คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2019 เรื่อง “วันคริสต์มาส … คนบาปได้คืนดีกับพระเจ้า” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่  22  ธันวาคม  2019

 เรื่อง “วันคริสต์มาส … คนบาปได้คืนดีกับพระเจ้า”  ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้ขาวบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย  พระเจ้าคุยด้วย ก็คุยได้ ติดต่อกับพระเจ้าได้ เพราะว่าพระเจ้าก็ขาวบริสุทธิ์ มนุษย์ก็บริสุทธิ์ วิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยกัน เป็นอย่างนี้เลย และมันเกี่ยวอะไรกับวันคริสตมาส เกี่ยวเพราะว่าถ้าเผื่อเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องมีวันคริสตมาส พระเยซูไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่บาปให้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพระเยซูจำเป็นต้องมา เพราะว่าไม่ว่าเราจะเดินไปไหน ก็จะเป็นอย่างนี้ตลอด มนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ อาศัยในร่างกาย บางทีเรามอง เราก็นึกว่ามนุษย์เป็นร่างกายแค่นี้ ไม่ใช่ นั่นตัวปลอม ไม่ได้ตัวจริงเลย วันหนึ่งตัวท่านก็ต้องลงไปในดิน ต้องตายไป ตัวเราจริงๆ เป็นวิญญาณ

“มนุษย์เป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ อาศัยในร่างกายชั่วคราว” เป็นแบบนี้ขาวบริสุทธิ์

ในพระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เริ่มต้นไปทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าบาป … “บาป” แปลว่าไม่ตรงตามเป้าหมายที่พระเจ้าสร้าง พระเจ้าสร้างให้มนุษย์ขาวสะอาด อยู่กับพระเจ้าได้ มนุษย์ไปทำบาป ไปทำผิด ผิดความประสงค์ของผู้สร้าง ความประสงค์ของพ่อว่าสร้างเขามาให้เขาอยู่กับพ่อของเขา สะอาดหมดจด เขาไปเชื่อมาร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความชั่วร้ายทั้งหมดเลย ความชั่วร้ายนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นความดี เป็นความงาม แต่มารกำเนิดความชั่วร้ายด้วยตัวของมันเอง ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเขียนไว้อย่างนั้น มารก็มาหลอกลวงมนุษย์ บอกว่า …

“ดื้อกับพระเจ้า กบฏกับพระเจ้าดีกว่า แล้วตัวเราเอง แทนที่จะเป็นลูกพระเจ้า เป็นพระเจ้าเสียเองเลย ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกพอเขาไปเชื่อมารปั๊บ เขาตกลงไปในความบาป คือเขาไม่เชื่อฟัง เขาเป็นกบฏต่อพระเจ้า เขากำลังไล่พระเจ้าออกไป พูดง่ายๆ เขากำลังบอกพระเจ้าว่า …

“ฉันไม่เอาเธอแล้ว เธอออกไป”

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่ามนุษย์จึงตกลงไปในความบาป และความบาปนี้ ที่เขาทำลงไป มันเป็นผลให้เกิดความตาย ตายในฝ่ายวิญญาณ คือวิญญาณที่ขาวๆ อยู่กลายเป็นมืด ร่างกายก็มืด และไปเป็นทาส เหมือนไปเป็นลูกมาร เขากำลังไล่พระเจ้าออกไป พระเจ้าก็ไม่สามารถคุยกับเขาได้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป เขาก็ห่าง ตาเริ่มบอด เริ่มไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร มาจากไหน? เขารู้อย่างเดียวว่า …

“ฉันมันดำ สกปรก ฉันต้องทำอะไรบางอย่าง เพราะว่าฉันไม่ได้ถูกสร้างมาเป็นอย่างนี้ แต่ว่าฉันทำอยู่ ฉันทนไม่ได้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? วิญญาณก็มืด ร่างกายก็มืด แล้วเขาทำอย่างไร? พระเจ้าออกไปแล้ว ติดต่อกันไม่ได้ ยิ่งนับวันเป็นสิบปี เป็นร้อยปี เป็นพันปี ยิ่งไม่เห็นใหญ่เลย มองไม่เห็นพระเจ้า แต่วิญญาณเขารู้อะไรบางอย่างว่า …

“มันไม่ใช่ที่ของฉัน สีดำๆ นี้ ฉันไม่อยากจะอยู่อย่างนี้ มันไม่ใช่ธรรมชาติของฉัน ที่ฉันเป็น วิญญาณฉันมาจากพระเจ้า ฉันไม่ได้ดำอย่างนี้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? ดิ้นก็ไม่หลุด เพราะว่ามันอยู่ที่วิญญาณ”

เพราะฉะนั้น เขาจึงทำได้แค่ร่างกายภายนอกนี้ ก็เริ่มทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “ความดี” ตลอดชีวิตของเขา ไม่ว่าจะกี่พันปีก็ตาม มนุษย์ก็จะทำอย่างนี้ ข้างในวิญญาณทำอะไรไม่ได้ ร่างกายรู้ว่า …

“ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากสิ่งที่ดีงาม ตามธรรมชาติที่ฉันเกิดมาเป็น  ฉันควรจะทำดี ฉันควรจะให้ ร่างกายฉันทำอยู่ และฉันพยายามที่จะดำเนินชีวิตด้วยความรัก เพราะฉันเกิดมาเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของฉันเป็นอย่างนั้นจริงๆ”

นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จะเป็นอย่างนี้หมด จากสีดำ เห็นไหม? ข้างนอก ชีวิตเขาเป็นสีดำ เขาพยายามทำอะไรก็ได้ ให้มันเป็นสีขาวที่สุด เท่าที่เขาจะทำได้  เพราะเขารู้ว่าสีขาวจะช่วยลดภาระเขาลง ลดคำสาปแช่งลง จากอะไรบางอย่างที่มันผิดพลาดไป เรียกว่ากรรมก็ได้  กรรมเก่า หรืออะไรต่าง เขาไม่รู้ แต่เขารู้ว่ามันต้องมีอะไรบางอย่าง  ที่มันผิดปกติในชีวิตฉัน ฉันต้องใช้หนี้มัน เขาก็จะพยายามสู้กับมันด้วยตัวเอง ทำความดีต่างๆ เหล่านี้ เพื่อให้มันขาวขึ้น แจกจ่าย ทำบุญทำทานก็ว่าไป นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง นี่คือความคิดของมนุษย์ทุกคน พยายามทำอย่างนี้ พยายามฝึกที่จะสู้กับมัน สู้กับความดำ ความมืด ความบาปในตัวของเขา

วิธีที่จะทำอย่างนี้ มนุษย์ทำอย่างไร? ก็บอกให้ครอบครัว ลูกหลานเหลนโหลน เผ่าพันธุ์ กลุ่มของตน ชนเผ่าของตน ทำความดี แล้วก็จดไว้ว่าอย่างนี้เรียกว่าดี คือ …

“การให้ คือความดีนะ จำไว้นะ ลูกๆ หลานๆ พวกเราทุกคนต้องรู้จักการให้ ต้องรู้จักแจกจ่ายคนยากจน คนตกทุกข์ได้ยาก น้ำท่วมต้องให้นะ”

เขาเรียกกันว่าเป็นกฎ … กฎของชุมชน เป็นกฎต่างๆ แล้วแต่กฎของกลุ่มไหนๆ ก็ช่วยกันคิดกฎดีๆ แล้วก็เขียนกฎนั้นออกมา เราเรียกกันว่ากฎศีลธรรม ก็แล้วแต่กลุ่มคน ชนชาติไหนก็ตาม ที่รู้ว่าอะไรที่ดีงาม ที่เรียกว่าลักษณะประเพณี วัฒนธรรม และเป็นศีลธรรมประจำกลุ่มต่างๆ ชนชาติต่างๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เป็นพันๆ ปี

