วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1537

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  สิงหาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 2 ยอห์น” ตอน 3 “รางวัลที่ได้รับจากการดำเนินชีวิตตามความจริงของข่าวดี”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 2 ยอห์น” วันนี้ ตอน 3 “รางวัลที่ได้รับจากการดำเนินชีวิต ตามความจริงของข่าวดี” หนังสือยอห์นอย่างที่บอกไว้คราวที่แล้วว่าเน้นย้ำมาก ถึงเรื่องเกี่ยวกับความจริงกับความเท็จ พระเยซูกับมาร ความสว่างกับความมืด ผู้เชื่อกับผู้ไม่เชื่อ คริสเตียนกับปฏิปักษ์พระคริสต์ ตรงกันข้ามกัน ครั้งที่แล้วตอน 2 “จงระวังความเท็จที่จะทำให้สูญเสียความมั่นใจในความจริงของข่าวดี” ชื่อเรื่อง ซึ่งเป็นการเตือนสติคริสเตียนให้ระวังตัว เอาใจใส่ความจริงของพระเยซูคริสต์ ที่ดำรงอยู่ในใจท่าน            ความจริงเหล่านี้ เราไม่ต้องไปแสวงหาไกลที่ไหน? พระคัมภีร์บอก ความจริงนี้อยู่ในเรา ความจริง ก็คือพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์ คือความจริง … ความจริงนี้อยู่ในเราแล้ว เพียงแต่แสวงหาจากถ้อยคำพระเจ้า  เพื่อรับรู้ว่าเราเป็นใคร? พระองค์เป็นใคร? และตัวจริงๆ เราเป็นอย่างไร? นี่คือความจริงที่อยู่ในเรา ซึ่งเราได้ใช้หนังสือ 2 ยอห์น 1:8 ครั้งที่แล้วเราวิเคราะห์กัน บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 ยอห์น 1:8  “จงระวังตัว (เอาใจใส่) เพื่อจะไม่สูญเสีย (โยนทิ้งหรือทำลาย) สิ่งทั้งปวง ที่เรากับท่าน ได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน แต่ให้ท่านดำรงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อจะได้รับบำเหน็จ(รางวัล ผลตอบแทน) สมบูรณ์ครบถ้วน”

            เราได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับให้เราระวังตัว เอาใจใส่ เพื่อจะไม่สูญเสียสิ่งทั้งปวง ตรงนี้เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว “ซึ่งเรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน” เราก็ได้เรียนรู้แล้วว่าตรากตรำทำอะไรกัน

            วันนี้เราจะมาต่อตอนท้ายของพระคำนี้ ที่บันทึกไว้ “แต่ให้ท่านดำรงอยู่จนถึงที่สุด  เพื่อจะได้รับบำเหน็จรางวัล ผลตอบแทนสมบูรณ์ครบถ้วน” เราจะมาวิเคราะห์ตรงนี้ว่ามันแปลว่าอะไร?

            ดำรงอยู่ในอะไร?  ก็ตะกี้ที่เราอ่านกันตอนต้นที่บอกว่า “จงระวังตัวเอาใจใส่” ซึ่งเราได้เรียนรู้ไปแล้ว เอาใจใส่อะไร? เอาใจใส่สิ่งที่ดำรงอยู่ในท่าน ก็คือความจริง ความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว ให้เราระวังตัว เพื่อจะไม่สูญเสียความจริงนี้ไป ความจริงที่ดำรงอยู่ในตัวท่าน ให้ท่านดำรงอยู่จนถึงที่สุด ก็หมายถึงให้ท่านรักษาความจริงเอาไว้ให้มากที่สุด ให้ดีที่สุด ทำไมต้องรักษาความจริงนี้ไว้ เพื่อท่านจะได้รับบำเหน็จ รางวัล ผลตอบแทน สมบูรณ์ครบถ้วน ผมแปลให้ละเอียดขึ้น เพื่อจะได้บำเหน็จ … บำเหน็จ หมายถึงรางวัล ผลตอบแทนของการระมัดระวัง รักษาความจริงให้ดำรงชีวิตอยู่ในใจของเราตลอดเวลา แสดงว่าเรากระทำตามนี้แล้ว เรารอคอยผลตอบแทน มีผลตอบแทนด้วย

            เมื่อเราอ่าน คำว่า “เพื่อจะได้รับบำเหน็จรางวัล สมบูรณ์ครบถ้วน” ส่วนใหญ่ที่ผ่านๆ มา เรานึกถึงอะไร? พอบอกว่าได้รางวัล หรือบำเหน็จปุ๊บ เราไปนึกถึงชีวิตหลังความตาย จริงไหม? เราไปนึกถึงการพิพากษา หลังความตายว่าใครจะได้ไปอยู่ในสวรรค์  เราคิดถึงการอยู่ในสวรรค์ และนอกเหนือจากนั้น เรายังนึกถึงอะไรอีก บางคน คิดถึงการอยู่ในสวรรค์หลังความตายว่าตายไปแล้ว จะได้รางวัลจากพระเจ้า ได้อยู่ในสวรรค์ แล้วยังได้รางวัลอีก รางวัล คือทรัพย์สมบัติ ถ้ารักษาความเชื่อ ทำถูกต้องบนโลกใบนี้ ตายไปแล้วได้แมนชั่น คนไทยเขาใช้คำว่าบ้าน มีบ้านอยู่ในสวรรค์ที่ดี มากกว่าคนที่ประพฤติไม่เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้านัก เราต้องรักษาไว้ดีๆ เพื่อเราจะได้รางวัลมากขึ้น บ้านจะได้ใหญ่ขึ้น

            คนนี้เป็นนักประกาศ เป็นศิษยาภิบาล ฉะนั้น ตายไป ก็จะได้บ้านใหญ่ แล้วคนนี้ไม่ประกาศเลย มานั่งฟังเฉยๆ ได้บ้านเล็กกว่า คนนี้นอกจากไม่ประกาศแล้ว ยังไม่ทำตามถ้อยคำพระเจ้าด้วย ยังขี้หงุดหงิด ยังโกรธคนโน้นคนนี้อยู่เลย เพราะฉะนั้น ได้บ้านหลังคามุงจาก ใครคุ้นๆ ไหม? หรือคนๆ นี้ พระเจ้าเตือนตั้งหลายครั้งแล้ว ก็ไม่ยอมกลับใจใหม่ ไม่ยอมเชื่อ ไม่ยอมประพฤติให้มันถูกต้องสักทีหนึ่ง มาโบสถ์ทีไร ก็ไม่สนใจ อะไรอย่างนี้ ศิษยาภิบาลเขาเทศนาบอก ทำอย่างนี้ ขึ้นสวรรค์เมื่อไร? พอถึงวันหนึ่ง วันพิพากษาขึ้นสวรรค์ พอไปถึงสวรรค์ปุ๊บ พระเยซูแทนที่จะอ้าแขนต้อนรับอย่างอบอุ่น

            คนอื่นเดินขึ้นมา  พระเยซูเข้าไปกอด “ได้เจอกัน ดีใจด้วย เชิญเข้าสวรรค์”

            แต่พอถึงเธอเดินเข้ามา พระเยซูบอก “ไปๆ เข้าไป” ไม่กอด ไม่ดีใจด้วย “อ้าว! เข้าไป” อย่างนี้หรือ?

            เราเคยได้ยินมาบ่อยๆ ใช่ไหม? พอนึกถึงรางวัล บำเหน็จ ก็นึกถึงเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ เป็นอย่างนี้ นึกถึงตำแหน่งในสวรรค์หลังความตายว่า …

            “ฉันจะได้ครอบครอง 4 เมือง ฉันจะได้ครอบครองพื้นที่ใหญ่ขนาดไหน?”

            เขาเชื่อกันอย่างนี้จริงๆ ถ้าเผื่อบางท่านอาจจะไม่เคยได้ยิน แต่ว่าเขาเชื่อกันอย่างนี้ ทุกวันนี้ก็ยังมีคนเชื่ออย่างนี้อยู่ แต่จริงๆ แล้ว ความจริงของคำว่า “บำเหน็จ หรือรางวัล” ในข้อนี้ ในบริบทนี้ ไม่ได้หมายถึงการได้อยู่ในสวรรค์หลังความตาย ไม่ได้หมายถึงพระพร หรือบำเหน็จ หรือรางวัล ผลตอบแทนที่จะได้รับจากการดำเนินชีวิตตามความจริงของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เลย แต่ผลตอบแทน หมายถึงพระพร หรือเรียกว่ารางวัล หรือบำเหน็จก็ได้ จากการดำเนินชีวิตตามความจริงของข่าวดีของพระเยซู ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้เลย หมายถึงว่าบำเหน็จเดี๋ยวนี้ ผลตอบแทนเดี๋ยวนี้ มิได้เกี่ยวกับสวรรค์หลังความตาย ลองคิดดูว่ามันจริงไหม? คิดว่าเราจะมีสันติสุข ความสงบสุข ความสุข สมบูรณ์ครบถ้วนเพียงใด ถ้าใจเราเต็มไปด้วยความจริงเหล่านี้ และดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ตามความจริงตรงนี้ ตามถ้อยคำพระเจ้า เราจะมีสันติสุข มีความสุขขนาดไหน?

            รางวัลที่สมบูรณ์ครบถ้วน หมายถึงทั้งบนโลกนี้และโลกหน้า โลกหน้า เราได้เรียบร้อยแล้วอยู่ถาวร เราเรียนรู้ไปแล้วเมื่อครั้งที่แล้วว่ารอดแล้ว รอดเลย เราได้รับความรอดแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว บังเกิดเลย นี่จะไม่ย้อนกลับไปพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้วในวันนี้ ถ้าใครไม่ได้ฟัง กลับไปฟัง 2  ตอนที่แล้ว จะเข้าใจดีว่าเรารอดแล้ว รอดเลย เราอยู่ในสวรรค์แล้ว แต่ตรงนี้มันหมายถึงรางวัลที่สมบูรณ์ครบถ้วน บนโลกใบนี้ ที่เราจะได้รับด้วย มีรางวัลบนโลกใบนี้ด้วย ซึ่งในบริบท ในข้อนี้ ที่เรากำลังเรียนอยู่นี้ หมายถึงตรงนี้แหละ ลองคิดดูนะว่าเป็นรางวัลครบถ้วนขนาดไหน? เมื่อเราได้รับรู้และเชื่อวางใจในความจริง ถ้าในใจเราเต็มไปด้วยความจริงเหล่านี้ แล้วเราคิดหรือเชื่อในพระคำความจริงเหล่านี้ และดำเนินชีวิตตามความเชื่อและความจริงเหล่านี้  ที่พระเยซูเป็นผู้สอน เป็นผู้บอก เราจะมีความสุขเท่าไร ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีประโยชน์กับเรามากมายขนาดไหนบนโลกใบนี้เลยทีเดียว

            อย่างเช่น คำพูดของพระเยซู หมายถึงความจริงที่พระองค์ทรงบอกว่า …

            “เราได้เป็นที่รักของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า พระบิดาที่แสนดีตลอดเวลา”

            เราเป็นลูกของพระเจ้า  พระเจ้าพระบิดา ที่เป็นพระเจ้าพระบิดาที่แสนดีตลอดเวลา  เราเป็นลูกของพระองค์ นี่พระเยซูตรัสไว้อย่างนั้น  เราได้เป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรมดีพร้อมเหมือนพระองค์แล้ว  เราได้รับการอภัยบาปทั้งสิ้น รวมทั้งความผิดที่กระทำทั้งปวง  ทั้งในปัจจุบัน อนาคต ตลอดไป ชั่วนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ นี่คือความจริงทั้งนั้น วิญญาณได้รับการบังเกิดใหม่ร่วมกับพระเยซู และกำลังอาศัยอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า พระบิดาร่วมกับพระเยซูเรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้ นี่ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในถ้อยคำที่เป็นความจริงเหล่านี้ มีความสุขมากมายไหม?

            แล้วมีอะไรอีก ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าทั้งสามพระภาคได้เข้ามาสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา และกำลังรอคอยการสวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูในอนาคตอันใกล้นี้ หลังจากที่วิญญาณออกจากร่างกายนี้แล้ว

            โอ้โห! ท่านดำเนินชีวิตด้วยความจริงเหล่านี้ตลอดเวลา คิดสิ่งเหล่านี้ตามที่พระเยซูพูดตลอดเวลา มันก็มีความสุขมากกว่าตั้งเยอะ ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอก อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่า …

            “จงระวังตัวให้ดี เอาใจใส่กับความจริงเหล่านี้ อย่าให้ปฏิปักษ์พระคริสต์มาขโมยเอาความจริงนี้ไปจากท่าน ไม่ว่าจะขโมยไปมากหรือน้อยก็ตาม รักษามันไว้  เพื่อว่าท่านจะไม่สูญเสีย”

            สูญเสียอะไร? ความรอด ไม่ใช่ เราเรียนรู้ไปแล้ว รอดแล้วรอดเลย  แต่หมายถึงเพื่อท่านจะไม่สูญเสียสันติสุข ความสงบสุข และความสุขด้วย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เดี๋ยวนี้เลย ซึ่งพระคัมภีร์ก็บอกว่าก็คือบำเหน็จ  ผลตอบแทน ก็คือรางวัลที่จะได้รับจากการดำเนินชีวิต ยืนหยัดในความเชื่อ ในความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้า ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้นั่นเอง

            และถ้าเราสูญเสียความจริงนี้ไปมากเท่าไร? ถูกขโมยไปมากเท่าไร?  ก็จะเสียรางวัล บำเหน็จ ไปมากเท่านั้น  แม้ว่าความรอดนิรันดร์ การได้อยู่ในสวรรค์หลังความตายจะยังอยู่ก็ตาม

            ในพระคัมภีร์อาจารย์เปาโลยกตัวนี้ขึ้นมา ให้ประโยคนี้ว่ารอด ก็เหมือนรอดด้วยไฟ  คือรอดแหละ แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่ได้เต็มไปด้วยสันติสุข ไม่มีความสงบสุข มันไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะฉะนั้น เราต้องรักษาความจริงนี้ไว้ ความจริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            ยกตัวอย่าง เช่น นี่คือความจริงเหมือนกัน พระเยซูบอกว่าเราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ทุกคน หนีความจริงนี้ไปไม่พ้น ความจริงนี้ไม่ได้หมายถึงตะกี้นี้พูดอย่างเดียว  แต่หมายถึงสิ่งที่พระเยซูพูดทั้งหมด พระเยซูบอกว่าท่านอยู่บนโลกใบนี้  ท่านก็ประสบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา เพราะโลกใบนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว  โลกใบนี้ตกลงไปอยู่ในพลังความบาปและความตาย  เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงอยู่แล้ว ท่านอยู่ในความยุ่งเหยิง อยู่ในความสาปแช่ง ท่านก็ต้อง โดนไปด้วย  แต่ว่าจงปิติยินดีเถิด เพราะเราชนะโลกแล้ว พระเยซูบอกใช่ไหม?

            ดำเนินชีวิตเต็มไปด้วยความลำบากบนโลกใบนี้  เหมือนมนุษย์คนอื่นๆ  แต่เราผู้เชื่อ เรามีความจริงอยู่ในตัวเรา เรามีพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวเรา พระเจ้าสถิตอยู่ในเราตลอดเวลา  เห็นหรือยังว่าความจริงในนี้ ถ้าเราเชื่อและดำเนินชีวิตตามนี้ เราก็ได้เปรียบกว่าผู้คนอื่นๆ ที่เขาไม่มีความจริงนี้  หรือเขาไม่เชื่อตามนี้ เรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา  และถ้าเรารู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเรา และอยู่ฝ่ายเรา คอยช่วยเหลือเราอยู่ มันก็แตกต่างกับการที่ต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง เพียงลำพัง  แม้ว่าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเขาต้องเผชิญอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีคริสเตียนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูสถิตอยู่ภายในแล้ว ความจริงอยู่ข้างในแล้ว แต่ถูกขโมยเอาความจริงนี้ไป จะขโมยไปเยอะมากเท่าไรไม่รู้ แต่ขโมยไป เขาไม่เชื่ออย่างเต็มที่ในความจริงนี้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ เป็นฝ่ายเขา คอยดูแลเขา เขาก็ไม่สุขอย่างคนที่เชื่อตามถ้อยคำพระเจ้านี้ ถูกไหม?

            ซึ่งการเชื่อในความจริง การดำเนินชีวิตในความจริงเหล่านี้ มันมีบำเหน็จอยู่ มันมีรางวัลอยู่  มันมีผลตอบแทนอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ ตามที่อาจารย์ยอห์นได้พูดถึงเมื่อตะกี้ในถ้อยคำพระเจ้า ยกตัวอย่างสิ่งที่เราเห็นชัดๆ ก็คือถ้าเราดำเนินชีวิตตามความจริงนี้ เราเชื่อเลยว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา พระเจ้าอยู่ในเรา  และอยู่ข้างเราตลอดเวลา  ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม พระองค์อยู่ฝ่ายเรา  ถึงแม้เราจะทำผิด พระองค์อยู่ฝ่ายเรา  พระองค์จะช่วยเราตลอดเวลา เท่าที่พระองค์จะทรงสามารถกระทำให้ได้  ซึ่งเราไม่รู้ว่าทำไมบางที บางครั้ง เราอธิษฐานขอในบางเหตุการณ์ พระเจ้าช่วยเราจริงๆ ทันทีเลย บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอตาย เรามีอาการเจ็บป่วย  ปวดหัวตัวร้อนอะไรต่างๆ อธิษฐานอาการเจ็บป่วย ปวดหัว ตัวร้อนอะไรต่างๆ มันหายจริงๆ นั่นคือความสุขแล้วนะ ไม่ใช่สันติสุข … สันติสุขอยู่ภายใน แต่นี่เป็นภายนอก สัมผัสแตะต้องได้เลย คือมันหายปวดจริงๆ  จะด้วยวิธีใดก็ไม่รู้ บางครั้งมันหายจริงๆ อย่างนี้เป็นต้น หรือบางครั้งไม่หาย แต่ก็เต็มไปด้วยความสบายใจ สันติสุขว่าฝากไว้ที่พระองค์แล้ว ไม่วิตกกังวลเกินกว่าเหตุ นี่คือรางวัลผลตอบแทน  เห็นชัดๆ

            นี่ยิ่งเห็นชัดๆ ใหญ่เลย  หลายคน เจอปัญหาฉุกเฉิน รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน  รู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย อยู่ข้างเรา …

            “พระเจ้าช่วยที ฝ่าไฟแดงมา” ฝ่าไฟแดงไม่ดี “พระเจ้าช่วยที อย่าให้ตำรวจเรียกเลย”

            ไม่เรียกจริงๆ ด้วย นี่ไม่ได้พูด เพื่อให้เราไปทำสิ่งที่ไม่ดี แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหม? นี่ไม่ได้พูดถึงไฟแดงอย่างเดียว พูดถึงอย่างอื่นด้วย มันเหมือนเห็นแก่ตัว แต่มันไม่ใช่ เขาเรียกว่าเห็นแก่ตัวแบบโฮลี่ บางครั้งเราฉุกเฉิน เราต้องการเร่งด่วน มันไม่ทันจริงๆ แล้ว

            “พระเจ้าขอช่วยทีเถิด”

            พระเจ้าพาเราแซงคิว แซงคิวมันถูกต้องที่ไหน?  มันไม่ถูกต้อง แต่แซงคิวแบบโฮลี่ แบบสุภาพ เราไม่ได้ตั้งใจจะไปแซงคิวอย่างนั้นหรอก ไม่ใช่ต้องการจะแซงคิว แต่พระเจ้าเตรียมให้อะไรบางอย่าง จริงหรือไม่จริง นี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเยอะแยะมากมาย  บางครั้งเราเดือดร้อนเนื่องจากการใช้เงินของเรา ไม่รัดกุม ไม่มีระเบียบ ลืมเก็บเงิน เอาไปเที่ยวหมด ปรากฎว่ามันถึงเวลาจ่ายบิลค่าไฟฟ้า ไม่มีจ่าย เขาจะมาตัดไฟแล้ว ถ้าตัดไฟ คือเสียเงินเพิ่มขึ้นเยอะเลย เอาหม้อไป แล้วมาติดใหม่ เสียเงินเพิ่ม

            “พระเจ้าช่วยด้วยเถิดๆ”

            แล้วพระเจ้าช่วยไหม?  บางครั้งช่วยจริงๆ นะ อย่างนี้เป็นต้น อีกหลายเรื่องเยอะแยะไปหมดเลย นี่แหละคือประโยชน์ของการรับรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา อยู่ภายในเราตลอดเวลา และอยู่ฝ่ายเราด้วย ไม่ได้อยู่ฝ่ายอื่น ไม่ได้คอยมาโจมตีเรา

            “พระเจ้าช่วยลูกด้วย เขาจะมาตัดไฟ” แล้วเราอธิษฐาน พระเจ้าก็ตอบ

            “ก็เธอไม่ดูแล มัวแต่ไปเที่ยว มัวแต่อะไรต่างๆ สมน้ำหน้า”

            อย่างนี้ถูกขโมยความจริงไปแล้ว ไม่ใช่ความจริง … ความจริง คือพระเจ้ารักเราเกินกว่าที่เราจะเข้าใจ รักเรา ไม่ว่าเราจะเป็นอะไร ก็รักเรา  แม้ว่าเราจะเป็นคนบาป ก็รัก แม้ว่าเราจะเป็นคนชั่ว ก็รัก  เรารู้ได้อย่างไร?

