คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “ตรึงไว้กับพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2018

เรื่อง “ตรึงไว้กับพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เวลาเราจะไปไหน?  เราจะได้ยินเสียงตั้งแต่ 2,000 ปีมาถึงทุกวันนี้ เราจะได้ยินเสียงทางวิญญาณ  เสียงของใครรู้ไหมครับ? เสียงของพระเยซู พระเยซูจะว่าตะโกนก็ได้นะ บอกว่า ..

ใครบ้างที่อยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระองค์พูดตั้งแต่ตอนที่ถึงเวลากำหนด เวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ว่าจะมาไถ่ถอนมนุษย์ พระเยซูก็ถูกส่งมา บังเกิดเป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์ปุ๊บ เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ก็ได้เริ่มเชื้อเชิญคน และท้าทาย และคำถามให้ทุกคนทราบว่า …

“ใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง”

พูดมาตลอด จนกระทั่ง ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ทำงานสำเร็จแล้ว  จนถึงทุกวันนี้ โลกวิญญาณก็จะพูดผ่านทางคริสตจักร ผ่านทางคนที่เชื่อในพระองค์ว่าใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง

การหายเหนื่อยและเป็นสุข คือการหายเหนื่อยทางวิญญาณ คือหมดเวรหมดกรรมเสียทีหนึ่ง นั่นแหละ คนไทยเราจะรู้จักกันดีเลย หายเหนื่อยและเป็นสุข คือหายจากอาการเหนื่อยทางวิญญาณ ต้องแสวงหาการหลุดพ้น ต้องชดใช้หนี้บาปเวรกรรม เมื่อไรมันจะหมดสักที เจ้ากรรมนายเวรตามล่าตลอดเวลา เมื่อไรมันจะหมดสักที มันเหนื่อย พระเยซูบอกใครที่เหนื่อยอย่างนี้ ทั้งโลกเลย มนุษย์ทุกคน ใครเหนื่อยจงมาหาพระองค์ พระองค์จะทำให้หายเหนื่อยและเป็นสุข หายเหนื่อยหรือยัง? เพราะว่าเราได้เชื่อในพระเยซูแล้ว

คราวนี้พระเยซูก็บอกว่าใครอยากจะหายเหนื่อยเป็นสุขบ้าง? บางคนก็เฉยๆ  บางคนก็อยากจะหายเหนื่อย  พระองค์เลยบอกวิธีการทำอย่างไรถึงจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูบอกประโยคเดียว ตอนเดินอยู่ ขณะนั้น ใครอยากหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง? จงมาหาเรา แล้วแบกกางเขน แล้วตามเรามา นี่คือพระเยซูจะบอก …

“ใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง ยกมือขึ้น?”

“ต้องทำอย่างไร?”

“แบกกางเขน”

อ้าว! แบกกางเขน มันหนักขึ้น แล้วจะหายได้อย่างไร? และตามพระองค์ไป  ถามว่าพระเยซูตอนพูดนี้ เดินอยู่ พระองค์บอกตามพระองค์ไป ถามว่าตามไปไหน? แบกตามไปไหน?  พระองค์พูดไปไม่ถึงประมาณไม่เกิน 3 ปี ตามพระองค์ไป ตามพระองค์ไปไหน?  พระองค์ก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ  ออกจากกรุงเยรูซาเล็มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเนินเขา ที่เรียกว่าเนินเขาหัวกะโหลก หรือในภาษาสมัยนั้น เขาเรียกว่าโกละโกธา ไปทำอะไร? แบกไปทำอะไร? แบกไป เพื่อให้เขาตรึงพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ตาย  คนที่ตามมาทำอะไร? แบกตามมา เพื่ออะไร? ตามเราไป ก็ต้องตามถึงที่สุดเลย คือพระองค์ตาย เราก็ตายด้วย  แบกตามไป  พระองค์ตาย เราก็ตายด้วย  พอพระองค์ 3 วันเป็นขึ้นมาใหม่ เราก็เลยเป็นด้วย หายเหนื่อยและเป็นสุข มันแปลว่าอย่างนี้

หนังสือกาลาเทีย 2:20-21 อธิบายเรื่องนี้ไว้ มันชัดมาก นึกภาพตะกี้นี้ถูก ผมแสดงให้ดูนะ กาลาเทีย 2:20-21 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

กาลาเทีย 2:20-21 “20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้  ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า 21 ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง เพราะถ้าความชอบธรรมสามารถได้มา โดยทางบทบัญญัติ  พระคริสต์ก็วายพระชนม์ โดยเปล่าประโยชน์”

 

“แล้ว” แปลว่าทำไปแล้ว เป็นอดีตแล้ว

“ข้าพเจ้า” ตรงนี้หมายถึงวิญญาณ

ตรงนี้สามารถเอามาพูดเป็นตัวเราเองได้ เพราะตรงนี้ เปาโลพูดในลักษณะของเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซู เป็นคริสเตียน เราเป็นหรือเปล่า? ถ้าเป็นใช้อันนี้ได้

วิญญาณของผมถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว … แล้ว แปลว่าได้ถูกตรึงไปแล้ว

“ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป” วิญญาณนะ วิญญาณของนคร วิญญาณของเปาโล วิญญาณของท่าน วิญญาณตัวเก่าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะมันถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูไปแล้ว

“พระคริสต์ต่างหากมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” พระคริสต์ คือวิญญาณบริสุทธิ์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในนคร อยู่ในเปาโล อยู่ในพวกท่านที่เชื่อในเรื่องนี้

“ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกลายนี้” หมายถึงชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในความบริสุทธิ์ ที่มันเกิดใหม่นี้ ในกายนี้ หมายถึงวิญญาณนี้ มันไม่ได้หมายถึงร่างกาย หมายถึงในวิญญาณนี้ ชีวิตที่ข้าพเจ้าที่บริสุทธิ์ ที่อยู่ในกาย ที่ท่านเห็น วิญญาณข้างในตัวจริง ที่มันบริสุทธิ์แล้ว ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า คือเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เห็นไหม? ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง

“ปัด” แปลว่าข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิเสธพระคุณของพระเจ้าทิ้งไป ไม่ได้ปฏิเสธข่าวดีของพระเยซูทิ้งไป  แต่ข้าพเจ้ารับไว้ด้วยความเชื่อ

“เพราะถ้าความชอบธรรมสามารถได้มาโดยทางบทบัญญัติ” แปลว่าเพราะว่าถ้าเผื่อความบริสุทธิ์ ไร้มลทิน พ้นจากบาป ในวิญญาณของข้าพเจ้า หมดเวรหมดกรรมนี้  ถ้ามันหมดเวรหมดกรรมได้ โดยมาทางการกระทำของข้าพเจ้าเอง  การกระทำดีของข้าพเจ้าเอง ถ้าเป็นอย่างนั้น การตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย  แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นใช่ไหม?  เพราะการตายของพระเยซูคริสต์มีประโยชน์ คือทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นผู้ชอบธรรม ผู้ชอบธรรม คืออะไร?  วิญญาณบริสุทธิ์ สะอาดหมดจด ไร้มลทิน ไม่มีตำหนิ เหมือนลูกพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก สะอาดหมดจดเลย บริสุทธิ์ ตลอดเวลา เอเมน

นี่พูดถึงใคร? พูดถึงเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย อย่างนี้เขาเรียกว่าหายเหนื่อย และเป็นสุข แต่ต้องทำอะไร? แบกกางเขน และตามพระองค์ไป

ในโรม 6:5-6 ก็บอกอย่างนี้ไว้ ชัดเจนเลย …

โรม 6:5-6  “5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อกายบาปนั้น  จะถูกขจัดไป  เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

ถ้าเราร่วมเดิน แบกกางเขนไปกับพระองค์ แล้วก็ตายที่โกละโกธาพร้อมกับพระองค์เลย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ด้วย วันที่ 3 พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นด้วย ถ้าเราไม่ยอมไปตายกับพระองค์ ก็ไม่ต้องเป็นขึ้นมากับพระองค์ด้วยสิ เอ้อ! ใช่ ง่ายๆ อยากจะเป็นขึ้นมากับพระเยซู ก็ต้องตาย อยู่ดีๆ มาเป็นขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร? มันต้องตายก่อน  เหมือนเมล็ดพืช ก่อนที่จะเป็นต้นใหม่ มันต้องเน่า ต้องทิ้งลงไปในดิน ให้มันเน่า มันก็ขึ้นรากใหม่ขึ้นมา เป็นต้นใหม่

“เพราะเรารู้ว่า” ถามว่าเพราะเรารู้ว่าอะไร? เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว ถามว่าตัวเก่าของเราคือใคร? ตัวเก่าของท่านคือใคร? วิญญาณเก่าของท่าน ที่เป็นวิญญาณบาป ที่แบกภาระและเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดตลอดเวลา นั้นแหละที่แบกกางเขน เหน็ดเหนื่อยตามพระองค์ไปๆ จนตายร่วมกับพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ตัวเก่ามันถูกตรึงไว้ที่กางเขน พร้อมกับพระเยซูไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น พอมองเห็นภาพไหม? ไม่น่าเห็นหรอก

ถามว่าตรึงเพื่ออะไร? เพื่อกายบาปนั้น มันจะได้ตายต่อบาป ถูกขจัดออกไป บาปทำอะไรมันไม่ได้อีกแล้ว เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป ไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไป เอเมน เห็นภาพไหม? นี่อย่างนี้เรียกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเราทุกวันนี้ ต้องทำอะไร? ต้องแบกกางเขนตามพระเยซูไปไหม? ต้องไหม? ไม่ต้อง เราแบกไปแล้ว ถ้าท่านยังไม่แบกตาม นั้นหมายถึงท่านยังไม่เชื่อ ถ้าท่านเชื่อ แสดงว่าท่านแบกตามไปแล้ว ท่านเชื่อจนกระทั่งพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับท่าน นั่นแหละ คือท่านร่วมตายไปกับพระองค์ และเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่  คือท่านเป็นขึ้นมาใหม่กับพระองค์ เสร็จแล้ว

ถามอีกที ตอนนี้ท่านต้องแบกอีกไหม? ต้องไหม? ไม่ต้อง ถ้าใครบอกว่าต้อง ก็ไม่เป็นไร แสดงว่ายังไม่เชื่อ ก็เรียนรู้ต่อไป เดี๋ยววันหนึ่งท่านจะได้รู้ ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องแบก มันจึงหายเหนื่อยและเป็นสุข ถ้าแบกอยู่จะหายเหนื่อยและเป็นสุขได้อย่างไรเล่า ไม่เข้าใจเลย พระคัมภีร์บอกว่าคนไหนแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้เขาหายเหนื่อยและเป็นสุข แบกกางเขน และตามเรามา ตามเพื่ออะไร? เพื่อจะไม่ต้องแบกอีกต่อไป เดี๋ยวพระองค์จัดการให้เรียบร้อย พร้อมกับเราเลย เป็นหัวหน้าเรา

สรุปอีกครั้ง จะต้องแบกกางเขนอีกต่อไปไหม? ไม่ต้อง แต่ต้องทำอะไรทุกวัน? อยู่เฉยๆ แล้วมองไปให้เห็นเถิดว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ทุกวันเช้าตื่นขึ้นมาปุ๊บบนที่นอน เห็นอะไร? เห็นกางเขนนั้น เพื่อจะได้รู้ว่าฉันได้แบกกางเขนตามพระเยซูไปแล้ว ฉันได้แบกกางเขนไปที่โกละโกธาร่วมกับพระเยซู ประวัติศาสตร์บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงตรึงตายที่ไม้กางเขน อย่างนั้นแน่นอน หลั่งพระโลหิตออกมา ฉันถูกตรึงร่วมกับพระเยซูแล้ว วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ฉันเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย ฉันมีอิสระ เสรีภาพ ฉันได้บังเกิดใหม่ วิญญาณฉันใสกริ๊ง เป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด ไร้ที่ตำหนิใดๆ ที่ปวง ไม่ต้องมีบาป มีเวรกรรมที่ต้องชดใช้อีกต่อไป ฉันเป็นอิสระแล้ว หายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว จากนี้ต่อไป ก็ลุกขึ้นมา ทำหน้าที่ประจำวันไป แต่ในใจนึกตลอดเวลาว่าฉันเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ฉันหายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว พูดให้ตัวเองฟัง นี่แหละ คือหน้าที่ของคริสเตียนทั้งหลาย รับพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว แล้วจากนั้น ให้พระเจ้านำพาชีวิตเราไปแต่ละวัน จะทำอะไร เดี๋ยวพระองค์ก็พาไปเอง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ทำ ส่วนใหญ่ เราจะทำเกินมากกว่า ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ทำ ที่เราทำเกิน เพราะอะไร? เพราะเราอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขอีก

ทั้งๆ ที่มันหายเหนื่อยแล้ว เพราะเราไม่รู้ ถ้าเรารู้ เราก็ไม่ต้องทำแล้ว แล้วทำไม? ก็เฉยๆ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เดี๋ยววิญญาณข้างในที่บริสุทธิ์ สะอาด ผุดผ่อง ที่เป็นลูกพระเจ้า เดี๋ยวมันจะออกไปเอง มันเป็นแสงสว่าง ที่พระเยซูบอกมันจะฉายออกไปเอง ไม่ต้องพยายามฉาย  เขาจุดตะเกียง มันต้องสว่างของมันเองเลย เดินไปที่ไหนมันสว่าง ไม่ใช่ เดินไปที่ไหน ต้องไขลาน สว่าง ให้มันสว่าง ไม่ต้อง เดี๋ยวมันสว่างเอง เพราะว่าข้างในมันสว่าง มันเป็นดวงสว่าง พระเยซูไม่ได้บอกว่าจงออกไป ทำตัวเองให้สว่าง ไม่ใช่ พระเยซูบอกจงออกให้แสงสว่างในตัวท่านฉายไป  คือตัวท่านไม่ต้องทำอะไร ท่านออกไป มันก็ฉายแล้ว

ไม่ได้บอกว่าจงออกไป แล้วทำตัวเองให้เป็นแสงสว่าง อย่างนั้นเหนื่อย  จงออกไปเถอะ พระเจ้าจุดตะเกียงไว้แล้ว  ไม่มีใครเอามาครอบหรอก เดี๋ยวมันก็สว่าง ถ้ามันเป็นของจริงนะ มันสว่างเอง แต่ถามว่ามันจริงไหม? เราเชื่อจริงไหม? ถ้าเราเชื่อจริง มันอยู่ในนี้ เดินไปที่ไหน มันก็เป็นแสงสว่าง เอเมน

 

************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “การให้ที่แท้จริง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2018

เรื่อง “การให้ที่แท้จริง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เราเป็นคริสเตียน เรามักติดปาก พูดกันอยู่เสมอว่าชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่เป็นความรัก เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก เราเป็นลูกพระเจ้า เพราะฉะนั้น เราจึงมีลักษณะเหมือนพระเจ้าของเรา คือเราก็เลยเป็นความรักเหมือนพระเจ้า อ้าว! แล้วทำไมเมื่อเช้าโกรธเขาอยู่เลย เมื่อตะกี้นี้เห็น ขึ้นรถเมล์มายังรู้สึกหงุดหงิดอยู่เลย  คนขับรถมาก็เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม เราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็เป็นเหมือนพ่อของเรา  พระเจ้าเป็นความรัก เราก็เลยเป็นหรือเปล่า? “เป็น” ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้ามี หายไปหมด  เราเป็น ไม่มีวันเปลี่ยน และการสำแดงออกถึงความรัก ก็คือการให้ การสำแดงออก บางที บางคนฟัง งง การสำแดงออกของความรัก คืออะไร? การสำแดงออก ก็คือธรรมชาติของความรักจริงๆ คืออาการในการให้  เขาเรียกว่าธรรมชาติ เหมือนประโยคที่เรานำมาพูดกันบ่อยๆ …

          “ท่านสามารถที่จะให้ โดยปราศจากความรัก แต่ท่านไม่สามารถที่จะรัก (อย่างแท้จริง) โดยปราศจากการให้”

นึกออกใช่ไหม? เพราะมันธรรมชาติของความรัก คือการให้ ท่านไม่สามารถบอกว่าท่านเป็นความรัก แต่ฉันไม่ให้ มันเป็นไปได้อย่างไร? ไม่ใช่แล้ว

พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้ การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ เอเมนไหม? อ้าว! ทำไมทุกคนรอที่จะรับอย่างเดียว การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ คำพูดของใคร? คำพูดของพระเยซูเอง และการให้ที่แท้จริง ก็คือการให้แบบเสียสละ คือไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ รู้ไหม? ถามใคร? ถามตัวเองนั่นแหละ รู้ไหม? รู้ แล้วยังหวังไหม? ยังหวัง

เพราะว่าถ้าเราหวังสิ่งตอบแทนจากการให้ออกไป ฟังให้ดีๆ นะ ถ้าเราให้ออกไป แล้วเราหวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกกันว่าลงทุน  มีการลงทุนแบบธรรมดา ก็มี แล้วก็มีการลงทุนแบบพิเศษ หวังผลประโยชน์ทับซ้อน เคยได้ยินไหม? ผลประโยชน์ทับซ้อน คือผลประโยชน์ที่มันมีอะไรลับลมคมใน มองไม่เห็น แต่ในที่สุดก็ได้ผลประโยชน์ แบบธรรมดาชัด หวังนี้เลย  แบบพิเศษ ก็คือหวัง แต่ไม่ให้คนอื่นเห็น แต่ข้างในวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ในที่สุด ก็คือหวังผลประโยชน์ ถ้าเป็นอย่างนี้ เขาไม่เรียกว่าการให้ เขาเรียกว่าการลงทุน  ในลูกา 14:12-14 พระเยซูได้สอนพวกเราอย่างนี้นะ ถึงเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระเยซูได้ตรัสดังนี้ …

ลูกา 14:12-14 “12 จากนั้นพระเยซูตรัสกับผู้ที่ทูลเชิญพระองค์ว่า “เมื่อท่านจะจัดเลี้ยงมื้อกลางวันหรือมื้อค่ำ อย่าเชิญมิตรสหาย ญาติ พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่ร่ำรวย ถ้าท่านทำอย่างนั้น พวกเขาอาจจะเชิญท่านกลับคืนบ้าง เป็นอันว่าท่านได้รับการตอบแทนแล้ว 13 แต่เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคนจน คนพิการ คนง่อยและคนตาบอด 14 แล้วท่านจะเป็นสุข ถึงแม้พวกเขาไม่อาจตอบแทนท่าน แต่ท่านจะได้รับผลตอบแทน เมื่อผู้ชอบธรรมเป็นขึ้นจากตาย”

 

เอเมนไหม? เพราะฉะนั้น ตอนนี้ มีงานเลี้ยงอะไร? เชิญใคร? เชิญคนมั่งมี เพราะหวังว่าวันหลังเขาจะให้อะไรเราตอบแทน บางคนให้ ไม่ใช่เรื่องทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว แต่มันหมายถึงอะไรเยอะแยะ ลองเชิญคนที่เราคิดว่าเขาให้อะไรเราไม่ได้ ไม่สามารถให้อะไรเราได้อีกแล้ว เป็นประโยชน์กับชีวิตเรามากกว่า พระเยซูสอนเรา

ถ้าเราให้โดยไม่หวัง ไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน ให้ด้วยความรักแท้จริง เราก็จะเปี่ยมไปด้วยความสุข ถ้าลงทุน หวังจะได้สิ่งตอบแทน แม้บางครั้ง มันจะได้กลับมาบ้าง มีความสุขบ้าง ให้ไป แล้วหวัง มันมีความสุขบ้าง เขาชมเรา อะไรต่างๆ หรือเราได้อะไรกลับมาบ้าง แต่มันไม่หยั่งยืน  และในที่สุด ผลมันจะกลายเป็นความทุกข์ เพราะเราให้ไปด้วยความเห็นแก่ตัว ถ้าเราไม่ให้จริง มันก็คือการเห็นแก่ตัว เพราะการให้ของเรา ก็คือเราให้ เพราะความต้องการจะเอากลับมา มากขึ้นๆ เอาอีกๆ

“เอาอีก ฉันจะเอาอีก”

คุ้นไหม? คุ้นๆ นะ ในใจชอบพูดอย่างนี้ เอาอีก ไม่พอ เขาเรียกภาษาพระคัมภีร์และภาษาทั่วโลก เขาเรียกว่า “โลภ” คือจะเอา ฉันจะเอา สังเกตดูนะ เพราะพระเยซูสอนเราสิ่งเดียวนี้  เราต้องละเอียดกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือหัวใจของการมาเชื่อพระเจ้า  พระเยซูจะสอนเราเสมอว่าจงระวังเรื่องความโลภทุกชนิด เมื่อเราถวายพระเจ้า และอธิษฐานหวังสิ่งตอบแทน อยากได้กลับมามากขึ้นๆ อธิษฐานกับพระเจ้านะ เราบอกถวายให้กับพระเจ้า แล้วอธิษฐาน หวังจากพระเจ้าว่าจะให้เรากลับคืน ตอบแทนเรามากขึ้นๆ กว่าที่เราให้ออกไปอีก นั่นแหละ เขาเรียกว่าโลภ ไม่ใช่ความเชื่อนะ เขาเรียกว่าโลภ

ซึ่งมันไม่ใช่วิถีทางของพระเจ้า เรียกว่าวิถีทางแห่งความรักเลย ที่จะนำเราไปสู่สันติสุข ความสงบสุข ล้นสุข เปี่ยมสุข  แบบตลอดไปเลย มันไม่ใช่ ถ้าวิธีนั้น มันผิดหมด มันต้องไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เลย มันถึงจะเปี่ยมสุข ล้นสุขตลอดไป มัทธิว 6:1-4 บันทึกไว้อย่างนี้ พระเยซูสอน ..

มัทธิว 6:1-4 “1 “จงระวัง อย่าทำดี เพื่อเอาหน้า ถ้าทำเช่นนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านในสวรรค์ 2 “ดังนั้น เมื่อท่านให้ทานแก่คนขัดสน อย่าตีฆ้องร้องป่าวเหมือนที่คนหน้าซื่อใจคดทำในธรรมศาลา และตามถนนหนทางเพื่อให้ผู้คนยกย่องชมเชย เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว 3 แต่เมื่อท่านหยิบยื่นแก่คนขัดสน อย่าให้มือซ้ายรู้สิ่งที่มือขวาทำ 4 เพื่อการให้ของท่านเป็นความลับ แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน” เอเมน

 

ทำดี การให้เหมือนกับทำดี อะไรแล้วแต่ ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติอย่างเดียว ให้ความช่วยเหลือ ให้ความเมตตา ให้อะไรสักอย่าง แต่ข้างในใจเราคิดอะไร? ดูข้างนอกเหมือนกันหมด ให้เหมือนกัน ดูข้างนอก ก็ให้เหมือนกัน แต่ข้างในใจ คิดอะไรอยู่ หวังอะไรไหม?  บางคนอาจจะหวังชื่อเสียง เราไม่รู้ว่าเขาหวังอะไร? ดูข้างนอก เหมือนกันหมด แต่บางคนเขาไม่ได้หวังอะไรเลย  ทำด้วยใจจริง ก็ไม่เห็น แต่ข้างนอก ดูเหมือนกัน พระเยซูบอกจงระวัง ให้เราดูแลตัวเอง ไม่ใช่ไประวังคนข้างๆ นะ ระวังตัวเราเอง

อย่าให้รู้ ไม่ให้ใครรู้ แม้แต่ตัวเราเองยังไม่ให้รู้เลย อย่าให้รู้ ลืมซะ ให้ไป แล้วก็ให้ไปเลย ถือว่าให้ไป เพราะว่าธรรมชาติของฉัน ตัวฉันจริงๆ เป็นความรัก ความรักต้องคู่มากับการให้ ถ้าเราถวายพระเจ้า โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แล้วอะไร หวังอะไร? ทำเพื่ออะไร? ก็เพราะเราทำ เพื่อ แสดงออกถึงความไว้วางใจ ความเชื่อฟังต่อพ่อของเรา พระเจ้าของเราว่าให้เราให้ออกไป แล้วเราจะมีสุขมากกว่าการรับ ให้ออกไป แล้วทำไม? ไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่วางใจในพระเจ้า เชื่อในคำสัญญาของพระเจ้าว่าจะเลี้ยงดูเรา จะจัดหาทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา จากคลังทรัพย์อันมั่งคั่งของพระองค์ในพระยซูคริสต์ เพราะเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์จะให้สิ่งดีกับเราเสมอ และเราจะมีพร้อมทุกอย่างในการสนับสนุนเรา ในการกระทำดีต่อๆ ไป ตามน้ำพระทัยพระเจ้าที่จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน เอเมน

มันไม่ใช่เงินอย่างเดียวนะ ที่เวลาพร้อม มันต้องพร้อมทุกอย่าง เรี่ยวแรง สติปัญญา ทุกอย่าง พระเจ้าจะจัดเตรียมให้กับเรา เมื่อถึงเวลานั้น เพื่อจะได้ทำดี เพื่อจะถวายเกียรติต่อพระเจ้าต่อไป ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่ตามตัวเราเองคิด 2 โครินธ์ 9:7-8 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

