คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน 2017 เรื่อง “อีสเตอร์ … วันประกาศชัยชนะ และการครอบครองอาณาจักรนิรันดร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  เมษายน  2017

 เรื่อง “อีสเตอร์ … วันประกาศชัยชนะ

และการครอบครองอาณาจักรนิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันแห่งการเฉลิมฉลองวันแห่งการประกาศอิสรภาพ ครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดของมวลมนุษยชาติทั้งปวง ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียว คือประกาศอิสรภาพทางฝ่ายวิญญาณ ที่ประกาศโดยพระเยซูคริสต์ โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เรียกว่าศุกร์ประเสริฐ และทรงเป็นขึ้นใหม่ในเช้าวันนี้ เรียกว่าวันอีสเตอร์

การประกาศอิสรภาพฝ่ายวิญญาณนี้ เริ่มประกาศตั้งแต่วันที่พระองค์ทรงถูกตรึง ตายที่ไม้กางเขน และผ่านไป 3 วัน พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแรก ย้อนหลังไป ใครรู้ว่าเมื่อไร? ผมมีอะไรมาบอกท่าน เป็นเกล็ดความรู้เล็กน้อย

ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าปีนี้ 2017 เพราะฉะนั้น อีสเตอร์แรก ก็คือ 2,017 ปีมาแล้ว ไม่ใช่นะ จริงๆ แล้ว เริ่มนับปี ค.ศ.1 เมื่อพระเยซูมีอายุ 4 ขวบ และตอนที่พระเยซูถูกตรึง และสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ได้มีบันทึกว่าพระองค์มีอายุ 33 ปี คือถูกตรึงที่ไม้กางเขน เมื่อ ปี ค.ศ. 29

สรุป คือวันอีสเตอร์แรกผ่านมาแล้ว 1988 ปี คือ 2017 – 29 นั่นเอง ยังไม่ถึง 2,000 ปีเลย  เกือบๆ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ 1988 ปีมาแล้ว  ทำให้มนุษยชาติทั้งปวง ได้รับอิสรภาพทางฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง และเป็นแผนการของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว ตั้งแต่ตอนมนุษย์ตกลงไปในความบาป มีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล บอกล่วงหน้า ซึ่งมีภาษาไบเบิ้ลว่าเผยพระวจนะ คือพระเจ้าบอกล่วงหน้าผ่านทางมนุษย์ ที่เป็นผู้รับใช้ตอนนั้น ให้บันทึกไว้ว่าเราเตรียมแผนการอย่างนี้ไว้ จะเกิดอะไรขึ้น? บอกล่วงหน้า ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ตรัสเรื่องนี้ไว้ด้วยพระองค์เองไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์เอง ได้ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับวันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐ พระองค์รู้แล้วว่าพระองค์จะมาทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขนอย่างไร? ขนาดไหน? ทรมานอย่างไร? และเพื่ออะไร? ดูสิว่าพระองค์ทรงตรัสเอง ยกมาหนึ่งตอน ให้ท่านได้เห็นกัน ลูกา 4:16-19

ลูกา 4:16-19 “16 พระองค์เสด็จมายังเมืองนาซาเร็ธ ที่ซึ่งทรงเติบโตขึ้น  และในวันสะบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาอย่างที่ปฏิบัติเป็นประจำ และทรงยืนขึ้นอ่านพระธรรม 17 เขาส่งม้วนพระคัมภีร์อิสยาห์ให้พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่ออกมา ก็พบข้อความที่เขียนไว้ว่า  18 “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้  พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้า มาประกาศอิสรภาพแก่ผู้ถูกจองจำ  และให้คนตาบอดมองเห็น  ให้ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่  19 ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปราน ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

 

บันทึกไว้ตั้งแต่สมัยโน่น ผู้เผยพระวจนะที่มีชื่ออิสยาห์ นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น จริงๆ เผยพระวจนะ คือบอกล่วงหน้า แล้วบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตั้งแต่วันแรก หน้าแรก เรียกว่าปฐมกาล Beginning พูดถึงพระเยซูมาตลอด เฉพาะตรงนี้บอกว่าบันทึกไว้สมัยผู้เผยพระวจนะ พระเจ้าใช้ 1 คน คนนี้ชื่อว่าอิสยาห์ บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูคริสต์ให้มาประกาศแก่มวลมนุษยชาติทั้งหลาย เฉพาะตอนนี้บอกก่อนล่วงหน้า ประมาณ 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน และจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วันอีสเตอร์แรกนั่นแหละ

พระเยซูอ่านตรงนี้ให้เราฟัง บันทึกไว้ล่วงหน้า 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตอนที่เราอ่าน พระเยซูคริสต์เกิดเป็นมนุษย์แล้ว 30 ปี ไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นช่างไม้อย่างเดียว เงียบๆ พออายุ 31 หน้าที่ของพระองค์มาแล้ว คือเริ่มต้นประกาศว่าพระองค์เป็นใคร? มาทำไมบนโลกใบนี้? มาเพื่ออะไร? สวรรค์คืออะไร? พระเจ้าเตรียมสวรรค์ให้กับมนุษย์ทุกคนอย่างไร? พระเจ้าเตรียมความหวัง เตรียมความรอดให้กับมนุษย์ทุกคนอย่างไร? จากนี้ต่อไป? ถ้าท่านเห็นภาพตรงนี้ ท่านจะอ่านพระคัมภีร์อย่างสนุกสนานและเข้าใจง่ายๆ ไม่ยากเย็นอะไรเลย  คือพระเยซูมา เพื่อจะมาบอกเราทั้งหลายว่าจะประกาศอิสรภาพแล้ว จะเป็นอิสระจากความบาปความตายแล้ว จะมีความหวัง และตายแล้ว ไม่ต้องกลัว จะเป็นขึ้นมาใหม่ จะได้อยู่กับพระเจ้า กลับไปหาพระเจ้า จะรู้จักพระเจ้าได้

พอพระองค์อายุ 30 ก็เริ่มต้น เดินเข้าไปในธรรมศาลา คำว่าธรรมศาลา คือที่ชุมนุมของคนที่เชื่อพระเจ้า ในกลุ่มชาวยิวในขณะนั้น เพราะว่าวิหารของพระเจ้าเข้าไปไม่ได้แล้ว ถูกปิดไว้ ห้ามใช้ โดยกฎหมายทางโรมัน เขาเหล่านี้จึงออกมาประชุมนอกวิหาร

นอกวิหาร คือที่ประชุม ธรรมศาลา ก็เหมือนกับโบสถ์เรา ที่มาเรียนรู้กันในวันเสาร์ วันสะบาโต วันนั้น วันแรก ที่ไม่มีใครรู้จักพระองค์เลยว่าเป็นใคร? รู้เพียงแต่ว่าเป็นลูกโยเซฟ ลูกมารีย์ เป็นช่างไม้ จบ แต่วันนั้นพระองค์ทรงเดินเข้าไป แล้วก็หยิบพระคัมภีร์ขึ้นมา ปกติคนที่จะอ่านพระคัมภีร์ที่อยู่ในหนังสือม้วน จะต้องเป็นคนที่มีความรู้มาก ต้องศึกษา เขาเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมในสมัยนั้น เขาต้องขึ้นมา แล้วอ่าน แล้วพระเยซูเป็นใครก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ ก็ขึ้นมาขออ่าน คนก็ยื่นให้อ่าน พระองค์ก็เปิดมา ท่านคิดดู เต็มไปหมดเลย  5 เล่มของพระคัมภีร์เดิมเยอะมาก พระองค์เปิดมาหน้านี้ หน้าที่เราอ่านเมื่อสักครู่

