วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1545

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  ตุลาคม  2025

เรื่อง “คริสเตียนประกาศข่าวดีอย่างไร?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ สำหรับคริสเตียนทุกคนเลยนะ เรื่อง “คริสเตียนประกาศข่าวดีอย่างไร” อยากรู้ไหม?  คือมีพี่น้องผู้เชื่อหลายท่านสงสัย แล้วก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะมีท่าทีอย่างไร? เกี่ยวกับเรื่องการประกาศข่าวดี เพราะพี่น้องหลายท่าน ที่สงสัย ที่กังวลเรื่องนี้ ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องคริสเตียนที่เชื่อมานานพอสมควรแล้ว เชื่อใหม่ๆ ยังไม่ค่อยเท่าไร?  ยังคิดถึงตัวเองอยู่ แต่พอเชื่อไปสักหน่อยหนึ่ง เริ่มต้นกังวล เพราะเริ่มต้นได้ยินพี่น้องคริสเตียนคนอื่นๆ  หรืออาจารย์สอนคนอื่นๆ  หรือคำบรรยายบอกว่าให้ออกไปประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ เหมือนกับคนโน้นคนนี้เขาประกาศอยู่ คนนั้นก็ประกาศ คนนี้ก็ทำ ท่านก็ควรจะทำ

            หรือบางแห่งเขาบอกว่าท่านต้องทำ เพราะเป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ปุ๊บ ก็เกิดความสงสัยว่า …

            “เอ๊ะ! หน้าที่ เราเป็นคริสเตียน เราต้องทำตรงนี้หรือ?”

            กังวลถึงขนาดไหน?  ถึงขนาดบางคนกลัวเลยว่าไม่ได้ทำ แล้วมันจะผิด  ไม่ได้ทำหน้าที่ของเราในฐานะเป็นคริสเตียนที่ดี ก็เลยกลัว กังวลว่าไม่ได้ประกาศ เดี๋ยวพระเจ้าไม่ชอบ ไม่พอพระทัย ไม่ได้รับรางวัล ไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้า  หรือบางคนหนักกว่านั้น บางคนกลัวถึงขนาดว่าไม่ได้ประกาศ แล้วได้ยินเขาว่าถ้าไม่ประกาศให้กับคนใดคนหนึ่ง ที่พระเจ้าได้นำเราเข้าไปรู้จักกับเขาแล้ว  เขายังไม่ได้รับความรอด ยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า  แล้วเราไม่พูดเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เราต้องรับผิดชอบในชีวิตของเขา  เมื่อเราจากเขามา แล้วเราไม่ประกาศ  คุ้นๆ ไหม?  ใครที่กังวลเรื่องนี้ ยกมือขึ้น  ผมคนหนึ่งล่ะ  ตอนมาเชื่อพอสมควรแล้ว เริ่มคิด แรกๆ ก็คิดตามหน้าที่ว่ามันต้องทำ มันดี มันน่าทำ เราได้ของดี แล้วทำไมไม่ให้คนอื่น มันถูกต้องหมด เหตุผลมนุษย์มันใช่หมดเลย แต่พอนานๆ ไป มันจำไม่ได้ มันทำไม่ได้ทุกคน หมายถึงทุกคนที่เราเจอ ไปขึ้นแท็กซี่ ต้องหาเรื่อง พยายามประกาศ เพราะกลัว ต้องรับผิดชอบ

            “ผมขึ้นแท็กซี่ พอลงจากรถ เขาไม่ได้รับความรอด ผมต้องรับผิดชอบความรอดของเขา”

            หนักใจ แรกๆ ไม่ได้คิดอย่างนั้น  แรกๆ คิดแค่ว่าเราต้องพยายามประกาศ เพราะเป็นหน้าที่ของเรารับผิดชอบความรอดของเขา เป็นหน้าที่ พูดไป มันไม่ได้สำเร็จ พูดไป คนนี้ไม่ได้เชื่อ  คนนั้นก็ไม่ได้เชื่อ พอนานๆ เข้า มานั่งคิด คนไม่ได้เชื่อเยอะเลย  เราต้องรับผิดชอบชีวิตของคนที่ไม่ได้เชื่อตั้งเยอะเลย

