วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1389 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  พฤศจิกายน  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 11

“คำเทศนาบนภูเขา” Ep.10

“สร้างบ้านบนศิลา คือชีวิตพึ่งพาพระคริสต์ สร้างบ้านบนทราบ คือความตายพึ่งพาตนเอง”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาต่อ ถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะคริสตจักรก็มีไว้ เพื่อประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นอาหารทางฝ่ายวิญญาณให้กับบรรดาผู้ที่เชื่อแล้ว  ที่เรียกว่าคริสเตียน และเป็นข่าวดีให้กับบรรดามนุษย์ทุกคนที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ถ้อยคำพระเจ้ามีอยู่ 2 ทาง ทางหนึ่งให้กับผู้คนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ก็เป็นอาหารทางฝ่ายวิญญาณให้กับเขา เจริญเติบโตขึ้นไป ในการเป็นลูกของพระเจ้า ในความจริงว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ส่วนคนที่ยังไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรียกว่ายังไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่เชื่อนั้น ถ้อยคำพระเจ้าที่ประกาศนี้เป็นข่าวดีที่จะให้ท่านได้รับความรอดนั่นเอง

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ซึ่งวันนี้เป็นตอนที่ 11  และเป็น EP.10 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา” วันนี้ให้ชื่อเรื่อง EP.10 นี้ว่า “สร้างบ้านบนศิลา คือชีวิต  พึ่งพาพระคริสต์ สร้างบ้านบนทราย คือความตาย พึ่งพาตนเอง” เราเรียนกันมา 10 ตอนแล้ว รู้แล้วใช่ไหมครับว่าพระเยซูกำลังประกาศให้กับชาวยิว ที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน  ยังไม่ได้เกิดใหม่ ในวิญญาณ ถ้าเรานำสิ่งเหล่านี้ ที่พระองค์ทรงประกาศนี้ มาใช้กับคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว มันจะเกิดผลเสียหาย เกิดผลไม่ดี เพราะว่าคริสเตียนได้อยู่ในสวรรค์แล้ว และได้อยู่ในสวรรค์ตลอดไปด้วย

            เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อเราเอาคำประกาศเหล่านี้ไปใช้กับคนที่เป็นคริสเตียน ซึ่งพระเยซูประกาศกับชาวยิว และคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ก็จะทำให้คนที่เป็นคริสเตียนนั้น ลังเลใช่ไหม? …

            “ตกลงเราอยู่ในสวรรค์หรือเปล่าเนี้ย”

            พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว แต่นี่มันสำเร็จหรือไม่? แทนที่จะมีความมั่นใจ หายเหนื่อยและเป็นสุข ดำเนินกับพระเยซูต่อไปด้วยความปิติยินดี ในความรอดเรียบร้อยแล้ว รอดตลอดไป ก็กลายเป็นมาลุ้นว่าหลังความตาย จะยังอยู่ในสวรรค์ไหม? พอลุ้นในความตาย อยู่ในสวรรค์ไหม? ก็แสดงว่าขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยิ่งลุ้นใหญ่เลยว่า …

            “ตกลงฉันรอดหรือยัง? ฉันเกิดใหม่หรือเปล่า?”

            สรุปแล้ว เป็นการสงสัยในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ซึ่งตัวเองรับไปเรียบร้อยแล้ว เป็นการบ่งบอก หรือสำแดงถึงว่ากำลังพูดว่าพระเยซูพูดไม่จริงมั้ง พระองค์บอกสำเร็จแล้ว …

            “นี่มันไม่สำเร็จนี่นา ฉันต้องช่วยอะไรไหม? สรุปแล้วว่าหลังความตาย วันพิพากษาฉันต้องยืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษาหรือเปล่า? ฉันรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตายหรือไม่?”

            เห็นไหม? มันก็เกิดความลุ้นอย่างนี้ แล้วมันตรงความจริงของถ้อยคำพระเจ้าไหม? ไม่ตรง เพราะฉะนั้น เราต้องเรียนรู้ตรงนี้ให้ละเอียด ผมจึงใช้เวลาอธิบายตรงนี้ ค่อนข้างละเอียดมากว่าพระเยซูกำลังประกาศให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่  ยังไม่ได้เป็น คริสเตียน เขายังพึ่งพาการกระทำของตนเองอยู่ โดยการรักษาบทบัญญัติ พระเยซูกำลังมาประกาศให้เขากลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาวางใจในพระองค์ อย่าเย่อหยิ่ง หน้าซื่อใจคด คนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่เย่อหยิ่งแล้ว ก็หายแล้ว เขากลับมาหาพระองค์แล้ว เรียบร้อยแล้วไง พระองค์กำลังมาประกาศให้กับชาวยิว ผู้ซึ่งยังไม่เชื่อพระเจ้า ผู้ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนว่าจงยอมถ่อมใจ  แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า อาณาจักรของสวรรค์และความชอบธรรมของพระเจ้าเสียก่อน  โดยผ่านทางการวางใจ ยอมรับพระองค์ว่าพระองค์คือพระคริสต์ คือพระเมซิยาห์ ที่พระเจ้าพระบิดา สัญญาว่าจะส่งมาช่วยเหลือมนุษย์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น เราสามารถสรุปเป้าหมาย ในการประกาศของพระเยซู ก็คือกับคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ คืองานของพระเยซูยังไม่สำเร็จนั่นเอง เพราะว่ายังไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายในขณะที่ประกาศนั้น ซึ่งอย่าลืมนะว่าพระเยซูกำลังพูดถึงโลกวิญญาณ และพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นทางที่จะเข้าสวรรค์ ทางที่จะได้รับความรอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในชีวิตมนุษย์ทุกๆ คน นี่พระองค์ทรงชี้ไปตรงนี้ อย่างเดียวเลย ส่วนความจำเป็นในการดำเนินชีวิตแต่ละวันบนโลกใบนี้ พระองค์ให้วางใจในความรัก ความดีงามของพระเจ้า ในโลกวัตถุ ให้วางใจในพระเจ้า ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงเน้นถึงโลกวิญญาณเท่านั้น

            เป้าหมายของการประกาศของพระเยซู ผมเอามาง่ายๆ สรุปอยู่ในข้อพระคัมภีร์ไม่กี่ข้อเอง นี่คือการประกาศของพระเยซูทั้งหมดเลย ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี กับคนที่ไม่เชื่อ คือสรุปอยู่ใน 3 ข้อนี้ ในยอห์น 3:16-18 ซึ่งดังมากผมจะอ่านให้ท่านฟัง …

        ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์  เพื่อทุกคนที่วางใจ พึ่งพาในการกระทำของพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์  17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยผ่านทางการวางใจพึ่งพาในการกระทำของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจพึ่งพาในการกระทำของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ คือปฏิเสธการช่วยเหลือจากพระเจ้ายังคงยืนกรานอยู่ในการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง ก็ถูกพิพากษา ลงโทษอยู่ในความพินาศในความตายในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจพึ่งพาในพระนาม พระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            การประกาศของพระเยซูคริสต์ทั้งหมด สรุปออกมาอยู่ตรงนี้เอง นี่คือหัวใจของการประกาศข่าวประเสริฐทั้งหมด ไม่ว่าจะอ่านอุปมาไหน? อ่านตรงไหน? ต้องวิ่งมาอยู่ตรงเป้าหมายสำคัญ สรุปรวมที่ผมกำลังอ่านนี้ ในยอห์น 3:16-18 ตะโกนดังลั่นตั้งแต่บนภูเขาจนลงภูเขา  จนไปอยู่ในบ้าน อยู่ตรงโน้นตรงนี้ ก็ประกาศอยู่แค่นี้ เอเมนไหม? อะไรก็ตามที่ฟังจากพระเยซู ต้องเอามาเทียบกับตรงนี้ว่ามันตรงไหม?  มันใช่ไหม?

            ครั้งที่แล้วเราจบด้วยเรื่องประตูใหญ่ วางใจตนเอง ประตูเล็ก วางใจพระคริสต์ เรามาทวนกันนิดหนึ่ง พระเยซูประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่บนโลกนี้ พระองค์คือประตูทางเข้าสวรรค์ เป็นประตูเล็ก ทางแคบ ประตูใหญ่ทางกว้าง คือการพึ่งพาตนเอง คือบาปนั่นเอง เพราะมวลมนุษย์เป็นทาส อยู่ภายใต้พลังอำนาจที่มองไม่เห็น แต่อยู่จริงๆ เหมือนแรงดึงดูดของโลก เห็นไหม ไม่เห็น แต่มีไหม? โยนของขึ้นไป ทำไมตกลงมาล่ะ เพราะมีแรงดึงดูด มีพลังอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็น มวลมนุษยชาติเป็นทาส อยู่ภายใต้พลังอำนาจ กฎของความบาป และความตาย ก็คือพึ่งพาการกระทำของตนเอง ซึ่งมีแต่จะนำไปสู่ความตาย เหน็ดเหนื่อยเท่านั้น  แต่ถ้าเขาหันมาพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ จะนำพาไปสู่ชีวิตนิรันดร์ หายเหนื่อย นี่คือคำสรุปของคำบรรยายครั้งที่แล้ว

            ในหนังสือโรม 6:23 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 6:23  “เพราะว่าค่าตอบแทน ค่าจ้างที่ได้จากบาป (คือการพยายามพึ่งตนเองในการกระทำดี ละชั่ว เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรม) คือความตาย แต่ของขวัญจากพระเจ้า (ไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย แค่เชื่อ แล้วมารับไปเท่านั้น) คือชีวิตนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

            นี่ผมยกถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ในหนังสือโรม 6:23 มาให้ท่านดู เพื่อสนับสนุนให้ชัดเจนว่าพระเยซูกำลังประกาศอะไร?

            เมื่อมีคำว่า “ค่าตอบแทน” หรือ “ค่าจ้าง” ในข้อความเมื่อสักครู่นี้ ก็หมายความว่าค่าจ้างหรือค่าแรง ต้องทำงานแลกเอาใช่ไหม? ต้องลงแรงลงกาย เหน็ดเหนื่อย ทำงานหนัก ที่จะแลกกับค่าตอบแทน คือค่าจ้าง เรากำลังพูดถึงการเข้าสู่สวรรค์ ค่าตอบแทน ค่าจ้าง ก็คือการได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์หลังความตายนั่นเอง

            เมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่านในข้อพระคัมภีร์ คำว่าบาปตรงนี้ ส่วนใหญ่ คนจะคิดว่าไปทำบาป ทำชั่ว ทำผิดศีลธรรม แต่ความจริง บาป แปลตรงตัวเลย ภาษาอังกฤษ แปลว่า “miss the target” ภาษาไทย แปลว่า “ผิดเป้าหมายของพระเจ้า” ผิดวัตถุประสงค์ของพระเจ้า ที่วางไว้ ตั้งแต่เริ่มต้นสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ผิดเป้าหมายตรงไหน? ตรงที่บาป ก็คือไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เรียกว่าดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระองค์ต้องการให้เราพึ่งในพระองค์เท่านั้น เราก็ไม่ยอมพึ่งในพระองค์ ตกอยู่ในความบาป พระองค์ทรงทราบดีว่าเมื่อเราดื้อ ไม่พึ่งในพระองค์ เราก็จะไม่มีชีวิตของพระองค์อยู่ภายในวิญญาณของเรา ซึ่งโดยลำพังตนเองไม่สามารถกระทำดีได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ถ้าปราศจากพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยในวิญญาณของเรา ทำดีได้ แต่ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานที่พระองค์ทรงวางไว้ให้ พระองค์ทรงชี้อย่างนั้น บอกตั้งแต่แรกแล้ว แต่เราดื้อ ต้องการพึ่งตนเอง ซึ่งเรียกว่าทำบาปนั่นเอง เพราะฉะนั้น  บาปตัวนี้ ตัวใหญ่มาก ไม่ใช่หมายถึงการทำผิดศีลธรรม ทำชั่ว อย่างนั้นมันเห็นชัดๆ แต่ข้างใน จากแก่นที่อยู่ในวิญญาณ มันคือตรงนี้ คือการไม่พึ่งพระเจ้า

            ซึ่งการที่มนุษย์ทั้งหลายพยายามพึ่งความดี หรือตั้งใจที่จะทำความดี ด้วยตนเอง พยายามเคร่งครัด ในการทำตามกฎของศีลธรรม โดยการทำดีเยอะๆ ละความชั่ว ก็คือพยายามพึ่งพาการกระทำของตนเอง  ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ดีมาก และได้ผลตอบแทนดีไหม? ดี แต่เป็นผลตอบแทนที่ดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น  แต่สิ่งที่พระเยซูกำลังประกาศนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับผลทางด้านฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเรามองไม่เห็น ถ้าเราพึ่งพาในการกระทำของตนเอง เราก็จะได้สิ่งที่ดี ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เท่าที่มองเห็นเท่านั้น  แต่ในโลกทางฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ได้บอกชัดเจน ผลตอบแทนที่ได้รับ เมื่อพึ่งพาตนเอง คือความเหนื่อย แล้วยังต้องตายอีก หมายถึงพินาศทางวิญญาณ คือถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าไม่ได้ หลังความตาย วิญญาณต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ต้องทำงานอย่างหนัก ในการรักษาความดี ละชั่ว หนักไหม? ที่เราบอกตั้งใจทำดี ละชั่ว เพื่อจะได้ไปสวรรค์ มนุษย์ทุกคนก็คิดอย่างนี้ แล้วมันเหนื่อยไหมล่ะ มันเหนื่อย เพราะมันไม่ได้ เพราะว่าเราใช้กำลัง พึ่งพาในการตั้งใจด้วยตนเอง

            “ฉันจะกระทำให้ดีที่สุด”

            แล้วทำมันก็ไม่ได้ ซึ่งก็ให้ผล ก็คือความตายในวิญญาณ เหมือนเดิม เพราะเราอยู่ภายใต้ พลังกฎของความบาปและความตายอยู่ เราก็อยู่เหมือนเดิม หลุดออกจากมันไม่ได้ แถมเหนื่อยอีกต่างหาก  เหนื่อยเท่าไร? ก็ไม่ได้ เพราะว่าเหนื่อยเท่าไร ก็ได้รับผลออกมา คือความตาย เพราะทำดีเท่าไร ก็ไม่สามารถถึงมาตรฐานของพระเจ้า  ที่จะเข้าสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้เลย พระเยซูชี้ให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณ สถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณอย่างนี้ พระองค์จึงบอกว่า …

            “ใครมีหู จงฟังเถิด ใครมีตา จงมองให้เห็นเถิด”

            คือตาทางฝ่ายวิญญาณ แต่เมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่าน โรม 6:23 บอกว่าแต่ของขวัญจากพระเจ้า จะตรงกันข้ามกับค่าตอบแทนแน่นอน เพราะถ้าจะได้ค่าตอบแทน ก็ต้องทำงานหนัก

            ค่าตอบแทน แปลว่าเราลงอะไรไปอย่างหนึ่ง แล้วได้ค่าตอบแทนมา ถูกไหม? เราลงทุนอะไรบางอย่าง แต่ของขวัญ แปลว่าฟรี เราก็รู้ๆ กันอยู่ นี่พระคัมภีร์ เขียนไว้ก่อนหน้า ตั้ง 2,000 ปีแล้ว แต่ของขวัญ คืออยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ได้ของขวัญนี้มา เพราะรัก ใครรักเรา? ของขวัญนี้ใครให้? พระเจ้าให้ ก็คือพระเจ้ารักเรา ให้เราฟรีๆ เราแค่เดินเข้าไปรับจากพระเจ้าเท่านั้น เรียกว่าฟรี เรียกว่าเป็นพระคุณไง เป็นพระคุณไม่ใช่พระเดช พระเดช คือท่านต้องทำงานอะไรบางอย่าง แล้วถึงจะได้รับ แต่นี่เป็นพระคุณ ให้ฟรีๆ และนี่แหละ คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือความต้องการของพระเจ้า ตั้งแต่เริ่มต้น คือให้เราพึ่งในพระองค์อย่างเดียวเท่านั้นที่พระองค์ต้องการจากมนุษย์ ก็คือ …

            “เข้ามาพึ่งพ่อ เข้ามาอยู่กับพ่อ เจ้าช่วยตัวเองไม่ได้หรอก”

            นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ ไม่ต้องการอะไรอย่างอื่น ต้องการให้เราพึ่งในพระองค์ ของขวัญนี้ที่เราได้รับฟรี คือชีวิตนิรันดร์ คือการได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากความบาปใดๆ เป็นวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ทันทีทันใดเลย ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และหลังความตาย ก็จะอยู่สถานที่เดิม ก็จะอยู่ในพระเจ้า อยู่ในสวรรค์นี้ตลอดไป โดยแค่ผ่านทางความเชื่อและวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำให้กับเราทั้งหลายบนไม้กางเขนเท่านั้น เราก็ได้รับของขวัญนี้มาฟรีๆ เดินเข้าไปรับฟรีๆ รับเดี๋ยวนี้  อยู่ในสวรรค์เดี๋ยวนี้เลย และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ตลอดไป หลังความตาย ก็จะอยู่ในสวรรค์นี้เหมือนเดิม

            พระคริสต์จึงได้ตรัสอย่างนี้ว่า “มนุษย์ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเราเถิด เราจะให้ผู้นั้นเหนื่อยมากยิ่งขึ้น” ไม่ใช่

            ทุกคนก็ท่องได้แล้ว พระองค์ตรัสว่า “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเราเถิด เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

            นี่คือข่าวดีหรือข่าวร้าย ข่าวดี มันฟรีๆ ข่าวร้ายมันเหนื่อยยากลำบาก และแถมไม่ได้ด้วย ข่าวดีนี้ง่ายๆ แต่ทำไมถึงเป็นทางแคบ คิดใช่ไหม? ถ้ามันง่ายอย่างนี้ ทุกคนก็เข้ามาหมด นั่นนะสิ ผมก็เคยคิดอย่างนี้ในอดีต  มันง่ายอย่างนี้ ทุกคนก็เข้า แล้วทำไมไม่เข้าล่ะ เรามาดูว่าทำไมไม่เข้า? ง่ายอย่างนี้ คือแค่การวางใจในพระเยซู ก็ได้รับของขวัญนี้แล้ว แต่การวางใจในพระเยซูเป็นทางแคบ ก็เพราะว่าเป็นการต่อสู้กับที่ตะกี้นี้บอก ต่อสู้กับพลังอำนาจ แรงดึงดูดของโลก ที่เราโยนของลงไป แล้วมันตกลงมา มันสู้ไหม? สู้ เราโดดลงไปในน้ำ มันพยายามดูดเราจมน้ำไหม? เราต้องทำอะไร? สู้ ถ้าเราไม่สู้ มันก็ถูกดูดลงไปจม ยกเว้นเราจะมีห่วงยางคอยช่วยเหลือ พยุงเราไว้ ถูกไหม? นั่นคือพลังอำนาจที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ถูกไหม?

            เพราะฉะนั้น พลังอำนาจของความบาป คือความตายในวิญญาณ การพินาศในวิญญาณ ซึ่งครอบครองอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตามที่พระคัมภีร์ได้บ่งบอกไว้ และมันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ก็คือบาปนั่นเอง ซึ่งมารพยายามปิดบังตา โกหก ไม่ให้มนุษย์เห็นความจริงของพระเยซูคริสต์ ที่ประกาศนั้น แต่พระเยซูคริสต์มาบนโลกใบนี้ และประกาศ เพื่อเปิดเผยความจริงเหล่านี้ ให้กับมนุษย์ได้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้อยู่ มนุษย์มองไม่เห็นพลังอำนาจมืดตรงนี้อยู่ว่ามันดึงเราอยู่ ที่เราไม่เชื่อพระเจ้า เพราะมีอะไรบางอย่างดึงเราอยู่ มันง่ายจริง แต่เป็นทางแคบ เพราะมีอำนาจที่มองไม่เห็นดึงเราไม่ให้เชื่อ และผู้ที่ดึงเราไม่ให้เชื่อนั่น ก็คือมาร ใช้กฎ พลังอำนาจของความบาปและความตายที่มองไม่เห็น เป็นอาวุธ ตัวมารเอง ไม่มีอำนาจอะไรเลย แต่พลังอำนาจของความบาปและความตาย มันมีอยู่จริง มันพยายามดึงเราไปสู่ความตาย อยู่ห่างจากพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้ จึงต้องดิ้นรน นึกออกใช่ไหม?  ที่ตะกี้นี้ผมบอกว่าเหมือนเราอยู่ในน้ำ และมีแรงดึงดูดของโลกที่มองไม่เห็น ดูดเราจมน้ำ เราต้องดิ้นรน เราอยากพ้นจากบาป ด้วยกำลังของเราเอง พ้นได้ไหม? ไม่ได้ ทั้งชีวิต มันจะดูดเราลงตลอด ตกลงไปตลอดเวลา นั่นแหละ คือสภาพของมนุษย์ทุกคน ที่จะเข้าสวรรค์ อาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้ นั่นแหละ เป็นอย่างนั้น พระเยซูจึงบอกว่าเขาจึงต้องเคาะแล้วเคาะอย่างต่อเนื่อง หาและหาอย่างต่อเนื่อง ขอและขออย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดยั้งเลย หยุดเมื่อไร มันจะจม เขาจะต้องไม่หยุดยั้ง จนกว่าเขาจะเข้าสวรรค์ได้ ก็คือจนกว่าเขาจะเจอเรือมารับ ห่วงยางโยนลงมา นั่นแหละ เขาจึงจะได้พักผ่อน คริสเตียน คือผู้ที่เกาะห่วงยาง และพระเยซูดึงขึ้นไปบนเรือแล้ว จบแล้ว ไม่ต้องกระหืดกระหอบ นึกออก ไม่ต้องกระเสือกกระสนแล้ว

            เพราะฉะนั้น คนที่จะเข้าสู่สวรรค์ได้ เขาต้องขอ หา เคาะไม่หยุดยั้ง จนกว่าจะได้เข้าสวรรค์ ก็คือเขาจะต้องตัดสินใจ ตั้งใจจริง  ดิ้นรนที่จะออกจากระบบ ต่อสู้กับระบบ พลังแรงดึงดูดของโลก ผมพยายามยกตัวอย่าง และเทียบกันนะ  เขาจะต้องดิ้นรน ตัดสินใจที่อยากจะหลุดออกจากพลังแรงดึงดูดของโลก ก็คือแรงดึงดูดของกฎของความบาปและความตาย ที่ครอบครองอยู่ในใจของเขา  และอยู่บนโลกใบนี้ทั้งหมด

            เหมือนอยู่ในน้ำ ก็ต้องสู้ เขาไม่ได้สู้กับน้ำหรอก แต่เขาสู้กับแรงดึงดูดของโลกที่ดูดอยู่ มนุษย์ทุกคนก็เหมือนกัน เขาจะต้องตัดสินใจว่าจะต้องสู้กับพลังแรงดึงดูดของกฎของความบาปและความตาย ที่อยากจะพึ่งพาตนเอง แล้วย้ายมาทางใหม่ พระเยซูก็ประกาศแล้ว ก็คือย้ายมาสู่กฎของวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นทางแคบ เพราะว่าธรรมชาติของมนุษย์อยู่ภายใต้พลังของความบาปและความตายทั้งโลกอยู่แล้ว

            พระเยซูเป็นเหมือนเรือลำหนึ่งมาช่วย เราอยู่ข้างล่าง อยู่ในน้ำ เป็นมหาสมุทร ซึ่งพลังนี้ดูดลงไปหมดเลย ดูข้างๆ ไม่มีทางรอดสักแห่ง เพราะทุกคนก็อยู่ในพลังแรงดึงดูดของโลกนี้อยู่ ต้องมองไปที่เดียว คือมองไปที่เรือและมองไปที่ห่วงยางที่พระเยซูส่งมา มันจึงเป็นทางแคบ เพราะส่วนใหญ่นั้น อยู่ภายใต้พลังแรงดึงดูดของกฎของความบาป และความตายอยู่ ต้องกระเสือกกระสนหักแอกแห่งการเป็นทาสของความบาป คือการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง ซึ่งมันครอบครองอยู่ในใจและอยู่บนโลกใบนี้ทั้งหมด เราจะต้องสู้กับมัน หลุดออกมาให้ได้

            ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็นนี้ พระเยซูอธิบายว่ามันมี 2 แห่งที่มันกำลังสู้กันอยู่ พลังหนึ่งเรียกว่าพลังของความบาปและความตาย แต่พระเยซูที่ประกาศอยู่นี้ กำลังบอกว่าสวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่ ก็คือพลังของความดีงามของพระเยซูคริสต์ พลังแห่งความรอดในพระเยซูคริสต์กำลังมาเกิดขึ้น กำลังมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น จะมีอยู่ 2 อาณาจักรให้เลือก กำลังจะต่อสู้กันในไม่ช้านี้ เมื่อพระองค์ทรงกระทำการงานสำเร็จที่ไม้กางเขนแล้ว พระองค์เอาสวรรค์ลงมาแล้ว จะมีกฎของการเข้าสวรรค์ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ซึ่งจะเป็นกฎที่เอามาต่อสู้กันกับกฎของความบาปและความตาย และกฎของพระเยซูคริสต์ที่จะชนะกฎของความบาปและความตาย  มันมี 2 แห่งเท่านั้น และ 2 แห่งนี้ ต้องสู้กัน พระเยซูกำลังมาประกาศจะบอกเลยว่าอาณาจักรสวรรค์ เป็นอาณาจักรที่ต้องแย่งชิงเอา เคยได้ยินใช่ไหม? ในมัทธิว 11:12 บอกอย่างนี้ พระเยซูประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ต้องแย่งชิงเอา  ก็คือสู้กัน 2 อันระหว่างอาณาจักรของความมืดกับอาณาจักรของความสว่าง เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่มนุษย์อยู่ตรงกลางต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ต้องเลือกว่าจะอยู่ข้างไหน ซึ่งเดิมที มนุษย์ไม่มีทางเลือกเลย ไปอยู่ข้างเดียว ก็คืออยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย แต่บัดนี้ พระเยซูมาเริ่มต้นกฎใหม่ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ นำสวรรค์ลงมาตั้งอยู่ และมีทางใหม่ให้เลือกแล้ว

            มนุษย์มีโอกาสได้เลือกแล้วว่าจะเลือกทางใหม่ หรือทางเก่า ต้องตัดสินใจเลือกข้าง ระหว่างทางเก่ากับทางใหม่ ก็คือระหว่างวางใจพึ่งพาการกระทำดีของตนเองกับการวางใจพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน มนุษย์ต้องเป็นผู้เลือก จะเห็นภาพเลยว่ามารไม่มีอำนาจเลย เห็นไหมครับ? มนุษย์เลือกได้ แต่ก่อนหน้าที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ และทำงานให้สำเร็จ ที่ไม้กางเขนนั้น มนุษย์เลือกไม่ได้ เพราะไม่มีกฎใหม่ให้เลือก มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ แต่พระเยซูนำสวรรค์เข้ามาตั้งอยู่ แต่สวรรค์ที่พระองค์ทรงนำมาตั้งอยู่นั้น เป็นทางเลือกให้มนุษย์ต้องเลือกเข้ามาเอง มนุษย์ต้องตัดสินใจเองว่าจะเข้ามาไหม? นึกออกใช่ไหม?

            โอเค เรามาต่อวันนี้ ต่อจากครั้งที่แล้ว จบลงตรงทางแคบ มีคนถามไหมว่าทางแคบ ทำไมถึงแคบ อธิบายลำบาก เลยพยายามที่จะอธิบายวันนี้ให้ชัดเจนขึ้น แต่อย่างที่บอกต้องไปฟังเยอะๆ และไปอธิษฐาน แล้วท่านจะเห็นภาพชัดเจนว่าทำไมถึงเป็นทางแคบ สังคมรับไม่ได้ไง พระเยซูกำลังมาบอกอย่างนี้ นี่คือทางแคบรับไม่ได้ เพราะเขายังอยู่ในพลังอำนาจของความบาปและความตาย ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ แล้วก็ทำงานอยู่ในใจของเขา  อยู่ในวิญญาณของเขาอยู่ ดั้งเดิมมันเป็นอย่างนี้ พระเยซูต้องกระชากเขาออกมาจากพลังอำนาจเดิม หลุดออกมาจากการเป็นทาสได้  มันไม่ง่าย

            วันนี้ต่อ คือมัทธิว 7:15-16 อุปมาเกี่ยวกับเรื่องต้นไม้และผลของมัน ผลของต้นไม้ …

        มัทธิว 7:15-16 “15 จงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ เขามาหาพวกท่านในคราบแกะ แต่ภายใน คือสุนัขป่าดุร้าย 16 ท่านจะรู้จักเขาโดยผลของเขา กอหนามจะออกผลเป็นองุ่น และพุ่มหนาม จะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ?”

            ผู้เผยพระวจนะเท็จคือใคร? พระเยซูกำลังพูดถึงพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ที่กำลังต่อต้านพระเยซูคริสต์ และจะต่อต้านไปในอนาคตด้วย พระองค์ทรงเปรียบเทียบ วิญญาณพวกเขาเหมือนต้นไม้ ต้นไม้ คือวิญญาณ ผู้ที่ยังไม่เชื่อ ภายในวิญญาณของเขายังเป็นคนชั่ว ยังเป็นคนบาป เป็นสุนัขป่าดุร้าย นี่พระองค์กำลังพูดกับชาวยิว ฟาริสี ธรรมาจารย์ ที่หน้าซื่อใจคดว่าภายในวิญญาณของเขา ยังเป็นคนชั่ว เป็นคนบาป เป็นสุนัขป่าดุร้าย

            ผลของวิญญาณเลว ก็คือวิญญาณเขาเลว ไม่ดี ชั่ว เขาจึงมีผล ก็คือปฏิเสธ ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซิฮาห์ ชัดเจนไหม? อาณาจักร 2 แห่ง สู้กัน เขาจะต่อต้าน ข่มเหง ความจริง คือพระเยซูคริสต์และผู้เชื่อในพระองค์ ในอนาคตอันใกล้นี้ เขาต่อต้านพระเยซู เขาก็จะต่อต้านคนที่เชื่อเหล่านั้น เพราะวิญญาณมันไม่ดี ผลิตผลออกมา ก็คือไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง ต่อไปในมัทธิว 7:17-20 …

        มัทธิว 7:17-20 “17 ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้ที่ดีทุกต้นย่อมให้ผลที่ดี ส่วนต้นไม้เลวย่อมให้ผลที่เลว 18 ต้นไม้ดีไม่อาจให้ผลเลว และต้นไม้เลวไม่อาจให้ผลดี 19 ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ให้ผลดี ก็ถูกโค่น และโยนลงในไฟ 20 ฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้ จากผลของเขา”

            คราวนี้ พระองค์ก็กลับมาพูดกับคนทั่วๆ ไปแล้ว ชาวยิวกับคนทั่วๆ ไป ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ย้ำอีกที จะได้ชัดๆ  บอกว่าผลของต้นไม้ดี ก็คือวิญญาณดี เป็นชีวิตนิรันดร์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า นี่คือผลของวิญญาณ  ผลของต้นไม้เลว  ก็คือความพินาศในบาป สกปรก ไม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ตรงข้ามกันนั่นเอง  แต่ว่าดูภายนอกแล้วดูดี คล้ายๆ กัน เหมือนผลไม้ ปัจจุบัน เรียกว่าผลไม้พลาสติก ของเทียม ซึ่งบางครั้งดูแล้ว มันดูดีกว่าของจริงอีก เราดูไม่ออก เพราะทำดีเหมือนๆ กัน เป็นผลไม้เหมือนกันเลย ลักษณะเหมือนกัน พระเยซูกำลังบอกว่าอยู่ที่วิญญาณ ถ้าวิญญาณดี ก็ให้ผลดี ถ้าวิญญาณชั่วเลว ก็ให้ผลเลว

            นี่คือสัจจธรรมที่พระเยซูกำลังบอก  มันขึ้นอยู่กับวิญญาณ วิญญาณดี ก็คือวิญญาณที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์ อยู่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ คืออาณาจักรสวรรค์นั่นเอง ตรงกันข้าม วิญญาณชั่ว เลว เป็นวิญญาณที่อยู่ในอาณาจักรของความบาปและความตาย ก็คือการพึ่งพาตนเอง  อยู่ในความพินาศ ซึ่งเราก็รู้แล้วว่าพระคัมภีร์บอกว่าอยู่ในอาดัมนั่นเอง ก็คืออยู่ในบรรพบุรุษเดิม  ที่ตกลงไปในความบาป

            พระเยซูชี้ให้เห็นว่าถ้าเกิดคุณอยู่ในอาดัม  ความชอบธรรมของคุณ ก็คือความดีงามที่คุณกระทำทั้งหมดนั้น ก็เหมือนเศษผ้าขี้ริ้วสกปรก  ดังนั้น ในโลกนี้จึงมีคนเพียง 2 ประเภทเท่านั้น คือประเภทที่มีวิญญาณอยู่ในอาดัมกับประเภทที่มีวิญญาณอยู่ในพระคริสต์

            ในโลกนี้ทั้งหมด มองไปดูเหมือนๆ กัน เป็นคนหมดเลย เป็นมนุษย์หมด แต่พระเยซูบอกว่าในอนาคตอันใกล้ จะมีคนอยู่ 2 ประเภท คือประเภทหนึ่งที่ยังพึ่งพาตนเอง  เรียกว่าอยู่ในอาดัม อีกพวกหนึ่งที่พึ่งพาพระเยซูคริสต์เรียกว่าอยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว อยู่ในพระคริสต์ 2 ประเภทเท่านั้น ดูภายนอก ก็เหมือนๆ กัน และในความเป็นจริง ผู้ที่อยู่ในอาดัม ก็มีผู้ที่กระทำความดี ถูกไหม? คนที่อยู่ในอาดัม ที่ไม่เชื่อ พึ่งพาการกระทำของตนเอง ก็มีคนกระทำดี  และผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ก็มีคนที่กระทำผิดบาปด้วยเช่นเดียวกัน นึกออกไหม?

            ตามองไม่เห็น แต่มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ซึ่งพระเยซูกำลังบอกความจริง ในโลกวิญญาณ ชี้ให้เห็นว่าจงมองให้เห็นเถิดว่าถ้าวิญญาณ ยังเป็นบาปอยู่ ยังพึ่งพาในการกระทำของตนเอง ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ ยังถูกพลังอำนาจของความบาปและความตายดูดอยู่ ยังเป็นทาสของความบาปและความตายอยู่นั้น ถ้าวิญญาณยังเป็นบาปอยู่นั้น ต่อให้พยายามทำดีมากเท่าไร ผลของวิญญาณนั้น ก็คือความตายพินาศนั่นเอง  แต่ดูภายนอก ดูเหมือนๆ กัน ฉันใด  ถ้าวิญญาณได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เชื่อวางใจในพระเยซูแล้ว เกิดใหม่แล้ว  ต่อให้ทำความชั่วมากเท่าไร? ผลออกมา ก็ยังคงเป็นความชอบธรรม เป็นชีวิตนิรันดร์ฉันนั้น นี่คือทางแคบไหม? มนุษย์ทุกคนฟังแล้ว …

            “โอ๊ย! เป็นไปได้อย่างไร? ไม่ยุติธรรมเลย”

            แล้วที่เราเชื่อกันมาแต่ไหนแต่ไรว่าเกิดมาเราก็มีบาปติดตัว ต้องชดใช้กรรมกี่ชาติ กี่ปี ไม่หมดสักที อย่างนี้ยุติธรรมไหม?  ไม่มีใครมาสอนเรา เราก็เชื่อ  เราเกิดมาใช้กรรม ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ใช้กรรมอะไรล่ะ  ไม่รู้ ก็เกิดมาใช้กรรม  เราก็ยังเชื่ออย่างนั้น  แล้วพระเยซูกำลังบอกว่าเกิดใหม่ ได้ไปสวรรค์เลย  ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ทีอย่างนี้บอกไม่ยุติธรรม เกิดมาใช้กรรม ทำดีตั้งเยอะแยะ แต่ก็ไม่หมดสักทีหนึ่ง ไม่รู้ชาติไหนจะหมด ทำดีชาตินี้ ทำๆ จนเหนื่อย จนตาย ก็ไม่ได้ ชาติหน้าก็ทำต่อ  ทีอย่างนี้เราเชื่อได้ง่ายๆ เพราะอะไร? สรุปง่ายๆ ก็คือเพราะว่ามีพลังอำนาจความมืด ดูดให้เราเชื่ออย่างนั้น โดยที่เราไม่รู้ตัว มันแอบอยู่ เรามองไม่เห็น แต่พระเยซูกำลังมาชี้ให้เรามองเห็น

            ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับวิญญาณเท่านั้นว่าเป็นวิญญาณที่ดี หรือวิญญาณที่ไม่ดี วิญญาณที่เป็นบาป หรือวิญญาณที่เป็นผู้ชอบธรรมนั่นเอง อยู่ในอาณาจักรไหนในโลกวิญญาณ เหมือนที่พระเจ้าถามอาดัมว่าอยู่ไหน? ก็อยู่ในการพึ่งพาตนเอง พระองค์บอกเป็นนัยๆ ว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในสวรรค์แล้วนะ หลุดจากสวรรค์แล้ว ถ้าอยู่ในสวรรค์ต้องพึ่งพาในพระเจ้าเท่านั้น นี่ต้องพึ่งพาตนเองอยู่ในบาป

            อย่างที่บอก มันเป็นกฎ เหมือนแรงดึงดูดของโลก ต่อให้เราไม่เห็น มันก็มีอยู่จริง  และมันก็เกิดผลจริงๆ โยนขึ้นไป มันก็ตกลงมาจริงๆ  รับรองได้ และยุติธรรมจริงๆ ด้วย ก็คือไม่ว่าจะเป็นคนชั่ว หรือทำดี หรือดีขนาดไหน?  หรือชั่วขนาดไหน? แรงดึงดูดของโลก ก็ยังทำงานเหมือนเดิม เราทำบุญมากๆ ทำดีเยอะๆ  เป็นคนเมตตากรุณามากๆ เลย ของไม่หล่นใส่หัวเราเหรอ? โยนของขึ้นไป ไม่หล่นลงมา ปีนขึ้นต้นไม้ กิ่งไม้หัก ไม่ตกลงมาตาย ตายไหมถ้าสูงๆ ตาย คนชั่วตกลงมา เราก็บอกเพราะทำชั่ว เลยตกลงมาตาย  แต่ปรากฏว่าคนดี ก็ตาย เหมือนกัน ตอบไม่ถูกเหมือนกัน มันเป็นกฎ

            ในเรื่องของวิญญาณ ที่พระเยซูกำลังอธิบายนี้ มันก็เป็นกฎ ซึ่งวิญญาณดี วิญญาณชอบธรรม เป็นของพระเจ้า ให้มาฟรีๆ ผ่านทางการวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเมซิยาห์ของชาวยิว  หมายถึงเป็นภาษาของยิว  แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  การเปลี่ยนแปลงกฎนี้ ก็ทำแค่สิ่งเดียว เป็นของขวัญ พระเจ้าให้ฟรีๆ  ก็คือเพียงแค่พึ่งพาวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ได้เริ่มต้นกฎของวิญญาณแห่งชีวิตขึ้นมา เรียกว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิตที่สามารถพาผู้คนไปอยู่ในสวรรค์ได้  ให้ผู้คนย้ายเข้ามาอยู่ในกฎนี้ ย้ายมาอยู่ในทางของพระองค์นี้ ซึ่งผู้คนฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ ก็เลยเป็นทางแคบ  ใครที่วางใจ วิญญาณก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ย้ายสถานที่อยู่ ใครที่วางใจพระเยซู ตามที่พระองค์บอก ใครที่วางใจในพระเมซิยาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด  พระเยซูคริสต์ วิญญาณของเขา ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลง ได้ย้ายสถานที่อยู่ จากอาณาจักรเก่าไปสู่อาณาจักรใหม่ เห็นหรือยัง? จากวิญญาณที่บาป กลายเป็นวิญญาณที่ดี ได้รับชีวิตนิรันดร์ เป็นผลของวิญญาณ ได้อยู่ในสวรรค์ ชัดเจนเลย มี 2 แห่ง ซึ่งอย่างที่บอก ถ้าเราคิดตามปัญญาของมนุษย์ รับความจริงเหล่านี้ไม่ได้ ก็เลยเป็นทางแคบ ซึ่งจริงๆ คิดให้ดีๆ ที่ตะกี้นี้บอก ที่เราคิดอะไรต่างๆ ถูกหลอก แม้เชื่อในบาปเวรกรรมว่าเกิดมา ต้องใช้เวรใช้กรรม ทีอย่างนี้เราเชื่อได้ เพราะพลังอำนาจมันสนับสนุนเรา เพราะฉะนั้นต้องต่อสู้ แสงสว่างที่พระเยซูนำเข้ามาเล็กๆ แต่เป็นแสงสว่างที่มีพลังอำนาจ เพราะเป็นความจริง เป็นแสงสว่าง ซึ่งอยู่ท่ามกลางความมืด พระคัมภีร์บอกชัดเจน ไม่ใช่เป็นความสว่างที่อยู่ท่ามกลางความสว่าง เป็นความสว่างที่อยู่ท่ามกลางความมืด เพราะฉะนั้น ความมืดพยายามปิดบังสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ ดึงเราอยู่ เราต้องตัดสินใจสู้กับมันให้ได้ อย่างที่บอก เหมือนเพลงที่เราร้อง

                        “ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

                        ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

                        ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

                        ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

            แสดงว่าทั้งโลกพยายามดึงเราออก หันกลับ มันมีแรงพลังอำนาจความมืดที่มองไม่เห็น ไม่ใช่เป็นของมาร แต่มารใช้อยู่ พยายามปิดบังตาเรา ให้เรามีความเชื่อเหมือนเดิมๆ  มาต่อมัทธิว 7:21 …

        มัทธิว 7:21 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น (คือวางใจในเราที่พระเจ้าส่งมา) ที่จะได้เข้า”

            ตอนนี้กำลังพูดถึงคนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ไม่เชื่อ ไม่เป็นคริสเตียนชัดเลย  เพื่อจะให้ดูว่าผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว เอาไปใช้แบบของตัวเองเยอะเลย เลยเอามาชี้ให้เห็นว่านี่กำลังพูดกับคนที่ยังไม่เชื่อ ไม่ได้เป็นคริสเตียน พูดถึงคนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา

            พระประสงค์ของพระบิดา คือวางใจในพระเยซู แต่คนเหล่านี้ไม่ได้ทำตามประสงค์ของพระบิดา คือไม่ได้วางใจในพระมาซีฮาห์ พระบุตรของพระเจ้าถูกไหม? ต่อไปข้อ 22-23 …

        มัทธิว 7:22-23 “22 หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ ขับผีในพระนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ’ 23 เมื่อนั้น  เราจะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราไม่เคย ได้รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น!”

