหน้ากัน …

“วันนี้ฝึกตัวไหนอยู่”

“วันนี้ฝึกความอดทนอยู่”

“วันนี้ฝึกเสร็จแล้วความอดทน เดือนหน้ากะว่าจะฝึกตัวใหม่ ก็คือฝึกตัวสัตย์ซื่อ”

ฟังดูก็เหมือนดี แต่จริงๆ แล้ว โดยชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เราเกิดมาเป็นเลย ไม่ได้ให้เราสร้างผลขึ้นมา เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วยกับใคร? ก็จะทำให้ผู้นั้นมีคุณสมบัติเหล่านี้ เรียกว่าผล หรือคุณสมบัติของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ผลจากการกระทำของตัวเราเอง จริงๆ แล้วชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นผลของพระวิญญาณ เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทำให้เกิดผลในตัวเราเอง

เกิดใหม่จริงหรือไม่? พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอยู่เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของท่านแล้วหรือไม่? ตรงนี้มากกว่า ไม่ใช่เกิดจากการกระทำภายนอก แต่เกิดจากการกระทำข้างใน เกิดจากบังเกิดขึ้นข้างใน ไม่ใช่ให้เราสร้างขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะให้เกิดผลข้างในเราเอง ไม่ใช่ให้เราสร้างสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเราเอง พระองค์จะเป็นแรงขับเคลื่อนจากข้างในออกมา จากภายในของเราออกมา ไม่ใช่ ให้เราฝึกฝนจากภายนอก ไม่ใช่

ถ้าเราทำจากภายนอก ก็เป็นผลจากภายนอก เป็นผลจากการกระทำของเราเอง เราฝึกฝน พยายามจะอดทน นับ 1, 2, 3 เขาบอกก่อนจะอดทน ให้นึกถึงอันโน้นอันนี้ นับลูกแกะ นับอะไรก็ว่าไป ให้พยายามนึกถึงว่าถ้าเราไม่อดทน มันจะเกิดความเสียหาย อันนี้ไม่ใช่ นั่นคือการกระทำฝึกฝนของตัวเราเอง แต่นี่ออกมาจากพลัง จากข้างใน คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จากการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ต่างหาก

ความหมายของความรักแบบอากาเป้ที่อธิบายใน 1 โครินธ์ ตรงนี้ เป็นคุณลักษณะ หรือคุณสมบัติของความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพระคริสต์ และเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ ที่บอกว่าเราได้เป็นเหมือนพระคริสต์ เราก็เป็นความรักแบบเดียวกันกับพระองค์ คือเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ตัวตนแท้ๆ ของเราเป็นอยู่ จากการบังเกิดใหม่แล้ว ตัวตนแท้ๆ เราเป็นความรักแบบพระคริสต์อย่างนี้เลย ต้องเรียนรู้ พระเจ้าทรงเปิดตาวิญญาณเราทั้งหลายให้เห็น ซึมซับ และรับเอาความจริงตรงนี้เข้ามาด้วยเถิด ซึ่งเป็นการชาร์จพลังงานความรักนี้เข้ามาในชีวิตของเรา เพื่อจะผลักดัน ควบคุม และเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตของเราออกไปให้เหมือนพระคริสต์ให้มากที่สุดนั่นเอง

เพราะฉะนั้น อยากให้ท่านกลับไปอ่านถ้อยคำตรงที่เราได้วิเคราะห์ตรงนี้กันใหม่ ใน 1 โครินธ์ 13:4-8 โดยอยากให้ท่านอ่าน เมื่อถึงคำว่า “ความรัก” ให้ท่านเปลี่ยนเป็น “พระคริสต์” หรือพระเยซูก็ได้ ลองอ่าน

