วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1544

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  ตุลาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 2 ยอห์น”

ตอน 5 “สันติสุขและความสุข คือรางวัลที่จะได้รับ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มาต่อ 2 ยอห์น ตอนที่ 5 ชื่อเรื่องว่า “สันติสุขและความสุข คือรางวัลที่จะได้รับ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้” เรายังอยู่บนฐานของถ้อยคำพระเจ้าใน 2 ยอห์น 1:8 อยู่ ลองอ่านพร้อมกันก่อน …

        2 ยอห์น 1:8  “จงระวังตัว (เอาใจใส่) เพื่อจะไม่สูญเสีย (โยนทิ้งหรือทำลาย) สิ่งทั้งปวงที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน แต่ให้ท่านดำรงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อจะได้รับบำเหน็จ (รางวัล ผลตอบแทน) สมบูรณ์ครบถ้วน”

            บำเหน็จ สมบูรณ์ครบถ้วน คือรางวัล บำเหน็จ พระพรทั้งโลกนี้ และโลกหน้านิรันดร์ โลกหน้านิรันดร์ เราเรียนรู้ไปแล้ว  รู้ว่าอย่างไรเราก็ได้รับความรอดแล้ว  จากโลกนี้ไป  เราก็อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ พบพระเจ้า  พระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้าทันที สำหรับพระพร และบำเหน็จในบริบท ในพันธสัญญาใหม่ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นความสมบูรณ์ของการรู้จักพระคริสต์ และมรดกที่เราจะได้รับในพระคริสต์ เนื่องจากเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือความรอดนิรันดร์  การได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเข้ามาสถิตอยู่ภายในเรา  และพระพร บำเหน็จบนโลกใบนี้ คือการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เมื่อเรารู้ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา เราได้รับความรอดนิรันดร์แล้ว ไม่มีทางสูญเสียไปเลย เราก็ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้  แบบเต็มไปด้วยความสุข สงบ  สันติสุข เต็มไปด้วยความยินดี สุข ทุกข์น้อยกว่าคนอื่นๆ เขา ในการอยู่บนโลกใบนี้  เอเมนไหม? เอเมน

            ซึ่งใน 2 ยอห์น 1:8 จะเน้นถึงบำเหน็จรางวัลบนโลกใบนี้แหละ  ที่เราได้เรียนรู้กันมาแล้ว  รางวัลบนโลกใบนี้ระวังอย่าให้มารขโมยไป  ขโมยมีหลายทาง ก็คือหลอกลวงเรา บำเหน็จพระพรนี้ หลอกว่ารางวัล บำเหน็จพระพรนี้  เป็นรางวัล พระพรทางโลกนี้ เป็นพร เป็นบำเหน็จในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เป็นความยินดี เป็นสันติสุขในการรู้ว่าเราได้รับความรอดแล้วต่างหาก ไม่ใช่รางวัล คือทรัพย์สิ่งของบนโลกนี้ ความเจริญรุ่งเรือง แบบโลกใบนี้ เหมือนคนที่เขายังไม่เชื่อ  ไม่มีความหวังในพระคริสต์ เขาแสวงหากันบนโลกใบนี้  ความร่ำรวย ความสำเร็จ ความแข็งแรงอะไรต่างๆ เหล่านั้น อย่าถูกหลอกว่าเป็นอย่างนั้นเชียว  มันจะเกิดความทุกข์มากกว่าความสุข  มันจะเกิดความวุ่นวาย ไม่สบายใจมากกว่าความสงบและสันติสุข

            ผู้เชื่อ คือคริสเตียนในยุคแรกๆ ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ แล้วก็ไล่มาจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันเลย 2,000 ปี เขาสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ต่างๆ นานา และสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี  ก็เพราะว่าพวกเขาทั้งหลายมีทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า มีกำลังใจสูงสุดอยู่ภายในเขา  ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่อยู่ภายใน นั่นก็คือความรอดในพระเยซูคริสต์ ชีวิตนิรันดร์ รวมไปถึงความหวังใจในการรับร่างกายใหม่  ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ หลังจากตายจากร่างนี้ หรือจากโลกนี้ไปแล้ว  นั่นเขามีความหวังใจตรงนี้มากกว่า เราจะได้สวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นี้ หลังจากหมดลมหายใจบนโลกใบนี้แล้ว นี่คือความหวังใจ นี่คือกำลังใจ นี่คือความยินดี ความหวังของคริสเตียนในยุคเริ่มต้น จนกระทั่งถึงปัจจุบัน นี่ของจริง

            ถามว่า “ชีวิตนิรันดร์คืออะไร?” เราคิดดูสิ  เรามารวบรวมความหมายของชีวิตนิรันดร์ ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตของพระเยซูคริสต์

            ชีวิตนิรันดร์ที่เราได้รับ ที่เราเป็นอยู่ คือชีวิตของพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริ เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เรารู้อยู่แล้ว เป็นชีวิตของพระเจ้านั่นเอง  เราได้เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ชีวิตนิรันดร์ ถ้าแจงออกมาเป็นลักษณะ ก็คือเป็นความรักนิรันดร์ เป็นความสว่างนิรันดร์  เป็นความชอบธรรมนิรันดร์ เป็นความบริสุทธิ์นิรันดร์ เป็นความดีนิรันดร์ เป็นยินดี ความสุขสงบนิรันดร์  นี่คือเราเป็นแล้วอย่างนี้ ตอนนี้ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้านิรันดร์ อยู่ในฐานะลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์ นี่คือสภาวะของเราที่เป็นอยู่ในวิญญาณของเรา ตัวตนแท้จริงของเรา เป็นอย่างนี้

            และเมื่อเรามีความหวังอย่างนี้ เราก็จะสามารถทนกับทุกสถานการณ์ได้ บนโลกใบนี้  ไม่ว่าความทุกข์ยากลำบากนั้น จะมากขนาดไหน? สาหัสขนาดไหนก็ตาม มันก็อยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ถูกไหม? เพราะบนโลกนี้เราอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น เรารู้ว่าวันหนึ่งมาถึง เมื่อเราทนทุกข์จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของเรา เราก็จะได้รับชัยชนะนิรันดร์  ได้รับชีวิตนิรันดร์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ นี่คือความหวังใจของคริสเตียน ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เป็นอย่างนี้ ลองถามตัวท่านเองว่าเวลาท่านมาเป็น คริสเตียน ท่านมีความหวังใจตรงนี้ อย่างนี้ หรือเปล่า?

            คำว่า “อดทน” ที่บอกว่าอดทนจนถึงวันสุดท้าย  อดทนถึงที่สุด  ไม่ได้หมายถึงว่าให้เราอดทนถึงที่สุด ถ้าอดทนไม่พอ หรือไม่ถึงที่สุด เราจะสูญเสียความรอด เมื่อหลังจากหมดลมหายใจบนโลกใบนี้ไปแล้ว  เหมือนกับผู้สอนผิดบางท่านได้สอนอย่างนี้ว่า …

            “ต้องรักษาความเชื่อไว้นะ  ต้องอดทนต่อการทดลองต่างๆ นะ  ทนให้ถึงที่สุดนะ ใครทนจนถึงที่สุดได้ จะได้รับความรอดนิรันดร์ หลังจากตายจากโลกนี้แล้ว”

            ไม่ใช่อย่างนั้น ความรอดนิรันดร์ เราเรียนรู้แล้ว หลังจากตายจากโลกใบนี้แล้ว ออกจากร่างปุ๊บ  เราก็ได้รับร่างกายใหม่ ไปพบพระเยซูคริสต์ เห็นพระองค์หน้าต่อหน้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์ ได้เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็เป็นอย่างนี้ แต่อยู่บนโลกนี้ อดทนถึงวันสุดท้าย หมายถึงว่าอดทนกับสถานการณ์บนโลกใบนี้ มันเต็มไปด้วยความสาปแช่ง โลกใบนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานอยู่แล้ว  ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ มันก็อยู่ใต้ความทุกข์ลำบากเหล่านี้ทุกคนอยู่แล้ว เราคริสเตียนก็ไม่ได้หนีห่างจากเขาเลย เราก็อยู่ภายใต้โลกใบนี้เหมือนกัน อดทนอยู่บนโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าโลกหน้ามันดีกว่าตั้งเยอะ อยากจะไปจะตาย เหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “ถ้าข้าพเจ้าเลือกได้ ข้าพเจ้าขอจากโลกนี้ ไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้าดีกว่า”

            ก็หมายถึงว่าตายดีกว่าอยู่ ตายไป ก็เท่ากับไปพักผ่อนนิรันดร์ในสวรรค์กับพระเจ้า  ไม่ต้องมาทนทุกข์บนโลกใบนี้ ลำบากลำบน  ทั้งร่างกาย ทั้งเหน็ดเหนื่อย ทั้งต่อสู้กับความโกหกหลอกลวงของมาร  มันหมายถึงอย่างนั้น  การทนทุกข์ของเรา ก็คือลักษณะที่ … สมมติ เหมือนพ่อเราพาเราไปเที่ยวเกาะสวรรค์ แล้วลงเรือไป บนเรือเต็มไปด้วยพายุ คลื่น เรียบอยู่พักหนึ่ง เดี๋ยวก็มีคลื่นมา เมาเรือ

            พ่อบอก … “อดทนหน่อยๆ เดี๋ยวจะถึงแล้ว”

            “ถึงไหน?”

            “ถึงเกาะสวรรค์แล้ว แล้วจะได้มีความสุข”

            หมายถึงอดทนอย่างนี้นะ ก็ต้องเข้าใจด้วย

            ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่อยู่ในตัวเรา ก็คือชีวิตนิรันดร์ตรงนี้ ที่พูดรวมๆ กันว่า “ชีวิตนิรันดร์ๆ” ความหมายก็คือตะกี้นี้ที่พูด ชีวิตนิรันดร์ทางด้านวิญญาณเรารู้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา เรารู้ เหมือนที่ตะกี้เราร้องเพลง  “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” เราไม่ต้องมองข้างนอก มองข้างนอก ก็ไม่มีพยานยืนยัน แต่พยานยืนยันนี้ อยู่ภายใน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา ยืนยันว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์แล้วในตอนนี้  แต่ความหวังในอนาคตอันใกล้  ที่เราเชื่อมั่นจริงๆ นั้น ก็คือพ้นจากร่างกายนี้ เราจะไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ เราทนทุกข์บนโลกใบนี้เพียงชั่วคราว  เราอยู่ในภาชนะดินอันต่ำต้อย ในขณะนี้

            แต่เรามีความหวังว่าร่างกายของเราแท้จริง จริงๆ นั้น คือเมื่อทิ้งร่างนี้แล้ว เราได้รับร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่รับก็ไม่ได้  ถึงท่านไม่เชื่อ ถูกโกหกหลอกลวงอะไรต่างๆ ความจริงย่อมเป็นความจริง คือเมื่อท่านหมดลมหายใจแล้ว พระเจ้าเตรียมร่างใหม่ไว้ให้กับท่านแล้ว ท่านจะกลัวตายอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ หรือถูกหลอกโดยมาร ให้หวาดระแวงว่าเมื่อท่านตาย จะถูกปฏิเสธ ซึ่งไม่จริง ความจริงย่อมเป็นความจริง คือท่านอาจจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบหวาดๆ กลัวๆ กระวนกระวาย แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ ท่านจากโลกใบนี้ ท่านตายเมื่อไร? ท่านพบกับพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้าทันที ตามข้อพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นความจริง เอเมนไหม? ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรานะ

            นี่คือความยิ่งใหญ่ของข่าวประเสริฐของพระเจ้า เป็นอย่างนี้ คือรอดแล้วรอดเลย  รอดจริงๆ ไม่อย่างนั้น พระเยซูจะพูดทำไมว่า …

            “แค่วางใจในเรา ท่านจะได้รับความรอด ผู้ใดเชื่อและวางใจในเรา ก็ได้รับความรอดแล้ว” แค่นั้นเอง

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรใจจดใจจ่ออยู่ที่ความจริงตรงนี้ คือเรารอดแล้ว ใจจดใจจ่อ รอเพียงจากร่างนี้ไป  แล้วรอรับร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และก็พบหน้าพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้าทันทีทันใด หลังจากหมดลมหายใจ เอเมน

            อย่าลืม สำคัญ ต้องจดจำคำนี้ไว้เลยว่าพระเยซูได้พูดอย่างนี้ ด้วยตัวของพระองค์เอง ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ และบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นข้อความที่คริสเตียนทั้งหลายควรจะจดจำไว้ อย่าให้มารขโมยเอาความจริงนี้ไป อาจจะจำตัวข้อไม่ได้ แต่ให้จำความหมายได้ก็แล้วกันว่าพระเยซูตอนอยู่บนโลกใบนี้ ได้อธิษฐาน พูดกับพระเจ้า พระบิดาเกี่ยวกับพวกเราทั้งหลาย คริสเตียนทั้งหลายไว้ว่าอย่างไรบ้าง?  ยอห์น 17:22-23 จำเอาข้อความไว้ว่าพระเยซูพูดเกี่ยวกับพวกเราไว้ว่าอย่างนี้ …

        ยอห์น 17:22-23 “เกียรติสิริ (ชีวิตนิรันดร์) ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น  ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขา (ทุกคนที่เชื่อในพระเยซู) แล้ว เพื่อพวกเขา (ผู้ที่เชื่อในพระเยซู) จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน คือข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

            เกียรติสิริ ก็คือชีวิตนิรันดร์ … ชีวิตนิรันดร์ซึ่งพระบิดาได้ประทานให้กับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้มอบให้กับพวกเขา … พวกเขาก็คือทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งรวมทั้งเราที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย  เพื่อพวกเขา ก็คือพวกผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย  จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นวิญญาณเดียวกันเลย  เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน  พระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไร? เป็นตรีเอกานุภาพอย่างไร? เราร่วมเป็นหนึ่ง เป็นตรีเอกานุภาพบวกหนึ่ง เป็นทรีอินวันบวกหนึ่ง ก็คือเราเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย  แยกกันไม่ออกเลย

            “ข้าพระองค์ขอให้พวกเขา คือคริสเตียนหรือผู้เชื่อทั้งหลายได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างสมบูรณ์” นี่ไง ให้เขามารวมกับเรา เป็นหนึ่ง เราอยู่ 3 พระภาคแล้ว  พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคอยู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ไม่มีต้น ไม่มีปลาย แต่ตอนนี้บอกว่าขอให้ผู้เชื่อ ในนามของเรา คือในพระเยซูคริสต์ ที่เป็นคริสเตียนนั้น ได้เข้ามาเป็นหนึ่งด้วย ตอนนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตรงนี้ต้องอย่าลืมเด็ดขาดเลย สำคัญมาก จำข้อไม่ได้ แต่จำความหมายได้ก็แล้วกันว่าภายในของท่านมีของล้ำค่า ก็คือวิญญาณของเราที่เป็นคริสเตียนได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคเรียบร้อยแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปไหนเลย  เพราะ 3 พระภาคก็ยิ่งใหญ่สูงสุด  เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจแล้ว  ยิ่งใหญ่สูงสุดกว่าอะไรทุกอย่างทั้งปวงแล้ว ไม่มีใครสามารถมาเอาเราออกไปจาก 3 พระภาคนี้ได้เลย เอเมนไหม?

            ยอห์น 3:15-16 พระเยซูก็พูดอย่างนี้อีก ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ อันนี้เราพอที่จะจำกันได้บ่อยๆ เพราะเอามาใช้บ่อย พูดไว้ว่าอย่างไร? …

        ยอห์น 3:15-16 “เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกและมนุษย์ จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (พระเยซู) เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ (วิญญาณ ตายอยู่ในบาป) แต่มีชีวิตนิรันดร์ (เป็นลูกของพระเจ้า)”

            “เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์” พระองค์ตรงนี้หมายถึงพระบิดา  ทุกคนที่เชื่อในพระบิดาว่าพระบิดาเป็นผู้ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ลงมาเป็นผู้ไถ่บาปให้กับมนุษย์ มนุษย์ผู้ไหนเชื่อพระบิดาว่าส่งพระเยซูมา ก็คือเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรที่พระเจ้าพระบิดาส่งมา ต้อนรับพระเยซู พระบุตร เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ที่เราพูดกันมาตะกี้นี้ ชีวิตนิรันดร์  ได้เป็นลูกของพระเจ้า และคุณภาพของชีวิตนิรันดร์ที่เราเรียนรู้กันมาทั้งหมด

            อ่านดูแล้วง่ายไหม? ง่ายมาก  ได้รับชีวิตนิรันดร์ โดยผ่านอะไร? ผ่านทางการกระทำหรือ? ไม่ใช่  ผ่านทางทำโน่นทำนี่ทำนั่น ไม่ใช่ ผ่านทางผู้ที่เชื่อในพระองค์ ก็คือเชื่อในพระบิดาว่าส่งพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน หรือเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรที่พระบิดาส่งมา ก็ได้เหมือนกัน แค่นี้เอง ก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่เป็นของมีค่า ล้ำค่ามากมาย ที่เราวิเคราะห์กันเมื่อตะกี้ทั้งหมด  ที่เกิดขึ้นภายในวิญญาณของเราเรียบร้อยเลยทันที มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย ในการที่จะรับสมบัติอันล้ำค่านี้ คือชีวิตนิรันดร์นี้ เพียงแค่เชื่อเท่านั้นเอง เชื่อพระบิดาว่าเป็นผู้ส่งพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบุตรมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เงื่อนไข ไม่มีอะไรเลย  เงื่อนไข คือเชื่อ วางใจ และมารับสิทธิ์ไปเลย  ไม่มีเงื่อนไขนั่นเอง จะบอกว่าเงื่อนไข คือเชื่อและใช้สิทธิ์ มันก็ไม่ใช่เงื่อนไข เชื่อและใช้สิทธิ์ รับฟรีๆ ต้องย้ำอีกครั้งว่าความรอดนี้ จึงเป็นของขวัญจากพระเจ้า ถึงมนุษย์ทุกๆ คน เขาถึงเรียกว่าเป็นของขวัญวันคริสต์มาส … ของขวัญวันคริสต์มาส ก็มาจากตรงนี้แหละ พระเยซูคริสต์เป็นของขวัญจากพระเจ้า  พระบิดาให้แก่มนุษย์ทุกคน

            “พระเยซูคริสต์เป็นของขวัญจากพระบิดา ให้แก่มนุษย์ทุกคน”

            ชีวิตินิรันดร์จึงเป็นสมบัติอันล้ำค่าของผู้เชื่อ และทำให้ผู้เชื่อนั้นเต็มไปด้วยความหวังและได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์  หลังจากความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ได้ผ่านไปแล้ว โดยการจากร่างกายนี้ไป ก็คือตายจากร่างกายนี้ จึงเห็นชัดเจนว่าตายดีกว่าอยู่จริงๆ ตามที่เปาโลได้พูดถึง เพราะว่าจะสามารถได้รับร่างกายใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อทิ้งร่างกายเก่านี้เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น นี่คือความจริง คริสเตียนทั้งหลายทุกคน จึงควรจะรักษาและเอาใจใส่สิ่งนี้ไว้ เหมือนที่อาจารย์ยอห์นบอกในข้อพระคัมภีร์แรกที่เราอ่านกันว่าจงระวังตัว อย่าให้ถูกขโมยความจริงนี้ไป  จงระวังตัวรักษาความจริงเหล่านี้ไว้ อย่าให้ถูกขโมย  โดยความเท็จของมารเด็ดขาด ขโมยไปมากเท่าไร? เราก็สูญเสีย ไม่ใช่ความรอดนะ สูญเสียสันติสุข ความยินดี ความสุข ทุกข์น้อยลงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้มากเท่านั้น ยิ่งถูกขโมยไปมาก ก็ยิ่งสูญเสียไปมาก ขโมยน้อย ก็สูญเสียน้อย

            เพราะฉะนั้น ความจริงนี้ ก็คือเคล็ดลับที่จะทำให้เราถูกหลอกน้อยลงที่สุด ก็คือเราจะเกิดความพึงพอใจแล้วในทุกสภาวะ ไม่ว่าสุขหรือทุกข์เรารู้ว่าเราเป็นชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่า ที่อยู่ภายในเราเรียบร้อยแล้ว ก็คือชีวิตนิรันดร์นั่นเอง นี่คือความจริง

            ความจริงนี้จะทำให้เป็นอิสระ ไม่ถูกหลอก หรือถูกหลอกน้อยที่สุด เพราะความจริงนี้ทำให้เรา เกิดความพึงพอใจ อาจารย์เปาโลพูดถึงตรงนี้ว่าอย่างไรว่าความพึงพอใจนี้ เป็นเคล็ดลับ ความจริงนี้ จึงเป็นเคล็ดลับ ที่จะทำให้เราถูกหลอกน้อย ฟีลิปปี 4:12-13 ได้บอกอย่างนี้ …

        ฟีลิปปี 4:12-13 “ข้าพเจ้ารู้จักทั้งความเป็นอยู่อย่างขัดสน และความเป็นอยู่อย่างมั่งคั่ง ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ถึงเคล็ดลับที่จะพึงพอใจในทุกสภาพ ไม่ว่าจะอิ่มหรืออด ไม่ว่าจะมีเหลือล้นหรือขาดแคลน ข้าพเจ้าเผชิญทุกสิ่งได้ เพราะมีพระคริสต์ผู้เสริมกำลังให้แก่ข้าพเจ้า”

            เคล็ดลับคืออะไร? ก็คือความจริง ไม่ใช่ความเท็จ  ความจริง ก็คือเรามี เราเป็นชีวิตนิรันดร์ เรามีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายในเราตลอดเวลา  การรู้ความจริงนี้ รักษาความจริงนี้ จึงเป็นเคล็ดลับที่จะทำให้เราเกิดความเพียงพอหรือพอเพียง พอใจแล้วในทุกๆ สิ่งที่มี ที่เป็นอยู่ เพราะไม่มีอะไรที่จะมาเทียบกับสิ่งที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว ก็คือชีวิตนิรันดร์ พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา  และตรีเอกานุภาพสถิตอยู่ภายในเรา พอเราเกิดความพอใจจากความจริงตรงนี้  มันก็จะทำให้เกิดความสุข  ทุกข์น้อยลงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เกิดสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งก็คือรางวัล พระพร บำเหน็จ บนโลกใบนี้ ก็คือความยินดี ที่อาจารย์ยอห์นได้บอกให้เราระวัง อย่าให้ถูกขโมยไป

            การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ผู้เชื่อหรือคริสเตียน ก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ความท้าทายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความหวังและความยินดีของเรา มาจากชีวิตนิรันดร์ ในพระคริสต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้สามารถเทียบได้เลย และความจริงที่สุด ก็คือพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ดี และดีตลอดเวลา อย่าให้ใครมาขโมยความจริงนี้ไปจากใจของเราได้เลย

            สาเหตุที่เราถูกหลอกบ่อยๆ และเข้าใจพระเจ้าผิดก็เพราะอะไร? สาเหตุที่คริสเตียนถูกหลอก หรือไม่ใช่คริสเตียนก็ถูกหลอก เข้าใจพระเจ้าผิด พระเจ้าโหดร้าย พระเจ้าเห็นแก่ตัว พระเจ้าทำไมทำอย่างนี้กับเรา เราถูกหลอกลวง ก็เพราะมนุษย์ทุกคนไม่มีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เพราะเขายังมีความอยากได้ใคร่มีอยู่ รู้สึกไม่พอเพียง จึงต้องหาเพิ่มๆ ตลอด ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียนก็เป็นอย่างนี้แหละ

            คริสเตียนเรา ถ้ารู้ความจริง เราจะได้เปรียบเยอะ ก็เพราะเราได้ทุกสิ่งเรียบร้อยแล้วทางฝ่ายวิญญาณ เราได้รับของมีค่าอันมากมายมหาศาล ก็คือชีวิตนิรันดร์ที่ตะกี้เราพูดกัน  อยู่ภายในร่างกายเราเรียบร้อยแล้ว

            เพราะฉะนั้น ถ้าเราค้นหาทรัพย์อันมีค่า  ที่อยู่ภายในเรา เราก็จะเกิดความพอใจ เพราะมันมีอยู่จริงๆ อยู่ในเรา ไม่ใช่ถูกหลอกให้แสวงความพึงพอใจจากภายนอก  ภายนอกตัวเรา ก็คือโลกใบนี้ ซึ่งมันอันตรายมาก พระเจ้าแนะนำเราอย่าไปพึ่งพา อย่าไปแสวงหาสิ่งของที่อยู่ฝ่ายโลกนี้  คือฝ่ายวัตถุนี้ที่ตามองเห็นได้ มันหลอกเรา มันคืออาณาจักรของความมืด  มันมีแต่ความเท็จ มีแต่การโกหก มีแต่ของชั่วคราว ไม่ยั่งยืนทั้งนั้น ของจริง ของแท้แน่นอนที่สุด อยู่ที่ภายในเรา ข้างนอกมีแต่ความหลอกลวง มีแต่การขโมย ฆ่า และทำลาย  มีแต่อิทธิพลของมาร

            ถ้าเราไปมองแต่ข้างนอก ก็คือมองโลกใบนี้ทั้งหมด เราจะเกิดความทุกข์ เราจะถูกขโมยความจริงไป แต่ถ้าเรามองภายในตัวเรา ซึ่งมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ พระวิญญาณจะสอนเรา  จะบอกเราถึงความจริงเหล่านี้ อย่างเช่นในเอเฟซัส 1:3 …

        เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญเทิดทูนพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงประทาน พระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายแล้ว ในสวรรคสถาน”

            “ผู้ได้ทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ แก่เราทั้งหลายแล้วในสรรคสถาน” ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระองค์ทรงประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเราเรียบร้อยแล้ว อยู่ภายในตัวเรานั่นแหละ  แล้วให้เราทำอะไร? อย่าลืม อย่าถูกขโมย  ให้เราขอบคุณพระเจ้าในพรนานัปการในฝ่ายวิญญาณนี่แหละ ให้เรามองไปที่พรนี้ ที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่มีอยู่จริงๆ  ซึ่งเราได้รับเรียบร้อยแล้ว แล้วเรียนรู้ความจริงนี้ แล้วก็เรียนรู้ที่จะพอใจว่า “ฉันมีเหลือเฟือเลย” ก็ทำให้เราไม่หลงเชื่อคำหลอกลวงจากภายนอก  ซึ่งมาจากมาร ให้เราแสวงหาเพิ่มเติม จากที่เรามีอยู่แล้ว มันหลอกให้เราทำเพิ่มอีก  ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่กำลังนิยมอยู่ขณะนี้ ที่กำลังเป็นข้อพิพากกันขณะนี้ ก็คือไฟพระวิญญาณ … พระวิญญาณ ก็คือพรอันหนึ่งที่อยู่ในเรา พระเจ้าประทานให้เรียบร้อยแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว และพรนานัปการทางฝ่ายวิญญาณให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  อยู่ภายในเราแล้ว 

            ถ้าเราไม่พอใจ เราก็จะไปหาภายนอก  หาพระวิญญาณเพิ่มเติม หาไฟพระวิญญาณ หาฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณ หาความช่วยเหลือจากภายนอกทั้งหมด เราก็มีสิทธิ์ที่จะถูกหลอกได้ ซึ่งจริงๆ แล้วพระองค์ประทานให้หมดแล้ว  การได้ใกล้ชิดกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับตรีเอกานุภาพ อยู่ในตัวเราเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าเรายังไม่พอใจ ถูกหลอกว่าอยากจะอยู่ใกล้พระเจ้า อยากจะอยู่ใกล้พระเยซูมากขึ้น ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ เราก็จะถูกหลอกไปเรื่อยๆ ไปแสวงหาการใกล้ชิดกับพระเยซูจากภายนอก  ซึ่งมันไม่ใช่ ความจริงมันอยู่ข้างใน เราเป็นหนึ่งกับพระองค์เรียบร้อยแล้ว พระองค์เป็นลำต้น เราเป็นกิ่งก้าน สวมเข้าไป ติดสนิทอยู่กับพระองค์ แนบแน่นอยู่กับพระองค์ ไม่มีอะไรสนิทกว่านี้อีกแล้ว  ไม่มีทางใกล้ชิดมากกว่านี้อีกแล้ว อย่าถูกหลอกว่า …

            “มาทำอย่างนี้สิ ถ้าอยากอยู่ใกล้พระเยซูต้องทำอย่างนี้ มาที่นี่สิ จะได้อยู่ใกล้พระเยซู”

            ท่านอยู่ใกล้ที่สุดแล้ว คือเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู ไม่มีวันที่จะแยกจากกันเลย เอเมนไหม? และต้องรับรู้ความจริงด้วยว่าบนโลกใบนี้ ท่านต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่พึงพอใจ ต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดาของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่าถูกหลอกว่าไม่พอใจอีก เกิดปัญหา ความลำบากลำบนในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็บอกว่า …

            “ไม่ได้หรอก ฉันขาดอันโน้น ฉันขาดอันนี้ ขาดความเชื่อมั้ง ขาดการกระทำอะไรบางอย่างมั้ง ที่ทำให้ฉันไม่ได้ความสุข ไม่ได้สิ่งที่ฉันต้องการ”

            ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ ไม่ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ คนไม่เชื่อก็อยู่ในความทุกข์ลำบากเหล่านี้เช่นเดียวกันกับเรา เหมือนกัน เรายังดีกว่า ตรงที่เรายังมีพระเจ้า สถิตอยู่ภายใน พระเจ้ายังช่วยเหลือเราได้ตามน้ำพระทัยของพระองค์  เพราะโลกนี้อยู่ในคำสาปแช่ง ตกลงไปในคำสาปแช่งอยู่แล้ว เราอยู่ใต้โลกนี้ เราก็อยู่ใต้คำสาปแช่งเหล่านี้ อยู่ใต้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ และถ้าเรารับไม่ได้ เราก็ถูกหลอกอีก หลอกให้ไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ซึ่งถูกหลอก

            เราก็นึกว่า … “เพราะว่าเราทำไม่ดีอย่างนั้น พระเจ้าจึงสาปแช่งเรา เพราะเราทำไม่ดีอย่างนี้ พระเจ้าจึงไม่อวยพรเรา เพราะเรา ….”

