คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2020 เรื่อง “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว” ตอน 2 “โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  พฤษภาคม  2020

 เรื่อง “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว”

ตอน 2 “โฮลี่ ออฟ  โฮลี่ส์”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันพิเศษ ทราบไหมว่าเป็นวันอะไร? วันนี้เป็นวันเพนเตคอส  หรือวันที่พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาอยู่กับมนุษย์เป็นครั้งแรก และนับเป็นวันกำเนิดคริสตจักรแรกของโลก  คือวันเกิดคริสตจักรสากล

คริสตจักร คือสถานที่อยู่ของพระเจ้า พระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เรียกว่าคริสตจักร

สำหรับพิเศษที่สอง ก็คือนอกจากเป็นวันเกิดของคริสตจักรในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าคริสตจักรสากลแล้ว ยังเป็นวันครบรอบ 27 ปี คริสตจักรอภิสุทธิสถานแห่งนี้ ย่างเข้าสู่ปีที่ 28 แล้ว

เราย้อนหลังไปตั้งแต่วันศุกร์ประเสริฐ ที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน เราได้บอกแล้วว่าเราเชื่อในพระเยซู พอเราเชื่อปั๊บ พระเจ้าได้เอาวิญญาณเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์เลย พอวันศุกร์ประเสริฐที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พวกเราก็ตายด้วย เราตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เพราะเราเชื่อพระเยซู พอพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 พวกเราก็เป็นขึ้นด้วย  เพราะว่าเราเชื่อในพระเยซู เชื่อในข่าวดีของพระเยซู เราได้เข้าไปอยู่ในพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงตาย เราก็ตายด้วย พระองค์อยู่ในหลุมฝังศพ เราก็อยู่ด้วย เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย

ใครอยากจะเป็นขึ้นจากความตาย ง่ายนิดเดียว คือเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูมาไถ่บาป เป็นตัวแทนของเราเท่านั้นเอง พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเอาชนะความบาปและความตาย และทำลายล้างอำนาจของมารซาตานเรียบร้อยไปแล้ว ในการเป็นขึ้นจากความตายนั้น พวกเราที่เป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เราก็เลยชนะความบาปและความตายไปด้วยเช่นเดียวกัน

พระเยซูปรากฏ หลังจากวันอีสเตอร์ คือหลังจากวันที่เป็นขึ้นจากความตาย นี่พูดถึงประวัติศาสตร์  พระเยซูปรากฏในร่างของการเป็นขึ้นจากความตาย อยู่กับบรรดาเหล่าสาวก เป็นเวลา 40 วัน วันที่ 40 พระเยซูถูกรับขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ หรือเรียกบนสวรรค์ก็ได้กับพระเจ้า และหลังจากนั้นอีก 10 วัน ก็คือวันที่ 50 นับจากวันที่เป็นขึ้นจากความตาย นับจากวันอีสเตอร์ พระองค์ก็ได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาอยู่กับมนุษย์ และได้ทำการผ่าตัดมนุษย์เป็นครั้งแรก ก็คือได้ย้ายวิญญาณมนุษย์ ที่เป็นผู้เชื่อในข่าวดีนี้ ออกจากอาณาจักรแห่งความมืดของมารซาตาน เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่าง เรียกว่าอาณาจักรของพระคริสต์ ที่เรียกว่าสวรรค์ ก็คือที่อยู่ของพระเจ้านั่นเอง

ย้อนกลับไป เมื่อเดือนที่แล้ว  นับจากวันอีสเตอร์ที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่ 50 ก็คือวันที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เราฉลองไปเมื่อ 7 สัปดาห์ที่แล้ว เราจึงเรียกวันนี้ว่าวันเพนเตคอส  คำว่า “เพนเตคอส” เป็นภาษากรีก แปลว่าที่ 50  วันที่ห้าสิบเป็นวันอะไร?  ก่อนหน้านี้ วันเพนเตคอส คือวันที่เขาฉลองการเก็บเกี่ยว และนำเอาผลแรกดีๆ มาถวายพระเจ้า ผู้คนที่เป็นยิว สมัยก่อนโน้น ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด อยู่ใต้บัญญัติ พระเจ้าได้สั่งให้ชาวอิสราเอล ผู้ชายทุกคนเอาผลแรก ที่ทำการเพาะปลูก การเกษตร ปศุสัตว์ เอามาถวายพระเจ้า ในวันนี้แหละ เขาเรียกว่าเทศกาลแห่งวันฉลองการเก็บเกี่ยว  วันนี้จึงเป็นวันที่เรามาประกาศว่าพระเยซูคริสต์ เป็นผลแรกของพระเจ้า ที่เป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าได้ให้เกิดใหม่ และอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเยซูอยู่ในสวรรค์แล้ว ในร่างกายของมนุษย์ที่เกิดใหม่ เพราะฉะนั้น วันนี้เราจึงมาประกาศว่า …

“พระเยซูอยู่ในสวรรค์แล้ว ฉันก็อยู่ด้วย”

อย่างที่ตะกี้นี้บอก พอเราเชื่อในข่าวดีนี้ พระเจ้าก็จับวิญญาณของเราเข้าไปอยู่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน เราก็ตายด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกฝังอยู่ที่อุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เราก็เข้าไปอยู่ในสวรรค์ด้วย ในวิญญาณ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังว่ามันมาได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น หัวข้อการบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อเรื่องว่า “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์” ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่าหลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในโลกฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์บอกว่าสิ่งที่มองเห็นอยู่ทุกวันนี้ คือวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่เราจับต้องมองเห็นได้นั้น มันเกิดมาจากสิ่งที่มองไม่เห็น นี่คือความจริง นี่คือสัจจธรรม

ถามว่าความจริงตรงนี้ หมายถึงอะไร? พูดง่ายๆ ก็คือสิ่งที่มองไม่เห็น มันควบคุมการเกิดการอยู่ของสิ่งที่มองเห็น เพราะฉะนั้น เรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นนั้น มันต้องใช้ตาวิญญาณเข้าไปเรียนรู้ เขาเรียกว่าใช้ความเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้น ตามหลักของพระคัมภีร์ ที่ได้บอกไว้ … ยกตัวอย่าง … เมื่อท่านจะศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โลกฝ่ายวิญญาณ  ท่านต้องเชื่อเบอร์แรกเลยว่าสิ่งที่มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จับต้องมองเห็นไม่ได้นั้น มีผู้สร้าง ท่านจะเรียกว่าพระเจ้า หรือเรียกว่าอะไรก็ตาม ท่านต้องเชื่อตรงนี้ก่อน เพราะถ้าไม่เชื่อตอนเริ่มต้นตรงนี้ ท่านจะไม่สามารถเรียนรู้จักประวัติศาสตร์มนุษยชาติในฝ่ายวิญญาณได้เลย แม้แต่นิดเดียว นี่บอกเคล็ดลับให้

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น ก็ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้เตรียมแผนการทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ อย่างที่ผมบอกเสมอว่าถ้าท่านจะเรียนพระคัมภีร์ ถ้าท่านจะอ่านพระคัมภีร์ จงมองให้เห็นเถิด ในภาษาเดิม เขาแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า be hold คือมองด้วยตาธรรมดาไม่เห็น แต่จงมองให้เห็นด้วยตาฝ่ายวิญญาณของท่านเถิด จงมองให้เห็นเถิดว่าสิ่งเหล่านี้ที่เล่าให้ฟัง ที่กำลังเรียนรู้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่ได้บันทึกเอาไว้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่างๆ เหล่านั้น มันเล็งไปถึงเบื้องหลังในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเกี่ยวอะไรกับโลกฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นบ้าง เอเมน

ดังนั้น แผนการเหล่านี้ทั้งหมด จึงเกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือพระเจ้านั่นแหละ พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในการบันทึกในพระคัมภีร์นี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าวางแผนการไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งกำหนดไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แล้วพระเจ้าก็ได้บอกเล่าถึงแผนการนี้ มาเป็นระยะๆ เริ่มตั้งแต่ยุคปฐมกาล ตั้งแต่เริ่มต้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่มนุษยชาติได้ตกลงไปในความบาป กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟัง และต้องได้รับโทษ ได้รับผลของความดื้อนั้น คือความตายและตาย คือตายทางร่างกายและวิญญาณ ต้องตกอยู่ในคำสาปแช่ง คือความเลวร้าย ความไม่ดีต่างๆ นับตั้งแต่วันนั้นมาถึงวันนี้ ก็หลายพันปีแล้ว และพระเจ้าก็ได้เตรียมแผนการ ตั้งแต่วันแรกเลยที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป โลกทั้งใบ รวมทั้งมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ตกลงไปในความเสียหาย เรียกว่าคำสาปแช่ง มีแต่ความไม่ดีต่างๆ พูดง่ายๆ ว่าตกนรกหมดเลย

และพระเจ้าก็ได้เตรียมแผนการที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติ ให้รอดพ้นจากคำสาปแช่งนี้ รอดพ้นจากนรกนี้ อย่าเห็นนรกเป็นสวรรค์ไป สิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ทั้งหมด มันคือนรกทั้งนั้น มันคือความทุกข์ มันไม่ใช่ความสุขนิรันดร์ มันไม่มีจริงในโลกวัตถุนี้ เพราะมันตกอยู่ในคำสาปแช่ง คือนรกนั่นเอง

พระเจ้าวางแผนไว้ เพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติ ให้รอดพ้นจากคำสาปแช่งนี้ รอดพ้นจากนรกนี้ รอดพ้นจากโทษของความบาปและความตาย คือผลของมัน ก็คือนรกนั่นเอง คือไม่มีพระเจ้า แล้วก็เต็มไปด้วยความเสียหาย เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานตลอดนิรันดร์

แผนการของพระเจ้านี้ได้รับการเผย เขาเรียกว่าบอกมาเป็นระยะๆ เพื่อให้มนุษย์มีความหวังบ้าง แม้แต่อยู่ในนรก ก็มีความหวัง แม้จะอยู่ในความสาปแช่งบนโลกใบนี้ที่ทุกข์ทรมานเหลือเกิน แต่ก็มีความหวังเป็นระยะๆ บอกมาตลอดเวลาว่าแผนการของพระองค์จะทำอะไร โดยการบอกล่วงหน้า ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยพระวจนะ ก็คือคนที่มีหน้าที่ มีตำแหน่งต่างๆ ซึ่งพระองค์ทรงใช้ก็มี อย่างเช่นผู้ที่มีตำแหน่งปุโรหิต … ปุโรหิต คือผู้ที่มีหน้าที่ติดต่อกับพระเจ้าได้บ้าง ในขณะนั้น ปุโรหิต คือพวกพระทั้งหลาย  ติดต่อกับทางโลกฝ่ายวิญญาณต่างๆ แล้วก็มีอีกตำแหน่งหนึ่ง ก็คือพวกกษัตริย์  ก็ได้รับการใช้จากพระเจ้า ให้บอกล่วงหน้าถึงสิ่งเหล่านี้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น กษัตริย์ดาวิด ปุโรหิต อย่างเช่นอาโรน แล้วก็หลังจากนั้น พวกที่ 3 คือคนธรรมดาที่เขาเรียกกันว่าคนธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา คนธรรมดาที่เป็นพิเศษ  คือพระเจ้าใช้เขาพิเศษ ชีวิตแบบแปลกๆ ไม่เหมือนธรรมดา มีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้ามากกว่าคนอื่นเขา เขาเรียกกันว่าผู้เผยพระวจนะ ก็คือพระเจ้าใช้เขาในการเผยถ้อยคำของพระองค์ บอกล่วงหน้าว่าแผนการของพระองค์จะมาทำอะไรที่นี่ อย่างนั้น อย่างโน้น อย่างนี้ บอกล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูจะมาเกิดเมื่อไร? อะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่คือแผนการของพระเจ้าที่บอกมาเป็นระยะๆ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ตำแหน่งต่างๆ เหล่านี้

แผนการของพระองค์ คือจะส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ มาเพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ มาเพื่อเอาคำสาปแช่ง ออกไปจากมนุษย์ มาเพื่อเอาสวรรค์เข้ามา เอานรกออกไป รวมความแล้วเป็นอย่างนั้นแหละ เผยพระวจนะว่าพระเยซูคริสต์จะมาเมื่อไร? มาทำอะไร? สวรรค์จะมาเมื่อไร? จนกระทั่งถึงผู้เผยพระวจนะ คนสุดท้าย ที่พระเจ้าใช้เขา ในการบอกแผนการล่วงหน้าว่าพระบุตรของพระองค์ ที่จะมาช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากนรก มีชื่อว่ายอห์น บัพติศโต หรือยอห์น ผู้ให้บัพติศมา เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ปีค.ศ.26 ผมใส่ค.ศ. ไปเพื่อจะให้ท่านเห็นชัดเลยว่ามันเป็นประวัติศาสตร์จริงๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ จับต้องมองเห็นได้  เป็นประวัติศาสตร์บันทึกไว้ แต่เบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันมีผลกระทบในโลกฝ่ายวิญญาณว่าโลกฝ่ายวิญญาณ มีอะไรเกิดขึ้น สำคัญกว่าโลกวัตถุตั้งเยอะ ในมัทธิว 3:1-3

มัทธิว 3:1-3 “1 ครั้งนั้น  ยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้มาเทศนา ในถิ่นกันดารแห่งแคว้นยูเดีย 2 และกล่าวว่า  “จงกลับใจใหม่  เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว” 3 ยอห์นผู้นี้แหละ  ที่ถูกกล่าวถึง  ผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า  “เสียงของผู้หนึ่งร้องในถิ่นกันดารว่า  ‘จงเตรียมทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า  จงทำทางสำหรับพระองค์ให้ตรงไป”

 

อย่างที่ผมบอกว่าผู้เผยพระวจนะ ก็คือคนที่พระเจ้าใช้เขาเป็นกระบอกเสียงพูดแทนพระเจ้า ก็คือพระเจ้าพูดนั่นเอง ส่วนใหญ่เขาจะพูดคำว่า … พระเจ้าตรัสว่า … ผ่านทางคนๆ นั้น

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ข้อ 2 ยอห์นแค่เปิดปาก พระเจ้าใช้ปากของยอห์นพูดนั่นเอง ผมจะแปลอย่างนี้ชัดๆ ว่า …

“เมื่อ ค.ศ.26 พระเจ้าประกาศว่า … พระเจ้าบอกล่วงหน้าอีกแล้วว่าจงกลับใจใหม่ อาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว ใกล้มากๆ แล้ว ที่รอกันมาเป็นพันๆ ปีนั้น ตอนนี้มาอยู่ใกล้ๆ แล้ว ที่บอกว่าพระเมสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดจะมาบังเกิดที่เบธเลเฮ็ม พระมาซีฮาห์จะตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 จะชำระบาปเรา รักษาเราให้หายจากโรคบาปทั้งสิ้นนั้น นำสวรรค์เข้ามา มันใกล้แล้ว”

นี่ประกาศตอน ค.ศ.26 และประกาศว่าอย่างไรอีก  พระเจ้าประกาศ ในข้อ 3 บอกว่า …

“จงเตรียมทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำทางสำหรับพระองค์ให้ตรงไป”

ก็คือจงเตรียมรับพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์มาแล้ว ผู้ช่วยให้รอดของเรามาแล้ว รอคอยมาตั้งนานใช่ไหมมนุษยชาติ วันนี้มาแล้ว ใกล้แล้วๆ พระเจ้าประกาศ หลังจากผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่พระเจ้าใช้ คือยอห์น บัพติศโตแล้ว  ประกาศว่า …

“แผ่นดินสวรรค์ อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักพระเจ้าใกล้แล้ว มาถึงแล้ว ใกล้ๆ แค่นี้เอง”

หลังจากนั้น ก็ไม่เห็นผู้เผยพระวจนะมาประกาศแล้ว เพราะใกล้แล้ว ถูกไหมครับ ค.ศ.26  ปรากฏว่าข่าวดี ไม่ใช้ผู้เผยพระวจนะ แต่พระเจ้าทรงใช้พระบุตรของพระองค์เอง คือพระมาซีฮาห์ ผู้ที่มาเกิด เป็นมนุษย์แล้ว อยู่ในแผนการของพระเจ้าแล้ว  เดินอยู่บนโลกใบนี้แล้ว  เป็นผู้ประกาศเองเลย ก็คือพระเยซูคริสต์ประกาศเองเลย มัทธิว 4:17 บันทึกเอาไว้

มัทธิว 4:17 “ตั้งแต่นั้นมา  พระเยซูทรงเริ่มต้นเทศนาว่า  “จงกลับใจใหม่  เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว”

 

พระเยซูประกาศเองเลย “จงกลับใจใหม่ เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว” มาใกล้ๆ แล้ว จะหลุดพ้นจากนรกแล้ว ประกาศเมื่อ ค.ศ.26 ทำไมผมชอบใส่ค.ศ. เพราะผมอยากให้ท่านเห็นความชัดเจน การบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ ในโลกที่ตามองเห็น บันทึกเอาไว้จริงๆ แล้วทำอย่างนี้ในพระคัมภีร์ เล็งถึงโลกวิญญาณอะไรบ้าง?

ยอห์น บัพติศโตหรือผู้ให้บัพติศมา เป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ตั้งแต่นั้น พระเยซูตระเวนประกาศ เริ่มต้นตั้งแต่ค.ศ.26 จนถึงค.ศ.29 ทำการ 3 ปีเอง  3 ปีนี้ ทำอย่างเดียว คือประกาศเรื่องสวรรค์มาแล้ว  สวรรค์มาแล้ว ใกล้ๆ นี่เอง แล้วก็ใช้การประกาศบ้าง เทศนาบ้างว่าจงกลับใจใหม่ เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว และยังบอกให้สาวกสนิทๆ ตอนนั้น ไปประกาศอย่างนี้เช่นเดียวกัน สวรรค์อยู่ใกล้แล้ว มัทธิว  10:7 ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้

มัทธิว 10:7 “ขณะที่ไป  จงประกาศข่าวสารที่ว่าอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว”

 

นี่บอกสาวกตั้งแต่สมัยที่พระเยซูยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ใน 3 ปี ทำการประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ว่าพระองค์จะมาทำไม? ยังไม่ถึงการปฏิบัติภารกิจการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาป ยังไม่ได้ทำตรงนั้น ก็เลยบอกให้พวกเหล่าสาวกที่ติดตามตอนนั้น ออกไปประกาศเช่นนี้ เช่นเดียวกับพระองค์ คืออาณาจักรสวรรค์มาใกล้ๆ แล้ว

ในช่วงเวลาประมาณ 3 ปี ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ คือประมาณปี ค.ศ.26 ถึง ค.ศ.29 … 3 ปี ตามบันทึกประวัติศาสตร์บอกว่าพระเยซูประสูติเมื่อ 4 ปีก่อนคริสตศักราช นี่ประวัติศาสตร์ ก็แสดงว่าค.ศ.1 พระเยซูมีอายุ 4 ปี พระองค์เริ่มตระเวนเทศนาสั่งสอน เมื่ออายุได้ 30 ปี ก็คือปีค.ศ.26 ขึ้นอยู่กับการตั้งเริ่มของปีค.ศ. เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถเทียบได้ว่าเมื่ออายุ 30 ปี ก็คือปีค.ศ.26 พระเยซูเริ่มต้นประกาศ เริ่มต้นรับใช้พระเจ้าในการเป็นพระบุตรของพระเจ้า คือประกาศว่าพระองค์มาทำอะไร? พระองค์เป็นใคร? พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า สวรรค์มาถึงตรงนี้แล้ว สวรรค์มาใกล้ๆ แล้ว ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ ในอีก 3 ปีข้างหน้า พระองค์ประกาศในช่วง 3 ปีก่อน ถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูได้ตระเวนประกาศเรื่องเดียว ไม่มีเรื่องอื่น ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ไม่ได้มาสอนว่าให้ทำอันโน้น อันนี้ ประกาศอย่างเดียวเลย สวรรค์เป็นอย่างไร? หน้าตาลักษณะเป็นอย่างไร? ในทางโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพื่อท่านจะได้เข้าใจ  อย่าไปตีความแบบไม่ใช่โลกวิญญาณ  ท่านจะเข้าใจผิด ท่านจะหลงทาง

พระเยซูได้ตระเวนประกาศในเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ พระคัมภีร์มีบันทึกไว้มากมาย ถึงคำอุปมาของพระเยซู ทั้งหมดเลยนะ เปรียบอาณาจักรสวรรค์เป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่าบ้าง เป็นเหมือนสวนองุ่นบ้าง เหมือนไข่มุกเม็ดงาม ที่คนมาเจอ แล้วต้องทิ้งทุกอย่าง  ทิ้งโลกใบนี้ แล้วมาหาพระองค์ ก็คือหาโลกฝ่ายวิญญาณอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ประมาณนี้ มาดูลูกา 17:20-21 …

ลูกา 17:20-21 “20 คราวหนึ่งพวกฟาริสีมาทูลถามว่า “อาณาจักรของพระเจ้า จะมาถึงเมื่อใด” พระเยซูตรัสตอบว่า “อาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้  21 ทั้งผู้คนจะไม่กล่าวว่า ‘อาณาจักรนั้นอยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่นั่น’ เพราะอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ภายในพวกท่าน”

 

พวกฟาริสี เขาได้ยินพระเยซูประกาศว่าสวรรค์เข้ามาใกล้แล้ว ได้ยินพวกสาวกประกาศว่าสวรรค์เข้ามาใกล้แล้ว เขาก็คิดแบบมนุษย์ว่าอาณาจักรสวรรค์ที่จะมา เป็นลักษณะเป็นอย่างไร? เพราะในหัวเขา ในความคิดของเขา  เขาคิดแต่ว่าอาณาจักรสวรรค์มา คือถ้าพระเจ้ามานะ อิสราเอลต้องเป็นมหาอำนาจโลกเลย ต้องหลุดพ้นจากการเป็นเชลย เป็นทาสของโรมันในสมัยนั้น จะไม่มีใครมาข่มเหงชาวยิวได้อีกแล้ว โรมันจะต้องพ่ายแพ้แน่ เราจะเป็นกองทัพใหญ่ เหมือนกับสมัยโซโลมอน เป็นประเทศมหาอำนาจใหญ่ มีกิน มีอยู่ มีใช้รุ่งเรืองเหลือเกิน เขาคิดอย่างนั้น แค่นั้นว่าพระเยซูอาจจะเป็น หรือว่าถ้าเป็นพระเจ้า มาจริงๆ คงมาในรูปลักษณะความยิ่งใหญ่ แบบตามองเห็น หูได้ยิน เขาหวังแต่แค่วัตถุสิ่งของเหล่านั้น ซึ่งมันถูกหลอกไง อย่างที่ผมบอก มันต้องดูโลกฝ่ายวิญญาณ

กลับมา … พระเยซูตอบเขาว่าอาณาจักรของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ ก็คือไม่ได้มาอย่างวัตถุสิ่งของจับต้องมองเห็นได้ ทั้งผู้คนจะไม่กล่าวว่าอาณาจักรนั้นอยู่ที่นี่ หรืออยู่ที่นั่น คือไม่ใช่อาณาจักรที่ท่านคิดในใจว่าเป็นมหาอำนาจอะไรต่างๆ เหล่านั้น หรืออยู่ที่นั่น แต่เพราะอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในพวกท่าน คำว่า “ภายในพวกท่าน” หมายถึงอยู่ในโลกวิญญาณ  ภายในตัวนี้ ภาษาเดิม หมายถึงอยู่ในท่าน อยู่รอบตัวท่าน โอบอุ้มอยู่ข้างๆ ท่าน พูดง่ายๆ ว่าอยู่ในโลกวิญญาณ อยู่ในอากาศ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ท่านมองไม่เห็นหรอก นี่คือสิ่งที่พระเยซูบอก และเล็งไปถึงการเกิดขึ้นในโลกวิญญาณว่าความจริงในโลกวิญญาณตรงนี้หมายถึงอะไร?
เพราะอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ภายในพวกท่าน โลกวิญญาณที่มองไม่เห็น อยู่ในวิญญาณของท่าน วิญญาณของท่านก็อยู่ในโลกวิญญาณเช่นเดียวกัน แต่ขณะนี้ อยู่ในโลกวิญญาณที่เป็นอาณาจักรนรก เพราะถูกสาปแช่ง ถูกลงโทษเหมือนบรรพบุรุษ แต่สวรรค์กำลังมา ทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น

ฟาริสีอีกคนหนึ่ง ชื่อนิโคเดมัส … นิโคเดมัสก็แอบย่องมาหาพระเยซูตอนกลางคืนเหมือนกัน ได้ยินว่าสวรรค์มาใกล้ๆ แล้ว คนนี้พูดเข้าท่าดี อยากจะรู้ว่าเป็นอย่างไร? แล้วก็เห็นเขาทำการอัศจรรย์ด้วย คือพระเยซูทำอัศจรรย์เยอะแยะ อยากจะมาคุยด้วยว่ามันเป็นอย่างไร? ก็ย่องมาหาพระเยซูตอนกลางคืน อาจจะกลัวเพื่อนฝูงที่เป็นใหญ่ เป็นโต มีตำแหน่งในสภาของยิว อาจจะไปฟ้อง หรืออาจจะดูถูกเอา เลยแอบมาดูว่าจริงๆ มันเป็นอย่างไร? ก็มาถามพระเยซู นิโคเดมัสถามว่าจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ทำอย่างไร? พระเยซูบอกว่าคนที่จะเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้ต้องบังเกิดใหม่ นิโคเดมัสตกใจ งง เกิดใหม่อย่างไร? เรากลับไปมุดอยู่ในครรภ์มารดา แล้วคลอดมาใหม่อีกทีหนึ่งหรือ? มนุษย์คิดอย่างนี้ คิดแต่สิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ นึกไปไม่ถึงโลกฝ่ายวิญญาณหรอก เพราะเขาตกอยู่ในความบาป ในคำสาปแช่ง ความสามารถในตาวิญญาณมันดับไป เขาเรียกว่าตาบอดในวิญญาณ ไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ พระเยซูบอกว่าสวรรค์มาอยู่ใกล้ๆ ผู้ที่จะเข้าในสวรรค์ได้ จะต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น  พระเยซูพูดถึงโลกวิญญาณนั่นเอง

พระเยซูตระเวนประกาศอย่างนี้ 3 ปี จนกระทั่งปีค.ศ.29 พระเยซูก็ได้ปฏิบัติภารกิจ ตามที่พระเจ้าได้วางแผนการไว้มาตั้งนานแล้ว ในการที่จะใช้พระองค์เป็นเครื่องบูชาลบล้างความผิดบาปของมวลมนุษยชาติ แบกรับเอาคำสาปแช่งของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์เอง บนไม้กางเขนนั่นเอง บอกมาตั้งนานแล้ว ตั้งหลายพันปีแล้ว บัดนี้มันใกล้แล้ว ฮีบรู 9:15 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ฮีบรู 9:15 “ด้วยเหตุนี้ พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อบรรดาผู้ที่ทรงเรียกนั้น  จะได้รับมรดกนิรันดร์  ซึ่งทรงสัญญาไว้  เพราะพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์ เป็นค่าไถ่  เพื่อปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากบาป  ซึ่งได้ทำภายใต้พันธสัญญาแรก”

 

“ด้วยเหตุนี้ พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่” ก็คือเป็นคนกลางในการชดใช้โทษบาปของมวลมนุษยชาติไปเรียบร้อยแล้ว ในพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเก่าคืออะไร? พันธสัญญาเก่า คือใต้กฎของคำสาปแช่ง ที่ได้ละเมิด กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟัง ดื้อ แล้วมันก็มีผลขึ้นมา ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเรา  แต่ตอนนี้พระเยซูมาใช้บาปเหล่านั้น ใช้โทษเหล่านั้นให้หมดสิ้นแล้ว กาลาเทีย 3:13 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

กาลาเทีย 3:13 “พระคริสต์ได้ทรงไถ่เรา พ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกแช่งสาปแล้ว”

 

เห็นไหมครับ? พระเยซูมาเพื่อเอาคำสาปแช่งของมวลมนุษยชาติ ที่ตกในนรก เป็นโทษ เอาคำสาปแช่งออกไป เอาพระพร  ความเป็นสวรรค์เข้ามาแทน นรกเอาออกไป เอาสวรรค์เข้ามาแทนที่ โดยการที่พระองค์ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน

วันศุกร์ประเสริฐ บ่าย 3 โมงที่ไม้กางเขน  เมื่อประมาณเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูสิ้นพระชนม์ ก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงตรัสว่า “เทสเทเรสไตล์” ภาษากรีก แปลเป็นไทยว่า “สำเร็จแล้ว” หรือว่า “จ่ายหมดเรียบร้อยแล้ว” จ่ายหนี้บาปของมวลมนุษยชาติให้หมดทุกคนเลย มวลมนุษยชาติไม่เป็นหนี้ใครอีกแล้ว  เราจ่ายให้หมดแล้ว สำเร็จแล้ว

ก็คือแผนการของพระเจ้า ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ ตั้งเป็นพันๆ ปีมาแล้ว สำเร็จแล้ว  ณ วันที่พระเยซูได้ถูกตรึงและสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน และวันที่ 3 พระเจ้าได้ชุบพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์จริงๆ จึงสามารถเป็นขึ้นจากความตายได้ และพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นผลแรกในการเป็นขึ้นจากความตาย สำหรับผู้ที่จะเชื่อพระองค์ในอนาคต ที่จะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ หลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ลงไปอยู่ในอุโมงค์ แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 หลังจากการเป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูปรากฏร่างที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่มีสง่าราศี เป็นพระเจ้าแล้วนั้น  และเข้ามาอยู่ ให้สาวกได้จับต้องมองเห็นพระองค์ได้ คือมาอยู่ด้วยกันกับสาวก เป็นเวลาถึง 40 วัน เพื่อยืนยันการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ว่า …

“นี่เป็นฉันจริงๆ นะ เป็นพระเยซูจริงๆ นะ”

หลังจาก 40 วันแล้ว ก็ถูกรับเข้าไปอยู่ในสวรรค์สถาน เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ ในหนังสือกิจการ 1:3-5  ได้บันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์นี้ไว้ว่า …

กิจการ 1:3-5 “3 ภายหลังที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์  ก็ได้ทรงสำแดงพระองค์แก่คนเหล่านั้นและให้ข้อพิสูจน์หลายประการ ที่ยืนยันว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงปรากฏแก่พวกเขา ในช่วงสี่สิบวัน และตรัสเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า 4 ครั้งหนึ่ง ขณะทรงร่วมรับประทานอาหารกับพวกเขา พระองค์ทรงบัญชาพวกเขาว่า “อย่าออกจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่จงรอคอยของประทานที่พระบิดาของเราได้ทรงสัญญาไว้  ดังที่พวกท่านได้ยินเรากล่าวไว้ 5 ด้วยว่า “ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ  แต่อีกไม่กี่วัน  พวกท่านจะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

“หลังจากที่พระองค์ทรงทนทุกข์” ก็คือทุกข์ทรมาน สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน  พระองค์ก็ได้ปรากฏพระองค์ เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ได้กินข้าวกับพวกเขา ให้เอามือพวกเขามาจับรอยแผลของพระองค์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง? ในนี้บอกหลายประการ เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ พวกเขาตื่นเต้นขนาดไหน? เมื่อไม่กี่วันก่อน เขายังเห็นพระเยซู ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เลือดอาบเลย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เห็นชัดๆ เลย แล้วนี่เป็นไปได้หรือ! พระเยซูยืนอยู่ต่อหน้าเรา เป็นพระเยซูเดียวกัน ที่เป็นขึ้นใหม่แล้ว เป็นไปได้หรือ? พระเยซูจึงต้องยืนยันอย่างนั้น

พระองค์ทรงพระชนม์ เพื่อให้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ พระองค์ทรงปรากฏแก่พวกเขาในช่วง 40 วัน คือตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ 40 วันแรก คือวันที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ก็คือวันอีสเตอร์ ในช่วง 40 วัน พระองค์ปรากฏตรงโน้นตรงนี้ ตรงนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งปรากฏต่อผู้คนครั้งเดียว 500 คน ได้เห็นพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย ตกใจไหมล่ะ แต่หลังจากตกใจแล้ว พระเยซูก็ได้พูด ได้คุย จนพวกเขามั่นใจแล้วว่าเป็นพระเยซู ท่านลองคิดดู ถ้าเป็นเรา เราจะมีความเชื่อศรัทธามากขนาดไหน? ล้นขนาดไหน? แล้วพระองค์ทรงปรากฏในช่วง 40 วัน เพื่ออะไรอีก?

