วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1535

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  สิงหาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 2 ยอห์น” ตอน 2 “จงระวังความเท็จ ที่จะทำให้สูญเสียความมั่นใจในความจริงของข่าวดี”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาต่อ “หนังสือ 2 ยอห์น” ตอนที่ 2 “จงระวังความเท็จ ที่จะทำให้สูญเสียความมั่นใจในความจริงของข่าวดี”

            อาจารย์ยอห์นเน้นมา ตั้งแต่ใน 1 ยอห์น บทที่ 1 จนถึงเดี๋ยวนี้  เราจะเห็นว่าอาจารย์ยอห์นเน้นเรื่องนี้มากๆ สำคัญมากๆ ก็คือเรื่องของความจริง ความจริงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่อาจารย์ยอห์นพูดถึงตลอด หนังสือทั้งเล่ม 1 ยอห์น 2 ยอห์น 3 ยอห์น  และหนังสือยอห์น ย้ำว่าให้ระมัดระวังข้อมูลต่างๆ ที่พี่น้องคริสเตียนได้ยินได้ฟังในคริสตจักร ในบางคน หรือในบางพี่น้องที่พูดหรือประกาศ เกี่ยวกับเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ให้กับเรา ซึ่งข้อมูลเหล่านั้น ไม่เป็นความจริง มันก็คือเป็นความเท็จ ให้เราระมัดระวังความเท็จเหล่านี้

            ความจริง คือตัวตนของพระเยซูเอง  พระเยซูเป็นความจริง ใครมีพระเยซูอยู่ ก็มีความจริงอยู่  พระเยซูอยู่ในเรา ความจริงก็อยุ่ในเรา นี่อาจารย์ยอห์นพูดอย่างนั้น พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับผู้ใด ผู้นั้นก็เป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อ  และพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับผู้เชื่อตลอดเวลา เสมอไปเป็นนิรันดร์  ไม่มีเข้าๆ ออกๆ อาจารย์ยอห์นเน้นความจริงตรงนี้ ความจริง ก็คือพระเยซู … พระเยซู คือความจริง พระเยซูประกาศความจริงให้กับเราทั้งหลายได้รับรู้ว่าความจริงนี้ ทำให้เราได้รับความรอด  พูดง่ายๆ ว่าความจริงนี้ ก็คือข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้าเป็นความจริง ต้องเป็นไปตามที่พระเยซูสอนหรือประกาศ จึงจะเรียกว่าข่าวดี เป็นของจริง

            พระเยซูประกาศอะไร? เราคิดดูสิ ถ้าบอกข่าวดี พระเยซูประกาศ ท่านคิดถึงอะไร? พระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ เป็นมนุษย์ปุ๊บ ประกาศข่าวดีเลย พระองค์ประกาศ สรุปรวมแล้ว ข่าวดีของพระองค์ คือพระเยซู คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  นี่คือหัวใจที่สำคัญที่สุดของข่าวดี สั้นที่สุด ง่ายๆ ใครถามท่าน บอกข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์มาเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วจึงขยายต่อไปว่ามาประสูติเป็นมนุษย์ เพื่ออะไร? ก็เพราะมนุษย์เป็นคนบาป เห็นไหม? พระเจ้าจึงมาช่วย มนุษย์ช่วยเหลือกันเองไม่ได้ เพราะต่างคนก็ต่างเป็นคนบาปทุกคน พระเจ้ามีเมตตา มีความรักยิ่งใหญ่มหาศาล จึงส่งพระบุตรของพระองค์ ที่มีเพียงพระองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้ามาเสียสละ มาเกิดในสถานะที่ต่ำต้อย สละสถานะพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ที่เป็นคนบาป ให้กลับคืนสู่พระเจ้า นี่คือข่าวดี เห็นไหม? มันง่ายมาก

            แต่มาถึงปัจจุบัน ข่าวดีมา 2,000 ปีแล้ว ทำไมข่าวดีอธิบายกันยากมากเลย ลำบากลำบน มากด้วยสติปัญญาของมนุษย์ ใส่เข้าไปเยอะแยะมากมายไปหมด จนกระทั่งงงไปหมดเลย ข่าวดีคืออะไร?  ถามคริสเตียน หรือไม่ใช่คริสเตียน ก็งง ข่าวดี คือไม่รู้อะไร? มันเยอะไปหมด สะเปะสะปะไปหมด นี่คือความสำคัญของคำว่าข่าวดี หรือความจริง ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ คือความเท็จ และขยายต่อไปอีกว่ามาช่วยมนุษย์ด้วยวิธีใด  ก็โดยการมาเกิดเป็นมนุษย์และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระล้างมนุษย์ให้พ้นจากบาปทั้งปวง และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อมนุษย์จะได้สามารถบังเกิดใหม่ มาเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เพื่อพระเจ้าจะได้มาสถิตอยู่ด้วยได้ เห็นไหม? มันจบแค่นี้เอง พระเจ้ามาช่วยมนุษย์ ไถ่มนุษย์ โดยพระบุตร สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระโลหิตของพระองค์หลั่งไหลออกมา เพื่อชำระบาปทั้งปวง  ทั้งหมดของมนุษย์เลย ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งสิ้น เอาบาปนี้ออกไปเลย และทำให้คนบาปนั้นได้ตายไปเลย แล้วได้เกิดใหม่พร้อมพระเยซูคริสต์ เป็นคนใหม่เอี่ยม เพื่อว่าจะได้เป็นพระวิหารของพระเจ้า  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ได้ภายในร่างกาย

            นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเจ้า มนุษย์สามารถเข้ามาร่วมชีวิตนิรันดร์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้แล้วจริงๆ นี่เป็นความจริง และได้โดยการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เพียงผู้เดียวเท่านั้น และได้รับตรงนี้แล้ว และจะอยู่อย่างนั้นตลอดไปเลย

            ผู้หลอกลวง ก็คือผู้สอนเท็จ ที่อาจารย์ยอห์นได้พูดถึง ก็คือใช้คำนี้ว่า “ปฏิปักษ์พระคริสต์”  อาจารย์ยอห์นบอกว่าไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา  พูดง่ายๆ ว่าเขายังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ปฏิปักษ์พระคริสต์จำได้ใช่ไหม? ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 ก็เริ่มต้นพูดให้คนเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ได้ยินได้ฟังว่าท่านเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ท่านไม่ได้เป็นพี่น้องคริสเตียนจริงๆ  เพราะว่าท่านไม่มีความจริงอยู่ในตัว  เพราะท่านไม่ได้เชื่อในข่าวดี

            ข่าวดีที่ตะกี้นี้ผมได้อธิบายให้ฟังตอนต้น เพราะท่านไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม? หัวใจแค่นี้ คือรู้ทันทีว่าคนนี้ เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์หรือผู้ต่อต้านพระคริสต์ วิธีต่อต้านพระคริสต์ คือไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พอไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มันก็จะไม่เชื่อในสิ่งต่างๆ ต่อจากนั้นเยอะแยะมากมาย ที่เราคุยกันเมื่อสักครู่นี้ว่าพระเยซูมาเป็นมนุษย์ เพื่ออะไร?

            ยกตัวอย่าง เช่น เมื่อไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่เชื่อว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการความช่วยเหลือ  ก็เลยไม่ต้องการความเชื่อ นึกว่าช่วยตัวเองได้  อะไรประมาณนี้ นี่แหละคือความเท็จ เกิดขึ้น เพราะอย่างนี้  เพราะโลกไม่ต้องการให้ความจริงนี้ ถูกเปิดเผย ก็คือไม่ให้ความจริงเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า มาช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้ ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาปและความตายนั้น ไม่ให้มนุษย์ได้รับรู้ และได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้  จึงพยายามปิดบังตาเรา ด้วยทุกวิถีทาง ต่อต้านความจริงเหล่านี้ เรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ มีแค่นี้เอง ปฏิปักษ์พระคริสต์ หมายถึงอย่างนี้

            และอาจารย์ยอห์นก็บอกว่าความจริงเหล่านี้ เป็นความจริงที่อยู่ภายในวิญญาณ ภายในร่างกายของมนุษย์ผู้ที่เปิดใจต้อนรับความจริงนี้เท่านั้น คือผู้เชื่อเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ตามองเห็น หรือสัมผัสได้ หรือรู้สึกได้  แต่เป็นความสัมพันธ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับความจริงนี้ทางฝ่ายวิญญาณ  เป็นวิญญาณเดียวกันถึงจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ เรียกว่าสามัคคีธรรมกัน อาจารย์ยอห์นใช้คำนี้ว่า “สามัคคีธรรมกัน” คือรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน สัมพันธ์กัน ติดต่อกันได้กับพระเจ้า ก็คือผู้เชื่อได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์ สามารถสัมพันธ์ติดต่อกันได้ เป็นสามัคคีธรรมกัน เป็นพี่น้องกันในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราเรียกว่าคริสเตียน (แท้จริง) เป็นอย่างนี้ อย่ามาอ้างมาเป็นพี่น้องคริสเตียนเหมือนกัน อย่ามาอ้างมาอยู่ในคริสตจักร อยู่ในชุมชนเดียวกัน เป็นพี่น้องกัน  อย่ามาอ้าง เพราะว่าเธอไม่ได้เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  แม้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เธอทำ หลายอย่างจะดูเหมือนก็ตาม  แต่นั่น เป็นสิ่งที่ตามองเห็น  ฉันไม่ได้เชื่อ เพราะความรู้สึก  แต่ฉันเชื่อ เพราะความเป็นจริง จากถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้เช่นนั้น ความเชื่อ ความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก

            ความจริง คือความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก เราลองคิดดูสิว่ามันจริงไหม? ความจริง ก็คือความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก  ความจริงอยู่ภายใน ความรู้สึกอยู่ภายนอก

            ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง จะเห็นชัดเลย ตัวอย่าง เช่น เวลาเรานมัสการด้วยบทเพลงในชีวิต จะเห็นชัดมากถึง 2 อันนี้ คือความจริงกับความรู้สึก  พระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? พระเยซูบอกว่าให้เราผู้เชื่อนั้น นมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความรู้สึก  ไม่ใช่ ให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง ให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ ไม่สำคัญ เพราะเรารู้อยู่แล้ว วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า นมัสการด้วยวิญญาณแน่นอนทุกคน เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้ว นมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ และอาจจะตามด้วยนมัสการพระเจ้าและความรู้สึกได้  ไม่เชื่อ

            เดี๋ยวเราจะสังเกตดู ในเพลงเดียวกัน สมมติว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ จิตข้าสรรเสริญ พระเจ้ายิ่งใหญ่ ท่านร้อง วันนี้อินมากกับเพลงนี้เลย น้ำหูน้ำตาไหล พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ ลูกรักพระองค์จริงๆ เลย นมัสการสุดหัวใจเลย นึกออกไหม? นมัสการด้วยวิญญาณและความจริง สุดๆ เลย ปรากฏว่าเพลงเดียวกัน สัปดาห์ต่อไป หรือรุ่งขึ้น ท่านกลับไปร้องที่บ้าน ท่านมีความรู้สึกเหมือนเดิมไหม? ไม่เหมือน ถูกไหม? ความรู้สึกท่านอาจจะกลับไปถึงบ้าน แอร์ก็ไม่เย็นเท่าที่โบสถ์ พี่น้องก็ไม่ได้มาร่วมร้อง เราร้องเองก็เพี้ยน ไม่เพราะเหมือนที่เราร้องที่โบสถ์ ร้องอย่างไรก็เพราะ เพราะว่าพี่น้องช่วยกันร้องหลายคนเป็นหมู่ มีเสียงประสานเต็มไปหมดเลย เรามีความรู้สึกร่วมไปด้วย เราก็เลยรู้สึกว่าวันนี้นมัสการพระเจ้า แบบพระเจ้าพอใจมาก เพราะเรานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ถูกหรือผิด? ผิด เรารู้สึกอย่างนี้ผิดนะ  เพราะถ้าเรารู้สึกอย่างนี้เมื่อไร? วันอังคารเราอาจจะหงุดหงิด มีอารมณ์ไม่ดี จนกระทั่งถึงวันอาทิตย์ มาที่โบสถ์ แล้วนมัสการพระเจ้าด้วยบทเพลงใหม่อะไรต่างๆ เหล่านั้น เราไม่มีอารมณ์ร่วมแล้ว เราก็รู้สึกว่าวันนี้นมัสการไม่ดีเลย  วันนี้นมัสการแย่มาก ผู้นำนมัสการ ก็ไม่ค่อยดี ไม่อินเลย เพราะว่าเราไปฝากชีวิตเรา ที่ความรู้สึก ฝากความเชื่อเราไว้ที่ความรู้สึก แทนที่จะใช้ความเชื่อเราตามที่พระคัมภีร์บอก นมัสการด้วยวิญญาณและความจริง

            ความจริง คือพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราเสมอ ตลอดเวลา เอเมนไหม? เรานมัสการพระองค์ รู้สึกอย่างไรช่างมัน มันจะรู้สึกอย่างไรไม่รู้ แต่ฉันกำลังนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง

            “ความจริง คือฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ฉันนมัสการพระองค์ ฉันรักพระองค์ ฉันเป็นลูกของพระองค์ ฉันสะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว”

            แค่นี้เอง ไม่ต้องฝืนว่าไม่ได้ ต้องชูมืออย่างนี้ มันถึงจะสุดๆ  ไม่ชูก็ได้ วันนี้ไม่มีอารมณ์จะชู แต่ฉันรู้ว่าฉันนมัสการพระเจ้า ลึก สนิท เท่าๆ กับเมื่อวานซืนนี้ ที่อินมากๆ วันนี้ไม่อิน ไม่เป็นไร แต่มีความเชื่อว่าฉันอินเหมือนเดิมแหละ ทำได้ไหม? ฉะนั้น ไม่ต้องพยายาม ต้องฝืน ไม่ต้องฝืน ว่ากันไปตามนั้น วันนี้ปวดท้องมา ก็ยังปวดท้องอยู่เหมือนเดิม นมัสการพระเจ้าไป ก็รู้ว่าปวดท้องไป นมัสการพระเจ้าไป ฉันยังนมัสการพระเจ้า รักพระเจ้าเหมือนเดิม ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่นิดเดียว นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

            และยกตัวอย่างอีกอันหนึ่งให้ฟังยิ่งชัดใหญ่เลย นมัสการในบทเพลง แต่ก่อนผมชอบเพลงนี้มากเลย และอิน นมัสการทีไร ซึ้ง ท่านคิดดูว่านั่นเป็นความรู้สึก หรือเป็นความจริง ท่านทราบ รู้เรื่องเหล่านี้แล้ว  ท่านเป็นคนตรวจผมว่าผมนมัสการอย่างนี้ด้วยความรู้สึกหรือความจริง ร้องบทเพลงนี้ แต่ก่อนนี้ชอบมาก  แล้วร้องแต่ละที น้ำตาไหล รู้สึกซาบซึ้งกับพระเจ้ามาก อยู่ใกล้พระเจ้ามากเลย

                        “โปรดฟื้นน้ำใจ ชำระภายใน  ทรงสร้างข้าใหม่ โอ พระวิญญาณเจ้า”

            คุ้นไหมเพลงนี้  ถามว่าผมร้องเพลงนี้ด้วยความซาบซึ้ง ผมใช้ความรู้สึกหรือใช้ความจริง ใครบอกใช้ความรู้สึก ยกมือขึ้น? ใครบอกใช้ความจริง ยกมือขึ้น?  ดีใจจังที่มี 2 ฝ่าย  แสดงว่ามาพูดคุยวันนี้มีประโยชน์จริง เดี๋ยวผมจะชี้ให้ท่านเห็น

            “โปรดฟื้นน้ำใจ ชำระภายใน” ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ได้รับการชำระเรียบร้อยหรือยัง?  แล้วขอพระเจ้าทำไม?

            “ทรงสร้างข้าใหม่” ท่านเป็นคริสเตียน ท่านได้รับการบังเกิดใหม่หรือยัง? พระเจ้าสร้างท่านใหม่หรือยัง?  ตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ท่านรับเชื่อแล้ว แล้วต้องขออีกไหม?  ก็แสดงว่าท่านกำลังบอกพระเจ้าว่าไม่จริง พระเยซูบอกว่าด้วยโลหิตของเรา ท่านได้รับการชำระแล้วตลอดไป  อภัยบาปทั้งปวงแล้ว ท่านบอกว่าไม่จริง

            พระคัมภีร์บอกว่าท่านได้บังเกิดใหม่ ได้รับการสร้างใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยม 2 โครินธ์ 5:17 ทุกสิ่งทุกอย่าง จงมองให้เห็นเถิด มันใหม่หมดเลย  ท่านบอกไม่จริง ถ้าท่านนมัสการพระเจ้าด้วยความจริง  ท่านต้องบอกว่าเอเมนสิ  ถ้าเอเมน ท่านก็ร้องไม่ออกแล้ว “ทรงสร้างข้าใหม่” ท่านร้องไม่ออก เหมือนตอนนี้ พอเรารู้แล้ว ผมรู้แล้ว ผมก็ร้องไม่ออก ผมก็ได้แต่ฮัมทำนองตามเขา ถ้าเกิดมีใครนมัสการเพลงนี้ขึ้นมา ผมก็ไม่ได้โวยวาย ไม่ได้อะไร ก็ยังนมัสการเหมือนเดิม  แต่ผมก็จะฮัมเพลงตาม แต่ในใจผมคิด สร้างเรียบร้อยแล้ว “โปรดฟื้นน้ำใจ” ฟื้นเรียบร้อยแล้ว ฟื้นพร้อมพระเยซูคริสต์ “ชำระข้า” โลหิตพระเยซูคริสต์ชำระแล้ว เขาร้องไป ผมก็นมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง

            เห็นตัวอย่างว่าความจริงคือความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก ต้องแยกกัน ท่านสามารถที่จะรู้สึกว่าสูญเสียความรอดไปแล้วได้  แต่ท่านไม่สามารถสูญเสียความรอดได้ ถูกไหม? ท่านสามารถรักพี่น้องทุกคนได้ ถูกไหม? แต่ท่านสามารถที่จะรู้สึกว่าไม่รักคนนี้ได้ ถูกหรือไม่ถูก? คิดให้ดีๆ  และอย่าหันไปมองข้างๆ  ถูกไหม?  ท่านสามารถรู้สึกว่ารักคนนี้มากกว่าคนนี้ได้ แต่ท่านไม่สามารถที่จะรักคนนี้มากกว่าคนนี้ได้ทางวิญญาณ เป็นไปไม่ได้ เพราะวิญญาณท่านบริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนพระเยซูคริสต์ รักเขาเท่าๆ กัน ไม่ได้รักเขา เพราะสิ่งที่เขาประพฤติ กระทำ แต่รักเขา เพราะว่าเขาเป็นความรัก เป็นพี่น้องร่วมกันในพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายเดียวกัน บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนกับเราเลย ไม่มีผิด เราจึงรักเขาด้วยความรัก ที่เป็นนิรันดร์ที่พระเยซูคริสต์ได้ใส่ไว้ให้กับเราในวิญญาณของเรา พระองค์ทรงรักเราก่อน เราจึงสามารถรักคนอื่นได้  เพราะเรามีความรักที่เป็นอากาเป้แบบพระเยซูคริสต์ นี่คือความจริง แต่ความรู้สึกเรา มันแล้วแต่อารมณ์บนโลกใบนี้ อารมณ์เสียขึ้นมา เราก็รักไม่ลง มันเป็นเรื่องธรรมดา

            ฉะนั้น ถ้าเผื่อคริสเตียน ได้รับรู้สิ่งเหล่านี้ ได้แยกออก เห็นชัดเจนในสิ่งเหล่านี้ มันจะมีประโยชน์มากเลย ที่จะไม่ถูกหลอก  อาจารย์ยอห์นจึงพยายามอธิบายเรื่องนี้ให้เราได้เห็น ได้ชัดเจนว่าต้องระมัดระวังความเท็จ หรือผู้หลอกลวง ก็คือมาร สร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อต่อต้านความจริงของพระเยซูคริสต์ทั้งหมด แม้กระทั่งบทเพลงตะกี้นี้ ที่เรายกตัวอย่างขึ้นมา ก็เช่นเดียวกัน

            ยกตัวอย่างตรงกันข้ามบทเพลง สมมติว่าเรานมัสการ แล้วเราร้องว่า …

                        “พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า

                        พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า เต็มใจเดินตามด้วยความยินดี

                        พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที”

            เห็นไหม? ทางวิญญาณนมัสการพระเจ้า ทางความรู้สึก ตอนนั้นอาจจะอารมณ์ไม่ดี แต่ร้องไป มันถูกไหม? มันถูกถ้อยคำพระเจ้า ก็คือการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง แต่ความรู้สึกไม่ดี ล้มเหลว คือความรู้สึกตอนนั้น อารมณ์เสีย แอร์มันเสียที่โบสถ์ ร้อนก็ร้อน วันนี้นมัสการเพลงนี้ไป ก็กระยุกกระยิก ไม่รู้สึกอินกับบทเพลงนมัสการ รู้สึกนมัสการพระเจ้าไม่ดีเลย  แต่จริงๆ แล้วมันดีกว่าวันก่อนนี้ ที่ร้องบทเพลงเพี้ยนๆ จากถ้อยคำพระเจ้าไป เห็นอะไรบางอย่างไหม?  นี่แหละ คือสิ่งที่น่าสังเกตดู

            เพราะศัตรู คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็คือมาร  ในพระคัมภีร์บอกว่ามารคอยกล่าวหาเราอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน กล่าวหาเราผู้ที่เป็นผู้เชื่อว่าเป็นผู้ไม่ชอบธรรม ความจริง คือเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม มารก็จะกล่าวหาเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเลย เราหลับ มันก็กล่าวหา  ถ้ามันทำให้เราฝันได้ มันก็ทำให้เราฝัน  คือส่งความคิดเข้ามา ส่งอะไรต่างๆ เข้ามาให้เราหงุดหงิด ให้เราเครียด ฝันอะไร? ฝันตรงกันข้าม ฝันไม่ใช่ชอบธรรม  ไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีพร้อม กล่าวหาเราตลอดเวลา  เรายังเป็นคนบาปเหมือนเดิม

            คำกล่าวหาเหล่านี้มันจะอยู่ในความคิดของเราตลอดเวลา ตลอดการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกๆ วัน ทุกๆ วินาที มันส่งเข้ามาตลอดเวลา วนเวียนอยู่ในความคิดของเราตลอดเวลา  ถ้าเราเผลอเมื่อไร? เราก็จะไปคิดตามมัน นั่นหมายถึงเรากำลังเชื่อความเท็จ อาจารย์ยอห์นจึงบอกให้เราระมัดระวังความเท็จตรงนี้ ไม่ใช่ระมัดระวังมารมันจะมาทำอะไรเรา ไม่ใช่ แค่เราต่อต้าน มันก็ต้องหนีไปด้วยความตกใจสุดขีดแล้ว ในหนังสือยากอบ 4:7 ได้บันทึกไว้  มันจะบอกเราว่าเราไม่บริสุทธิ์พอ มันจะบอกว่าเราไม่ได้เกิดใหม่ มันจะบอกว่าเราไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า  มันจะบอกว่าพระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่กับเราแล้ว พระเจ้าไปแล้ว เห็นไหม? พูดง่ายๆ มันจะปฏิเสธและต่อต้านพระคริสต์ พระคริสต์คือความจริง ก็คือต่อต้านความจริงทั้งปวง ที่อยู่ในเราแล้ว อยู่ในวิญญาณเราแล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้ แต่มันทำให้เราเสียศูนย์ได้ คือสูญเสียสิ่งที่ควรได้ จากการเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน เป็นผู้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรียบร้อยแล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้ สันติสุขเกินกว่าความคิดมนุษย์จะเข้าใจอยู่ในเราแล้ว เราจะสูญเสียสิ่งเหล่านี้เท่านั้น ความจริง ความรอดยังคงอยู่

            ถามว่าความรอดมีโอกาสที่จะสูญหายไปจากเราไหม? วันนี้จะพูดเรื่องนี้ละเอียดนิดหนึ่ง เพราะว่าสำคัญมากเลย เพราะมีคนเข้าใจผิด และเข้าใจถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ ที่จะบรรยายผิดเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า “จงระมัดระวัง” ความจริง คือ “จงระมัดระวังความเท็จ” ที่ตะกี้นี้อธิบายมา  แต่ถูกบิดไม่เข้าใจ ทำให้ความเท็จเข้ามาแทนที่ ก็คือ “จงระมัดระวังว่าจะสูญเสียความรอด” พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ จงระมัดระวังสูญเสียความรอด ใครบอกล่ะ เดี๋ยวเราจะมาดูกันว่าตรงนี้หมายถึงอะไร?

            จงระมัดระวังสูญเสียความรอด หรือจงระมัดระวังสูญเสียความจริง คือถูกความเท็จหลอก ขโมยความจริงไป …

        2 ยอห์น 1:7 “เพราะมีคนล่อลวงจำนวนมากแล้ว (ผู้ชักนำให้หลงผิด ผู้หลอกลวง และผู้นำเทียมเท็จ) ได้ออกไปในโลก คือคนเหล่านั้นที่ไม่รับรู้ (ไม่ยอมสารภาพ ไม่ยอมรับ) การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ (พระเมสสิยาห์) ที่อยู่ในสภาพมนุษย์อย่างแท้จริง คนเช่นนี้ คือคนล่อลวง (ผู้ชักนำให้หลงผิด ผู้หลอกลวง ผู้นำเทียมเท็จ) เป็นศัตรู ฝ่ายตรงข้ามของพระคริสต์ และคือ “ปฏิปักษ์พระคริสต์” … ”

            “จงระวังความเท็จ ที่จะทำให้สูญเสียความมั่นใจในความจริงของข่าวดี” เป็นหัวข้อเรื่องที่ผมตั้งมาในวันนี้  และจะเน้นให้เห็นชัดเจน เริ่มต้นจากข้อ 7 “เพราะมีคนล่อลวงจำนวนมากแล้ว” ผู้ล่อลวงจำนวนมากคือใคร?  คือผู้ชักนำให้หลงผิด ผู้ล่อลวง ผู้นำเทียมเท็จ เป็นคนนี่แหละ ไม่ใช่เป็นวิญญาณชั่ว เป็นอะไรต่างๆ ตามที่เขาถูกหลอก ให้ไปเน้น หรือพุ่งไปที่เป้าหมายที่ผิดว่าเป็นมาร หรือวิญญาณชั่ว ตัวใหญ่โตมาเข้าสิง หรือมาเข้าครอบงำคนที่มีอิทธิพล มีอำนาจ ในการเมือง หรือในโลกใบนี้ ไม่ใช่ หมายถึงคนทั่วๆ ไปนี่แหละ เยอะแยะมากมาย มีจำนวนมากแล้ว คือมีผู้ชักนำ ให้หลงผิด ผู้หลอกลวง ผู้นำเทียมเท็จ ผู้สอนเท็จนั่นเอง ให้ออกไปทั่วโลกเลย แล้วใครเป็นคนชักจูง หรือครอบงำเขาเหล่านั้น ก็คือมารที่ทำงานอยู่บนโลกใบนี้  ที่ปิดบังความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ทำงานกับทุกคนแหละ ใครที่ยอมให้มันทำ ก็คือคนที่ไม่รู้ความจริง  ก็เท่านั้นเอง

            คนเหล่านั้น ไม่รับรู้ ก็คือไม่ยอมสารภาพ ไม่ยอมรับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์เท่านั้นเอง  ที่อยู่ในสภาพของมนุษย์อย่างแท้จริง คนเช่นนี้ คือคนล่อลวง ชักจูง นำผิด สอนผิด หลอกลวง ผู้นำเทียมเท็จ  เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือพวกที่เรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ คือเป็นศัตรูกับพระคริสต์ ก็คือใคร? ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 แล้ว ก็คือคนเหล่านั้นที่มาสอนบอกว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์นั่นเอง ปฏิเสธข่าวประเสริฐ ปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้เป็นคนบาป อะไรประมาณนั้น นี่แหละ คือคนพวกนี้ และคนพวกนี้อยู่ไหน? ก็อยู่ท่ามกลางกลุ่มของคริสเตียน  มาชักจูงบรรดาพี่น้องคริสเตียน ให้เชื่อในสิ่งที่เขาถูกหลอกว่าเป็นความจริง

            ในข้อความเมื่อสักครู่นี้ เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของความจริง อย่างที่บอกว่าพวกปฏิปักษ์พระคริสต์ มาเพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น คือมาเพื่อขโมยเอาความจริงนี้ไป เท่านั้นเอง ข้อความอาจารย์ยอห์นจึงบอก หนุนใจให้ผู้เชื่อหรือคริสเตียน ให้ยืนยันในความจริง คือในบริบทนี้ คือในความจริงของข่าวประเสริฐ ของข่าวดี ก็คือในความจริงของการเป็นมนุษย์ของพระเยซู  … พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ข้อนี้ทำให้เกิดอะไรขึ้น? เกิดความลึกซึ้งในวิญญาณ ในความเข้าใจ เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ที่พวกเขาเคยคิดว่ามันอยู่ไกลมากเลย ยิ่งใหญ่ แล้วมนุษย์ก้าวเข้าไปไม่ถึงเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวยิว กลัวพระเจ้ามากเลย รู้สึกห่างไกลจากพระเจ้ามากเลย  แต่อาจารย์ยอห์นกำลังเน้นให้เขาเห็นว่านี่พระเจ้าจริงๆ พระเจ้าทรงเป็นความรัก และรักพวกเราจริงๆ ถึงขนาดยอมถ่อมตนลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และยอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่านที่เป็นคนบาป คนต่ำต้อย  เป็นคนแย่

            ถ้าใครรู้ความจริงตรงนี้ รู้สึกตรงนี้ ก็จะเชื่อในข่าวประเสริฐง่ายขึ้น ก็จะมั่นใจในข่าวดีของพระเยซูมากขึ้น เห็นหรือยัง? นี่แหละคือหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐ ที่จะถูกทำลาย ที่จะถูกขโมย  ที่จะสะเทือนมากที่สุด  จากมารและการปิดบังตาของมาร ก็คือตรงนี้แหละ ตีจุดนี้ที่สุดเลย จุดนี้จุดแรกเลย คือพระเยซูไม่ใช่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  เพราะถ้าใครเชื่อว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มันจะกระจายออกมาเต็มไปหมดเลยว่าพระเจ้ารักเราขนาดนี้ ยอดเยี่ยมขนาดนี้เลยหรือ? แล้วก็จะไม่ปฏิเสธ จะรู้ความจริงว่าพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่ออะไรต่อไป พระองค์ทรงเสด็จมาเป็นมนุษย์ เพื่อตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา

            มารเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ผ่านทางคนสอนเท็จ ด้วยวิธีนี้ ให้เข้าใจผิด อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าให้ระมัดระวังคำสอนเท็จเหล่านี้ ระมัดระวังผู้เผยแผ่คำสอนเท็จเหล่านี้ อยู่ใน 1 ยอห์น 1:9 คือผู้ที่ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป ไม่ยอมรับว่าต้องการการช่วยเหลือ ใน 1 ยอห์น 1:9 บอกว่าถ้าเขาเหล่านี้ยอมรับสารภาพว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการรับการช่วยเหลือ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับการอภัยโทษจากความบาปทั้งสิ้นของเขาทั้งปวง หัวใจของหัวข้อในวันนี้ 2 ยอห์น 1:8 …

        2 ยอห์น 1:8 “จงระวังตัว (เอาใจใส่) เพื่อจะไม่สูญเสีย (โยนทิ้งหรือทำลาย) สิ่งทั้งปวง ที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน แต่ให้ท่านดำรงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อจะได้รับบำเหน็จสมบูรณ์ครบถ้วน”

            นี่แหละ คือข้อที่บอกว่าเป็นหัวใจสำคัญ ที่ถูกโจมตี และมีผู้หลงเข้าใจผิดไปเยอะ  “จงระวังตัว ให้เอาใจใส่ในเรื่องนี้  เพื่อจะไม่สูญเสียหรือไม่ทำลายสิ่งทั้งปวง ที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน” ยอห์นกำลังพูดกับพี่น้องคริสเตียนด้วยกันบอกว่าระวัง เพื่อท่านจะได้ไม่สูญเสียสิ่งทั้งปวง ที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน

            ท่านว่า “สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ที่ตรากตรำทำมาด้วยกันนั้น” คือความรอดใช่ไหม? คิดให้ดีๆ ลองอ่านและลองคิดให้ดีๆ  “จงระวังตัว ให้เอาใจใส่ในเรื่องนี้” เรื่องอะไร?  เรื่องที่ท่านผู้เชื่อกับผมได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน  ตรากตรำทำงานอะไร? สูญเสียความรอดหรือ?  เราตรากตรำทำงาน เพื่อจะได้ความรอดหรือเปล่า? ไปวิเคราะห์กันนะ ไม่ใช่  แสดงว่านี่ไม่ใช่ความรอด  เห็นหรือยัง? เห็นอะไรบางอย่างไหม?  “สิ่งทั้งปวงที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน”แสดงว่าไม่ใช่ความรอดแล้ว  แต่ก็มีคริสเตียนที่ถูกหลอก ด้วยถ้อยคำความเท็จว่าระวังตัวนะ ให้เอาใจใส่ความรอดให้ดีๆ เพราะท่านอาจจะสูญเสียความรอดได้ เห็นหรือยัง? ไปเลย ถ้าเข้าใจตรงนี้ผิด  ก็เลยเละเลย

            ข้อความตรงนี้ไม่ได้หมายถึงสูญเสียความรอด  แต่เป็นการเตือนผู้เชื่อให้ระมัดระวังและรักษาความมั่นใจในความเชื่อในความเป็นคริสเตียน ที่เชื่อในข่าวดีในพระเยซูคริสต์ เตือนคริสเตียนให้ระมัดระวังว่าท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว อะไรที่ไม่ใช่ข่าวดีนั้น ท่านระมัดระวังว่าข้อมูลที่เท็จ มันจะมาขโมยเอาความจริงไปจากใจของท่าน ท่านพอนึกออกใช่ไหม? เพื่อไม่ให้ท่านสูญเสีย ถ้าไม่สูญเสียความรอด แล้วสูญเสียอะไร?  เพื่อไม่ให้ท่านสูญเสียบำเหน็จ หรือพระพร หรือผลตอบแทนที่มาจากการดำเนินชีวิตในความเชื่อ ในความจริงของข่าวประเสริฐของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ในความจริงข้างบนที่ตะกี้นี้ เราพูดกันว่าความจริง คืออะไร? คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้น และหลุดออกจากบาปทั้งปวง  และได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดประโยชน์ เกิดบำเหน็จ มันหมายถึงอย่างนั้น

            ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ไม่สามารถที่จะสูญเสียความรอดได้เลย  เพราะว่าความรอด เป็นของขวัญจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่มั่นคงถาวรในชีวิตของผู้เชื่อตลอดไป เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ เราได้รับชีวิตนิรันดร์ และไม่มีสิ่งใดสามารถแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าในชีวิตนิรันดร์นี้ได้เลย พระคัมภีร์ยืนยัน ผู้เชื่อได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นการรับประกันถึงมรดกนิรันดร์ของเขา หรือของเราผู้เชื่อเรียบร้อยแล้ว  เราจะมาอ่านข้อความนี้ในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ เอเฟซัส 1:13-14 …

        เอเฟซัส 1:13-14 “13 และท่านทั้งหลาย ก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์ เช่นกัน  เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อ ก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้ 14 ผู้เป็นมัดจำค้ำประกัน (พยานยืนยัน) ว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่  อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”

            เราได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการับรองยืนยันถึงการเป็นบุตรของพระเจ้า และมีชีวิตนิรันดร์ในในพระองค์ ท่านหรือผู้เชื่อทั้งหลายได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นมัดจำ ถึงวันแห่งการไถ่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือในโลกหน้าเลย

            ความรอดของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา แต่ขึ้นอยู่กับพระคุณ และการกระทำที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนต่างหาก เพราะฉะนั้น ในข้อความที่บอกว่าการทำงานตรากตรำในที่นี้  จึงไม่ได้หมายถึงการทำงาน เพื่อให้ได้รับความรอด เพราะความรอดเป็นของขวัญที่ได้รับโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แต่การทำงานตรากตรำ หมายถึงการรักษาความเชื่อ และดำเนินชีวิตบนความเชื่อในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าเกี่ยวกับข่าวดีในชีวิตประจำวันของเราบนโลกใบนี้  เอเฟซัส 2:8-9 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะว่าซึ่งท่านทั้งหลายได้รับความรอดนั้น ก็เป็นโดยพระคุณ โดยความเชื่อ 9 และมิใช่โดยตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า มิใช่เนื่องจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้”

            “มิใช่จากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้” อีกข้อพระคัมภีร์หนึ่งที่เน้นถึงความรอด ของขวัญที่มั่นคงและถาวรเป็นนิรันดร์  ไม่มีใครสามารถมาเอาไปได้  รอดแล้วรอดเลยนั่นเอง  โรม 8:38-39 …

        โรม 8:38-39 “เพราะข้าพเจ้ามั่นใจว่าทั้งความตาย ทั้งชีวิต ทั้งบรรดาทูตสวรรค์ ทั้งเทพผู้ครอง ทั้งสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งสิ่งที่จะมาถึงภายหน้า ทั้งฤทธิ์อำนาจใดๆ ทั้งสิ่งที่สูง ทั้งสิ่งที่ลึก หรือสิ่งอื่นใดที่ทรงสร้างแล้ว จะไม่สามารถแยกเราจากความรักของพระเจ้า ที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

             เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตในความเชื่อ และการกระทำตามที่เป็นความจริงในพระคัมภีร์ที่บอกไว้ เกี่ยวกับเรื่องของข่าวดีนั้น ซึ่งเป็นความจริงของพระเจ้า การดำเนินชีวิตโดยความเชื่ออย่างนี้นั้น เป็นการกระทำทวนกระแสของระบบโลกนี้ เพราะว่ามันเป็นความจริง แต่ในโลกนี้ทั้งหมด เป็นความเท็จ อาจารย์ยอห์นบอกว่านี่คือความจริง  แต่ในโลกเป็นความเท็จ  ท่านอยู่ในความจริง แต่ท่านอาศัยอยู่บนโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความเท็จ ท่านอยู่ในแสงสว่าง แต่ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความมืด ท่านอยู่ในพระคริสต์ แต่ท่านดำเนินชีวิตอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราช มันเป็นเพียงแค่นี้เอง เพราะฉะนั้น เมื่อท่านต้องทวนกระแสของโลกใบนี้อยู่ มีศัตรูตลอดเวลา มันทำอันตรายท่านไม่ได้ แต่มันกวนใจท่านได้ ทำให้ชีวิตท่านไม่เป็นสุขเท่าที่ควรได้ ทุกข์ยากลำบากได้ ท่านต้องอดทน ตรากตรำตลอดชีวิตบนโลกนี้

            คำว่า “ทำงานตรากตรำ” มันแปลว่าอย่างนี้  ท่านต้องอดทนตรากตรำตลอดทั้งชีวิต บนโลกใบนี้ แต่เป็นสิ่งที่นำไปสู่บำเหน็จและพระพรบนโลกใบนี้ในชีวิตนิรันดร์ที่ท่านได้รับเรียบร้อยไปแล้ว พูดง่ายๆ คือท่านเป็นคริสเตียนอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่ท่านต้องตรากตรำ ก็คือดำเนินชีวิตทวนกระแสของโลกใบนี้  ก็คือทวนกระแสของความเท็จ มันจะโกหกมาตลอดเวลา ท่านต้องยืนยันบนความจริงนี้ตลอดเวลา แต่การยืนยันบนความจริงเหล่านี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อาจารย์ยอห์นบอกว่ามันมีบำเหน็จ มันมีพระพร บำเหน็จพระพรเข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นไป เดี๋ยวจะพาท่านไปดูว่าบำเหน็จพระพร คืออะไร?

            ดังนั้น ข้อความที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ คือการเตือนให้เราระมัดระวังและยืนยันต่อสู้กับการต่อต้านของโลกนี้ การเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงของโลกใบนี้นั่นเอง  ท่านยืนอยู่บนความจริง ท่านก็ต้องยืนอยู่ตามความจริงนั้นตลอดเวลา การทำงานตรากตรำ ในบริบทนี้จึงหมายถึงการดำเนินชีวิตที่สะท้อนถึงความเชื่อในความจริงของข่าวดีของพระเจ้า ที่เราได้รับมา ที่อยู่ในใจของเรา ด้วยความอดทน อดทนอย่างไร?  เช่น เมื่อท่านมีความจริงนี้อยู่ในตัว มีพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวนี้แล้ว ท่านดำเนินชีวิตด้วยวิธีใด ด้วยความรัก ง่ายไหม? ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความรัก รักผู้อื่น แสดงความเมตตา และดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเยซู อดทนตามที่พระคัมภีร์บอกว่าเรามีธรรมชาติใหม่ ในวิญญาณของเรา และโดยธรรมชาติในวิญญาณของเรา เราต้องการทำตามวิญญาณของเรา ตามธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า คือดำเนินชีวิตด้วยความรัก ตามพระวิญญาณที่อยู่ข้างในอยู่แล้ว ซึ่งออกมา มีแรงต่อต้านมาจากข้างนอก ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้ มันต่อต้านมา นี่แหละ คือความตรากตรำและเหน็ดเหนื่อย กาลาเทีย 5:22-23 บอกไว้อย่างนี้ ท่านต้องดำเนินตามอย่างนี้ ไม่ใช่ท่านต้องนะ หมายถึงท่านจะดำเนินชีวิตอย่างนี้ บนโลกใบนี้ เมื่อท่านมีความจริงอยู่ในตัว มันจะออโต้ออกมาเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำท่านกระทำอย่างนี้บนโลกใบนี้ ท่านดูสิว่ามันยากไหม? …

        กาลาเทีย 5:22-23 “ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน และการควบคุมตนเอง”

            เห็นไหมครับ? สิ่งเหล่านี้มันทวนกระแสของโลกใบนี้ทั้งสิ้น ท่านต้องฝืน ภายนอกต้องฝืน แต่ภายในของท่าน ตัวตนของท่าน เต็มใจ อยากจะทำอย่างนี้ มันก็เหนื่อย วิญญาณไม่เหนื่อย แต่ร่างกายแน่นอน ความรู้สึกมันเหนื่อย เพราะต้องทวนกระแสบนโลกใบนี้  เขาเรียกกันว่า “ถูกข่มเหง” เข้าใจไหม?  แต่ข่มเหงแบบชัดเจน หรือข่มเหงแบบนี้ มันถูกข่มเหงตลอดเวลา เพราะฉะนั้น คริสเตียนถูกข่มเหงตลอดเวลา ไม่ใช่มานึกถึงการถูกข่มเหง คือเขาต้องมาจับเรา เมื่อเราเป็นคริสเตียน เหมือนสมัยอดีต จับเราไปขังคุก เป็นคริสเตียนไม่ได้อะไรต่างๆ ไม่ใช่แค่นั้น นั่นมันเห็นชัด  ที่เห็นไม่ชัด เหมือนเราทุกวันนี้ เราอาจมีอิสระในการนับถือศาสนา เป็นคริสเตียนก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ท่านดำเนินชีวิตเหมือนถูกข่มเหง เขาทำผิดอะไรต่างๆ มา เราอยากให้อภัย แต่ในขณะที่ความคิด หรือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของเราที่ถูกล่อลวง โดยภายนอก ไม่อยากให้อภัยเลย แต่ข้างในโอเคน่า ต้องใช้เวลา ยกตัวอย่างอย่างนี้เป็นต้น

            หรือดำเนินชีวิตตามผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตะกี้ที่อ่านมาในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 5 ไม่เหนื่อยหรือ?  อย่าตอบนะว่าไม่เหนื่อย

            “ฉันเป็นคริสเตียน ฉันทำตามวิญญาณ”

            ไม่จริง ยกตัวอย่าง เช่น ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทนอย่างนี้ ความปราณี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน  การควบคุมตนเอง ควบคุมได้ไหม?  อย่างนี้เป็นต้น

            วิญญาณข้างในอยากจะทำสิ่งที่ดี  แต่เขาถูกขัดขวางตลอดเวลา  มันเลยฝืนตลอดเวลา ถ้าไม่เป็นคริสเตียนเลย มันก็ไม่มีการฟ้องผิดในใจ ไม่มีพระวิญญาณที่อยู่ภายใน ไม่มีการต่อต้านเท่าไร?  มันก็ไม่ทุกข์ทรมาน ไม่ต้องตรากตรำทำงานบนโลกใบนี้อย่างนี้  เหมือนกับคริสเตียนที่เป็น เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า มันต้องเสียสละ มันต้องอดทน

            วันนี้เอาแค่นี้ก่อน ครั้งหน้าเราค่อยมาดูว่าพระพร บำเหน็จที่จะได้รับจากการอดทนกระทำตามข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียว มันคืออะไร? พระพร บำเหน็จในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นะ ไม่ต้องรอตาย นี่พูดถึงพระพร บำเหน็จบนโลกใบนี้ที่จะได้รับ มันคืออะไร? พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาปฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น”

            โรม 5:12 … “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่เชื้อบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคนๆ เดียว (คืออาดัม) และความตายก็เกิดมาเพราะเชื้อบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”

            โรม 5:15 … “แต่ของประทานนั้นต่างจากการล่วงละเมิด เพราะถ้าคนเป็นอันมากตาย เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระคุณของพระเจ้าและของประทานโดยพระคุณ ของพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวนั้น ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก!”