2 โครินธ์ 9:7-8 “7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย ไม่ใช่ให้ด้วยการจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าสามารถประทานพรทุกอย่าง แก่ท่านทั้งหลายอย่างเหลือล้น”

 

ทุกอย่าง ไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว  อาจจะไม่มีทรัพย์เลย  เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่าจะได้ทรัพย์เยอะแยะมากมาย  อาจจะไม่มีทรัพย์เลย แต่มีอย่างอื่น พร้อมทุกอย่าง มันดีกว่าทรัพย์มาก ดีกว่าตั้งเยอะ ทรัพย์ซื้อทุกอย่างไม่ได้ แต่พระองค์ให้ทุกอย่างกับเราได้ ยกเว้นทรัพย์อย่างเดียว เอาอย่างไหนดี? เป็นท่าน ท่านจะตัดสินใจอย่างไรดี? เป็นท่าน ท่านก็เอาทรัพย์ก่อนอยู่แล้วล่ะ เพราะเราเป็นคน พระเจ้าสอนเรา อะไรดีกว่า ในเมื่อทรัพย์เราก็รู้แล้ว ซื้ออะไรไม่ได้บนโลกใบนี้ หลายอย่างซื้อไม่ได้ ยกตัวอย่าง ซื้อความสุข ก็ไม่ได้ ซื้อความสุขใจก็ไม่ได้ ซื้อความรัก ความสามัคคีกัน ในกลุ่ม ในครอบครัว ก็ไม่ได้ แต่พระเจ้าสามารถให้เราทุกสิ่งได้ โดยไม่มีเงินนะ เอาอะไรดี? เอาไม่มีเงินดีกว่า แต่มีพร้อม เมื่อต้องการจำเป็นต้องใช้เงิน  มันก็มา ทีอย่างนี้ พูดกันได้ทุกคน  เมื่อจำเป็นต้องใช้เงิน เงินก็มา เมื่อจำเป็นต้องใช้คน คนก็มา เมื่อจำเป็นต้องใช้สุขภาพ สุขภาพก็มา เมื่อจำเป็นจะต้องใช้อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เงิน แต่สำคัญ สติปัญญา มันก็มา เมื่อจำเป็นต้องหาคนมาเข็นรถ เพราะอยู่สี่แยก รถมันตายพอดี  คนก็มา มาพร้อมรถลาก มันจะพร้อมทุกอย่างไง เงินซื้อไม่ได้ตอนนั้น  เป็นเศรษฐีก็ไม่ได้ ถูกไหม?

เราจึงเห็นว่าพระคัมภีร์พูดไว้ชัดเจนว่าเพื่อว่าเราจะได้มีพร้อม มีเหลือล้น เพื่อว่ามีทุกอย่างเพียงพออยู่เสมอ ท่านจะมีเหลือล้น สำหรับการดีทุกอย่างด้วย ในนี้เขียนไว้อย่างนั้น มีทำการดีได้ทุกอย่าง  เพราะบางทีมีเงินทำการดีไม่ได้บางครั้ง มันไม่ได้อาศัยเงินในช่วง ในขณะนั้น แต่ท่านสามารถที่จะทำสิ่งที่ดีได้ เอเมนนะ

เพราะฉะนั้น เราเชื่อและวางใจอย่างนี้ ซึ่งเราไม่เรียกความเชื่ออย่างนี้ว่าความคาดหวังสิ่งตอบแทน จากการให้ออกไป เราไม่คาดหวัง เราฝากไว้ที่พระเจ้า แล้วแต่พระองค์จะให้ อะไรก็ได้ พระองค์ทรงรู้ว่าตอนนั้น เราจำเป็นต้องได้อะไร? เราจำเป็นต้องใช้อะไร? จำเป็นไหม? ไม่ใช่ให้ไป ก็ตั้งใจ หวังจะรวยอย่างเดียว ในที่สุด ก็ซวย ชีวิตตกทุกข์ลำบาก คิดอยู่แค่นั้น ไม่หลุดอยู่อย่างนั้น กลายเป็นเกาะกินชีวิตไป ทุกข์ทรมาน เห็นมาหลายรายแล้วอย่างนี้

การฝึกฝนให้ออกไป มันไม่ใช่วิธีนั้น ไม่ใช่วิถีทางของพระเจ้า ของพระเจ้าต้องไม่หวัง บางคนบอกไม่หวังได้อย่างไร? หวังพระพร ไม่ใช่หวังทรัพย์สินเงินทองตามที่เราคิด พระพรอาจไม่ใช่สิ่งที่เราคิด ก็ได้ หมายถึงไม่ใช่สิ่งที่เราคิดอย่างเดียว มันเป็นอย่างอื่น ก็ได้ ก็เป็นพระพร แต่พระเจ้ารู้ว่าอะไรที่เป็นดี สำหรับเรา เมื่อเรามี อะไรที่ให้เรา แล้วมันดีสำหรับเรา อย่างนั้นแหละ เขาเรียกพระพร คิดเองว่านี่ดีสำหรับเรา  มันอาจจะเป็นผลร้ายสำหรับชีวิตของเรา ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นชื่อเสียง ดีไหมชื่อเสียง? เราก็คิดว่ามีชื่อเสียงทำไมไม่ดี พระเจ้าบอก ไม่ใช่ขณะนี้ ขณะนี้เอาไปตายแน่เลย แล้วเรารู้ไหมว่าขณะนี้ ขณะนี้ คือขณะไหน? ก็ไม่รู้ เราอาจจะแบกชื่อเสียงนั้นไม่ได้  สถานการณ์อย่างนั้น ถ้าเราเอาชื่อเสียงนี้ไป เราก็เย่อหยิ่งจองหอง เราก็หลงไป ทุกข์หนัก เจ็บตัว ตอนนี้ อยากได้เงิน มองดู พระเจ้าบอกเด็กไป ถ้าเอาเงินไปตายแน่ เราก็บอกไม่ตายหรอกทำได้ แต่พอให้ แล้วเกิดอะไรขึ้น ให้เราไปจริงๆ  เราก็ดูแลไม่ได้ เราเจ็บตัว เพราะทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ให้พระเจ้าดูแลเราดีกว่า เอเมนไหม?

ซึ่งแน่นอน ในสายตาของคนภายนอก ที่ไม่ใช่คริสเตียน ที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาดูเรา เขาอาจจะว่าเราขาดแคลน เป็นคริสเตียน ดูทำไมขาดแคลน เขาดู แบบมนุษย์ไง ขาดแคลนอะไร? ก็คือเงิน รู้สึกไม่ค่อยมีเงิน รถก็เก่าๆ บ้านก็ยังเช่าเขาอยู่ พระเจ้าให้เรามากกว่านั้น  เรามีเยอะกว่านั้นอีก แต่เขามองไม่เห็น ในพระพระเหล่านั้น เพราะฉะนั้น ไม่ต้องสนใจ เพราะเรารู้ว่าเราไม่เคยขาดอยู่แล้ว เอเมน ถามท่านวันนี้ บางท่านยังผ่อนบ้าน ผ่อนรถอยู่ ถามว่าท่านขาดอะไร?  ณ วันนี้ มาถึงวันนี้ ท่านรู้จักพระเจ้ามา ท่านขาดอะไร? มีไหม อดอาหารไป 3 วัน ไม่มีข้าวจะกิน อย่างนี้ มันไม่ขาดอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่สะใจเรา เราอยากได้อีกแบบหนึ่ง ใช่ไหม? แต่ไม่ขาด วางใจในพระเจ้า ให้พระองค์นำไปดีกว่า เพราะเราจะไม่ขาดของดีใดๆ เลยในชีวิต เพราะพระเจ้าสัญญาไว้อย่างนั้น มันเป็นสัญญา และไม่ใช่สัญญาธรรมดา แต่มันเป็นกฎของพระเจ้าที่พูดออกจากเลย มันจะเป็นอย่างนี้ ใครหว่านออกไป เขาจะได้อย่างนี้ แต่ต้องหว่านจริงๆ นะ

หว่านจริงๆ ก็คือให้จริงๆ คือให้ด้วยไม่หวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกว่าให้ หวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกว่าลงทุน พระเจ้าบอกให้ ถึงจะได้รับสันติสุข ความสงบสุขในชีวิตตลอดไป ไม่ใช่ลงทุนแล้วจึงจะได้ เอเมนไหม?

เพราะฉะนั้น ต้องฝึกฝน สิ่งเหล่านี้ฝึกฝนได้ คริสตจักรจึงมีหน้าที่ให้เราฝึกฝน ไม่ใช่ว่าถึงวันอาทิตย์มาเปิด เดินถุงถวาย เราลำบากมากแล้ว เราแย่มาก ต้องช่วยกันถวายหน่อย โบสถ์จะไม่มีเงินใช้ ไม่ใช่ ให้โอกาสท่านฝึกฝน ท่านจะไม่ฝึกก็ได้ เรื่องของท่าน ท่านคุยกับพระเจ้าเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราต้องให้ท่านมีโอกาสได้ฝึกฝน เพราะสิ่งเหล่านี้มันฝึกได้ เริ่มต้นจากการให้ออกไป ตามวิธีการของพระเจ้า เมื่อตะกี้นี้ ให้ด้วย ตั้งใจไว้เลย คำว่าตั้งใจ แปลว่าอะไร? ไม่ใช่ตั้งใจจะเอาอีก จะเอาอีก จะเอาเยอะๆ ไม่ใช่ตั้งใจ ตั้งใจหมายถึงฉันจะฝึกในการที่ให้ แล้วไม่สนใจเลย ฉันให้ไปแล้วจริงๆ พระเจ้าจะให้ลูกกลับคืนเท่าไร? อะไร ไม่สนใจ ลูกจะให้ด้วยความรัก และให้ออกไปจริงๆ นี่คือธรรมชาติของลูก ลูกเป็นความรัก ให้ออกไป วันนี้ทำได้แค่นี้ ก็ทำไป ให้ออกไปบาทหนึ่ง ก็ยังมีดีกว่าให้ไปร้อยหนึ่ง แล้วหวังอีกพันหนึ่งกลับคืน หมื่นกลับคืน แต่ให้ไปบาทหนึ่ง ทำใจไปเลย  แล้วก็ค่อยๆ ฝึกมากขึ้นไปเรื่อยๆ  รู้สึกสละ อย่างนี้เรียกว่าเสียสละ ให้ของแท้ ฝึกฝนนะ

เริ่มต้นตั้งใจไว้เลยว่าตัวเราเองสามารถทำได้เท่าไร? ไม่ต้องฝืนใจ ทำได้เท่าไร? ก็เท่านั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คนอื่นเขาต้องเท่านั้นเท่านี้ ไม่ต้องสนใจ เราดูตัวเราเองนั้นแหละ แล้วตัดสินใจให้ออกไปจริงๆ ให้จริงๆ คิดในใจให้ดีๆ ให้ลงทุน พอถุงเดินมาปุ๊บ ใส่ลงไปเลย ลงทุน ไม่ใช่ ควักขึ้นมาใหม่ ให้ๆๆๆๆๆ โอเค ให้หมายถึงอะไร? ให้ หมายถึงเสียสละ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันอีกเลย ไม่ใช่ให้ แล้วก็ตาม โบสถ์เอาไปทำอะไรบ้าง? นี่ให้ไหม? ไม่ใช่ให้ จะลงทุน แล้วตามไปดูอีกว่าเขาทำอะไร? ให้กับองค์กรนี้ องค์กรนี้ไปทำอะไรบ้าง? เงินของฉันทั้งนั้น อะไรอย่างนี้  เงินของฉัน ให้ไป ก็คือให้เขาไปแล้ว แล้วเราจะบอกว่าเป็นเงินของเราได้อย่างไร? ยกตัวอย่างให้ฟัง

ให้ โดยไม่คิดว่าจะได้อะไรกลับคืน คิดในใจไว้เลย ตั้งใจไว้เลย …

“ฉันไม่ได้ให้ เพื่อฉันจะหวังว่าจะได้ร่ำรวย หรือต้องมีอะไรมาชดใช้ให้ฉัน ฉันให้ออกไป ฉันไม่หวังเลย ฉันให้ เพราะเชื่อฟังพระเจ้า วางใจในพระเจ้า ไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่หวัง แม้กระทั่งชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง คำชมต่างๆ ฉันให้ด้วยความรักที่อยู่ในใจ ไม่มีใครรู้”