            หรือบางคนอธิษฐาน วันๆ หนึ่งเฝ้าแต่อธิษฐานขอความรอดให้กับญาติพี่น้อง คนสนิท หรือคนรักที่เรารู้จักมาก โดยท่าทีนี้เหมือนกัน  คือท่าทีที่ว่าเราต้องรับผิดชอบในชีวิตของเขา  เขาเป็นสามี เขาเป็นภรรยา เขาเป็นลูกของเรา เขาเป็นบุพการีของเรา  เขาเป็นเพื่อนสนิทของเรา เขาเป็นคนดี รับผิดชอบชีวิตของเขา  อธิษฐานมาก ร้องห่มร้องไห้ วันๆ หนึ่ง นั่งแต่อธิษฐาน ฟังดูหรือดูแล้ว มันดีไหม?  ดีนะ ตามภาษามนุษย์ มันดูดีมากเลย อธิษฐานให้คนนี้คนนั้น  เต็มไปด้วยความรัก มันดีนะ  แต่ถามจริงๆ ว่ามันดีจริงๆ ไหม?  เราทำด้วยความรักจริงๆ ไหม?  หรือเรากำลังกังวล  เรากำลังกลัว ให้เป็นคำถามเอาไว้ว่าเราทำนั่น ข้างในลึกๆ เราต้องทำ ทำเพราะถูกกดดันจากคำสอนหรือเปล่า?  ทำเพราะถูกชักจูงจากผู้คนรอบข้างหรือไม่? หรือเราทำจากพระวิญญาณนำ จากข้างในจริงๆ

            วันนี้เราจะมาเรียนรู้กัน ในถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ดีกว่าว่าเป็นคริสเตียนแล้ว เราจะเตรียมพร้อมในการประกาศอย่างไร?  คริสเตียนเตรียมพร้อมที่จะให้เหตุผล สำหรับความหวังที่เรามีในพระคริสต์แก่ทุกคนที่ถามเราอย่างไร? ก็คือการประกาศ เตรียมพร้อมอย่างไร?  ผมเอาข้อสำคัญขึ้นมาเบอร์หนึ่งเลย  สำคัญที่สุดเลย  ก่อนที่จะอ่านถ้อยคำพระเจ้า คือเอาแบบคอมมอนเซ้นต์ เอาแบบธรรมดาเลยนะ

            คริสเตียนเตรียมพร้อมอันดับแรกในการประกาศ คือ … คิดกันใหญ่เลย  เตรียมพร้อมอย่างไร? ต้องอธิษฐานให้พร้อมอะไรต่างๆ ใช่ไหม? ต้องพร้อมอยู่เสมอ ต้องอธิษฐานเยอะๆ ใช่ไหม? ท่านคิดอย่างนี้ใช่ไหม?  ลองคิดคอมมอนเซ้นต์ดู ท่านจะประกาศข่าวดี เรื่องความหวังใจของท่านในพระเยซูคริสต์กับคนที่ไม่เชื่ออย่างไร?

            อันดับแรก คือคิดถึงใจเขาใจเรา  เผลอๆ คนไม่ได้คิดเลยส่วนใหญ่ คิดแต่จะประกาศอย่างเดียว ไม่เคยคิดใจเขาใจเราว่าถ้าเราเป็นคนที่ยังไม่เชื่อ แล้วมีคนมาประกาศกับเราอย่างนี้  เราจะมีความรู้สึกอย่างไร?

            ถ้าเราประกาศข่าวประเสริฐที่เราเตรียมไว้  ถ้าเราประกาศข่าวดี ความหวังใจของเราในพระเยซูคริสต์ ให้กับคนอื่นที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ด้วยวิธีนี้ ที่เราเตรียมไว้ แล้วคนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เรียกว่าคนอื่นๆ ที่ยังมีความเชื่ออื่นๆ มากมายอย่างอื่นๆ  เขาทำแบบนี้เหมือนกันกับที่เราทำกับเขา เราจะรู้สึกอย่างไร?  เราจะรู้สึกพอใจไหม?  เราทำอย่างนี้กับเขา แล้วถ้าเขาทำอย่างนี้กับเรา เราจะรู้สึกพอใจไหม?  นี่ง่ายนิดเดียว  คิดแค่นี้ว่าถ้าเราพยายามยัดเยียด พูดในสิ่งที่เขาไม่รู้เรื่อง แล้วเขาไม่อยากจะฟัง แล้วเราก็พูดๆๆๆๆๆๆ เขาอาจจะเกรงใจเรา เขาอาจจะรู้สึกหงุดหงิด แต่เขาไม่พูด เขาเก็บไว้ในใจ  เราจะเป็นอย่างนั้นเหมือนเขาหรือไม่ หรือว่าจะเป็นหนักกว่าเขา อย่างนี้เป็นต้น

            เพราะต่างความเชื่อกัน แน่นอน เขาก็มีความเคารพ มีสิทธิของเขา ในหลักข้อเชื่อของเขาอยู่ เหมือนเราในอดีต ที่เรายังไม่เชื่อ เราได้รับการประกาศ ก็เช่นเดียวกัน  ไม่ใช่ทุกคนมาฟังประกาศพระเยซู ดีใจ ได้ยินชื่อพระเยซู ส่วนใหญ่ด้วยซ้ำไป ที่จะไม่ชอบ ไม่อยากฟัง ใช่ไหม?

