วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1524

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  พฤษภาคม  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย”  ตอน 17

โดย  วราพร  คงล้วน

            เรามาดูในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 5 เดือนที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 14 ที่บอกว่า …

        กาลาเทีย 5:14 “บทบัญญัติทั้งหมดสรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”

            อาจารย์เปาโลกำลังคุยถึงเรื่องของการประพฤติตามบทบัญญัติ ไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปและความตายได้  ไม่สามารถทำให้มนุษย์ได้รับความรอดได้   เพียงความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่จะสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นได้ สรุปคนยิวในยุคก่อนหน้านั้น ก็คือพวกธรรมาจารย์ ฟาริสีได้ออกกฎมา 613 ข้อ จากที่เริ่มต้น คือพระเจ้าให้มา 10 ข้อ บวกมาเรื่อยๆ  คือพัฒนาการฝึกฝนในการกระทำตามกฎบัญญัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมาถึงยุคของพระเยซูคริสต์ พระเยซูรวบยอด บทบัญญัติมาเป็นบัญญัติเดียว และบัญญัติเดียว พระเจ้าบอกให้พวกเราทำตาม ก็คือให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ก่อนหน้านั้น ก็คือจงรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง

            สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ถ้าเรายังเป็นมนุษย์คนเดิม คือเป็นมนุษย์บาป ซึ่งมันทำไม่ได้อยู่แล้ว มนุษย์บาปข้างในยังไม่มีความรัก เมื่อข้างในวิญญาณไม่มีความรัก จะไม่สามารถผลิตความรักชนิดแบบพระเจ้าออกมาได้ เป็นไปไม่ได้ แต่ว่าพระเยซูคริสต์พูดตรงนี้หมายถึงในวันที่พระองค์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ   พระองค์เป็นความรัก  ใครก็ตามที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ให้พระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาในวิญญาณของเราปุ๊บ วิญญาณใหม่ของเรา เกิดเป็นความรักเลย เมื่อเกิดมาเป็นความรักปุ๊บ เราก็สามารถผลิตผลแห่งความรักออกมาให้กับผู้อื่นได้ เกิดมาเป็น ฉะนั้น สิ่งที่พระเยซูคริสต์สั่ง ก็คือไม่เป็นภาระ มันมีอยู่แล้ว พระเจ้าให้อยู่แล้วความรัก เราแค่นำเอาสิ่งที่เรามีอยู่ ตัวตนใหม่ของเรา ที่เป็นอยู่ให้สำแดงออกไปเท่านั้นเอง ไม่เป็นภาระใดๆ แล้วเราสามารถทำได้ด้วย  ไม่ใช่กำลังของเรา  พระเจ้าได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว พอมาวันนี้ เรามาต่อข้อที่ 15 …

        กาลาเทีย 5:15 “หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดีจะย่อยยับไปตามๆ กัน”

            เวลานั้น ชาวกาลาเทียน่าจะมีปัญหา ทะเลาะเบาะแว้งในหมู่คริสเตียน บางทีเราคิดว่าเป็นคริสเตียนทะเลาะกันได้ด้วยเหรอ ทะเลาะได้ เป็นคริสเตียนถ้าเราเผลอ เราก็อาจจะมีพฤติกรรม แบบนั้น ไปทะเลาะเบาะแว้งกับใครเราไม่รู้ การทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ได้เป็นผลพระวิญญาณ  ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกว่ายังคงทะเลาะกันอยู่ ระวังจะย่อยยับไปตามๆ กัน คือมันไม่ได้เกิดผลดีสำหรับชีวิตของเรา ทั้งคนที่ชวนทะเลาะและคนที่ร่วมวงทะเลาะด้วย

            ถ้ามีคนมาชวนเราทะเลาะ วิธีดีที่สุด เราเดินหนี ไม่ต้องไปทะเลาะด้วย แล้วการเดินหนีของผู้เชื่อ ไม่ได้หมายความว่าเราแพ้ เราเป็นผู้ชนะ เราสามารถบังคับตนเองได้ สามารถข่มจิตใจของเราได้ เราไม่ทะเลาะกับเขา เหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอกว่าเรื่องที่ขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบกับคนทั้งปวง มันอยู่ที่เราว่าในเหตุการณ์นี้ เราจะชวนทะเลาะต่อ หรือเราจะไม่ทะเลาะกัน ไม่ทะเลาะกัน ก็คือเดินหนีเฉยๆ เขาจะว่าเราขี้แพ้ก็ไม่เป็นไร? เป็นขี้แพ้ แต่ในวิญญาณเรามีความสุข ก็โอเคเลย แต่ถ้าเราชวนทะเลาะ มีเรื่องแน่ๆ จากเรื่องเล็ก มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยเตือนว่าถ้ายังทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ ระวัง มันไม่มีผลดีกับใครเลย มันเสียทั้งคู่