            เน้นอีกทีหนึ่งเลย  กำลังพูดถึงคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ จำเอาไว้? บอกตัวเอง คนที่ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนฟังทางนี้ ไม่ใช่คนที่เป็น คริสเตียนแล้วฟังทางนี้ คนที่ยังไม่ได้พึ่งพาการกระทำดีของพระเยซูคริสต์ แต่ยังพึ่งพาในการกระทำดีของตนเองอยู่ เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี สะสมความดี เพื่อจะได้ไปสวรรค์ ฟังทางนี้ ฟังข้อนี้ให้ดีๆ ต้องเตือนตัวเองให้ชัดๆ ต้องเน้นตรงนี้ เพราะคนเอาไปใช้เยอะมาก อย่างที่บอกเสียหาย

            ตอนนี้กำลังพูดถึงคนไม่เชื่อ เกี่ยวกับอะไร? หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า … “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์เผยพระวจนะในนามของพระองค์ ขับผีออกในนามของพระองค์ และกระทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ?”

             “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” คือหลายคนจะพูดกับเราในวันนั้น คือวันไหน? วันพิพากษาหลังความตาย ที่มนุษย์ทุกคนจะถูกพิพากษา โดยพระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง พอถึงวันพิพากษา นี่พูดถึงคนที่ไม่เชื่อใช่ไหม? หลังจากวันแห่งความตาย เขาหวังว่าเขาจะไปสวรรค์ใช่ไหม? แต่เขาไปถึงปุ๊บ จ๊ะเอ๋กับผู้พิพากษา คือพระเยซูคริสต์ เขาก็ตัวสั่นหมดแล้ว เพราะว่าเขาปฏิเสธพระเยซูมาตลอด ที่บอกว่าพระองค์เจ้าข้า เขาไม่ได้เรียกพระเยซูคริสต์ เพราะเขาไม่รู้จัก แต่ถ้าเขาเป็นคริสเตียนแล้ว ถ้าเจอวันนั้น โอ้! พระเยซู รู้จักไหม? รู้จักกันเลย เพราะเรารู้จักพระนามพระเยซู

            นี่เขาจะบอกว่าพระองค์เจ้าข้าๆ ความหมายของยิวสมัยนั้น ก็คือพระเจ้าจอมเจ้านาย พระเจ้าที่ข้าพระองค์เป็นทาสอยู่ เขาไม่เรียกพระเจ้าว่าพระบิดาด้วย แล้วเขาไม่เรียกว่าพระเยซูด้วย เขาเรียกว่าพระเจ้าจอมเจ้านาย ตามประสายิวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเขาเห็นพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา เขาไม่รู้จักพระเยซู พูดง่ายๆ บ่งบอกว่าคำเหล่านี้เป็นคำของคนที่ยังไม่เชื่อ  ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่รู้จักพระเยซู เขาก็เลยอ้าง สวรรค์ตามความหวังของเขา เพราะว่าตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เขาก็บอกว่าที่เขาทำดีมาตลอด ตั้งเยอะแยะ เขาหวังอยู่ในสวรรค์ เขาทำในนามของสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ที่เรียกว่าพระเจ้า ไม่ใช่พระเยซู เขาทำในนามพระเจ้าของอิสราเอล ไม่ใช่พระเยซูคริสต์ คนที่จะรอด ต้องรอดโดยพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกต้องวางใจในพระองค์ คนเหล่านี้ไม่ได้วางใจ คนเหล่านี้คุกเข่าต่อหน้าพระเยซู ไม่ใช่เพราะรู้จักพระเยซู แต่เพราะยอมจำนนว่านี่มันความจริง …

            “อ้าว! เป็นพระเยซูหรือ?” เป็นเรื่องจริง  ฟีลิปปี 2:10-11 บอกไว้อย่างนี้ …

        ฟีลิปปี 2:10-11  “10 ทุกชีวิตในสวรรค์บนแผ่นดินโลก และใต้แผ่นดินโลก จะคุกเข่าลงนมัสการพระนามของพระเยซู 11 และทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ คือองค์พระผู้เป็นเจ้า  เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติสิริ แด่พระเจ้าพระบิดา”

            นี่หมายถึงวันของการพิพากษาหลังความตาย ทุกคนจะคุกเข่าลง และยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ มิได้หมายถึงทุกคน นี่คือทุกคนที่เป็นผู้เชื่อ ผู้เชื่อไม่ต้องแล้วว่าพระเยซูเป็นเจ้านาย เพราะพูดมาตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เอเมนไหม? ซึ่งถึงวันนั้น มันสายไปแล้ว สำหรับคนที่ไม่ได้วางใจในพระเยซู ไม่รู้จักพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้านายจริงๆ เป็นพระเจ้าจริงๆ แม้ว่าเขาเหล่านั้นที่ไม่เชื่อจะอ้างความดีต่างๆ ที่ได้กระทำมาในอดีต ตอนเป็นมนุษย์อยู่นั้น ตอนยังไม่ตาย มันก็ไม่เกิดผลอันใดเลย แม้แต่นิดหนึ่ง เพราะพระเยซูได้เตือนแล้วเตือนอีก บอกแล้วบอกอีก ถูกไหม?

            พวกเขาเหล่านั้นที่ไม่เชื่อ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น เคยหวังว่าจะพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง พึ่งในการรักษาบทบัญญัติ พึ่งในการรักษากฎศีลธรรม จริยธรรมอันดี เพื่อจะได้ผ่านการพิพากษาและได้อยู่ในสวรรค์หลังความตาย ใช่หรือไม่? ซึ่งพระเยซูก็ได้เตือนแล้วเตือนอีก ประกาศแล้วประกาศอีก  ผ่านทางผู้คนทั้งหลายว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลย อย่าพึ่งตนเอง

            เพราะฉะนั้น วันพิพากษาหลังความตายมาถึงเมื่อไร? แม้คนเหล่านี้ จะคุกเข่าลงกราบ และยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า พระเยซูก็จะพูดว่า …

            “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย”

            ไม่เคยนะ ไม่ใช่ไม่รู้จักเจ้า “ไม่เคยรู้จักเจ้า” แสดงว่าไม่เคยรู้จักเจ้า ตอนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ไม่เคยรู้จักเจ้าเลยตั้งแต่ก่อนตาย เจ้าก็ไม่เคยรู้จักกับเรา คำว่า “รู้จักตรงนี้” แปลว่ารู้จักสนิทสนม มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเหมือนสามีภรรยา …

            “เราไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกันเลย เราไม่เคยอยู่ด้วยกันเลย เจ้าอยู่ที่ไหนมา เราก็อยู่ของเรา เจ้าก็อยู่ของเจ้า เจ้าอยู่ในอาดัม เจ้าไม่ได้อยู่ในพระคริสต์เลย”

            พอนึกออกใช่ไหม? มันหมายถึงอย่างนั้น “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย”

            ไม่ใช่หมายถึงว่า “เราเคยรู้จักเจ้าในอดีตตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เจ้าเชื่อ เดี๋ยวเราไม่รู้จักเจ้า เพราะเจ้าทำไม่ดี เราเลยทิ้งเจ้า” ไม่ใช่

            “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย”

            พระเยซูบอกอย่างนี้ มิได้หมายถึงคริสเตียนเลยแม้แต่นิดเดียว คริสเตียนเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์

                        “แต่ข้ารู้จักพระคริสต์ที่ข้าเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา

                        รักษาซึ่งมอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

            กาลวันนั้น คือวันพิพากษาหลังความตายนั่นเอง พระเยซูจึงเตือนแล้วเตือนอีกว่าให้วางใจในพระองค์เถิด การเข้าสวรรค์ได้นั้น ต้องเกิดขึ้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เท่านั้น เตือนแล้วเตือนอีก

            ต้องเลือกและตัดสินใจตอนที่อยู่บนโลกนี้เท่านั้นว่าจะอยู่ในสวรรค์หรือไม่? ไม่ใช่มา รอหลังความตาย ซึ่งสายไปแล้ว ซึ่งเลือกด้วยวิธีการเชื่อและวางใจในพระบุตร ถ้ารอจนกระทั่งหลังความตาย ก็สายไป เหมือนตะกี้นี้ที่พูดว่า “เราไม่รู้จักเจ้า” มันสายไปแล้ว ตัวสั่นงันงก  ต่อไปข้อ 24-27 …

        มัทธิว 7:24-27 “24 ฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและนำไปปฏิบัติ ก็เป็นเหมือน คนฉลาด ที่สร้างบ้านของตนบนศิลา 25 ถึงฝนตกกระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้น  แต่บ้านก็ไม่ได้พังลง เพราะมีฐานรากอยู่บนศิลา 26 ส่วนผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา แต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติ ก็เป็นเหมือนคนโง่ ที่สร้างบ้านของตนบนทราย 27 เมื่อฝนตกกระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้น บ้านก็พังทลายลง”

            “ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา” คำเหล่านี้ คือคำที่เราประกาศ บอก ชี้ให้เห็นถึงโลกวิญญาณมาตลอด ตั้งแต่บทที่ 4 บทที่ 5 พูดง่ายๆ ถ้าเผื่อติดตามฟังคำบรรยายในซีรี่ย์นี้ของผม ก็บอกว่าคำเหล่านี้ของเรา ก็คือทั้ง 11 ตอนที่ผมบรรยายมาตลอด ไล่มาตั้งแต่บทที่ 5 บทที่ 6 บทที่ 7 จนจะจบ คำเทศนาบนภูเขา คำประกาศบนภูเขา ถ้าท่านได้ยินคำเหล่านี้ของเราที่ชี้แนะ  ที่บอกทางเข้าสวรรค์ให้กับท่านว่าอย่าพึ่งพาตนเอง  ทั้ง 11 ตอน คือรวมสรุปนะ หัวใจ ก็คือให้วางใจ พึ่งพาในเราเพียงอย่างเดียว อย่างพึ่งพาการกระทำตามบทบัญญัติ กฎของศีลธรรมอันดีงาม เพราะท่านไม่มีทางทำได้เลย ท่านไม่สามารถทำได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพียงพอที่จะเข้าสู่สวรรค์ได้หรอก พลาดจุดๆ หนึ่ง ท่านก็ลงนรกแล้ว ถูกไหม? เพราะฉะนั้น ใครอยากจะรู้ว่าที่บอกว่า …

            “ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา” หมายถึงอะไรนั้น กลับไปฟังตั้งแต่ตอนที่ 1 ของผมนะ ถึงเดี๋ยวนี้ ท่านจะทราบดีว่ามันคืออะไร? ชัดเจนเลย

            สร้างบ้านไว้บนศิลา คือการวางใจ พึ่งพาในการกระทำดีของพระเยซูคริสต์

            สร้างบ้านไว้บนดินทราย ก็คือการวางใจ พึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง

            พระเยซูกำลังยกตัวอย่าง ความหมาย ก็คือใครก็ตามที่ได้ยินคำประกาศ 11 ตอนมาแล้วนั้น เกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ประกาศความจริงเหล่านั้น แล้วนำไปปฏิบัติตาม เชื่อในพระเยซูคริสต์ และก็ทำตาม ก็คือวางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมซิยาห์  พระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดพ้นจากความบาป  คนที่นำไปปฏิบัติตามแค่นี้ คนนั้น ก็เป็นคนฉลาด สร้างบ้านไว้บนศิลาอันมั่นคงแข็งแกร่ง ก็คือพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน   วิญญาณของเขาก็ได้ถูกย้ายเข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้วทันที และจะรอดพ้นจากการพิพากษาลงโทษ หลังความตายอย่างแน่นอน  เพราะมันอยู่ในสวรรค์แล้ว

            ส่วนบรรดาคนที่ได้ฟังคำประกาศของพระเยซูแล้ว ฟังมาทั้ง 11 ตอนแล้ว ปฏิเสธ ไม่ปฏิบัติตาม ก็คือไม่วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมซิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระคริสต์ ที่พระเจ้าทรงส่งมา คนนั้นก็ไม่ฉลาด เปรียบได้กับคนที่สร้างบ้าน ก็คือสร้างชีวิตของตนเองไว้บนดินทราย รากฐานไม่แข็งแรง คือพึ่งพาการกระทำของตนเอง  พยายามรักษาบทบัญญัติ กฎศีลธรรม จริยธรรมอันดีงาม เพื่อหวังว่าจะไปสวรรค์ วิญญาณของเขาก็จะคงอยู่ที่เดิม  ก็คืออยู่ในบาปและจะถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศหลังความตายเช่นเดียวกัน  อันนี้ชัดเจนเลย สุดท้ายข้อ 28-29 … จบคำประกาศบนภูเขาแล้ว

        มัทธิว 7:28-29 “28 เมื่อพระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้จบแล้ว ฝูงชนก็พากันเลื่อมใสในคำสอนของพระองค์ 29 เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ต่างจากพวกธรรมาจารย์ของพวกเขา”

            เมื่อพระองค์ประกาศสิ่งเหล่านี้จบแล้ว ฝูงชนก็พากันเลื่อมใส จริงหรือ? เลื่อมใสเหรอ ฟาริสีเลื่อมใสไหม? ฟาริสีไม่เลื่อมใสอยู่แล้ว แล้วพวกสาวกเปโตรฟังเลื่อมใสเหรอ? จะชี้ให้เห็นว่าเลื่อมใสอะไร? ก็ธรรมชาติ พวกฟาริสีไม่ต้องพูดถึงนะ ไม่กัดฟัน จะฆ่าให้ตาย รู้ในใจเรา  ด่าเราเต็มที่เลย โกรธสิ ฝูงชนก็พากันโกรธ ตรงกันข้ามกับสาวก พวกเปโตรฟังแล้วเป็นไง? งง ไม่เลื่อมใสหรอก งง

            เลื่อมใส หมายถึงมีความเชื่อเหมือนกัน แต่โดยความที่มันเป็นโลกวิญญาณ ตัวเองอยู่ในบาปอยู่ ไม่เข้าใจหรอก มันงง  คือเชื่อ ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่เชื่อแบบงง คำว่า “เลื่อมใส” เข้าใจเลยนะ ไม่มีสักคนหรอก ที่เข้าใจ เพราะมันยังเข้าใจไม่ได้  เพราะว่ามันเป็นวิญญาณบาปอยู่ แต่ถามว่าเริ่มเชื่อไหมว่าคนนี้เป็นพระมาซีฮาห์ เริ่มเชื่อ เพราะว่ามีหลักฐาน มีการอัศจรรย์ มีหมายสำคัญและคำพูดของพระองค์สำแดงความรู้เรื่องโลกวิญญาณให้เห็นบางอย่าง พอเข้าใจ แต่ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เพราะจริงๆ ภาษาเดิมตรงนี้ “ฝูงชนก็พากันตะลึง” ที่เคยบอก ที่เคยสอนมาในบทก่อน ไม่ใช่ตะลึงธรรมดาด้วย ตะลึงแบบตะลึง เชื่อไหม? เชื่อ อยากจะเชื่อ  แต่ไม่เข้าใจเลย

            ยกตัวอย่างเช่น พวกเปโตรถาม “แล้วใครจะเข้าได้” คืองง แล้วต้องยกโทษให้ 7×70  ทำอย่างไร?  ทำไม่ได้หรอก อะไรอย่างนี้ คือทั้งอยากจะเชื่อ แต่มันเชื่อไม่ลง พูดง่ายๆ ตะลึงในคำสอน คำสอนของพระเยซูคืออะไร? ในนี้บอกคำสอน ก็คือคนเอาไปใช้เยอะ ใช้ผิด คำสอนว่าไม่ว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ใช่ไหม? คิดให้ดีๆ นะ ถูกหลอกนะ คำสอนที่พระเยซูสอนนี้ หมายถึงเขาตะลึงในคำสอนนี้ นึกออกนะ เขาอึ้งในคำสอนนี้ คำสอนนี้บอกว่าให้เป็นคนมีเมตตา ถูกหรือไม่ถูก? ถูกหรือ? ถ้าให้เป็นคนมีเมตตา เขาจะไปตะลึงได้อย่างไร? เขาไม่ตะลึง เขาทำเรื่องธรรมดา ฟาริสีก็ธรรมดา ถูกไหม? แต่ทั้งฟาริสีและไม่ใช่ฟาริสี ก็ตะลึง ไม่เข้าใจ คำสอนนี้ กำลังสอนบอกว่าอย่าดูถูกพี่น้อง ไม่ใช่ ถ้าบอกว่าอย่าดูถูกพี่น้อง เขาก็เข้าใจกันดี คำสอนนี้หมายถึงบอกว่าท่านจงอภัยให้กับพี่น้อง 7×70 ครั้ง ก็ไม่ใช่ ทำก็ไม่ได้ด้วย คำสอนนี้ คือถ้าท่านทำบาป ด้วยตา ให้ควักลูกตาออก ถ้ามือทำบาป ให้ตัดมือทิ้ง ท่านก็ไปตัดมือตามคำสอนนี้ ถูกหรือไม่ถูก? ไม่ใช่

            ให้คิดตาม คำสอนทั้งหมด คืออะไร? คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าให้ท่านย้ายที่อยู่ มาวางใจในพระองค์ พระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วางใจในพระองค์แล้วท่านจะรอด นี่คือพระประสงค์เดียวของพระเจ้าที่ให้ท่านทำ คือวางใจในพระองค์ ไม่ต้องไปทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้มาสอน เพราะสอนกฎหมายทางศีลธรรมนั้น มีคนมาสอนเยอะแยะมากมาย ท่านรู้อยู่แล้ว แล้วท่านก็ทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก เราไม่ได้มาสอนท่าน ให้ท่านทำความดี ทำตามศีลธรรม ถ้าเรามาสอนท่านทำตามศีลธรรม ความดีงาม จริยธรรมบนโลกใบนี้ท่านไม่ตะลึงหรอก  ท่านก็เฉยๆ เพราะใครๆ เขาก็สอนอย่างนั้น แต่พระเยซูกำลังมาบอกว่าไม่ต้องสนใจเรื่องบทบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น มาสนใจเรื่องนี้ก่อน เรื่องอะไร? จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน  ด้วยการวางใจในเรา คือพระมาซิฮาห์ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ตั้งแต่โน้น หลายพันปีก่อน เรามาแล้ว เราคือพระเจ้าที่จะมาช่วยเจ้าให้รอด นี่แหละตะลึงงัน ก็เพราะอย่างนี้  จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ เพราะทำการอัศจรรย์ซะใหญ่โต เห็นชัดๆ ถามว่าเชื่อก็เชื่อไม่ลง เพราะทำไม่ได้ นี่มันหมายถึงคำสอน

            สรุป ก็คือคำสอนให้อย่าวางใจในการรักษากฎ ด้วยกำลังของตนเอง จงกลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาในการกระทำของพระองค์ พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า พระมาซีฮาห์  ที่พระเจ้าส่งมา นี่ชัดเจนเลย เพราะฉะนั้น เขาจึงตะลึงไง เขาจึงบอกว่าพระองค์ทรงสอนพวกเขา

            ในข้อ 29 บอกตะลึง “เพราะว่าทรงสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ต่างจากพวกธรรมาจารย์” เพราะพวกธรรมาจารย์สอนอย่างไร? สอนแบบตะกี้นี้ที่ผมบอก สอนตามบัญญัติว่าอย่าโลภ อย่าขโมย อย่าลักทรัพย์ อย่าฆ่าคนใช่ไหม? แต่พระองค์บอกว่าไม่ต้องไปสนใจบัญญัติ ท่านทำไม่ได้อยู่แล้ว มาสนใจอันนี้ดีกว่า โลกฝ่ายวิญญาณ นี่แหละ

            เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือผลของวิญญาณ ไม่สามารถผลิตได้ด้วยการกระทำ หรือความประพฤติ แต่การเกิดผล ขึ้นอยู่กับว่าได้ปลูกวิญญาณนั้นอยู่ที่ไหน? สรุปที่พระเยซูสอน คือตรงนี้ ในโลกวิญญาณ อยู่ในอาดัมหรืออยู่ในพระคริสต์ อยู่ในอาณาจักรไหน? อยู่ในอาณาจักรของความบาป  หรืออยู่ในอาณาจักรของความชอบธรรม อยู่ในโลกของความมืด หรืออยู่ในโลกของความสว่าง หมายถึงโลกวิญญาณ ซึ่งมันเป็นความจริง ที่ความประพฤติ การกระทำดี เป็นสิ่งสำคัญมาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  แต่พระเยซูกำลังบอกว่าแต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือวิญญาณของท่านอยู่ที่ไหนในขณะนี้ สำคัญกว่า ก็คือวิญญาณท่านดีหรือเปล่า? ดีหรือเลว สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือการแสวงหาที่จะมีหรือเกิดใหม่ มีวิญญาณที่ดีและเกิดผลนิรันดร์ ได้บังเกิดใหม่นั่นเอง นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

            เพราะฉะนั้น เราจะเกิดใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อแสวงหา วางใจในพระมาซิฮาห์ คือพระคริสต์ก่อน แล้วถึงจะมาตั้งใจทำความดีทีหลัง ให้สมกับการเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นพลเมืองของสวรรค์ เป็นไปตามธรรมชาติของการบังเกิดใหม่ ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้วถูกหรือไม่?

            นี่คือบทสรุปของการประกาศบนภูเขา ทั้งหมดของพระเยซู มีอยู่แค่นี้เอง ก็คือวางใจในพระองค์ พระมาซิฮาห์ พระเยซูคริสต์ก่อน ทั้งๆ ที่ท่านอาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ให้วางใจ แล้วหลังจากนั้น ท่านจะเริ่มต้นเข้าใจเอง พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ด้วย และนำพาท่านให้เข้าใจ และนำพาท่านให้กระทำความดีทีหลัง นี่แหละคือความรอดนิรันดร์  พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ด้วยความรัก  พระเจ้าจึงมาสถิตอยู่ด้วย

            โรม 8:26 “ในทำนองเดียวกัน  พระวิญญาณทรงช่วยเรา ในยามเราอ่อนแอ  เราไม่รู้ว่าเราควรอธิฐานขอสิ่งใด  แต่พระวิญญาณเองทรงอธิษฐานวิงวอนแทนเรา  ด้วยการคร่ำครวญ  ที่ไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยาย”

            ในทำนองเดียวกัน  หมายถึงเราก็รอคอย  คร่ำครวญด้วยความหวังแห่งความชื่นชมยินดี  หลังความทุกข์ในร่างกายและจิตใจ  ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เหมือนกับหญิงกำลังจะคลอดบุตร  ที่เจ็บครรภ์  ทุกข์ทรมาน  แต่ก็มีความหวัง  ในความชื่นชมยินดี  ที่จะได้เห็นลูกในครรภ์ของตนเองในไม่ช้า

            เราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว  ร่างกายภายนอกนี้  ก็ทุกข์เหมือนกัน  และเราตั้งความหวัง  ในความทุกข์นี้ว่าเราจะรอคอยวันนั้น  วันที่ร่างกายตาย  เราหมดลมหายใจ  วิญญาณออกจากร่าง  ไปสวมร่างกายใหม่  ที่เหมือนพระเยซูคริสต์  ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย  เต็มไปด้วยพระสิริ  ตามสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้  จะได้หมดทุกข์กันเสียที

            สรรพสิ่งในโลก  ก็จะได้รับการทรงสร้างใหม่ด้วย  ดังนั้น  เราและสรรพสิ่งในโลกต่างรอคอยวันสิ้นโลก

            และในการคร่ำครวญ ในความทุกข์ยากลำบากนี้ พระวิญญาณก็จะคอยช่วยเหลือเรา

                        – ในยามที่ ร่างกายของเราอ่อนแอ

                        – ในยามที่เราต้องทนทุกข์ลำบาก

                        – ในยามที่เราต้องเผชิญกับความวิปริตของโลกใบนี้  ที่เสียหายไปแล้ว  เนื่องจากถูกสาปแช่ง พระวิญญาณก็มาช่วยเรา  คร่ำครวญด้วย ตอนที่เราป่วยรักษาไม่หาย

                        – ในยามที่เราล้มละลายขาดทุน  เงินไม่พอใช้

                        – ในยามที่คนที่เรารักตายจากไป เราเจ็บปวดมาก ในยามที่ร่างกายเรารู้สึกกลัวและท้อแท้

            ความหวังเดียว  ที่สามารถประคับประคองชีวิตของเรา  ให้เดินต่อไปได้ ก็คือเรารอวันนั้น  วันแห่งความรอดที่ครบถ้วนบริบูรณ์วันที่เรา จะได้รับร่างกายใหม่ สรรพสิ่งก็ได้รับการทรงสร้างใหม่

            และในขณะที่เราอยู่ในระหว่างการรอคอยวันนั้น พระวิญญาณก็จะคอยช่วยเรา  ตอนที่เราอ่อนแอ คิดอะไรไม่ออก  พูดไม่ออก  บอกไม่ถูก   อธิษฐานไม่ได้

            ด้วยความรัก  ความห่วงใยของพระเจ้า  ที่ทรงมีต่อมนุษย์ทุกคน พระองค์จึงเข้ามาอาศัยสถิตอยู่ด้วย  เพื่อช่วยเหลือ  เพื่อนำพา   ให้กำลังสนับสนุนเรา

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1388 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  พฤศจิกายน  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 10

“คำเทศนาบนภูเขา” Ep.9

“ประตูใหญ่ วางใจตนเอง ประตูเล็ก วางใจพระคริสต์”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” วันนี้เป็นตอนที่ 10 และเป็น Ep.9 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา”

            ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

            ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

            ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

            ตอนที่ 4  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 3 : กฎแห่งกรรม  ทำบาปเพียงครั้งเดียว  ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

            ตอนที่ 5  คำเทศนาบนภูเขา Ep 4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก       แต่พระเจ้ามองที่ วิญญาณข้างใน

            ตอนที่ 6  คำเทศนาบนภูเขา Ep 5 : ต้องบริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์

            ตอนที่ 7 คำเทศนาบนภูเขา Ep 6 : ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้กับท่าน

            ตอนที่ 8 คำเทศนาบนภูเขา Ep 7 : ทรัพย์สมบัติในโลกต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง      แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์   พระเจ้าให้ฟรีๆ

            ตอนที่ 9 คำเทศนาบนภูเขา Ep 8 :  จงขอแล้วท่านจะได้รับ  จงหาแล้วท่านจะพบ  จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน

            ตอนที่ 10 คำเทศนาบนภูเขา Ep.9 : ประตูใหญ่ วางใจตนเอง ประตูเล็ก วางใจพระคริสต์

            ซีรี่ย์นี้เป็นการนำความหมายของการประกาศของพระเยซู ที่ดังมาก ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ช่วง 3 ปีสุดท้าย  แล้วก็มีคนมักจะเข้าใจผิด ถึงคำประกาศของพระองค์ เอาไปใช้อย่างผิดๆ ซึ่งเกิดโทษ ก็เลยนำมาคุยกัน วิเคราะห์กัน ทั้งหมด 10 ตอนแล้ว ใครไปฟังจะเข้าใจเลย พื้นฐานที่ดีมากๆ สำหรับการที่จะศึกษาพระคัมภีร์ต่อไป การจะเชื่อและวางใจในพระเยซู

            ทบทวนนิดหนึ่ง พระองค์กำลังประกาศให้ใคร? กำลังพูดกับชาวยิวที่ยังไม่เชื่อ คือยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนนั่นเอง คือเขายังพึ่งพาการกระทำของตนเอง คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ คือคนที่มาพึ่งพาในพระเจ้าแล้ว พึ่งพาในพระเยซูคริสต์แล้ว เขาไม่พึ่งพาในตนเอง เขากำลังทำอะไร? เขากำลังพึ่งพาตนเองในการรักษาบทบัญญัติ พระเยซูกำลังมาบอกพวกเขา ให้เขากลับใจใหม่ซะ เลิกพึ่งพาตนเอง เลิกพึ่งพาในการกระทำ ตามบทบัญญัติและคิดว่าดีนั้น ให้กลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาวางใจในพระองค์ อย่าเย่อหยิ่ง ก็คืออย่าหน้าซื่อใจคด แต่จงยอมถ่อมใจ แสวงหาอาณาจักรสวรรค์และความชอบธรรมของพระเจ้า โดยผ่านทางพระเมซียาห์ คือตัวของพระเยซูเองเสียก่อน  พระเยซูพูดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่สนใจในเรื่องเกี่ยวกับกฎบัญญัติที่เขารักษาไว้ คือกฎแห่งศีลธรรม การทำดีละชั่ว การทำแต่สิ่งที่ดี ความประพฤติบนโลกใบนี้ ไม่ใช่พระองค์ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้  แต่ขณะที่พระองค์กำลังพูดกับคนที่ยังไม่เชื่อ ที่เป็นคนยิว เป็นคนที่ข้างในวิญญาณตายอยู่ อยู่ในบาป เป็นคนบาป  ไม่บริสุทธิ์ ภายในวิญญาณสกปรก  ต้องได้รับการช่วยเหลือเสียก่อน พูดง่ายๆ ว่าตายอยู่ ก็ต้องได้รับการช่วยชีวิต อย่างเร่งด่วนก่อน

            คนตายอยู่ ต้องการการปั้มหัวใจให้เป็นขึ้นมาก่อน ไม่ใช่ไปถึง ก็ไปสอนคนตายว่าทำดีอย่างนั้น ทำดีอย่างนี้ ควรจะกินอย่างนี้ อย่ากินอาหารอย่างนั้น จะได้ไม่หัวใจวาย หัวใจวายตายไป  เขาจะรู้เรื่องไหม? เขาตายอยู่ เขาสลบไปอยู่ เขาหมดสติไป ไปนั่งสอนเขาทำไม? นี่พระองค์กำลังจะมาบอกอย่างนี้ ให้เขาเป็นขึ้นมาก่อน พอเขาเป็นขึ้นมา ค่อยมาสอนเขาทำความดีทีหลัง  แล้วเขาจะทำความดีจากวิญญาณของเขาที่เป็นขึ้นมาใหม่ วิญญาณเขาบริสุทธิ์เมื่อไหร่? พระเยซูก็จะเข้าไปสอน และนำเขาให้กระทำความดี ด้วยความบริสุทธิ์ในใจ ในวิญญาณของเขา วิญญาณใหม่ที่บังเกิดใหม่นั่นแหละ พระองค์จะมาสอนเขาด้วยตัวของพระองค์เอง   คือจะเข้ามาสถิตอยู่ภายในเขาเลย นี่คือเป้าหมายที่พระเยซูประกาศ

            พระองค์กำลังบอกว่าเมื่อท่านทั้งหลายที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เมื่อท่านพบกับทางเข้าสวรรค์ เป็นผู้ชอบธรรม และได้บังเกิดใหม่แล้วเท่านั้น ท่านจึงจะทำดีจากจิตใจ จากวิญญาณที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ ซึ่งสำคัญกว่ามากนักกว่าที่ท่านรักษาบทบัญญัติอยู่นั้น ท่านทำไม่ได้หรอก มันไม่ได้จริงๆ

            พระเยซูกำลังบอกว่า … “เราไม่ได้มาสอนท่านให้ประพฤติตามสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้  แต่กำลังมาชี้ความเป็นจริงว่าท่านเป็นคนบาป สกปรกภายในวิญญาณ ต้องการความช่วยเหลือ ให้เกิดใหม่จากพระเจ้าต่างหากล่ะ”

            นี่คือเป้าหมาย นี่คือหัวใจของการประกาศของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้มาสอนศีลธรรมให้เขาทำความดี รักษาบทบัญญัติ แต่กำลังมาบอกว่าเขาต้องเกิดใหม่ เขาทำไม่ได้หรอกด้วยตัวเอง โดยพระเยซูให้ความมั่นใจอย่างนี้บอกว่าถึงแม้เขาจะฟังอยู่ตอนนี้ที่พระองค์ทรงประกาศ แม้เขาจะยังไม่เข้าใจ …

            “แม้ท่านยังไม่เข้าใจในคำประกาศ ในคำพูดของเรา แต่ให้วางใจในเราว่าเราเป็นพระมาซิฮาห์”

            นี่กำลังคุยๆ อยู่ พระมาซิฮาห์ ก็คือพระคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ถึงไม่เข้าใจ ก็ให้ชาวยิวทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนให้ขอ หา และเคาะอย่างต่อเนื่อง อย่าหยุดนะ ไม่เข้าใจที่ฟังเรา แต่มองต่อไป เพ่งดูพระองค์ต่อไป อย่าหยุดๆ แล้วในที่สุด ท่านก็จะได้พบประตูสวรรค์ ประตูสวรรค์จะเปิดออกให้กับท่าน และท่านก็จะได้เป็นผู้ชอบธรรมที่บริสุทธิ์ดีพร้อม แล้วพระเจ้าก็จะเป็นพระบิดาของท่าน ท่านจะเป็นบุตรที่รักของพระองค์ แล้วพระองค์จะมานำท่านในการกระทำดีทีหลัง ที่พระองค์กำลังพูดอยู่นี้ อีกไม่กี่ปี ก็จะเป็นอย่างนี้แล้ว เขาจะได้พบตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าเขาไม่หยุดที่จะขอ และขออย่างต่อเนื่อง หาและหาอยู่อย่างต่อเนื่อง และเคาะและเคาะอยู่อย่างต่อเนื่อง

            นี่เป็นคำสัญญาที่พระเยซูพูดอย่างชัดเจนเลยว่าท่านได้แน่ ถ้าท่านขอ แล้วขอไม่หยุด จนกว่าจะพบ หาและหาไม่หยุด จนกว่าจะพบ เคาะแล้วเคาะไม่หยุด จนกว่าจะพบ หาอะไร? เป็นคำสัญญาที่พระองค์บอก หาแล้วจะพบ พบอะไร? พบมาซิฮาห์ พบตัวพระองค์ พบพระเยซูคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งเอาไว้ มาช่วยให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าไม่หยุด เจอแน่ เจอพระเมสิยาห์ นี่พูดกับชาวยิว ชัดเจนเลย  เป็นคำสัญญาที่ให้กับผู้ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เกิดใหม่ ซึ่งกำลังพูดกับชาวยิว แล้วเราสามารถใช้ข้อความนี้ ประกาศให้กับคนที่ยังไม่เชื่อในปัจจุบันได้ด้วยเช่นเดียวกัน  เป็นคำสัญญาให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ

            “เป็นคำสัญญาที่พระเยซูคริสต์สัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ  ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน”

            ต้องจำไว้เลย แล้วถ้าเป็นคริสเตียนแล้วล่ะ ก็ฟังต่อไปสิ กำลังพูดกับชาวยิว หัวใจ ก็คือยังไม่ได้เป็นคริสเตียนใช่ไหม?  เพราะฉะนั้น พูดกับคนปัจจุบันที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนก็เหมือนกัน หัวใจต้องเป็นไม่ได้เป็นคริสเตียน  ถ้าไม่ใช่คริสเตียนเอาไปใช้ได้เลย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าองค์เดียวกัน ที่ประกาศอยู่ทุกวันนี้ นี่พระเยซูพูด แต่ที่ทุกวันนี้ พวกเราพูดกัน ประกาศพระเยซูคริสต์ พระเยซูก็ทำงานผ่านท่านทั้งหลายผู้เชื่อ ให้สัญญานี้ว่าถ้าท่านที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ท่านฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า ฟังแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ค่อยเข้าใจ อย่าหยุดขอว่ามันคืออะไร? มันเป็นอะไร? แล้วก็อย่าหยุดหา แล้วก็อย่าหยุดเคาะ แล้วก็จะเปิดให้กับท่าน ท่านจะรู้พระมาซีฮาห์เป็นใคร ท่านจะรู้ว่าพระเยซูคริสต์คือใคร? ท่านจะรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าผู้ช่วยให้รอด ท่านก็จะได้บังเกิดใหม่ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง เห็นไหม? นี่คือคำสัญญา ได้แน่นอน 100% ใครเป็นคนสัญญา? พระเยซู

            พระเยซูเป็นผู้สัญญา เป็นผู้พูดเองเลยว่าท่านได้แน่นอน ท่านอย่าหยุดนะ ท่านเจอแน่ ที่ไม่เจอ เพราะท่านหยุดก่อน ท่านเลิก …

            “ไม่เข้าใจ พูดอะไรข่าวประเสริฐพระเยซูคริสต์ ฉันไม่รู้เรื่อง”

            เดินหนี หรือชาวยิวฟัง แล้วไม่เข้าใจ ไม่เอาแล้ว ไปดีกว่า ถ้าเขาไม่หยุด เขาก็จะเจอแน่ แล้วในที่นี้ ท่านที่อยู่ทางบ้านด้วย ท่านเป็นคริสเตียน ถ้าเป็นแล้ว อยากถามท่านว่าท่านเป็นได้อย่างไร? ก็มาจากข้อนี้แหละ ท่านเป็นคริสเตียนจากตอนที่เรายังไม่ได้เป็น ถูกไหม เราเป็น คริสเตียนตั้งแต่เกิดหรือเปล่า? ไม่ใช่ เราเป็นคริสเตียนเมื่อไร? เมื่อเราขอ หา เคาะเรื่องเกี่ยวกับพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ แล้วเราก็ได้รับตามที่พระเยซูคริสต์สัญญา ก็ได้เจอ ได้พบตามที่พระองค์สัญญาแล้ว พบพระคริสต์ พบพระผู้ช่วยให้รอด  เราก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่เรียกว่าคริสเตียน พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับเราใช่หรือไม่? เพราะเราไม่หยุด

            ยกตัวอย่าง ตัวท่านเอง ท่านลองคิดดูในใจ มีใครบ้างที่ฟังข่าวประเสริฐครั้งแรก ใช่ พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด รับเลย ไม่มี ผมต้องใช้เวลาหลายปี มีคนมาประกาศให้ตั้งเยอะแยะ พูดแล้วพูดอีก  พูดเข้าใจไหม? พูดเดือนแรก เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ พูดปีแรกเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ พูดมา 10 ปี เข้าใจไหม? ก็ยังไม่เข้าใจ แต่เพราะว่าใน 10 กว่าปีนี้ ผมไม่หยุด รู้ได้อย่างไรไม่หยุด ก็ฟังไปเรื่อยๆ บางทีก็ปฏิเสธเขา เถียงเขาบ้าง? ต่อให้จะเถียงอย่างไร? ผมก็ไม่หยุด เพราะเดี๋ยวผมก็ไปฟังอีก ก็คือไม่หยุด จนกระทั่งปีที่ 27, 28 ก็เจอ เข้มข้นขึ้นไปเรื่อยๆ เคาะ หา ขอ ใกล้ๆ วันที่จะเจอ ตามสัญญา ประมาณสัก 10 วัน ถึงเวลาจะเกิดผลแล้ว คราวนี้เคาะหนักเลย อธิษฐาน พูดอยู่ในห้องส่วนตัวพูดทุกวันเลย …

            “พระเยซูใครเนี้ย ได้ยินมาตั้งนานแล้ว คราวนี้อยากรู้จักแล้ว จริงๆ ที่แล้วๆ มา ก็ฟังดูก็ดีบ้าง? ไม่ดีบ้าง? เข้าใจบ้าง? ไม่เข้าใจบ้าง?  แต่วันนี้อยากรู้จักจริงๆ แล้ว อยากจะหาความช่วยเหลือจากใครบางคน ไม่มีแล้ว มีพระองค์เดียว ได้ยินมา ยังจำได้ ไม่ทิ้ง เคยมีเพื่อนพูดไว้ ยังไม่ได้ทิ้ง ยังอยู่ในใจ”

            พูดๆ “พระเยซูเป็นใคร? สำแดงให้เห็นหน่อยสิ  อยากจะรู้จักจริงๆ”

            พูดไป 10 วันเจอเลย เจออย่างไร? ก็เจอเหมือนกับคุณเจอ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? วิญญาณได้บังเกิดใหม่ ได้เกิดใหม่อย่างไร? ไม่รู้ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? มันโลกวิญญาณ แล้วทำอย่างไรถึงรู้ มาชิมดูสิ พระคัมภีร์บอก ชิมดู แล้วจะรู้ว่าพระเจ้านั้นดี  เอเมน

            ไม่ชิมแล้วจะรู้ได้อย่างไร? ได้แต่บอกว่าเขาบอกว่าร้านก๋วยเตี๋ยวนี้ดีๆ ดีจริงหรือ? ดีจริง แล้วไปหรือยัง? ยัง ฟังไหม? ฟัง อยากมากินไหม? ก็อยากนิดหน่อย ยังไม่ถึงอยากเต็มที่ จนอยากเต็มที่แล้ว ร้านนั้นอยู่ที่ไหนนะ ขอพิกัดหน่อย ส่งพิกัดมาให้ วันนี้ไปเลย ยังไงฉันต้องกินให้ได้  ก็คือไปเริ่มชิม พอไปถึงร้านปุ๊บ ชิมปั๊บ ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร? ที่เขาพูดมาใช่เลย ถูกหมดเลย แล้วไปเล่าให้คนอื่นต่อได้อย่างไร?  ไม่รู้จะบอกเขาว่าอย่างไร? ได้แต่พูดคำเดียวกับที่เขาเล่าให้เราฟัง และความรู้สึกของเรา ที่เราได้ชิมแล้ว บอกว่ามันอร่อยจริงๆ  เราก็ไปบอกคนอื่นต่อ ไปกินเถอะ มันอร่อยอย่างไร? ไม่รู้

            “ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? อย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น รสชาติอย่างนี้ อย่างนั้น เยี่ยมเลย สถานที่ก็ดี นายต้องไปชิมเองแล้วกัน”

            ถามเขาไม่ไปชิม เขาก็ไม่มีวันที่จะรู้ นี่คือคำสัญญาของพระเยซูคริสต์ที่บอกไว้  และมันต้องเป็นจริง คำสัญญาที่พระองค์ให้ไว้กับใคร? กับผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ก็คือยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังเป็นคนบาปอยู่ ยังพึ่งพาในการกระทำของตนเอง พึ่งพาในความดีของตนเอง เพื่อที่จะได้เข้าไปสวรรค์ เพื่อจะได้สิ่งที่ดีๆ

            สำหรับคนที่ขอ หา เคาะ ตอนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ได้ขอ หา เคาะ จนได้เจอแล้ว จนเป็นคริสเตียนแล้ว ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ก็คือเป็นคริสเตียน เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

            ถ้าท่านเอาคำสัญญานี้ไปใช้ มันจะเป็นอย่างไร ลองคิดดูก่อน ให้เวลาคิด ก่อนที่จะอธิบายให้ฟัง เรามานั่งคิดดูว่านี่เป็นคำสัญญาที่พระเยซูบอกว่าให้ขอ แล้วขออย่างต่อเนื่อง อย่าหยุด ให้หา แล้วหาอย่างต่อเนื่อง อย่าหยุด ให้เคาะ แล้วเคาะอย่างต่อเนื่องอย่าหยุด จนกว่าจะพบ รับรองท่านพบแน่ๆ ท่านได้แน่ๆ เปิดให้กับท่านแน่ๆ ถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเอาอันนี้ไปใช้ จะเกิดอะไรขึ้น

            ท่านเป็นคริสเตียนแล้วนะ ท่านขอสุขภาพแข็งแรง หายจากโรคนี้ใช่ไหม? ท่านขอให้เจริญรุ่งเรือง ขอบ้านสักหลังใช่ไหม? ขอรถสักคันหนึ่งใช่ไหม? แล้วท่านก็บอกว่าพระเยซูสัญญาว่าท่านขอแล้วจะได้ ถ้าท่านไม่หยุดขอ ถูกไหม? ถ้าท่านไม่หยุดหา ท่านจะได้ ตามที่ท่านขอ ตามที่ท่านหา ถ้าท่านไม่หยุดเคาะ มันจะเปิดให้กับท่าน แล้วถามท่านสิ ท่านทำมา ได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าได้ก็ดี มันง่าย หมูมากเลย ขอบ้าน ขอรถ ยิ่งขอสุขภาพแข็งแรง ขอให้หาย ขอทุกวัน ทุกเสี้ยววินาที ลมหายใจเข้าออกเลย ขอมากี่ปีนี้แล้ว สมมติว่าเชื่อพระเจ้ามา 10 ปีแล้ว สอนมา 10 ปีแล้ว ได้ไหม? ถ้าไม่ได้ รู้ๆ อยู่แล้วว่าไม่ได้ ผมอยากถามว่าถ้าไม่ได้ ใครผิด พระเยซูโกหก

            “อ้าว! พระเยซูสัญญาว่าได้แน่ๆ ไง”

            เห็นอันตรายไหม? ถ้าไม่กล่าวหาพระเยซู พระเยซูพูดสัญญาต้องทำตามแน่นอน ตัวท่านเอง ความเชื่อไม่พอ

            “อ้าว! พระเยซูบอกขออย่าหยุด มันยังไม่ได้ อย่าหยุดสิ”

            ขอไปเรื่อยๆ เมื่อไรล่ะ ตายไป ก็ยังไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่ ก็แสดงว่าเราผิด เพราะว่าเราเอามาใช้ มันผิด มันไม่ใช่คำสัญญาที่ให้ไว้สำหรับเรา ที่เป็นคริสเตียนแล้ว มันให้ไว้สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน สำหรับขอแล้วจะได้ ก็คือได้พระคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิต ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเท่านั้น จบ … เอเมน

            คราวนี้คนเป็นคริสเตียนก็บอก … “อ้าว! เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราขอได้ไหม?”

