คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน 2017
เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า”
ตอน 15 “นิมิตของดาเนียลเกี่ยวกับแกะและแพะ”
โดย นคร เวชสุภาพร
เรายังอยู่ในซีรี่ย์ “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” วันนี้เป็นตอนที่ 15 ยังอยู่ในเรื่องราวของดาเนียล จุดมุ่งหมายที่เรามาเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือดาเนียลอย่างละเอียด ก็เพื่อย้ำยืนยันมั่นใจว่าพระเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่ง และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์เป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ นี่คือหัวใจในการเรียนรู้ จากหนังสือของดาเนียล
ยังจำเรื่องราวของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ไหม? เป็นกษัตริย์ที่เหี้ยมโหด สร้างปฏิมากรทองคำ แล้วก็ฮึกเหิมว่าตัวเองยิ่งใหญ่ บังคับให้ผู้คนกราบไหว้ ลบหลู่พระเจ้าอีกต่างหาก ขึ้นไปยืนบนดาดฟ้าพระราชวัง ซึ่งเป็นสวนที่ตัวเองคิดว่าสวยงามที่สุดในโลก แล้วก็ผยอง พูดว่าตัวเองเป็นคนที่สร้างอาณาจักรของตัวเองยิ่งใหญ่อย่างนี้ สวนก็สวยงามอย่างนี้ ประกาศความเหิมเกริม เทียบพระเจ้า เพื่อให้เกียรติตัวเอง ไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระเจ้าก็เลยสั่งสอน ทำให้ต้องไปใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ในป่า จนครบวาระตามที่พระเจ้ากำหนด วาระ เราก็ไม่รู้นานเท่าไร? แต่จนครบวาระที่พระเจ้าวางไว้ ครบกำหนดปุ๊บ สุดท้ายเลยต้องยอมจำนน และเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงควบคุมทุกอย่าง และพระเจ้าก็ดลใจให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เขียนสิ่งที่เขาได้ บันทึกว่าพระเจ้าคือใคร? เขียนโดยคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า คนที่กราบไหว้พระอื่น แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าใครใหญ่สูงสุด เขียนเพื่อคนทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้อ่าน รวมทั้งเราทั้งหลายที่อยู่ในนี้ ในดาเนียล 4:34-35 สังเกตความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ดาเนียล 4:34-35 “34 เนบูคัดเนสซาร์แหงนหน้าขึ้นมองดูฟ้าสวรรค์ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา เราจึงถวายสรรเสริญองค์ผู้สูงสุด เราเทิดพระเกียรติและถวายพระเกียรติสิริ แด่พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ราชอาณาจักรของพระองค์ ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ 35 มวลประชาชาติในโลกนี้ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจ ที่จะทำต่อเหล่าทูตสวรรค์ และต่อมวลประชาชาติ ตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่า “พระองค์ทำอะไรนี่?”
นี่คือความยิ่งใหญ่ คิดดูสิว่าคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าจากอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำให้เขาเห็นเลยกับตาว่าเป็นอย่างนี้ แล้วให้เขามีประสบการณ์เลย บันทึกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อให้คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าได้ยินได้ฟังว่าพระองค์คือใคร?
สำหรับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ท่านลองคิดดู ฟังตรงนี้ แล้วคิดอย่างไร? เราเรียนรู้จากหนังสือดาเนียลไป 14 ตอนแล้ว ทุกตอนก็ย้ำกันอยู่อย่างนี้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุม ครอบครองทุกสิ่ง ทรงเป็นผู้กำกับใหญ่ของโรงละคร คือโลกใบนี้นั่นเอง เพราะฉะนั้น จงนิ่งเสียและรู้เถิดว่าพระองค์เป็นพระเจ้า วันนี้เป็นตอนที่ 15 จะมีชื่อตอนว่า “นิมิตของดาเนียลเกี่ยวกับแกะและแพะ” อยู่ในหนังสือดาเนียล 8:1 ว่า …
ดาเนียล 8:1 “ในปีที่สามแห่งรัชกาลเบลชัสซาร์ ข้าพเจ้าดาเนียล เห็นนิมิตอีกครั้งหนึ่ง …”
“เห็นนิมิตอีกครั้งหนึ่ง” เบลชัสซาร์ คือกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรบาบิโลน ก่อนที่จะถูกโค่นล้มโดยเปอร์เซีย ซึ่งคืนก่อนที่จะถูกโค่นล้ม ก็คือพระเจ้าส่งอักษรประหลาดบนผนัง แล้วก็ให้ดาเนียลมาอ่าน
ในบทที่ 7 ที่เราเรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว เรื่องสัตว์ประหลาดทั้ง 4 ตัว เป็นความฝันแรกของดาเนียล ในสมัยรัชกาลเบลชัสซาร์ ซึ่งผ่านมา 3 ปี ดาเนียลก็ฝันอีก คราวนี้ฝันเห็นแกะกับแพะ แต่ความหมายยังวนเวียนอยู่เกี่ยวกับเรื่องของอาณาจักรต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