“พระเยซูคือความเมตตา  พระเยซูไม่อิจฉา  พระเยซูไม่อวดตัว  พระเยซูไม่หยิ่งผยอง  พระเยซูไม่หยาบคาย  พระเยซูไม่เห็นแก่ตัว  พระเยซูไม่ฉุนเฉียว  พระเยซูไม่จดจำความผิด  พระเยซูไม่ปีติยินดีในความชั่ว  แต่ชื่นชมยินดีในความจริง พระเยซูปกป้องคุ้มครองเสมอ  พระเยซูไว้วางใจเสมอ  พระเยซูมีความหวังอยู่เสมอและพระเยซูอดทนบากบั่นอยู่เสมอ พระเยซูไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะจะเลิกรา การพูดภาษาแปลๆ จะเงียบหาย ความรู้จะล่วงพ้นไป”

แต่พระเยซูทรงอยู่ตั้งแต่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน และเราทั้งหลาย พระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่าตัดวิญญาณเรา ตอนเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ให้เราเป็นขึ้นจากความตาย เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เหมือนพระเยซู ฉะนั้น ที่พระเยซูอดทนนาน ก็เป็น …

“ฉันย่อมอดทนนาน ฉันมีเมตตา ฉันเป็นนะ ฉันไม่อิจฉา ฉันไม่อวดตัว” เห็นภาพหรือยัง?

เราเรียนกันมาตลอดว่าพระเจ้าเป็นความรัก และเราเป็นเหมือนพระเจ้า เราร้องเพลงกันได้ตั้งแต่เด็กๆ เลยนะ

“พระเจ้าเป็นความรักๆ”

แล้วเราก็ลืมว่าเราก็เป็นความรักเหมือนพระเจ้า  เราจึงเป็นความรักชนิดเดียวกันกับพระเจ้า คือเป็นอากาเป้เหมือนกัน ไม่ใช่ให้เรากระทำความรักให้เหมือนพระเจ้า ไม่ใช่ให้เราปฏิบัติตัวให้เหมือนพระเจ้า แต่เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว หน้าที่ของเรา ไม่ใช่ให้เรากระทำ ให้เราสร้างผลของพระวิญญาณ คือความรักตรงนี้ขึ้นมา แต่ให้เราปลดปล่อยให้วิญญาณกระทำการงานในตัวเรา ปลดปล่อยให้พลังความรักนี้ออกมา กระทำการงาน เหมือนที่ตะกี้นี้บอกว่าปลดปล่อยให้พลังงานเปิดสวิตช์เท่านั้นเอง แล้วพลังนี้จะออกมาเฉยๆ ไม่ใช่ต้องไปปั่นจักรยานรุ่นเก่าให้พลังไฟฟ้าออกมา อยากให้สว่างๆ เดี๋ยวนี้เขามีใหม่แล้ว เกิดใหม่แล้วจักรยาน อยากมีพลังแสงสว่าง เปิดสวิตช์ ปลดปล่อยพลังงานแห่งแสงสว่างออกมา ต้องรู้ตรงนี้ ถ้ายังไม่รู้ เราก็ยังคงใช้จักรยานรุ่นเก่าอยู่ดี

และนี่ก็คือความหมายที่บอกว่าให้เดินกับพระวิญญาณ ก็แปลว่าอย่างนี้ ให้พระวิญญาณสร้างผลในตัวเรา ให้ผลของพระวิญญาณเกิดขึ้นมา โดยพระวิญญาณเอง ไม่ใช่ตัวเราเอง แต่พอเราได้ทราบความจริงตรงนี้แล้ว ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่าถ้าอย่างนั้น ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า จะเป็นอันตรายไหม? จะทำให้เราทำบาปมากขึ้นหรือไม่? ซึ่งตะกี้บอกไปแล้ว อ่านอีกทีหนึ่งในข้อพระคัมภีร์นี้ 1 เปโตร 4:8 ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ ชัดเจนแจ่มใสเลยว่ากลัวไหม? กลัวว่าถ้ารู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็ทำบาปกันสบายใจเลยสิ ลองอ่านดูสิ …

1 เปโตร 4:8  “เหนือสิ่งอื่นใด  จงรักกันอย่างลึกซึ้ง  เพราะความรักลบความผิดบาปมากมายได้  โดยการให้อภัย”

 