            พระคัมภีร์บอกไว้ว่าพระเจ้าทรงประทานพระบุตรลงมา ตายเพื่อเรา  ในขณะที่เราเป็นคนดีงามอยู่ ไม่ใช่ในขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น ต่อต้านพระองค์อยู่นั้น ไม่เชื่อพระองค์อยู่นั้น  พระองค์ทรงตายเพื่อเรายังได้เลย  และนี่ทำไมไม่เชื่อต่อ อย่างนี้เป็นต้น เราอย่าให้มารมาขโมยเอาความจริง เหล่านี้ไปจากเรา โดยการไม่กล้าอธิษฐาน การอธิษฐาน คือการรู้ความจริง  หรือไม่กล้าอธิษฐานตามความเป็นจริง แต่อธิษฐาน โดยความเท็จ อย่างเช่น …

            “โอ๊ย! พระเจ้าช่วยลูกที อภัยให้ลูกที อภัยให้ลูกทีเถิด”

            มัวแต่คิดอย่างนี้ตลอดเวลา อธิษฐานมา 3 วัน ก็ยัง “ลูกไม่น่าทำอย่างนี้เลย ไม่น่าทำอย่างนี้เลย”

            อธิษฐานครั้งเดียว “ลูกเสียใจ แต่ลูกรู้ว่าพระองค์ตรัสไว้ว่าลูกเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมตลอดเวลาอยู่แล้ว พระองค์อภัยบาปให้กับลูกก่อนล่วงหน้าแล้ว ด้วยพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งเพียงครั้งเดียว บนไม้กางเขน ลูกสะอาดหมดจดแล้ว ลูกถูกหลอก ล่อลวงด้วยกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องไป ลูกเสียใจ”

            จบ แล้วก็ดำเนินชีวิต ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ใช่มานั่งครวญคราง 3 วัน 4 วัน 5 คืน 3 อาทิตย์ 1 เดือน อย่างนี้เป็นต้น

            อย่างนี้ คืออะไร? เมื่อรู้ความจริง แล้วดำเนินชีวิตด้วยความจริงเหล่านี้ มันมีผลตอบแทน ผลตอบแทนนั้น บนโลกใบนี้ได้รับเลย  ไม่ว่าเราจะทำผิดพลาดมากขนาดไหนก็ตาม ถ้าเรารู้ว่าพระเจ้าทรงรักเราเหมือนเดิม  พระเจ้าทรงเข้าใจเรา พระองค์ทรงอภัยให้กับเราก่อนแล้วล่วงหน้าด้วย  เราก็ได้รับรางวัลแล้ว  บำเหน็จ ก็คือสันติสุขจะเข้ามา บางคนก็กลัว …

            “ถ้าเป็นอย่างนี้  ก็ทำบาปมากขึ้นสิ”

            ทำบาปมากขึ้นไหม? พระเยซูบอกว่าไม่หรอก คนไหนที่ได้รับพระคุณมากเท่าไร? ได้รับการอภัยในความบาปผิดของตัวเองมากเท่าไร? เขายิ่งรักพระองค์มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งรักพระองค์มากขึ้นใหญ่เลย อย่างนี้เป็นต้น

            ความทุกข์ใจ ก็หมดไป การเสียใจ จากการทำผิดพลาดไป ก็หมดไป ขณะที่เราทำผิด  ทำพลาด พระเจ้าเข้ามาปลอบโยน พระเจ้าเป็นฝ่ายเรา ความรักของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงรักเรา ช่วยเรา อยู่ข้างเราตลอดเวลา อย่างนี้เป็นต้น นี่คือความสุข

            มันดีกว่ามากขนาดไหน ลองคิดดู เมื่อเทียบกับตอนที่เรายังไม่ไว้วางใจในพระเจ้า เรายังไม่เชื่อพระเจ้า  ผู้เชื่อหลายคนถูกหลอก เมื่อเราทำผิดและเราถูกหลอกด้วยคำเท็จ ที่ทำให้เราเกิดความฟ้องผิด ตัวเราแย่ ตัวเราไม่ดี เราไม่มีวันที่จะดีได้หรอก  และไม่มีวันที่จะได้รับการอภัยจากพระเจ้าแน่นอนเลย พระเจ้าไม่พอใจเราแล้ว นี่คือความเท็จทั้งสิ้น หรือมารอาจจะส่งเข้ามา พระเจ้าไล่เราออกจากบ้านแล้ว พระองค์เก็บข้าวของออกจากตัวเราแล้ว ไปแล้ว ไม่มาอยู่กับเราแล้ว เพราะให้โอกาสเราหลายครั้งแล้ว

            หรือไม่ก็บอกว่าเกิดความทุกข์ยากลำบากขึ้น ปัญหาขึ้นในชีวิต ก็ถูกโกหกบอกว่า …

            “พระเจ้ากำลังลงโทษเรา เพราะเราทำไม่ถูกต้อง เพราะเราไม่เชื่อฟัง พระเจ้ากำลังตีสอนเธอ”

            นี่มันทุกข์ไหมล่ะ ซึ่งมันเป็นความเท็จทั้งสิ้น

            “พระองค์ทรงตีสอน ลงโทษเธอ ด้วยความทุกข์ยากลำบากและปัญหาต่างๆ ที่เธอกำลังประสบอยู่นี้ มาจากพระเจ้า กำลังตีสอน”

            อย่างนี้มีความสุขไหม? ลองคิดดูสิ มีสันติสุขไหม? จะเป็นลักษณะเช่นใด

            “ตอนนี้พระเจ้าตัดขาดเป็นพ่อเป็นลูกกับเธอแล้ว ความรอดของเธอเจ๊งไปแล้ว”

            ไม่มีความจริงสักนิดหนึ่ง  แล้วมันเกิดอะไร? เกิดความทุกข์ บนโลกใบนี้เลย ความรอดยังอยู่เหมือนเดิม รอดไปสวรรค์หลังความตาย ก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นคริสเตียน ที่หงอย อมทุกข์ตลอดเวลา เพราะถูกขโมยความจริงไป อาจารย์ยอห์จึงเตือนเรา ในสิ่งเหล่านี้

            ดังนั้น ชีวิตคริสเตียนจึงต้องมีแต่ความปิติยินดี ชื่นชมยินดี พระคัมภีร์บอก แต่ถ้าเราถูกโกหก หลอกลวง แล้วเราก็ไปรับเอาความโกหก หลอกลวง ความเท็จเหล่านี้มา ชีวิตคริสเตียนเรา ก็จะเต็มไปด้วยความเครียด กังวล ทุกข์มากขึ้นไปอีก ทุกข์มากกว่าคนที่ไม่เชื่ออีก เพราะพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเป็นศัตรูเราแล้ว กำลังลงโทษเราอย่างรุนแรง ไม่เอาเราแล้ว เราไม่รู้จะไปหาใครแล้ว  อย่างนี้เป็นต้น

            เพราะฉะนั้น อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่า “จงเฝ้าระวัง รักษาความจริงนี้ไว้ให้ถึงที่สุด” รักษาความจริงเหล่านี้ไว้ ก็คือมั่นตรวจดูถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ ว่าใช่ถ้อยคำที่พระเยซูพูดหรือไม่? เป็นไปตามที่ถ้อยคำพระเยซูบอกหรือไม่? ในเรื่องเกี่ยวกับข่าวดี เพราะมารมา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย พระเยซูบอก เบอร์ 1 เลย มันมาเพื่อขโมยก่อน คือขโมยความจริงออกไปไม่ได้ มันทำอะไรเราไม่ได้เลย มันทำให้เราทุกข์ไม่ได้เลย ถ้าความจริงอยู่กับเรา ต่อต้านมัน แล้วมันจะหนีไป ต่อต้านมันด้วยพระแสง คือดาบ สมัยก่อน อาวุธมีแต่ดาบ ไม่มีปืน ตอนนี้ต้องบอกว่าเอาถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นจรวด ปรมณูยิงเข้าไปเลยว่าไม่ใช่ ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนี้ต่างหาก  เพราะแกมา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย แต่พระเยซูมา เพื่อให้ท่านชีวิต  และมีชีวิตอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ ก็คือความรอดได้เรียบร้อยแล้ว หลังความตาย  แต่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิต ก็ยังมีบำเหน็จ มีรางวัลอยู่ เดินตามความเชื่อนี้ เราอยู่ด้วย ไม่ต้องกลัว เอเมนไหม?

            ฉะนั้น  บำเหน็จ หรือพระพร หรือรางวัลที่ได้รับ หมายถึงความยินดี และความสุขภายในใจ ที่มาจากการได้รับรู้ว่าชีวิตของเรานั้นอยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว สมบูรณ์ เรียบร้อยแล้วในพระคริสต์ นี่แหละ พระพรได้รับจากตรงนี้  ก็คือการได้รับรู้ว่าเราได้มีส่วนร่วมในความยินดี ในความสุข ในพระองค์ ในชีวิตนิรันดร์ ซึ่งหมายถึงการได้สัมผัสความรัก ความสงบสุข การอยู่ด้วยกันกับพระองค์ เป็นครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ อย่างเต็มที่ ความจริงนี้ไม่มีสิ่งใดมาขโมยไปได้เลย หรือไม่เสียหายไปเลย เราก็จะได้รับความสุขหรือรางวัลนี้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกัน อย่าให้มันขโมยเราไป อย่างเช่นการไม่ให้อภัย  อย่าให้มันขโมยเราไป พระคัมภีร์ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงให้อภัยเราหมดเลย ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต ทั้งปวง เราก็ดำเนินชีวิตอย่างนี้แหละ

            ความจริงตรงนี้ คือให้เราให้อภัยคนอื่น รักคนอื่น เหมือนที่พระองค์ทรงรักเรา  แล้วก็ให้อภัยคนอื่น เราก็เป็นอิสระ ก็มีความสุข เห็นไหม? ใครทำอะไรมา บางทีเราอาจจะโกรธอยู่ แต่ในใจ อภัยให้แล้ว  เพราะเราดำเนินตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้า  ถ้อยคำพระเจ้าบอกแล้วไง ข้างในสำคัญ คือเราอภัยแล้ว แต่ข้างนอกยังทำไม่ได้ ยังโกรธอยู่ ก็ไม่เป็นไร ก็จบๆ ไป วิญญาณเราจบแล้ว คือเราอภัยให้เขาแล้ว  เหมือนที่พระองค์อภัยให้เรา  แล้วเรายังทำผิดบาปอยู่ เราก็อภัยให้เขา แล้วเราก็ยังทำอยู่ ก็ยังโกรธอยู่ เดี๋ยวมันก็หาย มีความสุขกว่าไหม?  มีความสุขกว่า

            “ทำไมอภัยให้เขาไม่ได้สักที พระเจ้าลูกอภัยให้เขาไม่ได้”

            ทุกข์ทรมาน ข้างในใจมันอภัยไปแล้ว นี่คือความจริง เข้าใจไหม? พูดกับตัวเองนะ เข้าใจไหม? อภัยให้เขาแล้ว มัวมานั่งทุกข์ทรมาน

            “พระเจ้าลูกอภัยให้เขาไม่ได้ ช่วยลูกที ให้อภัยที ช่วยลูกด้วยให้อภัยที”

            มีความสุขที่ไหน? มนุษย์เราเกิดมามีอารมณ์ มีความคิด อารมณ์ยังโกรธอยู่ ก็โกรธไป แต่วิญญาณอภัยให้แล้ว จบแล้ว คนละเรื่องกัน นี่คือความจริง  อย่าถูกหลอกลวง ทำให้เราเกิดความทุกข์ขึ้นมาจากสิ่งที่ไม่สมควรให้เกิดความทุกข์

            ความโลภในลาภยศก็เหมือนกัน เราเกิดใหม่ในพระเจ้า เราอยู่กับพระเจ้า วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ เราไม่โลภในทรัพย์สิน  เราไม่โลภในลาภยศแล้ว แต่ยังอยากได้อยู่ อยากได้ ก็อยากไป แต่จริงๆ ใจเราไม่โลภ พอเข้าใจไหมเนี้ย ไม่ต้องพยายาม

            “พระเจ้า ลูกแย่เลย ลูกเป็นคนเลวจริงๆ ยังโลภอยู่เลย ทำไมโลภอย่างนี้ๆ”

            ไม่ใช่วิธีการความเชื่อ … ความเชื่อ คือเรามั่นใจในตัวเรา ตัวตนแท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรา และใจใหม่ของเรา ที่เราได้รับจากพระเจ้า ที่บังเกิดใหม่แล้ว ที่ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความจริง จากถ้อยคำพระเจ้า คือตรงนี้  ส่วนข้างนอก ความคิดกระทบถูกอะไรต่างๆ  ก็คิดไปเรื่อยเปื่อย

            คนเขามาติดสินบน ใหม่ๆ ก็ติดสินบนแค่แสนเดียว เราเชื่อพระเจ้า เราไม่ทำสิ่งเหล่านั้นหรอก ขอบคุณพระเจ้า เอเมน เขาอยากได้ เขามาอีก เขาให้ล้านหนึ่ง  ไม่เอาหรอก พระเจ้า ไม่พอใจในการทำเหล่านั้น เอเมน ปีหน้าเขามาใหม่ เขาให้ 10 ล้าน ขอคิดดูก่อน ไปนั่งคิด …

            “พระเจ้าช่วยลูกที ลูกโลภอย่างนี้ ลูกโลภจริงๆ เลย ลูกโลภมาก”

            อย่างนี้ เข้าใจไหม? มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนว่าต้องโลภ เพราะมันมาเยอะขนาดนี้  ถึงไม่โลภตอนนี้ เมื่อมีโอกาสมา ก็จะมีโอกาสโลภอีกแหละ ถ้ามามากกว่านั้น ในที่สุดก็ต้องคิด แต่ความคิดกับการกระทำไม่เหมือนกัน เรายังไม่ทำเลย  นึกออกไหม? ถ้าเราดำเนินด้วยความเชื่อ  เราก็เข้าไปหาพระเจ้า แล้วคุยกับพระเจ้า ความคิดก็ส่วนความคิด มารก็ส่งความคิดมาได้ คิดอะไรก็คิดไป  แต่เรารู้ความจริงอยู่ข้างใน เราไม่ได้ทำตามความคิดนั้น

            หรือแม้แต่บางทีพลาดไป  เผลอไป ถูกล่อลวงไป  ทำตามความคิดนั้น ก็ตาม เราก็กลับมายืนยัน ยืนหยัดอยู่ที่ความจริงในจิตวิญญาณของเรา นี่แหละ คือการได้รับรางวัลจากการดำเนินชีวิต ด้วยความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า หรือเรียกว่าดำเนินชีวิตตามความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่ดำรงอยู่ในใจของผู้เชื่อทั้งหลายแล้ว เอเมน

            พระเจ้าอวยพรครับ

**************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ท่านจะพิสูจน์ … พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ได้ด้วยวิธีใด?

            การรู้จักพระเจ้าและการมีความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนศาสนา ในแง่ของการปฏิบัติทางศาสนาหรือพิธีกรรม แต่เป็นเรื่องของความเชื่อและความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเยซู

            พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ใน โรม 10:9 ว่า … “เพราะว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด”

            การเริ่มต้นเชื่อในพระเยซู คือการเริ่มต้นยอมรับว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า และพระองค์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา และฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมา

            และเมื่อท่านเชื่อในพระเยซู ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตใหม่และกลายเป็นบุตรของพระเจ้า

            พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ใน ยอห์น 1:12-13 ว่า … “12 ส่วนคนทั้งปวง ที่ยอมรับพระองค์  ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์  พระองค์ก็ประทานสิทธิ  (ฤทธิ์เดช) ให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ  หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์  หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า”

            สิ่งสำคัญ คือการเปิดใจรับพระคุณของพระเจ้า และการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์

            ท่านสามารถเริ่มต้นด้วยการอธิษฐาน และพูดคุยกับพระเจ้า ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ในทุกเรื่องได้ อย่างเป็นกันเอง  ไม่ต้องมีพิธีรีตรอง เพราะพระเจ้ารู้จักท่านดี ท่านสามารถอธิษฐานพูดคุยติดต่อกับพระเยซูคริสต์ได้ตลอดเวลา ในทุกสถานที่ ทุกโอกาส ทุกอิริยาบถ

            ไม่ว่าจะพูด หรือคิดก็ตาม  พระเยซูพร้อมเสมอที่จะเข้าไปช่วยท่าน ในปัญหา อุปสรรค ความทุกข์ใจ ที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ แล้วท่านจะมีประสบการณ์รับรู้ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่จริงๆ

            เปิดใจรับพระองค์ และศึกษาพระคัมภีร์ เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพระองค์ และความรักของพระองค์ที่มีต่อท่าน

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1536

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  สิงหาคม  2025

เรื่อง “หนังสือโคโลสี” ตอน 3 (วันแม่)

โดย วราพร  คงล้วน

            เรามาดูในหนังสือมัทธิว 15:21-28 บอกว่า …

        มัทธิว 15:21-28 (TNCV) “21 จากที่นั่นพระเยซูเสด็จเข้าสู่เขตเมืองไทระและเมืองไซดอน 22 มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งจากละแวกนั้น มาร้องทูลพระองค์ว่า  “องค์พระผู้เป็นเจ้า บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด! ลูกสาวของข้าพระองค์ถูกผีสิงทรมานเหลือเกิน” 23 พระเยซูไม่ทรงตอบนางสักคำ เหล่าสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ไล่นางไปเถิดเพราะนางมาร้องเซ้าซี้เรา” 24 พระองค์ทรงตอบว่า “เราถูกส่งมาเพื่อแกะหลงของอิสราเอลเท่านั้น” 25 หญิงนั้นมาคุกเข่าทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย!” 26 พระองค์ตรัสตอบว่า “ที่จะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัขก็ไม่ถูกต้อง” 27 หญิงนั้นทูลว่า “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขยังได้กินเศษอาหารที่หล่นจากโต๊ะของนาย” 28 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “หญิงเอ๋ย เจ้ามีความเชื่อยิ่งใหญ่นัก! ให้เป็นไปตามที่เจ้าขอเถิด” และบุตรสาวของนางก็หายป่วยในขณะนั้นเอง”