อ่านดูตรงนี้ “และตรัสเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์” ก็มาพูดเหมือนเดิม อาณาจักรสวรรค์ที่บอกอยู่ใกล้ ตอนนี้มาแล้ว อยู่ยิ่งใกล้ใหญ่เลย สำเร็จแล้ว จบแล้ว แต่รอสถาปนาเท่านั้นเอง  สำเร็จแล้วที่ไหน? ที่การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย เป็นการตอกฝาโลงเลยว่างานนี้จบแล้ว แต่รอพระราชโองการจากพระเจ้า พระบิดาว่าเริ่มต้นมีผลเมื่อไร? แต่มันสำเร็จตั้งแต่วันนั้นแล้ว วันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย จบแล้ว ว่ากันตามจริง จบตั้งแต่ที่พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้วนั้นแหละ คราวนี้รอขบวนการของผลที่จะประกาศออกมา พระองค์คงจะเล่าอย่างนี้นะ ตรัสเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์

ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงรับประทานอาหารกับพวกเขา ถามว่ารับประทานอย่างไร? ให้รู้ว่าเป็นพระเยซูจริงๆ อาการก็คือพระเยซูที่พวกเขาคุ้นเคย เดินด้วยกันตลอด 3 ปีนั้น แล้วพระเยซูก็สั่งพวกเขาด้วยว่ายอห์น บัพติศโตให้บัพติศมาด้วยน้ำ ที่แม่น้ำจอร์แดน คนมา ก็จุ่ม มุดลงไป แล้วขึ้นมา แล้วประกาศว่าคนนี้ ได้รับการชำระบาป จนหมดสิ้นแล้ว และได้กลับใจใหม่แล้ว  แต่อีกไม่กี่วันหลังจากนั้น พวกท่านจะได้รับบัพติศมา จุ่มลงไป มุดลงไป โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

ถามว่าพวกสาวกที่ได้ฟังตอนนั้นรู้เรื่องไหม? ไม่รู้ แต่พระเยซูบอกแล้วว่าตอนนี้ไม่รู้เรื่องหรอก  แต่ไม่เป็นไร ฟังไว้ให้ดีๆ จดไว้ดีๆ  เดี๋ยววันหนึ่ง เมื่อท่านบังเกิดใหม่ เมื่อพระวิญญาณมาอยู่กับท่าน พระวิญญาณจะบอกท่านเองว่าที่เราพูดมันหมายความว่าอย่างไร? กิจการ 1:8-9 ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้ว่าหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นต่อ

กิจการ 1:8-9 “8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์อำนาจ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือพวกท่าน  และพวกท่านจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม และทั่วแคว้นยูเดียกับสะมาเรีย จนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก 9 หลังจากตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นไป ต่อหน้าต่อตาพวกเขา และมีเมฆมาปกคลุมพระองค์ จนพวกเขามองไม่เห็นพระองค์”

 

“บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” ขณะที่พวกเขากำลังงงๆ อยู่  หมายถึงอะไรหนา ต่างคน ต่างก็คิดไป บางคนก็คิดว่า …

“พระเยซูบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจอย่างนี้ สบายแล้วพวกเรา  ก็เหมือนอย่างที่ฟาริสีคิด ต่อไปนี้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่แล้ว อาณาจักรของพระองค์ ก็คือมหาอำนาจใหญ่หลวง ใหญ่โตยิ่งกว่าสมัยกษัตริย์ซาโลมอนอีก เราจะเป็นประเทศมหาอำนาจยิ่งใหญ่ เจริญรุ่งเรืองแล้ว ชาวยิวสบายแล้ว”

มีบางคนคิดแค่นั้น เพราะว่าเขายังไม่ได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ ยังมองไม่เห็นทะลุถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่าอะไรเกิดขึ้นยิ่งใหญ่กว่านั้นตั้งเยอะ พระเยซูก็อธิบายให้เขาฟัง ในข้อ 8 ว่า …

“แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์อำนาจ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือพวกท่าน”

มันหมายความว่าอย่างไร? จำได้ไหมที่พระเยซูบอก … “ผู้ใดที่จะเข้าสวรรค์ ผู้นั้นจะต้องบังเกิดใหม่”

ฤทธิ์อำนาจนี้ ก็คือฤทธิ์เดชทำให้เขาบังเกิดใหม่ ฤทธิ์อำนาจนี้มาจากใคร? มาจากเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือพวกท่าน ก็คือเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ถูกประทานโดยพระเจ้าพระบิดา ลงมาอยู่เหนือพวกท่านนั้น พระวิญญาณจะทำการให้ท่านบังเกิดใหม่ ในข้อ 5 ที่บอกไว้ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ เสด็จมาเหนือพวกท่าน ก็คือเมื่อพระวิญญาณเสด็จมาบัพติศมาท่าน จุ่มท่านลงไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ กิจการ 1:10-11

กิจการ 1:10-11 “10 พวกเขากำลังแหงนหน้าเขม้นดูฟ้า ขณะที่พระองค์เสด็จไป ทันใดนั้นมีชายสองคน สวมชุดขาวมายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา  11 และกล่าวว่า “ชนชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุใดพวกท่าน จึงยืนมองท้องฟ้าอยู่ที่นี่  พระเยซูองค์นี้ ซึ่งถูกรับไปจากพวกท่านเข้าสู่สวรรค์นั้น จะเสด็จกลับมาอีก ในแบบเดียวกันกับที่พวกท่านเห็นพระองค์เสด็จเข้าสู่สวรรค์”

 

ก่อนที่พระองค์จะถูกรับขึ้นไปในสวรรค์ จะไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าจะไม่อยู่กับเขาอีกนานเท่าไร? เขาไม่รู้ว่าจะต้องอีกกี่วัน พระองค์จึงต้องตรัสสั่งอะไรที่เป็นเรื่องสำคัญมาก ให้รอจนกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา บัพติศมาท่าน ให้ท่านได้บังเกิดใหม่ ไม่งั้นท่านจะเห็นสวรรค์ไม่ได้ ไม่งั้นท่านจะเข้าสวรรค์ไม่ได้เลย  และการบังเกิดใหม่มาจากฤทธิ์เดชอำนาจทางการบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น สั่งปุ๊บ พระเยซูก็ถูกรับขึ้นไปเลย ต่อหน้าต่อตาพวกเขาทั้งหลาย จนกระทั่งเหม่อลอย มีทูตสวรรค์มาบอก …

“เหม่อเรื่องอะไร?”

เป็นเรา คงตื่นเต้น อยู่มาตั้งหลายวัน 10, 20 บางคน 40 วันเลย อยู่ด้วยกัน ตอนนี้ลอยขึ้นไปเลย บอกให้รอ คงไม่ได้คิดถึงเรื่องสวรรค์อะไรต่างๆ คงงง แต่จำได้อย่างเดียวว่าพระเยซูบอกให้ไปรอก่อน รอที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา แต่เขาไม่เข้าใจหรอกครับว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น  เขาก็ทำอย่างนั้น แล้วก็มองเห็นพระเยซูลอยขึ้นไป ก็เหม่อ จนทูตสวรรค์ต้องมาสะกิด

“เหม่อทำไม ก็ไปทำอย่างที่พระเยซูบอกสิ สั่งไว้แล้ว ให้ไปรอ พระเยซูที่ท่านเห็น ที่ถูกรับขึ้นไปสวรรค์ วันหนึ่งข้างหน้า จะกลับมาเหมือนที่ท่านเห็นพระองค์ ถุกรับขึ้นไป”

พอมาถึงวันที่ 50 เทศกาลเก็บเกี่ยว พระเยซูลอยขึ้นไปในวันที่ 40 พวกเขารออีก 10 วัน ก็เป็นวันที่ 50 ตอนนั้นเขาไม่รู้หรอกเป็นวันที่ 50 บอกให้รอ เขาก็ไปรอ  พอถึงวันที่ 50 เป็นเทศกาล การเก็บเกี่ยวผลแรก ซึ่งเล็งถึงพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระองค์ก็จะเป็นขึ้นจากความตายเช่นเดียวกัน วันที่ 50 หรือวันเพนเตคอส เป็นวันแรกแห่งการเริ่มต้นสวรรค์บนโลก วันที่ 50 เป็นวันสถาปนาเกิดผลแล้ว ในสิ่งที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย วันที่ 50  เกิดเป็นผลแล้ว คือสวรรค์ของพระเจ้า

สวรรค์ของพระเจ้า คืออะไร? คือที่สถิตของพระเจ้า ในอดีตที่เป็นเงา คือโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์  ก็คืออภิสุทธิสถาน แปลว่าสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าสถิตอยู่ หรือเรียกว่าวิหารของพระเจ้า ลงมาตั้งอยู่แล้วในโลกวิญญาณ จงมองให้เห็นเถิด วันที่ 50 วันเพนเตคอส สวรรค์ของพระเจ้า ที่สถิตของพระเจ้า  วิหารของพระเจ้า ลงมาตั้งอยู่บนโลก ในโลกวิญญาณแล้ว ในใจของท่าน ก็คือในร่างกายของมนุษย์  เป็นวันแรกแห่งการเริ่มต้น ในโลกใบนี้ ที่สถานที่ที่เรียกว่าสถานที่ของพระเจ้ามาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ในร่างกายของมนุษย์ เกิดอะไรขึ้นในวันที่ 50 กิจการ 2:1-4

กิจการ 2:1-4 “1 เมื่อถึงวันเพ็นเทคอสต์ พวกเขาทั้งหมดมารวมอยู่ในที่เดียวกัน 2 ทันใดนั้นก็มีเสียงจากฟ้าสวรรค์ เหมือนเสียงพายุกล้า  ดังก้องไปทั่วทั้งบ้านที่เขานั่งอยู่ 3 พวกเขาเห็นสิ่งที่ดูเหมือนเปลวไฟ รูปร่างคล้ายลิ้น กระจายออก และมาอยู่เหนือพวกเขาแต่ละคน 4 ทุกคนเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเริ่มพูดภาษาต่างๆ  ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พวกเขา  สามารถพูดได้”

 

เขาก็ไปรอตามที่พระเยซูบอกเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาบัพติศมาท่านให้เกิดใหม่

ข้อ 4 บอกว่าทุกคนเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือทุกคนได้รับการจุ่มลงไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็บัพติศมาพวกเขาลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ มีอีกชื่อหนึ่งว่าพระวิญญาณของพระคริสต์  พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จุ่มพวกเขาลงไปในพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ ขณะนั้นเลย

“บัพติศมา” คือการจุ่มลงไป เป็นหนึ่งเดียวกัน ดำมิดเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่ยอห์น บัพติศโตทำเป็นเงาไว้ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำในลักษณะเป็นจริงในโลกวิญญาณ มุดลงไปในน้ำ ดำลงไปในน้ำ เป็นหนึ่งเดียวกับน้ำไปเลย เหมือนที่ผมเคยยกตัวอย่างบ่อยๆ

พอถึงวันนั้น วันที่ 50 ที่ห้องชั้นบนนั้น เหล่าสาวก ประมาณ 120 คนในวันนั้น พระวิญญาณได้บัพติศมาพวกเขาในวิญญาณ พระวิญญาณได้เข้ามาในวิญญาณของเขา ซึ่งเป็นวิญญาณที่อยู่ในความบาป อยู่ในความมืด อยู่ในนรก อยู่ในความสกปรก อยู่ในความตาย เป็นทาสมารอยู่นั้น พระวิญญาณได้เข้ามา นำวิญญาณของเขา

สมมติว่านี่เป็นวิญญาณของมนุษย์ ถ้าพูดตามประวัติศาสตร์ ก็คือเป็นวิญญาณของพวกเหล่าสาวก 120 คนนั้น พระวิญญาณได้นำเอาวิญญาณของพวกเขาจุ่มลงไป มุดลงไปในพระเยซูคริสต์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู วันนั้น พระวิญญาณได้ทำการบัพติศมา คือการผ่าตัดวิญญาณของมนุษย์ที่เป็นความบาปนั้น เอาวิญญาณของมนุษย์นั้น เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เข้าไปอยู่ในวิญญาณของพระคริสต์ เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์นี้สมมติว่าเป็นพระคริสต์มุดเข้าไปอยู่ในนี้เลย

เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตรึง ตาย ที่ไม้กางเขน วิญญาณของเราหรือของคนๆ นั้น ก็ได้ตายกับพระองค์ เมื่อพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ วิญญาณของเราหรือของคนๆ นั้น ก็ถูกฝังด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นจากความตาย วิญญาณของคนๆ นั้น ก็ได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์ ได้ถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นคนสนิทของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นลูกที่รักของพระองค์ คนๆ นั้นก็เป็นเหมือนที่พระเยซูคริสต์เป็น คือเข้าไปอยู่ในสวรรค์สถานแล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นคนสนิท เป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักอย่างมากมาย เช่นเดียวกัน

นี่เป็นผลแรก เป็นการเริ่มต้น ศักราชใหม่ ในโลกวิญญาณ มนุษย์เข้าไปในโลกวิญญาณได้ด้วยวิธีนี้ เป็นครั้งแรก และหลังจากนั้น ก็มีครั้งที่สอง เป็น 3,000 คน  และจาก 3,000 คนก็เยอะแยะไปหมด ใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูก็จะเป็นอย่างนี้แหละ  ได้บังเกิดใหม่ เข้าไปสู่สวรรค์ทันทีเลย เรียกว่าได้รับการบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ให้บังเกิดใหม่นั่นเอง พระเจ้าได้ทรงสถาปนาสวรรค์สถาน ในร่างกายของมนุษย์ ในร่างกายของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ ที่เชื่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซู

สาวกเหล่านี้ได้เห็นพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เขาจึงเชื่อ ก็ได้รับพระพร พระเยซูบอกว่าแต่คนอื่นจะได้พระพรมากกว่านี้อีก คือคนเหล่านั้น ที่เชื่อในข่าวดีนี้ โดยไม่เห็นพระองค์เลย โดยไม่เห็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ เหมือนกับเหล่าสาวกเหล่านี้ ก็คือพวกเราทั้งหลายในยุคต่อๆ มา ใช้เชื่อเอา เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ประทานให้มนุษยชาติ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระให้มนุษย์พ้นจากบาป คำสาปแช่ง  และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อสถาปนาว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ และปรากฏพระองค์เองจริงๆ ทุกวันนี้พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ใครที่เชื่อตรงนี้ พระวิญญาณก็จะเข้ามาบัพติศมาเขา ให้เขาได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันที

วันนี้จึงเป็นวันระลึกถึง หรือเรียกว่าวันสถาปนาอาณาจักรสวรรค์บนโลก วันฉลองอาณาจักรสวรรค์ในวิญญาณ คือคริสตจักรของพระเจ้า … “คริสตจักรของพระเจ้าคืออะไร?” ก็คืออาณาจักรของพระคริสต์ พระคริสต์เป็นพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เพราะฉะนั้น คริสตจักร ก็คือสถานที่ หรือที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เราทั้งหลายผู้เชื่อ คือคริสตจักรของพระเจ้า เป็นวิหารของพระเจ้านั่นเอง วันนี้จึงเป็นวันครบรอบ 1,991 ปี แห่งการสถาปนาอาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้ ปีค.ศ.29 วันเพนเตคอสแรกจนถึงปัจจุบันนี้ ปีค.ศ.2020 วันนี้เพนเตคอสเหมือนกัน เป็นเพนเตคอสที่ผ่านมาแล้ว 1,991 ปี มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนเลย หลั่งไหลกันเข้ามาสู่สวรรค์เยอะแยะไปหมด ได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณนี้ทั้งหมด จงมองให้เห็นเถิด เมื่ออ่าน ศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์มนุษยชาติระดับวิญญาณตรงนี้ จงมองทะลุไปให้เห็นเถิดว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของท่าน ถ้าท่านเป็นมนุษย์ มันได้เกิดขึ้นตรงนี้แล้วอย่างนี้ 1,991 ปีมาแล้ว ในโลกวิญญาณ จงรับรู้เถิดนี่เป็นข่าวดี

เพราะสำหรับเราทั้งหลาย ผู้คนทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว ถ้าพระเยซูเสด็จกลับมาวันนี้ เดี๋ยวนี้เลย หรือเราต้องตายต้องมรณา วิญญาณต้องออกจากร่างเดี๋ยวนี้  เราก็เป็นผู้ชอบธรรมที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป  เพราะขณะนี้ เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว อย่างไรๆ ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว เพราะอยู่แล้วเดี๋ยวนี้ สวรรค์อยู่ที่นี่แล้วเดี๋ยวนี้ เราไม่ได้หวังว่าจะไปอยู่ในสวรรค์ แต่เรามีสวรรค์อยู่ในใจเรา เรารู้แล้วว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว ความหวังของเรา ก็คือเมื่อไรจะทิ้งร่างไปสักทีหนึ่ง ไปอยู่ในสวรรค์มันดีกว่าตั้งเยอะ ร่างกายอ่อนแอนี้ มันไม่อยู่ตลอดอยู่แล้ว ดีใจเหลือเกิน วันหนึ่งมันต้องทรุดโทรมไป  และจะต้องตายไป ต้องจากไป  ดีใจเหลือเกิน สำหรับผู้ที่เชื่อแล้ว ถึงบอกว่า …

“อยู่ ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ ถ้าตาย ก็ได้กำไร”

1 โครินท์ 6:19 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจนแจ่มใสเลย …

1 โครินธ์ 6:19 “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน  เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตในท่าน  ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า  ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง”

 

พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้า พระเยซูพูดกับเราผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระองค์แล้วผ่านทางอาจารย์เปาโล

“ลูกไม่รู้หรือว่าร่างกายของลูก เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตอยู่ในลูกนะ ซึ่งลูกได้รับจากพระเจ้า พระบิดา ลูกไม่ใช่เจ้าของตัวลูกเองนะตอนนี้ พระเจ้าพระบิดาซื้อลูก หรือจ่ายค่าไถ่ลูกด้วยชีวิตของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์นะ ร่างกายของลูกเป็นวิหารของพระเจ้าแล้วนะ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยนะ”

และฮีบรู บทที่ 10 ได้บอกเราในลักษณะเดียวกันนี้ ในฮีบรูบทที่ 9 บทที่ 10 บอกละเอียดมาก บอกว่าเราได้รับการชำระ ให้แยกส่วนเฉพาะเป็นของพระเจ้าแล้ว เมื่อตอนที่เราเชื่อในข่าวดีนี้ เราได้รับการชำระ เป็นสมบัติส่วนพระองค์ของพระเจ้า ได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เท่าพระเยซูเลย

ซึ่งแน่นอน ไม่ใช่ความประพฤติของเราแน่ และไม่ใช่นิสัยของเรา  แต่เป็นที่วิญญาณ ตัวจริงๆ แท้ๆ ของเรา ก็คือวิญญาณนี่แหละ เพราะว่าวิญญาณของเรา คือวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่ได้บัพติศมาเราไปเรียบร้อยแล้ว มันเสร็จแล้ว สวรรค์จึงอยู่ที่นี่ จะไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? ถ้าไม่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร? ผู้ที่จะอยู่กับพระเจ้าต้องบริสุทธิ์ สะอาดและศักดิ์สิทธิ์ เราบริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์แล้ว โดยการบังเกิดใหม่  ไม่ใช่ด้วยการประพฤติหรือการกระทำ หรือนิสัยของเรา วิญญาณของเราต่างหาก เพราะความบริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเจ้าของเรา ไม่ได้ตั้งอยู่บนรากฐานของความประพฤติหรือการกระทำ แต่อยู่บนรากฐานของการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ

พระเยซูจึงบอกว่าผู้ใดที่เข้าสวรรค์ได้ ต้องบังเกิดใหม่ พระองค์ไม่ได้บอกว่าผู้ใดที่จะเข้าสวรรค์ได้จะต้องทำดี พระองค์ไม่ได้บอกว่าผู้ใดจะเข้าสวรรค์ได้ จะต้องประพฤติตามกฎที่พระเจ้าบอกว่าอย่าทำ พระเยซูไม่ได้บอกว่าผู้ใดจะเข้าสวรรค์ได้  จะต้องประพฤติตามศีลธรรมเหล่านั้น ไม่ได้พูดอย่างนั้นเลย แต่บอกว่าบังเกิดใหม่ แล้วเดี๋ยวนิสัยก็จะเปลี่ยนไป เหมือนจากข้างใน ออกมาข้างนอก  เหมือนผงฟู ที่ทำขนมปัง มันเกิดจากข้างใน แล้วมันก็จะออกมาข้างนอก ส่วนจะออกมาข้างนอกได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้นหรอก พระเจ้าจะพาเขาไป ค่อยๆ แก้ไขไปทีละนิด ทีละหน่อย จนกว่าจะได้รับร่างกายใหม่ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ ในสวรรค์สถาน ซึ่งจะเป็นร่างกายที่เหมือนร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายที่เต็มด้วยสง่าราศี ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ไม่มีการทำบาป ไม่มีสิ่งสกปรกโสโครกเหลือแม้แต่นิดเดียวเลย เอเมน

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้วเดี๋ยวนี้ ต้องย้ำว่าเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ตอนนี้ ท่านหรือเรา กำลังอยู่ในสวรรค์แล้ว นี่เป็นการมองทะลุไปในโลกวิญญาณ มันต้องเป็นอย่างนี้ มันไม่มีทางอื่น ถ้าท่านมองไปในโลกวัตถุ ในสิ่งที่มองเห็นจับต้องได้ ตามความคิด สติปัญญาของมนุษย์ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าท่านจะคิดไปไม่ถึงวิถีทางของพระเจ้าหรอก สติปัญญาของมนุษย์ไม่มีทางเทียบเท่าสติปัญญาของพระเจ้า มันห่างไกลมาก ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? สติปัญญาของมนุษย์กับพระเจ้าห่างกันเท่านั้นแหละ

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เรากำลังอยู่ในสวรรค์แล้ว สวรรค์ คือที่ประทับพระเจ้า เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว อยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้า พระบุตร คือพระเยซูคริสต์ และอยู่กับพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ตลอดชั่วนิรันดรกาล

เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ตอนนี้ที่ได้เชื่อในข่าวดีนี้เรียบร้อยไปแล้ว จงรับรู้เถิดว่าท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว นอกจากตาฝ่ายวิญญาณท่านอาจจะยังหรี่ๆ อยู่ หรือว่ามัวๆ อยู่ ไม่ค่อยเห็นชัด วันนี้จงมองให้เห็นเถิดว่าท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้ท่าน ท่านเชื่อว่าในวันที่ 3 พระเยซูได้เป็นขึ้นมาใหม่ ท่านเชื่อตามนี้ ท่านก็ได้บังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน เพราะฉะนั้น ท่านจงดำเนินชีวิตบนโลกนี้ แบบ RIP ท่านจง Rest in peace เถิด ท่านจงพักสงบ หายเหนื่อยและเป็นสุขเถิด เพราะท่านอยู่ในสวรรค์กับพระบิดาแล้ว ไม่มีใครมาทำอันตรายท่านได้ ไม่มีใครมาเอาท่านออกไป จากมือของพระองค์ได้ ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากคอกของพระเยซูได้ ไม่มีใครอีกแล้ว ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว และท่านจะอยู่นิรันดร์ เมื่อโลกใบนี้สูญสิ้นไป  โลกใหม่จะเข้ามาแทนที่ แต่โลกวิญญาณจะยังคงอยู่ และท่านจะอยู่ในโลกวิญญาณที่เป็นสวรรค์สถาน ไม่ใช่โลกวิญญาณเดิมที่เป็นนรกอีกต่อไป  ท่านจะอยู่ในสวรรค์สถานนิรันดร์

เมื่อกี้เราพูดถึงคนที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ หรือคนที่ยังไม่ได้ยินข่าวดี ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะเชื่อ ถามว่าท่านอยู่ที่ไหน? พระคัมภีร์บันทึกว่าผู้ที่ไม่เชื่อ ก็อยู่ที่เดิม  ในโลกวิญญาณที่ถูกพิพากษา เนื่องจากบาป เป็นคนบาป อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด อยู่ในคำสาปแช่ง ซึ่งเราเรียนมาตอนต้นแล้ว คืออยู่ในนรกนั่นเอง ก็จะอยู่ที่เดิมอย่างนี้ตลอดไป เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร?  แต่ถ้าท่านได้ยิน ได้ฟังข่าวดีนี้แล้ว ท่านอยากจะเปลี่ยนที่อยู่ของท่านในวิญญาณ ย้ายวิญญาณของท่านจากอาณาจักรของคนบาป คำสาปแช่ง และนรกนั้น มาอยู่ในสวรรค์กับพระบิดาผู้สร้างท่าน มาอยู่กับพระเยซู พี่ชายคนโตของท่านในโลกวิญญาณนั้น ท่านก็ทำได้ง่ายนิดเดียว พระคัมภีร์บอกแล้ว แค่เชื่อในข่าวดี เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ว่า …

“พระเยซู ลูกเชื่อ พระเจ้า ลูกเชื่อ ลูกเริ่มต้นเชื่อแล้วว่าทั้งหมดนี้เป็นจริง คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระล้างบาปของมวลมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งตัวลูกด้วย และอยู่ในอุโมงค์ วันที่ 3 พระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ลูกเชื่อ ลูกเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยของมวลมนุษยชาติ และเป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของลูกด้วย”

แค่นั้นเอง นี่คือคำอธิษฐาน จะอธิษฐานเดี๋ยวนี้ หรือหลังจากนี้ หรือตอนไหนก็ได้ แต่ท่านต้องอธิษฐาน ขณะที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะที่ยังอยู่ในร่างกายนี้ ถ้าเผื่อท่านสิ้นลมเมื่อไร? คือตายเมื่อไร? ก็หมดสิทธิ์ที่จะอธิษฐานอย่างนี้เลย ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างนั้น ถ้าให้แนะนำ คือท่านควรจะอธิษฐาน โดยรวดเร็วมากทีเดียวเลยล่ะ  เพราะมันสำคัญมาก อย่างที่ผมบอก โลกวิญญาณสำคัญกว่าโลกวัตถุอย่างมากมายนัก  ท่านอาจจะมองไม่เห็น แต่มันสำคัญจริงๆ อย่าเอาชีวิตนิรันดร์นั้นมาเสี่ยงกับนรก คำสาปแช่ง ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้า โดยง่ายๆ ฟรีๆ อย่างนี้เถิด นี่คือพระคุณของพระเจ้าที่บอกไว้ ถ้าท่านเชื่อและอธิษฐานตามเมื่อสักครู่นี้ ท่านก็จะได้รับอย่างนี้เช่นเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะบัพติศมาท่านเข้าไปในพระคริสต์ แล้วท่านจะตายพร้อมพระเยซู ฝังไว้ในอุโมงค์พร้อมพระเยซู และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซู วิญญาณของท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า และเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ทันทีเลย และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะยืนยันในสิ่งเหล่านี้ จะนำพาท่านดำเนินชีวิตในแบบโลกวิญญาณอย่างนี้ต่อไป ท่านจะค่อยๆ เรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพระเจ้าได้สถิตอยู่กับท่านแล้ว จะนำพาท่านไปเอง ฟีลิปปี 1:6 ผมจึงอยากจะบอกอย่างนี้ว่า …

ฟีลิปปี 1:6 “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้น  จะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์  จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์”

 

ผมมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงตั้งต้นการงานดีในพวกท่านแล้ว ให้ท่านบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์จะทรงกระทำงานต่อไปในร่างกายของท่าน ในวิญญาณของท่าน ให้เสร็จสมบูรณ์ จนกว่าจะถึงวันแห่งพระเยซูปรากฏ คือกลับมาอีกครั้งหนึ่ง และท่านก็จะได้รับร่างกายใหม่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซู ไม่มีผิดเลย เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป เพียงแต่ท่านเชื่อเท่านั้นเอง พระเจ้าจะนำพาท่านไป แล้วเราจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล และมีสันติสุข และความสุขสมบูรณ์นิรันดร์กาล ในโลกใหม่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2020 เรื่อง “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว” ตอน 1 “RIP” โดย นคร เวชสุภาพ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  พฤษภาคม  2020

 เรื่อง “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว” ตอน 1 “RIP”

โดย นคร   เวชสุภาพ

            สวัสดีครับ พบกันอีกสัปดาห์หนึ่ง สัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้แล้วว่าหลังจากที่ท่านถ่อมใจ  ยอมรับว่าไปไม่รอดแล้ว ช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว ขอพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยประจำตัวนั้น เมื่อต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว เพราะความรอดที่เราได้รับมานั้น เรารอดโดยพระคุณ เป็นของประทาน จากพระเจ้า ไม่ใช่การกระทำของเราเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้รับทันที เมื่อเราถ่อมใจยอมรับ ต้อนรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ความรอดทางฝ่ายจิตวิญญาณ มันเกิดขึ้นทันทีกับเราเลย เมื่อเรารับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระเจ้าที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ รวมทั้งฉันด้วย  และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  นี่แหละเชื่อด้วยปากและรับด้วยใจ เมื่อเข้าใจตรงนี้ แล้วยอมรับว่า …

“ขอต้อนรับสิทธิ  ที่พระเยซูทำให้กับฉัน”

แค่นั้นเอง เราก็จะได้รับความรอด  ได้บังเกิดใหม่  ได้รับฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า  (ทันที) เลย

ได้รับความรอดเปล่าๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย เรารอดจากบาป รอดจากการเป็นทาสของมาร  รอดจากอาณาจักรของความมืด หรือเราเรียกกันว่านรก รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ ในสิ่งที่เราทำไม่ดี บาปเยอะแยะมากมาย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตอีก นี่เรารอดหมดเลย  หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า ย้ำอีกครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นทันที ในโลกวิญญาณ

แต่พระคัมภีร์ก็มีสอนไว้  แนะนำไว้ว่าหลังจากเชื่อแล้ว ได้รับความรอดอย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้แล้ว  พ่อซึ่งเป็นพระเจ้าก็บอก …

“ลูกๆ เอ๋ย เมื่อเป็นลูกแล้ว ควรจะทำอะไรบ้าง?  เมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  หลังจากได้รับความรอด โดยเปล่าๆ ฟรีๆ ควรจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง”

เบอร์หนึ่งเลยนะ และเมื่อเกิดประโยชน์กับตัวเองแล้ว มันก็จะเกิดประโยชน์กับผู้คนรอบข้าง ก็คือโลกใบนี้ทั้งใบ  ซึ่งพระเยซูใช้คำว่าให้แสงสว่างฉายแสงออกไป ก็คือโลกใบนี้  นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าอยากให้เราทำ แล้วเราก็ควรทำ เพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

และสิ่งที่เราควรทำ ก็คือหัวข้อในการบรรยายสัปดาห์ที่แล้ว จำได้ใช่ไหมครับ มี 3 ควรกับ 1 ต้อง ก็คือต้องเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ซึ่งเราเชื่อแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  3 ควร ก็คือรับรู้  วางใจ  และอธิษฐาน  ทั้งหมดมี 4 ขั้นตอน  สำหรับชีวิตผู้เชื่อ  ขั้นตอนแรก คือเชื่อแล้ว เป็นผู้เชื่อในข่าวดี เสร็จแล้ว ควรจะรับรู้  ควรจะวางใจ  และควรจะอธิษฐาน  ควรจะเป็นอย่างนั้น

ต้องเชื่อแล้ว ก็คือรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจแล้วว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราก็ได้รับการบังเกิดใหม่  เป็นลูกพระเจ้าทันทีในวิญญาณ

ควรจะรับรู้ ก็คือจดจ่อไปที่ฝ่ายวิญญาณในสวรรค์ว่าเราเป็นใครตอนนี้ เราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ   พระคัมภีร์เขียนว่าพระเจ้ารักเรามากเลย เราเป็นลูกแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว

ควรวางใจ พอรับรู้เสร็จ ก็ให้เราวางใจ  วางภาระลงที่พระเจ้า ให้พระเจ้านำไปตลอด  เพราะพระเจ้ารู้มากกว่าเยอะ ไม่ต้องกลัวอะไร?  คือพักสงบ พักผ่อนได้แล้ว  ทำมาเยอะแล้ว กังวลมาเยอะแล้ว

และสุดท้าย ก็คือควรอธิษฐาน ควรจะเริ่มต้นอธิษฐาน อธิษฐาน คือการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า เรียนรู้จักพระเจ้า และรู้ว่าเราเป็นใครในสวรรค์ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างไร?  เขาดำเนินชีวิตกันอย่างไร? นี่เขาเรียกว่าอธิษฐานทั้งสิ้น

เมื่อเราทำตาม  ทั้ง 4 ขั้นตอนนี้ แล้ว แล้วจะมีอะไรเป็นผลประโยชน์เกิดขึ้นในชีวิตของเราบ้าง อย่างแรกเลย เพียงแค่เบอร์หนึ่งที่เราทำ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ช่วยให้รอดได้  แค่เชื่อตรงนี้ ก็เกิดประโยชน์แล้ว  คือได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทันทีทันใดเลย นี่คือผลประโยชน์ที่ได้เกิดขึ้น และเมื่อเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ต้องไปกังวลอีกแล้วว่าหลังจากเราจากโลกนี้ไป เราจะไปอยู่ไหน?  ก็เราเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้วทันที จากโลกนี้ไป เราก็อยู่ที่เดิม อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ชีวิตหลังความตายของเราจะเป็นอย่างไร? เราก็ไม่ต้องกลัว  ไม่กังวลอีกแล้ว เพราะเรารู้แล้วว่าตัวจริงๆ ของเรา วิญญาณของเราอยู่กับพระเจ้า บังเกิดใหม่ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เมื่อเราเชื่อแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้

 

                                เชื่อแล้ว                                                                                         รับรู้   วางใจ  อธิษฐาน

จากโลกนี้                          นิรันดร์                                                                                  บนโลกนี้

วิญญาณพักสงบ           กายใหม่ (อมตะ)                                                           สันติสุขที่เกินกว่าความเข้าใจ

 

นี่เพียงแค่เราเชื่อนะ  เริ่มต้น เราก็ได้รับสิ่งนี้แล้ว ตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ของเรา วิญญาณของเรา  ก็จะได้พักสงบ  อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้วทันที  ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก แล้วทำอะไรต่อ เพียงแต่รอวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่ จะปรากฏอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา แบบชั่วนิรันดร์ ก็คือเราก็จะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ร่างกายที่เป็นอมตะ ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องมีความตายอีกแล้ว  เป็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย ในวันอีสเตอร์นั่นแหละ เหมือนเลย เราจะมีร่างกายใหม่ เป็นอย่างนั้นแหละ

นี่คือสิ่งที่เราจะได้รับ แค่ทำข้อแรก คือเชื่อในข่าวดี  ทางฝ่ายวิญญาณได้รับเรียบร้อยแล้วทันที หมดแล้ว แต่ในขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ นึกออกใช่ไหม? เชื่อแล้วก็จริง ในขณะนี้  เรายังอยู่ในร่างกายที่จับต้องมองเห็นได้อยู่นี้ ถ้าเราทำตาม 3 ขั้นตอนที่ควรทำ  คือรับรู้  วางใจ และอธิษฐานตามที่พระเจ้าแนะนำ สิ่งที่เราจะได้รับในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ผล ประโยชน์ที่จะได้รับ พระเจ้าสัญญาไว้ ก็คือสันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ จะปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของท่านครบถ้วนบริบูรณ์เลย

สันติสุขนี้สำคัญนะ ไม่ใช่สันติสุขได้รับอย่างเดียว  แต่ถ้าท่านปฏิบัติ 3 สิ่งนี้ คือรับรู จดจ่อในเรื่องโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใคร? แล้วเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เดี๋ยวนี้ท่านเป็นลูกพระเจ้า