ตรงนี้ถ้าไม่เข้าใจความหมาย อาจกลายเป็นว่าอย่าให้มีความรักเยอะ เพราะว่าความรักเยอะ มันจะล่อลวงให้ไปทำบาป มันไม่ใช่อย่างนั้น ในนี้บอกว่าความรักยิ่งเยอะ ยิ่งไม่เห็นแก่ตัว ตะกี้นี้ก็อ่านพร้อมกัน ความรักยิ่งเยอะ ยิ่งไม่เห็นแก่ตัว ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่อิจฉาริษยา ไม่ฉุนเฉียว แล้วมันลดไหม? ลดความบาปหรือเพิ่ม ง่ายนิดเดียว พอรู้ความจริงเหล่านี้ ท่านจะเห็นชัดเจน ไม่ซี้ซั้วพูดตามความคิดของตนเอง  เอเฟซัส 3:19 ได้บันทึกอย่างนี้ …

เอเฟซัส 3:19 “ให้ซาบซึ้งในความรักนี้  ซึ่งเหนือกว่าความรู้  เพื่อท่านจะบริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า”

 

“ให้ซาบซึ้งในความรักนี้” หมายถึงให้เห็น ซึมซับ รับเอา ให้ท่วมท้น ให้จุ่มลงไป เหมือนน้ำหอมเมื่อตะกี้นี้ จุ่มลงไปในพลังความรักอันนี้ มากกว่าไปเรียนความรู้อื่นๆ อีกเยอะแยะเลย เพื่อท่านจะได้บริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า เต็มไปด้วยน้ำพระทัย เต็มไปด้วยความดีงาม แบบพระเจ้า

เปาโลพยายามที่จะอธิบายว่าจะเป็นอย่างไร? เมื่อชีวิตของเราถูกขับเคลื่อน ครอบงำ เป็นทาสของความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้านี้ ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นแรงขับเคลื่อน ผลักดัน ครอบครอง ควบคุม เป็นเจ้านายเราในการดำเนินชีวิต มันเป็นอย่างไร? เปาโลกำลังบอกว่าต่อให้ท่านมีความรู้มากสักเท่าไร? ต่อให้ท่องพระคัมภีร์ได้ทั้งเล่ม ต่อให้รู้ประวัติศาสตร์ทั้งหมดเลย อ่านพระคัมภีร์มา 80 เที่ยว 100 เที่ยว ก็ไม่มีอะไรสำคัญกว่าความรู้และความเข้าใจ อันลึกซึ้งถึงความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าตรงนี้ได้เลย อยากให้ท่านรู้เข้าไปลึกๆ ทั้งกว้าง ทั้งยาว ทั้งลึก ทั้งสูงของความรักตรงนี้ พูดไม่ถูกเลย มันต้องเรียนกันไม่จบเลย มากกว่า สำคัญกว่าความรู้อื่นๆ สำคัญกว่าความเชื่อเยอะๆ ทำอัศจรรย์ได้ สำคัญกว่าการเผยพระวจนะได้ สำคัญกว่าการเป็นครูสอนศาสนา  สำคัญกว่าการเป็นพาสเตอร์ ศิษยาภิบาล สำคัญที่สุด เพราะมันจะอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เพราะมันเป็นตัวท่าน และเป็นบุคลิก ตัวตนของพระเจ้านั่นเอง