            โรม 5:19 … “เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาปฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมากเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น”

            “ถ้าท่านอยู่ในอาดัม ท่านก็ไม่มีทางที่จะย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ได้ โดยความประพฤติของท่าน

ถ้าท่านย้ายมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ท่านก็ไม่มีทางที่จะย้ายกลับไปอยู่ในอาดัมได้ โดยความประพฤติของท่านเข่นกัน”

            “ถ้าท่านอยู่ในอาดัมเป็นคนบาป ท่านก็ไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมได้ โดยความประพฤติของท่าน ถ้าท่านได้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ได้เป็นผู้ชอบธรรม  บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ผ่านทางการเปิดใจต้อนรับพระคริสต์ โดยความเชื่อ ท่านก็ไม่สามารถย้ายกลับไปเป็นคนบาปได้ โดยการประพฤติของท่านเช่นกัน”

            เอเฟซัส 2:6-9 … “6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ … และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรา นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ 7 เพื่อในยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณ อันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้น จากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้  ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายาม ที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีของตัวเอง ในความรอดของตนได้”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1534

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  สิงหาคม  2025

เรื่อง “หนังสือโคโลสี” ตอน 2 (วันแม่)

โดย วราพร  คงล้วน

            เรามาดูแบบอย่างของแม่ในพระคัมภีร์ที่พระเจ้าอนุญาตให้บันทึกไว้ พวกเราผู้ซึ่งเป็นแม่ๆ ทั้งหลาย เราอาจจะไม่สามารถครบถ้วนสมบูรณ์ เหมือนในนี้บอก แต่อย่างน้อยๆ เราก็จะมีติ่งๆ เสี้ยวๆ นิดหนึ่ง ให้อยู่ในกรอบที่ถ้อยคำของพระเจ้าบันทึกให้เรารับรู้ เรามาดูในหนังสือสุภาษิต บทที่ 31 เขียนโดยกษัตริย์ซาโลมอน เรามาเริ่มต้นข้อที่ 10 เป็นต้นไป …

        สุภาษิต 31:10-14 “10 ใครจะพบภรรยาที่ดีเลิศ? นางล้ำค่ายิ่งกว่าทับทิมมากนัก 11 สามีของนางไว้ใจนางอย่างเต็มที่ และไม่ขาดสิ่งล้ำค่าอันใดเลย 12 นางนำสิ่งดีมาสู่เขา  ไม่ใช่สิ่งร้าย  ตลอดวันเวลาของนาง 13 นางเลือกหาขนสัตว์และใยป่าน และสองมือทำงานอย่างขยันขันแข็ง 14 นางเป็นดั่งเรือสินค้า ที่บรรทุกอาหารมาจากแดนไกล”

            อันนี้ ชอบ “เป็นดั่งเรือสินค้า ที่บรรทุกอาหารมาจากแดนไกล” เราจะเห็นภาพ หลายคนจะบอกว่าแม่บ้านวันๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย อยู่แต่ในบ้าน สามีออกไปทำงาน วันๆ ทำอะไรอยู่ นั่นแหละ งานที่หนักมากของภรรยา ซึ่งสามีหลายคนมองไม่เห็น แต่วันนี้จะแจงให้ฟังว่าภรรยาต้องทำงานหนักขนาดไหน? ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา จัดเตรียมอาหารให้สามีทานก่อนออกจากบ้านไปทำงาน จัดเตรียมเสื้อผ้า จัดเตรียมอาหารให้กับลูกๆ มันเป็นงานหนัก ซึ่งเป็นงานหนักที่ภรรยาทุกคน แม่ทุกคนเต็มใจทำ  โดยที่เราทำไป มีความสุขไป เหนื่อยไหม? เหนื่อย แต่มีความสุขมาก เวลาทำอะไรให้ลูกๆ เวลาทำอะไรให้สามี มันเป็นความสุขชนิดพิเศษที่ใครก็หาไม่เจอ  หาที่ไหนก็ไม่ได้ นั่นคืออยู่ในครอบครัว

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ กษัตริย์ซาโลมอนเปรียบเทียบว่า “นางเป็นดั่งเรือสินค้า ที่บรรทุกอาหารมาจากแดนไกล” เราสังเกตนะ แม่ทุกคนจะมีคลังอาหารให้กับครอบครัว ไม่ขาดสาย จัดเตรียม ไม่ใช่เรื่องหมูๆ นะ  ต้องใช้ความคิด ต้องมีการบวก ลบ คูณ หาร มีการคำนวณต้นทุน  คำนวนว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ดี และดีไม่พอ ต้องมีประโยชน์ด้วย มีประโยชน์อย่างเดียวไม่พออีก ต้องอยู่ในฤดูของมัน ถ้าเราจะทานอะไรให้อร่อย ต้องเป็นฤดูกาลของมัน ผลไม้ทุกชนิดจะมีฤดูกาลในการออกผล ผักทุกชนิด ก็จะมีฤดูกาลเช่นเดียวกัน ถ้าเราไปทานของที่นอกฤดูกาล อันดับแรก คือไม่อร่อย อันดับสอง คือแพงมาก ดิฉันเคยซื้อผักชี กิโลละ 1 บาทกับวิ่งไปถึงกิโลละ 400 บาท พอ 400 เราเลิกซื้อ ไม่ซื้อ ไม่กินก็ได้ เพราะว่ามันแพงเกินไป ฉะนั้น แม่บ้านเขาจะคำนวณอย่างนี้ เขาจะสามารถจัดการกับทุกสิ่งอย่างในครัวเรือน เพื่อให้เหมาะสม อาหารอร่อย ถูกปากครอบครัว แถมมันถูกเงินด้วย  นี่สำคัญ

            เราจะเห็นภาพในพระคัมภีร์พูดถึงภรรยาและแม่ที่ฉลาดในการดำเนินชีวิต เขาจะดำเนินชีวิตแบบนั้น ไม่ใช้อะไรตามใจตัวเอง  ไม่คิดที่จะทำอะไรออกนอกลู่นอกทาง คือทุกอย่างคำนวณเรียบร้อยเลย  แล้วคุณแม่กับภรรยาจะรู้ดีที่สุดว่าในครอบครัวใครชอบอะไร?  ครอบครัวเราไม่ใช่มีแค่สามี เรามีลูกด้วย บางคนมีลูกคนเดียวก็ง่ายหน่อย บางคนมีลูกตั้งไม่รู้กี่คน สมัยโบราณ รุ่นของดิฉัน มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน จริงๆ แล้ว 7 คน เสียชีวิตไปคนหนึ่ง ลูก 6 คนไม่ใช่เลี้ยงง่ายๆ  แต่ขอบคุณพระเจ้าที่พ่อกับแม่สามารถเลี้ยงเราจนเจริญเติบโตถึงทุกวันนี้ เป็นคนดีของสังคมได้ ปัจจุบันลูกเต็มที่เลย 2 คน 3 คน เพราะว่าค่าใช้จ่ายสูงมาก เลี้ยงเยอะไม่ไหว ยากจนไปตามๆ กัน ก็จะมีลูกน้อย แต่ว่าการเลี้ยงดูก็จะเป็นเหมือนเดิม

            เมื่อเราเลี้ยงดูลูกๆ ของเราตามพระวจนะของพระเจ้า ก็คือถ้อยคำของพระเจ้ามีบอกไว้แล้วว่าเราควรจะเลี้ยงลูกแบบไหน? อย่างไร?  แต่เราได้เปรียบตรงที่เราเป็นคริสเตียน เราเข้ามาอยู่ในพระคุณของพระเจ้าแล้ว อันดับแรกเราได้เปรียบ คือเราสามารถอธิษฐานอวยพรลูกเราได้ทุกวันทุกเวลา ไม่มีวันหยุด ไม่มีข้อยกเว้น นึกอะไรได้ ก็อธิษฐานอวยพรเขาเลย

            พรของคุณพ่อคุณแม่ เป็นพรที่สำคัญที่สุด สำหรับลูกๆ ดังนั้น พ่อแม่ที่อวยพรลูกตลอดเวลา เราจะสังเกตว่าลูกเราจะได้รับพระพร เหมือนในสมัยพระคัมภีร์เดิม คำพรของพ่อเป็นประกาศิต อวยพรอะไรจะได้ตามนั้น เหมือนกับชนชาติอิสราเอลเขาอยากได้พรของสิทธิบุตรหัวปี เพราะพรนั้น คือได้ทุกอย่างตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ แล้วเมื่อคุณพ่ออวยพรไปปุ๊บ จะได้ตามนั้นเลย เหมือนกันในปัจจุบัน เราอยู่ในพระคุณของพระเจ้า เราในฐานะของคุณพ่อคุณแม่ ขอรวบยอดนะ แม้ว่าจะเป็นวันแม่ก็ตาม พ่อก็มีบทบาทสำคัญในการดูแลลูกๆ หลานๆ ให้เจริญเติบโตอยู่ในทางของพระเจ้า

            คำพูดที่ดี คำพูดที่ไพเราะ อ่อนหวานจะสามารถสร้างบุคลิกภาพให้กับลูกเรา เจริญเติบโตเป็นเด็กที่น่ารัก ไม่ก้าวร้าว ไปถึงไหนก็จะมีคนรัก  แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่วันๆ พูดกับลูกไม่มีคำดีเลย แม้แต่คำเดียว เปิดปากปุ๊บ ด่าเลย อะไรก็ไม่รู้ ออกมาทุกรูปแบบ ลูกเขาจะฝังถ้อยคำเหล่านั้น แล้วเขาจะไม่สามารถที่จะนำเอาสิ่งดี ออกมาใช้ได้ ในชีวิตประจำวันของเขา

            นี่คือภาพที่เราจะเห็นในถ้อยคำของพระเจ้า ที่สอนเรา ดังนั้น การสอนลูกจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราอยู่ในพระเจ้า เราก็อวยพรลูกเราทุกวัน เราพูดแต่สิ่งดีๆ ลงไปในชีวิตของเขา แล้วเขาก็จะได้รับพรในสิ่งดีๆ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเขา การจัดเตรียมอาหารให้กับลูกๆ เป็นความสุขที่สุดเลย แล้วยิ่งถ้าเตรียมเสร็จ ลูกบอก …

            “อร่อยมาก”

            หน้าบานเลยนะ รู้สึกไหม? หน้าบานเลย พอลูกบอกอร่อย มีความสุข  เห็นลูกกินอร่อย เราก็มีความสุข แต่ถ้าเมนูไหนลูกบอกไม่อร่อย พับเก็บใส่ลิ้นชักเลย เลิกทำ เพราะว่าทำไป ไม่อร่อย เขาก็ไม่กิน เหมือนทุกวันนี้ ที่โบสถ์ เมนูไหนที่ทำออกมา แล้วพี่น้องบอกไม่อร่อย ไม่ปลื้ม ดิฉันพับเลยนะ เลิกทำ เพราะว่าทำแล้วไม่อร่อย ไม่อร่อย ก็ไม่มีคนกิน ทำซ้ำๆ ที่อร่อย ก็ยังดีกว่าทำแปลกแหวกแนวที่เขากินไม่ลง อะไรอย่างนี้ นั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ เมื่อเราลงแรงลงไป สิ่งที่เราอยากจะเห็น คือความสุขของคนที่มารับบริการจากเรา แล้วความสุขของลูกๆ เป็นความสุขของเราทุกคนพ่อแม่ ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้น  นี่คือภาพในพระคัมภีร์เดิม กษัตริย์ซาโลมอนเขียนไว้

        สุภาษิต 31:15-21 “15 นางตื่นขึ้นตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง เพื่อจัดเตรียมอาหาร สำหรับคนในครัวเรือน และแบ่งอาหารให้บรรดาสาวใช้ 16 นางออกไปสำรวจไร่นาแล้วซื้อไว้  และลงทุนทำสวนองุ่น  ด้วยเงินที่นางหามาได้ 17 นางทำงานอย่างขยันขันแข็ง  แขนของนางแข็งแกร่งสู้งานต่างๆ 18 นางดูแลกิจการให้ผลกำไรงอกเงย และกลางคืนตะเกียงของนางก็ไม่ดับ 19 มือของนางจับไน   นิ้วของนางจับกระสวย 20 นางหยิบยื่นให้คนยากจน และยื่นมือช่วยคนขัดสน 21 เมื่อหิมะตก นางไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับคนในครัวเรือน เพราะทุกคนสวมเสื้อผ้าอย่างดีและอบอุ่น”

            เห็นไหมการจัดเตรียมที่พร้อมสรรพเลย คือเตรียมไว้ล่วงหน้า นี่พูดถึงสมัยก่อน ในอิสราเอล เวลาร้อนก็ร้อนมาก เวลาหนาวก็หนาวมาก มันต้องมีการเตรียมพร้อมตลอดเวลา ฉะนั้น ภรรยาและคุณแม่ที่ดี เขาก็จะจัดเตรียมทุกอย่างไว้ เป็นคนที่ขยันขันแข็งด้วย ในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าคนขี้เกียจ ไม่ต้องให้เขากิน พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าที่ขยันมาก ฉะนั้น เราลูกๆ ของพระเจ้า เราจะมีคุณลักษณะเดียวกันกับพระเจ้าของเรา ก็คือความขยันขันแข็ง อยู่นิ่งไม่เป็น แล้วขยันขันแข็ง ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นแม่บ้าน เราต้องวิ่งไปหาอะไรทำ ไม่ต้อง ความขยันเริ่มต้นจากในบ้าน แค่ตื่นขึ้นมา ดูแลบ้านให้เรียบร้อย สะอาดสะอ้าน ทำกับข้าวกับปลาให้ลูกๆ เตรียมเช้า สาย บ่าย เย็นอะไรแบบนี้ มันหมดวันไปแล้ว นั่นคือต้องขยันขันแข็ง

            แต่ถ้าผู้หญิงที่ไม่ขยันเขาทำอะไร? วันๆ ก็นอนกระดิกขา บ้านจะรกอย่างไรก็ช่างมัน ปล่อยให้ขี้ฝุ่นจับ หนาเป็นนิ้ว ก็ปล่อยมัน ลูกเต้าจะหิวข้าวอะไร ก็เรื่องของเขา ไปหากินกันเองก็แล้วกัน สามีกลับมา คุณไปหาของกินเองก็แล้วกัน  นั่นคือคนขี้เกียจ คนขี้เกียจ ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าจะบันทึกแต่คนที่ขยันเท่านั้น เราในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าเราขยันขันแข็ง เราก็จะเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่าง แบบของพระเจ้าเลย  เราก็จะเป็นคนที่ขยันขันแข็ง เราขี้เกียจไม่ค่อยเป็น ถ้าอยู่เฉยๆ ก็ไข้จับพอดี อยู่เฉยๆ ก็ไม่สบาย

            ฉะนั้น การทำงานในแต่ละวัน ในชีวิตประจำวัน สำหรับคนที่เป็นแม่บ้าน ไม่ได้ออกไปทำงานนอกบ้าน หรือคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านเหมือนกัน ก็คือต้องขยันขันแข็ง นี่คือการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวันของมนุษย์ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ มนุษย์ปัจจุบันที่เราอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เราก็ยังคงต้องทำมาหากิน เหมือนกับคนอื่นเขา แต่สิ่งที่เราไม่เหมือนคนอื่น คือวิญญาณของเราได้รับพระพรจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว

        สุภาษิต 31:22-24 “22 นางทำผ้าปูที่นอนเอง เสื้อผ้าของนางทำด้วยผ้าลินินเนื้อดีและผ้าขนสัตว์สีม่วงราคาแพง 23 สามีของนางเป็นที่นับหน้าถือตาที่ประตูเมือง ที่ซึ่งเขานั่งอยู่ในหมู่ผู้อาวุโสของแผ่นดิน 24 นางยังได้ทำเครื่องนุ่งห่มด้วยผ้าลินินไว้ขาย และส่งผ้าคาดเอวให้แก่พ่อค้า”

            เห็นไหม ดูแลครอบครัวไม่พอ ทำของขายด้วยนะ นี่ขยันมาก สิ่งที่น่าประทับใจอยู่ในข้อที่ 23 บอกว่า “สามีของนาง เป็นที่นับหน้าถือตา” แปลว่าภรรยาคนนี้ วางตัวได้ดีมาก ทำให้สามีได้รับการนับถือจากผู้คนรอบข้าง แต่ถ้าภรรยาวางตัวไม่ดี สามีทำอะไรก็เดินตามไปพูดๆ ชี้นิ้ว สามีก็จะไม่ได้รับการนับหน้าถือตา จากผู้คนรอบข้าง ฉะนั้น ภรรยาที่ดีต้องเป็นผู้สนับสนุนสามีของเรา เราสนับสนุนเขา ไม่ใช่เป็นผู้บังคับบัญชาเขา บังคับให้สามีต้องทำโน่นต้องทำนี่ ต้องๆ ตามที่ฉันอยากได้ ไม่ใช่ สนับสนุนสามีของเรา เขาทำอะไรให้เราสนับสนุน เมื่อสามีของเราเกิดล้มเหลวขึ้นมา เราก็อยู่ข้างๆ เขา เป็นกำลังใจให้เขา เมื่อเขาประสบความสำเร็จ เราก็ยังคงอยู่ข้างๆ เขา ชื่นชมยินดีร่วมกับเขา นี่คือภาพที่คนของพระเจ้าจะทำได้ ในชีวิตประจำวันของเรา

        สุภาษิต 31:25-30 “25 พลังและศักดิ์ศรี คืออาภรณ์ที่นางสวม ดังนั้น นางจึงหัวเราะกับอนาคตที่จะมาถึงได้ 26 ปากของนางเอื้อนเอ่ยสติปัญญา ลิ้นของนางสอนสิ่งดีงาม 27 นางคอยดูแลกิจการทั้งสิ้นในครัวเรือน และไม่เคยเกียจคร้าน 28 ลูกๆ ของนางยืนขึ้นกล่าวยกย่อง สามีของนางก็ชมเชยนางว่า 29 สตรีจำนวนมากทำสิ่งดีเลิศ  แต่เธอล้ำเลิศยิ่งกว่าพวกเขาทั้งหมด 30 เสน่ห์เป็นสิ่งหลอกลวง และความสวยงามไม่จีรังยั่งยืน แต่สตรีที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับการสรรเสริญ”

            อันนี้ สรุปข้อความทั้งหมดที่กษัตริย์ซาโลมอนพูดไว้ เสน่ห์เป็นของหลอกลวง ความงามไม่ยั่งยืนจีรัง ถ้าตอนสาวๆ เราสวยไม่ว่า อายุเยอะขึ้นๆ จะสวยเหมือนเดิม เป็นไปไม่ได้ เมื่อเราอายุเยอะมากเท่าไร ในพระคัมภีร์บอกว่าผมหงอกเป็นศักดิ์ศรี ฉะนั้น เราไม่ต้องกังวลว่าผมเราจะหงอก หน้าเราจะย่น ฟันเราจะหลุด หรืออะไรก็แล้วแต่ มันไปตามวาระ ที่เราดำเนินชีวิตไป

            ฉะนั้น หลักสำคัญในข้อพระคัมภีร์บทนี้ ก็คือสตรีที่ยำเกรงพระเจ้า แค่นี้เอง เราอยู่ในพระเจ้า เรายำเกรงพระเจ้า เมื่อเรายำเกรงพระเจ้าปุ๊บ เวลาเราจะทำอะไร เรามองที่พระเจ้า เมื่อเราเคารพ ยำเกรงพระเจ้า เราจะไม่กล้าที่จะออกนอกลู่นอกทาง อย่าใช้คำว่าไม่กล้าเลย เราไม่อยาก ถ้าไม่กล้า มันยังแฝงความกลัว แต่คือเราไม่อยากทำอะไรที่ออกนอกลู่ นอกทาง ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้  เราอยากมีชีวิตอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า เราใช้ชีวิตที่สงบสุขอยู่จำเพาะพระพักตร์ของพระองค์ เราทำหน้าที่ของเราเต็มที่ ส่วนที่เหลือพระเจ้าจะเป็นผู้ดูแลให้กับพวกเรา เพราะจริงๆ แล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าเองเป็นผู้ใส่ความปรารถนาให้กับพวกเราทุกๆ คน ให้พร้อมที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ นี่คือความจริง

            เราขอบคุณพระองค์สำหรับถ้อยคำตรงนี้ที่กษัตริย์ซาโลมอนได้พูดไว้ สตรีที่ยำเกรงพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญ เรียกว่าได้รับความรัก การอวยพร จากผู้คนรอบข้าง ความเอาใจใส่จากผู้คนรอบข้าง เพราะว่าเราได้ส่วนที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

        สุภาษิต 31:31 “จงยกย่องนาง เพราะทุกสิ่งที่นางทำให้ประชาชนที่ประตูเมืองสรรเสริญนาง  เพราะการงานของนาง”

            เราก็ขอบคุณพระเจ้า นี่คือแบบอย่างของพระคัมภีร์ที่พูดถึงภรรยาและพูดถึงคุณแม่ และจริงๆ แล้ว ในพระคัมภีร์ยังมีพูดถึงคุณแม่อีกหลายๆ ตอนมาก วันนี้เอามาแค่ตอนเดียวพอ ก็คือหลายๆ ตอนที่ได้พูดถึงคุณแม่ที่รักลูก รักขนาดที่ยอมเสียสละ ยอมเสียหน้า เพื่อลูกของเรา

            มีอยู่ตอนหนึ่ง ตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งมาขอร้องพระเยซูคริสต์ อยู่บทไหนไม่รู้จำไม่ได้ เอาไว้ไปหาให้ มาขอร้องพระเยซูคริสต์ว่าลูกเขาไม่สบาย ขอพระเยซูคริสต์ไปรักษาลูกของเขาด้วย แล้วผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนยิว เป็นคนต่างชาติ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาบนโลกใบนี้ พระเยซูถูกส่งมา เพื่อที่จะมาหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น ก็คือมาช่วยคนอิสราเอลเท่านั้น ตอนที่พระเยซูทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย ทุกคนได้ยินได้ฟังหมด แล้วผู้หญิงคนนี้ ซึ่งเป็นคนต่างชาติได้ยินด้วยว่าพระเยซูทรงสามารถที่จะรักษาโรคได้ ก็เลยบากหน้า ต้องเรียกว่าบากหน้า มาหาพระเยซู มาขอร้อง มาขอความเมตตาจากพระเยซู แต่พระเยซูพูดประโยคหนึ่งว่า …

            “ที่จะเอาอาหารของลูกไปให้สุนัขก็ไม่ควร”

            สมัยก่อน คนยิวเขาถือว่าคนต่างชาติเป็นสุนัขหมด ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคน เขาเรียกอย่างนั้นจริงๆ ก็คือเป็นสุนัข พระเยซูกำลังเปรียบให้เห็นว่าหลักของพระคัมภีร์เดิม เป็นอย่างนั้นจริงๆ พระเยซูมา เพื่อเอาอาหาร … อาหารตรงนี้ เป็นอาหาร จิตวิญญาณที่พระองค์เอามาให้กับคนยิวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรค การทำหมายสำคัญ การทำการอัศจรรย์ทั้งหมด พระเยซูทำ เพื่อให้คนยิวรับรู้ว่าพระองค์ คือผู้นั้น เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา แต่พระเยซูก็บอกกับผู้หญิงคนนี้อย่างนี้นะ ถ้าเป็นเรายังจะอยู่ไหม? ถ้าเราเป็นแม่ เรายังจะอยู่ไหม? เพื่อลูกนะ อยู่ ไม่เป็นไร โดนด่าแค่นี้ นิดเดียวมาก เขาเรียกว่าจิ๊บจ๊อย นิดเดียวเอง ขอแค่พระเยซูยอมรักษาลูกให้หาย แค่นั้นก็พอ

            แล้วผู้หญิงคนนี้ตอบว่า … “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขจะกินเศษอาหาร ที่มันหล่นจากโต๊ะของลูก”

            เห็นความเชื่อไหม? ความเชื่อ ก็คือพระเยซูกำลังบอกเขาว่าอาหารตรงนี้ พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับลูกๆ ก็คือชนชาติอิสราเอล แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ลดละ เพราะว่าเขาเห็นลูกทรมาน เขาอยากให้ลูกได้รับการรักษา

            เขาบอกไม่เป็นไร เป็นหมาก็ได้ แต่ว่าขอเศษอาหารนิดหนึ่งได้ไหม? ลูกกินอิ่มแล้ว เหลือเศษๆ ที่ทิ้งๆ ขว้างๆ ขอแค่เศษ แค่นั่นเอง ลูกของเขาจะได้รับการรักษา

            พระเยซูบอก “เพราะความเชื่อของเจ้า”

            เขาเชื่อจริงๆ เขาเชื่อว่าพระเยซูทรงสามารถรักษาลูกเขาได้ และเพราะความเชื่อของเขา พระเยซูเลยบอกว่า … “หญิงเอ๋ย กลับไปเถอะ ลูกของเจ้าหายแล้ว”

            นั่นคือความรักของแม่คนหนึ่งที่สำแดงออกมา เป็นแม่ที่ไม่เป็นไร ถูกว่าเป็นหมาก็ได้ เป็นสุนัขก็ได้ เป็นคนที่ไม่มีอะไรก็ได้ แต่ขอแค่ให้ลูกได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าแค่นั้น พอแล้ว

            นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกให้เราเห็นภาพคุณแม่ที่รักลูกของตัวเอง จนยอมทุกอย่าง เพื่อให้ลูกของตัวเองได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า

            เราก็ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ แบบอย่างพวกนี้ ที่พระคัมภีร์บันทึกให้เราได้เห็น ได้รับรู้ มันเป็นชีวิตจริงของพวกเราทุกๆ คนที่อยู่บนโลกใบนี้ เราจะเห็นแม่หลายๆ คน ที่ยอมทนทุกข์ลำบาก ตัวเองอด ไม่เป็นไร แต่ลูกต้องอิ่ม ในช่วงสภาวะที่อดอยาก หรือในช่วงสภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี ในช่วงสภาวะที่เราเงินขาดมือ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าแม่ทุกคนจะยอมอด เพื่อให้ลูกตัวเองได้กินอิ่ม นี่คือหัวใจของแม่

            แล้ววันนี้ เราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับวันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่เราจะมาขอบคุณพระเจ้า สำหรับคุณแม่ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ที่ท่านยอมอดหลับอดนอนในขณะที่ลูกเจ็บป่วย ถ้าลูกเราป่วย แม่ไม่ได้นอน กอดเอาไว้นั่นแหละ วางปุ๊บร้องๆ ต้องกอดเอาไว้ นอนไม่ได้ ต้องไปพิงอยู่ตรงข้างเตียง เชื่อว่าทุกคนมีประสบการณ์ตรงนี้ เพราะเรามีลูกมาแล้ว พิงอยู่ข้างเตียง แล้วเราก็หลับไปทั้งอย่างนั้นแหละ นี่คือภาพของความรักที่แม่ทุกคนมีต่อลูก ไม่ว่าแม่คนนั้นจะเป็นคนไทย คนต่างชาติ เป็นฝรั่ง ทุกคนมีความรักตรงนี้อยู่ในหัวใจ เพราะความรักนี้ เป็นของประทานที่พระเจ้าใส่เข้ามา

            โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราจะมีความรักชนิดพิเศษเลย เป็นความรักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้า เมื่อก่อนเราไม่เชื่อพระเจ้า เรายังมีความรัก แต่ความรักเราทำไม่ได้เต็มที่ เรารักก็จริง พอเราโมโห เราก็ด่าลูก เป็นไหม? โมโห ก็ด่าลูก อะไรอย่างนี้ แต่ว่าพอถึงปัจจุบัน เราเชื่อพระเจ้าแล้ว มันมีความรักชนิดพิเศษ ที่พระเจ้าใส่เข้ามา  ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ความรักแบบอากาเป้ เหมือนพระเจ้า เราสามารถดูแลลูกของเรา เราสามารถให้ความรักเขาได้อย่างเต็มที่ สามารถที่จะอดทนกับอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ดีในชีวิตของลูก พี่น้องต้องรับความจริงตรงนี้ว่าลูกเราไม่ได้น่ารักตลอดเวลา มันจะมีวัยที่เขาเรียกว่าวัยกบฏ เคยเจอวัยกบฏไหม? งอแงตลอดเวลา อันโน้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ นี่ไม่ได้ นั่นไม่ได้ตลอดเวลา เด็กทุกคนจะมีวัยนั้น แต่ว่าแม่และพ่อทุกคนจะมีวิธีในการที่จะดูแลเขา ในการพูดคุยกับเขา ในการสอนเขา ให้เขาสามารถที่จะเป็นเด็กดีในสังคมได้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเราผู้ที่มีความรักชนิดที่เป็นแบบของพระเจ้า เรายิ่งสามารถสอนลูกเรา ให้ได้รับพระพรมากกว่านั้น เยอะแยะมากมายเลย

            ก็ขอขอบคุณคุณแม่ทุกๆ คนในที่นี้ด้วย ที่สละเวลา สละทุกสิ่งอย่าง เพื่อดูแลลูกๆ หลานๆ ของเรา ให้เขาเจริญเติบโตขึ้นมาให้เขาเป็นเด็กที่ดี เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคม ดังนั้น สังคมจะดี ต้องเริ่มต้นจากที่บ้าน ถ้าบ้านดี สังคมจะดี  สังคมดี ประเทศจะดี เขาเรียกว่ามันจะดีเป็นโดมิโน เราอย่าไปคาดหวังว่าจะรอให้สังคมดี แล้วเราก็ทำอะไรเละเทะ ไม่มีทาง  มันต้องเริ่มต้นที่บ้านก่อน บ้านของเรา ดูแลลูกให้เป็นคนดี เป็นเด็กดี ในอนาคตข้างหน้า ลูกเราไม่จำเป็นต้องเก่ง คนเก่งมีเยอะแล้ว ไม่ต้องไปแข่งกับเขา ไม่จำเป็นต้องเก่ง แต่ลูกเราเป็นคนดี แค่นั้นพอ  แล้วถ้ามีแถมเก่งมาด้วย ก็ขอบคุณพระเจ้า เอาด้วย แต่ถ้าไม่ได้แถมตรงนั้น ก็ไม่เป็นไร แค่ขอให้เขาเป็นเด็กดี เป็นคนดีของสังคม ไม่ไปทำความเดือดร้อนให้ผู้คนรอบข้าง ไปถึงไหน มีแต่คนมีความสุข เจอครอบครัวนี้ แล้วมีความสุขนะ เห็นลูกๆ เขาเจริญเติบโต เราก็มีความสุข เห็นลูกเขาไปดีมาดี เราก็ยิ่งมีความสุขใหญ่

            นี่คือภาพที่เราอยากจะเห็น  และสังคมไทยอยากจะเห็น ประเทศชาติอยากจะเห็น แล้วเริ่มต้นจากพวกเรา  ตอนนี้เราแก่เกินแล้ว เราไปดูแลใครไม่ได้แล้ว บอกลูกๆ หลานๆ ในอนาคตที่จะมีครอบครัว ดูแลลูกของเรา เลี้ยงเขาให้เป็นเด็กดี เลี้ยงเขาด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยความสามารถของเรา จริงๆ เราไม่สามารถหรอก เราไม่มีความสามารถ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระเจ้าให้สติปัญญาเราในการเลี้ยงดูเขา ฟูมฟักเขา อวยพรเขา อธิษฐานให้เขาทุกวัน คำอธิษฐานของคุณพ่อคุณแม่เป็นสิ่งที่ดีเลิศที่สุด ดีกว่าหาทรัพย์สินเงินทองไปให้ลูกเยอะแยะมากมาย ดูแลเขาอย่างดี สอนเขาให้รู้จักหน้าที่ของลูก หน้าที่ของการออกไปข้างนอก เป็นคนดี หน้าที่ของประชาชนที่มีต่อประเทศชาติ สอนเขาแค่นี้เอง แล้วเขาก็เจริญเติบโต เขาจะเป็นคนดีในสังคมนี้ เอเมนไหม? พระเจ้าอวยพรค่ะ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            หลักการของการให้ด้วยใจยินดี และผลที่ตามมาจากการให้ หลักการของพระเจ้าในการให้ด้วยใจในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คือ …

            2 โครินธ์ 9:6-9 … “6 ผู้ที่หว่านเพียงเล็กน้อย ก็จะเกี่ยวเก็บเพียงเล็กน้อย และผู้ที่หว่านมาก ก็จะเกี่ยวเก็บมาก 7 แต่ละคนจงให้ตามที่เขาตั้งใจไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยความเสียใจหรือด้วยความจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกอย่างแก่ท่านอย่างบริบูรณ์ เพื่อท่านจะมีสิ่งสารพัดพอเพียงเสมอ และมีเหลือเฟือสำหรับการดีทุกอย่าง 9 ตามที่เขียนไว้ว่า ‘เขาได้แจกจ่าย เขาได้ให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์’”

            ความสำคัญของการให้ด้วยใจยินดีและไม่ใช่ด้วยความจำใจ เพราะพระเจ้าทรงพอใจผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี และพระองค์จะประทานพระคุณอย่างเพียงพอ เพื่อให้เรามีทุกสิ่งที่จำเป็นและสามารถทำการดีต่อๆ ไปได้

            การให้ด้วยใจยินดีเป็นการสะท้อน การแสดงออกถึงการเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เป็นความรักเหมือนพระคริสต์ ที่ดำรงอยู่ตลอดไปในวิญญาณที่เป็นตัวตนแท้จริงของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว จากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าในพระคริสต์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1532

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  กรกฎาคม  2025

เรื่อง “หนังสือโคโลสี” ตอน 1

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาดูในหนังสือโคโลสี เขียนโดยอาจารย์เปาโล เป็นจดหมายฝากที่ใกล้เคียงกับหนังสือเอเฟซัส  … เอเฟซัสกับโคโลสีเป็นคู่แฝดกัน  จะมีหลายบท หลายข้อที่มันสอดคล้องกันมาก  แต่ว่าเขียนโดยอาจารย์เปาโล จากที่เดียวกัน คืออาจารย์เปาโลเขียนจากในคุก แล้วก็ส่งออกมาให้กับพี่น้องชาวโคโลสี คราวที่แล้วก็ไปถึงพี่น้องชาวเอเฟซัส เพื่อที่จะหนุนจิตชูใจ แล้วก็บอกให้ผู้คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ในยุคนั้น ให้รับรู้ถึงความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  ฉะนั้น หนังสือโคโลสีนี้ ก็เป็นอีกฉบับหนึ่งที่เราน่าเรียนรู้มากๆ เลย มาเริ่มต้นข้อที่ 1 …

        โคโลสี 1:1 “จดหมายฉบับนี้ จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์ของพระเจ้ากับทิโมธีน้องของเรา”

            อาจารย์เปาโลเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวเอง เราจะเห็นว่าทำไมจดหมายเกือบทุกฉบับที่อาจารย์เปาโลเขียนขึ้น จะแนะนำตัวท่านเองว่าเป็นใคร? มาจากไหน? มาทำอะไร? พระเจ้าใช้มาเพื่ออะไร? จะบอกให้คนในคริสตจักรเหล่านั้นได้รับรู้ความจริง

            จากเปาโลผู้เป็นอัครทูต … อัครทูต หมายถึงคนที่ไปเริ่มต้นก่อตั้ง ในที่ที่ยังไม่มีข่าวดีไปถึง ก็คือนำเอาข่าวประเสริฐของพระเจ้าไปประกาศตามที่ต่างๆ ที่พระเจ้าใช้ไป เป็นผู้เริ่มต้น เหมือนเป็นผู้บุกเบิก ในเรื่องความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และเป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์

            ในพระคัมภีร์จะมีอัครทูตจริงๆ อยู่แค่ 13 คน  อัครทูต คือคนที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีจากพระเยซูคริสต์ โดยตรง ก็คือพระเยซูเป็นคนสอนเขาด้วยตัวพระองค์เอง เราอาจจะเห็นภาพหนึ่งที่อาจารย์เปาโลเป็นอัครทูตที่ตัวเองบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่เกิดก่อนกำหนด”

            ก็คือยังไม่ทันถึงกำหนดเลย คลอดเรียบร้อยไปแล้ว อาจารย์เปาโลมารับเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ตอนหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายเรียบร้อยไปแล้ว อาจารย์เปาโลเป็นนักศาสนศาสตร์ เป็นคนที่รู้บทบัญญัติของพระเจ้าดีมาก เคร่งครัดด้วย ประพฤติปฏิบัติตามกฎทุกข้อ ตามที่บทบัญญัติเขียนเอาไว้ ที่โมเสสเขียนเอาไว้เลย คือประพฤติมาตลอด แล้วอาจารย์เปาโลก็เป็นคนที่ร้อนรน เพื่อพระเจ้ามาก เรารู้ได้อย่างไรว่าเขาร้อนรน เพื่อพระเจ้า เพราะตอนที่มีคนยิวเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นอกเหนือจากสาวก 12 คน  ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้  ยังมีคนอื่นอีกเยอะแยะมากมาย มาเชื่อวางใจในพระเจ้า อาจารย์เปาโลรับไม่ได้ ทนไม่ไหว ต้องไปไล่ล่า ขนาดขอทหารไปล่าคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า  เพื่อจับมาติดคุก มาทรมาน อาจารย์เปาโลคิดว่า …

            “คนเหล่านั้น  ที่มาเชื่อในนามของพระเยซูคริสต์ คนพวกนี้กบฏกับพระเจ้า พระบิดา รับไม่ได้ กบฏได้อย่างไร พระเจ้าพระบิดารักเราขนาดนั้น เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของเรา เราเชื่อถือมาตั้งแต่อดีต บรรพบุรุษของเรามาจนถึงปัจจุบัน กบฏได้อย่างไร?”

            ก็เลยขอทหารไปไล่ล่าผู้เชื่อ และขณะที่อาจารย์เปาโลเดินทางไป เพื่อที่จะไปจับผู้เชื่อในเมืองดามัสกัส ระหว่างทาง พระเยซูมาพบอาจารย์เปาโลด้วยตัวของพระองค์เอง ทำให้อาจารย์เปาโลตกม้าเลย  พอลุกขึ้นจากพื้นดิน ตาบอด  แล้วเปาโลได้ยินพระสุรเสียงของพระเยซูคริสต์ตรัสกับเปาโลว่าตอนนั้นไม่ได้ชื่อเปาโลนะ ชื่อเซาโล …

            “เซาโล เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม?”

            แค่ประโยคสั้นๆ นี้ พี่น้องจะเห็นภาพ ใครก็ตามที่ข่มเหงผู้เชื่อ หรือคนที่วางใจในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนนั้นกำลังข่มเหงพระเยซูเอง  เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา คือเข้ามาอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเรา ถ้าใครข่มเหงเรา ก็เท่ากับข่มเหงพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคที่อยู่ในเรานั่นแหละ แล้วพี่น้องลองคิดดูว่าใครที่มาข่มเหงพระเจ้า เขาจะเจอหนักหนาขนาดไหน? กล้าดีอย่างไรมาข่มเหงพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ฉะนั้น ไม่ต้องกลัวเลยว่าเมื่อเราวางใจในพระเจ้า มีคนมาข่มเหงเรา เราไม่ต้องไปสู้รบปรบมือกับเขา ปล่อยเขาไป เดี๋ยวพระเจ้าจะเป็นผู้จัดการเอง

            พระเจ้าบอกอาจารย์เปาโล  … “ข่มเหงฉันทำไม?”