แล้วถ้าท่านฝึกอย่างนี้ ผมจะบอกให้ท่านฟัง มันจะมีบททดสอบชีวิตท่านเข้ามา จะทดสอบว่าตรงนี้ท่านจะได้รับคำชม ถ้าเผื่อท่านเปิดเผยนิดหนึ่ง ท่านจะเอาไหม? ท่านจะเปิดเผยไหมว่าท่านเป็นคนทำ เพราะบางทีให้ออกไป ไม่ได้เป็นทรัพย์อย่างเดียว  ทรัพย์เป็นส่วนประกอบเท่านั้นเอง แต่ในชีวิตท่านสามารถให้อะไรเยอะแยะมากมาย ให้ความรัก เมตตา การให้อภัย การช่วยเหลือ แรงกายแรงใจทุกอย่าง มันจะมีบททดสอบมาว่าถ้าท่านประกาศออกไป ท่านจะได้รางวัล ท่านจะได้ชื่อเสียง แต่ถ้าท่านเงียบๆ ไว้ จะไม่มีใครรู้เลย ท่านจะเอาอะไร ท่านจะเชื่อพระเจ้า หรือจะเชื่อมนุษย์ดี ถ้าท่านเปิดเผยมา ท่านก็จะเป็นฮีโร่เลย ดังเลย แต่ถ้าท่านเงียบๆ  เฉยๆ ท่านก็มีสุขใจ แต่ถ้าพระเจ้าจะเปิดเผย โดยที่ท่านไม่ได้พูดอะไรเลย อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะอันนั้นเกินกว่าที่เราจะควบคุมแล้ว มันจะมีทดสอบเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ในการฝึกฝนแต่ละครั้ง แต่ละตอน เอเมน

 

******************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 4 “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อ ในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  กรกฎาคม  2018

 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”

ตอน 4 “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ ถึงเวลารับประทานอาหารฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญที่สุดของชีวิตของมนุษย์ อาหารร่างกายเลี้ยงดูร่างกายอย่างไร? วันหนึ่งร่างกายก็ต้องตาย แต่วิญญาณสำคัญกว่า เพราะจะต้องอยู่นิรันดร์ หมายถึงจะอยู่ตลอดไป  แต่จะอยู่ที่ไหนตลอดไป อยู่ในแสงสว่างตลอดไป หรืออยู่ในความมืดตลอดไป อยู่ในสวรรค์ตลอดไป หรืออยู่ในบึงไฟนรกตลอดไป อันนี้ขึ้นอยู่กับถ้อยคำแห่งความรู้ เรื่องราว หรือข่าวที่มาถึงเรา เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย ถ้าเป็นข่าวดี เราเข้าใจข่าวดีนั้นไหม? เราน้อมรับข่าวดีนั้น ด้วยความถ่อมใจ ไม่เย่อหยิ่งไหม? พระเยซูบอกข่าวดี ความจริงนั้น ก็จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสรภาพจากการถูกกดขี่ จากการที่ต้องไปอยู่ในที่มืด จากการที่เป็นทาสอยู่ในที่มืด ตลอดชีวิตของเรา แม้กระทั่งในวิญญาณตลอดไปนิรันดร์กาล เพราะฉะนั้น การเรียนรู้เรื่องถ้อยคำพระเจ้า จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด ในเรื่องของคริสเตียน เรื่องของโลกวิญญาณ เรื่องของพระเยซูคริสต์

พระเยซูให้ความสำคัญกับเรื่องถ้อยคำของพระองค์มาก ถึงขนาดพระคัมภีร์ให้ชื่อพระเยซู ว่าถ้อยคำ เมื่อพูดถึงถ้อยคำพระเจ้าเมื่อไร ก็คือพระเยซู พระคัมภีร์ไทยให้เกียรติยกย่องพระเยซู ก็เลยเรียกถ้อยคำว่าพระวาทะ … วาทะ แปลว่าถ้อยคำ เวลาเราเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ เหมือนเรากำลังกินในวิญญาณ มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเรา ไม่ใช่เฉพาะเท่านั้น พอเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว จากการเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วเราเกิดใหม่ วิญญาณเราเป็นของพระเจ้า วิญญาณเราเป็นลูกของพระเจ้า เราอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เราจะได้ยินเสียงของพระองค์ตลอดเวลา และถ้อยคำเหล่านั้นเป็นอาหารให้เราเจริญเติบโต  พอเติบโตขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณไม่ใช่หยุดอยู่แค่นั้น ถ้าหยุดแค่นั้น ผมว่าพระเจ้าคงจะนำเรากลับไปบ้านแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์สบายกว่าเยอะ ถามว่ายังอยู่ในร่างกายนี้อีกทำไม? ในเมื่อร่างกายนี้ ต้องประสบปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้อีก ก็เพื่อวิญญาณจะได้โตขึ้นๆ  และในพระคัมภีร์บอก จะได้เป็นที่อยู่อาศัยของนกกา ตัวเล็กๆ น้อยๆ ต่อไปในอนาคต มันมีประโยชน์ แล้วจะมีประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าต้นไม้ต้นนี้มันไม่โตสักที ออกมาเป็นผักชี มันก็ยังเป็นผักชี วันยังค่ำ จนสุดท้ายก็ยังเป็นผักชี ไม่ได้ พระเจ้าเรากำเนิดแล้ว ต้องโตขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วจะโตได้อย่างไร? ก็คือถ้อยคำแห่งความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่มาถึงเราแบบถูกต้อง ก็จะทำให้เราเจริญเติบโต

เวลาท่านมาคริสตจักร หลายคนเข้าใจผิด ให้ความสำคัญ 1, 2, 3 ผิดไป ในตอนที่ท่านมาคริสตจักร ตั้งแต่ สมมติ 9 โมงเช้า … 9 โมงเช้าก็มีเรียนถ้อยคำแล้ว มีชั้นเรียน 10 โมงก็เป็นช่วงเวลาของการนมัสการ ร้องเพลงกัน  … ร้องเพลงเสร็จปุ๊บ ก็เป็นช่วงให้โอกาส เราได้ฝึกฝนการให้ออกไป เขาเรียกว่าถวายทรัพย์ เสร็จแล้วจากนั้น ก็มีช่วงเวลาแห่งการบรรยายถ้อยคำพระเจ้า ก็คือมาเรียนรู้อีก เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า ก็เหมือนช่วงแรกๆ 9 โมงเช้า มาเรียนรู้จนกระทั่งถึงเที่ยง ก็มีอีกช่วงหนึ่ง คือช่วงรับประทานอาหารร่วมกัน สามัคคีธรรมร่วมกันระหว่างพี่น้อง ทานไป คุยไป อะไรต่างๆ เหล่านี้ หลังจากนั้นอาจจะมีชั้นเรียน หรือกลุ่มต่างๆ ซึ่งเข้ากลุ่มกัน ปรึกษาหารือชีวิตบ้าง เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าบ้าง ไม่หนักแล้ว ไม่เพียวๆ แล้ว แต่อาจจะเรียนรู้ผ่านทางประสบการณ์ในชีวิตของคนนั้น คนนี้เป็นอย่างไร? ถามทุกข์สุขกันอะไรอย่างนี่

ถามว่าทั้งหมด 5 ช่วงนี้ ช่วงไหนที่ท่านคิดว่าสำคัญที่สุด ท่านชอบช่วงไหนที่สุด? หลายคนก็บอกชอบช่วงนั้น ช่วงนี้ แต่ผมจะบอกเคล็ดลับให้ท่านฟัง ช่วงที่ดีที่สุด ในชีวิตของเรา  อาจจะไม่ตรงกับความรู้สึกในร่างกาย ยังชอบในช่วงนี้ แต่สำหรับวิญญาณ ชอบช่วง 9 โมงเช้ากับช่วง 11 โมงนั้นมากที่สุด วิญญาณชอบมาก ถึงแม้ร่างกายอาจจะเบื่อหน่าย ผมจะบอกให้ท่านว่าวิญญาณเขาชอบมาก นี่คือการเจริญเติบโต ส่วนช่วงเที่ยงนั้น เป็นช่วงที่ร่างกายชอบมาก เพราะเป็นการเจริญเติบโตเหมือนกัน โตขึ้นเรื่อยๆ ช่วงกินอาหารร่วมกัน แล้วช่วงรองลงไป ผมไม่ได้พูดว่าอะไรมันสำคัญกว่าอะไรนะ กำลังบอกท่านว่าท่านควรให้ความสนใจกับอะไร? เป็นพิเศษ ช่วงตอนบ่าย หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ตอนเข้ามาในกลุ่ม ได้มีถ้อยคำพระเจ้าและประสบการณ์ เพราะประสบการณ์ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้าเลยทีเดียว แต่เราฟัง ได้ช่วยเหลือพี่น้อง ได้หนุนใจกันไปกันมาเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญกว่ามาเรียนถ้อยคำ ถ้อยคำนั้นสำคัญกว่า เพราะเป็นของจริงในพระคัมภีร์ แต่เวลาเราคุยกัน เราแบ่งปันกัน บางทีพูดผิดพูดถูก บางคนก็บอกอย่างนี้ พูดอย่างนี้ บางทีก็ไม่ชัดเจน แต่ที่ชัดเจน คือเอาพระคัมภีร์มา แล้วมีผู้คนแบ่งปันในถ้อยคำพระเจ้า นั่นแหละ ตรงนี้สำคัญ

เลยอยากจะฝากบอกท่านว่าชีวิตคริสเตียนอยู่ได้ด้วยตรงนี้  และมาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีได้ ด้วยตรงนี้ เจริญเติบโตจากคนๆ เดียว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อพระเยซู เชื่อว่าพระองค์เอง คือใคร? จากประกาศเรื่องพระองค์เองคนเดียวบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว แล้วจากนั้น ก็ไล่ต่อมาจนถึงวันนี้ 2,000 ปีผ่านมาแล้ว มีผู้คนนับพันๆ ล้านๆ  คน มาเชื่อในข่าวดีนี้  ก็เพราะมันเจริญเติบโต เพราะถ้อยคำแห่งความจริงนี้ ไม่ตาย เพราะฉะนั้น ต้องให้ความสำคัญ มิได้พูด เพื่อจะบอกว่าร้องเพลงไม่สำคัญ อธิษฐานไม่สำคัญ เปล่า กินข้าวไม่สำคัญ หรือกินข้าวสำคัญ สำคัญ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เรียนอะไรงงไปหมดแล้ว ถ้าไม่ได้กิน แต่สำคัญน้อยกว่า การนมัสการพระเจ้าก็สำคัญน้อยกว่า เพราะการนมัสการพระเจ้า ก็คือถ้อยคำพระเจ้า ที่ขึ้นบนเวที ที่ท่านอ่าน ร้องเพลงไป บางคนร้องเหมือนอ่านนะ แต่ก็ยังโอเค ยังอยู่ในถ้อยคำพระเจ้า นี่พูดความจริงนะ บางคนร้องเหมือนอ่านเลย เขาก็มีความสุข ของใครของเขา นี่ไม่ใช่เอามาประจานกัน แต่กำลังจะเล่าให้ท่านฟังว่าอะไรมันสำคัญ อะไรควรจะให้ความสำคัญมากที่สุด

ฉะนั้น ถึงเวลาเรียน ตั้งใจจริงๆ เท่าที่ทำได้ แม้กระทั่งเวลาที่เราหลับไป แต่ถ้าเราตั้งใจจริงๆ เดี๋ยวเราตื่นขึ้นมา เรากลับบ้าน พระวิญญาณคงจะเตือนเรา ตะกี้เราฟังตอนนอน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นได้ ก็ดี แต่ถ้าเป็น ก็ช่วยไม่ได้ มันเพลีย หลับก็หลับไป ไม่ต้องพยายาม ให้เป็นอิสระ ดังนั้น คนที่ตะโกนมาตะกี้นี้ ชอบตอนนี้ที่สุด เพราะว่าชอบหลับ ก็โอเค ก็ทำไป ก็ยังดีกว่าไม่อยู่ที่นี่เลย เอเมนไหม? มาแล้วก็ตั้งใจ อย่างน้อย ได้เพลงสุดท้าย ก็ยังดี “สรรเสริญพระเจ้า ผู้อำนวยพร” ก็ยังได้สรรเสริญพระเจ้าว่าชีวิตเรา ความจริง ก็คือพระเจ้าสำคัญที่สุด พระองค์มี 3 พระภาค คือพระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างน้อยได้ตรงนี้ กลับบ้าน ก็ยังดี แล้วตลอดชั่วโมง ก็ดองอยู่ในเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ถึงแม้จะหลับไป ก็ดองอยู่ในนี้  กลับไป ก็ชื่นใจ