            ขอได้ แต่สำหรับคริสเตียน คำสัญญามันอีกอย่างหนึ่งแล้ว อยากจะฟังไหม? อยากรู้ไหมว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว พระเยซูสัญญาอะไรกับเราบ้าง? มันต้องใช้ให้ถูกต้องด้วยใช่ไหม? ไม่ใช่ไปดูกรมธรรม์รถยนต์ แล้วก็เอามาใช้ผิดๆ ในนี้เขาเขียนตามสัญญาว่าอย่างไร? ตรงนี้ว่าอย่างไร? ก็ต้องทำตามสัญญาหน่อย

            สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยแล้ว อยู่ในร่างกายเรียบร้อยแล้ว ขอ หา เคาะ ตั้งแต่ก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า ขอ หา เคาะจนเจอแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว นี่คือคำสัญญาของท่าน ณ บัดนี้ ยกตัวอย่างให้ท่านดู

            ฟีลิปปี 4:6-7 นี่สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว พระเยซูเป็นผู้ให้สัญญาเช่นเดียวกัน พระองค์พูดผ่านทางอัครทูตเปาโลว่านี่คือคำสัญญาของท่าน เมื่อท่านขอ หา เคาะ จนกระทั่งพบพระมาซีฮาห์แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว พระมาซีฮาห์ คือพระเยซูคริสต์ เข้าไปสถิตอยู่กับท่าน ในวิญญาณของท่าน นำท่านเดินแล้ว อยู่กับท่านตลอดเวลาแล้ว นี่คือคำสัญญาของเรา พระเยซูคริสต์ตรัสไว้อย่างนี้ …

        ฟีลิปปี 4:6-7 “6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

            คริสเตียน ผู้ที่เชื่อแล้ว นี่คือคำสัญญาของท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกี่ยวกับการขอ หา และเคาะ ก็คืออย่ากระวนกระวายในทุกเรื่องเลย แต่จงขอทุกสิ่งเลย ทุกอย่างเลย สัญญาไว้ว่าทุกสิ่งขอได้ต่อพระเจ้า ขอด้วยการอธิษฐาน เพราะท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน

            อธิษฐานในลักษณะใด? และการวิงวอน … วิงวอนแปลว่าอะไร?

            “ไม่ไหวแล้ว ลูกไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วย แย่แล้ว หยวนน่าพ่อ ไม่ไหวแล้ว”

            นี่แหละ คือการวิงวอน มีไหมวิงวอนอย่างนี้ โอเค อย่างนี้ไม่ได้เรียกวิงวอน อย่างนี้เรียกว่าอธิษฐานเฉยๆ วิงวอน คือรบเร้าเซ้าซี้ แล้วก็ใช้เวลานาน อาจจะเป็นหลายๆ วัน หลายๆ ปี ในหัวใจเรียกร้อง

            ยกตัวอย่าง เช่น เราทุกข์ใจเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ เมื่อตะกี้นี้บอกสุขภาพไม่ดี ตามอายุขัย หรือสุขภาพไม่ดี ตามปัญหาของโลกใบนี้ เราก็วิงวอน แทบทุกวัน เราก็อยากจะดีแน่นอน นี่คือคำสัญญาของพระเจ้า ที่ให้กับเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

            ให้วิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ คือไม่ว่าคำตอบของเราจะตรงกับหัวใจเราหรือไม่? ตรงกับความต้องการหรือไม่ ถ้าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในใจของเราแล้ว พระองค์ทรงอยู่กับลูก พระองค์ทรงรักลูก ดังแก้วตาดวงใจ ให้ทำอย่างนี้ แล้วสัญญาว่าแล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจจะปกครอง คุ้มครองป้องกันความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

            เมื่อท่านอยู่ในพระเยซู สันติสุข ความสงบสุข การช่วยเหลือแต่ละวันๆ จะมาพร้อมเสมอ นี่คือคำสัญญาที่พระเยซูคริสต์ให้ไว้กับคนที่เป็นคริสเตียน และใน 1 เธสะโลนิกา 5:16-18 อีกเช่นเดียวกัน คือยกมาอีกข้อหนึ่ง นี่คือคำสัญญา สำหรับคริสเตียน …

        1 เธสะโลนิกา 5:16-18 “16 จงมีความสุขและมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 จงหมั่นอธิษฐานใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร จงขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์”

            เห็นไหม? เราได้บังเกิดใหม่ เราอยู่ในพระคริสต์  พระคริสต์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  วางใจในพระองค์ จูงมือเราเดิน เชื่อและวางใจในพระองค์ เริ่มต้นแล้วอย่างไร? เชื่อและวางใจในพระองค์ต่อไป จนกระทั่งหมดลมหายใจ  พระองค์ทรงดี และพระองค์ทรงสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  โรม 8:28-29 …

        โรม 8:28-29 “28 เรารู้ด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ซึ่งห่วงใยเรามาก ทำทุกสิ่ง ให้กระทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลอันดีกับเราทั้งหลาย ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกแล้ว ตามแผนการ ตามพระประสงค์ของพระองค์ 29 เพราะว่าบรรดาผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงรู้จัก ได้รัก และได้เลือกสรรไว้ ล่วงหน้าแล้วนั้น พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ก่อนสร้างโลกแล้วว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่ง ให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) และเข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ ปราศจากบาป อย่างสมบูรณ์ที่สุดเหมือนพระองค์ เพื่อว่าพระเยซูจะได้เป็นบุตรหัวปี (มนุษย์ผู้แรกที่ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากตาย) ท่ามกลางพี่น้องมากมาย (ผู้ที่ยอมรับเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู)”

            “เพราะว่าบรรดาผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงรู้จัก ได้รัก และได้เลือกสรรไว้ ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย พระองค์ทรงกำหนดล่วงหน้า ก่อนสร้างโลกว่าเขาทั้งหลาย จะได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนพระบุตร เป็นเหมือนพระเยซู ตอนนี้เราเป็นเหมือนพระเยซูเลย  วันหนึ่งภายภาคหน้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง  เราจะไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู และเข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ ปราศจากบาปอย่างสมบูรณ์ที่สุด เหมือนพระองค์ นี่คือคำสัญญา ให้เราขอบพระคุณตรงนี้ พระเยซูจะได้เป็นบุตรหัวปี มนุษย์ผู้แรกที่ได้เกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย ท่ามกลางพี่น้องมากมาย ก็คือเราทั้งหลายเป็นพี่น้องกับพระเยซู เราเป็นน้องแน่นอน เพราะว่าเราเป็นคริสเตียน  ผู้ที่ยอมรับ และเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราเรียบร้อยแล้ว  พระเจ้าจะนำเรา และให้เราในสิ่งที่ดีที่สุด  ที่อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา  ไม่ว่าอยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าจะนำเราไปในทิศทางใด  ไม่ว่าจะดีหรือร้าย  ในสายตาของเรา พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง  ที่เกิดกับเรา ให้รวมกันออกมาเป็นผลดี สำหรับเราเสมอ  ผู้ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ นี่ยกมาให้แค่ไม่กี่ข้อ ก็พอแล้ว  นี่คือคำสัญญา สำหรับคริสเตียน ต้องยึดมั่นอยู่ตรงนี้  และไม่มีผิดพลาดได้แน่นอน ให้เราใช้ให้มันถูกต้อง

            มาต่อวันนี้ หัวข้อ ก็คือ “ประตูใหญ่วางใจตนเอง ประตูเล็กวางใจพระคริสต์” เป็นคำเทศนาหรือคำประกาศของพระเยซูคริสต์ในเรื่องนี้ ก็มักมีคนเข้าใจผิดกันเยอะมาก  อันนี้คุ้นๆ อยู่นะ มาจากมัทธิว 7:13-14 …

        มัทธิว 7:13-14 “13 จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูใหญ่และทางกว้าง นำไปสู่ความพินาศ และคนเป็นอันมากเข้าไปทางนั้น 14 ส่วนประตูเล็กและทางแคบ นำไปสู่ชีวิต และมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ”

            ลองให้คิดดูสักแป๊บหนึ่ง ประตูแคบ คืออะไร?  ประตูใหญ่ คืออะไร? นึกถึงภาพพระเยซูกำลังพูดถึงอะไร?

            “จงเข้าทางประตูแคบ”

            ประตูใหญ่ๆ ไม่ให้เราเดินเข้าไป ให้เราเดินประตูแคบ ประตูใหญ่ทางกว้าง กลับบอกเราอย่าไป คิดดูในใจว่าอะไร? แล้วคิดดูสิว่าคิดตรงกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ไหม?

            ประตูใหญ่และทางกว้าง คือทางแห่งคุณธรรมและจริยธรรม การประพฤติตามกฎและศีลธรรม อันดีงาม ที่ทุกคนยอมรับ และเห็นว่าดีในโลกนี้ โลกนี้ทั้งโลก มนุษย์ทุกคน จะสรรเสริญ ยกย่องความดี คุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม เป็นประตูกว้างที่เป็นเอกฉันท์เลย ใช่หรือไม่? ไม่มีใครปฏิเสธเลย มันกว้าง พูดปั๊บ ทุกคนใช่? ทุกความเชื่อ ทุกลัทธิ ทุกศาสนาของโลกนี้ ก็จะมีพื้นฐานอยู่บนหลักการและกฎเกณฑ์ที่ให้กระทำดี ละชั่ว ประพฤติดี สะสมความดี เพื่อจะได้สิ่งที่ดีๆ เพื่อจะได้ไปสวรรค์ใช่หรือไม่? คิดตามนะ นี่คือทางกว้างใหญ่ ใครๆ ก็รับได้ ใครๆ ก็สรรเสริญ

            ซึ่งบทบัญญัติของพระเจ้า ที่ให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส ซึ่งเป็นรากฐานของกฎศีลธรรมมาถึงปัจจุบันนี้ ในความเชื่อทุกความเชื่อ ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐาน หลักการตรงนี้เหมือนกัน เช่นเดียวกัน ว่าเป็นต้นกำเนิดด้วยซ้ำไป คือบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส บัญญัติ 10 ประการ และ 613 ข้ออะไรต่างๆ เหล่านั้น

            คืออะไร? บทบัญญัตินี้คืออะไร? คือต้องทำดีเท่านั้น จึงจะได้เป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรพระเจ้า และสามารถเข้าสวรรค์ได้ ทำผิดทำชั่วเมื่อไรจะถูกลบชื่อออกไปทันที นี่คือบัญญัติ สมัยโมเสส มันดีจริงๆ แล้วสิ่งที่พระเยซูมาประกาศ บอกตอนนี้ มันก็ไม่ได้ขัดแย้งเลยกับพื้นฐานความจริงตรงนี้เลย

            คำว่า “ทำดีได้ดี ทำดีได้ไปสวรรค์” พระเยซูประกาศมันยังเป็นจริงอยู่เสมอ และจะเป็นจริงอยู่ตลอดไป จนกว่าโลกนี้จะสิ้นไป พระเยซูประกาศอย่างนั้นจริงๆ พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเยซูไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติของโมเสสแต่อย่างไร? ก็คือไม่ได้มาลบล้างกฎศีลธรรม การทำดีได้ดี ที่โลกนี้สรรเสริญยกย่อง เชื่อถือ แต่พระองค์ยังคงตอกย้ำ ยืนยันในหลักการเดิม มากกว่าเดิมว่ามนุษย์ต้องทำแต่ความดี ต้องเป็นคนดีเท่านั้น ย้ำเลยนะ เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า และสามารถไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ทำแต่ความดีได้ไปสวรรค์แน่นอน  พระเยซูประกาศย้ำยืนยันแน่นอนเลย แต่ประเด็นสำคัญ คือว่าที่เราไม่เข้าใจตรงนี้ พระเยซูพูดต่ออีกนิดหนึ่งว่า “ทำความดี เพื่อให้เป็นผู้ชอบธรรมนั้น” ตรงนี้ อย่างที่เราเรียนรู้มาแล้วว่าพระเยซูบอกว่าผู้ที่ทำใด้ ต้องอยู่ในมาตรฐานของพระเจ้า

            มาตรฐานของพระเจ้า หมายถึงต้องทำให้ได้ดี อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ตามบทบัญญัติทั้งหมดเลย ผิดพลาดแม้แต่นิดหนึ่ง ก็ไม่ได้ ถูกไหม? มนุษย์เรา สรรเสริญในการทำดี  แต่เราผิดพลาดไป เราบอกไม่เป็นไรหรอก หยวนๆ แต่พระเยซูกำลังมาย้ำบอกว่าถูกแล้ว รักษากฎบัญญัติอย่างนั้น กฎหมายศีลธรรมสำคัญ ดีแล้ว ต้องไม่พลาดเลยนะ ย้ำขึ้นไปอีก ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ ที่พระคัมภีร์ พระเยซูใช้คำว่า “ต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเท่านั้น” เห็นไหม? พระองค์กำลังมายกชูตามมนุษย์ทั้งหลาย เหมือนกันว่าบัญญัตินั้นดี กฎหมาย ศีลธรรมต่างๆ ที่เรานับถือกัน ที่เราเทิดทูนกัน สรรเสริญกัน ถูกแล้ว แต่สำหรับพระเจ้านั้น ต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย ซึ่งเราก็รู้กันอยู่แล้ว รู้อยู่ในใจ พระเยซูก็พูดด้วยว่ามนุษย์ไม่มีคนไหนเลย ที่สามารถทำได้ ก็คือไม่สามารถรักษาบทบัญญัติ ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ผิดบาปเลยแม้แต่ข้อเดียว เป็นไปไม่ได้เลย นี่คือเป้าหมายที่พระเยซูมาประกาศด้วยซ้ำไป

            พระองค์เลยจะบอกว่าพระเจ้าก็เลยต้องส่งพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด มาช่วย เราจึงเรียกพระเยซูว่าพระมาซีฮาห์  พระผู้ช่วยให้รอด หรือว่าพระคริสต์ เพราะว่ามนุษย์ทำเองไม่ได้ พระเยซูจึงต้องมาช่วยไง ช่วยอะไร? ช่วยชำระบาปให้กับเรา และให้เราบังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้าเลย

            เพราะฉะนั้น สรุปง่ายๆ ก็คือพื้นฐานความเชื่อ เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ไปสวรรค์ ยังคงเป็นจริงอยู่เสมอ จนกว่าโลกนี้จะสิ้น คำว่า “ทำดี” ในที่นี้ คือต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ตามมาตรฐานของพระองค์ มนุษย์ไม่มีทางทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ดีพร้อมได้ มนุษย์จึงไม่มีทางเข้าสวรรค์ได้ด้วยตนเองเลย พระเจ้าจึงต้องส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่เรียกว่าพระมาซีฮาห์ พระคริสต์ นำพามนุษย์ให้ได้ไปสวรรค์ โดยการกระทำของพระองค์เอง

            นี่คือสิ่งที่ผมกำลังอธิบายความหมายของพระคัมภีร์ตรงนี้ ที่บอกว่าประตูใหญ่ และทางกว้าง นำไปสู่ความพินาศ และคนเป็นอันมากเข้าไปในทางนั้น

            บางคนเท่านั้นที่พุ่งไปที่ประตูแคบ เพราะเขารู้ว่าเขาทำไม่ได้ เขาก็อยากรักษาเข้าประตูกว้างเหมือนกัน แต่เขามาอยู่ประตูกว้างตั้งนานแล้ว รักษาไม่ไหวแล้วจริงๆ พระเยซูเป็นประตูแคบ เขาเอาแล้ว ก็ถูกคนอื่นเขาข่มเหงรังแกว่าคนนี้ เป็นคนที่ไม่มีศีลธรรม ไม่รักษาความดีงาม พอเข้าใจไหม? อธิบายลำบาก ท่านเองโดนมา ก็จะรู้ว่ารับได้ไหม? เราก็คือบางคนนั้น ที่มาเชื่อพระเยซู แล้วก็มีคนมากล่าวหาบอกว่า …

            “เชื่อพระเยซูทำอะไรก็ได้ ทำบาปก็ได้ อธิษฐานขอโทษพระเจ้า พระเจ้าก็ยกโทษให้ ทำอย่างนี้ได้ไปสวรรค์เหรอ ถ้าเธอได้ไปสวรรค์ ฉันได้ไปสวรรค์มากกว่า ฉันทำดีมากกว่าเธอตั้งเยอะ” นี่พูดช้าไปนะเนี้ย ถ้าโดน โดนหนักกว่านี้

            “ท่านดีขนาดไหน? ท่านไปสวรรค์ เชื่อพระเยซูแค่นี้ ไม่เห็นทำอะไร? บลา…..”

            เราก็โอ๊ย ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเลย? แคบไหมประตู แล้วบางคนไม่ทันชิม เริ่มขับรถจะไปชิมพระเยซูหน่อย พอได้ยินอย่างนี้ ไม่กล้าไปแล้ว

            “เธอไม่สนใจความประพฤติแล้วเหรอ” … ไม่เข้าใจ ความหมายตรงนี้เลย

            ประตูใหญ่และทางกว้าง ก็คือทางที่คนเป็นอันมาก พากันมุ่งตรงไป คนส่วนใหญ่ก็จะไปตรงนี้ มันเห็นๆ อยู่ไง เพราะทำแล้วมีคนสรรเสริญ ไม่มีคนขัดแย้ง ท่านจะไปทำความดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ว่าจะไปบอกว่าเชื่อพระเยซู แล้วทำความดี แต่เชื่อพระเยซูจริงๆ แล้วท่านบอกเป้าหมายที่พระเยซูพูดจริงๆ แล้วว่า …

            “ฉันได้ไปสวรรค์ไม่ใช่ เพราะการกระทำ แต่เป็นเพราะฉันเชื่อพระเยซูคริสต์” … ก็รับไม่ได้แล้ว

            เพราะประตูใหญ่ทางกว้าง ก็คือทางที่คนเป็นอันมาก พากันมุ่งตรงไป ตามจิตใต้สำนึก ตามความเชื่อ คือพยายามทำแต่ความดี เพื่อจะได้ไปสวรรค์ วางใจในการกระทำของตนเองมาก เพื่อจะได้ไปสวรรค์ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง แต่จะบอกให้ว่าทางกว้างนี้ นำไปสู่ความพินาศ

            พินาศ เพราะมันทำไม่ได้ ไม่มีสักคนหนึ่งที่ทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ไง แต่ดูเหมือนดีไหม? มันดี ฟังดีไหม? ดี แต่ทำได้ไหม? ไม่ได้ นึกออกไหม? พยายามจับนิยามมาให้ท่านมองเห็น

            คนที่เลือกเข้าทางประตูใหญ่นี้ ก็คือคนที่คิดว่าตัวเองทำได้ แต่ในความเป็นจริง คือไม่มีใครสามารถทำได้ ทางกว้างนี้ จึงไม่สามารถนำพาใครไปสู่สวรรค์ได้เลย มีแต่ความพินาศ รออยู่เท่านั้น ทางกว้างเป็นของผู้ที่ยังทะนงตน เย่อหยิ่ง ไม่ยอมรับความจริงตามที่พระเยซูคริสต์บอก ในใจก็รู้ๆ อยู่ว่าทำไม่ได้  แต่ก็พยายามฝืนที่จะทำให้ได้ สะสมให้มันได้  จนถึงวันสุดท้าย ก็ไม่ได้อยู่ดี แต่มันเป็นทางกว้าง ผู้คนก็จะแห่กันไป ต้องย้ำตรงนี้อีกครั้งว่าพระคัมภีร์ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าให้หยุดเชื่อในการกระทำดี พระเยซูไม่เคยสอนให้เราหยุดทำดี แต่สอนประกาศให้เราไม่พึ่งในสิ่งที่ดี ที่เราทำ มันต่างกันนะ ไม่มีตรงไหนที่พระเยซูสอนให้หยุด ในการกระทำความดี  ไม่มีเลย แต่กำลังบอกว่าในขณะที่ท่านกำลังเพียรพยายามทำความดีอยู่นั้น ดีแล้ว แต่จงรับรู้เถิด การพยายามทำความดีด้วยตัวเองนั้น จะไม่มีทางนำท่านไปสู่การได้เป็นผู้ชอบธรรม เข้าสวรรค์ได้ตามมาตรฐานของพระเจ้า ไม่มีทางเลย ที่ท่านจะได้รับการช่วยเหลือ ให้รอดจากการพิพากษา ลงโทษ หลังความตาย

            พระเยซูจึงสรุปบอกว่า … “ดังนั้น จงหันมาทางประตูเล็ก ทางแคบ จงกลับใจใหม่ มาทางเราเถิด” … ก็คือยอมรับและวางใจในพระมาซีฮาห์ หรือพระเยซูคริสต์ ให้พระเยซูคริสต์เข้าครอบครองชีวิตของท่าน เข้ามาสถิตอยู่กับท่าน นำพาชีวิตของท่าน เดินไปกับพระเยซู พึ่งพาในพระองค์ เป็นทางเดียวที่จะนำท่านไปสู่สวรรค์ หรือเรียกว่านำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ได้นั่นเอง ซึ่งที่บอกว่าเป็นทางเล็ก และทางแคบ อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก มันง่ายเกินไป เพราะว่ามันเป็นข่าวดี เป็นของฟรี พวกเราทั้งหลายก็รู้ พอบอกฟรีปุ๊บ เรารู้สึกข่าวดีมากเลย เพราะพอเขาบอกว่าให้ฟรีปุ๊บ รู้สึกดีใจ พระเยซูกำลังบอก นี่เป็นข่าวดี นี่เป็นของฟรี มันเลยรับยากนะ

            เพราะของฟรีอะไรมันใหญ่โตขนาดนั้น ไม่อยากจะเชื่อ ถึงเรียกว่าพระคุณ ความดีของพระเจ้า เป็นของฟรี แค่ผ่านทางความเชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเลย มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่สามารถเข้าใจตรงนี้ได้ จึงไม่ค่อยมีใครเข้ามาทางแคบนี้ ทางพระเยซูคริสต์นี้ เพราะว่ามันง่ายเกินไป คนส่วนใหญ่เลยรับไม่ได้ เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วว่าต้องทำๆ พออยู่ๆ มีคนมาบอกว่าไม่ต้องทำแล้ว ได้รับไปฟรีๆ อันดับแรกเลย เป็นไปไม่ได้ เข้าใจยาก สำหรับคนที่คิดแบบภาษามนุษย์ มันก็เลย กลายเป็นอย่างที่พระเยซูบอก เป็นประตูเล็ก ทางแคบ ที่มีเพียงไม่กี่คน บางคนเท่านั้นที่ค้นพบ

            ขอบคุณพระเจ้าที่เราพบแล้ว มันไม่ยากเลย นี่คือข่าวดี นี่คือข่าวประเสริฐของพระเจ้าที่ให้ฟรีๆ ที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตอนกำลังพูดอยู่นี้ พระเยซูพูดประกาศให้กับชาวยิว แต่เราสามารถเอามาใช้ได้กับคนที่ไม่ใช่ยิว คือคนที่ยังไม่เชื่อ มันคือภาพของความจริงเลยว่าประตูใหญ่ ทางกว้าง ทุกคนเห็น ก็คือความประพฤติ การพึ่งพาตนเอง การกระทำดี ถูกต้อง ศีลธรรมที่ดีงามอะไรต่างๆ มันเป็นจริงที่ถูกต้อง เฮกันไปหมดเลย  โดยไม่คิดถึงเลยว่ามาตรฐานของพระเจ้ากำลังบอกว่าต้องทำดีจนครบหมดนะ ผิดพลาดครั้งหนึ่ง ก็ไม่ได้ ผิดพลาดครั้งหนึ่ง ก็เท่ากับว่ากำลังโชว์ว่าตัวเองเป็นคนบาป แม้แต่ครั้งเดียว โกหกครั้งเดียว นิดเดียวเอง ก็มาจากความบาปแล้ว นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้ ในทางด้านวิญญาณ สำหรับการที่จะช่วยให้รอด จากความบาป ไปสู่สวรรค์หลังความตาย

            แต่พอบอกว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ชำระบาปให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เอาความบาปออกไปจากมนุษย์หมดเลย เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป มาเชื่อพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์เอาความบาปออกไปหมดเรียบร้อยแล้ว เราจะเป็นผู้ชอบธรรม เข้าสู่สวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้าได้เลย เรียบร้อยเลยทันทีทันใด ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คือตั้งแต่พระเยซูสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นจากความตาย จนถึงทุกวันนี้ จนกว่าวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่ คือวันที่สิ้นโลกนี้ สิ่งเหล่านี้ คำสัญญาเหล่านี้ ยังเป็นจริงอยู่ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วางใจในพระองค์จะได้บังเกิดใหม่ พ้นจากบาป เข้าสู่สวรรค์ทันทีทันใดเลย เอเมน

            มันง่ายไป ขอทำอะไรหน่อยสิ ขอทำนิดหนึ่งๆ ได้ไหม? เพราะฉะนั้น คนที่มาเป็นคริสเตียนแล้ว บางคนก็ยังขอพระเยซูทำเลย พอเป็นคริสเตียนแล้ว ขอทำ คืออะไร?

            “ฉันขอทำตรงนี้เพิ่มเติม เพื่อว่าเดี๋ยวจะไม่ได้รับความรอด”

            “ก็ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว”

            “เดี๋ยวกลัว พอตายไปแล้ว พระเจ้าจะไล่ฉันออกจากสวรรค์” อะไรอย่างนี้

            แล้วสัปดาห์หน้าเราค่อยมาฟังกันต่อว่าที่ผมพูดตรงนี้หมายถึงอะไร? พระเยซูพูดอย่างนั้นแหละ พระเยซูรู้ว่าเขาคิดอะไรกัน เดี๋ยวพระเยซูจะอธิบายต่อไป เรื่องคำประกาศของพระเยซู พอเรารู้ความจริงแล้ว มันเป็นความจริงอย่างนี้จริงๆ พระองค์ประกาศทั้งหมด ที่เราเรียนมา 10 ตอนแล้วกำลังพูดให้กับคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เกิดใหม่ เพราะฉะนั้น เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเกิดใหม่แล้ว มันอีกเรื่องหนึ่ง พระองค์กำลังประกาศนั่นเอง  อย่างเพลงที่ผมเอามาจบในซีรี่ย์นี้ วางใจในพระเจ้าและกระทำความดี จึงเป็นสิ่งที่จริง ก็คือให้เชื่อและวางใจในพระเจ้าก่อน แล้วก็มาสนใจในการกระทำดีตามกฎศีลธรรมทีหลัง ให้ความสำคัญกับความรอด ในวิญญาณก่อน แล้วค่อยมาให้ความสำคัญกับความประพฤติทีหลัง นี่คือทางที่พระเยซูวางไว้ให้กับเรา พระเจ้าอวยพรครับ

****************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เรามั่นใจในความบริสุทธิ์  ดีพร้อมของเราหรือไม่?

            โรม 8:1-2 …  “1 เหตุฉะนั้น  บัดนี้  จึงไม่มีการลงโทษ  แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต  ได้ปลดปล่อยท่าน  ให้เป็นอิสระ  จากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”

            มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งแรงดึงดูดของโลก  จนกระทั่งค้นพบกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบิน  จึงสามารถมีชัยชนะอยู่เหนือกฎแรงดึงดูดของโลกได้

            เช่นเดียวกันในโลกวิญญาณ  ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำดีละชั่ว  ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  ซึ่งไม่มีใครสามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์  ตามมาตรฐานของพระเจ้า  คือบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระองค์  จึงจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้

            จนกระทั่ง 2000 ปีที่แล้ว  พระเยซูมาสถาปนากฎใหม่  ที่มีชื่อว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์  ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือกฎแห่งความบาปและความตาย  คือกฎในการพึ่งพาการกระทำดีละชั่วของตนเอง  เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ

            ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะเลือกการดำเนินชีวิต  อยู่ในกฎใดกฎหนึ่งนี้ได้  แล้วแต่จะตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะพึ่งพาการกระทำของตนเอง   เพื่อจะได้ครบถ้วนบริบูรณ์  บริสุทธิ์ดีพร้อม  ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้  หรือถ้าไม่แน่ใจ  หันกลับมาหาพระเจ้า โดยพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์  พระบุตรของพระเจ้า  ที่พระองค์ได้ทรงประทานให้มา  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ

            พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว  คือสถาปนากฎแห่งวิญญาณ  กฎแห่งพระคุณนี้  โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และถูกฝังไว้ในอุโมงค์  และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม เปิดประตูเข้าสู่สวรรค์ให้กับมนุษย์ทุกคน

                        นี่คือข่าวดี สำหรับมวลมนุษย์ทุกคน

                        โปรดเลือกพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เถิด!

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1387 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  30  ตุลาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 9

“คำเทศนาบนภูเขา” Ep.8 “จงขอ แล้วท่านจะได้รับ จงหา แล้วท่านจะพบ จงเคาะ แล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” วันนี้เป็นตอนที่ 9 เป็น Ep.8 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา”

            ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

            ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

            ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

            ตอนที่ 4  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว  ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

            ตอนที่ 5  คำเทศนาบนภูเขา Ep 4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก        แต่พระเจ้ามองที่ วิญญาณข้างใน

            ตอนที่ 6  คำเทศนาบนภูเขา Ep 5 : ต้องบริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์

            ตอนที่ 7 คำเทศนาบนภูเขา Ep 6 : ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน

            ตอนที่ 8 คำเทศนาบนภูเขา Ep 7 : ทรัพย์สมบัติในโลกต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง      แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์   พระเจ้าให้ฟรีๆ

            ตอนที่ 9 (วันนี้)  คำเทศนาบนภูเขา Ep 8 :  จงขอแล้วท่านจะได้รับ  จงหาแล้วท่านจะพบ  จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน

            ทบทวนว่าพระเยซูพูดกับใคร? เป้าหมาย คืออะไร? สำคัญมาก นี่คือเบื้องหลังที่จะต้องรู้ก่อน ไม่รู้แล้วจะนึกว่าเป็นอย่างนั้น นึกว่าเป็นอย่างนี้ ใช้ความคิดตัวเอง อ่าน 2-3 ประโยค แล้วก็บอกว่านี่แหละ ต้องเป็นอย่างนี้ เป็นความคิดของฉัน หรือเป็นตามความคิดประเพณี หรือเป็นตามความคิดของวัฒนธรรมที่เคยได้ยินมา อันนั้นก็อันตราย

            เพราะฉะนั้น ทบทวนจุดมุ่งหมายของพระเยซู ที่ประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์บนภูเขาที่เรากำลังเรียนรู้กัน จุดมุ่งหมายเดียวที่พระเยซูได้ทรงกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้  ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี ตอนอายุ 30 ถึง 33 เท่านั้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคำพูด คำอธิบาย การยกอุปมาต่างๆ  หรือกระทำการอัศจรรย์ต่างๆ ที่พระเยซูกระทำทั้งหมด เป้าหมายคืออะไร?  ทำการอัศจรรย์เพื่ออะไร?  ก็เพื่อเป็นการประกาศให้มนุษย์ทั้งหลาย ได้รับรู้และวางใจ ในตัวของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเมสิยาห์ พระมาซีฮาห์ ภาษาฮีบรู หรือภาษากรีก แปลว่าพระคริสต์ ซึ่งแปลว่าพระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งเอาไว้ ให้มาช่วยเหลือมนุษย์นั่นเอง  พระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า ที่เรียกว่าพระเจ้า พระบุตร  ไม่ใช่บุตรของพระเจ้านะ ไม่เหมือนกันนะ  พระเจ้ากับพระบุตร กับบุตรของพระเจ้าต่างกัน  พวกเราเป็นบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้ารับเราเป็นบุตร  แต่พระบุตรเป็นพระเจ้า ที่เป็นบุตร ที่มีตำแหน่งใน 3 พระภาค พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระบุตรที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ เพื่อเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ ตรงนี้เรียกว่าเมซียาห์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่อดีต หลายพันปีก่อนโน้น ก่อนที่พระองค์จะทรงมาเกิดว่าจะส่งพระบุตร มาบังเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อช่วยมนุษย์ทั้งปวงให้รอดจากความพินาศ เนื่องจากโทษของความบาป และคำสาปแช่ง ที่มาจากบรรพบุรุษ

            พระองค์จะส่งพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู นี่แหละ คือพระเมสิยาห์ พระองค์กำลังสำแดงตัวเอง ย้ำทุกเรื่อง เพื่อจะให้ผู้คนได้รู้ว่าพระองค์ คือผู้นั้นแหละ โดยเฉพาะชาวยิวรู้ดี เพราะชาวยิว ก็เรียนรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่บรรพบุรุษของเขาแล้ว รวมความ ก็คือพระองค์มาเพื่อไถ่บาป ให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งเกิดมาเป็นคนบาปในวิญญาณ ป่วยอยู่ ต้องการหมอรักษา ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากความผิดบาปนี้ได้ ด้วยการสะสมความดี กระทำความดี ด้วยตนเอง เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากบาป เป็นผู้บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้า คือในกฎที่พระเจ้าวางไว้ มาตรฐานของพระเจ้า  เขาไม่สามารถทำด้วยกำลังของตนเองได้ ซึ่งพระเยซูย้ำยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ที่ท่านทั้งหลายจะรักษาบทบัญญัติ จะกระทำด้วยความดีของตนเอง  เพื่อจะได้รับการเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า

            นี่คือจุดหมายเดียว ที่พระเยซูมากระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด ทั้งมวล อัศจรรย์ ทั้งอุปมา ทั้งคำสอน อะไรต่างๆ เพื่อจะบอกกับชาวยิว ที่พูดถึงนี้ ท่านทั้งหลายต้องถ่อมใจยอมรับความจริง กลับใจใหม่ หันมาพึ่งในพระเจ้าเถิด ท่านต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเท่านั้น ท่านต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะเข้าสวรรค์ได้ ซึ่งไม่มีใครสามารถเกิดด้วยตัวเองได้ เกิดเป็นมนุษย์ ยังเกิดไม่ได้เลย เรายังต้องเกิดจากพ่อแม่เลย แล้วทางวิญญาณจะเกิดใหม่ได้อย่างไร?  เกิดด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องเกิดจากพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้เกิด เกิดใหม่ เพื่อที่จะเข้าสวรรค์ได้ เมื่อเข้าสวรรค์ได้ เกิดใหม่ได้  ก็จะได้เป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า  และจะเกิดใหม่ได้ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น ก็คือวางใจในเรา ผู้ที่พระเจ้าได้ส่งมานั่นเอง นี่คือเป้าหมายเดียว จุดหมายเดียว ที่พระเยซูมาทำอัศจรรย์ต่างๆ เทศนาสั่งสอน พูดอะไรต่างๆ นั้น ที่เรากำลังเรียนรู้ เราจะได้รู้เป้าหมายว่าพระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร? กำลังจะพาผู้คนไปไหน?  ก็คือไปบอกพวกเขาว่าให้เขาเปิดใจ ถ่อมใจ ยอมรับ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือพระองค์เอง เป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านจะรอด จากบาปได้

            แล้วพระองค์ก็จะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน เมื่อท่านบังเกิดใหม่ แล้วก็จะเป็นผู้นำทางท่านตั้งแต่นี้ไป เมื่อท่านวางใจในพระองค์ พระองค์จะเข้าไปสถิตอยู่ในท่าน และไปทำการงานภายในตัวของท่าน เสริมสร้างท่าน ดูแลท่าน นำพาท่านต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ จนถึงนิรันดร์ ท่านจะได้พักและหายเหนื่อย ในใจท่านทันที เดี๋ยวนี้เลย เมื่อท่านเปิดใจ วางใจ ต้อนรับพระยูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            นี่คือเป้าหมายที่พระเยซูพูด ประกาศทั้งหมด 3 ปี ในพระคัมภีร์ใหม่ มีบันทึกไว้ เปาโลบอกว่า …

            “ข้าพเจ้ามั่นใจ” เปาโลพูดกับผู้ที่เชื่อ เปิดใจ วางใจในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เริ่มต้นเปาโลบอกว่า …

            “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าท่านทั้งหลายสบายแล้ว” สบายตรงไหน? “ท่านมีพระเยซูอยู่ในตัวแล้ว” แล้วทำไม “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการดีในท่านแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไปจนกระทั่งสำเร็จ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์”

            คือไปถึงนิรันดร์เลย มั่นใจแล้ว เพราะพระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่ในท่านแล้ว แล้วจะนำพาท่านต่อไป เราไม่ต้องห่วงท่านเลย พระเจ้านำพาท่านไป นี่ชัดเจนเลย

            จะพาท่านไปดูนิดหนึ่ง ให้เห็นชัดๆ ว่าพระเยซูพูดสิ่งเหล่านี้ อธิบายสิ่งเหล่านี้  ประกาศสิ่งเหล่านี้ จุดหมายเดียว คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก ยอห์น 6:27-29  ก็คืออุปมาที่พระองค์อธิบาย ประกาศจุดหมายนี้ เช่นเดียวกัน …

        ยอห์น 6:27-29 “27 อย่าขวนขวาย เหน็ดเหนื่อยทำงาน แสวงหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไปได้แต่จงแสวงหาอาหารที่ดำรงอยู่ตลอดไป คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่านเพราะพระเจ้า คือพระบิดาได้ทรงประทับตรา มอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว 28 แล้วเขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์ว่าข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องเหน็ดเหนื่อยทำงานใดๆ บ้างที่เป็นความต้องการของพระเจ้า เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์นี้ 29 พระเยซูตรัสตอบเขาว่างานเดียวที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำนั้น คือการที่ท่านวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา”

            “งานเดียวที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำนั้น คือการที่ท่านวางใจในผู้ที่พระองค์ส่งมา”

            นี่คืออีกครั้งหนึ่ง ที่พระเยซูพูด ประกาศ เพื่อจะอธิบาย เป้าหมายที่ตะกี้นี้ผมบอก อย่าขวนขวายเหน็ดเหนื่อยทำงาน เหน็ดเหนื่อยในชีวิต  เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนก็ทราบ เพราะเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ภาษาไทยเขาพูดอย่างนี้นะ ไม่ใช่ท้องพ่อหรอก เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ก็ขวนขวายหาความรอดแล้ว ไม่อยากจะเป็นคนบาป อยากจะอิสระจากบาป อยากจะเป็นผู้ชอบธรรม อยากจะไปอยู่สวรรค์ตอนหลังความตาย  นี่มันเป็นธรรมชาติ

            พระองค์จึงบอกว่าอย่าขวนขวายเหน็ดเหนื่อย ทำงานหนัก เพื่อแสวงหาอาหาร “อาหาร” ก็เล็งถึงชีวิตของพระองค์ ก็คือพระเมซิยาห์ ก็คือพระเยซู พระองค์ทรงเป็นความสว่าง เป็นชีวิต เป็นความชอบธรรม อย่าเหน็ดเหนื่อยในการแสวงหาชีวิตนิรันดร์ หรือความสว่าง หรือความชอบธรรม หรือการจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ที่เป็นสวรรค์แบบหลอกๆ บนโลกใบนี้ เสื่อมสูญไปได้  คืออย่าไปมองสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเลย  แต่ให้มาหาอาหาร ก็คือตัวของพระองค์เอง  เป็นอาหารแห่งชีวิต  คือเข้ามาพึ่งในพระองค์นั่นเอง นี่ชัดเจนเลย

            เพราะในบริบทนี้ เหลืออีกไม่กี่ข้อ ต่อจากนี้ไป คนก็ถาม …

            “อาหารนั่นคืออะไร?”