เพราะฉะนั้น ความรักของพระเจ้าจะมีอันตรายแบบที่คิดไหม? เมื่อเรียนรู้ความรักของพระเจ้าแบบนี้ มีอันตรายแน่นอนเลย มีอันตรายต่อมนุษย์ไหม? ไม่มีเลย มีอันตรายต่อมารไหม? มี เพราะมันอยู่ตรงกันข้ามกับความรัก ก็อดทนนาน มารบอก … ความเกลียดชังสิ ความเกลียดชัง คือความไม่อดทนนาน ความเกลียดชังคือความฉุนเฉียว ความเกลียดชังคือการฆ่า ขโมย และทำลาย ต้องท่องอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ ถ้าทำไม่ได้ โกหกอย่างอื่น ก็โกหกหลอกลวงให้เราทำเหมือนความรักอย่างนี้ เสแสร้ง ปลอมตัวมาเป็นพระคริสต์ ทำตัวเหมือนความรัก เหมือนอดทนนานเลย แต่อดทนนานจากข้างใน อะไรบางอย่างที่เก็บเอาไว้ ยัง ยังไม่ใช่ของแท้ พูดง่ายๆ แล้วบอกว่าพระคริสต์ พระคริสต์เทียมไง ทำข้างนอกดูเหมือนพระคริสต์เลย แต่ข้างในถูกแอบไว้ ถูกกลบไว้ ไม่อิจฉา ที่ไม่อิจฉา เพราะว่าเก็บไว้ มีอะไรอยู่ในใจ ไม่รู้หรอก ข้างนอกเราดูเอา ไม่เห็น แต่ไม่มีใครสามารถปกปิด จากพระเจ้าได้ พระองค์มองดูที่ใจข้างใน รู้เลยว่าคนนี้ทำไป เพื่ออะไร? และอย่างไร? เห็นไหมชัดเจน โรม 15:30-31 …

โรม 15:30-31 “30 พี่น้องทั้งหลาย  โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  และโดยความรักจากพระวิญญาณ   ข้าพเจ้าขอให้พวกท่านร่วมในการดิ้นรนต่อสู้ของข้าพเจ้า  ด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อข้าพเจ้า 31 ขออธิษฐานให้ข้าพเจ้าได้รับการช่วยเหลือ ให้พ้นจากผู้ไม่เชื่อทั้งหลายในแคว้นยูเดีย และขอให้ประชากรของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม  ยอมรับความช่วยเหลือของข้าพเจ้า”

 

อาจารย์เปาโลอยากจะให้ผู้เชื่อทั้งหลายอธิษฐานให้อาจารย์เปาโล ในการที่จะไปประกาศข่าวประเสริฐในที่ต่างๆ สำหรับคนต่างชาติ ซึ่งถูกข่มเหง รังแก โดยชาวยิวบ้าง โดยคนที่เสียผลประโยชน์บ้าง ขัดขวางอะไรต่างๆ ก็เลยให้ช่วยอธิษฐานด้วย ดูสิ สังเกตให้พี่น้องอธิษฐานด้วยอะไร?

“พี่น้องทั้งหลาย  โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  และโดยพลังอำนาจของความรักจากพระวิญญาณ ข้าพเจ้าขอให้พวกท่านร่วมในการดิ้นรนต่อสู้ของข้าพเจ้า”

ให้ร่วมเป็นหนึ่งในการปล้ำสู้กับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ อธิษฐานโดยฤทธิ์อำนาจของความรักจากพระวิญญาณ

มีคริสเตียนบางคน เวลาพูดถึงพระเยซูคริสต์ ก็จะนึกถึงความรัก  เห็นชัด ความเสียสละของพระองค์ ยอมตายที่ไม้กางเขน ความเมตตาของพระองค์ แต่พอพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตกใจกลัว กลายเป็นความกลัว กลายเป็นการมาสอนว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงเรา จะคอยตีเรา เฆี่ยนเราถ้าเผื่อหมิ่นประมาณพระวิญญาณตกนรกทันทีอะไรอย่างนี้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดทั้งหมด พระวิญญาณก็รักเรา เห็นหรือยัง? จากพลังอำนาจความรักอันเดียวกันนั้น จากพระวิญญาณก็แสดงว่าทั้งพระวิญญาณ ทั้งพระเยซูคริสต์ ทั้งพระบิดารักเราด้วยความรักเหมือนกันหมดเลย คือความรักแบบอากาเป้ จริงๆ แล้วทั้ง 3 พระภาคล้วนเป็นความรัก แบบอากาเป้ทั้งสิ้น ซึ่งรวมเราเข้าไปอีกหนึ่งในนั้น คือเป็นหนึ่งเดียวกันทั้ง 3 ภาค เราเลยกลายเป็นความรักแบบเดียวกัน คือความรักแบบไม่มีเงื่อนไข แบบอากาเป้ เป็นพลังอำนาจในการขับเคลื่อนชีวิตเรา อย่างนี้ไม่ดีเหรอ?