            อีกเล่มหนึ่ง บันทึก คือเกือบจะเหมือนกันเลย  แต่อยากเอามาอ่านให้พี่น้องฟังว่าเหตุการณ์เหล่านี้ ถูกบันทึกไว้ในพระกิตติคุณของพระเจ้า เพื่อสำแดงอะไรบางอย่างให้กับพวกเราในยุคนี้ได้รับรู้ว่าน้ำพระทัยของพระองค์เป็นอย่างไร? ในมาระโก 7:24-30 บอกว่า …

        มาระโก 7:24-30 (TNCV) “24 จากที่นั่นพระเยซูเสด็จเข้าสู่เขตเมืองไทระ   ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งและไม่ประสงค์ให้ใครรู้แต่ก็ปิดไว้ไม่อยู่ 25 หญิงคนหนึ่งซึ่งลูกสาวเล็กๆ ของนางมีวิญญาณชั่วสิง เมื่อได้ทราบข่าวเกี่ยวกับพระองค์  ก็มาหมอบกราบแทบพระบาทของพระองค์ 26 หญิงผู้นี้เป็นชาวกรีกเกิดในซีเรียฟีนิเซีย นางมาทูลอ้อนวอนพระเยซูให้ทรงช่วยขับผีออกจากลูกสาวของนาง 27 พระองค์ตรัสบอกนางว่า “ต้องให้ลูกๆ กินอิ่มก่อน เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัข” 28 หญิงนั้นทูลว่า “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขใต้โต๊ะยังได้กินเศษอาหารที่เหลือจากลูก” 29 แล้วพระองค์จึงตรัสบอกนางว่า “ไปเถิด เพราะคำตอบของเจ้า ผีนั้นออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว” 30 หญิงนั้นก็กลับไปบ้าน และพบว่าลูกสาวนอนอยู่บนเตียง และผีนั้นได้ออกไปแล้ว”

            เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ในพระคัมภีร์ จริงๆ มันเรื่องเดียวกัน สาวกของพระองค์ได้บันทึกเรื่องนี้ ตอนที่พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่ แล้วก็ทำการอัศจรรย์ หมายสำคัญเยอะแยะมากมาย พระเยซูทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ในยุคที่พระองค์ประกาศข่าวดีของพระเจ้า มีเหตุผลเดียวเท่านั้น ก็คือเพื่อให้ชาวยิวได้รับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าพระบิดาสัญญาไว้ว่าจะส่งมาให้กับชาวยิวทั้งหลาย เหตุผลอีกเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา ก็คือเพื่อที่จะมาตามหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น ตอนที่พระเยซูทรงพระชนม์อยู่ ก็คือพระเยซูจะประกาศกับชาวยิว จะทำหมายสำคัญเยอะแยะมากมาย รักษาคนป่วยให้หาย คนหูหนวกได้ยิน คนตาบอดให้เห็น และคนตายได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ที่พระเยซูทำ ไม่ได้ทำ เพราะอยากจะให้ชาวยิว เห็นว่าพระองค์ทรงสามารถ ทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไม่ใช่  แต่เป็นการยืนยันว่าพระองค์เองเป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระเจ้า ที่พระบิดาส่งมา เพื่อช่วยคนยิวให้รอดพ้นจากการเป็นเบี้ยล่างของมาร รอดพ้นจากบาปนั่นแหละ นั่นคือเหตุผลที่พระเยซูคริสต์ถูกส่งมา แต่ว่าในขณะที่พระเยซูคริสต์ทำภารกิจของพระองค์ เบี้ยใบ้รายทาง ก็จะมีคนต่างชาติ

            คนต่างชาติซึ่งอยู่ในยุคของพระเยซูคริสต์นั้น ก็มีเยอะ ในขณะที่พระองค์ไปประกาศข่าวดี มีทั้งคนยิว มีทั้งคนต่างชาติ เมืองไหน? บ้านไหน? ไม่รู้ เขาได้ยินเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ความเชื่อเกิดขึ้นจากการได้ยิน ได้ยินอะไรมาบ้าง? ได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ … คิดว่าตอนนั้นคนต่างชาติก็ได้ยินข่าวนี้ เป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วมาเพื่อที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด และคนต่างชาติก็เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แล้วยิ่งได้เห็นหมายสำคัญเยอะแยะมากมายที่พระองค์ทำ เขาก็ปักใจเลยว่าพระเยซูต้องสามารถช่วยลูกสาวของเขาได้แน่ๆ เพราะลูกสาวเขาทรมาน เวลาลูกเต้าเราถูกผีสิง คือลูกทรมาน แต่แม่จะทรมานมากกว่า คือเห็นทุกวัน และในพระคัมภีร์บอกว่าผีสิง แล้วผีก็จะทำร้ายเด็กในหลายๆ ตอนที่มีคนถูกผีสิง ถูกทำร้าย ถูกอะไรเยอะแยะมากมาย

            ฉะนั้น ผู้หญิงคนนี้เขาได้ยินข่าวดีในเรื่องของพระเยซูคริสต์ เขาได้เห็นสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ พระองค์ทรงวางมือคนเจ็บคนป่วยให้หาย เมื่อเขาได้ยิน เขาก็มีความหวัง เรียกว่ามีความหวังเล็กๆ ในใจ ที่คิดว่ามาหาพระเยซูคริสต์ ถ้าพระองค์ทรงเมตตา พระองค์จะสามารถช่วยลูกสาวของเขา ให้หายจากการถูกผีสิงได้

            ผู้หญิงคนนี้ เราก็ไม่รู้ว่าเขาเดินทางมาจากไหน? ไกลขนาดไหน? แต่เขาก็ดั้นด้นมาถึงพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อมาถึงพระเยซูคริสต์เขาก็ร้องขอความช่วยเหลือ มันมีด่านเยอะมาก ด่านจากผู้คนรอบข้าง ที่มาติดตามพระเยซูคริสต์ ด่านจากสาวกของพระองค์ ที่คอยแวดล้อมพระเยซูคริสต์อยู่ กว่าหญิงผู้นี้จะตะเกียกตะกาย หรือดั้นด้นมาถึงใกล้ชิดตัวพระเยซูคริสต์ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีความพยายามอย่างสูงมาก แต่ผู้หญิงคนนี้ เพื่อให้ลูกของตัวเองหลุดจากการถูกผีสิง เขาก็ทำทุกรูปแบบ เมื่อผู้หญิงคนนี้มาร้องตะโกนกับพระเยซูคริสต์ พวกสาวกของพระองค์ก็ว่าหนวกหู เสียงดัง รบกวนชาวบ้าน จะไล่ไป

            แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์สนทนากับผู้หญิงคนนี้ แปลว่าพระองค์ได้เตรียมผู้หญิงคนนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว แล้วพระเยซูคริสต์ก็บอกกับผู้หญิงคนนี้ว่าพระองค์ถูกเรียกมา เพื่อที่จะช่วยเหลือ หรือหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น คนต่างชาติไม่เกี่ยว คนอิสราเอลถือว่าเป็นลูก พระเยซูใช้คำว่า “ให้ลูกๆ กินอิ่ม” อิ่มตรงนี้ อิ่มเรื่องของวิญญาณ ไม่น่าเกี่ยวอะไรกับเรื่องของการกิน การอยู่ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่พระเยซูเล็งไปถึงวิญญาณว่าคนอิสราเอลจะได้กินอิ่ม คือวิญญาณเขาจะอิ่มหนำ เพราะว่าเขาได้รู้จักกับพระนามของพระเจ้า แต่ว่าเมื่อพระเยซูพูดอย่างนี้ปุ๊บ หญิงคนนี้ เขาก็ยังคงวิงวอนกับพระเยซูคริสต์ว่าไม่เป็นไร ให้ลูกๆ กินอิ่ม เราไม่ไปแย่งอาหารของลูกแน่นอนอยู่แล้ว แต่ขอเมตตาเถิด แค่เศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของลูก หรือขอส่วนที่เหลือ ก็เพียงพอแล้ว

            เห็นไหม? คนอิสราเอลกินทิ้งกินขว้างนะ เขาไม่เคยสนใจอะไรเท่าไร? เรื่องที่พระเยซูได้ประกาศข่าวดีให้กับเขาฟัง ส่วนใหญ่ไม่เชื่อด้วยซ้ำไปว่าพระเยซูคือผู้นั้น คือพระมาซีฮาห์ ผู้ที่พระเจ้าส่งมา

            ฉะนั้น ผู้หญิงคนนี้ก็ยังยืนกราน ขอความเมตตาจากพระเจ้า แล้วเขาบอกกับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นสุนัขก็ได้นะ อย่างที่บอก …

            “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขใต้โต๊ะ”

            เห็นไหม? เวลาเรานั่งทานข้าว สุนัขก็จะมานั่งเสนอหน้าอยู่ใกล้ๆ เผื่อว่าเวลามีเศษอาหาร มีอะไรก็จะแบ่งปันให้เขากิน เป็นภาพเดียวกัน

            ฉะนั้น ผู้หญิงคนนี้บอกว่าเป็นสุนัขก็ได้ ไม่เป็นไร สุนัขนั่งรอคอยที่ใต้โต๊ะของลูก ของพระองค์ รอนะ หมายความว่าไม่รู้จะเหลือหรือไม่เหลือ จะมีเศษเยอะหรือเศษน้อย ไม่เป็นไร เศษนิดหนึ่ง ก็สามารถทำให้ลูกสาวของเขาหลุดจากการถูกผีสิงได้ นั่นคือความเชื่อ แล้วเราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์บอกกับผู้หญิงคนนี้ว่า …

            “เพราะคำตอบของเจ้า”

            คำตอบของหญิงคนนี้ สำแดงถึงความเชื่อแบบสุดๆ 100% 1000% ไม่รู้ล่ะ ขอแค่กระเด็นมานิดเดียว แค่เศษเสี้ยว เหมือนกับเม็ดงา หล่นมานิดหนึ่ง ลูกสาวเขาก็จะหาย เขาเชื่อขนาดนี้ ดังนั้น พระเยซูบอกว่า …

            “เพราะความเชื่อของเจ้า ลูกสาวของเจ้าหายแล้ว ผีออกแล้ว กลับไปเถิด” 

            แล้วผู้หญิงคนนี้ก็เชื่อ เชื่อแบบว่าพอพระเยซูพูดปุ๊บ เขาเชื่อว่าใช่แล้ว ผีออกจากลูกสาวเขา ขอบคุณพระเจ้า แล้วก็กลับเลย ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่เชื่อในคำตอบของพระเยซูว่า …

            “กลับไปเถอะ ผีออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว”

            ถ้าเขาไม่เชื่อ เขาก็จะยืนอยู่ งอแง ประมาณนั้น แต่ว่าเขาเชื่อจริงๆ คำตรัสของพระเยซูคริสต์แค่คำเดียว เขากลับบ้าน แล้วเขาก็เห็นว่าลูกสาวเขาเป็นปกติ ผีออกจากตัวของลูกสาวเขาเรียบร้อยไปแล้ว ลูกสาวเขาสามารถที่จะใช้ชีวิตปกติสุขได้

            แต่สิ่งที่สำคัญตรงนี้ ณ เวลานี้ ตอนที่พระเยซูทรงทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์บนโลกใบนี้ ยังไม่มีมนุษย์คนไหนได้รับความรอด ตรงนี้เรื่องจริงนะ แม้แต่คนอิสราเอล เพราะว่าพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็คือมนุษย์ทุกคนยังอยู่ในบาป อยู่ในอาดัม อยู่ในคำสาปแช่ง แม้ว่าคนอิสราเอลจะได้รับพระคุณพิเศษ จากพระเจ้าพระบิดา  คือทำตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าตั้งไว้ ไปถวายเครื่องบูชาอะไรต่างๆ ก็แค่เป็นการผ่อนส่ง ถวายเครื่องบูชาปีหนึ่ง พระเจ้าก็ลบบาปให้ปีหนึ่ง  แต่บาปยังอยู่ไหม? ยังอยู่ในตัวของเขา เพราะว่าเชื้อบาป เป็น DNA อยู่ในร่างกายของมนุษย์ทุกคน ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย มันยังคงอยู่ตรงนั้น แต่ว่าคนอิสราเอลมีอภิสิทธิ์ตรงที่ว่าพระเจ้าให้เขาสามารถมาผ่อนส่งได้ ปีต่อปี เขาเอาเครื่องบูชามาถวาย เขาก็จะเป็นผู้ชอบธรรมปีนั้น อยู่ในพระคุณของพระเจ้า แต่ว่าคนอิสราเอลยังคงต้องใช้กำลังของตัวเองในการประพฤติ ปฏิบัติตามถ้อยคำ ตามบทบัญญัติที่พระเจ้าให้กับโมเสสไว้ ถ้าทำผิดปุ๊บ ก็จะถูกลงโทษ ทำผิดปุ๊บ ก็เอาเครื่องบูชามาถวาย เหมือนเดิม คนอิสราเอลยังคงเป็นอย่างนั้นอยู่ แค่มีสิทธิพิเศษว่าพระเจ้าแยกออกมา เลือกไว้เฉพาะว่าโอเคจะได้รับตรงนี้นะ แต่ว่าคนต่างชาติไม่ได้เลย ณ เวลานั้น

            ผู้หญิงคนนี้ เมื่อเขากลับบ้าน ลูกสาวเขา ผีออกไปแล้ว แต่อนาคตข้างหน้า ใครจะรับประกันได้ว่าผีมันจะไม่วิ่งเข้ามาอีก พี่น้องว่าจริงไหม? เหมือนกับคนมาหาพระเจ้า อธิษฐานให้หายป่วย หายป่วยจากโรคนี้ แล้วเราจะมีหลักประกันไหมว่าต่อแต่นี้ไป เราจะไม่ป่วยอีกเลย  เราอาจจะหายจากโรคนี้  แล้วอนาคตข้างหน้า เราก็ป่วยด้วยโรคอื่น มันมีโรคเยอะแยะมากมายบนโลกใบนี้ ที่มันเกิดขึ้น แล้วเราสามารถที่จะเป็นได้ด้วย ติดได้ด้วย ฉะนั้น การหายโรคจึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญของข่าวดีของพระเจ้า นี่คือแค่ของแถม เหมือนแค่ขนมเล็กๆ ที่พระเจ้าให้กิน ให้ชิม ให้หายอยาก อะไรประมาณนั้น

            แต่ประเด็นสำคัญของข่าวดีของพระเจ้า อยู่ตรงนี้ เรามาดูหนังสือลูกา 9:1-6 ตอนนั้น พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่ ยังไม่ได้ทำภารกิจสำเร็จ มาประกาศข่าวดีขอพระเจ้า ในลูกา 9:1-6 บอกว่า …

        ลูกา 9:1-6 (TNCV) “1 พระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนมาพร้อมกัน พระองค์ประทานฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจที่จะขับไล่ผีทั้งปวง และรักษาโรคต่างๆ ให้แก่พวกเขา 2  และพระองค์ทรงส่งพวกเขาออกไป  ประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าและรักษาคนเจ็บคนป่วย 3 พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “ไม่ต้องนำสิ่งใดติดตัวไปในการเดินทางไม่ว่าจะเป็นไม้เท้า ย่าม อาหาร เงิน หรือเสื้ออีกตัวหนึ่ง 4 เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงพักที่บ้านนั้น  จนกว่าจะออกจากเมืองนั้น 5 หากผู้คนไม่ต้อนรับท่าน เมื่อออกจากเมืองนั้น  จงสะบัดฝุ่นออกจากเท้าเพื่อเป็นพยานกล่าวโทษเขา” 6 เหล่าสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อประกาศข่าวประเสริฐและรักษาผู้คนทุกหนทุกแห่ง”

            เป็นอีกตอนหนึ่ง ตอนที่พระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวดี แล้วพระองค์ก็เลือกสาวกของพระองค์ 12 คน แล้วพระองค์ก็ส่ง 12 คนนี้แหละ ออกไปเป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อที่จะไปประกาศข่าวดี

            ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว ตอนนั้นแค่มาใกล้นะ ยังไม่มาถึง แค่ใกล้ มาถึงเมื่อไร? คือถึงเมื่อตอนที่พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ แล้วบอกว่า “สำเร็จแล้ว” และเป็นขึ้นมาจากความตาย นั่นข่าวดีครบถ้วนสมบูรณ์ ได้มาถึงเรียบร้อยแล้ว พระเยซูให้ไปประกาศข่าวดีของพระเจ้า ไม่ใช่ให้ไปแค่ขับผีออก ไม่ใช่แค่ให้ไปรักษาคนเจ็บคนป่วย

            แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ ก็คือประชาชน คนทั่วไป ส่วนใหญ่ที่เขามาโบสถ์ หรือส่วนใหญ่ที่เขามาหาพระเยซูคริสต์ เขามา เพื่อหวังว่าเขาจะได้รับการรักษาให้หายโรคเท่านั้น ฉะนั้น มีกลุ่มคนเยอะแยะมากมายที่ได้รับการรักษาจากพระเยซูคริสต์ รักษาเสร็จ เขาก็หายแว๊บไปเลย ก็คืออยากได้แค่นั้น แต่พระเจ้าคาดหวังให้มนุษย์อยากได้มากกว่านั้น ก็คืออยากได้พระเจ้า เป็นพระเจ้าส่วนตัวของเขามากกว่า ถ้าเราได้พระเจ้า เราจะได้ทุกสิ่ง แต่ถ้าเราแค่ได้การรักษาโรค หรือการขับผี เราก็ได้แค่ของแถม ก็คือวันนี้หายโรค วันนี้ผีออก พรุ่งนี้ผีวิ่งเข้ามาใหม่ ในพระคัมภีร์พระเยซูบอกว่าคนที่ได้รับการขับผีออก คือข้างในตัวสะอาดเลย ผีออกไปแล้วไง พอสะอาด ต้องมีอะไรบางอย่างเข้ามาแทนที่ใหญ่กว่าผี อะไรที่ใหญ่กว่าผี ก็คือพระเจ้าไง พระเยซูคริสต์ใหญ่กว่าผีแน่นอน

            ฉะนั้น คนเหล่านั้น ก็แค่เก็บกวาดข้างในให้สะอาด เสร็จ ผีที่ถูกไล่ออกไป ก็เดินป้วนเปี้ยน ไม่ได้ไปไหนหรอก  อยู่แถวๆ นี้แหละ มองไปมองมา …

            “เราถูกไล่ออกจากคนนี้” ร่างกายเราเป็นเหมือนบ้าน  “ตอนนี้ทำบ้านสะอาดสะอ้านเลย อย่างนี้ก็ดีสิ ไปชวนพรรคพวกมาแล้วกัน”

            ก็เลยไปชวนพรรคพวก ผีอีกเยอะแยะ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเชิญมาอีก 7 ผี เลข 7 ในพระคัมภีร์ คือครบถ้วนสมบูรณ์  ผีกี่ตนไม่รู้ มาเป็นกอง ไปชวนกันมา เข้าอยู่ในร่างกายนี้ สามารถทำได้ ฉะนั้น ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเมื่อผีออกจากร่างกายของคนๆ นั้นแล้ว เขาจะไม่วิ่งกลับมาอีก ฉะนั้น ตรงนี้เป็นแค่ของแถมนะ เป็นขนมหวานนิดๆ หน่อยๆ ที่พระเจ้าประทานให้เท่านั้น