            พระองค์ทรงตอบว่า … “อาหารนั่นคือตัวเรา กินเราเมื่อไร”

            คนก็งงสิ แล้วเราจะตีความ เอามาใช้กับเราได้อย่างไร?  ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระองค์กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ อุปมาให้เห็นถึงโลกวิญญาณเป็นอย่างนี้ๆ พระองค์เป็นอาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในพระองค์ เรากินพระองค์ ก็คือเราได้ชีวิตนิรันดร์ ก็คือบังเกิดใหม่อยู่ในสวรรค์ นี่เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

            เสร็จแล้ว พอพวกเขาได้ยิน พวกเขาบอกว่าอย่างไร? “ข้าพระองค์ทั้งหลายจะต้องทำอย่างไร? เหน็ดเหนื่อยการงานใดๆ บ้าง ที่เป็นความต้องการของพระเจ้า เพื่อจะได้อาหาร คือชีวิตนิรันดร์”

            เขาก็อยากจะรู้ แล้วถ้าไม่ให้เหน็ดเหนื่อย แสวงหาสวรรค์ แบบทางของเขาบนโลกใบนี้ ที่เสื่อมสูญได้ ให้แสวงหาชีวิตนิรันดร์จากพระองค์ จากสวรรค์ ซึ่งจะอยู่นิรันดร์  เขาต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน? แค่ไหน? ต้องทำอะไรบ้าง? ที่พระเจ้ากำหนดไว้ ต้องการผ่านเกณฑ์นี้ไปได้ เพื่อเขาจะได้ไปสวรรค์ ได้ชีวิตนิรันดร์ ต้องทำอะไรบ้าง คือเขาเป็นชาวยิวใช่ไหม? เขาจะมีบทบัญญัติต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้กันมาก่อนหน้าที่พระเยซูยกตัวอย่างให้ฟัง คนเหล่านี้ ที่ได้ยินได้ฟัง เขาก็สงสัย เขาก็อยากจะรู้ว่าถ้าเผื่อเป็นอย่างนั้น แล้วเขาอยากได้ชีวิตนิรันดร์ เขาต้องทำอะไรต่างๆ บ้าง เช่น เขาต้องไม่ฆ่าคนใช่ไหม?  ต้องมีพระเจ้าองค์เดียวใช่ไหม? ต้องไม่ล่วงประเวณีใช่ไหม? ต้องไม่ขโมย ลักทรัพย์ใช่ไหม? ต้องอภัยให้กับผู้อื่นใช่ไหม? ต้องถวายสิบลดด้วยใช่ไหม? ต้องโน่นต้องนี่ แล้วต้องทำอะไรเท่าไร? ตรงไหนบ้างที่พระเจ้าต้องการ เพื่อเขาจะได้ชีวิตนิรันดร์ แล้วพระเยซูก็เลยตอบ โดนใจเป๊ะเลย

            เขาถามว่า … “งานอะไรต่างๆ (เป็นพหูพจน์) ก็คือจำนวนเยอะแยะเลยอะไรต่างๆ ที่เราต้องทำ เพื่อจะได้เข้าสวรรค์”

            พระเยซูตรัสตอบที่ต่างๆ พหูพจน์ตัดมาเป็นเอกพจน์ คือหนึ่งเดียว คืองานเดียวที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำ แล้วท่านจะได้เข้าอยู่ในสวรรค์ได้ งานนั่น คือวางใจในพระเยซู คือ …

            “วางใจในเรา ผู้ที่พระเจ้าส่งมา คือวางใจในเรา ที่เราเป็นพระเมสิยาห์จริงๆ ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าเราเป็นพระเมสิยาห์”

            รู้ได้อย่างไร? ก็เพราะบรรพบุรุษก็บอกไว้แล้ว ถ้าท่านไม่ดื้อดึง ถ้าท่านไม่เย่อหยิ่ง ท่านจะรู้ทันทีว่าเราคือผู้นั้นแหละ เพราะเขาพูดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว เพราะชาวยิวเขาเล่าให้ลูกๆ ฟัง เล่าให้หลานๆ ฟังต่อไป เล่าตั้งแต่เด็กๆ เลย ทุกวันสะบาโตก็จะคุยแต่เรื่องนี้ สิ่งนี้ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ คือเด็กคนนั้น คือพระมาซีฮาห์ที่จะส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น และเรื่องเหล่านี้ ได้ถูกประกาศออกไป ไม่ใช่คนยิวเท่านั้นที่ได้ยินได้ฟัง  ที่พูดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ พอพูดถึงบรรพบุรุษ มันหลุดออกไปถึงคนข้างนอกชุมชนยิวด้วย คนต่างชาติเขาได้ยินบ้าง เพราะฉะนั้น คนต่างชาติก็ได้วัฒนธรรมจากยิว ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ศิวิไลซ์กว่าชนต่างชาติมาก เมื่อสมัยในอดีตเยอะๆ หลายพันปีก่อน ท่านพอนึกออกใช่ไหม?

            เพราะฉะนั้น คนต่างชาติบางกลุ่ม บางความเชื่อ ตั้งแต่หลายพันปีก่อน เขาก็มีความมั่นใจว่ามีคนหนึ่งจะมาช่วย มีคนหนึ่งจะมาแน่ มีคนหนึ่งวันหนึ่งจะขี่ม้าขาวมาช่วย ซึ่งไม่ใช่ยิวนะ ไม่ใช่คริสเตียนด้วย ทุกวันนี้ก็ยังมีคนเชื่อตรงนี้อยู่ วันหนึ่งจะมีคนขี่ม้าขาวมาช่วย วันหนึ่งจะมีคนหนึ่งมาช่วยเหลือมนุษย์ แต่พระเยซูมาบอก …

            “เราคือคนนั้น” เอเมนไหม?

            พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์ถามพระเจ้าว่า … “ข้าพเจ้าต้องพยายามกระทำดีมากเท่าไรถึงจะเข้าสวรรคฺได้?”

            พระเจ้าก็ตอบว่า … “แค่วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น”

            จบ นี่พูดง่ายๆ ในข้อพระคัมภีร์ที่พระเยซูอธิบาย สรุปสั้นๆ ก็คือพระเจ้าตอบว่าให้วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ก็คือวางใจในพระคุณยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าทำให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เท่าๆ กัน

            พระคุณ คือเราไม่ต้องทำอะไร? พระเจ้าทำให้เราฟรีๆ เข้าสวรรค์ฟรีๆ ซึ่งมนุษย์ไม่มีวันที่จะเข้าใจพระคุณความดีงามของพระเจ้าตรงนี้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลย จนกว่าเขาจะได้รับการบังเกิดใหม่นั่นเอง พระเยซูจึงบอกให้เขาวางใจในพระองค์ ไม่ใช่ให้เขาเชื่อในพระองค์ เขาไม่มีวันที่จะเชื่อในพระองค์ได้หรอก  เขาไม่มีทางเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  เป็นไปไม่ได้เลย  แต่เขาสามารถที่จะใช้ความไว้วางใจได้ เขาจะเห็นสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ สิ่งที่พระองค์ทรงพูด และก็นึกถึงอดีตที่บรรพบุรุษเขาพูดไว้ เขาสามารถ ด้วยความคิดของมนุษย์สามารถวางใจได้ แต่ด้วยความคิดของมนุษย์ไม่สามารถเชื่อได้ เพราะเชื่อเป็นอาการของวิญญาณข้างใน วิญญาณเขาบาป เขาไม่มีกำลังพอที่จะเชื่อพระเยซูว่าเป็นพระบุตรหรอก แต่เขาสามารถใช้กำลังจากสติปัญญา ความคิดของเขา จากเหตุผลต่างๆ เขาสามารถวางใจในพระเยซูได้ ถ้าเขาวางใจในพระเยซูว่าพระองค์ผู้นี้เป็นพระเมซิยาห์  เขาก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ เขาเชื่อพระเยซูเลย เอเมนไหม? เพราะสิ่งที่เขาต้องทำ ก็คือวางใจในพระเจ้า เพราะว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือวางใจ เชื่อมันเป็นไปไม่ได้ วางใจมันเป็นไปได้

            ครั้งที่แล้วเราได้จบลงที่มัทธิว 6:33 “จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์ก็จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวง ก็คือทรัพย์สมบัติในสวรรค์ เก็บไว้ให้เป็นมรดกแก่ท่านด้วย”

            ใช่ไหม? ซึ่งผมเปลี่ยนให้นิดหนึ่งว่าแล้วพระองค์ก็จะแถม เพิ่มเติมให้ จากการได้เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยแล้ว จากการได้เข้าสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ก็คือได้รับมรดกด้วย ก็คือให้แสวงหาความชอบธรรม อาณาจักรของพระเจ้าเสียก่อน โดยการวางใจในพระบุตรของพระเจ้าว่าเป็นพระมาซีฮาห์ พอวางใจปุ๊บ ก็ได้บังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ ก็ได้เข้าสวรรค์ ตอนได้เข้าสวรรค์ เป็นบุตรของพระเจ้า ก็เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าทันที บนโลกใบนี้ วางใจปุ๊บ เกิดใหม่ปั๊บ ก็มีความเชื่อทันที นึกภาพออกไหม?

            ถ้าท่านไม่วางใจ มันไม่มีวันมีความเชื่อหรอก ความเชื่อเกิดในวิญญาณของท่าน พระเจ้าเป็นผู้จัดการให้มันเกิดขึ้นในวิญญาณ ถ้าท่านไม่เกิดใหม่ มันไม่มีทางเชื่อได้หรอก เป็นไปไม่ได้เลย

            พอเกิดใหม่ เข้าสวรรค์ เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ทันทีทันใด การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เป็นอย่างนี้ทันที ในสวรรค์เกิดอะไรขึ้น ในสวรรค์เกิดเครดิตของท่าน บัญชีท่านขึ้นมาทันทีเลย ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ขึ้นมาทันที ในชื่อของท่าน เป็นของแถม ท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  อยู่ในสวรรค์แล้ว ทันทีทันใด ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก ถูกไหม? ของแถม ก็คือท่านแสวงหา ท่านได้สวรรค์ไปแล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมไปแล้ว สิ่งที่ท่านไม่ต้องแสวงหา แต่ได้เลย ก็คือทันทีในโลกฝ่ายวิญญาณในสวรรค์นั้น ทรัพย์สมบัติเยอะแยะมากมายเป็นมรดก  พระเจ้าเก็บไว้ให้กับท่านแล้ว เมื่อท่านจากโลกนี้ไป ไปรับเลยทันที คือเกียรติ สิริ สง่าราศีของพระเยซูคริสต์ที่ท่านจะได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายเหมือนพระเยซูคริสต์ตอนเป็นขึ้นจากความตาย ได้ครอบครองมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ซึ่งเป็นของแถม ครั้งที่แล้ว เราหยุดอยู่แค่นี้

            วันนี้เรามาต่อ อย่าลืมนะว่าการทบทวนเหล่านี้ คือพื้นฐานสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้ว่าพระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ประกาศแผ่นดินของสวรรค์ ประกาศให้ใครอย่างไร? และจุดหมาย เป้าหมายที่พระองค์ประกาศ เพื่ออะไร? เริ่มต้นวันนี้ที่มัทธิว 7:1-5 …

        มัทธิว 7:1-5 “1 อย่าตัดสิน มิฉะนั้น ท่านเองจะถูกตัดสินด้วย 2 เพราะท่านตัดสินผู้อื่นอย่างไร ท่านจะถูกตัดสินอย่างนั้น ท่านตวงให้ไปด้วยทะนานอันใด ท่านก็จะได้รับเท่ากับทะนานอันนั้น 3 “เหตุใด ท่านมองดูผงขี้เลื่อยในตาของพี่น้อง แต่ไม่ใส่ใจกับไม้ทั้งท่อนในตาของท่านเอง 4 ท่านพูดกับพี่น้องได้อย่างไรว่าให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่านเถิด ในเมื่อตลอดเวลานั้น ท่านเองมีไม้ทั้งท่อนอยู่ในตา 5 เจ้าคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาเจ้าเองก่อน แล้วเจ้าจะเห็นชัด เพื่อจะเขี่ยผงออกจากตาของพี่น้องได้”

            อย่าลืมว่าพระเยซูกำลังพูดกับคนยิว โดยเฉพาะตอนนี้กำลังพูดกับคนที่ยิวไม่เชื่อและเย่อหยิ่ง จนกระทั่งพระองค์ทรงเรียกเขาว่าผู้ที่หน้าซื่อใจคด เพราะยังเคร่งเครียดรักษาบทบัญญัติในพันธสัญญาเดิมอยู่ ยังไม่ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็คอยที่จะชี้นิ้วตัดสินคนอื่น  ตามมาตรฐานของตนที่ตนทำได้ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่ามันบาปเท่าๆ กันนั่นแหละ แต่เขาเย่อหยิ่ง เคร่งครัดในการรักษาบทบัญญัติ เขานึกว่าเขาทำได้ดีกว่าคนอื่น เขาก็เริ่มชี้นิ้ว ชี้ปั้บ พระเยซูกำลังบอกว่าเวลาเขาชี้นิ้วไป อีก 3 นิ้วมันเข้ามาหาเขา แค่นี้เอง 5 ข้อนี้ มีอยู่แค่นี้

            พระองค์กำลังบอกว่าพวกหน้าซื่อใจคด ไม่ได้ดุว่าเขานะ กำลังชี้ให้เขาเห็นว่าหน้าซื่อใจคด เขาคิดจริงๆ เขาก็จะรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ ภาษาไทยเขาเรียกว่า “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” แล้วแถมเป็นหนักกว่าด้วย คนอื่นเอาไปนิ้วเดียว ตัวเองเอามา 3 นิ้วเลย เมื่อเขาตัดสินคนอื่นอย่างนั้น เขาชี้ตัวเอง เขาจะได้รับอย่างนั้น คือหนักกว่าคนอื่น โอกาสที่จะรอดพ้น จากความบาป มีน้อยกว่าเพราะเขาเย่อหยิ่งไง ความเย่อหยิ่ง ทำให้เราตัดสินคนอื่น ชี้คนอื่น เพราะมันอดไม่ได้ เพราะข้างในเป็นคนบาปอยู่ ต่อให้ข้างในไม่เป็นคนบาปก็ตาม ต่อให้เป็นคริสเตียนแล้วก็ตาม ข้างในไม่ได้ต้องการทำอย่างนี้ก็ตาม แต่เรายังถูกหลอกได้ โดยโปรแกรมเก่าๆ เขาเรียกว่าความคิดแบบเนื้อหนัง ซึ่งต่อต้านพระเจ้า  ยังสามารถมีโปรแกรมเก่านี้ เร้าให้เราคิดแบบนี้ได้เช่นเดียวกันว่าเราดีกว่าคนอื่น เราอธิษฐานมากกว่า เราถวายทรัพย์มากกว่า เรามีความเชื่อสูงกว่า เราอันโน้นอันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โฮลี่เนื้อหนังเลย เนื้อหนังแบบบริสุทธิ์ เช่น …

            “พระเจ้าโปรดปรานฉันเยอะกว่า”

            อดไม่ได้ “เพราะฉันไม่เคยทำบาปเลย ไม่เคยทำผิดเลย นี่พวกนี้ เป็นคริสเตียนยังกินเหล้าอยู่เลย เป็นคริสเตียนยังไม่บริสุทธิ์ ไม่โฮลี่ ฉันโฮลี่กว่า พระเจ้าโปรดปรานฉันมากกว่า”

             แล้วเราก็ไปชี้นิ้วเขาบอกว่า … “คุณต้องทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ๆ ทำให้เหมือนฉันทำ” โดยอาจจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่จริงๆ คือเอาตัวเองไปเทียบ นี่พูดเลยมาถึงคริสเตียน แต่ตอนนี้กำลังพูดถึงชาวยิว มันเป็นอย่างนี้ เพราะเขามัวแต่ทำอะไร? เคร่งเครียดรักษาบทบัญญัติ ก็คือมัวแต่พึ่งพาตนเองอยู่ จนกระทั่งตาบอด เห็นความประพฤติ การรักษาบทบัญญัติของตนเองเป็นพระเจ้าของเขา พระเยซูจึงบอกว่าท่านจะเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย มันเป็นไปไม่ได้ ท่านจะพึ่งตนเองและพึ่งพระเจ้าด้วย พร้อมๆ กันไม่ได้ เพราะพระเจ้าจะมีองค์เดียวเท่านั้น คือท่านนับถือใคร? ก็คือคนนั้นแหละ ท่านนมัสการใคร? ก็คือคนๆ นั้นแหละ ท่านนมัสการตนเอง นมัสการความดีงาม นมัสการบัญญัติ ก็บัญญัติต่อไปเคร่งตลอดไป ถ้าท่านนมัสการพระเจ้า ท่านก็จะได้พระคุณ พึ่งในพระเจ้า

            ตรงนี้พระเยซูกำลังพูดกับคนยิวที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว แล้วอ่านข้อความเหล่านี้ ตีความว่าพระเยซูกำลังพูดกับเรา ให้เราพยายามทำตามนี้ อย่างเคร่งครัดด้วย มีคริสเตียนคิดอย่างนี้ไหม?  อ่านแล้วมีความรู้สึกว่าพระเยซูกำลังพูดกับเรา ให้เราพยายามทำตามนะ อย่างเคร่งครัด ก็คือให้เราพึ่งตนเอง พยายามทำให้ได้ อย่าไปตัดสินคนอื่นนะ เราก็จะพลาดจากความหมายที่แท้จริง ที่พระเยซูกำลังประกาศนี้ ซึ่งถ้าเราได้รับรู้ความหมายที่แท้จริง ก็จะเป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา ซึ่งเป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว  เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราในการดำเนินชีวิตต่อไป อย่างหายเหนื่อยและเป็นสุข ถ้าเราไปตีความผิด ไม่ใช่หายเหนื่อยและเป็นสุข แต่มันเหนื่อยมากขึ้น

            มาเชื่อพระเจ้าไหนบอกหายเหนื่อยและเป็นสุข  ทำไมมาเชื่อพระเจ้าแล้วมันเหนื่อยมากขึ้น เห็นป้ายหน้าโบสถ์เขียนไว้ว่า “จงมาหาเรา เจ้าจะหายเหนื่อยและเป็นสุข” เรามาหาพระเยซู มันเหนื่อยมากขึ้น แต่ที่เราอ่านทั้งหมดนั้น มันเป็นข้อความ สำหรับคนที่ทะนงตนเย่อหยิ่งในการพึ่งพาตนเอง

            คนที่ทะนงตน พึ่งพาตนเอง ก็จะตีความหมายว่า … “ฉันต้องทำให้ดีที่สุด ให้พระเจ้าเห็นว่าฉันทำได้ตามนี้  ตามที่พระเยซูสอนเมื่อตะกี้นี้ ฉันจะทำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้พระเจ้ามีความโปรดปรานพอใจในฉัน ยิ่งฉันทำเยอะ ก็จะได้ความโปรดปรานจากพระเจ้ามาก”

            แต่สำหรับคนที่ถ่อมใจ รับรู้ถึงพระคุณพระเจ้าแล้ว เมื่อได้อ่านข้อความเดียวกันนี้  ก็จะขอบคุณพระเจ้าอย่างมากมาย ที่มาตรฐานในการดำเนินชีวิตอย่างนี้ อย่างที่พระเยซูกำลังประกาศอยู่นี้ ฉันได้รับทั้งหมด เรียบร้อยแล้ว โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน ฉันก็ขอบคุณพระเจ้าอย่างมากที่สุด ในสิ่งนั้น  เพราะฉันไม่มีทางที่จะทำเองได้เลย ซึ่งเป็นคำแสดงการถ่อมใจอย่างแท้จริงนั่นเอง

            ถ่อมใจ ก็คือขอบคุณพระเจ้า นี่ไม่ได้พูดถึงฉัน เพราะฉันทำไม่ได้หรอกตามนี้ เพราะพระเยซูกำลังประกาศในสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ ไม่ใช่ให้มนุษย์ทำ กำลังพูดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือพูดว่าท่านทำไม่ได้หรอก ทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่ได้ ไม่ใช่สอนว่าให้ท่านทำนั่นเอง ถ้าเราตีความผิด มันก็จะยุ่งนะ มัทธิว 7:6 ต่อไป …

        มัทธิว 7:6 “อย่าให้ของบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกร มิฉะนั้น มันจะเหยียบย่ำไว้ใต้เท้า แล้วหันมาฉีกท่านเป็นชิ้นๆ”

            ตอนนี้พระเยซูกำลังแนะนำล่วงหน้าให้กับเหล่าสาวกที่จะเชื่อพระองค์ในอนาคตอันใกล้นี้

            “ของบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์” ตรงนี้หมายถึงพระมาซิฮาห์ สั้นๆ ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณ ในพระเยซูคริสต์ ก็คือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ก็คือ DNA ทางฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งจะได้รับแค่วางใจในพระบุตร วางใจพระมาซิฮาห์  ก็ได้บังเกิดใหม่ จาก DNA ทางวิญญาณของพระเจ้า บริสุทธิ์  DNA วิญญาณของพระเจ้า หน่อเชื้อที่มาจากพระเจ้า ทำให้เราบังเกิดใหม่ มันบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ตรงนี้ คือความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูกำลังพูดถึง อย่าไปเอาชีวิตนิรันดร์นี้ให้กับใคร?

            เรามาดูสิ ในหนังสือพันธสัญญาใหม่ ได้มีบันทึกไว้ บอกเราว่าสุนัขย้อนกลับมากินอาเจียนของตนเอง ถูกไหม? ย้อนกลับมากินสิ่งที่มันสำรอกออกมา และสุกรหรือหมู ก็กลับไปหมกมุ่นอยู่กับโคลนตม เอาหมูมาล้างให้สะอาดๆ ปล่อยปุ๊บ มันวิ่งไปหาโคลน เป็นธรรมชาติของเขา เปรียบเหมือนคนที่ได้ยินข่าวประเสริฐ ตามบริบทนี้ ก็หมายถึงคนยิว ซึ่งรับรู้เรื่องราวข่าวประเสริฐ เรื่องมาซีฮาห์มาก่อนหน้าแล้ว ก่อนพระเยซูจะมาประกาศ เขาก็ได้รู้เยอะแยะจากบรรพบุรุษแล้ว  ได้รับรู้ และรู้เรื่องราวของข่าวประเสริฐ แห่งพระคุณของพระเจ้านี่แล้ว  แต่พอได้ยิน ได้เห็นกับตา ตามที่พระเยซูได้ประกาศ ได้กระทำให้เห็น แต่ปฏิเสธ ไม่รับข่าวดีนี้  ไม่รับชีวิตนิรันดร์อันบริสุทธิ์นี้ กลับไปหาบทบัญญัติของโมเสสเหมือนเดิม กลับไปรักษาบทบัญญัติ กลับไปหาชีวิตเดิมที่เป็นคนบาป สกปรก มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป กลับไปพึ่งพาตนเอง ที่จะทำให้ตนเองเป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากความบาป โคลนตมนั้น โดยการประพฤติตามบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด ซึ่งพระเยซูบอกว่าไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังดื้อ ยังเย่อหยิ่ง ปฏิเสธข่าวประเสริฐของพระเจ้า ปฏิเสธของบริสุทธิ์ ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าที่ให้มา ที่ให้ฟรีๆ นี่หมายถึงตรงนี้

            และพระเยซูก็เลยประกาศว่าให้สาวกมีท่าทีอย่างไร? ในอนาคต สาวกก็รู้ เพราะประกาศให้กับคนเหล่านี้ พวกฟาริสี พวกเย่อหยิ่งเหล่านี้ แว้งมากัด ก็คือกลับมาข่มเหงผู้ประกาศ คือสาวกเอง เพราะฉะนั้น พระเยซูบอกว่าพอประกาศ พอได้กลิ่น พอสังเกตดูว่าคนที่เราประกาศอยู่นั้น ว่าเป็นสุนัขหรือเป็นสุกร ก็ให้เดินผ่านไปเลย อย่าไปยุ่ง อย่าไปเสียเวลา แค่นั้นเอง ต่อไปข้อ 7-8 …

        มัทธิว 7:7-8 “7 จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงหาแล้วท่านจะพบ จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน 8 เพราะทุกคนที่ขอ ก็ได้รับ คนที่แสวงหาก็พบ และคนที่เคาะประตูก็จะเปิดให้แก่เขา”

            อันนี้สำคัญมาก มีคนเอาไปใช้เยอะแยะมากมายไปหมดเลย แต่ใช้แบบผิดๆ ใช้แบบอันตราย เสียหาย ถึงชีวิตของเขาเอง และเสียหายต่อข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้วย มีคนเข้าใจผิด พระเจ้าเยอะแยะ เพราะเรื่องนี้

            ในช่วงเวลาที่พระเยซูกำลังประกาศข่าวประเสริฐอยู่นี้ ประโยคนี้ คือก่อนที่จะทรงกระทำให้สำเร็จในข่าวประเสริฐ คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 แต่พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่าพวกเขาจำเป็น ต้องเริ่มต้นแสวงหาตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย แม้ว่าสวรรค์ยังไม่มาตั้งอยู่กำลังมา แม้ว่าหนทางแห่งความเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแบบฟรีๆ แบบพระคุณยังไม่สำเร็จ แต่กำลังจะสำเร็จอีกไม่กี่ปี ไม่กี่วันข้างหน้านี่แหละ พวกเขาจะต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เริ่มต้นทำอะไร? แสวงหาอย่างต่อเนื่องด้วย เพราะว่าในข้อความนี้ ในภาษาฮีบรู มีความหมายว่า …

            “จงขอ แล้วขออยู่เรื่อยๆ อย่าหยุด จงหา แล้วก็หาอยู่อย่างต่อเนื่อง จงเคาะ แล้วก็เคาะไปเรื่อยๆ”

            หมายถึงเคาะไม่หยุด จงเคาะไปเรื่อยๆ เพราะว่าสวรรค์ที่พระองค์กำลังพูดนี้ กำลังอยู่ใกล้ๆ นี้แล้ว อาจจะอีกสัก 2 ปีนี้  หรืออีกแค่อาทิตย์หนึ่ง พระองค์จะทำให้สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น ฟังที่พระองค์ประกาศ ดูที่พระองค์ทำ  และอย่าหยุดในการแสวงหา อย่างต่อเนื่อง โดยพระองค์ได้บอกเบาะแสให้ว่าจะหาให้พบได้อย่างไร? ด้วยวิธีใด? เคล็ดลับ ก็คือวางใจในพระองค์ ที่พระเจ้าได้ส่งมา แค่นั้น เพื่อท่านจะได้บังเกิดใหม่ เข้าอยู่ในสวรรค์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เป็นบุตรของพระเจ้าเลย อย่างนี้แหละ จ้องอยู่ตรงนี้ จ้องอยู่ที่เราบอกกับท่าน แล้วก็จ้อง อย่าหยุดจ้อง

            สมมติว่าได้ยินได้ฟังตั้งแต่ปีแรก จ้องไปถึง 3 ปี จนกระทั่งพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละเอเมนทันทีเลย คนเหล่านั้น 120 คน บนห้องชั้นบน วันโน้น และอีก 3,000 คนในวันแรก อะไรประมาณนั้น คงเป็นคนที่จ้องมาตลอด แสวงหามาตลอด

            พระเยซูกำลังพูดให้กับชาวยิว ผู้ที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ เพราะพระเยซูยังกระทำการงานไม่สำเร็จบนไม้กางเขนเลย ไม่มีคริสเตียนเลยสักคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น ไม่ได้พูดถึงคริสเตียนเลยตอนนี้ แล้วคริสเตียนเอามาใช้ได้อย่างไร? นี่คือประเด็นสำคัญ ที่ทำให้สับสน สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ไปเอามาใช้ ประเด็นสำคัญ คือไม่ได้พูดกับ คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว สักนิดหนึ่งเลย เดี๋ยวเราจะอ่าน ให้เห็นชัดเลย ในข้อที่ 9-11

            ในข้อ 11 บอกว่า … “ถ้าแม้ท่านเอง ซึ่งเป็นคนชั่ว” ในบริบทเดียวกัน  ถ้าเป็นคริสเตียน จะเป็นคนชั่วได้อย่างไร? ถ้าเป็นคริสเตียน เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม แต่นี่เป็นคนชั่ว ท่านจะเป็นคนชั่วเหรอ  เอาแค่ 2 ข้อนี้ ข้อ 7 และข้อ 8 คริสเตียนที่มาใช้ส่วนตัวว่าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราขอ แล้วเราจะได้  เราหาแล้วจะพบ เราขอไปเรื่อยๆ อัดไปเรื่อยๆ หาแล้วจะพบ เคาะแล้วจะได้ อย่าหยุดเคาะนะ ถึงขนาดแปลอย่าหยุดเคาะว่าเราอย่าหยุดอธิษฐาน วิงวอนต่อพระเจ้า ถึงขนาดเขย่าบัลลังก์เลย เขย่าน้อยไป เขย่าเยอะๆ หน่อย อะไรประมาณนั้น ต้องทำอย่างนี้ เขย่าน้อยไป อดอาหารเขย่า เคยได้ยินคำสอนอย่างนี้ไหม?

            พระองค์ไม่ได้มาสอนผู้ที่เชื่อแล้ว ให้เคาะ ให้หา ให้ขอ แต่พระองค์กำลังพูดกับคนที่ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ กำลังแสวงหาวิธีเข้าสวรรค์อยู่ บอกเขาว่าให้กระทำอย่างนี้ และโดยเฉพาะตอนนี้ พูดให้กับชาวยิว ชัดเจนเลย  เพราะชาวยิวเขารู้ระแคะระคายไปแล้วว่า พระมาซีฮาห์ คือผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ และทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ในอดีต  ตอนนี้มาถึงแล้ว เพ่งดูให้ดีๆ กำลังจะมาแล้ว ไม่นานนี้ ขอสิ แสวงหาสิ เคาะสิ เพื่อจะได้พบกับพระมาซีฮาห์ตัวจริง เพื่อที่จะได้บังเกิดใหม่ เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ท่านจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราประกาศไปให้ท่านฟังทั้งหมด พูดให้ท่านฟังทั้งหมดใน 3 ปีมันคืออะไร? มันจะตอบโจทย์ท่านเมื่อวันที่พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขนและเป็นขึ้นจากความตายนั่นแหละ ไม่ได้พูดให้ท่านไปขอ เพื่อเอาความร่ำรวย ไม่หายโรคก็พยายามอธิษฐาน พระเยซูบอกให้เคาะๆ แล้วจะได้ ได้ไหม? ไม่ต้องมีหมอ ไม่ต้องมีโรงพยาบาลแล้ว  ท่านอยากรวย ทำอย่างไร? ขอสิ อย่าหยุด เพราะข้อพระคัมภีร์นี้บอกอย่าหยุดขอ ให้ขออย่างต่อเนื่อง จ้องไปเลยตลอดเวลา จ้องไปเลยอยากจะรวย ขอให้กิจการเจริญเติบโตรุ่งเรืองๆ ร่ำรวยๆ อย่าหยุดๆ แล้วได้ไหมล่ะ ป่านนี้ โบสถ์คริสเตียนทุกโบสถ์วันอาทิตย์ รอคิวเข้า ยิ่งกว่าร้านอาหารดังๆ อีก มีไหมโบสถ์ทุกโบสถ์ยืนรอคิวเข้าไหม? หรือต้องออกไปประกาศ ให้คนมาโบสถ์

            ถ้ามันได้อย่างนั้นจริง คนแห่กันมาหมดแล้ว มันถูกหลอกมากกว่า ต้องพูดเยอะหน่อย ไม่งั้นเสียหาย มันถูกหลอก  ขนาดคนที่ไม่เชื่อ เขามองเข้ามาเขายังบอกพวกนี้เพี้ยนไปแล้ว เขาก็พูดของเขาง่ายๆ …

            “ถ้ามันได้อย่างที่พวกนายกำลังทำอยู่นี้ ก็ไม่ต้องมีโรงเรียน ไม่ต้องมีการทำมาหากินแล้ว วันๆ หนึ่ง ก็นั่งขอๆ รวยกันหมดทุกคนแหละ วันหนึ่งๆ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ก็ขอๆ เคาะๆ ไม่ต้องมีโรงพยาบาลแล้ว แข็งแรงกันหมดทุกคน”

            มันไม่ใช่ แต่มันเป็นความคิด เป็นเนื้อหนังของมนุษย์ทั่วๆ ไปที่อยากจะได้สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องธรรมดา  แล้วมันได้ไหม? มันไม่ได้ มันเป็นกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ว่ามนุษย์ตกอยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง ร่างกายมันเสียหายไปแล้ว โลกใบนี้มันเสียหายไปแล้ว ต้องได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จากกฎระเบียบของโลกใบนี้ ที่ล้มลงไปในความบาป เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่จะต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ร่างกายต้องเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา อะไรประมาณนั้น นี่แหละ ต่อไปข้อ 9-11 …

        มัทธิว 7:9-11 “9 ใครบ้างในพวกท่าน ถ้าบุตรขอขนมปัง จะให้ก้อนหิน 10 หรือถ้าบุตรขอปลา จะให้งูแก่เขา 11 ถ้าแม้ท่านเอง ซึ่งเป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้สิ่งดีๆ แก่บุตรของท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะประทานสิ่งดีแก่บรรดาผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์ ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด”

            ฉะนั้น ถ้าคริสเตียนคนใดที่จะเอาข้อ 7-8 ไปใช้ ก็อยากให้ท่านแถมข้อ 11 ไปด้วย ถ้าท่านคิดว่าขอแล้วจะได้ หาแล้วจะพบ เคาะแล้วจะเปิดให้กับท่าน เป็นคริสเตียน ขออะไร? อยากได้อะไร? ก็ได้ ท่านต้องบวกอย่างนี้ ไปด้วย คือข้อ 11 ท่านเป็นคนชั่ว ท่านจะรู้เองว่าท่านจะเชื่อข้อ 7 ข้อ 8 ไหม? เป็นของท่าน ถ้าท่านเชื่อว่าข้อ 7 ข้อ 8 เป็นของท่าน ข้อ 11 ก็ต้องเป็นของท่านด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ ตอนนี้พระเยซูกำลังพูดถึงว่าท่านวางใจในเรา ท่านจะได้บังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะได้เป็นลูกของพระเจ้า ท่านจะเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาได้ เป็นลูกพระเจ้าท่านจะได้วางใจในพระเจ้าได้ ทั้งหมดเลย เพราะพระเจ้าทรงรักท่านมาก ตรงนี้แค่นี้เอง ท่านจะได้เป็นบุตรของพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ซึ่งเป็นพ่อของท่าน เพียงแค่ท่านวางใจในเราเท่านั้นเอง ท่านก็สามารถมีพ่อที่เป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ซึ่งได้เปรียบเทียบกับชีวิตของมนุษย์ว่าท่านเองเป็นพ่อเป็นแม่เขา ท่านรู้ดีว่าท่านรักลูกขนาดไหน? ขนาดท่านไม่รู้จักพระเจ้ายังไม่ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ วิญญาณท่านเป็นคนบาปอยู่ ท่านยังรู้จักรักลูก ยังให้ของที่ดีๆ กับลูกเลย แล้วพ่อที่อยู่ในสวรรค์ ที่ตอนนี้ท่านเป็นลูกของพระองค์แล้ว ในอนาคตถ้าท่านวางใจในเรา ท่านวางใจในพระเจ้าได้เลย พระองค์ทรงดีเลิศ จะพาท่านไปสู่ชีวิตที่ดีงามมากมาย

            พระองค์กำลังพูดให้พวกเขามีความรู้ถึงสิ่งที่เขาได้รับในการวางใจในพระบิดา คือวางใจในพระเยซูคริสต์ก่อน เขาจะได้ชีวิตที่ประเสริฐมาก ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้ารักมากๆ วางใจในพระเจ้าได้  ข้อ 12 …

        มัทธิว 7:12 “ฉะนั้น ในทุกสิ่งจงทำต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านอยากให้เขาทำต่อท่าน เพราะนี่ สรุปสาระของหนังสือบทบัญญัติ และหนังสือผู้เผยพระวจนะ”

            “สาระของหนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะนี้” คือเรียนรู้มาตั้งแต่บทที่ 6 แล้ว ก็คือมนุษย์ทุกคนล้วนอยู่ในสถานะเดียวกัน คือเป็นคนบาป เป็นคนป่วย และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า ก็คือหนังสือบทบัญญัติเหล่านี้ พระองค์มีไว้ เพื่อบอกว่ามนุษย์นั้นอ่อนแอ มนุษย์นั้นเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จำได้ใช่ไหม? บทบัญญัติมีไว้ เพื่อเป็นกระจกส่องว่าท่านสกปรก ท่านเป็นคนบาป แค่นั้นเอง

            เพราะฉะนั้น ท่านต้องการการช่วยเหลือจากใคร? ใครก็ช่วยท่านไม่ได้ ก็คือท่านต้องการรับการช่วยเหลือ จากพระเจ้า ท่านป่วยอยู่ นี่บทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะ ได้พูดถึง หมายถึงตรงนี้ สาระสำคัญของสิ่งนี้ ก็คือท่านต้องการความช่วยเหลือ ท่านช่วยตัวเองไม่ได้ ท่านป่วยอยู่ ในชีวิต ท่านต้องการอะไรจากพระเจ้า? ท่านต้องการความรัก ความเมตตา การอภัย ความช่วยเหลือ จากพระเจ้าเท่านั้น ท่านถึงจะรอดได้ แล้วท่านต้องการจริงๆ แล้วพระเจ้า ก็อยากให้ท่านจริงๆ

            ฉะนั้น ท่าทีของท่าน ก็คือท่านก็ต้องทำอย่างนี้กับคนอื่นเหมือนกัน ใครก็ตามที่รู้ตัวเองว่าตัวเองด้อย ตัวเองป่วย ตัวเองต้องการการช่วยเหลือ จากพระเจ้า ก็จะแสวงความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาก็จะมีความรู้สึกเดียวกันนี้กับคนอื่นๆ เขาก็จะไม่ชี้ ไม่ว่าทับถมคนอื่น ไม่กล่าวหา ไม่ตัดสินคนอื่นว่าเลวกว่า แต่เขาจะให้ความรัก ความเมตตา การอภัย และให้ความช่วยเหลือกับคนอื่นๆ เหมือนกัน เพราะว่าในใจ เขาก็ต้องการจากพระเจ้าเหมือนกัน  ท่านพอเข้าใจใช่ไหม? เขาก็จะรู้จิตใจของคนอื่นว่าคนอื่นก็ต้องการเช่นเดียวกันกับเขานั่นแหละ

            พระเยซูกำลังบอกว่าฉะนั้น จงให้คนอื่น เหมือนกับที่ตัวท่านอยากได้ ท่านอยากได้อะไร ท่านก็ให้คนอื่นอย่างนั้น ถ้าเรารู้ตัวว่าเราป่วย เราต้องการหาหมอทางวิญญาณ ต้องการพระเจ้า ต้องการความรักจากพระเจ้า ต้องการการอภัยจากพระเจ้า พอเราต้องการอย่างนี้ปุ๊บ พระเยซูบอกว่าจงทำอย่างนี้ จงนึกถึงมนุษย์คนอื่น เขาก็อยากได้อย่างนี้จากเราเหมือนกัน เราก็จะปฏิบัติต่อเขาแบบนี้ ก็จะให้ความรัก การอภัย การช่วยเหลือเขา แต่ถ้าเราเย่อหยิ่งจองหอง  เราไม่สนใจพระเจ้า แล้วเราบอกเรายืนอยู่ด้วยตัวเราเองได้ เราก็จะตัดสินคนอื่นว่าคุณก็ควรจะยืนอยู่ด้วยตนเองได้ เราก็จะไม่ให้ความรัก ไม่ให้การอภัย ไม่ให้การช่วยเหลือกับเขา ให้เขาช่วยตัวเองให้ได้ พอเข้าใจใช่ไหม? พระเยซูกำลังพูดอย่างนี้

            สรุปในวันนี้ ในข้อความเหล่านี้ พระเจ้ากำลังบอกเราผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผ่านทางชุมชนชาวยิว ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าเลยว่าพระเจ้าต้องการให้มนุษย์เลือกทางที่จะไปอยู่สวรรค์กับพระองค์ คือจะพึ่งพาตนเอง หรือจะพึ่งพระเยซูคริสต์ หรือวางใจในพระเยซูคริสต์ มีสองทางให้เลือก คือทางของมนุษย์กับทางของพระเจ้า  มันมีแค่นี้เองในโลกใบนี้ ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่บอกจะไปสวรรค์ๆ มีอยู่แค่ 2 ทาง ทางหนึ่ง ก็คือทางที่มนุษย์คิด ก็ว่ากันไป อีกทางหนึ่ง คือทางของพระเจ้า พระเจ้าคิดอย่างไร?

            ทางของมนุษย์ทั่วๆ ไปทั้งหมด ก็คือทำดี สะสมความดีก่อน เพื่อจะได้ไปสวรรค์ ถูกไหม?

            แต่ทางของพระเจ้า คือได้อยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วจึงสะสมทำดีทีหลัง … แตกต่างกัน

            ความคิดของมนุษย์ คือประพฤติตนเองให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เพื่อจะไปสวรรค์

            ความคิดของพระเจ้า คือทำให้เจ้าบริสุทธิ์ ดีพร้อมอยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วเราจะฝึกฝนเจ้าให้ประพฤติสมกับที่บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้วนั้น ก็คือพระเจ้าจะเข้าไปสถิตอยู่กับเรา เมื่อเราบังเกิดใหม่ แล้วจะนำพาเรากระทำความดีต่อไป เอเมนไหม?

            เพราะฉะนั้น ทางไปสวรรค์ของมนุษย์ ก็คือการพึ่งพา การกระทำของตนเอง แต่ทางไปสวรรค์ของพระเจ้า คือพึ่งพาการกระทำของพระมาซิฮาห์ คือพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ในยอห์น 3:16 ที่เรารู้จักกันดี บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียว คือพระมาซีฮาห์ ของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระเมสิยาห์นั้น จะไม่พินาศ (วิญญาณตายอยู่ในบาป) แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์” (ได้บังเกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้าเลย ทันทีที่วางใจนั้น)”

            “เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” เงื่อนไขมีอันเดียว คือวางใจ วางใจตลอด วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าเจิมตั้งเอาไว้  ดังนั้น จงกลับใจเสียใหม่

            พระเยซูคริสต์ได้พูดตรงนี้อยู่เรื่อยๆ ประกาศ 3 ปีนี้จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายเลยนะ แม้กระทั่งพูดกับสาวกใกล้ชิด รวมทั้งยูดาสที่จะทรยศ พระองค์ด้วย คือตั้งใจให้เขากลับใจใหม่ ดังนั้น จงกลับใจเสียใหม่ หันมาวางใจ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เพราะยูดาสไม่ได้พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เขาพึ่งพาในความคิดของเขาเอง ความสามารถของเขาเอง เขาเรียกว่านักรบกู้ชาติ อิสราเอลไปสู้รบกับโรม เขาคิดว่าพระเยซูจะมาเป็นหัวหน้าของเขาอะไรต่างๆ เหล่านั้น เขาพึ่งพาในตนเอง เขาไม่ได้พึ่งพาในพระเยซู พระมาซีฮาห์จริงๆ  เพราะพระมาซีฮาห์มาเพื่อช่วย เกี่ยวกับทางโลกวิญญาณเท่านั้น

            ดังนั้น จงกลับใจเสียใหม่ หันมาวางใจ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ ท่านบังเกิดใหม่แล้ว หลังจากนั้น พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่กับท่าน แล้วก็เข้ามาสอน มานำพาให้ท่านกระทำความดี ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ให้สมกับใจอยากเลย  เพราะมนุษย์ทุกคนอยากจะทำดีอยู่แล้ว แต่มันทำไม่ได้ แต่พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วย แล้วก็เปลี่ยนหัวใจให้ท่านใหม่ เปลี่ยนวิญญาณท่านใหม่  แล้วเข้ามาสถิตอยู่ด้วย พาท่าน ให้กำลังกับท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามทางความดีของพระองค์ เอเมนไหม?

