วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1456

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  กุมภาพันธ์  2024

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 34

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาดูในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 6 เรามาถึงบทสุดท้าย เราได้เรียนรู้ถึงความล้ำลึก ในถ้อยคำของพระเจ้า  ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เราเรียนพระคัมภีร์ทั้งเล่ม วนไปวนมา ก็อยู่ในจุดเดียว ก็คือการไถ่ถอนของพระเยซูคริสต์ แผนการที่พระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาติ คือวนไปเวียนมา เราจะเจาะลึกลงไปตรงนี้ เพื่อสถาปนาความจริงในข่าวดีของพระเจ้า  เพื่อพวกเราผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ จะไม่สั่นคลอน ไม่หวั่นไหว เราจะได้หนักแน่น มั่นคง ในขณะที่บางครั้งเราอาจจะเจอการทดลอง หรือข้อมูลต่างๆ ที่ถูกส่งเข้ามาในสมองของเรา  ทำให้เราเกิดความสงสัยในถ้อยคำของพระเจ้า  เกิดความสงสัยในความรอดที่พระเจ้าได้กระทำให้กับพวกเราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราจะต้องเรียนรู้ สถาปนา ฟังแล้วฟังอีกในเรื่องข่าวดีของพระองค์ วันนี้เรามาดูหนังสือเอเฟซัส บทที่ 6 กัน

        เอเฟซัส 6:1-3 “1 ผู้ที่เป็นบุตรจงเชื่อฟังบิดามารดา ในองค์พระผู้เป็นเจ้า  เพราะนี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง 2 “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า”  นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย 3 “เพื่อเจ้าจะอยู่เย็นเป็นสุข  และมีชีวิตยืนยาวในโลก”

            สมัยก่อน เราก็เรียนรู้ในขนาดของสมองของมนุษย์ เรียนรู้ว่าเป็นคำสั่งที่พระเจ้าสั่งพวกเราผู้เชื่อว่าให้เราเชื่อฟังบิดามารดา ในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะอันนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วก็ให้เราให้เกียรติคุณพ่อคุณแม่

            ในถ้อยคำตรงนี้ส่วนใหญ่ ผู้รับใช้พระเจ้าก็จะยกมาสอนหรือเทศน์ ในช่วงเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นวันพ่อวันแม่ จะสอนเราว่าเราควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรกับพ่อแม่ของเรา  หรือคุณพ่อคุณแม่ควรจะมีท่าทีแบบไหนกับลูก ซึ่งความเป็นจริงในบริบทที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้ มันลึกซึ้งกว่านั้น ถ้อยคำตรงนี้ อาจารย์เปาโลยกมาจากพระคัมภีร์เดิม ในหนังสืออพยพที่พระเจ้าให้บัญญัติ 10 ประการ ให้กับโมเสส ให้ไปประกาศกับอิสราเอลว่าให้ยึดถือข้อความเหล่านี้ ให้ยึดถือแบบเอาจริงเอาจังเลย ต้องเป็นแบบนั้น

            ในยุคพระเดช ก็คือพระคัมภีร์เดิม ถ้าคนอิสราเอลไม่ทำตามนี้ จะได้รับโทษ  ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เดิม มันจะมีโทษฐานที่สาหัสมาก สำหรับคนอิสราเอล บอกว่าถ้าคนหนึ่งคนใดได้ยินลูกคนไหน ด่าว่าพ่อแม่ หรือไม่เชื่อฟัง หรือดื้อ แล้วมีพยาน 2 คน เอาลูกคนนั้นมาที่กลางแจ้ง เอาหินขว้างให้ตายเลย  นั่นคือกฎบัญญัติเดิม ที่พระเจ้าตั้งขึ้น เป็นกฎที่มนุษย์ทำไม่ได้อยู่แล้ว มีลูกคนไหนที่ไม่ดื้อกับพ่อแม่ ไม่มี แล้วมีพ่อแม่คนไหนที่ไม่ทำให้ลูกโกรธ ก็ไม่มีอีก บางครั้งเราไม่ได้ตั้งใจ หรือบางครั้งคุณพ่อคุณแม่พูดอะไร? ที่ไม่ได้ตั้งใจ ทำร้ายจิตใจลูกมาก หรือบางครั้งลูกพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน ทำร้ายจิตใจของพ่อแม่เช่นเดียวกัน

            ฉะนั้น บทบัญญัติตรงนี้ พระเจ้าตั้งไว้ไม่ได้หมายความว่าเป็นพระสัญญา พระองค์ไม่ได้สัญญาว่าถ้าลูกคนไหนเชื่อฟังพ่อแม่แล้ว เขาจะไปดีมาดีบนแผ่นดินโลก และมีชีวิตยืนยาว ถ้าข้อนี้เป็นคำที่พระเจ้าสัญญา แปลว่าถ้าลูกคนไหนกตัญญู คนนั้นจะอายุยืนใช่ไหม?  แต่พี่น้องเคยสังเกตไหมว่ามีลูกที่กตัญญูมากๆ อายุสั้นก็มี จริงไหม? แล้วก็ลูกที่กตัญญูกับพ่อแม่ไม่ได้ไปดีมาดีบนแผ่นดินโลกด้วย บางทีเจออะไรไม่รู้เยอะแยะมากมาย เจ็บป่วยบ้าง อะไรบ้าง แปลว่าข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ ไม่ได้เป็นพระสัญญาของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าถ้าทำอย่างนี้ เราจะได้รับอย่างนี้  แต่ที่พระเจ้าเขียนให้คนอิสราเอลทำ ถ้าเป็นสมัยก่อน ไม่ใช่แนะนำนะ  เป็นคำสั่งว่าให้ทำแบบนี้เพื่อประโยชน์ของคนอิสราเอล ถ้าเป็น ณ ปัจจุบัน ที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ถ้าเจอข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ พระเจ้ากำลังบอกเราว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ดี สมควรทำ  ให้ทำเถิด  ทำแล้วเป็นประโยชน์กับเรา  เหมือนอาจารย์เปาโลบอกว่าอะไรที่ดี ก็ทำ  อะไรที่ไม่ดี ก็ไม่ต้องทำ ในลักษณะเหมือนกัน

            ฉะนั้น พอถึงพระคัมภีร์ใหม่ปุ๊บ เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เข้ามาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  เราได้บังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว วิญญาณใหม่ของพวกเราทุกๆ คน คือเป็นวิญญาณที่เชื่อฟัง นึกออกไหม? เชื่อฟังเลย เชื่อฟังพระเจ้า 100% ไม่มีการดื้อ ไม่มีการกบฏ ไม่มีอะไรเลย  แต่ในขณะเดียวกัน  ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  บางครั้งเราก็ดื้อ  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  เป็นไหม?   เราถูกล่อลวง ด้วยโลกใบนี้ ส่งข้อมูลมา ลากจูงเราไปทำตามระบบของโลกนี้ แต่ว่าหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าเราจะเชื่อฟังพระองค์ หรือไม่เชื่อฟังพระองค์ ก็ไม่เป็นไร? ฟังดีๆ นะ

            ไม่ว่าเราจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่เชื่อพระองค์ ก็ไม่เป็นไร?  เพราะเราได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว

            ขอถามพวกเราซึ่งมีครอบครัวแล้ว มีลูกเต้าแล้วว่าเคยไหมที่เราเลี้ยงลูกตั้งแต่เด็กจนโต แล้วลูกเราเชื่อฟังทุกประการ โดยไม่เคยดื้อกับเรา ไม่มี ก็คือดื้อบ้าง เชื่อบ้าง แต่ไม่ว่าลูกเราจะดื้อหรือเชื่อฟัง เรารักเขาเหมือนเดิมไหม? เหมือนเดิม เรารักเขานะ  เราไม่เคยมีความรู้สึกว่าลูกคนนี้ทำไมดื้ออย่างนี้ ตัดขาดออกจากการเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกแล้วกัน ไม่มี มันเป็นภาพ ที่พระเจ้าให้เราเห็นว่าหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว บางครั้ง เราอาจจะดื้อกับพระเจ้า  ก็ไม่เป็นไรเลย เราก็ยังคงเป็นลูกของพระองค์อยู่ พระองค์ไม่ได้รักเราน้อยลง ทำไมเรารู้ว่าพระเจ้าไม่รักเราน้อยลง  เพราะว่ารักจนถึงที่สุดแล้ว  รักโดยขนาดที่ยอมสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือรักสุดๆ แล้ว จะขอว่าพระเจ้ารักลูกเพิ่มขึ้นได้ไหม? พระเจ้าบอกมันหมดแล้ว  คือให้หมดแล้ว  ไม่ต้องขอแล้ว ฉันให้เธอหมดหน้าตักเลย  คือยอมให้ชีวิตกับเธอเรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น เราอย่าให้ระบบของโลกนี้  หรือข้อมูลอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ใส่เข้ามาในความคิดของเราว่าเราทำอย่างนี้ พระเจ้าต้องรักเราน้อยลงแน่ๆ เลย พระเจ้าต้องไม่รักเราแล้วล่ะ อะไรอย่างนี้ อย่าให้การโกหก หลอกลวงนี้ เข้ามาครอบครองความคิดของเรา  ทำให้เรารู้สึกท้อใจ ทำให้เรารู้สึกไม่กล้าที่จะสู้หน้าพระเจ้า

            สิ่งที่สำคัญที่สุด เราจำเป็นจะต้องรู้ว่าพระเจ้ารักเรามากขนาดไหน? มากแบบสุดๆ แล้ว ฉะนั้น ตรงนี้เป็นข้อที่อาจารย์เปาโลยกขึ้นมา พูดถึงลักษณะของลูกที่สมควรเชื่อฟังพ่อแม่ เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ไม่เป็นไรเลย ในขณะที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว  พอมาถึงข้อที่ 4 …

        เอเฟซัส 6:4 “ผู้ที่เป็นบิดาอย่ายั่วโทสะบุตรของตน แต่จงอบรมเลี้ยงดู โดยการฝึกฝนและสั่งสอนตามแนวขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

            ภาพนี้ อาจารย์เปาโลกำลังให้เราเห็นสิ่งที่พระเจ้าสื่อมา ให้เราเห็นในภาพของพ่อ แบบมนุษย์ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? พระองค์รักเราแบบสุดๆ แล้ว แล้วลักษณะในความรักของพระเจ้าที่มีต่อพวกเรา ลูกๆ ของพระองค์ ก็คือพระองค์จะอบรม เลี้ยงดู ฝึกฝน สั่งสอน

            คำว่า “ฝึกฝน, สั่งสอน” คือไม่มีพ่อคนไหนที่ไม่สอนลูกเลย มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าลูกทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราก็จะสอนลูกว่า …

            “อันนี้ไม่ถูกนะลูก หนูทำอันนี้ไม่ได้ หนูต้องเปลี่ยนความคิดใหม่นะ หนูต้องปรับปรุง”

            นั่นคือความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา เมื่อผู้เชื่อทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าไม่ตีเรานะ หลายครั้ง คนชอบเอาข้อพระคัมภีร์ตรงนี้  ที่บอกว่าพระเจ้าทรงตีสอน พอเราเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ที่มันไม่คาดคิด  เราก็จะถูกข้อมูลบนโลกใบนี้ใส่เข้ามาในความคิดเราว่า …

            “นี่เห็นไหม ตอนนี้พระเจ้ากำลังตีสอนเธออยู่”

            ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ กำลังต่อว่าพระเจ้า  ซึ่งมันไม่เป็นความจริง พระเจ้าไม่ได้ตีสอนเรา แบบดุร้าย ตีสอนเราลักษณะเหมือนกับ …

            “เห็นไหม เธอไม่เชื่อฟัง ป่วยแล้ว ป่วย เพราะเธอไม่เชื่อฟังพระเจ้า เห็นไหม พระเจ้าก็เลยส่งโรคภัยไข้เจ็บมาให้เธอ จะได้เข็ดหลาบ เธอจะได้ทำตัวให้มันดีๆ”

            พี่น้องลองคิดตามว่าพ่อของเรา  เป็นแบบนั้นหรือ? พระเจ้าผู้ทรงบอกว่าพระองค์ทรงเป็นความรัก และพระองค์ผู้ทรงยอมสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน พระเจ้าองค์นี้จะส่งโรคภัยไข้เจ็บมาทำให้เราเข็ดหลาบหรือ? มาตีสอนเราหรือ?  ไม่จริงแน่นอน

            พวกเราจำเป็นจะต้องรู้ตรงนี้มากๆ อย่าให้มารใช้ระบบของโลกนี้ การโกหก หลอกลวงทุกรูปแบบ ส่งเข้ามาในความคิดของเรา ทำให้เราคล้อยตามมัน พอเกิดปัญหา ความทุกข์ยากลำบากปุ๊บ

            เขาก็บอก … “เห็นไหมๆ พระเจ้ากำลังตีสอนเธออยู่ เห็นไหม? เพราะเธอไม่เชื่อฟัง พระเจ้าก็เลยทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เห็นไหม?”

            เห็นตลอดแหละ คือจะถามว่า “เธอเห็นไหม?” ถ้าเรารู้ความจริงในความรักของพระเจ้า

            เราก็จะสวนกลับไปว่า … “ไม่เห็นโว้ย ฉันเห็นแต่ความดีงามของพระเจ้า ฉันเห็นแต่ความรักของพระเจ้า  ฉันเห็นแต่ความเมตตา ความกรุณา ความละมุนละม่อมของพระเจ้า ฉันไม่เห็นเลยว่าพระเจ้าฉันดุร้าย  ถึงขนาดส่งอะไรมาทำให้ฉันลำบาก ยากเข็ญ แต่ทำไมเรายังเจอความทุกข์ยากลำบากอยู่ นั่นคือความจริงอีกอันหนึ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ บรรพบุรุษของเรา ล้มลงในความบาป  เมื่อล้มลงในความบาป ทำให้มนุษย์ทั้งหมดเข้ามาสู่ความสาปแช่ง

            สาปแช่ง ไม่เฉพาะร่างกายของเราเท่านั้น แต่ถูกสาปแช่งทั้งหมดทั้งมวลบนโลกใบนี้  สรรพสิ่งทั้งหมดบนโลกใบนี้  ได้ถูกสาปแช่งไป เรียบร้อยแล้ว หมายความว่าโลกนี้กำลังเสื่อมโทรมไปเรื่อยๆ ซึ่งหลายครั้งคริสเตียนหลายคนยังเข้าใจว่าเขามีความสามารถที่จะอธิษฐาน ให้โลกนี้กลับคืนสู่สภาพดี ซึ่งมันเป็นไปได้ไหม?  เป็นไปไม่ได้  เพราะพระเจ้าบอกแล้ว ถ้าผู้เชื่อคนไหนสามารถอธิษฐานให้โลกกลับคืนมาดีเหมือนเดิม แปลว่าพระเจ้าโกหก จริงไหม?  พระเจ้าโกหก พระเจ้าพูดไม่จริง โลกนี้สามารถกลับคืนสู่สภาพดีได้ เราอธิษฐานสิ ใช้ความเชื่อ  เราเป็นผู้เชื่อไง พระเจ้าบอกว่าคำอธิษฐานของผู้ชอบธรรม มีพลังทำให้เกิดผล เราต้องอธิษฐาน เราต้องขอแล้วขออีก แล้วพระเจ้าจะทำตามคำขอของเรา พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานของเรา  พระเจ้าจะทำให้โลกนี้กลับคืนสู่สภาพดีเหมือนเดิม ซึ่งมันเป็นการโกหก หลอกลวงที่สาหัสมาก  แล้วมีหลายคนก็เชื่อตามนั้นด้วย แล้วพยายามๆ ที่จะอธิษฐานๆ เขย่าบัลลังก์ของพระเจ้า

            พี่น้องเคยได้ยินคำนี้ไหม? สมัยก่อนเราพูดบ่อย  เราต้องอธิษฐานให้เยอะๆ วันละ 10 หรือ 20 ชั่วโมง เขย่าบัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ตามความปรารถนาของเรา  ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว  ถ้าเราอธิษฐาน ขอพระเจ้าเมตตา เราสามารถอธิษฐานได้ทุกอย่างเลยนะ เราอธิษฐาน … “พระองค์เจ้าข้าอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น” ทั้งหมด สรุปจบ ก็คือแต่อย่างไรก็ตาม ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ที่ลูกต้องการ ลูกต้องการสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ใครๆ ก็อยากได้ มีใครอยากป่วยไหม? ไม่มี ทุกคนอยากแข็งแรง เราอธิษฐานขอได้ แต่เรารับรู้ความจริงอันหนึ่ง ที่เราขอ ก็คือเราขอตามความอยากของเรา แต่เราก็รู้ว่าแล้วแต่พระเจ้า  พระเจ้าสามารถที่จะให้เราแข็งแรง จนเราจากไปอยู่กับพระเจ้าได้ไหม? พระเจ้าทำได้นะ แล้วแต่น้ำพระทัย

            แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือร่างกายเราเดินทางสู่ความตายแน่นอน เราจะอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีทาง เพราะพระเจ้าบอกว่าร่างกายเราถูกสาปแช่งเรียบร้อยไปแล้ว บนโลกใบนี้ ในร่างกายเรือนดินของเรา  แต่สิ่งที่สำคัญ คือพระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่  ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว หมายความว่าไม่ว่าเราจะอยู่บนโลกใบนี้ เราจะแก่ลงทุกวันๆ ผมหงอกทุกวัน หน้าเหี่ยวไปทุกวัน เม็ดสีขึ้นมาแล้วเยอะแยะเลย ก็ไม่ทำให้เรารู้สึกท้อใจว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ มองกระจกทีไร กลุ้มใจทุกทีเลย ทำไมแก่ลงๆ  เราก็ไม่ได้รู้สึก เพราะว่ามันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น

            แต่สิ่งที่เราชื่นชมยินดี คือเรารู้ว่าวิญญาณข้างในใหม่ขึ้นทุกวัน เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน  เรามีความชื่นชมยินดีกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา แล้วเรามีความหวังใจ ยิ่งแก่มากเท่าไร ยิ่งขอบคุณพระเจ้า  แก่แล้ว เดี๋ยวเราก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว   มีใครคิดแบบนี้ไหม?  ดิฉันคิดนะ  เราแก่ลงแล้ว แปลว่าเวลาบนโลกใบนี้ เราเริ่มน้อยลงแล้ว  เวลาที่เราจะได้ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลยนะ มันใกล้เข้ามาแล้ว  มีสันติสุข มีความชื่นชมยินดี  เราเลยไม่กลัวว่าจะแก่ ไม่เป็นไรหรอก ใครบอกว่าไม่สวยแล้ว ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องสวยมากก็ได้ แต่เรารู้ว่าอนาคตข้างหน้า ร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เราสวยที่สุดเลย

            นี่คือภาพที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ ฉะนั้น ให้เราขอบพระคุณพระเจ้า อย่าให้โดนหลอก ให้เอาถ้อยคำของพระเจ้ามาใช้  เพื่อเอื้ออำนวยประโยชน์ ให้กับพวกเราเอง