            แต่ว่าพระเยซูคริสต์ให้สาวกของพระองค์ออกไปประกาศ คราวนี้ การประกาศของพระเยซูคริสต์ พระองค์จะส่งไปเป็นคู่ๆ แล้วพระองค์บอกว่าไม่ต้องเตรียมอะไรไป  ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง เสื้อผ้า คนอิสราเอล ในสมัยพระคัมภีร์เดิม บอกว่าอย่าละเลยการต้อนรับแขกแปลกหน้า ก็คือชนชาติอิสราเอลเขาเห็นพวกพ้อง แล้วเขารู้ว่าคนนี้มาจากพระเยซู หลายคนได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ได้รับรู้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ ก็จะต้อนรับสาวกของพระองค์เข้าบ้าน พระเยซูคริสต์บอกว่า …

            “ถ้าครอบครัวใด เรือนใดต้อนรับท่านเข้ามาอยู่ในบ้าน ก็อยู่ในบ้านนั้น จนกว่าท่านจะจากไป อย่าวิ่งไปวิ่งมา เหนื่อย ก็อยู่ที่บ้านนั้น  แล้วให้สันติสุขของเจ้าสถิตอยู่กับบ้านนั้น”

            หมายความว่าครัวเรือนใดต้อนรับสาวกของพระเยซูคริสต์ ครัวเรือนนั้น ก็จะได้รับพระพรได้รับสันติสุข ซึ่งพระเจ้าจะประทานให้กับเขา

            แล้วสาวกก็ไปทำตามนั้น เมื่อเข้าไปในครัวเรือน เราก็ไม่รู้ว่าสมัยก่อนผีเยอะจัง เราดูจากพระคัมภีร์เดิมไปถึงไหน ก็มีคนถูกผีสิง มีคนเจ็บคนป่วยเยอะมาก เทียบกับปัจจุบันก็คงพอๆ กัน ปัจจุบันพี่น้องเคยไปโรงพยาบาลไหม? แล้วยิ่งโรงพยาบาลรัฐ และยิ่งวันธรรมดาด้วย ไม่ใช่วันหยุด เดินเข้าไป ตกใจเลย ทำไมคนเยอะขนาดนั้น ป่วยเยอะขนาดนั้นจริงๆ ดังนั้น คนในอดีตเหมือนกัน คนป่วยเยอะมาก แล้วคนป่วยเหล่านี้ เขาทุกข์ทรมาน เขาต้องการความช่วยเหลือ ต้องการให้พระเยซูรักษาโรค เมื่อสาวกของพระองค์ประกาศข่าวดี ซึ่งไม่น่าจะแค่ไปวางมือรักษาโรค แล้วก็ไปขับผีออกเท่านั้น แต่ต้องมีประกาศเรื่องของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ว่าแผ่นดินของพระเจ้ากำลังมา พระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ถูกส่งมาแล้ว รอเวลาอีกแป๊บเดียวเอง เมื่อพระองค์กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ พวกท่านจะได้รับการช่วยเหลือได้รับการหลุดพ้นจากเป็นทาสของความบาปและความตาย นี่ควรจะเป็นแบบนั้น

            แต่ในพระคัมภีร์ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าแค่ไปขับผี และแค่ไปรักษาโรคเท่านั้น แล้วพระเยซูยังบอกว่าถ้าครัวเรือนไหนไม่ต้อนรับท่าน แปลว่าเขาไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ด้วย พระเยซูบอกว่าถ้าใครต้อนรับท่าน เท่ากับเขาต้อนรับเรา ถ้าเขาไม่ต้อนรับท่าน เขาก็ไม่ต้อนรับเรา  แล้วไม่ต้อนรับเรา ก็คือไม่ต้อนรับพระบิดา ผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ด้วย เห็นไหมว่ามันเป็นโดมิโน เป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น สาวกก็ไปทำตาม พอทำตาม ไปประกาศข่าวประเสริฐ แล้วมีผู้คนได้รับการรักษาโรค ผีเผอถูกไล่กระเจิง สาวกเหล่านี้ดีใจ มีความสุขเนอะ เหมือนกับไปทำงานเสร็จ กลับมาก็มาอวดพระเยซูว่าไปถึงมันตื่นเต้นมาก ทุกคนแบบชื่นชมยินดีมาก ได้รับการรักษาให้หาย ได้รับการขับผีออก ทุกคนก็ตื่นเต้น

            แล้วหลังจากนั้นในพระธรรมลูกา บทที่ 10 พระเยซูก็ส่งคนไปอีกชุดหนึ่ง ก่อนหน้านั้น คือส่งสาวก 12 คน ตอนนี้ส่งไปอีกชุดหนึ่ง  72 คน  ก็คือคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ คนที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์  แล้วเขาก็ติดตามพระองค์ ฉะนั้น 72 คนนี้ก็ถูกส่งไปเหมือนกัน ทำเหมือนเดิมเลย ก็คือไปขับผีออกในนามของพระเยซูคริสต์ ไปรักษาคนเจ็บคนป่วยในนามของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่นามของสาวก นามของพระเยซูคริสต์ ถึงทุกวันนี้ เมื่อเราอธิษฐานวางมือให้กับผู้คนที่เจ็บป่วย แล้วเขาหายโรค ไม่ใช่ฝีมือเราเลยนะ ไม่ใช่ว่าความเชื่อเราสุดยอด ความเชื่อเรา 1000% เลย วางมือปุ๊บ เขาหายโรคเลย ไม่ใช่ เราแค่เป็นเครื่องมือของพระเจ้า ที่พระองค์จะใช้ผ่านชีวิตของเราเท่านั้น ผู้ที่จะทำให้คนหายป่วยได้ คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ไม่ใช่มนุษย์คนไหนเลย แล้วก็แล้วแต่พระองค์อีกว่าพระองค์จะรักษาใคร? หรือไม่รักษาใคร? สิทธิอำนาจอยู่ที่พระองค์

            หลายคนอาจจะคิดว่า … “พระเยซูต้องรักษาหมดสิ ถ้าไม่รักษาหมด ก็ลำเอียงสิ”

            พระเยซูก็คงบอก … “เรื่องฉัน เรื่องอะไรของพวกเธอ ฉันจะรักษาใคร หรือฉันไม่รักษาใคร มันก็เป็นสิทธิ์ของฉันใช่ไหม?”

            ตลอดเล่มในพระคัมภีร์พระกิตติคุณ เราจะเห็นว่าหมายสำคัญ การอัศจรรย์ การรักษาโรค ที่พระเยซูทำ ไม่ได้ทำทุกที่ และไม่ได้ได้ทุกคน มันจะเป็นการเจาะจง เป็นแผนการของพระเจ้า เป็นการจัดเตรียมของพระเจ้า เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ให้ผู้คนได้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

            พระเยซูก็สั่งสาวก 72 คนเหมือนกัน ให้ออกไปประกาศข่าวดีของพระเจ้า ให้รักษาคนเจ็บคนป่วย ให้ขับผีออกในนามของพระเยซู ไม่ต้องขนอะไรไปเหมือนกัน ถ้าบ้านไหนต้อนรับท่าน ให้สันติสุขอยู่ที่็สั่ง

นั่น  ไม่ต้อนรับท่าน สมัยก่อน ถ้าไม่ต้อนรับพระเยซู พระเยซูบอกว่าให้สะบัดผงคลีดิน นึกออกไหม? สมัยก่อน ไม่ได้ว่าถนนหนทางดี เดินทาง ก็เป็นดิน เป็นทราย มันก็ติดรองเท้าไว้ ก็คือถ้าไม่ต้อนรับ สะบัดผงคลีดิน

            การสะบัดผงคลีดิน เป็นความหมายที่แปลว่า … “ต่อแต่นี้ไป ท่านจะเป็นหรือตาย ฉันไม่รับผิดชอบแล้ว”

            เมื่อเราได้ประกาศพระกิตติคุณ หรือประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์กับใครก็ตาม เราทำหน้าที่อย่างเดียว คือประกาศ พอประกาศเสร็จ ทั้งหมดมอบให้พระเจ้า เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า และตัวคนๆ นั้นเอง  หรือแม้แต่คนนั้นมาเชื่อพระเจ้า ก็ไม่ใช่ความดีของเราอีก เป็นเพราะเขาถ่อมใจ และเขาเต็มใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็จะได้รับการบังเกิดใหม่  แล้วก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ นี่หมายถึงตอนหลังจากที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว แต่ว่าในเหตุการณ์ตรงนี้ คนเหล่านี้ที่ต้อนรับสาวกของพระองค์ แปลว่าใจเขาพร้อม เป็นการเตรียมใจของผู้คนในอนาคตข้างหน้าว่าเมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว คนเหล่านี้จะเปิดใจมาต้อนรับพระเยซูคริสต์ และจะได้รับการช่วยให้รอด ผ่านทางพระคุณที่พระเจ้าได้ให้ผ่านทางความเชื่อของพวกเขา

            สาวก 72 คนออกไป แล้วก็กลับมาด้วยความชื่นชมยินดี มีความสุข เหมือนเราออกไปประกาศ มีคนเขาฟัง ตื่นเต้น เขาตาวาวเลย  เรากลับมา ก็ตื่นเต้น มาเป็นพยาน สาวกเหล่านี้มาบอกกับพระเยซูว่า …

        ลูกา 10:17 (TNCV) “สาวกทั้ง 72 คนกลับมาด้วยความยินดีและทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า โดยพระนามพระองค์ แม้แต่ผีก็สยบต่อพวกข้าพระองค์”

            พระเจ้าให้สิทธิอำนาจกับสาวกเหล่านี้ ที่จะสามารถขับผีออก สามารถรักษาโรคได้ สาวกเหล่านี้กลับมาดีใจ เม้าท์มอยใหญ่เลย คุยกับพระเยซู …

            “เห็นไหมพระองค์เจ้าข้า แม้แต่ผียังสยบต่อพวกข้าพระองค์”

            มาดูว่าพระเยซูตอบว่าอย่างไร? ในข้อ 18 …

        ลูกา 10:18-19 (TNCV) “18 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าสวรรค์เหมือนฟ้าแลบ 19 เราให้สิทธิอำนาจแก่พวกท่านที่จะเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และที่จะพิชิตฤทธิ์อำนาจทั้งปวงของศัตรู ไม่มีสิ่งใดจะทำอันตรายพวกท่านได้”

            พระเจ้าให้สิทธิอำนาจ ไม่มีอะไรที่จะทำอันตรายได้เลย เมนที่สำคัญที่สุด ในข้อ 20 บอกว่า …

        ลูกา 10:20 (TNCV) “อย่างไรก็ตาม อย่าชื่นชมยินดีที่วิญญาณต่างๆ ยอมสยบให้พวกท่าน แต่จงชื่นชมยินดีที่ชื่อของพวกท่านถูกจดไว้ในสวรรค์”

            เอเมน ฉะนั้น การขับผีออก การหายโรค ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับมนุษย์ แต่เรื่องที่ใหญ่สำหรับมนุษย์ คือมนุษย์คนนั้น ได้บังเกิดใหม่แล้วหรือยัง? เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ สาวกเหล่านี้ เขาจะได้บังเกิดใหม่ ณ ตอนนั้น เมื่อเขาบังเกิดใหม่ ทันที บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เขาได้รับชีวิตนิรันดร์เหมือนกับพระเยซูคริสต์เลย เขาได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และทันทีชื่อของเขาได้ถูกจดไว้ที่ทะเบียนแห่งชีวิตในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว และชื่อพวกเราก็จดอยู่ที่นั่นเรียบร้อยไปแล้ว เช่นเดียวกัน เอเมนไหม?

            เหมือนเวลาบ้านไหน มีลูก เด็กคลอดออกมาปุ๊บ เราต้องไปอำเภอ ไปแจ้งว่าบ้านนี้มีเด็กเกิดใหม่ ชื่ออะไร? นามสกุลอะไร? อยู่บ้านไหน? แล้วก็ไปแจ้งอำเภอ เพื่อนำลูกของเราเข้ามาอยู่ในทะเบียนบ้าน โดยชอบธรรม ลูกคนนี้ก็จะอยู่ในบ้านของเรา ก็คือเป็นลูกบ้านนี้ เขาจะเจริญเติบโต มีสิทธิพิเศษ ก็คือมีสิทธิในบ้านหลังนี้ทุกอย่าง เราเคยรู้สึกไหม? บ้านพ่อบ้านแม่เหมือนบ้านเรา เราไม่เคยรู้สึกว่าเป็นบ้านพ่อบ้านแม่  แต่มันคือบ้านเรา เรารู้สึกอย่างนั้น ตอนเด็กๆ เราชวนเพื่อนมาบ้าน เราไม่ได้ชวนว่า …

            “พวกเธอ ไปบ้านพ่อแม่เราไหม?”

            เราชวน พูดอย่างเต็มปาก เต็มคำว่า … “ไปๆ พวกเธอ ไปบ้านเรากัน ไปเที่ยวบ้านเรากัน”

            ความรู้สึกถึงการครอบครอง การเป็นเจ้าของ มันเกิดขึ้นในเด็กคนนั้น เหมือนกัน ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของ มันเกิดขึ้นในวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ชื่อของเราได้ถูกจดไว้ที่สมุดทะเบียนแห่งชีวิตเรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าเป็นคนจดนะ ไม่มีมาร ไม่มีอำนาจใดๆ ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถลบชื่อเราออกจากสมุดทะเบียนแห่งชีวิตของพระเจ้าได้เลย ไม่มีทาง

            เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูบอก มันไม่ได้สำคัญว่าเราจะหายโรคหรือไม่หายโรค มันไม่ได้สำคัญว่าพระเจ้าจะอวยพรเราอยู่ดีมีสุข มีบ้านหลังใหญ่ หรือมีการงานที่ดี  ถ้าพระเจ้าอวยพร ก็โอเคนะ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า นั่นของแถมทั้งนั้น ของแถมทั้งหมดเลย ไม่ใช่ของจริง ของจริง คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ชื่อของเราได้อยู่ในสมุดทะเบียนบ้านของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้วที่สวรรคสถาน เราเป็นประชากรของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า เรามั่นใจไหมว่าชื่อเราจดอยู่ที่สมุดทะเบียนแห่งชีวิตเรียบร้อยไปแล้ว มั่นใจไหม?  ครั้นเรียกชื่อเบื้องบน  ชื่อข้าก็อยู่ที่นั่น

                        “ครั้นเรียกชื่อที่เมืองเกษมสุข    ครั้นเรียกชื่อที่เมืองเกษมสุข

                        ครั้นเรียกชื่อที่เมืองเกษมสุข     ครั้นเรียกชื่อเบื้องบน ชื่อข้าก็อยู่ที่นั่น”

            เอเมนไหม? เรียกเมื่อไร? ชื่อฉันอยู่ตรงนั้น เราเคยเป็นนักเรียนหมดทุกคน เวลาเข้าห้องเรียน ครูก็จะขานชื่อ มีสมุด ห้องนี้มีกี่คน? นาย กอ ถึง นาย ฮอนกฮูก แล้วกัน มีแค่นี้ แล้วครูก็จะเรียกชื่อทุกวัน ทุกเช้า เลย

            “นาย กอ”

            “มาครับ”

            “นาย ขอ”

            “มาครับ”

            อะไรแบบนี้ ทุกคนจะถูกขานชื่อ เด็กกลุ่มนี้อยู่ในห้องนี้  นี่คือภาพเดียวกัน เมื่อถึงวันนั้น วันที่พระเยซูคริสต์เสด็จ กลับมารับพวกเราทุกคนกลับไปอยู่กับพระเจ้า บนสวรรคสถาน พระองค์ก็จะขานชื่อเรา

            “วราพร”

            “อยู่นี่ค่ะ”

            แล้วถ้าขานชื่อพวกเราทุกคน เรายกมือทันทีเลย … “อยู่นี่ครับ เรามาแล้วครับ พระองค์เจ้าข้า”

            เพราะว่าเรามั่นใจมาก เรามีความมั่นใจ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ จนถึงวันที่วิญญาณเราออกจากร่าง เรายังคงสามารถมั่นใจได้อยู่ เพราะว่าเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา เราอยู่ในพระองค์ พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย เอเมนไหม? ไม่ต้องกลัวว่าเกิดเผลอไปทำอะไรไม่ดี เราจะหลุดไหม?  พระเจ้าจะทิ้งเราไหม? ไม่มี พระสัญญาของพระเจ้าบอกไว้ชัดเจน เกิดแล้วเกิดเลย เป็นแล้วเป็นเลย เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ท่านอาจจะคิดว่า …

            “วันนี้ ฉันไม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว”

            ท่านจะไม่สามารถเปลี่ยนสถานะความเป็นจริงในโลกวิญญาณไปได้เลย ด้วยความคิดของตัวเองว่า …

            “เบื่อพระเจ้าแล้ว ไม่อยากเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระองค์เจ้าข้า ขอลาออกจากการเป็นลูกพระเจ้านะ”

            ได้ไหม? ไม่ได้นะ ต่อให้ท่านรู้สึกอยากลาออก

            พระเจ้าบอก … “ลาไปเถอะ ยังไง ชื่อของเจ้าก็อยู่ในทะเบียนชีวิตของฉันเรียบร้อยไปแล้ว อย่างไรเธอก็เป็นลูกฉัน เธอจะลา ไปดิ้น ไปอะไรเรื่องของเธอ ไม่เกี่ยวกับฉัน  ฉันรู้อย่างเดียวว่าเธอเป็นลูกของฉันเรียบร้อยไปแล้ว”

            เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เกิดมาก็เป็นคนบาปแล้ว โดยไม่ได้ทำอะไรเลยฉันใด เกิดใหม่ก็เป็นคนชอบธรรมแล้ว โดยไม่ได้ทำอะไรเลยฉันนั้น

            ความจริงจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ใน 1 โครินธ์ 15:22 ว่า …

            “เพราะว่าในอาดัม  คนทั้งปวงตายฉันใด  ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่ เหมือนพระองค์ฉันนั้น”

            มนุษย์ทุกคนเกิดมาในสภาพบาป และแยกจากพระเจ้าในอดัม แต่ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์ได้ทรงทำให้เรามีโอกาส ที่จะย้ายจากการอยู่ในอาดัมไปสู่การอยู่ในพระคริสต์

            เมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเยซู เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นสิ่งทรงสร้างใหม่ และได้รับชีวิตนิรันดร์  การอยู่ในพระคริสต์ หมายถึงการได้รับการอภัยบาปทั้งหมด และมีความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบกับพระเจ้า ในสถานะลูกพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์

            โคโลสี 1:13-14 … “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด  และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์)  ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี)”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1535

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  สิงหาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 2 ยอห์น” ตอน 2 “จงระวังความเท็จ ที่จะทำให้สูญเสียความมั่นใจในความจริงของข่าวดี”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาต่อ “หนังสือ 2 ยอห์น” ตอนที่ 2 “จงระวังความเท็จ ที่จะทำให้สูญเสียความมั่นใจในความจริงของข่าวดี”

            อาจารย์ยอห์นเน้นมา ตั้งแต่ใน 1 ยอห์น บทที่ 1 จนถึงเดี๋ยวนี้  เราจะเห็นว่าอาจารย์ยอห์นเน้นเรื่องนี้มากๆ สำคัญมากๆ ก็คือเรื่องของความจริง ความจริงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่อาจารย์ยอห์นพูดถึงตลอด หนังสือทั้งเล่ม 1 ยอห์น 2 ยอห์น 3 ยอห์น  และหนังสือยอห์น ย้ำว่าให้ระมัดระวังข้อมูลต่างๆ ที่พี่น้องคริสเตียนได้ยินได้ฟังในคริสตจักร ในบางคน หรือในบางพี่น้องที่พูดหรือประกาศ เกี่ยวกับเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ให้กับเรา ซึ่งข้อมูลเหล่านั้น ไม่เป็นความจริง มันก็คือเป็นความเท็จ ให้เราระมัดระวังความเท็จเหล่านี้

