วารสาร Holy News ฉบับที่ 1308

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  เมษายน  2021

 เรื่อง “สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ หัวข้อเรื่องการบรรยายมีชื่อว่า “สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์” สิ่งเดียวเอง พระเจ้าต้องการอะไร? ท่านลองคิดดูก็ได้ คิดในใจก่อน? ว่าสิ่งที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ สิ่งเดียวเอง คืออะไร? แล้วเดี๋ยวมาดูว่าคำตอบของท่านตรงกับพระคัมภีร์ที่วันนี้ผมยกมาหรือไม่?

ก่อนจะไปดูว่าพระเจ้าต้องการอะไรจากมนุษย์ เรามาดูก่อนว่าจุดเริ่มต้นของข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคน หรือหัวใจของข่าวดีนี้ คืออะไร? ก็คือความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษยชาติ

สรุป ประมวลข่าวดีนี้ ก็คือพระเจ้าทรงรักมนุษย์มากเหลือเกิน ที่มีบันทึกไว้ในหนังสือยอห์น 3:16 …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

คำว่า “โลก” ตรงนี้ มีรากศัพท์มาจากคำว่า “Kosmos”  ที่มีความหมายรวมถึงสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมด

พระองค์ทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก ก็คือรักมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงให้กำเนิดมายิ่งนัก “รักโลกยิ่งนัก” คือสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ก็สร้างขึ้นมาให้มนุษย์นั่นเอง เหมือนบ้าน  ที่อยู่อาศัย  ทรัพย์สมบัติของเขานั่นเอง เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงรักใครที่สุดในโลก? ก็คือรักมนุษย์

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ  แต่จะได้รับชีวิตนิรันดร์”

“ชีวิตนิรันดร์” ก็คือชีวิตที่เป็นเหมือนพระองค์ ชีวิตที่อยู่ในสวรรค์เหมือนพระองค์นิรันดร์กาล ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก ไม่เจ็บ ไม่มีคำสาปแช่งใดๆ เลยนิรันดร์กาล นี่คือความรักดั่งแก้วตาดวงใจที่พระเจ้า มีต่อมนุษย์ทุกคน ซึ่งพอเราได้ฟังอย่างนี้แล้ว ก็นึกในใจกันทุกคนว่า …

“แล้วมนุษย์เป็นใครที่พระเจ้ารักเขาขนาดนี้”

เขาคิดกันมาอย่างนี้ตั้งนานแล้ว คนที่รู้จักพระเจ้า หรือได้ยินได้ฟังความรู้สึกของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ในพระคัมภีร์ เขาจะคิดอย่างนี้มาตลอดเลยนะ ทุกยุคทุกสมัย เป็นพันๆ ปีก็คิดอย่างนี้ ปัจจุบัน ก็คิดอย่างนี้แหละ มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ด้วยว่า …

“มนุษย์เป็นใครหนอ ที่พระเจ้าทรงรักเขา คิดถึงเขาตลอดเวลา มนุษย์เป็นใคร?  รักเขามากขนาดนี้ อยากจะรู้จริงๆ”

พระคัมภีร์ยืนยันว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์มาก และพระองค์ไม่ได้ต้องการให้มนุษย์คนใดคนหนึ่งต้องพินาศ

“พินาศ” หมายถึงอยู่ในที่ที่ไม่ดี  อยู่ในที่มืด ที่ไม่มีพระเจ้า  เรียกว่าตายอยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง  อยู่ในความชั่วร้าย  พระองค์ไม่ต้องการให้มนุษย์คนใดคนหนึ่ง ที่พระองค์ทรงรัก ตกลงไปอยู่ในอาณาจักรอย่างนั้นเลย ตกอยู่ในสภาพอย่างนั้นเลย  แม้แต่คนเดียวก็ตาม

เขามีการบอกกันอย่างนี้ว่าถ้าเผื่อในโลกนี้ มีคนเพียงแค่คนเดียว หรือมีฉัน หรือใครแค่คนเดียว แล้วคนนั้น ตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ พระเจ้าก็จะส่งพระบุตรลงมาตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเขาคนเดียวนั่นแหละ เป็นการเน้นให้เห็นถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ทุกคน  และแต่ละคน  ไม่ใช่มนุษย์ทุกคน บางทีเราไม่ซาบซึ้งนึกถึงตัวเองเท่าไร? เพราะนึกถึงเยอะมาก สำหรับสายตาของเรา  แต่ความหมายตรงนี้ คือรักเราแต่ละคนเลย  ท่าน ที่นั่งฟังอยู่ตอนนี้  พระเจ้าทรงรักท่าน มากถึงมากที่สุดเลย

พระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคนมีชีวิตนิรันดร์ ก็คือมาอยู่ในสวรรค์ มาอยู่ในบ้านของพระองค์ มาเป็นลูกของพระองค์ สนิทสนมกัน มีแต่สิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้น  นั่นแหละคือความต้องการของพ่อ แห่งฟ้าสวรรค์ ซึ่งเหมือนกับเราทั้งหลายผู้ให้กำเนิด ผู้เป็นพ่อเป็นแม่บนโลกใบนี้  เราก็รักลูกของเรามากอย่างนี้  รักดั่งแก้วตาดวงใจ ต้องการให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุด

แต่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนตกลงไปในความบาป เกิดมาก็บาปแล้ว ชั่วร้ายแล้ว คือเกิดมาก็เป็นศัตรูแล้ว ซึ่งเราเรียนรู้กันมาแล้วหลายตอน เกิดมาก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า  เรียกว่าอยู่ในบาป  อยู่ในอาดัม อยู่ในบรรพบุรุษเดิมของเรา เราก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ชั่วร้ายโดยกำเนิด ซึ่งถ้าไม่ทำอะไรเลย มนุษย์ทุกคนก็จะต้องพินาศ  ก็คืออยู่ในความชั่วร้าย อยู่ในความมืด อยู่ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป  คือโทษของความบาปและความตาย  ซึ่งบรรพบุรุษของเรานำเข้ามา  มันยังคงอยู่ในเรา ตลอดเกิดจากอาดัม ก็ได้รับความบาป ได้รับความตาย อยู่ในความมืด เหมือนอาดัมอย่างนั้นเลย

พระเจ้าจึงจำเป็นต้องส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศนี้ ท่านจะเห็นภาพเลยว่าเราอยู่ในความพินาศนั้น  เราไม่สามารถช่วยตัวเราเองได้เลย  พระเจ้าจึงจำเป็นต้องส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ลงมา เพื่อช่วยพวกเรา มนุษย์ทุกคนให้รอดพ้นจากสถานะนั้น คือสถานะของความพินาศ อยู่ในอาณาจักรของความมืด ความบอด คำสาปแช่ง  ตายอยู่ในบาป เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

ผมอยากจะเน้นตรงนี้ ก็คือ “เพื่อมนุษย์ทุกคนจะไม่ต้องอยู่ในอาณาจักรของความมืด  ไม่ต้องอยู่ในอาดัม ซึ่งเกิดมาแล้วต้องอยู่ในอาดัมเลย  มีเชื้อของความบาป ติดหนี้ โทษทัณฑ์อยู่

เพื่อจะไม่อยู่ในความพินาศ คือไม่ต้องอยู่ในความชั่ว แต่กลับมาอยู่ในความสว่าง อยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นคนชอบธรรม หรือเรียกว่าเป็นคนดี โดยการเกิดในพระเยซู โดยการช่วยเหลือของพระเยซู ซึ่งเราได้เรียนรู้กันเมื่อช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่ามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์  ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ มีชีวิตที่เหมือนพระเจ้า เป็นแบบพระเจ้า เหมือนพระเยซูอย่างนี้ เราจึงจะสามารถเข้าสวรรค์ได้  และเราเรียกกันว่าเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? หนทางนั้น ที่เราได้เรียนรู้ พระคัมภีร์ก็บอกไว้ มีหนทางเดียว ก็คือการได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ โดยผ่านทางความเชื่อและวางใจในพระบุตรที่พระองค์ทรงส่งมา คือพระเยซูนั่นเอง

เพราะฉะนั้น การบังเกิดใหม่ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ สำหรับมนุษย์ทุกคนเลย  เพราะว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่ง ต้องพินาศ แต่ต้องการให้ทุกคนมาถึงซึ่งความรอดในพระเยซูคริสต์

คราวนี้ท่านจะสามารถเข้าใจประโยคสั้นๆ แค่นี้ได้แล้วว่ามันหมายความว่าอย่างไร? พระเจ้าไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่ง ไม่ต้องการให้ท่าน ตัวฉันเอง ตกอยู่ในความชั่วร้ายตลอดนิรันดร์ อยู่ในความมืดนิรันดร์ อยู่ในความบาปนิรันดร์ แต่ต้องการให้มาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์ ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลย

พระเจ้าจึงให้ความสำคัญกับการบังเกิดใหม่  หรือเราเรียกกันว่าเกิดใหม่ ให้ความสำคัญกับการเกิดใหม่ของมนุษย์แต่ละคนเลยทีเดียว ไม่ใช่บังเกิดใหม่เป็นกลุ่ม เป็นก้อน ท่านคนเดียวพระเจ้า ต้องการให้ท่านได้เกิดใหม่  โดยผ่านทางความเชื่อและวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่พระองค์ทรงส่งมาช่วยเหลือมนุษย์  ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่  และพระบุตรนี้ได้ถูกส่งมาแล้ว  และได้ทำการงานที่พระเจ้าได้ให้มาช่วยเหลือมนุษย์เสร็จแล้ว  พระเยซูประกาศดังลั่นเลย ดังมาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้วว่า …

“สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว”

การช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดรอดพ้น ออกจากความบาป ออกจากความมืด จากความพินาศนั้น บัดนี้ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาทำสำเร็จแล้ว และประกาศกันต่อมาเรื่อยๆ 2,000 ปี ทุกวันนี้ เขาก็ยังประกาศอยู่ว่าสิ่งเหล่านี้ สำเร็จแล้ว  เสร็จสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ ก็คือต้องการให้มนุษย์มาเชื่อและวางใจในพระบุตร เพื่อจะได้บังเกิดใหม่

มนุษย์ไม่สามารถบังเกิดใหม่ด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว บังเกิดใหม่ต้องผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องการให้มนุษย์เชื่อและวางใจในพระบุตรที่พระองค์ทรงส่งมาช่วยเหลือเขานั่นเอง ก็คือเชื่อและวางใจในพระบุตร พระเยซูคริสต์

สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ ก็คือวางใจและมารับการบังเกิดใหม่ซะ แทนที่จะพึ่งการกระทำของตนเอง พึ่งความคิด ความรอบรู้ของตนเอง  มาพึ่งในพระเจ้าดีกว่า พระคัมภีร์บอกเสมอ

“อย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง”

“อย่านึกว่าตัวเองฉลาด แต่จงวางใจในพระเจ้า”

พึ่งในหนทางของพระองค์ ยอมรับรู้ในความจริงของพระองค์อยู่เสมอ นี่คือพระพรใหญ่หลวงของมนุษย์คนใดที่คิดได้อย่างนี้

เพราะถ้าเราไม่พึ่งพระองค์ ไม่พึ่งพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ส่งมาช่วยเหลือนั้น เราไม่มีทางที่จะได้รับการบังเกิดใหม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว  เพราะเราทำให้ตัวเราเองบังเกิดใหม่ไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อไม่ได้บังเกิดใหม่ ก็ไม่สามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ พระคัมภีร์พูดชัดเจน พระเยซูพูดชัดเจน ตอนประกาศบนโลกใบนี้ว่าใครจะเข้าสวรรค์ มาอยู่กับพระเจ้าได้ จะต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น  บังเกิดในวิญญาณ แล้วพระองค์ก็ประกาศอย่างนี้มาอยู่เรื่อยๆ เลยว่าสิ่งนี้สำคัญมาก คืออย่าวางใจในตนเอง อย่าวางใจในความชอบธรรม ในความดีงาม ในความตั้งใจจะทำให้พระเจ้าโปรดปรานด้วยตนเอง แต่จงเชื่อและวางใจตามความจริงที่พระเจ้าบอกไว้ ก็คือพระองค์ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเป็นผู้ช่วยท่าน ให้ท่านรอด  ถ้าท่านทำด้วยตัวเองได้ ก็ไม่ต้องส่งพระบุตรลงมาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อตายที่ไม้กางเขน เพื่อช่วยท่านหรอก แต่เพราะว่าท่านช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จงยอมรับรู้ในเรื่องนี้เถิดมนุษย์เอ๋ย! อย่าได้เย่อหยิ่งว่าฉันสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ฉันทำได้

พระองค์จะประกาศอย่างนี้มาเรื่อยๆ ตลอดเวลา  3 ปีที่พระองค์ประกาศอาณาจักรของพระเจ้ากำลังมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่พระองค์จะกระทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน ในอีก 3 ปีต่อมา หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือในหนังสือมัทธิว จะยกตรงนี้มา อันนี้ก็ชัดมากเลยนะ  จริงๆ หลายข้อที่พระองค์ทรงสอนชัดหมด ท่านสามารถกลับไปอ่านย้อนหลังได้  แล้วก็คิดตามเรื่องนี้ไปว่ามันใช่หรือไม่? นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้าจริงๆ

