วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1505

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  มกราคม  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 12

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย 4:6 ปีที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 5 ที่บอกว่า

        กาลาเทีย 4:5 “เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์”

            การไถ่มนุษยชาติให้เป็นบุตรของพระองค์ ทำให้เราได้รับอิสรภาพ ได้รับสิทธิการเป็นบุตรอย่างสมบูรณ์ การไถ่นี้ มันเกิดขึ้นโดยกำลังของเราไม่ได้ แต่โดยพระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว และเราเข้ามารับเอา เรามาต่อในข้อที่ 6 …

        กาลาเทีย 4:6-7 “6 ในเมื่อท่านเป็นบุตร   พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา พระวิญญาณผู้ทรงร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ” 7 ฉะนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และเพราะท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้ท่านเป็นทายาทด้วย”

            อันนี้เป็นพระพรเลย  เป็นความจริงในโลกวิญญาณ ทันทีที่พวกเราทั้งหลายได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้รับสิทธิที่พระเจ้าบอกกับเรา คือได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบมากๆ ตามที่พระเจ้าได้กระทำไว้เรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ได้สำแดงให้เรารับรู้ว่าเราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ เราจึงกล้าเรียกพระเจ้าว่าพ่อ ก่อนที่เราจะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ คงไม่มีใครกล้าเรียกพระบิดาว่าพ่อ มีไหม? กล้าไหม? คงไม่กล้า เราไม่กล้าอธิษฐานกับพระเจ้า ไม่กล้าสนิทสนมกับพระองค์ เพราะว่าอยู่กันคนละทิศ คนละทางกัน วิญญาณของเรา กับวิญญาณของพระเจ้าอยู่กันคนละพวก

            ฉะนั้น เมื่อวิญญาณของเรากับวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน ผ่านทางการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา แล้วพระวิญญาณก็ทำงานร่วมกับวิญญาณของเรา ให้เราสามารถรับรู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ไม่ได้มโน  บางคนคิดว่าเรามโนไปหรือเปล่า แค่อธิษฐานแค่นี้ เราก็เป็นลูกของพระเจ้าหรือ? แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกอย่างนั้นจริงๆ ว่าในโลกวิญญาณได้บังเกิด แล้วก็เกิดมาเป็นผลที่เราสามารถสัมผัสจับต้องได้ จากที่ข้างในวิญญาณเรารับรู้ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบอกกับเราได้ ด้วยเหตุผลของบนโลกใบนี้ที่จะบอกเรา 1, 2, 3, 4 ไม่ได้ แต่ข้างในวิญญาณ เรารู้เลยว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด องค์นี้ เป็นพระเจ้าของเรา เป็นพ่อของเรา  แล้วเกิดความผูกพัน สนิทสนม  เป็นหนึ่งเดียวกัน มันเกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ ซึ่งการเกิดขึ้นตรงนี้ ไม่ได้เป็นการกระทำของเราเลย แต่เป็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผูกพันเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ทำให้เรามีความรู้สึกข้างในวิญญาณว่าเรากับพระเจ้าเป็นพ่อเป็นลูกกัน

            พอความรู้สึกตรงนี้จากข้างในวิญญาณปุ๊บ เราเลยกล้าที่จะอธิษฐานกับพระเจ้า เรียกพระเจ้า พระบิดา หรือเรียกพ่อ เรียกปะป๊า เรียกแด๊ดดี้ เรียกอะไรก็ได้  ที่มันเป็นความรู้สึกของความผูกพันในวิญญาณของเรา

            เมื่อเราเป็นบุตรแล้ว ในข้อที่ 7 บอกว่าเราจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป  อาจารย์เปาโลกำลังยืนยันกับชาวกาลาเทียให้รับรู้ความจริงว่าตอนนี้ท่านทั้งหลายเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ ท่านไม่ได้เป็นทาสอีกแล้วนะ ไม่ได้เป็นทาสของกฎบัญญัติต่างๆ ที่พยายามจับคนกาลาเทีย หรือแม้แต่ปัจจุบัน กฎต่างๆ พยายามจับพวกเรา ซึ่งเป็นผู้เชื่อ ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไปอยู่ภายใต้กฎเหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า  เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้ว

            เมื่อพระเจ้าให้เราเป็นลูกปุ๊บ เราก็ได้เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือพระสัญญาที่พระเจ้าเขียนไว้ในถ้อยคำของพระองค์ และยืนยันอย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ว่าเราไม่เพียงแต่เป็นลูกเท่านั้น ลูกเฉยๆ ยังแบบปกติมาก แต่เป็นทายาท

            คำว่า “ทายาท” มีความหมายมากๆ สมมติว่าครอบครัวนี้มีลูกสัก 10 คน แต่จะมีคนเดียวที่เป็นทายาทของครอบครัวนี้ คำว่าทายาท หมายความว่าเขาจะได้รับมรดกมากกว่าคนอื่น อาจจะได้รับทั้งหมด แต่ส่วนคนอื่นๆ คุณพ่อคุณแม่จะแบ่งสรรปันส่วนให้กับลูกคนอื่นๆ อีก 9 คน อาจจะคนละนิดคนละหน่อย แบ่งไป …

            “แต่คนนี้ฉันเลือกไว้แล้วว่าจะเป็นทายาทของตระกูลนี้ ซึ่งเขาสามารถรับมรดกทั้งหมดของฉัน”

            นี่คือความสำคัญของการเป็นทายาท ไม่อย่างนั้นจะมีศึกการชิงมรดกหรือ? จ้องจะฆ่าทายาทให้ตายอย่างเดียว ซึ่งนี่เป็นความจริงในโลกวิญญาณที่พระเจ้าบอกกับพวกเราผู้เชื่อว่าเราไม่ใช่เป็นบุตรเฉยๆ แต่เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ หมายความว่าพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น  พระเยซูมีอะไร? เรามีอย่างนั้น พระเยซูคริสต์ได้รับอะไรจากพระเจ้าพระบิดา เราได้รับด้วยอย่างนั้น

            นี่คือความหมายของคำว่า “ทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์” นี่คือสิทธิพิเศษ สำหรับพวกเราผู้เชื่อ เราขอบคุณพระเจ้า ซึ่งของประทานนี้ เป็นของประทานแห่งความรอดที่พระเจ้าให้กับมนุษย์เปล่าๆ ใครก็ได้ ตาสีตาสา เรียนหนังสือ อยู่ป.1 หรือไม่มีเงินเรียน หรือจบดร. ถ้าเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คน 2 คนนี้จะมีสถานะเดียวกัน  คนที่จบแค่ ป.1 กับคนที่จบ ดร. มีสถานะเดียวกัน คือเป็นลูกของพระเจ้า ร่วมกันในพระเยซูคริสต์ อย่างที่พระคัมภีร์บอกไม่มีหญิงไม่มีชาย ไม่มีกรีก ไม่มีชนชาติใดๆ ทั้งนั้น เพราะเราทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์

            สถานะเราทุกคน จะเป็นสถานะเดียวกัน เป็นพี่น้องในพระคริสต์ ดังนั้น คนที่เข้ามาหาพระเจ้าจะไม่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แม้ว่าในตัวตนแท้ๆ ที่เขาเป็นอยู่ เขาอาจจะเป็นลูกน้อง เป็นลูกจ้าง เคยไปทำงานที่ไม่มีเกียรติ แต่เขามีเกียรติในสายพระเนตรของพระเจ้า  เพราะพระเจ้าถือว่าเราเป็นบุตรที่รักของพระองค์ และเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์

        กาลาเทีย 4:8-9 “8 เมื่อก่อนท่านยังไม่รู้จักพระเจ้า ท่านเป็นทาสของผู้ซึ่งโดยสภาพแล้ว  ไม่ใช่เทพเจ้าเลย 9 แต่เดี๋ยวนี้ ท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกคือพระเจ้าทรงรู้จักท่านแล้ว ท่านยังจะหวนกลับไปหาหลักการเก่าๆ ซึ่งอ่อนแอและน่าสังเวชหรือ? ท่านอยากตกเป็นทาสด้วยสิ่งทั้งปวงนี้อีกหรือ?”

            เหตุผลที่อาจารย์เปาโลพูดอย่างนั้น เพราะในคริสตจักรกาลาเทีย ตอนที่อาจารย์เปาโลมาประกาศข่าวดีของพระเจ้า ชาวกาลาเทียเหล่านี้เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา และเขาได้รับรู้ความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้าว่าเขาได้เป็นอิสรภาพจากกฎของความบาปและความตาย  เขาไม่ได้อยู่ภายใต้กฎอีกต่อไป แล้วเขาก็ชื่นชมยินดีมาก หลังจากนั้น อาจารย์เปาโลก็เดินทางไปประกาศที่อื่น แล้วก็มีผู้คนที่มาสอนเรื่องความรอด ซึ่งแตกต่างจากที่อาจารย์เปาโลสอน เป็นความรอดที่ต้องบวกการประพฤติด้วย ซึ่งพระเจ้าบอกว่ามันไม่มี ไม่ต้องบวก เราทำไม่ได้หรอก พระเยซูทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ 100% เรียบร้อยไปแล้ว  เราไม่จำเป็นต้องทำอีกแล้ว เรารับเอาอย่างเดียว แต่มีคนมาสอนชาวกาลาเทียว่า …

            “เธอเชื่อพระเจ้าอย่างเดียวไม่พอหรอก รอดไม่ 100% เธอจำเป็นจะต้องทำอย่างนี้ เธอจำเป็นจะต้องทำโน่นนี่นั่นเยอะแยะมากมาย”

            มันเป็นกฎมายาวมาก แล้วชาวกาลาเทีย คือโดยความเป็นมนุษย์ แล้วก็พอฟังเยอะๆ ตกใจ …

            “ตกลงฉันรอดไหมเนี้ย ฉันต้องทำโน่นต้องทำนี่ไหม”

            แล้วก็หลงเชื่อ แล้วก็ไปทำตาม ถ้าเมื่อไรที่เราพยายามประพฤติ เพื่อได้รับความรอด เราก็ตกจากระดับของพระเจ้า ดังนั้น การประพฤติของผู้เชื่อ ไม่ได้ประพฤติ เพราะจะทำให้เราได้รับความรอด พี่น้องต้องฟังให้ชัด เรารอดแล้ว เราถึงประพฤติดี การประพฤติดี คือการประพฤติตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา คือเป็นคนดี  เป็นความดี เป็นความรัก พระเจ้าใส่มาเรียบร้อยแล้ว แล้วเราก็ฝึกฝนที่จะทำมันออกไป คือปฏิบัติออกไป  นี่คือหลักการของผู้เชื่อ  แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทำพวกนี้ เพื่อทำให้เราได้รับความรอด เรารอดแล้ว

            ยกตัวอย่าง นาย ข. เป็นลูกของนาย ก. คลอดออกมาแล้ว เป็นลูกแล้ว ต่อแต่นี้ไป นาย ข. ไม่ว่าจะทำอะไร เพราะเขารักนาย ก. ที่เป็นพ่อ เขาทำสิ่งที่ดี เพื่อให้คุณพ่อมีความสุข  แต่ไม่ได้หมายความว่านาย ข. พยายามทำดี เพื่อให้ตัวเองได้เป็นลูกของพ่อ ต่างกันนะ  พยายามทำความดี เพื่อให้ตัวเองมาเป็นลูกของพ่อ แล้วพ่อก็มอง

            “เธอเป็นลูกฉันแล้ว เธอไม่ต้องทำดี แม้แต่ไม่ทำอะไรเลย เธอก็ยังเป็นลูกฉันอยู่ เหมือนเดิม”

            อันนี้ คือความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งคริสเตียนจะโดนหลอกตลอดเวลาว่าเราต้อง ต้องๆๆๆ และต้อง ถ้าไม่ต้อง แล้วพระเจ้าไม่รัก  ไม่จริง พระเจ้ารักเราที่สุดแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระเจ้าเป็นพ่อของเราแล้ว แม้เราจะไม่ประพฤติตามตัวตนแท้ๆ ของเรา พระเจ้าก็ยังคงรักเราอยู่ แต่พระเจ้าจะทำการงานในใจของเรา พระเจ้าจะโน้มนำเรา จะคอยบอกเรา ให้เราพร้อมและยอมที่จะทำตาม เรียกว่าตัวตนใหม่ของเรา ให้มันส่งผลออกไป นี่คือสิ่งที่พระเจ้าจะทำ

            ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกเราว่าถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ พระเจ้าจะไม่รักเรา  ไม่จริง แต่พระเจ้าก็จะทุกข์ใจนิดหนึ่ง ตรงที่ว่าถ้าเราไม่ทำตาม สิ่งที่เป็นตัวตนแท้ๆ เราก็จะทำตามสิ่งตรงข้าม มันไม่มีตรงกลาง ไม่ดำก็ขาว ไม่ซ้ายก็ขวา ไม่มีกลางๆ ถ้าเราไม่ทำตามพระเจ้า เราก็ไปหลงทำตามกฎของโลกใบนี้ คืออยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ถ้าเราไม่รัก ก็เกลียด มันอยู่ตรงกันข้าม ฉะนั้น ถ้าเราไม่ทำตาม ข้างในวิญญาณที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นอย่างนี้แล้ว  เราไม่ทำตามปุ๊บ สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือเราจะเก็บเกี่ยวผล ผลของสิ่งที่เรากระทำออกไป ซึ่งมันไม่ได้เป็นน้ำพระทัยที่พระเจ้าอยากให้ลูกของพระองค์ต้องเก็บเกี่ยวผลเหล่านี้  แต่กฎก็คือกฎ พระเจ้าตั้งกฎมา แล้วพระองค์เป็นผู้รักษากฎอีกต่างหาก