พระองค์บอกว่าพระองค์มาประกาศข่าวดี แก่ผู้ยากไร้ เอาตอนนี้ก่อน พอพระองค์อ่านจบนะ คนถามว่าแล้วทำไมมาอ่านอย่างนี้? พระองค์บอกฉันเอง คือคนๆ นี้ ที่พระคัมภีร์เขียน  อ่านเมื่อตะกี้นี้ คนตกใจ แตกฮือ หาว่าพระเยซูหมิ่นประมาณพระเจ้า

“อะไร นี่คือพระบุตรพระเจ้าที่พระองค์จะส่งมา เป็นมาซีฮา แล้วเธอเป็นใคร? เธอเป็นลูกช่างไม้”

เขาไม่เชื่อ เป็นเรา เราก็ไม่เชื่อ ลูกช่างไม้ อยู่ดีๆ มาบอกว่า …

“เราเป็นพระเจ้า”

ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นช่างไม้ อยู่ดีๆ มาประกาศเรื่องนี้ แล้วหลังจากนั้น จึงเริ่มต้นทำอัศจรรย์ เริ่มต้นประกาศข่าวดี อีก 3 ปี จนกระทั่งถูกตรึงที่ไม้กางเขน ท่านจะเห็นภาพว่าพระเยซูทำสิ่งนี้เกิดขึ้น  ทำให้ศัตรูของพระองค์ โผล่ขึ้นมาเต็มเมืองเลย คนตกใจ หาว่าพระองค์ทรงหมิ่นประมาณ จะจับพระองค์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะเอาไปลงโทษแล้ว ดูสิว่าพระองค์พูดถึงเรื่องอะไร?

“เรามา เพื่อประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้”

ท่านนึกว่าผู้ยากไร้หมายถึงคนจนเหรอ ในเมื่อพระเยซูประกาศแล้ว ทำไมคนจน ก็ยังจนอยู่ เราเชื่อพระเยซู เรายังจนอยู่ เรารู้สึก ทั้งที่เราจน แต่เราก็ไม่จน เพราะเรามีพอมีพอกินของเรา เรามีความหวัง แต่ทำไมเรายังจนตามลักษณะนั้น

เพราะประกาศข่าวดีกับผู้ยากไร้ ตรงนี้ คือแก่ผู้ที่ Poor in spirit ภาษาเดิมแปลว่าวิญญาณมันตาย วิญญาณที่อยู่ในความบาป ความตาย สกปรก มันหมายถึงอย่างนั้น  นี่แหละวิญญาณที่ยากไร้ ไม่ใช่ยากไร้ทางตามองเห็น พูดง่ายๆ ว่าสิ่งที่พระเยซูพูดทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ในโลกใบนี้เลย ตามความคิดของมนุษย์ชอบคิดอย่างนี้ พอบอกยากจน คือคนจน ไม่ใช่ วิญญาณคุณยากไร้มาก ทุกวันนี้เรามาเชื่อพระเยซู วิญญาณเรารวยไหม? รวยมหาศาล

ต่อไปบอกว่า “มา เพื่อประกาศอิสรภาพแก่ผู้ที่ถูกจองจำ” ประกาศให้คนที่อยู่ในคุกเหรอ พวกที่ทำผิดกฎหมายเหรอ ไม่ใช่ ทั้งเล่มเลย พระคัมภีร์เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น อย่าอ่าน แล้ววิเคราะห์ แล้วสรุปเป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดของมนุษย์ที่จับต้องมองเห็นได้ ถ้าท่านใส่เกี่ยวกับวิญญาณ ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลย แม้กระทั่งคำว่าความรอดในพระเยซูคริสต์ รอดจากรถชนกันเหรอ ไม่ใช่ รอดจากจมน้ำตายเหรอ ไม่ใช่ รอดจากบาป โทษของความบาป เราต้องใช้เวร ใช้กรรม เมื่อเราตายไปแล้ว รอดจากตรงนั้นแหละ ก็คือรอดทางฝ่ายวิญญาณ

ประกาศอิสรภาพ แก่ผู้ที่จองจำ ก็คือประกาศอิสรภาพ แก่ผู้ที่วิญญาณถูกครอบงำ ด้วยความผิดบาป เป็นทาสของความตาย ทาสของความบาป ไม่ทำบาป ก็ไม่ได้ พยายามๆ ในที่สุด ก็ทำทำแล้ว ก็ไม่สบายใจ แต่ทำไมทำ นั่นแหละคือลักษณะของการถูกจองจำ ที่เราสามารถเห็นได้ในชีวิตของเรา ไม่อยากทำ แต่สู้มันไม่ไหว ก็คือถูกจองจำ

ต่อไปอะไรอีก “ให้คนตาบอดมองเห็น” ไม่ได้หมายถึงคนตาบอด แล้วพระเยซูมา เพื่อให้เขามองเห็นทุกคน ไม่ใช่ ทุกวันนี้ มีคริสเตียน ที่เชื่อพระเจ้า ยังตาบอดจริงๆ แต่ตาทางฝ่ายวิญญาณ มันบอด ก็คือให้คนตาบอดทางฝ่ายวิญญาณ เพราะเขาบาป เขาไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ เขาไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้ เหมือนเราในอดีตที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า พูดเรื่องพระเจ้าให้เราฟัง พูดเรื่องพระเยซูให้เราฟัง เราก็ไม่อยากฟัง  เราไม่ชอบทันทีเลย ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงไม่ชอบ อย่ามาพูดเรื่องนี้เลย พูดเรื่องอื่น เรื่องอะไรเราก็ฟังได้ทั้งสิ้น อย่าพูดเรื่องพระเยซูได้ไหม? ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผล  เพราะตาเรามองไม่เห็นไง แต่ทุกวันนี้ อยากจะพูด บอกไม่ให้เราอธิษฐาน เราก็อธิษฐาน  คนว่าเราบ้าไปแล้ว พูดคนเดียว เราก็บอกว่าเราก็จะอธิษฐานต่อไป ในเพลง Amazing Grace บอก But now I see บัดนี้ฉันเห็นแล้ว ไม่ใช่บอกว่าแต่ก่อนฉันตาบอด เปล่า แต่ก่อนตาเห็น แต่ฉันไม่เห็นพระเยซู แต่เดี๋ยวนี้ ตาฉันได้เห็นพระเจ้าแล้ว ผ่านทางข่าวประเสริฐของพระเยซู ฉันได้รู้จักพระองค์ ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น พระเยซูมา เพื่อให้ตาฝ่ายวิญญาณเราได้ถูกเปิดออก และได้เห็นพระเจ้า ได้รู้จักพระเจ้า และสามารถคุย มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระองค์ได้ เอเมน

ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ หมายถึงถูกปลดปล่อยจากการกดข่มขี่ทางฝ่ายวิญญาณ คือปลดปล่อยคนที่อยู่ใต้อำนาจความบาป ความตาย โดยการนำของมารซาตาน ให้เขามีอิสรภาพ เขาอยู่ในกำมือของมาร เขาอยู่ในการนำพาชีวิตของมาร เขาอยู่ในความมืด เหล่านี้ เรียกว่าถูกกดขี่ข่มเหงโดยมารทั้งสิ้น ให้ทำชั่ว ทำสิ่งที่ไม่ดี ทั้งๆ ที่ไม่อยากทำ แล้วสุดท้าย พระองค์มาเพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปราน อันนี้ชอบมากเลย ถามว่าชอบ เพราะอะไร?