เริ่มต้นฝึกฝนวางใจในพระเจ้า พระเจ้าบอกอย่างไร ก็เชื่อตามนั้น พระเจ้าบอกไม่กลัว ก็ไม่กลัว พระเจ้าบอกให้อธิษฐาน ก็อธิษฐาน  วางใจ แล้วก็เริ่มต้นอธิษฐานพูดคุยกับพระเจ้าไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับ คือความสุขมากขึ้นในชีวิต  ปัญหาต่างๆ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แก้ได้ พระเจ้านำพาเรา สามารถ ถ้าตามภาษาไทยเรา เขาเรียกกันว่าพระเจ้าสามารถดลบันดาลช่วยเราได้ แทนที่เราจะทำคนเดียว แทนที่เราจะทำมาหากินตัวคนเดียว  แก้ปัญหาด้วยตัวคนเดียว  แต่ตอนนี้มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ถึง 3 องค์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าผู้เป็นพ่อ  พระเจ้าพระบุตรผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พี่เลี้ยงเรา 3 พระภาค สถิตอยู่กับเรา ในตัวเรา  ในวิญญาณของเรา  นำพาเราเดิน แล้วท่านจะกลัวอะไรตอนนี้  ท่านก็จะมีความสุขมากกว่าเดิม  พระเยซูบอกเกิดเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม เอาอะไรนุ่งห่ม ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาต่างๆ เลย เพราะว่าพระเจ้ารู้แล้วว่าท่านต้องการอะไร?  สิ่งใดจำเป็นในชีวิตของท่าน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  พระองค์ทรงรู้ก่อนล่วงหน้าแล้ว  แล้วพระองค์จะให้กับท่านแน่นอน เหมือนที่ท่านดูทุกวัน  เคยเห็นนกกระจอกมันอดตายไหม?  พระเยซูยกตัวอย่าง เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วบอกว่าดูตัวอย่างนกกระจอกสิ นกตัวเล็กๆ  มันยังไม่อดตายเลย  พระเจ้ายังเลี้ยงดูมันเลย แล้วท่านเป็นลูกพระเจ้า มีค่ากับพระเจ้ามากขนาดไหน?  พระเจ้ารักท่านมากขนาดไหน?  พระเจ้าจะไม่เลี้ยงดูท่านมากกว่านั้นอีกหรือ? ใช่จริงๆ

นี่แหละคือประโยชน์ที่จะได้รับ เมื่อเชื่อแล้ว  ได้รับของประทาน ของขวัญต่างๆ ในโลกวิญญาณแล้ว  ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้อยู่  ควรจะทำในสิ่งที่พระเจ้าแนะนำ 3 สิ่งนี้ จะได้ความสุขมากขึ้น แก้ปัญหาได้  ไม่อดอยาก มีความสุขไหม?  ไม่โลภมีความสุขไหม?  ท่านจะแก้ปัญหาความโลภด้วยตัวเอง มันลำบากลำบนนะ  แต่ถ้าท่านใช้วิธีอธิษฐานกับพระเจ้า  บอกพระเจ้าอย่างโน้นอย่างนี้  ความโลภท่านก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยพลัง ด้วยสติปัญญาและความจริงจากพระเจ้าที่สถิตอยู่ในตัวท่าน  ท่านก็จะโลภน้อย ความทุกข์ทรมานมันก็น้อย การไปหาเรื่องใส่ตัวมันก็น้อย  นี่แหละการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นอย่างนั้น

แต่ถ้าท่านดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง คนเดียว  มีทั้งกิเลสตัณหา มีทั้งความอยาก มีทั้งการล่อลวงต่างๆ ให้ทำชั่ว ซึ่งทำให้เกิดความทุกข์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ปกติโลกใบนี้มันทุกข์อยู่แล้ว ท่านก็ไปทำให้มันทุกข์มากขึ้นนั่นเอง ยกตัวอย่าง  ตะกี้ที่บอกโลภ ปกติไม่โลภ มันก็ทุกข์อยู่แล้ว นี่ท่านไปโลภ มันยิ่งทุกข์มากขึ้น อย่างนี้เป็นต้น นี่คือประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าแนะนำให้ทำ เชื่อแล้ว  รับรู้ วางใจ อธิษฐาน

และสำหรับหัวข้อบรรยายในวันนี้ มีชื่อว่า “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว R.I.P.”   RIP เป็นตัวย่อมาจากคำว่า “Rest in peace” ซึ่งส่วนใหญ่ เขาจะเขียนคำนี้ไว้ที่ป้ายหน้าหลุมศพ  หรือไม่ก็เขียนไว้ในหรีดไว้อาลัยในงานพิธีศพ  Rest in peace หรือตัวย่อว่า RIP  ก็คือ “จงพักสงบชั่วนิรันดร์”  นี่ความหมายจริงๆ ของการที่ตั้งใจจะเขียน แต่จริงๆ แล้ว สำหรับผู้ที่เชื่อแล้ว ไม่ต้องรอให้ตาย แบบที่เขาทำกันเป็นพิธีตอนนี้ว่ารอให้ตายก่อน แล้วค่อยมาเขียน RIP ตอนอยู่ในหลุมศพ ไม่ต้องทำอย่างนั้น  เพราะว่าผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เกิดใหม่แล้ว เราสามารถใช้คำว่า RIP กันได้วันนี้เลยทันที เดี๋ยวนี้เลย ได้เลยทันที เมื่อเชื่อแล้วปุ๊บ ทำได้เลย เมื่อเชื่อแล้ว ก็เขียนให้ตัวเองได้เลยว่า …

“คุณนคร RIP”

ไม่ใช่แช่งตัวเอง แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เดี๋ยวเรามาดูว่าที่เขาใช้คำว่า RIP  สำหรับคนที่ตายแล้ว บนโลกใบนี้  ขณะนี้ ตามประเพณีอะไรต่างๆ เหล่านี้ คนที่จากโลกนี้ไปแล้ว ที่เขาใช้คำว่า RIP  เพราะความหมายของคำว่า RIP คือเขาหวังว่า เป็นความหวังแบบมนุษย์ธรรมดา คนจากไป เราก็ระลึกถึงเขา  ไม่รู้จะพูดอะไรดี  แสดงความเสียใจ แล้วบอกว่า RIP นะ คือหวังว่าจะได้พักผ่อนอยู่ในสวรรค์อย่างสงบ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ถูกไหมครับ  ที่เขาตั้งใจเขียนอย่างนั้น เพราะเขาหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น

แต่จากที่เราเรียนรู้ด้วยกันมาแล้วหลายสัปดาห์ โดยเฉพาะสัปดาห์ที่แล้ว  สวรรค์มันอยู่ที่นี่แล้ว สวรรค์เป็น Now คือเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ไม่ต้องรอ สามารถเข้าสวรรค์ได้เลย  เข้าด้วยวิธีเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ได้เข้าสวรรค์ทันที  คนที่เชื่อแล้ว ตอนนี้ ก็คืออยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว

แล้วคำที่บอกว่า RIP มักจะใช้กับคนที่ตายแล้ว คนที่จากไปแล้ว  ตอนนี้เราจะใช้คำว่า RIP  ถามท่านทั้งหลายที่เชื่อแล้ว  เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระผู้ไถ่บาป  ที่มาแบกกางเขน เพื่อไถ่บาปให้ท่าน เอาบาปของท่านออกไป แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ซึ่งเป็นตัวอย่างให้กับท่านจะได้เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย  เมื่อท่านเชื่อแล้ว ท่านได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ถามว่าท่านตายหรือยัง? ก็ต้องตายก่อนสิ แล้วจึงจะบังเกิดใหม่ได้

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เห็นไหมครับ?  ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย ก็คือผู้ที่เชื่อแล้ว ฟังทางนี้ว่านี่เป็นข้อความที่มาถึงท่าน  บอกว่าสถานะในโลกวิญญาณของท่านตอนนี้เป็นอย่างไร เมื่อท่านเชื่อในข่าวดีนี้แล้ว สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ ก็ฟังไว้ว่าถ้าเชื่อแล้ว มันจะเกิดอย่างนี้ขึ้น

“ในเมื่อให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว” เมื่อท่านเชื่อแล้ว  พระเจ้าก็ชุบให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย  พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน หมายถึงโลกวิญญาณตรงนี้  ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ตรงสถานะของท่านตรงนี้  ไม่ใช่ฝ่ายโลก ไม่ใช่ท่านมาจดจ่ออยู่บนโลกใบนี้ว่าท่านเป็นผู้จัดการบริษัทนี้ เป็นคนงานบริษัทนี้ มีตำแหน่งอะไรในบริษัทนี้ มียศอะไรบริษัทนี้ ไม่ใช่อะไรตรงนี้

และในข้อที่ 3 เป็นคำตอบ เพราะท่าน (ท่านคือผู้ที่เชื่อแล้ว) ตายแล้ว ตายอะไร ยังเดินอยู่เลย เขาพูดถึงโลกวิญญาณ วิญญาณเก่าของท่าน วิญญาณตัวตนจริงๆ ของท่าน มันตายไปแล้ว

ฟังอีกทีวิญญาณเก่าของท่าน ก่อนที่จะรับเชื่อ  เป็นวิญญาณมืดบอด เป็นวิญญาณที่เป็นทาสของมารซาตาน  เป็นวิญญาณที่อยู่ในความบาป อยู่ในความสกปรก มันตายไปแล้ว  เมื่อตอนที่ท่านเชื่อในข่าวดี และบัดนี้ เดี๋ยวนี้ หรือขณะนี้  Now ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า  วิญญาณท่านตายแล้ว และมันได้เกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ในข้อ 1 แล้ววิญญาณที่เกิดใหม่ มาเป็นลูกพระเจ้านั้น  ตอนนี้ซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า คือถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์นั่นเอง วิญญาณเราอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ ท่านก็อยู่ที่สวรรค์นั่นแหละ ทันที เดี๋ยวนี้เลย

สรุปว่าเราใช้ RIP ได้หรือยัง? ได้แล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้ทำข้อ 1 ยังไม่ได้รับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ยังไม่สามารถใช้ RIP ได้นะ  เขาจะใช้ให้คุณต่อเมื่อคุณหมดลมหายใจบนโลกใบนี้แล้ว เขาถึงจะใช้ให้คุณ แต่ถ้าคุณเชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดี ทันทีปุ๊บ คุณใช้ได้ทันทีเลยว่า …

“ฉันกำลัง RIP เรียบร้อยแล้วทางฝ่ายวิญญาณ”

ลองฝึกพูดกับตัวเองดูว่า … “RIP”

“คุณนคร RIP”

เห็นเลยนะว่าตัวเก่าเราตายไปแล้ว  ตอนนี้ตัวใหม่เป็นขึ้นจากความตาย  พักสงบในพระเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้วทันที

นี่เรากำลังพูดถึงเรื่องของโลกวิญญาณ  อย่างที่ผมบอกเสมอใช่ไหมครับว่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น 100% ถ้ามีเกินร้อย อยากจะบอกเกินร้อย ไม่ใช่เรื่องราวของการสอนศีลธรรม หรือมาพูดถึงเรื่องวิทยาศาสตร์ เหตุและผล  ไม่ใช่เลย แต่กำลังจะพูดถึงโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ต้องใช้ตาฝ่ายวิญญาณ หูฝ่ายวิญญาณ ที่จะเห็น  ที่จะฟัง และเรียนรู้ความจริงเหล่านี้ พระเจ้าบอกสิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับท่านทั้งหลายที่รักพระองค์ ที่แสวงหาพระองค์ พระองค์บอกพระองค์พอใจมาก สำหรับคนที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ถึงแม้จะมองไม่เห็นก็ตาม เขาเริ่มต้นเรียนรู้จักโลกวิญญาณแล้ว

เพราะฉะนั้น เรากำลังศึกษาเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ลจะพูดถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น เวลาท่านจะตีความ เวลาท่านจะเข้าใจในเรื่องพระเจ้า  ในเรื่องพระคัมภีร์ ไม่ว่าข้อใดตรงไหนก็ตาม สับสวิทช์ไปที่โลกฝ่ายวิญญาณทันที ตรงนี้ทางฝ่ายวิญญาณมันแปลว่าอะไร? มันหมายความว่าอะไร?  อย่าเอาความคิดสติปัญญา แบบโลกนี้ไปพยายามตีความ แล้วมันจะเละตุ้มเป๊ะ มันจะถูกหลอกและไปผิดทาง เรากำลังเรียนรู้ ประวัติศาสตร์มนุษยชาติเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์มนุษยชาติเกี่ยวกับวัตถุสิ่งของ เจริญเติบโต ร่างกายของมนุษย์ ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปเรียน มันไม่ได้สำคัญเลย เพราะในที่สุด มันก็ต้องเป็นศูนย์ ดับสูญไปแน่นอน แต่พระเจ้ากำลังให้เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งเป็นจริงมากกว่าโลกวัตถุ สำคัญกว่าโลกวัตถุ มันคืออะไร? มันเป็นอย่างไร?  เขามีอะไรบ้างอยู่ในนั้น กำลังศึกษาเรื่องนี้ นี่คือที่พระเจ้าต้องการให้เราเรียนรู้เรื่องนี้  ต้องจำเอาไว้เลยนะ

อย่างเช่น ในโลกฝ่ายวิญญาณประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ก็คือในตอนเริ่มต้น โลกฝ่ายวัตถุ มันเป็นอย่างไร? ในนี้ก็จะบอกเลยว่าพระคัมภีร์ก็เริ่มต้น เดี๋ยวผมจะสรุปให้ท่านฟังสั้นๆ เพื่อท่านจะได้พอมองเห็นว่าพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องอะไร? แล้วผมเอาพระคัมภีร์ทั้งเล่มมาเล่าให้ท่านฟังสั้นๆ สรุปสั้นๆ เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น  ซึ่งท่านค่อยๆ ไปฝึกฝนในการเรียนรู้ว่าในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้  มันเกิดขึ้นโดยโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นตัวกำหนดโลกวัตถุอีกทีหนึ่ง

ในตอนเริ่มต้นสร้างโลก สร้างสรรพสิ่ง รวมทั้งโลกวิญญาณด้วย โลกวัตถุที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และอยู่ตลอดไปนิรันดร์ นี่ตอนเริ่มต้นเลย ที่พระเจ้าสร้างใหม่ๆ  แต่เพราะเหตุที่มนุษย์ไปเชื่อคำหลอกลวงของซาตาน จึงดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  พระเจ้าบอกอย่าทำ อย่างนี้นะ  ถ้าทำมันจะเกิดโทษ  เหมือนกำลังจะบอกอย่าไปแหย่ปลั๊กไฟนะ เดี๋ยวไฟมันจะดูด ให้เชื่อฟัง แต่บรรพบุรุษของมนุษย์คู่แรกเชื่อมาร  ก็คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า ผลของการไม่เชื่อฟัง คือความตาย มันก็เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ทั้งใบ ทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ ทั้งฝ่ายวัตถุและฝ่ายวิญญาณ

จากโลกวัตถุที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และจะอยู่ตลอดไป  เมื่อมนุษย์ดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง ถูกหลอก ผลก็คือความตาย มันก็เลย กลายเป็น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป  ทุกสิ่งที่บนโลกนี้ที่เป็นวัตถุสิ่งของ จับต้องมองเห็นได้  เรียกว่าโลกวัตถุ รวมทั้งร่างกายภายนอกของมนุษย์ด้วย  อยู่ในขบวนการ การมุ่งไปสู่การดับสูญทั้งสิ้น ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา ที่มนุษย์คู่แรกได้ทำการปฏิเสธพระเจ้า  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ทำให้เป็นผลอย่างนี้ขึ้น ทางฝ่ายโลกวัตถุ

ส่วนฝ่ายวิญญาณ อย่างที่บอกไป วิญญาณสำคัญกว่า มนุษย์เป็นวิญญาณ  อาศัยอยู่ในร่างกาย วัตถุสิ่งของ จับต้องมองเห็นได้ ถูกสร้างมาจากธาตุของโลกใบนี้ คือถูกสร้างมาจากดิน น้ำ ลม ไฟนั่นเอง  ส่วนฝ่ายวิญญาณที่เป็นตัวตนจริงๆ ที่พระเจ้าให้กำเนิดกับมนุษย์คู่แรก และพวกเราทุกคน ถ้าเผื่อไม่ตกลงไปในความบาป  คือส่วนฝ่ายวิญญาณ  ผลของความบาปที่เกิดขึ้นกับวิญญาณของมนุษย์ ก็คือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่  และอยู่ตลอดไป  เพราะวิญญาณของมนุษย์ได้รับมาจากพระเจ้า ไม่สามารถที่จะดับสูญได้ เป็นวิญญาณที่จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และจะอยู่ตลอดไปนิรันดร์ ฟังอีกที วิญญาณของมนุษย์ คือตัวจริงๆ ของเรา มนุษยชาติทุกคน เป็นวิญญาณที่ถูกสร้าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และจะอยู่ไปนิรันดร์ แต่ผลของความบาป ของความไม่เชื่อฟัง ทำให้เกิดความตายฝ่ายวิญญาณด้วย เพราะฉะนั้น เกิดอะไรขึ้น  มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่  และอยู่ตลอดไป  แต่อยู่แบบตายจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า ตายจากธรรมชาติของพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าพระสิริของพระเจ้า

ตายจากธรรมชาติของพระเจ้า ก็คือวิญญาณที่เคยเป็นลูกของพระเจ้า มีเนเจอร์ มีธรรมชาติเหมือนพระเจ้า เป็นความดีงาม เป็นความน่ารัก เป็นความไร้เดียงสา หลุดไป หายไป  เรียกว่าพระสิริพระเจ้าหายไปเลย ความเป็นเหมือนพ่อ เหมือนพระเจ้าหายไป  กลายเป็นความชั่วร้ายเข้ามาแทนที่

ขบวนการชั่วร้าย ทำลายล้างมนุษยชาติ และสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ทั้งสิ้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายวัตถุ หรือฝ่ายโลกวิญญาณก็ตาม พระคัมภีร์เรียกขบวนการนี้ว่าคำสาปแช่ง  หรือถูกพิพากษาลงโทษ หรือถูกพิพากษาให้รับโทษนั่นเอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มนุษย์ตกอยู่ใต้คำพิพากษาได้รับโทษ ตกอยู่ใต้คำสาปแช่ง เพราะเหตุจากบาปที่ตนเองก่อขึ้น  เนื่องจากถูกล่อลวง  โดยมารนั่นเอง

นี่คือสรุปสั้นๆ ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งถึง เมื่อปี ค.ศ.33 มันแป๊บเดี๋ยวนะ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ผมจบเลย  ค.ศ.33 ได้เกิดเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ขึ้น  ที่โลกวิญญาณ ที่ผมบอก โลกวิญญาณเป็นจริงและสำคัญมากกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นได้ทั้งสิ้น  เพราะโลกวิญญาณจะอยู่ตลอดไป  แต่โลกวัตถุสิ่งของมันจะดับสูญไป ตามที่ตะกี้เราได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์มนุษยชาติแล้ว โลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้  วันหนึ่งมันต้องดับสูญไปแน่นอน พระคัมภีร์ว่าไว้อย่างนั้น แต่โลกวิญญาณมันต้องอยู่แน่นอน  แต่มันอยู่ที่ไหน  อยู่ในสภาพอะไรเท่านั้นเอง

เมื่อปี ค.ศ.33 คือประมาณ 1,900 กว่าปีมาแล้ว  ได้เกิดเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ขึ้น ในกาลาเทีย 3:13 เกิดอะไรขึ้น ตะกี้นี้บอกแล้วว่ามนุษย์ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ถูกพิพากษาได้รับโทษ  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คืออาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป  เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า พอมาถึง ค.ศ.33 เกิดอะไรขึ้น

กาลาเทีย 3:13 “พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกแช่งสาปแล้ว”

 

พระคริสต์ก็คือ … “พระเยซูคริสต์ได้ทรงไถ่เรา พ้นจากคำสาปแช่งของบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกแช่งสาปแล้ว”

พระเยซูคริสต์เอาคำสาปแช่งออกไป วิธีการง่ายๆ ก็คือสลับเปลี่ยนที่กัน  พระเยซูเอาคำสาปแช่งของเราไปไว้ที่พระองค์ แล้วก็ให้พวกเราพ้นจากคำสาปแช่ง  ชัดไหม? ค.ศ.33  ที่ไม้กางเขนนั้น พวกเราหลุดพ้นจากคำสาปแช่งแล้ว  ค.ศ.33 พวกเราหลุดพ้นจากคำพิพากษาลงโทษแล้ว  ผลที่ได้ อยู่ในโรม 8:2

โรม 8:2 “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

พูดง่ายๆ ก็คือโดยทางพระเยซูคริสต์ได้ให้ชีวิตกับท่านใหม่ ได้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เมื่อท่านเชื่อในข่าวดีนี้ ให้ท่านเป็นอิสระจากกฎเดิมที่ท่านอยู่สมัยอาดัม ก็คือกฎของความบาป และความตาย เมื่อทำบาป ก็ต้องตาย เหมือนกฎของแรงดึงดูดของโลก เมื่อโยนของขึ้นไป  มันก็ตกลงมา  เมื่อทำบาป ก็ได้รับโทษของความบาป  ทำครั้งหนึ่ง ก็ได้รับโทษของความบาป ทำ 100 ครั้ง ก็ได้รับโทษของความบาป  โยนของไป 100 ครั้งก็ต้องหล่นลงมาแน่นอน  เพราะแรงดึงดูดของโลกมันมีอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น กฎของความบาปและความตายดั้งเดิม ที่มาตั้งแต่สมัยอาดัม ทุกวันนี้ ก็ยังอยู่ ทำบาปครั้งหนึ่ง ก็ต้องรับโทษ เท่าๆ กับคนทำกี่ครั้งก็แล้วแต่ มันเป็นกฎอยู่ เห็นภาพไหมครับ? และพระเยซูคริสต์มาทำให้เขาหรือเราที่เชื่อในพระองค์ เริ่มต้นกฎใหม่ให้กับมนุษยชาติแล้ว  กฎนั้นเรียกว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิต คือกฎที่พระเจ้าได้ให้ชีวิตกับเรา บังเกิดใหม่เลย  ไม่ตายอยู่ในบาปอีกแล้ว อย่างนี้เป็นต้น  และใน 2 เปโตร 1:4 ก็ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

 

ก็คือโดยพระเยซูคริสต์ ท่านจึงได้พระสิริของพระเจ้าที่หายไป  ที่เสียไป  เนเจอร์ หรือธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าที่หลุดหายไป  ตั้งแต่ที่อาดัมทำบาปนั้น  ผลของความบาปนั้น คือความตายทางฝ่ายวิญญาณตรงนี้  บัดนี้พระเยซูมาแก้ไขให้ใหม่แล้ว โดยเชื่อในข่าวดีของพระเยซู วิญญาณเราได้รับการรักษาให้หายกลับคืนมาใหม่ กลับคืนสู่เนเจอร์ ธรรมชาติของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าและกลับคืนสู่พระสิริ ความสง่างาม ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ เป็นธรรมชาติ เป็นตัวตนแท้ๆ ของวิญญาณของเรา เดี๋ยวนี้ทันที  เมื่อเราเชื่อแล้ว นี่พูดถึงผู้เชื่อแล้วทั้งสิ้น

เห็นไหมพระเยซูมาทำให้สิ่งเหล่านี้กลับคืนดีหมดเลย  ทั้งโลกวัตถุและโลกฝ่ายวิญญาณ  ตั้งแต่ปี ค.ศ. 33 มัทธิว 24:35 พระเยซูประกาศอย่างนี้เลยนะครับ

มัทธิว 24:35 “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป  แต่ถ้อยคำของเราไม่มีวันสูญสิ้น”

 

ตะกี้ที่ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป ก็หมายถึงโลกวัตถุมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และมันจะต้องดับไป  เพราะมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้อยคำของเราจะไม่มีวันสูญเสีย ก็คือถ้อยคำของพระองค์ คือเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณเหล่านี้ ทั้งหมด มันจะอยู่อย่างนั้น ตามที่พระองค์ได้ทรงอธิบาย และสอนเราในโลกวิญญาณ มันจะอยู่ตลอดไป สวรรค์จะอยู่ตลอดไป วิญญาณเราจะอยู่ตลอดไป  แต่มันอยู่ที่ไหนเท่านั้นเอง  มันสำคัญมากถึงมากที่สุด ที่เราทั้งหลายจำเป็นจะต้องมาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเกี่ยวกับทางฝ่ายวิญญาณ มากจริงๆ มากกว่าอะไรทั้งปวง อยากจะเน้นคำว่า “มากๆ” เพราะมันสำคัญมาก เพราะมันจะต้องอยู่ตลอดไป โลกใบนี้มันไม่ได้อยู่ตลอด เราอาจจะทุกข์หรือทำอะไรผิดๆ ถูกๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย  มันก็ไม่กี่ปี  เทียบกับโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นนิรันดร์ไม่ได้เลย

สมมติว่าคุณจะมีอายุยืนสัก 100 ปี 120 หรือ 200 ปี … 200 ปีเทียบกับโลกฝ่ายวิญญาณที่บอกว่าอยู่ตลอดไป มันนับไม่ถ้วนเลย 200 ปีกับล้านๆ ปี  นั่นก็เยอะแล้วนะ แต่นี่ 200 ปีกับนับไม่ถ้วนปี   อะไรสำคัญกว่า โลกฝ่ายวิญญาณสำคัญกว่า  เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้เรื่องข่าวดีของพระเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องวิญญาณทั้งสิ้น

เมื่อพูดถึงเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณตรงนี้แล้ว อยากจะบอกว่าทุกวันนี้  พระเยซูพูดกับคนที่เชื่อในข่าวดีของพระองค์ ที่ประกาศว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนนั้น  พระองค์ได้เอาคำสาปแช่งออกไปแล้ว พระองค์เป็นทางที่มนุษย์จะสามารถบังเกิดใหม่  กลับมาคืนดีกับพระเจ้า  กลับมามีธรรมชาติเหมือนพระเจ้า  กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า  ที่บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์และเต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้าได้แล้ว  มนุษย์สามารถทำตรงนั้นได้แล้ว พระองค์ประกาศและอยากจะบอกกับมนุษย์ทุกคนว่าคนไหนที่เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว พระเยซูก็เป็นเหมือนพี่ชายคนโตของเขา เป็นเหมือนหัวหน้าครอบครัวของมนุษย์พันธุ์ใหม่ ครอบครัวใหม่นี้ สถาปนาขึ้นเมื่อค.ศ.33 เป็นครอบครัวสายพันธุ์ที่สองของมนุษยชาติ สายพันธุ์หนึ่ง คืออาดัมของเก่า ตกลงไปในความบาป  แย่อยู่ในนรก แต่พระเยซูมาสถาปนาสวรรค์ว่าสวรรค์มาตั้งอยู่ที่นี่แล้ว เมื่อค.ศ.33  ตั้งอยู่เลย ไม่ใช่รอให้เราตายไปแล้ว สวรรค์จึงมา ไม่ใช่ สวรรค์มาตั้งแต่ ค.ศ.33 แล้ว พระเยซูกำลังจะบอกว่าใครที่เชื่อข่าวดีตรงนี้ พระองค์เป็นทางนั้น  เป็นทางที่เราจะไปหาพระบิดา เป็นทางที่เราจะเข้าสู่สวรรค์ได้  คือเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น  เราก็จะได้พักสงบอยู่ในสวรรค์ทันที นี่พระเยซูประกาศเช่นนี้แหละ และสิ่งหนึ่งที่พระเยซูอยากจะบอกพวกเราในขณะนี้  คือสำหรับข่าวสารที่จะไปถึงบรรดาน้องๆ ทั้งหลาย มนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีของพระองค์แล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นน้องคนหนึ่งของพระองค์แล้ว พระองค์กำลังให้ข้อความนี้ไปถึงท่านว่าอย่างนี้  นี่คือข้อความไปยังบรรดาผู้ที่เชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเยซูกำลังส่งข่าวสารไปให้กับท่านอย่างนี้ว่า …

“ขอต้อนรับลูกๆ ทุกคนในพระคริสต์ เที่ยวบินสายสวรรค์สู่โลกใหม่ Rest in peace พักผ่อนวางใจในพระเจ้า หลับให้สบาย ชมวิวทิวทัศน์ข้างทางให้สนุกสนาน อย่าเครียด อย่ากังวล บางครั้งอาจมีมืดมนบ้าง อากาศแปรปรวนบ้าง ตกหลุมอากาศบ้าง  รัดเข็มขัดไว้ แล้วจงนิ่ง และรับรู้ว่านักบินผู้ควบคุมการบินอยู่ คือพระเจ้า  พ่อผู้ให้กำเนิดท่านนั่นเอง”

นี่คือสารที่มาจากพี่ชายคนโตของเรา หัวหน้าครอบครัวใหญ่ของเรา คือพระเยซูคริสต์ กำลังบอกพวกเรา น้องๆ  เรากำลังอยู่ในหนทางที่ไปสู่โลกใหม่ เราอยู่ในหนทางสวรรค์แล้ว  ย้ำอีกที เรากำลังอยู่ในหนทางที่ไปสู่โลกใหม่  รอจนกว่าโลกใบนี้มันจะดับสูญไปทั้งสิ้น สลายไป เราอยู่ในโลกใหม่แล้ว  เราจึง Rest in peace ได้แล้ว สำหรับข่าวสารที่พระเยซูจะส่งไปถึงมนุษยชาติ บรรดาผู้ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นเชื่อในข่าวดีนี้ ยังไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ยังไม่ได้สิทธินี้ในฐานะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง  ที่พระเจ้าประทานให้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้ตัดสินใจ พระเยซูก็ส่งสารนี้ไปให้เขาหรือท่านว่า …

“โปรโมชั่นเที่ยวบินสุดท้าย  โปรโมชั่นเที่ยวบินสุดพิเศษ เที่ยวบินสายสวรรค์ บินสู่โลกใหม่ นักบิน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซู และผู้ดูแลบริการ ตลอดระยะทาง คือพระวิญญาณและเหล่าทูตสวรรค์ทั้งปวง จอดรับผู้โดยสารทุกสถานที่บนโลกนี้ และทุกเวลา ข่าวดีสำหรับมนุษย์ทุกคน  เพราะค่าตั๋วเครื่องบินฟรี  จ่ายเพียงความถ่อมตนเท่านั้น  คือยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้หมดบาป พ้นบาปได้ จึงยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ผู้ช่วยให้รอดจากบาป  เต็มใจจ่ายความถ่อมตนนี้ แล้วขึ้นเครื่องได้ทันที  ไม่จำกัดจำนวน หมดเขตโปรโมชั่นเมื่อมนุษย์คนนั้นตาย วิญญาณออกจากร่าง หรือโลกนี้ถึงการดับสูญไป ตัดสินใจโดยด่วนนะครับ ก่อนหมดโปรฯ ลงชื่อ พระเยซูคริสต์ ผู้อำนวยการสายการบิน I am the way” เอเมน

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “ท่านคิดว่าพระเจ้าโหดร้ายจริงหรือ” ตอน 2 วันที่ 19 พฤษภาคม 2020

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง

เรื่อง “ท่านคิดว่าพระเจ้าโหดร้ายจริงหรือ” ตอน 2

วันที่  19  พฤษภาคม  2020

 

สวัสดีค่ะพี่น้องที่รักในพระเยซูคริสต์ทุกท่าน  วันนี้เป็นคลิปต่อจากครั้งที่แล้ว เรื่องอานาเนียกับสัปฟีรา

เรามีข้อสงสัยกันนะคะ ถ้าเราบอกว่าพระเจ้าไม่โหดร้าย ดิฉันมั่นใจว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ที่ฆ่าอานาเนียและสัปฟีรา แล้วอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้น?