            กฎในโลกวิญญาณกับกฎในโลกวัตถุ มันก็มี 2 กฎ กฎในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตทำให้ท่านหลุดพ้นจากกฎของความบาปและความตาย นี่คือกฎในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกแล้ว มันไม่มีผลอะไร ไม่ว่าจะประพฤติแบบไหน? ไม่มีผลกับวิญญาณของเรา วิญญาณของเรารอดแล้ว เราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว คือสถานะนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ใครก็ไม่สามารถกระชากเราออกจากเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าลงมาอยู่ข้างล่างได้ ในโลกวิญญาณ เราอยู่ตรงนั้นแล้วกับพระเยซูคริสต์

            แต่กฎของโลกใบนี้ ก็ยังมีอยู่ พระเจ้าตั้งไว้เหมือนกัน ก็คือใครหว่านอะไร ก็ต้องเก็บเกี่ยวอย่างนั้น เราเป็นผู้เชื่อ ถ้าเราหว่านสิ่งไม่ดี  เราก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งไม่ดี เราจะไปร้องโวยวายกับพระเจ้าไม่ได้

            “พระองค์เจ้าข้า ทำไมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น” อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้ เพราะว่ากฎก็คือกฎ พระเจ้าตั้งไว้แล้ว ถ้าเราขว้างก้อนหินออกไป มันโดนกำแพง มันก็เด้งกลับมา ขว้างยิ่งแรงเท่าไร? มันก็เด้งกลับมาแรงเท่านั้น  ก็คือเราจะต้องเก็บเกี่ยวผล

            เราขอบคุณพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ข้างในเรา พระองค์จะคอยช่วยเหลือเรา คอยแนะนำเรา คอยเตือนเรา สะกิดเรา เป็นไหม บางครั้งเราคิดจะทำอะไรที่ไม่ดี ความคิดมา พระวิญญาณที่อยู่ข้างใน จะเตือนเรา ไม่ดี ไม่เอา มันจะมีการตัดสินใจ การตัดสินใจอยู่ที่เรา ซึ่งพระเจ้าไม่ตัดสินใจแทนเรา  และพระเจ้าไม่บังคับเราด้วย คือเราจำเป็นจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจในแต่ละวัน แต่ละนาที แต่ละเหตุการณ์ ที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตของเราว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับเรา เราจะตัดสินใจแบบไหน? เราจะตัดสินใจแบบธรรมชาติใหม่ของเรา ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก หรือเราจะตัดสินใจตามระบบของโลกนี้ส่งเข้ามาว่าแค้นนี้ต้องชำระ ดูหนังจีนเยอะ แค้นนี้ต้องชำระ อย่างนี้ เราตัดสินใจได้ แล้วพระเจ้าก็ไม่ได้ห้ามการตัดสินใจของเรา  แต่พระเจ้าจะบอกผลของการตัดสินใจของเรา ในแต่ละครั้ง  ตัดสินใจตามพระเจ้า เราก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งดี ตัดสินใจตามโลกนี้ เราก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งไม่ดี ซึ่งพระเจ้าไม่ต้องการ ไม่อยาก แต่พระเจ้าก็บีบคอเราไม่ได้  พระเจ้าน่ารักมาก คือไม่บีบคอลูกของพระองค์

            “ไม่ได้ๆ” ลากกลับมา

            ไม่มี พระเจ้าก็ปล่อยให้เราเรียนรู้ ให้เรามีประสบการณ์ในการตัดสินใจต่างๆ เหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ เมื่อเราเลี้ยงลูก เราไม่สามารถครอบเขาเหมือนเอาสำลีห่อไว้ ทำอะไรไม่ได้ อยู่ที่บ้าน เราก็ต้องป้องกันอย่างแรง ลูกเราวิ่งหัวทิ่มหัวตำ ไม่เจ็บ เป็นไปไม่ได้  ถ้าลูกเราวิ่งหัวทิ่มหัวตำ ก็ต้องเจ็บ แต่ว่าการเจ็บของเขา เขาจะเรียนรู้ เหมือนเด็กๆ ส่วนใหญ่เขาเห็นรูไม่ได้ แปลกดี แปลกแต่เป็นเรื่องจริงนะ เห็นอะไรมีรูไม่ได้ นิ้วเล็กๆ ขอแหย่นิดหนึ่ง  แล้วสมัยก่อน เขาไม่เอาปลั๊กไฟอยู่ข้างบน  ปัจจุบันก็เหมือนกัน เขาไม่เอาปลั๊กไฟอยู่ข้างบน เขาจะเอาอยู่ข้างล่าง มันก็ล่อตาล่อใจเด็ก เด็กคลานไปคลานมาก็เอานิ้วไปจิ้ม ก็โดนไฟช๊อต พ่อแม่ก็จะคอยบอก …

            “ลูกอย่าทำนะ อย่าๆ”

            บอกว่าอย่าและบอกเหตุผล แต่เผลอทีไร ลูกก็ไปทำ แต่ถ้าเขาทำ ครั้งแรกช๊อตไม่เยอะ เขาอาจจะไม่จำ พอคราวหน้าเขาลืม คลานไป เขาก็ไปลองจิ้มดูใหม่ แต่ถ้าช๊อตเยอะ คือเจ็บ เขาก็จะจำ เขาก็จะมอง อันนี้อันตราย คราวหน้าก็ถอยห่างหน่อย เราไม่เข้าใกล้แล้ว มันอันตราย นี่คือลักษณะของเด็ก

            พวกเราเหมือนกัน เราเป็นผู้เชื่อ เราก็เป็นเด็กเล็กๆ ของพระองค์ พระองค์ก็จะอนุญาตให้เรามีประสบการณ์ ในการตัดสินใจทุกอย่าง  แต่พระเจ้าจะบอกเลยว่า …

            “ถ้าตัดสินใจแบบนี้ ลูกจะได้แบบนี้ ถ้าทำอย่างนี้ ลูกจะได้อย่างนี้”

            พระเจ้าบอกไว้เรียบร้อยทุกอย่าง แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้าที่เรามีตัวช่วย ตัวช่วยของเราสุดยอดที่สุด  ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา ที่จะคอยช่วยเรา โน้มนำเรา ให้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

            ทุกๆ การตัดสินใจของเรา  พระเจ้าจะคอยอยู่ข้างๆ แต่พระเจ้าก็จะไม่บังคับเรา คือเราตัดสินใจแล้ว เราก็ต้องรับผิดชอบการตัดสินใจของเราทุกอย่าง แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะคอยบอกเรา  อยู่ที่ว่าบอกแล้วเราจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน  หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่เป็นไรหรอกพี่น้อง ไม่ว่าเราตัดสินใจอย่างไร? สมมติ พลาดไป เราก็เริ่มต้นใหม่  เราก็ลุกขึ้นมา โอเค อันนี้ พลาดไป ก็เสียเวลานิดหนึ่ง ไม่เป็นไร เราก็มาเริ่มต้นใหม่ อะไรประมาณนี้  เพราะว่าผู้เชื่อทุกคนมีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่เสมอ พระเจ้าให้เรามีโอกาสนั้น

        กาลาเทีย 4:10 “ท่านกำลังถือวัน เดือน ฤดูและปี”

            คนกาลาเทียเริ่ม คือเวลาเราเชื่อพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุด พระเจ้าบอกว่าทุกวันดี ดีหมด เราดูจากในหนังสือปฐมกาล  ตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใบนี้ วันแรกสร้างอะไร? พอสร้างจบ พระเจ้าบอกว่าดี วันที่สอง, สาม, สี่, ห้า, หก พระเจ้าก็ยังคงบอกคำเดียวกัน คือดี  แล้วพอวันที่เจ็ด พระเจ้าพัก หมายความว่าทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างมา มันดีหมด แต่มนุษย์ไปทำให้มันเสียหาย คือไม่ดี พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ทุกวันเป็นวันดี ถ้าวันนั้นเราสบาย นึกออกไหม? เราสบาย ไม่เดือดร้อนใคร เราว่าง เราสามารถไปได้ สามารถทำสิ่งนั้นได้  ถือว่าเป็นวันดีหมด

            ฉะนั้น ผู้เชื่อไม่จำเป็นจะต้องไปยึดวันเดือนปีว่าเราจะทำอย่างนั้น เราควรจะเลือกแบบไหน? หรือเราต้องไปให้หมอดูไหมว่าวันไหนดี? ผู้เชื่อต้องไปให้หมอดูว่าวันไหนดีไหม? ไม่ต้อง เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเหล่านี้แล้ว เมื่อพระเจ้าบอกว่าดี แล้วข้างในวิญญาณเรายืนยันว่าดี เราตัดสินใจเอาวันนี้แหละดี หรือแม้แต่เราจะฉลองวันเกิด มันไม่ตรงกับวันที่เราว่าง

            สมมติเราเกิดวันที่ 12 แล้ววันนี้เราไม่ว่าง เพื่อนก็ไม่ว่าง แล้วเราไม่จำเป็นต้องเป๊ะๆ มาจัดวันที่ 12

            “เพื่อน วันไหนสะดวก พรุ่งนี้หรือ? วันที่ 13 โอเค เรานัดกัน ไปฉลองวันเกิดกัน วันที่ 13 เราถือว่าเป็นวันดี”

            นี่คือลักษณะ ฉะนั้น อย่ายึดวันเดือนปีว่าต้องอย่างโน้นต้องอย่างนี้ ถึงจะเป็นวันดี  เพราะพระเจ้าบอกกับเราว่าเมื่อเราอยู่ในพระเจ้า ทุกวันดีหมด

        กาลาเทีย 4:11 “ข้าพเจ้าหวาดหวั่นแทนท่าน เกรงว่าที่ข้าพเจ้าบากบั่นทุ่มเทให้ท่านนั้น จะเปล่าประโยชน์”

            อาจารย์เปาโลหวาดหวั่นแทนชาวกาลาเทีย เพราะว่าสิ่งที่อาจารย์เปาโลหว่านลงไปที่คริสตจักรชาวกาลาเทีย คือความรอดที่ไม่ได้พึ่งการประพฤติ แต่เป็นความรอดที่ผ่านทางความเชื่อในพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับ เราได้รับความรอด  และเป็นความรอดที่ครบถ้วนสมบูรณ์  ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติใดๆ เลย ฉะนั้น เมื่อชาวกาลาเทียเริ่มต้นไปเชื่อฟังคำสอนอะไรก็ไม่รู้ ที่เขามาสอนว่า …

            “เชื่อแค่นี้ไม่พอ  เธอต้องทำเพิ่ม เธอต้องอย่างโน้นอย่างนี้ ต้องๆๆๆๆๆ”

            ขบวนการต้องทั้งหลายแหล่ ซึ่งพระเจ้า พระเยซูคริสต์ไม่เคยใช้คำว่าต้องกับพวกเรา  คำว่าต้องคือบังคับ  ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้  ถ้าไม่ทำ ต้องถูกลงโทษ  นี่คำว่า “ต้อง” พระเจ้าไม่เคยใช้คำว่าต้องกับลูกของพระองค์  แต่พระเจ้าจะใช้คำว่า “ควร” มันนุ่ม

            “ลูกเอ๋ย ลูกควรทำแบบนี้นะ เรื่องนี้ตัดสินใจ ลูกควรจะทำอย่างนี้นะ ลูกควรจะสำแดงความรักนะ เพราะว่าลูกเป็นความรักแล้ว มันอยู่ข้างใน มันไม่ยากเลย  ลูกแค่สำแดงออกไปเท่านั้นเอง”

            คำว่า “ควรจะ” หมายความว่าถ้าเราไม่ทำ พระเจ้าก็ไม่ว่าอะไร?  …

            “อ้าว! ไม่ทำหรือลูก ควรจะ แต่ลูกไม่ทำใช่ไหม? ลูกไม่ทำ ลูกต้องรู้นะ เดี๋ยวลูกจะเก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้เท่านั้นเอง”

            แล้วเราก็เริ่มเรียนรู้จากการตัดสินใจของเรา ในทุกๆ เรื่อง เรียนรู้ว่าตัดสินอย่างนี้ผิด พระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนแล้ว แต่เราไม่เชื่อฟัง เราก็เก็บเกี่ยวผล แค่นั้นเอง เห็นไหมว่าการเชื่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แล้วพระเยซูทำให้ง่ายมากๆ แต่มนุษย์จะพยายามทำให้มันยุ่งยากเข้าไว้ เหมือนมันมีอะไรให้ทำ แต่ว่าพระเยซูบอก …

            “ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพราะว่าฉันทำให้เสร็จหมดแล้ว เธอแค่มารับอย่างเดียว ก็โอเค จบแล้ว”

            ดังนั้น อาจารย์เปาโลก็กลัวว่าชาวกาลาเทียทั้งหลาย จะเริ่มต้นไม่ได้เชื่อในข่าวดี ที่อาจารย์เปาโลประกาศไว้ตั้งแต่เริ่มต้นไปใช้กำลังของตัวเอง เพื่อที่จะทำโน่นทำนี่  ทำให้ได้รับความรอด อันนี้น่ากลัว