ในหนังสือมัทธิว พระเยซูพูดถึงคนจำพวกหนึ่ง สาวกจำพวกหนึ่ง ที่พยายามทำอะไรมากมาย ด้วยตัวเอง  โดยหวังว่าการกระทำเหล่านั้น จะช่วยนำพาเขาให้สู่แผ่นดินสวรรค์ได้ แต่พระเยซูบอกว่าคนเหล่านั้น ที่พึ่งการกระทำของตัวเอง จะไม่มีทางได้เข้าแผ่นดินสวรรค์เลย และพระองค์จะบอกคนนั้น เมื่อถึงวันสุดท้ายการตัดสินว่าจะอยู่ในแผ่นดินสวรรค์หรือไม่? คือวันพิพากษานั่นเอง พระองค์จะบอกคนๆ นั้นที่พึ่งพาความดีงาม การกระทำของตนเองว่า …

“เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย”

ก่อนจะอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้  ต้องจดจำสักนิดหนึ่งว่าสิ่งเหล่านี้ เวลาพระองค์ประกาศ อย่าอ่านเป็นความรู้สึกติดลบ หงุดหงิด ไม่ใช่ ให้นึกถึงความรัก ที่ตะกี้นี้ผมบอกตอนต้น นึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา แสดงว่าพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตรพระเยซู เต็มไปด้วยความรักต่อมนุษย์มากนัก จะมาพูดแดกดัน จะมาพูดเยาะเย้ยหรือ? ไม่มีทาง พูดอยู่ใต้ฐานของความรักอันลึกซึ้งมากมายขนาดนั้น

เพราะฉะนั้น ให้คิดถึงว่าพระองค์กำลังพูดความรักมากๆ ชี้แนะแนวทางของความจริงในโลกวิญญาณว่ามนุษย์จะได้รับความช่วยเหลือได้ด้วยวิธีใด?  ไม่ใช่ด้วยความคิด ความรอบรู้ การกระทำของตนเอง แต่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ ที่พระเจ้าทรงส่งพระเยซูคริสต์ลงมาต่างหาก เพราะฉะนั้น ตรงนี้ต้องอยู่ในใจของเราตลอดเวลา เมื่ออ่านข้อพระคัมภีร์ ไม่อย่างนั้น เราจะรู้สึกว่าพระเยซูคริสต์ทำไมทำอย่างนี้ ทำไมรุนแรงอย่างนี้  ทำไมไม่มีความรักเลย  ไม่ใช่อย่างนั้นเลย พระองค์มีพื้นฐาน คือความรักอันมากมายมหาศาล อย่าตัดสิน แค่มองที่ภายนอกว่าพระองค์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จงตัดสินด้วยถ้อยคำพระเจ้า ทางฝ่ายวิญญาณชัดเจนว่าพระองค์ทรงรักเราแต่ละคนมากมายนัก ที่พูดถึงอยู่นี้ คือมัทธิว บทที่ 7 เราไปดูที่ข้อ 21-23 …

มัทธิว 7:21-23  “21 ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ 22 เมื่อถึงวันนั้น จะมีคนจำนวนมาก ร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออก ในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมาย ในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ’  23  เมื่อนั้น  เราจะกล่าวแก่พวกเขาว่าเราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”

 

“ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”

พระเยซูบอกชัดเจนว่ามีเพียงมนุษย์กลุ่มเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าได้ คือกลุ่มที่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยพระเจ้าเท่านั้น

คราวนี้เรารู้แล้ว คนที่ทำตามพระทัยพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะได้เข้าสู่สวรรค์ได้  ได้รับความรอด

แล้ว “พระทัยพระเจ้า” ตรงนี้หมายถึงอะไร? ท่านต้องคิดแล้ว ที่เรา “ต้อง” ปฏิบัติเลย  ต้องเลยนะ มีต้องเดียวที่เราต้องปฏิบัติ อย่างอื่นไม่ต้อง สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำนั่นคืออะไร? ที่บอกสำคัญที่สุด  เพื่อจะเข้าสวรรค์ คำตอบอยู่ตรงนี้  เปิดไปที่ยอห์น บทที่ 6 ก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมา ยอห์น 6:28-29  บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยอห์น 6:28-29  “28 แล้วพวกเขาทูลถามพระองค์ว่าพวกเราต้องทำประการใด เพื่อจะทำงานที่พระเจ้าทรงประสงค์ 29 พระเยซูตรัสตอบว่างานของพระเจ้า คือจงเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา”

 

พวกสาวกและคนที่ติดตามพระเยซู ก็ถามว่า … “พวกเราต้องทำประการใด เพื่อจะทำงานที่พระเจ้าประสงค์ ที่พระเจ้าต้องการ”

งานของพระเจ้า ที่พระเจ้าประสงค์ ก็คือ … “จงเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา”

ถูกไหม? และผู้ที่พระองค์ส่งมา ก็คือพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า

ตอนที่คนเหล่านี้ถามพระเยซูว่า … “ต้องทำประการใด เพื่อจะทำงานที่พระเจ้าต้องการ หรือประสงค์”

ที่เขาถามอย่างนั้น ในใจคนเหล่านี้ คิดไปหลายอย่าง หลายคนคิดไปถึงการทำพิธีต่างๆ  “พิธี” นึกออกใช่ไหม? เพราะคนฟังส่วนใหญ่จะเป็นชาวยิว พิธีต่างๆ ที่พระเจ้าให้ทำสมัยกฎของโมเสส เราก็คิดไปถึงว่าทำอะไร? ตรงไหนที่พระเจ้าสำคัญที่สุด  คิดไปถึงการทำศาสนกิจ คิดไปถึงการทำพิธีทางศาสนา ให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าที่สุด ซึ่งในภาษาเดิม คำว่า “งานของพระเจ้า” ตรงนี้ ท่อนนี้ ประโยคนี้ ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “God works”  ซึ่ง Works เป็นพหูพจน์ มีการงานจำนวนมากมาย

“การงานจำนวนมากมายอะไรที่พระเจ้าต้องการให้ทำ” … เขาก็ถามอย่างนั้น นี่รายละเอียดมันแปลว่าอย่างนี้

“พวกเราต้องทำงานของพระเจ้า ที่พระเจ้าประสงค์อะไรอีกเยอะแยะมากมายอะไรบ้าง?”

แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไร?  พระเยซูบอก … “งานของเจ้ามีแค่อย่างเดียว ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย คือจงเชื่อและวางใจในพระบุตรที่พระเจ้าทรงส่งมา”

คำว่า “งานของพระเจ้า” ในคำของพระเยซูตรงนี้ พระองค์ทรงตัดคำพหูพจน์ออก แทนที่จะเป็น God works  ก็เป็น God work มีหนึ่งเดียวเท่านั้น  ไม่ได้มีหลายอย่าง  พูดง่ายๆ พระเยซูกำลังบอกว่าสิ่งเดียวเอง หรือแค่อย่างเดียวเองที่พระเจ้าพอพระทัย ต้องการให้ท่านทำ คือเชื่อและวางใจในเรา (พระเยซู) ที่พระเจ้าประทานให้ ที่พระเจ้าส่งมาให้กับท่าน คราวนี้ย้อนกลับมาที่มัทธิว บทที่ 7 เมื่อสักครู่นี้  เรามาอ่านข้อที่ 22 อีกที …

มัทธิว 7:22  “เมื่อถึงวันนั้น จะมีคนจำนวนมาก ร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออก ในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมาย ในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ’”

 

“ไม่ใช่หรือ?” เห็นชัดๆ ว่าตกใจ … “เฮ้ย! เป็นไปได้ยังไงหรือ?”

“เมื่อถึงวันนั้น” คือเมื่อถึงวันที่ต้องยืนอยู่ต่อหน้าบังลังก์พิพากษาของพระเจ้า ของมหาจักรวาล ผู้คนเหล่านั้นที่หวังพึ่งในการกระทำของตนเอง ก็จะเรียกร้องสิทธิ์ที่ตัวเองคิดว่าเราได้ทำมาแล้ว ตอนมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ก็จะเรียกร้องขอเข้าแผ่นดินสวรรค์ จากผู้พิพากษา ก็คือจากพระเจ้า  จากพระเยซู โดยอ้างถึงงานต่างๆ จำไว้นะ งานเยอะแยะเลย ที่ตัวเองได้กระทำบนโลกใบนี้

ยกตัวอย่าง สมัยก่อน ก็เป็นการประกอบศาสนกิจ ถวายสิบลด ช่วยเหลือคนจน ทำตามประเพณีที่พระเจ้าบอกให้ทำทุกอย่าง  เดือนนี้ทำอะไร? เดือนนั้นฉลองอะไร?  ต้องเอาสัตว์สะอาดไปถวายกับปุโรหิต เพื่อชำระบาป อะไรแบบนี้ รวมถึงอธิษฐานเป็นเวลา รวมถึงอดอาหารอธิษฐานเป็นเวลา  ไปเข้าวิหารเป็นเวลา ฯลฯ

ยกตัวอย่างปัจจุบัน พอมาเชื่อ ก็จะบอกว่าให้ออกไปประกาศ เราก็คิดว่าการประกาศ คือการกระทำที่พระเจ้าชอบ การเผยพระวจนะ  ก็คือการสอนเรื่องพระคัมภีร์ พระเจ้าก็ชอบ  การทำอัศจรรย์ต่างๆ ในฤทธิ์เดชของพระเจ้า  เพื่อประกาศข่าวดี อย่างนี้ก็ดี การถวายทรัพย์ก็ดี การทำความดีต่างๆ ช่วยเหลือคนอื่น ช่วยเหลือคนยากจน อะไรต่างๆ ดีหมดเลย เยอะแยะเลย

เราก็จะอ้างสิ่งเหล่านี้ที่เราได้ทำบนโลกใบนี้  อ้างตอนไหน? ตอนที่ยืนอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษาของมหาจักรวาลในวันสุดท้าย  วันพิพากษาว่าเราจะเข้าเกณฑ์ไปอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? ถูกไหม?

ถึงแม้จะทำทุกอย่างในนามพระเยซู แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไร? ตรงนี้มากว่า ที่สำคัญ แล้วลองมาคิดดูสิว่าพระเจ้าคิดอย่างไร? พระเยซูบอกถึงความสำคัญอย่างไรว่าท่านได้เข้าเกณฑ์สู่สวรรค์หรือไม่ตามที่ท่านคิด ก็ไปดูในข้อ 23 อ่านข้อ 23 อีกครั้ง …

มัทธิว 7:23  “เมื่อนั้น  เราจะกล่าวแก่พวกเขาว่าเราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”

 

“เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่พวกเขาว่าเราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา” จงจำไว้

พอฟังตรงนี้ พระเยซูใจร้ายมากเลย จำไว้อย่างที่ผมบอก ไม่เข้าใจอะไร? แต่จงเข้าใจอย่างเดียว คือพื้นฐานของเรื่องราวทั้งหมด คือพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก ดั่งแก้วตาดวงใจ แม้ท่านคนเดียว พระเจ้าก็จะส่งพระเยซูมาตายเพื่อท่าน แล้วพระองค์จะเป็นสิ่งที่ท่านคิดตอนนี้ว่าพระองค์ใจร้ายเหลือเกิน  ทำไมพระองค์ด่ารุนแรง เปล่าเลย พระองค์กำลังพูดความจริง

ตรงนี้ถ้าจะให้ละเอียดต้องบอกว่า … “เราไม่เคยได้รู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำชั่ว” โอ้โห! ทำดีมาตั้งเยอแยะเราก็เห็นๆ  ทำไมกลายเป็นผู้ทำชั่ว  “จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”

นี่คือพระองค์ทรงยกตัวอย่างให้เห็น พระเยซูได้บอกอย่างนี้ว่า … “พระองค์ไม่ได้เคยรู้จักคนเหล่านั้น” เหล่านี้คือใคร?  คนเหล่านั้นที่พึ่งในการกระทำของตนเอง  ที่ตัวเองคิดว่ามันดี ท่านเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?