ดิฉันก็ได้ถกกันกับพี่น้องผู้รับใช้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมอานาเนียและสัปฟีราถึงตกใจตายไปเลย  เรามีข้อสงสัยว่าอานาเนียกับสัปฟีรานั้น เป็นผู้เชื่อจริงหรือเปล่า?  เขามาร่วมงาน มาสมัครสมานสามัคคีกับผู้เชื่อ โดยมีเปโตรเป็นผู้นำในเวลานั้น  ในกลุ่มนั้น แล้วอานาเนียกับสัปฟีราก็ขายที่ดิน แล้วก็เอาเงินที่ดินมาถวาย  แต่ข้อสังเกตคือเปโตรบอกว่าอานาเนียทำไมถึงให้ซาตานครอบงำจิตใจ ทำไมถึงทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง  ที่โกหกว่าเงินที่เอามาถวายนั้น เป็นเงินทั้งก้อนของการขาย เพราะว่าการขายที่ดิน การมีทรัพย์สมบัติอะไรก็ตาม  พระเจ้าไม่มีกฎเกณฑ์ที่จะเอาอะไรจากท่านเลย  เพราะพระเยซูไถ่หมดแล้ว ไม่มีการสาปแช่งว่าทำไม่ถูกอย่างโน้นอย่างนี้  ความรอดก็มาโดยพระโลหิตไถ่ของพระเยซู เราตายกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ตั้งแต่วันที่พระเยซูถูกตรึง แล้วพระเยซูไม่ได้ตายเปล่าๆ พระองค์เป็นขึ้นมา พระองค์ก็นำเรากลับคืนมากับพระองค์ พระเยซูด้วย  ดังนั้น ก็ไม่มีเรื่องของการปรับโทษ ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ  แก่คนที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ จึงเป็นที่น่าสังเกตและน่าคิดว่ามันไม่ใช่การลงโทษของพระวิญญาณบริสุทธิ์  มันไม่ใช่การลงโทษที่มาจากพระเจ้า

เราคิดว่าถ้าอาจารย์เปโตรมองเห็นภายในว่าอานาเนียกับสัปฟีรานั้น อยู่ภายใต้การนำของซาตานหรือมาร ไม่ใช่การนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แสดงว่าเขาก็เป็นเช่นเดียวกับยูดาส  ที่อยู่ในการนำของซาตานหรือมารตลอดเวลาที่ร่วมงานกับพระเยซู

แล้วสิ่งที่น่าคิด ก็คือยูดาส พี่น้องคงจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อมาเรียเหมือนกัน ได้เอาน้ำหอมชโลมเท้าพระเยซู แล้วเอาผมมาเช็ดเท้าพระเยซู แล้วยูดาสก็บอกว่า …

“น้ำหอมแพงๆ อย่างนี้ เอามาเททิ้งเปล่าๆ ได้อย่างไร? เอาไปขาย จะได้เอาเงินไปช่วยคนจน”

เบื้องหลัง ก็คือว่ายูดาสอยากได้เงินเยอะๆ ไว้ในถุงใส่เงินของเขา  เพราะเขาเป็นคนถือเงินของกลุ่ม  เป็นเหรัญญิกกลุ่มก็ว่าได้ และเราก็เห็นชัดว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่ง มารก็เข้าสิงยูดาสและทำร้าย โดยการให้เขามาจับพระเยซูไปตรึง

แล้วสิ่งที่น่าสนใจและชัดเจนว่าเขาอยู่ใต้อำนาจของมารจริงๆ ก็คือว่ายูดาสไม่ได้กลับใจ แม้ว่าเขาจะเสียใจในการกระทำของเขา แทนที่เขาจะมาขอพระเจ้าเมตตา ให้พระเจ้ายกโทษ กลับใจใหม่  เขาก็ไปฆ่าตัวตาย

เรื่องของอานาเนียกับสัปฟีราน่าจะคล้ายคลึงกัน เพราะว่าคนที่มาร่วมขบวนการอยู่ในผู้เชื่อ ไม่ได้แปลว่าเชื่อจริงๆ บางคนก็มาลองดู บางคนก็มาดูว่ามีอะไรดีๆ  แต่อานาเนีย สัปฟีราก็อาจจะหวังว่าจะได้เป็นคนดูแลการเงินก็ได้ ถ้าเอาเงินมาวางเยอะๆ แล้วทำตัวเหมือนกับว่าศักดิ์สิทธิ์ ฉันอุทิศถวายหมดทุกอย่างแล้วนะ ให้หมดเลย  ฉันคงเป็นที่ยอมรับ เขาอาจจะคิดอย่างนั้น  อาจจะได้ตำแหน่งที่ดี ในการดูแลคนผู้เชื่อ ในการจัดสรรเงินของผู้เชื่อ  ก็เลยทำแบบนี้  ทำตามกิเลสนั่นเองว่าอยากจะได้เป็นใหญ่  อยากจะได้เป็นผู้นำ อยากจะได้เป็นคนสำคัญ เป็นที่ยกย่องผู้คนทั้งหลายรู้ว่าเอาเงินก้อนโตมาถวาย  ต้องเป็นที่เคารพนับถือของผู้คน ของผู้เชื่อ แม้แต่อัครทูต แต่อัครทูตตรงกันข้าม ไม่ได้นับถือ  แต่ประจานเลยว่าท่านอยู่ใต้อำนาจของมาร

ถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไร? ในความคิดที่เรียกว่าสภาพจิตใจของมนุษย์ เวลาถูกจับโกหกได้ เวลาถูกจับผิดได้ ตกใจมาก ดิฉันก็เชื่อว่าทั้งอานาเนียและสัปฟีราตกใจจนช็อคคิดว่าตัวเองวางแผนไว้ดีแล้ว แต่กลายเป็นว่าโกหกพระเจ้าไม่ได้  พระวิญญาณบริสุทธิ์บอกอาจารย์เปโตรว่าสิ่งที่เขาเล่าว่าถวายทั้งหมดนั้นไม่จริง  แค่เพียงส่วนเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พี่น้องต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายความว่าเรามีอะไร เราก็ต้องเอามาถวายหรือบริจาคให้ทั้งหมด พระคัมภีร์บอกว่ามันเป็นของท่าน  ท่านจะให้เท่าไร จงให้ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ด้วยฝืนใจ แต่จงให้ด้วยเต็มใจ  พระเจ้าจึงจะอวยพร เต็มใจให้แค่นี้ ก็บอกว่าแค่นี้ ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย  แต่มันต้องมีแรงบันดาลใจ หรือมีแรงผลักดันเบื้องหลังว่าอยากจะเป็นใคร? อยากจะให้เงินที่ถวายไปก้อนนี้ ผลักดันให้ตัวเอง  มีตำแหน่ง มีหน้ามีตา เป็นที่ยอมรับนับถือของกลุ่มคนนี้  ดังนั้นเมื่อทำลงไป มันถูกจับได้ ก็ตกใจช็อค

ดิฉันเคยเล่าไว้ในสมัยก่อนๆ ว่าวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าร่างกายของเราเป็นไฟฟ้า  1  เซล มี 7 ล้านโวลต์ เพราะฉะนั้น ร่างกายของแต่ละคนเป็นไฟฟ้าแรงสูงมากเลย  แต่ไม่ได้มีความเสียหาย หรือทำร้ายใคร เพราะพระเจ้าสร้างเรามาอย่างนั้น  แล้วในวิทยาศาสตร์วงการแพทย์ก็บอกว่าเวลาที่เราช็อคตกใจ สามารถจะเกิดไฟฟ้าลัดวงจร แล้วไฟฟ้าลัดวงจรทำให้ตายได้  ธรรมดาแล้วไฟฟ้าเดินอยู่ปกติในร่างกายเรา ไหลเวียน ดูแลเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย  แล้วก็มีสายดิน คือขาเราไฟฟ้าจะลงปลายเท้าลงดินไป  เราก็จะปลอดภัย ไม่มีการช๊อตอะไร แต่ถ้าตกใจมากๆ  ก็จะมีอาการเกิดขึ้น คือกระแสไฟนั้น แทนที่จะลงดิน กลับพุ่งไปที่หัวใจเลย  พอพุ่งไปที่หัวใจเลย เรียกว่าตายทันทีได้  อันนี้ทางการแพทย์บอกไว้

ดังนั้น ดิฉันเข้าใจว่าน่าจะสรุปได้ว่าอานาเนียกับสัปฟีรา ช็อคสุดขีด ถูกจับได้  ถูกจับโกหก เตรียมจะวางแผนเป็นใหญ่ เป็นผู้ดูแลการเงิน ลงทุนไปก่อน เดี๋ยวเอาคืนทีหลัง หยิบคืนทีหลัง ถ้ามีโอกาสเป็นใหญ่ในกลุ่มนี้ แผนไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย  เพราะว่าพระเจ้าทรงทราบ  พระเจ้าจับโกหกได้ก่อน เขาก็ช็อคตกใจทั้งสามีภรรยาตายคาที

ดังนั้น ดิฉันก็ขอยืนยันว่าความรักของพระเจ้ามั่นคง ยืนยงเป็นนิตย์ พระเจ้ายกตัวอย่าง  บุตรน้อยหลงหาย ก็คือให้รู้ว่าความรักของพระเจ้าประเสริฐ นิรันดร์และถาวร เป็นลูกก็เป็นลูกตลอด  จะผิดบาปชั่วดีอย่างไร ก็รัก และพร้อมที่จะรับกลับคืน กลับบ้าน ถ้าอานาเนียกับสัปฟีราเป็นลูกพระเจ้าจริง เชื่อพระเจ้าจริง ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาจริง  ก็หมายความว่าพระเจ้าต้องไม่ทำร้าย  แต่ที่เขาตายไป ก็เป็นเรื่องของตัวเขาเอง  ที่ทำร้ายตัวเอง  เหมือนคนที่ป่วยเป็นโรค NCD  คือโรคที่เกิดจากความเสียหายที่เราทำตัวเราเอง  เช่น เบาหวาน ความดัน  หัวใจ มะเร็ง  พวกนี้เป็นโรคที่เกิดจากเราทำตัวเอง  เหตุการณ์นี้ก็เหมือนกัน ก็ไม่ต้องมีคนอื่นมาทำ เท่ากับว่าอานาเนียกับสัปฟีราก็ทำร้ายตัวเอง ไฟฟ้าลัดวงจร  แทงเข้าหัวใจ  ตายคาที

ขอพระเจ้าเมตตาให้เราเข้าใจและรู้จักแยกแยะว่าอะไรมาจากอะไร? ไม่ใช่ทุกอย่าง เราโทษพระเจ้าผู้เดียวหมดเลย  เกิดอะไรไม่ดี ก็พระเจ้าลงโทษ  เกิดอะไรไม่ดี ก็พระเจ้าสาป  ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ใหม่ เราต้องยืนยันให้ได้เลย  ยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าพระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าประทานพระคุณให้เรา  อภัยตั้งแต่ 2,000 ปีแล้ว ที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  อภัยให้เรา  และจบเลย ไม่มีถือโทษโกรธอีก การกระทำของเราที่ไม่ถูกต้องในโลกนี้ ก็สิ่งใดที่หว่านออกไป ก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น  ผลมันจะกลับมาเป็นบทเรียนให้เรา แก้ไขตัวเอง  แต่ไม่ใช่พระเจ้าลงโทษ  ขอพระเจ้าเมตตาค่ะ

 

**************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 1 “เชื่อแล้ว รับรู้ วางใจ และอธิษฐาน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  พฤษภาคม  2020

 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 1

“เชื่อแล้ว รับรู้ วางใจ และอธิษฐาน”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            การบรรยายของวันนี้จะเป็นเรื่องต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ที่มีคนถามว่ายอมรับในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปแล้ว ทำตามแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วต้องทำอะไรอีกบ้าง ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว ผมก็ได้ตอบคำถามนี้ไปแล้วว่าไม่ต้องทำอะไรเลย

ย้ำอีกที เมื่อต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  ต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัวแล้ว  ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เพราะความรอด จากบาป รอดจากนรก รอดจากการถูกพิพากษา ตรงนี้ รอดโดยพระคุณ ซึ่งเราเรียนไปครั้งที่แล้ว จบไปแล้ว  ตอบเลย รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการกระทำของเรา ของมนุษย์คนใดเลยแม้แต่นิดเดียว  พระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คือเอเฟซัส 2:8-9 อ่านซ้ำอีกทีหนึ่ง เพื่อจะได้รู้ว่าผมไม่ได้ตอบด้วยตัวเอง แต่ตอบจากความจริงในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

เอเฟซัส 2:8-10 “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9 ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ 10 เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ”

 

เราไม่ต้องทำอะไรเลย ให้ได้รับความรอด รอดจากนรก รอดจากความบาป  รอดจากความมืดไปสู่สวรรค์ รอดจากการเป็นคนบาป  ถูกสาปแช่ง ถูกพิพากษา อยู่ใน DNA ของอาดัม มาสู่สวรรค์ของพระเจ้า  มาเป็นลูกของพระเจ้า  อยู่ในพระเยซูคริสต์ ตรงนี้เราไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแต่ทำสิ่งเดียว คือถ่อมใจและยอมรับว่าความจริง คือ …

“พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน  ช่วยฉันได้”

แค่นี้เอง ต้อนรับพระเยซูแล้ว ก็ได้รับสิ่งเหล่านี้หมดแล้ว

พระคัมภีร์มีสอนไว้ว่าหลังจากที่เชื่อแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้วก็จริง  แต่ควรทำอะไรให้สมกับที่เป็นลูกพระเจ้า ควรทำอะไรที่สมกับที่ถูกเรียกว่าผู้ที่ไม่บาปแล้ว  ทำอะไรที่สมกับผู้ที่เรียกว่าเป็นแสงสว่าง ในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ให้มันเกิดประโยชน์ต่อตัวเอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และเกิดประโยชน์ต่อบรรดาผู้คนรอบข้าง ที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  มีส่วนกระทบไปถึงเขา  มีอิทธิพลกระทบไปถึงเขา เราควรจะทำตัวอย่างไร?  เห็นไหม? ไม่เกี่ยวกับความรอด

สังเกตให้ดี ผมกำลังพูดถึงสิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำ ตรงนี้พยายามเน้นมากๆ  “ต้อง” คือต้อง ไม่ทำไม่ได้ มีอันเดียวเท่านั้น คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พอทำเสร็จแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว ต่อไปนี้ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว สิ่งที่จะทำต่อไป  ก็คือควรจะทำอย่างไร เมื่อเป็นลูกพระเจ้าแล้ว?

หัวข้อการบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อเรื่องที่ผมให้ว่า “เชื่อแล้ว  รับรู้  วางใจ  อธิษฐาน” 4 ขั้นตอน พูดให้ติดปาก

อันดับแรก คือ “เชื่อแล้ว” เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซู  ข่าวดีนั้น คือพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มนุษย์จะรอดจากบาปได้ ก็โดยพระเยซูคริสต์เท่านั้น นี่คือข่าวดี และพระองค์ทรงแบกบาปเรา  และตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3

ยอมรับว่าตรงนี้ คือความจริง ยอมรับว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เป็นความจริง เพื่อฉัน เป็นส่วนตัวเลย ไม่ใช่รับรู้ว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นแค่การรับรู้ทางประวัติศาสตร์ว่านี่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ มันเป็นประสบการณ์ว่าสิ่งเหล่านี้บังเกิดขึ้น และมันเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน ณ ปัจจุบันเลย เป็นส่วนตัวของฉันเลย พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อมนุษยชาติและฉันด้วย  พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อมนุษยชาติและฉันด้วย เรามาดูโรม 10:9-10 …

โรม 10:9-10 “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด”

 

พอท่านเชื่อด้วยใจ จึงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม  และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด

ผู้ที่ทำให้เรารอด คือพระเจ้า แล้วเราทำอย่างไร?  เราต้องทำอย่างเดียว คือยอมให้พระเจ้าช่วย ยอมจำนน ยอมเชื่อว่าพระองค์ทรงประทานของขวัญผ่านทางพระเยซูคริสต์นั้นเป็นจริง  พระองค์ทรงประทานทางที่จะไปสวรรค์อย่างง่ายๆ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เป็นจริง ยอมรับแค่นี้เอง แล้วพระเจ้าจะทำทั้งหมดเลย คือทรงให้ท่านรอด ทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม เห็นไหม?

คราวนี้มาดูว่าหลังจากเชื่อแล้ว  พระเจ้าทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม ทำให้เราได้รับความรอด เราได้รับการชำระบาป จนสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีตำหนิเลย ถูกแยกส่วน เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของพระเจ้า สะอาด หมดจด เหมือนพระเยซูเลย นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้นะ

เราได้บังเกิดใหม่มีชีวิตนิรันดร์  วิญญาณซึ่งอยู่ในความบาป อยู่ในความมืด อยู่ในอาดัม บัดนี้ได้เกิดใหม่ อยู่ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในแสงสว่าง เคยอยู่ในอาณาจักรของความมืด อยู่ใน DNA ของอาดัม ซึ่งเรียกว่านรก บัดนี้ ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง พระเจ้าได้ย้ายเราเข้ามาอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในสวรรค์ของพระองค์แล้ว  ทันทีเลย เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราแค่เชื่อ

แต่สิ่งที่ควรทำ ตามที่พระคัมภีร์สอนไว้ ไม่บังคับให้ทำอะไรแล้ว  แต่ควรจะทำ หลังจากได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  ณ บัดนาวแล้ว ควรจะทำอะไร? ผมทำขั้นตอนไว้ให้ท่าน ตามพระคัมภีร์ แต่ว่าผมเอามาให้ท่านเป็นขั้นตอน เพื่อให้ท่านชัดเจน อันดับแรก ต้องเปิดใจเชื่อ

อันดับที่สอง คือ ควรจะรับรู้ … รับรู้ในโลกวิญญาณว่าเราหรือท่านเป็นใครแล้วในโลกวิญญาณ เราต้องรับรู้ คือเรียนรู้โลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นโลกใหม่ สำหรับเราเลย เพราะตาเรามองไม่เห็น  หูเราไม่ได้ยิน  มือเราสัมผัสแตะต้องไม่ได้ แต่มันเป็นอยู่จริงๆ  ตามพระคัมภีร์บอก เป็นจริงมากยิ่งกว่าโลกวัตถุที่ตามองเห็น จับต้องได้ บนโลกใบนี้  ซึ่งวันหนึ่งมันจะสูญสิ้นไป มันไม่ได้จีรัง เขาเรียกว่ามันอยู่ไม่จริง เพราะมันอยู่แค่ชั่วคราว พระคัมภีร์บอกไว้แค่นั้น

แต่โลกวิญญาณ ที่บอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้วตอนนี้ มันจะอยู่อย่างนี้  และจะอยู่ต่อไปนิรันดร์ ในโลกวิญญาณ ถ้าเราอยู่ในอาดัม อยู่ในความมืด  อยู่กับมาร อยู่กับบาป  หรือเรียกว่านรก  เราก็จะอยู่อย่างนั้นนิรันดร์เหมือนกันในโลกวิญญาณ สิ่งเหล่านี้จะต้องเรียนรู้ และรับรู้ ก็คือในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร

อย่างเช่นสมัยก่อน ผมตั้งวงดนตรี จะเล่นดนตรี เล่นกีต้าร์  ก็จดจ่อ เล่นกีต้าร์ทั้งวัน วันทั้งวันเล่นๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าจดจ่ออยู่กับการเล่นกีต้าร์ ทั้งวันทั้งคืนก็จะจดจ่ออยู่อย่างนี้ อย่างนี้เป็นต้น

เช่นเดียวกัน พระคัมภีร์บอกว่าให้เรารับรู้ในโลกวิญญาณ ก็คือให้เราจดจ่อ หรือเพ่งความคิด จิตใจของเรา ความสนใจของเรามากๆ ไปที่โลกวิญญาณ

รับรู้ แสดงว่ามันเกิดแล้ว เราเข้าไปรับรู้ว่ามันเป็นอยู่อย่างนั้นแล้ว ก็คือโลกที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ที่ตาเรามองเห็น วัตถุสิ่งของจับต้องมองเห็นได้ มันเป็นอยู่ ณ วันนี้ วันหนึ่งมันจะสูญสิ้นไป  พระคัมภีร์ใช้คำว่ามันอยู่เพียงชั่วคราว มันไม่จีรัง มันไม่เป็นจริงนั่นเอง  เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  วันหนึ่งมันจะเป็นศูนย์  มันจบไป แต่โลกวิญญาณ  มันจะอยู่ถาวรนิรันดร์ ย้ำอีกครั้งหนึ่ง โคโลสี 3:1-4  จึงได้บอกให้เราจดจ่อไปที่ … รับรู้ไปที่ … เรียนรู้ไปที่โลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้ว  มันต้องใช้เวลาสนใจเยอะๆ จดจ่อเยอะๆ

เพราะอดีตมา เราไม่เคยสนใจมันเลย เรื่องโลกวิญญาณ  เราสนใจแต่โลกวัตถุ ทำมาหากิน มีครอบครัว แล้วก็รอตายไป แต่นี่มีโลกวิญญาณด้วย เราเพิ่งรู้ เราได้เกิดใหม่ เราบังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้ พระคัมภีร์บอกเราอีกเยอะแยะ และให้เราไปเรียนรู้ และรับรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

ในข้อ 1 บอกว่า “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว” ในวิญญาณเราได้บังเกิดใหม่  เห็นไหม ให้ท่านเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว พร้อมกันเลย “ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน” ให้ใจของท่านสนใจและจดจ่อ รับรู้ เรียนรู้กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน คือสิ่งที่เป็นโลกวิญญาณ  ที่มันมีพัฒนา ที่มันดีกว่า ศิวิไลน์กว่า โลกวัตถุนี้มากนัก  เพราะมันจะอยู่ถาวรนิรันดร์  ให้จดจ่อไปที่เบื้องบน “ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” เห็นไหม?  ซึ่งเรานั่งอยู่ที่นี่ร่วมกับพระคริสต์ ในโลกวิญญาณเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า

ข้อ 2 บอกว่า “จงให้ความคิดของท่าน” ก็คือสอนเรา บอกเราว่าควรจะเอาความคิดของเราไปจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน  ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก คือจดจ่อกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ  สถานะเราเป็นลูกพระเจ้า เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เราอยู่ในสวรรค์แล้วนะ พูดสั้นๆ แค่นี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดแล้วนะ ในโลกวิญญาณ มันเป็นแล้ว และจะเป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดไป ให้เราจดจ่อกับสิ่งนี้ เดี๋ยวมันลืม

ไม่ใช่ไปจดจ่อกับสิ่งฝ่ายโลกว่าจะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรดื่ม พรุ่งนี้จะเอาอะไรนุ่งห่ม มะรืนนี้ทำมาหากินไม่ได้  ลำบากลำบนอะไรต่างๆ เหล่านี้  ไม่ต้องไปจดจ่อกับสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นอธิษฐานกับพระเจ้า เดี๋ยวพระเจ้าจะนำพาท่านผ่านทีละอย่างๆ ขอได้ เรียกได้ ขอความช่วยเหลือได้ พระเจ้าพาท่านผ่านไปได้อย่างแน่นอน และอีกอย่างหนึ่ง มันไม่ได้สำคัญเมื่อเทียบกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว บนโลกวิญญาณ ที่ท่านบังเกิดแล้ว เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้ว อันนั้นสำคัญกว่าเยอะ

ข้อ 3 บอกว่า “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า” เพราะท่านตายแล้ว ที่ไหน? ในโลกวิญญาณ  วิญญาณเก่าของท่านมันตายไปแล้ว วิญญาณเก่าที่อยู่ในความบาป  วิญญาณเก่าที่อยู่ในอาดัม วิญญาณเก่าที่อยู่ในนรก  วิญญาณเก่าที่อยู่กับมาร เป็นทาสมาร  มันจบไปแล้ว มันตายไปแล้ว ชีวิตที่ท่านอยู่ทุกวันนี้ ท่านบังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูเลย เหมือนพระเจ้าเลย  และตัวที่บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ  ตอนนี้เลย ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า ก็คือวิญญาณท่านถูกซ่อน อยู่ในการควบคุมดูแลของพระเยซูคริสต์และพระเจ้า อย่างที่เคยเรียนรู้ พอท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคจะเสด็จเข้ามาอยู่ในร่างกายของท่าน มาอยู่ในวิญญาณของท่านเลยทีเดียว เป็นหนึ่งเดียวกันเลย  เขาเรียกว่าวิญญาณของท่านถูกซ่อนอยู่ในพระบิดา พระบุตรพระเยซู และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยง นี่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณหมด สิ่งเหล่านี้ เราต้องรับรู้และเรียนรู้

ข้อ 4 บอกว่า “เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ” ปรากฏ หมายถึงว่าเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มาพิพากษาโลกใบนี้  ในวันหนึ่งข้างหน้า ไม่รู้เมื่อไร?  ก็คือวันสิ้นโลกนั่นแหละ อาจเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ อีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า หรืออาจะไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หรือฟังๆ ผมอยู่  พระเยซูเสด็จกลับมา โลกใบนี้จบสิ้นหมดแล้ว ก็ได้  มันเป็นได้ทุกเมื่อเลย ไม่มีการดูว่าจะมาเมื่อไรดีอะไรต่างๆ เมื่อนั้น  เมื่อพระเยซูกลับมา หรือโลกสิ้นสุดลง

“เมื่อนั้น ท่านก็จะ” คราวนี้ “จะ” ไม่ใช่ “แล้ว” “ท่านก็จะปรากฏ” วิญญาณที่ซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้าแล้ว  ตอนนี้ทำไปแล้ว อยู่ในนั้นแล้ว ถ้าพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง  ปรากฏออกมา วิญญาณที่ซ่อนอยู่ ก็ไม่ต้องซ่อนอีกแล้ว ปรากฏออกมาพร้อมพระเยซูเลย “พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริ” ก็คือได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูเลย คือพระเกียรติสิริของพระเจ้า  ที่เราจะได้รับ เราก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับพระเยซูคริสต์

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว  เราต้องรับรู้สิ่งเหล่านี้ ซึ่งมันเป็นความจริงที่พระเจ้าจะบอกแนวทางให้เรารู้ว่าในโลกวิญญาณมันเป็นเช่นใด มันมีอยู่จริงๆ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ? จะรู้หรือไม่รู้? มันมีอยู่จริงๆ ถ้าไม่อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ก็อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง มันไม่มีอยู่ตรงกลาง หรือไม่เอาเลยทั้งสองอย่าง  ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ก็ต้องอยู่ นี่เขาเรียกว่าความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้เลย เพราะมันมีอยู่จริงๆ

เราไป 2 ขั้นตอนแล้วนะ (1) เชื่อแล้ว   (2) รับรู้  เรียนรู้ สนใจ จดจ่อ  หาความจริงในโลกวิญญาณ ตามพระคัมภีร์บอกมีอะไรเกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณ ฉันเป็นใครในพระเจ้า ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว  ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว แล้วมันเป็นอย่างไรบ้าง?  สนใจ ในพระคัมภีร์บอกไว้

อันดับที่สาม คือ “วางใจ” คือมอบภาระทุกสิ่งในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไว้ที่พระเจ้าเลย เพราะรู้ความจริงแล้วว่าโลกใบนี้ มันอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง แล้วพระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว  ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ไม่ต้องคิดหาเหตุผล อันโน้นอันนี้ อันนั้น วุ่นวายไปหมดเลย  มอบให้พระเจ้า แล้วก็ฝากไว้ที่พระองค์ ทุกอย่าง มอบภาระทั้งสิ้นไว้กับพระองค์เลย  ใน 1 โครินธ์ 6:19-20 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 6:19-20 “19  ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่านซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า? ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด”

 

“ท่านไม่รู้หรือว่า” ก็แปลว่าท่านควรจะรู้ ถูกไหมครับ? ไม่ได้บังคับ  ถ้าท่านไม่รู้ ท่านก็ไปสวรรค์อยู่ดี  เพราะท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว ถ้าท่านไม่รู้ ท่านก็เป็นลูกของพระเจ้าอยู่ดี เพราะท่านเป็นลูกไปแล้ว จากการบังเกิดใหม่ ถ้าท่านไม่รู้ ท่านก็เป็นผู้ชอบธรรมอยู่แล้ว เพราะท่านเป็นผู้ชอบธรรม โดยพระคุณความรอดจากพระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม แต่ท่านควรจะรู้ดีกว่า เพราะท่านรู้ ท่านจะได้ใช้ชีวิตเป็นประโยชน์กับตัวท่านเอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และเป็นประโยชน์ถ้ารู้จักทำตามพระเจ้า สิ่งที่ดีๆ มันก็เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ และกระทบไปถึงผู้คนรอบข้าง บรรดาโลกใบนี้ทั้งหมด โลกสวยงาม เพราะชีวิตท่าน  ถ้าท่านรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เห็นไหม?

ถ้าท่านไม่รู้ ท่านก็จะทำประโยชน์ให้กับโลกใบนี้ได้น้อยกว่าเท่าที่ควร เพราะเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ เพื่อตัวเราเอง แต่เราอยู่บนใบนี้ เพื่อตัวเองด้วย และเพื่อน้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับโลกใบนี้ “น้ำพระทัยพระเจ้า” คืออะไร? ก็คือช่วยเหลือบรรดาผู้คนทั้งหลาย ทั้งรู้จักพระเจ้าและไม่รู้จักพระเจ้าก็มี ทั้งโลกใบนี้แหละพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ดี

เพราะฉะนั้น ในนี้จึงบอกว่า … “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าซื้อท่านมาด้วยราคาแพง” ก็คือพระเยซูคริสต์ยอมสละสภาพหรือสถานะที่เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งทุกวันนี้ พระองค์ก็เป็นบุตรมนุษย์ พระองค์ทรงตรัสว่าพระองค์เป็นบุตรมนุษย์ และเป็นมนุษย์ที่ได้เกิดในสถานะต่ำลง แต่พระองค์ทรงยอมทำ เพื่อมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ จะได้มาบังเกิดใหม่ กลับมาหาพระเจ้าได้

ในนี้บอกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหาร” ก็หมายถึงท่านไม่รู้หรือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่กับท่านตลอดเวลา  อยู่ในร่างกายของท่าน เห็นไหม?

ถ้าท่านรู้อย่างนี้ ท่านก็วางใจในพระเจ้าได้มาก ทุกอย่างเลยบนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตไป ท่านรู้เลย  ใครอยู่ในตัวฉัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรบนโลกใบนี้ ท่านจะรู้สึกเลยว่าฉันไม่ได้เดินคนเดียว แต่ฉันมีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 องค์อยู่ในร่างกายของฉัน  อยู่กับวิญญาณของฉันนี้ พระเจ้าอยู่ด้วยกันกับฉันตลอดเวลา ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ ตลอดชั่วนิรันดร

ท่านรับรู้อย่างนี้แล้ว ท่านก็สามารถวางใจได้ การวางใจ เหมือนกับเมื่อท่านรับรู้ว่าท่านได้เชื่อแล้ว บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า  ได้เข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว  ก็เหมือนกับท่านรับรู้ว่าท่านขึ้นเครื่องบินแล้ว  ผมบินบ่อย หลายครั้งในชีวิตนี้ บินไกลๆ ด้วย  จึงรู้ว่าความวางใจ แปลว่าอะไร? ผมรับรู้ว่าผมนั่งเครื่องบิน  พอขึ้นเครื่องบิน ผมก็รับรู้เลยว่าผมนั่งอยู่บนเครื่องบิน เครื่องบินเขาบินมาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวก็ไปถึงอเมริกา  เดี๋ยวก็ไปถึงยุโรปอีก 10 กว่าชั่วโมง  ทุกคนก็ทำอย่างนี้ วางใจ ถามว่าเขาวางใจในอะไร? เขาวางใจในกัปตันใช่ไหม?  วางใจในเครื่องบิน  ยานพาหนะตัวนี้ ระบบของมันใช่ไหม? จากการศึกษา รับรู้มาตลอด เขาเชื่อมั่นแล้ว เขาวางใจเลย มีใครไหมขึ้นบนเครื่องบินแล้ว พอเครื่องออก ก็วิ่งพล่านเลย  มันจะตกเมื่อไร? มันจะบินไปถึงไหม?  ทุก 1 ชั่วโมง คอยดูกระจกตลอดเวลา หรือไม่อย่างนั้น ทุก 2 ชั่วโมงก็วิ่งไปหากัปตันตลอดเวลา บินอยู่ดีไหม? โอเคไหม? เป็นอะไร?  หรือนอนไม่หลับกระสับกระส่าย ทุกคนก็หลับสบาย กัปตันให้คาดเข็มขัด เขาก็คาดเข็มขัด พอตกหลุมอากาศ เข้าไปในอากาศแปรปรวนบ้าง  เขาก็ไม่ได้ตกใจอะไรมากมายนัก ยกเว้นมันจะมีเยอะๆ นะ อันนี้สมมติให้ฟัง เขาก็ไม่ได้ตกใจอะไร เพราะเขาวางใจในเครื่องบินและกัปตัน

ในทางพระเจ้าก็เหมือนกัน เมื่อท่านรับรู้ว่าท่านบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ ท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว สิ่งที่ท่านควรทำ ก็คือให้วางใจและพักผ่อน  พระเยซูบอกว่า … “ใครเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักในชีวิต จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”  … มันแปลว่าอย่างนี้  พอท่านรับรู้ความจริงต่างๆ ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ท่านก็วางภาระลง ขึ้นเครื่อง ก็เหมือนกับขึ้นเครื่องพระคริสต์ เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ อย่างนี้ดีกว่า พอท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ก็เหมือนอยู่บนเครื่องบิน ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์แล้ว ก็เหมือนผมอยู่ในเครื่องบิน อยู่แล้ว จบ ต่อไปนี้แล้วแต่กัปตัน เดี๋ยวมันก็ถึงที่หมายที่เราต้องการไป

เช่นเดียวกัน อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว รับรู้แล้ว จบ วางไว้เลย ให้กัปตันของเรา คือพระเจ้าพระบิดา เป็นกัปตันเบอร์ 1 เป็นนักบินที่หนึ่ง พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ เป็นกัปตัน นักบินที่สอง  ช่วยกันควบคุมดูแลเครื่องบินลำนี้ให้ไปถึงที่หมายด้วยความปลอดภัย พอไหม? วางใจไหวไหม  ท่านลองคิดดู พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดแล้ว  ใครๆ ก็รู้จักพระเจ้าองค์นี้ดี แล้วยังแถมมีพระเยซูคริสต์ พระบุตร ร่วมกันบังคับดูแล เป็นกัปตันของเครื่องบินลำนี้ ที่มีชื่อว่าเครื่องบินพระคริสต์ กำลังเดินทางไปสวรรค์ ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้ว กำลังเดินทางไปสู่โลกใหม่  เพราะโลกเก่ากำลังสูญสิ้นไป  กำลังจะเน่าเละไปแล้ว  กำลังจะระเบิดสูญสิ้นไปแล้ว เรากำลังไปโลกใหม่ แล้วไม่วางใจได้อย่างไร?  ใหญ่ขนาดนี้ แค่นั้นไม่พอ  มีพระเจ้าพระบิดา เป็นนักบินที่หนึ่ง  พระเยซูคริสต์เป็นนักบินที่สอง แถมมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหัวหน้า ฝ่ายบริการดูแลความเรียบร้อยของเครื่องบิน ก็คือของยานพาหนะพระคริสต์ ดูแลให้หมดเลย ดูแล เลี้ยงดู นำพา ปลอบโยน ช่วยเหลือ แล้วก็มีทีมงานของพระวิญญาณ ก็คือเหล่าทูตสวรรค์ทั้งปวง เยอะแยะมากมายมารับใช้

เวลาผมขึ้นเครื่องบินทีไร เวลาหิวน้ำ ก็จะกดปุ่ม ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็มีทูตสวรรค์ ไม่ใช่ ถ้าทางมนุษย์นะ ในเครื่องบิน พอกดปุ่ม  แอร์โฮสเตสก็มา …

“ต้องการอะไรค่ะ”

“ขอน้ำแก้วหนึ่ง”

“เดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวเอามาให้”

อย่างนี้ เรียกว่าพักผ่อน วางใจ เพราะฉะนั้น ในทางโลกวิญญาณก็เช่นกัน  เมื่อเรามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในเรือลำนี้แล้ว  เราไปสวย เราไปโลกวิญญาณ  ไปโลกใหม่ เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว เพียงแต่พระเจ้าพาเราไปสู่โลกใหม่ โลกที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ หลังจากโลกเก่าที่เละตุ้มเปะ ที่วุ่นวายสับสน ที่พินาศไปแล้ว  เสียหายไปแล้ว  ปัจจุบันนี้  กำลังสูญสิ้นไป  แล้วโลกใหม่เข้ามาแทนที่ พระเจ้ากำลังพาเรา ไปสู่โลกใหม่  โดยการอยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว เดี๋ยวนี้ ทันที หลังจากที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้วนั่นเอง  เดี๋ยวค่อยมาเล่าสู่กันฟัง ตื่นเต้นกว่านี้อีก

คราวนี้ วางใจอยู่ในขั้นตอนที่ 3 เชื่อแล้ว รับรู้  วางใจ อันสุดท้าย คืออธิษฐาน …

          (1) ต้องทำ … เชื่อ และเราได้เชื่อแล้ว

          (2) ควรทำ … รับรู้ กำลังทำอยู่มากน้อย แล้วแต่ประโยชน์ของตัวเอง

          (3) ควรทำ … วางใจ จะได้พักผ่อน หายเหนื่อย และเป็นสุข

          (4) ควรทำ … อันดับสุดท้าย คืออธิษฐาน

สรุปว่ามี 1 ต้องทำ กับ 3 ควรทำ  “1 ต้องทำ” ก็คือต้องเชื่อในข่าวดี  “3 ควรทำ” ก็คือรับรู้ วางใจ และอธิษฐาน

ซึ่งการอธิษฐาน คือการเริ่มต้นฝึกฝน การใช้บริการบนเครื่องบินนั่นแหละ (ในโลกวิญญาณ) ก็เหมือนกับการเริ่มต้นฝึกฝนการใช้สิทธิอำนาจ หรือสิทธิของเรา  หรืออะไรที่เราสามารถทำได้  หรือการดำเนินชีวิตอยู่ในโลกวิญญาณนั่นเอง เพราะเราไม่เคยอยู่ในโลกวิญญาณอย่างนี้มาก่อน เอะอะอะไรเราก็ใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย มองดูวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ แล้วก็ตัดสินตามเหตุผล แต่เดี๋ยวนี้เรามาเริ่มต้นฝึกฝนในทางโลกวิญญาณว่าในโลกวิญญาณ มันมีอยู่จริงๆ และมันอยู่ตลอดกาล และมันสำคัญกว่าโลกวัตถุยิ่งกว่ามากนัก แล้วฉันควรจะทำตัวอย่างไรในโลกวิญญาณ  นี่แหละรวมกลุ่ม แล้วเรียกว่าอธิษฐาน

อธิษฐานตรงนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การอธิษฐานแบบเป็นทางการ ที่เราอธิษฐานทุกวันนี้ นี่ก็เป็นการแบบทางการ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้สิทธิ การใช้บริการในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ที่เราอยู่แล้ว นี่คือสิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้  นี่คือบริการในสวรรค์เขาบอกให้ทำได้ พระเจ้าบอกบนเครื่องบินนี้เราทำอะไรได้บ้าง ขอน้ำ ก็ขอได้ ขอข้าวยังขอได้เลย  อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันรวมไปถึงการพูดคุย สนิทสนมกับพระเจ้า เพราะว่าเพิ่งจะเรียนรู้ เพิ่งจะรู้จักพระเจ้าเองว่าพ่อในโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่จะอยู่กับเราตลอดไป  ที่เป็นพ่อที่น่ารักอย่างนี้  เรียกว่าพ่อทางฝ่ายวิญญาณ  เราคุยกับพ่อได้ตลอดเวลา  ก็คือฝึกการอธิษฐาน ฝึกการคุย ฝึกในการสนิทสนมกับพ่อของเรา หมั่นที่จะเรียนรู้ว่าพ่อของเราเป็นอย่างไร?  มีลักษณะเป็นอย่างไร?  เป็นพื้นฐานของความจริงในโลกวิญญาณ  ซึ่งพระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่าเรามีสิทธิ์อะไร? แล้วพ่อเราเป็นใคร? พ่อเราน่ารัก มีนิสัยใจคออย่างไร?  แล้วเราเป็นลูกมีธรรมชาติ มีเนเจอร์ที่เหมือนพ่อเราตรงไหนบ้าง?