            อาจารยเปาโลก็ตกใจเหมือนกัน เมื่อไร? อย่างไร? ไปข่มเหงพระองค์ตอนไหน? ก็เลยถามพระเยซูคริสต์ว่า … “ข้าพระองค์ข่มเหงพระองค์ตอนไหนล่ะ ช่วยบอกหน่อย ยังงงอยู่เลย”

            พระเยซูก็เลยตอบว่า … “ที่เจ้าข่มเหงผู้ที่เชื่อวางใจในเรา เท่ากับเจ้ากำลังข่มเหงเราอยู่”

            อาจารย์เปาโลงงเลยนะ มันเกิดเรื่องนี้ ได้อย่างไร? แล้วพระเจ้าพระเยซูคริสต์ก็สำแดงตัวพระองค์เองให้อาจารย์เปาโลได้รู้ว่าตัวพระองค์เอง คือพระผู้ช่วยให้รอด คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าพระบิดาส่งมาจริงๆ แล้วก็ได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝัง แล้วตอนนี้พระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ ยังทรงพระชนม์อยู่ สามารถที่จะสัมผัสจับต้องได้

            แล้วพระเยซูคริสต์เป็นคนที่คุยกับอาจารย์เปาโลเอง คือสอนอาจารย์เปาโลเอง โดยที่ไม่ต้องผ่านอัครทูต หรือใครต่อใครมาสอนอาจารย์เปาโลเลย ฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงได้แนะนำตัวเองว่า …

            “ฉันเป็นอัครทูต ฉันถูกสอนจากพระเยซูคริสต์โดยตรงเลย ไม่ได้ผ่านจากใครเลยแม้แต่นิดเดียว”

            ฉะนั้น เราจะเห็นภาพพระคัมภีร์ใหม่ พระเจ้าเลือกสรรอัครสาวก 12 คน  เพื่อที่จะไปประกาศ หรือดูแลชาวยิว 12 เผ่า เลือกสรรไว้แล้ว ทำไมต้องมี 12 คน? ทำไมยิวต้องมี 12 เผ่า? ไม่ใช่บังเอิญแน่นอน พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว

            ให้อัครทูตทั้ง 12 คนที่เลือกสรรไว้ ไปดูแล ประกาศข่าวดีให้กับคนยิว 12 เผ่า แล้วพระเจ้าก็เลือกอาจารย์เปาโลเป็นพิเศษโดยเฉพาะเจาะจง แยกออกมาให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ฉะนั้น อัครสาวกทั้งหมดในพระคัมภีร์มีแค่ 13 คนเท่านั้น หลังจากนั้นจะไม่มีแล้ว พระเยซูไม่ได้มาสอนใครตัวต่อตัวอีกแล้ว พวกเราที่ได้รับคำสอน ก็คือสอนจากผู้รับใช้ของพระเจ้า คนรุ่นแรก ก็ผ่านจากอัครสาวก 12 คนกับเปาโล แล้วก็ทอดต่อมาเรื่อยๆ จากผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้ยิน ได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า แล้วก็ไปประกาศ พอประกาศ มีคนรับเชื่อ เขาก็สอนต่อๆ กันไป จนถึงยุคของเรา

            เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพวกเราไว้ ซึ่งเป็นคนต่างชาติ ในพระคัมภีร์เดิมคนต่างชาติไม่ได้อยู่ในสาระบบที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ไม่มีเลย มีแต่คนยิวเท่านั้น เป็นกลุ่มคนที่พระเจ้าเลือกสรร เป็นประชากรของพระเจ้า

            ฉะนั้น แผนการที่พระเจ้าวางไว้กับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้  พระเจ้าวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าให้คนยิวมาถูกเลือกก่อน หลังจากนั้น พระองค์ก็จะให้ข่าวดีของพระเจ้าไปถึงคนต่างชาติ แล้วเนื่องจากว่าคนยิวเคยชินกับบทบัญญัติที่โมเสสให้ไว้ แล้วเขาก็ประพฤติปฏิบัติเคร่งครัดมาก พอถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดบนโลกใบนี้ แล้วพระองค์ก็ประกาศข่าวดี ตอนที่พระเยซูคริสต์มาประกาศ ไม่ได้ประกาศกับพวกเรานะ พวกเราคนต่างชาติไม่เกี่ยวกันเลย มาประกาศเฉพาะกับคนยิวเท่านั้น ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล” แกะหลงนะ พระเจ้าเปรียบผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นแกะ  … แกะเป็นสัตว์ที่อ่อนโยน  แกะไม่ใช่แพะ แพะเกรี้ยวกราด ดุร้าย แต่แกะจะเชื่องและอ่อนโยน แล้วแกะเป็นสัตว์ที่สายตาสั้น ดูไกลไม่เห็น ต้องดูใกล้ๆ แล้วก็จะมีผู้เลี้ยงคอยดูแล ผู้เลี้ยงก็จะอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา ผู้เลี้ยงจะมีไม้เท้าอันหนึ่ง คอยตะล่อมให้ฝูงแกะเข้ามาอยู่ในคอกของมัน

            นี่คือภาพในโลกวิญญาณ พระเจ้าให้เราเห็น พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี และพระองค์จะคอยดูแลแกะของพระองค์ การดูแลปกป้องคุ้มครอง ในขณะที่ผู้เลี้ยงที่ดีจะเฝ้าให้อาหารที่ดี และคอยป้องกันภัย  ถ้ามีศัตรูของแกะ คือพวกหมาป่ามา ผู้เลี้ยงที่ดีทั้งหลาย ก็จะเอาไม้เท้าตีหมาป่าให้เตลิดไป  เพื่อป้องกันแกะไว้ ถ้าแกะตัวไหนถูกทำร้าย จนมีบาดแผล ผู้เลี้ยงก็จะอุ้มไปพันแผลให้ นี่เป็นภาพนะ ภาพที่พระเจ้าให้เห็นถึงพระลักษณะของพระเจ้า ความอ่อนโยนของพระเจ้า พระองค์ทรงรักแกะของพระองค์ เมื่อแกะของพระเจ้าบาดเจ็บสาหัส พระเจ้าไม่ตีซ้ำ

            หลายคนพอเจอปัญหา เจออุปสรรค เจออะไรสักอย่างหนึ่ง ก็จะพูดว่า … “พระเจ้าตีสอนฉัน ตีหนักมากเลยนะ ตีจนฉันลุกไม่ไหว”

            อย่าไปพูดอย่างนั้น เท่ากับเราใส่ร้ายพระเจ้า  พระเจ้าไม่เคยตีเรา พระเจ้ามีแต่ฟูมฟัก ทะนุถนอม ที่ตีเรา คือศัตรูของพระองค์ที่พยายามที่จะลัก ฆ่า ทำลาย เอาสิ่งที่ดี ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับพวกเรา เอามันออกไปจากชีวิตของเรา  แล้วพยายามใส่ข้อมูลเท็จเข้ามาในความคิดของเรา ใส่ร้ายพระเจ้าว่า …

            “เห็นไหม เธอเจอเหตุการณ์อย่างนี้ ตอนนี้เธอเจ็บป่วยอยู่ พระเจ้าตีเธออยู่นะ เธอไปทำอะไรผิดมา”

            มันไม่เกี่ยวกันเลย พระเจ้าไม่ตีลูกของพระองค์แบบนั้น เพราะว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? รักขนาดที่ยอมสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน แล้วพระเจ้าจะตีเราเพื่ออะไร? ตีเราให้บาดเจ็บสาหัส น่วมไปทั้งตัวหรือ? มันไม่ใช่แน่นอน มันเป็นการโกหกหลอกลวงที่โลกนี้ หรือมาร ศัตรูของพระเจ้าพยายามส่งข้อมูลเหล่านี้เข้ามาในสมองของเรา เพื่อว่าเราจะได้ผิดใจกับพระเจ้า …

            “ทำไมพระองค์ถึงทำกับลูกอย่างนี้ พระองค์เจ้าข้า ทำไมพระองค์ถึงอนุญาตอะไรเยอะแยะมากมาย มีการต่อว่าพระเจ้าเป็นการใหญ่เลย”

            ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ในพระคัมภีร์บอก พระองค์ทรงเป็นความรัก พระองค์ทรงรักเราดังแก้วตาดวงใจ และพระองค์จะทรงฝึกสอนเรา ไม่ใช่ตีสอนเรา  การฝึกสอนและการตีสอนไม่เหมือนกัน การตี ก็คือกระหน่ำ …

            “ไม่รู้ล่ะ ตรงไหนหัว ตรงไหนหู ตรงไหนหลัง ฉันตีให้น่วมเลย”

            พระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น แต่พระเจ้าจะฝึกสอนเราด้วยวิธีของพระองค์ เวลาเราทำผิด พระองค์ก็จะบอกเราด้วยวิธีของพระองค์เองว่า …

            “ลูกเอ๋ย ตรงนี้ลูกเดินผิดทางแล้วนะ ลูกกลับมาซะ ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวลูกเจ็บตัวนะ”

            การเจ็บตัว ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้าอีก  ก็คือเราเลือกตัดสินใจ ที่จะเดินในทางที่มันไม่ใช่ทางของพระเจ้า  เดินในทางที่โลกนี้ส่งเข้ามาล่อลวงเรา เขาเรียกว่าเผลอไปทำผิด เมื่อเผลอไปผิด ก็ต้องรับผลของมัน แต่ว่าพระเจ้าก็จะคอยบอกเรา คอยเตือนเรา คอยสะกิดเรา อยู่ตรงที่ว่าเวลาสะกิดเราจะรู้ตัวไหม? ส่วนใหญ่เวลาพระเจ้าสะกิด เราไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไร? เพราะเรากำลังเพลิดเพลินกับการทำอะไรก็ตามด้วยกำลังของเราเอง หรือเราคิดว่าอย่างนี้มันต้องดี มันใช่เลย แต่ว่าเรื่องหลายเรื่อง สิ่งที่เราคิด มันไม่ได้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า มันไม่ได้ดีตามที่พระเจ้าต้องการ ตรงนี้แหละ คืออาจารย์เปาโลยืนยันตัวของท่านเองว่าท่านได้รับคำสอนจากพระเจ้าโดยตรง พอมาถึงข้อที่ 2 บอกว่า …

        โคโลสี 1:2 “ถึงประชากรของพระเจ้าที่เมืองโคโลสี     ผู้เป็นพี่น้องที่สัตย์ซื่อในพระคริสต์ ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา มีแก่ท่านทั้งหลาย”

            “ถึงประชากร” ตรงนี้อาจารย์เปาโลเขียนถึงผู้เชื่อ ประชากรเฉยๆ ยังห่างเหินมาก  มันยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษ  ความเป็นจริงแล้ว อาจารย์เปาโลเขียนถึงธรรมิกชน คำว่า “ธรรมิกชน” คือผู้ที่ได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ จำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า พวกเราผู้เชื่อทุกคน  เราได้รับการชำระโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระองค์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  แล้วพระเจ้าก็แยกเราออกมาจากโลกใบนี้ ก็คือมาเป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าโดยเฉพาะ  ตอนนี้ ณ เวลานี้ เราสัมผัสไม่ได้ เราไม่รู้สึก แต่ว่าความเป็นจริงในโลกวิญญาณ พวกเราผู้เชื่อทุกคน ถูกแยกออกมาเฉพาะเจาะจง ที่พระเจ้าแยกชิ้นส่วนมาเลยว่า …

            “อันนี้เป็นของฉันนะ”

            แล้วไม่พอ ประทับตราลงไปอีก ประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ยืนยันว่า …

            “คนนี้ของฉัน ใครอย่ามาแตะนะ ลูกข้าใครอย่าแตะ” อะไรประมาณนั้น

            ฉะนั้น ใครที่มาแตะต้องลูกของพระองค์ ลักษณะเหมือนที่พระเยซูบอกว่าเมื่อเจ้าถีบประตัก ก็เจ็บตัวเอง มาแตะลูกของพระเจ้า เตะไป เจ็บตัวเอง มันเป็นภาพอย่างนั้นจริงๆ

            ดังนั้น ธรรมิกชน หมายถึงผู้ที่ถูกแยกมาโดยพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดแล้ว แล้วเป็นพี่น้อง อาจารย์เปาโลใช้คำว่า “พี่น้อง” ซึ่งจริงๆ แล้ว คริสตจักรชาวโคโลสี อาจารย์เปาโลยังไม่เคยเจอหน้ากัน แค่ได้ยินข่าว จากคนที่อาจารย์เปาโลไปประกาศ แล้วเขาก็ไปประกาศอีกทีหนึ่ง แล้วก็ไปก่อตั้งคริสตจักรนี้ขึ้นมา แล้วข่าวคราวไปถึงหูของอาจารย์เปาโล ซึ่ง ณ เวลานี้ ติดคุกอยู่ แล้วได้ยินข่าวปุ๊บ ชื่นชมยินดี ดีใจ มีคนเชื่อ ก็เลยส่งจดหมายฉบับนี้ มาให้ชาวโคโลสีได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง ไม่เพียงพอ ยังบอกว่าคนเหล่านี้เป็นพี่น้องที่สัตย์ซื่อ อาจารย์เปาโลอัครทูตที่ยิ่งใหญ่สูงสุด นับผู้เชื่อ คนหนึ่ง หรือกลุ่มคนที่มาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นับเขาว่าเป็นพี่น้อง

            พระคัมภีร์บอกว่าทันทีที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า เราทุกคนเป็นพี่น้องในพระคริสต์ เป็นครอบครัวเดียวกัน โดยมีพระเจ้าพระบิดาเป็นพระเจ้าของพวกเราทุกคน  ไม่ว่าเราจะเชื่อที่ไหน? ที่ คริสจักรแห่งนี้  เชื่อที่คริสตจักรอื่น เชื่อที่ประเทศไทย ที่ยุโรป เอเชีย อะไรก็แล้วแต่ คนใดที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อปุ๊บ เราทุกคนเป็นพี่น้องกันเลย โดยอัตโนมัติ แล้วความรักที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกคน เราก็รักกันเลย

            ทำไมเรารู้ว่ารักกัน จากประสบการณ์ เราไม่ต้องคิดเยอะ พอเราได้ยินได้ฟังว่าใครเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรารักเขาเลย ไม่มีเหตุผล คุยไปคุยมา เป็นคริสเตียนหรือ? รักทันทีเลย ตรงนี้มันเกิดจากอะไร? ข้างในวิญญาณของเรา เป็นวิญญาณเดียวกัน ก็คือเป็นวิญญาณแห่งความรัก ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในผู้เชื่อทุกคน เราเกิดมา ก็รักกันเลยในโลกวิญญาณ ฉะนั้น เขาก็เป็นพี่น้องที่สัตย์ซื่อในพระคริสต์

            แล้วคำว่า “ขอพระคุณ” ไม่ต้องขอแล้วนะ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระคุณและสันติสุขของพระเจ้าพระบิดาอยู่ในเราเรียบร้อยแล้ว ตัวพระคุณเอง คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เข้ามาอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว พระคุณนี้ พระเจ้าให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว โดยผ่านทางความเชื่อ อย่างที่บอกเรารอด โดยพระคุณ ไม่ได้ด้วยเราทำเอง พระคุณตรงนี้พระเจ้าให้เราเปล่าๆ ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระคุณตรงนี้ อยู่ในเราทันที สันติสุขของพระเจ้า ก็สถิตอยู่ในเราทันทีด้วย เป็นส่วนหนึ่งของพระพรแห่งความรอดที่พระเจ้าให้กับพวกเรา มันมีอยู่ในนั้นเรียบร้อยไปแล้ว

            “มีแก่ท่าน” สิ่งที่เราทำได้ ก็คืออนุญาตให้สิ่งที่มีอยู่ในเรา ได้ถูกสำแดงออกไปเท่านั้นเอง สำแดงพระคุณของพระองค์ออกไป สำแดงความรักของพระองค์ออกไป นั่นคือสิ่งที่เราจะฝึกฝน อย่างนี้ต้องฝึกฝน อันนี้ขอได้ ขอพระเจ้าให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ให้ออกไป สำแดงความรักให้กับผู้คนรอบข้าง ผู้คนรอบข้างที่อาจจะไม่ต้องเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน ผู้คนรอบข้างอาจจะเป็นคนที่พระเจ้าพาเราไปเจอ แล้วเราก็สำแดงความรักของพระเจ้าออกไปให้กับพวกเขา …

        โคโลสี 1:3 “เราขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสมอ  เมื่ออธิษฐานเผื่อท่าน”

            พอได้ยินว่าเขาเชื่อวางใจในพระเจ้า  ได้ยินว่าเขาสัตย์ซื่อในพระองค์ อาจารย์เปาโลเริ่มต้นอธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้ อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า เพื่อพี่น้องเหล่านี้ตลอดเวลา คำว่า “เสมอ” คือตลอดเวลา

            แล้วอาจารย์เปาโลอธิษฐานแบบไหน? ทุกวันนี้เราอธิษฐานแบบไหน? ทุกวันนี้ เราจะอธิษฐาน ขอพระเจ้าอวยพรให้เขามีความสุข ให้เขามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง การงานเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง นั่นคือส่วนภายนอก ถามว่าอธิษฐานได้ไหม? ได้อยู่ แต่มันไม่ใช่ประเด็นหลัก

            ในพระคัมภีร์ส่วนใหญ่ที่อาจารย์เปาโลเขียน … อาจารย์เปาโลจะอธิษฐานให้ตาใจฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อทุกคนเปิดออก เพื่อเขาจะรับรู้ความจริงในพระวจนะของพระเจ้า รับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ เราควรจะอธิษฐานแบบนี้มากกว่า  เมื่อเรารับรู้ความจริงมากเท่าไร?  เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ด้วยความอดทนมากขึ้น  พระเยซูคริสต์บอก …

            “บนโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก”

            อย่าไปคาดหวังว่าเราจะสุขสบายตลอดกาล อย่าไปคาดหวัง นั่นละเมอเพ้อพก หรือถูกหลอก  แต่ความเป็นจริง คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่าเราทุกคน แม้เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณเราได้รับพระพรเต็มเปี่ยมเรียบร้อยไปแล้ว  แต่ร่างกายเรายังต้องเผชิญกับทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นรอบตัวเราบนโลกใบนี้ พระเจ้าไม่ได้เอาเราออกจากโลก เอาออกไปเมื่อไร ก็คือวิญญาณออกจากร่าง เราสบายเลย เราไปอยู่กับพระเจ้า แต่ในขณะที่พระเจ้ายังไม่เอาเราออกจากโลกนี้  เรายังต้องเผชิญ ยังต้องอยู่บนโลกใบนี้ แต่สิ่งที่พระเจ้าจะให้กับเรา ก็คือพระองค์สถิตอยู่ในเรา ให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถอดทนกับอะไรก็ตาม ที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ถูกใจบ้าง? ไม่ถูกใจบ้าง?  อะไรก็แล้วแต่  เราสามารถอดทนได้  แล้วก็สามารถขอบพระคุณพระเจ้าได้ แล้วเรามั่นใจว่าพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา  พระองค์จะทรงนำพาเราไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่พระองค์เตรียมไว้ สำหรับพวกเราผู้เชื่อทุกคนอย่างแน่นอน …

        โคโลสี 1:4 “เพราะเราได้ยินถึงความเชื่อของท่านในพระเยซูคริสต์  และความรักที่ท่านมีต่อประชากรทั้งปวงของพระเจ้า”

            “ความเชื่อของท่าน” ความเชื่อตรงนี้ เป็นอะไรที่จับต้องไม่ได้ เรามองไม่เห็น แต่ผลของความเชื่อที่สำแดงออกมา  ก็คือความรัก ความรักเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา ฉะนั้น เราจะเห็นภาพที่ผู้เชื่อทั้งหลายได้สำแดงความรักให้กับกันและกัน ดังนั้น ความเชื่อเหล่านี้ มันจะส่งผลออกมาเป็นความรักที่เรามีต่อพี่น้อง พี่น้องที่พระเจ้านำพาเราให้เจอในคริสตจักรของพระเจ้า หรือเราอาจจะไปเจอพี่น้องคนอื่นนอกคริสตจักร เมื่อเราได้รับรู้ว่าเขาเชื่อพระเจ้า มันดีใจ พี่น้องนึกภาพความดีใจไหม? ดีใจ แล้วรู้สึกปลื้มกับคนนี้ เขาเป็นพี่น้องเรานะ เราจะรู้สึกรักเขาเป็นพิเศษ ดังนั้น ความรักตรงนี้จะถูกสำแดงออก ผ่านทางชีวิตของพวกเราในชีวิตประจำวัน ความรักตรงนี้ เราไม่ต้องผลิตเอง ไม่ต้องพยายามไปบีบตัวเองให้ “ต้อง” รักคนโน้น ต้องรักคนนี้ พระเจ้าบอกให้เราสำแดงความรัก เราต้องวิ่งหาใคร เพื่อสำแดงความรักไหม? ไม่ต้อง มันจะออกมาโดยอัตโนมัติของมันเอง ความรักตรงนี้ …

        โคโลสี 1:5 “คือความเชื่อและความรักอันเกิดจากความหวัง  ซึ่งสะสมไว้สำหรับท่านในสวรรค์ และซึ่งท่านได้ยินมาแล้ว  ในถ้อยคำแห่งความจริง  คือข่าวประเสริฐ”

            “ความหวัง” ตรงนี้คืออะไร? ความหวังตรงนี้ เมื่อพวกเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว สิ่งที่เราได้รับเลยทันที ในโลกวิญญาณ คือเราได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องหวัง มีแล้ว เราได้รับเป็นบุตรของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว พระเจ้านับเราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้รับการอภัยโทษบาปทั้งหมด ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตข้างหน้า ได้รับแล้ว ไม่ต้องหวัง เราได้รับการทรงสถิตอยู่กับเรา ก็คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา เราเป็นวิหารของพระเจ้า ที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อันนี้เราก็ไม่ต้องหวัง

            แล้วผู้เชื่อหวังอะไร? ผู้เชื่อหวังอยู่แค่ 2 อย่าง อย่างแรก คือหลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราได้ไปรับร่างกายใหม่  ซึ่งเต็มไปด้วยสง่าราศี ที่พระเจ้าทรงสัญญากับพวกเราทุกๆ คนว่าอนาคตข้างหน้า เมื่อเราจากโลกนี้ไป เราจะไปสวมร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันนี้เราหวัง เพราะเรายังไม่ได้ แล้วเราจะได้ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า คือทุกวันนี้เราถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์ เมื่อถึงวันนั้นไม่ต้องซ่อนแล้ว ก็โผล่ออกมาเลย  ได้ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า

            แล้วความหวังที่ 2 คือเราได้ไปอยู่ในโลกใหม่  ที่พระเจ้าสร้างให้เราใหม่ ซึ่งเป็นโลกที่สวยงามมาก สวยงามกว่าสวนเอเดนครั้งแรก พระเจ้าบอกอย่างนั้น แล้วเราทุกคนจะได้ไปอยู่ที่นั่นเลย นิรันดร์กาลกับพระเจ้า นี่คือความหวัง

            พอเรามีความหวังตรงนี้ ตาเราก็ไม่จับจ้องมองดูสิ่งที่อยู่รอบข้างเรา อาจารย์เปาโลบอกอย่าไปจับจ้องมองดูความทุกข์ยากลำบากที่อยู่รอบข้างเรา เพราะสิ่งเหล่านี้มันอยู่แค่ชั่วคราว อยู่แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว เราทิ้งร่างกายนี้ เราไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล ฉะนั้น ให้เรามองที่เบื้องบน ที่ที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ ก็คือเป็นพระพร เป็นความหวังใจเดียวที่ผู้เชื่อทั้งหลายจะหวังได้ ก็คือรอ เรารอคอย พอเรารอคอยความหวังนี้ เราก็จะเกิดความอดทน

            คำว่า “อดทน” ไม่ได้หมายความว่าเราไปสบายๆ ถ้าเราสบาย ไม่ต้องอดทน  เพราะเราไม่สบาย เราจึงต้องอดทน อดอีกนิดๆ เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว ประมาณนั้น ดังนั้น ให้เราอดทนในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่เราเจอเหตุการณ์อะไรก็ตามผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา  ถูกใจบ้าง? ไม่ถูกใจบ้าง? ทุกข์บ้าง? สุขบ้าง? อะไรก็แล้วแต่ ให้เราอดทน รอความหวังที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรา แล้วเมื่อเราผ่านความอดทนตรงนี้ พระเจ้าก็จะสามารถใช้ความอดทนนี้แหละ ที่สามารถโชว์เราได้ว่า …

            “นี่เห็นไหม? ลูกฉัน แม้เขาจะเจอความทุกข์ยากลำบากขนาดนี้ เขายังคงสามารถที่จะดำเนินชีวิตด้วยความดีงามของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเขาได้ เต็มไปด้วยสันติสุขและความชื่นชมยินดี ซึ่งหาไม่ได้จากที่ไหน? นอกจากผู้เชื่อเท่านั้น”

            เราเคยเห็นผู้เชื่อยิ้มทั้งน้ำตาไหม? ทุกข์นะ ข้างในทุกข์มาก 108-1009 อะไรก็ไม่รู้ กระหน่ำเข้ามาเลย แต่เราสามารถยิ้มได้ เพราะเรามีความหวัง เราไม่ได้หวังโลกนี้ ไม่เป็นไร แป๊บเดียวเอง แต่เราหวังโลกหน้า ที่พระเจ้าทรงสัญญากับเราไว้ แล้วจะไม่เจอที่ไหนเลย ถ้าคนที่ไม่มีความเชื่อ ไม่สามารถดำเนินชีวิตแบบนี้ได้  มีเพียงผู้เชื่อเท่านั้น  ที่จะสามารถดำเนินชีวิตแบบนี้ แล้วเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า เป็นการที่คนอื่นมองมา …

            “ขอบคุณพระเจ้าเนอะ”

            “พวกนี้เป็นใคร?”

            “เป็นคริสเตียน”

            เขาอึดถึก นึกออกไหม? คริสเตียนเป็นประเภทที่อึดถึกมาก ก็คือสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ในความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ด้วยสันติสุขและความชื่นชมยินดี ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของพวกเราทุกๆ คน

            “ถ้อยคำแห่งความจริง” ตรงนี้ ความจริง คือไม่ใช่โกหก เป็นถ้อยคำที่พระเจ้าบอกเราจริงๆ ว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้  พระเจ้าเตรียมไว้แบบนี้ แล้ววันหนึ่ง เราจะได้ไปรับจริงๆ ตามข่าวประเสริฐที่พระเจ้าได้ให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย แล้วก็มาถึงพวกเราทุกๆ คน ข่าวดีของพระเจ้า คือเราได้รับความรอด โดยผ่านทางความเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติใดๆ เลย

            ดังนั้น การประพฤติหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า ตอนนี้ มันกลายเป็นว่าเราพร้อมและยอมที่จะเชื่อฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พอเราเชื่อฟังมาก เราก็จะประพฤติดีมาก พอเชื่อฟังน้อย ก็จะดีลดน้อยลง พอไม่เชื่อฟังปุ๊บ ดื้อเลย คริสเตียนทำไมเป็นแบบนี้ นั่นแหละ ตอนนั้น เขาหลงผิด เขาไม่เชื่อฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเขา แต่ว่าพระเจ้าก็ยังคงมีความหวัง ในชีวิตของพวกเราทุกๆ คน พระองค์ไม่ทิ้ง แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวที่อยู่ในความคิดของพระเจ้าว่าจะทิ้งเราเลย ไม่มีทาง เพราะพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา สถิตกับเรา พระองค์ทรงเป็นองค์อิมมานูเอล ไม่ทิ้งเราไปไหน? ไม่ว่าทุกข์ ไม่ว่าสุข ไม่ว่าวันนี้คิดดี พรุ่งนี้คิดไม่ดี พระเจ้าก็ไม่ทิ้งเราไปไหน?  พระเจ้าก็จะคอยสะกิด …

            “ลูกวันนี้คิดไม่ดีนะ เปลี่ยน”

            หรือวันนี้คิดดี … “ลูกวันนี้ ขอบคุณพระเจ้า วันนี้ดีแล้ว ทำต่อไป”

            อะไรประมาณนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำแบบนี้กับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซูตรัสว่า … “จงให้แล้วท่านจะได้รับ”

            ลูกา 6:38 … “จงให้แล้วท่านจะได้รับ  และทะนานที่ตวงเต็มยัดสั่นแน่นพูนล้นจะถูกเทลงในตักของท่าน เพราะท่านใช้ทะนานอันใดก็จะใช้ทะนานอันเดียวกันนั้นตวงแก่ท่าน”

            การให้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญในพระคัมภีร์ และมีหลายข้อที่พูดถึงการให้ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความรักและความเมตตา ซึ่งแสดงถึงหลักการของการให้ ที่ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้พระเจ้าทรงอวยพรเราด้วย

            2 โครินธ์ 9:7 … “แต่ละคนจงให้ตามที่เขาตั้งใจไว้ในใจ ไม่ใช่ด้วยความเศร้า หรือด้วยความจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี”

            ข้อนี้เน้นถึงความสำคัญของการให้ ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความยินดีและความสมัครใจ

            การให้ควรเป็นการตัดสินใจที่มาจากใจ ที่เป็นอิสระ ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ ชักจูง ข่มขู่ ให้เกิดความกลัว เกิดการฟ้องผิด เกิดความกังวลว่าจะสูญเสียความรอด หรือได้รับการหว่านล้อมให้เกิดความโลภ

            สุภาษิต 11:25 … “คนใจกว้างจะมั่งคั่ง และผู้ที่รดน้ำคนอื่นจะได้รับการรดน้ำด้วย”

            เพราะฉะนั้น การให้ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่น แต่ยังเป็นการที่เราจะได้รับพรกลับคืนมา

            การให้เป็นการแสดงออกถึงความรักและความเมตตา ที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา และเป็นการที่เราสามารถแสดงความรักนั้นต่อผู้อื่นได้เช่นกัน

                        ไม่ใช่ให้ เพราะกลัวพระเจ้าไม่รัก

                        ไม่ใช่ให้ เพราะกลัวพระเจ้าไม่อวยพร

                        ไม่ใช่ให้ เพราะกลัวถูกสาปแช่ง

                        แต่ “ให้เพราะรัก” …………ต่างหาก

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1531

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  กรกฎาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 2 ยอห์น” ตอน 1 “เราคริสเตียนผู้เชื่อ อยู่ในความจริงของพระเจ้าตลอดไป”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ คำบรรยายเป็น “หนังสือ 2 ยอห์น” เรื่อง “เราคริสเตียนผู้เชื่อ อยู่ในความจริงของพระเจ้าตลอดไป”

            หนังสือ 2 ยอห์น เป็นจดหมายสั้นๆ แต่มีเนื้อหาที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความจริงทางฝ่ายวิญญาณ ในชีวิตคริสเตียน เราเพิ่งจบคำบรรยาย ซีรี่ย์ 20 ตอนของหนังสือ 1 ยอห์น ซึ่งมีอยู่ 5 บท แต่เราใช้เวลาไป  20 อาทิตย์ ละเอียดยิ๊บเลย นี่รวมๆ แล้ว พูดถึงการที่พระเจ้าทรงอยู่กับเราเสมอตลอดไปนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            เราคริสเตียน ผู้เชื่อ ได้มีสามัคคีธรรม เป็นหนึ่งเดียวกันทางฝ่ายวิญญาณ นี่คือความจริงที่อาจารย์ยอห์นอธิบายให้เราฟังในหนังสือ 1 ยอห์น ทั้ง 5 บทที่เราได้เรียนรู้ไปแล้วว่าเราคริสเตียนผู้เชื่อ ได้เข้าสามัคคีธรรมเป็นหนึ่งเดียวกันทางฝ่ายวิญญาณกับพระองค์ …

            พระองค์ คือพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระองค์ตลอดเวลา ตลอดไปนิรันดร์

            เราได้รับการอภัยจากบาปทั้งปวง ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตด้วย ได้ถูกยกเลิก ได้ถูกลบล้างออกไปหมดสิ้นแล้ว ล่วงหน้าด้วยซ้ำไป  ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ที่อาจารย์ยอห์นบอกในหนังสือ 1 ยอห์น 5 บทนั้น

            และยังบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ด้วยการฟื้นคืนพระชนม์ การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูทำให้เราได้เป็นอย่างนั้น

            และยังบอกอีกว่าเราได้เป็นลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พอเปิดใจรับเชื่อปุ๊บ ได้เกิดใหม่ปั๊บ ได้เป็นลูกของพระเจ้าทันทีทันใดเลย

            นี่ได้บอกเราอย่างนั้น ก็คือการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง ซึ่งเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ เราลองมาอ่านในหนังสือ 1 ยอห์น บท 3 ดู ซึ่งพูดถึงเรื่องนี้ มันตื่นเต้น นี่คือสิ่งต่างๆ ที่เป็นเรื่องที่อาจารย์ยอห์นได้อธิบายให้เราฟังอย่างละเอียด ใน 5 บทของ 1 ยอห์น ที่เราเรียนรู้ไป 20 ตอน ลองอ่านใน 1 ยอห์น 3:1-2 ได้บอกอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 3:1-2 “1 จงมองให้เห็นเถิด พระเจ้าพระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราได้ชื่อว่าเป็นลูกเล็กๆ ของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลาย ก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ 2 ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจว่าเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์  (ได้สวมร่างกายใหม่ ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์จริงๆ อย่างที่พระองค์ ทรงเป็นอยู่นั้น”

            พระเจ้าพระบิดาทรงประทานความรักกับเรามากขนาดไหน? ที่รับเรา เรียกเราว่าเป็นลูกของพระเจ้า และอาจารย์ยอห์นก็บอกว่าเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ คืออาจารย์ยอห์นยังตื่นเต้นเลย จริงๆ มันมองไม่เห็นด้วยตา แต่ทางฝ่ายวิญญาณมันเป็นจริงๆ เป็นเมื่อไร? ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ ในโลกวิญญาณนั้น เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ  เป็นลูกพระเจ้าก็จริง แต่เรายังไม่สามารถเข้าใจอย่างละเอียดได้ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์เสด็จมาปรากฎนั้น  หมายถึงเวลาที่เราจากร่างนี้ไป เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ เอเมน ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ และถึงวันนั้น เราก็สามารถเห็นพระองค์หน้าต่อหน้าได้ ด้วยร่างกายใหม่นั้น นี่คือข้อสำคัญอีกอันหนึ่งที่อยู่ใน 5 บทนี้ ลองอ่านอีกข้อหนึ่ง เลือกมาที่เด่นๆ นะ 1 ยอห์น 4:17 …

        1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้น อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​ ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่​เหมือน​กับ​วิญญาณและจิตใจของ​พระคริสต์”

            “ในการได้เข้าส่วนร่วม” ก็คือในการเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือการบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในการตายและการเป็นขึ้นจากความตายนั่นเอง

            การเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ทำให้เกิดความรักขึ้น อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน  พระเจ้าทรงเป็นความรัก เราก็เป็นความรัก เกิดขึ้นทันทีเลย ในวิญญาณของเรา

            “เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม” ก็เพราะวิญญาณ จิตใจของเราขณะที่อยู่บนโลกนั้น เป็นเหมือนวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์ เป็นเหมือนพระคริสต์เลยทางโลกวิญญาณ  เราจึงไม่กลัววันพิพากษาในอนาคต เมื่อเราจากโลกนี้ เราตายไป เราไม่กลัวหลังความตายแล้ว เพราะว่าเรามีมัดจำ มีค้ำประกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว คือตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ตัวตนแท้จริงของเรา คือวิญญาณและใจของเราที่ได้รับใหม่ จากการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์นั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ขณะนี้ แล้วร่างกายล่ะ ร่างกายที่อยู่เป็นใหม่ เป็นแบบไม่ใช่เป็นตัวใหม่เลย เป็นอันเก่า แต่รีไซเคิลใหม่ ขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราเป็น คริสเตียน อาจารย์ยอห์นบอกว่าวิญญาณเราบังเกิดใหม่จากพระเจ้า ใจเราพระเจ้าประทานให้ใหม่ วิญญาณกับใจใหม่เอี่ยม เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายที่รีไซเคิล

            รีไซเคิล แปลว่าฟื้นฟูใหม่ พูดอย่างนี้อาจจะไม่ชัด อธิบายนิดหนึ่ง เป็นร่างกายเก่า แต่ได้รับการชำระล้างใหม่ ให้สะอาดหมดจดเลย  เพื่อรองรับการเสด็จมาของพระเจ้า เข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายเรา เป็นพระวิหารของพระเจ้า เหมือนคนที่เขาทำค้าขายเครื่องดื่มที่มีน้ำอยู่ข้างใน เป็นขวดแก้ว เขารับซื้อขวดแก้วที่ใช้แล้ว เขาเรียกว่าขวดแก้วเก่า เราดื่มหมดแล้ว เอาขวดเก่ามา จะสกปรกอย่างไร? ขอให้มันยังไม่แตก เขาจะซื้อกลับไปรีไซเคิล คือมันสกปรกอย่างไรแล้วแต่ มันอาจจะเปื้อนโคลน มีน้ำสกปรกอยู่ข้างใน มีโคลนอยู่ข้างใน มีน้ำคลองอยู่ข้างใน เขาซื้อมาปุ๊บ ก็เอาเข้าโรงงานทันที โรงงานฟอกสะอาด ฆ่าเชื้ออย่างดี เข้าเครื่องอบจนแห้ง สะอาดเอี่ยมเลย  เสร็จแล้ว เขาก็เอาไปใส่น้ำที่เขาจะขาย เขาทำอย่างนี้ เราเรียกรีไซเคิล พระเจ้าทำมาก่อนแล้ว ให้วิญญาณใหม่ ใจใหม่  แต่ใส่ในร่างกายเก่าไม่ได้ ร่างกายเก่ามันสกปรก ก็เอาไปรีไซเคิล ด้วยพระโลหิตของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ผ่านพระโลหิตพระเยซูคริสต์ชำระให้สะอาดหมดจดปุ๊บ ขวดเก่า ก็คือร่างกายเก่าเรานั้น ได้รีไซเคิลได้กลายเป็นสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ พร้อมที่จะใส่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พร้อมที่จะให้พระเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ เป็นวิหารของพระเจ้า เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            ที่ตะกี้พูดมาทั้งหมด ในหนังสือ 1 ยอห์น ที่อธิบายนั้น รวมทั้งหมด เรียกกันว่า “ความรอดในพระเยซูคริสต์” คือทั้งหมดนั้น ใครอยากจะรู้ว่าความรอดในพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? ย้อนกลับไปฟัง ซีรี่ย์หนังสือ 1 ยอห์น   20 บทที่ได้อธิบายไปอย่างละเอียด ซึ่งความรอดตรงนี้ อาจารย์ยอห์นสรุปว่าเป็นความรอดที่เป็นนิรันดร์ ในหนังสือ 1 ยอห์น 5:13 ก็คือช่วงท้ายๆ ของหนังสือ 1 ยอห์น อาจารย์ยอห์นได้พูดตรงนี้นะ ลองอ่านดู …

        1 ยอห์น 5:13 “สิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่าน ที่วางใจในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อให้ท่านรู้ว่าท่านได้มีชีวิตนิรันดร์แล้ว”

            “ท่านได้มีชีวิตนิรันดร์แล้ว” ข้าพเจ้าเขียนมาทั้งหมดในหนังสือ 1 ยอห์น 5 บทนี้ เขียนมา เพื่อให้ท่านได้รู้ คือได้รับรู้ความจริงนี้ ไม่ใช่ให้ท่านรู้สึก ไม่ใช่ให้ท่านเข้าใจ  เพราะไม่มีทางเข้าใจได้หรอก มันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  มันอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ และท่านไม่สามารถที่จะรู้สึกได้ด้วยร่างกายของท่าน …

            “โอ๊ย! รู้สึกว่าฉันได้รับชีวิตนิรันดร์” ไม่ใช่

            แต่ให้ท่านรู้จากความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า เพื่อท่านจะรู้ว่าท่านได้มีชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว … ชีวิตนิรันดร์ ก็คือตะกี้ที่อธิบายมาทั้งหมด พูดง่ายๆ ก็คือท่านได้รับความรอดแล้ว รอดเลย ไม่มีใครสามารถเอาความรอดนี้ ไปจากท่านได้อีกแล้ว เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ท่านได้รับความรอดและบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว รอดแล้วรอดเลย เอเมน 1 ยอห์น 5:18 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:18 “เรารู้ว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาปต่อไป แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้าทรงปกป้องเขาไว้ และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้”

            เห็นไหม? ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาปอีกต่อไป ก็คือเราเรียนรู้ไปแล้ว บังเกิดใหม่จากพระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แม้จะทำบาป ก็ไม่ใช่ทำบาปชนิดที่เป็นบาปที่ทำเป็นกิจวัตร คือที่ทำจากธรรมชาติวิญญาณที่เป็นบาปอยู่ ไม่มีอีกต่อไปแล้ว

            พระองค์ที่ทรงบังเกิดจากพระเจ้า ก็คือพระบุตร ก็คือพระเยซูคริสต์ทรงคุ้มครองป้องกัน ปกป้องผู้ที่บังเกิดใหม่เช่นเดียวกับพระองค์ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่เหมือนกับพระเยซูคริสต์เหมือนกันเลย  มันเป็นความจริงที่เรานั้น เป็นเหมือนพระองค์ อาจารย์ยอห์นอธิบายให้ฟังนะ เราเป็นเหมือนพระองค์ มารร้ายไม่สามารถแตะต้องเราได้เลย ไม่ได้หมายถึงมารทำร้ายทำลายเรา เปล่า มารร้ายไม่สามารถมาโกหกมดเท็จ กล่าวหาเราได้เลย  เพราะว่ามารร้ายได้แต่โกหก หลอกลวง  แต่เราเป็นความจริงอยู่ในตัวเรา คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วในวิญญาณนั่นเอง

            ยอห์นได้บอกชัดเจนว่ามารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้ “เขา” ก็คือพวกเราที่บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนแล้วนั้น  มารร้ายไม่อาจแตะต้องเขา ก็คือไม่อาจโกหก หลอกลวง ให้เขาสูญเสียความรอดได้เลย ความรอดที่เราได้รับ จึงเป็นนิรันดร์ ทุกอย่าง คุณสมบัติของความรอด ที่ตะกี้นี้ เราอ่านมาทั้งหมด สรุปในหนังสือ 1 ยอห์น 5 บทนั้น อยู่ไปนิรันดร์ ตลอดเวลา มารไม่สามารถทำให้มันเสียหายไปได้เลย ไม่สามารถเอาออกไปจากชีวิตเราได้เลย เพราะว่ามารมันทำได้แค่เพียง โกหก หลอกลวง ทำให้เราคิดว่ามันสามารถทำได้ แต่มันไม่สามารถทำได้เลย มันจึงแค่ใส่ร้ายด้วยคำเท็จ กล่าวหา กล่าวโทษเรา ทั้งกลางวันและกลางคืน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น กล่าวหาทั้งกลางวันและกลางคืน ว่าเรา ด่าเรา ใส่ร้ายเราต่างๆ นานา เพื่อให้เราไม่มั่นใจในความรอดนั้น แต่ในพระคัมภีร์บอกแล้วใช่ไหมว่าแตะต้องเราไม่ได้เลย ก็คือเอาความรอดออกไปจากเราไม่ได้เลย แม้แต่นิดหนึ่ง

            วันนี้เรามาต่อ 2 ยอห์น จดหมายนี้มีแค่ 13 ข้อ แต่มีเนื้อหาสาระที่สำคัญ ก็คือเรื่องความจริง  พระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ภายในเรา พระองค์ทรงเป็นความจริง และความจริงนี้อยู่ในเรา และเราอยู่ในความจริงนี้ ซีรี่ย์ 2 ยอห์นในวันนี้ จึงใช้ชื่อเรื่องว่า “เราคริสเตียนผู้เชื่อ อยู่ในความจริงของพระเจ้าตลอดไป” นี่คือสาระสำคัญในหนังสือ 2 ยอห์น

            เพราะว่าจดหมายฉบับนี้ อาจารย์ยอห์นจะเน้นเรื่องว่าแม้ว่าโลกจะเต็มไปด้วยความโกหกมดเท็จของมารซาตานก็ตาม แต่คริสเตียนผู้เชื่อมีความจริงของพระเจ้าอยู่ในใจตลอดเวลา และคริสเตียนผู้เชื่ออาศัยอยู่ในความจริง เพราะฉะนั้น มารมันแตะต้องเราไม่ได้เลย นอกจากหลอกเรา โกหกเรา ลวงเรา แต่ไม่สามารถทำอันตรายเราได้ เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ พระเจ้าจะนำพาชีวิตเรา พาเราเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช มันแตะต้องเราไม่ได้เลย มันมีแค่เงา มีแค่เห่า มีแค่เสียงคำราม ขู่ แต่มันทำอะไรเราไม่ได้ ไม่ต้องกลัว พูดง่ายๆ เราเริ่มต้นที่ 2 ยอห์น 1:1-2 …

        2 ยอห์น 1:1-2 “1 ข้าพเจ้า​ผู้​ปกครอง เรียนท่าน​สุภาพสตรี​ที่​พระ​เจ้า​ได้​เลือก​ไว้ และ​ลูกๆ ของ​เธอ ​ผู้​ซึ่ง​ข้าพเจ้า​รัก​ใน​ความ​จริง ไม่​เพียง​ข้าพเจ้า​เท่า​นั้น แต่​ทุก​คน​ที่​รู้​ถึง​ความ​จริง​ด้วย 2 เพราะ​ความ​จริง​ดำรง​อยู่​ใน​ตัว​เรา และ​จะ​อยู่​กับ​เรา​ตลอดไป”

            “สุภาพสตรีที่ทรงเลือกและลูกๆ ของเธอ” ไม่ได้หมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่หมายถึงคริสตจักรและสมาชิกของคริสตจักร หมายถึงคริสตจักรที่เหมือนคริสตจักรลูก เรียกว่าคริสตจักรพี่น้อง อย่างที่เรามีคริสตจักรในเมืองไทย เราก็มีคริสตจักรของเรา และก็มีคริสตจักรที่อยู่ในเขตเดียวกัน อยู่ในกรุงเทพ อะไรต่างๆ  เป็นคริสตจักรพี่น้องที่มีความเชื่อในข่าวประเสริฐ ในข่าวดีของพระเจ้าเหมือนกัน มีปฏิสัมพันธ์ มีการติดต่อกัน

            ยอห์นแสดงความรักในความจริงนี้กับพวกเขา ก็คือกับพี่น้องคริสเตียนในโบสถ์อื่นๆ  คือทักทายเขาด้วย และบอกว่ารักพวกเขาในความจริง เห็นไหม? ยอห์นแสดงความรักนี้ในความจริง ข้าพเจ้ารักในความจริง อาจารย์ยอห์นกำลังจะเน้นถึงเรื่องว่าเราคริสเตียนมีสัมพันธ์กัน มีสามัคคีธรรมกันฝ่ายวิญญาณในพระคริสต์นั้นในความจริงด้วย ซึ่งเป็นความจริงที่เขามีร่วมกันในความเชื่อ ในการเป็นคริสเตียน และยืนยันอีกว่าความจริงนี้ จะอยู่กับพวกเขาตลอดไป พูดง่ายๆ ก็คือมารไม่สามารถแตะต้องเราได้ มารไม่สามารถมาโกหก หลอกลวง ขโมยความจริงนี้ออกไปจากเราได้เลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากหลอก โกหกว่าเอาไปแล้ว แต่มันไม่ได้เอาไปหรอก ยังอยู่กับเรานั่นแหละ

            ความจริงที่กล่าวถึงนี้ คือความจริงของข่าวดี สรุปสั้นๆ ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเมสิยาห์จริงๆ จำได้ใช่ไหม? 1 ยอห์นที่เราเรียนรู้ไป เน้นเรื่องนี้เลย พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เพื่อที่จะตายที่ไม้กางเขน มีโลหิตไหลลงมาจริงๆ เพื่อจะชำระบาปจริงๆ และเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ในวันที่ 3 เพื่อให้เราได้บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ด้วย และบัดนี้ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน เพื่อว่าเราจะได้นั่งกับพระองค์ด้วย

            นี่สรุปสั้นๆ นี่คือความจริงในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของคริสเตียนในการที่จะมีสามัคคีธรรมกัน ใครจะมีการสามัคคีธรรมในคริสเตียน ไม่ใช่มาที่โบสถ์แล้วมีการสามัคคีธรรมกัน ไม่ใช่หมายถึงอย่างนั้น แต่หมายถึงเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ จึงจะได้สามารถมาสามัคคีธรรมกับคริสเตียน กับเราได้

            เพราะฉะนั้น การสัมพันธ์ในการติดต่อกันในทางคริสตจักร ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐนี้ คืออยู่ในความจริงนั่นเอง ความจริง คือที่ตะกี้นี้บอก ยอห์นบอกว่าท่านต้องอยู่ในความจริง เพราะพระเยซูตรัสว่าพระองค์ คือความจริง ดังนั้น ถ้าท่านอยู่ในพระเยซูท่านก็อยู่ในความจริง ถ้าท่านบอกว่าท่านอยู่ในความจริง มีสามัคคีธรรมกับเรา  แต่ถ้าท่านไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระมาซีฮาห์  ท่านไม่มีพระเยซู ท่านก็ไม่มีความจริง เพราะความจริง ก็คือตัวพระองค์เอง คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            มาดูความหมายละเอียดขึ้น การอยู่ในความจริง ในชีวิตจริงๆ คืออะไร? เราบอกเราอยู่ในความจริง และการใช้ชีวิตอยู่ในความจริงนั้น มันคืออะไร? ท่านลองนึกภาพว่าท่านอยู่ในความจริง มันเป็นอย่างไร? ก็หมายถึงท่านถูกห้อมล้อมด้วยความจริง ความจริงอยู่หน้าท่าน อยู่หลังท่าน อยู่ข้างท่าน ข้างซ้าย ข้างขวา ท่านเดินไปที่ไหน เป็นความจริงตลอดเวลา มันอาจจะเข้าใจยากนิดหนึ่ง นี่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณเป็นเช่นนั้น ท่านกำลังดำเนินชีวิตอยู่ในความจริงทุกฝีก้าว  ทุกลมหายใจเข้าออก

            นึกถึงความจริงนี้เป็นองค์พระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นความจริง พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา ไปไหนกับเราด้วยตลอดเวลา ก็คือความจริงไปไหนกับเราตลอดเวลา  อยู่ในเราตลอดเวลา ท่านได้รับการบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับท่านถูกบัพติศมาเข้าไปในความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงที่อยู่ในเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน เป็นชีวิตของท่านเลย ชีวิตท่าน คือความจริง  ไม่มีใครที่จะมาแก้ไข เปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้

            และความจริงนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ปัญญาว่าท่านรู้ถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันไม่ใช่มีความจริง แต่มันเป็นความจริง ท่านได้เป็นความจริง ไม่ว่าท่านจะถูกทดลองให้กระทำอะไร ประพฤติอะไรที่ตรงกันข้าม หรือไม่ตรงกับความเป็นจริงของการเป็นคริสเตียน แต่ท่านก็เป็นความจริง เพราะว่าการเป็นความจริงกับการประพฤติความจริงนั้น มันคนละเรื่องกัน นี่พูดหลายครั้งแล้วว่าการที่ท่าน “เป็น” กับการที่ท่าน “ประพฤติ” นั้น มันคนละเรื่อง เราเป็นมนุษย์ แต่เราอาจจะประพฤติไม่เหมือนมนุษย์ก็ได้ นึกออกใช่ไหม?