พอท่านให้ความสำคัญถูก พอท่านกลับไปอยู่ที่บ้าน หรือที่ไหน? ท่านก็จะให้ความสำคัญถูก ไม่ใช่วันทั้งวัน นั่งแต่ร้องเพลง อธิษฐานๆ ไม่ศึกษา ไม่ดูถ้อยคำเลย อย่างนี้มันก็ไม่สมดุล … ไม่สมดุลไม่พอ สิ่งสำคัญมันหายไป เหมือนไม่ได้กินข้าวเลย เข้าใจไหม? ถ้อยคำต้องสำคัญ จริงๆ มันก็คือความสมดุล ไม่ร้องเพลงเลยได้ไหม? ไม่ได้ ก็ควรจะร้องบ้าง?  แต่อะไรสำคัญกว่า  ถ้อยคำ อ่านบ้าง? ฟังบ้าง? เดี๋ยวนี้เขามีเครื่องไม้เครื่องมือที่พระเจ้าให้เยอะแยะ เราควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่นสมัยก่อนมี CD มีเทป มีมือถือบันทึกได้ เปิดยูทูปได้ เปิดเยอะแยะไปหมดเลย ถ้าบอกไม่ได้ฟัง มันเสียดายมาก เดี๋ยวนี้มีถึงขนาดอ่านให้เราฟังก็ได้ แค่นี้เราก็ยังขี้เกียจ ไม่ได้ว่าท่านนะ เพราะเนื้อหนังร่างกาย มันจะขี้เกียจอย่างนี้  สิ่งใดที่มันดีสำหรับเรา มันไม่อยากทำ เพราะมันเป็นเนื้อหนังอยู่ข้างนอก เป็นร่างกายที่ตาเรามองเห็น มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก ที่เรียกว่าเนื้อหนัง ก้อนนั้นมันอาจสกปรกบ้าง กระทบกระทั่งเราบ้าง ก็ต้องอภัยกัน เพราะมันเป็นก้อนเนื้อหนัง ไม่ใช่มองเขาอย่างเดียว เรามองตัวเราเองก็เห็น มันคือก้อนเนื้อหนัง ก้อนสกปรก ก้อนโสโครก ก้อนที่เป็นทาสของความบาป ก้อนที่เรียกว่าวิสัยของบาปอาศัยอยู่ในนี้ทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างหนึ่ง นิดหนึ่ง ก็ไม่มี แต่ทะลุลงไปในก้อนนี้ เป็นวิหารของพระเจ้า พระเมตตาคุณของพระเจ้าสถิตอยู่ในก้อนนี้ ขอบคุณพระเจ้า เข้าใจใช่ไหม เมื่อเราเห็นอย่างนี้ได้ เราจึงเน้นที่วิญญาณของเราว่าเราต้องจำเริญเติบโตทางวิญญาณให้ได้ สำคัญที่สุดตรงนี้ ฉะนั้น ถ้าเราแยกไม่ออก มันก็จะปะปนกันยุ่งไปหมด อะไรที่เนื้อหนังทำ เราต้องยอมรับรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเอง เพื่อเราจะอภัยให้คนอื่นได้ด้วยว่าเราก็เป็นอย่างนี้ เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะมันอยู่ในเนื้อหนังเหมือนกัน ต้องอภัยกัน และมองทะลุสิ่งเหล่านี้ไปสู่โลกวิญญาณ

ดังนั้น ถ้อยคำพระเจ้าที่ผมบอก จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่เราควรจะเอาใจใส่ ถือโอกาสวันนี้มาพูดตรงนี้ เป็นพิเศษ ยังไม่เข้าเรื่องบรรยายนะ ผมรู้ทุกคนอยากจะฟังแล้ว พอพูดอย่างนี้ตื่นเต้น อย่างน้อยๆ ต่อจากนี้สัปดาห์หนึ่ง ทุกคนจะตื่นเต้นเรื่องเกี่ยวกับกลับไปแล้ว ไปกินถ้อยคำพระเจ้า ไปศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ไปอ่านถ้อยคำพระเจ้า ไปฟังถ้อยคำพระเจ้า ผมเชื่อเลย ได้แค่อีก 7 วัน หลังจากนั้น ก็กลับมาเหมือนเดิม จริงหรือไม่จริง? ต้องยอมรับความจริง เพราะก้อนเนื้อหนัง มันไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่ง อะไรที่เป็นของพระเจ้ามันเบื่อ ผมจะพาให้ท่านไปเห็นว่าก้อนเนื้อหนัง ทำให้เราน่าสมเพช ทำให้เราน่าสงสารขนาดไหน? นี่ขนาดเปาโลนะ เปาโล คือผู้เชื่อที่ได้พบพระเยซูหน้าต่อหน้า ครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าพาเขาขึ้นไปบนสวรรค์ ตอนที่เป็นๆ อยู่นี้ ตอนที่เป็นมนุษย์ กลับมาทำงานต่อเลยนะ เห็นสวรรค์มาแล้ว ท่านลองคิดดู เปาโลคนนี้ รู้เรื่องหมดเยอะแยะขนาดนี้ พูดถึงก้อนเนื้อหนังของตัวเองว่าอย่างไร?  ในโรม 7:21-25 ท่านอยากรู้ไหม? เราต้องมีความหิวกระหายในถ้อยคำพระเจ้า จำไว้เลย คิดอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือเราหิวตลอดเวลา เรื่องถ้อยคำพระเจ้า อย่างที่ผมเคยบอก ท่านคิดถึง …

“เอ๊ะ! ตรงนี้มันคืออะไร? ตรงนี้มันไม่เข้าใจเลย”

ไม่เข้าใจ เป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าหยุดอยู่ตรงนั้น อธิษฐานสิ

“พระเจ้าตรงนั้น ลูกไม่เข้าใจ ลูกอยากรู้จักมากขึ้น ลูกไม่เข้าใจตรงนี้เลย ตรงนี้  คืออะไร? ลูกอยากรู้จักมากขึ้น”

นี่คืออธิษฐานอย่างนี้ แทนที่จะอธิษฐานขอความจำเป็นในชีวิตเยอะแยะ การกิน การอยู่ ปัญหาโน่นนี่ ไม่ใช่อธิษฐานไม่ได้ อธิษฐานได้ แต่พระเยซูบอกไม่จำเป็นต้องอธิษฐานมากมาย เหมือนชาวบ้านที่เขาไม่รู้จักพระเจ้าหรอก พูดไปมากๆ พระเจ้าจะได้ยิน มาตื้อๆ แล้วจะให้ ของเราไม่ใช่อย่างนั้น ยังไม่อธิษฐาน ก็รู้แล้ว อยากได้อะไร? ซื้อล๊อตเตอรี่ก็อยากให้มันถูก ไม่ต้องอธิษฐานหรอกว่าให้ถูก ไม่ต้องอธิษฐานหรอกว่าหิวข้าว ตอนนี้ขาดเงิน ไม่ต้องอธิษฐาน ก็รู้ อธิษฐานก็ไม่ต้องมากความ แล้วเอาเวลาที่เหลือ มาศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ใช้เวลาที่เหลือคิดถึงถ้อยคำพระเจ้า คิดถึงเรื่องสวรรค์มันคืออะไร? เคาะมันไม่หยุดเลย เรื่องสวรรค์ แสวงหาสวรรค์ ไม่หยุดเลย ไม่ใช่แสวงหาความร่ำรวย ไม่หยุด ไม่ใช่แสวงหาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เรื่องปัญหาบนโลกใบนี้ไม่หยุดหย่อน พระองค์รู้แล้ว อยู่บนโลกนี้ มันต้องประสบปัญหาธรรมดา แต่สิ่งที่พระเยซูให้เราเคาะตลอดเวลา ขอตลอดเวลา แสวงหาตลอดเวลา มันหมายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์ แล้วรู้ได้อย่างไร? มาทางถ้อยคำพระเจ้า มาทางพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วก็อธิษฐาน พระเจ้าก็จะสอนเราจากประสบการณ์ในชีวิต อันนี้ตรงกับถ้อยคำนั้น  อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เราฟังเทศน์ อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เราเปิดยูทูปฟัง อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เปิดอ่านบทความนี้ มันก็จะไปเรื่อยๆ อย่างนี้  วันแล้ววันเล่า หลับๆ ตื่นๆ แล้วมันก็งอกเงยขึ้นมาเป็นต้นไม้ใหญ่ เป็นประโยชน์ สำหรับบรรดาผู้คนรอบข้าง เอเมน

เราอยู่ในหัวข้อเรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” วันนี้เป็นตอนที่ 4 มีชื่อว่า “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2

ทบทวนนิดหนึ่ง ครั้งที่แล้ว เราสรุปว่าหนังสือฮีบรูที่ถูกเขียนไป เพื่อไปเตือน ชาวฮีบรูมี 3 กลุ่ม คือ …

กลุ่ม 1 คือกลุ่มที่ไม่เชื่อเลย ปฏิเสธพระเยซู เป็นศัตรูเลย

กลุ่ม 2 คือกลุ่มลักปิดลักเปิด แต่สรุปแล้ว ในใจลึกๆ ไม่เชื่อ แต่ข้าง

นอกดูเหมือนเชื่อ  ถูกอิทธิพลของโลกดึงดูด   จนกระทั่งในที่สุด   ก็คือไม่เชื่อ

นั่นแหละ

กลุ่ม 3 ก็คือกลุ่มคนที่เชื่อจริงๆ  เชื่อตั้งแต่ข่าวประเสริฐมาวันแรก  ก็เริ่มเชื่อๆ รับไป

เรื่อยๆ  กินไปๆ จนกระทั่งมัน หล่นตุ๊บลงไปที่วิญญาณ เกิดปิ๊งขึ้นมา กลายเป็น

บิ๊กแบงก์ กลายเป็นระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ในวิญญาณ กลายเป็นบังเกิดใหม่ เป็นลูก

พระเจ้า

ฮีบรู 6:9-12 มาอ่านอีกทีนะ

ฮีบรู 6:9-12 “9 แต่ว่า … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด 10 พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำและความรักที่ท่านแสดงให้พระองค์เห็น คือการที่ท่านช่วยเหลือประชากรของพระองค์ และยังช่วยพวกเขาต่อไป 11 เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคน สำแดงความพากเพียรนี้ จนถึงที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้จะเป็นจริง 12 เราไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้น ซึ่งได้รับมรดกตามพระสัญญา โดยอาศัยความเชื่อและความอดทน”

 

เวลาอ่านถ้อยคำพระเจ้า ต้องรู้ภูมิหลังว่าเขาเขียนถึงใคร จะได้จำได้ศัพท์ จับได้ความว่าของจริงมันเป็นอย่างนั้น รู้แล้วใช่ไหมว่าพูดถึงกลุ่มแรก ปฏิเสธ พูดถึงกลุ่ม 2 ปฏิเสธแบบไปๆ มาๆ สรุปแล้ว คือปฏิเสธ แรกๆ ดูท่าทางรับ แต่จริงๆ คือไม่ได้รับจริง ยังกลัวอยู่ ในที่สุด ก็ปฏิเสธ กลุ่มสุดท้าย ก็คือกลุ่มที่เชื่อจริงๆ บังเกิดใหม่จริงๆ เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ก็เลยใช้คำว่า “พวกพี่น้อง” ที่ตะกี้ผมบอกให้เติมข้างหน้า มีคำว่า “But”

“แต่ว่าเราไม่เหมือนกับ 2 กลุ่มนั้น  พวกเรากลุ่มนี้ คือกลุ่มที่เชื่อจริงๆ เลย”

พูดถึงยิว ไม่ใช่เรานะ นำมาใช้ในชีวิตของเราปัจจุบัน เอามาเทียบใช้ แต่จริงๆ ที่อ่านอยู่นี้ เขากำลังพูดถึงพวกยิว กลุ่มสุดท้ายบอกว่า …

“แต่พวกเราไม่เหมือน 2 พวกนั้นนะ เราไม่ปฏิเสธ เรารับเชื่อ และตอนนี้ เราเป็นพี่น้องกันแล้ว เพราะเราเกิดใหม่ในพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซู เป็นพี่น้องของพระเยซู เหมือนกันเลย  เพราะฉะนั้น เราพี่น้องกัน แต่ว่าพวกเราไม่เหมือนกลุ่มแรก คิดถึงกลุ่มคนเหล่านี้ ที่พระเยซูตอนที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูพูดถึงอาณาจักรสวรรค์ คนที่จะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณว่าเป็นเช่นไร? มัทธิว 13:3-9 มาทบทวนกัน …

มัทธิว 13:3-9 “3 พระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขา เป็นคำอุปมา เช่น “ชาวนาคนหนึ่ง ออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทาง และนกมาจิกกินไปหมด 5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก 6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไป  เพราะไม่มีราก 7 บางเมล็ดตกกลางพงหนาม โดนหนามงอกคลุม 8 แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี  ซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน 9 ใครมีหู จงฟังเถิด”