            เรามาดูในพระคัมภีร์ว่าให้คริสเตียนเตรียมพร้อมด้วยวิธีใด 1 เปโตร 3:15 …

        1 เปโตร 3:15 “แต่จงยกย่องพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในใจของท่านเสมอ พร้อมที่จะตอบทุกคนที่ถามถึงเหตุผลของความหวังที่ท่านมี แต่จงตอบด้วยความสุภาพและเคารพ”

            “แต่จงยกย่องพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในใจของท่านเสมอ” ก็คือในใจ เตรียมพร้อมด้วยการร้อง …

            “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” … “พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นอยู่ ผู้ทรงพระชนม์อยู่ สถิตอยู่ในใจของฉัน ฉันรู้ว่าพระคริสต์อยู่ในฉัน เตรียมพร้อมด้วยการรับรู้ ในการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าในชีวิตของเรานั่นเอง พระเจ้า 3 พระภาค พระเจ้าพระวิญญาณ พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระบิดาสถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ในความรอด ในพระเยซูคริสต์”

            นี่คือการเตรียมพร้อมในการประกาศความหวังใจของท่าน ไม่ใช่ประกาศเตรียมพร้อมในการนึกถึงอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา เราหายโรคตรงนี้ เราได้รับอัศจรรย์ตรงนี้  เราร่ำรวยเพราะอย่างนี้ เราอธิษฐานแล้วได้รับ ไม่ใช่ตรงนั้นเลย จริงไหม? ไม่ได้เขียนอย่างนั้นเลย  แต่ให้เราเตรียมพร้อมด้วยการรับรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในใจของเราเสมอ

            “อยู่ในใจของเราเสมอ” คือตลอดไปนั่นเอง

            พอเตรียมพร้อมอย่างนี้แล้ว ทำอะไรต่อไป? “และจงตอบด้วยความสุภาพและเคารพ” จงตอบ หมายถึงอะไร? ให้คิดให้ดีๆ  “จงตอบ” แสดงว่ามีคนถาม ถ้าเขาไม่ได้ถาม เขาไม่ได้อยากรู้ ไม่ได้อยากฟัง ก็ไม่ต้องตอบ  เขาไม่อยากพูด ไม่อยากถาม ไม่อยากฟัง ก็ไม่ต้องพูด เรามีพระเจ้านำอยู่ภายในแล้ว  ไม่ใช่ตัวเราเป็นคนนำ  พระเจ้าเป็นผู้นำ  พระเจ้าเป็นผู้จัดการ จัดเตรียมวิถีทางไว้ให้เราว่าเราควรจะทำอย่างไร? พระเยซูบอกพระวิญญาณจะให้ถ้อยคำกับท่านเอง ถ้ามาจากการนำของพระเจ้า  พระวิญญาณที่อยู่ในใจของเรา จะเต็มไปด้วยผลของพระวิญญาณทั้ง 9 อย่าง พูดง่ายๆ ก็คือเต็มไปด้วยความสุภาพ อ่อนน้อม ถ่อมตน  เมตตา ยินดี ความรัก ความเข้าใจ การให้เกียรติกับผู้อื่น  การเคารพสิทธิของผู้อื่น  เอเมนไหม? นี่ชัดเจน เปโตรกำลังสนับสนุนให้ผู้เชื่อหรือคริสเตียนเตรียมพร้อม ที่จะให้เหตุผล สำหรับความหวัง

            ให้พระองค์ทรงนำเราไป  เหมือนในโรม 10:9-10 ได้บันทึกไว้ว่า …

        โรม 10:9-10 “คือว่าถ้าท่านจะรั​บด้วยปากของท่าน ว่าพระเยซูทรงเป็นองค์​พระผู้เป็นเจ้า  และเชื่อในจิตใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์​ให้​เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็​นำไปสู่​ความชอบธรรม และการยอมรั​บด้วยปากก็​นำไปสู่​ความรอด”