            ภาพของพระเจ้าจริงๆ พระองค์เป็นผู้ที่อ่อนโยน  พระองค์เป็นผู้ที่สอนเราด้วยความรัก  ดังแก้วตาดวงใจ พระองค์ไม่เคยบังคับเราเลย พระองค์ไม่เคยที่จะบีบคอเราว่าต้องทำตามที่พระองค์สั่ง ต้องเชื่อฟังนะ ถ้าไม่เชื่อฟัง ฉันเขี่ยเธอออกจากสวรรค์เลย  ไม่มีภาพนี้ในพระเจ้าเลย

            ฉะนั้น ภาพที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของคุณพ่อทุกๆ คน ต้องวงเล็บว่าพ่อปกติ ไม่ใช่พ่อประหลาด พี่น้องรู้ไหมพ่อประหลาด ก็คือไม่รักลูก รังแกลูก ตีลูกตลอดเวลา  ไม่มีเหตุผล เขาเรียกว่าพ่อประหลาด  แต่พ่อที่เป็นพ่อจริงๆ  ตามแบบที่พระเจ้าสร้างไว้  เป็นคุณพ่อที่รักครอบครัว รักลูก เป็นคุณพ่อที่ให้อภัยลูกตลอดเวลา เป็นคุณพ่อที่พร้อมที่จะอ้าแขนรับลูกเข้ามา โอบกอดลูกเอาไว้ ในขณะที่ลูกดื้อ ลูกทำผิด ลูกล้มลง พ่อไม่เคยทับถม  ไม่เคยเหยียบซ้ำ  แต่พ่อจะจูงมือลูก แล้วก็เดินไปด้วยกัน  ปลอบโยนลูก เล้าโลมจิตใจลูก …

            “ไม่เป็นไรนะลูก ล้มลง ลุกขึ้น เริ่มต้นใหม่นะลูก”

            นี่คือพ่อปกติ ฉะนั้น ภาพนี้แหละที่พระเจ้าให้เราเห็นลักษณะของพระองค์เอง ในลักษณะแบบนี้ เราเป็นมนุษย์ เราไม่สามารถอยู่แล้ว ที่จะทำได้แบบที่พระเจ้าทำ แต่ว่ามันเป็นแค่นิดๆ หน่อยๆ ที่พระเจ้าสื่อให้เราเห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระองค์มีต่อเรา  พอถึงข้อที่ 5 …

        เอเฟซัส 6:5 “ผู้ที่เป็นทาสจงเชื่อฟังเจ้านายฝ่ายโลก ด้วยความเคารพยำเกรงและด้วยความจริงใจ เหมือนที่ท่านเชื่อฟังพระคริสต์”

            ถ้อยคำตรงนี้ที่อาจารย์เปาโลได้บอกกับผู้เชื่อคนต่างชาติ สมัยก่อน เรามีทาสใช่ไหม?  เหมือนยุคหนึ่งที่ประเทศไทยก็มีทาส ฉะนั้น พอมีการเลิกทาสขึ้นมา ทุกคนก็ได้ยินข่าวดีตรงนี้ ก็ชื่นชมยินดี  ได้เป็นอิสระ มันเป็นภาพเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ปลดปล่อยเราได้เป็นอิสระ พ้นจากการเป็นทาส (ฝ่ายวิญญาณ) เราเป็นอิสระในวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว

            แต่ตรงนี้ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง คือการดำเนินชีวิต ถ้าคนนั้นเป็นทาสอยู่ แล้วบังเอิญมาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทาสคนนั้น  เขาเป็นอิสระในวิญญาณเลย แต่ในร่างกายของเขา ก็ยังคงเป็นทาสอยู่ จริงไหม? ยังดำเนินชีวิตเหมือนเดิม ภาพตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าในขณะที่ท่านมาหาพระเจ้า อยู่ในสภาพไหน ก็ให้อยู่สภาพนั้น  ด้วยความชื่นชมยินดี

            ถ้าท่านเป็นทาส ท่านก็ทำหน้าที่ของการเป็นทาสให้ดีที่สุด ในนามของพระเยซูคริสต์ เพราะว่า ณ เวลานี้  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในตัวของทาสคนนี้ เรียบร้อยไปแล้ว เขาเป็นอิสระในวิญญาณ แต่เขายังคงเป็นทาสในร่างกายนี้  โดยพระเจ้า ต้องบอกว่าโดยพระเจ้า  เพราะว่าจากนี้ไป ไม่ว่าพระเจ้าจะนำเขาแบบไหน? พระเจ้าอาจจะนำเขาให้สามารถออกจากการเป็นทาส เป็นอิสระ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พระเจ้าก็ทำได้  แต่ถ้าสมมติว่าพระเจ้ายังคงให้เขาอยู่ในสภาวะตรงนั้นอยู่ ก็ให้เขาอยู่ด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ว่า …

            “พอฉันเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันเป็นทาส ฉันต้องพยายาม ให้หลุดจากการเป็นทาสให้ได้ แล้วก็ทุกข์ใจทุกวัน ทำไมฉันไม่หลุดสักที ฉันยังเป็นทาสอยู่ ทุกข์ใจทุกวัน” ไม่ใช่

            พระเจ้าบอกว่าให้อยู่อย่างชื่นชมยินดี ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แล้วแต่พระเจ้า ถ้าเกิดพระเจ้าจะให้คนๆ นั้น หลุดจากการเป็นทาสพระเจ้ามีวิธีการที่จะให้เขาหลุดตรงนั้นได้ แล้วแต่น้ำพระทัย ไม่เกี่ยวอะไรกับทาสคนนั้นเลย ในข้อที่ 6 …

        เอเฟซัส 6:6 “ไม่เพียงแต่เชื่อฟังเจ้านายต่อหน้า  เพื่อให้เขาพึงพอใจ แต่ให้เป็นเหมือนทาสของพระคริสต์ คือทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าจากใจของท่าน”

            พี่น้องนึกถึงคำว่า “จากใจ” เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า  เราทำทุกอย่างจากใจ  เรารักคนรอบข้างจากใจ ใจข้างในที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว  ใจที่เป็นความรัก  เป็นลักษณะชีวิตใหม่ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้น ทุกอย่างที่เราทำ หลังจากที่เราบังเกิดใหม่แล้ว เราทำในนามของพระเยซูคริสต์

            คำว่า “ในนามของพระเยซูคริสต์” แปลว่าไม่ได้ทำด้วยตัวเราเอง จริงหรือไม่จริง? ในพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลบอกว่าข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าได้ถูกซื้อด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในพวกเรา ไม่ว่าผู้เชื่อจะทำอะไรก็ตาม เราทำในนามของพระเยซูคริสต์ เราเป็นตัวแทนของพระองค์ เป็นทูตของพระองค์ที่จะออกไป ไม่ว่าเราทำอะไรก็ตาม เป็นทูตของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ เมื่อเราทำอะไร เรานึกถึงการเป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์ เราต้องคิดใช่ไหม?

            “เอ๊ะ! ถ้าเราทำแบบนี้ พระเยซูโอเคไหม?  เหมือนกับเราเป็นลูกน้อง แล้วเจ้านายมอบอำนาจให้เราเป็นตัวแทนของเจ้านาย  ที่จะไปคุยเรื่องอะไรก็ได้  ที่ไปคุย เราระลึกอยู่เสมอว่าเราแค่เป็นตัวแทนของเจ้านายของเรา เจ้านายเขากำหนดมาแล้วว่ามันเป็นแบบนี้ เราก็ทำตามนี้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ  เราเป็นทูตของเจ้านาย เจ้านายสั่งว่าให้อย่างนี้นะ พอไปถึง เราไม่เอาแล้ว ความคิดเจ้านายไม่โอเค เราเปลี่ยนดีกว่า ความคิดของเราดีกว่า  แล้วเราก็ทำตามความคิดของเรา ซึ่งถ้าทำแบบนั้น  เราก็ไม่ได้เป็นทูตของเจ้านาย เราเป็นตัวของเราเอง ที่ออกไปทำภารกิจตรงนั้น ซึ่งมันไม่ใช่  เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา แล้วระลึกว่าทุกอย่างที่เราทำ พระเจ้าเป็นผู้นำเราอยู่

            ทีนี้ คนจะถามเราว่าอ้าวเวลาเราทำบาปล่ะ พระเจ้ายังนำเราอยู่ไหม?  พี่น้องว่าพระเจ้ายังนำเราอยู่ไหม?  พระเจ้านำนะ เพราะว่าพระเจ้าอยู่ในเรา  แต่พระเจ้านำแบบ …

            “ลูกเอ๋ย กลับมาเถอะๆ ลูกๆ ก้าวขาออกไปแล้ว  เดี๋ยวตกเหวนะ กลับมาเถอะๆ”

            ประมาณนั้นแหละ  คือเหตุที่มันเป็นอย่างนั้น เพราะพระเจ้าไม่บังคับเราไง พระเจ้าให้อิสระเราในการเลือก ที่จะตัดสินใจว่าเราจะเชื่อฟังพระวิญญาณ หรือเราจะเชื่อฟังเนื้อหนังที่ระบบของโลกใบนี้ส่งเข้ามาล่อลวงเราให้เดินตามมัน  เพราะว่าเรายังมีโปรแกรมหรือมีความเคยชินเก่าๆ ที่มันติดตัวเราอยู่ ความเคยชินตรงนี้ บางทีเราเผลอ เราก็ทำตามมัน แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ให้เรารับรู้ความจริงว่าเราอยู่ได้ไม่นานหรอก นึกออกไหม? เพราะว่าธรรมชาติใหม่ของเรา เป็นเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด หมดจด ทำบาปไม่เป็น พอเราไปทำบาปปุ๊บ เราอยู่ได้ไม่นานหรอก ไม่มีใคร พอเป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ทำบาปไป ยิ้มไป  มีความสุขมากเลย ฉันทำบาปแล้ว อะไรแบบนี้  มันไม่มีทาง  เราจะรู้สึกทุกข์ ข้างในเราทุกข์

            เหมือนภาพที่เราแพ้อาหาร หรือแพ้อะไรบางอย่าง บางคนแพ้ฝุ่น พอเดินไปที่ฝุ่นเยอะๆ ก็จะเกิดอาการ ไม่สบายตัว บางทีก็ไอ บางทีก็จาม  บางทีก็อึดอัด หรือบางคนแพ้อาหาร กินอาหารที่มันผิดสำแดงปุ๊บ มาเลย ตัวคัน หรือตัวเป็นจ้ำ แล้วเราก็ต้องทำอะไร? หยุดไง หยุดกิน แล้วก็หาเครื่องป้องกัน พอหยุด มันยังคันอยู่ เราก็ต้องไปหายาแก้แพ้มากิน  เพื่อดักให้มันหายไป ภาพเดียวกัน

            เมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาดบริสุทธิ์  เราทำบาปไม่เป็น  ถ้าเราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเราปุ๊บ เราจะมีอาการทันที อาการแบบไม่ไหวแล้ว คัน เราแพ้ เราแพ้ความบาป  แล้วเราก็ต้องรีบกลับมาแก้ไข โดยวิธีหายากิน  ยาที่ดีที่สุด คือถ้อยคำพระเจ้าใช่ไหม? จะเป็นเกราะป้องกันภัยให้กับพวกเรา รับรู้ว่า …

            “ตอนนี้  ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว  ฉันเป็นความดี ฉันเป็นความรัก ฉันเป็นอะไรทั้งหลายที่พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับฉันเรียบร้อยไปแล้ว”

            แล้วเราก็เริ่มฝึกฝน ลักษณะอย่างนี้แหละ ที่พระเจ้าฝึกฝนเรา …

            ฝึกฝนอันแรก คือที่จะปฏิเสธ คริสเตียนปฏิเสธคนไม่ค่อยเป็น ถ้าเราปฏิเสธ เหมือนเราไม่มีความรักหรือเปล่า? เราเหมือนถูกเอาอะไรครอบสมองไว้ว่าถ้าเราปฏิเสธ คนที่ถูกปฏิเสธ เขาก็จะว่าเรา อะไรเป็นคริสเตียน ทำไมถึงไม่มีความรัก เราก็ใช่ๆ เราเป็นคริสเตียน ทำไมเราไม่มีความรัก  เราปฏิเสธไม่ได้ เราต้องทำทุกอย่างที่เขาขอมา หรือเสนอมา ซึ่งมันไม่ใช่ เราต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธเป็น ปฏิเสธว่าอันนี้โอเคไหม? ถ้าสมมติว่ามีคนมาขอความช่วยเหลือ จากเรา แล้วเราบวก ลบ คูณ หารแล้ว เราช่วยเขาได้ แล้วข้างในวิญญาณเราโอเคเลย เราเต็มใจช่วย พี่น้องทำไปเถอะ เพราะพระเจ้านำท่าน  แต่ถ้ามีคนมาขอความช่วยเหลือเรา ข้างในเราไม่โอเค อึดอัด เราปฏิเสธได้นะ …

            “ขอโทษนะคะ อันนี้มันเกินกำลังของเรา เราคงช่วยท่านไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ”  อะไรแบบนี้

            ไม่ใช่ ใครขอ ไปหมด คนที่ตายคือใคร? คนที่ถูกขอ ไม่ใช่คนที่ขอ ทำให้ทุกอย่าง เพื่อเธอ มันไม่ใช่ มันเป็นไปไม่ได้

            ฉะนั้น เราสามารถที่จะปฏิเสธได้ แล้วการปฏิเสธไม่เกี่ยวอะไรกับว่าเราไม่มีความรัก เพราะว่าพระเจ้าให้สติปัญญากับเรา สามารถที่จะแยกแยะว่าอะไรโอเค อะไรไม่โอเค อะไรถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้อง อะไรที่เราควรทำ อะไรที่เราไม่ควรทำ  ถ้าอะไรก็ตามที่ทำ แล้วมันหนักเกิน สำหรับเรา  เราปฏิเสธไปเลย ไม่ใช่เอาทุกเรื่อง ไม่ใช่ การปฏิเสธเป็นอันหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้ ในขณะที่เรามาบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า พอบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าปุ๊บ ถูกบล๊อคเลย โลกใบนี้มันก็ส่งข้อมูลมาเลย …

            “เธอเป็นลูกพระเจ้าไง เธอบอกว่าเธอเป็นความรัก ใครขออะไร เธอต้องให้นะ ถ้ามีคนมาขอยืมเงินเธอ ขอมา 1 ล้าน  2 ล้าน 3 ล้าน เธอต้องให้นะ แม้แต่เธอไม่มีเงิน เธอก็ยังต้องไปกู้หนี้ ยืมสิน เพื่อสำแดงความรัก”

            พี่น้องว่าใช่ไหม?  มันไม่ใช่นะ อะไรที่ทำให้เราเดือดร้อน  ไม่ใช่แน่นอน ถ้าสมมติว่ามีคนมายืมเงินเรา  แล้วเรามีกำลังพอที่จะให้  กำลังพอนะ ไม่ใช่เกินกำลัง แล้วต้องคิดถึงตัวเองด้วย ไม่ใช่ให้หมดหน้าตักเลย แล้วตัวเองมาเดือดร้อน เอาเงินค่าเทอมลูก คนนี้มาขอ  สำแดงความรักของพระเจ้าหน่อย ให้ไปหมดเลย  แล้วพอจะจ่ายค่าเทอมลูก ไม่มีเงิน ทำอย่างไร? ก็ไปกู้หนี้ ยืมสิน อันนั้น ไม่ใช่เลยนะพี่น้อง ต้องรู้ว่าเราหลงกลของมารที่ส่งเข้ามา โดยใช้ความรักของพระเจ้า เพื่อที่จะมาบีบบังคับให้เราทำตามมัน ซึ่งมันไม่ใช่

            ฉะนั้น คริสเตียนควรจะมีสติสัมปรัชญะ มีการแยกแยะผิดถูก มีการรับรู้ว่าอันนี้ได้ อันนี้ไม่ได้  ไม่ได้ ก็คือไม่ได้ ไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความรัก

            ความรักหลายๆ ครั้ง คือต้องไม่ยอมมัน  เพื่อว่าเราจะได้สำแดงให้เขารู้ว่าอันนี้ไม่โอเคนะ สมมติว่ามีคนที่วันๆ งานการไม่ทำ แล้วก็ขอเงินเราอย่างเดียว  ปฏิเสธไปเลย ถ้อยคำพระเจ้าบอกคนไม่ทำงาน ไม่ต้องให้กิน  แล้วพอบอกไม่ให้กิน เราไม่มีความรักหรือเรามีความรักมากเลย เพื่อฝึกฝนเขา เพื่อให้เขาเรียนรู้ที่จะไปทำงานด้วยมือของเขาเอง

            นั่นคือภาพทั้งหมด มันเป็นเรื่องที่เล็กๆ น้อยๆ บางครั้งเราก็ถูกหลอกให้ทำให้ตัวเองเดือดร้อน เพราะคำว่าเป็นคริสเตียน ทำไมถึงไม่มีความรัก  ให้รับรู้ความจริงอันหนึ่ง ก็คือวิญญาณของเรา เป็นวิญญาณแห่งความรัก  เรารักเรียบร้อยไปแล้ว เรามีความรักแบบเหมือนพระเจ้าเลย แต่ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ บางครั้งเราก็ไม่มีความรักจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพฤติกรรมอะไรทั้งหมด  หรือการตัดสินใจทั้งหมด  บางทีเราไม่มีความรักจริงๆ  บางทีเราใจดำด้วย ใจดำกับสิ่งที่ไม่ควรใจดำด้วย มีโอกาสเป็นใช่ไหม? แต่ว่าไม่เป็นไร เพราะว่าไม่ว่าเราจะทำอย่างไร พระเจ้าก็ยังรักเราเหมือนเดิม แต่ว่าถ้าเราใจดำมากๆ  พระเจ้าก็จะสอนเรา  พระองค์ก็จะฝึกฝนเรา …

            “ลูกเอ๋ย อย่าใจดำขนาดนั้นเลย เรียนรู้ที่จะให้ออกไปบ้างนะ อย่าขี้เหนียวขนาดนั้นเลย สลึงหนึ่งไม่ให้กระเด็น” … นั่นก็เยอะไป

            ฉะนั้น ขอพระเจ้าประทานสติปัญญาให้กับพวกเรา ที่พวกเราจะสามารถรับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าว่าวิญญาณเราได้เป็นอิสระแล้ว แต่ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าให้เราทำทุกอย่าง อะไรที่ดี ก็ทำ อะไรที่ไม่ดี ก็ไม่ต้องทำ ก็แค่นั้นเอง ในข้อที่ 7 และข้อที่ 8 …

        เอเฟซัส 6:7-8 “7 จงรับใช้ด้วยความเต็มใจราวกับกำลังรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่มนุษย์ 8 เพราะท่านรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า   จะทรงปูนบำเหน็จความดี ความชอบแก่ทุกคนที่ทำดี ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นทาสหรือเป็นไท”

            อันนี้เป็นผล ไม่เกี่ยวกับวิญญาณเลย  เป็นผลที่เราทำบนโลกใบนี้  อย่างที่บอกอะไรที่คิดว่าดี ก็ให้ทำ อะไรที่คิดว่าไม่ดีก็ไม่ต้องทำ

            ในนี้บอกว่า “พระเจ้าจะเป็นผู้ปูนบำเหน็จความดี ความชอบแก่ทุกคนที่ทำดี” ปกติมันก็เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้อยู่แล้ว เรียกว่าอาจจะดีในสายตาของพระเจ้า แต่อาจจะไม่ดีในสายตาของเรา ก็ได้ นึกภาพออกไหม?  เราอย่าคาดหวังว่าเราทำดีกับคนนี้ แล้วคนนี้ต้องทำดีตอบเรา อย่าไปคาดหวังอย่างนั้น ถ้าเราจะทำดีให้กับใคร? อันแรกเลยในพระคัมภีร์บอก ก็คือให้ทำเสมือนหนึ่งทำให้พระเจ้า แล้วจบตรงนั้นเลยนะ  ไม่ต้องมานั่งคิดว่าเขาต้องมาตอบแทนเรา  หรือพระเจ้าต้องมาตอบแทนเรา ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

            ฉะนั้น ภาพของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าก็จะค่อยๆ สอนเรา ถ้าเราประพฤติ ปฏิบัติตาม เลียนแบบที่พระเจ้าบอกเรา ให้เราเลียนแบบพระเจ้าพ่อของเรา เราก็จะทุกข์น้อยลง มีความสุขมากขึ้น คำว่า “ทุกข์น้อยลง” ยังทุกข์อยู่ไหม?  ทุกข์อยู่นะ พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าพอเราทำอย่างนี้ เราจะสุขตลอดชีวิต ไม่มีความทุกข์ ไม่ใช่นะ เราจะทุกข์น้อยลง เราจะสุขมากขึ้น นี่คือความจริงในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากศิษยาภิบาล

            พระเจ้าทั้งสัญญา และสาบานด้วยตัวของพระองค์เอง … ถึงขนาดนี้! ท่านจะเชื่อและวางใจในพระองค์หรือไม่?