        กาลาเทีย 5:16 “ดังนั้น    ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ   อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป (เนื้อหนัง)”

            การดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ คือยอมให้อิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเราควบคุมเรา กับการไม่ยอม คือการดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง คือเราอนุญาตให้อิทธิพลของโลกใบนี้ส่งเข้ามาควบคุมความคิดของเรา สั่งการให้ร่างกายเราประพฤติปฏิบัติตามเนื้อหนัง ซึ่งเราสามารถที่จะแยกได้ มองเห็นได้ เมื่อเราเป็นผู้เชื่อแล้ว  เราสามารถจับทางได้ ด้วย ณ เวลานี้ เราอยู่ในสภาวะแบบไหน? เรากำลังดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ หรือเรากำลังดำเนินชีวิตตามที่โลกใบนี้ส่งเข้ามา คืออิทธิพลของโลกที่พยายามฉุดรั้งเราให้เราทำตาม

        กาลาเทีย 5:17 “เพราะตัณหาของวิสัยบาปขัดกับพระวิญญาณ   และพระวิญญาณขัดกับวิสัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน สิ่งที่ท่านอยากทำจึงไม่ได้ทำ”

            สิ่งที่ท่านอยากทำ ก็ไม่ได้ทำ อะไรคือสิ่งที่ท่านอยากทำ ผู้เชื่อนะ สิ่งที่เราอยากทำในวิญญาณของเราจริงๆ คือทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราอยากทำมาก เราอยากสำแดงความรักออกไป เราอยากสำแดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตา ความกรุณาออกไป แต่ว่าโดนอิทธิพลของเนื้อหนัง พยายามฉุดรั้งเรา แล้วพยายามที่จะโน้มน้าวเรา ให้ไปทำตามมัน ฉะนั้น 2 อย่างนี้มันอยู่ด้วยกันไม่ได้ พระวิญญาณกับโลกนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้ ความบาปกับความบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ สีขาวกับสีดำก็อยู่ด้วยกันไม่ได้

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลกำลังพูดชัดๆ เลยว่าพระเจ้ากับ อิทธิพลของโลกนี้ คนละพวกกัน ฉะนั้น ให้รับรู้ความจริงว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า วิญญาณข้างในเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เต็มไปด้วยความเชื่อฟัง คือเกิดมาเป็นผู้เชื่อฟังเลยในวิญญาณ พร้อมเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเดียว ไม่ต้องการที่จะกบฏหรือไม่ต้องการที่จะดื้อกับพระเจ้า นั่นคือวิญญาณแท้ๆ ของเรา แต่ว่าความเป็นจริงในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ มันต่อต้านกัน ต่อต้านระหว่างความดีงามที่มันอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้วกับโลกนี้ที่พยายามดึงเราให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า

            ฉะนั้น ตรงนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเราผู้เชื่อว่า ณ เวลานั้น  ณ เหตุการณ์นั้น เราตัดสินใจแบบไหนอย่างไร? แต่อย่างที่บอก  ยังคงยืนกรานเหมือนเดิมว่าถ้า ณ เวลานั้น เราเผลอไปตัดสินใจตามโลกนี้ ไปเผลอทำตามอิทธิพลของโลกนี้ คือทำตามเนื้อหนังนั่นแหละ ทำตามโลกนี้ส่งมา ณ เวลานั้น เรายังคงเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักและเมตตาเหมือนเดิม แต่ว่าถ้าในวิญญาณเรา เราจะไม่สบายใจ มันเป็นทันที คือรับผล ผลที่มันเกิดขึ้น เมื่อทำไปแล้ว ข้างในวิญญาณ เราไม่น่าทำเลย ไม่น่าตัดสินใจแบบนี้ แล้วเราก็จะเริ่มต้นขอกำลังจากพระเจ้า แล้วในอนาคตข้างหน้า ถ้าเราเจอเหตุการณ์นี้อีก เราก็อาจจะสามารถต่อต้านมัน สามารถหยุด ไม่เอา …