            เพราะเราไปหาความรู้จากข้างนอก ข้างนอกมีแต่ความโกหก หลอกลวง พยายามจะต่อต้านพระเยซูคริสต์ ต่อต้านพระเจ้า ก็เลยใส่ร้ายพระเจ้าบอกว่า …

            “พระเจ้าทำให้เธอเป็นอย่างนี้”

            ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เลย  ซึ่งเมื่อเราพิจารณาถึงสิ่งที่ร้ายๆ หรือสถานการณ์ที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ใจบนโลกใบนี้ สิ่งสำคัญที่สุด ที่เราควรมอง คือการมองให้เห็นผ่านมุมมองของความเชื่อและความหวังใจในพระเจ้า และความจริงในพระเจ้าอย่างเดียวเท่านั้น ต้องมองตามถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกพระเจ้าเป็นพระเจ้าดี ก็คือพระเจ้าดี อย่ามองข้างนอก แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้  แต่เราสามารถมั่นใจว่าพระเจ้าเราทรงเป็นพระเจ้าที่ดี และดีตลอดเวลาจริงๆ นี่คือเคล็ดลับและพระเจ้ามีแผนการที่ดีสำหรับเราทุกคนแน่นอน 100% แต่เราไม่รู้ว่าแผนการนั้นเป็นอย่างไร? แต่พระคัมภีร์บอกแล้วว่าพระองค์จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรานั้น เป็นผลดี สำหรับเราเสมอ ผู้ที่รักพระองค์ ก็คือเราผู้เชื่อ คริสเตียน

        ในข้อพระคัมภีร์โรม 8:28 ได้บันทึกไว้ … “และเรารู้ว่าในทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”

        และในมัทธิว 28:20 พระเยซูสัญญากับเราว่า … “สอนเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่ง ที่เราสั่งพวกท่านไว้ และแน่นอนเราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปตราบจนสิ้นยุค”

            อยู่ภายในเรา อยู่กับเราเสมอจนสิ้นยุค พระเยซูพูดเองเลยนะว่า “จงมองให้เห็นเถิด เราจะอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดไป เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลกนี้เลย”  เราต้องยึดคำเหล่านี้ไว้ อย่าให้มารมันขโมยความจริงเหล่านี้ไป

            และวิธีระวัง ก็คือให้จดจ่อความคิดไปที่ภายใน ในโลกวิญญาณที่อยู่ภายในตัวเรานั่นแหละ อย่าพยายามมองข้างนอก  พยายามจดจ่อ จดจ้องอยู่ภายในวิญญาณ ไม่ใช่ภายนอก ในโลกวัตถุที่ตามองเห็น ซึ่งมีแต่ความชั่วร้าย มีแต่ความมืด  พระคัมภีร์จึงบอกให้เรามองไปในสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง แต่สิ่งที่เราเห็นมันไม่มีอยู่จริง มันมีอยู่ชั่วคราว นี่คือพระคัมภีร์เน้นอย่างนี้ตลอดเวลา …

            “จงมองให้เห็นเถิด จงมองให้เห็นเถิด”

            ก็คือมองไปในสิ่งที่มองไม่เห็น  แต่ด้วยความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า  เห็น อย่างนี้เรียกว่าความเชื่อ ต้องระมัดระวังอย่าให้มารมันขโมยเด็ดขาด การไม่ให้มารขโมย ก็ให้ระวังเฉยๆ  แต่ก็อย่าถูกหลอกอีกว่าอ้าว! ในพระคัมภีร์บอกให้ระวังมาร  มันมาขโมย พระคัมภีร์บอกให้ระวังมาร ก็เกิดการ  แทนที่จะระวังเฉยๆ แต่กลายเป็นกลัวมาร  พระคัมภีร์บอกให้ระวัง ไม่ได้หมายถึงกลัว เพราะมันไม่มีอำนาจอยู่เหนือเราเลย  แม้แต่นิดเดียว  เขาเรียกว่าให้รู้เขารู้เรา ชนะ 100 ครั้ง ต้องรู้ว่าเขาไม่มีอำนาจเลย แต่เรามีอำนาจอยู่เหนือเขา 100%

            พูดถึงมาร หรือวิญญาณชั่ว หรือผีต่างๆ ที่เราคุยกันกับสิทธิอำนาจของคริสเตียนในพระเยซูคริสต์ ซึ่งขณะนี้ก็มีคนขัดแย้งกันอยู่ตรงนี้เยอะ เพราะถูกหลอก เพราะความจริงนี้ไม่ได้อยู่ในตัวเขา เพราะเขาไม่ได้มองดูภายในเขาว่าภายในเขา อย่างที่ตะกี้นี้บอก เรามีของล้ำค่า มีสิทธิอำนาจสูงสุดอยู่ภายใน ตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอก  พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเราแล้ว จะมีใครใหญ่กว่าเรา  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา จะมีใครใหญ่กว่าเรา ผีหรือวิญญาณชั่ว ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าวิญญาณโสโครก พระคัมภีร์เรียกอย่างนี้นะ วิญญาณโสโครก มันมีอยู่จริง พวกมัน คือพวกที่กบฏต่อพระเจ้า แล้วถูกโยนลงบนโลก แม้เราจะไม่รู้แน่ชัดว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง

            แต่สิ่งที่แน่นอน คือมันอยู่ภายในการควบคุมของพระเจ้า โดยสิ้นเชิง มันไม่มีอำนาจเลยแม้แต่นิดเดียว  มันไม่อาจละเมิดกฎของพระเจ้า  หรือเจตจำนงของพระเจ้าได้เลย และพระเจ้าผู้ควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งสถิตอยู่ภายในเรา  เป็นหนึ่งเดียวกับเรา เป็นพ่อเรา จะบอกให้นะว่าผีหรือวิญญาณชั่วต่างๆ มันมีอยู่จริง แต่มันไม่สามารถบังคับจิตใจของมนุษย์ได้เลย  มนุษย์นะ ไม่ใช่คริสเตียน มันบังคับมนุษย์ยังไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มีอำนาจแล้ว เว้นเสียแต่ว่ามนุษย์จะยอมให้สิทธิ์แก่มันเอง เพราะผีมารซาตาน เป็นเพียงวิญญาณในการโกหกหลอกลวงเท่านั้น มันไม่มีอำนาจอยู่เหนือมนุษย์เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันไม่มีอำนาจอยู่เหนือผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย เว้นแต่ว่าคริสเตียนเหล่านั้น จะเปิดประตูให้มันเข้ามาเอง ซึ่งมันก็ไม่สามารถเข้ามาได้อยู่ดี เพราะว่าต่อให้คริสเตียนคนนั้นเปิดความคิด แต่มารมันโดดเข้ามาสิงเลยไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้า 3 พระภาคสถิตอยู่ภายในเรา  มันเข้ามาไม่ได้ พระเจ้าไม่แบ่งที่ให้มันเด็ดขาด แต่คริสเตียนคิดไปเองว่ามันเข้ามาได้แค่ความคิด ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่ามันได้แค่เห่า ได้แค่ส่งเสียงคำราม ขู่ให้เรารู้สึกว่ากลัว และเรารู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าถ้อยคำของพระเจ้าบอกแล้วว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ใหญ่กว่ามันผู้นั้นที่อยู่ในโลก

            แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับคริสเตียน หรือไม่ใช่คริสเตียน ถ้าเผื่อไปสุงสิงหรือยุ่งเกี่ยวกับมาร  ก็คือผู้ที่ยอมให้มัน ก็คือผู้ที่อ่อนแอทางจิตใจ หรืออ่อนแอทางจิตวิญญาณ  ซึ่งอาจถูกมันหลอกลวง  หรือครอบงำได้ แต่มันก็เป็นกรณีน้อยมาก มันไม่ได้พบมากเลย อย่างที่บอก มันเข้ามาสิงไม่ได้หรอก แม้ไม่เชื่อพระเจ้า อยู่ดีๆ มันเข้าไปสิงไม่ได้ นอกจากจะไม่เชื่อพระเจ้า แล้วก็ไปสุงสิงกับมันมากนัก มากเกิน แล้วมอบสิทธิให้มัน พระเจ้าจึงเตือนมนุษย์อย่างชัดเจนว่าให้หลีกเลี่ยงสิ่งที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ เช่น การทำนายดวงชะตา  การเล่นไสยศาสตร์  การเรียกวิญญาณ  การเล่นวิญญาณอะไรต่างๆ พวกหมอผีต่างๆ เหล่านี้ ให้หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ การดูดวง ใช้อำนาจจิตอะไรต่างๆ เหล่านี้ ที่มองไม่เห็น อย่าไปยุ่งเกี่ยว บอกมนุษย์ทั้งหมด เตือนมนุษย์ทั้งหมด

            เพราะสิ่งเหล่านี้ อาจจะเป็นประตู หรืออาจจะทำให้เกิดเปิดทางให้มารเข้ามาแทรกแซงชีวิต พวกหมอผี นักดาราศาสตร์เหล่านี้  ที่เขาเรียกว่าความคิดหรือจิตอ่อน มันมีความรู้สึกไปทางวิญญาณมากกว่าคนอื่นเขา  มากกว่าเหตุผล  เขาเรียกว่ามนุษย์สายมู คือสายวิญญาณทั้งหลาย เอะอะอะไร ก็นึกถึงวิญญาณๆ ไม่นึกถึงเหตุผล เขาว่ากันว่าพวกจิตอ่อน หรือว่าที่มีความคิดไปทางสายมู เขาว่ากันว่าพอเห็นดาวตก อุกาบาตรตกปุ๊บ สายมูจะวิ่งไปล้อมรอบบูชา หรือว่าเก็บมาบูชาที่บ้าน ไปคิดต่อแล้วกันว่าทำอะไร?  ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็มีมนุษย์ที่มีจิตแข็ง สายที่มีสติปัญญา ความคิด พอมีดาวตกเขาทำอย่างไร? เขาก็ไป เอามาวิเคราะห์ตามหลักวิทยาศาสตร์ว่ามันมาจากไหน? มันร่วงมาได้อย่างไร? เพราะอะไร? มีผสมแร่ธาตุอะไรบ้าง? แร่ธาตุนี้อยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้มีไหม? มันต่างกัน ใช่ไหม? นั่นแหละ สายมูเป็นอย่างนั้น ซึ่งพระเจ้าก็ไม่ต้องการให้เราไปยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว  อย่างนี้เป็นต้น

            สำหรับคริสเตียน ผู้ที่มอบชีวิตให้แก่พระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ได้มีชัยเหนืออำนาจของมาร วิญญาณชั่วทั้งสิ้น รวมทั้งเราด้วย  มีอำนาจอยู่เหนือมันหมดแล้ว เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ บัดนี้ พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์ประทับอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน มีอำนาจอยู่เหนือสูงสุด แล้วเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็มีอำนาจอยู่เหนือสูงสุดเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวอะไรเลย  แต่ขณะเดียวกัน อย่างที่บอก เราก็ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าไม่อยากให้ไปยุ่ง ยุ่งแล้วก็เกิดปัญหาอย่างที่บอก เกิดปัญหาทางความคิดของเรา ทึกทักไปว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ต่างๆ เหล่านั้น

            สิ่งที่เกิดในโลกนี้ ล้วนอยู่ภายใต้การอนุญาตของพระเจ้าทั้งสิ้น  พระเจ้าผู้ทรงครอบครองทุกสิ่งด้วยความยุติธรรมและความรัก พระองค์ไม่ลำเอียง  และควบคุมทุกอย่างตามน้ำพระทัยอันบริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อให้แผนการแห่งความรอดของพระองค์สำเร็จ สมบูรณ์ในที่สุด  ให้ความรอดของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ ไปถึงบรรดามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ นี่คือน้ำพระทัยอันสมบูรณ์ของพระเจ้า และพระองค์ควบคุมทุกอย่างอยู่ เราต้องเข้าใจความจริงตรงนี้  ในความทุกข์ยากลำบากที่เราต้องเผชิญบนโลกใบนี้  ถ้าเราปฏิเสธความจริงเหล่านี้ เราก็จะถูกหลอกไปสายมู

            พอออกไปหาความจริงจากภายนอก เราก็อาจจะถูกหลอกเข้าไปอยู่สายมูเช่นเดียวกัน  อยากจะหาอัศจรรย์เอย อยากจะหาสิ่งที่เหนือธรรมชาติ อยากจะร่ำรวยเหมือนคนที่อยู่บนโลกนี้ ที่เขาหาสายมูเอย อะไรต่างๆ เหล่านั้น

            นอกจากนี้แล้ว เมื่อเกิดความทุกข์ยากลำบาก เรายังสามารถที่จะมองเห็นความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เป็นการเตือนใจให้เรามีความหวังในชีวิตนิรันดร์ และมีความมั่นใจในความรัก และพระคุณของพระเจ้า ที่มีให้กับเราเสมอ ในขณะที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ แต่เรามีพระเจ้าอยู่ คอยปลอบโยน คอยนำพา คอยช่วยเหลือเท่าที่พระองค์จะทรงสามารถทำได้ พระองค์ก็ทำให้เราสงบ พาเราเดินผ่านพายุแห่งความทุกข์ยากลำบากไปได้ด้วยดี  บางครั้งพระองค์ทรงทำให้พายุนั้นสงบ และพาเราเดินผ่าน แต่บางครั้งทำให้เราสงบ และเดินผ่านพายุไปกับพระองค์ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น เราก็เดินผ่านไปกับพระองค์เหมือนกัน

            นี่คือวิธีการที่รักษาพระพรของพระเจ้าในการเป็นคริสเตียน ในการได้รับพระพรอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คืออย่างนี้  ความหวังตามน้ำพระทัยพระเจ้าอย่างนี้ อยู่บนรากฐานของความจริงของข่าวประเสริฐ คือใน 2 โครินธ์ 4:16-18 นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า …

        2 โครินธ์ 4:16-18 “16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์) ของเรากำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเรา เข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”

            ฉะนั้น หลักการที่สำคัญ ก็คือ …

            “ดังนั้น  เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน เหมือนเงา แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”

            ไม่ว่าท่านจะเชื่อพระเจ้าอย่างไรก็ตาม  ไม่ว่าท่านจะเผชิญกับความทุกข์ขนาดไหนก็ตาม พระเยซูสถิตอยู่ในเรา อยู่ในท่าน พระองค์ทรงรับรู้ด้วยความรัก ความห่วงใยว่าท่านกำลังเผชิญอยู่ พระองค์ทรงรู้และเข้าใจดี จงมีกำลังขึ้นในพระองค์ จงอดทน ก้าวเดินต่อไปกับพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อ ด้วยความหวัง และความรักในพระเยซูคริสต์ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือความจริงที่อยู่ภายใน ที่ตามองไม่เห็น ที่เราต้องรักษาไว้ และเฝ้าระวังให้ดี ไม่ให้ถูกขโมยไป จากเราโดยมารได้ เพื่อเราจะได้รับรางวัลบนโลกใบนี้ด้วย คือพรในการดำเนินชีวิต อย่างมีสันติสุข ความสงบสุข และความสุข ทุกข์น้อยลงบนโลกใบนี้  จากการพอใจในสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่เป็นอยู่ และเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้พบกับพระเยซูหน้าต่อหน้า และรับร่างกายใหม่ และอยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์  เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

ากใจคณะศิษยาภิบาล

            อัศจรรย์! “มนุษย์ทุกคนสามารถเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าได้” ง่ายนิดเดียว!

            1 ยอห์น 5:1 … “ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ก็ได้บังเกิดจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า และทุกคนที่รักพระเจ้าพระบิดาผู้ให้กำเนิด ก็รักลูกคนอื่นที่เกิดจากพระองค์ด้วย”

            มนุษย์ผู้ใดก็ตาม ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสสิยาห์ เป็นพระคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงส่งมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป

            ความเชื่อนี้ จะทำให้เขาคนนั้นบังเกิดใหม่ จากพระวิญญาณของพระเจ้า กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า และเขาจะรักพระเจ้า ในฐานะเป็นพระเจ้าพระบิดาผู้ให้กำเนิด นอกจากนี้ เขาจะรักบรรดาผู้เชื่อคนอื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้า เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นการแสดงถึงการเกิดใหม่จากพระเจ้า

            1 ยอห์น 4:7-8 … “7 เพื่อนที่รักทั้งหลาย ให้เรารัก (สำแดงความรักจากภายในวิญญาณ) ซึ่งกันและกัน เพราะความรักเกิดจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้บังเกิดจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะเป็นความรักเหมือนพระเจ้า (ธรรมชาติภายในวิญญาณก็จะรักพี่น้อง ผู้เชื่ออื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้าเช่นเดียวกัน) และรู้จัก คุ้นเคยกับพระเจ้า 8 ผู้ที่ไม่รัก (ไม่สามารถรักพระเจ้า และคริสเตียนผู้เชื่อ ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า จากธรรมชาติ ภายในวิญญาณ) ก็ไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก”

            ความรักนี้ เป็นผลจากการที่เราได้บังเกิดใหม่ ด้วยชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า มีพระลักษณะของพระเจ้า ดำรงอยู่ในวิญญาณของเรา ที่พระองค์ทรงประทานให้

พระเจ้าเป็นความรัก เราทั้งหลายผู้เชื่อ ก็เป็นความรัก เหมือนพระองค์ เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์

            ยอห์น 3:16 … “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ  (ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป) แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1542

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  ตุลาคม  2025

เรื่อง “หนังสือโคโลสี” ตอน 6

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือโคโลสี 1:12 บอกว่า …

        โคโลสี 1:12 “ในการขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงทำให้พวกท่าน เหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง”

            ตรงนี้ในสัปดาห์ที่แล้ว ข้อ 11 บอกว่า …

        โคโลสี 1:11 “ได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งขึ้น  ด้วยฤทธิ์อำนาจทั้งมวลตามฤทธานุภาพอันทรงเกียรติสิริของพระองค์  เพื่อท่านจะทรหดอดทนอย่างยิ่งและมีความชื่นชมยินดี”

            แล้วจากนั้น อาจารย์เปาโลก็มาขอบคุณพระเจ้า  ที่พระเจ้าพระบิดาทรงเป็นผู้กระทำให้เรา หมายความว่าตรงนี้ เราไม่ได้ทำเอง ไม่ใช่เพราะการทำดี การประพฤติดีของเรา  ทำให้เราเหมาะสมที่จะมาเป็นลูกของพระองค์ แต่ตรงนี้ อาจารย์เปาโลพูดชัดเจนเลยว่าพระบิดาเอง เป็นผู้ทรงกระทำให้พวกท่าน  ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เชื่อวางใจในพระเจ้าเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระองค์ คือเหมาะสมที่จะเข้ามาเป็นประชากรของพระเจ้า เป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ มาเป็นหนึ่งเดียวกัน มาเป็นครอบครัวเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเป็นผู้ทำ เราถูกย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่างเรียบร้อยไปแล้ว ข้อที่ 13 บอกว่า …

        โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

            พระเจ้าเป็นผู้กระทำทั้งหมดเลย โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ได้ย้ายพวกเรา เกิดการเคลื่อนที่ในโลกวิญญาณ  มีการย้ายสถานที่ของมนุษย์แต่ละคน ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก่อนหน้าที่เราเปิดใจ เราอยู่ในอาณาจักรของความมืด เราอยู่ในอาดัม เราอยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง  คือเกิดมา ก็อยู่ตรงนั้นแล้ว  ไม่ต้องทำอะไรเลย เกิดมาไม่ต้องทำบาปเลย เราก็เป็นคนบาปแล้ว เกิดมายังไม่ทันได้ทำบาปเลย เราก็ถูกสาปแช่งเรียบร้อยไปแล้ว เพราะว่าเราเกิดมาเป็นอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไร เด็กตัวน้อย เพิ่งคลอดออกมาจากครรภ์ของมารดา หายใจเท่านั้นเอง เขาเป็นคนบาปแล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เพราะว่า DNA ของมนุษย์ทุกคนเป็น DNA บาป  มาจากบรรพบุรุษของเรา คืออาดัม

            ฉะนั้น พระเจ้าได้ย้ายเราจากอาณาจักรของความมืด คำสาปแช่ง และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งพระบุตรที่รักของพระเจ้า  ก็คือย้ายจากที่เดิมในความมืด เข้ามาสู่ที่ใหม่ คือในที่สว่าง ในที่ที่มีพระเจ้าอยู่ด้วย ในที่ที่พระเยซูคริสต์ได้สถิตอยู่กับเรา นี่คือในโลกวิญญาณ ณ เวลานี้ ผู้เชื่อทุกคนเป็นอย่างนั้นเรียบร้อยไปแล้ว ในข้อที่ 14 บอกว่า …

        โคโลสี 1:14 “ในพระบุตรนี้เราได้รับการไถ่บาป  คือการอภัยโทษบาปของเรา”

            ในพระบุตร ในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ใน” ใน ก็คือมันอยู่ข้างใน เราทุกคนผู้เชื่อ อยู่ในพระคริสต์ แล้วพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา นี่คือภาพของโลกวิญญาณที่มันเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น ในพระบุตร คือในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้รับการไถ่บาป ก็คือไถ่ไปเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าได้ไถ่เรา จากการเป็นมนุษย์บาป มาเป็นมนุษย์แห่งความชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว คือการอภัยโทษบาปของเรา อภัยหมดเลยนะ

            พระคัมภีร์บอกว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ หลั่งลงมาครั้งเดียว ได้ชำระมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ ชำระบาปของเขาหมดสิ้น ตั้งแต่บาปในอดีต ก่อนมาเชื่อพระเจ้า  บาปในปัจจุบันที่เราได้เชื่อพระเจ้าแล้ว กำลังนั่งอยู่แถวนี้  เมื่อเราทำบาป พระโลหิตของพระเยซูก็ชำระเรา คือมันอัตโนมัติ เหมือนเป็นโปรแกรมที่พระเจ้าเขียนเอาไว้แล้ว  ทันทีที่ผู้เชื่อทำบาปปุ๊บ โปรแกรมมันจะลบออกเอง โดยอัตโนมัติ แล้วอนาคตข้างหน้า เรายังคงมีโอกาสที่จะทำบาปอีก  ทำไมผู้เชื่อมีโอกาสทำบาป เพราะว่าร่างกายของเรา แม้ถูกชำระให้สะอาดแล้ว เป็นวิหารของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคแล้ว แต่ร่างกายนี้ ยังเป็นร่างกายที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ ฉะนั้น โอกาสที่เราจะถูกล่อลวงให้ทำบาป มันมีทุกโอกาส ทุกเวลา

            บาป คืออะไร? หลายคนคิดว่าต้องบาปใหญ่ๆ  พระเจ้าจึงถือว่าบาป  ถ้าเราแค่ไปค้อนเขานิดหนึ่ง ไม่น่าบาป เห็นคนนี้หมั่นไส้ ขอค้อนนิดหนึ่ง บาปไหม? ในสายพระเนตรของพระเจ้าบาป  ก็คือไม่ว่าบาปเล็ก บาปน้อย บาปฝอย พระเจ้าถือว่าบาปหมด ก็คือในพระคัมภีร์บอกว่าแค่เรานั่งเฉยๆ รู้ว่าสิ่งนี้ดี แล้วเราไม่ทำ เรานั่งเฉยๆ เราทำเป็นไม่สนใจ นั่นก็บาปแล้ว

            แล้วพี่น้องลองคิดดูว่ามีมนุษย์คนไหน บนโลกใบนี้ที่จะสามารถช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากความบาปได้ มันไม่มีทางอยู่แล้ว พึ่งพระเจ้าอย่างเดียว พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้พวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  แล้วเราขอบคุณพระเจ้า พวกเราที่มานั่งอยู่ตรงนี้ เราได้รับพระคุณตรงนั้นเรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูได้ทรงอภัยโทษบาปของพวกเราทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้ว บาปอดีต ปัจจุบันและอนาคตด้วย คือทำสำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จ” คือไม่ต้องไปทำต่อ คือหลายคนคิดว่าพระเยซูทำสำเร็จ เดี๋ยวเราไปขอต่อนิดหนึ่งได้ไหม? ไม่ต้อง

            พระเยซูบอก “ไม่ต้อง ฉันทำเสร็จแล้ว เธอไม่ต้องทำต่อ เธอแค่นั่งสวยๆ แล้วก็รับเอาเท่านั้นเอง”

            รู้จักไหม? นั่งสวยๆ แล้วก็รับเอาเท่านั้นเอง รับเอาพระพร รับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว แค่นั้นพอ ไม่ต้องไปทำอะไรเยอะแยะมากมาย  แล้วเราจะเห็นพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของพวกเรา แม้หลายครั้ง เหตุการณ์เยอะแยะมากมาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา มันไม่ถูกใจเราเท่าไร? มีใครสามารถบอกว่าทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเรา เราถูกใจๆ ไม่มี มันมีบางเรื่องที่ไม่ถูกใจ บางเรื่องเรารู้สึก …

            “ไม่น่ามาเลย พระองค์เจ้าข้า ไม่โอเคๆ” เราก็จะพูดภาษาของเรา “เหตุการณ์นี้มาทำไม พระองค์เจ้าข้า มันไม่โอเค”

            แต่ว่าอย่างที่บอก พระเจ้าบอกว่าทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา พระองค์จะเอื้ออำนวยให้เป็นผลดี สำหรับผู้ที่รักพระองค์ เอเมนไหม? แล้วเรารักพระองค์ไหม? ต้องใช้คำว่าโคตะระรัก ใช้คำนี้ โคตะระรักพระองค์เลย  แล้วความรักตรงนี้ ไม่ได้มาจากความสามารถของเราอีก ฟังแล้วงงไหม? ไม่ได้มาจากความสามารถของเรา เพราะความรักนี้มาจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ใส่ความรักลงมาในวิญญาณของเรา เราเกิดมา ก็รักพระองค์เลย เกิดมาเป็น เกิดมาเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังพระองค์ เป็นวิญญาณที่รักพระองค์

            อย่างที่พระเยซูบอกเราว่า … “ให้เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน และให้รักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด”

            เรารักเองไม่ได้หรอก  ไม่มีทาง แต่พระเจ้าเป็นผู้ใส่ความรักนี้ ลงมาในวิญญาณใหม่ของเรา ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ  เราได้บังเกิดใหม่ ความรักมันอยู่ในตัวเราแล้ว  ฉะนั้น สิ่งที่พระเยซูสั่ง มันไม่เป็นภาระ คือเราไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกาย เพื่อให้ไปรักพระเจ้ามากขึ้น บางทีเราถูกหลอก เมื่อก่อนถูกหลอก …

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกอยากรักพระองค์มากเลย อยากรักมากขึ้นกว่านี้”

            พระเจ้าก็บอกว่า “เธอไม่ต้องพยายามหรอก เพราะตรงนั้น ฉันทำให้เธอเรียบร้อยแล้ว  ก็คือฉันทำให้เธอรักฉัน 100% เรียบร้อยไปแล้ว”

