วารสาร Holy News ฉบับที่ 1357

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  มีนาคม  2022

เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า  ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก” ตอน 3

“เจ้าจะบริสุทธิ์ (ดีพร้อม) เพราะเราบริสุทธิ์ (ดีพร้อม)”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้การบรรยาย ตอนที่ 3 ของซีรี่ย์นี้ คือซีรี่ย์ “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอน 3 ผมให้ชื่อเรื่องว่า “เจ้าจะบริสุทธิ์ดีพร้อม เพราะเราบริสุทธิ์ดีพร้อม” เราจะมาเรียนรู้กันต่อ ถึงถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือ 1 เปโตร ซึ่งเป็นถ้อยคำแห่งการหนุนใจ ให้กำลังใจอย่างมาก สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย 2 ตอน เรียนรู้ไปแค่ 13 ข้อ

13 ข้อมาแล้ว เรียนรู้ถึงเรื่องของความเชื่อ ความหวังใจ ในความรอดนิรันดร์ การได้รับการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ประทานให้แล้ว ซึ่งเป็นความหวังเดียว ที่เหลืออยู่ของคริสเตียนทุกสมัย โดยพระเจ้าเป็นผู้กระทำทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทั้งหมด ทั้งความเชื่อ ก็ประทานให้ การบังเกิดใหม่ ก็ประทานให้ ทุกอย่าง เป็นผู้ประทานให้เพียงผู้เดียว เราไม่ทำอะไรเลย เราเรียนรู้กันไปแล้วนะ จาก 13 ข้อ ในบทที่ 1 ประทานให้หมดเลย แม้กระทั่ง พอได้รับความรอดนิรันดร์ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้รับชีวิตนิรันดร์ ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ก็ยังปกปักษ์คุ้มครอง ดูแล วิญญาณที่พระองค์ไถ่ไว้ ก็คือเราทั้งหลาย ด้วยฤทธานุภาพอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ไม่มีวันสูญสิ้นไปได้เลย แสดงว่าผลของการบังเกิดใหม่นั้น ความรอดนนิรันดร์นั้น ไม่มีวันสูญสิ้น พูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

พระเจ้ามีพระนามว่าพระเจ้าแห่งเอเมน คือพระองค์ทรงกระทำให้ทุกอย่าง เรามีหน้าที่เอเมน อย่างเดียว เอเมน คือรับเอา ภาษาพระคัมภีร์ว่าอย่างไร? นั่นแหละๆ เพราะฉะนั้น เวลาใครพูดถ้อยคำพระเจ้า อะไรที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ เกี่ยวกับผลของข่าวประเสริฐที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว มันตรงกับผลนั้น ใน 13 ข้อที่อ่าน เราก็บอกว่า …

“มันใช่ เอเมนเอา”

แม้กระทั่งคนไม่เชื่อ ก็สามารถเอเมนได้นะ คนที่ยังไม่รู้จัก ยังไม่ได้รับผลของข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐก็มีไปถึงเขาเหมือนกัน เขาเพียงแค่รับเอา ทำอะไร? ทำ “เอเมน” คือรับเอาเฉยๆ ที่เหลือพระองค์ทรงกระทำทั้งหมด

เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้รับผลตามความรอดนิรันดร์นี้แล้ว 13 ข้อ ที่อ่านมา ที่ศึกษามาก่อนหน้านี้แล้ว ก็จะไม่มีใครมาทำร้ายเรา ไม่มีใครมาเอาเราออกจากมืออันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว  นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ไม่เกี่ยวอะไรกับความปลอดภัย กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คำว่าไม่มีใครมาทำร้ายเรา ไม่มีใครมาขโมยเรา หรือเอาเราออกไปจากมือของพระเจ้าได้ นี่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่เราบังเกิดเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ เยอะแยะมากมาย บอกว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งเราให้เราอยู่เพียงลำพัง เป็นเหมือนเด็กกำพร้า แต่พระองค์จะคอยปกปักษ์คุ้มครองดูแล อยู่กับเราตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัว พูดอย่างนี้เสมอ ไม่มีใครสามารถขโมยแกะออกไปจากคอกของเราได้ พระเยซูบอกไม่มีใครมายุ่งกับท่านได้อีกต่อไปแล้ว เพราะท่านเข้ามาอยู่ในคอก อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายปลอดภัยอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ปลอดภัยโดยใคร? โดยที่ตัวเราเองเป็นผู้ปกปักษ์คุ้มครองดูแลความปลอดภัยนั้นหรือ? ไม่ใช่ ใครดูแล? พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ โดยพระเจ้าเองเป็นผู้ปกปักษ์คุ้มครองดูแลเรา ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ มีเพลงภาษาอังกฤษอยู่เพลงหนึ่ง ที่เขาชอบให้เด็กๆ ร้อง จะเอามาร้องตรงนี้เลย แปลเป็นไทยดีกว่า คือท่านอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้ามีท่านอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ กำท่านไว้ แล้วท่านไปกลัวอะไร?

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ต้องกลัวอะไรเลย นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนของเราแท้ๆ ของมนุษย์ทุกคนที่จะอยู่นิรันดร์กาล เราอยู่ในพระเจ้าแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัว แม้ความตายทางฝ่ายร่างกาย การทุกข์ทรมาน การถูกคมดาบ การถูกข่มเหงรังแก ไม่ต้องกลัวสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ไม่สามารถมาทำอันตรายเราได้เลย ไม่สามารถมาทำร้ายวิญญาณของเราที่อยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าได้เลย ไม่มีทางที่จะมาเอาเรา กระชากเรา ออกไปจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าได้เลย เพราะเราอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์นี้แล้ว และในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์นี้ คือในพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว

นี่คือความเป็นจริงของโลกวิญญาณ ที่พระเยซูชี้ให้เราเห็น บอกให้เราผู้เชื่อทั้งหลายว่าเมื่อท่านเข้ามาอยู่ในพระองค์แล้ว 13 ข้อนี้เกิดขึ้นในชีวิตของท่านเรียบร้อยแล้ว ความจริงในโลกวิญญาณเป็นเช่นนั้น ท่านจะได้ไม่ต้องกลัว ในวิญญาณท่านถึงแม้ตอนนี้ ต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง คือวิ่งหนี เอาตัวรอด หัวซุกหัวซุน ก็ตาม ไม่ต้องกลัว พระเยซูหนุนใจ ให้กำลังใจ ชี้ความจริงในโลกวิญญาณว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านแล้วจริงๆ โดยผ่านทางการเผยพระวจนะของเปโตร เราปลอดภัยแน่นอน

“เรา” ในที่นี้ คือเฉพาะผู้เชื่อสมัยที่พระคัมภีร์นี้เขียนไปถึงหรือ? คือผู้เชื่อชาวยิวที่หนีระเหเร่ร่อน กลัวเขาตามล่า ข่มเหง รังแก เปล่าเลย?  เขียนถึงผู้เชื่อทุกๆ คน เพราะมีผลแห่งความรอด คือความเชื่อนี้ เหมือนกัน คือเชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวกัน

แล้วลองคิดดูสิ คริสเตียนในสมัยนั้น หมายถึงคริสเตียนที่อยู่ในยุคโรมันเรืองอำนาจ ที่อยู่ในยุคที่ถูกข่มเหงรังแก จากจักรพรรดิเนโร ถูกทดลองความเชื่อต่างๆ นานามากมาย ที่เราได้เรียนรู้ไปแล้ว ทดลองความเชื่อของเขาว่าเขาเชื่อจริงไหม? เชื่อจริงต้องโดนแน่ โดนข่มเหงรังแก เพราะอยู่คนละพวกกัน ในทางวิญญาณ ถูกใส่ร้าย ป้ายสี ถูกตามล่า ตามฆ่า ในสมัยนั้น คริสเตียน ผู้คนเหล่านี้ ถูกทดลอง ด้วยความทุกข์ทรมานต่างๆ ต้องโดนความทุกข์ลำบากในใจด้วย ไม่ใช่ความทุกข์ลำบากในกายว่าวิ่งหนีเขาอย่างเดียว หรือว่าถูกทรมานอย่างเดียว ถูกตามล่า ตามฆ่าอย่างเดียว ไม่ใช่แค่นั้น แต่ในใจทุกข์ทรมาน เพราะว่าถูกจับได้ ต้องพูดความจริง มีสักกี่คนที่พูดความจริง

“ท่านเป็นคริสเตียนหรือเปล่า?”

การทดลองในใจ เขาต้องโกหก ปฏิเสธว่าไม่ใช่คริสเตียน เรารู้ได้อย่างไร? หนี ก็แสดงว่ากลัว นี่เป็นความประพฤติด้านนอก เขาต้องถูกทดลอง ถูกความทุกข์ทรมานในใจ ต้องปฏิเสธว่าไม่ใช่คริสเตียน ไม่รู้จักพระเยซู เพราะไม่อยากทนทุกข์ ทรมาน เป็นเรื่องธรรมดา เห็นไหม? พระเยซูจึงได้ให้กำลังใจด้วยถ้อยคำใน 1 เปโตร บทที่ 1 ที่เราได้เรียนรู้ไป 13 ข้อนั้น  13 ข้อ ทำให้เกิดความมั่นใจว่าที่เขาทุกข์ในใจ นอกเหนือจากทุกข์ทางกายแล้วว่าเขาได้รับความรอด เขาปฏิเสธพระเยซู เขาแย่แล้ว เขาเหมือนเปโตรเลย ปฏิเสธพระเยซูตั้ง 3 ครั้ง เขาหนีพระเยซูไป พระเยซูกำลังบอกอะไร? บอกไม่เกี่ยวเลย คนละเรื่องเลย วิญญาณเขาได้รับการไถ่ อยู่ในเราเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว ยังไง เขาก็อยู่ในความรอดนิรันดร์ ให้เขาสบายใจว่าต่อให้เขาปฏิเสธพระเยซู ไม่เชื่อพระเยซู บอกผู้คนว่าไม่ได้เป็นคริสเตียน แล้วถูกจับได้จริงๆ ถูกประหารชีวิต เขาอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? อยู่ เขาอยู่ก่อนปฏิเสธอีก เพราะเขาถูกย้ายมาตั้งแต่เริ่มเชื่อพระเยซูแล้ว เห็นไหม? ใน 12 ข้อนี้บอกความจริง  ทำให้เขาเป็นอิสระจากความกลัว ความทุกข์ใจ แทนที่จะทุกข์กายอย่างเดียว ทุกข์ใจด้วย ในใจเขาจะเกิดความรู้สึกอย่างไร? อ่าน 12 ข้อนี้บ่อยๆ เขาจะรู้สึก “เฮ้อๆ”

นึกถึงภาพสิว่าคนเหล่านั้น ต้องหนี ขณะที่หนี ไม่เชื่อพระเยซูหรือ? เชื่อ แต่กลัว กลัวถูกจับ กลัวเหมือนกับเพื่อน หรือญาติพี่น้องที่ถูกจับไปแล้ว ถูกทรมาน ต้องหนี จะเห็นภาพในความเป็นจริงในโลกวิญญาณ เป็นเช่นไร?

ดังนั้น กำลังใจจากถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือ 1 เปโตร บทที่ 1 ทั้ง 13 ข้อที่เราได้เรียนรู้กันไป 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก และสำคัญมาก และเป็นความหวังเดียวของคริสเตียน ที่กำลังเร่ร่อนหนีเอาตัวรอด จากการถูกข่มเหงรังแกอย่างหนักใช่หรือไม่? เขาอาจจะต้องทนทุกข์ทรมานกับทางร่างกาย ความทุกข์ ที่ถูกข่มเหงรังแก แต่ในวิญญาณ ในใจของเขา เป็นอิสระ มีสันติสุข ที่เต็มล้นไปด้วยพระคุณและสันติสุขของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ใช่หรือไม่? และมันจะล้นด้วยพระคุณ และล้นด้วยสันติสุขในพระเยซูคริสต์ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้ ก็ต่อเมื่อเขาได้เรียนรู้ว่าข่าวประเสริฐ มันเกิดผลอะไรกับเขา เมื่อเขาเชื่อ และผลของข่าวประเสริฐล้ำค่านั้นเป็นเช่นไร? ใน 13 ข้อนี้ใช่หรือไม่? ถึงบอกว่ามันสำคัญมาก

ซึ่งถึงแม้พวกเขาต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดระแวง ท่ามกลางภัยอันตรายต่างๆ รอบด้าน แต่เขาเหล่านั้น ก็มีความมั่นใจว่าเขายังคงอยู่ในความรอด ยังอยู่ในการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เขาได้อยู่ในพระคริสต์ ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ ได้รับความรอดของพระเจ้าตลอดเวลานิรันดร์แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้วกับพระเจ้าตลอดนิรันดร์กาล เดี๋ยวนี้ก็อยู่ และเมื่อตายจากโลกใบนี้ เขาก็อยู่ในสวรรค์ พ้นจากการพิพากษาให้พินาศในนรก  เขาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์อย่างแน่นอน ตลอดชั่วนิรันดร์  เอเมน

เขาก็มีกำลังใจ มีความหวังตรงนี้แหละ ที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ความน่ากลัว ความหวาดเสียวกับการถูกข่มเหงรังแกอย่างรุนแรง อย่างนั้นได้ ซึ่งเราสามารถเอาตรงนี้ มาใช้กับชีวิตของเรา ผู้เชื่อทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้ เราได้เรียนรู้กันไป 2 ตอนที่แล้ว เพราะว่าเมื่อเขารู้อย่างนี้ เขาก็รู้ว่าผู้คนทั้งหลาย ทำร้ายเขา ข่มเหงรังแกเขาเพียงแค่ร่างกายนี้ บนโลกใบนี้เท่านั้น ซึ่งพระเยซูบอกว่ามันเพียงแค่ชั่วขณะหนึ่ง แป๊บเดียว เหมือนจุดฟูลสต๊อปจุดหนึ่งของหนังสือพระคัมภีร์ทั้งเล่ม นึกถึงภาพ  ความทุกข์ยากลำบากเหมือนจุดๆ หนึ่ง หนังสือพระคัมภีร์ทั้งเล่มมีประโยคเยอะแยะขนาดไหน?  มีตัวหนังสือเยอะแยะ ความทุกข์ยากลำบากนี้เหมือนจุดๆ หนึ่งในนั้น มันนิดเดียว แป๊บเดียว มันเทียบกับชีวิตนิรันดร์ ที่เรามีชัยชนะนั้น ไม่ได้เลย พวกเขาสามารถทำร้ายเรา ข่มเหงเราแค่เฉพาะร่างกาย ทุกข์ทรมานเท่านั้น แต่ทางวิญญาณ เราได้รับความรอด ได้รับการปกปักษ์คุ้มครองดูแลรักษาความรอดนั้น โดยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เอเมน เขาจึงสามารถมีสันติสุขในพระเยซูคริสต์ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจ มีเงื่อนไขว่าเขาต้องรู้ตรงนี้ก่อน รู้ 12 ข้อนี้ ที่พระเยซูชี้แจง ให้เห็นก่อน

เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือคริสเตียน ผู้เชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหน? สมัยไหน? ที่ได้เป็นคริสเตียน ที่ได้รับการบังเกิดใหม่ เชื่อจากการบังเกิดใหม่ ได้รับผลของความเชื่อ ใน 12 ข้อ ใน 1 เปโตร บทที่ 1 เขาจะไม่มีวันสูญเสียความรอด หรือสูญเสียฐานะความเป็นลูกของพระเจ้าไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว พูดง่ายๆ คือ …

“รอดแล้ว รอดเลย”

รอดตั้งแต่เมื่อไร? รอด คือผลของ 1 เปโตร 1:1-12 จะได้จำได้ พอบอกความรอดปุ๊บ ก็นึกถึง 12 ข้อนี้เลย มันมีอะไรบ้าง? แจงเป็นอะไรบ้าง? ถ้าให้ชัดเจนกว่านั้น ก็คืออ่านจากพระคัมภีร์ แล้วก็ฟังจาก 2 ตอนที่แล้ว ที่ผมได้บรรยายในซีรี่ย์นี้

ฉะนั้น ผลของความรอด คือ 12 ข้อนี้ นี่เป็นผล ได้แล้วได้เลย ไม่มีเปลี่ยนแปลง คือรอดแล้วรอดเลย ตั้งแต่วินาทีแรกที่ตอบรับคำเชิญ กลับมาหาพระเจ้า และขอพระเจ้า ให้ช่วย  คือร้องเรียก ออกพระนามของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด ที่เรียกพระมาซีฮาห์ พระคริสต์เท่านั้น

“โอ้! พระมาซีฮาห์ ช่วยข้าด้วย”

นี่คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องทำ เรียกกันว่าเปิดใจ เรียกว่ากลับใจ เท่านั้นเอง ไม่ใช่เชื่อพระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ใช่นะ เพราะไม่มีใครสามารถเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ได้ ถ้าเขาไม่ได้บังเกิดใหม่

ย้ำอีกทีก็ได้ ไม่มีมนุษย์คนใด ที่ตายอยู่ในอาดัม พินาศอยู่ในความบาปของตนเอง แล้วสามารถที่จะเรียกพระเยซูว่าพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระคริสต์ สามารถเชื่อ วางใจในพระเยซู ไม่มีทางเป็นไปได้เลย  เขาต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า ให้เขาบังเกิดใหม่เสียก่อน เขาจึงสามารถที่จะเชื่อได้ พูดง่ายๆ พระเจ้าประทานความเชื่อ เราเรียนรู้ไปแล้วนะ 2 ตอนที่แล้ว เป็นอย่างนี้นะ

เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่มนุษย์ทั้งหลายต้องทำ ก็คือเปิดใจ รับคำเชื้อเชิญของพระเจ้า ที่ได้กระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน แล้วบอกว่า …

“มนุษย์ทุกคนเอ๋ย เราเรียกท่านเรียบร้อยแล้ว เราเชิญท่าน เข้ามารับเอา 12 ข้อนี้ไป”

มนุษย์ทำอะไร? 12 ข้อ 1 ในนั้น ก็คือเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ความเชื่อในพระเยซูด้วย รับไหม 12 ข้อ? รับครับ รับแล้วทำอย่างไร? ก็รับคำเชิญสิ หันหลังกลับ แล้วมาหา บอก …

“พระเจ้าช่วยด้วย”

ช่วย เพราะอะไร? … “เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ที่จะได้รับ 12 ข้อนี้ เพราะฉะนั้น พระเจ้าช่วยข้าพเจ้าด้วย”

ออกพระนามของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูเท่านั้น สิ่งเดียวที่มนุษย์จะทำ ก็คือแค่นั้น และหลังจากนั้น ทั้งหมด เกิดการ ตูม อัศจรรย์ใหญ่เกิดขึ้น ในวิญญาณของคนๆ นั้น จนกระทั่ง ไปถึงชีวิตนิรันดร์ หลังความตาย เป็นหน้าที่ของพระเจ้าทั้งสิ้น แค่กลับมาหาพระเจ้า แล้วก็บอกว่า …

“ไม่ไหวแล้ว ทำด้วยตัวเองไม่ไหวแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน คงไปไม่รอดแน่ พระเจ้าช่วยด้วยเถิด”

แค่นี้เอง ที่เหลือจากนั้น เป็นหน้าที่ของพระเจ้า กระทำทั้งหมด ทุกอย่าง 12 ข้อนี้ และข้อสำคัญ คือพระองค์กระทำทั้งหมด และพระองค์กระทำให้แล้ว มันสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ในพระเยซูคริสต์

12 ข้อนั้น ถ้านับเป็นอาหาร 12 จาน … 12 จานนั้น วางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ทำให้หรือยัง? ทำให้แล้ว ปรุงรสหรือยัง ปรุงรสเรียบร้อยแล้ว เชฟ คือพระเจ้า ปรุงรสผ่านทางพระเยซูให้เรียบร้อยแล้ว วางเสิร์ฟบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว จัดเตรียมไว้ให้หมดเลย มีอะไรบ้างในนั้น 12 ข้อนี้บอกให้จบเลย ไปอ่านดูอีกทีก็ได้ และผู้ที่ดูแลโต๊ะอาหารนั้น ก็คือพระเจ้าเอง มองดูอยู่ แล้วพระเจ้าก็ส่งการ์ดไปเชิญมนุษย์ทุกคนเลย มาเข้างานเลี้ยงนี้ 1 ในจานนั้น ก็มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ด้วย เพราะฉะนั้น มนุษย์ที่เดินอยู่ข้างนอก ได้ยินคำเชิญของพระเจ้า มีงานเลี้ยงที่นี่ …

“ไม่เอา หากินเองดีกว่า ยังช่วยตัวเองได้”

คนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วก็หิวกระหายในโลกวิญญาณมาก ไม่ไหวแล้ว ก็หันหลังกลับมา รับคำเชิญ แค่นั้น คือเปิดประตูเข้าบ้านพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซู คือเปิดใจให้พระเจ้าเข้ามา หรือเปิดใจเข้าไปสู่บ้านของพระเจ้าที่จัดเลี้ยงอยู่นั้น เข้าไปกินเลี้ยงด้วย จบ 12 ข้อนี้ก็เป็นของเขา เขาก็กินพร้อมกันเที่ยวเดียวเลย นี่ยกตัวอย่างให้เห็นแบบง่ายๆ เพราะฉะนั้น พระเจ้ากระทำให้สำเร็จแล้ว วางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

ใน 1 เปโตร 1:13 ที่เราได้จบไปเมื่อตอนที่แล้ว จะอ่านทวนสักนิดหนึ่ง …

1 เปโตร 1:13 “เพราะฉะนั้น (เมื่อรู้ตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณของท่านแล้ว และฐานะอันสูงส่ง คือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น) จงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม   จงรู้จักบังคับตนเอง (เตรียมความประพฤติ ที่จะมีต่อทุกสถานการณ์ ที่เผชิญบนโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้นี้ อ่อนโยน อ่อนสุภาพ เต็มไปด้วยความรัก การอภัย) จงตั้งความหวังแน่วแน่ ในพระคุณความรอด ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ (ในโลกวิญญาณ) ซึ่งจะประทานแก่ท่าน เมื่อพระเยซูคริสต์ เสด็จมาปรากฏ”

 

“เพราะฉะนั้น” หมายถึงอะไร? สังเกตคำว่า “เพราะฉะนั้น” หรือคำว่า “เหตุฉะนั้น” ในพระคัมภีร์สำคัญมากเลยนะ “เพราะฉะนั้น” หรือ “เหตุฉะนั้น” หรือคำว่า “ดังนั้น” หรือคำว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว” เราจะได้ยินบ่อยๆ “เมื่อเป็นเช่นนี้” “เมื่อเป็นอย่างนี้” หรือ “ดังนั้น” หรือ “เหตุฉะนั้น”

แล้วเราลองอ่านเมื่อสักครู่นี้ ขึ้นต้นด้วยคำว่าเพราะฉะนั้น แล้วต่อด้วยคำว่าอะไร?  จงให้ธรรมชาติที่อยู่ภายในสำแดง ฉายแสงออกมาภายนอกนั่นเอง

เพราะฉะนั้น คืออะไร? คือเพราะว่าใน 12 ข้อ ที่พูดถึงท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ที่ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านเป็นอย่างไรเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อท่านรู้แล้วใช่ไหม? เมื่อรู้ตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณของท่านแล้ว และรู้ฐานะอันสูงส่งว่าเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นอีกแล้ว จาก 12 ข้อนั้น ก็จงเตรียมความคิด จิตใจให้พร้อม จงรู้จักบังคับตน

12 ข้อนี้ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ในวิญญาณ เราเป็นลูกพระเจ้า พอรู้แล้วว่าเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตอนนี้มาถึงโลกวัตถุแล้ว รู้แล้วใช่ไหม? ก็จง ก็คือมาถึงโลกวัตถุ มาถึงความประพฤติบนโลกใบนี้แล้ว จงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม จงรู้จักบังคับตน เตรียมความประพฤติที่จะมีต่อทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้ ที่กำลังเผชิญ และต้องเผชิญ จนถึงวันตาย บนโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้นี้ ด้วยความอ่อนโยน อ่อนสุภาพ เต็มไปด้วยความรัก และการอภัย นี่หมายถึงเตรียมจิตใจให้พร้อม ให้เป็นไปด้วยกันกับที่ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าข้างในเรียบร้อยแล้ว มันหมายถึงอย่างนี้

เตรียมให้พร้อม เพราะถ้าท่านรู้ความจริงใน 12 ข้อนี้ ก็คือจดจ่ออยู่กับความจริง 12 ข้อนี้ตลอดเวลา รู้ว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านก็จะมีจิตใจที่พร้อม พร้อมที่จะมีปฏิกิริยาตอบโต้ กับปัญหาในชีวิต หรืออะไรต่างๆ ที่เข้ามา

ยกตัวอย่างเช่น ถูกเขาข่มเหงรังแก ถูกเขากล่าวหาว่าเผากรุงโรม ถูกเขาตามล่าอะไรต่างๆ เมื่อรู้จัก 12 ข้อนี้แล้วใช่ไหม? เตรียมพร้อมในจิตใจ ก็คือเมื่อถูกข่มเหงรังแก ทำอะไร?  อภัยให้เขา อภัยให้ จะอภัยให้ได้ต่อเมื่อ มีคนสอนให้อภัยหรือ? ไม่ใช่ อภัยเมื่อรู้ว่า …

“ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เขาทำอย่างนั้นลงไป เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป ฉันรู้แล้ว ฉันได้รับความรอดแล้ว ฉันกลับสงสารคนที่ทำฉันมากกว่า”

เหมือนพระเยซูไหม? เหมือนพระเยซูถูกเฆี่ยน ถูกตี ถูกทนทุกข์ทรมาน พระองค์บอกว่า …

“อภัยให้เขาเถิดพระบิดา เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป”

พระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคน เพราะว่ารู้ความเป็นจริงแล้วไง เพราะฉะนั้น ตอนนี้พูดถึงผู้เชื่อ ที่รู้ความเป็นจริงแล้ว มันก็จะเห็น นี่คือคำว่า “เตรียมความคิด จิตใจให้พร้อม”

“จงตั้งความหวังแน่วแน่ ในพระคุณ ความรอดที่ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เห็นไหมครับ? เพราะว่าเราตั้งความหวังไว้ ที่ความจริงในโลกวิญญาณ ในความรอด โดยพระคุณของพระเจ้า ใน 12 ข้อนี้ ซึ่งพระเจ้าได้กระทำให้ทั้งหมดใน 12 ข้อนี้ เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมา ก็คือตั้งความคิด มีความหวังไว้แน่วแน่ในความจริงในโลกวิญญาณ ใน 12 ข้อนี้ จนกว่าพระเยซูคริสต์จะปรากฏ คือจนกว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จมาพิพากษา หรือจนกว่าเราจะไปพบกับพระเยซูคริสต์ หรือจนกว่าเราจะตายนั่นเอง

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าพระเยซูกำลังชี้ให้เราเห็นธรรมชาติ ที่อยู่ภายในของเราว่าเป็นใคร ในพระเยซูคริสต์ แล้วทำอะไร? ให้เราปล่อย ให้เราฉายแสงตรงนั้นออกมา ภายนอก คือพระองค์กำลังชี้ให้เราเห็นตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วของเรานั่นแหละ พอชี้ให้เห็นแล้วจึงทำอะไร? อ่อนโยนมาก ค่อยๆ แนะนำให้เราประพฤติ ปฏิบัติ กระทำตามธรรมชาติที่อยู่ข้างใน ตัวของเรานั่นแหละ ภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าให้มันสำแดงออกมา ฉายแสงออกมา ให้สมกันกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้รับความรอด บังเกิดใหม่ ได้รับ 12 ข้อนั้นไปเรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณนั่นเอง

พูดง่ายๆ ว่าเมื่อบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็ให้สวมเสื้อผ้าให้มันสมกับเป็นลูกของกษัตริย์อันยิ่งใหญ่ จอมราชาของเรา คือพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เราควรจะสวมเสื้ออะไรในแต่ละวัน ตื่นเช้ามา ก็ไปที่ตู้เสื้อผ้าฝ่ายวิญญาณ แล้วก็เลือกสวม วันนี้จะสวมอะไรดี สวมความรัก สวมการให้อภัย สวมความอดทน สวมความปิติยินดีใน 12 ข้อนี้ หรือจะสวมความเกลียดชัง ความอิจฉา ริษยา เลือกสวมเอา ทั้งที่เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ควรจะเลือกเอา อยู่ในการตัดสินใจของเรา ตามที่พระเจ้าบอกมา

วันนี้เราจะมาต่อในข้อ 14 “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอนที่ 3 “เจ้าจะบริสุทธิ์ ดีพร้อม เพราะเราบริสุทธิ์ ดีพร้อม” 1 เปโตร 1:14-16 …

1 เปโตร 1:14-16 “14 ในฐานะที่ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าแล้ว อย่ายอมกระทำตามตัณหาชั่ว ซึ่งในอดีตเคยครอบครองท่าน ให้ท่านทำตาม ด้วยความโง่เขลา ในขณะที่ท่านยังไม่รู้ความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ 15 แต่ท่านทั้งหลาย จงหมั่นฝึกฝน ประพฤติตนให้บริสุทธิ์ (ดีพร้อม) ในการทุกอย่างที่ท่านทำ เหมือนที่พระองค์ ผู้ทรงเรียกท่านนั้น บริสุทธิ์ (ดีพร้อม) 16 เพราะมีเขียน เผยพระวจนะไว้ว่า “เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” (เลวีนิติ11:45)

 

ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ที่เราเรียนรู้กันในพระคัมภีร์ทั้งหมด เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น จำได้ใช่ไหมครับ? ต้องระลึกอยู่ในใจเสมอนะ

ในข้อ 14 “ในฐานะที่ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าแล้ว” อันนี้พูดถึงโลกวิญญาณนะ ได้เกิดใหม่แล้ว “อย่ายอมกระทำตามตัณหาชั่ว” ก็หมายถึงการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกวัตถุ ที่ตาจับต้องมองเห็นได้ ก็คือความประพฤติบนโลกใบนี้แล้วนะ เห็นไหม? มันคนละอัน กลับมาตามธรรมชาติของบนโลกใบนี้ เขาเรียกว่าความประพฤติบนโลกใบนี้

ความประพฤติบนโลกใบนี้บอกว่า … “อย่ายอมประพฤติตามตัณหาชั่ว” ประพฤติตามตัณหาชั่ว “ซึ่งในอดีต เคยครอบครองท่าน ให้ท่านทำตาม ด้วยความโง่เขลา” ตัณหาชั่ว ก็คือกิเลสตัณหาชั่ว ในการทำสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งในอดีตก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซู ได้รับผลของความเชื่อนี้ 12 ข้อ ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในอดีต เราเคยถูกครอบครอง เป็นทาสของความชั่วร้ายเหล่านี้ อิทธิพลของความชั่วเหล่านี้ ครอบครองเรา บังคับเรา ข่มขู่เรา ชักจูงเรา ให้เราทำตามมันด้วยความโง่เขลา

“โง่เขลา” คือรู้ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ยังพึ่งพาตนเองอยู่ ยังนึกว่าตนเองสามารถทำดี ได้แล้ว เป็นผู้ชอบธรรมด้วยการกระทำของตนเองได้ อย่างนี้เขาเรียกว่าโง่เขลา

“ให้ท่านทำตามด้วยความโง่เขลา” ไม่รู้ว่านั่น คือความชั่วร้าย ที่จะทำให้เราได้รับผลที่ไม่ดี แต่เรามีทางชนะ โดยผ่านข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เรายังไม่รู้

“ในขณะที่ท่านยังไม่รู้จักความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์” คือในขณะที่ท่านยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับคำเชิญของพระเจ้า นั่นแหละ ก่อนหน้านั้น ท่านเป็นทาสของความชั่วร้ายนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น

ในข้อ 15 อันนี้ต้องตั้งใจอธิบายยาวหน่อย ในข้อ 15 บอกว่า … “แต่ท่านทั้งหลาย จงหมั่นฝึกฝน ประพฤติตนให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ในทุกอย่างที่ท่านกระทำ” แต่ตอนนี้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ในโลกวิญญาณ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จงหมั่นฝึกฝน ประพฤติตน ก็คือมาบนโลกวัตถุแล้ว ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่รู้จักพระเจ้า ทั้งๆ ที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่ท่านทั้งหลายจงหมั่นฝึกฝน ประพฤติตนให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ในการทุกอย่างที่ท่านทำ เหมือนที่พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นบริสุทธิ์ และดีพร้อม

ในข้อ 16 ย้ำยืนยันว่า … “เพราะมีเขียนเผยพระวจนะไว้ว่า ‘เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์’” ซึ่งมาจากเลวีนิติ 11:45

ท่านทั้งหลายต้องหมั่นประพฤติตน ให้ดีพร้อม ในทุกอย่างที่ท่านทำ เหมือนที่พระองค์ ผู้ทรงเรียกท่านนั้น บริสุทธิ์และดีพร้อม

ผมจะอธิบายตั้งแต่ข้อ 16 ก่อน เพื่อท่านจะได้เข้าใจ ตรงนี้ว่าเจ้าจะบริสุทธิ์ หมายถึงอะไร? เพราะมีการเข้าใจผิด ตีความในข้อนี้ผิด พอผิด มันจะขัดแย้งกับ 12 ข้อ ที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว  ซึ่งเป็นความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูอธิบายให้ฟังว่าเราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นเช่นไร ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว

ผมจะเริ่มจากข้อ 16 … “เพราะมีเขียนเผยพระวจนะไว้ว่า ‘เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์’ ท่านว่าแปลว่าอะไร? เพราะมีเขียนเผยพระวจนะไว้  ใครเป็นคนเผย? จำได้ไหม? นี่คือพระคัมภีร์เดิม ใครเป็นคนเผย? พูดพร้อมกัน “พระเยซูคริสต์” “วิญญาณของพระคริสต์” เป็นผู้เผย เรารู้แล้วนะ พระเยซูคริสต์เป็นผู้เผย วิญญาณพระเยซูคริสต์เป็นผู้เผยในอดีต เผยพระวจนะ คือบอกล่วงหน้า จะเกิดอะไรขึ้น บอกว่าอย่างไร? …

“เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”

เจ้าจะบริสุทธิ์ นี่เผยล่วงหน้า บอกล่วงหน้าว่าเจ้าจะบริสุทธิ์ ตอนนี้บริสุทธิ์หรือยัง? ยัง ถูกไหม? “เจ้า” คือใคร? คือมนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายจะบริสุทธิ์ กำลังพูดถึงโลกวัตถุ หรือโลกวิญญาณ? พอพื้นฐานถูก มันก็จะไป กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ เจ้าจะมีวิญญาณ ที่บริสุทธิ์  มีหรือยัง? เผยพระวจนะ คือบอกล่วงหน้า เพราะว่าเราบริสุทธิ์ “เรา” ในที่นี้ ก็คือพระเจ้า  พระเจ้าบริสุทธิ์แล้ว แต่พวกเจ้าจะบริสุทธิ์ ก็คือบอกล่วงหน้าว่าวันหนึ่ง เราจะมาทำให้เจ้าบริสุทธิ์ และวันนั้น สำเร็จแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย แล้วก็ตะโกนบอกว่า … “สำเร็จแล้ว” … ในตอนที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน

สำเร็จแล้ว คือเจ้าจะบริสุทธิ์ นั้นก็คือเจ้าได้บริสุทธิ์แล้ว เหมือนเราเลย เราเหมือนพระเจ้า เราเหมือนพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ได้ มันแปลว่าอย่างนั้น

ในการเผยพระวจนะนี้บอกว่าเจ้าจะบริสุทธิ์ และเราบริสุทธิ์ จำได้ใช่ไหม? จำได้ ตอนนี้ เจ้าบริสุทธิ์แล้ว ก็คือตอนนี้ พวกท่านที่เชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ท่านได้ 12 ข้อไปแล้วนั้น  12 ข้อนั้น บ่งบอกว่าท่านบริสุทธิ์ ตามคำเผยพระวจนะนี้แล้ว

เพราะฉะนั้น มาข้อ 15 ได้แล้ว เมื่อท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองดูแลความบริสุทธิ์นี้ ความดีพร้อมนี้ ไว้ด้วยตัวของพระองค์เองแล้ว ในวิญญาณของท่านแล้ว ถูกไหม? เพราะฉะนั้น ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านก็หมั่นฝึกฝน ประพฤติตนให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ทุกอย่าง เหมือนที่ในวิญญาณท่านที่บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์แล้วนั่นแหละ เป็นผู้ดีพร้อมแล้วนั่นแหละ จำพระเยซูคริสต์พูดได้ไหม? พระเยซูมาเผยพระวจนะเหมือน อันนี้เผยด้วยตัวของพระองค์เอง ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ในหนังสือมัทธิว บทที่ 5 ยุคที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ประกาศเรื่องนี้เหมือนกัน ด้วยตัวของพระองค์เอง บนโลกใบนี้เลย ในมัทธิว 5:48 พระองค์เผยพระวจนะไว้อย่างนี้ว่า …

มัทธิว 5:48 (เผยพระวจนะ)  “เพราะฉะนั้น  พวกท่านต้องเป็นคนดีพร้อม  เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่าน  ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม”

 

ตอนที่พระองค์พูดอยู่นี้ ทรงกระทำให้สำเร็จหรือยังคำเผยพระวจนะนี้ ยัง ตอนที่พูดอยู่นี้ ยังนะ แม้จะเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว แต่ยังไม่ได้ตายที่ไม้กางเขน พระองค์ก็เป็นผู้เผยพระวจนะ ใครเป็นผู้พูด? พระเยซู อันนี้ ไม่ต้องถามนะ เพราะพระเยซูเกิดมาเป็นพระเยซูอยู่ร่างมนุษย์เลย  พระเยซูเผยพระวจนะเหมือนกันบอกว่า …

“เพราะฉะนั้น พวกท่านต้องเป็นคนดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ทรงดีพร้อม” ก็คือท่านต้องบริสุทธิ์ และดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม กำลังพูดถึงเรื่องเดียวกัน คือวิญญาณของท่าน จะต้องดี ครบถ้วนบริบูรณ์ เหมือนกับวิญญาณของพระเจ้า ที่ดี ครบถ้วนบริบูรณ์แล้วนั้น เพื่อท่านจะได้เข้ากับพระเจ้าได้ ถ้าท่านไม่ดีเหมือนพระเจ้า ท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าไม่ได้ ท่านจะบังเกิดใหม่ก็ไม่ได้ มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น พวกท่านต้องเป็นคนดีพร้อม  เพราะฉะนั้น ก็แสดงว่าก่อนหน้านี้  บทที่ 5 ก่อนมาถึงข้อ 48 พระเยซูพูดอะไร? อย่างที่ผมบอก คอยสังเกตคำว่า “เพราะฉะนั้น” “เหตุฉะนั้น” “เมื่อเป็นเช่นนี้” ก็ต้องดูก่อนหน้านั้นว่าเขาพูดถึงอะไร? เพราะฉะนั้น ก็หมายถึงพระเยซูกำลังสอน ตั้งแต่บทที่ 5 มา จนถึงเดี๋ยวนี้ สอนเกี่ยวกับอะไร? ท่านทั้งหลายไม่ได้เป็นคนล่วงประเวณี ไม่ได้เป็นคนฆ่าคน ท่านทั้งหลายภูมิใจมาก …

“ฉันไม่ได้ฆ่าคนตามกฎโมเสส บอกว่าไม่ให้ฆ่าคน ฉันก็ไม่ได้ฆ่า โมเสสบอกว่าไม่ให้ล่วงประเวณี ฉันก็ไม่ล่วง เพราะฉะนั้น ฉันเป็นผู้ชอบธรรม”

พระเยซูกำลังชี้ว่าในวิญญาณของท่าน มันเป็นคนบาปอยู่ วิญญาณของท่านมันสกปรก วิญญาณของท่านมันตายอยู่ ชี้ให้เห็นด้วยวิธีอะไร? พระเยซูรู้ไหมถ้าท่านจะดีพร้อม แบบพระเจ้าบริสุทธิ์ ท่านบอกท่านไม่ได้ฆ่าคน แค่คิดว่าเขาว่าไอ้บ้า แค่นี้ก็เท่ากับฆ่าคนตายแล้ว ท่านเย่อหยิ่งตัวเอง บอกว่า “ฉันไม่ได้ล่วงประเวณี” เลยใช่ไหม? จะบอกให้ฟัง ถ้าให้ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ที่ดีพร้อมนั้น  คือแค่ท่านคิดในใจ ก็เท่ากับทำแล้ว มีใครบ้างไม่คิด ไม่อะไรเลยสักอย่างหนึ่ง นี่พูดเยอะแยะ ยาวใน 47 ข้อมานี้ กำลังบอกว่าเพราะฉะนั้น ท่านทำดีอย่างไร มันก็ไม่สามารถเป็นคนดีพร้อม ในวิญญาณท่านดีพร้อม เป็นไปไม่ได้

ข้อ 48 จึงบอกว่าเพราะฉะนั้น พวกท่านต้องเป็นวิญญาณที่ดีพร้อม ที่บริสุทธิ์เท่านั้น เหมือนพ่อของท่าน ที่เป็นความบริสุทธิ์  ดีพร้อมนั่นเอง  เห็นชัดไหม?  เพราะฉะนั้น เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซู ได้รับผลของความเชื่อในพระองค์ คือได้รับการบังเกิดใหม่และ 12 ข้อ ใน 1 เปโตร บทที่ 1 แล้วนั้น เมื่อเกิดมาแล้ว เกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถที่จะบอกได้ว่าในพระคัมภีร์ได้บอกชัดเจน ในโลกวิญญาณว่าเราดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ถ้าไม่เหมือน เราไม่สามารถมาอยู่กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันได้ พระเจ้าไม่สามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้ เราไม่สามารถที่จะเรียกพระเจ้าว่าเป็นหนึ่งเดียวกันได้เลย เราไม่สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้เลย ถ้าไม่ดีพร้อม สะอาด บริสุทธิ์เท่าๆ กันกับพระเจ้า พระเจ้ารับเราไม่ได้ พูดง่ายๆ

ผลของความรอด ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ เมื่อเราบังเกิดมาเป็นคน เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์เลย ใช่หรือไม่? พอเราเกิดเป็นคน เราก็เป็นคนเลย เปลี่ยนแปลงไหม? ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว แต่บางครั้ง อาจจะประพฤติ ปฏิบัติตนไม่สมกับการเป็นคน เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ บางครั้งประพฤติตน ดูเหมือนสัตว์ เป็นไปได้ไหม? อย่างเช่น คนเขาเดิน แต่เราคลาน ได้ไหม? คลานก็ไม่เหมือนคนนะ ยกตัวอย่าง

หรือเราเปลือยกายอยู่ได้ไหม?  เราไม่ใส่อะไรเลย  เราเป็นคนนะ ไม่ใช่ เป็นคนก็ต้องสวมใส่อะไรบางอย่าง เช่นเดียวกัน เมื่อบังเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ก็เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกเลย แต่ในบางครั้ง อาจจะประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ คือเป็นเหมือนคนบาปนั่นเอง

ให้ท่านเห็นภาพ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าเป็นผู้ปกปักษ์ คุ้มครองดูแล ความบริสุทธิ์ ความดีพร้อมของท่าน โดยการบังเกิดใหม่  พร้อมพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน มนุษย์ที่บางครั้งทำตัวเหมือนสัตว์ ก็ยังคงมีสถานะ ลักษณะในตัวตนแท้จริงของเขา เป็นมนุษย์อยู่ เพียงแต่ประพฤติตัวเหมือนอย่างสัตว์ ลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์  ที่บางครั้ง ทำตัวเป็นเหมือนคนบาป ก็ยังคงมีสถานะเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์อยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

เพราะฉะนั้น ลักษณะ สถานะของตัวตนที่แท้จริงนั้น เป็นอยู่เช่นไร? มันต่างกันกับความประพฤติ มันคนละเรื่องกัน คือการเป็นกับการประพฤติ มันคนละเรื่องกัน

“การเป็นกับการกระทำ มันคนละเรื่องกัน มันอาจจะไม่สัมพันธ์กันก็ได้”

ลักษณะตัวตนที่เป็นอยู่กับความประพฤติ เป็นคนละเรื่องกัน มีลักษณะตัวตนที่แท้จริง เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว เป็นความรัก เป็นความสว่าง แต่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ แต่ประพฤติตัวให้สมสถานะกับเป็นหรือไม่นั้น มันคนละเรื่องกัน เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นอยู่แล้วล่ะ แต่ประพฤติตัวภายนอกไม่เหมือนลูกพระเจ้า โกรธ โมโหโกธาอะไรต่างๆ เหล่านั้น มันคนละเรื่องกัน อย่าเอามาสลับที่กัน เพราะว่าเห็นเขามีความประพฤติไม่ดี เลยบอกว่าเขาไม่ใช่ลูกพระเจ้า อาจจะตัดสินผิดไปก็ได้ เพราะไม่ได้มองดูที่วิญญาณ

เพราะฉะนั้น ถามว่าที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆ ว่าให้รักษาความดีงาม ความดีพร้อม ฟังให้ดีๆ นะ นี่เป็นคำเล่นคำ ให้รักษาความดีพร้อม ให้รักษาความบริสุทธิ์ ด้วยตนเอง ถูกหรือผิด?

เราต้องรักษาความบริสุทธิ์ ความดีพร้อมของตนเอง ด้วยตนเองอีกหรือไม่?

เราต้องรักษาความบริสุทธิ์ ด้วยตนเองหรือไม่? ถ้าเราบอกว่าต้องรักษา ก็แสดงว่าเรายังไม่เกิดใหม่ไง ก็เราจะทำด้วยตนเอง เรายังไม่พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ ก็แสดงว่าเรายังไม่ได้เกิดใหม่ เราไม่ใช่คริสเตียน เพราะฉะนั้น อาจจะใช่ สำหรับคนที่ไม่ใช่คริสเตียน ยังไม่บังเกิดใหม่ แต่สำหรับคนที่เป็นคริสเตียน ได้เชื่อแล้ว ได้รับผลของความเชื่อใน 12 ข้อนั้นแล้ว ไม่ต้องรักษาความบริสุทธิ์ของตนเองอีกแล้ว ไม่ต้องเลย มันเป็นถาวรนิรันดร์ ไม่ต้องรักษาความเป็นคนอีกแล้ว แค่ฝึกฝน ให้เป็นไปตามธรรมชาติที่เกิดมาเท่านั้นแหละ ให้ฝึกฝนความประพฤติ ให้เป็นไปตาม ที่เราเป็นอยู่ ที่เราเกิดมาเป็นนั่นแหละ ซึ่งพระเจ้า พ่อผู้ให้กำเนิดเรา  ก็จะเป็นผู้ฝึกฝนเรา ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสถิตอยู่ข้างในเรา คอยจูงมือเราตลอดเวลา ทุกวันทุกคืน คอยสอนเราตลอดเวลา สอนวิธีไหน? ก็มีชีวิตไปกับเรา ทั้งวันทั้งคืน ตลอดเวลา ประสบการณ์จะเป็นตัวสอนเราจากข้างใน  เดินกับพระองค์ทุกวัน ไม่ยอมเดินกับพระองค์ได้ไหม? ไม่ได้ เพราะพระองค์เข้ามาสถิตอยู่แล้ว

เหมือนผมเห็นหลานอยู่บ้าน หลาน 2 ขวบวิ่งเล่น เด็กๆ ก็ต้องการเจริญเติบโต พี่เลี้ยงต้องทำอย่างไร? หมายถึงทั้งพี่เลี้ยง พ่อแม่เลี้ยง ก็ลักษณะเดียวกันนะ วิ่งๆ แล้วก็ลื่นล้ม หัวโน ร้องไห้ ก็บอกอย่าวิ่งเร็วสิ  ก็ต้องดูให้ดี มันเจ็บนะ เดี๋ยวก็วิ่งอีกเหมือนเดิม ต้องล้มอีกกี่ครั้งถึงจะเลิก เขาก็ล้มลงไป พี่เลี้ยงก็สอน ล้มลงไป แม่ก็สอน ล้มลงไป พ่อก็สอน เขาก็พยายามอยู่ แต่ยังล้มอีก เคยชิน สนุกสนาน คราวนี้เริ่มจำได้ เพราะมันเจ็บ ธรรมชาติ มันบอกเอง ไม่เอาแล้ว …

“อ๋อ! ทุกทีเดินอย่างนี้ อ๋อ! มิน่า บอกอย่าวิ่งเร็วๆ อ๋อ! เราเร็วเกินไป” เหมือนกัน พระวิญญาณก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้

1 เปโตร 1:17  “ในเมื่อท่านได้เรียกพระเจ้าว่าพ่อ ผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาตัดสินการกระทำของแต่ละคน โดยไม่ลำเอียง ก็จงดำเนินชีวิตด้วยความเคารพยำเกรง (เคารพกฎที่พระเจ้า พ่อของท่าน ทรงตั้งไว้ ทั้งทางโลกวิญญาณและโลกวัตถุ พระองค์ทรงพิพากษาด้วยความสัตย์ซื่อยุติธรรม) ในฐานะที่เป็นคนแปลกหน้า ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในระบบของโลกนี้ (อยู่ในโลกบาป แต่ไม่ได้เป็นของโลกบาป)”

 

ในเมื่อท่านได้เรียกพระเจ้าว่าพ่อ ผู้ทรงเป็นผู้พิพากษา ตัดสินการกระทำของแต่ละคน มนุษย์บนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคน โดยไม่ลำเอียง โดยยุติธรรม ก็จงดำเนินชีวิตด้วยความเคารพยำเกรง คือกลัวพระเจ้าหรือ?  ไม่ใช่ เคารพยำเกรงต่อความเป็นผู้พิพากษาของพระเจ้า เคารพยำเกรงต่อกฎต่างๆ ที่พระเจ้าวางไว้ และเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านั้นให้มันเป็นไปตามนั้น ไม่มีลำเอียง ด้วยท่าทีที่รู้ว่าผู้พิพากษาผู้นั้น เป็นพ่อของเราเอง เป็นพ่อของท่าน

เคารพยำเกรงในกฎ ที่พ่อของเรา พระเจ้าเป็นผู้ตั้งไว้ ทั้งกฎทางฝ่ายโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ พระองค์จะพิพากษาอย่างยุติธรรม ไม่มีลำเอียงอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือไม่เป็นลูก พระองค์ไม่ลำเอียงเลย ในฐานะเป็นคนแปลกหน้า ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในระบบของโลกนี้ คือพูดง่ายๆ ให้เคารพยำเกรงกฎของโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้ แม้ท่านจะเป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้ถูกช่วยหลุดพ้นออกมาจากอาณาจักรของความมืดในอาดัมเรียบร้อยแล้ว ก็คือเป็นคนแปลกหน้าของโลกใบนี้ โลกใบนี้มีแต่ความมืด โลกใบนี้มนุษย์ทั้งหลายตกลงไปในความบาป ตั้งแต่สมัยในอาดัมมาแล้ว บรรพบุรุษมาแล้ว ท่านถูกช่วยให้หลุดออกมาแล้ว ท่านเป็นคนแปลกหน้า ท่านไม่ใช่อยู่ในอาดัม ไม่ได้อยู่ในความมืด ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว  เพราะฉะนั้น ท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็จริงอยู่ แต่ท่าเหมือนคนแปลกหน้า ท่านเป็นพลเมืองสวรรค์ ไม่ใช่เป็นพลเมืองของคนบาป แม้ว่าท่านดำเนินอยู่บนโลกนี้เหมือนกันก็ตาม แต่ในวิญญาณมันเป็นเช่นนั้น ท่านอยู่ในโลกของความบาป แต่ไม่ได้เป็นของความบาป  ท่านอยู่ในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความบาป แต่ในวิญญาณท่าน ไม่ได้เป็นของบาป  ท่านอยู่ในโลกที่อยู่ในความมืด แต่ท่านอยู่ในแสงสว่าง ท่านดำเนินอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความมืด แต่วิญญาณท่านสว่าง พูดง่ายๆ

ความประพฤติและการกระทำของพวกเราทุกคน ที่เชื่อในขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่บนกฎแห่งการกระทำ กฎแห่งการหว่านและการเก็บเกี่ยว กฎแห่งการทำดี ทำชั่ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นี่พระเจ้าพ่อของเราเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น จงเคารพยำเกรงกฎเหล่านี้ เหมือนกับกฎของแรงดึงดูดโลก ท่านโยนของขึ้นไป มันก็ตกลงมา ทุกครั้งหรือไม่? มีบางครั้งโยนไป แล้วมันหายไปเลย มีไหม? ไม่มี มีแต่ถูกหลอก โยนไป ก็ตกลงมา ใครเป็นคนดูแลกฎของแรงดึงดูดของโลก? พระเจ้า … พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย และดูแลกฎต่างๆ ระเบียบต่างๆ เหล่านั้น ให้เราเคารพยำเกรง แปลว่านี่แหละ เวลาเราขึ้นไปที่สูง แล้วเราเอาเซฟตี้เบลท์ที่เกาะไว้ เพื่อป้องกันการตกลงมา เรากำลังเคารพยำเกรงพระเจ้านะ เรากำลังเคารพยำเกรงต่อกฎ

เวลาเราลงไปอยู่ในทะเลเวิ้งว้างมาก เรามีชูชีพอยู่ ป้องกันไม่ให้จมน้ำ นั่นแหละ เราเคารพยำเกรง พระเจ้าทรงยุติธรรม ถ้าเราประพฤติชั่ว กระทำชั่ว คือหว่านในสิ่งชั่วร้าย ในสิ่งที่ไม่ดี เราก็ต้องเก็บเกี่ยวความทุกข์ยากลำบาก เกี่ยวเก็บการสูญเสีย ความเสียใจ เก็บเกี่ยวความเดือดร้อนเข้ามาในชีวิต และทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย จากความประพฤติ การกระทำ การหว่านของเรา อย่างแน่นอน เหมือนโยนอะไรขึ้นไปข้างบน อย่านึกว่ามันไม่ตก มันตกแน่ๆ ตกมากตกน้อยเท่านั้นเอง แม้ว่าเราจะเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงรักก็ตาม ที่อยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าก็ตาม อย่างไร เราก็หนีจากกฎอีกกฎหนึ่ง ที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้ ก็คือกฎแห่งการกระทำ กฎแห่งศีลธรรม กฎแห่งการทำดีทำชั่ว มันยังอยู่ เพราะเรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เช่นเดียวกัน เพราะเราถึงแม้จะเป็นลูกพระเจ้าในโลกวิญญาณก็ตาม แต่ในโลกวัตถุ เรายังคงดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามกฎของโลกวัตถุ เหมือนแรงดึงดูดของโลกเช่นเดียวกัน

เช่นเดียวกันกับในกฎวิญญาณ เราก็ต้องเคารพยำเกรงเหมือนกัน ดูท่าทีของเขา การเคารพยำเกรงในกฎวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราวางใจในพระเยซูคริสต์ เราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้วก็จริง แต่เราไม่ได้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในกฎของความบาปและความตาย แต่เราดำเนินชีวิตในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณใช่หรือไม่? เราอยู่ในกฎของโลกวิญญาณ

กฎของโลกวิญญาณ คือเราได้รับความรอดแล้ว เมื่อเราเป็นผู้เชื่อ เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในกฎของวิญญาณ คือผลของความเชื่อของเรา 12 ข้อที่ได้แจงมาเรียบร้อยแล้วนั่นนะ เราอยู่ในผลของ 12 ข้อ เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์แล้ว นี่คือกฎของวิญญาณ และกฎของวิญญาณนี้ เราก็รอดจากความพินาศในวิญญาณ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง รอดจากการพินาศในวิญญาณ คือรอดจากการพิพากษาในวันสุดท้ายว่าเราจะไปสวรรค์หรือไปนรก

เราต้องเคารพยำเกรง ก็คือพ่อของเราเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้เช่นเดียวกัน ไม่มีใคร แม้แต่ตัวเราเอง ก็ไม่สามารถที่จะละเมิดกฎนี้ได้ คือเมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอด ก็คือได้รับความรอด  เมื่อเชื่อพระเยซู ได้เป็นลูกพระเจ้า ก็ได้เป็นลูกพระเจ้าเลย ใครเป็นคนดูแล พระเจ้าเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย เราจึงสามารถมั่นใจ แน่ใจ ด้วยความเคารพยำเกรง ในการไม่เปลี่ยนแปลง ในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเรา ผู้เป็นผู้พิพากษา ทั้งคนตายและคนเป็น เขาหมายถึงอย่างนี้ ไม่ใช่เคารพยำเกรง ให้กลัวพระเจ้า ไม่ใช่ เคารพยำเกรง พ่อของเรา เป็นผู้พิพากษา พ่อเราดูแลกฎทุกอย่าง ไม่ลำเอียงเลย  ทางโลกวิญญาณ เราจึงฮาเลลูยา สบายใจแล้ว อย่างไรก็ไม่มีเปลี่ยนแปลงแล้ว พ่อเราบอกแล้วว่าเราได้รับความรอดแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ เราก็ได้รับความรอดแล้ว เป็นลูกพระเจ้าอยู่แน่นอน 100% แล้ว สบายใจ

ขณะเดียวกัน เราต้องรู้ว่ากฎของพระเจ้า บนโลกใบนี้เราทำอะไรไม่ดี ก็ต้องได้รับโทษเหล่านั้น ตามกฎของการกระทำเช่นเดียวกัน นี่คือการเชื่อ เคารพยำเกรงในถ้อยคำของพระเจ้า พระองค์บอกในโลกวัตถุ มีกฎเป็นอย่างไร? หว่าน ก็ให้หว่านในโลกวิญญาณ หว่านในสิ่งที่ดี ก็เก็บเกี่ยวสิ่งที่ดี เราก็เชื่อฟัง สำหรับโลกวิญญาณ พระเจ้าเป็นผู้ดูแลให้กับเรา เป็นผู้พิพากษาที่เราควรเคารพยำเกรง คือเชื่อฟัง ในฐานะเป็นพ่อของเราด้วย เพราะฉะนั้น เราบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเรียบร้อยแล้ว  ไม่ว่าความประพฤติภายนอกของเรา จะประพฤติดีหรือชั่วเท่าไร? อย่างไรก็ตาม? นี่คือการพิพากษาของพระเจ้า พ่อของเรา ผู้เป็นผู้พิพากษา ผู้สัตย์ซื่อเที่ยงตรง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีลำเอียง ไม่มีการเข้าข้างผู้ใด ใครดำเนินตามกฎต่างๆ เหล่านี้ก็จะได้รับตามกฎต่างๆ เหล่านี้ เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์เลยแม้แต่นิดเดียว

นี่คือกฎ กฎหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ากฎของโลกวิญญาณ เรารอดนิรันดร์ เรารอดจากการพิพากษานิรันดร์ ส่วนการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความประพฤติ เรายังอยู่ในกฎของการหว่านและเก็บเกี่ยว ถ้าเราหว่านในสิ่งที่ไม่ดี เราก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดี เราหว่านในสิ่งที่ดี เราก็เก็บเกี่ยวในสิ่งที่ดี นี่คือความประพฤติ คนละเรื่องกัน

สิ่งเหล่านี้ ทำให้ความจริงเหล่านี้ ทั้งหมด เสริมเข้าไปใน 12 ข้อที่เราได้เรียนรู้ไปเมื่อ 2 ครั้งที่แล้ว ในซีรี่ย์นี้ ทำให้รู้ว่าถอนหายใจ สำหรับผู้เชื่อ แล้วถามว่าที่เขียนมานี้ เพื่ออะไร? เพื่อผู้เชื่อที่กำลังทนทุกข์ทรมานเหล่านั้น ที่กำลังหนีหัวซุกหัวซุนนั้น เกิดการเคารพยำเกรงต่อพระเจ้าว่าเขาหรือเรา ผู้เชื่อ ในโลกวิญญาณ ได้รับความรอด อย่างถูกสถาปนา ไม่เปลี่ยนแปลง เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัว สบายใจ ส่วนบนโลกใบนี้ ประพฤติตน อย่าหาเรื่องให้มันเจ็บตัวมากขึ้น อย่าหาเรื่องให้ทุกข์ทรมานมากขึ้น เวลาถูกข่มเหงรังแกมา อย่างไม่ยุติธรรม พอมองเห็นเลยว่าคนที่ทำอยู่ เขาเหมือนถีบประตัก เขากำลังต่อต้านกับกฎของพระเจ้า บนโลกใบนี้ เขาจะได้รับสิ่งที่ไม่ดีแน่นอน และโดยเฉพาะโลกวิญญาณนี้มองเห็น เขายังเห็น เขายังไม่เชื่อในพระเยซู เขาอยู่ในความพินาศ แค่นี้ก็สงสารแล้ว เสร็จแล้ว มาถึงตัวเอง เมื่อรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ปฏิบัติตัวอย่างไร? ก็อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง เพราะฉะนั้น ก็พยายามประพฤติตัว ฝึกฝนในการหว่านในสิ่งที่ดี

หว่านในสิ่งที่ดี ยกตัวอย่างเช่น พอถูกเขาใส่ร้าย เอาเปรียบ ฆ่าเพื่อนเรา ฆ่าญาติพี่น้องเราอย่างไม่ยุติธรรม แล้วเราต้องหนีเตลิดเปิดเปิง แทนที่จะแค้น โกรธ ไม่ให้อภัย รวมหัวกัน ถ้าอย่างนั้น เราต้องต่อต้านแล้ว เราต้องสู้กับมัน ตั้งเป็นกองโจร สู้กับมัน อันนั้นมันยิ่งหนักใหญ่เลย ยิ่งได้รับเก็บเกี่ยว แม้ว่าเราจะได้ความรอดเป็นลูกของพระเจ้าแล้วก็ตาม แต่เรากำลังหว่าน ประพฤติในสิ่งที่เป็นของโลกอยู่  ไม่ถูกต้อง ใช้ดาบ ก็ต้องตายด้วยดาบ พระเยซูบอก ใช้ความรุนแรง ตัวท่านเอง ก็จะเจ็บ จะทุกข์ ทรมาน ใช้ความโกรธ ความเกลียด การฆ่ากัน การทำลายกัน ตัวท่านก็จะย่อยยับ ไปด้วย จะเอาอย่างนั้นไหม? พระวิญญาณก็จะสอน  ถ้าท่านยังเอาอยู่ ท่านก็จงยอมรับว่าเคารพยำเกรงต่อพระเจ้านั้น  ท่านได้รับสิ่งนั้นแน่นอน  ท่านก็จะได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้า แต่ทุกข์ทรมาน ไม่มีสันติสุขเลย หลบๆ ซ่อนๆ ก็จริง แต่หลบๆ ซ่อนๆ ในใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ฆ่าคนตาย คือต่อสู้กับศัตรู ด้วยตัวของท่านเอง แทนที่จะพึ่งพระเจ้า วางใจในพระองค์ ท่านก็จะเป็นกองโจร และเมื่อเป็นกองโจร ท่านก็จะถูกปราบหนักขึ้น แรงขึ้น รุนแรงกว่าเก่าอีก นี่ไง มันก็เห็นชัดๆ

ถ้าเอามาใช้ในยุคปัจจุบัน ง่ายนิดเดียว เห็นชัดเลย ท่านขับรถไป ถูกเขาเอาเปรียบ ถูกเขาเฉี่ยวชนอะไรต่างๆ แทนที่ท่านจะไม่เป็นไรนิดๆ หน่อยๆ เราพอรับได้  ก็ไม่ต้องยุ่งอะไร? ปรากฏว่าเขาหนีไป เราไม่ได้ ทำอย่างนี้ไม่ยุติธรรม ชนแล้วยังไม่ยอมลงมาอีก หนีไปเลย เราต้องตามล่า เรียกร้องความยุติธรรม ขับรถไล่ตาม ปาดหน้าเขา ให้เขาจอด ลงมาให้ได้ เขาลงมาพร้อมปืน แทนที่ท่านจะเสีย 5,000 บาทไปซ่อมเอง หรือ 2,000 บาท หรือเป็นหมื่นก็ได้ แต่ท่านต้องเสียอวัยวะ เขาลงมาถึง เอาปืนยิงเข้ามา เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้อย่างมาก แล้วเกิดเหตุอย่างนี้บ่อยๆ ด้วย แล้วท่านก็บอกว่า …

“พระเจ้าไม่ปกปักษ์คุ้มครองดูแลเราเลย พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลย”

นี่แหละ คืออุทาหรณ์ในสิ่งที่กำลังพูดถึงในข้อ 17 นี่แหละ

สรุปวันนี้ ก็คือพระเยซูกำลังหนุนใจเราว่าเราบริสุทธิ์และดีพร้อมในวิญญาณแล้ว เหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย ไม่ต้องห่วงนะลูก แต่ความประพฤติก็ฝึกฝนไปนะ ก็ไม่ต้องห่วงเช่นเดียวกัน เพราะพระวิญญาณเป็นผู้สอนเราอยู่ คอยเงี่ยหูฟังให้ดีๆ ประพฤติตัว ฝึกฝนให้ดีพร้อม เหมือนกับในวิญญาณ แต่พักผ่อนได้แล้ว เพราะเรานั้นบริสุทธิ์ ดีพร้อม ถูกแยกส่วนออกมา เป็นทรัพย์สมบัติ ส่วนของพระองค์ แต่เพียงผู้เดียว และพระองค์ปกปักษ์คุ้มครองดูแลเรา ยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติมีค่าใดๆ ทั้งหมด เพราะรักเรายิ่งกว่า ดังแก้วตา ดวงใจของพระองค์ด้วยซ้ำ  พระเจ้าอวยพรครับ

 

******************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

1 ยอห์น 1:8-10 “8  ถ้าเราปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงว่าเราเป็นคนบาป เราก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเราเลย 9 ถ้าเรายอมจำนน รับว่าเราเป็นคนบาป และเราสารภาพบาปของเรา พระองค์เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญา และมีความเที่ยงธรรม พระองค์จะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เรา และชำระเราให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวง 10 ถ้าเราพูดว่าเราไม่เคยทำบาปเลย ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้โกหก และถ้อยคำของพระองค์ (คือพระเยซู) ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเรา”

 

หนังสือ 1 ยอห์น บทที่ 1 อาจารย์ยอห์นเริ่มต้นด้วยการประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  และพระเยซูมา เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากการเป็นคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าได้โดยผ่านทางความเชื่อ

 

แปลว่าในบทที่ 1 นี้ อาจารย์ยอห์น กำลังประกาศกับผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับผู้เชื่อเลย

 

หลักการ คือมนุษย์จำเป็นต้องรับรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราป่วยอยู่ เราต้องการหมอ แต่ถ้าเขาปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่คนบาป เท่ากับเขาไม่ยอมรับความจริง  ที่พระเจ้าบอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า (โรม 3:23)

 

ข้อ 9 บอกว่าถ้าเรายอมรับว่าเราเป็นคนบาป และเข้ามาสารภาพบาปกับพระเจ้า ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ พระองค์ทรงรักษาคำมั่นสัญญา ก็จะทรงยกโทษบาปทั้งหมดของเรา (ฮีบรู 10:14)

 

โดยนำวิญญาณบาปของเรา บัพติศมาเข้าส่วนในการตายพร้อมกับพระเยซู ถูกฝังพร้อมกับพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่ด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สูงสุด ทำให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม ไม่มีบาปอีกเลย

 

หมายความว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว เราสะอาดหมดจดไม่มีบาปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสารภาพบาปกับพระเจ้าทุกวันอีก ตามที่ถูกสอนมา

 

1 ยอห์น 1:9 มีไว้สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อเท่านั้น และเมื่อคนนั้นตัดสินใจเชื่อ เขาก็สารภาพบาปกับพระเจ้าครั้งเดียวเท่านั้นก็พอ

 

ฉะนั้น ผู้เชื่อที่ได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว  จึงไม่ต้องสารภาพบาปกับพระเจ้าอีก เพราะเราไม่มีบาปแล้ว นี่คือความจริงตามถ้อยคำที่พระเจ้าบอกไว้ แต่เราเข้าใจผิด เอาข้อนี้มาใช้กับคริสเตียนว่าเราต้องสารบาปกับพระเจ้าทุกวัน ถ้าเราทำอย่างนั้น เท่ากับเรากำลังบอกว่าที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน   หลั่งพระโลหิต   ชำระล้างบาปเราจนหมดสิ้นแล้วนั้น   ไม่เป็นความจริง   พระเยซูยังทำไม่สำเร็จเลย เราผู้เชื่อยังต้องสารภาปบาปอยู่เลย

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1356

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  มีนาคม  2022

เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก” ตอน 2

“ผลของความเชื่อ ล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

“การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอนที่ 2 ผมให้ชื่อว่า “ผลของความเชื่อ ล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์” สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เริ่มซีรี่ย์นี้ ซีรี่ย์ใหม่  เรื่องการปลอบประโลมจากพระเจ้า   ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งจะอธิบายถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือ 1 เปโตร ทั้งเล่มเลย ซึ่งเป็นจดหมายที่เขียนโดยอัครทูตเปโตร ซึ่งเขียนหนุนใจผู้เชื่อทั้งหลายที่เป็นชาวยิว ส่วนใหญ่ ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ทรมาน จากการถูกข่มเหง รังแกอย่างหนัก จากจักรพรรดิเนโร แห่งจักรวรรดิโรมัน มหาอำนาจสมัยนั้น

อย่างที่ได้เกริ่นไว้ในครั้งที่แล้วว่าคำหนุนใจของพระเยซูผ่านทางเปโตร ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ ได้ให้กำลังใจกับผู้เชื่อที่ต้องทนทุกข์ ทรมานอย่างแสนสาหัส ในยุคนั้นมาแล้ว และเราก็ได้ใช้คำหนุนใจนี้ มาหนุนใจผู้เชื่อในยุคปัจจุบัน ในการเผชิญกับวิกฤต ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเราในทุกวันนี้ได้เช่นเดียวกัน แม้จะเป็นความทุกข์ยากลำบากที่ต่างชนิดกันก็ตาม

ต่างชนิด อย่างที่ครั้งที่แล้วได้อธิบายให้ฟังว่าหนังสือนี้เขียนถึงชาวยิว ร่วมชาติของเปโตร ที่เขามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ถูกข่มเหงรังแก เพราะเป็นคริสเตียน  แต่ของเราในปัจจุบันนี้ การทนทุกข์เพราะเป็นคริสเตียน มีเหมือนกัน แต่มันมีน้อย เมื่อเทียบกับทั้งโลก มีอยู่บ้าง โดยเฉพาะในคนไทย แทบจะไม่มีเลย ที่เห็นชัดๆ นะ แต่เราทนทุกข์อย่างอื่นแทน ซึ่งเป็นการทนทุกข์เหมือนกัน แล้วเราค่อยเรียนรู้กันต่อไป  แต่เอามาใช้ได้ เป็นคำหนุนใจ เพราะว่าเขาทนทุกข์มาก และเห็นชัดเจน

ถ้อยคำพระเจ้าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราทวนนิดหนึ่ง 1 เปโตร 1:1-4 ที่เราเรียนรู้ไป ถ้าให้ดี พยายามย้อนไปฟังคำบรรยายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะได้จำได้ชัดๆ …

1 เปโตร 1:1-4 “1 เปโตร  อัครทูตของพระเยซูคริสต์  ถึงบรรดาผู้เชื่อ  ที่ทรงเลือกสรรไว้  ซึ่งได้เร่ร่อน ลี้ภัย กระจัดกระจายไป ทั่วแคว้นปอนทัส กาลาเทีย คัปปาโดเซีย เอเชีย และ บิธีเนีย 2 พระเจ้าพระบิดา ได้ทรงเลือกสรรพวกท่าน  ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว  ผ่านทางการทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ เพื่อให้พวกท่าน มาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ และรับการประพรม ด้วยพระโลหิตของพระองค์ ขอพระคุณ และสันติสุข มีแด่พวกท่าน อย่างล้นเหลือ 3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์  4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน”

 

ข้อ 3 กับข้อ 4 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย คือผู้เชื่อทั้งหลายนั้นแหละ บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ และได้เป็นทายาทเข้าในมรดก คือรับมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรคสถาน พร้อมแล้ว เพื่อพวกท่าน ที่ได้เชื่อแล้วนั้น” … สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ได้บังเกิดแล้ว ได้ทำให้แล้ว ผู้เชื่อได้เรียบร้อยแล้ว

ถามเป็นการทดสอบว่าครั้งที่แล้ว เข้าใจไหม? ทั้งหมดนี้ได้แล้วทางโลกวิญญาณ มองเห็นไหม? ไม่เห็น ผ่านความเชื่อ เราจึงใช้ตาฝ่ายวิญญาณ ที่ถูกเปิดออก จึงเห็นและเข้าใจ  และสัมผัสได้ เพราะรู้อยู่ในใจ มันเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น อย่างที่บอก พระเยซูประกาศ พระเยซูชี้แนะทั้งหมดนั้น เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ชี้ให้เราเห็น เพราะเราไม่เห็น  พระองค์ต้องมาเปิดเผยให้เราเห็นว่าในโลกวิญญาณนั้นเป็นเช่นไร?

ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับปัญหาอะไรก็ตาม บนโลกใบนี้  ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานขนาดไหนก็ตาม อันนี้พูดถึงโลกวัตถุ ถูกไหม? เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากแบบไหน? แบบ 1 แบบ 2 แบบทนทุกข์อย่างไร? ก็ตาม เราเห็นๆ อยู่ แต่ผู้เชื่อนั้น มีอะไรบางอย่างในวิญญาณของเขา ตามที่ตะกี้ที่พระเยซูบอก พระเยซูบอกว่าเราเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทั้งหลายจึงมีความหวังใจอย่างนี้ ความหวังใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้น  ที่ตะกี้ที่เราอ่านในข้อ 3 ข้อ 4 ที่บอกบังเกิดใหม่ ได้รับมรดกนิรันดร์ โดยไม่มีการเสื่อมสลาย พร้อมแล้วในสวรรค์ เตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว สิ่งเหล่านี้ พระเยซูบอกเพื่ออะไร? เพื่อให้เรามีความหวังใจ จากสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว ที่เราอ่านข้อ 3 ข้อ 4 เมื่อสักครู่นี้ เราได้ไปเรียบร้อยแล้ว โดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ ให้เรามั่นใจอย่างแน่นอน 100% แม้จะมองไม่เห็นก็ตามว่าเราได้เป็นทายาทแล้ว

เมื่อเป็นทายาทแล้ว เราก็ได้รับมรดก ที่เตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน ในสวรรค์ จัดเตรียมไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณนั่นเอง ในสวรรค์ ก็คือในโลกวิญญาณ ใครเป็นคนบอกเราตรงนี้? พระเยซูบอกเราอย่างนั้น แล้วเราเชื่อไหม? เชื่อ เพราะว่าความเชื่อ มันเกิดขึ้นเมื่อตอนเราบังเกิดใหม่ พระเจ้าประทานความเชื่อนี้ให้กับเรา ให้เชื่อใคร? เชื่อพระเยซู เราเป็นลูกแห่งความเชื่อฟัง ทั้งหมดนี้ กำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ แต่โลกวัตถุ ตามเนื้อหนังเรา ตามความประพฤติของเรา นี่โลกวัตถุแล้ว การดำเนินชีวิตของเราเชื่อบ้าง? ไม่เชื่อบ้าง? เดี๋ยวรู้สึก เชื่อบ้าง? ไม่เชื่อบ้าง? มันคนละเรื่องกัน คนละโลกกัน เห็นไหม? ถ้าเราสลับที่กัน ยุ่งวุ่นวายเลย สิ่งที่เราได้แล้ว เราก็บอกเรายังไม่ได้ สิ่งที่เรายังไม่ได้ สิ่งที่เป็นความจริง โลกวัตถุ ที่ไม่ได้บอกว่าเราได้ เราก็บอกว่าเราได้ มันก็เละตุ้มเป๊ะ มันก็ถูกหลอก

และสิ่งที่เราได้รับมาแล้วนั้น มันเป็นสิ่งที่ตะกี้เราอ่าน มันไม่มีเสื่อมสูญ มันถาวรนิรันดร์ มันเป็นอย่างไร? มันเป็นอย่างนั้นเลย เป็นอยู่ตลอด ชั่วอายุขัย No ไม่ใช่ ชั่วนิรันดรกาลเลย ตลอดไปเลย มันเป็นสิ่งถาวรนิรันดร์ ไม่มีวันเสื่อมสลาย ไม่มีวันสูญสิ้น ไม่มีวันหายไป มันไม่มีคำว่าได้มาแล้ว ต้องรักษาให้ดีๆ คุ้นๆ ไหม บังเกิดใหม่แล้ว ต้องรักษาให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นมันหายไป แต่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ พระเยซูสอนเรา ชี้ให้เรา บอกว่ามันไม่มีวันหายไปไหนเลย มันไม่มีวันสูญเสีย สูญสิ้น ความรอด เป็นความรอดนิรันดร์ ไม่ใช่นิรันดร์ เฉพาะไปตลอดชั่วนิรันดร์อย่างเดียว แต่เป็นความรอดที่ไม่มีการเสื่อมเสียนิรันดร์ ก็คือเราไม่มีวันสูญเสียสถานะการบังเกิดใหม่นี้ไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว คำว่านิรันดร์แปลว่าอย่างนี้ ด้วย ไม่มีคำว่าสูญเสียหมด หรือแม้กระทั่งสูญเสียครึ่งเดียว

บางคนไม่เข้าใจตรงนี้ พระเยซูบอกได้หมด ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ได้มรดกนิรันดร์แล้ว ความรอดนิรันดร์ บังเกิดใหม่นิรันดร์แล้ว นิรันดร์ คือสมบูรณ์ครบถ้วนบริบูรณ์ด้วย

บางคนบอกว่าต้องดูแลให้ดีๆ นะ เพราะอาจจะสูญเสียส่วนหนึ่งของความรอดนี้ไป คือได้รับความรอด แต่มรดกไม่ได้ ในนี้บอกมรดกได้อะไร? ได้นิรันดร์ ไม่มีสูญหายไปไหนเลย มรดกได้แล้ว

บางคนบอกได้รับความรอดแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว มรดกหายไป ก็คือได้อยู่ในสวรรค์ แต่อยู่ในบ้านเล็กๆ บ้านไม่ใหญ่ อะไรประมาณนั้น แต่นี่ไม่ใช่เลย พระเยซูบอกว่าเป็นความรอด อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์

เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นนิรันดร์และครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว เราก็ไม่ต้องทำเพิ่ม เราไม่ต้องกระทำอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ เพื่อจะเพิ่มมรดกนี้ เพื่อจะเพิ่มความเป็นลูกพระเจ้าให้มากขึ้น ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ แต่มีบางคน อยากจะทำอย่างนั้น เมื่อเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตั้งใจจะประพฤติให้ดีๆ ให้เป็นลูกพระเจ้ามากขึ้นใช่ไหม? ไม่ใช่ มันต้องเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ตั้งใจจะประพฤติให้ดีๆ เพื่อให้สมกับเป็นลูกพระเจ้า อย่างนี้ค่อยเป็นไปตามเหตุและผลมากกว่า

พระเยซูกำลังชี้ให้เราเห็นว่าในโลกวิญญาณเป็นอย่างนี้ ส่วนการประพฤติ ปฏิบัติในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ตามความเป็นจริงของโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอก ความรอดที่เราได้รับมาแล้ว ก็คือการเป็นบุตรของพระเจ้า มีมรดกนิรันดร์ในโลกวิญญาณ ผ่านทางการชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ เรียบร้อยแล้วนั้น เป็นความรอดที่ครบถ้วนสมบูรณ์ 100% เป็นความรอดที่เป็นถาวรนิรันดร์ ไม่มีวันเสื่อมสลาย ไม่มีวันสูญสิ้น ในฝ่ายวิญญาณ ในโลกวิญญาณเป็นอย่างนี้ ไม่มีการเสื่อมสลายแล้ว

เพราะฉะนั้น ความจริงตรงนี้แหละ คือสิ่งที่หนุนใจ และเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวของผู้เชื่อ คือคริสเตียนในสมัยนั้น ที่เรากำลังอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่ ที่เขาอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่ ในขณะที่ถูกข่มเหงรังแกอยู่ อย่างแสนสาหัส ความจริงตรงนี้ ที่พระเยซูกำลังหนุนใจเขา ทำให้เขามีกำลังใจ สามารถยืนหยัด และเผชิญกับความทุกข์ทรมาน จากการถูกข่มเหง รังแกอย่างแสนสาหัสได้ เพราะฉะนั้น ตรงนี้ เราก็สามารถเอามาใช้ได้กับความทุกข์ยากลำบากของเราในยุคปัจจุบันด้วยเช่นเดียวกัน

ก็คือพระเยซูกำลังบอกเขา ให้มองไปที่โลกวิญญาณว่าเป็นเช่นไร? ในตัวเขา เป็นอย่างไรแล้ว? ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็คือให้เขามองไปที่เบื้องบน คือในสวรรค์ ในวิญญาณว่าเขาเป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่แล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พระเจ้าโอบกอดเขาไว้ตลอดเวลา

นี่การรู้ความจริงเหล่านี้ ทำให้เขาเป็นไท คือรู้ความจริง เขาก็มีความหวัง ยึดแน่นอยู่ตรงนั้น เขาก็สามารถผ่านความทุกข์ยากลำบาก อย่างแสนสาหัสนั้นไปได้ โดยเต็มไปด้วยสันติสุข

1 เปโตร 1:5 วันนี้เราจะต่อตรงนี้ …

1 เปโตร 1:5 “โดยความเชื่อ (ในพระเยซู) พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้ว ที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย”

 

“และโดยความเชื่อ” ถามว่าโดยความเชื่ออะไร? ก็คือเชื่อพระเยซู โดยการบังเกิดใหม่ พระเจ้าประทานการบังเกิดใหม่ให้กับเรา ถูกไหม?  “และโดยพระเจ้าให้ของขวัญเรา ประทานให้เราเชื่อในพระเยซู ด้วยความเชื่อและได้บังเกิดใหม่นี้ พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ จนถึงความรอด อย่างครบถ้วนบริบูรณ์” หมายถึงอะไร?

หมายถึงตะกี้ที่ผมบอกว่าท่านบังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว โดยความเชื่อในพระเยซู ที่พระองค์ทรงกระทำให้ท่านทั้งหมดแล้ว แค่นั้นไม่พอ พระองค์ยังทรงปกปักษ์คุ้มครองวิญญาณที่พระองค์ทรงไถ่ให้เป็นลูกของพระองค์แล้วนั้น ด้วยตัวท่านเอง ด้วยความประพฤติของท่าน ด้วยความพยายามของท่านต่อไป ไม่ใช่ ด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า พระองค์ให้เราเกิดเป็นลูกของพระองค์แล้ว ได้บังเกิดใหม่ ให้เชื่อพระเยซูแล้ว แล้วพระองค์ก็เข้ามา ปกป้องดูแลวิญญาณของเราที่ทรงไถ่ไว้นั้น เป็นลูกของพระองค์ และเชื่อในพระเยซูคริสต์นั้น ให้มันเป็นอย่างนั้น อย่าให้ใครมายุ่งนะ ท่านจำเป็นต้องพยายามปกป้องความเชื่อของตัวเองไว้ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูจริงๆ แล้ว ไม่ต้อง นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ไม่ต้องแล้ว เคยได้ยินเพลงนี้ไหม? …

“พระองค์ทรงดูแลวิญญาณที่ทรงไถ่  ทรงรักษาความปลอดภัย

พระองค์ทรงเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง พระองค์ไม่เคยง่วงหรือหลับเลย”

ในหนังสือสดุดีบอกไว้ เอามาร้องเป็นเพลงเลย ก็คือพระองค์ทรงไถ่เราแล้ว แล้วพระองค์ทรงปกปักษ์คุ้มครองดูแลวิญญาณที่ทรงไถ่ เป็นลูกเรา เหมือนเรามีลูก เหมือนพ่อแม่ แล้วแม่คลอดลูกออกมา แล้วชีวิตของเด็กคนนี้มาจากแม่และพ่อจริงๆ เลย แล้วพ่อและแม่ปกป้องดูแลทารกนี้ ที่เขารัก ด้วยตัวของเขาเอง และคนๆ นี้ คือพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ไม่มีใครมาเอา เราออกไปจากมือของพระองค์ได้ นี่หมายถึงความรอดนิรันดร์มันเป็นเช่นนี้ในโลกวิญญาณ พระเยซูพยายามชี้ให้เราเห็นว่าความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ที่เราพูดในข้อ 3 และ 4 เมื่อสักครู่นี้ พระเจ้าทำให้ด้วย และไม่ใช่ทำอย่างเดียว ปกปักษ์คุ้มครองดูแลให้มันเป็นอย่างนั้น อย่ามีใครมายุ่งเด็ดขาด ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย

วาระสุดท้าย คืออะไร? พร้อมแล้วที่จะปรากฏในวันสุดท้ายของชีวิต ของคนๆ นั้น จะเป็นพระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ ก็คือวันสิ้นโลก หรือจะเป็นวันที่เขาสิ้นใจไปหาพระเยซูคริสต์ก็ตาม ก็คือวาระสุดท้าย เช่นเดียวกัน  พระองค์สามารถปกปักษ์คุ้มครองดูแล จนกระทั่งไปถึงโลกวิญญาณ ไปถึงสวรรค์นิรันดร์กาล ให้มันเป็นเช่นนั้น ให้เป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก ให้ท่านได้บังเกิดใหม่ แล้วก็บังเกิดใหม่อยู่อย่างนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย มันหมายถึงอย่างนั้น มาดูข้อ 6 ต่อ …

1 เปโตร 1:6 “พวกท่านชื่นชมยินดียิ่งนัก ในเรื่องนี้ แม้ขณะนี้ ท่านต้องท้อใจ เครียด และทนความทุกข์โศกชั่วระยะหนึ่ง จากการทดลองสารพัดอย่าง”

 

“พวกท่านชื่นชมยินดียิ่งนัก” ต่อมาจากเมื่อสักครู่นี้ บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ได้รับมรดกนิรันดร์แล้ว พระเจ้าเข้ามาปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลสถานะนั้นไว้ ไม่มีใครมายุ่ง ไม่มีเปลี่ยนแปลงไปตลอดชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในวิญญาณของท่านจึงเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ชื่นชมยินดีธรรมดา ชื่นชมยินดียิ่งนัก เหมือนเด็กทารก เจอพ่อแม่ เห็นหน้าเห็นตา ดีใจเลยพ่อแม่อยู่ตรงนั้นแหละ กำลังเล่น ไม่ละทิ้งไปไหน? ไม่ง่วง ไม่หลับ  อยู่ตลอดเวลาเลย คล้ายๆ อย่างนั้น ในโลกวิญญาณ เป็นเช่นนั้น  เป็นเหมือนทารกที่บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ ที่เป็นลูกพระเจ้า เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ถามอีกครั้ง ความชื่นชมยินดีอยู่ที่ไหน? อยู่ในวิญญาณ หรือเรียกว่าอยู่ในใจก็ได้  ที่เขาร้องเพลง

“ฉันมีความสุข สุข สุข สุขในใจของฉัน ในใจของฉัน”

เพราะถ้าเราไม่รู้เรื่องความจริง เรามานั่งคิด พวกท่านมีความปิติยินดี ไม่เห็นมียินดีเลย ยินดีที่ไหนล่ะ ก็เห็นเครียดอย่างนี้ ยินดีที่ไหน? มันคนละโลกกัน ได้อ่านข้อนี้ ได้เห็นชัดเลย

“พวกท่านชื่นชมยินดีนัก” ก็คือท่านชื่นชมยินดีนัก ในวิญญาณของท่านที่ได้บังเกิดแล้ว ที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้รับมรดกไปแล้วนั้น เขารู้ “เขา” คือตัวท่านเอง วิญญาณเขารู้ ภายในเขาชื่นชมยินดี

“แม้ขณะนี้ ท่านต้องท้อใจ เครียด และทนทุกข์ เศร้าโศกช่วงระยะหนึ่ง” ประโยคนี้ กำลังพูดถึงที่ไหน? เมื่อกี้พูดถึงโลกวิญญาณ

“ฉันมีความสุข สุข สุข สุข ในใจของฉัน  ในใจของฉัน”

ตอนนี้ ออกมาบนโลกใบนี้ ในร่างกายที่สัมผัสกับโลกใบนี้ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย จับต้องมองเห็นได้ แม้ในขณะนี้ ในโลกวัตถุ ที่มองเห็นได้นั้น ท่านต้องท้อใจ เขาตามล่า ตามฆ่า เพราะเป็น คริสเตียน ใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นพวกกบฎ เป็นพวกเผาเมือง ต้องตามฆ่า จับไปลงโทษ เห็นญาติพี่น้อง เห็นเพื่อนถูกฆ่าตาย อย่างไม่ยุติธรรม ยินดีไหม? ไม่ยินดี ยินดีอะไรเล่า นี่คือโลกวัตถุที่มองเห็น มันเห็นๆ อยู่ มันก็ต้องเกิดความกลัว และเครียด และท้อใจ โศกเศร้า เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์บนโลกใบนี้ แต่ขณะที่โศกเศร้าเสียใจ ข้างในวิญญาณ เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี แต่ขอบคุณพระเจ้า ท่านต้องท้อใจ เครียด กลัว และทนทุกข์โศก แค่ชั่วระยะหนึ่ง ขอบคุณพระเจ้า ชั่วระยะหนึ่ง มันนิดเดียว กับสิ่งที่โลกวิญญาณที่เราได้รับแล้ว

ที่เราอ่านพร้อมกันว่ามันเป็นมรดกจากพระเจ้า ฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเจ้านั้น เป็นนิรันดร์ แต่ความทุกข์ยากลำบาก ความกลัว ความโศกเศร้า การถูกข่มเหงรังแกเหล่านี้ การทนทุกข์ เหล่านี้ มันแค่แป๊บเดียว เปาโลจึงพูดเหมือนกันว่าเราไม่มองไปที่สิ่งที่มองเห็น  แต่เรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็น มันอยู่แค่ชั่วคราว แป๊บเดียว แต่สิ่งที่มองไม่เห็น ในโลกวิญญาณ ที่เราได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์แล้ว มันอยู่ถาวรนิรันดร์ มันไม่มีวันสูญสิ้น เสียหายไปเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะใครเป็นคนปกป้องดูแลอยู่ ไม่ให้มันสูญสิ้น ใครนะ? พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นผู้ปกป้องไว้ทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าความทุกข์ยากลำบากที่มองเห็นบนโลกใบนี้ มันจะเป็นความทุกข์ชนิดไหน? แบบไหน? มาจากการถูกข่มเหงรังแก หรือมาจากธรรมชาติของโลกใบนี้ที่ตกอยู่ในความบาป ตกอยู่ในคำสาปแช่งแล้ว หรือจะเป็นเพราะเราประพฤติตัว หว่านลงไปทำเอง เกิดความทุกข์ หรือความทุกข์ที่คนอื่นเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำให้เราเกิดความทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์อะไรก็ตาม มันเป็นสิ่งที่อยู่แค่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ถูกไหม? มันเทียบไม่ได้กับศักดิ์ศรีนิรันดร์ มรดกใหม่ที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว โดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์ เอเมน

ย้ำอีกครั้งว่าช่วงเวลาที่เปโตรเขียนจดหมายฉบับนี้ เป็นช่วงที่บรรดาผู้เชื่อกำลังถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก แต่เปโตรกำลังบอก ในข้อ 5 ที้เมื่อกี้เราอ่าน เมื่อสักครู่นี้ และถอยไปจนถึงข้อที่ 1 ที่เราเรียนไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ใน 5 ข้อที่ผ่านมาทั้งหมด ที่เราได้รับจากพระเจ้าเรียบร้อยแล้วนั้น สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ใน 5 ข้อนั้น มันน่าจะเพียงพอแล้วนะ พระเยซูพูดชี้ให้เห็น เพื่อให้เขาได้รับการหนุนใจ มีกำลังขึ้น แค่นี้น่าจะเพียงพอในการหนุนใจ ที่จะทำให้พวกเขา คือผู้เชื่อทั้งหลาย สามารถมีความชื่นชมยินดี และมีสันติสุขกับพระเจ้าได้ ในวิญญาณของเขา นึกออกใช่ไหมครับ ซึ่งในขณะเดียวกัน ทางร่างกาย กำลังตกอยู่ในสภาพของความตกใจกลัว อยู่ท่ามกลางอันตราย ถูกจับ ถูกฆ่า ถูกทรมาน จะตายเมื่อไร? จะทรมานเมื่อไร? ก็ไม่รู้ หนีหัวซุกหัวซุน ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในโลกปัจจุบัน ที่เขากำลังดำเนินชีวิติอยู่ ถ้าเขาเห็นความจริงทั้ง 2 อย่าง เขาก็จะมีกำลังใจในการอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น เพราะมันอยู่เพียงแค่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น มันเทียบอะไรกับสิ่งล้ำค่า ที่เขาได้รับ เป็นผลจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้ตั้งชื่อเรื่องวันนี้ “ผลของความเชื่อ ล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์”

เพราะฉะนั้น เอามาใช้กับชีวิตของเราตอนนี้  เราก็ควรมองไปที่ 5 ข้อเมื่อสักครู่นี้ ที่บอก 1 เปโตร 1 ตั้งแต่ข้อ 1 – ข้อ 5 ว่าพระเจ้าได้กระทำอะไรให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ แล้วมาเทียบกับในโลกวัตถุ ที่เราเผชิญอยู่ ในปัจจุบันที่จับต้องมองเห็นได้ชัดๆ มันเห็นเลย มันรู้สึกได้ มันรู้สึกชัดๆ ติดโควิด มันชัด ไปตรวจ ATK มันขึ้น 2 ขีด มันชัดๆ มันไม่ต้องมานั่งใช้ความเชื่อเลย เห็นชัดๆ นี่มันความทุกข์ยากชัดๆ เลย อาการมันเจ็บคอ หายใจไม่ออก เข้าโรงพยาบาล มันชัดๆ เป็นลูกพระเจ้า อธิษฐานตลอดเวลา ทำไมยังติดโควิด มันชัดๆ ติดโควิด คนอื่นไปฉีดวัคซีนไม่เป็นอะไร? ทำไมเราไปฉีดวัคซีนมีผลข้างเคียง เป็นโน่นเป็นนี่ ผลของโควิด  คนอื่นเขาก็ไม่กระทบ บางคนไม่เชื่อพระเจ้า ผลของโควิด ทำให้ค้าขายดีขึ้นด้วย ไปส่งเสริมค้าขายเขา แต่เราเชื่อพระเจ้า ไหนพระเจ้าบอกจะช่วยไง ผลของโควิด ทำให้เราค้าขายไม่ได้  ทำงานไม่ได้เกิดผล ไม่มีเงินใช้สอยเพียงพอ อย่างนี้เป็นต้น หรือเราถูกโกง ถูกเอาเปรียบอะไรต่างๆ เราเอามาใช้กับเราได้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพียงชั่วคราว

และข้อสำคัญ ก็คืออย่าคิดว่ามันเกิดขึ้น เพราะพระเจ้าให้เกิด เพื่อจะมาทดสอบความเชื่อเรา ไม่ใช่พระเจ้าให้เกิด พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นตามกฎระเบียบของโลกใบนี้ ซึ่งมันตกอยู่ในคำสาปแช่ง มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่พระองค์ไม่ประสงค์

“พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น แต่พระองค์ไม่ประสงค์”

พระองค์ให้สิทธิ์เราเลือก แล้วเมื่อมนุษย์เลือกที่จะทำบาป และคำสาปแช่งลงมาบนโลกใบนี้ พระองค์ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น แล้วมาช่วยเหลือทีหลัง มาดูข้อต่อไป 1 เปโตร 1:7 …

1 เปโตร 1:7 “เพื่อทดสอบความเชื่อแท้ของท่าน (ทดสอบผลของความเชื่อนี้) ว่าล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถเสื่อมสลายไปได้ แม้ได้หลอมให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟ ผลของความเชื่อนี้ ก่อให้เกิดคำสรรเสริญ เกียรติและศักดิ์ศรี ในการดำเนินชีวิตของท่านเมื่อพระเยซูคริสต์ (ผู้สถิตอยู่ในท่าน) ปรากฏ (ผ่านทางความประพฤติของท่าน)”

 

คำว่า “ทดสอบความเชื่อแท้” หมายถึงการทดสอบผลของความเชื่อนี้

ผลของความเชื่อนี้อยู่ที่ไหน? ข้อ 2, 3, 4, 5 นั่นแหละ ที่ตะกี้บอกให้กลับไปดู ทดสอบผลของความเชื่อนี้ ทดสอบว่าอย่างไร? ว่ามันล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถเสื่อมสลายไปได้ แม้ได้หลอมให้บริสุทธิ์แล้ว ด้วยไฟ พูดง่ายๆ ว่าทองคำบริสุทธิ์ในสมัยนั้น มันถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากมายมหาศาล ผลของความเชื่อของท่าน มีค่าอย่างนั้นจริงหรือไม่

คำว่า “ทดสอบความเชื่อแท้” ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้ากำลังทดสอบความเชื่อของท่าน เหมือนที่บางคนเข้าใจ พระเจ้าดูว่าความเชื่อของท่านสูงพอไหม? ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ข้อความตรงนี้ พระเยซูกำลังบอกกับผู้เชื่อ ลูกๆ ของพระองค์ทั้งหลาย นึกถึงภาพพระเยซูยืนอยู่บนโลกใบนี้ แล้วก็พูดสิ่งนี้ ท่านจะเห็นภาพเลยว่าตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ ท่านก็พูดสิ่งนี้เหมือนกัน พระองค์กำลังบอกกับผู้เชื่อทั้งหลายว่าเมื่อเราทั้งหลายมาเชื่อพระเจ้าแล้ว มาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้บังเกิดใหม่เป็นของพระเจ้าแล้ว เรากำลังอยู่ตรงกันข้ามกับระบบของโลกนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อยู่ที่ไหน? พระเยซูพูดที่ไหน? เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ในวิญญาณเราอยู่ตรงกันข้ามกับวิญญาณที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือวิญญาณของความไม่เชื่อ เรากำลังอยู่ตรงกันข้ามกับเหล่ามารซาตานและสมุนของมัน ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ในโลกวิญญาณ ซึ่งนั่นหมายความว่าเราจะต้องเผชิญกับการถูกข่มเหงรังแก การต่อต้าน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างไม่ยุติธรรมในสายตาของมนุษย์ทั่วๆ ไป เป็นพิเศษ เพราะเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ ว่าเป็นคริสเตียนนั่นเอง ตรงนี้กำลังจะบอกผู้เชื่อ ในสมัยนั้น เพราะผู้เชื่อสมัยนั้น อย่างที่บอกมันชัดเจน เขาถูกข่มเหงรังแก เขาต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะเขาเป็น คริสเตียน เขาเป็นผู้ที่เชื่อแล้ว

เมื่อเราเชื่อพระเจ้าและบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้วในโลกวิญญาณ แน่นอน มันก็ไม่เหมือนกับระบบของโลกใบนี้แล้ว ที่ถูกนำโดยความบาป ด้วยความผิด โดยการต่อต้านพระเจ้า  ก็คือต่อต้านเราไปด้วย เหมือนที่พระเยซูคริสต์บอกว่า …

“เขาเกลียดชังเรา เขาก็จะเกลียดชังท่านเช่นเดียวกัน”

ตรงนี้กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเผชิญกับความทุกข์ จากการถูกต่อต้านของระบบโลกใบนี้ และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับผู้เชื่อในทุกยุคทุกสมัย  (ในโลกวิญญาณ) ส่วนในโลกวัตถุ จะถูกข่มเหงเหมือนกับสมัยจักรวรรดิโรมันหรือไม่? มีปัจจัยเยอะแยะมากมาย ทั้งหมดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างไร? แต่มันเกิดขึ้นแน่นอน

ยกตัวอย่าง อย่างเช่นผู้เชื่อทุกวันนี้ คริสเตียนทุกวันนี้ ก็ยังมีหลายแห่งที่ยังถูกข่มเหงรังแกแบบนี้อยู่ คือถูกข่มเหงรังแก เพราะเป็นคริสเตียนเท่านั้นเอง มีอยู่บ้าง เมื่อเทียบกับประชากรบนโลกใบนี้ ผู้เชื่อบางคนก็ต้องเผชิญกับปัญหาในครอบครัว อันนี้ชัดเจนเลยนะ บางคนเจอปัญหาในสังคม มีความอึดอัดที่จะบอกใครๆ ว่า …

“ฉันเชื่อพระเจ้า ฉันเป็นคริสเตียน”

กลัว ไม่ต่างอะไรกันกับที่คริสเตียนในสมัยโรมัน ที่กำลังอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่ มีความกลัวเหมือนกัน เห็นไหม? แต่มันคนละลักษณะ ในปัจจุบันบางคนเป็นคริสเตียน ถูกมองเป็นตัวตลก เป็นคนโง่งมงาย อะไรอย่างนี้เป็นต้น

นี่คือการทดสอบความเชื่อ  ทดสอบผลของความเชื่อของท่านว่ามันล้ำค่าจริงไหม? ถ้ามันล้ำค่า ท่านจะรักษาเอาไว้ ดั่งชีวิตเลย มันล้ำค่าจริงหรือเปล่า?  ล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถเสื่อมสลายไปได้ แม้ได้หลอมด้วยไฟ ผลของความเชื่อนี้ ก่อให้เกิดคำสรรเสริญ เกียรติและศักดิ์ศรี ผลของความเชื่อนี้ ผลของการบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์ เป็นลูกของพระเจ้าได้รับมรดกนิรันดร์ ผลตรงนี้ ก่อให้เกิดคำสรรเสริญ เกียรติและศักดิ์ศรี ในการดำเนินชีวิตของท่าน เมื่อพระเยซูผู้สถิตในท่านปรากฏ ก็หมายถึงผลของความเชื่อของท่านที่ได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณนี้ มันจะทำให้เกิดสง่าราศี เกียรติและศักดิ์ศรี ในการดำเนินชีวิต ก็คือในโลกวัตถุนี้ เห็นไหม? ในการประพฤติของท่าน เมื่อพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เมื่อท่านบังเกิดใหม่ พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน

เมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฏ “ปรากฏ” ตรงนี้หมายถึงเมื่อพระเยซูคริสต์สำแดง จากวิญญาณของท่านที่อยู่ในข้าง ออกมาทางร่างกายภายนอก เป็นความประพฤติ เมื่อพระเยซูคริสต์ฉายแสงของพระองค์ออกมา ผ่านทางร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดของท่าน ก็คือปฏิบัติออกมา เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ตรงนี้ก็หมายถึงถ้าพูดถึงบริบทตรงนี้เลย ชัดๆ ก็คือเมื่อเขาข่มเหงรังแกท่าน เพราะท่านเป็นคริสเตียน เขาใส่ร้ายป้ายสีท่านว่าท่านเผาเมือง กบฎ เขาจะตามล่าท่าน ฆ่าท่านให้ตาย แต่ความประพฤติของท่าน หนีไหม? หนี กลัวไหม? กลัว แต่ไม่โต้ตอบ สงบ เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ภายในจิตวิญญาณของท่าน เต็มไปด้วยสันติสุข ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ มันหมายถึงอย่างนั้น

นี่แหละ คือการทดสอบความเชื่อและทดสอบผลของความเชื่อว่ามันมีค่าเท่าไร?  มันมีค่ามากมายมหาศาล ในชีวิตของท่าน ในจิตใจของท่าน และมันจะโผล่ออกมาเป็นการปฏิบัติ 1 เปโตร 1:8 …

1 เปโตร 1:8 “แม้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ก็รักพระองค์ แม้ขณะนี้ ท่านไม่ได้เห็นพระองค์ แต่ก็เชื่อในพระองค์ และเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี ในชัยชนะอันยิ่งใหญ่ มหัศจรรย์สุดจะพรรณนา”

 

“แม้ท่านไม่เห็นพระองค์” นี่โลกอะไร? โลกวัตถุ ถูกไหม? ตาเนื้อเราไม่เห็นพระองค์ แต่ก็รักพระองค์ รักพระองค์ทางไหน? ในวิญญาณ ที่เกิดใหม่ เป็นลูก ในวิญญาณท่านเห็นไหม? มี 2 โลก

แม้ท่านไม่เห็นพระองค์ ก็คือในฝ่ายโลก ฝ่ายวัตถุ แต่ในโลกวิญญาณ ท่านรักพระองค์ พระองค์ใส่ความรักลงไปในวิญญาณของท่าน ตอนที่บังเกิดใหม่ พอท่านเชื่อพระเยซูและบังเกิดใหม่ปั๊บ การบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มันมีลักษณะของความรัก ชนิดที่เป็นของพระเจ้าอยู่ในนั้น ท่านจะรักพระเจ้าโดยอัตโนมัติ เป็นธรรมชาติ อุแว้ออกมา รักพระเจ้า เหมือนกับเรามีลูก ทารกออกมา เขารักใครนะ? แม่ที่คลอดเขาออกมา เขาออกมา เขารักใคร เขารู้ แม่เขา ไม่ต้องมีใครไปสอน เป็นธรรมชาติของเขา ในโลกวิญญาณ ก็เป็นเช่นนั้น

เป็นทารกในวิญญาณ ออกมา ก็รักพ่อ ผู้ให้กำเนิด  ก็รักพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงปกปักษ์ความรักนั้นไว้ ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ แม้ท่านไม่เห็นพระองค์ ก็รักพระองค์ เข้าใจแล้วนะ

“แม้ขณะนี้ ท่านไม่ได้เห็นพระองค์” นี่โลกอะไร? โลกวัตถุที่ตามองเห็น  แม้ขณะนี้ ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ตอนนี้ ท่านเชื่อแล้วก็จริง  แต่ท่านก็ไม่ได้เห็นพระองค์ด้วยตาเนื้อของท่าน แต่ก็เชื่อในพระองค์ เชื่อในวิญญาณของท่าน เพราะว่าพระเจ้าเรียกท่านมา ให้ท่านบังเกิดใหม่ และเรียกท่านมา เพื่อท่านจะได้เชื่อในพระบุตร  ในวิญญาณของท่าน  ไม่มีเปลี่ยนแปลงแล้ว  ยังไงก็ต้องเชื่อ เพราะว่าเกิดมาเป็นโดยธรรมชาติ เป็นลูกแห่งความเชื่อฟัง ลูกที่เชื่อฟังพระเยซูคริสต์

“และเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีในชัยชนะอันยิ่งใหญ่ มหัศจรรย์ สุดจะพรรณนา” ถามว่าที่ไหน? โลกวัตถุหรือโลกวิญญาณ? โลกวิญญาณ เรารู้ได้อย่างไร? สุดจะพรรณนาเป็นภาษามนุษย์ สุดจะพรรณนา หาคำพูดมนุษย์มาพูดไม่ได้เลยว่า …

“ฉันปิติยินดีในพระเจ้าขนาดไหน? ฉันปิติยินดีในชัยชนะที่พระเจ้าประทานให้กับฉัน ผ่านทางพระเยซูคริสต์ขนาดไหน? ฉันปิติยินดีขนาดไหน? ฉันพูดไม่ออก บอกไม่ถูก เพราะมันอยู่ในวิญญาณของฉัน ฉันชนะนรก ฉันชนะความพิพากษาลงนรกแล้ว ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลในสวรรค์สถาน ฉันมีมรดกมากมาย เต็มไปด้วยของล้ำค่ามากมาย ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้วในสวรรค์ วันหนึ่ง เมื่อจากโลกนี้ไป ฉันจะได้ไปรับร่างกายใหม่ในพระเจ้าและไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ อยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับฉัน และในปัจจุบัน ฉันก็อยู่กับพระองค์อยู่แล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในฉัน”

อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันคือความชื่นชมยินดี ในชัยชนะ ในโลกวิญญาณ ที่ไม่สามารถที่จะเอาสมอง แบบเนื้อหนัง มาคิดว่ามันคืออะไร? ได้ขนาดไหน? นี่คือพูด ได้แค่นี้ แต่จริงๆ ในวิญญาณ ฉันรับรู้ มันเยอะกว่านี้ตั้งเยอะเลย เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีในวิญญาณ ในชัยชนะอันยิ่งใหญ่ มหัศจรรย์สุดจะพรรณนา ก็คือการได้บังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า  ด้วยความเชื่อ เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีในสิ่งนี้ ในโลกวิญญาณ ต้องย้ำอยู่บ่อยๆ ในโลกวิญญาณ ไม่ใช่ในโลกวัตถุ ก็คือไม่ได้เปี่ยมล้นไปด้วยความปิติยินดี ในทางความประพฤติตลอดเวลา

บางคนพยายามบอกผู้เชื่อ มาหนุนใจผู้เชื่อ รถถูกชน เกิดไฟไหม้บ้าน ปิติยินดีสิ  พูดมาเลย สรรเสริญพระเจ้า พระเจ้าบอกให้ชื่นชมยินดี หมายถึงให้ชื่นชมยินดีในใจ …

“ในวิญญาณฉันชื่นชมยินดี แต่ข้างนอก มันเป็นไปตามนี่แหละ ฉันยังรับไม่ได้ ชื่นชมยินดีได้อย่างไร? ยกตัวอย่างในบริบทนี้ ชื่นชมยินดีสิ ชื่นชมยินดีได้อย่างไร? ก็ฉันเห็นสามีของฉัน ลูกของฉัน ถูกทหารจับไป เสียบประจานที่ไม้กางเขน”

“ฉันเห็นเพื่อนของฉัน ผู้เชื่อที่รู้จักกัน ถูกนำไปให้สิงโตกิน”

“ปิติยินดีสิ ปิติยินดี”

“ไม่ใช่ ฉันกลัว ฉันเครียด เป็นเรื่องธรรมดา แต่ข้างในใจฉัน เต็มไปด้วยความยินดี เพราะพระเจ้าปกป้องสันติสุข และพระคุณความรอดของฉันไว้ ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ซึ่งฉันไม่สามารถที่จะพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์ ได้เลยว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น”

นี่มันแปลว่าอย่างนั้นมากกว่า ต่อไป 1 เปโตร 1:9 …

1 เปโตร 1:9 “ท่านได้รับผลของความเชื่อของท่าน คือวิญญาณของท่านได้รับความรอดแล้ว”

 

ซึ่งผลของความเชื่อของท่าน สรุป ก็คือวิญญาณของท่าน ได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งมรดกนิรันดร์ ที่ได้พร้อมแล้ว

เวลาใครจะมีลูก  กำลังจะคลอด  ก็จะไปซื้อโน่นซื้อนี่ให้กับลูก พร้อมก่อนคลอด แล้วพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงรักมนุษย์ และสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้  พระองค์ทรงเตรียมอะไรให้กับมนุษย์บ้าง เมื่อให้มนุษย์บังเกิดใหม่ นั่นแหละ พร้อมแล้วสำหรับท่าน สิ่งเหล่านี้เป็นผลของความเชื่อของท่าน ทำให้เกิดสิ่งนี้ และสิ่งนี้ ก็คือสิ่งล้ำค่าอันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์อีก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อยู่ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่เกี่ยวกับความประพฤติ ที่แสดงออกถึงการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ซึ่งมันขึ้นๆ ลงๆ

“ในโลกวิญญาณ ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ฉันบอกว่าฉันรู้”

“รู้อะไร?”

“รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย รู้ว่าพระเจ้าทำให้ฉันบังเกิดใหม่ รู้ว่าฉันเป็นลูกพระเจ้า”

นั่นคือทางวิญญาณ  ไม่มีขึ้นๆ ลงๆ นิ่งเลย เพราะพระเจ้าเป็นผู้ปกป้อง ความเชื่อนี้ แต่ในโลกวัตถุ ในเรื่องร่างกาย การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในความประพฤติที่แสดงออกมา มันขึ้นๆ ลงๆ เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง เพราะฉะนั้นความจริง ไม่ได้อยู่ตรงเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง หรือว่าขึ้นๆ ลงๆ เป็นไปตามความรู้สึก ความจริงในโลกวิญญาณ มันคือความจริงที่พระเยซูบอกว่าความจริงนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง จะไม่มี อะไรมาลบล้างความจริงนี้ได้เลย  แต่ความประพฤติของเรา อาจจะเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ มันเป็นความรู้สึก

พูดง่ายๆ ว่าเราจะรู้สึกเศร้าอย่างไร แต่ในวิญญาณของเราเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เราจะรู้สึกว่าเราเป็นคนบาปอย่างไร? ในวิญญาณเรารู้ว่าเราเป็นคนชอบธรรม เรารู้สึกว่าเรากลัวอย่างไรก็ตาม แต่ในวิญญาณเราเต็มไปด้วยความกล้าหาญ เรารู้สึกว่าเราเป็นคนสกปรกอย่างไร แต่ในวิญญาณเรารู้ว่าเราเป็นคนบริสุทธิ์สะอาดหมดจด  เรามีความรู้สึกว่าอะไรก็ตาม ที่เรากระทำ แล้วมันไม่ถูกต้อง แต่ในวิญญาณเรารู้ว่าเราได้รับการอภัยเรียบร้อย ครบถ้วนบริบูรณ์ ตั้งแต่ก่อนทำแล้ว

เราจะรู้สึกว่าเราขาดแคลนขัดสน เงินทองก็ไม่มี อะไรต่างๆ ก็ไม่มี นี่เรารู้สึก แต่ในวิญญาณ เรารู้ว่าเรามั่งมี ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น เราเพียงพอ อะไรประมาณนั้น

ผลของความเชื่อของท่าน คือวิญญาณของท่านนั้นได้รับความรอดนิรันดร์ พร้อมด้วยมรดกอะไรต่างๆ ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ที่ในสวรรค์ เตรียมไว้ที่ไหน? ในสวรรค์ ในสวรรค์ คือในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น พระเยซูจึงบอกไง …

“ใครมีตา จงมองให้เห็นเถิด  เพราะมันมองไม่เห็น ต้องเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ถึงจะมองเห็น”

1 เปโตร 1:10 “บรรดาผู้เผยพระวจนะ ผู้ได้กล่าวล่วงหน้าถึงพระคุณ ที่จะมีมาถึงท่านนั้น ได้ตั้งใจสืบเสาะค้นหาอย่างถี่ถ้วนที่สุด เกี่ยวกับพระคุณความรอดนี้”

 

ถามว่ามันมีค่า ล้ำค่ามากยิ่งกว่าทองคำ และความยิ่งใหญ่ของความรอด ซึ่งเป็นผลของความเชื่อศรัทธา มันมีค่าเท่าไร? มันมีราคามากมายเท่าไร? เป็นของที่ใครๆ อยากได้มากเท่าไร? พระเยซูก็เลยอธิบายให้ฟัง

พระเยซูอธิบายให้ฟังผ่านทางเปโตรว่าอย่างนี้ รู้ไหม? ที่ท่านได้ไป เราเล่าให้ฟังตั้งแต่ข้อที่ 1 – ข้อที่ 9 ความรอดนิรันดร์ในวิญญาณของท่าน มรดกนิรันดร์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ในสวรรคสถาน ให้เรียบร้อย สำหรับท่านนั้น ท่านรู้ไหมมีค่าเท่าไร? ไม่รู้ใช่ไหม? พระเยซูก็ชี้ให้เห็น

บรรดาผู้เผยพระวจนะ  หมายถึงอดีตในพระคัมภีร์เดิม หลายๆ พันปีก่อน คนที่เป็นผู้เผยพระวจนะ ที่พระเจ้าใช้ในการบอกล่วงหน้า ถึงอะไรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น เขาได้กล่าวล่วงหน้า ถึงพระคุณ ก็คือถึงข่าวดี ข่าวประเสริฐนี้ ที่บังเกิดใหม่ ได้รับมรดกนิรันดร์ ความรอดนิรันดร์ เขาได้พูดถึงข่าวประเสริฐ ที่เป็นยุคของท่าน “ท่าน” คือผู้เชื่อตอนนั้น ก็คือผู้เชื่อยุคสมัยพระเยซู เขาได้เผยพระวจนะถึงเรื่องข่าวประเสริฐ ความรอดแบบนี้ แบบในพระเยซูคริสต์นี้ เกี่ยวกับพวกท่าน และเขายังได้ตั้งใจที่จะสืบค้นหา อย่างถ้วนถี่ เกี่ยวกับพระคุณความรอดนี้ คือพอเขาได้รับถ้อยคำจากพระเจ้า ถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ พระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ จะมาบนโลกใบนี้ จะช่วยมนุษย์ให้รอด ยกตัวอย่างเช่น เอลียาห์  เยเรมีย์  กษัตริย์ดาวิด อะไรต่างๆ เหล่านี้ เขาได้รับถ้อยคำจากพระเจ้า ซึ่งก็คือพระเยซูนั่นเอง เป็นวิญญาณของพระเยซูนั่นเอง ในนี้เขียนไว้เลย เขาได้รับถ้อยคำจากพระเจ้า เขาก็จดบันทึกไว้ แล้วเขาก็เอาไปประกาศกับคนอิสราเอล ที่เชื่อพระเจ้าในสมัยนั้นว่าอนาคตจะเป็นอย่างนี้ เขาเรียกว่าเผยพระวจนะ บอกล่วงหน้า พอเขาจดเสร็จ เผยพระวจนะเสร็จ เขาเองอยากจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ พระเยซู พระมาซีฮาห์จะมาเริ่มต้นข่าวดีตรงนี้ เมื่อไร? กับใคร? เขาสืบหา ค้น พยายามจะคำนวณเอย คิดเอย พยายามจะหาให้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น เมื่อไร? ที่บอกว่าพระเจ้าจะเสด็จมาอยู่ด้วย มีนามว่าอิมานูเอล จะเกิดขึ้นเมื่อไร ที่บอกว่าพระองค์จะเกิดที่เมืองเบธเลเฮมเมื่อไร? ในยุคไหน?  เขาคิดอย่างนั้น

พระเยซูกำลังบอกว่ามันมีค่าเท่าไร? ขนาดผู้เผยพระวจนะในอดีต เป็นพันๆ ปีมาแล้ว เผยถึงเรื่องพระเยซูคริสต์ ก็อยากจะรู้ว่าพระองค์เกิดมาในยุคใคร? เพื่อใคร? และเมื่อไรจะมา? มาดูข้อ 11 ต่อ …

1 เปโตร 1:11 “พวกเขาพยายามพิเคราะห์หาดูว่าสิ่งที่พระวิญญาณของพระคริสต์ในพวกเขา ได้บอกบ่งชี้ไว้นั้น จะเกิดขึ้นกับใคร และจะเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อพระองค์ได้บอกล่วงหน้า ถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์ และบรรดาพระเกียรติสิริที่จะตามมา”

 

“พวกเขา” ก็คือพวกผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นในอดีต เขาพยายามพิเคราะห์หาดู ดูแล้วดูอีก ดูคำเผยพระวจนะของตนเอง ที่พระเยซูพูดให้ฟัง คิดต่อ อธิษฐานต่อ พิเคราะห์ดูว่าสิ่งที่พระวิญญาณของพระคริสต์เผยพระวจนะ บอกล่วงหน้า  ใครเป็นคนบอกล่วงหน้า ที่เขาจดเอาไว้ ที่เขาเขียนออกมาบอกกับประชากรสมัยนั้น พระคัมภีร์เดิม ก็คือพระเยซูเอง

ผมถึงบอกไงว่าพระเยซูเป็นผู้เริ่มต้นทุกอย่าง จนกระทั่งพระองค์มาประกาศเอง ด้วยการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี เสร็จแล้วพระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ผู้เชื่อ พระองค์ก็เป็นผู้พูด ตอนนี้พระองค์ก็พูดผ่านทางเปโตร  แต่ที่กำลังบันทึกอยู่นี้ พระองค์เป็นผู้พูดผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ในอดีต เอลียาห์  เอลีชา  เยเรมีย์  ดาเนียล  กษัตริย์ดาวิด อะไรประมาณนี้  เยอะแยะ

ถามอีกที ใครเป็นผู้พูดผ่านทางผู้เผยพระวจนะ? พระเยซูคริสต์

ซึ่งพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ในพวกเขา มันไม่ใช่ “ใน” นะ ตรงนี้ ภาษาเดิมสามารถแปลได้ 3 อย่าง คือใน  บน และท่ามกลาง มันไม่ใช่ในแน่นอน เรารู้แล้ว คำว่า “ใน” คือต้องเกิดที่ด้านในวิญญาณ  นี่ไม่ใช่ในวิญญาณ  ในอดีตนั้น เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์มาปกคลุม มาอยู่บน พระคัมภีร์จะใช้คำนี้หมดเลย  พระวิญญาณของพระคริสต์มาหนือหรือบนเขา แล้วเขาก็เผยพระวจนะ ต้องเป็น “บน”  “ใน” นี้ คือเกิดใหม่แล้ว อย่างพวกเรา สมัยยุคพระเยซูคริสต์มาเกิดแล้ว ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เรียกว่าใน พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา ซึ่งมันมีค่ามากมายมหาศาล ซึ่งผู้เผยพระวจนะในอดีต เขาอยากจะรู้ อยากจะพิเคราะห์ดู มันจะเกิดขึ้นเมื่อไร?

“พระวิญญาณของพระคริสต์บน” ต้องเปลี่ยนเป็นบนนะ “บนพวกเขา ได้บ่งบอกชี้ไว้นั้น จะเกิดขึ้นกับใคร?  ดาเนียลอยากรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นกับใครน๊า ที่บอกว่าพระองค์จะมาเป็นพระมาซีฮาห์ ช่วยมนุษย์ให้รอด ที่พระเจ้าสัญญาว่าเราจะให้ใจใหม่กับเจ้า เราจะประทานวิญญาณใหม่ให้กับเจ้า มันจะเกิดขึ้นเมื่อไรน๊า ให้กับใคร? ยุคไหน? มันแปลว่าอย่างนั้น

จะเกิดขึ้นกับใคร? เกิดขึ้นเมื่อไร? เมื่อพระองค์ได้บอกล่วงหน้า ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์ เมื่อพระวิญญาณของพระคริสต์ปกคลุมอยู่เหนือเขา และพระวิญญาณของพระคริสต์ได้บอกล่วงหน้า ถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์ การทุกข์ทรมานของพระมาซีฮาห์ คือพระคริสต์ตรงนี้ เน้นถึงการที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน ก็คือพระมาซีฮาห์

เมื่อพระวิญญาณของพระคริสต์ได้บอกล่วงหน้า ถึงเกี่ยวกับเรื่องการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ ผู้ช่วยให้รอด และบรรดาพระเกียรติสิริที่จะตามมา หมายถึงเผยพระวจนะล่วงหน้าถึงการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และพระเกียรติสิริ ที่จะตามมาของการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์นั่นแหละ มันหมายถึงอย่างนั้น

ใครบอกล่วงหน้า? บอกอีกที พระเยซู บอกล่วงหน้าถึงใคร? บอกล่วงหน้าถึงพระมาซีฮาห์

“พระเยซู” ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระวิญญาณของพระคริสต์” ในหลายๆ แห่ง ในลักษณะเดียวใช้คำว่า “พระวิญญาณของพระคริสต์” เพราะฉะนั้น พระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือตัวพระคริสต์ ได้บอกถึงการทนทุกข์ของพระมาซีฮาห์ ผู้ที่พระเจ้าเลือกตั้ง เจิมไว้แล้ว  เพื่อมาช่วยให้รอดว่าพระองค์จะทรงทนทุกข์ทรมาน ถูกตรึงกางเขนอย่างไร? และพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 อย่างไร? และสง่าราศีเหล่านั้น มีไปถึงคนที่เชื่อในการทนทุกข์ ทรมานของพระเยซูคริสต์ ในการตายของพระเยซูคริสต์  และการเป็นขึ้นจากความตาย  ผู้เชื่อก็จะได้ตายกับพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ ได้บังเกิดใหม่ นี่คือผลของความเชื่อศรัทธาที่เรากำลังคุยกันตอนนี้อยู่ ในยุคปัจจุบันนี้ ในยุคของพระคัมภีร์ใหม่นี้ 1 เปโตร 1:12 ต่อเนื่องมา …

1 เปโตร 1:12 “พวกเขาได้รับการสำแดงว่าสิ่งต่างๆ ที่ได้พยากรณ์ถึงนั้น ไม่ใช่เพื่อพวกเขาเอง (ไม่ใช่ในยุคของพวกเขา) แต่เพื่อพวกท่าน บัดนี้ บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐได้แจ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้แก่ท่านแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (องค์เดียวกัน) ซึ่งส่งมาจากสวรรค์ แม้แต่ทูตสวรรค์ ยังปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้”

 

พวกเขาพยายามพิเคราะห์ดู หาดูแล้ว จึงได้รู้ว่าสิ่งที่เขาพยากรณ์นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเขา ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเอลียาห์หรอก ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงกษัตริย์ดาวิดหรอก ไม่ได้เกิดในช่วงดาเนียลหรอก แต่มันจะเกิดขึ้นในช่วงยุคของท่าน “ท่าน” ในที่นี้ คือผู้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก็คือชาวยิวที่เป็นคริสเตียน ในยุคโรมันเรืองอำนาจนั้น

ในยุคของพวกเขา แต่พวกท่าน “ท่าน” ในที่นี้ หมายถึงผู้เชื่อนั่นเอง ในยุคพระคัมภีร์ใหม่  ไม่ใช่ในยุคของพวกเขา ก็คือในยุคพระคัมภีร์เดิม ในผู้เผยพระวจนะ ชาวอิสราเอล บรรพบุรุษนั้น

บัดนี้ บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ได้แจ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แก่ท่านแล้ว  บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ก็คือเปโตร ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย อัครทูต และผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ในยุคพระคัมภีร์ใหม่ที่เชื่อพระเยซู แล้วพระองค์ทรงใช้ ให้เป็นนักประกาศ ออกไปประกาศข่าวดี เหมือนศิษยาภิบาลไปประกาศข่าวดี ท่านเชื่อพระเจ้า แล้วท่านไปประกาศข่าวดีนั้น

ท่านลองสังเกตตรงนี้นะ บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ได้แจ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้แก่ท่านแล้ว ถ้าพูดถึงในยุคกำลังอ่านอยู่นี้ ก็คือพวกบรรดาอัครทูต ตั้งแต่เปโตรไป ได้ประกาศถึงข่าวดี ได้แจ้งถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ให้แก่ท่านแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ องค์เดียวกัน ซึ่งส่งมาจากสวรรค์ ก็คือโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ ที่ได้เข้ามาสถิตอยู่กับท่าน ตอนที่ท่านได้บัพติศมาด้วยไฟจากพระวิญญาณ ตอนที่ท่านมาเชื่อพระเจ้า แล้วได้บังเกิดใหม่นั้น พระเจ้าได้ลงมาสถิตอยู่กับท่าน พระวิญญาณนั้นจะเป็นผู้ประกาศผ่านทางชีวิตของท่าน ผ่านทางเปาโล เปโตร เพื่อให้ท่านทั้งหลาย ได้รับทราบว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ คือพระเยซูคริสต์ต้องทนทุกข์ที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 เพื่อบรรดาผู้คนทั้งหลายในโลกใบนี้ ที่เชื่อในพระองค์ จะได้รับความรอด

ดูสิ มีค่ามากเท่าไร? ประโยคสุดท้าย “แม้แต่ทูตสวรรค์ยังปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้” ขนาดทูตสวรรค์ยังตื่นเต้น ไม่แพ้ผู้เผยพระวจนะในอดีต ที่เผยถึงสิ่งเหล่านี้  แต่ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? เกิดขึ้นกับใคร? ทูตสวรรค์ก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน พระองค์ทรงกระทำยิ่งใหญ่ขนาดนี้  ทำให้ใคร? เมื่อไรจะมา ไหนพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าจะมาเป็นมนุษย์เองเลยเหรอ จะมาช่วยมนุษย์ง่ายๆ แบบนี้เลย เป็นพระคุณ ให้ฟรีๆ อย่างนี้เลยเหรอ ถึงขนาดนี้เลยเหรอ เกิดขึ้นเมื่อไร? เกิดขึ้นอย่างไร? ตื่นเต้นไปด้วย นี่คือสิ่งที่บอกว่ามีค่ามากมายมหาศาล  ก็คือข่าวประเสริฐ ความรอด การบังเกิดใหม่ การเป็นลูกของพระเจ้า โดยไม่ต้องทำอะไร พระเจ้าทำให้ฟรีๆ ในเรื่องราวของข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐนี้ จึงเรียกว่าข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ

“พระคุณ” คือเราไม่ต้องทำอะไรเลย พระองค์ทรงทำให้ฟรีๆ เป็นของขวัญ ไม่ใช่ข่าวประเสริฐที่เราต้องทำเองนิดหนึ่ง ข่าวประเสริฐที่ต้องทำเอง หน่อยหนึ่ง ข่าวประเสริฐ ที่เราต้องทำเองเยอะขึ้น ไม่ใช่ข่าวประเสริฐที่จะมาบอกเราว่าเมื่อเรารอดแล้ว ช่วยพระเจ้าอีกหน่อยหนึ่ง รักษาความรอดให้ดีๆ ไม่ใช่ พระองค์ทรงกระทำเองผู้เดียว และปกป้องคุ้มครอง ดูแล ผู้เดียว และดูแลจนถึงความสำเร็จ แต่เพียงผู้เดียว  ข้อที่ 13 …

1 เปโตร 1:13 “เพราะฉะนั้น (เมื่อรู้ตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณของท่านแล้ว และฐานะอันสูงส่ง คือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น) จงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม จงรู้จักบังคับตนเอง จงตั้งความหวังแน่วแน่ ในพระคุณความรอด ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งจะประทานแก่ท่าน เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ”

 

“เพราะฉะนั้น” แปลว่าอะไร? ที่ได้รับรู้ความจริงในเรื่องโลกวิญญาณ มาตั้งแต่บทที่ 1  ข้อที่ 1 จนถึงเดี๋ยวนี้ 12 ข้อ เพราะฉะนั้น 12 ข้อที่ท่านอ่านดูแล้ว ท่านพิจารณาดูหลายวัน หลายปีแล้ว เข้าใจบ้างเรียบร้อยแล้ว ถึงเรื่องข่าวประเสริฐ และอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ? ท่านเป็นใครในวิญญาณของท่าน? ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มีมรดกอย่างไร มากมายมหาศาล มีค่ามากขนาดนั้น  สรุปทั้งหมด 12 ข้อ

เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ตัวตนแท้จริงของท่านแล้วว่าในโลกวิญญาณ ท่านมีฐานะอันสูงส่ง เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เป็นอื่นเลย ก็จงเตรียมความคิด ก็คือหมายถึงความประพฤติแล้ว แต่ท่านต้องรู้ก่อนว่าในโลกวิญญาณ ท่านเป็นใคร? ตอนนี้หมายถึงว่าท่านต้องเตรียมความประพฤติของท่าน รู้แล้ว ความจริงเป็นอย่างนี้ปุ๊บ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ใครมาทำอะไรต่างๆ ฉันจะต้องมีปฏิกิริยาพร้อมที่จะแสดงออก พร้อมที่จะโต้ตอบ พร้อมที่จะทำการยอมรับ หรือโต้ตอบด้วยวิธีใด?

“จงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม” ที่ไหน? ก็โลกวัตถุแล้ว  มาร่างกายเราแล้ว จงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม

“จงรู้จักบังคับตน” คือบังคับให้มันทำตามความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ที่ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์อยู่

“จงตั้งความหวังแน่วแน่ในพระคุณ ความรอด ที่ครบถ้วนบริบูรณ์” ก็คือด้านวัตถุเหมือนกัน ตั้งความหวัง ก็คือตั้งความคิด ที่มันมีความรู้สึกแย่บ้าง?  ไม่ดีบ้าง? กลัวบ้าง? ไม่มีความหวังบ้าง? นั่นแหละ มาเริ่มตั้งใหม่ พอมันเสียใจปุ๊บ ก็ตั้งใหม่ ตั้งความคิดนั้น ให้มีความหวังในความรอดบริบูรณ์ ซึ่งจะประทานแก่ท่าน เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ ก็คือตั้งความประพฤติของท่านให้ดีงาม จนกว่าวันที่พระเยซูคริสต์กลับมา ก็คือสิ้นสุดวันในโลกใบนี้ วันที่พระคริสต์กลับมา หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือวันที่ท่านไปหาพระเยซู มันเหมือนกัน วันที่ท่านตาย จากโลกนี้ไป หรือวันที่พระเยซูกลับมาอีกที อันใดอันหนึ่ง

จะเห็นว่าให้เตรียมตัวให้พร้อม ในโลกวัตุที่ตามองเห็น คือเตรียมความประพฤติตามวิญญาณที่ได้เกิดใหม่แล้วนั่นเอง ในโลกมองเห็น ความประพฤติต้องทำอย่างไร? ตั้งความคิด จิตใจไว้ว่าจะดำเนินชีวิต ประพฤติตัวให้สมกับการเป็นลูกของพระเจ้าที่ได้เกิดใหม่แล้วนั่นเอง ซึ่งเมื่อเราใคร่ครวญความจริงใน 12 ข้อนี้ทั้งหมด ที่บอกมา จดจ่ออยู่ที่ข่าวประเสริฐในความจริงนี้ เรื่องราวของโลกวิญญาณ  ที่ได้เรียนรู้โดยพระเยซูคริสต์เป็นผู้บอกเรานี่แหละ เกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้า เกี่ยวกับสวรรค์ ให้เราใคร่ครวญสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ตลอดเวลา เสมอๆ

ความจริงในเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ในเรื่องโลกวิญญาณนี้  ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมของเรา ก่อนที่เราจะเชื่อพระเจ้านั่นแหละ แบบเนื้อหนังร่างกาย แบบระบบของโลกนี้  ก็คือเราจะเริ่มเปลี่ยนแปลงโปรแกรมเก่า ที่เคยดำเนินชีวิตก่อนมาเชื่อพระเจ้า ที่เคยชินกับโลกใบนี้ การตัดสินอะไรต่างๆ การประพฤติต่างๆ ตามที่เคยทำ

ความจริงเหล่านี้ก็จะมาเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ ตรงนี้เสียใหม่ ในโลกวัตถุที่มองเห็น ตามองเห็นปุ๊บ มันจะคิดไปเหมือนเดิม เอาความคิดจิตใจแบบใหม่  ให้สมกับเป็นลูกพระเจ้า  มาเปลี่ยนแปลงความคิด ให้ความคิดมันคล้อยตามความจริงของข่าวประเสริฐ  ที่เราได้เรียนรู้ 12 ข้อนั้น ให้ 12 ข้อนั้น มาเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมเสียใหม่ และพระสิริของพระเจ้า ฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ในวิญญาณของเรา  ก็จะสำแดงออกมาชัดเจน มากขึ้นเรื่อยๆ  ผ่านทางการดำเนินชีวิต การประพฤติในร่างกายนี้ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองนั่นเอง คือมันเปลี่ยนแปลงความคิด พระคัมภีร์บอกในโรม 12:1, 2 บอกว่า … “เมื่อท่านเปลี่ยนแปลงความคิดของท่าน ความคิดที่เปลี่ยนไป จะทำให้ความประพฤติเปลี่ยน”

ความประพฤติท่านไม่มีทางเปลี่ยนหรอก ต้องเปลี่ยนแปลงความคิดก่อน ความคิดเปลี่ยนแปลง โดยเอาถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าท่านเป็นใครในโลกวิญญาณแล้ว เมื่อมาเชื่อพระเจ้า  12 ข้อ เมื่อตะกี้ที่บอก แล้วเอาความจริงเหล่านี้ มาเปลี่ยนแปลงความคิด พอเปลี่ยนแปลงความคิดได้มากเท่าไร? ความประพฤติทางร่างกาย มันก็จะเป็นไปตาม สมกับเป็นลูกของพระเจ้าเท่านั้น เปลี่ยนมาก ก็ ทำได้มาก เปลี่ยนน้อย ก็ทำได้น้อย  แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากหรือเปลี่ยนน้อย ข้อ 1-12 ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีวันเสื่อมสลาย  ไม่มีวันสูญสิ้น เพราะพระเจ้าปกปักษ์ คุ้มครอง ดูแลความจริงเหล่านั้น ให้เป็นของท่าน ในโลกวิญญาณ และมันจะเป็นอย่างนั้น ตลอดเลย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับความประพฤติของท่าน ที่ท่านจะเปลี่ยนแปลงได้เยอะหรือน้อยก็ตาม ไม่สำคัญ สำหรับพระเจ้าเลย เพราะตัวจริงๆ ของท่าน คือวิญญาณและจิตใจของท่านนั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้ว และเป็นตัวตนที่แท้จริง ที่ท่านจะไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์เท่านั้น เมื่อวันที่ท่านจากโลกนี้ไป ท่านทิ้งร่างกาย ความประพฤติ ทุกอย่าง บนโลกใบนี้ จบไปแล้ว ท่านไม่ได้เอาร่างกายไปด้วย  นั่นคือความจริงที่พระเจ้าจึงสามารถอภัยให้กับท่านได้ทุกอย่าง เพราะวิญญาณของท่านรอดแล้วนั่นเอง

พระเจ้าทรงเลือกมนุษย์ทุกคนให้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ให้มาเชื่อในการกระทำการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เชื่อในข่าวดี เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ลูกแห่งการเชื่อฟัง ทั้งหมดนี้ เรามนุษย์ทั้งหลายทุกคน ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ตอบรับคำเชื้อเชิญของพระเจ้าเท่านั้น ก็สามารถได้บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกพระเจ้า  ลูกแห่งการเชื่อฟัง ในวิญญาณ ซึ่งบางครั้งทางร่างกายอาจจะประพฤติไม่เชื่อบ้างก็ตาม พูดง่ายๆ ว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้า เราก็จะกลายเป็นผู้ชอบธรรม ที่บางครั้งทำบาป เป็นผู้ชอบธรรมโดยวิญญาณ  ที่บางครั้งมีความประพฤติ ไม่ชอบธรรมบ้าง คนละเรื่องกัน

พระเจ้ากำลังเคาะประตูใจของเรา มนุษย์ทั้งหลายตลอดเวลา เพื่อให้มนุษย์ทั้งหลายได้รับรู้ความจริงเหล่านี้ คือข่าวดีแห่งพระคุณของพระเจ้า  เพื่อให้มนุษย์ทั้งหลาย เปิดใจต้อนรับคำเชิญของพระองค์ รับความช่วยเหลือจากพระองค์ ด้วยการรับพระคุณนี้ “พระคุณ” แปลว่าไม่ต้องทำอะไรเลย มารับของขวัญฟรีๆ จากพระองค์ และเมื่อใครก็ตามที่เปิดใจ ขบวนการการบังเกิดใหม่ ผ่านทางความเชื่อ ก็เกิดขึ้น โดยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นอัศจรรย์ จากพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น มนุษย์ไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เลย แต่พระเจ้าทำสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้ โดยตัวของพระองค์เอง ทุกสิ่งเป็นขบวนการของพระเจ้า อย่างเดียวเลย ไม่เกี่ยวอะไรกับมนุษย์เลยแม้แต่นิดหนึ่ง เราจึงเรียกว่าข่าวดีแห่งพระคุณ เราจึงเรียกว่าพระคุณความรอด  โดยไม่ต้องทำอะไร ไม่ทำอะไร คือไม่ทำจริงๆ ไม่ทำอะไร คือพักผ่อนจริงๆ ในพระองค์

พระคุณของพระองค์ คือตรงนี้ นี่คือความจริงในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และวิธีการที่จะถวายเกียรติแด่พระองค์ ก็คือนำความจริงนี้ไปใคร่ครวญตลอดเวลา แล้วความคิดของท่านจะเปลี่ยน พอความคิดของท่านเปลี่ยน แล้วความประพฤติของท่านจะค่อยๆ เปลี่ยนไป ขอบคุณพระเจ้า ในนามพระเยซู เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

2 โคริธ์ 5:6-8 “6 เพราะฉะนั้น เรามั่นใจอยู่เสมอ และรู้แล้วว่าขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 7  เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น 8 และเรามั่นใจและพอใจ ที่จะไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า”

 

แม้ความจริงของพระเจ้าจะบอกเราว่าทันทีที่เราบังเกิดใหม่   วิญญาณของเราได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย สะอาด บริสุทธิ์เต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่เราเชื่อ แต่เนื่องจากตาเนื้อเรามองไม่เห็น มือเราสัมผัสไม่ได้ แต่เรารับรู้ในวิญญาณ เราจึงต้องใช้ความเชื่อ

 

เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเราในถ้อยคำของพระองค์ แน่นอน เมื่อเรารู้ความจริงเหล่านี้ ถ้าเลือกได้ เราก็อยากกลับไปอยู่กับพระเจ้า ซึ่งดีกว่าเยอะเลย แต่ที่พระเจ้ายังให้เราอยู่บนโลกนี้ ก็เพื่อรับใช้พระองค์ สำแดงความรักของพระองค์ที่อยู่ภายในเราเรียบร้อยแล้วออกมา ประกาศฤทธานุภาพแห่งข่าวดีของพระเยซู ดำเนินชีวิตให้เป็นไปด้วยกันกับความจริงที่เราเป็นอยู่ มอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้พระเจ้าใช้ เปลี่ยนโปรมแกรมความคิดเดิมที่เราเคยชิน มาเป็นโปรแกรมความคิดใหม่ตามถ้อยคำพระเจ้า แล้วบุคลิกลักษณะของเราก็จะถูกเปลี่ยนใหม่ เป็นเหมีอนพระเจ้า พ่อของเรามากขึ้น

 

1 ยอห์น 4:17-18 “17 ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​  ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น   เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์ 18 ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น”

เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้นผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1355

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  มีนาคม  2022

เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก” ตอน 1

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้เราจะมาหนุนจิตชูใจกัน โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราในการปลอบโยนจิตใจของเราจากพระเจ้า  เพราะเราอยู่ในยุคนี้ ในปัจจุบันนี้ รู้สึกต้องเผชิญปัญหาหลายด้าน  ทั้งด้านสุขภาพ ทั้งด้านการกินการอยู่  ทั้งด้านความปลอดภัย ในชีวิต ในการเดินทางทุกอย่าง มันเหมือนกับว่าเราอยู่ในยุคของความทุกข์ยากลำบากมากเหลือเกิน แต่พระเจ้าบอกว่าไม่หรอก มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหน แต่ไรแล้ว คือความทุกข์ยากลำบาก มันอยู่อย่างนี้อยู่แล้ว ตั้งแต่อาดัม ทิ้งพระเจ้า และก็หันมาพึ่งพาตนเอง อยู่ในกฎของการกระทำด้วยตนเอง ตกลงไปในความบาป  เมื่อนั้น คำสาปแช่ง  และพระพรจากพระเจ้า ก็เลยหายไปจากชีวิตของมนุษยชาติ รวมทั้งบ้านที่มนุษย์อยู่ รวมถึงโลกใบนี้ ก็เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง เต็มด้วยความเสียหาย วิปริต เกิดความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปหมด ตั้งแต่วันนั้นมาถึงวันนี้ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ เพียงแต่เรานึกไม่ถึง วันนี้พระเจ้าจะชี้ให้เราเห็น  พระเจ้าจะมาปลอบประโลมใจเรา

ผมเลยตั้งชื่อเรื่องวันนี้ว่า “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ซึ่งพระเจ้าได้ปลอบประโลมใจ บรรดาลูกๆ ของพระองค์ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราจะดูตัวอย่างจากเรื่องราวในหนังสือเปโตร เพราะผมเห็นว่ามันชัดเจนมาก และเราจะได้ดูเป็นตัวอย่างว่าจากการปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากของเขาได้ด้วยวิธีใด?

พระคัมภีร์เปโตร เป็นจดหมายเขียนถึงบรรดาผู้เชื่อ ชาวยิว เขียนโดยอัครทูตเปโตร ซึ่งเป็นชาวยิว  และเป็นอัครทูตซึ่งได้ถูกแต่งตั้งมา เพื่อประกาศให้กับคนยิว สำหรับเปาโลก็ถูกแต่งตั้งมาให้ประกาศกับคนที่ไม่ใช่ยิว ก็คือคนต่างชาติ

จดหมายฉบับนี้  อัครทูตเปโตรเขียนถึงชาวยิว ที่ถูกข่มเหงรังแก กระจัดกระจาย หนี ลี้ภัย เร่ร่อน ไปอยู่ต่างถิ่น เพราะกลัวตาย กลัวความทุกข์ยากลำบาก ที่เสียใจ เนื่องจากการถูกข่มเหง รังแก กระจัดกระจายไปทั่ว เอเชียไมเนอร์

ก่อนจะเรียนรู้จากพระคัมภีร์ เรามาเรียนรู้เล็กๆ น้อยๆ ดูแบ็คกราว์น หรือเบื้องหลังของอัครทูตเปโตร ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้

อย่าลืมนะ เรียนรู้กันไป เปโตรเขียน ใครเป็นคนบอกให้เขียน  พระเยซูเป็นผู้บอกให้เขียน  เราจะได้รู้ว่าก่อนจะศึกษาพระคัมภีร์ ต้องรู้ว่าในพระคัมภีร์ เป็นเรื่องของพระเยซูทั้งสิ้น พระเยซูประกาศ พระเยซูสอน พระเยซูบอกให้เราฟังว่าในโลกวิญญาณนั้นเป็นเช่นไร?  เพราะฉะนั้น เวลาอ่าน เวลาศึกษา ต้องรู้ว่าสิ่งที่พูด สิ่งที่เกิด สิ่งที่เป็นนั้น  อยู่ในโลกวิญญาณ เป็นผลของโลกวิญญาณ  เกิดขึ้นที่โลกวิญญาณ  ถ้าอย่างนี้จะเข้าใจง่ายขึ้น และชัดขึ้น  พระองค์ทรงพูดผ่านทางอัครทูตเปโตร เพื่อให้ความจริงในโลกวิญญาณได้ปรากฎ ให้ผู้เชื่อคนอื่นๆ ได้รับรู้

อัครทูตเปโตร เดิมก็คือชาวประมงคนหนึ่ง ในพวกสาวกรุ่นแรก เขาเรียกว่าอัครสาวกรุ่นแรก ก็คือ 1 ในจำนวน 12 คน ที่พระเยซูทรงเลือกตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  และเป็นผู้ที่พระเยซูได้เลือกบอกว่าเป็นเหมือนกับเสาหลักของคริสตจักร เป็นคนที่เดินกับพระเยซู สนิทกับพระเยซูมาก ฟังเทศนาจากปากของพระเยซู ด้วยตัวของเขาเอง และถามพระเยซูเวลาเขาสงสัย ถามแบบซื่อๆ พูดง่ายๆ ว่าเดินกับพระเยซูเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันคนหนึ่ง ได้รับประทานอาหารรวมกับพระเยซู เป็นอัครทูต ที่ได้ชื่อว่าเป็นสาวกที่ใกล้ชิดที่สุด คนหนึ่ง เป็นสาวกรุ่นแรกๆ เป็นคนแรกที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ตั้งแต่สมัยที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้

พระเยซูบอกว่า … “เปโตร ท่านไม่ได้พูดด้วยตัวท่านเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้พูด”

พระเยซูถามพวกสาวก 12 คนว่า … “ท่านว่าเราเป็นใคร?”

ทุกคนก็ตอบว่าเป็นผู้เผยพระวจนะ มีเปโตรคนเดียวที่บอกว่าเป็นพระคริสต์ … พระคริสต์ หมายถึงพระผู้ช่วยให้รอด  คือพระมาซีฮาห์  ที่ชาวอิสราเอลรอคอย มาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่พระเจ้าบอก ตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษหลายพันปีแล้ว

และอัครทูตเปโตร เป็นพยานสำคัญ ที่ได้เห็นจริงๆ เห็นกับตาเนื้อของตนเอง  ถึงการทนทุกข์ทรมานของพระเยซู เมื่อถูกจับ และถูกตรึงที่ไม้กางเขน ได้เห็นการตายต่อหน้า และเห็นอุโมงค์ว่างเปล่า  ก็คือได้เห็นการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู และได้สัมผัสใกล้ชิดพระเยซูหลังจากการเป็นขึ้นจากความตาย คือได้จับมือ ได้กอดพระเยซู ได้กินข้าวกับพระเยซู หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ท่านลองคิดดู ก่อนจะอ่าน เราจะได้รู้ว่าบุคคลที่เขียน มีข้อมูลอะไรในสมองเขาบ้าง เป็นผู้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในวันเพ็นเตคอส เป็นครั้งแรก และเป็นสาวกคนแรกที่ได้ลุกขึ้นเทศนาประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์  เป็นผู้แรกของโลกใบนี้เลย ที่ได้ประกาศข่าวดี หลังจากที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในวันเพ็นเตคอส

และหลังจากนั้น เปโตรก็ทำหน้าที่ของเขา ตามที่พระเยซูแต่งตั้งไว้ ก็คือเป็นอัครทูต คือผู้นำข่าวสาร คือผู้เผยพระวจนะตามที่พระเยซูพูด รุ่นแรก รุ่นที่พระเยซูแต่งตั้ง

รุ่นที่พระเยซูแต่งตั้งเองเลย เขาถึงเรียกว่าอัครทูต … เปาโล พระเยซูก็แต่งตั้งเองเช่นเดียวกัน ให้ออกไปประกาศ อัครทูต ก็คือผู้ออกไปประกาศ เป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์นั่นเอง ซึ่งเรารู้แล้วว่ามีหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนยิว โดยเฉพาะ คือพี่น้องร่วมชนชาติเดียวกับเขา คือเป็นคนยิว เราเริ่มรู้เบื้องหลังแล้วว่าเป็นเช่นไร?

หลังจากการเขียนจดหมายนี้ ไปหนุนใจไม่นาน เปโตรก็ถูกจับ ก็พลีชีวิต รู้ว่าถูกจับ แล้วต้องตาย เขาก็ไม่กลัว เขาก็จับและไปตรึงที่ไม้กางเขน ในช่วงเวลาของจักรวรรดิโรมัน เฟื่องฟูในสมัยเนโร เปโตรก็ถูกจับในยุคนี้ และถูกตัดสินประหารชีวิต ด้วยการถูกตรึงที่ไม้กางเขน ซึ่งเปโตรให้เขาตรึง แบบกลับหัวกลับหาง ก็คือเอาศีรษะลง เพราะว่าเขารู้สึกไม่คู่ควรกับการที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เหมือนกับพระเยซูคริสต์  เพราะฉะนั้น เขาทำสิ่งเหล่านี้ขึ้น เพื่อแสดงถึงความเชื่อ  และเป็นที่หนุนใจให้กับบรรดาผู้คนที่เชื่อเหมือนกัน และกำลังถูกข่มเหง จากบุคคลเดียวกัน ด้วยวิธีการทุกข์ทรมานเหมือนกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทุกคนรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย ในทางวิญญาณ ทำได้แต่เพียงเนื้อหนัง ร่างกายเท่านั้น ที่พระเจ้าอนุญาตให้มันเป็นไปแค่นั้นเอง ซึ่งเดี๋ยวเราเรียนต่อไป เราจะรู้ว่าการหนุนใจของพระเจ้าเป็นเช่นไร?

ก่อนถูกจับ แล้วตรึงไม้กางเขน เปโตรได้เขียนจดหมายฉบับนี้ เพื่อหนุนใจ เป็นกำลังใจ เป็นสิ่งที่ต้องการชี้ให้ผู้เชื่อทั้งหลาย ที่กำลังทุกข์ยากลำบาก อย่างแสนสาหัสได้เห็น เพื่อจะได้มีความปิติยินดี ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก เพราะพวกเขากำลังเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัส จากการถูกข่มเหงรังแก อย่างหนักของจักรพรรดิเนโร ในช่วงนั้น ช่วงที่เปโตรเขียนจดหมายฉบับนี้ อยู่ในราว ค.ศ.64 ยุคสมัยของจักรพรรดิเนโร ซึ่งเป็นคนโหดร้าย และข่มเหง คริสเตียนอย่างหนัก

มีหลักฐานบันทึกไว้ว่าจักรพรรดิเนโร ต้องการจะสร้างกรุงโรมใหม่ ซึ่งเขาปกครองอยู่ เขาเบื่อ ปรากฏว่าเสนอสภา แล้วสภาไม่รับ ไม่อนุมัติ  แต่เขาบ้าอำนาจ เขาอยากจะสร้าง เขาเลยวางเพลิงเผาเมืองโรมเก่า เพื่อจะได้ไหม้ เหมือนไล่ที่ เพื่อจำเป็นจะต้องสร้างใหม่ ตามแบบที่เขาคิดไว้ในใจ เขาก็เลยเผา เผาแล้วทำอย่างไร? เพื่อไม่ให้สภารู้ เขาเผา แล้วเขา ก็โยนความผิด ป้ายความผิดให้กลุ่มคนที่ป้ายได้ง่ายที่สุด และไม่มีปาก มีเสียงที่สุด และเป็นที่สังคมรังเกียจที่สุด ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย  ในขณะนั้นนั่นเอง ผู้เชื่อทั้งหลาย ก็ถูกป้ายความผิดว่าเป็นผู้กระทำสิ่งนี้ ก็คือชาวคริสเตียน เป็นผู้กระทำสิ่งนี้ เป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้ ก็คือมาจากกลุ่มคริสเตียน

เป็นเหตุให้เกิดการกวาดล้าง และการข่มเหงคริสเตียนอย่างรุนแรง ทั่วจักรวรรดิโรมัน  จักรวรรดิโรมัน ไม่ใช่ที่โรมอย่างเดียว ที่เมืองขึ้นต่างๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เปโตรจึงเขียนหนังสือนี้ เพื่อหนุนใจผู้เชื่อทั้งหลายที่หนีเอาตัวรอด ฟังให้ดี “ที่หนีเอาตัวรอด”

“อ้าว! มีความเชื่อ แล้วทำไมหนีเอาตัวรอด?”

เดี๋ยวลองเรียนรู้กันต่อไป ผู้เชื่อทั้งหลายที่หนีเอาตัวรอด จากการถูกข่มเหงรังแกนี้ กระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ ที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง

เปโตรเขียนจดหมายไปเพื่ออะไร? ก็คือพระเยซูกำลังจะไปบอกเขา ให้กำลังใจกับเขาว่าเขาทนทุกข์ลำบาก เพราะอะไร? และทำอย่างไรถึงจะผ่านได้ เพื่อสอนให้เขารู้ว่าควรวางใจพระเจ้าอย่างไร? วิธีใด? มองไปที่ใด? ถึงจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ให้ผ่านไปด้วยดีได้

ลองนึกถึงภาพ เวลาเรียนรู้ด้วยกัน จะได้รู้ว่าใน 1 เปโตร เขียนช่วงไหน? เรากำลังอ่านจดหมายของคนอื่นเขา ที่เขาเขียนไปหาใคร? เราต้องรู้ว่าเขาเขียนไปหนุนใจ ในขณะที่คนทุกข์ขนาดไหน? ทุกข์มาก ทุกข์น้อยขนาดไหน? เพื่อเราจะได้มาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน ผมคิดว่าสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสมัยโน้น เพียงแต่มันคนละรูปแบบกันเท่านั้น คือทุกวันนี้เรากำลังเผชิญกับวิกฤตปัญหาเหมือนกัน ก็คือความทุกข์ยากลำบากที่เข้ามาในชีวิต เหมือนกัน มีคนเขาพูดไว้อย่างนี้ว่า …

ตอนที่เราทุกข์ ปวดฟัน เราก็พูดว่า … “โอ๊ย! ปวดฟันแทบจะตาย”

ตอนเราปวดท้อง เราก็พูดว่า … “โอ๊ย! ปวดท้องแทบจะตาย”

คือสำหรับมนุษย์แล้ว ทุกข์ปุ๊บ ความรู้สึกมันได้รับแค่ แทบจะตาย ก็คือทนไม่ไหว แต่ความทุกข์นั้น อาจจะดูเหมือนมากหรือน้อยต่างกัน แต่ความรู้สึกของคนเหมือนกันหมด คนปวดฟันก็ทรมาน จะผ่านคืนนี้ไปได้อย่างไร? คนเป็นมะเร็ง ก็เหมือนกัน จะผ่านคืนนี้ไปได้อย่างไร? ท่านพอมองเห็นไหม? แต่มะเร็งกับปวดฟัน ท่านลองคิดดู มันต่างกันขนาดไหน? แต่ความรู้สึกของผู้คน ที่ได้รับนั้น ความรู้สึกไม่ต่างกัน คือทุกข์เท่าไร เราก็ไม่อยากจะรับ และเราก็นึกว่ามันสุดแล้ว

เพราะฉะนั้น ในยุคปัจจุบัน มันคนละรูปแบบกับในอดีต แต่มันก็ทุกข์เหมือนกัน โควิดนี้ทำให้เราทุกข์ไหม? เราก็เหมือนกับดำเนินชีวิต เคยเป็นอิสระมาก่อน ไปไหนก็ไปได้ทั่วโลกเลย ไม่ใช่ทั่วประเทศอย่างเดียว ทั่วโลกเลย ตอนนี้จะไปไหน? แค่ออกจากบ้านไปซื้อของใกล้ๆ บ้าน ยังต้องระวังตัวด้วย บางครั้ง ห้ามออกไปเลย เป็นมา 2 ปีกว่าแล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงเลยว่าจะไปต่างประเทศ ก็ทุกข์ใจ เพราะมันเคยมีอิสระ แล้วมันไม่มี แล้วบางคนติดโควิดอีก ติดเชื้ออีก อุตส่าห์ระมัดระวังมากมาย ยังติดอีก  บางคนผลกระทบจากโควิด ไม่มีคนเข้าร้าน ขายของไม่ได้ ค้าขายไม่ได้ ไม่มีรายได้ ถูกเลออฟจากงานอีก อะไรอย่างนี้ มันก็คือความทุกข์ อีกรูปแบนหนึ่ง ซึ่งสำหรับเรา ในปัจจุบันนี้ ก็ไม่ได้มีความรู้สึกทุกข์น้อยกว่า  หรือจะมากกว่าชาวยิวที่ได้รับจดหมายฉบับนี้ ที่ถูกข่มเหงรังแกโดยจักรพรรดิโรม คือเนโร ในสมัยนั้น ถูกไหม? คือไม่ว่าจะยุคไหนๆ ก็ตาม ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังไงเรายังต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบาก อย่างแน่นอน ไม่มีทางใดทางหนึ่ง ที่เราจะหลุดพ้นออกจากความทุกข์ยากลำบากนี้ไปได้เลย ไม่ทุกข์กาย ก็ทุกข์ใจ ทุกข์กับความกลัว  ความวิตกกังวล ทุกข์กับเศรษฐกิจ ปัญหาการกิน การอยู่ ปัญหาสุขภาพ คือให้รู้ว่ามันไม่มีสิ่งปกติในโลกใบนี้ ทุกวันนี้ ทุกสิ่งมันเป็นวิกฤติ คือไม่ว่าจะทุกข์จากการถูกข่มเหงรังแก ที่ไม่ยุติธรรม

อย่างที่เรากำลังจะเรียนรู้ ในชาวยิว ในสมัยจักรพรรดิเนโรแล้ว มันยังมีความทุกข์ จากธรรมชาติของความบาป ที่เกิดคำสาปแช่ง วิปริตบนโลกใบนี้อยู่ อย่างเช่น ทุกข์จากธรรมชาติวิบัติต่างๆ ทุกข์จากมนุษย์ช่วยกันทำให้ธรรมชาติเสียหายอะไรต่างๆ ทุกข์จากการกระทำของมนุษย์ ด้วยกันเองต่างๆ

ยกตัวอย่าง ทุกข์จากสงคราม หรือทุกข์จากเชื้อโรคอะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่คือความทุกข์ ที่หนีไม่พ้น ที่มันเกิดขึ้นแน่ๆ การถูกข่มเหงรังแก อาจจะไม่เกิด หรือเกิด อาจจะน้อย อย่างเราอยู่ในประเทศนี้ เราก็ไม่ถูกข่มเหงรังแกในปัจจุบัน แต่เราก็มีอย่างอื่นแทน ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น นี่คือความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์บนโลกใบนี้ สำหรับคริสเตียน ก็มีอยู่ 2 แบบ แบบหนึ่ง ก็คือถูกข่มเหง โดยเราไม่ได้ทำ อีกแบบหนึ่ง ก็คือได้รับตามที่เราหว่านไป เราทำไม่ถูกต้อง ตามกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว กฎของการกระทำบนโลกใบนี้  กฎแห่งกรรมของโลกใบนี้ ย้ำอีกที บนโลกใบนี้ คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำอะไรผิดไป ก็ต้องรับผิด ไปโกงเขา ก็ต้องถูกตำรวจจับเข้าคุกเข้าตาราง อันนี้ ก็ความทุกข์เหมือนกันนะ หรือความทุกข์อีกแบบหนึ่ง ก็คือความทุกข์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ อย่างเช่นโควิด เราไม่ได้ทำนะ พระเจ้าก็ไม่ได้ปล่อยให้โควิดมาทำเรา มันเกิดขึ้น เป็นเช่นนั้นเองบนโลกใบนี้ที่วิปริตไปแล้ว ซึ่งตะกี้นี้อธิบายให้ฟังไปแล้วนะ เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปเทียบกันว่าสมัยโน้นเขาทุกข์กว่าเรา หรือสมัยนี้เราทุกข์กว่าเขา สำหรับมนุษย์เมื่อทุกข์ ก็บอกว่าสุดแล้วทุกที

อย่างเช่นในยุคจักรวรรดิโรมัน ในสมัยเนโร ท่านรู้ไหมว่าการข่มเหงรังแก ที่บอกป้ายความผิดให้คริสเตียน ทำไมเขาต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปต่างถิ่นขนาดนั้น หนีเพราะอะไร? ทำไมถึงต้องกลัวถึงขนาดนั้น ท่านลองคิดดูนะ

ยกตัวอย่างนิดเดียวพอ คือมีทั้งถูกจับไปเผาไฟทั้งเป็น เผาให้คนดู ไม่ได้ไปแอบลงโทษในคุกในตารางนะ แต่ในที่สาธารณะ ต้องการให้คนดูเลย จับไปให้คริสเตียนต่อสู้กับสัตว์ดุร้าย ในสนามแข่งขัน เพื่อให้คนดู เป็นการบันเทิงอย่างหนึ่ง จับไปตรึงไม้กางเขน แล้วก็เผา ยกตัวอย่าง แค่นี้พอแล้ว ท่านว่าผู้เชื่อในสมัยนั้น หวาดกลัว และหนีเอาตัวรอดกันอย่างไร?

ท่านอาจจะถาม … “แล้วทำไมพระเจ้าไม่ช่วยเลย ทำไมพระเจ้าไม่ช่วยเขาล่ะ”

อย่างที่ผมบอกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ เรากำลังถามในเรื่องของวัตถุว่า …

“ทำไมพระเจ้าไม่ช่วย”

ช่วยอะไร? ช่วยให้เขาพ้นจากการถูกข่มเหงรังแกนี้ ถูกไหม? มันก็คือพ้นจากสถานการณ์ แบบวัตถุบนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ ถูกไหม? มันก็ไม่ใช่เรื่องวิญญาณ ที่ผมบอกว่าเราต้องเรียนรู้ จากเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณเท่านั้น พระเยซูจะอธิบาย ประกาศ ชี้ให้เราเห็นถึงโลกวิญญาณเท่านั้น เพราะฉะนั้น ขณะที่เราถามเมื่อตะกี้นี้ว่า …

“แล้วทำไมพระเจ้าไม่ช่วยเขา ให้หลุดรอดพ้น”

ก็ต้องตอบในโลกวิญญาณว่า … “พระเจ้าได้ช่วยแล้ว รอดแล้ว การข่มเหงรังแกเหล่านั้น ไม่สามารถทำอะไรผู้เชื่อได้เลยแม้แต่นิดเดียว” ถูกหรือไม่ถูก? ในโลกวิญญาณ

อย่างนี้ถึงจะตอบได้ ไม่งั้นคนถามมา เราก็ตอบไม่ได้

“อ้าว! ทำไมคริสเตียนติดโควิด ทำไมพระเจ้าไม่ปกป้อง คุ้มครอง ดูแลเรา พระเจ้าคุ้มครองดูแลเราไง ทำไมปล่อยให้เราเป็นอย่างนี้ ไหนบอกว่าโดยรอดแผลเฆี่ยนของพระเยซูเราได้รับการรักษาให้หายแล้ว แล้วทำไมยังเป็นโควิดได้อย่างไร?”

เพราะคนถามมองที่โลกวัตถุ สิ่งของบนโลกใบนี้ แต่ความจริง ที่พระเยซูกำลังประกาศ กำลังสอน กำลังบอกเรานั้น เป็นเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

“ทำไมยังเป็นโควิด ทำไมพระเจ้าไม่รักษาให้หาย”

ตอบทางวิญญาณ หายหรือยัง? หายแล้ว ไวรัสโควิดทำอะไรเราได้ไหม? ไม่ได้ ทางวิญญาณ ทำได้แต่ทางเนื้อหนัง ร่างกาย ซึ่งมองเห็นอยู่ แต่ผลของข่าวประเสริฐ มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณอย่างเดียว ตามที่ตะกี้นี้ได้พูดตามผม แล้วว่าเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว  ไม่อย่างนั้นท่านถูกหลอกแน่นอน

ถูกหลอกเพราะอะไร?  เพราะท่านไม่รู้จักความจริงในโลกวิญญาณ พระเยซูจึงได้ตรัสคำนี้ว่า …

“มองไปที่โลกวิญญาณ ถ้าใครรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ความรู้ ความจริงในโลกวิญญาณนี้ จะทำให้คนนั้นเป็นไท เป็นอิสระ ไม่ถูกหลอก”

อย่างเมื่อตะกี้นี้ ที่ท่านไม่ถูกหลอก ท่านตอบได้ว่าทางโลกวิญญาณมันเป็นเช่นไร? เพราะท่านรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ความจริงในโลกวิญญาณทำให้ท่านเป็นอิสระ ซึ่งคำหนุนใจของพระเยซูผ่านทางอัครทูตเปโตรนี้ ที่เรากำลังจะเรียนรู้นี้ ใน 1 เปโตร บทที่ 1 ก่อน แล้วก็จะไล่ไปเรื่อยๆ ในซีรี่ย์ชุดนี้ คำหนุนใจของพระเยซูนี้ ให้กำลังใจกับผู้เชื่อที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ในสายตาของมนุษย์บนโลกใบนี้ ถูกไหม? แสนสาหัส ในยุคนั้น ถ้าเผื่อสิ่งเหล่านี้ คำหนุนใจเหล่านี้ จากพระเยซูที่ไปถึงบรรดา ผู้คนที่ทุกข์ทรมานเหล่านั้น ในสมัยนั้นอย่างไร? เราก็สามารถใช้คำหนุนใจเดียวกันนี้ มาใช้กับเราในยุคปัจจุบันได้เช่นเดียวกัน  ถูกหรือไม่? เพราะพระเยซูอยู่นิรันดร์ พระองค์ทรงเป็นอยู่วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง เราก็สามารถใช้คำหนุนใจอันเดียวกันนี้ มาหนุนใจพวกเรา ในการเผชิญกับวิกฤติปัญหาปัจจุบันในวันนี้ได้เช่นเดียวกัน

การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก เราได้แบ็คกราว์นมาแล้ว คราวนี้เราเริ่มต้น 1 เปโตร 1:1 …

1 เปโตร 1:1 “เปโตร อัครทูตของพระเยซูคริสต์  ถึงบรรดาผู้เชื่อที่ทรงเลือกสรรไว้  ซึ่งได้เร่ร่อน ลี้ภัย  กระจัดกระจายไปทั่วแคว้นปอนทัส กาลาเทีย คัปปาโดเซีย เอเชีย และบิธีเนีย”

 

อย่างที่บอก ย้ำอีกครั้งหนึ่ง อ่านพระคัมภีร์ ต้องกระดุมเม็ดแรกถูกก่อน กระดุมเม็ดแรก ต้องรู้ว่าเขียนถึงใคร? เรารู้แล้ว …

(1) เขียนถึงผู้เชื่อหรือเปล่า? ใช่ ผู้เชื่อที่กำลังทนทุกข์ทรมาน จากการถูกข่มเหงรังแก

(2) เกี่ยวกับโลกวิญญาณ

นี่คือกระดุมเม็ดแรกทั้งนั้น  กระดุมเม็ดแรก คือเขียนถึงใคร? กระดุมเม็ดที่สอง คือมันเกี่ยวกันกับโลกอะไร โลกวัตถุหรือโลกวิญญาณ?  …  โลกวิญญาณ  ถ้าเติมอัน 3 เข้าไป ก็ได้ว่า …

(3) ใครเป็นคนเขียน? พระเยซูเป็นคนเขียน ผ่านทางเปโตร

ถ้าเป็นหนังสือของเปาโล ก็คือพระเยซูเขียนผ่านเปาโล ถ้าเป็นพระคัมภีร์เดิม ก็เขียนผ่านทางผู้เผยพระวจนะต่างๆ  นี่คือกระดุมเม็ดแรกที่ต้องเข้าใจ จะได้เป็นอิสระ ไม่ถูกหลอก อ่านข้อนี้แล้ว ท่านคิดว่าเปโตรกำลังเขียนถึงบรรดาผู้ที่เชื่อ ที่ได้ลี้ภัย ที่เร่ร่อนกระจัดกระจายไปในที่ต่างๆ เขียนโดยวิธีใด? ส่งไปที่ไหน? นึกภาพออกไหม?

ท่านลองนึกถึงภาพคนกำลังเขียนเรื่องนี้ แล้วตัวเองก็อยู่ท่ามกลางการข่มเหงรังแกชนิดเดียวกัน อย่างนี้ ถูกข่มขู่ เขาเรียกว่าถูกขู่ให้ตาย หรือจะถูกฆ่าตายในวันนี้ พรุ่งนี้ ก็ไม่รู้ ขณะที่พระเยซูบอกให้เขียน เขียนอยู่ในท่ามกลางอย่างนั้น แล้วจะส่งให้ใคร? ไม่เหมือนหนังสือเปาโลส่งให้คริสตจักรเอเฟซัส คริสตจักรกาลาเทีย ผู้เชื่อชาวกาลาเทีย อันนี้ส่งให้ใครก็ไม่รู้ กำลังบอกว่าส่งให้ใครนะ? ผู้ที่ตกใจกลัว เร่ร่อน หนีเอาตัวรอด กระจัดกระจายไปทั่วต่างๆ ในจักรวรรดิโรมัน ไปต่างจังหวัด ไปไกลๆ ไม่อย่างนั้นถูกจับ ฆ่าตายอย่างทุกข์ทรมาน แล้วคนเหล่านี้หนีด้วยอะไร? หนีด้วยภาพที่เขาเห็นเพื่อน พี่น้อง เห็นญาติสนิท เห็นภรรยา เห็นลูก เห็นพ่อ เห็นแม่ ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถูกเผา ถูกตัดคอ ถูกเอาไปให้สัตว์ดุร้ายกิน

นึกถึงภาพเหล่านี้  เขียนไปหาคนเหล่านี้ เราจะได้นึกถึงความรู้สึกของผู้รับ และผู้เขียน เปโตร อย่างที่บอก เขียนจดหมายฉบับนี้ จบไม่นานนัก เขาก็ถูกจับ แล้วก็ถูกตรึงกางเขน นึกภาพนะ  เราอ่านดู จะได้มีความรู้สึกอินกับเรื่องนี้ว่าเพราะฉะนั้น เรื่องราวเหล่านี้ ที่กำลังจะหนุนใจเขาเหล่านี้ ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เลย ถูกหรือไม่ถูก? มันเรื่องเป็นเรื่องตาย จะมาพูดอะไรที่มันเป็นแบบมาสอนให้ทำดีนะ กำลังจะหนีตาย ทำดี แล้วเราจะได้ไม่ถูกจับ ไม่ใช่นะ เดี๋ยวเราต้องอ่านดูอะไรที่พระเยซูต้องการให้ผู้คนเหล่านี้ ทั้งคนเขียน ทั้งคนได้รับจดหมาย ให้มีความรู้สึกสามารถหลุดพ้น ออกจากความวิตกกังวล ความกลัว ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์บนโลกใบนี้  แต่ให้มีความหวังใจในชัยชนะของเขา ให้สามารถปิติยินดีได้ อะไรเป็นเคล็ดลับ อยากรู้ไหม?

นี่คือเป้าหมาย นี่คือก่อนอ่าน ต้องเรียนรู้ตรงนี้ จึงจะเกิดประโยชน์ได้ นี่คือหนึ่งในจำนวนกระดุมเม็ดแรกนั่นแหละ และเขียนไปถึงพวกเขาเหล่านี้ อย่างที่บอก จ่าหน้าซองถึงไหน? ถึงกาลาเทีย ไม่ใช่ ถึงที่ไหน? ถึงผู้คนที่กระจัดกระจายต่างๆ ไม่มีคริสตจักรอยู่ แอบซ่อนอยู่ แล้วจดหมายฉบับนี้เขาก็ส่งกันไปเรื่อยๆ นึกออกใช่ไหม? เหมือนจดหมายลับ ส่งต่อไปที่คัปปาโดเซีย ส่งต่อไปที่แคว้นนี้ ส่งต่อไปที่นี่ สมมติส่งไปคัปปาโดเซีย ก็ไม่ได้ส่งไปที่คริสตจักรคัปปาโดเซีย ส่งไปที่คัปปาโดเซีย แล้วก็ผู้เชื่อต่างๆ ที่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ ต้องใช้สัญลักษณ์เรื่องปลาว่าเป็นคริสเตียน แต่ภายนอกไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นคริสเตียน  ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวถูกข่มเหงรังแก แล้วจดหมายส่งอย่างไร? ครอบครัวนี้ มี 8 คน อ่าน 2-3 วัน แล้วส่งต่อไปที่คัปปาโดเซีย อยู่ในอีกตำบลหนึ่ง อะไรต่างๆ เหล่านี้ คือส่งมือต่อมือไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เป็นชุมชนที่จะมาอ่านรวมกันเยอะแยะ แต่ทุกคนเหล่านั้น กำลังมุดอยู่ในรู หนีการข่มเหงรังแก หนีทหารโรมัน ที่จะมาจับตัวไป รับโทษอะไรต่างๆ เหล่านั้น ทุกวันนี้ยังมีหลักฐานของสถานที่ของผู้คนเหล่านี้ อยู่ในประเทศแถวๆ ตุรกี เป็นที่เขาหนีไปอาศัย และต้องอยู่อย่างไร? อยู่ในถ้ำอย่างไร? หนีจากการข่มเหงรังแกนี้อย่างไร? และจดหมายนี้ คงอ่านอยู่ในถ้ำ นึกภาพออกนะ

เปโตรใช้คำว่า “บรรดาผู้เชื่อที่ทรงเลือกสรรไว้” ใครคือผู้เชื่อที่ทรงเลือกสรรไว้ ท่านคงสงสัย ตามที่เราได้เคยเรียนรู้กันมาว่าการที่เรามาเชื่อพระเจ้าได้นั้น ไม่ใช่ว่าเราเลือกพระเจ้า บางคนบอกว่ามาเชื่อพระเจ้า เลือกที่จะเชื่อพระเจ้า แต่ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเลือกเรา เห็นไหม? พระเจ้าทรงเลือกเรา  แต่ตามสายตามนุษย์มองตามวัตถุแล้ว เหมือนเราเลือกมาเชื่อพระเจ้าใช่ไหม? เราไม่เคยเชื่อ แล้วเราเลือกจะมาเชื่อ เลือกจะมาโบสถ์ เชื่อในข่าวดี ดูเหมือนเราเลือก

แต่ในโลกวิญญาณ พระเยซูกำลังจะบอกว่าไม่ใช่เลย ก่อนที่คุณจะเลือก พระเจ้าทรงเลือกคุณก่อนแล้ว ทางวิญญาณ ตอนเราเกิดมา เรายังไม่เชื่อพระเจ้า ขวบหนึ่ง ก็ยังไม่เชื่อพระเจ้า บางคนเกิดมา 30 ปี ก็ยังไม่เชื่อพระเจ้าเลย ไม่เลือกใช่ไหม? แต่ก่อนเกิด พระเจ้าเลือกคนนี้แล้ว เข้าใจใช่ไหม นี่คือความหมายมันเป็นอย่างนั้น ใน 1 เปโตร 1:2 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:2 “พระเจ้าพระบิดาได้ทรงเลือกสรรพวกท่าน ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ผ่านทางการทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ เพื่อให้พวกท่านมาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์  และรับการประพรมด้วยพระโลหิตของพระองค์ ขอพระคุณ และสันติสุข มีแด่พวกท่านอย่างล้นเหลือ”

 

“พระเจ้าพระบิดา ได้ทรงเลือกสรรพวกท่าน ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว” โลกวิญญาณนะ กำลังอธิบายเรื่องโลกวิญญาณ ถ้อยคำพระเจ้าได้บอกว่าพระเจ้าทรงเลือกมนุษย์ทุกคน ให้ได้รับความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ใช่หรือไม่? ถูกไหม?

ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อทุกคนที่ได้วางใจในพระองค์ จะไม่พินาศ แต่จะได้รับชีวิตนิรันดร์”

เพื่อมนุษย์กี่คนนะ? “เพื่อมนุษย์ทุกคนจะไม่พินาศ จะได้รับชีวิตนิรันดร์” แสดงว่าพระเจ้าเลือกทุกคนไหม? เลือกทุกคน ยอห์น 1:12 ว่าอย่างไร? …

ยอห์น 1:12 “ทุกคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานให้สิทธิ ให้เขาได้กลายเป็นบุตรของพระเจ้า”

“ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้เป็นบุตรของพระเจ้า” ถูกไหม? “ทุกคนที่เชื่อ” ก็แสดงว่าพระองค์ทรงประทานพระเยซูคริสต์ให้กับทุกคน ถูกไหม?  ก็คือเลือกทุกคน ให้มาเชื่อในพระเยซู เพื่อจะได้รับความรอด มาเป็นบุตรของพระองค์ ก็คือเลือกทุกคนมาเป็นลูกของพระองค์นั่นเอง เห็นไหม?

แต่ถ้าเรามองทางวัตถุ อย่างที่ตะกี้บอก คนนี้ยังไม่ได้เลือกเชื่อพระเจ้า ตั้งแต่อายุ 30 เลือกที่จะเชื่อ ไม่ใช่ พระเจ้าเลือกคุณก่อนแล้ว แต่คุณยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ของคุณนั่นเอง พระเจ้าทรงเลือกสรรมนุษย์ทุกคน ตรงนี้ชัดเจน เลือก เพื่อเขาจะได้รับความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผ่านทางการชำระให้บริสุทธิ์ โดยพระวิญญาณ

พระเจ้าพระบิดาได้ทรงเลือกสรรพวกท่าน ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้า วางแผนการไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกว่าจะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา คือพระมาซีฮาห์ พระเยซูคริสต์ เพื่อมาทำการไถ่ และช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอด กลับมาหาพระองค์ มาเป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิม นี่คือที่บอกว่า “ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้า” ก็คือพระองค์ทรงเลือกทุกคน  และพระองค์ก็ทรงทราบด้วยว่าคนนั้นถูกเลือกแล้ว แต่ปฏิเสธการเลือกของพระองค์

จำที่พระเยซูยกตัวอย่างได้ไหมว่างานเลี้ยงก็พร้อมแล้ว การ์ดเชิญก็ออกไปแล้ว แต่คนที่ถูกเชิญไม่มา พระเยซูบอกว่าเพราะฉะนั้น เจ้าของงาน ก็เลยให้บ่าวเอาการ์ดเชิญไปเชิญใครก็ได้ทั้งโลกเลย ใครที่อยากมา เอาการ์ดไปเชิญเขา

นี่คือภาพของอย่างที่บอกเมื่อตะกี้ พระองค์ทรงเลือกแล้ว เลือกเขามาเชื่อพระเยซูแล้ว แต่ถ้าเขาไม่ตัดสินใจเลือก มันก็เป็นหน้าที่ของเขา เขาถูกเลือก แต่เขาไม่รับ เขาถูกเชิญ แต่เขาไม่ยอมมา เขาถูกเชิญ แต่เขาปฏิเสธการรับเชิญนั้น แต่การ์ดเชิญไปถึงเขาหรือยัง? ถึงแล้ว ความรอดไปถึงเขาหรือยัง? ไปถึงแล้ว แต่เขาไม่รับ ตรงนี้เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านไม่ได้มองที่โลกวิญญาณ ท่านจะไม่เข้าใจถึงความหมายของสิ่งที่กำลังพูดเมื่อสักครู่นี้

ก็คือพูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าทรงเลือกมนุษย์ทุกคนก่อนล่วงหน้าแล้ว  เลือกให้มาทำอะไร? ผ่านทางการชำระให้บริสุทธิ์ เลือกให้มาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์สะอาด ที่พระองค์จะทรงใช้สอย เป็นที่บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์จำเพาะพระพักตร์ของพระองค์ มาเป็นของพระองค์ แต่เพียงผู้เดียว

การทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณนี้ แปลว่าการถูกแยกออกมา เป็นของศักดิ์สิทธิ์ส่วนพระองค์ของพระเจ้า ซึ่งไม่มีใครสามารถแตะต้องได้ เพราะตรงนี้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ สะอาดแล้ว ตรงนี้เล็งให้เห็นถึงกฎระเบียบในสมัยโมเสส ในอดีต ซึ่งชาวยิวรู้ดี การทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ ก็คือพระวิญญาณจะมาแยกเราออกมา เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์

จะอธิบายตรงนี้ให้ฟังว่าพระองค์ทรงเลือกมนุษย์ทุกคน พระบิดาทรงเลือกมนุษย์ทุกคนล่วงหน้าแล้ว  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เลือกสรรแล้ว และรับการ์ดเชิญ ก็คือคนที่ได้เข้ามาผ่านพระเยซูแล้ว เชื่อในพระเยซูแล้ว เขาคนนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเข้าไปชำระเขา จำได้ไหม? พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเจิมเขาด้วยไฟ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะบัพติศมาเขาด้วยไฟ แห่งพระวิญญาณ เหมือนที่เปโตรได้รับเมื่อวันเพ็นเตคอส

การบัพติศมาด้วยไฟ คือการชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ทางความประพฤติใช่ไหม? เพราะความประพฤติเป็นสิ่งที่เป็นวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ ใช่ไหม? แต่การชำระนี้ ผมบอกแล้ว มันเล็งไปถึงโลกวิญญาณ มันจะได้ไม่ถูกหลอก

ไปช้าหน่อย แต่ละเอียดอย่างนี้ มันดีกว่าไปเร็วๆ แล้วก็มองแต่ภาพ มองแต่สิ่งที่ตามองเห็น ไม่ได้มองด้วยความเชื่อ ในโลกวิญญาณ  มันจะถูกหลอก

พระวิญญาณบัพติศมาเรา ผู้เชื่อ ที่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้าแล้ว และรับการเลือกสรรนั้น ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย พระเจ้าต้องการให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเจิมเขาด้วยไฟ บัพติศมาเขาด้วยไฟ ให้เป็นบริสุทธิ์ เป็นทรัพย์สมบัติ เป็นสิ่งของแยกส่วนออกมาจากโลกใบนี้เลย สะอาดหมดจดอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ อยู่ในบ้านของพระองค์ บ้านของพระองค์ ก็คือในสวรรค์ เห็นใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น การชำระนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าเรียกเรามาให้ประพฤติบริสุทธิ์  ไม่ใช่

เรียกเราและเลือกเรามา ให้เป็นคนที่กระทำความบริสุทธิ์ พยายามทำดี ให้บริสุทธิ์ ไม่ใช่

เลือกเรามา เพื่อจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เจิมเราด้วยไฟ ทำให้เราเป็นคนบริสุทธิ์เลย เป็นคนบริสุทธิ์ทางวิญญาณ  เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ วิญญาณ คือตัวตนจริงๆ ของเรา  ที่จะอยู่นิรันดร์ ร่างกายที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ตายจากโลกใบนี้แล้ว แล้วเราก็ไม่ได้เอามันไป หลังความตาย หรือใครจะเอาบ้าง? ไม่มีใครเอา เอาก็เอาไปไม่ได้ด้วย เพราะมันเน่าแล้ว แต่สิ่งที่จะไปในโลกวิญญาณ คือวิญญาณของเรานั่นเอง ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของเรา ตัววิญญาณตัวนี้ กำลังพูดถึงตรงนี้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจิมเราด้วยไฟ ชำระเราให้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ทำเมื่อไร? ทำทันที เลือกสรรไว้แล้ว เพียงแต่ท่านรับคำเชิญเท่านั้นเอง ทำทันที ก็คืออาหารพร้อมแล้ว พระเยซูบอกงานเลี้ยงก็พร้อมแล้ว ก็คือทุกอย่างวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว 1 ในจำนวนนั้น คือการบัพติศมาด้วยไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่จะทำให้ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด  ศักดิ์สิทธิ์นั้น พร้อมแล้วบนโต๊ะ ท่านมาถึงก็พร้อมได้กินเลย แต่ท่านรับเชิญไหม? ไปเชิญแล้วท่านรับไหม? ถ้าท่านรับ ก็เข้ามากินได้เลย กินเมื่อไร? กินเมื่อท่านรับ ก็คือเมื่อท่านรับเชื่อ ยอมรับว่าพระเจ้าเลือกท่านไว้ ในพระเยซูคริสต์ แล้วท่านยอมรับ เดินเข้ามา ท่านก็ได้การชำระ ได้การทรงชำระให้บริสุทธิ์  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้ารอคอยอยู่แล้ว เพราะมันพร้อมแล้ว ในงานเลี้ยง

ในงานเลี้ยงมีอะไรอีก? เพื่อให้พวกท่านมาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับทางโลกวิญญาณอีก พระเจ้าทรงเลือกมนุษย์ทุกคน ให้มาได้รับความรอด ผ่านทางความเชื่อในพระเยซู ตอนเดินอยู่บนโลกนี้ พระเยซูบอกว่าสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากท่าน คือให้ท่านวางใจในเรา คือพระองค์ทรงเลือกมนุษย์ทุกคนให้มาได้รับความรอด ผ่านทางพระเยซู ก็คือเลือกมนุษย์ทุกคน ให้มาเชื่อพระเยซู แสดงว่าเลือกไว้หรือยัง? เลือกแล้ว เชื่อหรือยัง? เชื่อแล้ว เพียงแต่ยอมรับไหมว่าพระองค์ทรงเลือกให้เราเชื่อ เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องพยายามที่จะเชื่อ ความเชื่อมันรออยู่ตรงนั้น เรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ

เรียกให้มาเป็นลูกของพระเจ้า ก็คือเลือกให้มาเชื่อฟังต่อพระเจ้า ผ่านทางพระเยซู เราเพียงแต่รับคำเชิญเท่านั้นเอง ตรงนี้อาจจะฟังเข้าใจยากหน่อย เพียงแต่รับคำเชิญ พอรับคำเชิญ มันเชื่อออโตเมติกเอง ฟังข่าวประเสริฐ แล้วก็ตรงที่เราบอกเชื่อ เพียงแต่รับคำเชิญ พอรับคำเชิญปุ๊บ  ออโต้ฯ มันเปิด ความเชื่อที่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทำผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว เกิดขึ้นทันที ในวิญญาณของคนๆ นั้น มันเชื่อทันที ก็คือเมื่อเรารับคำเชิญ จากการได้ยินข่าวประเสริฐ คือต้อนรับความจริงนี้ พอต้อนรับความจริง แล้วมันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดความเชื่อในวิญญาณของเรา ความเชื่อนี้ พระเยซูบอกมันเหมือนเม็ดมัสตาร์ดเล็กนิดเดียว เหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย ก็คือเราต้อนรับความจริง พอต้อนรับความจริงแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดความเชื่อขึ้น พระเจ้าทรงประทานความเชื่อให้เรียบร้อยแล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้น? ความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ทำให้มันโต เป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ คือการบังเกิดใหม่ เข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์นั่นเอง

และเข้าไปสู่ชีวิตินิรันดร์ แล้ววิญญาณเปลี่ยนใหม่เป็นอะไร? วิญญาณที่เกิดจากความเชื่อตรงนี้ มันก็เป็นวิญญาณเดิมอยู่ ก็คือเป็นวิญญาณแห่งความเชื่อ คือมันจะเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า ไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว มันไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว มันไม่ใช่มาบังเกิดใหม่ เพื่อที่จะประพฤติ เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า มันไม่ใช่แปลว่าอย่างนั้น

มารับคำเชิญ แปลว่าพระเจ้าเลือกเอาไว้ เพื่อท่านจะได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้เชื่อ เป็นลูกที่เชื่อฟังของพระเจ้าในวิญญาณ ซึ่งบางครั้ง เป็นลูกพระเจ้าในวิญญาณแล้ว เชื่อฟังพระเจ้าโดยธรรมชาติของการบังเกิดใหม่แล้ว ความประพฤติยังดื้ออยู่เลย พระเจ้าอภัยให้ เขายังงอนอยู่เลย ยังขุ่นเคืองอยู่เลย ได้ไหม? ได้ เพราะนั่นเป็นความประพฤติ ที่ตามองเห็น ไม่ใช่โลกวิญญาณ แต่ในวิญญาณของเรานั้น เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกที่เชื่อฟัง เป็นลูกแล้ว เป็นๆๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

“เพื่อให้พวกท่านมาเชื่อฟังพระเยซู” ก็คือเพื่อให้พวกท่านเป็นลูกที่เชื่อฟัง ในสวรรค์ ในพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น คนที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ทุกคนเป็นลูกที่เชื่อฟังทั้งสิ้น ถูกไหม? ความหมายทางนี้ คือทางโลกวิญญาณ เป็นลูกที่เชื่อฟังทั้งสิ้น วิญญาณเป็นลูกของพระองค์ที่เชื่อฟัง ร่างกายข้างนอก อาจจะทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง นั่นคนละเรื่องกัน นี่กำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ

ซึ่งอย่างที่บอกว่าบางคนก็ใช้ตรงนี้ ไปเป็นการประพฤติ ปฏิบัติว่าให้มาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าเลือกเราทุกคนให้เป็นคริสเตียน เพื่อเราจะได้ประพฤติปฏิบัติตามในพระคัมภีร์สอนไว้ว่าให้เราเชื่อตามคำสอนของพระเยซูทุกอย่างเลย ถูกหรือไม่ถูก? ไม่ถูก ดูเหมือนมันใช่ แต่ไม่ใช่

ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูบอกว่า “จงอภัยให้คน 70×7 ครั้ง”