            “ฉันไม่ทำตามแก ฉันจะทำตามพระวิญญาณที่อยู่ในฉัน”

            เราก็จะเป็นผู้ชนะ แล้วมันจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป  มีคนถามว่าเราจะต้องต่อสู้แบบนี้ นานขนาดไหน? พี่น้องว่านานขนาดไหน?  ในขณะที่เราเป็นผู้เชื่อแล้ว อาจารย์เปาโล ซึ่งเป็นผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้ามากๆ อาจารย์เปาโลพูดเองเลยว่า …

            “ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่น่าสมเพชอะไรเช่นนี้ สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ ข้าพเจ้าก็ยังทำอยู่”

            อะไรที่อยากทำ ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า สิ่งที่ติดตามตัวอาจารย์เปาโลอยากทำ แต่มันทำไม่ได้ ทำไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ที่ไม่อยากทำ คือไปโต้ตอบคนอื่น มันไม่ได้เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา เราไม่อยากทำ แต่เผลอ เรายังไปทำมัน แล้วอาจารย์เปาโลบอก ถ้าพูดภาษาปัจจุบัน “มันทุเรศตัวเองจริงๆ” นึกออกไหม? ทำไมถึงน่าเวทนาอะไรเช่นนี้ ขนาดตัวเองมีความเชื่อขนาดนี้ ในขณะที่อยู่ในร่างกายนี้ เรายังฝืนไม่ได้ ยังเผลอไปทำสิ่งที่ไม่อยากทำเลย

            อาจารย์เปาโลบอก “ถ้าเกิดข้าพเจ้าทำแบบนี้ มันไม่ใช่ฉันทำนะ แต่เป็นอิทธิพลของโลกนี้ มาโน้มน้าวให้ฉันเผลอทำ แต่ตัวตนจริงๆ ของฉัน คือฉันเป็นความรัก ฉันเมตตากรุณา ฉันเป็นความสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเลย”

            นี่คือสิ่งที่อยู่ในชีวิตของผู้เชื่อทุกๆ คน พี่น้องไม่ต้องขอพระเจ้าให้เอาออกไปนะ มันเป็นไปไม่ได้ ก็แล้วแต่ในชีวิตประจำวันของเราว่าเราอนุญาตให้ถ้อยคำของพระเจ้าแห่งความจริง สะสมเข้ามาในตัวเรามากน้อยแค่ไหน? ความจริงที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นความดีงาม เป็นความชอบธรรม เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรัก เป็นผู้ที่เต็มล้นไปด้วยความเมตตา  ฉันเป็นอย่างนั้น  พอเรารู้ความจริงแบบนี้ เราก็สามารถแบ่งส่วนนี้ออกไปได้เยอะหน่อย แต่ถ้าเราไม่รู้ เราก็โดนอิทธิพลของโลกนี้หลอกให้เราทำตามเดิมๆ  เหมือนความเคยชินเดิมๆ ที่เราทำอยู่  ตอนก่อนที่มาเชื่อพระเจ้า เราโต้ตอบทันที เหมือนคนว่าเรา เราว่ากลับทันที มันเป็นอัตโนมัติ เป็นธรรมชาติเดิมของเรา ซึ่งเดี๋ยวนี้ ณ เวลานี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราไม่มีธรรมชาตินั้นอยู่ในตัวเราอีกเลย แม้แต่นิดเดียว

            ถ้าเราทำ แปลว่าไม่ใช่ฉันทำ เราถูกหลอก แค่นั้นเอง และเมื่อเราถูกหลอก เราก็เก็บเกี่ยวผล เวลาเราไปทำไม่ดีกับใคร? คนที่ถูกเราทำ เขาก็เหม็นหน้าเรา เขาก็ไม่ชอบหน้าเรา เจอคนนี้ไม่ชอบหน้า มาทำเรา มาว่าเราตลอดเวลา ไม่ชอบหน้า เท่ากับเราได้เก็บเกี่ยวผล แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา สำแดงความรัก ความเมตตาออกไป เราก็เก็บเกี่ยวผลเหมือนกัน คนที่อยู่ใกล้เรา ก็มีความสุข พอเห็นหน้า มีความสุข อยู่ใกล้แล้วชื่นใจ อยู่ใกล้แล้วเจอแต่สิ่งดีๆ ที่เขาส่งผ่านมาให้เรา คนรอบข้างก็อยากจะอยู่ใกล้ นี่คือผลที่มันจะเกิดขึ้น