นี่คือพระเยซูบอก “เราไม่เคยได้รู้จักคนเหล่านี้เลย”

คนเหล่านี้ที่อ้างตัวว่าสมควรได้เข้าสวรรค์ เพราะว่าทำอันโน้น ทำอันนี้ ทำเยอะแยะไปหมด ก็คือที่พึ่งในการกระทำของตนเอง

เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า คนเหล่านั้นมัวแต่มุ่งเน้นที่การกระทำเพื่อพระเจ้า พระเจ้าให้มารับ แต่พวกนี้มาทำเพื่อพระเจ้า  แทนที่จะรับเอา  เชื่อและวางใจ รับเอาในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ กลับมาทำเองเพื่อพระเจ้า

คำว่า “เราไม่เคยได้รู้จักพวกเจ้า” ตรงนี้ ภาษากรีกเดิม แปลได้ว่าเราไม่เคยได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเจ้า เราไม่เคยได้เป็นเนื้อเดียวกันกับพวกเจ้าเลย เราไม่เคยมีความสัมพันธ์มักคุ้น มักจี่ สนิทกันเหมือนสามีและภรรยากับเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว  ถึงแม้เจ้าจะทำดีทั้งหลายทั้งปวง เพราะเห็นดี โดยใช้นามของเรา เพื่อจะให้เราพอใจ  และหวังให้เราอภัยในความผิดบาปของเจ้า แต่ความดีนั้น ไม่เพียงพอที่จะทำให้เจ้าสามารถเข้าสรรค์ได้หรอก  น้องเอ๋ย ลูกเอ๋ย มันไม่ได้  เพราะเรารู้ว่าพื้นฐานของตรงนี้ คือความรักของพระเจ้า ที่ต้องการบอกถึงเรื่องสวรรค์ บอกว่ามาช่วยแล้ว  อย่าหนีไปไหนเลย อย่าดื้อเลย

ไม่ว่าเจ้าจะกระทำดีมากขนาดไหน?  ก็ไม่สามารถทำให้เจ้าบังเกิดใหม่ได้  ไม่สามารถทำให้เจ้าหลุดพ้นจากการเป็นคนบาปได้  ไม่สามารถที่จะทำให้เจ้า ได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างได้ ไม่สามารถทำให้เจ้าย้ายจากครอบครัวใหญ่ ต้นพันธุ์เก่า คือในอาดัม บรรพบุรุษของมนุษย์มาสู่ต้นพันธุ์ใหม่ คือในพระคริสต์ได้  ท่านทำไม่ได้ด้วยตัวเอง

พระเยซูบอกว่าท่านต้องเข้าสนิทในเรา ถูกไหม? อยู่ในเรา และเราก็อยู่ในท่าน ก็คือต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะเป็นอย่างนี้ได้  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา  มีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเท่านั้น เป็นกายเดียวกันกับพระองค์ พระองค์เป็นศีรษะ เราเป็นกาย เหมือนที่พระองค์ให้เรากินขนมปังและดื่มน้ำองุ่น ให้เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่งของพระองค์เท่านั้น ที่เรียกว่าบังเกิดใหม่ ถึงจะเรียกว่าเรารู้จักเจ้า  คือพระเยซูพูดความจริง เรารู้จักเจ้า ใช่ มีความสัมพันธ์กัน แต่ถ้าเจ้าไม่ทำอย่างนี้ เจ้าพึ่งพาความรอบรู้ ความดีงาม การกระทำของตัวเอง มันไม่ได้เปลี่ยน เมื่อไม่ได้เปลี่ยน ก็อยู่คนละขั้ว ก็เท่านั้น คือพระเยซูไม่ได้มาต่อต้านการกระทำดีของพวกเขา และของพวกเราด้วย แต่พระองค์กำลังบอกว่าอย่าพึ่งการกระทำดีของตนเอง เพราะว่าการกระทำดีของตนเองเหล่านั้นดีก็จริง แต่มันไม่เพียงพอ สำหรับการไถ่บาปและได้รับชีวิตนิรันดร์ของท่าน ไม่เพียงพอสำหรับการย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ มันเป็นกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ เปลี่ยนแปลงไม่ได้กฎเกณฑ์นี้ ท่านต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้

ถ้าพวกเจ้ายังพึ่งในความดีของตนเองอย่างนี้อยู่ เขาทั้งหลาย หรือคนๆ นั้น  ก็ยังอยู่ในที่เดิม ในอาดัม  ยังอยู่ในบาป คือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ในพระคัมภีร์เรียกกันว่าความชั่ว  ไม่ว่าเจ้าจะทำดีขนาดไหน? ตัวตนแท้ๆ ของเจ้า วิญญาณของเจ้า  ก็จะเป็นคนชั่ว อยู่ในบาป อยู่ในอาดัม  ไม่ได้ถูกย้ายไปไหน อยู่ที่เดิมเลย  ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง คือการบังเกิดใหม่ เข้ามาสู่ครอบครัว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระกายของพระองค์ มาเป็นเจ้าสาวของพระองค์ มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

พระองค์กำลังพูด อธิบายให้เราเห็น 2 ข้าง  เห็นผลอย่างนี้ พูดความจริงเหล่านี้  ไม่ได้ตั้งใจที่จะไปว่าใคร? กระแทกกระทั้น หรือไปประชด หรือเกลียดชังใครเลย  ด้วยความรัก กำลังจะบอกว่าถ้าท่านพึ่งตนเอง ท่านก็ยังคงอยู่ในความชั่วเหมือนเดิม เพราะอยู่ในความบาป ก็คือความชั่ว  แต่ถ้าท่านถูกย้ายออกมา โดยการบังเกิดใหม่  เข้ามาอยู่ในเรา ท่านก็จะเป็นเหมือนเรา  เป็นความชอบธรรม เป็นความดี ท่านจะเป็นคนดี โดยการบังเกิด กำเนิดมาเป็นนั่นเอง

พระเยซูบอกว่า “เราไม่เคยได้รู้จักท่าน” แสดงว่าเขาเหล่านี้ ไม่ได้เป็นผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์นั่นเอง   เพราะผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ จะได้รับการบังเกิดใหม่  เขาเหล่านี้ไม่ได้บังเกิดใหม่  เขาเหล่านี้ไม่ใช่คริสเตียน ผู้ที่เชื่อ

หลายท่านอาจจะเข้าใจผิดว่าตรงนี้กำลังพูดถึงคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว มาเชื่อแล้ว ไปทำผิดบาปอะไรต่างๆ หรือไม่ทำอะไรต่างๆ  ตามที่พระเจ้าต้องการให้ทำ เลยหลุดจากความรอดไป พระเยซูจึงบอก … “ไม่รู้จักเจ้า” … เคยรู้จักเจ้า ตอนนี้ไม่ได้รู้จักเจ้าแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น  เพราะพระองค์บอกว่า “ไม่เคยได้รู้จักเจ้าเลย” … ในข้อพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น

“พระองค์ไม่ได้เคยรู้จัก” หมายความว่าท่านไม่เคยเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าเลย ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ไม่ใช่ท่านเข้ามาอยู่ แล้วออกไป  ถ้าท่านได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  ได้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้ ตามกฎที่พระเจ้าวางไว้เป๊ะเลย ท่านก็ได้บังเกิดใหม่ ได้รับความรอดแล้ว มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในพระคุณของพระเจ้า มาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า  เป็นเจ้าสาวของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เดี๋ยวนี้ทันที และไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์เลย เอเมน และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่ใช่ย้ายไปแล้วก็ย้ายมา ย้ายไปอยู่กับพระเยซูแล้ว พระเยซูบอก …

“ไม่มีใครที่จะเอาเจ้าออกไปจากมือของเราได้อีกแล้ว เรารักเจ้ามาก  และเจ้าเข้ามาแล้ว ไม่มีใครจะมากระทำอันตรายเจ้าได้อีกเลย เราจะอยู่กับเจ้าเสมอ” …       มันเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นความรักของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษยชาติ ภายใต้พื้นฐานของความรักของพระเจ้า ในมัทธิว 12:50  ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

มัทธิว 12:50  “ใครก็ตามที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ คือเชื่อและวางใจในเรา และตามเรามาจะเป็นพี่น้องชายหญิง และมารดาของเรา”

 

“ใครก็ตามที่ทำตามพระประสงค์อันเดียวของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ และตามเรามา จะเป็นพี่น้องชายหญิง และมารดาของเรา”

“ตามเรามา” พระเยซูบอก “จงแบกกางเขนแล้วตามเรามา” ตามเราไปที่โกละโกธา และไปตายด้วยกัน  เพราะเมื่อไรที่เจ้าตายกับเราที่ไม้กางเขน เจ้าก็จะถูกฝังไว้ในอุโมงค์เหมือนเรา แล้วเจ้าก็จะเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เหมือนเรา  และเจ้าก็จะนั่งอยู่กับเราในสวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระเจ้า เอเมน

บังเกิดใหม่ ได้ครอบครอง  ได้ชีวิตนิรันดร์ตั้งแต่วันนั้น วินาทีนั้นเป็นต้นไปเลยทีเดียวเชียวล่ะ เห็นภาพชัดเจนไหม?

นี่กำลังพูดถึงการบังเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ โดยข่าวประเสริฐที่บอกว่าพระองค์ได้ตายที่ไม้กางเขน เป็นผลแรกให้กับเรา ตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ที่อุโมงค์ วันที่ 3 ได้เป็นขึ้นจากความตาย  ใครที่เชื่อข่าวดีนี้ พระเจ้าก็จะผ่าตัดวิญญาณเขา ใส่ลงไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เป็นเจ้าสาวของพระเยซู เป็นพระกายของพระเยซู ได้ตายพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน  แล้วถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และในวันที่ 3 ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมพระเยซู และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเยซูในสวรรค์สถาน ณ บัดนาว ทันที จนไปถึงนิรันดร์ พอวันสุดท้าย วันพิพากษาก็จะได้รับร่างกายใหม่  ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้  เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์สวมใส่แทนร่างกายนี้  เอเมน มีแค่นี้เอง  เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่มนุษย์ต้องทำ ก็คือเชื่อและวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์  ยอห์น 6:40 เน้นตรงนี้อีก …

ยอห์น 6:40 “เพราะพระบิดาของเราทรงประสงค์ให้ทุกคนที่เห็นและเชื่อในพระบุตร มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย”

 

“เพราะพระบิดาของเราทรงประสงค์ให้ทุกคน” ก็คือพระเจ้ารักมนุษย์ยิ่งนัก ทุกคนเลย อยากให้ท่าน  มนุษย์ได้เห็นและเชื่อในพระบุตร ได้เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงรักและทรงส่งพระบุตรมาช่วยเหลือท่านแล้ว เพราะใครที่เห็นและเชื่อตรงนี้ จะมีชีวิตนิรันดร์ ก็คือได้รับชีวิตที่เหมือนพระเจ้า  เหมือนพระเยซู บังเกิดใหม่  เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็คือเหมือนพระเจ้า เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับ 3 พระภาค  เป็นหนึ่งเดียวกันในครอบครัวของพระเจ้า พระเจ้าเรียกเราว่าบุตรของพระองค์ หรือลูกๆ ของพระองค์ และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย  ก็คือวันพิพากษา วันที่เราออกจากร่างไปในวันสุดท้าย

พระเจ้าได้เตรียมร่างกายใหม่ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซู ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องกลัวโควิด ไม่ต้องกลัวไวรัสตัวใดๆ  ไม่สามารถมาทำอันตรายเราได้อีกเลย  พระองค์ทรงเตรียมร่างกายนั้นให้กับเราเรียบร้อยแล้ว วันหนึ่งเราจะไปรับร่างกายนั้น  แต่ในขณะปัจจุบันนั้น วิญญาณและความคิดจิตใจของเรา ได้บังเกิดใหม่แล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตที่ถูกซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วางใจในพระบุตรที่พระเจ้าทรงประทานมาให้กับมนุษย์ทุกคน เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้นจากความทุกข์ลำบาก  จากหนี้บาปเวรกรรม จากนรกนั่นเอง

สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ เรารู้แล้ว ก็คือเชื่อและวางใจ ในสิ่งที่พระเยซู พระบุตรได้ทรงกระทำให้กับเรา สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน ก็คืออยากให้มนุษย์ได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากตาย  ให้ได้รับการบังเกิดใหม่ พร้อมพระเยซูคริสต์ ผลแรกของมนุษย์ คนแรกที่ได้บังเกิดใหม่อย่างนั้นแหละ และการบังเกิดใหม่นี้ ไม่มีใครสามารถทำด้วยตนเองได้  พึ่งในตนเอง แล้วเกิดใหม่ มันไม่ได้อยู่แล้ว คิดแค่นี้ เราก็รู้แล้ว มันไม่ได้  เพราะฉะนั้น เพียงแค่เข้ามารับสิทธิของท่านเอง

เขาบอกกันอย่างนี้ว่ามนุษย์ทำไม่ได้หรอกบังเกิดใหม่  อีกอันหนึ่งก็คือก่อนบังเกิดใหม่ มนุษย์ต้องตายก่อน  ตัวเก่าเราต้องตายก่อน ทำไมพระเยซูจึงต้องมาถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน  ก็เพื่อว่าจะให้มนุษย์ทุกคนมาตายพร้อมกับพระองค์ที่ไม้กางเขน ตัวเก่าจะได้ตายไป  ตัวบาป ตัวชั่วจะได้ตายไปซะ โดยช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะว่าทำด้วยตัวเองไม่ได้  ใครล่ะจะสามารถตรึงตัวเองให้ตายที่ไม้กางเขนได้ เป็นวิธีการตายที่ไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้เลย ต้องพึ่งคนอื่น  ท่านพอมองเห็นภาพไหม?  ท่านจะตรึงกางเขนตัวเองให้ตายได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้  ท่านจะเห็นภาพเลยว่าท่านจะเอามือที่ไหนตอกมือ ดังนั้น เป็นการตายที่เห็นชัดเจนว่าต้องพึ่งคนอื่น ต้องยอมเท่านั้นเอง แล้วใครเป็นคนทำ พอท่านยอม? พระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำ พระองค์ทรงกระทำให้พระเยซูผู้ไม่รู้จักบาป เป็นบาป  ตายที่ไม้กางเขน  พระองค์เป็นเหมือนผู้ที่สังหารพระเยซู พระบุตรของพระองค์เอง เพื่อตายและถูกฝังไว้ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3

เพราะฉะนั้น ใครที่เชื่อในข่าวดีนี้ พระเจ้าก็จะให้เขามาเข้าสู่ขบวนการที่พระเยซูทำ คือจับเขามาตรึงที่ไม้กางเขน  เพื่อตัวเก่าของเขาที่เป็นบาป เป็นความชั่วร้ายจะได้ตายไปซะ และจะได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วจะได้บังเกิดใหม่ เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ แล้วพระองค์จะได้แต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถาน ครอบครองอาณาจักร และมรดกของพระองค์ทั้งหมดเลย  ไม่ใช่เดี๋ยวนี้เท่านั้น  แต่นิรันดร์