ผมเล่าให้ฟังย้อนนิดหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มต้นที่ดาเนียลทำนายฝันให้เนบูคัดเนสซาร์ เรื่องรูปปั้น หรือปฏิมากรขนาดใหญ่ …
ที่มีศีรษะทำด้วยทองคำ คืออาณาจักรบาบิโลน
หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน คือมีเดียเปอร์เซีย
ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ คืออาณาจักรกรีก
ขาทำด้วยเหล็ก คืออาณาจักรโรมัน นี่คือ 4 อาณาจักรเด่นๆ ชัดๆ
และในบทที่ 7 ที่ดาเนียลฝันเห็น ที่เราเรียนไปสัปดาห์ที่แล้ว ดาเนียลฝันเห็นสัตว์รูปร่างหน้าตาประหลาด 4 ตัว ก็เกี่ยวพันกับรูปปั้นนี้
สัตว์ตัวแรกที่เห็น ก็คือสิงโตมีปีกเหมือนนกอินทรีย์ ก็คือส่วนศีรษะของรูปปั้นปฏิมากรนี้ คือบาบิโลน
ตัวที่สอง คือหมีคาบซี่โครง 3 ซี่ เทียบได้กับหน้าอกและแขนของรูปปั้นนี้ ก็คือมีเดียเปอร์เซีย ที่จะมาโค่นล้มบาบิโลน
ตัวที่สาม คือเสือดาว มีสี่หัว สี่ปีก เทียบกับส่วนท้องและต้นขาของรูปปั้น ก็คืออาณาจักรกรีก ที่จะมาโค่นล้มเปอร์เซีย
ตัวสุดท้าย เป็นสัตว์ประหลาด น่ากลัว มีเขาสิบเขา ก็คือส่วนขาของรูปปั้น ที่ทำด้วยเหล็ก ที่เล็งถึงอาณาจักรโรมันนั่นเอง
ทั้งหมดนี้ เป็นการบอกอนาคตล่วงหน้า ตั้งแต่ 600 ปีก่อน ค.ศ. ก่อนพระเยซูจะมาเกิด พูดง่ายๆ จนถึงบัดนี้ นับมาก็คือ 2,600 ปีมาแล้ว บอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเกิดอย่างนี้ มันเกี่ยวพันมาถึงเรา และอนาคตต่อไป พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ อยู่ในยุคของลูกหลานของโรมัน จากโรมันจะไม่มี ใหญ่ขนาดนี้อีกแล้ว และไม่มีจริงๆ อาณาจักรสุดท้าย ก็คือโรมัน และจากโรมันก็กลายขยาย เป็นอาณาจักรต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้กันบ้างในบทก่อนๆ ว่าโรมันก็แผ่ขยายอาณาเขตไปจนกระทั่งตัวเองเล็กลง แต่ว่าลูกหลานที่เคยเป็นเมืองขึ้นต่างๆ ก็กลายเป็นเมืองใหญ่ๆ โตๆ ในยุโรป แล้วก็อพยพจากยุโรปไปอยู่ทวีปอื่น อย่างนี้เป็นต้น
มาถึงดาเนียล บทที่ 8 ที่เรากำลังจะเรียนรู้ในวันนี้ ดาเนียลฝันเหมือนกัน แต่ฝันสัตว์เหลือแค่ 2 ตัว คือแกะกับแพะ แกะ หมายถึงอาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย และแพะ หมายถึงอาณาจักรกรีก เรื่องราวในบทที่ 8 นี่จะเกี่ยวกับ 2 อาณาจักรนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะเรียนรู้ในวันนี้ ก็คืออนาคตไม่ยาวไกลนักของโลกใบนี้ จากตอนที่ได้รับนิมิตหรือความฝันนี้ ก็อยู่ในช่วงท้ายๆ ของบาบิโลน อีกไม่นาน ก็จะมีเปอร์เซียเข้ามา อีกไม่นานจากแกะก็จะมีแพะเข้ามา แพะคือกรีก และจุดจบของกรีกจบอย่างไร? แค่นั้นเอง และเดี๋ยวเรามาดูว่าเรื่องราวในนี้ ดาเนียลเห็นล่วงหน้า พระเจ้าบอกมันคืออะไร? แล้วมันตรงไหม?
นิมิตของดาเนียลที่บันทึกไว้ในบทที่ 8 นี้ จะเป็นการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า อย่างที่ผมบอกเกี่ยวกับเฉพาะมีเดียเปอร์เซียและกรีกเท่านั้น ซึ่งอีก 200 ปีข้างหน้า หลังจากที่ดาเนียลได้รับนิมิตนี้ สิ่งนี้จะเกิดขึ้น
ตอนดาเนียลฝัน เป็นการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต ในสมัยที่เขาอยู่ในยุคสุดท้ายของบาบิโลน ซึ่งบาบิโลนในตอนนั้นกำลังเรืองอำนาจสุดๆ ไม่มีใครคิดว่าบาบิโลนอาณาจักรใหญ่ยักษ์มหาศาล จะล่มสลายได้ ไม่มีใครคิดเลย เป็นไปไม่ได้เลย
ตอนที่ดาเนียลฝัน เหตุการณ์นี้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต มันตรงกันกับคำเผยพระวจนะ (แปลว่าบอกล่วงหน้า) ในหนังสืออิสยาห์ เกี่ยวกับเรื่องของเปอร์เซีย ซึ่งใช้ชื่อว่ากษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ที่จะเข้ามาครอบครองอาณาจักรบาบิโลน ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง ประมาณ 100 กว่า 200 ปีประมาณนั้น อิสยาห์ 45:1-3
อิสยาห์ 45:1-3 “1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงไซรัสผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ ผู้ซึ่งทรงยึดไว้ด้วยพระหัตถ์ขวา ให้พิชิตชนชาติต่างๆ ตรงหน้า และทำลายแสนยานุภาพของเหล่ากษัตริย์ เป็นผู้เปิดประตูซึ่งอยู่ตรงหน้า เพื่อไม่ให้มีประตูใดถูกปิดไว้ 2 เราจะนำหน้าเจ้าไป และปราบภูเขาทั้งหลายให้ราบ เราจะทลายประตูทองสัมฤทธิ์ และตัดลูกกรงเหล็ก 3 เราจะยกสมบัติที่ซ่อนไว้ในความมืด ขุมทรัพย์ในที่เร้นลับให้แก่เจ้า เพื่อเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้เรียกเจ้ามา ตามชื่อของเจ้า”