            ฮีบรู 6:18-19 … “18 ดังนั้น พระเจ้าได้ประทานให้เรา ทั้งจากคำสัญญาและคำสาบาน ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่พระเจ้าจะพูดโกหก 19 ด้วยเหตุนี้ พวกเรา ที่ได้หนีมาพึ่งในพระองค์   จึงมีกำลัง และมีกำลังใจอย่างเข้มแข็ง ที่จะยึดมั่นในความหวัง  ที่อยู่เบื้องหน้าเรา ความหวังและความมั่นใจของเรานี้ เป็นเหมือนสมอเรือ  ที่มั่นคงและติดแน่น ในความคิดจิตใจ และความหวังนี้  ได้นำพาเรา เข้าไปสู่ หลังม่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์ คืออภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ทรงสถิตของพระเจ้า”

            ถ้าเราหยั่งรากของหลัก  คือสมอของความคิดจิตใจ   ลงไปในความหวังอันแท้จริง    ที่พระเจ้าสัญญา และสาบานไว้ คือความรอดจากความพินาศจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปหลังความตาย

            การได้อยู่ในสวรรคสถานกับพระองค์ การบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์ การได้อยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์   ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป

            พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว   และจะอยู่ตลอดไป พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว   ความคิดจิตใจของเรา   ก็จะมั่นคง    ไม่หวั่นไหวโคลงเคลง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  นานัปการในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้

            ฮีบรู 10:17 … “พระเจ้าได้สัญญาและสาบานว่า … “บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

            สดุดี 103:12 … “พระเจ้าได้สัญญาและสาบานว่า … “ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด   พระองค์ก็ทรงยกเอาการล่วงละเมิดของเรา  ออกไปไกลเพียงนั้น”

            โรม 4:8 … “พระเจ้าได้สัญญาและสาบานว่า … “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า  จะไม่ถือโทษบาปของเขาอีก”

            ตอนที่พระเยซู  สิ้นพระชนม์บนไม้การเขน  พระองค์ได้ตรัสว่า  “สำเร็จแล้ว”  คำสัญญาและสาบานของพระเจ้าได้ถูกทำให้สำเร็จแล้วนั่นเอง

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1455

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  กุมภาพันธ์  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เข้าซีรี่ย์นี้ต่อ คือ “วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” จากตอน 1 ที่แล้ว เราได้คำตอบแล้วว่าวิญญาณของคริสเตียนก่อนเชื่อ อยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่อ อยู่ในพระวิญญาณ  เรียนรู้กันตอนที่แล้ว

            “ก่อนเชื่อ อยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่อ อยู่ในพระวิญญาณ”

            ถ้าอยากรู้รายละเอียดมากขึ้น ก็ไปเปิดฟังเอาจากยูทูป หรือจากเฟสบุ๊คที่บันทึกไว้ครั้งที่แล้ว จะได้รู้ว่าอยู่ในเนื้อหนังเป็นอย่างไร? อยู่ในพระวิญญาณเป็นอย่างไร? ปูพื้นฐานเกี่ยวกับวิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน? ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ Before and After” ปูพื้นฐานไว้อย่างละเอียดเลย ฟังดูแล้วจะได้มีพื้นฐานในการเรียนรู้เรื่องนี้ ซีรี่ย์นี้จะได้เข้าใจมากขึ้น

            วันนี้มาต่อตอนที่ 2 “ก่อนเชื่ออยู่ในอาดัม หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์” นี่คือความจริงของกฎในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าเป็นผู้ตั้งขึ้นและเป็นผู้ดูแล  เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เป็นเรื่อง พื้นฐานในการเรียนรู้จักพระเจ้าและถ้อยคำของพระองค์ทั้งหมด ในหนังสือ 1 โครินธ์ 15:21-22  คือความจริงในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  ที่พระเจ้าได้สอน ได้สำแดงให้เราได้รู้ ได้เข้าใจมากขึ้น 1 โครินธ์ 15:21-22 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ …

        1 โครินธ์ 15:21-22 “21 เพราะในเมื่อความตาย สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์คนทั้งปวง จะได้รับชีวิตฉันนั้น”

            เพราะในเมื่อความตายฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ใช้คำว่าพินาศ … พินาศ คือความตาย … ความตายทางฝ่ายวิญญาณ สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากความตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน  เหมือนกันไม่มีผิดเลย

            เพราะฉะนั้น การเป็นขึ้นจากความตาย  ก็คือการเป็นขึ้นจากความตายทางฝ่ายวิญญาณ เห็นไหม? เหมือนกัน ในลักษณะเดียวกัน  เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ก็คือความตายในวิญญาณ ก็คือตายอยู่ในอาดัม  วันนี้เราจะมาเรียนรู้ว่าอดีต ก่อนเชื่อ เราอยู่ในอาดัม หลังเชื่อ เราอยู่ในพระคริสต์ ความสว่าง คือสภาพของพระคริสต์นั่นเอง

            “คนทั้งปวงตายฉันใด” คือคนทั้งปวงตายในวิญญาณฉันใด อยู่ในอาดัม ฉันใด ในพระคริสต์คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตนิรันดร์ฉันนั้น  ลักษณะเดียวกันเลย อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ชีวิตนิรันดร์

            ถามว่า “ความตายทางฝ่ายวิญญาณคืออะไร?” ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ไปแล้ว ความตายทางฝ่ายวิญญาณ คือตายจากพระเจ้า  ไม่ได้หมายถึงตายสูญหายไปเลย ไม่ใช่  ตายทางฝ่ายวิญญาณ คือตายจากพระเจ้า  หย่าจากพระเจ้า ใช้คำนี้ก็ได้ คำเดียวกันกับเขาเอามาใช้ในเรื่องของสามีภรรยาหย่ากัน แยกกันอยู่ แยกจากพระเจ้า ตายจากพระเจ้า  ออกจากพระเจ้าไป

            โรม 5:12 ได้พูดถึงเรื่องนี้เหมือนกันว่า …

        โรม 5:12  “ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

            บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว ก็คืออาดัม บรรพบุรุษของเรา

            บาป คือความไม่เชื่อฟังพระเจ้า การกบฏต่อพระเจ้า  การดื้อต่อพระเจ้า  การทิ้งพระเจ้ามา ไม่ใช่พระเจ้าทิ้งเรานะ  การที่เราทิ้งพระเจ้า  ออกจากพระเจ้า หย่าขาดจากพระเจ้า  มาพึ่งในตัวเอง  เรียกว่าความชั่ว ความบาป และตัวความชั่ว ความบาปนี้ มันจึงก่อให้เกิดความประพฤติชั่วตามมา  เพราะความดีหายไปแล้ว  ความดีอยู่ในพระเจ้า

            ในนี้จึงบอกว่า “บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว คืออาดัม และบาปนำความตายมา”  ก็คือความตายทางฝ่ายวิญญาณ ดื้อต่อพระเจ้า ก็คือออกจากพระเจ้ามา  เรียกว่าทำผิดจากความประสงค์ของพระเจ้า  น้ำพระทัยของพระเจ้า  ความประสงค์ของพระเจ้า คือต้องการให้มนุษย์อยู่กับพระองค์ แต่มนุษย์ออกมาจากพระองค์ เรียกว่าทำบาป  กบฏ การกบฏนี้ นำความตายมา ก็คือการกบฏ ออกจากบ้านพระเจ้าไป  ก็คือเกิดความตายทางฝ่ายวิญญาณขึ้นมา ก็ตายจากพระเจ้า  ทิ้งพระเจ้าไปนั่นเอง

            “และโดยทางนี้เอง” โดยทางนี้ คือทางการไม่เชื่อฟังพระเจ้าทำบาป  ทำให้เกิดการตายจากพระเจ้า โดยทางนี้เอง  ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะมนุษย์ทุกคนได้ทำบาป  พอออกมาจากพระเจ้าปุ๊บ ไม่ได้มาคนเดียว  มาทั้งเผ่าพันธุ์ มาทั้งครอบครัวเลย เพราะว่าอาดัมเป็นต้นกำเนิดของมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ นึกภาพออกใช่ไหม? แทนที่ลูก หลาน เหลน โหลนจะอยู่ในอาดัม และอยู่ในบ้านกับพระเจ้า พระเจ้าต้องการเช่นนั้น  แต่มนุษย์ไม่ฟัง ไม่เชื่อ อยากจะออกมาพึ่งพาตนเอง อยากจะออกมาทำมาหากินนั่นแหละ ก็เลยพาครอบครัวออกมาด้วย ครอบครัวมีเราอยู่ในนั้นด้วย ก็คือมนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งบ้าน ทั้งหมดเลย  … บ้าน ก็คือโลกใบนี้

            เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคน เกิดมาบนโลกใบนี้  จึงไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เท่ากับได้ทำผิดบาปแล้ว  เพราะเป็นลูกหลานของอาดัม  คือเกิดในความบาป เกิดมาเป็นบาป เกิดมาเป็นศัตรูกับพระเจ้าเลย เกิดมาไม่มีพระเจ้าอยู่ เกิดมา ก็เป็นนักโทษของความบาป อยู่ภายใต้กฎ ที่เรียกว่ากฎของความบาป  เกิดมา ก็ตายทางวิญญาณ  เป็นศัตรูกับพระเจ้า  เกิดมา วิญญาณก็อาศัยอยู่ในบาป  พระคัมภีร์เรียกว่าคนอธรรม  … คนอธรรม คือคนไม่ชอบธรรม … คนไม่ชอบธรรม คือคนชั่ว  … ชั่ว เพราะกระทำชั่ว ไม่ใช่ เพราะเกิดมามีสภาพ ลักษณะทางธรรมชาติเป็นคนชั่วในวิญญาณ คนชั่ว คือคนบาป  คนบาป คือคนที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วยนั่นเอง  และคนที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย คือลูกหลานของอาดัม  ที่อาดัมพาออกมาจากพระเจ้านั่นเอง  โรม 5:15 ได้บันทึกว่าแล้วพระเจ้าทำอย่างไร? …

        โรม 5:15 “แต่​ของขวัญ​ที่​พระเจ้า​ให้​เปล่าๆ ​นั้น มัน​แตกต่าง​กัน ​เพราะ​ใน​ทาง​หนึ่ง ​ขณะ​ที่​ความผิด​บาปของ​คนๆ ​หนึ่ง คือ​อาดัม ทำ​ให้​คน​จำนวน​มาก​ต้อง​ตาย แต่​ใน​อีก​ทาง​หนึ่ง ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระเจ้า​ และ​ของขวัญ​ที่​ผ่าน​มา​ทาง​ความ​เมตตา​ของ​คน​คน​เดียว ​คือ​พระเยซู​คริสต์นั้น  ก็​เป็น​ประโยชน์​กับ​คน​มากมาย”

            เมื่อตะกี้ในข้อ 12 เราเรียนรู้แล้ว พระคัมภีร์บอกเราว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมา อยู่ในบาป ก็คืออยู่ในอาดัม เป็นลูกหลานของอาดัม

            “มนุษย์ทุกคนเกิดมา อยู่ในอาดัม”

            มีปัญหาแล้วนะ  แล้วจะแก้ไขได้อย่างไร? เมื่อตะกี้เราอ่าน โรม 5:15 ว่า …

            “แต่ของขวัญที่พระเจ้าให้ มันแตกต่างกัน เพราะในทางหนึ่ง ขณะที่ความผิดบาปของคนๆ หนึ่ง คืออาดัม ทำให้คนจำนวนมากต้องตาย” อย่างที่ตะกี้เราเรียนรู้ไปแล้ว แต่ในอีกทางหนึ่ง ก็คือลักษณะเดียวกัน แต่เป็นทางตรงกันข้าม ก็คือพระเมตตา กรุณาของพระเจ้า  พระคุณของพระเจ้านั่นเอง  และของขวัญที่ผ่านมาทางความเมตตาของคน คนเดียว คือความเมตตาของพระเยซูคริสต์ ที่ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น ก็เป็นประโยชน์กับคนมากมาย

            พระเยซูคริสต์ เป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ที่เกิดมาอยู่ในอาดัม ให้มีทางออกจากในอาดัม มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ ลักษณะเดียวกันเลย  ก็คือให้เปล่าๆ ฟรีๆ  ไม่ต้องทำอะไรเช่นกัน เพราะว่าตอนเราเกิด เราอยู่ในอาดัม อยู่ในบาป เราทำอะไรหรือยัง? ยังไม่ได้ทำอะไร เราก็เป็นคนบาปแล้ว  เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะเกิดใหม่ พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ เป็นประตูสวรรค์ให้เราบังเกิดใหม่ เข้าอยู่สวรรค์กลับมาสู่อ้อมกอดของพระองค์ โดยความเชื่อและวางใจในของขวัญนี้ ก็คือพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องทำอะไรเช่นเดียวกัน  เหมือนกันเลย แต่คนละขั้ว เอเมน น่าคิดนะ

            น่าคิดตรงไหน?  น่าคิดตรงที่มนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบเอเชีย ยิ่งชัดใหญ่เลย มันจะชินหูกับคำพูดที่บอกว่าคนเราเกิดมา ต้องใช้หนี้เวรกรรม คุ้นไหม? มีหมดนะ ทั้งโลกเลย  คนเราเกิดมาต้องใช้หนี้เวรกรรม เป็นเรื่องธรรมดา เวรกรรมที่ติดตัวมาตั้งแต่ปางก่อน ทำเป็นเพลงเยอะแยะ ทำเป็นโคลง เป็นกลอน อะไรต่างๆ  พูดถึง พรรณาถึงสิ่งนี้ว่าเกิดมาใช้กรรม ไม่มีใครพูดเลยนะ เกิดมาอยู่ในสวรรค์ มีแต่เกิดมาใช้กรรม  และกรรมแต่ปางก่อน  แล้วเชื่อไหม?  ในอดีตเชื่อไหม?  ในอดีตเชื่อกันง่ายๆ  คนเราเกิดมาก็ต้องใช้กรรม แล้วไปทำอะไรมา ไม่รู้ ต้องใช้กรรมแหละ กรรมอะไร? เมื่อไร? โบ้ยไปโน้น เมื่อชาติที่แล้ว กรรมเก่า กรรมโน้น กรรมนี้ไปเรื่อยเปื่อย หาไม่เจอ แต่เชื่อนะ  ทำไมรู้ว่าเชื่อ ก็ไปหาวิธีการต่างๆ ทำพิธีต่างๆ เพื่อชดใช้กรรมเหล่านั้น ใช้อย่างไร? มันก็ไม่หมดสักที ไปทำพิธีโน่นพิธีนี่ เพื่อใช้กรรมเขาไป  ใช้กรรมเมื่อไรจะจบสักที นี่เป็นต้น

            แต่ว่าพอพูดตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ให้มนุษย์ได้ยินได้ฟัง เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณเช่นเดียวกัน พูดว่าอย่างไร? คนที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ พ้นจากหนี้บาป เวรกรรมทั้งปวง  โดยการเชื่ออย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกันเลย  เชื่อไหม? ไม่เชื่อ คิดดูหลายปี ก็ไม่เชื่อ หลายคนคิดจนกระทั่งถึงจบสุดท้าย ในชีวิต ก็ยังไม่เชื่อ ก็ยังเชื่ออันเดิมอยู่ว่าคนเราเกิดมา ก็ต้องใช้กรรมเก่า เมื่อไรมันจะหมดสักที ขณะที่ข่าวประเสริฐ ข่าวดีอีกอันหนึ่ง พระเจ้าบอกว่าในพระเยซูคริสต์ ท่านได้เป็นอิสระแล้ว พระเยซูได้ไถ่ท่านออกจากหนี้บาป เวรกรรมทั้งปวงแล้ว มารับไปเลยฟรีๆ ทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน ประกาศก้องมา 2,000 ปีแล้ว สำเร็จแล้วๆ มารับไปเถิด นี่คือข่าวดี

            ข่าวดีรับยาก มนุษย์รับแต่ข่าวร้าย  ซึ่งเราก็พอรู้แล้วนะว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้  เราเรียนรู้จากโลกฝ่ายวิญญาณไปบ้างในตอนที่แล้วว่ามนุษย์ถูกชักจูงในทิศทางที่ไม่เชื่อในความจริงของพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในความจริงของข่าวดี เพราะว่าโลกนี้มีกฎของความบาปและความตาย  กฎของคำสาปแช่ง ปกคลุมอยู่ ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง มาข้อต่อไป โรม 5:16 …