นี่คือผลของการบังเกิดใหม่ และตั้งใจจริงของพระเจ้า ที่วางแผนการเหล่านี้ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลาย แบบนี้นั่นเอง  พระเยซูจึงเข้ามาช่วยเหลือให้มนุษย์ได้รอดจากนรกนี้ แค่เพียงมนุษย์จะเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ท่านก็ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีกเลย สำหรับการจะได้เข้าสวรรค์ เมื่อเข้าในสวรรค์แล้วเข้าอยู่เลย แล้วที่เหลือ ชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้จะทำอย่างไร?  มีอยู่ 2 กลุ่ม …

กลุ่มผู้ที่เชื่อแล้ว วางใจในพระเยซูแล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว  พระองค์บอกแล้วไงว่าให้ทำเพียงอย่างเดียวเอง  พระประสงค์ของพระเจ้า คือเชื่อและวางใจในพระบุตร  พอเชื่อและวางใจในพระบุตรปุ๊บ ก็ได้รับการบังเกิดใหม่  พอได้รับการบังเกิดใหม่ ก็มาเป็นลูกของพระเจ้า  พอเป็นลูกของพระเจ้า ก็เป็นครอบครัว เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู ทั้ง 3 พระภาค ก็ย้ายที่สถิต มาอยู่ในร่างกายนี้ของท่าน  ท่านจะไปไหนทีหนึ่ง ก็มี 4 วิญญาณไปกับท่าน ทั้งวิญญาณของท่าน ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปกับท่านทุกหนทุกแห่ง จูงมือท่านเดินไปตลอดเวลา  และเป็นหน้าที่ของพระองค์แล้วที่จะนำพาชีวิตของท่านนั่นเอง มันหมายถึงอย่างนั้น  ท่านอยู่ในสรรค์กับพระองค์แล้ว ไม่มีใครจะเอาท่านออกไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้ ไม่มีใครจะเอาแกะที่พระเจ้าประทานให้พระเยซูคริสต์ออกไปจากคอกได้ ไม่มีฤทธิ์อำนาจใดๆ จะเอาท่านออกไปจากความรักของพระเจ้าที่เริ่มต้นแล้ว และท่านได้รับเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากสวรรค์ที่ท่านอยู่แล้วเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ อีกแล้ว แค่เชื่อและวางใจเท่านั้นเอง

นี่คือหน้าที่ของกลุ่มแรก เพราะว่าท่านเชื่อและวางใจในพระเจ้าแล้ว ท่านได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู ไปไหนไปด้วยกันตลอดเวลา และพระเยซูที่อยู่ในท่าน ก็จะสำแดงพระองค์ออกมาเอง ผ่านทางการจูงมือท่านเดิน ด้วยประสบการณ์กับพระองค์ไปทีละวันๆ  ทุกอย่างที่ทำ ท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม พระองค์ทรงอยู่ในท่านแล้ว

ถ้าพูดจาภาษาไทยๆ ให้เห็นลึกๆ ชัดๆ แต่คำนี้เขาไม่ค่อยเอาไปใช้ในสิ่งที่ดีนัก  แต่ขอลองใช้หน่อย เผื่อท่านจะได้เข้าใจตามแบบไทยๆ ได้ชัดเจนขึ้น คือเมื่อท่านเชื่อและวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าประทานให้ ท่านก็ได้รับการบังเกิดใหม่ แล้วพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาสถิต หรือเข้ามาสิงอยู่ในตัวท่าน ท่านจะเห็นภาพ ใหญ่ขนาดไหน? ฤทธิ์อำนาจใหญ่ขนาดไหน? พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ไม่ว่าใครจะรู้จักหรือไม่รู้จัก จะบอกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่มาก  พระเจ้าช่วยด้วย  ถึงไม่รู้จัก พูดถึงชื่อพระเจ้า ทุกคนต้องรู้ ตอนนี้ พระเจ้าผู้นี้ มาอยู่ในเรา และเราเป็นลูกของพระองค์ เดินไปไหนกับพระองค์ตลอดเวลา  จนกระทั่งหมดการงานบนโลกใบนี้  พระองค์ก็นำเราเข้าสู่มิติวิญญาณ ไม่ต้องรับใช้พระองค์บนโลกใบนี้อีกต่อไป ทิ้งร่างนี้  แล้วไปรับร่างใหม่  ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้  ซึ่งเป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์

นี่คือสำหรับท่านที่รับเชื่อแล้ว วางใจแล้ว เกิดใหม่แล้ว ไม่ต้องคิดถึงว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม เอาอะไรนุ่งห่ม จำที่พระเยซูบอกได้ไหม? คือไม่ต้องคิดถึงว่าอยู่บนโลกนี้จะทำอะไร? ทำอันนั้นดีไหม? ทำอันนี้ดีไหม?  ทำอันนั้นพระเจ้าพอใจ ทำอันนี้พระเจ้าพอใจ ไม่เป็นไรหรอก  อยากจะบอกท่านเลยว่าพระเยซูอยู่ในท่านแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะออกมาจากใจของท่านเอง ถ้าใจดี ออกมา ก็เป็นผลดี ถ้าใจเลว ใจชั่ว มันก็ออกมาเป็นผลชั่ว ตอนนี้ใจท่านดีแล้ว เปลี่ยนใจใหม่แล้ว เป็นใจเหมือนพระเยซู อย่างไรมันก็ดี เดี๋ยวก็ดีเอง อดทน

รวมไปถึงการผ่านความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรค ปัญหาใดๆ ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในชีวิตที่ผ่านเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้  จริงๆ มันมีมาตลอดแหละ ทุกยุคทุกสมัย  ในขณะนี้จะเห็นได้ชัด ในเรื่องไวรัสโควิด หรือผลกระทบจากไวรัสโควิดก็ตาม แล้วทำอย่างไร? พระเจ้าอยู่กับเรา  เดี๋ยวพระเจ้าก็จะนำเราไปทีละนิดทีละหน่อย  หมดสิ้นการงาน ก็กลับบ้าน  ดีใจด้วยซ้ำ อยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร ก็ได้พักผ่อนนิรันดร์กาล ไม่มีความกลัวอะไรอีกเลย  ไม่ว่าจะกลัวในโลกหน้า ก็ไม่กลัวแล้ว  โลกนี้ ก็ไม่กลัว เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เดี๋ยวพระเจ้าก็จะพาเราผ่านไปเอง แป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้ว  พระเยซูจึงบอกดังนั้นไม่ต้องไปห่วงว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม  เอาอะไรนุ่งห่ม คนที่เขาไม่รู้จักพระเจ้า  เขาแสวงหาสิ่งของทั้งปวงเหล่านี้ใช่ไหม?  เขาเป็นห่วงการกิน การอยู่ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อันตรายอย่างไรเยอะแยะไปหมด แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของเรา และความชอบธรรมของเราเสียก่อน แสวงหาอาณาจักรสวรรค์ของเราว่าต้องเข้าอย่างไร?  คือการเชื่อและวางใจในพระองค์ แสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า  ไม่ใช่ความชอบธรรมที่ท่านทำขึ้นมาเอง  แต่ความชอบธรรมที่มาจากการเชื่อและวางใจในพระองค์ ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซู แล้วก็กลายเป็นคนดี คนชอบธรรมนั่นเอง ไปหาตรงนี้เสียก่อน เมื่อหาได้ จบ ที่เหลือพระองค์จะทำเอง ในพระคัมภีร์จึงบันทึกตรงนี้ ตอนที่เปาโลเขียนไปหนุนใจพี่น้องที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เปาโลก็หนุนใจแบบที่ผมพูดเมื่อสักครู่นี้ ทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม? อันนั้นเป็นอันนี้ แล้วเกิดปัญหาอย่างนั้น แล้วจะทำอย่างไร? อดอยากอย่างนี้ แล้วจะทำอย่างไร? เปาโลก็หนุนใจไป แล้วเปาโลก็พูดคำนี้  เพื่อเป็นการหนุนใจพิเศษ เพื่อให้มีความมั่นใจในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า และมั่นใจในการทรงนำของพระเจ้า มั่นใจในพระเจ้าที่สถิตอยู่ในท่าน ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย มั่นใจในการจูงมือท่านเดิน  โดยพระเจ้า  3 พระภาคเลย  ในฟีลิปปี 1:6 พูดไว้อย่างนี้เลยว่า …

ฟีลิปปี 1:6 “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้น จะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์”

 

เห็นไหม? “ข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดี ในท่านแต่ละคน” เกิดใหม่แล้ว จากเชื่อและวางใจในพระเจ้า การงานดีได้เกิดขึ้นแล้ว ท่านเป็นคนดียอดเยี่ยม บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า ในตัวตนของท่านแท้ๆ ที่ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณนั่นแหละ เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วพระเจ้าจะทรงนำท่านต่อไป  ไม่ใช่ทำงาน แล้วก็ทิ้งอยู่แค่นั้น  จะสานงานนี้ต่อไป  จนกระทั่งสำเร็จ เสร็จสิ้น  จนถึงวันสุดท้าย วันที่พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ อีกทีหนึ่ง

นี่คือคำหนุนใจ นี่คือคำสรุป สำหรับพี่น้องที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว ตามที่พระเยซูบอก ได้มาเป็นพี่น้องกับพระองค์แล้ว  ใครเป็นพี่น้องกับพระองค์แล้ว พระองค์บอกพี่น้องของเรา คือคนที่บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในครอบครัวเรา นั่นแหละพี่น้องของเรา  ใครเป็นพ่อแม่ของเรา นี่แหละ เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยความเชื่อและความวางใจ

คราวนี้มาพูดถึงพี่น้องท่านที่ยังไม่ได้เชื่อและวางใจในพระบุตร ที่พระเจ้าทรงส่งมา คือยังไม่ได้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่ท่านต้องทำตามที่พระเจ้าบอกไว้  เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น พระเจ้าบอกด้วยความรักและห่วงใย และปรารถนาอย่างสุดหัวใจให้ท่านทำ และท่านต้องทำด้วย ถ้าท่านไม่ทำ พระองค์ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับท่าน ช่วยท่านก็ไม่ได้ ไม่สามารถมาบีบบังคับท่าน มาข่มเหงท่าน มาบีบคอท่าน  บังคับให้ท่านทำ  ท่านต้องทำด้วยอิสรภาพ ความคิด การกระทำ การตัดสินใจของตนเอง แต่ท่านต้องทำ ถึงจะได้การบังเกิดใหม่ได้รับความรอด นั่นคือท่านต้องเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ถ้าท่านเชื่อและวางใจ ท่านก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์เลยทันที เดี๋ยวนี้เลย

ในขณะที่โลกกำลังวุ่นวายในขณะนี้ ขณะที่กำลังยุ่งยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตยากมากขึ้น ทุกวันๆ ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น อดอยาก กินอยู่อย่างไร? ไม่รู้จะตายเมื่อไรด้วย  มาถึงเราเมื่อไรก็ไม่รู้ มีโอกาสได้เสมอ ทั่วโลกเป็นอย่างนี้หมด พระเจ้ากำลังส่งสารไปบอกท่านว่าท่านยังจะดื้อกับพระองค์อีกหรือ?  พระเจ้ายิ่งมาเตือนท่านใหญ่เลยบอกว่า …

“ลูกเอ๋ย สิ่งเดียวเท่านั้นเองที่เจ้าต้องทำ  อย่างอื่นไม่ต้องทำแล้ว  ทำสิ่งเดียวเลย เจ้าไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการกระทำบนโลกใบนี้เลย  ต้องทำสิ่งเดียวที่เราให้ทำ ก็คือมาเชื่อและวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ และที่เหลือเราทำเองทั้งหมด พอเจ้าทำตรงนี้ปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาทำสิ่งแรกเลย ผ่าตัดวิญญาณเรา  ย้ายวิญญาณเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรความสว่าง ย้ายจากอาดัมเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ย้ายจากนรกเข้ามาอยู่ในสวรรค์ ย้ายจากการเป็นคนชั่วมาเป็นคนดี ย้ายจากอำนาจมืดมาสู่แสงสว่างทันที เดี๋ยวนั้นเลย”

นี่คือเริ่มต้น แล้วจากนั้น พระเจ้าก็เข้ามาอยู่กับลูกของพระองค์ เข้ามาอยู่ในร่างกายท่าน ร่างกายท่านจะกลายเป็นวิหารของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์มาสถิตอยู่ทันทีเหมือนกัน ท่านก็จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีพระเจ้า 3 พระภาคคุ้มครองดูแล นำพาท่านไปตามชีวิตบนโลกใบนี้  ซึ่งพระคัมภีร์บอกโลกใบนี้มันชั่วร้าย มันเสียหาย มันวิปริต มันถูกสาปแช่งไปตั้งแต่ก่อนโน้น ตอนเริ่มต้นแล้ว  มันมีแต่ความชั่วร้ายทั้งสิ้น  ความชั่วร้ายปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งสิ้น ความทุกข์ทรมานปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งสิ้น