        กาลาเทีย 4:12-15 “12 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ขอให้เป็นเหมือนข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้เป็นเหมือนท่าน ท่านไม่ได้ทำผิดอะไรต่อข้าพเจ้า 13 ท่านก็ทราบอยู่ตอนแรก ที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านนั้น ก็เพราะความเจ็บป่วย 14 แม้ว่าความเจ็บป่วยของข้าพเจ้า   เป็นการทดลองสำหรับท่าน ท่านก็ไม่ได้ดูถูกหรือสบประมาทข้าพเจ้าเลย กลับต้อนรับราวกับข้าพเจ้าเป็นทูตของพระเจ้า ราวกับข้าพเจ้าเป็นองค์พระเยซูคริสต์เอง 15 ความชื่นชมยินดีของท่านหายไปไหนหมดแล้ว? ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าถ้าท่านทำได้ ท่านก็คงจะควักตาของท่านให้ข้าพเจ้าแล้ว”

            อาจารย์เปาโลท้าวความให้ชาวกาลาเทียฟังว่าตอนที่ท่านมาประกาศข่าวดี ให้กับชาวกาลาเทีย ท่านไม่ได้มาแบบคนที่แข็งแรง มาแบบสง่างาม มาแบบห้าวหาญ  มาแบบด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าในนามพระเยซู หยุดๆ ไม่ใช่ ไม่มี แต่อาจารย์เปาโลมาในลักษณะที่ป่วยออดๆ แอดๆ ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าถ้าเป็นไปได้ ท่านอาจจะควักตาให้กับข้าพเจ้า อาจารย์เปาโลอาจจะป่วยด้วยเรื่องสายตา อาจารย์เปาโลเคยตาบอด จำได้ใช่ไหม? ตอนเจอพระเยซูคริสต์ ตกม้า ท่านตาบอดไป 3 วัน ฉะนั้น ความป่วยไข้ตรงนี้อาจจะเกี่ยวกับเรื่องของตาด้วย แต่ว่าชาวกาลาเทียไม่ได้สนใจสิ่งภายนอกของอาจารย์เปาโลเลย แต่เขาสนใจข่าวดีที่อาจารย์เปาโลประกาศ  ซึ่งตัวอาจารย์เปาโลเองไม่ได้มีความสำคัญใดๆ เจ็บป่วย แต่ชาวกาลาเทียยังคงยืนยันความเชื่อของเขาด้วยถ้อยคำของพระเจ้าที่อาจารย์เปาโลประกาศเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ  แล้วคนเหล่านี้ก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่า ณ เวลานั้น วันแรกที่เราเจอกัน ได้พูดคุยเรื่องข่าวดีของพระเจ้า ท่านทำอย่างนี้จริงๆ แทบจะคิดว่าฉันเป็นพระเยซูคริสต์ แต่ไม่ใช่หรอก ท่านรับเอาข่าวดีของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ  ที่ทำให้ท่านได้กลับใจใหม่

            พอถึงข้อที่ 15 บอกว่า … “ความชื่นชมยินดีของท่านหายไปไหนหมดแล้ว” ก็คือจากข้อมูลที่ได้ยินได้ฟัง ข้อมูลข่าวประเสริฐที่มีการเจือปน บวกๆๆๆ  แล้วก็บวกว่าไม่ใช่ความเชื่ออย่างเดียวที่ได้รับความรอด ต้องกระทำด้วย ฉะนั้น ความชื่นชมยินดีมันหายไปหมดเลย เริ่มไม่เชื่ออาจารย์เปาโลแล้ว เริ่มพยายามทำด้วยกำลังของตัวเองแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกถ้าเราพยายามประพฤติด้วยกำลังของตัวเราเอง เพื่อที่จะได้รับความรอด เราก็หล่นจากพระคุณของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว

            เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับพวกเราทุกๆ คน ในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า เวลาเราเดินกับพระเจ้า ตอนเราเชื่อใหม่ๆ เราเชื่อจริงๆ …

            “พระเยซูคริสต์ทำให้ฉันรอด ฉันรอดโดยพระคุณด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ทำดีด้วยตัวของฉันเอง”

            พอเชื่อพระเจ้าไปนานๆ เริ่มรู้สึก … “ฉันต้องทำอย่างนี้ ฉันต้องทำอย่างนั้น ฉันต้องๆๆๆๆ”

            มาแล้ว มาเป็นขบวนการ ซึ่งมันเป็นการหลอกล่อ หลอกลวงของโลกใบนี้ที่พยายามทำให้เราพึ่งพากำลังของตัวเอง แทนที่เราจะพึ่งพาพระเจ้า ดังนั้น คำว่า “ต้อง” ไม่มี การประพฤติของคริสเตียน คือเมื่อเราเชื่อแล้ว เราอยากจะทำให้พระเจ้ามีความสุข เราอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

            นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณที่มันจะเกิดขึ้นกับพวกเราทุกๆ คน อาจารย์เปาโลก็เป็นห่วงเรื่องนี้ ในขณะเดียวกัน พวกเราทุกคน เหมือนกัน ในความเป็นห่วงของพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้ท่านเชื่อ วางใจในพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น  แล้วรับเอาสิ่งที่พระเจ้าทำสำเร็จให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วเท่านั้นเอง นี่คือข่าวดีที่มาถึงพวกเราทุกๆ คนในเช้าวันนี้ พระเจ้าอวยพรค่ะ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 10

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ … เป็นประชากรของโลกนี้

            หลังเชื่อ … เป็นประชากรในสวรรค์ของพระเจ้าทันที

            1 เปโตร 2:9-10 … “9 แต่พวกท่าน (ผู้เชื่อพระเยซู)  เป็นพงศ์พันธุ์ที่ทรงได้เลือกสรร (ได้ย้ายแล้ว)  เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์  เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า  เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณ  (ความยิ่งใหญ่แห่งพระสิริ บารมี และพระคุณ) ของพระองค์  ผู้ใด้ทรงเรียกพวกท่าน (ย้ายพวกท่าน)  ให้ออกมาจากความมืด  เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์ 10 เมื่อก่อน (ก่อนเชื่อ) ท่านทั้งหลายไม่มีชาติ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งหลาย หาได้รับพระกรุณาไม่ แต่บัดนี้ ท่านได้รับพระกรุณาแล้ว”

            • แต่ก่อนนี้ ก่อนเชื่อท่านไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า แต่เป็นคนของโลก ท่านอยู่ในอาดัม

ตอนนี้ หลังเชื่อ ท่านได้ถูกย้ายมาอยู่ในพระเยซู

            แต่ก่อนนี้  ก่อนเชื่อท่านอยู่ในความพินาศ ในอาดัม ในความบาป เดี๋ยวนี้หลังเชื่อท่านได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์

            • แต่ก่อนนี้ ก่อนเชื่อ ตอนที่ยังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์  ตอนที่ท่านยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า  ท่านอยู่ในความพินาศ  เพราะไม่ยอมรับพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว  แต่ท่านไม่เอาเอง  แต่ตอนนี้ ท่านเชื่อแล้ว  ก็เท่ากับท่านยินยอมรับเอา  พระเมตตาและพระคุณของพระเจ้า  เข้ามาแล้ว

                        เพราะฉะนั้น

            ก่อนเชื่อ … เป็นประชากรของโลกนี้

            หลังเชื่อ … เป็นประชากรในสวรรค์ของพระเจ้าทันที

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1504

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  มกราคม  2025

เรื่อง “เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา … เราเผชิญพรุ่งนี้ได้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ ชื่อเรื่องพิเศษหน่อย เป็นวันเริ่มต้นปีนี้ ก็ทำให้มันพิเศษ เป็นจุดเริ่มต้นดี ใช้ชื่อเรื่องว่า “เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา … เราเผชิญพรุ่งนี้ได้” โลกเราทุกวันนี้ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทางด้านวัตถุแบบก้าวกระโดด รวดเร็วมาก เผลอแป๊บเดียว ตามเขาไม่ทันเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร แต่ในขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นนี้ ก็กำลังย้อนกลับมาสร้างปัญหาอันใหญ่โตให้กับมวลมนุษย์บนโลกใบนี้ เราจะเห็นชัดเจน ที่เราคุยกันมาตลอดว่ามีอยู่ 2 โลก ในโลกวิญญาณเอย ในโลกวัตถุเอย แต่ยุคปัจจุบันนี้ ต้องเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่ง โลก เขาเรียกว่าไซเบอร์ หรือโลกออนไลน์ คือโลกที่มองไม่เห็น  แต่มีอยู่จริง และเรามีชีวิตอยู่ในนั้น

            ออนไลน์ คือพวกคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย  หรือเรียกว่าหุ่นยนต์ก็ได้  โลกออนไลน์นี่แหละที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมโลกมนุษย์ทุกวันนี้ ทุกแห่งในปัจจุบัน มันไปถึงหมดเลย ครอบคลุมโลกใบนี้หมด  แล้วน่ากลัวที่สุด คือกระทบถึงเด็กรุ่นใหม่ เด็กเยาวชนที่เริ่มเกิดใหม่ แล้วอยู่กับ 3 โลกนี้ อย่างพวกเราอายุมากแล้ว ก็ตามไม่ทัน ก็มีชีวิตอยู่มานานแล้ว ก็ได้สัมผัสถึงโลกไซเบอร์ โลกออนไลน์นี้บ้าง แต่เด็กๆ เขาต้องอยู่กับโลกไซเบอร์นี้ ตั้งแต่เล็กเลย แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น

            จากรายงานสถิติออนไลน์ทั่วโลก พบว่าเด็กมากกว่า 300 ล้านคนได้ตกเป็นเหยื่อของการแสวงหาผลประโยชน์ทางออนไลน์ทุกปี ซึ่งรวมถึงการเผยแพร่ภาพหรือวีดีโอ โดยไม่ได้รับความยินยอม การถูกล่อลวงทางออนไลน์  และการกระทำอื่นๆ เช่น การใช้เทคโนโลยี AI ในการหลอกลวง  AI ก็คือปัญญาประดิษฐ์ พูดง่ายๆ คือหุ่นยนต์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เอาไปใช้ในสิ่งที่ดี มันก็ดี มีประโยชน์ แต่เอาไปใช้เป็นโทษ มันก็เพิ่มโทษ เพิ่มความร้ายกาจของมนุษย์มากยิ่งขึ้น  ให้มนุษย์มีการทำร้าย ทำลาย ทำชั่วเยอะขึ้นนั่นเอง

            นอกจากงานวิจัยที่ออกมารายงานแล้วว่าการใช้โซเซียลมีเดีย การสื่อสารออนไลน์มากเกินไป การใช้เรื่องราวเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไซเบอร์เหล่านี้มากเกินไป ยังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพทางร่างกายและจิตใจของเด็กด้วย เพราะฉะนั้น เด็กตอนนี้เขาจะมีหน่วยงานที่มาคุ้มครอง ดูแลเรื่องนี้ เขาก็แนะนำให้พ่อแม่ระวัง ควบคุมดูแล ให้ตั้งแต่ทารก ตั้งแต่เด็กๆ เริ่มต้นเรียนรู้จักการใช้สื่อออนไลน์ มือถือ ไอแพค ไอโฟน หรือแม้กระทั่งในทีวีตอนนี้ เป็นแบบไซเบอร์ก็มีให้จำกัดเวลา ให้ระมัดระวังในเรื่องนี้ บางราย บางสถาบันเขาถึงขนาดแนะนำว่าเด็กตั้งแต่คลอดจนถึง 3, 4 ขวบ ไม่ให้เสพออนไลน์เหล่านี้เลย  ไม่ให้ดูจอเลย  ให้เลี้ยงดูแบบธรรมชาติเหมือนเดิม แล้วค่อยๆ ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้ สอนให้เขาได้เรียนรู้ เมื่อเขาโตขึ้น อาจจะ 6, 7 ขวบ หรืออะไรก็ตาม

            ล่าสุด เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ออสเตรเลียได้ประกาศ เป็นประเทศแรกได้ผ่านร่างกฎหมายควบคุมเข้าถึงโซเซียลของเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี หมายถึงให้เหตุผลว่าโซเซียลมีเดียเป็นอันตรายต่อลูกหลานของเรา และถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องยุติมัน  คือกฎหมายนี้ออกมา ไม่ให้เด็กวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 16 ปี เปิดบัญชีเข้าไปใช้ เข้าเป็นบุคคลหนึ่งในโลกของไซเบอร์  ในโลกของวิญญาณที่เป็นไซเบอร์ ที่บอกว่าเป็นวิญญาณ คือมันมองไม่เห็น มันมีอยู่จริง ก็คือไปเป็นสมาชิก เป็นตัวตนคนหนึ่งในเฟสบุ๊คบ้าง ในยูทูปบ้าง ในออนไลน์อะไรต่างๆ ไม่ให้เลย มันต้องมี ID ต้องเป็นสมาชิก ก็คือเป็นบุคคลคนหนึ่งอยู่ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น ที่เรียกว่าไซเบอร์นี้

