วารสาร Holy News ฉบับที่ 1333

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  ตุลาคม  2021

 เรื่อง “ธรรมชาติเดียวกับพระคริสต์”

ตอน “เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่”

โดย ธิดารัตน์  ร่มพระคุณ

 

สวัสดีค่ะ เมื่อเราทั้งหลายได้รู้ว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็ได้รับการชำระล้างใหม่ ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของเราได้ถูกกระทำให้เปลี่ยนใหม่  ได้บังเกิดใหม่ด้วยความเชื่อ โดยพระวิญญาณ ร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ แต่ก่อนนี้เราอยู่ในฝั่งกฎแห่งความตาย แล้วเราย้ายฝั่งมาอยู่ฝั่งแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์

ดังนั้น เราไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ในการกระทำของเราอีกต่อไป วิญญาณของเราได้รับความรอดแล้ว  ในยอห์น 3:16 บอกว่า …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

พระองค์ไม่ได้มาพิพากษาโลก แต่มาช่วยโลกให้รอด  แต่บรรดาผู้ที่เชื่อและต้อนรับพระองค์ ผู้ที่วางใจในพระองค์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาทั้งหลายจะได้รับความรอด

ท่านเชื่อด้วยปาก และรับด้วยใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านก็รอด ไม่ต้องถูกพิพากษา ไม่ใช่ด้วยการกระทำดีของท่าน แต่ด้วยพระคุณ เพราะความเชื่อ

ฉะนั้น การกระทำของเราในโลกนี้ มันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ถ้าข้างในเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อวิญญาณเราหลุดออกจากร่างกายนี้ วิญญาณของเราได้สวมร่างกายใหม่ เราก็จะไม่ใช่ผู้ที่ถูกพิพากษาให้ตกนรก แต่เป็นผู้ที่ผ่านพ้นการถูกพิพากษา นั่งร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ บนสวรรคสถาน พิพากษาจักรวาลนี้ร่วมกับพระองค์

นี่คือสิ่งที่ล้ำลึกและอัศจรรย์ แต่ทำไมต้องมาแบ่งปันในเรื่องวันนี้ เพราะว่ามันเหมือนเป็นชีวิตประจำวันของเรา ที่เราเผชิญหน้าอยู่ทุกวัน แล้วเราก็รู้สึกมันอึดอัด มันมีการต่อสู้ มันมีการขัดขวาง เพราะว่าธรรมชาติใหม่ มันไม่ไปด้วยกันกับร่างกายเดิมของเรา หรือว่าตัวถังเราไม่ไปด้วยกัน มันขัดกัน มันก็ต่อสู้กัน เราก็ดำเนินชีวิตอย่างยากลำบาก จริงๆ เรามีชีวิตอยู่อย่างหายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว  แม้แต่ในโลกนี้ เราก็ควรจะหายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว เพราะว่าพระเจ้า พระเยซูได้บอกว่าผู้ใดก็ตาม ที่มาหาพระองค์ เรียนรู้จักพระองค์ พระองค์จะทำให้เราทั้งหลายหายเหนื่อยและเป็นสุข

พระเจ้าได้ทรงชำระล้างความบาปให้ท่านเรียบร้อยแล้ววันนี้ ไม่ได้มาสอน ให้ท่านต่อสู้ ด้วยกำลังของท่านเอง แต่มาแจ้งให้รู้ เหมือนที่อาจารย์นครได้พูดบ่อยๆ ว่ารับรู้ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ ให้เรารับรู้ และรู้ แล้วสามารถที่จะเคลื่อนไป ด้วยกันกับพระเจ้า ซึ่งอยู่ภายในเรา เราจะสามารถเคลื่อนไปกับพระองค์ได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องใช้กำลังอะไรเลย แค่เคล็ดลับอย่างเดียว คือยอม เพราะว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้ว พระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ในเรา พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในเรา เราเป็นของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว แต่พระเจ้าไม่ได้เข้ามาสิง พระองค์ไม่ได้เข้ามาครอบครอง ในลักษณะควบคุม หรือบังคับ ให้เราเป็นหุ่นยนต์ แล้วเคลื่อนไหวไปตามพระองค์ แต่พระองค์ให้เรามีอิสระในการตัดสินใจเหมือนกับตอนที่พระองค์ทรงสร้างอาดัมกับเอวา พระองค์ให้อิสระกับเขาว่าจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่เชื่อฟัง

ฉะนั้น เมื่ออาดัมล้มลงในความบาปปุ๊บ ทำให้พงศ์พันธุ์ของเราต่อมาจากอาดัม ติดเชื้อบาปไปด้วย  มี DNA ของความบาป  มีเชื้อสายของความบาป และกระทำความผิดบาป นั่นเป็นธรรมชาติในชีวิตของเขา พระเจ้ารู้แล้ว พระเยซูก็เลยมา เพื่อทำสิ่งนี้ให้กับเรา คือมาอยู่ในเรา เพื่อกระทำร่วมกับเรา

สมัยอาดัมกับเอวา พระองค์ไม่ได้อยู่ในเขา พระองค์ดำเนินกับเขา นั่นแสดงว่าพระองค์อยู่ข้างนอก แล้วพระองค์ก็คุย ดำเนินไปกับเขา แต่ในยุคของพระเยซูคริสต์ พระคริสต์ได้มาอยู่ในเรา พระเจ้าได้มาอยู่ในเรา พระคริสต์ได้ทำให้เรา มีสภาพเดียวกันกับพระเจ้า  เพื่อเราจะสามารถกลับคืนดีกับพระองค์ได้ และยังเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ด้วย มีฤทธิ์อำนาจ มีสิทธิอำนาจเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แต่พระองค์ยังคงเป็นพระเจ้าที่ทรงเต็มไปด้วยความรัก  สุภาพและอ่อนโยน

ในพระคัมภีร์บอกว่าคนชอบธรรมของพระเจ้าล้ม 7 ครั้ง เขาก็ลุกขึ้นได้ 7 ครั้ง ไม่มีอะไรมาทำลายเขาได้  เรียกว่าฆ่าไม่ตาย ความตายไม่มีชัยเหนือเขาอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์พูดถึง ท่านอาจจะล้มๆ ลุกๆ หรือทำบาปอีกไม่รู้กี่รอบ เพราะว่าขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายเดิมนี้ เรายังต้องต่อสู้กันต่อไป จนกว่าเราจะหลุดออกจากร่างนี้ จำได้ไหมเรายังมีกฎของจักรวาล กฎของโลก กฎของชีวิตและความตาย เราผ่านพ้นกฎของความตาย มาอยู่กฎของชีวิตแล้วก็จริง แต่ร่างกายเรายังอยู่ในกฎของโลก เรายังต้องแก่ เจ็บ ตายเหมือนกันกับคนในโลกนี้ สมองเรายังสามารถรับรู้ สั่งการและผลิตออกไป ซึ่งพฤติกรรม การกระทำที่ทั้งดีและไม่ดีได้เท่ากันกับผู้อื่น

ฉะนั้น เราก็จะรู้สึกอึดอัด เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ข้างในเราไม่เหมือนเดิมแล้ว หัวใจเราไม่เหมือนเดิม วิญญาณเปลี่ยนใหม่แล้ว แต่ทำไมล่ะ? เรายังเหมือนต้องต่อสู้กับความบาปที่เราต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ ทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างพวกเรา ซึ่งเป็นผู้รับใช้ ก็ดีหน่อย อยู่แต่ในโบสถ์ ไม่ค่อยไปสู้รบกับใคร ไม่ได้ไปอยู่ในสังคม แต่พี่น้องที่อยู่ข้างนอก  ที่ต้องต่อสู้กับสังคมข้างนอก และโลกข้างนอก  และยังต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ยั่วยวนและเย้ายวนเราอยู่ มันก็ยากสำหรับเรา เรามาดูที่โรม 12:1-2 ซึ่งเป็นการแจง เป็นลักษณะของการอธิบายเรียบร้อยแล้ว …

โรม 12:1-2 (NK-THV) “1 พี่น้องเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้ง (สมอง) ความคิด และสติปัญญาของท่าน เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) เป็นที่พอใจและพระเจ้าทรงรับได้แล้ว  เป็นการกตัญญูต่อพระเจ้า ที่สมควรในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง (โดยความถ่อมใจ ยอมรับ เต็มใจเชื่อฟังถ้อยคำที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์อย่างไม่มีเงื่อนไข) 2 ไม่ยอมประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความคิด สติปัญญา (โปรแกรมในสมอง) เสียใหม่ แล้วความประพฤติของท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้กับท่านในพระเยซูคริสต์”

 

เมื่อเราทั้งหลายได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้บัพติศมาในการตาย ในการถูกฝังไว้ ในการเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกันกับพระคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ก็คือพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้มาอยู่ภายในเรา เราได้หัวใจใหม่ ได้วิญญาณใหม่ เราได้การชำระล้างร่างกายใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ แต่ทำไมพระคัมภีร์ข้อนี้ ยังบอกว่าให้เรามอบความคิด และอวัยวะทุกส่วนของเรา ให้กับพระเจ้าล่ะ?

เพราะว่าเรายังอยู่ในโลกใบนี้  เรายังต้องดำเนินชีวิตตามกฎของโลกนี้ เรายังอยู่ในกฎ ไม่ใช่ว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราเป็นมนุษย์อัศจรรย์ไปเลย ดูสวยงาม สง่า สดใส อันนั้นก็ไม่ใช่ธรรมชาติ พระเจ้าไม่แหกกฎของพระองค์เอง เมื่อพระองค์ตั้งสิ่งใดไว้ สิ่งนั้นจะดำรงอยู่ และยังต้องขับเคลื่อนต่อไป อย่างธรรมชาติ  ตามที่พระเจ้าตั้งไว้

ดังนั้น ร่างกายของมนุษย์ยังสามารถรับสิ่งที่อยู่ในโลกนี้เข้ามา ผ่านสมองของมนุษย์ แล้วเมื่อผ่านสมองของมนุษย์แล้ว มันก็จะเกิดออกมาเป็นการกระทำ สิ่งที่มันจะผ่านเข้ามาได้ ไม่ว่าจะเป็นความดี หรือไม่ดี ก็จะผ่านมาทางนี้ เป็นช่องทางเดียวกัน ก็คือการมองเห็น

ไม่ว่าเราจะมองเห็นอะไร? มองเห็นสิ่งที่ยั่วยวน ที่เป็นทางลบ หรือสิ่งที่เป็นของพระเจ้า เมื่อเรามองปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้น ปฏิกิริยา กฎของร่างกาย ก็คือเรารับรู้ผ่านการมองเห็น หลังจากนั้น ก็จะเกิดการประมวล วิเคราะห์ ตัดสินใจ และส่งผลไปสู่การกระทำ แม้กระทั่งการรับรู้รส ก็เหมือนกัน หรือแม้แต่การได้กลิ่น ก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการได้ฟัง หรือได้ยินอะไรมา เราก็จะเอามาประมวลผล วิเคราะห์ ตัดสินใจ และขับเคลื่อนไปสู่การกระทำ และผ่านการสัมผัส ในทางหลักวิทยาศาสตร์ การสัมผัส แต่ละส่วนของร่างกาย มีการรับรู้ที่ไวต่างกัน และการรับรู้เหล่านี้ ประมวลผลไปสู่ความคิด  จิตใจ และประมวลผลออกมาเป็นความปรารถนาที่อยากจะกระทำสิ่งนั้นๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นตา เป็นปาก เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สิ่งเหล่านี้ จะเป็นสิ่งที่ทั้งมารและพระเจ้าสามารถที่จะเข้ามาโน้มน้าว หรือเข้ามาสำแดง เพื่อให้เราได้ขับเคลื่อนไปในแต่ละทิศทางต่างๆ เหล่านั้นได้

แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่อยากจะคาดคิดเลย ก็คือสมอง เราไม่ต้องมองเห็น เราอยู่ในห้องที่มืดๆ ไม่มีใคร เราปิดตา ไม่มีกลิ่น ไม่ต้องสัมผัส อยู่นิ่งๆ สมมติว่าเรานั่งสมาธิอยู่ สมองเราสามารถจะจินตนาการได้ไหมค่ะ? สมองเราสามารถจะทำชั่วได้ไหมค่ะ? สมองเรา ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าป้อมปราการ เป็นตัวกำหนดขับเคลื่อนที่ใหญ่มาก  ที่จะทำให้เราผลิตการกระทำออกมา

แน่นอน เมื่อเราอยู่ในร่างกายที่ถูกชำระแล้ว สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว แต่ยังอยู่บนโลก เหมือนเดิม ยังอยู่ในร่างเดิม ฉะนั้น ก็ยังเปิดโอกาสที่จะให้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสและสมอง ความคิดสติปัญญา ยังสามารถที่จะไปจดจ่อ จดจำสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ได้ สามารถที่จะไปรับสิ่งที่อยู่ในโลกนี้มาได้

การรับรู้เรื่องของโลก มันไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าการรับรู้นั้น มันต่อต้าน ขัดขืนความเป็นจริงของพระเจ้า หรือความรู้นั้น มาหักล้างความจริงของพระเจ้า หรือแม้กระทั่งข้อมูลดี ไม่ได้ทำอันตรายเลย   ค้นพบสิ่งหนึ่ง คือดูซีรี่ย์เกาหลีทั้งวันทั้งคืน ไม่เอาอะไรเข้าไปในหัวสมองเลย ท่านคิดว่าท่านจะเป็นอัลไซเมอร์ได้ไหมในอนาคต? เพราะสมองมันเป็นการรับรู้ฝ่ายเดียว ไม่ได้ผลิตอะไรออกไปเลย ฉะนั้น มันสามารถที่จะครอบครองสติปัญญา หรือความคิดของเราได้ มันสามารถที่จะกินพื้นที่ของการดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้าได้ ฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกว่าให้เราเปลี่ยนความคิด สติปัญญาใหม่ แล้วอุปนิสัยของเรา จึงจะเปลี่ยนใหม่

อันแรกเลยที่อาจารย์เปาโล ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ท่านค่อนข้างที่จะละเอียด เพราะว่าท่านเป็นบุคคลที่ยึดมั่น ในพระบัญญัติของพระเจ้า  613 ข้อ ปฏิบัติเป๊ะ เรียกว่าเป็นคนเคร่งเครียด ซีเรียสมาก ในการที่จะปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า  เป็นคนที่ทุ่มเทต่อพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด เมื่อท่านกลับใจใหม่มาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พอทุกอย่างกระจ่างปุ๊บ ทำให้ท่านมองเห็น ทะลุไปเลยว่าตัวท่านเองต่อต้านกับพระเจ้าอย่างไร? โดยพึ่งพากฎข้อบังคับที่จะไม่ให้มนุษย์ทำโน่นทำนี่ อย่าทำนั่นทำนี่ มันสามารถที่จะดึงท่านให้ตกลงไปในการพึ่งพาตัวเองได้ขนาดไหน?

สมัยก่อนเรายังไม่มีพระเจ้า พระเยซูคริสต์ยังไม่บังเกิดบนโลกมนุษย์ใบนี้ มนุษย์จำเป็นจะต้องพึ่งพาตัวเอง ที่จะต้องมีกฎระเบียบ เพื่อที่จะทำความดี  เพราะไม่อย่างนั้น สังคมจะวุ่นวาย  ความบาปก็จะเข้าครอบงำ แล้วความชั่วร้าย ยิ่งจะปกคลุมอยู่ในสังคมโลกมากขึ้น เพราะมนุษย์ที่เป็นคนบาป เดินป้วนเปื้อนอยู่เต็มโลกไปหมด แล้วเค้าโครงความคิดในใจเขาล้วนแต่ชั่วร้าย ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องมีบทบัญญัติขึ้นมา เพื่อที่จะให้เขากระทำด้วยตัวเอง เพราะว่าตอนนั้นยังไม่มีผู้ช่วยให้รอด เขาจำเป็นจะต้องทำ เขาจำเป็นจะต้องมี เพื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ทำให้สังคมมันเน่าเฟะมากขึ้น หรือเต็มไปด้วยสิ่งที่ชั่วร้ายมากขึ้น มันต้องมีบรรทัดฐานและบัญญัติ แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาแล้ว เราไม่ต้องแบกสิ่งเหล่านั้นแล้ว เราไม่ต้องแบกบทบัญญัติ หรือข้อบังคับที่จะต้องทำแล้ว เพราะว่าพระคริสต์รู้ว่าต่อให้มีข้อบัญญัติเหลืออยู่ 2 ข้อ  คือรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด  และรักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง ท่านก็พลาด ต่อให้ 613 ข้อ หรือศีล 5 ข้อ หรือศีล 8 ข้อ หรือมีกี่ข้อ  ตามบทบัญญัติ ที่จะทำให้เราเป็นคนดี แม้แต่ศาสนาคริสต์ ที่เขาเรียกว่าศาสนาคริสต์บอกเหลือ 2 ข้อ ท่านก็ทำไม่ได้ เพราะท่านไม่สามารถที่จะทำด้วยกำลังของตัวเองได้ พระคริสต์จึงต้องเข้ามาอยู่ในท่าน ชำระล้าง แล้วมาช่วยท่าน พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ต้องตะเกียกตะกาย เหมือนที่พาสเตอร์นครบอก เข็นครกขึ้นภูเขาก็ว่ายากแล้ว ท่านอย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย พระคริสต์มาบังเกิดเพื่อท่านแล้ว มาตายเพื่อท่านแล้ว มาแบกรับบาปแทนท่านแล้ว  มาซื้อท่านจากอำนาจของความบาปและความตายแล้ว ท่านเป็นของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านไม่ต้องตะเกียกตะกายทำอีกต่อไป ท่านแค่ยอม เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ว่าท่านบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ท่านสะอาด บริสุทธิ์แล้ว ท่านจะทำบาปกี่ร้อยครั้ง  ท่านก็รอดแล้ว ท่านผ่านพ้นจากการถูกพิพากษาไปสู่ชีวิตแล้ว ท่านเป็นคนใหม่แล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าที่ถูกชำระแล้ว พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในท่าน ท่านมีสง่าราศีร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ และนั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์บนสวรรคสถาน ไม่เป็นไร เดี๋ยวอีกไม่นานก็จะถอดร่างนี้ เมื่อร่างนี้กลับกลายเป็นดินปุ๊บ พระเจ้าได้เตรียมร่างใหม่ให้กับเรา พระเจ้าได้เตรียมโลกใหม่ให้กับเรา นั่นคือมรดกที่ถูกจัดเตรียมไว้ในสวรรคสถาน และเป็นความหวังใจที่เรามีในพระเยซูคริสต์ ซึ่งตรงนี้ ทุกคนแปลความหมายของมรดกผิดไป แต่ความจริงแล้ว พระเจ้าได้เตรียมร่างกายและโลกใหม่ให้กับเรา นั่นคือมรดกที่จัดเตรียมสำหรับเราทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว ใน 2 โครินธ์ 10:5-6 บอกว่า …

2 โครินธ์ 10:5-6 “5 เพราะว่าถึงแม้เราอยู่ในโลกก็จริง แต่เราก็ไม่ได้สู้รบตามโลียวิสัย เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า ที่สามารถทำลายป้อมปราการได้  คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการ ที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า 6 และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับ จนถึงรับฟังพระคริสต์”

 

เราแค่ยอม ยอมให้ถ้อยคำของพระเจ้า ให้ความจริงของพระเจ้า ที่พระเจ้ากระทำในชีวิตของเรามาอยู่ในเรา  ให้เราเชื่อว่าเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว เรารอดแล้ว เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งรักเรา และได้ตายแทนเราบนไม้กางเขน เรามีพระวจนะของพระเจ้าไว้ต่อสู้ มีความจริงของพระเจ้าคาดเอวของเรา เราจะเดินไปไหนมาไหน เราพูดย้ำๆ ซ้ำๆ ถึงเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพราะว่าข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยสติปัญญา หรือความคิดของเราเอง เราแค่พูดออกไป คำพูดนี้ นอกจากจะทำให้เราหนักแน่น มั่นคง ซึ่งจริงๆ เราไม่ต้องหนักแน่นก็ได้ แต่มันก็ทำให้เรายืนอย่างมั่นคงได้ ก็คือเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์

และสิ่งต่อไป ก็คือยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ซึ่งเป็นร่างเดิมที่ถูกชำระแล้ว ให้กับพระเจ้า ไม่ยอมมอบอวัยวะใดๆ ของเราให้กับบาป

เปาโลได้พูดสิ่งหนึ่งไว้ ซึ่งจริงๆ ท่านน่าจะเป็นคนที่มีความดีงามประดับกายได้มากกว่าเรา แต่ท่านพูดสิ่งนี้ เราไปอ่านดูด้วยกัน ในโรม 7:15-25 …

โรม 7:15-24 “15 “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น 16 เหตุฉะนั้น ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำ และข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี 17 ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ 18 ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในตัวของข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้น ข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ 19 ด้วยว่าการดีนั้น ซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าทำไม่ได้ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ 20 ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั้นเองเป็นผู้กระทำ 21 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง คือเมื่อใดที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะกระทำความดี ความชั่วก็พร้อมที่จะผุดขึ้น 22 เพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระเจ้า 23 แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า 24 โอ๊ย! ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ ซึ่งเป็นของความตายได้”

 

สมัยก่อน ก็จะเป็นอย่างนี้ รู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี รู้ดีรู้ชั่ว แต่ทำดีไม่ได้ มักจะหันไปทำชั่วตลอดเวลา เคยเป็นไหมค่ะ? สมัยที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันไม่มีอิทธิพลต่อไป อันนี้เปาโลกำลังพูดถึงตอนที่ท่านยังไม่เชื่อพระเจ้า แล้วท่านรู้สึกตัวอย่างนั้น  อะไรดี ก็รู้ อะไรไม่ดี ก็รู้ แต่สิ่งที่ทำส่วนใหญ่ 99% คือชั่ว คิดไม่ดี อิจฉาริษยา นินทาคนอื่น ตำหนิติเตียน ชี้คนอื่นต่ำต้อย เย่อหยิ่ง ทะนง มีทิฐิ โอ้อวด ยโส โอหัง หว่านความแตกแยก ข้างในรู้ดีไหม? รู้ดี แต่ทำไม่ได้ แล้วก็ขัดกัน ไม่รู้จะทำอย่างไร?

แล้วในตรงนี้บอก หลังจากที่เปาโลได้เชื่อแล้ว ท่านรู้เลยว่าความปรารถนาดีอยู่ข้างใน หัวใจเปลี่ยนใหม่ใช่ไหม? วิญญาณเราเปลี่ยนใหม่ใช่ไหม? เรามีกำลังใหม่ ซึ่งเรารู้ว่ามันไม่ดี เรามีธรรมชาติใหม่แล้ว แต่บางทีมันถูกบล็อก ในพระคัมภีร์บอกว่า …

โรม 7:25 “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ฉะนั้นทางด้านจิตใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเชื่อฟังกฎของพระเจ้า แต่ด้านฝ่ายเนื้อหนังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของกฎแห่งบาป”

 

โรม 8:3-4 (TH1971) “3 เพราะว่าสิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้อ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว โดยพระองค์ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป และเพื่อไถ่บาป พระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงปรับโทษบาป 4 เพื่อสิ่งที่ธรรมบัญญัติสั่งไว้ จะได้สำเร็จในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ”

 

เมื่อเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นใหม่ คือข้างในเราเปลี่ยนใหม่ แล้วทำไมยังหลุดออกมาล่ะ เพราะอย่างที่บอก ก็คือเราปล่อยให้บางสิ่งบางอย่างกระตุ้นเราได้ หรือระบบของโลกนี้ เราให้มันมีอิทธิพลในชีวิตเรา

มารมันทำอะไรเราไม่ได้ มันตกกระป๋องไปเรียบร้อยแล้ว มันรอวันเวลาที่จะถูกโยนลงไปในบึงไฟนรก ฉะนั้น มันป้วนเปื้อนในโลกนี้ เหมือนเสือที่ถอดเขี้ยวไปเรียบร้อยแล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้เลย มันครอบงำเราไม่ได้ มันอยู่ในเราไม่ได้ มันไม่มีอิทธิพลในการสั่งการให้เราทำอะไรต่อไปแล้ว สิ่งที่มันทำ ก็คือมันวนเวียนอยู่รอบๆ เรา เหมือนสิงห์ที่คอยคำราม ในยอห์น 10:10 บอกว่า …

ยอห์น 10:10 (TH1971) “ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์

 

สิ่งที่มันยังทำอยู่  และมันก็ยังทำอยู่ ตามนิสัยเดิมของมัน คือชอบมาขโมยความสุขของเรา มาลัก ฆ่า ทำลายความสุขของเรา  มันมาจ้องคอยเขมือบว่าเมื่อไร เราจะเปิดช่องให้มัน ใน 1 เปโตร 5:8 บอกว่า …

1 เปโตร 5:8 (TH1971) “ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่าน คือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำราม เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้”

 

สมมติว่าเราเปิดตาออกไป แล้วเราก็มองเห็นว่าคนอื่นเขาแบบทำกิจการนั้น กิจการนี้ รู้สึกเขาดีกว่าเรา  รู้สึกอิจฉาริษยา เรายังไม่ให้มันไหลลงมาในความคิดจิตใจของเรา แค่คิด มารเห็นช่องแล้ว ก็วนเวียน แล้วเริ่มโน้มน้าวเรา ใส่ข้อมูลเข้ามา …

“ใช่สิ ดูสิ จริงๆ เธอสามารถทำอย่างนี้ได้ แต่ว่าอย่างโน้นอย่างนี้”

มันก็พยายามยกเขา  แล้วกดเรา  แล้วมันทำให้เราเกิดปฏิกิริยา   ก็คือความอิจฉาริษยาออกไป เมื่อเกิดความอิจฉาริษยาออกไปปุ๊บ เราก็ผลิตออกมาซึ่งคำพูดกระแนะกระแหน หรือการกระทำที่แดกดัน  หรือการกระทำที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดต่อบุคคลนั้น ข้างในเราอยากทำไหม? ไม่ได้อยากทำ ฉะนั้น ผู้ที่ทำ คือเนื้อหนังที่ยังมีอิทธิพล ล่อลวงเราจากภายนอก ทำให้เราคล้อยตาม และผู้ที่ทำ คือเรานั่นแหละ เราเป็นคนอนุญาต และทำออกไป

ง่ายๆ เลย หลายๆ คนอาจจะล้มลงในความบาปครั้งใหญ่ หรือทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เสร็จแล้วปุ๊บ มารก็มาชี้หน้าใส่เรา ก็รู้สึกผิด รู้สึกไม่ดี เริ่มตีตัวออกห่างจากพระเจ้า แล้วก็เริ่มอยากจะปฏิเสธพระเจ้า มารมันมา เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย สิ่งที่มันอยากจะทำ แต่มันแย่งชิงเราไปจากพระเจ้า ไม่ได้ เพราะในพระคัมภีร์ยอห์น พระเยซูบอกว่า …

“แกะของเราได้ยินเสียงของเรา ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้น ไปจากมือของเราได้”

มันอาจจะล่อลวงเรา หรือชักจูงเรา หรือทำอะไรก็ตาม ณ เวลานั้น เราอาจจะเกิดความทุกข์  เหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง สุดท้าย สมมติว่าไปจนถึงวันนั้น ลุกขึ้นไม่ได้ อยู่ในหลุมนั้นแหละ  เมื่อเขาตายจากร่างนี้ไป ถอดวิญญาณปุ๊บ  ถามว่าเขายังเป็นของพระเจ้าไหม? เป็นของพระเจ้า แต่ทนทุกข์ในโลกนี้ เพราะว่าปล่อยตัวเอง ยอมตัวเองให้ลงไปใช้ชีวิต เหมือนบุตรน้อยหลงหาย เป็นลูกเศรษฐีมีเงิน แทนที่จะอยู่ในบ้านสุขสบาย ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ แต่ …

“ฉันอยากจะช่วยตัวเอง  ฉันอยากจะมีชีวิตของตัวเอง ฉันออกไป”

ออกไป ก็ทุกข์ยากลำบาก อย่างที่เรารู้ สุดท้าย  กลับมาบ้าน ก็ยังเป็นลูกของเศรษฐีอยู่ เศรษฐีก็ยังอ้าแขนต้อนรับ เช่นเดียวกัน ไม่มีใครแย่งชิงเราออกไปจากพระเจ้าได้ ไม่ว่ามันจะล่อลวงเราอย่างไร? ไม่ว่าจะทำการอย่างไรก็ตาม

ฉะนั้น เมื่อเราเป็นของพระเจ้า จิตใจเราเป็นของพระเจ้า วิญญาณของเรา เป็นวิญญาณใหม่ เรามีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ภายในเรา แต่ความคิด สติปัญญาอาจจะดูดซับ ดูดซึมสิ่งอื่นได้ ไม่เป็นไร ต่อไปนี้ ก็คือเรายอมให้กับพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่เกิดเหตุการณ์บางสิ่งบางอย่างที่มันล่อลวงเรา สมมติว่ามันกำลังจะชักชวนเราให้เกิดความคิดอะไรก็ตาม ที่เป็นด้านติดลบ …

“Just say no ไม่ ฉันไม่ยอม”

ถ้า No แล้วมันยังไม่หยุด เราพูดออกไปเลยว่าเราเป็นใคร? ชักดาบแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกมา ไม่ต้องจำพระคัมภีร์เยอะหรอก จำแค่ว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

“ฉันเป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ฉันเป็นของพระเยซูคริสต์ มีสง่าราศี ฉันยืนอยู่ในความสว่าง ฉันไม่ได้ยืนอยู่ในความมืด”

แค่บอกว่าไม่ แล้วไม่ยอมให้มันเข้ามามีพื้นที่ใดๆ ในความคิดของเราเท่านั้น ใน 1 โครินธ์ 3:16 บอกว่า …

1 โครินธ์ 3:16 (TH1971) “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”

 

รู้อยู่แล้ว บอกหลายรอบ โดยพระเยซูคริสต์เราชนะโลกแล้ว ผู้ที่อยู่ในตัวท่าน เป็นใหญ่กว่ามันที่อยู่ในโลกนี้  ท่านไม่จำเป็นต้องกลัวเลย มันตกกระป๋องไปเรียบร้อยแล้ว ใน 1 ยอห์น 4:4 บอกว่า …

1 ยอห์น 4:4 (TH1971) “ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านทั้งหลาย  เป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก”

 

1 ยอห์น 5:4-5 (TH1971) “4 เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยต่อโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่ชนะโลก 5 ใครเล่าชนะโลก ไม่ใช่คนอื่น คือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั่นเอง”

 

ท่านทั้งหลายชนะโลกแล้ว แล้วท่านจะยอมให้มันขี่หัวท่านอยู่ทำไม? ท่านจะไปยอมเอาข้อมูล ความคิดของมันเข้ามาอยู่ในชีวิตของท่านทำไม? ท่านจะไปดูดซึมเอาสิ่งที่มันล่อลวงทำไม? เราชนะโลกแล้ว เราชนะไม่ได้หมายถึงเราต้องไปสั่งการโน่นนี่นั่น ไปสั่งการให้ไฟแดงเป็นไฟเขียว อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการชนะแบบนั้น

แต่การชนะตรงนี้ ตามบริบทนี้ คือการที่เรามีชัยชนะเหนือความบาปและความตายแล้ว พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ผู้ที่อยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่ามันผู้นั้นที่อยู่ในโลกนี้ มันล่อลวงเราไม่ได้แล้ว  เมื่อใดก็ตามที่มันชักจูงเรา นำเราไปสู่ความบาป หรือความตาย หรือวิถีแห่งความบาปและความตาย ให้เราบอกมันว่า … “ไม่” … เหมือนพระเยซูคริสต์ เราใช้พระวจนะอย่างผู้ที่เชี่ยวชาญในการที่จะต่อสู้กับมารซาตาน ถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็บอกแค่ว่า …

“ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่ต้องถูกพิพากษาให้ต้องตกนรกแล้ว ความบาปมีชัยเหนือฉันอีกต่อไปไม่ได้แล้ว”

เมื่อไรก็ตามที่ “ฉันล้มลงในความบาป ฉันยอมรับว่าฉันล้มลง ยังทำบาปอยู่ ก็แกนั่นแหละล่อลวงฉันทำบาป แต่ว่าฉันไม่ต้องถูกพิพากษา เดี๋ยวฉันจะลุกขึ้นใหม่”

“ลุกขึ้น” บอกตัวเอง

ไม่ต้องจำ ถ้าจำพระคัมภีร์เยอะไม่ได้  ก็จำแค่ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ และมีชัยชนะเหนือมัน

ทำไม ในเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว บางทีถามพระเจ้าเหมือนกันนะ  ต่อสู้กับเนื้อหนัง ต่อสู้กับตัวเอง สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือตัวเอง และต้องต่อสู้กับตัวเอง มันยากกว่าอะไรทั้งหมดในการดำเนินชีวิต  บางทีถามพระเจ้าว่า …

“ทำไมพระองค์ไม่รับเราไปอยู่กับพระองค์เลยล่ะ”

อยากจะเหมือนกับนักโทษคนนั้น คือถูกตรึงบนไม้กางเขนร่วมกับพระเยซูคริสต์ พอพระเยซูบอกว่า …

“วันนี้ท่านจะได้ไปอยู่กับเราที่สวรรคสถาน” … อยากจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า

ถ้าพระเจ้ายังให้เราดำรงชีวิตอยู่ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานโลกนี้ให้กับเรา ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก  พระเจ้าได้สร้างโลกนี้ไว้ สำหรับมนุษย์ ฉะนั้น ผู้ที่จะดำเนินการทั้งหมดในโลกนี้ คือมนุษย์ แต่ก่อนนี้พระองค์ยังต้องส่งทูตสวรรค์มาช่วย ส่งผู้เผยพระวจนะมาช่วย  แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ได้มาบังเกิด และทำการงานทั้งปวงแล้ว วันสุดท้ายที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ได้พูดกับสาวกของพระองค์ 12 คน และสาวกที่อยู่ในห้องชั้นบน ที่ได้บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในหนังสือกิจการ คนเหล่านี้ก่อนที่จะไปอยู่ในห้องชั้นบน พระเยซูคริสต์ได้พูดกับเขาก่อนที่จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ต่อหน้าต่อตาเขา เหตุการณ์มีอย่างนี้ว่า …

มัทธิว 28:18-20 (TH1971) “18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 เหตุฉะนั้น เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”

 

ตามกฎของโลกนี้ ผู้ที่จะประกาศข่าวดีได้  ก็คือมนุษย์ที่เชื่อเท่านั้น พระองค์จะไม่ใช้ทูตสวรรค์มาประกาศข่าวดีแล้ว เพราะว่าพระเจ้าอยู่ในมนุษย์แล้ว สิทธิอำนาจทั้งสิ้น อยู่ในมือของมนุษย์ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจึงให้สิทธิมนุษย์เท่านั้น ที่จะไปบอกข่าวดีกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่น ซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกัน ได้รับความรอด

อย่างที่บอกว่าหากร่างกายของท่าน หลุดออกจากร่างนี้ เราไม่ประกาศแล้ว สิทธิ์ของท่านหมดแล้ว ก่อนที่ลมหายใจของท่านจะออกจากร่างนี้ จงเข้ามาหาพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดบาป ไม่ต้องตะเกียกตะกายกับความบาปอีกต่อไป ไม่ต้องพยายามด้วยตัวเอง โดยการเข็นครกขึ้นสวรรค์ พยายามที่จะขึ้นสวรรค์ด้วยตัวเอง พยายามที่จะทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ ซึ่งท่านไม่มีทางทำได้ พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเพื่อท่านแล้ว มาแบกรับบาปแทนท่านแล้ว มาชำระล้างความผิดบาปให้ท่านเรียบร้อยแล้ว  แค่มารับเอา แล้วท่านก็จะได้รับความรอด หากท่านหลุดจากร่างนี้วันใด ท่านไม่มีสิทธิ์รับสิ่งนี้ และสิ่งเดียวที่ท่านจะได้รับ คือวิญญาณของท่านนจะถูกพิพากษา แล้วตกนรก

และสำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ในวันนี้ ขบวนการเปลี่ยนแปลงและขบวนการไถ่ถอน พระเจ้าทำให้เราเสร็จสิ้นแล้ว เราทำแค่ยกอวัยวะในร่างกาย สมอง ความคิด สติปัญญาของเรา เพื่อจะเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นไปตามทิศทางเดียวกันกับพระเจ้า แล้วอุปนิสัยทั้งมวลของเราจะเปลี่ยนใหม่เอง โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

เหมือนกับดิฉันมีหลาน แม่เขาก็ป้อนข้าวทุกวัน หรือทุกคนมีลูกมีหลาน ก็ป้อนข้าว เลี้ยงดูไปทุกวัน หันมาอีกที โตถึงไหนแล้ว เหมือนน้องตะวัน (มือคีย์บอร์ดของทีมนมัสการ) ตอนนั้นยังตัวเล็กๆ อยู่เลย ตอนนี้ก็โต สูง เป็นหนุ่มแล้ว แล้วก็เจริญเติบโตขึ้นแล้ว จริงๆ แล้วไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกอย่างมันถูกขับเคลื่อน เป็นไปตามธรรมชาติแห่งการเจริญเติบโตเอง

เช่นเดียวกัน ถ้าหากเรายกอวัยวะของเราให้กับพระเจ้า  เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราเสียใหม่ อุปนิสัยของเราจะเปลี่ยนไปเอง  โดยอัตโนมัติ ไม่เหนื่อยเลย  และไม่ยากเลยนะ ก็ฝากสิ่งนี้ไว้ พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

กาลาเทีย 2:20 … “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้า  และประทานพระองค์เอง  เพื่อข้าพเจ้า”

 

เมื่อเราเชื่อและต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด  วิญญาณและความคิดจิตใจเก่าที่เป็นบาปของเราได้ถูกตรึงตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนแล้ว และเราได้บังเกิดใหม่พร้อมกับการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์   ดังนั้น ชีวิตเราที่ดำเนินอยู่ทุกวันนี้ จึงเป็นวิญญาณ และความคิดจิตใจที่บังเกิดใหม่ สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ฝึกฝนทำดีเหมือนพระเยซู

 

พระเยซูให้เราเลือกที่จะอยู่ในพันธสัญญาเดิม ที่เรียกว่า “กฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน” พึ่งการกระทำของตนเอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งเราไม่สามารถรักษาหรือว่า ทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดีพร้อม  เช่นกฎในพันธสัญญาเดิม

 

มัทธิว 6:12-15 … “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลง  เมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากมารร้าย’ เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน   พระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยให้ท่านด้วย  แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น  พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”

 

หรือ … ย้ายมาอยู่ในพันธสัญญาใหม่ที่เรียกว่า “กฎพระคุณ” พึ่งการกระทำของพระเยซู ผู้ได้กระทำให้เราเป็นคนดีพร้อมครบถ้วนสมบูรณ์  นี่คือกฎในพันธสัญญาใหม่

 

เอเฟซัส 4:32 … “ให้​เมตตา​ต่อกัน เห็นอก​เห็นใจ​กัน และ​อภัย​ให้กัน​และ​กัน​ เหมือนกับ​ที่​พระเจ้า​ได้​อภัย​ให้กับ​คุณแล้ว​ผ่านทาง​พระคริสต์”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1332

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  ตุลาคม  2021

 เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 3

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 1 เดือนที่แล้ว เราจบลงที่ข้อ 10 วันนี้เรามาต่อข้อ 11 …

เอเฟซัส 1:11 “ในพระองค์ เรายังได้รับการทรงเลือก ตามที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ตามแผนการของพระองค์ผู้ทรงกระทำให้ทุกสิ่ง เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของพระประสงค์ของพระองค์”

 

คราวที่แล้วเราได้พูดถึงพระเจ้าได้ให้พวกเราผู้เชื่อ หรือคริสตจักรรู้ความลี้ลับ แผนการที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ ในวันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็ได้เตรียมแผนการนี้ไว้ โดยการเลือกชาวยิวมาเป็นผลแรก มาเป็นมรดก มาเป็นผู้นำเริ่มต้น ในการที่จะให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ได้ประกาศออกไป พอเลือกชาวยิวแล้ว พระเจ้าก็ทรงติดต่อกับชาวยิวมาตลอด คนอิสราเอล เขาถือว่าเขาเป็นชนชาติพิเศษ ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ เขาเป็นบุคคลที่ถูกแยกเฉพาะเจาะจง เป็นของพระเจ้า  ถ้าคนที่ไม่ใช่ชาวยิว เป็นคนต่างชาติ ไม่ว่าเชื้อชาติใด สัญชาติใด ก็ไม่สามารถที่จะเป็นเหมือนพวกเขา เข้ามาเป็นพลเมืองของพระเจ้า

ฉะนั้น ความลี้ลับที่พระเจ้าเตรียมเอาไว้ ก็คือในอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดบนโลกใบนี้ แล้วพระองค์ได้ทรงทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ โดยการเดินไปที่ไม้กางเขน แล้วสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษยชาติ ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ความลี้ลับนี้ ได้สำเร็จ ตรงที่พระเจ้าเตรียม ไม่เฉพาะพวกยิวเท่านั้น ที่จะเข้ามามีส่วนเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมคนต่างชาติด้วย คนต่างชาติ คือใครก็ได้ คนที่ไม่เป็นเชื้อสายอิสราเอล อย่างพวกเราทุกคน ก็ถือว่าเป็นคนต่างชาติ พระเจ้าเตรียมแผนการไว้ล่วงหน้าก่อนเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อถึงเวลากำหนด พระเจ้าก็ทำให้สิ่งที่พระเจ้ากำหนดนั้นได้เกิดขึ้น โดยที่ข่าวประเสริฐของพระองค์ไม่เพียงไปเฉพาะชนชาติอิสราเอลเท่านั้น แต่มาถึงพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ด้วย ตามหนังสือยอห์น 3:16 ที่บอกว่า …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

ถ้อยคำนี้หมายถึงปรารถนา ต้องการให้มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเชื้อชาติใด สัญชาติใด อยู่ประเทศไหน ที่เรียกว่ามนุษย์นั่นแหละ ถ้าเชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขา บนไม้กางเขน แค่นั้น ย้ายจากการอยู่ในที่เดิม คือในธรรมชาติเดิมที่บรรพบุรุษเราล้มลงในความบาป ย้ายจากเผ่าพันธุ์ในอาดัม ที่เป็นคนบาป มาอยู่ในเผ่าพันธุ์ใหม่ ก็คือมาอยู่ในพระคริสต์ ก็คือย้ายวิญญาณเลย จากวิญญาณบาป ย้ายมา ต้องมีขบวนการ คือคนๆ นั้นจำเป็นจะต้องตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน ทันทีที่มนุษย์คนนั้นได้เปิดใจปุ๊บ ขบวนการของการกลับใจใหม่ หรือการบังเกิดใหม่ ก็จะเกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ ที่เราคุยกันมาหลายรอบแล้ว

อยากจะให้พี่น้องได้เห็นทะลุเข้าไปจริงๆ ว่าขบวนการนี้ พระเจ้าได้ทำสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อวันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ทันทีพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเอาวิญญาณเก่าที่เป็นวิญญาณบาปของเราเอาเข้าไปอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์เลย เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน วิญญาณเราก็ถูกตรึงด้วย

หลายคนอาจจะไม่เข้าใจ เรื่องของพระเจ้า เราจะเข้าใจด้วยสติปัญญาของเราไม่ได้ แต่ต้องเข้าใจด้วยวิญญาณ หรือด้วยความเชื่อ ฉะนั้น ในโลกวิญญาณไม่มีเวลา ไม่มีมิติ ไม่มีว่าวันนี้ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูถูกตรึง แล้วเราอยู่ในปัจจุบัน เราจะไม่อยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ถูกตรึงได้อย่างไร? ถ้าเราใช้สมอง หรือสติปัญญาของเราคิด คิดให้หัวแตก เราก็คิดไม่ออกหรอก แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราไว้อย่างนั้นว่าในมิติของโลกวิญญาณ ไม่มีเวลา คือทันทีที่ใครก็ตามมนุษย์บนโลกใบนี้ เปิดใจต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน  ก็คือยอมรับนั่นแหละ ถ่อมใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า ในโลกวิญญาณ ขบวนการนี้ จะเกิดขึ้นทันทีเลย

แล้วขบวนการนี้ เราไม่สามารถเข้าใจด้วยสติปัญญาของเรา ไม่สามารถสัมผัสด้วยมือ มองเห็นด้วยตา หรืออะไรทั้งหมด แต่ว่าเราสัมผัสได้ด้วยความเชื่อ  พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น ในถ้อยคำของพระองค์ เมื่อวิญญาณเก่าของเรา ที่อยู่ในอาดัม อยู่ในบาป ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ก็คือวิญญาณเก่าเราได้ตายไปแล้ว  เราไม่มีบาปอีกแล้ว พอเราถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย วิญญาณใหม่ที่ขณะนี้ พวกเราผู้เชื่อ ที่เป็นอยู่ ที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่พระเจ้ายังไม่เอาเรากลับบ้าน ให้เราเป็นแสงสว่างให้กับผู้คนอีกมากมาย ในขณะนี้ ที่เรายืนตัวเป็นๆ อยู่นี้ วิญญาณข้างในที่เป็นตัวจริงๆ ของเรา เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย เป็นเหมือนเป๊ะ สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเป็นลูกของพระเจ้า เป็นวิญญาณใหม่ ที่ไม่มีบาปเลย แม้แต่นิดเดียว

ตรงนี้แหละ คือประเด็นสำคัญ ที่พวกเราผู้เชื่อทุกคนจำเป็นจะต้องรับรู้ในเรื่องนี้ พระเยซูคริสต์ไม่เคยบอกเราว่าเราต้องทำโน่นทำนี่ แต่บอกเราว่า ณ เวลานี้ วิญญาณใหม่เราเป็นอย่างไร?  เรามีธรรมชาติใหม่เป็นอย่างไร? พอเรารับรู้มากเท่าไร? ผลของข้างใน ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเราจะถูกสำแดงออกมา มากขึ้นเท่านั้น

พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเยซูบอกว่าให้เราหายเหนื่อยเป็นสุข ไม่ต้องมาแบกบาปที่เดิมที  ความรู้สึกข้างในของมนุษย์ทุกคนเลย ไม่มีข้อยกเว้น ทุกชาติ ทุกภาษา จะมีความรู้สึกข้างในว่าตัวเองเป็นคนบาป เมื่อไรจะใช้เวร ใช้กรรมให้หมดไปสักที ความรู้สึกแบบนั้นเลยนะ แล้วมนุษย์พยายามที่จะทำทุกอย่าง ด้วยกำลังของตัวเอง ไม่ว่าจะส่ำสมความดีงาม ทำบุญ ทำทาน ทำโน่น ทำนี่ แต่ข้างในวิญญาณของมนุษย์คนนั้น ก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองพ้นบาป ยิ่งทำมากเท่าไรก็ยังรู้สึกว่าเราบาปอยู่ ฉะนั้น พระเจ้าบอกมนุษย์ทำไม่ได้ ถ้ามนุษย์ทำได้ พระเจ้าไม่ต้องส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะช่วยเราทำ ทำแทนเรา แต่ว่าด้วยเหตุผลอะไรหลายอย่าง ตัวตนที่เย่อหยิ่งของมนุษย์ พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า …

“ฉันทำได้สิ ฉันสามารถทำดี ทำโน่นทำนี่ ด้วยกำลังของฉันเอง  เพื่อฉันจะได้สามารถไปแตะสวรรค์ได้” … ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ดังนั้น เรื่องราวของพระเจ้า ข่าวดีของพระองค์ ที่พระเจ้าให้พวกเราประกาศในทุกวัน มันเป็นเรื่องที่ซ้ำซาก เรื่องเดิม แต่เป็นเรื่องเดิมที่มนุษย์ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร? ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ด้วยสติปัญญา จำเป็นจะต้องใช้วิญญาณ ที่จะเข้ามาฟัง และรับรู้ด้วยวิญญาณ เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา เชื่ออย่างที่ไม่ต้องคิดเยอะ  ไม่ต้องมานั่งคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร? วิญญาณเราจะไปตายพร้อมกับพระเยซูได้อย่างไร? พระเยซูตายไปตั้ง 2,000 ปีแล้ว อยู่ดีๆ ผู้รับใช้มาบอกเราว่าทันทีที่เราเปิดใจรับเชื่อ วิญญาณเราได้ไปถูกฝังไว้ในตัวพระเยซูคริสต์ แล้วก็ถูกตรึงพร้อมกัน มันเชื่อไม่ได้ ใช้สติปัญญาเชื่อไม่ได้ แต่ว่าสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ ก็คือนั่นคือถ้อยคำพระเจ้า  พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น แล้วเราถ่อมใจ ตรงที่เมื่อพระเจ้าบอก เราเอเมน นั่นคือความถ่อมใจสุดๆ แล้ว

หลายคนบอกว่าเรารักพระเจ้า เราถ่อมใจ เราเชื่อฟังพระองค์ แต่หลายครั้ง เมื่อพระเจ้าบอกเราว่าความจริงในโลกวิญญาณ เป็นอย่างนั้น เรากลับขัดกับถ้อยคำพระเจ้า เรากลับสงสัย แล้วเราก็ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? พระเจ้าบอกว่าพอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราบังเกิดใหม่ วิญญาณเราเป็นใหม่เหมือนพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม ไม่มีบาปแล้ว บาปของเราถูกยกไปหมดแล้ว พระเยซูบอกบาปตั้งแต่ในอดีต ที่เราเคยทำ โลหิตของพระเยซูคริสต์ชำระเราแล้ว บาปในปัจจุบัน ที่เราเชื่อพระเจ้า แล้วเราทำอยู่ พระโลหิตของพระเยซูก็ชำระหมดแล้ว และบาปในอนาคตที่เรายังจะทำอีก ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้  อยู่ในร่างกายเดิมนี้ ซึ่งเป็นร่างกายเก่า ที่อยู่ในโลกของความบาปและความตาย เราก็ยังทำอยู่ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราว่าพระเจ้ายกโทษให้หมดแล้ว วันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระโลหิตของพระเยซูหลั่งลงมา วันนั้น พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว

“สำเร็จ” แปลว่าทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ หมดสิ้น ไม่ต้องมาทำเพิ่มอีกแล้ว จบสิ้น ณ วันนั้นเลย บนไม้กางเขน

ฉะนั้น คริสเตียนทุกคนจำเป็น เราจำเป็นมากที่จะต้องถ่อมใจ และจะต้องเชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา เมื่อพระเจ้าบอกเราว่าเราสะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ไม่มีบาปแล้ว เราก็ต้องเอเมนตามนั้น เราอย่าให้ใครหลอก …

“แล้วตอนนี้เราทำบาป แล้วทำอย่างไร? เรายังบาปอยู่เลย”

พระเจ้าบอกว่าเราไม่บาปแล้ว การกระทำที่เรายังทำอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่เกี่ยวกับตัวตนจริงๆ ของเราเลย วิญญาณใหม่ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ ของเราชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด ทำบาปไม่เป็น ทำบาปไม่ได้ด้วย เพราะว่าวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเราตายไปแล้ว เราไม่สามารถที่จะไปปลุกคนตายให้ลุกขึ้นมาทำบาปได้ คือตายแล้วตายเลย ลุกขึ้นมาทำบาปไม่ได้ แต่ที่พวกเราผู้เชื่อ ยังติดอยู่ตรงที่ว่าไหนบอกว่าเราไม่ทำบาปแล้ว แต่ทุกวันนี้ ที่ตาเรามองเห็น ก็คือเรายังทำอยู่ เลยทำให้เกิดข้อสงสัยว่าตกลงมันจริงหรือไม่ ที่พระเจ้าบอกว่าเราชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดแล้ว