ลองคิดดูนะ พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงไซรัส ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ ตอนที่พูดไว้ไซรัสยังไม่เกิดเลย แต่พระเจ้าบอกจะมีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อไซรัส คนนี้เราเลือกเอาไว้ ความฝันของดาเนียล เป็นการทำนายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต สำหรับเราแล้ว ไม่ตื่นเต้นเท่าไร? เพราะไม่ใช่อนาคตของเรา แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่เราไปอ่าน แต่สำหรับคนสมัยนั้น ตื่นเต้นไหมเวลามันเกิด ไปเปิดดูพระเจ้าบอกล่วงหน้า 200 ปีแล้ว พระเจ้าบอกล่วงหน้ามา 600 ปีแล้วว่าจะเป็นอย่างนั้น พระเจ้าบอกล่วงหน้ามา 4 ปีแล้วว่าจะเป็นอย่างนั้น จะตื่นเต้นตรงนี้แหละ และเป็นการทำอะไรไว้ ทำให้คนมีความรู้สึกว่าเมื่อเขาเชื่อพระเจ้า ทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ มันใช่เลย ซึ่งเราเรียกกันว่าใช่เลย ตรงนี้ เราใช้คำว่าอะไร? มันเป๊ะๆ จริงๆ เลย แม้กระทั่งชื่อยังใส่ลงไปไซรัส ผู้ที่เราเจิมตั้งไว้ หรือตอนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์
“กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่เป็นผู้รับใช้ของเรา เราจะมอบประชากรของเราไว้อยู่ในมือของเจ้า 70 ปี”
คืนวันที่ 5 ต่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 539 ก่อนคริสตราช คือสมัยก่อนพระเยซูจะมาเกิด 539 ปี มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในอาณาจักรบาบิโลน ในคืนแห่งความหายนะนี้ กรุงบาบิโลนถูกพิชิตโดยกองทัพของมีเดียและเปอร์เซีย ซึ่งนำโดยกษัตริย์แห่งเปอร์เซียที่รู้จักกันว่าไซรัส มหาราช กษัตริย์องค์นี้มียุทธวิธีรบเหนือชั้นจริงๆ ประวัติศาสตร์ มีข้อมูลบันทึกไว้ว่าตอนที่ไซรัสตัดสินใจที่จะพิชิตบาบิโลน ในเวลานั้น อาณาจักรบาบิโลนเจริญรุ่งเรืองถึงขั้นที่เรียกว่านครที่น่าเกรงขามที่สุดในตะวันออกกลาง และอาจจะเรียกได้ว่ารุ่งเรืองสูงสุด ก็ได้ในขณะนั้น
กรุงบาบิโลนมีแม่น้ำยูเฟติสไหลผ่าน และมีคูคลองทุกสาย นอกกำแพงเมือง ที่ตระหง่าน เต็มไปด้วยน้ำ เมืองนี้จึงดูเหมือนถูกป้องกันไว้อย่างหนาแน่น จนไม่น่าจะมีใครสามารถพิชิตได้ ทหารของไซรัสได้เปลี่ยนทิศทางของแม่น้ำยูเฟติส จึงทำให้ระดับน้ำที่เป็นคูคลองป้องกันเมือง มันลดลง แล้วเหล่าทหารก็ลุยข้ามแม่น้ำ เข้าไปตีเมืองได้อย่างง่ายดาย
นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกเคยกล่าวไว้ว่าชาวบาบิโลนรู้สึกมั่นใจ ในความปลอดภัยของเมืองนี้มาก ดังนั้น ในคืนนั้น คืนที่ถูกโจมตี ผู้คนส่วนใหญ่จึงกำลังเลี้ยง กินกันอย่างสนุกสนาน ไม่เว้นแม้แต่กษัตริย์ ซึ่งเรารู้ว่ากษัตริย์องค์นั้น ก็คือเบลชัสซาร์ ในคืนนั้น คืนที่พระเจ้าส่งนิ้วมาเขียนอักษรปริศนาบนผนัง และในคืนวันนั้น กองทัพของไซรัส ก็เข้ายึดกรุงบาบิโลน ที่ไม่มีใครนึกเลย แม้กระทั่งชาวบาบิโลนก็ยังไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครทำอย่างนี้ได้ แต่ถ้าพระเจ้าบอกได้ ก็ต้องได้ ได้โดยอัศจรรย์ ได้โดยไม่คิดว่าจะได้ มันก็เป็นไปได้ พูดถึงอนาคตแค่นิดเดียว ถ้าค้นคว้าไปเรื่อยๆ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราเรียนรู้ แล้วยังมั่นใจว่าพระเจ้าอยู่กับเรา พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ เรารู้จักพระเจ้าองค์นี้ ไม่ผิดแล้ว สิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนกันเป๊ะๆ
นี่คือบันทึกทางประวัติศาสตร์ มันก็ตรงกับคำเผยพระวจนะที่บอกไว้ล่วงหน้า โดยพระเจ้า ไม่ผิดเพี้ยนตามที่เราอ่านในหนังสืออิสยาห์ ที่เราอ่านเมื่อตะกี้ว่าพระเจ้าจะให้ไซรัส ผู้ที่พระองค์เจิมตั้งไว้ พิชิตชนชาติต่างๆ และทำลายแสนยานุภาพของเหล่ากษัตริย์ เป็นผู้เปิดประตู ซึ่งอยู่ตรงหน้า เพื่อไม่มีประตูใดถูกปิดไว้ ในประวัติศาสตร์ยังบอกด้วยว่าไซรัสได้ยึดกรุงบาบิโลน ในปี 539 ก่อน ค.ศ. และไม่นานหลังจากนั้น เขาปลดปล่อยชาวยิวให้เริ่มได้รับอิสรภาพ ได้กลับไปยังประเทศของตัวเองในปี 537 ก่อน ค.ศ. ซึ่งเป็นเวลาที่ครบกำหนด 70 ปีพอดี ที่ตกเป็นเชลย คนที่พระเจ้าจะใช้ให้ส่งกลับ ก็คือกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย ตรงเป๊ะอีกแล้ว