            ที่พูดถึงข่าวนี้ขึ้นมา เพื่อย้ำให้เราเห็นถึงถ้อยคำพระเจ้าที่ว่าอยู่บนโลกนี้ เราต้องเผชิญกับการหลอกล่อ หลอกลวงของมาร มาทุกรูปแบบ ในพระคัมภีร์หมายถึงถูกล่อลวง โดยมารซาตาน ผ่านทางมนุษย์บนโลกใบนี้นั่นเอง ไม่ใช่เป็นผีอะไรที่ไหนหรอก คือวิญญาณเหล่านี้ ที่มีหัวหน้าเป็นมาร ทำงานผ่านระบบของโลกใบนี้ ผ่านทางมนุษย์บนโลกใบนี้ ทุกคน ผ่านทางอิทธิพลของมันที่อยู่บนโลกใบนี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือการถูกหลอก ถูกล่อ ถูกลวงด้วยระบบของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่มารเป็นผู้วางระบบไว้ว่าโลกใบนี้มันเป็นอย่างนี้ๆ ต้องแข่งกัน ต้องทำร้ายกัน ต้องเห็นแก่ตัวอะไรต่างๆ เหล่านี้ โดยผ่านทางมนุษย์

            เพราะฉะนั้น การถูกหลอกโดยมาร ก็คือผ่านทางมนุษย์ มนุษย์มาหลอกเราอีกที แล้วก็ใช้ไซเบอร์เหล่านี้ ใช้ออนไลน์เหล่านี้  ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ เป็นเครื่องมือในการมาหลอก ในยุคปัจจุบัน คือเทคโนโลยีของ AI คือ Artificial Intelligence คือปัญญาประดิษฐ์ เหมือนหุ่นยนต์ เอาหุ่นยนต์มาใช้งาน ไปหลอกเขา นึกออกใช่ไหมว่ามันหนักขนาดไหน? แล้วชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้ พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงแค่นี้อย่างเดียว  แต่ยังพูดถึงความทุกข์ลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องผจญกับอะไร? ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ทุกคน โรคภัยไข้เจ็บ ก็เยอะแยะมากมายไปหมด อะไรแปลกๆ ก็เข้ามาเยอะแยะไปหมด และไหนจะอุบัติเหตุที่แบบแปลกๆ ก็มี การล่อลวงของระบบของโลกใบนี้ โดยผ่านทางมนุษย์ ที่บอกไปเมื่อสักครู่นี้ ไหนจะเรื่องการทำมาหากิน เรื่องปากท้อง ลำบากขึ้นทุกวัน ภัยธรรมชาติอีก อันตรายที่เกิดจากมนุษย์ทำร้ายกันเอง หรือเกิดสงคราม ขัดแย้งกันเอง และเป็นผลพวงทำให้คนที่ไม่ได้ขัดแย้งก็ทุกข์ไปด้วย เหล่านี้ มันเกิดขึ้น ณ โลกใบนี้ในปัจจุบัน อย่างเห็นได้ชัด

            แล้วเราถามตัวเราเองสิว่าแล้วใครเล่าจะช่วยเราได้  กฎหมายที่ออกมาจะช่วยเราได้แค่ไหน?  บอกว่าประเทศออสเตรเลียประกาศกฎหมายนี้ออกมาแล้ว จะช่วยเด็กวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 16 ปี ได้มากน้อยเพียงใด? ถ้าเป็นลูกหลานของเรา จะช่วยเขาได้อย่างไร? มากน้อยเพียงใด? ในอนาคตอันใกล้นี้ ลูกหลานของเรา ต้องเผชิญกับสิ่งที่เราพูดมาเมื่อสักครู่นี้ ทั้งหมด มากขึ้นเรื่อยๆ เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากกับโลกใบนี้ที่เกิดขึ้นได้อย่างน่ากลัวที่สุดเลย แล้วเรารู้สึกกังวลหรือเป็นห่วงไหม?  เราดูลูกหลานของเรา เป็นห่วงไหม? อายุ 1 ขวบ 2 ขวบ 3 ขวบ เจริญเติบโตมาอยู่ในท่ามกลางที่เรากำลังเห็นอยู่นี้ แล้วมันจะหนักขึ้นทุกวัน หลอกล่อ หลอกลวง ไม่ว่าคนแก่ คนเฒ่า คนหนุ่ม คนสาว ถูกหลอกหมดเลย  เรากังวลไหม? เรามีความรู้สึกไหมว่าลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร?  ใครคือคำตอบของเรา

            หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ก็คือคำตอบที่ถามมาเมื่อสักครู่นี้ว่าใครเล่าจะช่วยเราได้ พระคริสต์ทรงอยู่ในเรา เราเผชิญพรุ่งนี้ได้  ลูกหลานของเราเผชิญพรุ่งนี้ได้ เพราะว่าพระคริสต์ทรงอยู่ในเขาทั้งหลาย

            เพราะพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา นำทางเรา เราจึงเผชิญทุกสิ่งได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง นี่คือความจริงที่จะมาเปิดเผยจากถ้อยคำพระเจ้า ในเช้าวันนี้  เพื่อเป็นเครื่องมือ เป็นกำลัง เป็นสติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้กับเราทั้งหลายในยุคนี้ ในวันปีใหม่นี้ เราจะเริ่มต้นจากมัทธิว 28:18-20 ซึ่งได้กล่าวไว้อย่างนี้ …

        มัทธิว 28:18-20 “18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้ แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น ในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ ดูเถิด เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก เอเมน”

            เรามาเจาะลึกกันดูว่าหมายถึงอะไร? เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนที่พระเยซูทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้วบนไม้กางเขน คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อชำระบาปและช่วยเหลือเราให้รอดพ้นจากการเป็นคนบาป  และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ พระองค์ก็ปรากฎตัวของพระองค์ในลักษณะของกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากความตาย ปรากฏให้กับสาวก 40 วัน เดินกับสาวก 40 วัน ให้สาวกจับ แตะเนื้อต้องตัว ทานอาหารกับสาวก พูดคุยกับสาวก เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่พระองค์ทรงบอกไว้ให้วางใจในพระองค์  พระองค์เป็นพระเมซีฮาห์ มาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปนั้น เป็นจริง พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ พอครบ 40 วัน พระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เข้าไปในโลกวิญญาณ  แล้วก็ให้สาวกออกไปประกาศ  ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้

            ข้อ 18 “พระเยซูทรงเข้ามาใกล้ แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว” กำลังจะขึ้นไปบนสวรรค์ ลอยขึ้นไป จากนี้ต่อไป พวกสาวกที่เชื่อในพระองค์ จะไม่เห็นพระองค์แล้วนะ จะต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อแล้วนะ จะต้องใช้วิญญาณเดินแล้วนะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระองค์ทรงพูดนี้ เป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีการปรากฎตัวอีกแล้วนะ ต้องใช้ความเชื่อเอา สิ่งที่พระองค์ทรงพูดจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดเลย  เพราะจะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของเหล่าสาวกทั้งหลาย พระองค์บอกเลยว่าสิทธิอำนาจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโลกที่มองเห็น หรือโลกที่มองไม่เห็น ทั้งหมดเลย ได้ถูกมอบไว้ที่พระองค์แล้ว ใครมอบ แน่นอน ก็ต้องเป็นพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าพระบิดาได้มอบสิทธิที่มองเห็น ทั้งในโลกที่มองไม่เห็น อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าอยู่ที่ไหนพระเยซูคริสต์ ลอยขึ้นไปอยู่ในสวรรคสถาน นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

            การที่นั่งอยู่ที่เบื้องขวา ก็หมายถึงสิทธิอำนาจทั้งหมดของพระเจ้า พระบิดาที่ครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่บนโลกใบนี้ และโลกที่มองไม่เห็นทั้งหมดนั้น ได้ถูกมอบให้กับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้สำเร็จราชการ พูดง่ายๆ  เป็นผู้ใช้อำนาจนี้ทั้งหมดเลย อยู่ที่พระองค์ผู้เดียว ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย แล้วพระคัมภีร์ยังบันทึกไว้ เราได้เรียนรู้แล้วว่าเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อ ที่เป็นสาวก ที่พระองค์กำลังพูดกับสาวกเหล่านี้  สาวกของพระองค์ หรือผู้ที่เชื่อของพระองค์เหล่านี้  ได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานด้วย แม้จะมองไม่เห็น แต่นี่เป็นความจริง พระเยซูกำลังจะพูดอย่างนั้น

            ในข้อ 19 “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์”

            รับบัพติศมา คืออะไร? เราเรียนรู้ไปแล้วว่ารับบัพติศมา หมายถึงจุ่มลงไป ไปเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ จุ่มเข้าไป ใส่เข้าไป ใส่วิญญาณของเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ใน 1 โครินธ์ 6:17 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 6:17 “ผู้เชื่อที่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ (บัพติศมาในพระคริสต์) ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์”

            พูดง่ายๆ ก็คือผู้เชื่อที่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้เชื่อที่ได้รับบัพติศมาในพระคริสต์ ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์

            บัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้หมายถึงบัพติศมาในน้ำเพียงอย่างเดียว แต่เล็งไปถึงโลกวิญญาณว่าบัพติศมาในพระคริสต์ คือวิญญาณเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เน้นถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ่ง ระหว่างผู้ที่เชื่อในพระองค์ คริสเตียนและพระเจ้า ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณ เมื่อใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคของพระเจ้า  ก็คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายความว่าเราได้อยู่ในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุดแล้ว  ไม่มีใกล้ชิดได้กว่านี้อีกแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันเลย ไม่มีสิ่งใดสามารถแยกเราออกจากความรักของพระเจ้า สถานะที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ได้ชั่วนิรันดร์ จะอยู่อย่างนี้ อยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร์

            ในข้อที่ 20 “สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้”

            สอนผู้เชื่อให้ถือรักษาสิ่งสารพัด สิ่งสารพัดที่พระองค์ทรงสั่ง คืออะไร? ใครจำได้บ้าง? สอนผู้เชื่อให้วางใจในพระองค์และรักซึ่งกันและกัน ก็คือบัญญัติที่พระองค์ทรงให้ไว้ ที่เราได้เรียนรู้มา ที่พระองค์ทรงบอกว่า

            “นี่คือบัญญัติที่เราให้กับพวกเจ้าทั้งหลายและสาวกของเราทั้งหลายทุกคน ก็คือจงวางใจในเรา และดำเนินชีวิตด้วยความรัก คือรักซึ่งกันและกัน”

            พระเยซูตรัสกับผู้เชื่อ นี่กำลังพูดกับคนที่เชื่อแล้วแต่ละคนเลยว่าให้วางใจในพระองค์และรักซึ่งกันและกัน และที่สำคัญกว่านั้น พระองค์ตรัสไว้ตอนท้ายสุดของข้อนี้ว่า “ดูเถิด เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก เอเมน” หมายถึงพูดกับคนที่เชื่อในพระองค์  คือสาวกของพระองค์ คือคริสเตียนแต่ละคน ไม่ใช่พูดถึงรวมนะ แต่กำลังพูดกับท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว พูดว่าอย่างไร? …

            “จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน”

            ซึ่งตัวนี้สามารถแปลได้ในพระคัมภีร์ใหม่ว่า “อยู่ในท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พระเยซูตรัสกับท่านทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน ตั้งแต่วันโน้น  จนถึงวันนี้ ก็ได้ตรัสว่า “จงมองให้เห็นเถิด” เพราะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มองไม่เห็น เพราะฉะนั้น จึงบอกคริสเตียนว่าท่านทั้งหลาย ควรจะมองให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ คือให้รับรู้เรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ รับรู้ว่าอย่างไร? จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่ในท่าน อยู่กับท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก

            คำว่า “จนกว่าจะสิ้นโลก” หมายถึงจนกว่าพระองค์จะกลับมาใหม่  เพื่อพิพากษาโลกนี้ จนกว่าวันที่โลกนี้ ถูกกำหนดไว้ ที่ถูกพิพากษาไปแล้ว ให้จบลง ให้สิ้นสุดลง เพื่อพระเจ้าจะได้สร้างโลกใหม่ให้กับพวกเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ครอบครองต่อไป จนกว่าถึงวันนั้น เราอยู่กับท่าน หมายถึงอยู่กับ คริสเตียนผู้เชื่อในยุคไหนก็ตาม  ไม่ว่าจะ 2,000 ปีที่แล้ว  พระองค์ก็อยู่ในผู้เชื่อตลอดเวลาเสมอไป คือต่อให้ผู้เชื่อที่จะมาเชื่อ ในวันพรุ่งนี้ หรือปีหน้า หรืออีก 10 ปีหน้า หรืออีก 100 ปีหน้า ถ้าพระเยซูยังไม่กลับมาใหม่ ยังไม่สิ้นโลก เขาผู้นั้นที่เป็นคริสเตียน ที่เป็นผู้เชื่อนั้น พระเยซูก็สัญญาว่าพอเขาเชื่อปั๊บ พระเยซูก็จะเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาตลอดเวลา

            “พระเยซูตรัสว่าจงมองให้เห็นเถิด  เราอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พูดกับเราทุกคนแต่ละคน เป็นส่วนตัวเลย พระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อ จึงเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ ในพันธสัญญาใหม่ ในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าเตรียมไว้ และกระทำสำเร็จแล้ว ในโลกมนุษย์ เรียกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ซึ่งแสดงถึงความลึกซึ้ง ในความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เหมือนที่พระเยซูได้ยกอุปมาว่าสนิทสนมกัน เหมือนเราเป็นกิ่งก้านขององุ่น แล้วพระองค์เป็นลำต้น ต่อกันสนิทอย่างนั้น เหมือนกับที่พระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลบอกว่าเราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซู ซึ่งพระเยซูเป็นศีรษะ เราเป็นส่วนหนึ่งในร่างของพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันขนาดไหน? แล้วถามว่าเราจะรู้ได้อย่างไร? ว่าขณะนี้มันเป็นอย่างนี้ในวิญญาณภายในของเรา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าขณะนี้วิญญาณของเราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรคสถานกับพระเจ้าแล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรคสถานแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เราจะรู้ได้อย่างไร?  ก็โดยความเชื่อ  เพราะสิ่งเหล่านี้เราได้มาโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยความประพฤติ ใน 2 โครินธ์ 13:5 ได้บอกถึงวิธีทดสอบดูว่าท่านรู้ได้อย่างไร? ดูสิว่าอาจารย์เปาโลว่าอย่างไร? …