พลังอำนาจที่ขับเคลื่อนเรา คือพลังอำนาจที่มาจากพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งทรงสถิตอยู่กับเรา ทรงรักเรา เรียกว่าพลังอำนาจแห่งความรัก และทำให้ตัวเราทั้งหลายได้เกิดใหม่ กลายเป็นความรักชนิดเดียวกันแล้ว ให้ความรักชนิดนี้ ผลักดันเราในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด กาลาเทีย 5:13 …

กาลาเทีย 5:13 “พี่น้องทั้งหลาย  ที่ทรงเรียกท่านนั้น  ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ  แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน  เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป  แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก”

 

“จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก” แบบอากาเป้อย่างนี้ แบบพระเจ้า ให้ความรักนี้ขับเคลื่อน และในนี้บอกว่า “อย่าปล่อยตัวของท่านตามวิสัยบาป” วิสัยบาปตรงนี้ ไม่ใช่นะ ต้องแปลจากภาษาเดิม มันคล้ายๆ กัน แต่ไม่ใช่วิสัยบาป … วิสัยบาป คริสเตียนไม่มีแล้ว เพราะว่าตายไปแล้ว ถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว นั่นแหละวิสัยบาป ตัวตนจริงๆ ของเรา ก็คือในอาดัม อดีตนั้น มันตายไปแล้ว ตอนนี้วิสัยของเรา คือวิสัยชอบธรรม วิสัยดี วิสัยความรัก

แต่ตรงนี้มันหมายถึง “อย่าปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง” ก็คืออิทธิพล ระบบที่เขาดำเนินกันบนโลกใบนี้ ที่คนไม่รู้จักพระเจ้า และเราในอดีตที่ไม่รู้จักพระเจ้า ก็ดำเนินอย่างนี้ ความเคยชินในระบบเก่าๆ อย่าปล่อยให้เป็นไปตามเนื้อหนังอย่างนั้น

แสดงว่าการรับใช้ซึ่งกันและกัน สามารถมาได้ 2 ทาง คือจากพลังของความรักของพระเจ้าที่อยู่ในเราก็ได้ และมาจากระบบของโลกนี้ เนื้อหนังก็ได้เช่นกัน เรามีอิสระที่จะเลือก พระเจ้าไม่ได้บังคับเราว่าต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ให้เราเลือกเอา แต่ถ้าเราเห็น ซึมซับ และรับเอาตลอดเวลา จดจ่อไปที่ความรักตรงนี้อยู่เรื่อยๆ เราก็จะได้พลังความรักตรงนี้มาผลักดันเรา แต่ถ้าจดจ่อบนโลกใบนี้ จดจ่อระบบของโลกใบนี้เหมือนเดิม ในที่สุด ดูเหมือนทำดี แต่แรงผลักดันออกมาจากเนื้อหนังของเรา ระบบเดิมของเรา ตัวตนจริงๆ ของเรา เราไม่รู้เรื่องเลย แต่ออกมาจากความคิดตามเนื้อหนัง ตามระบบของโลกใบนี้ มันมี 2 ทางให้เราเลือก นี่ก็ชัดเจน