เพราะฉะนั้น เรื่องพระเยซูคริสต์ตอนท้าย ก็ต้องเป๊ะๆ ตอนที่เราจะไปอยู่ในสวรรค์สถาน ก็ต้องเป๊ะๆ ตอนที่เราครอบครองร่วมกับพระเยซูในสวรรค์สถาน ก็ต้องเป๊ะๆ มาดูอีกข้อหนึ่ง เยเรมีย์ 25:12
เยเรมีย์ 25:12 “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาติของเขา ซึ่งก็คือแผ่นดินของชาวบาบิโลน เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขาถูกทิ้งร้างตลอดไป”
แล้วมันทิ้งร้างไหม? ทิ้งร้างตลอดไป บาบิโลนถูกตี แล้วจากนั้น บาบิโลนก็หายไปจากแผนที่เลย ค่อยๆ จางหาย ไม่เหลือเลย … เรากลับมาที่ดาเนียล บทที่ 8 กันต่อ ดาเนียล 8:2-4
ดาเนียล 8:2-4 “2 ในนิมิตนั้น ข้าพเจ้าเห็นตัวเองอยู่ที่ป้อมชั้นในเมืองสุสา ในแคว้นเอลาม ข้าพเจ้าอยู่ริมคลองอุลัย 3 ข้าพเจ้ามองไปเห็นแกะผู้ตัวหนึ่งยืนอยู่ริมลำคลอง แกะนี้มีสองเขา เขาข้างหนึ่งยาวกว่าอีกข้างหนึ่ง แต่งอกขึ้นมาทีหลัง 4 ข้าพเจ้ามองดูแกะผู้ตัวนั้น ขวิดไปทางตะวันตก ทางเหนือและทางใต้ ไม่มีสัตว์ใดต่อกรกับมันได้ และไม่มีสิ่งใดช่วยให้พ้นจากอำนาจของมัน มันทำอะไรตามใจชอบและยิ่งใหญ่ขึ้น”
และพระเจ้าก็ส่งทูตสวรรค์มาบอกความหมายแด่ดาเนียลไว้อย่างนี้ ดาเนียล 8:19-20 เป็นการแปลความฝัน
ดาเนียล 8:19-20 “19 “เรากำลังจะแจ้งให้เจ้าทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในเวลาแห่งพระพิโรธในภายภาคหน้า เพราะนิมิตนี้ เกี่ยวข้องกับกาลอวสานซึ่งกำหนดไว้แล้ว 20 แกะผู้สองเขาที่เจ้าเห็น คือบรรดากษัตริย์มีเดียและเปอร์เซีย”
“พระพิโรธ” อย่าไปนึกถึงพระพิโรธตอนสุดท้าย บทที่ 7 ครั้งที่แล้ว ที่พูดถึงเขาที่งอกออกจากมาจากกรุงโรม จำได้ไหม? คือพวกแอนตี้ไคร์ซ หรือปฏิปักษ์พระคริสต์ตัวใหญ่ ซึ่งอยู่ในยุคสุดท้าย ยังไม่เกิดขึ้น เรากำลังรอวันนั้นอยู่ วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมา ตรงนี้ไม่ใช่
พระพิโรธตรงนี้ คือความโกรธของพระเจ้าที่มีต่อ … เขาคิดมีอยู่ 2 ทาง ก็คือพระพิโรธมีต่อเขาเล็กๆ อีกอันหนึ่งเกิดขึ้นมาในช่วงนี้ แต่ไม่ได้ออกมาจากโรมัน แบบในอนาคต ที่จะมาครอบครองเปอร์เซีย ที่จะโผล่ออกมาจากกรีก เพราะช่วงระยะเวลาแค่นั้นเอง พระเจ้าพิโรธ
หรือบางคนเขาบอกพิโรธ อาจจะเป็นเพราะว่าประชากรของพระเจ้าในช่วงนั้น พอได้รับอิสรภาพจากการเป็นทาส หรือถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในบาบิโลน ถูกปล่อยไป ก็ไม่เข็ด ไปไหว้รูปปั้น รูปเคารพที่พระเจ้าบอกอย่าไหว้ พูดง่ายๆ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า หนีไปจากพระเจ้าอีกแล้ว ไปไหว้รูปเคารพ เขาว่าอาจจะเป็นพระพิโรธอย่างนั้นก็ได้ แล้วแต่จะคิด ได้ทั้งสองทาง
ในข้อนี้เขาบอกว่าแกะในนิมิตดาเนียล ก็คืออาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย ที่กำลังแผ่ขยายอำนาจเวลานั้น กำลังมาตีบาบิโลน ตอนที่ได้รับนิมิต
ยุคของกษัตริย์ไซรัส มหาราช กำลังไล่ตีเมืองต่างๆ และไม่มีใครสามารถต้านทานอำนาจ บารมีของไซรัสได้ นี่คือแปลความฝันตะกี้ จนกระทั่งมีเดียเปอร์เซียได้รุ่งเรืองอำนาจที่สุดในสมัยนั้น ตามประวัติศาสตร์ที่ได้บันทึกไว้ ที่เราได้เล่าสู่กันฟัง นี่หมายถึงตอนนั้น
ดาเนียล 8:5-7 “5 ขณะข้าพเจ้าครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ ทันใดนั้น มีแพะผู้ตัวหนึ่ง ซึ่งมีเขาโดดเด่นอยู่ระหว่างตา วิ่งห้อข้ามพื้นพิภพ มาจากทางตะวันตกอย่างรวดเร็ว เท้าของมันไม่แตะดิน 6 มันรี่เข้าใส่แกะผู้สองเขา ซึ่งข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่ริมคลองนั้น และพุ่งชนด้วยความโกรธอย่างยิ่ง 7 ข้าพเจ้าเห็นมันขวิดแกะผู้อย่างโกรธจัด จนเขาทั้งสองของแกะหักไป แกะสู้ไม่ได้ จึงล้มลงกับพื้น และถูกแพะเหยียบย่ำ ไม่มีใครช่วยแกะนั้นได้”
ความหมายของแพะตัวผู้ ที่มาโค่นล้มแกะอยู่ในข้อ 21 บอกไว้ตรงๆ ชัดเลยว่าแพะผู้ คือกษัตริย์กรีก และเขาใหญ่ระหว่างตา คือกษัตริย์องค์แรกของกรีก ก็คืออเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งคนสมัยนั้น อาจจะไม่รู้เรื่องหรอก เพราะว่ามันยังไม่เกิด แต่เราเกิดแล้ว เราฟังจากประวัติศาสตร์ เรารู้แล้ว ก็คืออเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งอาณาจักรกรีกที่ได้นำกองทัพทหารเข้าโจมตีและโค่นล้มมีเดียเปอร์เซีย ได้สำเร็จตามที่พระคัมภีร์บอกว่าแพะตัวนี้ ได้ขวิดแกะผู้อย่างโกรธจัด จนกระทั่งเขาทั้งสองของแกะหักไป แกะสู้ไม่ได้ จึงล้มลงกับพื้น และถูกแพะเหยียบย้ำ ไม่มีใครช่วยแกะนั้นได้ แพะตัวผู้นี้ได้ขวิดแกะอย่างโกรธจัด เพราะว่ามีเดียเปอร์เซีย เคยไปรุกราน บ้านเกิดเมืองนอนของแถบนั้น เรียกว่าพวกเอเธนส์ สปาร์ต้า พวกมาซิโดเนีย มาซิโดเนีย คือบ้านเกิดของพ่อและบรรพบุรุษของ อเล็กซานเดอร์มหาราช