            ความจริง คือตัวตนของพระเยซูเอง  พระเยซูเป็นความจริง ใครมีพระเยซูอยู่ ก็มีความจริงอยู่  พระเยซูอยู่ในเรา ความจริงก็อยุ่ในเรา นี่อาจารย์ยอห์นพูดอย่างนั้น พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับผู้ใด ผู้นั้นก็เป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อ  และพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับผู้เชื่อตลอดเวลา เสมอไปเป็นนิรันดร์  ไม่มีเข้าๆ ออกๆ อาจารย์ยอห์นเน้นความจริงตรงนี้ ความจริง ก็คือพระเยซู … พระเยซู คือความจริง พระเยซูประกาศความจริงให้กับเราทั้งหลายได้รับรู้ว่าความจริงนี้ ทำให้เราได้รับความรอด  พูดง่ายๆ ว่าความจริงนี้ ก็คือข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้าเป็นความจริง ต้องเป็นไปตามที่พระเยซูสอนหรือประกาศ จึงจะเรียกว่าข่าวดี เป็นของจริง

            พระเยซูประกาศอะไร? เราคิดดูสิ ถ้าบอกข่าวดี พระเยซูประกาศ ท่านคิดถึงอะไร? พระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ เป็นมนุษย์ปุ๊บ ประกาศข่าวดีเลย พระองค์ประกาศ สรุปรวมแล้ว ข่าวดีของพระองค์ คือพระเยซู คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  นี่คือหัวใจที่สำคัญที่สุดของข่าวดี สั้นที่สุด ง่ายๆ ใครถามท่าน บอกข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์มาเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วจึงขยายต่อไปว่ามาประสูติเป็นมนุษย์ เพื่ออะไร? ก็เพราะมนุษย์เป็นคนบาป เห็นไหม? พระเจ้าจึงมาช่วย มนุษย์ช่วยเหลือกันเองไม่ได้ เพราะต่างคนก็ต่างเป็นคนบาปทุกคน พระเจ้ามีเมตตา มีความรักยิ่งใหญ่มหาศาล จึงส่งพระบุตรของพระองค์ ที่มีเพียงพระองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้ามาเสียสละ มาเกิดในสถานะที่ต่ำต้อย สละสถานะพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ที่เป็นคนบาป ให้กลับคืนสู่พระเจ้า นี่คือข่าวดี เห็นไหม? มันง่ายมาก

            แต่มาถึงปัจจุบัน ข่าวดีมา 2,000 ปีแล้ว ทำไมข่าวดีอธิบายกันยากมากเลย ลำบากลำบน มากด้วยสติปัญญาของมนุษย์ ใส่เข้าไปเยอะแยะมากมายไปหมด จนกระทั่งงงไปหมดเลย ข่าวดีคืออะไร?  ถามคริสเตียน หรือไม่ใช่คริสเตียน ก็งง ข่าวดี คือไม่รู้อะไร? มันเยอะไปหมด สะเปะสะปะไปหมด นี่คือความสำคัญของคำว่าข่าวดี หรือความจริง ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ คือความเท็จ และขยายต่อไปอีกว่ามาช่วยมนุษย์ด้วยวิธีใด  ก็โดยการมาเกิดเป็นมนุษย์และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระล้างมนุษย์ให้พ้นจากบาปทั้งปวง และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อมนุษย์จะได้สามารถบังเกิดใหม่ มาเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เพื่อพระเจ้าจะได้มาสถิตอยู่ด้วยได้ เห็นไหม? มันจบแค่นี้เอง พระเจ้ามาช่วยมนุษย์ ไถ่มนุษย์ โดยพระบุตร สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระโลหิตของพระองค์หลั่งไหลออกมา เพื่อชำระบาปทั้งปวง  ทั้งหมดของมนุษย์เลย ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งสิ้น เอาบาปนี้ออกไปเลย และทำให้คนบาปนั้นได้ตายไปเลย แล้วได้เกิดใหม่พร้อมพระเยซูคริสต์ เป็นคนใหม่เอี่ยม เพื่อว่าจะได้เป็นพระวิหารของพระเจ้า  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ได้ภายในร่างกาย

            นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเจ้า มนุษย์สามารถเข้ามาร่วมชีวิตนิรันดร์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้แล้วจริงๆ นี่เป็นความจริง และได้โดยการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เพียงผู้เดียวเท่านั้น และได้รับตรงนี้แล้ว และจะอยู่อย่างนั้นตลอดไปเลย

            ผู้หลอกลวง ก็คือผู้สอนเท็จ ที่อาจารย์ยอห์นได้พูดถึง ก็คือใช้คำนี้ว่า “ปฏิปักษ์พระคริสต์”  อาจารย์ยอห์นบอกว่าไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา  พูดง่ายๆ ว่าเขายังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ปฏิปักษ์พระคริสต์จำได้ใช่ไหม? ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 ก็เริ่มต้นพูดให้คนเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ได้ยินได้ฟังว่าท่านเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ท่านไม่ได้เป็นพี่น้องคริสเตียนจริงๆ  เพราะว่าท่านไม่มีความจริงอยู่ในตัว  เพราะท่านไม่ได้เชื่อในข่าวดี

            ข่าวดีที่ตะกี้นี้ผมได้อธิบายให้ฟังตอนต้น เพราะท่านไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม? หัวใจแค่นี้ คือรู้ทันทีว่าคนนี้ เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์หรือผู้ต่อต้านพระคริสต์ วิธีต่อต้านพระคริสต์ คือไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พอไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มันก็จะไม่เชื่อในสิ่งต่างๆ ต่อจากนั้นเยอะแยะมากมาย ที่เราคุยกันเมื่อสักครู่นี้ว่าพระเยซูมาเป็นมนุษย์ เพื่ออะไร?

            ยกตัวอย่าง เช่น เมื่อไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่เชื่อว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการความช่วยเหลือ  ก็เลยไม่ต้องการความเชื่อ นึกว่าช่วยตัวเองได้  อะไรประมาณนี้ นี่แหละคือความเท็จ เกิดขึ้น เพราะอย่างนี้  เพราะโลกไม่ต้องการให้ความจริงนี้ ถูกเปิดเผย ก็คือไม่ให้ความจริงเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า มาช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้ ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาปและความตายนั้น ไม่ให้มนุษย์ได้รับรู้ และได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้  จึงพยายามปิดบังตาเรา ด้วยทุกวิถีทาง ต่อต้านความจริงเหล่านี้ เรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ มีแค่นี้เอง ปฏิปักษ์พระคริสต์ หมายถึงอย่างนี้

            และอาจารย์ยอห์นก็บอกว่าความจริงเหล่านี้ เป็นความจริงที่อยู่ภายในวิญญาณ ภายในร่างกายของมนุษย์ผู้ที่เปิดใจต้อนรับความจริงนี้เท่านั้น คือผู้เชื่อเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ตามองเห็น หรือสัมผัสได้ หรือรู้สึกได้  แต่เป็นความสัมพันธ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับความจริงนี้ทางฝ่ายวิญญาณ  เป็นวิญญาณเดียวกันถึงจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ เรียกว่าสามัคคีธรรมกัน อาจารย์ยอห์นใช้คำนี้ว่า “สามัคคีธรรมกัน” คือรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน สัมพันธ์กัน ติดต่อกันได้กับพระเจ้า ก็คือผู้เชื่อได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์ สามารถสัมพันธ์ติดต่อกันได้ เป็นสามัคคีธรรมกัน เป็นพี่น้องกันในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราเรียกว่าคริสเตียน (แท้จริง) เป็นอย่างนี้ อย่ามาอ้างมาเป็นพี่น้องคริสเตียนเหมือนกัน อย่ามาอ้างมาอยู่ในคริสตจักร อยู่ในชุมชนเดียวกัน เป็นพี่น้องกัน  อย่ามาอ้าง เพราะว่าเธอไม่ได้เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  แม้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เธอทำ หลายอย่างจะดูเหมือนก็ตาม  แต่นั่น เป็นสิ่งที่ตามองเห็น  ฉันไม่ได้เชื่อ เพราะความรู้สึก  แต่ฉันเชื่อ เพราะความเป็นจริง จากถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้เช่นนั้น ความเชื่อ ความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก

            ความจริง คือความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก เราลองคิดดูสิว่ามันจริงไหม? ความจริง ก็คือความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก  ความจริงอยู่ภายใน ความรู้สึกอยู่ภายนอก

            ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง จะเห็นชัดเลย ตัวอย่าง เช่น เวลาเรานมัสการด้วยบทเพลงในชีวิต จะเห็นชัดมากถึง 2 อันนี้ คือความจริงกับความรู้สึก  พระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? พระเยซูบอกว่าให้เราผู้เชื่อนั้น นมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความรู้สึก  ไม่ใช่ ให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง ให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ ไม่สำคัญ เพราะเรารู้อยู่แล้ว วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า นมัสการด้วยวิญญาณแน่นอนทุกคน เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้ว นมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ และอาจจะตามด้วยนมัสการพระเจ้าและความรู้สึกได้  ไม่เชื่อ

            เดี๋ยวเราจะสังเกตดู ในเพลงเดียวกัน สมมติว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ จิตข้าสรรเสริญ พระเจ้ายิ่งใหญ่ ท่านร้อง วันนี้อินมากกับเพลงนี้เลย น้ำหูน้ำตาไหล พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ ลูกรักพระองค์จริงๆ เลย นมัสการสุดหัวใจเลย นึกออกไหม? นมัสการด้วยวิญญาณและความจริง สุดๆ เลย ปรากฏว่าเพลงเดียวกัน สัปดาห์ต่อไป หรือรุ่งขึ้น ท่านกลับไปร้องที่บ้าน ท่านมีความรู้สึกเหมือนเดิมไหม? ไม่เหมือน ถูกไหม? ความรู้สึกท่านอาจจะกลับไปถึงบ้าน แอร์ก็ไม่เย็นเท่าที่โบสถ์ พี่น้องก็ไม่ได้มาร่วมร้อง เราร้องเองก็เพี้ยน ไม่เพราะเหมือนที่เราร้องที่โบสถ์ ร้องอย่างไรก็เพราะ เพราะว่าพี่น้องช่วยกันร้องหลายคนเป็นหมู่ มีเสียงประสานเต็มไปหมดเลย เรามีความรู้สึกร่วมไปด้วย เราก็เลยรู้สึกว่าวันนี้นมัสการพระเจ้า แบบพระเจ้าพอใจมาก เพราะเรานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ถูกหรือผิด? ผิด เรารู้สึกอย่างนี้ผิดนะ  เพราะถ้าเรารู้สึกอย่างนี้เมื่อไร? วันอังคารเราอาจจะหงุดหงิด มีอารมณ์ไม่ดี จนกระทั่งถึงวันอาทิตย์ มาที่โบสถ์ แล้วนมัสการพระเจ้าด้วยบทเพลงใหม่อะไรต่างๆ เหล่านั้น เราไม่มีอารมณ์ร่วมแล้ว เราก็รู้สึกว่าวันนี้นมัสการไม่ดีเลย  วันนี้นมัสการแย่มาก ผู้นำนมัสการ ก็ไม่ค่อยดี ไม่อินเลย เพราะว่าเราไปฝากชีวิตเรา ที่ความรู้สึก ฝากความเชื่อเราไว้ที่ความรู้สึก แทนที่จะใช้ความเชื่อเราตามที่พระคัมภีร์บอก นมัสการด้วยวิญญาณและความจริง

            ความจริง คือพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราเสมอ ตลอดเวลา เอเมนไหม? เรานมัสการพระองค์ รู้สึกอย่างไรช่างมัน มันจะรู้สึกอย่างไรไม่รู้ แต่ฉันกำลังนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง

            “ความจริง คือฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ฉันนมัสการพระองค์ ฉันรักพระองค์ ฉันเป็นลูกของพระองค์ ฉันสะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว”

            แค่นี้เอง ไม่ต้องฝืนว่าไม่ได้ ต้องชูมืออย่างนี้ มันถึงจะสุดๆ  ไม่ชูก็ได้ วันนี้ไม่มีอารมณ์จะชู แต่ฉันรู้ว่าฉันนมัสการพระเจ้า ลึก สนิท เท่าๆ กับเมื่อวานซืนนี้ ที่อินมากๆ วันนี้ไม่อิน ไม่เป็นไร แต่มีความเชื่อว่าฉันอินเหมือนเดิมแหละ ทำได้ไหม? ฉะนั้น ไม่ต้องพยายาม ต้องฝืน ไม่ต้องฝืน ว่ากันไปตามนั้น วันนี้ปวดท้องมา ก็ยังปวดท้องอยู่เหมือนเดิม นมัสการพระเจ้าไป ก็รู้ว่าปวดท้องไป นมัสการพระเจ้าไป ฉันยังนมัสการพระเจ้า รักพระเจ้าเหมือนเดิม ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่นิดเดียว นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

            และยกตัวอย่างอีกอันหนึ่งให้ฟังยิ่งชัดใหญ่เลย นมัสการในบทเพลง แต่ก่อนผมชอบเพลงนี้มากเลย และอิน นมัสการทีไร ซึ้ง ท่านคิดดูว่านั่นเป็นความรู้สึก หรือเป็นความจริง ท่านทราบ รู้เรื่องเหล่านี้แล้ว  ท่านเป็นคนตรวจผมว่าผมนมัสการอย่างนี้ด้วยความรู้สึกหรือความจริง ร้องบทเพลงนี้ แต่ก่อนนี้ชอบมาก  แล้วร้องแต่ละที น้ำตาไหล รู้สึกซาบซึ้งกับพระเจ้ามาก อยู่ใกล้พระเจ้ามากเลย

                        “โปรดฟื้นน้ำใจ ชำระภายใน  ทรงสร้างข้าใหม่ โอ พระวิญญาณเจ้า”

            คุ้นไหมเพลงนี้  ถามว่าผมร้องเพลงนี้ด้วยความซาบซึ้ง ผมใช้ความรู้สึกหรือใช้ความจริง ใครบอกใช้ความรู้สึก ยกมือขึ้น? ใครบอกใช้ความจริง ยกมือขึ้น?  ดีใจจังที่มี 2 ฝ่าย  แสดงว่ามาพูดคุยวันนี้มีประโยชน์จริง เดี๋ยวผมจะชี้ให้ท่านเห็น

            “โปรดฟื้นน้ำใจ ชำระภายใน” ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ได้รับการชำระเรียบร้อยหรือยัง?  แล้วขอพระเจ้าทำไม?

            “ทรงสร้างข้าใหม่” ท่านเป็นคริสเตียน ท่านได้รับการบังเกิดใหม่หรือยัง? พระเจ้าสร้างท่านใหม่หรือยัง?  ตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ท่านรับเชื่อแล้ว แล้วต้องขออีกไหม?  ก็แสดงว่าท่านกำลังบอกพระเจ้าว่าไม่จริง พระเยซูบอกว่าด้วยโลหิตของเรา ท่านได้รับการชำระแล้วตลอดไป  อภัยบาปทั้งปวงแล้ว ท่านบอกว่าไม่จริง

            พระคัมภีร์บอกว่าท่านได้บังเกิดใหม่ ได้รับการสร้างใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยม 2 โครินธ์ 5:17 ทุกสิ่งทุกอย่าง จงมองให้เห็นเถิด มันใหม่หมดเลย  ท่านบอกไม่จริง ถ้าท่านนมัสการพระเจ้าด้วยความจริง  ท่านต้องบอกว่าเอเมนสิ  ถ้าเอเมน ท่านก็ร้องไม่ออกแล้ว “ทรงสร้างข้าใหม่” ท่านร้องไม่ออก เหมือนตอนนี้ พอเรารู้แล้ว ผมรู้แล้ว ผมก็ร้องไม่ออก ผมก็ได้แต่ฮัมทำนองตามเขา ถ้าเกิดมีใครนมัสการเพลงนี้ขึ้นมา ผมก็ไม่ได้โวยวาย ไม่ได้อะไร ก็ยังนมัสการเหมือนเดิม  แต่ผมก็จะฮัมเพลงตาม แต่ในใจผมคิด สร้างเรียบร้อยแล้ว “โปรดฟื้นน้ำใจ” ฟื้นเรียบร้อยแล้ว ฟื้นพร้อมพระเยซูคริสต์ “ชำระข้า” โลหิตพระเยซูคริสต์ชำระแล้ว เขาร้องไป ผมก็นมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง

            เห็นตัวอย่างว่าความจริงคือความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก ต้องแยกกัน ท่านสามารถที่จะรู้สึกว่าสูญเสียความรอดไปแล้วได้  แต่ท่านไม่สามารถสูญเสียความรอดได้ ถูกไหม? ท่านสามารถรักพี่น้องทุกคนได้ ถูกไหม? แต่ท่านสามารถที่จะรู้สึกว่าไม่รักคนนี้ได้ ถูกหรือไม่ถูก? คิดให้ดีๆ  และอย่าหันไปมองข้างๆ  ถูกไหม?  ท่านสามารถรู้สึกว่ารักคนนี้มากกว่าคนนี้ได้ แต่ท่านไม่สามารถที่จะรักคนนี้มากกว่าคนนี้ได้ทางวิญญาณ เป็นไปไม่ได้ เพราะวิญญาณท่านบริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนพระเยซูคริสต์ รักเขาเท่าๆ กัน ไม่ได้รักเขา เพราะสิ่งที่เขาประพฤติ กระทำ แต่รักเขา เพราะว่าเขาเป็นความรัก เป็นพี่น้องร่วมกันในพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายเดียวกัน บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนกับเราเลย ไม่มีผิด เราจึงรักเขาด้วยความรัก ที่เป็นนิรันดร์ที่พระเยซูคริสต์ได้ใส่ไว้ให้กับเราในวิญญาณของเรา พระองค์ทรงรักเราก่อน เราจึงสามารถรักคนอื่นได้  เพราะเรามีความรักที่เป็นอากาเป้แบบพระเยซูคริสต์ นี่คือความจริง แต่ความรู้สึกเรา มันแล้วแต่อารมณ์บนโลกใบนี้ อารมณ์เสียขึ้นมา เราก็รักไม่ลง มันเป็นเรื่องธรรมดา

            ฉะนั้น ถ้าเผื่อคริสเตียน ได้รับรู้สิ่งเหล่านี้ ได้แยกออก เห็นชัดเจนในสิ่งเหล่านี้ มันจะมีประโยชน์มากเลย ที่จะไม่ถูกหลอก  อาจารย์ยอห์นจึงพยายามอธิบายเรื่องนี้ให้เราได้เห็น ได้ชัดเจนว่าต้องระมัดระวังความเท็จ หรือผู้หลอกลวง ก็คือมาร สร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อต่อต้านความจริงของพระเยซูคริสต์ทั้งหมด แม้กระทั่งบทเพลงตะกี้นี้ ที่เรายกตัวอย่างขึ้นมา ก็เช่นเดียวกัน

            ยกตัวอย่างตรงกันข้ามบทเพลง สมมติว่าเรานมัสการ แล้วเราร้องว่า …

                        “พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า

                        พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า เต็มใจเดินตามด้วยความยินดี

                        พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที”