            ในวิญญาณนะ แต่ส่วนการกระทำ ก็ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ฝึกฝนไป ฉะนั้น ตรงนี้ มันเกิดขึ้น เรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ คือเรารักพระเจ้าแล้ว รัก100% ด้วย รักสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด ความรักตรงนี้ เป็นของประทานที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณเราเรียบร้อยไปแล้ว รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง  ความรักนี้ พระเจ้าก็ให้มาแล้ว มันไม่เป็นภาระ พระเจ้าทำให้แล้ว เราสามารถรักคนอื่นเหมือนรักตัวเราเอง ตรงนี้ในโลกวิญญาณมันเสร็จไปแล้ว แต่ในโลกวัตถุ เราอาจไม่สามารถรักได้ขนาดนั้น ก็ได้ ไม่เป็นไร  ก็ฝึกฝนกันไป  แยกนะ ถ้าพี่น้องแยกตรงนี้ปุ๊บ เราก็จะไม่ถูกหลอก เพราะพฤติกรรมที่เราทำ เราก็จะคุยกับพระเจ้าว่า …

            “พระองค์เจ้าข้า เราไม่สามารถรักคนนี้ได้เลย  ทำอย่างไรก็รักไม่ลง ดูแล้วไม่ไหว พระองค์เจ้าข้า  ดูแล้วอึดอัด แค่หางตามองปุ๊บ ข้างในหงุดหงิดๆ แต่เขาเป็นผู้เชื่อ เขาเป็นลูกของพระองค์ เขาเป็นพี่น้องเราในพระคริสต์”

            พระเจ้าถือสาเราไหม? พี่น้องว่าพระเจ้าถือสาเราไหม? ไม่ถือสา เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะพระเจ้ารู้ว่าร่างกายเรา เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ค่อยๆ ฝึกฝน พี่น้องจะสังเกตว่าการพัฒนาของเราจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราจะมีความรู้สึก มองไปมองมา เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก เราก็พอรับได้อยู่ แล้วเราก็ค่อยๆ พัฒนาความรักที่มันเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา เพิ่มพูนเข้ามาๆ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทรงช่วยเรา ให้เราสามารถที่จะรักเขาได้ อาจจะไม่ได้แบบจี่จ๋า แบบเหมือนบางคน เราเห็นแล้วรักเลย  พี่น้องเป็นไหม? ไม่ต้องพยายามเลย เห็นปุ๊บ รักจังเลย  เขาทำอะไรให้เราไหม? ยังไม่เคยทำอะไรให้เราเลย

            ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าถูกชะตา ดูแล้วถูกชะตามากเลยคนนี้ เห็นปุ๊บ รักเลย มันอัตโนมัติ แล้วคนที่เราเห็นปุ๊บรัก ไม่ว่าเขาทำผิดอะไรแค่ไหน? รักเขาเหมือนเดิม  ไม่เป็นไร นิดหน่อย โอเคๆ ผ่านไป มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

            แต่ถ้าคนที่ไม่ถูกชะตา เรามอง แล้วขัดหู ขัดตา ขัดใจ เขายังไม่ทันทำอะไรให้เราเลย แค่เห็น เราก็ขัดใจแล้ว ไม่ถูกใจ  หรือพอเขาทำอะไรนิดหนึ่ง ยิ่งไม่ถูกใจใหญ่  …

            “อย่ามาทำใกล้ๆ ฉัน ไปไกลๆ” อะไรประมาณนั้น

            นี่คือภาพให้เราเห็น ตัวตนของเรา ในร่างกายนี้  เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ฉะนั้น เราจะพัฒนา ค่อยๆ ฝึกฝน แล้วพระเจ้าก็จะค่อยๆ นำเรา ด้วยวิธีของพระองค์นั่นเอง  พระองค์มีวิธี  เราจะเห็นบางคนพอเห็นหน้า ไม่ถูกชะตา อยู่ไปอยู่มา คู่นี้รักกันตั้งแต่ตอนไหน? เราไม่รู้เหมือนกัน เขาสองคนรักกัน เขายังไม่รู้เลยว่ารักกันตั้งแต่ตอนไหน? เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา  พระองค์ขับเคลื่อน พระองค์ค่อยๆ ทำงาน  จากเอาอคติในชีวิตของเราค่อยๆ เอามันออกไป จากความไม่ชอบหน้า ค่อยๆ เอาออกไป  แล้วค่อยๆ ดีขึ้นๆ จากไม่ชอบหน้า กลายเป็นเฉยๆ  พอเฉยมากๆ ก็รักขึ้นมาเฉยๆ เลย นั่นแหละ ความรักนั้นมาจากพระเจ้า

            ฉะนั้น อย่างที่บอก เราไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกาย แต่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะโน้มนำเรา  จะคอยบอกเรา สะกิดเรา  ให้กำลังเรา  ที่เราจะสามารถรักแม้คนที่ไม่น่ารักได้ เอเมนไหม? คนที่น่ารัก ใครๆ ก็รัก คนไม่น่ารัก จะรัก นี่มันใช้เวลานิดหนึ่งนะ พระองค์เจ้าข้า

            พระเจ้าบอก … “ไม่เป็นไร? ฉันมีเวลาให้เธอทั้งชีวิต”

            เห็นไหม? พระเจ้ามีเวลาให้เราทั้งชีวิต  ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ แล้วเมื่อเราจากโลกนี้ไป สบายเลย  ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าเราจะรักใคร? เราจะเกลียดใคร? ไม่มีแล้ว เมื่อเราขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เราไม่ได้เอาร่างกายนี้ไปด้วย ร่างกายนี้มันเป็นเรือนดิน มันอยู่ภายใต้กฎความบาปความตาย  เราก็ทิ้งมันไป  ถ้าทิ้งมันไปปุ๊บ อารมณ์โกรธ เกลียดอะไรทุกอย่าง มันถูกทิ้งไปหมดนั่นแหละ มันไม่ตามไป  แต่สิ่งที่ตามไป ก็คือวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าตามเราไป ความคิดจิตใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  ตามเราขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ แล้วเราก็สวยๆ เลย ไปสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา ตอนนี้ครบถ้วนสมบูรณ์เลยนะ  เขาเรียกว่าความรอด แบบครบถ้วนบริบูรณ์  ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับพวกเราผู้เชื่อทุกคน และในขณะเดียวกัน ไม่ได้จัดเตรียมเฉพาะพวกเรานะ ความเป็นจริงในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้กับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว อยู่ตรงที่ว่าใครได้ยินได้ฟัง แล้วมารับไปไหม? ถ้าไม่รับ ก็เสียของฟรีๆ นึกออกไหม?

            พระเจ้า พระเยซูบอก “ฉันทำให้เสร็จแล้ว ของขวัญกล่องนี้ เธอไม่มารับหรือ?”

            ไม่มารับ ก็ตั้งไว้ตรงนั้นแหละ จนวันสุดท้ายของชีวิต ยังไม่มารับอีก แล้วเป็นอย่างไร? อยู่ที่เดิม ก็คือเมื่อวิญญาณออกจากร่าง  อยู่ในอาดัม อยู่ในคำสาปแช่ง วิญญาณเขาก็จะอยู่อย่างนั้นนิรันดร์กาล นี่คือความน่ากลัวของมนุษยชาติบนโลกใบนี้

            ฉะนั้น การประกาศข่าวดี พระเจ้าต้องการ ปรารถนา อยากให้ทุกคนมีโอกาสเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

        โคโลสี 1:15-16 “15 พระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้าผู้ที่เราไม่อาจมองเห็นได้ เป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง 16 เพราะโดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น ทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ หรือเทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์”

            เทพอะไรทั้งหลายที่มนุษย์บนโลกนี้ตั้งชื่อไว้ เราไม่รู้แหละ พระเจ้าเป็นผู้สร้างหมด พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้นี้ ตอนนี้อยู่ในเราแล้ว

            แล้วในพระธรรม 1 ยอห์น 4:4 บอกว่า … “พี่น้องที่รักทั้งหลาย ผู้ที่อยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก”

            ผู้นั้น ใครก็ได้ เทพผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ เทพอาณาจักร เทพอะไรทั้งหลายที่มนุษย์ยกขึ้น  เทพเหล่านี้ สู้พระเยซูไม่ได้ พระเยซูที่อยู่ในเรา พระองค์ยิ่งใหญ่สุด  ใหญ่กว่าทั้งหมด ฉะนั้น เราไม่ต้องกลัว ผู้เชื่อหลายคนถูกหลอกให้กลัว  ทุกวันนี้ก็ยังมีคนถูกหลอกให้กลัวว่ามารหรือเทพทั้งหลาย  สามารถมีอำนาจอยู่เหนือเรา ความเป็นจริงในโลกวิญญาณ คือมันไม่มีอำนาจเลย อำนาจของมันถูกปลดไปเรียบร้อยแล้ว  ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

            ที่พระเยซูตะโกนว่า “สำเร็จแล้ว”

            ก็คือปลดอำนาจของมาร ที่มันมีอำนาจเหนือมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ถูกปลดไปเรียบร้อยแล้ว นึกภาพ คนที่ถูกปลดมีอำนาจไหม? ไม่มีอำนาจ แต่มันสามารถหลอกคนที่ไม่รู้ว่ามันถูกปลดแล้ว แล้วก็วางมาดไว้ว่า …

            “ฉันยังใหญ่อยู่นะ เธอต้องมาซูฮกฉัน” อะไรอย่างนี้

            คนไม่รู้ ก็ตกใจ ซกๆๆ กลัว แต่พอคนรู้ปุ๊บ … “เธอหลอกฉันไม่ได้หรอก เธอหมดอำนาจแล้ว ฉันไม่กลัวเธอหรอก”

            นี่คือสิ่งที่ผู้เชื่อทั้งหลายจำเป็นต้องรู้ มารไม่มีอำนาจอยู่เหนือชีวิตของเรา มารแค่มีโอกาสที่จะมาคอยหลอกเรา ลักษณะไหนรู้ไหม ตอดเล็กตอดน้อย ตอดโน่นนิดนี่หน่อย  ในพระคัมภีร์บอกว่ามารเหมือนสิงห์คำราม มันก็จะคอยกัดกิน คนที่มันกินได้ แต่มันกินได้ไหม? มันกินได้เฉพาะคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า คนเชื่อพระเจ้ามันกินไม่ได้ มันก็งัมๆ เรา เขียวเลย แต่มันทำอะไรเราไม่ได้ พี่น้องเคยเดินชนโต๊ะไหม? เขียวไปทั้งตัว ลักษณะเดียวกัน

            มันทำอะไรเราไม่ได้ มารไม่มีเขี้ยวเล็บ ในชีวิตของพวกเรา ไม่มีอำนาจในชีวิตของเรา ฉะนั้น เราไม่ต้องไปกลัว มารซาตานไม่มีสิทธิ์ที่จะมาทำให้เรากลัว แต่มันต้องกลัวเรานะ ไม่ใช่เรากลัวมัน  แต่ทุกวันนี้ ผู้เชื่อจะถูกหลอกตลอดเวลา ให้กลัวมาร

            “มารจะมาทำอะไรเราได้ไหม? ทำโน่นทำนี่ ในนามพระเยซู ขับมันออกทุกวันเลย”

            ไปขับมันทำไม? มันทำอะไรเราไม่ได้  แล้วมันไม่ได้อยู่ในนี้ด้วย ไม่ต้องไปขับมันออก ในนี้มีใครอยู่? พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ ไปขับทำไมมาร  มันไม่ได้อยู่ในตัวเรา ใช่ไหม? ในตัวเรามีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา

            ฉะนั้น คริสเตียนถูกหลอกให้ไล่ผีทุกวัน  ไม่รู้ไล่อะไรเยอะแยะมากมาย ที่คริสเตียนไล่ผี เขาเอาข้อพระคัมภีร์ข้อไหนมารู้ไหม? พี่น้องจำข้อพระคัมภีร์ในมัทธิวได้ไหม? ที่พระเยซูสอนว่าถ้าใครก็ตาม ผีในตัวถูกไล่ออกไป พอไล่ออกไปแล้ว เขาก็ปล่อยที่ให้ว่างๆ แล้วไม่ทำอะไรเลย  ผีมันก็ป้วนเปี้ยนไม่ไปไหนหรอก ผีอยู่เฉยๆ ไม่ได้ มันเป็นวิญญาณ มันต้องหาที่มาแปะอยู่ แล้วมันก็เดินวนไปเวียนมา …

            “คนนี้ คราวก่อนเราถูกไล่ออกมา แล้วข้างในเก็บกวาดซะเรียบร้อยเลย ห้องสวย” ทำอะไร? ไปชวนพรรคพวกมา ผีพรรคพวกทั้งหลายเข้ามาอยู่ในร่างนี้นั่นแหละ “เพราะร่างนี้ไล่ฉันออกไป ไม่เห็นทำอะไรเลย ฉันขอมาอยู่ต่อแล้วกัน”

            แล้วอยู่ต่อ ไม่ได้อยู่ตัวเดียว ในพระคัมภีร์บอกว่าอีก 7 ผี อยู่ 7 ผี คืออยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่รู้ผีอะไร มาหมดเลย

            ฉะนั้น สิ่งที่พระเยซูยกคำอุปมาตรงนี้ เพื่อบอกอะไรกับชาวยิวในยุคนนั้น เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เราแบบ …

            “ฉันขออยู่ตรงกลาง พระเจ้าฉันก็ไม่เอา ผีฉันก็ไม่เอา ฉันขออยู่เป็นตัวฉันเอง”

            แต่พระเยซูกำลังบอกว่ามันไม่มีทาง ถ้าในวิญญาณของท่าน เมื่อพระเจ้าไล่ผีออกปุ๊บ สิ่งเดียวที่ท่านทำได้  คือรับเอาพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในใจท่าน เมื่อพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในท่าน ผีป้วนเปี้ยนเดินไป ห้องไม่ว่าง พี่น้องนึกภาพออกไหม? ห้องไม่ว่าง แล้วคนที่อยู่ในห้องใหญ่มาก เป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราหนีดีกว่า ไม่ยุ่งกับคนนี้ เพราะว่าเรายุ่งไม่ได้ พระเจ้าในนี้ใหญ่มาก  ผีเลยเตลิดเปิดเปิงไป  แต่มันยังหลอกผู้เชื่อได้อยู่นะ …

            “ฉันยังมีอำนาจควบคุมเธออยู่”

            แต่ความเป็นจริง คือมันควบคุมเราไม่ได้ ถ้าเราอนุญาตเปิดประตูใจ ให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แหละ บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าปุ๊บ ผีที่ไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้ มันหลอกเราได้อย่างเดียว ไม่อย่างนั้น เขาจะใช้คำว่าผีหลอก หรือถ้าผีทำได้ ต้องไม่ใช้คำว่าผีหลอก ต้องใช้คำว่าผีทำ

            แทนที่จะใช้คำว่า “ผีทำร้ายเธอ” แต่ใช้คำว่า “ผีหลอกเธอ”

            หลอก ก็แปลว่ามันไม่มีตัวตน มันเป็นเงา มันเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่มันไม่มีอำนาจ แต่มันแค่หลอกเราว่า …

            “ฉันยังใหญ่อยู่” อะไรประมาณนั้น

            ถ้าเรารู้ความจริง ในพระคัมภีร์บอกว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ ตอนนี้ไม่กลัวผีแล้วนะ ยังกลัวอยู่ไหม? ไม่กลัวผีนะ ผีมันทำอะไรเราไม่ได้ ขอบคุณพระเจ้า

        โคโลสี 1:17-18 “17 ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง และในพระองค์ทุกสิ่งประสานเข้าด้วยกัน 18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร ทรงเป็นจุดเริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง”

            “กาย” ในพระคัมภีร์คือคริสตจักร พอเราบอกว่าคริสตจักร ส่วนใหญ่เขาก็จะเข้าใจว่าเป็นตัวอาคาร แต่ความหมายในโลกวิญญาณ  ที่พระเยซูคริสต์พูดจริงๆ ก็คือพวกเราทุกคนเป็นคริสตจักรของพระเจ้า เราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ วิหารของพระเจ้า คือที่ๆ พระเจ้าอยู่

            สมัยก่อน ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน คนอิสราเอลต้องมีพลับพลา ต้องมีวิหาร  แล้วต้องมีหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไปตั้งไว้ ในอภิสุทธิสถาน ซึ่งหีบพันธสัญญานี้ จะเล็งถึงตัวพระองค์เอง ซึ่งเมื่อก่อนพระเจ้าไม่มาสถิตอยู่ในคนอิสราเอล ก็จะคอยนำเขา ให้หีบพันธสัญญาเป็นสัญลักษณ์ แล้วพระเจ้าก็ตั้งกฎเอาไว้ให้ชนชาติอิสราเอลทำพิธีในการถวายเครื่องบูชาลบบาป สมัยของโมเสสเป็นเต็นท์นัดพบ พระเจ้าก็จะบอกวิธีการว่าเต็นท์ต้องสร้างอย่างไร? ขนาดเท่าไร? กี่นิ้วๆ ระหว่างเต็นท์ต้องยาวเท่าไร? แล้วใช้ผ้าขนาดไหน? ชนิดไหน? สีอะไร?  พระเจ้าบอกละเอียดยิ๊บเลย แล้วโมเสสก็ทำตามนั้น คือเต็นท์นัดพบ แล้วเต็นท์นัดพบ ข้างในสุด คืออภิสุทธิสถาน คนอิสราเอลทั่วไปเข้าไม่ได้ ปุโรหิตทั่วไป ก็เข้าไม่ได้  เข้าได้เฉพาะมหาปุโรหิตที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้เท่านั้น ไม่ใช่อยู่ดีๆ …

            “ฉันจะขอตั้งตัวเองเป็นมหาปุโรหิต แล้วฉันก็เข้าไปถวายเครื่องบูชาในอภิสุทธิสถาน”

            ก็ตายลูกเดียว  เพราะว่าไม่ได้ ผิดกฎของพระเจ้า ฉะนั้น ตรงนี้พระเจ้าเล็งให้เห็นถึงสิ่งที่มันสำคัญที่สุด ในอภิสุทธิสถาน คือการทรงสถิตของพระเจ้า และ ณ ปัจจุบันนี้ พวกเราทุกคนผู้เชื่อ ร่างกายของเราเป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า เป็นที่ทรงสถิตของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เราเลยไม่ต้องใช้พิธีกรรมใดๆ  เหมือนสมัยก่อนว่าต้องมาถวายเครื่องบูชาทุกวี่ทุกวัน เวลาทำผิดก็ต้องมาถวาย ปีหนึ่งก็ต้องเอาแกะเอาแพะมา ให้มหาปุโรหิตอธิษฐานยกโทษบาปให้

            ฉะนั้น ปัจจุบัน พระเจ้าอยู่ในเรา วิญญาณใหม่ของเราบริสุทธิ้เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ก็คือไม่มีบาปอยู่ในตัวเราแล้ว แต่เมื่อร่างกายเราเผลอทำบาป เขาเรียกว่าเผลอทำบาป อย่างที่อธิบาย ร่างกายของเรา ถามจริงว่าเราอยากป่วยไหม?  มีพี่น้องใครอยากป่วยไหม? ขอป่วยหน่อยจะได้พักผ่อน ไม่มีหรอก ไม่มีใครอยากป่วย  แต่ถ้าบังเอิญเราเผลอป่วยขึ้นมา มันต้องมีวิธีรักษา ไม่ใช่ป่วย  ปล่อยป่วยไป เดี๋ยวก็ตายๆ ไป มันไม่ใช่ ก็ต้องหาวิธีรักษา ปวดหัว หาพารามากิน ให้หายปวดหัว ปวดท้อง ก็หายาที่แก้ปวดท้อง ปวดฟัน ก็มียาแก้ปวดฟัน แต่ละชนิดมันไม่เหมือนกันไง กินเพื่อขนาบความเจ็บป่วยนั้นให้มันหายไป เป็นหวัด ก็ไปหายาแก้หวัดมากิน  นี่คือลักษณะ แล้วมันก็จะหายไป

            ภาพเดียวกัน การที่ร่างกายของเราอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย เราถูกหลอกให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็เหมือนอาการเดียวกัน ฉันไม่สบาย มันเอามาใส่เรา แล้วเราทำอย่างไร? เราก็หายากินสิ ยาโลกวิญญาณคืออะไร? ถ้อยคำพระเจ้า  ถ้อยคำของพระเจ้าบอกถึงฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ในตัวตนของเราว่าตอนนี้ พระเยซูคริสต์ผู้สถิตอยู่ในเรา พระองค์ได้ทำให้เราสะอาดบริสุทธิ์หมดจด เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว

            “แกมาหลอกฉันไม่ได้ แกมาหลอกฉันไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ฉันก็เผลอไป ก็รับผลของความผิดตรงนั้น ทางร่างกายเท่านั้น แต่วิญญาณฉันยังสะอาดบริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าเลย”

            ถ้าเรารู้ความจริง ก็คือรู้ตัวยา ไม่ใช่ปวดท้อง ไปหายาแก้หวัดมากิน  มันหายไหม? พี่น้องว่ามันหายไหม? ปวดท้อง หายาแก้หวัดมากิน มันไม่หายหรอก มันรักษาไม่ถูกโรค ปวดท้องก็ต้องไปหายาแก้ปวดท้องมากิน ถ้าเกิดท้องผูกไปหายาอะไรมากิน ยาระบายมากิน ไม่ใช่ …

            “ฉันปวดฟัน ไปหายาระบายมากินหน่อย จะได้หายปวดฟัน”

            มันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ยา คือถ้อยคำพระเจ้าในโลกวิญญาณ ถ้าเราเป็นอะไร? เขาเรียกว่าโดนหลอกด้วยเรื่องอะไร? เอาถ้อยคำของพระเจ้ามาสยบมัน  บอกมันว่า “ฉันตอนนี้เป็นอย่างนี้แล้ว” คนหลอก ระบบของโลกนี้พยายามใส่ข้อมูลเท็จเข้ามาในสมองของเรา  หลอกเราเวลาเราเผลอทำผิดปุ๊บ เขาก็จะหลอกเราทันทีว่า …

            “เห็นไหม? ทำผิดอีกแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร?  เป็นไม่ได้หรอก เห็นไหม? เห็นจะๆ ทำผิดทุกวี่ทุกวัน”

            เราทำผิดทุกวัน  ปฏิเสธไม่ได้ ถ้าปฏิเสธ แปลว่าเราหลอกตัวเอง  เราก็ผิดโน่นนิดนี่หน่อย แล้วมารมันก็จะส่งข้อมูลว่า …

            “เห็นไหม? ผิดอีกแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร พระเจ้าจะรับเธอได้อย่างไร?”

            เราก็ต้องเอายาวิเศษที่พระเจ้าให้กับเราตอกกลับไปเลย … “ไม่ว่าฉันทำผิดขนาดไหน? พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันสะอาด ฉันบริสุทธิ์ ฉันหมดจด ฉันเป็นเหมือนพระเจ้าเลย แกหลอกฉันไม่ได้หรอก”

            พอกินยาอย่างนี้ไป การรู้สึกฟ้องผิด มันจะถูกผลักให้กระเด็นออกไป แล้วเราก็ค่อยๆ ใช้ถ้อยคำของพระเจ้าแบบนี้แหละ เข้ามาขนาบความคิดที่หลอกเราทุกวี่ทุกวัน มันทำให้เรารู้สึกท้อใจ รู้สึกสงสารตัวเอง ขอโทษนะ รู้สึกทุเรศตัวเองจริงๆ  อะไรจะทำผิดแล้วผิดอีกๆ อะไรอย่างนี้

            พระเจ้าบอกไม่เป็นไร ล้มลง 7 ครั้ง พระเจ้าก็จะผยุงเราขึ้นมาใหม่  ล้มไหม? ล้ม แต่พระเจ้าบอกไม่เป็นไร ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แล้วให้ถ้อยคำของพระเจ้าเป็นกำลัง เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจที่จะเสริมสร้างข้างในวิญญาณของเรา ทำให้เรารู้เขารู้เรา  เราก็ถูกหลอกน้อยลง เราก็จะรู้แล้ว เดินไปตรงนี้ มีหลุม ฉันไม่เดินไปหรอก  ฉันก็เลี่ยงไป ฉันไม่เหยียบลงไปซ้ำอีก อะไรประมาณนั้น

            นั่นคือภาพในการดำเนินชีวิต ที่พระเจ้าให้กับพวกเราผู้เชื่อ แล้วพระองค์ก็บอกเราว่าพระองค์จะทรงนำพา พระองค์จะทรงกระทำกิจในใจเรา  พระองค์เป็นผู้นำเราทำ  ความปรารถนาในใจของผู้เชื่อจริงๆ คืออยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่มีใครอยากดื้อเพ่งหรอก เพราะอะไรรู้ไหม?  เพราะวิญญาณใหม่ของเรา เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟังเรียบร้อยไปแล้ว แล้วไม่ใช่เชื่อฟังนิดๆ  เชื่อฟัง 100% 1000% เรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีอาการที่อยากจะดื้อกับพระเจ้า แต่ที่ดื้อ เพราะถูกหลอกแค่นั้นเอง แล้วพระเจ้าบอก …

            “รู้ใช่ไหม? นี่ถูกหลอกแล้วนะ โอเค งั้นกลับมาที่เดิม”

            แล้วเราก็ค่อยๆ ฝึกฝน พัฒนาอาการที่มันเป็นตัวตนจริงๆ ของเราออกไปทุกวัน แล้วเราจะเห็นพระคุณของพระเจ้า เห็นพระพรนานัปการที่พระองค์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว

        โคโลสี 1:19 “เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัย ที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ในพระบุตร”

            พระเจ้าพอใจที่จะให้ความบริบูรณ์ ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งหมดเลย อยู่ในพระบุตร คืออยู่ในพระเยซูคริสต์ แล้วตอนนี้พระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน? ตอบอยู่ที่ไหน? อยู่ในเรา เอเมน  เมื่อพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ความบริบูรณ์ทั้งสิ้น มันก็เป็นของเรา เอเมน เป็นของเรา เราต้องกล้าที่จะบอกว่า …

            “พระเจ้าให้ฉันแล้ว ความบริบูรณ์ ครบถ้วนสมบูรณ์ มันอยู่ในตัวฉัน พระเยซูคริสต์อยู่ในตัวฉัน ฉันเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันสะอาด ฉันบริสุทธิ์ ฉันหมดจดเหมือนพระเยซูคริสต์เลย” ขอบคุณพระเจ้า

            ความจริงเหล่านี้แหละ จะปลดปล่อยพี่น้องให้เป็นไท เป็นอิสระ จะไม่ถูกหลอกอีกต่อไป  เราไม่ได้โมเม  แต่มันเป็นเรื่องจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทำให้กับพวกเราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            ขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งสารพัด ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณสำหรับความจริง ที่พระเจ้าเปิดเผยให้เราฟังทุกวี่ทุกวันๆ ซึมซับเข้าไปพี่น้อง แค่ซึมซับความจริงเหล่านี้เข้าไป  แล้วเราจะมีภูมิต้านทานที่ดี ที่พอคำหลอกลวงมา มันจะเด้งออกไป มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก มันทำอะไรเราไม่ได้จริงๆ นี่คือความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            วิญญาณท่านอยู่ที่ไหนในขณะนี้ ก็จะอยู่ที่นั่นตลอดไป หลังหมดลมหายใจ

            ทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ท่านพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษหลังหมดลมหายใจ เนื่องจากเป็นคนบาป และทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านจะได้บังเกิดใหม่ เป็นคนชอบธรรมดีพร้อมบริสุทธิ์ ปราศจากบาปและสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ทันทีขณะนี้และตลอดไปจนถึงนิรันดร์ หลังหมดลมหายใจ

            คือ … ท่านต้องยินยอมให้พระเจ้า ทำการย้ายชีวิตของท่าน ซึ่งเป็นเหมือนต้นไม้ตายอยู่ในตระกูลอาดัม  ย้ายมาปลูกใหม่ในตระกูลพระคริสต์ในสวนของพระเจ้า ซึ่งเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ปลูกอยู่ริมฝั่งธารน้ำ ใบเขียวสดเสมอ และออกผลดีตามฤดูกาลของมัน และพระเจ้า เจ้าของสวน คอยดูแลเอาใจใส่อย่างดีตลอด