        โรม 5:16  “แน่นอน​ ผล​จาก​ของขวัญ​นั้น แตกต่าง​อย่าง​มาก ​จาก​ผล​ของ​ความผิด​บาปที่​อาดัม​ได้​ทำ เพราะ​การ​ทำ​ผิด​บาปเพียง​ครั้ง​เดียว ​(ของอาดัม) ทำ​ให้​ทุก​คน​ ต้อง​ถูก​ตัดสิน​ว่า​ผิดบาป แต่​ของขวัญ​นั้น​ ทำให้​คน​เรา​ได้รับ​การ​ตัดสิน​ว่า​ไม่​ผิดบาป ทั้งๆ ​ที่ ​ทำ​ผิด​บาปตั้ง​หลาย​ครั้ง”

            นี่พระเจ้ามาเปรียบเทียบให้เราได้เห็นเลยว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เราฟรีๆ ของขวัญผ่านทางพระเยซูคริสต์ โดยความเชื่อในพระองค์เท่านั้น เป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่มากๆ ที่ทำให้มากล้นกว่าตอนที่ได้รับมา โดยไม่อยากได้  ก็คือได้รับเชื้อบาปมาจากบรรพบุรุษ เกิดมาก็บาปแล้ว เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ได้พระคุณของพระองค์มา  ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว มาในลักษณะเดียวกัน  คือใช้ความเชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน แต่แถมเป็นพระคุณมากกว่าตั้งเยอะ กว่าที่เราเกิดมาแล้วต้องรับโทษเป็นคนบาป ในลักษณะอย่างนั้น แน่นอน ผลจากของขวัญนั้น  แตกต่างกันอย่างมาก แตกต่างกันจากผลของความผิดบาป ที่อาดัมได้ทำ เพราะการทำผิดบาปครั้งเดียวของอาดัม  ทำให้ทุกคนต้องถูกตัดสินว่าเป็นคนบาป เรารู้แล้ว เกิดมาก็เป็นบาปแล้ว

            ในทำนองเดียวกัน แต่เป็นผลมากกว่ามาก ก็คือแต่ของขวัญนั้น ทำให้คนเราได้รับการตัดสินว่าไม่ผิดบาป เป็นคนชอบธรรม แค่นั้นไม่พอ ของขวัญนั้น ไม่ใช่ให้เราได้รับการตัดสินว่าไม่ผิดบาป คือยกโทษ อภัยในความผิดบาปทั้งสิ้น ที่เรารับมาเป็นมรดก จากอาดัม  มาถึงชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ดำเนินมาจนกระทั่งถึงก่อนจะเชื่อในพระเจ้า  ก่อนจะเชื่อในพระเยซู อภัยให้หมดเลย  แค่นั้นไม่พอ  เพราะถ้าให้อภัยแค่นั้นอย่างเดียว  เราก็ยังมีโอกาสไปทำบาปอีก 

            แต่ของขวัญในพระเยซูคริสต์ คือไม่ใช่ให้อภัยในความบาปผิดอย่างเดียว  แถมให้เราได้บังเกิดใหม่ ทั้งวิญญาณและใจใหม่ ร่างกายใหม่ ซึ่งร่างกายใหม่นี้จะเตรียมไว้ สำหรับเราในอนาคต หลังความตาย หลังจากทิ้งจากร่างกายนี้แล้ว แต่ให้เราบังเกิดใหม่ทันทีเลยบนโลกใบนี้ คือวิญญาณใหม่ ใจใหม่ ไม่มีวันทำผิดบาปอีกเลย  เพราะฉะนั้น ในนี้จึงบอกว่าได้รับการตัดสินว่าไม่ผิดบาป ทั้งๆ ที่ทำผิดบาปตั้งหลายครั้ง หมายถึงว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  พอเชื่อในพระเยซู เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ รับของขวัญจากพระเจ้านี้ เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าตัดสินเราทันทีเลยว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป  เราพ้นจากความผิดบาปแล้ว บาปในบรรพบุรุษ ในอาดัม  ที่เรารับถ่ายทอดมา  และบาปในปัจจุบันที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ หลังเชื่อแล้ว  เรายังคงกระทำอยู่ ก็ได้รับการอภัย อภัยเมื่อไร? อภัยให้ทันที  ก่อนที่เราจะกระทำ ก็อภัยแล้ว เพราะในนี้ระบุไว้ว่าทั้งๆ ที่ทำผิดบาปตั้งหลายครั้ง  ไม่รู้จะกี่ครั้ง ไม่รู้ล่ะ  อภัยหมด  ถามว่าอภัยหมดเพราะอะไร?  เพราะตะกี้ผมบอก เพราะว่าเราได้รับวิญญาณและใจใหม่แล้ว  สะอาด บริสุทธิ์แล้ว  ไม่มีบาปเลย โรม 5:17 บอกไว้อย่างนี้ …

        โรม 5:17  “เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดทำบาปของมนุษย์คนเดียว (คืออาดัม) เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครองผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น (คืออาดัม) ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด บรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณ และของขวัญแห่งความชอบธรรม ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้น ย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสต์”

            “เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดทำบาปของมนุษย์คนเดียว คืออาดัม เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครองผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น คืออาดัม” ก็คืออาดัมทำบาป  เราทั้งหลายติดเชื้อบาปไปด้วย เราทั้งหลายเป็นคนบาปไปด้วย  เป็นนะ เรายังไม่ได้ประพฤติเลยนะ เราเป็นคนบาป  แต่พระเยซูคริสต์ทำความเชื่อฟัง คือเชื่อฟังพระเจ้า มายอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย  ทำให้เราได้บังเกิดใหม่  ในลักษณะเดียวกัน เห็นไหม? พอเราเกิดใหม่ปุ๊บ เราเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม เป็นคนบริสุทธิ์  เราเป็นนะ ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติ เช่นเดียวกัน ลักษณะเดียวกันเลย

            นี่แหละ คือความหมายของคำว่า “ทั้งๆ ที่ทำผิดบาปหลายครั้งก็ตาม” ก็คือทั้งๆ ที่หลังจากเชื่อแล้วประพฤติไม่ถูกต้อง ทำบาป คือไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ยังโกรธเขาอยู่ ยังเกลียดเขาอยู่ ยังอิจฉาริษยา ยังทำอะไรไม่ดีอยู่ กินเหล้าก็ยังกินอยู่ โกหก ก็ยังโกหกอยู่ พระเจ้าไม่ได้นับตรงนั้นว่าเป็นบาป ทั้งๆ ที่ทำผิดบาปหลายครั้ง ก็ไม่นับว่าเป็นบาป  เพราะว่ามันเป็นความประพฤติ  เราจะสังเกตได้ ทุกคนไม่เข้าใจตรงนี้  มันเป็นไปได้อย่างไร? อ้าว! แล้วตอนที่เราติดเชื้อบาปมาจากอาดัม ทำไมมันเป็นได้  เราไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง เราก็ชั่ว เป็นคนบาป  ต่อให้เราทำดีเยอะแยะมากมาย  จนกระทั่งถึงวันตาย เราก็เป็นคนบาปเท่าเดิม  คนชั่วกว่าเราตั้งเยอะ ทำชั่ว ทำเลว อะไรต่างๆ บนโลกใบนี้  เวลาตายจากโลกใบนี้ ถ้าเขายังไม่เชื่อพระเยซู เขาก็ยังเป็นคนบาปเหมือนกับเรา เท่ากับเราเลย แล้วที่เราทำดี เกิดอะไรขึ้น? ในลักษณะเดียวกัน นี่มันเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ผมจึงได้นำท่านพูดตั้งแต่แรกว่าเรากำลังคุยกันเรื่องโลกวิญญาณ  ต้องแฟร์ๆ กันนะ อย่าเอามาผสมผสานกันนะ  ทำให้ในที่สุด ไม่มีเหตุผล ตอนที่รับกรรมจากบรรพบุรุษ ฉันมีหนี้เวรกรรม มาตั้งแต่เกิด เมื่อไรชดใช้หมดสักที มีเหตุผลหรือนั่นนะ  ไม่มีเหตุผลเหมือนกัน  เพราะมันเป็นโลกวิญญาณ

            เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็ไม่มีเหตุผลเหมือนกัน ทางฝ่ายมนุษย์ แต่ทางพระเจ้าเห็นชัดเจน  อุตส่าห์อธิบายแล้วอธิบายอีกว่ามันเป็นลักษณะเดียวกัน  แต่คนละขั้วกัน  ขั้วไปในทางดีกับขั้วไปในทางไม่ดีนั่นเอง

            “บรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณ และของขวัญแห่งความชอบธรรม ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้น ย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสต์” ก็คือได้เกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณ เกิดเมื่อไร? ทันที เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทันทีบนโลกใบนี้ เขาเกิดใหม่ในวิญญาณทันทีเลย ถูกย้ายออกมาจากอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ทันที พระเยซูคริสต์เข้าครอบครองชีวิตเขาทันที  เขาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ทันที โรม 5:18 ต่อไป …

        โรม 5:18 “ฉะนั้น การล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียว ส่งผลให้คนทั้งปวง ถูกลงโทษฉันใด การกระทำอันชอบธรรมเพียงครั้งเดียว ก็ส่งผลให้คนทั้งปวง ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม ฉันนั้น ซึ่งการนับเป็นผู้ชอบธรรมนี้ นำชีวิตมาให้คนทั้งปวงเหล่านั้น”

            เห็นไหมครับ? อธิบายอย่างละเอียดมากเลย ละเอียดจริงๆ พิจารณาดูสิครับ ภาวนากับพระเจ้า ทั้งๆ ที่ท่านยังไม่รู้จักพระเจ้า  ท่านก็ลองค่อยๆ คิดใคร่ครวญดูว่ามันเป็นจริงตามนั้นไหม? แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องบอกเลยนะ ใคร่ครวญในลักษณะความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณ และหาเหตุผลทางฝ่ายวิญญาณ  นี่ชัดๆ เลย

            มันก็เหมือนกัน คือ “การล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียว ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกลงโทษฉันใด” คนทั้งปวง คือมนุษย์ทุกคนได้เป็นคนบาป โดยไม่ต้องทำอะไรเลย รับมาจากคนๆ เดียว ไม่มีเหตุเลยใช่ไหม?  แต่มันเป็นจริง การกระทำอันชอบธรรมเพียงครั้งเดียว ก็คือพระเยซูเพียงครั้งเดียว ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่มนุษย์ทั้งปวง และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ก็ส่งผลให้คนทั้งปวง ถูกนับเป็นคนชอบธรรม เห็นไหม? ได้เกิดใหม่ พ้นจากบาป เหมือนกันไม่มีผิดเลย แล้วทำไมไม่รับ พูดง่ายๆ พระเยซู พระเจ้ากำลังพูดกับเรา มนุษย์ในยุคปัจจุบันว่าทำไมไม่รับ  มันง่ายมากเลยอย่างนี้ ผมเชื่อว่าในอดีต เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนประกาศข่าวดี  คนจะเชื่อง่ายกว่านี้เยอะ ไม่ต้องคิดมาก ทุกวันนี้คิดเยอะ เพราะว่าฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ  คน ฉลาด ปัญญาทางมนุษย์ ปัญญาทางโลกนี้เยอะเหลือเกิน ปรัชญาชีวิตมันเยอะมาก เรียนรู้ทางสติปัญญาของมนุษย์ แต่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ใช่สติปัญญาของมนุษย์ ไม่ใช่ปรัชญาของมนุษย์ ไม่ใช่ความเข้าใจแบบมนุษย์  แต่เป็นฤทธิ์เดช  ข้อ 19 ต่อมาจึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 5:19  “เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นคนบาป ฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นผู้ชอบธรรม ฉันนั้น”

            ชัดเจนเลยนะ คือในอาดัมไม่เชื่อฟัง  ทำให้มนุษย์เป็นอันมากตกลงไปเป็นคนบาป  ไม่ใช่ไปทำบาปนะ เป็นคนบาปฉันใด  การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ที่หมายถึงพระเยซูคริสต์ที่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า ยอมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็เดินทางไปตาย ด้วยความทุกข์ทรมาน บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาป  ชำระหนี้บาปให้กับเราทั้งหลาย เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้สามารถบังเกิดใหม่ได้  พระองค์ยอม  การเชื่อฟังของพระเยซูนี้ ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น ก็คือเกิดใหม่ อย่างที่ตะกี้นี้บอก

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าในบริบทของโรม บทที่ 5 จริงๆ แล้วโรม หนังสือทั้งเล่ม พูดถึงโลกวิญญาณ  เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย  หนังสือโรม เป็นหนังสือพื้นฐานเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐอย่างดีมาก ตั้งแต่เริ่มต้นอาดัมกับเอวา ตั้งแต่เริ่มต้นสร้างโลกเลยว่าพระเจ้าเตรียมแผนการไว้อย่างไร? ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ อ่านพระคัมภีร์โรม แล้วอยู่ในพื้นฐานของเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว แล้วค่อยๆ สืบเสาะไปเรื่อยๆ จะเห็นภาพอย่างชัดเจนว่าประวัติศาสตร์มนุษย์เป็นอย่างไรทางวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องจริงๆ ของมนุษย์แท้ๆ เป็นปัญญาทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความรู้ลึกซึ้งในเรื่องของการรู้ ที่มาที่ไปของชีวิตของตนเอง ก็คือชีวิตของมนุษย์เองว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ  และวิญญาณจะอยู่ตลอดไป ร่างกายที่เราเห็นกันอยู่นี้ มันอยู่แค่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไปแล้ว  แล้ววิญญาณจะอยู่ตลอดไป อยู่อย่างไร? วิญญาณตอนนี้อยู่ไหน?  และถ้าไม่เชื่อพระเยซูคริสต์จะอยู่ที่ไหน? และถ้าเชื่อพระเยซูคริสต์อยู่ไหน? ชัดเจนมาก ในโรมบทที่ 5 นี้ ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมีอยู่ 2 แห่ง ที่จริงพูดมาทั้งเล่ม  หนังสือโรม แต่ที่มันชัดเจน เป็นขั้น เป็นตอน และละเอียดมากกว่าหนังสืออื่น ก็คือบอกชัดเจนว่าในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น ก็คือในอาดัมหรือในพระคริสต์

            ซึ่งจริงๆ อย่างที่ตะกี้นี้บอกหนังสือไบเบิ้ลทั้งเล่มพูดถึงเรื่องนี้ เรื่องโลกวิญญาณ พอเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณปุ๊บ นึกภาพไม่ออก มันมีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น คือในอาดัม หรือในพระคริสต์ โลกวิญญาณที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ความเป็นมาของมนุษย์ ตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งไปถึงสุดท้าย จนไปถึงอนาคตนิรันดร์เลย สรุปแล้วว่าในโลกวิญญาณมีแค่ในอาดัมกับในพระคริสต์

            มนุษย์ทุกคนเกิดมา ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เป็นคนบาปแล้ว ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรมของตน และได้รับเชื้อบาปนี้กันทุกคน  โดยรับเชื้อมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัมที่ทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า นำพาครอบครัวบ้านช่องตกลงไปอยู่ในการพึ่งพาการกระทำของตนเอง ที่เรียกว่าทำบาป ไม่เชื่อ ถูกหลอก ให้หนีออกจากบ้าน

            เช่นเดียวกัน มนุษย์ทุกคนที่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ได้เป็นผู้ชอบธรรม โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่เป็นผู้เชื่อฟังพระเจ้า

            อย่างที่ตะกี้ผมได้อธิบายให้ฟัง มันง่ายมากเลยนะ เรื่องมีอยู่แค่นี้เอง ในโลกวิญญาณ เล่าแล้วเล่าอีก ประกาศแล้วประกาศอีก ประกาศทางวิธีนี้วิธีนั้น วิธีโน้น สรุปแล้วเรื่องราวมีแค่นี้  คือเกิดมา ไม่ต้องทำอะไร ก็บาป เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ชอบธรรม เป็นลูกพระเจ้า

            อาดัมไม่เชื่อฟังพระเจ้า เรียกว่าทำบาป ทำบาปเพียงครั้งเดียว ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในอาดัม  ก็คืออยู่ใน DNA ฝ่ายวิญญาณของอาดัม ถ้าพูดอย่างนี้ชัดเจนขึ้น  ในยุคปัจจุบัน เรารู้จัก DNA แล้ว  คือเชื้อสายของชีวิต  แต่อันนี้เป็นเชื้อสายของชีวิตทางฝ่ายวิญญาณ  ทุกคนเกิดมาอยู่ใน DNA ฝ่ายวิญญาณของอาดัม เป็น DNA ที่เป็นบาป หมดเลย แก้ไขไม่ได้  เกิดมาก็มี DNA ฝ่ายวิญญาณเป็นบาป ไม่ใช่ทำบาปนะ เป็นบาป คือวิญญาณเป็น แล้วมันค่อยๆ ออกมาทำบาป แต่ DNA เป็นบาปอยู่ มนุษย์ผู้ใดก็ตามที่ยังอยู่ใน DNA ฝ่ายวิญญาณของอาดัม ตอนเกิดมาบนโลกใบนี้  อาดัม ซึ่งไม่เชื่อฟังพระเจ้า อยู่ในบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกตัดขาดจากพระเจ้า  เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เรียกว่าตายจากพระเจ้า  อยู่ในความมืด ไม่ได้อยู่ในความสว่าง ไม่ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า

            ถ้าเขายังอยู่ที่นี่อยู่ เขาก็ต้องรอรับการตัดสิน สำเร็จโทษตามที่อยู่ของเขา  ก็คือเป็นคนบาป ต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า  และเมื่อวันสุดท้ายของเขาบนโลกใบนี้  เมื่อเขาจากโลกนี้ไป หมดลมหายใจ เขาก็จะถูกตัดสินให้เป็นไปตามความเป็นจริง ก็คือวิญญาณอยู่ที่ไหน? ก็จะอยู่ที่นั่น ตลอดไป เพราะวิญญาณไม่มีวันสูญสิ้น วิญญาณอยู่ในบาป อยู่ในความพินาศ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย ก็จะอยู่อย่างนี้ ไปจนกระทั่งนิรันดร์ เรียกว่าพินาศนิรันดร์นั่นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าเขาไม่ตัดสินใจ  ใครที่ไม่ตัดสินใจย้ายจาก DNA ในอาดัมมาอยู่ในพระคริสต์ เขาก็ต้องรอรับวันสำเร็จโทษตรงนี้แหละ

            ทางฝ่ายพระเยซูคริสต์คืออะไร? ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์เชื่อฟังพระเจ้าพระบิดา เพียงครั้งเดียวเหมือนกัน  ก็คือยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ชดใช้หนี้บาป เวรกรรมทั้งปวง  ก็ทำให้มนุษย์คนใดก็ตามที่ต้องการย้ายสำมะโนครัวในวิญญาณ  จากอยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ได้ทันที ใช้สิทธิของเขาได้ทันทีเลย  เพราะพระเยซูได้กระทำให้สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน 2,000 ปีแล้ว เขาสามารถมาอยู่ใน DNA ฝ่ายวิญญาณของพระคริสต์ได้  เมื่อเข้ามาอยู่ใน DNA ของพระคริสต์ เขาก็เป็นเหมือนพระคริสต์ ตอนอยู่ใน DNA ของอาดัม อาดัมไม่เชื่อฟัง เป็นบาป  เขาก็เป็นผู้ที่ไม่เชื่อฟัง เป็นบาปด้วย  โดยไม่ต้องทำอะไร? เช่นเดียวกัน เมื่อเขาย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นผู้เชื่อฟัง เป็นผู้ชอบธรรม เป็นพระบุตรของพระเจ้า  เขาก็ได้รับอย่างนั้นเช่นเดียวกัน ไม่มีผิดเลย พระเจ้านับเขาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้อะไร?  เขาก็ได้อย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน

            และเมื่อได้เป็นผู้เชื่อฟังตามพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ได้คืนดีกับพระเจ้า สามารถเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าได้ ชื่อของเขา แทนที่จะจดอยู่ในหนังสือแห่งความตาย ในอาดัม ก็ถูกย้ายสำมะโนครัว มาจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตนิรันดร์ในพระบุตร พระเยซูคริสต์ เห็นไหมมีอยู่ 2 แห่งเท่านั้นเอง

            แล้วในพระเยซูคริสต์นี้ ในครอบครัวนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่าได้รับการยกโทษความผิดบาปทั้งสิ้น ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หมดเกลี้ยงเลย  แม้ว่าจะทำบาปกี่ครั้งก็ตาม ก็ยังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่เหมือนเดิม เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำของมนุษย์คนนั้น มันจึงไม่สามารถกระทบกระทั่งต่อการบังเกิดใหม่และผู้ชอบธรรมของท่านได้  ความประพฤติจึงไม่สามารถมีผลต่อวิญญาณของท่าน เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว  ท่านพอมองเห็นไหมครับ? ต้องค่อยๆ แกะทีละนิด ต้องใช้เวลานิดหนึ่ง ฟังดูเหมือนง่าย แต่จะให้เข้าใจ  อาจต้องใช้เวลาสักนิดหนึ่ง  เพราะว่าเราเคยชินกับความรู้แบบเดิมๆ ความรู้แบบสติปัญญามนุษย์ เขาเรียกตรรกะ เหตุผลแบบมนุษย์ว่าถ้าทำอย่างนี้ ต้องได้รับอย่างนี้  ถ้าทำดี จึงจะได้ดี ทำไม่ดี แล้วได้ดี ได้อย่างไร?  อะไรแบบนี้ ยังไงๆ เขายังเป็นลูกพระเจ้าอยู่ แม้เขาจะทำบาปสักกี่ครั้งก็ตาม  เขาเป็นลูกพระเจ้า เพราะเขาได้บังเกิดใหม่  อาศัยอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว

            พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้ว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ได้ปลดปล่อยให้เขาคนนั้น เป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายแล้ว  ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว รับได้ไหม?  รับไม่ได้ง่ายๆ หรอก  ไม่มีการลงโทษ ทำอะไรก็ได้ ใช่จริงๆ  นี่มันข่าวประเสริฐจริงๆ นะ  เขาจะประพฤติอะไรก็ได้ ต่อไปนี้ไปสวรรค์แล้ว ใช่ไหม? ใช่ จริงๆ  เพราะเขาบังเกิดใหม่แล้ว  และเขาแพ้ความบาป เขาทำบาปไม่ได้อีกต่อไป  หมายถึงในใจของเขา ซึ่งเราเรียนรู้เรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว อันนี้แยกไปอีกเรื่องหนึ่งว่าเมื่อเขาไปอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เขายังคงอาจเผลอทำบาปบ้าง ซึ่งมาจากความเคยชิน และมาจากการหลอกลวง ล่อลวงของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งพระเจ้าก็จะค่อยๆ ฝึกสอนเขา ในการดำเนินชีวิตแบบใหม่ ไปเรื่อยๆ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ วางแผนไว้อย่างไร? แต่ละชีวิตไม่เหมือนกันว่าเปลี่ยนแปลงได้ขนาดไหน?  พระเจ้า พระวิญญาณที่อยู่ภายใน จะเป็นผู้นำ  ช่วยให้เขาค่อยๆ ฝึกฝนชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ ให้สมกับเป็นลูกของพระองค์ที่ชอบธรรมแล้ว ในพระเยซูคริสต์ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย ฝึกฝนเขา พระคัมภีร์ในหนังสือทิตัสบอกว่าโดยพระคุณของพระเจ้านี้ จะสอน ฝึกฝนให้เขา ลูกๆ ของพระองค์เหล่านี้ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยการฝึกฝนให้เขารู้จักปฏิเสธ การล่อลวง การหลอกลวงของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง อย่าไปทำตามมัน  ก็แล้วแต่ชีวิตแต่ละคนว่าฝึกฝน แล้วได้มากหรือน้อย ไม่เท่ากัน  ไม่เป็นไร ขึ้นอยู่กับใคร? ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้น ขึ้นอยู่กับใคร? พระเจ้าที่อยู่ข้างในจะจูงมือท่านเดิน  พระคุณของพระเจ้า หมายถึงอย่างนี้  ของขวัญหมายถึงอย่างนี้ ฟรีมันหมายถึงอย่างนี้  พระเจ้าจะจูงมือท่านเดินเอง ไม่ใช่ตัวท่าน ต้องมารับผิดชอบ            “ฉันจะต้องประพฤติอย่างนี้ สมกับเป็นคริสเตียน ฉันจะต้องๆ”

            ท่านไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพระเจ้าจะจัดการท่านเอง พูดอย่างนี้ ทุกคนก็จะบอก อ๋อ! จะจัดการ ลงโทษ ตีสอน  ไม่ใช่ตีสอน ฝึกสอน ฝึกฝน  ในฐานะเป็นลูกของพระคริสต์ ที่ทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจ  ด้วยความทนุถนอม ค่อยๆ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ  เพราะว่าเราได้เกิดเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ลูกพระเจ้ามีแต่ความดีบริสุทธิ์  ดีพร้อม  ชอบธรรม มีแต่ความดีอย่างเดียว  รักแต่ความดีอย่างเดียว  เหมือนที่เขาเอาไปแต่งเพลงรัก แล้วยกตัวอย่างว่าเหมือนมัจฉารักวารี เหมือนปลารักน้ำ  ขาดน้ำไม่ได้ คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เขาก็ทำดี  ทำบาปไม่ได้  แต่มีบางครั้ง ขึ้นมาบนบกไหมปลา  มี มีบางครั้งเชื่อแล้ว  ถูกหลอกให้ขึ้นบกไหม?  ก็มีเหมือนกัน  แต่ไม่เป็นสิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญ คือวิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? ในอาดัมหรือในพระคริสต์เท่านั้น เป็นเครื่องตัดสินเลยว่าเขาจะอยู่ที่ไหน? ตลอดไป ตลอดชีวิตของเขา ผมจึงใช้หัวข้อเรื่องนี้ว่าถ้าเรารู้ว่าวิญญาณเราอยู่ที่ไหน? เราก็ดำเนินชีวิตได้ ถูกต้องและสงบ

            เหล่านี้คือพระคุณ ซึ่งพระคัมภีร์บอกพระคุณซ้อนพระคุณ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำการกระทำให้กับมวลมนุษยชาติ ทุกคนบนไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  แค่เข้ามารับสิทธิของเขา เขาแค่ตัดสินใจ เหมือนเราที่ได้ตัดสินใจแล้ววันนี้ วานนี้ ในอดีตเมื่อไรก็ไม่รู้ เราแค่มารับสิทธิ์ ตัดสินใจย้าย จากการอยู่ในอาดัม ซึ่งไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย เป็นศัตรูกับพระเจ้า  พึ่งพาในตนเองกระทำทุกอย่างด้วยตนเอง  ซึ่งไปไม่รอด ชดใช้บาปด้วยตนเอง จะรอดได้อย่างไร?  เกิดมาต้องชดใช้เวรกรรม เมื่อไร? กี่ชาติก็ไม่รู้ ในใจก็รู้อยู่ดีว่าเราทำไม่ได้หรอก ก็ให้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ มีพระเจ้าเป็นพ่อ  อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า  เป็นลูกที่รักของพระเจ้า พึ่งพาในพระเจ้า

            จำพระเยซูตอนที่เดินอยู่ในโลกใบนี้ได้ไหม? เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนที่พระเยซูประกาศ เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีของพระองค์ เรื่องนี้ ด้วยพระองค์เอง ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ก่อนที่จะทำให้สำเร็จ  พระองค์ประกาศอย่างนี้ชัดเจน มากเลย  ในหนังสือยอห์น 15:5-6 ได้ยกตัวอย่างอุปมาเรื่องนี้ พอท่านได้ยินเรื่องนี้ หลังจากที่ฟังคำบรรยายเมื่อสักครู่นี้ ตั้งแต่ต้นมา ฟังอุปมาเรื่องพระเยซู ที่ตรัสไว้  จะร้องอ๋อเลย โอ้โห! ขอบคุณพระเจ้า นี่เรื่องจริงๆ เลย พระเยซูประกาศแล้วประกาศอีก  เรื่องอย่างนี้ทั้งนั้น นี่คือหนึ่งในจำนวนที่พระองค์ได้ประกาศเท่านั้นเอง  ลองอ่านดู ในยอห์น 15:5-6 นึกถึงอาดัมให้ดีๆ ในอาดัมกับในพระคริสต์ …

        ยอห์น15:5-6 “5 เราเป็นเถาองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเราอาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใด ไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้าน ที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)”

            “เราเป็นเถาองุ่น” พระเยซูคริสต์ตรัสด้วยพระองค์เอง อุปมาว่าพระองค์ คือพระคริสต์ พระคริสต์ แปลว่าพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าที่พระองค์ทรงส่งมา เป็นผู้ช่วยให้รอด  “เราเป็นเถาองุ่น” ก็คือพระคริสต์เป็นเถาองุ่น … เถาองุ่น คือลำต้นต้นองุ่น ท่านทั้งหลาย คือมนุษย์ทั้งหมด เป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัยต่อติด กิ่งก้านต่อติดอยู่กับลำต้นใช่ไหม? อาศัยต่อติดอยู่ในเรา ก็คืออยู่ในพระคริสต์ แล้วเราอาศัยต่อติดอยู่ในเขา กิ่งก้านต้นไม้กับลำต้น ดูไม่ออกเลยว่าใครต่อใคร? เชื่อมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน “ผู้นั้น ก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก” หมายถึงชีวิตนิรันดร์  เพราะว่าชีวิตของกิ่งก้านมาจากลำต้น  มาจากรากของลำต้น รากเป็นชีวิต ชีวิตก็มาจากพระคริสต์ นี่กำลังพูดถึงคนที่อยู่ในพระคริสต์

            “หากแยกห่างจากเรา” ก็คือไม่ได้อาศัยต่อติดอยู่ในเรา ก็คือคนที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ “ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลย” ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ก็ไม่มีผลดีเลย ไม่ว่าท่านจะทำดีมากขนาดไหน? ก็ไม่ได้ผลดีเลย

            “ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา” ก็คือไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม  คืออาดัม  ซึ่งตายอยู่ในบาปนั่นเอง  เขาก็เหมือนกิ่งก้านที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย  รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง ก็คือพินาศในบึงไฟนั่นเอง  เขาจะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย  เมื่อวิญญาณออกจากร่าง

            แถมให้อีกอันหนึ่ง มัทธิว 7:17-20 ในเรื่องเดียวกัน พระเยซูอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง ยกตัวอย่างให้อีกเรื่องหนึ่ง …

        มัทธิว 7:17-20 “17 ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้ที่ดีทุกต้นย่อมให้ผลที่ดี ส่วนต้นไม้เลว ย่อมให้ผลที่เลว 18 ต้นไม้ดี ไม่อาจให้ผลเลว และต้นไม้เลว ไม่อาจให้ผลดี 19 ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ให้ผลดี ก็ถูกโค่น และโยนลงในไฟ 20 ฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้ จากผลของเขา”

            อย่างที่บอก เรียนรู้จักพื้นฐานของเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณ  ผลของต้นไม้ดี คือชีวิตนิรันดร์ คือความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า

            ผลของต้นไม้เลว คือตายในบาป  สกปรก ไม่ชอบธรรม ไม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า แต่ดูภายนอกแล้ว ดูดีคล้ายๆ กัน กำลังพูดถึงโลกวิญญาณนะ ถ้าดูภายนอกแล้วดูคล้ายๆ กัน ซึ่งเปรียบเหมือนผลไม้พลาสติกของเทียม นี่พูดถึงผลจากต้นไม้เลว

            วิญญาณดี ก็ให้ผลดี วิญญาณชั่ว เลว บาป ก็ให้ผลชั่ว  เลว  บาป  วิญญาณดี อยู่ในพระเยซูคริสต์ วิญญาณชั่ว เลว บาป อยู่ในอาดัม นี่คือความหมายของข้อความเมื่อตะกี้นี้ ที่พระเยซูพูด ฟังให้ดีๆ ถ้าคุณยังอยู่ในอาดัม ต่อให้คุณทำความดี  ประพฤติดี ความชอบธรรมของคุณที่กระทำนี้  ก็เป็นเหมือนเศษผ้าที่สกปรก  ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิม

            ดังนั้น สรุป ในโลกนี้ จึงมีเพียงแค่คน 2 ประเภทเท่านั้น  มีต้นไม้อยู่ 2 ประเภท คือผู้ที่อยู่ในอาดัมและผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ถูกไหม?  มีต้นไม้ดีและต้นไม้เลว  มนุษย์เป็นกิ่งก้าน จะไปต่อกับอะไร?  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์เลย  ขึ้นอยู่กับต้นไม้ต้นนั้น  มนุษย์เลือกที่จะไปอยู่ ไปต่ออยู่กับตรงไหน?  ในโลกนี้จึงมีผู้ที่อยู่ในอาดัมและอยู่ในพระคริสต์ มีคนที่ทำดี ในอาดัม เป็นคนใจบุญในอาดัม นึกออกไหม?  และคนที่ใจบุญในอาดัม และมีคนที่ดูเหมือนทำไม่ดีในพระคริสต์ ดูไม่ดีในพระคริสต์ ประพฤติไม่ดีในพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น นี่คือความจริงในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าคริสเตียน ก่อนเชื่อท่านอยู่ที่ไหน?  หลังเชื่อท่านอยู่ที่ไหน? ก่อนเชื่อท่านอยู่ในอาดัม ทำอย่างไรก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ประพฤติดีอย่างไร ก็ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ท่านอยู่ในพระคริสต์ ได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของท่าน ท่านอยู่ในพระคริสต์และจะอยู่ที่นี่ตลอดไป   พระเจ้าอวยพรครับ

***************************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าชี้ให้เห็นพิษสงร้ายแรงของความบาป ที่อยู่ในวิญญาณของมวลมนุษย์

            โรม 3:9-20 … “9 เช่นนี้แล้ว เราจะสรุปว่าอย่างไร? พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ? ไม่เลย! เราชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งคนยิว และคนต่างชาติ (คือมนุษย์ทุกคน) ล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด 10 ตามที่มีเขียนไว้ว่า  “ไม่มีสักคนที่เป็นคนชอบธรรม  (สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้)  ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย 11 ไม่มีใครที่เข้าใจ (โลกฝ่ายวิญญาณ) ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า 12 ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว” (คือทำดีจากใจ ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า) 13 “ลำคอของพวกเขา คือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่  พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อน” “พิษงูร้าย (คือพิษสงของบาป การเป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ดีพร้อม) อยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา” 14 “ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยคำสาปแช่ง และคำเผ็ดร้อน” 15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 16 เขาก่อหายนะ และทุกข์เข็ญไว้ ตามรายทางของเขา 17 ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าในสายตาของพวกเขา” 18 “เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย” 19 เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บทบัญญัติกล่าวไว้ ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคนไม่ให้มีข้อแก้ตัว และให้ทั้งโลกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า  20 ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นคนชอบธรรม (สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้) ในสายพระเนตรของพระเจ้า  โดยการรักษาบทบัญญัติ  บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป เป็นคนบาป”

            พระเจ้าทรงรักมนุษย์ดังแก้วตาดวงใจ จึงได้ส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาป

            ยอห์น 3:16 …  “พระเจ้าทรงรักมนุษย์ และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นผู้ชอบธรรม สามารถเข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ มาเป็นลูกของพระองค์มีชีวิตนิรันดร์   ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1454

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  มกราคม  2024

เรื่อง “ยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทาง” ตอน 3

“ชัยชนะของผู้เชื่อวางใจ โดยการสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า”

โดย ธิดารัตน์  ร่มพระคุณ

            วันนี้เราก็จะมาคุยกันอีกครั้งในเรื่อง “ยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทางของเรา” ครั้งนี้อยู่ในหัวข้อ ชัยชนะของผู้เชื่อวางใจ “โดยการสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า” เรามาดูในยอห์น 16:33 …

        ยอห์น 16:33 (THSV11) “เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”

พอฟังพระวจนะตอนนี้ “เราชนะโลกแล้ว” เราก็จะเอาประโยคสุดท้ายเลย แต่มาดูตรงนี้ “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด” คำพูดนี้ เป็นคำพูดของพระเยซูคริสต์เอง ในยอห์น บทที่ 16 ตอนนั้นพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์เป็นผู้พูดเอง หมายความว่าเมื่อเราดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เรายังคงเหมือนคนทั่วไป คนอื่นประสบความทุกข์ยากอย่างไร? เราประสบความทุกข์ยากอย่างนั้น คนอื่นต้องเผชิญหน้ากับสึนามิ กับภูเขาไฟระเบิด กับสังคมที่กำลังเสื่อมทรามลง เกิดเหตุการณ์ยากลำบากในเศรษฐกิจการงานในชีวิตประจำวันของเรา ทุกคนมี แล้วแต่เราสร้างฐานตัวเองมาแบบไหน? เราก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่มีใคนหนีพ้นเลย

            แต่ทำไมพระเยซูคริสต์บอกเราว่าเราเป็นพวกที่ชนะโลกแล้วละ! เพราะว่าพระเจ้าปรารถนาที่จะให้เราจดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในโลกนี้ ความเป็นจริงในชีวิตของเรา อยู่ในโลกวิญญาณ ความเป็นจริงของเราอยู่ในอีกมิติหนึ่ง คือมิติมันซ้อนกัน วิญญาณก็อยู่ตรงนี้แหละ เพียงแต่เรายังไม่หลุดออกจากร่างนี้ ถ้าเราหลุดออกจากร่างนี้ ก็สัมผัสได้ พอเรายังอยู่ในร่างนี้ เราก็สัมผัสแตะต้องโลกวิญญาณไม่ได้ แต่โลกวิญญาณมีอยู่จริง ไม่ใช่จริงธรรมดา จริงมากๆ จริงกว่าโลกนี้อีก โลกนี้ยังมีการดับสูญ ร่างกายเรายังจะมีการตาย ดับสูญไป กลับกลายเป็นดิน แต่วิญญาณของเราจะดำรงอยู่นิรันดร์กาล ฉะนั้น พระองค์จึงต้องการให้จดจ่ออยู่กับโลกวิญญาณมากกว่าโลกใบนี้ ความจริง คือว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์