พี่น้องจำเป็นต้องรับรู้ความจริงตรงนี้เลย  ที่พระเจ้าบอกว่าวิญญาณเราสะอาด หมดจดเหมือนพระเยซูคริสต์ สะอาด ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว ความบาปของเรา ได้รับการอภัยหมดแล้ว ไม่มีบาปอีกแล้ว ต่อแต่นี้ไป เมื่อเราเชื่อพระเจ้า แล้วเราอนุญาตให้โปรแกรมเดิม หรือสิ่งที่หลอกล่อเรา ตามที่ตาเรามองเห็น มือเราสัมผัส หรืออะไรสักอย่าง ที่มันอยู่ข้างนอก หลอกล่อเราให้ทำตามตรงนั้น  มันไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณเราเลยนะ ไม่เกี่ยวเลย ก็คือถ้าหลอกล่อเรา แล้วบังเอิญเราสู้ไม่ไหว เราล้มลงในความบาป  เราก็แค่ลุกขึ้นมา  แล้วเราก็เริ่มต้นใหม่กับพระเจ้า เพราะว่าจำเป็นที่เราจะต้องยืนยันตามถ้อยคำของพระเจ้าว่าเราไม่มีบาปเลย พระเจ้ายกโทษให้เราหมดแล้ว อย่าให้สิ่งที่เราทำ หรือความคิดเดิมของเราฟ้องผิดเราว่า …

“เธอเป็นคริสเตียน เธอยังทำบาปอยู่เลย  เธอจะรอดไหมเนี้ย พระเจ้าจะรับเธอได้ไหม? เธอยังทำโน่นทำนี่อยู่เลย”

อย่าให้ความคิดเหล่านี้ มาทำให้สิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์สั่นคลอน เด็ดขาด เรายังคงยืนยันตามถ้อยคำของพระเจ้า ตามที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าพระองค์ชำระบาปของเราเรียบร้อยไปแล้ว แค่เราอยู่บนโลกใบนี้ ที่อยู่ในร่างกายเก่านี้ เราอาจจะเผลอไผล ถูกล่อลวงให้ไปทำบาป ก็ไม่เป็นไร เราก็แค่ปัดฝุ่น แล้วลุกขึ้น แล้วเราก็เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นในแต่ละวัน โดยการเรียนรู้ธรรมชาติใหม่ของเรา ธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าให้กับเราว่าเราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์

พอเราเรียนรู้มากๆ ให้เรามอบอวัยวะของเรา ในร่างกายนี้ทั้งหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองของเราให้กับพระเจ้า ฉะนั้น เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายเก่านี้ พระเจ้าไม่บังคับเรา เรายังมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าเราจะมอบอวัยวะในร่างกายของเราให้พระเจ้าใช้ หรือให้ระบบของโลกนี้ใช้  เรายังมีสิทธิ์นะ เพราะเราอยู่ตรงกลาง เราเป็นผู้ตัดสินใจ

ถ้าเราเลือกที่จะให้พระเจ้าใช้ ก็คือทำตามที่พระวิญญาณนำเรา พระเจ้าก็มีความสุข แต่ถ้าวันไหนเราไม่อยากให้พระเจ้าใช้ เราออกนอกลู่นอกทาง เราก็อนุญาตให้ระบบของโลกนี้ การล่อลวงทุกรูปแบบ ความคิดเดิมๆ ของเราใช้งาน เราก็เท่ากับทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของพระเจ้า แต่ต่อให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของพระเจ้า  ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณของเรา ตรงนี้จะย้ำตลอด พี่น้องจำเป็นต้องรับรู้ตรงนี้ ไม่เกี่ยวกับวิญญาณของเราเลย วิญญาณเราสะอาดแล้ว การประพฤติใดๆ ก็ตามที่เราทำบนโลกใบนี้ ไม่มีผลในอนาคตข้างหน้า หลังความตาย หลังความตาย วิญญาณก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า เพราะว่าจริงๆ แล้ว ขณะนี้ ที่เรายังมีชีวิตอยู่ วิญญาณเราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์อยู่แล้ว ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกเราว่า …

“เธอทำผิดแล้ว เธอไม่รอดแล้ว พระเจ้าไม่รับเธอแล้ว”

เราต้องสวนกลับไปทันทีว่า … “ไม่จริง ต่อให้ฉันทำอะไรก็ตาม โดยการเผลอไผลทำไป วิญญาณฉันก็ยังสะอาด ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เมื่อวิญญาณฉันออกจากร่าง ฉันจะได้ไปอยู่ที่เดียวกันกับพระเจ้าแน่นอน และฉันจะไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับฉัน”

นี่คือการรับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระองค์ แล้วก็ภาวนา พูดความจริงในถ้อยคำของพระองค์ ถ้าเมื่อไรที่เราพูดความจริงในถ้อยคำของพระองค์ เท่ากับเรากำลังอาเมนกับพระเจ้า เพราะคำว่า “อาเมน” คือใช่ มันเป็นอย่างนั้น

พระเจ้าบอกว่า … “เธอสะอาดแล้ว”

เรา … “เอเมน” รับรู้ความจริงตรงนั้น

พระเจ้าบอกว่า … “ตอนนี้เธอบริสุทธิ์แล้ว”

“เอเมน”

พระเจ้าบอกว่า … “ตอนนี้เธอเป็นลูกของฉัน”

เราก็ … “เอเมน”

“เธอได้นั่งอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้วนะ”

เราก็ … “เอเมน”

นี่คือการนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ซึ่งมันจะขัดกับความรู้สึกของเรามากๆ ในการที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยตาที่เรามองเห็น มันขัดกันมาก แต่อาจารย์เปาโลว่าอย่างไร?  ก็คือเมื่อเราเดินกับพระเจ้า ถ้าเราใช้ระบบสัมผัส ที่เราสามารถสัมผัสจับต้องได้ ตาเรามองเห็น เราจะไม่สามารถเห็นสิ่งที่พระเจ้าให้กับเราเลย ฉะนั้น การดำเนินชีวิตของเรา ที่บอกว่าให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ความเชื่อตรงนี้หมายถึงเชื่อตามที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ แล้วเราก็เชื่อตามนั้น ไม่ว่าเราจะเข้าใจ ไม่เข้าใจ รู้สึกตะหงิดๆ มันไม่ค่อยอะไรเท่าไร แต่เราเชื่อไง เรายอมจำนนกับพระเจ้า เราเอเมนตามที่พระเจ้าบอกเรา นั่นแหละคือการถวาย การนมัสการพระองค์อย่างแท้จริง ด้วยวิญญาณ และด้วยความจริงของพระเจ้า

ฉะนั้น ตรงนี้ พระเจ้าบอกว่าพระองค์ได้ทรงเลือก พอเลือกคนยิว หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ พระเจ้าก็ให้คนต่างชาติได้เข้ามามีส่วนมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนยิวในพระคริสต์ เหมือนกับพวกเราตอนนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ตามที่พระเจ้าเตรียมไว้ล่วงหน้า แล้วให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จผ่านทางพวกเราทุกๆ คน ที่เปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ฉะนั้น สิ่งที่พระองค์เตรียมไว้ แผนการลี้ลับที่ปิดซ่อนไว้ บัดนี้ได้ถูกเปิดเผยแล้ว ผ่านทางคริสตจักรของพระองค์ แล้วพวกเราทุกๆ คน ผู้เชื่อชาวต่างชาติ เราก็ได้มีสิทธิ์เข้ามารับพระคุณจากพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระองค์ ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตอยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์

พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในร่างกายของเรา ในขณะนี้เลย ในวิญญาณของเรา หลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งแยกจากกันไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ รู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราอย่างนี้ เราก็เอเมนตามนี้ พระเจ้าอยู่ในเรา เมื่อพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราปุ๊บ ไม่ว่าเราทำอะไร ไม่ว่ายามหลับ ยามตื่น พระเจ้าก็อยู่กับเราตลอด

สมัยก่อน ตอนเชื่อใหม่ๆ ได้รับคำสอนมาว่าถ้าเราทำบาป พระเจ้าจะไม่อยู่ด้วยกับเรา พระเจ้าจะหนีเราไป จนกว่าเราจะเคลียร์ตัวเองให้เสร็จ แล้วก็เชิญพระเจ้ากลับมา ถ้าเราทำผิดอีก พระเจ้าก็จะหนีเราไปอีก เรารับคำสอนอย่างนี้นะ

แต่ความเป็นจริง คือถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระองค์สถิตอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา พี่น้องนึกถึงภาพเป็นหนึ่งไหม? ความเป็นหนึ่ง คือแบบเกาะกัน ติดกัน ติดกาวแน่นเลย แยกไม่ได้ เหมือนกับที่พระเจ้าเปรียบสามีกับภรรยาเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ที่พระเยซูบอกว่า …

“ถ้าเจ้าไม่กินเนื้อและเลือดของเรา เจ้าก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราไม่ได้”

ก็คือหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันเลย  แปลว่าพระเจ้าจะไม่หนีเราไปไหนแน่นอน อยู่ที่เดียวกัน ถ้าพระเจ้าหนีเราไป แปลว่าวิญญาณเราออกจากร่าง พี่น้องนึกภาพตามนะ ถ้าเกิดเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องปุ๊บ พระเจ้าหนีออกจากตัวปุ๊บ แปลว่าวิญญาณของเรา ก็ต้องออกจากร่างด้วย มันเป็นก้อนเดียวกัน  ก็แปลว่าเราต้องตายแน่ๆ เลย ซึ่งความเป็นจริงมันไม่ใช่

ความเป็นจริงที่เราเห็น ก็คือเราก็ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คริสเตียนทำบาป ก็ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนเดิม แปลว่าที่เรารับคำสอนมา มันไม่ใช่แล้วล่ะ

ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะดำเนินชีวิตแบบไหนก็ตาม พระเจ้าไม่ทิ้งเรา แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราจะคอยสอนเรา บอกเราว่า …

“ลูกอย่างนี้ไม่ดีนะ อย่าทำนะ มาทำตามพ่อดีกว่า พ่อสอนว่าให้เรารักกัน เรามารักกันดีกว่า อย่าไปเกลียดกันเลย เราเป็นคนเมตตาดีกว่า อย่าไปอิจฉาริษยาเลย ให้สำแดงสิ่งที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ ออกมาดีกว่า”

หรือถ้าเราไม่เชื่อฟังสิ่งที่พระวิญญาณข้างในบอกเรา แล้วเราก็จะทำตามที่เนื้อหนังหลอกล่อเรา เราก็จะได้รับผลตามกฎที่พระเจ้าตั้งไว้บนโลกใบนี้  ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณแล้วนะ บนโลกใบนี้ เราจะได้รับผล ถ้าเราไปขโมยเขา ถูกจับ เราก็ไปเสียค่าปรับ ถ้าเราไปตีหัวเขา ถูกจับได้ เราก็ต้องไปเสียค่าปรับ หรือถ้าเผื่อเราเผลอไปฆ่าคนตาย เป็นคริสเตียนนะ ไปฆ่าคนตาย เราก็ต้องถูกจับ ถูกตัดสิน ให้ประหารชีวิต แต่ต่อให้เราถูกตัดสินให้ประหารชีวิต วิญญาณเรายังเป็นของพระเจ้าอยู่ คริสเตียนที่ถูกประหารชีวิต วิญญาณเขารอดนะ นี่คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ที่พี่น้องจำเป็นจะต้องรับรู้ เพื่อว่าเราจะได้สามารถยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ เห็นพระคุณของพระเจ้า ให้พระองค์ทรงเป็นผู้นำเรา และถ้าพูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือเมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราอยากจะทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ชอบ คือธรรมชาติใหม่เราไม่อยากทำแล้ว ธรรมชาติใหม่เราเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นความดี เป็นแสงสว่าง เป็นความโอบอ้อมอารีย์ เป็นความเมตตา ธรรมชาติใหม่เราเป็นอย่างนั้นแล้ว ถ้าเราเผลอไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเราปุ๊บ  เราจะรู้สึกอึดอัด

พี่น้องเคยแพ้อาหารไหม? แพ้อย่างรุนแรง บางคนแพ้กุ้ง แพ้อาหารทะเลปุ๊บ แล้วถ้ายังดันทุรังไปกิน มันก็จะออกอาการ และถ้ากินเยอะขึ้น อาจจะถึงขนาดชีวิตด้วย ตายไม่รู้ตัว แต่ต่อให้แพ้ขนาดไหน เราเป็นลูกของพระเจ้า เราอยากกิน ไม่เป็นไร ตายเป็นตาย ยอมกิน แล้วก็แพ้ แล้วก็ตายไปเลย วิญญาณข้างในเรายังเป็นของพระเจ้าอยู่ เรายังอยู่ในที่เดิม ก็คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นภาพที่พี่น้องจำเป็นจะต้องเห็นให้ชัด ฉะนั้น คริสเตียนแพ้ความบาป มันเป็นอาหารแสลง เป็นพิษภัยกับร่างกายของเรา ธรรมชาติใหม่ของเราไม่ชอบขบวนการนี้ แล้วถ้าเมื่อไรที่เราเผลอไปทำปุ๊บ  มันจะออกอาการ เหมือนที่เขาบอกว่าปลาจะต้องอยู่ในน้ำ ถ้าวันดีคืนดีน้ำท่วม แล้วมันลอยขึ้นมาบนบก พอน้ำลด ปลาจะดิ้นผลั๊กๆ อยู่บนพื้นดิน มันผิดธรรมชาติ ไม่ใช่ปลาบอก …

“ดีใจจังเลย ได้ขึ้นบก อยู่ในน้ำทั้งชีวิต อยากขึ้นบก”

อยากขึ้นบก ก็ตาย ถ้าอยู่บนบกนานๆ ปลาตัวนั้นก็ตาย มันไม่ใช่ธรรมชาติของปลา ฉะนั้น ธรรมชาติของปลาต้องอยู่ในน้ำ อาจจะเผลอโผล่ขึ้นมา ใครเห็นรีบๆ เอาลงน้ำ  เขาก็มีชีวิตอยู่ต่อ  เป็นภาพเดียวกันเลย ธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นของพระเจ้า เป็นธรรมชาติที่เป็นแบบพระเจ้าเลย มันจะไม่มีธรรมชาติเดิมที่เราอยากจะไปทำบาป อยากจะไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าบอก แต่ถ้าเราเผลอไปทำมัน เราจะรู้สึกไม่ไหวแล้ว ผะอืดผะอม เราจะอาเจียนแล้ว  เราต้องรีบถอยตัวกลับมา เราต้องรีบหยุด นั่นคือธรรมชาติ

จริงๆ เราไม่ต้องสอนคริสเตียนให้ทำดีหรอก เพราะว่าข้างใน พระเจ้าใส่เข้าไปแล้วความดี แล้วจะมีคนบอกว่า …

“ไม่ได้สิ ถ้าไม่สอน เดี๋ยวคริสเตียนก็หลงระเริง ไปทำสิ่งชั่วร้ายได้ตามสบาย  พระเจ้าไม่เอาโทษแล้ว ไหนบอกว่าบาปอดีต บาปปัจจุบัน บาปอนาคต พระเจ้ายกให้หมดแล้ว งั้น เราก็ไปทำชั่วได้สบายนะสิ”

พี่น้องลองไปทำดูว่าสบายไหม? มันไม่สบายหรอก เพราะว่ามันขัดกับความเป็นจริงในธรรมชาติของผู้เชื่อ มันไม่ได้เลย ฉะนั้น ไม่ต้องไปห่วงแทนพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงยกโทษความผิดบาป พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะคอยสอนเรา คอยบอกเรา คอยเตือนเรา คอยนำทางชีวิตของเรา เดินไปกับพระเจ้า แล้วเมื่อเราเข้าใจในความจริง ในเรื่องราวของพระเจ้ามากเท่าไร? เราไม่ต้องทำอะไรเลย คริสเตียนไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าจะเป็นผู้ทำ  เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระเจ้าก็จะให้ผลที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเราผลิตออกมาให้ผู้คนเยอะแยะมากมายได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา

นึกถึงภาพในหนังสือมัทธิว ที่พระเยซูบอกว่าเมื่อตะเกียงจุดแล้ว จะไม่มีใครเอาถังมาครอบไว้ ฉะนั้น พวกเราทุกคนที่เป็นผู้เชื่อ ที่บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าเป็นผู้จุดตะเกียงดวงนี้ขึ้นมา เพราะว่าพระเจ้า ทรงเป็นแสงสว่าง เรามาเชื่อพระเจ้า เราก็เป็นแสงสว่าง ฉะนั้น ตะเกียงนี้ พี่น้องนึกภาพนะ เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึงตรงนี้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดให้เห็น ตะเกียงไม่สามารถย้ายตัวเองไปในที่ที่ตัวเองอยากไป แล้วไปตั้งเด่นตรงนั้น  แล้วให้แสงสว่างของตะเกียงฉายออกไป มันไม่ได้ แต่ตะเกียงจะถูกเจ้าของหยิบไปตั้งไว้ที่ไหน ตามที่เจ้าของต้องการ ถ้าบังเอิญบ้านเรามีตะเกียงแค่อันเดียว เจ้าของจะถือตะเกียง วันนี้เขาจะทำกับข้าว เขาก็จะถือตะเกียงเข้าไปในครัว  แล้วตะเกียงนั้น ก็จะทำงานของมัน คือเป็นแสงสว่าง  ทำให้เขาสามารถหยิบจับเครื่องปรุงมาทำกับข้าวได้  โดยที่ไม่เผลอหยิบผิด จะเอาน้ำตาลไปหยิบกระปุกเกลือ มันไม่ใช่ นั่นคือการส่องสว่าง หรือวันนี้เจ้าของจะเดินออกไปข้างนอก กลางคืน เขาจะไปทำธุระ เขาก็ถือตะเกียงดวงนั้น  แล้วก็เดินไป

คนสมัยก่อน เขาบอกว่าพระวจนะของพระเจ้า คือโคมส่องเท้า เขาเป็นอย่างนั้นแหละ  เดินไป เราจะได้รู้ว่ามีอะไรกีดขวางอยู่ข้างหน้า พวกเราผู้เชื่อเหมือนกัน เราเป็นตะเกียงที่พระเจ้าเป็นผู้จุดไฟขึ้นมา เมื่อเราบังเกิดใหม่ เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า แล้วพระเจ้าเองจะเป็นผู้ถือตะเกียงแต่ละดวง ไปตามชอบพระทัยของพระองค์ว่าพระองค์จะเอาเราไปปักอยู่ตรงไหน? เพื่อให้ฉายแสงของพระองค์ออกไป อยู่ที่พระองค์ ไม่ใช่เรา แต่หลายครั้ง เราพยายามที่ทำด้วยกำลังของเราเอง เราอยาก อยากจะไปโน่นอยากจะไปนี่ เราอยากจะฉายแสงตรงโน้นตรงนี้ แต่พระเจ้าบอกว่า …

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ความอยากของเธอ แต่เป็นฉัน ฉันเตรียมไว้แล้ว”

เตรียมไว้สำหรับแต่ละคนว่าพระองค์จะเอาเราไปปักไว้ที่ไหน? เพื่อให้แสงสว่างที่เป็นตัวตนจริงๆ ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคนฉายแสงออกไป ประกาศพระนามของพระองค์ออกไป นั่นคือขบวนการ การทำงานของพระเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่จะทำงานในชีวิตของเรา ฉะนั้น ผู้เชื่อที่วางใจในพระเจ้า เราจำเป็นจะต้องรู้ความจริงเหล่านี้ เพื่อเราจะได้ไม่ไปทำอะไรตามใจตัวเราเอง

“ฉันอยากทำโน่น ฉันอยากทำนี่”

พระเจ้าบอก … “เธออยาก แต่มันไม่ใช่ความอยากของฉัน” … นึกภาพออกไหม? … “เธออยากทำโน่น แต่ฉันไม่ได้อยากให้เธอทำ เธอทำไป ก็เหนื่อยเปล่า เพราะว่ามันไม่ใช่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า”

นี่แหละ คือสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงเหล่านี้

เอเฟซัส 1:12-13 “12 เพื่อเราทั้งหลาย  ซึ่งเป็นพวกแรกที่มีความหวังในพระคริสต์  จะได้สรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์ 13 และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อก็ทรงประทับตราท่านไว้ ในพระองค์ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้”

 

ข้อ 12 บอกว่าเพื่อพวกยิว ที่เป็นพวกแรกที่ได้รับความรอด จะได้สรรเสริญพระเจ้า

พอมาถึงข้อที่ 13 อาจารย์เปาโลบอกว่า … “และท่านทั้งหลาย” หมายถึงผู้เชื่อชาวต่างชาติ ที่แผนการของพระเจ้าเตรียมไว้ให้คนต่างชาติกับคนยิวมารวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์

อาจารย์เปาโลบอก … “พวกท่านที่เป็นคนต่างชาติ  ก็ได้มารวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์”

รวมกันได้อย่างไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร? เกิดจากที่ผู้คนเหล่านี้ ได้ยิน ได้ฟังถ้อยคำของพระเจ้า ความจริงของข่าวประเสริฐที่ถูกประกาศออกไป แล้วเขารับด้วยความเชื่อ พอเขารับด้วยความเชื่อปุ๊บ เขาก็ได้บังเกิดใหม่ ทันทีที่เขาบังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ประทับตราลงไป การประทับตรา หมายถึงการแสดงความเป็นเจ้าของ พระเจ้าจะประทับตรา ผู้เชื่อที่เป็นชาวต่างชาติ ที่บังเกิดใหม่ว่าคนนี้เป็นของฉันแล้วนะ ท่านเป็นกรรมสิทธิ์ของเรา ก็คือพระเจ้าบอกอย่างนี้

พระเจ้าให้เราเข้ามา ในครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ในพระเยซูคริสต์ นี่คือพระพรมากจนไม่รู้จะมากอย่างไร? ที่พวกเราทั้งหลายได้รับผ่านทางแผนการความลี้ลับ ที่พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้ ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป หรือจะพูดว่าตั้งแต่ก่อนสร้างโลกก็ยังได้เลย นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้

เอเฟซัส 1:14  “ผู้เป็นมัดจำค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา  จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”

 

ตรงนี้บอกว่าเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับตราเรา เป็นมัดจำว่าเราเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้าแล้ว ก็รอเวลา ตรงที่ว่าจนกว่าแผนการของพระเจ้าจะครบจำนวน  เราไม่รู้ว่าแผนการของพระเจ้าจะครบเมื่อไร? อย่างไร? แต่ว่าแน่นอน พระเจ้าก็จะทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จอย่างแน่นอน

หลายคนบอกว่าพระเจ้าเลือกคนยิวเป็นพวกแรกที่ได้รับกรรมสิทธิ์ แล้วก็มีคนบอกว่าคนยิวทุกคนจะได้รับความรอดโดยปริยาย แต่ความเป็นจริงแล้ว พระเจ้าไม่ได้บอกอย่างนั้น พระเจ้าไม่ได้สัญญาอย่างนั้นด้วย แต่ว่าความตั้งใจของพระเจ้า พี่น้องนึกภาพในหนังสือยอห์น 3:16 ที่พระเจ้าบอกว่า …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

แปลว่าแผนการ หรือว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ ที่มีไว้ สำหรับมนุษยชาติ ก็คืออยากจะให้ทุกคนได้รับความรอด อยากนะ พระองค์ต้องการ แต่ว่ากฎของพระเจ้ามีอยู่ ไม่ได้หมายความว่าพออยากปุ๊บ พระเจ้าก็ดีดนิ้ว แล้วทุกคนมาเชื่อพระเจ้าหมดเลย ไม่ใช่ พระเจ้าก็มีกฎไว้ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น แปลว่ามนุษย์ต้องตัดสินใจด้วย ตัดสินใจที่จะเปิดใจต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน เมื่อต้อนรับปุ๊บ ก็ย้ายจากการเป็นคนบาป เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าทันทีเลยนะ เมื่อต้อนรับปุ๊บ เขาก็ไม่พินาศ ซึ่งมนุษย์ทุกคน ทุกวันนี้ อยู่ในความพินาศ อยู่ในอาดัม อยู่ในบาป  กำลังเดินทางไปสู่ความตาย แล้วมนุษย์ถ้าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เขาก็จะหลุดจากความพินาศ  จากการอยู่ในครอบครัวของอาดัม เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระคริสต์ หลุดจากการเป็นทาสของมาร มาเป็นบุตรของพระเจ้า หลุดจากการที่จะต้องเดินทางไปสู่นรก เข้ามาสู่ชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น ฉะนั้น คนยิวทุกคนจึงจำเป็นจะต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เหมือนกับพวกเราที่เป็นคนต่างชาติ ถ้าคนยิวหรือคนอิสราเอลคนไหนยังดื้อรั้น ยังไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาก็ต้องเดินทางไปสู่นรก เหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะว่าเกิดมา เขาก็อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เกิดมา ก็อยู่ในความพินาศแล้ว ฉะนั้น พระเจ้าวางกฎนี้เอาไว้ สำหรับมนุษย์ เฉพาะมนุษย์เท่านั้น ที่จะสามารถมารับสิทธิ์นี้ สิทธิ์ของการบังเกิดใหม่ เพื่อจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์

ฉะนั้น มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าชนชาติใด เชื้อชาติใดก็ตาม จำเป็นจะต้องตัดสินใจ ในขณะที่คนๆ นั้นยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ถ้าคนๆ นั้นตาย วิญญาณออกจากร่าง เท่ากับเขาสละสิทธิ์ หมดสิทธิ์ในการที่จะมีโอกาสเข้ามารับความช่วยเหลือจากพระเจ้า หรือไม่มีโอกาสอีกเลย ที่จะเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า คือไปรอถูกพิพากษาลงโทษแน่นอน

นั่นคือเหตุผลที่ทำไมพระเจ้าถึงยังไม่เอาเรากลับบ้าน จริงๆ แล้ว ถ้าพระเจ้าให้เราเชื่อปุ๊บ เอาเรากลับบ้าน เราก็ได้ความรอดครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว พระเจ้าไม่เอาเรากลับบ้าน เพราะพระเจ้าจะใช้งานเรา เราจะได้เป็นแสงสว่าง เป็นตะเกียงของพระเจ้า ที่จะไปปักอยู่ในที่ไหนก็ได้ที่พระเจ้าจะให้เราไป แล้วก็นำเอาความรอดไปสู่ผู้คนอีกมากมาย

นั่นคือสิ่งที่พระเจ้ากระทำในชีวิตของพวกเรา เราขอบคุณจริงๆ ขอพระคุณพระเจ้าทรงเปิดเผยสำแดง ให้พวกเราทุกๆ คนได้สามารถเห็น รับรู้ความจริงเหล่านั้น แล้วเราจะเป็นอิสระจริงๆ เป็นไทจริงๆ เราจะหายเหนื่อย เป็นสุข เราไม่ต้องมาแบกภาระอีก มาเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังต้องแบกภาระ ต้องทำโน่นทำนี่ ถ้าเธอไม่ทำ เธอก็จะไม่ได้รับความรอด พระเยซูจะไม่รักเธอ มันไม่จริง ถ้อยคำพระเจ้าบอกทันทีที่เราต้อนรับพระเจ้า เราได้รับความรอดแล้ว ต่อให้เราไม่ทำอะไรเลย เราก็เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนกับบ้านใครคลอดลูกออกมาปุ๊บ ต่อให้ลูกคนนี้ขี้เกียจขนาดไหน? ไม่ยอมทำอะไรเลย  เขาก็ยังเป็นลูกเราอยู่ดี ไม่มีใครบอกว่าขี้เกียจ ตัดออกจากการเป็นลูก ต่อให้เราพูดด้วยคำพูดของเราว่าตัดออกจากการเป็นลูก เขาก็ยังเป็นลูกเราอยู่ดี

ภาพนี้ พี่น้องมองให้ชัด ถ้าพี่น้องมองชัดปุ๊บ พี่น้องจะเห็นโลกวิญญาณว่าพระเจ้าหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ เมื่อเรามาเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ตาม พระเจ้าจะไม่ตัดเราออกจากการเป็นลูก แต่เชื่อสิ เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก ถึงเวลาพระเจ้าจะจับเราไป มันจะดันจากข้างในออกมา ไม่ใช่มองจากข้างนอก คนบอกว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้วควรทำแบบนี้ ควรทำแบบนั้น แล้วเราไปทำ ไม่ใช่ แต่นิ่งๆ แล้วให้พระเจ้าตรัสกับเราจากข้างในออกมา เมื่อพระเจ้านำเราไปทำอะไร ก็ตาม แม้เรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าถือว่าโอเคนะ คนๆ นั้นโอเคมากเลย แต่ถ้าเราพยายามทำ ด้วยกำลังของเราเอง ด้วยการโน้มน้าวจากภายนอก แล้วทำๆ ต่อให้ทำเยอะแค่ไหน? แต่ถ้าไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ให้เราทำเลย  พระเจ้าบอก …

“ไปทำทำไม ให้มันเหนื่อย ฉันไม่ได้ให้เธอทำเลย”

สิ่งที่เราทำทั้งหมด เหนื่อยแทบตาย ไม่ได้ผลอะไรเลย  เพราะว่ามันไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ว่าไม่ว่าเราจะทำเหนื่อยแค่ไหน ด้วยความอยากของเราเอง ก็ไม่ได้ทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้ เราก็แค่เหนื่อยฟรี พี่น้องนึกถึงภาพเหนื่อยฟรีไหม? พระเยซูบอก …

“ฉันให้เธอหายเหนื่อยเป็นสุข เธอจะไปทำให้มันเหนื่อยทำไม?” อะไรอย่างนี้

ขอพระวิญญาณของพระเจ้าทรงเปิดเผยให้เราสามารถเข้าใจ หยั่งรู้ถึงความจริงในถ้อยคำของพระองค์ เพื่อเราจะได้สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทำให้พระเจ้าพอใจ ทำให้พระเจ้ามีความสุข จริงๆ แล้วพระเจ้าพอใจเราอยู่แล้วล่ะ ไม่มีอะไรที่พระเจ้าไม่พอใจ เมื่อพระองค์เลือกเราแล้ว แต่เราจะทำให้พระเจ้ามีความสุข เพราะว่าพระเจ้าไม่ต้องมานั่งผวา

“ลูกเราจะทำอะไรอีกแล้ว ทำอะไรที่มันผิดมันพลาดบนโลกใบนี้ ลูกเราก็จะเจ็บตัว”

แล้วการเจ็บตัวตรงนี้ ไม่ได้ทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย ตรงนี้คือความจริง และให้เราเอเมนตามนั้น พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

พระเยซูตรัสว่าเราเป็นความสว่างเป็นความจริงและเป็นชีวิต

ยอห์น 1:12-13 “12 ส่วนคนที่ยอมจำนนต่อความจริง (พระเยซู) ผู้ที่สารภาพ เชื่อ (ความจริง) ในพระนามของพระองค์ (ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคน) พระองค์ก็ทรงประทานฤทธิ์เดชให้คนนั้นได้บังเกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้า 13 ซึ่งในฐานะบุตรนั้น เป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า”

 

ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไทหายเหนื่อยและเป็นสุข

ฮีบรู 13:5 “จงดูแลควบคุมลักษณะนิสัยของท่านให้หลุดพ้นจากการรักเงินทอง รวมทั้งความโลภ กิเลส ตัณหา และการรักสิ่งของบนโลก และจงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้) (เชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ให้อยู่ลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน”

 

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญ​พระ​เจ้า​ผู้​เป็น​พระ​บิดา​ของ​พระ​เยซู​คริสต์ องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา ผู้ได้ให้​พระ​พร​ฝ่าย​วิญญาณ​นานัปการใน​อาณาจักรฝ่ายวิญญาณ (สวรรค์) ทั้งหลายแก่​เราแล้วในพระคริสต์”

 

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต (บังเกิดใหม่) อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์แล้ว”

 

ฟังแล้วพอหรือยังครับที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุข!

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1331

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  กันยายน  2021

 เรื่อง “พี่น้อง … อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย”  ตอนที่ 1

โดย นคร เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง  หลังจากที่เราได้ฟังการบรรยายกันไปหลายๆ ตอนแล้ว ในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ คือการพิพากษาของพระคริสต์บนบัลลังก์สีขาว เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น หลังความตาย มนุษย์ทุกคนต้องพบกับการพิพากษาตัดสินว่าวิญญาณนั้นจะไปอยู่ที่แห่งใด? จะได้รับสิ่งใด? ซึ่งสรุปสั้นๆ ชัดๆ ตามที่เราเรียนรู้กันว่า …

“ไม่มีการพิพากษาลงโทษสำหรับผู้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน 100%”

และสรุปสั้นๆ ชัดๆ อีกว่า … “ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องถูกพิพากษา แต่ได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า 100% เช่นเดียวกัน”

สาระสำคัญของข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์มีแค่นี้จริงๆ คือเชื่อและวางใจในพระเยซู ได้รับความรอด ก็คือรอดจากการพิพากษาลงโทษ  ได้ไปสวรรค์ ทั้งหมดมีแค่นี้  เพียงแค่เชื่อ วางใจ พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลยแม้แต่นิดเดียว  เพียงแค่นี้จริงๆ นี่คือข่าวดีหรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้มนุษยชาติทุกคนสามารถที่จะไปสวรรค์ได้อย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องคิดมาก คิดมากเกินไป ก็เลยไม่ได้  นี่คือข่าวดี เป็นเรื่องความรู้ทางโลกฝ่ายวิญญาณ  สาระสำคัญของข่าวดี  ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มีแค่นี้เอง  คือเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วท่านจะได้รับความรอด

แต่ในชีวิตจริงของหลายๆ คน แม้จะมาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว คือพูดง่ายๆ ว่าปฏิบัติตามที่พระเยซูบอก ก็คือพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ คือเชื่อด้วยความคิดทั้งหมดเลยว่าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดความพยายามที่จะพึ่งการกระทำของตนเองเพิ่มเติมอีก เพราะไม่ค่อยแน่ใจ มันก็เป็นอย่างนี้  นี่คือเรื่องจริงของการดำเนินชีวิตคริสเตียน บนโลกใบนี้ แทนที่จะเชื่อและวางใจ และหายเหนื่อย และเป็นสุข เหมือนที่พระเยซูคริสต์บอก เลยกลายเป็นว่าเชื่อและวางใจ หายเหนื่อย กลายมาเริ่มต้นเหน็ดเหนื่อย  และเป็นทุกข์กับการที่จะไปสวรรค์ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย ก็ได้ไปสวรรค์อยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น มันก็เปรียบเหมือนไม่จำเป็นต้องทำ แต่ไปทำให้มันมากขึ้น ผมก็เลยใช้สุภาษิต ก็เหมือนการเข็นครกขึ้นภูเขาใช่ไหม? อันนี้มันเหมือนเข็นครกขึ้นสวรรค์ หมายถึงการทำงานที่ยากลำบากเกินความสามารถของตนเอง เช่นเดียวกัน ความพยายามพึ่งพาตนเอง เพื่อไปสวรรค์นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย สำหรับมนุษย์  เกินความสามารถของมนุษย์ พยายามไปก็เหนื่อยเปล่าๆ เราจึงควรมาพึ่งและวางใจในพระเยซู เมื่อมาพึ่งและวางใจในพระเยซู ก็ควรจะพึ่งและวางใจ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม เพราะทำอะไรเพิ่ม ก็ช่วยเราไม่ได้อยู่แล้ว คิดไปคิดมา วนไปวนมา มันก็แปลกดีนะ

เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์กำลังจะบอกว่า … “ลูกเอ๋ย อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย มาวางใจในเราเถอะ แล้วจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข”

หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ผมจึงใช้ชื่อเรื่องว่า … “พี่น้อง … อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย” … พี่น้อง หมายถึงผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้วนั่นเอง ซึ่งก็พูดง่ายๆ ว่าผู้ที่อยู่ในสวรรค์แล้ว กำลังเดินทางไปสู่โลกใหม่  สวรรค์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง เดินไปบนโลกใบนี้กับพระองค์  อย่างหายเหนื่อยเบาสบาย เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปฝืนธรรมชาติ ให้มันเป็นการเข็นครกขึ้นสวรรค์

เราได้รับรู้ความจริง จากถ้อยคำพระเจ้าแล้วว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว เราก็รอดจากการถูกลงโทษของการเป็นคนบาปของเราทันทีเลย ทันทีทันใดที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็ได้รับการย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรในพระคริสต์ ก็คือในสวรรค์นั่นเอง อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่าแสงสว่างเรียบร้อยแล้ว ทันที ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย  และขณะเดียวกันนั้น วิญญาณและใจใหม่ของเรา ได้รับการบังเกิดใหม่ ตอนนั้นเลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว 1 ยอห์น 1:7 บอกไว้อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ จึงเป็นแค่เดินทางไปสู่สวรรค์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์เท่านั้น คือเดินทางไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และอาศัยอยู่ในโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งที่นั่นจะไม่มีบาป ไม่มีความชั่วร้าย  ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีมารมาล่อลวงให้เราทำบาป ทำชั่วอีกต่อไป ที่เราเรียกกันว่าสวรรค์นิรันดร์ ก็คือโลกใหม่นั่นเอง

ชีวิตคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เกิดใหม่แล้ว เกิดในโลกวิญญาณ  เหมือนกับเด็กทารก เกิดแล้ว เป็นคนแล้ว  แต่ยังไม่เห็นตัวเลย  อยู่ในครรภ์มารดา เกิดหรือยัง? เกิดแล้ว รออะไร? ดิ้นไปๆ ตามธรรมชาติ เดี๋ยว 8, 9 เดือนก็คลอดออกสู่โลกใหม่

“โลกนี้เป็นอย่างนี้เองหรือ?”

ถามว่าเด็กคนนี้ เป็นคนตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ 9 เดือนที่แล้ว ไม่ใช่เพิ่งเป็นคน ตอนที่อุแว้ออกมาที่โรงพยาบาล  เช่นเดียวกัน คริสเตียนก็เหมือนกัน  เมื่อรับเชื่อ วันนั้น มันเกิดแล้วทันที อยู่ในครรภ์อีกเมื่อไร? ดิ้นไปเถอะ พระคัมภีร์จึงบอกว่าเรามีความหวังใจ เหมือนกับหญิงตั้งครรภ์ที่กำลังจะคลอด มีความชื่นชมยินดีมากเลย กำลังจะคลอด เมื่อคลอดออกมา ก็ได้เห็นโลกใหม่ สวยสดงดงาม ตื่นเต้น เช่นเดียวกัน อย่างนั้นแหละ

การบังเกิดใหม่เหล่านี้ การเข้าสู่สวรรค์เหล่านี้ เป็นผลของข่าวดี และข่าวดี คือผลของพันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ก็คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ท่านจะได้รับความรอด เชื่อและวางใจในพระเยซูท่านจะได้บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในครรภ์ของพระคริสต์ รอวันที่จะคลอดออกมา ก็คือวันสิ้นสุด การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สู่ความตาย วิญญาณออกมาจากร่าง เห็นโลกใหม่ สวยสดงดงาม ฉันใดฉันนั้น มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้แหละ อยู่ในครรภ์ 8, 9 เดือน อึดอัด มืดๆ หายใจก็ลำบาก พอคลอดออกมา เขาก็มีความสุข เห็นโลกใหม่

เอเสเคียล 36:25-27 ได้บอกถึงพันธสัญญาใหม่ของพระเจ้าคืออะไร?  พระเจ้าได้บอกว่าอย่างนี้ แล้วพันธสัญญานี้ ทรงสัญญาแล้ว และได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน เอเสเคียล 36:25-27 พระเจ้าได้บอกล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะทำสำเร็จแล้ว ในข้อนี้ บอกมาประมาณสัก 7-8 ร้อยปีแล้ว ลองอ่านดู …

เอเสเคียล 36:25-27  “25 เราจะประพรมน้ำชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้า จากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

 

นึกถึงภาพพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน อันนี้บอกล่วงหน้า  เหตุการณ์ที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขนนั่นเอง

“เรา” คือพระเจ้า “เราจะใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า” ก็คือวิญญาณที่ไม่ได้อยู่ใต้กฎเดิม กฎของความบาปและความตาย วิญญาณที่ไม่ได้เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป  ก็คือวิญญาณที่บังเกิดใหม่จากความตาย บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกพระเจ้า  เข้ามาอยู่ในสวรรค์นั่นเอง และพระคัมภีร์ยังบอกด้วยว่าเมื่อพระเจ้าใส่วิญญาณใหม่ให้เราแล้ว พระองค์จะไม่จดจำการละเมิด การผิดบาปของท่านอีกต่อไป  ไม่จำมันอีกเลย แม้แต่นิดหนึ่ง เพราะว่าธรรมชาติใหม่ ที่ท่านได้บังเกิดแล้วในพระเยซูคริสต์ เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระบุตร ก็คือเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าบอกว่าดีพร้อมแล้ว ดีแล้ว จึงไม่จดจำอะไรอีกเลย จดจำอย่างเดียว คือดีแล้ว ดียอดเยี่ยม ดีพร้อมแล้ว ดีเท่ากับใคร? ดีเท่ากับศิษยาภิบาล หรือดีเท่ากับเปโตร ไม่ใช่ ดีเท่ากับเปาโล ไม่ใช่ เพราะว่าเปาโลทำเยอะนะ  ดีเท่ากับเปโตรก็ไม่ใช่ เพราะว่าเปโตรมีความเชื่อเยอะ ไม่ใช่ แต่น้อยไป ดีเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย  พระเจ้าดูเราดีเท่ากับพระเยซูคริสต์ พอไหม? พอ ฮีบรู 10:16-17 ได้บันทึกอย่างนี้ว่าพระเจ้าทำพันธสัญญาใหม่ให้เป็นอย่างนี้ คือ …

ฮีบรู 10:16-17  “16 นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้น บนจิตใจของพวกเขา 17 บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

และไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าไม่จดจำความผิดบาปทั้งหมดของเราเท่านั้น เมื่อถึงวันที่พระเจ้าสร้างโลกใหม่แล้ว แม้ตัวเราเอง ก็ไม่สามารถจดจำการกระทำผิดบาป ความชั่วใดๆ ที่อยู่ในความคิดจิตใจเราได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะวิญญาณและใจใหม่ของเรา เป็นเหมือนพระเยซู สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีการคิดสกปรก ไม่มีความจำ เรื่องความชั่วอะไรอีกเลย เป็นธรรมชาติใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย และเราไปสวรรค์ เฉพาะแค่วิญญาณ และความคิดจิตใจเท่านั้น ร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ ซึ่งมันมีแต่ความสกปรกอะไรต่างๆ ที่เราทำบ้าง พลาดบ้าง อยู่บนโลกใบนี้ เลอะเทอะจากการดำเนินบนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความชั่วร้าย สกปรกนั้น รวมทั้งสมอง โปรแกรมเก่าๆ ความคิดเก่าๆ ที่ยังอยู่ในร่างกายนี้ มันตายแล้ว เมื่อคลอดเข้าไปอยู่ในสวรรค์ มันเป็นโลกใหม่แล้ว มันไม่มีของเก่าอยู่เลย เพราะฉะนั้น ท่านเองก็จะไม่มีความคิดสกปรก โสโครก ไม่มีความริษยา ไม่มีความเกลียดชังอยู่ในตัวท่านเลย  เพียวๆ ตัวท่านจึงสะอาดหมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ และแถมได้สวมร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นตัวเราเองก็ยังจำความสกปรกของตัวเราเองไม่ได้เลย ไม่ต้องห่วงแล้วนะ

บางคนบอก เก็บความลับไว้ตั้งนาน มาเชื่อพระเจ้าแล้ว น่าเกลียดมาก เคยทำอะไรผิดที่น่าละอายมาก กลัวไปสวรรค์ ไปเจอหน้าคนนี้แล้ว …

“วันนั้น ฉันโกหกเธอ ต่างคนต่างเป็นคริสเตียนแล้ว  เจอหน้าเธอ แล้วเขินจัง วันนั้น ฉันไม่ได้บอกเธอว่าฉันทำความชั่ว วันนี้เธอเห็นแล้วเนี้ย”

ไม่เห็น ไม่มีใครเห็นอะไรทั้งสิ้น ความชั่วนั้น ถูกฝังลงไปกับความตายบนโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว  อิสยาห์ 65:17-19 พระเจ้าตรัสว่า …

อิสยาห์ 65:17-19  “17 ดูเถิด เราจะสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ จะไม่มีใครจดจำ  หรือนึกถึงสิ่งเก่าอีกต่อไป 18 แต่จงชื่นชมและปีติยินดีตลอดไป ในสิ่งที่เราจะสร้างขึ้น เพราะเรา จะสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นความปีติยินดี และให้ชาวเยรูซาเล็มเป็นความชื่นชมยินดี 19 เราจะปีติยินดีในเยรูซาเล็ม และชื่นชมในตัวประชากรของเรา ที่นั่นจะไม่มีเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ให้ได้ยินอีกต่อไป”

 

นี่พระเจ้าตรัสเองเลย เยรูซาเล็ม คือประชากรของพระเจ้า คริสตจักรของพระเจ้า ก็คือผู้เชื่อทั้งหลายนั่นเอง

ดังนั้น พี่น้อง ความจริงเหล่านี้ ควรเป็นเป้าหมายของเรา ในการดำเนินชีวิต ในการเดินทางไปสู่สวรรค์ เพื่อคลอดเขา อยู่ในโลกสวรรค์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ความจริงเหล่านี้ควรจะเป็นเป้าหมายให้เราเดินไปสู่สวรรค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างเบาสบาย เต็มไปด้วยความเชื่อและความหวังใจ เหมือนเดินทางขึ้นสวรรค์ อย่างที่บอก เดินทางขึ้นสวรรค์ เหมือนกับกำลังอยู่ในครรภ์มารดา เกิดแล้วก็จริง อยู่ในครรภ์มารดา มันก็เหนื่อยบ้างอยู่แล้วนะ แต่อย่าให้ถึงขนาด เดินไปด้วย แล้วเข็นครกไปด้วย  เข็นครกขึ้นสวรรค์ มันเหนื่อยขึ้น โดยไม่จำเป็น และไม่ได้เป็นที่พอใจ สำหรับพระเจ้าด้วย เพราะว่าพระเจ้าเสียใจ …

“ลูกเอ๋ย ทำไมทำอย่างนั้น”

และก็ไม่ได้สามารถทำให้เรามีชีวิตเป็นพยานให้กับคนอื่นๆ ที่ยังไม่เชื่อได้เห็น นี่แหละ คริสเตียนเขาเป็นอย่างนี้ เขามีความเชื่ออย่างนี้ แสดงว่ามันต้องมีสวรรค์หลังความตายแน่นอน  พิเศษแน่นอน อะไรอย่างนี้เป็นต้น

ฮีบรู 12:1-4 เราจะมาเรียนเรื่องนี้ด้วยกัน เพราะว่ามีหลายคนเข้าใจผิดในหนังสือฮีบรู บทที่ 12 ตรงนี้เยอะ เราจะมาเรียนรู้ว่าอะไรที่เป็นตัวถ่วงเรา อะไรที่ทำให้เรารู้สึกหนัก อะไรที่ทำให้เราถูกแปะเข้ามา เหมือนเราเข็นครกขึ้นสวรรค์ แทนที่จะเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว แต่ไปใส่ภาระหนัก เหมือนกับเข็นครกขึ้นภูเขา เข็นครกเข้าสู่สวรรค์ หนักเกินไป  เราจะมาเรียนรู้กันในวันนี้ เริ่มต้นที่ฮีบรู 12:1-2 …

ฮีบรู 12:1-2  “1 เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรามีพยานจำนวนมาก รายล้อมรอบด้านเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ และขอให้เราวิ่งด้วยความบากบั่นอดทน  ไปตามลู่วิ่งที่ทรงกำหนดไว้สำหรับเรา 2 ให้เราจดจ่อไปที่พระเยซู ผู้ทรงก่อตั้งความเชื่อ และทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์แบบขึ้น พระองค์ทรงทนแบกรับกางเขน และไม่สนใจในความอัปยศของไม้กางเขน เพราะเห็นแก่ความชื่นชมยินดีที่อยู่เบื้องหน้า และพระองค์ได้ประทับที่เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า”

 

ข้อ 1 บอกว่า “เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรามีพยานจำนวนมาก รายล้อมรอบด้านเช่นนี้แล้ว”

ใครคือพยานจำนวนมากที่รายล้อม? ตรงนี้ กำลังพูดถึงบทที่แล้ว ก็คือฮีบรู บทที่ 11 พูดถึงบรรดาวีรบุรุษแห่งความเชื่อ ในสมัยอดีตของชาวยิว ที่วางใจและเชื่อในพระเจ้า เป็นวีรบุรุษเลย คือเชื่อ ถึงขนาดทำอะไรบางอย่างที่มันเกินกว่าที่ความคิด สติปัญญามนุษย์ จะกล้าทำ หรือมีเหตุผล ที่จะให้ทำ

ยกตัวอย่างเช่น ฆ่าบุตรของตนเอง  หรือยอมให้เขาเลื่อยเป็นท่อนๆ หรือยอมให้เขาเอาไปเผาไฟเป็นต้น ด้วยเหตุของความเชื่อในพระเจ้า

ตรงนี้กำลังกล่าวถึงบรรดาผู้คนที่อยู่ในพันธสัญญาเดิม ผู้คนเหล่านั้น คือชาวยิว ที่เต็มไปด้วยความเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าสัญญาว่าจะให้พันธสัญญาใหม่ แต่ยังไม่ได้รับ เขายังอยู่ในพันธสัญญาเดิม ที่เป็นตัวอย่างของการรักและเชื่อฟัง อย่างสุดใจของพวกเขา  แม้ว่าจะอยู่ในพันธสัญญาเดิม ซึ่งไม่ใช่พันธสัญญาใหม่เหมือนเราก็ตาม  พวกเขาทั้งหลายมีความมั่นคงในความเชื่ออย่างมาก จนถึงลมหายใจสุดท้าย อย่างที่บอก เราได้เห็นตัวอย่างมากมายของผู้ที่ถูกข่มเหงรังแก ถูกทรมานอย่างแสนสาหัส ถูกฆ่าตายอย่างโหดร้าย เพราะความเชื่อในพระเจ้าที่เขามองไม่เห็น

เราได้เห็นตัวอย่างมากมาย และพันธสัญญาเดิมที่เชื่อฟังพระเจ้า และยอมทำทุกอย่าง ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ยอมอดทนกับความทุกข์ยากลำบาก ยอมอดทนต่อการถูกข่มเหงรังแก อดทนต่อการถูกทรมานอย่างแสนสาหัส อดทนต่อการถูกฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณ โดยที่เขาเหล่านั้น ยังไม่เคยได้เห็น และยังไม่เคยได้รับในสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้เลย แม้แต่นิดเดียว ที่เราอ่านพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ ในอิสยาห์ ในเอเสเคียล ที่พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้า ถึงพระเยซูคริสต์จะมาทำสำเร็จ เขายังไม่ได้รับอย่างนั้นเลย เขายังไม่เคยเห็นเลย แต่เขาเชื่อวางใจในพระเจ้า ถึงขนาดยอมทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น ยอมทนทุกข์ทรมานเหล่านั้น

พระคัมภีร์จึงบอกว่า … “พวกเราในวันนี้”  คือในปัจจุบัน ในสมัยพระเยซูคริสต์ ผู้เชื่อ อยู่ภายใต้พันธสัญญาใหม่แล้ว เรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดีกว่า มากกว่าบรรดาผู้ที่อยู่ในพันธสัญญาเดิม ที่เชื่อพระเจ้า เขาไม่มี เราได้รับแล้ว อย่างง่ายๆ เลย แตกต่างกันมาก และตอนสมัยนั้น เขาก็หวังว่าเขาคงจะได้รับในเร็วๆ นี้ แม้กระทั่งเขาตายไปแล้ว เขายังไม่ได้รับเลย พันธสัญญาใหม่ก็ยังไม่เกิดขึ้น หลังที่เขาตายแล้ว มันถึงค่อยเกิดขึ้น

สิ่งที่ดีกว่าคืออะไร? ก็คือสิ่งที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ไง  การให้วิญญาณใหม่ การให้ใจใหม่  ในขณะที่ผู้เชื่อในพันธสัญญาเดิม ยอมอดทนทุกอย่าง โดยที่ไม่เคยได้รับ เหมือนที่พวกเราได้รับตามพันธสัญญาใหม่เลย แต่พวกเราผู้เชื่อ ที่อยู่ภายใต้พันธสัญญาใหม่ เราได้รับการเปิดเผยแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ ในเรื่องความจริงของข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ อย่างง่ายๆ ได้รับรู้แล้วว่าทุกสิ่งตามพันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ตั้งแต่สมัยโน้น เราได้รับผ่านทางพระเยซูคริสต์ ข่าวดีนั้น เรียบร้อยแล้ว เราสามารถบังเกิดใหม่ เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ตั้งแต่สมัยโน้น สมัยวีรบุรุษแห่งความเชื่อในอดีต ที่เขาอยากได้ แต่เขายังไม่ได้