เรียกว่าโมโหจัด เคยรังแกเรา เที่ยวนี้ไปซัดให้มันเต็มที่ หมายถึงอย่างนั้น ท่านจะได้รู้ว่าพระเจ้าบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า เล่าให้ฟังเป็นความฝัน เป็นนิมิต ละเอียดยิ๊บ ที่เล่าให้ท่านฟังมันนิดๆ หน่อยๆ
โกรธจัด ขวิดจนเขาทั้งสองของแกะหักไป แกะก็คือเปอร์เซีย เขาทั้งสอง ก็คือกษัตริย์สององค์ที่ครอบครองร่วมกัน ก็คือมีเดียเปอร์เซีย
และแกะสู้ไม่ได้ จึงล้มลงกับพื้น ถูกแพะเหยียบย้ำ ไม่มีใครช่วยเขาได้ เหตุการณ์ตอนนั้น อยู่ในราวประมาณ 400 ปีก่อน ค.ศ. ตอนที่พูด เห็นนิมิต ฝันนี้ 600 ปีก่อน ค.ศ. นี่ประมาณ 400 เพราะฉะนั้น หายไป 200 ปีเกิดขึ้น ซึ่งมีบันทึกไว้ นี่ประวัติศาสตร์ 400 ปีก่อน ค.ศ. มีบันทึกไว้ว่ากษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำกองทัพทหารกว่า 36,000 นายเข้าประชิด ตีมีเดียเปอร์เซียได้ เป็นผลสำเร็จ โดยมีเดียเปอร์เซียสูญเสียกองทัพทหาร ซึ่งล้มตายในสงครามครั้งนี้ กว่า 20,000 นาย ในขณะที่กองทัพกรีก สูญเสียกำลังเพียงแค่ไม่กี่ร้อยนาย เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ใครอยู่เบื้องหลัง? พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระคัมภีร์บอกว่าเพื่อแผนการของพระองค์ เพื่อถวายเกียรติสิริแด่พระองค์ และเป็นสิ่งดีสำหรับผู้ที่รักพระองค์เสมอ
ดาเนียล 8:8-12 “8 แพะตัวนั้นยิ่งใหญ่มาก แต่เมื่อมันผยองตนขึ้น และเรืองอำนาจสุดขีด เขาอันใหญ่ของมันก็หัก และมีเขาโดดเด่นสี่อันงอกขึ้นแทนที่ ชี้ไปยังทิศทางลมทั้งสี่แห่งฟ้าสวรรค์ 9 มีเขาเล็กๆ งอกขึ้นจากเขาหนึ่งในสี่เขานี้ แล้วงอกขึ้นเรื่อยๆ แผ่อำนาจไปทางใต้ ทางตะวันออก และสู่ดินแดนอันงดงาม 10 มันเติบใหญ่ขึ้น จนถึงบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ แล้วเหวี่ยงดาวบางดวงร่วงลงมาที่พื้นโลก และเหยียบย่ำเสีย 11 มันหยิ่งผยอง ตีเสมอองค์ราชันแห่งกองทัพสวรรค์ โดยเลิกล้มการถวายเครื่องบูชาประจำวันแด่พระองค์ และทำให้สถานนมัสการของพระองค์ตกต่ำ 12 เนื่องจากการกบฏนี้ กองกำลังของประชากรของพระเจ้า และการถวายเครื่องบูชาประจำวัน ก็ถูกมอบไว้ในมือของมัน มันทำอะไร ก็เจริญรุ่งเรืองทุกอย่าง และสัจธรรมถูกเหวี่ยงลงกับพื้น”
คือฟังอย่างนี้แล้ว คล้ายๆ กับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่เราเรียนรู้เรื่องบทที่ 7 ที่เกี่ยวกับอาณาจักรโรมัน ที่มีเขาเล็กๆ งอกออกมา ก็คือแอนตี้ไคร์ซตัวหนึ่ง ซึ่งมันเกิดขึ้นมาเยอะแยะ แต่ไม่ใช่ตัวใหญ่สุดในยุคสุดท้าย ที่เกิดมาจากเชื้อสายของอาณาจักรโรมัน อันนี้ คือตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ซึ่งต่อต้านพระคริสต์ ทุกอย่างทำเหมือนกัน แต่ทำแบบเล็กๆ มีผลเล็กๆ เท่านั้นเอง ตัวนี้เกิดจากอาณาจักรของกรีก ผู้ที่มีอำนาจในอาณาจักรของกรีก 1 ท่าน คือหลังจากที่แพะผู้ คือกรีก ได้โค่นล้มแกะ คือมีเดียเปอร์เซียแล้ว กรีกก็ได้เป็นมหาอำนาจในขณะนั้น ขยายอำนาจออกไปไกลมาก ไปถึงอินเดีย ยุคของกษัตริย์ อเล็กซานเดอร์ มหาราช ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของกรีกนั้น เป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุด และตรงพระคัมภีร์เลย แต่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์เรืองอำนาจอยู่แค่ไม่กี่ปี คือประมาณอายุ 33 ตายแล้ว
พระคัมภีร์บอกว่าเขา ที่ระหว่างตานี้ คืออเล็กซานเดอร์ เขานี้เข้มแข็งมาก คือยิ่งใหญ่มาก แต่มันอายุสั้น แป๊บเดียว ไปแล้ว เขาถูกหักออก ก็คือสิ้นอายุ ตอนอายุ 33 แล้วก็ไม่มีทายาทเหลืออยู่เลย คือการตายของอเล็กซานเดอร์ เขาพากองทัพตีลุยไปถึงอินเดีย ไปสู้กับช้าง จนรบชนะช้าง รบชนะกองทัพอินเดีย จากชื่อแปลกๆ ไปถึงปันจาก ชื่อแบบอินเดีย ชนะ แล้วจะไปต่ออีก ปรากฏว่าพวกแม่ทัพต่างๆ บอกเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว ตีมาตลอดทาง พอเถอะ อยากกลับบ้านแล้ว หมายถึงแผ่อาณาจักรไปมากๆ แล้ว พอแล้ว กลับเถอะ ในที่สุด อเล็กซานเดอร์ก็ยอม แต่ในใจอยากจะรบต่อ คือเขาอายุยังน้อย 32, 33 รบมาตั้งแต่อายุ 16 คิดดูสิ อยากจะรบ ขนาดเดินทางกลับบ้าน ยังแวะข้างทาง ตีเมืองเล็กเมืองน้อยตามไปด้วย ย้อนกลับมากรุงบาบิโลน ที่เคยตีไว้ได้ ก็มาพักที่กรุงบาบิโลน ก่อนที่จะกลับเมือง ปรากฏว่าพออยู่ที่บาบิโลน เขาว่าไม่สบาย ติดเชื้อหรือถูกวางยา ในที่สุดก็ตายที่บาบิโลน