            เห็นไหม? ทางวิญญาณนมัสการพระเจ้า ทางความรู้สึก ตอนนั้นอาจจะอารมณ์ไม่ดี แต่ร้องไป มันถูกไหม? มันถูกถ้อยคำพระเจ้า ก็คือการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง แต่ความรู้สึกไม่ดี ล้มเหลว คือความรู้สึกตอนนั้น อารมณ์เสีย แอร์มันเสียที่โบสถ์ ร้อนก็ร้อน วันนี้นมัสการเพลงนี้ไป ก็กระยุกกระยิก ไม่รู้สึกอินกับบทเพลงนมัสการ รู้สึกนมัสการพระเจ้าไม่ดีเลย  แต่จริงๆ แล้วมันดีกว่าวันก่อนนี้ ที่ร้องบทเพลงเพี้ยนๆ จากถ้อยคำพระเจ้าไป เห็นอะไรบางอย่างไหม?  นี่แหละ คือสิ่งที่น่าสังเกตดู

            เพราะศัตรู คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็คือมาร  ในพระคัมภีร์บอกว่ามารคอยกล่าวหาเราอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน กล่าวหาเราผู้ที่เป็นผู้เชื่อว่าเป็นผู้ไม่ชอบธรรม ความจริง คือเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม มารก็จะกล่าวหาเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเลย เราหลับ มันก็กล่าวหา  ถ้ามันทำให้เราฝันได้ มันก็ทำให้เราฝัน  คือส่งความคิดเข้ามา ส่งอะไรต่างๆ เข้ามาให้เราหงุดหงิด ให้เราเครียด ฝันอะไร? ฝันตรงกันข้าม ฝันไม่ใช่ชอบธรรม  ไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีพร้อม กล่าวหาเราตลอดเวลา  เรายังเป็นคนบาปเหมือนเดิม

            คำกล่าวหาเหล่านี้มันจะอยู่ในความคิดของเราตลอดเวลา ตลอดการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกๆ วัน ทุกๆ วินาที มันส่งเข้ามาตลอดเวลา วนเวียนอยู่ในความคิดของเราตลอดเวลา  ถ้าเราเผลอเมื่อไร? เราก็จะไปคิดตามมัน นั่นหมายถึงเรากำลังเชื่อความเท็จ อาจารย์ยอห์นจึงบอกให้เราระมัดระวังความเท็จตรงนี้ ไม่ใช่ระมัดระวังมารมันจะมาทำอะไรเรา ไม่ใช่ แค่เราต่อต้าน มันก็ต้องหนีไปด้วยความตกใจสุดขีดแล้ว ในหนังสือยากอบ 4:7 ได้บันทึกไว้  มันจะบอกเราว่าเราไม่บริสุทธิ์พอ มันจะบอกว่าเราไม่ได้เกิดใหม่ มันจะบอกว่าเราไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า  มันจะบอกว่าพระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่กับเราแล้ว พระเจ้าไปแล้ว เห็นไหม? พูดง่ายๆ มันจะปฏิเสธและต่อต้านพระคริสต์ พระคริสต์คือความจริง ก็คือต่อต้านความจริงทั้งปวง ที่อยู่ในเราแล้ว อยู่ในวิญญาณเราแล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้ แต่มันทำให้เราเสียศูนย์ได้ คือสูญเสียสิ่งที่ควรได้ จากการเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน เป็นผู้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรียบร้อยแล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้ สันติสุขเกินกว่าความคิดมนุษย์จะเข้าใจอยู่ในเราแล้ว เราจะสูญเสียสิ่งเหล่านี้เท่านั้น ความจริง ความรอดยังคงอยู่

            ถามว่าความรอดมีโอกาสที่จะสูญหายไปจากเราไหม? วันนี้จะพูดเรื่องนี้ละเอียดนิดหนึ่ง เพราะว่าสำคัญมากเลย เพราะมีคนเข้าใจผิด และเข้าใจถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ ที่จะบรรยายผิดเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า “จงระมัดระวัง” ความจริง คือ “จงระมัดระวังความเท็จ” ที่ตะกี้นี้อธิบายมา  แต่ถูกบิดไม่เข้าใจ ทำให้ความเท็จเข้ามาแทนที่ ก็คือ “จงระมัดระวังว่าจะสูญเสียความรอด” พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ จงระมัดระวังสูญเสียความรอด ใครบอกล่ะ เดี๋ยวเราจะมาดูกันว่าตรงนี้หมายถึงอะไร?

            จงระมัดระวังสูญเสียความรอด หรือจงระมัดระวังสูญเสียความจริง คือถูกความเท็จหลอก ขโมยความจริงไป …

        2 ยอห์น 1:7 “เพราะมีคนล่อลวงจำนวนมากแล้ว (ผู้ชักนำให้หลงผิด ผู้หลอกลวง และผู้นำเทียมเท็จ) ได้ออกไปในโลก คือคนเหล่านั้นที่ไม่รับรู้ (ไม่ยอมสารภาพ ไม่ยอมรับ) การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ (พระเมสสิยาห์) ที่อยู่ในสภาพมนุษย์อย่างแท้จริง คนเช่นนี้ คือคนล่อลวง (ผู้ชักนำให้หลงผิด ผู้หลอกลวง ผู้นำเทียมเท็จ) เป็นศัตรู ฝ่ายตรงข้ามของพระคริสต์ และคือ “ปฏิปักษ์พระคริสต์” … ”

            “จงระวังความเท็จ ที่จะทำให้สูญเสียความมั่นใจในความจริงของข่าวดี” เป็นหัวข้อเรื่องที่ผมตั้งมาในวันนี้  และจะเน้นให้เห็นชัดเจน เริ่มต้นจากข้อ 7 “เพราะมีคนล่อลวงจำนวนมากแล้ว” ผู้ล่อลวงจำนวนมากคือใคร?  คือผู้ชักนำให้หลงผิด ผู้ล่อลวง ผู้นำเทียมเท็จ เป็นคนนี่แหละ ไม่ใช่เป็นวิญญาณชั่ว เป็นอะไรต่างๆ ตามที่เขาถูกหลอก ให้ไปเน้น หรือพุ่งไปที่เป้าหมายที่ผิดว่าเป็นมาร หรือวิญญาณชั่ว ตัวใหญ่โตมาเข้าสิง หรือมาเข้าครอบงำคนที่มีอิทธิพล มีอำนาจ ในการเมือง หรือในโลกใบนี้ ไม่ใช่ หมายถึงคนทั่วๆ ไปนี่แหละ เยอะแยะมากมาย มีจำนวนมากแล้ว คือมีผู้ชักนำ ให้หลงผิด ผู้หลอกลวง ผู้นำเทียมเท็จ ผู้สอนเท็จนั่นเอง ให้ออกไปทั่วโลกเลย แล้วใครเป็นคนชักจูง หรือครอบงำเขาเหล่านั้น ก็คือมารที่ทำงานอยู่บนโลกใบนี้  ที่ปิดบังความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ทำงานกับทุกคนแหละ ใครที่ยอมให้มันทำ ก็คือคนที่ไม่รู้ความจริง  ก็เท่านั้นเอง

            คนเหล่านั้น ไม่รับรู้ ก็คือไม่ยอมสารภาพ ไม่ยอมรับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์เท่านั้นเอง  ที่อยู่ในสภาพของมนุษย์อย่างแท้จริง คนเช่นนี้ คือคนล่อลวง ชักจูง นำผิด สอนผิด หลอกลวง ผู้นำเทียมเท็จ  เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือพวกที่เรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ คือเป็นศัตรูกับพระคริสต์ ก็คือใคร? ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 แล้ว ก็คือคนเหล่านั้นที่มาสอนบอกว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์นั่นเอง ปฏิเสธข่าวประเสริฐ ปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้เป็นคนบาป อะไรประมาณนั้น นี่แหละ คือคนพวกนี้ และคนพวกนี้อยู่ไหน? ก็อยู่ท่ามกลางกลุ่มของคริสเตียน  มาชักจูงบรรดาพี่น้องคริสเตียน ให้เชื่อในสิ่งที่เขาถูกหลอกว่าเป็นความจริง

            ในข้อความเมื่อสักครู่นี้ เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของความจริง อย่างที่บอกว่าพวกปฏิปักษ์พระคริสต์ มาเพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น คือมาเพื่อขโมยเอาความจริงนี้ไป เท่านั้นเอง ข้อความอาจารย์ยอห์นจึงบอก หนุนใจให้ผู้เชื่อหรือคริสเตียน ให้ยืนยันในความจริง คือในบริบทนี้ คือในความจริงของข่าวประเสริฐ ของข่าวดี ก็คือในความจริงของการเป็นมนุษย์ของพระเยซู  … พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ข้อนี้ทำให้เกิดอะไรขึ้น? เกิดความลึกซึ้งในวิญญาณ ในความเข้าใจ เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ที่พวกเขาเคยคิดว่ามันอยู่ไกลมากเลย ยิ่งใหญ่ แล้วมนุษย์ก้าวเข้าไปไม่ถึงเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวยิว กลัวพระเจ้ามากเลย รู้สึกห่างไกลจากพระเจ้ามากเลย  แต่อาจารย์ยอห์นกำลังเน้นให้เขาเห็นว่านี่พระเจ้าจริงๆ พระเจ้าทรงเป็นความรัก และรักพวกเราจริงๆ ถึงขนาดยอมถ่อมตนลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และยอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่านที่เป็นคนบาป คนต่ำต้อย  เป็นคนแย่

            ถ้าใครรู้ความจริงตรงนี้ รู้สึกตรงนี้ ก็จะเชื่อในข่าวประเสริฐง่ายขึ้น ก็จะมั่นใจในข่าวดีของพระเยซูมากขึ้น เห็นหรือยัง? นี่แหละคือหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐ ที่จะถูกทำลาย ที่จะถูกขโมย  ที่จะสะเทือนมากที่สุด  จากมารและการปิดบังตาของมาร ก็คือตรงนี้แหละ ตีจุดนี้ที่สุดเลย จุดนี้จุดแรกเลย คือพระเยซูไม่ใช่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  เพราะถ้าใครเชื่อว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มันจะกระจายออกมาเต็มไปหมดเลยว่าพระเจ้ารักเราขนาดนี้ ยอดเยี่ยมขนาดนี้เลยหรือ? แล้วก็จะไม่ปฏิเสธ จะรู้ความจริงว่าพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่ออะไรต่อไป พระองค์ทรงเสด็จมาเป็นมนุษย์ เพื่อตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา

            มารเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ผ่านทางคนสอนเท็จ ด้วยวิธีนี้ ให้เข้าใจผิด อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าให้ระมัดระวังคำสอนเท็จเหล่านี้ ระมัดระวังผู้เผยแผ่คำสอนเท็จเหล่านี้ อยู่ใน 1 ยอห์น 1:9 คือผู้ที่ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป ไม่ยอมรับว่าต้องการการช่วยเหลือ ใน 1 ยอห์น 1:9 บอกว่าถ้าเขาเหล่านี้ยอมรับสารภาพว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการรับการช่วยเหลือ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับการอภัยโทษจากความบาปทั้งสิ้นของเขาทั้งปวง หัวใจของหัวข้อในวันนี้ 2 ยอห์น 1:8 …

        2 ยอห์น 1:8 “จงระวังตัว (เอาใจใส่) เพื่อจะไม่สูญเสีย (โยนทิ้งหรือทำลาย) สิ่งทั้งปวง ที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน แต่ให้ท่านดำรงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อจะได้รับบำเหน็จสมบูรณ์ครบถ้วน”

            นี่แหละ คือข้อที่บอกว่าเป็นหัวใจสำคัญ ที่ถูกโจมตี และมีผู้หลงเข้าใจผิดไปเยอะ  “จงระวังตัว ให้เอาใจใส่ในเรื่องนี้  เพื่อจะไม่สูญเสียหรือไม่ทำลายสิ่งทั้งปวง ที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน” ยอห์นกำลังพูดกับพี่น้องคริสเตียนด้วยกันบอกว่าระวัง เพื่อท่านจะได้ไม่สูญเสียสิ่งทั้งปวง ที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน

            ท่านว่า “สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ที่ตรากตรำทำมาด้วยกันนั้น” คือความรอดใช่ไหม? คิดให้ดีๆ ลองอ่านและลองคิดให้ดีๆ  “จงระวังตัว ให้เอาใจใส่ในเรื่องนี้” เรื่องอะไร?  เรื่องที่ท่านผู้เชื่อกับผมได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน  ตรากตรำทำงานอะไร? สูญเสียความรอดหรือ?  เราตรากตรำทำงาน เพื่อจะได้ความรอดหรือเปล่า? ไปวิเคราะห์กันนะ ไม่ใช่  แสดงว่านี่ไม่ใช่ความรอด  เห็นหรือยัง? เห็นอะไรบางอย่างไหม?  “สิ่งทั้งปวงที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน”แสดงว่าไม่ใช่ความรอดแล้ว  แต่ก็มีคริสเตียนที่ถูกหลอก ด้วยถ้อยคำความเท็จว่าระวังตัวนะ ให้เอาใจใส่ความรอดให้ดีๆ เพราะท่านอาจจะสูญเสียความรอดได้ เห็นหรือยัง? ไปเลย ถ้าเข้าใจตรงนี้ผิด  ก็เลยเละเลย

            ข้อความตรงนี้ไม่ได้หมายถึงสูญเสียความรอด  แต่เป็นการเตือนผู้เชื่อให้ระมัดระวังและรักษาความมั่นใจในความเชื่อในความเป็นคริสเตียน ที่เชื่อในข่าวดีในพระเยซูคริสต์ เตือนคริสเตียนให้ระมัดระวังว่าท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว อะไรที่ไม่ใช่ข่าวดีนั้น ท่านระมัดระวังว่าข้อมูลที่เท็จ มันจะมาขโมยเอาความจริงไปจากใจของท่าน ท่านพอนึกออกใช่ไหม? เพื่อไม่ให้ท่านสูญเสีย ถ้าไม่สูญเสียความรอด แล้วสูญเสียอะไร?  เพื่อไม่ให้ท่านสูญเสียบำเหน็จ หรือพระพร หรือผลตอบแทนที่มาจากการดำเนินชีวิตในความเชื่อ ในความจริงของข่าวประเสริฐของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ในความจริงข้างบนที่ตะกี้นี้ เราพูดกันว่าความจริง คืออะไร? คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้น และหลุดออกจากบาปทั้งปวง  และได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดประโยชน์ เกิดบำเหน็จ มันหมายถึงอย่างนั้น

            ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ไม่สามารถที่จะสูญเสียความรอดได้เลย  เพราะว่าความรอด เป็นของขวัญจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่มั่นคงถาวรในชีวิตของผู้เชื่อตลอดไป เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ เราได้รับชีวิตนิรันดร์ และไม่มีสิ่งใดสามารถแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าในชีวิตนิรันดร์นี้ได้เลย พระคัมภีร์ยืนยัน ผู้เชื่อได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นการรับประกันถึงมรดกนิรันดร์ของเขา หรือของเราผู้เชื่อเรียบร้อยแล้ว  เราจะมาอ่านข้อความนี้ในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ เอเฟซัส 1:13-14 …

        เอเฟซัส 1:13-14 “13 และท่านทั้งหลาย ก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์ เช่นกัน  เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อ ก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้ 14 ผู้เป็นมัดจำค้ำประกัน (พยานยืนยัน) ว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่  อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”

            เราได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการับรองยืนยันถึงการเป็นบุตรของพระเจ้า และมีชีวิตนิรันดร์ในในพระองค์ ท่านหรือผู้เชื่อทั้งหลายได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นมัดจำ ถึงวันแห่งการไถ่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือในโลกหน้าเลย

            ความรอดของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา แต่ขึ้นอยู่กับพระคุณ และการกระทำที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนต่างหาก เพราะฉะนั้น ในข้อความที่บอกว่าการทำงานตรากตรำในที่นี้  จึงไม่ได้หมายถึงการทำงาน เพื่อให้ได้รับความรอด เพราะความรอดเป็นของขวัญที่ได้รับโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แต่การทำงานตรากตรำ หมายถึงการรักษาความเชื่อ และดำเนินชีวิตบนความเชื่อในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าเกี่ยวกับข่าวดีในชีวิตประจำวันของเราบนโลกใบนี้  เอเฟซัส 2:8-9 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะว่าซึ่งท่านทั้งหลายได้รับความรอดนั้น ก็เป็นโดยพระคุณ โดยความเชื่อ 9 และมิใช่โดยตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า มิใช่เนื่องจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้”

            “มิใช่จากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้” อีกข้อพระคัมภีร์หนึ่งที่เน้นถึงความรอด ของขวัญที่มั่นคงและถาวรเป็นนิรันดร์  ไม่มีใครสามารถมาเอาไปได้  รอดแล้วรอดเลยนั่นเอง  โรม 8:38-39 …

        โรม 8:38-39 “เพราะข้าพเจ้ามั่นใจว่าทั้งความตาย ทั้งชีวิต ทั้งบรรดาทูตสวรรค์ ทั้งเทพผู้ครอง ทั้งสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งสิ่งที่จะมาถึงภายหน้า ทั้งฤทธิ์อำนาจใดๆ ทั้งสิ่งที่สูง ทั้งสิ่งที่ลึก หรือสิ่งอื่นใดที่ทรงสร้างแล้ว จะไม่สามารถแยกเราจากความรักของพระเจ้า ที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

             เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตในความเชื่อ และการกระทำตามที่เป็นความจริงในพระคัมภีร์ที่บอกไว้ เกี่ยวกับเรื่องของข่าวดีนั้น ซึ่งเป็นความจริงของพระเจ้า การดำเนินชีวิตโดยความเชื่ออย่างนี้นั้น เป็นการกระทำทวนกระแสของระบบโลกนี้ เพราะว่ามันเป็นความจริง แต่ในโลกนี้ทั้งหมด เป็นความเท็จ อาจารย์ยอห์นบอกว่านี่คือความจริง  แต่ในโลกเป็นความเท็จ  ท่านอยู่ในความจริง แต่ท่านอาศัยอยู่บนโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความเท็จ ท่านอยู่ในแสงสว่าง แต่ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความมืด ท่านอยู่ในพระคริสต์ แต่ท่านดำเนินชีวิตอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราช มันเป็นเพียงแค่นี้เอง เพราะฉะนั้น เมื่อท่านต้องทวนกระแสของโลกใบนี้อยู่ มีศัตรูตลอดเวลา มันทำอันตรายท่านไม่ได้ แต่มันกวนใจท่านได้ ทำให้ชีวิตท่านไม่เป็นสุขเท่าที่ควรได้ ทุกข์ยากลำบากได้ ท่านต้องอดทน ตรากตรำตลอดชีวิตบนโลกนี้

            คำว่า “ทำงานตรากตรำ” มันแปลว่าอย่างนี้  ท่านต้องอดทนตรากตรำตลอดทั้งชีวิต บนโลกใบนี้ แต่เป็นสิ่งที่นำไปสู่บำเหน็จและพระพรบนโลกใบนี้ในชีวิตนิรันดร์ที่ท่านได้รับเรียบร้อยไปแล้ว พูดง่ายๆ คือท่านเป็นคริสเตียนอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่ท่านต้องตรากตรำ ก็คือดำเนินชีวิตทวนกระแสของโลกใบนี้  ก็คือทวนกระแสของความเท็จ มันจะโกหกมาตลอดเวลา ท่านต้องยืนยันบนความจริงนี้ตลอดเวลา แต่การยืนยันบนความจริงเหล่านี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อาจารย์ยอห์นบอกว่ามันมีบำเหน็จ มันมีพระพร บำเหน็จพระพรเข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นไป เดี๋ยวจะพาท่านไปดูว่าบำเหน็จพระพร คืออะไร?