        2 โครินธ์ 13:5 “จงสำรวจตนเองว่าท่านตั้งมั่นในความเชื่อหรือไม่ จงทดสอบตัวเอง ท่านไม่รู้ (ไม่เห็น) หรือว่าพระเยซูคริสต์ทรงอยู่ในตัวท่าน แน่นอนนอกจากว่าท่านไม่ผ่านการทดสอบ”

            ถ้าท่านผ่านการทดสอบ ก็หมายถึงท่านเชื่อ ท่านรู้และเห็นว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวท่านนั่นเอง คำว่า “ท่านไม่รู้” ก็คือ “ท่านไม่เห็นเหรอ” “ไม่รู้เหรอ” มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ หรือว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในท่าน ก็พระองค์บอกว่าจงมองให้เห็นเถิด เพราะว่ามันอยู่ในโลกวิญญาณ เราอยู่ในท่านที่เป็นความจริง แต่ท่านสามารถทดสอบได้ว่าท่านมีความเชื่อหรือไม่? ก็คือท่านเห็นไหม? ท่านรู้ไหมว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในท่านจริงๆ ความจริงนี้ท่านรับรู้หรือไม่? สำรวจตัวเองว่าเราได้เชื่อในข่าวดีจริงๆ หรือเปล่า? ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อาศัยอยู่ในสวรรค์ขณะนี้แล้วจริงๆ หรือไม่? ด้วยวิธีการ คือเห็นไหม? รู้ไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา  และพิสูจน์ตอนไหน? ทั้งตอนมีความสุขและมีความทุกข์ แน่นอนท่านก็รู้อยู่แล้วว่าตอนไหน? ทดสอบง่ายกว่ากัน

            ก็คือเมื่อเผชิญกับการทดลองต่างๆ การทดลองความเชื่อว่าตอนนี้ท่านรู้ไหม? ท่านเห็นไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่กับท่าน ทดลองอย่างไร? เมื่อยามเราทุกข์ เมื่อยามเราเจ็บป่วยในร่างกาย เมื่อยามเราวิตกกังวล อยู่ในความเครียด ในการทำมาหากินฝืดเคือง ที่ดูเหมือนยากขึ้นทุกวัน ทุกข์มากขึ้นทุกวัน ความขัดแย้งในสังคม ในครอบครัว  เมื่อยามพบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้น เมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อยามวันคืนแห่งความเหนื่อยล้า ในการดำเนินชีวิตอยู่ในแต่ละวันบนโลกนี้ กลับไปถึงบ้าน ก่อนนอน ลำบาก เหนื่อยเหลือเกินพ่อ หรือในแต่ละวันต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ของระบบของโลกนี้ ที่เต็มไปด้วยความบาป ซึ่งมีอิทธิพลชักจูงให้เราทำบาป กระทำในสิ่งที่วิญญาณและจิตใจไม่อยาก ไม่ต้องการจะทำเลย โกรธ หงุดหงิด กลัว เราไม่อยากกลัว แต่มันก็กลัว เราไม่อยากหงุดหงิด แต่มันก็ทำไปแล้ว เราไม่อยากทำอย่างนี้เลย แต่มันก็ทำไปแล้ว อธิษฐานก็อธิษฐานไม่ออก เราอยากจะร้องเพลง ก็ร้องเพลงไม่ได้ เราอยากมาโบสถ์ แต่เราก็ขี้เกียจ

            ทั้งในยามทุกข์และยามสุข  เราทดสอบตัวเราเองว่าฉันยังรับรู้ ยังเห็นอยู่ไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่ภายในฉัน ท่านยังรับรู้ ยังเห็นอยู่ไหมว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในท่าน ตอนที่ท่านเจ็บปวด เจ็บป่วย ตอนที่ท่านกระทำในสิ่งที่ท่านไม่อยากทำ แล้วก็ทำไปแล้ว แล้วก็บอกว่าจะไม่ทำอีก แต่มันก็ทำอีกจนได้ วนเวียนอยู่นั่นแหละ ท่านเหนื่อย ตอนนั้น ตอนที่ท่านทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ ตอนที่ท่านอธิษฐานไม่ออก ตอนที่ท่านเจ็บปวด เจ็บป่วย แล้วบอกพระเจ้าอยู่ไหน? ปากบอกว่าพระเจ้าอยู่ไหน? แต่ใจจริงของท่านทั้งๆ ที่รู้ใช่ไหมว่าพระคริสต์ พระเจ้าสถิตอยู่ภายในท่าน นั่นแหละ คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าท่านเชื่อหรือไม่? ท่านเชื่อจริง มันจะออกมาอย่างนี้แหละ  มันจะออกมาขัดแย้งกับความคิด ความรู้สึก คำพูด กิริยาท่าทาง พูดง่ายๆ ว่าทั้งๆ ที่รู้ว่า …

            “พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ แต่ฉันก็อดที่จะพูด หรือคิดไม่ได้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน?  ขณะที่ลูกเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน พระเจ้าอยู่ไหน?  ทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานสักที พระเจ้าทอดทิ้งแล้วหรือ?”

            มันไม่ได้หมายความว่าเรามีจิตใจที่ไม่เชื่อ ในใจยังเชื่ออยู่ แต่เราอ่อนแอเกินไป ที่จะดำเนินกิริยาท่าทางต่างๆ ให้เป็นไปกับความเชื่อที่อยู่ในวิญญาณ ซึ่งเป็นความเชื่อที่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่สร้างขึ้นมาเอง เรายังเชื่อพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน ตาฝ่ายวิญญาณของเรา ยังเห็นพระเจ้าอยู่ ถ้าทดสอบดู ยังเห็นอยู่ไหม? ถ้ายังเห็นอยู่ เราทดสอบ เราผ่าน แต่ถ้าเราบอกพระเจ้าอยู่ที่ไหน? แล้วไม่เห็นเลย ไม่เคยคิด ไม่เคยรู้เลยว่าพระเจ้าอยู่กับเรา อย่างนี้เขาเรียกว่าสอบไม่ผ่าน

            การทดสอบตนเองในบริบทของ 2 โครินธ์ 13:5 ที่เรากำลังพูดถึง ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นการผ่านการทดลองในการทุกข์ยากลำบาก เพื่อพิสูจน์ ยืนยันความเชื่อของเราในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เป็นการพิสูจน์ความเชื่อของเรา เพราะว่าความเชื่อของเราเป็นของประทานจากพระเจ้า แต่เป็นการตรวจสอบภายใน เพื่อยืนยัน ย้ำเตือนให้เรารู้ และเห็นความจริงว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเราแล้วจริงๆ เป็นการยืนยันว่าเรารู้

            ความเชื่อของเราไม่อยู่กับการผ่านการทดสอบความเชื่อหรือไม่?  อย่างที่ตะกี้บอก การทดสอบเราอาจจะไม่ผ่าน  แต่เรารู้อยู่ข้างในว่าพระคริสต์สถิตอยู่กับเรา การผ่านการทดสอบหรือไม่? หรือท่าทีต่อการตอบสนองต่อการทุกข์ยากลำบากจะเป็นอย่างไร? ผ่านหรือไม่ผ่านนั้น ไม่สำคัญ  คือพูดง่ายๆ ความประพฤติไม่สำคัญ  การมีปฏิกิริยาอะไรออกมาทางร่างกาย มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตรงนั้น แต่มันขึ้นอยู่กับการยอมรับ และการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ในการงานของพระองค์ที่ทำที่ไม้กางเขน ตรงนี้มากกว่า และก็รู้ว่าความเชื่อที่เราบังเกิดใหม่ต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นของประทาน ไม่ใช่ตัวเราเอง โอ้อวดตัวเราเอง ตัวเราเองอาจจะอ่อนแอ แต่ความเชื่อที่เท่าเมล็ดมัสตาร์ดอยู่ข้างใน ซึ่งมันจะเกิดผลอย่างมากมาย ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันเป็นเพียงเครื่องที่สามารถเป็นโอกาสที่พระเจ้าจะใช้ให้เราเติบโตในความเชื่อ และพึ่งพาพระเจ้าได้มากขึ้น ฝึกฝนเรา ไม่ได้เกิดจากพระเจ้า เกิดจากความวิปริตบนโลกใบนี้อยู่แล้ว  แต่พระเจ้าถือโอกาสใช้ให้มันเป็นประโยชน์ สำหรับชีวิตของเรา อุปสรรค ปัญหา ความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวด ช่วยให้เราผู้เชื่อเห็นตามที่พระเยซูบอกว่าจงมองให้เห็น  มันจะเห็นชัดเจน เมื่อเราประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่ใช่เห็นอย่างชัดเจนเมื่อยามที่เรามีความสุขดี เมื่อยามที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเรา เป็นไปตามที่เราอธิษฐานเป๊ะเลย อัศจรรย์เกิดขึ้น นั่นเราไม่เห็นหรอก เรามีกิริยาที่ดูเหมือนเห็น แต่ข้างในใจไม่ได้ช่วยอะไรเรามากเท่าไร? แต่มันจะช่วยเรามาก ตอนที่เราประสบกับความทุกข์ยากลำบาก  และภายนอก ความคิด การกระทำของเรา ดูเหมือนไม่เชื่อ แต่ข้างในนั้น เต็มไปด้วยความเชื่อ ที่แท้จริง  และเป็นความรู้ถึงการทรงสถิตของพระคริสต์ในชีวิตเรา นี่แหละคือประโยชน์ของอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น ความเจ็บปวด

            การยืนยันมั่นคง ความรู้ ในความเชื่อของเรา ตามที่พระเยซูบอกว่าให้เราเห็น ให้เรารับรู้ เราจะยืนยันได้ โดยความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น พระคริสต์ทรงอยู่ในเรา เราอยู่ในพระองค์ตลอดเวลา เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่ รู้สึกหรือไม่? คิดตามความจริงนี้หรือไม่?  หรือจะปฏิบัติตัวอย่างไร? จะตอบสนองอย่างไรก็ตามความจริงว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา มันก็เป็นความจริงอย่างนั้นตลอดไป โคโลสี 1:27 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:27 “สำหรับพวกเขา พระเจ้าได้ทรงประสงค์ที่จะสำแดงความมั่งคั่งอันทรงเกียรติสิริของข้อล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาติ คือพระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

            “ความมั่งคั่งอันทรงเกียรติสิริ” หมายถึงของที่มีค่าอย่างมากมาย ก็คือมีพระลักษณะเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระคริสต์ เต็มด้วยสง่าราศี นี่พูดถึงเราผู้เชื่อ และตรงนี้เป็นแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้วว่าจะให้มนุษย์ได้เกิดใหม่ แล้วเป็นอย่างนี้ ปิดซ่อนไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม  และเปิดเผยเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย  เป็นข้อความล้ำลึก ก็คือพระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลาย เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เห็นไหม?

            เพราะฉะนั้น เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราต้องมีความหวังอยู่ในพระคริสต์อย่างเดียว ความหวังไม่ได้อยู่ที่คำตอบคำอธิษฐาน  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเราด้วยซ้ำไป ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรเลย ขึ้นอยู่อย่างเดียว คือจงรับรู้ และจงเห็นเถิดว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเราตลอดเวลา เสมอไป นิจนิรันดร์ กาลาเทีย 2:20 …

        กาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว และข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า”

            อันนี้เห็นชัดเลย เราต้องมีความรู้สึกอย่างนั้นเลยว่าพอเจริญเติบโต เข้าไปในความจริงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ พระคริสต์สถิตอยู่ในเราตลอดเวลา และเราก็ได้บังเกิดใหม่อยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลา ชีวิตที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ทุกวัน เป็นชีวิตที่พระคริสต์นำหน้าเรา มันหมายถึงอย่างนั้น  แสดงให้เห็นว่าชีวิตของผู้เชื่อ ถูกเปลี่ยนแปลงโดยมีพระคริสต์อยู่ภายใน  เราไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยตัวเราเองเพียงลำพังอีกต่อไป แต่เรามีพระคริสต์นำหน้า  เหมือนการจูงมือกัน แต่เป็นการจูงมือที่แนบแน่นกว่านั้น ก็คือลำต้นจูงมือกิ่ง  ไม่ใช่จูงมือเอามือแตะกันเฉยๆ แต่เชื่อมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับศีรษะจะไปไหน? หน้าอกไปด้วย มือไปด้วย เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างนั้น  ในยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสว่า …

        ยอห์น 14:23  “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะรักษาคำของเรา  และพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา”

            “เราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา” คำว่า “อยู่กับเขา” ตรงนี้หมายถึงอาศัยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา เราจะมาหาเขา และอาศัยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา  “เขา” คือผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เป็นการยืนยันถึงการทรงสถิตอยู่ของพระคริสต์ในชีวิตของผู้เชื่อ