            เพราะฉะนั้น เราเป็นความจริง เราเป็นเหมือนพระเยซู แต่เราอาจจะประพฤติไม่เหมือนก็ได้ เราอาจจะถูกหลอกก็ได้  เหมือนเกิดเป็นมนุษย์ อาจจะถูกหลอกให้คลานก็ได้  อาจจะถูกหลอกให้เลื้อยก็ได้ หรือถูกหลอกให้ประพฤติไม่เหมือนมนุษย์ก็ได้ มนุษย์เขาไม่ทำกันอย่างนี้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น

            เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะเกิดความสับสนอย่างไร? เกิดการถูกล่อลวง โดยการโกหกมดเท็จของมารอย่างไร? ให้ประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม ท่านก็ยังคงเป็นความจริง เป็นเหมือนพระเยซูอยู่เหมือนเดิม  เพราะว่ามารมันทำได้แค่ หลอก ล่อ  ลวงให้ท่านประพฤติในสิ่งที่ไม่ได้เป็นจริง  แต่ความจริงยังเป็นอยู่ในตัวท่าน เป็นอย่างไร ก็ยังเป็นอย่างนั้น มันไม่มีการเปลี่ยนแปลง พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในท่าน ก็ยังสถิตอยู่เหมือนเดิม พระวิญญาณที่เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้คอยแนะนำให้ท่านดำเนินชีวิตอย่างไร? ก็ยังแนะนำอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ท่านไม่ได้ฟัง ท่านไปเชื่อคำเท็จของมาร ถูกหลอกเท่านั้นเอง แล้วมารทำอะไรท่านได้ไหม?  ก็ไม่ได้ เพียงแค่ทำให้ท่านทุกข์ลำบากมากขึ้น ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น

            เพราะฉะนั้น ความจริง จึงไม่ใช่ปัญญาหรือความรู้ต่างๆ แต่มันเป็นความจริงที่มันเกิดขึ้นในวิญญาณของเราว่ามันเป็นอย่างไร? ก็คือพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ภายในเรา ทั้ง 3 พระภาคนี้ เป็นความจริง ท่านจะประพฤติตัวอย่างไร? ไม่ตรงกับความจริงนี้ ความจริงนี้ ก็ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าท่านประพฤติตัวไม่ถูกต้องนั้น ก็เพียงแต่ว่าขณะนั้น ท่านไม่ได้เชื่อในความจริง เข้าใจใช่ไหม? เชื่อในความจริง มันไม่ได้หมายถึงท่านจะเป็นความจริง เพราะว่าชีวิตคริสเตียนไม่ใช่แค่การเชื่อในความจริง แต่คือการดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง ซึ่งก็คือพระคริสต์

            ชีวิตคริสเตียน ไม่ใช่เรามาเชื่อความจริง บางครั้งเราไม่เชื่อ เราไปเชื่อมาร เชื่อกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แต่เราก็ยังอยู่ในพระคริสต์ เราดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง คืออยู่ในพระคริสต์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้โลกจะเปลี่ยนแปลง แต่ความจริงพระเจ้าที่อยู่ในเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย แม้แต่นิดเดียว นี่คือความมั่นใจ ความมั่นคงที่พระคัมภีร์บอกไว้ของชีวิตคริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่ ที่เรียกว่าความจริงที่ดำรงอยู่ในท่านตลอดไปจนถึงนิรันดร์ ไม่ต้องกลัวเลย ไม่มีใครมาทำอะไรท่านได้ พระคัมภีร์พูดไว้ในโรม 8:38-39 บอกว่าไม่มีใครมาเอาตรงนี้ออกไปจากเราได้เลย ไม่ว่าจะใหญ่ขนาดไหน? ความตายก็เอาไปไม่ได้ ทูตสวรรค์ หรือสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นทั้งหมด ไม่ว่าจะมีอำนาจขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเอาความจริงนี้ออกไปจากท่านได้ เพราะว่าความรอดนี้เป็นของท่านแล้ว นี่คือความจริง …

        2 ยอห์น 1:2 “เพราะ​ความ​จริง​ดำรง​อยู่​ใน​ตัว​เรา และ​จะ​อยู่​กับ​เรา​ไป​ตลอด​กาล”

            อาจารย์ยอห์นเน้นตรงนี้ว่าความจริงจะอยู่กับเราตลอดไป  เพราะว่ามันเป็นความจริง  ไม่มีการเท็จ เพราะว่าเป็นความจริงที่อยู่ในโลกวิญญาณ ความจริงของพระเจ้า เป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ได้มาแบบมาๆ ไปๆ วันนี้ได้รับความรอด เดินออกไปรู้สึกทำอะไรผิด ความรอดหายไปแล้ว อย่างนี้เรียกว่าถูกหลอก เดี๋ยวมีความประพฤติอะไรออกมาไม่ดี เกิดโมโหใคร เกิดโกรธใคร พูดจาไม่ดีกับใคร ตวาดใครขึ้นมา มารมันก็หลอกเรา นี่สูญเสียความรอดแล้ว สูญเสียไม่ได้ ไม่มีทางสูญเสีย ความจริงจะอยู่กับเราตลอดไป หมายถึงอย่างนี้ คำโกหก คำเท็จ หลอกลวง ที่พบบ่อย เช่น …

            “คุณทำบาป คุณสารภาพบาปหรือยัง?  คุณต้องสารภาพบาปทุกๆ ครั้ง ถึงจะได้สามารถกลับมาอยู่ในพระคริสต์ได้ ถ้าคุณทำบาป แล้วไม่สารภาพบาป คุณหลุดออกจากการอยู่ในพระคริสต์ คุณหลุดออกจากการเป็นความจริง คุณหลุดออกจากความรอดแล้ว  คุณต้องสารภาพบาป เพื่อจะกลับเข้ามาใหม่ได้” เคยได้ยินใช่ไหม?  “เพราะฉะนั้น คุณต้องสารภาพบาป ไม่สารภาพบาป ไม่ได้”

            อย่างนี้ มันเป็นความเท็จ เป็นการหลอกลวงของมาร สำหรับคริสเตียนแล้ว ไม่มีการสารภาพบาป แล้วกลับเข้ามาใหม่ อยู่ก็อยู่เลย ไม่อยู่ก็ไม่อยู่ ถ้าเป็นคริสเตียนแล้วก็เป็นเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็คือมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว มาอยู่ในความจริงแล้ว ก็อยู่เลย ตลอดนิรันดร์แล้ว ไม่ว่าคุณจะประพฤติอะไร ก็จะอยู่ในนี้ มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่มารมันจะใช้ความประพฤติของท่าน มาหลอกลวง มาใส่ความเท็จ กล่าวหาท่าน แล้วก็พยายามให้ท่านบอกว่าหลุดแล้ว ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เป็นต้น

            จำ 1 ยอห์น 1:9 ได้ไหม?  ที่พูดถึงเรื่องคนที่ไม่เชื่อ ที่ปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้เป็นคนบาป เพราะว่าในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเพราะว่าเขาไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขาอยู่แล้ว เขาจึงปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ แต่เราผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ เรามีความจริงนี้อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว แล้วปรากฏว่าแทนที่ข้อความนี้จะเป็นข้อความที่ย้ำยืนยันว่าให้คริสเตียนมั่นใจ สบายใจว่ามันเรื่องจริงว่าเราได้รับเชื่อแล้ว เราสารภาพบาปของเรากับพระเจ้า กลับใจใหม่แล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว  เราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแล้ว เราได้รับการอภัยบาปทั้งปวงหมดสิ้นไปแล้ว แล้วจะอยู่ในความรอดนี้อย่างมั่นคงตลอดไป น่าจะเป็นอย่างนั้น มันก็ถูกหลอกอีก  มารก็บิดเอาข้อความนี้ออกมา กลายเป็นว่าเอามาใช้กับคริสเตียน ว่าเป็นคริสเตียนแล้วนะ ต้องสารภาพบาป ถ้าทำอะไรผิดไป ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ ก็ต้องสารภาพบาป บางครั้งต้องกลับไปสารภาพบาป ทั้งๆ ที่ไม่รู้ ยกตัวอย่างเช่น …

            “พระเจ้าลูกขออภัยจากการที่ลูกโกรธคนนี้ วันนี้ลูกพูดจาไม่ดี และลูกขออภัย ถ้าลูกทำอะไรผิดบาป ที่ลูกจำไม่ได้ หรือไม่รู้ว่าทำบาปไป ขอทรงยกโทษให้ลูกด้วย”

            มันเป็นอย่างนั้น มันเลยกลายเป็นหนึ่งในความเชื่อทั่วๆ  หรือเรียกว่าเชื่อพระเยซูเหมือนกับศาสนา คือต้องชำระตัวเองทุกวันๆ ไม่มั่นใจในความรอด ไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ได้รับความรอดแล้ว เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้เลย แม้แต่นิดเดียว นี่มันเป็นอย่างนี้ ลองอ่านดูใน 1 ยอห์น 1:8-10 …

        1 ยอห์น 1:8-10 “8 ถ้า​เรา (มนุษย์คนใดก็ตาม) ปฏิเสธว่า​เรา​ไม่​ได้เป็นคนบาป เรา​ก็​หลอกลวง​ตนเอง และ​ไม่​มี​ความ​จริง​อยู่​ใน​ตัว​เรา 9 ถ้า​เรายอมจำนน รับว่าเราเป็นคนบาปและเรา​สารภาพ​บาป​ของ​เรา พระ​องค์​เป็น​ผู้​รักษา​คำมั่น​สัญญา​และ​มี​ความ​เที่ยงธรรม พระ​องค์​จะ​ยกโทษ​บาป​ทั้งหมดแก่​เรา และ​ชำระ​เราให้​บริสุทธิ์ พ้น​จาก​ความ​ไม่​ชอบธรรม​ทั้ง​ปวง 10 ถ้า​เรา​พูดว่า​เรา​ไม่​เคย​ทำ​บาปเลย ก็​เท่า​กับ​เรา​ทำ​ให้​พระ​องค์​เป็น​ผู้​โกหก และ​ถ้อยคำของ​พระ​องค์​ (คือพระเยซู) ก็ไม่ได้อยู่​ใน​ตัว​เรา”

            ตรงนี้เขากำลังพูดถึงคนที่ไม่มีความจริงอยู่ในตัว ก็คือคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน แล้วเราเอามาใช้ เราก็ถูกหลอก  เราที่เป็นคริสเตียนแล้วนะ เห็นชัดๆ เลย ข้อ 8 บอกถ้าเรา คือมนุษย์คนใดก็ตาม ปฏิเสธว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป เราก็หลอกตัวเอง และไม่มีความจริงในตัวเรา แต่เมื่อตะกี้นี้ ในหนังสือ 2 ยอห์น ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ พูดถึงพี่น้องที่เป็นคริสเตียนเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ ความจริงดำรงอยู่ในท่านตลอดไป นึกออกใช่ไหม? ถ้าเราเข้าใจและเรารับรู้เรื่องนี้ ตามที่ยอห์นบอก เราเชื่อฟัง เรารู้ว่าความจริงอยู่ในเรานี้แล้วตลอดไป ตรงนี้ก็ไม่ใช่ของเรา  เพราะตรงนี้บอกว่าคนนี้ คนที่ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนบาป ก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา ก็คือไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขาคนนี้ แล้วก็บอกต่อไปว่าถ้าเขาคนนี้ยอมจำนน รับความจริงว่าเป็นคนบาป ตามที่พระเยซูบอก ก็คือข่าวประเสริฐ และเขาสารภาพบาปของเขาว่าเขาเป็นคนบาป พระองค์ผู้รักษาคำมั่นสัญญาและมีความเที่ยงธรรม พระองค์ทรงยกโทษบาปทั้งหมดแก่เขา และชำระเขาให้บริสุทธิ์ พ้นจากความอธรรมทั้งปวง เห็นไหม?

            นี่พูดถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ได้มีความจริงอยู่ในนั้น ถ้าสำหรับคนที่เป็นคริสเตียนอยู่แล้ว เชื่ออยู่แล้ว เรื่องนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องของเราเลย เราก็ไม่ต้องสารภาพบาป กลับไปอยู่ในความจริง อยู่ในพระคริสต์ เพราะว่าเราอยู่ในนั้นอยู่แล้ว อยู่แล้วอยู่เลย รอดแล้วรอดเลยนั่นเอง  ไม่ใช่เข้าๆ ออกๆ อยู่ในนั้นก็อยู่ในนั้น ประพฤติก็ประพฤติไป คนละเรื่องกัน ประพฤติอย่างไรก็มีทางเอาตัวเองออกมาได้  ประพฤติอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในนั้นได้  ประพฤติอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ได้ ประพฤติอย่างไร พยายามให้ตาย อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในความจริงนี้ได้ ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในพระเจ้านี้ได้  ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ได้  ประพฤติอย่างไรก็ไม่สามารถออกจากนี้ได้ ถ้าเผื่อเข้าไปแล้ว ได้รับความรอดแล้ว

            นี่อาจารย์ยอห์น กำลังอธิบายให้เราฟังอย่างนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับความจริง ไม่ใช่ว่าวันนี้เข้าอยู่กับพระคริสต์  อยู่ในความจริง พรุ่งนี้หงุดหงิด ประพฤติผิด ทำสิ่งไม่ดี ออกจากความจริง ออกจากพระคริสต์ เดินป้วนเปี้ยนอยู่ข้างนอก อยู่บนโลกนี้  เพราะในโลกนี้มีอยู่แค่ 2 สถานที่เอง คือในพระคริสต์ ในความจริง ในพระเจ้า  เป็นของพระเจ้า  หรือว่าในโลก ในบาป ในความมืด มันมีอยู่ 2 ที่เท่านั้นเอง 

            เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าไปแล้ว มีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย ไม่ต้องกลัวอะไร?  ไม่ต้องกลัวว่าจะหลุดไป ในพระคัมภีร์บอกว่าต่อให้ท่านดำเนินชีวิตกับพระเจ้าไป ประพฤติไม่ถูกต้องไป  เขาเรียกว่าสะดุด ล้มลงในความบาป แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าสะดุด ล้มลง พระเจ้าเตะทิ้งเลยหรือ? ลูกของเราเดินสะดุด ล้มลง …

            “โอ๊ย! สะดุดหลายครั้งแล้ว รำคาญ เตะทิ้งเลยดีกว่า คายทิ้งเลย”

            หรือ! สะดุดและล้มลงทำอย่างไรเนี้ย อุ้ม ถูกไหม?

            สะดุดหลายครั้งแล้วทำอย่างไร? สะดุดครั้งแรกๆ ยังพอมีแรงอุ้มเฉยๆ  สะดุดหลายครั้งแล้ว หมดแรงแล้ว  ต้องทำอย่างไร? ต้องแบกขึ้นมาเลย เห็นอะไรบางอย่างหรือยังว่าอาจารย์ยอห์นกำลังอธิบายให้เราฟังว่าไม่ต้องกลัว ความรอดอยู่กับเรา การทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ในเรา ความจริงนี้อยู่ในเรา พระเยซูคริสต์อยู่ในเราแล้ว จะอยู่อย่างนี้ตลอดไป ในหนังสือ 2 ยอห์นนี้ เน้นเรื่องนี้ เรื่องความจริง และความจริงนี้ ก็คือข่าวที่ดีที่สุดเท่านั้นเอง ข่าวดีที่เรารู้กันเมื่อตะกี้นี้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายนั้น ก็เป็นข่าวดีแล้ว แต่ข่าวดีที่สุด เพิ่มเติมไป คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระเยซูอยู่ในเรา ความจริงอยู่ในเรา ไม่มีใครเอาไปได้เลย พระเจ้าจะไม่มีวันจากเราไปไหนเลย  อยู่กับเราอย่างนี้ตลอดไป  เราไม่ต้องกลัวสูญเสียความรอด  ไม่ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ วันนี้ พรุ่งนี้ เริ่มต้นใหม่ ทำใหม่ ไม่ต้องกลับใจใหม่ทุกวันทุกคืน กลับใจใหม่ทุกวันเกิด กลับใจใหม่ทุกวันปีใหม่ ไม่ต้องแล้ว พระองค์ทรงเป็นความจริงนิรันดร์ และความจริงนิรันดร์นี้ วนเวียนอยู่ตรงนี้ อยู่ในเรา

            เพราะฉะนั้น เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน  เราจึงไม่แสวงหาความจริงอีกต่อไปแล้ว เพราะความจริงนี้อยู่ในเรา แต่ถ้าเราไม่มีความจริงนี้  เราก็จะแสวงหาความจริง ก็ถูกหลอกไปเรื่อยๆ การถูกหลอก คือนึกว่ามันเป็นจริง แล้วมันใช่ไหม? ไม่ใช่ ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดังนั้น เราจึงมีความหวังอยู่ในรูปเคารพ หรืออะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมดเลย เชื่ออย่างนั้น เชื่ออย่างนี้ ในที่สุด เมื่อมาถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เมื่อมาเชื่อพระเยซู ความจริงเข้ามา เราหยุดทันทีเลย เราร้องเพลงนี้เลย …

                        “ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู  ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

                        ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู    ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

            จริงไหม? นี่เรื่องจริงเลย ทุกคนในนี้มีประสบการณ์หมด ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ผู้เชื่อแล้ว เราไม่ต้องตามหาความจริงอีกต่อไป เพราะว่าความจริงอยู่ในเราแล้ว พระเยซูคือความจริง พระองค์คือความจริง และพระองค์ทรงอยู่ในเรา และพระองค์ทรงตรัสว่า …

            “พระองค์จะอยู่กับเรา จนกระทั่งถึงสิ้นยุค” แปลเป็นภาษาไทยเดิมว่า “จนถึงนิรันดร์”

            หมายถึงพระองค์จะไม่ให้เราอยู่ลำพังเพียงผู้เดียว  และไม่ทอดทิ้งเรา แต่จะอยู่กับเราตลอดไป ตลอดเวลา …

        2 ยอห์น 1:3 “พระคุณ ความเมตตา และสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระบิดา จะดำรงอยู่กับเราทั้งหลาย ในความจริงและความรัก”

            เห็นไหม? “ในความจริงและความรัก” อีกแล้ว เพราะว่าจดหมายฉบับนี้ ยอห์นเน้นถึงความสำคัญของการดำเนินชีวิตในความจริง คือมีชีวิตอยู่ในความจริงนี้  และในความรัก เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินชีวิตคริสเตียน ก็คือพระคุณ ความรัก ความเมตตาของพระเจ้า เป็นสิ่งที่เราได้รับผ่านทางพระเยซูคริสต์มา โดยไม่ได้พึ่งพาการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว  และการดำเนินชีวิตอย่างนี้ มันจึงทำให้เกิดสันติสุขจากพระบิดาในพระเยซูคริสต์

            จะเกิดสันติสุขได้เมื่อไร? เมื่อเราดำเนินชีวิตแบบนี้ คือแบบที่ไม่ต้องกลัวว่าจะหลุดออกจากพระบิดา พระบิดาอยู่กับเราตลอดเวลา ดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงเหล่านี้ ทำให้เรามีชีวิตที่มีสันติสุข ไม่ใช่มีความสุข ไม่ใช่ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้  ไม่มีลำบาก ไม่มีปัญหา ไม่ใช่ มีสันติสุข เพราะรู้ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา และแม้ว่าเราจะทำอะไรต่างๆ ประพฤติอะไรต่างๆ ก็ไม่ต้องกลัวเลย มันไม่สามารถมากระทบกระทั่งความจริงที่อยู่ในตัวเราได้เลย แม้แต่นิดหนึ่งว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราแล้ว  พระองค์จะไม่ไปไหนอีกเลย …

        2 ยอห์น 1:4 “ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้พบว่าลูกหลานของท่านบางคน ดำเนินชีวิตตามความจริง ตามที่เราได้รับพระบัญชาจากพระบิดา”

            “ลูกหลานของท่านบางคน” ลูกหลานของท่าน “ท่าน” ในที่นี้ ย้อนไปถึงสุภาพสตรี ก็หมายถึงคริสตจักร พี่น้อง คริสตจักรอื่นๆ  ที่อาจารย์ยอห์นเป็นผู้อาวุโส สมมติว่าเป็นคริสตจักรแม่เขียนไปถึงคริสตจักรลูกให้อ่านด้วย คริสตจักรลูกและสมาชิกในคริสตจักรลูกเหล่านี้ เป็นลูกหลานของท่าน  เพราะว่าเป็นการสำแดงความสัมพันธ์ของการเป็นพี่น้องกันในพระคริสต์นั่นเอง

            สมาชิกในคริสตจักรบางคนของท่าน ก็คือเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวใหญ่ ทางฝ่ายวิญญาณที่อาจารย์ยอห์น กำลังจะให้พี่น้องที่เป็นคริสเตียนรุ่นใหม่ได้รู้ว่าพอมาเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นพี่น้องกันทางฝ่ายวิญญาณ บางคนเริ่มดำเนินชีวิตเป็นไปตามความจริงเหล่านี้แล้ว  แต่บางคนได้รับความรอดแล้ว แต่ยังไม่ดำเนินชีวิตตามความจริงเหล่านี้ มันก็ทุกข์หนัก ทุกข์เกิน ถูกหลอกไปเรื่อยๆ ทั้งที่ความจริงอยู่ในตัวแล้ว นี่หมายถึงอย่างนั้น แต่ก็ดีใจที่รู้ว่าลูกหลานบางคน คือผู้เชื่อบางคนที่เป็นรุ่นใหม่ ที่เป็นลูกๆ หลานๆ ในคริสตจักร มีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามหลักการที่อาจารย์ยอห์นได้อธิบายไป ยอห์นได้แสดงความยินดีที่เห็นว่าเขาดำเนินชีวิตตามความจริงนี้ ตามข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีเกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ และสำแดงออกมาเป็นความประพฤติ เข้าใจใช่ไหม?

            สำแดงออกมาเป็นความประพฤติ คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกมาจากชีวิตของเขา ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สำคัญที่สุด ก็คืออย่างที่บอกเมื่อตะกี้นี้ว่าเขารู้ว่าเขาได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งปวง  ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตเรียบร้อยแล้ว เขาสบายใจแล้ว นี่คือการดำเนินชีวิตที่เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกมา

            ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ไปเน้นที่การประพฤติว่าเพราะว่าเขาเต็มไปด้วยความเมตตา ช่วยเหลือคน ดูภายนอก ไม่ใช่อย่างนั้นนะ  อย่าเข้าใจผิด ความรักที่มีต่อพี่น้อง หมายถึงความรักที่เขามีต่อพี่น้องในคริสตจักร ที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อเหมือนกัน ที่อยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ เรารักเขา มันหมายถึงอย่างนั้น มันไม่ได้หมายถึงว่าดำเนินชีวิตด้วยความรัก คือท่านพาคนเดินข้ามถนน ลุกให้หญิงมีครรภ์นั่งบนรถเมล์ อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้หมายถึงตรงนั้น อย่าไปเน้นถึงตรงนั้น พูดง่ายๆ เพราะว่ามันเป็นการแสดงออกภายนอก แต่ผลของการแสดงออกภายใน คือความรักต่อพี่น้องซึ่งกันและกัน จงรักซึ่งกันและกันตามที่พระเยซูได้บัญญัติไว้

            อาจารย์ยอห์นเน้นถึงความสำคัญของการยึดมั่นในความจริง คำสอนที่ได้รับมา เพื่อป้องกันการหลงผิด การถูกชักจูงให้ดำเนินชีวิตในทางเท็จที่มารหลอกลวงไปในทางที่ไม่ถูกต้อง คำว่า “ไม่ถูกต้อง” ก็อย่างที่บอก ถ้าเป็นการไม่ถูกต้องทางความประพฤติ ศีลธรรมอะไรต่างๆ นั้น ไม่ต้องไปสอนหรอก ใครๆ ก็รู้ เขาก็สอนกันทั้งหมด ทั้งศาสนาทั้งปวง ทางสังคมมนุษย์ทั้งหมด  แต่อย่างที่บอกไงว่าไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์  อย่างที่ตะกี้เรายกตัวอย่างเรื่องการสารภาพบาป ทำบาป เลยมาสารภาพ เลยไม่รู้ว่าข่าวประเสริฐ มันคืออะไร? ข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระเยซูคริสต์มันจะไม่เหมือนกับความเชื่ออื่นๆ ไม่เหมือนกับศาสนาอื่นๆ ไม่เหมือนเลย เพราะมันไม่เกี่ยวกับความประพฤติของมนุษย์เลย มันเกี่ยวโดยตรงอย่างเดียว คือความประพฤติของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์กระทำอะไรที่ไม้กางเขน? พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย?  พระองค์ทรงกระทำอะไร? และมันเกิดอะไรขึ้น? ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว มันคืออะไร?  การบังเกิดใหม่ มันคืออย่างไร? ตรงนี้สำคัญที่สุด คือเรื่องข่าวประเสริฐ คือการดำเนินชีวิตด้วยความเป็นจริง คือความสัมพันธ์แท้ หมายถึง Fellowship คือการสามัคคีธรรมที่แท้จริงของเรื่องฝ่ายวิญญาณว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว เราไปผูกพันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน  และคนที่บังเกิดใหม่ในพระเจ้าเหมือนกัน ก็จะเป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน สามัคคีธรรมทางวิญญาณอะไรต่างๆ เหล่านี้ ตัวนี้แหละ สำคัญที่สุด อาจารย์ยอห์นกำลังจะพูดอย่างนี้ …

        2 ยอห์น 1:5-6 “5 บัดนี้ ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ท่านสุภาพสตรี มิใช่ข้าพเจ้าเขียนพระบัญญัติใหม่ถึงท่าน แต่เป็นพระบัญญัติ ซึ่งเรามีตั้งแต่เริ่มแรก คือให้เรารักซึ่งกันและกัน 6 และนี่แหละคือความรัก คือการที่เราดำเนินตามพระบัญญัติของพระเจ้า นี่แหละคือพระบัญญัติที่ท่านได้ยินตั้งแต่แรกเริ่ม คือให้ท่านดำเนินในความรักนั้น”

            นี่แหละคือบัญญัติที่ท่านได้ยินตั้งแต่แรกเริ่ม  … “ตั้งแต่แรกเริ่ม” หมายถึงคำสอนที่เป็นพื้นฐานและสำคัญที่คริสเตียนได้รับตั้งแต่เริ่มแรกที่พวกเขาได้ยิน และเชื่อในข่าวประเสริฐ คือเมื่อตอนที่พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศข่าวดี ก่อนที่จะไปทำงานให้สำเร็จที่ไม้กางเขน พระองค์เดินประกาศ พระองค์บอกว่าพระองค์มา เพื่อทำให้บัญญัติสมบูรณ์ จาก 613 ข้อ จากกฎบัญญัติต่างๆ ที่มนุษย์วางไว้ ตั้งไว้เยอะแยะ รวมแล้ว จะทำให้สมบูรณ์เรียบร้อย ให้เหลืออยู่แค่ข้อเดียว  และหนึ่งเดียวนั้น ก็คือจงดำเนินชีวิตด้วยความรัก รักซึ่งกันและกันนั่นเอง

            ดังนั้น บัญญัติตั้งแต่แรกเริ่ม ก็คือความรัก การรักซึ่งกันและกันเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อและการสัมพันธ์กัน สามัคคีธรรมกัน ในชีวิตของคริสเตียน ที่เรามีต่อพระเจ้า และเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในคริสตจักร

            ตรงนี้ คือผลของการดำเนินชีวิตในความจริง ถ้าท่านดำเนินชีวิตด้วยความจริงเมื่อไร? หมายถึงในวิญญาณท่าน ท่านรู้ว่าท่านรักในพี่น้องคริสเตียนและรักพระเจ้าเท่าๆ กัน รู้ว่าเขาก็มีพระเจ้า เราก็มีพระเจ้า ส่วนความประพฤติก็แยกไปอีกต่างหาก

            ยอห์นเน้นว่าความรักนี้เป็นสิ่งที่เราควรดำเนินชีวิตตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นพยานถึงความจริงของพระเจ้าในชีวิตของเราอย่างต่อเนื่อง ก็คือพูดง่ายๆ ว่าหลักข้อเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้าต้องเป็นอย่างนี้ คือ …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว พระโลหิตพระเยซูคริสต์ชำระฉันแล้ว         วิญญาณของฉันในปัจจุบัน และใจของฉันนั้น เป็นใจใหม่ วิญญาณใหม่ที่ได้บังเกิดใหม่จากพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ร่างกายได้รับรีไซเคิลใหม่ สะอาด หมดจด ชำระเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรเป็นด่างพร้อย ไม่มีมลทินเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่สกปรกโสโครกเลย ไม่เลย พระเจ้าจึงเข้ามาสถิตอยู่ได้ ฉันรอเพียงร่างกายใหม่เท่านั้น วันหนึ่งข้างหน้า ฉันจะเข้าผ่าตัดอีกทีหนึ่ง ผ่าตัดเอาร่างกายใหม่เข้ามาสวม ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์”

            สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันควรจะอยู่ในความคิดของเรา คือการดำเนินชีวิตของเราในความจริง มันจะเป็นอย่างนี้ พอมองไปถึงพี่น้องคริสเตียนทั่วโลก เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่เราเป็นหนึ่งเดียวกันธรรมดา เราเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ เราเป็นครอบครัว เป็นพี่น้องกันในพระคริสต์ เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกัน อยู่ในพระคริสต์อีกทีหนึ่ง และในพระคริสต์อยู่ในไหน? อยู่ในพระเจ้าอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นครอบครัวใหญ่ของมหาจักรวาลนี้ ของโลกนี้เลย คือครอบครัวของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

            ความคิดอย่างนี้ ความเชื่ออย่างนี้ ควรจะวนเวียนอยู่ในตัวเราตลอดเวลา เรียกว่าการดำเนินชีวิตในความจริงในพระคริสต์ มันเป็นอย่างนี้ เหมือนบทเพลงที่เราร้อง

                        “เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์  เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”

            ความรัก คือความจริง พระเยซูเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต และเป็นความรัก เราก็อยู่ในทางนั้น เป็นความรัก เป็นชีวิตและความจริงเหมือนพระองค์เลย “เรา” คือคริสเตียนทั้งหมด ผู้เชื่อทั้งหมด เป็นหนึ่งเดียวกัน และเราเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในพระเยซู แล้วพระเยซูอยู่ในไหน? พระเยซูอยู่ในพระเจ้าพระบิดา เราจึงเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ และไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว  ไม่ว่าท่านจะอะไร ต่อให้โลกจะแตก โลกจะสิ้นสุดลงเมื่อไรก็ตาม ท่านก็อยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ อยู่ในครอบครัวนี้ตลอดไป เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์ มันเป็นเช่นนี้ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

**************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “คนใจกว้างจะเจริญรุ่งเรือง และผู้ที่รดน้ำคนอื่น จะได้รับการรดน้ำตอบแทน”

            สุภาษิต 19:17 … “ผู้ที่มีเมตตาต่อคนยากจน ก็ให้พระเจ้าทรงยืม และพระองค์จะทรงตอบแทนแก่การกระทำของเขา”

            ข้อความนี้เน้นถึงความสำคัญของการมีเมตตา และช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะคนกำลังอยู่ในความขัดสน การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการให้พระเจ้ายืม และพระองค์จะตอบแทนด้วยพระพรและสิ่งดีๆ ในชีวิต ตามน้ำพระทัย

            ในบริบทของพันธสัญญาใหม่ การกระทำที่มีเมตตาและความรักต่อผู้อื่น เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทำงานอยู่ภายในวิญญาณ ในชีวิตของผู้เชื่อ เป็นของประทาน มีอยู่แล้วในวิญญาณของคริสเตียนทุกคน เมื่อได้บังเกิดใหม่

            กาลาเทีย 5:22-23 … “22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือ …

                        – ความรัก

                        – ความชื่นชมยินดี

                        – สันติสุข

                        – ความอดทน

                        – ความปราณี

                        – ความดี

                        – ความสัตย์ซื่อ

                        23 ความสุภาพอ่อนโยน

                        และการควบคุมตนเอง

            สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย (ไม่มีการบังคับให้ทำ แต่ทำได้เองโดยอัตโนมัติ เพราะเป็นธรรมชาติใหม่ของผู้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์)

            และเป็นการแสดงออกถึงความรัก ที่พระเจ้าได้ใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา เราจึงสามารถแบ่งปันความรักนี้ให้กับผู้อื่นได้

            1 ยอห์น 4:19 … “เรา​รัก​ ก็​เพราะ​พระ​องค์​ได้​รัก​เรา​ก่อน”

            การรักผู้คนรอบข้าง และการทำดีต่อผู้อื่นไม่ใช่เพื่อรับรางวัล แต่เป็นการตอบสนองต่อความรักและพระคุณ ที่เราได้รับจากพระเจ้า และเป็นการสำแดงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในวิญญาณของเราออกมา เป็นการกระทำ

            เอเฟซัส 2:8-9 … “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปราน ของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้”

            ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีของตัวเองในความรอดของตนได้

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1529

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  กรกฎาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 20 “คริสเตียนเราไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 20 “คริสเตียนเราไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว”

            “ฉันไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว”

            ครั้งที่แล้ว ตอนที่ 19 ชื่อเรื่องจำได้ไหม?  “บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร?” วันนี้ตอนที่ 20 เรื่อง “คริสเตียนเราไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว” ทวนครั้งที่แล้วหน่อย “บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร?” คือบาปทั้งหมดบนโลกใบนี้ที่มีอยู่ ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนถึงคิดอิจฉาริษยาเขา พูดโกหกนิดหน่อย มีค่าเท่ากัน บาปเหล่านี้ ปกติต้องนำไปสู่ความตาย  แต่พระเยซูช่วยเราหลุดพ้น เป็นคริสเตียนเกิดใหม่แล้ว  เพราะฉะนั้น บาปเหล่านี้ ต่อให้เราล้มลงและทำไป ก็ไม่นำให้เราไปสู่ความตาย คือตกนรกนั่นเอง  ตายนี้ หมายถึงตายฝ่ายวิญญาณ และบาปที่นำไปสู่ความตาย คืออะไร?  คือบาปเดียวบนโลกใบนี้ที่มนุษย์ทำ นอกเหนือจากที่ตะกี้นี้บอกมาทั้งหมด ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนกระทั่งถึงโกหก บาปเหล่านั้น  พระเจ้าอภัยให้ได้ผ่านทางพระเยซู แต่บาปเดียวที่พระเจ้าอภัยให้ไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียวบนโลกใบนี้  มีเพียงบาปเดียว ก็คือบาปที่ปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ ก็คือปฏิเสธผู้ที่จะมาอภัยบาปให้กับเรา ก็ไม่ได้รับความรอดนั่นเอง อันนี้ช่วยไม่ได้ พระเจ้าวางไว้ให้อย่างนั้นแล้ว ถ้าไม่รับ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?

            วันนี้ ตอนที่ 20 “คริสเตียนเราไม่ปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว” คริสเตียนฟังอย่างนี้แล้ว จะเชื่อไหม? เชื่อหรือไม่ว่าเรามีธรรมชาติใหม่ มีวิญญาณใหม่ มีใจใหม่ที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่าบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ขณะนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราเป็นอย่างนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณเรียบร้อยแล้ว เราไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปเลย เชื่อหรือไม่เชื่อ? ถ้าเชื่อ มาเริ่มต้นวันนี้เลย

            วันนี้ เริ่มจากหนังสือ 1 ยอห์น 5:18 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:18 “เรารู้ว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ไม่ทำบาปต่อไป แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้า ทรงปกป้องเขาไว้ และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้”

            “ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า” ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย … คริสเตียนทั้งหลายไม่ทำบาปอีกต่อไป  ประโยคแรกก็ทำให้หลายคนสับสนแล้วนะ ถามตัวเองสิ เราเป็นคริสเตียนหรือเปล่า? ในนี้บอกว่า “ไม่ทำบาปอีกต่อไป” แล้วเราทำไหม?

            “ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาปอีกต่อไป” รู้สึกมันขัดกับความเป็นจริงนะ วันนี้ก่อนเดินเข้ามาในโบสถ์ ก่อนเดินเข้ามาในห้องนี้ ทำบาปอะไรหรือเปล่า? หงุดหงิดกับใครหรือเปล่า?  หงุดหงิดเรื่องการจราจรไหม? บ่นว่าใคร? นินทาใครหรือเปล่า?  คิดอิจฉาใครไหม? คิดไม่ดีกับใครหรือเปล่า? แล้วเมื่อวานทำหรือเปล่า? แล้วเมื่อคืนทำหรือเปล่า?  แล้วเดี๋ยวจากนี้ต่อไปจะทำหรือเปล่า? ไม่ค่อยแน่ใจเลย งงเลยใช่ไหม?