อ้าว! มีเมตตา เห็นไหม?  นี่คือสิ่งที่มนุษย์พยายามจะทำให้ตัวเองขาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะรู้ว่ามันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเขา แต่เห็นอะไรบางอย่างไหม? วิญญาณเขาไม่ได้กระทบเลย วิญญาณเขายังคงดำอยู่ แม้ข้างนอกจะดูเหมือนขาว ต่อให้ทำมากกว่านี้อีก มันก็ไม่มีวันที่จะขาวหมดได้ มันก็ยังมีดำๆ อยู่ เพราะข้างในตัวจริงๆ ของมนุษย์เป็นวิญญาณ มันดำอยู่ มันทำกันไม่ได้ ทำข้างนอกอย่างไร มันก็ไม่ถึงข้างใน

ที่ตะกี้บอกพระเจ้าถูกไล่ออกไปแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์กัน ติดต่อกันไม่ได้ พระเจ้าทำอย่างไร? รักลูกของตนเอง อยากจะช่วยเขา แต่เขาไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว  เขาไม่รู้จักกับเราแล้ว แต่เราก็ยังช่วยเขาอยู่ เพราะว่าเขาเป็นลูกเรา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา เราจะไปช่วยเขาให้ได้

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงเขียนไว้ว่ามนุษย์หลงไป พระเจ้าไม่ได้ว่ามนุษย์เลวทราม ไม่ดี เพียงแต่บอกมนุษย์หลงไป เขาหลงออกจากบ้านไป จะเรียกเขากลับบ้าน วิธีเรียก ก็คือส่งพระเยซูมา นี่แหละ วันคริสตมาส ส่งมาอย่างไร?  เพราะมนุษย์ช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะวิญญาณเขาดำอยู่ ร่างกายเขาอาจจะพยายามทำได้ แต่เขาจะทำอย่างไร? ไม่มีทางจะเปลี่ยนวิญญาณได้  พระเจ้าจึงต้องประทานพระเยซูคริสต์มาในวันคริสตมาส พระเยซูมาประสูติ เพื่อที่จะเปลี่ยนข้างใน   ข้างนอกไม่สนใจเลย เพราะตัวข้างในนี้ คือตัวจริงๆ ของมนุษย์ ส่วนร่างกาย เดี๋ยวมันก็ต้องลงดิน ตายไป แต่วิญญาณต่างหากที่จะอยู่ตลอดไป จะอยู่ในนรก หรือสวรรค์ ต้องอยู่ตลอดไป เพราะเป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ มีอยู่นิรันดร์ เพียงแต่จะอยู่ที่ไหนนิรันดร์เท่านั้นแหละ พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขนไถ่บาปให้ มนุษย์คนไหนที่ได้ยินได้ฟังว่า …

“พระเยซูเหรอ ช่วยฉันได้เหรอ ฉันช่วยตัวเองไม่ได้”

ก็มาหาพระเยซูบอก “พระเยซูช่วยฉันด้วยเถิด เพราะว่าฉันช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว เหนื่อยมากๆ เลย ไม่ไหวๆ ฉันรู้ว่าทำอย่างไรก็ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เดี๋ยวก็ผิด เดี๋ยวก็พลาด ทำๆ ไป เดี๋ยวก็คิดชั่ว เดี๋ยวก็คิดไม่ดี ทำอย่างไรก็ไม่สะอาด ฉันช่วยตัวเองไม่ได้ พระเยซูช่วยฉันได้จริงๆ เหรอ ฉันขอพระเยซูมาช่วยฉันดีกว่า พระเยซูบอกผู้ใดแบกภาระและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา”

ทันทีที่เขาบอกว่าเขาขอพระเยซูมาช่วย เขายอมรับแล้วว่าเขาเป็นบาป เป็นมืดๆ อยู่ เขาช่วยตัวเองไม่ได้ ให้หลุดพ้นจากความมืดนี้ เขาต้องให้วิญญาณที่เป็นสว่าง คือพระเจ้ามาช่วยเขา เขาจึงจะทำได้ เพราะฉะนั้น เขาบอกว่าเขาไม่ไหวแล้ว ขอพระเยซูมาช่วยเถิด พระเยซูก็มาช่วยเขา  ไถ่บาปให้เขา ทันทีที่เขาเชื่อ และขอพระเยซูมาช่วย อย่างที่บอก พระเยซูมาเรียกร้องขอเขาตลอด

“เปิดใจเถิดๆ เราจะเข้าไปช่วยในใจเขา”

เขาไม่ได้รู้ เขาไม่ได้ยิน เพราะเขาชินกับสิ่งที่เขาทำมาตลอด เขานึกว่าสิ่งนี้ยังช่วยได้อยู่ ปะเข้าไปเรื่อยๆ  จนวันหนึ่งปะ จนหมดแรง เหนื่อยแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ขอพระเยซูช่วยดีกว่า อย่างนั้นแหละ พระเยซูต้องการวันนั้น วันที่เขาหมดแรง พอเขาบอกขอพระเยซูมาช่วยปั๊บ วิญญาณเขาขอ ผ่านทางตัวของเขาถูกไหม? เขาจะทำอะไร ต้องผ่านทางวิญญาณ  วิญญาณเขาก็ได้รับการบังเกิดใหม่  พระเยซูเป็นแสงสว่าง เป็นฤทธิ์อำนาจ วิญญาณพระเยซูจะผ่านเข้าไปในวิญญาณ จากปากที่เขาพูด จะเข้าไปอยู่ในนี้ เปลี่ยนแปลงวิญญาณที่มืดๆ เมื่อกี้ กลายเป็นมาสว่าง สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีบาป ไร้ที่ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เป็นผู้ชอบธรรม เหมือนไม่เคยทำผิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ความมืดความดำ พระเยซูเอาออกไปหมดแล้ว แล้วก็กลับคืนสู่พระเจ้า   เขาก็จะมองเห็นพระเจ้า ในวิญญาณ พระเจ้าก็สามารถเข้าไปกอดเขาได้ เหมือนเดิม และจากนี้เป็นต้นไป พระเจ้าก็จะจูงมือเขาเดินไปไหน? ก็ไปด้วยกันตลอด