            ท่านไม่สามารถทำการย้ายตนเอง ด้วยการทำดีทุกวิถีทางต่างๆ ได้เลย แค่เปิดใจยอมรับเชื่อวางใจ ในการกระทำของพระเยซูตายบนกางเขนเพื่อท่านเท่านั้น กระบวนการที่เหลือ พระองค์จะเป็นผู้กระทำการย้ายเองทั้งสิ้น แล้วท่านจะได้เห็นผลจากชีวิตของท่านเอง ผลดีมากมายก็จะผลิตออกมา อย่างต่อเนื่องตลอดไปจนถึงนิรันดร์

            มัทธิว 12:33-37 … “พระเยซูประกาศทางแห่งความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ … 33 ทำให้ต้นไม้ดี และผลของมันก็จะดี หรือทำให้ต้นไม้เลว และผลของมันก็จะเลว เพราะว่าพวกเรารู้จักต้นด้วยผลของมัน  (ถ้าวิญญาณภายในดี ก็จะส่งผลดี คือเชื่อฟังพระเยซู ถ้าวิญญาณภายในเลวบาปชั่ว ก็จะส่งผลเลว คือต่อต้าน ปฏิเสธ เป็นศัตรูกับพระเยซู) 34 โอ พวกชาติงูร้าย ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากนั้นพูดสิ่งที่มาจากใจ (โอ้มนุษย์ ซึ่งเกิดมาอยู่ในความบาปในตระกูลของอาดัม เป็นเหมือนต้นไม้ที่ตายแล้ว เป็นคนบาป คนชั่วในวิญญาณ จะพูดยอมรับเราได้อย่างไร เพราะที่ท่านพูดต่อต้านเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาปเป็นศัตรูกับเรา ต่อต้านความดีของพระเจ้า) 35 คนดีก็เอาของดีมาจากคลังแห่งความดีในตัวของเขา คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังแห่งความชั่วในตัวของเขา  (คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเขา) 36 ส่วนเราบอกพวกท่านว่าคำที่ไม่เป็นสาระทุกคำ ซึ่งมนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดชอบถ้อยคำเหล่านั้นในวันพิพากษา  (ส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่ท่านพูดเป็นศัตรู ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเราเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ เพราะท่านไม่ยอมรับผู้เดียวที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่าน ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป) 37 เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิด หรือถูกตัดสินลงโทษ ก็เพราะคำพูดของท่าน (ฉะนั้น ท่านจะรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปที่อยู่ในตัวท่าน ในวิญญาณของท่านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธ หรือยอมรับผู้ช่วยให้รอดคือพระเยซูหรือไม่)” พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1541

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  กันยายน  2025

เรื่อง “หนังสือโคโลสี” ตอน 5

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือโคโลสี 1:8 บอกว่า …

        โคโลสี 1:8 “และเขายังเล่าถึงความรักของท่านในพระวิญญาณให้เราฟัง”

            อาจารย์เปาโลกำลังพูดให้ชาวโคโลสี คือเขียนจดหมายไปถึงพี่น้องเหล่านี้ ได้ยินได้ฟังข่าวดีของพี่น้องผ่านทางเอปาฟรัส อาทิตย์ที่แล้ว เราเรียนมาแล้ว เอปาฟรัส มาบอกข่าวดีว่าพวกพี่น้องชาวต่างชาติที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาได้รักซึ่งกันและกัน ซึ่งจริงๆ แล้ว ความรักตรงนี้มาจากพระเจ้า มันเป็นส่วนหนึ่งของผลพระวิญญาณ เป็นพระพรที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราทุกๆ คน เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉะนั้น เมื่อได้ยินได้ฟังว่าพี่น้องเหล่านี้มีความรักในพระวิญญาณ อาจารย์เปาโลก็ดีใจมาก ต้องเป็นความรักในพระวิญญาณด้วยนะ เพราะฉะนั้น ความรักตรงนี้ไม่ได้เป็นความรักที่เราผลิตขึ้นมาด้วยกำลังของเราเอง พยายามที่จะรัก แต่ไม่ใช่ อันนี้ก็คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ ตรงนี้เป็นตัวตนจริงๆ ของเราเลย ก็คือเป็นความรักที่ได้สำแดงออกมา ความรักที่สำแดงออกมาตรงนี้  ถ้าเราเจริญเติบโตในพระเจ้ามากเท่าไร? เราก็สามารถสำแดงตัวตนแท้ๆ คือความรักนี้ออกไปให้กับผู้คนรอบข้างได้มากเท่านั้น ในข้อที่ 9 บอกว่า …

        โคโลสี 1:9 “ด้วยเหตุนี้นับตั้งแต่วันที่เราได้ยินเรื่องราวของพวกท่าน เราก็อธิษฐานเผื่อท่านตลอดมาไม่เคยหยุด ขอพระเจ้าทรงให้ท่านเปี่ยมด้วยความรู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ โดยทางสติปัญญาและความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณทั้งปวง”

            อาจารย์เปาโลเมื่อได้ยินถึงความรักที่ชาวโคโลสีมีต่อกัน ได้ยินปุ๊บ อธิษฐานเลย อธิษฐานกับพระเจ้า การได้ยินเรื่องความรัก ไม่ได้ยินแค่นั้น  อาจารย์เปาโลรู้ข่าวคราวของคริสตจักรในยุคสมัยนั้นจริงๆ ไม่ว่าที่โคโลสี ที่เอเฟซัส หรือที่ไหนก็ตาม มันจะมีการข่มเหงอย่างหนักในผู้เชื่อ ฉะนั้น การข่มเหงอย่างหนักในผู้เชื่อ แทนที่อาจารย์เปาโลจะอธิษฐานขอพระเจ้าทรงเมตตา ให้การข่มเหงนี้ บรรเทาลง หรืออธิษฐานให้พี่น้องเหล่านี้สามารถผ่านความทุกข์ยากเหล่านี้ไปได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า อาจารย์เปาโลไม่ได้อธิษฐานแบบนั้นเลย ซึ่งความเป็นจริง มันควรจะอธิษฐานแบบนั้น ใครๆ ก็อยากได้ คำอธิษฐานแบบนั้น แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลอธิษฐาน ก็คือให้คนเหล่านี้รับรู้ถึงความจริง และพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีอยู่ในชีวิตของเขา โดยทางสติปัญญาและความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ

            ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณตรงนี้ มันจะเกิดขึ้นได้จากการที่เรารับรู้ความจริง เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูได้ทำอะไรให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วความจริงเหล่านี้ เมื่อเรารับรู้มากขึ้นๆ จะทำให้เราสามารถที่จะอดทนกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ด้วยความเชื่อและวางใจในพระองค์

            การอธิษฐานของอาจารย์เปาโล ไม่ได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป คืออธิษฐาน อวยพรชาวโคโลสี ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป คือชาวโคโลสีจะได้รับความสุข ไม่ถูกข่มเหง ไม่ใช่ เขาก็ยังโดนข่มเหงเหมือนเดิม  หรือการอธิษฐานอย่างนี้ ทำให้ความทุกข์ยากลำบากที่เขาเผชิญ บางคนไม่ได้ถูกข่มเหง แต่มันมีความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา  ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม มันก็ไม่หายไป ก็คือความทุกข์มันยังอยู่ ปัญหามันก็ยังคงอยู่ แต่สิ่งที่มันเหนือกว่าปัญหา ก็คือความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ทำให้ผู้เชื่อเหล่านี้สามารถอดทน สามารถมั่นใจ วางใจในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเขา

            นี่คือความจริงที่ไม่เพียงแต่ชาวโคโลสีในอดีตเท่านั้น พวกเราในปัจจุบัน ก็จำเป็นจะต้องรู้ว่าสิ่งที่มันเลิศยิ่งกว่าการหายโรค หรือเลิศกว่าปัญหาหมดไป หรือสิ่งที่เลิศยิ่งกว่าการที่เราไม่อดอยาก ไม่ขัดสนในอะไรก็ตามที่เราอยากได้  มากกว่านั้น ก็คือพระเยซูคริสต์ทรงอยู่ในเรา แล้วพระองค์ทรงควบคุมทุกสิ่งอยู่ พระองค์ทรงดำเนินอยู่กับเรา ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะสุข ไม่ว่าเราจะเผชิญปัญหาอะไรก็ตาม พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคไม่เคยทิ้งเราเลย นี่คือความจริง

            ดังนั้น ความจริงเหล่านี้จะทำให้ผู้คน ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ ด้วยสันติสุขและความชื่นชมยินดี  เราจะไม่สามารถมีสันติสุขได้เลย ถ้าตาเราไปจ้องแต่ว่าเมื่อไรพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานของเรา เมื่อไรพระเจ้าจะอวยพรให้เรามีทุกอย่างที่เราอยากได้ เมื่อไรพระเจ้าจะอวยพรให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยเลย เมื่อไรพระเจ้าจะอวยพรให้เรามีเงินใช้แบบเยอะแยะมากมาย ไม่ขัดสน คือ …

            “อยากได้อะไร ฉันก็จะได้ อยากซื้อรถเบนซ์ 10 คัน ฉันก็จะมีเงินซื้อ” อะไรประมาณนั้น

            ถ้าตาเราผู้เชื่อไปจดจ้องอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้น หรือสถานการณ์เหล่านั้น หรือสิ่งของเหล่านั้น เราจะไม่มีความสุขเลย เพราะว่าหลายคนอธิษฐานแล้ว อธิษฐานอีก ก็ไม่ได้ตามที่ตัวเองต้องการ เมื่อไม่ได้ตามที่ตัวเองต้องการ ก็เริ่มสงสัยพระเจ้า …

            “ตกลงพระเจ้ารักฉันไหมเนี้ย ทำไมขอแล้วไม่ได้สักทีหนึ่ง”

            แต่ว่าความเป็นจริงแล้ว พระเจ้ารักเรามากๆ อย่างที่บอก พระเจ้าสัญญาว่าประทานพระพรนานัปการให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว คือพระพรฝ่ายวิญญาณ พวกเราทุกคนได้รับหมดแล้ว ความมั่งคั่งในการอยู่ในพระคุณของพระเจ้า ความมั่งคั่งที่เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้รับหมดแล้ว ส่วนบนโลกใบนี้ อย่างที่บอก ไม่เคยสัญญาว่าพระองค์จะให้เราตามที่ใจเราปรารถนา พี่น้องต้องจำตรงนี้ให้ได้ พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าจะให้เรา ตามที่ใจเราปรารถนา แต่ถ้าบังเอิญสิ่งที่เราอธิษฐานขอ มันตรงกับน้ำพระทัยเลย ที่พระเจ้ากำลังจะให้อยู่แล้ว  เมื่อเราขอ เราก็ได้  พอเราได้ปุ๊บ  คิดว่า …

            “นี่ เพราะฝีมือฉันขอ แล้วฉันก็ไม่ลดละ ในการขอ ฉันตั้งอกตั้งใจขอมากเลย ฉันอธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก เขย่าบัลลังก์ของพระเจ้าทุกวี่ทุกวันๆ จนพระเจ้าทนไม่ไหว พระองค์เลยต้องเปิดคลังฟ้าของพระองค์เทพระพรของพระองค์อย่างที่ฉันต้องการมาให้ฉัน”

            มันไม่ใช่เลยนะ ถ้าพี่น้องมีความคิดแบบนี้ แปลว่าเรากำลังถูกหลอก  ถูกมารหรือคนของโลกนี้หลอกเราให้เชื่อตามนั้น ซึ่งความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่พระเจ้าบอกเรา ก็คือเมื่อพระองค์ทรงอยู่ในเรา พระองค์จะทรงนำพาย่างเท้าของเรา ไม่ว่าทุกข์ไม่ว่าสุข พระเจ้าไม่ทิ้งเรา อันนี้ คือความจริง แล้วก็เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกๆ คน ฉะนั้น ให้เราขอบคุณพระเจ้า  สำหรับถ้อยคำของพระองค์ ถ้อยคำแห่งความจริง จะทำให้เราเป็นอิสรภาพ ทำให้เราเป็นไทจริงๆ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าถ้าท่านมีเหลือเฟือ ท่านก็แบ่งปัน แจกจ่ายให้กับคนที่เขาขัดสน ในพระคัมภีร์ก็มีเขียนไว้ มีพี่น้อง ผู้เชื่อที่ขัดสน แล้วคนที่พอมีกำลัง ในพระคัมภีร์ ตอนที่อาจารย์เปาโลเขียนถึงคริสตจักรที่เป็นชาวต่างชาติที่เรี่ยไรเงินไปให้กับพี่น้อง ชาวอิสราเอล ก็คือพี่น้องชาวยิว แล้วเราก็จะงงว่าอ้าว! แล้วทำไมพี่น้องชาวยิวมาเชื่อพระเจ้า แล้วเขาขัดสนได้ด้วยหรือ? ขัดสนได้ไหม? มันมีโอกาสแน่นอน  อย่างพวกเราทุกๆ คน เราสามารถเป็นพยานได้ เราปิดบังความจริงไม่ได้ มันจะมีช่วงชีวิตของเรา ช่วงหนึ่งที่เราขัดสน  แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น ก็คือเราจะขัดสนขนาดไหน? พระเจ้าทรงดูแลชีวิตของเรา ขัดสน แต่เรายังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ สามารถผ่านความขัดสนเหล่านั้นไปได้  ด้วยพระคุณของพระเจ้า นี่คือความจริง พอเรารับรู้ความจริง อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก …

            “ข้าพเจ้าสามารถเผชิญทุกสิ่งได้”

            หมายความว่า … “ไม่ว่าข้าพเจ้าจะอิ่มหนำสำราญ ข้าพเจ้าก็รับได้”

            อิ่มหนำสำราญ รับได้ด้วยนะ อาจารย์เปาโลพูดอย่างนี้ แปลว่าเวลาเรารวย เราก็ต้องฝึกฝนที่จะรับมันให้ได้  เวลาเรารวย ถ้าเราไม่ฝึกฝน เราก็จะเตลิดเปิดเปิงไป ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกเลย  …

            “ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับความอดอยากได้”

            อาจารย์เปาโลผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้เป็นอัครทูตที่พระเจ้าทรงใช้อย่างมากมาย มีฤทธิ์เดชอำนาจที่พระเจ้าให้ ไม่ใช่อาจารย์เปาโลมี  พระเจ้าให้ในการวางมือรักษาโรค ในการวางมือคนเจ็บคนป่วยให้หาย วางมือคนตายด้วย คนที่ฟังอาจารย์เปาโลเทศน์ยาวเกิน เทศน์จนดึกดื่นค่อนคืน เที่ยงคืนแล้ว ไม่จบสักที ง่วงนอน สับปะหงกปุ๊บ หล่นจากที่สูง ลงมาตาย พี่น้องไปอ่านในหนังสือกิจการ หล่นลงมาตาย  พอตายปุ๊บ ชาวบ้านก็ตกใจสิ คนที่ฟังเทศน์อาจารย์เปาโลอยู่ ก็สะดุ้งเลย ฟังเทศน์อยู่ดีๆ หล่นลงมา ตกตายซะเฉยๆ อย่างนั้น  แล้วอาจารย์เปาโลก็ไปวางมือ  แล้วเขาก็ฟื้นขึ้นเฉยเลย ฟื้นขึ้นมา เหมือนคนปกติ

            “ฉันไม่ได้เป็นอะไรเลย” อย่างนี้

            พี่น้องลองคิดดูว่าพระเจ้าให้อาจารย์เปาโลสามารถทำหมายสำคัญ และการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ ในช่วงยุคกิจการ ก็คือเป็นยุคแรกของการประกาศข่าวดี ซึ่งพระเจ้าก็จะให้หมายสำคัญและการอัศจรรย์อย่างมากมายให้กับอัครทูตทั้งหลาย ได้ทำอัศจรรย์ เพื่อพระนามของพระองค์ แต่มันจะมีช่วงเวลา พอเลยจากช่วงที่พระเจ้าใช้ในการทำอัศจรรย์ปุ๊บ อัครทูตทั้งหลายก็ใช้ชีวิตปกติ อาจารย์เปาโล เปโตร ยากอบเหล่านี้ ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ตลอดเวลา ตั้งแต่เชื่อพระเจ้า จนตายจากไป ไม่ใช่ เพราะว่าฤทธิ์เดชเหล่านี้ ไม่ได้มาจากตัวของท่านเอง หรือว่าท่านเชื่อเยอะกว่าคนอื่น ไม่ใช่ แต่เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่พระเจ้าเป็นผู้กระทำ ในชีวิตของเขา ในแต่ละจังหวะ แต่ละเรื่องราว แต่ละเหตุการณ์ที่พระองค์ต้องการสำแดงฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าให้กับผู้คนรอบข้างตรงนั้น ให้เขารับรู้

            เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นประสบการณ์ ไม่ใช่ความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้น ประสบการณ์ของแต่ละคน เราไม่สามารถเอามาใช้กับความจริงของพระเจ้าได้ ทุกคนมีประสบการณ์หมด อย่างดิฉันก็มีประสบการณ์เรื่องการหายโรคจริงๆ มาเชื่อพระเจ้า ไม่ได้อธิษฐานขอ แต่พระเจ้าก็ให้สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร? แต่พระเจ้าเมตตาให้สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงกับเรา ซึ่งเราเย่อหยิ่งไม่ได้เลย เราไม่สามารถใช้หางตามองคนอื่น …

            “เห็นไหม ฉันความเชื่อดีกว่าเธอ เธอยังเจ็บออดๆ แอดๆ อยู่เลย ฉันแข็งแรงมาก”

            มันไม่ใช่  เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้เลย เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่พระองค์จะใช้เราแบบไหน? อย่างไร?  พระองค์ก็แบ็คเราตรงนั้น  แค่นั้นเอง เราอวดอ้างไม่ได้เลย สำหรับคนที่เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ พี่น้องคิดว่าความเชื่อเขาไม่มีหรือ? ความเชื่อเขาน้อยกว่าเราหรือ? ไม่ใช่ หรือคิดว่าพระเจ้าไม่รักเขาหรือ?  ก็ไม่ใช่อีก  เราก็ไม่รู้ว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า สำหรับแต่ละคนเป็นอย่างไร? แต่ให้มั่นใจเถิดว่าทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา พระเจ้าอยู่ด้วย และพระเจ้าสามารถเอื้ออำนวยให้ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา เกิดเป็นผลดี สำหรับผู้ที่รักพระองค์ นี่คือความจริงในพระวจนะของพระเจ้า

            ฉะนั้น ความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเป็นอิสรภาพ  ทำให้เราสามารถพึงพอใจ คำว่า “พึงพอใจ” ก็คือพึงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ไม่ใช่พอใจเฉพาะตอนที่พระเจ้าอวยพรเราเท่านั้น

            “ขอบคุณพระเจ้า วันนี้พระเจ้าอวยพรเรา ขอบคุณพระเจ้า ปีนี้พระเจ้าอวยพรให้เราได้โบนัสเยอะมากเลย แบบเยอะแยะ เราสามารถที่จะจับจ่ายใช้สอยได้อย่างสบายเลย”

            หรือ “ขอบคุณพระเจ้าที่ปีนี้ พระเจ้าให้เรามีสุขภาพแข็งแรงกว่าคนอื่น”

            มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น  ถ้าเราพอใจอย่างนั้น ทุกคนก็พอใจได้ แต่ความพึงพอใจ เมื่อเราเผชิญกับปัญหา ความทุกข์ยากลำบาก ในเรื่องของสุขภาพร่างกาย ในเรื่องของการเงิน เรื่องของการงาน เรื่องของครอบครัว เรื่องของอะไรทั้งหมด เรายังสามารถพึงพอใจไหม? นี่คือสิ่งที่จะพิสูจน์ว่าเรามั่นใจในการทรงนำของพระเจ้า  พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์นำเรา แล้วเรามั่นใจในความรักมั่นคงของพระองค์ว่าพระเจ้าผู้ทรงรักเราขนาดที่ทรงสละชีวิตของพระองค์เอง มาตายแทนเราบนไม้กางเขน เพื่อทำให้เราสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า พระบิดาได้ ย้ายเราจากอาณาจักรของความมืด คำสาปแช่งมาสู่อาณาจักรแห่งความสว่างของพระเจ้า มาสู่พระพร แล้วพระเจ้าผู้นี้ สามารถวางใจได้  มั่นใจได้เลย

            อาจารย์เปาโลบอกว่าเราจะไม่มองสิ่งที่ตาเรามองเห็น  เหตุการณ์ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ถ้าเราเจอปัญหา เรามองอะไร? เจอปัญหา แล้วเรามองแต่ปัญหา แล้วเราก็จะถามพระเจ้า …

            “พระองค์เจ้าข้าทำไมๆๆๆๆๆ ทำไมพระองค์ให้ปัญหานี้เกิดขึ้นกับลูก”

            หรือปัญหาเกิดขึ้นปุ๊บ เรามองที่พระเจ้า … “พระเจ้า ลูกขอบคุณพระองค์ ลูกมั่นใจว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วยกับลูก ปัญหานี้ พระเจ้าทรงมีวิธีที่จะแก้ไขให้ลูกได้ พระองค์จะให้สติปัญญากับลูกพระองค์จะส่งผู้ช่วยรอบข้างมา ลูกก็ไม่รู้ว่ามันจะมาจากไหน? อยู่ตรงไหน? ในหลืบไหน? แต่ลูกมั่นใจในพระองค์ว่าพระองค์จะส่งผู้คนเหล่านั้นมา แล้วพระองค์จะให้กำลังลูก ให้ความอดทนกับลูก ให้ลูกสามารถผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า”

            พอเราเห็นมุมมองตรงนี้ปุ๊บ ความรู้สึกในวิญญาณของเราจะต่างออกไป  เราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก ทุกกรณี คือไม่ว่าทุกข์ ไม่ว่าสุข ไม่ว่าอยากได้ ไม่อยากได้  พอใจ ไม่พอใจ  เราสามารถขอบคุณได้ทุกอย่าง นี่คือความเป็นจริงในชีวิตของผู้เชื่อทุกๆ คน ถ้าเรามั่นใจและรับรู้ความจริงในเรื่องของพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร? ความเข้าใจในเรื่องของจิตวิญญาณ จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยกำลังซึ่งมาจากพระเจ้า ด้วยความอดทน ด้วยความมั่นใจในความรักของพระเจ้า เรามาดูข้อที่ 10 …

        โคโลสี 1:10 “เพื่อท่านจะได้ดำเนินชีวิตอย่างสมกับที่เป็นคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และจะได้เป็นที่พอพระทัยในทุกด้าน คือเกิดผลในการดีทุกอย่าง รู้จักพระเจ้าดียิ่งขึ้น”

            การรู้ถึงสติปัญญาที่พระเจ้าให้กับเรา  เข้าใจถึงเรื่องราวที่พระเจ้าได้กระทำให้กับพวกเราทั้งหลายเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตให้สมกับ

            คำว่า “สมกับ” แปลว่าเราได้แล้ว ใช่ไหม? เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ แล้วก็ดำเนินชีวิตให้สมกับเป็นราชบุตรราชธิดาของพระเจ้า

            แล้วเราจะดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราเป็นอยู่ได้อย่างไร? มีอยู่ทางเดียว คือเราต้องเรียนรู้ รับรู้ว่า …

            “ตอนนี้ ฉันเป็นใคร? ฉันอยู่ในสถานะแบบไหน? แล้วพระเจ้าให้อะไรฉันบ้าง? สิ่งที่พระเจ้าให้กับฉันเรียบร้อยไปแล้ว  มันมีอะไรบ้าง?”

            ฉะนั้น เมื่อเรารับรู้ปุ๊บ  เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราได้เป็นลูกของพระเจ้า ด้วยวิธีการใส่ข้อมูลใหม่ ข้อมูลเก่าที่เราเคยชิน ที่โลกนี้ส่งเข้ามา  มันมีวิธีเดียวที่จะทำให้ข้อมูลเก่าเหล่านั้น ถูกลบเลือนออกไป ก็คือเอาข้อมูลใหม่เข้ามาแทนที่ สมองของเราว่างเปล่าไม่ได้ ถ้าเราไม่เอาข้อมูลของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในสมองปุ๊บ ข้อมูลของโลกนี้มันก็จะวิ่งเข้ามาแทนที่ ชัดเจน ดังนั้น  การแทนที่ของโลกใบนี้ จะทำให้เราไม่สามารถที่จะดำเนินชีวิตให้สมกับการที่เราเป็นบุตรของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว

            สิ่งต่างๆ เหล่านี้ อย่างที่บอก เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว เราได้รับรู้ความจริงเหล่านั้น เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  ไม่ว่าความคิดเราจะถูกหลอกล่อ หลอกลวงให้ไปทำอะไรก็ตามที่ออกนอกลู่นอกทาง ก็ไม่สามารถทำให้เราถูกเปลี่ยนสถานะจากการเป็นลูกของพระเจ้า กลับไปเป็นลูกมารได้ มันทำไม่ได้ ก็คือเราเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  แต่ถ้าเราถูกควบคุม โดยความคิดที่โลกนี้ส่งเข้ามาปุ๊บ เราก็จะมีชีวิตที่ลำบาก แทนที่เราจะมีความสุข  แทนที่เราจะสามารถสำแดงความรักของพระเจ้าออกไป แทนที่เราจะสามารถสำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราออกมา เราก็ไปเชื่อระบบโลกนี้ ไปทำสิ่งที่อะไรก็ไม่รู้เละเทะไปหมดเลย

            แล้วเมื่อเราทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง เราก็เก็บเกี่ยวผล พี่น้องจำตรงนี้เลย  เราจะไม่เก็บเกี่ยวผลด้านวิญญาณ แต่เราจะเก็บเกี่ยวผลด้านวัตถุที่อยู่บนโลกใบนี้ แน่นอน พระเจ้าควบคุมทั้ง 2 อย่าง ควบคุมทั้งโลกวิญญาณและกฎของโลกใบนี้ด้วย

            ฉะนั้น พระเจ้ามีความปรารถนา ต้องการที่จะให้เรารับรู้ความจริง  เพื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะได้สามารถทำงานในชีวิตของเราได้เต็มที่ รับรู้ความจริงมากๆ เขาเรียกว่าอนุญาตให้สมองเรา ให้พระเจ้าคุม

            “พระเจ้า ลูกอยู่ตรงนี้ ลูกเป็นรถ ให้พระเจ้าเป็นคนขับ ลูกปล่อยเกียร์ว่าง พระองค์จะขับไปไหน เชิญตามสบายเลยนะพระองค์”

            ถ้าเราอนุญาต พระองค์ก็จะดูแล  พระองค์ก็จะเข้ามาช่วยเหลือเรา  ให้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ได้ใส่เข้ามาในสมองเราเยอะๆ และโดยความจริงเหล่านี้ เมื่อเรารับรู้ ผลมันจะออกมาเอง พี่น้องไม่ต้องพยายามบีบให้ผลออกมา

            ยกตัวอย่างต้นไม้เหมือนเดิม สมมติต้นมะม่วงหน้าโบสถ์เรา เขาต้องรับรู้ความจริงว่าเขาเป็นต้นมะม่วง ถ้าเขาไม่รับรู้ว่าเขาเป็นต้นมะม่วง เขาถูกหลอกว่า …

            “เธอไม่ใช่มะม่วงนะ เธอเป็นบอระเพชร”

            แล้วมันก็งงๆ  … “ตกลงฉันเป็นอะไรกันแน่”

            แต่ไม่ว่าเขาจะถูกหลอกว่าเป็นต้นบอระเพชรอย่างไรก็ตาม วันหนึ่ง ผลมันออกมา มันก็คือต้นมะม่วงแหละ เพราะว่ารากฐานของมัน คือต้นมะม่วง  แต่ว่าเขาทุกข์ไหมล่ะ ในระหว่างที่กำลังจะเกิดผล เราไม่รู้ว่าต้นไม้เวลาจะเกิดผล เขาจะรู้สึกอย่างไร แต่เราประมวลภาพว่าเขาคงงงๆ แล้วตกลง เดี๋ยวผลของฉันออกมา จะเป็นอะไรบ้าง? แล้วต้นไม้ ก็คงทุรนทุราย ประมาณนั้น เราไม่รู้ว่าความเป็นจริง มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?  แต่มันเป็นภาพเดียวกันในชีวิตของพวกเรา ถ้าเราไม่รับรู้ว่าตอนนี้พระเจ้าทำอะไรให้กับพวกเราแล้ว เราก็จะงงว่า …

            “ฉันเป็นอะไร? แล้วฉันได้รับอะไรบ้าง? แล้วฉันจะต้องส่งผลอะไรออกไปบ้าง?”