เมื่อมนุษย์คู่แรกล้มลงในความบาป เลือกที่จะเชื่อมาร สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ก็คือมนุษย์ได้มอบอำนาจที่เรามีนั้น ไว้ในมือของมาร ในพระวจนะของพระเจ้า ในปฐมกาล เมื่อพระองค์ทรงสร้างโลกใบนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ทรงมอบสิทธิอำนาจในการปกครองโลกให้กับมนุษย์ทันที พระองค์บอกว่า …

“จงครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ”

            ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างในโลกใบนี้ พระองค์ทรงมอบไว้ในมือของมนุษย์ นั่นหมายความว่ามนุษย์มีสิทธิอำนาจเด็ดขาดในการทำทุกอย่างในโลกนี้ โลกนี้จะไปในทิศทางใด อยู่ที่การกระทำของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้พลาด โดยการตัดสินใจที่จะพึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง มนุษย์ได้ล้มลงในความบาป โดยเลือกที่จะพึ่งพาตนเอง ในการที่จะปกครองโลกนี้ ไม่ต้องการพระเจ้าแล้ว พระเจ้าประทานสมองและสติปัญญาให้กับเราในการคิด กว่าจะมาถึงการล้มลงในความบาป น่าจะหลายร้อยปีมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นไม่ถูกนับเป็นอายุ เพราะว่าวันเวลายังเป็นนิรันดร์กาลอยู่ อายุของอาดัมและเอวาก็ยังเป็นนิรันดร์กาล ยังไม่มีการนับอายุ

            ฉะนั้น เราไม่รู้ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ยาวนานมาขนาดไหนแล้ว? ก่อนที่อาดัมและเอวาจะล้มลงในความบาป เมื่อเกิดการล้มลงในความบาป อาดัมและเอวาก็ยังเป็นหนุ่มสาวตลอด ช่วงเวลาที่ยาวนานนั้น เราก็ไม่รู้ว่ายาวนานขนาดไหน? แต่เมื่อมนุษย์ล้มลงในความปุ๊บ โลกนี้ได้เกิดการนับถอยหลัง เพราะโลกนี้ได้ดำเนินไปสู่ความตายแล้ว

            พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า “อย่ากินผลไม้จากต้นนั้น เพราะเมื่อเจ้ากินเมื่อไร เจ้าจะตาย”
ในภาษาฮีบรู คำว่า “ตาย ตาย” คือการตายฝ่ายร่างกายและการตายฝ่ายวิญญาณ โลกนี้ที่อยู่ในมือของมนุษย์ ที่ตายแล้ว ก็ตายไปกับเราด้วย

เราจะเห็นว่าโลกใบนี้ถูกครอบงำ และถูกทำลาย เมื่อมนุษย์ตาย พฤติกรรมของเรา ก็เต็มไปด้วยความตาย พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเสียพระทัย เพราะเมื่อทอดพระเนตรลงมา พระคัมภีร์บอกว่าเค้าโครงความคิดของมนุษย์ล้วนแต่ชั่วร้าย มนุษย์ตกอยู่ในการทำลายล้าง และทำลายซึ่งกันและกัน เข้าไปสู่การทำลายโลกนี้ วิวัฒนาการของโลกนี้ สูงส่ง สติปัญญาของมนุษย์ พระเจ้าให้มา พระองค์ไม่เอาคืน สติปัญญาของมนุษย์นั้นจะบอกว่าสุดยอดมากๆ เช่น หากเรานำคำหรือบทความหนึ่งมาขบคิด ทบทวน เมื่อคิดๆ มันก็จะถูกการสาน เสริมต่อ เหมือนหลักวิทยาศาสตร์ ที่เรารู้กัน ก็คือการผลิตออกมาลักษณะของ แผนที่ความคิด (Mind map) พระเจ้าสร้างคลื่นเสียง เมื่อมนุษย์รู้ว่ามีคลื่นเสียงในอากาศ ก็ขบคด คิดไปคิดมา ก็สามารถหยิบมาใส่โทรศัพท์ ให้เราสามารถพูดคุยกันได้ จากประเทศหนึ่งมาสู่ประเทศหนึ่ง ค่อยๆ วิวัฒนาการขึ้น จนกระทั่ง กลายมาเห็นหน้ากัน จากขั้วโลกนึ่ง มาสู่ขั้วโลกหนึ่ง สามารถที่จะพูดภาษาเดียวกันได้ เป็นไปตามพระวจนะที่บอกไว้ว่า ยุคสุดท้าย โลกนี้จะสามารถพูดเป็นภาษาเดียว เราสามารถสื่อสารกันได้ สมัยก่อนเราสื่อสารกันไม่ได้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่หอบาเบล มนุษย์ได้พูดหลายภาษา ดังนั้น มนุษย์ก็สื่อสารกันไม่ได้ ต่างคนก็ต่างจับกลุ่มกัน แล้วก็แยกย้าย เดินทางออกไป มนุษย์ก็กระจัดกระจาย จนเต็มแผ่นดินโลก ดังนั้น มนุษย์ก็จับกลุ่ม ใครพูดภาษาเดียวกัน พูดคุยกันรู้เรื่อง ก็ไปด้วยกัน แยกย้ายกันไป จนกระทั่งเต็มแผ่นดินโลก
คิดดู มันเท่ากับการเอามนุษย์ที่ตายแล้ว กระจายไปในแผ่นดินโลก วิวัฒนาการจำเริญขึ้น แต่จิตใจของมนุษย์เสื่อมทรามลง ในพระวจนะของพระเจ้าได้บอกกับเรา พระเยซูคริสต์บอกว่าในยุคสุดท้ายนี้ จิตใจของมนุษย์จะเสื่อมทรามลง ลูกก็จะไม่เคารพพ่อแม่แล้ว การกตัญญูก็จะไม่มีแล้ว การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ก็น้อย ถอยลงไปเรื่อยๆ มนุษย์เริ่มจะอยู่กับตัวเอง เห็นแก่ตัว แล้วก็ทำลายล้างกันมากยิ่งขึ้น แต่วิวัฒนาการก็โดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ?

            สมมติว่าเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เก่งมาก มีสติปัญญา สามารถผลิตหลายสิ่งหลายอย่างที่คนในยุคเมื่อ 2 ปีที่แล้วทำไม่ได้ แต่ว่าในด้านจิตใจไม่ได้เกิดปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่หรือครอบครัว ก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ พอแต่งงาน มีลูก การเชื่อมกันในจิตใจ ก็ยิ่งจางลงไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้จางลงไปเรื่อยๆ แต่วิวัฒนาการกลับสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ววิวัฒนาการนั้น ก็คือการทำลายล้างโลกนี้

ชีวิตของพวกเรา ในยุครุ่นของดิฉัน เทคโนโลยี่วิ่งเร็วมาก ดิฉันเห็นตั้งแต่โทรศัพท์ รุ่นยกใหญ่ แล้วหิ้วไป ค่าโทรแต่ละครั้งแพงมาก ติดต่อกับต่างประเทศ ก็จะเป็นหมื่น อันนี้ คือการมีส่วนตัวนะ และหลังจากนั้น ก็เริ่มเป็นรุ่นทรงกระติกน้ำ แล้วก็เลื่อนมาเป็นโทรศัพท์ตามตู้ ต่อแถวกันยาวเลย แล้วก็มาเป็นเพจเจอร์ แล้วมาเป็น PCT ต่อมาก็เป็นโมบาย รุ่นที่เราฮิตกัน โนเกียสมัยก่อน เป็นหมื่นกว่าบาท แพงมาก ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากโทรกับรับ ส่งข้อความ แล้วก็มาเป็นที่วัยรุ่นนักเรียนอินเตอร์เขาใช้กัน BlackBerry แล้วก็ข้ามมาเป็นโทรศัพท์ แบบที่เรามี แล้วก็เป็นสมาร์ทโฟน เป็นแท๊บเลต (แผ่นศิลา) เป็นไอแพด ทำงานได้ทุกที่ ทุกอย่างมารวมตัวอยู่ในเครื่องเดียวกัน ก็คือทั้งเพลง อัด พิมพ์งาน ส่งงาน ค้นหาคำศัพท์ได้หลายภาษา สมัยก่อนเราต้องใช้เครื่องอัดเสียงอันหนึ่ง โทรศัพท์อันหนึ่ง โน๊ตบุ๊คอันหนึ่ง หิ้วกันหนักมาก แต่ทุกวันนี้ อยู่ในเครื่องเดียวหมด
วิวัฒนาการสูงขึ้น แต่สภาวะของโลกนี้ ก็จะใจร้ายกันมากขึ้น ทำลายกันมากขึ้น โลกก็เสื่อมทรามกันมากขึ้น โลกกำลังเข้าไปสู่ความตาย

            สิทธิอำนาจในการครอบครองโลกนี้ จึงตกเป็นของอำนาจแห่งความบาปและความตาย อยู่ในมือของความบาป เท่ากับเราย้ายมันมาอยู่ที่เรา ที่เป็นคนบาป มารถูกขับมาในโลกนี้ แต่ไม่มีอำนาจ แต่เมื่อเราตายแล้ว มารเข้ามาง่าย ครอบงำง่าย ยุยงง่าย เป่าหูเราง่าย โกหกง่ายไหม? ง่าย เพราะเรามีความมืดบอดฝ่ายวิญญาณ จึงถูกอำนาจมืดชักจูงได้ง่าย เราตกเป็นทาสของความมืดบอดฝ่ายวิญญาณ เป็นเครื่องมือของมาร ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือโดนมารรังแก มันโกหกเราให้ห่างพระเจ้ามากขึ้น ความบาปนี้ ทำให้ถูกตัดขาดจากพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง เราไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้า แต่ว่าวิญญาณเรา เป็นของโลกวิญญาณ จึงตะเกียกตะกายหาสิ่งที่อยู่ในโลกวิญญาณ แต่ก็ไปเจอความมืด ไปเจอผี ไปเจอไสย ไปเจออะไรก็ตามที่มันสกปรกทางโลกวิญญาณ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นพระเจ้าจริงๆ เพราะว่ามันไปไม่ได้ ประตูมันถูกปิด เพราะมนุษย์กับพระเจ้าถูกทำให้แยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิงเพราะเราเป็นคนบาป เข้าถึงความบริสุทธิ์ไม่ได้

            พระคัมภีร์บอกว่าถ้าพระเจ้าปิด ไม่มีใครเปิด ถ้าพระเจ้าเปิด ไม่มีใครปิด แต่พระเจ้าทรงเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ เพื่อให้พระมาซีฮาห์มาเกิด ในปฐมกาล บทที่ 3 ซึ่งได้พูดไว้ บอกว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก ก็คือมีผู้หนึ่งที่จะเกิดมา เป็นพระเจ้ามาเกิด ไม่ใช่เลือดเดียวกันกับอาดัม เป็นเลือดบริสุทธิ์ เลือดนี้แหละ ที่จะชำระล้างความผิดบาปให้กับเราได้ และเมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทรงมาบังเกิดบนโลกนี้ ได้ตายบนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์ทรงตรัสคำสุดท้ายว่า …

“สำเร็จแล้ว”

            เหตุการณ์ต่างๆ สถานการณ์ต่างๆ ที่เราพูดกันไม่รู้กี่ครั้ง ก็คือว่าบ่าย 3 โมง ม่านในพระวิหารฉีกขาด ระหว่างวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน ได้ถูกเปิดให้เชื่อมต่อกัน นั่นหมายความว่าพระเจ้ากับมนุษย์พบกันได้แล้ว มนุษย์ได้ถูกนำมาสู่การกลับคืนดีกับพระองค์ มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ โดยการบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยการวางใจ เข้าประตูทางเดียว ก็คือพระเยซูคริสต์ เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดไปถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์จึงเป็นประตูเดียว ที่เราจะเข้าไปหาพระเจ้าได้ แล้วพระองค์ก็ทำให้เราบัพติศมา อย่างที่อาจารย์เปาโลพูดบ่อยๆ ในจดหมายฝากของท่าน เกือบทุกฉบับ จะเน้นเรื่องนี้มากๆ ก็คือการที่เราได้บัพติศมาในพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า

            เพราะว่าพอเราบังเกิดใหม่ วิญญาณของเราก็เป็นชนิดเดียวกันกับพระเจ้า เมื่อเป็นชนิดเดียวกันกับพระเจ้า วิญญาณของพระเจ้า ก็อยู่ในเรา คำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ ที่สวนเกเสมเน ที่บอกว่า …

            “พระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระบิดา แล้วขอพระองค์ทรงเมตตาให้พวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ เหมือนกับที่ข้าพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์”

            พวกเราทั้งหมดที่เชื่อวางใจในพระเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วพวกเราทั้งหลายที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระบิดา พระบิดาก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรา ซึ่งเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ มันซ้อนๆ แล้วห่อหุ้ม เราได้รับการปกป้องคุ้มครองเรียบร้อย เราได้รับการช่วยให้ปลอดภัยทางวิญญาณ เราเข้ามาอยู่ในองศาที่ปลอดภัยแล้ว วิญญาณเรารอดพ้นแล้ว ฉะนั้น การกระทำใดๆ ในการงานของเนื้อหนัง ไม่ว่าอะไรก็ตาม ไม่สามารถนำให้เราพินาศได้ ไม่มีทางทำได้เลย เพราะว่าอันนี้เป็นการเก็บเราเข้าตู้เซฟ เก็บเราในพื้นที่ที่ปลอดภัยฝ่ายวิญญาณ ส่วนการงาน การกระทำใดๆ ในโลกนี้ เราทำไม่ดี เรากินผลเต็มๆ เหมือนคนที่ไม่เชื่อ พระเจ้าก็ยุติธรรม

            เราอาจจะพูดว่าทำไมเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังทุกข์ยากลำบากอยู่ อย่าลืมว่าเรายังอยู่ในโลก ถ้าโลกเจอสถานการณ์ที่เลวร้าย เราเหยียบบนโลกก็หนีไม่พ้น ส่วนชีวิตประจำวันของเรา ถ้าเราทำไม่ดี เราก็กินผลแห่งการไม่ดีนั้น ถ้าเราทำไม่ถูก เราก็กินผลแห่งการทำไม่ถูกนั้น ถ้าเรานินทาว่าร้ายคนอื่น การนินทาว่าร้ายนั้น ก็จะย้อนกลับมาหาเรา และทำร้ายเรา เรากินผลเท่าเทียมกับคนอื่น เราหนีรอดสิ่งนี้ไม่ได้

            ในเรื่องของพระเยซูคริสต์นั้น ถูกกระทำให้กระจ่างชัด ชัดเจน โลกใบนี้เห็นชัดเจนมาก ในสดุดี 98:2 บอกว่า …

        สดุดี 98:2 (THSV11) “พระยาห์เวห์ทรงให้ชัยชนะของพระองค์ประจักษ์ พระองค์ทรงเปิดเผยความชอบธรรมของพระองค์ต่อสายตาบรรดาประชาชาติ”


            ไม่มีใครไม่รู้เรื่องของพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครไม่รู้เรื่องการตายบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ยิ่งทุกวันนี้ ยิ่งจะไม่รู้ไม่ได้เลย เพราะว่าการสื่อสาร ระบบทุกอย่าง มันถูกเปิดเผย ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

            เพราะพระเยซูคริสต์ทรงชนะความบาปและความตายให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์ชนะความบาปและความตายให้พวกเรา เราอยู่ในพระองค์ แสดงว่าเราชนะร่วมกับพระองค์เรียบร้อยแล้ว

        ในยอห์น 16:33 (THSV11) บอกว่า … “เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”

            ใน 1 ยอห์น 4:4 อันนี้เป็นคำพูดของยอห์น ผู้เป็นอัครทูต …

        1 ยอห์น 4:4 (THSV11) “ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านอยู่ฝ่ายพระเจ้า และชนะพวกเขาแล้ว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในพวกท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก”


            ไม่พอ ยังมีอีกหลายๆ ข้อ แต่ยกมา แค่ 3-4 ข้อ …

        1 ยอห์น 5:4 (THSV11) “เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยเหนือโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่มีชัยเหนือโลก”


            เอ๊ะ! อย่างไรกัน? เราอยู่ในโลกนี้ บางวันเรายังขาดแคลนอยู่ บางวันเราก็เจ็บป่วยอยู่ อธิษฐานแล้วหาย หายแล้วก็เป็น เป็นแล้วก็หาย แบบนี้ มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอยู่เรื่อยๆ มีปัญหาเข้ามาเรื่อยๆ แล้วยังบอกว่าชนะได้อย่างไร?