            เชื่อในจิตใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และท่านก็จะรอด  รอดเพราะเราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงพระชนม์อยู่นั่นเอง พระองค์ทรงเป็นอยู่นั่นเอง และพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ทรงเป็นอยู่ พระองค์มีชีวิตอยู่ในทุกวันนี้ พระองค์จึงสามารถอยู่ในเราได้ มันหมายถึงอย่างนั้น  พระองค์จึงเป็นเจ้านายของชีวิตของเราได้  เราดำเนินชีวิตด้วยการมีพระเยซูคริสต์เป็นเจ้านายในชีวิตของเรา พระองค์ทรงนำพาชีวิตของเราทุกที่ที่เราทำ ทุกอย่างที่เราไป  อยู่ภายใต้การนำของพระเยซูคริสต์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งสิ้น  แม้ว่าบางครั้งเราจะไม่รู้ก็ตาม แต่พระองค์ก็ทรงสถิตอยู่ภายใน แม้ว่าเราจะทำบาปด้วย ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องด้วย พระเจ้าก็ยังอยู่ในเรา พระเจ้าอยู่ในเราตลอด

            และการเตรียมพร้อมที่จะให้เหตุผล สำหรับความหวังของเราในพระเยซูคริสต์ ด้วยความอ่อนโยน สุภาพ มีเมตตา แสดงถึงความเข้าใจในพระกิตติคุณหรือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ของคนๆ นั้นว่าเขาเข้าใจในข่าวดีนี้จริงๆ  เขาจึงสมควรแบ่งปัน  เพราะคนที่ไม่เข้าใจในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้าอย่างแท้จริง ก็จะแบ่งปันแบบไม่ตรงตามพระเจ้านำ คือตรงตามความคิดของตนเองนำ  ตามที่ตัวเองต้องการ ไม่ได้ตามพระเจ้า แสดงว่าไม่ได้รู้ข่าวประเสริฐจริง ถ้ารู้ข่าวประเสริฐจริง ต้องรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นเจ้านายในชีวิตของเรา  พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งในชีวิตของเรา ถ้าพระองค์จะให้ประกาศ เราก็ประกาศ ถ้าพระองค์ให้เราเงียบ เราก็เงียบ เพราะฉะนั้น เวลาเราเงียบ เราไม่ได้ประกาศ เราก็ไม่ต้องรับผิดชอบว่า …

            “ไม่ได้ประกาศเลย เสียดายจริงๆ ไม่ได้ประกาศ ถ้าประกาศนะ คนนี้ได้รับความรอดแน่  ถ้าเราไม่ประกาศ เราต้องรับผิดชอบชีวิตของเขา”

            ใครรับผิดชอบ? พระเยซูผู้สถิตอยู่ภายในเรา …

        โคโลสี 4:6 “จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ ปรุ​งด้วยเกลือให้​มีรส เพื่อท่านจะได้​รู้​ว่าควรตอบทุกคนอย่างไร”

            จงให้ถ้อยคำประกาศนั้น ประกอบด้วยความเมตตาเสมอ ก็คือเต็มไปด้วยความรักเสมอ เพราะว่าท่านกำลังสำแดงพระเยซูคริสต์ออกจากวิญญาณของท่าน ออกจากชีวิตของท่าน ท่านเป็นพยานอย่างแท้จริงเลย คำพยานอย่างแท้จริงของพระเยซูคริสต์ ก็คือความรัก ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในตัวของเรา สำแดงออกมา  ประพฤติทุกอย่างให้สมกับที่เป็นคริสเตียนที่แท้จริง โดยการกระทำ อาจจะไม่ได้พูดถึงเรื่องพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายเลย อาจจะไม่ได้พูดถึงเรื่องไม้กางเขนเลย  แต่ท่านสำแดงความรักของแท้ ด้วยความอ่อนโยนของแท้ ผลของพระวิญญาณของแท้ออกจากใจของท่าน ออกมาเป็นการกระทำ เป็นคำพูด เป็นอะไรก็ตาม อย่างนี้ ก็คือการเป็นพยานให้กับข่าวประเสริฐหรือข่าวดีของพระเยซูคริสต์

            คราวนี้เรามาดูทัศนคติที่ผมเขียนขึ้นมา ว่าทัศนคติเกี่ยวกับการประกาศข่าวประเสริฐตามพระคัมภีร์ นี่ดูจากพระคัมภีร์ แล้วดูว่ามีอะไรบ้าง? ว่าทัศนคติในการจะประกาศข่าวดี คนๆ หนึ่งที่เป็น คริสเตียนควรจะมีการวิเคราะห์ คิดอย่างไรในการประกาศข่าวประเสริฐ ทัศนคติเหล่านี้ น่าจะเป็นหลักสำคัญในการเป็นพื้นฐานให้กับคริสเตียนที่กังวลในเรื่องนี้ ที่ไม่มั่นใจในเรื่องนี้ว่า …