การรับใช้ซึ่งกันและกันในทางพระเจ้า ต้องมาจากพลังขับเคลื่อนของความรัก อากาเป้ของพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะเป็นของแท้ ไม่ใช่มาจากเนื้อหนัง เคยได้ยินใช่ไหม? คริสเตียนเนื้อหนัง คือคริสเตียนที่ยังต้องพึ่งตนเอง พึ่งความสามารถของตนเอง พึ่งระบบของโลกใบนี้ พึ่งการกระทำเก่าๆ ที่เคยกระทำมา พึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีที่เคยทำมา แทนที่จะพึ่งอย่างเดียว ไว้วางใจอย่างเดียว คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักชนิดของพระเจ้าอยู่ข้างในเราแล้ว ต้องมาจากความรักจากภายใน ที่พระเจ้าสร้างมาในชีวิตเราเท่านั้น แต่การที่เราจะสามารถทำได้ ตามที่บอกนั้น เคล็ดลับอยู่ที่เห็น ซึมซับ และรับเอา และรับเอาพลังอำนาจของพระเจ้า ที่ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีเงื่อนไข เท่ากับชาร์จพลังอำนาจ ความรักของพระเจ้าเข้ามา เราจึงมีพลังนี้ออกไปได้ เคล็ดลับอยู่ที่ซึมซับ รับเอาก่อน แล้วจึงจะให้ออกไป ฝึกที่จะเป็นคนรับก่อน ที่จะให้ ถ้าท่านไม่ฝึกที่จะเป็นคนรับ ท่านจะเอาอะไรไปให้  มันไม่มี ฝึกที่จะเป็นคนรับจากพระเจ้าก่อน 1 ยอห์น 4:17-18 นี่ก็ชัดเจนเหมือนกัน …

1 ยอห์น 4:17-18 “17 เช่นนี้  ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ท่ามกลางเราทั้งหลาย  เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา  เพราะในโลกนี้  เราเป็นเหมือนพระองค์ 18 ในความรักไม่มีความกลัว  แต่ความรักที่สมบูรณ์  ย่อมขจัดความกลัวออกไป  เพราะความกลัว  เกี่ยวข้องกับการลงโทษ  ผู้ที่กลัว  ก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์”

 

อย่างที่ผมบอกแล้วใช่ไหมครับว่ามีอยู่ 2 แหล่ง ที่เราจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ข้างนอกดูคล้ายๆ กัน เราอาจจะทำดูเหมือนความรัก แต่ข้างในผลักดันมาจากความกลัว ไม่ได้มาจากความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ จากข่าวประเสริฐของพระองค์ หมายถึงความเชื่ออย่างแท้ๆ นะ ถ้าไม่เชื่ออย่างแท้ๆ มันก็เป็นความกลัว เมื่อเกิดความกลัว มันก็จะเห็นแก่ตัว จะพึ่งตนเอง  แต่ดูข้างนอก ดูไม่ออก

มีแต่ตัวเราเองเท่านั้น ที่จะเอาถ้อยคำพระเจ้า ในวันนี้ ไปวิเคราะห์ เข้าไปแก้ไข ชันสูตร ข้อกระดูก เข้าไปในจิตวิญญาณลึกๆ ว่าเราเป็นชนิดไหนกันแน่

“เช่นนี้ ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ท่ามกลางเราทั้งหลาย เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา” เมื่อวานนี้ ใช้อารมณ์โกรธ ว่าคนอื่นเขาอย่างรุนแรง มั่นใจไหมว่าท่านได้ไปสวรรค์เหมือนเดิม มันหมายถึงอย่างนั้น  มั่นใจไหมว่าท่านได้รับความรอด รอดแล้วรอดเลย กำเนิดเกิดมาเป็น ท่านมั่นใจไหม? ถ้าไม่มั่นใจ ก็แสดงว่าความรักมันไม่เต็มบริบูรณ์ในท่าน ถ้าความรักของพระเจ้าที่ท่านเห็น ซึมซับ รับเอามันเต็มบริบูรณ์ในท่าน ท่านจะรู้เลยว่าอย่างไรท่านก็รอด พระเจ้าอภัยให้ท่านเรียบร้อยไปแล้ว ทั้งหมดแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ รักท่านดั่งแก้วตาดวงใจ ท่านเชื่อในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว อยู่ฝ่ายพระองค์ อยู่ข้างพระองค์ พระองค์ก็อยู่ฝ่ายท่าน เคียงข้างท่านตลอด มันหมายถึงอย่างนั้น