ท่านเดินคนเดียว ท่านจะอยู่อย่างไร? แต่นี่มีพระเจ้าจูงมือท่านเดิน เป็นร่มไม้ชายคา เป็นที่กำบังที่เข้มแข็ง เป็นป้อมปราการ เป็นที่พึ่งพาพึ่งพิงเพียงแห่งเดียวของท่าน ปกปักษ์คุ้มครองดูแลท่านให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับท่าน ประสบการณ์บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะดีหรือเลวก็ตาม ให้มันกลายเป็นผลดีสำหรับท่านแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน นำพาท่านไปจนถึงนิรันดร์ เมื่อถึงวันตัดสินพิพากษาในโลกวิญญาณ ในโลกหน้าท่านอยู่ในสวรรค์ เพราะว่าตอนนี้ท่านก็อยู่ในสวรรค์แล้ว และท่านจะอยู่ในสวรรค์และได้รับร่างกายใหม่ แทนร่างกายเดิมนี้ ที่ต้องตายไป ตามอายุขัย แต่ท่านมีร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วทันที  และร่างกายนั้น เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่มีความบาป ไม่ต้องเครียดอะไรอีกเลย แล้วจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานอย่างนั้นนิรันดร์

นี่สำหรับคนที่ยังไม่ได้เชื่อและวางใจ ยังไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องทำ อันเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าให้ทำ  วันนี้ก็เป็นวันดีที่ถือว่าพระเจ้ามาขอร้องให้ท่าน ขอร้องแล้วขอร้องอีก ขอร้องมา 2,000 ปีแล้ว ขอร้องอีกว่าท่านได้ข่าวดีในวันนี้แล้ว อย่าให้ใจของท่านดื้ออีกเลย …

“ลูกเอ๋ย อย่าให้ใจของเจ้าดื้อกับความจริงเหล่านี้อีกเลย เรารักเจ้ามาก เรารักเจ้าจริงๆ พื้นฐานของเรา รักเจ้าดั่งแก้วตาดวงใจ ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจเราหรือไม่ก็ตาม แต่เราบอกเจ้าว่าเรารักเจ้า และเราต้องการให้เจ้ากลับมาหาเรา กลับมาสู่ครอบครัวของเรา มาเป็นลูกของเราที่จะอยู่กับเราด้วยความสุขนิรันดร์”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ความชื่นชมยินดีของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เกิดจากความหวังใจที่จะได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า และได้รับชีวิตนิรันดร์

 

และแม้กระทั่ง ท่ามกลางปัญหาและความทุกข์ยากลำบาก ความชื่นชมยินดีนี้ก็จะยังคงอยู่  พระคัมภีร์บอกว่าบางครั้ง พระเจ้าก็ใช้ความทุกข์ยากลำบาก เพื่อสร้างให้เรามีความอดทน บากบั่น  และเป็นคนที่พระเจ้าสามารถใช้การได้ ซึ่งจะยิ่งเป็นการเพิ่มพูนความเชื่อและความหวังใจให้กับเรามากขึ้นไปอีก

“เรายังชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นก่อให้เกิดความบากบั่น ความบากบั่นทำให้เรามีอุปนิสัยที่พิสูจน์แล้วว่าใช้การได้ และอุปนิสัยเช่นนั้นทำให้มีความหวัง และความหวังไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์เข้ามาในจิตใจของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา”  (โรม 5:3-5)

 

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า และมนุษย์ที่เป็นคนบาป  ก็เปรียบเหมือนคนป่วยที่ต้องการหมอ

 

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจึงต้องการหมอ พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์มาหาคนเหล่านั้น ที่รู้ว่าตัวเองป่วย และต้องการรับการรักษา

“คนสุขภาพดีไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ เราไม่ได้มา เพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มา  เพื่อเรียกคนบาป ให้กลับใจใหม่”   (ลูกา 5:31-32)

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1307

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  เมษายน  2021

 เรื่อง “พระเยซูบังเกิดใหม่แล้ว ฉันก็บังเกิดใหม่ด้วย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“พระเยซูบังเกิดใหม่แล้ว ฉันก็บังเกิดใหม่ด้วย”  นี่คือหัวข้อเรื่องในวันนี้  สัปดาห์ที่แล้วเราฉลองวันอีสเตอร์ ใช้หัวข้อเรื่องว่า “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นด้วย ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย” เนื่องจากพระคัมภีร์จะใช้ 2 คำนี้ คือ …

“พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย” หรือ …

“พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่” หรือ …

“พระเจ้าชุบพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่” อีกคำหนึ่งที่ใช้ ก็คือ …

“พระเยซูบังเกิดใหม่”

“เกิดใหม่แล้ว” … ใช้คำเดียวกัน

เพราะฉะนั้น วันนี้เรามาบรรยาย มาเรียนรู้กันถึงถ้อยคำนี้ ที่บอกว่า “พระเยซูบังเกิดใหม่แล้ว ฉันก็บังเกิดใหม่แล้ว” ทำให้เห็นภาพชัดขึ้น ง่ายขึ้นในการบังเกิดใหม่  ในการเป็นขึ้นจากความตายของเรา พร้อมกับพระเยซู

การเป็นขึ้นจากตาย  คือการบังเกิดใหม่นั่นเอง การเป็นขึ้นจากตายในวันที่ 3 ของพระเยซู หลังจากถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด และมีผลต่อมนุษยชาติแต่ละคนบนโลกใบนี้ สำคัญที่สุดเลยว่าไม่ได้มีผลต่อส่วนรวมเฉยๆ  แต่มีผลต่อแต่ละคนเลย  ถ้ามนุษย์คนนั้นเชื่อในข่าวดีนี้  ก็จะมีผลกระทบไปถึงตัวเขาเลยทันที  ถ้าท่านเชื่อและรับเอาข่าวดีนี้

ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าส่งมาบนโลกใบนี้  พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าท่านเชื่อและรับข่าวดีนี้  ซึ่งคือความจริงนี้นั่นเอง  ความจริงนี้ได้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้ว เป็นจริงๆ ตามนี้  ใครที่เชื่อ ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่  ที่สำคัญที่สุด ในตัวตนแท้จริงในวิญญาณ และจิตใจข้างในของท่าน  เปลี่ยนแปลงทันทีที่ท่านเชื่อ

การเป็นขึ้นจากตาย การบังเกิดใหม่ของพระเยซู มีผลต่อท่าน มนุษย์แต่ละคน เป็นการส่วนตัว จึงเป็นความจริงที่สำคัญที่สุด ที่มนุษย์ทุกคนควรจะรับรู้ จำเป็นจะต้องรับรู้ เพื่อใช้สิทธิ์ของตนเอง ที่พระเจ้าได้ทำให้แล้ว  ถ้าไม่ใช้ ก็เสียดายมาก ของใคร? ของเขาเลยนะ เป็นการส่วนตัว ถ้าท่านใช้สิทธิของท่านตรงนี้  ผล ก็คือ ท่านจะได้ไม่ต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามลำพังคนเดียว มีความหวังแบบลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป ไม่ต้องหวาดกลัว วิตกกังวลว่าจะทำอย่างไร? จะไปอย่างไรดี? ตายแล้วจะไปไหน?  วันนี้จะเกิดอะไรขึ้น? ไปดูดวง? ดูอะไรต่างๆ  มันไม่มีความหวังอะไรเลย ไม่มีเป้าอะไรเลย

แต่ถ้าท่านใช้สิทธิของท่าน  … ท่านจะมีพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย สถิตอยู่กับท่าน เป็นผู้พาท่าน นำท่าน จูงมือท่าน เดินอยู่บนโลกใบนี้เลยทีเดียว ทันทีเลย  ท่านไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป ความหวังทั้งหลายก็อยู่ในพระองค์ และท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยทันที ในการดำเนินชีวิต ตั้งแต่ชั่วโมงแรก หรือวินาทีแรก ที่ท่านเปิดใจเชื่อข่าวดีนี้  ท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวท่านเองเลย

อย่าหาว่าท้าเลยนะ แต่ก็ท้าจริงๆ แหละ มาชิมเลยว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ  ถ้ามิฉะนั้น ความจริงนี้ไม่มาถึงทุกวันนี้หรอก เป็นพันๆ ปีแล้ว

การเป็นขึ้นจากความตาย การบังเกิดใหม่ของพระเยซูคริสต์ คืออันเดียวกัน เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของข่าวดี  ซึ่งส่งผลให้มนุษย์ที่เชื่อทุกคน  ได้เข้าสู่ขบวนการการเป็นขึ้นจากตาย และการบังเกิดใหม่  เป็นผู้ชอบธรรมที่ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์สะอาดหมดจด ตามที่พระเจ้าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว  ตั้งเป็นหลายๆ พันปี ด้วยความรักมนุษย์อย่างมากมาย  เพื่อว่าท่านจะได้เป็นขึ้นมาใหม่และพระเจ้าจะได้มาสถิตอยู่กับท่าน  เดินกับท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี่ยวนี้ จนกระทั่งถึงหลังความตาย จนกระทั่งถึงนิรันดร์ อยู่กับท่านเดี๋ยวนี้ จนกระทั่งถึงนิรันดร์

เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเน้นให้ชัดๆ ว่าท่านจะสามารถอยู่กับพระเจ้าเดี๋ยวนี้เลยทันที มีประสบการณ์อยู่กับพระองค์เดียวนี้เลยทันที จนกระทั่งไปถึงนิรันดร์ อย่างที่ตะกี้นี้ที่ผมบอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ ท่านไม่ใช้สิทธิของท่านหรือ? ผมเสียดายมากๆ เลย หลายท่านยังไม่ได้ใช้สิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้กระทำให้ โดยเฉพาะในสถานการณ์อย่างนี้ ท่านจะพึ่งใคร?  ท่านจะพึ่งวัคซีนหรือ? หรือจะพึ่งรัฐบาล? หรือท่านจะพึ่งเงินที่ท่านมีอยู่เยอะแยะล้นฟ้า?  หรือจะพึ่งใคร?  ในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด มันเป็นปัญหาที่ยุ่งยากวุ่นวายไปหมด ซึ่งในอดีตมีเรื่องราวที่เป็นอุปสรรค์ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์มากกว่านี้อีกเยอะแยะ แล้วเขาพึ่งใครกัน? เขาถึงจะได้รับความรอด ดำเนินมาถึงทุกวันนี้ เราไปดูในอดีตได้ ก็พึ่งในพระเจ้า  ผู้ทรงนำพาเขาได้

นี่แหละ เราต้องพึ่งในพระเจ้าในขณะนี้  จะกิน จะอยู่ จะดำเนินชีวิตอย่างไร? ด้วยความหวาดกลัวอย่างนี้ต่อไปหรือ? อะไรต่างๆ เหล่านั้น เฉพาะเหตุการณ์ในตอนนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะน่าเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ เข้ามาใช้สิทธิของท่าน  ในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าได้กระทำให้ท่าน  เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป  แต่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน

ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าถ้าปราศจากการบังเกิดใหม่ของพระเยซู คือการเป็นขึ้นจากความตาย  ความเชื่อของเหล่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูหรือเชื่อในพระเจ้า  ก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าพระเยซูตรัสว่าผู้ที่จะเข้าสวรรค์ได้นั้น ต้องบังเกิดใหม่ ดังนั้น พระเจ้าจึงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ เพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์ทั้งปวงจะได้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ด้วยกันกับพระองค์

เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย พระเจ้าทำให้พระเยซูคริสต์บังเกิดใหม่ เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้มีโอกาสได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ด้วย  เอเมน เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กันในวันนี้เพิ่มเติม 1 โครินธ์ 15:17-22 …

1 โครินธ์ 15:17-22 “17 และถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย  ความเชื่อของท่านก็ไร้ผล  ท่านยังคงอยู่ในบาปของตน 18 แล้วบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปในพระคริสต์  ก็พินาศไปด้วย 19 ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงเพื่อชีวิตนี้ เราก็น่าสมเพชกว่าคนทั้งปวง 20 แต่นี่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป 21 เพราะในเมื่อความตายสืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม  คนทั้งปวงตายฉันใด  ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่ เหมือนพระองค์ฉันนั้น

 

สรุปรวมในนี้ ก็คือถ้าเกิดพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นจากความตาย  ไม่ได้บังเกิดใหม่ เราก็ไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย ถูกไหม?  ถ้าเป็นเช่นนั้น ในนี้บอกว่าท่านก็ยังคงอยู่ในบาปของตน ในอาดัม บรรพบุรุษเดิมของเรา  ซึ่งตายทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย  ถ้าพระเยซูไม่ได้บังเกิดใหม่ เราก็ไม่ได้บังเกิดใหม่  เราก็ยังเป็นคนเดิม ที่อยู่ในบาป ในอาดัม ในความตาย ทั้งร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ตายขาดจากพระเจ้า  ขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ แต่ในนี้บอกว่าแต่ว่าพระเจ้าได้ให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่จริงๆ ก็คือเราก็มีสิทธิ์ที่จะเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู เช่นเดียวกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าเราได้ใช้สิทธิของเรา ได้เกิดใหม่พร้อมพระเยซู เราก็มีชีวิต บังเกิดใหม่ อยู่ในความชอบธรรม อยู่ในพระคริสต์ บริสุทธิ์ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย  เพราะว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตาย เราก็เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น เป็นขึ้นมาทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย แต่วิญญาณและจิตใจ เป็นขึ้นมาก่อน ทันทีทันใดเลย ส่วนร่างกายเป็นขึ้นมาใหม่เหมือนกัน แต่รอก่อน รอให้ร่างกายเดิม หมดเวลาของเขาที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้เราเรียบร้อยทันทีเลย เมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเยซู และได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ใน 1 เปโตร 1:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:3 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย (เป็นขึ้นจากตาย) บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ของพระเยซูคริสต์”

 

“พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังใจอันยืนยง” ก็คือหวังใจในนิรันดร์เลย  ไม่ใช่เดี่ยวนี้อย่างเดียว  แต่เดี๋ยวนี้ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ “โดยการเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ ของพระเยซูคริสต์” นี่ชัดมากเลย

เราบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของการเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ของพระเยซูเช่นเดียวกัน  คล้ายๆ ในอดีตที่เราอยู่ในความตาย  อยู่ในคำสาปแช่ง เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในความบาป ในอาดัม บรรพบุรุษของเรา  บัดนี้ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นลูกของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ถ้าท่านหรือฉันเชื่อ และใช้สิทธิ์ ฉันก็เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็สามารถเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วยกันกับพระองค์ ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายได้ อย่างนี้ไม่ตื่นเต้นหรือ? อย่างนี้ไม่เรียกว่าอัศจรรย์หรือ?  แล้วทดลองได้ไหม? ชิมได้ไหม? ชิมได้ แล้วใครจะรู้? ส่วนตัวท่านจะรู้เลยว่าวิญญาณและจิตใจท่าน ได้บังเกิดใหม่ มันเป็นอย่างไร?  ท่านจะมีประสบการณ์แห่งการเป็นขึ้นจากความตาย  ณ บัดนาว ณ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้เลย  จนไปถึงนิรันดร์ การเป็นขึ้นจากความตาย วิญญาณ  จิตใจ ทันทีเลย  ส่วนร่างกายรอก่อน รอให้หมดหน้าที่บนโลกใบนี้เสียก่อน

ถ้าเชื่อ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณที่บังเกิดขึ้นแล้ว  พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้ตายที่ไม้กางเขนแล้ว ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์แล้ว ได้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว และปัจจุบันได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว ทุกสิ่งเหล่านี้ได้ถูกบันทึก และสถาปนาอยู่ในโลกวิญญาณ ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ในโลกวิญญาณอย่างนั้นเลย

เพราะฉะนั้น ถ้าใครเชื่อความจริงตรงนี้  ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกวิญญาณทันทีของคนที่เชื่อนั่นแหละ ในโลกวิญญาณ ตัวเขาเป็นวิญญาณและจิตใจที่ติดมากับวิญญาณนั้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทันทีเลย  คนที่รับสิทธิ์ในข่าวดีนี้ ก็คือคนที่ยอมรับว่าเป็นความจริง และใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเขา  ก็คือคนที่ยอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดตัวตน แท้จริงในโลกวิญญาณ ก็คือเขาถ่อมใจลง

ถ่อมใจลง ไม่เย่อหยิ่งแล้ว เย่อหยิ่งอย่างไร?  ไม่พึ่งตนเองอีกต่อไปว่าตนเองทำได้ พึ่งในความดี ไม่พึ่งแล้ว ยอมรับว่าตัวเองช่วยตัวเองไม่ได้  พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องมีที่พึ่ง อันถาวร อันดับแรก ต้องถ่อมใจตรงนี้ก่อน  ถ่อมใจยอมรับว่าตนเองพึ่งตนเองไม่ได้  เป็นคนอ่อนแอ เป็นคนบาป  ตัวนี้ลำบากมากเลยที่จะยอมรับ

ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป คือยอมรับว่าตัวเองเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับความดีงาม ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ขอพระเจ้าให้เข้ามาช่วย ขอพระเยซูให้เข้ามาช่วย  นี่แหละ คือคนที่จะใช้สิทธิ์ของเขา พระเจ้าก็จะเข้ามาตามที่เขายอม และเข้ามาช่วย โดยเริ่มต้นผ่าตัดทางวิญญาณ พาเขาเข้าไปสู่โลกวิญญาณ  มิติวิญญาณ เพื่อทำการรักษา เยียวยาชีวิตของเขาทันที เพราะโลกของพระเจ้า  เรียกว่าโลกของสวรรค์  ไม่ว่าจะเป็นโลกสวรรค์ โลกวิญญาณที่มีพระเจ้า โลกของพระเจ้า เราเรียกกันว่าโลกวิญญาณทั้งสิ้น มันมองไม่เห็น สัมผัสแตะต้องไม่ได้  แต่มันมีอยู่จริงๆ  พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ ก็สถิตอยู่ที่นั่น ในโลกวิญญาณ และพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ แปลว่าพระองค์ทรงเป็นอยู่ ชื่อของพระเจ้าพระบิดา ก็บอก พระองค์ชื่อว่าเราเป็น

เพราะว่าพระองค์ไม่มีอดีต และไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบัน คือพระองค์เป็นอย่างนั้น หมายถึงในมิติโลกวิญญาณ มันไม่มีกาลเวลา ไม่มีว่าอดีต 3 ชั่วโมงที่แล้ว 3 ปีที่แล้ว 3,000 ปีที่แล้ว ไม่มี มีแต่เกิดก็เกิดเลย สถาปนาอยู่ที่นั่น  เมื่อเรายอมรับว่าตัวเราเองเป็นคนบาป ต้องการการช่วยเหลือ เปิดใจให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัด พระเจ้าก็เข้ามาในวิญญาณของเรา  แล้วก็ทำการผ่าตัดวิญญาณของเรา ด้วยวิธีการที่บันทึกไว้ในโรม 6:3-6 เพื่อจะย้ำให้ท่านเห็นชัดๆ  เพราะตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน  อันดับแรกเลยที่เราเข้าไปในสิทธิ์ปุ๊บ มันจะเกิดขึ้นทันที พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู ข่าวดีนี้ปุ๊บ ใช้สิทธินี้ พระเจ้าผู้เป็นวิญญาณเข้ามาในมิติโลกฝ่ายวิญญาณ เข้ามาที่วิญญาณของเรา และทำสิ่งนี้แหละ เราเรียกกันว่าผ่าตัดฝ่ายวิญญาณแล้วกัน …

โรม 6:3-6  “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ ก็ได้ถูกบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการได้เข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย  แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา  (ที่อยู่ในบาป ในอาดัม) ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป

 

“ท่านรู้ไหม?” เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว ทันทีที่เชื่อในข่าวดีนั้น  ก็ได้ถูกบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้ถูกพระเจ้านำเราเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ จำตรงนี้ไว้ให้ดี

เข้าไปในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผ่าตัดเอาวิญญาณของเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระเยซู พอเข้าไปในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ทันทีทันใด ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระเยซูคริสต์ ทางวิญญาณและจิตใจของเรา ที่พระเจ้านำออกมา เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พอพระเยซูตาย เราก็ตายด้วย มันหมายถึงอย่างนั้น

ข้อ 4 จึงบอกว่า … “ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการเข้าส่วนร่วมในความตาย ถูกฝังไว้ในความตายร่วมกับพระเยซู เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิต บังเกิดใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย”  ตายไปกับพระเยซู ก็เพื่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราจะได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย มันหมายถึงอย่างนั้น

ข้อ 5 บอกว่าถ้าเราเชื่อและพระเจ้าผ่าตัดวิญญาณเราแล้ว ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในความตาย เราตายร่วมกับพระองค์ แน่นอน เราก็จะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่เช่นเดียวกัน

นี่คือวิธีการของพระเจ้า ที่เข้ามาเยียวยารักษาวิญญาณและจิตใจของเรา รวมทั้งร่างกายด้วย

ข้อ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราที่อยู่ในบาป ในอาดัมนั้น นึกภาพนะ นี่คืออดีตก่อนที่เราจะเปิดใจรับเชื่อ  พอรับเชื่อปุ๊บ ตัวเก่า ที่อยู่ในบาปอยู่ในอาดัมนั้น ที่สกปรก โสโครกนั้น  ถูกตรึงตายไว้กับพระองค์ คือพระเยซูคริสต์แล้ว เพื่อตัวบาป ตัวเก่านั้น จะได้ถูกขจัดออกไป  ก็คือตายไป เพื่อจะได้ไม่เป็นทาสของมาร ของความบาปอีกต่อไป โคโลสี 1:13-14  ได้บรรยายภาพให้เห็นชัดเจน  อย่างที่ผมบอกว่ามิติของโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ ที่เรียกว่าสวรรค์นั้น  เป็นเช่นไร? และพระองค์ทรงรักษาเยียวยา  เมื่อเรารับเชื่อในข่าวดีนี้อย่างไร? โคโลสี 1:13-14 …

โคโลสี 1:13-14  “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป  คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

ในมิติโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ หรือที่พระเจ้าสถิตอยู่นั้น ปรากฏว่าในนี้ อธิบายให้เห็นชัดเลยว่ามีอยู่ 2 แห่ง …

แห่งหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด หรืออาณาจักรของความมืด

แห่งที่สอง คืออาณาจักรของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเรารู้แล้ว พระองค์บอกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง

ปรากฏว่าในโลกวิญญาณมี 2 สถานที่ … สถานที่หนึ่งเรียกว่ามืด  อีกสถานที่หนึ่งเรียกว่าสว่าง … สถานที่สว่าง เรียกว่าในพระบุตร หรือว่าในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น ในสถานที่มืด  ก็ต้องใช้คำว่าในอาดัมนั่นเอง จะเห็นภาพแล้วนะ ชัดมากเลย

การผ่าตัดของพระเจ้า คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดี ถ้าไม่ยินยอม อยู่ดีๆ พระองค์เข้าไปทำอะไรไม่ได้เลย เขาต้องยินยอม คือเปิดใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป  เปิดใจเชื่อ เขาเรียกว่ายินยอม พอยินยอมปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาผ่าตัด ก็คือย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ออกจากในอาดัม ไปสู่ในพระคริสต์ จากความตายมาบังเกิดใหม่ จากการเป็นทาสมาร ทาสความชั่วร้าย เป็นศัตรูกับพระเจ้า  มากลายเป็นลูกของพระเจ้า  ออกจากอาณาจักรของความมืด  มาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระเยซูคริสต์ ในพระคริสต์นั่นเอง ซึ่งก็หมายถึงอาณาจักรสวรรค์ของพระคริสต์ ก็คือผ่าตัดเอาวิญญาณมนุษย์ทันทีเลย  ออกจากความพินาศในนรกมาอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้าทันที มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จึงจำเป็นและจะต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะในอาดัม หรือในพระเยซูคริสต์

ต่อให้ท่านบอกไม่เชื่อๆ เรื่องนี้ ต่อให้เชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ซึ่งเป็นเรื่องจริงแน่นอน พระเจ้าอธิบายให้ฟังแล้ว ให้ท่านเลือกเอง ท่านจะอยู่ในที่ใดที่หนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณนี้อย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้น การเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูในการตาย และการถูกฝังในอุโมงค์ของพระเยซูทำให้เราได้รับการอภัย จากความบาปผิดทั้งหมดทั้งปวง ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบันและในอนาคตทั้งหมดเลย

การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู หรือการบังเกิดใหม่ของพระเยซู ก็ได้ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า ด้วยพระคุณของพระองค์ ซึ่งพระเจ้าประทานให้ฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  แม้แต่นิดเดียว แค่นั้นยังไม่พอ ด้วยพระคุณซ้อนพระคุณ อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระเจ้ายังได้ประทาน ไม่ใช่ยกโทษให้เฉยๆ  แต่ยกโทษแล้ว เปลี่ยนหัวใจและวิญญาณใหม่ให้เรา  เปลี่ยนแกนของชีวิตของเรา  จากความชั่ว มาเป็นความดี จากความเลว มาเป็นผู้ชอบธรรม จากวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณลูกของพระเจ้า  เรียกว่าเกิดใหม่ทันที รับเรามาเป็นลูกของพระองค์ เข้ามาอยู่ร่วมกันกับพระองค์ กับครอบครัวของพระองค์ ในวัง ซึ่งเรียกว่าสวรรค์สถานนั่นเอง ซึ่งรับเข้ามาอยู่เมื่อไร? ต้องรอให้ตายไปก่อนไหม?  ไม่ต้อง เริ่มต้นทันทีเลย  ประสบการณ์นี้ เดี๋ยวนี้เลย  ณ ขณะที่ท่านเปิดใจต้อนรับสิทธิของท่าน เขาถึงเรียกกันว่าพระคุณมหัศจรรย์  พระคุณอันยิ่งใหญ่  โคโลสี 2:9-10 จึงบันทึกอย่างนี้ว่า …

โคโลสี 2:9-10 “9 เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของพระองค์ (ผู้เชื่อทั้งหลาย) 10 และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะ เหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น”

 

นี่กำลังพูดถึงผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว  ได้รับการผ่าตัด ได้รับการย้ายวิญญาณและความคิดจิตใจ ตัวจริงๆ ของเขาเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว

ในนี้จึงบอกว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ ต้องจำให้ได้ เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ ในขณะนี้ “เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของพระองค์” หมายถึงผู้เชื่อทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ ก็เป็นอวัยวะในร่างกายของพระองค์ “และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะ เหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น”  ผลของการบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผลของมัน คือความบริบูรณ์ในพระคริสต์ นึกถึงเราแต่ละคน  พอเราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ สิ่งนี้เกิดขึ้นในวิญญาณของเรา  ในชีวิตของเรา คือความบริบูรณ์ในพระคริสต์

ท่านอยากถามว่า … “พอฉันรับเชื่อแล้ว มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เกิดใหม่พร้อมพระองค์แล้ว ฉันได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์เป็นอย่างไร?”