เราก็พยายามอภัย แล้วทำได้ไหม?  70×7 ต่อความผิดครั้งเดียว พระเยซูกำลังพูดถึงโลกวิญญาณว่าวิญญาณท่านต้องบังเกิดใหม่ ถึงจะอภัยให้เขาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ บริบูรณ์ได้ ไม่มีที่ติเลย คือต้องเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ที่เป็นวิญญาณแห่งการให้อภัย  เป็นวิญญาณแห่งความรัก พระองค์ไม่ได้มาสอนบอกว่าให้ท่านดำเนินชีวิตด้วยความประพฤติ อภัยให้คน 70×7 ครั้ง มันทำไม่ได้หรอก มันทำได้อย่างไรเล่า แต่ในวิญญาณมันทำได้ โดยการอัศจรรย์ การบังเกิดใหม่ ในโลกวิญญาณ

เพราะเรามาสอน แปลความหมายเป็นโลกวัตถุ มันก็จะฝืน มันก็จะเป็นไปไม่ได้ ในที่สุด เราก็รู้สึกฟ้องผิด ทำไม่ได้ เชื่อฟังพระเยซูนะ เขาตบแก้มซ้าย เอาแก้มขวาให้เขาตบ มันทำไม่ได้ มันอดไม่ได้ เขาตบแก้มซ้าย มือขวาเราพร้อมแล้ว ตบแก้มขวาอีกที อัดแน่ สู้แน่ แล้วเราก็ไปนั่งฟ้องผิด …

“ทำไมเราทำตรงนี้ไม่ได้”

เพราะเราไปแปลความหมายตรงนี้ผิด

พระเยซูกำลังบอกว่าให้วิญญาณเราพร้อม แล้วความประพฤติก็ค่อยๆ ฝึกฝนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่มันจะไม่สมบูรณ์แบบครบถ้วนบริบูรณ์แน่นอน ก่อนตายจากโลกใบนี้ ก็ไม่มีวันสมบูรณ์ ตายจากโลกใบนี้เท่านั้น ออกจากร่างกายนี้เมื่อไร จึงสะอาดบริสุทธิ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ เหมือนวิญญาณที่เป็นอยู่ ตอนที่อยู่ในร่างเหมือนกัน วิญญาณอยู่ในร่าง สะอาดบริสุทธิ์ครบถ้วนบริบูรณ์เลย พร้อมที่จะไปอยู่ในสวรรค์ และอยู่ในสวรรค์แล้วด้วย เพียงแต่อาศัยอยู่ในร่างกายที่มันสกปรก ที่มันอยู่ในระหว่างการสร้าง การเปลี่ยนแปลงความประพฤติเสียใหม่ของคนๆ นั้น ร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งได้มากได้น้อยเท่าไรก็ไม่รู้ พระเจ้าไม่ได้มาวัด พระเจ้าดูคุณภาพของชีวิตทางวิญญาณเท่านั้น พระเจ้าไม่มาดูข้างนอกว่าข้างนอก คนนี้ทำบาป 10 ครั้ง ดื้อ 20 ครั้ง คนนี้ดื้อ 500 ครั้ง  เพราะฉะนั้น คนนี้ดื้อไม่เท่ากับคนนี้  คนนี้ดื้อ 500 ครั้ง สะอาดไม่พอ ไม่ใช่เลย พระองค์ทรงกระทำการงานในทุกคนเท่าๆ กัน และพระองค์ทรงเห็นทุกคนทำผิดเท่าๆ กัน มีอุปสรรคปัญหาในการเชื่อฟังพระเจ้าในการปฏิบัติตัวบนโลกใบนี้ เท่าๆ กัน จะมา 3 ครั้ง 5 ครั้ง หรือ 100 ครั้ง พระองค์มองดูแล้วเหมือนกัน จะมาบอกแค่อิจฉาริษยาเขาเท่านั้นเอง อีกคนหนึ่งบอกคนนี้ฆ่าคนตาย พระเจ้ามองมา มันเท่ากันหมด ผิดก็คือผิด ก็คือยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ในความประพฤติอย่างแน่นอน  แต่วิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ พร้อมอยู่ในสวรรค์แล้ว และพร้อมอยู่ตั้งแต่วินาทีแรก ที่เขาเชื่อแล้ว

และตอนท้ายของข้อความนี้ บอกว่า “ขอพระคุณและสันติสุข มีแด่พวกท่านอย่างล้นเหลือ” ตรงนี้ก็เช่นเดียวกัน พระเยซูกำลังพูดถึงความจริงทางโลกวิญญาณ นึกภาพนะ พระเยซูกำลังพูดถึงความจริงทางโลกวิญญาณ ต้องขอพระคุณไหม? ขอจากใคร? ไม่มี จริงแล้ว ตรงนี้ไม่มีคำว่า “ขอ” เพราะเมื่อมีคำว่า “ขอ” คือเรายังไม่มี เราต้องขอจากพระบิดาเจ้า ในนี้บอกหรือเปล่าว่าขอจากพระเจ้า ไม่มี

ถ้าเป็นการขอตรงนี้ น่าจะเป็นการขอให้เป็น หรือขอให้ท่านรับรู้ไว้ ถูกไหม? เพราะในนี้ไม่ได้บอกว่าขอให้พระเจ้า ขอให้พระวิญญาณ ไม่มี “ขอพระคุณ” คือขอให้ท่านรู้ว่านี่คือความจริง  ขอให้ท่านรู้ความจริงว่าพระคุณและสันติสุข มีในพวกท่าน อยู่ในพวกท่านอย่างล้นเหลือแล้ว

ผมกำลังพูดถึงเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ขอให้ท่านเห็นถึงโลกวิญญาณว่าพระคุณและสันติสุข มีอยู่ในพวกท่านอย่างล้นเหลือแล้ว เพราะท่านบังเกิดใหม่แล้ว ได้รับการชำระ แยกส่วนออกมาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เห็นไหม? เพราะถ้าเราแปลเป็นลักษณะจับต้องมองเห็นได้ เราก็นึกว่าเราต้องประพฤติตัวให้มีพระคุณดีๆ จะได้รับพระคุณเยอะๆ จะได้รับพระคุณเหลือล้น ก็ต้องประพฤติตัวให้ดีๆ จะมีสันติสุข ก็ต้องประพฤติตัวให้ดีๆ

แต่ตรงนี้ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น  ตรงนี้กำลังหมายถึงว่าพระเจ้าได้กระทำให้ท่านบังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ ชำระท่าน แยกส่วนท่านออกมาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำทั้งสิ้น ให้ท่านเชื่อฟัง เป็นลูกที่เชื่อฟัง พระองค์ก็เป็นผู้ทำ

พระคุณและสันติสุข คือลักษณะชีวิตที่บังเกิดใหม่ ที่อยู่ในตัวท่านนั่นแหละ ที่บังเกิดใหม่นั้น มีลักษณะเป็นพระคุณ

พระคุณ หมายถึงท่านได้รับมาฟรีๆ พระคุณ คือพระองค์ทรงรับท่านเป็นลูกของพระองค์ โดยที่ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรเลย เหมือนเรารู้ถึงพระคุณของพ่อแม่เรา หมายถึงอย่างนั้น

ในข้อความนี้ ถ้าท่านรู้แบบนี้ คือตามความเป็นจริงของโลกฝ่ายวิญญาณ ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระจากความกลัว จากการข่มเหงรังแก จากความทุกข์ลำบากที่กำลังเผชิญอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง

พระคุณและสันติสุขมีแด่พวกท่าน คือมีในพวกท่านอย่างล้นเหลือ  “ล้นเหลือ” แปลว่าเกินความพอเพียง เกินเลย มากกว่าพอเพียง มากกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง  อะไรมากกว่า? พระคุณและสันติสุข พระคุณ คือรับท่านเป็นลูก เลือกท่านตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ให้ท่านบังเกิดใหม่  มาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของพระองค์แล้ว และให้ท่านได้มีสันติสุขในวิญญาณของท่าน ความสุขอยู่ในวิญญาณของท่าน พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน เหล่านี้มันเกินพอกับอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่ท่านเผชิญ พระคุณพระเจ้าได้ทรงชำระให้ท่านบริสุทธิ์แล้วนั้น โดยพระคุณ ก็คือโดยความเมตตา ความเข้าใจ ความรักดังแก้วตาดวงใจ มันเพียงพอที่จะทำให้ท่านเต็มไปด้วยสันติสุขในวิญญาณของท่าน ร่าเริงในวิญญาณของท่าน เป็นธรรมชาติ แม้ว่าสิ่งที่ตามองเห็นข้างนอก ในกายนี้ ท่านกำลังทนทุกข์ทรมาน เพราะถูกข่มเหงรังแก อยู่ท่ามกลางการกดขี่ข่มเหง อยู่ท่ามกลางการขู่ การฆ่าให้ตาย ก็ตาม

สิ่งเหล่านี้ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งสิ้น ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็คือมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ การชำระได้บังเกิดขึ้น ผ่านทางการชำระทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ชำระแล้วเกิดการเป็นบุตรของพระเจ้า … เป็นบุตรพระเจ้าแล้วทำไม? เชื่อฟังพระเจ้า … เชื่อฟังพระเจ้าแล้วทำไม? เต็มล้นด้วยพระคุณในวิญญาณ … เต็มล้นด้วยพระคุณในวิญญาณ แล้วอะไรอีก? เต็มไปด้วยความสงบสุข หรือสันติสุข

“เป็น” ทั้งสิ้น ในโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติอะไรเลย  แม้แต่นิดเดียว เป็นๆๆ  เป็นหมดเลย

อ่าน 1 เปโตร 1:3-4 จบตรงนี้ก่อน แล้วเราค่อยมาต่อในสัปดาห์ต่อไป …

1 เปโตร 1:3-4  “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสียหรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน”

 

จะจบตรงนี้ก่อน เพื่ออย่างน้อย สัปดาห์นี้ก็ยังได้สรุปตรงนี้ให้ท่านเห็นว่าเราสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ได้ด้วยวิธีใด? โดยวิธีการรู้ความจริงในโลกวิญญาณว่าเราเป็นอะไรแล้ว เราทำอย่างไร? อยู่อย่างไร? ในโลกวิญญาณ

“สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายได้บังเกิดใหม่”

“ทรงให้เราทั้งหลายได้บังเกิดใหม่” คือได้ทำไปแล้ว ทางไหน? ทางวิญญาณ

“เข้าในความหวังใจอันยืนยง” คือเป็นความหวังอันไม่มีเสื่อมสูญสลายไปเลย ความหวังในทางไหน? ในทางวิญญาณ

“โดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ และเข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย” เข้าในมรดกที่เป็นนิรันดร์ ไม่มีวันเสื่อมสลายในโลกวิญญาณ

“และไม่เน่าเสีย ไม่เลือนหายไป” ไม่มีวันจบ ก็คือท่านเป็นลูก ก็เป็นลูกเลย เป็นตลอดไปเลย

“ซึ่งได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ในสวรรค์ ให้พวกท่าน” เป็นลูกแล้ว มีมรดกด้วย มรดกมากมายให้ท่านครอบครอง เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จัดการไว้เรียบร้อยแล้ว อยู่ในสวรรค์

“ในสวรรค์” คือในโลกวิญญาณ มันไม่มีเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

ตรงนี้ถ้าใครรู้ ก็สามารถที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากได้ด้วยสันติสุข และพระคุณของพระเจ้า ที่มีอยู่ข้างใน  ยิ่งรับรู้ความจริงตรงนี้มากเท่าไร เราก็จะเป็นอิสระจากการโกหกในเรื่องโลกวิญญาณมากเท่านั้น รู้ตรงนี้มากเท่าไร เราก็จะมีสันติสุขตรงนั้นมากเท่านั้น รู้ตรงนี้มากเท่าไร? เราก็จะรู้ตรงนั้นว่าเรามีความหวังอันยืนยงอย่างไรในโลกวิญญาณ ในสวรรคสถาน เราก็จะสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ได้ เหมือนกับที่พระเยซูกำลังหนุนใจให้กับบรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย  ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  ที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ ในยุคสมัยคริสตจักรเริ่มต้น การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก มันก็คือวิธีการนี้นั่นเอง

และเราจะเรียนรู้กันต่อไป ในโลกวิญญาณว่าพระองค์ปลอบโยนจิตใจของเราทั้งหลาย ยามเราทุกข์ยากลำบาก ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ด้วยวิธีใดต่อไปในสัปดาห์หน้า  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

1 ยอห์น 4:17-18 … “17 ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา   เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม  ​ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์” 18 ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก ((อากาเป้ แบบพระเจ้า)) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น”

 

เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต   บางคนชอบคิดว่าเรากำลังถวายชีวิตของตัวเองให้กับพระเจ้า มอบถวายทุกวัน แต่ตามพระคัมภีร์แล้ว เราไม่ได้ถวายชีวิตแด่พระองค์ แต่พระองค์ต่างหากที่ให้ชีวิตกับเรา เรามอบชีวิต ด้วยความเชื่อให้กับพระองค์ครั้งเดียว คือแบกกางเขนของเรา ตามพระองค์ไป ร่วมตายกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์  แล้วถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมพระองค์ เพื่อว่าเราจะได้รับชีวิตใหม่ พระองค์มอบชีวิตให้เรา พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา เราไม่ได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อพระองค์นะ เราตายที่ไม้กางเขน เพื่อจะได้รับชีวิตของพระองค์มาเป็นชีวิตของเรา

 

เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ถวายอะไรให้พระองค์เลย แต่พระองค์ต่างหากที่มอบชีวิตพระองค์ให้เรา แบ่งปันชีวิตของพระองค์ให้กับเรา เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ ทัศนคติหลายๆ อย่างจะเปลี่ยนไป เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกอย่างเป็นพระคุณ เป็นของขวัญ ชีวิตเราหลังจากเชื่อข่าวดี เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว คือเรารับเอาชีวิตของพระเยซูคริสต์ มากำเนิดเป็นชีวิตของเรา ก็คือเข้ามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเรา  พูดง่ายๆ เราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพระเยซูคริสต์นั่นเอง เราจึงคิดเหมือนพระองค์ เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์ รักเหมือนพระองค์เลย ดำเนินชีวิตอยู่ เพื่อพระองค์ โดยพระองค์ เป็นของพระองค์เท่านั้น เป็นธรรมชาติ การบังเกิดใหม่เป็นอย่างนี้

 

เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์ การได้รับรู้ ได้เห็น ซึมซับและรับเอาความจริงเหล่านี้เข้ามาในความคิดจิตใจของเรา คือการชาร์จแบตเตอร์รี่ คือการชาร์จพลังงานความรักอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า ที่เรียกว่าความรักอากาเป้ คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เข้ามาในความคิดจิตใจ   แล้วเราก็ปลดปล่อยพลังอำนาจความรักนี้   ที่พระองค์ทรงใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา   ในพระเยซูคริสต์นี้ ให้ควบคุมพฤติกรรม ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมอง ความคิด ของเรา ให้ดำเนินชีวิต ตามทางของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ในการดำเนินชีวิต ด้วยพลังความรักอากาเป้แบบพระเจ้านี้บนโลกใบนี้ และตลอดไปเลย

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1354

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  มีนาคม  2022

เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั่นเป็นเช่นไร”  ตอน 5

“… “เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น เรากำลังจะถ่มเจ้าออกจากปาก” พระเยซูกำลังพูดกับใคร?”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

“อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” ตอน 5 วันนี้เราจะมาเรียนรู้และทำความเข้าใจกับความจริง คำว่า “อุ่นๆ” หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Lukewarm” ซึ่งเป็นคำที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์วิวรณ์ บทที่ 3 เดี๋ยวอ่านก่อนนะ แล้วดูสิ ความหมายท่านคิดว่าอย่างไร?  และในระหว่างที่อ่านให้ท่านฟัง  หรือท่านอ่านตามไปด้วยก็ได้  ท่านลองคิดตามไปด้วยนะว่า ถ้อยคำตามบริบทนี้ พระเยซูกำลังพูดกับใคร? วิวรณ์ 3:14-22 เป็นคำตรัส คำพูดของพระเยซูบอกนิมิตกับอาจารย์ยอห์นได้บันทึกเอาไว้ …

“วิวรณ์ 3:14-22 “14 จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักร ที่เมืองเลาดีเซียว่า “พระองค์ผู้ทรงเป็นพระอาเมน (พระเยซู)  เป็นพยานที่สัตย์ซื่อและเที่ยงแท้  เป็นผู้ปกครองเหนือสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ตรัสว่า 15 ‘เรารู้ถึงการกระทำของเจ้า เจ้าไม่ร้อนไม่เย็น เราอยากให้เจ้า ร้อนหรือเย็น ไปอย่างใดอย่างหนึ่ง 16 เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น ดังนั้น เรากำลังจะถ่มเจ้าออกจากปาก 17 เจ้ากล่าวว่า ‘ข้าร่ำรวย ได้ทรัพย์สมบัติมากมาย และไม่ขัดสนสิ่งใดเลย’ แต่เจ้าไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนน่าสังเวช น่าสงสาร ยากไร้ ตาบอด และเปลือยกายอยู่ 18 เราแนะนำเจ้า ให้ซื้อทองคำ ที่หลอมให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟจากเรา เพื่อเจ้าจะได้มั่งคั่ง ซื้อเสื้อผ้าสีขาวมาสวมใส่ เพื่อปกปิดความเปลือยเปล่า อันน่าละอาย และซื้อยา มาทาตาของเจ้า  เพื่อเจ้าจะได้มองเห็น 19 เราตักเตือน ชี้แนะ และพร่ำสอน ผู้ที่เรารัก ดังนั้น จงกระตือรือร้น และกลับใจใหม่ 20 เราอยู่ที่นี่แล้ว เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปรับประทานอาหารกับผู้นั้น และเขาจะรับประทานร่วมกับเรา 21 ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะให้เขา มีสิทธิ์นั่งกับเราบนบัลลังก์ของเราเหมือนที่เราได้มีชัยชนะ และได้นั่งกับพระบิดาของเรา บนบัลลังก์ของพระองค์ 22 ใครมีหู ก็จงฟัง สิ่งที่พระวิญญาณ ตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย”

 

“ใครมีหู ก็จงฟังเถิด” พระเยซูคงไม่ได้หมายถึงคนที่ไม่มีหูหรอกนะ  แต่หมายถึงหูทางฝ่ายวิญญาณ ใครมีหู ฟังเรื่องนี้ในชนิดที่เป็นความรู้ สติปัญญา ทางโลกวิญญาณ  จงฟังเถิด

ข้อ 15-16 บอกว่า “พระเจ้าตรัสว่าเรารู้ถึงการกระทำของเจ้า  เจ้าไม่ร้อน ไม่เย็น  เราอยากให้เจ้าร้อนหรือเย็น ไปอย่างใดอย่างหนึ่ง  เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น  ดังนั้น เรากำลังจะถ่มเจ้าออกจากปาก

ประเด็นหลักที่เราเรียนรู้กัน ในวันนี้ ก็คือคำว่า “อุ่นๆ” ไม่ร้อนไม่เย็น  พูดกับใครน๊า? ไม่ร้อนไม่เย็น

ถามว่าเรามาเรียนรู้กันในเรื่องนี้ เพราะอะไร? เพราะยังมีการเข้าใจผิดในความหมายตรงนี้เยอะมาก  และเป็นอันตรายด้วย เหมือนที่ผมเคยพูดบ่อยๆ เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจดหมายฝากในพระคัมภีร์ใหม่ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าถ้อยคำที่เรากำลังอ่านอยู่นั้น กำลังพูดถึงใคร? เรากำลังไปแอบอ่านอีเมล์เขาอยู่นั้น  เขาพูดถึงใคร? เขาเรียกว่าไปจับเอาอะไรมานิดหนึ่ง แล้วก็มาพูด ไม่ตรงกับบริบท ที่เขากำลังคุยกัน เขากำลังคุยถึงเรื่องอะไร?

เพราะฉะนั้น ถ้อยคำที่เรากำลังอ่านอยู่ในหนังสือ พูดถึงใคร? และเป็นผู้ที่เชื่อแล้ว เรียกว่าบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว หรือกำลังพูดถึงผู้ที่ยังไม่เชื่อ อันนี้สำคัญเลย ผู้ที่ยังไม่เชื่อ คือผู้ที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ยังไม่บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า  เพราะถ้าเรายังเข้าใจผิด ในสิ่งนี้ แล้วเราตีความหมายผิด อันแรกนี่เลย เรียกว่ากระดุมเม็ดแรกเลย ถ้ากลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ทำให้ผิดหมดเลย กระดุมเม็ดแรกผิด คืออะไร?  ก็คือเขาเขียนถึงใคร? ถ้าเขียนถึงคนไม่เชื่อ แล้วเราคิดว่าเขียนถึงเรา ผู้ที่เชื่อ ท่านลองคิดดูว่ามันจะไปคนละเรื่องขนาดไหน? ใช่ไหม? คนเชื่อกับไม่เชื่อ

ดังนั้น หัวข้อการบรรยายในวันนี้ คือ “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร” ตอนที่ 5 มีชื่อตอนว่า “เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น ดังนั้น เรากำลังจะถ่มเจ้าออกจากปาก พระเยซูกำลังพูดกับใคร?” นี่คือหัวข้อเรื่อง พระเยซูกำลังพูดกับใคร? คำพูดตรงนี้ คือกระดุมเม็ดแรก ถ้าท่านรู้ว่าพูดกับใคร? เอาล่ะ คราวนี้ง่ายขึ้นสำหรับการอธิบายความหมายของบริบทนี้

จากที่เราเพิ่งอ่านพระคัมภีร์ไปเมื่อสักครู่นี้ ที่ให้ท่านคิด ท่านคิดว่าตรงนี้พระเยซูกำลังพูดกับใคร? พระเยซูกำลังพูดกับท่าน ที่เป็นผู้เชื่อหรือคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่แล้วหรือเปล่า? เมื่อตะกี้นี้ พระเยซูกำลังพูดกับตัวท่าน ที่เชื่อพระเยซูแล้ว ที่เรียกพระเยซูว่าพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้า แล้วเรียกตัวเองว่าลูก หรือเปล่า? ท่านคิดว่าพระองค์กำลังพูดกับท่านหรือเปล่า?

หลายคนคงเคยได้ยิน การตีความหมาย การสอนพระคัมภีร์ในข้อนี้ ไม่ใช่สอนอย่างเดียว แถมมาขู่เราอีกด้วยว่า … “เชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องรักษาความเชื่อให้ดีนะ ต้องร้อนรนในการรับใช้ ต้องร้อนรนในการออกไปประกาศ (หมายถึงประกาศข่าวดี  ประกาศพระเยซู) ต้องร้อนรนในการอธิษฐาน ในการอ่านพระคัมภีร์ เพราะไม่อย่างนั้น เราจะกลายเป็นคริสเตียนแบบอุ่นๆ แล้วพระเจ้าจะคายเราออกมา คุ้นไหมครับ? ไม่ใช่คุ้นธรรมดา บางคนคุ้น แบบสะดุ้งเลย ได้ยินอยู่บ่อยๆ และก็รู้สึกฟ้องผิดด้วย ทั้งๆ ที่ในใจก็ไม่น่าจะใช่ แต่ก็ไม่มีแรงสู้ผู้ที่มาตีความหมายผิดๆ แล้วมาขู่เราอย่างนั้น สู้เขาไม่ได้ ก็เกิดความฟ้องผิด

คือผมไม่ได้กำลังมาพูดว่าเราต่อต้านการกระทำดีเหล่านี้ว่าร้อนรนในการรับใช้ ร้อนรนประกาศอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่เลย คือต้องทำจากใจ  เป็นอิสระจากใจ  ทำดีจากใจที่ดีพร้อมและพระเจ้าสร้างให้ พระเจ้าให้บังเกิดใหม่ดีพร้อมแล้ว ทำดีจากใจ ไม่ใช่ท่าทีของการทำดี เพื่อรักษาความรอดที่พระเจ้าให้ไว้ โดยพระคุณ ถ้าเราโดนขู่อย่างนั้น ก็แสดงว่าเขากำลังบอกว่าให้รักษาความรอด  อย่าให้พระเยซูคายเราออกมา คือรักษาความรอด รักษาฐานะการเป็นลูกพระเจ้า โดยการกระทำเหล่านี้ ไม่ใช่ ไม่ถูก แล้วตามที่ท่านได้เรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่พื้นฐานแรกเลย จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ การตีความแบบนั้น ท่านมั่นใจหรือยังว่ามันถูกหรือมันผิด ที่ตะกี้นี้บอกว่าต้องร้อนรนในการทำโน่น ร้อนรนในการทำนี่ ถ้าไม่อย่างนั้น พระเจ้าจะคายท่านออกมา คือพูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าจะดูความประพฤติของท่าน ถ้าความประพฤติท่านไม่ดี เลิกกัน ไม่ช่วยให้รอดแล้ว ตัดสัมพันธ์ความเป็นบุตรอย่างนั้นหรือ?

พอเราคิดย้อนกลับไปถึงข่าวประเสริฐที่เราได้รับ ตั้งแต่วันแรก เป็นพื้นฐานอยู่ในจิตใจเราว่าเรารอดโดยพระคุณ รอดโดยความเชื่อ ไม่ใช่การกระทำปุ๊บ เราจะเริ่มเห็นชัดเจนว่ามันไม่ใช่ มันโผล่มาดูเหมือนดี แต่มันไม่ใช่ของจริง พระคัมภีร์เขาเรียกว่ามันเป็นน้ำนม ก็คือถ้อยคำพระเจ้า ที่ปลอมปน ดูเหมือนน้ำนม แต่มันเป็นยาพิษ น้ำนมบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือถ้อยคำแห่งความจริงเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซู แต่นี่ดูเหมือนคล้ายๆ พระเยซู อ้างพระเยซู แต่เป็นของปลอม เป็นนมปลอมนั่นเอง เป็นเมลามิน สมัยก่อนนี้ เคยฮิตครั้งหนึ่ง เมลามิน นมปลอม

ความจริงที่เราเรียนรู้กันมาตลอด เช่นที่บอกว่าความเชื่อและความรอด ไม่ได้ขึ้นอยู่ในการประพฤติของเรา หรือการกระทำของเราเลย เราได้มา โดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยความประพฤติ

เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของอาดัม มาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้วทันที และบัดนี้ วิญญาณของเรานั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระเจ้า ถาวรนิรันดร์แล้ว ไม่มีการย้ายเข้าออกอีกแล้ว  เมื่อเชื่อในพระเจ้า  ถูกย้ายเข้าไปอยู่ในสวรรค์เลย และความรักของพระเจ้าไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีอำนาจใด ไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะสามารถมาพรากเราออกจากความรักของพระเจ้าได้อีกแล้ว ไม่สามารถจะเอาเราออกจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้อีกแล้ว เรารอดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว เอเมน

นี่คือพื้นฐานที่เราเรียนรู้ความจริงเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ และเราได้รับความรอด ใช่หรือไม่? ทุกคนต้องพยักหน้า แล้วบอกว่าใช่ จริงๆ

เมื่อท่านรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ท่านคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ครับที่พระเจ้าจะคายท่านออกมา ชัดแล้วนะ หรือปฏิเสธ เลิกรับเราเป็นลูกแล้ว เพราะความประพฤติเรา การกระทำเราไม่ดี  พระเจ้าไม่พอใจ เห็นไหมครับท่านจะตอบเองได้เลย ไม่ต้องมีใครแนะนำเลย ข้างในท่าน จากถ้อยคำแห่งความจริงที่ได้เปรียบเทียบปุ๊บ ท่านจะได้รู้ทันที อันนั้นไม่ใช่แล้ว

เพราะฉะนั้น ในข้อที่ 16 ที่บอกว่า “เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น ดังนั้น เรากำลังจะถ่มเจ้าออกจากปาก”

ท่านคิดว่า “พระเยซูกำลังพูดถึงผู้เชื่อ ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้วใช่หรือไม่?”

“ไม่ใช่แน่นอน ไม่ใช่ตัวฉันแน่นอน”  … เห็นชัดเลยนะ

ถ้าเรามีพื้นฐานความจริงที่หนักแน่นมั่นคงอย่างนี้แล้วในถ้อยคำพระเจ้า เป็นกระดุมเม็ดแรก  เป็นพื้นฐานที่แน่นอนแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้ว เวลาได้ฟังใครสอนอะไรที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงกับข่าวประเสริฐที่เรารู้อยู่  ฝังอยู่ในใจของเรา บางครั้งเราอาจจะไม่แน่ใจว่าความหมายที่แท้จริงนั้น มันคืออะไร? แต่เรารู้ๆ อยู่ว่ามันผิดจากหลักการข่าวประเสริฐอย่างแน่นอน เรามีพื้นฐานที่ถูกต้องอยู่ แต่เราไม่รู้ว่าความหมายอุ่นๆ มันคืออะไร? ไม่เป็นไร ค่อยๆ ไปศึกษา คริสเตียนอุ่นๆ เราไม่รู้ แต่เรารู้ว่าไม่มีการมาคายเราออก  ไม่ใช่เราแน่นอน เราก็ค้นคว้าต่อไป ถามเขาอุ่นๆ มันคืออะไร? มันแปลว่าอะไร? ตามบริบทในพระคัมภีร์ เดี๋ยวเราก็จะเจอ เห็นไหม? ไม่ต้องตกใจ

ตัวอย่างเช่น ในข้อนี้ ถ้ามีใครมาสอนว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ต้องทำตัวให้ร้อนรนในการรับใช้ ต้องออกไปประกาศ ต้องอธิษฐาน ต้องอ่านพระคัมภีร์เยอะๆ ต้องไปโบสถ์ เป็นประจำ ต้องถวาย ถ้าไม่อย่างนี้ จะกลายเป็นคริสเตียนอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น ที่จะอยู่กับพระเจ้าได้ พระเจ้าคายทิ้ง พระเจ้าจะเขี่ยเธอทิ้งออกจากการเป็นผู้เชื่อ ในคริสตจักรของพระองค์ ซึ่งเรารู้แล้วว่าเป็นการสอนที่ขัดแย้งกับความจริงที่เราได้เรียนรู้มา จากพื้นฐานข่าวประเสริฐที่อยู่ภายใน ที่ทำให้เราบังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น เรารู้ว่ามันผิดแน่นอน ส่วนความหมายที่ถูกของคำว่า “อุ่นๆ” นั่นมันคืออะไร? เราก็ไปศึกษาทีหลัง ซึ่งก็คือวันนี้ ที่เรานั่งศึกษากันอยู่ตอนนี้ว่ามันคืออะไร?

ในวิวรณ์ บทที่ 1 – บทที่ 3 เป็นจดหมาย เป็นคำเขียนของอาจารย์ยอห์นที่ได้รับนิมิต จากพระเยซูให้เขียน ที่มีไปถึงคริสตจักรทั้ง 7 ในแคว้นเอเชีย และในบทที่ 3 ที่เราเพิ่งอ่านกันไปเมื่อสักครู่นี้ เป็นจดหมายถึงคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซีย

นี่คือกำลังพาท่านไปค้นคว้าศึกษาว่าเราอยากรู้ว่าคำว่า “จะคายเจ้า” “เจ้าอุ่นๆ เจ้าไม่ร้อนไม่เย็น” มันแปลว่าอะไร? “เพราะเจ้าอุ่นๆ เราจะคายเจ้า” มันแปลว่าอะไร? คืออะไร? เราก็จะไปศึกษาบริบท วิธีศึกษาบริบท ก็คืออย่างนี้แหละ เขียนถึงใคร?

ซึ่งที่ตั้งของเมืองเลาดีเซีย ในยุค 2,000 ปีก่อน เป็นเมืองที่ไม่มีทั้งแหล่งน้ำร้อนและน้ำเย็น  เพราะสมัยนั้น น้ำที่มีประโยชน์ มีค่ามาก คือน้ำร้อนและน้ำเย็น ซึ่งหมายถึงน้ำแร่ร้อนกับน้ำแร่เย็น มีคุณค่าต่อสุขภาพร่างกาย รักษาและเสริมสร้างสุขภาพให้กับผู้คน เขาเรียกกันว่าน้ำที่มีค่า มีประโยชน์ มีผลดี นึกถึงว่าพระเยซูกำลังพูดให้ยอห์นเขียนเป็นจดหมาย ให้กับคริสตจักรเมืองเลาดีเซีย พระองค์กำลังบอกว่าน้ำร้อนกับน้ำเย็น มันมีผล เราอยากให้เจ้าเกิดผล เจ้ามีผล อยากให้เจ้าเป็นน้ำร้อนหรือไม่ก็น้ำเย็น ซึ่งเอามาเป็นประโยชน์ ทำยา ดีต่อสุขภาพ เกิดผลประโยชน์ พูดง่ายๆ ซึ่งชาวบ้าน ประชาชนชาวเมืองเลาดีเซีย พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ รู้ดีเลยว่ามันมีค่าอย่างไร? เพราะเขาต่อท่อมาตั้งแต่ไกล เพื่อจะเอาน้ำนี้มาใช้ในเมือง

แต่เมืองเลาดีเซีย ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของตัวเอง ไม่มีแหล่งน้ำอย่างนี้ ไม่มีแร่ที่เป็นร้อน หรือเย็นตรงนี้ ต้องไปเอามาจากที่อื่น ต้องอาศัยน้ำร้อนจากบ่อน้ำพุร้อนของเมืองฮีราโพรีส และก็ต่อท่อมา ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปทางเหนือ และต้องอาศัยน้ำเย็นจากบ่อแร่น้ำเย็นของเมืองโคโลสี ที่อยู่ห่างไกลออกไปทางทิศใต้ ไกลมากเลยนะ และกว่าที่น้ำร้อน จากบ่อน้ำพุร้อน และบ่อน้ำพุเย็น ไหลมาจากต้นทาง จะมาถึงเลาดีเซียได้ ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น ก็กลายเป็นน้ำอุ่นไปแล้ว เพราะมันไกลมาก  เพราะฉะนั้น เมืองเลาดีเซียจึงไม่มีทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็นใช้ มีแต่น้ำอุ่นๆ ที่ไม่มีค่า ไม่มีผล สำหรับชีวิต

พอนึกภาพออกนะ พูดง่ายๆ อยู่ตรงข้ามกับน้ำร้อนและน้ำเย็นนั่นเอง พระเยซูจึงใช้ตัวอย่างน้ำอุ่น เปรียบเทียบกับคริสตจักรในเมืองเลาดีเซีย นึกถึงภาพน้ำอุ่น  น้ำอุ่น คือน้ำที่มันเสีย น้ำที่ไม่มีประโยชน์ น้ำที่มีประโยชน์ คือน้ำร้อน หรือไม่ก็น้ำเย็น มีคุณค่า คุณค่ามันจะหมดไป เมื่อมันไม่ร้อนและไม่เย็น  คุ้นๆ ไหมว่าพระเยซูกำลังหมายถึงอะไร? ซึ่งในคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซีย ถึงแม้จะเป็นคริสตจักรของพระเจ้า มีชุมชนของผู้เชื่ออยู่ แต่ก็มีผู้คนจำนวนมาก ที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่ แม้จะอยู่ใกล้ชิด ได้ยินข่าวประเสริฐ แต่ก็ไม่ได้เกิดผล เป็นประโยชน์ใดๆ ต่อชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียว คือเขาเชื่อแบบศาสนา

คุ้นๆ ไหม? มันก็เหมือนคริสตจักรในบ้านในยุคปัจจุบันนี้ ในบ้านเรา ในโลกนี้ อย่านึกว่าในคริสตจักรจะมีแต่ผู้เชื่ออย่างเดียว มันไม่ใช่ โดยเฉพาะยกตัวอย่างในสมัยโน้น ที่เลาดีเซีย ยิ่งชัดเจนใหญ่ เป็นเมืองที่มีธุรกิจมากมาย ที่กำลังเจริญรุ่งเรืองอย่างดี ผู้คนเข้าไปสังสรรค์ เข้าไปมีสังคมในคริสตจักร เพราะมันเป็นแหล่งที่ดีมาก เพราะมีแต่ผู้คนดีๆ ทั้งนั้น  อยากจะไปคบคนดีๆ

ถ้าไม่เห็น ผมจะยกตัวอย่างให้ชัดเลย ก่อนผมจะมาเชื่อพระเจ้า ผมก็มีโอกาส มีคนชวนไปที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง สองแห่ง ผมก็ดูดีหมดเลย ไม่ต่อต้าน ไม่อะไรเลย แต่ถามว่าเชื่อพระเยซูไหม? ไม่เชื่อหรอก ที่นี่เขาทำกันดีๆ เป็นคนดีกันทั้งนั้นเลย น่าคบ บางคนก็มาพูดคุยว่ากำลังทำ MLM อยู่ เราก็คุยด้วยอะไรต่างๆ เหล่านั้น มันก็เป็นสังคมหนึ่ง นึกภาพนะ แล้วผมเห็นเขาว่าดี เพราะการกระทำ เขาก็สอนดี แต่ผมไม่ได้เชื่อพระเยซู  เพราะผมเห็นว่าดี แบบศาสนา เขาสอนให้คนทำความดี ก็ดีแล้ว แล้วก็มีสังคม มีคนดีๆ อยู่ในนั้น แล้วได้มีโอกาสพูดคุย เผื่อทำธุรกิจอะไรต่างๆ ต่อไป มากมาย อันนี้ยกตัวอย่างให้ฟัง

เพราะฉะนั้น การเขียนไปหา บอกถึงคริสตจักรเมืองเลาดีเซีย มิได้หมายถึงทุกคนเป็นผู้เชื่อ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ในบทนี้ ข้อที่ 16 ที่บอกว่า “เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น ดังนั้น เรากำลังจะถ่มเจ้าออกจากปาก” พระเยซูกำลังพูดถึงผู้ที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่ ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ซึ่งถึงแม้จะมาร่วมกิจกรรมอะไรบางอย่าง แบบศาสนาในคริสตจักรเลาดีเซียก็ตาม แต่ยังไม่ได้เชื่อและต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระมาซีฮาห์จริงๆ ในชีวิตของเขา เหมือนที่ตะกี้นี้ผมยกตัวอย่างตัวเองให้ฟังชัดแล้วนะ

พระเยซูบอกว่า “อุ่นๆ” คือไม่ร้อนไม่เย็น  ความร้อนความเย็น คือคุณภาพของประโยชน์ในการยกตัวอย่าง ตรงนี้ของพระเยซู คุณภาพของลักษณะ ไม่ใช่ความประพฤติให้มันร้อน หรือความประพฤติให้มันเย็น  แต่เป็นคุณภาพ เป็นลักษณะของน้ำ ร้อนหรือเย็น หรืออุ่น ไม่ใช่หมายถึงทำให้ร้อน ทำให้เย็น  ทำให้อุ่น ไม่ใช่ หมายถึงมันเป็นร้อน หรือเป็นเย็น  หรือเป็นอุ่น ถ้ามันเป็นร้อน เป็นเย็น มันดี มันมีประโยชน์ ถ้าเป็นอุ่น มันไม่ดี ไม่มีประโยชน์ แค่นี้เอง ถ้าเป็นร้อน มีประโยชน์ ได้บังเกิดใหม่ มีชีวิต ถ้าเป็นอุ่น ไม่มีชีวิต นึกถึงภาพอะไร? นึกถึงพระเยซูพูดถึงเรื่องเกลือ จำได้ไหม?

“ท่านเป็นเกลือของแผ่นดินโลก”

เกลือหมดความเค็ม เจ้าของก็เอาไปทิ้ง พระเจ้าจะทำให้ท่านเป็นเกลือ “เป็น” ไม่ใช่เราทำให้เป็นเกลือ เราทำตัวเองให้เป็นเกลือไม่ได้ เราทำตัวเราเองให้เป็นน้ำร้อน หรือน้ำเย็นไม่ได้ นี่กำลังพูดถึงเรื่องของการเป็น ไม่ใช่เรื่องของความประพฤติ

ตรงนี้รู้ไว้เสริมความรู้ จะได้ชัดเจนว่าเรื่องของพระเยซู ที่เล่าถึงเรื่องเกี่ยวกับอุปมา เกี่ยวกับสวรรค์ต่างๆ เหล่านั้น เป็นเรื่องที่พระองค์ทรงบอกความจริงในโลกวิญญาณว่าลักษณะท่านเป็นอย่างไร? พระองค์จะไม่มาบอกถึงเรื่องความประพฤติ คนละเรื่องกัน ความประพฤติแยกออกจากการเป็นเช่นไร? เป็นอย่างไร? อย่าเอามาผสมกัน

ต่อไป วิวรณ์ 3:17 พระองค์ก็ตรัสอย่างนี้ว่า …

วิวรณ์ 3:17  “เจ้ากล่าวว่า ‘ข้าร่ำรวย ได้ทรัพย์สมบัติมากมาย และไม่ขัดสนสิ่งใดเลย’ แต่เจ้าไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนน่าสังเวช น่าสงสาร ยากไร้ ตาบอด และเปลือยกายอยู่”

 

อย่างที่บอกเมืองเลาดีเซีย เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองมาก คล้ายเมืองนิวยอร์กอะไรประมาณนั้น  เป็นเมืองที่ค้าขาย แล้วพ่อค้าแม่ค้าเต็มไปหมด แล้วก็ประสบความสำเร็จเยอะ มีทรัพย์สินมากมายที่มีค่าอยู่เยอะ ที่นั่น ความเป็นอยู่ของผู้คนส่วนใหญ่ที่นั่นมั่งคั่งร่ำรวย เมื่อเทียบกับเมืองใกล้เคียงแล้ว เป็นผู้ที่มั่งมี ซึ่งพระเยซูกำลังบอกอะไร?  กำลังบอกว่าเขากำลังให้ความสนใจกับสิ่งของที่มองเห็นบนโลกใบนี้ คือทรัพย์สิน ว่าเขามีเยอะแยะมากมาย ร่ำรวย เขาอาจจะอยู่ในคริสตจักรอย่างที่ตะกี้บอก อยู่ในโบสถ์  แต่เขาไม่ได้มองเรื่องโลกวิญญาณ เขามองเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินทั้งหมด

สมมติชาวเลาดีเซีย เขาอาจจะมั่งมี เขาอาจจะถวายให้กับโบสถ์ โดยที่เขาไม่เชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่เขาเชื่อว่าเขาถวายออกไป เขาจะได้พระพร เขาจะได้บุญ และเขาจะสะสมตรงนี้ไว้ เมื่อตายไปแล้ว เขาจะได้บอกพระเยซูวันพิพากษาว่า …

“ลูกได้ถวายตรงนั้น สร้างโบสถ์ก็ถวาย ช่วยคนจนก็ถวายในโบสถ์ ในนามของพระองค์”

นึกภาพออกไหม?  เขาคิดว่าทรัพย์สินที่เขามีอยู่ การกระทำของเขาต่างๆ นั้น มันดีพอแล้ว สำหรับการเตรียมพร้อม ที่จะไปอยู่ในสวรรค์หลังความตาย เขาทำดี เขาทำถูกต้อง แล้วเขาก็มีสังคมอยู่กับคนดี คนถูกต้องแล้ว เขาคิดว่าอย่างนั้น ซึ่งสำหรับชาวเลาดีเซียที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ที่ประพฤติตัวอย่างนี้  ดูในโลกภายนอกแล้ว ดูเหมือนร่ำรวย  แล้วก็ดูดีด้วย คนก็ยกย่อง แม้ผู้เชื่อหรือคริสเตียนเองที่อยู่ในเลาดีเซียด้วยกัน ก็ยังให้ความเคารพนับถือ เพราะว่าดูแล้ว เขาก็เป็นคนดี ดูแล้วเขาก็มีความประพฤติที่ยอดเยี่ยม ดูแล้วเขาไม่มีที่ติตามสายตาของมนุษย์เลย แม้แต่นิดเดียว แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณ พระเยซูด้วยความรัก มองไปที่วิญญาณ ไม่ได้มองที่ข้างนอก ภายนอกดูเหมือนๆ กัน นั่งอยู่ในคริสตจักรเหมือนๆ กัน แล้วแถมทำดีกว่าอีกคนหนึ่งด้วยซ้ำไป ดูภายนอก แล้วดูเหมือนคนดี แต่ถามว่าข้างในของเขา มีแรงจูงใจในการกระทำดีของเขาอย่างไร? ทำดี เพื่อหวังไปสวรรค์ หวังว่าจะได้รับการพิพากษาให้ถูกต้องเหมาะสม ได้ไปสวรรค์ เนื่องจากการกระทำดีนั้น หรือว่าทำดี …

“เพราะว่าฉันได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว เป็นลูกพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด ธรรมชาติฉันเป็นคนดี เพราะฉะนั้น ฉันมีความประพฤติที่ดี เป็นไปตามธรรมชาติของฉัน”

มันมี 2 อย่าง แต่ข้างนอกดูเหมือนกันนะ

พระเยซูจึงชี้ให้เขาเห็นด้วยความรักว่าแม้ว่าดูตามสายตาข้างนอกแล้วดูดี ไม่ขัดสน ร่ำรวย แล้วตัวเองก็รู้สึกเชิดหน้า ชูตาว่า …

“ฉันดี ใครๆ ก็ยกย่องฉัน”

แต่พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าแต่วิญญาณข้างใน มันน่าสงสาร ตาบอด เปลือยกายอยู่ นึกภาพออกใช่ไหม? นึกภาพในยุคปัจจุบัน ก็ยังได้ ผู้ที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ อาจจะถวายทรัพย์เยอะแยะ แล้วก็มั่นใจในความดีงามที่เขาทำทั้งนั้น เขาก็มีความรู้สึก เขามีสง่าราศี ไม่ได้เปลือยกาย คำว่า “เปลือยกาย” หมายถึงมีความชอบธรรมของตนเอง ไม่อายใครเลย ฉันทำบุญตั้งเยอะแยะ เป็นคนใจบุญสุนทาน ใครๆ เขาก็รู้หมดทั้งเมืองนี้ ใครๆ ก็รู้หมดทั้งสังคมนี้ว่าฉันเป็นคนดี มีใจบุญสุนทาน

พระเยซูกำลังบอกด้วยความรัก ไม่ใช่ประชดนะ เดี๋ยวอ่านต่อไปจะรู้ว่าพระองค์ทรงรักและห่วงใยขนาดไหน? พระองค์กำลังชี้ให้เขาเห็นว่าแต่ในวิญญาณ ซึ่งจะเป็นตัวสำคัญในการอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์นั้น กำลังพินาศอยู่ น่าสงสาร ตาบอด ไม่เห็นความจริงในโลกวิญญาณ เปลือยกายอยู่

วิวรณ์ 3:18 พระองค์จึงแนะนำด้วยความรักอย่างนี้ว่า…

วิวรณ์ 3:18 “เราแนะนำเจ้า ให้ซื้อทองคำที่หลอมให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟ จากเรา เพื่อเจ้าจะได้มั่งคั่ง ซื้อเสื้อผ้าสีขาวมาสวมใส่ เพื่อปกปิดความเปลือยเปล่า อันน่าละอาย และซื้อยา มาทาตาของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้มองเห็น”

 

พระเยซูตรัส “เราแนะนำเจ้าด้วยความรัก ด้วยความห่วงใย ให้เจ้าซื้อทองคำที่หลอมให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟ จากเรา”

ก็คือให้มาเชื่อในพระองค์ แทนที่จะไว้ใจในทรัพย์สินเงินทอง และการกระทำดีของตนเองนั้น ขายมันทิ้งไปซะ อย่าไปสนใจมัน ความดีที่ทำ จากทรัพย์สินที่มีอยู่ หรือความดีที่สะสมไว้ มันช่วยเจ้าไม่ได้หรอก ทิ้งมันไปซะ อย่าไปพึ่งพา มาพึ่งในเราดีกว่า เพราะพึ่งในเราแล้ว เจ้าจะได้รับการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เจ้าจะได้บังเกิดใหม่ และบริสุทธิ์ และดีพร้อมเลย จากเรา คือพระเยซู เพื่อเจ้าจะได้มั่งคั่ง อันนี้ของแท้ เพื่อเจ้าจะมีวิญญาณที่ไม่ได้เป็นคนจนอีกต่อไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ เจ้ามีเงินทองข้างนอก ก็จริง แต่เจ้าไม่เชื่อเรา วิญญาณเจ้าเป็นเหมือนคนจนที่ขัดสน ที่ขาดแคลน แต่ตอนนี้ ถ้าเผื่อเจ้าเชื่อเรา เจ้าได้บังเกิดใหม่ เป็นของพระเจ้าแล้ว วิญญาณของเจ้า มันมั่งคั่ง ร่ำรวยในโลกวิญญาณ ได้รับพระพรนานัปการ และเป็นทายาทของพระเจ้าในสวรรคสถาน เห็นไหม?

“ให้เจ้าซื้อเสื้อผ้าสีขาวมาสวมใส่ เอาความดี ความงาม ความชอบธรรมที่ตัวเองสร้างขึ้น จากตัวเองที่บอกกระทำดี แล้วจะได้สิ่งที่ดี ทิ้งไปซะ แล้วก็สวมเสื้อผ้าใหม่ ก็คือความชอบธรรม ที่มาจากการเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเลย ไม่ใช่ประพฤติเป็นผู้ชอบธรรม แต่วิญญาณเปลี่ยนเป็นผู้ชอบธรรมเลย เมื่อเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว สัญลักษณ์ในพระคัมภีร์ ใช้คำว่า “ได้สวมชุดสีขาว” ชุดสีขาว คือชุดบริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม

เป็นผู้ชอบธรรม เพื่ออะไร? เพื่อปกปิดความเปลือยเปล่าอันน่าละอาย

ความเปลือยเปล่าน่าละอาย คือความบาป เพื่อปกปิดความบาป คือความบาปจะได้ถูกเอาออกไป เจ้าสวมความชอบธรรม เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ต้องอายใครต่อไปแล้ว เพราะเป็นผู้ชอบธรรม โดยกำเนิดแล้ว ยืนต่อหน้าพระเจ้าได้ ไม่ต้องเข้าสู่การพิพากษาของพระเจ้า หลังความตาย เปลือยเปล่า นึกถึงอะไร? นึกถึงสมัยบรรพบุรุษ อาดัมและเอวา พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ว่าเมื่อเขา 2 คนตกลงไปในความบาปครั้งแรกปุ๊บ สิ่งแรกที่เกิดขึ้น คือเขาสูญเสียพระสิริของพระเจ้าไป ความดีงามของพระเจ้าหายไปจากชีวิตของเขา สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับเขา ก็คือเขาอาย เขาเปลือยกายอยู่ อันนี้แหละ อายเพราะอะไร? เพราะบาปมันเข้ามา พระสิริของพระเจ้าหายไป

“และซื้อยามาทาตาของเจ้า  เพื่อเจ้าจะได้มองเห็น เพราะว่าเมื่อเชื่อในตัวของเรา” มาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว จะได้บังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ ตาวิญญาณของท่านก็จะเปิดออกกว้างขึ้น จะได้เห็นพระเจ้า จะได้รู้จักพระเจ้า เพราะว่าตัวท่านเองได้บังเกิดใหม่ เข้าไปเป็นลูกพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะสอนท่านต่อไป วิวรณ์ 3:19 …

วิวรณ์ 3:19  เราตักเตือน ชี้แนะ และพร่ำสอน ผู้ที่เรารัก ดังนั้น จงกระตือรือร้น และกลับใจใหม่”

 

ชัดเจนเลยว่ากำลังพูดถึงคนที่ยังไม่เชื่อ คนเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ต้องกลับใจใหม่ไหม? บางครั้ง บางคนบอก บางครั้งเราทำผิดไป เราต้องกลับใจใหม่ ถ้าท่านใช้คำว่ากลับใจใหม่อยู่ ในฐานะที่เป็นคริสเตียนแล้ว ก็อนุโลมให้ท่านใช้ได้ แต่ท่านต้องหมายถึงในใจว่าท่านต้องกลับใจใหม่นั้น ทั้งๆ ที่ท่านรู้แล้วว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแล้ว กลับใจจากการกระทำผิดบาปตรงนี้ ที่พระเจ้าอภัยให้เรียบร้อยแล้วนะ แต่ถ้าไม่ใช้เลย ก็ดี ถ้าท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านกลับใจไปแล้วครั้งแรก แล้วก็ได้บังเกิดใหม่ คือหันหลังกลับ 180 องศา มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว ถ้ากลับใจใหม่อีกทีหนึ่ง ก็เท่ากับกลับไปที่เดิม มันกลับไม่ได้แล้วไง แทนที่ท่านจะพูดคำว่า …

“พระเจ้าลูกขอกลับใจใหม่” ท่านก็พูดว่า “พระเจ้าลูกเสียใจ ลูกกลับความคิดของลูกใหม่ ลูกจะคิดอีกแบบหนึ่ง คิดให้เป็นเหมือนตัวตนของลูกที่ได้บังเกิดใหม่”

อันนี้เราเห็นชัดเจนแล้วนะว่ากำลังพูดถึงคนที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้กลับใจใหม่ บอกให้กลับใจใหม่ ได้เห็นความรักของพระเจ้าไหม? ตรงประโยคแรก แปลตรงตัวภาษาเดิม แปลว่า …

พระเยซูบอกว่า … “เราตักเตือน ชี้แนะ และพร่ำสอนวิถีทางที่ดีให้กับเจ้า ผู้ที่เรารัก”

นั่นแปลว่าอย่างนี้ ไม่ได้แปลว่าตีสอน แต่พระองค์ทรงตักเตือน ชี้แนะ พร่ำสอน แนะแนวทางว่าทางนี้จะช่วยเจ้าให้รอดได้ ด้วยความรัก เพื่อ …

“ดังนั้น เมื่อได้ยินตักเตือนและชี้แนะของเรา ที่พร่ำสอน”

แสดงว่าข่าวประเสริฐบอกอยู่บ่อยๆ อย่าพึ่งพาตนเองนะ อย่าพึ่งพาทรัพย์สินของตนเอง อย่าพึ่งพาความดีของตนเองนะ ให้มาพึ่งในเรา พูดตลอด พูดมาตั้งแต่ยุคพระคัมภีร์เดิม ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ พูดจนกระทั่ง มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก็พูดเรื่องนี้ พูดในขณะที่เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ และเข้ามาสถิตอยู่กับผู้เชื่อทั้งหลาย ก็พูดเรื่องนี้

“อย่าพึ่งพาตนเองนะ รับพระคุณจากเรา รับความรอดจากเรา มาเชื่อในเราเถิด”

“ดังนั้น จงกระตือรือร้นและกลับใจใหม่” กระตือรือร้น คืออะไร? ก็คือให้รีบๆ กลับใจใหม่ซะ เพราะถ้าท่านไม่กลับใจใหม่ ท่านกำลังอยู่ในความพินาศ เรื่องของเรื่อง คือตรงนี้ ให้กระตือรือร้นในการกลับใจเสียใหม่ ก็คือขณะที่ยังไม่กลับใจใหม่ มันอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว เหมือนหนังสือยอห์น 3:16 ที่บันทึกเอาไว้ว่า … “พระเจ้าทรงรักโลกและมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มา เพื่อว่าบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศ แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ เพราะผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และยังไม่เชื่อนั้น อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว ถ้าไม่เชื่อ ก็อยู่ในความพินาศที่เดิม”

ถามว่าแล้วทำไมต้องกระตือรือร้นด้วย ต้องรีบด้วย ก็รีบก่อนที่จะเสียชีวิตไง ถ้าตายไปแล้ว มันก็เข้าสู่การพิพากษาแล้ว มันจบแล้ว เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงบอกให้กระตือรือร้น ให้รีบตัดสินใจ อย่าชะล่าใจนะ พรุ่งนี้อาจจะไม่มีสำหรับท่าน  อาจจะอีกชั่วโมงหนึ่งข้างหน้า อาจจะสิ้นใจ สิ้นใจปุ๊บ ไม่มีชาติหน้าอีกแล้วนะ สิ้นใจ ก็เข้าสู่การพิพากษา วิญญาณอยู่ในความพินาศนิรันดร์

เพราะฉะนั้น นี่คือความรัก ความห่วงใย ความเมตตาของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงกระทำงานสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว ช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้พ้น จากความพินาศนิรันดร์ ในวิญญาณแล้ว ก็ยังต่อเนื่องมาบอกว่า …

“ช่วยแล้วนะ ให้รับสิทธิ์ไปเถิด อย่าถูกหลอก ช่วยแล้วนะ ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องทำด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาความดีงามของตนเองแล้ว มาพึ่งพาในเรา เราทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

นี่แหละ คือความรักอันยิ่งใหญ่ อ่านแล้วจะได้รู้ ได้เห็นถึงความรู้สึกของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลายว่ามันเป็นเช่นไร? ตรงกันข้ามกับที่เขา เอาคำนี้มาผิดๆ มาขู่เราบอกว่าพระเจ้าจะคายเราทิ้ง มันตรงกันข้ามขนาดไหน? ท่านพอจะเห็นแล้วใช่ไหม? มันเหมือนฟ้ากับเหวเลยนะ มาอ่านดูบทสรุปของบริบทนี้ ในวิวรณ์ 3:20-22 พระเยซูตรัสต่อว่า …

วิวรณ์ 3:20-22 “20 เราอยู่ที่นี่แล้ว เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใด ได้ยินเสียงของเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปรับประทานอาหารกับผู้นั้น และเขาจะรับประทานร่วมกับเรา 21 ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะให้เขา มีสิทธิ์นั่งกับเรา บนบัลลังก์ของเรา เหมือนที่เราได้มีชัยชนะ และได้นั่งกับพระบิดาของเรา บนบัลลังก์ของพระองค์ 22 ใครมีหู ก็จงฟัง สิ่งที่พระวิญญาณ ตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย”

 

เห็นไหม พระเยซูบอก … “จงมองให้เห็นเถิด” นี่เกี่ยวกับโลกวิญญาณนะ “เจ้าทั้งหลาย ลูกๆ เราเอ๋ย จงมองให้เห็นเถิด ในโลกวิญญาณ เรารออยู่ที่นี่แล้ว ก็คือเราทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เรากำลังเคาะประตูใจของเจ้า ให้เปิดใจต้อนรับเรา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเจ้า เพื่อว่าเราจะได้เข้าไปอยู่ในเจ้า และจะเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า จะทำให้เข้าบังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า ดีพร้อมเลย แล้วค่อยมาประพฤติตัวให้ดี สมกับที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของเราที่ดีพร้อมแล้ว เราจะเป็นผู้สอนเจ้าเอง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ไปสถิตอยู่กับเจ้า” นั่นเอง

“ผู้ใดที่มีชัยชนะ” ถามว่ามีชัยชนะต่ออะไร? พวกท่านผู้ใดที่มีชัยชนะต่อกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ระบบของความบาป ที่พึ่งพาตนเอง ที่มีความเย่อหยิ่งว่าฉันดีพร้อม ฉันจะทำดีต่อไป เพื่อรักษาสถานะในความดี  ที่ใครๆ ก็ชมฉันว่าเป็นคนดี ฉันจะพึ่งพาในความดี ในความชอบธรรมของตนเอง ที่สร้างขึ้นมา เพื่อจะไปเข้าสู่พิพากษาในสวรรค์ ในวันที่ตายจากโลกใบนี้แล้ว ซึ่งถูกหลอก ถ้าใครก็ตามชนะกิเลสตัณหาตรงนี้ ชนะความรู้สึกดีพร้อมตรงนี้ ความรู้สึกร่ำรวยในวิญญาณตรงนี้ ซึ่งมันไม่ได้เป็นจริงนั้น ถ้าใครชนะตรงนี้ แล้วยอมสละตรงนี้ไป แล้วก็เดินมาหาพระองค์ว่าเชื่อในพระองค์ ไม่เอาแล้ว ไม่พึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง ไม่พึ่งพาในความชอบธรรมของตนเอง ไม่พึ่งพาในความชื่นชมของคนรอบข้างว่า …

“เธอเป็นคนดี เป็นคนมีใจบุญสุนทานดี”

“ไม่เอาแล้ว ฉันรู้ตัวดีว่าฉันไม่ได้ดีพร้อม ฉันมาพึ่งพระเยซูดีกว่า ต้อนรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต้อนรับข่าวประเสริฐ”

นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเยซูต้องการ  เพราะว่านั่นทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ทันทีเลย ในขณะนี้ บนโลกใบนี้ ท่านจะรู้เอง เพราะว่าพระวิญญาณ จะเป็นพยานในจิตใจของท่าน

ขนาดยังไม่ทันตาย ท่านก็รู้แล้วว่าท่านได้ไปสวรรค์แล้ว ท่านลองคิดดูสิว่าเพราะฉะนั้น หลังความตาย ท่านจะมีความมั่นใจขนาดไหน? แล้วพระองค์ก็จบด้วยคำว่า …

“ใครมีหู ก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย”

ก็คือหูฝ่ายวิญญาณ  จงเปิดออก จงได้รับความจริงเหล่านี้ด้วยเถิด พระเยซูพูดด้วยความรัก หรือด้วยความเกลียดชัง พูดด้วยความรักหรือความประชด ท่านเห็นไหม? ความรักของพระองค์ไม่มีสิ้นสุดเลย แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจ พระองค์ก็ไล่ตามตลอด เคาะประตูตลอดเวลา นี่เห็นไหม? แม้ว่าเราไม่เข้าใจ หรือต่อต้านพระองค์ด้วยซ้ำ พระองค์ไม่สนใจเลย ไม่เคยโกรธเลย รู้ว่าเราไม่เข้าใจ ถูกหลอก รู้ว่าเราตาบอดฝ่ายวิญญาณ พยายามต่อไปที่จะเคาะที่ประตู ที่จะส่งถ้อยคำพระเจ้า ส่งความจริงมาหาเรา เพื่อให้เราได้กลับใจใหม่ เพราะเป็นห่วงเรา เพราะเรากำลังอยู่ในความพินาศ ที่ตะกี้นี้ที่ผมบอกให้ท่านอ่านพร้อมกันที่ตอนต้น บอกว่า …

“เรากำลังจะคายเจ้าออกมา” หรือ “ถ่มเจ้าออกมา” ก็คืออย่างนี้แหละ คือเราไม่สามารถที่จะรับเจ้าเข้ามาได้ เพราะเจ้าอยู่ในความบาป มันอยู่คนละขั้วกัน ถ้าเจ้าไม่เชื่อในเรา เจ้าก็ถูกคายอยู่ จนกระทั่ง สิ้นสุด ถ้าไม่เชื่อเรา จนกระทั่งวิญญาณออกจากร่าง ก็จบสิ้น ก็คือการคายนั้น ก็หมด ก็คือถูกคายออกไปหมดเลย แต่ขณะที่มีชีวิตอยู่กำลังคาย กำลังบ้วนเจ้าออกมา ก็คือท่านกำลังอยู่ในความพินาศนั่นเอง แต่ท่านจะหยุดได้ ก็ต่อเมื่อทำตัวเองให้เป็นน้ำร้อนหรือน้ำเย็น ด้วยการพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเจ้าจะทำให้ท่านเป็นน้ำร้อนและน้ำเย็น ก็คือทำให้ท่านมีประโยชน์ มีผลออกมา ผลก็คือผลของพระวิญญาณ ท่านก็จะได้บังเกิดใหม่

สรุป เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อน ไม่เย็น ดังนั้น เรากำลังถ่มเจ้าออกจากปาก พระเยซูกำลังพูดกับคนไม่เชื่อ หรือคนที่พึ่งพาการกระทำดีของตนเอง หรือพึ่งพาในความรอบรู้ของตนเอง หรือพึ่งพาในทรัพย์สินเงินทองที่ตัวเองคิดว่าจะเอาไปซื้อสวรรค์หลังจากตายจากโลกนี้ไปแล้วได้ ซึ่งพระเยซูบอกเหมือนกับเอาอูฐลอดรูเข็ม มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ

แล้วสำหรับผู้เชื่อล่ะ  สำหรับผู้ที่บังเกิดใหม่และเชื่อในข่าวดีแล้ว เชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระองค์ เชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เพื่อมนุษย์ทั้งปวง เมื่อเขาเชื่อ ก็รวมทั้งตัวเขาด้วย ด้วยความเชื่อ ถ้าเทียบกับเรื่องนี้ ก็คือเขาก็ได้ถูกทำให้เป็นน้ำร้อน เป็นน้ำเย็น ที่เกิดประโยชน์มากมาย ดีพร้อม ดีเลิศแล้วนั่นเอง โดยพระเยซู ถ้ามันเป็นอย่างนั้น พระเยซูก็จะพูดกับผู้ที่เชื่ออย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:3-6 ก่อนจะอ่าน อธิบายนิดหนึ่ง  ถามว่าทำไมผมถึงบอกว่าพระเยซูก็จะพูดกับเรา ผู้ที่เชื่อแล้วอย่างนี้ ก็เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นอาจารย์เปโตร หรือใครก็ตามที่เขียนในพระคัมภีร์นั้น เขียนจากการบอกของพระเยซูทั้งสิ้น ก็เท่ากับพระเยซูพูดเอง ผมพยายามเน้นให้ท่านเห็นว่าเป็นพระเยซูพูด เพื่อจะได้เข้ากับเรื่องเลาดีเซียนี้

ในเรื่องเลาดีเซียนี้ พระเยซูพูดผ่านทางนิมิตอาจารย์ยอห์นเขียนไว้ ที่เราสรุปว่า … “เพราะเจ้าอุ่นๆ ไม่ร้อนไม่เย็น ดังนั้น เรากำลังถ่มเจ้าออกจากปาก” … พระเยซูกำลังพูดกับผู้ไม่เชื่อ ถูกไหม? ผู้ที่พึ่งพาตนเอง

คราวนี้ผู้ที่ไม่พึ่งพาตนเองแล้ว เชื่อในพระเยซูแล้ว วางใจในพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระเยซูพูดกับเขาผ่านทางอาจารย์เปโตร ที่ยกมาวันนี้ว่าไว้อย่างนี้ คราวนี้ฟังเลยนะ คนที่เชื่อแล้ว จะได้สบายใจ นอกจากไม่ถูกคายออกมา แล้วยังเป็นอย่างนี้อีก พระองค์พูดไว้ใน 1 เปโตร 1:3-6 อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:3-6 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์ เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอด ซึ่งพร้อมแล้ว ที่จะทรงสำแดงในยุคสุดท้าย 6 พวกท่านชื่นชมยินดียิ่งนักในเรื่องนี้ แม้ขณะนี้ ท่านต้องทนความทุกข์โศกชั่วระยะหนึ่ง จากการทดลองสารพัดอย่าง”

 

พระเยซูบอกผู้เชื่อทั้งหลาย คือเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูแล้วทุกคน บอกว่าพระเจ้าได้ทำให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ “อันยืนยง” หมายถึงเป็นนิรันดร์ มั่นคง แข็งแกร่ง ไม่มีโยกเยก ไม่มีการเปลี่ยน และเข้าในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลื่อนหายไป ซึ่งเตรียมไว้แล้วในสวรรคสถาน เพื่อพวกเท่าน มีมรดกในสวรรค์เต็มไปหมด และมรดกเหล่านี้ไม่มีวันสูญเสีย สูญหายเลย ไม่ว่าท่านจะประพฤติอะไรต่อไป ก็ตาม เมื่อเชื่อแล้ว มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีสูญเสีย สิ่งเหล่านี้ท่านได้รับโดยความเชื่อ ไม่ใช่การกระทำ โดยพระคุณนั่นเอง

คำว่า “พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอดนั้น  หมายถึงด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกได้ปกป้องคุ้มครองวิญญาณของท่าน ที่พระองค์ได้ทรงไถ่มาเป็นลูกของพระองค์แล้วนั้น ไม่มีใครทำอะไรท่านได้อีกแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว ไม่มีใครมาเอาท่านออกไปจากมือของพระเจ้าได้อีกแล้ว มันแปลว่าอย่างนี้ ท่านถูกปกปักคุ้มครองดูแล โดยพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดอยู่ และกำลังปกปักแล้ว และปกปักตลอดไป จนถึงนิรันดร์

“ซึ่งพร้อมแล้วจะปรากฏออกมาในยุคสุดท้าย”  ก็คือในวันสุดท้ายที่พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ หรือวันที่เราออกจากร่างนี้ เราจะเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด

“พวกท่านชื่นชมยินดียิ่งนักในเรื่องนี้ ในวิญญาณ” ท่านมองเข้าไปในวิญญาณพวกท่าน จะชื่นชมยินดีในเรื่องนี้มาก ในวิญญาณ แม้ขณะนี้ท่านต้องทนทุกข์ ในความทุกข์โศกชั่วระยะหนึ่ง ก็คือท่านจะมีความสุขใจ มีความชื่นชมยินดีในวิญญาณ ในเรื่องนี้ แม้ว่ากายภายนอก ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จะถูกข่มเหงรังแก จะมีความทุกข์ยากลำบาก เรื่องเกี่ยวกับการเจ็บป่วย การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  หรือถูกข่มเหงรังแกในบริบทนี้ ถูกข่มเหงรังแก โดยจักรพรรดิเนโร ใส่ร้ายว่าคริสเตียนรวมกัน เผาเมืองโรม ก็เลยสั่งทหารตามล่า ตามมาทรมาน อะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่มันชั่วระยะหนึ่ง แป๊บเดี๋ยวเอง บนโลกใบนี้ ทุกข์ยากแป๊บเดี๋ยวเอง แต่ในวิญญาณของท่าน ท่านต้องชื่นชมยินดีว่าท่านเป็นใครแล้ว เห็นไหม? ท่านบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว มีมรดกมากมาย ในสวรรคสถาน เตรียมไว้ให้กับท่าน ซึ่งไม่มีวันเสื่อมสลาย มันได้แล้วได้เลย  เป็นลูกแล้ว เป็นเลย พระเจ้าคุ้มครองดูแลอยู่ และใน 1 เปโตร 1:23 พระเจ้าพูดกับเรา นึกในใจ พระเยซูคริสต์พูดกับเราอย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:23 “เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่เกิดจากเมล็ดพันธุ์อันเสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์อันไม่รู้เสื่อมสลาย คือพระวจนะของพระเจ้า อันทรงชีวิตและยืนยงถาวร”

 

พระเยซูก็พูดกับเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย ผ่านทางอาจารย์เปโตรว่า … “ท่านบังเกิดใหม่แล้ว และเกิดใหม่นั้น ไม่ได้เกิดจากพันธุ์มนุษย์ ไม่ได้เกิดจากเชื้อสายมนุษย์ แต่บังเกิดใหม่จากเชื้อสาย DNA วิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ไม่มีวันตาย ก็คือถ้อยคำของพระเจ้า ก็คือตัวเรา คือข่าวประเสริฐ  ก็คือพระเยซูคริสต์เองนั่นแหละ 1 เปโตร 2:24 พระเยซูก็บอกอย่างนี้อีกว่า …

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เอง (พระเยซู) ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น (ยอมมอบชีวิตพระองค์เองแด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษย์) เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป (เป็นอิสระจากหนี้บาปเวรกรรม) และสามารถกลายมาเป็น ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยบาดแผล (การตายด้วยความทุกข์ทรมาน) ของพระองค์ พวกท่าน (ผู้ที่เชื่อ) ได้รับการรักษาให้หาย (จากบาป)”

 

พระเยซูพูดกับพวกเรา ผู้เชื่อทั้งหลายผ่านอาจารย์เปโตรว่า … “เรา เยซู เป็นผู้แบกรับบาปของพวกนายเอาไว้ทั้งหมด ที่กายของเรา ที่ไม้กางเขน เรายอมมอบชีวิตของเราเองแด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้กับเจ้าและมวลมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อเจ้าทั้งหลาย จะได้ตายต่อบาป คือเป็นอิสระจากหนี้บาป เวรกรรม และสามารถบังเกิดใหม่มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยรอยแผลที่เจ้าเห็นเราถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตี จนเลือดอาบ จนสิ้นพระชนม์นั้น ด้วยความตายอย่างทุกข์ทรมานของเรา พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย จากความบาป หายจากการเป็นคนชั่ว หายจากการเป็นน้ำอุ่นๆ แล้ว ท่านดีพร้อมแล้ว ด้วยความเชื่อในสิ่งที่เราทำ ท่านจึงจะได้รับสิ่งเหล่านี้ 2 โครินธ์ 5:21 บันทึกไว้  พระเยซูก็พูดกับเราอย่างนี้อีกว่า …

2 โครินธ์ 5:21 “พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ (พระเยซู) ผู้ปราศจากบาป  ให้เป็นบาป  เพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า”

 

พระเยซูพูดกับเราผ่านทางอาจารย์เปาโลแล้วตอนนี้ ผู้เขียนหนังสือ 2 โครินธ์  … 2 โครินธ์ 5:21 พระเยซูบอกว่า … “พระเจ้าทรงกระทำให้เรา คือพระเยซูผู้ไม่มีบาปเลย ให้เป็นบาป เพื่อพวกเจ้า เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย  เพื่อว่าในเรา ในพระเยซู พวกเจ้าทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย จะได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าได้ โดยผ่านทางตัวเรา คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง”

เราทั้งหลายผู้ที่เชื่อแล้ว จึงเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป โดยการกระทำหรือ? ไม่ใช่ แต่โดยความเชื่อ ในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเชื่อในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ก็คือเราได้ตายพร้อมพระเยซู เราก็ได้สามารถเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซู อย่างนั้นเช่นเดียวกัน ฮีบรู 10:17 …

ฮีบรู 10:17 “บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

พระเยซูพูดกับเราผ่านทางคนเขียนฮีบรู ใครก็ไม่รู้ แต่เป็นพระเยซูพูดนั่นแหละ บอกว่า … “บาปทั้งหลายและการอธรรม ความชั่วทั้งหลาย ที่เจ้าเคยทำมาในอดีต และก็ทำอยู่ในปัจจุบันด้วย ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ยังทำอยู่ และอนาคต ก่อนตาย ก็ต้องทำอยู่แน่ๆ มากหรือน้อยก็ตาม  เราจะไม่จดจำอีกต่อไปเลย นิรันดร์”

โรม 4:8 พระเยซูพูดกับเราอีกว่า …

โรม 4:8 “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า จะไม่ถือโทษบาปของเขาอีกต่อไป”

 

พระเยซูพูดกับเราผ่านทางอาจารย์เปาโล ผู้เขียนหนังสือโรม  ในโรม 4:8 บอกว่า … “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า จะไม่ถือโทษบาปของเขาอีกต่อไป”

ใช่หรือไม่ใช่? มีความสุขไหม? พระเจ้าไม่ถือโทษแล้ว ทำอะไรก็ไม่เป็นไร? พลาดไป ล้ม ลุกขึ้นมาใหม่  เดี๋ยวท้ายๆ จะบอกให้ว่าไม่ใช่ความประพฤติไม่สำคัญ

นี่เรากำลังพูดถึงความรอดทางวิญญาณ การไปสวรรค์หลังความตาย เรียกว่าวันพิพากษา จากโลกนี้ปุ๊บ เข้าสู่การพิพากษา ตายจากโลกปุ๊บ เข้าสู่การพิพากษา ดังนั้น ในวันพิพากษา เราแค่ยืนอยู่ข้างขวาของพระเยซู ในฐานะผู้เชื่อ  ผู้ชอบธรรม ที่เป็นน้องของพระเยซู ไม่ได้ยืนอยู่ เพื่อถูกพิพากษาลงโทษ ไม่ได้ยืนอยู่ เพื่อได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว เพราะว่ามันเป็นคนชั่วอยู่แล้ว เราจะไม่ต้องถูกพิพากษา เนื่องจากการกระทำของเรา เพราะเราไม่ได้พึ่งพาการกระทำของเรา ในการเป็นผู้ชอบธรรม แต่พึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์ต่างหาก พระเจ้าพระเยซูได้พูดกับเราอย่างนี้อีก ตั้งแต่สมัยเดิม ในหนังสือสดุดี 103:11-12 พระเยซูพูดกับเราอย่างนี้ว่า …

สดุดี 103:11-12 “11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเพียงใด ความรักของพระองค์ที่มีต่อ ผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น 12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด พระองค์ก็ทรงยกเอา การล่วงละเมิดของเรา ออกไปไกลเพียงนั้น”

 

แล้วพระเยซูก็ยังพูดผ่านหนังสือฮีบรู 10:14 อีกว่า …

ฮีบรู 10:14  “เพราะเมื่อพระองค์ (พระเยซู) ถวายตัวเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น สมบูรณ์แบบตลอดกาล”

 

ความรอดของเรา ในฐานะที่เราเป็นบุตรของพระเจ้า ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์นั้น ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย ไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เอเมน

เพราะฉะนั้น เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซู เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ เชื่อในการกระทำของพระองค์แล้ว ท่านจะไม่มีวันกลัวการพิพากษาอีกเลย และพร้อมตลอดเวลาที่จะเผชิญกับชีวิตหลังความตาย ด้วยความปิติยินดี เอเมน อาจจะมีความวิตกกังวล กลัว แต่ความกลัว วิตกกังวลของท่าน มันไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณ มันเป็นความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิธีการตายมากกว่า แต่ถามลึกๆ เข้าไปในจิตใจของท่าน เรื่องเกี่ยวกับการจากไป ซึ่งรู้แล้วว่ามนุษย์ทุกคน วันหนึ่งก็ต้องตายจากร่างกายนี้ วันหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน แต่ถามว่าท่านพร้อมไหมที่จะจากไป วิญญาณข้างในท่านพร้อม เพราะว่าบาปเวรกรรมทั้งปวง หนี้บาปของท่านถูกชดใช้แล้ว ได้รับการชำระเรียบร้อยแล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และท่านได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ นั่งอยู่ในพระองค์ ในสวรรคสถาน ในขณะนี้ ในโลกวิญญาณ เรียบร้อยแล้ว โดยผ่านทางความเชื่อของท่าน ในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหัวใจ เป็นสิ่งสำคัญมาก ผ่านทางความเชื่อ เรียกว่ารอด โดยพระคุณ

รอด โดยพระคุณ คือข่าวดีของพระเจ้า ต้องจำไว้ในใจ เลยว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า … ข่าวดีแห่งพระเจ้า ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณของพระเจ้า ข่าวดีแห่งพระคุณ แปลว่าเราได้รับฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดหนึ่ง ไม่ใช่โดยการกระทำของเรา เราจึงได้รางวัลเหล่านี้ แต่ด้วยความรัก และพระคุณพระเจ้า ให้เราฟรีๆ เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้รับสิ่งเหล่านี้มา ไม่ใช่ด้วยการกระทำ เราก็ไม่มีวันที่จะสูญเสียความรอดนี้ไป โดยการกระทำอะไรของเราเลยแม้แต่นิดเดียว จริงหรือไม่? ถูกไหม? ถูกเลย

สรุปแล้ว ก็คือพระเจ้าทำให้เราบริสุทธิ์ ดีพร้อม โดยพระคุณของพระองค์ พระองค์เป็นผู้เดียว เราไม่ได้เกี่ยวข้องเลย เราแค่เชื่อเท่านั้น พระเจ้าทำให้เราบริสุทธิ์ ดีพร้อมก่อน แล้วพอเราเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติเปลี่ยนไป แล้วพระเจ้าก็จะค่อยๆ ฝึกสอนให้เราเดิน ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ อีกทีหนึ่ง ซึ่งฝึกเด็กๆ ท่านก็รู้อยู่แล้ว เดี๋ยวก็ล้ม เดี๋ยวก็คลาน เดี๋ยวก็ลุก ดื้อ อะไรอย่างนี้ ก็ว่ากันไป แต่ลูกก็คือลูก ใช่หรือไม่? ถูกเลย

เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งพาตนเอง ท่านไม่สามารถที่จะพยายามทำให้ตัวเองดีพร้อม เพื่อจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ ท่านไม่สามารถเลย ท่านจะเริ่มต้นจากการประพฤติด้วยตัวเองให้ดีพร้อม เพื่อจะไปอยู่ในสวรรค์ มันเป็นไปไม่ได้ ท่านต้องอยู่ในสวรรค์ก่อน เปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยให้พระเจ้าเปลี่ยน เป็นลูกพระเจ้า แล้วท่านจึงจะมีกำลัง รู้ว่าควรจะประพฤติตัว ให้สมกับการบังเกิดใหม่นั้นอย่างไร? ความบริสุทธิ์ที่เหมือนพระเจ้า หรือดีพร้อมที่เหมือนพระเจ้า มันไม่สามารถที่มนุษย์จะทำด้วยตัวเองได้ มันต้องพึ่งพาในพระเจ้า และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว โดยทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาเกิดบนโลกใบนี้  และทำให้ท่านทั้งหลายทุกคนบนโลกใบนี้ดีพร้อมแล้ว ที่จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน เพียงแต่เชื่อและรับเอา พระองค์ทรงเคาะประตู เคาะๆ เปิดประตูให้พระองค์เท่านั้นเอง พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“ความรักของพระเจ้า  เป็นแรงบันดาลใจ  ให้เรากระทำดี  ตามน้ำพระทัย”

การได้เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจความรักยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ้นสุดของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลายนั้น จะเป็นแรงผลักดัน สร้างกำลังใจ สร้างแรงจูงใจ ให้กับเรา ขับเคลื่อนเรา ควบคุมเราในการกระทำดี ชนิดที่ดีจริงๆ ในแบบพระเจ้า ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดใด ก็คือดีตามน้ำพระทัยพระเจ้า

 

2 โครินธ์ 5:14-15 “14 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่ เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่าถ้าผู้หนึ่งได้ตาย  เพื่อคนทั้งปวง  เหตุฉะนั้น  คนทั้งปวงจึงตายแล้ว 15 และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์ เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่ จะมิได้เป็นอยู่ เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป  แต่จะอยู่เพื่อพระองค์  ผู้ทรงสิ้นพระชนม์  และทรงเป็นขึ้นมา  เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย”

 

ข้อความที่สำคัญที่สุดของข้อนี้ ก็คือ “ก็เพราะว่าความรักของพระคริสต์  ได้ครอบครองเราอยู่”  ความหมาย  ก็คือได้ครอบครอง  ควบคุม  ขับเคลื่อนชีวิตของเราอยู่  เพราะว่าพระเยซูตาย  เพื่อเรา  ตัวเก่าเราตายไปแล้ว นี่เราเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า พระคริสต์ให้วิญญาณกับเรา เกิดใหม่ เกิดเป็นวิญญาณความรัก

ความรักของพระเจ้าเป็นแรงผลักดันในใจ ให้เราประพฤติดีตามน้ำพระทัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะทำตามน้ำพระทัย ก็คือทำตามพลังอำนาจความรักแบบของพระองค์ ที่อยู่ในใจของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเปิดใจ และปล่อยให้พลังความรักของพระเจ้าเข้ามา ทำตามที่ 2 โครินธ์บอกไว้ มาควบคุมครอบครอง เข้ามาครอบงำ เป็นแรงบรรดาใจ เพื่อจะผลักดัน ชักชวน หว่านล้อม ชักจูง ดลใจ และแนะนำ มีอิทธิพลต่อทัศนคติ ความคิดต่อทางเลือกในการตัดสินใจ และมีอิทธิพลต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราเป็น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทำ กำลังดำเนินตลอดเวลา และตลอดไป มันหมายถึงอย่างนั้น เปิดใจ รับเอา พลังอำนาจเข้ามา คือต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยรอดนั่นเอง และถ้าเราไม่รู้จัก ไม่ถ่อมใจลง ไม่ยอมรับความรักชนิดนี้ ก็คือไม่เห็นถึงพลังอำนาจ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่มีต่อเราแต่ละคน มนุษย์บนโลกใบนี้ว่ามันมากมาย ใหญ่โตขนาดไหน? ถ้าเราไม่เห็นพลังความรัก เราก็ไม่สามารถที่จะให้ความรัก พลังอำนาจนี้ ผลักดัน ควบคุม มีอิทธิพลต่อทัศนคติ ต่อการดำเนินชีวิตของเราได้เลย บนโลกใบนี้ เห็นไหมครับว่าสำคัญมาก

 

เพราะฉะนั้น มี “ต้อง” อันเดียว ก็คือต้องเรียนรู้ความรัก เพื่อให้ตาวิญญาณได้เห็น ตาเนื้อมองไม่เห็นหรอก ความรัก พระเจ้าเป็นอย่างไร?

 

พระคัมภีร์บอกว่าความรักสำแดงออก ที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน มองไป ก็ไม่เห็นหรอก แต่ต้องใช้ตาฝ่ายวิญญาณ เราจึงต้องเรียนรู้ ให้ตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก ให้เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึมซับ รับเอา ยิ่งรับรู้มากเท่าไร ก็เท่ากับว่าเราได้ชาร์จพลังงานความรักของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตเรามากขึ้นเท่านั้น

 

เราก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ และดำเนินชีวิตอยู่ด้วยพลังขับเคลื่อนด้วยแรงบันดาลใจ ด้วยพลังความรัก แบบอากาเป้ของพระเจ้านี้ได้ ในชีวิตของเรานั่นเอง

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1353

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  กุมภาพันธ์  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 8

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 ข้อที่ 2 เรามีเวลาคุยกัน เรื่องราวของถ้อยคำของพระเจ้า  ไม่ว่าเราจะฟังเมื่อไร? อย่างไร?  ตอนไหน? เราก็จะฟังอยู่เรื่องเดียวกัน เรื่องเดิม คือเรื่องในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์มาบอกเราว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ? เกิดอะไรขึ้นเมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด? หลังจากที่เราเปิดใจแล้ว พระเจ้าทรงเตรียมอะไรบ้างในโลกวิญญาณ สำหรับผู้เชื่อทุกๆ คน แล้วพระองค์ทรงนำพาเราอย่างไร? ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมาย ซึ่งพระเจ้าก็บอกเราว่าเรื่องของโลกใบนี้ ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น หรือเป็นการอวยพร หรือพระพรทางด้านร่างกาย ทางด้านจิตใจอะไรก็แล้วแต่ บนโลกใบนี้ ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาที่พระเจ้าทำเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว อันนั้นไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา  แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์จะอยู่กับเราแน่นอน

บนโลกนี้เราอาจจะต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไร? ซึ่งความทุกข์ยากลำบากในแต่ละคน ก็ไม่เท่ากัน แล้วแต่ขนาดที่พระเจ้าใส่ให้ จะพูดอย่างนั้นก็ได้ คือพระเจ้าจะนำพาเราอย่างไร? แต่สิ่งที่แน่ๆ คือพระองค์ผู้เริ่มต้นการดีจะทรงนำพาเรา จนถึงจุดสุดท้าย ก็คือถึงชีวิตนิรันดร์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณของเราได้บังเกิดใหม่แล้ว อย่างที่เราคุยกันบ่อยๆ ต้องย้ำ เพื่อให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าเกิดแล้วเกิดเลย เป็นแล้วเป็นเลย เราเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม เป็นความรัก เหล่านี้ ก็คือเป็น เกิดแล้ว พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของพวกเราทุกๆ คน เรียบร้อยไปแล้ว แต่ส่วนการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าก็สัญญาว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา

นี่คือความจริงในสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์อยู่ในเรา พระองค์ไม่ทอดทิ้งเรา ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรก็ตาม  พระเจ้าจูงมือเราเดิน เดินไม่ไหว พระเจ้าก็อุ้มเรา แบกเรา พาเราจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อเราจากโลกนี้ไป พระองค์จะรักษาวิญญาณจิตของเราไว้ จนถึงวินาทีสุดท้ายแน่นอนพี่น้อง ให้มั่นใจได้เลยว่ายังไง ท่านก็ไม่หลุดไปจากความรักของพระเจ้าอย่างแน่นอน ไม่ว่าความรู้สึกของเรา ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราอาจจะรู้สึกว่าพระเจ้าไม่อยู่กับเราหรือเปล่า? พระเจ้าทิ้งเราไหม? ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้เหตุการณ์ยุ่งยากวุ่นวาย เข้ามาสู่ชีวิตของเรา เรื่องแล้วเรื่องเล่าเหมือนกับความวัวยังไม่หาย ความควายเข้ามาแทรก คือเรื่องนี้เพิ่งจบไป มาอีกแล้วหรือ? อะไรประมาณนั้น

แต่ไม่ว่าเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นแบบไหน? อย่างไร? ให้พี่น้องรับรู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับเรา แล้วพระเจ้าจูงมือเรา พระเจ้าให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถผ่านได้ ด้วยวิธีไหนไม่รู้ ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ แต่พระเจ้าเป็นผู้รับประกัน วิญญาณที่อยู่ข้างใน พระวิญญาณของพระเจ้าจะบอกเราเองว่าพระเจ้าไม่ทิ้งเราแน่ๆ เราผ่านได้อย่างแน่นอน แต่ผ่านด้วยวิธีไหนอีกเรื่องหนึ่ง บางคนผ่านได้ โดยที่พระเจ้าบอกว่า …

“โอเค เจอกับความทุกข์ยากลำบากเยอะ มากจนเกินไป เหนื่อยแล้วนะลูก กลับบ้านเถิด”

พาเราผ่านเหมือนกัน ก็คือผ่านจากโลกนี้ ไปสู่โลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้เลย คือสบายแล้วตอนนี้ ไม่ต้องทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องอะไร? ก็ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล นี่คือการผ่าน หรือจะผ่านอีกวิธีหนึ่ง คือทำให้จิตใจเราสงบสุข ปัญหาก็ยังอยู่รอบข้างเรา แต่ข้างในเราเริ่มเย็นแล้ว แล้วเราก็ค่อยๆ เดินต๊อกแต๊กผ่านไป หรือบางครั้งพระเจ้าให้ปัญหาหยุดเลย เรากำลังเผชิญปัญหานี้อยู่ พระเจ้าแก้ปัญหา ให้เราเลย แล้วเราก็เดินฉลุยไป

คือวิธีการแต่ละอย่าง ไม่สามารถเลียนแบบได้ หรือไม่สามารถเอามาเป็น แบบฉบับว่าเราเคยเจอแบบนี้ เดี๋ยวเราเจออีก เราจะต้องได้รับผลแบบนี้ ไม่ใช่ แล้วแต่พระเจ้า แต่ว่าที่มั่นใจได้มากที่สุด คือพระเจ้ารักเรา พระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าอยู่กับเรา พระองค์โอบอุ้มเรา นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้ามีอยู่เหนือชีวิตของพวกเรา คอยมองดูเราตลอดเวลา ไม่เคยทิ้งเราแน่นอน

เอเฟซัส 2:2 “ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาป ของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณซึ่งบัดนี้ ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์)”

 

ตรงนี้ สืบเนื่องจากข้อที่ 1 ที่อาจารย์เปาโลพูดถึงว่า “ท่านทั้งหลายตายแล้ว ในวิญญาณจากการล่วงละเมิด” คือตั้งแต่เริ่มต้นบรรพบุรุษของเรา ล้มลงในความบาป แล้วจากเชื้อตรงนี้ DNA แห่งความบาป ได้ไล่เคลื่อนมาจนถึงมนุษย์ยุคปัจจุบัน ดังนั้น มนุษย์ทุกคนได้รับ DNA เดียวกัน คือ DNA บาป ที่มาจากบรรพบุรุษ เกิดมาก็บาปเลย เกิดมาก็ไม่เชื่อฟังเลย เป็นวิญญาณที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าเลย หรือถึงแม้ว่าในสายตาของเรา มองดูแล้ว เหมือนกับ …

“คนนี้น่ารักนะ เป็นคนดี เป็นคนที่เชื่อฟัง เป็นคนที่รักษากฎระเบียบนะ  เขาทำดีมากเลย”

แต่ความเป็นจริง ต่อให้เขาทำดีแค่ไหน มันไม่เกี่ยวกัน พระเจ้าบอกว่าพระองค์ไม่ได้ดูที่เราทำอะไร? แต่พระองค์ดูที่เราเป็นใคร? ฉะนั้น คนที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้า เมื่อก่อนวิญญาณเขาอยู่ในบาป คือวิญญาณของมนุษย์ทุกคนอยู่ในบาป อยู่ในความมืดบอด อยู่ในคำสาปแช่ง ตั้งแต่บรรพบุรุษมา คือ DNA มาเป็นอัตโนมัติ ไม่มีใครสามารถที่จะทำตัวเองให้หลุดพ้น จากการติดเชื้อบาปนี้ได้เลย ทำไม่ได้ด้วยกำลังของตัวเอง ถ้าจะทำตามมาตรฐานของพระเจ้า คือทำทุกขีด ทุกจุดได้ 100% ทุกเวลาด้วย ไม่มีว่างเว้น ถึงจะสามารถทำได้

หรืออีกนัยหนึ่ง พระเจ้าบอกว่า … “ท่านจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนกับพระเจ้าพระบิดา ผู้เป็นผู้ดีรอบคอบ”

ซึ่งมนุษย์ฟังแล้ว ผงะเหมือนกัน ใครจะไปทำได้ ให้เป็นคนดีรอบคอบเหมือนพระเจ้าพระบิดา มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น พระเยซูก็บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้  เพราะเหตุที่เป็นไม่ได้ พระเจ้าจึงต้องส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อให้มนุษย์สามารถตาย แล้วก็เกิดใหม่ เข้ามาในโลกวิญญาณ นี่คือทั้งหมดที่พระเจ้าประกาศในเรื่องนี้

พอวิญญาณเราอยู่ในความบาปปุ๊บ เราก็ดำเนินชีวิตตามวิถีของบาป ดำเนินชีวิต ก็คือข้างในบาปอยู่แล้ว การกระทำก็บาปไปด้วย ต่อให้บางครั้งเราจะทำดี

มนุษย์ที่ข้างในเป็นคนบาป สามารถทำดีได้  หรือมนุษย์ที่กลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ข้างในเป็นคนชอบธรรม คือเป็นเลยนะ เป็นคนชอบธรรม ก็สามารถที่จะประพฤติไม่ดีได้  แยกให้ออกเลยระหว่างวิญญาณกับการประพฤติ วิญญาณของมนุษย์ ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้ย้ายจาก DNA เดิม คือในอาดัม เข้ามาสู่ DNA ใหม่ คือในพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าเขาจะกระทำดีขนาดไหน? เขาก็ไม่รอด เพราะว่าวิญญาณเขาถูกตัดสินเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป วิญญาณถูกตัดสินไปแล้ว พระเจ้าบอกว่าวิญญาณเขาตาย ตายก็คือขาดจากความรักของพระเจ้า ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าหลุดไปจากมนุษย์เลย  ฉะนั้น ไม่มีทางที่มนุษย์จะสามารถดำเนินชีวิต ให้ดีครบถ้วนได้ นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ เมื่อเป็นคนบาป ทำดีแค่ไหน ก็ยังเป็นคนบาปอยู่

มนุษย์บนโลกนี้ ถูกพิพากษาเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกในปฐมกาล ที่พระเจ้าบอกว่าถ้ากินผลไม้ที่พระเจ้าห้าม เขาจะตายกับตาย ตาย ก็คือตายจากพระเจ้า ตายจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ตายจากพระสิริของพระเจ้า ตายจากการคุ้มครองของพระเจ้า ก็คือตายจากความดีงามของพระเจ้าเลย มนุษย์ไม่มีความดีงามของพระเจ้า ไม่มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ไม่มีความชอบธรรมของพระเจ้า มนุษย์ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ทำอะไรก็ไม่เกิดผล ในพระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้น

เอเฟซัส บทที่ 2 อาจารย์เปาโลกำลังอธิบาย ถึงก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าของกลุ่มคนเหล่านี้ ที่มาเชื่อพระเจ้า วิญญาณเดิมเขาเป็นแบบนี้ วิญญาณเดิมเขาถูกควบคุม ถูกครอบงำ โดยเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ ก็คือมารครอบงำ ครอบคลุม จริงๆ แล้ว มารมันทำอะไรมนุษย์ไม่ได้ ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม มารทำอะไรมนุษย์ไม่ได้ ไม่มีอำนาจ แต่มารสามารถที่จะใส่ข้อมูลลงมา ที่สมองของมนุษย์

เราเคยเห็นสมัยก่อนเขาเล่นปั่นจิ้งหรีดกันไหม? จิ้งหรีดอยู่เฉยๆ แต่พอปั่นๆ งง มันตีกันเลย นั่นแหละภาพเดียวกัน คือมารทำได้อย่างเดียว ก็คือพยายามปั่นหัวมนุษย์ ให้ทำตามมัน ตอนปั่นไปใหม่ๆ มนุษย์อาจจะ …

“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”

แต่พอปั่นเยอะๆ เข้า คล้อยตาม พอระบบความคิดคล้อยตามปุ๊บ สมองจะสั่งการมาที่ร่างกาย  ทำให้เราทำตามที่มารมาหลอกเรา มันจะเป็นภาพอย่างนี้แหละ  เป็นภาพที่ว่ามารทำอะไรเราไม่ได้เลย ถ้าเราไม่ยอม คำว่า “เรา” ยังพูดถึงคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้านะ และยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด เมื่อคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์อยู่ในเรา แล้ววิญญาณใหม่ของเรา คือชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ทำบาปไม่เป็น ไม่รู้จักคำว่าบาป คืออะไร? แต่ร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ฉะนั้น ร่างกายหรือสมอง ความคิดของเรา ยังสามารถที่จะรับสื่อของมารเข้ามาได้อยู่ ถ้าเรารับสื่อของมารเข้ามาเยอะๆ ปุ๊บ สมองเก็บข้อมูลๆ ที่มารใส่เข้ามา สมมติว่ามีคนทำไม่ดีกับเรา มารก็จะใส่ข้อมูลเข้ามา …

“เขาทำไม่ดีกับเธอ เธอให้อภัยเขาไม่ได้หรอก เธอต้องเก็บและเธอต้องจำ เธอต้องแก้แค้น เธอต้องตอบแทน  เธอต้องโต้กลับไปเลย” นั่นคือข้อมูลของมารใส่เข้ามา ในความคิดของผู้เชื่อ

แต่ถ้อยคำของพระเจ้า ก็บอกว่า … “ให้อภัยเขาเถิด”

พอเชื่อพระเจ้าปุ๊บ มันมี 2 ขั้วแล้วตอนนี้ เรามีกำลังพอที่จะต่อสู้ พอรับรู้ความจริง ในเรื่องของพระเจ้าว่าตอนนี้เราเป็นคนใหม่แล้วนะ  พระเจ้าให้ธรรมชาติใหม่กับเรา ธรรมชาติใหม่ของเรา คือความรัก  คือความชอบธรรม คือความสว่าง  คือความดี นั่นคือธรรมชาติใหม่ของเรา เป็นตัวตนจริงๆ ใหม่ของเรา ฉะนั้น พอเรารับรู้ความจริงตรงนี้ เราก็ต่อต้าน ขัดขืนมัน เราไม่เชื่อมัน พอเราไม่เชื่อมัน เราก็ไม่ทำตามมันใช่ไหม? เราก็เอาข้อมูลของพระเจ้าเข้ามา พอข้อมูลของพระเจ้าเข้ามาในสมองของเราเยอะๆ สมองของเรา ก็จะสั่งการ ให้ร่างกายของเราสำแดงความรัก  สำแดงการให้อภัย  ไม่ว่าคนนั้นเขาจะทำอะไรไม่ดีกับเรา เราก็จะสำแดงการให้อภัย ออกไป แต่ว่าการสำแดงจะมากหรือน้อย  ก็แล้วแต่ ไม่มีผลกระทบอะไรกับการเป็นลูกพระเจ้าของเราเลย ตรงนี้พี่น้องต้องชัดเจน แยกให้ออกเลยว่าคริสเตียน อย่างที่เมื่อกี้บอก คนที่เป็นลูกพระเจ้า มีโอกาสที่จะประพฤติไม่ดี มีโอกาส เพราะสมองเราไปฟังระบบของโลกนี้ มันปั่นเรา หรือพยายามที่จะส่งข้อมูลที่ไม่ดี แล้วเราก็ไปฟังมัน …

“เหรอๆ อย่างนี้ให้อภัยเขาไม่ได้ใช่ไหม? ต้องฉะเลย”

เอาแล้ว เราก็ฉะเลย อะไรประมาณนี้ แต่ว่าไม่มีผลกับวิญญาณของเราเลยนะ อันนี้ชัดเจน  สมัยก่อน เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับมาร ไม่มีกำลังพอจริงๆ พอมารมันปั่นหัวเราปุ๊บ ใส่ข้อมูลมาปุ๊บ เราก็รับข้อมูล บางครั้งด้วยกำลังเราเอง เราก็สู้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง  แต่พอเสร็จสรรพ เราก็อาจจะทำสิ่งที่ดีออกไป  หรือทำสิ่งที่ไม่ดีออกไป  แต่ว่าไม่ว่าทำดี หรือทำไม่ดี ก็ไม่สามารถเปลี่ยนธรรมชาติข้างใน คือ DNA ที่ยังเป็นคนบาปอยู่ ให้เป็นคนชอบธรรม เปลี่ยนไม่ได้ ต่อให้ทำดีให้ตาย ก็ยังคงอยู่ในการพิพากษาอยู่ ก็คือถ้ามนุษย์คนนั้น ไม่ได้กลับใจใหม่ ไม่ได้มาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้มาพึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์ ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าพระเยซูคริสต์มาตาย เพื่อมนุษย์ พอมนุษย์ตาย คือไม่ใช่มนุษย์แล้ว เป็นวิญญาณ วิญญาณ ก็คือ จบแล้ว ลมหายใจออกจากร่าง จบแล้ว ไม่มีสิทธิ์ที่จะกลับใจใหม่ได้อีกเลย แล้วถ้ามนุษย์คนนั้น รอจนวันสุดท้ายของชีวิต ที่ลมหายใจออกจากร่าง  แล้วเขายังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดของเขา ไม่เปลี่ยนจากการพึ่งการทำดีของตัวเอง ด้วยกำลังของตัวเอง  พยายามรักษากฎบัญญัติด้วยตัวเอง เพื่อมาพึ่งในพระเจ้า ลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ เขาอยู่ที่เดิม คือยังอยู่ในบาปอยู่ ยังอยู่ในการพิพากษาอยู่ วิญญาณเขาก็ต้องไปถูกพิพากษาในนรก หรือในที่ที่ไม่มีพระเจ้า หลังความตาย  นี่คือสิ่งที่น่ากลัว

ฉะนั้น ถ้าใครก็ตาม ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ปุ๊บ ให้สบายใจได้เลย พระเจ้าบอกว่าไม่มีใครสามารถเอาแกะออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ เมื่อเราเกิดแล้ว เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว เราก็เป็นลูกของพระเจ้าเลย ไม่ว่าพฤติกรรมที่เราทำบนโลกใบนี้ จะออกผลมาเป็นอย่างไร? ไม่มีผลกระทบอะไรกับการเป็นลูกพระเจ้าของเรา ถ้าเราทำไม่ดี เราก็อยู่โลกนี้ ลำบากนิดหนึ่ง เพราะว่ากฎของโลกนี้ ก็มี พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ควบคุมทั้งกฎของวิญญาณ และกฎของโลกใบนี้ด้วย ถ้าคริสเตียนทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้ทำตามกฎ ที่ถูกวางไว้บนโลกใบนี้ ทำตามใจตัวเอง  คริสเตียนคนนั้น ก็ต้องรับผลของการกระทำของเขา เพราะว่าพระเจ้าเรายุติธรรม พระเจ้าไม่ได้เข้าข้างใคร? ไม่ได้ลำเอียงว่า …

“คนนี้เป็นลูกฉัน ไม่เป็นไร เขาทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องรับผลหรอก บนโลกใบนี้”

ไม่จริงนะ อย่าโดนหลอก พี่น้องต้องรับผลแน่นอน บนโลกใบนี้ แต่ผลทางด้านวิญญาณ เราไม่ต้องรับ เพราะเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อันนี้ชัดเจน

หลายคนจะคิดว่าถ้าเราสอนว่าไม่ว่าเราทำอะไร ก็ตามที่ไม่ดี  ไม่มีผลเกี่ยวกับโลกวิญญาณ คืออย่างไรเราก็เป็นลูกของพระเจ้าอยู่ดี ถ้าอย่างนั้น คริสเตียนทำอะไรก็ได้  ทำชั่ว ทำบาป ก็ไม่มีผลอะไร? ไม่จริงนะ พระเจ้าบอกผลของร่างกายนี้ เรายังต้องรับอยู่ ร่างกายเรายังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย ฉะนั้น เรายังต้องรับผลตรงนี้อยู่ แต่ผลวิญญาณไม่ต้องรับ ถ้าพี่น้องไม่แยกให้ชัดเจน เราก็จะงง ตกลงเราจะโดนหรือไม่โดน แต่พระเจ้ายังคงยืนยันว่าวิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แต่ผลของโลกใบนี้ ถ้าเราอยากจะอยู่ให้ลำบากน้อยลง เพราะปกติมันก็ลำบากอยู่แล้ว มาเชื่อพระเจ้า  ก็ยังลำบากอยู่ เพราะพระเยซูบอกว่า …

“ในโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจเถิด  เพราะว่าเราชนะโลกแล้วไง”

ลำบากอยู่ แล้วถ้าเรายังทำไม่ดี เราก็เพิ่มความลำบากให้กับตัวเอง ซึ่งพอเราเพิ่มความลำบากให้กับตัวเอง  พระเจ้ามองแล้ว  …

“ลูกเอ๋ย ลูกทำทำไม ลูกทำเหมือนถีบประตัก ก็เจ็บตัวเอง ไม่มีใครทำอะไรลูกเลยนะ ลูกทำเอง แล้วลูกก็ต้องรับด้วย” นี่คือความยุติธรรมของพระเจ้า

พอเสร็จในข้อที่ 2 ที่บอกว่า “วิญญาณที่ยังมีอำนาจอยู่ในย่านฟ้าอากาศ ตอนนี้ทำการงานอยู่ในบรรดาผู้ไม่เชื่อ”

“บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ” คือก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราเป็นลูกของการไม่เชื่อฟัง วิญญาณเป็นคนที่ไม่เชื่อฟัง มันไม่ใช่ลักษณะอาการที่เราแสดงออกว่าไม่เชื่อฟัง แต่อันนี้เป็นธรรมชาติ ความเป็นคนที่ไม่เชื่อฟัง ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือมันเป็น DNA ที่ไม่เชื่อฟัง มันเกิดขึ้น แม้ว่าดูเหมือนบางครั้งคนนี้เชื่อฟัง แต่วิญญาณข้างในเขาเป็นวิญญาณที่ไม่เชื่อฟัง พอเป็นวิญญาณที่ไม่เชื่อฟังปุ๊บ มันก็อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราเป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง  คือเราไม่ต้องพยายามทำตัวเองให้เชื่อฟัง วิญญาณเราเปลี่ยนเป็นวิญญาณเชื่อฟังเลย  แต่หลังจากนั้น พอเรารับรู้ว่าตอนนี้เราเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังแล้วนะ เราก็เริ่มต้นฝึกฝนตัวเอง ให้ทำตามวิญญาณใหม่ของเรา ก็คือทำตามวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้า

ฉะนั้น เรามีสิทธิ์เลือก พระเจ้าให้อิสระเรา ไม่ว่าก่อนที่เราเชื่อพระเจ้า หรือหลังเชื่อพระเจ้า พระเจ้ายังเป็นองค์เดิม วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเชื่อพระเจ้า หรือยังไม่เชื่อพระเจ้า ก็ตาม พระเจ้าให้อิสรภาพในการตัดสินใจให้กับมนุษย์

พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าก็ยังให้อิสรภาพเราในการตัดสินใจว่าในขณะที่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นความสว่างแล้ว เราเป็นความดีงามแล้ว แล้วเราเลือกที่จะประพฤติตามธรรมชาติใหม่ของเราหรือไม่ในแต่ละวัน

การประพฤติตามธรรมชาติใหม่ตรงนี้ เราก็ไม่ต้องพยายามประพฤติอีก พูดแล้วพี่น้องอาจจะงง แต่มันเป็นเรื่องจริง พอเรารับรู้ความจริงมากเท่าไร? เราก็จะรู้ว่าข้างในเราเป็นอย่างนี้ พอเราเจริญเติบโตขึ้นระดับหนึ่ง เราก็จะทำเองได้ มันจะออกมาโดยอัตโนมัติ

ในพระคัมภีร์ พระเยซูพยายามที่จะยกตัวอย่างของต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า ทำไมพระเยซูต้องยกตัวอย่าง อย่างนี้ เพราะว่าพวกต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า ไม่ว่าจะเป็นผลหมากรากไม้ มะละกอ ส้ม มะพร้าว อะไรก็แล้วแต่ ก็คือแต่ละอย่างมันเป็นชนิดของมัน ที่พระเจ้าสร้างไว้ชัดเจนว่าต้นมะละกอ ปลูกลงไป ผลมันออกมา ต้องเป็นลูกมะละกอ ไม่ใช่ต้นมะละกอ ผลออกมาเป็นมะพร้าว เราปลูกมะละกอ ไปดูอีกที …

“มันออกมาเป็นมะพร้าวได้อย่างไง เราไม่ได้อยากกินมะพร้าว เราอยากกินมะละกอ”

คือผลมันจะออกมาอย่างนั้น แล้วผลมันออกเองไม่ได้ ต้นมะละกอจะอยู่เฉยๆ แต่ขึ้นอยู่กับคนปลูก ถ้าเรามองตามสายตาของมนุษย์ ก็คือมนุษย์คนหนึ่งคนใด นาย ก. นาย ข. ปลูกใช่ไหม? แต่ถ้าเรามองลึกเข้าไปอีก คนที่ปลูกจริงๆ คือพระเจ้า คนหว่านและคนปลูก ไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เกิดผล ถ้าพระเจ้าไม่ทำให้ต้นมะละกอนี้เกิดผล ต่อให้เราปลูก เราประคบประหงม เราดูแลอย่างดี มันก็ตาย  มันมีสิทธิ์ที่จะโดนแมง โดนหนอนกัดกิน จนตายไปได้  แต่พอมันเจริญเติบโตถึงระดับหนึ่ง

พี่น้องดูจากต้นไม้ใบหญ้าอย่างนี้ จะชัดเจนมาก ตอนถูกหว่านไปเป็นเมล็ด เมล็ดต้องเน่า แล้วมันก็เกิดออกมาเป็นต้นกล้า แล้วมันก็จะค่อยๆ โต แล้วคนที่ปลูก เขาก็จะไปเฝ้ามอง วันนี้โตขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วเขาจะรู้ว่าแต่ละต้น  แต่ละอย่างต้องใช้เวลากี่ปี? กี่เดือน? มันจะออกผลให้เรา พอถึงเวลากำหนด สมมติว่ามะม่วงปลูก 5 ปี มันจะออกผลให้ นอกจากเราไปซื้อต้นที่มันพร้อมจะออกผลแล้ว มาลง มันเกิดผลเลย ถ้าตามที่เราปลูกตั้งแต่ต้น 5 ปี คนปลูก ก็ทำหน้าที่ของเขาไป รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย  เก็บเล็มอะไรที่มันไม่ดีออกไป พอถึงเวลากำหนดมันออกดอก แล้วผลมันก็ออกมาเอง ต้นมะม่วงไม่ได้ทำอะไรเลย ยืนเฉยๆ ตั้งตระหง่านอยู่ที่สวนใครไม่รู้ เขาปลูกเอาไว้เฉยๆ เลย แต่เขาเกิดออกมาเป็นผล ภาพเดียวกัน

หรือแม้แต่ดอกไม้ ที่เราปลูก พอถึงเวลา ตอนนี้ต้นหางนกยูง  ที่อยู่หน้าโบสถ์เริ่มออกดอกแล้ว  เป็นฤดูกาลของมัน ปีนี้ออกเร็วนะ มันออกมาช่อหนึ่ง  ปกติพอถึงเดือนเมษา ใบมันจะผลัดออกเกือบหมด แล้วดอกมันก็เริ่มขึ้นเป็นช่อ อยู่ตามปลายกิ่ง แล้วต้นนี้เราดูมา 19 ปีแล้ว มันออกดอกให้เราทุกปี ออกมาสวยมาก พอเมษาปุ๊บ มันจะออกเต็มทั้งต้นเลย แล้วมันจะอยู่ประมาณเดือน, สองเดือน  หรือสามเดือน ไม่แน่ใจ มันก็จะสวยงาม ต้นหางนกยูงมันไม่ได้ทำอะไรเลย มันอยู่เฉยๆ ผู้ที่ทำให้มันออกดอก ออกผล คือพระเจ้า นี่เราต้องเล็งไปที่พระเจ้า มนุษย์มีหน้าที่รดน้ำ ใส่ปุ๋ย  แต่พระเจ้าทำให้เกิดผล ทำให้เติบโต คริสเตียนเหมือนกัน เราจะพยายามไปเร่ง บีบให้ตัวเอง ออกผลไม่ได้ เพราะผลมันไม่ได้เกิดจากความคิด ความสามารถ หรือความตั้งใจของเราว่าอยากให้มันออกผลเยอะๆ ไปเลย รีบๆ โต มันรีบโตไม่ได้นะ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป พอถึงเวลาที่โตจริงๆ แล้วพระเจ้าเห็นว่าคนนี้โตพอ ที่กิ่งของคนนี้ สามารถที่จะรับผลได้ รับผลตรงที่ไม่ทำให้กิ่งหัก พระเจ้าก็จะให้ผลมันออกมาตามน้ำพระทัยของพระองค์

ตอนที่เราต้อนรับพระเจ้าใหม่ๆ เราถูกหักกิ่ง  จากต้นเดิม  คือต้นอาดัม ต้นแห่งความบาป มาปักเสียบในต้นใหม่ คือต้นของพระเยซูคริสต์ พอปักเสียบใหม่ๆ คริสเตียนที่เชื่อใหม่ๆ ไม่มีผลอะไรหรอก ถ้าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดผล กิ่งนี้อาจจะหัก เพราะว่ายังต่อไม่สนิท เมื่อยังต่อไม่สนิท แล้วพยายามให้ผลมันออก มันก็รับน้ำหนักไม่ไหว มันก็หัก แล้วก็ตายไป เหมือนมนุษย์พยายามที่จะผลักดันให้คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ใหม่ๆ รีบออกไปรับใช้ รีบออกไปทำให้เกิดผล กิ่งเขายังแบเบาะมากเลย ยังไม่ติดสนิทเลย พี่เลี้ยงก็ผลักดันออกไป ปรากฏว่ามันรับน้ำหนักไม่ไหว ผลมันไม่ใช่ผลจากพระเจ้า มันก็เลยหักคาต้น แล้วมันก็ตายจากไป มันก็หายไปเลย นึกออกไหม? มันเป็นภาพเดียวกัน เป็นภาพที่พระเจ้าให้เราเห็นความเป็นจริงในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วพระเจ้าเป็นผู้ทำการงานอยู่ในใจของพวกเราทุกคน พระเจ้ามีแผนการสำหรับแต่ละคน ที่พระเจ้าเลือกไว้ให้ทำอะไร? อย่างไร? เหมือนกับร่างกายของมนุษย์

ผู้เชื่อเป็นเหมือนอวัยวะในร่างกาย โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ ฉะนั้น อวัยวะในร่างกาย ก็คือแต่ละส่วนไม่เหมือนกัน ในหนังสือโครินธ์บอกว่าไม่ใช่ทั้งร่างกาย มีแต่ลูกตา หรือทั้งร่างกายมีแต่จมูก ทั้งร่างกายมีแต่ปาก ก็กลมดิ๊ก ทำอะไรไม่ได้ แต่ร่างกายประกอบด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ตับ ไต ไส้ พุง แขน ขา หัวใจ ปอด ม้าม คือพระเจ้าเตรียมทุกส่วน ในร่างกายของเรา ให้ทำงานตามความเหมาะสม เนื่องจากมนุษย์ล้มลงในความบาป ตับ ไต ไส้ พุงทั้งหลาย มันก็เลยต้องสูญเสีย คือใช้งานนาน มันก็เริ่มเสื่อมถอยไป นี่เป็นเรื่องปกติของโลกวัตถุ ณ เวลานี้ ต่อให้เราเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ร่างกายเราก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมไป ตามสภาพที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  แต่ในโลกวิญญาณ พระจ้าทรงเตรียมผู้คนของพระองค์ ผู้เชื่อ คือให้แต่ละคนทำหน้าที่ตามความเหมาะสม ตามชอบพระทัยของพระเจ้า  ไม่ใช่เราเป็นคนเลือก พระเจ้าเลือกให้ ใครเป็นหู เป็นตา เป็นจมูก เป็นลิ้น เป็นกาย เป็นตับ ไต ไส้ พุง หัวใจ ม้าม ปอด อะไรก็ว่าไป ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ในพระคัมภีร์บอกว่าทุกส่วนสำคัญหมด เพราะไม่มีใครใหญ่กว่าใคร?

เราทุกคนเป็นลูกของพระเจ้าหมด เป็นน้องของพระเยซูหมด ดังนั้น แต่ละคนแล้วแต่ว่าพระเจ้าจะใช้งานอะไร? แล้วเมื่อพระเจ้าจะใช้งาน พระเจ้าก็จะให้ความสามารถ พระเจ้าไม่ใช่ผลักเราออกไป แล้วก็ไปตายเอาดาบหน้าเลย ไปหาวิธีเอาเอง ไม่ใช่ พอพระเจ้าจะใช้เรา พระเจ้าจะให้เครื่องไม้ เครื่องมือ ให้ความสามารถ ให้กับแต่ละคน จะพูดอีกนัยหนึ่ง เหมือนกับพรสวรรค์ พี่น้องนึกพรสวรรค์ออกไหม?

พรสวรรค์  พระเจ้าให้คนที่มีพรสวรรค์เขาจะทำอะไรเหมือนกับง่ายดาย มองแล้ว ทำไมเขาทำง่ายอย่างนี้  เรามาฝึกแทบตาย เราไม่เห็นทำได้อย่างนี้เลย แต่บางคน เขาเรียกว่าพรแสวง พยายาม ไม่ได้ เราไม่มีความสามารถตรงนี้ แต่เราอยากทำ เราก็พยายามทำ พอทำจนเสร็จ บางทีมันไม่ได้ เราก็จะทิ้งมันไป ท้อใจ

พูดถึงพรแสวง ตอนที่เรามีโบสถ์นี้ใหม่ๆ เรียนพระคัมภีร์ มีหลักสูตรหนึ่งให้เล่นดนตรี ทุกคนก็ไปซื้อกีต้าร์ ดิฉันคนหนึ่งล่ะ ไปซื้อกีต้าร์มา ดีดมา 2 ปี ร้องอยู่เพลงเดียว …

“ขอโปรดเตรียมเรา  ที่จะถวายเป็นเครื่องบูชา”

ร้องนะ แต่ดีดไม่เคยตรงคีย์ แล้วจนทุกวันนี้ ร้องไม่เคยตรงจังหวะ  ถ้ามีขึ้นดนตรีปุ๊บ ไปไม่ถูก คืออันนี้พยายามเป็นพรแสวง แต่แสวงจนเสร็จต้องถอดใจว่ามันไม่ใช่  พระเจ้าไม่ได้เรียกเรามาอย่างนี้ เราไปหาที่ที่พระเจ้าเรียกเรา ใช้เรา ให้กำลัง ให้ความสามารถ ให้ศักยภาพ หรือให้เป็นพรของเราดีกว่า แล้วเราจะทำงาน แบบไม่เหนื่อย มันเป็นธรรมชาติ ที่พระเจ้าให้กับเรา เราทำ แล้วเรามีความสุขด้วย เหมือนกับเราใช้ขาเดิน  เรามีความสุขเนอะ ถ้าวันหนึ่งเราจะไปใช้มือเดินแทน เดินแป๊บหนึ่ง เราก็เหนื่อยแล้ว ไม่ไหว พอเดินเยอะๆ มือเราเดี้ยงเลย อย่างไงก็ไม่ได้

พอเราเห็นภาพ ความเป็นจริงในทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับพวกเรา เราก็จะอยู่อย่างมีความสุข บนโลกใบนี้ ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วเรารู้ว่าน้ำพระทัยที่พระเจ้าให้กับพวกเราแต่ละคน ดีที่สุด เพราะว่าพระเจ้ามองลึกเข้าไปในวิญญาณของเรา แล้วพระเจ้ามอง ไม่ใช่มองตอนนี้ ที่เราเป็น แต่พระเจ้ามองตอนที่มันจบสิ้น เรียบร้อยแล้ว เราแต่ละคนสวยงาม ตามที่พระเจ้าได้เขียนไว้

นี่แหละ คือการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราเข้าใจหลักการของพระเจ้า เข้าใจถึงทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ เราจะสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข และเราสามารถสรรเสริญพระเจ้าตลอดเวลา ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระคุณ สำหรับพระเมตตา  ที่พระองค์ได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงดูแลพวกเรา

คำว่า “ดูแล ปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครอง” ก็ไม่ได้หมายความว่าพอพระเจ้าดูแล ปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครอง แล้วเราจะไม่เป็นอะไร อันนั้นไม่เกี่ยว ปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครองวิญญาณจิตของเราแน่นอน ไม่เป็นอะไรแน่นอน เราปลอดภัย แต่ว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัย เยอะแยะมากมาย

สมมติ ถ้าเราอายุเยอะ แล้วเดินไม่ระวัง อย่างดิฉัน เดินไม่ระวัง ก็หัวทิ่ม เราก็เจ็บ ได้แผล ประมาณนี้ คือเราต้องรับรู้ความจริงว่าร่างกายเรา สังขารเราไม่ได้แล้ว  ตอนนี้อายุเยอะแล้ว ไม่เหมือน เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ลุกปุ๊บ ไปเลย ตอนนี้เวลาลุกก็ค่อยๆ ลุกเร็ว มีสิทธิ์หน้ามืด หัวขมำได้

พี่น้อง พอเข้าใจตรงนี้ปุ๊บ ถ้าเรารักษาเต็มที่แล้ว มันยังเกิด อันนั้น มันช่วยไม่ได้ ช่างมันเถิด ดูแลสุขภาพร่างกายอย่างดีแล้ว มันยังเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ช่างมันเถอะ เพราะว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสังขาร ที่เราเป็นอยู่บนโลกใบนี้ จริงหรือไม่จริง? คริสเตียนป่วยตาย มีเยอะแยะไป คริสเตียนถูกอุบัติเหตุตาย มีเยอะแยะไป คริสเตียนไปเจอแจ๊คพอต ไปอยู่ในที่ที่เขาตีกัน แล้วเราก็ถูกลูกหลง ถูกมีดฟันตายก็มี ฉะนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับคำว่าปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครองเรา เราจะไปไหนก็ได้ฉลุย รับรองพระเจ้าดูแลเรา ส่งทูตสวรรค์มาช้อนเราไว้ ไม่ใช่ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  แต่ในโลกวัตถุ ไม่มีใครสามารถเป็นหลักประกันได้ เพราะว่าตรงนี้ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขแห่งพันธสัญญา  ที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน

เพราะฉะนั้น พออยู่บนโลกใบนี้ เราก็ระวังให้เต็มที่นั่นแหละ เราจะไปไหน เราก็อธิษฐาน ขอพระเจ้าดูแลปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครอง เรายังคงอธิษฐานได้อยู่ แต่ถ้าบังเอิญเจอแจ๊คพอต มาเจออย่างนี้ เราอธิษฐานไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร ถ้าเจอ ก็ขอบคุณพระเจ้า อย่างไรก็ต้องเจอ ก็ไม่เป็นไร ให้รับรู้ว่าเมื่อเจอ เราก็รับตรงนั้นมา แล้วพระเจ้าจะให้กำลังเราผ่านไปได้

พอเรารับรู้ตรงนี้ เราก็จะไม่ต่อว่าพระเจ้า … “อธิษฐานแล้ว ทำไมพระเจ้ายังให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”

อะไรประมาณนั้น เพราะว่าโลกนี้ได้ถูกทำให้เสียหายไปหมดแล้ว มันรวนไปหมดแล้ว  เราจะคาดหวังให้ทุกอย่างดีเลิศประเสริฐศรี เหมือนที่เราอธิษฐานไว้ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ที่ดีเลิศ ประเสริฐศรีจริงๆ ก็คือในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกมันเรียบร้อยแล้ว มันสวยงาม

นี่คือภาพที่พระเจ้าให้เรามองเห็น ฉะนั้น มนุษย์ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าเขามีวิญญาณไม่เชื่อฟัง พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรามีวิญญาณที่เชื่อฟังทันทีเลย ไม่ต้องพยายามทำ แล้วต่อจากนั้น เรียนรู้ความจริงมากๆ ผลมันจะออกมาเอง

พอเราเข้ามาอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้าปุ๊บ เราก็จะเห็นภาพหนึ่ง ที่พระเจ้าให้เราเห็น ก็คือตอนนี้ วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ตอนนี้เราอยู่ในไหน? เราต้องรู้ตรงนี้ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในฝั่งชอบธรรม เราอยู่ในฝั่งของความดีงาม เราอยู่ในฝั่งของความเชื่อฟัง เราอยู่ในฝั่งของความสว่าง เราอยู่ในฝั่งของพระเจ้าทุกกระเบียดนิ้วเลย แต่ถ้าคนที่ไม่เชื่อ อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งตรงกันข้าม  ถ้าพระเจ้าเป็นความสว่าง คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า  คือความมืด ถ้าพระเจ้าเป็นความดีงาม คนที่ไม่เชื่อ คือความชั่วร้าย ถ้าพระเจ้าเป็นความเชื่อฟัง คนที่ไม่อยู่ในทางพระเจ้า ก็คือคนที่ไม่เชื่อฟัง มันจะอยู่ตรงกันข้ามเลย พอเรารู้ความจริงตรงนี้ เราก็จะไม่โดนหลอก เวลาเราเผลอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มารมันก็จะมาหลอกเราทันที  มารก็ใส่มาในความคิดของเราเลยว่า …

“เธอเป็นลูกพระเจ้า เธอทำอย่างนี้ๆ ทำได้อย่างไร พระเจ้าไม่รักเธอ”

ยืนยันกลับไป … “ไม่ว่าฉันทำอะไรก็ตาม ฉันเผลอทำ หรือถูกเธอหลอกให้ทำ ฉันก็ยังเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักมากด้วย ดังแก้วตาดวงใจอยู่ดี” … ต้องยืนยันตรงนี้ให้ได้

คือจริงๆ อยากจะให้ความชัดเจนกับพวกเรา พอเรารู้ความจริงชัดเจนมากขึ้นเท่าไร? เราก็จะไม่โดนหลอกมากเท่านั้น พี่น้องอดทนฟังไปนิดหนึ่งนะ มันอาจจะเป็นเรื่องที่ซ้ำซาก เหมือนเดิม แต่ว่าตรงนี้เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ เป็นเรื่องที่พวกเราถ้ารู้ทะลุปรุโปร่ง เราจะเป็นไท เป็นอิสระเลย แล้ววิญญาณเราจะไม่ต้องมานั่งกังวล คือทุกวันนี้มารพยายามใส่ความคิดให้เรากังวล  ทำอะไรไม่ถูกต้อง เราก็เริ่มกังวล ตกลงตรงนี้อะไรอย่างไง? พอเรารู้ความจริง เราจะเลิกกังวล ในเรื่องนี้เลย และเราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ที่เป็นผู้เชื่อ รับรู้ความจริงว่าพระเจ้ารักเรา ดังแก้วตาดวงใจ พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา พระเจ้าไม่เคยละสายตา จากชีวิตของเราเลย แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว แม้บางครั้งเจอความทุกข์ยากลำบาก เราอาจจะคิดว่าพระเจ้าไม่สนใจเราแล้ว พระเจ้าทิ้งเราแล้ว แต่ถ้อยคำของพระเจ้ายังคงยืนยัน ในขณะที่เราทุกข์มากที่สุด พระเจ้าอยู่ในเรา แล้วพระเจ้าคอยดูแลเราอย่างแน่นอน พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

2 โครินธ์ 4:17 “เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น  เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเราเข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย”

 

สังเกตให้ดีนะครับ  ในข้อนี้ ใช้คำว่า “เปรียบ” ก็แปลว่ามีการเปรียบเทียบของสิ่งที่ต่างกัน

 

ถ้อยคำตรงนี้ กำลังเปรียบเทียบระหว่าง  …

(1) ความทุกข์ยากลำบาก และ …

(2) สง่า ราศี และพระสิริ

 

มาดู ลักษณะของ 2 สิ่งนี้ ที่เรากำลังเปรียบเทียบกัน …

(1) ความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย

(2) สง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์

 

เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนใช่ไหมครับ? อันแรก คือความทุกข์ลำบาก เป็นสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย  ในขณะที่สง่า ราศี และพระสิริพระเจ้า เป็นสิ่งถาวรนิรันดร์และยิ่งใหญ่

นี่คือที่บอกว่า 2 สิ่งนี้ เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย  เล็กน้อย  ชั่วคราว กับยิ่งใหญ่ ถาวรนิรันดร์

 

โรม 8:18 “และด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น  ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งได้ทรงสำแดงในเรา”

 

แต่ไม่ใช่ว่าความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา จะไม่มีประโยชน์เลยนะครับ ตรงนี้ ยังบอกว่าความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่ก็เป็นสิ่งที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเรา เข้าไปสู่ สง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์

 

โรม 5:3-4 “3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้ แต่ให้เราชื่นชมยินดี ในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยาก (ความกดดัน ท้อแท้ ลำบาก เครียด) นั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทน ทำให้เกิดความทรหด 4 ความทรหด ผ่านประสบการณ์ ความทุกข์ยากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัย ที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ทำให้ความหวังใจ ในความรอดนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐาน ที่มั่นคง ชัดเจน แน่ใจ”

 

ดังนั้น เมื่อเราได้รู้อย่างนี้แล้วว่า 2 สิ่งนี้ เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย  คือ …

(1) ความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เรา จับต้องมองเห็นได้ เป็นสิ่งเล็กน้อย และเป็นสิ่งชั่วคราว

(2) สง่าราศีและพระสิริของพระเจ้า ที่ได้ทรงสำแดงในเราแล้ว … เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ ถาวรนิรันดร์

 

เมื่อเราได้รับรู้อย่างนี้แล้ว  เราจะจดจ้อง มองไปที่ใด?