ปีแห่งความโปรดปราน คือประกาศเวลาแห่งการอภัยโทษ ให้กับความผิดบาปของมวลมนุษย์ทุกคน เอเมน ซึ่งรวมทั้งฉันด้วย

ปีแห่งความโปรดปราน ผมใช้คำนี้ในยุคปัจจุบันนี้ ท่านจะเห็นชัด พระเยซูมาประกาศปี (S) เพราะหลายๆ ปี อยู่ในความโปรดปรานนี้ ประกาศปีแห่งโปรโมชั่น รู้จักโปรโมชั่นไหม? ทุกคนชอบ เพราะถ้าห้างนี้เขาบอกมีโปรโมชั่น ตอนนั้น เขามีความโปรดปรานในลูกค้ามาก เขาอยากให้ท่านไปซื้อ เขาลด 50% ลดตั้ง 70% โปรดปรานมาก นี่พระเจ้าบอกปีแห่งความโปรดปราน ต่อไปนี้ ไม่ต้องเอาหัวหมูมา ไม่ต้องเอาแพะมา ไม่ต้องเอาไก่มา ไม่ต้องมาติดสินบนฉันเลยแม้แต่นิดเดียว เอาไป พระเจ้าบอกลด 100% มาเอาไปฟรีๆ เลย  ความรอดจากบาป ก่อนหน้านี้ ยังต้องเอาเลือดสัตว์ไป เอาอะไรไปต่างๆ ต่อกันทุกปี ต่อไปนี้ไม่ต้องเลย เอาไปฟรีๆ  นี่เขาเรียกว่าปีแห่งความโปรดปรานแก่มนุษย์ทั้งปวง อย่างนี้ไม่เรียกว่าข่าวดี แล้วเรียกว่าอะไร?

ซึ่งรวมทั้งหมดทั้งมวลนี้ ที่พระเยซูมาทำ ก็คือว่าพระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูคริสต์ไว้ เพื่อให้มาเป็นผู้ประกาศอิสรภาพ หรือประกาศการอภัยโทษให้แก่มวลมนุษยชาติทั้งปวง ให้ได้รับอิสรภาพจากการเป็นทาสของความบาปและความตาย ให้ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า เรียกว่าประกาศปีแห่งนิรโทษกรรม คุ้นๆ ไหมตอนนี้เอามาใช้บ่อย นิรโทษกรรม ใครทำอะไรผิดมายกให้หมดเลย จึงเรียกว่าข่าวดี เป็นข่าวดีจากชัยชนะที่ไม้กางเขน ตามเหตุการณ์ในวันศุกร์ประเสริฐก่อนจะสิ้นพระชนม์ วันศุกร์ที่ผ่านมา ย้อนไปอีก 1988 ปี ที่ไม้กางเขน วันศุกร์นั้น ก่อนวันอีสเตอร์ 3 วัน พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  จนกระทั่งถึงบ่าย 3 โมง ด้วยความทุกข์ทรมาน

พระองค์ได้ตรัสคำสุดท้าย เป็นภาษาฮีบรูอ่านมา Testelesti แปลว่าเป็นอิสรภาพแล้ว สำเร็จแล้ว  จ่ายให้หมดแล้ว

พระองค์ถูกตรึงตั้งแต่ 3 โมงเช้า พอถึงเที่ยงปุ๊บ ฟ้ามืดครึ้มไปหมดเลย ผมเชื่อว่าตอนนั้นเหมือนสุริยุปราคา มืดไปหมดทั้งแผ่นดินถึงบ่าย 3 โมง ทหารที่เฝ้าดูตกใจ ที่เขาบอกพระเจ้าแน่ๆ เขาพูดไม่ใช่เพราะเขาเชื่อหรอก แต่เขาเห็นความอัศจรรย์ ตกใจ นี่ต้องเป็นพระเจ้า ตามที่พระองค์ได้บอกไว้ ตามที่ใครๆ เขาพูดถึงในช่วงนั้น มีคนที่เชื่อพระเจ้าในช่วงนั้นเขาพูดถึง คือพระบุตรพระเจ้าแน่ๆ คนนี้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก่อนบ่าย 3 โมงพระองค์พูดว่าสำเร็จแล้ว หรือจ่ายหมดแล้ว แปลว่าวันสุดท้ายพระองค์ทำเสร็จ

พระองค์ทรงประกาศข่าวดี เป็นคนแรก พระองค์บอกสำเร็จแล้ว ที่ทำมาทั้งหมด ปลดปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว เสร็จแล้ว แล้วคนต่อๆ ไป พระองค์ก็สั่งเขาให้ไปประกาศข่าวดี ประกาศว่ามนุษย์ได้รับอิสรภาพแล้ว สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น มีหน้าที่ออกไปประกาศว่า …

“สำเร็จแล้ว จบแล้ว”

ท่านก็ว่าไป อะไรจบ ท่านก็อธิบายให้เขาฟัง ก็คือสรุปแล้ว คือจบแล้ว คือมนุษย์ได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรมอีกต่อไป ตรงนี้คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่พระเยซูคริสต์ได้ประทานให้กับเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระองค์ เราจึงเรียกว่า “วันแห่งชัยชนะ” หรือ “Easter day” เป็นวันที่เรามาระลึกถึงชัยชนะ ผู้นำทัพของเรา คือพระเยซูคริสต์ได้รับชัยชนะเหนือความบาปและความตาย พระองค์ทรงชนะที่ไม้กางเขน และยืนยันชัยชนะของพระองค์ ประทับตราด้วยการเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าพระองค์ประกาศชัยชนะ แล้วพระองค์ตายไปตลอดเลย อันนี้ มันก็น่าตะขิดตะขวางใจ แต่พระองค์ตายแล้ว ชำระเราเรียบร้อยแล้ว แค่นั้นไม่พอ วันที่ 3 วันอีสเตอร์ พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ปั้มตราหนี้ที่จ่ายไปแล้ว เป็นใบเสร็จ แล้วส่งให้พวกเราทุกคนเลย คนที่เชื่อในพระองค์ มนุษย์ทุกคน

“เอาไปเลยใบเสร็จ จ่ายให้แล้วนะ”

เห็นไหม? เราก็ดีใจ ถามว่าใบนั้นคืออะไร? คือการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ในวันที่ 3 อีสเตอร์ คือใบเสร็จรับเงินนั่นเอง ยืนยันว่าจ่ายแล้ว เอเมน

1 โครินธ์ 15:54-57 “54 คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ จะเป็นจริง คือ ความตายก็พ่ายแพ้ ถูกกลืนหายไป 55 “ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า? ความตายเอ๋ย ไหนล่ะเหล็กไนของเจ้า?” 56 เหล็กไนของความตาย คือบาป และอานุภาพของบาป คือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า  พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา” เอเมน

 

พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าจากชัยชนะตรงนี้  ทำให้สิทธิอำนาจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในสวรรค์ ในโลกก็ดี ใต้โลกด้วย ได้ถูกมอบให้กับมนุษย์ทุกคน ผ่านทางหัวหน้ามนุษย์ แม่ทัพเราชนะแล้ว เราก็ชนะด้วย พระเจ้าตากสินชนะ คนไทยที่อยู่ในกลุ่มชนะหมดเลย  ประกาศอิสรภาพต่อพม่าเลย  ไม่ใช่พระเจ้าตากสินได้ชัยชนะคนเดียว พระองค์เป็นหัวหน้าเรา ทำนองเดียวกันพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือเป็นหัวหน้ามนุษย์ พระเจ้าตากสินเป็นคนไทย เพราะฉะนั้น คนไทยประกาศอิสรภาพ คนที่อยู่ไกลลิบ ไม่ได้เข้าร่วมรบกับเขาเลย ก็ได้รับชัยชนะ คนธรรมดาอย่างเรา คนบาป ไม่เหมือนพระเยซูเลย เมื่อพระเยซูประกาศชัยชนะ เราก็ได้รับชัยชนะ ที่ไม้กางเขนนั่นแหละ ประกาศโดยตัวแทนของเรา คนที่เกิดหลังจากพระนเรศวรประกาศอิสรภาพ ก็ได้รับอิสรภาพ ท่านพอมองภาพเห็นไหมครับ? เราทั้งหลาย ไม่จำเป็นต้องไปยืนอยู่ที่ไม้กางเขน เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว เราก็สามารถมีสิทธิรับอิสรภาพตรงนี้ได้ ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

ตอนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย และปรากฏพระองค์ต่อสาวก พระเยซูได้ตรัสถ้อยคำนี้ ในมัทธิว 28:18-20

มัทธิว 28:18-20 “18 พระเยซูทรงเข้ามาหาพวกเขา และตรัสว่า  “สิทธิอำนาจทั้งสิ้น ในสวรรค์ และในแผ่นดินโลก ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 ดังนั้น จงไปสร้างสาวก จากมวลประชาชาติ ให้เขารับบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ และแน่นอน เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปตราบจนสิ้นยุค”

 

นี่คือคำสุดท้าย ก่อนที่จะจากไป ก่อนที่จะไม่เห็นหน้าเห็นตา แต่จะมาในลักษณะติดต่อกันทางวิญญาณแล้ว แสดงว่าต้องพูดคำที่สำคัญมาก  ไปสร้างสาวก แปลว่าจงไปบอกคนนั้นให้มาเดินตามพระเยซู บอกคนนั้นให้มาเดินตามพระเจ้าตากสิน บอกคนนั้นให้มาเดินตามพระนเรศวร มหาราช ที่ประกาศอิสรภาพ เพราะถ้าเธอเดินตาม แปลว่าเธอได้รับชัยชนะเหมือนหัวหน้าด้วย แปลว่าแค่นี้เอง ทุกวันนี้ เราเป็นสาวกพระเยซู แปลว่าทุกวันนี้ เราเดินตามพระเยซู พระเยซูได้รับชัยชนะ เราก็ชนะด้วย

ในนี้บอก “ให้เขารับบัพติศมาในนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ” ทุกคนฟัง แบบศาสนามากเลย  ต้องไปที่โบสถ์รับบัพติศมา ทำมิชชา หรือจุ่มน้ำ ทำพิธีเยอะแยะเลย เป็นคริสเตียน   ไม่ต้องมาทำอะไรเลย ผมจะแปลให้ท่านฟัง ง่ายๆ คือให้เขารับบัพติศมาในนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ ก็คือให้เขาเข้ามาอยู่ในครอบครัวฝ่ายวิญญาณนี้ ให้เขาเข้ามาอยู่ในประเทศนี้  ให้เขาเข้ามาอยู่รวมกันกับเรา  คนไทยสมัยพระนเรศวร มหาราช อย่าบอกว่าเป็นคนป่าคนอื่น เดี๋ยวไม่ได้รับอิสรภาพ แค่นี้เอง ตั้งแต่วันที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์บอกมา 1988 ปีแล้ว จะบอกต่อไปอย่างนี้ ใครก็ตามที่เป็นมนุษย์ รู้เรื่องนี้ ข่าวดีนี้ ให้เข้ามา ตามหัวหน้าเรา คือพระเยซู ให้เข้ามารับบัพติศมา คือให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวของพระองค์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นอาณาจักรหนึ่ง เรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณตรงนี้

โลกฝ่ายวิญญาณ ถ้าท่านเข้าใจ ท่านจะโอ้! ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมอะไรต่างๆ มากมาย ง่ายๆ เหมือนกับชีวิตบนโลกใบนี้  อิสรภาพลักษณะเดียวกัน เพียงแต่เป็นฝ่ายวิญญาณเท่านั้น  สิทธิอำนาจทั้งสิ้น ทั้งในสวรรค์และในแผ่นดินโลก ได้ถูกมอบให้พระองค์แล้ว และเราก็ได้รับด้วย

นี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงตรัสเอง ตอนที่อยู่กับสาวก ซึ่งถ้อยคำเหล่านี้ ได้ถูกบอกไว้ล่วงหน้า เผยพระวจนะในไบเบิ้ลทั้งเล่ม ก่อนที่พระเยซูจะเกิดมาทำสิ่งเหล่านี้

ยกตัวอย่างหนังสือดาเนียล ก็เป็นหนังสือหนึ่ง ในจำนวนผู้เผยพระวจนะ หรือนิมิตที่บอกล่วงหน้า เรื่องเกี่ยวกับพระเยซู

ดาเนียล 2:44-45 “44 ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้ จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล 45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหิน ที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำให้แตกกระจาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้ เป็นความจริง และการตีความนี้ ก็เชื่อถือได้”

 

ที่บอกว่าจะมีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ แต่ด้วยมือของพระเจ้า หินนั้นกระแทกเท้าของรูปปั้นนั้นแตกกระจาย แหลกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือร่องรอย แต่หินที่กระแทกรูปปั้นนั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมา ปกคลุมโลก นี่พูดไว้ 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย วันอีสเตอร์แรก รูปปั้นนั้นหมายถึงบรรดาอาณาจักรใหญ่ๆ ทั้งหมดที่เราได้เรียนรู้กันมา ซึ่งจะล้มระเนระนาดไปหมด รวมทั้งอาณาจักรโรมันสุดท้ายและเชื้อสายของอาณาจักรโรมัน ที่กระจัดกระจายไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ด้วย ไม่มีอีกแล้ว ประเภทยักษ์ใหญ่ มีแต่เชื้อสายของโรมัน รวมไปถึงเขาเรียกว่าแอนตี้ไคร์ซหรือปฏิปักษ์พระคริสต์ที่เราได้เรียนรู้กัน ตัวสุดท้าย ตัวใหญ่ๆ จะโผล่ขึ้นมาในยุคสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาสถาปนาสวรรค์ บนโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง

หินก้อนนี้จะกลายเป็นอาณาจักรใหญ่ พระเยซูตรัสว่าบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเรา และความตายจะไม่มีชัยเหนือคริสตจักรของเราเลย คริสตจักร คือตัวท่านทั้งหลาย ที่เชื่อในพระเยซู พอเราเชื่อ รับข่าวประเสริฐของพระเยซู พระเยซูเป็นหัวหน้าเรา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ได้รับชัยชนะเหนือความตายแล้ว พอเราต้อนรับ ทันทีทันใด ตัวเราจะสะอาดบริสุทธิ์ เพราะพระองค์ทรงชำระบาปให้เราแล้ว พอชำระเราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว พระเจ้าก็มาสถิตอยู่กับเราได้ เมื่อพระเยซูหรือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเรา เราก็กลายเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่

พระคัมภีร์บันทึกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”

พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา เราก็เรียกตัวเราเองว่าโบสถ์ ภาษาเป็นทางการ Church เรียกว่าคริสตจักร

“บนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักร และความตายจะไม่มีอำนาจ ไม่มีชัยเหนือคริสตจักรได้เลย”

คริสตจักร คือใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในเขา เขากลายเป็นโบสถ์ เขากลายเป็นคริสตจักรของพระเจ้า สร้างอยู่บนศิลา คือสร้างอยู่ในความเข้มแข็งของพระเยซูคริสต์ มาเป็นประชากรของพระองค์ อยู่ในอาณาจักรของพระองค์นั่นเอง เอเมน

ตอนนี้ท่านรู้แล้วนะว่าท่านเป็นใคร? เราเป็นโบสถ์ แต่เป็นโบสถ์ก็ยังต้องมาโบสถ์ด้วยนะ โบสถ์ หมายถึงที่รวมคนของโบสถ์ โบสถ์หลายๆ โบสถ์มารวมกัน เรียกว่าโบสถ์โฮลี่ส์ เรียกว่าโบสถ์คน แต่ท่านอยู่บ้าน ท่านก็เป็นโบสถ์ เพราะฉะนั้น อยู่ 2 คน ก็เป็นโบสถ์ อยู่คนเดียวก็เป็นโบสถ์ แต่อยู่หลายๆ คนดีกว่า จะได้ไม่เหงา

