คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2017 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2017

เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

นี่คือซองกรมธรรม์ พระราชกฤษฎีกาที่บันทึกไว้ สั่งโดยผู้พิพากษาใหญ่ที่สุดในโลก และในมหาจักรวาล คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด สั่งว่าให้มนุษย์ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ไม่ต้องพูดแล้วนะ คำสาปแช่งคืออะไร? มนุษย์ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ก็คือมนุษย์และบุตรหลานของมนุษย์ทุกคน อยู่ใต้กฎคำสาปแช่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราอ่านตรงนี้กันใช่ไหม? โคโลสี 2:14 อ่านด้วยกันอีกครั้ง เป็นความหวังใจของเรา เรากำลังอยู่ในการฉลองเทศกาลอีสเตอร์อยู่ สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ 2 หลังจากวันอีสเตอร์มาแล้ว ยังฉลองอยู่ ยังมันอยู่ ยังสนุกสนาน เกี่ยวกับเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ที่มาช่วยเรา

โคโลสี 2:14 “พระ‍องค์​ทรง‍ฉีก​กรม‍ธรรม์ ​ซึ่ง​ได้​ผูก‍มัด​เรา ​ด้วย​บัญ‌ญัติ​ต่างๆ ซึ่ง​ขัด‍ขวาง​เรา และ​ได้​ทรง​หยิบ​เอา​ไป​เสีย​ให้​พ้น​ โดย​ทรง​ตรึง​ไว้​ที่​กาง‌เขน”

 

ตอนนี้ท่านสามารถเห็นแล้วว่าพระคัมภีร์บอกเราว่าซองนั้น คือซองอะไร? ซองกรมธรรม์แห่งคำสาปแช่งของเราตอนนี้อยู่ที่ไหน? พระเยซูตรึงไว้ที่ไม้กางเขน ไม่ได้อยู่กางเขนอย่างเดียว แถมฉีกออกด้วย ฉีก แปลว่าหมดแล้ว เป็นอิสระแล้วถึงฉีกได้

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว เมื่อ 1,988 ปีที่แล้ว สัปดาห์ก่อนได้อธิบายเรื่องนี้ให้ฟังแล้วนะว่านี่คือผลแห่งการเป็นขึ้นจากความตาย แห่งการตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ความสำคัญของวันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐ มันเป็นเลย สรุปง่ายๆ มันเป็นข่าวดี ที่มาถึงมวลมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่ายุคไหนก็ตาม ตั้งแต่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และต่อไปอีกเมื่อไรก็ตาม เป็นมรดก เป็นข่าวดีสำหรับพวกเขาทั้งหลาย และถ้าข่าวดีนี้ ประกาศไปถึงที่ไหน ถ้าเขาไม่เชื่อ เขาก็ไม่ได้รับสิทธิ์ตรงนี้เลย เขาก็ยังอยู่ใต้คำสาปแช่งเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น ข่าวดีนี้ประกาศที่ไหน มันต้องเกิดสิ่งหนึ่งขึ้น คือคนนั้นที่ได้ยินข่าวดีนี้ต้องเชื่อ แล้วก็ทำ

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกเชื่อ แล้วไม่กระทำ ไม่มีประโยชน์ เชื่อแล้วยังอยู่เฉยๆ ไม่มีประโยชน์ เชื่อแล้วต้องทำ ทำอะไร? เป็นอิสระไง ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ สมัยรัชกาลที่ 5 ประกาศอิสรภาพ ให้กับคนเป็นทาสทั้งประเทศ ยกเลิกการเป็นทาส คนเป็นทาสในเรือนเบี้ย ตั้งแต่ยุคไหนไม่รู้ ตั้งแต่ปู่ย่า ตายาย ก็เป็นอิสระหมด ประกาศข่าวดีนี้ออกมา จากราชการ ทาสหลายบ้านก็เป็นอิสระ เฮ! กันใหญ่ แต่มีอีกหลายบ้าน ไม่ออกมา มี 2 ประเด็น

พวกแรก ก็คือพวกที่ไม่เชื่อข่าวดีนี้ว่าเป็นจริง

พวกที่สอง ก็คือพอจะเชื่อบ้าง แต่ไปเจอเอาเจ้านายที่ไม่ดี เหมือนมารซาตานที่มาหลอกมนุษย์

“ไม่จริงหรอก เธอต้องใช้เวร ใช้กรรม ใช้หนี้อยู่”

พระเยซูบอก “ไม่จริงๆ เธอยังต้องใช้เวรใช้กรรม”

ไม่กล้าออกมา พวกที่เป็นทาส แบบ 2 นี้ ในสมัยนั้น สมัยรัชกาลที่ 5 ก็ทำไม ก็ถูกพวกเจ้าขุนมูลนาย ที่เป็นเจ้าของทาส ตอนนั้น กลัวเสียทาสไป ก็เลย ข่มขู่

“อย่านะ เธออย่าออกไป กลับมา ฉันจะลงโทษเธออย่างหนัก ตายแน่เลย ลูกหลานเธอออกไปไม่ได้นะ”

ก็ไม่กล้าออกไป ทั้งๆ ที่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ก็ออกมาตะโกนหน้าบ้าน เขาเลิกทาสแล้ว ออกมาเถอะ กล่ำๆ กึ่งๆ ไม่กล้าออกไป

“ถ้าออกไปเธอตายนะ”

ทั้งๆ ที่ พอออกมาแล้วเป็นอย่างไร? เป็นอิสระ คนก็ไปประกาศข่าวดีอยู่นั่นแหละ ไปตะโกนอยู่หน้าบ้าน

“ออกมาเถิด เขาประกาศเลิกทาสตั้งนานแล้ว จะไปเป็นทาสเขาทำไม?”