            เมื่อพระเจ้าทรงไถ่ถอนมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ไถ่ถอนโลกนี้ พระองค์ไถ่ถอนเฉพาะมนุษย์ แม้ว่าในพระวจนะของพระองค์ ในยอห์น 3:16 …

        ยอห์น 3:16 (THSV11) “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

            ที่ทรงรักโลกใบนี้ เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างขึ้นมา รักโลก แต่ไถ่โลกไหม? ไม่ได้ไถ่ ไถ่แต่เรา ไถ่แต่มนุษย์ ส่วนโลกนั้น พระองค์ทรงเตรียมโลกใหม่ไว้ สำหรับมนุษย์ที่วางใจในพระองค์
พระองค์ไถ่แต่มนุษย์ ไม่ได้ไถ่โลก โลกนี้ยังเข้าสู่วัฏจักรของการดับสูญ ยังไปในทิศทางที่มันต้องไป พระวจนะของพระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงตรัสแล้ว ไม่คืนคำ แต่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อให้เกิด ข้อแก้ไข คือเพิ่มสัญญา มีพันธสัญญาเดิมใช่ไหม? พระองค์จะทำใหม่ พระองค์เพิ่มพันธสัญญาใหม่ขึ้นมา พระองค์ไม่ได้ลบล้างบทบัญญัติเก่า แต่พระองค์ทำให้บทบัญญัติเก่านั้น เกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ไม่ได้มาเพื่อลบล้างบทบัญญัติ แต่มาทำให้บทบัญญัติทั้งปวง หรือพระคัมภีร์เดิมสมบูรณ์ขึ้น เพราะว่าพระคัมภีร์เดิมได้พูดถึงพระองค์ เผยพระวจนะถึงพระองค์ ถึงการที่จะมาไถ่ถอนโลกใบนี้ โดยผ่านทางพระองค์

            พระเยซูคริสต์บอกว่าท่านอ่านพระคัมภีร์เดิม อันนี้เป็นภาษาพูดของดิฉันเอง ท่านทั้งหลายอ่านพระคัมภีร์เพื่อค้นหาความรอด และความรอดนั้นอยู่ในเรา ค้นหาเรา แต่เรายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ท่านปฏิเสธ อันนี้พระองค์พูดกับคนยิวนะ ท่านปฏิเสธ มันก็ยากเกินกว่าที่จะเข้าใจ เพราะว่าคนยิวไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีลูกได้ พระเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ จะมีลูกได้อย่างไร? อย่าว่าแต่คนอิสราเอลหรือคนยิวเลย แม้แต่พวกเราที่เป็นคนไทยเอง เมื่อมาบอกว่าพระเจ้ามีลูก มันต่อต้านความเชื่อ เราอาจจะเชื่อเทพนิยายกรีก หรือเทพของกรีก บูชาเทพของกรีก หรือเทพของทุกอย่างได้ เทพเหล่านั้น แต่งงานมีลูกได้นะ แต่พอพูดถึงพระเจ้า แล้วพอบอกว่าพระเจ้าบริสุทธิ์ แล้วมีลูก เราต่อต้านทันที มันเชื่อไม่ได้ แต่ถ้าใครเชื่อ

            พระเยซูคริสต์จึงบอกว่าพระองค์เป็นหินสะดุดของคนอิสราเอล ของคนยิว เพราะว่าถ้าทุกคนผ่านหินนี้ได้ เท่ากับทุกคนวางเท้าลงบนศิลานี้ได้ และยืนอยู่อย่างมั่นคง และเห็นถึงความรอด ความรอดมาทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์เป็นหินสะดุด เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเชื่อวางใจในเรื่องนี้ว่าพระเจ้าทรงมีพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรได้ นั่นแหละ ท่านวางใจและเชื่อพระเจ้าแบบเด็กๆ ไม่คิดเยอะ ท่านก็รอด …

        เอเฟซัส 6:10 (THSV11) “สุดท้ายนี้ จงเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์”

            ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อท่านยืนอยู่ในโลกนี้ สิ่งที่เปาโลได้กำชับประชากรของพระเจ้าในเอเฟซัส คือเอเฟซัสเป็นเมืองที่ต้องต่อสู้กับเทพเยอะมาก เพราะว่าเขาเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเทพเจ้า และเป็นเมืองที่ก่อกำเนิดเทพเจ้า เทพเจ้ามีหลายองค์ แล้วมีวิหารเยอะแยะมากมาย มีพิธีกรรมที่กระทำในนั้นเยอะมาก ถ้าใครไปที่ตุรกีทุกวันนี้ คริสตจักรเอเฟซัส ก็ตั้งอยู่ในตุรกี เราก็จะเห็นซากปรักหักพังของคริสตจักรเอเฟซัส ที่นั่นเต็มไปด้วยการแตกแยกถึงความเชื่อ และมีความสับสนในด้านความคิด ฉะนั้น เปาโลจึงปรารถนาที่จะให้คนเอเฟซัสเข้มแข็ง โดยการสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า

            อย่าลืมว่าคนเอเฟซัสแต่ก่อนนี้ เราจะเห็นว่าพวกเขาต้องต่อสู้อย่างหนัก คริสเตียนเป็นผู้ถูกหมายหัวจากทางการ ถ้าคริสเตียนถูกจับได้ ต้องต่อสู้กับสิงโต ถูกตรึงบนไม้กางเขน เอาหัวห้อยลงมา ถูกเผาไฟ ถูกหลายอย่าง ยากลำบากมาก การข่มแหงเหล่านี้มีมายาวนาน แม้นจะพ้นยุคของอัครทูตไปแล้ว คริสเตียนก็ยังโดนข่มแหงอยู่ไม่หยุด ถ้าไปตุรกี ท่านจะไปเห็นภูเขาเยอะแยะมากมาย ที่คัปปาโดเกีย (The Land of Beautiful Horses) ในยุคสงคราม คนพื้นที่ได้ขุดภูเขาเป็นอุโมงค์ ไว้เป็นที่หลบภัยในยามสงคราม ในยุคที่คริสเตียนได้กระจายเพิ่มมากขึ้นก็ได้ใช้ที่แห่งนี้ เป็นที่หลบภัยเช่นกัน ชีวิตพวกเขายากลำบากมาก อดอยาก ทุกข์ยากลำบากมาก หนีหัวซุกหัวซุน เข้าไป ขุดภูเขา อยู่ในอุโมงค์ สร้างเป็นเมืองใต้ดิน ในนั้น มีทั้งตลาด โรงเก็บม้า โบสถ์ พวกเขาจะเชี่ยวชาญในการทำสิ่งเหล่านี้มาก แล้วเข้าไปอยู่ในนั้น ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น ออกมาตอนกลางคืน หาสิ่งของ เพื่อจะเอาไปดำรงชีวิตได้ บางครั้งต้องหลบถึง หกเดือน หาเวลาที่ปลอดภัยออกมาหาของอยู่กิน แล้ว ก็กลับเข้าไปใหม่ เพื่อหลีกหนีการฆ่าฟันของคนในยุคโรมันครอบครอง และยุคที่เติร์กเข้าครอบครอง

            สารพัดที่คริสเตียนสมัยก่อนเจอ ในจดหมายฝากของอาจารย์เปาโลกลับบอกคริสเตียนทั้งหลายว่า “ท่านมีชัยแล้วในโลกนี้” เปาโลก็เขียนไปถึงคริสตจักรเอเฟซัส บอกว่าให้เข้มแข็ง

        เอเฟซัส 6:10-12 (THSV11) “10 สุดท้ายนี้ จงเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์ 11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะสามารถต่อสู้กับอุบายของมารได้ 12 เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน”

            พออ่านมาถึงตอนนี้ สติปัญญาของเราก็จะคิดแล้ว …

            “ฉันคือนักรบที่ยิ่งใหญ่ ฉันจะออกรบ ฉันต้องต่อสู้ ต้องเข้าไปสู่การต่อสู้”

            คำว่า “สู้” ที่เอ่ยมาทั้งหมดนี้ เราอย่าเข้าใจผิด พระเจ้าไม่ให้เรามานั่งต่อสู้กับมาร คิดดูถ้าชีวิตคริสเตียนของเรา วันๆ เดินไปเจอบางสิ่งบางอย่าง เราสั่งการ ขับไล่ ไปถึงตรงนั้น สั่งการ ขับไล่ พูดภาษาแปลกๆ ขับตรงนั้น ขับตรงนี้ ท่านคิดว่าชีวิตคริสเตียนจะเหนื่อยไหม? ท่านคิดว่าพระคัมภีร์จะบอกว่าเราจะหายเหนื่อยเป็นสุข เป็นจริงไหม? คงไม่ใช่ และคงไม่จริง แน่นอน

            พระคัมภีร์พูดถึงตอนนี้ พระองค์ไม่ได้ให้เราไปนั่งสู้กับมาร ชีวิตของเราสามารถมีสันติสุขได้ ในโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่โลกใบนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก พระเยซูคริสต์กำลังจะบอกเราว่าเราชนะโลกนี้ ชนะอย่างไร? อยู่เหนือโลกนี้ แม้ว่าโลกนี้มันจะแย่ขนาดไหน? หรือมีปัญหา สถานการณ์ในชีวิตของเรามันจะแย่ขนาดไหน? ดิฉันเชื่อว่าพี่น้องหลายคนในคริสตจักรของเราฟันฝ่าอุปสรรค ความยากลำบากในชีวิตมาเยอะแล้ว เห็นมาเยอะแล้ว แต่ยังนิ่งอยู่ได้ เพราะท่านรู้ว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านรู้ว่าสิทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์ในชีวิตของท่านมีมากเพียงใด?

            พระวจนะบอกว่าให้เราสวมเสื้อใหม่ ให้เราสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุด พระองค์ให้เราสวม “สวม” อะไร? เดี๋ยวเราค่อยๆ ไปทีละข้อ …

        เอเฟซัส 6:13 (THSV11) “เพราะเหตุนี้ จงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะสามารถต่อสู้ในวันชั่วร้ายนั้น และเมื่อทำทุกอย่างแล้วจะยังยืนหยัดอยู่ได้”

            ให้สวมเฉยๆ สวมใส่ไว้ เฉยๆ แล้วจะต่อสู้ยังไง?

        เอเฟซัส 6:14 (THSV11) “เพราะฉะนั้นจงยืนหยัดไว้ เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นเกราะป้องกันอก”

            ความจริง คือท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ความจริง คือท่านได้ถูกชำระล้างจากอำนาจของความผิดบาปและความตาย ท่านบังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณท่านเป็นของพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว ท่านเป็นของพระเจ้า ในยอห์น 10:10 บอกว่าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดแย่งชิงท่านไปจากพระเจ้าได้ ไม่มีการฟ้องผิด ไม่มีอำนาจใดๆ มาติเตียน ตำหนิท่านได้ เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าบนสวรรคสถาน อธิษฐานเผื่อท่าน พระองค์กระทำสิ่งนี้ตลอดวันคืน แล้วเราจะร้องเพลง “พระองค์ไม่เคยหลับใหล” เคยฟังเพลงนี้ใช่ไหม?

                        ** พระองค์ไม่เคยหลับใหล **

                        **ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซูคริสต์ **

            แม้ว่า นี่คือเพลง แต่นี่ก็คือเพลงที่เอาเนื้อความมาจากพระวจนะของพระเจ้า

            สิ่งที่ดิฉันแบ่งปันจะไม่ขัดกันกับพระคัมภีร์ตอนใดๆ ถ้ามันขัดกัน แสดงว่ามันต้องมีเครื่องหมายคำถามแล้ว (?) แต่จะบอกได้เลยว่าสิ่งที่กำลังแบ่งปันนี้ เป็นสิ่งที่กำลังจะบอกท่านว่านี่คือลู่ทาง นักวิ่งต้องวิ่งในลู่ที่เป็นลู่ของตัวเอง เราจะวิ่งลู่ตัวตนเก่าเราไม่ได้ เราจะไปวิ่งในลู่ของมารชักจูงไม่ได้ เราต้องวิ่งในลู่ของพระเยซูคริสต์ เราต้องวิ่งให้ถูกลู่ ถ้าเราวิ่งไม่ถูกลู่ เราก็จะไปชนคนอื่น สับสน

            ฉะนั้น เอาความชอบธรรมเป็นเกาะป้องกันอก จิตใจความรู้สึกเราบอบบางไหม? บอบบาง แต่ให้รู้ว่ามารสามารถเข้ามาวนเวียน พระคัมภีร์บอกมันวนเวียนอยู่รอบๆ เรา คอยหาช่องทางที่จะกัดกินเราได้ มันหาช่องทางว่าเมื่อไรเราจะใจขมขื่น ใจเกลียดชัง ใจโกรธ ใจรู้สึกหมกมุ่นอยู่กับทางด้านลบ มันก็จะสามารถเข้ามาทางความคิดของเราได้ มันจะเข้ามายุยง ปั่นเราได้ ฉะนั้น พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้วในองค์พระเยซูคริสต์ ความชอบธรรมนี้ ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม ถูกลบไปแล้ว ลบเดี๋ยวนั้น ลบทันที เหมือน ลิควิดเปเปอร์ที่ไวมากของพระเจ้า ทำปุ๊บลบปั๊บ คือมันจะถูกลบเป็นระบบอัตโนมัติ ฉะนั้น มันไม่ถูกจดบันทึก ไม่ถูกจดจำ ไม่ถูกเขียนไว้ ให้มาฟ้องผิดเราได้ เมื่อท่านเชื่อและวางใจแล้ว ท่านเป็นผู้ชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ เพื่อไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดอวดได้ ท่านเป็นผู้ชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ …

        เอเฟซัส 6:15 (THSV11) “และเอาความพรั่งพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า”

            เวลาเราจะออกบ้านไปไหนมาไหน สิ่งที่จะอยู่ในเราตลอดเวลา ก็คือเรารู้ถึงความจริงแห่งขบวนการการไถ่ถอนของพระเยซูคริสต์ที่มีในชีวิตของเรา ดังนั้น ไม่ว่าเราจะไปไหนก็ตาม มันจะเกิดเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติ คืออยากบอก อยากเล่า รัก ต้องการให้คนอื่นรอด ต้องการให้คนอื่นเชื่อ ไม่ต้องมาตั้งความคิดว่า … “ฉันออกจากบ้าน ให้ฉันสวมรองเท้า ข่าวประเสริฐเป็นรองเท้า ฉันออกไป ฉันจะต้องบีบบังคับตัวเองให้ประกาศข่าวประเสริฐ ไปเคาะบ้านคนอื่น ถ้าไม่ประกาศวิบัติจะเกิดกับเรา ไปเคาะบ้านคนอื่น เธอรู้จักพระเจ้าไหม?” เพราะกลัววิบัติ พระเจ้าจะให้เราวิบัติจริงหรือ นั่นคือบุคลิกของพระเจ้าหรือ?

            พี่น้องที่รัก เคยเห็นพระเยซูคริสต์ทำสิ่งนั้นไหม? ถ้าเราไม่เคยเห็นพระเยซูคริสต์ทำสิ่งนั้น ก็อย่าทำ เมื่อพระเยซูคริสต์ส่งสาวกของพระองค์ 12 คนออกไป เหมือนฝึกงาน พระองค์บอกว่าเข้าไปบ้านไหนต้อนรับท่าน ก็ให้อวยพรผู้นั้น ถ้าบ้านไหนไม่ต้อนรับท่าน ก็จงล้างมือล้างเท้า ให้นับว่าความรอดไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของเรา

            ฉะนั้น นอกจากจะทำให้เรานำเอาข่าวดีไปให้คนอื่นแล้ว ไม่พอนะ ข่าวประเสริฐนี้ ยังทำให้เรายืนหยัด ฟันฝ่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้ ไม่ว่าเราจะออกไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใดๆ สิ่งที่เราคิดใคร่ครวญอยู่นั้น จะยิ่งทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเราได้อย่างง่ายขึ้น …

        เอเฟซัส 6:16 (THSV11) “และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นี้พวกท่านจะสามารถดับลูกศรเพลิงทั้งหมดของมารร้าย”

            จำได้ไหม เมื่อท่านเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ยิ่งนานวันเข้า โล่ของท่านก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ถ้าเมื่อไรก็ตามที่การโกหกหลอกลวง ที่จะมาตำหนิติเตียนเรา โกหกเรา ฟ้องผิดเรา เรายกโล่ขึ้นมาเลย บอกออกไปว่า “ไม่จริง”  เราบอกเลยว่าเราเป็นใคร? พูด เหมือนที่พระเยซูคริสต์พูดกับมัน พูดนิ่งๆ… “ในพระวจนะเขียนไว้ว่ามนุษย์จะบำรุงชีวิต ด้วยอาหารด้วยสิ่งเดียว ก็หามิได้ แต่จะต้องบำรุงด้วยพระวจนะ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”

            เมื่อมันบอกให้พระเยซูคริสต์กราบนมัสการมัน พระเยซูคริสต์พูดนิ่งๆ เลย … “ไสหัวไป เพราะว่าต้องกราบนมัสการพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”

            บอกให้กระโดดลงไป พระเยซูคริสต์ตอบนิ่งๆ พระองค์บอกความจริงเลยว่า … “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า”

            ไม่ต้องไปเยอะกับมัน การต่อสู้จะเกิดที่ระบบความคิดของเรา ระบบความคิดเราเป็นที่มั่น(เป็นฐานรบที่มีระบบป้องกันเอาไว้แล้ว) เอาความเชื่อในพระเยซูคริสต์ของเรา บอกลงไปในความคิดหรือความรู้สึกที่มันยิงเข้ามาในเรา บอกถึงความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้า ลงไปในความคิดของเราด้วยความเชื่อ แค่นั้น เราก็ชนะแล้ว

        เอเฟซัส 6:17 (THSV11) “จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า”

            พระวจนะของพระเจ้าที่อยู่ในลู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มนุษย์ทุกคนอ่านพระคัมภีร์ สามารถรู้พระคัมภีร์ แต่เราใช้พระคัมภีร์แบบไหน? เราใช้มาตีกัน เราใช้มาเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเราเองรึเปล่า? เมื่อ มีถ้อยคำบอกเราว่า อย่าโกรธ อย่าโมโห แต่ตอนนี้มีคนทำให้ฉันโกรธ ฉันอยากโกรธ ฉันขอโกรธ มันไม่ไหว ก็ต้องโกรธใช่ไหม? แล้วมันเหมือนพยายามจะยิงข้อความมาฟ้องผิดเรา ให้เราเอาพระวจนะของพระเจ้า ที่อยู่ในทางแห่งความจริงนี้ พูดกับตัวเอง หรือพูดกับความคิดของเราเอง พระคัมภีร์บอกว่า  …

        สุภาษิต 3:6 (THSV11) “จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า แล้วพระองค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น”

            ในโรม 12:1-2 พระคัมภีร์ข้อนี้ใช้บ่อยมาก …

        โรม 12:1-2 (THSV11) “1 ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการ โดยวิญญาณจิตของท่าน 2 อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”

            สิ่งสารพัดทั้งปวง พระเจ้าทำให้เราหมดแล้ว แค่เรารับรู้ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ นั่นเท่ากับว่าท่านกำลังสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าอย่างไม่รู้ตัว แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้ท่านที่จะแสดงออก หรือโต้ตอบอย่างทรงอำนาจ อย่างอยู่เหนือทุกอย่าง เพราะท่านชนะมันผู้นั้นที่อยู่ในโลกนี้เรียบร้อยไปแล้ว เปาโลได้พูดย้ำออกไปในตอนสุดท้าย …

        เอเฟซัส 6:18-19 (THSV11) “18 จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลา โดยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกๆ อย่าง เพราะเหตุนี้จงเฝ้าระวังด้วยความเพียร และด้วยการวิงวอน เผื่อธรรมิกชนทุกคนอยู่เสมอ 19 และเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าพูด พระองค์จะประทานถ้อยคำแก่ข้าพเจ้า ที่จะสำแดงความล้ำลึกของข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญ”

            การอธิษฐาน คืออะไร? พระเจ้ารู้ทุกอย่าง แล้วทำไมให้เราอธิษฐาน เราไม่อธิษฐานได้ไหม? ได้ ถ้าไม่อธิษฐาน พระเจ้ายังอวยพรเราไหม? อวยพร ถ้าไม่อธิษฐาน พระเจ้าจะปกป้องเราไหม? ปกป้อง พระเจ้าจะดูแลเราไหม? ถามจริงๆ พี่น้อง ทุกคนที่อ่านบทความนี้อยู่ ท่านอธิษฐานทุกวันหรือ? ท่านทุกคนถ้าไม่หลอกตัวเองคงมีคำตอบในใจต่างกันออกไป ขณะที่เราไม่สมบรูณ์ ไม่ดีพร้อม ทำไมเรารอดพ้นสถานการณ์หลายๆ อย่างล่ะ? ทำไมเรายังสามารถเห็นถึงการช่วยเหลือของพระเจ้าหลายๆ อย่างในชีวิตเราล่ะ? ท่านแน่ใจหรือว่าท่านอธิษฐานตลอดเวลา? ท่านแน่ใจหรือว่าท่านอยู่ในพระเจ้าตลอดเวลา? พูดคุยกับพระเจ้าตลอดเวลา? ไม่จริง แต่ทำไมท่านยังรอดพ้นสถานการณ์ต่างๆ ได้ เพราะไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไร อย่าลืมว่าสัญญาฉบับนี้ พระเยซูคริสต์เซ็นต์สัญญากับพระบิดา โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยาน สัญญาฉบับนี้พระเจ้าเป็นผู้กระทำ ไม่ว่าท่านจะอธิษฐานมากหรือน้อย พระเจ้าก็ยังทรงดูแลชีวิตของท่านปกติ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้มีชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ พระเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรม พระองค์ผู้ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีความบกพร่องสักขีดเดียวในพระองค์เลย นั่นคือพระองค์ เราเข้าใจพระเจ้าหรือเปล่า? เรารู้ไหมว่าความจริงพระเจ้าของเราองค์นี้ เป็นอย่างไร?
การอธิษฐานของเรา คือการที่เรายินยอมให้พระเจ้าเข้ามามีส่วนร่วมกับเรา เราย้อนกลับไปอ่านในโรม 12:1-2 …