 

เพราะฉะนั้น ข่าวดีที่ประกาศออกไป ทั้งโลก ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม มันจะมีอยู่ 3 กลุ่ม แต่เป็นดิน 4 ประเภท ตามที่พระเยซูยกตัวอย่าง และพระเยซูก็อธิบายให้ฟังเลยว่าที่พูดเมื่อตะกี้นี้ มันหมายถึงอะไร? ในมัทธิว 13:18-23

มัทธิว 13:18-23 “18 “จงฟังความหมายของคำอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ 19 เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ  มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป  นี่คือเมล็ดพืชที่หว่านตามทาง 20 เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมาก คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21 แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้น ก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว 22 เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนาม คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสีย ทำให้ไม่เกิดผล 23 ส่วนเมล็ดพืช ซึ่งตกในดินดีนั้น คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป”

 

เรากำลังเรียนรู้เรื่องข่าวดีของพระเจ้า ผ่านทางหนังสือฮีบรู เรื่องความรอดของพระเยซู มาเปรียบเทียบให้ฟังกับชีวิตของคริสเตียนในยุคปัจจุบัน โดยเน้นถึงถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูเป็นผู้ตรัสเอง  เรื่องอุปมาว่ามันตรงกันอย่างไร? เวลาข่าวดีไปถึงใครก็ตาม มันเกิดอะไรขึ้น จะรอดได้อย่างไร? แล้วมันเกิดปฏิกิริยาอะไร เมื่อเจอกับคนบนโลกใบนี้ เมื่อฟังข่าวดี ซึ่งเราก็สามารถสรุปให้เห็นชัดๆ คือไม่ว่าที่ใดก็ตาม เมื่อข่าวดีประกาศออกไป จะมีบุคคลอยู่ 3 กลุ่ม ซึ่งในหนังสือฮีบรู หมายถึงกลุ่มคนเฉพาะชาวยิว แต่จริงๆ เราเอามาใช้ได้ทั้งหมด  ทั้งโลกก็มี 3 กลุ่มเหมือนกัน คือ …

กลุ่มที่ 1 คือเย่อหยิ่ง ไม่ฟัง ไม่สนใจเรื่องพระเยซู ไม่สนใจเรื่องความรอด จบกันไปเลย เขาก็ต้องอยู่ในคำพิพากษา ลงโทษจากพระเจ้า เหมือนเดิม ไม่ใช่พระเยซูตั้งใจมาพิพากษาเขา แต่เขาถูกพิพากษา เพราะเขาปฏิเสธคนที่จะมาช่วย เขาบอกว่า …

“ไม่ต้องช่วยฉัน ฉันก็อยู่ที่เดิม” ก็คืออยู่ที่ถูกพิพากษา

กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ได้ยินข่าวดี แล้วก็รับเชื่อ แต่พอไปเจอปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ ก็เริ่มเขว ก็ทิ้งข่าวดีนี้ไป หรือพยายามที่จะเอาข่าวดีพระเยซู มาผสมกับพิธีกรรมอื่นๆ อะไรต่างๆ ที่จะช่วยตัวเองให้รอดด้วย  นอกจากจะเชื่อพระเยซู แล้วยังจะเชื่อว่าตัวเอง ต้องช่วยเหลือตัวเอง ถึงได้รับความรอด ก็คือไม่เชื่อพระเยซูเต็มร้อย ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ไม่ได้รับความรอด ก็ต้องได้รับการพิพากษา สรุปแล้ว ก็คือปฏิเสธพระเยซูในที่สุด

กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่เกิดผล คือรักษาข่าวดีนั้น จนกระทั่งเกิดเป็นผลขึ้นมา เป็นวิญญาณเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า เป็นพี่น้องกับพระเยซูเลย

ซึ่งพระเยซูก็เอามาสอนให้เราฟังแล้วว่า 3 กลุ่มนี้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทชนิดของดิน ก็คือ …

ประเภทที่ 1 พระเยซูอธิบายเพิ่มเติมว่าเมล็ดที่ตกตามทาง นกมาจิกกินไปหมด ไม่เกิดอะไรเลย ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินการประกาศข่าวดีแล้ว แต่ยังไม่เกิดความเข้าใจ ยังไม่เกิดความเชื่อ และมารก็มาฉกฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขาออกไป เหมือนนกที่มากินเมล็ดไปหมดเลย ยังไม่แตะดินเลย มันไปทันที เผลอๆ ลงดิน ยังไม่รู้ ก็คือไม่เอาเลย หยิ่งมาก ไม่สนใจเลย ไม่ฟัง ไม่อะไรทั้งสิ้นเลย

ประเภทที่ 2 ก็คือเมล็ดพืชที่ตกลงในกรวดหิน ดินไม่ลึก ทำให้งอกขึ้นเร็ว ดินมันมีอยู่นิดเดียวเอง เร็วเลย  แต่อยู่ได้ไม่นาน ก็เหี่ยว เมล็ดพืชชนิดนี้ เปรียบได้กับ ผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้ว ก็รับไว้ทันที เริ่มเชื่อทันที ด้วยความเชื่อที่ตื่นเต้นและด้วยความยินดี แต่เพราะไม่หยั่งรากลึกลงไปข้างล่าง คือความเชื่อยังไม่ได้ดิ่งลงไปในใจ และไม่ได้พยายามเก็บรักษาความเชื่อนั้นไว้ จึงคงอยู่ได้แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหา เกิดการข่มเหง ก็เลิกราไปรวดเร็ว ก็คือเลิกเชื่อ

ประเภทนี้ ก็คือรับรู้ข่าวดี ฟัง พระเยซูมาไถ่บาปให้เรา พระเยซู คือพระผู้ช่วยให้รอด คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในอดีต เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นตัวแทนเราในการตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับเอาบาปของเราไป เพื่อให้เราได้รับอิสรภาพ ดีใจ อย่างนั้น เราก็ได้รับความรอด รับเชื่อด้วยปาก มันยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ถามว่าเรารู้ได้อย่างไรว่ายังไม่ดิ่ง ก็ง่ายนิดเดียว ก็คือพอกลับไปบ้าน ไปเจอกับปัญหา เจอกับการข่มเหง อาจจะญาติพี่น้อง พ่อแม่ ลูก ใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์กับเราลึกซึ้ง ที่เราเคารพนับถืออยู่ แล้วมาบอกเราว่า …

“แกไปเชื่อได้อย่างไร? แกจะทิ้งศาสนาเดิมเหรอ แกมองข้ามฉันไปเหรอ”

มันเจ็บ นี่คือการข่มเหง … การข่มเหง ไม่ใช่เอาไม้มาข่มขู่ หรือเอาปืนมาจ่อเรา ไม่ใช่ แค่นี้ก็ข่มเหงแย่แล้ว ลำบากใจแล้ว

หรือกลับไปที่ทำงาน ไปเจอคนมองเราเหยียดหยามมาก เป็นคนขายศาสนาตัวเอง ประมาณนี้ จริงๆ มันไม่ใช่เลย แต่เวลาเขาพูดมา ปรากฏว่าถ้าเราไม่ผ่านการข่มเหงนี้ เรากลัว ในที่สุด เราก็ทิ้งข่าวประเสริฐที่เราได้รับมา ก็มีค่าเท่ากับกลุ่มคนกลุ่มแรก คือไม่เชื่อในพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซู เมื่อไม่เชื่อ ก็กลับมาอยู่ที่เดิม คืออยู่ในการถูกพิพากษาอยู่แล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ประเภทที่ 3 เมล็ดที่ตกลงกลางพงหนาม มีหนามปกคลุม ไม่สามารถเกิดผลได้ ก็สามารถเปรียบได้กับผู้ที่รับรู้ข่าวประเสริฐ ข่าวดีมาแล้ว ได้ยินพระวจนะ แต่ถูกความพะวักพะวงในชีวิตนี้ และความหลอกลวงในทรัพย์สมบัติ ทำให้ไม่เกิดผล พูดง่ายๆ ก็คือถูกโลกนี้ ล่อลวงเรา คือเชื่อเสร็จปุ๊บ รับรู้ ข่าวประเสริฐ ดีๆ ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พอกลับไป เจออะไรนิดหนึ่ง ในนี้บอกพะวักพะวงในชีวิต กลับไป สมมตินะ มาตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งตอนนั้นพอดี

ฟังให้ดีๆ นะ ตรงนี้สำคัญมาก ตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งพอดี รักเขาสุดหัวใจ พะวักพะวง ปรากฏว่าฝ่ายผู้หญิง ทั้งบ้าน ไม่ยอมให้แต่ง ถ้าคุณยังเชื่อพระเจ้าอยู่ ไม่ต้องมาแต่งเลย  แล้วคุณจะตัดสินใจอย่างไร? คุณจะทิ้งพระเจ้าไปไหม? ผมไม่ตอบนะ ผมให้เป็นคำถาม นี่แหละคือพะวักพะวง และยังมีอีกหลายเรื่อง

กลับไปถึงที่ทำงาน แล้วก็เจอหลายๆ ปัญหา ต้องเลือกระหว่างหน้าที่การงานกับพระเยซู ในที่สุด เอาเลื่อนตำแหน่งดีกว่า ไม่เอาพระเยซู นี่แหละ คือพะวักพะวง จะเอาอย่างไรกันแน่ ยังมีอีกหลายเรื่องเยอะแยะ แต่ให้ท่านรู้มันหมายถึงอย่างนี้แหละ

ยังมีที่ถูกการล่อลวงของโลกใบนี้ ก็คือความโลภในลาภยศ ในทรัพย์สมบัติ สมมติว่าพอท่านเชื่อ ท่านกลับไป พ่อบอกไม่ให้มรดกนะ มรดกพ่อมีแค่ประมาณหมื่นล้านบาท ไม่ให้เลยแม้แต่บาทหนึ่ง ถ้ายังเชื่อพระเยซูอยู่ ไม่ต้องมาเอาเลย จะเอาอย่างไรดี? เอาเงินหรือเอาพระเยซูดี เอาเงินดีกว่า ตอนนั้นนะ พูดตอนนี้ มันพูดได้ ถึงจริงๆ จะรอดไหม? เราไม่รู้หรอก อย่านึกว่าตัวเองแน่ เคยได้ยินตรงนี้ไหม? เวลาคนเขาคอรัปชั่น เราอย่าไปพูดมาก

“ถ้าเป็นฉัน ฉันไม่เอาหรอก ขายชาติ อย่างนี้ ไม่ถูกต้องเลย”

อย่าพูดๆ เพราะว่าถึงเราเองจริงๆ เราอาจจะทำหนักกว่านั้น ก็ได้ สมมติเขาโกงไปพันล้าน ไปว่าเขาต่างๆ  อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ

“เป็นฉัน ฉันไม่หรอก”

เป็นท่าน เขาเอามาให้ร้อยล้าน ท่านอาจจะบอกว่า …

“ไม่มีทาง ฉันยึดความถูกต้อง”

“เอาไปสองแล้วกัน”

“ไม่มีทาง”

“เอาไปห้า”

“โอเค หยวนน่า”

ห้าร้อยล้าน ท่านก็ไปแล้ว นี่เขาตั้งพันล้าน เขาดีกว่าท่านตั้งเยอะ อย่าพูดว่าเราไม่ทำ เรากับเขาก็ไม่ต่างกัน เมื่อตกไปในการล่อลวงแล้ว มันเป็นไปได้ทุกคนแหละ รวมทั้งเราด้วย เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้