อาณาจักรที่เราจะได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็เรียกว่าสวรรค์นั่นเอง ซึ่งเป็นที่สวยงาม มีแต่ความสุข สงบ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีเสียใจ ไม่มีความบาปอีกต่อไป ไม่มีรถชนกันตายอีกต่อไป  ไม่มีคนมาปล้นจี้อีกต่อไป  ไม่มีหนี้สินอีกต่อไป ไม่มีอะไรที่ท่านไม่อยากได้ ท่านจะมีความสุขตลอดกาล พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

อาณาจักรสวรรค์จึงเป็นความหวังใจของมนุษย์ทุกคน  ไม่มีเว้นแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะรู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จักพระเจ้าก็ตาม การทำงานของพระเยซูคริสต์ การไถ่ของพระเยซูคริสต์ การทำให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า ไม่ต้องชดใช้บาป  เราจึงเรียกทั้งหมดนี้ว่าข่าวประเสริฐ หรือข่าวดี

บอกมาตั้ง 1988 ปีมาแล้ว แล้วมีคนเชื่อในข่าวดีนี้เยอะแยะมากมายเลย  แต่ก็ต้องประกาศต่อไป

“มีข่าวดีมาถึงมนุษย์ทุกคน ข่าวดีมาแล้วววววว วันนี้ลดราคา 100%”

ไม่มีใครสนใจ  แปลกไหม? แต่ไม่เป็นไร พระเจ้าทรงกระทำการงานของพระองค์ ถ้าพระเจ้าทรงนำพาผมมาเชื่อในข่าวประเสริฐนี้ได้ ผมเชื่อว่านำพาทุกคนมาเชื่อได้แน่นอน ผมไกลจากข่าวประเสริฐเหลือเกิน ดูเหมือนใกล้นะ แต่มันไกลมากเลย เพราะผมไปศึกษาเรื่องอื่นเยอะแยะไปหมด พูดตรงๆ ไม่น้อยกว่าศึกษาเรื่องพระเจ้าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล จึงรู้สิ่งอื่นเยอะแยะไปหมด นี่คือเล่มสุดท้ายที่มาศึกษา เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ เรื่องเกี่ยวกับชีวิต เรื่องเกี่ยวกับความรอดของมนุษย์ เรื่องเกี่ยวกับบาปเวรกรรมอะไรต่างๆ ถ้าผมมาเชื่อได้ อย่างน้อยๆ หลายท่านก็คงมาเชื่อไม่ยาก เพราะลึกๆ แล้ว มนุษย์ทุกคน ในใจ หลังความตายอยากไปอยู่ในที่ที่ดีๆ ไม่อยากจะไปในที่ที่ไม่ดี เวลาคนเขาจะตาย เขาบอกว่าไปที่ชอบๆ  บางครั้งที่เราไม่ชอบ ก็ต้องไป เพราะเรานึกว่าเราชอบ

เขาบอกทุกคนรู้ว่าเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว เขาจำเป็นต้องไปทำอะไรบางอย่าง เขาไม่แน่ใจ สิ่งนั้น คือมนุษย์รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป ยังไงๆ วันหนึ่งก็ต้องรู้ วันนี้แข็งแกร่งอย่างไร? แว๊บหนึ่ง ก็ต้องรู้ว่าเราก็ไม่ใช่คนดี  เราจะต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะลบเอาความรู้สึกว่าเป็นคนบาปนั้นออกไปให้ได้ ด้วยวิธีต่างๆ ด้วยทุกอย่าง ด้วยทุกวิถีทางเลย วันนี้เราเอาเงินไปบริจาคการกุศลอะไรสักอย่าง พอบริจาคไป รู้สึกสบายใจ แว๊บเดียวเข้ามาอีกแล้ว เราก็ไม่ค่อยสบายใจอีกแล้ว บาปยังอยู่ ตอนให้ออกไป มันรู้สึกสบายใจ แต่มันไม่ได้อยู่ถาวรนิรันดร์ มันมีความรู้สึกต้องจ่ายอะไรบางอย่าง จ่ายไม่หมดสักที ไม่พอสักที นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจของมนุษย์ทั้งหลาย ผมคิดว่าอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐหรือข่าวดีของพระเจ้า จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนหวังอยากได้ข่าวประเสริฐ ข่าวดีตรงนี้ ให้ฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องเสียอะไรอีกแล้ว ถ้าใครเชื่อตรงนี้ มันก็จะเป็นกำลังใจให้กับเขาในการดำรงชีวิตนี้อยู่อย่างสันติสุข สงบ รู้แล้วว่าจะไปไหน? เหมือนขึ้นรถเมล์ แล้วรู้ว่าป้ายสุดท้ายมันคือที่ไหน? สบายใจ รถเมล์คันนี้จะผ่านที่มืด ผ่านที่เปล่าเปลี่ยว ผ่านที่มีโจรอยู่ข้างๆ ทาง ก็หลับน้ำลายยืด เพราะรู้ว่าเดี๋ยวมันก็ไปสุดท้ายที่บ้านของเรา แต่ใครก็ตามขึ้นรถเมล์ แล้วไม่รู้ว่ารถเมล์นั้น จะไปไหน? หลับไม่ลง คอยผุดลุกผุดนั่ง คอยมองหน้าตา ถึงไหนแล้ว คอยถามกระเป๋ารถเมล์จะลงป้ายไหน? เพราะไม่รู้จะไปไหน? แต่คนที่บ้านอยู่สุดป้ายรถเมล์ เป็นอู่รถเมล์ สบาย นอนหลับ เดี๋ยวพอถึงที่ กระเป๋ารถเมล์จะมาปลุกเราให้ตื่น ถึงบ้านแล้วครับ โอเคลง นี่แหละคริสเตียนจะเป็นอย่างนี้ นึกในใจเป็นอย่างนี้ นี่คือความผ่อนคลาย คือคลายกังวล

พูดให้ท่านฟังว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม นี่เป็นความจริงในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แล้วผมและหลายๆ คนในนี้ก็มีประสบการณ์อย่างนี้จริงๆ มันสบายจริงๆ เป็นข่าวดี เพราะไม่ต้องทำอะไรเลย

ท่านบอกว่ามันอาจจะเป็นข่าวดี สำหรับบางคน แต่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับฉัน ฉันทำไม่ไหว ฉันได้แค่นี้เอง ข่าวดีสำหรับคนที่ไม่พูดปดเลย  ไม่ไหว ฉันปดตลอดเวลา

ข่าวดีนี้มีเฉพาะสำหรับห้ามไม่ให้กินเหล้าเด็ดขาด ฉันพยายามไปสวรรค์ มากินอีกแล้ว ตกนรกอีกแล้ว มันก็ไม่ใช่ข่าวดีอีก ถูกไหม?  พูดแล้วยังมีอีกเยอะแยะ ท่านคิดในใจสิ มันอาจจะเป็นข่าวดี สำหรับคนที่ทำได้ แต่สำหรับฉัน มันไม่ใช่ข่าวดีเลย ไม่ไหว ฉันทำไม่ได้ ถ้าข่าวดีนี้มีคำว่าแต่ หรือแม้แต่ หรือต้องไม่ ท่านแย่เลย

ยกตัวอย่างข่าวดีนี้  ท่านจะได้ไปสวรรค์ ท่านจะได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์ ท่านต้องไม่สูบบุหรี่ สำหรับคนที่สูบบุหรี่ ฉันตายแน่ๆ ท่านรู้ไหมคนติดบุหรี่ เลิกยาก หรือยาเสพติดเลิกยาก