            จะบอกอะไรให้ อ่านตรงนี้แล้วสะดุ้ง คิดสับสน  เป็นคริสเตียนแล้วเราทำบาป เราทำอยู่ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แค่คิดอิจฉาคนก็ทำบาปแล้ว พระคัมภีร์ภาษาไทยได้แปลอย่างนี้ว่าไม่ทำบาปเลย เฉยๆ ไม่ได้หมายถึงว่าเขาใส่คำว่าเฉยๆ ลงไปข้างในนะ ก็คือแปลแบบตะกี้ที่บอก ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป  ไม่มีคำว่า “ต่อไป” อันนี้ผมมาใส่ให้กระจ่างขึ้นนิดหนึ่ง คำว่า “ต่อไป” มันก็กระจ่างไม่เยอะอยู่ดี มันก็ยังสับสนอยู่ดีใช่ไหมว่าเราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราไม่ทำบาปอีกต่อไปเลยหรือ? ก็ไม่ใช่

            ภาษาเดิมจริงๆ ในบางฉบับ ที่แปลมาเป็นภาษาอังกฤษแล้ว บางฉบับเขาถึงใช้คำแปลคำนี้ให้อธิบายละเอียดขึ้นว่าบริบทนี้ คำนี้ อาจารย์ยอห์นหมายถึงอะไร?  เพื่อจะได้ไม่แปล แล้วมาย้อนแย้งกับความจริงที่อาจารย์ยอห์นได้อธิบาย ได้สอนไว้

            คำว่า “Keep On” หมายถึงต่อไปเรื่อยๆ  เป็นคริสเตียนแล้ว เกิดใหม่ในพระเจ้าแล้ว เขาคนนั้นจะไม่ทำบาปต่อไปเรื่อยๆ  ก็ละเอียดขึ้นมานิดหนึ่งใช่ไหม? แต่มีบางฉบับที่แปลเป็นภาษาไทยแล้วละเอียดขึ้น เป็นคริสเตียนเกิดใหม่แล้ว เขาจะไม่ทำบาปต่อไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เป็นกิจวัตร ชัดขึ้นแล้วนะ

            คำว่า “ทำบาปเป็นกิจวัตร” หมายถึงการทำบาปเป็นวิสัย เป็นวิถีชีวิต เป็นแนวโน้ม เป็นเส้นทาง เป็นธรรมชาติ อันนี้ค่อยเข้าท่าหน่อยนะ  แต่ถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว  เรามีแนวโน้ม มีวิถีชีวิต มีเส้นทางใหม่ มีนิสัยใหม่ มีธรรมชาติใหม่ จากวิญญาณใหม่ จากใจใหม่ที่เราได้เรียนรู้แล้ว เราจึงมีแนวโน้มในทางจิตใจแบบใหม่แล้ว คือตามแบบพระคริสต์ ตามแบบพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายใน อันนี้ค่อยเข้าท่า เป็นคริสเตียนต้องเป็นอย่างนั้นแหละ

            แต่ถ้าท่านยังอยู่ในแนวโน้มเก่า  ยังอยู่ในวิถีเดิม ในทางเดิม นิสัยเดิม  ก็หมายความว่าคนนั้น หรือท่านยังไม่ได้เกิดจากพระเจ้า ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนนั่นเอง  เพราะว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ไม่ทำบาปเป็นนิสัย เป็นธรรมชาติอีกต่อไปแล้ว  เอเมน ชัดเลยนะ

            ในพระคัมภีร์บอกว่าพอเราเกิดใหม่ พระเจ้าได้ประทานวิญญาณใหม่และใจใหม่ให้กับเรา และประทานความปรารถนาในใจใหม่ให้กับเรา ในใจใหม่เรามีแต่ความปรารถนาที่เป็นของพระเจ้าทั้งสิ้น การที่เรามีใจปรารถนาที่จะไม่ทำบาปอีกต่อไป ก็คือเราได้เกิดใหม่แล้ว ใจปรารถนาเราเปลี่ยนไปแล้ว จากข้างใน พระเจ้าให้มา ไม่ใช่เราตั้งใจจะทำเอง แต่มันเป็นของประทาน การที่มีใจปรารถนาที่ไม่ทำบาปต่อไปอีก ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำบาปอีกเลย คนละอันกันแล้วนะ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำบาปอีกเลย แต่หมายถึงว่าเราไม่ได้อยู่ภายใต้การครอบงำของบาป  ไม่ได้เป็นทาสบาป ให้เราปรารถนาที่จะทำบาปเหมือนแต่ก่อน  เป็นกิจวัตรเหมือนแต่ก่อน เป็นนิสัยเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว  เพราะเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน คอยนำเรา ให้ดำเนินชีวิตตามที่ถูกต้อง ตามที่เราได้บังเกิดใหม่ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าที่สถิตอยู่ด้วย ภายในตัวเรานั่นเอง ในโรม 6:14 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 6:14 “เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านไม่ได้อีก เพราะว่าท่านไม่ได้อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ แต่ภายใต้พระคุณ”

            บาปเป็นเจ้านายเราไม่ได้อีกแล้ว เราหลุดแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว ในพระคริสต์ชีวิตเรามีแนวโน้มใหม่ มีทางใหม่ มีธรรมชาตินิสัยใหม่ คือเดินตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งแม้เราอาจจะสะดุดล้มลงบ้างในขณะเดินกับพระเจ้า แต่เราจะไม่หลงอยู่ในเส้นทางเก่า ที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว หนังสือยากอบได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า “เราทุกคน หมายถึงคริสเตียนทุกคน สามารถสะดุด ล้มลงในการบาปหลายๆ ด้าน ทั้งหมดเลยนะ เราอาจจะโกหก อิจฉา อะไรที่บอก ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนกระทั่งถึงอิจฉา หรือหงุดหงิดอะไรแบบนี้ แต่บาปเหล่านั้น เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ในการเรียนรู้ ฝึกฝนและเจริญเติบโตในฝ่ายวิญญาณใหม่ ที่เรากำลังเดินในทางใหม่ ในทางพระคริสต์ โดยพระวิญญาณนำเท่านั้นเอง

            คริสเตียนทุกส่วนในตัวของเรา อย่างที่บอกว่าเราบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมแล้ว บางทีเราคิดแค่ว่าเราบริสุทธิ์ ดีพร้อม แค่วิญญาณและใจใหม่เท่านั้น  เราลืมคิดไป หรือเราคิดไม่ถึงว่าร่างกายเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกไว้  พอเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เรียกว่าล้มลงในความบาป  เราก็นึกว่าร่างกายของเรา  ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ ร่างกายบาปอยู่ ซึ่งพระคัมภีร์ไม่ได้บอกอย่างนั้น พระคัมภีร์บอกคริสเตียนทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ จิตใจ หรือร่างกาย เป็นสิ่งที่ได้ทรงชำระแล้ว

            “ได้ชำระแล้ว ร่างกายของท่าน ร่างกายของฉัน ได้ถูกชำระล้างแล้ว  สะอาดหมดจดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว”

            แค่ไหนเรียกว่าบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ไร้มลทินใดๆ ที่พระเจ้าสามารถรับได้  และโปรดปรานด้วย พระคัมภีร์บันทึกไว้เช่นนั้น ในหนังสือโรม 12:1 โปรดปรานด้วย สะอาดหมดจดแล้ว พิสูจน์ได้อย่างไร? พระองค์จึงเสด็จเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายของเรา ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า ไม่มีส่วนใดเลยที่เป็นบาป แม้ในร่างกายนี้ ซึ่งเป็นพระวิหารของพระเจ้า นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ขอบคุณพระเจ้า

            และย้ำในความคิดของเราว่านี่คือความจริง อย่าลืม เพราะเราเคยชินกับหนทางเก่า อันนี้ไม่ต้องพูดก็ได้ พอเราหงุดหงิด ฉันทำไมเป็นคนอย่างนี้  พอนินทาใคร ทำไมฉันเป็นคนอย่างนี้  นิสัยอย่างนี้ ฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว เอเมนไหม?  แต่ฉันเผลอ ฉันถูกหลอกลวง ถูกล่อลวง ให้กระทำไป เดี๋ยวเราดูสิว่าเป็นอย่างไรต่อไป ก็คือทำไมเรายังทำ ก็เราคริสเตียนยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ยังไม่หมดลมหายใจ เรายังอยู่บนโลกที่ปกคลุมไปด้วยความบาป ความตาย หรือกฎของความบาปและความตาย คำสาปแช่ง ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้อยู่ ซึ่งมีพลังอำนาจความบาปและความตายมาทางพลังของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่เรียกว่าระบบของโลก กระแสของโลก ซึ่งมีความชั่วร้าย ผลักดันให้มนุษย์ทำสิ่งที่ชั่วร้าย ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า มันมีอยู่จริงๆ เรามองไม่เห็น แต่พระคัมภีร์บอกมันมีอยู่ อะไรมีอยู่ แรงผลักดันให้ทำชั่ว ทำสิ่งที่ไม่ดี มีอยู่จริงๆ มีแรงผลักดันนี้จริงๆ  เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก

            แรงดึงดูดของโลกมีไหม? มี เห็นหรือไม่เห็น? ไม่เห็น โยนของขึ้นไป แล้วทำไมมันตกลงมาล่ะ โลกดึงดูดมันลงมา เราเห็นแรงดึงดูดของโลกไหม? ไม่เห็น แต่มันมีจริงๆ เช่นเดียวกัน คริสเตียนไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ใช่คริสเตียนไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่เรียกว่าความชั่วร้าย  กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็คือระบบของแรงดึงดูดของฝ่ายวิญญาณดูดให้เขาทำในสิ่งที่ชั่วร้ายนั้น แต่ คริสเตียนมีจิตใจ มีความปรารถนาที่ไม่อยากจะทำอยู่แล้ว แต่เผลอร่วงหล่นลงไป เรียกว่าล้มลง ก็เหมือนคนที่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วเผลอ พลาดล้มลง ล้มลงมาเจ็บไหม? เจ็บ ก็หล่นลงมาจากต้นไม้ คล้ายๆ กันอย่างนั้น ซึ่งมารมีอิทธิพล คอยชักจูง ผลักดัน ล่อลวงให้เราหลงทำตามมัน โดยล่อลวงให้เราหลงล้มลง ด้วยแรงพลังของความบาป ความชั่วร้ายนี่แหละ ที่มองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ มันเป็นศัตรูกับพระเจ้า

            กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มารใช้ พลังอำนาจของความบาปและความตาย  ไม่ได้เป็นของพระเจ้า  แต่เป็นศัตรูกับพระเจ้า มันไม่ใช่ของพระเจ้า จึงไม่ได้อยู่ในตัวเรา เป็นของเรา มันไม่ได้มีส่วนอยู่ในตะกี้นี้ที่บอกว่าวิญญาณใหม่ ใจใหม่ ร่างกายสะอาดหมดจดใหม่แล้ว มันไม่ได้เป็นตัวเราเลยแม้แต่นิดเดียว  แต่มันเป็นพลังอำนาจที่แอบแฝงอยู่ในร่างกายของเรา  อยู่ในสมองของเรา ซึ่งผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบเหมือนปรสิต เหมือนพยาธิที่อยู่กับเรา มันไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นพยาธิ มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวเรา แต่มันทำร้ายเราได้

            คำว่า “ทำร้าย” หมายถึงมันทำให้เราเสียศูนย์ ก็คือล่อลวงให้เราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ใน 2 โครินธ์ 5:17 บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจน เราจะได้มั่นใจว่าตัวเรา คริสเตียนเป็นอย่างไร? …

        2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่ ) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            ทุกสิ่งใหม่หมด พระเจ้าไม่ให้เราบังเกิดใหม่ เพื่อเป็นคนบาป หรือส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นคนบาป มีมลทิน สกปรกเหมือนเดิม ไม่มี เกิดใหม่ทั้งหมดเลย ร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้าที่เข้ามาสถิตอยู่ เพราะฉะนั้น บริสุทธิ์แน่นอน

            อัครทูตยอห์นบอกว่าคริสเตียนเป็นผู้ที่ไม่กระทำบาป แพ้การทำบาป ทำไม่ได้เลย ทำแล้วสะดุ้ง คือล้มลงในความบาป แล้วเจ็บ เผลอปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ไม่ระวังตัว หล่นลงมา เจ็บไหม? เจ็บ ชอบขึ้นไปอีกไหม? ไม่ชอบ ตามธรรมชาติ คือเจ็บ ก็ระวังแล้ว เช่นเดียวกัน คริสเตียน เมื่อเขาทำอะไรที่ผิดบาป เขาล้มลงในความบาป เขาเจ็บ เจ็บแล้ว เขาไม่อยาก ไม่ต้องการ ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:9 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 3:9 “ทุกคน​ที่​เป็น​ลูก​ของ​พระเจ้า ​จะ​ไม่​ทำ​บาป​อีก​ต่อไป ​เพราะ​ธรรมชาติ​ของ​พระเจ้า​ ได้​เข้า​ไป​อยู่​ใน​คนๆ นั้น​แล้ว ด้วย​เหตุนี้​ คนๆ นั้น​ก็​ไม่​สามารถที่​จะ​ทำ​บาป​ได้​อีก​ต่อไป เพราะ​เขาได้​มา​เป็น​ลูก​ของ​พระเจ้า​แล้ว”

            ชัดไหม? ชัดเลย อาจารย์ยอห์นจึงบอกอย่างนี้ว่าคริสเตียนไม่สามารถกระทำบาปจากใจใหม่ของเขาได้ เพราะพระเจ้าผู้บริสุทธิ์สถิตอยู่ภายในเขา  และเขาก็บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ ต่างฝ่ายต่างบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเราคิดว่าเราอยากทำบาปด้วยตัวเราเอง ก็แสดงว่าเรากำลังบอกว่าพระเจ้าอยากทำบาป พระเจ้าทำบาปได้ พระเยซูทำบาปได้ เพราะเรากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน คนที่เป็น คริสเตียนได้บังเกิดใหม่ เป็นหน่อเชื้อทางวิญญาณของพระเจ้า เกิดจากพระเจ้า DNA วิญญาณมาจากพระเจ้า ไม่มีบาปในวิญญาณ และในใจใหม่เลย  จึงไม่มีทางทำบาป ตามธรรมชาติจากภายในเลย แม้แต่นิดเดียว นอกจากพลั้งเผลอ ถูกหลอก ถูกล่อลวงจากภายนอก ตามที่ตะกี้ได้บอก ระบบของโลกนี้ ตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่มารใช้ในการล่อลวง อยู่ภายนอกร่างกายเรา มันไม่ได้เป็นตัวเราที่เป็นผู้ทำ กาลาเทีย 5:17 จึงได้บอกอย่างนี้ว่า …

        กาลาเทีย 5:17 “เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนัง มันต่อสู้กับความต้องการของพระวิญญาณ และความต้องการของพระวิญญาณ ก็ต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง  เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้น ท่านจึงถูกขัดขวางในการที่จะทำตามความปรารถนาในใจใหม่ของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์”

            เห็นไหม ภายในของท่าน พระเจ้าสถิตอยู่ และวิญญาณของท่านถูกสร้างใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด ต้องการทำสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าแน่นอน 100% แต่ภายนอกมีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่เรียกว่าเนื้อหนัง มันเป็นศัตรู มันพยายามขัดขวาง ไม่ให้ท่านทำตามพระวิญญาณ

            “ท่านจึงถูกขัดขวางในการที่จะทำตามความปรารถนาในใจใหม่ของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว” เห็นไหม? มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นปรสิต มันเป็นพยาธิที่พยายามที่จะขวางเรา ไม่ให้เราทำ ทำให้เราอ่อนแรง ทำให้เราหลงทาง นี่คือความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ระหว่างความปรารถนาในใจใหม่ของคริสเตียน โดยการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน และความคิดแบบเนื้อหนัง หรือธรรมชาติบาปเดิม คือเรียกว่าทางเก่า แนวโน้มเก่า นิสัยเก่านั่นเอง ชัดเจนเลยนะ

            ในฐานะคริสเตียนที่มีใจใหม่ เรามีความปรารถนาที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เป็นไปตามธรรมชาติใหม่ในพระคริสต์ ไม่ใช่ว่าเราพยายามทำ แต่มันเป็นธรรมชาติ  ที่อยู่ในพระคริสต์ เมื่อเราบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า คือแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นเลย คือมีโอกาสจะถูกล่อลวงให้ปรารถนาที่จะทำบาป เป็นไปไม่ได้ พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองดูแลอยู่ พระวิญญาณสถิตอยู่กับเราภายใน เราบริสุทธิ์ สะอาด เราต้องการทำตามพระเจ้า และมันก็เป็นอย่างนั้น 100% เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อมันเป็นตามธรรมชาติ มันไม่มีทางเป็นอื่น เหมือนปลารักน้ำ มันเป็นธรรมชาติ อย่างไรมันก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่างไรมันก็อยู่ในน้ำ อยู่กับน้ำ พอมันอยู่บนบก มันตาย มันไม่ตายก็คางเหลือง ดิ้น ทารุณ เพราะธรรมชาติมันอยู่ในน้ำ ฉันใดฉันนั้น คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว ธรรมชาติเขาบริสุทธิ์ ไม่ทำบาป อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกตะกี้นี้ว่าแต่คริสเตียน เรายังอาศัยอยู่บนโลกนี้อยู่ ซึ่งมีอิทธิพลของความบาป มีแรงดึงดูดให้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายอยู่ เรียกว่ากฎของความบาปและความสาปแช่งปกคลุมอยู่ ยังต้องเผชิญกับแรงดึงดูดของความชั่วร้ายนี้ ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทุกเสี้ยววินาที แรงดึงดูดนี้จะพยายามดึงดูดเราให้ออกห่างจากพระเจ้า ออกห่างจากความปรารถนาในใจ ออกห่างจากความจริงของพระเจ้า ออกห่างจากความเชื่อฟังความจริงของพระเจ้า คือมันพยายามโกหก ตอแหล พูดอะไรก็ตามที่มันอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  เป็นศัตรูกับพระเจ้า มันต้องการให้เราดื้อกับพระเจ้า ต้องการให้เราดับพระวิญญาณ  คือไม่เชื่อฟังพระวิญญาณ  และมันทำได้อย่างไร? มันทำได้แค่ส่งกระแสมาในความคิด ในสมองของเรา  พยายามดึงเราให้เชื่อฟังตามมัน แทนที่จะตามพระวิญญาณ  ความคิดแบบเนื้อหนังนี้ มาจากระบบของความคิดแบบเดิม แบบเก่า โปรแกรมความคิดแบบเดิม ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ก่อนที่เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน  เราคิดอย่างนั้น เรามีทางเก่าอย่างนั้น  และตอนนี้เราเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียน  มีทางใหม่แล้ว มีธรรมชาติใหม่  แต่ความเคยชินเดิม มันยังคงอยู่ นึกออกใช่ไหม? มันยังคงอยู่ในร่างกายเรา ความเคยชินเดิม เหมือนกับรถ รถขับมา แล้วดับเครื่องเลย มันยังวิ่งอยู่นะ ที่มันยังวิ่งอยู่ เพราะมันมีแรงเก่าของเครื่องที่ผลักดันให้มันวิ่งอยู่ แต่มันค่อยๆ วิ่งไปเรื่อยๆ แล้วมันก็ช้าลงๆ ในที่สุดมันก็หยุด

            คริสเตียนฉันใดก็ฉันนั้นแหละ อาจจะดูว่ายังทำบาปอยู่ แต่อีกไม่นานหรอก มันไม่ได้เป็นธรรมชาติของเขา ในที่สุด มันก็จะหยุดลง ตามแผนการพระเจ้าที่วางไว้ พระวิญญาณจะเป็นผู้นำ เพราะฉะนั้น คริสเตียนจึงไม่ทำบาปตามใจปรารถนา เป็นกิจวัตร เป็นนิสัยอย่างแน่นอน 100% เอเมน ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา

            คราวนี้ท่านก็พูดด้วยความมั่นใจได้แล้วใช่ไหมว่า … “ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรมเหมือนพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว”

            แต่ก่อนพูดไป ท่านก็อาจจะตะขิดตะขวางใจว่า … “ร่างกายฉันยังสกปรกอยู่ ร่างกายฉันยังมีมลทินอยู่”

            ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าไม่ใช่เลย

            ในข้อนี้ตอนที่ 2 ตอนต่อไป … “แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้า ทรงปกป้องเขาไว้ และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้”

            ชัดเจนเลย “แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้า” ก็คือพระบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงปกป้องคุ้มครองเรา ผู้ที่ได้บังเกิดใหม่เช่นเดียวกันกับพระองค์ มันหมายถึงอย่างนี้ ข้อความนี้หมายถึงว่าผู้ที่บังเกิดจากพระเจ้า คือพระเยซูจะปกป้องคุ้มครองดูแลวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ เหมือนกับพระองค์ มารร้ายแตะต้องเราไม่ได้เลย  เพราะว่าพระเยซูคริสต์ปกป้องเรา และพระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน? พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา แล้วใครจะต่อสู้เราได้ เราร้องอยู่บ่อยๆ พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ใครจะต่อสู้เราได้ ยอห์นบอกชัดเจนเลยว่ามารร้ายไม่อาจแตะต้องเราได้

            “มารร้ายไม่สามารถแตะต้องเราได้”

            เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ แตะต้องเรา ก็เท่ากับแตะต้องพระเยซู แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันเป็นไปได้ไหม? อาจารย์ยอห์นจึงเน้นตรงนี้ว่ามารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้ เขา คือคริสเตียนที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ภายในเขา ปกป้องเขา ถ้าเขาแตะเราได้ เราเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายของพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ แตะต้องเรา ก็เท่ากับแตะต้องพระคริสต์ ถ้าเรายังเชื่อว่ามารยังสามารถทำอันตรายเราได้ เรากำลังด้อยค่าพระเยซูคริสต์มากเลย  แตะต้องเราก็เท่ากับแตะต้องพระเยซูคริสต์

            ดังนั้น ศัตรู คือมาร เมื่อมันทำอะไรไม่ได้ แตะต้องพระเยซูไม่ได้ ก็มาแตะต้องผู้เชื่อ คือคริสเตียนดีกว่า แต่แตะต้องคริสเตียนก็เท่ากับแตะต้องพระเยซูก็ไม่ได้อีก มันเลยใช้วิธีแตะต้องโดยการโกหก หลอกลวง ทำให้คริสเตียน หรือผู้เชื่อคิดว่ามันยังมีอำนาจอยู่ มันยังเจ๋งอยู่ เราเป็นเหยื่อที่มันจะเขมือบได้ มันก็ทำให้เรากลัวได้ และมันทำสำเร็จไหม? สำเร็จบ้าง? ก็ทำให้คริสเตียนกลัวมาร ซึ่งมันได้แต่ใส่ร้าย ป้ายสี พูดมดเท็จ อย่างเช่น ตะกี้ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว”

            มันก็ใส่ร้ายป้ายสี … “เธอชอบธรรมหรือ? อะไรเนี้ย ขายผลไม้ยังขี้โกงตาชั่งเลย”

            มีไหม? มีคริสเตียนทำอย่างนี้ไหม? พูดกันตรงๆ มีไหม? ถ้าไม่มีเอาอย่างนี้ง่ายๆ ดีกว่า เมื่อตะกี้ยังโกหกอยู่เลย มีไหม? หรือไม่มีใครโกหกแล้ว  เธอยังอิจฉาริษยา ยิ่งตรงๆ เลย ตะกี้นี้ยังนินทาชาวบ้านเขาอยู่เลย นินทา ตกนรกนะ ในนี้เขียนไว้ แล้วอย่างนี้บริสุทธิ์ได้อย่างไร? กลับไปบ้านยังหงุดหงิดกับครอบครัวเลย  เถียงกัน ทะเลาะกัน อย่างนี้หรือบริสุทธิ์ ชอบธรรมหรืออย่างนี้ ยังโกงภาษีอยู่เลย ยังทำใจไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าชอบธรรมหรือ? บุหรี่ก็ยังสูบอยู่ เหล้าก็ยังกินอยู่ กินเหล้า สูบบุหรี่ เขาเรียกว่าบาปทั้งนั้นแหละ แล้วเธอจะไม่เป็นคนบาปได้อย่างไร เธอเป็นคนบาป  เธอไม่ได้เป็นคนชอบธรรมหรอก เยอะไหม? ที่พูดไป ยังมีอีกเยอะไปหมดเลย มันก็เอาวิธีการนี้มาใส่ความคิดให้เรา ทำให้เราสะเทือน ทำให้เราเริ่มสงสัย …

            “ฉันเป็นคนชอบธรรมจริงไหม? แน่ใจหรือ? ชักไม่ค่อยแน่ใจ”

            ยากอบ 4:7 จึงรู้ แนะนำให้เราบอกว่า “จงยืนหยัดมั่นคงในพระเจ้า แล้วมารมันจะหนีท่านไป” ชัดกว่านั้น แปลอย่างลึกซึ้ง บอกว่า “จงยืนหยัดต่อต้านมาร แล้วมันจะหนีท่านไปด้วยความตกใจกลัวสุดขีดว่านี่มันรู้จริง อย่าไปหลอกมัน ไปหลอกทางอื่นดีกว่า”

            นี่แหละ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ บางทีความคิดเข้ามา โดยไม่ต้องมีอะไรเลย  ไม่ต้องมีการกระทำ แต่มันเอาข้อมูลในอดีต ที่เราฝังไว้ในความคิด แล้วก็เร้ามันขึ้นมา อย่างเช่นเมื่อตะกี้นี้บอกว่าไม่ชอบธรรม เพราะเราไปกินเหล้า สูบบุหรี่ สมมตินะ  หรือทำอะไรเห็นความประพฤติ แต่บางครั้งอยู่ดีๆ อาบน้ำ บอก …

            “พระเจ้ามีจริงไหมเนี้ย  เธอจะเชื่ออะไรบ้าๆ บอๆ หรือ?” มันคิดขึ้นมาเฉยๆ “มันเป็นจริงหรือเนี้ย เธอฝันไป เธอเพ้อไปแล้วหรือ? ตายไปจะได้รับความรอดหรือ? เธอยังไม่ได้สะสมความดีงามเลย แล้วจะไปรอดหรือ? จะไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า แน่ใจหรือว่าเธอทำบริสุทธิ์ ดีพร้อมทุกอย่าง”

            มันคิดขึ้นมาเอง เราก็ไขว้เขว เพราะมันต้องการให้เราไม่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าเรารอดด้วยความเชื่อ ผ่านทางพระคุณ ความเชื่อ … ความเชื่อ คือการมองไม่เห็น แต่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่พระองค์ทรงตรัสไว้ ทรงบอกไว้ เพราะฉะนั้น มารก็มีแค่โกหก ใส่ร้าย ด่าทอ กล่าวหา กล่าวโทษ ในพระคัมภีร์บอกว่าทั้งกลางวันและกลางคืน หมายถึงว่าตอนที่เราหลับอยู่มันก็ใส่ความฝันเข้ามาได้เหมือนกัน เอาข้อมูลต่างๆ มาให้เราฝันร้าย เคยไหม? ฝันว่าตีหัวชาวบ้านเขา ฝันว่าอะไรก็แล้วแต่

            สิ่งเหล่านี้ ที่มันทำ เพราะมันแตะต้องเราไม่ได้  ถ้ามันแตะต้องเราได้ มันไม่มาเสียเวลาโกหกหลอกลวงเราหรอก มันเข้ามาสิงเราหมดเรื่องหมดราว มันเข้ามาหักคอเราหมดเรื่องหมดราว มันทำไม่ได้ มันก็เลยใช้วิธีโกหกไปเรื่อยๆ วันต่อวัน  เพราะมันไม่มีอำนาจใดๆ

            เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้ว่าศัตรู คือมาร ทำได้แค่เห่า ไม่มีเขี้ยวจริง ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น มันเหมือนสิงห์คำราม แต่เขี้ยวหัก เขมือบเราไม่ได้ แล้วให้เราทำอย่างไร? เราใส่ใจวิ่งสู้กับมันหรือ? ไม่ใช่ ตะกี้ที่ยากอบแนะนำ ให้เรายืนหยัด … ยืนหยัด แปลว่าอยู่เฉยๆ  เพิกเฉยกับมันซะ ไม่ต้องไปสนใจมัน ไม่ต้องพยายามหาทางไล่มัน ไม่ต้องไปหมกมุ่น จดจ่อ สนใจฟังมัน ไม่ต้องกังวลและกลัวเกินกว่าเหตุ ยืนหยัดบนถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าที่ตะกี้ที่เราทดลองกันดูตั้งแต่ตอนต้น …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระเยซูคริสต์ เหมือนพระเยซูเลย ตั้งแต่บัดนี้ จนกระทั่งถึงนิรันดร์” เอเมน ยืนหยัดอยู่ตรงนี้

            พระเยซูคริสต์ผู้สถิตภายในเรา ถ้อยคำบอกไว้ ทรงปกป้องเรา  และมารร้ายไม่สามารถแตะต้อง ทำอันตรายเราได้เลย สิ่งเหล่านี้ต้องอยู่ในสมอง อยู่ในใจของเราตลอดเวลา มารไม่สามารถกล่าวหาเราว่าเป็นคนบาป เหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้ว เพราะเราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว  แม้ว่าเราอาจจะถูกล่อลวงให้กระทำบาปอีกก็ตาม พระเยซูคริสต์ยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ของเราต่อหน้าพระเจ้าในสวรรคสถานตลอดเวลา ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เรา คริสเตียนผู้เชื่อ ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ตลอดเวลาชั่วนิรันดร์ เอเมน …

        1 ยอห์น 5:19 “เรารู้ว่าเราเป็นของพระเจ้า และทั้งโลกอยู่ใต้อำนาจของมาร”

            และต่อมา ยอห์นก็บอกว่าความแตกต่างระหว่างผู้ที่เป็นของพระเจ้า คือคริสเตียนเป็นของพระเจ้า และผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน คือเป็นของโลก ต่างกัน ถ้าเป็นของโลก อยู่ใต้อำนาจของมาร แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พวกเราเป็นของพระเจ้า  และได้รับการปกป้องจากพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าพวกเราไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของมารอีกต่อไป  แต่ได้รับการปลดปล่อยให้มีชีวิตใหม่ในพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว เราได้ถูกย้ายออกมาแล้ว อยู่ในบ้านของพระคริสต์ บ้านของพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องกลัว นี่เป็นบ้านของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดสามารถเข้ามาในบ้านนี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว  โคโลสี 1:13-14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษ บาปทั้งสิ้น ที่เราทำ (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี หรือการกระทำใดๆ)”

            ในพระบุตร เราได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี การกระทำดีใดๆ ของเรา นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมเราจึงได้รับความรอด  อยู่ในสวรรค์ เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ตั้งแต่บัดนี้ถึงนิรันดร์ เพราะมันเป็นของประทานจากพระเจ้า และพระองค์ทรงปกปักษ์คุ้มครองดูแลไว้ รักษาไว้ ไม่ใช่เราพยายามทำด้วยตัวเราเอง

            ในทางตรงกันข้าม ในระบบของโลกที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ในโลกนี้มี 2 ทาง ยอห์นบอก คือในโลกฝ่ายวิญญาณ มีมนุษย์พวกหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้า เป็นของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ และอีกพวกหนึ่งที่ไม่ใช่ของพระเจ้าเป็นของโลก อยู่ในอาดัม ในทางโลก คนที่เป็นของโลก ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ก็คือคนที่อยู่บนโลกนี้ แล้วไม่เชื่อในพระเจ้า เขาเหล่านั้นยังคงอยู่ในอำนาจของมาร ตามพระคัมภีร์บอก ซึ่งหมายถึงการถูกควบคุม โดยความบาป และการล่อลวงของมาร เป็นทาสมารอยู่ ไม่มีโอกาสได้โงหัวเลย นี่คือความจริงในพระคัมภีร์บอกไว้ อยู่ตรงกันข้ามกับลูกของพระเจ้าเลย มืดกับสว่าง ฟ้ากับเหวเลย 1 ยอห์น 4:4-5 ยอห์นได้บอกไว้อย่างนี้ ตอนก่อนหน้านี้ …

        1 ยอห์น 4:4-5 “4 ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือโลก  คือเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้” 5 ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกที่ถูกสาปแช่งแล้วนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

            หมายความว่าพระเจ้าต้องการให้เรามองไปที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่เราเชื่อ สิทธิอำนาจ ฤทธานุภาพอำนาจทั้งสิ้น ทั้งหมดในมหาจักรวาลนี้ ทั้งในโลก ใต้โลก และบนสวรรค์ พระเจ้าได้ประทานให้พระบุตร คือพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องการให้เราจ้องมองที่พระเยซู ไม่ใช่จ้องมองที่ศัตรู คือมาร ที่ตาเนื้อเราเห็น บนโลกใบนี้ มาร คือศัตรู หรือการทำอะไรของมัน ที่เราเห็น ไม่ใช่ไปจ้องมองที่นั่น แต่ให้เรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น  คือพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน ครอบครองเหนือทุกสิ่ง ไม่ใช่มองที่มารหรือศัตรู เพราะว่าหลายครั้งเลย ที่เราเห็นการสอนของผู้คนบนโลกใบนี้ เรื่องพระเจ้า แทนที่จะสอนให้เรามองที่พระคริสต์อย่างเดียวเลย ตามพระคัมภีร์ แต่กลับสอนให้เราหมกมุ่น จดจ้อง จดจ่ออยู่ที่ผีมารซาตาน จดจ่ออยู่ที่การไล่ผีออก การขับผี การขับวิญญาณชั่วออก เล่าถึงเรื่องผีต่างๆ ว่ามันจะทำอันตรายเราได้อย่างไร? เราต้องระมัดระวังมันอย่างไร? อะไรต่างๆ เหล่านั้น ยิ่งสอนมาก ฟังมาก ยิ่งเชื่อมาก ไม่ใช่ ยิ่งกลัวมาก ยิ่งสับสนมาก

            “ฉันจะได้รับความรอดหรือเปล่า? ตกลงฉันไปนี่ไปโน่น”

            กลัวไปหมดเลย ซึ่งความจริง คือพระเยซู คือผู้ช่วยให้รอดของเรา  เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายแล้ว พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา ฤทธานุภาพอำนาจทั้งหมดอยู่กับพระองค์แต่เพียงผู้เดียว  และพระองค์สถิตอยู่กับเรา อยู่ภายในเรา ศัตรู คือผีมารซาตานทั้งหลายเหล่านั้น เป็นแค่เพียงวิญญาณที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา  และตอนนี้มันตกสวรรค์แล้ว มันพ่ายแพ้ไปแล้ว มันไม่มีอะไรเลย อย่าไปให้ความสำคัญกับมันมากจนเกินกว่าเหตุ คือให้ความสำคัญกับมันแค่ตะกี้นี้ที่บอก มันได้แค่เห่า หอนไปเรื่อยๆ โกหกหลอกลวงไปเรื่อยๆ มันทำอะไรเราไม่ได้ ตราบใดที่เรายังยืนหยัดอยู่ที่ความจริงของถ้อยคำพระเจ้า นี่เป็นความจริง พูดถึงว่าเราเป็นใคร? เราไม่ต้องไปกลัวมัน ถ้าพระคัมภีร์บอกให้เรากลัวมัน โอเค เราจะเชื่อ แต่นี่พระคัมภีร์ไม่ได้บอก พระคัมภีร์บอกว่ามารร้ายมันแตะต้องเราไม่ได้ นี่คือสิ่งที่น่าจะสอน น่าจะประกาศให้คริสเตียนได้รับรู้

            จำเรื่องที่พระเยซูยกตัวอย่าง ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่ประกาศเรื่องนี้ เรื่องความจริงของความรอด ข่าวประเสริฐ พระเยซูบอกว่าท่านขับผีออกตัวหนึ่ง มันจะกลับเข้ามาใหม่อีก 7 ตัว ถ้าขับผีออก 1 ตัว มันยกโขยงมา เพราะว่าการขับผีออก ก็คือท่านทำให้มันสะอาด ผีออกไปแล้วใช่ไหม? แต่บ้านยังว่างอยู่ มันไม่มีใครอยู่ มันก็เอาผีมาอีกเป็นกองทัพเลย เข้ามาอยู่ด้วย  พระเยซูกำลังหมายถึงว่าถ้าเผื่อท่านขับผีออก แล้วพระองค์เข้าไปแทนที่ เข้าไปสถิตอยู่ภายใน มันเข้ามาไม่ได้อีกแล้ว หมายถึงอย่างนั้น ไม่ใช่สอนตรงนี้ เพื่อให้เราไปขับผีออก ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น

            มนุษย์ชอบอะไรประเภทนี้ พวกขับผีเอย ผีมีอำนาจ อะไรต่างๆ ในพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนไว้ ไม่ได้บอกว่ามันมีอำนาจอะไร มีแต่โกหก  แล้วเราทั้งโลก ก็ถูกหลอก เพราะว่าความต้องการของมนุษย์ เราต้องการอย่างนี้ เราก็ฝืนจากถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นความจริง ถูกหลอกแล้ว มารก็หลอกเราว่ามีอำนาจอยู่นะ มันยังยิ่ใหญ่อยู่ มันยังยอดเยี่ยมอยู่

            นี่ประสบการณ์ อย่างเช่น พอเราไปจดจ่อ จดจ้อง ไปให้ความสำคัญกับมารเกินกว่าเหตุ อย่างเช่นเขาบอกว่า …

            “ต้องขับผีออกทุกวันเลยนะ  เธอเดินเข้าป่า ต้องไล่ผีไปก่อน เดินเข้าป่ามืดๆ ไล่ผีไปด้วย”

            มีผีภูเขา มีผีนางไม้ ผีกระสือ ผีอะไรต่อมิอะไร ต้องเดินขับผีไปเรื่อยๆ แทนที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ร้องเพลงขับผีไปเลย  ในนามพระเยซู ผีร้ายจะต้องหนีไป ใช่หรือเปล่า ร้องอย่างนี้ใช่ไหม? …

                        “ในพระนามพระเยซู           ในพระนามพระเยซู             ผีร้ายจะต้องหนีไป”

            มันจะไปร้องอย่างนี้ทำไม ในพระนามพระเยซู ฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ผีร้ายแตะต้องฉันไม่ได้ ผีร้ายต้องหนีไป ก็แสดงว่ามันทำอะไรเราได้ ต้องร้องไปตลอดทาง ต้องขับผีออก ไม่ใช่ผีตัวเดียว ท่านลองคิดดู ถ้าท่านสนใจเรื่องการขับผีอย่างนี้  สนุกสนานอย่างนี้ พระเยซูหายไปเลย เพราะว่าท่านต้องไปนั่งนับว่ามีผีอะไร ผีกระสือ ผีโน่น ผีนี่เยอะแยะไปหมดเลย  เสร็จแล้ว พอจากในป่าเข้ากรุง พอเข้าในกรุง ไม่มีต้นไม้มืดๆ แล้ว มีแต่สว่างๆ เดินผ่านศาลพระภูมิก็ไม่ได้ ต้องระวังนะ เดี๋ยวมันโดดเข้าใส่ อย่างนี้อีกเยอะแยะ

            หรือหนักกว่านั้น มีประสบการณ์มา ก็คือขับผีในโบสถ์เลย คือในโบสถ์ ในคริสตจักร ถึงขนาดนั้น ผีเข้ามาในโบสถ์เลย  อย่างนี้เป็นต้น  ขับผีออก ลงไปดิ้นๆ  ไม่ยอมออกอีก ดื้ออีก ต้องหาวิธีการอะไรต่างๆ มา อย่างนี้แหละ คือการเรียกว่าการจดจ้อง จดจ่อไปที่พระเยซูคริสต์มันดีกว่า ความจริงของพระองค์เป็นอย่างนั้น  พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้อย่างที่ตะกี้นี้บอก อาจารย์ยอห์นจึงเน้นตรงนี้ว่าไม่ต้องกลัวแล้ว เรามีชัยชนะเหนือโลกแล้ว เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นความชั่วร้ายบนโลกนี้แล้ว พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา 1 ยอห์น 5:20 …

        1 ยอห์น 5:20 “เรารู้ว่าพระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาแล้ว และได้ประทานความเข้าใจแก่เรา เพื่อเราจะได้รู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นจริง และเราอยู่ในพระองค์ ผู้ทรงเป็นจริง  คือในพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้ และทรงเป็นชีวิตนิรันดร์”

            พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมา เพื่อให้เราได้รู้จักพระเจ้าพระบิดาผู้เที่ยงแท้จริงๆ แต่พระองค์เดียว เป็นของจริง พูดง่ายๆ  พระเยซูเท่านั้น ที่นำพามนุษย์มารู้จักพระเจ้าแท้จริง คือพระบิดา พระองค์ประทานความเข้าใจแก่เรา เพื่อให้เรารู้จัก และมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ผ่านทางพระองค์

            พระองค์ประทานความเข้าใจให้เราสามารถเชื่อในพระบิดาว่าส่งพระเยซู มาเป็นพระเมสิยาห์ เมื่อเราเชื่อ เราก็ได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดา การที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ หมายถึงการมีชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า มีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน  และการได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระองค์ มาเป็นชีวิตของเรา ร่วมกับพระเยซู ชีวิตของเราซ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในพระเจ้า พระเจ้าประทานวิญญาณนิรันดร์ ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายด้วยชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า  แล้วพระเยซูก็แบ่ง ประทานวิญญาณนิรันดร์ หรือชีวิตนิรันดร์ให้กับผู้เชื่อ นึกภาพออกใช่ไหม? ผู้เชื่อก็เลยได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา เราเลยเป็นหนึ่งเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนี้  ยอห์น 10:28 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 10:28 “เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้น จะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้น ไปจากมือของเราได้”

            เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น เป็นอย่างนี้นิรันดร์  พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองดูแลเรา พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าแท้ และเป็นแหล่งแห่งชีวิตนิรันดร์ สำหรับผู้เชื่อในพระองค์เท่านั้น นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีชีวิตนิรันดร์ที่ไหนแล้ว เมื่อเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เราก็จะเป็นอย่างนั้น เป็นตั้งแต่เมื่อไร ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็เป็นหนึ่งอย่างนี้เลย บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่ง  แล้วจะเป็นหนึ่งอย่างนี้ตลอดไป จนกระทั่งถึงนิรันดร์ ยอห์น 14:6 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 14:6 “พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใคร มาถึงพระบิดา (เข้าสวรรค์) ได้ นอกจากมาทางเรา”

            ทางเดียวเท่านั้นเห็นไหม? ทางที่เราจะเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดา เจ้าของสวรรค์ได้ คือผ่านทางพระเยซูคริสต์ เมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์ เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา คือเราเข้าไปอยู่ในสวรรค์นั่นเอง ก็หมายถึงว่าขณะนี้ บนโลกใบนี้ เราได้เริ่มต้นอยู่ในสวรรค์กับพระบิดาแล้ว ข้อสุดท้ายของหนังสือ คือ 1 ยอห์น 5:21 …

        1 ยอห์น 5:21  “ลูกเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย จงรักษาตัวให้พ้นจากรูปเคารพเถิด”

            การบูชารูปเคารพ  ไม่ได้หมายถึงเพียงการบูชารูปปั้นหรือสิ่งของเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งใดก็ตามที่เราให้ความสำคัญมากกว่าพระเจ้า เช่น เงินทอง อำนาจ หรือความสำเร็จ การรักษาตัวให้พ้นจากรูปเคารพนี้ หมายถึงการยึดมั่นในพระเจ้า และให้พระองค์เป็นศูนย์กลางในชีวิตสูงสุดของเรา และการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในการนำทาง และเสริมทางความเชื่อของเรา คือให้ความสำคัญ อย่างที่ตะกี้นี้บอก จดจ่อ มองไปที่พระเยซูคริสต์ นี่แหละ ถ้าเรามองไปที่อื่นเมื่อไร คือรูปเคารพ ถ้าเรามองไปที่มารอย่างที่ตะกี้นี้บอก เน้นไปที่มาร ไล่ผีอะไรต่างๆ เรากำลังมีรูปเคารพ หรือต้องการแต่เรื่องเงินทองอย่างเดียว  เรากำลังมองไปที่รูปเคารพ

            ในนี้บอกว่าให้เราระวังรูปเคารพ หมายถึงรูปเคารพจากภายนอก  ไม่ใช่จากในใจ เพราะมีหลายคนเข้าใจผิด สอนว่าระวังนะ  อย่ามีรูปเคารพอยู่ในใจ  มีได้ไหม? ไม่มีทางเลย เราเรียนรู้แล้ว อาจารย์ยอห์นบอก ในใจเราสะอาด หมดจด และเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าไม่มีทางที่จะแบ่งเรา หมายถึงแบ่งหัวใจเรา หรือแบ่งร่างกายเราให้กับมาร เข้ามาอยู่อาศัยได้ คริสเตียนไม่มีทางมีผีมาอยู่ในตัวของเขาได้เลย พระเจ้าไม่ยอมแน่นอน เป็นไปไม่ได้เลย

            เพราะฉะนั้น จึงไม่มีรูปเคารพอยู่ในใจของท่านหรอก แต่มันอยู่ภายนอก  เพราะว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว  ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น ภายในตัวเราไม่มีรูปเคารพเด็ดขาด มีแต่พระคริสต์ แต่สิ่งที่เราต้องระวัง ก็คือระวังรูปเคารพจากภายนอก  ก็คือระบบของโลกใบนี้ กระแสของโลกใบนี้ที่มารมันใช้ในการต่อต้าน พระเจ้า ผ่านทางความคิดของเรา ให้หลง ให้หมกมุ่น ให้จดจ่อกับสิ่งที่อยู่ฝ่ายโลก มาจากความคิด

            พระคัมภีร์จึงบอกว่าจงจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน  ที่ซึ่งพระคริสต์สถิตอยู่ อย่าจดจ่อที่ฝ่ายโลก มันหมายถึงอย่างนี้ จดจ่อฝ่ายโลก ผ่านทางบุคคล ยกย่องบุคคลจนเกินเหตุ ยกย่องทรัพย์สิน เงินทองจนเกินเหตุ ยกย่อง แสวงหาความสำเร็จจนเกินเหตุ แม้แต่อย่างที่บอก ยกย่องศัตรูจนเกินเหตุ ยกย่องมารว่ามันมีความสามารถเยอะแยะเลย จนเกินเหตุ อย่างนี้แหละ คือรูปเคารพ

            เพราะฉะนั้น คริสเตียน อาจารย์ยอห์นแนะนำให้ สรุปให้ ก็คือปกป้องความคิดจิตใจของเรา จากความคิดจอมปลอมของมาร ซึ่งมันทำได้แค่นั้นเอง แล้วก็รักษาความจริงให้อยู่ในใจ หรืออยู่ในความคิดของเราตลอดเวลา  ความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า  และสุดท้าย คือให้เราหมกมุ่น จดจ่อมองที่พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นชัยชนะของเรา ผู้ทรงเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองดูแลเราทุกอย่าง พระองค์สมควรได้รับการยกย่องสรรเสริญเพียงพระองค์เดียว และพระองค์ไม่มีวันที่จะทำให้เราผิดหวังเลย แม้แต่นิดเดียว  เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            สร้างอุปนิสัยใหม่  ในชีวิตใหม่  ในพระเยซูคริสต์

            เมื่อเรารู้ว่าเรากำลังต่อสู้กับอุปนิสัยที่แย่ๆ ความประพฤติที่ไม่เหมาะสม กับการเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว และพยายามเลิกแต่ยังไม่สำเร็จ สิ่งสำคัญ คือการเข้าใจว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในความพยายามนี้ พระเจ้าทรงอยู่กับเรา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในเรา เพื่อช่วยให้เราเอาชนะการล่อลวงชักจูง ให้ทำสิ่งที่ใจเราไม่ต้องการจะทำ

            ฟิลิปปี 2:13 … “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน  ให้ท่านมีใจปรารถนา  ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์”

            สร้างอุปนิสัยใหม่ ในชีวิตใหม่.   โดย …

            1. จดจ่อ จดจำ จนขึันใจ ว่าเราเป็นผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วในพระคริสต์ เราได้รับการอภัยบาปทั้งหมดแล้ว และไม่มีการลงโทษ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์