ถ้าเราไม่หมั่นอธิษฐานเรียนรู้ เราก็ไม่ได้ใช้สิทธิของเราอย่างถูกต้อง เพราะเราไม่รู้ความจริง แล้วเราก็อาจจะถูกหลอกได้  ก็อย่าลืมว่าเรายังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้  มารมันยังสามารถใช้สิ่งต่างๆ วัตถุสิ่งของของมนุษย์บนโลกใบนี้ ทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เรามองเห็น และเราไขว้เขวก็ได้ เพราะเรามองเห็น เราเลยเชื่อตามนั้น  ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่  ในโลกวิญญาณไม่ได้เป็นอย่างนั้น  แต่ถ้าเราไม่รู้ความจริงในโลกวิญญาณ  เราก็จะถูกหลอกได้ง่าย อย่างนี้เป็นต้น

ถามว่าถูกหลอก แล้วเราจะไปอยู่กับมันในนรกหรือ? มันไม่ใช่ เราไม่มีทางได้ไป มันแค่เสียประโยชน์ของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น เรายังคงอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระคริสต์เหมือนเดิม  กำลังเดินทางไปสู่โลกใหม่เหมือนเดิม  ไม่เปลี่ยนแปลง ได้รับความรอดแล้วเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่การดำเนินชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ มันไม่มีประโยชน์ต่อเราและผู้คนรอบข้าง เทียบกับเรานั่งเครื่องบิน แทนที่เราจะหลับอย่างสบาย เอกเขนก พักผ่อนอย่างสบาย เรามัวแต่ตื่นเต้น ตกใจ  กลัว วิตกกังวลตลอดเวลา  ลุกขึ้นทุกๆ 1 นาที ทำให้คนนั่งข้างหน้าเขารำคาญจะนอน เราก็ไปผลักเขา เดี๋ยวก็เดินไปถามแอร์โฮสเตส

“นี่ถึงไหนแล้ว”

ทุก 15 นาทีถามแอร์โฮสเตสว่าถึงไหนแล้ว  ทุก 1 ชั่วโมงไปเคาะห้องนักบินว่านักบินยังอยู่ไหม? มันทำให้เราเองเดือดร้อน  ไม่สบายเท่าที่ควร และผู้คนรอบข้างเราก็ไม่ได้รับความสะดวกสบายเช่นเดียวกัน นี่มันมีแค่นี้เอง

เพราะฉะนั้น เราควรที่จะฝึกฝนในการอธิษฐาน ในการเข้าสนิทกับพระเจ้า ในการรู้จักพระเจ้า  รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตอยู่ในโลกวิญญาณว่าเขาทำกันอย่างไร? มันเป็นอย่างไร?  เรามีสิทธิอะไรบ้าง? ฟีลิปปี 4:4-8 ได้บันทึกอย่างนี้ เป็นการสอนเราเลย  บอกเราว่า เมื่อเราเชื่อแล้ว  รับรู้ว่าเราเป็นใครในโลกวิญญาณแล้ว  และวางใจในพระเจ้าแล้ว ให้เราเริ่มต้นอธิษฐานอย่างนี้แหละ ใช้สิทธิของเรา ฝึกฝนในการดำเนินชีวิตแบบโลกวิญญาณ

ฟีลิปปี 4:4-8 “4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด! 5 ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ 8 สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง”

 

“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำยืนยันอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด ให้ความอ่อนน้อมถ่อมสุขภาพ อ่อนโยนของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ใกล้แล้ว  อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย”

เหมือนเราขึ้นเครื่องบินแล้วกำลังจะบอกว่า …

“จงมีความสุขในการเดินทางไปกับเรานะ รัดเข็มขัดให้แน่น นั่งอยู่กับที่ แล้วสบายๆ  มีความปีติยินดี” เป็นอย่างนี้

“เพราะว่ากัปตัน คนขับเชื่อถือได้ บินมานานแล้ว” อะไรประมาณนี้

เห็นไหม? ชัดเจนไหม? จงชื่นชมยินดี รู้แล้วว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว พระเจ้ากำลังพาเราไปโลกใหม่ พระเจ้าคอยดูแลเรา โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยง เป็นผู้ช่วยเหลือ และกองทัพทูตสวรรค์อีกมากมายคอยดูแล ช่วยเหลือเรา กัปตัน คือพระองค์เองและพระเยซูคริสต์บอกเราว่า …

“ลูกเอ๋ยไม่ต้องกลัว อยู่ตรงนี้ สบายๆ  แล้วทำอะไรต่อ ชื่นชมยินดีสิ มองทั้งวัน มองแต่โลกใหม่ มันสวยงามขนาดไหน?”

พระเจ้าค่อยๆ เล่าโลกใหม่ให้เราฟัง ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับเรา  มันเป็นเช่นไร?  แล้วก็มองไปถึงร่างกายใหม่ด้วย โลกใหม่กับร่างกายใหม่มาพร้อมกัน ร่างกายใหม่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ จะไม่เหมือนร่างกายในปัจจุบัน ร่างกายใหม่จะเป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตาย  ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของความบาป ความตาย และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอีกต่อไป ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป  ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป  แล้วไม่มีความแก่ด้วย มองถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่มันเป็นจริง และมันจะอยู่อย่างนี้จริงๆ ตลอดนิรันดร์  ซึ่งพระเจ้าบอกเรา  และเล่าให้เราฟัง

เมื่อเราเรียนรู้อย่างนี้ เราจะชื่นชมยินดี และให้ทำอะไรต่อ ในนี้บอกว่าไม่ต้องกระวนกระวายใจ บางครั้งอากาศแปรปรวนบ้าง  มีหลุมอากาศบ้าง  อาจจะกระโดดบ้าง แต่รัดเข็มขัดไว้ แล้วก็ไม่ต้องกลัว สบายๆ  เหมือนที่เราเคยร้อง

“บางคราวต้องผ่านความทุกข์มืดมัว          บางคราวโศกเศร้า บังเกิดความกลัว

บางคราวราบรื่น ชื่นใจยินดี                                    พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที”

บางครั้ง บางคราวมันผ่านหลุมอากาศบ้าง  อากาศแปรปรวนบ้าง ก็ไม่ต้องตื่นเต้น เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว บางคราวราบรื่น ถึงเวลาดินเนอร์ ถึงเวลาอาหารเที่ยงบนเครื่องบิน อาหารเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีความสุขมาก เพราะมันไม่รู้จะทำอะไร มีหนังให้ดู ถึงเวลา เขาก็จะเสิร์ฟอาหาร มีอะไรบ้าง อาหารเช้า อาหารเที่ยง อาหารเย็นเป็นอย่างไร? ไปเลือกเอา คอยดูเมนูเอา มันก็มีความสุขนะ พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว แล้วแถมอยากขออะไร ก็ขอได้

นี่มันคืออะไร? “จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน  และการขอบพระคุณ”

เทียบกับเครื่องบินเมื่อตะกี้นี้ ก็คือนอกจากอาหารมื้อประจำแล้ว  เกิดหิวน้ำขึ้นมา อยากได้หมอน อยากได้ผ้าห่ม กดปุ่มเรียก เดี๋ยวแอร์โฮสเตสก็เอามาให้

“ต้องการอะไรค่ะ”

“ขอน้ำอุ่น”

เดี๋ยวน้ำอุ่นก็มา  ขอผ้าห่มผืนหนึ่ง เดี๋ยวผ้าห่มก็มา  อย่างนี้เป็นต้น

นี่คือสิ่งที่เปรียบเทียบให้ท่านเห็นว่าจงร้องทูลต่อพระเจ้า  ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน และการขอบพระคุณพระเจ้า เมื่อเราได้รับ ขอบพระคุณพระเจ้า เมื่อเราเชื่อว่าเราได้รับ เราบอกพระเจ้า วิญญาณเรารู้ว่าเราได้รับ เราก็ขอบคุณพระเจ้า แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินกว่าความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ ก็คือในพระคริสต์นี้ ความคิดจิตใจที่เป็นอย่างนี้ เมื่อจดจ่อรับรู้ในความจริงเหล่านี้ และวางใจ มันก็จะสงบ มันก็จะได้พักผ่อนในพระเจ้า

เวลาคนจากไป เขาใช้คำว่า R.I.P. คือ Rest in peace คำนี้ส่วนใหญ่เขาเขียนตอนที่ตายแล้ว  แต่จริงๆ แล้ว คำว่า RIP หรือ Rest in peace สามารถทำได้ตอนที่มีชีวิตอยู่นี่แหละ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ รับรู้ วางใจ และอธิษฐาน

อธิษฐาน คือคุยกับพระเจ้า ฝึกฝนในการเรียนรู้กับโลกวิญญาณกับพระเจ้าไปเรื่อยๆ ก่อน  มันก็จะเกิด RIP คือ Rest in peace ก็คือได้พักสงบในสันติที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระคริสต์นั่นเอง  เพราะฉะนั้น เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ที่เหลือไม่ต้องทำอะไรแล้ว  ให้ Enjoy life  คือมีชีวิตที่ชื่นชมยินดี  วันทั้งวัน เหมือนเพลงที่บอกว่า …

“วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ

ยินดีในพระองค์  ยินดีในพระองค์”

เหมือนกันอย่างนี้  วันนี้คือวันไหน? วันนี้ คือวันที่เราเชื่อแล้ว  ได้บังเกิดใหม่ วางใจในพระองค์ รับรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้  รู้ว่าเราควรวางใจ เสร็จแล้วก็อธิษฐาน แล้วก็เกิดอะไรขึ้น?  Enjoy life  เอเฟซัส 6:18 แถมให้หนึ่งข้อ ได้สอนเราอย่างนี้ด้วยว่าเราควรทำอะไร?

เอเฟซัส 6:18 “จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกโอกาส ด้วยการอธิษฐาน และการวิงวอนทุกรูปแบบ โดยคำนึงถึงสิ่งนี้ จงเฝ้าระวังด้วยความมานะอดทน และด้วยการวิงวอน เผื่อประชากรทั้งปวงของพระเจ้าเสมอ”

 

เห็นไหมครับ? “จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกโอกาส” ก็คือให้รับรู้ว่าเราเป็นวิญญาณ  เมื่ออธิษฐานทูลขอสิ่งต่างๆ ให้เรามองไปที่โลกวิญญาณ  ให้รู้ว่าโลกวิญญาณนั้นเป็นจริง ใช้วิญญาณของเราในการสื่อสารกับพระเจ้า นี่แหละหมายถึงการอธิษฐานในวิญญาณ

สมมติว่าเราจะคุยกับพระเจ้าในการอธิษฐาน หรือในการทูลขอสิ่งใด วิธีการทำอย่างไร? ก็คือไม่ต้องหลับตา จะฝึกหลับตาก็ได้ ก็คือสับสวิตช์ไปที่โลกฝ่ายวิญญาณทันทีเลย พอสับสวิตช์ไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ  สมมติว่าการหลับตาของผมตอนนี้ เท่ากับสับสวิตช์ไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ  สมมตินะครับ จริงๆ ไม่ต้องหลับตาก็ได้

พอหลับตาปุ๊บ ผมไปคิดถึงโลกวิญญาณแล้ว ผมเองเป็นวิญญาณ เป็นลูกพระเจ้า นั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน พระเจ้าสถิตอยู่กับวิญญาณของผม ผมก็เริ่มอธิษฐาน นี่เขาเรียกว่าอธิษฐานในวิญญาณ

“พระเจ้าลูกอธิษฐาน ขอพระองค์ทรงเปิดตาวิญญาณ ช่วยเหลือบรรดาพี่น้องของลูกที่กำลังฟังอยู่ในขณะนี้  ที่อาจจะยังไม่เข้าใจ  ยังไม่ได้เริ่มต้นเชื่อในข่าวดี ที่ลูกตั้งใจ และจากใจจริงที่จะประกาศ ที่จะเล่าบรรยายให้ฟังมาตลอดหลายสัปดาห์แล้ว  วันนี้ขอพระองค์ทรงช่วยเปิดตาวิญญาณให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ได้เริ่มต้นรู้ความจริง ได้เห็นเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาป ที่สามารถช่วยเขาได้  เขาไม่สามารถช่วยตัวเขาเองได้  ให้เขารู้ว่าเขาต้องการพระเยซูเท่านั้น ลูกขอต่อพระองค์ เปิดตาฝ่ายวิญญาณเขาด้วยเถิด  ขอบคุณพระองค์ในนามพระเยซู เอเมน”

ที่ผมพูดทั้งหมด ผมเพ่งไปที่ทางโลกฝ่ายวิญญาณว่าผมเป็นใคร? พระเจ้าอยู่กับผมอย่างไร?  แค่นี้เอง เป็นการฝึกฝน ถ้าท่านฝึกไปเรื่อยๆ ท่านก็จะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ  และสิ่งเหล่านี้ก็จะเกิดผลมากขึ้นเรื่อยๆ ตามที่ผมได้บอกแล้ว

วันนี้สรุปแล้ว มี 4 ขั้นตอนที่เราควรจะเรียนรู้

(1) เชื่อแล้ว

(2) รับรู้

(3) วางใจ

(4) เริ่มต้นอธิษฐาน

เพราะฉะนั้น พี่น้องที่เชื่อแล้ว หลายสัปดาห์ก่อนนี้ว่าต้องทำอะไร? รู้แล้วใช่ไหม? เชื่อแล้ว จบแล้ว  ควรทำอะไรต่อจากนี้ต่อไป อย่าอยู่เฉยๆ  อธิษฐาน วิงวอนและขอบพระคุณ ปิติยินดี และชื่นชมยินดีเลย พิสูจน์พระเจ้าได้เลย ต้องทำเดี๋ยวนี้เลย จึงจะพิสูจน์พระองค์ได้

ในพระคัมภีร์เขามีบอกไว้อย่างนี้ว่า … “จงชิมพระเจ้า” ในหนังสือสดุดีเขียนบอกไว้ว่าจงมาชิมพระเจ้า พระองค์บอกว่าจงมาชิมพระองค์เลย  และเมื่อใครชิมพระองค์ จะรู้ว่าพระองค์ทรงดี พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่แสนดี  ถ้าไม่ชิมพระองค์ จะรู้ได้อย่างไร?  คือพูดง่ายๆ มาชิมพระองค์จะเหมือนพิสูจน์พระองค์ พระองค์ต้องการให้มนุษย์มาพิสูจน์พระองค์เลยว่าพระองค์ดีจริงไหม?  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่แสนดี

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อแล้ว ก็พิสูจน์เลย ก็คืออธิษฐานเลย ท่านมีเรื่องทุกข์ร้อนเรื่องอะไร? เรื่องที่พัก เรื่องอาหารการกิน  เรื่องค่าแรง เรื่องเงินเดือน  เรื่องขายของไม่ได้  เรื่องสุขภาพร่างกาย  เรื่องปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง เรื่องปัญหาเยอะแยะไปหมด พิสูจน์พระเจ้าเดี๋ยวนี้เลย ถ้าท่านเชื่อแล้ว อธิษฐานกับพระองค์ แล้วอย่าหยุดในการอธิษฐาน อย่างที่ผมสอนว่าอธิษฐานเข้าไปในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใคร? ท่านเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้ารักท่านมาก  และพร้อมเสมอที่จะช่วยท่านทุกอย่างเลย

และสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เชื่อ อันนี้ท่านต้องทำ ท่านไม่สามารถอธิษฐานได้ ท่านไม่สามารถทำ สิ่งที่ควร 3 ขั้นนั้น ทำไม่ได้เลย  เพราะท่านต้องผ่านขั้นตอนแรกก่อนที่ท่าน “ต้องทำ” ก็คือต้องสมัครเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ก่อน เพื่อที่จะบังเกิดใหม่ก่อน ถ้าไม่บังเกิดใหม่  ก็ทำ 3 ควรไม่ได้  เพราะฉะนั้น ท่านต้องเปิดใจ ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการความช่วยเหลือ และให้พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป และเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อบาปของท่าน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เท่านั้น ท่านต้องทำตรงนี้ เมื่อท่านทำตรงนี้แล้ว ท่านก็สามารถทำสิ่งที่ควรทำอีก 3 อย่างได้ ก็คือ …

– รับรู้เรื่องความจริงว่าท่านเป็นใคร? บังเกิดใหม่แล้วเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ

– และเริ่มวางใจในพระเจ้า

– และเริ่มต้นอธิษฐานวิงวอนขอต่อพระองค์ ให้ช่วยโน่นช่วยนี่  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ ท่านจะได้ประโยชน์อย่างมากมายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบคนเดียวอีกต่อไป แต่มีอีก 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเหล่าทูตสวรรค์อีกมากมายเยอะแยะเลย คอยประคับประคองช่วยเหลือท่านในแต่ละก้าว ในแต่ละวันที่เดินไป และโดยเฉพาะในโลกวิญญาณ ท่านไม่ต้องทำอะไรแล้ว ท่านกำลังอยู่ในสวรรค์ กำลังเดินทางไปสู่โลกใหม่ในสวรรค์นิรันดร์นั่นเอง  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิต” ตอน 1 “ท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ” ตอน 1โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  พฤษภาคม  2020

 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิต” ตอน 1

“ท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ” ตอน 1

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งหนึ่ง วันนี้คำบรรยายจะใช้หัวข้อเรื่องว่า “ที่เรารอด ก็รอด โดยพระคุณ” รอดจากอะไร? รอดจากความบาป รอดจากคนบาป มาเป็นคนชอบธรรม รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ ต้องใช้หนี้บาป คำสาปแช่ง มากลายเป็นลูกพระเจ้า พ้นคำพิพากษา  พ้นทุกข์ หมดหนี้ หมดสินนั่นเอง ไม่ต้องไปจ่ายอะไรใครอีกแล้ว นั่นคือคำว่า “รอด” รอดจากการอยู่ในอาณาจักรของความมืด  เป็นทาสมารซาตาน มาอยู่ฝั่งอาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระเจ้า  นี่เรียกว่ารอด ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้น รอดโดยการกระทำของเรา เปล่า  โดยพระคุณ จึงใช้หัวข้อเรื่องว่าที่เรารอด ก็รอด โดยพระคุณ

เนื่องจากมีคำถามเข้ามา หลังจากที่ 3, 4 อาทิตย์ที่ผมได้พูดถึงเรื่องนี้เยอะ เรื่องเกี่ยวกับความรอด เรื่องที่เราจะฝากความหวังไว้ที่พระเยซู ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และท้าทายให้พี่น้อง ที่รับชมทางบ้าน ได้พิสูจน์ว่าพระเจ้าดีเพียงใด และจริงหรือไม่ หลายท่านก็ได้พิสูจน์จริงๆ  แล้วก็ได้ยอมรับ ได้ถ่อมใจรับความรอดนี้ ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  คือได้รับความรอดนั่นเอง ก็เลยมีคำถามมาถามว่าเมื่อได้รับความรอดแล้ว จากที่ฟังแล้ว ก็ทำตามที่ผมได้ท้าทายไปแล้ว ถามว่าที่ผมพูดย้ำๆ อยู่บ่อยๆ ว่าข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ หรือข่าวดีนั้น  ความรอดที่จะได้รับ ก็คือการได้รับการชำระให้พ้นจากบาปเวรกรรม ได้รับการล้างบาปจนหมดสิ้น  ไม่เหลืออะไรเลยสักนิดหนึ่ง เป็นผู้ชอบธรรม แล้วเป็นลูกพระเจ้าด้วย เขาก็ถามว่าเมื่อต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว  หลังจากที่เชื่อตามที่บอกแล้ว  ได้เกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ต้องทำอะไรบ้าง?  หลายคนก็คิดอย่างนั้น  วันนี้ก็เลยต้องมาอธิบายตรงนี้ว่าต้องทำอะไรต่อ ถามว่าต้องไปโบสถ์ ซึ่งหมายถึงคริสตจักรทุกวันอาทิตย์ไหม?  ต้องอ่านพระคัมภีร์ไหม?  ต้องอธิษฐานก่อนกินข้าวไหม?  อะไรอย่างนี้เป็นต้น ต้องอธิษฐานก่อนนอนไหม? เคยได้เห็นในหนัง เขาเลยถามว่าต้องทำสิ่งเหล่านี้หรือไม่?

วันนี้ก็เลยจะมาตอบคำถามเรื่องนี้ และอย่างที่ผมบอกอยากรู้ความจริงอะไร? ต้องการศึกษาอะไร? ก็ต้องไปดูที่บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ก็คือหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าบันทึกไว้ว่าอย่างไร? พระเจ้าว่าอย่างไร? ในเรื่องนี้

เพราะฉะนั้น จะตอบคำถามว่าหลังจากที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว  เราจะต้องทำตัวอย่างไรบ้าง เอเฟซัส 2:8-10 คือหนทางที่เราจะเสาะแสวงหาคำตอบว่าหลังจากเชื่อแล้ว เราต้องทำอย่างไร?

เอเฟซัส 2:8-10 “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9 ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ 10 เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ”

 

“เพราะท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง” ก็คือไม่ได้มาจากตัวท่านทำเอง  ไม่ใช่เพราะท่านทำดี ท่านถึงได้รับความรอด พระเจ้าจึงเมตตา เปล่าไม่ใช่ แต่เป็นของประทาน คือ Gift เป็นของขวัญ แปลว่าให้เปล่าๆ ฟรีๆ  ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ เพื่อใครจะอวดได้ ก็คือไม่ใช่ความรอดจากการประพฤติดีของเราว่าเราประพฤติดีเยอะแยะมากมาย เราจึงสมควรได้รับความรอด พระเจ้าเห็นว่าเราทำดี จึงได้ประทานให้ ไม่ใช่เลย   ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่สามารถมาอวดตรงนี้ได้ว่าเราทำดี จึงได้สิ่งนี้ ที่ดีๆ ตอบแทนกลับมา  คือพระเจ้าเห็นว่าเราทำดี จึงให้เรารับความรอด  ไม่ใช่นะครับ

ถามว่าหลังจากที่รับเชื่อแล้ว ได้รับความรอดนี้แล้ว  ได้เกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จากการที่เปิดใจ ถ่อมใจ เปิดปาก ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน  เพื่อชำระบาปให้กับเรา  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  ทำให้เราได้บังเกิดใหม่แล้ว และยอมรับสิ่งเหล่านี้ รับสิทธิในสิ่งเหล่านี้  ที่พระเยซูคริสต์ทำให้ ยอมรับเชื่อนั่นเอง  ก็ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า  ได้ถูกย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง เป็นลูกของพระเจ้า ทันทีเลย

ถามว่าหลังจากที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ต้องไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์หรือเปล่า?  ต้องอ่านพระคัมภีร์ทุกวันไหม?  ถึงได้เป็นลูกพระเจ้า ต้องอธิษฐานก่อนอาหารทุกมื้อ หรืออธิษฐานก่อนนอนไหม?  จึงจะได้เป็นลูกพระเจ้า  ต้องหาเวลาเงียบๆ คุยกับพระเจ้าไหม?  ถึงจะได้เป็นลูกพระเจ้า  บางคนถึงขั้นถาม อันนี้เรื่องจริงนะต้องไปเปลี่ยนสถานะในบัตรประชาชนไหมว่านับถือศาสนาอะไร?

ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะไปโบสถ์ก็ดี อ่านพระคัมภีร์ก็ดี สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น  ใครๆ ก็รู้ มีประโยชน์ทั้งนั้น แต่พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าให้เราต้องทำ ถึงจะได้รับความรอด  ถึงจะได้เป็นลูกพระเจ้า  มันอาจจะควรทำ  แต่ไม่ได้บอกต้องทำ  ถึงจะได้สิ่งเหล่านั้น  การได้เป็นลูก การรอดจากความบาป รอดจากนรกนั้น  มันรอดไปแล้ว ด้วยความเชื่อ  เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ต้องทำสิ่งเหล่านี้จึงจะได้รับความรอด  เพราะบางคนคิดว่าเป็นเหมือนศาสนา  ปฏิบัติภารกิจต่างๆ ทางศาสนาอะไรต่างๆ เหล่านั้นว่ามาถึงปุ๊บ จะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้  เพื่อรักษาความรอดที่ได้แล้ว ต้องรักษาฐานะเป็นลูกของพระเจ้า  ในพระคัมภีร์บอกไม่ต้องรักษา มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เมื่อได้รับความรอด ก็รอดเลย  เป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นลูกพระเจ้าเลย ไม่ใช่ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้  เพราะคิดว่าเป็นกฎข้อบังคับ มาเป็นลูกพระเจ้า แล้วต้องทำอันนี้ มาเป็นลูกพระเจ้า แล้วมีข้อบังคับอย่างนี้ ไม่มีเลย  ไม่มีคำว่าต้อง

ในพระคัมภีร์บอกไว้ว่าพอเราเชื่อ เราเป็นลูกพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา พอพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างกายของเรา พระคัมภีร์บอกว่าที่ไหนที่พระวิญญาณสถิตอยู่ ที่นั่นมีอิสรเสรี ไม่มีการบังคับว่าอย่างโน้นอย่างนี้  แต่พระองค์ให้ความรัก ความเมตตาต่อเรา ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตเรา เราได้รับการเป็นลูกของพระเจ้า พ้นจากความบาป โดยพระคุณ (พระคุณ แปลว่าไม่สมควรที่จะได้รับ แต่ได้รับ) ผ่านทางความเชื่อ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าที่บอกว่านี่คือข่าวดี สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง คือฉันไม่ได้ทำเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า เป็นของให้เปล่า เป็น Gift เป็นของประทานจากพระเจ้าที่ให้ฟรีๆ ต้องจำขึ้นใจเลย เพราะถ้าท่านจำขึ้นใจอย่างนี้แล้ว ท่านจะสามารถสรุปได้ทันเลยว่าอะไรที่เราต้องทำ อะไรที่เราไม่ต้องทำ

สรุป คือเราไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง  เพราะเราได้รับความรอด โดยพระคุณ เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว ในเรื่องเกี่ยวกับความรอด รอดจากบาป รอดจากนรก ไปสวรรค์ ไม่ต้องทำแล้ว พระเยซูทำให้เราเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เราเพียงแต่ไปรับเอา  เชื่อเอาทั้งหมด  เป็นแพ็คเกจเลย สิ่งเดียวที่เราต้องทำ ซึ่งเราทำไปแล้ว  ก็คือเปิดใจ ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากบาป ช่วยฉันได้  เชื่อในพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั่นเอง  นี่คือสิ่งที่เราต้องทำ พระเจ้าไม่บังคับเรา บังคับไม่ได้ด้วย พระเจ้าให้อิสรภาพ สำหรับเรา มนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง

เรายอมรับว่าเราเป็นคนบาป เราเหนื่อยเหลือเกินที่จะสะสมความดี เดี๋ยวก็ทำชั่ว เดี๋ยวก็ทำดี  เรายอมรับว่าทำไม่ได้ พอยอมรับว่าทำไม่ได้ปุ๊บ  เราเปิดใจยอมรับว่าข่าวดีที่มาถึง คือเมื่อเราทำไม่ได้ พระเยซูคือผู้ที่มาช่วยเรา พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือช่วยให้เรารอดจากบาป รอดจากการกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้น ลบบาปให้กับเรา เราเชื่อและต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัวของเรา นั่นแหละ คือสิ่งที่เราต้องทำ พอเราเปิดใจต้อนรับปุ๊บ  พระเยซูก็อภัยให้ แล้วเราก็ได้สิทธิที่พระเยซูทำทั้งหมดให้กับเรา คือได้บังเกิดใหม่ พ้นจากบาป เป็นลูกของพระเจ้าด้วย

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าสิ่งที่เราต้องทำ มีสิ่งเดียว และเราทำไปแล้ว คือถ่อมใจลง และยอมรับว่า …

“พระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ของฉัน ฉันเป็นคนบาป ก็คือคนป่วยในวิญญาณที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ รู้เลยว่าฉันทำความดีอย่างไร? ก็ไม่มีทางลบเอาความบาป ที่ฉันเคยทำที่อยู่ในใจฉันออกไปได้ ไม่มีทาง ทำดีขนาดไหน ก็ไม่มีทางออกไปได้ ฉันยอมรับว่าฉันอ่อนแอ ฉันยอมรับว่าฉันป่วยทางวิญญาณ ฉันต้องการหมอ”

พระเยซูบอกว่าคนที่นึกว่าตัวเองแข็งแรงดี ไม่ต้องการหมอหรอก แต่คนที่ป่วย เขาต้องการหมอ และพระองค์ คือแพทย์ผู้ประเสริฐ ผู้ทรงรักษาโรคทางฝ่ายวิญญาณนี้ให้หาย เพียงผู้เดียวเท่านั้น  แต่คนนั้น ต้องยอมรับว่าตัวเองป่วย  คือป่วยทางวิญญาณ  เป็นบาปอยู่ และต้องการการช่วยเหลือ

สรุปแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะเราได้รับความรอด  ความช่วยเหลือจากพระเยซู โดยความเชื่อ ผ่านทางพระคุณของพระเจ้า ให้เราเป็นของขวัญฟรีๆ  เอเมน

ถ้าจะหาคำตอบจากพระคัมภีร์ว่าพระเจ้าต้องการให้เราทำอะไร?  ต้องการนะ ไม่ใช่บังคับเรา  ไม่ได้สั่งเรานะ พระเจ้าต้องการอะไรจากเรา ให้เราทำ เพื่อประโยชน์ของชีวิตเราเอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  หลังจากที่เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  รับเชื่อในพระเจ้า  เกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น  ที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อที่รักเรามากเลย อยากให้เราทำ  เพื่อประโยชน์ของเราเอง  เปิดไปดูโคโลสี 3:1-4

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

4 ข้อนี้ คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการให้เราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์แล้วกระทำ ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือจงหมั่นรับรู้ตลอดเวลาว่าพระเจ้าอยู่ด้วย ให้รับรู้ในโลกวิญญาณมีจริงๆ  และเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ และตำแหน่งของเราในขณะนี้ ในโลกวิญญาณ ที่ตาเรามองไม่เห็น แต่พระเจ้าบอกว่าตำแหน่งของเราในโลกวิญญาณ ก็คือเราเป็นลูกพระเจ้า และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เรากระทำเพียงสิ่งเดียว อยู่ในข้อนี้ ถ้าท่านยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ท่านกระทำแค่นี้  ส่วนรายละเอียดต่างๆ มันจะมาจากตรงนี้แหละ ถึงจะถูกต้อง

โคโลสี 3:1 บอกว่าในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ก็คือเมื่อเรารับเชื่อปุ๊บ พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายวิญญาณของเรา จากในอาดัม อยู่ในความมืด มาอยู่ใน DNA ของพระเยซูคริสต์ เป็นแสงสว่าง เป็นความรอด เป็นลูกของพระเจ้า และเราได้บังเกิดใหม่ พร้อมๆ กับพระเยซูคริสต์ พระเยซูเกิดใหม่ เราก็เกิดใหม่ด้วย ในนี้บอกว่าอย่างไร? ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน  ก็คือให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน  เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันมองไม่เห็น  มันเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ และเกิดขึ้นจริงๆ พระเจ้าต้องการให้เรารู้ความจริงเหล่านี้  ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูคริสต์บอก