        โรม 12:1 (THSV11) “ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการ โดยวิญญาณจิตของท่าน”

            ทำไม? เพราะพระเจ้ายังเป็นพระเจ้าองค์เดียวกันกับที่ตั้งต้นไม้ไว้ในสวน ให้เรามีสิทธิ์เลือก แต่การเลือกครั้งที่แล้ว เมื่อล้มลงในความบาป มนุษย์ก็ตายและตายเลย แต่ครั้งนี้ ต่อให้เราเลือก ไม่ตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็ยังตกลงไปในเบาะนุ่มๆ เจ๋งไหม? แต่กินผลไหม? กินผล กินผลเต็มๆ กินผลในโลกนี้นะ ไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ เรายังกินผลในโลกนี้ ถึงเวลาที่จะกินอาหารที่ดี เราไม่กินอาหารที่ดี เราไปกินอาหารไม่ดี เราจะมาบอกว่าพระเจ้าจะดูแลร่างกาย ไม่เป็นไร กินเข้าไป พระเจ้าจะดูแล อย่าทำอย่างนั้นเด็ดขาด เพราะสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อ 30 เกือบ 40 ปีที่แล้ว เกิดน้ำท่วมเกาหลีใต้ น้ำมันหลากแรงมาก ผู้หญิงคนนั้น ก็บอกว่า …

            “โดยพระเจ้า พระองค์บอกว่าให้เราเดินผ่านน้ำได้ เรามีชัยชนะแล้ว”

            เราหักกฎของโลก โลกนี้มีกฎของเขา เราไปหักล้างกฎโลกนี้ เธอเดินฝ่าน้ำ น้ำพัดเขาไป และเสียชีวิต ผู้หญิงคนนั้นเป็นคริสเตียน แล้วเพื่อนที่บอกไม่เอา ฉันไม่ไป ยังอยู่ แล้วก็มาเป็นพยานเรื่องนี้ เราจะมาหักล้างกฎของโลกนี้ แล้วมาอ้างสิทธิ์ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าอย่างนั้นไม่ได้ ลักษณะของการใช้สิทธิของเรา คือการรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ มีสิทธิอำนาจอย่างไรในโลกวิญญาณ จัดการแบบไหนในโลกวิญญาณ สติปัญญาเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าทุกวันๆ สติปัญญาเหล่านี้จะเกิดขึ้น การดำเนินชีวิตแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเรา

        โรม 12:2 (THSV11) พระวจนะบอกว่า … “อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”

            ฉะนั้น การอธิษฐาน คือการยินยอม แสดงออก ให้เห็นชัดเจนว่าเรายินยอมให้พระเจ้ามีสิทธิ์ในชีวิตประจำวันของเรา มีสิทธิ์ในความคิดของเรา มีสิทธิ์ในความรู้สึกของเรา มีสิทธิ์ในความปรารถนาของเรา ฉะนั้น ความปรารถนาของเรา ไม่ว่าจะถูกจะผิด สุดท้ายจะถูกปรับเข้ามาสู่น้ำพระทัยพระเจ้า การอธิษฐานอยู่เรื่อยๆ จึงทำให้เกิดความปรารถนาของเรา เป็นไปในแบบเดียวกันกับพระเจ้า เหมือนกับในโรม 12:2 บอกว่าเราจะได้รู้ว่าเราจะกลายเป็นคนที่รู้ว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นอย่างไร? รู้ว่าอะไรดี อะไรดียอดเยี่ยม และอะไรเป็นที่ชอบพระทัย

            เวลาเราอธิษฐาน คำอธิษฐานของเราต่อๆไป ก็จะถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ กลายเป็นอธิษฐานแล้วถูกจูนเข้าไปในความปรารถนาของพระเจ้า และเป็นความปรารถนาชนิดเดียวกัน แล้วพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อความปรารถนาชนิดเดียวกันนี้ เราขอสิ่งใด เราก็จะได้สิ่งนั้น

            นั่นคือพระคัมภีร์ที่ตอบเรา เพราะน้ำพระทัยของพระเจ้าคงไม่เกินความจำเป็นในชีวิตแน่ๆ บางคนพระเจ้าก็อาจจะให้รวย ปรารถนาในทางที่จะรวยได้ แต่ละคนก็จะถูกนำไม่เหมือนกัน บางคนก็ไม่ได้ให้รวย บางคนก็ให้อีกแบบหนึ่ง ให้มีของประทานอีกแบบหนึ่ง เพื่อจะให้เสริมสร้างกันและกันในพระเยซูคริสต์ เกิดการให้ เกิดการรับ เกิดการแบ่งปัน เกิดการค้ำจุนกัน เกิดการชูใจกัน ผสมผสานเป็นตึกอันงดงามของพระเจ้า ที่ก่อร่างสร้างกันขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเราทั้งหลาย นั่นคือความงามที่จะถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เสริมสร้างขึ้นภายในพระกายของพระองค์ …

        ยากอบ 4:7 (THSV11) “เพราะฉะนั้น พวกท่านจงนอบน้อมต่อพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีท่านไป”

            พอเราอ่านพระวจนะตอนนี้ ก็เกิดการเข้าใจผิด อย่างที่บอก ก็คือมีการลุกขึ้นมาสั่งการ จัดการ สั่งพระเจ้าให้จัดการนี่ สั่งพระเจ้าให้จัดการนั่น สั่งโน่นสั่งนี่ บอกโน่นบอกนี่ ต้องมีอย่างนั้นอย่างนี้  เรามามองย้อนดูพระเยซูคริสต์ เวลาพระองค์สั่งผีออกจากชายคนนั้น ไปอยู่ที่หมู แล้วหมูก็ตกลงไปในน้ำ พระองค์ใช้ความรุนแรงสั่งไหม? เวลาที่พระองค์บอก พูดถึงความรอด หรือพระ
องค์พูดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือต่อสู้กับความคิดของคนเหล่านั้น ที่ไปในทิศทางของการเป็นศาสนาจัด พระองค์ไม่ได้ใช้อารมณ์ใดๆ เลย แม้พระองค์จะบอกว่าวิบัติเกิดแก่คนเหล่านั้น

            พระองค์ก็ไม่ได้ใช้อารมณ์ พระองค์พูดธรรมดานี่แหละ แต่พระองค์พูดความจริง และเป็นความจริงที่บาดหัวใจ เป็นความจริงที่เป็นดาบที่แทงทะลุตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก วินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมาย ในจิตใจของมนุษย์ มันทำให้คนที่เป็นคนละขั้วกับพระองค์เกิดความทนไม่ได้ อยากจะฉีกเสื้อ แล้วเอาดินโกยใส่หัว แล้วก็เอาหินขว้างพระเยซูคริสต์ เอาพระเยซูคริสต์ไปตรึงบนไม้กางเขน เขารู้ดี ต่อให้เป็นมนุษย์ที่ตายแล้ว สำนึกของเขาก็ตายไปด้วย แต่ว่ามนุษย์ยังเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าสร้าง รู้ดีรู้ชั่ว เขารู้ว่าสิ่งไหนคือดี สิ่งไหนคือชั่ว แต่ทำไม่ได้ พอมีคนมาชี้ความไม่ถูกลงไปในจิตใจ ทนไม่ได้ โมโหกลับ โต้กลับอย่างรุนแรง อยากจะทำร้าย เพื่อให้คนนั้น ดับสูญไปซะ จะได้ไม่มาพูดคำนี้กับเราอีก มนุษย์ไม่ชอบฟังความจริง ในพระวจนะยากอบบอกว่า …

        ยากอบ 4:7 (THSV11) “พวกท่านจงนอบน้อมต่อพระเจ้า”

            คำว่า “นอบน้อม” คือการยอมรับรู้ถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และสิทธิอำนาจนั้นอยู่ในเรา สิทธิที่มโหฬารใหญ่โตมากของพระองค์ อยู่ในท่าน ท่านต้องไปแสดงอย่างนั้นหรือ? ท่านต้องไปจัดการอย่างนั้นหรือ? ท่านชี้นิ้วสั่งพระเจ้า ท่านชี้นิ้วสั่งทุกสิ่งทุกอย่างได้หรือ ควรไหมถามใจของท่านที่มีพระวิญญาณอยู่ภายในดู เราจัดการได้ แต่จัดการอะไร? จัดการตัวเองไงคะ เราจัดการระบบความคิดของเราได้ เราบอกความคิดของเราไปในทิศทางของพระเจ้าได้ นั่นคือสิ่งที่เราจะจัดการ นั้นคือสิ่งที่เราเลือกได้ ไม่ต้องไปจัดการอย่างอื่น หรือคนอื่น เพราะอย่างอื่น อำนาจมันอยู่ใต้เท้าพระเยซูคริสต์ไปแล้ว มันหมดอำนาจไปแล้ว สิ่งที่มันทำได้ ก็คือล่อลวงเราเท่านั้นเอง สิ่งที่เราจัดการ คือระบบความคิดของเรา มันใหญ่กว่าพระเจ้าตอนนี้ ที่ใหญ่กว่าพระเจ้า ก็คือเรานี่แหละ ไม่ใช่มาร ฉะนั้น สิ่งที่ต้องจัดการ คือเรา ความคิดของเรา ความรู้สึกของเรา

            พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า อยากให้ท่านรู้ว่าสิทธิอำนาจที่อยู่ในตัวท่าน มหึมามาก ท่านสามารถจะยืนอยู่อย่างสง่างามในโลกใบนี้ หรือจะอยู่แบบคนที่ไม่รู้ตัวตนจริงๆ ว่าตัวเองเป็นใคร? แล้วใช้วิธีผิดๆ ในการดำเนินชีวิตคริสเตียน ต่อให้ท่านดำเนินชีวิตคริสเตียนผิดๆ อธิษฐานผิดๆ พระเจ้าก็ไม่ว่าท่านหรอก พระองค์ก็ยังดูแลช่วยเหลือนำพา

            ดิฉันเคยไม่พอใจกับสถานการณ์ หรือคำสั่งที่จะต้องให้เปลี่ยนแปลง ดิฉันก็เข้าไปเถียงกับพระเจ้า เถียงไปเถียงมาใครชนะ? พระเจ้าชนะ ดิฉันก็ต้องยอม เพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก พระองค์ทรงอดทนต่อการกระทำของเรา พระองค์ทรงอดทนต่อการเถียงคำไม่ตกฟาก การยืนยันว่าตัวเองถูก การแข็งไม่งอของเรา

            ตอนนี้ดิฉันกลายเป็นตัวนิ่มแล้ว ตอนนี้นิ่ม แต่ยังไม่นิ่มถึงที่สุด ยังมีปฏิกิริยาโต้ตอบอยู่ บางทีหนักๆ อาจจะเผลอต่อย แต่ต่อยไปแล้ว ก็เสียใจ รับรองว่าดิฉันเสียใจอย่างหนักแน่นอน ไม่เหยียดยาวกับความผิดพลาดของตนเอง (ไม่ใช่ว่าเป็นคนดี แต่เพราะอยู่ในอาการและอารมณ์แบบนั้น มันทรมานฝ่ายวิญญาณจริงๆ ทนไม่ไหว ก็ต้องหาทางออก ทางออกคือ ยอมเชื่อฟัง ยอมตามวิถีทางของพระเจ้า พอหลุดออกมาได้ก็สบายกว่ากันเยอะเลย)

            พี่น้องที่รักค่ะ พระคริสต์ที่อยู่ในท่านมีสิทธิอำนาจ มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ แทรกซึมไปด้วยความสุภาพอ่อนโยน ความเมตตากรุณา และใจที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งนั้นอยู่ในท่าน จงรับรู้ว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ยอมรับรู้พระองค์ในทุกทาง แล้วให้เรายอมรับรู้ว่า เราตายไปแล้วกับพระคริสต์ทุกวัน

            “ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอีกต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินโดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งรักข้าพเจ้า และได้สละพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า”

            และเมื่อเรารับรู้ความจริงนี้ ความจริงจะเปลี่ยนเราให้เป็นไท ความจริงนี้จะสร้างเราใหม่ ความจริงจะทำให้เราสามารถยืนอยู่บนศิลาอันเข้มแข็งและดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญาในโลกนี้ และอยู่เหนือโลกนี้ เป็นดั่งนกอินทรีที่อยู่เหนือสภาวะของพายุได้ เอเมนไหม? และดิฉันเดินคนเดียวไม่ได้นะ โปรดจับมือกันเดิน เราจะเดินไปด้วยกัน เอเมนไหมคะ? พระเจ้าอวยพรค่ะ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มนุษย์มองที่ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ฐานภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก  แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน

            พระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิว และมนุษย์ทั้งปวงได้เห็น ภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ คือโลกวิญญาณ เกี่ยวกับความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตายเนื่องจากบาปในวิญญาณ ซึ่งคือตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ที่ต้องเข้าสู่การพิพากษาว่าจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้หรือไม่

            และทางแห่งความรอดนี้ คือกฎแห่งพระคุณ โดยผ่านทางความเชื่อวางใจในพระองค์ ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับมนุษย์ทุกคน คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น ไม่พึ่งพาการกระทำดีของตนเองเลย เรียกว่ากฎวิญญาณในพระเยซูคริสต์

            ส่วนบนโลกใบนี้ ที่เราจับต้องมองเห็นได้ มันอยู่ใต้กฎที่เรียกว่า กฎของความบาปและความตาย พึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง คือกฎแห่งกรรมทำดีก็ได้สิ่งที่ดี ทำชั่วก็ได้เก็บเกี่ยวความชั่วกลับมา ซึ่งเรา รู้กันอยู่แล้ว เพราะมองเห็นกันชัดอยู่แล้ว พยายามปฏิบัติดี ก็เก็บเกี่ยวผลดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างมีความสุข มีสันติสุขทุกข์น้อยลง ถ้าทำตรงกันข้ามกับกฎ ก็ทุกข์มากขึ้น

            เพราะฉะนั้น ใครที่พยายามบังคับควบคุมตนเองได้มาก ก็มีความสุข มีสันติสุขมากบนโลกใบนี้ เช่นเรารู้ว่าอาหารเหล่านี้ ทำลายสุขภาพ เช่น เหล้า ยาเสพติด น้ำตาล อาหารที่เป็นพิษต่อร่างกายต่างๆ แต่เราก็ยังคงปล่อยตัว ไม่พยายามลดละ เราก็จะเก็บเกี่ยวผลของสุขภาพย่ำแย่ โรคภัยไข้เจ็บ เพิ่มความทุกข์ให้กับร่างกาย

            เพราะฉะนั้น ทั้งสองโลก คือโลกวิญญาณและโลกวัตถุ สำคัญทั้งสองกฎ แต่โลกวิญญาณนั้นสำคัญกว่ามาก เพราะอยู่นิรันดร์ ไม่เปลี่ยนแปลง แต่โลกวัตถุนั้น ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว แป๊บเดียวเท่านั้น

            ดังนั้น การรักษาเชื่อฟังต่อกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎบัญญัติ กฎหมายบ้านเมือง กฎศีลธรรม กฎแห่งการทำดีทำชั่ว การเคารพยำเกรงต่อกฎเหล่านี้ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้สอดคล้อง เชื่อฟังต่อกฎเหล่านี้ ก็เป็นประโยชน์อย่างมากในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เป็นสิ่งที่ดี ทำให้ทุกข์น้อยลง แต่ไม่มีผลอะไรกับโลกวิญญาณ ซึ่งจะเก็บเกี่ยวทางวิญญาณหลังความตายจากโลกนี้แล้ว หลังจากวิญญาณออกจากร่าง เข้าสู่มิติวิญญาณ

            พระเยซูจึงอยากให้เราให้ความสำคัญกับโลกวิญญาณมากกว่า จงแสวงหาความรอดทางวิญญาณ คือความชอบธรรมที่จะเข้าสวรรค์ได้ โดยความเชื่อผ่านทางพระองค์เท่านั้น

            ปัญหาจึงอยู่ที่มนุษย์ไม่รู้ความจริงว่ามีสองกฎ คือกฎของโลกวิญญาณ และกฎของโลกวัตถุนี้ จึงหวังผลสลับกันมั่วไปหมด เช่นกระทำดีตามกฎหมายศีลธรรมอันดีงาม ก็ไปหวังผล คือความรอดในโลกวิญญาณซึ่งเป็นไปไม่ได้ หรือรอดในวิญญาณแล้ว คือเชื่อวางใจในพระเยซูแล้ว หวังผลที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ด้วย เช่น เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย แข็งแรง ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกนี้ปกคลุมไปด้วยคำสาปแช่ง ความทุกข์ยากลำบาก เนื่องจากบาป

            ใครก็ตามที่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมดเหมือนแดดส่องมาบนโลก เพียงแต่ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยภายใน คอยนำพา

            ดังนั้น ใครก็ตามที่เคารพยำเกรงพระเจ้า ผู้เป็นผู้พิพากษา ดูแลกฎทั้งสองนี้ ยำเกรงโดยความเชื่อฟัง พยายามรักษากฎบัญญัติ กฎศีลธรรม และรักษากฎทางฝ่ายวิญญาณด้วย คือเชื่อวางใจในพระบุตรพระเยซูคริสต์ ที่จะช่วยวิญญาณให้ได้รับความรอด จากการพิพากษาหลังความตาย ได้อยู่ในสวรรค์ ให้ความสำคัญทำตามทั้งสองกฎ ก็จะได้พระพรอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือพระพรฝ่ายวิญญาณนานัประการในพระคริสต์ และพรบนโลกใบนี้ มีความสุขสงบในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วย

            นี่คือการเคารพยำเกรงจนตัวสั่น ต่อพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม ไม่มีลำเอียง เป็นผู้พิพากษาทุกสิ่งเป็นไปตามกฎระเบียบของถ้อยคำของพระองค์ ที่ได้ให้ไว้แล้วกับสรรพสิ่ง ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ  พระเจ้าอวยพรครับ