อย่างที่บอกรับรู้ข่าวประเสริฐมา แล้วไปเจอการล่อลวง โธ่! เอ๋ย เรื่องแค่นี้ ทิ้งพระเยซูไปแล้ว เอาไว้เจอกับคุณเอง คุณจะเข้าใจว่าเมื่อถึงเวลาตัดสินใจจะเลือกข้าง มันไม่ใช่เล่นๆ จริงไหม? พี่น้อง ต้องผ่านการเลือกมาแล้วทั้งนั้น ที่เลือกถูก ก็เพราะว่าข้างในมันเกิดใหม่แล้วจริงๆ สุดท้ายนั้น  มันต้องผ่านกระบวนการ การทดสอบอย่างนี้ จนกระทั่งมัน ไม่เอา เอาพระเยซู ท่านรู้ไหมว่าท่านบอกไม่เอา ทรัพย์สมบัติไม่เอา อะไรไม่เอา แล้วมาเอาพระเยซู บางครั้งที่พูดไปอย่างนั้น แล้วตัดสินใจไปอย่างนั้น มันยังไม่ไหลลงไปในวิญญาณท่าน ท่านยังไม่บังเกิดใหม่เลยนะ ท่านเพียงแต่เริ่มต้นแค่รับรู้เมล็ดนี้เท่านั้นเองนะ แต่เมื่อมันผ่านไปวันแล้ววันเล่า พิสูจน์ได้แล้วว่าท่านเชื่อจริงๆ มันไหลลงไปเรื่อยๆ จากการข่มเหงอันนี้ ท่านผ่าน มันก็ไหลลงไป จากการทดสอบ ล่อลวงของโลกใบนี้ เรื่องลาภ ยศ ชื่อเสียงต่างๆ ท่านก็ผ่าน ก็ไหลลงไปอีก ท่านยังเลือกพระเยซูอยู่ อาจจะไปอีก 20 ครั้ง ครั้งที่ 20 มันปิ๊ง ก็คือมันไหลลงไป ที่วิญญาณท่านเกิดบิ๊กแบ็งค์ขึ้นมา เกิดการระเบิดใหญ่ขึ้นในวิญญาณของท่าน เกิดการเนรมิตขึ้นมาถึงวิญญาณของท่าน บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ท่านไม่ต้องกลัวอีกแล้ว ไม่มีอะไรมาล่อลวงท่านได้แล้ว เพราะท่านเป็นลูกพระเจ้า อยู่ในอ้อมกอด อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างแท้จริง เอเมน และตรงนั้น คือดินประเภทที่ 4 ที่เรากำลังจะพูดถึง

เพราะฉะนั้น ดินประเภทที่ 2 กับ 3 รวมแล้ว ก็คือกลุ่มเดียวกัน คือกลุ่มคนที่ 2 ที่ไม่เชื่อ ปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ยอมรับพระเยซูนั่นเอง

ประเภทที่ 4 เมล็ดที่ตกบนดินดี ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และมีความเข้าใจ รับรู้ เก็บรักษาความเชื่อไว้อย่างดี จนกระทั่งความเชื่อนั้นหยั่งรากลึกลงไปในใจ ไปเรื่อยๆ ที่พระคัมภีร์บอกมันจะเกิดผลเป็น 100 เท่า 30 เท่า เกิดผลแน่นอนกี่เท่าก็แล้วแต่พระวิญญาณ เกิดใหม่แล้ว นั่นคือพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เอเมน ท่านเข้าใจแล้วใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ท่านสามารถรู้ตัวท่านเองอยู่ในสถานะอะไร? ท่านอยู่ในกลุ่มไหนตอนนี้ กลุ่ม 1 กลุ่ม 2 หรือกลุ่ม 3 แล้วถ้าท่านอยู่ในกลุ่ม 2 ท่านอยู่ในประเภทตอนไหน? ตอนนี้ กลุ่ม 2 ประเภทที่โดนอะไรข่มเหง หรือมีพะวักพะวงในชีวิต อะไรบางอย่าง กำลังเลือกทางอยู่ หรือกำลังไม่แน่ใจ แต่ท่านอยู่ในระหว่างรักษาข่าวดีนี้ไว้ตลอดเวลาไหม? เราไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ ใครก็ตามที่ดิ่งลึกลงไปในใจ วิญญาณปิ๊งขึ้นมา เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จะเป็นอย่างที่ผมบอกตอนแรก ท่านจะรู้ว่าท่านสะอาดหมดจดแล้ว ท่านไม่ต้องไปถามใครเลยว่าทำอย่างนี้ ตกนรกไหม? ทำอันนี้ เป็นอย่างนั้นไหม? เพราะข้างในบอกท่านเองทั้งหมดเลยว่าท่านเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว เอเมน รักษาตรงนี้ไว้ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง

เราขอบคุณพระเจ้าที่เราเป็นกลุ่มคนสุดท้าย คือคนที่บังเกิดใหม่ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระหัตถ์แล้ว ไม่มีหลุดรอดไปไหนแล้ว พระคุณของพระเจ้า ช่วยคนชั่วอย่างฉันเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว เสร็จไปแล้ว ไม่มีการย้อนกลับมาอีกแล้ว ซึ่งเราได้ย้ำกัน ด้วยข้อพระคัมภีร์นี้ สรุปจบในเรื่องนี้มาหลายครั้ง เที่ยวนี้ก็จะใช้ข้อนี้อีก โรม 8:31-39 อ่านให้ชัดๆ ว่าเราเป็นกลุ่มคนสุดท้าย กลุ่มที่รักษาข่าวประเสริฐ รักษาข่าวดี เมล็ดของข่าวดีนี้ไว้ จนกระทั่งมันไหลลงไปในวิญญาณ เกิดเป็นบิ๊กแบ็งค์ขึ้นมา เกิดฤทธิ์อำนาจ เกิดการระเบิดใหญ่เข้าไปในวิญญาณ เรียกว่านิวครีเอชั่น เรียกว่าถูกบังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือ Power of Holy Spirit ฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้ได้บังเกิดใหม่ขึ้นมาในวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า พอเกิดใหม่ปุ๊บ ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เป็นอย่างที่โรม 8:31-39 อ่านดู นี่คือตัวฉันเอง ตัวฉันที่เป็นวิญญาณจริงๆ นะ

โรม 8:31-39 “31 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ? 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย 35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

 

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “เป็นลูกพระเจ้า แต่ยังไม่เชื่อในการไถ่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2018

เรื่อง “เป็นลูกพระเจ้า แต่ยังไม่เชื่อในการไถ่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ลองฟังเรื่องนี้ดูว่านึกถึงใคร? ลูกชายของเศรษฐีนักธุรกิจรายหนึ่ง อยากออกมาใช้ชีวิตส่วนตัว ไม่อยากช่วยงานธุรกิจของครอบครัว เหมือนทายาทเศรษฐีทั้งหลายทั่วโลก เป็นอย่างนี้ ก็เลยลุกขึ้นมา ขอเงินแบ่งจากพ่อ แล้วก็ออกจากบ้านไป ใช้ชีวิตอิสระเป็นตัวของตัวเอง ปรากฎว่าชายหนุ่มคนนี้ ก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็ประสบผลไม่สำเร็จ ก็ล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่ได้มา จนหมด ไม่ใช่แค่หมดเท่านั้น แถมยังเป็นหนี้เป็นสินอีกมากมาย ทั้งจากการสุรุ่ยสุร่าย เล่นการพนัน และการใช้เงินเกินตัวด้วย มั่นใจตัวเองมาก พอเงินหมด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เจ้าหนี้ก็มาทวงทุกวันๆ ไม่ใช่มาทวงธรรมดา ทั้งทวง ทั้งข่มขู่ ข่มเหง รังแกด้วย บ้านที่เอาไปวาง ที่ดินที่เอาไปวางเป็นหลักประกันก็จะโดนยึด คราวนี้จะทำอย่างไรดี?

เมื่อตอนอยู่กับพ่อก็ซ่าส์ เย่อหยิ่ง อยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระ อยากออกจากบ้าน เป็นตัวของตัวเอง อยากจะคิดเอง ทำเองทุกอย่าง แต่พอออกไปแล้ว เป็นไง เจอตอเข้า เจอปัญหา  เจอความทุกข์ยากลำบาก เจอของจริงเข้า ก็นึกถึงใคร? นึกถึงบ้าน นึกถึงพ่อ ชายหนุ่มคนนี้ พอเจอการทวงนี้ การข่มขู่ที่รุนแรงเข้า ก็เลยต้องกลับไปขอการช่วยเหลือจากพ่อ พอไปถึงพ่อ พ่อช่วยไหม? ช่วยอยู่แล้ว

ความรักของพ่อที่มีต่อลูก ก็แน่นอน มันจะขนาดไหนก็ตาม จะผิดหรือจะถูกอย่างไรก็ตาม เมื่อลูกกลับมา เราช่วยอะไรได้ เราช่วยเต็มที่ นี่เป็นมหาเศรษฐี ทำไมจะช่วยไม่ได้ เมื่อลูกกลับมา ก็ดีใจ พ่อพร้อมที่จะอ้าแขนรับ และช่วยเหลือ พ่อก็เลยไปช่วยเจรจากับเจ้าหนี้ แล้วก็ไถ่หนี้ให้ทั้งหมด จนครบหมด หมดเกลี้ยงเลย พ่อก็เลยกลับมาบอกลูกชายว่าพ่อทำการไถ่หนี้ให้หมดแล้ว หนี้ที่ไปสร้างไว้เยอะแยะ ตอนนี้ไถ่หมดแล้ว  จ่ายหมดแล้วๆ ลูกเป็นอิสระแล้ว ลูกก็พยักหน้า ดีใจ เชื่อ ดีใจ แต่ปรากฏว่าดีใจ สบายใจอยู่ไม่นาน สิ้นเดือน เจ้าหนี้มาทวงเหมือนเดิม ยังมาข่มขู่อีก มาทวงเหมือนเดิมอีก ส่งคนมาทวง ข่มขู่ ก็เลยชักไม่แน่ใจ ก็จ่ายให้ไป กลัว ก็จ่ายให้ไป จ่ายหนี้ เดือนต่อไป ก็มาข่มขู่อีก ชักไม่แน่ใจแล้ว คราวนี้ก็เลยไปถามพ่อ พ่อก็ยืนยันว่าจ่ายหมดแล้ว แถมยังเอาใบเสร็จมาให้ดู ไปจ่ายมาเอง เรียบร้อยแล้ว และก็บอกลูกชายว่าคราวหน้า ถ้ามันมาทวงอีก เอานี้ให้มันดูเลย ใบเสร็จ รู้ไหม? รู้ครับ

แล้วเจ้าหนี้ก็กลับมาอีก สิ้นเดือนมาแล้ว  คราวนี้ขู่หนักเลยว่าถ้าไม่ผ่อนหนี้ต่อไป คราวนี้จะทำให้รุนแรงขึ้น  อาจเจ็บตัวได้นะ ปัญหาหนักขึ้นนะ ข่มขู่ร้ายแรงเลยคราวนี้ ลูกชายก็ทำตามที่พ่อบอก ก็รีบไปเอาใบเสร็จมา โชว์ให้เจ้าหนี้ดูเลยนะครับ พูดเสียงแข็งเลยนะ …

“นี่คือหลักฐานการใช้หนี้หมดแล้ว พ่อฉันจ่ายหมดแล้ว”

แต่ว่าเจ้าหนี้ก็ยังทำไม? ขู่ต่อไปว่า … “ดูให้ดีๆ ใบเสร็จนี้มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นของปลอม ถ้าพ่อแกมีเงินจริง ไถ่บ้าน ไถ่ที่ดินอย่างนี้นะ คงไม่ปล่อยให้แกอยู่อย่างนี้หรอก”

ฟังให้ดีๆ “ถ้าพ่อแกมีเงินเยอะจริงๆ ขนาดมาไถ่หนี้  ถึงขนาดในใบเสร็จนี้  เป็นหลายร้อย หลายสิบล้านอย่างนี้จริงๆ แล้วทำไมปล่อยให้แกอยู่บ้านโทรมๆ อย่างนี้ ดูสิปลวกยังขึ้นอยู่เลย สีก็ไม่ได้ทา ถ้ามีเงินขนาดนี้จริงๆ บ้านแกมันต้องสวยกว่านี้ตั้งเยอะนะ มันไม่กี่ตังค์เอง ถ้าทำใหม่”

ชักน่าคิด ลูกก็หันกลับไปดูที่บ้าน มันก็จริงนะ คิดตามภาษามนุษย์ธรรมดาว่ามันมีเหตุผล แล้วก็บอกตัวเองว่าที่เจ้าหนี้พูด มันก็น่าจะเป็นจริง งั้นแสดงว่าพ่อคงยังไม่ได้ไถ่หนี้ให้เราแน่ๆ เลย คิดไปคิดมา เลยเถิดไปว่าพ่อเราจริงหรือเปล่า? หรือเราถูกหลอก หลอกเราเล่นหรือเปล่า? ใช่พ่อเราไหมเนี้ย ชักไม่ค่อยแน่ใจ ก็ทำอย่างไร? ผ่อนต่อ จ่ายต่อ

แล้วก็คิดต่อไป … “ถ้าเป็นพ่อของเราจริงๆ มีเงินขนาดนี้เยอะแยะ ไถ่หนี้ให้กับเรา บอกว่าที่ดินทั้งหมดนี้ หนี้สินไปจ่ายเขาหมดเรียบร้อยแล้ว ป่านนี้บ้านเราคงไม่อยู่อย่างนี้หรอก จะมาปล่อยให้เราอยู่บ้านหลังเก่าอย่างนี้ทำไม? ซื้อหลังใหม่ให้เราก็ได้ ถ้าไม่ซื้อหลังใหม่ให้เรา แสดงว่าไม่มีจริง ถ้าเป็นพ่อเราจริง ไถ่ให้เราอย่างนี้จริงๆ น่าจะให้เราอยู่ดี กินดีกว่านี้ ไม่ใช่ให้มาขัดสนลำบากลำบนอย่างนี้ ปล่อยให้เราอยู่อย่างทุรักทุเลตามมีตามเกิดแบบนี้ คงไม่ปล่อยให้เราอยู่บ้านโทรมๆ อย่างนี้ ลำบากอย่างนี้หรอก เพราะฉะนั้น ไม่น่าใช่ ที่ไถ่อะไรให้เราทั้งหมดแล้ว คงไม่จริง”