ความจริงเหล่านี้คืออะไร? คือสิ่งที่เรามองไม่เห็น  แต่มันเป็นอยู่ และมันมีอยู่จริง ในโลกวิญญาณ และพระเจ้าทรงทราบดี สิ่งเหล่านี้พระองค์จึงอธิบายสอนไว้ในหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลตลอด มิฉะนั้น เราก็จะมองแต่สิ่งที่ตามองเห็น  หูได้ยิน  มือสัมผัสได้  กายสัมผัสได้ พูดง่ายๆ คือตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสได้ เราก็นึกว่าสิ่งเหล่านี้จริง แต่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลพูดกลับกัน ตา หู จมูก ลิ้น กายที่จับต้องมองเห็นได้ สิ่งของบนโลกใบนี้ ในขณะนี้มันไม่จริง มันไม่จีรังยั่งยืน มันอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไปแล้ว  เดี๋ยวมันก็สิ้นสุดลง ทั้งโลกใบนี้ มันก็จบลง  ไม่เหลืออะไรเลยสักนิดหนึ่ง  แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็น มือจับไม่ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กายจับไม่ได้ แต่วิญญาณรู้ พระเจ้าบอกนั่นมีอยู่จริง และมันจะอยู่ถาวรนิรันดร์ คือไม่เปลี่ยนแปลง มันจะอยู่นิรันดร์กาลอย่างนั้นเลย

สมมติถ้าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ อย่างที่ตะกี้นี้บอก เราได้บังเกิดใหม่ เราได้เป็นลูกพระเจ้า เราก็จะเป็นลูกพระเจ้าอย่างนี้แหละในโลกวิญญาณ และตลอดไป โลกวิญญาณจะชัดเจนขึ้น ในขณะที่โลกวัตถุกำลังสูญสิ้นไปทุกวันๆ  ดูง่ายๆ อย่างเช่นร่างกายของเรา ปัจจุบันที่เราจับต้องมองเห็นได้  ร่างกายนี้ถูกสร้างมาจากโลกใบนี้  มันกำลังสูญสิ้นไป ท่านเห็นไหม? ร่างกายท่านไม่แก่ลงไปทุกวันเหรอ ท่านอาจจะบอกว่าพระคัมภีร์ไม่ถูก แต่ท่านเห็นไหม ท่านแก่ทุกปีๆ และวันหนึ่งท่านก็จะต้องตายจากโลกนี้ไป นั่นคือความเสียหาย ความสูญสิ้นของวัตถุสิ่งของที่ตามองเห็น จับต้องได้  มันจะจบลงไป  แต่วิญญาณของท่านที่มองไม่เห็น ที่อยู่ข้างในตัวของท่านในขณะนี้ มองไม่เห็น แต่ตัวนี้จะไม่มีวันสูญสิ้นเลย มันจะอยู่ในโลกวิญญาณตลอดไป  เพียงแต่จะอยู่ ณ สถานที่ไหน? อาณาจักรไหน?  อาณาจักรแห่งความมืด หรืออาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรที่เรียกว่าทาสของมาร หรืออาณาจักรที่เรียกว่าทาสพระคริสต์ หรือลูกของพระเจ้า  อาณาจักรที่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมทุกข์ทรมาน หรืออาณาจักรที่เต็มไปด้วยสันติสุข และความสุขตลอดชีวิต

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน เบื้องบน คือโลกฝ่ายวิญญาณในสวรรค์สถาน ในนี้บอกเบื้องบน คือที่ไหน?  ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ก็คือที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ซึ่งเราทั้งหลายอยู่ในพระคริสต์ เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าด้วย  ให้เราเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เหมือนให้เราหลับตาเห็น จงมองให้เห็นเถิด ให้เราหมั่นคิดและหมั่นฝึกฝนตนเองให้เห็นโลกวิญญาณนี้ชัดเจนตลอดเวลา

ข้อ 2 บอกว่าจงให้ความคิดของท่านจดจ่อไว้ที่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก เห็นไหมครับ? มองดูตัวเองในกระจก มองทะลุเห็นโลกวิญญาณสง่าราศีเหลือเกิน  เป็นลูกของพระเจ้าที่สวยหล่อ ดีเยี่ยม บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ … ศักดิ์สิทธิ์ในที่นี้ หมายถึงเป็นความบริสุทธิ์ที่ถูกแยกส่วนถวายแด่พระเจ้า  ความหมายของคำแปลว่าอย่างนี้  พระเยซูถวายเราให้กับพระเจ้า เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีตำหนิอะไรแม้แต่นิดเดียว เป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก งดงามมาก อย่าไปมองดูโลกวัตถุ ในนี้บอกว่าฝ่ายโลก อย่าไปดูร่างกายฝ่ายโลกที่มันแก่ลงทุกวัน  หรือมันไม่หล่อ ไม่สวย ตามที่เขาบอก ไม่สนใจเลย  สนใจโลกวิญญาณที่เป็นจริงตรงนี้ดีกว่า

ข้อ 3 บอกว่า “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า”

คำว่า “ตายแล้ว” หมายถึงตัวเก่า วิญญาณเก่าที่เป็นตัวบาป วิญญาณบาป และจิตใจที่เต็มไปด้วยความสกปรก เต็มไปด้วยความชั่วร้าย โดยกำเนิดใน DNA อาดัม ได้ตายไปแล้ว จบสิ้นไปแล้ว และบัดนี้ ท่านบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ชีวิตของท่าน คือลูกของพระเจ้า  ฐานะลูกของพระเจ้าได้ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า  อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ  เราอยู่ในการควบคุมดูแล  ในการครอบครอง ในการโอบอุ้มของพระคริสต์

พระคริสต์ คือใคร?  ก็คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์  รวมกันเป็นอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าอาณาจักรของพระคริสต์ เราอยู่ในนั้น  วิญญาณเราถูกซ่อนอยู่ แอบอยู่ในนั้น ในขณะนี้

ฟังขนาดนี้ ท่านยังงง ก็ต้องงงแน่นอน  ไม่งงได้อย่างไร เพราะในนี้ พระเจ้าบอกว่า “จงให้ใจท่านจดจ่ออยู่” ก็คือสม่ำเสมอ ตลอดเวลา ไม่ใช่วันนี้วันเดียว มาฟังคำบรรยายแล้ว เลิกจดจ่อ จดจ่อทุกวัน ถ้าเป็นไปได้ทุกวินาทียิ่งดี

ข้อ 4 บอกว่า “เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

ในนี้บอกเมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฏ เมื่อพระเยซูคริสต์ที่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ด้วยร่างกายเต็มด้วยสง่าราศี   แล้วก็ลอยเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ  ให้กับคนมากมายได้เห็น  แล้วบอกด้วยว่าเราจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง นั่นแหละเป็นวันที่พระเยซูปรากฏ จะมีวันหนึ่งที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้ง ให้มนุษย์ได้เห็นทุกคน  วันนั้นจะเป็นวันที่ ท่านจะปรากฏพร้อมกับพระองค์ วิญญาณของเรา  ที่ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ เวลาที่พระเยซูคริสต์ปรากฏพระองค์เอง ด้วยร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  ที่ปรากฏให้กับสาวกได้เห็น ตอนที่เป็นขึ้นจากความตายถึง 40 วัน ร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เต็มด้วยสง่าราศี  เมื่อมาปรากฏอีกครั้งหนึ่ง  เราทั้งหลาย ที่วิญญาณขณะนี้ซ่อน อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็จะปรากฏด้วยเช่นเดียวกัน  ก็คือวิญญาณของเรา ก็จะเข้าไปสวมร่างกาย ที่เป็นขึ้นจากความตาย  ที่พระเจ้าได้ชุบเราให้เป็นขึ้นจากความตาย และเตรียมวันเวลาไว้  ที่เราจะสวมวิญญาณเรา เข้าไปสู่ร่างกายของเรา ที่เป็นขึ้นจากความตาย

พูดง่ายๆ ว่าเราก็จะเป็นขึ้นจากความตายในวันนั้น พร้อมๆ อย่างสมบูรณ์กับพระเยซูทันที ก็คือวิญญาณเราที่เป็นลูกพระเจ้า ก็ได้สวมเข้าไปในร่างกายใหม่ ร่างกายที่เรียกว่าร่างกายทิพย์ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นร่างกาย เหมือนพระเยซูไม่มีผิด ตอนพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  เราก็จะมีร่างกายอย่างนั้น  ที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู และก็มาพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย พระเยซูมาปรากฏ มาพิพากษาโลกใบนี้ เราก็มาด้วย มาเป็นกองทัพเลย เรียกว่ากองทัพผู้ชอบธรรม กองทัพผู้เป็นลูกของพระเจ้า  กลับมาชำระ กลับมาพิพากษาโลกใบนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลับมาจัดการกับมารซาตาน ซึ่งเป็นศัตรูตัวเอกของมนุษยชาติ จับมารซาตานโยนลงไปในบึงไฟนรก  และเราทั้งหลายก็จะอยู่กับพระเจ้า  โลกเก่านี้สูญสิ้นไป มีโลกใหม่ที่พระเจ้า เตรียมไว้ล่วงหน้า ก็จะลงมาแทนที่ และเราก็จะอยู่ร่วมกันกับพระเจ้า ในสวรรค์สถาน  ในโลกใหม่นี้ ชั่วนิรันดร์กาล  ให้ฟังแบบคร่าวๆ แค่นี้ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าอยากให้เราทำ

“ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน” ให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

ไม่ใช่มามองดูโลกใบนี้  มองดูโควิดเป็นอย่างไร?  มองดูคนโน้นเป็นอย่างไร? คนนี้เป็นอย่างไร? มองดูเราจนไหม? เรารวยไหม?  อย่าไปมองมัน  มองก็มองผ่านๆ  รู้แล้วว่ามันไม่จีรังยั่งยืน เจ็บป่วยอะไรก็อธิษฐานกับพระเจ้า แล้วทนเอา … ทนเอาคืออะไร? ก็รู้ว่ามันไม่นาน เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว  นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการให้เราผู้ที่เชื่อในพระองค์ทำ

เหมือนตัวอย่างที่ผมเล่าบ่อยๆ ว่าเมื่อเราเกิดเป็นผู้หญิงแล้ว  เราก็ไม่ต้องทำอะไรอีกเลย เพื่อให้เราเป็นผู้หญิง  ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นผู้หญิง  จะพยายามแต่งตัวให้เหมือนผู้ชาย  จะพยายามทำอะไรเท่าไร ก็ไม่สามารถทำให้เราเป็นผู้ชายได้ เพราะเราเกิดมาเป็นผู้หญิง แค่มาก ก็เป็นได้แค่ผู้หญิงที่แต่งตัวและทำตัวเป็นเหมือนผู้ชายเท่านั้นเอง ถูกไหมครับ? เป็นผู้หญิงที่ทำตัวและแต่งตัวไม่เหมือนผู้หญิง  อยากไปเหมือนผู้ชาย แต่มันก็เป็นไปไม่ได้

เช่นเดียวกัน พระเจ้าให้เราเกิดใหม่มาเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่อง เกิดมาเป็น  โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง ฉันใดก็ฉันนั้น  เราผู้ที่ได้รับการบังเกิดใหม่ มีสถานะเป็นลูกพระเจ้า มีความบริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป  โดยธรรมชาติ ในวิญญาณ  ในตัวของเราเลย  ต่อให้เรามีความประพฤติไม่ดีบ้าง หรือทำตัวเลวบ้าง จะพยายามทำสักเท่าไร เราก็ยังคงเป็นลูกพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด มีแต่ความดีงามเท่านั้น  แต่อาจจะเป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาป ที่มีความประพฤติเลวบ้างบางครั้ง ใช่หรือไม่?  เพราะเนเจอร์ตัวจริงๆ ของเรา  ไม่ใช่ความประพฤติ ตัวจริงๆ ของเราเป็นอะไร? ก็เป็นอย่างนั้นแหละ มันเป็นมาจากการเกิดมาเป็น  ก็ทำให้เราเป็นลูกพระเจ้า และเป็นลูกพระเจ้าเลย ก็มีแต่เป็นลูกพระเจ้าที่มีการประพฤติที่ไม่สมกับเป็นลูกพระเจ้าบ้าง ทำตัวไม่เหมือนกับลูกพระเจ้าเท่านั้นเอง อย่างเช่นเราทุกคน ถามท่านเองก็ได้ สำหรับคนเก่าแก่ หรือคนที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ผู้เชื่อจริงๆ ได้รับความรอดแล้ว มั่นใจมากเลย  ถามว่าทุกวันนี้ท่านยังโกหกไหม? หรือไม่โกหกเลย  มีโมโหไหม? มีโกรธใครบ้างไหม?  คิดอิจฉาใครบ้างหรือเปล่า? หรือไม่คิดอิจฉา ทำการอิจฉาเลย  หรือมีผู้เชื่อทำการเห็นแก่ตัวไหม?

ยิ่งชัดใหญ่เลย ผมรู้จักบางคน ที่เชื่อแล้ว มาให้อธิษฐานเผื่อ อธิษฐานให้ ผ่านไป 3 ปียังสูบบุหรี่อยู่เลย  ลูกพระเจ้าสูบบุหรี่ได้อย่างไร?  ท่านคิดออกเลยใช่ไหม?  แล้วทำอะไรบางอย่างที่เป็นโลกียวิสัย ก็คือกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ทำไม? ก็ยังทำ เห็นไหมครับ? ถามว่ายังเป็นลูกพระเจ้าหรือเปล่า?  ท่านลองคิดดู เรื่องง่ายๆ สิ่งเหล่านี้ มันคือสิ่งของที่อยู่บนโลกใบนี้  มันเหมือนร่างกายเรานี้มีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเป็นอิทธิพล เป็นพลังงานอันหนึ่ง ซึ่งมันแฝงอยู่ แม้เราเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้วก็จริง แต่พลังของความบาป อิทธิพลของความบาป ยังแฝงอยู่ในร่างกายนี้ แฝงอยู่นะ ไม่ใช่ตัวเรา แฝงอยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งต้องตายได้ในขณะนี้ แฝงผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของเรา ซึ่งเป็นโปรแกรมเก่าๆ ที่เราเคยทำในอดีต ซึ่งเป็นโลกียวิสัย ซึ่งเป็นแบบโลก ที่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งเราไม่อยากทำหรอก ซึ่งบางทีเราก็รู้ บางทีเราก็ไม่รู้ แต่สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ซึ่งมันจะอยู่ตลอดชั่วนิตย์นิรันดรกับพระเจ้า คือทั้งวิญญาณ ทั้งจิตใจใหม่ที่พระเจ้าได้ทำให้เราบังเกิดใหม่นั้น มันคนละเรื่องกัน  พูดง่ายๆ เหมือนตัวจริงของเรา ก็คือวิญญาณที่จะบังเกิดใหม่พร้อมกับจิตใจที่พระเจ้าได้ประทานให้ใหม่กับพระเยซูคริสต์ เพียงแต่วิญญาณและจิตใจนี้ ใส่เสื้อเก่าอยู่ เสื้อคือร่างกายที่ต้องตายได้ อีกไม่นานก็ทิ้งเสื้อตัวนี้ ไปใส่เสื้อตัวใหม่แล้ว เพราะฉะนั้น เสื้อตัวนี้มันจะสกปรกบ้าง มันจะอะไรบ้าง มันไม่ใช่ตัวท่าน  ตัวท่านคือวิญญาณของท่าน และจิตใจใหม่ของท่าน ที่พระเจ้าประทานให้ เป็นของประทานฟรีๆ เพราะท่านยอมรับเชื่อ ยอมถ่อมใจ ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้นเอง

ย้ำอีกที สิ่งเหล่านี้ต้องจำให้ขึ้นใจ ต้องจดจ่อความคิดอยู่ตลอดเวลา  เพื่อไม่ให้มารมันหลอกเรา  มันหลอกเรา เพื่อเราจะไม่แน่ใจ พอเราไม่แน่ใจ เราก็ไม่กล้าไปบอกชาวบ้านถึงข่าวดีนี้ว่า …

“มาเป็นลูกพระเจ้า มันไม่ได้ยากเย็นเข็ญใจถึงขนาดนั้นหรอก ถ้าเรายังคิดว่าจะต้องทำดีอย่างโน้นอย่างนี้ เราก็กลับไปอยู่ชีวิตเดิม ไม่ต้องให้พระเจ้าช่วยให้รอดแล้ว เราก็ทำของเราเอง”

แต่ที่เราทำไม่ได้ สู้มันไม่ได้ สู้กับความบาปด้วยตัวเองไม่ได้ เราจึงขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ และพระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนนั้น ในหนังสือ 1 โครินธ์ 6:19-20 พระคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงเขียนอย่างนี้เสมอ

1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า? ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด”

 

“ท่านไม่รู้หรือว่า?” หมายความว่าท่านควรจะรู้ ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังไม่รู้อีกเหรอว่าใครเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านควรจะรับรู้ได้แล้วนะว่าท่านเป็นใคร?  ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตในท่าน ท่านไม่รู้เหรอพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ท่านได้รับจากพระเจ้าฟรีๆ นะ ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของตัวท่านเอง พระเจ้าซื้อท่านมาด้วยราคาแพง คือซื้อท่านมาด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่ยอมเสียสละสถานภาพเป็นพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และไปทนทุกข์ทรมาน ตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับเอาบาปของท่านเอาไว้  เพื่อช่วยท่าน  นั่นแหละ ท่านถูกซื้อมาด้วยราคาแพง ถึงขนาดชีวิตและสถานภาพของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นพระเจ้า ถ่อมใจลงมาเป็นมนุษย์ และทุกวันนี้ ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ แต่เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  มนุษย์ต้นพันธุ์ใหม่ ท่านยังไม่รู้อีกเหรอ?

ถามว่าไม่รู้ เพราะอะไร?  เพราะว่าท่านไม่ได้จดจ่อไปที่เบื้องบน อย่างที่ตะกี้พระคัมภีร์บอกไง ท่านในที่นี้ ก็คือผู้ที่ยอมรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เชื่อมาตั้งนานแล้ว จริงๆ ต้องพูดสำเนียงนี้ มาเชื่อตั้งนานแล้ว รับรู้ตั้งนานแล้ว ท่านยังไม่รู้หรือว่าท่านเป็นใคร?  ร่างกายท่านเป็นพระวิหาร เป็นสถานที่สถิตของพระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเยซู พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน  สถิตอยู่ในท่านแล้วนะ นำท่านตลอดเวลา ท่านไม่รู้อีกเหรอ! ถ้าท่านไม่รู้ ท่านก็ถูกหลอกให้ทำสิ่งโน้นสิ่งนี้ต่างๆ  เหมือนชีวิตเดิมที่เคยเป็นทาสมาร ปล่อยให้ร่างกายของท่าน คือตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นทาสรับใช้ อิทธิพลของความบาป  ความไม่ถูกต้องต่อไปเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ท่านไม่จำเป็นต้องไปยอมมันอีกแล้ว เพราะว่าท่านมีฤทธิ์อำนาจ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยวิญญาณท่านบังเกิดใหม่ ตายต่อบาป บาปทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว ไม่มีอำนาจเหนือท่านเลย นั่นคือโปรแกรมเก่าๆ เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น พูดง่ายๆ สลับกัน ก็คือถ้าท่านรู้ว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้าแล้ว ท่านจะรู้ทันทีเลยว่าท่านควรจะทำอะไรบ้าง? อะไรไม่ควรทำ? ให้มันสมกับเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาด นั่นแหละคือเป้าหมายของพระเจ้า เห็นไหม? ไม่มีการบังคับ ไม่มีการมาบ่นว่าอะไรต่างๆ  นึกออกใช่ไหม? คือคนที่เชื่อมาตั้งนานแล้ว  ที่ในหนังสือโครินธ์ที่เปาโลเขียนไปหา บอกว่าเชื่อพระเจ้ามาตั้งนาน ทำไมทำตัวเหมือนคนยังไม่เชื่อ ยังโกหก ยังโลภ ยังอิจฉาเขา ยังเห็นแก่ตัว ยังทะเลาะเบาะแว้งกัน บางคนยังสูบบุหรี่อยู่เลย  นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เห็นชัดๆ บางคนยังทำผิดศีลธรรมอยู่เลย  บางคนยังขโมยของเขาอยู่เลย

ท่านไม่รู้เหรอ พระเจ้าอยู่กับท่านแล้ว ท่านไปสนใจสิ่งเหล่านั้นทำไม?  ท่านไปสนใจสิ่งของบนโลกนี้  ก็แสดงว่าผู้เชื่อเหล่านี้  ที่ปฏิบัติอย่างนี้  ไม่ค่อยได้จดจ่อความคิดจิตใจของเขาไปที่เบื้องบน เหมือนที่พระเจ้าบอกให้เราทำ หรือจดจ่อมากไม่พอว่าเขาเป็นใคร?  ลืมไป  ก็เลยกลายเป็นลูกพระเจ้าที่ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับข้างในใจของเขา

เพราะฉะนั้น เราต้องหมั่นรับรู้ จดจ่อ ก็คือรับรู้และหมั่นเตือนตัวเองบ่อยๆ ไม่ว่าต่อหน้ากระจก หรืออยู่คนเดียว หรืออ่านพระคัมภีร์ หรือไม่อ่าน หรือจะทำวิธีใดก็ตามว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราเกิดใหม่แล้วนะ  พระเจ้าอยู่ด้วยกันกับเราแล้วนะ เราเป็นวิหารของพระเจ้าแล้ว  พระเจ้ากำลังจูงมือเราเดินอยู่ทุกวันนี้แล้ว มีอะไรปรึกษาพระองค์เลย  จงรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราในร่างกายเรานี้ ไปไหนไปด้วยกัน  ไม่มีทางว่าเราไป พระองค์อยู่บ้าน ไม่มี ไปก็ไปด้วยกันตลอด  แล้วพระองค์ไม่ทอดทิ้งเราเลย  แล้วพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ผู้ทรงครอบครองและควบคุมสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้  เป็นเจ้าของทรัพย์สินเงินทองทุกอย่าง เป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ ผู้ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งสิ้นของเราให้หายได้ เป็นพระเจ้าแห่งความรัก ความเมตตา เป็นพระเจ้าแห่งสติปัญญา ทุกอย่าง อยากได้อะไร ก็เข้าไปหาพระองค์ ไปคุยกับพระองค์ พระองค์ทรงรักเรามาก

การรับรู้ตรงนี้ พระคัมภีร์เรียกว่าการจดจ่อไปที่เบื้องบน  รับรู้ในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ในสถานะของเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ขณะนี้  ในโลกวิญญาณนี้ ในพระคัมภีร์ใช้อีกคำหนึ่งว่าการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ความคิดจิตใจ คือ Mind จงเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่ คือเปลี่ยนโปรแกรมซะ โปรแกรมก่อนที่เราจะมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่เราจะได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า วิญญาณได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก่อนหน้านั้นมันคิดอย่างไร? ตอนนี้ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้ว  ตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ในหนังสือโรม บทที่ 12 ก็ได้บันทึกเอาไว้ว่าจงเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ก็คือจงจดจ่อไปที่เบื้องบน  ก็คือเปลี่ยนแปลงความคิดว่าเราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป  ถึงแม้ว่าหลายอย่างเราจะกระทำยังไม่ถูกต้อง เรายังโกหกเขา ยังอิจฉาเขา ยังทนไม่ไหวในการโมโหเขาอะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่ข้างในเราบริสุทธิ์ สะอาด เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์จริงๆ พระเจ้าบอกอย่างนั้น พระเจ้ารักเรามาก เราสมควรที่เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ เราสมควรอยู่ในสวรรค์ เราสมควรได้รับสิ่งดีๆ จากพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงประทานให้เราเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์  ให้เรารับรู้ว่าเราเป็นใคร? ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ก็คือเปลี่ยนแปลงความคิดว่าเราเป็นใคร?  คนบางคนถูกจ้ำจี้จ้ำไซมาตลอดชีวิตว่าเป็นคนไม่เอาถ่าน เราไม่ได้เป็นคนไม่เอาถ่าน นั่นเป็นร่างกายภายนอกของเรา ตอนนี้เราเป็นคนยิ่งกว่าเอาถ่านอีก  เป็นลูกพระเจ้า  พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  เราควรจะรับรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์

พอความคิดข้างในเปลี่ยนไปว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เปลี่ยนไปได้มากเท่าไร? เดี๋ยวอุปนิสัยใจคอข้างนอกที่เราจะใช้ตา หู จมูก ลิ้น กายทำงานบนโลกใบนี้นั้น  ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  มันก็จะเปลี่ยนไปตามความคิดใหม่ของเรานั่นแหละ มันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันจะเปลี่ยนไปเหมือนลูกพระเจ้ามากขึ้นๆ แต่อย่าไปนึกว่ามันจะสมบูรณ์แบบ 100% ไม่มีทาง เพราะว่ามันมีอิทธิพล อย่างที่ผมบอกมีอิทธิพลรับสื่อของความบาปที่ยังอยู่บนโลกใบนี้  ส่งมากระตุ้นให้เรา เชื่อในความเคยชินเก่าๆ ในโปรแกรมเก่าๆ  ความคิดแบบเก่าๆ  ความเชื่อนั้น  มันยังส่งมากระตุ้นได้ และบางครั้งเราก็ยังเชื่อมันอยู่ ไม่มีวันที่จะสมบูรณ์แบบ จนกว่าร่างกายนี้มันจะลงสู่ดิน มันจะตายไปนั่นเอง มันจึงจบกัน ซึ่งพระเจ้าก็ทรงทราบ จึงได้เตรียมร่างกายใหม่ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  ร่างกายนี้ตาย ลงดินไป  เราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  ไม่อยู่ใต้อิทธิพลของความบาปอีกต่อไป

เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าเปลี่ยนแปลงความจิตใจจะต้องทำให้มันครบถ้วนบริบรูณ์ 100%  ไม่มีทาง ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก แต่พระวิญญาณก็จะนำพาเราไปให้มากที่สุด เท่าที่พระองค์จะทรงนำพาเราไปได้  แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ไม่ต้องมาเทียบกันว่าคนนี้ทำได้แค่นั้น คนนี้ทำได้แค่นี้  ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่ารับเชื่อเหมือนกัน พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเหมือนกัน เป็นลูกเหมือนกัน ได้รับสิทธิเท่ากัน พระองค์รักเราเท่ากัน มีรางวัลเท่ากันหมดทุกคน นี่ยืนยันอย่างนั้น  ซึ่งอย่างที่บอกว่าเราจะทำได้มากหรือน้อยเพียงใด ไม่สำคัญ เพระอย่างไรๆ  เราก็เกิดมาเป็นลูกของพระองค์ และพระองค์ทรงรักเราเท่าๆ กันหมด ลูกๆ ทุกคน  ไม่ว่าเราจะประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็ยังรักเราเหมือนเดิม ถูกไหม? เหมือนเรามีลูก เราส่งลูกเราไปเรียนหนังสือ แล้วก็สั่งลูกเรา เรารักลูกเรามาก

“ลูกเอ๋ย ไปเรียนหนังสือ เรียนเสร็จแล้ว ตรงกลับบ้านเลยนะ ไม่ต้องแวะกลางทางนะ”

เผอิญวันหนึ่ง ลูกเราก็แวะนิดหนึ่ง ไปคุยกับคนข้างทาง ไม่เชื่อฟังเรา  เราก็ไม่รู้ แวะนานๆ เข้า จนกระทั่งเชื่อฟังคนข้างทาง ไปติดยาเสพติด พอเรารู้ว่าเขาไปติดยาเสพติด เราจะโมโหเขาไหม?  อาจจะโมโห เพราะเราเป็นมนุษย์ใช่ไหม?  แต่พระเจ้าไม่โมโห พระเจ้าเห็นว่าเนื้อหนังเราอ่อนแอ ร่างกาย กิเลสตัณหาเราอ่อนแอ แต่ถามว่าขณะที่ลูกเราไปติดยาเสพติดนั้น เราเป็นมนุษย์ เราโกรธ เรามีทางไหมที่จะตัดลูกเราออกจากกองมรดก มีทาง แต่ตัดเขาออกจากสายเลือด ไม่เป็นลูกของเราอีกได้ไหม?  ไม่ได้ อย่างไรเขาก็เป็นลูกเราอยู่ดี ถูกไหมครับ? แล้วพระเจ้ามากกว่านั้นสักเท่าใด ท่านลองคิดดู ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม วิญญาณของท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็เป็นลูกไปเลย อย่างไรก็เป็นลูก ไม่มีอะไรจะมาตัดความสัมพันธ์ของท่านในการเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าเป็นพระบิดาของท่าน  พ่อกับลูกไม่มีอะไรจะตัดได้ พระเจ้าก็ยืนยันอย่างนั้น

ท่านเชื่อหรือไม่ว่า มันขึ้นอยู่กับว่าท่านเชื่อหรือไม่ว่าท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์ ตามพระคัมภีร์บอก  โดยความเชื่อในพระเยซู ตามที่พระคัมภีร์บอก ถ้าท่านรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปให้กับท่านแล้ว  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ถ้าท่านเชื่ออย่างนี้ ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ จะได้รับความรอด ท่านก็จะได้รับสถานะเป็นลูกของพระเจ้า ในวิญญาณทันที และสถานะนี้ ในการเป็นลูกนี้  ก็จะไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไปได้  ไม่ว่าท่านจะประพฤติตนอย่างไรหลังจากนั้น  มันขึ้นอยู่กับการเกิดใหม่ของท่าน ที่เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำ

ท่านทราบแล้วนะที่ถามมาทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม? ท่านพอทราบนะว่าผู้ที่จะตอบให้กับท่านว่าทำได้ไหม? หรือไม่ควรทำ คือพระเจ้าผู้สถิตในใจของท่าน  นำพาท่านอยู่ทุกวัน  และท่านรู้ว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า และพระองค์จะนำท่านไปตลอดเวลา อย่างไรๆ ก็เป็นลูกของพระเจ้า เพียงแต่ความประพฤติบางครั้งอาจจะไม่สมกับเป็นลูกพระเจ้า  ทำให้พระเจ้าขายขี้หน้าบ้างเท่านั้น ใช่หรือไม่?  ซึ่งพระเจ้าก็ไม่สนใจ เพราะพระเจ้าทราบดีว่าเราอ่อนแออย่างไร?