            “ฉันต้องประกาศหรือไม่?  เป็นหน้าที่ของฉันไหม? ฉันต้องรับผิดชอบไหม?  ฉันขี้เกียจไปหรือเปล่า? ฉันไม่สนใจไปไหม?  ฉันๆๆๆ ฉันหมดเลย” อะไรเยอะแยะ

            เรามาดูทัศนคติเกี่ยวกับการประกาศข่าวประเสริฐตามพระคัมภีร์นะ  นี่อยู่ในหลักข้อเชื่อของพระคัมภีร์ทั้งสิ้น ต้องมีทัศนคติอย่างนี้ …

            1. พระเจ้าทรงทำให้เกิดผล เราแค่เป็นคนหว่าน แค่คิดเบอร์ 1 แค่นี้ ก็เฮ้อ! แต่ต้องคิดและฟังเยอะๆ นะ ฟังถ้อยคำนี้ ฟังความจริงนี้ ฟังคำบรรยายนี้เยอะๆ จะได้รู้ จะได้เข้าใจ  จะได้หลุดออกจากสิ่งที่เคยฟังมาก่อนหน้านี้ว่าเราต้องรับผิดชอบ เราต้องอันโน้นอันนี้ ตอนนี้ไม่ใช่เรารับผิดชอบ เป็นพระเจ้า  พระเจ้าเป็นคนทำให้เกิดผล เราไม่สามารถช่วยใครให้รอดได้เลย  แม้แต่คนเดียว  เอเมนไหม? ต้องฝังลงไปในมันสมองของเราให้ได้เลยว่าเราไม่ต้องรับผิดชอบ

            พระเจ้ารับผิดชอบ เพราะโลกใบนี้อยู่ใต้ระบบของบาปและความตาย  อยู่ใต้อิทธิพลของมารซึ่งใช้กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ระบบของโลกต่อต้านถ้อยคำของพระเจ้า  มันจะพยายามให้เราพึ่งพาตนเองอยู่เสมอเลยทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น มันจึงพยายามดึงดูดและล่อลวง หลอกลวง ส่งความคิดมาในความคิดของเราเสมอว่าเราต้องทำ เราควรทำ เราต้องรับผิดชอบ ถ้าเราไม่ทำ มันจะอย่างนี้เสมอ คือให้เราพึ่งตนเอง ในพระเจ้าบอกไม่เลย  อยู่ที่พระองค์ ถ้าเราทำได้ เราก็ไม่ต้องพึ่งพระเยซูแล้ว

            2. ประกาศเมื่อเขาถาม ไม่ยัดเยียด เคยไหมใครในที่นี้ เคยประกาศแบบ เขาถามมา แล้วเราตอบ มีไหม?  อ้าว! มีไหมในชีวิตเรา เขาถาม แล้วเราตอบ  มีใช่ไหม? ถามว่าที่มี กับที่เขาไม่ถาม แล้วเรายัดเยียดอันไหนเยอะกว่ากัน  คิดให้ดีๆ อันไหนเยอะกว่า เราประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ให้กับคนที่ไม่ได้ถามหรือประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ให้กับคนที่ถามอันไหนเยอะกว่ากัน?  คิดให้ดีๆ นะ

            เสร็จแล้วถามว่าเราประกาศให้กับคนที่ไม่ได้ถามกี่เปอร์เซ็นต์ ที่เขาเชื่อและได้รับความรอด จากการที่เรายัดเยียดเข้าไป มีนะ เกิดผลนะ ไม่ใช่ไม่มี แต่มันกี่เปอร์เซ็นต์? มันน้อยใช่ไหม?  แต่คนที่ถามเปอร์เซ็นต์มันเยอะกว่าใช่ไหม?  ถูกไหม? แล้วคนที่ไม่ได้ถาม แล้วเราประกาศยัดเยียดเข้าไป เปอร์เซ็นต์ที่เชื่อ มีน้อย สมมติว่ามี 10% ของคนทั้งหมด  100 คนในชีวิตของเราประกาศยัดเยียดไป  100 คน อาจจะมีเชื่อ 10 คน อีก 90 คนไม่เชื่อ นึกออกนะ

            คราวนี้ถามว่าคนที่ไม่เชื่อ 90 คน เขามีความรู้สึกอย่างไรกับเรา ที่เราพูดเอาไว้  เป็นผลเสียหรือผลดีกับข่าวประเสริฐ? ผลเสีย ถูกไหม?  เพราะเราไม่สุภาพ เรายัดเยียด เราพยายาม เหมือนเซลแมนที่พยายามขายของ สินค้าไม่ดี ขายของปลอม พยายามยัดเยียด พยายามหลอกล่อต่างๆ ล่ออันนี้ ล่ออันนั้น ล่อทุกอย่าง เหมือนกับไม่มั่นใจในของที่ตัวเองขาย และคนที่มาฟัง เขาไม่ชอบ  ก็จะไปบอกว่า …