            การที่พระคริสต์สถิตอยู่ในเรานั้น เป็นการยืนยันความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกกันได้เลย คือเป็นหนึ่งเดียวกัน ระหว่างพระเยซูคริสต์กับผู้เชื่อ คือคริสเตียน และเป็นการรับรองถึงความสมบูรณ์ ความบริบูรณ์ในพระองค์ ความเหมือนพระองค์ ถ้าศีรษะมีเซลล์ เป็นเช่นไร? ข้อเท้าก็มีเซลล์เป็นเช่นนั้น ถ้าศีรษะมีเซลล์เป็นคุณนคร หัวแม่เท้าก็มีเซลล์เป็นคุณนคร มันหมายถึงอย่างนั้น โคโลสี 2:10 …

        โคโลสี 2:10 “และท่านมีชีวิตที่บริบูรณ์ในพระองค์ และพระองค์เป็นประมุขเหนือการปกครอง และสิทธิอำนาจทั้งปวง”

            พระองค์ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นประมุขสูงสุดของการครอบครองทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นโลกใบนี้ หรือโลกที่มองไม่เห็น สิทธิอำนาจทั้งปวง ทั้งโลกนี้และโลกที่มองไม่เห็น มันอยู่ที่พระองค์ทั้งสิ้น และเราอยู่ในพระองค์ บริบูรณ์ในพระองค์ หมายถึงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ฟีลิปปี 4:13 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ สำหรับคริสเตียน …

        ฟิลิปปี 4:13 “ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าดีหรือร้าย โดยฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า”

            เมื่อพระองค์ องค์พระเยซูคริสต์ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือสิทธิอำนาจทั้งปวง สถิตอยู่ในข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเผชิญทุกอย่างได้ ไม่ว่าดีหรือร้าย ตามสายตาที่เราเห็น เพราะฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์อยู่ในเรา เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา   เราจึงสามารถเผชิญทุกสิ่งทุกอย่าง  เผชิญวันพรุ่งนี้  ก็คือเผชิญอนาคตได้ ไม่ว่าดีหรือร้าย สำหรับเรา คริสเตียนที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ สำหรับเราดีเสมอ ตลอดเวลา  เพราะพระเจ้าผู้ทรงควบคุมสถานการณ์ อยู่ภายในเรา รักเรา จูงมือเราเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราชบนโลกใบนี้ ก็คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ด้วยความรักของพระองค์ที่เป็นนิรันดร์ เราจึงไม่กลัว และในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าพระเยซูคริสต์ตรัสว่า …

            “เรายืนเคาะประตูอยู่ ใครได้ยินเสียงเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปข้างใน และกินอาหารร่วมกับคนนั้น”

            ทุกวันนี้พระเยซูคริสต์ยังคงพูดผ่านทางผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ผู้ที่เชื่อแล้ว  ไปยังบรรดามนุษย์ทั่วๆ ไปที่ยังไม่ได้รู้จักพระเยซู ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูพูดว่าอย่างไร? พูดว่าพระองค์ทรงเคาะประตู พระองค์อยากเข้าไปอยู่ในท่าน มนุษย์ทุกคน เราจะเข้าไปข้างใน เราจะเข้าไปอยู่ในท่าน เหมือนกับที่ข้อพระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้

            นี่คือข่าวดีที่พระเยซูให้สาวก คริสเตียนทุกคนประกาศ  สั่งสอนให้มนุษย์ทุกคนได้รู้ คือพระองค์ทรงเคาะประตูอยู่ อยากจะเข้าไป เข้าไปทำอะไร ก็อย่างที่ตะกี้นี้ เราได้เรียนรู้กันมาวันนี้ เข้าไปนำพาชีวิตท่าน แล้วท่านได้ยินแล้ว ท่านจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์หรือไม่? ถ้าเปิดใจเมื่อไร? ทันที พระองค์ก็เข้าไปอยู่ในท่าน และชีวิตคนๆ นั้น ก็จะเปลี่ยนไป

            เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา เราเผชิญพรุ่งนี้ได้ มีบทเพลงอยู่บทเพลงหนึ่งดีมาก …

                        เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา เราเผชิญพรุ่งนี้ได้

                        เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา ความกลัวสิ้นไป

                        เพราะเราแน่ใจ แน่ใจ พระองค์ทรงอยู่ในเรา และทรงนำหน้า

                        ชีวิตมีค่า เพราะรู้ว่าองค์พระคริสต์ ทรงอยู่ในเรา

            ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโรคภัยไข้เจ็บของเราจะหายหรือไม่หายก็ตาม ไม่ว่าสถานะของเราจะขัดสนหรือมีมากล้นก็ตาม  จะสุขหรือทุกข์ก็ตาม แค่รู้เพียงว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราด้วยตลอดเวลา อยู่ภายในเรา ก็เพียงพอแล้ว สันติสุขอันยิ่งใหญ่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ จะเข้าปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของเราในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงอยู่ในเรา พระเยซูคริสต์จึงตรัสย้ำยืนยันเรื่องนี้หลายตอนเลย  ซึ่งสรุปได้ว่า …

            “ท่านจงมองให้เห็นเถิด เพราะมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ แต่มันเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อ จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดเวลาเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พระเยซูตรัสว่า … “จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดเวลาเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 9

            ก่อนเชื่อ … ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า พ่อผู้แสนดีอยู่ด้วย

                                นิรันดร์

            หลังเชื่อ … รอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ได้กลับมาอยู่กับพระเจ้า พ่อผู้แสนดี

                               ในสวรรค์นิรันดร์

            “18 คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตายในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นประตูสวรรค์ให้กับมนุษย์ ที่จะบังเกิดใหม่ จากการเชื่อและวางใจในพระองค์ได้เข้าสู่สวรรค์ อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ ซึ่งพิสูจน์ได้ทันทีเดี๋ยวนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย เพราะประสบการณ์ในการเข้าอยู่ในสวรรค์นี้ เริ่มต้นขึ้นทันทีหลังจากเปิดใจรับเชื่อในข่าวดีนี้ ไปจนถึงชีวิตนิรันดร์ หลังความตายจากร่างกายนี้

            ยอห์น 3:16-17 … “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ  (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตร เข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1503

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  ธันวาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 11

โดย วราพร  คงล้วน

            คราวที่แล้วเราจบลงที่ข้อ 27 ขออ่านย้อนข้อ 26-27 อีกครั้งหนึ่ง …

        กาลาเทีย 3:26-29 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า  โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมา  เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว  ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ 28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวง เป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์ 29 ถ้าท่านเป็นของพระคริสต์  ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมและเป็นทายาทตามพระสัญญา”

            ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณของพระองค์ที่ได้ทรงบอกเราในถ้อยคำของพระเจ้า เมื่อพี่น้องทุกคนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราก็ได้บัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์

            “เป็นหนึ่งเดียวกัน” หมายความว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่กับวิญญาณของเรา  เราไปไหน? พระเจ้าไปด้วย จะไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ที่พระเจ้าจะทิ้งให้เราอยู่เพียงลำพัง ไม่มีนะ ไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะสุข ไม่ว่าเราทำดี ไม่ว่าเราทำไม่ดี  เราต้องยอมรับ อยู่ในพระเจ้าเราก็เผลอทำไม่ดี แต่ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ตาม ให้รับรู้ว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าอยู่ในเราตลอดเวลา ฉะนั้น เมื่อเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าจะไม่มียิว ไม่มีกรีก ไม่มีทาส ไม่มีไท ก็คือไม่มีแบ่งชั้นวรรณะ ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ในเชื้อชาติใด สัญชาติใด หรืออยู่ในสถานะแบบไหน?  เป็นคนที่มีเงินล้นฟ้า หรือเป็นคนที่ไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว  แต่ว่าเมื่อเขามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ทุกคนอยู่ในสถานะเดียวกัน คือเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เรามีสถานะเดียวกัน

            ฉะนั้น อย่าให้ใครรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ  เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เราอยู่ในสถานะที่ตามความเห็น  หรือตามสายตาของมนุษย์ว่าเราด้อยกว่า อาจจะการศึกษาด้อยกว่า การงานด้อยกว่า ทรัพย์สมบัติก็มีน้อยกว่า ให้เราภาคภูมิใจในความรักที่พระเจ้าให้กับเรา ก็คือพระเจ้าให้เรามีสถานะเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือสถานะเดียวกันของพวกเราทุกๆ คน ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น พอเข้ามาถึงคริสตจักรของพระองค์ จะไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะใดๆ คือทุกคนเท่าเทียมกันหมด เป็นพี่น้องในพระคริสต์ร่วมกัน ให้เรามีความรู้สึกผูกพันแบบนี้ว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในบ้านที่มีชื่อว่าอภิสุทธิสถานนี้ บ้านของพระเจ้า ก็คือมีทุกที่ ทุกหน ทุกแห่ง โบสถ์ในประเทศไทยก็มีเยอะมาก คือภายใต้ชื่ออะไรก็แล้วแต่คนจะตั้งขึ้นมา เพื่อให้รู้ว่าโบสถ์เราชื่ออย่างนี้ เหมือนกับของเรา โบสถ์เราชื่ออย่างนี้นะ เหมือนบ้านเราอยู่ตำแหน่งนี้ อยู่ตรงนี้ เกิดเราอยากจะไปเชิญชวนเพื่อนฝูงมาเที่ยวบ้านเรา เราก็สามารถชวนมาได้ ระบุได้ว่าบ้านเราเป็นหน้าตาแบบนี้ ชื่อแบบนี้

            แต่ว่าความเป็นจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าไม่มีแบ่งว่าโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์, ใจสมาน, กรุงเทพ หรืออะไรแล้วแต่ ไม่มี คือทุกคริสตจักรเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่มีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของทุกคริสตจักร ฉะนั้น คริสตจักรทุกคริสตจักรมีหน้าที่ อย่าเรียกว่าหน้าที่เลย คือพระเจ้าจะเรียกให้แต่ละคริสตจักรที่พระองค์จะใช้สอยแตกต่างกัน แต่ว่าอยู่ภายใต้การนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกัน อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเยซูคริสต์เท่าเทียมกัน ไม่มีอะไรที่แปลกใหม่กว่านั้น ฉะนั้น เมื่อเราทั้งหลายเป็นของพระคริสต์แล้ว เราก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม เราคุยกันคราวที่แล้ว พงศ์พันธุ์ของอับราฮัม พระเจ้าถือว่าอับราฮัมเป็นบิดาแห่งความเชื่อ เพราะว่าเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง พระเจ้าเลยถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม

            ฉะนั้น พวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราก็จะเป็นลูกหลานของอับราฮัมผ่านทางความเชื่อ ไม่ได้โดยการประพฤติใดๆ ของเรา  คือไม่มีความดีงามอะไรที่เราจะไปอวดใครได้เลยว่าเราเก่งกว่าคนอื่น หรือเราทำดีได้มากกว่าคนอื่น เราประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติได้เยอะกว่าคนอื่น ไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าทุกคนสามารถผ่านเข้ามาในประตูสวรรค์ตรงนี้ โดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเท่านั้นอย่างเดียว … พอมาถึงบทที่ 4 ข้อที่ 1 กล่าวว่า …

        กาลาเทีย 4:1-5 “1 “สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังกล่าวอยู่นี้ ก็คือตราบใดที่ทายาทยังเด็กอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับทาส แม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมด 2 เขาก็ยังอยู่ในบังคับของผู้ปกครอง    และผู้ดูแลทรัพย์สิน จนกว่าจะถึงเวลาที่บิดากำหนด 3 เช่นกันเมื่อเรายังเด็ก    เราเป็นทาสอยู่ใต้บังคับของหลักการพื้นฐานทั้งหลายของโลก 4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ  เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์”

            ในกาลาเทีย บทที่ 4 ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับผู้เชื่อชาวกาลาเทีย เขาเชื่อแล้วนะ พูดให้เขาฟังว่าก่อนที่เขาจะเชื่อ  เหมือนกับพวกเราทั้งหลายที่สมัยก่อน ก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ อยู่ภายใต้กฎระเบียบต่างๆ ที่มนุษย์หรือโลกนี้เขาตั้งขึ้นมา ถ้าเป็นชาวยิวก็อยู่ภายใต้บทบัญญัติของโมเสส ถ้าเป็นคนต่างชาติ อย่างพวกเรา ถือว่าเป็นคนต่างชาติ ก็อยู่ภายใต้กฎของศีลธรรม กฎของจริยธรรมต่างๆ ก็คือในจิตใต้สำนึกของพวกเราทุกๆ คน มีกฎพวกนี้อยู่ ไม่ต้องมีคนสอน พอเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องปุ๊บ ข้างในวิญญาณจะฟ้องเราเองว่าอันนี้ไม่ใช่ มันไม่ถูกต้อง แต่ว่าหลายครั้ง เราก็ไม่สามารถที่จะฝืนกำลังของโลกใบนี้ เราก็ยังคงทำเรื่องเหล่านี้ต่อไป แต่ว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าก็ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากกฎเหล่านี้ ให้เราสามารถที่จะหลุดพ้น หรือสามารถมีชัยชนะเหนือกฎเหล่านี้ได้