            เราก็ไม่เข้าใจ แล้วเราก็ทุกข์ ชีวิตเราแทนที่จะสบายๆ  เราก็เริ่มรู้สึกทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิต แต่พอเรารับรู้ความจริง …

            “ฉันเป็นต้นมะม่วง”

            ต้นมะม่วงต้องทำอะไรไหม? ไม่ทำ ยืนต้นอยู่ตรงนั้นแหละ พอถึงฤดูกาลของมัน  ก็คือประมาณมีนา, เมษา มันจะเริ่มมีดอก มันจะออกมาโดยอัตโนมัติ

            ต้นมะม่วง ลำต้นมันไม่ต้องขอย้ายลำต้นไปหาน้ำเลี้ยง หรือไปทำอะไร “ฉันขอทำโน่นทำนี่ เพื่อให้ฉันได้เกิดดอกออกผล” ไม่เห็นมันทำอะไรเลย  มันอยู่ของมันเฉยๆ แหละ

            พอถึงเวลาดอกมันออก พอดอกแก่เต็มที่ มันก็เป็นผล ต้นมะม่วงต้นนี้ เราได้กินผลมัน 2 ปีแล้วนะ อร่อยด้วย หวาน ฉะนั้น มันออกมาเป็นผล เพราะมันรับรู้ความจริงว่ามันคือต้นมะม่วง พอถึงเวลา มันก็ออกผลมะม่วงอร่อยมาให้เรากิน

            เรารับรู้ความจริง เราไม่ต้องพยายามวิ่งซกๆ ต้องทำโน่นทำนี่ ไม่ใช่ พระเจ้าบอกว่าพระองค์ผู้อยู่ในเรา พระองค์จะเป็นผู้ขับเคลื่อนเราเอง ฉะนั้น การเกิดผลในการดีทุกอย่าง ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องตามน้ำพระทัย การเกิดผลดี ที่ไม่ใช่ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็มี เหมือนเราคิดเอง เราคิดว่าอันนี้น่าจะดี แต่ถ้าไม่ใช่น้ำพระทัย เราทำไป เราก็เหนื่อยเปล่า พระเจ้าไม่สนับสนุนเรา  แต่ถ้าพระองค์เป็นผู้ทำเอง  พระองค์ขับเคลื่อนในใจของเรา เราไม่ต้องเหนื่อย เราทำนิดเดียว แต่เกิดผลออกมามหาศาลมาก เพราะผู้ทำให้เกิดผล คือพระเจ้า  พระบิดา พระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา อันนี้เป็นสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ เกิดผลการดีทุกอย่าง

        โคโลสี 1:11 “ได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งขึ้น  ด้วยฤทธิ์อำนาจทั้งมวลตามฤทธานุภาพอันทรงเกียรติสิริของพระองค์  เพื่อท่านจะทรหดอดทนอย่างยิ่งและมีความชื่นชมยินดี”

            เสริมสร้างเราให้เข้มแข็งขึ้น ด้วยถ้อยคำแห่งความจริง และด้วยฤทธิ์อำนาจทั้งมวล ฤทธิ์อำนาจทั้งมวลนี้ มาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากมนุษย์คนไหน? ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำให้เราเข้มแข็ง และทำให้เราเกิดผลได้  ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา พระองค์ทรงกระทำให้เราได้รับพระเกียรติสิริของพระองค์ แล้วทำให้สิ่งที่เรารับรู้ตรงนี้ ทำให้เราทรหดอดทน อันนี้น่าคิด ทำไมอาจารย์เปาโลไม่บอกว่าถ้าเรามีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เราแข็งแรง เราแข็งแกร่งในพระเจ้า เราจะสามารถอธิษฐานอะไรก็ได้ …

            “ในนามพระเยซู ด้วยความเชื่อ ฉันสั่งอย่างนี้ ฉันจะเอาอย่างนี้ ชี้ไปเลย ในกี่วัน? กี่ปี? ฉันจะต้องได้แบบนี้ๆ”

            อาจารย์เปาโลไม่เคยสอนแบบนี้  แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลสอน ก็คือด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเหล่านี้ ทำให้เราทรหดอดทน อย่างที่บอก พอพูดคำว่า “อดทน” ต้องมีสิ่งที่ยากลำบาก สำหรับชีวิตของเรา  และเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยชอบเท่าไรด้วย? ถ้าเราชอบ เราไม่ต้องทน นึกออกไหม? ถ้าอะไรที่เราชอบ ไม่ต้องทนหรอก เราชอบอยู่แล้ว  แต่ที่ต้องอดทน เพราะว่ามันไม่ถูกใจเรา มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราอยากได้เลย …

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกอธิษฐานอย่างนี้ ทำไม ลูกไปได้อย่างนั้น มันไม่โอเคนะพระองค์เจ้าข้า”

            แต่พระเจ้าบอก … “อย่างนี้ ดีแล้ว สำหรับเธอ อดทนเข้าไว้  เดี๋ยวเธอจะรู้ว่ามันดีเอง”

            มีความอดทนอย่างยิ่ง และมีความชื่นชมยินดี ในสิ่งที่มันเผชิญเข้ามาในชีวิตของเรา  ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข  นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลอธิษฐาน  และอาจารย์เปาโลหนุนใจ

            คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้าในยุคแรก ในสมัยโคโลสี เขาทุกข์ยากลำบากมาก เขาถูกข่มเหงอย่างหนัก ในยุคนั้น เขาข่มเหงผู้เชื่อนะ ใครก็ตามที่มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ จะต้องหนีหัวซุกหัวซุน ในขณะที่มีคนมาไล่ล่า เหมือนตอนที่อาจารย์เปาโลกลับใจใหม่ปุ๊บ ถูกคนไล่ล่า ฆ่า คนต้องเอาอาจารย์เปาโลใส่เข่ง แล้วหย่อนลงไปข้างกำแพง หนีตาย  ฉะนั้น การข่มเหงหนักมาก ในยุคนั้น คริสเตียนจะต้องไปหลบซ่อนอยู่ในถ้ำ ในรู ถ้ามีทหารมา มีพวกฟารีสี ธรรมาจารย์จะเอาทหารมาไล่ล่า เขาก็จะต้องหลบ เขาจะมีการส่งสัญญาณ

            “มาแล้วๆ”

            หลบ หายไปหมดเลย อะไรประมาณนั้น นี่คือความทุกข์ยาก แต่ความทุกข์ยากเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คริสเตียนผู้เชื่อเหล่านี้ถอดใจ หรือลดละความเชื่อที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเขา กลับทำให้เขาอดทน เขามองที่ไหน? เขามองที่พระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเขา มองที่พระสัญญาที่พระเจ้าได้ให้กับเขา พระสัญญาที่พระองค์บอกว่าพระองค์อยู่ด้วย แล้วพระองค์จะนำพาย่างเท้าของเขาตั้งแต่เริ่มต้น จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แล้วหลังความตาย เขาจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยสง่าราศีที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับพวกเขาเรียบร้อยไปแล้ว ทำให้เขามีความชื่นชมยินดี

            พวกเราเหมือนกันในปัจจุบัน ไม่มีอะไรแตกต่าง การข่มเหงยุคของเราไม่หนักเหมือนสมัยที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย แต่มันก็จะมีการข่มเหงมารูปแบบไหนเราไม่รู้ แต่สิ่งที่เรารู้ คือพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา แล้วพระองค์ทรงนำพาย่างเท้าของเรา ทำให้เราสามารถมีความชื่นชมยินดีในเหตุการณ์ ในสถานการณ์ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

***************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด จากการเป็นคนบาป

            ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ช่วยให้ทุกคนที่เชื่อในข่าวดีนี้ได้รับความรอด อัครทูตเปาโลได้พูดกับผู้เชื่อที่ยังมีความเข้าใจผิดในเรื่องความรอดนี้ว่า …

            1 โครินธ์ 1:14-16 …  “14 ขอบพระคุณพระเจ้า ที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้บัพติศมา (ในน้ำ) แก่ใครในพวกท่าน ยกเว้นคริสปัสกับกายอัส 15 จึงไม่มีใครพูดได้ว่าเขาได้รับบัพติศมา (ในน้ำ) เข้าในนามของข้าพเจ้า 16 ใช่ ข้าพเจ้าให้บัพติศมา (ในน้ำ) แก่คนในครอบครัวของสเทฟานัสด้วย นอกเหนือจากนั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าได้ให้บัพติศมา (ในน้ำ) แก่ใครอีก)”

            เพราะพิธีบัพติศมาในน้ำ  ไม่ได้ช่วยใครให้รอดจากการเป็นคนบาป

            1 โครินธ์ 1:17 …  “เพราะพระคริสต์ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามา เพื่อให้บัพติศมา (ในน้ำ) แต่เพื่อให้ประกาศข่าวดี ไม่ใช่ด้วยถ้อยคำที่คมคาย ตามสติปัญญาของมนุษย์ เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์ จะหมดฤทธิ์อำนาจ”

            แต่ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์  และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตายต่างหาก ที่เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ช่วยให้คนที่เชื่อในข่าวดีนี้ ได้รับความรอด จากการเป็นคนบาป บังเกิดใหม่ มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

            โรม 1:14-16 …  “14 ข้าพเจ้ามีพันธะหน้าที่ต่อทั้งชาวกรีก และผู้ที่ไม่ใช่กรีก  ต่อทั้งคนมีปัญญาและคนเขลา 15 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย ที่อยู่ในกรุงโรมด้วย 16 ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อนแล้วคนต่างชาติด้วย”

            มนุษย์ทุกคนสามารถได้รับความรอด โดยความเชื่อในข่าวดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำตามพิธีกรรมใดๆ หรือกระทำสิ่งใดใดเพิ่มเติมอีกเลย จริงๆ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1540

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  กันยายน  2025

เรื่อง “หนังสือโคโลสี” ตอน 4

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือโคโลสี 1:6 ครั้งที่แล้วเราคุยโคโลสี ไป 5 ข้อแล้ว …

        โคโลสี 1:6 “ซึ่งมาถึงท่าน ข่าวประเสริฐนี้กำลังเกิดผลและเจริญขึ้นทั่วโลก เหมือนที่กำลังเป็นอยู่ท่ามกลางพวกท่าน ตั้งแต่วันที่ท่านได้ยินข่าวประเสริฐ และเข้าใจพระคุณของพระเจ้าตามความจริงทั้งสิ้น ที่อยู่ในข่าวประเสริฐนี้”

            ทวนข้อที่ 5 …

        โคโลสี 1:5 “คือความเชื่อและความรักอันเกิดจากความหวัง  ซึ่งสะสมไว้  สำหรับท่านในสวรรค์ และซึ่งท่านได้ยินมาแล้ว  ในถ้อยคำแห่งความจริง  คือข่าวประเสริฐ”

            และมาต่อข่าวประเสริฐมาถึงพวกท่านและเกิดผล คำว่า “เกิดผล” ตรงนี้ หลายคนจะมองไปที่การรับใช้ มองไปที่คนมาเชื่อพระเจ้าเยอะๆ ถือว่าเกิดผล แต่ความเป็นจริง มันไม่ได้เล็งถึงตรงนี้  คำว่า “เกิดผล” ในถ้อยคำของพระเจ้า คือเกิดผลตามน้ำพระทัย ไม่ใช่เกิดผลตามที่เราอยากได้ อยากเป็น

            อันนี้ คือเกิดผลตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ส่วนใหญ่ เวลาเราเจอคนที่โบสถ์อื่น เราไปเจอพี่น้องคริสเตียน คำถามแรกที่เขาจะถามเรา ก็คือ …

            “ตอนนี้โบสถ์มีสมาชิกเท่าไร?”

            เขาจะวัดกันตรงที่ว่าถ้าโบสถ์ไหนมีสมาชิกเยอะ แปลว่าโบสถ์นั้น เกิดผล แต่สายพระเนตรของพระเจ้าไม่ได้วัดตรงนั้น  พระเจ้าวัดตรงที่ว่าความเจริญเติบโตของพี่น้อง ของผู้เชื่อ ในเรื่องราวความจริงของพระเยซูคริสต์ เจริญเติบโตขนาดไหน?  ถ้าเจริญเติบโตมาก ถือว่าเกิดผลมาก  เกิดผลตามน้ำพระทัย ก็คือเกิดผลในพระลักษณะที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ดังนั้น การเกิดผลอันดับแรกที่มันสำแดงออก ก็คือความรัก

            ความรัก มันจะถูกสำแดงออกมาทันทีเลย เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา  ทำให้เราสามารถที่จะสำแดงความรัก อาจารย์เปาโลพอได้ยินว่าคริสตจักรโคโลสีรักซึ่งกันและกัน อาจารย์เปาโลดีใจมากเลย ไม่ได้ดีใจตรงที่ว่าพี่น้องในคริสตจักรโคโลสีเขาเข้มแข็ง  เขาทำโน่นทำนี่ เขาปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ไม่ใช่ ดังนั้น การปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า การเกิดผลในงานรับใช้ ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา จริงๆ แล้วพระเจ้าเป็นผู้กระทำกิจอยู่ภายในเรา

            แล้วผู้เชื่อแต่ละคนจะถูกเรียกมา ไม่เหมือนกัน ตรงที่ว่าบางคนถูกเรียกมาเป็นผู้รับใช้จริงๆ มาทำการงานของพระเจ้าในคริสตจักร มีหน้าที่ในการดูแลคริสตจักรของพระองค์ มีหน้าที่กล่าวถ้อยคำของพระองค์ หรือมีหน้าที่อยู่ในทีมนมัสการ หรืออยู่ในหน้าที่ไหนก็แล้วแต่ นั่นเป็นการทรงเรียกเฉพาะเจาะจง ที่พระเจ้าให้กับแต่ละคน  แต่การเกิดผลในอาณาจักรของพระเจ้าจริงๆ พระเจ้ามองดูความเจริญเติบโตของผู้เชื่อคนนั้นว่าเขาเจริญเติบโตขนาดไหน? ถ้าเราเจริญเติบโตมากเท่าไร? เกิดผลมากเท่าไร? เราก็สามารถสำแดงความรักที่มีอยู่ข้างในของเราออกไปมากเท่านั้น แล้วสิ่งที่สำคัญเลย เราสามารถที่จะอดทน

            พอมีคำว่าอดทน มันต้องมีอะไรที่ไม่ถูกใจเรา พี่น้องนึกออกไหม? ถ้าทุกอย่างถูกใจเราหมด เราไม่ต้องอดทน เราอยู่สบาย แต่เพราะไม่ถูกใจเรา เราจึงต้องอดทน  ดังนั้น ความอดทนตรงนี้ เป็นผลหนึ่งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา

            สมัยก่อน ในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ อาจารย์เปาโลจะพูดบ่อยๆ เลย ให้ท่านรับรู้ความจริงในข่าวดีของพระเจ้า รับรู้ว่าตอนนี้ท่านเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ รับรู้ว่าตอนนี้พระเยซูได้ทำอะไร เพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเรารับรู้มากเท่าไร เราก็จะสามารถอดทนได้มากเท่านั้น

            คริสตจักรในสมัยยุคแรก ไม่เหมือนของเรา ของเรา คือยุคที่สบายแล้ว ยิ่งเรามาเกิดในประเทศไทย เราก็ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีการข่มเหง เรื่องของความเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ถ้าเราเกิดในประเทศอื่น บางประเทศ อย่างประเทศจีน ก็ยังมีการข่มเหงอยู่ หมายความว่าคนที่มาเชื่อ วางใจในพระเจ้า ก็จะถูกข่มเหง เหมือนยุคแรกๆ ในพระคัมภีร์ ตอนที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย มันก็จะมีการข่มเหงมากมาย  แล้วเราจะสังเกตอาจารย์เปาโลเขียนจดหมาย ไม่เคยหนุนใจในเรื่องของการเป็นอยู่ในขณะนั้น

            “ขอพระเจ้าอวยพรให้พี่น้องในคริสตจักรเหล่านี้ ได้ผ่านพ้นจากความทุกข์ยากลำบากที่ถูกข่มเหง” … อาจารย์เปาโลไม่ได้อธิษฐานแบบนั้น

            แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลอธิษฐาน ก็คือ … “ขอให้ตาใจฝ่ายวิญญาณของพี่น้องเหล่านั้นได้เปิดออก เพื่อเขาจะได้สามารถเห็นถึงความจริงที่พระเจ้าได้ทำอะไรให้กับเขาเรียบร้อยไปแล้ว”

            พี่น้องที่ถูกข่มเหงในยุคนั้น ทรมานนะ ไม่ได้ข่มเหงเบาๆ หนักมาก ด้วยความจริงเหล่านี้ จะทำให้เขาสามารถอดทน  เขาจะสามารถยืนหยัดอยู่ในความเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าได้

            ดังนั้น ความจริงของพระเจ้า เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราอาจจะได้ยินถ้อยคำของพระเจ้า ซึ่งส่งมาในความคิด หรือในหูของเรา ที่มันไม่ได้เป็นความจริงก็ได้ เหมือนเอาพื้นฐาน ถ้อยคำของพระเจ้า แต่แฝงเอาความไม่จริงมาใส่ในพระวจนะของพระเจ้า

            อย่างเช่น พระเยซูคริสต์บอกว่าในโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก นี่พระเยซูคริสต์บอกเองนะ  แต่จงชื่นใจเถิด เพราะเราชนะโลกแล้ว  พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา แล้วพระองค์จะให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถผ่านความทุกข์ยากเหล่านี้ไปได้  ด้วยพระคุณของพระเจ้า 

            แต่จะมีคำสอนที่มาบอกเราว่าเป็นผู้เชื่อแล้ว ทุกข์ยากไม่ได้  เป็นผู้เชื่อแล้ว ต้องดี สบาย  สูงขึ้นทางเดียว ทุกอย่างต้องดีหมด ถ้าไม่ดี แปลว่าความเชื่อของท่าน ไม่โตพอ  ความเชื่อไม่เข้มแข็งพอ เลยเจอปัญหาแบบนี้  อันนี้เป็นข่าวเท็จหมดเลย

            ความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกเรา ก็คือเราเจอแน่ๆ ความทุกข์ยาก  แต่ว่าให้เรามีสันติสุข มีความสุขในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าเรารับรู้ความจริงว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา  และจะเป็นผู้คอยช่วยเหลือ จูงมือเราเดินไปทุกหนทุกแห่ง  แล้วเราจะเห็นพระคุณของพระเจ้าผ่านความทุกข์ยากเหล่านี้  ตอนที่เราเจอความทุกข์ยาก เราไม่เห็นหรอก เรามีความรู้สึก …

            “พระองค์เจ้าข้า ทำไมพระองค์ต้องพาเรามาเจออย่างนี้”

            แต่เมื่อเราผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ปุ๊บ เราเห็นพระคุณเลย เรารู้ว่ามีพระพรที่ซ่อนอยู่ในความทุกข์ยากเหล่านี้ ในหนังสือเปโตร อาจารย์เปโตรบอกว่าความทุกข์ยากจะทำให้เราอดทน และความอดทน ทำให้เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงสามารถใช้ได้ มันมีอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น ความทุกข์ยากเหมือนกับเราออกกำลังกาย  ออกกำลังกายทุกข์ยากไหม?  หรือใครบอกสบายๆ  ออกกำลังกายไม่สบายนะ ดิฉันคิดแล้วคิดอีก บอกตัวเองต้องไปออกกำลังกาย ต้องไปเดิน ต้องไปทำอะไรต่างๆ แต่ความคิดล้มเหลวตลอดเวลา  เพราะความขี้เกียจมันเข้ามาแทนที่ มีวิธีเดียวที่ดิฉันจะออกกำลังกายได้ คือไปเดินตลาด การฝึกฝนในเรื่องเหล่านี้ ก็จะทำให้เราแข็งแรง เราก็ต้องหากุศโลบาย หาวิธีความชอบส่วนตัวของเราว่าเราชอบแบบไหน? แล้วเราก็ต้องไปใช้ชีวิตของเราตามความชอบของเรา ไม่บาปนะพี่น้อง

            พี่น้องไปเดินช๊อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า ไม่บาปนะ เดินไปเถอะ  เย็นๆ แล้วก็ชมสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เรา มันเป็นอาหารตา ถ้าวันๆ เราไม่ทำอะไร ร่างกายเราไม่ได้ใช้งาน มันจะค่อยๆ เสื่อมโทรมลงไป แล้วมันก็ไม่แข็งแรง

            ยิ่งคนที่ทำงานใน Office เราแทบจะไม่มีโอกาสได้ออกกำลังกาย เราก็จะนั่งอยู่หน้าคอมฯ เราต้องใช้สายตาตลอดเวลา  อย่างน้อย 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง พี่น้องต้องลุกขึ้นมา ไปเดินเล่นสักรอบ แล้วก็กลับมานั่งทำงานต่อ เราสามารถทำได้

            แล้วเราขอบคุณพระเจ้าที่ตอนนี้เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้อยู่ในกฎเกณฑ์ใดๆ เลย พระเจ้าไม่ได้สร้างกฎว่าต้อง แล้วก็ต้องๆ แต่พระเจ้าใส่ความปรารถนาในใจ ในวิญญาณของเรา ทำให้เราต้องการ อยากจะทำ “อยากจะทำ” กับ “ต้องทำ” มันคนละเรื่องเลย ถ้าใครบังคับดิฉันว่าต้องไปตลาด  อย่างนั้นทุกข์ แต่นี่เรามีความสุข เพราะข้างในเราชอบ  เราก็ไป นี่คือความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสามารถหาได้ ไม่ยาก  แล้วพระเจ้าก็ให้พระคุณ ให้พระพร ให้เราสามารถที่จะจัดเวลาในแต่ละวันว่าเราจะทำอะไร? มีเวลาทั้งวัน 24 ชั่วโมง พระเจ้าก็ไม่ได้ให้เรานั่งทำงาน 24 ชั่วโมง เวลาทำงาน เขาทำแค่ 8 ชั่วโมงเอง อีก 16 ชั่วโมง ก็ไปทำอะไรก็ได้  ไปนอนเล่น ไปเดินเที่ยว คือทำได้หมด ไม่ผิด ไม่บาปนะพี่น้อง อย่าคิดว่าเราเป็นผู้เชื่อ ยิ่งเป็นผู้รับใช้ด้วย เป็นอาจารย์สอนด้วย อะไรไปเดินเที่ยวช๊อปปิ้งได้ทุกอาทิตย์ ดิฉันช๊อปปิ้งทุกอาทิตย์ ไปเดินเที่ยวห้างทุกอาทิตย์เลย อาทิตย์ละวัน สองวันเลย เพราะว่าหนึ่งมันเป็นการผ่อนคลาย  สองเราไม่มาจับเจ่าอยู่ในที่เดิมๆ

            ข่าวดีของพระเจ้า ที่เรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นอิสระแล้ว พระเจ้าให้อิสรภาพ ให้เสรีกับเรา ในการตัดสินใจ ไม่ว่าเราจะทำอะไร (1) ถ้าไม่ทำให้คนเดือดร้อน (2) ไม่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ขัดกับความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า (3) เรารู้สึกมีความสุข ที่ได้ทำสิ่งนั้น  ทำไปเถอะพี่น้อง พระเจ้าไม่ได้ถือโทษอะไรเรา นี่คือสิ่งที่เราสามารถทำได้ อย่างที่บอกหลายคนถามว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า สำหรับชีวิตของเรา  คืออะไร? เราอยากจะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เราทำอะไร? ใครๆ ก็อยากรู้

            เมื่อก่อนตอนเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ก็อยากรู้เหมือนกัน น้ำพระทัยของพระเจ้า สำหรับเราคืออะไร? สิ่งที่สำคัญที่สุด  ที่พระเจ้าให้กับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ น้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ มีอยู่อันเดียว คือมีความปรารถนาที่จะให้มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ได้มารู้จักกับพระนามของพระองค์ น้ำพระทัยเดียวเท่านั้น

            ในพระคัมภีร์ สาวกของพระเยซูคริสต์ถามพระเยซูว่า … “พระองค์เจ้าข้า ลูกจะปรนนิบัติรับใช้หรือทำงานของพระองค์อย่างไร? คืออะไรที่ต้องทำ”

            พระเยซูตอบไปแค่ประโยคเดียวว่า … “สิ่งเดียวที่ท่านต้องทำ ก็คือมาเชื่อและวางใจในผู้ที่พระเจ้า พระบิดาส่งมาเท่านั้น”

            แล้วพี่น้องทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว คือเราเข้ามาเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า  ที่พระเจ้าพระบิดาส่งมา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราทำเสร็จแล้ว ตามน้ำพระทัยของพระองค์ จากนั้น ก็แล้วแต่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะเป็นผู้บอกเราเอง  ถ้าเอาง่ายๆ อะไรก็ตามที่พี่น้องทำ แล้วมีความสุข ไม่เดือดร้อนใคร?  ไม่ทำให้ใครบาดเจ็บสาหัส พี่น้องทำไปเถอะ นั่นแหละ คือน้ำพระทัย นึกออกไหม? เพราะพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา พระองค์เป็นผู้นำเรา ในการทำสิ่งสารพัด แต่ถ้าเมื่อไร เราไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ก็จะบอกเราเอง  เราทำไป แล้วเราจะทุกข์ เราทำไปแล้วเราจะไม่น่าทำเลย มีใครเคยเป็นไหม?  พอตัดสินใจทำไปแล้ว เรา … ไม่น่าทำเลย  นั่นแหละ แปลว่าอันนั้นไม่ใช่น้ำพระทัยแน่นอน มันเป็นความต้องการของเรา พอความต้องการของเราออกไปปุ๊บ เรารู้สึก มันไม่ใช่ ถ้าเป็นน้ำพระทัย เราจะมีความสุข เราจะมีสันติสุขในพระเจ้า  เพราะพระองค์อยู่ในเรา พระองค์จูงมือเราเดิน ดิฉันไปตลาด พระองค์ก็จูงมือดิฉันไปเดิน

            ฉะนั้น ตรงนี้แหละ คือพระพร ถ้าพี่น้องรู้ความจริง พี่น้องก็จะเป็นอิสระ พี่น้องก็จะไม่ต้องมากดดันตัวเอง  พยายามหาว่าอะไรคือน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าบอกในหนังสือโรม บทที่ 12 ว่าให้เรามอบถวาย ความคิด จิตใจ วิญญาณ ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ร่างกายของเราให้กับพระเจ้า  เพื่อให้พระเจ้าเป็นผู้นำเรา ให้พระเจ้าเป็นผู้ทำการงาน แล้วเมื่อเรายอมมอบถวาย ตรงนี้เราต้องยอมด้วยนะ พระเจ้าไม่หักหาญ หรือพระเจ้าไม่บีบคอเรา หรือไม่แสดงอำนาจว่า …

            “เธอเป็นของฉัน เธอต้องทำตามฉัน”

            ไม่มี พระเจ้าให้เกียรติผู้เชื่อทุกคน  คือให้เราตัดสินใจ  เมื่อเราตัดสินใจยอมมอบถวายอวัยวะของเราให้กับพระเจ้าใช้ พระองค์ก็จะใช้เรา  สมองเป็นสมรภูมิรบ แต่ละวันเราบรรจุอะไรเข้ามาในนี้ แต่ละวันเราบรรจุข่าวสารของพระเจ้าที่ดี ที่พระเจ้าบอกเราว่าตอนนี้เราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ เราบรรจุพวกนี้ลงไปไหม? พระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราหมดจด เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เรามีวิญญาณใหม่แล้ว  วิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย  สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ทำบาปไม่เป็น เราเป็นแล้ว  เรามีความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเจ้าด้วย เป็นแล้ว มีแล้ว จริงๆ บอกว่ามีไม่ได้นะ คือมันเป็น ถ้าบอกว่ามี คือมีโอกาสไม่มีนะ จริงไหม? ถ้าท่านมีเงิน ท่านมีโอกาสไม่มีเงินก็ได้ ถ้าใช้ไม่เป็น แต่ถ้าท่านเป็นเงิน เขาบอกเป็นเงินเป็นทอง มันไม่หายไปไหน?  ก็คือเราจะมีใช้ตลอดเวลา ภาพนี้เราจะเห็นชัด

            พระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เมื่อทุกอย่างมันอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว มั่นใจได้ไหมว่าพระเจ้าผู้ทรงรักเราทุกๆ คน พระองค์จะทรงนำชีวิตของเรา ชีวิตของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ความคิดของเรา จะเป็นเหมือนความคิดของพระเจ้ามากขึ้น เมื่อเรารับรู้ความจริงในเรื่องราวของพระเจ้า  รับรู้ ไม่ถูกหลอก ด้วยข้อมูลเท็จที่โลกนี้ส่งเข้ามา หรือผีมารซาตานพยายามยัดเหยียด ความคิดที่ไม่ถูกต้อง เข้ามาในสมองของเรา ความคิดอะไรก็ตาม ถ้าถูกส่งมา ทำให้เรารู้สึกตัดพ้อต่อว่าพระเจ้าปุ๊บ อันนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่นอน พี่น้องปัดมันทิ้งไปเลย

            แล้วถ้าความคิดใด ก็ตาม ทำให้เรารู้สึกน้อยใจพระเจ้า ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้าอีก เอามันทิ้งไปเลย เพราะว่าเราไม่ควรน้อยใจพระเจ้า พี่น้องจะไปน้อยใจพระเจ้าทำไม ในเมื่อพระเจ้ารักเราขนาดนี้ รักเราขนาดส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน  ให้ทุกสิ่งกับเรา อภัยโทษบาปให้กับเรา รับเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ ขนาดนี้ แล้วเรายังจะไปน้อยใจพระเจ้าเพื่ออะไร? มารก็จะพยายามใส่ข้อมูลพวกนี้ เพื่อให้น้อยใจพระเจ้า แล้วเราก็ไปมองคนอื่น …

            “ทำไมพระเจ้าอวยพรเขา ทำไมพระเจ้าไม่อวยพรเรา”

            น้อยใจพระเจ้า น้อยไปน้อยมา งอนพระเจ้าอีก  งอน เพราะว่าทำไมพระองค์อวยพรนาย ก. ไม่อวยพรฉัน  กลายเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น ให้เรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าทรงรักพวกเราทุกคนเท่ากัน เท่ากันตรงที่พระเยซูคริสต์ได้มาตายแทนพวกเราทุกๆ คน 1 ชีวิตเท่ากัน  ไม่มีใครที่พระเยซูตายครึ่งชีวิต และไม่มีใครที่พระเยซูตายให้เสี้ยวชีวิต ไม่มี 1 ชีวิต พระองค์ตายเพื่อเรา  ฉะนั้น พระเจ้ารักเราเท่ากัน ในเรื่องของโลกวิญญาณ  พวกเราทุกคนจะได้ทุกอย่างเท่าๆ กัน ส่วนในโลกวัตถุ นั่นแล้วแต่น้ำพระทัยของพระเจ้า  พระเจ้าจะให้แต่ละคนไม่เท่ากันแน่นอน พี่น้องไม่ต้องไป คิดว่าเราต้องเท่าเขา เขาต้องเท่าเรา ไม่มีทาง คือมันไม่เท่ากันแน่นอน  แต่อยู่ตรงที่ว่าเราพอใจไหม?  แค่นี้เอง ถ้าเราพึงพอใจ ในพระคัมภีร์เดิมบอกว่าถ้าพระเจ้าทรงนำพาย่างเท้าของผู้หนึ่งผู้ใด แล้วคนนั้นเต็มใจที่จะเดินตามพระเจ้า เต็มใจ พอใจ  แม้เขาล้มลง พระเจ้าจะไม่เหวี่ยงเขาออกไป แต่พระเจ้าจะจูงมือเขาขึ้น นี่คือพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าเผยพระวจนะเอาไว้ว่าอนาคตข้างหน้า มันจะเกิดตรงนี้ แล้ว ณ บัดนี้ เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ คือเสร็จแล้ว  พระองค์ได้นำพาย่างเท้าของพวกเราทุกๆ คน จริงๆ แล้วไม่ใช่เฉพาะพวกเรา พระเจ้านำพาย่างเท้าของมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ คือตายแทนทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว

            แล้วถ้าใครก็ตามพอใจ พวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ เราพอใจ  ถ้าเราไม่พอใจ เราคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ เราพอใจที่ให้พระเจ้าเป็นผู้นำทางชีวิตของเรา เมื่อพอใจปุ๊บ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกต่อว่าเมื่อคนนั้นพอใจแล้ว พระเจ้าจะพาเขาเดินกรีดกราย สุขสบายอยู่บนโลกใบนี้ ไม่เจออะไรเลย สุขทุกวัน เช้า สาย บ่าย เย็น ไม่มีปัญหาเดือดร้อนเข้ามาในชีวิตของเรา พระคัมภีร์ไม่ได้บอกอย่างนั้น  แต่พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อคนนั้นพอใจ แม้เขาล้มลง แปลว่าอะไร? ล้ม เจ็บไหม?  ล้ม เจ็บนะ ล้มลง ไม่รู้ว่าล้มลงด้วยเหตุอันใด  ด้วยอะไรก็แล้วแต่ โอกาสล้มลง มันมีแต่ว่าเมื่อไรที่เราล้มลง พระเจ้าจะพยุงมือเราขึ้น  แล้วพระองค์จะพาเราเดินต่อไป

            แล้วถ้อยคำของพระเจ้ายังสัญญากับเราอีกว่าในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของเรา เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร? จริงๆ ตั้งแต่พระเยซูคริสต์อยู่บนไม้กางเขนแหละ แต่โดยภาษาที่เราเข้าใจ ก็คือเริ่มต้นตั้งแต่วันที่เราอธิษฐานกับพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา นั่นคือจุดเริ่มต้นในความคิดของมนุษย์ จุดเริ่มต้นตรงนี้ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าเริ่มต้นแล้ว  พระองค์ก็จะทรงนำพาชีวิตของเรา  ไม่ว่าชีวิตของเราจะล้มลุกคลุกคลาน หัวทิ่มหัวตำขนาดไหน? พระเจ้าก็จะทรงนำไปจนถึงจุดหมายปลายทาง

            จุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่ไหน?  ก็อยู่ที่สวรรค์นิรันดร์กาล จุดหมายปลายทางของเรา ก็คือวันที่ลมหายใจของเราออกจากร่าง แล้วเราทิ้งร่างกายนี้ ซึ่งเป็นตัวเก่าของเรา เป็นร่างกายที่อยู่ในคำสาปแช่ง ที่พระเจ้าบอกว่าเจ้าถูกสร้างมาจากดิน จะต้องกลับกลายเป็นผงคลีดิน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ ฉะนั้น ร่างกายของทุกคน ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม วันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง  วิญญาณเราออกจากร่าง เราต้องทิ้งร่างกายนี้ เปื่อยเน่าไป ก็จะกลายเป็นดิน แต่สิ่งที่มันต่างกันระหว่างคนเชื่อกับคนที่ไม่เชื่อ ก็คือผู้เชื่อ เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง พระเยซูคริสต์มารับเราไป

            ในพระคัมภีร์บอกว่าบนสวรรค์จะเป่าแตรกันสะหนั่นหวั่นไหว แล้วก็มารับเราไป อยู่กับพระองค์ แล้วอยู่ที่ว่าพระองค์จะมารับเราส่วนตัว หรือจะมารับเราทั้งหมด  มันมี 2 กรณี ถ้าเราตายก่อน พระเยซูก็มารับเราส่วนตัว ทำไมเรารู้ว่าพระเยซูมารับเรา พี่น้องเคยเห็นผู้เชื่อจากไปอยู่กับพระเจ้าไหม? มีใครเคยเห็นบ้าง?  ผู้เชื่อจากไปอยู่กับพระเจ้า เห็นกับตา เห็นจะๆ ดิฉันเห็นบ่อย สิ่งที่มันเกิดขึ้น จากที่เราเห็น  ก็คือผู้เชื่อทุกคน ตอนจากไปอยู่กับพระเจ้า เขาจะสงบมาก คือหลับไปเลย  แล้วพอหลังจากหลับไป มันเป็นเรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องจริง ใบหน้าเขาจะยิ้มแย้มแจ่มใส ดูแล้วไม่น่ากลัว คือเหมือนยิ้มหลับไป  ทำไมเขาถึงยิ้ม เพราะว่าคนที่มารับเขาไป คือพระเยซูคริสต์ เขารู้ว่าเขาได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้มารับเขาไป เขายิ้มกลับไปเลย ผิดกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ตอนจากไป เขาจะทุรนทุราย แล้วก็จะทำหน้าน่ากลัวมากเลย เพราะกลัว ทำไมถึงกลัว  กลัวเพราะไม่รู้ว่าจากนี้ไป จะไปอยู่ที่ไหน? ใครจะพาไปไหน? ไม่รู้ ไม่รู้ทิศทางเลย เขาถึงกลัว ผู้เชื่อไม่กลัว เพราะเรารู้ว่าจากโลกนี้ไป เราจะไปอยู่ไหน?  พระเจ้ารับเราไปอยู่ที่เดิมนั่นแหละ พี่น้องนึกออกไหม? แค่เปลี่ยนมิติ ณ เวลานี้ พวกเราทุกคนผู้เชื่อได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น แล้วเราก็เชื่อตามนั้น อยู่ที่นั่นแล้ว แค่ตัวตนของเรานั่งอยู่ที่นี่ คือที่สมุทรปราการ แต่ตอนนี้วิญญาณเรานั่งอยู่กับพระเจ้าด้วยกัน พระเยซูคริสต์อยู่ไหน? เราอยู่ด้วย เพราะเรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูอยู่ในเรา เราอยู่ในพระองค์ พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ด้วย

            นั่นแหละ หลักการง่ายๆ เลย ไม่ต้องคิดเยอะ แค่รู้ว่าพระเยซูตอนนี้อยู่ไหน? อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า แล้วฉันอยู่ไหนล่ะ ฉันก็อยู่ที่เดียวกันไง นี่คือหลักการง่ายๆ เลย เชื่อเอา เพราะว่าเรายังไม่สามารถเห็นด้วยตา  แต่วันหนึ่ง เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราได้ไปเจอพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า แล้วเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตรงไหนเลย แค่เปลี่ยนมิติ เราก็ยังคงอยู่ที่เดิม คือที่สวรรคสถานนิรันดร์กาล ร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อ อย่าให้ใครหลอกเรา ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม มาหลอกเราว่า …

            “ถ้าอยู่บนโลกใบนี้  เธอไม่ประพฤติดี เธอไม่รอดแน่ๆ  พระเจ้าทิ้งเธอ พระเจ้าไม่เอาเธอ”

            อย่าให้ใครหลอกเด็ดขาด ไม่ว่าผู้เชื่อจะประพฤติดีหรือไม่ดีก็ตาม ผู้เชื่อทุกคนยังเป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ ความจริงตรงนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เชื่อเถอะ เมื่อเราอยู่ในพระเจ้า  ไม่มีใครมีใจปรารถนาอยากจะทำสิ่งที่ไม่ดี  ถ้าเมื่อไรที่เราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ดี แปลว่าตอนนั้นเราถูกหลอก พี่น้องประมวลภาพ แล้วจะได้เข้าใจ เราจะได้ไม่ถูกหลอก เมื่อเราเผลอทำผิด

            มารก็จะส่งข้อมูลมาเลย … “เห็นไหมเธอทำบาปอีกแล้ว เธอนิสัยแบบนี้ พระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว เธอไม่รอดแน่ๆ”

            สวนกลับไปเลย … “พระเจ้าบอก พระคัมภีร์บอกว่าฉันรอดแล้วรอดเลย  ไม่ต้องมาหลอก”

            นึกออกไหม?  พี่น้องต้องรับรู้ความจริงตรงนี้  แล้วสามารถที่จะสวนกลับไป การสวนกลับไปของเรา คือการต่อต้าน ขัดขืนความเท็จที่มันส่งเข้ามาในความคิดของเรา พอเราต่อต้านขัดขืนปุ๊บ หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น  พระคัมภีร์บอกว่าแล้วมารจะหนีท่านไป  ถ้าภาษาของอาจารย์นคร ก็จะบอกว่ามารจะหนีท่านไป ด้วยความตกใจกลัวสุดขีด นี่ภาษาอาจารย์นครนะ  ในพระคัมภีร์บอกแค่ว่ามารจะหนีท่านไป แต่หนีแบบตกใจกลัวสุดขีดจริงๆ ทำไมถึงตกใจ คนนี้รู้จริง หลอกไม่ได้ แล้วทำอะไร? ไปดีกว่า ภาพเดียวกันเลย พี่น้องแค่นึกแค่นี้  เมื่อหลอกไม่ได้ หลอกไปก็เหนื่อยเปล่า มารมันเหนื่อย ไม่เอาดีกว่า ไปหลอกคนที่หลอกง่าย  ไปดีกว่า นั่นคือภาพของถ้อยคำของพระเจ้าที่บอกเราว่าเมื่อท่านต่อต้าน ขัดขืนมัน มันจะหนีท่านไปอย่างตกใจกลัวสุดขีด ในขณะที่มันบอกว่า …

            “คริสเตียนคนนี้เขี้ยว เขี้ยวลากดินเลย  เราหลอกไม่ได้เลย เรามาทุกรูปแบบ แต่เขารู้ความจริงว่าพระเจ้าได้ทำอะไรให้เขาเรียบร้อยไปแล้ว”

            มันก็เลยเหนื่อยไง พอเขาเหนื่อย พี่น้องลองคิดดู ถ้าเราไปหลอกใครเรื่อยๆ แล้วเขาไม่ผสมโรงกับเรา เราเหนื่อยไหม? เหนื่อย ไม่เอาดีกว่า  ไปหลอกคนที่หลอกง่าย มันดีกว่าเยอะ นั่นภาพเดียวกัน  ถ้อยคำของพระเจ้า จึงบอกเราว่าท่านต้องรู้ความจริง ท่านต้องรู้ว่าตอนนี้สถานะของเราอยู่ตรงไหน? เรายืนอยู่ตรงไหน?  หนังสือเอเฟซัสบอกว่าตำแหน่งของเรา ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ตรงไหน?  เมื่อเรารู้ตำแหน่งปุ๊บ เราก็ดำเนินชีวิตตามตำแหน่งนั้น การดำเนินชีวิตตามตำแหน่งนั้น ก็คือใช้ชีวิตให้เหมาะสม หรือคู่ควรกับตำแหน่งที่เราได้รับ ตำแหน่งที่เราได้รับ คือลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เราเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้า  ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  เมื่อเราเป็นราชบุตร ราชธิดา เราจะทำตัวเกเรไม่ได้ เราก็จะวางมาดนิดหนึ่ง ทำให้รับรู้ว่า …

            “ฉันเป็นลูกกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว ฉันจะต้องวางตัวแบบไหน?  เมื่อเรารับรู้ความจริง  มันจะออกมาโดยอัตโนมัติเลย โดยที่เราไม่ต้องฝืน  ไม่มีการฝืน ถ้าพี่น้องสังเกต พี่น้องไม่ต้องฝืนเลย มันจะออกมาเอง เมื่อเรารับรู้ความจริงมาก ก็จะถูกหลอกน้อย  รับรู้ความจริงน้อย ก็ถูกหลอกมาก แค่นั้นเอง หลักการง่ายๆ นิดเดียวเอง ในข้อ 7 …

        โคโลสี 1:7 “ท่านได้เรียนรู้ข่าวประเสริฐจากเอปาฟรัส เพื่อนร่วมรับใช้ที่รักของเรา ผู้ปรนนิบัติพระคริสต์อย่างสัตย์ซื่อ  เพื่อพวกเรา”

            เอปาฟรัส น่าจะเป็นผู้เชื่อที่อาจารย์เปาโลไปประกาศ  แล้วเอปาฟรัสก็ไปประกาศต่อ เป็นผู้ที่ก่อตั้งคริสตจักรชาวโคโลสี ซึ่งผู้เชื่อในโคโลสี อาจารย์เปาโลไม่รู้จัก ไม่เคยเจอ รู้จักแต่เอปาฟรัสเท่านั้น แล้วเอปาฟรัสก็จะเป็นผู้ส่งข่าวให้อาจารย์เปาโลเรื่อยๆ ว่าตอนนี้ ณ ปัจจุบัน ผู้เชื่อเหล่านี้ เป็นอย่างไร?  มีความเป็นอยู่แบบไหน?  มีความเชื่อแบบไหน?  ได้สำแดงความรักของพระเจ้าขนาดไหน? พออาจารย์เปาโลได้ยินข่าว  พี่น้องนึกภาพนะ เวลาเราได้ยินข่าวว่าพี่น้องท่านใดที่เชื่อวางใจในพระเจ้า แล้วเขาหนักแน่น มั่นคง เขารักพระเจ้า แม้เขาจะเจอปัญหา อุปสรรค เขายังยืนหยัดอยู่เคียงข้างพระเจ้า  เป็นความภาคภูมิใจ  เราภูมิใจมากเลย ที่เขาสามารถผ่านความทุกข์ยากเหล่านั้น ด้วยพระคุณของพระเจ้า แล้วเขาจะสามารถยืนหยัดและรับรู้ว่าพระเจ้ารักเขาขนาดไหน?  นั่นคือความภาคภูมิใจ

            พออาจารย์เปาโลได้ยินข่าว ก็มีความสุขมาก  แล้วอาจารย์เปาโลใช้คำว่า “เพื่อนร่วมรับใช้ที่รักของเรา” ให้เกียรติ

            เอปาฟรัสตอนมาเชื่อใหม่ๆ เป็นผู้เชื่อธรรมดาคนหนึ่ง แล้วจากนั้น เมื่อพระเจ้าทรงเลือกและเรียกให้เขาได้มีโอกาส  ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ก็คือขยับสถานะขึ้นมา พอขยับสถานะขึ้นมาปุ๊บ อาจารย์เปาโลไม่ใช้คำว่า “พี่น้อง” ถ้าอาจารย์เปาโลใช้คำว่าพี่น้อง แปลว่าเป็นสมาชิกทั่วไปธรรมดา ก็คือเราเป็นพี่น้องกัน  แต่พอขยับสถานะนิดหนึ่ง อาจารย์เปาโลให้เกียรติ ก็เลยใช้คำว่าเป็นผู้รับใช้ร่วมกันที่รักของอาจารย์เปาโล ผู้ที่ปรนนิบัติพระคริสต์อย่างสัตย์ซื่อ เพื่อพวกเรา

            การปรนนิบัติพระคริสต์อย่างสัตย์ซื่อ ก็คือการดำเนินชีวิต ดูแลฝูงแกะของพระเจ้า การดูแลฝูงแกะของพระเจ้า เป็นส่วนหนึ่งของการรับใช้  คือดูแลเขาแบบไหน?  ไม่ใช่การดูแล เราต้องไปจ้ำจี้จ้ำไช ไปรู้ทุกเรื่องในชีวิตของเขา ไม่ใช่นะ  อย่าทำเด็ดขาด แม้ท่านเป็นผู้รับใช้ ท่านก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปล่วงล้ำอธิปไตยของใคร? หรือจะไปรู้เรื่องทุกอย่างของใคร ทำไม่ได้ เราไม่ใช่นายทะเบียน นายอำเภอ ที่เราจะต้องรู้ทุกเรื่องว่าคนนี้  เกิดที่ไหน? ทำอะไร? ตอนนี้เป็นอย่างไร? ไม่ใช่  แต่การดูแลฝูงแกะของพระเจ้า ก็คือดูแลเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อของเขา คอยดูแลว่าตอนนี้สถานะในวิญญาณของเขาเป็นแบบไหน? เขวไปเขวมาหรือเปล่า?  แบบหัวทิ่มหัวตำไหม? อะไรแบบนี้ พอสถานะในวิญญาณของเขาถูกต้อง คือเขาเจริญเติบโตอยู่ในทางของพระเจ้า เขาได้สำแดงความรักของพระเจ้าผ่านทางชีวิตของเขา ไปถึงผู้อื่น เราก็ดีใจ พอดีใจตรงนี้ คือบำเหน็จรางวัล  บำเหน็จรางวัลในหนังสือโครินธ์ ที่พูดถึง เราก็คิดถึงรางวัลที่เราจะได้รับเป็นสิ่งของ หรือเป็นอะไรสักอย่าง บางคนก็คิดว่าเราจะได้รางวัลในอนาคตข้างหน้า บนสวรรค์ บนสวรรค์ทุกคนได้เท่ากัน

            เมื่อก่อนถูกสอนว่าบนสวรรค์ไม่เท่ากัน  แต่ความจริงของพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าบนสวรรค์ เราได้เท่ากัน คือเราได้ชีวิตนิรันดร์เท่ากันทุกคน  แต่ส่วนบนโลกนี้ เราจะได้ไม่เท่ากัน มันอยู่ที่การดำเนินชีวิตของเรา พอเราหว่านสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้องตามหนังสือโครินธ์ที่บอกว่าเวลาเราไปสอนผู้เชื่อ เราเอาอะไรให้เขา  เราเอาทองคำ เงิน เพชรพลอย หรือเราเอาดิน เอาหญ้าฟาง หรือเอาเศษไม้แห้งไปให้เขา  ทองคำ เพชรพลอย ก็คือข่าวดีของพระเจ้าจริงๆ คือไม่ได้ผสมเติมแต่งให้มันสวยงาม แค่เขารับรู้ว่าพระเจ้ารักเขาแค่ไหน? พอ และเมื่อเขารับรู้แล้ว การเจริญเติบโตของเขาจะอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้อง เวลาเขาเจอเหตุการณ์อะไรมากระทบกระทั่งเขา ก็ไม่สามารถทำให้เขาตัดพ้อต่อว่าพระเจ้าได้  เขายังคงยืนหยัดในความเชื่อ  ยังคงรับรู้ว่าพระเจ้ารักเขาขนาดไหน?  นั่นคือเขาเจริญเติบโต พอผู้เชื่อเจริญเติบโตปุ๊บ  คือบำเหน็จรางวัลของผู้รับใช้  มีความสุข เขาโต ขอบคุณพระเจ้านะ เขาเดินกับพระเจ้า แล้วเขาสามารถที่จะรับในสิ่งต่างๆ ได้ ที่รับรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย  ได้ยิน เราก็ชื่นใจ ความชื่นใจตรงนี้แหละ สันติสุขรางวัลมาชัดๆ เลย ไม่ต้องรอรางวัลที่ไหน? พอเห็นพี่น้องเติบโต เราก็ชื่นใจ

            ฉะนั้น บำเหน็จรางวัลตรงนี้ มันเกี่ยวกับโลกใบนี้ แต่ถ้าเราเลี้ยงดูสมาชิกพี่น้องด้วย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟาง มันเผาวอดเนอะ เวลาโดนไฟ หมดเลย การเลี้ยงดูพี่น้องด้วยสิ่งเหล่านี้ ก็คือป้อนสิ่งที่สบายหู พี่น้องนึกคำว่าสบายหู ป้อนสิ่งที่มันไม่จริง  เราจะไปบอกสมาชิกว่า …

            “มาเชื่อพระเจ้า แล้วเธอจะไม่มีความทุกข์หรอก  แน่นอน เธอจะอยู่ดีมีสุขตลอดชีวิต พระเจ้าจะอวยพรเธอทุกวี่ทุกวัน  เธอจะมีเงินทองใช้สอยอย่างสุขสบาย เธอจะไม่เจ็บ ไม่ป่วย”

            นี่คือพวกหญ้า ฟาง และไม้แห้ง ที่เราใส่เข้าไปในความคิดของพี่น้องที่เชื่อวางใจในพระเจ้า  เพราะสิ่งนี้เป็นความเท็จ พระเจ้าไม่เคยสัญญา พอเขาเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เจอโควิดมา ทำไมเราติดโควิด  ตอนนี้ทุกข์แล้ว …

            “ไหนพระเจ้าบอกว่าเราจะอยู่ดีมีสุขไง ทำไมเราเป็นแบบนี้”

            คือทำให้แทนที่พี่น้องคนนั้น จะมั่นใจในพระเจ้าว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? ไม่ว่าเราจะติดโรคอะไรทั้งหมด  ไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่นอน พระเจ้าไม่เคยตีสอนเรา หรือโยนสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตของเรา  แต่ที่เราต้องเผชิญ เพราะว่าเราต้องดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  มันเจอแน่ๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้

            ในพระคัมภีร์ยังเห็น มีพี่น้องคริสเตียนที่อดอยากในกรุงเยรูซาเล็ม แล้วยังต้องเรี่ยไรเงินจากคริสตจักรคนต่างชาติไปสมทบ ไปช่วยเหลือ ถ้าความจริงของพระเจ้าที่บอกว่าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะไม่อดอยาก เราจะเจริญรุ่งเรือง เราจะไม่ขัดสน อย่างนี้ถ้อยคำพระเจ้าก็โกหกสิ จะบอกอะไรให้ ที่พระเจ้าสัญญาทั้งหมด ที่ท่านจะเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ท่านจะสูงขึ้นทางเดียว ท่านจะไม่ตกต่ำ ท่านจะอะไรทั้งหมด  สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันเป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงในเรื่องของโลกวิญญาณ  วิญญาณท่านเป็นแบบนั้นแล้ว สูงขึ้นทางเดียว ไม่มีตกต่ำ  อยู่ในพระคริสต์ ท่านจะไม่ขัดสนในสิ่งดีที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับท่านเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณท่านเป็นอย่างนั้นหมดแล้ว  แต่ในโลกวัตถุ ท่านไม่สามารถให้หลักประกันชีวิตกับใครได้เลย

            ใครกล้าประกันว่า … “นี่เธอ ตลอดชีวิตของเธอ เธอจะไม่เจอความทุกข์ยาก”

            ถ้าเขาเจอความทุกข์ยาก เขาเอาไม้มาตีหัวเรา “ศิษยาภิบาลโกหกนี่ ไหนบอกไม่ทุกข์ ฉันทุกข์จะตายแล้ว” อะไรประมาณนั้น

            เพราะว่านี่คือความเท็จ พอความเท็จ ผู้เชื่อแทนที่เขาจะเจริญเติบโต เขาไปเพ้อฝันในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง  แล้วชีวิตของเขาก็ไม่มีความสุข ขาดสันติสุขในพระเจ้า  แทนที่เจอความทุกข์ยาก เขารับรู้ว่า …

            “พระเจ้าอยู่ในฉัน  อย่างไร พระเจ้าพาฉันผ่านแน่นอน”  หรือ … “ถ้าฉันเจ็บป่วย”

            สมมติดิฉันป่วยเป็นโรคหัวใจ ถ้ายังไม่ถึงเวลา พระเจ้ามีวิธีให้ดิฉันไปหาหมอ แล้วเจอหมอดีไปผ่าตัด ไปอะไรก็แล้วแต่ จนกลับคืนมาสู่สภาพดี สามารถทำงานได้ประมาณหนึ่ง  แต่ถ้าบังเอิญมันถึงเวลาที่พระเจ้าบอกวราพรกลับบ้านได้แล้ว เป็นโรคหัวใจ ยืนเทศน์อยู่อย่างนี้ น๊อคตายไปเลย ดิฉันก็กลับบ้าน แค่นั้นเอง  เพราะนั่นคือความจริง พอเรารับรู้ความจริง เราไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตของเรา ต้องไปผูกกับอะไร เราแค่ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน  รับรู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย ถ้าถึงเวลาจะต้องกลับบ้าน ไม่ว่าเราจะดูแลตัวเองดีขนาดไหน? ก็ต้องไปอยู่ดี หรือถ้ายังไม่ถึงเวลากลับบ้าน พระเจ้าก็สามารถทำให้เราสามารถอยู่ได้ด้วย เขาบอกว่าถ้าถึงเวลาเราจะต้องตาย ไม้จิ้มฟันแทงเหงือกยังตายเลย

            เล่าเรื่องหนึ่ง สมัยก่อน เขาเล่ากันสนุกสนาน เขาบอกว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง มีคนมาบอกว่าเขาว่า …

            “ระวังให้ดีนะ ช่วงนี้หน้าตาไม่โอเคเลย  ตกอับ ระวังถูกสัตว์แทงตาย อย่าไปเที่ยวที่ไหนนะ อยู่แต่ในบ้านเลยนะ ห้ามไปเดินโป่ง เดินป่า (คนนี้น่าจะชอบเดินป่า) ห้ามไปเดินเด็ดขาดเลยนะ ตายแน่ๆ เลย”

            คนนี้ก็ … “เชื่อๆ ฉันไม่ไปเดินป่าดีกว่า ฉันเดินอยู่ในบ้านนั่นแหละ”

            พอถูกทำนายอย่างนี้ มันอยู่ไม่สุข เดินอยู่นั่น เดินวนไปเวียนมา เป็นบ้านไม้ เวลาเดินมันกระเทือน แล้วบังเอิญเป็นคนชอบสัตว์ ข้างฝาแปะเขาควายไว้อันหนึ่ง เดินไปเดินมากระเทือนเยอะๆ เขาควายหล่นลงมาปักตายไปเลย นั่นเป็นเรื่องเล่าสนุกนะ  เขาเล่าขำๆ ให้เป็นอุทาหรณ์ว่าจริงๆ แล้วคนหนึ่งถ้าถึงเวลาจะต้องจากไป ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถยึดชีวิตของเขาได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่เขาจะตาย ก็ไม่มีใครสามารถเอาชีวิตของเขาไปได้

            แล้วชีวิตของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เอเมน อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ให้เรามั่นใจเลย พระเจ้าจะทรงนำเรา ถึงเวลา พระเจ้าจะพาเรากลับบ้าน เราก็จะได้กลับบ้าน ถ้ายังไม่ถึงเวลา  ก็ทำงานต่อไป อย่างมีความสุข  ดิฉันทำงานมีความสุขจริงๆ ทุกสิ่งอย่าง มีความสุขมากๆ ฉะนั้น อยู่ให้มีความสุข ในขณะที่พระเจ้าให้ชีวิตเราอยู่บนโลกใบนี้ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            การรับบัพติศมาในน้ำ สำหรับคริสเตียนนั้น สำคัญอย่างไร?