เราได้รับรู้อะไรในข่าวดีนี้ เราได้รับรู้เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร? เราได้เข้าไปอยู่ในแผ่นดินสวรรค์แล้ว เราได้ย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างแล้ว  เราได้รับการย้ายจากการมีชีวิตอยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เรารู้ถึงสิ่งเหล่านี้ เราได้รับรู้ว่าวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวตน ที่แท้จริงของเรา ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว หลังจากที่เรารับเชื่อ แค่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น วิญญาณเราเปลี่ยนแปลงแล้ว วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณใหม่แล้ว ความคิดจิตใจใหม่แล้ว เราได้รับรู้ความจริงในเรื่องนี้ว่าเมื่อเราได้รับความรอดแล้ว เราได้รับความรอดอย่างนิรันดร์ และนิรันดร์ และนิรันดร์ ตั้งแต่วินาทีแรกเลยทีเดียว

สิ่งเหล่านี้แหละ บรรดาผู้ที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิม พูดตรงๆ นะ เขาไม่อิจฉาแล้ว เพราะเขาอยู่ในสวรรค์แล้ว แต่อิจฉาแบบโฮลี่ …

“แหม! ทีเรายังไม่ได้อย่างนี้เลย” ลองคิดถึงภาพ เป็นความจริงนะ

เพราะฉะนั้น เขาเหล่านี้กำลังมองเราอยู่ มองด้วยความหมั่นไส้หรือ? ไม่ใช่ มองด้วยความอิจฉาแบบโฮลี่ มองด้วยความแบบ …

“โอ้โห! น้องเอ๋ย พี่อยากได้อย่างนี้ตั้งนานแล้ว พี่ยังไม่ได้ พี่ต้องใช้ความเชื่อ ถึงทุกวันนี้ น้องสบายจังเลย” น้องๆ ของความเชื่อ

พระคัมภีร์จึงบอกว่าบรรดาผู้คนเหล่านั้น ในพันธสัญญาเดิม ล้วนเป็นพยานให้กับเราในเรื่องของการเชื่อฟังและทำตามพระเจ้า ก็หมายถึงเป็นพยานว่าขนาดเขาไม่ได้อย่างเรา เขายังเชื่อพระเจ้าถึงขนาดนั้น ยอมทนทุกข์ทรมาน  ยอมถูกรังแก เลื่อยเป็นท่อนๆ ถูกเอาไปเผาไฟ ยังทำได้เลย แล้วพวกเรามีพระเจ้าสถิตอยู่ข้างใน ทำบาปอะไรก็ได้รับการยกโทษ ไม่จดจำ มากกว่านั้นสักเท่าใด  ที่ความเชื่อเราจะ … ท่านคิดเอาเองก็แล้วกัน

เป็นพยานว่าเขาเหล่านั้น ทำสิ่งต่างๆ อดทนสิ่งต่างๆ ได้ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าความหวังอยู่ที่ไหน? แต่พวกเราได้รู้ได้เห็น ได้สัมผัสแตะต้อง ได้มีพระเจ้าจูงมือเราเดินทุกวัน

พระคัมภีร์จึงบอกว่าในเมื่อเรามีพยานจำนวนมากเหล่านี้ รายล้อมเรา เยอะแยะไปหมดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ คำพยานเหล่านี้ จึงควรเป็นสิ่งที่เรายึดไว้ ก็ขอให้เราละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ เพราะเห็นคำพยานเหล่านั้น ความเชื่อของเราง่ายกว่าตั้งเยอะ  ก็ขอให้เราละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ และขอให้เราวิ่งด้วยความบากบั่น อดทน ไปตามลู่วิ่งที่กำหนดไว้สำหรับเรา

ลู่วิ่ง ก็คือลู่วิ่งที่พระเยซูวางไว้ ก็คือเดินตามพระเยซู พระองค์กรุยทางไว้เรียบร้อยแล้ว เราก็วิ่งไปตามลู่นี้ ไปถึงสบายๆ แต่มันก็ต้องเหนื่อยบ้างนะ วิ่ง มีหอบบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา

ถ้อยคำตรงนี้ กำลังเปรียบการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูแล้ว เหมือนกำลังวิ่งแข่งในสนาม แต่ละคนมีลู่วิ่งของตนเองและเส้นชัย อยู่ที่เบื้องหน้า ก็คือรางวัลที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ไปรับ รางวัลนั้น คือชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ คือได้รับร่างกายใหม่  และอยู่ในสวรรค์ อยู่ในโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ทั้งหมด  ที่ตะกี้เราได้พูดถึงกันมา คือการคลอดจากในพระเยซูคริสต์เข้าสู่โลกใหม่ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า

รางวัลที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ จำได้ไหมที่เราเรียนมาหลายครั้งแล้ว รางวัล ก็คือมรดก … มรดก ก็คือรางวัล  รางวัลเดียวที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้ ก็คือมรดกเดียว มรดกนั้น ก็คือชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถาน นี่คือเป้าหมายเดียวที่ให้เราวิ่งไป

ขอให้เราละทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ และขอให้เราวิ่งด้วยความบากบั่น อดทน หมายความว่าต้องมีความทุกข์ยากลำบากด้วย วิ่งไป มันก็เหนื่อยนะ เดินยังเหนื่อยเลย แต่มันเหนื่อยแบบสามารถที่จะทำได้ เพราะพระเยซูเป็นผู้วางลู่นี้ไว้ให้เราสามารถที่จะทำได้ อดทนได้นั่นเอง

“บากบั่นด้วยความอดทน” หมายความว่าลำพังแค่วิ่งบนลู่วิ่งของเรา ที่พระเจ้าวางไว้ ก็ต้องใช้ความบากบั่น ต้องใช้ความอดทน ก็คือมันเหนื่อยอยู่แล้ว แต่เหนื่อยแบบธรรมชาติ แต่หลายคนก็ยังอุตส่าห์ไปหาห่วงมาถ่วงขา ให้วิ่งยากมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง หรือบางคนยากมาก ลำบากมากขึ้นไปอีก พระคัมภีร์บอกว่าอย่าไปเอามาถ่วง แค่เดินเฉยๆ มันก็เหนื่อยพออยู่แล้ว ห่วงที่มาถ่วงขา ท่านลองคิดดู ท่านวิ่งไป แล้วก็มีอะไรมาเกาะแข้งเกาะขา ในขณะวิ่ง มันทำให้วิ่งลำบาก

ถามว่าห่วงนี้คืออะไร? ในนี้บอกว่าก็คือบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ ก็คืออะไรที่เกี่ยวกับบาป ที่มารใช้ความบาปเป็นอาวุธ มาเกาะเราอยู่ แม้ว่าเราเป็นอิสระ จากมันแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากให้เราวิ่งสบายหน่อย วิ่งไปตามลู่ที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์วางไว้ให้กับเราแบบธรรมชาติ ลำบากน้อยหน่อย ก็จงอย่าไปสนใจ ละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่นสนิทอยู่นั้น ออกไปเสีย

ตัวอย่าง เหมือนเรากำลังวิ่งแข่ง นึกภาพนะ ชีวิตคริสเตียนเมื่อบังเกิดใหม่แล้ว เข้าสู่ลู่วิ่ง นึกถึงภาพกีฬา วิ่งแข่งโอลิมปิกก็แล้วกัน มีลู่วิ่ง เหมือนเรากำลังวิ่งแข่ง กำลังเข้าสู่เส้นชัย รอบสุดท้าย เห็นพระเยซูคริสต์อยู่ตรงเส้นชัย  แล้วในขณะที่เรากำลังจะเข้าสู่เส้นชัย อาจจะ 100 เมตรสุดท้าย กำลังวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเลย ดีใจเหลือเกิน แล้วข้างสนาม ก็มีคนคอยกล่าวหา  พูดใส่เรา  ขณะที่เราวิ่งว่า …

“นี่วิ่งผิดกฎนี่น่า นี่วิ่งผิดระเบียบ  อย่างนี้ปรับฟาวล์ ไปถึงเส้นชัยก็ไม่ได้หรอก ฟาวล์แล้ว”

ถามว่าใครล่ะ ที่มาเชียร์อย่างนี้ วิ่งไป มันก็คอยพูด …

“โอ๊ย! ฟาวล์ แกไปไม่ถึงหรอก ถึงไปก็ไม่ได้รับรางวัล เพราะว่าวิ่งผิดกติกา ถูกปรับโทษให้แพ้ ไม่ได้รับรางวัลที่ตั้งใจไว้หรอก”

ก็คือเสียงของมาร นี่แหละ คือมาถ่วงเรา วิ่งไปแล้ว ก็ต้องหันกลับมาดู …

“เหรอๆ” วิ่งไป กลัวไป  ก้าวขาก็ไม่ค่อยออก

“ผิดตรงไหน?” เผลอๆ หยุดวิ่ง แล้วก็มาคุยกับเขา

“อ้าว! เหรอ” แล้วก็วิ่งต่อ

นอกจากข้างสนามจะมีมาร ผ่านทางเนื้อหนัง มาคอยฟ้อง คอยบอก คอยว่าเราผิดกฎ ผิดระเบียบอะไรก็แล้วแต่ แต่ขณะเดียวกัน  ก็มีอีกข้างหนึ่ง  ก็คือพระวิญญาณพระเจ้าที่อยู่ในเรานั่นแหละ พระวิญญาณของพระเจ้าก็บอกว่า …

“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”

อ๋อ! ไม่มีการลงโทษ ตะกี้ ฝั่งหนึ่ง มารบอกว่า … ‘ฟาวล์แล้ว อย่างนี้ถูกปรับโทษ เป็นฟาวล์ ไม่ได้เข้าสู่เส้นชัย’ แต่อีกฝั่งหนึ่ง พระวิญญาณบอกอย่างนี้ ‘เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ แห่งชีวิตในเยซู ได้ทำให้เรา พ้นจากกฎของบาปและความตาย’ บอกไว้เสร็จเรียบร้อย ผู้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  แค่นั้นพอแล้ว  เขาก็จะได้รับความรอด ไปสู่ชีวิตนิรันดร์แล้ว อย่าไปสนใจ ไม่ฟาวล์หรอก ชนะเรียบร้อยแล้ว  เพราะเจ้ากำลังวิ่งในกฎของวิญญาณ อย่าไปสนใจมัน และอย่าให้มันถ่วงเรา พอได้ยินอย่างนั้น ก็วิ่งสุดชีวิตต่อไปเหมือนเดิม ก็จะเป็นอย่างนี้

และวิธีการที่จะสลัดทิ้ง สิ่งที่ถ่วงอยู่  หรือห่วง ที่คล้องอยู่ ในข้อ 2 บอกต้องทำอย่างไร? ให้เราจดจ่อไปที่พระเยซู เพ่งมองที่พระองค์เป็นหลักชัยอยู่เบื้องหน้า ไม่ใช่จะวิ่งแข่ง แล้วมัวแต่มองด้านหลัง มองด้านข้าง มองแต่คนเขาประท้วงเรา  มองไปที่พระเยซู ขณะเดียวกัน หูฟังเสียงเชียร์ จากคำพยานรอบข้าง ก็คือบรรดาวีรบุรุษแห่งความเชื่อในอดีต ที่อยู่ในสวรรค์แล้ว ผู้ชอบธรรมทั้งหลายกำลังเชียร์

“ไปเลย โลทๆ”

ให้เราวิ่งแข่งอย่างนี้แหละ ไม่หันหลังกลับเลย มองข้างหน้าอย่างเดียว พระเจ้าบอกให้เราวิ่ง เพ่งไปที่พระเยซูคริสต์และไปรับรางวัล ที่รอเราอยู่ เพ่งไปที่พระเยซูคริสต์ คือเป็นผู้เริ่มต้นของความเชื่อ เรามาวิ่ง เพราะว่าเราวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว เห็นพระเยซูคริสต์อยู่ข้างหน้าแล้ว ก็จงวิ่งไป จงวางใจไปจนที่สุด จนถึงสำเร็จนั่นแหละ เพราะพระองค์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พันธสัญญาของพระองค์เป็นจริงอย่างแน่นอน มันหมายถึงอย่างนั้น

อย่ามัวแต่หันไปดูข้างหลังว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง? เขาบอกเรา เขามาพูดอะไรกับเราบ้าง ให้เราท้อใจ เราเคยทำผิดอะไรมาบ้าง เคยมีบาปอะไรติดตัวมาบ้าง อย่ามัวแต่เฝ้ามองการกระทำในอดีตว่ายังทำไม่ดีพอ ยังอธิษฐานไม่พอ ยังถวายไม่มากพอ ยังเฝ้าเดี่ยวไม่มากพอ ยังประกาศไม่มากพอ ยังทำความดีไม่มากพอ อันนั้นก็ไม่ดีพอ อันนี้ก็ไม่ดีพอ วิ่งไป ลิ้นห้อยไป ไม่ดีๆ

พระเยซูคริสต์บอกสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ดีพร้อมแล้วๆ เสียงอยู่ที่โน้น เป้าหมายอยู่ที่พระเยซูคริสต์ ดีพร้อม ข้างทางบอกไม่ดีๆ พระเยซูคริสต์ตะโกนเลยบางครั้ง ต้องตะโกนดังๆ ผ่านทางพระวิญญาณบอกว่า …

“ใครเป็นคนบอกว่าแกไม่ดี ใครเป็นคนบอกว่าน้องไม่ดี ก็ฉันเป็นคนบอกว่าเธอดีพร้อมแล้ว ใครเป็นคนบอกว่าไม่ดี?”

นั่นสิใครล่ะ? ก็หันหน้าหันตา

“พระวิญญาณหรือ?”

พระวิญญาณก็บอกว่า “เธอดีพร้อม  ไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว ดีพร้อม อยู่ในสวรรค์แล้ว แล้วใครล่ะ?”

“รู้แล้ว ตัวฉันเอง”

เสร็จอีก ก็ไม่ถูกอีก … “ตัวฉันเองสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วใครบอกฉันยังไม่ดีพร้อม ใครๆๆๆๆ”

ท่านก็รู้แล้วว่าใคร? ท่านตอบเองสิว่าใคร? ก็มารมันอยู่ข้างๆ คอยฟ้อง มารมีชื่อว่านักฟ้องหมดโลกนี้ คอยกล่าวโทษ เวลามันกล่าวโทษคนที่ยังไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ มันโอเค มันถูกต้อง  แต่ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์หลุดจากการเป็นทาสมันแล้ว  เป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้า เป็นคนดีพร้อม สะอาดบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว มันไม่มีสิทธิ์มาฟ้องเหมือนเดิมอีกต่อไป

“โอ๊ย! ยังไม่ดี ยังทำไม่ดี ยังโกหกเขาอยู่เลย ยังริษยาเขาอยู่ จะเข้าสู่สวรรค์ได้อย่างไร?”

“เอ่อว่ะ”

พอเอ่อว่ะเมื่อไร? ก็เท่ากับไปฟังมันนะ เราต้องบอกว่า …

“ฉันดีพร้อม”

แล้วก็ไม่ต้องสนใจมัน ไม่ต้องตอบมันบ่อยๆ นานๆ ตอบทีพอ ตอบ แล้วมันแย้งมากๆ …

“ฉันดีพร้อมแล้ว  ไม่มีการลงโทษใดๆ ฉันวิ่งหน้าต่อไป”

หลายคนในวันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นอย่างนี้ ชื่นชมยินดี น้ำหูน้ำตาไหล สารภาพบาป

“ลูกเป็นคนบาป ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงส่งพระบุตร พระเยซูคริสต์มาช่วยให้ลูกเป็นคนที่บริสุทธิ์สะอาด ชำระบาปให้ลูกสะอาดหมดจด ให้ลูกบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความรอดนิรันดร์ ได้ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ เป็นลูกของพระองค์นิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญ ขอบคุณพระเจ้า”

ดีใจ เป็นอิสระอยู่แค่ อาจจะไม่กี่วัน  หรือไม่กี่เดือน หรือไม่กี่ปี น่าจะไม่ถึงปีหรอก  เป็นอิสระ มีความสุขอยู่ไม่กี่วัน ก็เริ่มไปเจอคำพูด คำสอนว่าเป็นคริสเตียนแล้วนะ  เป็นคริสเตียนแล้วทำไม? พูดแล้วยังขำไม่หายเลยนะ  ทุกคนมีชีวิตอยู่ ผ่านอย่างนี้มาทั้งนั้นแหละ หมายถึงชีวิต เมื่อรับเชื่อแล้วนะ  ก็จะได้ยินเสียงมาร  ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้า เสียงมารผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าได้เหรอ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ  ก็มารมันบิดถ้อยคำพระเจ้า ทำให้เขาเข้าใจถ้อยคำพระเจ้าผิด  และใครสอนถ้อยคำนั้นล่ะ ก็ผู้เชื่อด้วยกันเองนั่นแหละ  เพราะคนอื่นเขาไม่มาสอนถ้อยคำพระเจ้า เราก็ฟังเขา พอฟังไปฟังมา มันก็เป็นอย่างนี้แหละ …

“เป็นคริสเตียนแล้วนะ ได้รับการไถ่บาปแล้วนะ  จากนี้ไป”

เอาแล้วสิ มาแล้ว แต่ก่อนนี้ เริ่มรับเชื่อใหม่ๆ … “เป็นคริสเตียนแล้วนะ สบายแล้ว พระเยซูบอกว่าจากนี้ไป หายเหนื่อยและเป็นสุข เดี๋ยวพระองค์จะนำพา พระองค์ผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านทั้งหลาย จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ พระองค์สามารถที่จะทำได้ พาท่านไปสู่ความสำเร็จในวันสุดท้ายได้อย่างแน่นอน พระองค์ทรงจูงมือท่านเดินอยู่ ท่านเชื่อและวางใจในพระเจ้าใช่ไหม? บัดนี้ พระเยซูจะจูงมือท่านเดินในหุบเขาเงามัจจุราช ผ่านหุบเขาเงามัจจุราชไปได้อย่างแน่นอน”

แต่นี่ไม่ใช่ … “ท่านได้รับการไถ่บาปแล้วนะ จากนี้ไป ต้องระมัดระวังในการดำเนินชีวิตนะ มารมันเต็มไปหมดเลยนะ ระวัง ต้องหมั่นอธิษฐาน ต้องอ่านพระคัมภีร์ ต้องเฝ้าเดี่ยวเป็นประจำ ต้องอดอาหาร อย่าหลุดจากความเชื่อนะ  และต้องระวังตัวให้ดีด้วย อย่าเผลอไปทำบาปอีก ทำบาปซ้ำๆ กัน เดี๋ยวพระเจ้าคายทิ้งเลย ทำอย่างนี้ วันพิพากษาไม่รอดแน่ ถ้ารอด ก็รอดด้วยไฟ แล้วขาดรุ่งริ่ง”

ท่านจะมีกำลังวิ่งไหมเนี้ย ถามจริง ถ้าโดนไปเยอะๆ ท่านก็เข็นครกเยอะหน่อย ถ้าโดนไปน้อยๆ ก็เข็นครกน้อยๆ ถ้าไม่โดนเลย ก็เหนื่อยธรรมดา เบาสบาย ตามที่พระเยซูบอกว่า …

“แอกของเราก็พอเหมาะ พอดี สำหรับแต่ละคน”

เหล่านี้คืออะไร? คือสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ ที่เราควรสลัดทิ้งออกไปให้หมด เอามันออกไปให้หมด ทุกคนเคยเป็นคนบาป ทุกคนล้วนเคยทำผิดบาป และทุกคนล้วน กำลังทำบาป อันนี้เป็นเรื่องจริง พระคัมภีร์ก็บอกเป็นอย่างนั้น สอนอยู่เชื่อเรียบร้อยแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ก็สอนอย่างนี้ ทุกวันนี้ ก็ยังทำบาปอยู่ พระคัมภีร์จึงบอกว่าบาปเราได้รับการอภัยโทษ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ทั้งบาปในอดีต บาปปัจจุบัน และบาปในอนาคตที่กำลังจะทำด้วย

พูดอย่างนี้ หลายคนคงคิดว่าส่งเสริมให้คนทำบาป  รู้แล้วนะ ผมสอนไปหลายครั้งแล้วนะว่าไม่ใช่เลย ไม่เกี่ยวเลย ไม่ส่งเสริม ไม่ได้ด้วย เพราะในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่จริงๆ แล้ว ธรรมชาติมันเปลี่ยนไป เป็นตัวตนแท้จริงของเขา มันแพ้บาปแล้ว ทำบาปไม่ได้เลย ผะอืดผะอม ทำนิดหนึ่ง ก็อึดอัดในใจ มันเป็นไปไม่ได้ ธรรมชาติมันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องเรียนรู้ว่าทุกคนก็เคยทำบาป ล้วนทำบาป แต่อย่าให้มารเอาสิ่งเหล่านี้มาฟ้องเรา ซึ่งทันทีที่เรากลับใจใหม่แล้ว มาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ความบาปผิดทั้งหลายเหล่านั้นในอดีต และในปัจจุบัน และในอนาคตด้วย ได้รับการอภัย ได้รับการลบล้างจนหมดสิ้นแล้ว การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียว ที่ไม้กางเขน เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจ ชำระล้างบาปเราจนหมดสิ้นแล้ว เกลี้ยงเลย ไม่เหลือเลย ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต  พระเยซูเป็นพยาน พระเยซูอยู่ที่เส้นชัยนั้น ตะโกนสิ่งนี้มาให้เราฟังตลอดเวลา เพราะฉะนั้น สลัดภาพเหล่านั้นทิ้งไปให้หมดว่าเราเป็นคนบาป ทำบาปอยู่ พระเจ้าไม่ให้อภัยแล้ว ลบคำว่าเราเป็นคนบาป  ลบคำว่าความผิดบาปออกไปจากความจำ และเพ่งมองที่พระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียว ผู้ลบล้างความผิดบาปของเราทั้งสิ้นแล้ว  มองที่พระองค์อย่างเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ล้มลงไป ก็ลุกขึ้นมา มองไปที่พระเยซู วิ่งไปทางเดียว คือวิ่งไปข้างหน้า อย่าถอยมาข้างหลัง อย่าหันรีหันขวาง

ถามว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังทำตัวแบบมีสิ่งที่ถ่วงอยู่ มีบาปที่เกาะแน่นอยู่ เรายังได้ไปสวรรค์อยู่ไหม? ก็ต้องตอบว่าไปอยู่ในสวรรค์แน่นอน แต่ก่อนอยู่ มันทุกข์ทรมาน มันไม่สมควรเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า มันเหนื่อยเปล่าๆ มันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะฉะนั้น ไปยอมมันทำไม? ใช่ไหม? และข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือได้ไปอยู่ในสวรรค์ แต่เราจะเสียโอกาสที่จะได้เป็นพยานให้กับคนอื่นในการบอกว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มันเป็นจริงอย่างนี้แหละ ทำให้คนอื่นสังเกตดู และก็รู้ว่านี่คือความหวังใจของคริสเตียนจริงๆ คือเขาพ้นบาปแล้ว เขาได้ไปอยู่ในสวรรค์ ณ วินาทีนี้ ณ เดี๋ยวนี้เลย เป็นมัดจำให้เขา เป็นความหวังที่มีมัดจำ เป็นตัวอย่างให้กับเขาได้ว่าเขาสามารถ ที่จะมาเชื่อแบบเราได้

พระคัมภีร์บอกว่าการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ครั้งเดียวเป็นพอ ที่จะลบล้างความผิดบาปของมวลมนุษยชาติ  ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคต แต่อย่างที่บอกเสียงต่อต้าน เสียงฟ้องผิด เสียงชี้นิ้ว มาจากมาร เต็มไปหมดทั้งโลกใบนี้ ทั้งผ่านมาทางเนื้อหนังของเราเอง จากการถูกล่อลวงโดยมาร ส่งกระแส อิทธิพลของข้อมูลความบาป มาฟ้องเรา บอกเรา บางทีกระตุ้นให้เราทำผิดด้วย พอกระตุ้นให้เราทำผิด แล้วตัวมันเอง มันมาฟ้องเรา พูดง่ายๆ ว่าตัวมันเอง เป็นผู้กระตุ้นให้เราทำ นำให้เราทำผิดบาป แล้วตัวมันเอง ก็เป็นคนฟ้องเรา …

“แกทำๆ”

ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำ เราถูกมันล่อลวง จนเราหลุด พลาดไปทำ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น อย่าไปสนใจสิ่งเหล่านี้ พระคัมภีร์จึงบอกให้เรามองที่พระเยซูเป็นตัวอย่าง มองที่พระเยซูอย่างเดียว มารมาได้หลายรูปแบบ เราจะมาดูรูปแบบของมาร อ่านข้อ 3 กับข้อ 4 …

ฮีบรู 12:3-4 “3 ท่านทั้งหลาย จงนึกถึงพระองค์ผู้ทรงอดทนต่อการเกลียดชัง และการต่อต้านจากบรรดาคนบาป เพื่อว่าท่านจะได้ไม่อ่อนล้า และไม่ท้อแท้ใจ  4 ซึ่งอันที่จริงในการต่อสู้กับบาป ท่านยังไม่ได้ต่อสู้ จนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย”

 

“ท่านทั้งหลาย จงนึกถึงพระองค์ ผู้ทรงอดทนต่อการเกลียดชัง และการต่อต้านจากบรรดาคนบาป” … ให้เรานึกถึงใคร? เวลามีความทุกข์ยากลำบาก ให้เรานึกถึงพระเยซูคริสต์ ซึ่งถูกบรรดาคนบาป ที่ตะกี้ผมบอกว่ามารมันสามารถใช้ได้ทั้งหมด ใช้ระบบของโลกใบนี้ เป็นอาวุธ ใช้คนที่เป็นคนบาป ก็ได้ เป็นเครื่องมือในการเป็นปฏิปักษ์ ข่มเหงรังแกผู้เชื่อทั้งหลาย และสามารถใช้อะไรได้อีก? สามารถใช้อิทธิพลของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งมันแอบแฝงอยู่ในร่างกาย และความคิดของผู้เชื่อ อยู่ในร่างกายภายนอกนี้ คอยกระตุ้นให้เชื่อฟัง และทำบาปได้  พลาดไปทำบาปได้เช่นเดียวกัน มารก็จะใช้สิ่งเหล่านี้

ในนี้จึงบอกว่าถ้าเราเจออย่างนี้ ให้เราทำอย่างไร? ให้เราดูพระเยซูคริสต์เป็นตัวอย่าง ให้เราอดทน แต่ตอนนี้ กำลังบอกว่าเราอดทนต่อบรรดาคนบาป พระเยซูคริสต์อดทนต่อบรรดาคนบาป ที่ต่อต้านพระองค์อย่างไร? ก็ทรมานพระองค์ เฆี่ยนพระองค์ จับพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขน ดูถูกพระองค์อะไรต่างๆ เหล่านั้น ให้เราดูพระเยซูคริสต์เป็นตัวอย่าง เราจะได้ไม่อ่อนล้า ไม่ท้อใจ ในนี้บอกว่าในการต่อสู้กับบาป … ต่อสู้กับบาป ก็คือ …

(1) ต่อสู้กับเนื้อหนัง กิเลสตัณหา ซึ่งมาเกาะเหมือนปลิง เกาะอยู่ที่ร่างกายของเรา คอยจะส่งกระแสให้เรา ทำผิดบาป พอเราทำบาปปุ๊บ มันก็ซ้ำเติมเลย บอกว่า

“แกทำบาป แกไม่ได้ไปสวรรค์แน่”

แต่พระเยซูบอกว่าฤทธิ์อำนาจพระโลหิตพระเยซูชำระหมดเรียบร้อยแล้ว อย่าไปสนใจมัน  อย่าไปสนใจปลิงพวกนี้ มันเป็นปลิง มันไม่ใช่ตัวเจ้า มันมาเกาะตัวเจ้า มันเองเป็นคนทำทุกอย่าง อะไรต่างๆ เหล่านี้ เห็นไหม?

(2) อดทนต่ออิทธิพลของความบาป ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่มันเสียหายไปแล้ว โลกที่ได้ถูกสาปแช่งไปแล้วตั้งแต่สมัยอาดัม มันยังคงอยู่ มันยังทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาเป็นเรื่องธรรมดา อดทนกับสิ่งเหล่านี้ ด้วยความเชื่อ อย่าให้มารมาหลอกว่าพอมีเหตุการณ์ไม่ดี ต้องทุกข์ยากลำบาก มันก็จะบอกว่า …

“เพราะแกทำบาป เพราะวันก่อน แกโกหก แกก็เลยได้อย่างนี้ เพราะวันก่อน แกไม่ได้ไปโบสถ์ แกเลยถูกรถชน เห็นไหม? เพราะว่าแกทำอย่างนี้ แกจึงได้รับโทษอย่างนี้”

ไม่ใช่เลย นี่คือการต่อสู้กับมันอย่างนี้ หรือถูกข่มเหงรังแก โดยคนที่ไม่เชื่อ และได้รับอิทธิพลจากมาร มาข่มเหงรังแกเรา เหมือนเปาโลที่อดีต ชื่อเซาโล ข่มเหงรังแกคริสเตียน เพราะว่าความไม่รู้จักข่าวประเสริฐ และถูกครอบงำโดยมาร ลักษณะเดียวกัน เราอาจจะถูกข่มเหงรังแก โดยผู้คน ทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น เราอดทน

ในนี้บอกว่าอดทน ถึงขนาดยังไม่ได้เสียเลือดเลย คืออดทนหนักถึงขนาดพระเยซูคริสต์ต้องหลั่งเลือด  อาจจะถูกใส่ร้าย  อาจจะถูกอัปเปหิออกจากสังคมของชาวยิว  ไม่ได้สวัสดิการเหมือนแต่ก่อนนี้ อาจจะถูกรังแกสิทธิเสียหายไป อาจจะถูกรังแก ถูกจับ แล้วก็ป้ายความผิด โยนเข้าคุกไป  อะไรอย่างนี้ คือการถูกข่มเหงรังแก โดยมาร ผ่านทางผู้คน

ให้เราอดทน เพราะสิ่งเหล่านี้  คือสิ่งที่มันจำเป็นต้องเกิด เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว เดินไปสู่สวรรค์แล้ว สิ่งเหล่านี้คืออุปสรรค สิ่งเหล่านี้คือข้างทาง ที่จะคอยมาถ่วงเราอยู่ อย่าไปมองมัน มองไปที่พระเยซูคริสต์ ผู้เริ่มต้นความเชื่อของเรา  และเป็นผู้ทำให้ความเชื่อนั้นสำเร็จ ครบถ้วนบริบูรณ์ และพระองค์ทรงสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น ให้มองไปที่เป้านี้อย่างเดียวเลย ชัดๆ อย่างเดียวเลย นอกนั้นอดทน … อดทน เพราะมันต้องเกิด มันเกิดแน่นอน แต่อดทน เพราะเรามีความหวังในชีวิตนิรันดร์ ในชัยชนะที่เรากำลังวิ่งอยู่นี้แล้ว

และขณะเดียวกันที่มันเกิดขึ้นในธรรมชาติอย่างนี้ ในความทุกข์ยากลำบากบ้าง ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ มันไม่ได้หนักหนา สาหัสสากันอะไร เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระเจ้าปกปักคุ้มครองดูแลเรา พระเจ้าอยู่ในเรา และพระองค์จะทรงใช้อุปสรรคเหล่านี้ ความทุกข์ยากเหล่านี้ เป็นเครื่องมือของพระองค์เลย นี่แหละยอดเยี่ยมเลย เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างเรา ให้เข้มแข็ง ให้แข็งแกร่ง เพื่อเราจะได้คลอดออกมา ในวันสุดท้าย ด้วยความสง่างาม เป็นลูกของพระเจ้าที่สมเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และตัวเราเองก็ภูมิใจ

ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ พระเจ้าจะใช้เป็นเครื่องมือ ในการที่พระองค์จะได้ทรงสำแดงฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ผ่านทางชีวิตของเราออกมาได้ เพราะว่าเราผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นยังไงล่ะ เมื่อเราอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น กล้ามเนื้อฝ่ายวิญญาณ เราจะเจริญเติบโตแข็งแกร่งๆ แล้วค่อยเรียนรู้กันต่อไป สำหรับเรื่องนี้

พระคัมภีร์จึงบอกว่าให้เรามองที่พระเยซูเป็นแบบอย่าง และทำตามอย่างที่พระองค์ได้กระทำมาเรียบร้อยแล้ว คือพระองค์ทรงทนทุกข์ แบกรับกางเขน และไม่สนใจในความอัปยศของไม้กางเขน เพราะเห็นแก่ความชื่นชมยินดีที่อยู่เบื้องหน้า อดทนคนข่มเหงรังแก คนเอาไปเฆี่ยนตี ด้วยความทุกข์ทรมาน ตรึงพระองค์ ดูถูกพระองค์ พระองค์ทนได้ เพราะความยินดีในข้างหน้าว่าการกระทำอย่างนี้ เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เพื่อมนุษยชาติทั้งหลายจะได้รอดพ้นจากนรก พ้นจากความพินาศ  พ้นจากการเป็นทาสของมาร ให้เราทำอย่างเดียวกันอย่างนั้นแหละ

นี่คือเสียงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่คอยเชียร์เรา พร้อมทั้งวีรบุรุษแห่งความเชื่อดั้งเดิม ที่ตะกี้นี้บอกไว้ ทั้งอัฒจันทร์กำลังเชียร์เรา  พระเยซูก็เชียร์เราอยู่ ให้เราอดทน เต็มไปด้วยความหวัง วิ่งไปสู่หลักชัย พระเยซูบอกว่าเราได้รับชัยชนะเรียบร้อยแล้ว เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่อดทน รอคอยเท่านั้น เราเกิดแล้ว เราอดทนรอคอยคลอดเท่านั้นเอง เราชนะโลกนี้ไปแล้ว ใน 1 ยอห์น 4 บอกว่าเราชนะโลกนี้แล้ว ใครเล่าที่ชนะโลก โลกเต็มไปด้วยความสาปแช่ง เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปด้วยนรกทั้งนั้น ใครล่ะ ที่ชนะโลกนี้ พระคัมภีร์พูดชัดเจน ก็เขาผู้นั้นไง ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เขานั่นแหละ คือผู้ที่ชนะโลกแล้ว เพราะฉะนั้น เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เราชนะโลกแล้ว ความทุกข์ลำบากทุกอย่างเป็นหยากเยื่อ อย่าให้บาปที่เราทำพลาด ทำผิดตั้งแต่ในอดีต หรือในปัจจุบัน หรือในอนาคตก็ตาม มาเกาะถ่วงเรา ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เพราะเขาชนะโลกแล้ว ไม่มีการลงโทษสำหรับเขาอีกต่อไป ชีวิตเขาก็คือรับรางวัลชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์สถาน อย่างเดียวเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้าในนามพระเยซู  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

อย่างนี้! เรียกว่า “ไม่สมฐานะ” … “ไม่สมฐานะ” … “ไม่สมฐานะ” …

คริสเตียนได้อยู่ในพระคริสต์  แต่ยังสวมเสื้ออาดัม  เป็นผู้บริสุทธิ์  แต่ยังสวมเสื้อสกปรก  เหมือนเกิดเป็นคน  แต่ยังสวมเสื้อลิง

โคโลสี 3:12-14 “12 เหตุฉะนั้น  ในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้  เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก (เป็นลูก) จงสวมความเมตตา ความปรานี ความถ่อม ความอ่อนสุภาพ ความอดทนไว้นาน 13 จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน พระคริสต์ได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด  ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน 14 แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เพราะความรักย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์”

อย่างนี้สิ!  เรียกว่าสมฐานะลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ราชาจอมราชาพระเยซูคริสต์

 

โรม 5:12 “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่เชื้อบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมา เพราะเชื้อบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”

 

เชื้อบาปก็เหมือนไวรัสทางวิญญาณ ที่ทำให้มนุษย์ถึงตายแน่นอน ซึ่งเกิดมาจากคนคนเดียว คืออาดัม  ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง  ก็คือปฏิเสธการรักษานั่นเอง

 

1 ยอห์น 1:8-10  “8 ถ้าเราปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงว่าเราเป็นคนบาป เราก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเราเลย 9 ถ้าเรายอมจำนน รับว่าเราเป็นคนบาป และเราสารภาพบาปของเรา พระองค์เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญา และมีความเที่ยงธรรม พระองค์จะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เรา และชำระเราให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวง 10 ถ้าเราพูดว่าเราไม่เคยทำบาปเลย ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้โกหก และถ้อยคำของพระองค์ (คือพระเยซู) ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเรา”

 

ถ้าท่านยอมรับความจริง  พระเจ้าสามารถรักษาท่านให้หาย  ผ่านทางพระเยซูคริสต์  ฉะนั้น ยอมจำนนต่อความจริงแล้วรับการรักษาเถิด

บางคนพูดว่า  “ฉันไม่ได้ติดไวรัสบาป แต่มีอาการ เดี๋ยวก็หาย”

ท่านคิดอย่างไร?

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1330

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  กันยายน  2021

 เรื่อง “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน” ตอน 3

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้เป็นตอนที่ 3 เรื่อง “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน” ประเด็นหลักๆ ที่สรุปและย้ำกันมาตลอดในเรื่องนี้ ก็คือ …

          (1) การพิพากษาลงโทษมนุษย์ในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา ไม่ได้รวมถึงผู้เชื่อหรือคริสเตียนอย่างแน่นอน

          (2) การกระทำใดๆ ของผู้เชื่อในขณะที่อยู่ในร่างกายนี้ บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำดีหรือทำชั่ว ก็ไม่มีผลใดๆ ในโลกวิญญาณ ไม่มีการตัดสินลงโทษ ทำดีก็ไม่มีบำเหน็จรางวัลพิเศษใดๆ ในสวรรค์

          (3) ชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า    ทุกคนได้เท่ากันหมด    ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าคนสุดท้ายจะไปเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย คือไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร? ไม่มีใครได้รับบำเหน็จรางวัลมากกว่าใครเลย

นี่พระเยซูตรัสเองนะ ทุกคนตกใจ ต้องกลับไปฟังทวนใหม่ กลับไปฟังทวนหลายๆ วันที่ผ่านมา 5 – 6 ตอน คิดอยู่ใช่ไหมว่าจะพูดอะไรต่อไป  ฟังเสร็จแล้ว ต้องบอกว่าแต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งคิดมาก ใครที่ได้ฟังแค่นี้แล้ว แล้วคิดในใจว่า …

“ถ้าอย่างนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราจะทำอะไรก็ได้ จะใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ จะทำชั่ว ทำบาปอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องทำความดีเลย ก็ได้ เพราะไม่เกิดผลอะไรๆ กับเราเลย ไม่มีใครระมัดระวังตัวเลยใช่ไหม?”

ใครก็ตามที่กำลังคิดแบบนี้อยู่ ต้องมีแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่คิดว่าทำงานบนโลกใบนี้แล้วจะมีรางวัลพิเศษ ยิ่งคิดใหญ่เลยว่า …

“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีใครอยากทำดีเลยสิ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว”

ใครที่กำลังคิดเช่นนี้ กรุณาฟังคำบรรยายวันนี้ให้จบด้วยนะครับ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก ต้องฟังให้จบว่าผมหมายความว่าอย่างไร?

สิ่งที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ คือผมกำลังจะพาท่าน โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไปถึงแก่นแท้ของข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ไม่อยากให้ข่าวดีของพระเจ้าถูกดิสเครดิต ถูกทำให้มันด้อยลง ถูกทำให้เสียหายด้วยสติปัญญาความคิดของมนุษย์ คิดกันเองเป็นอย่างนั้น

แก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน? บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าการกระทำของผู้เชื่อบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม ไม่มีส่วนในการพิพากษาหลังความตายเลย บันทึกไว้อย่างนี้จริงๆ ก็ 6 ตอนที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ได้บอกอย่างนั้นใช่ไหม? มันเรื่องจริงใช่ไหม? ท่านลองไปศึกษาดู ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า มันจึงเป็นข่าวดีไง ถ้าเผื่อเรายังคิดถึงการกระทำของเราเอง  มันก็ไม่ได้มีอะไรแปลกกว่าความเชื่ออื่นๆ หรือหลักการของศาสนาต่างๆ มาตั้งแต่ยุคโบราณ จนถึงปัจจุบัน หรืออนาคตที่มี ก็ต้องพึ่งการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ใช่หรือไม่? แล้วมันจะไปเกี่ยวอะไรกับข่าวดีล่ะ ก็ไม่ใช่ข่าวดี ก็ข่าวธรรมดาอยู่แล้ว แต่พระเยซูมา เพื่อประกาศข่าวดี มีข่าวดีเดียวในโลก ในเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติที่ได้ยิน คือข่าวดีของพระเยซู คือไม่ต้องพึ่งการกระทำของตนเองเลย แม้แต่นิดเดียว

แต่ไม่ได้หมายความว่าการกระทำดีหรือชั่วไม่สำคัญต่อการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ย้ำนะว่าการกระทำของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อหรือไม่ก็ตาม มีความหมายและมีผลต่อการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างแน่นอนเหมือนกัน

โคโลสี บทที่ 3 ที่มีการตีความเรื่องนี้  เรื่องการลงโทษและรางวัลที่จะได้รับหลังการตาย ไม่ตรงตามหลักความจริงของข่าวประเสริฐ เราลองมาพิจารณากันดู ด้วยจิตใจที่เปิดออก ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาเรา โคโลสี 3:23-25 …

โคโลสี 3:23-25  “23 ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะทำสิ่งใด จงทุ่มเททำอย่างสุดใจ เหมือนทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อมนุษย์ 24 เพราะท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดก จากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นรางวัล องค์พระคริสต์เจ้านี่แหละ คือผู้ที่ท่านกำลังรับใช้อยู่ 25 ผู้ใดทำผิดก็จะได้รับผลตอบสนองตามความผิด และไม่มีการลำเอียง เข้าข้างใครเลย”

 

ประเด็นที่หลายคนยังเข้าใจผิด ในความหมายของพระคัมภีร์ตรงนี้ ก็คือเรื่องของรางวัลกับผลตอบสนองตามความผิด ในข้อ 24 และข้อ 25 ใช่ไหมครับ? อันนี้ต้องใช้ความคิดนิดหนึ่ง

ข้อ 24 บอกว่าอย่างนี้ … “เพราะท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดก จากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นรางวัล”

หลายคนก็ไปแปลความหมายพระคัมภีร์ข้อนี้ว่าหมายถึงการรับใช้พระเจ้าบนโลกนี้ จะส่งผลให้เราได้รับรางวัลเพิ่มมากขึ้น ในสวรรค์ ยิ่งรับใช้เยอะ ยิ่งได้รางวัลเยอะในสวรรค์ ถูกไหม? มีคนคิดอย่างนั้นใช่ไหม?

ซึ่งจริงๆ แล้วข้อนี้ ก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่ารางวัลที่ได้รับ คือมรดก  ท่านผู้ที่เชื่อ เป็นคริสเตียน จะได้รับมรดก จากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นรางวัล เพราะฉะนั้น รางวัลของเรา ก็คือมรดก

มรดก แปลว่าทรัพย์สินของผู้ตาย ที่ตกทอดแก่ทายาท  ผู้รับมรดกได้รับสิ่งนี้มา เพราะว่าเป็นทายาท ไม่ใช่ได้รับมา เพราะทำดีนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำเลย  เห็นไหมครับ? ชัดเจนเลย

พระคัมภีร์ยังบอกอีกว่าเมื่อเรามาเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็ทรงให้เราบังเกิดใหม่เลย และบังเกิดใหม่เป็นทายาท พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมายืนยัน และเป็นพยานในใจเราเลยว่าเราเป็นลูกของพระองค์ และเป็นทายาท

การเป็นทายาทตรงนี้แหละ คือสิทธิ์ในการรับมรดกของพระองค์ โดยอัตโนมัติทันที ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งดีหรือชั่ว แค่เชื่อปั๊บ เกิดใหม่ ได้รับมรดกนี้ทันที ไม่มีตรงไหนบอกว่าให้เราเป็นทายาทก่อน แล้วถ้าทำความดีเยอะ ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จะได้รับมรดกเป็นรางวัล ไม่มีที่ไหนเป็นอย่างนี้นะ แม้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นมนุษย์ก็ยังไม่ได้กระทำกันอย่างนี้ด้วยซ้ำไป

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ เวลาท่านอ่านพระคัมภีร์ เจอคำว่า “บำเหน็จ” หรือ “รางวัล” ท่านก็จะได้เข้าใจแล้วว่ารางวัลหมายถึงมรดก  มรดกหมายถึงรางวัล ก็มีอยู่ 2 อัน ไม่ต้องทำอะไรเลย  ได้รับรางวัล   ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ได้รับมรดก ว่ากันตามจริงแล้วพอพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน มรดกก็ตกทอดถึงมนุษย์ทุกคนแล้ว ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้าก็เป็นของเขาแล้ว แต่เขาไม่มาใช้สิทธิ์ เมื่อมาใช้สิทธิ์ของเขา เขาก็ได้รับมรดก เหมือนเดิมนั่นแหละ

ท่านเห็นภาพไหมครับว่ามันจะไม่เท่ากันได้อย่างไร? เพราะมันเป็นมรดก พระเยซูคริสต์กระทำให้เราบนไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม ทั้งหมดนี้เป็นมรดกที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว มรดกถึงทำงาน

ท่านรู้ไหมครับคำว่า “มรดก” ในพระคัมภีร์ภาษาไทย ยังแปลได้อีกความหมายหนึ่ง ภาษาอังกฤษเป็นคำเดียวกันกับที่ใช้ในพระคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ หรือเรียกว่า New testament คือมรดก  เพราะฉะนั้น เมื่อท่านถือพระคัมภีร์ใหม่  ท่านกำลังถือมรดก พินัยกรรมที่พระเยซูทิ้งไว้ให้กับท่าน ทำให้กับท่าน นั่นแหละ คือมรดก ยังไม่ทำอะไร ท่านก็ได้แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจะมาทำเพิ่มอย่างไร ก็ได้เท่าเดิมนั่นแหละ มันเพียงพอแล้ว และผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคน คือผู้ที่ได้บังเกิดใหม่และเป็นทายาท เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน จึงได้รับมรดก เป็นรางวัลเท่ากัน

คำว่า “รางวัล” ในภาษาอังกฤษ อย่างที่บอกใช้คำว่า “Reward” คือภาษาไทย เนื่องจากจะทำเป็นพหูพจน์ ทำยาก รางวัลหลายๆ รางวัล แปลว่าเป็นรางวัลเฉยๆ ก็พอ แต่ในภาษาอังกฤษจะมี “S” หรือไม่มี S” คือเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ แค่ตัวเดียวเอง เพราะฉะนั้น ภาษาอังกฤษตรงคำว่ารางวัล ใช้คำเอกพจน์ เป็นหนึ่ง ซึ่งก็แปลว่ามีอยู่แค่รางวัลเดียว คือรางวัลนั้นเป็นมรดก มรดกเดียว  ที่ผู้เชื่อทุกคนได้รับเหมือนกันหมด เท่ากันหมด ซึ่งก็คือชีวิตนิรันดร์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ วิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกายใหม่ และจะไปอยู่ในสวรรค์ โลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมให้กับเรานิรันดร์กาล นั่นแหละคือมรดก ไม่มีรางวัลพิเศษ ไม่มีเสื้อคลุมพิเศษ หรือที่นั่งพิเศษ  หรือบ้านใหญ่พิเศษ  หรือมีบริวารอยู่ในบ้าน อยู่ในสวรรค์ พิเศษกว่าบ้านอื่นๆ  เพราะเราอยู่บนโลกใบนี้ เราทำเยอะ เรารับใช้มาก เราประกาศเยอะ เราอธิษฐานมาก ไม่มี

ในข้อ 25 ตรงนี้น่าสังเกต บอกว่า “ผู้ใดทำผิด ก็จะได้รับผลตอบสนอง ตามความผิด และไม่มีการลำเอียงเข้าข้างใครเลย”

ฟังตรงนี้ ก็รีบมาแย้ง อ้าว! ในนี้เขียนไว้นี่ไง “ผู้ใดทำผิด ก็จะได้รับผลตอบสนอง ตามความผิดไง ไม่มีการลำเอียงอีกด้วยต่างหาก”

ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงผลกระทบที่ท่านทำ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม การกระทำบนโลกใบนี้ จะได้รับผลตอบสนอง ไม่มีลำเอียงเด็ดขาด การกระทำของมนุษย์ทุกคน มีผลต่อการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน จริงๆ และเปาโลยังย้ำด้วยว่าไม่มีการลำเอียง ไม่มีการเข้าข้างใครเลย พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล อาจารย์เปาโลกำลังจะเตือนผู้เชื่อทั้งหลายว่าไม่ใช่เป็นลูกพระเจ้า เป็นทายาท แล้วจะมีสิทธิพิเศษ จะทำอะไรก็ได้บนโลกใบนี้

ก็เหมือนตัวอย่างที่ผมพูดบ่อยๆ เรื่องเกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลกใช่ไหม? นี่คือกฎบนโลกใบนี้ วันหนึ่งเราไปอยู่ในสวรรค์ ก็ไม่มีแรงดึงดูดของโลกแล้ว แรงดึงดูดของโลก คือขึ้นไป ตกแน่นอน โยนเงิน โยนก้อนหินขึ้นไป มันร่วงลงมาแน่นอน แต่ท่านอยู่ในสวรรค์ลอยได้ พระเยซูลอยขึ้นไปบนฟ้าเลย อีกหน่อยเราได้รับร่างกายใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็อยู่ในกฎใหม่ ก็ลอยได้เหมือนกัน ไม่มีแรงดึงดูดของโลกแล้ว แต่ตราบใดที่ยังมีโลกใบนี้อยู่ พระเจ้าสร้างกฎนี้ขึ้นมา คือกฎแรงดึงดูดของโลกใบนี้ มันมีอยู่จริงๆ เชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นอยู่จริงๆ ถ้าเราไปยืนอยู่ที่ระเบียงตึกสูงๆ โดยไม่เคารพต่อกฎของวิญญาณที่พระเจ้าวางไว้ ต้องว่าเป็นกฎของวิญญาณ เพราะว่ามองไม่เห็น แต่เป็นวิญญาณที่อยู่บนโลกใบนี้ เป็นกฎของสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริง คือกฎของแรงดึงดูดของโลก ถ้าเราไม่ระมัดระวัง แล้วเราก็ก้าวพลาด เกิดอะไรขึ้น แรงดึงดูดของโลก ซึ่งเป็นกฎ ก็จะทำงาน ก็จะทำให้ท่านร่วงตกลงมาอย่างแน่นอน เจ็บตัวอย่างแน่นอน ไม่มีการเห็นแก่หน้าผู้ใด  พระเจ้าเป็นผู้พิพากษา เป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้ ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนหรือไม่ก็ตาม แรงดึงดูดของโลกไม่มีความลำเอียง เพราะพระเจ้าเป็นผู้ดูแลอยู่ ไม่มีการเข้าข้างใครเลย มันหมายถึงตรงนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นคริสเตียน ไปยืน ก้าวพลาดมาตะโกนขอพระเยซูช่วย พระเยซูลงมารับ อย่างนั้นมีในหนังอย่างเดียว  ถ้าในหนังเป็นไปได้ โดยเฉพาะ หนังกำลังภายใน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มันไม่มี

ถ้าใครไม่ระมัดระวัง ไปยืนกลางทุ่งนา ใช้โทรศัพท์มือถือ ขณะที่มีฝนตกฟ้าร้อง ก็ถูกฟ้าผ่าตาย แม้ไม่เคยสัญญากับใคร ก็ถูกฟ้าผ่าตาย ต่อให้เป็นคริสเตียนที่เชื่อพระเจ้าอย่างมากมาย ก็ถูกฟ้าผ่าใช่หรือไม่? หรือว่าผ่าเฉพาะคนเลว คนที่ไม่เชื่อ คนที่เชื่อแล้ว ไม่ถูกฟ้าผ่าแล้ว อย่างนั้นหรือ?