            ดังนั้น ข้อความที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ คือการเตือนให้เราระมัดระวังและยืนยันต่อสู้กับการต่อต้านของโลกนี้ การเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงของโลกใบนี้นั่นเอง  ท่านยืนอยู่บนความจริง ท่านก็ต้องยืนอยู่ตามความจริงนั้นตลอดเวลา การทำงานตรากตรำ ในบริบทนี้จึงหมายถึงการดำเนินชีวิตที่สะท้อนถึงความเชื่อในความจริงของข่าวดีของพระเจ้า ที่เราได้รับมา ที่อยู่ในใจของเรา ด้วยความอดทน อดทนอย่างไร?  เช่น เมื่อท่านมีความจริงนี้อยู่ในตัว มีพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวนี้แล้ว ท่านดำเนินชีวิตด้วยวิธีใด ด้วยความรัก ง่ายไหม? ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความรัก รักผู้อื่น แสดงความเมตตา และดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเยซู อดทนตามที่พระคัมภีร์บอกว่าเรามีธรรมชาติใหม่ ในวิญญาณของเรา และโดยธรรมชาติในวิญญาณของเรา เราต้องการทำตามวิญญาณของเรา ตามธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า คือดำเนินชีวิตด้วยความรัก ตามพระวิญญาณที่อยู่ข้างในอยู่แล้ว ซึ่งออกมา มีแรงต่อต้านมาจากข้างนอก ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้ มันต่อต้านมา นี่แหละ คือความตรากตรำและเหน็ดเหนื่อย กาลาเทีย 5:22-23 บอกไว้อย่างนี้ ท่านต้องดำเนินตามอย่างนี้ ไม่ใช่ท่านต้องนะ หมายถึงท่านจะดำเนินชีวิตอย่างนี้ บนโลกใบนี้ เมื่อท่านมีความจริงอยู่ในตัว มันจะออโต้ออกมาเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำท่านกระทำอย่างนี้บนโลกใบนี้ ท่านดูสิว่ามันยากไหม? …

        กาลาเทีย 5:22-23 “ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน และการควบคุมตนเอง”

            เห็นไหมครับ? สิ่งเหล่านี้มันทวนกระแสของโลกใบนี้ทั้งสิ้น ท่านต้องฝืน ภายนอกต้องฝืน แต่ภายในของท่าน ตัวตนของท่าน เต็มใจ อยากจะทำอย่างนี้ มันก็เหนื่อย วิญญาณไม่เหนื่อย แต่ร่างกายแน่นอน ความรู้สึกมันเหนื่อย เพราะต้องทวนกระแสบนโลกใบนี้  เขาเรียกกันว่า “ถูกข่มเหง” เข้าใจไหม?  แต่ข่มเหงแบบชัดเจน หรือข่มเหงแบบนี้ มันถูกข่มเหงตลอดเวลา เพราะฉะนั้น คริสเตียนถูกข่มเหงตลอดเวลา ไม่ใช่มานึกถึงการถูกข่มเหง คือเขาต้องมาจับเรา เมื่อเราเป็นคริสเตียน เหมือนสมัยอดีต จับเราไปขังคุก เป็นคริสเตียนไม่ได้อะไรต่างๆ ไม่ใช่แค่นั้น นั่นมันเห็นชัด  ที่เห็นไม่ชัด เหมือนเราทุกวันนี้ เราอาจมีอิสระในการนับถือศาสนา เป็นคริสเตียนก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ท่านดำเนินชีวิตเหมือนถูกข่มเหง เขาทำผิดอะไรต่างๆ มา เราอยากให้อภัย แต่ในขณะที่ความคิด หรือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของเราที่ถูกล่อลวง โดยภายนอก ไม่อยากให้อภัยเลย แต่ข้างในโอเคน่า ต้องใช้เวลา ยกตัวอย่างอย่างนี้เป็นต้น

            หรือดำเนินชีวิตตามผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตะกี้ที่อ่านมาในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 5 ไม่เหนื่อยหรือ?  อย่าตอบนะว่าไม่เหนื่อย

            “ฉันเป็นคริสเตียน ฉันทำตามวิญญาณ”

            ไม่จริง ยกตัวอย่าง เช่น ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทนอย่างนี้ ความปราณี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน  การควบคุมตนเอง ควบคุมได้ไหม?  อย่างนี้เป็นต้น

            วิญญาณข้างในอยากจะทำสิ่งที่ดี  แต่เขาถูกขัดขวางตลอดเวลา  มันเลยฝืนตลอดเวลา ถ้าไม่เป็นคริสเตียนเลย มันก็ไม่มีการฟ้องผิดในใจ ไม่มีพระวิญญาณที่อยู่ภายใน ไม่มีการต่อต้านเท่าไร?  มันก็ไม่ทุกข์ทรมาน ไม่ต้องตรากตรำทำงานบนโลกใบนี้อย่างนี้  เหมือนกับคริสเตียนที่เป็น เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า มันต้องเสียสละ มันต้องอดทน

            วันนี้เอาแค่นี้ก่อน ครั้งหน้าเราค่อยมาดูว่าพระพร บำเหน็จที่จะได้รับจากการอดทนกระทำตามข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียว มันคืออะไร? พระพร บำเหน็จในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นะ ไม่ต้องรอตาย นี่พูดถึงพระพร บำเหน็จบนโลกใบนี้ที่จะได้รับ มันคืออะไร? พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาปฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น”

            โรม 5:12 … “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่เชื้อบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคนๆ เดียว (คืออาดัม) และความตายก็เกิดมาเพราะเชื้อบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”

            โรม 5:15 … “แต่ของประทานนั้นต่างจากการล่วงละเมิด เพราะถ้าคนเป็นอันมากตาย เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระคุณของพระเจ้าและของประทานโดยพระคุณ ของพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวนั้น ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก!”

            โรม 5:19 … “เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาปฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมากเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น”

            “ถ้าท่านอยู่ในอาดัม ท่านก็ไม่มีทางที่จะย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ได้ โดยความประพฤติของท่าน

ถ้าท่านย้ายมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ท่านก็ไม่มีทางที่จะย้ายกลับไปอยู่ในอาดัมได้ โดยความประพฤติของท่านเข่นกัน”

            “ถ้าท่านอยู่ในอาดัมเป็นคนบาป ท่านก็ไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมได้ โดยความประพฤติของท่าน ถ้าท่านได้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ได้เป็นผู้ชอบธรรม  บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ผ่านทางการเปิดใจต้อนรับพระคริสต์ โดยความเชื่อ ท่านก็ไม่สามารถย้ายกลับไปเป็นคนบาปได้ โดยการประพฤติของท่านเช่นกัน”

            เอเฟซัส 2:6-9 … “6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ … และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรา นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ 7 เพื่อในยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณ อันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้น จากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้  ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายาม ที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีของตัวเอง ในความรอดของตนได้”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1534

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  สิงหาคม  2025

เรื่อง “หนังสือโคโลสี” ตอน 2 (วันแม่)

โดย วราพร  คงล้วน

            เรามาดูแบบอย่างของแม่ในพระคัมภีร์ที่พระเจ้าอนุญาตให้บันทึกไว้ พวกเราผู้ซึ่งเป็นแม่ๆ ทั้งหลาย เราอาจจะไม่สามารถครบถ้วนสมบูรณ์ เหมือนในนี้บอก แต่อย่างน้อยๆ เราก็จะมีติ่งๆ เสี้ยวๆ นิดหนึ่ง ให้อยู่ในกรอบที่ถ้อยคำของพระเจ้าบันทึกให้เรารับรู้ เรามาดูในหนังสือสุภาษิต บทที่ 31 เขียนโดยกษัตริย์ซาโลมอน เรามาเริ่มต้นข้อที่ 10 เป็นต้นไป …

        สุภาษิต 31:10-14 “10 ใครจะพบภรรยาที่ดีเลิศ? นางล้ำค่ายิ่งกว่าทับทิมมากนัก 11 สามีของนางไว้ใจนางอย่างเต็มที่ และไม่ขาดสิ่งล้ำค่าอันใดเลย 12 นางนำสิ่งดีมาสู่เขา  ไม่ใช่สิ่งร้าย  ตลอดวันเวลาของนาง 13 นางเลือกหาขนสัตว์และใยป่าน และสองมือทำงานอย่างขยันขันแข็ง 14 นางเป็นดั่งเรือสินค้า ที่บรรทุกอาหารมาจากแดนไกล”

            อันนี้ ชอบ “เป็นดั่งเรือสินค้า ที่บรรทุกอาหารมาจากแดนไกล” เราจะเห็นภาพ หลายคนจะบอกว่าแม่บ้านวันๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย อยู่แต่ในบ้าน สามีออกไปทำงาน วันๆ ทำอะไรอยู่ นั่นแหละ งานที่หนักมากของภรรยา ซึ่งสามีหลายคนมองไม่เห็น แต่วันนี้จะแจงให้ฟังว่าภรรยาต้องทำงานหนักขนาดไหน? ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา จัดเตรียมอาหารให้สามีทานก่อนออกจากบ้านไปทำงาน จัดเตรียมเสื้อผ้า จัดเตรียมอาหารให้กับลูกๆ มันเป็นงานหนัก ซึ่งเป็นงานหนักที่ภรรยาทุกคน แม่ทุกคนเต็มใจทำ  โดยที่เราทำไป มีความสุขไป เหนื่อยไหม? เหนื่อย แต่มีความสุขมาก เวลาทำอะไรให้ลูกๆ เวลาทำอะไรให้สามี มันเป็นความสุขชนิดพิเศษที่ใครก็หาไม่เจอ  หาที่ไหนก็ไม่ได้ นั่นคืออยู่ในครอบครัว

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ กษัตริย์ซาโลมอนเปรียบเทียบว่า “นางเป็นดั่งเรือสินค้า ที่บรรทุกอาหารมาจากแดนไกล” เราสังเกตนะ แม่ทุกคนจะมีคลังอาหารให้กับครอบครัว ไม่ขาดสาย จัดเตรียม ไม่ใช่เรื่องหมูๆ นะ  ต้องใช้ความคิด ต้องมีการบวก ลบ คูณ หาร มีการคำนวณต้นทุน  คำนวนว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ดี และดีไม่พอ ต้องมีประโยชน์ด้วย มีประโยชน์อย่างเดียวไม่พออีก ต้องอยู่ในฤดูของมัน ถ้าเราจะทานอะไรให้อร่อย ต้องเป็นฤดูกาลของมัน ผลไม้ทุกชนิดจะมีฤดูกาลในการออกผล ผักทุกชนิด ก็จะมีฤดูกาลเช่นเดียวกัน ถ้าเราไปทานของที่นอกฤดูกาล อันดับแรก คือไม่อร่อย อันดับสอง คือแพงมาก ดิฉันเคยซื้อผักชี กิโลละ 1 บาทกับวิ่งไปถึงกิโลละ 400 บาท พอ 400 เราเลิกซื้อ ไม่ซื้อ ไม่กินก็ได้ เพราะว่ามันแพงเกินไป ฉะนั้น แม่บ้านเขาจะคำนวณอย่างนี้ เขาจะสามารถจัดการกับทุกสิ่งอย่างในครัวเรือน เพื่อให้เหมาะสม อาหารอร่อย ถูกปากครอบครัว แถมมันถูกเงินด้วย  นี่สำคัญ

            เราจะเห็นภาพในพระคัมภีร์พูดถึงภรรยาและแม่ที่ฉลาดในการดำเนินชีวิต เขาจะดำเนินชีวิตแบบนั้น ไม่ใช้อะไรตามใจตัวเอง  ไม่คิดที่จะทำอะไรออกนอกลู่นอกทาง คือทุกอย่างคำนวณเรียบร้อยเลย  แล้วคุณแม่กับภรรยาจะรู้ดีที่สุดว่าในครอบครัวใครชอบอะไร?  ครอบครัวเราไม่ใช่มีแค่สามี เรามีลูกด้วย บางคนมีลูกคนเดียวก็ง่ายหน่อย บางคนมีลูกตั้งไม่รู้กี่คน สมัยโบราณ รุ่นของดิฉัน มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน จริงๆ แล้ว 7 คน เสียชีวิตไปคนหนึ่ง ลูก 6 คนไม่ใช่เลี้ยงง่ายๆ  แต่ขอบคุณพระเจ้าที่พ่อกับแม่สามารถเลี้ยงเราจนเจริญเติบโตถึงทุกวันนี้ เป็นคนดีของสังคมได้ ปัจจุบันลูกเต็มที่เลย 2 คน 3 คน เพราะว่าค่าใช้จ่ายสูงมาก เลี้ยงเยอะไม่ไหว ยากจนไปตามๆ กัน ก็จะมีลูกน้อย แต่ว่าการเลี้ยงดูก็จะเป็นเหมือนเดิม

            เมื่อเราเลี้ยงดูลูกๆ ของเราตามพระวจนะของพระเจ้า ก็คือถ้อยคำของพระเจ้ามีบอกไว้แล้วว่าเราควรจะเลี้ยงลูกแบบไหน? อย่างไร?  แต่เราได้เปรียบตรงที่เราเป็นคริสเตียน เราเข้ามาอยู่ในพระคุณของพระเจ้าแล้ว อันดับแรกเราได้เปรียบ คือเราสามารถอธิษฐานอวยพรลูกเราได้ทุกวันทุกเวลา ไม่มีวันหยุด ไม่มีข้อยกเว้น นึกอะไรได้ ก็อธิษฐานอวยพรเขาเลย

            พรของคุณพ่อคุณแม่ เป็นพรที่สำคัญที่สุด สำหรับลูกๆ ดังนั้น พ่อแม่ที่อวยพรลูกตลอดเวลา เราจะสังเกตว่าลูกเราจะได้รับพระพร เหมือนในสมัยพระคัมภีร์เดิม คำพรของพ่อเป็นประกาศิต อวยพรอะไรจะได้ตามนั้น เหมือนกับชนชาติอิสราเอลเขาอยากได้พรของสิทธิบุตรหัวปี เพราะพรนั้น คือได้ทุกอย่างตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ แล้วเมื่อคุณพ่ออวยพรไปปุ๊บ จะได้ตามนั้นเลย เหมือนกันในปัจจุบัน เราอยู่ในพระคุณของพระเจ้า เราในฐานะของคุณพ่อคุณแม่ ขอรวบยอดนะ แม้ว่าจะเป็นวันแม่ก็ตาม พ่อก็มีบทบาทสำคัญในการดูแลลูกๆ หลานๆ ให้เจริญเติบโตอยู่ในทางของพระเจ้า

            คำพูดที่ดี คำพูดที่ไพเราะ อ่อนหวานจะสามารถสร้างบุคลิกภาพให้กับลูกเรา เจริญเติบโตเป็นเด็กที่น่ารัก ไม่ก้าวร้าว ไปถึงไหนก็จะมีคนรัก  แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่วันๆ พูดกับลูกไม่มีคำดีเลย แม้แต่คำเดียว เปิดปากปุ๊บ ด่าเลย อะไรก็ไม่รู้ ออกมาทุกรูปแบบ ลูกเขาจะฝังถ้อยคำเหล่านั้น แล้วเขาจะไม่สามารถที่จะนำเอาสิ่งดี ออกมาใช้ได้ ในชีวิตประจำวันของเขา

            นี่คือภาพที่เราจะเห็นในถ้อยคำของพระเจ้า ที่สอนเรา ดังนั้น การสอนลูกจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราอยู่ในพระเจ้า เราก็อวยพรลูกเราทุกวัน เราพูดแต่สิ่งดีๆ ลงไปในชีวิตของเขา แล้วเขาก็จะได้รับพรในสิ่งดีๆ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเขา การจัดเตรียมอาหารให้กับลูกๆ เป็นความสุขที่สุดเลย แล้วยิ่งถ้าเตรียมเสร็จ ลูกบอก …

            “อร่อยมาก”

            หน้าบานเลยนะ รู้สึกไหม? หน้าบานเลย พอลูกบอกอร่อย มีความสุข  เห็นลูกกินอร่อย เราก็มีความสุข แต่ถ้าเมนูไหนลูกบอกไม่อร่อย พับเก็บใส่ลิ้นชักเลย เลิกทำ เพราะว่าทำไป ไม่อร่อย เขาก็ไม่กิน เหมือนทุกวันนี้ ที่โบสถ์ เมนูไหนที่ทำออกมา แล้วพี่น้องบอกไม่อร่อย ไม่ปลื้ม ดิฉันพับเลยนะ เลิกทำ เพราะว่าทำแล้วไม่อร่อย ไม่อร่อย ก็ไม่มีคนกิน ทำซ้ำๆ ที่อร่อย ก็ยังดีกว่าทำแปลกแหวกแนวที่เขากินไม่ลง อะไรอย่างนี้ นั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ เมื่อเราลงแรงลงไป สิ่งที่เราอยากจะเห็น คือความสุขของคนที่มารับบริการจากเรา แล้วความสุขของลูกๆ เป็นความสุขของเราทุกคนพ่อแม่ ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้น  นี่คือภาพในพระคัมภีร์เดิม กษัตริย์ซาโลมอนเขียนไว้

        สุภาษิต 31:15-21 “15 นางตื่นขึ้นตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง เพื่อจัดเตรียมอาหาร สำหรับคนในครัวเรือน และแบ่งอาหารให้บรรดาสาวใช้ 16 นางออกไปสำรวจไร่นาแล้วซื้อไว้  และลงทุนทำสวนองุ่น  ด้วยเงินที่นางหามาได้ 17 นางทำงานอย่างขยันขันแข็ง  แขนของนางแข็งแกร่งสู้งานต่างๆ 18 นางดูแลกิจการให้ผลกำไรงอกเงย และกลางคืนตะเกียงของนางก็ไม่ดับ 19 มือของนางจับไน   นิ้วของนางจับกระสวย 20 นางหยิบยื่นให้คนยากจน และยื่นมือช่วยคนขัดสน 21 เมื่อหิมะตก นางไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับคนในครัวเรือน เพราะทุกคนสวมเสื้อผ้าอย่างดีและอบอุ่น”

            เห็นไหมการจัดเตรียมที่พร้อมสรรพเลย คือเตรียมไว้ล่วงหน้า นี่พูดถึงสมัยก่อน ในอิสราเอล เวลาร้อนก็ร้อนมาก เวลาหนาวก็หนาวมาก มันต้องมีการเตรียมพร้อมตลอดเวลา ฉะนั้น ภรรยาและคุณแม่ที่ดี เขาก็จะจัดเตรียมทุกอย่างไว้ เป็นคนที่ขยันขันแข็งด้วย ในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าคนขี้เกียจ ไม่ต้องให้เขากิน พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าที่ขยันมาก ฉะนั้น เราลูกๆ ของพระเจ้า เราจะมีคุณลักษณะเดียวกันกับพระเจ้าของเรา ก็คือความขยันขันแข็ง อยู่นิ่งไม่เป็น แล้วขยันขันแข็ง ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นแม่บ้าน เราต้องวิ่งไปหาอะไรทำ ไม่ต้อง ความขยันเริ่มต้นจากในบ้าน แค่ตื่นขึ้นมา ดูแลบ้านให้เรียบร้อย สะอาดสะอ้าน ทำกับข้าวกับปลาให้ลูกๆ เตรียมเช้า สาย บ่าย เย็นอะไรแบบนี้ มันหมดวันไปแล้ว นั่นคือต้องขยันขันแข็ง