“ความบริบูรณ์ในพระคริสต์ คืออะไร?” พระคัมภีร์ในนี้เขียนเอาไว้ ในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกาย (ผู้เชื่อคนนั้น) ก็แปลว่าพระเจ้ามีพระลักษณะอย่างไร? พระเจ้าเป็นอย่างไร? พระคริสต์ก็เป็นอย่างนั้น และพระคริสต์มีพระลักษณะเป็นอย่างไร? ผู้เชื่อคนนั้นก็เป็นอย่างนั้นเช่นเดียวกัน เมื่อเปิดใจเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์  ทันทีเลย  ก็ได้รับตรงนี้เข้าไปแล้ว

มันน่าตกใจใช่ไหม? แล้วไม่น่าแปลกใจเลย ที่คนไม่ค่อยอยากจะเชื่อตรงนี้ มันไม่มีทางที่จะเข้าใจเลยว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? ไม่สามารถใช้สติปัญญาของมนุษย์เลย 1 ยอห์น 4:17 ได้บันทึกซ้ำลงไปอีกอย่างนี้ว่า …

1 ยอห์น 4:17  “แบบนี้สิ ความรัก​ของ​พระเจ้า ​ถึง​สำเร็จ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์​ใน​พวก​เรา เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

 

“แบบนี้สิ” ในบริบทนี้ หมายถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ … พระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเป็นความรัก เราก็เป็นความรัก

แบบนี้สิ การเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ทำให้ความรักของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์ ตามเป้าหมายของพระองค์ ในชีวิตของพวกเราทั้งหลาย และทำให้พวกเราทั้งหลายมีความมั่นใจในวันพิพากษา คือเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว มีวันหนึ่ง วันแห่งการพิพากษา ที่พระเจ้าจะมาตัดสินบนโลกใบนี้แล้ว  ที่เรียกว่าวันสุดท้ายของโลกใบนี้  เราก็มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เพราะว่าในวันพิพากษา เราสบายมากเลย  พิพากษาว่าใครดีใครชั่ว ใครจะไปอยู่ในสวรรค์ เพราะเราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว

ในนี้บอกว่าก็เพราะชีวิต จิตวิญญาณที่เรามีขณะที่อยู่บนโลกนี้นั้น เรามั่นใจ ไม่ใช่มั่นใจ เพราะเราทำดี หรือมั่นใจ เพราะเรามีความเชื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า หลังความตาย เราจะไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่ ในนี้บอกว่าอะไร? เรามีความมั่นใจ ก็เพราะว่าชีวิต ทั้งวิญญาณและจิตใจของเราในขณะนี้ เมื่อเรารับเชื่อแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เรียบร้อยแล้ว วิญญาณและจิตใจขณะที่เราอยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิต จิตวิญญาณของพระคริสต์ คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้น เราเป็นเหมือนพระองค์เดี๋ยวนี้เลย ก็มั่นใจสิ  ในวันพิพากษาก็สบายสิ ถามว่าบริสุทธิ์เท่าไรในวันพิพากษา บริสุทธิ์จากบาปเท่าไร? ไม่ใช่ 90% แต่ 100% เท่าๆ กันกับพระเยซูเลย แล้วไม่มั่นใจว่าจะไปสวรรค์ได้อย่างไร?  ในเมื่อสิ่งเหล่านี้เป็นขึ้น และเป็นสภาพของตัวตนแท้จริงของฉัน เดี๋ยวนี้แล้ว พระเจ้าทำให้เป็นขึ้นจากความตาย  และบังเกิดใหม่ โดยการประทานวิญญาณดวงใหม่ให้กับเรา  ใจใหม่ให้กับเรา ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งไม่ใช่ 2 อย่างนี้เท่านั้น แต่ในอนาคตอันใกล้ ทั้งร่างกายก็ใหม่ด้วย  เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งได้เผยพระวจนะแผนการเรื่องนี้ไว้ในหนังสือเอเสเคียล 36:26  … พระเจ้าจะประทานใจใหม่และวิญญาณใหม่ …

เพราะฉะนั้น โคโลสี 3:1-4  พระคัมภีร์จึงได้บันทึกว่าให้เราจดจ่อในเรื่องจริงเหล่านี้ อย่าให้มันหลุดออกจากความคิดจิตใจเราไป อย่าให้มันหลุดออกจากความรู้ความจริงในเรื่องนี้ไป  เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่เกิดขึ้นจริงๆ และมีผลกระทบต่อความเชื่อ และมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ต่อวิญญาณของเราจริงๆ …

โคโลสี 3:1-4  “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

ให้เราจำภาพนี้ให้ได้ว่ามันเกิดขึ้น  พระคัมภีร์ พระเจ้าไม่ต้องการให้เราลืม  เพราะมันเป็นเรื่องโลกวิญญาณที่เกิดขึ้น

สรุปของข้อความตรงนี้ ก็คือเมื่อท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู พระเจ้าได้ชุบท่านให้เป็นขึ้นจากความตาย ได้บังเกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซูคริสต์ มีความบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว ให้จดจำตรงนี้ไว้ อย่าไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้น ที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้มากนัก แต่ให้ฝักใฝ่และจดจ่ออยู่ที่โลกฝ่ายวิญญาณ ตัวเก่าของเรา  ที่เต็มไปด้วยความบาป สกปรก มันตายไปแล้ว  มันไม่อยู่ ถูกขจัดออกไปแล้ว ตอนนี้ท่านได้ถูกให้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม มันคนละเรื่องกับตัวท่านที่เป็นอยู่

นอกจากความคิดจิตใจและวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฏ กลับมาอีกทีหนึ่ง ท่านก็จะได้รับร่างกายใหม่  ปรากฏพร้อมกับพระองค์ ด้วยร่างกายที่บังเกิดใหม่  เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน  ไม่ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ  ไม่ต้องกลัวโควิดอะไรต่างๆ  ไม่ต้องมีการทำบาป ไม่ต้องมีภาระในการวิตกกังวล กลัว ไม่ต้องต่อสู้กับความบาปอีกต่อไป เพราะว่าร่างกายใหม่ท่านจะไม่ได้อยู่ใต้อิทธิพลความบาปเลย แม้แต่น้อย และไม่มีใครจะมาล่อลวงท่านอีกแล้ว  เพราะมารก็ถูกตัดสิน จบไปแล้ว ในโลกใหม่ วิญญาณใหม่ ไม่มีการล่อลวงของบาปอีกต่อไป ให้เราคิดแต่เรื่องเหล่านี้ นี่คือเคล็ดลับที่พระเจ้าได้สอนเรา เมื่อเราเปิดใจเชื่อในพระเยซูแล้ว

เหตุการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบ ถามว่าทุกข์ใจไหม? เดือดร้อนไหม?  เดือดร้อน กังวลไหม? กังวล กลัวไหม? กลัวสิ  เป็นมนุษย์ทำไมไม่กลัวล่ะ  ความกลัวเป็นสิ่งที่ดีด้วยนะ กลัว เราจึงใส่หน้ากากอนามัยไง กลัว เราจึงไม่ไปร่วมกับคนอื่นที่เขาไปในที่ชุมนุมชน ที่เขาไม่ระมัดระวังกัน ที่เขาไม่กลัว เอาเชื้อมาติดที่บ้าน คนอื่นเดือดร้อนด้วย  อย่างนี้เรียกว่าความกลัว วิตกกังวลมันเป็นเรื่องธรรมดาของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่คนที่เชื่อในพระเยซูและได้บังเกิดใหม่พร้อมพระเยซูคริสต์เดี๋ยวนี้เลยทันที หนึ่งอย่างที่เขาจะไม่กลัวเลย ก็คือในโลกวิญญาณเขาจะไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่กลัวความตาย  พูดถึงความตาย ยิ้ม หัวเราะเลย  แต่อาจวิตกกังวล กลัวในวิธีตายมากกว่าว่ามันจะเป็นอย่างไร? แต่จะกลัวอย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็จะปลอบโยน พระเจ้าก็จะให้สติปัญญา ในขณะนั้น ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็จะให้เราสามารถรับกับสถานการณ์ที่พระองค์ทรงให้เราเผชิญได้อย่างแน่นอน พระองค์จะทรงจูงมือเราผ่าน เหมือนที่พระเยซูคริสต์ก็ได้รับการทดลองความเชื่อ เหมือนกัน พระเจ้าก็นำพระองค์ในที่สุด  ก็ผ่านเป็นไปตามแผนการของพระองค์ทั้งสิ้น

ยกตัวอย่าง เราวิตกกังวลว่าไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้เพียงพอ ลำบากลำบน จะทำอย่างไรดี  กังวลไป ก็ไม่เป็นไร? แต่อธิษฐาน เดี๋ยวถึงเวลา มันก็ผ่านไป แต่จะผ่านไปด้วยวิธีตอบคำอธิษฐาน เหมือนเป๊ะเลย  หรือไม่เหมือน ไม่ตอบคำอธิษฐานเรา แต่ว่าให้ดีกว่านั้นอีก แต่เราต้องอดทนรอคอย แต่ในที่สุด พระเจ้าก็พาเราผ่านได้ พระคัมภีร์ก็บันทึกไว้ว่าพระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย สถานการณ์จะดีหรือไม่ดีก็ตาม พระองค์จะให้มันทำงานร่วมกัน เป็นผลดีสำหรับเรา ผู้ที่รักพระองค์เสมอ เอเมน

พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย หรือก็คือบังเกิดใหม่แล้ว ถ้ามนุษย์ผู้ใดเชื่อ  มนุษย์ผู้นั้นก็เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วย  นี่คือความจริงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ประกาศดังลั่นเลยว่ามันเป็นความจริงอย่างนี้  ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ซึ่งไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ความจริงในโลกวิญญาณนี้จะส่งผลให้กับท่าน และมนุษย์ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ตามกฎของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าเป็นผู้สถาปนาไว้ทั้งสิ้น ไม่ว่าท่านจะบอกว่ารู้หรือไม่รู้ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกฎทางโลกฝ่ายวิญญาณ หรือกฎทางโลกวัตถุ ทุกคน ทุกผู้ ทุกนาม เมื่อทำถูกกฎนั้น ก็ต้องรับผลตามกฎนั้น เหมือนกันทั้งสิ้น  ความจริงเหล่านี้จะทำให้ท่านเป็นไท

ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ โลกวิญญาณก็มีอยู่จริง อย่างเช่น มนุษย์เป็นวิญญาณ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นวิญญาณจริงๆ ถ้าจะมีอะไรที่เป็นเหตุผลสักนิดหนึ่ง แต่ไม่สามารถเป็นเหตุผลที่ชัดเจน จับวิญญาณมนุษย์มาให้ท่านเห็นว่า X-ray แล้วว่าข้างในเป็นวิญญาณทำไม่ได้ แต่เหตุผลหนึ่งที่พอจะคุยกันได้ ก็คือไม่มีสัตว์ในโลกใบนี้ ชนิดไหนเลย ที่รวมตัวกันแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนแรงดึงดูดของโลกเช่นเดียวกัน ก็มีอยู่จริง แต่เรามองไม่เห็น โยนของขึ้นฟ้า มันก็ตกลงมาบนดิน เหมือนลม มีอยู่จริง มองไม่เห็น แต่เรารู้ว่ามันมีอยู่จริง

พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ชัดเจนว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องจริง มีอยู่จริง ส่งผลอย่างไรต่อผู้เชื่อจริงๆ  และส่งผลอย่างไรต่อผู้ไม่เชื่อจริงๆ ด้วย  บันทึกเอาไว้เสร็จเลยนะว่านี่คือข่าวดีของพระเยซู ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมาบนโลกใบนี้ ให้กับมนุษย์แล้ว  ใครเชื่อก็ได้รับตามกฎ แล้วถ้าไม่เชื่อล่ะ ไม่เชื่อก็ได้รับตามกฎเหมือนกัน        กฎนั้นว่าอย่างไร?  ยอห์น 3:16-18 บอกไว้ว่าอย่างนี้ …

ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ  แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้า ไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาในโลกเพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อ ในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

“เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตร” ก็คือเชื่อในข่าวดีนี้  ที่พระเยซูมาประกาศนี้ ว่าพระองค์มาทำอะไร? เกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้ว  คนไหนที่เชื่อก็จะไม่พินาศ คือไม่ตาย ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย ไม่ต้องอยู่ในความมืด  คำสาปแช่ง แต่มีชีวิตนิรันดร์ ก็คือได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตาย  มีชีวิตนิรันดร์ แปลว่ามีชีวิตเหมือนพระเยซู … พระเยซูมีชีวิตเหมือนพระเจ้า แต่เขาที่เชื่อนั้น ก็จะมีชีวิตเหมือนพระเจ้า เรียกว่าชีวิตนิรันดร์

แต่ถ้าไม่เชื่อล่ะ ไม่เชื่อ ก็อยู่ที่เดิม พูดง่ายๆ  อยู่ในสถานที่เดิม อยู่ในโลกวิญญาณ ก็คือไม่ยอมย้ายไป  ก็คืออยู่ในอาดัม อยู่ในความพินาศนั้นเอง  ชัดเจนเลยนะ