ใครที่ขับรถฝ่าฝืนกฎจราจร หรือขับเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ก็โดนตำรวจจับ ปรับโทษทุกคน พอตำรวจเรียกเรา เราเป็นคริสเตียน ผู้เชื่อแล้ว

เราบอก … “หมวด ผมเป็นคริสเตียน ไม่มีการลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์”

หมวดก็บอกว่า … “โอเค เอาไป 2 ใบเลย ใบหนึ่ง คือฝ่าฝืนกฎจราจร อีกใบคือฝ่าฝืนเจ้าหน้าที่”

ถูกปรับพิเศษกว่าชาวบ้านเขาอีก ใช่หรือไม่?  ลองคิดตามดู นี่อาจารย์เปาโลกำลังบอกให้คริสเตียนและคนที่ไม่ใช่คริสเตียน ก็ฟังไปด้วย ใครที่ไปทำร้ายคนอื่น ดูหมิ่นคนอื่น ก็ถูกปรับโทษตามกฎหมาย กฎหมายไม่มีการลำเอียง ไม่มีการเข้าข้างผู้ใด และใครเป็นคนดูแลกฎหมาย ผู้พิพากษาของมหาจักรวาลที่มองไม่เห็น ในโลกวิญญาณและบนโลกใบนี้ มีผู้พิพากษาผู้หนึ่ง ที่ดูแลทุกอย่างอย่างยุติธรรม สำหรับมนุษย์ทุกคน สิ่งมีชีวิตทั้งปวงบนโลกใบนี้ แน่นอน 100%

ถ้ามนุษย์คนหนึ่งเอาน้ำกรดไปรดต้นไม้ ต้นไม้มันจะอ้างไม่ได้เลยว่าไม่ตายได้ไหม? มันเป็นไปตามกฎ คนไหนหายใจ แล้วไม่มีอ๊อกซิเจนเพียงพอ ออกซิเจนทำให้ชีวิตอยู่ได้

“ผมเป็นคริสเตียน เพราะฉะนั้น ผมกลั้นหายใจก็ได้ ไม่ตายหรอก พระเจ้าช่วยผม” เป็นอย่างนั้นหรือ?

กฎที่พระองค์ทรงวางไว้ว่าชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องอาศัยอ๊อกซิเจน ไม่มีออกซิเจนก็ตาย หายใจเอาคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เข้าไปมากๆ ก็ตาย จะทำดีทำชั่ว ก็ตายนั่นแหละ เราจึงจะเห็นภาพสิ่งต่างๆ เหล่านี้

สิ่งที่ผมได้ย้ำตลอด เสมอมาว่าการกระทำของเราในร่างกายนี้ ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะดีหรือจะชั่วก็ตาม ไม่มีส่วนใดๆ ในการพิพากษา หรือการพิจารณารางวัล หลังความตายเด็ดขาด  ไม่มีเลย มันคนละกฎกัน พอหลังความตายแล้ว กฎที่เรายืนอยู่ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่า “กฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์” ไม่ใช่กฎของความบาปและความตาย การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย  กฎที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยอาดัมแล้ว แล้วมันล่มสลายลงไป  ย้ำอีกทีหนึ่งว่ามันไม่มีจริงๆ

ตรงนี้ คือหัวใจ ความจริงของข่าวประเสริฐ ที่จะทำให้เราเป็นไท ทุกคนเป็นไท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้ลูกของพระองค์ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เชื่อแล้ว เป็นไท ไม่กลัวการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตาย ไม่กลัววันแห่งการพิพากษาลงโทษอีกต่อไป นี่คือความจริงที่จำเป็นต้องรับรู้และใส่ใจให้มากๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการกระทำดี หรือการกระทำชั่วไม่สำคัญ ผมรู้ ท่านก็แย้งในใจ ผมเองในอดีตก็เคยคิดอย่างนี้แหละ

“สอนอย่างนี้ คนอื่น ฟังแล้วเหมือนเราไม่ให้ความสำคัญกับการกระทำหรือไง”

ผมไม่ได้หมายความว่าการกระทำดี หรือกระทำชั่วไม่สำคัญในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ย้ำอีกทีไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น การกระทำดี ทำชั่วบนโลกใบนี้ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็น คริสเตียนแล้วพระเยซูจะเป็นผู้นำพาสอนเรา ฝึกเรา ให้ดำเนินชีวิต ให้สมกับเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม ตามธรรมชาติของวิญญาณ ที่เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ตัวตนภายในได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่ตอนรับเชื่อแล้วนั่นแหละ ให้มันสมศักดิ์ศรี เป็นลูกของพระเจ้า แล้วใครจะช่วยเรา สอนเรา ฝึกเรา เหมือนเด็กเกิดใหม่ พ่อแม่สอนตั้งแต่นอนแบเบาะ ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง มนุษย์เป็นอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ มนุษย์ก็ต้องเดินได้ นี่ยังเดินไม่ได้ พ่อแม่ประคบประหงม เพื่อให้เขาค่อยๆ เรียนรู้ตามธรรมชาติ เพราะว่ามนุษย์ต้องเดินได้ตรงๆ ไม่ใช่คลาน เขาก็ฝึกฝนตั้งแต่นอนแบเบาะ เริ่มหัดพลิกตัว ใครไปฝึกเขาหัดพลิกตัว พ่อแม่ช่วย แต่ช่วยตามธรรมชาติของเขา ฝึกพลิกตัวปุ๊บ ฝึกคลาน แล้วก็คลานต่อไปเรื่อยๆ ได้ไหม? ไม่ได้ เพราะธรรมชาติของเขาเป็นมนุษย์ เขาจะต้องเดินในที่สุด  และใครช่วย? พ่อแม่ช่วย ฝึกฝน เริ่มคลาน ตั้งไข่ แล้วก็เริ่มเดิน อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น หน้าที่ในการฝึกฝนให้เราดำเนินชีวิต ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า คือหน้าที่ของพระเยซูผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ที่สถิตอยู่ในเรา เป็นพี่เลี้ยงเรา พอเราบังเกิดใหม่ พระวิญญาณได้รับหน้าที่นี้เลย คือเป็นพี่เลี้ยงเรา คอยดูแลประคบประหงมเรา เหมือนพ่อแม่ดูแลเด็กๆ เกิดใหม่ ทารกเกิดใหม่ พระองค์จะสอนเรา นำเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ให้เรากระทำดี (ดีจริงๆ)  ดีตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ดีตามสติปัญญาของพระเจ้า ดีกว่าเดิมอีก ดีกว่าก่อนที่เราจะเกิดใหม่ จะรับเชื่อพระเจ้า แล้วเราคิดว่าเราทำดีแล้ว ตอนนี้ดีกว่าเดิมอีก คือไม่ใช่การกระทำดีอันเนื่องมาจากความกลัวกฎหมาย กลัวการถูกลงโทษ ใช่ไหม?

อดีตก่อนเราจะรับเชื่อพระเจ้า ก่อนเราจะเกิดใหม่ เราทำดี เพราะเรากลัว เรากลัวกฎหมายลงโทษ เรากลัวตายแล้วจะตกนรก แต่พระวิญญาณของพระเจ้าจะมาสอนเราให้กระทำดีตามธรรมชาติภายใน ดีกว่าเดิมอีก คือจะสอนเราให้ทำดี จากธรรมชาติตัวตนที่แท้จริง ภายใน ที่บังเกิดใหม่ ที่เป็นความรัก ที่เป็นลูกของพระเจ้า ออกมาตามธรรมชาติเลย ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะรัก เพราะมันเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา มันเป็นอย่างนั้นเอง …

“ไม่ใช่กระทำ เพราะว่ามีกฎห้าม กฎเขาไม่ได้ห้ามหรอก แต่ฉันก็ไม่ทำ ฉันไม่ทำ ไม่ใช่ฉันเป็นคนดีหรอกนะ ฉันไม่ทำ เพราะว่าฉันไม่มีธรรมชาติที่ชอบแบบนั้น ฉันเกิดใหม่แล้ว” อย่างนี้เป็นต้น “เหมือนฉันเป็นปลา ฉันก็จะอยู่ในน้ำ อยากอยู่ในน้ำๆ เอาฉันไปขึ้นบก ฉันก็ดิ้นพร๊ากๆ”

ผมเคยบอกว่าพอเป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อพระเจ้าแล้ว ท่านจะเริ่มต้นแพ้แล้ว แพ้อะไร? แพ้ความบาป เคยนึกถึงคนที่แพ้อาหารทะเลไหม? กินปุ๊บ พุพองขึ้น จะอาเจียน พะอืดพะอม กินอาหารทะเลไม่ได้เลย  ไม่มีใครห้ามเขานะ ไม่มีกฎอะไรห้าม กินอาหารทะเล แต่เขากินไม่ได้ เพราะตัวเขาเอง แพ้ ในทำนองเดียวกัน เป็นคริสเตียนแล้วแพ้ความบาป พระเจ้าไม่ห้าม อยากจะทำบาป เชิญทำเลย แต่ทำทีไร มันแพ้ มันพะอืดพะอม ทางวิญญาณไม่สบายใจเลย นั่นแหละ หน้าที่ของพระวิญญาณจะสอนเราว่า …

“ทำอย่างไร ลูกเอ่ย ถึงจะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติทำให้มีความสุข มันจะได้ไม่แพ้ ไม่บวม ไม่ปวด ไม่เมื่อย  ไม่พะอืดพะอม ไม่เป็นพิษ”

นี่คือข่าวดีของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเจ้า การได้รับรู้ความจริงเหล่านี้ ยิ่งเป็นการให้เกียรติ ให้ความเคารพ ยำเกรงพระเจ้า ให้ความสำคัญกับความประพฤติ การกระทำ ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้มากขึ้นด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่? ใช่

การรับรู้ความจริงเหล่านี้ มันกลับกลายเป็นเน้นให้เราเคารพยำเกรงพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ไม่มีลำเอียง ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดเลย เราจะให้ความสำคัญกับความประพฤติ การกระทำบนโลกใบนี้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เพราะเรารู้แล้วว่าความจริงคืออะไร? เรารู้ว่าความจริงตัวเราเป็นใครในพระคริสต์ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว นั่นเอง นี่คือข่าวดีของพระเยซู คือพึ่งในพระองค์ทุกอย่าง ทุกสิ่ง แล้วมันเป็นจริงๆ ด้วย พระคริสต์อยู่ในท่าน เป็นความหวังแห่งพระสิริ นี่คือหัวใจของคริสเตียน คือพระคริสต์อยู่ในเรา ทำการงานอยู่ในเรานั่นเอง

สรุป ก็คือไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญกับการกระทำ แต่ให้ความสำคัญมากกว่าเดิม ก็คือให้ความสำคัญมากกว่าเดิม ที่ถูกสอนให้กระทำแต่สิ่งที่ดี ตามบทบัญญัติ ตามกฎเกณฑ์ของศาสนาตั้งแต่เริ่มต้นความเชื่อต่างๆ ศาสนาอะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่เรื่องของข่าวดี แม้กระทั่งศาสนาคริสต์ก็เหมือนกัน แม้ว่าถ้าท่านทำข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ กลายเป็นศาสนาคริสต์ ท่านก็จะพึ่งพาการกระทำของตนเอง ท่านก็ให้ความสำคัญกับการกระทำอีกแล้ว มันเป็นอย่างนี้  เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญกับการกระทำ แต่ให้ความสำคัญมากกว่าการสอนตามบทบัญญัติของหลักการของศาสนา ซึ่งมีบทลงโทษบนโลกใบนี้  ขู่ให้กลัว บอกห้ามอะไรต่างๆ เหล่านั้น

นี่คือความหมายของข้อ 23 ที่บอกว่า … “ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะทำสิ่งใดๆ จงทุ่มเททำอย่างสุดใจ เหมือนทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อมนุษย์”

“เหมือนทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้า” ก็คือให้ทำด้วยสุดใจ ให้รู้ว่าพระวิญญาณกำลังนำท่าน กำลังสอนท่านให้สมฐานะเป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง  ในทิตัส 2:12 ได้ยืนยันตรงนี้ …

ทิตัส 2:12 “พระคุณนี้สอนเรา ที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (บังเกิดใหม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า)”

 

“บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า” ก็คือสมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ตะกี้ผมพูดมา ถ้อยคำพระเจ้าก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ จากความกลัว และพร้อมที่จะเผชิญกับความตาย หรือการจากร่างกายนี้ ไปสู่โลกวิญญาณ  แล้วเราจะเห็นความตาย เป็นประตูแห่งชัยชนะสุดท้ายของเรา ที่จะนำพาเราหลุดพ้นจากความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

ซึ่งการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีความทุกข์ลำบาก นี่ก็คือกฎของพระเจ้า ที่จัดการ เพราะพระเจ้าลงโทษ สมัยอาดัมมอบโลกใบนี้ให้กับมารไปแล้ว เชิญพระเจ้าออกไปจากโลกใบนี้แล้ว คำสาปแช่งเข้ามา มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่มันมีวันสิ้นสุดของมัน โลกนี้มันเสียหาย ล่มสลาย พร้อมมนุษย์ทั้งหลาย ถูกสาปแช่ง ล่มสลายไปตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ สมัยบรรพบุรุษของเรา อาดัมแล้ว มันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ  เราแค่อดทน รอคอย อีกแป๊บเดียว อีกไม่กี่ปี เราก็จะได้พักผ่อน อยู่ในสวรรค์นิรันดร์ด้วยความสุขอันแท้จริง อยู่กับพระเจ้า อยู่กับพระเยซูในสวรรคสถานเป็นนิรันดร์ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ ไม่มีน้ำตา ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรอีกเลย และนี่คือมรดก รางวัล สำหรับผู้ที่มาเชื่อในข่าวดี เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพราะว่าเมื่อเราไปอยู่ในสวรรค์ หลังจากทิ้งร่างอันอ่อนแอ อันด้อยนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ระบบเก่าบนโลกใบนี้ที่ถูกสาปแช่งไว้นั้น มันก็ได้สูญสิ้นไปจากเราแล้ว เราก็จากมันไปเลย และเราจะอยู่ในโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ สรรพสิ่งใหม่ ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นใหม่ ให้กับเราทั้งหลายในสวรรคสถาน ได้อยู่อาศัยในครอบครัวของพระคริสต์ คือครอบครัวของผู้เชื่อทั้งหลาย  ร่วมกับพระคริสต์ ร่วมกับพระเจ้าเป็นนิรันดร์เลย นี่คือมรดกรางวัลสำหรับผู้เชื่อ

ถามว่า “เชื่อแล้วต้องทำอะไร? ต้องทำไม๊?”

“ทำสิ”

“ต้องทำอะไรล่ะ”

“อดทน รอคอย”

แสดงว่าทุกอย่างมันเสร็จหมดแล้ว เพียงแต่อดทน รอคอย รอรับ เข้าคิว แป๊บเดียวเอง ที่เหลือไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูทำ  พระวิญญาณทำให้เรา นำพาชีวิตเรา เราแค่อดทนๆๆ และอดทน พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสืออิสยาห์ 65:17-19 ย้ำยืนยันให้เรารอคอย รอคอยอะไร? รอคอยวันเวลาที่เราจะออกจากร่างนี้ หมดสิ้นกันที ประตูแห่งชัยชนะของมนุษย์ทุกคน ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือความตาย … ความตาย คือชัยชนะสุดท้าย  การจากร่างนี้ไป คือชัยชนะสุดท้าย อดทนแค่อีกไม่กี่ปี  กี่เดือน เราก็จากไป และตอนจากไปนั่นแหละ คือชัยชนะสุดท้าย ชัยชนะนิรันดร์ สุดท้าย และสิ่งที่เราจะได้รับ ก็คือเหล่านี้แหละ  นี่คือตอนหนึ่งที่พระเจ้าได้ตรัสให้เราได้รู้ว่า … “อดทนนะลูกเอ๋ย แล้วเจ้าจะเห็นอะไร?”  อิสยาห์ 65:17-19 …

อิสยาห์ 65:17-19  “17 ดูเถิด เราจะสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ จะไม่มีใครจดจำ หรือนึกถึงสิ่งเก่าอีกต่อไป 18 แต่จงชื่นชมและปีติยินดีตลอดไป ในสิ่งที่ เราจะสร้างขึ้น เพราะเราจะสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นความปีติยินดี และให้ชาวเยรูซาเล็มเป็นความชื่นชมยินดี 19 เราจะปีติยินดีในเยรูซาเล็ม และชื่นชมในตัวประชากรของเรา ที่นั่น จะไม่มีเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ให้ได้ยินอีกต่อไป”

 

“เราจะสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นความยินดี และให้ชาวเยรูซาเล็ม” … เยรูซาเล็ม คือใคร?  คือผู้เชื่อทั้งหลายที่เป็นธรรมิกชนของพระเจ้า ที่เชื่อในพระเจ้า  เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์นั่นแหละ “จะไม่มีเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ให้ได้ยินอีกต่อไป” นี่พระเจ้าตรัสเลยนะ ดังนั้น ในวันเดินทางเข้าสู่สวรรค์สำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวดีในพระเยซูคริสต์ วางภาระลง ไม่ต้องกลัว เดินเข้าไปสู่ชีวิตหลังความตาย ด้วยความร่าเริง และด้วยความมั่นใจได้แล้ว เพราะท่านไม่ได้นำเอาความผิดบาป ที่ได้กระทำบนโลกใบนี้ไปกับท่านด้วย พระเจ้าบอกว่าพระองค์ลืมการละเมิด ความผิดบาปของท่านบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น และจะไม่จดจำมันอีกเลย อยากรู้ไหมพระเจ้าพูดตรงไหน? ฮีบรู 10:16-17 จริงๆ พูดหลายแห่ง แต่อ้างข้อนี้ก็ได้ ฮีบรู 10:16-17 ไม่ต้องกลัว …

ฮีบรู 10:16-17  “16 นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้น บนจิตใจของพวกเขา 17 บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

และเมื่อวันนั้นมาถึง วันที่เดินทางเข้าสู่สวรรค์ แม้แต่ตัวเราเอง ตัวท่านเองที่เชื่อ ก็จะไม่สามารถจดจำการกระทำผิดบาปของตัวเองเลยด้วยซ้ำไป

ฟังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงวันที่จากโลก ทิ้งร่าง เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ เข้าสู่สวรรค์ ท่านเองไม่ได้พกเอาความบาปไป และท่านก็จดจำความผิดบาปที่เคยทำไว้บนโลกใบนี้ไม่ได้เหมือนกัน พระเจ้าลืม ท่านก็ลืมเหมือนกัน ท่านพอเข้าใจไหม?

ผมเคยได้ยินคำพยานหลายคนเลยนะว่าแม่มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว พออายุมากๆ แล้ว แม่เป็นอัลไซเมอร์ แต่จำเรื่องพระเจ้าได้หมดเลย เรื่องอื่นจำไม่ได้เลยสักนิดหนึ่ง นี่เรื่องจริงๆ นะ นี่ยกเปรียบเทียบให้ท่านฟังเท่านั้นเองว่าถึงวันนั้น วันที่ท่านทิ้งร่างกายสกปรกนี้ไปแล้ว ท่านก็ไม่สามารถที่จะจดจำอะไร ที่ได้กระทำในร่างกายนี้ ความชั่วอะไรต่างๆ เพราะวิญญาณและใจใหม่ที่เดินทางไปสู่สวรรค์นั้น นึกให้ดีๆ ใจใหม่ที่พระเจ้าประทานให้ วิญญาณใหม่ที่พระเจ้าทรงให้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้านั้น ที่เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้  เรารับเชื่อปุ๊บ ก็เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ไม่มีความคิดสกปรก ไม่มีความจำเรื่องความชั่วร้ายอีกเลยแม้แต่นิดเดียว และท่านไปเฉพาะวิญญาณและความคิดจิตใจของท่าน ที่เกิดใหม่เท่านั้น เพื่อไปรับร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์เท่านั้น ส่วนร่างกายเก่า โปรแกรมเก่า ที่เคยมีอิทธิพลความบาปมาเขี่ยๆ อยู่ มันได้ตายไปพร้อมกับร่างกายอันด้อย ที่ดำเนินบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว มันถูกเผาไปแล้ว มันถูกฝังไปแล้ว มันจบไปแล้ว ตัวท่านเองไป ตัวท่านจริงๆ คือวิญญาณ  และความคิดจิตใจใหม่ที่เกิดใหม่นั้นแหละ

อย่างที่ได้เรียนมาหลายตอนแล้ว คือวิญญาณเรา ความคิดจิตใจเราบังเกิดใหม่ ตั้งแต่เราเริ่มต้นรับเชื่อพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาป ทันทีทันใดนั้น พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา ผ่าตัดชีวิตของเรา ให้วิญญาณเราได้ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เหมือนพระเยซูเลย ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าทันทีทันใด ขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ร่างกายยังเป็นร่างกายเดิม ซึ่งตกอยู่ใต้คำสาปแช่งอยู่ ใต้กฎของความบาปและความตายมาตั้งแต่สมัยอาดัม มันต้องตายลงสักวันหนึ่ง มันต้องหมดสิ้น แต่มันไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเรา มันเหมือนเสื้อ เสื้อเก่ามันก็ต้องถูกทิ้งไป ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณและความคิดจิตใจ นั่นแหละ พระคัมภีร์บอกว่าเป็นเหมือนพระเยซูแล้วตอนนั้น  และเวลาเราออกจากร่าง ก็ออก แต่ตัวตนจริงๆ เท่านั้น ทิ้งเสื้อไว้ วิญญาณและความคิดจิตใจตัวจริงๆ ก็ออกจากร่าง ไปสู่มิติฝ่ายวิญญาณ เวลาเท่าไร? ไปสู่มิติฝ่ายวิญญาณ? ก็คือแค่พริบตาเดียว หลังจากที่เราผลักประตูเข้าไปสู่มิติสวรรค์ มิติวิญญาณ รับร่างกายใหม่ ก็เหมือน ใส่เสื้อผ้าใหม่

รับร่างกายใหม่ จำไว้นะวิญญาณและความคิดจิตใจใหม่อยู่แล้ว ทิ้งร่างเก่านี้ไปปุ๊บ แค่พริบตาเดียว เสี้ยววินาที แป๊บ เหมือนผลักประตูเข้าสู่มิติวิญญาณ เข้าสู่สวรรค์ ได้รับร่างกายใหม่ คือร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนเป็นขึ้นจากความตาย  ท่านก็จะไม่มีความบาป ความชั่วร้าย  ไม่มีความสกปรกโสโครก ในความคิดจิตใจ ในร่างกายของท่านด้วย ในขณะนั้น ไม่มีความกลัว มีแต่ความบริสุทธิ์สะอาด สุข สงบ ร่าเริงยินดี ใช่หรือไม่? ไม่มีสิ่งชั่วร้ายอยู่ในความคิดเลย  ความคิดเก่า โปรแกรมเก่ามันตายไปกับร่างกายเก่านี้เรียบร้อยแล้ว เพราะที่นั่น ในสวรรค์ หลังมิติโลกวิญญาณที่เราผลักเข้าไปแล้ว หลังความตายนั้น ที่นั่นไม่มีคำสาปแช่ง ไม่มีน้ำตา ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีความเศร้าโศก พระเจ้าจะมาซับน้ำตาทุกหยดที่เราร้องไห้ ด้วยความอดทนบนโลกใบนี้ ให้กับเราแต่ละคนเลยนะ ไม่ใช่ให้โดยรวม แต่ให้กับแต่ละคน มาปลอบโยนจิตใจเขา มากอด เราจะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า นั่นแหละคือมรดกของเรา

เพราะฉะนั้น จงมั่นใจ วิ่งไปสู่หลักชัย ก็คือรับมรดกที่พระเยซูคริสต์จัดเตรียมไว้ให้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ จงวิ่งไปสู่หลักชัย พระเยซูรอเราอยู่ รอให้เราไปรับรางวัลเดียว พอแล้ว คือมรดกชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ อย่าให้อะไรมาถ่วงกับการอดทนรอคอย ไปสู่หลักชัยนี้ อย่าให้มาถ่วง เหมือนเราเดินเข้าไปสู่สวรรค์ ก็เดินเข้าสู่สวรรค์อย่างเบาสบายที่สุด เท่าที่ทำได้ ขนาดเบาสบาย ก็ยังใช้ความอดทน พระคัมภีร์บอก

ทำไมถึงใช้คำว่าอดทน เพราะว่ามันมีความทุกข์ยากลำบาก อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าท่านจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ได้เท่ากันหมด คือทุกข์ยากลำบากหมด เป็นกฎ มันเป็นมาแล้ว โลกถูกสาปแช่งมาแล้ว จะอยู่โดยมีพระเจ้าหรือไม่มี ก็ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้เช่นเดียวกันนั่นแหละ ไม่มีการยกเว้น แต่คริสเตียนเรามีความหวังชัดเจน ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา คอยนำพาเรา ทุกข์ก็ทุกข์น้อยลง เพราะเรามีความหวังข้างใน มีพลังข้างใน พระเจ้าอยู่ข้างในเรา เพราะฉะนั้น มั่นใจในการเดินไปรับมรดกของพระเจ้าด้วยความอดทนและเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ อย่าให้อะไรมาถ่วง เหมือนเรากำลังเดินขึ้นสวรรค์ใช่ไหม? ก็ไม่ต้องหาอะไรมาถ่วง เคยได้ยินคำนี้ไหม? เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา เอาภูเขาเป็นสวรรค์แล้วกัน เหมือนเดินเข้าสวรรค์ มันเหนื่อยนะ นี่ยังไปเข็นครกขึ้นสวรรค์อีก …

“จะไปสวรรค์ อันนี้จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้  จะไปสวรรค์ เธอต้องทำให้ดีมากกว่านี้ เธอถึงจะไปสวรรค์ได้ เธอจะไปสวรรค์ไม่ได้ ถ้าเธอไม่ทำอย่างนั้น ถ้าไม่ทำอย่างนี้”

แล้วพระเยซูหายไปไหน? พระเยซูที่ไถ่บาปเราแล้ว แล้วมาสถิตอยู่กับเรา ข้างในตัวเราแล้ว แล้วบอกเราว่าชำระบาปให้เราเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์ทรงอยู่ไหน? ถ้าเรายังคงพึ่งตนเองอยู่ เราก็ดิสเครดิตพระเยซู กำลังไม่เชื่อพระเยซูใช่ไหม? ว่าฤทธิ์อำนาจพระโลหิตของพระองค์เพียงพอเสมอในการไถ่บาปเรา  การเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ทำให้เราบังเกิดใหม่ นี่เรื่องจริง พระองค์ได้บังเกิดใหม่จริงๆ ถ้าเชื่อว่าพระองค์บังเกิดใหม่จริงๆ เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย  พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ไม่ใช่ตายพร้อมพระองค์อย่างเดียว แต่ถ้าตายพร้อมพระองค์ ก็ต้องเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เป็นจริงๆ ไม่ใช่รับการไถ่บาปอย่างเดียว แต่ไม่ยอมเป็นขึ้นจากความตาย ไม่ได้ ท่านต้องได้รับเป็นแพ็คเกจ ก็คือถ้าท่านได้รับการไถ่บาป โดยการตายของพระเยซูคริสต์ โลหิตของพระองค์ ท่านเชื่อ ท่านก็ได้รับการเป็นขึ้นจากความตายด้วยเช่นเดียวกัน บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าทันที บนโลกใบนี้เลย เพียงแต่ว่าท่านรู้ความจริงหรือไม่? หรือถูกปิดบัง ถูกหลอก ได้แล้ว แต่ดูเหมือนไม่ได้ มีเหมือนไม่รู้ตัวว่ามี มันมีอยู่จริงๆ แต่ไม่รู้ตัวว่ามี เป็นมหาเศรษฐี แต่จน เพราะถูกหลอก เป็นอย่างนี้แหละ

พระคัมภีร์จึงใช้คำนี้เสมอว่า “จงรู้เถิด … ท่านไม่รู้หรือว่าตัวเก่าท่านตายไปแล้ว” วิญญาณที่ตายอยู่ ท่านก็ตายไปแล้ว ท่านได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูแล้ว ได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ไปเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่รู้หรือ ขณะนี้วิญญาณของท่านและความคิดจิตใจของท่าน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย และร่างกายของท่านได้รับการชำระโดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ สะอาดหมดจดแล้ว แต่ว่ามันยังเป็นร่างกายที่อ่อนแอ ต้องอยู่ตามกฎของโลกใบนี้อยู่ ตราบใดที่ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี๋ยวมันก็สิ้นสุดลง เดี๋ยวมันก็ต้องตายแล้ว  แต่ว่าไม่ต้องไปห่วงมัน เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำพา และวิญญาณของท่านที่บังเกิดใหม่ เป็นทายาทของพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาด พร้อมทั้งความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นั้น  จะไปรับร่างกายใหม่ ถ้ารู้ความจริง มันก็ทำให้ตัวเบา ไม่ต้องเข็นครกขึ้นภูเขา ก็คือเชื่อ เต็มเปี่ยมในหัวใจว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ การไถ่บาปของพระองค์เป็นจริง 100% ก็ 100 อย่าให้ใครหน้าไหน มาขโมยความจริงนี้ออกไปจากเราเลยว่า …

“100% ฉันเชื่อในฤทธิ์อำนาจพระโลหิตพระเยซู และฉันเชื่อในการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ฉันได้ตายไปแล้ว ตัวเก่า ตัวบาป ตอนนี้ฉันเกิดใหม่พร้อมพระเยซูแล้ว เป็นวิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระองค์เลย ฉันจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป อดทนรอรับร่างกายใหม่เท่านั้นเอง”

เพราะฉะนั้น ถ้าเชื่ออย่างนี้ มันก็ชัดเจน เพราะการกระทำผิดพลาด บาปอะไรต่างๆ ในอดีต ที่เราดำเนินชีวิตบนโลกนี้ มารพยายาม ไม่ว่าจะทำผิดมาก ผิดน้อย ก็ตาม นี่พูดถึงคริสเตียน มารจะใช้การกระทำผิดบาปของเรา ให้เป็นอาวุธของมัน คือมันจะใช้ความบาป ตรงที่เราทำพลาดมาเกาะติดในความคิดของเรา ให้เรารู้สึกฟ้องผิดตลอดเวลา ทำให้กลัว วิตกกังวล ไม่พร้อมที่จะวิ่งไปรับรางวัลของเรา

ทั้งๆ ที่พระเจ้าบอกว่า “เราจะไม่จดจำความผิดของท่านอีกเลย ความผิดบาปของท่าน เรายกออกไปแล้ว ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าไร? เราได้เอามันออกไปห่างไกลจากเจ้าเท่านั้นแล้ว เราไม่จดจำความบาปผิดของท่านอีกแล้ว แล้วลูก แล้วท่านไปจดจำความบาปผิดของตัวเองอีกทำไม”

หันมามองพระเจ้า เออ! ใช่ “เราไม่จดจำความบาปผิดของเจ้าแล้ว แล้วเจ้าจะไปจดจำความบาปผิดของตัวเองทำไม?”

“เออ! นั่นนะสิ แล้วใครเป็นผู้ให้เราจดจำ”

“ก็ไอ้นี้ไง (โทษทีนะ) ไอ้นี้ไง (ชี้ต่ำๆ หน่อย)”  ก็คือมาร

แต่การจากไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่มีมารแล้ว บนสวรรค์ ไม่มีใครมาฟ้องผิดแล้ว แล้วเราก็ไม่ได้จดจำ ผู้ที่ทำให้เราจดจำ ก็คือมารที่ยังอยู่บนโลกใบนี้  เพราะเราไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่มีมารแล้ว ใครจะมาฟ้องผิดเรา ไม่มีแล้ว แล้วเราก็ไม่ได้จดจำสักหน่อย เพราะฉะนั้น ยุทธศาสตร์ของการสู้รบ ก็คือรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง รู้ว่าไม่ใช่ตัวเรา ที่ไปจดจำ พอเราผิดพลาด มารพยายามเอามาแปะ ที่ความคิดของเรา แล้วก็กลัว ทำอย่างนี้เยอะขึ้นๆ เริ่มต้นจากวันแรกที่มาเชื่อพระเจ้า ไปสวรรค์แน่นอน 100% ขอบคุณพระเจ้า ถ้าพระเจ้ามารับไปวันนั้น ดี ถ้ายังไม่มารับไป ขอบคุณพระเจ้า ดำเนินชีวิตคริสเตียนไปเรื่อยๆ ไปเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า ไปเรียนพระคัมภีร์ มารก็ค่อยๆ ใส่เข้ามาทีละนิดๆ เข้าใจนั่นผิด เข้าใจนี่ผิด เริ่ม อันนั้นก็มีบาป อันนี้ก็มีบาป  อันนั้นก็ทำไม่ได้ อันนี้ก็ทำไม่ได้ ยิ่งไม่ได้อธิษฐานขออภัยโทษจากพระเจ้าเลย  ก็จดจำแต่สิ่งที่ผิดพลาดเท่านั้น  ไม่ได้จดจำสิ่งที่ดีหรอก มารมันมีหน้าที่ฟ้องมนุษย์ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันฟ้องว่าผิด อันถูก มันไม่มาชี้หรอกว่าถูก

มันจะชี้ว่า … “แกผิดๆ”

เขาเรียกว่า … “แกเป็นคนบาป”

เพราะฉะนั้น ต้องยืนยันในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าว่า … “ฉันไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว ฉันไม่ได้เป็นเลย ตัวจริงๆ ของฉันเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดหมดจด และฉันจะอยู่ในร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตลอดชั่วชีวิตนี้นิรันดร์ เพราะฉะนั้น จงมองไปที่ผู้เดียวเท่านั้น  อย่าไปมองสิ่งผิดพลาด ที่เราเคยทำ มารพยายามจะจับมันยัดเข้ามาในความคิดจิตใจของเรา  ทิ้งมันไปซะ พระเจ้าบอกไม่ต้องไปจดจำ เราก็ตอบพระเจ้าบอกว่าเอเมน เพราะพระเจ้ามีพระนามว่าพระเจ้าแห่งเอเมน เชื่อพระเจ้า นมัสการพระองค์ วิธีนมัสการ ก็คือเอเมน นี่นมัสการพระองค์แล้ว ท่านเอเมน ก็คือนมัสการพระองค์ พระองค์ทรงชอบ พระองค์ทรงพอพระทัยมาก เมื่อท่านเอเมนไปกับสิ่งที่พระองค์ทรงบอก  พระองค์บอกไม่จดจำ ท่านก็บอกฉันก็ไม่จดจำ เพราะฉะนั้น มองไปที่พระเยซูเป็นหลักชัยเท่านั้น เพ่งไปที่พระองค์เลย อดทนก็มองเห็นพระเยซู ทุกข์ยากลำบากก็เห็นพระเยซู ทำผิดพลาดอะไรไป ก็มองเห็นพระเยซู เชื่อและวางใจในพระโลหิตและการไถ่บาป  สิ่งที่พระองค์ทรงทำอย่างเต็มเปี่ยมเลย มองไปที่พระเยซูเพียงผู้เดียว ผู้เป็นต้นตอแห่งความเชื่อ

ในหนังสือฮีบรูบอกว่ามองไปที่พระเยซู เป็นเป้าเป็นหลัก ผู้เป็นต้นตอแห่งความเชื่อ เป็นผู้เริ่มต้นแห่งความเชื่อของเรานั่นแหละ เชื่อในการไถ่บาป ผู้เป็นต้นตอแห่งความเชื่อและความหวังของเรา ในชีวิตนิรันดร์  ที่เรารอคอย พระเยซูผู้ที่ตรัสว่า … “สำเร็จแล้ว”  … และก็สำเร็จจริงๆ ชั่วนิรันดร์

“สำเร็จแล้ว เราเป็นอัลฟาและโอเมก้า เราเป็นผู้ต้นและเป็นผู้ปลาย”

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ฟีลิปปี 1:6 พอฟังมาอย่างนี้แล้ว อาจารย์เปาโลอยากจะบอกให้ผู้เชื่อใหม่ๆ ที่เพิ่งมารับเชื่อพระเจ้า เพิ่งได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ยังไม่รู้ความจริงอะไรมากนัก อาจารย์เปาโลจึงเขียนไปหนุนใจ แล้วก็บอกว่า …

ฟีลิปปี 1:6 “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้น จะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์”

 

เปาโลบอกว่ามั่นใจมาก  พี่น้องที่รับจดหมายฉบับนี้ เพิ่งเชื่อพระเจ้า แล้วก็มีความประพฤติน่าเกลียดอีกหลายอย่าง ประพฤติบาปอีกตั้งเยอะแยะ ยังถกเถียง ริษยากัน เห็นแก่ตัว วุ่นวาย เหมือนคนที่ยังไม่เชื่อเลย  แต่เปาโลเขียนตรงนี้ ไปหนุนใจ นอกจากสอนว่าให้กระทำสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ให้สมศักดิ์ศรีกับการเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ อย่าให้ขายหน้าพระเจ้าอะไรประมาณนั้น พระวิญญาณกำลังสอนท่านอยู่ แล้วอาจารย์เปาโลก็พูดให้ผู้เชื่อใหม่ที่ยังประพฤติไม่ดีเลย ตามสายตาของมนุษย์ที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาดูแล้วก็ไม่ดี แต่ยังประพฤติอยู่ แต่เปาโลบอกอย่างนี้ว่า …

“ข้าพเจ้ามั่นใจ พระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว”

ก็หมายถึงว่าท่านรับเชื่อปุ๊บ พระเยซูคริสต์และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่กับท่าน ในวิญญาณของท่าน และก็เริ่มนำพาชีวิตของท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นพี่เลี้ยงดูแลวิญญาณที่เติบโตของท่าน และเปาโลบอกข้าพเจ้ามั่นใจ พระวิญญาณผู้นี้ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน ผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว เริ่มเมื่อไร? เริ่มเมื่อท่านเปิดใจรับเชื่อพระเจ้า ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่เอาแล้ว ไม่พึ่งพาการกระทำตนเองอีกแล้ว แต่พึ่งพาพระเยซูคริสต์อย่างเดียว เปิดใจต้อนรับพระเยซู นั่นแหละพระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว ตั้งแต่วันนั้น

เปาโลบอกอย่างไรต่อไป และพระองค์จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จอย่างแน่นอน  จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์ คือจนกว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมารับท่าน จะเป็นท่านกลับไปรับพระเยซูคริสต์ หรือพระเยซูคริสต์กลับมารับท่าน อันใดอันหนึ่งก็แล้วแต่ คือถ้าพระเยซูยังไม่ได้กลับมาพิพากษาโลกใบนี้ เราตายก่อน  เสียชีวิตก่อน  เราก็ไปพบกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์มารับเรา แต่ถ้าเราอยู่จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมา พระเยซูคริสต์ก็กลับมารับเรา จะเอาอย่างไร? จะไปหาพระเยซูคริสต์ หรือให้พระเยซูคริสต์มารับเรา ได้ทั้งคู่ ไม่ต้องห่วง เปาโลยังบอกมั่นใจมาก เป็นอย่างนั้น เพื่อประชากรของพระเจ้า  ที่ได้เชื่อแล้ว และยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ อย่าไปคิดมาก มันเรื่องธรรมดา ปล่อยให้พระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ค่อยๆ สอนเรา ฝึกเรา ให้ดำเนินชีวิตสมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ยังเดินไม่ได้ ยังคลานอยู่ เดี๋ยวพระวิญญาณ ก็จะนำพาเรา ค่อยๆ ฝึก ตั้งไข่  แล้วค่อยๆ เดิน ยังวิ่งไม่ได้ เดี๋ยวพระวิญญาณค่อยๆ ฝึกเรา สอนเรา จนกระทั่ง ค่อยๆ วิ่งได้  เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งอื่นเลย เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เพราะว่าสติปัญญาของมนุษย์ ความคิดของมนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าไปอธิบายถึงเหตุผล หรือความเข้าใจแบบมนุษย์ได้เลย แต่ด้วยความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า และได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ วิญญาณของเรายอมรับรู้ เรารู้แล้ว รู้ว่ามันเป็นจริง ถามว่ารู้ว่าเป็นจริงเพราะอะไร? เพราะเรารู้จักพระเจ้าที่เราเชื่อแล้ว เรารู้จักพระเยซูคริสต์ที่เราเชื่อแล้ว  เราไม่ได้รู้ด้วยความคิด เรารู้ด้วยวิญญาณของเรา เรารู้ว่าเรารู้ความจริงนี้ ไม่ใช่เราคิดว่าเรารู้ แต่เรารู้เพราะความเชื่อ และความเชื่อนี้จะประทับอยู่ในใจของเรา พระวิญญาณเป็นพยานในใจของเราว่าสิ่งนี้เป็นจริงทั้งหมด เพราะเรารู้จากข้างใน เรียกว่ารู้อยู่ในใจนั่นเอง ให้เราอธิษฐานร่วมกัน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

สองสิ่ง ที่เป็นพระประสงค์อันดีเลิศ สำหรับคุณ …

  1. ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ ที่บอกคุณถึงความสำเร็จในโลกวิญญาณที่ พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้คุณสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

ปากพูดว่า “เอเมน” โดยไม่มีข้อแม้

พระเจ้าตรัสว่า … “แต่คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ แต่ถ้าผู้ใดเสื่อมถอย ใจของเราจะไม่มีความชื่นใจในคนนั้นเลย’”   ฮีบรู 10:38 KJV

  1. ยอมมอบอวัยวะในร่างกายทั้งหมด ทั้งตา หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ความคิด  สมองให้พระองค์ใช้ … “อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่ยอมมอบตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และยอมให้อวัยวะของท่านเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า ”  โรม 6:13

คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว  ถวายเครื่องบูชาได้สองอย่าง คือ …

ถวายลิ้น สารภาพยอมจำนนต่อถ้อยคำความจริงของพระเจ้า เชื่อแล้วขอบคุณเอเมนในความจริงเหล่านั้น ซึ่งเป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามาก …และ…

ยอมมอบร่างกายและอวัยวะทุกส่วน  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ความคิด  สมอง  สติปัญญาให้กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ใช้ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย

 

ยอห์น 15:1-6  “1 เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราเป็นผู้ดูแลรักษาสวน 2 พระองค์ทรงดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ตัดแต่งทุกกิ่งก้านที่เป็นส่วนหนึ่งของเรา ที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์ ไม่พร้อมที่จะออกผล เพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกผล ส่วนกิ่งที่ออกผลสม่ำเสมออยู่แล้ว พระองค์ก็จะดูแลเอาใจใส่ลิด เพื่อให้ออกผลสมบูรณ์ดีมากยิ่งขึ้น (ผลนี้ คือผลของพระวิญญาณ ผลของชีวิตนิรันดร์) 3 ท่านทั้งหลายได้รับการชำระและได้รับการตัดแต่งเสร็จแล้ว ด้วยถ้อยคำที่เราได้สอนท่านทั้งหลายไว้ 4 จงอาศัยอยู่ในเรา (เป็นส่วนหนึ่งของเรา) และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน (เป็นส่วนหนึ่งของท่าน) กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจาก เจ้าจะอาศัยต่อติดอยู่ในเราฉันนั้น 5 เราเป็นแถวองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น  ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเราอาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลายจะทำอะไร  ก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้าน ที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1329

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  กันยายน  2021

 เรื่อง “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ  แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน” ตอน 2

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้จะเป็นตอนที่ 2 ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว หัวเรื่องที่บอกว่า “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน”

การบรรยายช่วง 2, 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เราน่าจะรู้และน่าจะมั่นใจ เพราะได้บรรยายไปหลายครั้ง ก่อนหน้านั้นได้พูดไว้ว่าการพิพากษาลงโทษโลก และมนุษย์บนโลกในวันสุดท้าย วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมา ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ บนบัลลังก์สีขาว ไม่ได้รวมถึงผู้เชื่ออย่างแน่นอน 100% ผู้เชื่อไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษแล้วแน่นอน  เพราะผู้เชื่อพึ่งในการกระทำของพระเยซู เมื่อพึ่งในการกระทำของพระเยซู  … พระเยซูได้ทำสำเร็จที่ไม้กางเขน ลบล้างบาปออกไปจนหมดสิ้น เรียบร้อยแล้ว ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย  และใครก็ตามที่รับเชื่อ และใช้สิทธิของเขา เขาก็ได้รับการชำระล้าง ให้พ้นจากความบาป ลบเอาความบาปของเขาออกไปหมดสิ้นแล้ว  ทั้งบาปที่ทำในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตด้วย

เพราะฉะนั้น การกระทำของผู้เชื่อในขณะที่อยู่ในกายบนโลกใบนี้นั้น  ไม่ว่าจะเป็นการกระทำดี หรือการกระทำชั่วก็ตาม ก็ไม่มีการพิจารณาใดๆ อีกแล้ว ในโลกวิญญาณในวันพิพากษา  บทสรุปของความหมายของคำว่าไม่มีการพึ่งพาตนเองอีกแล้วบนโลกใบนี้ ก็คือการไม่พึ่งในการกระทำของตนเองทุกอย่าง ไม่ว่าจะดีหรือจะเลว ก็ไม่พึ่ง พึ่งพระเจ้า พึ่งพระเยซูคริสต์อย่างเดียว พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียว  ซึ่งเราได้เรียนรู้ในครั้งที่แล้ว  ก็คือว่าการไม่พึ่งในการกระทำของตนเอง ก็คือการทำชั่วหรือการทำบาปของผู้เชื่อนั้น  ในขณะที่ยังอยู่ในร่างกายบนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่นั้น  ไม่ได้มีผลใดๆ ในวันพิพากษาของพระคริสต์ บนบัลลังก์สีขาว ไม่มีการตัดสินลงโทษใดๆ อีกแล้ว เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว  ฉันใดก็ฉันนั้น การทำดีของผู้เชื่อในขณะที่ยังอยู่ในกายนี้  ก็ไม่มีผลใดๆ ในวันพิพกาษาของพระคริสต์เช่นเดียวกัน ไม่มีการพิจารณารางวัลพิเศษใดๆ เช่นเดียวกัน

บางคนเขาก็คิดว่าพูดอย่างนี้ คนก็ไม่มีแรงจูงใจในการกระทำดีของคนที่กลับใจ หรือเป็นคริสเตียนเลย แล้วเอาอะไรมาเป็นแรงจูงใจของเขา ความรักไงครับ  ความรักที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักข้างใน เกิดมาเป็นความรัก ทำตามธรรมชาติที่อยู่ข้างใน เป็นธรรมชาติที่เป็นอยู่  ไม่ได้ทำจากความกลัว ที่มีกฎบัญญัติห้ามไว้

ยกตัวอย่างเช่น เราขึ้นเครื่องบิน เราไม่สูบบุหรี่ ถูกไหมครับ?  แต่ก็มีคนจำพวกหนึ่งที่ไม่สูบบุหรี่ เพราะว่าปกติเขาก็ไม่สูบอยู่แล้ว เป็นธรรมชาติของเขาเอง เขาเป็นคนไม่ชอบบุหรี่ เขาก็ไม่สูบอยู่แล้ว แต่มีคนอีกจำพวกหนึ่ง ไม่ได้สูบบุหรี่ บนเครื่องบิน เหมือนเราเลย  ทำเหมือนกันเลย ประพฤติเหมือนกันเลย แต่ในใจเขาไม่ทำ เพราะแรงจูงใจ ก็คือมีป้ายเขียนห้าม และต้องถูกปรับอย่างสูง ถ้าไปสูบบุหรี่บนเครื่องบิน อะไรอย่างนี้ พอลงจากเครื่องบิน  ป้ายหายไปปุ๊บ วิ่งไปหาห้องสูบบุหรี่ทันที นึกภาพออกไหม? คล้ายๆ อย่างนั้น เช่นเดียวกัน

แรงจูงใจของคริสเตียนที่จะทำดี ทำจากข้างในที่เกิดใหม่แล้ว เป็นธรรมชาติ และด้วยเหตุนี้เอง พระคัมภีร์จึงมีบันทึกไว้ว่าบรรดาอัครทูตและสาวกของพระเยซู ก็ออกไปหาบรรดาผู้คนทั้งหลาย เพื่อโน้มน้าว เพื่อประกาศ เพื่อสอนชักชวน ให้บรรดาผู้คนที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐนั้น ที่ยังพึ่งพาตนเองอยู่ พึ่งพาในการกระทำดีด้วยตัวเอง สั่งสมความดีด้วยตัวเอง ไปสอนเขา บอกเขา ให้เขากลับใจใหม่ ให้เขาเปลี่ยนใหม่ มาพึ่งในพระเยซู คือออกจากกฎเดิม ก็คือออกจากกฎที่อยู่ในอาดัม ก็คืออยู่ในบาป ให้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ มาพึ่งในพระคริสต์ เพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญกับการถูกพิพากษาลงโทษ ในวันสุดท้าย ที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลกและมนุษย์ ตามการกระทำของเขา  ถ้าเขายังพึ่งพาตนเองอยู่ เขาก็ต้องถูกพิพากษาตามการกระทำของเขา  แต่คริสเตียนผู้ที่พึ่งพาในการกระทำของพระเยซู ก็ไม่ต้องได้รับการพิพากษาใดๆ เลย เพราะได้รอดพ้นจากการกระทำของตนเอง ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น เหล่าอัครทูตและนักประกาศทั้งหลาย จึงออกไปประกาศตามที่พระเจ้านำพา สอนเขา ให้เขาออกไปประกาศอย่างนี้

วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันต่อเรื่องเกี่ยวกับการพิพากษา ในวันสุดท้าย วันสิ้นโลก วันที่มนุษย์ทุกคนจะถูกพิพากษานั้น รางวัลของผู้เชื่อ คืออะไร?

รางวัลของผู้เชื่อ คือความครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์นั่นเอง  ซึ่งเป็นรางวัลเดียว ที่พระเยซู หรือพระเจ้าทรงสัญญาไว้กับผู้เชื่อทั้งหลาย

ย้อนกลับไปอีกนิดหนึ่ง เราได้เรียนรู้ว่าพอเราเชื่อ ในข่าวดีแล้ว เราไม่พึ่งพาตนเองแล้ว เราพึ่งพาพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใดนั้น ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณเราได้เกิดใหม่ ความคิดจิตใจเราได้บังเกิดใหม่ ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ทั้งสองสิ่งนี้ เป็นใหม่ทั้งสิ้น  เป็นเหมือนพระเยซูเลย เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  เราหลุดพ้นจากการถูกพิพากษาเรียบร้อยไปแล้ว เราได้รับการอภัยโทษ และได้รับการรับเป็นบุตรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ขาดอยู่นิดเดียวเอง คือเพียงแต่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายเดิม ที่จะต้องตายในวันหนึ่งเท่านั้นเอง  ก็อดทนรอคอยแค่นั้น ร่างกายสิ้นสุดลงเมื่อไร ลมหายใจสุดท้าย วิญญาณออกจากร่าง ก็เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ เข้าไปรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และอยู่กับพระเจ้า พระเยซูในสวรรคสถาน บนโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ๆ ทั้งหมด ที่ไม่มีบาป ไม่มีคำสาปแช่งอีกต่อไป  ตลอดชั่วนิรันดร์ นั่นแหละ เรารอแค่นิดเดียว แค่นั้นเอง

เราได้เรียนรู้กันแล้วว่าการพิพากษาและรางวัลของผู้เชื่อ เป็นอย่างไร?  ที่เราได้เรียนรู้กันมาแล้ว ก็ยังมีข้อพระคัมภีร์อื่นๆ อีกเยอะ ที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมีการเข้าใจผิด เนื่องจากแปลผิดความหมาย  สอนกันมาผิดๆ เรื่อยๆ เป็นระยะ อยู่อีกหลายข้อ เราจะมาทำความเข้าใจกัน

วันนี้เริ่มต้นที่หนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 3 ที่อาจารย์เปาโลได้เขียนจดหมายไปถึงบรรดาผู้เชื่อในคริสตจักรโครินธ์ อันนี้ก็เป็นอีกอันหนึ่งที่เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด และสำคัญมาก สำหรับพื้นฐานของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้า  และจดหมายฉบับนี้ อาจารย์เปาโลได้เริ่มต้นด้วยการตำหนิผู้เชื่อ ชาวโครินธ์ที่เริ่มมีการแบ่งแยก อ้างตัวเป็นศิษย์เปาโล ศิษย์อปอลโล ศิษย์เคฟาส (คือเปโตรนั่นเอง)

อาจารย์เปาโลได้ใช้คำว่า “ประพฤติตนเหมือนคนที่ยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง” คนที่ยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง คนที่ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของการบาป  ก็คือคนบาป คนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้านั่นเอง เพราะว่าพี่น้องคริสเตียนเหล่านี้ ยังมีการประพฤติ คืออิจฉาริษยา แบ่งพรรคแบ่งพวกกัน ทั้งๆ ที่เป็นผู้ที่เชื่อแล้ว  วิญญาณได้บังเกิดใหม่แล้ว นึกภาพออกใช่ไหม? มันแยกกัน ทำให้เราได้เห็นชัดว่าเป็นคริสเตียนแล้ว วิญญาณได้บังเกิดใหม่แล้ว เราก็มีสิทธิ์ถูกหลอกลวง ถูกล่อลวง ด้วยอิทธิพลของกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง  ก็คือโปรแกรมเก่าๆ  อิทธิพลของความบาป ที่เราเคยอยู่เก่าๆ ออโตเมติกเก่าๆ เหล่าานี้  สามารถล่อลวง ชักจูงให้เราหลงไปประพฤติสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับตัวจริงๆ ที่เราเป็นอยู่ภายใน เราไม่ได้เป็นคนบาป แต่เราไปประพฤติบาป นึกภาพออกใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ความประพฤติกับการเป็นจริงๆ ตัวตนเรานั้น มันคนละเรื่องกัน ความประพฤติไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วได้

ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง “ความประพฤติ การกระทำของคริสเตียน ไม่สามารถที่จะทำการเปลี่ยนแปลงวิญญาณของเขา เขาบังเกิดใหม่ รับเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์แล้ว  ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะตรงนี้ได้อีกเลย จากการประพฤติของเขา ไม่ว่าประพฤติดี ก็ไม่ได้ทำให้เขาบริสุทธิ์ขึ้น ประพฤติไม่ดี ประพฤติตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็ไม่ได้ทำให้สกปรกลง เขาสะอาดบริสุทธิ์ เพราะพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เพราะเขาได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง เรามาอ่านกัน 1 โครินธ์ 3:3-5 …

1 โครินธ์ 3:3-5 “3 ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก เพราะยังมีการอิจฉาริษยา และการทุ่มเถียงกันในหมู่พวกท่าน เช่นนี้แล้ว ท่านก็อยู่ฝ่ายโลกไม่ใช่หรือ? ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดามิใช่หรือ? 4 ในเมื่อคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามเปาโล” และอีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามอปอลโล” พวกท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดามิใช่หรือ? 5 อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใครกัน? ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่นำท่านมาเชื่อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน”

 

“ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก” นี่กำลังเขียนถึงคริสเตียน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ของแท้ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก ก็คือท่านยังดำเนินชีวิตเหมือนเดิม เหมือนก่อนที่ท่านยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เพราะท่านประพฤติอย่างนี้แหละ ยังมีการอิจฉา ริษยา มีการทุ่มเถียงกันในหมู่พวกท่าน ที่เป็นคริสเตียนแล้ว  เช่นนี้แล้ว ท่านก็อยู่ฝ่ายโลกมิใช่หรือ?  ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดาไม่ใช่หรือ?

“ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดา” ก็คือท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนบาป นั่นน่ะ โดยทั่วๆ ไป ใช่ไหม? ก็คือท่านและคนบาปนั้น เป็นคนละคนกัน เป็นคนละสถานะกัน ท่านประพฤติตัวอีกแบบหนึ่ง  แทนที่ท่านจะประพฤติตัวให้เหมือนกับท่านเป็นลูกของพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่แล้ว  แต่ท่านประพฤติตัวเหมือนคนบาป  ชัดเจนไหมครับ?

“ในเมื่อคนหนึ่งว่าข้าพเจ้าติดตามเปาโล และอีกคนหนึ่งว่าข้าพเจ้าติดตามอปอลโล พวกท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดามิใช่หรือ?” คนธรรมดา คือคนบาปทั่วๆ ไปไม่ใช่หรือ?  คนบาปทั่วๆ ไป ก็อย่างนี้ ในใจชิงดีชิงเด่นกันใช่ไหม? ริษยากันใช่ไหม? มันจะเกิดเหตุการณ์แตกแยกกันเกิดขึ้น ก็เพราะอย่างนี้ แต่ท่านไม่ใช่ ท่านเป็นคริสเตียน ท่านบังเกิดใหม่แล้ว  วิญญาณท่านเปลี่ยนใหม่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว วิญญาณท่านเป็นวิญญาณแห่งความรักแล้ว ท่านควรจะประพฤติตัวตามวิญญาณของท่านข้างใน ตามธรรมชาติที่เป็นอยู่ นี่ท่านไปทำอีกแบบหนึ่ง ท่านไม่ได้ทำตามธรรมชาติของท่าน แต่ท่านทำตามตัณหาของเนื้อหนัง มันล่อลวงท่าน ให้ท่านทำ ระบบของโลกนี้ คือระบบของการเป็นศัตรูกับพระเจ้า มันล่อลวง มันชักจูงให้ท่านทำ  กำลังจะบอกว่าอย่างนี้

เปาโลพยายามเน้นย้ำว่าไม่ว่าจะเป็นนักประกาศ  ครูสอน หรือนักบรรยาย นักเทศน์อะไรก็ตาม ที่เป็นอาจารย์ระดับไหนก็ตาม ทุกคนเป็นเพียงแค่ผู้รับใช้เท่านั้นเอง  ที่ทำหน้าที่ในการโน้มน้าว ในการประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนที่ไม่เชื่อให้กลับใจใหม่ แล้วก็สอนคนที่เชื่อแล้ว ให้จำเริญเติบโตในความจริง ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครพิเศษกว่าใคร?  ไม่มีอาจารย์คนไหนใหญ่กว่าใคร? ไม่ต้องอวดอ้างว่าคนนี้เป็นผู้รับใช้ใหญ่กว่าคนนี้ คนนั้นเป็นผู้รับใช้ใหญ่กว่าคนนั้น เพราะทุกคนต่างฝ่ายต่างเป็นแค่เครื่องมือ หรือเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เปาโลต้องการเน้น ทุกคนเป็นเพียงผู้รับใช้ในการทำหน้าที่โน้มน้าว ในการช่วยเหลือ สอน เลี้ยงดูให้กับบรรดาผู้คน ให้เจริญเติบโต ให้เข้ามาอยู่ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าได้ใช้เขาเท่านั้น ใน 1 โครินธ์ 3:6 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 3:6 “ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต”

 

“ข้าพเจ้า” ก็คืออาจารย์เปาโล … เปาโลปลูก  อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต เห็นชัดเลย เปรียบเทียบดีมาก ความหมายของการปลูกและรดน้ำ ตรงนี้ เปาโลกำลังบอกว่าหน้าที่ของผู้รับใช้ ก็คือการสอน การโน้มน้าว การหว่านเมล็ด ข่าวประเสริฐ การประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เมล็ดพันธุ์แห่งข่าวประเสริฐ ประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ เมล็ดพันธุ์ของสวรรค์ให้กับบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้นั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ที่จะทำให้มันเกิดผลหรือไม่  ไม่ใช่ตัวคนหว่านเมล็ด และไม่ใช่ตัวคนมาสอน มารดน้ำ แต่เป็นพระเจ้าต่างหาก  ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง

ประเด็นที่สำคัญ คือสิ่งที่ประกาศไปนั้น ต้องเป็นการประกาศข่าวดีที่ถูกต้อง บนรากฐานของข่าวดีจริงๆ ซึ่งบนรากฐานของข่าวดีจริงๆ ก็คือในพระเยซูคริสต์ ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ ข่าวดีเรื่องบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ข่าวดีเรื่องการวางใจในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น ไม่ใช่ข้อมูลบิดเบือนความจริง  ข้อมูลคล้ายๆ ความจริง ไม่ใช่ตรงนั้น แต่เป็นความจริงตรงนี้ที่เป็นประเด็นสำคัญ ที่เปาโลบอกว่าพระเจ้าให้ผลเกิดขึ้น ได้อย่างไร?

ทั้งหลาย ทั้งปวง หน้าที่ของผู้รับใช้ เพียงแค่คนที่ทำหน้าที่หว่านข่าวประเสริฐ เมล็ดพันธุ์นี้ออกไป  คือเป็นแค่คนปลูกกับคนรดน้ำเท่านั้น  แต่ผู้ที่ทำให้เติบโต เกิดผล คือพระเจ้า เพียงผู้เดียว ซึ่งมันก็คือข่าวดี แห่งพระคุณของพระเจ้า ข่าวดีที่ไม่ได้พึ่งพาการกระทำของผู้คน ของใครก็ตาม รวมทั้งของตนเองด้วย  ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณของพระเจ้า คือทุกสิ่งพึ่งในพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียว ไม่พึ่งพามนุษย์เลย  รวมทั้งตัวเราเอง และคนที่มาประกาศด้วย คือไม่พึ่งคนเลย พึ่งแต่พระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว เรามาอ่านข้อ 7, 8 ต่อว่าเปาโลว่าอย่างไร? …

1 โครินธ์ 3:7-8 “7 ดังนั้น ไม่ว่าคนปลูกหรือคนรดน้ำก็ไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตต่างหากที่สำคัญ 8 คนปลูกและคนรดน้ำมีเป้าหมายเดียวกัน และต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของตน”

 

พูดง่ายๆ มนุษย์ไม่ได้สำคัญเลย ทำหน้าที่ตามที่พระเจ้าได้กำหนดให้ทำ และนำให้ทำเท่านั้นเอง  คนปลูกและคนรดน้ำ มีเป้าหมายเดียวกัน

เป้าหมาย คืออะไร? และต่างก็รับบำเหน็จตามการงานของตน เป้าหมาย ก็คือช่วยคนให้เจริญเติบโตในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ให้พึ่งในพระเยซูคริสต์ พึ่งแล้วพึ่งอีก อย่าหลบเลี่ยงหรือหนีไปพึ่งอย่างอื่น มนุษย์หน้าไหนทั้งนั้น นี่คือหน้าที่คนปลูกและคนรดน้ำ

ในข้อ 8 ตรงนี้ มีคนเข้าใจผิดเยอะ ที่บอกว่า “ต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของเขา” เพราะฉะนั้น เราประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า  เราออกไปสอนผู้คน เราก็ได้รางวัลสิ คิดอย่างนั้นใช่ไหม? ก็ไม่ผิดนะ ลองคิดต่อไปว่ารางวัลที่ท่านจะได้รับ มันคืออะไรก่อน  คิดในใจของท่าน ต่างคนต่างคิด ไม่ต้องถามคนข้างๆ นะ หรือถามคนข้างๆ ก็ได้ว่าที่ท่านประกาศข่าวประเสริฐ ที่ท่านสอนข่าวดีของพระเจ้า ที่ท่านออกไปเลี้ยงดูลูกแกะ ผู้เชื่อใหม่ ในเรื่องของข่าวดีของพระเจ้า  ท่านทำเพื่อจะได้รางวัล และรางวัลคืออะไร?

เพราะว่าในนี้บอก … “แต่ละคนจะได้รับรางวัล ตามการงานของตน” ต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของตน ชัดๆ ซึ่งหลายคนก็มีความคิดว่ามันหมายถึงรางวัลที่จะได้รับในสวรรค์ ตอนที่จากร่างนี้แล้ว  สู่โต๊ะการพิพากษา จะมีการพิพากษาคริสเตียนด้วย คริสเตียนจะถูกพิพากษาว่าได้รางวัลนี้หรือไม่? ได้เท่ากันหรือเปล่า? หรือได้ไม่เท่ากัน อย่างไร? ใช่ไหมครับ?

ซึ่งจริงๆ คำว่า “ได้รับบำเหน็จตามการกระทำของตน” ตรงข้อความใน 1 โครินธ์ 3:8 ตามบริบทนี้ หมายถึงผลงานที่เกิดจากการปลูกและการรดน้ำ  นั่นแหละคือบำเหน็จ  การวางรากฐานของข่าวประเสริฐที่ถูกต้อง ให้กับชาวโครินธ์ ในที่นี้ ก็คือการหว่านข่าวดี สอนตามข่าวดี ที่เป็นจริง บนพื้นฐานของการพึ่งพระเยซูคริสต์นั้น มันก็จะเกิดผลเป็นบำเหน็จได้รับ ก็คือผลงานที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน บนโลกใบนี้เลย ถ้าหว่านถูก และบำเหน็จ หรือผลงานที่ได้รับ ณ บริบทนี้ ก็คือชาวเมืองโครินธ์ได้กลับใจใหม่เพิ่มขึ้น เป็นคริสเตียนมากขึ้น จากการที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐที่แท้จริง และมีพื้นฐานของข่าวประเสริฐ ข่าวดีที่ได้ถูกหว่านลงไปอย่างถูกต้อง คือพึ่งในพระเยซู เกิดเป็นชุมชนที่ประพฤติตามแบบอย่างของผู้ที่เชื่อ ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เจริญเติบโต ทางฝ่ายวิญญาณ เต็มไปด้วยความรัก  ความสามัคคี เติบโตในความรัก สำแดงความรัก ซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน  ไม่อิจฉาริษยากัน ไม่แบ่งพรรค แบ่งพวกกัน เข้มแข็งขึ้น นี่แหละคือผลงานในการปลูก รดน้ำ หรือประกาศข่าวประเสริฐ หรือสอน หรือบรรยาย หรืออธิษฐานให้ หรือเลี้ยงดู ผลงาน ก็คือผู้เชื่อเหล่านั้น เจริญเติบโตบนรากฐานที่ถูกต้อง แข็งแกร่ง หรือผู้ที่ยังไม่เชื่อ ได้รับการหว่านไปถึงและเชื่อจริงๆ มั่นคงแข็งแกร่งในความเชื่อที่ถูกต้องมากขึ้นนั่นเอง

คำว่า “ได้รับบำเหน็จ ตามการงานของตน” หมายถึงผลงานตรงนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับรางวัลพิเศษ บนสวรรค์ในอนาคตอย่างใดอย่างหนึ่งเลย แม้แต่นิดเดียว เป็นรางวัลที่เก็บเกี่ยวได้เลยเดี๋ยวนี้บนโลกใบนี้เลย ได้เห็นกับตาเลย ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ มาอ่านต่อข้อ 9 กับข้อ 10 …

1 โครินธ์ 3:9-10 “9 ด้วยว่าเราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นตึกของพระเจ้า 10 โดยพระคุณซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างผู้ชำนาญและคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น กระนั้นแต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร”

 

ในข้อที่ 10 บอกว่า … “โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่ข้าพเจ้า” ก็แสดงว่าเปาโลไม่ได้ทำด้วยความสามารถของตัวเองเลย ก็พึ่งในพระเจ้าอยู่ดี พระเจ้าเป็นผู้ประทานความสามารถ เป็นผู้บอกว่าจะให้ประกาศอย่างไร?  ผู้ให้ความรู้ ความจริงว่าข่าวประเสริฐ คืออะไร? เป็นผู้ให้กำลัง ให้ฤทธิ์อำนาจ ความสามารถ ชี้ให้เห็น

“ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า” เปาโลกำลังเปรียบเทียบให้เห็นว่าที่ข้อตะกี้บอกว่าเปาโลเป็นคนปลูก และอปอลโลเป็นคนรดน้ำ และผลที่ได้รับ ก็คือการเกิดผลในชีวิตของผู้เชื่อ  ก็คือเกิดผลในไร่นาของพระเจ้า เกิดเป็นผล เพื่อพระเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผลเหล่านั้น เพราะเป็นไร่นาของพระเจ้า  หมายถึงผู้ที่เชื่อ ที่อยู่บนรากฐานของข่าวประเสริฐที่ถูกต้อง ได้บังเกิดใหม่ นั่นแหละ  คือผลงานของการปลูก และการรดน้ำที่ถูกต้อง  มันก็เกิดการเก็บเกี่ยว เกิดผลออกมา  พระเจ้าก็เป็นผู้เก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านั้น โดยพระวิญญาณ

เช่นเดียวกัน “เป็นตึกของพระเจ้า” ก็หมายถึงเปาโลเป็นช่างที่วางรากฐาน อปอลโลเป็นผู้ก่อสร้าง เปาโลลงเสาเข็มไว้ อปอลโลมาสร้างชั้นหนึ่งต่อ ยกตัวอย่างให้ฟัง เพราะฉะนั้น มาต่อจากชั้นหนึ่ง ก็ต้องวางให้ดีๆ ต่อให้มันตรงๆ  เสาเข็มก็วางตรงนี้ จะก่อเสาขึ้นมา ก็ให้มันตรงกับเสาเข็มข้างล่าง  ถ้ามันเฉเมื่อไร ข้างบนก็ไปไม่รอดอีก ไปไม่นาน ก็ล้มโครมลงมา อปอลโลและเปาโลช่วยกัน เปาโลวางรากฐาน อปอลโลก่อสร้างขึ้นมา  จนเกิดเป็นตึกของพระเจ้า ก็คือผู้เชื่อที่อยู่บนรากฐานข่าวประเสริฐที่เข้มแข็ง มั่นคง  ก็คือคริสตจักรของพระเยซูคริสต์

“ขอทรงสร้างเราให้มั่นคงเถิด     ให้เราร่วมอยู่ในพระบุตร”

สร้างเราด้วยวิธีใด? ก็ผ่านทางผู้รับใช้ที่ได้ยินได้ฟังพระวิญญาณของพระองค์ ที่ได้เข้าใจข่าวประเสริฐอย่างถูกต้อง และได้ประกาศด้วยความสัตย์ซื่อ นี่แหละ เป็นฐาน ทำให้คริสตจักรเข้มแข็งและแข็งแรง เป็นอาคารที่มั่นคง

นึกถึงภาพนะ เขาสร้าง วางรากฐานไว้อย่างดี แล้วเราไปก่อแบบเอาใหม่ ไปก่อที่ไม่ตรงกับรากเดิม มันก็พังในที่สุด แต่รากยังอยู่นะ รากมันไม่ไปไหน รากมันถูกต้อง

ตอนท้ายของข้อ 10 ที่บอกว่า … “กระนั้น แต่ละคนควรระวังตนก่อขึ้นอย่างไร?” กำลังพูดถึงใคร? ก็คือแต่ละคนที่ได้รับการเรียกจากพระเจ้า มาเป็นผู้รับใช้พิเศษ ก็คือมาเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ มาเป็นผู้สอน บรรยาย เลี้ยงดู ผู้เชื่อ อะไรประมาณนี้ บรรดาคนเหล่านี้ ที่ผมบอกว่าคนพิเศษ หมายถึงบริบทนี้ เป็นคนพิเศษ จากนี้แล้ว ผู้เชื่อทุกคน พอมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าใช้ในลักษณะนี้หมด ทั้งนั้น  แต่ใช้ต่างลักษณะ ต่างบุคลิก ต่างชนิดกัน หลายๆ อย่างที่พระองค์ใช้ แม่บ้าน พระองค์ก็ใช้ได้ เด็กนักเรียนพระองค์ก็ใช้ได้ คนมีชื่อเสียงพระองค์ก็ใช้ได้ คนไม่มีชื่อเสียง พระองค์ก็ใช้ได้ หมายถึงชื่อเสียงบนโลกใบนี้นะ

“กระนั้น แต่ละคนควรระวัง” ก็คือทีมงานแต่ละคนมีหน้าที่ปลูก หว่านเมล็ด มีหน้าที่รดน้ำ มีหน้าที่สอน ต้องระวังตนให้ดีว่าสอนเขาไปอย่างไร? ประกาศให้เขาถูกต้องไหม?  คือทั้งอาจารย์เปาโลและอปอลโล อุตส่าห์ช่วยกันวางรากฐานของข่าวประเสริฐ อย่างถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ขอให้ผู้เชื่อชาวโครินธ์ทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งผู้ที่สอนด้วย ให้ระวัง สำหรับผู้เชื่อ ที่ไม่ได้สอน ที่ได้ฟังเขา ให้คอยระวังตัวด้วยว่าอย่าให้มีใครที่มาสอนผิด จากรากฐานจริงๆ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เปาโลและอปอลโลได้วางรากไว้อย่างดีแล้ว เรียบร้อยแล้ว ก่อขึ้นมาแล้ว เราฟังดู คอยสังเกตให้ดีๆ มันตรงไหม? มันใช่ไหม? มาข้อ 11 …

1 โครินธ์ 3:11 “เพราะใครจะมาวางฐานรากอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์”

 

เปาโลกำลังบอกว่าชาวโครินธ์ทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าได้วางรากฐานที่ถูกต้องให้กับท่านแล้ว อย่าให้ใครมาวางรากฐานอื่น อย่าให้เขามาสอนสิ่งที่ผิดไปจากรากฐานนี้ คือสิ่งที่ผิดไปจากข่าวประเสริฐ ให้พึ่งพาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  วางใจในข่าวประเสริฐของพระองค์เท่านั้น อย่าให้ใครมาบิดเบือนความจริงของข่าวประเสริฐนี้เด็ดขาด  อย่าให้ใครมาทำให้เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ พึ่งพาพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอดแล้ว ต้องกลายเป็นเรื่องยาก หรือกลายเป็นภาระมาก สำหรับผู้ที่เชื่อ จงยึดมั่นในรากฐานแห่งความจริง ในข่าวประเสริฐที่ผมได้วางไว้เรียบร้อยแล้ว  ความจริงนี้ทำให้ท่านเป็นอิสระ

พระเยซูคริสต์บอกว่า … “ผู้ใดแบกภาระหนักเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข” ไม่ใช่มาเชื่อแล้วยิ่งหนักใหญ่ ยิ่งเหนื่อยใหญ่ ยิ่งแบกภาระของตนเอง ต้องทำอันโน้น ต้องทำอันนี้ ถ้าไม่ทำ ก็ไม่ได้ความรอดนี้  ความรอดนี้ ต้องเชื่อและต้องทำ  ถ้าไม่มาชุมนุมที่สถานที่ชุมชนเป็นประจำ ขาดการประชุมบ่อยๆ เดี๋ยวพระเจ้าทิ้งเลย อะไรประมาณนั้น ท่านพอจะมองเห็นไหมครับ? ถ้าไม่ออกมารับใช้พระเจ้าบ้าง ท่านจะไม่ได้รับพระพร ถ้าท่านไม่อธิษฐาน อาจจะหลงหายไป และทิ้งความเชื่อไปก็ได้ อะไรประมาณนี้ หรือท่านต้องปฏิบัติพิธีกรรม กิจกรรมทางศาสนา มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับความรอด อะไรเหล่านี้ คือเป็นภาระเพิ่มขึ้น

ในพระคัมภีร์บอก … “เชื่อข่าวดี เชื่อพระเยซูคริสต์เท่านั้น วางใจในเรา เจ้าก็ได้รับความรอด วางใจในเรา เจ้าก็ได้พบกับพระเจ้า วางใจในเรา เจ้าก็เข้าสวรรค์ วางใจในเรา เจ้าก็จะไม่ถูกพิพากษา พินาศ แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ วางใจในเรา เจ้าก็จะได้รับการอภัยโทษ จากการพิพากษาลงโทษอยู่แล้วนั้น  ไม่ต้องถูกลงโทษ  เป็นอิสระเลยทันที” แค่วางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ มาต่อข้อ 12 และ 13 …

1 โครินธ์ 3:12-13 “12 ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟางก่อขึ้นบนฐานรากนั้น 13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้นสิ่งนี้จะถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน”

 

“ไฟจะทดสอบคุณภาพ ผลงานของแต่ละคน” เน้นตรงนี้ ไฟทดสอบคุณภาพของผลงาน ไม่ใช่ไฟทดสอบคน เอาใหม่อีกทีหนึ่ง ไฟจะทดสอบคุณภาพของผลงานของคน ไม่ใช่ไฟไปทดสอบคนนะ ทดสอบคุณภาพของผลงาน ใครที่มาบิดเบือนรากฐานของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เปาโลได้วางไว้ ซึ่งเป็นความจริงอย่างแน่นอนมีอันเดียว คือรากฐานของข่าวประเสริฐ คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น ใครที่มาบิดเบือน ไม่ใช่รากฐานข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก็เปรียบการกระทำงานของเขา เป็นผลงานหรือสิ่งก่อสร้างที่ทำจากหญ้าแห้ง  หรือฟาง หรือไม้ ซึ่งไม่สามารถทนไฟได้ สักวัน ก็จะต้องถูกเผยความจริงออกมา เหมือนกับเราคุ้นๆ กัน ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ข่าวประเสริฐพิสูจน์กันอย่างนี้แหละ  ต้องใช้เวลา

ผู้ที่สอนหรือประกาศข่าวประเสริฐ ที่แท้จริงเท่านั้น จึงจะมีผลงานที่คงทน ถาวร เปรียบได้กันกับผลงานทำมาจากทองคำ เงิน พลอย ที่สามารถทนไฟได้  เมื่อระยะเวลานั้นมาถึงมันยังอยู่  ความจริงเท่านั้น ที่จะคงอยู่ตลอดไป อันนี้ชัดเจนเลยนะ ข้อ 14 และ 15 …

1 โครินธ์ 3:14-15 “14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น”

 

“ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่” ก็คือคุณภาพของผลงานเขาผ่านการทดสอบ ยังอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน … “ได้รับบำเหน็จ” อีกแล้ว เขาจะได้รับรางวัลในสวรรค์ใช่หรือไม่? ท่านลองคิดดู ถ้าเขาประกาศถูกต้อง พูดง่ายๆ ผลงานยังอยู่ คือประกาศข่าวประเสริฐ พระเยซู พาคนมารู้จักพระเยซู พึ่งในพระเยซูอย่างเดียวจริงๆ เลย แท้ๆ เลย เขาจะได้รับบำเหน็จ คือเขาจะได้รับรางวัลพิเศษกว่าคนอื่นๆ หรือ? ลองคิดดูนะ

“บำเหน็จ” ตรงนี้ คืออะไร? บำเหน็จตรงนี้ คือผลงานที่จะได้รับ  เมื่อผ่านการทดสอบคุณภาพแล้วว่าคุณภาพใช้ได้ บำเหน็จตรงนี้ ก็คือผลงานที่จะได้รับจากการพิสูจน์ด้วยไฟเรียบร้อยแล้ว ก็คือผลงานที่จะได้รับจากงานรับใช้ ที่สัตย์ซื่อ ตามความจริงของข่าวประเสริฐที่พระเจ้าได้บอก ได้สอนในข่าวดีนั้น ซึ่งสามารถทนไฟได้  เป็นความจริง  ก็คือข่าวประเสริฐแห่งความจริง ที่นำพาผู้คนมาเชื่อพระเจ้า  มาเจริญเติบโตในทางของพระเจ้า เป็นผลงานจากการปลูก และรดน้ำ เกิดเป็นผลในไร่นาของพระเจ้านั่นแหละ ผลงานจากการวางรากฐานที่ถูกต้อง ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ตรงนี้แหละ

ผลงานจากการหว่าน ก็คือการประกาศข่าวประเสริฐ

ผลงานการรดน้ำ ก็คือการสอน หนุนใจ เลี้ยงดู บรรยาย ในเรื่องเกี่ยวกับข่าวดีของพระเจ้า สำหรับผู้เชื่อ เกิดเป็นผลในชีวิตของผู้ที่เชื่อ เกิดเป็นผลในไร่นาของพระเจ้า ที่พระเจ้าจะสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านี้ได้ ก็คือผลแห่งพระวิญญาณ ผลแห่งความดีงาม ในทางพระเจ้า ผลแห่งความรัก มันเกิดขึ้น ก็เพราะว่าเริ่มต้นตั้งแต่หว่านเมล็ด รดน้ำอย่างถูกต้อง ไม่ใช่รดน้ำกรด แทนที่เมล็ดจะโต  ยิ่งเหี่ยวแห้งหัวโต เผลอๆ ตายไปด้วย อะไรอย่างนี้เป็นต้น

ผลงานจากการวางรากฐานที่ถูกต้องเท่านั้น ถึงจะทำให้ผลมันเกิดขึ้น

วางรากฐาน ก็คือการหว่านเมล็ดข่าวประเสริฐ การรดน้ำ ก็คือการสอน วางรากฐาน ก็คือการประกาศข่าวประเสริฐ ก็คือการวางเสาเข็ม ต่อมาก็คือเหมือนกับการดน้ำ คือการก่อสร้างจากเสาเข็ม ถูกต้อง กลายเป็นตึกของพระเจ้า คือผู้เชื่อได้เกิดนั่นเอง

ดังนั้น รางวัลตรงนี้ บำเหน็จตรงนี้หมายถึงอะไร? ง่ายๆ ก็คือหมายถึงการได้เห็นบรรดาผู้คนกลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า การได้เห็นผู้คนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เจริญเติบโตทางฝ่ายวิญญาณ เจริญเติบโตบนรากฐานที่ถูกต้อง บนความจริงบนข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  พึ่งพาในพระเยซูคริสต์เท่านั้น นี่คือรางวัลที่เขาได้รับ ได้รับทันที เดี๋ยวนี้บนโลกใบนี้เลยครับ ไม่ใช่รางวัลที่จะไปรับเอาในโลกฝ่ายวิญญาณในสวรรค์ไม่ใช่

คำว่า “บำเหน็จ” ตรงนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับรางวัลพิเศษ ตามผลงานที่เราคิดกันนะ ซึ่งคาดว่าจะได้รับบนสวรรค์ไม่เท่ากัน มันไม่ได้หมายถึงชุดเสื้อผ้าอย่างดี หรือเครื่องประดับพิเศษ หรือมงกุฎเพชร หรือบ้านที่ใหญ่ขึ้น ที่จะเตรียมไปรับในสวรรค์วันหนึ่งข้างหน้า มันคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวกันเลยนะ เพราะฉะนั้น ในวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว เราก็ไปรับร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วก็ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นครอบครัวเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นน้องของพระเยซูคริสต์ อยู่บนโลกใหม่ และศักดิ์ศรีที่พระองค์ทรงสร้างให้ใหม่เอี่ยมทั้งหมดเลย ไม่มีบาป ไม่มีคำสาปแช่ง ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ใจ ทุกข์กายอีกต่อไปเลย นั่นแหละ คือรางวัลเดียว เท่ากันหมดที่ทุกคนจะได้รับ พระเจ้าเตรียมรางวัลนี้ให้เรียบร้อยแล้ว

ในข้อ 15 บอกไว้อย่างไร? อันนี้ก็เข้าใจกันผิดเยอะ “ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้น ถูกเผาวอด” ก็คือผลงานที่เขาประกาศไป ไม่ได้วางบนรากฐานอย่างถูกต้องในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตามที่เปาโลบอก ผลงานของเขาถูกเผาวอด ไม่ใช่ตัวเขาถูกเผานะ ผลงานของเขาถูกเผาวอด สิ่งที่เขาก่อขึ้น ก็คือผลงานของเขา แรงกาย แรงใจ แรงอะไรต่างๆ ที่เขาลงไป ไม่ผ่านการพิสูจน์ด้วยไฟ เขาก็จะสูญสิ้น  ภาษาเดิมตรงนี้ หมายความว่าเขาก็จะทุกข์ใจ เพราะขาดทุน

ขาดทุนอะไร?  ขาดทุน เพราะว่าลงแรง ลงกาย ลงใจไปตั้งเยอะ แล้วมันไม่เกิดผล หมายถึงอย่างนั้น ไม่ได้รับรางวัล คือขาดทุนนั่นเอง แต่ส่วนเขาเอง ตัวเขาจะรอด เพราะว่าใจจริง เขาเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่ออยู่แล้ว แต่อาจจะถูกสอนมาผิด หรืออะไรก็แล้วแต่ เน้นรวมความแล้ว ก็คือถูกล่อลวง ทำให้สอนในถ้อยคำที่ผิดจากหลักการจริงๆ ของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ผลงานเขาก็สูญหาย เสียไปเปล่าๆ  เขาก็รอด รอดด้วยความสูญหาย ด้วยการขาดทุน  ขาดทุนรางวัลบนโลกใบนี้ ขาดทุนความชื่นชมยินดี ขาดทุนความชื่นใจ ขาดทุนการเห็นผลงานคนนี้ไม่เชื่อ คนนี้ประกาศไปตั้งนานเขาไม่เห็นเชื่อเลย เพราะว่าเราพูดแต่เรื่องสร้างความเชื่อ แล้วได้รับผลตอบแทนบนโลกใบนี้ เช่น ถวาย แล้วจะได้เงินเข้ามาเยอะๆ มาเชื่อพระเจ้า แล้วจะได้หายโรค มาเชื่อพระเจ้า แล้วจะได้ร่ำรวย ปรากฏว่าเขามาเชื่อพระเจ้าแล้วไม่เห็นจะร่ำรวยจริงๆ  เขาพยายามทำตามเราแล้ว พยายามสร้างความเชื่อด้วยตนเอง  ก็ไม่เห็นรวยสักทีหนึ่ง  ไม่เอาดีกว่า กลับไปอยู่ศาสนาเดิม ก็ไม่ต่างกันเท่าไร? ใครๆ ก็อยากได้ตรงนี้ ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพดี มีสุขทุกประการ บนโลกใบนี้ใครๆ ก็อยากได้  แล้วเราก็ประกาศตรงนี้ให้เขาฟัง  แล้วให้เขาพึ่งพาตนเอง ก็คือสร้างความเชื่อด้วยตนเอง ถ้าทำอย่างนี้เยอะๆ ก็จะได้รวย ทำอย่างนี้เยอะๆ ก็จะได้มีความสุข ทำอย่างนี้เยอะๆ จะได้แข็งแรง จะได้หายโรค

ซึ่งไม่ใช่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ใครๆ ก็อยากได้อย่างนี้ทั้งนั้น ใครๆ เขาก็สอนแบบนี้ทั้งนั้น ให้พึ่งพาตนเอง แต่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ไม่ได้สัญญาอะไรอย่างนั้นเลย แต่สัญญาให้พึ่งพาพระเยซูคริสต์แต่เพียงผู้เดียว  จะได้รับความรอดทางวิญญาณ จะได้บังเกิดใหม่  ส่วนการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวพระเจ้าเป็นผู้นำเอง พระเจ้าให้บังเกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในเราแล้ว จะนำเราเดินวันต่อวัน ทุกอย่างอยู่ที่พระเจ้าทั้งสิ้น อะไรประมาณนี้นะ เราจะเห็นภาพเลยว่าคือความเข้าใจผิด

พระคัมภีร์มีอุปมาอยู่อีกเรื่องหนึ่ง ที่ย้ำให้เห็นว่าการกระทำใดๆ บนโลกใบนี้ ไม่ได้มีผล ที่จะทำให้เราได้รับรางวัลบนสวรรค์เพิ่มมากขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว มันคนละเรื่องกันเลย ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับพระเจ้า แด่พระเจ้า เพื่อพระเจ้า โดยพระเจ้าเท่านั้น รางวัลก็มีอยู่แค่รางวัลเดียวเท่านั้นเอง ที่ตะกี้นี้บอก และเป็นรางวัลที่เหมือนกันหมดทุกคน เท่ากันหมด สำหรับผู้เชื่อ ใครมาเชื่อพระเยซูคริสต์ มาเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ อย่าหวังว่าจะได้รับรางวัลมากกว่าคนอื่นเขา และอย่ากลัวว่าจะได้รับรางวัลน้อยกว่าคนอื่นเขา พระเยซูเป็นผู้ทำทั้งสิ้น ไม่ว่าสายตามนุษย์จะรู้สึกว่าคนนี้ทำเยอะ คนนี้ทำน้อย ไม่มีใครทำเยอะทำน้อย พระเยซูคริสต์กระทำการงานอยู่ในเขา ไม่ว่าจะทำเยอะ พระเยซูทำ ไม่ว่าจะทำน้อย ก็พระเยซูทำ  ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับพระเยซูผู้เดียว ไม่ว่าจะเชื่อมานานแค่ไหน? ไม่ว่าจะเพิ่งเชื่อ  ผู้รับใช้ตำแหน่งอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะนำคนมาเชื่อมากเท่าไรก็ตาม เหล่านี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์คิดเอาเอง ตามสายตาของมนุษย์ ตามเหตุผลของมนุษย์ ไม่ว่าจะทำดีมากขนาดไหน? หรือมีเมตตาขนาดไหนก็ตาม ก็รู้สึกไปวัดเทียบกันเองว่าอันนี้มีเมตตามาก อันนี้มีเมตตาน้อย อันนี้มีความดีเยอะ ความดีน้อย เราคิดของเราเอง แต่ในความเป็นจริง คือรางวัลที่จะได้รับจากพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์บอกให้มารับรางวัลจากพระองค์นั้น คือรางวัลเดียวเหมือนกันหมด พระคัมภีร์ทั้งเล่มจะบอกไว้หมดเลยว่าให้เราอดทน รอคอยวันนั้น วันที่เราจะได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์  ก็คือได้รับชีวิตนิรันดร์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ชีวิตนิรันดร์ เราได้รับเมื่อเริ่มต้น เมื่อวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ นั่นแหละเราได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว แต่มันยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ มันยังรอรับร่างกายใหม่  และโลกใหม่ที่จะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานด้วย  เพราะฉะนั้น รางวัลที่จะได้รับเหมือนกันหมด ก็คือชีวิตนิรันดร์ ที่จะได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์ ตลอดไปนั่นเอง

เราจะมาอ่านในข้อพระคัมภีร์นี้ ในมัทธิว  บทที่ 20  อุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น ที่พระเยซูยกตัวอย่างมาแบบขำขันเลยนะ  พระเยซูยกตัวอย่างมาน่ารักมาก และเป็นอุปมาที่จะว่าแทงใจดำ ก็ไม่รุนแรงถึงขนาดนั้น แต่เป็นแบบเอาเป็นว่าฟังดูแล้วมันมัน คือเหมือนสอนแบบลึกๆ น่ารัก และแถมขำขันนิดหนึ่งด้วย มัทธิว 20:1-16 …

มัทธิว 20:1-16 “1 ด้วยว่าอาณาจักรสวรรค์เป็นเช่นเจ้าของสวน  ซึ่งออกไปแต่เช้า  เพื่อจ้างคนมาทำงานในสวนองุ่นของตน 2 เมื่อเขาตกลงว่าจะจ่ายค่าจ้างวันละหนึ่งเดนาริอัน  แล้วก็ให้พวกเขามาทำงานในสวนองุ่น 3 ราวสามโมงเช้าเขาออกไปเห็นหลายคนยืนอยู่ว่างๆ ที่ตลาด 4 จึงชวนว่า ‘มาทำงานในสวนองุ่นของเราสิ เราจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ 5 พวกเขาก็มา “ตอนเที่ยงวันและบ่ายสามโมงเจ้าของสวนออกไปทำเช่นเดิมอีก

6 ราวห้าโมงเย็น เขาออกไปพบคนยืนอยู่จึงถามว่า ‘ทำไมมายืนอยู่ว่างๆ ทั้งวันที่นี่?’ 7 พวกนั้นตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครจ้างเรา’ “เขาจึงพูดว่า ‘มาทำงานที่สวนของเราสิ’ 8 “พอพลบค่ำเจ้าของสวนองุ่นก็สั่งหัวหน้าคนงานว่า ‘ไปเรียกคนงานมารับค่าจ้าง ตั้งแต่คนหลังสุดไปจนถึงคนแรกสุด’ 9 “ลูกจ้างที่มาเริ่มทำงานตอนประมาณห้าโมงเย็น รับเงินไปคนละหนึ่งเดนาริอัน 10 ฝ่ายคนที่มาก่อนนึกว่าตนจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน

11 เมื่อพวกเขารับเงินแล้ว จึงบ่นต่อว่าเจ้าของสวน 12 ‘คนมาทีหลังทำงานแค่ชั่วโมงเดียวกลับได้เท่าๆ กับเราที่ตรากตรำกรำแดดมาทั้งวัน’ 13 “แต่เจ้าของสวนตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงนะ ก็ตกลงกันไว้ว่าหนึ่งเดนาริอันไม่ใช่หรือ? 14 รับค่าจ้างและไปเถิด เราพอใจจะให้คนมาทีหลังได้เท่าๆ กันกับท่าน 15 เงินของเรา เราไม่มีสิทธิ์ใช้ตามใจชอบหรือ? หรือว่าท่านอิจฉา เพราะเห็นเราใจกว้าง?’ 16 “ดังนั้น คนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย”

 

พระเยซูสติปัญญา สมกับที่พระคัมภีร์บอก พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเราทั้งหลาย  ก่อนสร้างโลก พระองค์ทรงรู้จักเราทั้งหลายแล้ว พระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งเราทั้งหลายทุกคน และรู้ในใจว่าเราคิดอย่างไร? แต่ละคนนะ … แต่ละคนทรงรู้ว่าคิดอะไรในใจ เป็นอย่างไร? ชันสูตรลึกซึ้งว่าเราเป็นใคร? อย่างไร? นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงทราบเข้าไปในใจของคนคิดอะไรแบบมนุษย์ มนุษย์บาป อยู่ใต้ความบาป คิดอย่างไรบ้าง? พระองค์ทรงทราบหมดทุกอย่างเลย และพระองค์ทรงสอนอย่างละเอียด ด้วยความรัก ด้วยความเอ็นดู ด้วยความขำขัน เหมือนกับสอนเด็กๆ คนหนึ่ง น่ารักมาก นี่คือสิ่งที่เราได้อ่านมาสักครู่นี้

ในนี้บอกว่าตกลงค่าจ้างคนละเท่าไร? 1 เหรียญ คนที่มาทำงานตั้งแต่เช้า ก็ได้ 1 เหรียญ คนที่ทำงานตอนเที่ยง ก็ได้ 1 เหรียญ คนที่เริ่มงานบ่าย 3 โมงก็ได้ 1 เหรียญ  คนที่มาหลังสุด เริ่มงาน 5 โมงเย็น ทำแค่ชั่วโมงเดียว เลิกงานแล้ว ก็ได้ค่าจ้าง 1 เหรียญเท่ากัน ในสายตามนุษย์ตั้งแต่สมัยโน้น จนถึงเดี๋ยวนี้ เนื่องจากเราเป็นมนุษย์ที่ตกลงไปในความบาปแล้ว แม้เราจะมาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ได้บังเกิดใหม่แล้วในวิญญาณก็ตาม แต่ยังอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ ยังอยู่ใต้กฎ อิทธิพลของความบาปและความตายอยู่ และในโลกใบนี้ก็ยังเต็มไปด้วยระบบของความบาปอยู่ คือต่อต้านกับพระเจ้า เพราะฉะนั้น มันอดคิดไม่ได้ว่ามันไม่ยุติธรรม คือมนุษย์บาป ในระบบบาป คิดแค่นี้ก็ไม่ยุติธรรมแล้ว คือในสายตาของมนุษย์ มันไม่ยุติธรรมเลย ทำงานชั่วโมงเดียว ได้เท่ากับคนที่ทำงาน 9 ชั่วโมง แต่ในนี้บอกว่าความยุติธรรมมาแล้ว เจ้าของเงินบอกว่า …

“นี่เงินของเรา เป็นสิทธิ์ของเรา จะให้ใครเท่าไรก็ได้ ไม่ใช่หรือ?”

ตอบไม่ออกเลยนะ เราคิดในใจนะ ตะกี้ที่เราคิดว่าไม่น่า ไม่ยุติธรรม ตอนนี้พระเยซูบอก จะเปลี่ยนความคิดของเราใหม่ นี่เจ้าของเงินเขาพูดอย่างนี้ แล้วเจ้าของเงินยุติธรรมไหม? ถ้าคุณอยากได้ความยุติธรรม คุณก็ต้องดูเจ้าของเงินเขายุติธรรมไหม? ยุติธรรมสิ คุณบอกไม่ยุติธรรม เพราะคุณเห็นแก่ตัว ถ้าคุณไม่เห็นแก่ตัว ก็จะเห็นเจ้าของเงินเขาก็ยุติธรรม เพราะเป็นเงินของเขา เขาจะให้ใครอย่างไร? ก็เรื่องของเขา สมมติคุณเป็นเจ้าของเงิน คุณก็พูดอย่างนี้  …

“อ้าว! ก็เงินของผม ผมไม่มีสิทธิ์จะให้คนนี้ หรือไม่ให้คนนี้ จะซื้ออันนี้หรือไม่ซื้อ จะต่อราคาหรือไม่ต่อ ก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย”

และข้อสำคัญ ก็คือสัญญาไว้ ก็ไม่ได้ผิดสัญญา สัญญากับคนงานไว้ว่าจะได้ 1 เหรียญ ก็ไม่ได้ผิดสัญญา ก็ได้ 1 เหรียญ ไม่ได้สัญญาสักหน่อยว่าต้องทำงานเป็นชั่วโมงๆ เข้ามาทำงานวันหนึ่ง ได้เท่านี้ แต่กี่ชั่วโมงไม่รู้ เช่นเดียวกัน มายุคปัจจุบันแล้วนะ บางคนบอกว่า …

“ฉันเชื่อพระเจ้ามาตั้งหลายปี รับใช้พระเจ้ามาตั้งหลายสิบปี ประกาศทุกวัน เลี้ยงดูทุกวัน ทำงานรับใช้มามากมาย นับไม่ถ้วนเลย แถมยังทำความดีเพิ่มอีก มีอดอาหารอธิษฐานให้กับลูกแกะด้วย ยังถวายสิบลด ถวายพิเศษด้วย แล้วเธอคนนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย อดอาหารก็ไม่ได้อด ถวายสิบลดก็ถวายแค่สองลด หรือไม่ได้ถวายเลย ฉันพยายามทำตามคำสอนทุกคำในพระคัมภีร์เลย ตัวหนังสือแดงที่พระเยซูสอน ฉันพยายามทำตามทุกอย่างเลย  เพื่อไม่ให้ตกหล่นเลยแม้แต่นิดเดียว บอกให้อภัยใคร ฉันก็พยายามให้อภัย บอกให้รักใคร ฉันก็พยายามรัก บอกให้อย่าโกรธ ยกโทษให้คนอื่น ฉันก็พยายามยกโทษ แล้วอย่างนี้จะให้ฉันรับรางวัลเท่ากับคนที่มาเชื่อ แล้วยังเมาเหล้าอยู่เลย มาเชื่อแล้วยังสูบบุหรี่เลย  มาเชื่อ แล้วยังทำอะไรน่าเกลียดๆ อยู่เลย มาเชื่อแล้วยังริษยา แบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งก๊กอยู่เลย เหมือนชาวโครินธ์อย่างนั้น จะให้ฉันรับเท่าเขาหรือ?”

อปอลโลพูดอย่างนี้ อปอลโลบอก “จะให้ฉันรับเท่ากับชาวโครินธ์นี่หรือ?”

เปาโลบอกว่า “จะให้ฉันรับเท่ากับชาวโครินธ์นี่หรือ? ที่แบ่งพรรค แบ่งพวกอย่างนี้หรือ?  ฉันรับใช้พระเจ้า ฉันถูกเขาเอาหินขว้าง ฉันก็ทำ ฉันควรจะได้เยอะกว่าสิ ถ้าให้เขาได้เท่ากับฉัน อย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรมนี่

มันควรจะได้เท่ากัน แต่มีรางวัลพิเศษก็ยังดี สมมตินะ มีรางวัลพิเศษมากกว่าเขาสักหน่อยหนึ่ง ก็ยังดี อย่างน้อย เข้าไปในสวรรค์แล้ว นั่งใกล้ๆ พระเยซูมากกว่าเขาหน่อยหนึ่ง เข้าไปในสวรรค์ แล้วมีเสื้อคลุมพิเศษให้กับฉัน ฉันทำงานเยอะบนโลกใบนี้กว่าเขา หรือไม่ก็ เมื่อขึ้นไปในสวรรค์แล้ว อย่างน้อย มีคำชมพิเศษ จากพระเยซูว่า … ‘เจ้าทำงานดีมากเลย เจ้ายอดเยี่ยมนะมากกว่าอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ทำอะไร?’ ขึ้นไปในสวรรค์ปุ๊บ พระเยซูบอกเข้าสวรรค์ไปเลย”

ไม่ได้รับคำชม แถมอายเขาอีก อย่างนั้นหรือ? เรียกว่ายุติธรรม ท่านลองไปคิดดูกันเองแล้วกันนะ เหมือนตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ แม่พายากอบกับยอห์นมาถึงบอกว่าฝากไว้ด้วยนะ มีเส้นๆ นั่นความคิดมนุษย์ มีเส้นว่าเมื่อไรไปถึงสวรรค์ เมื่อพระองค์ทรงนั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรค์ ให้ลูกสองคนนี้ คนหนึ่งอยู่ซ้าย คนหนึ่งอยู่ขวา เปโตรยังถามพระเยซูเลยว่าใครจะนั่งอยู่ข้างขวา ใครจะนั่งอยู่ข้างซ้าย ใครจะเป็นใหญ่ ใครจะเป็นรองจากพระองค์ มนุษย์ก็คิดอย่างนี้กันทั้งนั้น

พระเจ้าก็ตอบเหมือนกับเจ้าของสวนองุ่น เหมือนในอุปมานี้ว่า … “ของขวัญ หรือรางวัล มันเป็นของเราไม่ใช่หรือ? เราอยากจะให้ใครเท่าไร เราก็มีสิทธิ์ให้ไม่ใช่หรือ? มันเป็นของเรา  ก็เราให้เปล่าๆ ไม่ใช่หรือ? ให้ด้วยพระคุณ ท่านก็ได้รับพระคุณ เขาก็ได้รับพระคุณ ให้เปล่าๆ  มันเป็นสิทธิ์ของเราที่จะให้ใครก็ได้ เท่าไรก็ได้ แล้วเราก็สัญญาไว้แล้วไง และสัญญาเราเป็นมรดกด้วย มรดก คือทุกคนได้รับเท่ากัน มรดก คือทุกคนไม่ได้ทำอะไรเลย ได้รับ ไม่เกี่ยวกับการทำทั้งสิ้น ถูกไหม? และรางวัลนี้ ก็คือความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกเรา เป็นเจ้าของทุกสิ่งที่เรามีอยู่ แค่นี้ไม่พออีกหรือ? ยังจะเอาอะไรอีก”

ริษยา พูดเบาๆ โลภหรือเปล่า? ริษยาหรือโลภ คือพระเยซูต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา ไม่ให้คิดแบบมนุษย์ แต่พระเจ้าเป็นความคิดที่สูงกว่า เป็นความรัก  และเราก็เป็นลูกของพระเจ้า บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้า  เป็นความรัก ควรจะมีความคิดแบบใหม่แล้ว แล้วท่านคิดดู ถ้าเป็นความรัก ความรักคืออะไร? ความรัก คือการให้ ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ความรักเห็นผู้อื่นดีกว่าตน  เพราะฉะนั้น จากร่างนี้ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว  เป็นความรักครบถ้วนบริบูรณ์ ก็ควรคิดแบบความรัก สมมติว่ามีการให้รางวัลพิเศษ คนก็บอก …

“ไม่เอาๆ ให้คนนั้นแหละ แบ่งให้เท่าๆ กันเลย ไม่เอาๆ”

เพราะทุกคน ก็อยากจะให้ ไม่มีใครอยากได้ ไม่มีใครอยากจะดีกว่าใครที่ไหน?  ขอบคุณพระเจ้าแล้ว เอาไปเถอะ จริงไหม?