ทุกวันนี้ ก็เป็นอย่างนี้ ผู้ที่ข่มขู่มนุษย์ทุกวันนี้ หลอกลวงมนุษย์ทุกวันนี้ ก็คือมาร มารก็พยายามที่จะหลอกลวงมนุษย์ ข่มขู่มนุษย์ ทั้งๆ ที่มันไม่มีอำนาจเลยนะ มันข่มขู่ให้เรากลัว แล้วก็ไม่กล้าต้อนรับข่าวดีนี้ เพราะกลัวไง กลัวอะไรต่างๆ นานา ทั้งหมดเลย ในที่สุด ก็ยังอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่คำสาปแช่งอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ไม้กางเขน ตามที่เราได้อ่านไปเมื่อสักครู่นี้แล้ว เพราะฉะนั้น เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องออกไปประกาศข่าวดี ให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

ผมมีเรื่องเล่าให้ท่านฟังนิดหนึ่ง เบื้องหลังว่าที่พระเยซูฉีกกรมธรรม์ที่ผูกมัดเรา ด้วยคำสาปแช่งเหล่านี้ เป็นแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ตั้งนานแล้ว แต่ก่อนสร้างโลกอีกว่าถ้ามนุษย์ตกลงไปในความบาปแล้ว เราจะช่วยเขาอย่างไร? ซึ่งพระเจ้าก็ทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่ามนุษย์ไม่มีทางสามารถที่จะใช้หนี้ ใช้เวร ใช้กรรมต่างๆ เหล่านั้น ให้กับพระองค์ ตามที่ได้ละเมิดคำสั่งของพระองค์ คือทำบาป คือละเมิด คำสั่งเป็นกบฏพระเจ้า ไม่มีทางหรอก พระเจ้ารู้อย่างนั้น จึงเตรียมให้มีพระเยซูมาเกิด วิธีเตรียมก็ง่ายๆ นิดเดียว คือรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้ ด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อโลก ไม่ใช่มนุษย์อย่างเดียว สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงสร้าง ทั้งสิงสาราสัตว์ ทั้งต้นไม้ ทั้งหมดเลย พระองค์ก็เตรียมแผนการไว้ เพื่อให้มนุษย์หลุดพ้นจากคำสาปแช่งนี้ได้ ให้พระเยซูมาเกิด และตายที่ไม้กางเขน โดยพระเจ้า ได้ทรงเลือกเอาคนกลุ่มหนึ่ง ฟังให้ดีๆ นะ นี่คือประวัติศาสตร์ ที่รวบรวมแป๊บเดี๋ยว พาให้ท่านเห็นคร่าวๆ ท่านจะได้เห็นภาพว่าพระเจ้าไปรวบรวม แผนการนี้ทั้งหมด โดยมนุษยชาติ คือมวลมนุษยชาติ ในนี้บอกจะช่วยเหลือมนุษยชาติ ด้วยการเลือกเอาตัวแทนมนุษย์ กลุ่มหนึ่งขึ้นมา เพื่อจะทำแผนการของพระองค์ให้สำเร็จ ผ่านทางมนุษย์กลุ่มนี้ ซึ่งชนกลุ่มนี้ พระเจ้าจะทรงนำทางเขา ใกล้ชิด ค่อยๆ สอน เพื่อบอกเขา ถึงแผนการแห่งการไถ่บาปของพระเยซู เพื่อไถ่มนุษย์พ้นจากคำสาปแช่ง การช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น จากความบาป เพื่อที่จะฉีกเอากรมธรรม์แห่งคำสาปแช่งนี้ออกไป ชนกลุ่มนี้พระเจ้าเลือกใช้สอย เรียกว่ากลุ่มผู้รับใช้ หรือกลุ่มที่เลือกมาสำหรับรับใช้ กลุ่มนี้ คือชาวยิว หรืออิสราเอล ภายหลังพระเจ้าให้ตั้งชื่ออิสราเอล เพราะฉะนั้น ท่านรู้แล้วนะว่าชาวยิว หรือชาวอิสราเอลเป็นเหมือนตัวแทนมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ ซึ่งพระเจ้าจะกระทำการงานของพระองค์ผ่านทางคนกลุ่มนี้ เพื่อช่วยมนุษย์ทั้งหมดนะ ไม่ใช่ช่วยเฉพาะอิสราเอล ช่วยมนุษย์ทั้งหมดเลย แต่ผ่านกลุ่มนี้