ข่าวดีนี้สำหรับคนที่จะไปสวรรค์ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์นี้ เขาจะต้องไม่โกหกเลยแม้แต่นิดเดียว เราแย่เหลือเกิน วันนั้นเขาถามฉันว่ากินข้าวหรือยัง? ตอบว่าอิ่มแล้วค่ะ จริงๆ หิว เกรงใจเขา ไม่กล้าพูด เป็นอย่างไร สบายดีไหม? สบายดี ทั้งที่ไม่สบาย ปวดท้องอยู่ ไม่กล้าพูด

มันไม่ใช่ข่าวดีใช่ไหม? ข่าวดีควรจะเป็นอิสระ พร้อมเสมอ 100% ไม่มีข้อแม้ เพราะฉะนั้น  พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าข่าวดี เพราะบันทึกไว้ว่าได้รับโดยความเชื่อเท่านั้น เชื่อว่าตรงนี้เป็นจริง เชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับฉัน พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ยืนยันว่าพระองค์ทรงกระทำจริงๆ ฉันรับเอา ฉันเชื่อ ได้เลย ทำไมมันง่ายอย่างนี้ พระคัมภีร์บอก By grace we are save. ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของมาติน ลูเธอร์ ที่บอกไว้ ที่มีการปฏิรูปเรื่องพระเยซูคริสต์ เมื่อประมาณ 500 ปีที่แล้ว เดือนนี้เป็นเดือนที่เขาครบรอบ 500 ปีของคริสตจักรสไตล์โปรเตสแตนส์

By grace แปลว่าด้วยพระคุณ … พระคุณ แปลว่าเอาไปฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ทั้งที่ไม่สมควรได้ บางคนเอาไปฟรีๆ เขาทำดี แต่นี่ไม่ใช่ โจรบนไม้กางเขน ก็เอาไปฟรีๆ สมควรได้รับไหม? ไม่สมควร แต่เป็น grace เป็นพระคุณ  แล้วมีใครที่ไม่สมควรได้รับตรงนี้ ที่บอกตัวเองชั่วมาก เลวมาก ไม่มี เพราะในนี้บอกท่านเชื่อ ท่านก็ได้ นี่คือเคล็ดลับแค่นี้เอง อย่าคิดอะไรมากมาย พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างไร? เชื่อตามนั้น แค่นี้เอง พระองค์บอกว่าด้วยพระคุณ ไม่ต้องไปคิดว่าเขาว่าทำอันโน้นไม่ได้ อันนี้ไม่ได้ เขาว่ากินเลือดไม่ได้ กินอาหารไหว้รูปเคารพไม่ได้  เขาว่าลอยกระทงไปไม่ได้ ไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวาย ต้องเรียนรู้อีกตั้งเยอะ กลับมาอยู่ที่เดิม ก็เป็นทาสอยู่เหมือนเดิม ในนี้บอกว่าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านได้รับความรอดแล้ว จบ

เมื่อ 1988 ปีมาแล้ว จบแล้ว ใครจะพูดอะไร ก็ไม่ต้องมาศึกษา วุ่นวายกันใหญ่ กินอันนั้นได้ไหม? อยากทำ ก็เชิญ ตราบใดที่ท่านยังเชื่อเรื่องนี้อยู่ เอเมน มันง่ายอย่างนี้ ประกาศยาก คนก็ไม่มาเชื่อ ทำไม่ไหว เหนื่อย พระเยซูคริสต์จึงบอกน่าจะเอาคนประกาศไปถ่วงน้ำ ไปทำเรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องหนักขึ้น  มาเชื่อพระเจ้าต้องลงน้ำบัพติศมา ถามว่าถ้าท่านพาเพื่อนมาเชื่อพระเจ้า ต้องมาบัพติศมาในน้ำไหม? ไม่ต้อง แต่ทำก็ดี เป็นพระพร ท่านต้องมาโบสถ์ไหม? มาประจำไหม? ไม่ต้อง แต่มาดีแล้ว  ต้องมาโบสถ์ถึงจะได้รับความรอดใช่ไหม?  ไม่ต้อง แต่มาดีไหม? ดี ท่านพอเห็นภาพไหม? ง่ายๆ แต่เราทำให้มันยาก ทุกวันนี้พระเยซูปวดหัว เพราะเราทั้งหลาย เอาไปทำให้มันยากเย็น จนคนแบกรับไม่ไหว

สมัยหนึ่ง พระเยซูตอนเดินอยู่บนโลกนี้ เรียกคนเหล่านี้ว่าฟาริสี พวกฟาริสีชอบทำอย่างนี้ เอาภาระไปให้คน จะไปสวรรค์ทีหนึ่ง แบกจนไปไม่ได้ กลับมาที่เดิม กลับมาเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเยซูว่าพระองค์กระทำนั่นเอง เท่ากับท่านไม่เชื่อ แม้จะบอกว่าท่านเป็นคริสเตียน แต่จริงๆ ท่านก็ไม่เชื่อ ที่ไม่เชื่อ เพราะสิ่งที่ท่านทำ สิ่งที่ท่านพูด ถ้าท่านบอกต้องเมื่อไร? ท่านจบ ส่วนบอกไม่ต้อง แล้วท่านจะไปคิดอย่างนี้ไม่ถูก ทำไม่ถูกอย่างนั้น ฉันไม่รู้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกเอาไว้ ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ถึงความรอดผ่านทางความเชื่อ ในพระบุตรของพระเจ้าเท่านั้น โดยพระคุณ ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้รับความรอด เอเมน

นี่แหละ คือความหวังใจ ที่เรามาฉลองอีสเตอร์ หรือทุกๆ ปี ก็คือการมาฉลองความหวังใจว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับการครอบครองอาณาจักรสวรรค์นี้ อย่างเป็นรูปเป็นร่าง ชัดเจน จริงๆ ทุกวันนี้ก็ครอบครองแล้ว ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในวิญญาณ  เพราะสิ่งเหล่านี้ ได้มีการบอกล่วงหน้า เป็นพันๆ ปีมาแล้ว บันทึกไว้เป็นหลักฐาน ตั้งแต่หน้าแรกเลย แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ได้เกิดขึ้น ตามที่พระเจ้าได้บอกไว้ทั้งหมด ทั้งเล่มนี้เลย เปิดมาตรงไหน? เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ มาไถ่มนุษย์ทั้งนั้น  เพราะฉะนั้น ความหวังสุดท้าย ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมา และเราจะได้ครอบครองอาณาจักรสวรรค์นี้ ร่วมกับพระเยซูนิรันดร์นั้น ก็ต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน เอเมน พระคัมภีร์มีบันทึกไว้หลายแห่ง กิจการ 1:8-11

กิจการ 1:8-11 “8 ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์อำนาจเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือพวกท่าน และพวกท่านจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม และทั่วแคว้นยูเดียกับสะมาเรียจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก” 9 หลังจากตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา และมีเมฆมาปกคลุมพระองค์ จนพวกเขามองไม่เห็นพระองค์ 10 พวกเขากำลังแหงนหน้าเขม้นดูฟ้า ขณะที่พระองค์เสด็จไป ทันใดนั้นมีชายสองคนสวมชุดขาวมายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา 11 และกล่าวว่า “ชนชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุใดพวกท่านจึงยืนมองท้องฟ้าอยู่ที่นี่ พระเยซูองค์นี้ ซึ่งถูกรับไปจากพวกท่าน เข้าสู่สวรรค์นั้น จะเสด็จกลับมาอีกในแบบเดียวกันกับที่พวกท่าน เห็นพระองค์เสด็จเข้าสู่สวรรค์”