พอคิดแบบนี้  ก็สรุปเลยว่าพ่อยังไม่ได้ไถ่ให้เราจริงๆ เราอาจถูกหลอก เรายังไม่ได้มีอิสรภาพจากหนี้สินจริงๆ ตามที่พ่อบอก ถ้าขืนเรายังไม่จ่ายหนี้ต่อไป อาจเจ็บตัว เจ้าหนี้คงมาทวงอีก อาจเจ็บตัว เดี๋ยวหนักๆ เข้า คราวนี้ รุนแรงถึงชีวิตได้ เดือดร้อนใหญ่เลย ก็เลยจำใจต้องก้มหน้าก้มตาใช้หนี้ต่อไปเหมือนเดิม

คิดให้ดีๆ นะ ใช้หนี้ต่อไปเหมือนเดิม ขณะที่ใบเสร็จอยู่ในมือแล้วนะ  คุ้นๆ นะ

เรื่องลูกชายเศรษฐีคนนี้ ถามว่าเหมือนใครครับ? เหมือนคนที่มาเชื่อพระเจ้า มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าบอกว่าไถ่หนี้ให้หมดแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้แล้ว ปลดเราให้เป็นอิสรภาพจากหนี้บาป เวรกรรมแล้ว แต่พอมีเจ้าหนี้มาเริ่มทวงอีก เราก็ทำไร? เมื่อเจ้าหนี้มาทวง เจ้าหนี้บอกว่าอะไร?

“แกต้องชดใช้บาปเวรกรรม ที่แกมีอยู่ในใจนั้นต่อไปนะ”

บอกทำไม บอกเมื่อไร ทุกเดือนเหรอ ไม่ใช่ ทุกวัน เผลอๆ ทุกชั่วโมง เดี๋ยวเผลอนิดหนึ่ง อาบน้ำอยู่ เดินไป กินข้าวอยู่ เดี๋ยวแว๊บมาแล้ว โดยแว๊บ ผ่านทางโน้น ผ่านทางนี้  ผ่านทางความคิดเรา มันใช่เหรอเนี้ย เราหมดบาปเวรกรรมแล้วจริงๆ ตามที่พระเจ้าบอกหรือ? หรือเราจะต้องจ่ายหนี้ของเราอยู่เหมือนเดิมทุกวัน เพราะอะไร? เพราะเราไม่มีความมั่นใจในการไถ่ของพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง เพราะถ้ามั่นใจ เราคงไม่คิดและไม่ทำอะไรแบบนี้  เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป ความไม่มั่นใจนี้ ทำให้เกิดอะไรขึ้น ไม่มั่นใจ เพราะอะไร? เพราะเราใช้ความคิด ตรรกะแบบเหตุและผล แบบมนุษย์ ใช้ตามอง ใช้สิ่งที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ มาเป็นเครื่องพิสูจน์ วัดว่าพ่อเราไถ่เรา โดยพระเยซูคริสต์จริงไหม? พระเจ้าไถ่บาปเราโดยพระเยซูคริสต์จริงไหม? เหมือนเรื่องเมื่อตะกี้นี้ คิดตามเหตุผลเลย

ถ้าพ่อเรา หรือพระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์องค์เดียว มาไถ่บาปให้เราจริงๆ ตามที่พระองค์ทรงพูดไว้ตามพระคัมภีร์นั้น ทำให้เรามากมายถึงขนาดนี้จริงๆ ถ้าเราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ แล้ว เราก็ควรจะอยู่ดี กินดีกว่านี้นี่น่า จริงหรือเปล่า? หรือไม่มีใครเคยคิดบ้าง แล้วเราก็ควรจะอยู่ดีกว่านี้ เป็นลูกพระเจ้า ทำไมมันโทรมอย่างนี้ ถูกไหม?  ก็เหมือนเรื่องเมื่อตะกี้ ก็ในเมื่อพ่อของเรา คือพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงควบคุมและครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วจักรวาล ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้าที่กล่าวมานี้ เราก็ไม่ควรจะมีชีวิตแบบนี้เลย นี่คือการทวงนี้แบบเข้ามาในสมองเรา แล้วเราก็ชอบคิดแบบนี้ มันก็เลยตามไป บางทีคิดตอนอาบน้ำ คิดตอนกินข้าว บางทีคิดก่อนนอน บางคิดตอนทำงาน บางทีคิดตอนไม่สบาย บางทีคิดตอนมีปัญหา บางทีคิดตอนอะไรแล้วแต่ อะไรเยอะแยะ คิดตอนโลภ เยอะแยะไปหมดเลย คิดไปเรื่อย เพราะเรามีชีวิตที่ไม่มั่นใจในความรอดในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้กับเรา

“มีที่ไหน ลูกพระเจ้าต้องไปติดหนี้ ยืมสินเขา มีเหรอ?”

มีไหม? เราเป็นลูกพระเจ้าไปติดหนี้ยืมสินเขาเหรอ? หัวเราะตายเลย มีที่ไหน ลูกพระเจ้าต้องมาทุกข์ทรมาน จากโรคภัยไข้เจ็บ ไหนบอกพระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ มีที่ไหนลูกพระเจ้าต้องมาแบกปัญหาภาระ 108 1009 บนโลกใบนี้ ยุ่งวุ่นวายไปหมด เผลอๆ หนักกว่าคนอื่นเขาอีก เคยคิดบ้างไหม? ต้องเคยล่ะ มากหรือน้อยก็ตาม

“ลูกพระเจ้า ทำไมยังกังวล ยังกลัว ยังวิตกอยู่เลย”

บางคนหนักกว่านั้น … “ทำไมลูกพระเจ้ายังเป็นโรคซึมเศร้าอยู่เลย ทำไมลูกพระเจ้าคนนี้ฆ่าตัวตายได้ ทำไมลูกพระเจ้าคนนี้ ทำอย่างนี้ได้ สงสัยไม่ใช่ลูกพระเจ้ามั้ง”

สงสัยไปกันใหญ่ สิ่งเหล่านี้ ที่ทำทั้งหมด คือไม่เชื่อ กำลังบอกว่าเรากำลังผ่อนหนี้เขาต่อ เขามาทวง เราก็ผ่อนหนี้เขาต่อ นี่คือผ่อนหนี้  การผ่อนนี้ คือเราไม่เชื่อพระเจ้า กำลังผ่อนหนี้ ยอมรับง่ายๆ ว่าเราเป็นหนี้จริง พอเราเป็นหนี้จริง เราก็จะคิดแบบนี้ เราเป็นลูกพระเจ้า ลูกพระเจ้าอะไร ทำไมยังโกรธ ยังเกลียด ยังอิจฉาริษยา ยังโลภอยู่เลย ลูกพระเจ้าได้อย่างไรอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรากำลังบอกว่าเราไม่สมควรเป็นลูกพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์พระเจ้า พ่อเราบอกว่า …

“แกบริสุทธิ์สะอาด ไร้ที่ตำหนิ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย”

เราบอก … “ไม่ใช่ ลูกพระเจ้าจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? ลูกพระเจ้าจะโกรธได้อย่างไร? เมื่อเช้าฉันก็หงุดหงิด ลูกพระเจ้าจะหงุดหงิดอย่างนี้ได้อย่างไร?”

เป็นไหม? นี่แหละ คือการผ่อนหนี้อยู่ … “มันเป็นไปไม่ได้” … เรากำลังผ่อนหนี้อยู่ “เป็นไปไม่ได้” ก็คือเราไม่ได้รับอิสรภาพ เรายังเป็นหนี้สินอยู่ เรายังเป็นหนี้สินอยู่

“ใช่ แกพูดถูกแล้ว”

เรายังเป็นหนี้ เราผ่อนวิธีการนั้น ก็คืออย่าหนี ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ มันก็จะไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น ในความคิด เราก็จะสรุปว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ที่พระเจ้าองค์นี้จะเป็นพ่อของเรา และยิ่งพอเจอปัญหา เจอความทุกข์ยากลำบากหนักๆ เข้า ก็เลยคิดเลยไปใหญ่ว่าพระเจ้าที่ได้ยินมา ได้ฟังมา ได้เรียนรู้มานั้น ไม่มีจริงด้วยซ้ำไป เป็นความอยากได้ของมนุษย์มากกว่า พระเจ้าไม่มีจริง หรือมี ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่พระคัมภีร์พูดจริงๆ หรอก นั่นคือจินตนาการของมนุษย์ อยากให้พระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่จริงๆ ไม่มีหรอก อะไรคนเราทำผิดทำบาปเยอะแยะ อยู่ดีๆ มาเชื่อพระเยซูจะไปรอด สมควรไปอยู่สวรรค์ เป็นไปไม่ได้ ใครๆ ก็บอกเป็นไปไม่ได้ คนข้างบ้านก็บอก เพื่อนก็บอก รวมทั้งตัวฉันเอง ในที่สุด ฉันก็เลยบอกด้วยคนว่าไม่จริงหรอก ก็จบข่าวประเสริฐตรงนั้น

เห็นไหม? นี่คือวิธีการที่มารจะมาขโมยข่าวประเสริฐจากเรา การที่เราใช้หนี้ทุกวัน ที่เราบอกว่าพระเจ้าใช้หนี้เราหมดแล้ว แต่พอแต่ละเดือนแต่ละวันเขามาทวง เราก็ยังจ่ายอยู่ จ่ายก็คือวิธีนี้ ยังจ่ายอยู่ ยังคิดอย่างนี้อยู่ พอคิดอย่างนี้อยู่ ก็จ่าย วิธีจ่ายของเรา ก็คือจะทำอะไรก็ตาม เป็นพิธีกรรมอะไรก็ตามที่เป็นแรงจูงใจจากจิตใจ คือต้องการจะเป็นอิสระ นั่นแหละ คือการใช้หนี้เขา

ยกตัวอย่างเช่น ง่ายๆ เช่นท่านมาโบสถ์ เพราะอะไร? ท่านคิดว่าท่านมาโบสถ์ เพราะว่ามันจะได้สมควรที่จะไปสวรรค์เหรอ? เสร็จแล้ว ท่านกำลังผ่อนให้เขาอยู่ ถ้าท่านมาโบสถ์ เพราะว่าเราจะได้มาหนุนจิตชูใจกัน สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่เป็นอิสรภาพแล้ว อย่างนี้คนละจิตใจ มาเหมือนกันนะ แต่คนละแรงจูงใจไม่เหมือนกัน ท่านต้องเป็นอย่างนี้ ฉันต้องอดอาหารอธิษฐาน ไม่ใช่ไม่ดี ดี แต่ฉันอดอาหารอธิษฐาน เพื่อแสวงหาอะไรบางอย่าง ในเรื่องความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่อดอาหารอธิษฐาน เพราะว่าฉันจะได้บริสุทธิ์ ฉันจะได้บังคับตัวเอง ฉันจะได้บังคับตัวเอง ไม่ใช่อันนั้นเป็นการบังคับตัวเอง เหมือนถวายเหมือนกัน ท่านให้เงินไป ท่านให้เพราะอะไร? เพราะพระเจ้าให้มา อยากจะให้ต่อ คนให้มีความสุข คนรับมีความสุข พอแล้วแค่นั้น ไม่ใช่ให้เพราะว่าฉันจะได้สมควรไปสวรรค์ พระเจ้าจะได้รักฉันเยอะๆ เสร็จเลย

นี่คือการผ่อนไง และอื่นๆ อีกมากมาย เยอะแยะไปหมด ตลอดทั้งวันทั้งคืนที่เราทำ ไปพิสูจน์กันเองแล้วกัน ของใครของเขาว่าอะไรที่เราทำในทุกวันนี้ เป็นการยังผ่อนอยู่ไหม? พระเจ้าบอกเป็นอิสระแล้ว ตื่นขึ้นมา มีคนมาทวง ผ่อนอีกไหม? หรือเราบอกมันว่า …

“ไปให้พ้นนะ ฉันเป็นอิสระแล้ว ไปไกลๆ เลย”

หรืออย่างไร? ท่าทีไหนของเราที่เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า ให้ท่านกลับไปคิดเอาเอง ตัวใครตัวเขาแล้วกัน เอเมน

 

**********************