พระคัมภีร์จึงได้บันทึกไว้ว่ามีความอ่อนแอที่ไหน? พระคุณของเราทวีคูณขึ้นตามขนาดของความอ่อนแอที่นั่น คือยิ่งมีความอ่อนแอ พระคุณของเรายิ่งมากขึ้น เรื่อยๆ ยิ่งทำผิดเยอะเท่าไร? พระคุณของเราก็คลุมไปถึงตลอด  พระคุณ คือการอภัย โดยไม่มีเงื่อนไข ชัดเจน

เพราะฉะนั้น สรุปได้ว่าเมื่อมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ต้องทำอะไรบ้าง  หรือต้องทำตัวอย่างไร?  คำตอบ ก็คือสรุปว่าไม่ต้องทำอะไรเลย  นอกจากรับรู้ เชื่อในความจริงจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่า ตอนนี้ในโลกวิญญาณเราเป็นใคร?  ในพระเยซูคริสต์  เรามีสถานะอย่างไร?  เราอยู่ที่ไหนในขณะนี้  เรามีสิทธิอะไรบ้างเท่านั้น? ส่วนนิสัยเก่าๆ  หรือความประพฤติเก่าๆ  ที่ไม่ได้สมกับการเป็นลูกของพระเจ้า ที่ยังอาจจะกระทำอยู่ ก็ไม่ต้องไปกังวลมันมากนัก ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ขณะนี้ก็ตาม  เดี๋ยวมันจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเอง โดยการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยฤทธิ์อำนาจและวิธีการของพระองค์ในแต่ละคน ก็ไม่เหมือนกันด้วย  อย่ามาบอกว่า …

“ต้องทำเหมือนฉัน ต้องอย่างนั้น อย่างนี้”

บางคนไม่เหมือนกัน  อย่างเช่นบางคนไม่สามารถงดการสูบบุหรี่ได้ หลังจากรับเชื่อพระเจ้า จนกระทั่งกลับไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ก็ยังงดไม่ได้  จะไปบังคับเขาบอก ถ้าไม่หยุดบุหรี่ ไม่ได้เข้าสวรรค์ ใครบอกท่าน ในนี้บอกอย่างนั้นหรือ?  แล้วการที่เขาสูบบุหรี่อยู่  มันต่างอะไรกับการที่คุณยังเป็นคนขี้โมโห  มันก็บาปเท่ากัน จะบาปเล็กบาปน้อย ก็บาปเท่ากัน  หรือเป็นคนที่ขี้อิจฉาเขา หรือเป็นคนโลภ มันต่างอะไรกัน  มันไม่ได้ต่างกันเลย  ท่านจะเห็นภาพอย่างชัดเจน

บางคนก็บอกว่าอยากจะมาโบสถ์ มาโบสถ์ก็มา

บางคนบอกไม่ได้ เธอเชื่อพระเจ้าแล้ว เธอต้องมาโบสถ์เหมือนฉัน

จะไปเอาอย่างนั้นได้อย่างไร? มันจะเหมือนกันได้อย่างไร? ในเมื่อแต่ละคน ในแต่ละตำแหน่ง หน้าที่บนโลกใบนี้ มันไม่เหมือนกัน เกิดมาไม่เหมือนกันบนโลกใบนี้ ผมเห็นบางคนที่รับเชื่อแล้ว ไม่ได้มาโบสถ์เลย  หรือมาน้อยมาก แต่ทุกวันนี้มีความเชื่ออย่างเข้มแข็ง สมบูรณ์มากเลย  กับอีกคนหนึ่งมาโบสถ์เกือบทุกวัน แต่พูดถึงเฉพาะอุปนิสัย ความประพฤติ ยังสู้คนที่ไม่มาโบสถ์ไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว  ผมไม่ได้มาเทียบ เพื่ออะไรต่างๆ แต่ต้องการให้ท่านเห็นภาพว่าแต่ละคน พระวิญญาณจะเป็นผู้นำท่านเองว่าท่านควรจะทำอะไร?  อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อท่าน อาจจะไม่เป็นประโยชน์กับผม อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อผม อาจจะไม่เป็นประโยชน์ต่อท่าน  ใครรู้ พระวิญญาณจะทราบ ในสถานะของผม ผมอาจจะต้องทำอย่างนี้ ในสถานะของท่าน ท่านอาจจะต้องทำอย่างนี้  ไม่มีใครรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมและท่านต้องทำเหมือนกัน ก็คือต้องยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ตรงนี้มันต้องทำเหมือนกัน หลังจากนั้นปล่อยให้พระวิญญาณนำเถิด

วันนี้ ก็มาเคลียร์คำตอบ ตอบคำถามให้นะ ค่อยๆ ว่ากันไปทีละนิด

เพราะฉะนั้น ในพระคัมภีร์บอกอย่างนี้ว่าสำหรับแต่ละคนที่เพิ่งจะต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่ถามวันนี้มา ก็เลยถือโอกาสสรุปท้ายนี้ให้ท่านนิดหนึ่งว่าเมื่อท่านรับเชื่อแล้ว สิ่งที่ต้องทำ คืออะไร? ท่านทราบแล้วนะตอนนี้ จึงอยากจะบอกที่ท่านควรจะต้องทำ ในพระคัมภีร์บอกว่าจงชิมพระเจ้า แล้วจะรู้ว่าพระองค์ทรงดี  ก็คือเหมือนกับจงพิสูจน์พระเจ้า แล้วจะรู้ว่าพระองค์ทรงดี ท่านเริ่มพิสูจน์แล้ว ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ยอมรับเชื่อแล้ว เกิดใหม่แล้ว ท่านก็ใช้สิทธิในการเกิด ใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ทันที ไม่ต้องกลัว ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ก็คืออะไร? อธิษฐาน  พูดคุยกับพระเจ้าในทุกเรื่อง ทุกเมื่อ ที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องมาที่โบสถ์ ใครอารมณ์อย่างไร? ที่ไหน? พูดได้ ไม่ใช่อธิษฐานขออย่างเดียว  ไม่ว่าจะขอ จะบ่น  จะว่ากล่าว จะเข้าไปพูดคุย ปรึกษา หรืออะไรทุกเรื่องเลย  ที่ตะกี้นี้ผมบอก พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ผู้ทรงครอบครองและควบคุมสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่ สูงสุด ผู้ทรงเป็นสัพพัญญู รู้ทุกสิ่ง เข้าไปอธิษฐาน ร้องทูลขอจากพระองค์ ด้วยขณะนี้  เดือดร้อนอะไร? กลัวเรื่องอะไร?  ก็อธิษฐานบอกพระองค์

“พระองค์ลูกกลัวเหลือเกินโควิดมันจะมา กลัวออกไปทำงานจะติดโควิดไหม? ช่วยคุ้มครองปกป้องลูกด้วยเถิด ลูกกลัวมากเลย” พูดได้ตลอด

หรือป่วยอยู่ … “พระองค์ทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ ผู้ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งสิ้นของลูกให้หาย รักษาลูกด้วย ลูกปวดท้อง ปวดหัว ปวดอะไรก็ว่ากันไป” เป็นโรคอะไรก็ว่ากันไป  พระเจ้ารักษาท่านได้จริงๆ

หรือ “พระเจ้าลูกกลัว ลูกไม่มีเงินเลยตอนนี้ ไม่มีข้าวจะกิน สิ้นเดือนนี้ไม่มีเงินเหลือแล้ว ไม่พอเลยค่าใช้จ่ายต่างๆ  ช่วยลูกด้วยเถิด”

บอกรายละเอียดไปเลย “ช่วยลูกด้วย ลูกยังขาดอีก 3,000 บาท ค่าโน้นค่านี้” บอกไปเลย แล้วพิสูจน์พระเจ้าสิว่าพระองค์มีชีวิตอยู่หรือไม่? เขาเชื่อกันอย่างนี้ มาตั้งนานแล้ว และเขาก็ทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว เป็น 2,000 ปีแล้ว แล้วมันก็เป็นจริงตามนั้น  ลองชิมพระเจ้า แล้วจะรู้ว่าพระองค์ทรงดี เพราะฉะนั้น  อยากให้ท่านทำ ไม่ต้องรอ พระองค์เป็นผู้ช่วยให้ท่านเดี๋ยวนี้ด้วย ไม่ใช่ผู้ช่วยให้รอดเฉพาะวิญญาณของท่าน ผู้ช่วยให้ท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในขณะนี้  ให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก และไม่เดือดร้อน ทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มากนัก เพราะพระเยซูบอกว่าถึงแม้จะเป็นลูกพระเจ้าแล้วก็จริง  ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังมีปัญหาและความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา เหมือนกับคนที่ยังไม่เชื่อ แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูบอกว่าแต่เราชนะโลกแล้ว  พระเจ้าจะแก้ปัญหาให้ท่าน เพราะไม่ว่าปัญหาจะเป็นเช่นไร พระเจ้าจะเดินอยู่เคียงข้างท่าน จูงมือท่านเดินไปกับพระองค์ แล้วนำพาท่านไป แต่ละวันๆ  แต่ละปัญหา  อย่าเก็บไว้คนเดียว  พูดคุยกับพระองค์ แล้วพิสูจน์พระองค์เลยว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงช่วยท่านได้จริงๆ  และทรงช่วยลูกของพระองค์ด้วยความตั้งใจ ขะมักเขม้นที่จะช่วย ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาอะไร? พระองค์ทรงสามารถช่วยแก้ไขและประทานคำตอบให้กับท่านเกินกว่าที่ท่านจะสามารถคิดและขอได้ด้วยซ้ำ  ท่านจะขอเพียงแค่นี้  นึกไม่ถึงว่าพระเจ้าจะประทานให้มากกว่านี้ตั้งเยอะ ประสบการณ์ผมก็เยอะมาก ที่เราขอเพียงแค่นี้ พระเจ้าให้เยอะเกินมากเลย

เลยอยากจะบอกท่านว่ามีอะไรในขณะนี้ที่เป็นห่วง เศรษฐกิจการเงิน สุขภาพ ปัญหาครอบครัว ปัญหาความสัมพันธ์ ปัญหาอะไรต่างๆ ถูกรังแก ไม่ได้รับความยุติธรรม เข้าไปหาพระเจ้า

ใช้สิทธิของท่านในฐานะเป็นลูก พระเจ้ารออยู่แล้ว  รักท่านมาก คอยช่วยเหลือท่าน ให้ท่านได้บังเกิดใหม่แล้วในพระเจ้า  เมื่อเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าจูงมือท่านเดินแล้วตอนนี้  ไม่ต้องกลัวอะไร ไปเลยลูก ไปด้วยกัน ไปกับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาค เดินไปกับท่านตลอดเวลา แล้วบอกว่าอย่ากลัวเลย ไม่ต้องกลัวนะลูกๆ มนุษย์จะทำอะไรเจ้าได้ เหตุการณ์ต่างๆ จะทำอะไรเจ้าได้  ไม่มีใครมาต่อต้านเจ้าได้เลย เพราะเราอยู่กับเจ้า จงกล้าหาญ  เพราะเจ้าบังเกิดใหม่ เป็นลูกของเราแล้ว  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “ท่านคิดว่าพระเจ้าโหดร้ายจริงหรือ” ตอน 1 วันที่ 8 พฤษภาคม 2020

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง

เรื่อง “ท่านคิดว่าพระเจ้าโหดร้ายจริงหรือ” ตอน 1

วันที่ 8 พฤษภาคม 2020

 

สวัสดีค่ะพี่น้องที่รักในพระเยซูคริสต์ทุกท่าน วันนี้ดิฉันอยากจะหนุนใจ ในเรื่องของความกลัว  พี่น้องคงได้ยินแล้วว่าพระองค์ไม่ได้ให้วิญญาณแห่งความกลัว แต่ให้วิญญาณแห่งความรัก  วิญญาณแห่งความคิดจิตใจที่ดีแก่เรา แต่มีข้อพระคัมภีร์อยู่ตอนหนึ่งที่เป็นที่น่าวิตกกังวลของพี่น้อง คริสเตียนหลายท่านทีเดียว ถ้าเราไม่เข้าลึกถึงบริบท หรือความจริงเรื่องของถ้อยคำพระเจ้า ถ้าเราอ่านผิวเผิน  เราก็จะตกใจ เราก็จะคิดว่าพระเจ้าโหดร้าย  พระเจ้าฆ่าใครก็ได้ อย่างนั้นหรือ?  เชื่อแล้ว ก็ยังน่ากลัวขนาดนั้นหรือเปล่า?

ในหนังสือกิจการ เป็นการพูดถึงการเริ่มต้นของคริสตจักรและข่าวประเสริฐที่อัครทูตพากันประกาศ  เราดูกิจการบทที่ 5 กัน เรื่องของคู่สามีภรรยา ที่ชื่ออานาเนียกับสัปฟีรา ดิฉันจะอ่านให้ฟัง แล้วคุยให้พี่น้องเข้าใจว่าคืออะไร?

กิจการ 5:1-11 “1 มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับสัปฟีราภรรยาของเขา ก็ได้ขายที่ดินผืนหนึ่งด้วย 2 เขาได้เก็บเงินส่วนหนึ่งไว้เพื่อตนเอง ซึ่งภรรยาของเขาก็รู้ดี แต่นำเงินที่เหลือมาวางแทบเท้าของอัครทูต 3 แล้วเปโตรจึงกล่าวว่า “อานาเนียเอ๋ย เหตุใดซาตานจึงครอบงำใจของท่าน จนท่านมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเก็บเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้ เพื่อตัวท่านเอง? 4 ก่อนที่จะขายที่ดินนี้เป็นของท่านไม่ใช่หรือ? เมื่อขายแล้วเงินก็อยู่ในอำนาจของท่านไม่ใช่หรือ? อะไรหนอทำให้ท่านคิดทำเช่นนี้? ท่านไม่ได้มุสาต่อมนุษย์ แต่มุสาต่อพระเจ้า” 5 เมื่ออานาเนียได้ยินเช่นนี้ก็ล้มลงสิ้นชีวิต คนทั้งปวงที่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกรงกลัวยิ่งนัก 6 แล้วพวกคนหนุ่มจึงออกมาห่อศพเขาและนำออกไปฝัง

7 หลังจากนั้นราวสามชั่วโมง ภรรยาของเขาก็เข้ามา โดยที่ยังไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้น 8 เปโตรถามนางว่า “จงบอกเราเถิด ท่านกับอานาเนียขายที่ดินได้เงินเท่านี้หรือ?” นางตอบว่า “ใช่ ได้เท่านี้เจ้าค่ะ” 9 เปโตรจึงกล่าวกับนางว่า “เหตุใดท่านจึงเห็นพ้องกัน ที่จะลองดีกับพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า? ดูเถิด! เท้าของบรรดาผู้ฝังศพสามีของท่านก็อยู่ที่ประตู และพวกเขาจะหามท่านออกไปด้วย” 10 ทันใดนั้นเองนางก็ล้มลงสิ้นชีพแทบเท้าเปโตร เมื่อเห็นว่านางตายแล้ว พวกคนหนุ่มก็เข้ามาหามศพออกไปฝังข้างสามีของนาง 11 ทั่วทั้งคริสตจักรและคนทั้งปวงที่ได้ยินเหตุการณ์เหล่านี้พากันเกรงกลัวยิ่งนัก”

 

พี่น้องอาจจะรู้สึกว่านี่มันคืออะไร?  พระเจ้าต้องเป็นอะไรที่เราต้องตัวสั่น ไม่กล้าเข้าใกล้อะไรแบบนี้หรือเปล่า?

ซึ่งไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้าทั้งหมดที่พระองค์เรียกเราว่าลูก ที่พระองค์คร่ำครวญถึงความรักที่มีต่อเรา ที่พระองค์ถึงกับยอมส่งพระบุตร มาสิ้นพระชนม์ ตายบนไม้กางเขน  รับโทษ รับบาปของเราไป แล้วพระเยซูก็เป็นขึ้นมาใหม่ มีชีวิตอยู่ในพวกเรา พี่น้องสงสัยไหม? ดิฉันเคยสงสัย แต่ไม่กล้าถามใคร? แต่วันนี้ดิฉันเข้าใจเหตุการณ์นี้แล้ว

พี่น้องสังเกตดูนะคะ ดิฉันเคยเล่าให้พี่น้องฟังว่าสาวกของพระเยซูคริสต์ มี 12 คน 11 คนปกติดี เดินตามทางของพระเจ้าด้วยความหวัง ด้วยความเชื่อฟัง แต่มี 1 คนที่ทรยศ  ใครก็ตามที่ทรยศ ไม่ได้หมายความว่าฉับพลันนั้น รู้สึกทรยศเลย  ต้องทำให้มันสะใจหรือเดินตามเกมที่ไม่ใช่ทางของพระเจ้า พี่น้องทราบไหมค่ะ เรามาดูข้อนี้นะ ข้อที่ 3 เปโตรถามอานาเนียว่า …

          “ทำไมซาตาน จึงควบคุมใจของเจ้าให้โกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์”

พี่น้องนึกภาพออกไหมค่ะว่าใครที่ซาตานจะควบคุมใจของเขาได้? ก็คือคนของซาตานนั่นเอง คนของพระเจ้า ซาตานควบคุมไม่ได้ พระเจ้าบอกว่ามาแตะต้องผู้เชื่อไม่ได้  เพราะว่าพระเจ้ารักเรา  พระเยซูถึงบอกว่าใครจะมาหยิบฉวยเราผู้เชื่อ ลูกของพระองค์ คนของพระองค์ ออกไปจากพระองค์ก็ไม่ได้ พระองค์ไม่อนุญาต แล้วอยู่ดีๆ ถ้าเป็นคนของพระเจ้า  ทำไมซาตานจึงคุมใจของอานาเนียได้  แปลกไหมค่ะ แล้วถ้าพูดถึงคนที่ทรยศต่อพระเยซู ยูดาสทรยศต่อพระเยซู หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าซาตานเข้าครอบครองใจเขา ควบคุมจิตใจเขา เขาจึงทรยศต่อพระเยซู นี่ก็เป็นข้อคิดอันหนึ่ง ที่พระเยซูและพระเจ้าให้เรารู้เรื่องของสาวก 12 คนนี้  เพราะว่ามันจะมีแทรกซึมอยู่ตลอดเวลา ในท่ามกลางคนของพระเจ้า ก็จะมีคนของมารแทรกซึมอยู่ เราจะรู้ก็ต่อเมื่อ  มีการสำแดงอาการหรือปฏิกิริยา หรือการกระทำบางอย่างที่ยืนยันว่าอันนี้ ไม่ได้มาจากพระเจ้า

ดังนั้น พี่น้องไม่ต้องตกใจ คนที่มารจะใช้ได้ ควบคุมได้ จะไม่มีพระเจ้าอยู่ในใจ ไม่มีพระเยซูอยู่ในใจ เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในพระเยซู ไม่มีการปรับโทษเราทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะเราอยู่ในกฎแห่งวิญญาณ แห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระ พ้นจากกฎแห่งบาปและความตายแล้ว

เราจะขายที่ดิน แล้วเราจะถวายหรือไม่ถวาย ไม่ใช่ความผิด สำหรับลูกๆ ของพระเจ้าที่เชื่อพระเจ้า  เราอยากถวาย เราอาจจะถวาย 10%  20  %  หรือ 100%  ก็อยู่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอยู่ในใจของเรา ทำงานอยู่ในใจของเรา  บอกเราให้ทำ แล้วเราก็ทำตาม  ถ้าเราไม่ทำตาม เราเถียงกับพระเจ้า  พระองค์ก็มีวิธีหว่านล้อม มีวิธีที่จะชักจูงให้เรา ทำตามจนได้ พระองค์ไม่ฆ่าเรา เพราะไม่อย่างนั้น พระเยซูคงไม่ตายแทนเราไปเรียบร้อยแล้ว ให้พี่น้องคิดถึงภาพบุตรน้อยหลงหาย พี่น้องจะเข้าใจชัดเจนมาก

ในพระคัมภีร์บันทึกเรื่องบุตรน้อยหลงหาย … ลูกชายคนเล็กได้ขอมรดกจากพ่อ  แล้วก็ออกไปเที่ยวกิน สำมะเรเทเมา จนหมดเนื้อหมดตัว แล้วก็คิดถึงพ่อ  ก็อยากกลับบ้าน เพราะถ้าอยู่ที่บ้านกับพ่อนั้น  อย่างไรก็ไม่อดตาย อย่างไรก็มีกิน พี่น้องไปอ่านดูให้ละเอียดเลยนะ พี่น้องจะเห็นว่าพระเจ้า ก็คือพ่อคนนั้น ที่ยืนคอยอยู่ที่ปากทางทุกวัน นั่งคอยทุกวัน พระคัมภีร์บันทึกว่าพ่อเห็นลูกแต่ไกลว่าเดินเข้ามาหา พ่อไม่ได้รอ พ่อไปต้อนรับ นั่นคือพระเจ้าของเรา  พระเจ้าไม่ลงโทษ เมื่อเราทำผิด เพราะพระเยซูรับโทษนั้นไปทั้งหมดแล้ว

ดิฉันเล่าเรื่องนี้ ไม่อยากให้พี่น้องกลัวว่าเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน มาจากการลงโทษของพระเจ้า ไม่ใช่ มีแต่มารที่คอยลงโทษ คอยฟาดฟัน  แล้วถ้าท่านไม่รู้ว่าเป็นงานของมาร ท่านก็จะบอกว่าพระเจ้าใจร้าย  ท่านก็จะบอกว่าพระเจ้าเอาอีกแล้ว พระเจ้าไม่อยากให้เรามีความสุข อยากให้เราต้องกลัวจนตัวสั่น ลนลาน ไม่ใช่นะคะ พระเจ้ารักเรา รักเรามากเหลือเกิน

ในพระคัมภีร์เดิมก็พูดถึงว่าพระเจ้ารักเราอย่างสุดซึ้ง ดื่มด่ำ อาจารย์เปาโลเปรียบเทียบความรักของเราลูกๆ ของพระเจ้ากับพระเจ้าว่าเหมือนกับความรักของสามีภรรยาถวิลหากันทุกวัน  คิดถึงกันทุกเวลา นั่นแหละพระเจ้าคิดถึงเราทุกเวลา  อยู่กับเราตลอด อยู่ที่เราจะรับรู้พระองค์ไหม? เราจะเมินเฉยต่อพระองค์ หรือรับทราบว่าพระองค์กำลังคุยอะไรกับเรา พระเจ้ารักพวกเรา  ไม่มีข้อแม้จริงๆ ถ้ามีข้อแม้ ก็หมายความว่าการที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวคงไม่พอ  แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูตายบนไม้กางเขน เพื่อเราครั้งเดียวพอ แล้วมอบชีวิตนิรันดร์ให้กับพวกเรา คือชีวิตของพระเจ้า ให้กับพวกเราที่เชื่อ เข้ามาอยู่ในเรา  แต่พระองค์ไม่สามารถให้ชีวิตนิรันดร์แก่คนที่เป็นเครื่องมือของมาร หรือเป็นลูกของมารได้  และคนเหล่านั้น เขาก็แอบแฝงเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า

เหมือนที่พระเยซูยกอุปมาว่าเจ้าของที่ดินหว่านข้าวลงไปในนา แล้วมารก็มาหว่านวัชพืชลงไปด้วย พระเจ้าก็เมตตา ไม่ได้ถอนทิ้ง เพราะไม่อย่างนั้นจะเสียหายหมดทั้งข้าวที่ดีๆ จะหมดไปพร้อมวัชพืช พระองค์รอให้ทุกอย่างเติบโต เห็นชัดว่าอะไรเป็นอะไร พระเยซูบอกว่าเราจะเห็นคนได้ชัด ที่ผลของเขา  เมื่อปลูกข้าวก็ต้องออกรวงมาเป็นข้าว ไม่ใช่เป็นวัชพืชที่ไร้คุณค่า

เราขอบคุณพระเจ้า ไม่อยากให้พี่น้องวิตก กังวล ทุกข์ร้อน พระองค์บอกว่าอย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย  ให้เราทูลทุกอย่างกับพระเจ้าของเรา พระองค์บอกพระองค์ทรงห่วงใยเรา พระองค์บอกให้เราโยนภาระให้กับพระองค์ ไม่ต้องกลัว แต่ถ้าถามว่าพระเจ้าทำให้เราสำเร็จฝ่ายวิญญาณ แล้วมันมีผลออกมาทางฝ่ายที่มองเห็น  คือฝ่ายวัตถุบนโลกนี้ไหม?

พี่น้องดิฉันเคยบอกแล้วว่าการกระทำทุกอย่างบนโลกนี้ ก็มีผลสนองต่อการกระทำนั่น แบบกฎของโลก  ถ้ามีใครสักคนหนึ่งฆ่าคนตาย  โดยไม่เจตนาก็ตาม  เขาก็ต้องถูกศาลพิพากษาลงโทษ ถ้าเราพูดไม่ดี กับใครสักคนหนึ่ง เราก็หว่านความเกลียดชังลงไปในใจ ถ้าเราอยากดีกับเขา ก็ไปขอโทษเขา  การคืนดีก็จะกลับมา อาจจะสนิทสนมกันมากกว่าเดิม หรืออย่างน้อย ก็ทำให้คลื่นกระแสลบ สลายหายไปได้  นี่แหละความรักของพระเจ้า  ไม่มีข้อแม้ ก็ไม่มีจริงๆ แต่เราต้องเก็บเกี่ยวในสิ่งที่เราหว่านไปบนโลกนี้ มันเป็นกฎธรรมชาติ ขอพระเจ้าเมตตาทุกคนค่ะ

 

*******************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2020 เรื่อง “เชื้อไวรัสทางวิญญาณ (อาดัม-00)” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  พฤษภาคม  2020

 เรื่อง “เชื้อไวรัสทางวิญญาณ (อาดัม-00)”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            ท่านทราบไหมครับว่ามีเชื้อไวรัสตัวหนึ่งที่น่ากลัวกว่าไวรัสที่เคยเกิดขึ้นในโลกนี้  ซึ่งรวมทั้งเจ้าโควิด-19 ด้วย จากรายงานผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ตอนนี้ประชากรโลกมีประมาณ 7,300 ล้านคน ติดเชื้อประมาณ 3.4 ล้าน ก็ประมาณ 0.05% เท่านั้น แต่เชื้อไวรัสที่เป็นตัวที่น่ากลัวกว่าเชื้อไวรัสที่เคยมีมา หรือเป็นมาบนโลกใบนี้ มีอัตราการติดเชื้อถึง 100% ของมวลมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน? ทวีปอะไร? ประเทศอะไร? ชนชาติไหนก็ตาม  ก็ติดเท่ากันหมด คือ 100% และอัตราการเสียชีวิตก็ 100% เช่นเดียวกัน เจ้าไวรัสที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้ คือไวรัสบาป เป็นเชื้อไวรัสทางวิญญาณ ที่ ผมตั้งชื่อให้เข้ากับสถานการณ์ว่าไวรัสอาดัม-00 เพราะฉะนั้น หัวข้อในการบรรยายในวันนี้ ชื่อ “ไวรัสทางวิญญาณ (อาดัม-00)” เจ้าไวรัสบาปตัวนี้  ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสทางวิญญาณ มีการบันทึกไว้ล่วงหน้านานแล้ว บอกไว้อย่างละเอียด ตั้งแต่ที่มาของเชื้อเกิดขึ้นอย่างไร? แต่เชื้อไวรัสบาปตัวนี้ เป็นเชื้อไวรัสที่เกิดขึ้น ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน สัมผัสไม่ได้  แต่เป็นอยู่จริง เป็นเชื้อไวรัสทางวิญญาณ ต้องเข้าใจก่อน

ไวรัสโควิดทุกวันนี้ ก็ยังหาข้อสรุปชัดเจนไม่ได้ว่ามาจากไหน?  แต่เชื้อไวรัสบาปที่บอกไว้ชัดเจน ตามหนังสือประวัติศาสตร์มนุษยชาติบอกไว้เสร็จเลยว่ามาจากไหน?  เกิดขึ้นได้อย่างไร?  ใครเป็นคนแพร่เชื้อคนแรก? บันทึกไว้เลย และผลของมันคืออะไร? วิธีการรักษาบอกไว้ให้เสร็จ? ทำอย่างไรด้วย?

หนังสือประวัติศาสตร์ มนุษยชาติที่มีชื่อว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเชื้อบาปตัวนี้  เป็นเชื้อไวรัสทางวิญญาณ  ที่เริ่มต้นเกิดขึ้น  ณ ที่แห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ ที่เรียกว่าสวนเอเดน บันทึกไว้ชัดเจน และผู้แพร่เชื้อคนแรก คือนายอาดัม ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษยชาติทั้งปวง และก็เหมือนเชื้อไวรัสหลายๆ ตัวที่แพร่เชื้อส่งต่อมาทางกระแสเลือด หรือเรียกว่า DNA แต่ไม่ใช่โควิดนะ โควิดไม่ได้มาทาง DNA โควิดมาทางการสัมผัส เชื้อไวรัสที่มาทาง DNA มาทางสายเลือด อย่างเช่น ไวรัสเอดส์ HIV

เจ้าเชื้อบาปตัวนี้ ติดต่อทาง DNA  ซึ่งมนุษย์คนแรก คืออาดัม เป็นต้นเหตุของเชื้อตัวนี้ เกิดขึ้นโดยการไม่เชื่อฟัง  หรือกบฏต่อพระเจ้า  อยากเป็นพระเจ้าเสียเอง  ผลก็คือการเป็นผู้นำเอาเชื้อบาปเกิดขึ้นทาง DNA ทั้งฝ่ายร่างกายและวิญญาณของเขานั่นเอง ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะมีลูกมีเต้า มีหลานเหลนโหลนสืบพันธุ์กันต่อมา เขาติดเชื้อไวรัสบาป ก่อนที่จะมีลูกหลานเหลนโหลน เพราะฉะนั้น ลูกหลานเหลนโหลน ก็จะติดเชื้อตัวนี้ ไปด้วยกันหมดทุกคน

ก่อนที่จะคุยกันต่อไป ต้องนึกถึงก่อน  อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่าในหนังสือประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนเลยว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ได้มีวิญญาณ เนื่องจากเราตกไปในความบาป และห่างเหินจากพระเจ้าไปนาน จนกระทั่งไม่คุ้นเคย ตาฝ่ายวิญญาณไม่ได้ใช้เลย ใช้ไม่ได้แล้ว เราจึงมองไม่เห็นชัด แต่ในโลกของฝ่ายวิญญาณ มนุษย์เป็นวิญญาณจริงๆ  ตัวแท้ๆ ของมนุษย์ คือเป็นวิญญาณ ในวิญญาณนี้ ก็มีจิตใจอยู่ เพียงแต่วิญญาณและจิตใจนี้  คือตัวตนแท้ๆ ของมนุษย์ อาศัยอยู่ในร่างกายที่เรามองเห็น ทางฝ่ายวัตถุ จับต้องได้  ตรงนี้ต้องเป็นพื้นฐานให้เรารู้ว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ

เพราะฉะนั้น DNA ของอาดัม จึงเป็น DNA ทั้งวิญญาณและทั้งร่างกาย ก็รับเชื้อบาปตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เชื้อของความบาปเข้ามา แล้วมนุษย์ทั้งโลกนี้ ก็สืบเชื้อสายมาจากอาดัม เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จึงได้รับเชื้อบาปนี้ ผ่านทางกระแสเลือด หรือ DNA ของอาดัม วิญญาณ จิตใจ และร่างกายเขาจึงติดเชื้อบาปนี้กันทั้งสิ้น อาดัมถ้าพูดถึงปัจจุบัน เขาเรียกว่าเป็นยอดของการแพร่เชื้อบาปไปยังมวลมนุษย์ทุกคน  พระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นหนังสือประวัติศาสตร์มนุษยชาติได้บันทึกเอาไว้อย่างนั้น

สังเกตให้ดี อาดัมเป็นเพียงคนๆ เดียว ที่ได้รับเชื้อไวรัสบาปนี้เข้ามา  โดยการถูกหลอก ไปเชื่อมาร รับเอาเชื้อบาป ติดเข้ามาอยู่ใน DNA ของตนเอง โดยมนุษย์ทุกคนได้รับการติดเชื้อผ่าน DNA มนุษย์ทุกคนได้รับเชื้อไวรัสบาปนี้ จากบรรพบุรุษโดยตรง โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าเชื้อไวรัสบาปตัวนี้ มีอัตราการตาย 100%  คือติดเชื้อแล้วตายทั้งฝ่าย วิญญาณ จิตใจ ร่างกาย 100%  ไม่มีใครรอดเลย ไปดูหนังสือประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่บันทึกเรื่องราว เรื่องนี้ไว้สักนิดหนึ่ง  เพื่อจะได้เป็นหลักฐานว่าเขาว่าไว้อย่างไรบ้าง? โรม 5:12 บันทึกไว้อย่างชัดเจน

โรม 5:12 “ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

 

“ความตายได้มาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป” เห็นไหมครับ? ตรงนี้จริงๆ แล้ว ต้องบอกว่า “ความตายได้มาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้รับเชื้อไวรัสบาป” ซึ่งผลของเชื้อไวรัสบาป ก็คือความตาย

มนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็ได้รับเชื้อไวรัสแล้ว โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เริ่มต้นเซลแรก เกิดในครรภ์มารดา ก็บาปแล้ว  คลอดออกมาจากครรภ์มารดา ก็ติดเชื้อบาป  แล้วก็ต้องได้รับผลของเชื้อบาปนี้ ก็คือความตาย  ไม่ต้องทำอะไรเลย

คำว่า “ตาย” ตรงนี้  เรากำลังพูดถึงความตาย ทั้งทางวิญญาณและร่างกาย  อย่างที่ผมอธิบายให้ท่านฟังว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ  มีจิตใจ และอาศัยอยู่ในร่างกาย  ไวรัสบาปนี้ ส่งผลไปทั้งหมดเลย  ทั้งร่างกาย วิญญาณ และจิตใจ  อยู่ในความตายทั้งสิ้น  พอเกิดมาปุ๊บ ติดเชื้อปั๊บ  ทางวิญญาณ เราก็ตายทันที ทางร่างกายก็เริ่มเข้าสู่ขบวนการเสื่อมสภาพ ซึ่งแต่ก่อนนี้ไม่มีการเสื่อม ร่างกายเราจะอยู่นิรันดร์ ไม่มีการเจ็บป่วย ไม่มีการตาย แต่เพราะเชื้อไวรัสบาปตัวนี้ ส่งผลทำให้ร่างกาย ต้องเสื่อมสลาย กลับไปสู่ดิน หนังสือประวัติศาสตร์ คือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกเอาไว้อย่างนั้น  อย่างชัดเจน  อย่างไรวันหนึ่งก็จะต้องตาย ตายช้าตายเร็ว  จะ 70, 80, 90, 100, 120, 130, 200, 300 ก็ต้องตาย  คือมนุษย์พอคลอดจากครรภ์มารดา ก็เริ่มต้นนับหนึ่งไปสู่ความตาย ความเสื่อมไปเรื่อยๆ นั่นเอง เหตุมาจากเชื้อไวรัสบาปตัวนี้แหละ หนังสือโรม 5:17-18 บอกว่า …

โรม 5:17-18 “17 เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครองผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดบรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณ และของประทานแห่งความชอบธรรม ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้น ย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสต์ 18 ฉะนั้น การล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียว ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกลงโทษฉันใด การกระทำอันชอบธรรมเพียงครั้งเดียว ก็ส่งผลให้คนทั้งปวง ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น ซึ่งการนับเป็นผู้ชอบธรรมนี้ นำชีวิตมาให้คนทั้งปวงเหล่านั้น”

 

โดยการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว โดยการเอาเชื้อนี้เข้ามาสู่ตัวเพียงคนเดียว  เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครองผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น  มนุษย์คนเดียวผู้นั้น ก็คือนายอาดัม บรรพบุรุษของมนุษยชาตินั่นเอง ที่แพร่เชื้อไวรัสบาปตัวนี้ผ่านทาง DNA ของเขา  ทั้งทางฝ่ายร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ  เมื่อผู้คนติดเชื้อไวรัสบาปนี้  และผลมันจะออกมาเป็นลักษณะแบบไหน?

เหมือนอย่างโควิด-19 ใครติดเชื้อตัวนี้  เราก็พอจะทราบนิดหนึ่ง ตามข่าวคราวว่าจะมีอาการอย่างไร? เช่นตัวร้อน เป็นไข้ ไอ ในที่สุด ก็ไปลงปอด ปอดอักเสบ ไปกินเนื้อที่ปอดอะไรประมาณนั้น แต่ไวรัสบาปอาดัม-00 เมื่อติดเชื้อไวรัสบาปตัวนี้เข้าแล้ว อาการและผลมันออกมาเป็นอย่างไรต่อชีวิตของคนๆ นั้นบ้าง ลองดูนิดหนึ่งนะ ผมสรุปมาให้อ่านจากหนังสือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติว่าอาการจะเป็นประมาณนี้ เช็คดูว่าใช่หรือไม่?

เชื้อไวรัสบาป — ต่อต้านพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า

ผล คือความตาย

ผลทางวิญญาณ — เป็นทาสรับใช้มาร อยู่ในอาณาจักรมืด

ผลทางร่างกาย — ร่างกายเสื่อมลง เน่าสลายไปสู่ดิน

ผลก็คืออาการเกิดขึ้น คือมีความรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม แต่มันเป็นไปตามนั้น คืออาการต่อต้านพระเจ้า  อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ไม่ชอบให้ใครพูดถึงเรื่องพระเจ้า ไม่ค่อยอยากจะได้ยินคำว่าพระเยซู ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร? นี่คร่าวๆ  พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น  เพราะข้างในวิญญาณและจิตใจเป็นศัตรูกัน อยู่ตรงข้ามกัน

เมื่อมีอาการเหล่านี้ มีผลเกิดขึ้นอย่างไร?  ก็คือ ความตายทั้งทางฝ่ายวิญญาณ ร่างกาย และจิตใจ ผลทางวิญญาณและจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่เกิดขึ้น ก็คือทั้งวิญญาณและจิตใจ ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของมนุษย์ ของคนๆ นั้น ก็ตกเป็นทาสรับใช้มาร โดยไม่รู้ตัว และเป็นทาสของความชั่วร้ายทั้งปวง นี่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกไว้อย่างนั้น วิญญาณและจิตใจนั้น ตกลงไปอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง สถานที่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด ไม่มีพระเจ้าอยู่ที่นั่น ตกเป็นทาสของความชั่วร้าย

และผลทางร่างกายล่ะ ร่างกายที่มองเห็น ก็อย่างที่บอก ร่างกายเริ่มเสื่อมลง ค่อยๆ เน่าสลาย  ค่อยๆ ตาย จนหยุดทำงาน ลงไปสู่ดิน

นี่คืออาการและผลจากเชื้อไวรัสบาปตัวนี้ 1 โครินธ์ 15:21-22 ดูสิว่า ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกไว้อย่างไร? จะเยียวยารักษาไวรัสบาปนี้ ได้อย่างไร? …

1 โครินธ์ 15:21-22 “21 เพราะในเมื่อความตาย สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตฉันนั้น”

 

สมมติว่าอาทิตย์หน้า เดือนหน้า มีประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่งค้นพบวัคซีน รักษาโรคโควิด-19 เรียบร้อยแล้ว อย่างเด็ดขาดเลย  100% แล้ว เราจะเฮมั๊ย

ตะกี้ที่เราอ่านในหนังสือ 1 โครินธ์ 15:21-22 ความตาย สืบเนื่องจากมนุษย์คนเดียว คืออาดัม  การเป็นขึ้นจากตาย  ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวฉันนั้น เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระเยซูคริสต์หรือในพระคริสต์ คนทั้งปวงก็จะได้รับชีวิตฉันนั้น ก็คือเป็นขึ้นจากตายฉันนั้น

เป็นตรรกะง่ายๆ เลย อาดัมทำให้ตาย พระเยซูคริสต์ทำให้เป็นขึ้นจากตาย อาดัมทำให้ติดเชื้อโรคไวรัสบาป พระเยซูคริสต์ทำให้หายจากโรคไวรัสบาป มนุษย์ติดเชื้อบาป มาจากคนๆ เดียว  โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย  เกิดมาได้เลย เพราะฉะนั้น การรักษา ก็มาจากคนๆ เดียว  โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน  จบเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะตอนที่เรารับเชื้อมา เราก็ไม่ได้ทำอะไร เราก็ได้รับเชื้อแล้ว เพราะฉะนั้น ตอนได้รับการรักษาให้หาย โดยพระเยซูคริสต์ ทำไมเราจะต้องไปทำอะไรเยอะแยะมากมาย  เราก็ได้หายเหมือนกัน โดยพระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่รักษาเราหาย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวเรามาดูกันต่อไปว่าหนังสือประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พระคัมภีร์ไบเบิ้ล บันทึกการรักษาไว้อย่างไรบ้าง?