            โรม 8:1 … “เหตุฉะนั้น  บัดนี้  จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดใดแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป)”

            2. พึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา เพื่อให้เรามีพลังในการเอาชนะกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง พระวิญญาณทรงเป็นผู้ช่วย และทรงนำเราในทางที่ถูกต้อง

            กาลาเทีย  5:16-18 … “16 แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าให้เราดำเนินชีวิตสนองต่อการนำของพระวิญญาณ แล้วท่านจะได้ไม่สนองต่อความต้องการของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง (มัน คืออิทธิพลพลังอำนาจของความบาปและความตาย ที่กระทำการงานอยู่ในโลก และในร่างกาย ในสมอง ในความคิดจิตใจ ที่คอยผลักดันชักจูงให้เราทำตามกิเลสตัณหาของมันซึ่งเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า) 17 เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนัง มันต่อสู้กับความต้องการของพระวิญญาณ และความต้องการของพระวิญญาณก็ต่อสู้ กับความต้องการของเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้น ท่านจึงถูกขัดขวางในการที่จะทำตามความปรารถนาในใจของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ 18 แต่ถ้าท่านถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  (บังเกิดใหม่ อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ในพระวิญญาณแล้ว) ท่านก็จะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (ไม่ได้อยู่ในอาดัม ไม่ได้เป็นทาสของบาปแล้ว จึงไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของมัน ตัณหาของเนื้อหนังอีกต่อไป)”

            3. เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา โดยการจดจ่อ จดจำรับรู้อยู่กับความจริงของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับเราในพระคริสต์

            โรม 12:2 … “อย่ากระทำตามระบบของโลกนี้ (คือกิเลสโลกียตัณหาของเนื้อหนังซึ่งขัดแย้ง ต่อต้านกับพระวิญญาณ คือทางของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์) แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมข้อมูลความคิดในสมอง) ความคิดสติปัญญาแบบเดิม (คือแบบเนื้อหนัง)  เสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ ในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า  (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน (จะได้ ฝึกฝนประพฤติตามความคิดใหม่นั้น)”

            การรู้จักและเชื่อในตัวตนใหม่ของเราในพระคริสต์ จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตตามความจริงนั้น

            4. อย่าลืมว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง อิทธิพลของบาป ที่ปกคลุมอยู่บนโลกนี้ ด้วยตัวเอง พระเจ้าทรงอยู่กับเรา และทรงประทานพลังให้เราผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ การต่อสู้กับอิทธิพลของความบาปบนโลกนี้ มันอาจเป็นเรื่องยาก แต่เราสามารถวางใจในพระเจ้าที่ทรงอยู่กับเรา และทรงทำงานในเราเพื่อให้เรามีชัยชนะในพระคริสต์

            พระคริสต์อยู่ในเราตลอดเวลาเสมอไป  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1528

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  มิถุนายน  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 18

โดย  วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาดูในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 6  …

        กาลาเทีย 6:1 “ พี่น้องทั้งหลาย  หากใครถูกจับได้ว่าทำบาป ท่านที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ ควรช่วยเขาอย่างสุภาพอ่อนโยน ให้เขากลับตั้งตัวใหม่ แต่จงระวังตัวท่านเอง มิฉะนั้น ท่านเองจะถูกล่อลวงให้ทำบาปไปด้วย”

            อาจารย์เปาโลได้พูดกับพี่น้องชาวกาลาเทีย ตรงนี้กำลังพูดกับคริสเตียนด้วยกัน เราอาจจะสงสัยว่าพูดกับคริสเตียนด้วยกัน ทำไมคริสเตียนยังทำบาปอยู่ล่ะ นี่ก็คือเรื่องปกติ พี่น้องอย่าคาดหวังว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราทำบาปไม่เป็น มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เรามีโอกาสที่จะทำผิดพลาดได้ทุกวัน แต่เราขอบคุณพระเจ้าตรงที่ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมที่เผลอไปทำบาปเท่านั้นเอง ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยหนุนใจพี่น้องด้วยกันในพระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าบังเอิญมีใครถูกจับได้ว่าทำบาป บาปตรงนี้ไม่ได้พูดว่าบาปอะไร? ไปขโมยเงินเขาไหม? ไปโกงเขาไหม?  หรือไปตีหัวเขาไหม? หรือไปทำอะไรต่อมิอะไร? คือทุกอย่างที่ไม่ได้ทำตามเป้าหมายของพระเจ้า ถือว่าเป็นบาปหมด  ถ้าผิดจากน้ำพระทัยพระเจ้า  ก็คือบาป ถ้าไม่ได้ทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ถือว่าบาป อันนี้ทั้งหมดเลย

            ฉะนั้น โอกาสที่แต่ละคน เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะทำผิดพลาดมันมี แล้วหลายคนอาจจะคิดว่า …

            “ตอนนี้ฉันไม่ได้ทำผิดอะไร”

            พอคนอื่นทำผิด เราก็จะไปจี้เขา ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกอย่าทำแบบนั้น เพราะว่าโอกาสที่อนาคตข้างหน้า เราอาจจะทำผิดบ้างก็ได้ แต่ความผิดตรงนี้อาจจะไม่เหมือนกัน คนละแบบ แต่มันก็ยังคงเป็นความผิดบาปอยู่ดี  ตามสายพระเนตรของพระเจ้า ฉะนั้น ถ้าถูกจับได้แล้ว เราผู้ซึ่งอยู่ฝ่ายวิญญาณ เราผู้ซึ่งอยู่ในพระคุณของพระเจ้า ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เราควรจะช่วยเขาอย่างสุภาพ อ่อนโยน ให้กำลังใจเขา

            คำว่า “ให้กำลังใจ” ไม่ได้หมายความว่าเราไปส่งเสริมให้พี่น้องเราทำบาป ไม่ใช่ การให้กำลังใจ หมายความว่าเราเปิดโอกาสให้พี่น้องคนนั้น สามารถที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้กับพระเจ้าทุกวัน ซึ่งพระเจ้าก็คาดหวังอย่างนั้นอยู่แล้ว พระเจ้าก็ให้เรา ผู้เชื่อทุกคนเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าได้ทุกวัน เมื่อผิดปุ๊บ พระโลหิตของพระเยซูชำระทันที แล้วเราก็เริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าอีกทันทีด้วย นี่คือความหมายของการที่เราอยู่ร่วมกัน  เป็นส่วนหนึ่งของการสำแดงความรักของพระเจ้า ความรักที่พระเยซูคริสต์ให้กับเราข้างใน เป็นความรักชนิด แบบเป็นของพระเจ้า คือความรักที่อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง นี่คือความรักในหนังสือ 1 โครินธ์ได้เขียนไว้

            ฉะนั้น ของประทานแห่งความรัก หรือผลของความรักที่มีอยู่ในตัวเรา มันจะสำแดงออก การเห็นอกเห็นใจผู้ที่เขาล้มลงในความบาป ก็เป็นการสำแดงความรัก หลายคนคิดว่าถ้าเราไปเห็นใจ ก็เท่ากับเราส่งเสริมเขา ไม่ใช่ เพราะว่าคนที่ทำผิด เมื่อเราอยู่ในวิญญาณ ไม่มีผู้เชื่อคนไหนอยากทำบาป นี่เรื่องจริง เพราะว่าข้างในวิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ หมดจดแล้ว แต่ถ้าเราเผลอไปทำบาป แปลว่าเราถูกหลอก แล้วก็ล้มลง เมื่อเราถูกหลอก ล้มลง เราก็รู้สึกแย่อยู่แล้ว ในตัวของเราเอง เมื่อเราเป็นผู้เชื่อ แล้วถ้าพี่น้องในผู้เชื่อ แทนที่จะให้กำลังใจเรา กลับมาทับถมเรา มาชี้หน้าด่าเรา มาพูดให้เรารู้สึกแย่มาก อันนี้ก็ไม่ได้หนุนจิตชูใจ ไม่ได้สำแดงความรัก

            การสำแดงความรักที่แท้จริงจากพระเจ้า คือความรักไม่ช่างจดจำความผิด แต่ความรักนี้สามารถที่จะเชื่อในส่วนดีของคนอื่นอยู่เสมอ  นี่พี่น้องไปเปิดหนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 13 จะเห็นว่านี่คือคุณลักษณะของคำว่าความรักของพระเจ้า เราไม่ได้ชื่นชมยินดีที่พี่น้องเราทำผิด แต่เราเห็นในส่วนดีของเขาว่านี่เขาเผลอทำผิดไป แต่เขาสามารถที่จะเริ่มต้นใหม่ได้ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเขา พระองค์จะสามารถให้กำลังเขาที่จะเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าได้ทุกวัน

        กาลาเทีย 6:2 “จงช่วยรับภาระของกันและกัน ทำดังนี้แล้ว ท่านก็ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระคริสต์”

            การช่วยรับภาระ อันนี้ก็สืบเนื่องมาจากข้อที่ 1 นั่นแหละ  ก็คือการสนับสนุน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในขณะที่พี่น้องบางคนกำลังไม่พอ อ่อนกำลัง เราก็ไปช่วยเสริมกำลังเขา เมื่อถึงคราวที่เราอ่อนกำลังบ้าง พี่น้องคนอื่นที่มีกำลัง เขาก็จะได้มาเสริมเรา เราไม่สามารถที่จะมีกำลังได้ตลอดเวลา ไม่มีทาง บางครั้งเราก็อ่อนแอ เมื่อเราอ่อนแอ เราต้องการกำลังใจ  เมื่อเราผิดพลาด เราไม่ได้ต้องการใครมาทับถมต่อ  แต่ต้องการกำลังใจจากพี่น้องในพระคริสต์

            ฉะนั้น การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสำแดงความรักต่อกัน นี่คือบทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ คือให้เรารักซึ่งกันและกัน แล้วจริงๆ ความรักตรงนี้ มันมีอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว คือพระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเรา เรียบร้อยไปแล้ว เป็นของประทานแห่งความรัก

        กาลาเทีย 6:3 “หากผู้ใดคิดว่าตนสำคัญทั้งๆ ที่ไม่สำคัญ ผู้นั้นก็หลอกตัวเอง”

            ทำไมอาจารย์เปาโลถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าหลายคนเวลามาเชื่อพระเจ้า ก็คิดว่าตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น แต่พระเจ้าบอกไม่ใช่ ทุกคนสำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้าหมด ถ้าวันนี้เราสามารถประพฤติ ปฏิบัติดี ไม่มีข้อผิดพลาด ก็ให้เราช่วยเหลือคนอื่น  เพื่อวันหนึ่ง อนาคตข้างหน้าเราอาจจะผิดพลาดได้เหมือนกัน ดังนั้น การดำเนินชีวิตแบบนี้ มันสามารถเกิดขึ้นกับพี่น้องในพระคริสต์ทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นสมาชิก จะเป็นผู้รับใช้ หรือจะเป็นใครก็ตามที่มีความเชื่อสูงส่ง ก็มีโอกาสที่จะผิดพลาดได้ทั้งหมดเลย อันนี้อาจารย์เปาโลก็ย้ำเตือนว่าให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าเราทุกคนอยู่ในสถานะเดียวกัน คือเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักเหมือนกัน

        กาลาเทีย 6:4 “แต่ละคนควรสำรวจการกระทำของตนเอง  จึงจะมีข้อภาคภูมิใจในตัวเอง โดยไม่ต้องเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น”

            อาจารย์เปาโลไม่ได้สอนเราให้ไปเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนอื่น แต่ให้เราดูชีวิตของตัวเอง คุมชีวิตของตัวเองให้อยู่ในทางของพระเจ้าเท่านั้นเอง ฉะนั้น การเปรียบเทียบกับคนอื่น สิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ก็ทำให้เรารู้สึกไม่ดี ถ้าเปรียบเทียบแล้ว คนอื่นดีกว่าเรา เราก็รู้สึกตัวเองด้อย ถ้าเปรียบเทียบแล้ว คนอื่นด้อยกว่าเรา เราก็รู้สึกว่าตัวเองดีกว่า แล้วก็เกิดเย่อหยิ่งจองหองขึ้นมา อันนั้นไม่โอเค ในพระคัมภีร์ พระเจ้าก็สอนเราว่าไม่ต้องไปเปรียบเทียบ แค่ดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวันให้สอดคล้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ดำเนินชีวิตด้วยความรักในพระเจ้าก็พอ

        กาลาเทีย 6:5 “เพราะว่าแต่ละคนต้องแบกภาระของตัวเอง”

            อันนี้พี่น้องอาจจะรู้สึก อ้าว! ข้อที่ 2 บอกให้ช่วยแบ่งเบาภาระ พอข้อที่ 5 บอกให้แบกภาระเอง มันคืออะไร? การช่วยแบ่งเบาภาระ ก็คือสำแดงความรัก เวลาพี่น้องล้มลง แต่การที่เราต้องแบกภาระของตัวเอง นี่คือส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของเรา ที่ผู้เชื่อทุกคนจำเป็นต้องรับผิดชอบ การกระทำของพวกเราเองทุกคน อย่าโบ้ยความรับผิดชอบไปให้คนอื่น เราต้องจัดการกับตัวเองตามที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเรา ฉะนั้น การดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือให้พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้นำเราจากข้างใน และอาจารย์เปาโลบอกว่าจงทำทุกอย่างจากใจ

            จากใจ คือจากข้างในวิญญาณของเราออกไป ไม่ใช่ทำทุกอย่างจากการหว่านล้อมจากผู้คนรอบข้าง ไม่ใช่ แต่สิ่งที่มันออกจากข้างใน คือสิ่งที่พระเจ้ายอมรับได้ ถ้าทำจากใจ แปลว่าคนนั้น กำลังทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งทุกอย่างที่ทำตามพระวิญญาณ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ พระเจ้ารับได้หมดเลย  แต่ถ้าเราทำตามอิทธิพลของโลกนี้ ที่พยายามส่งเข้ามา แล้วก็เหมือนบีบบังคับในตัว ต้องทำๆๆ แล้วเราก็พยายามทำมัน ทุกอย่างที่เราทำ ไม่ว่าสิ่งที่เราทำจะใหญ่โต ในสายตาของมนุษย์อาจจะรู้สึกโคตะระดี ในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ถือว่าดี ถือว่าเป็นศูนย์ เพราะว่าเราไม่ได้ทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เรากำลังทำตามระบบของเนื้อหนังในโลกใบนี้

        กาลาเทีย 6:6-9 “6 ผู้ที่รับคำสั่งสอน  จงแบ่งสิ่งดีทั้งปวงแก่ผู้สอน 7 อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไรย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา  จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ 9 อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี  เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันเหมาะสม”

            อันนี้ อาจารย์เปาโลกำลังบอกกับผู้เชื่อทั้งหลายว่าอย่าคิดว่าจะหลอกลวงพระเจ้าได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรออกมาในสภาวะที่เราดำเนินชีวิต หรือผลที่เราทำออกมา ไม่ว่ามนุษย์รอบข้างจะมองว่าดีหรือเลว แต่เราต้องดูว่าที่เราทำ พระเจ้าบอกว่าดีไหม? เพราะเราหลอกพระเจ้าไม่ได้

            เวลาเราทำอะไร ถ้าทำโดยพึ่งกำลังของตัวเอง เราก็กำลังทำตามเนื้อหนัง แต่ถ้าเราพึ่งพระวิญญาณ เราก็ทำตามพระวิญญาณ ฉะนั้น เราหลอกพระเจ้าไม่ได้เลย แม้ว่าคนรอบข้างอาจจะถูกหลอกว่า …

            “คนนี้นิสัยดีมากเลยนะ ทำโน่นทำนี่ดี”

            แต่พระเจ้ามองลึกเข้าไปในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน แล้วพระองค์ทรงรู้ว่าคนๆ นี้ แม้เป็นผู้เชื่อแล้วนะ กำลังดำเนินชีวิต หรือทำอะไรบางอย่างตามพระวิญญาณนำ หรือตามระบบของเนื้อหนังบนโลกใบนี้ ที่พยายามดึงหรือแนะแนว แล้วบอกว่ามันดีนะๆ อะไรแบบนี้ ซึ่งเราหลอกพระเจ้าไม่ได้เลย นี่คือความจริง และสิ่งที่ตาเรามองเห็น อย่างที่บอก ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้า เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว  เราเป็นต้นไม้ เราเป็นกิ่งก้านสาขาที่ถูกปักไว้ในลำต้นของพระเจ้า ก็คือในลำต้นชีวิตนิรันดร์

            ลำต้นชีวิตนิรันดร์นี้ กิ่งไม้ต่างๆ อาจจะออกมา บางทีมันไม่สวยงาม  มันหงิกๆ งอๆ  แต่ว่าคนอื่นมองแล้ว ไม่เห็นงามเลย ทำไมคริสเตียนถึงเป็นแบบนี้ล่ะ แต่พระเจ้าบอกอันนั้น โอเค พระเจ้ารับได้ แม้หงิกๆ งอๆ  แต่อนาคตข้างหน้า มันจะเกิดเป็นผลดี เพราะมันเป็นต้นไม้ดี มันเป็นต้นไม้มีชีวิต แต่ถ้าคนที่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า ยังอยู่ในอาดัม อยู่ในวิสัยบาป แม้จะดูผลที่ออกมา เป็นผลที่ดี  คนทั่วไปดูว่าคนนี้ ดีมากเลย นิสัยดี การงานก็ดี  ทำโน่นก็ดี ทำนี่ก็ดี คริสเตียนสู้ไม่ได้เลย  แต่สิ่งที่เขาสู้ไม่ได้ คือเขาไม่มีชีวิตนิรันดร์  เขาเป็นต้นไม้ที่ไม่มีชีวิต แต่เขาเป็นต้นไม้พลาสติก รู้จักต้นไม้พลาสติกไหม?  ดิฉันชอบต้นไม้พลาสติก เพราะไม่ต้องดูแล  คือเป็นต้นไม้เราปักเอาไว้เฉยๆ  แล้วก็ไม่ต้องไปดูแลมันเลย ถ้าฝุ่นจับ ก็เอาน้ำยาล้างจานใส่ แล้วไปเขย่าๆ มันก็สวยงาม แต่มันไม่มีชีวิต

            ฉะนั้น ต้นไม้ไม่มีชีวิต คือต้นไม้พลาสติก ต้นไม้ปลอม เป็นของปลอม คนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า ต่อให้เขาสวยงามขนาดไหน? เขาก็ยังเป็นของปลอม เป็นผลไม้ปลอม เป็นดอกไม้ปลอม เป็นใบไม้ปลอม เขียวชอุ่มหมดเลย แต่มันไม่มีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เกิดจากชีวิตของคนนั้น ภาพมันต่างกันเยอะ

            ในโลกวิญญาณ ถ้าเรามองด้วยสายตาของมนุษย์ เราก็จะผิดพลาด  แต่ถ้าเรามองด้วยสายตาของพระเจ้า  เราก็จะสามารถแยกแยะได้ว่าถ้าคนนี้อยู่ในพระคริสต์ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ในเขา พระองค์ทรงนำพาย่างเท้า เริ่มต้นการงานดี พี่น้องนึกภาพที่อาจารย์เปาโลบอกว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นงานดีไว้ในชีวิตของท่าน พระองค์ก็จะจูงมือเราเดินไปจนถึงจุดหมายปลายทาง จนถึงวินาทีสุดท้ายที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า

            ดังนั้น ระหว่างการเดินทาง อาจจะล้มลุกคลุกคลาน อาจจะผิดบ้าง ถูกบ้าง  แต่พระเจ้าก็จะนำพาเรา พาไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหมายปลายทาง  เวลาพระเจ้ามองพวกเราผู้เชื่อ พระเจ้าไม่ได้มองระหว่างการเดินทาง เพราะว่าระหว่างการเดินทาง เราก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบแน่นอน ผู้เชื่อทุกคนอย่าคิดว่าเราจะสมบูรณ์แบบ ดีเลิศ ประเสริฐศรี ทุกอย่าง ทุกวัน ทุกเวลา ไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าเราสมบูรณ์แบบในสายพระเนตรของพระเจ้า คือพระเจ้ามองทะลุไปถึงวันสุดท้ายในชีวิตของเรา ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “พอถึงวันสุดท้าย อย่างไร เธอได้ดีแน่ ได้ดี ตรงที่เธอเป็นของเราแล้ว”

            เราเป็นของพระเยซูคริสต์แล้ว เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่ว่าขณะเดินทางบนโลกใบนี้ เราจะเจอหุบเขาเงาแห่งความตาย พระเจ้าบอกพระเจ้าจะพาเราผ่านไป และพระองค์จะจูงมือเราไปเรื่อยๆ ซึ่งหลายอย่าง เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา ทำไมอันนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา เราก็รักพระองค์นะ เราก็ทำทุกอย่างตามที่พระองค์บอก เราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร? ไม่สามารถบอกได้เลย แต่บอกได้อย่างเดียวว่าพระเจ้าทรงดูแลอยู่ และพระองค์ทรงควบคุมทุกอย่างอยู่

            ในโลกใบนี้ มันเสียหายไปแล้ว โลกนี้ถูกสาปแช่ง ตั้งแต่วันที่อาดัมกับเอวาขายให้มารแล้ว ถูกสาปแช่งไปแล้ว มนุษย์ทุกคน ก็ถูกสาปแช่งไปเรียบร้อยแล้ว สัตว์ทุกชนิด หรือต้นไม้ทุกอย่างบนโลกใบนี้ ถูกสาปแช่งหมดเรียบร้อยไปแล้ว

            อย่างที่พระเจ้าบอก … “เจ้าจะหาเลี้ยงชีพจากแผ่นดิน ด้วยเความลำบากตรากตรำตลอดชีวิตของเจ้า” บอกอาดัมนะ

            เพราะว่าสมัยก่อน อาดัม เอวาไม่ต้องทำมาหากิน คือพระเจ้าให้ผลหมากรากไม้ คือเดินไปตรงไหน ก็เก็บกินได้หมด  แต่เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป ความเสียหายมันเกิดขึ้นกับทุกสิ่งอย่าง

            ทุกสิ่งอย่าง หมายถึงไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น โลกใบนี้ด้วย  ผลหมากรากไม้ด้วย ปลาในน้ำ นกบนอากาศ คือทุกอย่างถูกสาปแช่งเรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น สรรพสิ่งเหล่านี้ เขาเฝ้ารอคอยว่าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อไรโลกนี้จะจบสิ้นสักที ก็คือพระเจ้าบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า โลกใบนี้จะต้องสูญสลายไป จะต้องหมดไป แล้วพระเจ้าก็เตรียมโลกใหม่ให้กับผู้เชื่อทุกคน เตรียมไว้แล้ว ณ เวลานี้ เป็นโลกที่สวยงาม ฉะนั้น ทุกคนก็รอคอยโลกใหม่

            ผู้เชื่อหลายคนก็ยังคงคิดว่าเรามีความสามารถ มีความเชื่อพอที่จะอธิษฐานให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ  พี่น้องเข้าใจผิดนะ อธิษฐานไปเถอะ เปลี่ยนไม่ได้ พระเจ้าบอกมันเสียหายไปแล้ว พระเจ้าเปลี่ยนอันใหม่ให้เลย ไม่ต้องมาซ่อมแซมอันเก่า พระเจ้าไม่ซ่อม ก็ปล่อยให้มันค่อยๆ เป็นไปตามวาระของมัน ซึ่งมันจะมีวาระของการเป็นอยู่ของโลกใบนี้  แล้วก็มีจังหวะเวลาที่พระองค์ได้กำหนดไว้แล้ว ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าเมื่อไร? อย่างไร?  แต่สิ่งที่เรารู้ ก็คือเมื่อถึงกำหนดเวลาของพระเจ้า สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้น

            แล้วพวกเรา ซึ่งอยู่บนโลกใบนี้ ที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็แค่เฝ้ารอคอย แล้วพระเจ้าผู้สถิตอยู่ในเรา เป็นผู้ที่ประทานกำลังให้กับพวกเรา ที่จะสามารถเผชิญกับหุบเขาเงาแห่งความตายได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า แล้วแต่ละคน ก็จะเจอหุบเขาเงามัจจุราชที่ไม่เหมือนกัน  ทุกคนเจอแน่ เจอเล็ก เจอน้อย เจอใหญ่ เจอฝอยอย่างไร มันก็เจอ แต่พระเจ้ารู้ว่าแต่ละคนสามารถรับได้แค่ไหน? พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในเรา พระองค์จะทรงช่วยเหลือให้เราสามารถผ่านไปได้

            คำว่า “ผ่านไปได้” ไม่ได้ผ่านตามใจเรา ผ่านตามน้ำพระทัยของพระองค์  ดังนั้น คำว่า “ผ่านตามน้ำพระทัย” หลายครั้ง พระเจ้าก็ให้ปัญหา ภูเขามันอยู่ข้างหน้าเรา พระองค์ไม่ย้ายภูเขา อยู่ตรงนี้แหละ แล้วพระองค์ก็ให้กำลังเรา

            เหมือนกับที่พระเจ้าบอกกับอาจารย์เปาโลว่า … “การที่มีคุณของเรา ก็เพียงพอแล้ว”

            อาจารย์เปาโลยังต้องทนทุกข์กับหนามในเนื้อ จนตลอดชีวิตของท่าน จนท่านตายจากไป ก็ยังมีหนามในเนื้อไปด้วยกันนั่นแหละ ทิ้งร่างกายนี้ วิญญาณไปอยู่กับพระเจ้า ฉะนั้น เราไม่รู้ว่าพระองค์จะจัดการ หรือจะกำหนดอะไรให้กับพวกเราแต่ละคน ซึ่งแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือพระองค์ทรงรักเรา รักมาก รักขนาดที่ได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน ได้ให้ชีวิตของพระองค์เองมาชดใช้บาปแทนเรา ทำให้พวกเราทุกคนสามารถบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า สามารถเข้ามาเป็นประชากรของพระองค์ นี่คือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

            ฉะนั้น ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่เราสามารถอธิษฐานได้กับพระเจ้า ก็คือขอพระเจ้าเมตตา ประทานกำลังให้กับพวกเราทุกๆ คน ถ้าเราเจอปัญหาที่หนักหนาสาหัส ขอพระเจ้าทรงให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถไปคู่กันกับปัญหานี้ได้ จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ขอพระเจ้าประทานความอดทนให้กับพวกเราทุกๆ คน ไม่ต้องขอประทานสันติสุข เพราสันติสุขมีอยู่แล้ว ขอพระเจ้าให้สันติสุขที่อยู่ข้างในได้สำแดงออกมา คุ้มครองความคิดจิตใจของเราให้สามารถยิ้มได้ ท่ามกลางปัญหา ยิ้มได้ท่ามกลางอะไรเยอะแยะมากมาย  ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา

            มีพี่น้องท่านหนึ่ง พี่น้องในโบสถ์ของเรา ไปตรวจเจอมะเร็งที่เต้านมกับที่ปอด แรกๆ เจอที่เต้านม แล้วหมอก็ให้ไปทำการรักษา พอไปเอ๊กซ์เรย์ ทำอะไรจนเสร็จ ไปเจอที่ปอดอีก เจอ 2 ที่นะ แต่ท่าทีของพี่น้องคนนี้จริงๆ เขารู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย เขารู้ว่าทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เขาไปรักษาตามที่หมอนัด แล้วเขาก็สามารถหัวเราะได้กับสิ่งที่เผชิญอยู่ เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย  พระองค์จะนำพาเขาผ่านวิกฤตนี้ไปได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า  แล้วเขาพูดคำหนึ่งว่า …

            “ชีวิตฝากไว้กับพระองค์ พระองค์จะรักษาอย่างไร ก็แล้วแต่น้ำพระทัย หรือถ้าถึงเวลา พระองค์ก็พาเขากลับบ้าน ก็แค่นั้นเอง”

            นี่คือท่าทีของผู้เชื่อทุกคน จริงๆ แล้วควรจะเป็นแบบนี้ เพราะเรารู้ว่าอยู่บนโลกใบนี้  เราก็เจอความทุกข์ยาก  ไม่ว่าเราเผชิญอะไร พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา แล้วเมื่อถึงคราววิกฤตจริงๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จริงๆ ไม่ใช่ความกล้าหาญ หรือความดีของพี่น้องคนนี้เลย แต่พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเขาได้สำแดงให้เขาเห็นว่าพระเจ้าอยู่ด้วยในทุกสถานการณ์ เขาสามารถมั่นใจได้ว่าพระองค์นำพาเขาได้ พระองค์มีวิธีการ มีอะไรต่างๆ แล้วหมอก็นัดเขาให้ทานยาพุ่งเป้า เราก็ไม่รู้จัก พอทานไปวันที่ 3 อาการออกเลย อาเจียนแบบหนักหนาสาหัส แต่เขาก็ยังสามารถหัวเราะได้

            “มันเป็นอาการอย่างนี้นะพี่  อาการมันอาเจียนออกมาเลยนะ แต่ว่าไม่เป็นไร ชีวิตฝากไว้กับพระเจ้า”

            ขนลุกเลย เขาหนุนใจเรามากๆ  คือเป็นอะไรที่เราเห็นพระคุณของพระเจ้าผ่านทางชีวิตของพี่น้องของเรา ซึ่งหลายๆ ครั้งพวกเราเจอหน้ากัน ทุกคนอยู่ดีมีสุข ไม่เป็นไร? แต่เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนเจออะไรมาเยอะแยะมากมาย แต่ทุกคนสามารถพึ่งพาในพระเจ้าได้ พระเจ้าผู้ทรงดูแลพวกเรา พระองค์ก็สามารถนำพาย่างเท้าของพวกเราทุกๆ คน ให้ผ่านไปได้ด้วยพระคุณความรักของพระเจ้า

            ดังนั้น การดำเนินชีวิตของผู้เชื่ออย่างที่บอกในข้อ 8 ถ้าท่านหว่านเพื่อวิสัยบาป  จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยบาป  เก็บเกี่ยวความพินาศตรงนี้ ไม่เกี่ยวกับความพินาศทางฝากวิญญาณนะ เพราะว่าฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อไม่พินาศแล้ว อยู่ในชีวิตนิรันดร์ อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว แต่เขาจะเก็บเกี่ยวความพินาศทางร่างกาย คือการดำเนินชีวิต ถ้าหว่านตามวิสัยบาป ก็เก็บเกี่ยว ไปตีหัวเขา ก็ถูกเขาตีหัวกลับ หรือไม่ก็ไปเสียค่าปรับ คือทุกอย่างมันมีผลเก็บเกี่ยวทั้งหมด  เราจะไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีสันติสุขได้ ถ้าเราหว่านในย่านเนื้อหนัง แต่ถ้าเราหว่าน เพื่อพระวิญญาณก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น ก็คือเก็บเกี่ยวสันติสุขในพระเจ้า  ที่พระองค์ทรงประทานให้กับพวกเรา แล้วอาจารย์เปาโลยังหนุนใจว่าให้เรากระทำการดี อย่าอ่อนล้า  อย่าเหน็ดเหนื่อยที่จะทำดี เพราะว่าการทำดี เรียกว่าเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้เชื่อ  เพราะว่าพระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าดี  แล้วพระเจ้าได้ประทานความดี เราเป็นผู้เชื่อ เราเป็นผู้ชอบธรรม ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม สะอาด เหมือนพระเจ้าเลย  ก็คือคุณสมบัติเหล่านี้มันอยู่ในเราแล้ว

            ฉะนั้น การดำเนินชีวิตกับผู้คนรอบข้าง อาจารย์เปาโลหนุนใจว่าอย่าอ่อนล้าในการกระทำดี ถ้าเรายังพอมีกำลัง แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องต้องไปวิ่งหาใครทุกคน ดาหน้าไปทำดีให้เขา ไม่ต้อง ก็แค่ว่าคนที่พระเจ้านำมาให้เราทำดีกับเขา เราก็ทำไปเถอะ นี่คือสิ่งที่เราจะสำแดงความรักให้กับผู้คนรอบข้าง และเป็นการสำแดงตัวตนจริงๆ ของเราที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ให้ผู้คนอื่นได้รับรู้ เมื่อเราทำสิ่งที่ดี เราก็จะเก็บเกี่ยวผล ไม่ได้หมายความว่าเราทำดี เราจะได้ความดีตอบ บางทีไม่ได้ความดีตอบนะ ทำความดีไปแล้ว ไม่เห็นได้อะไรเลย แต่ว่าสิ่งที่ได้อันดับแรก ก็คือสันติสุขในใจ พี่น้องเคยรู้สึกไหม?  เวลาเราทำอะไรดีปุ๊บ ข้างในปิติยินดี ยิ้มอยู่คนเดียวนั่นแหละ คนนี้ท่าจะบ้า อยู่ดีๆ ก็ยิ้มอยู่คนเดียว ไม่ใช่ เราตื้นตัน เรามีความสุข เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เปิดโอกาสให้เราได้ทำความดี มันเป็นโอกาสที่พิเศษ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา  ที่ได้ทำความดี เราเก็บเกี่ยวผลของชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว คือเก็บเกี่ยวสันติสุข ความสุขที่ได้รับทันทีเลย ไม่ต้องรอให้ใครมาชม ไม่ต้องรอผลว่าพระเจ้าจะอวยพรเรา ไม่ต้อง เราได้รับพรแล้ว ก็คือความสุขที่มันเกิดขึ้นในใจของเรา ฉะนั้น ในข้อที่ 10 บอกว่า

        กาลาเทีย 6:10 “เหตุฉะนั้น เมื่อมีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ”

            คนทั้งปวง คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เรามีโอกาส เราสามารถทำดีให้เขาได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อยู่ในพระเจ้า พี่น้องของเราเอง ที่เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นลูกของพระเจ้าพระบิดา เป็นพี่น้องกับพระเยซูคริสต์เดียวกัน มีโอกาส ก็ให้เราทำดีต่อกัน การทำดีต่อกันไม่เหนื่อยนะ กับการทำไม่ดีต่อกัน เหนื่อยกว่า เพราะพอทำไม่ดี ข้างในวิญญาณเราก็รู้สึกแย่ เพราะวิญญาณข้างในเราเป็นวิญญาณดี พอทำอะไรที่ขัดกับตัวตนจริงๆ ของเรา เราก็จะรู้สึกอึดอัด เราไม่น่าทำเลย อะไรแบบนี้ มันจะมีผลทันทีในทุกๆ สิ่งที่เราตัดสินใจ

            ฉะนั้น การทำดีกับครอบครัวแห่งความเชื่อ คือพี่น้องของเราทุกคน  เราไม่จำเป็นต้องทำดีเยอะแยะมากมาย แต่เราสามารถทำดีได้ แบบเล็กๆ น้อยๆ แค่ทักทายกัน นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำดี ยิ้มให้กัน กอดกัน ก็คือส่วนหนึ่งของการทำดี ไม่ต้องไปวิ่งหาอะไรเยอะกว่านั้น ทุกอย่างมันมีอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องไปสรรหา มันเป็นคุณสมบัติที่พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือพระพรที่พวกเราผู้เชื่อสามารถรับได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า

        กาลาเทีย 6:11-12 “11 ดูเถิด ข้าพเจ้าใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่เพียงไร เมื่อเขียนถึงท่านด้วยมือของข้าพเจ้าเอง! 12 บรรดาผู้ที่อยากสร้างความประทับใจ แต่เพียงเปลือกนอกพยายามบังคับให้ท่านเข้าสุหนัต เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองถูกข่มเหง เพราะเรื่องไม้กางเขนของพระคริสต์”

            อันนี้ อาจารย์เปาโลวกกลับมาอีกแล้ว  พูดถึงผู้ที่พยายามหว่านล้อมให้ผู้เชื่อชาวกาลาเทียไปทำพิธีเข้าสุหนัต ต้องเล็งถึงคนที่เป็นคนยิวแน่ๆ ถ้าไม่ใช่คนยิว เขาจะไม่รู้เรื่องการเข้าสุหนัต ดังนั้น คนยิวที่ได้กลับใจใหม่ ถ้าคนยิวไม่กลับใจใหม่ คงไม่มายุ่งกับผู้เชื่อทั้งหลาย ก็เป็นการข่มเหงเลย แต่คนยิวที่กลับใจใหม่ ที่ยังยึดถือกฎเกณฑ์เดิมที่พระเจ้าให้มา ก็คือเอาทั้ง 2 อย่าง  พระเยซูฉันก็จะเอา บทบัญญัติฉันก็จะเอา  กฎเกณฑ์ที่โมเสสพูดไว้ฉันก็จะเอา  ฉันเอาหมดเลย ทำทุกอย่าง ฉะนั้น เมื่อเอาหมดทุกอย่าง ก็เลยบีบบังคับให้คนอื่น คือผู้เชื่อชาวต่างชาติ เขาไม่รู้เรื่องการเข้าสุหนัตเลย บีบบังคับให้เขามาเข้าสุหนัตด้วย แนะแนวว่า …

            “เธอเชื่อพระเยซูคริสต์อย่างเดียวไม่พอ”

            ทั้งๆ ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าแค่เชื่อเท่านั้น ท่านก็ได้ความรอดแล้ว แค่เชื่ออย่างเดียว เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ ท่านก็ได้รับชีวิตนิรันดร์  แล้วท่านไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพราะพระเยซูได้ทำให้หมดแล้ว  แต่ผู้เชื่อเหล่านี้ กลับมาสอนผู้เชื่อชาวต่างชาติว่าไม่พอ

            “ไม่พอๆ ยังต้องทำเยอะกว่านั้น นั่นก็คือไปทำพิธีเข้าสุหนัตด้วย จะได้เข้ากฎเกณฑ์”

            อาจารย์เปาโลบอกที่เขาแนะนำ เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ถูกข่มเหงเรื่องของไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ เพราะคนยิวที่มาเชื่อพระเจ้าจะถูกข่มเหง เชื่อพระเยซูคริสต์จะถูกข่มเหง ฉะนั้น เขาก็เหมือนกับป้องกันตัวเอง พาคนอื่นมาเข้าสุหนัต จะได้เนียนๆ เราเป็นพวกเดียวกัน ซึ่งอาจารย์เปาโลไม่ยอม เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ขัดกับความจริงในพระวจนะของพระเจ้า อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าท่านทำพิธีเข้าสุหนัต ก็เท่ากับท่านยอมรับกฎบัญญัติของโมเสส การยอมรับกฎบัญญัติของโมเสส คือต้องทำพิธีเข้าสุหนัต ต้องไปวิหารวันสะบาโต ต้องไปถวายเครื่องบูชาในวันสำคัญที่พระเจ้ากำหนดไว้  ต้องไปถวายอะไรต่อมิอะไร เวลาเราทำผิดทำบาป ก็ต้องไปถวายเครื่องบูชา หมายความว่าถ้าท่านยอมตัวเข้าสุหนัต ท่านก็เอาตัวเองมุดเข้าไปอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ

            แล้วใครก็ตามที่เข้ามาอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ คนเหลานั้น จะถูกสาปแช่ง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติได้ครบถ้วนสมบูรณ์ 100% เมื่อไม่ครบถ้วนปุ๊บ ถูกสาปแช่งแน่นอน ก็คือพระเจ้าไม่รับ ถ้าพระเจ้าไม่รับ ก็คือไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งคนเหล่านี้เข้ามาอยู่แล้ว ได้รับเชื่อแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องไปทำตามกฎระเบียบเหล่านี้อีก

        กาลาเทีย 6:13 “แม้แต่คนที่เข้าสุหนัตแล้ว  ยังไม่เชื่อฟังบทบัญญัติ แต่พวกเขาต้องการให้ท่านเข้าสุหนัต  จะได้อวดอ้างเนื้อหนังของท่าน”

            เพราะว่าคนที่เข้าสุหนัต ก็ยังไม่เชื่อฟังบทบัญญัติเลย ไม่มีใครสามารถเชื่อฟังได้ 100% ผิดบ้าง ถูกบ้าง ดื้อบ้าง อะไรบ้าง นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังอยู่ในความบาป อยู่ในธรรมชาติบาป อยู่ในร่างกายที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ มันเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น คนเหล่านี้ที่พยายามชักจูง หรือชักชวนผู้เชื่อชาวกาลาเทีย ไปทำพิธีเข้าสุหนัต ก็เพื่อจะอวด ถ้าจะพูดถึงอวด

            เหมือนอวดว่า … “นี่ ฉันพาคนนี้มานะ มาทำพิธีเข้าสุหนัต เห็นไหม ฉันได้ทำอะไรบางอย่าง เพื่อสนองกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าตั้งไว้ให้กับโมเสส”

            ซึ่งพระเจ้าบอก … “ฉันไม่เอา ฉันไม่รับแล้ว”

            วันที่พระเยซูทำสำเร็จ ไม่ว่าคนยิวหรือคนต่างชาติ ไปทำพิธีกรรมใดๆ ก็ตามที่พยายามทำด้วยกำลังของตัวเอง เพื่อได้รับความรอด พระเจ้าไม่รับหมด พระเจ้ารับแค่เงื่อนไขเดียว คือใครก็ตามที่เปิดใจยอมรับผลของการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น คนนั้นพระเจ้ายอมรับและรับได้ คนนั้นจะได้รับชีวิตนิรันดร์ นี่คือเงื่อนไข

        กาลาเทีย 6:14 “ขออย่าให้ข้าพเจ้าอวดอะไร  เว้นแต่ไม้กางเขนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา โดยไม้กางเขนนั้น โลกถูกตรึงไว้จากข้าพเจ้าแล้ว  และข้าพเจ้าถูกตรึงไว้จากโลกแล้ว”

            โลก คือระบบของโลกนี้ ที่เข้ามาพยายามที่จะดึงเราให้ไปทำตามมัน

            อาจารย์เปาโลบอกว่า … “ตัวท่านเองจะไม่อวดอะไรเลย นอกจากอวดเรื่องไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์เท่านั้น”

            เราสังเกตดีๆ ตอนที่ท่านยังไม่ได้กลับใจใหม่ ท่านเป็นคนที่รู้บทบัญญัติเยอะที่สุด คือเข้าใจทั้งหมดเลย  แล้วเป็นคนที่รักษากฎบัญญัติได้ดี ดีกว่าพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ จริงๆ อาจารย์เปาโลเป็นฟาริสี เขาทำตามบทบัญญัติเข้มงวดมาก แต่พอวันที่อาจารย์เปาโลมาเชื่อพระเยซูปุ๊บ บทบัญญัติ อาจารย์เปาโลเลิกเลย เลิกคุยว่าตัวเองเก่งแค่ไหน? ตัวเองพร้อมแค่ไหน?  ตัวเองรักษาบทบัญญัติได้เยอะขนาดไหน? อาจารย์เปาโลไม่เคยคุยต่อเลย เรื่องนี้ถูกพับเก็บเข้าลิ้นชัก ไม่เปิดออกมาเลย  แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลพูด มีสิ่งเดียว คืออวดเรื่องไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ โดยไม้กางเขนนี่แหละ เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้มนุษยชาติบนโลกใบนี้ได้รับความรอด นี่คือความจริงในพระวจนะของพระเจ้า

        กาลาเทีย 6:15 เข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัต   ก็ไม่มีความหมาย  ความสำคัญอยู่ที่การได้รับการทรงสร้างใหม่”

            แปลว่าการประพฤติไม่สำคัญ อันนี้จริงนะ  ท่านจะเข้าสุหนัต ไม่เข้าสุหนัต มันไม่มีผลอะไรกับความรอดเลย แต่ผลที่สามารถทำให้รอดได้ ก็คือการได้รับการทรงสร้างใหม่ คือการได้มีโอกาสได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ ได้รับความคิดจิตใจใหม่ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษยชาติบนโลกใบนี้

            ฉะนั้น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าไม่ได้มองว่าเราทำอะไร ไม่ได้สนใจเลยว่าเราทำอะไร แต่พระเจ้าสนใจว่าตอนนี้ เราอยู่ตรงไหน? เราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจะทรงนำเราเอง เราอาจจะดื้อกับพระเจ้าบ้าง ทำผิดบ้าง พลาดบ้าง อะไรบ้าง ก็ไม่เป็นไร พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทรงช่วยเหลือเรา ทำให้เรามีกำลังพอที่จะสำแดงตัวตนจริงๆ ของเราออกไปให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น