            เพราะฉะนั้น ต้องร้องบทเพลงนี้ วางใจพระเจ้าและทำความดี อะไรมาก่อน วางใจพระเจ้าก่อน แล้วก็ทำความดีทีหลัง ถ้าเราทำดีก่อน เพื่อที่จะไปสวรรค์ เราก็จะไม่เห็นพระเจ้าเลย เราก็จะเห็นแต่ตัวเราเอง  เห็นแต่การกระทำของตนเอง แล้วก็กระทำไม่ได้ด้วย ในที่สุด เราก็ต้องล้มลง แต่ถ้าเราวางใจในพระเจ้า เราไปอยู่ในสวรรค์แล้ว แล้วพระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ชีวิตเราเปลี่ยนไป วิญญาณเปลี่ยนไป ธรรมชาติในวิญญาณของเราสะอาดดีพร้อม พระเจ้าก็จะนำเราทำดีให้สมกับเป็นบุตรของพระองค์ที่บริสุทธิ๋ ดีพร้อมแล้วนั้น เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ  มิใช่ตามที่ตามองเห็น”

            ในขณะที่เราจำเป็นต้องทนทุกข์ยากลำบาก  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ชั่วขณะหนึ่งนั้น พระเจ้าต้องการให้เราพักหายเหนื่อยและเป็นสุขในพระเยซูคริสต์  พระองค์จะดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้กับเราเอง  ด้วยฤทธิ์อำนาจและความรักของพระองค์  ที่มีต่อเราลูกของพระองค์  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราก็ตามพระองค์ทรงอยู่ภายในเรา  ทรงนำและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่

            ดังนั้น  ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห่วง  ไม่ต้องกระวนกระวาย ไม่ต้องกลัว  พระเจ้าสามารถนำพาเราผ่านได้แน่นอน

            ให้ไว้ใจและเชื่อในถ้อยคำสัญญาของพระองค์ และดำเนินชีวิตจากภายในใจใหม่ที่พระองค์ทรงประทานให้แล้ว  ที่เต็มไปด้วยความเชื่อนี้ ด้วยการ …

            1 เธสะโลนิกา 5:16-18 … “16 มีความสุข และมีความชื่นชมยินดี ภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 หมั่นอธิษฐาน  ติดต่อสื่อสารพูดคุยอย่างใกล้ชิด  พระเจ้าผู้เป็นพ่อที่รักเรามากอยู่เสมอ 18 ขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี  ไม่ว่าสถานการณ์ (ที่มองเห็นจับต้องได้  ที่ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกได้) จะเป็นเช่นไร (จะรู้สึกดีหรือไม่ดีก็ตาม) ก็ขอบคุณพระเจ้า  เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า  สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่ (ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์) อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในบ้านของพระองค์  คือสวรรค์แล้วขณะนี้”

            เพราะผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  จะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น

            2 โครินธ์ 5:7 …  “เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ  มิใช่ตามที่ตามองเห็น”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1386 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  ตุลาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 17

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 3 ข้อที่ 4 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 3:4-6 “4 เมื่อท่านอ่านแล้ว จะสามารถเข้าใจถึงความรู้แจ้งของข้าพเจ้า ในข้อลี้ลับของพระคริสต์ 5 ซึ่งในยุคก่อนๆ ไม่ได้ทรงเปิดเผยแก่มนุษย์ เหมือนที่บัดนี้ ทรงสำแดงโดยพระวิญญาณแก่เหล่าอัครทูต และผู้เผยพระวจนะผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า 6 ข้อลี้ลับนี้ คือโดยทางข่าวประเสริฐนั้น คนต่างชาติก็เป็นทายาทร่วมกับชนอิสราเอล เป็นอวัยวะร่วมในกายเดียวกัน และเป็นผู้มีส่วนร่วมในพระสัญญาในพระเยซูคริสต์”

            ในหนังสือเอเฟซัส ตั้งแต่เริ่มบทที่ 1 อาจารย์เปาโลได้พูดถึงความลี้ลับที่พระเจ้าได้ทรงมีแผนการไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วว่าพระองค์จะประทานพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระมาซีฮาห์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่จะช่วยมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ให้สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้  ดังนั้น แผนการตรงนี้ตั้งแต่เริ่มต้น พระเจ้าก็ทรงเลือกชนชาติหนึ่งขึ้นมา คือชนชาติอิสราเอล ที่เรารู้จักกัน ที่เรียกว่าชนชาติยิว เป็นแบบอย่างของความรอด  โดยผ่านทางความเชื่อ ให้กับมนุษยชาติก่อน ก็คือเลือกพวกยิวก่อน เพราะเหตุที่พระองค์ทรงเลือกพวกยิวก่อน พวกยิวก็เลยมีความรู้สึกภาคภูมิใจ  เหมือนเป็นอภิสิทธิ์ชน พระเจ้าเลือกสรรเขา

            ฉะนั้น เขาก็จะมองคนต่างชาติ ซึ่งไม่ใช่ยิว เป็นเหมือนคนละระดับ หรือในความคิดของคนยิว เขาถือว่าคนต่างชาติ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ซึ่งใช้ไม่ได้เลย เป็นคนบาปที่พระเจ้าไม่เลือกเขา อะไรอย่างนี้ แต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าได้เปิดเผย ให้เราเห็นชัดเจน ก็คือพระเจ้าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว เป็นแผนการลี้ลับ ที่พระเจ้าปิดเอาไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น ในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าก็ปิดซ่อนไว้ ไม่ให้คนรับรู้ แม้แต่คนยิว เขาก็ไม่รับรู้เรื่องนี้เลยว่าพระเจ้าเลือกคนต่างชาติด้วย เขายังเข้าใจผิดมาตลอดเลย ทุกยุคทุกสมัย จนถึงยุคของพระเยซูคริสต์ที่พระเยซูมาประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า คนยิวก็ยังเข้าใจผิดในเรื่องนี้อยู่ว่าเขาเป็นชนชาติเดียวเท่านั้น ที่มีอภิสิทธิ์ หรือเขาเรียกว่าอภิสิทธิ์ชนนั่นแหละ เป็นประเทศเดียวที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ซึ่งคนอื่นไม่เกี่ยว ไม่สามารถมารับความรอด ผ่านทางพระเจ้าได้  ไม่สามารถเป็นประชากรของพระเจ้าได้ นี่คือสิ่งที่คนยิว เขาคิดมาตลอด  แต่พระเยซูบอกหรือเผยให้กับคนยิวได้รับรู้ผ่านทางอัครทูต คือผ่านทางเปาโล

            ตอนที่พระเยซูมาประกาศ  ช่วงเวลานั้น ที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ เดินอยู่ท่ามกลางคนยิว 3 ปีกว่า พระองค์ประกาศกับคนยิวจริงๆ ก็คือคนต่างชาติไม่เกี่ยว คนต่างชาติอาจจะมาฟังบ้าง? อะไรบ้าง? แต่เป้าหมายหลักของพระเยซูคริสต์ ก็คือประกาศกับคนยิว แล้วเราจะเห็นในหนังสือพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม มัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น เป็นการประกาศของพระเยซูคริสต์กับคนยิวเท่านั้น ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับผู้เชื่อในปัจจุบัน คือพวกเราไม่เกี่ยวกันเลย  แต่เราเข้าใจผิดมาตั้งแต่อดีต มาจนถึงปัจจุบัน จนถึง ณ เวลานี้ เราเคยเข้าใจผิดมาตลอด คิดว่าพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม ที่พระเยซูตรัสสั่งว่า “จง” อย่างนี้ “จง” อย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น เป็นการสั่งให้คริสเตียนหรือผู้เชื่อในปัจจุบันทำ แต่ความเป็นจริง คือไม่เกี่ยวกันเลย ตอนที่พระเยซูประกาศกับคนยิว ณ เวลานั้น ก็คือคนเหล่านั้นทั้งหมด ไม่ว่าคนอิสราเอล หรือคนต่างชาติที่มาแอบฟังด้วย ยังเป็นคนบาปอยู่  ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า  ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังอยู่ในเผ่าพันธุ์เดียวกันทั้งหมดเลย ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ คืออยู่ในเผ่าพันธุ์ของอาดัม คืออยู่ใน DNA บาป ซึ่งคนยิวก็ไม่เข้าใจ คิดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่น  ที่เขาวิเศษกว่าคนอื่น ไม่ใช่เพราะเขารักษากฎบัญญัติ แต่เพราะเขาเชื่อตามพันธสัญญาเดิมที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับอับราฮัม  ที่พระเจ้าทำสัญญากับอับราฮัม ให้ทำพิธีเข้าสุหนัต ให้อับราฮัมเอาแกะมาถวาย และเอาเลือดมาปะพรมที่แท่นบูชา มาจนถึงยุคของโมเสสที่พระเจ้าให้ตั้งเป็นเต็นท์นัดพบ ให้เลือกชาวเลวีออกมา พระเจ้าก็เริ่มทำเป็นรูปร่างให้คนอิสราเอลได้เห็น หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือให้มนุษยชาติทั้งหมดที่พวกเรา ในยุคของพระคัมภีร์ใหม่ เราเป็นผู้เชื่อ เราได้รับรู้ความจริงตรงนี้ ก็คือเราได้เรียนรู้ก่อนหน้านั้น  แต่ตอนที่พระเยซูประกาศกับคนยิว คนยิวเขาก็ยังไม่รู้ เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่พระเยซูประกาศ เขาก็ยังคงเข้าใจผิด คิดว่าเขาเป็นชนชาติพิเศษที่พระเจ้ารักมาก พระเจ้าเลือกเขาชนชาติเดียวเลย เพื่อที่จะได้เป็นลูกของพระองค์ ไม่ใช่ลูกนะ ตอนนั้นเขาไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะเป็นลูกของพระเจ้า เรียกว่าเป็นประชากรของพระองค์ เขาจะเรียกพระเจ้าว่าเจ้านาย เขาจะไม่กล้าเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา

            แต่พอมาถึงยุคของพระเยซูคริสต์ พระเยซูบอกว่าในวันที่พระองค์เดินทางไปที่แดนประหารก็คือยอมถูกตรึงไว้บนไม้กางเขน ให้พระโลหิตของพระองค์หลั่งลงมา ตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับคนยิว และมนุษยชาติทั้งหมดว่าจะส่งพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับชนชาติอิสราเอลให้กับมนุษยชาติด้วย เมื่อพระเยซูทำสำเร็จ ในวันที่พระเจ้าสั่งให้โมเสสพาชนชาติ อิสราเอลทั้งหมด ทำพิธีปัสกา ก็คือจะเป็นภัยพิบัติครั้งที่ 10 ที่พระเจ้าจะทำในอียิปต์ ก็คือประหารบุตรหัวปี แล้วพระเจ้าก็เริ่มต้นพิธีปัสกานี้ ในคืนนั้นแหละ คืนที่พระเจ้าส่งทูตมรณะมาประหารบุตรหัวปีของชาวอียิปต์ทั้งหมด  แต่ก่อนที่พระเจ้าจะส่งทูตมรณะมา พระเจ้าก็สั่งโมเสสบอกให้ชนชาติอิสราเอลทั้งหมด ให้อยู่แต่ในบ้าน แล้วก็ให้ทำพิธีนี้ ให้ฆ่าแกะ และเอาเลือดมาทาที่วงกบประตู เมื่อทูตมรณะผ่านมา ที่บ้านใด แล้วเห็นเลือดที่วงกบประตู ทูตมรณะก็จะผ่านเว้นไป เขาเรียกว่า Pass over ก็คือผ่านไป บ้านหลังนี้ก็จะปลอดภัย บุตรหัวปีของบ้านหลังนี้ ก็จะไม่ตาย

            ฉะนั้น พิธีนี้พระเจ้าเริ่มต้นให้ชนชาติอิสราเอลได้เห็นเป็นเงา ในอนาคตข้างหน้าว่าเมื่อถึงเวลากำหนดที่พระเจ้าส่งพระผู้ช่วยให้รอด พระบุตรของพระเจ้า องค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ ที่เป็นทั้งมนุษย์และเป็นทั้งพระเจ้า มาตายแทนมนุษยชาติ บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตเหมือนกัน และโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์  จะเป็นโลหิตที่จะชำระล้างมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้   นี่ไม่ใช่ชนชาติยิวอย่างเดียวนะ ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ให้สามารถหลุดพ้น  จากความบาป  และใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ และยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาก็จะได้รับการบังเกิดใหม่  ก็คือเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเป็นพิธีบัพติศมาในพระวิญญาณ ไม่ใช่บัพติศมาในน้ำอย่างที่เราทำกัน นั่นเป็นแค่เงาให้เราเห็นว่าในอนาคตข้างหน้า พระเจ้าจะเอาวิญญาณของผู้เชื่อ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นยิวหรือคนต่างชาติก็ตาม ถ้าเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำการงานของพระองค์ทันทีในโลกวิญญาณ ซึ่งเรามองไม่เห็น

            ตอนที่เรารับเชื่อ เราไม่รับรู้อะไร? อธิษฐานเสร็จ คือเราเชื่อพระเจ้าแล้วใช่ไหม? เราเป็นคริสเตียนแล้วใช่ไหม? ก็คือเราไม่ได้รู้สึกอะไร? แต่ใช้ความเชื่อเอา ตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ ในโลกวิญญาณ จะมีขบวนการเคลื่อนไหวอย่างอัศจรรย์ที่เรามองไม่เห็น  แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเอาไว้ การอัศจรรย์นี้ยิ่งใหญ่มากๆ อย่างที่พระเยซูคริสต์บอกว่า …

            “ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าจะสามารถสั่งภูเขาให้ลงทะเลได้” แล้วภูเขานั้น ก็จะลงทะเลด้วย

            นี่เป็นคำอุปมา ที่พระเยซูยกตัวอย่าง ซึ่งไม่รู้ว่าจะยกตัวอย่างอย่างไร? สมัยของพระเยซูคริสต์ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ตัวอย่างนี้ คือสุดยอดแล้วล่ะ ณ เวลานั้น มันไม่มีระเบิดปรมณู มีแค่ถ้าใครสามารถที่จะเคลื่อนภูเขาลงทะเล คือสุดยอดแล้ว คือมหัศจรรย์ใหญ่ แต่ว่าสิ่งที่พระเยซูสื่อ ไม่ได้เป็นไปตามความหมาย หรือตัวอักษรตรงๆ ว่าถ้าเราเชื่อ เราสามารถสั่งภูเขาให้ลงทะเลได้ ไม่ใช่  แต่พระเยซูกำลังบอกว่า …

            “ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ยิ่งใหญ่ขนาดที่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ทำการงานของพระองค์ คือเอาวิญญาณเก่าของเรา ที่เป็นวิญญาณบาปเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไปถูกตรึงพร้อมกับพระเยซู ฝังพร้อมกับพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่เราเรียกว่าเป็นการบังเกิดใหม่ นี่คืออัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่มากๆ มหาศาล เหมือนระเบิดปรมณู ที่มันบูมที่ มันเกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ ซึ่งตรงนี้เรามองไม่เห็น  เราสัมผัสไม่ได้ เราไม่ได้รู้สึกอะไร?  แต่เรารับรู้ ความเชื่ออยู่ข้างใน พระเยซูถึงบอกว่าในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก เชื่อในสิ่งที่พระเยซูบอกเรา ต้องใช้ความเชื่อ แต่ในอนาคตข้างหน้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว คริสเตียนในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้

            ในหนังสือโครินธ์บอกว่ามีความเชื่อ ความหวังใจ  แล้วก็ความรัก  3 อย่าง และอาจารย์เปาโลบอกว่าความรักใหญ่สุด

            ใหญ่สุดตรงไหน? ความรัก คือตัวตนจริงๆ ของผู้เชื่อ พอเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ ในถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าบอกทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ  พระเจ้าได้บัพติศมาเราในวิญญาณ ข้างในวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์ คือพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับผู้เชื่อทุกคน เปลี่ยนวิญญาณใหม่ตามหนังสือในพระคัมภีร์เดิมที่เผยพระวจนะไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะให้ใจใหม่ ให้วิญญาณใหม่ให้กับเจ้า หมายความว่าพระเจ้าไม่ได้มาซ่อมแซมเราให้ดีขึ้น แต่คือรื้อหมดเลย เอาวิญญาณเก่าที่เป็นบาปเราไปตายพร้อมกับพระเยซู แล้วให้บังเกิดใหม่ เป็นพันธุ์ใหม่ที่เป็นพันธุ์อมตะเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

            ฉะนั้น ณ เวลานี้ ผู้เชื่อที่ยังตัวเป็นๆ เดินบนโลกใบนี้อยู่ วิญญาณข้างในเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย วิญญาณเราเป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีบาปเลย ทำบาปไม่เป็น แล้วเป็นวิญญาณแห่งความรักด้วย ไม่ต้องพยายามรัก เชื่อปุ๊บข้างในเรารักเลย รักซึ่งกันและกัน ที่พระเยซูตรัสว่าเราให้บัญญัติใหม่แก่เจ้า คือให้เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน

            บัญญัติใหม่ตรงนี้ พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณเรา ในโลกวิญญาณทันที ที่เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรารักซึ่งกันและกันเลยในวิญญาณ ก็คือไม่ว่าคริสเตียนหรือผู้เชื่อคนนั้น อยู่ที่ไหนก็ตาม  อยู่โบสถ์เราด้วยกัน อยู่คนละโบสถ์ อยู่คนละประเทศ อยู่โน่น ขั้วโลกเหนืออยู่กันคนละที่  แต่ถ้าคนนั้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เรากับเขา เป็นหนึ่งเดียวกันเลย ในโลกวิญญาณ เรารักเขาเลยในโลกวิญญาณ ทั้งๆ ที่เราไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำไปว่าคนนั้นเป็นใคร? มาจากไหน? ชื่ออะไร? อยู่ตรงไหน? เชื่อเมื่อไร? อยู่มุมไหนของโลกใบนี้ ไม่รู้ แต่ข้างในวิญญาณ เรารักเขาแล้ว ข้างในวิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขาแล้ว โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเรา แล้วพวกเราทุกคนเป็นอวัยวะทุกส่วน ในร่างกายนี้ โดยที่แต่ละคน พระเจ้าเป็นผู้กำหนดว่าเราจะเป็นชิ้นส่วนไหนในร่างกายนี้

            ฉะนั้น เรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกับผู้เชื่อทั้งหมดบนโลกใบนี้เลย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ทันทีที่เราบัพติศมาในวิญญาณทันทีที่เราได้บังเกิดใหม่  สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ได้เกิดขึ้นเลย ในโลกวิญญาณ ความคิดจิตใจของเรา ถูกเปลี่ยนใหม่เลย ในโลกวิญญาณ คือเราคิดชั่วไม่เป็น วิญญาณเราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้เลย ก็คือเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้าเลย เพราะว่าเป็นวิญญาณที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง

            มันจะมีความคิดอยู่ 2 อัน ความคิดจิตใจเราถูกเปลี่ยนใหม่ก็จริง แต่มันจะมีความคิดในสมอง เมื่อก่อนเราไม่แยกชัดเจนว่าความคิดจิตใจเราใหม่ ทำไมเรายังมีความคิดที่จะคล้อยตามระบบของโลกนี้อยู่ นี่คือความคิดในสมองที่มีโปรแกรมเดิมที่มันยังอยู่ในตัวเรา ในขณะที่ร่างกายของเรายังอยู่ในโลกใบนี้อยู่ ก็คือร่างกายเรายังอยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่

            ความคิดในสมองของเรา สามารถที่จะคล้อยตามระบบของโลกนี้ หรือเราสามารถที่จะคล้อยตามพระเจ้าได้ อันนี้มันเป็นตัวแปร แต่ความคิดจิตใจเราไม่ใช่ตัวแปร พระเจ้าเปลี่ยนใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย คล้อยตามพระเจ้าเลย เชื่อฟังพระเจ้าเลย รักพระเจ้าเลย รักซึ่งกันและกันเลย  อันนั้น คือจบตรงนั้นเลย แต่ตรงนี้แหละ  ความคิดตรงสมองที่พระเจ้าบอกไว้ในพระธรรมโรม บทที่ 12 ว่าเมื่อเราได้รับการบัพติศมา ได้มีวิญญาณใหม่ ได้เป็นผู้เชื่อแล้ว ก็ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดในสมองเสียใหม่

            ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าความคิดจิตใจ ซึ่งมันไม่ถูกนะ ความคิดจิตใจเราไม่ต้องทำอะไรแล้ว ได้รับการเปลี่ยนใหม่เรียบร้อยแล้ว ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด ในสมองของเรา ให้เราถวายความคิดตรงนี้ ให้กับพระเจ้า ก็คือระบบความคิด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองของเรา ที่ยังเป็นอยู่บนโลกใบนี้ ให้ถวายให้กับพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะใช้เราได้  ให้ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์

            พอเราแยกตรงนี้ชัดเจนปุ๊บ เราก็จะรู้ว่ามีกลไกในร่างกายของเรา ที่มันเป็น 2 ระบบ ซึ่งมารก็จะเอาตรงนี้แหละมาเป็นจุดอ่อนของคริสเตียน ที่จะมากล่าวโทษเรา พอคริสเตียนทำผิดปุ๊บ เขาก็จะกล่าวโทษเลย

            “เห็นไหม? เธอเชื่อพระเจ้า ทำไมเธอยังทำอย่างนี้ อย่างนี้ไม่รอดนะ พระเจ้าไม่รักนะ  เพราะว่าพระเจ้าต้องการให้เธอทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ทำไมเธอไม่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า อย่างนี้ เธอเสร็จแน่เลย เดี๋ยวเกิดเธอจากโลกนี้ไป  สงสัยยังไม่รู้เลยว่าเธอจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์หรือเปล่า?”

            นั่นเป็นกลลวงของมาร พยายามส่งข้อมูลพวกนี้เข้ามาในความคิดของเรา พี่น้องจำเป็น ที่ในถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าจดจ่อ ให้รับรู้ความจริงว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั้น พระเจ้าได้ให้เราเป็นลูกของพระองค์  เราได้บังเกิดใหม่เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ ณ เวลานี้ ตัวตนของเรานั่งอยู่ที่นี่ แต่วิญญาณของเราได้นั่งอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  อย่างที่บอก ที่เราต้องคุยกันทุกอาทิตย์ เกิดแล้วเกิดเลย เป็นลูกพระเจ้าเป็นแล้วเป็นเลย ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ ที่จะสามารถแยกเราจากความรักของพระเจ้าได้ ไม่มีสิ่งใดสามารถแยกเราออกไปจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญ คือเมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเราทันที ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในเรา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะโน้มนำ ผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้าที่เราได้ยินได้ฟัง  ได้เรียนรู้ ได้รับรู้ว่า …

            “พอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าบอกว่าเป็นอย่างนี้ ตอนนี้เราเป็นความรัก ตอนนี้เราเป็นสันติสุข ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า  ตอนนี้เรามีธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า”

            ฉะนั้น เราต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อเราจะไม่โดนหลอก พอข้อมูลของโลกนี้ส่งเข้ามาในความคิด ในสมองของเรา ที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของพระเจ้า หรือความเป็นจริงในลักษณะใหม่  คุณสมบัติใหม่ของเรา ที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว  มันตรงกันข้ามปุ๊บ ตอนนี้แหละ คือช่วงเวลาที่เราต้องตัดสินใจ  พระเจ้าไม่เคยบังคับหรือเคี่ยวเข็ญเราว่าพอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราต้องทำโน่นทำนี่  เพื่อพระเจ้า ถ้าไม่ทำ เดี๋ยวพระเจ้าไม่รัก ถ้าไม่ทำ เราอาจจะไม่ได้รับความรอด ก็ได้ นั่นเป็นการหลอกลวงทั้งหมด แต่พระเยซูคริสต์กำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ ในโลกวิญญาณ เราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว แล้วไม่มีสิ่งใด บนโลกใบนี้ สามารถแยกเรา หรือแย่งเราไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ ไม่มีทางเลย

            แล้วในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะคอยให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ในแต่ละวันเรามีการตัดสินใจเยอะแยะมากมาย ทุกวัน ยิ่งเราออกไปข้างนอก เจอผู้คนเยอะแยะมากมาย ทุกอย่างเราจำเป็นจะต้องตัดสินใจว่าเหตุการณ์นี้  เราจะตัดสินใจอย่างไร? เราตัดสินใจว่าเราจะให้ความรักออกไป ตามธรรมชาติใหม่ของเรา หรือเราตัดสินใจ ไม่ได้ เรื่องนี้มันต้องให้ถึงที่สุด  เราไม่ยอม เราเสียเปรียบไม่ได้ นั่นคือการตัดสินใจที่ตรงกันข้ามกับการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  แต่ไม่ว่าเราตัดสินใจตามระบบของโลกนี้ ที่โน้มนำให้เราทำตามมัน หรือเราตัดสินใจตามพระวิญญาณก็ตาม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเรา วิญญาณเราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณเราก็ยังรอดอยู่ เราได้อยู่ที่สวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว ณ เวลานี้ เราก็ยังอยู่ที่เดิม ก็คืออยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้ากับพระเยซูคริสต์

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่เราต้องเกาะตรงนี้ไว้เลยว่าพระเจ้าบอกเราอย่างนี้ แล้วเราเชื่อตามนั้น ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ  เริ่มต้นด้วยความเชื่อ จบลงด้วยความเชื่อ เชื่ออะไร? เชื่อว่าเมื่อเราวางใจในพระเจ้า  พระเจ้าได้ให้เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เมื่อเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เราอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ไม่มีใครสามารถแยกเราออกจากในพระเยซูคริสต์ได้เลย นี่คือความจริงทั้งหมด ยืนหยัดอยู่ตรงนี้ เราต้องพูดบ่อยๆ เพราะพวกเราผู้เชื่อ เรายังอยู่ในโลกของการหลอกล่อ หลอกลวงทุกรูปแบบ และระบบของโลกใบนี้ พยายามส่งข้อมูลให้เราพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง คือรู้สึกว่าเราต้องทำ เราถึงจะรับพระพร แต่พระเยซูคริสต์บอกเราว่า …

            “ไม่ต้องทำอะไรเลย เธอก็ได้รับพระพรแล้ว”

            พูดต่างกันนะ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาประกาศกับชาวยิว พระเยซูพยายามบอกเขาว่าสิ่งที่บอกมาทั้งหมด ซึ่งเมื่อก่อน สมัยที่ดิฉันเชื่อใหม่ๆ ดิฉันก็ถูกสอนมาอย่างนี้ พระคัมภีร์ทุกตอน เป็นถ้อยคำที่พระเจ้าพูดตรงถึงเรา เราต้องรับหมดเลย ตรงถึงเรา โดยที่เราไม่เข้าใจว่าตรงถึงเราหมดเหรอ แล้วเราก็รับจริงๆ แล้วพอมาถึงเราปุ๊บ เรื่องมันหินมาก  เพราะบางเรื่องเราทำไม่ได้ ไม่ใช่บางเรื่องนะ เกือบทุกเรื่อง เราทำตามไม่ได้ อย่างที่พระเยซูบอกให้เราให้อภัย 7×70 … 490 ครั้งต่อความผิดของคนอื่น ที่มาทำกับเรา เราต้องอภัยให้ได้ คืออภัยอย่างไม่มีข้อแม้ เราทำไม่ได้ พระเยซูกำลังบอกว่าพวกเธอทำไม่ได้ ทำไมถึงทำไม่ได้? เพราะว่าคนยิว ณ เวลานั้น ยังเป็นคนบาปอยู่ข้างใน ไม่มีความดีงามอะไรเลย ไม่มีกำลังพอที่จะทำตามที่พระเยซูบอกได้ จนกระทั่ง พระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ เขาเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ณ เวลานั้น คือมันเป็นเลย สิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกทั้งหมด ในหนังสือมัทธิว ในโลกวิญญาณ วิญญาณเราเป็นอย่างนั้นเลย วิญญาณเราเป็นความรัก วิญญาณเราเป็นการให้อภัย วิญญาณเราเกลียดชังใครไม่เป็น วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อเลย โดยที่เราไม่ต้องพยายามทำให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

            เราจะเห็นคำในพระคัมภีร์ มีหลายคำ เช่น ให้เราติดสนิทกับพระเจ้า บางทีฟังแล้วดูดีนะ

            “พี่น้องทุกคน ให้เรามาอธิษฐาน เราต้องพยายามติดสนิทกับพระเจ้าไว้ ติดสนิทกับพระเจ้าด้วยวิธีอะไร? ด้วยวิธีอธิษฐาน ด้วยวิธีอ่านถ้อยคำของพระเจ้า ด้วยวิธีมาโบสถ์เป็นประจำ ด้วยวิธีมากลุ่ม ถ้าโบสถ์มีกลุ่ม โบสถ์มีอธิษฐานก็ให้มานะ เราจะได้ติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น”

            ฟังดูดีไหม? ดีเนอะ แต่ที่พูดมาทั้งหมด คือเราต้องทำด้วยแรงและกำลังของเราเอง

            ความหมายที่พูดนี้ แปลว่า … “ถ้าเธอไม่ทำตามนี้ เธอจะไม่ติดสนิทกับพระเจ้า” พี่น้องว่าจริงไหม?

            “ให้มาโบสถ์นะ เราต้องพยายามติดสนิทกับพระเจ้า”

            แปลว่าถ้าพี่น้องคนไหนไม่มาโบสถ์ พี่น้องคนนั้นก็ไม่ติดสนิทกับพระเจ้า จริงหรือไม่จริง? ความหมายตามนี้นะ หรือพี่น้องที่ไม่อธิษฐาน ก็ไม่ติดสนิทกับพระเจ้า ความหมายตามนี้เลยนะ คือเราต้องทำ เราถึงได้ แต่พระเยซูบอกว่า …

            “เธอไม่ต้องทำอะไรเลย ฉันทำให้หมดแล้ว เธอได้แล้ว”

            ได้ตรงไหน? ได้ตรงเธอกับฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน คำว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน สนิทยิ่งกว่าสนิทอีก

            ในพระคัมภีร์ใหม่ ในหนังสือเอเฟซัส ซึ่งจากนี้ต่อไป ในบทที่ 4 บทที่ 5 อาจารย์เปาโลจะยกตัวอย่างของสามีภรรยา พอพูดถึงสามีภรรยาปุ๊บ ในพระคัมภีร์ ตั้งแต่เริ่มต้น ปฐมกาล ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าอาดัมกับเอวา เป็นสามีภรรยา แล้วเขาทั้งสองคนเปลือยกาย โดยไม่อายกัน ตอนช่วงที่อาดัมกับเอวายังไม่ได้ทำบาป บริสุทธิ์มาก เหมือนทุกวันนี้ ที่เราเชื่อพระเจ้า คือวิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ ทำบาปไม่เป็น สะอาดเทียบเท่ากับพระเจ้า บริสุทธิ์เทียบเท่ากับพระเจ้า อาดัม ณ เวลานั้น เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ต้องใส่เสื้อผ้า เพราะมีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมกายเขาอยู่ แล้วเขาทั้งสองเป็นเนื้อเดียวกัน นี่คือถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ เนื้อเดียวกัน ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน สามัคคีธรรมด้วยกัน

            ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำ “ติดสนิทกัน” “เป็นหนึ่งเดียวกัน” “สามัคคีธรรมกัน” “รักซึ่งกันและกัน” หรือ “บัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกัน” คำพูดทั้งหมด รวมความแล้ว เป็นความหมายเดียวกัน ตรงที่ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า บัพติศมาในวิญญาณปุ๊บ ทั้งหมด ทั้งมวลที่พูดถึงเป็นของเราเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือ ณ เวลานี้ ผู้เชื่อกับพระเจ้าติดสนิทกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน แกะไม่ออกเลย

            แล้วเมื่อเราติดสนิทกับพระเจ้าขนาดนี้ ยังต้องให้เรามาติดสนิทกับพระเจ้าไหม? ถ้าเราพูดว่าให้เรามาติดสนิทกับพระเจ้า แปลว่า ณ เวลานี้ ผู้เชื่อกับพระเจ้ายังไม่สนิทกัน

            “เราแยกกัน พวกเธอต้องมาทำอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะได้มาอยู่กับพระเจ้าด้วยกัน”

            มันจะกลับไปที่เดิม ก็คือระบบของโลกนี้ พยายามที่จะเสี้ยมให้คริสเตียนทำอะไรบางอย่าง ด้วยกำลังของเราเอง แต่พระเยซูกำลังบอกเราว่า …

            “พวกเธอได้หมดแล้ว ฉันทำให้เสร็จหมดแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไรเลย เธอเป็นลูกของฉัน เธอสนิทกับฉัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับฉันแล้ว เธอเป็นความรักเหมือนฉันเลย ฉันรักเธอที่สุดแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไร เพื่อให้ฉันรักเธอมากขึ้นอีกแล้ว”

            คือไม่ต้องทำอะไรแล้ว พระเจ้าทำให้เสร็จหมด แล้วอย่างนี้ ผู้เชื่อไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ? จะมีคำถามป้อนเข้ามา

            “แล้วอย่างนี้พวกเราทำอะไร?”

            อย่างที่บอกไง เราเป็นทูตของพระเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราแล้วใช่ไหม? พอพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา ในพระธรรมกาลาเทียบอกว่าเราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์มีชีวิตอยู่ในเรา คือตัวตนจริงๆ อันเก่าของเราตายไปแล้ว แต่ ณ ปัจจุบัน ชีวิตที่เราดำรงอยู่ คืออยู่ในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูเป็นผู้นำเรา แล้วไม่ว่าเราทำอะไร? เราทำในนามของพระเยซูคริสต์ เหมือนเราเป็นทูตของพระเจ้า พระเจ้าส่งทูตไป ให้ทูตไปทำอะไร? พระเจ้าจะบอกทูตว่า …    

            “ตรงนี้เธอทำอย่างนี้นะ ฉันสั่งแค่นี้ เธอทำแค่นี้ จบ อย่าทำเกินกว่านี้นะ ถ้าทำเกินกว่านี้ ไม่ใช่คำสั่งของฉัน เป็นการคิดด้วยตัวของเธอเอง เนื้อหนังของตัวเอง ที่คิดว่าทำอย่างนี้น่าจะเวิร์คกว่า พระเจ้าๆ น่าจะทำอย่างนี้ เวิร์คกว่าเนอะ”

            พระเจ้าบอก “ไม่ต้องมาแนะนำ ฉันว่าแค่นี้พอแล้ว เธอทำแค่นี้พอ”

            ถ้าเมื่อไรก็ตาม ที่เราทำล้ำหน้าพระเจ้า แปลว่าพระเจ้าไม่ได้นำเรา เรานำพระเจ้าไปแล้ว แล้วทุกวันนี้ ส่วนใหญ่คริสเตียน ก็จะทำล้ำหน้าพระเจ้าตลอดเวลา แล้วเราคิดว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง เราต้องรับใช้พระเจ้า ซึ่งพระเยซูบอกว่างานของพระองค์ คือให้เชื่อและวางใจในพระองค์ เมื่อพระเจ้าอยู่ในเรา พระเจ้าจะทำงานในชีวิตของเรา เราอย่าคิดว่าเราอยู่เฉยๆ ได้ ไม่มีทาง พระวิญญาณจะนำเรา ในแต่ละวันว่าเราจะทำอะไร? แล้วพระวิญญาณนำเราปุ๊บ เราก็ไปทำ ทำแบบง่ายๆ ธรรมดา ธรรมชาติ

            ดังนั้น ชีวิตของเราอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ไปด้วยกันกับพระองค์ พระองค์นำหน้า อย่างที่เพลงบอก “พระคริสต์นำหน้า” เราตามหลัง แต่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ เราก็จะนำหน้าพระองค์

            “พระเจ้าเดินตามลูกมานะพระเจ้า ลูกไปแล้ว”

            ไปก่อน ซึ่งเราชอบกลับหัวกลับหาง เพราะเราถูกหลอกไง  โดยที่ธรรมชาติเดิม ก็คือชอบพึ่งพาตัวเอง เราคิดเอาเองว่าเราควรจะทำอย่างนี้ ควรจะทำอย่างนั้น มันถึงจะดี

            ยกตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่ง สมมติว่าในนามของพระเยซูคริสต์ คิดนะ พอพูดถึงในนามของพระเยซู แปลว่าเราเป็นทูตของพระเจ้า ไปในนามของพระเจ้า ถ้าไปในนามของพระเจ้าปุ๊บ หมายความว่าเราไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเองนะว่าเราจะทำอะไร? แต่เราจะทำตามที่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าให้เราทำอะไร?

            ณ เวลานี้ สมมติว่าพระเจ้าบอกเราว่าตอนนี้เธอเป็นทูตของเรานะ เราจะส่งเธอไป ให้เธอไปประกาศที่แห่งหนึ่ง ประกาศตรงนี้แหละ  พระเจ้าใช้เธอไป แล้วที่แห่งนี้ ที่พระเจ้าใช้ไป มีคนนิดเดียวเอง มีอยู่ไม่กี่สิบคนเอง กับอีกที่หนึ่ง  ที่ตาเรามองเห็น สมมติว่าพระเจ้าให้เรามาประกาศที่กรุงเทพ ในโบสถ์อภิสุทธิสถาน มีคนอยู่ 5, 6 คนเอง สมมตินะ เรามีความรู้สึกว่ามาประกาศซะเหนื่อยเลย มีคนฟังแค่ 5, 6 คนเอง ข่าวประเสริฐของพระองค์ก็ไปไม่ถึงไหน? แต่พระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกเราข้างในว่า …

            “ฉันให้เธอมาประกาศที่นี่”

            แต่ความคิดของเรา เรานำพระเจ้าไป เราก็มองอีกแบบหนึ่ง เราไปประกาศอีกโบสถ์หนึ่งดีกว่า เพราะโบสถ์นั้นคนเป็นพันเลย ถ้าเราได้ไปพูดเรื่องราวของพระเจ้า พระเจ้าจะพอใจมากเลย เพราะว่าเราได้ประกาศพระนามของพระองค์ให้คนเป็นพันได้ยิน เรื่องราวของพระเจ้า พระเจ้าต้องพอใจกว่าแน่ๆ เลย เราเปลี่ยนแผนกลางอากาศเลย พระวิญญาณข้างในนำเราว่าให้ประกาศที่นี่ ซึ่งมีคนอยู่ไม่กี่คน? แต่ในไม่กี่คนนี้ พระเจ้าอาจจะเลือกสักคนหนึ่งว่า …

            “คนนี้ฉันเลือกเอาไว้แล้วล่ะ ถ้าเขาได้ยินเรื่องของฉัน เขาจะเปิดใจต้อนรับฉัน แค่นั้นฉันพอแล้ว”

            แต่แผนของเรา ที่ตาเรามองเห็น ความคิด เราคิดเอาเองว่าพระเจ้าคำนวณผิดหรือเปล่า? ตรงนี้น้อยมากเลย มันไม่คุ้มกับการที่เราลงแรง พูดเรื่องราวของพระเจ้า  เราอยากเป็นเหมือนเปโตร  ประกาศทีหนึ่งคนเชื่อ 3,000 คน เราเปลี่ยนแผนกลางอากาศดีกว่า  เราก็ไปเลย ทูตของพระเจ้า แต่ไม่ทำตามพระเจ้าบอก  เราก็ไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งมีคนเป็นพันเลย เราก็ไปประกาศ แล้วเราก็รู้สึกมีความสุขมาก  พระเจ้าต้องพอใจแน่ๆ ในการตัดสินใจของเราตรงนี้ว่าเราไปประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ได้ยินเป็นพันๆ คนเลย

            แต่พระเจ้าจะบอกว่า … “เราไม่ได้สั่ง สิ่งที่เธอทำมันไม่มีประโยชน์อะไร? ไม่ได้อยู่ในนามของเรา  แต่กลายเป็นในนามของเธอเอง”

            เธออยากจะไปประกาศกับคนเป็นพัน เป็นหมื่น รู้สึกเท่ห์กว่าในนามของพระเยซูคริสต์

            พระองค์บอกว่า … “ให้เธอมาประกาศแค่ 5, 6 คน นั่นคือความต้องการของฉัน”

            พี่น้องเห็นภาพชัดเจนไหม? แยกให้เห็นชัดเจนตรงที่ว่าส่วนใหญ่เราใช้ความคิดของเราเองนำพระเจ้า แต่พระเจ้าบอกไม่ต้อง เราไม่ต้องช่วยพระเจ้า ผู้ที่ทำให้สำเร็จ คือพระเจ้า ไม่ว่าเราไปประกาศที่ไหน? มีคนรับเชื่อ 1 คน 10 คน 20 คน  1,000 คน  10,000 คน  100,000 คน ไม่ใช่ผลงานของเราเลย แต่พระเจ้าเป็นผู้กระทำ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา เป็นผู้กระทำ เป็นผู้ทำให้คนเหล่านั้น ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้มีเอี่ยวอะไรด้วย เราไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องรับชอบด้วย  เราแค่ทำตามที่พระเจ้าบอกเท่านั้นเอง นี่คือความหมายของคำว่า “ในนามของเรา”

            “ในนามของเรา ท่านจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ในนามของเรา ท่านสามารถอธิษฐานขออะไร ท่านจะได้อย่างนั้น ในนามของเรา”

            พอ “ในนามของเรา” ก็คือเราเดินตามพระเจ้าต้อยๆ พระเยซูคริสต์ไปไหน? เราไปด้วย

            “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ให้เราทำอะไร?  เราก็จะทำด้วย พระองค์บอกว่าให้เราหยุดพัก เราก็จะหยุดด้วย”

            เราก็นิ่งๆ เฉยๆ คนอาจจะมอง ผู้รับใช้โฮลี่ ขี้เกียจน่าดูเลย วันๆ ไม่ทำอะไรเลย แต่ว่าเราเชื่อและวางใจในพระเจ้า ผู้ที่ทำ คือพระเจ้าไม่ใช่เรา

            เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราเมื่อไร? แม้เป็นสิ่งเล็กๆ มันจะเกิดผลอย่างอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ให้เราทำ

            เหมือนกับยกตัวอย่างอันหนึ่งในพระคัมภีร์เดิม ตอนที่พระเจ้าสั่งให้โยชูวาไปรบกับเมืองเยรีโค ในโยชูวา 6:1-11, 16-17 …

            “ที่เมืองเยรีโคเจ้าไม่ต้องทำอะไร? เจ้าทำแค่นี้ วันแรกให้เอาชนชาติอิสราเอล รวมทั้งคนเลวี เป่าแตร ร้องเพลง เดินรอบเมืองเยรีโค 1 รอบ แล้วกลับไปนอน”

            นี่คือคำสั่ง วันที่สองทำเหมือนกัน วนหนึ่งรอบ กลับไปนอน ถึงวันที่ 6 ทำเหมือนกัน พอวันที่ 7 พระเจ้าบอกว่าเที่ยวนี้วน 7 รอบ พอครบ 7 รอบปุ๊บ ให้ตะโกนดังๆ เลย เมืองเยรีโคล้มลง ด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ทำ

            ถ้าโยชูวาไม่เชื่อฟัง เหมือนกับเราปัจจุบัน … “พระเจ้าน้อยไป เรายังมีพลังอยู่เลย นี่วันแรกนะ  เดินแค่รอบเดียว เรามีพลังเยอะมากเลย เราขอเดิน 2 รอบได้ไหม?”