            แต่ถ้าผู้หญิงที่ไม่ขยันเขาทำอะไร? วันๆ ก็นอนกระดิกขา บ้านจะรกอย่างไรก็ช่างมัน ปล่อยให้ขี้ฝุ่นจับ หนาเป็นนิ้ว ก็ปล่อยมัน ลูกเต้าจะหิวข้าวอะไร ก็เรื่องของเขา ไปหากินกันเองก็แล้วกัน สามีกลับมา คุณไปหาของกินเองก็แล้วกัน  นั่นคือคนขี้เกียจ คนขี้เกียจ ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าจะบันทึกแต่คนที่ขยันเท่านั้น เราในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าเราขยันขันแข็ง เราก็จะเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่าง แบบของพระเจ้าเลย  เราก็จะเป็นคนที่ขยันขันแข็ง เราขี้เกียจไม่ค่อยเป็น ถ้าอยู่เฉยๆ ก็ไข้จับพอดี อยู่เฉยๆ ก็ไม่สบาย

            ฉะนั้น การทำงานในแต่ละวัน ในชีวิตประจำวัน สำหรับคนที่เป็นแม่บ้าน ไม่ได้ออกไปทำงานนอกบ้าน หรือคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านเหมือนกัน ก็คือต้องขยันขันแข็ง นี่คือการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวันของมนุษย์ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ มนุษย์ปัจจุบันที่เราอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เราก็ยังคงต้องทำมาหากิน เหมือนกับคนอื่นเขา แต่สิ่งที่เราไม่เหมือนคนอื่น คือวิญญาณของเราได้รับพระพรจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว

        สุภาษิต 31:22-24 “22 นางทำผ้าปูที่นอนเอง เสื้อผ้าของนางทำด้วยผ้าลินินเนื้อดีและผ้าขนสัตว์สีม่วงราคาแพง 23 สามีของนางเป็นที่นับหน้าถือตาที่ประตูเมือง ที่ซึ่งเขานั่งอยู่ในหมู่ผู้อาวุโสของแผ่นดิน 24 นางยังได้ทำเครื่องนุ่งห่มด้วยผ้าลินินไว้ขาย และส่งผ้าคาดเอวให้แก่พ่อค้า”

            เห็นไหม ดูแลครอบครัวไม่พอ ทำของขายด้วยนะ นี่ขยันมาก สิ่งที่น่าประทับใจอยู่ในข้อที่ 23 บอกว่า “สามีของนาง เป็นที่นับหน้าถือตา” แปลว่าภรรยาคนนี้ วางตัวได้ดีมาก ทำให้สามีได้รับการนับถือจากผู้คนรอบข้าง แต่ถ้าภรรยาวางตัวไม่ดี สามีทำอะไรก็เดินตามไปพูดๆ ชี้นิ้ว สามีก็จะไม่ได้รับการนับหน้าถือตา จากผู้คนรอบข้าง ฉะนั้น ภรรยาที่ดีต้องเป็นผู้สนับสนุนสามีของเรา เราสนับสนุนเขา ไม่ใช่เป็นผู้บังคับบัญชาเขา บังคับให้สามีต้องทำโน่นต้องทำนี่ ต้องๆ ตามที่ฉันอยากได้ ไม่ใช่ สนับสนุนสามีของเรา เขาทำอะไรให้เราสนับสนุน เมื่อสามีของเราเกิดล้มเหลวขึ้นมา เราก็อยู่ข้างๆ เขา เป็นกำลังใจให้เขา เมื่อเขาประสบความสำเร็จ เราก็ยังคงอยู่ข้างๆ เขา ชื่นชมยินดีร่วมกับเขา นี่คือภาพที่คนของพระเจ้าจะทำได้ ในชีวิตประจำวันของเรา

        สุภาษิต 31:25-30 “25 พลังและศักดิ์ศรี คืออาภรณ์ที่นางสวม ดังนั้น นางจึงหัวเราะกับอนาคตที่จะมาถึงได้ 26 ปากของนางเอื้อนเอ่ยสติปัญญา ลิ้นของนางสอนสิ่งดีงาม 27 นางคอยดูแลกิจการทั้งสิ้นในครัวเรือน และไม่เคยเกียจคร้าน 28 ลูกๆ ของนางยืนขึ้นกล่าวยกย่อง สามีของนางก็ชมเชยนางว่า 29 สตรีจำนวนมากทำสิ่งดีเลิศ  แต่เธอล้ำเลิศยิ่งกว่าพวกเขาทั้งหมด 30 เสน่ห์เป็นสิ่งหลอกลวง และความสวยงามไม่จีรังยั่งยืน แต่สตรีที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับการสรรเสริญ”

            อันนี้ สรุปข้อความทั้งหมดที่กษัตริย์ซาโลมอนพูดไว้ เสน่ห์เป็นของหลอกลวง ความงามไม่ยั่งยืนจีรัง ถ้าตอนสาวๆ เราสวยไม่ว่า อายุเยอะขึ้นๆ จะสวยเหมือนเดิม เป็นไปไม่ได้ เมื่อเราอายุเยอะมากเท่าไร ในพระคัมภีร์บอกว่าผมหงอกเป็นศักดิ์ศรี ฉะนั้น เราไม่ต้องกังวลว่าผมเราจะหงอก หน้าเราจะย่น ฟันเราจะหลุด หรืออะไรก็แล้วแต่ มันไปตามวาระ ที่เราดำเนินชีวิตไป

            ฉะนั้น หลักสำคัญในข้อพระคัมภีร์บทนี้ ก็คือสตรีที่ยำเกรงพระเจ้า แค่นี้เอง เราอยู่ในพระเจ้า เรายำเกรงพระเจ้า เมื่อเรายำเกรงพระเจ้าปุ๊บ เวลาเราจะทำอะไร เรามองที่พระเจ้า เมื่อเราเคารพ ยำเกรงพระเจ้า เราจะไม่กล้าที่จะออกนอกลู่นอกทาง อย่าใช้คำว่าไม่กล้าเลย เราไม่อยาก ถ้าไม่กล้า มันยังแฝงความกลัว แต่คือเราไม่อยากทำอะไรที่ออกนอกลู่ นอกทาง ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้  เราอยากมีชีวิตอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า เราใช้ชีวิตที่สงบสุขอยู่จำเพาะพระพักตร์ของพระองค์ เราทำหน้าที่ของเราเต็มที่ ส่วนที่เหลือพระเจ้าจะเป็นผู้ดูแลให้กับพวกเรา เพราะจริงๆ แล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าเองเป็นผู้ใส่ความปรารถนาให้กับพวกเราทุกๆ คน ให้พร้อมที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ นี่คือความจริง

            เราขอบคุณพระองค์สำหรับถ้อยคำตรงนี้ที่กษัตริย์ซาโลมอนได้พูดไว้ สตรีที่ยำเกรงพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญ เรียกว่าได้รับความรัก การอวยพร จากผู้คนรอบข้าง ความเอาใจใส่จากผู้คนรอบข้าง เพราะว่าเราได้ส่วนที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

        สุภาษิต 31:31 “จงยกย่องนาง เพราะทุกสิ่งที่นางทำให้ประชาชนที่ประตูเมืองสรรเสริญนาง  เพราะการงานของนาง”

            เราก็ขอบคุณพระเจ้า นี่คือแบบอย่างของพระคัมภีร์ที่พูดถึงภรรยาและพูดถึงคุณแม่ และจริงๆ แล้ว ในพระคัมภีร์ยังมีพูดถึงคุณแม่อีกหลายๆ ตอนมาก วันนี้เอามาแค่ตอนเดียวพอ ก็คือหลายๆ ตอนที่ได้พูดถึงคุณแม่ที่รักลูก รักขนาดที่ยอมเสียสละ ยอมเสียหน้า เพื่อลูกของเรา

            มีอยู่ตอนหนึ่ง ตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งมาขอร้องพระเยซูคริสต์ อยู่บทไหนไม่รู้จำไม่ได้ เอาไว้ไปหาให้ มาขอร้องพระเยซูคริสต์ว่าลูกเขาไม่สบาย ขอพระเยซูคริสต์ไปรักษาลูกของเขาด้วย แล้วผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนยิว เป็นคนต่างชาติ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาบนโลกใบนี้ พระเยซูถูกส่งมา เพื่อที่จะมาหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น ก็คือมาช่วยคนอิสราเอลเท่านั้น ตอนที่พระเยซูทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย ทุกคนได้ยินได้ฟังหมด แล้วผู้หญิงคนนี้ ซึ่งเป็นคนต่างชาติได้ยินด้วยว่าพระเยซูทรงสามารถที่จะรักษาโรคได้ ก็เลยบากหน้า ต้องเรียกว่าบากหน้า มาหาพระเยซู มาขอร้อง มาขอความเมตตาจากพระเยซู แต่พระเยซูพูดประโยคหนึ่งว่า …

            “ที่จะเอาอาหารของลูกไปให้สุนัขก็ไม่ควร”

            สมัยก่อน คนยิวเขาถือว่าคนต่างชาติเป็นสุนัขหมด ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคน เขาเรียกอย่างนั้นจริงๆ ก็คือเป็นสุนัข พระเยซูกำลังเปรียบให้เห็นว่าหลักของพระคัมภีร์เดิม เป็นอย่างนั้นจริงๆ พระเยซูมา เพื่อเอาอาหาร … อาหารตรงนี้ เป็นอาหาร จิตวิญญาณที่พระองค์เอามาให้กับคนยิวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรค การทำหมายสำคัญ การทำการอัศจรรย์ทั้งหมด พระเยซูทำ เพื่อให้คนยิวรับรู้ว่าพระองค์ คือผู้นั้น เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา แต่พระเยซูก็บอกกับผู้หญิงคนนี้อย่างนี้นะ ถ้าเป็นเรายังจะอยู่ไหม? ถ้าเราเป็นแม่ เรายังจะอยู่ไหม? เพื่อลูกนะ อยู่ ไม่เป็นไร โดนด่าแค่นี้ นิดเดียวมาก เขาเรียกว่าจิ๊บจ๊อย นิดเดียวเอง ขอแค่พระเยซูยอมรักษาลูกให้หาย แค่นั้นก็พอ

            แล้วผู้หญิงคนนี้ตอบว่า … “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขจะกินเศษอาหาร ที่มันหล่นจากโต๊ะของลูก”

            เห็นความเชื่อไหม? ความเชื่อ ก็คือพระเยซูกำลังบอกเขาว่าอาหารตรงนี้ พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับลูกๆ ก็คือชนชาติอิสราเอล แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ลดละ เพราะว่าเขาเห็นลูกทรมาน เขาอยากให้ลูกได้รับการรักษา

            เขาบอกไม่เป็นไร เป็นหมาก็ได้ แต่ว่าขอเศษอาหารนิดหนึ่งได้ไหม? ลูกกินอิ่มแล้ว เหลือเศษๆ ที่ทิ้งๆ ขว้างๆ ขอแค่เศษ แค่นั่นเอง ลูกของเขาจะได้รับการรักษา

            พระเยซูบอก “เพราะความเชื่อของเจ้า”

            เขาเชื่อจริงๆ เขาเชื่อว่าพระเยซูทรงสามารถรักษาลูกเขาได้ และเพราะความเชื่อของเขา พระเยซูเลยบอกว่า … “หญิงเอ๋ย กลับไปเถอะ ลูกของเจ้าหายแล้ว”

            นั่นคือความรักของแม่คนหนึ่งที่สำแดงออกมา เป็นแม่ที่ไม่เป็นไร ถูกว่าเป็นหมาก็ได้ เป็นสุนัขก็ได้ เป็นคนที่ไม่มีอะไรก็ได้ แต่ขอแค่ให้ลูกได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าแค่นั้น พอแล้ว

            นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกให้เราเห็นภาพคุณแม่ที่รักลูกของตัวเอง จนยอมทุกอย่าง เพื่อให้ลูกของตัวเองได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า

            เราก็ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ แบบอย่างพวกนี้ ที่พระคัมภีร์บันทึกให้เราได้เห็น ได้รับรู้ มันเป็นชีวิตจริงของพวกเราทุกๆ คนที่อยู่บนโลกใบนี้ เราจะเห็นแม่หลายๆ คน ที่ยอมทนทุกข์ลำบาก ตัวเองอด ไม่เป็นไร แต่ลูกต้องอิ่ม ในช่วงสภาวะที่อดอยาก หรือในช่วงสภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี ในช่วงสภาวะที่เราเงินขาดมือ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าแม่ทุกคนจะยอมอด เพื่อให้ลูกตัวเองได้กินอิ่ม นี่คือหัวใจของแม่

            แล้ววันนี้ เราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับวันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่เราจะมาขอบคุณพระเจ้า สำหรับคุณแม่ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ที่ท่านยอมอดหลับอดนอนในขณะที่ลูกเจ็บป่วย ถ้าลูกเราป่วย แม่ไม่ได้นอน กอดเอาไว้นั่นแหละ วางปุ๊บร้องๆ ต้องกอดเอาไว้ นอนไม่ได้ ต้องไปพิงอยู่ตรงข้างเตียง เชื่อว่าทุกคนมีประสบการณ์ตรงนี้ เพราะเรามีลูกมาแล้ว พิงอยู่ข้างเตียง แล้วเราก็หลับไปทั้งอย่างนั้นแหละ นี่คือภาพของความรักที่แม่ทุกคนมีต่อลูก ไม่ว่าแม่คนนั้นจะเป็นคนไทย คนต่างชาติ เป็นฝรั่ง ทุกคนมีความรักตรงนี้อยู่ในหัวใจ เพราะความรักนี้ เป็นของประทานที่พระเจ้าใส่เข้ามา

            โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราจะมีความรักชนิดพิเศษเลย เป็นความรักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้า เมื่อก่อนเราไม่เชื่อพระเจ้า เรายังมีความรัก แต่ความรักเราทำไม่ได้เต็มที่ เรารักก็จริง พอเราโมโห เราก็ด่าลูก เป็นไหม? โมโห ก็ด่าลูก อะไรอย่างนี้ แต่ว่าพอถึงปัจจุบัน เราเชื่อพระเจ้าแล้ว มันมีความรักชนิดพิเศษ ที่พระเจ้าใส่เข้ามา  ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ความรักแบบอากาเป้ เหมือนพระเจ้า เราสามารถดูแลลูกของเรา เราสามารถให้ความรักเขาได้อย่างเต็มที่ สามารถที่จะอดทนกับอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ดีในชีวิตของลูก พี่น้องต้องรับความจริงตรงนี้ว่าลูกเราไม่ได้น่ารักตลอดเวลา มันจะมีวัยที่เขาเรียกว่าวัยกบฏ เคยเจอวัยกบฏไหม? งอแงตลอดเวลา อันโน้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ นี่ไม่ได้ นั่นไม่ได้ตลอดเวลา เด็กทุกคนจะมีวัยนั้น แต่ว่าแม่และพ่อทุกคนจะมีวิธีในการที่จะดูแลเขา ในการพูดคุยกับเขา ในการสอนเขา ให้เขาสามารถที่จะเป็นเด็กดีในสังคมได้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเราผู้ที่มีความรักชนิดที่เป็นแบบของพระเจ้า เรายิ่งสามารถสอนลูกเรา ให้ได้รับพระพรมากกว่านั้น เยอะแยะมากมายเลย

            ก็ขอขอบคุณคุณแม่ทุกๆ คนในที่นี้ด้วย ที่สละเวลา สละทุกสิ่งอย่าง เพื่อดูแลลูกๆ หลานๆ ของเรา ให้เขาเจริญเติบโตขึ้นมาให้เขาเป็นเด็กที่ดี เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคม ดังนั้น สังคมจะดี ต้องเริ่มต้นจากที่บ้าน ถ้าบ้านดี สังคมจะดี  สังคมดี ประเทศจะดี เขาเรียกว่ามันจะดีเป็นโดมิโน เราอย่าไปคาดหวังว่าจะรอให้สังคมดี แล้วเราก็ทำอะไรเละเทะ ไม่มีทาง  มันต้องเริ่มต้นที่บ้านก่อน บ้านของเรา ดูแลลูกให้เป็นคนดี เป็นเด็กดี ในอนาคตข้างหน้า ลูกเราไม่จำเป็นต้องเก่ง คนเก่งมีเยอะแล้ว ไม่ต้องไปแข่งกับเขา ไม่จำเป็นต้องเก่ง แต่ลูกเราเป็นคนดี แค่นั้นพอ  แล้วถ้ามีแถมเก่งมาด้วย ก็ขอบคุณพระเจ้า เอาด้วย แต่ถ้าไม่ได้แถมตรงนั้น ก็ไม่เป็นไร แค่ขอให้เขาเป็นเด็กดี เป็นคนดีของสังคม ไม่ไปทำความเดือดร้อนให้ผู้คนรอบข้าง ไปถึงไหน มีแต่คนมีความสุข เจอครอบครัวนี้ แล้วมีความสุขนะ เห็นลูกๆ เขาเจริญเติบโต เราก็มีความสุข เห็นลูกเขาไปดีมาดี เราก็ยิ่งมีความสุขใหญ่

            นี่คือภาพที่เราอยากจะเห็น  และสังคมไทยอยากจะเห็น ประเทศชาติอยากจะเห็น แล้วเริ่มต้นจากพวกเรา  ตอนนี้เราแก่เกินแล้ว เราไปดูแลใครไม่ได้แล้ว บอกลูกๆ หลานๆ ในอนาคตที่จะมีครอบครัว ดูแลลูกของเรา เลี้ยงเขาให้เป็นเด็กดี เลี้ยงเขาด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยความสามารถของเรา จริงๆ เราไม่สามารถหรอก เราไม่มีความสามารถ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระเจ้าให้สติปัญญาเราในการเลี้ยงดูเขา ฟูมฟักเขา อวยพรเขา อธิษฐานให้เขาทุกวัน คำอธิษฐานของคุณพ่อคุณแม่เป็นสิ่งที่ดีเลิศที่สุด ดีกว่าหาทรัพย์สินเงินทองไปให้ลูกเยอะแยะมากมาย ดูแลเขาอย่างดี สอนเขาให้รู้จักหน้าที่ของลูก หน้าที่ของการออกไปข้างนอก เป็นคนดี หน้าที่ของประชาชนที่มีต่อประเทศชาติ สอนเขาแค่นี้เอง แล้วเขาก็เจริญเติบโต เขาจะเป็นคนดีในสังคมนี้ เอเมนไหม? พระเจ้าอวยพรค่ะ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            หลักการของการให้ด้วยใจยินดี และผลที่ตามมาจากการให้ หลักการของพระเจ้าในการให้ด้วยใจในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คือ …

            2 โครินธ์ 9:6-9 … “6 ผู้ที่หว่านเพียงเล็กน้อย ก็จะเกี่ยวเก็บเพียงเล็กน้อย และผู้ที่หว่านมาก ก็จะเกี่ยวเก็บมาก 7 แต่ละคนจงให้ตามที่เขาตั้งใจไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยความเสียใจหรือด้วยความจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกอย่างแก่ท่านอย่างบริบูรณ์ เพื่อท่านจะมีสิ่งสารพัดพอเพียงเสมอ และมีเหลือเฟือสำหรับการดีทุกอย่าง 9 ตามที่เขียนไว้ว่า ‘เขาได้แจกจ่าย เขาได้ให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์’”

            ความสำคัญของการให้ด้วยใจยินดีและไม่ใช่ด้วยความจำใจ เพราะพระเจ้าทรงพอใจผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี และพระองค์จะประทานพระคุณอย่างเพียงพอ เพื่อให้เรามีทุกสิ่งที่จำเป็นและสามารถทำการดีต่อๆ ไปได้

            การให้ด้วยใจยินดีเป็นการสะท้อน การแสดงออกถึงการเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เป็นความรักเหมือนพระคริสต์ ที่ดำรงอยู่ตลอดไปในวิญญาณที่เป็นตัวตนแท้จริงของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว จากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าในพระคริสต์

            พระเจ้าอวยพรครับ