 

ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เมื่อวันอาทิตย์แรก 1,988 ปี แล้วพระองค์ก็เป็นขึ้นจากความตาย แล้วก็มาประกาศข่าวดีอีกครั้งหนึ่ง ในภาพที่เห็นเป็นมนุษย์ เป็นรูปร่างจับต้องมองเห็นได้เลย เห็นรูที่ถูกแทง ที่ถูกตอก กินข้าว กินปลาได้เลย 40 วัน แล้วก็เกิดสิ่งที่อ่านไปเมื่อสักครู่ 40 วัน พระองค์จัดการเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์

ตอนที่พระเยซูลอยขึ้นไปสู่สวรรค์ เขียนคำว่า “ลอย” พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ แล้วก็เห็นต่อหน้าต่อตา เป็นรูปภาพ จับต้องมองเห็นได้ พระเยซูลอยขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ สาวกก็เลยเชื่อแล้วว่าเป็นพระเจ้าจริงๆ เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ เดินอยู่กับพระองค์ คุยกับพระองค์ 40 วัน เห็นพระองค์ลอยขึ้นไป ตกใจ แล้วทูตสวรรค์จึงจำเป็นต้องมาบอก จะเหม่ออะไรเล่า มาสะกิด เป็นอะไร? เหม่อทำไม? พระเยซูผู้นี้ลอยขึ้นไปสวรรค์แล้ว และพระองค์จะกลับมาใหม่ พร้อมกับหมู่เมฆเหมือนเดิม ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ก่อนหน้านี้แล้ว

ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่ฝากไว้ วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่ ตามที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ มาสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ ในโลกนี้ คือสวรรค์นิรันดร์กาล และเราจะครอบครองร่วมกับพระเยซู ทั้งหลายทั้งปวงที่เรา มาร่วมกันฉลองเทศกาลอีสเตอร์ ก็คือความหวังใจตรงนี้แหละ และถามว่าจะมาเมื่อไร? เมื่อไรจะสถาปนาให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ก็เมื่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงเลือกสรรเอาไว้นั้น ที่จะมาครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนั้น รวมทั้งเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ วันที่คนสุดท้ายมาเชื่อ ก็วันนั้นแหละ มัทธิว 24:30-31 บันทึกไว้ตรงนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดขึ้น พระเยซูตรัสเองเลยนะ

มัทธิว 24:30-31 “30 “เมื่อนั้นหมายสำคัญของบุตรมนุษย์ จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้าและมวลประชาชาติแห่งพื้นพิภพจะร้องไห้คร่ำครวญ พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนหมู่เมฆในท้องฟ้าด้วยเดชานุภาพและพระเกียรติสิริอันยิ่งใหญ่ 31 พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาพร้อมกับเสียงแตรดังสนั่น ทูตสวรรค์นั้น จะรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้ จากทั้งสี่ทิศ จากสุดขอบฟ้าข้างหนึ่งจดขอบฟ้าอีกข้างหนึ่ง”

 

นี่พระเยซูตรัสเอง “พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์” ก็คือเห็นพระเยซูคริสต์ ทำไมต้องเรียกว่าบุตรมนุษย์ เพราะเป็นหัวหน้าเรา  เป็นหัวหน้ามนุษย์ เป็นผู้มีชัยชนะ เราเป็นมนุษย์  เราจึงได้รับอย่างนั้นด้วย   พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนหมู่เมฆ  ด้วยเดชานุภาพ และเกียรติอันยิ่งใหญ่ และมวลประชาชาติแห่งพื้นพิภพจะร้องไห้คร่ำครวญ มันมีร้องไห้คร่ำครวญอยู่ 2 พวก พวกหนึ่งที่ร้องไห้คร่ำครวญด้วยความดีใจ สิ่งที่เรารอคอยกันมาตลอด มันจบสักที แต่ยังมีอีกพวกหนึ่งที่ร้องไห้คร่ำครวญว่ามันเป็นจริงตามที่ได้เคยได้ยินมา แล้วฉันปฏิเสธ ฉันต่อต้าน ฉันไม่ได้รับ ไม่รู้เหตุผล ทำไมฉันไม่รับมัน แต่มันสายไปเสียแล้ว มันหมดโปรโมชั่น  ปีแห่งความโปรดปรานที่พระเยซูมาประกาศนั้น  มันสิ้นสุดลง เมื่อพระเยซูกลับมาใหม่ จบ ที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ และจบเมื่อชีวิตของคนๆ นั้น เกิดอุบัติเหตุ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ตายไปก่อน ไม่ได้ต้อนรับพระเยซู ก็ไม่ได้ต้อนรับอีกแล้ว โปรโมชั่นนี้  หมดอายุ หมดเขต ด้วยเหตุ 2 ประการนี้เท่านั้น ในวิวรณ์ได้บันทึกไว้อย่างนี้ วิวรณ์ 1:7-8

วิวรณ์ 1:7-8 “7 ดูเถิด พระองค์กำลังเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และทุกนัยน์ตาจะเห็นพระองค์ แม้กระทั่งคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์ และประชาชาติทั้งมวลทั่วโลกจะเศร้าโศกเนื่องด้วยพระองค์ แล้วจะเป็นไปเช่นนั้น! อาเมน 8 พระเจ้าผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราเป็นอัลฟาและโอเมกา ผู้ดำรงอยู่ในปัจจุบันและดำรงอยู่ในอดีตและจะเสด็จมา เราคือองค์ทรงฤทธิ์”

 

ดูเถิด พระองค์กำลังเสด็จมา หมายถึงพระเยซูกลับมาพร้อมกับหมู่เมฆ และทุกนัยน์ตาจะเห็นพระองค์ แม้กระทั่งคนเหล่านั้น  ที่ได้แทงพระองค์ ทหารโรมันที่เฝ้าอยู่นั่น เมื่อวันศุกร์ ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ ทหารคนหนึ่งบอกว่าไปทุบขาพระเยซูซะ เพราะเขาต้องเก็บ วันพรุ่งนี้จะมีงาน ก็ไปทุบขาโจร 2 คน ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน ร่วมกับพระเยซู เพราะยังไม่ตาย แต่พอมาถึงพระเยซู อ้าว! พระเยซูตายแล้ว ไม่ต้องทุบขาก็แล้วกัน พระคัมภีร์บอกแล้วว่าขาพระองค์จะไม่ถูกทุบ ไปดู ก็ตะโกนบอกว่า …

“ตายแล้ว ไม่ต้องทุบหรอก”

อีกคนหนึ่งก็บอกว่า “เอาให้มั่นใจ เดี๋ยวโดนเจ้านายเล่นงาน”

ดังนั้น ทดลองดู โดยการแทงที่สีข้าง จะได้รู้แน่ๆ ว่าตายจริงๆ ก็เอาหอกสูงๆ แทงที่สีข้างพระเยซู

ในนี้บอกว่าแม้กระทั่งคนเหล่านั้น ที่ได้แทงพระองค์ ที่ได้ตรึงพระองค์ คนเหล่านั้น นี่พระเยซูพูด จากคนที่แทงพระองค์ คนที่ตอกตรึงพระองค์ นี่ผ่านมา 1,988 ปีมาแล้ว พระเยซูยังไม่กลับมาใหม่เลย แต่ในนี้บอกว่าพระองค์จะกลับมาใหม่ สมมติว่าวันพรุ่งนี้ ปีหน้า คนที่แทงพระองค์เหล่านั้น จะเห็น ก็หมายถึงคนที่แทงพระองค์ ตอนนี้ที่ตายไปแล้ว มีอายุ 1,900 กว่าปีแล้ว แสดงว่าเขายังอยู่ เขาเป็นวิญญาณที่ยังรออยู่ วันหนึ่งเขาจะเห็นพระเยซูคริสต์ที่เขาแทงนั่นแหละ กลับมา นี่พระคัมภีร์พูดอย่างนั้น ถ้าพูดสิ่งอื่นถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ก็ถูกต้องด้วยเช่นเดียวกัน แล้วมันน่ากลัวไหมล่ะ คนแทงพระเยซูคนนั้น เขาก็จะเห็น