            แต่พระเจ้าบอกว่า … “ฉันสั่งเธอรอบเดียว”

            ถ้าโยชูวาไม่ทำตามคำสั่งของพระเจ้า ก็คือพระเจ้าสั่ง 1 รอบ โยชูวาบอกเรายังมีเรี่ยวแรงอยู่ ทหารๆ เดินรอบ 2 อัศจรรย์จะไม่เกิดขึ้น นี่พระคัมภีร์เดิมนะ ปัจจุบันเหมือนกัน พระเจ้าที่อยู่ในเรา ถ้าเราทำตามพระองค์ เราก็ไม่ต้องทำเยอะ พระองค์บอกให้ทำแค่ไหน? ทำแค่นั้น เชื่อและวางใจ ฟังพระเจ้า ก็คือพระเจ้าทำงานอยู่ในเรา ถ้าพระเจ้าจะให้เราทำ พี่น้องอยู่นิ่งไม่ได้หรอก  มันจะไปเอง  เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้นำเราไป  และทุกอย่างที่เราทำ ก็คือพระเจ้าเป็นผู้ทำ ผ่านทางร่างกายของเรา แล้วพระเจ้าสั่งแค่ไหน? แค่นั้น มันเป็นพระพร

            นี่คือเรื่องจริงในโลกวิญญาณที่เราจำเป็นต้องรับรู้ และถ้าเรารับรู้ความจริงตรงนี้ปุ๊บ เราจะหายเหนื่อย และเป็นสุข เราจะไม่ต้องซกๆ หรือไม่ต้องทำอะไรให้มันลิ้นห้อย ด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งพระเยซูบอกแล้ว …

            “ลูกเอ๋ย ไปทำทำไมให้มันเหนื่อย ฉันทำให้เธอเสร็จหมดทุกอย่างแล้ว”

            แค่ว่าในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าต้องการให้สำแดงตัวตนแท้ๆ ของเรา ก็คือความเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ออกไป สำแดงความรักออกไป สำแดงความสว่างของพระเจ้าออกไป ให้คนรอบข้างได้เห็น

            “ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกัน เขาจะได้รู้ว่าเจ้าเป็นสาวกของเรา”

            นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก ตอนที่พระเยซูประกาศกับคนยิว คนยิวยังไม่รับเชื่อเลย เขารักไม่ได้หรอก เพราะว่าธรรมชาติข้างในเขาเป็นบาป  เป็นความเกลียดชัง รักไม่ได้ แต่เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ธรรมชาติใหม่ของเขา คือความรัก เขาไม่ต้องดิ้นรน เพื่อที่จะรักคนอื่น คือในวิญญาณเขารักเลย เหมือนกับปลาว่ายน้ำเป็นเลย เกิดมาว่ายน้ำเป็นเลย ออกมาเป็นลูกน้ำ ก็ว่ายเลย ปลาไม่ต้องพยายามดิ้นรนว่า …

            “ฉันต้องว่ายๆ”

            ไม่ต้อง เขาเกิดมา เขาว่ายน้ำเป็นเลย  แค่เขาพัฒนาการเป็นปลาของเขา ให้ว่ายคล่องขึ้น นึกออกไหม? เหมือนกัน นกเกิดมาในตัวตนของนก คือเขาบินได้เลย  แต่เขาจะพัฒนา พ่อแม่จะค่อยๆ ฝึกฝนเขา ให้ปีกเขาแข็งแรง พอถึงเวลาที่เขาจะบิน เขาก็จะบินขึ้นเองเลย แล้วเขาก็จะฝึกฝนพัฒนาการบินให้ดีขึ้น ลูกของพระเจ้าเหมือนกัน เราไม่ต้องพยายามที่จะทำอะไรให้มันเหนื่อยแรง

            แต่พระเจ้าบอก … “ธรรมชาติใหม่ของเธอ คือเป็นเหมือนฉัน เป็นความรัก เป็นแสงสว่าง เธอแค่รับรู้ความจริงตรงนี้  แล้วก็ปล่อยให้ธรรมชาติใหม่ของเธอฉายออกมา พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อเธอจะได้ฉายแสงให้กับคนอื่นได้เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่อยู่ภายในเธอ”

            พระเจ้าอวยพรค่ะ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความจริงในโลกวิญญาณที่มนุษย์ทุกคนควรใส่ใจ ใคร่ครวญ รับรู้ ให้เข้าถึง

            มนุษย์ทุกคนได้อาศัยอยู่ใน DNA ของอาดัม บรรพบุรุษคนแรก  ซึ่งพระเจ้าให้กำเนิด  เป็นลูกที่รักของพระองค์  มี DNA ของชีวิตที่เต็มไปด้วยพระสิริเหมือนพระเจ้า  อยู่ในบ้าน  คือสวรรค์ของพระองค์  ทุกสิ่งดีสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ  เพราะถูกสร้างด้วยความรัก  ด้วยพระสิริของพระองค์

            ครั้นอาดัม  ซึ่งมีเราทั้งหลายมนุษยชาติอยู่ใน DNA  ตัดสินใจตามการยุแยงของมาร  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ออกจากบ้าน  ออกจากสวรรค์  มาอยู่ตามลำพัง  พึ่งพาการกระทำของตนเอง  แทนที่จะพึ่งพาการกระทำของพระเจ้า

            การกระทำของอาดัมนี้  เรียกว่าบาป  คือไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย  แผนการของพระเจ้าตั้งแต่เริ่ม คือให้พึ่งพาในพระเจ้าทุกสิ่ง  ไม่ใช่พึ่งพาในตนเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้  เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้พึ่งพาพระองค์ในทุกสิ่ง

            ผลจากความบาปนี้ คือความตายจาก DNA ของชีวิต  ที่เต็มไปด้วยพระสิริเหมือนพระเจ้า  จากการอยู่ในบ้าน  คือสวรรค์ของพระองค์  ทุกสิ่งดีสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ  กลายเป็นมาอยู่นอกสวรรค์ที่ไม่มีพระเจ้า  ต้องอยู่ด้วยการพึ่งพาการกระทำของตนเอง  คือทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  ซึ่งมนุษย์โดยลำพังแล้ว ไม่สามารถกระทำได้สมบูรณ์  เมื่อปราศจาก DNA ชีวิตของพระเจ้า  ที่เรียกว่าพระสิริ

            ผลจากความบาปนี้  กระทบมาถึงมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนอาศัยอยู่ใน DNA ของอาดัม

            พอมนุษย์ทุกคนเกิดในครรภ์มารดา  ก็ตกอยู่ในความตาย  และความบาป  คือตายจากพระสิริของพระเจ้า  ตายจากความดีงามที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า  และอยู่ในกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง ในการกระทำดีละชั่ว  เพื่อให้ดีพร้อมบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า  ซึ่งมนุษย์ไม่มีใครสามารถทำได้เลย

            พระเจ้าจึงต้องทำให้มนุษย์บังเกิดใหม่ซะ!

            ยอห์น 3:3-8 “3  พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า “ไม่มีใครเห็นอาณาจักร (สวรรค์) ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” 4 นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร  เมื่อเขาแก่แล้ว  แน่นอนเขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่” 5 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้  ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ในครรภ์ คือเป็นมนุษย์) และ (เกิดใหม่ทางวิญญาณ) โดยพระวิญญาณ 6 มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ 7 ท่านไม่ควรแปลกใจ ที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่” 8 ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน หรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นกัน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1385 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  ตุลาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 8

“คำเทศนาบนภูเขา” EP.7

“ทรัพย์สมบัติในโลก ต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ พระเจ้าให้ฟรีๆ”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” วันนี้เป็นตอนที่ 8 และเป็น Ep.7 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา”

ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

ตอนที่ 4  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

ตอนที่ 5  คำเทศนาบนภูเขา Ep 4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองที่   

วิญญาณข้างใน

ตอนที่ 6  คำเทศนาบนภูเขา Ep 5 : บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์

ตอนที่ 7 คำเทศนาบนภูเขา Ep 6 : ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน

ตอนที่ 8 (วันนี้) คำเทศนาบนภูเขา Ep 7 : ทรัพย์สมบัติในโลกต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง  แต่ทรัพย์

สมบัติในสวรรค์   พระเจ้าให้ฟรีๆ

            ทั้งหมดรวมวันนี้ 8 ตอน อยากให้ไปทบทวนของเก่าๆ ท่านจะได้เข้าใจพื้นฐาน เบื้องหลังต่างๆ จะได้รู้ว่าพระเยซูมาประกาศ 3 ปี พระองค์มาทำอะไร?  เป้าหมาย คืออะไร? เพื่อจะเป็นพื้นฐานของท่านใน การศึกษาพระคัมภีร์  และดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างถูกต้องตลอดไป

            เรามาทบทวนในบริบท คำเทศนาบนภูเขา พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? กับใคร? พระเยซูพูดถึงเรื่องสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่กับชาวยิว เป้าหมายการประกาศบนภูเขาของพระเยซู ก็คือพระองค์ต้องการประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ที่กำลังจะมาตั้งอยู่ในไม่ช้านี้ ให้กับชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยิว ที่เป็นฟาริสี สะดูดี  และธรรมาจารย์ที่เย่อหยิ่ง ทะนงตน ภูมิใจนักหนาในความชอบธรรมจอมปลอมของตัวเอง ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา นี่คือเบื้องหลัง

            สิ่งที่พระองค์ทรงเน้น ในการประกาศนี้ ก็คืออย่าหน้าซื่อใจคด ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด คือพระองค์เอง ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่สามารถรักษาบัญญัติได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ให้พินาศหลังความตายอย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่รู้ ก็ ยังปฏิเสธ เขาเรียกว่าหน้าซื่อใจคด  พระเยซูมาชี้ บอกทำไม่ได้  แต่ก็ยังฝืนอยากจะทำให้ได้

            พระเยซูกำลังชี้บอกว่ามนุษย์เป็นบาปอยู่ ปัญหาของท่านมันอยู่ที่วิญญาณข้างใน ไม่ได้อยู่ที่การรักษาบทบัญญัติ การกระทำบาปภายนอกหรอก ไม่ได้อยู่ที่ความประพฤติ การกระทำบาปภายนอก ซึ่งการกระทำภายนอก เป็นแค่อาการของบาปที่ข้างใน ซึ่งเป็นอาการที่มองเห็นได้  คือมองเห็นว่าทำบาป ปัญหาใหญ่ของมนุษย์อยู่ที่ภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ ไม่ได้อยู่ที่ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ ที่มองเห็นได้

            ยอดน้ำแข็งบนน้ำ ก็คือเรามองเห็นได้ การกระทำ ความประพฤติ อย่างนี้เรียกว่าบาป แต่ใต้น้ำเรามองไม่เห็น ใหญ่กว่าข้างบนยอด บนน้ำอีกตั้งเยอะ มองไม่เห็น นั่นคือบาปที่อยู่ในวิญญาณของเรา

            เป้าหมายของพระเยซูมาประกาศ 3 ปีนี้ นี่คือหนึ่งส่วนในนั้น เพราะฉะนั้น การแก้ไข จึงต้องรักษา แก้ไขที่ต้นเหตุของมัน ก็คือไปที่ภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ  ก็คือบาปที่อยู่ในใจ ในวิญญาณของมนุษย์เท่านั้น จึงจะรักษาให้หายขาดได้ ก็คือมนุษย์ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น วิญญาณที่บาปอยู่นั้นยังอยู่ มนุษย์ไม่มีอิสระเลย วิญญาณที่ยังเป็นบาปอยู่นั้น ต้องถูกฆ่าให้ตาย ต้องถูกกำจัดออกไป แล้วเปลี่ยนวิญญาณให้ใหม่เท่านั้น นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงพูด 3 ปีนี้ ท่านต้องย้ายวิญญาณ จากการอยู่ในความตาย มาสู่ชีวิตในพระคริสต์ พูดง่ายๆ ซึ่งในอดีต พระเจ้าทรงเมตตาช่วยเหลือ ผ่านทางโลหิตของสัตว์ แห่งพันธสัญญา เรียกว่าสัตวบูชาลบบาปปีละ 1 ครั้ง จนกว่าจะถึงกำหนดเวลาที่จะทรงประทานพระบุตรมาเป็นเครื่องบูชาลบบาปตลอดไป และบัดนี้ พระบุตรก็ได้มาเกิดแล้ว

            นี่คือสิ่งที่พระองค์กำลังประกาศ 3 ปีนี้ แล้วพระบุตรพร้อมแล้ว ที่จะเป็นเครื่องบูชาลบบาปตลอดไปให้กับมวลมนุษย์ พระองค์พูดกับชาวยิวก็จริง แต่การลบบาปนี้ พระองค์จะแถมลงไปว่ามนุษย์ทั้งปวง ก็คือมนุษย์คนใดก็ตาม ที่วางใจในพระองค์ จะได้รับชีวิตนิรันดร์ พ้นจากความพินาศ พ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ พระเจ้าพระบิดากำลังจะยกเลิกพันธสัญญาเดิม วิธีเดิม คือทางสัตวบูชา ถวายเลือดสัตว์ เปลี่ยนมาเป็นพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิต หรือเลือดของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง

            นี่คือสิ่งที่พระองค์กำลังประกาศ พระเยซูประกาศเตือนชาวยิวที่เย่อหยิ่งจองหองเป็นพิเศษว่าถึงเวลาแล้วที่มนุษย์จะแสวงหา นมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณและความจริง ไม่ได้นมัสการที่วิหาร ที่สร้างด้วยมือมนุษย์อีกต่อไปแล้ว

            การนมัสการ ก็คือการยอมถ่อมตน  แล้วก็เข้าไปหาพระเจ้า ในอดีต ต้องผ่านทางเลือดสัตว์ ถึงจะเข้าไปได้ แต่พระองค์กำลังบอกว่าการนมัสการเข้าหาพระเจ้า เพื่อขอการอภัยบาป ในวิหารที่สร้างด้วยมือมนุษย์นั้น พิธีกรรมนี้จะถูกทำลาย ออกไปแล้ว หลังจากที่พระบุตรของพระเจ้า คือพระองค์เอง สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 พระเจ้าก็จะยกเลิกของเก่า แบบเดิมออกไปหมดเลย ซึ่งพระองค์ได้ทรงพูดเอาไว้ในหนังสือยอห์น 4:21-26 เราลองอ่านดูนะ ซึ่งพูดกับหญิงสะมาเรีย … สะมาเรีย ก็คือชาวยิว ที่เป็นยิวลูกผสม แต่เขาก็นมัสการพระเจ้าที่วิหารเหมือนกัน แต่วิหารของเขาอยู่ที่สะมาเรีย เป็นวิหารที่ถูกทำลายไปแล้ว โดยกองทัพอัสซีเรีย แต่วิหารที่เยรูซาเล็มยังมีอยู่ ยังตั้งอยู่ พระเยซูกำลังพูดว่าแห่งแรกยกเลิกไปแล้ว แต่แห่งที่สอง ในเยรูซาเล็ม ก็จะยกเลิกในไม่ช้านี้ “ยกเลิก” คือการถวายสัตวบูชาในวิหาร เปลี่ยนเป็นวิธีใหม่ ลองอ่านดูนะ …

        ยอห์น 4:21-26  “21 พระเยซูประกาศว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด ใกล้ถึงเวลาแล้ว เมื่อพวกท่าน จะนมัสการพระบิดา ไม่ใช่ที่ภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม 22 พวกท่าน ชาวสะมาเรีย นมัสการสิ่งที่ท่านไม่รู้จัก ส่วนเรานมัสการสิ่งที่เรารู้จัก เพราะความรอดมาจากพวกยิว 23 กระนั้น ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว และบัดนี้ ก็ถึงเวลาแล้ว ที่ผู้นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะพวกเขาเป็นผู้นมัสการ แบบที่พระบิดาทรงแสวงหา 24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” 25 หญิงนั้นทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) กำลังเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว จะทรงอธิบายทุกสิ่งแก่เรา” 26 แล้วพระเยซูทรงประกาศว่า “เราที่พูดอยู่กับเจ้า คือผู้นั้น”

            “เมื่อพวกท่านจะนมัสการพระบิดา เข้าไปหาพระเจ้า ไม่ใช่ที่ภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็มอีกต่อไปแล้ว”

            ที่ภูเขานี้ ก็คือวิหารที่อยู่ในสะมาเรีย … ที่กรุงเยรูซาเล็ม ก็คือวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม ที่ชาวยิวทั้งสองพวกนี้ ทำพิธีนี้อยู่ แล้วพระองค์บอกว่าอย่างไร? ข้อ 20 พระองค์บอกว่า … “แล้วพระเยซูทรงประกาศว่า …” นี่คือสิ่งที่เป็นหัวใจของการประกาศของพระเยซู 3 ปีนี้

            ประกาศว่า “เราผู้ที่พูดอยู่กับเจ้า คือผู้นั้น” เราที่พูดอยู่กับเจ้า คือพระเมสิยาห์  พระเมษโปดกของพระเจ้า ที่จะทรงประทานให้กับมนุษย์ตามพันธสัญญาไว้นั่นเอง นี่คือเป้าหมายของการประกาศของพระเยซู

            พระองค์กำลังบอกว่า เพราะฉะนั้น ท่านฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ อย่าเย่อหยิ่งทะนงตน จองหอง จงกลับใจเสียใหม่ จากการแสวงหาความชอบธรรมด้วยตนเอง โดยการรักษาบทบัญญัติอย่างเคร่งครัดนั้น ท่านทำไม่ได้หรอก พระองค์ทรงยกตัวอย่างเหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม ท่านทำไม่ได้ พระเจ้าช่วยท่านให้เป็นผู้ชอบธรรมได้ ท่านทำด้วยตนเองไม่ได้หรอก จงกลับใจใหม่ หันมาวางใจในพระองค์ คือในพระเยซูคริสต์ พระเมษโปดก พระเมสิยาห์ แล้วท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่

            นี่ก็อยู่ในบริบทที่พระเยซูประกาศ ท่านจะได้บังเกิดใหม่ วิญญาณของท่านจะเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมที่พระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่านได้  ท่านจะเป็นวิหารที่มองไม่เห็น  ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ แต่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ภายในท่าน แล้วท่านก็จะสามารถนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริงได้ ด้วยวิธีใหม่นี้ ก็คือต้องวางใจในพระเยซูเท่านั้น นี่ปูพื้นให้ท่าน

            แล้วพระเยซูก็ยกข้อบัญญัติต่างๆ ที่ชาวยิวคุ้นเคย มาวิเคราะห์ให้ดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นตัวอย่าง ที่จะชี้ให้เห็นว่าท่านทำไม่ได้หรอก ตามมาตรฐานของพระเจ้า ที่อ่านมา ท่านทำไม่ได้ทั้งหมด ที่พระองค์ทรงยกตัวอย่าง ไม่ใช่ ให้พวกยิวไปทำ  แต่ยกตัวอย่างว่าท่านทำไม่ได้หรอก เพราะว่าบาปมันอยู่ในใจของท่าน

            ยกตัวอย่างอย่างเช่นครั้งที่แล้วเราจบลงที่มัทธิว 6:12-15 เราลองมาทวนนิดหนึ่งว่าท่านทำไม่ได้หรอก ทำอะไรไม่ได้ นี่คือหนึ่งในตัวอย่างที่ทำไม่ได้ คือ …

        มัทธิว 6:12, 14-15  “12 ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษ (ไม่เอาความ ไม่โกรธไม่เคืองเลย 70×7) ผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น 14 เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ (ยังโกรธเคือง รำคาญใจ) พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรด ยกความผิดของท่านเหมือนกัน (ผล ก็คือพินาศในนรก เพราะบาป พันธสัญญาเดิมก็ถูกยกเลิกไปแล้วด้วย  พระบิดารับเฉพาะพระโลหิตของพระบุตร พระเมษโปรดกของพระเจ้าเท่านั้น)”

            “ยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษ ไม่เอาความ ไม่โกรธเคืองเลยกับคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น”

            ถ้าเราไม่ยกโทษ ไม่อภัยให้กับผู้อื่น แม้นิดเดียว แค่โกรธเคือง ก็ไม่ยกโทษแล้ว พระเจ้าก็จะไม่ยกโทษให้กับเราด้วย ท่านเห็นอะไรไหม? ทำได้ไหม? ชาวยิวก็ยังไม่เข้าใจ เพราะนี่เป็นเรื่องของความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูประกาศ บอกให้เขาฟังว่าพระองค์มาเพื่ออะไร? ไม่อย่างนั้นเขาโดนลงโทษ พิพากษาแน่นอน เพราะเขาทำไม่ได้ ไม่ใช่ให้เขาพยายามไปยกโทษมนุษย์คนอื่นๆ ไม่ใช่ เพราะเขาทำไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเขาทำไม่ได้ เมื่อเขายกโทษให้คนอื่นไม่ได้  พระเจ้าก็ไม่อภัยบาปให้เขา เขาก็ลงนรก เขาก็ติดบาปอยู่ ก็ไม่ได้ไปสวรรค์ แล้วชาวยิวก็ไม่เข้าใจ รู้ได้อย่างไรไม่เข้าใจ? ก็ขนาดสาวกอยู่ใกล้ๆ ได้ยิน ได้ฟัง ก็ตกใจ แต่ก็ยังวางใจในพระเยซู ยกตัวอย่างเช่น เปโตรและพวกสาวกใกล้ชิด ถามพระเยซูว่า …

            “ถ้าอย่างนั้น คำว่าต้องยกโทษให้คนอื่นกี่ครั้ง”

            จำได้ใช่ไหม? 7 ครั้งหรือ? 7 ครั้งมันเยอะแล้วนะ แต่ยังพอทำได้ไหม? พอได้อยู่ 7 ครั้ง เขาก็คิดในใจว่าพระเยซูกำลังมาสอนให้เขาทำ โดยเฉพาะเปโตรเป็นผู้แรกเลย เพราะว่าเปโตรหุนหันพลันแล่นมาก เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็อะไร? เขาก็คงหยวนน่า อาจจะยากกว่านี้หน่อย สัก 7 ครั้งได้ไหมพระองค์?  พระองค์ตอบว่าท่านทำไม่ได้หรอก  ไม่ใช่ 7 ครั้ง แต่ถ้าท่านจะทำให้ได้นั้น คือต้อง 70×7 ครั้งต่อความผิดครั้งเดียว ถ้าเขาเหยียบเท้าท่าน ท่านต้องอภัยให้เขา ไม่เคืองอะไรเลย ต้องให้เขาเหยียบ 490 ครั้ง ทำได้หรือเปล่า? พระองค์สรุป พูดง่ายๆ คือทำไม่ได้ นี่คือเป้าหมาย  พูดง่ายๆ ก็คือท่านจะรักษาบทบัญญัติให้ครบถ้วน 100% ด้วยตนเองนั้น ท่านทำไม่ได้หรอก พันธสัญญาเดิม  ก็ไม่มีแล้ว ในอนาคตอันใกล้นี้

            วิหารก็จะไม่มีอีกแล้ว เพราะถูกทำลายไปแล้ว เลือดสัตว์ พระเจ้าไม่รับแล้ว ก็เหลือเพียงทางเดียวเท่านั้น ก็คือทางพระเมสิยาห์ พระบุตรของพระเจ้า ลูกแกะของพระเจ้า โลหิตของพระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะช่วยท่านให้รอด รับการอภัยบาปได้ จงกลับใจใหม่เถิด นี่คือเป้าหมายของการประกาศของพระเยซู 3 ปี มาอยู่ตรงนี้ทั้งหมด นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าพระบิดาประสงค์ให้ท่านทำ ฟังให้ดีๆ การอภัยให้คนอื่น ไม่ใช่สิ่งที่พระบิดาต้องการให้ท่านทำ หรือบอกให้ท่านทำ ไม่ใช่อภัยให้คนอื่น ไม่ใช่ไม่ฆ่าคน ไม่ใช่ไม่โกรธคน ไม่ใช่ไม่ล่วงประเวณี ไม่ใช่ว่าไม่โลภ แต่พระองค์ตรัสว่าสิ่งที่พระบิดาต้องการให้ทำ มีสิ่งเดียวเท่านั้นเอง จะบอกให้ประกาศให้หมดเลย พวกนั้นบอกเราต้องรักษา 613 ข้อ บทบัญญัติพระบิดาให้เรามาบอกให้ท่าน ท่านได้รับความรอดจากนี้ต่อไป พระบิดาต้องการให้ท่านทำอย่างเดียวพอ ก็คือการวางใจในเรา เอเมนไหม? นี่ประกาศดังลั่น

            พระประสงค์ของพระบิดา “จงวางใจในเรา  ผู้ที่พระบิดาส่งมา” พูดง่ายๆ จงวางใจในเรา  ผู้เป็นพระเมสิยาห์ ที่จะมาช่วยท่านให้รอดนั่นเอง นี่คือหัวใจของการประกาศ 3 ปีนี้ อย่าเข้าใจผิด

            เรามาต่อวันนี้ มัทธิว 6:16-34 เราเริ่มที่มัทธิว 6:16-18 ก่อน …

        มัทธิว 6:16-18 “16 เมื่อท่านถืออดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้า เหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาปั้นหน้า เพื่อให้คนเห็นว่าพวกเขากำลังถืออดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว 17 ส่วนท่านเมื่อถืออดอาหาร จงล้างหน้า เอาน้ำมันชโลมศีรษะ 18 เพื่อจะไม่เป็นที่สะดุดตาใครว่าท่านกำลังถืออดอาหาร นอกจากพระบิดาของท่าน ผู้ไม่ปรากฏแก่ตา และพระบิดาของท่าน ผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน”

            ย้อนกลับมาที่ตะกี้นี้ ที่ปูพื้นไว้ เป้าหมาย คือท่านทำได้ไหม? ที่เขียนนี้ ที่สั่งนี้ ไม่ใช่มาสอนให้ท่านไปอดอาหาร ไม่ใช่ อดอาหารแล้วอย่าหน้าซื่อใจคด อดอาหารให้มันดีๆ นะ ให้มันมีท่าทีที่ถูกต้อง ไม่ใช่ กำลังบอกท่านทำไม่ได้ๆ เพราะวิญญาณข้างในท่าน เป็นบาป ท่านจะมีท่าทีที่ไม่ถูกต้องแน่นอน คือการอดอาหาร จะเป็นประเพณีวัฒนธรรม ตามศาสนาของยิวเท่านั้นนะ เป็นการแสดงการถ่อมใจ ของประชากรชาวยิวมาตั้งแต่อดีต เป็นวัฒนธรรมของเขา

            การถ่อมใจ  ก็คือการอดอาหารต่อหน้าพระเจ้าว่านี่ฉันถ่อมใจ เชื่อในพระองค์  แสดงออกทางด้านปฏิบัติ แต่ฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ในใจจริงๆ มันเย่อหยิ่งจองหอง มันทำไม่ได้หรอก มันอดที่จะอดอาหาร แล้วโชว์ให้คนอื่นรู้ มันอดไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นยกย่องไม่ได้ แล้วข้อสำคัญ ก็คือในหนังสือพันธสัญญาใหม่ ในจดหมายฝาก ที่เขียนถึงคริสเตียน ที่ไม่ใช่ชาวยิว ทีหลังนั้น ไม่มีการกล่าวถึง หรือแนะนำให้อดอาหารเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่มีเลย เพราะว่าต่างชาติที่เป็นคริสเตียน เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่ได้อยู่ในประเพณีวัฒนธรรมนี้ นี่เป็นเรื่องราวของคนยิว โดยเฉพาะคนยิวที่เคร่งศาสนา  เหมือนฟาริสี ธรรมาจารย์ สะดูสีที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ เพราะว่าพวกฟาริสี พวกนี้มักทำการนี้ ก็คือมักอดอาหารอย่างนี้ ตามวัฒนธรรมของยิว ให้ถ่อมใจเฉยๆ แต่คนเหล่านี้ ทำด้วยท่าทีที่ผิด คือทำเพื่อแสวงหาความชอบธรรมของตนเองว่าฉันทำแล้ว ฉันจะชอบธรรมขึ้น แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้ ก็คือทำ แล้วมีคนยกย่องสรรเสริญว่าเก่ง ว่าดี มีบารมี ยกตัวเองว่าตนเองทำได้เยอะ ทำได้ดี มีบารมีสูงกว่าคนอื่นที่ทำไม่ได้เท่าตนเองทำ

            “ฉันอดอาหารอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เธอไม่ได้อดอาหารเลย เธอปีละ 1 ครั้ง อย่ามาเทียบ คนละรุ่นๆ” … นึกภาพออกไหม?

            ถามว่าที่เขาคิดอย่างนี้ ท่าทีในใจเป็นอย่างนี้ เพราะอะไร? เพราะในใจเป็นบาปอยู่ เป็นหลุมศพอยู่ เขาคิดพึ่งพาตนเอง อยู่ในใจนั่นแหละ พอพึ่งพาตนเอง ทำแล้วมีความรู้สึกว่าอยากจะได้ดี ทำได้มากกว่าคนอื่น  เพราะฉะนั้น เขาจึงคิดว่าการทรมานตนเองเยอะๆ แล้วพระเจ้าก็จะโปรดปรานมากกว่าคนอื่นที่ทรมานตนเองน้อยๆ เพราะเขาพึ่งการกระทำของตนเอง

            “ฉันกระทำได้มาก ฉันก็เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าได้พรมาก” คุ้นๆ ไหม?

            มากกว่าคนอื่นที่กระทำได้น้อยกว่า พูดง่ายๆ เขาเน้นเรื่องการกระทำ มากกว่าเรื่องจิตวิญญาณข้างใน ความเมตตาข้างใน แต่ว่าน่าเสียดาย พระเจ้าดูที่ใจ พระเจ้าดูที่ข้างใน พระเจ้าดูที่ภูเขาน้ำแข้งใต้น้ำ พระองค์ไม่ได้ดูที่ตามองเห็น เหมือนกับพวกเขา นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังชี้ ต่อไปข้อ 19-21 …

        มัทธิว 6:19-21 “19 อย่าสะสม (แสวงหาที่จะมี) ทรัพย์สมบัติเก็บไว้ สำหรับตนในโลก ที่ซึ่ง แมลงและสนิมอาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรอาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้ 20 แต่จงแสวงหาที่จะมีทรัพย์สมบัติเก็บไว้ สำหรับตนในสวรรค์ ที่ซึ่งแมลงและสนิมไม่อาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรไม่อาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้  21 เพราะทรัพย์สมบัติของท่าน เก็บไว้อยู่ที่ไหน ใจของท่าน ก็อยู่ที่นั่นด้วย”

            ก่อนอื่นต้องมาอธิบายเกี่ยวกับถ้อยคำตรงนี้ก่อน คำว่า “อย่าสะสม” ผมวงเล็บให้ว่า “แสวงหาที่จะมี” คำว่า “อย่าสะสม” มันน่าจะแปลว่าแสวงหาที่จะมีทรัพย์สมบัติเก็บไว้ เพราะว่าอย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้ สำหรับตนในโลก ปรากฏว่าก็มีคนไปแปลผิด ไปหมายความผิด มันไม่ได้หมายความถึงว่าความคิดของมนุษย์ ที่พึ่งพาตนเองว่าทำดีมากๆ บริจาค

            ยกตัวอย่างเช่น บริจาค รักษาบัญญัติให้ถูกต้อง เป็นการสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ซึ่งมนุษย์ทั่วๆ ไป ก็คิดอย่างนี้ทั้งสิ้น ถูกไหม? เขาคิดว่าการทำดี การทำบุญสุนทาน บริจาคเยอะๆ เท่ากับเก็บทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ เขาคิดอย่างนี้ ซึ่งมันไม่ถูก มันไม่ใช่ เดี๋ยวเราจะไปดูว่ามันไม่ใช่เพราะอะไร? มันไม่ใช่สะสมทีละนิดทีละหน่อย ทำดีไป จะได้ทรัพย์ นั่นเป็นของคนที่วิญญาณยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังพึ่งพาการกระทำของตนเอง เพราะนึกว่าทำไปมากๆ ก็ได้เก็บเกี่ยวมากๆ ทำไปเยอะๆ ผลของวิญญาณก็ได้เยอะๆ ทำดีเยอะๆ ในสวรรค์ ก็มีเยอะๆ เขาคิดอย่างนั้น เพราะข้างในยังบาปอยู่  แต่ถ้ามาเป็นคริสเตียนแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว จะไม่คิดอย่างนี้ แล้วคิดอย่างไร? มาดูกัน

            พระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ถ้าไม่ใช่อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าพระองค์ไม่ได้มาสอนให้เราทำดี จะได้สะสมแต้มไว้ในสวรรค์ ถ้าไม่ใช่ แล้วพระองค์กำลังพูดถึงอะไร? พระองค์เปรียบเทียบทรัพย์สมบัติบนโลกที่มองเห็นได้กับทรัพย์สมบัติในสวรรค์ที่มองไม่เห็น พูดง่ายๆ กำลังเปรียบเทียบ ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำกับภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ  กำลังเปรียบเทียบสิ่งที่มองเห็นกับสิ่งที่มองไม่เห็น

            ทรัพย์สมบัติในโลก ซึ่งเป็นของปลอม ต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์เป็นของจริง พระเจ้าให้ฟรีๆ นี่สรุปสั้นๆ ทรัพย์สมบัติในโลกนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ ซึ่งเป็นของปลอม เพราะอยู่ไม่นาน มด ปลวก ขโมยๆ เอาไปได้ เป็นของปลอม ไม่จีรังยั่งยืน ต้องเหน็ดเหนื่อยหากันเองนะ ถูกหรือไม่ถูก อันนี้ชัดเจนเลย แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ เป็นของจริง อยู่ตลอดชั่วนิรันดร์ พระเจ้าให้ฟรี

             ทรัพย์สมบัตินี้คืออะไร? การถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในโลก ฟังให้ดีๆ การถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในโลก ต้องเหน็ดเหนื่อย หาเอง พึ่งพาตนเอง เป็นภาระหนัก เพราะทำไม่ได้  แต่การถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม  บริสุทธิ์ ดีพร้อมในสวรรค์ พระเจ้าให้ฟรีๆ แค่เชื่อวางใจในพระเมสิยาห์ พระเยซูคริสต์ พระองค์เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นพระคุณ เอเมน ให้เราขอบคุณพระเจ้า

            พระองค์กำลังมาชี้ให้กับชาวยิวเห็น และขณะเดียวกัน อนาคตก็จะชี้ให้กับคนไม่ใช่ยิวเห็นด้วย ทรัพย์สมบัติในโลกนี้ เป็นของจอมปลอม คือลาภ ยศ เกียรติที่สร้างขึ้นมาด้วยตนเอง จากการพยายามทำดี สะสมไว้ในใจ ใจก็จดจ่ออยู่ที่ของที่มองเห็นได้ เพราะนึกว่าการกระทำอย่างนั้น มันทำให้ตนเองเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าพอใจ ก็จดจ่ออยู่อย่างนั้น จดจ่อที่สิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ บนโลกใบนี้ ซึ่งบนโลกใบนี้ พระเยซูก็บอกว่ามันมืดทั้งนั้น มันเป็นบาปทั้งสิ้น ไปจดจ่ออยู่ที่บาป ก็ไม่จีรังยั่งยืน ความชอบธรรมนั้น ก็ไม่จีรังยั่งยืน ทรัพย์สมบัตินั้น ก็กลายเป็นของปลอม คือเดี๋ยวมันก็หายไปแล้ว มันไม่สามารถติดตัวไป ตอนตายจากโลกนี้ เข้าไปสู่มิติวิญญาณ เข้าไปพบพระเจ้า มันไม่สามารถติดตัวไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว

            แต่ทรัพย์สมบัติในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ เป็นของจริงที่คงอยู่ตลอดไปนิรันดร์ มด ปลวก หรือขโมยก็งัดแงะเอาไปไม่ได้ เห็นภาพชัดไหม? พระเยซูคริสต์เป็นพระมาสิฮาห์ ก็คือทรัพย์สมบัติในโลกวิญญาณ ก็คือตัวพระองค์นั่นเอง พระเยซูคริสต์เป็นทรัพย์สมบัติอันมหาศาล ใครได้พระเยซูคริสต์ไป ก็ได้หมดทุกอย่าง ไม่ต้องทำให้เหน็ดเหนื่อย แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็ได้ทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่ต้องการแล้ว นี่พระองค์ต้องการมาชี้ให้เห็นอย่างนี้

            ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นผู้หนึ่ง เหมือนครั้งที่แล้วยกตัวอย่างให้เห็น อาจารย์เปาโล คือฟาริสีผู้เย่อหยิ่ง จองหอง และกำลังฟังที่พระเยซูกำลังพูดอยู่นี้ ในอดีต ก่อนที่เขาจะเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่เขาจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาเป็นพยานให้รู้ว่าเขาเหน็ดเหนื่อยมากที่ต้องปรับปรุงตนเองตลอดเวลาให้ทำตามบทบัญญัติ ด้วยการพยายามรักษาบทบัญญัติ ที่ยังทำไม่ได้ครบถ้วน เดี๋ยวพลาดโน่นพลาดนี่ มันทำไม่ได้ในใจจะฟ้องอยู่ตลอดเวลา  พยายามที่จะรักษาบทบัญญัติ ที่ยังทำไม่ได้ครบถ้วน  ที่อยู่ในหนังสือบทบัญญัติ ระบุไว้ และอยู่ในใจของเขาที่ระบุไว้ว่าอันนี้ก็ทำไม่ถูก อันนี้ก็ไม่ได้ ที่พระเยซูยกตัวอย่างมาทั้งหมด พอยิ่งทำไม่ได้ ยิ่งพยายามทำ ก็ยิ่งรู้ว่าทำไม่ได้ใหญ่เลย ยิ่งเคร่งเท่าไร? ก็ยิ่งรู้ว่าไม่ได้ ยิ่งเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น ยิ่งเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นเท่าไร? ยิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ยิ่งรู้ว่าความชอบธรรมของตนเองนั้น เป็นของจอมปลอม ก็ยิ่งหมดหวังในการทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แต่อนิจจา ฟาริสีและคนอื่นๆ มีมากมายที่อาจจะยังไม่ได้ ถ่อมใจ ยังไม่ยอมรับความจริงนี้ ยังคงหน้าซื่อใจคด ทั้งๆ ที่ยังทำไม่ได้ ขอบคุณอาจารย์เปาโลที่พระเยซูคริสต์ช่วยให้เขาได้เห็นถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แล้วเขาก็มาเป็นพยานให้ฟังว่านี่มันเป็นอย่างนี้แหละ  ต่อไปข้อ 22-23 …

        มัทธิว 6:22-23 “22 ดวงตา คือประทีปของกาย หากตาของท่านดี ทั้งกายของท่านก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง 23 แต่ถ้าตาของท่านเสีย ทั้งกายของท่าน ก็จะเต็มไปด้วยความมืด หากความสว่างในท่าน เป็นความมืดมน ความมืดนั้น จะหนาทึบสักเพียงใด”

            ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะเป็นคนบาป อยู่ในความมืด มองอะไรก็มืดหมด ท่านคิดว่าการรักษาบทบัญญัติ ให้ได้มากๆ นั้น เป็นความสว่าง เป็นความชอบธรรมให้กับท่าน ในตัวของท่าน  ท่านคิดว่าความประพฤติของท่าน ที่พยายามทำให้ถูกต้อง ตามบทบัญญัตินั้น เป็นแสงสว่าง ให้กับชีวิตท่าน ทั้งๆ ที่ใจของท่าน และวิญญาณของท่านอยู่ในบาป อยู่ในความมืดมน แต่ท่านก็คิดว่าอยู่ในความสว่างแล้ว แล้วอย่างนี้ใครเล่าจะช่วยท่านได้ ท่านก็จะไม่แสวงหาพระผู้ช่วยให้รอด เพราะท่านคิดว่าท่านไม่ป่วย ทั้งๆ ที่ป่วย ท่านก็จะไม่เปลี่ยนใจของท่าน นึกว่าตัวเองทำได้ เพราะท่านไปจดจ่ออยู่ที่ความชอบธรรม ที่จะสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั่นเอง  เห็นไหม?