ในข้อ 16 พระเยซูได้พูด อย่างที่บอก ตบท้ายด้วยความขำ การสอนอันล้ำลึก ท่าทีแห่งความรัก เอ็นดู และแฝงไว้ซึ่งความขำขันนิดๆ พระองค์บอกว่า …

“ดังนั้น คนสุดท้ายจะไปเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย”

อันนี้ไม่ได้อยู่ในอุปมานะ  อันนี้พระเยซูสรุปอุปมาให้ฟังแปลว่าอย่างนี้ ฟังอุปมา ทุกคนเริ่มเห็น เริ่มเข้าใจ ความยุติธรรมแปลว่าอะไร? แล้วพระเยซูสรุปสุดท้ายว่าอันนั้นแหละ ความยุติธรรมที่ท่านเข้าใจ มันหมายความว่าอย่างนี้ คือคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น คนต้นจะเป็นคนสุดท้าย พวกนี้ก็งงกันใหญ่ เข้าใจหมดแล้วในอุปมาว่าความยุติธรรมของพระเจ้ากับมนุษย์ มันต่างกัน พอฟังสรุปสุดท้าย งง แปลว่าอะไร? คนสุดท้ายจะเป็นคนต้น คนต้นจะเป็นคนสุดท้าย ก็คือคนสุดท้ายก็ได้รับ 1 เหรียญ คนต้นที่มาทำตั้งแต่เช้า ก็ได้รับ 1 เหรียญ สรุปก็คือทุกคนได้เท่ากันหมด แทนที่พระองค์จะบอกว่าทุกคนได้เท่ากันหมด พระองค์บอกว่าคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น คนต้นจะเป็นคนสุดท้าย

สรุป ก็คือไม่มีคนต้น และไม่มีคนสุดท้าย ทุกคนเท่ากันหมด ทุกคนได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์ ไม่ใช่อยู่เบื้องขวา แล้วก็แถวที่ 1 เบื้องขวาแถวที่ 2 เบื้องขวาแถวที่ 3 นั่นคือความคิดของมนุษย์ ทุกคนได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเท่ากันหมด ทุกคนเป็นแกะเหมือนกันหมด ไม่ใช่เป็นแกะที่อยู่แถวหน้า หรือเป็นแกะที่อยู่แถวโน้น ทุกคนเท่ากันหมด

เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ในเรื่องความยุติธรรม ตามสายตาของมนุษย์ ความคิดของมนุษย์ ซึ่งห่างไกลจากพระเจ้ามากเลย นี่คือพระคุณของพระเจ้า ที่เราได้รับความรอดนี้ ความรอดนี้ เราอาจจะคิดตามมนุษย์ มันอาจจะไม่เท่ากัน เราก็ยังไปมองดูการกระทำ บนโลกใบนี้อยู่ แทนที่จะมองถึงพระคุณพระเจ้า ที่ให้มาเปล่าๆ และพระเจ้า พระเยซูคริสต์กระทำการงานอยู่ในตัวเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย  กระทำการงานอยู่เริ่มต้นเลย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู พระองค์ก็ทำการผ่านชีวิตของเราออกไป แล้วเรายังจะไปเรียกร้องขอรางวัลอีก เพราะเราไม่ได้ทำเลย พระเยซูเป็นผู้ทำ  ถ้าเราทำดี ทำถูกต้องทุกอย่าง ก็คือพระเยซูทำ แล้วถ้าเราทำบาป ไม่ใช่พระเยซูทำ ทำบาป เพราะเราตกลงไปในการล่อลวง ถูกล่อลวงด้วยอิทธิพลของความบาป อิทธิพลของเนื้อหนัง ซึ่งไม่ใช่ตัวเรา เป็นปรสิต มันพยายามหลอกล่อ หลอกลวงให้เราทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งไม่ใช่ตัวเราเลย ไม่ใช่พระเยซูเด็ดขาด เขาเรียกว่าเนื้อหนัง เราจะทำโดยพระวิญญาณ คือทำโดยพระเยซูนำ หรือทำตามเนื้อหนัง ก็คือให้ระบบของความบาป ให้อิทธิพลของความบาป ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ชักจูงให้เราทำ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราอีกแล้ว จะเห็นภาพไหมครับ?

เพราะฉะนั้น อย่าตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสายตามนุษย์ ด้วยความคิดแบบมนุษย์ว่าเราจะได้รับไม่เท่ากัน ท่านลองคิดดูง่ายๆ  อยากจะทิ้งท้ายวันนี้ ให้ท่านกลับไปคิดดูให้ดีๆ ถ้าเผื่อใครที่กำลังคิดหรือคิดอยู่แล้ว หรือกำลังทำอยู่ เพื่อจะได้รับรางวัลพิเศษ  ใครที่ทำอยู่ เพื่อจะได้รับรางวัลที่ใหญ่กว่า ใครที่ทำอยู่ เพื่อจะได้รับบ้านที่ใหญ่กว่าในสวรรค์ ใครที่ทำอยู่ เพื่อจะได้รับคำชมจากพระเยซูในสวรรค์มากกว่าคนอื่น ใครที่กระทำอยู่ทุกวันนี้ เพื่อจะได้รับการโปรโมทแต่งตั้ง ให้เป็นใหญ่กว่าคนอื่นในสวรรค์ โปรดนำตรงนี้ไปคิดให้ดีๆ ท่านว่าเปโตรกับยอห์น รับใช้พระเจ้าบนโลกใบนี้ ควรจะได้รับรางวัลเท่าไรในโลกวิญญาณเมื่อเข้าไปอยู่ในสวรรค์ และท่านลองเทียบกันกับโจรบนไม้กางเขน ที่ได้รับเชื่อวินาทีสุดท้าย  ไม่ได้ทำอะไรเลย แถมเป็นโจรอีกต่างหาก แล้วได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ท่านว่าใครได้รับรางวัลมากกว่ากัน ทุกคนก็บอกเลยนะ …

“แน่นอนโจรสู้ไม่ได้แน่นอน เปโตร ยอห์นรับใช้อัศจรรย์มากมายเยอะแยะหมด”

ท่านก็คิดอย่างนี้ใช่ไหม? ถูกไหม? ต้องคิดอย่างนั้นแน่นอน แต่ว่าลองคิด พระเจ้าเป็นผู้ทำ พระเยซูเป็นผู้เลือกว่าใครจะรับใช้อย่างไร? ตำแหน่งไหน? ใครจะเป็นหู ใครจะเป็นตา ใครจะเป็นจมูก ใครจะเป็นมือ เป็นนิ้ว  ใครจะเป็นนิ้วหัวแม่โป้ง ใครจะเป็นนิ้วก้อย ทั้งหมดเป็นร่างกายของพระคริสต์ใช่ไหม? พระองค์จะใช้ร่างกายนี้เพื่อเป็นประโยชน์ของพระกายของพระองค์ทั้งหมด แสดงว่าพระเยซูเป็นผู้ทำถูกไหม? แต่เราคิด มองดูแล้ว เปโตรทำการงานใหญ่กว่าตั้งเยอะ โจรไม่ได้ทำอะไรเลย

คราวนี้ย้อนกลับ มาคิด ท่านว่าผู้คนที่มาเชื่อพระเจ้า กลับใจใหม่จากคำพยานของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และได้รับความรอด ในอดีต เขาได้ยินได้ฟังคำพยานนั้น แล้วมาเชื่อพระเจ้า ท่านว่าเขาฟังคำพยานจากเปโตรกับยอห์น หรือกับโจรบนไม้กางเขน ฟังจากใครมากกว่า พูดง่ายๆ ใครเป็นพยานดังกว่า คนรู้จักยอห์นกับเปโตร กับคนรู้จักโจรบนไม้กางเขน ใครได้รับความนิยมมากกว่ากัน ใครได้ถูกเอ่ยนามมากกว่ากัน เมื่อพูดถึงการกลับใจใหม่มาสู่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เมื่อพูดถึงพระเยซูคริสต์ เมื่อพูดถึงการกลับใจมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้รับความรอด  พูดถึงใครมากกว่ากัน ใครที่ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า และพูดถึงโจรบนไม้กางเขน  ประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้ไม่เชื่อนะ  พูดถึงโจรบนไม้กางเขน มากกว่าพูดถึงเปโตรกับยอห์น ท่านคิดว่าเขาพูดถึงใครมากกว่า แน่นอนทุกคนอ้างถึงโจรบนไม้กางเขน แม้นาทีสุดท้ายเมื่อเขารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูบอกท่านได้รับความรอดแล้ว อ้างตรงนี้เลย แล้วตรงนี้ทำให้ผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ 2,000 ปีที่ผ่านมา จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ผู้เชื่อเยอะแยะมากมายเลย มีโอกาสบังเกิดใหม่ แล้วรับเชื่อ ก็เพราะเหตุนี้ พยานยืนยันว่าเราไม่ต้องทำอะไรจริงๆ แค่เชื่อและวางใจในพระองค์ แม้วินาทีสุดท้ายก่อนร่างกายจะหมดลมหายใจไป ก็ยังทันอยู่ ใช่ไหม? ท่านลองไปคิดดูว่าท่านคิดแบบมนุษย์ หรือคิดแบบพระเจ้า  ให้เราร่วมกันอธิษฐาน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ทาร์ซานเป็นคน   แต่บางครั้งยังประพฤติตนเหมือนลิง  คริสเตียนเกิดใหม่แล้ว  เป็นผู้ชอบธรรม  แต่บางครั้งยังประพฤติตนเหมือนคนบาปชั่ว  ท่านจะพึ่งความประพฤติของตนเอง  หรือพึ่งพระเยซู?

“ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่วางใจพระเจ้าผู้ทรงทำให้คนชั่ว เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ทรงถือว่าความเชื่อของเขา เป็นความชอบธรรม”  โรม 4:5

 

“เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป ดูเถิด สิ่งสารพัดกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”  2 โครินธ์ 5:17

 

เมื่อเราเกิดใหม่แล้ว ตัวตนจริงๆของเราคือวิญญาณและจิตใจเป็นใหม่ทั้งสิ้น  และร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ถูกแยกส่วนเป็นของใช้ส่วนตัวของพระเจ้าเพราะฉะนั้น ให้เรายอมมอบถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกายใหม่นี้ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองให้กับพระเจ้า ผู้สถิตอยู่กับเราในวิญญาณของเรา

 

อย่าเผลอยอมให้ศัตรู คือบาปมีอิทธิพล ผ่านทางโปรแกรมความคิด และการกระทำที่เคยชินเก่าๆ มาครอบงำ กระตุ้นให้เรายอมมอบอวัยวะในร่างกายนี้ กระทำตามมัน เหมือนเมื่อก่อนที่เคยเป็นทาสมันอยู่

 

ดังนั้น พระเยซูจึงขอร้องให้เรา ให้ความร่วมมือในการอัพเดตซอฟต์แวร์ใหม่อยู่เสมอ จะได้ใช้งานได้อย่างดี ทุกฟังก์ชั่นมีคุณสมบัติดีสมราคา ที่พระเจ้าทรงซื้อเรามาด้วยราคาแพงมาก พระเจ้าจะได้ทรงใช้เราให้สมกับเป็น มนุษย์พันธุ์ใหม่ล่าสุด สเปคครบ – สเปคแรง ฟังก์ชั่นครบ บริสุทธิ์ คุ้มราคา   ขอความร่วมมืออัพเดตซอฟแวร์ใหม่ด้วยครับ?

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1328

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  กันยายน  2021

 เรื่อง “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน”  ตอน 1

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

สองครั้งที่แล้ว ที่ทำให้เรารู้ความจริงที่ทำให้เราเป็นไทจริงๆ กันไปแล้ว ในวันพิพากษา ในวันสิ้นโลก คือวันที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษาโลกและมนุษย์ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องพูดกันเยอะๆ บ่อยๆ เพราะเป็นเรื่องใครๆ ก็รู้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ทราบดีว่าเรื่องราวข้อมูลเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ต้องพูดกัน เรียนรู้กัน ให้ตระหนักกันตั้งแต่มีชีวิตอยู่ เริ่มเรียนรู้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น  ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตเรา เป้าหมายชีวิตของเราคืออะไร? ชีวิตหลังความตาย เป็นอย่างไร? ตายแล้วจะไปไหน? ไปอย่างไร? คือการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนตาย  เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่ามันจะมาเมื่อไรความตาย  มนุษย์ทุกคนจะทราบดี เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ความจริงในเรื่องนี้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังความตาย  ชีวิตก็จะสุขกาย สบายจิต สบายใจมากยิ่งขึ้น ไม่วิตกกังวล คั่งค้าง ไม่เครียด ไม่กลัว ภายในลึกๆ ว่า …

“เกิดอะไรขึ้น แล้วฉันจะไปไหน? แล้วฉันจะเป็นอย่างไร?”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการเจ็บป่วย  หรือในช่วงของการประสบปัญหาอะไรต่างๆ  ทำให้รู้สึกว่ามันใกล้ความตายเข้าทุกทีแล้ว  เช่นในช่วงระยะนี้ทั่วโลก ความตายค่อนข้างจะเห็นชัดเจนมากขึ้น  จากโควิด-19 ทำให้เราเห็นความตายใกล้เข้ามามากขึ้น มันก็ดีอย่างหนึ่งนะ ทำให้เกิดระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ว่าเราพร้อมหรือยัง? ถ้าเผื่อเกิดขึ้นกับเราจริงๆ เราพร้อมไหม? เราเห็นอะไรบางอย่างไหม? หลังจากที่เราตายแล้ว  ฉะนั้นเรื่องราวชีวิตหลังความตาย รู้ก่อนวิญญาณออกจากร่าง มันก็ทำให้ชื่นใจ มีสุขภาพจิตที่ดี สุขภาพใจที่ดี

ครั้งที่แล้วเราได้อ่านในหนังสือวิวรณ์ ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันที่จะพิพากษาโลกและมนุษย์ ที่แยกให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้ที่ไม่เชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ซึ่งอยู่ในวิวรณ์ บทที่ 20 ซึ่งเราได้เรียนรู้กัน กับผู้เชื่อในวิวรณ์ บทที่ 21ว่าผลแตกต่างกันอย่างไร? ระหว่างผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อ

วิวรณ์ บทที่ 20 บรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือข่าวดีนั่นเอง  ซึ่งหมายถึงผู้ที่พึ่งตนเอง  ต้องการไถ่บาปของตนเอง ด้วยการกระทำของตนเองนั่นเอง

ส่วนวิวรณ์ บทที่ 21 บรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เชื่อที่พึ่งและวางใจในพระเยซูให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาปให้กับเขา ไม่พึ่งการกระทำของตนเอง

จำได้ใช่ไหมครับ นี่สรุปแบบเร็วๆ สั้นๆ สรุปข้อความในหนังสือวิวรณ์ ที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว เมื่อ 2 ครั้งที่ผ่านมา ก็คือคนที่พึ่งตนเอง  วิวรณ์ บทที่ 20 ก็ต้องรับผลจากการกระทำของตนเอง ก็คือจะไถ่บาปด้วยตนเอง พึ่งในการกระทำของตนเอง อยู่ในความพินาศ ในบาป ก็คือรับโทษของความบาป ต้องไปอยู่ในบึงไฟนรก  เพราะไถ่ตัวเองไม่ได้

ส่วนคนที่พึ่งพระเยซู ก็รับผลจากการกระทำของพระเยซู พึ่งพระเยซู คือให้พระเยซูลบล้างบาปหมดสิ้น  และพระองค์ก็ทรงกระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ก็ได้ลบล้างบาปหมดสิ้นแล้ว  ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว  ไม่มีการพิพากษาอีกแล้ว  อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์แล้ว ด้วยความเชื่อ

และเราก็ได้ยืนยันในหนังสือมัทธิว บทที่ 25 เหมือนๆ กันว่าถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาพิพากษาโลกและมนุษย์นั้น จะมีการแบ่งแยกระหว่างแพะกับแกะ ไม่มีแผะกับแก๊ะ ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ไม่มีหัวแกะ หางแพะ มีแต่แกะก็คือแกะ แพะก็คือแพะ ผู้เชื่อก็คือผู้เชื่อ ผู้ไม่เชื่อ ก็ไม่เชื่อ

แพะ ก็คือคนที่ต้องการจะพึ่งตนเอง  พึ่งความดีของตนเอง พึ่งการกระทำของตนเอง เพื่อจะไถ่บาปให้ตนเอง  เพื่อจะได้ไม่มีบาป ด้วยตนเอง

แกะ ก็คือคนที่พึ่งพระเยซูคริสต์ ในวิวรณ์ บทที่ 21 เห็นไหมแยกกันระหว่างวิวรณ์บทที่ 20 และบทที่ 21 ชัดเจน  และวันนี้ เราก็จะมาย้ำยืนยันกันในเรื่องนี้กันอีก ให้เห็นชัดเจนว่านอกจากวิวรณ์และมัทธิว ที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว ก็จะมีข้อพระคัมภีร์อื่นๆ อีกหลายแห่งที่บันทึกให้เรามั่นใจ 100% ว่าไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ อีกแล้วจริงๆ สำหรับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น หัวข้อบรรยายในวันนี้ ผมจึงให้ชื่อว่า “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน”

ที่นำเรื่องนี้มาเน้น ก็เพราะว่ามีหลายท่านในอดีตและปัจจุบัน  ที่รู้จักกัน ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว บางท่านก็หลายปี ก็ยังมีความกลัว ถามอยู่นั่นแหละ ไม่แน่ใจว่าตายแล้ว เขาจะไปสวรรค์ไหม?  ตายแล้ว เขาจะถูกพิพากษาในการกระทำอะไรต่างๆ ที่เขาทำไหม?  อะไรแบบนี้  กลัวถูกอยู่ในการพิพากษา ก็เลยอยากจะบอกในถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ว่าทั้งหมดนี้ จะนำมาซึ่งการปลอบโยนจิตใจ และให้ได้รู้ว่าพระเจ้ากำลังบอกเราว่าอย่ากลัวเลย ไม่มีการพิพากษา ตัดสินการกระทำของผู้เชื่อหรือคริสเตียนอีกแล้ว  ในวันพิพากษา บนบัลลังก์สีขาวอย่างแน่นอน 100%  เอเมน

ถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้กันไปว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็คือพระเยซูประกาศเอง บอกเองเลยตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ บอกว่าอย่างไร ในยอห์น 3:16 …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (วิญญาณตายอยู่ในบาป) แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

“ไม่พินาศ” ก็คือไม่อยู่ในความตายในวิญญาณ  วิญญาณที่อยู่ในความบาป  ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษสู่บึงไฟนรก แต่กลับมีชีวิตนิรันดร์ คือกลับมาเป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ถามว่าเกิดขึ้นเมื่อไร? เกิดขึ้นเมื่อตอนอยู่บนโลกนี้เลย เมื่อรับเชื่อ สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นทันที  นี่พระเยซูประกาศเองเลย  เราได้เรียนรู้กันไปแล้วนะ

เพราะว่าเรารอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เริ่มต้นตั้งแต่วินาทีแรกที่เรารับเชื่อในพระเจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ตั้งแต่วินาทีแรกที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลยทีเดียว มันเป็นอย่างนั้น คือเราได้บังเกิดใหม่ ในวิญญาณแล้ว ขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย  การบังเกิดใหม่นั้น คือการได้รับชีวิตนิรันดร์นั่นเอง ตามที่หนังสือยอห์น 3:16 ได้บันทึกเอาไว้ ลองไปอ่านดูอีกครั้ง ในยอห์น 3:16-18 พระเยซูประกาศชัดเจนเลย ในหนังสือ โรม 8:1-2 ก็บอกไว้ชัดเจนว่า …

โรม 8:1-2  “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษใดใดแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์  2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เลย เมื่อท่านเชื่อ ท่านก็ไม่ต้องถูกลงโทษใดๆ อีกแล้ว ปัจจุบันอยู่บนโลกใบนี้ ก็ไม่ถูกลงโทษอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อจากโลกนี้ไป ก็ไม่ถูกลงโทษ เพราะไม่ถูกลงโทษอยู่แล้ว สำหรับผู้ที่ถูกลงโทษ คือไม่เชื่อ ก็ถูกลงโทษตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ตอนจากโลกนี้ไป ก็อยู่ที่เดิม คือถูกลงโทษอยู่แล้ว  เหมือนในเอเฟซัส บทที่ 2 บอกไว้ว่าเราทั้งหลายได้บังเกิดใหม่ในความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และด้วยความเชื่อนี้ เราได้บังเกิดใหม่ ทางวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้าเลยทันที  และได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์เลยทันที  มันบังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เลยทันที เรียบร้อยไปแล้ว เพราะฉะนั้น การไปสวรรค์หลังจากนี้ มันจึงเชื่อถือได้

ใน 1 ยอห์น 4:17 ก็บอกไว้อย่างชัดเจนเลยว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราผู้ที่เชื่อ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว และมันก็จะเป็นอย่างนั้น หลังจากความตาย หลังจากวิญญาณออกจากร่างไป ก็จะอยู่ที่เดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย  …

1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มีขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

 

เห็นไหม ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณของพระเจ้ากับพระเยซูคริสต์ เราเหมือนพระองค์เลย ทั้งวิญญาณ ทั้งจิตใจของเรา ที่ได้รับจากพระเจ้าในการบังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว วันนี้ วานนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ วิญญาณของเราเหมือนพระเยซู

เราต้องเห็นภาพนั้นว่าขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณของเราเหมือนพระเยซู ความคิดจิตใจของเรา ก็เหมือนพระเยซูแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงไม่จำเป็นต้องกลัว ไม่กลัวการต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์การพิพากษา เพียงแต่เรายังอาศัยอยู่ในร่างเดิมนี้อยู่ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ร่างกายที่ต้องเสื่อมสลาย และต้องตายในที่สุด เมื่อวิญญาณออกจากร่างไป  วิญญาณก็อยู่ที่เดิม  ก็คือวิญญาณอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน

เพราะฉะนั้น วันหนึ่งที่ร่างกายนี้เน่าเปื่อยไป พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าคริสเตียน เราไม่ได้ตาย แต่เราหลับ ล่วงหลับไป แป๊บเดียว  ตอนนี้มีวิญญาณ จิตใจ เหมือนพระเยซู มีใจใหม่เหมือนพระเยซู มีวิญญาณใหม่เหมือนพระเยซู แต่ร่างกายทางโลก ยังเป็นกายเดิมอยู่นั่นเอง  จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาพิพากษาโลก สมมติว่าพรุ่งนี้พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลกนี้และมนุษย์ทั้งปวง ถ้าเราผู้ที่เชื่อในพระเยซู ที่เป็นคริสเตียน และยังมีชีวิตอยู่ เราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่ชั่วพริบตา  ร่างกายเปลี่ยน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซู ได้รับการเปลี่ยนแปลงทันที เป็นร่างกายที่บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเยซู อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือทั้งร่างกาย วิญญาณ จิตใจเหมือนพระเยซูหมดเลย ลองคิดภาพ เพราะว่าวิญญาณกับจิตใจเป็นเหมือนพระเยซูอยู่แล้ว วันหนึ่งออกจากร่างไป ได้รับร่างใหม่ ก็เหมือนพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ร่าวกาย จิตใจและวิญญาณ ก็เหมือนพระเยซูคริสต์ทั้งหมดเลย ก็ไปยืนอยู่ข้างพระเยซูคริสต์ เป็นน้องของพระเยซูคริสต์ เราจะเห็นภาพชัดเจนเลย

เพราะฉะนั้น ความคิดชั่ว ความคิดสกปรก การกระทำไม่ดีต่างๆ ที่อยู่ในโปรแกรมความคิด สมอง ในร่างกายเดิมนี้  ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของผู้เชื่อ มันก็ได้ตายไปแล้ว ได้สูญสิ้นไปแล้ว พร้อมๆ กับร่างกายที่จบชีวิตลง ส่วนที่เหลืออยู่ทั้งหมด ที่ตะกี้นี้บอก ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายใหม่ ที่จะอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาลกับพระเจ้านั้น มันบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากความชั่ว ปราศจากความคิดสกปรก ไม่มีอีกแล้ว ความคิดที่เคยอยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป  ไม่มีอีกแล้วความคิดที่อยู่ในความชั่ว ไม่มีอีกแล้วนั่นเอง  ก็จะเหลือแต่ธรรมชาติใหม่ ที่ได้บังเกิดใหม่ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย  ที่เป็นเหมือนพระเยซู เป็นความรัก มีความคิดสะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู ดังนั้น ในวันพิพากษาเราก็แค่ปรากฎตัว ยืนอยู่ข้างขวาของพระเยซูในฐานะผู้ชอบธรรม ธรรมิกชน คนของพระเจ้า  พลเมืองสวรรค์ ที่มีฐานะเป็นน้องของพระเยซู ได้ยืนอยู่เท่านั้นเอง ไม่ได้มีการยืนอยู่ เพื่อจะถูกพิพากษาลงโทษ จากการกระทำที่ผ่านมาของเราเลยแม้แต่นิดหนึ่ง จำได้ไหมครับที่เราพูดกันอยู่บ่อยๆ พระเจ้าตรัสในหนังสือสดุดี 103:11-12 บอกอย่างนี้ว่า …

สดุดี 103:11-12 “11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเพียงใด ความรักของพระองค์ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น 12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด  พระองค์ก็ทรงยกเอา การล่วงละเมิดของเรา ออกไปไกลเพียงนั้น”

 

เอาความบาปออกไปแล้ว ไม่เหลือเลยแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว  ที่เราเริ่มต้นรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ฮีบรู 10:14 ก็เหมือนกัน บอกว่า …

ฮีบรู 10:14  “เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์ โดยการถวายบูชาครั้งเดียว”

 

คือการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เป็นพระเจ้าได้ชำระล้างเรา ครั้งเดียวเป็นพอ ให้ผู้ที่เชื่อ คือเราทั้งหลาย ได้สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เท่าๆ กับพระเยซู อยู่บนสวรรค์ได้กับพระองค์ นี่ชัดเจน

และในเอเสเคียล 36:25-27 ยังบอกไว้ว่า … “พระเจ้าได้ตรัสว่าพระองค์ได้ให้ใจใหม่กับเรา และให้วิญญาณใหม่กับเรา” ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ ได้ใจใหม่ ได้วิญญาณใหม่นั่นเอง

2 โครินธ์ 5:17 ก็บอกไว้ว่า … “ผู้ใดที่อยู่ในพระคริสต์ คือผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผู้ใดที่เชื่อและอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้นั้นได้รับการทรงสร้างใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่บริสุทธิ์ สะอาดเลย ทั้งวิญญาณและจิตใจ  รอร่างกายใหม่เท่านั้นเอง” ชัดเจน

พอได้คุยเรื่องนี้ ก็ยังมีคนถามว่า … “แล้วร่างกายใหม่ที่เรารอคอย วันหนึ่งจะได้รับ หลังจากจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อเราเชื่อแล้ว ร่างกายใหม่จะเป็นลักษณะเช่นไร?”

ก็จะตอบสั้นๆ ว่า … “มีลักษณะเหมือนพระเยซูทุกประการ” เหมือนเลย ซึ่งวิญญาณและจิตใจของเรา ก็เหมือนพระเยซูอยู่แล้ว ตอนที่เริ่มต้นเชื่อ  ดังนั้น ตัวตนใหม่ที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าตลอดกาลนั้น ในโลกใหม่ ก็คือวิญญาณ จิตใจ และร่างกายที่เหมือนพระเยซู เพราะฉะนั้น เหมือนหมดเลย เหมือนทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย อยู่ในครอบครัวของพระเยซู เป็นเหมือนพระเยซู มีพระเยซูเป็นพี่ชายคนโต เราเป็นน้อง อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าร่วมกับธรรมิกชน ผู้เชื่ออื่นๆ เยอะแยะมากมายไปหมด  เป็นพี่ๆ น้องๆ ทั้งนั้น เราจึงเรียกกัน สรรพนามบนโลกใบนี้ ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์และได้บังเกิดใหม่ว่าพี่น้อง เกิดการเรียนรู้ไปเลย พี่น้องทางไหน? ทางวิญญาณ เราเป็นพี่น้องกันแล้ว  เมื่อจากโลกนี้ไป เราก็ไปอยู่ที่เดิม คือเป็นพี่น้องร่วมกันในพระเยซูคริสต์ มีพระเยซูเป็นพี่ชายคนโต หัวหน้าครอบครัวใหม่

ซึ่งอย่าลืม ที่ตะกี้นี้บอกไปแล้วว่าความคิดสกปรก ความคิดชั่ว ความคิดไม่ดี ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้สูญสิ้นไปแล้ว หมดไปแล้ว พร้อมกับกายเดิม ซึ่งเป็นกายที่ได้รับผลกระทบ จากการถูกสาปแช่ง ตั้งแต่สมัยอาดัมมา กายเดิมตายไปแล้ว พร้อมกับความชั่ว ความบาป เพราะว่ามันอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย ตายไปพร้อมกับการหมดลมหายใจของเรา มันจบแล้ว มันไม่ได้ติดตัวเราไป พูดง่ายๆ  บนสวรรค์เรามีแต่ความคิดที่ดี ที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

บางคนก็เลยถาม พูดกันสั้นๆ ตรงนี้ว่า … “ร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ มันเป็นอย่างไร?”

“ก็เหมือนพระเยซู”

พระเยซูเดินทะลุกำแพงได้ ตอนที่พระองค์ปรากฏตัว หลังจากเป็นขึ้นจากความตายมา 40 วัน มาดำเนินกับสาวก นั่นแหละ เป็นลักษณะอย่างนั่นแหละ เดินผ่านทะลุกำแพงได้ ยังกินอาหารได้ ยังกินปลาได้  ยังพูดคุยได้ ไปไหนมาไหน แบบเร็วกว่าธรรมดา อยู่ดีๆ จะปรากฏตัวที่นั่น ก็ปรากฏตัวที่นั่นเลย ไม่ต้องใช้เวลา อะไรต่างๆ เหล่านี้

หรือแม้กระทั่งผู้คนของพระองค์ บรรดาสาวก ก็ยังจำพระองค์ได้ว่าเป็นพระองค์ อาจจะจำไม่ได้ตอนแรกๆ เพราะว่าราศีเปลี่ยนไปเยอะ แต่พอสักพักหนึ่ง พอสังเกตดู พระเยซูเนี้ย จำได้ อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เราค่อยๆ เรียนรู้เพิ่มเติมแล้วกัน

แล้วก็มีคนถามว่าแล้วเช่นนั้น เมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว  รับเชื่อในพระเจ้าแล้ว รู้ชีวิตหลังความตายว่าเราไม่ต้องถูกพิพากษาแล้ว เราทิ้งร่างกายนี้แล้ว เราได้รับร่างกายใหม่เรียบร้อยแล้ว ก็เลยวิตกกังวล คือความวิตกกังวล เหมือนเดิม เหมือนสมัยก่อน  ตอนยังไม่เชื่อ

ก็คือ … “แล้วพอวิญญาณออกจากร่าง แล้วร่างกายเดิม เราควรจะทำอย่างไร? เอาไปเผาได้ไหม?  เอาไปฝังดินได้ไหม? หรือควรจะทำอย่างไรดี มันเกี่ยวอะไรกับร่างกายใหม่ที่เราจะได้รับไหม?”

ขอตอบสั้นๆ ว่าร่างกายใหม่ เป็นร่างกายใหม่เอี่ยม ไม่เกี่ยวอะไรกับร่างกายที่เราอยู่กันทุกวันนี้  บนโลกใบนี้เลย  ร่างกายเดิมมันจะกลับไปสู่ดิน  กลับไปสู่ที่มันเกิดมา ที่มันได้ถูกปั้นขึ้นมา  ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากดิน คือจากดิน น้ำ ลม ไฟ วัสดุที่ทำจากโลกใบนี้นั่นเอง มันก็จะสูญสิ้นไปกับโลกใบนี้ เพราะโลกใบนี้ถูกตัดสินแล้ว โลกใบนี้จะดับไป จะสูญไปพร้อมกับร่างกายของเรา

เพราะฉะนั้น เมื่อมันคนละเรื่องกัน ถามว่าวิญญาณออกจากร่างแล้ว จะทำอย่างไรดี? ก็ทำตามสบาย ถ้ามีเงินหน่อย ก็เอาไปฝัง เพราะถ้าฝัง ต้องใช้เงินเยอะ ยิ่งเดี๋ยวนี้ 2-3 แสน หรือ 3-4 แสนก็มี หรือถ้าไม่มีเงิน ก็เอาไปเผา เผาที่ไหน? ที่เขารับเผาฟรี ก็มี เยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะไปเผา หรือไปฝัง หรือเอาไปทำอะไรก็ตาม ผลออกมา ก็เหมือนกัน เพียงแต่ต่างเวลากันเท่านั้น คือถ้าเอาไปฝัง ก็จะใช้เวลา 7-8 ปี  จนสูญสิ้นไป กลายเป็นดินไป ถ้าเอาไปเผา ก็อาจจะใช้เวลา 10 นาที เตาแบบสมัยเก่า แต่ถ้าเป็นสมัยใหม่ อาจจะใช้เวลา 1-2 นาที หายเกลี้ยงเลย  ไม่สำคัญเลย เพราะมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับร่างใหม่ที่เราจะได้รับ ที่เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา  เพราะฉะนั้น ร่างกายเดิมนี้ จะไปทำอะไรกับมัน ก็มีค่าเท่ากัน ก็คือในที่สุด มันก็คือสูญสิ้น

ตอนนี้รู้แล้วนะ ไม่ต้องกังวลใจว่ากลัวไปเผา บางคนบอกเอาไปเผา กลัวร้อน บางคนเอาไปฝังบอกกลัวหายใจไม่ออก อะไรประมาณนั้น นี่คุยกันเล่นๆ

สิ่งเหล่านี้ สมควรที่จะมานั่งคุยกัน มาเรียนรู้กันบ่อยๆ เขาเรียกว่ามรณานุสติ นึกถึงความตาย  พอนึกถึงความตาย แล้วรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พระเจ้าบอกเราถึงความจริงเหล่านี้  ทำให้เราเป็นอิสระ เราก็ไม่กลัว ก็ไม่กังวล ไม่วิตก เราก็มีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ไปสู่จุดหมายปลายทาง รางวัลที่จะได้รับหลังความตาย คือพักผ่อนนิรันดร์นั้นเอง

ดังนั้น พื้นฐานของความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ทั้งหมดในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณออกจากร่าง และการไปอยู่ในสวรรค์ จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว ความจริงเหล่านี้ จึงต้องเรียนรู้กันบ่อยๆ ให้มันฝังหัวเลย เรียนรู้ตั้งแต่เด็กๆ เล็กๆ เลย ให้เป็นธรรมชาติเลยว่าเราอยู่บนโลกนี้เพียงชั่วคราว  แค่ทางผ่าน เป้าหมายของเรา คือหลังจากจากร่างนี้ไปแล้วมากกว่า มันจึงสำคัญ  ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว หลุดจากความสงสัย ความวิตกกังวล เพราะเราจะได้มั่นใจ 100% ว่าในวันที่เราออกจากร่าง จากโลกนี้นั้น  เราก็จะไปสู่มิติฝ่ายวิญญาณ สู่สวรรค์ สู่อ้อมกอดของพระเยซูคริสต์ สู่ที่พักนิรันดร์ของเรากับพระเจ้าตลอดไป วิญญาณออกจากร่าง แค่พริบตาเดียว หายใจออก ก็คือลมหายใจครั้งสุดท้าย  เหมือนผลักประตูเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ  สู่อ้อมกอดของพระเจ้า จบงาน ได้พักนิรันดร์ ไม่มีการพิพากษาตัดสินการกระทำของผู้เชื่อในวันพิพากษา บนบัลลังก์สีขาวอย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัว

ไม่มีการพิพากษา ตัดสินการกระทำของผู้เชื่อ คริสเตียนหรือเปล่า? ในวันพิพากษา บนบัลลังก์สีขาวอย่างแน่นอน  พูดให้ตัวเองชัดเจนเลยนะ  ทุกท่านเชื่อและมั่นใจตามนี้แล้วหรือยัง? ถ้ายังไม่เชื่อ ไม่มั่นใจตามนี้ ฟังแล้วฟังอีก  ใน 2-3 ครั้งที่แล้ว ที่ได้บรรยายถึงเรื่องนี้ และฟังเรื่องนี้อีกสักหลายๆ ครั้ง ให้มันฝังหัวว่ามันใช่จริง  พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนมาก  แล้วผมจะค่อยๆ เอาพระคัมภีร์มาอธิบาย มาแจง มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อความจริงเหล่านี้จะทำให้เราเป็นไทมากยิ่งขึ้น ทุกท่านจะได้เชื่อและมั่นใจตามนี้เลย

มีพระคัมภีร์หลายข้อ  ที่มีคริสเตียนหลายคนได้อ่านแล้ว ก็เริ่มสงสัย มีความไม่ค่อยมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายว่าจะต้องพบกับการพิพากษา ก็คือเกิดความสงสัย เกิดความกังวลเล็กๆ ถ้ารู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ก็อาจจะเกิดความกังวล สงสัยว่า …

“เอ๊ะ! เรื่องนี้หมายถึงอะไร?”

วันนี้เลยจะยกมาข้อหนึ่งก่อน ในหนังสือ 2 โครินธ์ 5:10  ก็เป็นหนึ่งข้อของผู้คนที่สงสัยในเรื่องนี้ว่าตรงนี้หมายถึงใคร ที่ต้องได้รับการพิพากษา 2 โครินธ์ 5:10 …

2 โครินธ์ 5:10 “เพราะพวกเราล้วนต้องเข้าเฝ้า ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งซึ่งสมกับที่เขาได้ทำ ขณะอยู่ในกายนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว”

 

หลายคนพออ่านถึงตรงนี้ ก็เริ่มต้นสับสนว่า “เพราพวกเราล้วนต้องเข้าเฝ้า ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งซึ่งสมกับที่เขาได้ทำ ขณะอยู่ในกายนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว”

“เอ๊ะ! หมายถึงเราหรือเปล่าหนอ?”

หมายถึงคนที่เชื่อ ในพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียนแล้ว ก็กังวล สงสัย หลายคนชักเริ่มไม่ค่อยแน่ใจ คำว่า “พวกเรา” กับ “แต่ละคน” ตรงนี้ จะหมายถึง รวมถึงพวกเราที่เป็นคริสเตียน ผู้ที่เชื่อด้วยหรือเปล่า?

จริงๆ แล้วคำว่า “บัลลังก์และการพิพากษาของพระคริสต์” ในข้อนี้  ก็มีความหมายเดียวกันกับที่เราได้เรียนรู้ในสัปดาห์ที่แล้วมา ก็คือเรื่องของการแยกวิวรณ์ 20 กับวิวรณ์ 21 นั่นเอง คือผู้เชื่อกับผู้ไม่เชื่อ  การแยกแพะกับแกะ ในมัทธิว บทที่ 25 นั่นเอง ผู้เชื่อกับผู้ไม่เชื่อ การแยกผู้ที่พึ่งพาตนเองกับผู้ที่พึ่งในพระเยซู การแยกระหว่างผู้ที่อยู่ในอาดัมกับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ การแยกผู้ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดกับผู้ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างนั่นเอง มันหมายความเรื่องเดียวกันเลย  เป็นเหตุการณ์เดียวกัน ลักษณะเดียวกัน

ข้อนี้ ที่ตะกี้นี้เราอ่านร่วมกันบอกว่า … “แต่ละคนจะได้รับสิ่ง ซึ่งสมกับที่ได้ทำ ขณะอยู่ในกายนี้  ไม่ว่าดีหรือชั่ว”

ตั้งใจฟังตรงนี้ให้ดีๆ นะ แต่ละคนจะได้รับสิ่ง ซึ่งเขาได้ทำ  “เขาได้ทำ” นะ ขณะอยู่ในกายนี้  ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว เราจะมาวิเคราะห์กัน

ไม่ว่าดีหรือชั่ว การทำชั่วคืออะไร? การทำชั่ว ก็คือการทำบาป ถูกไหม?  เพราะฉะนั้น แต่ละคนต้องไปยืนที่หน้าบัลลังก์ เพื่อฟังคำพิพากษาในความบาป ที่ตนได้กระทำ เพราะพระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และจึงทำบาป “เป็นคนบาป” หมายถึงเป็นมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ตั้งแต่อาดัม เป็นเชื้อสาย เป็นเชื้อที่ติดมา เกิดมาก็ทำบาปแล้ว เพราะฉะนั้น การทำชั่ว ก็คือการทำบาป เพราะเป็นคนบาป  จึงทำบาป

ฟังแค่นี้ หลายท่านก็รู้สึกเลยว่าการพิพากษาลงโทษ การกระทำบาปไม่ได้รวมถึงผู้เชื่อ หรือเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เลย เพราะผู้เชื่อทั้งหลายในพระเยซูคริสต์ ที่พึ่งการกระทำ การไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ให้กับเรานั้น ได้รับการไถ่บาป ได้รับการลบล้างความบาปหมดสิ้นแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ การกระทำของเราผู้ที่เชื่อ ในขณะที่อยู่ในกายนี้ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น  ไม่ว่าจะเป็นการทำดีหรือการทำชั่วก็ตาม พูดง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำดี หรือทำบาปก็ตาม ก็ไม่มีการพิพากษาใดๆ อีกแล้ว  เพราะเราไม่ได้พึ่งในการกระทำของตัวเราเอง แต่พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนต่างหากล่ะ

โลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ได้ชำระล้างบาป ความชั่วร้ายทั้งสิ้นของเรา ที่ได้กระทำไป ในร่างกายนี้ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต หมดสิ้นแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ  การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ หลั่งพระโลหิตของพระองค์ ที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ ทำให้เราบริสุทธิ์ สะอาด ไร้ตำหนิ เห็นไหมครับ? บาปจบไปแล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าครั้งเดียวเป็นพอ ในหนังสือฮีบรู บทที่ 10 ได้บอกไว้ ครั้งเดียวเป็นพอ เราไม่ได้สกปรก ไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว ไม่นับเป็นคนบาปอีกแล้ว เราถูกนับเป็นคนชอบธรรม ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ได้กระทำให้กับเรา อันนี้ชัดเจนเลย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อหรือคริสเตียน ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้วนั้น  ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้วนั้น  เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะต้องยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์สีขาวของพระเยซู เพื่อรับการพิพากษาลงโทษอีก มันเป็นไปไม่ได้เลย มั่นใจได้ 100% ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เหมือนตะกี้นี้ที่บอกตอนต้น  เหมือนในโรม บทที่ 8 ที่บอก …

“ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ  แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู

เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ ชีวิตในพระเยซูได้ทำให้เรา

พ้นจากบาปและความตาย

ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ  แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”

โรม บทที่ 8 ร้องเพลงนี้ให้ได้ มั่นใจได้เลย  ย้ำนะว่าการทำชั่ว  หรือการทำบาปของผู้เชื่อ  ในขณะที่อยู่ในร่างกายนี้ ไม่ว่าเราจะทำดีหรือทำชั่วก็ตาม ไม่ได้มีผลใดๆ ในวันพิพากษาของพระคริสต์ บนบัลลังก์สีขาวเลย ไม่มีการตัดสิน ลงโทษใดๆ อีกแล้ว  อยู่บนโลกใบนี้ ก็ไม่มีการลงโทษ ตัดสินใดๆ อีกแล้ว  และไม่มีการตัดสินลงโทษ หลังจากความตาย ก็ไม่มี และไม่มีการตัดสินลงโทษตลอดไปเลย ชั่วนิรันดร์ โรม 8:1-2  ต้องจำให้แม่นๆ เลย มันเป็นอย่างนั้น

ฉันใดก็ฉันนั้น การทำดีของผู้เชื่อในขณะที่ยังอยู่ในกายนี้  ก็ไม่มีผลใดๆ ในวันพิพากษา บนบัลลังก์สีขาวเช่นเดียวกัน ทำบาป ก็ไม่ได้รับการลงโทษ ทำดี ก็ไม่มีรางวัลพิเศษ พูดง่ายๆ ไม่มีการพิจารณาเฉพาะคริสเตียนว่าใครทำดีขนาดไหน?  ทำดีได้น้อย ได้มากขนาดไหน มีรางวัลพิเศษ ไม่มี ทำดีมากขนาดไหน ก็ไม่มีรางวัลพิเศษ  ทุกคนได้รับรางวัลเหมือนกัน ฟังให้ดีๆ ฟังอีกที ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่ว่าเชื่อมากี่ปี ก็ตาม เชื่อมามาก อีกคนเชื่อมาแค่ 1 ชั่วโมง อีกคนเชื่อมา 10 ปี 20 ปี ได้รางวัลเหมือนกันหมดเลย  ได้รางวัลเท่ากันหมดเลย ไม่ว่าคนนี้จะทำงานมาก ทำงานน้อย ได้เหมือนกันหมดเลย  ไม่ว่าท่านประกาศมาก ประกาศน้อย ท่านก็ได้เท่ากับอาจารย์เปาโล   อาจารย์เปโตร อัครทูตเปาโล อัครทูตเปโตร ได้เท่ากันเลย

รางวัลเดียวที่ได้รับเหมือนกัน เท่ากัน คือชีวิตนิรันดร์ แบบฟลูอ๊อบชั่น (Full option) เป็นมรดกด้วยนะ  คือได้รับมรดกแห่งชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นทายาทของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ทำอะไรเลย ได้รับมาฟรีๆ จากพระเจ้าทรงประทานให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์

ชีวิตนิรันดร์ ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก วิญญาณเหมือนพระเยซู จิตใจเหมือนพระเยซู อยู่ในร่างกายที่เหมือนพระเยซู และอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา โลกที่จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หลังจากโลกเก่านี้ ที่อยู่ในคำสาปแช่ง  มันสูญสิ้นไป  และเราจะอยู่อย่างนั้นกับพระเจ้านิรันดร์ ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ซึ่งมันเป็นมรดก พระคัมภีร์บอกเป็นมรดก แล้วเราค่อยๆ เรียนรู้เรื่องนี้ต่อไป  เป็นมรดก คือเราไม่ต้องทำอะไร? ให้กับเราฟรีๆ ให้ก่อนที่เราจะรับสิทธิของเราอีกด้วยซ้ำไป นี่คือความหมายของคำว่าไม่พึ่งในการกระทำของตนเอง ทำชั่ว ก็ไม่มีการพิพากษาลงโทษ  ทำดี ก็ไม่มีการให้รางวัลพิเศษ  เพราะได้รางวัลกันไปแล้ว  เท่ากันหมด

ถ้าเข้าใจอย่างนี้ได้ ก็จะเห็นภาพชัดเจนขึ้น ไม่ต้องหวาดหวั่นว่าจะถูกลงโทษ และไม่โลภที่คิดว่าจะได้มากกว่าคนอื่นๆ เขา เพราะทำเยอะกว่าคนอื่นเขา  ในหนังสือโคโลสี บทที่ 1 ได้บอกเอาไว้อย่างนี้ว่า … “พระคริสต์สถิตในท่าน”  พอท่านเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งพระสิริ ให้รู้ว่าพระคริสต์ทำงาน มีชีวิตอยู่ในท่าน ท่านไม่ได้มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว แต่พระเยซูคริสต์ต่างหากที่ทำการงาน ดำเนินชีวิตอยู่ภายในร่างกายของท่าน ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย

และในฟีลิปปี 2:13 ยังได้บันทึกอย่างนี้บอกว่า “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน  ทั้งให้ท่านมีใจปรารถนาและประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์”

 

พูดง่ายๆ ก็คือทำดี พระคริสต์ทำ ทำชั่ว ก็คือไม่ใช่พระคริสต์แล้วนะ ตอนที่เราเชื่อพระเจ้า ถ้าทำดี ก็คือพระคริสต์เป็นผู้นำเรา เราเชื่อฟังพระเยซู ด้วยวิญญาณและจิตใจที่ฟังพระเยซู เหมือนพระเยซู ยอมให้พระเยซูกระทำการงานผ่านทางร่างกายนี้อยู่ บางครั้งเราถูกหลอก ถูกล่อ ถูกลวง ด้วยเนื้อหนัง … เนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป และกระบวนการความคิดที่เป็นศัตรูกับพระเจ้าของเก่าที่ยังกระทำการงานอยู่ในร่างกายเนื้อหนังที่ต้องตาย มันมีอิทธิพลอยู่ และบางครั้งเราถูกล่อลวงให้เป็นทาสมัน เชื่อมัน ก็หลงไปทำตามมัน เรียกว่าทำบาป ทำการเป็นศัตรู ตรงกันข้ามกับพระเยซูที่อยู่ในเรา ตรงนั้น เรียกว่าทำบาป  คือการถูกล่อลวง ถูกใครล่อลวง? ถูกมันล่อลวง ซึ่งการกระทำเหล่านั้น พระเจ้าทรงอภัยให้เราหมดเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ การหลั่งพระโลหิตของพระองค์ที่ไม้กางเขน เหมือนในโรม บทที่ 6 ก็บอกไว้ว่าอย่าไปทำตามมัน

“มัน” คือเนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป ระบบของความคิดเก่าๆ ที่อยู่ในเนื้อหนังร่างกายเดิม อิทธิพลเหล่านี้มันจะยุแยงเขี่ยเรา และจะพยายามผลักเราให้ทำตาม มันล่อลวงเราให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามที่ใจอยากทำ ซึ่งเรียกว่าทำบาปนั่นเอง แต่พระเจ้าอภัยให้เราหมดเรียบร้อยแล้ว วิญญาณที่บังเกิดใหม่ข้างในของเรา ธรรมชาติ ที่บังเกิดใหม่ จากความเชื่อในพระเยซูคริสต์จะเป็นแหล่งแห่งผลงานออกมาทางการกระทำนี้

เพราะฉะนั้น พระเจ้าดูที่ใจ ที่วิญญาณท่าน วิญญาณเกิดใหม่ไหม?  ถ้าวิญญาณเกิดใหม่ พระเยซูสถิตอยู่ด้วย  พระเยซูก็จะทำการงานให้ผลของพระวิญญาณออกมาเป็นการกระทำ เป็นผลดี ก็ไม่ใช่เราทำ เป็นพระเยซูทำ  โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์นั่นเอง  จะเห็นภาพชัดเลย

สรุป ก็คือความหมายของพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 5:10 ซึ่งเราอ่านไปเมื่อสักครู่นี้  ที่บอกว่า “แต่ละคนจะได้รับสิ่ง ซึ่งสมกับที่เขาได้ทำ ขณะซึ่งอยู่ในกายนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว” ก็เหมือนกับการแยกแพะกับแกะ แยกวิวรณ์ บทที่ 20 กับบทที่ 21 แยกคนตายกับคนเป็น  แยกคนตายกับคนที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือชีวิต ก็คือแยกคนที่เป็นคนบาป ทำบาป  จากข้างใน  จากวิญญาณ ซึ่งเราเรียกว่าเขาพึ่งตนเอง จะให้พ้นบาป ซึ่งมันไม่ได้ ไม่พึ่งพระเจ้า แยกคนบาป ซึ่งพึ่งตนเองกับคนที่เชื่อพระเจ้า คนที่เรียกว่าบริสุทธิ์ ที่พึ่งการกระทำของพระเยซูไถ่บาปให้กับเขา  จะเห็นชัดเลย  เพราะฉะนั้น ถ้าเรามั่นใจว่าเราเชื่อและวางใจ พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ มองไปที่ไม้กางเขน มองไปที่การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ การเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ เราก็มั่นใจได้แน่นอนว่าไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ อีกแล้วครับท่าน ไม่มีอย่างแน่นอน

จำที่พระเยซูบอกได้ไหมครับว่า … “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าสิ่งใดที่ท่านทำให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุด คนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรา ท่านก็ได้ทำให้เราด้วย”

หมายถึงอะไร? พระเยซูกำลังพูดถึงตรงนี้แหละว่าทั้งหมดนี้อยู่ที่วิญญาณข้างใน ถ้าวิญญาณข้างในเราเปลี่ยนแล้ว เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว  มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้างในจะส่งผลออกมา เป็นการกระทำที่มีคุณภาพ เรียกว่าดี  เพราะฉะนั้น ไม่ได้อยู่ที่การกระทำดี ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณการทำดีว่าทำดีมาก ทำดีน้อย  ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ มันอยู่ที่คุณภาพ

คุณภาพของการทำดี มาจากวิญญาณที่เกิดใหม่ วิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้าหรือไม่?  ถ้าเป็นวิญญาณที่เป็นบาปอยู่ ยังไงๆ มันก็ไม่ดี พูดง่ายๆ  ถ้าเป็นวิญญาณของพระเจ้าที่เกิดใหม่ เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ยังไงๆ มันก็ต้องดี  เพราะเป็นผลของพระวิญญาณ ตรงนั้นนั่นเอง

คราวนี้เราจะมาเสริมตรงนี้อีกนิดหนึ่ง  ในข้อที่ 11 ต่อมาเมื่อสักครู่นี้  เป็นการเสริมให้ชัดเจนว่าบริบทนี้ เขาพูดถึงเรื่องอะไร?  2 โครินธ์ 5:11 …

2 โครินธ์ 5:11 “เช่นนั้นแล้ว เมื่อเรารู้ว่าความเกรงกลัวพระเจ้านั้นคืออะไร เราจึงพยายาม  โน้มน้าวใจคนทั้งหลาย เราเป็นเช่นไรนั้น ย่อมปรากฏชัดต่อพระเจ้า และข้าพเจ้าหวังว่าสิ่งนี้จะปรากฏชัด ต่อจิตสำนึกของพวกท่านด้วย”

 

อาจารย์เปาโลเลยอธิบายเมื่อสักครู่นี้ให้ชัดเจนขึ้นว่า … “เช่นนั้นแล้ว” ก็คือกำลังจะบอกให้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าได้ยินได้ฟังว่ามันอันตราย ขนาดไหน? ถ้าท่านต้องเข้าไปสู่การพิพากษา บนบัลลังก์สีขาว วันที่พระเจ้ามา