กรีกซึ่งมีการนำทัพโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช ก็เริ่มสั่นคลอน เพราะว่าผู้นำ คืออเล็กซานเดอร์ตายไปแล้ว ตายเร็ว ไม่ได้วางผังไว้เลยว่าให้อำนาจกับใคร? เขาเล่ากันว่าตอนที่อเล็กซานเดอร์ อยู่ที่บาบิโลน กำลังจะสิ้นพระชนม์ มีคนเข้าไปทูลว่าต้องยกอาณาจักรให้ใคร? ใครจะเป็นผู้สืบต่อดี แล้วอเล็กซานเดอร์ตอบว่าให้กับคนที่แข็งแรงที่สุด เพราะฉะนั้น จากนั้นต่อมา แม่ทัพ 4 คนที่เหลือต่างแย่งชิงอำนาจกันว่าใครแข็งแรงกว่า จึงแยกเป็น 4 ส่วน ในนิมิตที่เห็น ก็คือเขาเล็กๆ 4 เขาที่งอกขึ้นมาแทนที่นั่นเอง ดาเนียล 8:22-25 อันนี้บอกก่อนล่วงหน้า ประมาณ 200 ปี โดยดาเนียลได้รับความฝันในนิมิตจากพระเจ้า
ดาเนียล 8:22-25 “22 เขาสี่อัน ซึ่งงอกแทนอันที่หัก คือ สี่อาณาจักร ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นจากชาตินั้น แต่ไม่มีอำนาจเทียบเท่า 23 “ในปลายรัชกาลกษัตริย์เหล่านั้น เมื่อพวกกบฏชั่วร้ายอย่างเต็มที่ จะมีกษัตริย์องค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีหน้าตาถมึงทึง และเจ้าเล่ห์เพทุบาย 24 เขาจะเข้มแข็งมาก แต่ไม่ใช่โดยอำนาจของเขาเอง เขาจะทำให้เกิดความเสียหายย่อยยับ อย่างน่าตกใจ และจะทำสิ่งใดก็สำเร็จลุล่วง เขาจะทำลายบรรดาผู้ทรงอำนาจ และประชากรของพระเจ้า 25 เขาจะทำให้การล่อลวง แพร่ขยายมากขึ้น และถือว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น เขาจะทำลายคนทั้งหลาย ขณะที่พวกเขารู้สึกมั่นคง และเขาถึงกับท้าทายองค์จอมเจ้านาย แต่เขาจะถูกทำลายโดยอำนาจ ซึ่งไม่ได้มาจากมนุษย์”
นี่ก็เล่าถึงเขาเล็กๆ ที่ผมบอกว่าแอนตี้ไคร์ซ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้นำที่จะมาต่อต้านพระเจ้า ข่มเหงประชากรของพระเจ้า ซึ่งคือชาวยิวในสมัยนั้น อะไรจะเกิดขึ้น จากหนึ่งในสี่ของผู้ที่กำลังแย่งอำนาจ หลังจากอเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ เขา 4 เขา ที่งอกขึ้นมาแทนที่เขาอันใหญ่ที่หักไป ก็คือมีแม่ทัพ 4 คนไปครอบครองในสถานที่ต่างๆ แต่ไม่ได้แบ่งกันจริงๆ แบ่งกันว่า …
“อย่าเผลอนะ ถ้าเผลอฉันขยายอำนาจ” อะไรประมาณนั้น
คือแบ่งไปด้วย แย่งไปด้วย และหนึ่งในสี่นั้น ก็คือปัดโทเลมี ไปครอบครองอยู่ที่อียิปต์
และช่วงเวลาที่ชาวยิวได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด ในยุคกรีกตอนปลาย ก็คือยุคที่ 1 ใน 4 ของแม่ทัพของอเล็กซานเดอร์ เริ่มแข็งแกร่งขึ้นมา ชื่อเซลูคัด เขาค่อยๆ ตี ค่อยเพิ่มอำนาจขึ้นเรื่อยๆ เขาเป็นหนึ่งในจำนวนแม่ทัพกรีก ในสมัยอเล็กซานเดอร์ เขาขยายอาณาเขตไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขามีผู้สืบทอดอำนาจคนหนึ่ง จำไว้นะ ตัวนี้ ชื่อนี้ คือเขาเล็กๆ ที่มาข่มเหงชาวยิวในสมัยนั้น คนนี้ได้อำนาจ มาจากโลกฝ่ายวิญญาณ มีอำนาจพิเศษ ในตัวเขา ทำสิ่งที่ชั่วร้าย ก็คือยุคของอันทิโอกัส ที่ 4 เป็นผู้นำ ในขณะนั้น
อันทิโอกัส ที่ 4 เขารับสินบนโกงพระวิหารของพระเจ้า คือสมัยนั้น เยรูซาเล็ม ตั้งแต่อยู่บาบิโลน เป็นทาส แล้วก็เป็นทาสมาตลอด จนไม่มีอะไรเลย จนกระทั่ง สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีประเทศ มารวมกัน จนถึงปัจจุบันนี้ มาตั้งประเทศได้ เมื่อปี ค.ศ.1948
ก่อนหน้านี้ ผู้นำอื่นๆ ยังเกรงใจ ยังดูแล เป็นเมืองขึ้นเฉยๆ แต่อันทิโอกัส ที่ 4 เริ่มโกงเงินพระวิหาร คือเล่นการเมือง เอาผลประโยชน์จากพระวิหารของพระเจ้า มีเรื่องภาษี มีเรื่องทรัพย์สมบัติต่างๆ แล้วต่อมาอันทิโอกัส ก็ได้นำทัพ ไปโจมตีปัดโทเลมีที่อียิปต์ ปรากฏว่าปัดโทเลมีไปทำสัญญากับอาณาจักรโรมัน ซึ่งกำลังเริ่มต้นเรืองอำนาจขึ้น อันทิโอกัส ที่ 4 ก็แพ้ เพราะไม่มีคนช่วย แพ้สงคราม ต้องจ่ายเขา และขณะเดียวกัน ก็ถอนทัพกลับมา เจ็บใจด้วย อายเขาด้วย แค้นใจ จึงระบายความแค้น และถือโอกาสปล้นพระวิหารของพระเจ้า ในกรุงเยรูซาเล็ม คือปล้นสะดมผู้คน ออกคำสั่งห้ามชาวยิว ทำพิธีทางศาสนา ห้ามฉลองเทศกาลต่างๆ และเผาหนังสือธรรมบัญญัติทั้งหมด ก็คือเผาหนังสือ 5 เล่ม พระคัมภีร์เดิมทั้งหมด เผาหมดเลย ห้ามชาวยิวเข้าสุหนัต คือห้ามทำพิธีทางศาสนา เหมือนปิดโบสถ์ เผาหมดเลย ใครขัดขืน ฆ่าตายหมด นี่แหละถูกข่มเหงรังแก อย่างที่ตะกี้นี้บอก เขาเล็กๆ นี้ ก็คืออันทิโอกัส ที่ 4