ขณะเดียวกัน ที่ข้างนอก ทำอะไรอยู่ ตัวมืดๆ นี้ มันก็เริ่มเป็นสีเทา ดีขึ้น แต่มันก็ยังเหมือนเดิม มันไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าวันหนึ่งมันต้องลงไปสู่ดิน มันถูกสาปไปแล้ว อย่างไร มันไม่ได้ดีกว่านี้แล้ว พระเจ้าจะสนใจตรงวิญญาณมากกว่า จะได้ไปอยู่สวรรค์นิรันดร์ และพระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้ เมื่อร่างกายนี้ วันหนึ่ง 80  … 90 … 100 ปี หรือกี่ปีก็ตาม จากไป พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสำหรับสวรรค์ ที่กลับมาเหมือนสมัยตอนถูกสร้างขึ้นใหม่ๆ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีมะเร็ง ไม่มีทะเลาะกัน ไม่มีทุกข์ทรมาน ไม่มีแม้กระทั่งน้ำตาและความโศกเศร้า โดยที่ให้ร่างกายนี้ ได้เข้าไปสวมแทนร่างกายที่เข้าไปสู่ดินนี้ และพระเจ้าจะให้เขาครอบครองในสวรรค์ ซึ่งเรียกว่าบ้านของพระเจ้า ซึ่งในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ สวยสดงดงาม ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ซึ่งเหมือนพี่ชายร่วมกัน เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นทายาทร่วมกัน ครอบครองมรดก และทรัพย์สมบัติทุกอย่างในสวรรคสถานนั้นทั้งหมดเลย เป็นของเขา เท่ากันหมด ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร? มีค่าเท่ากัน ได้เท่ากัน มีศักดิ์ศรีสูงเท่ากันกับพระเยซูเลย นี่แหละ ทำไมพระเยซูจึงมาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะฉะนั้น เวลาคนมาเชื่อพระเยซู เขาไปสวรรค์แน่นอน ถามว่าทำไมไป เพราะว่าคนมาเชื่อพระเยซูแล้ว ข้างในขาว ต่อให้ไปโกหกเขาบ้าง ไปทำไม่ดีบ้าง ไปตีเขาบ้าง มันไม่ได้เกี่ยวกับข้างในแล้ว ข้างในพระเจ้าก็จะเริ่มสอนเขา วิญญาณเขาสะอาดหมดจด ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร เขาอภัยให้ใครก็ได้ทั้งหมดแล้ว จริงๆ ในใจฉัน ไม่เกลียดเลย แต่ข้างนอกมันเคยชิน มันก็เลย หมั่นไส้บ้าง? ไม่ได้สนใจตรงนี้หรอก เพราะวันหนึ่งมันจะจากไป ทิ้งไป ตัวจริงๆ มันสำคัญกว่า เหมือนกัน แต่คนละด้านกับครั้งแรก ตอนนี้ข้างในดำ ข้างนอกพยายามปะให้ขาว มันก็ไม่เข้าข้างใน พระเยซูบอก เหมือนหลุมศพฉาบปูนขาว ตอนแรกคือดำๆ ข้างใน ข้างนอกพยายามฉาบปูนขาว มันก็ไม่ถึงข้างใน ในทางกลับกัน เมื่อต้อนรับพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอดแล้ว ไม่พึ่งตนเองอีกแล้ว ไม่พึ่งความดีของตัวเอง ไม่พึ่งการกระทำของตัวเองอีกแล้ว พึ่งในการกระทำของพระเยซู ทันทีทันใดนั้น ข้างในสะอาด ข้างนอกอาจจะสกปรกบ้าง ช่างมัน เดี๋ยวพระเจ้านำไปทีละนิด มอบให้พระเจ้าไป ท่านลองคิดดู เมื่อตอนเริ่มต้น ตอนที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป และเป็นดำๆ นั้น มนุษย์ก็ไม่ได้ทำเอง ถูกไหม? เราเกิดมา เราดำขึ้นมาทันทีเลย เพราะมาจากบรรพบุรุษเรา คืออาดัมที่ดำอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น ตอนนี้ พระเยซูมา เราย้ายข้างมาอยู่กับพระเยซู พระเยซูทำให้เราขาว เราไม่ต้องทำอะไร เราก็อยู่เฉยๆ นั่นแหละ เราก็ขาวได้ โดยการเลือกข้างเอา เพราะตอนที่เราตกนรก หรือเราเป็นวิญญาณที่ดำอยู่ ตัดขาดจากพระเจ้า เราก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะอาดัมส่งทอดมาอีกที เพียงแต่เราย้ายจากอาดัมมาอยู่ที่พระเยซู ซึ่งเป็นมนุษย์อีกคนหนึ่ง พอย้ายข้าง เราก็มีชัยชนะ เป็นสีขาว โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เหมือนกัน นี่เขาเรียกว่าข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ในลักษณะของวันคริสตมาส ก็คือพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตายที่ไม้กางเขน เพื่อหลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวงทุกคน ให้พ้นจากโทษของความบาป กลับมาคืนดีกับพระเจ้า มาสู่แสงสว่าง ความสะอาด ความขาวบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้ โดยเพียงแค่เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  ยอมรับในเรื่องนี้ว่ามนุษย์เป็นวิญญาณจริงๆ และมันเป็นอย่างนี้จริงๆ แค่นี้เอง และยอมรับว่าพระเยซูมา เพื่อช่วยฉัน และฉันช่วยตัวเองไม่ได้ ก็คือ ….

–  ยอมรับว่าฉันเป็นคนบาป มืดๆ

–  ฉันต้องการความช่วยเหลือ

–  และพระเยซูช่วยฉันได้ ฉันขอพระเยซูมาช่วย จบ

แค่นั้น การพูดแค่นี้ การเชื่อแค่นี้ เป็นการย้ายข้าง จากบรรพบุรุษอาดัมมาสู่พระเยซูคริสต์ จากนั้นไป ไม่ต้องทำอะไร? บางคนถามว่าย้ายข้างต้องทำอะไรไหม? ต้องทำอันนั้นไหม? ต้องทำอันนี้ไหม? ต้องมีประเพณีเก่า ประเพณีใหม่ ประเพณีของศาสนาเดิม ของศาสนาเก่า ศาสนาใหม่ ศาสนาคริสต์ ต้องทำไหม? ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องไปยุ่งกับอะไรทั้งสิ้นเลย เชื่อแค่นี้อย่างเดียว นอกนั้นคิดว่าอยากจะทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์ ก็ทำไป อะไรที่คิดว่าไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำ เพราะว่าตรงที่สำคัญที่สุดในวิญญาณเรา เราทำแล้ว คือเราย้ายข้างวิญญาณมาสู่ฝั่งพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่เชื่อ ท่านลองดูก็ได้ ท่านจะเห็นชัดเจนว่ามันเป็นจริง เอากลับไปนั่งคิดดูก็ได้

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น จากการที่พระเยซูคริสต์มาเกิด และเราฉลองวันคริสตมาส ชาวโลกยินดี ก็เพราะอย่างนี้ เพราะมีทางไปแล้ว เรามีทางออกแล้ว และการที่จะไปอยู่กับพระเจ้า มันจะอยู่นิรันดร์กาล เพราะฉะนั้น คนที่เชื่อพระเยซู เราจะเห็นอย่างนี้ เขาอาจจะเจอความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งมันเสียหายไปเยอะแยะมากมาย ความวิปริตของโลกใบนี้ ซึ่งเสียหายไป เนื่องจากบรรพบุรุษเรา  เอาความชั่วร้ายเข้ามาในโลกใบนี้ ผ่านทางมารซาตาน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้ถูกสะสางคดี วันหนึ่งมันจะถูกสะสางคดี มันก็จะมีความทุกข์ลำบากบ้าง แต่มันเพียงชั่วคราว แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป วิญญาณก็ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์เท่านั้นเอง แล้วพระเจ้าจะสร้างโลกใหม่ ร่างกายใหม่ให้กับลูกๆ ของพระองค์อยู่ร่วมกัน นี่คือคำสัญญาที่ให้ไว้ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2019 เรื่อง “วันคริสต์มาส … คนบาปได้คืนดีกับพระเจ้า” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  ธันวาคม  2019

 เรื่อง “วันคริสต์มาส … คนบาปได้คืนดีกับพระเจ้า”  ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            Merry  Christmas” ครับ  แปลภาษาไทยเลย “ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ  จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์  ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

วันนี้ก็ต้องมาพูดเรื่องความหมายของคริสตมาสทุกปี ก็ต้องพูดอย่างนี้ คริสเตียนทุกคนตอบกันได้หมดว่าวันคริสตมาส ก็คือวันที่เขาฉลอง ไม่ใช่วันประสูติจริงๆ นะ หมายถึงเขาถือเอาวันนี้มาฉลองการประสูติของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ให้รอดพ้นจากโทษของความบาปทั้งมวล  ตามที่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  และต้องรับโทษของความบาปนั้นทุกคน โทษนี้ก็คือถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ เข้าไปไม่ได้เลย พระเจ้าจึงส่งพระบุตรองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ มาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป กลับไปคืนดี ไปมีสัมพันธ์กับพระเจ้าที่ดีเหมือนเดิม