สิ่งเดียวที่มนุษย์ต้องทำ คือเปิดใจยอมรับความจริงนี้  แม้ว่ามันจะหินมากก็ตาม ความจริงนี้ แม้ว่าจะไม่เข้าใจก็ตาม มีความรู้สึก ต้องคิดอย่างนี้ คือฟังดูแล้วมันไร้สาระ ไร้เหตุผลจริงๆ เลย พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา พระเยซูถูกฝังไว้ และเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราเข้าไปอยู่ในพระเยซู อะไรก็ไม่รู้ ฟังก็ไม่รู้เรื่องเลย  แน่นอนเราจะต้องต่อต้านและไม่เห็นด้วย  และคิดไม่ออก เพราะในขณะที่เราคิดอยู่ ต่อต้านอยู่นั้น  ข้างในตัวจริงๆ ของเรา วิญญาณที่เป็นตัวตนของเรา จิตใจของเรานั้น  เป็นศัตรูกับพระเจ้าอยู่ มันต่อต้านอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าท่านจะรอให้เข้าใจทั้งหมดเลย แล้วค่อยมาเชื่อ ให้มันมีเหตุผลหน่อยสิ ท่านจึงจะมาเชื่อ ท่านจะไม่มีโอกาสได้เชื่อ ไม่มีโอกาสใช้สิทธิของท่านเลย

เพราะฉะนั้น ในพระคัมภีร์จึงบอกข่าวดี เป็นฤทธิ์เดช … ฤทธิ์เดช คือพลังอำนาจอัศจรรย์ ไม่ใช่พลังอำนาจเฉยๆ พลังอำนาจ เรายังดูไม่อัศจรรย์ ถ้าบอกว่าฤทธิ์เดชมันเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ ไม่ใช่มือมนุษย์แล้ว เป็นอัศจรรย์ มหาอัศจรรย์แล้ว

ข่าวดีที่เป็นฤทธิ์เดช ทำให้ผู้ที่เชื่อได้รับความรอด พิสูจน์ได้ด้วย  แล้วสามารถรู้ได้ด้วย เพราะถ้าท่านเข้ามามีประสบการณ์ ท่านจะรู้จักในวิญญาณของท่านเอง จากจิตใจของท่านเองว่าคำว่าฤทธิ์เดชเป็นอะไร? เป็นอย่างไร? ทำงานอย่างไร? ทำงานในจิตใจท่านอย่างไร?  และเกิดผลอย่างไร?  ถ้าท่านไม่เข้าไปชิม นั่งคุย นั่งฟังอย่างนี้  ท่านก็ไม่มีวันที่จะเข้าใจ รอให้เข้าใจ ไม่ทันอยู่แล้ว  ไม่ทันการ โรม 10:9 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่าฤทธิ์เดชเกิดขึ้นได้อย่างไรในชีวิตของท่านทั้งหลาย …

โรม 10:9 “นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ช่วยให้รอด และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ท่านก็จะได้รับความรอด (เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่)”

 

แค่นี้เอง ฤทธิ์เดชนี้เกิดขึ้นง่ายนิดเดียว ถ่อมใจลง เปิดใจต้อนรับแค่นั้นเอง  ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตายในโลกวิญญาณจริงๆ  ได้รับการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณ ได้รับการย้ายจากอาณาจักรในโลกวิญญาณแห่งหนึ่ง มาสู่อีกแห่งหนึ่งที่ดีกว่ามากมาย เอเฟซัส 2:6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

เอเฟซัส 2:6  “และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) พร้อมกับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์  พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

ใครน๊าที่เป็นขึ้นจากความตาย? “และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมา” คำว่า “ทรงให้เราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่)” ก็คือผู้ที่เชื่อ แค่นั้นเอง  มนุษย์ที่เชื่อ ไม่ใช่มนุษย์ที่ทำความดีมากๆ มนุษย์ที่รักพระเจ้ามากๆ ไม่รู้ รักแล้วทำอะไรขนาดไหนก็ไม่รู้?  แต่มนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีว่าพระเยซูมาช่วยให้รอด  แค่นั้นเอง พระองค์ทรงให้มนุษย์ผู้ที่เชื่อนั้น  เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ “พร้อมกับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์  พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

“ในพระเยซูคริสต์” เมื่อบังเกิดใหม่ ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ท่านได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว บัดนาว

จำตอนพระเยซูถูกจับไป ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พวกหัวหน้าทางศาสนา พวกฟาริสี พวกคายาฟาสไต่สวนพระเยซูแบบศาลเตี้ยเลยนะ …

“ไหนบอกว่าอย่างไร? ไหนบอกว่าอย่างนี้? ไหนบอกจะทำลายวิหารใน 3 วัน?”

เอาพยานเท็จอะไรต่างๆ มาใส่ร้ายพระเยซู เพื่อจะจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน หาความผิดของพระเยซูให้ได้  แล้วคำสุดท้ายบอกว่า …

“ท่านจงบอกเรามาว่าท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าเตรียมแผนการไว้ล่วงหน้า ที่จะมาช่วยมวลมนุษย์ เป็นพระเมซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าเจิมไว้อย่างนั้นหรือ? เป็นใช่ไหม?”

แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไร?  มัทธิว 26:64 พระเยซูตอบว่าอย่างนี้  …

มัทธิว 26:64  “พระเยซูตรัสว่า “ใช่อย่างที่ท่านพูด เราขอบอกท่านทุกคนว่าในอนาคต  ท่านจะเห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ขององค์ทรงฤทธิ์  และเสด็จมาบนหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์”

 

พระเยซูบอกว่า “ก็ใช่นะสิ ฉันเป็นคนนั้น และเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระคริสต์ที่ถูกเจิมตั้งไว้ เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้น จากบาป ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่นมนานมาแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของท่าน ฉันเป็นผู้นั้นแหละมาแล้วตอนนี้”

และแค่นั้นไม่พอยังได้บอกไว้ว่า … “และในอนาคต คือหลังจากที่ท่านจับฉันไปตรึงที่ไม้กางเขน พระเจ้าได้ชุบให้ฉันเป็นขึ้นจากความตาย หลังจากนั้น ท่านจะเห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ขององค์ทรงฤทธิ์  และเสด็จมาบนหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์”

คือในวันสุดท้ายพระองค์จะกลับมาใหม่อีกทีหนึ่ง ท่านจะเห็นพระองค์เป็นขึ้นจากความตาย และอยู่กับมนุษย์ 40 วัน แล้วลอยขึ้นไปกับเมฆ เข้าไปในสวรรค์ และพระองค์จะกลับมาใหม่ อย่างนี้ เช่นเดียวกัน มาพร้อมกับเมฆแห่งฟ้าสวรรค์ กลับมาพิพากษาโลกใบนี้ จนจบสิ้นอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะเห็น และสิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้  มันไกลตัวมากเลย เพราะว่าในขณะที่พูดนี้  ในนี้บอกอนาคต ก็คือพระเยซูยังไม่ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ยังไม่ถูกฝังไว้ ยังไม่ได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แต่เดี่ยวนี้พระเยซูได้ถูกตรึงตาย ที่ไม้กางเขนแล้ว ฝังไว้ในอุโมงค์แล้ว เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เรียบร้อยแล้ว  และได้รับการแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเรียบร้อยแล้ว ใครที่เชื่อเรื่องนี้ เปิดใจต้อนรับ พระเจ้าก็จะย้ายวิญญาณของเขา ผ่าตัดวิญญาณของเขามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานพร้อมกับพระเยซูคริสต์เลย  ณ บัดนี้ทันทีที่เชื่อ

ท่านเต็มใจไหม? ถ่อมใจไหมที่จะเชื่อในเรื่องนี้ โดยที่ไม่ต้องเข้าใจ และไม่ต้องหวังว่าวันหนึ่งจะเข้าใจ ไม่มีทาง ท่านเต็มใจไหมที่จะถ่อมใจถึงขนาดนั้น  ถ้าท่านเชื่อในข่าวดีนี้  ท่านก็ได้รับการเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้ตาย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว  และถ้าท่านทำอย่างนั้นในขณะนี้  ท่านก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นมรดกนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเราทั้งหลายร่วมกับพระเยซูคริสต์

อยากจะถามท่านว่าถ้าท่านได้รับตรงนี้แล้ว ท่านอยากจะได้อะไรอีก? ท่านกลัวอะไรมากกว่านี้อีกล่ะ?  ในเมื่อขณะนี้ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณและความคิดจิตใจของเราที่จะอยู่นิรันดร์กาล อยู่กับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว และยังแถมครอบครองอาณาจักรสวรรค์นั้นร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้วเดี๋ยวนี้ และพระองค์ก็ทรงสถิตอยู่ในร่างกายของเราขณะนี้  ดำเนินชีวิตไปด้วยกัน ในโลกวิญญาณ เรานั่งอยู่เบื้องบนสูงสุด  แต่ในโลกวัตถุ เรายังดำเนินชีวิตเหมือนคนทั่วๆ ไปบนโลกใบนี้

บนโลกใบนี้ ก็มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก ความวิปริตต่างๆ ซึ่งเราต้องเผชิญ แต่เราจะกลัวอะไร ในเมื่อข้างในเรา ตัวจริงๆ เรา นอกจากเราจะบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์หมดจดเหมือนพระเยซูแล้ว พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยังสถิตอยู่กับเราในร่างกายนี้ จูงมือเราเดินทุกวัน เราจะไปกลัวอะไร?  เราจะไปกลัวโควิดหรือ? โควิดทำอะไรเราได้  โควิดทำได้ แต่พระเจ้าอยู่เหนือโควิด คำว่า “ทำได้หรือไม่ได้” ไม่ได้หมายถึงว่าทำให้เราป่วยได้ไหม? เราอาจจะป่วยจากโควิดก็ได้ ไม่ต้องป่วยจากโควิด ป่วยจากโรคอื่นๆ เยอะแยะไปหมดได้ แต่มันไม่สามารถทำให้เราตายได้อีกแล้ว เพราะเราเป็นขึ้นจากความตายแล้ว และเป็นขึ้นจากความตายนิรันดร์

พระเจ้าสามารถพาเราผ่านความทุกข์ยากลำบาก  ด้วยความอดทนเหล่านี้ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจที่อยู่ในพระคริสต์ … ในพระคริสต์มีฤทธิ์เดชอำนาจ แห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์อยู่  ฤทธิ์เดชอำนาจของการเป็นขึ้นจากความตายนี้ พระคัมภีร์บอกกระทำการงานอยู่ในตัวเราทั้งหลายที่เชื่อ อยู่ในเรา ก็คืออยู่ในวิญญาณของเราที่บังเกิดใหม่นั้น เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ เรียกว่าฤทธิ์เดชอำนาจแห่งการเป็นขึ้นจากความตายในพระคริสต์ ถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ กลัว ก็กลัวในเรื่องโลกวัตถุ ตามภาษาของมนุษย์บนโลกใบนี้  เหตุการณ์ต่างๆ วิตกกังวลได้ แต่อธิษฐาน ขอบคุณพระเจ้าในสถานการณ์เหล่านั้น พระองค์จะทรงทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ดูเหมือนไม่ดี บางอันดี บางอันไม่ดีบ้าง แต่รวมกันแล้ว พระองค์ทำให้เป็นผลดี สำหรับเราผู้ที่รักพระองค์เสมอ พระองค์ยังให้เราอยู่ในร่างกายนี้อยู่ เมื่อบังเกิดใหม่แล้ว ก็จริง เพื่อใช้เราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นประโยชน์ในการประกาศข่าวดี ตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ให้เราแต่ละคน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั่นเอง

เพราะฉะนั้น จงยืนหยัดอยู่ในฤทธิ์เดชอำนาจของพระคริสต์ เพราะให้ท่านรู้ว่าท่านอยู่ในพระคริสต์แล้วตอนนี้ ท่านนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์  ท่านได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์สะอาด  เต็มไปด้วยฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีอะไรทำร้ายท่านได้เลยในพระเยซูคริสต์ เพราะ ฉะนั้น จดจ่อจิตใจของท่านไปที่ในพระเยซูคริสต์ ในฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล หาที่เทียบไม่ได้เลย ซึ่งฤทธิ์เดชอำนาจนี้ กระทำการงานอยู่ในท่านทั้งหลาย ผู้ซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเรา  ดำรงอยู่ในท่าน  และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม” (ยอห์น 15:11)

 

ถ้อยคำพระเจ้ากำลังบอกเราว่าปัญหาความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  เราต้องเจอแน่ๆ หนีไม่พ้น  เพราะทุกอย่างถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงอนุญาต ให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับท่านก็ตาม  พระองค์ก็จะทรงประทานความชื่นชมยินดีให้แก่ท่านด้วย

 

โดยผ่านทางถ้อยคำของพระองค์ เราก็จะสามารถมีสันติสุขได้ ท่ามกลางสภาพปัญหา  และความทุกข์ยากลำบาก และทุกสถานการณ์

 

เพราะเรามีความหวังเต็มเปี่ยมที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ หลังความตาย

ถ้อยคำพระเจ้าย้ำยืนยันกับเราว่าผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือเชื่อจากใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับผู้นั้น และพระองค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้มาช่วยนำทางชีวิตของเรา ในระหว่างที่ยังดำเนินชีวิตบนโลกนี้ และเป็นมัดจำในพระสัญญาของพระองค์ที่จะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เรา

 

“เรารู้ว่าเราอยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่ในเรา เพราะพระองค์ได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา เราได้เห็นและได้เป็นพยานว่าพระบิดาได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก ถ้าผู้ใดยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงอยู่ในผู้นั้น และเขาก็อยู่ในพระเจ้า”   (1 ยอห์น 4:13-15)

 

พระเจ้าอวยพรครับ