            ฉะนั้น กฎของความบาปและความตาย ตรงนี้ มันคือกฎที่มนุษย์พยายามที่จะพึ่งพาตนเอง เพื่อทำความดี พึ่งพาตัวเองที่จะพยายามรักษากฎบัญญัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่พระเจ้าบอกว่ากฎบัญญัติเหล่านี้ ไม่มีมนุษย์คนไหน สามารถรักษาให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้ ฉะนั้น ถ้าใครก็ตามที่ยังพยายามพึ่งพาความดีงามของตัวเอง ก็หล่นจากมาตรฐานของพระเจ้า ซึ่งมันไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า  ฉะนั้น ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นยิว หรือเป็นคนต่างชาติ  ก็ยังอยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ ก็คือมรดกพระเจ้าเตรียมไว้แล้ว  แต่ว่าการที่คนจะรับมรดก ก็คือผู้ที่ทำสัญญา ทำพินัยกรรม ต้องเสียชีวิตก่อน พินัยกรรมถึงจะถูกเปิด เพื่อที่ทายาทจะได้รับมรดก

            ฉะนั้น ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ แม้ว่าเราได้ชื่อว่าเป็นทายาทของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ผู้ที่สามารถที่จะรับทรัพย์สินต่างๆ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรา แต่ว่ายังไม่ถึงกำหนด พวกเราทั้งหลาย ไม่ว่ายิว หรือคนต่างชาติ ก็ยังคงเป็นทาสของกฎบัญญัติต่างๆ อยู่ นี่อาจารย์เปาโลกำลังย้อนให้กับคนกาลาเทียได้รับรู้ความจริงว่าเขายังอยู่ภายใต้บังคับของผู้ปกครอง ก็คือพ่อให้มรดก ลูกยังเล็ก ก็ต้องมีคนมาดูแลมรดกก่อน ลูกเล็กๆ ก็ยังทำอะไรไม่ได้

            นั่นเป็นภาพเดียวกันในเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกว่าก่อนหน้าพระเยซูคริสต์จะทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้บังคับของกฎของความบาปและความตาย  ฉะนั้น ในอดีต คนต่างชาติมีกฎที่อยู่ข้างในวิญญาณทุกคน แล้วคนยิวมีตัวอักษรที่โมเสสเขาเขียนขึ้นมา จากเดิมอันแรกที่พระเจ้าให้ศิลา 2 ก้อนกับโมเสส ก็คือบัญญัติ 10 ประการ นั่นในพระคัมภีร์เขาเขียนว่าพระเจ้าเป็นคนเขียนด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระองค์เอง แล้วศิลา 2 ก้อนแรกที่โมเสสเอาลงมาจากภูเขา พี่น้องจำประวัติศาสตร์ได้ใช่ไหม? เอาลงมาจากภูเขา ถ้าเราเคยดูหนัง บัญญัติ 10 ประการ โมเสสก็จะอุ้มศิลา 2 ก้อนแบบใหญ่ๆ เดินลงมาจากภูเขา พอเดินลงมา เห็นคนอิสราเอล จากไปอดอาหารอธิษฐาน 40 วัน คนอิสราเอลให้อาโรนทำรูปเคารพขึ้นมา คือเอาทองมาปั้นเป็นรูปวัวทองคำ แล้วก็เต้นรำร้องเพลงแบบยกย่อง สรรเสริญว่าวัวทองคำนั้น คือพระเจ้า พี่น้องนึกภาพความโกรธของโมเสส กำลังเอาบัญญัติ 10 ประการลงมาให้กับชนชาติอิสรเอล มาถึงทนไม่ไหว โมเสสทำอย่างไร? เอาศิลา 2 ก้อน ซึ่งเป็นนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า ขว้างลงไปแตกกระจายเลย ถ้าเป็นความคิดของมนุษย์ โมเสสต้องโดนพระเจ้าทำโทษแน่ๆ กล้าดีอย่างไรเอาศิลาที่พระเจ้าเป็นผู้เขียนเอง มาทุ่มทิ้งขนาดนี้ แต่ความโกรธของโมเสสตรงนั้น พระเจ้าถือว่าชอบธรรม ทำไมถึงชอบธรรม เพราะว่าโกรธแทนพระเจ้าว่าคนอิสราเอลทำไมถึงนิสัยแบบนี้ แค่ 40 วันเอง ก็เปลี่ยนใจไปร้องรำทำเพลง ถวายเครื่องบูชากับวัวทองคำแล้ว

            เมื่อพระเจ้าจะทำลายชนชาติอิสราเอล เพราะว่ากบฏกับพระเจ้า โมเสสขึ้นไปใหม่ ไปอธิษฐานอดอาหารอีก 40 วัน 40 คืน แล้วก็ได้ศิลาแผ่นที่ 2 ลงมา  แล้วจากนั้น เราจะเห็นประวัติศาสตร์พูดถึงเรื่องราวของชนชาติอิสราเอล มันจะเป็นคล้ายๆ กับมนุษยชาติที่อยู่ในความบาป มนุษย์ทุกคนอยู่ในบาป เป็นคนบาป จึงทำบาป นี่เป็นความจริง เป็นคนบาป จึงทำบาป ฉะนั้น ไม่ยกเว้นชนชาติอิสราเอล

            ชนชาติอิสราเอลในยุคก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์  เขาก็ยังเป็นคนบาป แต่เป็นคนบาปพิเศษที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ แยกตัวออกมา เป็นประชากรของพระองค์ แต่พื้นฐานจริงๆ ก็คือในวิญญาณเขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ แค่มีสิทธิพิเศษที่พระเจ้าให้ทำพิธีกรรมต่างๆ ที่ถวายเครื่องบูชาปีต่อปี วันต่อวันที่ทำผิด ก็เอาเครื่องบูชามาถวายให้กับพระเจ้า  ก็ลบล้างความผิดไปเรื่อยๆ จนกว่าวันหนึ่งข้างหน้าพระองค์จะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา เรียกว่าพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อว่าเมื่อพระบุตรลงมาแล้ว พระองค์จะทำให้สำเร็จ คือจากนั้นต่อไป พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เป็นขึ้นมาจากความตาย มนุษยชาติทั้งหมด ไม่ต้องถวายเครื่องบูชาอีกต่อไป  เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ถวายเครื่องบูชาให้กับพระเจ้าครั้งเดียวพอ

            มนุษย์ถวายเครื่องบูชาด้วยสัตว์ที่ไม่มีมลทิน แต่พระเยซูคริสต์ถวายเครื่องบูชา โดยเอาตัวพระองค์เองมาถวายให้กับพระเจ้า ชีวิตของพระองค์ เลือดของพระองค์เองมาถวายให้กับพระเจ้า ฉะนั้น ในพระคัมภีร์เขียนว่าพระเยซูคริสต์ถวายครั้งเดียว ขบวนการทั้งหมดจบสิ้น การไถ่ถาวรก็จบสิ้นด้วย ฉะนั้น จากวันนั้นถึงวันนี้ 2,000 ปี มนุษย์คนใดก็ได้ ไม่ว่าเชื้อชาติใด สัญชาติใด อยู่ในประเทศใดก็ตาม อยู่ในหลืบตรงไหนก็ได้ เมื่อเขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเยซูคริสต์ แล้วเขาเปิดใจต้อนรับพระองค์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาจะได้สิทธิตรงนี้เลย ได้เป็นทายาทของพระเจ้า ได้เป็นลูกของพระเจ้าอย่างชอบธรรม แล้วได้รับการเปลี่ยนวิญญาณใหม่ ได้รับการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ ได้นั่งอยู่ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์

            ขบวนการเหล่านี้มันเสร็จสมบูรณ์ ถ้าเราเป็นมนุษย์ เราต้องเรียงลำดับใช่ไหม?  แต่ในโลกวิญญาณ มันเป็นก้อนหนึ่งที่ทันทีที่ใครก็ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ขบวนการการบังเกิดใหม่ มันจะเกิดขึ้นทันที เรียงลำดับ เราก็เรียงไม่ค่อยถูก แต่พระเจ้าจะกระทำให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทันทีทันใด เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็จะได้รับอิสรภาพ  ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติอีกต่อไป  แล้วได้เป็นบุตรของพระเจ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามขบวนการ นี่คือพระพร นี่คือข่าวดีที่พระเจ้าได้ประกาศ ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวดีด้วยตัวพระองค์เอง ในสมัย 2,000 กว่าปีที่แล้ว ประกาศกับคนยิวว่าแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว  พระองค์กำลังจะทำให้สำเร็จ แล้วมาจนถึงพระองค์ทำสำเร็จ จากนั้น พระองค์ก็เข้ามาอยู่ในใจมนุษย์ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เริ่มต้นจากยุคแรกเลย ก็คือกลุ่มสาวก แล้วการประกาศข่าวดีของพระเจ้า ถูกประกาศออกไปเรื่อยๆ ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ก็จะเข้ามาอยู่ในคนๆ นั้น

            พวกเราทุกคน ณ ปัจจุบัน ที่นั่งอยู่ตรงนี้ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในท่าน  ท่านจงมั่นใจเถิดว่าพระเจ้าอยู่ในท่าน และพระเจ้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหน ไม่ว่าท่านจะทำอะไรอยู่ ไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไร? พระเจ้าก็ยังคงอยู่ในตัวท่าน ที่ไม่หนีหายไปไหน แล้วพระองค์ก็จะทรงนำพา จูงมือท่าน เดิน ให้สติปัญญา ให้กำลังให้กับท่าน ในแต่ละวันที่เราจะดำเนินชีวิต ไม่ว่าเราจะทำอะไร? พูดอะไร? คิดอะไร? พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ในเราตลอดเวลา ฉะนั้น ความเชื่อตรงนี้ มันได้เกิดผลสำเร็จตั้งแต่วันแรก ที่เราเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณมันเกิดขึ้นแล้ว

            พอหลังจากนั้น การดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ เราอาจจะดำเนินชีวิตแบบไม่เชื่อฟังพระเจ้าก็ได้ อันนี้ พี่น้องต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ หลายคนอาจจะมอง เชื่อพระเจ้าแล้วทำไมนิสัยยังแบบนี้อยู่ล่ะ ทำไมเชื่อพระเจ้าแล้วยังทำอย่างนี้อยู่ล่ะ เราก็จะตั้งคำถาม ซึ่งคำถามนี้ถูกตั้งมาทุกยุคทุกสมัย จนถึงพวกเรา ทุกวันนี้ บางทีเราชำเลืองมองคริสเตียนคนอื่นที่ทำตัวไม่ดี หรือนิสัยไม่ดี มีไหม คริสเตียนนิสัยไม่ดี มีบางทีดิฉันแอบนิสัยไม่ดี พวกท่านไม่เห็นหรอก เราแอบนิสัยไม่ดี คนอื่นไม่รู้ แต่เรารู้เองว่าเราแอบนิสัยไม่ดีอยู่ อะไรอย่างนี้ แต่ไม่ว่าเราแอบนิสัยไม่ดี หรือนิสัยไม่ดีแบบโจ่งแจ้ง  ให้คนอื่นๆ เห็น ขัดหูขัดตา ขัดใจ อะไรอย่างนี้ แต่พระเจ้าไม่ถือสานะ  เพราะว่าร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เรามีโอกาสที่จะเผลอไปประพฤติ ปฏิบัติไม่ตรงตามความเป็นจริง ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ที่พระเจ้าบอกว่าเธอเป็นแบบนี้แล้วนะ

            อยากรู้ไหมว่าตอนนี้เราเป็นแบบไหน?  ณ เวลานี้ พี่น้องทุกคน …

            –  เป็นคนดี ดีมากๆ ด้วย ดีแบบไม่มีที่ติเลย พระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น ในพระคัมภีร์ ในโลกวิญญาณ เราเป็นแล้ว

            –  พี่น้องเป็นลูกของพระเจ้า ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์เลย ไม่ว่าเราจะประพฤติแบบไหนที่ดูเหมือนไม่สมบูรณ์ แล้วมารหรือระบบโลกนี้ มันพยายามส่งข้อมูล มาหลอกเราว่า …

            “เห็นไหม? เธอจะสมบูรณ์ได้อย่างไร? ยังนิสัยแบบนี้อยู่เลย”

            เราก็บอก … “นิสัยอย่างไร ฉันไม่รู้ แต่พระเจ้าบอกว่าฉันสมบูรณ์ แล้วพระเจ้าบอกว่าฉันดีเลิศด้วย ฉันสุดยอดแล้ว”

            นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา ในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนั้น อย่าให้ใครหลอกนะ

            –  พระเจ้าบอกว่า ณ เวลานี้ เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่ต้องกลัวว่าหลังความตาย เราจะถูกระเห็ดไปอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ไม่ต้องกลัว เพราะว่าพระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย  และ ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  เราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย ในโลกวิญญาณ เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ ไม่เห็นด้วย แต่พระคำของพระเจ้าบอกเราอย่างนั้น แล้วเราก็ต้องบอกว่าเอเมน  คำว่า “เอเมน” คือยอมรับไง ถ้าเราไม่เอเมน แปลว่าเราไม่ยอมรับ เราไม่เชื่อว่าตอนนี้ เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ แต่ไม่ว่าพี่น้องจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ในโลกวิญญาณ ท่านนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ต่อให้นั่งอยู่เฉยๆ  แล้ววิญญาณท่านออกจากร่างปุ๊บ ท่านก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้านั่นแหละ  ก็คืออยู่ที่เดิม  แค่เปลี่ยนมิติเท่านั้นเอง เปลี่ยนมิติ คือไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกแล้ว ได้ไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเกาะความจริงตรงนี้เอาไว้ เพราะว่าโลกนี้ ศัตรูของพระเจ้า คือมาร มันพยายามที่จะหลอกล่อ ผู้เชื่อทั้งหลายไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา  และสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา มันคือความจริงทั้งหมด แต่พอเราไม่เชื่อ คำว่าไม่เชื่อ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้า  ไม่ใช่ เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่เหมือนเดิม  แต่ว่าเราก็อยู่อย่างทุกข์ยากลำบาก