คำตอบ คือ …

2 โครินธ์ 4:18 “ดังนั้น เราจึงไม่จับตา มองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น (สง่าราศี และพระสิริของพระเจ้า) เป็นถาวรนิรันดร์”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1352

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  กุมภาพันธ์  2022

เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” ตอน 4

“การพึ่งพาในการกระทำดีของตน  เพื่อจะได้ไปสวรรค์ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ถ้อยคำของพระเจ้าในวันนี้ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” วันนี้เป็น ตอนที่ 4 ซึ่งผมให้ใช้ชื่อเรื่องว่า “การพึ่งพาในการกระทำดีของตน เพื่อจะได้ไปสวรรค์ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม” ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว อย่างที่ผมสรุปหลายๆ ครั้งแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นการบรรยายเรื่องอะไร? ตอนอะไร? ถ้าเป็นการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จริงๆ ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล จะหนีไม่พ้น เรื่องราวใน 4 ประเด็นหลักนี้เท่านั้น ตามที่พระเยซูได้มาประกาศ และตระเวนสั่งสอนผู้คนในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็มีอยู่แค่ 4 ประเด็นเท่านั้น

“ฉันต้องจำตรงนี้ให้ได้ ตรงนี้เป็นแหล่งกำเนิดของความจริง ความรู้ในเรื่องโลกวิญญาณในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล อย่าให้ใครหลอกได้ 4 อย่างนี้เท่านั้น”

ประเด็นที่ 1 คือมนุษย์เป็นคนบาป อ่อนแอ มีบรรพบุรุษอยู่ในอาดัม ตายจากชีวิตนิรันดร์ คือความดีงามของพระเจ้าตายไปแล้ว ตายจากความดี ก็มีธรรมชาติของความชั่วอยู่ในตัว

ประเด็นที่ 2 คือเมื่อมีบาปมาตั้งแต่เกิด เกิดมาก็มีบาป ก็อ่อนแอ จึงไม่สามารถที่จะทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้าได้ อยู่ในสวรรค์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทำไม่ได้ ไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยการพึ่งการกระทำของตนเอง ให้เป็นคนดีได้ เพราะว่าเกิดมาในวิญญาณ ใน DNA ก็เป็นบาปแล้ว

ประเด็นที่ 3 คือเมื่อพึ่งตนเองไม่ได้ ไปสวรรค์ด้วยตนเองไม่ได้ ก็ให้มาพึ่งเรา “เรา” คือพระเยซู ให้มาพึ่งพระเจ้า และพระเยซูสัญญาว่าพระเจ้า พระบิดา จะส่งพระบุตร คือพระเยซูมาประกาศว่าพระองค์เป็นทางนั้น ที่เราจะเข้าสวรรค์ได้ โดยผ่านทางความเชื่อ พึ่งพาในพระองค์เท่านั้น

ประเด็นที่ 4 เมื่อเชื่อพระองค์แล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว เกิดอะไรขึ้น อัศจรรย์เกิดขึ้น บังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์มาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นลักษณะชีวิต ที่เป็นชีวิตนิรันดร์ ดีครบถ้วนบริบูรณ์ในวิญญาณเลยทันที พิสูจน์ได้บนโลกใบนี้  ขณะที่มีลมหายใจเลย

นี่คือ 4 ประเด็นหลักของข่าวประเสริฐ ของเรื่องราวของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตั้งแต่ปฐมกาล จนกระทั่งวิวรณ์ ย้ำกันอีกว่าคำประกาศ หรือคำสอนของพระเยซูทั้งหมด ในพระคัมภีร์ทั้งเล่มนี้ พระเยซูไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม ไม่ได้มาสอนเรื่องการทำดี ทำชั่วเลย

ถามว่าทำไมพระเยซูไม่เน้นสอนเรื่องศีลธรรมและความประพฤติ การทำดีทำชั่ว ทั้งๆ ที่ทั้งโลกก็บอกว่าดี ใครๆ เขาก็สอนอย่างนี้ทั้งนั้น ก็เพราะว่าเรื่องการทำดีทำชั่ว มันถูกฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกและมนุษย์ทุกคน รู้อยู่แล้วในใจ รู้อยู่แล้วในวิญญาณ ไม่ต้องสอน เรื่องความดีความชั่ว มันถูกฝังเอาไว้แล้ว ตอนที่เกิดมา ก็เป็นแล้ว ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ในวิญญาณนั่นแหละ

การสำนึกในการทำดี การทำชั่ว มันอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่ครั้งที่มนุษย์ บรรพบุรุษของเราคู่แรก คืออาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป ในการพึ่งพาตนเอง ตายจากชีวิตนิรันดร์ ตายจากความดีงามของพระเจ้า นั่นแหละ มันเกิดขึ้นตอนนั้น

ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรก ทุกอย่างมันดีหมด ทั้งโลกที่เป็นสรรพสิ่ง เป็นโลกวัตถุก็ดีหมดเลย มันไม่วิปริต ยุ่ง วุ่นวายอย่างนี้ แล้วในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ก็สวยสดงดงามทั้งสิ้น มีเพียงกฎเดียว ที่มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือกฎของพระเจ้า กฎแห่งความรัก มนุษย์ยังไม่รู้จักเรื่องการทำดี ทำชั่วเลย ทำอยู่อย่างเดียว คือเชื่อพ่ออย่างเดียว เชื่อพระเจ้า พระเจ้าว่าอย่างไร? ก็ว่าอย่างนั้น

พระเจ้าบอกว่า … “ดี” ก็โอเคดี

พระเจ้าบอกว่า … “เราสร้างเจ้าดีมากกว่าอย่างอื่นตั้งเยอะ” ก็ดี

จนเมื่ออาดัมและเอวาไปเชื่อมาร ที่ล่อลวงให้ขัดคำสั่ง ให้กบฏต่อพระเจ้า ให้กินผลไม้ต้องห้าม เพื่อที่จะมีปัญญามากขึ้น เหมือนพระเจ้า ถูกหลอก จึงทำให้มนุษย์เกิดสำนึกของการเรียนรู้จักความดีและความชั่ว คือต้องการกระทำดี และละความชั่ว ด้วยความสามารถของตนเอง พึ่งตนเอง ตนเองเป็นใหญ่แล้ว คราวนี้ตนเองก็เป็นพระเจ้า บูชาความดีงามของตนเอง ซึ่งสิ่งที่อาดัมและเอวาทำ ก็คือการขัดคำสั่ง กบฏ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าบาป คือไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ที่พระเจ้าวางไว้

สรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นสรรพสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ก็ตาม  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของพระองค์ คือเชื่อฟังในกฎเกณฑ์ของพระองค์ ผู้ใดฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ ก็จะถูกลงโทษ เป็นไปตามกฎ มนุษย์ก็ไม่เว้น แม้ว่าจะถูกหลอกก็ตาม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงเกิดกฎที่ 2 ขึ้นมา อยู่ในกฎแห่งพระพร เชื่อพระเจ้าเฉยๆ ก็ดีแล้ว ไม่เอา อยากจะมาอยู่ด้วยตนเอง ก็ไปอยู่ด้วยตนเอง ก็เลยเกิดกฎที่ 2 ขึ้นมา ก็คือกฎแห่งความบาปและความตาย

นี่แหละ มนุษย์อยู่ในกฎของความบาปและความตาย ที่ตัวเองเป็นคนเลือก พวกเราไม่ได้เลือกหรอก แต่บรรพบุรุษของเราเลือก ต้นตระกูลของเราเลือก แล้วเราก็ต้องอยู่ในต้นตระกูลของเรานั่นแหละ DNA เหมือนกัน ก็คืออยู่ในกฎแห่งความบาปและความตาย แล้วมนุษย์ก็ถูกย้าย ออกจากการอยู่ในกฎของพระเจ้าในสวรรคสถาน ตกกระป๋อง มาพึ่งตนเอง มาอยู่ภายใต้กฎแห่งความบาปและความตาย ที่มีบัญญัติไว้ว่าไม่ใช่เชื่อพระเจ้านะ เชื่อในตัวเอง ต้องทำด้วยตัวเอง มีบัญญัติไว้ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” คุ้นไหม? เกิดมา ก็ไม่ต้องมีใครสอนแล้ว รู้ว่าทำดี ก็ต้องได้ดี ทำชั่ว ก็ต้องได้ชั่ว ทำชั่วแม้นิดเดียว ก็ต้องได้ชั่ว ก็ต้องตาย เพราะในวิญญาณมันตาย อยู่แล้ว เข้าสวรรค์ไม่ได้ อยู่คนละข้างกันกับกฎของพระเจ้า ซึ่งจุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ก็ต้องไม่มีการตาย คือไม่มีการทำชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว

และเมื่อมนุษย์ต้องอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ความพยายามที่จะทำดีและละชั่ว เพื่อให้หลุดพ้นจากโทษของความบาป ที่กระทำนั้น ละจากโทษของการทำชั่ว ซึ่งรู้ว่าทำชั่ว แล้วถูกลงโทษ แต่มันก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ตามที่ในใจอยากทำ เพราะว่ามันถูกฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของทุกคนไปแล้ว

นี่คือเหตุผลที่บอกว่าพระเยซูไม่ได้มาประกาศเรื่องศีลธรรม สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคน ทุกชาติ ทุกศาสนาเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์จึงไม่ต้องมาประกาศเรื่องความประพฤติว่าทำอย่างนี้ดี ทำอย่างนี้ชั่ว เพราะรู้อยู่แล้ว แต่มาประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ใน 4 ประเด็นที่บอกเมื่อสักครู่นี้ เพื่อจะให้มนุษย์ได้รู้ว่าทำไม่ได้หรอก ที่อยู่ในใจนั้น แต่ถ้าผ่านในความเชื่อของเรา มาเชื่อพระเยซูแล้ว ทำได้ๆ อะไรประมาณนั้น เพราะว่ามีผู้ช่วย

อย่างที่บอก มนุษย์รู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว รู้ว่าต้องประพฤติอย่างไร ถึงจะได้ไปสวรรค์หลังความตาย ใช่หรือไม่ใช่? ลองคิดในใจตัวเอง ไม่ต้องมีใครมาสอนเลยนะ เกิดมามนุษย์ทุกคนจะรู้เลยว่าถ้าทำดี ได้ไปสวรรค์ ทำชั่วต้องตกนรก โดยพลัน รู้หมด แต่ว่าทำไม่ได้ พอทำไม่ได้ มันเกิดอะไรขึ้น ก็รู้ว่าแนวโน้มตกนรกแน่นอน ก็พยายามต่อไป นี่คือความวนเวียนของมนุษย์ที่อยู่ในกฎแห่งความบาปและความตาย กฎแห่งกรรม กรรมเวรเอ๋ย กรรมๆ เมื่อไรมันจะหมดกรรมสักที พระเยซูก็ไม่ต้องมาย้ำตรงนั้นแล้ว เพราะมนุษย์รู้อยู่แล้ว  และมนุษย์ก็จะสอนซึ่งกันและกัน มาเตือนซึ่งกันและกัน ในสิ่งที่รู้อยู่แล้วนั้นแหละ ย้ำยืนยันในกฎแห่งศีลธรรม กฎแห่งกรรมนั่นแหละ

พระเยซูจึงมาชี้ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นมันดี แต่มันช่วยเจ้าไม่ได้หรอก พระเยซูจึงมาประกาศ เพื่อชี้ให้เห็นว่าเมื่อทำไม่ได้ ก็อย่าพยายามทำด้วยตัวเอง อย่าเย่อหยิ่ง อวดดี หลอกตัวเองต่อไปว่า …

“ฉันทำได้”

ทั้งๆ ที่ในใจก็รู้อยู่แล้วว่าทำไม่ได้ ก็ยอมรับซะสิ ก็หยุดพยายามซะ หาตัวช่วยๆ แสวงหาตัวช่วย ก็จะเจอ พระเยซูจึงบอกว่า …

“จงมองให้เห็นเถิด ใครมีหูจงฟังเถิด ใครมีตาจงเปิดออกให้เห็นเถิด”

มองอะไรให้เห็น มองในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูกำลังมาประกาศ 4 ประเด็นนี่แหละ ยอมรับตัวเองว่าตัวเองอ่อนแอ อยู่ในบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย จำเป็นต้องพึ่งในการกระทำของพระองค์ เพราะว่าพระองค์มาประกาศว่าพระองค์เป็นใคร? เมื่อกระทำด้วยตัวเอง เพื่อจะไปสวรรค์ไม่ได้ เพราะรู้ว่ามนุษย์ตายแล้ว จะไปที่ใดที่หนึ่งแน่นอน แล้วก็กลัวนรก เพราะรู้ว่าแนวโน้มไปนรกแน่นอน ก็พยายามทำ และในใจก็รู้ว่าทำไม่ได้ ก็ถ่อมใจมาพึ่งในพระเจ้า พระเจ้าทำได้ ก็พึ่งในพระองค์สิ เพื่อที่จะไปสวรรค์ หลังความตาย

พระองค์มาทำแค่ 4 ประเด็นนี้ มาเตือน มาบอก (ทั้งหมดนี้ ไม่ได้พูดเหมือนผมอย่างนี้นะ พระองค์พูดนุ่มนวลกว่านี้เยอะ) พระองค์พูดด้วยความรัก ความเมตตา ความห่วงใย รักมนุษย์ยิ่งนัก กระทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว มาเอาไปเถิด มาเอาสิทธิของเธอไปเถิด หยุดพึ่งตนเอง แล้วมาพึ่งเราเถิด

นี่คือสรุปรวมเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว เพื่อจะได้รู้ว่าเมื่อพระเยซูมาประกาศเรื่องข่าวดี เรื่องสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?

แล้ววันนี้ เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กันต่ออีก ไม่ว่าจะพูดในลักษณะไหน ก็พูดแค่ใน 4 ประการนี้แหละ ท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็พูดอยู่แค่นี้แหละ ไม่เชื่อ ท่านลองไปเช็คดูตัวเอง ก็ได้ วันนี้เราก็จะมาพูดเรื่องนี้ต่อ จากเรื่องที่สอนและประกาศ โดยเจ้าของสวรรค์ พระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเยซูคริสต์ เพื่อจะย้ำยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ที่ใครจะพยายามพึ่งในการกระทำของตนเอง เพื่อจะได้ไปสวรรค์ หลังความตาย มันเป็นไปไม่ได้เลย

“อาณาจักรสวรรค์นั้น เป็นเช่นไร?”  ตอนที่ 4 “การพึ่งพาในการกระทำดีของตน เพื่อจะไปสวรรค์ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม” ชื่อเรื่องวันนี้

อูฐลอดรูเข็ม เป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้เลย พระเยซูสอนในเรื่องนี้ ที่เรากำลังจะเรียน ไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้นะ บอกว่า “ยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้” มันคืออะไร? เป็นไปไม่ได้ คือสำหรับเรา เราก็พอแล้วนะ พระเยซูบอกยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย

เรามาอ่านในหนังสือมาระโก 10:17-27 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาหาพระเยซู …

มาระโก 10:17-27 “17 ขณะพระเยซูเสด็จออกไป ชายคนหนึ่งวิ่งมาคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ แล้วทูลถามว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรบ้าง จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์” 18 พระเยซูทรงตอบว่า “ทำไมท่านจึงว่าเราประเสริฐ นอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครอื่น ที่ประเสริฐ 19 ท่านก็รู้บทบัญญัติที่ว่า ‘อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” 20 เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ ทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมาตั้งแต่เด็ก” 21 พระเยซูทอดพระเนตรมาที่เขา ทรงรักเขา และตรัสว่า “ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้น จงตามเรามา” 22 เขาได้ยินเช่นนั้น ก็หน้าสลด แล้วจากไปด้วยความทุกข์ เพราะเขาร่ำรวยมาก 23 พระเยซูทอดพระเนตรไปรอบๆ แล้วตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ยากนัก ที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า (ยากเป็นธรรมดา แต่ยังเป็นไปได้ ที่เค้าจะต้อนรับ ข่าวประเสริฐ ต้อนรับพระเยซู)” 24 เหล่าสาวกแปลกใจในพระดำรัส  แต่พระเยซูตรัสอีกว่า “ลูกเอ๋ย ยากยิ่งนัก  ที่จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า (สำหรับผู้ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ เค้าเชื่อว่าเค้าสามารถใช้ทรัพย์สินแลกซื้อสวรรค์ภายหน้าได้ ซึ่งมนุษย์ทั่วไปกระทำเช่นนี้ใช่หรือไม่? ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย)  25  ให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าที่คนรวย (ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ) จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า” 26 เหล่าสาวกก็ยิ่งประหลาดใจ จึงพูดกันว่า “ถ้าเช่นนั้น ใครจะรอดได้” 27 พระเยซูทอดพระเนตรที่พวกเขาและตรัสว่า “สำหรับมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้

 

ฟังเมื่อสักครู่นี้แล้ว ทำตามที่บอกหรือเปล่า? ฟังไป นึกถึง 4 ประเด็นไหม? นี่สอบเลย ตรงเลยนะว่าจำได้ไหม 4 ประเด็น คืออะไร? เรากำลังจะมาพิสูจน์กันว่าจริงหรือไม่? 4 ประเด็นนี้ พูดกันไปเรื่อยๆ บรรยายกันไปเรื่อยๆ ถึงข้อนั้นข้อนี้ นึกในใจตามไปด้วยนะว่านี่มันประเด็นที่เท่าไร? สนุก และทำให้ต่อไปนี้ท่านอ่านพระคัมภีร์ ท่านจะสนุกด้วย  นึกในใจ 4 ประเด็นนี้ แล้วอ่านข้อพระคัมภีร์อะไรที่อยากจะอ่าน

เรื่องที่พระเยซูกำลังจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องของเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่ง เป็นชาวยิว เป็นอิสราเอล ซึ่งรักษากฎบัญญัติอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนเคร่งศาสนายิวมากนั่นเอง

ในข้อที่ 17 เริ่มต้นนั้น … “ขณะที่พระเยซูเสด็จออกไป ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าพระองค์ แล้วทูลถามว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าต้องทำอะไรบ้าง?”

ลองสวมเป็นเด็กหนุ่มคนนี้สิ “ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรบ้าง? จึงจะได้รับชีวิตนิรันดร์” ก็คือจึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า หลังความตาย

คำถามแบบนี้ เป็นคำถามที่อยู่ในใจเรา มนุษย์ทุกๆ คนอยู่แล้วใช่หรือไม่? ใช่ ทำอย่างไรถึงจะไม่ตกนรก เราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าถ้าทำบาป ถ้าทำชั่ว ได้ไปนรกแน่นอน ไม่ได้ไปสวรรค์ ถ้าทำไม่ดี ตีพ่อตีแม่ ไปอยู่ในนรก โกหกตกนรก คือมนุษย์ทุกคน รู้ดีว่าต้องทำดี จึงได้ไปสวรรค์ แต่มนุษย์ทุกคนก็รู้แก่ใจว่ายังทำดี ได้ไม่เพียงพอ เพราะยังทำชั่วอยู่บ้าง? “อยู่บ้าง” นั้น ไม่ว่ามากหรือน้อย ในใจก็จะบอกว่าชั่วนั้นจะพาเราลงนรก ความดีไม่สามารถลบล้างได้ จริงหรือไม่? ถามใจตัวเองก็แล้วกัน อย่าหลอกนะ ถามจริงๆ

กฎแห่งการทำดี แล้วไปสวรรค์นี้ มันฝังอยู่ในจิตใจลึกๆ เขาเรียกว่าอยู่ในจิตใต้สำนึกอยู่ในวิญญาณของมนุษย์ทุกคน มันฝังอยู่ ทำให้เราอยากได้ดี ใครอยากไปอยู่ในนรกล่ะ ไม่มีใครอยากอยู่ในนรก เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคน ไม่มีคนใดเลยที่อยากทำชั่ว เพราะวิญญาณเขารู้อยู่แล้วว่าทำชั่ว มันได้ชั่ว และชั่วที่สุด กลัวที่สุด คือเมื่อตายแล้วจะได้ไปอยู่ในนรกนิรันดร์ มันเขียนอยู่ข้างในใจอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจึงพยายามทำความดีไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที เพราะการทำดีไปนั้น มันสลับด้วยความชั่ว และความชั่วนั้น มันฝังอยู่ มันจะเป็นตัวฟ้องบอกว่า …

“เธอลงนรกแน่ๆ”

และมันก็เป็นจริงตามนั้น ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็ยังอยู่ในกฎแห่งการทำดี ทำชั่ว

ในข้อ 18 ดูสิพระเยซูเริ่มต้นชี้ให้เห็นถึง 4 ประเด็นนี้ อย่างไร?

ข้อ 18 พระเยซูตอบว่า … “ทำไมท่านจึงว่าเราประเสริฐ นอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครที่ประเสริฐ”

คำว่า “ประเสริฐ” ตรงนี้ คือดีพร้อม บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าไม่มีมนุษย์คนใด ที่เป็นคนบริสุทธิ์อย่างนี้เลยแม้แต่คนเดียว คือมนุษย์ทุกคนเป็นมนุษย์แห่งบาป ไม่มีคนไหน ไม่มีตำหนิเลย แม้แต่นิดหนึ่ง ไม่มีคนไหนไม่เคยทำบาปเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่เคยโกหก ไม่เคยคิดชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็เป็นบาปแล้ว เกิดมา ก็อยู่ในกฎของความชั่วร้ายแล้ว เกิดมา ก็ไม่มีชีวิตของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณอยู่แล้ว

ถามว่านี่ประเด็นอะไร? ประเด็นที่ 1 มนุษย์ทุกคนเกิดมาบาป อ่อนแอ ไม่มีพระเจ้าอยู่ ตายจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ไม่มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ไม่มีความดีงามของพระเจ้า เห็นไหม?

พระเยซูเริ่มต้นชี้ให้เห็น โดยผ่านทางเศรษฐีหนุ่มคนนี้  เพื่อจะสอนคนทั้งโลกเลย โดยเฉพาะผ่านทางผู้ที่ฟังในตอนนั้น ก็คือชาวยิว เน้นไปที่เศรษฐีหนุ่ม แต่กำลังพูดถึงชาวยิว สะท้อนไปถึงชาวคริสเตียนทั้งโลก  ก็คือยิวในวิญญาณ ก็คือพวกต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว ที่มาเชื่อพระเจ้า เป็นคริสเตียนนั่นแหละ พูดไปถึงมนุษย์ทุกคน ที่ไม่ใช่ คริสเตียนก็จะได้รับรู้ด้วยว่าพระองค์กำลังมาประกาศ เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ว่ามันเป็นอย่างไร? สภาพของมนุษย์ในโลกวิญญาณนั้น มันเป็นเช่นไร? ทำอย่างไรถึงรอดพ้นจากการพิพากษา หลังความตายได้ พระเยซูก็มาบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนเป็นคนดีพร้อม สักคนหนึ่งหรอก

เศรษฐีหนุ่มก็บอกว่า “ทำอย่างไรถึงจะได้ดีเหมือนอาจารย์”

เพราะเขาเห็นพระเยซูทำอะไรต่างๆ เหล่านี้ สอนอะไรต่างๆ เขามีความรู้สึกว่าดี เขาจึงไปบอกว่าพระองค์ดี เขามองดูพระองค์เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่พระเยซูกำลังบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนดีเลยสักคนหนึ่ง นอกจากพระเจ้าเท่านั้น

ข้อที่ 19 พระเยซูเริ่มสอนแล้วนะ.ว่าทำไมถึงไม่ดี …“ท่านก็รู้บทบัญญัติว่าอย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย  อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า”

พระเยซูกำลังยกบัญญัติ กฎ รากฐานของบัญญัติ ที่ชาวยิว บันทึกเอาไว้ในสมัยโมเสส เป็นฐานของกฎข้อบังคับอีกเยอะแยะ ในด้านศีลธรรม อีก 600 กว่าข้อ นี่คือพื้นฐานหลักใหญ่ๆ ที่พระเยซูบอกเศรษฐีหนุ่มคนนี้ให้ได้รับรู้ เพื่อจะนำพาเขาไปถึงซึ่งความอ่อนแอ ทำไม่ได้ ตามที่เขาคิดไว้

ข้อที่ 20 เขาก็ทูลว่า … “ที่อาจารย์พูด 5 ข้อหลัก ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

ฟังดูก็รู้ ในข้อ 17 ตอนแรกๆ ถามว่า “ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพิ่มอีกบ้าง? ถึงได้ไปสวรรค์ ถึงได้รับชีวิตนิรันดร์”

พอพระเยซูพูดรากฐานมาปั๊บ … “โอ้! สบายมากครับ พวกนั้น ผมทำหมด เรียบร้อยแล้ว”

ตอบด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความหยิ่งทะนงในการกระทำดีและสะสมความดีของตนเอง ตามกฎบัญญัติ ตามหลักศาสนา และคิดในใจว่ามันได้มาก รู้ได้อย่างไรว่าได้มาก ก็เขาทะนงตนอย่างนั้น เขารู้สึกว่าเขาทำมาก

คำว่า “มาก” มันต้องไปเปรียบเทียบกับใครสักคนหนึ่ง มันถึงจะรู้ว่ามากหรือน้อย ถ้าไม่ไปเปรียบเทียบกับใครก็ไม่รู้ว่ามากหรือน้อย แสดงว่าเขามองไปที่คน ว่าคนอื่นทำได้น้อยกว่าเขา เขามากกว่า เขาก็หยิ่งทะนง เขาเห็นพระเยซูทำได้ดีกว่า เขาก็บอกว่าพระเยซูยอดเยี่ยม นมัสการ หรือนับถือพระเยซู ทำได้ดีกว่าเขา  เขาไม่ได้มองพระองค์เป็นพระเจ้าหรอก  เขามองพระองค์เป็นคนดีคนหนึ่ง เป็นอาจารย์คนหนึ่ง ที่ทำได้ดีกว่าเขา สละได้มากกว่าเขา อะไรประมาณนั้น เขาคิดของเขาเองตามประสาของมนุษย์ ด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความหยิ่งทะนงในการกระทำดี สั่งสมความดีด้วยตนเองว่าทำได้มากกว่าคนอื่น พอเราทำดีๆ แล้วเรายึดมั่นอยู่ในความดีปุ๊บ เราอดไม่ได้หรอก ที่จะอยากรู้ว่าตัวเราเองทำดีมากขนาดไหน? แล้วมันจะรู้ได้อย่างไร? ถ้าอยู่คนเดียวในโลก มันไม่ได้ อันนี้มันอยู่หลายคน มันก็พอจะรู้ได้ว่าทำอะไร? ก็ไปหา มองดูคนอื่น …

“ฉันรักษาศีล ได้ 5 ข้อ เธอได้ 2 ข้อ”  ใครดีกว่า อันนี้มันชัวร์เลย คิดในใจเองแล้วกัน

ชายคนนี้ก็ตอบพระเยซูว่า … “บทบัญญัติต่างๆ ที่มีกำหนดไว้นั้น ที่พูดมาทุกข้อ เขาสามารถประพฤติได้ และถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

คือในใจของเศรษฐีหนุ่มคนนี้ เขารู้ตัวว่าถึงแม้จะประพฤติตามบทบัญญัติ อย่างเคร่งครัด อย่างที่เขาได้ทำ มาตั้งแต่เด็ก แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดีพร้อม ยังไม่มั่นใจว่าจะได้เข้าสวรรค์หรือไม่? เขาก็เลยมาถามพระเยซูว่าต้องทำอะไรเพิ่มอีก จะพยายามทำต่อไป จึงจะได้ไปสวรรค์ใช่หรือไม่? ใช่ แล้วพระเยซูกำลังทำอะไร? พระเยซูกำลังประกาศตามที่ในใจเขาบอกนั่นแหละ ต้องการพาเขามา รอดพ้นจากสิ่งที่เขาพึ่งพาตนเอง ให้มาพบความจริงว่าถ้ามาหาพระองค์ ไม่ต้องพยายาม ให้มาหา ให้มาเชื่อในพระองค์ ก็จะได้ชีวิตนิรันดร์แล้ว

ประเด็นสำคัญตรงนี้ พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าต่อให้พยายามรักษาบทบัญญัติ เคร่งครัดขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่มีทางเลยที่จะทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ ตามมาตรฐาน กฎเกณฑ์ของพระเจ้าในสวรรค์ได้ ย้ำยืนยันเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ย้ำยืนยันลงไปในจิตใต้สำนึกของฟาริสี และพวกชาวยิวที่กำลังฟังทั้งหลาย และย้ำไปถึงจิตใต้สำนึกของพวกเราทั้งหลาย มนุษย์บนโลกใบนี้ ขณะนี้เลย และต่อไปเป็นนิตย์ เพื่อจะให้มนุษย์ได้รู้ความจริง อย่าปฏิเสธ ในใจของเราเองนั่นแหละ เป็นตัวบอก

ตะกี้นี้ข้อ 18-20 พระเยซูกำลังพูดถึงประเด็นที่เท่าไร?  ประเด็นที่ 2 เห็นไหม? ทำไม่ได้หรอก

ประเด็นที่ 2 ก็คือช่วยตัวเองไม่ได้

ข้อที่ 21 อันนี้เจ๋งมากเลย  … “พระเยซูทอดพระเนตรมาที่เขา” ตรงนี้ต้องจำใส่ใจ ระลึกไว้เลย อ่านพระคัมภีร์ครั้งใด นอกจาก 4 ประเด็นนี้ จงนึกถึงผู้ที่พูด 4 ประเด็นนี้ คือพระเยซูคริสต์ พูดในความรู้สึกอย่างไร? พูดในท่าทีอย่างไร? ตัวนี้เป็นอีกตัวหนึ่ง ที่เราจะต้องสำนึกตลอดเวลา อย่าให้ผิด เพราะนี่คือหัวใจของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลายว่าพระองค์มีความรู้สึกกับเราอย่างไรบ้าง?

“พระเยซูทอดพระเนตรมาที่เขา” บันทึกไว้ว่า “ทรงรักเขาและตรัสว่า” แล้วคนที่บันทึกรู้ได้อย่างไรว่า “ทรงรักเขา” แสดงว่าพระเยซูแสดงหลายอย่าง อาการออกมา เป็นความเมตตา กรุณาต่อเศรษฐีหนุ่มคนนี้ อย่างมากมายเลย ถูกไหมครับ

แล้วพระองค์ก็ตรัสชี้ให้เห็น รู้แล้วนะว่าพระองค์กำลังพูดถึง 4 ประเด็น และพระองค์กำลังพาเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ไปในทิศทางใด  เพื่อจะช่วยเขา

พระองค์ตรัสว่า “ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มีอยู่ แจกจ่ายให้คนจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้น ก็ตามเรามา”

พระองค์ทรงรู้จุดอ่อนของแต่ละคน รู้ดีว่าจุดอ่อนของเศรษฐีหนุ่มนี้อยู่ที่ไหน? อยู่ที่คลังทรัพย์ในใจของเขา ทรัพย์ที่เขามีอยู่ และทรัพย์ในใจของเขา

ข้อที่ 22 “เขาได้ยินเช่นนั้น ก็หน้าสลด”

นี่คือจุดอ่อน เขานึกว่าเขาทำได้หมด แต่มันมีจุดอ่อนที่เขาทำไม่ได้ เขาก็รู้อยู่

“เขาได้ยินเช่นนั้น เขาก็หน้าสลด และจากไปด้วยความทุกข์ เพราะเขาร่ำรวยมาก”

เศรษฐีคนนี้ มาหาพระเยซู มั่นใจมากว่าตัวเองรักษากฎอย่างยอดเยี่ยม รักษาศีลธรรมตลอดชีวิต สั่งสมความดีมาเยอะมาก มากกว่าคนอื่นตั้งเยอะเลย สมมติว่ามาตรฐานในจิตใจของมนุษย์ต้อง 100% ใช่ไหม? ถึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ เศรษฐีหนุ่มคนนี้ เขาอาจจะบอกว่าเขาทำมาตั้งมากแล้ว อาจจะได้ 95% แล้วล่ะ เหลืออีกนิดเดียว  ทำเพิ่มแค่นิดเดียว ก็เลยมาหาพระเยซู

“พระเยซู 5% นั้น จะทำเพิ่มได้อย่างไร? จะได้เติมให้มันเต็ม มันไม่เต็มสักทีในใจ ขนาดทำดีขนาดไหน ยังไม่เต็มสักที ไม่เต็ม 100% ที่จะเข้าสวรรค์ได้ เลยมาถามพระเยซูว่าอีก 5% ทำอย่างไร?พระองค์ทรงช่วยได้หรือเปล่า?  ไหนลองบอกสิ  ฉันต้องทำอะไรเพิ่ม”

แต่คำตอบของพระเยซูบอกว่า … “95% ที่ทำมาทั้งหมดนั้นแหละ ทิ้งไปซะ”

โอ๊ย! เจ็บๆ นี่คือทำให้เขาสลด เขาคิดว่าอีก 5% คนอื่นทำได้ ไม่ถึง 10% ตั้งอีก 90% ทำยาก ของเขาอีกนิดเดียว ก็ถึงแล้ว พระเยซูทำอะไรเพิ่มอีกนิดหนึ่งน๊า ทำอะไรได้ เพิ่มอีกนิดหนึ่ง

พระเยซูบอกที่มีอยู่ขายไปให้หมดเลย คือทิ้งไปให้หมดเลย มันไม่ได้ช่วยอะไรท่านเลย 95% ที่ท่านคิดว่ามันช่วยอยู่ ถ้าอยากเข้าสวรรค์ มีอยู่ทางเดียว คือทิ้งให้หมด นั่นแหละที่มีอยู่ 95% นั้น แล้วหันมาหาพระองค์อย่างเดียว พึ่งในพระองค์อย่างเดียว ไม่พึ่งในทรัพย์สิน ในความดีที่ตัวเองสะสม

เป็นเราสลดไหม? สลด

ซึ่งเศรษฐีหนุ่มคนนี้  ก็ทำใจไม่ได้ เพราะตัวเองพยายามทำมา สะสมความดี มาทั้งชีวิตอย่างงดงาม ทั้งรักษาบทบัญญัติอย่างยิ่งยวด ทั้งทำความดีมาเยอะมาก เต็มไปหมดเลย ตรงนั้น ก็ดี ตรงนี้ก็ดี เขาก็บอกว่าเราดี ผู้คนรอบข้างก็บอกว่าเราทำดีมากเลย ชื่อเสียงก็ดีมาก ใครๆ ก็สรรเสริญ ยกย่องว่าเราเป็นคนดี สมควรได้ไปสวรรค์ แต่ในใจลึกๆ เรารู้ว่าเราไม่ได้ไป จะเอาอย่างไร? ทิ้งชื่อเสียง ทิ้งโลกที่เขาบอกว่าเราไปสวรรค์ แต่เราเองลึกๆ เราบอกเราไม่ได้ไป เราไม่พร้อม จะเลือกข้างไหนดี? เลือกข้างจิตใต้สำนึกดี หรือเลือกข้างที่โลกบอกเธอว่าเธอดีกว่าคนนั้นตั้งเยอะ เธอไปสวรรค์แน่ แต่เรารู้ว่าเราไม่ได้ไป เขาตัดสินใจไม่ได้ ในที่สุด ก็ต้องทนทุกข์อยู่ต่อไป ต้องจมอยู่กับความพยายามสั่งสมความดีต่อไป และความพยายามนี้ ก็ไม่สามารถพาเขาไปสู่สิ่งที่เขาอยากได้ในจิตใจของเขา ในวิญญาณของเขา เป้าหมาย คือความรอดนิรันดร์ การไปอยู่สวรรค์สถานหลังความตาย เขายังคงดำเนินตามความเชื่อเดิม คือพยายามทำดีต่อไป  ซึ่งพระเยซูกำลังบอกว่าความพยายามของเขาอยู่ที่ไหน? ความพยายามก็ยังอยู่ที่นั่น พระองค์กำลังบอกว่าให้มาเชื่อพระองค์ เชื่อพระองค์อยู่ที่ไหน? ความสำเร็จในการได้รับชีวิตนิรันดร์ก็อยู่ที่นั่น

ประเด็นอะไร? ประเด็นที่ 3 คือเมื่อทำไม่ได้อย่าทำ ให้มาพึ่งเรา ให้มาตามเรา ตามหาเรา ก็คือทิ้งการกระทำของตนเอง ทิ้ง 95% ที่คิดว่าตัวเองได้ขนาดนั้น ทิ้งไปเลย ใครจะมี 10%  20%  90%  99%  ก็ทิ้งให้หมดเลย แล้วก็มาหาเรา เท่านั้น ถึงจะทำได้ ก็คือท่านทำเองไม่ได้หรอก ต้องมาพึ่งเรา

ก็คือกำลังประกาศอันที่ 3 เมื่อทำไม่ได้ มาพึ่งเรา พระมาซีฮาห์ เราคือพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสัญญา  พระบิดาทรงสัญญาว่าจะส่งมาช่วย  คือเรามาแล้ว  และทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน

ต่อมาข้อ 23 “พระเยซูทอดพระเนตรไปรอบๆ” เพื่อจะดูบรรยากาศมั้ง “แล้วก็ตรัสกับเหล่าสาวกว่า”

คราวนี้เห็นภาพนะ ตะกี้คุยกับเด็กหนุ่มคนเดียว แล้วก็ทะลุเล็งไปถึงคนยิวทั้งหมด แล้วเล็งไปถึงมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ตอนนี้มองไปรอบๆ พูดกว้างๆ เลย  นึกถึงภาพนะ

“แล้วตรัสกับเหล่าสาวก” สาวก ก็คือผู้ที่ติดตามมาเยอะแยะมากมาย ซึ่งเป็นชาวยิวทั้งนั้น ส่วนใหญ่นะ ตอบว่าอย่างไร? บอกว่าอย่างไร? ประกาศว่า …

“ยากนักที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ หรือจะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า”

ตรงนี้ ตั้งใจฟัง “ยากนัก” ก็คือยากเป็นธรรมดา แต่ยังพอเป็นไปได้ ที่เขาจะต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มันยากสำหรับเขาที่จะทิ้งทรัพย์สมบัติที่เขามีอยู่ แต่ยังพอทำได้ เดี๋ยวฟังดูต่อไปว่าตรงนี้พระองค์หมายถึงอะไร? มันยากนะ สำหรับคนที่มั่งมีที่จะเข้าสวรรค์ เพราะตัดสินใจลำบาก มีถ่วงอยู่

ข้อ 24 “เหล่าสาวกแปลกใจในพระดำรัส แต่พระเยซูตรัสอีกว่า”

สาวกแปลกใจเพราะอะไร? คนนี้มีชื่อเสียงในการกระทำดีมากเลยนะ เอาเงินช่วยคนจน อะไรต่างๆ และเป็นคนที่มีชื่อเสียงในการรักษากฎเกณฑ์ อยู่ในศีล ในธรรม อยู่ในบทบัญญัติ เป็นคนธรรมะ ธรรมโมมากเลย อย่างนี้ยังไม่รอดเลย สมมตินะ เปโตรหันมาถามยอห์น …

“นายทำได้ถึงเท่านี้ไหม?”

“ฉันไม่ได้ถึงครึ่งเขาหรอก ยากอบทำได้ไหม?”

“ไม่ไหวหรอก เราก็ไม่ได้”

“แล้วพวกเราจะทำอย่างไร? แล้วพวกเราจะไปสวรรค์ได้อย่างไร? ขนาดเขายังไม่ได้เลย?

นี่คือความคิดของมนุษย์ทั่วไป คือจะเปรียบเทียบอยู่เรื่อยว่าเท่าที่ตามองเห็น คนนี้ทำดีหรือไม่ดีเยอะขนาดไหน? น่าจะไปสวรรค์ เราทำน้อยกว่า เราคงไปนรก คนนี้ทำชั่วกว่าเรา ดังนั้น เขาไปนรก เราตัดสินเขาหมด จากความประพฤติ การกระทำบนโลกใบนี้ แต่พระเยซูกลับพูดกับเราอีกอย่างหนึ่ง

“ยากนักที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า”

ข้อที่ 24 เหล่าสาวกแปลกใจในดำรัสนั้น พระองค์ทรงรู้ กำลังซุบซิบกันใหญ่เลย

“มันเป็นไปได้อย่างไร? นี่ไม่ได้ไปสวรรค์แล้วเนี้ย”

พระเยซูตรัสต่ออีก คราวนี้เปลี่ยนคำว่า “ยากนัก” เป็น “ยากยิ่งนัก” คือเป็นไปไม่ได้เลย ตะกี้ยากนัก ยังพอเป็นไปได้ ตอนนี้ยากยิ่งนัก สำหรับผู้ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ ที่จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า ก็คืออันนี้เป็นไปไม่ได้เลย สำหรับผู้ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ ที่จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า

ตะกี้นี้ “ยากนัก สำหรับคนที่มีทรัพย์สมบัติ” ยังเป็นไปได้ที่จะเข้า มีทรัพย์สมบัติ แต่ไม่วางใจในทรัพย์สมบัติ แต่ถ้า “มีทรัพย์สมบัติและวางใจในทรัพย์สมบัตินั้นด้วย” อันนี้ ที่ทำให้เข้าไม่ได้ คืออะไร? คือวางใจในทรัพย์สมบัติหรือไม่? สำหรับผู้ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ เขาเชื่อว่าเขาสามารถใช้ทรัพย์สมบัติแลกซื้อสวรรค์ภายหน้าได้ ซึ่งมนุษย์ทั่วไป ก็มีความคิดเช่นนี้ กระทำเช่นนี้ ถามว่าใช่หรือไม่? ท่านลองคิดตาม พระเยซูกำลังชี้ให้เราเห็น ซึ่งมันเป็นไปได้ไหม? พระเยซูกำลังตอบว่าเป็นไปไม่ได้เลย “ยากยิ่งนัก” ยากขนาดไหน?

ข้อที่ 25 ให้เอาอูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าคนรวยที่วางใจในทรัพย์สมบัติ เพื่อจะเข้าสวรรค์ จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้

ให้เอาอูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่า อูฐลอดรูเข็มทำได้ไหมครับ? ทำไม่ได้ เอาอูฐลอดรูเข็มมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อันนี้เป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าอีก พูดง่ายๆ ว่า …

“เป็นไปไม่ได้   เป็นไปไม่ได้   เป็นไปไม่ได้  เป็นไปไม่ได้เลย”

กำลังย้ำยืนยันว่าคนที่วางใจในทรัพย์สิน เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ โดยพึ่งพาในทรัพย์นั้น ในสิ่งที่ตนเองหามานั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เข้าไปในสวรรค์ได้ เดี๋ยวผมจะชี้ให้ท่านเห็น พระเยซูไม่ได้ชี้แค่ทรัพย์ที่เป็นวัตถุสิ่งของอย่างเดียว อันนี้ลึกซึ้ง …

ประเด็นที่ 1 กำลังชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอของมนุษย์ ที่เป็นคนบาป เป็นชั่ว

ประเด็นที่ 2 กำลังชี้ให้เห็นถึงเขาช่วยตัวเองไม่ได้    เขาอยู่ในบาป    อยู่ในความชั่วนั้น    ในวิญญาณของเขา ถ้าเขาไปพึ่งตนเอง ก็พึ่งในความตายนั่นแหละ

ประเด็นที่ 3 คือมีพระองค์เพียงผู้เดียวที่ทำได้ คือพระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้ตรงนี้

เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่าประเด็นอยู่ที่วางใจ พึ่งพาทรัพย์สมบัติ ซึ่งทรัพย์สมบัติตรงนี้ ก็คือทรัพย์สมบัติทางวัตถุสิ่งของ เงินทอง และทรัพย์สมบัติทางวิญญาณด้วย ก็คือการทำดี สะสมความดีไว้มากเลย มันอยู่ในใจของเขา ชายหนุ่มคนนี้มีทรัพย์สมบัติอยู่ ตะกี้ผมยกตัวอย่าง 99% เขาอาจจะมีทรัพย์สมบัติอยู่ 20% เอง สมมติว่ามีอยู่ 2 ล้านบาท แต่สิ่งที่เขามีอยู่ เกินกว่า 2 ล้านบาท คือเขารักษาบทบัญญัติได้มาก กระทำดีมาตั้งแต่เด็กๆ ตรงนี้ อีก 70 กว่าเปอร์เซ็นต์รวมเป็น 90 กว่าเปอร์เซ็นต์มันอยู่ในใจของเขา นี่คือทรัพย์สมบัติที่เขาหวงมากเลย …

“อย่าเอาออกไปนะ ฉันจะไปสวรรค์ด้วยทรัพย์สมบัติตรงนี้ ฉันจะไปสวรรค์ด้วยการรักษาบทบัญญัติที่ฉันรักษามาตลอดชีวิต ฉันจะไม่ทำผิดอีกเลย ทำผิด ก็จะแกล้งลืมไป”

ไม่ใช่แกล้งลืมไป ตั้งใจจะทำต่อ ตั้งใจจะแก้ไขมัน ก็เลยมาหาพระเยซู ตั้งใจจะถามพระเยซูว่าต้องทำอย่างไร?

นี่แหละจะชี้ให้ท่านเห็นว่าพระเยซูกำลังมาพูดอะไร? เห็นไหมครับ? มาบอกว่ามันทำไม่ได้ เพราะอะไร? วางใจ พึ่งพาทรัพย์สมบัติ ทั้งวัตถุและทางวิญญาณ คือการกระทำดี มันไม่ใช่ตัวทรัพย์สมบัติเอง ที่มีปัญหา แต่มันอยู่ที่ใจของคนๆ นั้น มีปัญหา พระเยซูกำลังชี้ให้เห็น ใจ ความคิดที่สกปรก ที่อยู่ในความชั่ว อยู่ในความบาปนั้น นั่นมีปัญหา  มันไม่ได้อยู่ที่วัตถุที่มีปัญหา วัตถุที่มีปัญหา อาจจะแก้ไขได้ สละได้ แต่ความดีงาม ถ้าไม่รู้ความจริง มันทำยากมากเลย ที่คนทำดีจะทิ้งความดีของตัวเอง แล้วบอกว่า …

“ฉันจะมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ทิ้งทั้งหมดเลยไม่ว่าอะไร? ที่ทำดีในอดีต ฉันเลิกเลย ฉันมาพึ่งพระเยซูอย่างเดียว” มันยากกว่าเยอะ

เพราะฉะนั้น คำว่า “ยากนัก” เป็นไปไม่ได้เลย ที่คนรวยที่วางใจ ที่พึ่งพาทรัพย์สมบัติ คือพึ่งพาทรัพย์สมบัติ ทั้งวัตถุสิ่งของและการกระทำดีของตัวเอง จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้าในสวรรค์ได้เลยใช่ไหม?

ซึ่งตรงนี้ มีหลายคนเข้าใจผิด ไปตีความว่าหมายถึงคนที่ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ จะไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ คนเอาไปตีความเฉพาะเรื่องวัตถุสิ่งของเท่านั้น ดังนั้น คนที่คิดว่าตัวเองรวย มั่งมี ทรัพย์สิ่งของเงินทอง เขาก็แนะนำว่าจงไปขายซะ หรือแจกจ่ายทรัพย์สิน เพื่อที่จะทำให้ตัวเองหายรวย เขาก็จะสอนกันอย่างนี้ มันพูดตรงๆ มาถึงตรงนี้ ท่านจะรู้แล้ว มันคนละเรื่องกันเลย คนร่ำรวยที่เชื่อพระเจ้าแล้ว และได้รับความรอด มีเยอะแยะมากมาย ในพระคัมภีร์ก็พูดถึงเยอะแยะมากมายไปหมด ซึ่งจริงๆ ตรงนี้ อย่างที่บอกแล้วว่าพระเยซูกำลังใช้ตัวอย่าง เรื่องนี้ การมั่งมี ทรัพย์สมบัติ เงินทอง และทรัพย์สมบัติในใจ คือวิญญาณที่เกาะติดกับการสั่งสมความดี และการทำดี เพื่อที่จะไปสวรรค์ เปรียบได้กับคนที่คิดว่าจะสั่งสมความดี ตามความประพฤติของตัวเอง อยู่ในบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด เหมือนทรัพย์สินอันมีค่าที่มีอยู่ในใจว่าตนสร้างความชอบธรรมของตนเองขึ้นมา โดยการกระทำดีได้มากกว่าคนอื่นๆ ยิ่งเยอะ ยิ่งมีความภูมิใจมากว่าหลังความตาย จะได้เกาะความดี ความชอบธรรม ที่สะสมไว้นี้ด้วยตนเองนั้น ผ่านเกณฑ์ของพระเจ้า ที่จะไปอยู่ในสวรรค์ได้ และจิตใต้สำนึกข้างใน ก็ยังบอกว่ามันยังไม่ได้ มันยังไม่ดีพอ ต้องทำอีก ก็พยายามต่อไป ชดใช้เวรกรรมต่อไป และแม้กระทั่งถึงจะตาย ถ้าไม่รู้ความจริง เรื่องนี้ ก็จะบอกต่อไปว่า …

“ไม่เป็นไร ตายไป แล้วเกิดมาใหม่ในชาติหน้า ก็จะสั่งสมความดีนี้ต่อไป จะพยายามต่อไป”

ซึ่งความจริงพระเยซูบอกแล้ว มันไม่มี กฎของพระเจ้า ธรรมชาติของโลกวิญญาณ ความเป็นจริง ก็คือมนุษย์ตายจากร่างกายนี้ เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้น เข้าสู่พิพากษาทันทีว่าจะอยู่ในสวรรค์ หรืออยู่ในที่ไม่ใช่สวรรค์

เพราะฉะนั้น ตัวอย่างเรื่องคนรวย ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น ยิ่งร่ำรวยเงินทองมากเท่าไร? ยิ่งสละละทิ้งเงินทองได้ยากมากเท่านั้น ฉันใดก็ฉันนั้น พระเยซูบอก ยิ่งพึ่งตัวเอง รักษาบัญญัติ และสั่งสมความดี คือทรัพย์สมบัติในใจที่หวงแหนได้มากเท่าไร? ก็เป็นไปไม่ได้ ที่จะหันมาพึ่งพระเยซูเท่านั้นแหละ เอเมนไหม?

นี่คือความจริงของข่าวประเสริฐที่พระเยซูกำลังชี้ให้เห็น พระเยซูจึงบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับเอาอูฐลอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าที่คนรวย ที่วางใจในทรัพย์สมบัติทั้ง 2 อย่างที่ว่ามา  จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้ พระเยซูกำลังบอกว่าข่าวประเสริฐเป็นประตูแคบ สำหรับอิสราเอล อิสราเอลเป็นชนชาติที่คงแก่การเคร่งครัดในศาสนา การเคร่งครัดในบทบัญญัติของพระเจ้ามากๆ มากกว่าชนชาติอื่นๆ ตั้งแต่ดึกดำบรรพมาแล้ว  พระเยซูกำลังเปรียบเทียบให้เขาว่าถ้าเขาพึ่งพาในกฎบัญญัติอย่างนั้น เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม เพราะตอนนี้พระเจ้ามาช่วยแล้ว มาเกิดเป็นมนุษย์ตามพระสัญญาของพระองค์แล้ว ถ้าเขาพึ่งพาตนเองอยู่ พึ่งพาในความดี ในการเคร่งศาสนาด้วยตนเอง แบบฟาริสี แบบธรรมาจารย์ของยิวแล้ว ไม่มีทางรอดเลย มันเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งใครก็ตามที่ได้ฟังแบบนี้ ก็คงคิดว่าอย่างนั้นก็คงไม่มีใครรอดเลยสักคน โดยเฉพาะชาวยิว อย่างที่ตะกี้นี้บอกสาวกทั้งหลายเป็นชาวยิวเหมือนกัน ก็เลยคิดว่า …

“แล้วใครจะได้ไปสวรรค์”

เข้าทางพระเยซูเลย พระเยซูรู้แล้ว ชี้ให้เห็นถึงว่าสุดท้ายนั้น ฟังหมดแล้ว รู้ใช่ไหม? มันแรงเลย รักษาความดีไป ไม่มีทางเลย ขนาดฟาริสีเขารักษาความดีขนาดนั้น ยังไปไม่รอดเลย แล้วใครรอดล่ะ ถามกันใหญ่เลย พระเยซูบอกมาถูกทิศแล้ว พระองค์กำลังจะประกาศให้รู้ว่าทางรอดอยู่ที่ไหน? ก็คือประเด็นที่ 3 ที่ 4 นั่นเอง สาวกทั้งหลายก็คิด พระเยซูก็เอาล่ะ ได้ทีแล้ว เขาเรียกอะไรล่ะ ยิงโกลลูกสุดท้ายเลย ยิงเผาขน ได้ประตูแน่นอน เลี้ยงมาตั้งนาน คราวนี้ยิงประตูเลย เข้าไคร์ซแม๊ก

ข้อ 26 “เหล่าสาวกยิ่งประหลาดใจ จึงพูดกันว่า “ถ้าเช่นนั้น จะมีใครรอดได้เล่าลูกพี่ หรือเจ้านาย หรือว่าอาจารย์เยซู พูดอย่างนี้ ก็ไม่มีใครรอดดเลยสิ เป็นไปไม่ได้หรอก”

เข้าทางไหม? เข้าทาง ก็คือในที่สุด ยอมรับแล้วว่าทำไม่ได้ใช่ไหม? ใครจะรอดได้

“รอด” หมายถึงรอดตาย ตายทางวิญญาณ คือรอดตายจากวิญญาณ ก็ได้มารับชีวิตนิรันดร์ ตามที่เศรษฐีหนุ่มคนนี้ถาม

“ทำอย่างไรถึงได้รับชีวิตนิรันดร์ ทำอะไรเพิ่มถึงได้รับชีวิตนิรันดร์”

ตอนนี้เหล่าสาวกคงคิด “ทำขนาดนั้น ยังไม่ได้เลย พวกเราเป็นไปไม่ได้เลย แล้วมีใครไปทำได้ขนาดนั้นเล่า มองหญิง แค่กำหนัด ก็ทำชั่วแล้ว แค่คิดเคืองคนนี้ ก็เท่ากับไปฆ่าเขาตายแล้ว แล้วใครจะไปทำได้ ให้ครบถ้วนบริบูรณ์เล่า จุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่ง ก็ไม่ลบเลือนหายไป ต้องทำให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ แล้วใครจะทำได้เล่า ก็ไม่มีใครได้รับความรอดนี้สักคนหนึ่งเลยใช่ไหม?”