        กาลาเทีย 5:18 “แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน   ท่านก็ไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ”

            ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน แปลว่าถ้าท่านบังเกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในท่านแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในท่าน เป็นผู้นำท่าน เมื่อพระวิญญาณนำท่านปุ๊บ ท่านก็ไม่ได้อยู่ใต้กฎบัญญัติ กฎบัญญัติ ก็คือกฎที่ตั้งไว้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎบัญญัติเหล่านี้ พระเจ้าบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหน สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์  100% ฉะนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถกระทำ โดยบทบัญญัติ แล้วพระเจ้าบอกว่าเมื่อท่านได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านได้ตายจากบทบัญญัติเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือตัวเก่าของเรา ที่ถูกควบคุม โดยบทบัญญัติบนโลกใบนี้ ได้ตายไปแล้ว  ฉะนั้น เราไม่ได้อยู่ใต้มัน และเมื่อเรารู้ว่าตัวตนแท้ๆ ของเราไม่ได้อยู่ใต้มัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องฟังเธอ นึกภาพออกไหม? เธอไม่มีอิทธิพลในฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องยอมเธอ ประมาณนั้น

            โลกนี้ ส่งอิทธิพลเข้ามา คือให้ทำอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับตัวตนแท้ๆ ของเรา  เราก็สามารถปฏิเสธมันได้ อันนี้ไม่ใช่ฉัน ฉันเป็นความรัก ฉันเป็นความดีงาม  ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก ก็ปฏิเสธไป แต่ไม่ได้หมายความว่าพอเชื่อพระเจ้าแล้ว เราสามารถปฏิเสธได้ตลอด เราเผลอ เราก็ขอกำลังจากพระเจ้า ไม่ว่าเราจะไม่ทำ หรือเผลอไปทำ เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจ

            พอมาข้อที่ 19 อาจารย์เปาโลก็มาบอกถึงลักษณะของคนที่อยู่ในอาดัมหรืออยู่ในบาปว่ามีลักษณะแบบไหน?

        กาลาเทีย 5:19-21 “19 พฤติกรรมของวิสัยบาปนั้นเห็นได้ชัด   คือการผิดศีลธรรมทางเพศ  ความไม่บริสุทธิ์  และการลามก 20 การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้คาถาอาคม ความเกลียดชัง ความบาดหมาง ความริษยาหึงหวง ความโมโหโทโส ความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรคแบ่งพวก 21 และการอิจฉากัน การเมามาย การมั่วสุมเสพสุราและกาม และอื่นๆ ในทำนองนี้ ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนที่เคยเตือนแล้ว ว่าผู้ที่ประพฤติเช่นนี้   จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”

            จริงๆ ไม่ได้เกี่ยวกับผู้ที่ประพฤติเช่นนี้ แต่เป็นคนแบบนี้  การประพฤติกับการเป็น มันไม่เหมือนกัน เราสามารถเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ที่บางครั้งเผลอประพฤติผิดได้ เราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยแล้ว แต่เผลอไปทำผิด

            แต่ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง คือคนที่อยู่ในสภาวะแบบนั้น คือคนที่อยู่ในอาดัม คนที่เป็นแบบนี้จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า ก็คือเขาไม่ได้เชื่อพระเจ้า เมื่อไม่เชื่อพระเจ้า เขาก็ไม่สามารถอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าได้ โดยปริยาย เหมือนกับที่อาจารย์ยอห์นประกาศว่าผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่คนที่ไม่ได้วางใจในพระองค์ เขาก็อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว หมายความว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในความพินาศตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว เพราะว่าเชื้อบาปมันอยู่ตั้งแต่ในอาดัมจนถึงยุคของเรา ฉะนั้น ใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา แต่ละคนที่เข้ามาหาพระเจ้า ก็อยู่ในวาระที่ต่างกัน  บางคนเชื่อพระเจ้าไปแล้ว 40, 50 ปี บางคนเพิ่งมาเชื่อ  บางคนก็เชื่อไป 2, 3 ปี 5, 6 ปี 10 ปีก็แล้วแต่