อันทิโอกัส ที่ 4 พยายามทำลายทุกสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของยิว ซึ่งทำให้ยิวเจ็บปวด ทุกข์ใจมากๆ อย่างแสนสาหัส ในขณะนั้น ถูกย่ำยีหัวใจ ย่ำยีเฉพาะชีวิตของพวกเขา ไม่เท่าไร? ย่ำยีพระเจ้าที่เขารักและบูชาอยู่ มันทนไม่ได้ บางคนก็ยอมพลีชีวิต ไม่ปฏิเสธพระเจ้า ยอมตาย เขาไม่ให้อธิษฐาน ก็อธิษฐาน เขาไม่ให้อ่านพระคัมภีร์ ก็อ่าน เขาไม่ให้ซุกซ่อนบันทึกธรรมบัญญัติของพระเจ้า ก็ซุกซ่อนไว้ จับได้ ก็ถูกฆ่าตาย เขาก็ยอม นี่คือความเชื่อของชาวยิวในขณะนั้น ที่ไม่ยอมแพ้ ยอมเสียสละชีวิต เพื่อสำแดงความเชื่อ ตามที่บันทึกตามนิมิตที่เราอ่านเมื่อตะกี้ บอกว่าจนกระทั่งอันทิโอกัส ที่ 4 สิ้นพระชนม์ แบบทุกข์ทรมาน แบบประหลาดๆ คล้ายๆ กับกษัตริย์เฮโรด ในสมัยพระเยซูนั่นแหละ คือพระเจ้าเอาเขาออกไปนั่นเอง
ทั้งหมดที่ผมเล่า ก็เพื่อให้ท่านเห็นภาพชัดเจนว่าเรื่องราว ในพระคัมภีร์ที่เป็นการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น มันได้เกิดขึ้นจริงๆ ตามนั้น ทุกประการเลย และในข้อสุดท้ายของดาเนียล 8 :26 บอกไว้อย่างนี้
ดาเนียล 8:26 “นิมิตเกี่ยวกับวันและคืน ซึ่งบอกท่านแล้วนั้น จะเป็นจริง แต่จงประทับตราเก็บไว้ เพราะเกี่ยวกับอนาคตอันไกล”
นี่คือวาระ อีกวาระ อีกครึ่งวาระ อีกสองวาระ ปิดไว้ ไม่ให้รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร? แต่ให้รู้ว่าจะเกิดขึ้นอย่างนี้แล้วกัน พระเจ้าได้บอกความหมายต่างๆ อธิบายความหมายของนิมิตให้ฟัง เพื่อให้ประชากรของพระองค์ได้รับทราบล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพื่อให้ประชากรของพระองค์เชื่อมั่น และวางใจว่าสิ่งเหล่านี้ พระเจ้ารู้หมดแล้ว เป็นผู้วางแผนทั้งหมด ดูแลอยู่ ที่ไม่บอกเวลา ก็เพราะว่าถ้าบอกแล้ว เราก็จะไปจดจ่อตรงเวลานั้น แล้วเราก็จะไม่ไปทำตามแผนการของพระเจ้า เราก็จะไม่ไปไหนเลย เพราะเราก็จะนั่งรอว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร? ในมัทธิว 24:36 จึงบันทึกไว้อย่างนี้
มัทธิว 24:36 “ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์ หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้น ที่ทรงทราบ”
นี่พระเยซูกำลังพูดถึงยุคสุดท้าย ที่พระเยซูจะกลับมาใหม่ กลับมาพร้อมกับเมฆ เหล่าสาวกถามพระเยซู …
“เมื่อไรพระองค์จะกลับมา สร้างโลกใหม่ ที่เราจะอยู่ด้วยกัน ครอบครองในสวรรค์สถาน ไม่มีบาปอีกแล้ว ที่จะอยู่กับพระบิดา เห็นพระบิดาหน้าต่อหน้า เราจะทุกข์ลำบากอย่างนี้ถึงเมื่อไร?”
พระเยซูก็บอกว่า “ไม่มีใครรู้หรอกเวลา แม้แต่เราก็ยังไม่รู้เลย พ่อเท่านั้นที่รู้”
เพราะฉะนั้น เมื่อหลายสิ่งหลายอย่างที่พระองค์บอกนั้น เป็นความจริงทุกอย่าง ที่เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และได้อ่านพระคัมภีร์บอกล่วงหน้าแล้ว และได้เห็นอย่างนั้นจริงๆ และมันก็เป็นจริงๆ ตามนั้น เพราะฉะนั้น สุดท้าย ตามพระคัมภีร์บอก มันก็จะเป็นจริงด้วย จริงไหม?
นี่เรากลับมาที่นิมิตใหญ่แล้วนะ นิมิตใหญ่ที่ดาเนียลเห็น ตั้งแต่สมัยนิมิตที่พระเจ้าให้ผ่านทางกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ จนกระทั่งถึงนิมิตที่ตัวเองได้ เมื่อตอนบทที่ 7 นิมิตใหญ่ หลังจาก 4 อาณาจักรนี้จะมีก้อนหิน ซึ่งไม่ได้ทำด้วยมือ มาจากพระเจ้า ก้อนหินนี้จะถูกขว้างไปที่เท้าของรูปปั้นนั้น ทำให้รูปปั้นนั้นพังทลายลงมาหมดเกลี้ยงเลย แล้วหินนั้น ก็จะค่อยๆ ใหญ่ขึ้นๆ จนเป็นอาณาจักรครอบครองโลกนี้เลย นั่นคืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่เราจะครอบครองร่วมกับพระองค์ ซึ่งเรียกว่าสวรรค์สถานนิรันดร์กาลนั่นเอง มันก็ต้องเป็นจริงตามนั้นด้วยเช่นกัน เพราะเป็นจริงมาแล้ว 95% เพราะฉะนั้นอีก 5% มันก็ต้องจริงเป๊ะๆ มันไม่มีทางอื่น มันชัดเจน มันละเอียดอ่อนจริงๆ
ชีวิตที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ ไม่ว่าทุกข์ยากลำบากมากหรือน้อยก็ตาม ทุกวันที่ท่านตื่นขึ้นมา และมีลมหายใจอยู่ ท่านกำลังรับใช้พระเจ้าอยู่ เสร็จสิ้นงาน ก็คือหมดลมหายใจ ท่านอย่าไปนึกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นแหละ กำลังทำอยู่ เพราะฉะนั้น แล้วแต่พระองค์จะใช้เราในลักษณะเช่นใด ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงใช้เราเป็นภาชนะที่ดี คือรู้จักพระเจ้าแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ใช้เราเป็นภาชนะที่ไม่ดี เป็นภาชนะที่ทุกข์ทรมาน ก็คือใช้เรา ขณะที่เราไม่รู้จักพระเจ้าด้วย แย่เลย เข้าใจใช่ไหมครับ หมายถึงอะไร?