            “พวกนี้ไร้สาระ”

            เราไปประกาศ พอรู้จัก ได้ยินเสียงเขาไอ ไปบอกว่าอย่างนี้รักษาหาย วางมือก็หายแล้ว แล้วพอเขาไม่หาย ส่วนใหญ่ไม่หาย เรารู้อยู่แล้ว

            “เป็นมะเร็ง พระเจ้ารักษาได้  ยากจนหรือ พระเจ้าทำให้มั่งมีได้ พระเจ้าก็ช่วยได้”

            เราเอาสิ่งเหล่านี้ ซึ่งไม่ใช่ความหวังใจในพระเยซูคริสต์ ของแท้ตามพระคัมภีร์บอก ถูกไหม? พระคัมภีร์บอกให้พูดความหวังใจว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา  พระองค์ทรงนำพาชีวิตเราพอ ไม่ต้องพูดมากกว่านั้นแล้ว  ส่วนพระองค์จะทำการอัศจรรย์หรือไม่อย่างไร ขึ้นอยู่กับพระองค์ อันนี้มันหน้าที่ของเรา ที่เราประกาศข่าวดี ไม่ใช่เราบอกว่าพระเจ้ารักษาได้  มาเชื่อพระเจ้ารับรองเจริญรุ่งเรือง มาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ครอบครัวจะกลับคืนดีหมดเลย มาเชื่อพระเจ้าเดี๋ยวครอบครัวทุกคนจะได้รับพระพรด้วย  แล้วพอไม่ได้ 90% ไม่ได้  เกิดอะไรขึ้น? พระเยซูไม่จริงหรอก  พวกนี้ก็เพ้อฝันไปอย่างนั้น  ก็ไม่จริงๆ ถูกของเขาจริงๆ ที่เราพูด มันไม่ใช่พันธสัญญาในพระคัมภีร์ ที่เราจะเอามาเป็นพยาน มันไม่ใช่ เรายัดเยียด เรามีเล่ห์กล  เราพยายามจนเกินกว่าเหตุ จึงเป็นผลเสีย

            นอกจากนั้น ยิ่งทำ ยิ่งใหญ่ ยิ่งผลเสียใหญ่เลย ผลเสีย เราก็เคยได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหม?  ทุกวันนี้ก็มีบ่อยๆ ยิ่งทุกวันนี้มีเทคโนโลยีมากมายในคอมพิวเตอร์ ในยูทูป ในอะไรต่างๆ เหล่านี้ เราก็จะเห็น เราไม่กล้าบอกเลยว่าเราเป็นคริสเตียน  คนบอกคริสเตียนทำอย่างนี้หรือ? คริสเตียนมีผีเข้าได้หรือ?  แล้วลงไปดิ้น อะไรอย่างนี้ คริสเตียนเดินบนถนน  แล้วก็เอะอะโวยวายขึ้นมา  แล้วก็ประกาศพระเยซู ไม่สุภาพอ่อนโยน อย่างนี้หรือ?  ผลเสียหรือผลได้  อาจจะมี 10% ที่จับพลัดจับผลูมาเชื่อ แล้วได้รับความรอด แต่อีก 90% ที่มองดูอยู่ ในสิ่งที่เราทำ

            แล้วลองคิดดู เหมือนตอนแรกที่ผมบอก ถ้าเขาทำอย่างนี้กับเรา เราพอใจไหม? ถ้าเราเป็นคริสเตียน แล้วคนประกาศ เป็นคนต่างศาสนา  ประกาศความเชื่อทางศาสนาเขา แบบที่เราทำอย่างนี้ เราจะรู้สึกอย่างไร? สมมติ เขาพูดอะไรต่างๆ แล้วบอกว่า …

            “พวกคริสเตียนเป็นพวกที่โง่งมงาย เชื่อพระเจ้า”

            เราจะรู้สึกอย่างไร?  นี่คือเป็นทัศนคติที่ให้ให้คิดเอาไว้

            3. พูดอ่อนโยนและเคารพเขา ไม่ใช่กดดัน และตะโกน นี่คือจากการเห็นวงการคริสเตียนทำกันอยู่ทุกวันนี้ คือพูดง่ายๆ ไม่ใช่ Aggressive คือก้าวร้าว รุนแรง ซึ่งเราได้ยินบ่อยๆ มันเป็นอย่างนั้น ประกาศอะไรก้าวร้าวรุนแรง พระวิญญาณไม่ได้เป็นอย่างนั้น นึกออกใช่ไหม? ตะโกน ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ต้องตะโกนถึงขนาดนั้นหรือ? ต้องชักจูงคนถึงขนาดนั้นหรือ?  เหมือนคนขายของที่ตลาดนัดหรือ?  ที่ขึ้นไปตะโกน เพื่อเรียกร้องความสนใจ ให้คนมาซื้อ …