ความรักตรงนี้ทำให้เราเกิดความมั่นใจในความรอด บางคนยังไม่มั่นใจในความรอดของตนเองเลย อย่างนี้ต้องอธิษฐานเยอะๆ นะ เดี๋ยวจะสูญเสียความรอดตรงนี้ ต้องอภัยนะ ถ้าเธอไม่อภัย พระเจ้าก็ไม่อภัยให้เธอ อะไรประมาณนี้ เยอะแยะไปหมด เพราะความรักไม่เต็มบริบูรณ์

ในข้อ 18 บอกว่า “เพราะในความรักไม่มีความกลัว” เห็นไหม? ถ้าทำด้วยความรัก ไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์ ย่อมขจัดความกลัวออกไป จนหมดสิ้น ไม่มีการลงโทษ ผู้ที่กลัว ก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์

ถ้าท่านยังทำอะไรต่างๆ เพราะความกลัวอยู่ ก็ไม่มีความรักอย่างสมบูรณ์ มาคริสตจักรเป็นประจำดีไหม? ดีมาก  แต่พอไม่มาวันหนึ่งปุ๊บ ติดธุระวันหนึ่งปุ๊บ ท่านรู้สึกฟ้องผิด ไม่มาไม่ได้หรอก พระเจ้าไม่พอใจ เดี๋ยวเกิดตายไป ไม่ได้ไปสวรรค์ พระเจ้าไม่อวยพระพร ไม่ได้มา คิดเอาเองว่าในใจท่านคิดอะไรอยู่ ท่านถวายทรัพย์ เพราะกลัวว่าจะถูกสาปแช่งหรือ? เปาโลจึงสอนว่าให้เราอธิษฐาน ก็อธิษฐานจากใจ ถวายทรัพย์ให้ออกไป ก็ให้จากใจ จากความตั้งใจจริง ไม่ใช่ จากถูกคนเขาชักจูง ก็เกิดความกลัว หรือไม่ก็ความโลภ ชักจูงมี 2 อย่าง คือ …

“ถ้าเธอไม่ให้นะ สมาชิกไม่ให้นะ ตกนรก พระเจ้าจะสาปแช่ง” นี่คือความกลัว

ชักจูง ก็คือ … “นี่นะ เราจะได้รับรางวัลกลับคืน ได้อันนั้น อันนี้” แล้วเราก็ให้ ก็คือการลงทุน ไม่ใช่ความรักแท้

เพราะฉะนั้น สรุปจบความรักทั้งหลายทั้งปวงของเรื่องความรัก แบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่เราบอกรักไม่ฉุนเฉียว ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่ง ผยอง ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยได้เสมอ อดทนได้ทุกอย่าง

ความรักทั้งปวงเหล่านี้ เคล็ดลับสรุปจบแล้วอยู่ที่ 1 ยอห์น 4:19 บันทึกไว้ว่า …

1 ยอห์น 4:19 “เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน”

 

เรารัก เราไม่ใช่ต้องรัก เรารัก เพราะพระเยซูรักเราก่อน  พูดง่ายๆ ว่าเราให้ความรัก เพราะพระเยซูให้ความรักกับเราก่อน เราไม่สามารถให้ความรัก ถ้าเราไม่รู้ว่าพระเยซูให้ความรักกับเรา สมมติความรักนี้เป็นเงิน เราให้เงินออกไป เพราะพระเยซูให้เงินกับเราก่อน เราจึงมีเงินไปให้คนอื่นเขาได้ ถ้าเราไม่รับความรักจากพระเยซู พระเยซูให้ความรักกับเรา แล้วเราไม่เอา แล้วเราจะเอาอะไรไปให้คนอื่น เราก็พยายามสร้างความรักเราเอง ให้กับคนอื่น มันก็อนิจจา มันก็ทุกข์ทรมาน และมันก็เสียข่าวประเสริฐของพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ไป พระเยซูบอกว่าแอกของเราก็พอเหมาะ ภาระของเราก็เบา จงมาพักผ่อนในเรา หายเหนื่อยและเป็นสุข ก็คือรับมาอย่างไร? ก็ให้ไปอย่างนั้น รับจากพระเยซูคริสต์มาอย่างไร? ก็ให้อย่างนั้น เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน พระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************