            แล้วพระเยซูบอกว่ามันจะมืดขนาดไหน? คนที่อยู่ในความมืด แล้วรู้ตัวเองว่ามืด มีโอกาสได้รับความรอด คนที่อยู่ในความมืด แล้วนึกว่าตัวเองอยู่ในความสว่างอันนี้ หมดความหวังเลย ข้อ 24  …

        มัทธิว 6:24 “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาย่อมเกลียดนายคนหนึ่ง และรักนายอีกคนหนึ่ง หรือภักดีต่อนายคนหนึ่ง และดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง  ท่านจะรับใช้ ทั้งพระเจ้าและเงินทอง ไม่ได้”

            คือต่อจากเมื่อตะกี้นี้ พระองค์กำลังพูดว่าเพราะใจของท่านไปจดจ่ออยู่ที่ความประพฤติ การกระทำ ใจท่านไปจดจ่ออยู่ที่นั่น จะพึ่งพาตนเอง ท่านจะพึ่งพระเจ้า ก็คือพึ่งพาเชื่อฟังพระเจ้า และขณะเดียวกัน จะพึ่งพาเชื่อฟังตัวเองพร้อมๆ กันได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าท่านเย่อหยิ่ง เชื่อฟังตนเอง มั่นใจในการกระทำดีของตนเอง ท่านก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรอก เพราะท่านคิดว่าจะไปเชื่อพระเจ้าทำไม? แต่ถ้าท่านเชื่อในพระเจ้า ท่านเองจะเป็นแสงสว่าง ท่านจะรู้ทันทีว่าท่านจะไม่พึ่งตนเองอีกต่อไปแล้ว เพราะท่านได้รับความสว่างแล้ว ทั้งหมดอยู่ที่ใจ ใจท่านต้องเปลี่ยน เปลี่ยนได้ด้วยวิธีอะไร?  มาวางใจในเรา เชื่อในพระเมสิยาห์ แล้วท่านจะได้บังเกิดใหม่ ฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ ที่เข้าใจผิดเอ๋ย ที่หน้าซื่อใจคดเอ๋ย ท่านจงอย่าเย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมใจ ท่านรักทรัพย์สินเงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้ มันอยู่ในใจของท่าน ท่านรักที่จะสร้างความชอบธรรมของตนเอง ขึ้นมาด้วยตนเอง ด้วยใจที่สกปรก ไม่ชอบธรรม สร้างขึ้นมา เพื่อข่มเหงผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น เราจะบอกความจริงให้กับท่าน เราจะแทงใจท่านว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นผลจากความบาป ที่อยู่ในใจของท่านทั้งสิ้น ท่านไม่รู้หรือ? อย่าเย่อหยิ่งยอมรับเถอะ เรารู้ความจริงในใจของท่านว่าท่านคิดอะไรอยู่ ทำดีเอาหน้า รักษาบทบัญญัติ แต่ข้างในสกปรกมาก และท่านเป็นทาสของบาปนี้อยู่ คือท่านรับใช้มันอยู่ เป็นทาสมัน ไม่มีทางหลุดออกมาเลย มีผู้เดียวที่จะช่วยท่านได้ คือพระเจ้าช่วยท่านหลุดออกมา ท่านทำให้ตาย อย่างไรก็เป็นทาสมันอยู่ดี เพราะฉะนั้น จงกลับใจใหม่เถิด เพื่อท่านจะได้เข้าสู่สวรรค์ กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า เพราะว่าถ้าทรัพย์อยู่ที่ไหน? ของมีค่าของท่านอยู่ที่ไหน? ใจท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย ถ้าท่านพึ่งพาตนเอง ใจท่านก็อยู่ที่การพึ่งพาตนเอง ไม่ได้อยู่ในการพึ่งพระเจ้า

            ถ้าท่านพึ่งพระเจ้า ใจท่านก็จะอยู่ที่พึ่งพระเจ้า ไม่ได้พึ่งพาตนเอง ต้องเลือกเอา ของใหม่ของเก่าเอามาปะปนกันไม่ได้ ไม่อันใดอันหนึ่ง ก็ต้องชนะ ท่านจะเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายไม่ได้ ลึกซึ้งนะตรงนี้ แต่มันเป็นเรื่องจริง

            ท่านลองคิดดู เอาท่านเป็นตัวอย่าง พอท่านเลิกเย่อหยิ่ง เลิกพึ่งพาตนเอง มาวางใจในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่แล้ว ถามว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านพึ่งพระเจ้าหมด ถูกไหม? ท่านบอกว่าท่านเชื่อพระเยซู ได้ไปสวรรค์แล้ว นั่นคือการพึ่งพระเจ้า นี่หมายถึงอย่างนั้น ท่านจะไม่ทำเหมือนเดิมอีกแล้วว่าทำดี เพื่อสะสมไว้ว่าจะได้ไปสวรรค์ แต่ท่านมั่นใจว่าได้ไปสวรรค์แล้ว แต่มีบางคนเท่านั้นเองที่เป็นคริสเตียนแล้วยังทำดีอยู่ เพื่อหวังว่าจะได้ทรัพย์สมบัติมากขึ้นในสวรรค์ แต่ไปสวรรค์ไหม? ไปสวรรค์ก็ไปอยู่แล้ว ก็มั่นใจอยู่แล้ว แต่ถามว่าทำดี เพื่ออะไร? เพื่อจะได้ไปสวรรค์ และได้ตำแหน่งดีๆ หน่อย เดี๋ยวรู้ ดูพระเยซูสอน ต่อไปยาวเลย เรื่องอย่าวิตกกังวล ข้อ 25-32 …

        มัทธิว 6:25-32  “25 เพราะฉะนั้น เราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวล เกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกิน หรือเอาอะไรดื่ม หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ 26 จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่าน หรือเก็บเกี่ยว หรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูหมู่นก ท่านไม่ล้ำค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ 27 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวล แล้วต่ออายุตัวเอง ให้ยืนยาวออกไป อีกสักชั่วโมงหนึ่งได้ 28 “แล้วทำไมท่านจึงกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย 29 กระนั้น เราบอกท่านว่าแม้แต่กษัตริย์โซโลมอน เมื่อทรงบริบูรณ์ ด้วยความโอ่อ่าตระการ  ก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่า  เท่าดอกไม้เหล่านี้  สักดอกหนึ่ง  30 ในเมื่อพระเจ้า ทรงตกแต่งต้นหญ้าในท้องทุ่ง ถึงเพียงนั้น ต้นหญ้า ซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้  และพรุ่งนี้  ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่าน มากยิ่งกว่า นั้นหรือ 31 ฉะนั้น อย่ากังวลว่า ‘เราจะเอาอะไรกิน?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรดื่ม?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม’ 32 เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้า ขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงทราบว่า ท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้”

            ตรงนี้เป้าหมายของพระเยซูกำลังบอกว่าท่านทำไม่ได้หรอก ทำอะไรไม่ได้ตรงนี้ รวมบริบทนี้นะ คือคำแรกเลย “อย่าวิตกกังวล เกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่มต่างๆ เหล่านั้น อย่าวิตกกังวล พูดๆ ไปตอนจบสุดท้าย ก็บอกว่าเพราะฉะนั้น ท่านอย่ากังวลว่าจะเอาอะไรกิน เน้นอีกแล้ว พระองค์กำลังเน้นว่าท่านอย่ากังวล จงเชื่อ ถ่อมใจ วางใจในพระบิดา นึกออกไหม? ทั้งอย่ากังวล ทั้งวางใจในพระบิดา ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ มนุษย์ที่ไม่บังเกิดใหม่ ที่ไม่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ข้างในนั้น วิตกกังวลทุกคนแหละ ยอมรับหรือไม่เท่านั้น มากหรือน้อยเท่านั้นเอง

            อย่าวิตกกังวล ให้วางใจในพระบิดา ทุกเรื่อง ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องโลกวิญญาณหรือโลกวัตถุ การกิน การอยู่บนโลกใบนี้ หรือการไปสวรรค์หรือไม่ หรือการเป็นคนชอบธรรมหรือเปล่านั่นแหละ ให้วางใจในพระบิดา เชื่อได้ว่าเป็นพระบิดา เมื่อเชื่อไม่ได้ ก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่สามารถเชื่อว่าพระเจ้าเป็นพระบิดา ไม่สามารถจะไม่วิตกกังวล และวางใจในพระองค์ได้ ในทุกเรื่อง ในทุกสิ่ง ทำไม่ได้

            ทำไม่ได้ เพราะข้อนี้บอกไว้ว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้มีความเชื่อน้อย  คำว่า “ความเชื่อน้อย” หมายถึงไม่มีความเชื่อ ไม่ใช่เชื่อน้อย ไร้ความเชื่อ ก็คือท่านยังไม่ได้เกิดใหม่ วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ ท่านไม่ได้วางใจในพระเยซูคริสต์ มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านทำไม่ได้หรอก หมายถึงที่อ่านมาทั้งหมดพระเยซูยกตัวอย่าง

            ทั้งหมดนี้ ท่านไม่มีทางทำได้หรอก ถ้าขาดพระมาซีฮาห์ คือพระคริสต์ ที่จะช่วยท่านให้บังเกิดใหม่ แล้วพระคริสต์จะเข้าไปสถิตอยู่ในใจของท่าน อยู่กับท่าน จูงท่านเดิน ท่านจึงสามารถวางใจในพระองค์ได้ พระคริสต์ทรงอยู่ในฉัน ท่านจึงวางใจได้ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น ท่านไม่สามารถวางใจ เชื่อและมอบทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับพระบิดาได้เลย ถ้าท่านไม่ได้บังเกิดใหม่ ท่านทำไม่ได้หรอก เห็นหรือยัง? บริบทนี้ก็จบตรงนี้อีกแหละว่า …

            “ท่านชาวยิวทั้งหลาย ท่านทำไม่ได้หรอก”

            ไม่กังวลท่านทำไม่ได้หรอก จะเอาอะไรกิน? เอาอะไรดื่ม? แม้แต่ตัวท่านเอง ก็เห็น พระเจ้าดูแลนกในอากาศอย่างไร? พระองค์ทรงดูแล ตกแต่ง กษัตริย์ซาโลมอน ทุกอย่าง มาจากพระองค์ทั้งสิ้น แต่ท่านไม่สามารถเชื่อพระองค์ได้ถึงขนาดนั้นหรอก เพราะว่าท่านยังไม่ได้เกิดใหม่ ท่านไม่สามารถเชื่อว่าพระองค์เป็นพระบิดา ท่านต้องเกิดใหม่เท่านั้น ท่านถึงจะเรียกพระองค์ว่าพระบิดา เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาสถิตอยู่ แล้วช่วยท่านให้เริ่มต้นเรียกพระองค์ว่าพระบิดา เพราะรู้จักพระองค์ในวิญญาณแล้ว แต่ถ้าท่านไม่บังเกิดใหม่ ท่านไม่สามารถเรียกพระองค์ว่าพระบิดาได้  ความสัมพันธ์ท่านเรียกพระองค์ว่าเจ้านายๆ พระเจ้า คือเจ้านายของท่าน มันไม่ลึกซึ้งเท่ากันกับพระบิดา และท่านสามารถฝากผีฝากไข้ได้ทุกอย่าง ได้หมดทุกเรื่อง ทั้งเรื่องไปสวรรค์ ทั้งอยู่บนโลกนี้ จะไปทำอะไร ได้แต่ร้อง …

                        “พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า” … ก็ว่ากันไป

            คราวนี้มาหัวใจของบริบทนี้ ก็คือมัทธิว 6:33 …

        มัทธิว 6:33 “แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย”

            เห็นอะไรไหม? “แต่” ก็คือทั้งหมดนั้น ท่านทำไม่ได้หรอก แต่สิ่งที่ท่านทำได้ ก็คือจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วสิ่งทั้งปวงเหล่านี้  คือที่พูดมาทั้งหมด คือแล้วลาภ ยศ สรรเสริญ ทุกสิ่งที่ท่านแสวงหาบนโลกใบนี้ อะไรที่อยากได้บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความร่ำรวย ความแข็งแรง มีชื่อเสียง คนยกย่อง สรรเสริญ ไม่วิตกกังวล ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง เต็มไปด้วยความรัก หลับสบาย เต็มไปด้วยสันติสุข แล้วอีกจิปาถะที่อยากได้ทั้งหมด บนโลกใบนี้ พระเจ้าก็จะมอบทุกสิ่งเหล่านี้ให้กับท่าน แถมอีกด้วย คือให้ฟรีๆ แถมให้หมดเลย ทุกสิ่งที่ท่านแสวงหาบนโลกใบนี้ แต่แถมที่ไหน? โลกวิญญาณ แถมที่ในสวรรค์ ไม่ใช่บนโลกใบนี้

            ทรัพย์สมบัติ พระองค์จะเก็บไว้ในสวรรค์ให้กับท่าน ตรงกับเมื่อตะกี้นี้ไหม? ที่บอกว่าไม่ใช่สั่งสม เก็บเอาไว้ให้กับท่าน มันไม่ใช่ของท่านทำเอง แต่เป็นพระองค์ให้กับท่าน แถมฟรีๆ แล้วเก็บไว้ให้ท่านที่ไหน? ที่ในสวรรค์ เพราะสิ่งเหล่านี้ ที่ท่านแสวงหา ถ้าแสวงหาอยู่บนโลกใบนี้ ที่ท่านกำลังแสวงหาอยู่ สิ่งเหล่านี้ มันเป็นของโลกนี้ มันไม่จีรังยั่งยืน ถูกไหม? ทั้งที่ตะกี้นี้ที่เราบอกมา ไม่ว่าจะเป็นความร่ำรวย ก็ไม่จีรังยั่งยืน ความแข็งแรง ก็ไม่จีรังยั่งยืน ชื่อเสียง คนยกย่องสรรเสริญ ไม่จีรังยั่งยืนทั้งสิ้นเลย ตายไป ก็เอาไปไม่ได้ด้วย สิ่งที่แสวงหาบนโลกใบนี้

            แต่สิ่งเหล่านี้ที่พระเจ้าแถมให้กับท่านในสวรรค์ คือทรัพย์สมบัติเหล่านี้ มันอยู่ถาวรนิรันดร์ ในสวรรค์เมื่อวันหนึ่งที่ท่านไปอยู่ในสวรรค์ ท่านจะแข็งแรงนิรันดร์ ร่ำรวยนิรันดร์ มีชื่อเสียงนิรันดร์ คนสรรเสริญ สรรเสริญกันเอง แล้วมีทูตสวรรค์ยกย่องมากมาย สง่าราศีของธรรมิกชนเหล่านี้ งดงามขนาดไหน? นี่ทูตสวรรค์สรรเสริญเรา  แล้วมันอยู่นิรันดร์ เป็นถาวรนิรันดร์เลย

            ความหมาย ก็คือนอกจากจะได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ทันทีแล้ว

            “ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว”

            สองอันนี้ ได้โดยการแสวงหา  คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูปุ๊บ แสวงหาความชอบธรรม ก็ได้ความชอบธรรม แสวงหาอาณาจักรสวรรค์ ก็ได้สวรรค์ ได้อยู่ในสวรรค์ ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้วทันที ที่เปิดใจรับเชื่อ เปิดใจต้อนรับพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้ 2 อันนี้แล้ว ได้ 1 ได้ 2 แล้ว แถมยังได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สมบัติที่จีรังยั่งยืนอยู่เป็นนิรันดร์ ที่พระเจ้าเก็บเอาไว้ให้กับท่าน อยู่ในสวรรคสถาน รอวันคืนที่ท่านจะมารับเมื่อออกจากร่างกายเดิมนี้ คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก ร่างกายเดิมนี้ ตายลง วิญญาณออกจากร่าง นั่นแหละ ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่นั่น เต็มไปหมดเลย ร่ำรวย แข็งแรง ลาภ ยศ สรรเสริญในวิญญาณ เป็นนิรันดร์ทั้งสิ้น ทรัพย์สินในสวรรค์ มันหมายถึงอย่างนี้ ซึ่งทรัพย์สมบัติในสวรรค์อันมีค่ามหาศาล ที่เก็บให้กับท่านในสวรรคสถาน คืออะไร? เรามาวิเคราะห์กันดู

            ที่ตะกี้บอกแข็งแรงตลอดไป ไม่เจ็บปวดตลอดไป นั่นเขาเรียกว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง ที่อยากได้ ร่ำรวยตลอดไป อยากได้มาก ไปอยู่ในสวรรค์ได้เลย เป็นของแถมนิดหน่อย แต่ทรัพย์สมบัติที่มีค่ามหาศาลที่ท่านได้รับแถมนี้ ก็คือเกียรติ สิริ สง่าราศี ร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่มีค่ามากมายสูงสุด เกินกว่าที่จะพรรณนาได้

            และแค่นั้นไม่พอ  และได้เข้าครอบครองกับพระเยซูคริสต์ ในสรรคสถานทั้งหมดเลย ครอบครองทั้งในสวรรค์ บนโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่เอี่ยม อย่างดีเยี่ยมให้กับธรรมิกชนทั้งหลาย คือผู้เชื่อทั้งหลาย ลูกๆ ของพระองค์ได้อยู่อาศัยนิตย์นิรันดร์

            นี่คือทรัพย์สมบัติอันมีค่ามหาศาลในสวรรคสถาน ที่ดีกว่าทรัพย์สมบัติในโลกใบนี้มากยิ่งนัก เอเมนไหม? โอเคไหมที่จะตั้งหน้าตั้งตามองไปที่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ ต้องตอบว่าโอเคเลย

            เปาโลจึงบอกว่า … “ข้าพเจ้าทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง มองไปที่ข้างหน้า ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ข้าพเจ้าได้มา มีมาในอดีต ทิ้งหมดทุกอย่างแล้วไปมองเอารางวัลข้างหน้า คือมรดก คือมงกุฎแห่งชีวิต ที่ข้าพเจ้าจะไปรับ” ก็คือสวรรค์นี่แหละ

            เมื่อแสวงหาอาณาจักรสวรรค์ และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และได้พบแล้ว ก็จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย ได้ครอบครองแถมอีกต่างหากด้วย

            นี่คือสิ่งที่พระเจ้าจะเพิ่มเติมให้ นอกเหนือจากการได้เป็นผู้ชอบธรรม อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้วทันที เนื่องจากแสวหาจนเจอ เปิดใจต้อนรับพระเยซูแล้ว แล้วพระเจ้าก็แถมให้ฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่แสวงหาทางเข้าสวรรค์เท่านั้น พอเข้าสวรรค์ได้ ก็จะได้รับทรัพย์สมบัติมากมายในสวรรค์ พร้อมด้วยเลยทันที เป็นพระคุณจริงๆ เอเมน? เป็นพระคุณ ให้ฟรีๆ เลย

            ดังนั้น ทุกคนที่เข้าสวรรค์ ก็เลยได้เท่ากันไหม? คิดตามเหตุผลก็พอแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคนก็ได้เท่ากันหมด เพราะว่ามันเป็นของแถมฟรีๆ ให้กับเราจากพระเจ้า แถมฟรีๆ แปลว่าไม่ได้ให้กับเรา แลกกับการทำงานอะไรของเราเลย

            ฉะนั้น คริสเตียนที่ยังไม่เข้าใจ อย่าหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะได้มากกว่าคนอื่นเขา เมื่อไปสวรรค์ จะได้อยู่ที่ดีกว่าเขา จะมีทรัพย์สมบัติมากกว่าเขา No ไม่เลย แล้วก็ไม่ต้องตกใจกลัว สำหรับคริสเตียนที่ยังไม่เข้าใจ นึกว่าเราทำนิดๆ หน่อยๆ ขอแค่เข้าไปนอนที่พื้นบนสวรรค์ก็ยังเอา อย่าไปคิดอย่างนั้น มันไม่ใช่

            “ฉันได้น้อย อาจจะพอใจว่าได้แค่นี้ ก็พอใจ ไปอยู่ในสวรรค์ อยู่บ้านเล็กๆ ก็พอแล้ว คงไม่เท่ากันกับศิษยาภิบาลได้หลังเบ้อเริ่มเทิ่มเลย”

            อย่าไปคิดอย่างนั้น เพราะได้เท่ากันหมด แต่ละท่าน พระเยซูยกตัวอย่างเจ้าของสวน จำได้ไหม? ทุกคนได้ 1 เดนาริอันเท่าๆ กันหมด ไม่ว่ารักษาบทบัญญัติความประพฤติได้มากหรือน้อย ทุกคนก็ได้เท่ากันหมด เอเมนไหม? เพราะมันไม่ได้ มาด้วยการประพฤติ การกระทำของเรา มันเป็นของแถม เป็นของฟรี ที่พระเจ้าให้เราฟรีๆ โดยพระคุณ ก็ต้องได้เท่ากันสิ สุดท้ายมัทธิว 6:34 …

        มัทธิว 6:34 “เพราะฉะนั้น อย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ ก็จะมีเรื่องวิตกกังวล  เกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง แต่ละวัน ก็มีความเดือดร้อนของมัน พออยู่แล้ว”

            เพราะฉะนั้น เลิกที่จะพึ่งพาตนเอง จงกลับใจใหม่ หันมาพึ่งพา วางใจในพระมาซีฮาห์ คือพระเยซูคริสต์ดีกว่า จะได้ไม่ต้องวิตกกังวล ถึงวันพรุ่งนี้ จะได้มาบังเกิดใหม่ และพระเยซูก็เข้าไปสถิตอยู่ด้วย พระวิญญาณก็ทรงนำ แล้วเราก็สามารถที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับพระองค์ ในแต่ละวัน ให้พระองค์ทรงนำไปได้ เอเมน ให้กลับใจใหม่ซะ เพราะการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านั้น มันเกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ มันไม่ใช่รอไปรับทรัพย์สมบัติแถมๆ ฟรีๆ ในสวรรค์ หลังความตาย อันนั้นเป็นทรัพย์สมบัติ แต่ความชอบธรรม การเป็นลูกของพระเจ้า  การเข้าในสวรรค์นั้น ที่เราแสวงหา มันได้ทันที การบังเกิดใหม่ เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ พระเจ้าเข้ามาสถิตด้วยทันที ที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            และนี่แหละคือสิ่งที่พระเจ้า พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าจากนี้ต่อไป ท่านก็ไม่วิตกกังวลถึงวันพรุ่งนี้แล้ว เพราะแต่ละวันพระเยซูคริสต์ก็ทรงนำหน้าท่านอยู่ นำหน้าไปถึงไหน? 10 ปี 20 ปี No นำหน้าท่านไปจนถึงนิรันดร์ จนถึงวันที่ท่านหลับตา วิญญาณออกจากร่าง พระองค์ก็ทรงอยู่ด้วย ขณะที่เฮือกสุดท้าย ในการหายใจของท่านจะจากโลกนี้ไป พระเยซูก็อยู่ด้วย พอวิญญาณท่านออกจากร่างปุ๊บ ไปสวมร่างกายใหม่ พระเยซูก็อยู่ด้วย ท่านก็ไม่ต้องกังวลถึงวันพรุ่งนี้แล้ว มีแต่วันนี้ๆ

                        “วันนี้เป็นวัน วันนี้เป็นวัน ที่พระเจ้าอวยพร”

            เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า …

            “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความเหนื่อยยาก วิตกกังวล จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

            ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่ เขาหายเหนื่อยไหม? ถ้าเขายังพึ่งพาตนเองอยู่ ไม่ว่าอะไรก็ตาม เขาไม่หายเหนื่อย แต่ถ้าเขาพึ่งพระเยซูคริสต์ ใจเขาจดจ่อแต่ที่พระเยซูคริสต์ ใจเขาไปพักที่พระองค์ อยู่ที่ทรัพย์สินที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระองค์กำลังพูดกับใคร? พระองค์กำลังพูดกับชาวยิว แต่เราสามารถเอาตรงนี้มาใช้กับคนที่ไม่ใช่ยิว ก็ได้ด้วยเช่นเดียวกัน

            เพราะว่าพระองค์ทรงพูดกับชาวยิว เพื่อให้ชาวยิว ได้รู้ว่าการพึ่งพาตนเองนั้น มันไปไม่รอด  เขาต้องมาหาพระเจ้า ต้องมาแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และอาณาจักรของพระองค์และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน  ความชอบธรรมของเขาที่ทำด้วยตนเอง ด้วยความประพฤติของตนเอง มันของจอมปลอม มันไม่จริง ตายไป ก็เอาไปไม่ได้ แต่ความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้า เป็นของพระเจ้า มันติดตัวไปได้  และเป็นความชอบธรรมที่สามารถที่เกิดขึ้นได้ทันที ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลยทีเดียว ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ

****************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ข่าวดี คือมนุษย์เลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้  เดี๋ยวนี้ทันที

            โรม 8:9 “โดยความเป็นจริง  ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป  อยู่ในเนื้อหนังในอาดัม  แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณในพระคริสต์  ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน  คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            ตัวตนแท้จริงของมนุษย์  คือวิญญาณจะต้องอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ  ที่มองไม่เห็น  จับต้องไม่ได้  แต่เป็นอยู่จริง  จริงกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นจับต้องได้ด้วยซ้ำ

            พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่ามนุษย์ทั้งหลายเกิดมาจากครรภ์มารดา  ร่างกายอยู่บนโลกวัตถุ ที่จับต้องมองเห็นได้  แต่วิญญาณภายใน  อยู่ในโลกวิญญาณ  อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดในความบาป ในอาดัมบรรพบุรุษ  อยู่ภายใต้กฎแห่งการทำดีละชั่ว  พยายามพึ่งพาการกระทำดีด้วยตนเอง  เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างในสวรรค์กับพระเจ้า    ซึ่งพระเยซูตรัสว่ามันไม่มีทางดีพร้อม 100% ได้เลย  ต้องบังเกิด อีกครั้งหนึ่ง  คือนอกจากเกิดจากครรภ์มารดาแล้ว  ต้องเกิดใหม่ในวิญญาณจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย  จึงจะสามารถบริสุทธิ์ดีพร้อม  เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างในสวรรค์ของพระเจ้าได้

            ข่าวดี  คือมนุษย์เลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้  เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น  แล้วพระวิญญาณของพระคริสต์  จะเข้าไปในร่างกายของท่าน  ทำอัศจรรย์ให้ท่านเกิดอีกครั้งทันที

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1384

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  ตุลาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 7

“คำเทศนาบนภูเขา” EP.6

“ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            เราก็ยังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ผ่านมาแล้ว 6 ตอน วันนี้เป็นตอนที่ 7 และเป็น Ep.ที่ 6 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา” ย้ำกันอีกครั้งหนึ่ง …

            ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

            ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  Ep.1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

            ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  Ep.2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

            ตอนที่ 4  คำเทศนาบนภูเขา  Ep.3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

            ตอนที่ 5  คำเทศนาบนภูเขา Ep.4 :   มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก       แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน

            ตอนที่ 6  คำเทศนาบนภูเขา Ep.5 : ต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์

            ตอนที่ 7 คำเทศนาบนภูเขา Ep.6 : ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน

            เราได้เรียนรู้กันแล้วในบริบทคำเทศนาบนภูเขา  ซึ่งพระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิวได้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้เลย ที่เขาทั้งหลายจะรักษาบทบัญญัติ กฎหมายทางศีลธรรมของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน บริบูรณ์ ไม่พลาดเลยสักข้อเดียว อย่าลืมตรงนี้เด็ดขาดว่านี่คือเป้าหมายที่พระเยซูกำลังพูดในบริบทคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูกำลังประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องแผ่นดินสวรรค์ที่กำลังจะมาตั้งอยู่ว่าจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? ประกาศให้กับชาวยิว บนพื้นฐานของศาสนายิว ที่รักษาบทบัญญัติตามประเพณียิว วัฒนธรรมของยิว การดำเนินชีวิตแบบยิวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่นเลย ไม่อย่างนั้นจะเข้าใจบริบทผิด ต้องรู้หัวใจรวมตรงนี้ก่อน

            สรุปย่อๆ ของเรื่องราว ก็คือพระเจ้าได้เตรียมพันธสัญญาใหม่ ให้กับชาวยิวแล้ว และไม่ใช่จากชาวยิวอย่างเดียว แต่ให้กับมนุษย์ทั้งหลายทั่วไปด้วย หลังจากชาวยิวก่อน

            เบื้องหลัง ก็คือคนยิวยังหลงผิด คิดว่าพวกเขาจะสามารถเป็นผู้ชอบธรรม รอดจากความพินาศ ในนรกได้  เพราะเขารักษาบทบัญญัติ ตามบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด  คือคิดว่าทำให้ได้มากที่สุด พระเจ้าพอใจแล้ว ได้ไปสวรรค์แน่นอน เขาหลงผิดไป แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่โดยการประพฤติตามบัญญัติของเขา ที่เขาบอกว่าเขาทำได้เยอะ ซึ่งไม่มีใครทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ใช่ไหม? จริงๆ แล้ว เป็นพระเมตตาของพระเจ้าที่ทรงอภัยบาป ให้กับเขาผ่านทางการถวายบูชาเลือดสัตว์ ซึ่งเรียกว่าแกะปัสกา ตามพันธสัญญาเดิม บัญญัตินั้น มีไว้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนบาป ต้องการได้รับการช่วยเหลือ เท่านั้น ไม่ใช่ ให้เขาเอาไว้เพื่อยึดถือว่าเขาทำได้เยอะ แล้วก็ได้รับความรอด ใครทำไม่ได้ ก็ตกนรก  เพราะไม่มีใครทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์สักคนหนึ่ง นี่เขาหลงผิด คิดไปอย่างนั้น

            แล้วพระเยซูกำลังบอกอะไร? บอกว่าพระเจ้าได้สัญญามาตลอดว่าวันหนึ่งข้างหน้า จะทำพันธสัญญาใหม่ ซึ่งดีกว่าพันธสัญญาเดิมนี้ พันธสัญญาเดิม ก็คือใช้เลือดสัตว์ ลบบาป

            พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะทำพันธสัญญาใหม่ให้ดีกว่าเดิมอย่างมาก บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของเขา บอกทางผู้เผยพระวจนะ เล็งให้เห็นถึงว่าพันธสัญญาใหม่ที่ดีกว่าเดิมนั้น ผ่านทางพระบุตร ก็คือพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ ภาษาของยิว  นี่เรากำลังเรียนรู้เรื่องราวของคนอื่นเขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรานะ มันเกี่ยวทางอ้อม ไม่ได้เกี่ยวโดยตรง พระเยซูกำลังพูดกับคนยิว ซึ่งพระเมสิยาห์ ตอนนี้พระองค์ก็อยู่ที่นี่แล้ว กำลังพูดอยู่นี่แหละ

            “ฉัน คือคนนั้นแหละ ที่พระเจ้าสัญญาไว้”

            เพราะฉะนั้น จงกลับใจใหม่ หันมาเชื่อและวางใจในเรา หรือพระเยซูคริสต์ หรือในตัวพระองค์ดีกว่า

            นี่คือหัวใจ ปูพื้นไว้ว่าเรากำลังเรียนบริบท คำเทศนาบนภูเขา พระเยซูกำลังพูดเรื่องอะไร? พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นถึงแผนการของพระเจ้าในโลกวิญญาณว่าวันปัสกา คือวันแห่งการยกโทษบาป ตามพันธสัญญาเดิม ปีหนึ่งเขามีครั้งหนึ่ง ตามประเพณีวัฒนธรรม ตามศาสนายิว ในอีกไม่ช้า อีกไม่เกิน 3 ปีนี้ ถ้าพระเยซูพูดเรื่องนี้ตอนปีแรก แห่งการประกาศ ก็หมายถึงอีก 3 ปี จะเป็นวันสุดท้าย ถ้าพระเยซูพูดเรื่องนี้ปีที่ 2 ก็เหลืออีก 2 ปี ถ้าพระเยซูพูดในปีที่เขาจะจับพระเยซูไปตรึง ก็เหลืออีก 1 ปี ถ้าพระเยซูพูดก่อนที่เขาจะตรึงพระองค์ไม่กี่วัน วันปัสกาที่จะถึงนี้ จะเป็นปัสกาสุดท้ายของพวกท่านชาวยิวเอ๋ย

            นี่คือเป้าหมายของพระเยซูที่ประกาศทั้งหมดเลย ประกาศออกมาภายใน 3 ปี ให้กับชาวยิว ไม่ใช่ชาวต่างชาติ เหมือนพวกเรา จะเป็นปัสกาครั้งสุดท้ายของพวกเขา ชาวยิว เราเคยถวายปัสกาไหม?  ไม่เคย ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เรากำลังอ่านเรื่องราวของพวกเขาอยู่ มันจะเป็นปัสกาครั้งสุดท้ายของพวกเขา คือพวกชาวยิว หลังจากที่ชาวยิวได้ทำปัสกาอย่างนี้ ตามบรรพบุรุษของเขามาแล้ว เป็นเวลาตั้ง 1,500 กว่าปี ตั้งแต่สมัยโมเสส ทำมาตลอด เพราะพระเจ้าสั่ง สอนลูก สอนหลานว่าทุกปีต้องทำปัสกาถวายแกะลบล้างบาป

            ปัสกา คือการละเว้นจากโทษของความบาป ทำปีละหนึ่งครั้ง โดยที่หัวหน้าครอบครัว ชาวยิว มีหน้าที่ที่จะถวายแกะหรือแพะ ที่บริสุทธิ์ เป็นเครื่องบูชาลบบาปให้กับตนเอง และครอบครัวทั้งหมด ในครอบครัวของเรา ในบ้านของเรา

            ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทำพันธสัญญาใหม่ ก็คือท่านทั้งหลาย ที่เป็นคนยิว ลองคิดนะ พระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ประกาศให้เขาฟังว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว ที่พระเจ้าจะเปลี่ยนปัสกาตามที่สัญญาไว้ ปัสกา ก็คือพันธสัญญาเดิม ถวายเลือดสัตว์ ตอนนี้พระองค์จะเปลี่ยนแล้ว โดยส่งพระเยซูคริสต์มา ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทำพันธสัญญาใหม่ ซึ่งท่าน … ท่านคือชาวยิวทั้งหลาย จะเป็นตัวแทนของครอบครัวของมวลมนุษย์ นี่มุมใหญ่มาแล้วนะ ตะกี้นี้ครอบครัวเล็กๆ ที่เรียกว่าชาวยิว ตอนนี้ครอบครัวมวลมนุษย์แล้ว ชาวยิวจะเป็นตัวแทนของครอบครัวมวลมนุษย์ที่จะถวายพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เป็นแกะปัสกาไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ ซึ่งจะทำแค่ครั้งเดียวเป็นพอ คือทำวันที่เป็นประเพณี วัฒนธรรมศาสนาของยิว  ปีหนึ่งครั้งหนึ่ง  เขาจะมีวันของเขา แต่ที่เรารู้ ก็คือครั้งเดียว ในปี ค.ศ.33 มีจดบันทึกไว้เลย คือในปีที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 นั่นแหละ เป็นครั้งสุดท้าย  หลังจากนั้นแล้ว ไม่มีปัสกาอีกแล้ว คือพระเจ้าเปลี่ยนจากพระเมตตา คือปัสกา ใช้เลือดสัตว์เรียกว่าพระเมตตา แต่ตอนนี้ใช้พระบุตร เรียกว่าเปลี่ยนจากพระเมตตา มาเป็นพระคุณแล้ว นี่มันหมายถึงอย่างนั้น

            ดังนั้น เวลาพระเยซูพูดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเทศนาบนภูเขา หรือลงจากภูเขาแล้ว อยู่ในบ้าน หรืออยู่ในบ้านคนอื่นเขาเชิญไป หรือพูด ก็เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนจากพระเมตตา มาเป็นพระคุณ บทบัญญัติที่เขียนไว้ในหนังสือม้วนของชาวยิว  หรือเขียนไว้ในจิตใจของเขาด้วย ทั้งชาวยิวและไม่ใช่ชาวยิว เป็นบทบัญญัติ ที่ถูกเขียนขึ้นมา เพราะเนื่องจากความบาป และความตายยังคงอยู่ตลอดไป จนสิ้นโลกนี้นั่นเอง เพราะว่าเขาทั้งหลายตกอยู่ในความบาปและความตายในวิญญาณ เขาต้องดำเนินชีวิตตามกฎของวิญญาณที่เต็มไปด้วยความบาปและความตาย แต่การช่วยให้รอด คือการลบบาป เปลี่ยนวิถีใหม่ ให้พันธสัญญาใหม่ ก็คือผ่านทางโลหิตพระเยซูคริสต์เท่านั้น ยกเลิกโลหิตของสัตว์ นี่คือพันธสัญญาใหม่  จากนี้ต่อไป การวางใจ เชื่อในการสิ้นพระชนม์ ขอพระเยซูคริสต์ การไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ จึงเป็นทางเดียวเท่านั้น มวลมนุษย์ในภายหลัง ที่ชาวยิวและมวลมนุษย์ จะได้รับความรอดจากการถูกพิพากษาหลังความตาย  และสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ทันทีเลย

            นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังจะมาประกาศ และกำลังประกาศให้กับชาวยิวก่อน เรากำลังเรียนรู้ คำที่พระองค์กำลังประกาศให้กับชาวยิว พระเยซูอธิบายให้ฟัง เพราะเหตุว่ามวลมนุษย์เกิดมาก็อยู่ในบาป  อยู่ใต้กฎของความบาปและความตายอยู่แล้ว เป็นทาสของการกระทำตามบทบัญญัติ กฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นทาสอยู่ใต้กฎนี้ทุกคน ซึ่งไม่สามารถที่จะทำดีได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ต้องได้รับโทษ จุดเล็กๆ ทำไม่ได้ ก็โดนลงโทษเท่ากับจุดใหญ่ๆ เหมือนกันหมด เพราะข้างในมันเป็นบาป ทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก

            ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือเป็นต่างชาติ ก็ต้องมาวางใจในพระเยซูคริสต์ เข้ามาอยู่ในกฎแห่งพระคุณ กฎแห่งพระคุณนี้แหละ ซึ่งเป็นกฎวิญญาณแห่งชีวิต เพื่อจะได้รับความรอดจากความพินาศ หลังความตายนั่นเอง นี่คือเป้าหมายบริบทที่พระเยซูตั้งใจมาประกาศ เริ่มต้นให้กับชาวยิวก่อน  ก็คือรอดด้วยความเชื่อในพันธสัญญา กำลังบอกชาวยิวว่า …

            “ท่านรอดด้วยความเชื่อในพันธสัญญานะ ไม่ใช่ด้วยการกระทำตามบทบัญญัติที่ท่านคิด  ซึ่งท่านกระทำไม่ได้ครบอยู่แล้ว  ซึ่งแม้แต่อับราฮัม บิดาแห่งความเชื่อ บิดาของชนชาติยิวเอง ยังบันทึกเอาไว้เลยว่าได้รับความรอด โดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยความประพฤติเหมือนกัน ท่านไม่เข้าใจหรือ? บิดาของท่าน ที่ท่านบอกท่านนับถือนักหนานั่นนะ  ท่านทำไมไม่ทำตามบรรพบุรุษนั้น”

            นี่คือสิ่งที่พระเยซูเล่า นี่ผมปูเบื้องหลังให้ท่าน ท่านจะได้ศึกษาคำพูดของพระเยซู คำประกาศของพระเยซูบนภูเขาได้ชัดเจนขึ้น  จะได้ลึกซึ้ง เพราะตรงนี้สำคัญกว่าที่ไปอ่านข้อความในนั้น เพราะท่านอ่าน ไม่ได้ปูพื้น มันจะงง เพราะเราไม่ใช่ยิว พระเยซูไม่ได้พูดกับเรา  เราแอบไปอ่านหนังสือของคนอื่นเขา ซึ่งในปัจจุบัน มันผิดกฎหมาย เราไปแอบอ่าน ต้องคิดอย่างนี้

            เพราะฉะนั้น กำลังบอกกับชาวยิวว่า … “พวกนายอย่าหยิ่งทะนงตน เหมือนพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ที่คิดว่าตัวเองทำดีได้มากแล้ว อย่าไปคิดอย่างนั้น  แต่จงถ่อมใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป เป็นคนป่วย ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และหันมาวางใจในพระองค์ ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด”

            ตรงนี้แหละ เป็นจุดประสงค์ใหญ่ของพระเยซูที่ประกาศให้ทั้งหมด จะไปแปล จะไปอ่าน จะไปฟังเลยว่าใครจะอธิบายอย่างไร? ต้องวิ่งมาตรงนี้ว่าเขาแปลเสร็จแล้ว อธิบายเสร็จแล้วพุ่งมาตรงนี้หรือไม่? กำลังอธิบายกับชาวยิวว่าอย่าทะนงตน  เราทะนงตนอย่างนั้นหรือเปล่า? เราก็ไปคิดเอาเองแล้วกัน  เราไปแอบอ่านของเขา

            พระองค์ชี้ให้พวกเขาเห็นว่าไม่ว่าท่านจะเคร่งครัดกับบทบัญญัติ กฎศีลธรรมในศาสนายิวมากเท่าไรก็ตาม ความประพฤติภายนอกนั้น ก็ไม่สามารถเยียวยารักษาเชื้อบาปสกปรก ที่อยู่ในใจ ในวิญญาณของท่านได้หรอก ต่อให้ท่านเคร่งครัดในการตัดกิเลส ตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่ชักจูง ผลักดันให้ท่านทำบาป ถึงขนาดตัดแขน ตัดขา ควักลูกตาออก ท่านก็จะตายไปพร้อมกับความบาป ที่อยู่ในใจ ในวิญญาณของท่าน ซึ่งเกิดมาเป็นคนบาป กำลังพูดกับคนยิว  เพราะคนยิวเคร่งบัญญัติมาก มากจนกระทั่งเลยไป

            พระเยซูบอก มาตรฐานของพระเจ้า คือคิด โกรธ เคืองคนอื่น ดูถูกคนอื่นว่าไอ้โง่ ก็มีค่าเท่ากับฆ่าคนตาย  โทษเท่ากับฆ่าคนตาย คิดกำหนัดในใจ ก็เท่ากับล่วงประเวณี  เห็นหรือยัง นี่คือมาตรฐานที่พระเยซูคริสต์ กำลังชี้ให้เห็นว่าท่านทำได้ไหม? ตัดแขนตัดขาแล้ว ก็ยังฆ่าคนตายได้ไหม? ตามที่พระเยซูยกมา ยังฆ่าคนตายได้  เพราะว่าแค่คิดเท่านั้น ก็เท่ากับฆ่าเขาตายแล้ว ควักลูกตาออก ก็ยังล่วงประเวณีได้ไหม?  ไม่เห็นแล้วนะ

            เพราะกำหนัดในใจ ถ้ามองภายนอกแล้ว มันต้องเห็นภาพ แต่นี่ไม่เห็นเลย ตาบอดไปแล้ว ควักลูกตาออกเลย ชอบมองนัก ควักออกแล้วยังล่วงประเวณีได้ แค่คิดเท่านั้น เพราะพระเจ้าดูที่ใจ ที่วิญญาณข้างใน ไม่คิดได้ไหม?  ได้ ก็คือตาย  … ตายไปพร้อมกับความบาปที่อยู่ในใจ เห็นไหม? พระเยซูตอกย้ำยืนยันว่าถ้าท่านยังยึดถือกระทำตามบทบัญญัติ ท่านจะสอบไม่ผ่านแน่นอน เมื่อสอบไม่ผ่าน ก็ต้องตกนรกแน่นอน พูดกับใคร? พูดกับชาวยิว ฉะนั้น จงถ่อมใจยอมรับเถิดว่าตนเอง ยังทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างแน่นอน แล้วจงกลับใจใหม่ หันมาทางใหม่ ทางแห่งพระคุณดีกว่า คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  จากโทษของความบาป ซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้ท่านเข้าสู่สวรรค์ได้ ที่พระเจ้าได้วางไว้ แล้วส่งพระเยซูมา สัญญาไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของท่านว่าพระมาซีฮาห์จะมากระทำอย่างนี้

            มาตรฐานของพระเจ้าคืออะไร? คือท่านต้องชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเท่านั้น จึงจะผ่านประตูสวรรค์ได้  ก็คือต้องเกิดใหม่เท่านั้น พระเยซูยกตัวอย่าง บัญญัติต่างๆ ของพวกชาวยิว  ชาวต่างชาติคุ้นเคยไหม? ไม่คุ้นเคย อ่านก็ไม่รู้เรื่อง เพราะที่พระเยซูยกมาบอกว่า …

            “ท่านเคยได้ยิน มีคำเขียนไว้ว่า …”

            กำลังพูดถึงวัฒนธรรมทางศาสนาของยิวทั้งนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราไปอ่านพิธีไม่รู้เรื่องหรอก เพราะฉะนั้น พระเยซูยกตัวอย่างอุปมาอะไรต่างๆ เหล่านั้น ประกาศอะไรต่างๆ เหล่านั้น ให้กับพวกยิว ซึ่งคุ้นเคยกับประเพณีเหล่านั้นดี  และชาวยิวเหล่านั้น ที่พระองค์ทรงเน้นในขณะนั้น ก็คือผู้ที่เคร่งครัด รักษาบทบัญญัติ ตามประเพณี ตามศาสนา อย่างเคร่งครัด รักษาอยู่ แล้วพระเยซูก็นำมาเปิดเผยความจริงว่าที่ท่านได้ยินมานั้น มันเป็นอะไร? จากในวิญญาณของท่าน มันไม่ใช่ กำลังบอกเขาจริงๆ ว่าปากกับใจเขาไม่ตรงกัน

            แล้วพระองค์ก็พูดยกตัวอย่างให้เขาด้วยความรักว่าอย่างนี้เขาเรียกว่าหน้าซื่อใจคด ก็คือปากกับใจไม่ตรงกัน การกระทำข้างนอกกับข้างในมันไม่ตรงกันเลย เพราะฉะนั้น ท่านอย่าวางใจในการกระทำภายนอก เพราะว่าท่านจะเป็นคนหน้าซื่อใจคด  ทำไม่ได้ ก็บอกว่าไม่ได้สิ ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำไม่ได้ แต่เย่อหยิ่งบอกว่า …

            “ฉันทำได้ ฉันเป็นผู้ชอบธรรม”

            มันชอบธรรมที่ไหน? ในใจเขาเขียนไว้แล้ว  เราทำไม่ได้ พระองค์จึงยกระดับมาตรฐานของความบริสุทธิ์ของพระเจ้าขึ้นมาให้เขาเห็น เปรียบเทียบให้เขาเห็นว่าไม่ได้จริงๆ ถ้าเป็นพระเจ้า พระเจ้าต้องการถึงขนาดคิดก็ไม่ได้นะ  ท่านบอกว่าท่านทำแค่นี้ โอเคแล้ว  ไม่ล่วงประเวณี ไม่ฆ่าคนตาย พอแล้ว แต่มาตรฐานของพระเจ้า คิดก็ไม่ได้นะ เพื่อยกให้เขาเห็นว่าเขาทำไม่ได้จริงๆ เขาเป็นคนบาปจริงๆ  เพื่อว่าเขาจะได้ถ่อมใจยอมรับความจริงตรงนี้ เมื่อถ่อมใจยอมรับความจริง สวรรค์ก็เป็นของเขาเหมือนกับกลุ่มคนแรกในมัทธิว บทที่ 5 กลุ่มคนที่เป็นคนที่ถ่อมใจ  พระเยซูต้องการชี้ให้เขาเห็นแค่นี้

            ซึ่งเราเริ่มต้นตั้งแต่บทที่ 5 ข้อ 1-16 ซึ่งพูดเน้นที่คนถ่อมใจ เขาจะได้รับสวรรค์เป็นของเขา มาข้อที่ 17-48 ที่เราเรียนรู้ไป เน้นถึงคนไม่ถ่อมใจ เรียกว่าพวกเย่อหยิ่งจองหอง ทะนงตน  ก็คือพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ พูดเพื่อให้เขาได้ถ่อมใจ คนที่ถ่อมใจอยู่แล้ว พระองค์บอกว่าดี จะได้พร คนที่เย่อหยิ่งจองหอง พระองค์บอกว่ากลับใจใหม่เถอะ มาถ่อมใจซะ เห็นภาพอะไรไหม? ปูพื้นให้ท่านเห็นภาพชัดเจนขึ้น พระองค์กำลังชี้เริ่มต้นเลย เป้าหมายของการมีกฎบัญญัติ ที่ท่านพยายามเคร่งครัดรักษาอยู่นั้น บทบัญญัติมีไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นคนบาป อยู่ข้างใน ต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า จงถ่อมใจยอมรับเถิดว่าท่านเป็นคนป่วย ต้องการหมอ ท่านไม่สามารถรักษาตนเองได้ นี่คือเป้าหมาย

            วันนี้มาต่อครั้งที่แล้ว ถึงข้อที่ 48 วันนี้มาต่อบทที่ 6 ข้อ 1-15 … เริ่มข้อ 1 ก่อน …

        มัทธิว 6:1 “จงระวังอย่าทำดีเพื่อเอาหน้า ถ้าทำเช่นนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านในสวรรค์”

            พูดกับใคร? ชาวยิว แล้วเขาทำได้ไหม  “จงระวังอย่าทำดีเพื่อเอาหน้า” ทำได้ไหม? พระเยซูมาสอนให้เขาพยายามทำใช่ไหม?