ถามในใจ ไม่กล้าถาม พูดกันเอง “ทำอย่างนี้ ใครจะรอดได้  ใครจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้ไปอยู่สวรรค์หลังความตาย”

หมดอาลัยตายอยากเลย ไม่ใช่เหล่าสาวกพูดอย่างเดียว ผู้คนทั้งหมดที่ได้ฟัง ต้องกระซิบกัน สมมติมีคนฟังอยู่ ห้าพันคน หันหน้าเข้าหากัน

“นี่ขนาดฟาริสีทำขนาดนี้ ยังไม่ได้ แล้วเราจะไปเหลืออะไร?” เข้าทาง

ข้อที่ 27 “พระเยซูทอดพระเนตรที่พวกเขา”

เติมเอาเอง ทอดพระเนตรด้วยอะไร? ด้วยความรัก ความเมตตา ความอ่อนโยน ปรารถนาดี อยากจะให้เขาได้รับความรอด อยากให้เขามาอยู่ในสวรรค์ อยากให้เขามาพบกับพระบิดา เหมือนกับเราทั้งหลายใช่หรือไม่? นี่ลองคิดในใจ อย่างที่บอก

“พระเยซูทอดพระเนตรที่พวกเขา แล้วตรัสว่า “สำหรับมนุษย์ (ที่พยายามพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะไปอยูในสวรรคสถาน หลังความตายนั้น มันยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้เลย เหมือนพยายามเอาอูฐลอดรูเข็ม เหมือนชาวยิวส่วนใหญ่ที่เคร่งศาสนา เคร่งการประพฤติ เคร่งการทำดี บูชาความดีของตัวเอง ความชอบธรรมของตนเอง เป็นเหมือนทรัพย์สินที่อยู่ในใจ ที่มีค่าของตนเอง มันเป็นไปไม่ได้เลย สำหรับเขาที่จะไปอยู่ในสวรรคสถาน ประโยคสุดท้าย

“แต่สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ครับ”

สำหรับพระเจ้า ทำไม่ได้ปุ๊บ มาถึงประเด็นที่ 3 มาเชื่อในเรา และสำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้ แปลว่าทุกสิ่งเป็นอัศจรรย์ได้ อัศจรรย์คืออะไร? ก็คือบังเกิดใหม่ เข้าสวรรค์เลย นี่คืออัศจรรย์มันเกิดได้ นี่คือประเด็นที่ 3 และ 4 ต่อกันเลย ชัดเจนเลย

ประเด็นที่ 4 ก็คือมาเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วท่านสามารถพิสูจน์ได้ว่าอัศจรรย์มันสามารถเกิดขึ้นได้ อัศจรรย์ คือวิญญาณท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ได้รับเป็นชีวิตนิรันดร์ จากตาย เกิดใหม่ เป็นชีวิตนิรันดร์ บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากความชั่วใดๆ ในวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ ของท่านที่จะอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์นั่นแหละ

ตรงนี้เหมือนพระเยซูมองดูด้วยความรัก ความเมตตา กำลังบอกกับคนที่ร่ำรวยมาก ตั้งแต่สมัยโน้น 2,000 ปีแล้ว มาเรื่อยๆ จนถึงสมัยนี้ พูดผ่านทางเรื่องนี้มาเลย กำลังบอกกับคนรวยมาก ทั้งสองแบบ รวยทั้งสองอย่าง ทั้งวัตถุและวิญญาณ ในยุคปัจจุบันจนถึงสิ้นยุคว่าที่พวกเราทั้งหลาย เห็นในสังคมโลกว่าคนโน้นคนนี้เป็นคนดีมาก ช่วยเหลือมนุษย์ มีเมตตา เสียสละ ให้ทรัพย์สินเงินทอง จำนวนมากมาย เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน ที่ยากจน อาจจะเป็นพันๆ ล้าน  เป็นหมื่นๆ ล้าน ที่เราเคยได้ยิน แต่พระเยซูกำลังบอกว่าให้เขากำจัดออกไปให้หมด ไม่ใช่ทรัพย์สินตรงนั้นอย่างเดียว แต่ในใจของเขา ให้ขายมันออกไปซะ คือสละมันออกไป พระองค์กำลังหมายถึงเอาคุณค่าที่คุณให้กับมันในสิ่งที่คุณมีอยู่ ที่คุณทำได้นั้น ให้มันไม่มีคุณค่าซะ เอาคุณค่าที่คนร่ำรวยได้ให้กับทรัพย์สมบัตินั้น ออกไปจากใจของเขา คุณค่าที่เขาจะพึ่งการกระทำดีของเขา พึ่งพาทรัพย์สมบัติของเขา เพื่อจะแลกเอาสวรรค์นั้น ให้เอาออกไปจากใจของเขา  และมาหาพระเยซู อย่าพึ่งพากำลังทรัพย์ อย่าพึ่งพาคลังทรัพย์ในใจ ทั้งสองอย่าง คลังทรัพย์ที่อยู่ในใจ คือวัตถุ ทรัพย์สินเงินทอง คลังทรัพย์ที่อยู่ในใจอันที่สอง ก็คือการกระทำดี สั่งสมความดี สั่งสมบุญบารมีไว้เยอะแยะ เอาตรงนั้นออกไปซะ อันแรกยังเอาออกไปง่ายหน่อย คือไม่วางใจในทรัพย์สินเงินทอง แต่ไม่วางใจในการกระทำดีมากๆ มันยากมาก และทรัพย์สิน 2 อย่างนี้ คือความดี ความชอบธรรม ที่ตนเองทำ บวกกับทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ ซึ่งไม่มีวันที่จะทำดีได้ จนครบถ้วนบริบูรณ์ แบบเดียวกับเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน  ไม่มีทางท่านจะไม่บกพร่องเลย มันต้องบกพร่องแน่ๆ ในใจของท่าน ในจิตใต้สำนึกก็รู้อยู่ว่าท่านไม่เคยทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียวเลยใช่ไหม? ในใจท่านจะเป็นตัวบอกเอง

จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่งก็ไม่เคยทำบาปเลยใช่ไหม? จิตใจท่านก็จะเป็นตัวฟ้องเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย มันเป็นกฎของสวรรค์เป็นอย่างนี้ การเข้าอยู่ในสวรรค์หลังความตาย ถูกพิพากษาเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ ท่านต้องตายด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีที่ติแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่มีชั่วเลยในวิญญาณของท่าน ทำได้อย่างไร? เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น

นี่คือกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าได้วางไว้ เป็นกฎของมนุษย์ทุกคน และสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่พระองค์ทรงสร้าง ก็อยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ทั้งหมด กฎของพระเจ้า ก็คือกฎเหล่านี้ทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับความประพฤติบนโลกใบนี้ว่าท่านจะทำดีหรือทำชั่ว ไม่ว่าคุณจะกระทำดีหรือกระทำชั่วขนาดไหน ท่านปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ท่านก็มีโอกาสตกจากต้นไม้ ถูกแรงดึงดูดของโลกดูดลงมาได้เช่นเดียวกัน ในทำนองเดียวกันกับกฎโลกวิญญาณเช่นเดียวกัน ถ้าท่านยังพึ่งพาตนเองอยู่ เพื่อที่จะไปสวรรค์ ท่านกำลังทำสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้ ท่านจะซื้อสวรรค์ด้วยทรัพย์สินของท่าน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ท่านจะเอาความดีงามของท่าน เพื่อที่จะเกาะความดีงามนั้น เพื่อไปสวรรค์ ก็เป็นไปไม่ได้ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม  สิ่งเดียวที่ท่านจะกระทำได้ ก็คือวางใจในพระเจ้า เชื่อในการไถ่ของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

2  โครินธ์  4:16 “ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์) ของเรา กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน”

 

ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป

คำว่า “ท้อถอย” ตรงนี้ ภาษาอังกฤษบางฉบับ ใช้คำว่า “Lose Heart” ที่แปลเป็นภาษาพูด เรามักใช้คำว่า “ถอดใจ” .. ก็คือท้อแท้ หมดหวัง นั่นเอง

 

เราไม่ท้อแท้หรือเราไม่ถอดใจ จากเหตุอะไร? จากเหตุที่ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นๆ อยู่ จับต้องมองเห็นได้ คำว่า “กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป” ตรงนี้ หมายรวมถึงทั้งการเสื่อมโทรมของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ที่เป็นไปตามอายุขัย ความเจ็บไข้ได้ป่วย โรคร้าย โรคเรื้อรังต่างๆ เครียด จนนอนไม่หลับ รวมถึงความทุกข์ทรมานทุกรูปแบบ ที่เราได้รับอยู่  ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผลจากกายภายนอกของเราที่อ่อนแอ กำลังทรุดโทรมไปทั้งสิ้น

 

แต่ถึงแม้ว่าเราจะต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้  เราก็ไม่ท้อแท้ ไม่ถอดใจ  เพราะอะไร? เพราะตรงนี้ บอกต่อว่าถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายในของเรา (ซึ่งก็คือวิญญาณและจิตใจที่เหมือนพระเยซู ที่ได้รับจากการบังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์) กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน ด้วยพลังฤทธิ์เดช  จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในเรา

 

ข้างนอก คือสิ่งที่มองเห็นอยู่ อาจดูเสื่อมโทรมลงทุกวัน แต่เราก็ไม่ท้อแท้ ไม่ถอดใจ ไม่สิ้นหวัง เพราะเรารู้ว่าตัวตนที่แท้จริงภายในของเรา กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน ไปสู่ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์

 

ขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1351

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  กุมภาพันธ์  2022

เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” ตอน 3

“ไม่มีมนุษย์คนใด ดีพร้อม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในการบรรยายของซีรี่ย์เดิมนี้อยู่ คือเรื่อง … “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” วันนี้เป็นตอนที่ 3 ใช้ชื่อตอนว่า … “ไม่มีมนุษย์คนใด ดีพร้อม” พระเยซูกำลังประกาศว่าไม่มีมนุษย์คนใดดีพร้อม “ดีพร้อม” อะไร? ดีพร้อมที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ก็หมายถึงโลกวิญญาณถูกไหม? อาจจะดีพร้อมในสายตาของมนุษย์ ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้รับการชื่นชมยินดี ได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดี แต่พระเยซูกำลังบอกว่าไม่มีใครเลย ที่ดีพร้อม ที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ไม่มีใครดีพอ พระองค์ทรงพูดคำนี้อยู่บ่อยๆ บอกกับฟาริสีที่อ้างตนเองว่าบริสุทธิ์ ที่อ้างตนเองว่ากระทำตามบัญญัติอย่างเคร่งครัด ที่พระเจ้าให้อย่างที่สุดแล้ว  ที่ได้รับความชื่นชมยินดี ได้รับการยกย่องจากบรรดาปากของมนุษย์ก็ตาม พระเยซูบอกว่า …

“คุณทำอย่างไร?” หรือ “ท่านทำอย่างไร?  ก็ไม่มีวันดีพร้อม ท่านต้องดีพร้อม สมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้า” ในหนังสือมัทธิว บทที่ 5 ท้ายๆ ท่านต้องทำดีถึงขนาดไหน?  ต้องดีพร้อม ดีพร้อมแปลว่าอะไร?  ไม่ใช่ดีธรรมดา ดีพร้อม หมายถึงเพอร์เฟค เพอร์เฟค หมายถึงสมบูรณ์แบบ ท่านต้องดีสมบูรณ์แบบพระเจ้า ดีพร้อมแบบพระเจ้า ถึงจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้  เพราะฉะนั้น กำลังบอกว่าไม่มีใครดีพร้อมได้อย่างนั้นเลย โดยการกระทำด้วยตนเอง

อย่างที่ผมประกาศและพูดอยู่เสมอ ตามพระคัมภีร์ว่าทั้งหมดที่พระเยซูมาประกาศ ตระเวนสั่งสอนผู้คน มันเกี่ยวกับเรื่องของโลกวิญญาณทั้งสิ้น  เป็นเรื่องราวของโลกวิญญาณ เกี่ยวกับสวรรค์ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  ก็ประกาศถึงเรื่องเหล่านี้เท่านั้น  และตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ตั้งแต่พระคัมภีร์ใหม่จนถึงพระคัมภีร์เดิม  ตั้งแต่ปฐมกาล ทั้งเล่มเป็นผู้เดียวกันที่เป็นผู้ประกาศเรื่องนี้ คือเรื่องข่าวดี คือเรื่องสวรรค์ คือเรื่องโลกวิญญาณ  คือเรื่องไม่มีมนุษย์ผู้ใด ดีพร้อม ก็คือพระเยซูเป็นผู้ประกาศเพียงผู้เดียวเท่านั้น

เรื่องอาณาจักรสวรรค์ ก็เพราะว่าพระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์ พระองค์เป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เข้ามาในโลกนี้ แล้วประกาศอธิบาย เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ อย่างเดียวเท่านั้น ไม่พูดถึงเรื่องการกระทำ บนโลกใบนี้เลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะว่าพระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น พระองค์มีมาก่อนสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่มองเห็นและมองไม่เห็น  พระองค์เป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ พระองค์เป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์  พระองค์เป็นผู้ให้กำเนิดทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เรามองเห็นอยู่นี้  พระองค์ทรงรู้มากกว่าใครเพื่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นในสวรรค์ มันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณ  และมนุษย์ตกอยู่ในสภาพเช่นไร?  ทำอย่างไรถึงจะรอด จากความทุกข์ยากลำบาก พินาศนิรันดร์นั้นได้ จึงมีผู้เดียวในโลกนี้เท่านั้น ที่มาอธิบาย ชี้ให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณ  ชี้ให้เห็นถึงสวรรค์ ชี้ให้เห็นถึงสภาวะของมนุษย์  ที่ดำรงชีวิตอยู่ และสวรรค์ที่พระองค์กำลังอธิบายให้ฟัง เราเรียนรู้ไปแล้ว ก็คือโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น  แล้วพระองค์ก็มาบอกเลยว่าโลกวิญญาณนี้มันเป็นอย่างไร? หน้าตามันเป็นอย่างไร?  มันเป็นอย่างนี้นะ  และจะเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณหรืออยู่ในสวรรค์นี้ อยู่กับพระเจ้า แบบมีความสุขได้อย่างไร? รอดจากความทุกข์นิรันดร์ รอดจากความพินาศนิรันดร์นี้ ได้อย่างไร?

นี่เป็นคำประกาศ เพราะบางทีเราพอบอกคำสอน ก็จะไปนึกถึงทำอย่างนี้ได้ดี ทำอย่างนี้ได้ชั่ว อย่าทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ เป็นกฎศีลธรรม แต่พระเยซูไม่ได้มาสอนตรงนั้น พระเยซูมาชี้ให้เห็นว่าในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างไร? มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าให้เราทำอะไร? แต่ให้เรารู้ว่าในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร?  และพระเยซูมาประกาศแค่ 4 ประเด็นนี้เท่านั้น  ไม่มีหนีจากนี้ไปเลย รับรองได้  ไม่เชื่อกลับไปอ่านดูก็ได้ อ่านพระคัมภีร์เดิม อ่านพระคัมภีร์ใหม่ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  มันจะอยู่ใน 4 ประเด็นนี้เท่านั้นในเรื่องเกี่ยวกับว่าสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร? ในโลกวิญญาณเป็นอย่างไร?  ที่มนุษย์มองไม่เห็นนั้น 4 ประเด็นนี้มีอะไร? …

(1) มนุษย์เป็นคนบาป  อยู่ในกฎแห่งการกระทำ อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ อยู่ในตระกูลอาดัม  คือตกลงไปในความบาป ไม่มีพระเจ้า พึ่งพาในการกระทำดีด้วยตนเอง

(2) เมื่อมนุษย์เป็นคนบาป เกิดมาก็บาป เกิดมาก็ต้องพึ่งพาตนเอง  เพราะไม่มีพระเจ้า แล้วทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะไม่มีชีวิตของพระเจ้าอยู่ จึงอ่อนแอ ไม่สามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ให้ดีพร้อมอยู่กับพระเจ้าได้

หนึ่ง มนุษย์อ่อนแอ

สอง เมื่ออ่อนแอแล้วก็ทำให้ดีพร้อมไม่ได้

(3) พระเจ้ามาช่วยแล้ว ไม่ต้องทำ ให้มาพึ่งในพระเจ้า ประกาศว่าตัวพระองค์เอง คือพระเจ้า ผู้ที่สัญญาว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ตอนนี้มาแล้ว พระเจ้ามาพูดอย่างนี้

(4) คือให้มาพึ่งพระองค์ และเมื่อพึ่งพระองค์ วางใจในพระองค์แล้ว ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ ให้ดีพร้อมเอง  โดยที่ไม่ต้องทำ แค่เชื่อในพระองค์

พูดอยู่แค่นี้เอง  นี่คือ 4 ประเด็นที่พระเยซูประกาศ ชี้ให้มนุษย์ได้เห็น ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว  จนกระทั่งปัจจุบันนี้ และจะประกาศไปจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย สิ้นสุดโลกใบนี้ ก็คือวันที่พระองค์ทรงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

พระเยซูประกาศใน 4 ประเด็นนี้ตลอด ทั้งหมดเลย  คำว่า “ทั้งหมด” แปลว่าทั้งในพระคัมภีร์เดิม พระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูเป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่ประกาศเรื่องนี้  ประกาศอยู่ 4 ประเด็นนี้เท่านั้น  ซึ่งบันทึกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไว้อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่เราถือกันอยู่ ที่บอกว่ามีเรื่องบันทึกไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งถึงวิวรณ์

พระเยซูเป็นผู้เดียวเท่านั้น เป็นผู้ประกาศ ชี้ให้เห็นเรื่องของโลกวิญญาณ แล้วก็ให้บันทึกลง ในพระคัมภีร์ พูดง่ายๆ ว่าพระองค์เป็นผู้พูดนั่นเอง  หรือเป็นผู้เขียนผ่านมนุษย์นั่นเอง

พระคัมภีร์เดิม คือคำพูดของพระเยซู โดยเริ่มต้นพูดปฐมกาล ผ่านทางโมเสส โมเสสเขียนด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือพระวิญญาณของพระคริสต์ เข้ามาสวมทับโมเสส และให้โมเสสเขียนว่ามันเกิดอะไรขึ้น  เกิดการผิดพลาด ตั้งแต่เริ่มปฐมกาล ตกลงไปในความบาปได้อย่างไร?  อยู่ใน 4 ประเด็น มนุษย์เป็นคนบาป  และอย่างไร? ช่วยตัวเองไม่ได้ และในข้อ 3 สัญญาว่าจะมาช่วย ตั้งแต่ปฐมกาล 3:15 เราจะมาเหยียบหัวงูให้แหลก  เราจะมาเกิดในหญิงพรหมจารี  เราจะมาช่วยให้รอด อยู่ 4 ประเด็นนี้  พระองค์ก็พูดในเรื่อง 4 ประเด็นนี้ต่อมา ผ่านทางโมเสส และผ่านทางผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด ผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าใช้ได้ ผ่านได้ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ หรือเป็นปุโรหิต หรือเป็นคนธรรมดาที่เรียกว่าผู้เผยพระวจนะ  อย่างเช่นอิสยาห์ เป็นต้น

เผยพระวจนะ แปลว่าที่ให้พระเจ้า ใช้ปากเขาพูด ก็คือพระเยซูพูดผ่านผู้คน พูดถึงเรื่อง 4 ประเด็นนี้ บอกว่าให้อดทนรอคอย เราจะมา เรามาแล้วจะเป็นอย่างไร?  ในหนังสือสดุดี บทที่ 23 ที่เรารู้จักกันดี ก็คือประเด็นที่ 4 ที่พระเยซูพูด คือเมื่อวางใจในเราแล้ว เชื่อในตัวเราแล้วว่าเราเป็นพระเจ้า  ที่เราบอกว่าเราจะมา เราเป็นพระมาซีฮาห์ เราเป็นพระคริสต์ที่จะมาช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากความบาป พอเชื่อในเราแล้ว จะได้การอัศจรรย์บังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ อยู่ในสวรรค์แล้วเป็นอย่างไร?

สดุดี 23:1 “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน”

ข้าพเจ้าไม่ขัดสน คือข้าพเจ้าไม่ขาดแคลนในทางวิญญาณอีกต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าเป็นแกะของพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์ใหม่ก็บอกเราแล้วว่าท่านทั้งหลายเป็นแกะของเรา เมื่อเชื่อในเราแล้ว  เป็นแกะอยู่ในคอกเรา ไม่มีใครเอาเจ้าออกจากเราได้อีกแล้ว  จิตใจที่โหยหาความรอด ความดีนั้น  มันถูกทำให้สมบูรณ์แบบ โดยการบังเกิดใหม่แล้ว ท่านจึงไม่ขัดสนทางวิญญาณอีกต่อไป ท่านไม่ต้องแสวงหาอะไรมาช่วยวิญญาณท่านให้รอดอีกแล้ว ท่านสบายใจ ท่านรู้ว่าท่านรอดแล้ว เพราะท่านดีพร้อมแล้วในพระเยซูคริสต์ เป็นแกะของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เอเมน

นี่เฉพาะข้อหนึ่งข้อเดียวนะ ไปอ่านดูหมดเลย 6 ข้อ สดุดี บทที่ 22 คือตอนที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขนว่ามันเป็นอย่างไร?  มาไถ่บาปเป็นอย่างไร?  บทที่ 23 คือเมื่อตรึงที่ไม้กางเขน  มีใครเชื่อแล้ว ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เขาจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาลตลอดทุกวันคืน ใช่หรือไม่? เอเมนไหม?

กษัตริย์ดาวิดเป็นผู้เผยพระวจนะเขียน ใครเป็นคนบอกให้เขียน ใครเป็นคนดลใจให้ทำ พระวิญญาณของพระเจ้า ก็คือพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ดาวิด เป็นโยเซฟ เป็นใครก็ตาม จนกระทั่งถึงกำหนดเวลาจริงๆ ตามพระคัมภีร์เดิม  พระองค์บอกแล้วว่าพระองค์จะมาช่วย แล้วพอถึงกำหนดเวลา มาจริงๆ พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ตรงตามพระคัมภีร์เลยว่าจะมาเมื่อไร? อย่างไร?  ที่ไหน? ขนาดคนที่ไม่ใช่ยิว ไม่รู้จักอะไรต่างๆ เหล่านี้ ยังสามารถสืบเสาะหาประวัติศาสตร์ จนกระทั่งเจอว่าพระเยซูมาที่นี่ ดวงดาว นักปราชญ์ 3 คนที่แสวงหา เดินตามดาวประหลาด ดาวที่บ่งบอกถึงพระเยซูคริสต์จะมา ตามพระคัมภีร์เดิมที่พระเยซูได้บอกเอาไว้นั่นแหละ เขายังเจอเลย พระเยซูคริสต์ก็มาบังเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ พอมาบังเกิดเป็นมนุษย์ คราวนี้ไม่ต้องผ่านคนอื่น พระองค์พูดเอง ถามว่า พระองค์พูด ประกาศเรื่องเกี่ยวกับอะไรอีก ก็พระองค์เป็นผู้เดียวกัน ก็เป็นพระเจ้า เป็นพระเยซู ผู้เดียวที่เป็นผู้สร้าง เพราะฉะนั้น พระองค์ก็พูดอันเดิม ประกาศเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่า …

(1) มนุษย์เป็นคนบาป อ่อนแอ

(2) ช่วยเหลือตัวเองกระทำดีไปตลอดรอดฝั่งไม่ได้หรอก ดีพร้อมไม่ได้

(3) มาๆ เชื่อในเรา วางใจในพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะรอด

(4) เมื่อวางใจในเราแล้ว พระเจ้าจะทำอะไร? เกิดใหม่เลย ดีพร้อม อัศจรรย์ ใช่หรือไม่?

เพราะฉะนั้น พระเยซูตอนที่มาดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จึงพูด ประกาศ 4 ประเด็นนี้ เท่านั้น มิได้มาสอนเรื่องให้กระทำดี กระทำชั่ว เดี๋ยวจะบอกว่าทำไม? ถึงไม่สอนตรงนั้น ถึงกำหนดเวลา พระองค์ก็มา เดินอยู่บนโลกใบนี้  สอนด้วยตัวเอง ประกาศด้วยตัวเอง เป็นเวลา 3 ปี

3 ปีเท่านั้นเอง  ประกาศย้ำยืนยันเรื่องเดิม  พระองค์พูดไว้ว่าที่เขาเขียนในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด เกี่ยวกับเรา  ก็คือที่เขาเขียนในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้เกี่ยวกับตัวเรานั้น  มันต้องบังเกิดขึ้นตามนั้น  เพราะเราเป็นผู้ให้เขาเขียนเอง ใช่ไหม?

คราวนี้มาช่วงที่ 3 นี่ 2ช่วงแล้วใช่ไหม? ช่วงพระคัมภีร์เดิม ตอนนี้มาพระคัมภีร์ใหม่ ยังไม่ใหม่จริง คือถึงกำหนดเวลา  พระเยซูมาบังเกิดตามนั้น แล้วก็มาเดิน ประกาศเรื่องนี้อีก  แต่ยังไม่ถึงพระคัมภีร์ใหม่นะ  พระคัมภีร์ใหม่เริ่มต้น เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน และสิ้นพระชนม์ และบอกว่า “สำเร็จแล้ว” อะไรสำเร็จ ก็ 4 ประเด็นนี้  มันสำเร็จแล้ว ที่พูดมาตลอด ในพระคัมภีร์เดิม มันสำเร็จแล้ว  เมื่อพระเยซูคริสต์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว นั่นแหละ คือการเริ่มต้นศักราชใหม่ ยุคใหม่ พระคัมภีร์ใหม่ พันธสัญญาใหม่  พันธสัญญาใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่พระเยซูเป็นเบบี้อยู่ในรางหญ้า ซึ่งคนเข้าใจผิด

ทำไมรู้ว่าเข้าใจผิด เพราะพระคัมภีร์เดิมจบที่มาลาคี  และเขียนไว้ในนั้นว่าพันธสัญญาใหม่ เริ่มต้นที่พระเยซูคริสต์บังเกิดอย่างไร? ไม่ใช่ พระเยซูคริสต์บังเกิดอย่างไร? ก็ยังเป็นพระคัมภีร์เดิมอยู่นั่นแหละ เพราะมันยังไม่มีพระคัมภีร์ที่เขียนถึงพันธสัญญาใหม่

พันธสัญญาใหม่ เริ่มต้นเมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ช่วง 33 ปี ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ เป็นช่วงปลายยุคพระคัมภีร์เดิมนั่นเอง  พระองค์ก็มาพูดเหมือนเดิม จนพระองค์กระทำสำเร็จแล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้  3 ปี พระองค์ก็พูด 4 ประเด็นนี้ พูดให้ฟาริสีฟัง พูดให้ชาวยิวฟัง พูดให้สาวกคนที่เดินตามฟังว่าพึ่งตัวเองไม่ได้นะ ตัวเองอ่อนแอ จะทำดีต่อไปไหม?  ตายก็ไม่มีทางสำเร็จ ทำไม่ได้หรอก  เราคือพระมาซีฮาห์ที่เราบอกว่าเราจะมาๆ นี่เรามาแล้ว มาเพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า เมื่อเจ้าเชื่อในเรา เจ้าก็จะเข้ามาอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เหมือนกิ่งก้านมาต่อกับลำต้น ถ้าขาดเราเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ เจ้าต้องอยู่ในเราเท่านั้นจึงจะเกิดผล เป็นชีวิตนิรันดร์ แล้วเมื่อเจ้าอยู่ในเราแล้ว มันจะเป็นเช่นไร? ก็คือเราจะสนิทกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เจ้ากับเราจะไม่มีขาดจากกันอีก เจ้ากับเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ใช่หรือไม่? เป๊ะเลยนะ

อ้าว! เสร็จปุ๊บ ครบ 33 ปี พระองค์ก็ถูกตรึง สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตามที่ได้บอกไว้ตั้งแต่สมัยอาดัมแล้ว ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม  ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว กี่พันปีมาแล้ว ก็บอกมาอย่างนี้  แล้วพระองค์ก็ทำจริงๆ ในที่สุดพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ ได้บอกไว้แล้วไงว่าจะสิ้นพระชนม์ บอกมาแล้วไงว่าจะเป็นขึ้นมาจากความตาย  บอกหมดแล้ว นี่ก็ทำตามนั้นเป๊ะเลย เสร็จแล้วอย่างไรต่อ เป็นขึ้นจากความตายปุ๊บ พันธสัญญาใหม่มา  พันธสัญญาใหม่ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ ทำให้มนุษย์บังเกิดใหม่  ตามที่สัญญาไว้ ใครที่เชื่อพระเยซูก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เลย

สำคัญกว่านั้น ก็คือพระเจ้าสัญญาแล้วว่าจะเข้ามาสถิตอยู่กับเขา เป็นหนึ่งเดียวกับเขา  ก็เข้ามาสถิตอยู่กับเขาจริงๆ หลังวันเพ็นเตคอส ตั้งแต่วันนั้นมา ก็จะมีมนุษย์พันธุ์ใหม่  เรียกว่าพันธุ์คริสเตียนแท้ๆ ก็คือเป็นมนุษย์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม ให้พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา เขาอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ และสวรรค์ก็มาอยู่กับเขา เรารู้แล้ว  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่  แล้วพระเยซูก็มาสถิตอยู่กับเขา แล้วก็ทำต่อเหมือนเดิม  ทำอะไร?  หัวใจของพระองค์เต็มไปด้วยความรัก ทำเหมือนเดิม คือประกาศ 4 อย่างนี้เหมือนเดิม ประกาศผ่านใคร?

อันดับแรกผ่านทางโมเสส  ผ่านทางผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม

อันดับที่ 2 ผ่านทางตัวพระองค์เอง เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ พูดเองเลย

อันดับที่ 3 เมื่อเสด็จเข้าไปอยู่ในผู้เชื่อทั้งหลาย ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว พูดผ่านทางผู้เชื่อทั้งหลายรวมทั้งตัวพวกเราด้วยในขณะนี้  พูดผ่านทางผู้เชื่อ ก็คือพูดผ่านทางแรกๆ คือเปโตรและอัครสาวกเริ่มต้น  และต่อไปใครอีกไม่รู้เยอะแยะ และในที่สุด ก็มาถึงเปาโล และใครอีกเยอะแยะ รวมถึงพวกเราทุกท่านที่นั่งอยู่ขณะนี้ เมื่อไรก็ตามที่ท่านยินยอม และให้พระเยซูพูด หรือท่านไม่รู้เรื่อง พูดออกมาจากข้างในใจของท่านจริงๆ จากวิญญาณท่านที่รู้เรื่องนี้ และความคิดของท่านที่เชื่อในพระเจ้า ท่านไม่รู้หรอก ท่านกำลังให้พระเยซูพูดออกจากปากของท่าน  เรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าเท่านั้น  ใครที่พูดถ้อยคำของพระเจ้า ใน 4 ประเด็นนี้ คนนั้นไม่ได้พูดด้วยตนเอง เขากำลังพูด โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เรียกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ เป็นผู้สถิตอยู่ และเป็นผู้ให้คำพูดกับเขา เหมือนที่ก่อนพระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์ทรงถามสาวก 12 คนใช่ไหม?

“เขาว่าเราเป็นใคร? คนนั้นก็ว่าอย่างนั้น คนนี้ก็ว่าเราเป็นอันโน้นอันนี้ต่างๆ เป็นผู้เผยพระวจนะ ทำการอัศจรรย์อะไรต่างๆ”

เปโตรบอกว่า “ท่านคือพระคริสต์ ท่านคือพระมาซีฮาห์ ผู้ซึ่งมาช่วยมนุษย์ทั้งหลาย”

พอพูดปั๊บ พระเยซูหันกลับมาบอก “นี่ เปโตร เฉพาะเธอ ที่พูดเมื่อสักครู่นี้  ไม่ได้พูดด้วยตัวเธอเองหรอก  แต่พระวิญญาณเป็นผู้ให้เธอพูด”

เพราะมันตรงข่าวประเสริฐ คนอื่นอาจจะพูดบอกว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ อันนี้ไม่ตรง พระองค์ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่เรียกว่าพระคริสต์ พระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด ในทำนองเดียวกัน ในปัจจุบัน ผู้เชื่อทั้งหลายที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ข้างใน เมื่อท่านพูดอะไรก็ตาม ที่เป็นไปด้วยกันกับความจริงของข่าวประเสริฐนี้  พระเยซู พระวิญญาณของพระองค์เป็นผู้พูดออกมา แต่หลายครั้งเราพูดจากความคิดของเราเอง พูดจากเนื้อหนังของเราเอง  อันนั้นไม่ใช่พระเยซูพูด

ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่ามีรถเฉี่ยวมา แล้วท่านบอก … “จงไปตายเสียเถิด” อย่างนี้ไม่ใช่พระเยซูพูดแน่นอน

ถ้าท่านบอกว่า … “ขอพระเจ้าอวยพรให้เธอได้รู้จักข่าวประเสริฐของพระเจ้า ฉันอภัยให้เธอ”

อย่างนี้มาจากพระเยซูแน่ หรือท่านบอกใคร? ว่า … “พระเยซู คือพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายเพื่อท่าน”

นี่ใครพูด? พระเยซูแน่นอน  ถ้าไม่ใช่พระเยซู ไม่มีใครพูดแบบนี้แน่นอน เห็นอะไรบางอย่างไหม?  พระเยซูสถิตอยู่ในเราแล้วตอนนี้  มั่นใจได้เลย  และพระองค์เป็นผู้พูดตรงนั้นแหละ  ตอนที่ท่านอธิษฐานกับพระเจ้า

“ข้าแต่พระบิดา ผู้สถิตในสวรรค์สถาน”

หรือว่า “พ่อจ๋า  ในนามพระเยซู ลูกอธิษฐานขอพระองค์ อันโน้นอันนี้”

ใครพูด พระเยซูพูด  เพราะถ้าท่านไม่เชื่อในข่าวประเสริฐ มันเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะบอกว่า “พระบิดา” “พ่อ” “พ่อที่อยู่ในสวรรค์” พ่อไหน? ไม่เห็นอะไรเลย  รูปเคารพก็ไม่เห็น รูปปั้นก็ไม่มี พ่อที่ไหนไม่เห็น แต่ที่ท่านเห็น  เพราะท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ  แล้วมันเป็นจริงตามนั้น

นี่พยายามย้ำยืนยันให้ท่านว่าเรื่องทั้งหมด เป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งเล่มของพระคัมภีร์ และผู้ที่ประกาศนั้น  มีเพียงผู้เดียว  คือพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ทั้งหมด ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน ไปจนถึงอนาคตจนจบโลกวัตถุ  ตามพระคัมภีร์ที่บอกไว้นั้น คือตั้งแต่ปฐมกาล  ที่พระเจ้าทรงสร้างโลก จวบจนกระทั่งถึงหนังสือวิวรณ์ โลกใหม่ที่พระเจ้าสร้าง ที่พระเยซูจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งตามสัญญา  ทั้งหมดนี้ พระเยซูเท่านั้น เป็นผู้ประกาศ  เป็นผู้พูดเองทั้งสิ้น  ประกาศผ่านทางผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม พูดจากปากของพระองค์ ในช่วงที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้  พูดผ่านอัครทูต หรือผู้เชื่อต่างๆ ในพระคัมภีร์ใหม่ ถึงพวกเราทั้งหลายด้วย พระเยซูเป็นผู้พูดเองทั้งหมด

ถามว่าผมอธิบายเรื่องนี้  เพื่ออะไร?  เพื่อจะได้ให้เห็นถึงว่าเมื่อพระเยซูเป็นผู้พูด เป็นผู้ประกาศเพียงผู้เดียว ทั้งเล่มเลย  ถ้อยคำทั้งหมด จึงควรที่จะสอดคล้องกันทั้งหมด  ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมพระคัมภีร์ตอนที่พระองค์ทรงเดินบนโลกใบนี้  รวมทั้งพระคัมภีร์ใหม่ มันควรจะสอดคล้องกันทั้งหมด  ไม่มีอะไรขัดแย้ง เพราะเป็นผู้เดียวกัน เป็นผู้พูด ไม่มีแย้ง ถ้อยคำทั้งหมดจึงวนเวียนอยู่ใน 4 ประเด็นที่ตะกี้นี้บอกมา ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์เท่านั้น โลกวิญญาณเท่านั้น  สภาวะของโลกวิญญาณ หรือเรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งมนุษย์มีส่วนเกี่ยวพันในนั้นมากที่สุด เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นวัตถุนี้ เกี่ยวข้องมากที่สุด

คราวนี้มาพูดถึงตะกี้นี้ที่ผมบอก พระเยซูไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม อันนี้สำคัญ หลายคนไม่เข้าใจ พอผมพูดเรื่องนี้ เขาก็นึกว่าผมละเลยเรื่องศีลธรรม ไม่สนใจเรื่องศีลธรรม แล้วอย่างนี้จะดีได้อย่างไร?  เขาไม่เข้าใจตรงนี้  จุดประสงค์ของพระเยซู ที่ไม่สอนศีลธรรมคืออะไร? และเมื่อเรารู้แล้วว่ามันเป็นอย่างไร?  เราจะรู้ว่าถ้าทำตามความจริงที่พระเยซูสอนเราเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ  เราจะสามารถทำความดี เป็นไปตามศีลธรรมได้มากกว่าที่เราคิดว่าเราจะทำเองด้วยซ้ำไป

ลองมาฟังดู พระเยซูไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม ไม่ได้มาสอนเรื่องการกระทำดีหรือชั่ว เพราะเรื่องกระทำดี กระทำชั่วนั้น  ถูกฝังลึก อยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ไม่ต้องสอน

การรู้ดีรู้ชั่ว  คือต้นเหตุของความบาป ที่มาจากบรรพบุรุษ  ตามพระคัมภีร์เป๊ะ ใช่หรือไม่?  พระองค์ไม่ต้องมาสอน มันอยู่ในจิตใจ อยู่ในวิญญาณ  อยู่ในมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วอยู่แล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่มันทำไม่ได้ การรู้ดีรู้ชั่ว คือต้นเหตุของความบาปที่มาจากบรรพบุรุษของมนุษย์  ก็คืออาดัมและเอวา

ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ คืออาดัมและเอวา ทุกอย่างดีหมดเลย อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  อยู่ในสวรรค์ก็มีกฎเกณฑ์ของสวรรค์ มนุษย์อยู่ในกฎแห่งสวรรค์ของพระเจ้า  ตอนเกิดขึ้นมาใหม่ๆ  อยู่ในกฎของพระเจ้า  เรียกว่ากฎแห่งความดีงาม  ความดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่ในกฎนี้ ก็ดีพร้อมทั้งหมด มนุษย์ไม่รู้จักเลย อินโนเซ้นต์ ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ ไม่รู้จักอะไรชั่วอะไรดี เหมือนเด็กไร้เดียงสา ไม่รู้เรื่อง พระเจ้าบอกดี ก็ว่าดี นี่คือกฎในสวรรค์ที่มนุษย์ได้อาศัยอยู่ ตอนเริ่มต้น  แล้วมนุษย์ทำดีหรือทำชั่ว เขาไม่รู้ เขารู้อย่างเดียวว่าเขาเชื่อในพ่อผู้ให้กำเนิด พ่อบอกดี เขาก็บอกดี  พ่อบอกเลว เขาก็บอกเลว  แต่มีคำไหนไหมที่พระเจ้าบอกเลว ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ทรงบอกว่าดี  จนกระทั่งสร้างถึงมนุษย์ พระองค์ทรงบอกว่าดีเลิศ ประเสริฐศรีเลย

สร้างบ้านให้มนุษย์ คือสร้างโลกใบนี้ สร้างสัตว์ สร้างต้นไม้ใบหญ้า  สร้างธรรมชาติ  พระองค์ทรงบอกทุกครั้งว่าพระองค์สร้างมา มันดี แต่พอสร้างมนุษย์ พระองค์บอกว่าดีเยี่ยมเลย  เพราะว่าเป็นไปตามพระฉายของเรา  สร้างสิ่งอื่น ไม่มีพระฉายเลย  ดีเฉยๆ  แต่สร้างมนุษย์ เป็นพระฉายของเรา  สะท้อนถึงความดีงามของเรา ศักดิ์ศรีของเรา ดีเลิศ มนุษย์ก็มีแค่ดีเลิศ ฉันนะดีเลิศแล้ว  จบ  ตั้งใจฟังตรงนี้ให้ดีๆ  นี่เป็นต้นเหตุเลย  นึกถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ว่าพระเยซูมาชี้ให้เราเห็นอย่างนี้ เราจะได้เห็น เห็นได้อย่างไร?  เราจะรู้เรื่องโลกวิญญาณได้อย่างไร? เราจะรู้เทือกเถาเหล่ากอของเรา ผู้เป็นมนุษย์ได้อย่างไร? ถ้าเผื่อผู้สร้างเรา ผู้ให้กำเนิดเรา  ไม่เล่าให้เราฟัง ถ้าพ่อแม่เรา ที่ให้กำเนิดเรา ไม่เล่าให้เราฟังว่าตอนเด็กๆ เราเกิดเป็นเบบี้เราเป็นอย่างไร? เราจะรู้ไหม? เราไม่มีทางรู้ ในโลกวิญญาณก็เหมือนกัน มนุษย์จะรู้ได้อย่างไรว่ามนุษย์เกิดมาเป็นอย่างไร? ผู้ที่ให้กำเนิดมนุษย์ ผู้นั้นที่จะรู้ว่าเธอเกิดมาตอนนั้นเป็นอย่างนี้ๆ  น่ารักอย่างนี้ๆ  ติดเชื้อเข้าไปแล้ว ใครจะเป็นผู้บอกเราได้ ก็มีพระเจ้าเท่านั้น ผู้ให้กำเนิดเรา บอกเรา  เพราะฉะนั้น มนุษย์ที่เหลือก็ไม่มีใครรู้เรื่อง  เมื่อไม่รู้เรื่อง เขาก็ได้แต่สอน เรื่องเกี่ยวกับศีลธรรม การทำดีทำชั่ว ก็ว่ากันไป เดี๋ยวท่านก็จะรู้ว่าทำไม ถึงต้องสอนตรงนั้น  สอนเพื่อย้ำยืนยันจากหัวใจที่ถูกเขียน ให้มีกฎของการรักษาความดีความชั่ว แล้วก็เขียนมันออกมา

โอเค กลับมาเมื่อตะกี้นี้  มนุษย์อยู่ในกฎของพระเจ้า ทำอย่างเดียว คือเชื่อในพระเจ้า  เชื่อในพ่อ พ่อบอกให้โดด ก็โดด เหมือนมนุษย์เลี้ยงลูก เอาลูกขวบหนึ่งวางไว้บนโต๊ะสูงๆ  บอก …

“โดดมาเลย”

ลูกโดดไหม? โดด เพราะเขาเชื่อพ่อ  เขาไม่คิดมาก  อันนี้โดดแล้วมันจะตกลงไปไหม? ไม่ เขาเชื่อพ่อ ภาพเป็นอย่างนั้น จนเมื่อบรรพบุรุษ คือลูก คืออาดัมและเอวาหันไปเชื่อมาร ต้องการเทียบเท่าพระเจ้า ต้องการมีปัญญาแบบพระเจ้า  แบบดีงามเหมือนพ่อ นี่ถูกหลอกนะ ถูกหลอกโดยมาร ไปเชื่อมาร เหมือนคนข้างบ้าน หรือคนนอกบ้าน มาตะโกนที่รั้ว พูดอะไรอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่ใช่ที่พระเจ้าพูด  แล้วเราหลงไปเชื่อเขา

พระเจ้าบอก “อย่าออกไป ยาเสพติดไม่ดี”

นอกรั้วตะโกนมา “มาลองแล้วจะรู้ว่ามันดีขนาดไหน?”

คล้ายๆ อย่างนั้น เมื่อถูกหลอก ก็เลยขัดขืนคำสั่งพระเจ้า เป็นครั้งแรกและเป็นครั้งสำคัญ ในพระคัมภีร์ พระเยซูใช้คำว่าไปกินผลไม้ต้องห้าม ถามว่ามันเป็นผลไม้ไหม? ไม่ใช่หรอก ยกตัวอย่างผลของต้นไม้ต้นนี้ พระเยซูยกตัวอย่างอยู่เรื่อย ผลดี ก็ได้ดี ผลเลว ก็ได้เลว ไปกินผลเลว ผลไม้ต้องห้าม ต้นนี้มันต้นเลว เพราะทำให้เกิดสำนึกของการพึ่งพาตนเองในการจะทำให้ดีพร้อม ตามที่พระเจ้าบอกว่าดีพร้อม แต่ไม่เชื่อพระเจ้าไง  อยากจะให้มันดีมากกว่านั้น  เรียกกันว่าเกิดการสำนึกถึงการทำดีและทำชั่ว  คือต้องการกระทำดี และละชั่วให้มากที่สุด ด้วยตัวฉันเอง พึ่งตนเอง ไม่ใช่คิดขึ้นมาเอง เชื่อใคร?  เชื่อต้นเหตุของความบาปนี้

ต้นเหตุของความบาปนี้ คือมาร ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างขึ้น มา อยู่ดีๆ มันก็คิด เขาเรียกว่าเย่อหยิ่งจองหองขึ้นมาว่า …

“ฉันจะอยู่ด้วยตัวฉันเอง  ไม่มีพระเจ้าก็ได้ ฉันทำด้วยตัวฉันเอง”

นั่นแหละ คือต้นเหตุของความบาป ก็คือการพึ่งพาตนเอง ปฏิเสธพระเจ้า ไม่เอาพระเจ้า ฉันไม่จำเป็นต้องมีชีวิตของพระเจ้ามาอยู่ในชีวิตของฉัน ฉันอยู่ด้วยตัวของฉันเองได้  ฉันทำด้วยตัวฉันเองได้  แล้วมันก็ตกกระป๋องไป เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายถูกสร้างโดยพระเจ้า  ต้องมีชีวิตของพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะอยู่กับพระเจ้าได้ ถ้าไม่มีชีวิตของพระเจ้า ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้  ก็คือตกสวรรค์นั่นเอง  ตกสวรรค์ก็ตกหมดเลย  ทุกอย่างร่วงหมดเลย  มันร่วงแล้วทำอย่างไร? มันก็มาหลอกอาดัมให้ทำเหมือนอย่างมันนั่นแหละ  เหมือนกันไม่มีผิด  ก็คืออยากจะพึ่งตนเอง  ถามว่าถูกหลอก โดยความคิด ที่หลอกนั้นนะ คิดดีนะ อาดัมและเอวาไม่ได้โกรธเกลียดพระเจ้า  อาดัมและเอวาไม่ได้มีความหวังว่าจะใหญ่กว่าพระเจ้า อาดัมและเอวามีความคิดที่ดีนะ ถูกหลอกโดยใช้ความคิดที่ดีของอาดัมนั่นแหละว่า …

“ฉันจะได้ทำได้ดีมากกว่านั้นอีก  ฉันจะได้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ฉันจะได้ทำแต่ความดี ละความชั่ว พระเจ้าจะได้ภูมิใจในตัวฉัน  ฉันจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า พระเจ้าบอกยอดเยี่ยม ได้ช่วยตัวเองบ้าง”

จุดนี้ต่างหากที่มันเริ่มต้นกฎของมนุษยชาติใหม่ แทนที่จะอยู่ในกฎความดีงามของพระเจ้า กลายเป็นมาอยู่ภายใต้กฎของการทำดีทำชั่ว พึ่งพาตนเอง พึ่งพาการกระทำของตนเอง ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าบาป

“บาป” คือการพลาดจากพระประสงค์ของพระเจ้า แผนงานของพระเจ้า ที่วางไว้  บาป แปลตรงตัวว่าการผิดเป้าหมาย จากที่พระเจ้าวางไว้  พระเจ้าวางไว้ว่าเจ้าดี โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องพึ่งพาตนเอง มาพึ่งในเราอย่างเดียว รับความดีความงามจากเราอย่างเดียว จากสิริอย่างเดียวเลย นี่เจ้าพลาดไปแล้ว  เจ้าอยากจะไปอยู่ด้วยตนเอง อยากจะใช้กำลังของตนเอง  อยากจะทำด้วยตนเอง  เป็นความเย่อหยิ่งที่อยากจะอยู่ด้วยตนเอง  จะโชว์ให้ดูว่าเราทำได้  ก็เลยอยู่ในกฎแห่งการพึ่งพาตนเอง เรียกว่ากฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีและทำชั่ว ซึ่งภาษามนุษย์เรียกว่ากฎแห่งศีลธรรม ที่ตะกี้นี้บอก  พระเยซูจึงไม่ต้องมาสอนกฎแห่งศีลธรรม เพราะว่ามนุษย์ทุกคนรู้ เขียนอยู่ในใจ

ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มนุษย์ทุกคน จะถูกส่งทอดกฎนี้มา  เกิดมาก็อยู่ในกฎของอาดัม คือการพึ่งพาตนเอง  การพึ่งพา การกระทำดีด้วยตนเอง การตั้งใจทำดี ละชั่ว  ดูดีไปหมดเลย  เห็นไหม? ทุกคนก็บอก สังคมในโลกใบนี้เขาบอกว่าดีมาก  ทำดีละชั่ว เป็นสิ่งที่ดี ก็จะไม่ดีได้อย่างไร? เพราะในใจถูกเขียนอยู่ในกฎนี้แล้ว  แต่ปัญหามันมีอยู่ว่าเมื่ออยู่ในกฎนี้แล้ว ทำดีละชั่ว มันก็ไม่สามารถจะทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะเดี๋ยวมันก็ทำชั่วไง มันก็ลบไม่ออก พอเข้าใจไหม?  ปัญหามันอยู่ที่ว่ามันทำไม่ได้ ทำดีแล้วละชั่วด้วยตนเอง มันทำไม่ได้ เพราะว่ามันไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่สามารถเพอร์เฟคเหมือนพระเจ้าที่สร้างเรามาได้  ขาดพระเจ้าแล้วเราจะรู้สึก เพราะขาดพระเจ้าแล้ว เราไม่สามารถที่จะทำตัวเองให้ดีพร้อม  ไม่ทำชั่วเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่คิดชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว  มันเป็นไปไม่ได้

นี่คือสิ่งที่พระเยซูมาประกาศให้มนุษย์ได้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ และที่ผมถ่ายทอดให้ท่านฟัง ก็อย่าเข้าใจผิดว่าอย่างนี้ไม่สำคัญ  นี่คือความจริง  หนีไม่พ้น มนุษย์ทุกคนตั้งใจทำความดีอยู่แล้ว ไม่มีใครไม่ตั้งใจทำความดีหรอก  ถ้าเป็นมนุษย์ เพราะว่ามันถูกเขียนอยู่ในวิญญาณ จิตใจของเขาแล้ว ตั้งแต่เกิด  ถ่ายทอดมาตั้งแต่อาดัมแล้วว่าเขาตั้งใจกระทำความดี ละความชั่ว อันนี้อยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ไม่ต้องสอนเลย  แต่ปัญหา คือมันทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อมาหาพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์จะเป็นกำลังให้เขาสามารถกระทำทางฝ่ายร่างกายนี้ได้ดีมากขึ้นกว่าเก่า  แต่ทางวิญญาณนั้น สามารถให้ครบถ้วนบริบูรณ์ได้ดีเลย การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็สามารถทำดีได้มากขึ้น  ตามที่หลักการของความเชื่อทางศาสนาต่างๆ และมนุษย์ทุกคนต้องการให้ทุกคนทำความดี พระเยซูคริสต์มาเสริมให้ทำความดีได้มากขึ้น เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์และได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า และพระองค์ทรงเข้ามาสถิตอยู่ในคนๆ นั้นแล้ว พระองค์จะเป็นกำลัง เป็นความรัก ให้คนๆ นั้นเข้าใจ และสามารถกระทำดีได้มากขึ้น  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

ตรงนี้ คือหัวใจ มากกว่าที่จะมาสอนว่าตรงนี้ไม่ดีนะ อย่าทำ ตรงนั้นไม่ดีนะ อย่าทำ มันรู้แล้ว แต่เขากำลังถามว่าเขาไม่อยากทำ แล้วทำอย่างไร เขาถึงจะเลิกได้ นี่สำคัญกว่า เขาอ่อนแอ เขาทำไม่ได้ เขาต้องทำอย่างไร? ตรงนี้มากกว่าใช่ไหม ที่ควรมาประกาศให้ได้รู้ นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์มาสอน

พระคัมภีร์จึงบอกว่าโดยพระคุณของพระเจ้า ที่ให้เราได้บังเกิดใหม่ พระคุณของพระเจ้าจะสอนเรา ฝึกเราให้ทำสิ่งที่ดี ปฏิเสธการทำชั่ว นี่คือพระคัมภีร์ใหม่เขียนไว้อย่างนี้ พระเยซูจึงบอกไว้อย่างนี้

เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่าจุดเริ่มต้นของบาป ก็คือมนุษย์ย้ายออกจากกฎของความดีพร้อม แห่งการดีพร้อม กฎแห่งการเชื่อในพระเจ้านั้น ดีพร้อม มาอยู่ในกฎแห่งการพึ่งพาตนเอง  ต้องทำดี และละชั่วด้วยตนเอง เรารู้ตรงนี้แล้วใช่ไหม?  มาอยู่ภายใต้กฎแห่งการพึ่งตนเอง  หรือเรียกว่ากฎแห่งบาปและความตาย ที่มีบัญญัติไว้ว่าทำชั่ว แม้เพียงนิดเดียว  ก็อยู่ในสวรรค์ไม่ได้  ก็คือมันไม่ดีพร้อม

ดีพร้อม คือไม่มีชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งผ่านมาทางพระเยซูคริสต์หรือผ่านมาทางพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งเราเรียกว่าชีวิตนิรันดร์เท่านั้น เมื่อไม่มีชีวิตนิรันดร์ ไม่มีชีวิตแห่งความดีพร้อม มันก็ไม่สามารถทำได้

และกฎแห่งความบาปและความตายนี้ ก็ถูกฝังอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วันนั้น คือวันที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป  วันที่อาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเรา ได้ตัดสินใจ ประกาศให้สวรรค์ได้รับรู้ว่า …

“ผมจะออกจากบ้านแล้วนะ  ออกจากสวรรค์แล้ว ผมจะดูแลชีวิตตัวเอง ผมจะทำให้ดีที่สุด ให้พ่อได้ภูมิใจ  ผมจะไปแล้ว”

คือไปเชื่อฟังคนนอกบ้าน  คือเชื่อมาร  ตกลงไปในการล่อลวง ออกจากบ้านไป  เข้าไปอยู่ในกฎแห่งศีลธรรม กฎแห่งความดีงาม  กฎแห่งการพึ่งพาตนเอง  ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มันก็ตกทอดมาถึงมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นลูกหลาน เป็นเผ่าพันธุ์ของอาดัมนั่นเอง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มนุษย์ทั้งหลายก็จะพูดต่อๆ กันมา จนถึงพวกเราทุกวันนี้ถ้ายังไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็จะบอกว่าเมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที

“หมดเวรหมดกรรม” แปลว่าเมื่อไรจะหยุดทำชั่วเสียทีหนึ่ง

เพราะเรารู้ว่าเราทำชั่ว เราทำดีแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวก็ชั่วอีกแล้ว เดี๋ยวก็คิดชั่ว มันไม่มีหยุดเลย มันก็พยายามทำดีมากขึ้น เขาก็สอนมาอย่างนี้ ตั้งแต่เล็กๆ ยิ่งคนไทย เห็นชัดเลย จริงๆ ทั้งโลกสอนอย่างนี้หมดแหละ แต่ถ้าคนไทยเราคุ้นๆ ก็คือตั้งแต่เล็กๆ พ่อแม่หรือคนอื่นเขาสอน

“อย่าโกหกนะ ถ้าโกหก ตกนรก”

“ให้เชื่อฟังพ่อแม่นะ ถ้าไม่เชื่อฟัง ตกนรก”

พูดกันง่ายๆ เลย แล้วเราก็เชื่อกันง่ายๆ  แล้วคนพูดก็เชื่อกันง่ายๆ  แล้วก็พูดกันว่าเมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง กรรมที่ชั่ว ที่ทำ ทำให้เราตกนรก มันเขียนอยู่ในใจแล้ว

“อย่าขโมยของเขานะ เดี๋ยวตกนรก”

“ใครอกตัญญูต่อพ่อแม่ ตกนรก”

นี่คือเหตุผลที่ผมบอกว่าพระเยซูไม่ได้มาประกาศเรื่องศีลธรรม แล้วไม่ได้มาประกาศเรื่องนี้จริงๆ ถ้าท่านสังเกตดู ใน 4 ประเด็นนี้ ไม่มีเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมว่าให้ทำอย่างนั้น อย่าทำชั่วอย่างนี้  ไม่มีเลย  ท่านไปหาดูก็ได้  เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความประพฤติ แต่มาประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ สวรรค์ใน 4 ประเด็น เพราะมนุษย์ทุกคนรู้แก่ใจแล้วว่าอะไรดีอะไรชั่ว มันเขียนอยู่ในใจแล้ว  รู้ว่าประพฤติอย่างไรถึงได้ไปสวรรค์ รู้นะ หรือว่าไม่รู้

“อย่าอกตัญญูต่อพ่อแม่นะ ไม่ได้ไปสวรรค์” … รู้ไหม? รู้

“อย่าคิดลามกนะ”

รู้ไหม? รู้ มีใครสอน ไม่ต้องมี ผู้ที่สอน ก็เป็นเพียงแต่ผู้ที่ย้ำยืนยัน บอกอีกทีหนึ่งในใจของคุณ เป็นอย่างนี้ พอพูดปั๊บ เชื่อปั้บเลย  ทันทีเลย  รู้ไหมว่าโกหกไม่ดี รู้ ครูบาอาจารย์และพ่อแม่สอนไหมว่าอย่าโกหก รู้ เชื่อไหม? เชื่อ รู้ว่าไม่ดีไหม? รู้ รู้ง่ายมาก  ไม่ต้องเรียนรู้เยอะเลย  และรู้สิ่งที่ไม่ดีต้องชดใช้ด้วยชีวิตของตนเองใช่ไหม? ใช่ ก็คือเวรกรรมนั่นเอง  หว่านอะไร ได้สิ่งนั้นรู้ว่าไม่ได้ไปสวรรค์แน่ รู้ไหม? รู้ รู้หมด

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ คือแล้วจะทำอย่างไรล่ะ  มันจึงจะหลุดจากพวกนี้ได้ หลุดจากวงจรอุบาทว์นี้ วงจรวัฏสงสารของการทำดีทำชั่วได้อย่างไร? บางคนไม่รู้ก็บอกว่าต้องสะสมความดีเยอะๆ มันจะไปลบเอาความชั่วออก แล้วลบได้ไหม? ไม่ได้ ลบไม่ได้ทำอย่างไร? ตายไปทำอย่างไร? ตายไปก็ลงนรก ไม่เป็นไร? ลงนรกก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยวไปสะสมความดีในชาติหน้า เกิดใหม่เป็นตัวอะไรก็ว่ากันไป นี่คือหาเหตุผลไม่เจอ

พระเยซูจึงมาประกาศ ฟังให้ดีๆ นะ เมื่อมนุษย์ในใจตัวเองรู้ว่ามันทำไม่ได้ ละชั่วไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์แน่นอน  ต้องได้รับเวรกรรม ต้องได้รับการตัดสินลงโทษ  หลังความตายแน่ๆ พระเยซูจึงมาชี้ว่าเมื่อทำไม่ได้ ก็อย่าพยายามทำด้วยตนเองสิ  อย่าเย่อหยิ่ง อวดตัว ฟังในใจตัวเอง แล้วอย่าหลอกตัวเองต่อไป อย่าพยายามอยู่ในกฎนี้ต่อไป  จงยอมจำนนว่าตัวเองทำไม่ได้ แล้วเมื่อ ยอมจำนนเมื่อไร? ก็คือถ่อมใจทันที หันกลับมาหาคนที่เขาบอกว่าเขาทำได้  ก็คือเรา  “เรา” ในที่นี้ คือพระเยซูผู้ประกาศ  จงหันมาถ่อมใจ พึ่งพระองค์ พึ่งพระเยซู พระมาซีฮาห์ ที่พระองค์ทรงบอก ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้วว่า …

“เราจะมาช่วย เราจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าเป็นอย่างนี้ เรารักเจ้ามากเลย เจ้ากระทำดีไป เจ้าไม่รอดหรอก แต่เรามาช่วยเจ้า อย่าพึ่งความดีของตัวเอง  แต่มาพึ่งเรา เราจะมาช่วย  และตอนนี้เรามาแล้ว  เราคือพระมาซีฮาห์ คือพระคริสต์ คือพระเยซูคริสต์ พึ่งพระองค์ ยอมรับความจริงว่าตัวเองอ่อนแอ อยู่ในบาป อยู่ในกฎแห่งกรรม อยู่ในกฎแห่งการทำดีทำชั่วและทำเองไม่ได้ จำเป็นต้องพึ่งในการกระทำของพระเยซู ผู้เป็นพระเจ้า ผู้กำลังมาช่วยเหลือเรา ให้เราเชื่อในพระองค์ และกลับมาอยู่ในกฎของพระองค์เหมือนเดิม  ตั้งแต่สมัยอาดัม ตอนที่ถูกสร้างใหม่ๆ  ก็คือกฎแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าบอกดี ก็ดี พระเจ้าบอกเอเมน ก็คือเอเมน พระเจ้าบอกดีพร้อม ก็คือดีพร้อม  ก็คือมาเชื่อในตัวเรา  เชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วท่านจะดีพร้อม ก็บอกว่า …

“เอเมน เชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉันดีพร้อม”

แล้วมันดีจริงๆ วิญญาณก็ได้บังเกิดใหม่  เข้าไปอยู่ในสวรรค์ กลับมาที่เดิม กลับมาเหมือนตอนที่อาดัมหล่นออกนอกสวรรค์ ตอนนี้กลับมาอยู่ในสวรรค์ได้  ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์  มาช่วยเรานั่นเอง พระองค์ก็จะมาประกาศอย่างนี้ ทั้งหมด ทั้งเล่มเลย อย่างที่ผมบอกว่าตั้งใจฟังสิ่งเหล่านี้ อาจจะไม่เหมือนข้อความอะไรที่ท่านเคยได้ฟังมาก่อน ที่เน้นเกี่ยวกับเรื่องการทำดีทำชั่ว  ทำตามศีลธรรม ซึ่งตามที่ผมบอก ท่านตั้งใจฟังด้วยจิตใจที่เป็นกลางจริงๆ  ท่านจะรู้ว่ามันเป็นจริงตามที่พระเยซูอธิบายให้ท่านฟัง เหมือนที่ผมพูดเมื่อสักครู่นี้จริงๆ  อย่าเพิ่งไปคิดว่าผมกำลังพูดว่าศีลธรรมนั้นไม่สำคัญ ท่านทราบแล้วใช่ไหมว่ามันสำคัญอย่างไร? และมันสำคัญมากด้วย

พระเยซูบอกพระองค์ไม่ได้มา เพื่อลบล้างกฎที่ท่านกำลังดำเนินอยู่ ไม่ได้มาลบล้างกฎแห่งศีลธรรมที่ท่านกำลังดำเนินอยู่ ไม่ได้มาลบล้างกฎบัญญัติที่ท่านกำลังตั้งใจทำดี มันดีอยู่แล้ว พระเยซูบอกเราไม่ได้มาลบ มันถูกต้องอยู่แล้ว  แต่เรามา เพื่อจะมาช่วย เพราะท่านทำไม่ได้  อย่าฝืนเย่อหยิ่งว่าทำได้ เพราะเราเป็นคนสร้างเจ้าเอง เรารู้ว่าเจ้าทำไม่ได้หรอก จะทำให้ดีครบถ้วนบริบูรณ์ เท่ากับพระเจ้า เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น มาเชื่อในเรา และเกิดอัศจรรย์ใหม่ เชื่อในเรา แล้วท่านจะได้บังเกิดใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า

พระเยซูบอกว่าสำหรับมนุษย์การพึ่งพาตนเอง ในการกระทำดีนั้น เป็นไปไม่ได้  แต่สำหรับพระเจ้า ทำให้ท่านดีพร้อม ได้ครับ  โดยการให้ท่านบังเกิดใหม่  พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ก่อนจะบังเกิดใหม่ ต้องทำอะไรก่อน ให้ตัวเก่าของท่านที่ทำไม่ได้ ที่อยู่ในกฎเดิม มันตายก่อน วิธีตายทางวิญญาณ ก็คือไปตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ให้พระเยซูคริสต์แบกบาป เป็นต้นเหตุของการตาย เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ จะได้เข้าไปตายกับพระเยซูที่ไม้กางเขน เมื่อตายกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ก็ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ร่วมกับพระองค์ พระองค์เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ท่านก็สามารถเป็นขึ้นมาใหม่ ในวิญญาณท่าน ใหม่เอี่ยม มาอยู่ในกฎของสวรรค์ มาอยู่ในสวรรค์ ในพระเจ้า ในพระคริสต์ได้นั่นเอง  และเมื่อมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  อยู่ในสวรรค์แล้ว  ท่านก็อยู่ในความเชื่อ ในพระเจ้า เป็นกฎของวิญญาณแห่งชีวิต  ชีวิตของพระเจ้า ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของท่าน  ในวิญญาณของท่าน

และด้วยวิญญาณที่เต็มไปด้วยชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระเจ้านี้ ท่านก็จะมีกำลังในการปฏิเสธการทำชั่วได้มากขึ้น กว่าเดิมด้วยซ้ำ ย้ำอีกที มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ  อาจจะไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งอยู่ในระบบของความบาปและเคยชินกับการทำสิ่งเหล่านั้นมาตลอดชีวิตของท่าน อาจจะเผลอไปทำบ้างอะไรต่างๆ เหล่านั้นบ้าง แต่วิญญาณข้างใน  ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยแล้วนั้น  จะมีพลังจากข้างใน  พระเยซูที่สถิตอยู่กับท่าน ในวิญญาณของท่าน ในจิตใจของท่าน  จะเป็นผู้นำท่าน จูงท่าน สอนท่าน กำลังนำท่าน ให้กำลังกับท่าน เรียนรู้จักในการปฏิเสธการทำชั่ว  ท่านก็จะปฏิเสธได้มากขึ้น  เข้าใจมากขึ้น  ตามกำลังที่พระเยซูคริสต์ประทานให้

นี่ไง พระเยซูคริสต์ไม่ได้บอกว่าเราได้มาล้มเลิกกฎของศีลธรรม  เรามาทำให้มันสมบูรณ์ขึ้น สมบูรณ์ทั้งวิญญาณเลย ก่อน และสมบูรณ์ทั้งการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วย  สมบูรณ์ขึ้น แปลว่าดีขึ้น พูดง่ายๆ พูดกันตามภาษามนุษย์บนโลกใบนี้ คือท่านสามารถทำดีได้มากขึ้น  ละชั่วได้มากขึ้นนั่นเอง โดยวิธีการของพระเจ้า ซึ่งทรงสถิตอยู่ในท่าน  เห็นไหมครับมันต่างกันอย่างไร?  มันต่างกันตรงที่ แรกๆ ที่ท่านไม่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านตั้งใจทำความดี เพื่อจะไปสวรรค์ แต่พอพระเยซูคริสต์มาช่วยท่านแล้ว และท่านเชื่อพระเยซู ท่านบังเกิดใหม่ เป็นความดีเลย ไปสวรรค์เลย พอไปสวรรค์เสร็จ แล้วพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ด้วย  พระองค์ให้กำลังกับท่าน ทำความดี ให้สมกับที่อยู่ในสวรรค์ ท่านคิดว่าอันไหนมันทำให้เราประพฤติดีได้มากกว่ากัน และจริงใจมากกว่ากัน

การทำดี เพื่ออยากไปสวรรค์ กับการอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว รู้ว่าอยู่ในสวรรค์แล้ว และมีกำลังจากในสวรรค์เรียบร้อย เป็นธรรมชาติ  เป็นการกระทำดีแล้ว  ทำดีตามธรรมชาติของวิญญาณที่เกิดใหม่ ที่อยู่ในสวรรค์แล้ว  โดยมีพระเยซูคริสต์นำ อันไหนจะโผล่ออกมาเป็นความประพฤติที่ดีได้มากกว่ากันและจริงใจกว่ากัน

อันแรก ท่านอาจจะตั้งใจทำความดี ไปสวรรค์ แต่ท่านละชั่วไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ท่านอาจจะบริจาคสิ่งของ แต่บริจาคสิ่งของต่างๆ เหล่านั้นไป เพื่อหวังที่จะได้ผลตอบแทน มันก็ไม่ได้เป็นการให้ โดยจริงใจ  เพราะท่านเหมือนลงทุน ให้เพราะท่านลงทุนว่าอยากจะได้สิ่งของกลับคืน สิ่งที่ท่านอยากได้ คือท่านอยากได้บุญที่จะไปสวรรค์ เห็นหรือยังครับ?