            “3 ตัว 10 เดี๋ยวนี้เลย ภายใน 1 นาทีนี้ ไม่มีแล้ว ของหมด”

            เขาขายกันอย่างนี้ใช่ไหม?  เขาจะไม่มาพูด (เสียงเบา) “3 ตัว 10 ครับ”

            คริสเตียนไม่ใช่อย่างนั้น เรามีของดีอยู่ในตัว พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา  พระองค์ทรงเป็นความรัก เป็นความอ่อนโยน เป็นความสุภาพ ให้เราพูดอ่อนโยนและเคารพ เคารพนี้ ไม่ได้หมายถึงเคารพพระเจ้านะ  เคารพคนที่เราพูดด้วย  เคารพในสิทธิของเขา ให้เกียรติเขา โทษทีนะ ไม่ใช่รู้สึกว่าเขาโง่กว่าเรา เขางมงายกว่าเรา  เขาไม่เข้าใจเลย โธ่! น่าสงสาร คิดอย่างนี้ได้อย่างไร? ไม่ใช่เลย เขากับเราก็เหมือนกันนั่นแหละ  เราก็เป็นคนบาป เขาก็เป็นคนบาป นี่ไปทับถมเขาว่า …

            “คุณเป็นคนบาป ถ้าคุณไม่กลับใจ คุณตกนรกแน่นอน”

            อย่างนี้มันเป็นการไม่เคารพเขานะ ถูกไหม? แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนบาป   เดี๋ยวเขาก็ถามเอง  ถ้าเขาถาม  เราค่อยพูดไปว่าในพระคัมภีร์ว่าไว้อย่างนั้นอย่างนี้  อย่างนี้โอเค กว่า ถูกไหม? รับได้แล้ว ดีกว่าที่เขาไม่ได้ถามเราไปตะโกนโหวกเหวกๆ

            “ถ้าไม่เชื่อพระเจ้า เป็นคนบาป ต้องตกนรก ต้องทำเหมือนผม ผมเป็นคนชอบธรรมแล้ว ไม่ได้บาปแล้ว”

            พูดง่ายๆ ว่าเรากำลังยกตนข่มท่าน  เรากำลังบอกว่าเราดีกว่าเขา อย่างนี้เรียกว่าไม่เคารพ

            เพราะฉะนั้น ต้องมีทัศนคติอย่างนี้เลยว่าต้องอ่อนโยนและเคารพในสิทธิของเขาว่าถ้าเขาทำอย่างนี้กับเรา  มีใครทำอย่างนี้กับเรา เราจะมีความรู้สึกอย่างไร?  เรารับได้ไหม? ถ้าเรารับไม่ได้ เขาก็รับไม่ได้เหมือนกัน  ถ้าเขาทำอย่างนี้ ต่อต้านคริสเตียนอย่างนี้  เราจะรับได้ไหม?  สังคมก็อยู่กันไม่ได้ ไปในห้าง ไปในที่สาธารณะ ก็มีแต่คนตะโกน ฝั่งหนึ่งก็ตะโกนให้มาเชื่อทางนี้ ฝั่งนี้ก็บอกให้มาเชื่อทางนี้  ฝั่งนี้บอกทางนี้ดี ฝั่งโน้นดี ไม่มีระเบียบ มีความเชื่อเยอะแยะไปหมด เต็มไปหมดเลย  ความเชื่อบนโลกนี้  ศาสนาต่างๆ เยอะแยะมากมาย ยังมีเข้าเจ้าเข้าทรง มีความเชื่อแบบโยเร มีความเชื่อแบบลัทธิโน้นลัทธินี้เต็มไปหมด

            “ของเธอเพี้ยน ของฉันดีกว่า”

            คริสเตียนของจริงไม่ได้เป็นอย่างนี้เลย เพราะเรามีของจริงๆ อยู่ข้างใน  ปล่อยให้พระเจ้าทรงนำเราดีกว่า เอเมน

            4. พระวิญญาณเป็นผู้ชักนำใจของเขา ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องไปพยายามชักจูงใจอะไรต่างๆ พระวิญญาณจะเป็นคนนำเขาเองว่าถ้อยคำแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้า มาถึงเขาแล้ว เขาจะถาม เขาจะได้ยิน ได้ฟังพระวิญญาณเป็นคนนำ