นี่คือคำตอบว่าทำไมต้องมีวันคริสตมาส  หรือทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งทุกคนที่เป็นคริสเตียนก็ต้องรู้ตรงนี้อยู่แล้ว เป็นพื้นฐาน

ถ้าใครถามว่า “ทำไมต้องมีวันคริสตมาส”

ก็ต้องตอบเขาว่า “เพื่อว่ามนุษย์จะได้สามารถกลับคืนดีกันกับพระเจ้าได้”

เข้ากันได้ มีความสัมพันธ์กันได้ อย่างถูกต้อง เหมือนกับนึกถึงเรื่องนี้ เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ปกติบ้านเราใช้ไฟฟ้า 220 โวลต์ เราเสียบปลั๊กไป กระแสไฟ วิ่งมา 220 โวลต์ ผมไปหยิบเอาหลอดไฟที่มันเป็นหลอด 12 โวลต์ พอเสียบไปปุ๊บ มันขาด ไม่สว่างเลย ผมก็นึกขึ้นได้ เหมือนไม่มีผิดเลย  เมื่อมนุษย์ทำบาป ก็ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้าไปอย่างนี้ เข้ากันไม่ได้เลย มันไม่สว่าง ผมต้องไปเปลี่ยนเอาหลอดใหม่มา ซึ่งเขียนว่าหลอด 220 โวลต์ พอเสียบไปปุ๊บ มันกลับคืนดีกับไฟฟ้า เพราะมันคืนดีกัน มันเป็น 220 เหมือนกัน มันจึงเข้ากันได้ มันแปลว่าอย่างนี้

เราก็จะมาย้อนเหตุการณ์ถอยหลังไปอีกว่าก่อนที่มนุษย์จะกลายเป็นคนบาป มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง? แล้วทำไมอยู่ๆ มนุษย์ก็บาป และต้องได้รับโทษของความบาปนั้น พูดง่ายๆ ถ้าพระเจ้าสร้างมนุษย์ ทำไมมนุษย์จะต้องตายด้วย หมายถึงตายทางร่างกายนี้ด้วยนะ ทำไมต้องเจ็บป่วย ทำไมต้องตาย

ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่าตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์เป็นอย่างไร? เราจะศึกษาเรื่องนี้ จะดูให้ถ่องแท้ เราต้องรู้ว่ามนุษย์นั้น ประกอบด้วยอะไรบ้าง? ในพระคัมภีร์บอกมนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ใช่มนุษย์มีวิญญาณนะ มนุษย์เป็นวิญญาณ เหมือนที่ท่านบอกว่า …

“ฉันเป็นผู้หญิง” ไม่ใช่บอกว่า “ฉันมีผู้หญิงอยู่” … “ฉันเป็นผู้ชาย” มันต่างกัน

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ที่มีจิตใจติดอยู่กับวิญญาณนั้น และอาศัยอยู่ในร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมาจากธาตุทั้ง 4 ที่เรียกว่าโลกนี้  คือดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าจะศึกษาเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับเรา อันนี้สำคัญที่สุด นี่คือความจริงที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จำเป็นต้องรู้ และเมื่อรู้แล้ว จำเป็นต้องยอมรับ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อตรงนี้ไม่รับตั้งแต่แรก  ที่เรียนไป ก็ไม่มีประโยชน์ มันผิดทาง เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด เพราะฉะนั้น ต้องจำไว้ว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ มีจิตใจ อาศัยในร่างกาย จำได้ไหม?

“มนุษย์เป็นวิญญาณ มีจิตใจ อาศัยในร่างกาย”

มันต่างกันนะ “เป็น” … “มี” … “อาศัย”

จำไว้เลย ไปไหนก็ตาม ให้รู้ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ  ยกตัวอย่างเช่น ผมเป็นวิญญาณ คุณพิชิตเป็นร่างกายของผม ไปไหนก็ไปด้วยกัน ให้มองอย่างนี้ตลอด ดูในกระจกก็ให้เห็นว่าผม ฉันเป็นวิญญาณ มีความคิดอยู่ในนี้ คิดสรรเสริญพระเจ้าก็ได้ คิดไม่เชื่อฟังพระเจ้าก็ได้ แต่ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายที่สร้างขึ้นมาด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ  คือโลกใบนี้ ฉันจะอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว

และแรกเริ่ม เดิมทีนั้น วิญญาณข้างในตัวเรา มาจากพระเจ้า มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ใกล้ชิดสนิทสนม สัมผัสมองเห็นพระเจ้า มองเห็นโลกวิญญาณชัดเจนเลย ไม่ต้องพยายาม ต่อมาเมื่อมารซาตานเข้ามาล่อลวงให้มนุษย์หลงเชื่อ เริ่มดื้อกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์เรียกการไม่เชื่อฟัง การกบฏต่อพระเจ้านี้ว่าการทำบาป

การทำบาปนี้ เรียกว่า “Miss the target” แปลว่าไม่ตรงตามเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ พระเจ้าไม่ได้วางไว้ให้มนุษย์ต้องตาย พระเจ้าไม่ได้วางให้มนุษย์เป็นอย่างนี้ แต่มนุษย์ไปทำให้มันเกิดขึ้น ผิดเป้าหมายไป เขาเรียกว่าทำบาป

และผลของความบาป พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าทำให้เกิดความตายในวิญญาณ แล้วมันก็มีผลออกมาที่ร่างกายต้องกลับสู่ดิน ซึ่งมนุษย์เราเรียกว่าตายเหมือนกัน  แต่จริงๆ มันคือการกลับไปสู่ดิน สลายไป แต่วิญญาณนั้นตาย ข้างใน

ตั้งแต่นั้นมา สภาพของมนุษย์จึงกลายเป็นวิญญาณที่บาป เมื่อตะกี้นี้ วิญญาณที่เราเห็น จากสภาพเป็นลูกพระเจ้า กลายเป็นวิญญาณบาป มีลักษณะเป็นศัตรู กบฏกับพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากันกับพระเจ้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถมีสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าได้อีกต่อไป  ไม่สามารถสัมผัส ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถรับรู้โลกวิญญาณได้เหมือนเดิมอีกต่อไป กลายเป็นทาสมาร ตกอยู่ใต้อิทธิพลของมาร มารมีความชั่วร้าย กำเนิดขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง คือเป็นต้นกำเนิดของความชั่ว หรือความบาปทั้งปวง เป็นศัตรูกับพระเจ้าเกิดขึ้น โดยตัวของมันเอง ก็คือมารเป็นแหล่งกำเนิดของบาป เป็นรากของความบาป

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพอย่างชัดเจนว่านี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่มนุษย์ได้ถูกล่อลวงให้ตกลงไปในความบาป โดยผ่านทางอาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเรา เมื่อมนุษย์ทำ ถือว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ทำ เพราะว่าเราทั้งหลาย อยู่ในดีเอ็นเอของอาดัมและเอวา เพราฉะนั้น ทุกคนในเผ่าพันธุ์นี้ ตกลงไปในโทษของความบาปนี้ เหมือนกัน อยู่ในคำสาปแช่งนี้ เหมือนกันทั้งสิ้นเลย