“เช่นนั้นแล้ว เมื่อเรารู้ว่าความเกรงกลัวพระเจ้านั้นคืออะไร” ถามว่าความเกรงกลัวพระเจ้านั้นคืออะไร? อาจารย์เปาโลและทีมงานที่ประกาศข่าวประเสริฐ รู้แล้วว่าความเฉียบขาด การเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎที่พระเจ้าเป็นผู้ครอบครองทั้งหมดนั้น ด้วยความยุติธรรมนั้น เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะไม่มีการลำเอียงเลย  ไม่มีการว่าชอบใคร? ไม่ชอบใคร? ไม่มี กฎว่าอย่างไร? ถึงวันพิพากษา มันต้องเป็นไปตามกฎเหล่านั้น  บอกให้เชื่อในพระเยซูคริสต์  พระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปแล้ว ถ้าไม่เชื่อวันนั้น วันที่ถูกพิพากษา ก็ไม่มีคำว่าแม้ หรือว่าแต่ว่า

“แต่ว่าฉันทำดีมากๆ” อะไรต่างๆ เหล่านั้น มันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องถูกพิพากษา ลงโทษ สู่บึงไฟนรก ซึ่งมันน่ากลัวมาก ไม่มีการลำเอียง ติดสินของพระเจ้า  ความน่ากลัวตรงนี้ หมายถึงอย่างนี้  ให้เคารพยำเกรงในการตัดสินใจของพระเจ้า  ซึ่งพูดคำไหน ต้องเป็นคำนั้น  แม้กระทั่งลูกของตนเอง  คืออาดัมและเอวา ทำผิดพลาดไป ละเมิดคำสั่ง  ทำบาปครั้งแรก  เมื่อตอนยุคโน้น ตั้งแต่ปฐมกาล พระเจ้าสั่งว่าอย่า แล้วเขาไม่เชื่อฟัง เขาฝืนคำสั่งของพระเจ้า  กระทำสิ่งที่เป็นตรงกันข้ามไปกินผลไม้ต้องห้าม ก็เกิดตามผลที่บอกไว้ตามกฎแล้วว่า …

“อย่ากินนะ กินวันใด เจ้าจะต้องตาย เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตาย”

แล้วกินไหม? กิน ในที่สุด ก็ต้องถูกลงโทษให้ตาย หลายคนบอกครั้งเดียวเอง ก็นี่แหละ คือความน่ากลัวของพระเจ้า หมายถึงอย่างนั้น

อาจารย์เปาโลและทีมงานที่ประกาศ ก็บอกว่าเพราะเห็นความน่ากลัวของกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ความเป็นพระเจ้าผู้พิพากษามหาจักรวาลที่ยุติธรรมอย่างนี้ มันน่ากลัวมาก ที่ท่านต้องเข้าไปถูกพิพากษา ไม่มีอะไรช่วยท่านได้เลย  แม้พระเจ้าจะรักท่านเท่าไร? ก็ช่วยไม่ได้  แม้พระเยซูจะมาไถ่บาปให้ท่านเรียบร้อยแล้ว  ก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้  แม้พระเยซูจะรักท่านมาก ยอมสละชีวิตของพระองค์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เต็มด้วยความทุกข์ทรมาน  เพื่อท่าน ก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้ เมื่อวันพิพากษามาถึง เมื่อถึงวันนั้น เพราะมันเป็นไปตามกฎ

“กฎ” ก็คือท่านต้องเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้เลย เท่านั้น ท่านถึงจะได้รับความรอด หลังจากความตายแล้ว ไม่มีอะไรแก้ไข ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้อีกเลย ท่านต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย  ถ้าจะอยู่ในสวรรค์ก็ต้องเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ รอให้ตายก่อน ไม่ทันแล้ว  นี่น่ากลัวไหม? น่าเกรงขามไหม? ในกฎเกณฑ์ของพระเจ้า

และเมื่อเราได้รับรู้แล้วว่าความกลัวพระเจ้าที่แท้จริง คืออะไร เราจึงพยายามโน้มน้าวจิตใจของคนทั้งหลาย “เรา” ในที่นี้ คืออาจารย์เปาโลและบรรดาอัครทูตที่ตระเวนประกาศข่าวประเสริฐอยู่ไง ประกาศเรื่องพระเยซูอยู่

คำว่า “โน้มน้าวคนทั้งหลาย” คือตระเวนประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู เรื่องความจริง ที่ผมอธิบายให้ฟังมาตั้งแต่ต้นนั่นแหละว่าอย่ารอให้ถึงวันที่วิญญาณท่านออกจากร่าง คือการตายจากโลกใบนี้ มันไม่ทันแล้ว ท่านกลับตัวไม่ทัน  ท่านจะพบกับการพิพากษาลงโทษนิรันดร์ ไปสู่บึงไฟนรกนิรันดร์ ซึ่งพระเจ้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย พระเจ้าจึงใช้ผม คืออาจารย์เปาโลและอัครทูต ทีมงานเหล่านั้น ในการที่จะโน้มน้าวจิตใจ และประกาศข่าวดีนี้ให้กับท่านทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

โน้มน้าวให้บรรดาทุกคนบนโลกใบนี้ที่ยังพึ่งในตนเองอยู่ พึ่งในการทำดีของตนเอง พึ่งในการที่จะไถ่บาปตนเอง ให้กลับใจใหม่ หันกลับมาพึ่งในพระเยซูคริสต์ มายอมรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ โน้มน้าว ก็คือประกาศข่าวประเสริฐให้บรรดาผู้คนในหนังสือวิวรณ์ บทที่ 20 ซึ่งในวิญญาณตายอยู่ และต้องพบกับความพินาศนิรันดร์ เมื่อวิญญาณออกจากร่าง วิงวอนให้เปลี่ยนมาอยู่ในวิวรณ์ บทที่ 21 มาได้รับความรอดนิรันดร์ มาเป็นคนของพระเจ้า มาเป็นแกะของพระเจ้า  มาเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับมรดกนิรันดร์ ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษนิรันดร์นั่นเอง

โน้มน้าวผู้คนที่ยังอยู่ในกลุ่มแพะให้มาอยู่ในกลุ่มแกะ เห็นไหมครับ อาจารย์เปาโลบอกว่าเราประกาศโน้มน้าวคนเหล่านี้ โน้มน้าวให้คนที่อยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้นั่งที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ สิ่งเหล่านี้ต้องตัดสินใจตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น อย่างเดียวเลย อาจารย์เปาโลเลยเร่งวันเร่งคืนที่จะประกาศโน้มน้าวให้ผู้คนได้รับรู้สิ่งนี้ แล้วก็ตัดสินใจรีบเปลี่ยนซะ ไม่เช่นนั้นวันพิพากษา ท่านต้องไปชดใช้ในสิ่งที่ท่านกระทำบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว โดยการพึ่งในตนเอง ซึ่งไม่มีใครทำได้ 100% ว่าจะเปลี่ยนตัวเองจากคนบาป ให้เป็นคนชอบธรรม มันเป็นไปไม่ได้ ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น

เพราะฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงพูดในบริบทนี้ ในข้อต่อๆ ไป อาจารย์เปาโลก็บอกว่า …

“พวกท่านก็รู้ดีว่าข้าพเจ้าเป็นคนเช่นนั้นจริงๆ พระเจ้าก็รู้ พระเจ้าเป็นคนให้ภาระนี้กับข้าพเจ้าในการที่จะออกไปประกาศ ท่านเองก็รู้ดี รู้จักนิสัยข้าพเจ้าดี วันทั้งวันข้าพเจ้ามีแต่ประกาศพระคริสต์ ประกาศข่าวประเสริฐ ไปที่ไหนก็ประกาศข่าวประเสริฐ ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ประกาศข่าวประเสริฐ ถูกต่อต้านอย่างไร ถูกข่มเหงอย่างไร ถูกเอาหินขว้าง จะฆ่าให้ตายอย่างไร ข้าพเจ้าก็ยังคงประกาศอยู่ ก็เพราะอย่างนี้แหละ เพราะเป็นห่วงท่าน ไม่อยากให้ท่านต้องไปถึงซึ่งความพินาศ ในการถูกพิพากษานิรันดร์ ในวันข้างหน้านั่นเอง”

อาจารย์เปาโลประกาศถึงขนาด ในตอนสุดท้ายของบริบทนี้บอกว่าพระเจ้าแต่งตั้งให้อาจารย์เปาโลและทีมงานเป็นตัวแทนของพระเจ้า เพื่อขอร้องให้ท่านทั้งหลายกลับมาหาพระเจ้า ขอร้องให้ท่านทั้งหลายกลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด  กลับมาคืนดีกับพระองค์ พระเจ้าขอร้อง อาจารย์เปาโลเลยมีหน้าที่ออกไปบอกคน บอกว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน?

ท่านจะเห็นภาพเช่นเดียวกันผมเองก็เหมือนกัน ที่ทำอยู่นี้ ทุกวันอาทิตย์ หรือทุกวัน พูดแต่เรื่องพระคริสต์ พูดลักษณะเดียวกัน เหมือนกัน ก็คือขอร้องท่าน โน้มน้าวท่าน ชักจูงท่าน ขอร้องและขอร้องอีก ในนามของพระเจ้านะ  ในนามของพระเยซูที่ทรงรักท่านมากมาย ขอร้องแล้วขอร้องอีก โน้มน้าวแล้วโน้มน้าวอีก ให้กลับมาหาพระเยซู กลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับมารับสิทธิที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปให้กับท่าน ที่ไม้กางเขน เสร็จไปแล้ว  กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าเถิด กลับมารับพระพรต่างๆ นานาที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่านในพระเยซูคริสต์ กลับมาเป็นแกะของพระเจ้า  กลับมาเตรียมตัวรับร่างใหม่  และสวรรค์โลกใหม่ ที่จะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์

ที่พูดอยู่นี้ ก็พยายามเหลือเกิน  ที่จะชักจูง อธิบายด้วยน้ำตาว่าถ้าท่านยังไม่ได้กลับใจมา ท่านจะต้องยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษา คือพระเจ้า หลังความตาย และวันนั้นมาถึง ไม่มีใครช่วยท่านได้เลย  แม้พระเจ้าจะรักท่านมากมาย แม้พระเยซูจะรักท่านมากมาย ก็ไม่มีใครช่วยท่านได้อีกแล้ว เพราะว่าพระองค์ทรงบอกแล้ว เป็นกฎเกณฑ์แล้ว เป็นกฎหมายของพระองค์แล้วว่าความรักนั้นได้ปรากฏที่พระเยซูคริสต์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และพระองค์ต้องการ ขอร้องท่านให้มาเชื่อในพระบุตรนี้  เพื่อจะได้รับความรอดนิรันดร์ รอดจากนรกนิรันดร์ พระองค์ทรงให้แล้ว และขอร้องให้ท่านมารับสิทธิของท่าน มารับของขวัญชิ้นนี้ ไปโดยด่วน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ จากการถูกโกหกหลอกลวง”

พระเยซูตรัสว่า … “คนทั้งปวงที่ยอมต้อนรับพระเยซู มาเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาป ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานฤทธิ์อำนาจ ทำให้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า คือเป็นลูกที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า” ยอห์น 1:12-13

 

คิดให้ดีก่อนตอบ 1  หรือ  2 …

“แล้วทาร์ซานก็ฝึกฝน ประพฤติตนเหมือนคนมากขึ้น เพราะ?” …

  1. ถูกสั่งมากขึ้นว่าห้ามทำเหมือนลิง
  2. ได้รับรู้ความจริงมากขึ้นว่าเขาเป็นคน

 

“รับรู้ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ”

พระเยซูตรัสว่า … “แบบนี้สิ ความรัก​ของ​พระเจ้า​ถึง​สำเร็จ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์​ใน​พวก​เรา   เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม  ​ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น  เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

1 ยอห์น 4:17

 

คิดให้ดีก่อนตอบ 1 หรือ 2 …

“แล้วคริสเตียนก็ฝึกฝน  ประพฤติตนเหมือนพระเยซูมากขึ้น เพราะ …?”

  1. ถูกสั่งมากขึ้นว่าห้ามทำบาป เดี๋ยวตกนรก
  2. ได้รับรู้ความจริงมากขึ้นว่าเขาได้บังเกิดใหม่ด้วย DNA ชีวิตของพระเยซู

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1327

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  สิงหาคม  2021

 เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 2

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อ  ในหนังสือเอเฟซัส  คราวที่แล้วเราจบลงข้อที่ 4 ที่บอกว่า …

เอเฟซัส 1:4 “เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์   ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกให้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติ  ในสายพระเนตรพระองค์ ด้วยความรัก”

 

ก็คือพระเจ้าทรงเลือกชาวยิวไว้ก่อน ชาวยิวจะเป็นผู้รักษากฎระเบียบของพระเจ้า เพื่อเป็นแบบอย่างแห่งความชอบธรรม ตั้งแต่สมัยของอับราฮัม ซึ่งเราคุยกันแล้ว  เรื่องของอับราฮัมว่าอับราฮัมเชื่อก่อนที่จะมีการประพฤติ พระเจ้าเลยถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม วันนี้เรามาต่อข้อที่ 5

เอเฟซัส 1:5 “พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า  ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์  ผ่านทางพระเยซูคริสต์  ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์”

 

พระเจ้าได้ทรงกำหนดล่วงหน้า กำหนดตั้งแต่สมัยที่มนุษย์เริ่มล้มลงในความบาป  แล้วพระเจ้าก็กำหนดพระเยซูคริสต์ไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะประทานความรอดให้กับมนุษยชาติ เพื่อให้เขาหลุดพ้นจากการเป็นคนบาป  เพื่อให้เขาได้มีโอกาสคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง คือพระเจ้ากำหนดไว้แล้ว แล้วพระองค์ก็เลือกชาวยิวมาก่อน เพื่อที่จะรักษากฎตรงนี้  ฉะนั้น การกำหนดตรงนี้ มันจะมาจากในพระธรรมยอห์น 3:16 ที่บอกว่า … “เพราะพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อผู้ที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

แปลว่าขบวนการ คือพระเจ้าได้เตรียมพระเยซูคริสต์ไว้แล้ว เพื่อที่จะรับเรา ผู้เป็นชาวยิวตั้งแต่เริ่มต้น คือชาวยิวต้องมาก่อน  ให้มาเป็นบุตรของพระองค์ หมายความว่าเมื่อถึงเวลากำหนด ที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดบนโลกใบนี้  ได้มาสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า จะได้ถูกประกาศให้กับชาวยิวก่อน เมื่อใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน เขาก็มีสิทธิ์ได้เป็นลูกของพระเจ้า แปลว่าไม่ใช่ชาวยิวทุกคน หรือชนชาติอิสราเอลทุกคนจะได้รับการเป็นบุตรของพระเจ้า  โดยปริยาย แม้ว่าพระเจ้าจะเลือกเขาก่อนล่วงหน้าแล้ว แต่เขายังจำเป็นที่จะต้องเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าส่งมาให้เขา เขาถึงมีสิทธิ์เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น ตรงนี้แหละเป็นพระคุณซ้อนพระคุณ ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้กับชาวยิว ที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย  แค่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน เขาก็จะได้รับความรอดเลย เขาได้เป็นบุตรของพระเจ้าเลย ซึ่งตรงนี้เราคุยกันบ่อยมากว่าชาวยิวส่วนหนึ่ง หรือส่วนใหญ่ เขาจะรับตรงนี้ไม่ได้ เพราะชาวยิวถูกกำหนดมาตั้งแต่เริ่มต้น ให้รักษากฎบัญญัติของพระเจ้า ผ่านทางโมเสส แล้วคนอิสราเอลเขาก็คิดว่าเขารักษาบัญญัติตรงนี้ เขาสมควรที่จะได้เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นประชากรของพระเจ้า โดยปริยาย ผ่านการประพฤติปฏิบัติของเขามาตลอด อย่างสัตย์ซื่อ

ซึ่งพอถึงยุคของพระเยซูคริสต์ พระเยซูบอกว่าอันนั้น คือพระคุณที่พระเจ้าให้เปล่าๆ โดยกฎบัญญัติที่ชาวยิวเคยยึดถือมาทั้งหมด  เมื่อพระเยซูคริสต์มา เป็นโมฆะหมดเลย เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถประพฤติตามกฎบัญญัติ โดยทำให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรม ที่พระเจ้าทรงรับได้  ไม่มีเลย ฉะนั้น จำเป็นที่ทุกคนจะต้องกลับใจใหม่ หมายความว่ามาเชื่อในสิ่งที่พระเยซูกระทำ แล้วบังเกิดใหม่เท่านั้น  ถึงจะสามารถได้รับความรอด  และได้รับสิ่งดีที่พระเจ้าประทานให้กับเขา อันนั้น คือแผนการที่พระเจ้าวางไว้ยาวนานมาก ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป

เอเฟซัส 1:6 “เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณสูงส่ง  ซึ่งพระองค์ประทานให้เราเปล่าๆ อย่างเหลือล้นในพระองค์  ผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า”

 

เป็นพระคุณ คำว่า “พระคุณ” เล็งถึงสิ่งที่เราไม่สมควรได้รับ แต่พระเจ้าเมตตาให้กับพวกเรา อะไรที่เราไม่สมควรได้รับ? อาจารย์เปาโลยังพูดถึงคนยิว อยู่นะ  ยังไม่มาถึงพวกเรา ที่เป็นคนต่างชาติ   พระคุณตรงนี้ คือมนุษย์เป็นคนบาป ไม่สมควรที่จะได้รับการอภัยโทษ แต่เพราะพระเมตตาของพระเจ้า พระเจ้าได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แผนการนี้ถูกเตรียมไว้ ตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว ที่พระเจ้าบอกไว้ว่าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับมนุษยชาติ แต่เริ่มต้นที่ยิวก่อน หลังจากนั้น จะรวมคนต่างชาติ ให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์

ฉะนั้น พระคุณตรงนี้ เป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่มาก  ซึ่งมนุษย์คิดไม่ถึงว่าพระเจ้าจะรักมนุษย์ได้ขนาดนี้ เป็นพระคุณที่ในพระคัมภีร์บอกว่าในขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น พระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อเรา แปลว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้มาสิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษย์ที่ดีพร้อม หรือเป็นคนดีทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ใช่ เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหนบนโลกใบนี้ สามารถดีพร้อม จนพระเจ้ารับเขาได้ ฉะนั้น พระคุณตรงนี้แหละ ที่พระเจ้าให้กับชนชาติอิสราเอล ก็คือขณะที่เขายังเป็นคนบาปอยู่ ขณะทีเขากำลังดิ้นรนพยายามทำตามกฎบัญญัติของโมเสส ที่พระเจ้าให้ไว้ เพื่อให้เขาหลุดพ้นจากความบาป เพื่อให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าได้

ดังนั้น คนยิวในยุคสมัยของโมเสส หรือในยุคที่พระเยซูคริสต์ยังทรงพระชนม์อยู่ เขายังต้องดิ้นรนต่อสู้ เพื่อที่จะชำระบาปของตัวเอง ในแต่ละปี ตามที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ พิธีกรรมตรงนี้ ชาวยิวจะรู้ดีที่สุดเลย  ที่พระเจ้าบอกให้ทุกปีคนยิวต้องเอาแกะ เอาแพะมาถวายเป็นเครื่องบูชา ให้กับพระเจ้า โดยผ่านทางมหาปุโรหิตที่จะทำพิธีกรรมนี้ให้ โดยการวางมือบนหัวของแพะ เพื่อเอาบาปของคนๆ นั้นไว้ที่ตัวแพะ แล้วก็ปล่อยไป แล้วก็เอาแกะอีกตัวหนึ่งมาฆ่า เอาเลือดมาประพรมที่แท่นบูชาของพระเจ้า แล้วคนๆ นั้นที่เอาแกะมาถวายให้กับพระเจ้า เขาก็จะสบายใจ ปีนี้เรารอดแล้ว คือพระเจ้าได้รับเครื่องบูชาตรงนี้ แล้วความบาปของเขาได้ถูกลบไปแล้ว 1 ปีเองนะ แล้วปีหน้าเขาก็ต้องเริ่มต้นทำใหม่ คนอิสราเอลเขาทำอย่างนี้เป็นประจำทุกปีๆ จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมา พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็นแกะที่จะเดินไปที่แดนประหาร แล้วโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ชำระมนุษยชาติครั้งเดียวพอ พระเยซูคริสต์ไม่ต้องมาทุกปีๆ เสด็จมาเกิด แล้วก็สิ้นพระชนม์ เป็นขึ้นมาจากความตาย มาเกิด มาตาย อะไรอย่างนี้ ไม่ต้อง

ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว พอ พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ชำระล้างบาปของมนุษยชาติทั้งหมด … “ทั้งหมด” ตรงนี้ หมายถึงตั้งแต่อดีต ก่อนที่คนนั้นจะมารู้จักกับพระเจ้า จนถึงปัจจุบัน ที่คนนั้นได้ตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาแล้ว แล้วยังเล็งถึงบาปในอนาคตข้างหน้า ที่คนๆ นั้นจะทำอีก หมายความว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า ไม่ได้เป็นโดยปริยายที่ผู้เชื่อ จากวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และบังเกิดใหม่ แล้วเราจะไม่ทำบาปอีกเลย  มันเป็นไปไม่ได้ ในขณะที่ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้ความบาปและความตาย  เรายังมีโอกาสที่จะไปทำบาปอีก แต่พระเยซูบอกว่าการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งพระโลหิต เพื่อมนุษยชาติ หมายความว่าบาปในอดีต จบไปแล้ว บาปในปัจจุบัน พระเจ้าก็ยกให้ บาปในอนาคตที่เรายังไม่ได้ทำเลย แต่จะทำนั่นแหละพระเจ้าก็ยกให้หมดเรียบร้อยไปแล้ว แปลว่าคนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็คือพระเจ้ายกโทษให้หมดเลย เป็นลูกของพระเจ้าเลย เมื่อเขาบังเกิดใหม่ ตรงนี้แหละ คือพระคุณซ้อนพระคุณอย่างมากมายที่พระเจ้าได้ให้กับมนุษยชาติ เริ่มต้นที่ชนชาติยิวก่อน ให้ฟรีๆ ให้เปล่าๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อเท่านั้น

ฉะนั้น คนยิวทุกคนจำเป็นที่จะต้องยอมรับสิ่งนี้ แล้วก็ตัดสินใจเชื่อว่าพระเยซู คือผู้นั้นแหละ เป็นพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเขาให้รอดพ้นจากบาป และช่วยเขาให้สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ถ้าคนยิวไม่ยอมรับตรงนี้ ก็เท่ากับเขาปฏิเสธการงานของพระเยซูคริสต์ เมื่อปฏิเสธ ไม่รับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้า  เขาก็ยังอยู่ที่เดิม คืออยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในการพิพากษา ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้าคนกลุ่มนี้แหละ เมื่อลมหายใจออกจากร่างกายนี้ คือตาย เขาก็จะไปเจอความตายอีกครั้งหนึ่ง คือความตายครั้งที่ 2 ตอนนั้นแหละ จะมีการพิพากษา ครั้งสุดท้าย

มนุษย์ทุกคน เมื่อเกิดมา อยู่ในบาป ถูกพิพากษาเรียบร้อยไปแล้ว เดินทางไปสู่ความตายทุกวัน แต่ว่าเมื่อวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง ใครที่ยังไม่ได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตอนนั้นแหละ หมดสิทธิ์ที่จะทำอะไรเลย  ก็คือรอวันที่ขึ้นไปปุ๊บ ไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์สีขาว ที่พระเจ้าจะพิพากษา แล้วคนกลุ่มนี้จะถูกทิ้งไปที่บึงไฟนรกนิรันดร์กาล ไม่ว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นชนชาติยิว หรือเป็นคนต่างชาติ เป็นเชื้อชาติไหนก็ตาม  ถ้าไม่เปลี่ยนจากการอยู่ในที่เดิม มาพึ่งในพระเยซูคริสต์ ก็อยู่ในกลุ่มเดียวกันหมด คือรอวันถูกพิพากษาครั้งสุดท้าย หลังความตายจากโลกนี้

เอเฟซัส 1:7 “ในพระเยซู เราได้รับการไถ่บาป  โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป  ตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า”

 

พูดถึง “พระคุณ” อีกแล้ว ในพระเยซู เราได้รับการไถ่บาป อันแรกเลย คือได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระโลหิตของพระองค์หลั่งออก คือพระเจ้าได้ซื้อชีวิตของมนุษยชาติทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น ซื้อด้วยชีวิตของพระองค์เอง  ด้วยเลือดของพระองค์เอง  ซื้อเขาออกจากอำนาจของความมืด คืออำนาจของความบาปและความตาย  ที่มนุษย์ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด มาสิ้นพระชนม์ มาถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย  มนุษย์ทุกคนอยู่ใต้อำนาจของความมืด อำนาจของบาป และอำนาจของความตาย อำนาจของมาร มนุษย์ทุกคนอยู่ตรงจุดนั้น  พอพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์ พระโลหิตของพระองค์อันดับแรก มาไถ่เรา คือซื้อ พี่น้องนึกถึงคำว่า “ไถ่” เหมือนเราเอาของไปจำนำ ถ้าเราไม่อยากสูญเสียของอันนี้ไป เราก็ต้องไปจ่ายดอกเบี้ยทุกปีๆ เหมือนเป๊ะเลย คือเหมือนคนยิวในยุคนั้น  ต้องไปจ่ายดอกเบี้ยทุกปีๆ  เอาแพะเอาแกะไปถวายให้กับพระเจ้า เพื่อจ่ายดอกเบี้ย เพื่อรักษาชีวิตของตัวเองไว้ แต่พอถึงวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ คือไม่ได้ไปจ่ายดอกเบี้ยนะ ไปไถ่ออกมาเลย  คือซื้อชีวิตของเราออกมาเลย  จากมือของผีมารซาตาน คือตอนนี้ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแล้ว ซื้อมาเลย

ฉะนั้น มนุษย์ทุกคน เมื่อถูกซื้อจากพระเยซูคริสต์ โดยพระโลหติของพระองค์ปุ๊บ ได้รับการไถ่ เขาก็จะหลุดพ้นจากอำนาจของความมืด อำนาจของผีมารซาตาน หลุดจากการอยู่ในขบวนการของความมืด เข้ามาสู่ฝั่งของความสว่างของพระเยซูคริสต์ ถ้าคนนั้นเปิดใจต้อนรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ คนๆ นั้น จากเดิมอยู่ในอาดัม อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในความตาย ก็จะถูกย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ จากเดิมเป็นทาสของมาร จะถูกย้ายมาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมเลย การไถ่ของพระเยซูคริสต์ตรงนี้แหละ ทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากการเป็นทาสของมาร โดยพระโลหิตของพระองค์

และโดยพระโลหิตตรงนี้  มนุษย์ได้รับการอภัยโทษบาป ไถ่เสร็จ อภัยโทษ … อภัยโทษบาป ที่เราคุยกันแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์หลั่งพระโลหิต ก็อภัยโทษให้กับพวกเรา ที่พระคัมภีร์บอกครั้งเดียวพอ พระเยซูคริสต์ไม่ต้องมาหลั่งพระโลหิตทุกครั้งๆ เพื่อยกโทษให้กับพวกเรา แต่ครั้งเดียวเสร็จ งานของพระองค์ ใครที่เดินเข้ามารับสิ่งนี้ จากพระเจ้า เขาก็จะได้รับการอภัยโทษบาป อดีต ปัจจุบัน และในอนาคตข้างหน้า จบเลย จะไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ตามในหนังสือโรมบอก ไม่มีการลงโทษ สำหรับคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ทำให้เราพ้นจากกฎของความบาปและความตาย

ฉะนั้น ตอนที่เราตัดสินใจมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราหลุดพ้นจากกฎของความบาปและความตาย  เราได้เข้ามาอยู่ในกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ก็คือเราได้เปลี่ยนวิญญาณจากเดิม เป็นวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณชอบธรรม เหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย  เหมือนเป๊ะเลย

เมื่อเราได้รับการยกโทษ การไถ่เสร็จ  มีอีกอันหนึ่ง มันเป็นขบวนการเดียวกัน ในเรื่องของการบังเกิดใหม่ หรือที่เราคุยกันว่าในเรื่องของการบัพติศมา เมื่อเราบัพติศมา คือถูกตรึงบนไม้กางเขน  ถูกฝังไปพร้อมกับพระองค์ ได้รับมา 2 สิ่งแล้วนะ ได้รับการไถ่ถอน ออกจากมือของผีมารซาตาน ได้รับการยกโทษความผิดบาป อีกอันหนึ่งที่สำคัญที่สุดเลย คือการที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  แล้วพวกเราที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เป็นขึ้นมาพร้อมกับพระองค์ด้วย  ได้รับการบังเกิดใหม่  คือมีวิญญาณใหม่เอี่ยมเลย เหมือนกับพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด แล้วเป็นวิญญาณนิรันดร์ เมื่อเราเป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่พระเจ้าทรงใช้ฤทธิ์เดชอันเดียวกันกับที่ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย

ตอนที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า แล้วพระเยซูคริสต์ก็แบ่งพระสิริตรงนั้นของพระองค์ให้กับพวกเราผู้เชื่อ พวกเราผู้เชื่อทุกคนจะได้รับตรงนั้น เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ดังนั้น การบังเกิดใหม่  การได้ชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า ก็คืออีกอันหนึ่งที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเรา เราสะอาด เราหมดจดเหมือนพระเจ้าเลย พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ของขวัญทั้ง 3 ชิ้น เป็นของเราเลย แยกไม่ได้ ก็คือมาเป็นแพ๊คเลย มาทั้งชุดเลย  เราได้รับการไถ่บาป หลุดจากมือของผีมารซาตาน  เราได้รับการยกโทษความผิดบาป  โดยที่เราไม่มีโทษของบาปอีกต่อไป เราได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์ เหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย ก็คือ 3 สิ่งนี้ พระเจ้าให้เราหมด

ฉะนั้น การเป็นขึ้นมาจากความตาย  เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  ชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเจ้าปุ๊บ  เขาจะได้ตามนี้เลย  ก็คือจากนี้ต่อไป คนยิวคนนั้น  ไม่ต้องไปถวายเครื่องบูชาอีก  ตอน ณ เวลานั้น คนยิวยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม คืออยู่ในกฎบัญญัติ เขายังต้องไปถวายเครื่องบูชาในแต่ละปี  ไม่ใช่แค่แต่ละปี ถ้าพี่น้องไปอ่านกฎบัญญัติในเลวีนิติ จะเห็นว่ามีการถวายเยอะแยะ เบี้ยใบ้รายทาง ตลอดทั้งปีเลย ทำอะไรนิดหนึ่งผิด ก็ต้องจัดการ แล้วพระเจ้ามีกฎทุกอย่างเขียนไว้ชัดเจน  ถ้าพี่น้องไปทำอย่างนี้ ต้องไปเอาอย่างนี้ มาถวายเป็นเครื่องบูชา  พอถวายเสร็จ บางคนต้องถูกกักตัว มาในพระวิหารของพระเจ้าไม่ได้กี่วันๆ  คือกฎเยอะมาก

ฉะนั้น ในช่วงเวลาที่คนยิว แม้จะถูกเลือก โดยพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้น  แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ยังคงรักษากฎบัญญัติอยู่ คือเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่ถูกส่งมา ไม่เชื่อด้วยซ้ำไปว่าพระเยซู คือพระมาซีฮาห์ คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าส่งมาให้กับพวกเขา แล้วเขาก็ปฏิเสธ คือไม่ยอมรับพระเยซู เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก สำหรับคนยิว ถ้าเขาปฏิเสธผู้ช่วยให้รอด ที่ถูกส่งมา เขาก็ไม่มีโอกาสได้รับความรอด  นึกภาพตามนะ ปฏิเสธคนที่มาช่วยเขาให้รอด ยังไงเขาก็ไม่ได้รับความรอดแน่นอน อันนี้ คือจุดสำคัญ

เขาเห็นตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดบนโลกใบนี้  ในช่วงเวลา 3 ปีกว่า ที่พระองค์ทรงประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระองค์ทำหมายสำคัญการอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย  เพื่อจะให้คนยิวรับรู้ว่าพระองค์คือผู้นั้น เป็นพระเจ้าจริงๆ  เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซีฮาห์  แล้วก็สามารถช่วยเขาได้ ฉะนั้น หมายสำคัญการอัศจรรย์ต่างๆ เหล่านั้น ถูกทำขึ้น  เพื่อยืนยันความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ และในขณะเดียวกัน ก็ยังยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ด้วย  ก็คือเป็นทั้งบุตรมนุษย์และเป็นทั้งบุตรพระเจ้า  ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูก็ไม่สามารถทำภารกิจตรงนี้ได้ คือถ้าเป็นพระเจ้า ตายไม่เป็นนะพี่น้อง ต้องมาเป็นมนุษย์ถึงมีสิทธิ์ตายได้  ฉะนั้น เมื่อพระเยซูมาเป็นมนุษย์ พระเยซูเลยมีสิทธิ์เดินไป ที่ไม้กางเขน เพื่อสิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้  พระโลหิตของพระองค์หลั่งออก เพื่อชำระบาปของมนุษยชาติ แล้วพระเยซูตายจริงๆ  เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ไง ในขณะนั้น ถูกฝังจริงๆ  การฝังของพระเยซูคริสต์ เพื่อยืนยัน ทำไมพระคัมภีร์ต้องเขียนตรงนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำไมพระเยซูต้องถูกตรึง ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย เขียนวนอยู่ตรงนี้ เพื่อยืนยันให้มนุษยชาติตั้งแต่สมัยโน้น จนถึงสมัยปัจจุบัน  หรืออนาคตข้างหน้า ได้รับรู้ว่าพระเยซูเป็นมนุษย์จริงๆ ตายจริงๆ ถูกฝังจริงๆ และเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ ด้วย เป็นพระเจ้าที่เป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ทรงฤทธานุภาพ และเป็นพระเจ้าที่สามารถช่วยเหลือมนุษยชาติได้ด้วย

ฉะนั้น คนยิวในยุคนั้น  เมื่อได้ยินได้ฟัง ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะต้องยอมรับและเปิดใจรับเอาพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา  เขาถึงจะสามารถรับความรอดได้ รับความช่วยเหลือนี้ได้

เอเฟซัส 1:8 “7ข ตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า 8 ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่เราอย่างเหลือล้น   ด้วยสติปัญญา  และความเข้าใจทั้งปวง”

 

พระคุณตรงนี้ พระเจ้าให้กับผู้คน ให้กับมนุษยชาติ ให้กับคนยิว ในอนาคตข้างหน้า  ก็ให้กับคนต่างชาติด้วยอย่างมากมาย เหลือล้นมาก ด้วยสติปัญญาและความเข้าใจทั้งปวง คือพระเจ้าเตรียมแผนการไว้ล่วงหน้า ตั้งหลายพันปี เพื่อให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในยุคที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์ ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย

เอเฟซัส 1:9 “และพระองค์ทรงให้เรารู้ความลี้ลับ  แห่งพระดำริของพระองค์ ตามที่พอพระทัย  ซึ่งทรงมุ่งหมายไว้ในพระคริสต์”

 

“ความลี้ลับ” … ความลี้ลับที่พระองค์ปิดซ่อนเร้นไว้ คือพระเจ้าจะรวบรวมคนยิวกับคนต่างชาติ ให้เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ ผ่านทางความเชื่อ ซึ่งพระองค์ทรงเปิดเผย สำแดงให้กับคริสตจักรของพระองค์ให้รับรู้ ความลี้ลับนี้ คือความรอดที่พระเจ้าได้เตรียมพระเยซูคริสต์มา เพื่อเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อสิ้นพระชนม์ แทนเราบนไม้กางเขน  เพื่อถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย พระเจ้าได้เปิดให้คริสตจักร ก็คือให้ผู้เชื่อได้รับรู้ คือข่าวประเสริฐของพระเจ้านั่นแหละ คือความลี้ลับที่พระเจ้าเตรียมไว้ ตั้งแต่สมัยเริ่มต้นที่มนุษย์ล้มลงในความบาป แล้วความลี้ลับนี้ พระเจ้าเตรียมการมาตลอด แล้วไม่เปิดเผยให้มนุษย์ได้รับรู้ด้วย แค่บอกว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะส่งพระผู้ช่วยให้มาเกิด แล้วตอนที่พระเจ้าส่งแต่ละคนมา จากที่พระเจ้าส่งผู้เผยพระวจนะต่างๆ ส่งโมเสสมา ส่งโยชูวามา ส่งกษัตริย์ดาวิดมา อิสยาห์ เอลียาห์ เนหะมีย์ ทั้งหมด เป็นเงาของพระเยซูคริสต์ในอนาคตข้างหน้า  ที่พระเจ้าบอกว่าจะมาช่วยมนุษยชาติให้รอด

แล้วเราจะเห็นผู้เผยพระวจนะในอดีต พระเจ้าให้มาช่วยคนอิสราเอล ในเวลาที่เขายากลำบาก พระเจ้าก็ส่งมา เป็นเงาที่จะบอกให้เห็นว่าอนาคตข้างหน้า พระผู้ช่วยให้รอดจะถูกส่งมาให้กับมนุษยชาติ  คือเล็งถึงพระเยซูคริสต์ แล้วเราเห็นผู้เผยพระวจนะเยอะแยะมากมายในอดีต เวลาพระเจ้าจะคุยกับคนอิสราเอล ตอนนั้นคุยกับคนอิสราเอลพวกเดียวเลยนะ ไม่ได้คุยกับพวกเราเลย คือพวกเราไม่ได้อยู่ในระดับที่พระเจ้าจะคุยด้วย พระองค์ก็จะคุยกับคนอิสราเอลผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ผ่านทางโมเสส พระเจ้าตรัสกับโมเสส … โมเสสก็มาบอกต่อ แล้วคนอิสราเอลก็จะเชื่อฟังโมเสส แล้วก็จะทำตาม มีคนที่ไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตาม ก็รับผลของการไม่เชื่อฟัง มันเป็นขบวนการที่พระเจ้าทำเป็นเงาให้เราเห็นว่าอนาคตข้างหน้า พระองค์จะส่งตัวจริงๆ คือคนเหล่านี้เป็นแค่เงาเท่านั้น ที่พระเจ้าส่งมา

ยอห์น บัพติศโต ถูกเขียนไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่พระเจ้าส่งมากรุยทางให้พระเยซู ที่จะมาประกาศว่า …

“มาแล้วๆ คนที่พระเจ้าเตรียมไว้ได้มาถึงแล้วนะ คือท่านผู้นี้แหละ”

แล้วทุกคนก็โห้ ใช่ไหม? หลายคนก็ตามพระเยซูไป หลายคนก็ไม่เชื่อ ก็ไม่เอาเหมือนกัน

ฉะนั้น พอถึงยุคของพระเยซูคริสต์ คำสั่งสุดท้ายที่พระเจ้าได้ตรัสกับมนุษยชาติ ก็คือให้เชื่อฟังพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ผู้เผยพระวจนะ ไม่มีแล้วนะ หลังจากยอห์นไม่มีแล้ว พระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่พระเจ้าให้เราเชื่อฟัง แล้วถ้ามนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเยซูคริสต์ ก็คือจบเลย พระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่ถูกส่งมา เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด ถ้ามนุษยชาติไม่เชื่อ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? ก็อยู่ที่เดิมนั่นแหละ

เอเฟซัส 1:10 “พระดำริของพระองค์  ก็คือเมื่อถึงกำหนดเวลา  พระองค์จะทรงรวมสิ่งสารพัดทั้งในสวรรค์ และบนแผ่นดินโลกไว้ภายใต้พระคริสต์  ผู้ทรงเป็นศีรษะ”

 

ข้อที่ 10 ตรงนี้ “พระดำริของพระองค์” ก็คือเมื่อถึงกำหนดเวลา ก่อนหน้านั้น พระเจ้าทรงกำหนดเฉพาะคนอิสราเอล ตอนที่พระเยซูมาประกาศ พระเยซูบอกว่าเราถูกใช้มา เพื่อค้นหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล ก็คือเอาอิสราเอลอย่างเดียวเลย พอหลังจากที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ ยอห์น บทที่ 17 ที่พระเยซูทรงอธิษฐาน พระองค์บอกว่าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเผื่อผู้คนเหล่านี้เท่านั้น คือพวกยิว แต่พระองค์อธิษฐานเผื่อคนทั้งหมดเลย ที่ไม่ใช่ยิวด้วย เพื่อวันหนึ่งข้างหน้า คนเหล่านั้น จะได้มารับความรอดร่วมกับคนยิว ก็คือมารวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์  ดังนั้น ในข้อที่ 10 ตรงนี้บอกว่าพระดำริพระองค์ ก็คือเมื่อถึงเวลากำหนด พระองค์จะทรงรวมชนชาติยิว รวมคนต่างชาติ ให้มารวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน

เราจะเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร?  หนึ่งเดียวกัน คือเมื่อทันที ที่ใครก็ตามบนโลกใบนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราทุกคนจะถูกนำไปบัพติศมา และหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วร่างกายเราถูกชำระ ร่างกายเก่านี้นะ ถูกชำระให้เรียกว่าพระเจ้าพอรับได้  ประมาณหนึ่ง เพื่อพระองค์ จะให้ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคได้

แล้วใครที่เชื่อพระเยซูคริสต์ ทุกคนจะเข้าขบวนการนี้หมด แปลว่าทุกคนกับพระเยซูคริสต์หลอมกันเป็นหนึ่งเดียว เมื่อหลอมกันเป็นหนึ่งเดียวปุ๊บ ผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นยิวหรือคนต่างชาติ เขาก็จะถูกหลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือแผนการความลี้ลับของพระเจ้าที่วางไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็ให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ประกาศไปถึงคนต่างชาติ แล้วก็ขอบคุณพระเจ้าที่พวกเราทุกคนที่เป็นคนต่างชาติ ก็ได้มีโอกาสมาต้อนรับพระเจ้า มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด มีโอกาสมาเป็นลูกของพระองค์ เป็นผู้ชอบธรรม ร่วมกับพระเยซูคริสต์ สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด แล้วสามารถเป็นวิหารของพระเจ้า ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือทุกคนที่เชื่อ จะได้รับสิทธิ์ตรงนี้เท่ากันหมด

ตรงที่พระเจ้าบอกว่ารวมทั้งหมด สิ่งสารพัดในสวรรค์ บนแผ่นดินโลกไว้ภายใต้พระคริสต์ คือไม่ใช่รวมเฉพาะผู้คน แต่รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งหมด ที่ถูกสร้างมาบนโลกใบนี้ รวมไปจนถึงในอนาคตข้างหน้า  ที่พระเจ้าจะให้พวกเราได้ไปโลกใหม่ ที่พระเจ้าจะสร้างใหม่ ในพระคัมภีร์บอกว่าโลกนี้ถูกทำให้เสียหายไปแล้ว วันหนึ่งข้างหน้า จะต้องถูกทำลายไป  จะสูญสลายไป แล้วเราผู้เชื่อทุกคน ก็รอคอยโลกใหม่ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว รอคอยร่างกายใหม่ ร่างกายที่ขณะนี้ที่เราเป็นอยู่ในเนื้อหนังนี้ เป็นร่างกายเดิม เป็นร่างกายเก่า ที่ยังอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย เราจึงมีความทุกข์ยากลำบาก ในแต่ละวัน ที่เราดำเนินชีวิต แม้ว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม เราก็ยังต้องรับความทุกข์ยากลำบากตรงนี้ เรายังต้องต่อสู้ในการใช้ชีวิตในแต่ละวันว่าเราจะทำตามพระเจ้า หรือจะไม่ทำตาม ก็คือจะดื้อกับพระเจ้า ยังมีโอกาสอย่างนี้ทุกวัน เผลอๆ ต้องบอกว่าทุกเวลาด้วย แต่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะให้กำลังเราในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เมื่อเรารับรู้ถ้อยคำของพระเจ้า รับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า รับรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ รับรู้ว่าตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ เราสะอาดบริสุทธิ์หมดจด รับรู้ว่าวิญญาณเก่าเราตายไปแล้ว รับรู้ว่าตอนนี้เรามีวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย สะอาด บริสุทธิ์หมดจด ไม่มีที่ติเลย ในสายพระเนตรของพระเจ้า

พอเรารับรู้มากเท่าไร? เราก็จะสำแดงธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าให้กับเราออกมาให้ผู้คนได้เห็นมากขึ้น  ตรงนี้หลายคนคิดว่าเราต้องพยายามทำ ความเป็นจริง คือไม่ต้อง ต่อให้เราพยายามทำแค่ไหน? เราก็ทำไม่ได้หรอก คือเราไม่ต้องพยายามทำ เราแค่รับรู้ว่าเราเป็นใคร? เมื่อเรารับรู้มากขึ้น พระเจ้าก็จะผลักดันสิ่งที่เรารับรู้ เป็นผลออกมา ให้คนอื่นได้เห็น โดยที่เราอยู่เฉยๆ เหมือนที่ดิฉันเคยยกตัวอย่าง ต้นไม้ ดอกไม้ … ดอกไม้ไม่ต้องทำอะไรเลย รอเวลาเท่านั้น คนที่ปลูกต้นไม้ ปลูกดอกไม้จะเป็นผู้ดูแล เป็นผู้ใส่ปุ๋ย พรวนดิน รดน้ำ คอยเก็บวัชพืช คอยเล็มใบที่ไม่สวยออกไป แล้วก็คอยป้องกันว่ามีแมลง หรือมีหอยทากมาแทะกินไหม? เขาจะป้องกันสุดชีวิต แล้วต้นไม้ต้นนั้น ถ้าสมมติเป็นดอกกุหลาบ เขาก็รอเวลา รอด้วยความอดทน

เหมือนกับคริสเตียน เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็รอ เราอยู่ในการดูแลของพระเจ้า พระเจ้าจะเป็นผู้ประคบประหงมชีวิตของเรา พระเจ้าจะคอยรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ป้องกันวัชพืช โดยวิธีไหน? โดยที่เราจดจ่อไปที่ถ้อยคำของพระเจ้า รับรู้ความจริงว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ธรรมชาติใหม่ของเราเป็นอย่างไร? รับรู้ไปเรื่อยๆ ก็เท่ากับว่าอดทน รอคอย พอถึงเวลากำหนดของการออกดอกของต้นไม้ต้นนั้น  ก็คือการเกิดผลของคริสเตียนนั่นแหละ เกิดผลของผู้เชื่อนั่นแหละ อดทน รอคอย พอถึงเวลาที่จะออกผล พระเจ้าก็จะสำแดง แล้วการออกผลตรงนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่ามันผ่านความทุกข์ยากลำบาก ทำให้ผลมันออกมา

ทำไมถึงบอกว่า “ผ่านความทุกข์ยากลำบาก” พี่น้องลองคิดดู ถ้าต้นไม้ ดอกไม้มีชีวิต เขาก็คงบอกว่าทุกข์ยากลำบากนะ รอน๊านนาน เมื่อไรจะออกสักที ดอกไม้ออกมาเป็นดอกตูม ตูมตั้งนาน เป็นเดือนเลย ยังไม่บานสักที เขาทุกข์นะ จริงๆ ถ้าเป็นต้นไม้หรือดอกไม้ เขาคงคิดว่าน่าจะตูมปุ๊บ พรุ่งนี้บานเลย คนอื่นจะได้มาชื่นชม แต่มันไม่ได้ มันเป็นขบวนการ ที่พระเจ้าจะค่อยๆ ทำทุกอย่าง ทุกเรื่องเลยนะ ในโลกใบนี้  พระเจ้าให้เราเห็นขบวนการ  เหมือนกับคนเหมือนกัน มีทารกเกิดมา ไม่ใช่ว่าวันนี้เกิดมาปุ๊บ พรุ่งนี้จะโตวิ่งได้เลย แล้วก็มีความคิดอ่าน ทำโน่นทำนี่ได้ ไม่ใช่ ก็ต้องค่อยๆ เข้าสู่ขบวนการการเจริญเติบโต ต้องผ่านประสบการณ์เยอะแยะมากมายกว่าเด็กคนหนึ่งจะเจริญเติบโต เด็กคนหนึ่งเรียนรู้ที่จะคลาน หรือเรียนรู้ที่จะพลิกตัว เขาใช้ความพยายามสุดชีวิตเลยนะ ถ้าพี่น้องไปดูเด็กกำลังพลิกตัว เขาจะพยายามหงายตัว ฝึกคว่ำตัว เขาจะใช้แรงอึดทุกอย่างเลย พยายามกระดื๊บๆ ให้ตัวเองสามารถพลิกได้ หรือช่วงที่เขากำลังตั้งไข่ จะยืน เขาก็จะล้มลุกคุกคลาน หัวทิ่มหัวตำ หรือแม้แต่เดิน ก็จะล้มตลอดเวลากว่าขาเขาจะแข็งแรง ที่จะเดินปกติได้ หรือวิ่งได้ ผ่านขบวนการทุกข์ยากลำบากทั้งหมดแหละ เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่านั่นคือความทุกข์ยากลำบาก เราผู้ใหญ่ก็มอง คอยลุ้นตลอดเวลา เวลาลูกหลานเรากำลังตั้งไข่ เราจะคอยทำมือ เมื่อไรเขาจะล้ม จะไปช่วย พระเจ้าเหมือนกัน พระเจ้าก็ดูแลเราแบบนี้ จนวันหนึ่ง เราก็จะสำแดงความเป็นเหมือนพระเจ้าออกมาให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าจงฉายแสงออกไป เพราะเราเป็นแสงสว่าง จงฉายความดีออกไป จงฉายความเมตตา ความปราณี ความรักที่สำแดงออกมา ความรักตรงนี้ คือพระเจ้าให้เราแล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเจ้า เรามีอยู่แล้ว  ไม่ต้องไปขวนขวาย ไม่ต้องไปพยายามทำ ไม่ต้อง มันมีอยู่แล้ว พอถึงเวลาที่เหมาะสมพระเจ้าจะให้ความรักนี้ออกไป โดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องฝืนเลย เราแค่อดทน รอคอยพระเจ้าบากบั่น เรียนรู้ตามถ้อยคำของพระองค์ ที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว ณ เวลานี้  พระเจ้าอวยพรทุกท่านค่ะ

 

********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

“แต่พวกท่าน (ผู้เชื่อพระเยซู)  เป็นพงศ์พันธุ์ที่ทรงได้เลือกสรร (ได้ย้ายแล้ว)  เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณ (ความยิ่งใหญ่แห่งพระสิริบารมีและพระคุณ) ของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกพวกท่าน (ย้ายพวกท่าน) ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์”  1 เปโตร 2:9

 

ย้ายหรือไม่ย้าย ขึ้นอยู่กับท่าน

พระเจ้ากำลังขอร้องท่านให้ยอมย้ายออกจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่าง อันมหัศจรรย์ของพระองค์

ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ

 

บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน

“พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว? แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สองเพื่อเกิดออกมาใหม่!” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ในครรภ์ คือเป็นมนุษย์) และ (เกิดใหม่ทางวิญญาณ) พระวิญญาณ มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่านต้องเกิดใหม่ ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหนหรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นกัน”  ยอห์น 3:3-8

 

“นี่ลูกทำตัวให้เหมือนมนุษย์มนากับเขาบ้างไม่ได้หรือไงนะ”

ลูกมนุษย์จะประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงเป็นมนุษย์  เพราะเขาเป็นลูกมนุษย์ โดยกำเนิด   เขาเกิดมาเป็นมนุษย์

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1326

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  สิงหาคม  2021

 เรื่อง “เกิดอะไรขึ้น เมื่อวิญญาณออกจากร่าง” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้จะต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว … “เกิดอะไรขึ้น เมื่อวิญญาณออกจากร่าง” ตอนที่ 2 ครั้งที่แล้วเราเรียนรู้กันไปแล้วว่าเมื่อวันที่กายฝ่ายโลกของเราดับลง ตายลง วิญญาณออกจากร่างเกิดอะไรขึ้นบ้าง? ซึ่งสิ่งที่เราเรียนรู้ไป สัปดาห์ที่แล้ว เป็นกรณีของผู้ที่เป็น คริสเตียนตายลง หรือล่วงหลับก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในวันพิพากษา

วันนี้ตอนที่ 2 เราจะมาดูกันว่าแล้วเมื่อถึงเวลา ที่พระเยซูคริสต์กลับมาครั้งที่ 2 ซึ่งในพระคัมภีร์ก็บอกแล้วว่าเมื่อไรไม่รู้ และไม่มีใครรู้ เหมือนขโมยย่องมาตอนกลางคืน  พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด? วันใด? เวลาใด?  เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปเดา แต่ให้รู้ว่ามันเกิดขึ้นแน่นอน แต่พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในวันนั้น วันที่พิพากษา ซึ่งตรงนี้  ต้องเรียนรู้ จะได้สบายใจ  หรือไม่สบายใจ สำหรับคนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ คนที่เชื่อแล้ว จะได้สบายใจขึ้น  เราจะมาเรียนรู้กันในวันนี้แหละว่ามีอะไรเกิดขึ้นในวันพิพากษา

เราได้เรียนรู้จักถ้อยคำพระเจ้าไปหลายๆ ปีแล้ว  ช่วงท้ายๆ ยิ่งชัดใหญ่  เราได้รับรู้แล้วว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ความรอดนี้ไม่ได้มาจากการกระทำของเรา เป็นของประทาน เป็นของขวัญผ่านทางพระเยซูคริสต์ ให้กับมนุษย์ทุกคนที่เชื่อ ให้มาเปล่าๆ ฟรีๆ ที่เรียกว่าพระเยซูเป็นของขวัญ ทางสู่สวรรค์ จากพระเจ้ามาสู่มนุษย์ทุกคน

เพราะฉะนั้น ใครที่เชื่อในข่าวดี ผ่านข่าวดีของพระเจ้า ก็ได้เข้าสู่สวรรค์ คือรอดพ้นจากการถูกพิพาษาลงโทษ โดยไม่ได้พึ่งพาการกระทำของตนเองเลย แม้แต่นิดเดียว คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูเพียงผู้เดียว

ความรอดเริ่มต้นในโลกวิญญาณเลย เมื่อตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ บนโลกใบนี้ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย ความรอดตรงนี้ รอดจากการถูกพิพากษา รอดจากความพินาศ  เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้เริ่มต้นทันทีเลย  ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  โดยผ่านทางการเชื่อ คือเมื่อรับเชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์ ก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นลูกของพระเจ้าทันทีเลยที่รับเชื่อ  ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณทันทีหลังรับเชื่อเลย สิ่งเหล่านี้เราได้เรียนรู้มาเยอะว่ามันเกิดขึ้นแล้ว บนโลกใบนี้ ขณะนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ แล้วก็ดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่อไป ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อนั่นเอง

พอเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  พระเยซูก็สถิตอยู่กับเราแล้ว นำพาชีวิตเราบนโลกใบนี้ ในขณะที่เราเป็นลูกพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้ว พระเยซูก็นำพาชีวิตเราบนโลกใบนี้ มีเป้าหมายเดียว คือไปสู่หลักชัย

หลักชัย คือชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์  สมบูรณ์ครบถ้วน  เราได้รับชีวิตนิรันดร์เริ่มต้นแล้ว อย่างที่ตะกี้นี้บอกไว้  การไปสู่หลักชัย คือการได้รับชีวิตนิรันดร์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือตั้งเป้าวิ่งไปสู่ การได้รับร่างกายใหม่ สวมร่างกายใหม่  ที่เป็นร่างกายจากสวรรค์ เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนเป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระองค์ไม่มีผิดเลย และนั่นคือเป้าหมาย ก็คือหลักชัย คือรางวัลสุดท้าย ผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ที่รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว  เริ่มต้นเมื่อเชื่อแล้ว กำลังวิ่งไปสู่หลักชัยนี้  โดยพระเยซูเป็นผู้จูงมือ นำพาเราเดิน ทรงสถิตอยู่กับเรา

เพราะฉะนั้น หลังจากวิญญาณของผู้เชื่อทั้งหลายออกจากร่าง คือตาย  หรือเรียกว่าล่วงหลับ ไป เราได้เรียนรู้กันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในชั่วพริบตา เท่ากับเปิดประตู ผลักประตูเข้าไปสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ  ก็อยู่ที่เดิม ก็คือเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ ที่สถิตของพระเจ้า แล้วคราวนี้ เห็นพระเจ้าแบบหน้าต่อหน้า เห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า เพราะว่าได้รับร่างกายใหม่ไปด้วย ไม่มีอะไรขวางกั้น ในการมอง ตาฝ่ายร่างกายใหม่ที่ได้รับนั่น  สามารถมองในโลกฝ่ายวิญญาณ เห็นพระเจ้า เห็นพระเยซูแบบหน้าต่อหน้าทันที เปาโลก็ได้แต่หนุนใจเรา ให้เราร้อนรนในสิ่งเหล่านี้ แล้วบอกให้เราทั้งหลายจดจ่อ ตื่นเต้นไปกับการรอคอยวันแห่งชัยชนะนี้ รอวันที่จะได้รับร่างกายใหม่

เปาโลจะพูดสิ่งเหล่านี้ตลอด เป็นระยะ ในหนังสือจดหมายฝากเกือบทุกเล่มที่ท่านเขียน เดี๋ยวตรงนั้นก็บอก เดี๋ยวตรงนี้ก็บอก จงอดทน รอคอยวันนั้นแหละ วันที่เราจะได้ไปพักผ่อน  วันที่เรารอคอย คือวันแห่งพระสิริของพระคริสต์ ที่จะเต็มครบถ้วนบริบูรณ์ในเรา  คือวันที่เราจะได้รับร่างกายใหม่ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  ก่อนที่เราจะออกจากร่าง ไปรับร่างกายใหม่  วันที่เราจะได้สวมร่างกายใหม่  ได้รับประสบการณ์ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ในอาณาจักรสวรรค์ทันที ให้เราตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านี้ เปาโลก็หนุนใจเรากับสิ่งเหล่านี้

เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะเชื่อฟังพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ก็ให้เราหนุนใจตรงนี้แหละ  ตรงนี้เป็นเป้าหมายเดียวที่เราวิ่งไปสู่หลักชัยของเรา ในชีวิตนี้ ไม่มีอะไรสำคัญกว่านี้อีกแล้ว ได้รับแล้วตอนนี้  ได้รับทางวิญญาณเรียบร้อยแล้ว รออีกนิดเดียว  วิ่ง โถมตัวสุดท้ายเลย  ไปที่ร่างกายใหม่ ร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่วิญญาณออกจากร่าง

ในตอนที่พระเยซูตระเวนสอน  ตระเวนประกาศข่าวดี ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี  ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ตอนที่จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์  มีชายคนหนึ่งในพวกฟาริสี ชื่อนิโคเดมัส เขาเป็นขุนนางของยิว  แอบมาหาพระเยซู ตอนกลางคืน ได้รับรู้เรื่องนี้ไปแล้ว แล้วก็จะมาถามการเข้าสวรรค์ที่พระเยซูคริสต์ พูดถึง …

“สวรรค์มาแล้ว สวรรค์กำลังมาถึงในเร็วนี้ จะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร?”