แต่ถ้าท่านอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว บังเกิดใหม่ พอเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านไปให้เหมือนกัน ทำบุญเหมือนกัน  แต่ท่านทำบุญ เพราะว่าท่านมีความเมตตา อยากให้คนเขาพ้นทุกข์ อยากให้คนเขามีสุข  ท่านไม่ได้อยากจะไปสวรรค์สักหน่อย  เพราะท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว

ถามว่าอันไหนจริงใจต่อกัน ท่านพอมองเห็นภาพไหม?  ท่านช่วยเหลือคนอื่นเขา เพื่อที่จะไปสวรรค์ กับช่วยเหลือคนอื่นเขา เพราะว่าเห็นเขามีทุกข์ เราอยากจะให้พ้นทุกข์ อันไหนที่มีเมตตาจริงๆ มากกว่ากัน

นี่แหละ คือสิ่งที่อยากให้ท่านทั้งหลายลองไปคิด ใคร่ครวญในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ดูว่าใช่หรือไม่ ที่ท่านคิดว่าพระเยซูกำลังสอนให้เรา หรือผมกำลังสอนให้เรา ไม่ให้เห็นความสำคัญของเรื่องศีลธรรมการทำดี ทำชั่ว หรือพระเยซู หรือผมกำลังสอน กำลังชี้ให้เห็นถึงทำอย่างไรถึงกระทำดีได้บริสุทธิ์ใจจริงๆ  และทำดีได้อย่างไรมากขึ้นกว่าเดิม ทำชั่วอย่างไรน้อยลงทุกวัน เห็นไหมครับ?  ใครมีหู จงฟังเถิด  ใครมีตาจงมองให้เห็นเถิด นี่คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ประกาศให้กับเราทั้งหลาย

ไม่ใช่ความดีที่เราเคยทำ เราจึงมาได้รับความรอด พระเมตตา พระเยซูคริสต์มาตาย ที่ไม้กางเขน ไม่ใช่ เพราะเราทำดี แต่เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงรักเรา เมตตาต่อเรา  ผู้ซึ่งช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  และพอมาเชื่อพระองค์แล้ว เกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกของพระองค์ เป็นคริสเตียนแล้ว เราก็ไม่ต้อง กระทำดี เพื่อรักษาการอยู่ในสวรรค์ เพราะมันได้อยู่อยู่แล้ว แต่เรากระทำดี เพราะเราบังเกิดใหม่  เราเป็นลูกของพระเจ้า มีธรรมชาติของความดีงาม พร้อมอยู่ในวิญญาณของเรา อยู่ในความคิดจิตใจของเรา เราเป็นคนดี โดยกำเนิด  และมีพี่เลี้ยงผู้ดีงาม  ก็คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา คอยสอนเรา คอยบอกเราว่าควรทำอย่างนี้ ควรทำอย่างนั้น นี่แหละ คือความดีงาม  พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เรารับรู้แล้วว่าเมื่อเราต้อนรับพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาป เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ทันทีแต่ความจริง  ยังมีอยู่อีกมากมาย

 

โรม 8:10-11 “10 ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย  เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณภายในของท่านเป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว) 11 และถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้   ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู)  ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอกที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”

 

นั่นหมายถึงขณะที่อวัยวะทุกชิ้นในร่างกายนี้ตับ ไต ไส้ พุง กระดูก เส้นเอ็น เส้นประสาท หัวใจ ตา หู จมูก  ลิ้น  สมองทุกเซลล์กำลังเสื่อมโทรมเสื่อมสลาย  เสียหาย  เจ็บป่วยเป็นทุกข์ไปสู่ความตาย พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็กำลังให้พลังชีวิตแบบพระคริสต์  ปกคลุมควบคุมอยู่เหนืออวัยวะต่างๆ ที่กำลังเสื่อมสลายนั้นตลอดเวลา พระวิญญาณช่วยเราให้สามารถชื่นชมยินดีทรหดอดทน เต็มไปด้วยสันติสุขท่ามกลางความทุกข์เหล่านี้ได้ จนสุดสิ้นกระบวนการเสื่อมสลายในที่สุด (หมดลมหายใจ)  พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำวิญญาณเราไปสวมร่างกายใหม่  ที่เต็มไปด้วยสิริสง่าราศี เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซู  ตอนเป็นขึ้นจากความตาย เรียกว่าร่างกายสวรรค์

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1350

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  กุมภาพันธ์  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 7

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 เราจบบทที่ 1 เมื่อเดือนที่แล้ว ในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 1 พูดถึงความลี้ลับที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียม แผนการ ความรอดให้มนุษยชาติ โดยเริ่มต้นจากชาวยิว คนอิสราเอลก่อน เรียกชาวยิวมา เพื่อเป็นคนรักษากฎระเบียบที่พระเจ้าให้ไว้ เป็นแบบอย่างถึงความชอบธรรม ซึ่งผ่านมาทางอับราฮัม จริงๆ พระเจ้าก็เตรียมแผนไว้ แล้วก็เลือกอิสราเอลมา แต่ไม่ได้หมายความว่าอิสราเอลถูกเลือกมา แล้วเขาก็ไม่ต้องมาเปิดใจเชื่อพระเยซูคริสต์อีก ในวันที่พระเยซูทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็คือยังคงต้องทำเหมือนพวกเราไม่มีผิดเลย พวกเราซึ่งเรียกว่าเป็นคนต่างชาติ  เราต้องมาเชื่อพระเจ้า โดยการเปิดใจต้อนรับพระองค์ อนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเอาวิญญาณของเราเข้าไป ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ฝังพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์

และในบทที่ 1 ก็พูดถึงฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน ก็คือเมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จ แผนการไถ่ ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว หมายความว่าตั้งแต่วันนั้นที่พระเยซูทำการงานของพระองค์สำเร็จ พระเยซูก็ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

การนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เล็งถึงเสร็จงาน ไม่ต้องทำแล้ว จบแล้ว นั่งรออย่างเดียว รอเวลาที่พระเจ้าได้กำหนดว่ามนุษยชาติที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ เราก็ไม่รู้ว่าพระองค์เลือกสรรอย่างไร? และกี่คน?  เราไม่ต้องไปสนใจ สนใจแค่ในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อครบจำนวน คนสุดท้ายที่พระเจ้าเตรียมไว้

สมมติว่า A-Z คนชื่อ Z เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเยซูก็เสด็จกลับมารับพวกเราผู้เชื่อไปอยู่กับพระองค์ และในวันนั้น บอกว่าฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลกนี้ก็จะหายไป ในพระคัมภีร์เดิมเขาใช้คำว่า “ม้วนหายไป” เหมือนเราม้วนเสื่อ

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ เพราะว่าโลกนี้เสียหายไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  เกิดความเสียหาย แล้วมันก็เสียหายมาเรื่อยๆ ซึ่งมนุษย์คิดว่าจะทำให้โลกนี้ดีขึ้น มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว คือมันเสียไปแล้ว แค่รอเวลาเท่านั้นเองที่พระเจ้าทรงสัญญา ที่ผู้เชื่อจะได้ไปอยู่ในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่พระเจ้าเตรียมไว้ แล้วพวกเราทุกคน ผู้เชื่อ หลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่าง อันนี้แล้วแต่ว่าใครไปก่อนไปหลัง บางคนจากโลกนี้ไปแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา หรือลูกหลานเหลนโหลน แต่พระสัญญาของพระเจ้าบอกว่าทันทีที่วิญญาณของผู้เชื่อออกจากร่างปุ๊บ เขาก็อยู่ที่เดิม เปลี่ยนมิติจากที่ต้องใช้ร่างกายนี้ ที่ยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย  ไม่ต้องใช้แล้ว คือวิญญาณก็ไปที่เดิม ที่พระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเชื่อ เราก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือแค่เปลี่ยนมิติ เท่านั้นเอง นั่นคือความหวังใจที่พวกเราผู้เชื่อ สามารถมีกำลังในการฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคที่เราเจออยู่บนโลกใบนี้ เพราะว่าโลกนี้เสียหายไปแล้ว ความทุกข์ยากลำบากมันเข้ามา อย่างที่บอกพอเรามาเชื่อพระเจ้า เราจะเจอกับความทุกข์ยากลำบาก อันแรกเลย ทุกข์ยากลำบาก ในด้านของวิญญาณ  ก็คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า คือจากวิญญาณเดิมที่เราอยู่พวกเดียวกันกับธรรมชาติเดิม ซึ่งเป็นของอาดัม หรือธรรมชาติบาป คือพวกเดียวกัน พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรากลายเป็นคนละพวกแล้ว พระเจ้าก็ย้ายเราจากที่เดิม คือสถานที่ที่เป็นความบาป และความตาย ย้ายเรามาอยู่ที่ที่เป็นชีวิต ซึ่งในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เราจะมีชีวิตนิรันดร์”

ชีวิตนิรันดร์เป็นคุณภาพชีวิตแบบพระเจ้าเลย ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เรามีแล้ว ได้รับแล้วในฝ่ายวิญญาณ ซึ่งพอบอกคำว่า “วิญญาณ” ปุ๊บ เราก็ต้องใช้ความเชื่อเอา เพราะเรามองไม่เห็น สัมผัสจับต้องไม่ได้ รู้สึกไม่ได้ คือแบบ …

“อยากจะรู้สึก พระองค์เจ้าข้า ทำให้รู้สึกได้ไหม?”

พระเจ้าบอกไม่มี ถ้าเราพึ่งความรู้สึก เราก็จะโดนหลอก พอวันนี้อารมณ์ดี พระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา อยู่ใกล้มากเลย พอพรุ่งนี้อารมณ์ไม่ดี เมื่อคืนนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมา หงุดหงิด พระเจ้าหายไปไหน? แต่ว่าความรู้สึกของพวกเรา ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในโลกวิญญาณ ในชีวิตของเรา ไม่สามารถเปลี่ยนได้เลย เพราะว่าความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอกว่าทันทีที่มนุษย์คนหนึ่ง คนใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ วิญญาณเราจะถูกนำไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ คือวิญญาณเก่าเราตายเลย วิญญาณใหม่ที่เรียกว่าบังเกิดใหม่ มาจากฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นฤทธิ์อำนาจอันเดียวกัน ที่พระเจ้าพระบิดาได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ที่ทำให้ผู้เชื่อสามารถบังเกิดใหม่ เข้ามาในครอบครัวของพระเจ้าได้

พอบังเกิดใหม่เข้ามาในครอบครัวของพระเจ้าปุ๊บ เราก็เป็นพวกเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูตอนที่พระองค์ยังอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็บอกว่าท่านทั้งหลายจะประสบความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจเถิด เพราะว่าท่านชนะโลกนี้แล้ว  ความทุกข์ยากที่เราเจอในโลกใบนี้ มันก็จะมีอยู่ 2 แบบ …

แบบหนึ่ง คือความทุกข์ยากในฝ่ายวิญญาณ คือทันทีที่เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราเจอความทุกข์ยากเลย คือจะมีการต่อต้านในวิญญาณ คำว่า “ต่อต้านในวิญญาณ” เรามองไม่เห็นนะ แต่ในวิญญาณเรารู้เลย เรากับฝั่งที่อยู่บนโลกใบนี้  เราอยู่คนละพวก พอเราอยู่คนละพวกปุ๊บ เราจะไม่สามารถอยากจะไปทำเหมือนเดิมอีกต่อไป

หลายคนเข้าใจว่าถ้าสมมติว่าเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราไม่สอนให้คริสเตียนพยายามทำดี เท่ากับเราส่งเสริมให้คริสเตียนทำชั่วใช่ไหม? หรือว่าเท่ากับเราปล่อยปละละเลยว่า …

“ไม่เห็นเป็นไรเลย มาเชื่อพระเจ้าทำผิด ก็ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเรา วิญญาณเรารอดแล้ว”

อันนั้นจริง ถ้อยคำพระเจ้าบอกจริงๆ วิญญาณเราเป็น แต่ว่าในด้านของวัตถุ เราก็ยังมีกฎของโลกนี้อยู่ ซึ่งพวกเรา ผู้เชื่ออยู่ในสภาวะที่เป็น 2 กฎด้วยกัน …

กฎหนึ่ง คือกฎของวิญญาณ ซึ่ง ณ เวลานี้ วิญญาณพวกเราได้รับความรอดแล้ว วิญญาณของพวกเราไม่ต้องถูกพิพากษาหลังความตายอีกแล้ว เราไม่ต้องไปนั่งกลัวว่าเกิดวันนี้ลมหายใจเราออกจากร่าง แล้วเรายังต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ให้รับการพิพากษาไหม? ถ้าเราถูกหลอก เราก็จะคิดอย่างนี้ เพราะว่าก่อนที่เราจากไป เรายังทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่เลย สงสัยเราไม่รอด อันนั้นพระเจ้าบอกว่าอย่าโดนหลอก ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ มันจะไม่มีผลกับวิญญาณของเรา เมื่อวิญญาณของเราเชื่อวางใจในพระเจ้า คือรอดแล้ว รอดเลย ที่เราคุยกัน รอดแล้วรอดเลย

จะเปรียบเทียบง่ายๆ เลย คนที่มีครอบครัว จะชัดเจนมากๆ ในเรื่องนี้ สมมติเรามีลูก เราเป็นพ่อแม่ พอเราคลอดลูกออกมา คงไม่มีลูกคนไหน? หรือบ้านไหน? ที่ทำดี 100% ไม่เคยทำผิด ไม่เคยดื้อ ไม่เคยกบฏกับเรา หรือไม่เคยเถียงเรา พอลูกเราโตหน่อย เขามีความรู้สึกว่าเขามีความคิดของตัวเอง พอเราพูดอย่าง เขาก็จะพยายามเถียง เราเป็นรุ่นเก่า ไม่ต้องมาสอนฉัน ฉันรุ่นใหม่ ฉันรู้อะไร ไปหาในอินเตอร์เน็ต หาในอะไรเยอะแยะมากมาย ความรู้ท่วมหัว อะไรแบบนี้ แต่ไม่ว่าลูกเราจะดื้อขนาดไหน? หรือออกนอกลู่นอกทางขนาดไหน? เราก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นลูกของเรา มันเป็นไปไม่ได้ คือโดยเชื้อสาย โดยชาติกำเนิด เขาคลอดออกมาในครอบครัวของเรา มี DNA ของคุณพ่อคุณแม่ 100% เลย คือเป็นลูกเราเลย ต่อให้ลูกของเราจะดื้อ จะทำผิด จะอะไรก็ไม่สามารถทำให้สถานะเป็นลูกเปลี่ยนไปเลย เราอาจจะรู้สึก …

“ทำไมลูกเราเป็นอย่างนี้”

ถามว่าเกลียดเขาไหม? ไม่เกลียดนะ เราก็ลุ้น พอเรามาเป็นลูกพระเจ้า เราก็อธิษฐานเผื่อลูกเรา มีหลายครอบครัวที่พ่อแม่มาเชื่อพระเจ้า ลูกยังไม่เชื่อ  เราบังคับเขามาเชื่อพระเจ้าไม่ได้ เราทำอยู่อย่างเดียว คืออธิษฐานเผื่อเขา เราอยากให้เขาได้รับความรอด  เหมือนกับที่เราได้รับ  เราก็อธิษฐานเผื่อเขา หรือบางครอบครัว สามียังไม่เชื่อพระเจ้า พ่อแม่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เราก็อธิษฐานเผื่อเขา

พอเรานึกภาพลูกของเรา เกิดลูกเราไม่ยอมเชื่อพระเจ้า เราทำอย่างไร? ไม่เชื่อพระเจ้าไม่พอ ไปเกเรข้างนอก เราพูดว่า “ตัดหางปล่อยวัด” เราอาจจะพูดไปอย่างนั้นแหละ มันตัดไม่ได้หรอก ยังไง ก็ลูกเรา พอเขามีปัญหาปุ๊บ พ่อแม่ก็จะวิ่งกุลีกุจอ ตาลีตาเหลือกเลย รีบไปช่วยเขา

นี่คือภาพแค่เฉพาะมนุษย์ ที่พระเยซูยกตัวอย่าง แม้แต่มนุษย์ที่เป็นคนบาป ยังเรียนรู้ที่จะรักลูกของตัวเอง เมื่อลูกขอขนมปัง คงไม่เอาก้อนหินให้ เพราะลูกคนนี้ดื้อ พูดไม่รู้เรื่อง สอนก็ไม่จำ ไม่ต้องกินขนมปัง เอาก้อนหินไปเคี้ยวให้ฟันหักแล้วกัน ไม่มีใครทำอย่างนั้น ก็คือต่อให้เป็นอย่างไร? พอลูกเราหิวโชกกลับมา เราก็ต้องรีบกุลีกุจอหาของให้กิน

นี่คือภาพปกติเลย ของมนุษย์ทั่วไป  ที่พระเจ้าให้เราเห็น แล้วยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ พระเจ้าเป็นผู้สร้างพวกเรา แล้วพระเจ้าจะไม่ห่วงใย และรักเรามากกว่านั้นหรือ?

เพราะฉะนั้น วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าหาวิธีทำทันทีเลย ถ้าเราอ่านปฐมกาล เราจะเห็นว่าพระเจ้าไม่รีรอ ไม่ชักช้าเลย หาวิธีแก้ไขทันทีว่าตอนนี้ลูกเราตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมอยู่ในการดูแลของเรา  ไม่ยอมเชื่อฟังเรา อยากจะไปใช้ชีวิตของตัวเอง อยากจะใช้ความดีงามของตัวเอง  พยายามสะสมความดีงามด้วยกำลังของตัวเอง  พระเจ้าก็ต้องปล่อย คือพระเจ้าไม่ประสงค์

หลายครั้งเราใช้คำว่า “พระเจ้าอนุญาต” แล้วเราก็จะใช้คำถามว่าทำไม พระเจ้าถึงอนุญาตให้เหตุการณ์ร้ายอย่างนี้  เกิดขึ้นกับ … อาจจะเป็นตัวเรา ครอบครัวของเรา หรืออะไร? เราอาจจะถามอย่างนี้  แต่พระเจ้าไม่เคยบีบบังคับเรา เพราะว่าพระเจ้าให้อิสระเสรีภาพให้กับมนุษย์ ไม่เพียงแต่มนุษย์ที่เป็นลูกเท่านั้น ที่ตัดสินใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มนุษย์ที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า เขาก็เป็นคนที่พระเจ้าสร้างมา และพระเจ้ารักเขามาก  ที่พระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์แทนมนุษยชาติ บนไม้กางเขน  คือไม่ใช่มาสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเราผู้เชื่อเท่านั้น แต่ในพระคัมภีร์ พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษยชาติทั้งโลกใบนี้เลย คือพระเยซูทำเที่ยวเดียวจบ ไม่ต้องวิ่งเข้าวิ่งออก วิ่งลงวิ่งขึ้น มาทำแล้วทำอีก ไม่ต้อง เกิดเป็นมนุษย์อีก มาตายอีก  เป็นขึ้นมาใหม่อีก ไม่ต้อง คือทำเที่ยวเดียว จบ ครบถ้วนสมบูรณ์

แปลว่าความรอด มันเกิดขึ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย ความรอดนี้ คือทำสำเร็จแล้ว การไถ่มนุษยชาติบนโลกใบนี้ ได้ถูกทำให้สำเร็จแล้ว แปลว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ได้รับสิทธิ์ในเรื่องนี้เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เราก็ไม่จำเป็นจะต้องอธิษฐานเผื่อให้คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ให้เขาได้รับความรอด  เพราะว่าตามบริบทของถ้อยคำของพระเจ้า เขาได้รับความรอดแล้ว เพียงแต่เขาไม่ได้รับรู้ความจริงว่าเขาได้แล้วไง เขาได้ของขวัญแล้ว ของขวัญผูกโบว์ไว้เรียบร้อยแล้ว มีชื่อเขาด้วย  เขาแค่ไม่รู้ความจริงว่าเขาสามารถเดินเข้ามารับของขวัญนี้ได้ มีสิทธิ์ที่จะรับ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคริสเตียน ถึงออกไปประกาศข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือออกไปบอกให้คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ให้เขารู้ว่า …

“พระเจ้าทำให้เธอเสร็จแล้วนะ เธอมีสิทธิ์ที่จะเข้ามารับเหมือนฉันเลย แล้วพระเจ้าไม่ได้บังคับ พระเจ้าอนุญาตให้เธอตัดสินใจ”

เหมือนตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าก็ไม่ได้บีบคอเรา ให้มาเปิดใจต้อนรับ แต่เป็นช่วงเวลาที่เราฟังเรื่องของพระเจ้า ฟังแล้วก็สะสมๆ จนวันหนึ่ง ข้างในใจ เมล็ดมัสตาร์ดมันปังขึ้นมา เป็นระเบิดปรมาณู ทำให้เราตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือวางชีวิตของเรา  บอกกับพระเจ้าว่าไม่เอาแล้ว เราไม่พึ่งพาตัวเอง เราขอพึ่งพาพระเจ้าดีกว่า นั่นแหละ วันนั้น ทันที เกิดขบวนการการบังเกิดใหม่ แบบอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่

มนุษย์พยายามอยากให้พระเจ้าทำอัศจรรย์ พระเจ้าบอกไม่ต้องทำหรอก  เพราะอัศจรรย์ที่ใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้ คือการที่พระเจ้าทำให้มนุษย์คนหนึ่งบังเกิดใหม่ ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ ด้วยกำลังของตัวเอง หรือด้วยความสามารถของตัวเอง หรือการทำดีด้วยตัวเอง ไม่มีเลย อย่างที่บอก พระเยซูมาประกาศว่ามนุษย์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรอก ทำดีให้ตาย ก็ไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ เพราะว่ามาตรฐานของพระเจ้า คือ 100%

นี่คือสิ่งที่พระเยซูมาบอกเราตลอดเวลา พระเยซูไม่ได้มาสอนว่าเราต้องทำอะไร? พระเยซูมาแค่ประกาศข่าวดี ข่าวดี คือฉันมาแล้ว ฉันคือผู้นั้น คือพระผู้ช่วยให้รอด  คือคนที่พระเจ้าบอกไว้ตั้งแต่โน้น สมัยปฐมกาล ที่มนุษย์คนแรกล้มลงในความบาป แล้วพระเจ้าก็บอกว่า …

“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก แล้วเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”

นี่แหละ คือการประกาศข่าวดี ตั้งแต่วันนั้นว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าจะส่งพระผู้ช่วยให้รอด มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเรา มาชดใช้หนี้บาปเวรกรรมให้กับมนุษยชาติ แล้วบัดนี้ พระเยซูก็ทำสำเร็จ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ฉะนั้น ข่าวดีตรงนี้แหละ คือการประกาศออกไป และหน้าที่ของพวกเรา ซึ่งเป็นผู้เชื่อ เราก็แค่บอกความจริง บอกข่าวดีว่าพระเยซูทำอะไรให้มนุษยชาติ พอเราบอกเสร็จ จบเลยนะ พี่น้องไม่ต้องไปพยายามบีบคอให้คนที่ฟังเรา มาเชื่อพระเจ้า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ที่พระเจ้าจะทำงาน และเมื่อคนๆ นั้นเขาติดตาม เขาไม่ละทิ้ง เขาฟังมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง เมล็ดนั้น มันเกิดออกมาเป็นผล นี่คือขบวนการของพระเจ้าที่ทำในชีวิตของเรา

ฉะนั้น พอพระเยซูคริสต์ทำตรงนี้เสร็จ วันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตาย พระเยซูก็เตรียมของขวัญให้กับมนุษยชาติ 3 อย่างด้วยกัน  …

อย่างแรก คือการอภัยบาป การยกโทษความผิดบาปให้กับมนุษยชาติ  เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ ตามที่กฎของพระเจ้าบอกอาดัม เอวาว่าผลไม้นี้อย่ากินนะ ขืนกินวันใด เจ้าจะต้องตาย คำว่า “ตาย” ที่พระเจ้าบอก ก็คือตายฝ่ายวิญญาณ  ต่อด้วยตายฝ่ายร่างกายด้วย จากก่อนหน้านั้น มนุษย์ไม่ตาย มนุษย์มีวิญญาณนิรันดร์ อาดัม เอวามีวิญญาณเหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าเลย  แต่ว่าอาดัมกับเอวาไปเชื่อฟังการหลอกลวงว่า …

“เธอสามารถทำดี เธอสามารถที่จะรู้จักความดีความชั่ว”

ซึ่งพระเจ้าบอก … “เธอไม่ต้องรู้หรอกความชั่ว เธอแค่รู้ความดี ก็พอ เพราะว่าฉันสร้างทุกอย่าง ฉันบอกว่าดี แล้วเธอดี เธอครบถ้วน เธอสมบูรณ์  เธอไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เธอแค่เดินไป เดินมา โฉบไปโฉบมา ดูสิ่งที่พ่อสร้างให้เธอ แล้วก็ไปดูแล มีความสุข” อย่างนี้

แต่เพราะอาดัมไปคิดว่าอยากจะทำดี เหมือนกับลูกบางคน อยากจะทำดีให้พ่อแม่เห็นว่า …

“ฉันทำได้นะ”

และการทำตรงนี้ อาจจะไปทำสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง หรือบางคนอาจจะคิดว่า …

“ฉันจะต้องหาเงินเยอะๆ มาให้พ่อให้แม่ชื่นใจ”

การหาเงินตรงนี้ อาจจะหาแบบไปทำผิดกฎหมาย ลักษณะเดียวกันที่มนุษย์คู่แรก ที่เขาเชื่อมารหลอก เพราะมารหลอกว่า …

“ไม่จริงหรอก ถ้าเธอกินผลไม้นี้ เธอจะเหมือนพระเจ้า เธอจะรู้จักความดีความชั่ว”

“ถ้ารู้จักนะ เราจะได้ทำดี ทำดีได้เพิ่มขึ้น เพื่อจะให้พระเจ้าชื่นใจ”

นี่คือความรู้สึก แต่ปรากฏว่าพระเจ้าบอก … “ฉันบอกเธอว่าดี ฉันสร้างเธอดีแล้ว เธอไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย ให้มันดีกว่านั้น”

พอมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็เท่ากับกำลังบอกพระเจ้าว่า … “ที่พระเจ้าพูด ไม่จริง พระเจ้าบอกดี ฉันยังรู้สึกไม่ดีเลย ฉันอยากทำดีด้วยกำลังของฉันเอง”

ก็เลยล้มลงในความบาป พอมนุษย์ตัดสินใจอย่างนี้ ถามว่าพระเจ้าอนุญาตไหม? ก็ต้องอนุญาต เพราะพระเจ้าให้สิทธิ์ไง ให้สิทธิ์มนุษย์ในการตัดสินใจ ก็ต้องบอกว่าพระเจ้าอนุญาต แต่ถามว่าพระเจ้าประสงค์ไหม? อยากให้มนุษย์ล้มลงในความบาปไหม? ไม่อยาก แน่นอน พระเจ้าอยากให้มนุษย์อยู่ดีมีสุข ได้เชยชมสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง มีความสุข แฮปปี้  แต่มนุษย์เลือกทางของเขาเองเหมือนกัน ในยุคปัจจุบัน พอเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าก็ให้สิทธิ์เราเหมือนเดิมเลยนะ มีอิสรภาพในการตัดสินใจ ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนทุกวันนี้ เราตัดสินใจในแต่ละวันว่าเราจะเลือก ในการทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเลือกที่จะทำตามการล่อลวงของระบบของโลกนี้ หรือโปรแกรมเก่าที่เราเคยทำอยู่ แล้วมันชิน  แล้วก็จะหลอกเรา ดังนั้น มันมีการเลือก เราอยู่ตรงกลาง ถ้าเราสะสมถ้อยคำของพระเจ้า  ที่บอกว่าเราเป็นใครตอนนี้ เราเป็นลูกของพระเจ้า  เราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราชอบธรรม เราเป็นคนดีนะ ธรรมชาติใหม่ของเรา คือความรัก พระเจ้าเป็นความรัก ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า พระเจ้าทั้งสามพระภาคเข้ามาอยู่ในตัวเรา  เป็นความรัก และเราก็เป็นเลย พอเป็นปุ๊บ เรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นความรัก เราก็จะค่อยๆ พัฒนาฝึกฝน ให้ความรักที่อยู่ในเราออกไป ให้คนอื่นได้สัมผัส

ฉะนั้นในโลกวิญญาณ อย่างที่เราบอก ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรารักกันในวิญญาณ ผู้เชื่อทุกคนในโลกใบนี้ ไม่ใช่เฉพาะในคริสตจักรอภิสุทธิสถานที่เรานั่งอยู่ด้วยกันว่าเรารักพี่น้องนะ  นั่นคือที่ตาเรามองเห็น เป็นเรื่องของสภาพร่างกาย แต่ในเรื่องของวิญญาณ เรารักซึ่งกันและกันทันทีเลย เป็นการสำแดงออก ที่พระเจ้าบอกเราเป็นความรัก เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ปุ๊บ เรากับพี่น้องคนอื่นๆ ทั่วโลกใบนี้ ที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาก็มีพระเจ้าทั้งสามพระภาคอยู่ในตัวเขาเหมือนเราเช่นเดียวกัน ก็คือพระเจ้าว่า …

“ท่านทั้งหลายจงรักซึ่งกันและกัน แล้วโลกนี้จะได้รู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา”

การรักซึ่งกันและกันในวิญญาณ เราไม่ต้องพยายามทำ แต่มันออกมาเองโดยอัตโนมัติ ในโลกวิญญาณ เรารักกันเลย

บทพิสูจน์ พี่น้องเคยเดินทางไปไหนมาไหน? สมมติเรานั่งรถ แล้วเราเห็นรถคันหน้ามีรูปปลา เวลาเป็นคริสเตียน เขาชอบแปะรูปปลา หรือเป็นคริสเตียน รถเขาก็จะแขวนไม้กางเขน  พอเราเห็นปุ๊บ ดีใจ เหมือนได้เจอญาติ ถามว่ารู้จักเขาไหม? ไม่รู้จัก แต่พอเห็น นั่นข้างหน้าคริสเตียนๆ นั่นแหละ คือในวิญญาณเรารักกัน แล้วเราก็ไม่เข้าใจเหตุผลว่าเราไปตื่นเต้นอะไรกับคนที่เราไม่เคยรู้จัก อยู่ดีๆ  แค่เห็นรถข้างหลังเขามีรูปปลา เราดีใจซะขนาดนั้น ก็คือในวิญญาณเรา เป็นความรัก รักซึ่งกันและกัน มันออกมาโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องไปฝืน หรือเวลาเราไปต่างจังหวัด หรือไปต่างประเทศ เจอใคร แล้วบอกว่าเป็นคริสเตียนปุ๊บ ดีใจ ยังกับเจอญาติ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน  แต่ข้างในวิญญาณมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอกเราว่าเราเป็นอย่างนั้น พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราเป็นความรัก แล้วเราก็รักซึ่งกันและกันในวิญญาณ

เอเฟซัส 2:1 “และท่านทั้งหลายได้ตายแล้ว ในวิญญาณจากการล่วงละเมิดและการบาป  ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า    จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

 

“และท่านทั้งหลายได้ตายแล้ว” นี่อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงธรรมชาติเดิมของผู้เชื่อ ก่อนที่มาเชื่อพระเยซูคริสต์ เขาได้ตายแล้ว คือวิญญาณเขาตาย

“การล่วงละเมิดและการบาป”  คำว่า “บาป” หมายถึงการทำอะไรก็ตาม   ผิดจากเป้าหมายที่พระเจ้าได้ตั้งไว้สำหรับมนุษยชาติ เป้าหมายที่พระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรกมา เพื่อให้เขาอยู่กับพระองค์ นี่คือเป้าหมายหลัก อยู่กับพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ พระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าตามพระองค์ พระเจ้าบอกว่าเขาดี  เราก็บอกว่าเอเมน เหมือนทุกวันนี้ เราผู้เชื่อ พระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราก็เอเมน  เราเป็นความรัก เราก็เอเมน ตอนนี้วิญญาณเราดี … ดีเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เราก็เอเมน นั่นคือจุดประสงค์และเป้าหมายแรกที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา ฉะนั้น พอมนุษย์ตัดสินใจที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า  พระเจ้าบอกเขาดีแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม อาดัมกับเอวา ก็สำแดงออกมา คือไปหยิบผลไม้มากิน เป็นการบอกพระเจ้าว่า …

“พระองค์เจ้าข้า ที่พระองค์บอกว่าลูกดีแล้ว ลูกยังรู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ ลูกอยากจะทำดีให้เพิ่มขึ้น เพื่อที่จะทำให้พระองค์ชื่นใจ”

เราเคยคิดถึงจุดนี้ไหมว่าธรรมชาติข้างในมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครอยากทำบาป แต่ว่าจะถูกหลอก หลอกล่อ หลอกลวง ฉะนั้น คำว่า “บาป” ไม่ใช่เป็นการทำอะไรที่ไม่ดี แต่คำว่าบาป ที่พระเจ้าบอกตรงนี้  ก็คือการพยายามทำความดี หรือพึ่งพาการกระทำความดี พึ่งพาความชอบธรรมของตัวเอง เพื่อที่จะได้ขึ้นสวรรค์ หรือเพื่อที่จะได้มาอยู่กับพระเจ้า ซึ่งพระเยซูคริสต์บอกว่า …

“ทำอย่างไรก็ไม่ได้”

พยายามเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พยายามนะ คือความตั้งใจ ชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบทำบุญทำทาน ชอบช่วยเหลือคนโน้นคนนี้ ถามว่าดีไหม? ในโลกมนุษย์นี้ดีนะ พระเจ้าบอกว่ากฎของมนุษย์ก็มี กฎของวิญญาณก็มี กฎของมนุษย์ ถ้าเราทำสิ่งทั้งหมดดี เราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลดี เมื่อเราเอื้อเฟือเผื่อแผ่คนอื่น เราก็ได้เก็บเกี่ยวผลดีกลับมา เมื่อเราทำสิ่งที่ดีลงไปปุ๊บ เก็บเกี่ยวอันแรกเลย ข้างในเรามีความสุขเลย แต่ถ้าทำสิ่งที่ไม่ดี เก็บเกี่ยวอันแรก คือข้างในเราจะทุกข์ ทำไปได้อย่างไร ยิ่งถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว  เรายิ่งทุกข์ใหญ่เลย เพราะธรรมชาติข้างในเรา คือความรัก  คือความดี พอเราทำอะไรผิดจากธรรมชาติ เราจะรู้สึกทุกข์ มันไม่ใช่ อะไรอย่างนี้

แต่ว่าด้วยความจริงในโลกวิญญาณ  ความจริงที่พระเจ้าบอก คือเมื่อเรากระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ในโลกวัตถุ กฎของโลกวัตถุมี ถ้าเราขับรถไปชนเขา เราก็ต้องชดใช้ค่าเสียหาย เราจะมาอ้างว่า …

“ฉันเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าบอกว่าไม่มีการลงโทษ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ฉันชนเธอ เธอจะมาเรียกค่าเสียหายจากฉันไม่ได้ เพราะพระเจ้าบอกว่าไม่มีการลงโทษ”

มันคนละเรื่องกันนะ แยกให้ชัดเจน ที่บอกว่าไม่มีการลงโทษ คือเรื่องของวิญญาณ ยังไงก็ไม่มีการลงโทษ เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเสะอาดบริสุทธิ์ ชอบธรรม ไม่มีการลงโทษแน่นอน แต่ในด้านของวัตถุที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในกฎของความบาปและความตาย เรายังต้องเก็บเกี่ยวผลอยู่ ถ้าเราหว่านสิ่งไม่ดี เราเก็บเกี่ยวสิ่งไม่ดีแน่นอน อันนี้เราจะมาอ้างความชอบธรรม ซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อที่จะหาผลประโยชน์ไม่ได้นะ

พอเราแยกแยะชัดเจนปุ๊บ เราก็จะรู้ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ทำไมพระเจ้าถึงสอนเราว่าให้เราเรียนรู้ว่าตอนนี้ ธรรมชาติใหม่เราเป็นอย่างไร?  เราเป็นลูกของพระเจ้าที่ดีงาม ตอนนี้ความดีงามอยู่ในเราแล้วนะ แค่เราใส่ใจ และรู้ว่าตอนนี้เราเป็นความดีงาม แล้วก็เอามันออกมาใช้ แค่นั้นเอง เหมือนเรามีเสื้อผ้าสวยๆ อยู่เต็มตู้ เราก็ต้องรู้ว่าในตู้ฉัน มีเสื้อสวยๆ เราจะได้หยิบมาใส่ ใส่แล้ว มันก็ดูดี หรือเราไม่รับรู้ว่าซื้อเสื้อสวยๆ ไว้เต็มตู้เลย แต่ไปหยิบเสื้ออะไรไม่รู้ ดึงออกมาทีไร ขาดหวิ่นทุกที ใส่ออกมา ดูแล้วก็ไม่สวยงาม

นี่เป็นลักษณะเดียวกัน เราเป็นลูกของพระเจ้า เรามีธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่เข้ามา เหมือนเราใส่อาภรณ์ ในพระคัมภีร์บอกให้สวมตัวใหม่  แล้วก็ทิ้งตัวเก่า  “ตัวเก่า” คือโปรแกรมหรือความคิดเดิมที่มันยังอยู่บนโลกใบนี้ เพราะร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้  มีโอกาสที่เราจะถูกดึงให้ทำตามมัน แต่ว่าข่าวดี คือพอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราปฏิเสธมันได้ มันหลอกเราว่าตรงนี้ไม่ได้ เธอต้องจัดการ แต่การตัดสินใจอยู่ที่เรา ถ้าเราจะโดนหลอก ใช่ๆ ที่เขาบอกไม่ได้ เขาต้องชดใช้ในสิ่งที่เขาทำกับเรา แค้นนี้ต้องชำระ พอเราคิดอย่างนี้ พอสมองคิดเยอะๆ มันจะสั่งการลงไปที่ร่างกาย แล้วร่างกายเราก็จะทำตาม ที่สมองสั่ง มันเป็นอัตโนมัติ

ดังนั้น ถ้าเราใส่ข้อมูลที่พระเจ้าบอกว่าตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้า เราเป็นความชอบธรรม เราเป็นความดีงาม เราเป็นความรัก ใส่ข้อมูลไป พอมารมาหลอก การล่อลวง หรือระบบเนื้อหนัง มาหลอกเรา … “ไม่ใช่ๆ ตอนนี้เขาทำอย่างนี้ เธอต้องเกลียด เธอรักเขาไม่ได้หรอก มันรับไม่ได้จริงๆ”

ถ้าเรามั่นใจหรือแม่นในสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา … “หลอกฉันไม่ได้หรอก ฉันเป็นความรัก ฉันไม่เชื่อเธอหรอก”

แล้วเราก็สำแดงความรักออกไป มันจะอยู่ตรงนี้ มันเป็นเหมือนสงครามระหว่างความคิด แล้วคนที่ตัดสินใจทำ คือเรา ตัวเรานะ ตัดสินใจทำ ถ้าเราทำตามที่พระเจ้าบอก  เราก็มีความสุข ชื่นใจ พระเจ้าก็หายใจโล่ง นึกออกไหม? เวลาพ่อแม่มองลูก ถ้าลูกไปทำไม่ได้ เราลุ้น  พอโตแล้ว เราไปว่าเขาไม่ได้นะ เขาจะไม่ฟังเรา เราก็ลุ้น …

“ลูกเอ่ยๆ อย่าเดินไป นั่นเหวนะ”

แล้วพอเขาคิดได้ ตรงนั้นเหว ถอยกลับ เราชื่นใจ มีความสุข ภาพเดียวกัน  พระเจ้าก็ลุ้นเรา เพราะพระเจ้าไม่บังคับเรา พอเราตัดสินใจ …

“พระเจ้าบอกฉันอย่างนี้ ไม่ใช่ๆ ตัวเก่าของฉันมันตายไปแล้ว ตัวอิจฉาริษยา โกรธ เกลียด มันตายไปแล้ว มันไม่มี ตัวใหม่ของฉัน คือความรัก เป็นความดีงาม ความชอบธรรม”

เราก็มาทางนี้ มันเอนมา พอเอนมาปุ๊บ สมองสั่งการ ร่างกายเราก็จะทำตาม เราก็สำแดงความรักออกไป  มันจะเป็นภาพอย่างนี้ทุกวัน  ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เรารับรู้ความจริง แล้วให้ความจริงนี้สะท้อนออกไป ให้คนอื่นรอบข้างได้เห็น  ซึ่งพระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าท่านทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน  เขาจะได้รู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา ใช่เลย คริสเตียนเป็นความรัก ถ้าคริสเตียนไปทำสิ่งที่ไม่ดี เขาจะพูดอย่างไร? …

“เป็นคริสเตียนทำไมทำอย่างนี้ล่ะ”

เมื่อก่อน เราไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ว่าเรานับถืออะไร? เราทำอะไรไม่ดี ก็ไม่เห็นมีใครบอกว่าทำไมถึงทำไม่ดี เขาก็เฉยๆ เพราะเขารู้สึกว่ามันเคยชิน แต่พอได้เป็นคริสเตียน  เป็นผู้เชื่อ เชื่อพระเยซูคริสต์ ภาพของมนุษย์บนโลกใบนี้  เขาจะวาดภาพคริสเตียน สวยหรูมากเลย แบบสุดยอด พอคริสเตียนไปทำสิ่งที่ไม่ดีปุ๊บ เขาจะพูดว่า …

“ทำไมคริสเตียนทำอย่างนี้”

แต่ว่าเราต้องรับรู้ความจริง ตรงนี้ว่าหลังจากที่เราเชื่อพระเจ้า วิญญาณเราสะอาดแล้วก็จริง แต่ร่างกายเรายังอ่อนแออยู่ เรามีโอกาสที่จะพลั้งพลาดได้ ไปทำสิ่งที่ระบบของโลกมาดึงเราไป แล้วเราก็เผลอ อ่อนแอวันไหนเราก็ทำไป แต่ว่าเราทำไปตรงนี้ ผลมันจะเกิดเฉพาะในโลกใบนี้เท่านั้น แล้วพอเราได้คิด …

“พระเจ้า ลูกขอโทษนะ คือมันพลาดไป”

แต่ไม่ต้องมาสารภาพบาปแล้วนะ คริสเตียนไม่มีบาปแล้ว ไม่ต้องมาสารภาพ แค่

“พระเจ้า ขอโทษ ลูกทำตรงนี้ รู้เลย มันไม่ดี ข้างในไม่มีความสุข” แล้วเราก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม

แค่นั้นเอง นี่คือลักษณะการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  พระเยซูบอกว่าถ้าเรารู้ความจริง  ความจริงก็จะทำให้เราเป็นอิสรภาพ เราก็จะไม่ถูกมารหลอก พอเราทำผิด มันก็มาซ้ำเติม …

“เห็นไหมๆ แกทำผิดๆๆๆๆ พระเจ้าไม่รักแกแล้ว”

เราก็ต้องบอกว่า … “ต่อให้ฉันผิดแค่ไหน พระเจ้าก็รักฉัน  รักขนาดที่ยอมตาย เพื่อฉัน บนไม้กางเขน  แล้วตอนนี้วิญญาณฉันเป็นเหมือนพระเจ้าเลย สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีผิดอยู่แล้ว แกมาหลอกฉันไม่ได้หรอก”

นี่คือการพูดถ้อยคำของพระเจ้า ที่ทำให้เรารู้ว่าตัวจริงๆ ของเรา ณ ปัจจุบัน มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็เลยบอกให้ชัดเจนว่าสมัยก่อน ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เรายังอยู่ในบาปอยู่ ล่วงละเมิด เรายังอยู่ในเผ่าพันธุ์ของอาดัม บรรพบุรุษของเรา ที่ล้มลงในความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า  ไม่สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า แล้วต่อให้มนุษย์ทำดีขนาดไหน? ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้ามาคืนดีกับพระเจ้าได้ จนกว่ากฎของพระเจ้าจะทำสำเร็จ  ที่พระเจ้าบอกว่ามีความตายเท่านั้น ถึงจะสามารถมาชดใช้ ความผิดบาปของมนุษย์ได้ แล้วพระเจ้าก็ให้พระเยซูคริสต์มาตายแทนเรา

การตายแทนเรา พระเยซูคริสต์จำเป็นจะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือเป็นเผ่าพันธุ์ของมนุษย์เลย เพื่อที่จะมาช่วยมนุษย์ มาตายแทนมนุษย์ มีความรู้สึก มีเลือด มีเนื้อ ถ้าพระเยซูไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้า คือพระเจ้าตายไม่ได้  พอเป็นมนุษย์ พระเยซูคริสต์ถึงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนได้ แล้วก็ช่วยให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ถ้าใครเชื่อตามนี้ เราก็จะได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวเดิมนั่นแหละ เหมือนบุตรน้อยหลงหายไป มาเจอครอบครัวแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็กลับมาคืนดีกับพระเจ้า

แล้วตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าเมื่อก่อนเราอยู่ในบาป และถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า เราไม่สามารถเดินด้วยกันกับพระเจ้าได้ เพราะว่าความบาปกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าเข้าใกล้กันปุ๊บ เราตายนะ เพราะว่าความบาปเจอความสะอาด กระเด้งเลย ตายทันที

ฉะนั้น มนุษย์กับพระเจ้าก็เลยเดินกันเป็นเส้นขนาน แล้วต้องขนานไกลๆ ด้วยนะ ใกล้ไม่ได้ด้วย ขนานไปตลอด แล้วมนุษย์ก็พยายามหาทุกวิถีทาง พยายามทำความดี สะสมความดี เพื่อที่จะช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมนี้

กฎแห่งกรรม คือกฎของการกระทำ  ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะอยากจะพ้นจากกฎแห่งกรรมนี้ เหมือนคนไทยเขาจะพูดบ่อย … “เมื่อไรจะพ้นเวร พ้นกรรมสักที” เพราะรู้ว่ากฎแห่งกรรมมันกดเราอยู่ ฉะนั้น มนุษย์ก็พยายามทำความดี

ดังนั้น การทำความดีด้วยกำลังของตัวเอง  ที่พระเยซูคริสต์ใช้คำว่า … “บรรดาผู้ที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

แบกภาระหนัก เหน็ดเหนื่อย ไม่ได้หมายความว่าเราไปทำงานเหนื่อยนะ แต่ว่าเราพยายาม แสวงหาความชอบธรรมด้วยกำลังของตัวเอง คือพยายามทำดีๆ เพื่อว่าจะได้ถึงมาตรฐานของพระเจ้า มันเหนื่อยไง มันต้องออกแรงทำตลอด แล้วต่อให้ทำเยอะแค่ไหน ข้างในวิญญาณจะไม่รู้สึกว่ามันอิ่ม รู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันยังไม่พอ พอมันไม่พอแล้วทำอย่างไร? ก็ต้องทำต่อ แล้วใครมาบอกต้องทำอย่างนี้แล้วจะได้ เราก็ไปทำ  ทำทุกอย่างเลย

ฉะนั้น มันเป็นงานเหน็ดเหนื่อย แล้วงานเหน็ดเหนื่อยอันนี้ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ค่าจ้าง คือความตาย” เหมือนในโรม 3:23 บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาปใช่ไหม? ค่าตอบแทนของความบาป  คือความตาย

ค่าตอบแทนของการทำงานเหน็ดเหนื่อย พยายามพึ่งการทำดี ทำความชอบธรรมด้วยตัวเราเอง ทำเท่าไรก็ไม่ครบ แล้วมีผล คือได้รับค่าจ้าง คือความตาย เพราะว่ากฎของพระเจ้ามีไว้อยู่แล้ว พระเจ้าตั้งกฎว่ามนุษย์จะสามารถหลุดพ้นจากความตาย มีวิธีเดียว คือมาพึ่งในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเยซูคริสต์มาตาย เพื่อเรา บนไม้กางเขน เรียบร้อยไปแล้ว หนทางการไปสู่สวรรค์ มีหนทางเดียว คือทางพระเยซูคริสต์ และพระเยซูบอกว่า

“เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางเรา”

พระเยซูบอกชัดเจน  ตอนที่พระองค์มาอยู่บนโลกใบนี้

ฉะนั้น เงื่อนไขที่พระเจ้าตั้งไว้ สำหรับมนุษยชาติ ก็คือเราพึ่งกำลังของตัวเองไม่ได้  ให้มาพึ่งพระเยซูคริสต์ และพระเยซูก็ได้ทำให้เราสำเร็จแล้ว ไม่ต้องไปพยายามดิ้นรน ทำความชอบธรรม ด้วยกำลังของเราเอง ไม่ต้องทำแล้ว หลังจากเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ

พระเจ้าบอกว่า … “ไม่ต้องทำอะไรแล้ว”

เราฟังแล้ว … “ไม่ต้องทำอะไร จริงหรือ?”

เพราะพระเยซูบอก … “ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว ตอนนี้เธอไม่ต้องพยายามทำดี เพื่อที่จะได้ขึ้นสวรรค์”

ฟังชัดๆ นะ … ตอนนี้ผู้เชื่อไม่ต้องพยายามทำดี เพื่อให้ขึ้นสวรรค์ เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว  แต่เราทำดี เพราะธรรมชาติใหม่ของเรา ข้างในเป็นความดี แล้วเราก็ให้ธรรมชาติใหม่ของเรา สำแดงออกมา แค่นั้นเอง

ฉะนั้น พอมนุษย์คาบเกี่ยวตรงนี้ บางทีเราก็ถูกหลอก แล้วความคิดเราก็กลับไปที่เดิม เราต้องทำความดี ให้พระเจ้าพอใจ

พระเจ้าบอก … “ไม่ต้องทำแล้ว ฉันพอใจแล้ว”

พอใจตรงไหน? เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา  แล้วเรามาเชื่อพระเจ้า  เราได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วพระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เพราะว่าผู้ชอบธรรมสะอาดหมดจด พระเจ้าพอใจแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมให้พระเจ้าพอใจอีก ก็คือพระเจ้าพอใจแล้ว แต่ที่เราทำความดี อย่างที่บอก พี่น้องต้องเน้น ตรงนี้เลย ที่เราทำดี เพราะข้างในเราดี  ข้างในเราดี จะให้เราไปทำไม่ดีได้อย่างไร? มันก็จะออกมาเอง แต่บางครั้ง เหมือนกับเผลอ หรือลืมตัว หรือถูกหลอกให้แถไปทำสิ่งที่ไม่ดี แป๊บหนึ่ง เราจะกลับมา เพราะว่าธรรมชาติข้างในเราเป็นความดี นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกว่าเราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราหมดจด เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ณ ปัจจุบัน ในโลกวิญญาณ วิญญาณเราสะอาดเลยนะ แต่ว่าเนื้อหนัง ธรรมชาติตรงนี้ เราก็ยังต้องต่อสู้ พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ มันก็จะมีความทุกข์ยาก ที่พระเยซูคริสต์บอก ใช่ไหม?

ทุกข์ยากอันแรก ก็คือในโลกวิญญาณ พูดถึงโลกวิญญาณ พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ โลกเป็นศัตรูกับเราเลย โลก หมายถึงมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายพระเจ้า เขาอยู่ฝ่ายอาดัม ก็คืออยู่ฝ่ายมืด อยู่ฝ่ายความดำ อยู่ฝ่ายของความบาป อยู่ฝ่ายของการต่อต้านพระเจ้า ฝ่ายของการปฏิเสธพระเจ้า การกบฏกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พอเรากลับมาเชื่อฟังพระเจ้าปุ๊บ  เรากับเขาต้องแยกกัน  เขาก็ต่อต้านเราในวิญญาณ โดยที่เขาไม่รู้ตัว เราก็ไม่รู้ตัว ในโลกวิญญาณ

พอคนได้ยินคำว่า “คริสเตียน” ปุ๊บ ไม่ชอบ นั่นในวิญญาณนะ วิญญาณไม่ชอบ พี่น้องเคยเป็นไหม? สมัยก่อน ตอนที่ดิฉันยังไม่เชื่อพระเจ้า พอคนมาประกาศเรื่องพระเยซู ข้างในเราไม่ชอบ คนที่มาประกาศน่ารักมาก พูดดีอีกต่างหาก แต่ไม่ชอบ แล้วเราก็ไม่เข้าใจ เราไม่ชอบเขาทำไม เขาแค่มาประกาศพระเยซู แต่พอเรามารู้ความจริง คือในวิญญาณ เราไม่ชอบเลย เป็นศัตรูกันทันที พอเรามาเชื่อพระเจ้า เขาก็ไม่ชอบเรา  เป็นศัตรูเหมือนกัน เมื่อก่อนเราไม่ชอบคริสเตียน ตอนนี้เราเป็นคริสเตียน  เขาก็ไม่ชอบเรา  เพราะเราเป็นคริสเตียน  นี่คือการถูกข่มเหง อันดับแรกในวิญญาณ

อันที่สอง ประสบความทุกข์ยากลำบาก คือในโลกวัตถุนี่แหละ ที่เราสัมผัสจับต้องได้ ตามองเห็น  ก็คือเรายังอยู่ในโลกนี้ ที่เสียหายไปแล้ว ระบบของโลกใบนี้ เสียหายหมดเลย ทำให้ธรรมชาติของร่างกายเรา ร่างกายที่พระเจ้าสร้างมา ตอนที่มนุษย์ยังไม่ได้ล้มลงในความบาป ร่างกายเราดีมากเลยนะ ระบบทุกอย่างดี แต่พอล้มลงในความบาปปุ๊บ ร่างกายข้างในเรา เกิดความเสียหาย  มีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น เจอความทุกข์ยากลำบาก เจอภัยพิบัติ สมมติว่าเขามีแผ่นดินไหว เราบังเอิญไปอยู่ตรงนั้น เราในฐานะคริสเตียน โอกาสตายก็มี นั่นแหละคือความทุกข์ยากในฝ่ายร่างกาย หรือทุกวันนี้ ที่มีโควิด ถามว่าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขามีผลกระทบ คนเชื่อพระเจ้า ก็มีผลกระทบเหมือนกัน  ไม่ได้หมายความว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า  เราไม่มีผลกระทบ เราตัวลอย มันมีผลกระทบ แต่ผลกระทบตรงนี้ พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา จะให้กำลังเรา ในขณะที่เราเผชิญความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ธรรมดา คือโลกนี้เสียหายไปแล้ว เราจะไปคาดหวังว่าโลกจะกลับมาสวยงามเหมือนเดิมไม่ได้ หรือเราจะคาดหวังว่ามนุษย์จะดีเลิศประเสริฐศรีไม่ได้ แล้วเราจะมาคาดหวังว่าพอเราเป็นคริสเตียน เราจะไม่เจอกับโรคภัยไข้เจ็บ เราจะไม่เจ็บ เราจะไม่ป่วย  เราจะไม่จน เราจะไม่เจอปัญหาครอบครัว มันไม่เกี่ยวกัน เพราะว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เรายังต้องเผชิญอยู่ เพราะว่าเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาป และความตาย

นี่คือสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้หมดเลย ทั้งโลกฝ่ายวิญญาณเราเป็นอย่างไร? โลกฝ่ายร่างกายเราเป็นอย่างไร?  เราจะได้รู้ว่าคริสเตียนป่วยเป็นนะ ไม่ใช่คริสเตียนป่วยไม่เป็น  พอป่วยปุ๊บ …

“ในนามพระเยซูจงหายๆ” แล้วไม่หายสักที

แล้วเราก็ … “อ้าว! พระเจ้า ไหนบอกพระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐรักษาเราหาย ทำไมไม่หายล่ะ”

แล้วเราก็เอาข้อพระคัมภีร์มาอ้าง สมัยก่อนเราเอามาอ้างบ่อยๆ ตอนที่เราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราก็ไม่เข้าใจหรอกว่าข้อพระคัมภีร์ที่พระเจ้าบอกในหนังสือ 1 เปโตร 2:24 ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์จะทำให้เราหายเป็นปกติ ก็คือเราเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์มา เพื่อที่จะรักษาเรา ให้เราหายเป็นปกติ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดชีวิตของเรา ซึ่งมันไม่ใช่  และก็ไม่เกี่ยวกันด้วย  เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้  แล้วเราก็จะมีคำถามว่า …

“พระเยซูโกหกหรือเปล่า? ฉันยังป่วยอยู่เลย ทุกวันนี้ฉันยังต้องไปหาหมอ ฉันยังต้องไปตรวจร่างกาย ฉันยังต้องกินยาอยู่เลย  อ้าว! พระเยซูบอกรักษาฉันหาย”

ในพระคัมภีร์ที่บอกรักษาหาย คือรักษาโรคบาป ฟังดีๆ โรคบาป ที่เรากบฏกับพระเจ้าให้หาย ทำให้เราสามารถมาคืนดีกับพระเจ้าได้ ครบถ้วนสมบูรณ์ในโลกวิญญาณ

ฉะนั้น ในโลกใบนี้ ไม่ว่าเราเจออะไรก็ตาม เราก็จะมีกำลังจากพระเจ้าเสริมอยู่ข้างใน

บางทีเรา … “ไม่ไหวแล้วพระเจ้า อะไรเยอะแยะ ประดังเข้ามา”

บ่นได้นะพี่น้อง บ่นได้ไม่ผิดไม่บาปด้วย เพราะว่าพระเจ้ารู้ว่าเราอ่อนแอ

“พระองค์เจ้าข้า ทำไมพระองค์อนุญาตให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้มาเจอกับพวกเรา”

แล้วพระเจ้าก็บอก จริงๆ นะ มนุษย์ก็ทำให้โลกเสื่อมเสียไปแล้ว เรายังอยู่ในระบบโลกนี้ เหมือนพระองค์ไม่อนุญาต ก็ต้องอนุญาตนั่นแหละ เพราะมนุษย์เป็นผู้ทำให้มันเสียหาย

มันก็ออกมาเป็นภาพนี้ พอเราเห็นภาพความจริง ทั้งโลกวิญญาณ  โลกวัตถุ เราก็จะมีกำลัง ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แล้วเรารับรู้ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าแม้กายภายนอกของเรา ที่อยู่บนโลกใบนี้  มันจะค่อยๆ เสื่อมสลายไป แต่วิญญาณ ภายในของเรา ใหม่อยู่ตลอดเวลา แล้ววิญญาณข้างในเราตรงนี้แหละ คอยความหวัง ความหวังตรงนี้ ไม่ได้หวังว่าเราจะรอดได้ชีวิตนิรันดร์นะ  ไม่ต้องหวัง เพราะเราได้แล้วในโลกวิญญาณ  แต่เราหวังที่พระเจ้าบอกว่าร่างกายนี้ มันทรุดโทรมแล้ว มันไม่ไหวแล้ว ก็รอเวลาที่เราจะทิ้งร่างกายนี้ แล้วไปรับร่างกายใหม่  ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่พระเจ้าเตรียมให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ เราไปสวมร่างกายใหม่ทันที

นี่คือความหวังใจของคริสเตียน ซึ่งความหวังใจตรงนี้แหละ จะทำให้เรามีกำลังใจ สู้อีกอึดใจหนึ่ง ความทุกข์ยากทำให้เราอดทน และความอดทนทำให้เราสามารถให้พระเจ้าใช้ได้ แล้วคนอื่นมองทำไมคริสเตียน เขาถึงทนได้ ชีวิตเขาเป็นอย่างนี้ ทำไมเขายังทนได้ ทำไมเขายังขอบคุณพระเจ้าได้ นั่นแหละเรากำลังฉายแสงของพระเยซูคริสต์ออกไป ให้เขาเห็น …

“นี่ไง ฉันมีพระเจ้าไง ฉันถึงทนได้ ถ้าฉันไม่มี ฉันตายไปแล้ว ไม่อยู่ถึงตอนนี้หรอก”

มันเป็นภาพอย่างนี้ที่พระเจ้าจะให้เราเข้มแข็ง ให้กำลังเรา มีหนทางพาเราผ่านได้ …

“เอ๊ะ! พระเจ้าจะหาทางแบบไหน? อย่างไร?”

ไม่ต้องคิด คิดแล้วเหนื่อย พระเจ้าบอก พระเจ้ามีหนทาง หนทางมันมีคำตอบแน่นอน เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์อธิษฐานกับพระเจ้า ขอให้จอกนี้เลื่อนไปได้ไหม? พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูเจอความทุกข์ทรมาน  แล้วรู้ว่าจะต้องเดินไปที่ไม้กางเขน  ต้องทุกข์ทรมาน ต้องถูกตอก ต้องเลือดออกจนหยดสุดท้าย  แล้วก็สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อล้างบาปให้กับมนุษย์ พระเยซูกลัวนะ ไม่ใช่ไม่กลัว ในตอนนั้นเป็นมนุษย์

พระเยซูอธิษฐานกับพระเจ้า … “พระองค์เจ้าข้า ไม่ต้องไปได้ไหม? ไม่เอาได้ไหม?”

แต่สิ่งที่พระเยซูพูดต่อจากคำว่า … “ไม่เอาได้ไหม?” … “ยังไงก็ตามให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”

แล้วพระเจ้าก็ไม่ตอบพระเยซูว่า … “โอเค เธอไม่อยากไป ก็ออกมา”

เปล่าพระเจ้าก็ไม่ตอบ แต่ว่าพระเยซูรู้แล้ว พระเจ้าไม่ตอบ อย่างไรก็ต้องเดินไป ภาพเดียวกัน เป็นภาพที่อาจารย์เปาโลอธิษฐานขอให้หนามในเนื้อออกไป ตั้ง 3 ครั้ง

พระเจ้าก็บอก … “อยู่ตรงนั้นดีแล้ว  ที่เธอมีพระคุณของฉันก็พอแล้ว”

แล้วทุกวันนี้ พวกเราผู้เชื่อ เรามีพระคุณของพระเจ้าอยู่กับเรา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว และพระเจ้าก็จะให้กำลังเรา กำลังในการเดินบนโลกใบนี้ พระเจ้ารู้ดีกว่าเรา ความรู้สึกเราว่าไม่ไหวๆ แต่พระเจ้ามองแล้ว เธอยังไหวอยู่ พระเจ้าก็พาเราเดินไป แล้วสิ่งที่พระเจ้าจะบอกเราตลอดเวลา คือ …

“ฉันไม่เคยทิ้งเธอ ฉันอยู่กับเธอ ฉันอยู่ในเธอ ฉันจูงมือเธอเดิน แม้ตอนที่เธอเจอความทุกข์ยากลำบาก เธอมีความรู้สึกว่าฉันไม่อยู่ด้วย แต่ฉันอยู่ด้วย”

เหมือนในพระคัมภีร์เดิมที่บอกว่าแม้หญิงที่ให้นมลูก สามารถลืมลูกได้ แต่พระเจ้าไม่เคยลืมเรา มันเป็นภาพที่พระเจ้ากำลังพูดให้เราเห็น ในอนาคตข้างหน้าว่าพระเจ้าจะทำอย่างนี้ พระเจ้าจะส่งพระเยซูคริสต์มา แล้วพระเจ้าจะไม่ทิ้งเรา ไม่ลืมเรา เหมือนกับแม่บางคนให้ลูกกินนม เดี๋ยวไม่เอาแล้ว ขี้เกียจแล้ว เอาลูกไปทิ้ง มีอยู่นะ แต่พระเจ้าบอกว่าแม้จะเป็นอย่างนั้น  แต่พระเจ้าจะไม่ทิ้งเรา  พระเจ้าอยู่กับเราแน่นอน

นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่  แล้วในช่วงสภาวะที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้ รู้นะว่าพี่น้องทุกคนเจอความทุกข์ยากลำบาก แต่ละอย่างมันจะไม่เหมือนกัน  ให้เราขอบคุณพระเจ้า รับรู้ว่าพระเจ้าจะไม่ทิ้งเราแน่นอน เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่าเราจะต้องทำอะไรอย่างไร แต่พระเจ้าจะนำเรา ถึงเวลา พระเจ้าก็นำเราค่อยๆ เดินไป อย่างไรเราก็จะผ่านไปได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

******************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

กาลาเทีย 2:16 “ยังรู้ว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยการถือรักษาบทบัญญัติ แต่เป็นได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เราเองจึงเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม  โดยความเชื่อในพระคริสต์  ไม่ใช่โดยการทำตามบทบัญญัติ เพราะว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้  โดยการทำตามบทบัญญัติเลย”

 

โรม 5:17 “เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว  เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครอง  ผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด บรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณและของประทานแห่งความชอบธรรม  ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้น  ย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียวคือพระเยซูคริสต์”

 

โรม 3:22 “ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้  ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ ไม่มีข้อแตกต่างกัน”

พระเจ้าได้ฆ่าเราให้ตายแล้ว  พร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่กางเขน   ได้ฝังเราแล้วในอุโมงค์  และได้ชุบเราให้เป็นขึ้นจากตายบังเกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยชีวิตจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยพระสิริเหมือนพระเยซูคริสต์

 

กาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า  ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้  ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า  ผู้ทรงรักข้าพเจ้าและประทานพระองค์เอง  เพื่อข้าพเจ้า”

 

1 ยอห์น 4:17 “แบบนี้สิ ความรัก​ของ​พระเจ้า​ถึง​สำเร็จ ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์ ​ใน​พวก​เรา เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม  ​ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

 

อย่างนี้เรียกว่าข่าวดีที่สุดในมหาจักรวาล  แด่มนุษย์ทุกคนที่เชื่อ

 

พระเจ้าอวยพรครับ