            แทนที่เราจะมีความสุข จริงๆ ทุกวันนี้ ผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นชีวิตที่มีความสุขมากๆ  เราชื่นชมกับผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว มีความสุขทุกวัน ความสุขตรงนี้มันเกิดจากข้างในวิญญาณ  ไม่ได้เกิดจากสภาวะรอบข้าง สภาวะรอบข้างของเราอาจจะไม่สุขก็ได้ เราต้องดิ้นรน ต้องต่อสู้ ต้องทำงาน ต้องเดินทาง บางวันก็ถูกเจ้านายด่า บางวันก็ถูกเพื่อนร่วมงานเขม่น อันนั้น ไม่เกี่ยวกัน อันนั้นอยู่บนโลกใบนี้  ท่านเจอแน่ๆ อย่างที่พระเยซูบอก  ท่านทั้งหลายจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจ เพราะเราชนะโลกแล้ว พระเยซูคริสต์ทำให้เราชนะขาดลอย

            ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก ถ้าเทียบกับศักดิ์ศรีที่พระเจ้าให้กับเรา มันเทียบไม่ติดเลย มันเหมือนกับขี้เล็บ พี่น้องเคยมีขี้เล็บ แล้วแคะออกไหม? นิดเดียว เทียบไม่ได้เลย ก็คือความทุกข์ยากที่เราเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ อันนี้อาจจะเป็นความทุกข์ยากเรื่องของการงาน เรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องของสุขภาพร่างกาย บางคนทุกข์ยาก เพราะตอนนี้เป็นมะเร็งอยู่ ตอนนี้ต้องไปผ่าตัด ตอนนี้ต้องไปพักฟื้น ตอนนี้ลูกเต้าไม่เชื่อฟัง อะไรต่อมิอะไร? คือความทุกข์ยากในโลกใบนี้ ที่เราเผชิญอยู่ แต่พระคัมภีร์บอกว่าเทียบกับศักดิ์ศรีที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ในสวรรคสถาน มันเทียบไม่ติด อันนั้นแป๊บเดียวเอง เหมือนกับหายใจเข้าหายใจออก มันก็จบแล้ว โลกนี้เราอยู่ไม่นาน พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น โลกนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราวเท่านั้น สำหรับมนุษยชาติ เมื่อโลกนี้ผ่านไป ก็คือวาระของเราจบ เราก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนวาระจบแค่ไหน? ตรงไหน? อย่างไร? ถ้าดิฉันเลือกได้ ดิฉันก็อยากจะจบๆ ตอนนี้ เพราะว่าจบปุ๊บ เราก็ไปอยู่กับพระเจ้า มีความสุข เหมือนกับความหวังใจของผู้เชื่อ เราก็มองไปที่พระเจ้า อยู่ก็อยู่ให้สำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ สำแดงให้คนอื่นเห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา  ถ้าตาย กำไรทันที

            กำไรแรกเลย ไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้บนโลกใบนี้อีกแล้ว ไม่ต้องมาวันนี้ปวดหลัง วันนี้ปวดหัว  วันนี้ต้องไปหาหมอ อะไรก็แล้วแต่มันมีทุกวันนั่นแหละ ความทุกข์รายวัน  พี่น้องเคยได้ยินคำนี้ไหม? ความทุกข์รายวันของแต่ละคนมันมีหมด  อยู่ตรงที่ว่ามีมาก มีน้อย  แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าให้ขนาดแต่ละคนตามความเหมาะสม ใครทนได้เยอะ ก็เอาไปเยอะหน่อย ใครทนได้น้อย ก็เอาไปน้อยหน่อย ดิฉันเชื่ออย่างนั้นนะ

            เราก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม  สิ่งที่เป็นความจริง คือพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา แล้วพระองค์จะทรงพาเราผ่านไป  โดยพระคุณของพระเจ้า  ผ่านไปด้วยวิธีไหนเราไม่รู้ สมมติว่าเราเจ็บป่วยอยู่ ก็อธิษฐานขอ มีใครเจ็บป่วยแล้วขอให้พระเจ้าช่วยให้มันไม่หายๆ มีไหม? ไม่มี เจ็บป่วย ก็ …

            “พระองค์เจ้าข้า มันทุกข์ทรมานมาก มันเจ็บโน่นเจ็บนี่ ขอพระเจ้าอวยพรรักษาลูกให้หายโรค ให้ลูกแข็งแรง”

            นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนแม้แต่เราเป็นผู้เชื่อ เราก็ยังคงอธิษฐานแบบนี้  มันไม่ผิดไม่บาป ไม่อะไร? คือธรรมชาตินั่นแหละ  พระเจ้าสามารถที่จะรักษาเราให้หายป่วยได้ไหม? ได้ พระเจ้าอาจจะพาเราไปเจอหมอดีๆ ที่สามารถดูแลรักษาเราได้  หรือพระเจ้าอาจจะทำให้ใจเราสงบ แต่ยังเจ็บป่วยต่อไปนั่นแหละ  แต่เรารู้สึกโอเค รับได้ อะไรอย่างนี้ คือสถานการณ์ทุกอย่าง พระเจ้าสามารถทำได้ อยู่ตรงที่ว่าเราจะทำใจได้ไหม? เราจะยอมรับมันได้มัน ถ้าเรายอมรับมันได้ เราก็อยู่กับมันได้ อยู่อย่างมีความสุข มีความชื่นชมยินดี ลุกขึ้นมา “โอ๊ย” ก็ไม่เป็นไร บางวันดิฉันลุกเร็วขึ้นไปหน่อย ซ่าส์ ลืมตัวว่าแก่แล้ว ลุกปุ๊บ หัวเกือบทิ่ม  บางทีลุกจากเตียงปุ๊บ ไม่นั่งรอ ลุกขึ้นมายืนเกือบเซ  เราลืมตัวว่าเราแก่แล้ว  เราต้องค่อยๆ อันนี้เราต้องปรับปรุงตัวเองทุกคนนะ อย่าซ่าส์ เพราะว่าอายุเยอะแล้ว ตกแล้วไม่คุ้ม กระดูกหัก แล้วเยียวยาไม่ได้  มันก็คือความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ ประจำวัน

            ฉะนั้น ความทุกข์เหล่านี้ มันแป๊บเดียวเอง ชั่วคราวเอง เดี๋ยวเราก็จากไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ใช้ชีวิตที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ให้มีความสุข รับพระพรจากพระเจ้าแล้ว ให้พระพรนั้นส่งออกไปให้กับผู้คนรอบข้าง ที่เขาเห็นชีวิตของเรา เขามีความสุขด้วยกับเรา  คือ …

            “ขอบคุณพระเจ้านะ คริสเตียนสุดยอดเลย ทำไมเขาสามารถมีความสุขแบบนี้ได้”

            เราก็สามารถตอบเขาได้ … “ที่ฉันสามารถมีความสุข เพราะฉันมีพระเจ้าไง พระเจ้าอยู่ในฉัน อย่าคิดว่าฉันสบายนะ อย่าคิดว่าฉันไม่มีปัญหานะ  ปัญหา 108-1009 แต่ฉันมีพระเจ้า ฉันจึงสามารถมีความสุขแบบนี้ได้”

            นั่นคือเราสามารถเป็นพยานกับคนอื่นได้ เราก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรในหนังสือนี้ ที่อาจารย์เปาโลพยายามบอกให้เราฟังถึงสิ่งที่พระเจ้าได้เตรียมการไว้หลายพันปี  แล้วก็สำเร็จเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  และจนทุกวันนี้ ก็ยังสำเร็จในชีวิตของพวกเรา พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา อยู่กับเรา และพาเราเดินทุกวี่ทุกวัน ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ให้เรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา เหมือนในหนังสือโคโลสีบอกว่าความล้ำลึกที่พระเจ้าเตรียมไว้ คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งพระสิริของผู้เชื่อทุกๆ คน แค่นี้เอง ถ้าพี่น้องเจอทุกข์ยากลำบากอะไร? …

            “ไม่รู้ล่ะ ฉันนึกอยู่อย่างเดียว พระเยซูคริสต์อยู่ในฉัน พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในฉัน พระองค์จะพาฉันผ่านไปได้ ถ้าผ่านโลกนี้ไปไม่ได้ ก็ผ่านไปโน้น ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์”

            นั่นคือความหวังใจของผู้เชื่อทุกๆ คน

            ก็อยากขอบคุณพระเจ้าสำหรับตลอดปีที่ผ่านมา ที่พี่น้องอยู่ด้วยกันกับเรา จะบอกว่าอยู่ด้วยตั้งแต่ต้นปีถึงตอนนี้ ก็ไม่ได้ เพราะบางท่านอยู่กับเราหลายสิบปีแล้ว 30, 40 ปี เราก็ยังผูกพันกันอยู่ อาจจะอยู่ห่างไกลกันบ้าง ก็คิดถึงกัน เดี๋ยวนี้ก็ขอบคุณพระเจ้า คิดถึงกันก็ไลน์ ส่งข้อพระคัมภีร์บ้าง อะไรบ้าง คุยกันบ้าง อะไรอย่างนี้ มันก็เป็นการสื่อสาร ที่เรารับรู้ว่าเรายังมีกันและกันอยู่นะ เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เราก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องทุกท่าน  ที่ถูลู่ถูกกังกับเราจนถึงทุกวันนี้ คริสตจักรอาจจะไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสร้างเราทุกคนสมบูรณ์แบบมากที่สุด ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลย ในสายพระเนตรของพระเจ้า

            เราก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ้นปีนี้ อีก 2 วันก็สิ้นปีแล้ว ถ้าพี่น้องท่านใดวางแผนที่จะออกไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด หรือไปเยี่ยมญาติ อะไรก็แล้วแต่ ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรให้พี่น้องทุกท่านเดินทางอย่างปลอดภัย  แล้วก็กลับมาด้วยสวัสดิภาพ

            ขอพระเจ้าอวยพรในปีหน้า เราเจอกันอีกทีปีหน้าแล้วนะ  เริ่มต้นศักราชใหม่  ปีใหม่ ก็คือปี 2025 เราก็จะมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งในอาทิตย์แรกของต้นปี  ก็อยากจะเห็นพี่น้องทุกคน ถ้าไม่ได้ไปต่างจังหวัด ก็มานมัสการด้วยกัน เป็นกำลังใจให้กันและกัน

            ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งสารพัดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับพวกเราทุกๆ คน ขอบคุณที่ผูกพันเรา ให้เรามาอยู่ด้วยกันในสถานที่แห่งนี้ ขอบคุณสำหรับการจัดเตรียมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ อุปกรณ์ทุกสิ่งอย่างที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา ก็คือค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ มาทีละอย่างสองอย่าง พี่น้องไม่ต้องคาดหวังว่าทุกอย่างจะครบถ้วนสมบูรณ์  แต่มันจะค่อยๆ ดีขึ้นๆ  อดทนกันนิดหนึ่ง วันนี้เครื่องเสียงก็มีรวนนิดหนึ่ง ก็ไม่เป็นไร เราก็ผ่านไปได้  พอจิตใจเราแฮปปี้ มีความสุขกับสิ่งสารพัดที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา  เราก็สามารถมีความสุขได้ เราจะสามารถมองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ฝอยๆ ผ่านไปได้ เมื่อเรามองข้ามได้ปุ๊บ ข้างในวิญญาณเราจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 8

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ … อยู่ในกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)

            หลังเชื่อ … อยู่ในกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต (คือกฎแห่งการพึ่งพาในการกระทำดีของ

                             พระเยซูคริสต์)

            โรม 8:1-2 … “1 เหตุฉะนั้น  บัดนี้  จึงไม่มีการพิพากษาลงโทษให้พินาศ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน  ให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”

            ในโลกวัตถุที่มองเห็น มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งแรงดึงดูดของโลก จนกระทั่งค้นพบกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบิน จึงสามารถมีชัยชนะอยู่เหนือกฎแรงดึงดูดของโลกได้

            เช่นเดียวกัน ในโลกวิญญาณ ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำดีละชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งไม่มีใครสามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานของพระเจ้า คือบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ จึงจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้

            จนกระทั่ง 2000 ปีที่แล้ว พระเยซูมาสถาปนากฎใหม่ ที่มีชื่อว่า “กฎวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์” ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือกฎแห่งความบาปและความตาย คือกฎในการพึ่งพาการกระทำดี ละชั่วของตนเอง เรียกว่า “กฎแห่งพระคุณ”

            ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะเลือกการดำเนินชีวิต อยู่ในกฎใดกฎหนึ่งนี้ได้แล้ว แต่จะตัดสินใจด้วยตนเอง คือจะพึ่งพาการกระทำของตนเอง เพื่อจะได้ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ หรือถ้าไม่แน่ใจ หันกลับมาหาพระเจ้า โดยพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงประทาน ให้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ

            พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คือสถาปนากฎแห่งวิญญาณ กฎแห่งพระคุณนี้ โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม เปิดประตูเข้าสู่สวรรค์ให้กับมนุษย์ทุกคน นี่คือข่าวดีสำหรับมวลมนุษย์ทุกคน โปรดเลือกพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เถิด! พระเจ้าอวยพรครับ