            ฟังอีกที พระเยซูกำลังสอนให้พวกชาวยิวกระทำอย่างนี้ หรือไม่ เป้าหมาย ไม่ใช่ แต่กำลังชี้ความจริงว่าเขาทำไม่ได้

            พระองค์กำลังบอกว่า … “นายทำไม่ได้หรอก”

            ไม่ใช่บอกว่า … “ให้นายพยายามทำ”

            ก็ผลักดันให้เขาไปรักษาบัญญัติใหญ่เลย ไม่ใช่ กำลังจะบอกว่าท่านทำไม่ได้ ล้มเลิกความตั้งใจซะ ยอมรับความจริงว่าเราทำไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติของบาปที่อยู่ในตัวของท่าน ข้างในของท่านเป็นบาปอยู่ ข้างในของท่านเป็นโลงศพอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านทำดี ในใจท่านก็ชอบให้คนยกย่อง จริงไหม? พูดเบาๆ สิ เดี๋ยวเขาได้ยิน  ท่านทำดี ท่านบอกว่า …

            “ฉันไม่เอาหน้าเอาตา ไม่ต้องมายกยอฉัน”

            แต่ในใจลึกๆ มันกระหยิ่มยินดี … “เฮ้อ! ฉันได้ทำอันนี้แล้วนะ ฉันได้ช่วยเหลือคนจน  ตามที่พระเจ้าบอกแล้ว  พระเจ้าพอใจฉันมาก”

            คุ้นๆ ไหม? นี่มันอยู่ในใจของใคร? ของชาวยิวที่กำลังพูดอยู่นี้

            คราวนี้เราลองเอามาใช้กับเรา  ที่ไม่ใช่ยิวปัจจุบันอยู่ในใจเราบ้างไหม? ท่านเป็นคริสเตียนไม่ได้อยู่ในใจเราแล้ว เราได้รับใจใหม่  ถามว่าแล้วมันยังอยู่ในความคิดเดิมๆ เราก่อนเชื่อพระเจ้า ซึ่งมันค้างอยู่ในโปรแกรม ในสมอง ยังอยู่ไหม? เราชอบไหม? ที่เวลาเราทำแล้วมีคนมาชม ได้พระพรจากพระเจ้ามากเลย เอเมนไหม? เอาไปคิดเอาเองแล้วกัน

            กลับมาหาพวกชาวยิวดีกว่า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรานะ

            พูดกับชาวยิว ทำไมต้องพูดอย่างนี้ ชาวยิวอธิษฐาน ตามบทบัญญัติวันละ 3 ครั้ง แล้วเท่ห์ไหม?  3 ครั้ง พระเยซูยกตัวอย่าง ท่านบอกคนอื่น บอกว่าเราอธิษฐานวันละ 3 ครั้ง พวกนั้น พวกคนบาป ไม่ได้เข้าสักครั้งหนึ่งเลย ใช่หรือไม่? อย่างนี้เขาเรียกว่าทำดีเพื่อเอาหน้า ข้างนอกดูดีไหม? อธิษฐาน 3 ครั้ง ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เกี่ยวกับชาวยิว นี่คือประเพณีทางศาสนายิว

            อ่านพระคัมภีร์ สมมติว่ามีบางคนเท่านั้น ที่เขาอ่านได้ นี่ยิวในอดีต ที่เขาอ่านภาษาออก พระคัมภีร์ไม่ได้มีทุกบ้าน พระคัมภีร์มีไว้ในวิหาร อาทิตย์หนึ่งมาอ่านครั้งหนึ่ง คนที่อ่านได้เท่านั้น หรือคนที่ต้องการศึกษาไปวันธรรมดาก็ได้  แต่คนที่เป็นผู้ศึกษา เป็นพวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสี คงแก่เรียน ตั้งใจศึกษาพระคัมภีร์ ศึกษาไป ศึกษามา เท่ห์ คนก็สรรเสริญ คนนี้ปรมาจารย์ …

            “ฉันอ่านพระคัมภีร์ตั้งเยอะ ศึกษาตั้งเยอะ ฉันชอบธรรมมากกว่าเธอที่เป็นคนบาป”

            จริงๆ ก็เป็นคนบาปเท่ากัน เห็นไหม? พระเยซูกำลังพูดอะไร? ต่อข้อ 2-4 …

        มัทธิว 6:2-4 “2 ดังนั้น เมื่อท่านให้ทานแก่คนขัดสน อย่าตีฆ้องร้องป่าว เหมือนที่คนหน้าซื่อใจคด ทำในธรรมศาลาและตามถนนหนทาง เพื่อให้ผู้คนยกย่องชมเชย เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว 3 แต่เมื่อท่าน หยิบยื่นแก่คนขัดสน อย่าให้มือซ้ายรู้ สิ่งที่มือขวาทำ 4 เพื่อการให้ของท่านเป็นความลับ แล้วพระบิดาของท่าน ผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับ จะประทานบำเหน็จแก่ท่าน”

            ถามจริงๆ เขาทำได้ไหม? พระเยซูสอนให้เขาทำไหม?  ไม่ใช่  พระเยซูกำลังมาบอก  เขาทำไม่ได้หรอก  ที่อ่านมาทั้งหมดนี้ คุณทำไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติของความคิดของคนบาป ข้างในมันบาป  ก็คิดแบบเนื้อหนัง ตามระบบของบาป ระบบของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ที่ต่อต้านพระเจ้า ข้างในท่านมันต่อต้านพระเจ้า มันทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก ท่านไม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ท่านไม่สามารถทำอย่างนี้ได้หรอก ถูกไหม?   เราอ่านอย่างนี้ทั้งหมด เราฟังแล้วดูเหมือนดี เพราะแรงจูงใจของพวกฟาริสี  ที่เคร่งครัดทำดีตามบทบัญญัติ เหล่านี้ทั้งหมด มากกว่านี้อีก  ไม่ใช่ เพราะว่าเขามีแรงจูงใจ ที่จะทำสิ่งที่ชั่วร้าย ถูกไหม? เขาทำสิ่งที่ดีนะ การช่วยเหลือคนขัดสนอะไรต่างๆ ดีหมด แต่การบังคับตนเองให้ทำตามบทบัญญัตินั้น กฎบัญญัติเปิดโปงในใจเขาว่าเขาทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์  เขาไม่ได้มีเมตตาจริงๆ ข้างในเขาต้องรู้ตัวเอง  เพราะฉะนั้น เขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด เป็นหลุมศพฉาบปูนขาว  ถ้าภาษาไทยเขาเรียกว่าข้างนอกดูสดใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง เขารู้ แต่เขาไม่ยอมรับ เขารู้ว่าเขาเป็นคนตายอยู่ในบาป เป็นคนบาปในวิญญาณ ไม่สามารถทำตามบัญญัติเหล่านี้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่ในใจเขาฟ้องได้

            ในใจเขาฟ้องว่าอย่างนี้มันไม่ถูก แต่เขาทำไม่ได้ แล้วพอไม่ได้ แล้วยังไง พระเยซูจึงมาชี้ให้เขาเห็นว่าทั้งๆ ที่รู้ว่าทำไม่ได้แล้ว ท่านก็ยังเย่อหยิ่งจองหอง ไม่ถ่อมใจ ยอมรับความจริงว่าท่านทำไม่ได้ ฉันทำไม่ได้ และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ คือเป็นคนป่วยไง  ไม่ยอมรับ ต้องได้รับการช่วยเหลือให้บังเกิดใหม่จากพระเจ้าเท่านั้น  เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังพูด

            ตัวอย่างเห็นชัดๆ เลย ตัวอย่างฟาริสี ตัวเอ้ ที่ทำอย่างนี้ ก็คืออาจารย์เปาโล พูดด้วยตัวเองว่าก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า  ใครๆ ก็ยกย่องเขาว่าเขาเป็นคนรักษาบัญญัติมากเลย เคร่งที่สุดแล้ว ไม่มีใครเคร่งเท่านี้อีกแล้ว และเขารู้ตัวเขาเคร่ง  แต่เขาบอกว่า …

            “สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากจะทำ  ข้าพเจ้าก็ทำ โอ๊ย! ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชขนาดไหน? ใครจะช่วยข้าพเจ้าได้”

            นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังจะชี้ให้พวกเย่อหยิ่งจองหอง ฟาริสี ธรรมาจารย์เหล่านั้นได้เห็นเหมือนที่เปาโลได้เห็น และกลับใจใหม่ซะ เหมือนกัน ชัดเลย พระองค์กำลังชี้ให้เห็น ไม่มีทางเลย ที่ท่านจะทำตามข้อความเหล่านี้ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ ท่านทำไป มันไม่ใช่แรงจูงใจที่ถูกต้อง ท่านทำได้ ข้างนอกมองเห็น  ทำเหมือนๆ กัน แต่มันไม่ได้มาจากแรงจูงใจข้างในที่ถูกต้อง  ที่เป็นความรักแท้

            ท่านไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ ด้วยแรงจูงใจที่ถูกต้อง  ท่านไม่สามารถไม่เป็นคนหน้าซื่อใจคดได้เลย นอกจากท่านจะได้รับการอัศจรรย์ บังเกิดใหม่ด้วยวิญญาณ และใจใหม่ โดยวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านจึงจะเลิกหน้าซื่อใจคด เป็นหลุมศพฉาบปูนขาว  ท่านจะเลิกได้ มีทางเดียวเท่านั้น เลิกจากข้างนอกสดใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง ทำได้ทางเดียวเท่านั้น คือเชื่อและวางใจในพระเยซู และก็บังเกิดใหม่เท่านั้น นี่คือเป้าหมายที่พระเยซูพูดทั้งหมด  ต่อข้อที่ 5 …

        มัทธิว 6:5  “และเมื่อท่านอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลา และตามมุมถนน เพื่อให้คนเห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่าพวกเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว”

            พระเยซูกำลังมาสอนให้อธิษฐานใช่ไหม? ไม่ใช่ พระเยซูกำลังมาประกาศว่าเขาทำไม่ได้ มาตรฐานตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ เขาทำไม่ได้หรอก เมื่อท่านอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ท่านไม่หน้าซื่อใจคด มีทางไหม? ไม่มีทาง คือมันเป็นไปไม่ได้นั่นเอง

            อธิษฐานอย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด  เพราะพวกเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลา คือ กำลังพูดแทงใจดำพวกเขาเองนั่นแหละ การอธิษฐานจริงๆ  คือการคุยกับพระเจ้า  อธิษฐานโชว์คน มันก็คืออธิษฐานให้คนยกย่อง ยกตัวเองขึ้นมาว่าฉันเป็นคนชอบธรรม เป็นคนดี  เห็นหรือยัง? ต่างกันไหม? อธิษฐานแบบสวยๆ ให้คนได้ยินได้ฟัง ก็คือแรงจูงใจในการอธิษฐานที่ไม่ถูกต้อง  กำลังชี้ให้เขาเห็นว่าข้างในใจเขาคิดอะไรอยู่

            ฟาริสีพวกนี้ อาจจะอย่างนี้ก็ได้  อาจจะถึงเวลาอธิษฐาน … “โอ้! ข้าแต่พระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเหมือนดังทาส ดังหนอน แย่มาก เลวที่สุดเลย พระองค์ยิ่งใหญ่เหลือเกิน”

            ฟังยืดยาวเลย คนฟัง ใช้ภาษาแบบฮีบรู สมมตินะ ผมก็ไม่รู้หรอก เดาเอา ใช้ภาษาฮีบรู แบบที่เปโตร คนธรรมดา ชาวประมงไม่ค่อยเข้าใจ ภาษาสูง ภาษาพระคัมภีร์  เพราะว่าตั้งใจจะให้ประชาชนฟัง แล้วยกย่องว่าเขาเป็นปรมาจารย์ของผู้รับใช้ หรือเป็นปรมาจารย์ของผู้เชี่ยวชาญในทางถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงรักมาก …

            “เป็นผู้มีความชอบธรรมมากกว่าพวกเธอเยอะ พวกเธอต้องมายกย่องฉัน พวกเธอต้องมาซูฮกฉัน พวกเธอต้องมาคารวะฉัน  เอาของมาให้ อะไรต่างๆ มาให้ เพราะฉันมีเกียรติสูงกว่าเธอ”

            ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย ถ้าจะเอามาเกี่ยวได้ไหม? มีไหมปัจจุบัน  มีคริสเตียนที่เป็นอย่างนี้ไหม? อันนี้พูดเล่นๆ ลองคิดดู มีคริสเตียนที่เป็นแบบนี้ อธิษฐาน เพื่อคนฟังจะได้รู้สึกว่าเราใช้ภาษาสวยมาก

            “พระบิดาผู้สถิตในสวรรคสถาน ข้าพระองค์ทั้งหลายขอกราบขอบพระคุณพระองค์”

            อันนี้ไม่ได้พูดเพื่อประชดนะ กำลังจะชี้ให้ท่านเห็นว่าพระเยซูกำลังมาแทงใจดำคนยิว ที่เคร่งบัญญัติต่างๆ เหล่านั้นได้รู้ว่าเขาทำไม่ได้ หน้าซื่อใจคด ยอมรับความจริง แล้วพระองค์จะเข้าไปช่วยเหลือเขา แล้วพระองค์มาแล้ว เพื่อช่วยเหลือ ต่อไปข้อที่ 6 …

        มัทธิว 6:6  “เมื่อท่านอธิษฐาน จงเข้าไปในห้อง ปิดประตูและอธิษฐานต่อพระบิดาของท่าน ผู้ไม่ปรากฏแก่ตา แล้วพระบิดาของท่าน ผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำอย่างลับๆ จะประทานบำเหน็จแก่ท่าน”

            นี่ก็พูดถึงคนยิวอีก  เขาทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะประเพณีวัฒนธรรมของคนยิว เวลาเขาจะอธิษฐาน  เขาจะมีห้องพิเศษ คือห้องส่วนตัวของเขา เป็นห้องลับ แล้วในห้องนั้น เขาจะทำสัญลักษณ์ไว้ หันหน้าไปที่กรุงเยรูซาเล็ม ทุกวันนี้ชาวยิวบางพวกก็ยังยึดถืออย่างนี้อยู่เลย ต้องหันหน้าไปกรุงเยรูซาเล็ม เหมือนกับบรรพบุรุษในอดีตทำ เป็นบัญญัติว่าอธิษฐานต่อหน้าพระเจ้า ก็คือต่อหน้าวิหาร หันทิศไปทางวิหาร  ไม่ได้เกี่ยวกับเราสักหน่อย เกี่ยวกับชาวยิวเท่านั้น พระองค์กำลังชี้ให้เขาเห็นว่าท่าทีในใจ ในการอธิษฐาน ก็คือพูดกับพระเจ้า  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมนุษย์คนอื่นเลย ไม่ต้องได้ยินหรอก มีพระเจ้ากับเราสองคนได้ยิน ซึ่งทำได้ไหม? ทำไม่ได้ แต่ถ้าเผื่อได้บังเกิดใหม่ มาวางใจในพระองค์ เชื่อในพระองค์แล้ว พระองค์เข้ามาสถิตอยู่ในใจ ทำได้ไหมตอนนี้ ทำได้เลย ทำที่ไหนก็ได้  ไม่ต้องมีห้องแล้ว นี่พระเยซูกำลังมาชี้อย่างนั้น บังเกิดใหม่แล้วจะทำที่ไหนก็ได้

            นี่บัญญัติบอกให้คุณทำอยู่ในห้อง คุณก็ต้องอยู่ในห้อง  แต่แล้วคุณก็ทำไม่ได้ เพราะในใจคุณอยากให้คนอื่นสรรเสริญ คุณก็อ้างอันนั้นอันนี้ต่างๆ แล้วก็มาอธิษฐานหน้าวิหาร นอกห้อง ดังๆ ให้คนอื่นเขาได้ยิน  เพื่อคนอื่นเขาจะได้สรรเสริญ บูชา แล้วก็ยกท่าน มีบารมี แล้วก็ซูฮกท่าน นี่พูดกับใคร? ชาวยิว ไม่เกี่ยวกับเรา เกี่ยวทางอ้อมนิดหนึ่ง ต่อไปข้อ 7-8 …

        มัทธิว 6:7-8  “7 และเมื่อท่านอธิษฐาน ไม่ต้องพูดพร่ำซ้ำซากเหมือนคนต่างชาติ เพราะเขาคิดว่าพูดมากๆ พระจึงจะได้ยิน 8 อย่าทำอย่างเขาเลยเพราะพระบิดาของท่าน ทรงทราบว่าท่านต้องการอะไรก่อนที่ท่านจะทูลขอต่อพระองค์”

            เพราะพวกฟาริสี ธรรมาจารย์เหล่านี้ เขาจะบอกคนตามที่เขาคิดอยู่ในใจ ที่เขาคิดว่าเขาทำได้ แล้วก็บอกให้คนทำตามเขา ยกตัวอย่างเช่นต้องจำบทสวดตรงนี้ให้ได้ แล้วสวดให้เป็นประจำ ท่องเลย นี่เรียกว่าอธิษฐานกับพระเจ้า ถูกไหมล่ะ ไม่ถูก อธิษฐานกับพระเจ้า คือต่างคนต่างพูดกับพระเจ้า พูดพระเจ้าเป็นใคร? เราเป็นใคร ก็พูดไป ไม่ต้องมาท่องเป็นบทสวด ในพระคัมภีร์ตอนนี้ พระเยซูบอกว่าบทสวดนั้น เหมือนคนต่างชาติพูดพร่ำซ้ำซาก ก็คือท่องบทสวดซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน ท่านทำตัวแบบนั้น พระเจ้าให้ท่านอธิษฐานคุยกับพระองค์  ไม่ได้ให้ท่านสวดแบบคนที่อยู่นอกศาสนายิว แล้วคนอยู่นอกศาสนายิว ท่องเป็นบทสวด แล้วก็สวดซ้ำ ยิ่งซ้ำนานๆ ความรู้สึกมันจะเป็นจริงตามนั้น ขลังดี แล้วท่านก็ทำตัวอย่างนั้น มันก็เหมือนกับชนต่างชาติ พูดไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเกิดขึ้น …

            “ในนามพระเยซู พระเยซูแบกรับเอาความบาปผิดของเราไปแล้ว ในร่างกายของพระองค์ ที่ไม้กางเขน  เราหายโรคแล้ว ฉันหายจากโรคมะเร็งแล้ว เพราะว่าพระเยซูแบกรับเอามะเร็งออกไป จากร่างกายฉันแล้ว”

            แล้วมันจะหายนะ คุ้นๆ ไหม? อันนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเราอีกแล้วนะ นี่พูดถึงคนยิวในอดีต พอนึกออกใช่ไหม? ก็คือพูดง่ายๆ ว่าเขาก็ทำไม่ได้อยู่ดี เพราะในใจมันเป็นเหมือนคนต่างชาติ ไม่ต่างกันเลย ต่อไปข้อ 9-11 …

        มัทธิว 6:9-11 “9 ฉะนั้น ท่านควรจะอธิษฐานดังนี้ว่าข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูนสักการะ 10 ขอให้อาณาจักรของพระองค์ได้รับการสถาปนาไว้ ขอให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในโลกเช่นเดียวกับในสวรรค์ 11 ขอโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้”

            สรุปตรงนี้ คือให้พวกเขารู้ตัวว่าหน้าซื่อใจคด  และให้เขาถ่อมใจ ยอมรับความจริงตรงนี้ โดยให้รู้ว่าพระเจ้าที่ท่านอธิษฐาน ที่พระองค์ทรงสัญญานั้น พระองค์เป็นพ่อของท่านนะ พวกเขาไม่เคยคิดว่าพระเจ้าเป็นพ่อของเขาเลย มาตั้งแต่อดีต เขาถือพระเจ้าเป็นเจ้านายของเขา เจ้านายแห่งชีวิตของเขา เขาไม่สามารถสนิทกับพ่อของเขา ไม่สามารถนับว่าพระเจ้าเป็นพ่อ พระเยซูกำลังชี้ให้เขาเห็น พระเจ้าเป็นพ่อ หวังดีต่อเขามาก ให้เขากลับใจใหม่ ให้เขาถ่อมใจเถิด และบอกด้วยซ้ำว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่พระเจ้าทั้งสิ้น ให้เขามีท่าทีที่ถ่อมใจต่อพระเจ้า ต้องการที่จะพึ่งพระองค์ในทุกสิ่งเท่านั้น นี่คือสรุป 3 ข้อนี้ ต่อไปข้อ 12-15 …

        มัทธิว 6:12-15 “12 ขอทรงยกโทษความผิดบาปให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกโทษให้ (ไม่เอาความไม่โกรธเคือง) ผู้ที่กระทำผิดบาปต่อข้าพระองค์ทั้งหลายแล้วนั้น 13 และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลงเมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากความชั่วร้าย เหตุว่าราชอำนาจ และฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน 14 เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยให้ท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”

            ตรงนี้ต้องสำคัญมาก ต้องเน้นมากเป็นพิเศษ พระเยซูประกาศว่าถ้าพวกท่านยังคงยึดถือบัญญัติ กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ กฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพื่อเป็นผู้ชอบธรรมเข้าสู่สวรรค์ได้ด้วยตนเอง ท่านก็ต้องอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างนี้

            สรุปแล้ว อธิษฐานอย่างนี้ ท่านทำได้ไหม? ทำไม่ได้  ไม่ได้มาสอนให้กระทำตามนี้  แต่กำลังมาสอนว่าทำตามนี้ไม่ได้ ไม่มีทาง

            “ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษ ผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์”

            ก็คือไม่เอาความ ไม่โกรธเคืองเลย

            “เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ จะทรงยกความบาปผิดของท่านด้วย  แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดบาปของเพื่อนมนุษย์ ยังโกรธเขา ยังเคืองรำคาญใจอยู่ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความบาปผิดของท่านเหมือนกัน”

            ทำได้ไหม?  พระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิวได้เห็นว่าถ้าเขายังคงเชื่อมั่นในการปฏิบัติตามบทบัญญัติเดิม พวกเขาจะไม่สามารถทำครบถ้วน บริบูรณ์ตามเกณฑ์มาตรฐานของพระเจ้าได้หรอก  เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เตือนอย่างนี้อีกแล้ว ไม่สามารถที่จะเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้ พระองค์จึงมาช่วย เปิดทางใหม่ให้กับพวกเขาไง

            ทางเก่า คือจงอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าจึงจะอภัยให้กับท่าน

            ทางใหม่ คือพระเจ้าได้ทรงอภัยให้ท่านก่อน นี่คือพันธสัญญาใหม่ อันนี้เราเข้าใจดี เพราะว่าเราอยู่ในพันธสัญญาใหม่ เราคริสเตียน

            ทางใหม่ ก็คือพระเจ้าได้ทรงอภัยให้กับท่านก่อน แล้วท่านจึงจะฝึกฝนแบ่งปันอภัยให้กับผู้อื่น เหมือนที่พระเจ้าได้ทรงอภัยให้กับท่านแล้วนั้น เอเมนไหม?

            นี่พระเยซูกำลังประกาศข่าวประเสริฐให้กับชาวยิวที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาใหม่ ให้รู้ว่านี่คือความจริง ไม่ใช่ให้ท่านทำตามนี้ แต่ให้ท่านรู้ความจริงแล้วรีบหันกลับมาหาพระองค์ แล้วมาอยู่ในทางใหม่  เพื่อจะได้บังเกิดใหม่

            ทางใหม่ คือพระเจ้าอภัยความผิดบาปให้กับเราก่อนแล้ว โดยพระคุณ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข  เป็นความรักแบบอากาเป้  และไม่ใช่อภัยให้เรา ที่ไม่มีเงื่อนไขเฉยๆ แต่ได้เปลี่ยนวิญญาณ และใจใหม่ให้กับเราด้วย ให้เป็นวิญญาณและจิตใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์ คือบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์ เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ เป็นความรักเหมือนพระองค์ เป็นความสว่างเหมือนพระองค์ เป็นความดีงามเหมือนพระองค์ เอเมนไหม? ทั้งวิญญาณและใจใหม่

            ผู้ที่อยู่ในพันธสัญญาใหม่  ที่ได้ใจใหม่ เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถที่จะให้อภัยในความบาปผิดให้กับผู้อื่นได้ ด้วยความรักแบบอากาเป้ ที่เหมือนพระเจ้า ซึ่งเป็นลักษณะธรรมชาติของวิญญาณ และใจใหม่นี้ เมื่อเราวางใจในพระเยซูและได้บังเกิดใหม่  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา แล้วจะฝึกสอนเราให้ดำเนินชีวิตไปตามธรรมชาติภายในวิญญาณและจิตใจที่เกิดใหม่ บริสุทธิ์สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าแล้วนั้น เอเมนไหม?

            นี่คือการประกาศของพระเยซูคริสต์ ให้พวกเขาได้รู้ว่าเขาจะต้องมาวางใจในพระองค์เท่านั้น เหมือนกับเราทั้งหลาย ที่ได้เป็นคริสเตียน วางใจในพระองค์ มาอยู่ในกฎใหม่เท่านั้น มาอยู่ในทางใหม่ ในทางของพระองค์ ในทางแห่งพระคุณเท่านั้น

            ในฐานะที่เราเป็นผู้ที่อยู่ในกฎใหม่ มาดูว่ากฎใหม่เขียนว่าอย่างไร? ทางใหม่ที่พระเยซูประกาศให้กับชาวยิว ตั้งแต่เริ่มต้น มันคืออะไร? โคโลสี 3:13 จะเห็นชัดเจนเลยว่านี่คือทางใหม่ที่พระเยซูเสนอให้กับฟาริสี ธรรมาจารย์และชาวยิวทั้งหลาย …

        โคโลสี 3:13  “จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้น เหมือนกัน”

            “องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด” ยกโทษให้ก่อนแล้ว ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน ท่านก็จงไปยกโทษให้คนอื่นเขาเหมือนกัน อีกข้อหนึ่ง เอเฟซัส 4:32 …

        เอเฟซัส 4:32 “และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”

            “และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรด ได้ทำแล้ว คืออภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”

            เอเมน ชัดเจนเลย พระคัมภีร์บอก ในขณะที่เราเป็นคนบาป ชั่ว เลวทราม พระองค์ พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา ให้อภัยเรา ในขณะที่เราเป็นคนบาป  เพราะฉะนั้น เราต้องซึมซับ เอาตรงนี้เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา เรียกว่าวิญญาณแห่งความรัก ซึมซับความจริงตรงนี้ว่าเราเป็นใคร? เราเป็นความรัก เราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นเหมือนพระคริสต์  แล้วเราก็จะสามารถอภัยให้กับคนอื่น ที่ทำผิดบาปต่อเราได้ แบบไม่มีเงื่อนไข เหมือนกับพระเจ้าได้ จากวิญญาณข้างใน

            ข้อสำคัญ ก็คือกระทำออกมา โดยความประพฤติ ได้มากหรือได้น้อยก็ตาม ก็ไม่มีผลต่อความรอดของเราในวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพระเจ้าอภัยในความบาปผิดให้กับเราก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว เอเมน  ในขณะที่เราบาปอยู่ พระองค์ทรงอภัยให้เราแล้ว  อภัยให้กับเราแล้ว ก็ยังประพฤติบาปอยู่ แต่วิญญาณ สะอาดหมดจด เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าก็ค่อยๆ เข้ามาสอนเรา ฝึกเรา ให้ปฏิบัติ ให้สมกับเป็นลูกพระเจ้าที่ดีงามนั้น  แต่เราทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก จนตายก็ทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ตามที่พระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิวได้เห็นว่าเขาทำไม่ได้ตามบทบัญญัติหรอก แต่วิญญาณสามารถที่จะบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ได้ พระองค์ทรงมาช่วยแล้ว

            ทางเก่า ก็คือเมื่อท่านไม่ได้เกิดใหม่ ปราศจากวิญญาณใหม่ ปราศจากใจใหม่ ท่านก็ไม่มีความรักแท้แบบพระเจ้า อยู่ข้างในตัวท่านเลย นึกให้ดีๆ นะ ข้างในเป็นบาป เป็นความเกลียดชัง เป็นผู้ฆ่า ขโมยและทำลาย ท่านจึงไม่สามารถที่จะอภัยความบาปผิด ให้กับคนอื่นจริงๆ โดยพระคุณความรัก แบบไม่มีเงื่อนไขได้เลย แม้แต่นิดเดียว  เพราะท่านไม่มีอยู่ในวิญญาณของท่าน ซึ่งผล ก็คือท่านอภัยข้างนอกได้ แต่ในใจท่านยังเคืองอยู่ ข้างนอกบังคับให้ทำ เหมือนที่เปาโลบอก …

            “อยากอภัยให้หมดเลย ยกโทษให้ก็ได้ ไม่เอาความหรอก”

            แต่ในใจก็ยังคิดแค้นอยู่ … “นี่กี่ครั้งแล้ว ไม่รู้กี่ครั้ง กี่หนแล้ว”

            ถ้าตามบัญญัติเดิมที่พระเยซูเตือน ในทางเก่า ท่านทำไม่ได้  อภัยให้คนอื่นไม่ได้ ยังโกรธเคืองคนอื่นอยู่  ผลก็คือพระเจ้าก็จะไม่ให้อภัยในความบาปผิดของท่านด้วยเช่นเดียวกัน  ก็คือท่านก็ต้องตกนรก เพราะไม่ได้รับการอภัยจากพระเจ้า เห็นหรือยัง?

            สรุป ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่าท่านทำไม่ได้หรอก ด้วยการกระทำจากกำลังของตนเองที่จะทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ เลิกล้มความเย่อหยิ่ง ความทะนงตนว่าตนเองนั้นสามารถพึ่งพาการกระทำของตน ให้ชอบธรรม ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ เลิกล้มเถิด ท่านทำไม่ได้จริงๆ อย่าเย่อหยิ่ง อย่าทำหน้าซื่อใจคด

            ดังนั้น จงกลับใจใหม่ ถ่อมใจลง  พูดกับคนยิวตามบริบทนี้ แต่สามารถเอามาใช้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ได้เช่นเดียวกัน จงกลับใจใหม่ ถ่อมใจลง หันมาพึ่งพระเยซูคริสต์ วางใจในพระองค์ เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ ใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์  เข้าสู่สวรรค์ได้เลยทันที ก่อนอย่างอื่นเลย ก่อนที่ท่านจะไปปฏิบัติอะไรก็ตาม ท่านได้เข้าสวรรค์แล้ว  ปฏิบัติตัวมาทีหลัง

            “เข้าสวรรค์แล้ว มาปฏิบัติตัวทีหลัง”

            เข้าสู่สวรรค์ก่อน  แล้วพระเจ้าก็จะเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน ถูกไหม?  แล้วเราจึงยอมให้พระองค์ ที่เข้ามาสถิตอยู่ในเรา สอนเรา นำเรา ด้วยความรัก  ด้วยพระคุณของพระองค์ ให้เราประพฤติดี ตามมาตรฐานของพระองค์  ตามสายตาของพระองค์ ไม่ใช่ตามมาตรฐาน สายตาของเราเอง คิดเอง เออเองว่ามันดี เห็นภาพชัดเจนไหม? ซึ่งชาวยิวเหล่านั้นจะเห็นชัดกว่าเราอีก เพราะว่าของเก่าของเขาต้องเอาเลือดสัตว์ไปถวาย แต่พระเยซูกำลังมาบอกว่าหมดแล้วนะ วิหารก็จะไม่มีแล้ว การถวายเลือดสัตว์ พระเจ้ายกเลิกแล้ว แล้วท่านจะได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้าได้อย่างไร? ไม่มีแล้วนะ ท่านจะหลงไป คิดว่าบัญญัตินี้จะทำให้ท่านรอดจากการถูกพิพากษา ลงนรกได้ มันไม่ใช่  มันมาจากพันธสัญญาของเลือดสัตว์ต่างหาก บูชาด้วยเลือดสัตว์ แต่ตอนนี้พระองค์จะยกเลิกการรับเลือดสัตว์แล้ว พระองค์ทำพันธสัญญาใหม่ รับเลือดของพระบุตรของพระองค์แทน ซึ่งครั้งเดียวพอ และถ้าท่านปฏิเสธเลือดของพระองค์ ของพระบุตร พระเยซูคริสต์ ท่านก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้วนะ ชาวยิวเอ๋ย

            พวกเราไม่ใช่ชาวยิว พวกเราเลยง่ายหน่อย เพราะเราไม่เคยทำการถวายสัตว์บูชา เป็นเครื่องลบบาปอยู่แล้ว พอเรามาเจอพันธสัญญาใหม่ เราก็แค่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ไถ่บาปให้กับเรา ที่พระเจ้าส่งมาแค่นั้น แต่ชาวยิวได้ 2 ต่อ คือเห็นชัดๆ เลยว่าวิหารก็ไม่มีแล้วนะ พระเจ้าทำลายวิหารของพระองค์แล้ว โดยม่านฉีกออก 2 ท่อน ในวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ปี ค.ศ.33 หมดสิ้นปัสกาเสียที  ไม่มีการทำปัสกาอีกแล้ว ปัสกาสุดท้าย คือพระโลหิตของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น ชาวยิวรู้ดีเลย  ถ้าชาวยิวถ่อมใจลง เข้าใจปุ๊บ ชัดเจนกว่าเราอีก เพราะเริ่มต้นที่ชาวยิว  แล้วมาจบลงที่ชาวต่างชาติอีกทีหนึ่ง คือข่าวประเสริฐ

            เพราะฉะนั้น ทั้งยิวและไม่ใช่ยิว ก็คือพวกเราทั้งหลาย สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือไม่ใช่เราต้องทำ ความดี  เพื่อจะไปสวรรค์ แต่เราจะต้องวางใจในพระเยซูคริสต์ เพื่อไปสวรรค์ แล้วค่อยมาทำดีทีหลัง  เอเมน สำคัญมากเลย สดุดี 37:3 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        สดุดี 37:3 “จงวางใจในพระเจ้าและกระทำความดี ท่านจึงอาศัยอยู่ในแผ่นดินและชื่นบานอยู่กับความปลอดภัย”

            ผมจะแปลให้ท่านแบบชัดๆ “จงวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ผู้ช่วยให้รอด และจะเกิดใหม่ และพระเจ้าก็จะเข้าไปสถิตอยู่ในท่าน แล้วท่านก็จะกระทำความดี ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในท่าน มานำท่าน พาท่าน สอนท่านให้ดำเนินชีวิต ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า เอเมนไหม? สุภาษิต 3:5-7 ก็พูดในทำนองเดียวกันว่า …

        สุภาษิต 3:5-7 “5 จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง 6 จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น อย่าคิดว่าตนฉลาด 7 จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย (คือการพึ่งตนเอง ก็คือบาป)”

            ความชั่วร้าย ก็คือการพึ่งพาตนเอง ก็คือบาป  ก็คือพลาดเป้าหมาย  พระเจ้าสร้างมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้มา เพื่อให้พึ่งพระองค์ ถ้าอยู่นอกพระองค์  ไปไม่รอดแน่นอน อยู่นอกพระองค์ ไม่มีพระองค์ เรียกว่าบาปทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าตัวเองฉลาด  ทำได้ด้วยตนเอง อยู่ในบาปแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ได้

            “จงยำเกรงในพระเจ้า” คือจงยำเกรงในกฎบัญญัติ ที่พระเจ้าวางไว้ ราชอาณาจักร และพระสิริ และพระเกียรติเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์

            นี่หมายถึงการยกย่องว่าพระเจ้า เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ดูแลกฎระเบียบทุกอย่าง  ถ้าท่านทำถูกกฎระเบียบ ท่านต้องได้ตามนั้นแน่นอน แต่ท่านต้องรู้ความจริงของกฎระเบียบนั้น และเลือกทางที่ถูกต้อง ถ้าท่านเลือกพระเยซูคริสต์ ท่านไปรอดแน่นอน ไม่ว่าหลังจากที่ท่านเกิดใหม่แล้ว ท่านจะมีความประพฤติได้ดีมากขึ้นขนาดไหนก็ตาม  ไม่ได้เกี่ยวกับความรอดของท่านเลย เพราะพระเจ้า เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล เป็นผู้ดูแลชีวิตของท่าน จงยำเกรงในพระเจ้า หมายถึงอย่างนี้ เอเมนไหม?

            พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน​ บางครั้งอาจประพฤติตัวไม่สมฐานะ

            ยอห์น​ 3:3-8​ …

            พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า​ …“เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่”

            นิโคเดมัสทูลถามว่า … “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว? แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง​ เพื่อเกิดออกมาใหม่!”

            พระเยซูตรัสตอบว่า … “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้​ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ​ (ในครรภ์ คือเป็นมนุษย์) และ  (เกิดใหม่ทางวิญญาณ) โดยพระวิญญาณ มนุษย์ ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณ ให้กำเนิดวิญญาณ ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่านต้องเกิดใหม่ ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหนหรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นกัน”

            พระเจ้าอวยพรครับ