ตะกี้พูดแค่บอกว่าจากคนๆ เดียว ทำให้เราติดเชื้อ จากคนๆ เดียว ทำให้เราหาย ฟังดูเหมือนง่าย จบ แต่ผมรู้ ไม่จบหรอก สำหรับคนที่ยังไม่ได้เชื่อในข่าวดี  คิดอย่างไร ก็คิดไม่ออกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร?  ก็คือไม่จบนั่นเอง เพราะมันเชื่อยากไง  ผมก็จำประสบการณ์ของผมเองในอดีต ก่อนที่จะมาเชื่อเรื่องนี้ จะให้มาเชื่อตอนโน้นมันยากเย็นเข็ญใจเหลือเกิน มันเชื่อยาก ถ้าทำแบบบันทึกเหตุการณ์ แบบองค์การอนามัยโลก แบบนี้ จะมีสถิตแบบนี้ว่าจำนวนประชากรที่ติดเชื้อไวรัสบาปตัวนี้  ตอนนี้มีกี่คน? 7,300 ล้านคนใช่ไหม? คิดเป็น 100% คือจำนวนของผู้ที่ได้รับการรักษาให้หายแล้ว มีแค่ประมาณ ทุกวันนี้มีผู้เชื่อประมาณ 2,300 ล้านคน ก็คิดเป็น 32% คือประมาณ 1 ใน 3 ที่ได้รับการรักษาให้หาย ที่เหลือ 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ ยังไม่หาย เพราะไม่ได้เข้าสู่ขบวนการรักษาให้หาย ก็คือไม่เชื่อในแพทย์ผู้รักษา หรือวิธีการรักษาของพระเจ้า ยังไม่เชื่อนะ

การหายจากเชื้อไวรัสบาป ผลคืออะไร? ตะกี้เราดูเรื่องอาการของคนติดเชื้อไวรัสบาปเป็นอย่างไร? ตอนนี้มาดูอาการและผลของการหายจากการติดเชื้อบาป เชื้อไวรัสบาปถูกจัดการหลุดออกไปจากชีวิตของคนๆ นั้นแล้ว อาการและผลมันเป็นอย่างไรบ้างคร่าวๆ  ตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้  ผมสรุปมาให้ท่านอ่านดูว่าใช่ไหม?

หายจากเชื้อไวรัสบาป — กลับคืนดีกับพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า

ผล คือการบังเกิดใหม่

ผลทางวิญญาณ — เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรแสงสว่าง

ผลทางร่างกาย — ร่างกายเสื่อมลง เน่าสลายไปสู่ดิน รอการเป็นขึ้นมาใหม่

(ร่างกายสวรรค์)

อาการ คือกลับคืนดีกับพระเจ้า  อยู่ข้างเดียวกับพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า  ได้ยินเรื่องพระเจ้า ชอบ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ  คือสติปัญญามนุษย์ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ รู้สึกรักพระเจ้า รู้สึกอยากฟังเรื่องพระเจ้า พอพูดถึงเรื่องพระเยซู ซาบซึ้งเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลย  ไม่เคยเห็นหน้าพระเยซู ไม่เคยจับต้องมองเห็นพระเยซูเลย  แต่รู้สึกอยากจะฟัง อยากจะร้องเพลงนมัสการพระเจ้า  อยากจะรู้เรื่องของพระเยซูคริสต์ นี่แหละอาการ

ผล คือได้รับการบังเกิดใหม่ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นว่าได้รับการบังเกิดใหม่ ทั้งทางวิญญาณและร่างกาย ไม่ใช่ซ่อมใหม่นะ  วิญญาณและร่างกายได้รับการบังเกิดใหม่

ทางฝ่ายวิญญาณและจิตใจที่เป็นตัวตนแท้ๆ ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า เชื่อฟัง รับใช้พระเจ้า มีแต่ความดีงามอยู่ในวิญญาณและจิตใจ วิญญาณและจิตใจนั้นได้อยู่ในสถานที่หนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง หรือเรียกว่าสวรรค์นั่นเอง

และเกิดผลทางร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ร่างกายที่จับต้องมองเห็น สำหรับคนที่ เชื่อในการรักษาของพระเยซูคริสต์ให้หายจากโรคไวรัสบาปนี้  ผลทางร่างกาย คือร่างกายทุกวันนี้ยังต้องเสื่อมลงสู่ดิน หยุดทำงาน  เน่าสลายไปวันหนึ่งข้างหน้า  เหมือนเดิม อ้าว! แล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลง ฟังให้ดี ยังไม่จบ เสื่อมลงสู่ดิน รอการเป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย รอวันเป็นขึ้นจากความตายในวันหนึ่งข้างหน้า  แล้วการเป็นขึ้นจากความตายนั้น คือร่างกายใหม่ เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตายเลย  เราจะได้รับร่างกายนั้น วันหนึ่งข้างหน้า

สรุป ก็คือไม่ว่าจะเป็นการได้รับเชื้อไวรัสบาป หรือการหายจากไวรัสบาปมนุษย์เราไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง ทั้งสองข้างเลย  เพราะไม่ได้มาจากการกระทำของมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นการได้รับเชื้อไวรัสบาป  เป็นคนบาป หรือได้รับการรักษาให้หายจากบาป ก็มาจากการเกิดจากท้องแม่ปุ๊บ ก็ได้รับเชื้อเลย  ไม่ต้องทำอะไรเลย  พอมาเชื่อข่าวดีของพระเยซู ก็ได้รับการบังเกิดใหม่เลย เชื้อหายไปเองเลย โดยไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เหมือนกันเลย พูดง่ายๆ ก็คือเกิดมา ก็เป็นบาป  จะให้หายจากบาป ก็ต้องเกิดใหม่ หรือพระคัมภีร์เรียกว่าบังเกิดใหม่ ถึงจะหายได้  นี่ชัดเจนเลยนะ เป็นตรรกะ ผมพยายามเอามาอธิบายแบบง่ายๆ  เพื่อไม่ให้ท่านสับสน  เพื่อจำง่ายๆ เท่านั้นว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแต่เชื่ออย่างเดียว  พระเจ้าจะทำหน้าที่ทำให้เราเกิดใหม่ แล้วการรักษาเชื้อไวรัสบาป โดยการเกิดใหม่  พระเจ้ารักษาเราแบบทันที ผ่านทางพระเยซูคริสต์

สมมติว่าตอนนี้ติดเชื้ออยู่ พอเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ปั๊บ  เชื้อโรคหายทันทีเลย

เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  มาตายที่ไม้กางเขน แล้วอยู่ในหลุมฝังศพ  แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้มาเป็นผู้รักษาเยียวยาไวรัสบาปให้กับมวลมนุษยชาติ แค่นั้นเอง พอเชื่อปั๊บ  เชื้อหายทันที  ได้บังเกิดใหม่ ผลของการเชื่อนั้น มาเป็นขบวนการเลย  เป็นแพ็คเกจเต็มไปหมดเลย

พระเจ้าไม่ได้รักษาเราแบบ พอมาเชื่อปุ๊บ แล้วค่อยๆ รักษาเรา พอเราเชื่อปุ๊บ ก็ค่อยๆ ดูไปนะลูกเอ่ย ดูว่าความประพฤติเป็นอย่างไร?  เชื่อแล้วเปลี่ยนชีวิตจริงไหม  เชื่อจริงหรือเปล่า? ทำความดีพอไหม?  ทำชั่วน้อยลงไหม? เวลาเชื่อแล้ว

“ค่อยๆ สะสมความดีไปนะ เรื่อยๆ  แล้วเชื้อบาปมันจะค่อยๆ หายไปทีละ 10%  20%  30%  รอจนกว่าทำดีเยอะๆ สะสมไว้มากๆ จนกว่าจะได้ครบ 100%  จะได้หายนะลูก”

พระเจ้าไม่ได้รักษาเราอย่างนั้น ถ้ารักษาเราอย่างนั้น เราไม่มีหายหรอก เราไม่มีความหวังหรอก  แต่ด้วยความเชื่อในข่าวดีนี้  มนุษย์คนนั้นจะได้รับการรักษาแบบทันทีทันใด  เป็นฤทธิ์เดชอำนาจเปรี้ยงทันทีทันใด เกิดใหม่ทันทีทันใด  เหมือนตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใบนี้  เหมือนนักวิทยาศาสตร์ ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร? เลยบอกว่าโลกสร้างด้วยระบบบิ๊กแบง ระเบิด เกิดเป็นระบบมหาจักรวาลขึ้นมา ผู้ที่เกิดใหม่ พระเจ้าก็ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จเข้ามาในวิญญาณของคนนั้น เกิดใหม่ทันทีทันใด

วิธีการรักษาของพระเจ้า เป็นแบบทันที  จากฝั่งที่มีเชื้อไวรัสบาปอยู่ ย้ายเรามาอยู่ในฝั่งปลอดเชื้อทันที คือหาย ย้ายเราจากฝั่งของ DNA ของอาดัม ซึ่งติดเชื้อ มาอยู่ DNA ของพระเยซูคริสต์ทันที ไม่ต้องรอให้ตาย ไม่ต้องรอให้สะสมความดีความงามต่อไป ไม่ต้องเลย ทันทีเลย 100% ไม่มีการค่อยๆ หาย  และไม่มีการกลับไปกลับมา  หาย 3 วัน อีก 3 วันไม่หาย  แล้วก็ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ  ทั้งอยู่ DNA ของอาดัมด้วย และอยู่ใน DNA ของพระเยซูด้วย  ติดเชื้อด้วย 3 วันหาย 3 วันเป็นไม่มี หาย ก็คือหายเลย พอเกิดใหม่ มันเป็นเลย มันไม่สามารถที่จะกลับไปกลับมา  เหมือนเราเกิดเป็นลูกผู้ชายตอนนี้  เราไม่สามารถเกิดเป็นลูกผู้ชาย อีก 3 ปี เราจะไปเป็นผู้หญิง  แล้วอีก 3 ปี เราจะกลับมาเป็นผู้ชายอีก  แล้วมาเป็นผู้หญิง ไม่ได้  เกิดเป็นอย่างไร? ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

ลักษณะเดียวกัน คือได้เกิดใหม่ พระเจ้าจะย้ายเราทันทีเลย  ไม่ใช่กลับไปกลับมา วันนี้วันอาทิตย์ฟังถ้อยคำพระเจ้าเยอะๆ รู้สึกชื่นอกชื่นใจ หายจากโรคไวรัสบาปจริงๆ เลย พอเจอปัญหา เจอระบบของโลกใบนี้ ซึ่งมันเสียหายไปแล้ว ทำให้เกิดปัญหา ทำให้เกิดความเครียด  รู้สึกว่าไม่ได้ถูกรักษาให้หาย ไม่ได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ววันนั้น  อะไรประมาณนั้น

เมื่อถูกรักษาให้หาย  คือพระเจ้าจะย้ายเรา  จากฝั่ง DNA ของอาดัมไปอยู่ในฝั่งพระเยซู มนุษย์ทุกคนไม่อยู่ในบาป ก็อยู่ในฝั่งชอบธรรม ก็คือไม่บาป  ไม่อยู่ในความชั่ว ก็อยู่ในความดี ไม่ดำ ก็ขาว ไม่ตาย ก็มีชีวิต ไม่อยู่กับมาร ก็อยู่กับพระเจ้า ไม่อยู่กับความมืด ก็อยู่กับความสว่าง หลุดพ้นจากขุมนรก ก็มาอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่กลับไปกลับมา อยู่ในสวรรค์ 3 วัน อยู่ในนรกวันหนึ่ง ขาข้างหนึ่งอยู่ในสวรรค์ ขาข้างหนึ่งอยู่ในนรก ไม่ใช่

DNA ของอาดัม … VS  … DNA ของพระเยซูคริสต์

อยู่ในบาป … VS … ในความชอบธรรม

อยู่ในความชั่ว … VS … อยู่ในความดี

ดำ … VS … ขาว

ตาย … VS  … มีชีวิต

อยู่กับมาร … VS … อยู่กับพระเจ้า

อยู่ในนรก … VS … อยู่ในสวรรค์

สิ่งเหล่านี้ คือการเปลี่ยนทันที ย้ำอีกครั้งหนึ่ง ทันที ไม่อยู่ในผู้ที่จะถูกพิพากษา  ลงโทษ ก็อยู่ในฝั่งผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรม พ้นจากโทษแล้ว  ก็คือไม่อยู่ในคุก ก็อยู่นอกคุก อยู่ตรงกลางไม่มี เป็นศัตรูกับพระเจ้า หรือเป็นลูกพระเจ้า ไม่มีข้างๆ ไม่มีเป็นลูกด้วย เป็นศัตรูด้วย ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าการได้มาทั้งสองข้าง  2 สถานะ ที่เล่าให้ฟังคร่าวๆ มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากตัดสินใจเลือกข้างเท่านั้น  พระเจ้าวางแบบให้อย่างนี้เลย  เพราะพระเจ้าไม่บังคับ  บังคับไม่ได้อยู่แล้ว พระองค์เป็นเจ้าแห่งความรัก  ควบคุมทุกอย่างด้วย ความรัก ไม่ใช่บีบบังคับ ควบคุม เป็นทาส ไม่ใช่ เราเป็นลูก และพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ให้มีอิสรภาพในการตัดสินใจ ในการเลือกเอาเอง

เพราะฉะนั้น มนุษย์คนๆ นั้นต้องเลือกเอง ตัดสินใจเองที่จะเลือกเอาข้างไหน?  มนุษย์สามารถที่จะเลือกหัวหน้าครอบครัวได้คนเดียวเท่านั้น  คือจะเลือกหัวหน้าครอบครัวเดิม อยู่ที่เดิม  ก็คืออาดัม บรรพบุรุษ หรือเลือกหัวหน้าครอบครัวใหม่ ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว 1990 ปีผ่านมาแล้ว คือพระเยซูคริสต์ ให้เลือกเอาข้างใดข้างหนึ่ง มนุษย์ต้องตัดสินใจเอง ด้วยความสมัครใจว่าจะเข้าสู่ขบวนการ การได้รับการรักษา โดยพระเยซูคริสต์ ให้หายจากไวรัสบาปนี้หรือไม่ ด้วยตนเองจริงๆ สมัครใจไหม?  พระเจ้าจึงจะสามารถรักษาเขาให้หายได้  ไม่ใช่ไปบีบบังคับให้เขามารักษา  ทำไม่ได้

เขาบอกว่าพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง ยกเว้นสิ่งเดียวที่พระองค์ทำไม่ได้  คือบังคับให้เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์เป็นผู้ประทานให้มนุษย์ทั้งปวง เพื่อรักษาให้เขาหายจากบาป กลับคืนดีกับพระเจ้า กลับไปหาพระเจ้า กลับไปอยู่กับพระเจ้าในบ้านเหมือนเดิม  แต่พระเจ้าไม่สามารถที่จะบังคับเขาได้ เพราะเราถูกสร้างมาให้มีอิสรภาพในการตัดสินใจทุกอย่าง เพราะฉะนั้น เขาต้องตัดสินใจ  เพื่อที่พระเจ้าจะสามารถรักษาเขาให้หายได้  โดยเขาเต็มใจ พระองค์จึงสามารถรักษา และวิธีการของพระองค์รักษา อย่างที่ผมบอก ไม่ใช่เอายามาใส่ แต่เป็นการผ่าตัดวิญญาณ ครั้งที่แล้วเราเรียนรู้เรื่องนี้ไปแล้วนะ  พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณ แล้วให้เราได้บังเกิดใหม่ ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระองค์ คืออาณาจักรสวรรค์ ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด ของมาร เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ย้าย DNA ของเราเลยนะ ให้เราเกิดใหม่  เด็ดขาดเลย

นี่คือหลักการที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าหลายพันปี และเอเสเคียล ได้บอกไว้ล่วงหน้า ประมาณสักหกถึงเจ็ดร้อยปีก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง ก็คือก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อ 1990 ปีที่ผ่านมา เอเสเคียล 36:26-27 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

เอเสเคลีย 36:26-27 “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

 

ขบวนการทั้งหมดนี้ คือการผ่าตัดเอาวิญญาณเก่าออกไป  เอาวิญญาณใหม่เข้ามา  ผ่าตัดเอาจิตใจเก่าออกไป  เอาจิตใจใหม่เข้ามา   เอาวิญญาณและจิตใจเก่า  ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นมิตรกับบาป เป็นมิตรกับมาร เอามันออกไปเลย ฆ่ามันให้ตาย แล้ว ให้เราเกิดใหม่ มาเป็นวิญญาณที่รู้จัก อยู่ข้างเดียวกับพระเจ้า  เชื่อพระเจ้า รักพระเจ้า  เห็นภาพไหมครับ

ยิ่งภาพปัจจุบันยิ่งชัดเจนใหญ่เลย ยุคไฮเทค เข้าห้องผ่าตัดเอาวิญญาณและจิตใจของเราออกมา แล้วเอามาปลูกไว้ในร่างกายของพระเยซูคริสต์ อันเดิมเราอยู่ในอาดัม เต็มไปด้วยเชื้อบาป สกปรก ผ่าตัดเอาออกมา ทั้งวิญญาณและจิตใจ เอามาปลูกอยู่ในพระคริสต์ และให้ชีวิตเราปลูกฝังอยู่ในพระคริสต์

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลใช้คำว่า “ให้ซ่อนอยู่ในพระคริสต์” คือเก็บไว้อยู่ในพระคริสต์ ซ่อนตัวนี้หมายถึงปกป้องไว้ ให้ปลูกลงไปใน DNA ทั้งร่างกายและวิญญาณของพระเยซูคริสต์ แล้วให้ค่อยๆ เจริญเติบโตไปพร้อมๆ กับพระเยซูคริสต์ โดยพระวิญญาณของพระเจ้าจะเป็นพี่เลี้ยง ให้วิญญาณใหม่ของเรา  ที่พระเจ้าได้ผ่าตัดพร้อมจิตใจใหม่นั้น ติดกับวิญญาณของเรานั้น ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ  เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ สะอาด บริสุทธิ์ เรียกว่าบังเกิดใหม่ในพระเจ้า ชีวิตถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์  เหมือนครั้งที่แล้วที่เราได้เรียนว่าพระเจ้าได้ใช้วิธีนี้  หลักการ ก็คือผ่าตัดเอาวิญญาณและจิตใจของเรา เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์

การเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ใช้คำว่าบัพติศมา หรือการจุ่มลงไป หรือการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ให้เข้าไปอยู่ในร่างกายของพระคริสต์

พอพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  ตายต่อบาป  เราที่อยู่ในพระเยซูก็ตายต่อบาปด้วย  พอพระเยซูอยู่ในหลุมฝังศพ เราที่อยู่ในพระเยซู ก็อยู่ในหลุมด้วย  และวันที่สามพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เป็นขึ้นมาใหม่ บังเกิดใหม่ เราที่อยู่ในพระเยซู เราก็เป็นขึ้นมาใหม่กับพระเยซูด้วย

นี่คือหลักการ ที่พระเจ้ารักษาเราให้หายจากโรคบาป ด้วยวิธีนี้ คือเปลี่ยนใหม่เลย  พระคัมภีร์บอกว่าเราทั้งหลายเป็นบุคคล หรือเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็น New
Creation เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นใหม่เลย  ให้กำเนิดใหม่เลย ในพระคริสต์ และชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น

นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ล หรือที่ผมให้ชื่อว่าเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้บันทึกเอาไว้ มันน่าตื่นเต้นนะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเกิดขึ้นอย่างนั้นจริงๆ  พระคัมภีร์ได้บอกไว้ในหนังสือโคโลสีไว้อย่างชัดเจน ที่เราได้เรียนรู้กันว่าพระองค์ได้ทรงย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระบุตร ย้ายเราออกจากอาณาจักรของมารมาสู่อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ย้ายเราออกจากคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรม ย้ายเราออกจากการเป็นลูกมาร มาเป็นลูกพระเจ้า

สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ และเมื่อเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราก็สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ สะอาดบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีบาปอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง  เพราะว่าเราเกิดมาเป็นเลย  นี่คือกฎทางวิญญาณ ที่เกิดขึ้นทางวิญญาณ ที่มนุษย์มองไม่เห็น  พระคัมภีร์ได้บันทึกว่าสิ่งที่ตาของมนุษย์มองไม่เห็น  และหูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้สำหรับผู้ที่รักพระองค์ คือสิ่งที่ดีงาม ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ มันอยู่ในโลกวิญญาณทั้งสิ้น  แล้วพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าโลกวิญญาณมันเป็นจริงเป็นจังมากกว่าโลกวัตถุที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้  โลกวัตถุที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันจะเสื่อมสลายไป เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนมันสูญสิ้นไปเป็นศูนย์ แต่โลกวิญญาณจะเข้มข้นขึ้น จะชัดเจนขึ้นมากๆ เพราะมันเป็นจริง

โลกวัตถุที่มือจับต้องได้ที่เรามองเห็นทุกวันนี้ มันกำลังลง โลกฝ่ายวิญญาณที่เรามองไม่เห็น  ดูเหมือนไม่มีจริงๆ มันกำลังขึ้น เพราะฉะนั้นตอนนี้โลกวิญญาณมันก็จะชัดขึ้นๆ จนในที่สุด สุดท้ายโลกวัตถุนี้จะสูญสิ้นไป คือโลกที่จับต้องมองเห็นได้ จะสูญสิ้นไป  เงินทอง เชื้อโรค ความบาป มันจะจบไป มันจะเป็นศูนย์ ในขณะนั้น โลกวิญญาณจะเด่นชัดอยู่โลกเดียว ซึ่งเรียกว่าสวรรค์สถานของพระเจ้าลงมานั่นเอง  พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างนี้ชัดเจน  เพราะฉะนั้น ให้เรามองไปที่โลกวิญญาณ

กฎที่เป็นปรัชญาของมนุษย์ คือทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว  ซึ่งถูกต้องสำหรับโลกนี้  โลกที่จับต้องมองเห็นได้ โลกวัตถุนี้ แต่สำหรับโลกวิญญาณ ที่ผมเล่าให้ฟังว่ามีอยู่จริง ไม่ได้เป็นอย่างที่สติปัญญามนุษย์คิด ไม่ได้เป็นตามที่มนุษย์เข้าใจ กฎทางโลกวิญญาณ คือตัวตน ธาตุแท้จริงๆ ของเรา คือวิญญาณ อยู่ใน DNA ของใคร ก็ได้รับผลตามนั้น  ขึ้นอยู่กับการเกิดอยู่ ณ ที่ใด  อยู่ในเผ่าพันธุ์ใด ถ้ายังอยู่ใน DNA เดิมตั้งแต่เกิดในท้องแม่ ก็คือ DNA ของอาดัม ก็ยังมีเชื้อไวรัสบาปอยู่ ก็ยังได้รับผลของไวรัสบาปนี้อยู่ คือความตายทั้งร่างกายและวิญญาณ ไม่สามารถเข้ากันกับพระเจ้าได้  ก็ไม่สามารถเข้าในสวรรค์ได้นั่นเอง  แต่ถ้าบังเกิดใหม่แล้ว ผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยน DAN ทั้งร่างกายและวิญญาณ  เข้ามาอยู่ใน DNA ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ก็ปลอดเชื้อบาป 100%  นี่คือกฎทางวิญญาณ  ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ที่ผมรวบรวมมา และสรุปให้ท่านได้เห็นชัดเจนง่ายขึ้น

                                      DNA อาดัม                              DNA พระเยซู

ยังมีเชื้อไวรัสบาปอยู่                       ปลอดเชื้อ 100%

ต้องได้รับผลของเชื้อ                       วิญญาณได้รับ

คือความตาย                                      การบังเกิดใหม่แล้ว

(วิญญาณและร่างกาย)                     (รอร่างกายสวรรค์)

และเมื่อเราได้รับการผ่าตัดวิญญาณเรียบร้อยแล้ว  ย้าย DNA แล้ว มี DNA ใหม่ ที่เป็น DNA ของพระเยซูคริสต์ ในวิญญาณ ในความคิดจิตใจของเรา สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือเราตั้งใจทำความดีออกมาจากธรรมชาติของเราที่อยู่ข้างใน ที่ได้เกิดใหม่  ไม่ใช่พยายามทำ ที่ได้เกิดใหม่ ที่มีธรรมชาติเป็นลูกของพระเจ้า มีความบริสุทธิ์ เหมือนปลาว่ายน้ำ ปลาไม่ต้องฝึกว่ายน้ำ  เกิดเป็นปลา ลงน้ำได้ เกิดเป็นลูกพระเจ้า  ไม่ต้องฝึกทำดีเลย มันจะทำดี โดยธรรมชาติของมันเอง ซึ่งไม่ว่าเราจะสามารถทำความดี  ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ได้มากน้อยเพียงใด ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ในขณะนี้ก็ตาม  เราก็ยังคงมั่นใจได้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าผู้ชอบธรรม ปราศจากบาป  ปราศจากความสกปรก เราบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย เพราะวิญญาณเราเกิดใหม่เหมือนพระองค์ มี DNA เหมือนพระองค์ มีเซลในวิญญาณ และความคิดจิตใจที่คิดเหมือนพระองค์ ความคิดเหมือนพระองค์ หรือมีความคิดเหมือนพระคริสต์ หรือ The mind of Christ วิญญาณก็เหมือนพระองค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เป็นเช่นไร เราก็เกิดใหม่เป็นเช่นนั้นแหละ พระคัมภีร์บอกไว้  พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์อย่างไร? เราก็บริสุทธิ์อย่างนั้น  แม้ว่าอยู่บนโลกใบนี้เราอาจจะเผลอไปทำอันโน้นอันนี้ ตามตัณหาของเนื้อหนังบ้างก็ตาม  แต่มันไม่ได้มาจากวิญญาณที่อยู่ข้างในของเรา  พอนึกภาพออกใช่ไหม? เราค่อยเรียนรู้กันต่อไป เพราะว่าธรรมชาติของความบริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาปนี้  เป็นธรรมชาติที่เป็นผลของการได้เกิดใหม่มาเป็นในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทำให้ทั้งสิ้น เป็นความรัก ความดีงาม  เป็นพระคุณอันใหญ่หลวงของพระเจ้า  ที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้ คือเราไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าให้เราเกิดใหม่ มาเป็นเลย มาเป็นผู้บริสุทธิ์ เกิดมาเป็นลูกพระเจ้า  เกิดมาเป็นคนดีเลย

เพราะฉะนั้น หลังการเกิดใหม่ในวิญญาณนี้แล้ว  เราก็ได้เป็นคนดีที่บางครั้งทำบาป  ซึ่งมันแตกต่างจากแต่ก่อนนี้ ที่เรายังไม่ได้รับเชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ  แต่ก่อนนี้เราเป็นคนบาป ในวิญญาณเราบาป  เราเคยเป็นคนบาปที่บางครั้งทำดีบ้าง เห็นไหมว่ามันแตกต่างกัน เราเป็นคนบาปที่บางครั้งทำดี แต่ตอนนี้เราเป็นคนดี ที่บางครั้งทำบาป

พระคัมภีร์พูดชัดเจน  ตัวตน คือธาตุแท้ของมนุษย์ที่จะอยู่ตลอดไปนั้น เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจ ติดอยู่กับวิญญาณนั้น และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว  ตัวตน ธาตุแท้ของมนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ จะเป็นวิญญาณดีหรือเป็นวิญญาณที่ติดเชื้อบาปอยู่นั้น ขึ้นอยู่กับการเกิด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของคนนั้นเลย แม้แต่นิดเดียว

เพราะฉะนั้น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์เลย มันขึ้นอยู่กับเขาเกิดที่ไหน? เกิดในครอบครัวอาดัม หรือเกิดใหม่ในครอบครัวของพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ ตรงนี้สำคัญกว่า ซึ่งมันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจทั้งหมด ด้วยความรัก ห่วงใย จากใจจริงถึงมนุษย์ทุกคนเลย อยากจะให้เข้าใจ อยากจะให้ตัดสินใจให้พระเจ้ารักษา คือแค่ต้อนรับข่าวดีนี้เท่านั้นเอง

ผมรู้ ผมเข้าใจ หลายท่านฟังผมพูดตอนนี้ เหมือนคนเสียสติ มีบางท่านก็บอกว่าคุณนครพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย คงเสียสติไปแล้วมั้ง บอกมาตั้งแต่ 10 กว่าปีก่อนแล้ว ว่าเหมือนคนเสียสติไปแล้ว  ผมก็ไม่รู้สึกอาย เพราะว่ามันเสียสติแน่ล่ะ ถ้าใครยังไม่รู้ความจริง  มันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ ที่จะเข้าใจ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะคิดถึงว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? แต่ผมไม่รู้สึกอาย เพราะว่าผมห่วงใยพี่น้องมากกว่า ผมคิดเหมือนที่เปาโลคิด ในหนังสือโรม 1:16-17 ได้บันทึกไว้ และทุกคนที่มารู้จักพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว ระลึกถึงพี่น้องทั้งหลายบนโลกใบนี้ และก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน พยายามเล่าให้ฟังถึงข่าวดีนี้ อาจจะถูกต่อว่า หรืออาจจะถูกนินทาว่าร้ายว่าเพี้ยนไปแล้วมั้ง พูดอะไรก็ไม่รู้เรื่องเลย อะไร? โลกวิญญาณเกิดใหม่ ไวรัสอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้ช่วยชีวิตท่านได้จริงๆ  ไม่ใช่ชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ชีวิตทางจิตวิญญาณไปตลอด ชั่วนิรันดร ชีวิตหลังความตาย ลองอ่านดูนะครับ

โรม 1:16-17 “16 ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย 17 เพราะในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมจากพระเจ้าก็ได้รับการเปิดเผยเป็นความชอบธรรม ซึ่งเริ่มต้นด้วยความเชื่อและนำไปสู่ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิต โดยความเชื่อ”

 

เห็นไหมครับ เขาใช้กันมาตลอด 2,000 กว่าปีแล้ว ผมก็อยากจะอ่านง่ายๆ ว่า …

“ผมนครก็ไม่ได้ละอายในข่าวดีที่ผมพูดออกไปทั้งหมดนี้เลย  เพราะข่าวดีในพระเยซูคริสต์เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  เพื่อให้ทุกคนรอดจากเชื้อไวรัสบาป  กลับมาอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ รอดจากนรก กลับมาอยู่ในสวรรค์ตลอดไป หลังความตายก็มีที่อยู่ในสวรรค์ให้กับเขาคนนั้น เพราะเขาบริสุทธิ์สะอาดและเป็นลูกของพระเจ้า”

อยากจะเรียนพี่น้องทุกคนด้วยความรักว่าอย่าทิ้งเรื่องนี้ จะว่าผม หาว่าเพี้ยนหรืออะไรก็ตามผมไม่ว่าหรอกครับ แต่อย่าทิ้งเรื่องนี้ เก็บไปใคร่ครวญ ไปคิดก่อน ติดตามไปเรื่อยๆ ว่ามันคืออะไร? มันจริงไหม? คุยกับคุณนครเรื่องอื่นๆ ก็รู้เรื่องดี  ทำไมมาคุยเรื่องนี้ รู้สึกพูดอะไรตลกๆ แปลกๆ นะ วิญญาณอะไรก็ไม่รู้ เพี้ยนไปหรือเปล่า? ไม่เพี้ยนนะครับ ใหม่ๆ ผมก็อย่างนี้แหละ ผมเลยเข้าใจท่านดี เพราะฉะนั้น อย่าไปทิ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะพี่น้องที่อยู่รอบข้างที่ใกล้ชิดกัน เพื่อนฝูงรู้จักกัน แม้กระทั่งไม่รู้จักกัน อยู่ประเทศไหน อยู่เมืองไหน ก็ส่งกระแสแห่งความรัก ความห่วงใยไปถึงทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้ เป็นระยะเวลาที่มันน่าคิดมาก สถานการณ์ของโลกใบนี้  ไม่รู้จะจบเมื่อไร? จะเป็นอย่างไร?  และสถานการณ์โควิด มันเป็นตัวเตือนเราว่าโลกมันจะจบ ก็อาจจะเป็นไปได้ หรือถ้าโลกไม่จบ เราอาจจะจบชีวิตลงก็ได้ แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน? เรามั่นใจไหมว่าเราจะไปอยู่ในสวรรค์ เรามั่นใจไหมว่ามีชีวิตหลังความตาย แล้วเราจะไปไหน? หรือเรามั่นใจไหมว่าชีวิตหลังความตายไม่มี ไม่ต้องไปสนใจ เรามั่นใจแค่ไหน?  เพราะฉะนั้น อย่าทิ้งเรื่องนี้ นำไปคิด นำไปฟัง นำไปใคร่ครวญเถิดด้วยความรัก และห่วงใยจากผมและพี่น้องทุกๆ คนที่ได้รู้เรื่องนี้แล้วทั้งสิ้น เฝ้าอธิษฐานตลอดเวลาให้กับท่านทั้งหลายที่กำลังจะตัดสินใจ ที่กำลังฟังอยู่นี้  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************