สาธิตให้ดู แรกเริ่มเดิมที ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ วิญญาณของมนุษย์กับพระเจ้าไม่ต่างกันเลย บริสุทธิ์ สีขาว คือความบริสุทธิ์สะอาด พระเจ้ากับมนุษย์รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ไปไหนมาไหนได้ พอมนุษย์ถูกล่อลวงโดยมาร ให้ไม่เชื่อฟัง พระเจ้าสั่งไว้แล้วนะว่า …

“วันใดเจ้าขืนกบฏ ไม่เชื่อฟังเรา  เจ้าจะต้องตาย เจ้าจะได้รับโทษ เจ้าจะถูกตัดขาดจากเรา แล้วมารไปล่อลวงมนุษย์ อาดัมเอวาก็ได้ทำบาป ในโลกวิญญาณ ทันทีเลย ขาดออกจากกัน พระเจ้าสีขาว แต่มนุษย์เป็นสีดำแล้ว มืดแล้ว มนุษย์ลงไปอยู่ในอาณาจักรของความมืด จากวันนั้น มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ตลอด เข้ากับพระเจ้าไม่ได้

ตัวตนแท้ๆ ของมนุษย์ที่บอกว่าคือวิญญาณนั้น ข้างในมันเป็นบาป เป็นศัตรู กบฏกับพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้เลย ซึ่งตามกฎของพระเจ้า ก็คือความบาปก่อให้เกิดความตายและคำสาปแช่ง ไม่ต้องบอกนะคำสาปแช่งแปลว่าอะไร? มนุษย์ทุกคนรู้ดี คือการรับสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง

ปัญหาของมนุษย์จึงไม่ได้อยู่ที่การกระทำข้างนอก ที่เรียกว่าบาป แต่มันอยู่ที่สภาพวิญญาณที่เป็นบาปต่างหาก มนุษย์ทั่วๆ ไป จึงพยายามที่จะช่วยเหลือตนเองก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด หรือแม้แต่เกิดแล้ว แต่ไม่ยอมรับพระเยซู เหมือนเราเมื่อตอนก่อนมาเชื่อพระเยซู มนุษย์จึงพยายามช่วยเหลือตนเองให้พ้นคำสาปแช่ง เพราะรู้ตัวเองว่าเราเป็นคนบาป ลึกๆ เรารู้ และพยายามทุกหนทางที่จะไม่ทำบาป เพื่อจะได้ลดโทษได้ลดคำสาปแช่ง แล้วคำถามว่ามนุษย์พยายามทำด้วยวิธีใด  ก็ด้วยวิธีฝึกฝน บอกลูก บอกหลาน บอกชุมชน บอกกลุ่มของตน บอกกับตัวเอง โดยออกเป็นกฎ เราเรียกกันว่ากฎระเบียบ กฎข้อกำหนดต่างๆ ข้อห้ามต่างๆ ศีลธรรมต่างๆ ตามที่แต่ละกลุ่ม แต่ละชุมชนเห็นพ้องกันว่ามันดีงาม ทำอย่างนี้ พยายาม แต่จิตสำนึกลึกๆ ข้างในของมนุษย์ก็รู้ว่าไม่มีทางที่จะทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ มันถึงมีคำว่า “ต้องสะสมบารมี” สะสมความดีไปเรื่อยๆ ต้องเกิดใหม่อีกกี่ครั้งก็ไม่รู้ แต่รู้ว่ามันต้องทำ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็ได้แค่ทำจากข้างนอกเข้าไป มันจะครบถ้วนสมบูรณ์ได้อย่างไร? ในเมื่อปัญหามันอยู่ที่วิญญาณตัวจริงๆ ข้างใน เรามาแก้ข้างนอก มันไม่มีทางได้

ปัญหาของมนุษย์มันอยู่ที่วิญญาณที่เป็นตัวจริง ที่อยู่ข้างใน ที่มันเป็นบาป เป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายต่างๆ เป็นพิษร้ายแรงอยู่ในวิญญาณ ที่เป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ไม่ใช่การกระทำเลย พอเห็นภาพไหม?

คือข้างนอกทำอะไร  มันไม่ได้เกี่ยวกับข้างในเลยแม้แต่นิดเดียว พระเยซูบอกว่าต้นไม้ดี มันก็อยู่ที่รากของมัน มันก็จะออกผลดี ถ้าเราไปเบียดกับต้นที่ไม่ดี ก็ออกผลไม่ดี ซึ่งตอนแรกๆ มันจะดูเหมือนดี เหมือนกับว่ากำลังยิ้มอยู่ แต่มันชั่วร้ายข้างใน เขาเรียกว่าหลุมศพฉาบปูนขาว ข้างนอกก็ดูสะอาดสอ้านเรียบร้อยดี แต่ข้างในมันสกปรก

นี่ไม่ได้หมายถึงพระเยซูต้องการมาว่าใคร? แต่พระเยซูกำลังมาบอกความจริงในโลกวิญญาณ ให้เราได้รู้ว่าเหตุมันเกิดขึ้นที่ใด และพระองค์มาเพื่อช่วยเราที่ต้นเหตุ เพื่อมันจะได้ผล ก็คือต้องมารักษาเรา ต้นเหตุที่เกิดขึ้น ก็คือที่วิญญาณของเรา พระเจ้าผู้เป็นพ่อก็ขอร้อง เรียกร้องให้ลูกๆ ของพระองค์กลับบ้าน กลับมาคืนดีกันเถอะ ตั้งแต่วันนั้น โดยวางแผนการไว้ให้พระเยซูมาช่วย ร้องเรียก เรียกร้องให้มนุษย์กลับสวรรค์เถิด กลับบ้านเราเถิด โดยทางพระเยซูคริสต์ ให้มาเป็นผู้เยียวยา รักษาวิญญาณของมนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า ทำให้มนุษย์สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ กลับมาอยู่ในบ้าน มาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ ให้พระเยซูมา แก้ไข เปลี่ยนเราใหม่จากหลอดที่มันใช้ไม่ได้แล้ว ให้มันเป็นหลอดที่สามารถเสียบเข้าไปใน 220 โวลต์ แล้วก็สว่างออกมาได้ เอเมน เราไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้ เราเป็นหลอดไฟริบรี่ๆ มีไฟไม่ถึง 1 โวลต์ เราพยายามปั่นตัวเอง ปั่นให้ตายอย่างไร ก็ไม่ถึง 220 โวลต์ พระเยซูคริสต์จะมาเปลี่ยนเราเลย ชุบเราใหม่เลย เอาหลอดของเรานั่นแหละทิ้งไปเลย แล้วให้หลอดเราใหม่ เป็นหลอด 220

“เสียบเลยลูก”

พอเสียบปั๊บ มันติดปุ๊บ มันสว่างทันที พระเยซูจึงบอกว่าท่านเป็นลูกแห่งความสว่างไม่รู้เหรอ จงให้ความสว่างในท่านฉายไปยังโลกใบนี้ ไปที่ไหน ก็สว่างที่นั่น เอเมน ไม่ใช่ความดีที่ท่านทำ แต่มันเป็นหลักวิทยาศาสตร์จริงๆ ในทางพระเจ้า เพราะฉะนั้น จึงไม่สนใจ พอสว่างแล้ว ข้างนอกท่านจะไปทำอะไร เดี๋ยวมันจะตามมาเอง และความสว่างนั้น เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า มัน เกิดที่วิญญาณ  เพราะฉะนั้น มันจะไม่ได้อยู่ในสวรรค์ แค่วันหนึ่ง 2 วัน  3 วัน 7 วัน แต่มันจะเป็นตลอดไป มันไม่สามารถที่จะมานับเวลาได้ เพราะว่ามันเป็นวิญญาณ เป็นตัวตนเราเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นวิญญาณที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ ซึ่งไม่ได้แปลความหมายว่าระยะเวลานิรันดร์ เราจะอยู่ตลอดไป ไม่มีการตาย อันนั้นเป็นคุณสมบัติ ซึ่งได้รับอยู่แล้ว แต่เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ แล้วเราจะอยู่ที่นั่น พระเยซู เจ้าของวันคริสตมาสมาบังเกิด เพื่อมนุษย์จะได้กลับคืนดีกับพระเจ้า กลับไปอยู่สวรรค์ ไปอยู่บ้านของเรานิรันดร์ จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป มีความสุขตลอดไปนิรันดร์ นี่คือความหวัง นี่คือความจริง  ที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา

ในวิวรณ์บทที่ 21 อ่านนิดหนึ่ง เพื่อจะให้กำลังใจท่านว่าทำไมคนรู้เรื่องนี้ จึงมาฉลองคริสตมาสกันมานานแล้ว ไม่ใช่คริสตมาสอย่างเดียว ฉลองทุกวันแหละ ดีใจเหลือเกินที่พระเยซูมาบังเกิด เพราะเขามีความหวังในชีวิตนิรันดร์ ที่ได้อยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล โดยไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป วิวรณ์ บทที่ 21 เขาบอกถึงบ้านที่เราจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน ในโลกที่มองไม่เห็น จงมองให้เห็นเถิดในโลกวิญญาณจะเป็นอย่างนี้ว่าเมื่อท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู เชื่อในการทรงไถ่บาปของพระเยซู ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ เจ้าของวันคริสตมาสแล้ว พระเยซูได้ไถ่ท่าน ให้ท่านได้กลับคืนดีกับพระเจ้า ทำให้ท่านไปอยู่ในบ้านแห่งสวรรค์ และบ้านสวรรค์นั้น ท่านจะอยู่นิรันดร์ มีลักษณะตอนจบเป็นอย่างไร เมื่อท่านเชื่อในข่าวดี เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ท่านต้อนรับพระเยซูเมื่อไร? ท่านก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ทันที แต่เป็นอาณาจักรสวรรค์ที่เรียกว่าพาราไดร์ เรียกว่าสวรรค์อันหนึ่ง ตอนที่เรานั่งอยู่นี้ เรานั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว พระคัมภีร์บอก อยู่ในพาราไดร์ แต่รอการไปอยู่ในสวรรค์ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่พระเยซูกลับมาใหม่ หรือเมื่อวันที่ครบกำหนด ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับโลกใบนี้ อาจจะเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เที่ยงวันนี้ เราไม่รู้หรอก อาจจะเป็นปีหน้า อีกกี่ปีเราไม่รู้ มาดูสิว่าวันสุดท้ายจริงๆ เมื่อเราออกจากร่างกายนี้แล้ว  เราอยู่ที่ไหนนิรันดร์ จะได้เห็นภาพ จะได้เห็นความหมาย ความสำคัญของคริสตมาสว่ามันคืออะไร?

วิวรณ์ 21:1-4 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิม ได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาว แต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขา และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าว อีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

 

นี่คือความหวังที่ชัดเจน ที่มองเห็นจับต้องได้เลย สำหรับผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซู และได้ยอมรับแล้วว่า …

“พระเยซูเป็นผู้ไถ่บาปให้กับตัวเอง ให้กับฉัน และบัดนี้ ฉันเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้วปัจจุบันนี้ แต่อนาคตเมื่อฉันทิ้งร่างกายเก่านี้ไปแล้ว ที่ฉันสวมอยู่ในปัจจุบัน ฉันจะไปสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ และจะไปอยู่ในสวรรค์”

แบบนี้ ชัดเจน ต้องบอกตัวเองเลยว่าจงมองให้เห็นเถิด มันเป็นอย่างนี้แหละ

เราควรจะมีความชื่นชมยินดีมากขนาดไหน? ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อเรารู้ความจริงเหล่านี้

ถ้าอยากให้เห็นโลกวิญญาณ ต้องช่วยเหลือ โดยการหลับตาเนื้อหนังซะ มันจะได้มีสมาธิ หลับตาลง แล้วก็บอกตัวเองนะ

“จงมองให้เห็นเถิดๆๆๆ”

แล้วก็นึกถึงภาพที่เขาอ่านถ้อยคำพระเจ้าให้เราฟังเมื่อสักครู่นี้

“บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับฉัน ฉันจะเป็นลูกของพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับฉันตลอดเวลา และเป็นพระเจ้าของฉันตลอดไป และพระเจ้า พ่อของฉันนี้ จะซับน้ำตาทุกๆ หยดของฉัน จะไม่มีความตาย ไม่มีการคร่ำครวญ ไม่มีการร่ำไห้ ไม่มีการเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะโลกเก่า ระบบเก่าจบสิ้นแล้ว นี่คือโลกใหม่ บ้านใหม่ สวนเอเดนใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับฉัน เอเมน”

ลืมตาได้ เวลาท่านอ่านพระคัมภีร์ หรืออยากจะให้เข้าใจโลกวิญญาณชัดๆ พยายามทำอย่างนี้แหละ เราเรียกกันว่าภาวนา พิจารณา ใคร่ครวญถ้อยคำของพระเจ้า เราเรียกกันว่า Set our mind การตั้งโฟกัสไปที่โลกวิญญาณ คือสวรรคสถาน ซึ่งมันเป็นจริงตามถ้อยคำของพระเจ้า

ตอนที่พระเยซูลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และเริ่มต้นทำการประกาศ ตอนอายุ 30  ตอนหลังคริสตมาสประมาณ 30 ปี พระองค์ทรงเริ่มต้นคำแรกเลย  พระองค์ประกาศ ในยอห์น 3:16 ว่า …

ยอห์น 3:16  “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

พระบุตรองค์เดียว ก็คือตัวพระองค์เอง เพื่อจะไม่พินาศ ก็คือเพื่อจะไม่ต้องไปลงนรก ไม่ถูกลงโทษด้วยคำสาปแช่ง แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า ไม่ใช่ชีวิตนิรันดร์คืออยู่ตลอดไป  แม้คนไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็อยู่ตลอดไปเหมือนกัน อยู่ในนรกตลอดไป อยู่ในความพินาศตลอดไป แต่ไม่มีวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขา วิญญาณเขาอยู่ในความมืด

ในโคโลสี 1:21-22 ก็เช่นเดียวกัน ได้บันทึกไว้อย่างนี้ “21 ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน 22 แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหา ต่อหน้าพระองค์”

 

“ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ” ครั้งหนึ่ง เราเคยเป็นหลอดไฟที่ใช้ไม่ได้ ขืนเสียบไปพังแน่ เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ คือรักษาเรา ทำอะไรบางอย่างในวิญญาณของเรา ให้เราเป็นวิญญาณที่สามารถต่อติดกับพระเจ้าได้เหมือนเดิม

ในประโยคที่บอกว่าเพราะพฤติกรรมชั่วของท่านนั้น ไม่ใช่พฤติกรรม มันหมายถึงตัวตนจริงๆ ภาษาเดิมตรงนี้ หมายถึงว่าเพราะท่านเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในวิญญาณของท่าน “เพราะพฤติกรรมชั่วของท่าน” ก็คือเพราะพฤติกรรมจากวิญญาณชั่วของท่าน วิญญาณที่สกปรก วิญญาณดำๆ นั้น พระคัมภีร์กำลังพูดอย่างนั้น ท่านไม่สามารถเข้าหาพระเจ้า แต่พระเจ้าพระเยซูเข้ามารักษาท่าน ในวิญญาณของท่านให้เปลี่ยนใหม่เลย บังเกิดใหม่  ไม่เอาหลอดเดิมอีกต่อไป เอาหลอดใหม่มาเลย วิญญาณท่านเปลี่ยนใหม่ สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ นั่นหมายความว่าอย่างนี้