            ข้อ 5 สุดท้าย ตอบโจทย์ในวันนี้ ตอบคำถามในวันนี้ ที่พี่น้องกังวลและถามมา ทัศนคติที่ 5 เมื่อพูดถึงข่าวประเสริฐ พูดถึงข่าวดี อันดับที่ 5 คือ …

            5. ไม่ต้องกลัว หรือฟ้องผิด ถ้าไม่ได้ประกาศ  เพราะพระวิญญาณสถิตอยู่ภายในเรา คอยนำพาเราอยู่ทุกย่างก้าว จำไว้ พูดกับตัวเอง จำไว้ ยังทำไม่ได้ครบหมดอย่างนี้  แต่ต้องพยายามจำไว้ เพราะมันเสียดายไม่ได้ประกาศ ไม่ต้องเสียดาย เสียดายเมื่อไร ก็คือกำลังปฏิเสธพระวิญญาณว่าพระองค์ไม่ได้อยู่ในตัวเรา อ้าว! แล้วถ้าเกิดเราขี้เกียจเองล่ะ  ถ้าพระวิญญาณจะให้เราทำ อย่างไรพระองค์ทรงกระทำให้เราทำจนได้แหละ เพราะพระองค์ทรงนำ เราก็บอกแล้วไงว่าพระคริสต์นำหน้าๆ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวหรือฟ้องผิด ก็ตอบโจทย์นี้ไปแล้วตั้งแต่แรก

            สรุปวันนี้ ก็คือหน้าที่ของเราคริสเตียนในการประกาศ คือพร้อมแล้วและอ่อนโยน คือพร้อมและอ่อนโยน  หน้าที่ของพระเจ้า คือช่วยคนให้เชื่อและรอดจากโทษของความบาป จบข่าว

            เอาใหม่อีกที หน้าที่ของเราคริสเตียน คือพร้อมและอ่อนโยน  หน้าที่ของพระเจ้า คือช่วยคนให้เชื่อและรอดจากโทษของความบาป เอเมน

            พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียนเข้าร่วมพิธีไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ ในวันตรุษจีนได้มั้ย?

            การเข้าร่วมพิธีกราบไหว้เจ้า  ไหว้บรรพบุรุษในวันตรุษจีน  หรือในเทศกาลต่างๆ สำหรับคริสเตียนนั้น  ขึ้นอยู่กับความเชื่อและการตัดสินใจส่วนบุคคลของแต่ละคน คริสเตียนเชื่อว่าการนมัสการและการกราบไหว้บูชา ควรมีเพียงพระเจ้าเท่านั้น

            อพยพ 20:3-5 … “3 อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา 4 “อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปสิ่งใดในฟ้าสวรรค์เบื้องบน หรือในแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน 5 “อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเรา คือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน”

            ดังนั้น การเข้าร่วมพิธีที่เกี่ยวข้องกับการกราบไหว้บูชาสิ่งอื่น  อาจขัดแย้งกับความเชื่อของคริสเตียน

            อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมในพิธีเหล่านี้  ในฐานะการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษหรือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประเพณี  โดยไม่มีเจตนาที่จะเกี่ยวข้องกับการกราบไหว้บูชาด้วยความเชื่อฝ่ายวิญญาณ  อาจเป็นสิ่งที่บางคนพิจารณาว่าสามารถทำได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจตนา และความเข้าใจของแต่ละบุคคล

            สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญ คือการพิจารณาและตัดสินใจ ด้วยความรู้สึกที่ดีในพระเยซูคริสต์ ต้องไม่รู้สึกฟ้องผิดในใจ และมีการปรึกษากับพระเจ้าส่วนตัวด้วยการอธิษฐาน หากไม่แน่ใจ ควรพูดคุยกับผู้นำคริสตจักร หรือผู้ที่มีประสบการณ์ในความเชื่อเดียวกัน เพื่อขอคำแนะนำ

            โรม 14:5-6 … “คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งดีกว่าอีกวันหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งถือว่าทุกวันเหมือนกัน ขอให้ทุกคนมีความแน่ใจในความคิดเห็นของตนเถิด ผู้ที่ถือวันก็ถือเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และผู้ที่ไม่ถือวันก็ไม่ถือเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่กินก็กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาขอบพระคุณพระเจ้า และผู้ที่มิได้กินก็มิได้กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และยังขอบพระคุณพระเจ้า”

            พระเจ้าอวยพรครับ