เพราะฉะนั้น พระเจ้าให้เราอ่าน เล่าเรียน หรือศึกษาถ้อยคำของพระองค์เหล่านี้ จากอดีตต่างๆ ก็เพื่อให้รู้ว่าความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ผ่านไปได้ ถ้าเผื่อบรรพบุรุษของเราตั้งแต่สมัยยิว จนกระทั่งถึงชาวคริสเตียน 2,000 ปีมาแล้ว เขาผ่านมาได้อย่างไรความทุกข์ยากลำบากใหญ่ยิ่งกว่าเราตั้งเยอะ เขายังผ่านได้ เราก็ผ่านได้แน่ๆ เขาเป๊ะ เราก็เป๊ะๆ เขาทุกข์ เราก็ทุกข์ เขาทุกข์เยอะกว่าเรา เราทุกข์นิดเดียวเอง ในสมัยยุคเริ่มต้นใหม่ๆ ชาวยิวที่อยู่ที่เยอรมัน ในวันคืนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านคิดถึงฮิตเลอร์ที่ข่มเหงชาวยิวขนาดนั้น ทุกข์ทรมานกว่านี้อีกเยอะเลย ของเราอาจจะนิดเดียว แต่แน่นอนสำหรับคนทุกคนอาจจะไม่มีคำว่านิดหรอก เปรียบเทียบกันไม่ได้ สำหรับคุณนิด สำหรับผมไม่ไหวแล้ว เรามาเทียบกันไม่ได้ ถ้าพระองค์ให้เราเป็นกระถาง เราก็รับแบบกระถาง ถ้าเราเป็นชาม เราก็รับแบบชาม ถ้าเราเป็นถ้วยตะไล เราก็รับแบบถ้วยตะไล ถ้าเราเป็นหลอด เราก็รับแค่หลอด มันก็เต็มของเราแล้ว แต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ไม่ต้องมาวัดว่าใครใหญ่กว่าใคร? ของใครหนักกว่ากัน? เพราะฉะนั้น ให้เราวางใจพระเจ้าในสิ่งนี้
ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามในขณะนี้ ไม่ว่ามันจะใหญ่ขนาดไหน? เจ็บปวดอย่างไร? หรือมันทุกข์อย่างไรก็ตาม ท่านมีความหวังใจเสมอ เมื่อท่านเรียนรู้เรื่องราวถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ อยากจะบอกท่านและให้กำลังใจกับท่าน ให้ท่านมีความหวังว่าวันหนึ่ง พระเยซูคริสต์จอมเจ้านายเรา จะกลับมาใหม่ แล้ววันนั้น แอนตี้ไคร์ซปฏิปักษ์พระคริสต์จะถูกจับโยนออกไป จบ แล้ววันนั้นจะตกแต่งและปรับปรุงโลกนี้ใหม่หมดเลย รวมทั้งร่างกายเราก็ใหม่ด้วย ร่างกายที่เก่าๆ ทุกวันนี้ ทำใหม่หมดเลย ไม่ต้องไปแต่งหน้าแต่งตาแล้ว สวย หล่อตลอดเวลา ทรงผมก็สวยดี ทุกอย่างดีหมดเลย แถมไม่ป่วย ไม่ไข้ ไม่เจ็บ เอเมน
นี่คือความหวังของเราที่ตื่นมา เราควรจะเห็นภาพเหล่านี้ ซึ่งคนไม่เชื่อ ก็มองไม่เห็น แต่ถ้าเราเชื่อ เราจะเห็นกับตา สวรรค์สำหรับคนที่เชื่ออย่างเดียว ถ้าคนไม่เชื่อ จะไม่เห็นสวรรค์ โลกนี้ ก็เหมือนนรก พูดง่ายๆ เชื่อแล้ว มีใครอยากอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป ไม่อยากอยู่หรอก เพราะเรารู้แล้วว่าสวรรค์ดีกว่านี้ พระเจ้าสัญญาว่าจะตกแต่งบ้านนี้ใหม่ ร่างกายนี้ใหม่ โลกนี้ใหม่ เต็มไปด้วยความสมบูรณ์ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีความทุกข์ยาก ไม่มีความบาปอีกต่อไปนิรันดร์
พระเจ้าต้องการให้เราจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน คือสวรรค์สถาน ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ดังนั้น ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ในขณะนั้น ในชีวิตของเราก็ตาม ให้เรารู้ว่ามันแป๊บเดียว ก็ผ่านไปแล้ว ให้เรามีความหวังใจในความสุขนิรันดร์ ในสวรรค์สถานที่เราจะครอบครองร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่แป๊บ ไม่ใช่พันปี ไม่ใช่หมื่นปี แต่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่านิรันดร์ มันหมายถึงตลอดไป และในชีวิตนี้ บนโลกใบนี้ ไม่ต้องห่วง ถ้ามันทุกข์ยากลำบาก พระองค์จะพาเราผ่านความทุกข์ยากลำบากด้วยตัวของพระองค์เอง ที่สถิตอยู่กับเรา และครอบครองทุกอย่างบนโลกใบนี้ พระองค์สัญญาไว้อย่างนั้น ถ้าเราคิดว่าไม่ไหว เดี๋ยวพระองค์ก็จะพาเราผ่าน เพราะพระองค์ไหว เราไม่ไหว ไม่เป็นไร แต่พระองค์ทรงทำได้ทุกอย่าง พระองค์มีกำลัง จงจำไว้ใน 2 โครินธ์ 4:16-18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า
2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”
และสิ่งที่เรามองไม่เห็น ที่อยู่ถาวรนิรันดร์นั้น สรุปรวมกัน เรียกว่าสวรรค์สถาน เอเมน
*******************