โรม 5:10 ก็เช่นเดียวกัน บอกไว้อย่างนี้ว่า … “เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน

 

ก่อนพระเยซูมาช่วยเรา เป็นอย่างนี้ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เราทั้งหลายได้รับการทำให้คืนดีกับพระเจ้า คืนดีแล้ว ดีกว่าเดิมอีก โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ โดยโลหิตของพระเยซู ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน จะเรียกว่าการบัพติศมาเข้าไปสู่วิญญาณเดียวกันก็ได้ ตามพระคัมภีร์บอก โคโลสี 1:12-14 …

โคโลสี 1:12-14 “12 ในการขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วน ในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

ก่อนที่เราจะรับเชื่อพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนบาป วิญญาณเรามืด แต่เมื่อเราเริ่มต้นยอมรับ และเชื่อในความจริงในข่าวดีนี้ว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้เรารอดจากโทษของความบาป และความตายนี้ได้ พอเรารับเชื่อปั๊บ พระเจ้าได้เอาวิญญาณดำๆ ที่ข้างในนั้น ตัวตนแท้ๆ ของเราลงไปอยู่กับพระเยซู ไปตายร่วมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ไปลงในนรก พร้อมกับพระเยซู ในวินาทีนั้นเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้ววันที่ 3 พระเจ้าก็ชุบให้เราเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ทั้งหมดในพระคัมภีร์ใหม่ ชัดเจน เป็นอย่างนี้ นี่ข่าวดีของพระเยซูคริสต์

ถามว่าทั้งหมดนี้ เกี่ยวอะไรกับที่เราทำไหม? ไม่เกี่ยวเลย  ข้างนอกจะทำอะไรไม่เกี่ยวเลย  ไม่สำคัญเลย สำคัญที่วิญญาณที่เราอยู่ข้างในต่างหาก ใช่ไหม? แล้วพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์จึงประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” มนุษยชาติ จากอาณาจักรของความมืด  มาสู่ความสว่างได้รับอิสรภาพแล้ว จากอยู่ในคุกมืด บัดนี้มนุษย์ ไม่ใช่ฉันคนเดียว มนุษย์ทั้งหมด สามารถที่จะมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง มาคืนดีกับพระเจ้าได้แล้ว ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว หมายถึงอย่างนั้น มนุษย์จากคนบาป มาเป็นคนชอบธรรมได้แล้ว วิญญาณนะ จากการเป็นทาส เป็นหนี้ต้องชดใช้ มาเป็นวิญญาณที่มีอิสรภาพ ได้ครอบครองสวรรค์ของพระเจ้า ในฐานะลูกของพระเจ้าด้วย ได้ถูกย้ายจากอำนาจของมาร มาสู่อำนาจของพระเจ้า จากอยู่ในนรก อยู่ในความพินาศตลอดไป กลายเป็นมาอยู่ในสวรรค์ และจะอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ มีความสุขกับพระเจ้าตลอดไป ถูกย้ายจากเผ่าพันธุ์ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย  ซึ่งได้รับมาจากรากของมารซาตาน ลงไปอยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ผ่านทางอาดัม ต้น DNA ของมนุษย์ เราเคยอยู่ในตัวอาดัม อยู่ในรากของต้นไม้ต้นนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่เป็นรากของความชั่วร้าย ความตาย การเป็นกบฏต่อพระเจ้า บัดนี้ถูกย้ายออกจากรากของต้นนี้แล้ว มาอยู่ในรากของต้นใหม่ที่ชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เอเมน เห็นภาพไหม?

ทุกอย่างอยู่ที่รากมัน มันอยู่ที่ข้างใน มันไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก  ถ้าเข้าต่อกับรากถูก มันไปเอง ข้างนอกไม่ต้องไปสนใจเลย ข้างนอกเดี๋ยวพระวิญญาณก็จะนำเราไปทำ ถูกๆ ผิดๆ บ้าง ก็ไม่เป็นไรหรอก ให้มันสมกับที่เป็นลูกพระเจ้าก็แล้วกัน จะเอาครบถ้วนบริบูรณ์ จนกระทั่งสุดท้ายบนโลกใบนี้ มันเป็นไม่ได้หรอก แต่วิญญาณมันสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องห่วง ลูกเอ๋ย เอเมน ตัดสินใจจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่เชื่อฟังพระเจ้า 100% เลย เข้ากันได้ดี เรียบร้อยเลย เพราะวิญญาณเข้ากันได้เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าใช่ๆ แต่เนื้อหนังร่างกายข้างนอก ก็ว่ากันไปตามความเคยชิน ตามระบบที่ต้องอยู่บนโลกใบนี้  ระบบที่มันเสียหาย ไปบนโลกใบนี้ มันทำให้เกิดอะไรวิปริตวิปราตเยอะแยะไปหมด ไม่เป็นไรลูกเอ๋ย เดี๋ยวเรานำไปเอง เอเมน เขาถึงเรียกว่าพระคุณไง จากความทุกข์นิรันดร์ พระเยซูนำพาเรา เปลี่ยนแปลงวิญญาณเราเข้ามาสู่ความสุข ที่เป็นนิรันดร์ ซึ่งแปลว่าตลอดไป ตลอดกาล

1 โครินธ์ 15:22 “เพราะในเมื่อความตาย สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต ฉันนั้น”

 

มนุษย์ทั้งหมด  เป็นวิญญาณ และทั้งหมดอยู่ในความตาย อยู่ในความมืด มนุษย์ทุกคนเริ่มต้นจากอาดัมนั่นเอง ในอาดัมคนทั้งปวงตาย นี่พูดถึงปฐมกาล และก็ตายมาตลอด เพราะมีแต่ลูกหลานอาดัมทั้งนั้น และลูกหลานเหล่านั้นก็ติดเชื้อมาตลอด วิญญาณก็ตายมาตลอด จนกระทั่ง เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นหัวหน้าของมนุษย์ เพราะมนุษย์ต้องได้รับการช่วยเหลือจากมนุษย์เท่านั้น มนุษย์จะได้รับการช่วยเหลือมาจากวิญญาณไม่ได้ วิญญาณหมายถึงวิญญาณเปล่าๆ จากทูตสวรรค์ก็ไม่ได้ จากพระเจ้าเองก็ไม่ได้ จากพระเยซูก็ไม่ได้ ถ้าเผื่อพระเยซูไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็เป็นวิญญาณ ก็มาทำอะไรบนโลกใบนี้ไม่ได้ โลกใบนี้เป็นของมนุษย์ เพราะฉะนั้น ใครจะมาทำอะไรบนโลกใบนี้ ต้องเป็นมนุษย์ พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้มีสิทธิ จะทำอะไรก็ได้  เป็นหนึ่งคนของมนุษย์ เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ และเป็นมนุษย์ที่มาจากพระเจ้า  และเป็นมนุษย์ 100% ก็คือเป็นบุคคลเดียวในโลกใบนี้ ที่พิเศษกว่าชาวบ้านเขา สมัยนั้น  เรียกว่าเป็นทั้งพระเจ้าและเป็นทั้งมนุษย์ในคนเดียวกัน จึงจำเป็นต้องมาเกิดในหญิงพรหมจารีย์ แมรี่ เพื่อเป็นมนุษย์ แต่วิญญาณมาจากพระเจ้า เพื่อมาเป็นตัวแทนของมนุษย์ รับโทษ การกระทำของมนุษย์ทั้งปวง รับเอาความบาปทั้งปวงไว้ที่ตัวพระองค์เอง เพื่อจะไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความผิดบาป ที่ต้องรับโทษ แล้วพระองค์ก็เป็นต้นพันธุ์ของมนุษย์พันธุ์ใหม่ ตระกูลใหม่ ต่อจากอาดัม ก็คือเป็นต้นตระกูลของพระคริสต์