        กาลาเทีย 6:16-18 “16 สันติสุขและพระเมตตาคุณ  จงมีแก่คนทั้งปวง  ที่ทำตามกฎนี้  คือแก่ชนอิสราเอลของพระเจ้า 17 สุดท้ายนี้  อย่าให้ใครมาก่อความเดือดร้อนแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ามีเครื่องหมายของพระเยซูอยู่บนกายของข้าพเจ้า 18 พี่น้องทั้งหลาย ขอให้พระคุณขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ดำรงอยู่กับวิญญาณจิตของท่านทั้งหลายเถิด อาเมน”

            อาจารย์เปาโลสรุปจบเลย ก็คือขอพระเจ้าเมตตา ขอสันติสุขของพระองค์ทรงเมตตา คนทั้งปวงที่ทำตามกฎนี้ กฎนี้ คือกฎอะไร? ไม่ใช่กฎของการทำตามบทบัญญัติของพระเจ้า แต่กฎที่บอกว่าให้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด กฎที่บอกว่ามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถพามนุษย์ไปถึงพระเจ้าพระบิดาได้ ก็คือทางสวรรค์ ที่พระเยซูเอง เป็นผู้บอกว่า …

            “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดสามารถมาถึงพระบิดาได้ ถ้าคนนั้นไม่มาทางเรา” แค่นั้น จบ

            นี่คือหนทางเดียวเท่านั้น พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            อัศจรรย์จริงๆ! ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้ถูกยกขึ้นให้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ในขณะที่ร่างกายยังดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้

            ใช่แล้ว! คริสเตียนผู้เชื่อได้ถูกยกขึ้นและนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในทางจิตวิญญาณ นี่คือความจริงที่น่าทึ่ง ที่แสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมและความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้าในพระคริสต์ พระคัมภีร์กล่าวว่า …

            “พระเจ้าได้ทรงให้เราเป็นขึ้นมาพร้อมกับพระคริสต์ และให้เรานั่งอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ในพระเยซูคริสต์”

            เอเฟซัส 2:6 … “และพระองค์ได้ทรงให้ วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

            การนั่งอยู่กับพระคริสต์ในสวรรค์ หมายถึงการที่เราได้รับการยอมรับ และมีสิทธิ์ในพระเจ้าอย่างเต็มที่ เราไม่ต้องพยายามแสวงหาความใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้าอีกต่อไป เพราะเราได้ถูกทำให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว

            1 โครินธ์ 6:17 … “ผู้เชื่อที่ได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ (บัพติศมาในพระคริสต์) ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์”

            และชีวิตของเราได้ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า

            โคโลสี 3:3 … “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

            ชีวิตคริสเตียนบนโลกนี้ คือการดำเนินชีวิตด้วยชีวิตใหม่ ที่ได้รับจากการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นชีวิตของเรา และเรามีชีวิตอยู่ในพระองค์

            การที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย ทำให้เรามีชีวิตนิรันดร์ และชีวิตนี้ไม่ใช่ชีวิตที่ยาวนานขึ้น แต่เป็นลักษณะชีวิตของพระคริสต์เองที่อยู่ในเรา อยู่ในวิญญาณของเรา  ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของเราที่จะอยู่ไปชั่วนิรันดร์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1527

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  มิถุนายน  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 19

“บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร? & คำอุปมา เรือแห่งสวรรค์ ที่มีแต่ประตูเข้า ไม่มีประตูออก”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            เราลองฟังอุปมานี้ดู เผื่อจะจำสิ่งที่เกิดขึ้น ที่บทเพลงนี้ได้แต่งมา แล้วร้องเมื่อสักครู่นี้ เราจินตนาการ อุปมานี้ ผมใช้เชื่อเรื่องว่า “เรือแห่งสวรรค์ ที่มีแต่ประตูเข้า ไม่มีประตูออก” เรือสวรรค์ ลองจินตนาการดู เรือลำใหญ่ๆ ที่งดงาม เกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ ลอยอยู่กลางทะเลในโลกอันปั่นป่วน เรือลำนี้มีชื่อว่าเรือแห่งสวรรค์ของพระเยซู และมีประตูทางเข้าเพียงประตูเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าไปได้ และข้อสำคัญ คือเข้าไปแล้ว ไม่มีประตูออก ที่หน้าประตูนั้น มีพระเยซูต้อนรับอยู่ พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกมา พร้อมตรัสอย่างอ่อนโยนว่า …

            “เข้ามาสิลูก เราจะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เจ้า เข้ามาสิลูก เราจะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เจ้า”

            พระองค์พูดอย่างอ่อนโยน  “เราจะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เจ้า”

            ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือยอห์น 10:28 เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระองค์ เขาก็จะถูกจูงมือเข้าไปในเรือลำนี้ ไม่ต้องซื้อตั๋ว ไม่ต้องสอบเข้า ไม่ต้องมีคุณสมบัติใดๆ  เพียงแค่เชื่อและเปิดใจต้อนรับพระองค์ ประตูก็เปิดต้อนรับเขาผู้นั้นทันที  และเมื่อเขาเข้าไปในเรือแล้ว ประตูก็ปิดลง  ไม่ใช่เพื่อกักขัง แต่เพื่อความปลอดภัย  ประตูนั้น ไม่มีลูกบิดด้านใน  ไม่มีทางออก ไม่มีใครเปิดได้อีก ไม่ใช่เพราะพระเจ้ากักขังเขา แต่เพราะพระองค์ทรงมั่นใจว่าลูกของพระองค์จะไม่มีใครพรากไปอีก ไม่ว่าจะเกิดพายุร้ายแรงแค่ไหน?  ไม่ว่าจะมีคลื่นแห่งความกลัว หรือความสงสัย ความล้มเหลว  หรือความบาป ต่อให้มีขโมยมาพยายามแย่ง ก็ไม่มีใครสามารถฉุดเขาจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ไปได้เลย

            พระองค์ทรงตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้ อาจจะมีเสียงกระซิบจากศัตรูว่าเจ้าทำบาปอีกแล้ว พระเจ้าคงจะทิ้งเจ้าแน่ เจ้าดื้อกี่ครั้งแล้ว พระเจ้าคงไม่รักเจ้าแล้ว เจ้าทำแล้ว ก็ทำอีก พลาดแล้วก็พลาดอีก  พระเจ้าไม่เอาเจ้าแล้ว”

            แต่พระเจ้าตะโกนกลับด้วยความรักว่า “ไม่ว่าอะไรในโลกนี้ จะไม่มีสิ่งใดแยกลูกออกจากเราได้ทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิตก็ตาม” ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือโรม 8:38-39  เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรือ นี่คือบ้านของลูก ลูกคือลูกพระเจ้า เรือลำนี้  เป็นที่ที่บุตรของพระเจ้าได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ และจะยังมีร่องรอยความอ่อนแอ แม้จะเรียนรู้ยังไม่จบ ยังไม่สิ้นก็ตาม พระองค์ก็ไม่เคยทิ้ง เมื่อเข้าแล้วเข้าเลย ไม่มีวันออก ไม่มีตั๋วหมดอายุ ไม่มีวันหมดสัญญา มีแต่ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และการทรงสถิตที่ไม่มีวันพรากจากกัน แม้เราจะล้มลงผิดพลาดเท่าไรก็ตาม  แต่พระองค์จะไม่โยนเรากลับลงทะเล เพราะความรอดในพระคริสต์มั่นคงนิรันดร์ ไม่มีวันหายไปเลย เอเมน”

            ครั้งที่แล้ว ตอนที่ 18 จบลงที่ 1 ยอห์น 5:14-15 วันนี้ตอนที่ 19 ใช้ชื่อเรื่องว่า “บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร?” เริ่มต้นที่ 1 ยอห์น 5:16 …

        1 ยอห์น 5:16 “คน​ที่เห็น​พี่น้อง​ของ​ตัวเอง​ทำ​บาป แต่​เป็น​บาป​ที่​ไม่ได้​นำ​ไป​ถึง​ความตาย เขา​ควร​จะ​ขอ​ต่อ​พระเจ้า​ สำหรับ​พี่น้อง​คนนั้น และ​พระเจ้าจะ​ให้​ชีวิต​กับ​พี่น้อง​คนนั้น ผม​กำลัง​พูด​ถึง​คน​ที่​ทำ​บาป ​ซึ่ง​ไม่ได้​นำ​ไป​ถึง​ความตาย แต่​บาป​ที่​นำ​ไป​ถึง​ความตาย​ก็​มี​ด้วย ผม​ไม่ได้​บอก​ให้​คุณ​ขอ ​สำหรับ​คน​ที่​ทำ​บาป​แบบนั้น”

            บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณ ความตายตรงนี้  คืออะไร? บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณในบริบทนี้ ในหนังสือ 1 ยอห์น บทที่ 5 หมายถึงบาปเล็กน้อย บาปทั่วไป ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าบาปใหญ่หรือบาปเล็ก เรียกว่าบาปก็แล้วกัน  ที่คริสเตียนทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ยังคงทำในชีวิตประจำวัน  คือบาปที่ประพฤติตามกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง  แทนที่จะประพฤติตามพระวิญญาณบริสุทธิ์  เรียกว่าบาป ซึ่งเป็นบาปที่ไม่ใช่คริสเตียนเผชิญเท่านั้น แต่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ก็เผชิญกับบาปนี้ทั้งหมดเลย มันเป็นอิทธิพลของความบาปที่ปกคลุมอยู่เหนือบนโลกใบนี้ ก็คืออิทธิพลของความบาปที่จะชักจูง ล่อลวงให้มนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต่อต้าน หรือตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าอยากให้ทำ เราเรียกว่าการชักจูง ล่อลวงของระบบของโลกนี้ ที่มีอิทธิพล มีพลัง เรียกว่าพลังของความบาปและความตาย ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้ และอยู่เหนือมนุษย์ทุกคน ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เขียนไว้ ใช้ชื่อว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง หรือกระแสของโลก

            กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง กระแสของโลก หรือเนื้อหนังเฉยๆ ก็คือความบาปนั่นเอง  ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ใช้คำเหล่านี้หมดเลย  อิทธิพลเหล่านี้ เรามองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ เป็นจริงๆ เป็นลักษณะวิญญาณจริงๆ คือมันมีพลังจริงๆ ที่ดูดให้คน ผลักดันให้คนไปทำสิ่งที่เรียกว่าบาป ไปทำตามมัน จะได้รู้ว่าไม่ใช่ตัวเรา เป็นมัน มันคือไม่ใช่ตัวเรา หลายครั้งเราทำบาป หลายครั้งเราทำไม่ถูกต้อง เรานึกว่าตัวเราเองเป็นคนทำ จริงๆ มันมีพลังอำนาจหนึ่งที่มองไม่เห็น ผลักดัน ชักจูง ล่อลวงให้เราทำ  นี่แหละ ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราก็ถูกชก 2 ต่อเลย 1 มันล่อลวงเรา ล่อลวงเราไม่พอ แถมพอล่อลวงเราเสร็จปุ๊บ เราทำปุ๊บ มันใส่หมัดที่ 2 มา ให้เราฟ้องผิดตัวเอง …

            “ฉันมันแย่ ฉันมันเลว”

            อ้าว! ชกตัวเองอีก นึกภาพนะ น่าสงสารไหม? ถ้าเรารู้ความจริง อย่างน้อยเราถูกชก ถูกล่อลวงไป มันไม่ใช่ตัวเรานี่ เราต้องสู้กับมัน อย่างนี้พอจะมีทางแล้ว เหมือนพยาธิที่อยู่ในตัวเรา เราไม่รู้ว่าพยาธิ เรานึกว่าตัวเราเองเป็นอย่างนั้น  ตายเลย หาทางไม่เจอ ไม่รู้จักต้นเหตุ แต่พอเรารู้ว่าเป็นพยาธิ ไม่ใช่เราเอง กินยาถ่ายพยาธิก็จบแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

            ถ้าเปรียบเหมือนกับแรงดึงดูดของโลก  แรงดึงดูดของโลกมีไหม? มี มีแรงดึงดูดของโลก มองเห็นไหม? ไม่เห็น แต่ทำงานไหม? ทำงาน ทำงานหมดเลย ไม่ว่าคนนั้นจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็ตาม มันทำงานตลอด

            “ฉันไม่ได้ตั้งใจเดินไปตรงนั้น แล้วไม่ใส่เข็มขัดนิรภัยเลย แล้วมันร่วงลงมา ฉันไม่ได้ตั้งใจเลย”

            ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจมันก็ดูด เป็นคนดีหรือเป็นคนไม่ดี ก็ดูด ดูดตกลงมาเท่านั้น ถ้าเผื่อเข้าไปสู่เงื่อนไขของระบบการทำงานของแรงดึงดูดของโลก มันดูดตกหมด

            กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังก็เช่นเดียวกัน “ทำบาป ฉันไม่ตั้งใจ พระเจ้าคงเข้าใจ” ไม่เข้าใจหรอก เหมือนกับเราบอก เราเดินขึ้นไปข้างบน แล้วเราไม่ใส่เซฟตี้ แล้วเราตกลงมา แล้วเราก็บอกว่า

            “แรงดึงดูดน่าจะเข้าใจนะว่าฉันลืมใส่ครั้งเดียวเอง ทุกทีฉันใส่ตลอด แต่ครั้งนี้ฉันไม่ได้ใส่ น่าจะเข้าใจ น่าจะไม่ดูดฉัน หรือว่าฉันเป็นคนดี ไม่น่าดูดฉันเลย” อย่างนี้เป็นต้น

            จะได้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าเราตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ มันมีอยู่ในนั้น ไม่ตั้งใจ มันก็ผลักดันให้เราทำ ตั้งใจก็คือมาจากมันที่ชักจูงให้เราทำ

            พอบอกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันชักจูงให้เราทำบาป บาปเหล่านั้นมีอาการอย่างไร? บอกหมดเลยว่าอาการมันเป็นอย่างนี้ ใครที่ถูกชักจูง มนุษย์ที่ถูกชักจูงกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังให้กระทำ อาการมันจะเป็นอย่างนี้ กาลาเทีย 5:19-21 …

        กาลาเทีย 5:19-21 “การ​กระทำ​ฝ่าย​เนื้อหนัง​นั้น ​เห็น​ได้​ชัด ​คือการ​ประพฤติ​ผิด​ทาง​เพศ ความ​สกปรก​โสมม ความ​มักมาก​ใน​กาม การ​บูชา​รูป​เคารพ การ​ใช้​วิทยาคม ความ​เกลียด​ชัง การ​มี​ความ​เห็น​ที่​ไม่​ลงรอย​กัน  ความ​อิจฉา ความ​โกรธ​เกรี้ยว การ​แก่งแย่ง​ชิงดี ความ​แตกแยก และ​การ​แบ่ง​พรรค​แบ่ง​พวก ความ​ริษยา การ​เมา​เหล้า ดื่ม​สุรา​เฮฮา​มั่วสุม และ​สิ่ง​อื่นๆ ใน​ทำนอง​นี้”

            และในโรม 1:29-31 …

        โรม 1:29-31 “ความ​ไม่​ชอบธรรม ความ​ชั่วร้าย ความ​โลภ และ​เสื่อม​ศีลธรรม​สารพัด พวก​เขา ​เต็ม​ด้วย​ความ​อิจฉา ฆาตกรรม การ​วิวาท หลอกลวง การ​ปองร้าย ช่าง​นินทา การ​ว่าร้าย เกลียดชัง​พระ​เจ้า สบประมาท เย่อหยิ่ง โอ้อวด ริ​วางแผน​ทำ​ความ​ชั่ว ไม่​เชื่อฟัง​บิดา​มารดา โง่​เง่า ไร้​ความ​เชื่อ ไร้​ความ​รัก ไร้​ความ​เมตตา”

            นี่บันทึกไว้อยู่ในพระคัมภีร์ และยังมีอยู่ในพระคัมภีร์ ข้ออื่นๆ อีกประมาณหนึ่งว่าการขาดความอดทน หรือขาดความเมตตาต่อผู้อื่น อาการนี้ก็เช่นเดียวกัน หรือการพึ่งพาตนเอง มากกว่าการพึ่งพาพระเจ้า  ก็เป็นบาป อันสุดท้ายยิ่งชัดเลย การละเลยที่จะทำความดี เมื่อมีโอกาส รู้ว่าดี แล้วไม่ทำ ก็เป็นอาการหนึ่งของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันจะรอดไหมเนี้ยมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ มนุษย์ทุกคนทำหมด ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ  เพราะมาอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย บนโลกใบนี้ พลังงานของการดึงดูดให้เราไปทำสิ่งนี้เท่ากันทุกคน เพียงแต่มันจะโผล่ออกมาอาการใด ไม่เหมือนกัน  แต่อยู่ในข่ายนี้ คิดดูสิ พระเจ้าให้เท่ากันเลยว่าเป็นความบาปเหมือนกัน ตั้งแต่ฆ่าคนตายถึงไม่เชื่อฟังพ่อแม่ หรือเย่อหยิ่ง มีค่าเท่ากัน เป็นบาปเหมือนกัน มาจากแหล่งเดียวกัน มาจากตะกร้าเดียวกัน เรียกว่าตะกร้าของเนื้อหนัง หรือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แล้วจะมีใครรอดสักคนหนึ่ง ที่ไม่เคยทำเลย เกิดมา ไม่เคยดื้อต่อพ่อแม่เลย  เกิดมาไม่เคยพูดโกหกเลย มันเป็นไปไม่ได้เลย เห็นไหม? นี่คือมนุษย์ไม่สามารถพึ่งตนเองได้เลย เพราะว่ามันมีอำนาจของความบาปปกคลุมอยู่

            ซึ่งนี่ก็คือความบาปที่เราอ่านมาทั้งหมด อาการทั้งหมด ความบาปบนโลกใบนี้ บาปเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคน รวมทั้งผู้เชื่อพระเจ้าแล้ว หรือคริสเตียนแล้ว ต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน เพราะผู้เชื่อได้รับการอภัยทั้งหมดนี้เรียบร้อยไปแล้วทางฝ่ายวิญญาณ ก็จริงอยู่ แต่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เขาก็อยู่ใต้พลังอำนาจนี้เหมือนกัน เหมือนกับยังอยู่ใต้แรงดึงดูดของโลกอยู่ ยังไม่ได้หลุดออกจากโลกนี้ไป มันก็ยังอยู่ภายใต้พลังแรงดึงดูดของโลก ยังไม่ได้ออกจากโลกนี้ยังอยู่ภายใต้พลังอำนาจของกิเลสตัณหาของความบาปและความตาย ก็คือภายใต้อาการเหล่านี้ แต่ว่าภายใต้ในลักษณะที่ไม่ได้ต้องชดใช้ อะไรอีกแล้ว  เพราะเขาได้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งหมดนี้แล้ว ที่อ่านมาทั้งหมด มีโอกาสทำดี แต่ไม่ทำดี ก็ได้อภัยไปแล้ว นี่คือคริสเตียน แต่ถ้าเผื่อยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ก็ยังอยู่ในการชดใช้ ทำบาป ก็ต้องชดใช้หนี้บาป  นึกภาพออกใช่ไหม?

            และข้อที่เขียนไว้ว่าพระเจ้าจะประทานชีวิต แก่ผู้ที่ทำบาปเหล่านี้  ก็คือประทานชีวิตแก่คริสเตียนที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ลองอ่านอีกครั้งหนึ่ง คำว่า “ชีวิต” ในที่นี้จะหมายถึงอะไร? ย้อนกลับไปเมื่อสักครู่นี้ 1 ยอห์น 5:16

        1 ยอห์น 5:16 “คน​ที่เห็น​พี่น้อง​ของ​ตัวเอง​ทำ​บาป แต่​เป็น​บาป​ที่​ไม่ได้​นำ​ไป​ถึง​ความตาย เขา​ควร​จะ​ขอ​ต่อ​พระเจ้า​ สำหรับ​พี่น้อง​คนนั้น และ​พระเจ้าจะ​ให้​ชีวิต​กับ​พี่น้อง​คนนั้น”

            เกรงว่าท่านจะสับสน อ้าว! ให้ชีวิต ไหนบอกว่าเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าประทานชีวิตแล้ว แล้วไหนจะให้ชีวิต

            คำว่า “ชีวิต” ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับมนุษย์ ตอนเปิดใจรับเชื่อแล้วทันที คำว่า “ชีวิต” ในข้อนี้ หมายถึงการฟื้นฟู การเสริมสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณของคริสเตียน ผู้เชื่อที่กำลังหลงผิด ถูกล่อลวง โดยพลังอำนาจของความบาปและความตาย ของเนื้อหนัง ให้ทำสิ่งที่มีอาการ ที่เรียกว่าอาการของเนื้อหนัง ให้ทำบาปออกมา  เขายังมีชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิม แต่ว่าพระเจ้าจะช่วยเขาให้หลุดพ้นออกจากการติดบ่วง ถูกล่อลวงให้ทำผิดบาป ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเขา อยู่ภายใน เพราะว่าสำหรับคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วนั้น ชีวิตนิรันดร์เป็นสิ่งที่เขาได้รับเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เขาได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ชีวิตนิรันดร์เป็นของเขาแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกเลย เป็นชีวิตนิรันดร์ที่อยู่ในตัวแล้วตลอดไป พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา  ไม่มีทางที่จะเป็นอื่นไปได้อีกเลย  เขาได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวแล้ว เข้าแล้ว ไม่มีออกแล้ว  ได้รับแล้ว ไม่มีทางสูญเสียไปเลย ยอห์น 3:16 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการ บังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์”

            คนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตรจะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์เลย  เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ไม่มีทางที่จะไปไหนได้อีกแล้ว  นี่คือความรอดนิรันดร์ที่ผู้เชื่อ หรือคริสเตียนได้รับแล้ว  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ยอห์น 10:28  ก็บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 10:28 “เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้น ไปจากมือของเราได้”

            เป็นการยืนยันว่าชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ให้กับคริสเตียนผู้เชื่อ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูนั้น เขาได้รับชีวิตนิรันดร์ทันทีเลย และชีวิตนิรันดร์จะอยู่กับเขาอย่างนั้นตลอดไป ชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกัน

            ดังนั้น การประทานชีวิตในข้อนี้ ในบริบท 1 ยอห์น บทที่ 5 นี้จึงหมายถึงการฟื้นฟูความสัมพันธ์และการเสริมสร้าง  ความแข็งแรง แข็งแกร่งของชีวิตฝ่ายวิญญาณของพวกเขาที่ถูกล่อลวงให้ทำบาป มันเป็นการฟื้นฟู ประทานการฟื้นฟู ให้ชีวิตดีขึ้น ไม่สับสน เพื่อให้ผู้เชื่อเหล่านั้น ได้ กลับมาดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามถ้อยคำพระเจ้า ให้สมควรกับการที่เขาได้เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว และไม่หลงกลศัตรู คือไม่หลงกลการผลักดัน การชักจูงของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งคือระบบของโลกนี้  ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า คอยทำอะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้านั่นเอง ในยากอบ 5:19-20 ก็ได้พูดในลักษณะนี้ …

        ยากอบ 5:19-20 “พี่น้องทั้งหลายถ้าคนใดในพวกท่านหลงผิดไปจากความจริง  และผู้ใดชักจูงเขา ให้เขากลับใจเสียใหม่ได้ จงให้ผู้นั้นรู้เถิดว่าผู้ที่ช่วยคนบาปคนนั้น ให้พ้นจากทางผิดของเขา ก็ได้ช่วยชีวิตหนึ่ง ให้รอดพ้นจากความตาย (หมายถึงความทุกข์ยากลำบาก และปัญหาต่างๆ ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งเป็นผลจากการกระทำบาป) และได้ขจัดการบาป เป็นอันมากไว้”

            คำว่า “ให้รอดพ้นจากความตาย” อย่าเข้าใจผิด นึกว่าพอเขาทำบาป แล้วเขาตาย  ไม่ใช่หมายถึง ลักษณะวิญญาณตาย วิญญาณเขาไม่ตายแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นพี่น้อง แต่ทำไมในนี้บอกว่ารอดพ้นจากความตาย

            รอดพ้นจากความตายตรงนี้ ก็คือตรงกันข้ามกับประทานชีวิต ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ในหนังสือ 1 ยอห์น 5:16  ไม่ได้หมายถึงชีวิตนิรันดร์ คำว่า “ตาย” ก็ไม่ได้หมายถึงความตายทางฝ่ายวิญญาณ แต่หมายถึงการรับสิ่งที่ผลของการถูกล่อลวงให้ทำบาป การเก็บเกี่ยวทางฝ่ายวิญญาณ การเก็บเกี่ยว หรือผลที่ตัวเองหว่านลงไปในย่านเนื้อหนัง ไม่ใช่พระวิญญาณ หว่านทางเนื้อหนัง ก็คือทำตามกระแสของโลกนี้ ระบบของโลกนี้ ก็เก็บเกี่ยวความตาย  หมายถึงเก็บเกี่ยวย่านของความตาย ก็คือความทุกข์ ความลำบาก  ปัญหาต่างๆ  สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความทุกข์ที่มันมีอยู่แล้วเป็นประจำ ในโลกใบนี้ มันก็มากขึ้น ไปเพิ่มเติมความทุกข์ให้มากขึ้น

            ในนี้บอกว่าให้เราอธิษฐานให้กับพี่น้องที่ทำบาปเหล่านี้ ก็คือให้กับคริสเตียนเหล่านี้ เป็นการแสดงความรัก ความห่วงใยในชุมชนคริสเตียน โดยเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำพวกเขาให้กลับมาสู่ทางที่ถูกต้อง  เขาถูกล่อลวงให้ทำผิด มันเป็นทุกข์ต่อตัวเขา เก็บเกี่ยวในด้านฝ่ายวิญญาณแห่งความตาย ช่วยเขา เป็นกำลังใจให้เขา อธิษฐานให้เขา เข้าใจเขา หนุนใจเขา เพราะขณะที่เราหนุนใจเขา หรืออธิษฐานให้เขา ตัวเราเองข้างใน เราก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ นึกออกใช่ไหมว่าพระวิญญาณก็จะช่วยนำพาให้เขา ได้กลับมาสู่ทางที่ถูกต้อง  โดยพระเจ้าจะนำเขากลับมาสู่ทางที่พระองค์ต้องการ  เพื่อเสริมสร้างเขาให้มีความเชื่อ  มีความเข้มแข็งในถ้อยคำของพระเจ้า สามารถชนะการล่อลวงเหล่านั้นได้ อย่างเช่น คนติดเหล้า ติดบุหรี่  ติดนิสัยที่ไม่ดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น  นี่เรากำลังพูดถึงคริสเตียน แล้วทำอย่างไร? ให้อธิษฐานให้คนทำผิดเหล่านั้น เขาได้รับการอภัยแล้ว แต่เขาต้องการกำลังจากพวกเราที่เข้าใจเขา เพื่อช่วยเขาให้หลุดพ้นออกจากการหลงไปสู่การกระทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเป็นโทษให้กับเขา

            ยกตัวอย่าง อย่างเช่นตะกี้นี้บอกว่ากินเหล้า สูบบุหรี่ มันก็ทำให้เขาเสียสุขภาพ เสียเงิน เสียทอง เสียอะไรอีกหลายๆ อย่าง แล้วกระทบไปถึงครอบครัว กระทบไปถึงคนอื่น ออกไปขับรถ ไปชนคนอื่นเสียชีวิตอีก มีแต่เรื่องมากขึ้น ก็คือบาปต่อบาป ผลของความบาป ไปเรื่อยๆ ต่อไปเยอะแยะมากมาย จากคนนี้กระทบไปถึงคนนี้ กระทบไปถึงครอบครัว กระทบไปถึงคนโน้นคนนี้ ทะเลาะเบาะแว้งกัน เป็นเรื่องใหญ่เลย เหมือนน้ำผึ้งหยดเดียว อย่างนั้นแหละ

            ในนี้จึงบอกว่าการที่พระเจ้าให้พี่น้องอธิษฐานให้คนเหล่านี้ เพื่อที่จะช่วยเหลือคนเหล่านี้ ให้ฟื้นฟูชีวิตในพระคริสต์ ในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้กลับคืนมาใหม่ เป็นการขจัดความบาปออกจากโลกนี้ด้วย คือการขจัดความบาป ไม่ให้มันมากขึ้น เพราะถ้าเขาหยุดกระทำสิ่งเหล่านั้นได้ สิ่งที่กระทบมา สิ่งไม่ดีต่างๆ เหล่านั้น มันก็น้อยลงไป จะเห็นชัดเลย

            คราวนี้มาอันที่ 2 บาปที่นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณ คืออะไร? ที่ตะกี้เราอ่านใน 1 ยอห์น 5:16 ที่บอกว่า …

        1 ยอห์น 5:16   “แต่​บาป​ที่​นำ​ไป​ถึง​ความตาย​ก็​มี​ด้วย   ผม​ไม่ได้​บอก​ให้​คุณ​อธิษฐานขอ  ​สำหรับ​คน​ที่​ทำ​บาป​แบบนั้น”

            เมื่อตะกี้นี้ บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตาย พระเจ้าบอกว่าให้อธิษฐาน ช่วยเหลือคนเหล่านั้น แต่ทำไมมาถึงตรงนี้ พระเจ้าบอกว่าไม่ต้องอธิษฐานให้กับคนที่ทำบาป ที่นำไปสู่ความตาย

            เรามาดูกันสิ “บาปที่นำไปสู่ความตาย คืออะไร?”  ทำไม่ได้เลย เพราะนำไปสู่ความตาย คำว่า “นำไปสู่ความตาย” ความตายนี้ คือตายนิรันดร์ฝ่ายวิญญาณ  ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้านิรันดร์เลย มัทธิว 12:31-32 พระเยซูเป็นผู้อธิบายให้เราฟัง …

        มัทธิว 12:31-32  “เพราะฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่าความผิดบาป และคำหมิ่นประมาททุกอย่าง จะโปรดยกให้มนุษย์ได้  เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้มนุษย์ไม่ได้ ผู้ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะโปรดยกให้ผู้นั้นได้  แต่ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ ทั้งโลกนี้ โลกหน้า”

            “ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า” ชัดเลย โลกนี้และโลกหน้า หมายถึงชีวิตในปัจจุบัน โลกนี้ โลกหน้า คือชีวิตหลังความตาย  ก็หมายถึงความบาปนี้จะไม่ได้รับการอภัยจนถึงนิรันดร์นั่นเอง  และมันคืออะไร?  พระเยซูบอกว่า “กล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์” หมายถึงการปฏิเสธ และต่อต้านการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระกายของพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ และ 3 ปีสุดท้ายมาประกาศว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระคริสต์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์นั่นเอง การปฏิเสธนี้  เป็นการปฏิเสธไม่ยอมรับการช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ผ่านทางพระเยซูคริสต์ และเป็นการปฏิเสธความเชื่อในพระเยซู ไม่ไว้วางใจ ไม่พึ่งพาพระองค์  ในฐานะเป็นพระมาซีฮาห์  พระเมสโปดกของพระเจ้า  ลูกแกะของพระเจ้า พระคริสต์  พระผู้ช่วยให้รอด ที่มนุษย์รอคอยมาเป็นเวลาหลายพันปี  ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ตอนนี้มาแล้ว และมาสำแดงว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์แล้ว  โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ลงมาสถิตอยู่กับพระองค์ ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เป็นมนุษย์ และทำการอัศจรรย์อย่างไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และกระทำหลายสิ่งหลายอย่างเป็นไปตามถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิมของชาวยิว

            เพราะนี่กำลังพูดกับชาวยิว ให้ชาวยิวได้รู้ว่าการปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทั้งๆ ที่เห็นอัศจรรย์เหล่านั้น ที่พระเยซูทำ การชุบคนตายให้เป็นขึ้นมาใหม่ การอัศจรรย์ คนหายโรคอย่างอัศจรรย์ ที่พระองค์ทรงกระทำนั้น ไม่มีใครที่ไหนบนโลกใบนี้ มนุษย์คนไหนเคยทำมาก่อน และจะทำอีก และจะเคยทำ และจะมีขึ้นมาในโลกนี้ ไม่มีอีกแล้ว มีพระองค์เพียงผู้เดียวที่ทำการอัศจรรย์จริงๆ เหล่านี้ มีเพียงพระองค์ผู้เดียว ตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปี ก็ไม่เคยมีใครทำอย่างนี้เลย แม้แต่นิดเดียว ใกล้เคียงนิดหนึ่งก็ยังไม่มีเลย และก่อนหน้าที่พระเยซูจะมา ก็ไม่มีทำอัศจรรย์ถึงขนาดนี้  คนตายไปแล้ว อยู่ในอุโมงค์ตั้งหลายวันแล้ว เรียกออกมา กลิ่นเหม็นอยู่เลย  การอัศจรรย์เหล่านี้ มันปฏิเสธไม่ได้ แต่พวกฟาริสี ชาวยิวบางคนปฏิเสธ ไม่เชื่อพระองค์  โดยบอกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำอัศจรรย์นั้น เป็นผี เป็นมาร เป็นซาตาน เป็นผู้กระทำ หมายถึงพระเยซูทำการอัศจรรย์ผ่านทางมารที่อยู่ภายใน

            ก็คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์จริงๆ ทั้งๆ ที่ได้รับการอัศจรรย์เหล่านั้น พระเยซูจึงบอกว่าพวกนี้ไม่มีทางหรอก เพราะว่าเขาปฏิเสธ ต่อให้อัศจรรย์ที่เขาบอกว่า “ไหนลองทำอัศจรรย์ให้ดูหน่อย” ที่ทำไปมันเยอะพอแล้ว  พระเยซูบอกว่าต่อให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายอีกไม่กี่วัน พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว เป็นขึ้นจากความตาย เขาก็ไม่เชื่อหรอก เพราะว่าในใจเขาดื้อด้านไปหมดแล้ว มันไม่เชื่อ  เพราะไม่เห็นการอัศจรรย์ เห็น แต่ใจไม่รับซะอย่าง ไม่มีเหตุผลเลย ก็คือไม่รับ ใจปฏิเสธพระเยซู ซึ่งเทียบกับปัจจุบัน ก็คือพูดอย่างไร? ให้ตายอย่างไร? ก็ไม่เข้าใจ ต่อให้ตอนนี้มีอัศจรรย์เกิดขึ้น คนก็ไม่เชื่อพระเยซูหรอก เพราะว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัศจรรย์อย่างเดียว แต่มันขึ้นอยู่ภายในใจของเขา ที่จะยอมรับพระเยซูคริสต์เมื่อถึงเวลา ยอห์น 3:18 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:18 “คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            “เหมือนเดิมอยู่แล้ว” ก็คือมนุษย์ตกอยู่ในความบาป อยู่ในทะเลของความบาป รอคอยการจมลงไปให้ตาย  แล้วพระเยซูนำสวรรค์มาให้ แล้วยื่นมือไป ถ้าใครรับ พระองค์ก็จับมือเขาดึงขึ้นมา เขาก็ไม่จม แต่ใครปฏิเสธ ในที่สุด เขาก็จะหมดแรง แล้วก็ต้องจมลงไปใต้ทะเล เพราะว่าเขาปฏิเสธการช่วยให้รอดของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็คือไม่ไว้วางใจ ไม่พึ่งพาในนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษย์ เป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าสู่สวรรค์ของพระบิดาได้

            เพราะฉะนั้น นี่คือบาปเดียวที่นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณ ที่บันทึกไว้เมื่อสักครู่นี้  สรุป ก็คือการปฏิเสธ ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระคริสต์นั่นเอง แล้วลองคิดดู นี่คือบาปเดียว  ที่ทำให้ไม่รอด สำหรับคริสเตียน ผู้เชื่อในพระเยซู และวางใจ และยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว บาปทั้งหมด ได้รับการอภัยแล้ว นี่ไง มันเป็นอย่างนี้ เห็นชัดใช่ไหม? มนุษย์ทุกคน ทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ อยู่ในทะเลของความบาปบนโลกใบนี้ เห็นชัดๆ ทุกคนทำบาปหมด เปียกปอนด้วยความบาปหมด  เพราะอยู่ในทะเลความบาปเหมือนกัน  แต่ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ได้รับการอภัยจากบาป ผู้ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้รับการอภัย ก็อยู่ในบาป ก็แค่นี้เอง  พระเยซูไม่ได้มาตัดสินว่าให้คนนี้บาป คนนี้ไม่บาป  เพราะมนุษย์ทุกคนบาปอยู่แล้ว พระเยซูมา เพื่อช่วยให้รอด โคโลสี 2:13-14 …

        โคโลสี 2:13-14 “13ท่านทั้งหลายซึ่งก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า ตอนนี้ ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิต บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ 14 พระองค์ทรงยกเลิกกฎแห่งการกระทำ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ ซึ่งกล่าวถึงข้อบังคับที่เราต้องทำตามทุกข้อโดยสมบูรณ์ ผิดข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่ได้ ซึ่งมนุษย์เราไม่สามารถทำได้ พระองค์ได้ทรงยกเลิกมันไปบนไม้กางเขน พระเยซูได้ทำสิ่งนี้ เพื่อให้เรา ได้รับการอภัย และกลับมามีชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่ในพระองค์”

            “ผิดข้อใดข้อหนึ่ง ก็ไม่ได้” เห็นไหม? เมื่อตะกี้เราอ่านตอนต้น ในหนังสือกาลาเทีย ในหนังสือโรม ที่บอกว่าอาการของความบาปเหล่านี้ ตั้งแต่ฆ่าคนตาย ถึงนินทาชาวบ้านเขา ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ซึ่งทุกคนโดนหมด ผิดข้อหนึ่งก็ไม่ได้  โกรธเขานิดหนึ่ง ก็ไม่ได้แล้ว ก็ต้องชดใช้  ก็ต้องพินาศ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำได้ ในข้อนี้บอกไว้ พระเยซูจึงต้องมาช่วยไง พระเยซูได้ทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้เราได้รับการอภัย และได้กลับมามีชีวิตใหม่ ได้บังเกิดใหม่ในพระองค์ มาช่วย เพื่อให้เราหลุดพ้นจากกฎของการกระทำ คือทำบาป ก็ต้องโดนลงโทษทุกคน และทุกคนก็ต้องทำบาปอยู่แล้ว ก็ต้องโดนลงโทษ  แต่พระเยซูบอกว่าเพื่อให้เราหลุดพ้นจากกฎของการกระทำ คือไม่ต้องอยู่ในกฎนั้น มาอยู่ในกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่กฎแห่งการกระทำ เป็นกฎแห่งพระคุณ คือพระเยซูคริสต์ได้เอาความบาปของเราออกไปหมดเลย ยกเราออกจากกฎนั้น เข้ามาอยู่ในกฎของพระคุณของพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าบาปเดียว ซึ่งคริสเตียนผู้เชื่อไม่สามารถทำได้อีกแล้ว ก็คือเขาหรือเราคริสเตียนไม่สามารถปฏิเสธพระเยซูคริสต์ได้อีกแล้ว เพราะว่าเราได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้ต้อนรับไปแล้ว เราได้อยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว เราไม่มีโอกาสที่จะปฏิเสธพระเยซูคริสต์อีกแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อบาปเดียว ที่ทำให้มนุษย์ไม่ได้รับความรอด อยู่ในความพินาศนั้น คือการปฏิเสธพระเยซูคริสต์ คริสเตียนจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะสูญเสียความรอดอีกเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะเขาไม่มีโอกาสกลับไปทำบาป ที่นำไปสู่ความตายอีก ชัดเจนเลยนะ

            เพราะในขณะนี้ เขาได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ได้รับความรอด ก็คือได้รับวิญญาณนิรันดร์จากพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ซ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในพระเจ้า พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในเขา และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเขา เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่มีทาง เป็นอื่นไปได้ อย่างชัดเจนเลย บาปทั้งหลายทั้งปวงที่ผู้เชื่อได้ทำ หรืออาจจะทำบาปในอนาคต พระเจ้าได้อภัยให้หมดแล้ว

            นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น โดยพระเยซูคริสต์กระทำบนไม้กางเขน จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนได้รับการอภัยโทษจากบาปเรียบร้อยไปแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบันและบาปในอนาคต หมดแล้ว เพียงแต่ผู้ที่ไม่เชื่อ มันก็ไม่ได้เกิดผลในชีวิตของเขา

            ข้อความต่อไปใน 1 ยอห์น 5:16 บอกว่า “ผมไม่ได้บอกให้คุณขอ หรืออธิษฐานขอการอภัย สำหรับคนที่ทำบาปแบบนั้น”

            “ผมไม่ได้บอกให้คุณขอ หรือเขาเรียกว่าอธิษฐานขอสำหรับคนที่ทำบาปแบบนั้นเลย” ก็คือคนที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ทำไมอาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าไม่ต้องไปขอให้เขาหรอก เพราะอะไร? เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าเพราะเขาได้รับการอภัยทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้ว  ได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน  ไม่ต้องขอแล้ว เขาแค่เชื่อและรับเอาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เรา พี่น้องที่รู้จักกับเขา จะไปขอความรอดให้กับเขา ขออภัยความบาปให้กับเขา รู้ว่าเขาเป็นคนบาปเหมือนเราในอดีต

            “พระเจ้าขออภัยให้กับเขาด้วย”

            พระเจ้าบอกว่า “ให้ไปแล้วไง”

            เราบอก “พระเจ้า ขอความรอดให้กับเขา”

            พระเจ้าบอก “ทำให้เรียบร้อยแล้ว”

            แล้วไปขอ มันก็ไม่มีประโยชน์  เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรทำ ก็คือ “พระเจ้า ขอพระเมตตาพระองค์ส่งข่าวประเสริฐ ที่เขาสามารถรับได้ไปช่วยเขาด้วยเถิด ให้เขาได้ยินได้ฟังอีก”

            อย่างนี้ยังมีโอกาส เพราะว่าคนจะรอดได้ ต้องรอดจากการได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐของแท้ ของจริง เพราะข่าวประเสริฐของแท้ของจริงเป็นฤทธิ์เดช ไม่ใช่เป็นศาสนา ไม่ได้มาสอนศาสนา ไม่ได้มาเป็นการปรับปรุงความประพฤติ แต่เป็นการอัศจรรย์เกิดขึ้น คือเขาจะได้บังเกิดใหม่ จากข่าวประเสริฐ ข่าวดีนั้น 1 ยอห์น 5:17 …

        1 ยอห์น 5:17 “การอธรรมทุกอย่างเป็นบาป แต่มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย (ฝ่ายวิญญาณ)”

            “การอธรรม” คือการทำชั่วทุกอย่าง เป็นบาป  แต่บาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย ก็คือตายทางฝ่ายวิญญาณ ข้อความนี้สื่อถึงความจริงที่ว่าทุกการกระทำ ที่ไม่เป็นไปตามความประสงค์ของพระเจ้า เขาเรียกว่ามีส เดอะ ทาเก็ต ไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า เรียกว่าบาปทั้งสิ้น การอธรรม  เป็นบาปทั้งสิ้น  ไม่ใช่ทุกบาปที่นำไปสู่ความตาย  บาปที่นำไปสู่ความตายก็มี บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายก็มี

            การรับรู้แล้วว่าเมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับการอภัยโทษจากบาป หมดเรียบร้อยแล้ว ในพันธสัญญาใหม่ ได้เขียนชัดเจนเลยบอกว่าเมื่อทำบาป โดยที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว  บาปที่กระทำในพระเยซูคริสต์นั้น ที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกว่าการทำชั่วหรือทำบาปนั้น มันก็ยังเป็นบาปอยู่ แต่เป็นบาปในพระเยซูคริสต์ที่ได้รับการอภัยแล้ว ไม่ใช่ไม่เป็นบาปนะ เป็นบาป แต่เป็นบาปที่ได้รับการอภัย เพราะว่าการกระทำทุกอย่างเป็นบาป แต่มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย ก็คือทุกอย่างที่ทำชั่ว เป็นบาปทั้งนั้น คริสเตียนหรือไม่คริสเตียนทำชั่ว ก็เป็นบาปทั้งนั้น แต่มีบาปที่ไม่ถึงความตาย ก็คือบาปที่คนมาเป็นคริสเตียนทำ มันแปลว่าอย่างนั้น บาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย ก็คือบาปที่คนทำ อยู่ในพระคริสต์ ถ้าบาปนั้น ความชั่วนั้น เขาทำ ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เขายังอยู่ในโลกนี้ อยู่ในอาดัม  อยู่ในบรรพบุรุษเดิม  ยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ยังไม่ได้เชื่อ บาปนั้นต้องถูกลงโทษ  ต้องถูกชดใช้ ต้องถูกพิพากษา แต่บาปใด ทำบนโลกใบนี้เหมือนกันเลย แต่คนทำนั้นอยู่ในพระคริสต์ เป็นผู้เชื่อ บาปนั้น ได้รับการอภัย มันหมายถึงอย่างนี้

            อธิบายยากนะ  ก็ต้องพยายามอธิบายให้มันวกไปวนมาให้เข้าใจ ตรงนี้สำคัญมากเลย เพราะคนไม่เข้าใจ รับไม่ได้หรอก รับรอง พูดง่ายๆ ถ้าไม่ใช่คริสเตียน หรือแม้แต่คริสเตียนเอง บางครั้ง ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์ ข่าวดีจริงๆ ก็จะไม่เข้าใจ ก็จะนึกว่าทำไมอย่างนี้ …

            “โอ้โห! มันเป็นไปได้หรือ? อย่างนี้คนเราก็ไม่ต้องทำดีสิ”

            การทำชั่วทุกอย่างเป็นบาป แต่การทำชั่วทุกอย่างที่เป็นบาปนั้น มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตายฝ่ายวิญญาณด้วย แต่ส่งผลถึงตาย คือต้องเก็บเกี่ยวถึงตาย ก็คือขับรถเร็ว ตำรวจก็จับ

            พอตำรวจจับ แล้วบอกว่า … “ผมเป็นคริสเตียนครับ ผมไม่ต้องรับโทษ ไม่ต้องส่งผล”

            แต่ตำรวจบอกเอาใบปรับ 2 กระทงเลย  อีกกระทงหนึ่ง คือกระทงเพี้ยน  บนโลกใบนี้ ก็ต้องเก็บเกี่ยวย่านความตาย เก็บเกี่ยวผลของการกระทำนั้นว่าทำผิดกฎจราจร ก็ต้องถูกปรับ ถูกจับ แต่ในทางด้านวิญญาณ ไม่ต้องรับโทษอะไรเลย  โรม 8:1 ได้บันทึกไว้ชัดเจนเลย …

        โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ใน พระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป)”

            เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ ไม่มีโทษแล้ว ไม่มีกล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาอยู่ในพระคริสต์ เป็นผู้เชื่อ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  แต่คนที่ยังปฏิเสธอยู่ เขายังต้องอยู่ในกฎเหมือนเดิม  ก็คืออยู่ในกฎของความบาปและความตาย เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้อาศัยอยู่ในกฎของความบาปและความตายต่อจากนี้ไป เขียนไว้ในข้อ 2  ดังนั้น แม้ว่าการทำบาป การอธรรมทั้งหลายที่เป็นบาป แต่ผู้เชื่อในพระคริสต์ได้รับการอภัย และไม่ต้องกลัวการลงโทษทางฝ่ายวิญญาณเลย  ไม่ต้องห่วง ทางฝ่ายวิญญาณ ความรอดยังอยู่เหมือนเดิม ห่วงอย่างเดียวว่าไปเสียค่าปรับซะ ยอมรับซะ ถ้าไปตีหัวชาวบ้านเขา ก็จะถูกจับ ถูกปรับ ถูกติดคุก ทางวิญญาณไม่ต้องไปสนใจใครเลย เรารอดแน่นอน 100% เอเมนไหม?

            สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือการรับรู้ความจริงว่าพระเยซูได้ทำให้เราสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว คือบริสุทธิ์ สะอาด ชอบธรรม ดีพร้อม ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว เรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว 2 โครินธ์ 5:17 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            พระเจ้าทรงให้เรามีหัวใจใหม่ มีวิญญาณใหม่ที่สอดคล้องกับความประสงค์ของพระองค์ ในใจเรายินดีที่จะทำตามพระองค์ทุกประการ  การเติบโตในความเชื่อ ในการดำเนินชีวิต โดยตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการถูกล่อลวง ให้ทำบาป ตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตด้วยความรัก ความจริง และตามพระประสงค์ของพระเจ้าได้มากขึ้น คือการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ก็เรียนรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไปทีละนิดทีละหน่อยว่าเรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ในใจเราเหมือนพระเยซูเลย เราอยากจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า 100% อย่าได้ถ่อมตัวเอง อย่าได้ตำหนิตัวเอง อย่าได้ฟ้องผิดตัวเองว่า …

            “ฉันทำไมอยากทำสิ่งที่ชั่วร้าย”

            ท่านไม่ได้อยากทำเลย มันเป็นการล่อลวงจากภายนอก  เพราะฉะนั้น คริสเตียนผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ท่านไม่ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ แต่ท่านได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว จึงไม่มีบาปใดๆ ที่ท่านทำ ที่พระเจ้าจะอภัยให้ท่านไม่ได้ พระเจ้าอภัยให้ท่านหมดเรียบร้อยไปแล้ว ท่านรับไปแล้วด้วย  เพราะพระองค์ได้อภัยบาปทั้งหมด ทั้งสิ้น ให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ล่วงหน้า ในพระเยซูคริสต์ โดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ พระเยซูได้กระทำ ลบบาปให้กับเราล่วงหน้าแล้ว เพราะฉะนั้น บาปเราล่วงหน้า ได้รับการลบแล้ว เชื่อไหม? บาปที่ท่านจะกระทำพรุ่งนี้ ได้ถูกอภัยให้เรียบร้อยแล้ว ท่านเชื่อไหม? เชื่อ บาปที่ท่านจะทำปีหน้า ได้รับการอภัยแล้ว เชื่อไหม? เชื่อ บาปที่ท่านจะกระทำอีกสักครู่หนึ่ง  เดี๋ยวออกไป ก็เริ่มทำบาป ได้รับการอภัยแล้ว เชื่อไหม? เชื่อ

            จะไม่เชื่อได้อย่างไร? คิดดูสิ ก็ในเมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ เมื่อไร? กี่ปีมาแล้ว? 2,000 ปีมาแล้ว เราเกิดหรือยัง? เรายังไม่เกิด เราทำแล้วหรือยัง? เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้เราเรียบร้อยไปแล้วหรือยัง? เรียบร้อยแล้ว มันก็คือล่วงหน้า  ล่วงหน้าไป 2,000 ปีแล้ว เราเพิ่งมาเกิดตอนนี้เอง  ฮีบรู 10:10 และ 14 …

        ฮีบรู 10:10, 14 “10 และโดยพระประสงค์นี้ เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการได้ถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ 14  โดยการได้ถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป”

            “โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป” คือคนทั้งหลายที่รับในสิ่งที่พระเยซูกระทำให้ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น สมบูรณ์ตลอดไป ตั้งแต่วันนั้น 2,000 ปีมาแล้ว ก็คือชำระเราเรียบร้อยไปแล้ว ก่อนล่วงหน้า การเสียสละของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนี้ ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนได้รับการอภัยโทษจากบาป  ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนนะ  ได้ลบล้างหนี้บาปทั้งสิ้นทั้งปวงของมนุษย์ทุกคน อย่างสมบูรณ์ เรียบร้อยแล้ว ทุกคนได้รับเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่จะรับเอา หรือจะปฏิเสธ

            เพราะฉะนั้น การอธรรมทุกอย่างที่เป็นบาปบนโลกใบนี้ มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตายทางฝ่ายวิญญาณ ไม่พินาศทางฝ่ายวิญญาณ  ก็คือบาปที่คริสเตียน ที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วกระทำ  เพราะเขากระทำในขณะที่วิญญาณของเขาดำเนินชีวิต อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ไปเรียบร้อยแล้ว  เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความจริงที่ยิ่งใหญ่! พระคริสต์สถิตอยู่ภายในผู้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์

            พระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อ เป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ในพันธสัญญาใหม่ ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและใกล้ชิด ระหว่างพระเยซูคริสต์และผู้ที่เชื่อในพระองค์

            โคโลสี 1:27 … “พระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลายเป็นความหวังแห่งศักดิ์ศรี”

            ซึ่งหมายความว่าพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา และเป็นความหวังของเรา สำหรับอนาคตที่มีศักดิ์ศรี

            กาลาเทีย 2:20 เปาโลกล่าวว่า … “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว และข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า”

            ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชีวิตของผู้เชื่อถูกเปลี่ยนแปลง โดยการมีพระคริสต์อยู่ภายใน

            ยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสว่า … “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะรักษาคำของเรา และพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

            ซึ่งยืนยันถึงการสถิตอยู่ของพระคริสต์ในชีวิตของผู้เชื่อ การที่พระคริสต์สถิตอยู่ในเรานั้น เป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกจากกันได้ ระหว่างพระองค์และผู้เชื่อ และเป็นการรับรองถึงความสมบูรณ์และความบริบูรณ์ในพระองค์

            โคโลสี 2:10 … “และ​ท่าน​มี​ชีวิต​ที่​บริบูรณ์​ใน​พระ​องค์ และ​พระ​องค์​เป็น​ประมุข​เหนือ​การ​ปกครอง​และ​สิทธิ​อำนาจ​ทั้ง​ปวง”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1526 (ฉบับนี้มีเสียงในยูทูป)

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  มิถุนายน  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 17

โดย  วราพร  คงล้วน

            เรามาดูในหนังสือกาลาเทีย 5:15 บอกว่า …

        กาลาเทีย 5:15 “หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดีจะย่อยยับไปตามๆ กัน”

            ในพระคัมภีร์ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับผู้เชื่อ ผู้ที่วางใจในพระองค์ เตือนว่าอย่าทะเลาะเบาะแว้งกัน  กัดกินกัน นึกภาพออกไหม?  ทะเลาะเบาะแว้งในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เรื่องมีสาระบ้าง? ไม่มีสาระบ้าง? ถ้าเรามีการทะเลาะเบาะแว้งกัน มันก็ไม่ได้เป็นผลดีทั้ง 2 ฝ่าย

            ดังนั้น คริสเตียน เราควรจะดำเนินชีวิตตามแบบของพระเจ้า สิ่งที่สำคัญ คือให้เรารักษาความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความสามัคคีกัน ในภาคของการปฏิบัติ จริงๆ แล้วในวิญญาณของพวกเรา พระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  วิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว วิญญาณของเรารักกันโดยปริยายอยู่แล้ว คือความรักนี้มาจากพระเจ้า แต่ต่อจากนั้น คือผลของการประพฤติของเรา ที่จะส่งออกมาให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นว่าเราได้มีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ออกมาจากชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ผลอันแรกที่พระเจ้าให้เรามี คือผลแห่งความรัก ในหนังสือกาลาเทียจะพูดถึงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งผลนี้มันจะบังเกิดขึ้นทันที ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด บังเกิดใหม่แล้ว ผลนี้ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเราผู้เชื่อทุกๆ คน

        กาลาเทีย 5:16 “ดังนั้น    ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ   อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป (ตัณหาของเนื้อหนัง)”

            การดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เป็นเรื่องที่ผู้เชื่อทุกคนต้องตัดสินใจ  คือพระเจ้าให้พระวิญญาณมาอยู่ในเราแล้ว แต่พระเจ้าก็ยังอนุญาตให้เรามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าเราเลือกที่จะทำตาม พระวิญญาณ หรือเลือกที่จะไม่ทำตามพระวิญญาณ ถ้าเราเลือกที่จะทำตามพระวิญญาณ เราก็จะส่งผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าออกไป ให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็นชีวิตของเราในพระเยซูคริสต์ แต่ถ้าเราเลือกที่จะไม่ทำตามพระวิญญาณ คือยอมที่จะดำเนินชีวิตตามความต้องการของตัวเราเอง หรือตามเนื้อหนัง ตามอิทธิพลของความบาปและความตายบนโลกใบนี้ที่ส่งมา ให้กับพวกเรา เราก็จะประพฤติเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

            ฉะนั้น เราสามารถที่จะแยกแยะได้ว่า ณ เวลานี้เรากำลังดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ หรือเรากำลังดำเนินชีวิตตามอิทธิพลของเนื้อหนัง ของความบาปและความตายที่อยู่บนโลกใบนี้ส่งผลมาที่เรา เราสามารถที่จะเทียบได้กับชีวิตของเรา

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลหนุนใจ ให้เราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ  เพราะว่าเราสามารถและมีกำลังพอที่จะทำได้ด้วย เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงช่วยเหลือเรา ให้กำลังเรา เมื่อเราตัดสินใจที่จะทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะช่วยเหลือเรา ให้เราสามารถสำแดงตัวตนจริงๆ ของเราที่เป็นเหมือนพระเจ้า ออกไป เป็นผลที่สามารถสัมผัส จับต้องได้ เป็นแสงสว่าง เป็น เกลือของแผ่นดินโลกนี้

            แต่ว่าถ้าเราไม่ยอมล่ะ พระเจ้าก็ต้องเอเมนตามนั้น พี่น้องนึกออกไหม? พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมน พระเจ้าไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้เชื่อคนหนึ่งคนใดประพฤติตามแบบอย่างของเนื้อหนัง  หรือถูกอิทธิพลของโลกใบนี้ โน้มนำเรา ให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวตนจริงๆ ของเรา แต่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ต้องเอเมน เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมน ก็คือเมื่อเราเลือกปุ๊บ  พระเจ้าก็บอกเอเมน เป็นไปตามนั้น  แต่ถามว่าพระเจ้าต้องการให้เราเป็นแบบนั้นไหม?  ไม่ต้องการแน่นอน  พระเจ้าต้องการให้ผู้เชื่อทุกคน สามารถที่จะสำแดงตัวตนแท้ๆ ของเรา ก็คือความดีงามของพระเจ้าออกไป ให้ผู้คนรอบข้าง ได้สัมผัสถึงพระชนม์ของพระเจ้าในชีวิตของพวกเรา

        กาลาเทีย 5:17 “เพราะตัณหาของวิสัยบาปขัดกับพระวิญญาณ   และพระวิญญาณขัดกับวิสัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน สิ่งที่ท่านอยากทำจึงไม่ได้ทำ”

            สองสิ่งนี้ เป็นศัตรูกันโดยปริยาย  คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในโลกวิญญาณ เรากับโลกนี้เป็นศัตรูกันเลย โดยเราไม่ต้องทำอะไร เราอยู่เฉยๆ เป็นศัตรูกัน เพราะว่าอยู่กันคนละขั้ว เมื่อเราอยู่ในพระเจ้า เราอยู่ในความดีงาม อยู่ในความสว่าง อยู่ในความรัก ก่อนหน้านั้น ก่อนเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราอยู่ในความมืด อยู่ในความเกลียดชัง อยู่ในความบาปและความตาย วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น พอทันทีที่เราวางใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค คือพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทันทีที่เป็นอย่างนั้นปุ๊บ  เราก็เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เกิดมาเป็น เป็นความรัก เป็นความชื่นชมยินดี เป็นความดีงาม มันเกิดมาเป็นอัตโนมัติเลย พระเจ้าให้ของขวัญชิ้นนี้ ให้กับผู้เชื่อทุกคน ที่ได้เป็นอย่างนั้น หลังจากที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้าก็จริง  แต่ร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเรายังสามารถที่จะดำเนินชีวิต ตามแต่ที่พระเจ้าให้สิทธิ์ หมายความว่าพระเจ้าให้สิทธิ์ในการดำเนินชีวิต ให้กับผู้เชื่อทุกคน สิทธิ์ตรงนี้ พระเจ้าอนุญาต แต่คำว่า “อนุญาต” ไม่ได้หมายความว่าเราจะถือโอกาสใช้สิทธิ์เหล่านี้  ไปทำความชั่วร้าย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ความเป็นจริง เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติใหม่ของเรา คือไม่ได้มีความต้องการที่จะทำชั่วเลย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีทางเลย วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเราสามารถหลงกลหรือถูกล่อลวง โดยอิทธิพลของโลกใบนี้  ทำให้เราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงของตัวตนแท้ๆ ของเรา แต่ว่าไม่ว่าเราจะเผลอทำไป หรืออย่างไรก็แล้วแต่ พระเจ้าก็จะทรงนำพาเรา ทันทีที่เราทำผิด พี่น้องต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ ทันทีที่ผู้เชื่อทำผิด พระโลหิตของพระเยซูคริสต์จะชำระล้างความผิดบาปของเราทันที โดยอัตโนมัติ คือความจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น

            ฉะนั้น พระเจ้าก็จะยกโทษ พระเยซูบอก พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว  พระโลหิตของพระเยซูหลั่งออกมาเพียงครั้งเดียว ได้ยกโทษบาปทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเราเรียบร้อยไปแล้ว หมายความว่าพระองค์เตรียมการไว้ล่วงหน้า รู้อยู่แล้วว่าขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรามีโอกาสถูกล่อลวงให้ทำผิดบาปได้อย่างแน่นอน ฉะนั้น พระเจ้าก็เลยเตรียมแผนไว้เรียบร้อยเลยว่าผิดปุ๊บ พระเจ้าก็ยกโทษให้ทันทีเลย นี่คือพระคุณ เป็นพระคุณ เป็นพระเมตตา แล้วเมื่อเรารู้ความจริงอย่างนี้ว่าพระเจ้าทรงรักเราขนาดนี้ ข้างในวิญญาณเรารับรู้ความจริงมากๆ คือเอาความจริงมาใส่ไว้ในความคิดของเรา เมื่อเราเปลี่ยนแปลงความคิดของเราได้มากเท่าไร? เราก็สามารถดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้ามากเท่านั้น นี่คือผลที่มันจะเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเรา

            แล้วรับรู้ความจริงอันหนึ่ง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์กับโลกนี้มันเข้ากันไม่ได้ แน่นอน และหลายๆ สิ่ง ที่ผู้เชื่อ คือพวกเราอยากจะทำ ข้างในวิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งความรัก เราอยากจะสำแดงความรัก แต่หลายครั้ง เราก็ไม่สามารถสำแดงความรักออกไปได้เต็มที่ เพราะว่าโลกนี้พยายามดึงเราออกจากวิถีทางของพระเจ้า แต่ไม่ว่าเราจะดำเนินไปในรูปแบบไหนก็ตาม พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน

        กาลาเทีย 5:18 “แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน   ท่านก็ไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ”

            บทบัญญัติ คือกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่พระเจ้าตั้งขึ้น สมัยก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย  บทบัญญัตินี้เป็นข้อผูกมัดให้คนยิว ต้องทำตามกฎแป๊ะๆ ทุกข้อ ถ้าทำผิดข้อใดข้อหนึ่ง  ก็ต้องเอาเครื่องบูชาไปถวาย และต้องไปสารภาพบาป นี่คือกฎ

            ฉะนั้น พระเจ้าบอกว่ากฎบัญญัติ มีไว้ เพื่อสำแดงให้มนุษย์รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป บทบัญญัติไม่ได้มีไว้ เพื่อให้มนุษย์ครบถ้วนสมบูรณ์ และสามารถดำเนินชีวิตได้ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างที่พระเจ้าทรงพอพระทัย ฉะนั้น บทบัญญัติเหล่านี้ วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และบอกว่าสำเร็จแล้ว คือพระเจ้าได้ทำให้บทบัญญัติทุกข้อในพระคัมภีร์ครบถ้วน สมบูรณ์ คือพระเยซูคริสต์ทำแทนเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราเข้ามารับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราปุ๊บ ทันทีเรากลายเป็นผู้ชอบธรรม หรือเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย เมื่อเราบังเกิดใหม่

            คำว่า “ผู้ชอบธรรม” คือคนที่พระเจ้าสามารถรับได้  แล้วคนที่พระเจ้าเห็นว่าเขาสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด สามารถมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ด้วย และสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยกำลังของมนุษย์ที่จะพยายามประพฤติ ปฏิบัติตามกฎบัญญัติ เพื่อให้มันเกิดสิ่งนี้ขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นจากการที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเราได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้  แล้วเราเชื่อ เรายอมรับ เรารับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้า สิ่งนี้เกิดขึ้นทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้บังเกิดใหม่ทันทีในขบวนการของโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น เราสัมผัสไม่ได้ แต่พระเจ้าบอกว่าขบวนการนี้ มันเกิดขึ้นทันที เมื่อใครก็ตาม ได้บอกกับพระเจ้าว่า …

            “ลูกต้องการพระองค์ ลูกต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ พระเจ้าขอเข้ามาเป็นพระเจ้าส่วนตัวของลูกด้วยเถิด”

            ทันทีเลย ขบวนการนี้จะเกิดขึ้น โดยที่เราไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย ไม่ได้สามารถที่จะใช้สติปัญญาของเราที่จะรับรู้ แต่วิญญาณข้างในของเราจะรับรู้ วันที่เราเปิดใจ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา  เข้ามาเปลี่ยนแปลง เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา เข้ามาฆ่าตัวเก่าของเราที่เป็นบาป ให้ตายไปพร้อมกับพระองค์  เข้ามาเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเราผู้เชื่อ เป็นวิญญาณชนิดเดียวกับพระเจ้าพระบิดา เป็นวิญญาณชนิดเดียวกับที่พระเจ้าให้กับพระเยซูคริสต์ ก็คือเป็นวิญญาณนิรันดร์แบบพระเจ้า ชนิดเป็นคุณภาพ คุณสมบัติเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

            ฉะนั้น ตรงนี้มันบังเกิดขึ้นทันที เมื่อบังเกิดขึ้นทันทีปุ๊บ ในโลกวิญญาณ เราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ไม่ว่าการดำเนินชีวิตของเราบนโลก เราอาจจะเผลอบ้าง  ผิดบ้าง  พลั้งบ้าง พระเจ้าก็ไม่ได้ถือสาอะไร? พระองค์ก็แก้ไข โดยให้พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ชำระเราทันทีเหมือนกัน ชำระทันทีเลย ผิดปุ๊บ แก้ไข ผิดปุ๊บ เป็นหนี้ปุ๊บ จ่ายหนี้ให้ทันที นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ แล้วเราจำเป็นต้องรับรู้เรื่องนี้  แล้วก็ยอมรับเรื่องนี้ ไม่ว่าใครหรือบนโลกนี้จะว่าเราแบบไหน? อย่างไร? เราก็ไม่ต้องไปใส่ใจ เราใส่ใจตรงที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นอย่างไร? มันไม่เกี่ยวกับว่ามนุษย์บนโลกนี้ พูดว่าเราเป็นอะไร? แต่เกี่ยวกับว่าพระเจ้าพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด บนฟ้าสวรรค์บอกว่าเราเป็นอย่างไร?  และเราเป็นใคร?  ณ เวลานี้ เราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เราเป็นที่อาศัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เข้ามาสถิตอยู่ในเรา ร่างกายเราในนี้เป็นอย่างนั้นเรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น ตัวตนแท้ๆ ของเราเป็นแบบนี้ แล้วเราเอเมนกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นอย่างนี้ ทันทีที่เราเอเมนกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา ก็คือเรากำลังนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง

            พระเจ้าบอกว่า … “เธอเป็นคนดีพร้อมแล้ว”

            เรา … “เอเมน” ด้วย

            ทั้งๆ ที่สมองของเรา … “ดีตรงไหน? เรายังไม่ดีเลย เรายังนินทาคนอื่นอยู่เลย เรายังคิดไม่ดีกับคนอื่นอยู่เลย แล้วมันดีตรงไหน?”

            แต่พระเจ้าบอกว่า … “เธอดี”

            พระเจ้าจะบอกเหมือนกับบอกอาดัมกับเอวา ครั้งแรกที่บอกว่า … “ฉันสร้างเธอมาดี เธอเชื่อไหม?  ถ้าเธอเชื่อ รับเอาไป”

            แต่ปรากฏว่าอาดัมกับเอวาอยู่นานๆ แล้วไม่เชื่อไง ไม่เชื่อว่าพระองค์สร้างเขามาดี เขาก็เลย ไปเชื่อมาร ไปกินผลไม้ต้องห้าม นี่คือผล ฉะนั้น พอถึงยุคปัจจุบัน มันจะแตกต่างจากยุคของอาดัมมากๆ ยุคนั้น เป็นยุคพระเดช แต่ยุคของเรา คือยุคพระคุณ ซึ่งบางครั้งเราเผลอ ไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าบอก พระเจ้าก็ยังคงโอเค ไม่เป็นไร ไม่เชื่อ เดี๋ยวพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะค่อยๆ โน้มนำเรา จะค่อยๆ บอกเราว่า

            “นี่คือเรื่องจริงนะลูก ตอนนี้ลูกเป็นลูกที่พ่อรักมาก รักดั่งแก้วตาดวงใจ ตอนนี้ลูกเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ตอนนี้ลูกเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ตอนนี้ลูกได้รับพระพรนานัปการที่พระเจ้าได้ทำให้เรียบร้อยไปแล้ว ตอนนี้ลูกได้รับการอภัยโทษบาปทั้งหมด ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าที่ลูกจะเผลอทำอีก ลูกได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว”

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ถ้าเราเชื่อตามนี้ เราก็ขอบคุณพระเจ้า เราก็เอเมนตามนั้น สมองเราได้รับการเปลี่ยน เมื่อสมองเราเปลี่ยนปุ๊บ  พฤติกรรมของเราจะเปลี่ยนด้วย เราจะขอบคุณพระเจ้า เราจะเริ่มมีชีวิตที่ดำเนินตามพระวิญญาณได้มากขึ้น เพิ่มขึ้น หลายครั้งเราคิดว่าถ้าสอนอย่างนี้ พระเจ้าไม่เอาผิด ผู้เชื่อก็สามารถไปทำอะไรเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน มันไม่เป็นความจริง มันเป็นไปไม่ได้

            ถ้าลูกคนไหนรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่รักเขาขนาดไหน? ลูกคนนั้นจะไม่พยายามที่จะทำสิ่งที่เลวร้าย เพื่อทำให้พ่อแม่เสียใจ ไม่มี เขาจะพยายามทำดี เพื่อที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ชื่นใจ นี่คือความเป็นจริง แต่ถ้าลูกคนไหนไม่สัมผัสถึงความรักของพ่อแม่ เขามีความรู้สึกว่า …

            “พ่อแม่ไม่รักฉัน เมื่อพ่อแม่ไม่รักฉัน ฉันทำดีเพื่ออะไร? ฉันจะทำเลวอย่างไรก็ได้  ก็พ่อแม่ไม่รักฉันอยู่แล้ว ฉันก็จะทำให้มันเลวไปเลย ตามที่พ่อแม่ชอบด่าฉัน”

            “แกมันเลว แกมันไม่ดี แก แก แก” อย่างนี้ นึกออกไหม?

            ฉะนั้น พ่อแม่ที่พยายามใส่ความคิดแบบนี้ลงไปให้ลูก แทนที่จะทำให้ลูกรับความรักจริงๆ จากพ่อแม่ หรือสามารถที่จะสัมผัสถึงความมีคุณค่าของตัวเอง มันหายไปเลย มันไม่มี ทำให้เด็กคนนั้น แทนที่จะสามารถเป็นเด็กดี เขาก็จะเตลิด เตลิดตรงที่ว่า …

            “ไหนๆ  พ่อแม่ก็คิดว่าฉันเลวแล้ว ฉันก็จะเลวไปถึงที่สุดนั่นแหละ”

            เพื่อจะเลวให้พ่อแม่ดู อะไรประมาณนั้น ฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน เมื่อรับรู้ความจริงในพระวจนะของพระเจ้า รับรู้ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? จะทำให้เราเตรียมพร้อม ปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

            คำว่า “ปรารถนา” ไม่ใช่หมายความว่าเราจะสามารถทำดีเลิศ ประเสริฐศรีตลอดชีวิตของเรา มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ความต้องการของวิญญาณของเรา คือต้องการที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่ถ้าเผลอไปทำผิดจากน้ำพระทัย ก็ไม่เป็นไร ก็แก้ไข พระเจ้ายกโทษให้ แล้วเราก็ลุกขึ้นมาใหม่ นี่คือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ในผู้เชื่อ

        กาลาเทีย 5:19-21 “19 พฤติกรรมของวิสัยบาปนั้นเห็นได้ชัด   คือการผิดศีลธรรมทางเพศ  ความไม่บริสุทธิ์  และการลามก 20 การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้คาถาอาคม ความเกลียดชัง ความบาดหมาง ความริษยาหึงหวง ความโมโหโทโส ความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรคแบ่งพวก 21 และการอิจฉากัน การเมามาย การมั่วสุมเสพสุราและกาม และอื่นๆ ในทำนองนี้ ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนที่เคยเตือนแล้วว่าผู้ที่ประพฤติเช่นนี้   จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”

            ข้อสุดท้าย “ผู้ที่ประพฤติเช่นนี้ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก” อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับคนที่ยังไม่เชื่อ  ที่เขามีลักษณะอาการของคนบาปที่ฝึกฝนจนชำนาญ ในการทำสิ่งที่ชั่วร้าย  ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็ฝึกฝนเหมือนกัน  แต่เราฝึกฝนที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าอันนี้ คือตัวตนแท้ๆ ของเรา เราก็ฝึกฝนมัน

            คำว่า “ฝึกฝน” หมายความว่ามีฝึกพลาดไหม? หัวทิ่ม หัวตำไหม? มี ไม่ใช่ฝึกฝนปุ๊บ เราเป็นผู้เชี่ยวชาญเลย มันไม่ใช่ ผู้เชื่อทุกคน ฝึกฝนเหมือนกัน แต่ว่าฝึกฝนทีละเล็ก ทีละน้อย หัวทิ่มบ้าง หัวตำบ้าง  ไม่เป็นไร พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงช่วยเหลือเรา  ให้เราสามารถฝึกฝนตัวเราเอง ให้พัฒนาการเป็นตัวตนแท้ๆ ของเราได้ดีมากขึ้น ให้สติปัญญาเราที่จะเลือกเสื้อที่จะใส่ เวลาเราตื่นเช้า ยิ่งเวลาวันอาทิตย์ เราก็ต้องเลือกว่าเสื้อผ้าชุดไหนที่เราจะใส่มาโบสถ์ แล้วดูดี เรารู้สึกชุดนี้ ชุดเก่งของเรา บางทีชุดเก่งของเรา มีชุดเดียว ก็ไม่เป็นไร ใส่มาทุกอาทิตย์ก็ไม่มีใครว่าอะไร? จริงๆ นะ มันเป็นเรื่องจริง  แต่มันเป็นชุดเก่งของเรา เป็นชุดที่เราใส่แล้ว เราภาคภูมิใจ  เรารู้สึกมันสุดยอด มันดี นี่คือการเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสถานะ เหมาะสมกับการมาโบสถ์  ไม่ใช่ มาโบสถ์ก็ใส่เสื้อขาดมาอย่างนี้  มันก็ไม่ใช่เนอะ เสื้อขาดใส่ที่บ้านก็ได้ มันใส่สบายดี พี่น้องเคยมีเสื้อขาดอยู่ในบ้านไหม? ดิฉันก็มี เสื้อขาดมันใส่สบาย เพราะมันเป็นเสื้อที่เราใส่มาเป็น 10ๆ ปี มันผ้านุ่ม มันสบาย  แต่มันไม่เหมาะที่จะใส่ออกมาข้างนอก

            มันเป็นภาพเดียวกัน ฉะนั้น การเลือกเสื้อใส่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ พระเจ้าบอกว่าพระองค์มีเสื้อเยอะแยะมากมาย แขวนไว้ในตู้ให้กับพวกเราที่เลือกใส่ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่เฉพาะมาโบสถ์ ในชีวิตประจำที่เราไปพบเจอใครต่อใคร? เราสามารถเลือกเสื้อที่จะใส่ได้ ถ้าเราเลือกผิด ทำอย่างไร?  แทนที่เราจะเลือกเสื้อแห่งความชื่นชมยินดี เวลาเห็นคนอื่นได้ดี เราชื่นชมยินดี  แต่เราไปเลือกเสื้อผิด ไปหยิบเอาเสื้อของการอิจฉาริษยา อิจฉามาเลย เขาดีกว่าเรา เราก็เลือกเสื้อผิดใช่ไหม?  ถ้าเลือกเสื้อผิด ใส่ออกมามันไม่งามไง มันไม่สวย เหมือนใส่เสื้อฟิตๆ แบบใส่แล้วพุงปริ้นอะไรแบบนี้ มันก็ไม่สวย เราก็ต้องเลือกให้มันดูดี ถ้าเรามีพุง เราก็เอาเสื้อหลวมๆ จะได้บังพุงไว้ อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ … ฉันมีพุง แต่ฉันอยากจะโชว์ ฉันก็ฟิตปั๊งเลย เห็นแบบเป็นเนื้อก้อนๆ มา ก็ไม่สวย มันเป็นภาพ

            ตรงนี้แหละเป็นการดำเนินชีวิตของพวกเราผู้เชื่อ  ก็คือเราเลือกเสื้ออย่างไร ที่เราจะออกไปใช้ชีวิตกับผู้คนรอบข้าง เมื่อเราเลือกเสื้อถูก เสื้อของพระเจ้าที่ให้กับพวกเรา มันอยู่ในข้อที่ 22 เดี๋ยวจะอ่านให้ฟัง …

        กาลาเทีย 5:22-23 “22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ 23 ความสุภาพอ่อนโยน  และการควบคุมตนเอง สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย”

            เสื้อแห่งความรัก เสื้อแห่งความชื่นชมยินดี เสื้อแห่งสันติสุข เสื้อแห่งความอดทน เสื้อแห่งความปราณี เสื้อแห่งความดี เสื้อแห่งความสัตย์ซื่อ เสื้อแห่งความสุภาพอ่อนโยน เสื้อแห่งการควบคุมตนเอง นี่คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มี 9 อย่าง  ตอนนี้เรามีเสื้อ 9 ตัว  แล้วจริงๆ มันมีอีกเยอะแยะมากมาย แต่พูดตรงๆ 9 ตัวเราก็ใส่ไม่ทันแล้ว  9 ตัว เดือนหนึ่งเราใส่ได้แค่ 3 ครั้งนิดๆ  เราเคยรู้สึกไหม? เรามีเสื้อเต็มตู้เลย แต่เราก็หยิบใส่ไม่กี่ตัว เพราะเราใส่แล้ว รู้สึกมั่นใจ  ใส่แล้วเรารู้สึกดูดี ใส่แล้วเรารู้สึกมันโอเคนะ อะไรแบบนี้ เราก็จะเลือกเสื้อที่เรารู้สึกโอเค มาใส่บ่อย ฉะนั้น ภาพเดียวกันในโลกวิญญาณ เสื้อเหล่านี้ พระเจ้าได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ผู้เชื่อ วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์มันอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว แขวนไว้ในตู้แล้ว แค่พระเจ้าให้เราเลือกที่จะหยิบออกมาใช้ในแต่ละสถานการณ์ แต่ละเหตุการณ์ ที่เราไปเจอ

            ถ้าโดนเขาเหยียบขาทำอย่างไร? ใส่เสื้ออะไร? เสื้อแห่งความเมตตาปราณี  เขาเหยียบขาเรา เขาไม่ได้ตั้งใจหรอก ไม่ใช่เขาเหยียบขาปุ๊บ ก็เหยียบตอบเลย เหยียบแรงกว่านั้นอีก มันไม่ใช่ เขาเหยียบขาเรา เขารีบขอโทษเราแล้ว เราก็โอเคไม่เป็นไร? เจ็บนะ ไม่ใช่ไม่เจ็บ แต่โอเคไม่เป็นไร เขาขอโทษเราเรียบร้อยแล้วไง เราก็หยิบเสื้อแห่งความเมตตาปราณี ก็คือยกโทษให้เขา ก็ประมาณนั้น

            ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้พระเจ้าให้เราเลือกได้ พระเจ้าให้เสรีภาพในการเลือกสรร การใช้ชีวิตในแต่ละวันของเรา ตรงนี้เป็นภาพที่ให้เราเห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา  แล้วเราอย่าคิดด้อยค่าตัวเอง หรืออย่าคิดไปด้อยค่าคนอื่น เพราะพระเจ้าบอกว่าเราทุกคนมีค่าเท่ากันในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้ามองดูพวกเราทุกคน ไม่ว่าพี่น้องจะอยู่ในสถานะแบบไหน? พี่น้องจะรวยหรือจะจน พี่น้องจะมีทรัพย์สมบัติอยู่ในแบงค์ หนึ่งพันล้าน หรือในแบงค์ไม่มีตังค์สักบาท  พระเจ้ามองท่านเหมือนกัน คือท่านเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ

            ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าทรงรักเราแล้ว เราอย่าให้มนุษย์บนโลกใบนี้มาด้อยค่าเรา อย่าให้คำพูดของมนุษย์คนหนึ่งคนใดบนโลกใบนี้มาทำให้เรารู้สึกว่าเรานี่แย่ ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ อย่าเด็ดขาด ให้เรารับรู้ว่าพระเจ้ารักเรา และเรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าจริงๆ พระองค์มองเราด้วยความรัก เป็นสายตาแห่งความเมตตา เป็นสายตาที่พระองค์ต้องการที่จะโอบอุ้มเราตลอดเวลา ในทุกครั้ง ถ้าเราผิดพลาด พระองค์ก็ช่วยเหลือให้สติปัญญา  ถ้าเราล้มลง พระองค์ก็อุ้มเราขึ้น นี่คือภาพที่พระเจ้าให้กับเรา แล้วก็ให้กับผู้เชื่อทุกๆ คน

            ในขณะที่เราเป็นพี่น้องกัน พระเจ้าบอกเราเป็นพี่น้องกันใช่ไหมในพระเยซูคริสต์ ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก ให้เราเห็นมนุษย์ หรือเห็นพี่น้อง เพื่อนร่วมโลก เพื่อนร่วมคริสตจักร ให้สายตาเรามองเขา เหมือนกับที่พระเจ้าทรงมองเรา พระเจ้ามองเราด้วยความรัก  ให้เรามองเขาด้วยความรัก มองด้วยความเห็นอกเห็นใจ เราไม่รู้หรอกว่าตื้นลึกหนาบางของมนุษย์ หรือพี่น้องแต่ละคนเขาต้องเจอสภาวะอะไรมามากมายขนาดไหน? แต่ให้เรารับรู้ว่าพระเจ้าทรงรักเขา เหมือนกับที่พระองค์ทรงรักเรา เอเมนไหม?

        กาลาเทีย 5:24 “ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์  ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาป  ไว้ที่กางเขนแล้ว”

            อันนี้ คือในโลกวิญญาณ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรึงวิญญาณของเรา คือวิญญาณเก่าของเราที่อยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่งไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว อันนี้พระเจ้าเป็นคนทำ พระเจ้าตรึงเราแล้ว แล้วพระเจ้าก็ให้วิญญาณใหม่ ให้ความคิดจิตใจใหม่ ให้กับพวกเรา คือเป็นวิญญาณและความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย อันนี้พระเจ้าทำให้เราแล้ว แต่ข้อนี้ คือผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ตรึงวิสัยบาป อันนี้เราต้องทำเอง การดำเนินชีวิตของเรา ที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์นำเรา ก็คือตรึงกิเลสตัณหาความอยากได้อยากมี ความเย่อหยิ่งจองหองที่มันพยายามกระตุ้น เร้าเราให้เรารู้สึกภาคภูมิใจ เราแน่กว่าคนอื่น เรายิ่งใหญ่กว่าคนอื่น พระเจ้าอวยพรฉันมากกว่าเธอ อะไรอย่างนี้

            นี่คือภาพของการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ ของพี่น้องในคริสตจักร ฉะนั้น ตรงนี้เราต้องทำเอง คือต้องขจัดมัน ตรึงมัน คือทำให้วิสัยบาป หรือความรู้สึกเย่อหยิ่งจองหอง อวดตัวของเรา ขนาบมันให้อยู่มือ  คือเราสามารถทำได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราจะช่วยเรา เรารู้ เราเริ่มเย่อหยิ่งขึ้นมาปุ๊บ

            “ในนามพระเยซู แกเย่อหยิ่งไม่ได้ เพราะว่าแกไม่ได้ดีกว่าใคร”

            นึกออกไหม? ถ้าเราเย่อหยิ่ง เราต้องบอกตัวเองเลยว่าเธอไม่ได้ดีกว่าใครเลย เพราะว่าเธอกับทุกคนเท่ากัน เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ซื้อชีวิตของพวกเราทุกๆ คน พระเจ้าเป็นผู้ให้สิ่งสารพัดให้กับเรา เหมือนในถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่า …

            “ท่านมีอะไรที่ได้มาด้วยตัวเอง ทุกอย่างที่ท่านมีล้วนมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น ฉะนั้น ท่านจะไปอวด ทับถมใครไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว”

            ก็คือให้รับรู้ว่านั่นแหละ คือความจริงที่พระเจ้าบอกเราว่าเราไม่ได้ดีกว่าใคร? ถ้าพระเจ้าอวยพรเรา เราก็ขอบคุณพระเจ้า  แต่การอวยพรตรงนี้ไม่ได้เป็นเหตุ ทำให้เราไปมองคนอื่นด้อยกว่าเรา เพราะว่าพระเจ้าทรงดูแล แต่ละคนไม่เหมือนกัน  ไม่เท่ากัน แต่ว่าความรักที่พระเจ้ามีต่อทุกๆ คน มันเท่าเทียมกัน  คือทุกคนเป็นที่รักที่พระเจ้าทรงหวงแหนอย่างมากมาย

        กาลาเทีย 5:25-26 “25 ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด 26 เราอย่าอวดดี ยั่วโมโห และอิจฉากันเลย”

            นี่คือจบของบทที่ 5 ให้เราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เมื่อไรที่เรารู้สึกอวดดี เราก็ขนาบตัวเองลง กดตัวเองลงบ้าง เพราะพระเจ้าบอกว่าถ้าใครยกตัวเองขึ้น  พระเจ้าจะเป็นคนกดลงเอง แต่ถ้าใครถ่อมใจลง พระเจ้าเองจะเป็นผู้ยกขึ้น เราเลือกเอาแล้วกันว่าเราอยากให้พระเจ้ายก หรืออยากจะยกตัวเอง เราอยากให้พระเจ้ากดเราลง  หรือเรากดตัวเองลงดีกว่า

            ฉะนั้น ทุกอย่างพระเจ้ามีกฎของพระองค์ทั้งหมดเลย อยู่ในถ้อยคำของพระเจ้า  พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิต รับรู้ว่าพระเจ้าทรงรักเราและรักพี่น้องทุกคนในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เรากับทุกคนเสมอภาคกัน พระเจ้ารักเขาแล้ว เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตำหนิติเตียน หรือไม่มีสิทธิ์ที่จะไปพิพากษาเขาเลยแม้แต่นิดเดียว  นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซูตรัสกับผู้เชื่อและวางใจในพระองค์ว่า “… จงมองให้เห็นเถิด! เราอยู่ในท่านทั้งหลายตลอดเวลาเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก” เอเมน

            เพราะพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา เราจึงสามารถเผชิญกับวันพรุ่งนี้ได้ ด้วยความมั่นใจและความหวัง พระองค์ทรงเป็นแหล่งของกำลังและความมั่นคงในชีวิตของเรา

            ฟิลิปปี 4:13 เปาโลกล่าวว่า … “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

            ซึ่งหมายความว่าเราสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ในชีวิตได้ เพราะพระคริสต์ทรงเสริมกำลังเรา พระองค์ทรงอยู่ภายในเรา ดำเนินไปกับเราในทุกย่างก้าว และทรงนำทางเราในทุกสถานการณ์บนโลกนี้

            ฮีบรู 13:5-6 … “พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะไม่ละทิ้งหรือทอดทิ้งเรา  ดังนั้น เราจึงสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว”

            การได้รับรู้ความจริงว่าพระองค์ทรงอยู่ภายในเรา เดินไปกับเรา ทำให้เรามีความกล้าที่จะเผชิญกับอนาคตโดยไม่ต้องกลัว ไม่ต้องหวั่นไหว วิตกกังวล และด้วยความรัก และพระคุณของพระองค์ เราสามารถวางใจในพระองค์ และมีความหวังในวันพรุ่งนี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ทรงควบคุมทุกสิ่ง และทรงมีแผนการที่ดีสำหรับชีวิตของเรา

            เยเรมีย์ 29:11 … “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เพราะเรารู้แผนการที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนการเพื่อทำให้เจ้ารุ่งเรืองไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เป็นแผนการเพื่อให้ความหวังและอนาคตแก่เจ้า”

            พระเจ้าอวยพรครับ