ใครที่ต่อต้านพระเยซู วันนั้นเขาจะเห็น ใครที่บอกว่าพระเยซูไม่เป็นจริง ไม่ใช่จริง หรือหัวเราะเยาะพระเยซู วันนั้น เขาจะเห็น ใครที่ข่มเหงพระเยซู ก็คือข่มเหงน้องๆ หรือพี่น้องของพระเยซู คือคริสเตียนทั้งหลาย วันที่พระเยซูคริสต์กลับมา เขาจะเห็น และเขาจะโศกเศร้า คร่ำครวญอย่างมาก

“ฉันไม่น่าเลย”

ใครที่ข่มเหงท่าน เนื่องจากข่าวประเสริฐของพระเยซู เขาจะได้เห็น ใครที่บอกว่า …

“ไม่จริงๆ ฉันไม่เชื่อหรอก”

วันหนึ่งเขาจะได้เห็น ไม่ใช่วันหนึ่ง หมายถึงอยู่บนโลกใบนี้ และตาย แล้วจะได้เห็นไม่ใช่ หมายถึงวิญญาณต่อไป เขาก็จะเห็น เพราะเขาไม่ได้ตายจริง วิญญาณยังอยู่ เพียงแต่วิญญาณออกจากร่างกายไปเท่านั้น  ร่างกายเขาฝังไป  แต่วิญญาณตัวจริงๆ ของเรา ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เป็นวิญญาณส่วนหนึ่งที่พระเจ้าให้เรามานั้น จะอยู่ตลอดไป แต่อยู่ที่ไหน? อย่างไร? นั่นคือความน่ากลัวของข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้ และอีกแง่มุมหนึ่ง เราเชื่อและวางใจ เรามีความหวัง เพราะพระเยซูคริสต์ที่เราเชื่อนั้น พระองค์ได้ทรงตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่ตายไปเฉยๆ แต่วันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ เรารู้อยู่ในหัวใจเราจริงๆว่าตอนนี้ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และสถิตอยู่ในหัวใจของเรา เพราะพระองค์สถิตอยู่ตามที่พระองค์บอกจริงๆ ท่านรู้ บางครั้งกำลังหงุดหงิด อาจจะไม่รู้ แต่พอหายหงุดหงิด มันรู้ ไม่รู้จะบอกคนที่ไม่รู้อย่างไร? บอกเปิดหัวใจท่าน ต้อนรับพระเยซู ท่านจะรู้ เหมือนที่ฉันรู้ มันต้องใช้ประสบการณ์ มันไม่สามารถที่มาเรียนกันได้ อธิบายอย่างไร? ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ จนกว่าท่านจะไปชิมด้วยตัวเอง

นี่คือความหวังใจทั้งหมดของข่าวดีหรือข่าวประเสริฐ ที่เรามาย้ำยืนยันในหัวใจของข่าวประเสริฐนี้ว่าพระองค์ทรงอยู่จริงๆ และสวรรค์สถานที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรานั่น มีจริงๆ และเราจะร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล นี่ก็เป็นจริงด้วยแน่นอน เอเมน

ไม่ว่าพระองค์จะกลับมาใหม่ หรือเราจะกลับไปหาพระองค์ คือตาย ก็ตาม ทุกอย่างก็เป็นไปตามนี้ คือเราจะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ เอเมน ท่านอยากได้อย่างไหนมากกว่า เราอาจจะอยากให้พระเยซูมาพรุ่งนี้เลย แล้วคนอื่นๆ ที่เรารู้จักเขายังไม่เชื่อเลย ก็ต้องยอมทนหน่อย อาจจะมีชีวิตที่ลำบากบ้าง? อะไรบ้าง? พระเจ้ากำลังใช้เราอยู่ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งที่มาเชื่อพระเยซู แล้วพระเยซูสถิตอยู่ในเขาแล้ว จะอยู่บนโลกด้วยความทุกข์ยากลำบาก โดยไม่มีเหตุผล แล้วไม่มีแม้แต่คนเดียวเลย ที่พระเจ้าไม่ใช้ ถ้าไม่ใช้ท่าน พระองค์ก็เอาท่านกลับไปอยู่กับพระองค์แล้ว ไปพักผ่อน แต่ถ้ายังใช้ท่านอยู่ ท่านก็ต้องอยู่บนโลกใบนี้ บางครั้งใช้เรา ในสิ่งที่เราต้องทุกข์ทรมาน ท่านรู้ไหมว่าคนป่วยที่อยู่ ICU ทุกข์ทรมาน แต่พระเจ้าทรงใช้เขาอยู่ อะไรบางอย่าง เราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ แต่พระองค์มีแผนการที่เกินกว่าที่เราจะคิด และ ณ เวลานั้น เมื่อพระเจ้าใช้เราอย่างนั้น ในพระคัมภีร์บอก เราจะทนได้ แปลว่าไปสบายๆ  ไม่ใช่ ไม่สบายหรอก แต่ว่าทนได้ คือมันทุกข์ มันทรมาน แต่มันผ่านได้ พอเข้าใจ ไม่ใช่เดินแบบสบายๆ แต่เดินบนหนาม บนอะไร แล้วในที่สุด ตายตรงหนามเลยไหม? ไม่ตายตรงหนาม ต้องผ่านไปได้ เลือดสาดเหมือนกัน ถ้าพระเจ้าจะใช้แบบนั้น ก็แบบนั้น ทุกคนมีค่าเท่ากันหมด คือถูกใช้เท่ากันหมด

การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ การทรงอยู่ของพระเยซูคริสต์ จึงเป็นความมั่นใจในการดำเนินชีวิตของพวกเราทั้งหลาย ผู้ที่อยู่ในพระองค์ โดยแบบ By grace we are save. คือโดยพระคุณ เราได้รับความรอด ด้วยความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้น อย่าไปคอยสังเกตตรงโน้น ตรงนี้  การกระทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น นิ่ง แล้วดูถ้อยคำพระเจ้า นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ คือโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซู เราได้รับความรอดตรงนี้ เอเมน จำตรงไหนไม่ได้ จำแค่นี้ไว้ ท่านจำคำสรรเสริญพระเยซูไม่ได้ ยังดีกว่าจำตรงนี้ไม่ได้ ท่านจำคำว่า “ฮาเลลูยา”ไม่ได้ ยังไม่เป็นไรเลย  ท่านอย่าลืมตรงนี้ แล้วกัน ลมหายใจสุดท้ายท่าน

“By grace we are save. ด้วยพระคุณ ด้วยความเชื่อ ฉันได้รับความรอด”

พอถึงพระคุณปุ๊บ ในสมองท่านจะกระจาย แปลออกมาเต็มๆ เลย  ด้วยความเชื่อปุ๊บ ในสมองท่านเต็มๆ เลย ท่านได้รับความรอดปุ๊บ ท่านเห็นภาพเต็มๆ เลยวันนี้ที่เราได้เรียนรู้กัน

“สวรรค์เป็นของฉัน อันนั้นก็เป็นของฉัน อันนี้ก็เป็นของฉัน”

วันอีสเตอร์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? นี่แหละทำให้ท่านชื่นชมยินดีอย่างมากมายในทุกๆ อีสเตอร์ เพราะตรงนี้ สบายใจไหม? ฟังอย่างนี้สบายใจไหม? นี่แหละคืออิสรภาพ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************