เพราะฉะนั้น บนโลกใบนี้ ทุกวันนี้ในโลกวิญญาณ มนุษย์มีอยู่แค่ 2 ตระกูลเท่านั้น ตระกูลหนึ่ง คือตระกูลเก่า มีชื่อว่า “ในอาดัม” ตระกูลใหม่ เชื่อวางใจในพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแน่นอน มาเริ่มต้นพันธุ์ใหม่แน่นอน มาพาฉันกลับบ้านไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน และเชื่อตามนี้  เขาก็จะได้ไปอยู่ในตระกูลใหม่ ตระกูลที่มีชัยชนะ เรียกว่า “ในพระคริสต์” ท่านอยากจะเลือกอย่างไหน? แน่นอน ถ้าเรารู้ความจริงเหล่านี้ ไม่มีใครเลือกอาดัม เลือกในพระคริสต์ วิธีเลือกทำอย่างไร?  เชื่อแค่นั้นเอง เชื่อว่าพระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์มากระทำสิ่งนี้ เพื่อปวงมนุษยชาติทั้งหลายจะได้รับความรอด จากบาป รอดจากนรก เพื่อมาตั้งต้นพันธุ์ใหม่ของมนุษย์ เรียกว่าพันธุ์แห่งชัยชนะ เพื่อให้มนุษย์ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เพราะเป็นวิญญาณบาปนั้น ได้มีโอกาสย้ายตัวเองแค่นั่นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะทำไม่ไหวอยู่แล้ว  เพราะวิญญาณเราบาปอยู่ มาพึ่งในบุคคลที่สามารถทำได้ พี่ชายหรือบรรพบุรุษเราคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่าเยซู และเขาบอกว่าเขามาจากพระเจ้า แค่นั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ใช้สิทธิ์

เพราะตอนที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป ตอนสมัยอาดัม มนุษย์ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะอาดัมทำ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันยังเป็นบาปไปด้วยเลย ฉันยังถูกสาปแช่งไปด้วยเลย แล้วพระเยซูมา เพื่อช่วยฉันหลุดพ้นจากคำสาปแช่ง ฉันก็ไม่ต้องทำอะไรด้วย ตอนก่อนหน้าพระเยซูจะมา ฉันเชื่อว่าฉันอยู่ในอาดัม มนุษย์มีเวรมีกรรมต้องชดใช้ ทำไมฉันเชื่อได้ ฉันไปทำเวรกรรมอะไรมาจากที่ไหน? เกิดมาก็ต้องชดใช้เวรกรรม เวรกรรมปางก่อนปางไหนก็ไม่รู้ ฉันก็ยอมรับได้ แต่พอมาบอกว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ต้องชดใช้บาปแหละ มันจริงเหรอ มันเป็นไปได้เหรอ ทีอย่างนี้ทำไมไม่เชื่อ มันก็เหมือนกันแหละ มันไม่ต่างอะไรกันเลย คนหนึ่งพาเราไปลงเหว อีกคนหนึ่งพาเราขึ้นจากเหว เราไม่ได้ทำอะไรทั้งสองข้างเลย  ตอนบาป เราก็ไม่ได้ทำ ตอนเป็นขึ้นมาใหม่ เราก็ไม่ต้องทำเช่นเดียวกัน เพราะว่าความตายทั้งหมดที่เข้ามาในโลก เกิดจากมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์เพียงคนเดียว ก็ทำให้เป็นขึ้นจากความตายได้เหมือนกัน และเพราะว่าในอาดัมทำให้มนุษย์ทุกคนตาย ตัดขาดจากพระเจ้า และต้องอยู่ในนรกตลอดไป ฉันใดก็ฉันนั้น ในพระเยซูคริสต์ ในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้มนุษย์ทุกคน เป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นขึ้นมาใหม่ เกิดใหม่ เข้ามาสู่ชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้าได้เช่นเดียวกัน (เยาะเย้ยมารแบบว่า “นะโว๊ย มารแพ้แล้ว”) ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ในพระคัมภีร์เขียนคำนี้เลย เยาะเย้ยเลย เปาโล เขียนบอก …

“ความตายเจ้าอยู่ไหน? เหล็กในเจ้าอยู่ไหน?”

นี่มันก็เคือเยาะเย้ยนะ  ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับชัยชนะเหนือความตายเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว นี่คือข่าวดีมันง่ายๆ มันไม่มีอะไรเลย  ถ้าเราไม่ไปผสมปนเปกับปรัชญา หรือสติปัญญาแบบมนุษย์ พระเยซูถึงบอกสำเร็จแล้วๆ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือสำเร็จแล้ว

โอเค มาถึงเวลาให้เราฝึกฝนในการใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ … หลับตาลง … แล้วก็พูดกับตัวเอง …

“จงมองให้เห็นเถิด จงมองเข้าไปในวิญญาณ (พูดกับตัวเองนะ) จงมองเข้าไปในโลกวิญญาณและมองให้เห็นเถิด  (สบายๆ หายใจลึกๆ ให้พระวิญญาณนำเราไป) ฉันเป็นวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ มีจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้ เป็นวิญญาณและมีจิตใจที่เหมือนกับพระเยซู สะอาด บริสุทธิ์ ไร้ที่ตำหนิใดๆ ในสายพระเนตรของพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรม เป็นความสว่างเหมือนพระเจ้า เป็นความรักเหมือนพระเยซู วิญญาณของฉันนี้ และใจนี้ อาศัยในร่างกายเก่านี้ เพียงชั่วคราว วันหนึ่ง เมื่อร่างกายนี้ กลับสู่ดินไป วิญญาณและจิตใจใหม่ ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของฉัน จะไปรอสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ จะเป็นร่างกายที่สง่างาม เต็มด้วยรัศมี ราศีพระสิริของพระเจ้า  ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป ตลอดชั่วนิรันดร์ และฉันจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป เป็นลูกของพระเจ้าที่ได้ครอบครองทุกสิ่ง ร่วมกับพระเยซูตลอดไป ขอบคุณพระเจ้า”

แล้วก็ให้อธิษฐาน … “พระบิดาขอช่วยลูกให้เห็นภาพเหล่านี้ ที่จะเป็นจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ให้ชัดเจน เพื่อลูกจะได้มีกำลัง มีความหวังในการดำเนินชีวิตอยู่ เพื่อประกาศข่าวดีของพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน และลูกอธิษฐานขอพระองค์ทรงช่วยลูก ที่จะนำเอาแสงสว่างความจริงของพระองค์นี้ ไปยังบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้ ทุกๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ยังไม่รู้ความจริง ยังไม่ได้ยอมรับความจริงเหล่านี้ ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ขอทรงช่วยผู้คนเหล่านั้นด้วยเถิด จะผ่านทางชีวิตของลูกหรือผ่านทางอะไรก็ตาม ลูกอธิษฐานวิงวอนให้กับผู้คนเหล่านั้น พี่น้องร่วมโลกเดียวกัน ที่เขายังไม่ได้เห็นความเป็นจริงนี้ ขอเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้กับเขาด้วยเถิด ลูกสรรเสริญ และขอบคุณพระองค์ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

 

**************************