แล้วพระเยซูก็เล่าให้เขาฟัง บอกให้เขาฟังว่าคนที่เข้าสวรรค์ได้ ต้องบังเกิดใหม่

นิโคเดมัสก็ไม่เข้าใจ … “เกิดใหม่ ต้องกลับเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาอีกทีหนึ่งหรือ?”

พระเยซูบอก … “ไม่ใช่อย่างนั้น”

สรุป ก็คือกลับใจใหม่ แล้วท่านจะได้บังเกิดใหม่  บังเกิดใหม่เข้าสวรรค์ บังเกิดทางวิญญาณ ไม่ใช่บังเกิดทางเนื้อหนัง  เข้าไปสู่ครรภ์มารดา ไม่ใช่อย่างนั้น บังเกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  บังเกิดในวิญญาณ วิญญาณได้เกิดใหม่ จึงเข้าสวรรค์ได้

นิโคเดมัส ฟังเสร็จปุ๊บ ก็ถามต่อว่า … “แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร?”

มันก็น่าถามนะ  เราก็คงคิดเหมือนกัน ตอนนี้เราก็คงคิดว่า … “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? จะบังเกิดใหม่ได้อย่างไร?”

พระเยซูก็ตอบว่าบังเกิดใหม่เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์บังเกิดขึ้นได้อย่างไร? และมันเกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ด้วย เกิดขึ้นได้อย่างไร? ด้วยความเชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์ ในสิ่งที่พระองค์พูด และพระองค์ทรงกระทำให้กับเราแล้ว ให้เราบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์

“บังเกิดใหม่เป็นอย่างไร?” … นิโคเดมัสถาม  ในยอห์น 3:14-18 พระเยซูก็ตอบให้อย่างนี้ ชัดเจนเลยนะ เราลองมาดูกันว่าพระเยซูตอบว่าอย่างไร? …

ยอห์น 3:14-15  “14 โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้น อย่างนั้น 15 เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์ (ได้เกิดใหม่ มีชีวิตจิตวิญญาณเหมือนพระองค์ทันที)”

 

พระเยซูก็บอกว่า … “ก็เหมือนโมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดาร” ซึ่งเป็นเงาของเรื่องนี้ ก็คือ ในช่วงนั้น คนอิสราเอลมีเชื้อโรคมาทำให้ป่วย รักษาไม่หาย  แล้วพระเจ้าให้โมเสสเอาไม้เท้า สัญลักษณ์งู แล้วก็ยกไม้ขึ้น ในนี้จึงบอกว่าโมเสสยกงูขึ้น ใครก็ตามที่เชื่อโมเสส มาหาโมเสส แล้วมองไปที่ไม้เท้า  เชื่อในนั้นว่าจะรักษาเขาได้  เขาก็หายจากโรค เหมือนกันพระเยซูกำลังพูดถึงว่าเมื่อพระเยซูถูกยกขึ้น  ก็คือถูกตรึงบนไม้กางเขน ใครที่เชื่อว่าพระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน ตายเพื่อชำระบาปให้กับผู้นั้น ผู้นั้นก็จะพ้นโทษจากความบาป สามารถบังเกิดใหม่ มีชีวิตวิญญาณที่ไม่ตายต่อไป จากตาย กลายมาเป็นมีชีวิต หมายถึงอย่างนั้น  แล้วมีเมื่อไร? มีทันที เมื่อเชื่อในพระองค์ว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน หลังจากพูดนี้ อีกไม่นาน  พระองค์ก็ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อยกบาป เพื่อชำระบาปให้กับมวลมนุษย์ แล้วทำให้เราได้มีชีวิตนิรันดร์เกิดขึ้นทันที เมื่อเราเชื่อ หมายถึงอย่างนั้น ข้อ 16 พระเยซูก็อธิบายต่อว่า …

ยอห์น 3:16-18  “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (วิญญาณตายอยู่ในบาป)  แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก (มนุษย์ที่ตายอยู่ในบาป) แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา (ลงโทษในวันสุดท้าย) แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

ในข้อ 16 บอกว่าเพราะพระเจ้าทรงรักโลก รวมทั้งมนุษยชาติบนโลกยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ประทานให้พระบุตรนั้นถูกยกขึ้น  ถูกตรึงบนไม้กางเขน  เพื่อว่าคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเขา คนที่เชื่ออย่างนี้ เขาจะไม่พินาศ ตั้งใจฟังตรงนี้ให้ดีๆ  คือไม่ต้องพินาศอยู่ในบึงไฟนรก ไม่ต้องพินาศอยู่ในนรก เพราะว่าวิญญาณตายอยู่ หรืออยู่ในบาป  เขาจะได้ไม่อยู่ในบาป ไม่อยู่ในความตาย ทางวิญญาณ แต่กลับมีชีวิตนิรันดร์  เพราะความเชื่อตรงนี้ กลับมีชีวิตนิรันดร์ เขาจะมีชีวิตนิรันดร์

คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” คือชีวิตที่เหมือนพระเยซู ชีวิตที่เป็นของพระเจ้า  ถ้าเขาเชื่อ เขาจะไม่ต้องอยู่ในความตาย  แต่กลับมีชีวิต  พูดง่ายๆ  เมื่อไร? เมื่อตอนที่เขาดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แหละ

ข้อ 17 บอกว่าเพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาบนโลก เพื่อพิพากษาโลก พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูคริสต์มาในครั้งแรกนั้น  เพื่อทำการสำเร็จโทษ หรือพิพากษามนุษย์ ที่ตายอยู่ในบึงไฟนรก ไม่ได้มาทำการพิพากษา  แต่เพื่อช่วยให้มนุษย์นั้น รอดจากการถูกพิพากษาว่าพินาศ  อยู่นรก คือมาช่วยให้เขารอดจากนรก รอดจากความพินาศ รอดจากความตายฝ่ายวิญญาณนั่นเอง

ข้อ 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ คือเชื่อในพระเยซู ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษในวันสุดท้าย  เห็นหรือยังครับ  ผู้ใดที่เชื่อในการกระทำของพระเยซู จากวิญญาณที่ตาย  ก็กลับมามีชีวิต จากการถูกพิพากษาอยู่ ก็กลายเป็นรอดจากการถูกพิพากษา พอถึงวันสุดท้าย  ก็ไม่ต้องถูกสำเร็จโทษ  ไม่ต้องถูกพิพากษารับโทษ เพราะถูกช่วยให้รอดแล้ว

แต่ผู้ใดไม่เชื่อ คือไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนนั้น  ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่บาป ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว อันนี้แหละสำคัญ ก็แสดงว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ถูกพิพากษาให้อยู่ในนรกเรียบร้อยไปแล้ว  ยกเว้นว่าคนนั้นเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และต้อนรับพระเยซู เชื่อในพระเยซู เขาก็จะได้รับการอภัยโทษ ที่ถูกพิพากษาไปแล้วนั้น ให้เป็นอิสระ และได้รับความรอด  จากโทษนั้น ก็ไม่ได้เข้าสู่การพิพากษาลงโทษในวันสุดท้าย ในนี้จึงบอกว่าผู้ใดไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อ ในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตชำระบาป  ปลดปล่อยให้ท่านเป็นอิสรภาพจากการพิพากษาลงโทษ จากความพินาศในนรก มามีชีวิตนิรันดร์ บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้าได้นั่นเอง

ความรอด จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทันที บนโลกใบนี้ ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อ? รอดหรือไม่รอด เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ การตัดสินใจ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้  เป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดว่าท่านจะอยู่ในความพินาศในนรก หรือได้รับความรอด มีชีวิตนิรันดร์ ขึ้นอยู่กับบนโลกใบนี้เลย ต้องตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็คือย้ายออกจากความพินาศ มาสู่ความรอดนิรันดร์ หรือย้ายออกจากอาดัม มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่าง สรุป ก็คือย้ายจากนรก มาอยู่สวรรค์ ท่านตัดสินใจเลือกข้างตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้วนั่นเอง  มีพระเยซูเป็นผู้บอกเรา สอนเราอย่างชัดเจน ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำการงานเหล่านี้สำเร็จบนไม้กางเขน

ในสัปดาห์ที่แล้ว เราเรียนรู้แล้วว่าใครก็ตาม ที่เป็นผู้เชื่อ  แล้วก็ตายลง  ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา  ครั้งที่ 2 ในวันพิพากษา พระองค์ก็จะมารับไปทันที ไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ทันทีเลย  แค่พริบตาเดียว ไม่ว่าจะพึ่งตาย หรือตายไปนานแล้ว ก็ตาม พวกเขาเหล่านั้น ถูกรับไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้าเรา แล้ววันที่ตายขึ้นมา ถ้าพระเยซูยังไม่เสด็จมา  เราก็ตามเขาไปอยู่ที่เมืองบรมสุขเกษม เขาที่ก่อนหน้าเรา ก็ไปรออยู่ที่เมืองบรมสุขเกษมเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา ครั้งที่ 2 มาพิพากษาโลก ถึงวันนั้น ถ้าเรามีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย จะเกิดอะไรขึ้น? มันน่าตื่นเต้นไหมครับ? ร่างกายเราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงในพริบตา แล้วเราก็จะไปพบกับพระเยซู และบรรดาพี่น้อง ที่อยู่ในเมืองบรมสุขเกษมเช่นนั้นแหละ นี่คือความตื่นเต้นในสายตาของผู้ที่เชื่อแล้ว

พอเชื่อแล้ว รับรู้ความจริงเหล่านี้ ก็จะไม่มีความกลัว ในวันพิพากษาโลก อย่างที่บางคนกลัวอยู่ ทุกวันนี้ก็มีคริสเตียนหลายคน ที่ยังมีความกลัวเกี่ยวกับการกลับมาพิพากษาของพระเยซูคริสต์ ครั้งที่ 2 ยังมีความกังวล วิตกว่าเมื่อวันพิพากษาโลกมาถึงจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น  จะรอดพ้นจากการพิพากษาหรือไม่? มีคริสเตียนบางคนคิดอย่างนี้เหมือนกัน ก็เลยกลัวๆ กล้าๆ บางคนกลัวจริงๆ เลย

ผมก็มีหลายท่านที่เป็นลูกแกะได้มาถามอยู่เรื่อยๆ รู้ว่าเขาเกิดความกังวล กลัวมากในเรื่องเหล่านี้  แต่ก็พยายามอธิบายให้เขาฟังด้วยถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ก็ช่วยได้เยอะเลย  จนกระทั่งบัดนี้ ความกลัวนั้น หายไปแล้ว ก่อนหน้านี้เขากลัวจริงๆ  ไม่น่าเชื่อนะ จะมีคริสเตียนที่เชื่อแล้ว กลัวเรื่องนี้จริงๆ เพราะความจริง จะทำให้เราเป็นไท ความจริงไปไม่ถึง ก็เลยไม่เป็นไท

วันนี้ เราจึงมาคุยกันเรื่องนี้ว่าคริสเตียน เมื่อถึงวันพิพากษาโลก จำเป็นต้องกลัวไหม?  วันนี้เราจะมาค้นหาความจริง  จากพระคัมภีร์กันต่อจากครั้งที่แล้ว ที่พูดถึงวันพิพากษาโลกไว้อย่างไร? น่ากลัวอย่างที่เราคิดจริงหรือเปล่า? ความจริงที่ท่านจะได้พบประโยชน์วันนี้ ก็คือความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ จะได้ไม่กลัว แถมตื่นเต้นและยินดีด้วยซ้ำไป แถมยิ่งอยากเชียร์ ร้อนรนให้มันถึงเร็วๆ  ไม่ใช่ถึงแบบเซ็งโลก ไม่ใช่อารมณ์แบบนั้น  ไม่ใช่อารมณ์กลัว หรือดีเพรสชั่น  ซึมเศร้า อยากจะไป อะไรแบบนั้น  มันตื่นเต้นที่จะได้พบกับวันนั้น  วันแห่งการพักผ่อนนิรันดร์

พระคัมภีร์บอกพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา อีกครั้งหนึ่ง มาพิพากษาโลก เป็นครั้งที่ 2  ในวันพิพากษาโลก ก็คือรวมทั้งมนุษย์ด้วย ทั้งโลกเลย ที่เรียกว่าการตัดสินพิพากษา หน้าบัลลังก์สีขาวของพระคริสต์  การกลับมาครั้งที่ 2 คืออันเดียวกัน  คือการตัดสินพิพากษา หน้าบัลลังก์สีขาวของพระคริสต์ บันทึกไว้ในหนังสือวิวรณ์

หนังสือวิวรณ์บรรยายไว้ว่าในวันพิพากษาโลกจะมีการแบ่งแยกมนุษย์ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 อยู่ที่วิวรณ์ บทที่ 20 กลุ่มที่ 2 อยู่ในวิวรณ์ บทที่ 21 เราจะมาเรียนรู้กัน และท่านคิดตามด้วยว่าท่านอยู่ในวิวรณ์บทที่ 20 หรือ 21 มาเริ่มอ่านกัน วิวรณ์ 20:10-12 ก่อน …

วิวรณ์ 20:11-12 “11 ข้าพเจ้าเห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาว พร้อมทั้งผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งนั้น เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ แผ่นดินโลกและท้องฟ้าก็หายไป ไม่มีที่สำหรับทั้งสองสิ่งนี้แล้ว 12 และข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ตาย (ไม่เชื่อ ไม่มีชีวิต) ทั้งผู้ใหญ่ ผู้น้อย ยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง หนังสือเล่มต่างๆ เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต และผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษา ตามการกระทำของตน ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น (ผู้ที่พึ่งพาการกระทำดีของตนเอง ไม่เชื่อวางใจในการกระทำของพระเยซู)”

 

อ่านตรงนี้ สรุปว่าใครคือผู้ที่ถูกพิพากษา คิดตามนะ  ผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด  ก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตน ผู้ที่ตายแล้ว หมายถึงใคร?  เราลองมาสำรวจข้อความนี้กัน …

“ข้าพเจ้าเห็นพระที่นั่งสีขาว พร้อมทั้งผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งนั้น  เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ แผ่นดินโลกและท้องฟ้าก็หายไป  ก็คือวันสิ้นโลกนั่นแหละ ไม่มีที่สำหรับทั้งสองสิ่งนี้แล้ว  และข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ตาย ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่ต่อหน้าพระที่นั่ง”

“ข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ตาย” คือใคร? ใช่ท่านหรือเปล่า? ผู้เชื่อหรือไม่?  ตะกี้นี้เราเรียนรู้จากพระคัมภีร์แล้ว พระเยซูตรัสเองบอกว่าใครเชื่อในพระองค์ เขาจะได้รับหรือมีชีวิตนิรันดร์ เราไม่ได้ตาย เรามีชีวิตอยู่ เห็นหรือยังครับ?

“ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ตาย” เราไม่ได้เป็นคนตาย  เราเป็นคนมีชีวิต พอเรารับเชื่อในพระเยซู เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เห็นหรือยัง?

และหนังสือต่างๆ ก็ได้ถูกเปิดออก และแล้วหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ก็ได้ถูกเปิดออกด้วย เป็นหนังสือแห่งชีวิต หนังสือสำหรับจดชื่อคนที่มีชีวิตนิรันดร์ ที่อยู่ในหนังสือนี้  อีกหลายเล่มที่เปิดออกนั้น  ไม่มีชีวิต คือตาย และผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษา คนที่ไม่เชื่อเหล่านั้น  ก็ถูกพิพากษา ตามการกระทำของเขา พูดง่ายๆ ว่าผู้ที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง ไม่เชื่อ วางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ก็ช่วยตัวเองไม่ได้  ถูกพิพากษา เป็นไปตามการกระทำของตัวเอง ไม่สามารถช่วยตัวเองได้

สรุปแล้ว ก็คือผู้ที่ถูกพิพากษา คือผู้ที่พึ่งพาการกระทำของของตนเอง ไม่เชื่อ ไม่วางใจในการกระทำของพระเยซูนั่นเอง เรามาอ่านวิวรณ์ 20:13 …

วิวรณ์ 20:13  “ทะเลคืนคนตายที่อยู่ในทะเล ความตายและแดนมรณา ก็คืนคนตายที่อยู่ในนั้น และแต่ละคนถูกพิพากษาตามการกระทำของตน”

 

“ผู้ที่ตายแล้ว” หมายถึงใคร? คำว่า “คนตาย” ตรงนี้ไม่ได้หมายความรวมถึงผู้เชื่อเลย  แต่หมายถึงผู้ที่พึ่งพาการกระทำดีของตนเอง  ผู้ที่ไม่เชื่อนั่นเอง  ไม่เชื่อวางใจในการกระทำของพระเยซู คนเหล่านั้นที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง  จะต้องถูกพิพากษา ตามการกระทำของตน  ซึ่งตัดสินตั้งแต่ตอนมีชีวิต อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  เขาต้องพึ่งพาการกระทำของตนเอง เพราะเขาตัดสินใจจะพึ่งตนเอง แต่คนที่เชื่อในพระเยซู เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พึ่งตนเอง พึ่งในการกระทำของพระเยซู เพื่อจะได้พ้นจากบาป  แต่คนที่ไม่เชื่อ คือเขากะจะทำดีด้วยตนเอง เพื่อจะรักษาความดี ชนะความบาปให้ได้ หมายถึงอย่างนั้น

พูดให้เข้าใจง่ายๆ ตรรกะ ก็คืออย่างนี้ คนที่พึ่งตนเอง ก็ได้รับผลจากการกระทำของตนเอง  คนที่พึ่งพระเยซู ก็ได้รับผลจากการกระทำของพระเยซู ง่ายนิดเดียว และความจริง คือไม่มีมนุษย์คนใดในโลกนี้ไม่เคยทำบาป  ก็เกิดมาเป็นบาปอยู่แล้ว  พระคัมภีร์บอกไว้เช่นนั้น เพราะฉะนั้น คนที่พึ่งตนเอง ทุกคนก็ต้องรับผลจากการกระทำของตนเอง คือรับโทษของความบาปนั่นเอง  มันหนีไม่พ้น  ไม่เคยทำบาปเลยแม้แต่ครั้งหนึ่ง เหรอ! ส่วนคนที่พึ่งพระเยซู ก็ได้รับผลจากการกระทำของพระเยซู คือพระเยซูลบล้างบาปทั้งหมดสิ้น ให้กับเขาเรียบร้อยแล้ว  ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เพราะพระเยซูได้เอาบาปออกไปหมดสิ้นแล้ว  แล้วพระเจ้าบอกจะไม่จดจำบาปนั้นอีกต่อไป ไม่ว่าบาปในอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคตตลอดไปเลย ตลอดกาล เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ไร้ตำหนิ โดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ด้วยความเชื่อของเขา นั่นเอง โรม 8:1-2  ได้บันทึกไว้แล้วว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เพราะกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ได้ทำให้เขา เป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย หลุดจากการพินาศ หลุดจากการลงโทษพิพากษาเรียบร้อยไปแล้ว

เพราะฉะนั้น  การตัดสินใจตั้งแต่มีชีวิตอยู่ ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ไม่ใช่รอให้จากโลกนี้ไปก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ มันสายไปเสียแล้ว มันเป็นวันสำเร็จโทษแล้ว มันไม่ใช่วันแห่งการอภัยโทษ เหมือนในยุคปัจจุบัน  ก่อนพระเยซูคริสต์มาในขณะนี้นั้น เป็นยุคแห่งการอภัยโทษจากพระเจ้า  รับการอภัยโทษไว้เรียบร้อย รีบรับไว้เสียเถิด ก่อนที่จะสายเกินไป เรามาดูวิวรณ์ 20:14-15 ว่าอะไรเกิดขึ้น? …

วิวรณ์ 20:14-15  “14 แล้วความตายและแดนมรณา ก็ถูกโยนลงในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละ คือความตายครั้งที่สอง 15 ถ้าผู้ใดไม่ได้มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ผู้นั้นต้องถูกทิ้งลงในบึงไฟ”

 

ชัดเจน ผู้ที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ก็คือผู้ที่ไม่ได้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ แต่พึ่งในการกระทำของตนเองนั่นเอง และผู้ที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ก็ต้องเข้าสู่การพิพากษา ตามการกระทำของตนเอง  ซึ่งถูกพิพากษา อยู่ในความพินาศนี้อยู่แล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้  ซึ่งแน่นอน เป็นคนบาป ต้องทำบาปไม่มากก็น้อย อย่างแน่นอน ผลของการพิพากษา ก็คือถูกโยนลงไปในบึงไฟนรก  ก็คือนรกนั่นเอง

พูดง่ายๆ ว่าเมื่อเขาตัดสินใจจะพึ่งพาการกระทำของตนเอง  จะทำดีด้วยตนเอง เพื่อให้บริสุทธิ์สะอาดเข้าสู่สวรรค์ได้ ในวันสุดท้าย ปรากฏว่าถึงวันสุดท้ายจริงๆ แล้ว เขาสอบไม่ผ่าน และก็ไม่มีใครสอบผ่านเลยสักคน พระเจ้ารักมนุษย์ยิ่งนัก  พระเจ้าจึงส่งพระบุตรมาช่วย ให้มนุษย์สามารถสอบผ่านเกณฑ์ที่เข้าสู่สวรรค์ได้  ถ้าเขาไม่เชื่อ  ไม่มีตัวช่วย คือพระเยซูคริสต์  เขาจะต้องอยู่ที่เดิม  คือเป็นคนบาป อยู่ในความพินาศ  หรือไม่ เขาก็ต้องทำดีด้วยตัวเอง จนครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว

พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนว่าถ้ามีชื่ออยู่ในหนังสือแห่งชีวิต ก็ไม่ต้องถูกพิพากษา ถ้าไม่มีชื่ออยู่ในหนังสือ ก็ต้องเข้าสู่ขบวนการพิพากษาลงโทษ หน้าบัลลังก์  ก็คือต้องถูกสำเร็จโทษ  เพราะมีโทษติดอยู่แล้ว พูดอย่างชัดเจนเลย  ไม่มีตรงกลาง ไม่มีเทาๆ ไม่ขาว ก็ดำ มีแค่ 2 อย่าง มีชื่ออยู่ในหนังสือสมุดแห่งชีวิต  หรือไม่มีชื่ออยู่ในนั้น อยู่ในพระคริสต์ หรืออยู่ในอาดัม ไม่ใช่อยู่ตรงกลางๆ  เชื่อหรือไม่เชื่อ  ไม่ใช่ว่าเชื่อครึ่งหนึ่ง หรือไม่เชื่อครึ่งหนึ่ง ไม่มี คนนั้นอยู่บนโลกใบนี้ ตอนที่มีลมหายใจอยู่ได้บังเกิดใหม่หรือเปล่า?  ไม่มีเกิดใหม่นิดหนึ่ง แล้วก็กลับมาตายนิดหนึ่ง เกิดๆ ตายๆ ไม่มี มีแต่เกิดก็เกิดเลย ไม่เกิด ก็คือตาย ในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นเช่นนั้น  ไม่มีตรงกลาง

เรามาดูกันต่อว่าแล้วกลุ่มที่ 2 ที่พึ่งในการกระทำของพระเยซู ไม่เข้าข่ายที่ต้องถูกพิพากษา แล้วเขาไปอยู่ที่ไหน?  อยู่อย่างไร? มีอะไรเกิดขึ้น ในวันพิพากษาโลก มีอะไรเกิดขึ้นกับคนที่เชื่อว่าเขาจะได้รับอะไรบ้าง?  วิวรณ์ 21:1-2 จำไว้นะ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว นี่เป็นของคุณ …

วิวรณ์ 21:1-2  “1 และ (ต่อมา) ข้าพเจ้าได้เห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 และข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์นครนี้ ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาว แต่งกายงดงาม รอรับผู้เป็นสามี”

 

หลังจากในบทที่ 20 เมื่อตะกี้นี้  เราได้พูดถึงบรรดาผู้ที่พึ่งตนเอง  ที่ต้องเข้าสู่การพิพากษาเรียบร้อยแล้ว ในบทที่ 21ก็มาพูดถึงผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซู

ในข้อ 2 “และข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่” หมายถึงอะไร?

ในข้อที่ 1 บอกว่าต่อมา ข้าพเจ้าได้เห็นฟ้าใหม่ โลกใหม่  เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีก ก็หมายถึงโลกใหม่ที่พระเจ้าจะให้แก่ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ได้อยู่อาศัย โลกใหม่ ฟ้าใหม่  โลกเก่าที่อยู่ปัจจุบัน  มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก มีแต่คำสาปแช่ง ดับสูญไป นี่คือของท่าน ท่าน คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิต ที่เป็นของท่าน

และข้อ 2 มีอะไรอีก “และข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์” ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ เยรูซาเล็มใหม่  คือตัวท่านนั่นแหละ คือกลุ่มผู้เชื่อ กลุ่มธรรมิกชนทั้งหลาย  ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ รวมทั้งเราด้วย เพราะเราเป็นผู้เชื่อ ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก วันนั้น ท่าน คือนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่  ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ เห็นไหมครับ?  ตรงกันข้ามกับวิวรณ์ บทที่ 20 สำหรับคนที่ไม่เชื่อ  ทะเลส่งเอาความตาย  พวกที่ตายอยู่ในนรก เอามาถูกพิพากษาตัดสิน แต่ตอนนี้ คนเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นคนที่มีชีวิตอยู่ เรียกว่าธรรมิกชน เรียกว่าผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เรียกว่าเจ้าสาวของพระเจ้า  เจ้าสาวของพระเยซู พระเจ้าให้ลอยลงมาจากสวรรค์ เพราะว่าอยู่สวรรค์อยู่แล้ว ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ตอนเริ่มต้นเชื่อ ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว ตอนนี้ลอยลงมาจากสวรรค์ มาพบกับใคร?

นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้ เหมือนเจ้าสาว เห็นหรือยัง?  นครนี้ คือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ตอนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ตัดสินใจเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็เป็นนครอันบริสุทธิ์แล้ว  ได้รับการตระเตรียมไว้ เหมือนเจ้าสาว เจ้าสาวของเจ้าบ่าว เจ้าบ่าว คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง เหมือนเจ้าสาวที่แต่งกายงดงาม  รอรับผู้เป็นสามี คือเหมือนเจ้าสาวที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากตำหนิใดๆ เลย แล้วใครเป็นผู้คนเหล่านั้น? ก็คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ตอนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในพระคัมภีร์ก็บอกไว้อย่างนั้นว่าพอเราเชื่อพระเยซูคริสต์ พระโลหิตพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราจนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ สะอาดหมดจดตั้งแต่วินาทีนั้น ที่เรารับเชื่อแล้ว และในข้อ 3-4 ได้บอกไว้อย่างนี้อีกว่า …

วิวรณ์ 21:3-4  “3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขา และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 และพระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าว อีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

 

ในข้อ 4 บอกว่า “และพระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา” พวกเขา คือผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป  ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป เพราะว่าระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว

ระบบเก่า คือระบบของกฎความบาปและความตาย  ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้อยู่ คำสาปแช่งที่อยู่เหนือโลกใบนี้ ในขณะนี้  มันไม่มีอีกต่อไปแล้ว  จบ ในโลกใหม่ ที่ผู้เชื่อจะไปอยู่นั้น เป็นโลกใหม่ที่ไม่มีระบบเก่านี้เหลืออยู่เลย ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความบาป ไม่มีความสาปแช่งอีกต่อไป ไม่มีความชั่วร้ายอีกต่อไป ท่านลองคิดดูสิ ไม่มีน้ำตา ความเศร้าโศก  ไม่มีความตาย ไม่มีการคร่ำครวญ ไม่มีการร่ำไห้  ไม่มีการปวดร้าวระบม ไม่มีการอิจฉาริษยา ความชั่วร้ายต่างๆ  ไม่มีอีกต่อไปแล้ว  ถึงนิรันดร์

นี่คือถ้อยคำที่พระเจ้าปลอบโยนจิตใจ และเสริมกำลังให้กับบรรดาลูกๆ ของพระองค์ทั้งหลาย ให้มีความหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้า พวกเราทั้งหลายที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ จะได้รับสิ่งนี้อย่างแน่นอน  เขาจึงมีเพลงนี้ไง …

“ร้องสรรเสริญว่าฮาเลลูยา              ร้องสรรเสริญว่าฮาเลลูยา

ร้องสรรเสรญว่าฮาเลลูยา                ผู้ชอบธรรมเดินขบวนเข้ามา”

วันนี้แหละ เดินเข้ามา ไม่สรรเสริญหรือ?  ได้รับอะไรเยอะขนาดนั้น ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ก็ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  ทางโลกวิญญาณได้รับความรอด พอพระเยซูคริสต์กลับมาครั้งที่ 2 คราวนี้ได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์  รวมทั้งโลกใหม่ ร่างกายใหม่อีกต่างหาก อย่างนี้ไม่ร้องหรือ? ใช่ไหม?

เราจะตระเวนไปดูเรื่องนี้กันต่อ ในหนังสือมัทธิว บทที่ 25 มีตัวอย่าง แยกให้เห็นถึงความแตกต่างของคน 2 กลุ่มเหมือนกัน ในลักษณะนี้ โดยใช้ตัวอย่างในการแยกแกะกับแพะ เช่นเดียวกัน มีแค่ 2 พวกเด็ดขาด ไม่แกะก็แพะนะ ไม่มีลูกผสม เพราะฉะนั้น ไม่มีชีวิตที่ 3 ไม่มีแกะผสมแพะ และไม่มีแพะผสมแกะ แพะก็คือแพะ แกะก็คือแกะ จะเป็นแกะหัวแพะ ก็ไม่มี เป็นแพะหัวแกะก็ไม่มี ถ้าเป็นแกะก็เป็นแกะเลย เป็นแพะก็เป็นแพะเลย มี 2 อันให้เลือกเท่านั้น มัทธิว 25:31-34 พระเยซูตรัสไว้อย่างนี้ …

มัทธิว 25:31-34 “31 เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์ พร้อมด้วยทูตสวรรค์ทั้งหมด พระองค์จะประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ ด้วยพระเกียรติสิริแห่งฟ้าสวรรค์ 32 มวลประชาชาติจะมาชุมนุมกันต่อหน้าพระองค์ และพระองค์จะทรงแยกประชากรออกจากกัน เหมือนคนเลี้ยง แยกแกะออกจากแพะ 33 แกะนั้น จะทรงให้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ ส่วนแพะ อยู่เบื้องซ้าย 34 “แล้วองค์ราชันจะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาของพระองค์ว่า ‘ท่านผู้ได้รับพรจากพระบิดาของเรา มารับมรดกของท่านเถิด คืออาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่าน ตั้งแต่ทรงสร้างโลก”

 

ข้อ 31 “เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จกลับมาด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์ พร้อมด้วยทูตสวรรค์ทั้งหมด” ก็คือกลับมาพิพากษาโลก  “พระองค์จะมาประทับบนบัลลังก์ของพระองค์  ด้วยพระเกียรติสิริแห่งฟ้าสวรรค์ มวลประชาชาติจะมาชุมนุมกัน” คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทั้งแพะและแกะ “ต่อหน้าพระองค์ และพระอค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหมดออกจากกัน” เป็นสองพวก “แยกเป็นพวกแกะและพวกแพะ แยกเป็น 2 พวก” ไม่มีพวกที่ 3 ไม่มีพวกไฮท์บิดส์ แยกเป็น 2 พวกเท่านั้น

“แกะนั้นจะทรงให้อยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ส่วนแพะ อยู่เบื้องซ้าย” ท่านจำอะไรได้บ้าง?  ตอนพระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ใครที่เชื่อในพระเยซู คือวางใจในพระเยซู พระเยซูบอกว่าเขาทั้งหลาย เป็นแกะแห่งทุ่งหญ้า ที่พระบิดามอบให้กับเรา

พระคัมภีร์บอกพระบิดามอบแกะเหล่านั้นให้กับข้าพระองค์ คือให้กับพระเยซู เพราะฉะนั้น ของพระเยซูน่าจะเป็นแกะใช่ไหม?  และไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว พระคัมภีร์ใหม่ ได้บอกว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ บังเกิดใหม่อยู่ที่ไหน? ในหนังสือเอเฟซัส ครั้งที่แล้ว เราก็ได้ยกตัวอย่างอันนี้ขึ้นมา เราได้รับความรอด  ได้รับการบังเกิดใหม่  ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เอเฟซัส บทที่ 2 เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า มันตรงกันนะ แกะนั้นจะทรงให้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ อยู่แล้วยัง?  อยู่แล้ว ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย

ข้อ 34 บอก “แล้วองค์ราชันจะตรัสกับบรรดาผู้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ว่า …”

ผู้พิพากษาก็จะหันมาพูดกับแกะ พูดกับผู้เชื่อ พูดกับฉัน ผู้ที่เชื่อแล้ว ผู้ที่อยู่เบื้องขวาของพระองค์ว่า “ท่านผู้ได้รับพรจากพระบิดาของเรา” ใครได้รับพร เราผู้เชื่อ  “มารับมรดกของท่านเถิด คืออาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่าน ตั้งแต่ทรงสร้างโลก”

ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก เป๊ะเลย เป็นมรดก ในพระคัมภีร์ใหม่ หนังสือจดหมายฝาก หลายข้อที่ได้บันทึกไว้ตรงนี้ว่าเราผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นทายาทร่วมมรดกกับพระเยซูคริสต์ ใน 1 เปโตร 1:3-4 ที่ตะกี้นี้บอกไว้ อยากจะให้อ่าน เมื่อเราเชื่อในพระเยซู ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ กำลังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้  ในโลกฝ่ายวิญญาณ เราได้รับอะไรไปเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ทันตายเลยนะ  ยังไม่ทันจากโลกนี้ไป  วิญญาณยังไม่ออกจากร่างเลย เราได้รับอะไรไปแล้ว …

1 เปโตร 1:3-4 “3 สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา! ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสียหรือเลือนหายไป ซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์ เพื่อพวกท่าน”

 

นี่มันเกิดขึ้นแล้ว  ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้  เป็นผู้เชื่อ ก็ได้รับตรงนี้แล้ว ท่านพอเห็นภาพไหมครับ?  เพราะฉะนั้น ในวันพิพากษา ก็ได้รับเหมือนเดิม มัทธิว 25:35-40 …

มัทธิว 25:35-40   “35 เพราะเมื่อเราหิว ท่านก็ให้เรากิน เรากระหาย ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นคนแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับเราไว้ 36 เราต้องการเครื่องนุ่งห่ม ท่านก็ให้เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็ดูแล เราอยู่ในคุก ท่านก็มาเยี่ยม’ 37 “แล้วผู้ชอบธรรมจะทูลพระองค์ว่าพระองค์เจ้าข้า เมื่อใดกันที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิว และได้เลี้ยงดูพระองค์ หรือเห็นพระองค์ทรงกระหาย และได้ให้พระองค์ทรงดื่ม 38 เมื่อใดกัน ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ เป็นคนแปลกหน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือถวายฉลองพระองค์ เมื่อทรงประสงค์? 39 เมื่อใดกันที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวร หรืออยู่ในคุก และได้ไปเยี่ยมพระองค์?’ 40 “องค์ราชันจะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านว่าสิ่งใดที่ท่านทำให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่ง ในพวกพี่น้องของเรา ท่านก็ได้ทำให้เราด้วย”

 

“สิ่งใดที่ท่านทำให้คนที่เล็กน้อย” ก็หมายถึงว่าสิ่งที่ทำเล็กนิดเดียว มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเยอะแยะมากมายที่ท่านทำ ตอนนี้กำลังพูด ยกตัวอย่างถึงการทำดี การทำดีแค่เล็กน้อยนิดเดียว  แต่ทำดีออกจากธรรมชาติ ที่เป็นผู้เชื่อ ที่ได้บังเกิดใหม่ข้างใน มันสำคัญกว่าการกระทำมากมาย เยอะแยะ ดูเหมือนดีหมดเลย ทำด้วยการพึ่งพาตนเอง มันต่างกัน พระเยซูกำลังบอกผู้ที่เชื่อ บอกว่าถ้าท่านทำตามธรรมชาติที่ได้บังเกิดใหม่  อยู่ในครอบครัว ในพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แม้เพียงนิดเดียว แม้น้ำแก้วเดียวเท่านั้น ท่านก็ไม่ขาดบำเหน็จ เพราะท่านได้เป็นพวกเราแล้ว ธรรมชาติของผู้เชื่อเป็นอย่างนี้  การเกิดใหม่ แล้วเราเป็นพวกเดียวกัน  ใครที่ไม่ต่อต้านเรา เขาก็เป็นพวกเรา จำที่พระเยซูพูดได้ใช่ไหม? ท่านเป็นสาวกของเรา ท่านก็จะรักสาวกของเราด้วย เพราะว่าท่านอยู่ในเรา เราอยู่ในเขา และเราร่วมกัน ก็อยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน  ผู้เชื่อทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน

เพราะฉะนั้น เราลองคิดดูง่ายๆ ว่าความดีงามเหล่านี้ ก็คือผลของการที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ออกมาจากข้างใน เป็นธรรมชาติของผู้เชื่อ ยกตัวอย่างง่ายๆ ธรรมชาติของเราที่เชื่อแล้ว ไม่ว่าเราจะไปสุดปลายแผ่นดินโลก ไปที่ไหนก็ตาม พอรู้ว่าคนนี้เป็นคริสเตียน ไม่รู้จักเลย เป็นชนชาติอะไรก็ไม่รู้ พูดกันก็ไม่เข้าใจ พอรู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว มันเกิดความรักขึ้นมาทันที ไม่ได้เป็นศัตรู ข้างในเป็นพวกเดียวกัน  พวกพระเยซู พระเยซูสถิตอยู่ในเรา แล้วเราสถิตอยู่ในเขา เป็นศูนย์กลาง การรวมความเป็นหนึ่งเดียวกันนั่นเอง พูดง่ายๆ ว่าพวกท่านได้บังเกิดใหม่ อยู่ในครอบครัว ในพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ พอถึงวันพิพากษา ท่านก็อยู่ที่เดิม ท่านก็ได้ตรงนี้แหละ คราวนี้ พระเยซูก็หันไปหาคนที่อยู่ทางซ้าย ข้อที่ 41 …

มัทธิว 25:41 “แล้วพระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายของพระองค์ว่า ‘จงไปเสียจากเรา เจ้าทั้งหลายผู้ถูกสาปแช่ง จงไปยังไฟนิรันดร์ที่เตรียมไว้สำหรับมารร้ายกับสมุนของมัน”

 

“จงไปเสียจากเรา เจ้าทั้งหลายผู้ถูกสาปแช่ง” ดูแล้วเหมือนพระเยซูเกรี้ยวกราดมาก  ถ้าท่านเติมลงไปอีกนิดหนึ่ง ก็จะรู้สึกว่าพระองค์ไม่ได้เกรี้ยวกราดเลย “จงไปเสียจากเรา เจ้าทั้งหลายผู้ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว” ถ้าเอาคำว่า “จง” ออกไป ท่านไปเสียจากเราเถิด เพราะท่านถูกอยู่ในสถานที่ที่ถูกสาปแช่ง อยู่ในความตาย อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว เพราะว่าไม่ได้เชื่อในเรา ไม่ได้วางใจในเรา  ไม่ได้เกิดใหม่  ตามที่เราบอกแล้วว่าท่านต้องเกิดใหม่  จึงจะเข้าสู่สวรรค์ได้  ท่านไม่ยอมเกิดใหม่ ท่านไม่ยอมเชื่อเรา เราประกาศให้ท่านฟัง  มัทธิว 25:42-45 …

มัทธิว 25:42-45  “42 เพราะเมื่อเราหิว  เจ้าก็ไม่ได้ให้เรากิน เรากระหาย เจ้าก็ไม่ได้ให้เราดื่ม 43 เราเป็นคนแปลกหน้ามา เจ้าก็ไม่ได้ต้อนรับ เราต้องการเครื่องนุ่งห่ม เจ้าก็ไม่ได้ให้เราเจ็บป่วยและอยู่ในคุก เจ้าก็ไม่ได้ดูแล’ 44 “พวกเขาก็ทูลเช่นกันว่า ‘พระองค์เจ้าข้าเมื่อใดกันที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือกระหาย หรือเป็นคนแปลกหน้า หรือต้องการฉลองพระองค์ หรือประชวร หรืออยู่ในคุก แล้วข้าพระองค์ไม่ได้ช่วยเหลือ?’ 45 “พระองค์จะตรัสตอบว่าเราบอกความจริงแก่เจ้าว่าสิ่งใดที่เจ้าไม่ได้ทำ ให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่งในคนเหล่านี้ เจ้าก็ไม่ได้ทำให้เราด้วย”

 

ตรงกันข้ามกับเมื่อสักครู่ ผู้ที่ไม่เชื่อ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ได้เชื่อ และไม่ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ ก็ไม่ได้อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์ ในพระคริสต์ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เพราะฉะนั้น ในวิญญาณ เมื่อไม่ได้อยู่ในครอบครัว โดยธรรมชาติ ก็เป็นศัตรูกับพระคริสต์ ในวิญญาณ ธรรมชาติในวิญญาณ ก็จะรู้สึกต่อต้าน ไม่ชอบ อะไรก็ตาม ที่เกี่ยวกับพระคริสต์ โดยธรรมชาติ  ไม่ว่าจะไปไหน? ที่ไหน? ในโลกใบนี้  ถ้าได้ยินพูดถึงพระคริสต์ รู้สึกต่อต้าน รู้สึกไม่ชอบ โดยไม่ได้ทำอะไรเลยนะ มันอยู่คนละขั้วกัน ในวิญญาณ มัทธิว 25:46 …

มัทธิว 25:46 “แล้วคนเหล่านี้ ก็ต้องออกไปรับโทษนิรันดร์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์”

 

“แล้วคนเหล่านี้ ก็ต้องออกไปรับโทษนิรันดร์ ในบึงไฟนรก” คนเหล่านี้ คือคนที่ไม่ชอบธรรม คนที่ไม่เชื่อ  คนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่  แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ ก็คือผู้ที่เชื่อ ผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว โดยการตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์นั่นเอง พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าเมื่อถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาครั้งที่ 2 พิพากษาโลกนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น ในวันนั้น ก็คือผู้คนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว ก่อนหน้านั้น จะถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่มเท่านั้น  คือกลุ่มที่พึ่งตนเอง และกลุ่มที่พึ่งพระเยซู ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ซึ่งเป็นไปตามที่เขียนไว้ในหนังสือวิวรณ์ บทที่ 20 กับ 21 กับหนังสือมัทธิว บทที่ 25 เรื่องแกะกับแพะ และเราก็เห็นแล้วว่าอะไรเกิดขึ้นกับกลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 อะไรเกิดขึ้นกับแกะ และอะไรเกิดขึ้นกับแพะ และก็ไม่มีตรงกลางๆ  ต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถมั่นใจได้ว่าเราอยู่ในกลุ่มที่พึ่งพระเยซูแน่ๆ เป็นแกะ ไม่ใช่แพะ มั่นใจเดี๋ยวนี้เลย ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้  นั่งฟังอยู่ตอนนี้ ท่านมั่นใจว่าท่านเป็นแกะหรือเป็นแพะ ผมว่าถ้าท่านฟังมาตั้งแต่ต้น ท่านแน่ใจว่าท่านเป็นแกะแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเป็นแกะ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวหรือกังวลอีกแล้ว  เพราะท่านเริ่มต้นอยู่ในความรอด นิรันดร์แล้ว และกำลังเดินทางไปสู่ความรอดนิรันดร์ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ วันหนึ่งข้างหน้านั่นเอง เพราะทั้งหมดนี้ ท่านรู้แล้วว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาตัดสินพิพากษาโลกนี้ และมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ คือวันสุดท้าย บนโลกใบนี้นั่นเอง มันเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ท่านเป็นแกะหรือเป็นแพะ ท่านเป็นเจ้าของวิวรณ์ บทที่ 20 หรือบทที่ 21 ผมภาวนาวิงวอนด้วยน้ำตา อยากให้ท่านเป็นแกะ อยากให้เป็นเจ้าของวิวรณ์ บทที่ 21 จึงวิงวอนอธิษฐานขอต่อพระเจ้าให้กับท่าน ให้ท่านเปลี่ยนจากแพะมาเป็นแกะ เปลี่ยนจากวิวรณ์บทที่ 20 มาเป็นบทที่ 21 ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรทุกท่านครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ย้ายถิ่นที่อยู่ทางวิญญาณ! เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต (บังเกิดใหม่) อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป (ในอาดัม) คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดจากความพินาศ (จากการลงโทษ จากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ (เป็นของขวัญจากพระเจ้า) 6 และพระองค์ได้ทรงให้ วิญญาณของเราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ ได้นั่งในสวรรค์แล้ว ไม่มีครึ่งครึ่งกลางกลาง”

 

ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ

ตายอยู่ในอาดัม  พินาศกับอาดัม

หรือบังเกิดใหม่อยู่ในพระคริสต์  นั่งในสวรรค์กับพระคริสต์

 

โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร(พระเยซูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร(พระคริสต์)นี้ เราได้รับการไถ่บาป คือ การอภัยโทษบาปของเรา”

 

การผ่าตัดของพระเจ้า ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดี ออกจากในอาดัมสู่ในพระคริสต์ จากตายมาเกิดใหม่ จากทาสมาเป็นลูก ออกจากอาณาจักรมืด มาสู่ อาณาจักรสว่างของพระบุตร พระเยซูคริสต์ที่รักของพระองค์ ก็คือ อาณาจักรสวรรค์

 

ไม่มืด  ก็สว่าง

ไม่บาป ก็บริสุทธิ์

ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ

มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้  ต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ คือในอาดัมหรือในพระคริสต์

 

พระเจ้าอวยพรครับ