            แต่ไม่ว่าท่านเชื่อเวลาไหนก็ตาม ท่านก็เป็นลูกพระเจ้า เวลานั้น นั่นแหละ ถ้า 30 ปีที่แล้ว ท่านเชื่อพระเจ้า ตั้งแต่ตอนนั้น ท่านก็เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าเป็นแล้ว เป็นเลย ก็คือไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ที่จะสามารถดึงเราออกจากมือของพระเจ้าได้ ไม่มี ไม่ว่าการประพฤติของเรา โลกนี้มองเราแบบไหน? ทำไมคริสเตียนทำแบบนี้ พระเจ้าไม่เอาเธอแน่ๆ แต่ยืนกรานว่าไม่ว่านิสัยจะเป็นแบบไหน? พระเจ้าก็ยังรักฉันเหมือนเดิม นึกออกไหม? แค่ว่าฉันกำลังค่อยๆ ฝึกฝนนิสัยให้มันดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะฝึกฝนเรา ให้เราดีขึ้นเรื่อยๆ เราลองหันไปดูชีวิตตัวเอง ตั้งแต่วันแรกที่เชื่อพระเจ้า จนถึงวันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงที่เราก็งงเหมือนกัน เปลี่ยนได้อย่างไร? งง แล้วทำไมเราถึงสามารถมีความสุขได้ ในเหตุการณ์เยอะแยะมากมาย ทั้งๆ ไม่น่าจะมีความสุขได้เลย แต่เราสามารถทำได้ เรามีความเมตตากับคนอื่นมากขึ้น เราสามารถสำแดงความรักกับคนอื่นมากขึ้น มันเกิดมาเป็นธรรมชาติใหม่ ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเราทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงได้ขนาดไหน? พระเจ้าก็ไม่ถือสาเรา เหมือนกับลูก ลูกก็คือลูก เรารักลูก ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นเด็กดี ต่อให้ลูกเราไม่ใช่เด็กดี เราก็ยังคงรักเขา รักมากด้วย ไม่สามารถเอาความรักนี้ไปเทียบกับอะไรได้ เขาบอกว่าความรักของพ่อแม่บนโลกใบนี้ คือสุดยอดที่สุด  ไม่มีความรักไหนที่จะสามารถเทียบพ่อแม่ได้ ไม่ว่าพ่อแม่คนนั้นจะสามารถเอื้ออำนวยความสะดวกให้ลูกมากน้อยแค่ไหน? ก็แล้วแต่ เพราะว่าต้นทุนชีวิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ว่าสิ่งที่เท่ากัน คือความรักที่อยู่ในวิญญาณของพ่อและแม่ที่พระเจ้าใส่มามันเท่ากัน  ต่อให้ลูกเราไม่ดี เราก็ยังคงรักเขา  ต่อให้ลูกเป็นโจร พ่อแม่ก็ยังคงรักเหมือนเดิม แค่ว่าเราเสียใจกับลูกเรา  เราอยากให้ลูกเราเป็นคนดี แค่นั้น แต่ว่าไม่สามารถกำจัดเขาออกไปจากชีวิตของเราได้

            ถ้าเราเจอลูกเป็นคนดี ขอบคุณพระเจ้า พี่น้องนึกภาพออกไหม? ถ้าลูกเราเป็นเด็กดี โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี อยู่ในสังคมที่ดี  ไปถึงไหนก็มีแต่คนชอบ ลูกเราไม่ได้ยิ้มกว้างเหมือนเราหรอก ลูกเราก็โอเคๆ คนชื่นชอบ แต่คนที่มีความสุขมากที่สุด ก็คือพ่อแม่นั่นแหละ และถ้ามีใครมาชมลูกเรา ปลื้ม ดีใจมากๆ ที่คนมาชมลูกเรา นี่คือธรรมชาติ มันเป็นความรัก รู้สึกภาคภูมิใจในลูกของเราที่เขาเป็นคนดี และมีคนชม  แต่ถ้ามีคนมาติลูกเรา เธอติได้ แต่ฉันก็ยังคงรักลูกของฉันอยู่ นึกภาพออกไหม? มันเป็นความรักชนิดที่พระเจ้าใส่เข้ามาในคุณพ่อคุณแม่ทุกคน แล้วถ้าเราเป็นผู้เชื่อ ยิ่งสบายใหญ่เลย เรามีพระเจ้า เราก็อธิษฐานกับพระเจ้า ขอพระเจ้าเมตตา ขอพระเจ้าทรงปกปักษ์พิทักษ์รักษา คุ้มครองลูกเรา  ทรงเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเขา ให้เขาเป็นคนดีได้ นี่คือสิทธิพิเศษที่พระเจ้าให้กับพวกเรา