            การบัพติศมาในน้ำสำหรับคริสเตียน เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญที่แสดงออกมาให้เห็นถึงความเชื่อ และการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป

            การบัพติศมาไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เรารอด แต่เป็นการแสดงออกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  เมื่อเราได้รับความรอดจากบาป คือการที่เราได้ถูกฝังและฟื้นคืนชีวิตใหม่ในพระคริสต์

            โรม 6:3-5 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์  (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น 4 ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่  (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย  แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วย”

            สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ คือวิญญาณของมนุษย์ที่ตายอยู่ ได้รับการบังเกิดใหม่เป็นอภิมหาบริสุทธิ์ สะอาดที่สุด พระวิญญาณของพระเจ้า ได้เข้ามาบัพติศมาผู้เชื่อในพระเยซู เพื่อให้ผู้นั้นสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชำระตั้งแต่ร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ ได้เกิดใหม่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อพร้อมที่จะเป็นบ้าน ให้พระเจ้าพระบิดาและพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ด้วยกันในวิญญาณที่เกิดใหม่นั้น

            เพราะฉะนั้น การเข้าพิธีบัพติศมาในน้ำของคริสเตียน จึงเป็นการเฉลิมฉลองการที่เราได้บังเกิดใหม่ กลายเป็นสิ่งสร้างใหม่ มีชีวิตใหม่ในพระคริสต์

            การบัพติศมาในน้ำเป็นการแสดงออกถึง การที่เราได้ถูกชำระให้บริสุทธิ์ และได้รับการยกโทษบาปทั้งหมดผ่านการเสียสละของพระเยซู

            โคโลสี 2:13-14 “13 และท่านทั้งหลายซึ่งก่อนเชื่อนั้น  ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ  เพราะวิญญาณเป็นบาป  อยู่ในบาป  จึงทำบาป  คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า  และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน  ตอนนี้ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว  พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิตบังเกิดใหม่ในพระคริสต์  เช่นเดียวกันกับเรา  และได้ทรงให้อภัยในการละเมิดกฎทั้งหลายของพวกเรา 14 พระองค์ทรงยกเลิกกฎแห่งการกระทำ  ตามธรรมบัญญัติที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ  (หนังสือธรรมบัญญัติที่พระเจ้าได้ประทานให้กับชาวยิว  ผ่านทางโมเสส  และสำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว  หนังสือธรรมบัญญัติ  บันทึกไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน)  ซึ่งมีระบุไว้ว่าเราต้องทำตามทุกจุด  ทุกขีด  ทุกข้อในหนังสือบทบัญญัติอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน  ไม่มีการละเมิดเลยแม้จุดๆ เดียว  กฎแห่งการกระทำนี้  จึงเป็นศัตรูต่อต้านชีวิตเรา  คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ  ละเมิดกฎ  คือทำบาป  ต้องได้รับโทษ  คือความพินาศในวิญญาณ  (เพราะมนุษย์เรา  ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์  บริบูรณ์ ดีพร้อม  ตามบัญญัตินั้นได้  โดยไม่ละเมิดเลย  แม้แต่จุดเดียว)  พระองค์ได้ทรงเอาหนังสือธรรมบัญญัตินี้  ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน  (เพื่อว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  จะได้เป็นตัวแทนของเรามวลมนุษย์  ในการตายจากชีวิตเดิม  ร่วมกับพระองค์  จากชีวิตเดิม  ซึ่งเป็นหนี้บาป  ต้องชดใช้เวรกรรม อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ ตามบทธรรมบัญญัตินี้)”

            การเข้าพิธีบัพติศมาในน้ำ ยังเป็นการประกาศต่อสาธารณะว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระเจ้า และมีชีวิตใหม่ในพระองค์แล้ว

            กาลาเทีย 3:27 “เพราะว่าท่านทั้งหลาย ที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ได้รับบัพติศมา (เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในทางวิญญาณ) ในพระคริสต์แล้ว ก็ได้สวม (คลุมกาย) ด้วยพระคริสต์”

            ดังนั้น การเข้าพิธีบัพติศมาในน้ำ จึงเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อ และการยอมรับในพระเยซูคริสต์ และเป็นการเฉลิมฉลอง วันคล้ายวันเกิดของเราฝ่ายวิญญาณ การที่เราได้กลายเป็นสิ่งสร้างใหม่ในพระองค์ ไม่ใช่พิธีที่ทำให้เรารอดจากบาป แต่เป็นการแสดงออกถึงสิ่งต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นในจิตวิญญาณ ในชีวิตของเราแล้ว

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1539

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  กันยายน  2025

เรื่อง “หนังสือ 2 ยอห์น”

ตอน 4 “รางวัลที่จะได้รับ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มาต่อ “หนังสือ 2 ยอห์น” ตอน 4 “รางวัลที่จะได้รับ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้” ต่อจากครั้งที่แล้ว ตอน 3 ก็คือ “รางวัลที่ได้รับจากการดำเนินชีวิต ตามความจริงของข่าวดี” ซึ่งมาจาก 2 ยอห์น 1:8 ที่บันทึกไว้อย่างนี้ วันนี้จะต่อให้มันจบ …

        2 ยอห์น 1:8 “จงระวังตัว (เอาใจใส่) เพื่อจะไม่สูญเสีย (โยนทิ้งหรือทำลาย) สิ่งทั้งปวง ที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน แต่ให้ท่านดำรงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อจะได้รับบำเหน็จ (รางวัล ผลตอบแทน) สมบูรณ์ครบถ้วน”

            “ให้ท่านดำเนินชีวิตอยู่ในความจริงนี้ จนถึงที่สุด  เพื่อจะได้รับบำเหน็จรางวัลตอบแทน สมบูรณ์ครบถ้วน” เราได้เรียนรู้ความจริงในข้อนี้ มาถึงตอนนี้แล้ว  วันนี้จะเอาให้อย่างละเอียดเลย  ที่ต้องละเอียดมากกว่าธรรมดาด้วย เพราะว่าคำแรกของข้อพระคัมภีร์นี้ 2 ยอห์น 1:18 บอกไว้อย่างนี้ เราจึงต้องละเอียดยิ๊บเลย  เท่าที่ทำได้  เท่าที่พระวิญญาณจะนำพาเราไป ขึ้นต้นด้วยคำว่า …

            “จงระวังตัว เอาใจใส่ เพื่อจะไม่สูญเสีย” แค่นี้พอแล้ว  จงระวังตัว เอาใจใส่ แสดงว่าเป็นเรื่องสำคัญ  ยอห์นถึงเขียนคำนี้อย่างนี้ จงระวังตัว เอาใจใส่ เพื่อจะไม่สูญเสียสิ่งทั้งปวง  ที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน ที่เราได้เรียนรู้ไปแล้ว  ตรากตรำทำอะไร? เรียนรู้ความจริง รักษาความเชื่อ เชื่อในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันแรกที่เป็นคริสเตียน พอเป็นคริสเตียนปั๊บ  เกิดสงครามขึ้นทันทีเลย  โลกแห่งความมืดบนโลกใบนี้ เป็นศัตรูต่อต้านเรา เพราะเราเป็นความจริงแล้ว เราเริ่มต้น เป็นความจริง นั่นแหละ คือตรากตรำดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะเราไม่ได้เป็นของโลก เราเป็นความสว่าง เราเป็นคริสเตียน เราเป็นลูกของพระเจ้า แต่โลกใบนี้ เป็นความมืด เป็นของมาร

            พระคัมภีร์บอกมารเป็นเจ้าของโลกนี้ ไม่ใช่พระเจ้านะ อย่าเข้าใจผิด เป็นเจ้าของโลกนี้  ก็คือเป็นเจ้านายของโลกนี้ เป็นเจ้าของความมืด ความบาปและความตาย ซึ่งมนุษย์ตกอยู่ใต้อำนาจของมัน ตรงนี้แหละ แต่เราหลุดพ้นออกมาแล้ว  ถึงแม้หลุดพ้นออกมา เราก็ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังอยู่ในอิทธิพลของความมืดอยู่ ก็เกิดสงครามขึ้น  ระหว่างความสว่างและความมืด นั่นแหละ ความตรากตรำในโลกฝ่ายวิญญาณ

            เพราะฉะนั้น ให้เราระวังตัว เอาใจใส่ความจริงของถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง เพราะในนี้บอกว่าสิ่งที่เราตรากตรำ รักษาไว้ ตั้งแต่แรก สิ่งทั้งปวง คืออะไร? คือสิ่งทั้งหลายที่อาจารย์ยอห์นสอน มาตลอด ตั้งแต่ 1 ยอห์น จนมาถึงนี่ 2 ยอห์นแล้ว  พูดถึงเกี่ยวกับความเท็จกับความจริง แสงสว่างกับความมืด คริสเตียนกับไม่ใช่คริสเตียนเป็นอย่างไร? นั่นแหละ คือสิ่งทั้งปวงที่เราได้เรียนรู้กันมา อย่าให้มารมาขโมยไป

            จงระวังเอาใจใส่ คือระวังแค่อย่าให้มันขโมยเอาความจริงนี้ไป เวลามันขโมยความจริงนี้ไป อะไรมาแทนที่ ความเท็จ มันมีแค่นี้เอง ในหนังสือยอห์น ยอห์นจะพูดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นพิเศษ เป็นเรื่องย้ำยืนยันอยู่ตลอดเวลา

            เพราะฉะนั้น จงระวัง รักษาความจริงนี้ไว้ให้ถึงที่สุดนั่นเอง ความจริงนี้อยู่ที่ไหน? ได้เรียนรู้แล้ว ยอห์นบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าความจริงนี้อยู่ในคุณ อยู่ในท่าน ผู้เชื่อ ความจริงนี้ ก็คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นความจริง และเป็นแสงสว่าง

            ระวัง อย่าให้มารมาขโมยความจริงนี้ ที่อยู่ในตัวท่าน เพราะว่าพระคัมภีร์บอกแล้ว พระเยซูบอกแล้ว  มารมาหาเรา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย  แต่พระเยซูบอก พระเยซูอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมาร พระเยซูเป็นแสงสว่าง เป็นความจริง มาเพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอด  พระองค์มา เพื่อให้เขาได้มีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ ครบถ้วน บริบูรณ์

            สองอัน แตกต่างกันอย่างไร? “เพื่อว่าท่านจะได้มีชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์ ครบถ้วน” ก็คือมีชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไป  ตั้งแต่ท่านได้รู้จักกับเรา ตั้งแต่ท่านเปิดใจต้อนรับเราเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราเข้าไปสถิตอยู่กับท่าน ความจริงสถิตอยู่กับท่านแล้ว ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หรือเป็นต้นไป ก็แล้วแต่ ชีวิตท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์  และได้รับครบถ้วนบริบูรณ์ คือได้รับพระพรจากชีวิตนิรันดร์นี้  ที่เราเข้าไปสถิตอยู่กับท่านนี้  ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จนไปถึงนิรันดร์หลังความตาย หมายถึงอย่างนั้น คือตั้งแต่บนโลกนี้ ไปจนถึงชีวิตในโลกหน้า ที่เรียกว่าครบถ้วนบริบูรณ์  พระเยซูมา เพื่อใครก็ตามที่เชื่อและวางใจในพระองค์ จะได้รับชีวิตครบถ้วนบริบูรณ์ ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย จนไปถึงโลกหน้า หลังความตาย

            ซึ่งตามบริบทของถ้อยคำที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ ใน 2 ยอห์น 1:8 บริบทนี้ เน้นถึงเรื่องรางวัลที่จะได้รับ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เน้นตรงนี้ อย่าให้สูญเสียรางวัล บำเหน็จ พระพร จากการมาเป็นคริสเตียน ตั้งแต่ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เน้นตรงนี้ว่าอย่าให้มันขโมยไป ขโมยอะไรไป? ขโมยรางวัล พระพร จากการดำเนินชีวิตตามความเป็นจริง ตามถ้อยคำพระเจ้า ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ รางวัลนี้คืออะไร? พูดสั้นๆ  คือความสงบสุข สันติสุขที่พระเยซูคริสต์ได้บอกว่าถ้ามาหาพระองค์ พระองค์จะประทานสันติสุข สันติสุขที่พระองค์ประทานให้นั้น ไม่เหมือนกับโลกให้  จงให้ท่านสบายใจเถิด และไม่ต้องวิตกกังวล อย่ากลัวเลย นี่คือรางวัล พระพรในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            พระพร รางวัล บำเหน็จ ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนตามความจริง แห่งพระคำของพระองค์นั้น ได้รับตั้งแต่บนโลกใบนี้เลย คริสเตียนทุกคนได้รับแน่นอน แต่รับไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าคริสเตียนคนนั้น ถูกขโมยความจริงไปมากน้อยเพียงใด หรือพูดง่ายๆ ว่ารักษาความจริงอยู่ในใจได้มากเท่าไร ต่างกัน ถ้าความจริงมีอยู่มาก  ก็มีสันติสุข ความสงบสุข ได้รับพระพรนี้มาก ถ้าเผื่อถูกขโมยไปเยอะ ก็ได้รับพระพรน้อย นี่คือสิ่งที่อาจารย์ยอห์นเตือน และบอกพวกเราว่าระวัง มารมันจะขโมยสิ่งเหล่านี้ ไปจากเรา

            ส่วนรางวัลในโลกหน้า เรารู้กันอยู่แล้ว ก็คือชีวิตนิรันดร์หลังความตาย ก็คือร่างกายใหม่ ที่เราจะสวม หลังจากตาย หลังจากออกจากร่างนี้ ทิ้งร่างเรือนดินนี้ ออกปุ๊บ เราก็จะพบกับพระเยซูคริสต์ พร้อมกับได้รับร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์ และได้ครอบครองโลกใหม่ และสรรพสิ่งในโลกใหม่ ที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมดเลย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ อันนี้ คริสเตียนทุกคนได้รับเท่าๆ กันทั้งหมด ไม่มีใครได้ดีกว่ากันเลย ไปอยู่ในสวรรค์ได้เท่ากันหมดเลย  เพราะทุกคน ก็ได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ได้เข้าครอบครองกับพระเยซูคริสต์ ทั้งหมดนี้ โดยพระคุณ โดยพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สาม และเราเชื่อ เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนได้รับ เพราะความเชื่อ จึงไม่มีใครสามารถที่จะอวดอ้างว่า …

            “ฉันทำดีกว่าคนอื่นเขา ฉันควรที่จะได้รับในสวรรค์มากกว่าคนอื่นเขา ฉันควรไปสวรรค์และได้รับตำแหน่งมากกว่าคนอื่นเขา  ฉันไปสวรรค์ ควรจะได้รับพระพร หรือทรัพย์สมบัติในสวรรค์มากกว่าคนอื่นเขา ฉันไปสวรรค์ ควรจะได้รับแมนชั่นหรือสถานที่อยู่ หรือบ้าน  อาศัยอยู่ในสวรรค์นั้นมากกว่าคนอื่นเขา หรือว่าฉันไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ฉันควรจะเป็นประชาชนในสวรรค์ชั้นหนึ่ง ก็คือเป็นเจ้านาย เป็นผู้ครอบครองมากกว่าคนที่อยู่บนโลกนี้ แล้วทำงานให้พระเจ้าน้อยกว่าฉัน”

            ไม่มี ไม่สามารถที่จะอวดอ้างได้ เพราะว่าทุกคนได้รับความรอดเหมือนกัน ก็คือไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่นิดหนึ่ง พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            เรามาดูบำเหน็จ หรือพระพร ที่จะได้รับในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ซึ่งเรารู้แล้วว่าหมายถึงรางวัลที่แท้จริง ก็คือสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ก็คือการได้รู้จักกับพระคริสต์ และมีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ นี่คือพระพรที่จะได้รับในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เริ่มต้นได้รับตั้งแต่ตอนนี้ บัดนี้ บนโลกใบนี้เลย เมื่อเปิดใจรับเชื่อปุ๊บ อันนี้เข้าไปทันที เริ่มต้นเลย ก็คือความยินดี สันติสุข ความสงบสุข ความสบายใจ ที่มาจากการได้รู้ว่าชีวิตของเราอยู่ในพระคริสต์ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าพอใจเรามากเลย รักเรามากเลยในพระเยซูคริสต์ และได้รู้ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ และดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว  สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดสันติสุข ความสงบสุข และเราได้รู้ว่าเราได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณ

            สิ่งเหล่านี้ เป็นความจริงทั้งหมด พอได้รับรู้แล้ว เกิดอะไรขึ้น  เกิดสันติสุข ความสงบสุข ความปิติยินดีเกิดขึ้นทันที ในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้  การได้รับรู้ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้วในขณะนี้  กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้ ไม่ต้องรอให้ตายไป จะไปอยู่ในสวรรค์ แต่วิญญาณของเรา ได้รับรู้แล้วว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้ และจะอยู่ในสวรรค์นี้ตลอดไปนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นเลย ไม่ว่าเราจะทำอะไร หรือใครจะทำอะไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถมาเอาเราออกไปจากสถานะนี้ได้อีกแล้ว  ไม่มีใครสามารถมาเอาเราออกจากความรักของพระเจ้าตรงนี้ได้อีกแล้ว  ในพระคริสต์ เราเป็นอยู่อย่างนี้  ในสวรรค์เราจะอยู่กับพระองค์ และอยู่อย่างนี้ตลอดไปเป็นนิตย์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เอเมน ขอบคุณพระเจ้า นี่คือรางวัล

            รักษาความจริงเหล่านี้ไว้  เป็นรางวัล รางวัล ก็คือแฮปปี้ มันดีกว่าคนที่ไม่รู้เรื่องว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างไร? ตายแล้วเราจะไปไหน?  มันคนละเรื่องเลย บำเหน็จ หรือพระพร หรือรางวัลนี้ ได้รับเลย และจะได้รับมากที่สุด ก็ต่อเมื่อดำเนินชีวิตในความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง ซึ่งรางวัลการดำเนินชีวิตในความจริงของถ้อยคำพระเจ้า หลายคนก็เข้าใจผิด ถูกขโมยไป พระคัมภีร์บอกว่าเราจะได้รางวัล พระพรในการดำเนินชีวิต ตามถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นความจริง

            คราวนี้มันก็มีพระคำที่เป็นความเท็จด้วย  อย่างที่อาจารย์ยอห์นบอกว่าให้เราระมัดระวัง เอาใจใส่ว่าอะไรเป็นความจริง อะไรเป็นความเท็จ  ความเท็จ คือที่อยู่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงของถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ และเราจะรู้ได้อย่างไร?  พระวิญญาณจะค่อยๆ สอนเรา บอกเราทีละเล็กทีละน้อย เราจะเข้าใจและเห็นชัดขึ้น

            เพราะฉะนั้น เป็นรางวัลที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ การมีส่วนร่วมในชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้าในพระคริสต์ นี่คือความจริงของรางวัลนี้  ความสงบสุข สิ่งที่จะได้รับหลังความตายนิรันดร์และรับรู้ นี่คือรางวัล บำเหน็จ พระพร  พระพรนี้ บนโลกใบนี้ ถ้าถูกโกหก มารมันจะบอกว่ามันเกี่ยวกันกับสุขภาพแข็งแรง  ทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้  ความสำเร็จบนโลกใบนี้ ใช่หรือไม่? ซึ่งมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่ผู้เชื่ออย่างเดียว มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ต้องการ มารมันก็รู้ว่ามนุษย์ต้องการตรงนี้แหละ มันก็เอาตรงนี้มาเป็นอาวุธของมัน ในการล่อลวงคริสเตียน

            จำได้ไหมความจริง ก็คือเมื่อเรามาเป็นคริสเตียน รางวัลของเราที่ได้รับบนโลกใบนี้เลย ก็คือสันติสุข ความสงบสุข  การได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า  การได้รู้ว่าเราเป็นคนชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม การได้รู้ว่าตายไปแล้ว เราได้รับร่างกายใหม่ ได้อยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล ได้รู้ว่าปัจจุบันเราก็ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว อย่างนี้ใช่ไหม?

            แต่มันมาบอกว่า … “ไม่ใช่หรอก อยู่บนโลกใบนี้ รางวัลตรงนี้ มันหมายถึงเจ้าจะได้รับผลสำเร็จ บนโลกใบนี้ เจ้าจะได้รับความแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ที่คนบนโลกใบนี้เขาอยากได้กัน พระเจ้าสัญญาว่าเจ้าจะได้รับความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง รวย แน่นอน”

            นี่คือความโกหก และใครเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้  ก็เท่ากับถูกขโมยความจริงไป สันติสุขหายไป ความสงบสุขหายไป  ความสุขก็เลยหายไป  สันติสุข ก็เลยกลายเป็นความวิตกกังวล ความสุขที่มีความพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ก็กลายเป็นความทุกข์  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถูกขโมยแบบเนียน คือมารหลอกล่อ หลอกลวงให้เราเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ นึกออกไหม?  มันหลอกลวง ล่อลวง มนุษย์บนโลกใบนี้ ให้อยากได้ในสิ่งที่เป็นของโลกใบนี้  คือทรัพย์สิน เงินทอง ความแข็งแรง

            แล้วมนุษย์ก็ทำอะไรทุกอย่าง เพื่ออยากจะได้ 2 สิ่งนี้ อยากจะได้ความสำเร็จบนโลกใบนี้ แม้ว่าจะทำชั่วอะไรต่างๆ ก็จะเอา  อย่างนี้เรียกว่าหลอกเฉยๆ แต่พอมาเป็นคริสเตียนแล้ว มันหลอกหนักกว่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันหลอกให้คริสเตียนมีความเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจเลยว่าถ้อยคำนี้ เป็นถ้อยคำแห่งความจริง คือมันบิดถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าออกมา กลายเป็นว่าพระเจ้าบอกว่าเมื่อเรามาเป็นคริสเตียนแล้ว  เราจะได้พระพร รางวัล คือเราจะประสบผลสำเร็จในชีวิตบนโลกใบนี้ เหมือนกับโลกใบนี้ที่เขาต้องการ พระเจ้าจะให้เราแข็งแรงอย่างอัศจรรย์เลย  พระเจ้าจะให้เรามีเงินใช้อย่างพอเพียง ต้องเป็นคนร่ำรวย นี่แหละ คือสิ่งที่พระองค์ประสงค์ และพระองค์ต้องการ และเมื่อ คริสเตียนหลงเชื่อไป อย่างบริสุทธิ์ใจเลยว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น  มันก็ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่  เพราะความมืด ความเท็จ  ปลอมตัวเป็นความสว่าง ปลอมตัวเป็นความจริง  นี่หนักหนาสาหัสสากัน

            เมื่อถูกหลอกแบบนี้  มันก็เกิดเป็นผลร้าย  เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงกับคนที่ถูกหลอกนั้น  เชื่อไปอย่างนี้แล้ว บริสุทธิ์ใจ  เชื่อว่ามันมาจากพระเจ้า เชื่อเต็มที่เลย มันก็เกิดความเสียหาย ใหญ่โตกับคนที่ถูกหลอกให้เชื่อแบบนี้ และเสียหายกับคนอื่นรอบข้าง นี่แหละ คือวิธีของมารที่ทำ

            ยกตัวอย่าง อย่างหนักๆ  อย่างรุนแรงที่บิดถ้อยคำพระเจ้า เสร็จแล้วทำให้ผู้เชื่อ คือคริสเตียนหลงเชื่อไปว่ามาจากพระเจ้า ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ ยกตัวอย่างเช่น แรงที่สุด ที่เราเห็นกันบนโลกใบนี้ ก็คือสงครามศาสนา  ไม่ใช่ทางพระเจ้าเลย แต่อ้างถ้อยคำพระเจ้าว่าอย่างนี้ เราต้องประกาศข่าวดี เราต้องรักษาเกียรติพระเจ้า ไม่ให้ใครมาลบหลู่ แล้วเราก็เริ่มทำตามที่เราคิดว่ามันเป็นความจริง นึกว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า  เราก็เบียดเบียน ข่มเหงผู้เชื่ออื่นๆ  เห็นหรือยัง?  คริสเตียนข่มเหงผู้เชื่ออื่นๆ  ยกตัวอย่างให้ฟัง

            ในสมัยโรม ตอนเริ่มต้น ก็มีการข่มเหงคนที่ไม่เชื่อ บังคับให้เขามาเป็นคริสเตียน ตั้งคริสเตียนเป็นศาสนาประจำชาติกรุงโรม เพราะฉะนั้น ทุกคนที่มีเชื้อชาติโรม  หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นข้าราชการอยู่ในโรม ต้องมาเข้าพิธีเป็นคริสเตียน มันก็เลยมีคริสเตียนแบบถูกบังคับ แต่ในใจไม่ได้เป็น ซึ่งมันไม่ใช่ นึกว่าน้ำพระทัยพระเจ้า เป็นอย่างนั้น ทำด้วยความเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ต้องทำตามอย่างสุดใจ และอย่างสุดชีวิต  ถวายชีวิตเลย เพราะว่าเป็นพระเจ้า  คล้ายๆ กับสมัยที่พวกชาวยิวต่อต้านพระเยซูคริสต์ ก็คิดว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่มาทำการหมิ่นประมาทพระเจ้าของเขา  เขาเชื่ออย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้น เขาถวายชีวิตของเขาเอง เขาจะฆ่าพระเยซูให้ได้ กำจัดให้ได้ เพราะว่าลบหลู่เกียรติของพระเจ้า พระเจ้าให้จัดการ นี่มันหมายถึงอย่างนั้น

            มันจึงเกิดสงครามถวายชีวิตกัน  เกิดการระเบิดพลีชีพ หรือสงครามศาสนา  ยอมตาย สงครามครูเสด คือสงครามที่ต่างความเชื่อกัน แล้วใช่น้ำพระทัยพระเจ้าหรือเปล่าอย่างนั้น  แล้วทำไมเขาทุ่มเทชีวิต  ถึงทำขนาดนั้น  ก็เพราะเขาเชื่ออย่างเต็มใจ บริสุทธิ์ใจเลยว่านี่มาจากพระเจ้า

            เราลองกลับมาดูวิธีการของมาร ในชีวิตคริสเตียนปัจจุบันว่าถูกหลอกอย่างนี้ไหม? ใช่ไหมที่เราบอก  ทุกวันนี้เรามองสังคม เราเองก็มีประสบการณ์ ใครที่สังเกตก็จะเห็นชัด ใครที่ไม่สังเกต ก็อาจจะเห็นไม่ชัดเท่าไร? หรือใครที่เป็นคริสเตียนมานานๆ และรู้จักกับคริสเตียนมากๆ หลายๆ คน ก็อาจจะเห็นพฤติกรรม หรือความเชื่อของคนอื่นๆ จะเห็นชัดมากว่าเป็นอย่างไร? เรามาดู มีบางคนเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นจริง คือพระเจ้าต้องการให้เราแข็งแรง ไม่ป่วยเลย มีหลายคริสตจักร เราเองก็เคยเชื่อแบบนั้น ถ้าเราป่วย  แสดงว่าเราผิด  เพราะพระเจ้าไม่ต้องการให้เราป่วย  พระเจ้ารักเรามาก  พระเจ้ารักษาเราแข็งแรงได้  ถ้าเราป่วย แสดงว่าความเชื่อเราน้อยไป เราต้องเพิ่มพูนความเชื่อ หรือไม่ เราก็ต้องไปหาผู้ที่มีความเชื่อสูงๆ มาอธิษฐาน วางมือให้เรา  แล้วเราจะได้หายโรค