            ฉะนั้น สิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดถึงทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์คนเดียวจะมีพฤติกรรมแบบนี้ทั้งหมด ไม่ใช่ แต่ว่ามันเป็นอาการ ลักษณะที่คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า อยู่ในบาปจะส่งพฤติกรรมแบบนี้ออกมาเยอะเป็นพิเศษ เพราะว่าไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขา แม้ว่าคนบาป เขาอาจจะประพฤติดีได้ แต่ไม่ว่าเขาประพฤติดีขนาดไหน? พื้นฐานข้างในวิญญาณของเขา ก็เป็นบาป เป็นต้นไม้ที่รอวันเอาไปเผาทิ้งเท่านั้นเอง พอมาข้อที่ 22

        กาลาเทีย 5:22-24 “22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ 23 ความสุภาพอ่อนโยน  และการควบคุมตนเอง สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย 24 ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์  ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาป  ไว้ที่กางเขนแล้ว”

            ฉะนั้น ผลของพระวิญญาณ คือลักษณะแบบนี้ และ ณ เวลานี้ พวกเราผู้เชื่อทุกคน มีผลนี้อยู่ในวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว พอเรารู้ว่าเรามีผลนี้อยู่ในวิญญาณของเรา เราก็ค่อยๆ พัฒนา ฝึกฝนให้ผลนี้ ถูกสำแดงออกไป เรารู้สึกไหมว่าเรามีความสุขมากขึ้น  เรามีความรักมากขึ้น เรามีความชื่นชมยินดีกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเมื่อก่อนจะไปยินดีอะไร? แต่เดี๋ยวนี้ เราชื่นชมยินดี อย่างตะกี้มีอะไรขาดตกบกพร่อง แทนที่เราจะโวยวาย เรากลับขำ ปล่อยผ่านไป นี่คือลักษณะของความอดทนต่อกันและกัน ดีต่อกันและกัน

            ลักษณะแบบนี้ เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เราสามารถเปรียบเทียบชีวิตของเรา ในแต่ละวันว่าเราได้สำแดงผล ไม่ได้หมายความว่าทุกวันเราจะสำแดงผลทุกผลออกมา ไม่ใช่ ก็คือในโอกาส หรือในเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำเราให้สำแดงผลอะไรออกมา อย่างเช่น ผลแห่งความอดทน ถ้าเราไปเจอคนงี่เง่า ผลแห่งความอดทนมันจะสำแดงออกมา เราก็จะสามารถอดทนได้ 1, 2, 3, 4, 5, 6 นี่มันจะออกมาเองโดยอัตโนมัติ บางทีเราก็งง เราทำได้อย่างไร?  เรื่องอย่างนี้ไม่น่าอดทนได้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ก็พาเราสำแดงสิ่งนี้ออกไปให้คนอื่นได้เห็น

            ข้อที่ 24 ที่บอกว่าผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้ตรึงวิสัยบาป ตรึงเนื้อหนังเก่า ตรึงกิเลสตัณหาเก่า ที่เป็นตัวตนเก่าที่เราอยู่ในอาดัม อยู่ในบาป ตรงข้ามกับพระเจ้า อยู่ในความสาปแช่งได้ถูกตรึงไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว  เมื่อถูกตรึงไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีผลอะไรกับชีวิตของเรา มันมีแค่สิทธิ์ที่จะหลอกเรา นึกว่าเรายังอยู่ตรงนั้นอยู่ เรายังคิดว่าเราอยู่ในอาดัม เรานึกว่าเรายังอยู่ในบาปอยู่ ไม่ใช่ เราไม่ได้อยู่ในบาป  เราไม่ได้รู้สึกว่าเราอยากทำบาป  เราไม่ได้อยากจุมปุ๊กตัวเองอยู่ในบาป  ไม่ใช่ ฉะนั้น ตรงนี้ ให้เรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าได้นำเอาตัวเก่าที่เป็นบาปของเราตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว และ ณ เวลานี้ เราเป็นคนใหม่ในพระเยซูคริสต์ เรามีวิญญาณใหม่ที่พระเจ้าเปลี่ยนให้เราใหม่ มีจิตใจใหม่  ที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของความบาปและความตายอีกต่อไป ฉะนั้น เราสามารถที่จะยืดอก และไม่ยอมมันได้

            ขอพระคุณพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในเราเปิดเผยสำแดง ให้เราสามารถเห็นถึงความจริงเหล่านี้ เพื่อว่าชีวิตของพวกเราทุกๆ คนจะได้สามารถสำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราออกมาได้มากขึ้นๆ ทุกวันๆ เอเมนไหม? พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! ท่านมีวิญญาณใหม่ ใจใหม่ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สถิตอยู่ด้วยภายในตลอดเวลา

            พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสือเอเสเคียล 36:25-27 ว่า … “25 เราจะประพรมน้ำ ชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้า  จากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 จะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า  เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเรา ไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า  ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

            เมื่อมนุษย์ผู้ใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้ามิได้ให้พระวิญญาณของพระองค์สถิตอยู่กับเราเท่านั้น แต่พระองค์ได้ทรงให้วิญญาณใหม่กับเราด้วย เพราะมนุษย์ถูกสร้างประกอบไปด้วยร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ตัวตนจริงๆของเราคือวิญญาณและใจ ที่อาศัยอยู่ในเรือนดิน คือร่างกายนี้

            มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้เป็นวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป อยู่ใต้อำนาจบังคับของบาป เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ เพื่อตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ด้วย วิญญาณใหม่และใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์ ความต้องการภายในจิตใจ แรงจูงใจภายในจิตใจใหม่ทั้งสิ้นเหมือนพระเจ้า

            วิญญาณและใจใหม่ของเรา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์จากเดิม กลายเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ มีความต้องการ มีความดีงาม มีความบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู  เมื่อสะอาดบริสุทธิ์ไร้ตำหนิแล้ว พระวิญญาณของพระองค์ ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา รวมเป็นหนึ่งกับวิญญาณของเราที่เกิดใหม่นั้นได้ทันที

            ไม่ว่าเราคริสเตียนผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จะได้รับการฝึกฝนจากพระเจ้าให้ดำเนินชีวิต สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมแล้ว ในวิญญาณนั้นฝึกฝนได้มากเท่าไหร่ ในความประพฤติให้สมกับเป็นลูกของพระองค์ก็ตาม ก็ไม่มีวันที่จะกระทบต่อความเป็นลูก ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมในวิญญาณ ตัวตน ธาตุแท้จริงๆ ของเราเลย เรายังคงเป็นลูกของพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมตลอดไปนิรันดร์

            ลิงพยายามฝึกฝนเดินตัวตรงเท่าไหร่ ก็ยังเป็นลิง มนุษย์ฝึกฝนคลานเหมือนลิงเท่าไหร่ ก็ยังคงเป็นมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลง ทาร์ซาน คือมนุษย์ ต่อให้ไปอยู่กับลิงนานแค่ไหน? พยายามพูดภาษาลิง ทำท่าทางเหมือนลิง กินอาหารเหมือนลิงได้ แต่ธรรมชาติของทาร์ซาน ตัวตนแท้ๆ ของทาร์ซานเป็นมนุษย์วันยังค่ำ

            อย่างไรก็เป็นมนุษย์ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้  เพราะนี่คือธรรมชาติ เขาเกิดมาเป็นมนุษย์ ต่อให้เขาอยู่กับลิงมาเป็น 10 ปี ประพฤติปฏิบัติตัวเหมือนลิง เขาก็ยังเป็นมนุษย์  มีธรรมชาติเดียว คือธรรมชาติมนุษย์  แต่ประพฤติเหมือนลิง อย่างนี้ถึงจะถูก

            ฉันใดก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่า “เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า และได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว บริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลง ให้เราเกิดใหม่ มีธรรมชาติตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็คือธรรมชาติของเรา จากธรรมชาติวิสัยบาป หรือภาษาเดิม ที่แปลภาษาอังกฤษ เรียกว่า Sinful nature มาเป็นธรรมชาติแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า คือเป็นเหมือนพระเยซู เป็นเหมือนพระเจ้า และเมื่อพระเจ้าได้เปลี่ยนธรรมชาติของเรา ด้วยการให้เราตายจากตัวเก่า และมาบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระเจ้า ก็จะเป็นลูกของพระเจ้าตลอดไป แม้บางครั้งจะประพฤติตนไม่เหมือนกับเป็นลูกพระเจ้าก็ตาม”

            พระเจ้าอวยพรครับ