            เราก็จะแสวงหาการหายโรคอยู่นั่นแหละ ตลอดเวลา แสวงหา อยากจะหายโรค พระเจ้ารักษาลูกได้  เมื่อเขาบอกว่าความเชื่อไม่พอ  ทำอย่างไร? ก็สร้างความเชื่อ เขาก็สอนต่อ “เขา” เอาเป็นว่ามาจากมารก็แล้วกัน  คือความเท็จ ก็จะบอกว่าเพราะท่านความเชื่อไม่พอ แล้วเขาก็บอกต่อว่าท่านต้องอธิษฐานมากกว่านี้ ความเชื่อจะได้เพิ่ม อธิษฐานไป ก็ยังไม่หาย ต้องอธิษฐานและอดอาหารด้วย ยกตัวอย่างข้อพระคัมภีร์ขึ้นมาด้วย พระคัมภีร์เดิม เขาอดอาหารอธิษฐาน เกิดอัศจรรย์ขึ้น อดอาหารอธิษฐานเสร็จ ก็ยังไม่หาย เขาก็บอกต่อไป เขา ก็คือมาร สรุปไปให้มารดีที่สุด  เพราะมาจากมันนั่นแหละ จะผ่านคนไหนไม่รู้ แต่ก็มาจากมาร

            มารก็บอกต่อว่าอดอาหารอธิษฐานไม่พอ ไปตรวจดูสิว่าทำบาปอะไรมา เช็คให้ละเอียดเลย ทำบาปเล็กๆ น้อยๆ คิดให้ดีๆ แล้วก็สารภาพไปให้หมด ล้างชำระไปให้หมดเลย คิดๆ ก็ยังไม่หาย ก็ยังไม่ได้ ต่อมา ก็โกหกต่อไปเรื่อยๆ หรือว่าบรรพบุรุษ พ่อแม่ หรือปู่ย่าเคยไปเล่นไสยศาสตร์ที่ไหนไหม? เล่นกับผีอะไรหรือเปล่า? ผีมันเลยตามมา  แล้วก็ยังมีอะไรอีกเยอะแยะ เอาแค่นี้ก็พอจะเห็นภาพแล้วนะ  เกิดอะไรขึ้น  เกิดความเสียหายแก่เจ้าตัว  แทนที่จะสบายขึ้น หรือหายจากที่พระเจ้ารักษาผ่านทางยา ผ่านทางแพทย์ ผ่านทางหมอ ผ่านทางการปรับปรุงชีวิต  การกิน การอยู่หรืออะไรแล้วแต่ ก็สูญเสียตรงนี้ไป ไม่พอ แล้วสูญเสียอะไรที่เห็นชัดๆ อันนี้เห็นหลายรายแล้วนะ ก็คือสูญเสียโอกาสที่จะไปให้หมอรักษาด้วยสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า ทางหมอ ทางยา ทางวิธีการของแพทย์ ก็เลยไม่ได้ไปใช้  เมื่อไม่ไปใช้ มันก็แย่ลง ตามธรรมชาติของการเสื่อมของร่างกายบนโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่โลกใบนี้  เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง เต็มไปด้วยความเจ็บป่วย

            พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างนั้นเลย ร่างกายเป็นร่างกายที่อ่อนแอ ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความเจ็บป่วย และกลับไปสู่ความตาย ใน 2 โครินธ์ 4:17-18 ได้บอกไว้ว่าร่างกายภายนอก  มันกำลังดำเนินชีวิตไปสู่ความเสื่อมโทรม ความตาย เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราไปฝืนมันว่ามีชีวิตอยู่ พระเจ้าทำการอัศจรรย์ ถูกหลอก เพราะฉะนั้น เราก็เลยไม่ไปทำอะไรกับมัน  เมื่อไม่ทำอะไรกับมัน ก็ยิ่งเสียหายใหญ่เลย เพราะว่าการแพทย์กำลังจะช่วยปรับปรุงหรือแก้ไขในสิ่งที่เสื่อมเสียไปได้บ้าง ก็ไม่ได้ทำ 

            ผลเสีย ก็คือแทนที่จะหายจากอาการความดันโลหิต ซึ่งเกิดจากอะไรก็ไม่รู้ หมอบอกสามารถที่จะช่วยได้ โดยยาควบคุมความดัน หรือวิธีการของหมอ นี่ไม่ เชื่อในพระเจ้า เชื่อในคำโกหก คำเท็จของมาร ไม่ไปหาหมอ หรือไปหาหมอแล้ว แต่ไม่ยอมกินยาตามที่หมอบอก ไม่ตรวจตามที่บอกว่าให้ระวัง ความดันสูง ไม่ตรวจ  เชื่อในพระเจ้า เชื่อไม่พอ ไม่ทำตามแพทย์ไม่พอ ทำตามความเท็จ  ไม่กินยา ไม่ระวังตัว  กินอาหารไม่เลือกอยู่เหมือนเดิม แต่อธิษฐานมากๆ เครียด เกิดอะไรขึ้น เส้นโลหิตในสมองแตก เป็นอัมพาต  เดือดร้อนตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ต้องนอนอยู่บนเตียง แล้วก็เดือดร้อนถึงคนใกล้ชิด ที่ต้องมาดูแลเขาอีก  เห็นหรือยัง?

            เพราะเหตุมันมาจากอันนี้ ความเท็จที่มาแทนความจริง โดยบริสุทธิ์ใจของเขาเลย เขาทุกข์ทรมานมากว่าทำไมเขาแย่อย่างนี้  พระเจ้าช่วยคนอื่น ทำไมไม่ช่วยเขา  อย่างนี้ ตายไปด้วยความเศร้าโศก  แล้วไปอยู่ในสวรรค์ไหม? ไปอยู่ในสวรรค์ เพราะในสวรรค์ได้เท่ากันอยู่แล้ว  ได้รับความรอด ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น ไปอยู่สวรรค์ แต่ขณะที่เดินทางไปอยู่ในสวรรค์ ชีวิตบนโลกใบนี้ ได้รับความรอดเหมือนด้วยไฟ  เป็นความทุกข์ยากลำบาก  เห็นชัดเลย เอาไปเปรียบเทียบได้เลยกับโลกอื่นๆ มีจริงๆ เล่าประสบการณ์จริงๆ เลย แม้แต่ตัวเอง หรือพวกเราเองที่นี่ ตั้งแต่คริสตจักรเปิดมา ที่เราเคยเข้าไปในความเชื่อแบบนี้บ้าง เรายังเห็นเลย  เรายังมีประสบการณ์เลย ขอบคุณพระเจ้าที่เราหลุดออกมาทัน ขอบคุณพระเจ้า ถ้าไม่ทัน มันก็จะเป็นอย่างนี้ เสียหายไปเยอะแยะมากมาย นี่เราก็เสียหายไปบ้าง แต่มันก็ไม่เยอะ ก็ขอบคุณพระเจ้า ยังพอไปได้ เลยมาบอกเราว่ามันมีความจริงที่เรามีประสบการณ์ผ่านมาจริงๆ เห็นจริงๆ ขอบคุณพระเจ้า

            บางคนเป็นเบาหวาน  เบาหวานรักษาได้ ดูแลได้ ไปหาหมอ คนเขาเป็นเบาหวานกันเยอะแยะ นี่เชื่อในความเท็จ ถ้าเป็นเบาหวานต้องไปหาหมอตลอดชีวิต  แล้วเป็นไง ไปหาหมอตลอดชีวิต แล้วมันดีกว่ามาพิการตลอดชีวิตไหมล่ะ ไม่พูด มารมันส่งมาแค่นี้ …

            “พระเจ้าเธอยิ่งใหญ่ พระเจ้าเธอยอดเยี่ยม มาจากคนนั่นแหละ เป็นคนพูด พูดแล้ว เขาเชื่อด้วย  เพราะคนพูดก็มีความรู้สึกบริสุทธิ์ใจว่ามันเป็นจริง เพราะตัวเองได้รับประสบการณ์มา แต่ประสบการณ์ มันไม่ใช่ความจริงเสมอไป ประสบการณ์ มันคือประสบการณ์ ถ้อยคำพระเจ้า คือถ้อยคำพระเจ้า มันเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ เราไม่สามารถสอนประสบการณ์ให้กับท่านได้  แต่เราต้องสอนความจริงในถ้อยคำพระเจ้าว่าบันทึกไว้ว่าอย่างไร? ไม่ใช่ประสบการณ์ว่า …

            “ผมผ่านอย่างนี้มา”

            ถ้าเชื่อประสบการณ์ ไม่ต้องมาเชื่อพระเจ้าหรอก อย่างนี้เยอะแยะไปข้างนอก ประสบการณ์เต็มไปหมด แต่ความจริงของพระเจ้าว่าอย่างไร? ประสบการณ์ สามารถเป็นความเท็จได้ 100% เลย เพราะว่ามารใช้ประสบการณ์เต็มไปหมด บนโลกใบนี้  แต่ความจริงของพระเจ้ายืนยันไว้อย่างไร? ก็ต้องเป็นอย่างนั้น  นี่คือเห็นชัดเจน มันก็เดือดร้อน ถามว่าเดือดร้อนมาจากใคร? มาจากมารนั่นแหละ  แล้วมาจากอะไร? มาจากความเท็จที่ดาษดื่นไปหมดเลย แล้วใครถูกความเท็จนี้หลอก ต้องเป็นคนที่ไม่ใช่คริสเตียนแน่นอนอยู่แล้ว แต่คริสเตียน ถูกล่อลวง ก็หนักกว่า เพราะบริสุทธิ์ใจกว่า  และโดยเฉพาะอย่างนี้ คริสเตียนที่เป็นผู้นำ  ที่เป็นผู้สอนคนอื่นเขา  ที่เป็นผู้ประกาศบอกคนอื่นเขา ยิ่งหนักใหญ่เลย ยิ่งไปทำให้คนอื่นเขา คิดเอาเองก็แล้วกัน  เดือดร้อนขนาดไหน? ไม่ใช่ตัวเองเดือดร้อนอย่างเดียว แต่คนอื่น เขาเดือดร้อนด้วย นี่คือสิ่งที่เป็นความจริง ที่อาจารย์ยอห์นบอกให้ระมัดระวังสิ่งเหล่านี้

            ตะกี้นี้เรื่องสุขภาพ เรื่องการเงินก็เหมือนกัน มันมีอยู่ 2 อย่างเน้นๆ ชัดๆ  ส่วนอื่นก็มีบ้าง  แต่มันไม่ชัดเจนเหมือนกับการเงินกับสุขภาพ ที่มารใช้เป็นอาวุธ ในการล่อลวง หลอกลวงให้มนุษย์หลงไปเชื่อมัน มนุษย์ต้องการสำเร็จทางโลกนี้ ก็คือแข็งแรง ร่ำรวย อันนี้ขอก่อนเลย อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ชื่อเสียงยังว่ากันทีหลัง

            ตะกี้เรื่องสุขภาพ ทีนี้เรื่องการเงิน ก็เหมือนกัน  นี่ก็เห็นชัดๆ  มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันต้องรวยขึ้น คุ้นหูไหม? พระเจ้าเรายิ่งใหญ่ พระเจ้าไม่ให้เราจนหรอก คุ้นๆ ไหม?  พระเจ้าบอกท่านจะไม่ขาดแคลนสิ่งใดเลย คุ้นๆ ไหม? พระเจ้าบอกท่านให้ออกไป ท่านจะได้รับกลับเข้ามายัดสั่นแน่นพูนล้น  คุ้นๆ ไหม? มารก็ใช้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จากถ้อยคำพระเจ้ามาบิดตรงโน้น บิดตรงนี้ พระเยซูคริสต์ไม่ได้ยากจนเหมือนที่เขาบอกหรอก พระเยซูคริสต์ร่ำรวยจะตาย ตอนนี้เป็นจอมราชา อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน แล้วท่านทำตัวกระจอกอย่างนี้ได้อย่างไร? ท่านต้องรวย เพราะท่านเป็นลูกพระเจ้า เสียชื่อพระเจ้าหมดเลย ท่านขาดแคลนอย่างนี้  อย่างนั้นหรือ?

            แต่ในพระคัมภีร์บอกเต็มไปหมดเลยว่าให้ช่วยเหลือพี่น้องคริสเตียน ที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มที่กำลังอดๆ อยากๆ ชาวมาสิโดเนีย ที่เป็นผู้ที่ขาดแคลนอย่างมากมาย  แต่ก็ยังมีใจกว้างขวางในการบริจาค ช่วยเหลือผู้อื่น ในขณะที่ตัวเอง ก็ยังขาดแคลน ช่วยเหลือเท่าที่มี อะไรอย่างนี้

            เปาโลบอกข้าพเจ้าพอใจทุกสถานะ ไม่ว่าจะมีอย่างเหลือล้น หรือขัดสน ขาดแคลน ข้าพเจ้าขัดสนขาดแคลนอย่างมากมายเลย  แล้วเราก็ถูกหลอกว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วต้องร่ำรวย และเกิดอะไรขึ้น

            นี่เป็นจริงเลย พี่น้องคนหนึ่งก็คิด ก็เชื่ออย่างนี้แหละ ก็อธิษฐานๆ มั่นใจว่าพระเจ้าต้องให้เราร่ำรวยแน่ๆ ทำทุกอย่างที่เขาสอนมา เขา หมายถึงมารนะ มารสอนมา สอนให้ออกไปเยอะๆ เพื่อจะได้กลับมา สอนให้อธิษฐานมากๆ  สั่งการมากๆ  เพื่อจะได้กลับมา  และสอนให้ใช้ความเชื่อ ในการทำธุรกิจ  เขาไปเรียนรู้เรื่องการทำธุรกิจ การทำมาหากินแบบระบบตามเหตุและผลการค้าขาย แต่นี่ไม่เอา ใช้ความเชื่อเข้ามานำหน้า แล้วเอาวิชาการไว้ข้างหลัง ทำตามวิชาการ แต่ทับไปด้วยการอธิษฐานว่ามันต้องรวยแน่ๆ  แล้วเกิดอะไรขึ้น  มันไม่ได้เป็นไปตามนั้น  แต่การลงทุน เขาเชื่อมั่นว่ามันเป็นอย่างนั้น เชื่อมั่นว่ามาจากพระเจ้า หนักกว่านั้นอีก เมื่อเชื่อ อธิษฐานไป นี่มาจากพระเจ้าแน่เลย ต้องรวยแน่ๆ เที่ยวนี้ เพราะว่าเราทำตามที่ถูกโกหกมาหมดเลย ทำตามนี้ แน่นอนเลย เพราะฉะนั้น ลงทุนไปเยอะๆ เลย ก็ไปลงทุนเยอะๆ จนเกินตัว แล้วในที่สุด ก็หมดตัว  แล้วก็เป็นหนี้เป็นสินชาวบ้าน เขาเยอะแยะ แล้วก็ร้องห่มร้องไห้ พระเจ้าช่วยได้ๆ ก็ยังไม่หยุดอีก ก็ยังฝืน แทนที่จะรู้ตัว กลับฝืน

            ฝืนคืออะไร? ไปกู้หนี้ยืมสินเขามา เพื่อจะสู้ต่อ แทนที่จะหยุด มีใครห้าม ก็ไม่เชื่อฟัง เพราะว่าเขาเชื่อในพระเจ้าที่เขาถูกหลอกมาว่าให้ทำอย่างนี้ถูกแล้ว แล้วได้ที่ปรึกษาที่เป็นมาจากมารอีก ที่ปรึกษาบอกทำถูกแล้ว ลองไปเช็คดูสิ เหมือนเดิมว่าเราไปยุ่งเกี่ยวกับไสยศาสตร์อะไรมาหรือเปล่า? ยุ่งเกี่ยวกับผีไหม? เลิกความสัมพันธ์กับผีอย่างครบถ้วนบริบูรณ์หรือยัง? ตัดขาดความสัมพันธ์กับผีในอดีตที่เราเคยไปยุ่งมา ก่อนเชื่อพระเจ้า หรือปู่ย่าตายายพ่อแม่ไปทำอะไรที่เกี่ยวกับผีไหม? ไปเช็คดูให้ดีๆ สิ

            แทนที่จะมาแก้ไขเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินแบบมีสติ แบบที่เขาทำกัน ไปคิดทางไสยศาสตร์ คิดอะไรต่างๆ เหล่านั้น เอาพระเจ้ามาอ้าง นี่ถูกโกหกหมด  ก็ยิ่งถลำลงไปลึกๆ ในที่สุด หมดเลย ไม่เหลืออะไรเลย  แถมเป็นหนี้เป็นสินอีกเยอะแยะ  เดือดร้อนตัวเองอีกแล้ว  และนอกจากตัวเองเดือดร้อน ใครเดือดร้อนอีก ก็ผู้คนรอบข้าง ก็คือครอบครัว ญาติพี่น้อง และคนที่เขาไปขอร้องให้ช่วย  ก็คือเสียหายไปด้วยกัน อย่างนี้เป็นต้น

            มาจากการถูกขโมยเอาความจริงนี้ไป อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าให้ใส่ใจตรงนี้ ยกตัวอย่าง แค่ 2 เรื่องเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วมีเยอะแยะมากมายไปหมดเลย  ปัญหา ชีวิตบนโลกใบนี้  ที่มารสามารถเอามาใช้ ในการหลอกลวง ขโมยเอาความจริง จากคริสเตียนผู้เชื่อ น่าจะ หรือสมควรที่จะได้รับรางวัล บำเหน็จ พระพร ตั้งแต่เริ่มต้นเชื่อ ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว นั่นคือความสงบ สันติสุขนั่นเอง ก็ยังมีบางคนในแวดวงถูกหลอก การถูกมารขโมยเอาความจริงนี้ไป ก็มีบางคนที่ไม่บริสุทธิ์ใจก็มี ตะกี้เราพูดถึงคนที่บริสุทธิ์ใจนะ บริสุทธิ์ใจจริงๆ เลยว่านี่มาจากพระเจ้า แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรเลย คิดอย่างดีด้วยซ้ำไป คิดว่ามาจากพระเจ้า คิดไปว่าเมื่อสำเร็จแล้ว ก็จะสร้างโบสถ์ เมื่อสำเร็จแล้วเขาจะไปถวาย  เมื่อสำเร็จแล้ว จะมาทำงานประกาศข่าวประเสริฐให้พระเจ้ายิ่งใหญ่เลย

             นี่เขาเรียกบริสุทธิ์ใจ บางชนิด คือคนไม่บริสุทธิ์ใจก็มี คือเป็นคริสเตียน แต่ตั้งใจหลอกลวง เพราะถูกหลอก ถูกจูงใจด้วยตัณหาอันนี้ก็มี แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในต่างประเทศเยอะ ก็คือเป็นคริสเตียนแล้ว แต่ต้องการแข่งขันกับโบสถ์ กับชุมชนที่เชื่อด้วยกัน ก็คือโบสถ์นั่นแหละว่าเขาเจริญรุ่งเรือง เราก็ต้องเจริญรุ่งเรืองไปกับเขาด้วย เขาสร้างคริสตจักรตึกใหญ่โต เราต้องตึกใหญ่โตกับเขาด้วย มันก็หลงไป ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าสิ่งที่ทำไปมันเกินเลยแหละ การที่จะโน้มน้าวให้สมาชิกมาถวายเยอะๆ มาสร้างโบสถ์ มันทำเกินกว่าความเป็นจริงแล้ว  แต่เขาถูกล่อลวงด้วยตัณหา เขาอยากจะทำให้เหมือน หรือแข่งกันกับคริสตจักรคู่แข่ง มีจริงๆ นะ ในต่างประเทศ แล้วตั้งใจจะหลอกเลย ก็มี แต่อย่างนี้มีโอกาสที่จะหลุดพ้นได้ เพราะว่าเขาถูกหลอกด้วยตัณหา

            หรือบางคนถูกล่อลวงด้วยตัณหา อย่างเช่น ทำโบสถ์ ทำๆ ไป โบสถ์ขัดสน คนถวายน้อย อยู่ไม่ได้แล้ว ตัวเองจะทำอย่างไร? เกิดความขัดสน ก็มีสิทธิ์ที่จะเกิดการทดลองจากมารได้ว่าขัดสน แล้วจะทำอย่างไร? เพราะการมีโบสถ์ มีค่าใช้จ่ายต่างๆ สิ้นเดือนแล้ว ไม่มีเงินค่าไฟฟ้า สิ้นเดือนแล้ว ศิษยาภิบาลบางคนก็ต้องดำเนินชีวิตด้วยการ พึ่งพาเงินถวาย นี่เป็นเรื่องธรรมดา นี่เป็นเรื่องถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ว่าศิษยาภิบาลหรือคนที่รับใช้ อยู่ได้ด้วยเงินถวายที่คนเขาถวายมา เป็นเรื่องตามพระคัมภีร์บอกไว้ แต่ปรากฏว่าถูกมารทดลอง บางครั้งมันขัดสนจริงๆ  เกิดความไม่มั่นใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป เกิดถูกความล่อลวง ทำให้เกิดการประพฤติต่างๆ ที่ถูกล่อลวงให้กระทำ อย่างเช่น ก็เริ่มไปทำกิจการอื่น ซึ่งเป็นศิษยาภิบาลแล้ว แต่ว่าไม่มีความชำนาญในการทำอย่างอื่น ก็เริ่มยืมเงินสมาชิก หรือเริ่มเล่นแร่แปลธาตุในคริสตจักร เพราะว่าในคริสตจักรสมาชิกให้เกียรติกับศิษยาภิบาล เชื่อฟังศิษยาภิบาล เพราะฉะนั้น ศิษยาภิบาลทำอะไรก็ได้รับเกียรติ โอกาสที่จะเชื่อฟัง ช่วยเหลือ หรือทำตามก็มีมาก ก็ถูกล่อลวงด้วยวิธีนี้ ก็มี ก็เกิดปัญหาขึ้นในที่สุด ยกปัญหาให้ฟัง

            ถามว่าถ้าเกิดปัญหาอย่างนั้น แล้วจะทำอย่างไร? มันก็ยาก ก็ยืนหยัดในความเชื่อ ในถ้อยคำพระเจ้าว่าผู้ที่เลี้ยงเรา คือพระเจ้า พระเจ้าอยู่กับเรา ถ้าไม่มี ก็เลิก ปิดโบสถ์เลยสิ ก็ปิดไปสิ ถ้อยคำพระเจ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วเราจะไปยืนกรานในความเท็จได้อย่างไร?  นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

            หรือหนักกว่านั้น พวกที่ไม่เชื่อเลย คือไม่ได้เป็นคริสเตียนเลย ก็มี ถูกหลอก พวกมิจฉาชีพเลย ไม่เชื่อเลย ต่างประเทศมีเยอะ บางแห่งหนัก ถึงขนาดเขาเอามาทำเป็นหนังเลย  แต่หนังทำมาจากเรื่องจริง  คือไม่ได้มาเชื่อพระเจ้าหรอก  แต่เห็นผู้เชื่อเขาทำกัน เหมือนกับที่เล่าให้ฟังเมื่อสักครู่นี้ว่ามีบางแห่ง เขาก็เชื่อในสิ่งเหล่านั้น แต่เขาบริสุทธิ์ใจ ก็เหมือนพวกเราโฮลี่ ในอดีต  ก็บริสุทธิ์ใจนั่นแหละ  ก็สอนไปอย่างนั้น ก็เชื่อไปอย่างนั้น แต่คราวนี้เขาเอาวิธีการนี้ สอนแบบให้มีอัศจรรย์เกิดขึ้น ให้เชื่อในการอัศจรรย์ เชื่อว่าพระเจ้าทำอัศจรรย์ แข็งแรง  ร่ำรวยได้ เขาเชื่อแบบนั้น

            อันนี้ไม่ได้เชื่อเลย ไม่ได้เป็นคริสเตียนเลย ไปลอกเลียนมา แล้วก็โปรโมททำเป็นโบสถ์ขึ้นมา ทำเป็นทีมขึ้นมา แล้วตระเวนไปตามโบสถ์ แล้วทำการอัศจรรย์ แล้วก็วางแผนเหมือนละคร มีคนอยู่ข้างหลังเวที มีวิทยุคอยบอก ศิษยาภิบาลก็ออกมาถึง …

            “มีใครใส่เสื้อสีเขียว เจ็บป่วยด้วยโรคนี้”

            คนนั้นใส่เสื้อสีเขียว ร้องไห้ … “ฉันเองๆ”

            “ออกมาที่นี่ พระเจ้าจะรักษาท่าน”

            ปรากฏว่ามีคนอยู่ข้างหน้า คอยจดสัมภาษณ์คนเข้ามา  แล้วก็ส่งบอกเข้าไปหูฟังของนักเทศน์ว่าวันนี้มีใครบ้าง? อันนี้ยกตัวอย่าง สมมตินะ

            “พระเจ้าบอกว่าผู้ชายคนหนึ่ง อายุ 36 ชื่อจอร์ด วันนี้ท่านเจ็บป่วยด้วยโรคนี้”

            “โอ้โห! ตรงจริงๆ เลย”

            คนชื่อจอร์ดจริงๆ ตกใจ รู้ถึงขนาดนี้ อันนี้เล่าให้ฟังแค่นี้ ไปหาหนังดูก็แล้วกัน แต่มันมาจากเรื่องจริง อย่างนี้เป็นต้น

            ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นบริสุทธิ์ใจ หรือไม่บริสุทธิ์ใจ จะเป็นมิจฉาชีพหรือเปล่า? เชื่อพระเจ้าหรือไม่? ไม่สำคัญเลย ออกมาเหมือนกันหมด สำหรับคนที่ระมัดระวังเอาใจใส่เรื่องความจริงนี้ เราสังเกตเหมือนกันเลย ก็คือเอาใจใส่ ถือว่าถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ บันทึกไว้ว่าอย่างไร?  ไม่ว่าจะเป็นมิจฉาชีพหรือไม่เป็นมิจฉาชีพ  เราไม่ต้องสนใจเลย  จะเป็นคริสเตียนแท้หรือไม่เป็นคริสเตียนแท้ ไม่ต้องสนใจ  สนใจอย่างเดียว คือว่าสิ่งที่พูดนั้น พระคำหรือคำเท็จ พระคำหรือคำพูดของมาร  พระคำหรือการบิดเบือน นี่คือหลักการ พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ข่าวดี! ท่านจะได้รับอะไรบ้าง? ฟรี! เมื่อท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์และเชื่อในพระองค์ ท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งในชีวิตของท่าน คือท่านจะได้บังเกิดใหม่ และกลายเป็นสิ่งสร้างใหม่ มีชีวิตใหม่ในพระคริสต์

            2 โครินธ์ 5:17 … “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่)  สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว  จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            พระเจ้าทรงทำการผ่าตัดท่านทางวิญญาณ โดยการนำวิญญาณเก่าที่เป็นบาปที่ตายแล้วออกไป และให้วิญญาณใหม่ที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม และดีพร้อมเหมือนพระเยซูแทน

            เอเสเคียล 36:26-27 … “พระเจ้าตรัสว่า “เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

            นอกจากนี้ ท่านยังได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเราอย่างถาวร

            เอเฟซัส 1:13-14 … “และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมดำรงอาศัยอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อ ก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้ ผู้เป็นมัดจำค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้า จะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”

            และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ภายในท่าน จะทรงเป็นผู้ที่นำทางท่าน และช่วยให้ท่านเติบโตในชีวิตคริสเตียน ท่านจะได้รับการรวมเป็นหนึ่งเดียวทางวิญญาณกับพระคริสต์ในวิญญาณ

            1 โครินธ์ 6:17 … “ผู้เชื่อที่ได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ (บัพติศมาในพระคริสต์) ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์”

            และท่านจะได้รับการยืนยัน จากภายในของท่านเองว่า ท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ

            โรม 8:16 … “พระวิญญาณเองทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า”

            การเปลี่ยนแปลงโดยการบังเกิดใหม่นี้ ทำให้ท่านมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนม เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีธรรมทางวิญญาณกับพระเจ้าทั้งสามพระภาค และมั่นใจ เชื่อวางใจในความรักและการยอมรับของพระองค์ ที่นับท่านว่าเป็นลูกของพระองค์ตลอดไป

            ท่านจะได้รับการอภัยบาปทั้งหมด ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบันจนถึงอนาคตนิรันดร์ และมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์

            โคโลสี 1:13-14 … “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด  และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์)  ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ (เราได้รับการไถ่หมดเวรหมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี)”

            พระเจ้าอวยพรครับ