พระเยซูที่ทรงเกิด จากหญิงพรหมจารีย์ แมรี่ ก็เป็นเชื้อสายของคนกลุ่มนี้แหละ กลุ่มที่เรียกว่ายิวหรืออิสราเอลนี่แหละ และหลังจากที่แผนการของพระเจ้าสำเร็จบนโลกใบนี้ คือพระเยซูได้ทรงไถ่บาปให้กับมนุษย์แล้ว ทำให้มนุษย์ได้รับความรอดแล้ว โดยผ่านทางความเชื่อในศุกร์ประเสริฐ และอีสเตอร์ การตายของพระองค์ที่ไม้กางเขนและการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระองค์นั้น ผ่านทางความเชื่อ มนุษย์คนใดเชื่อได้รับความรอดนี้ พระคัมภีร์บอกว่าคนๆ นั้นที่ได้รับความรอดแล้ว เหมือนเราที่นั่งอยู่ที่นี่ คนๆ นั้น ที่เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอดแล้ว ก็จะได้ชื่อว่าประชากรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเลือกไว้ ชื่อเดียวกันกับยิวเลย แต่ว่าเชื่อแล้วทางพันธสัญญา ทางฝ่ายวิญญาณ จึงเรียกเราว่ายิวทางวิญญาณ หรืออิสราเอลทางวิญญาณ ท่านตอนนี้ที่นั่งอยู่ พระคัมภีร์เรียกท่านว่ายิวในวิญญาณ หรืออิสราเอลในวิญญาณ นึกออกไหม? ชาวยิวที่เชื่อมาก่อน เชื่อพระเจ้า รู้จักเหมือนกับเราแต่ก่อน ซึ่งในปัจจุบัน ยิวบางพวก ก็ไม่เชื่อพระเยซู แต่บางพวก ก็เชื่อ ยิวเหล่านี้ ในพระคัมภีร์ เขาถือว่าเป็นพี่เรา พี่ในความรอด เราเหมือนเป็นน้อง เราเป็นยิวทางวิญญาณ พระคัมภีร์จะใช้คำว่าเป็นพี่เป็นน้อง

เพราะฉะนั้น พวกเราที่ไม่ได้มีเชื้อสาย ยิวทางกายภาพ ได้เป็นชาติยิว เป็นคนไทย คนยิว อะไรต่างๆ แต่ได้มารับเชื่อโดยพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอดแล้ว ได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เราก็ได้ชื่อว่าเป็นชาวยิวในวิญญาณ และมีศักดิ์เป็นน้องทางวิญญาณของชนชาติยิวนั่นเอง เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ท่านจะเห็นภาพที่ชัดเจน หลายเรื่องในพระคัมภีร์ที่ได้พูดถึงพี่กับน้อง บอกล่วงหน้าก็มี บอกไว้ในพระคัมภีร์ก็มี เรื่องราวในพระคัมภีร์ พวกเราที่เป็นน้องทางวิญญาณ คือคริสเตียน

น้องทางวิญญาณของชนชาติยิว ก็คือพระเยซูได้ยกตัวอย่าง บุตรน้อยหลงหาย เดี๋ยวผมจะเล่าให้ท่านฟัง บุตรน้อยหลงหาย ที่เคยกบฏต่อพระเจ้า หนีออกจากบ้าน ไปใช้ชีวิตส่วนตัว ไปช่วยตัวเอง ไม่อยู่กับพ่อ ไปอยู่เอง แล้วก็สำมะเลเทเมาเละเทะมากมาย แล้วในที่สุด หมด อยากจะกลับมา ถ้ากลับมาหาพ่อใหม่นะ ขอยกโทษจากพ่อนะ ขอเป็นทาสก็พอแล้ว อะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่พอกลับมาถึงพระเจ้า ไม่ได้คิดจะลงโทษอะไร มีแต่คิดอย่างเดียวว่าจะให้รางวัลอย่างไร? จะดีใจอย่างไร? เขากลับมามีชีวิตอยู่ดี เตรียมงานเลี้ยงไว้ให้เลย มาถึงแทนที่จะพูดว่าไปทำอะไรมาไม่ดี ไม่ฟังเลย ลูกจะขอโทษอย่างไร ไม่ฟัง ฟังอย่างเดียว บอกคนใช้ไปเอามาเลย ไปเอาเสื้อคลุมกับแหวนมาให้

เสื้อคลุมกับแหวน คือสิทธิ์อำนาจในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี เอามาให้เลย อาณาจักรในสวรรค์ เอามามอบให้เลย มอบสิทธิ์อำนาจให้กับลูกตัวเอง แถมจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ทูตสวรรค์ทั้งหมด บริวารทั้งหมด มาจัดงานเลี้ยง เพราะลูกคนนี้กลับมาแล้ว คนที่กลับมาเชื่อพระเจ้า ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ

เสร็จแล้ว พี่ทางวิญญาณ ที่อยู่กับพ่อ ไม่เคยหนีไปเลย ชาวยิว ทางกายภาพ ในเรื่องนี้บอกว่าพี่ทางวิญญาณงอน อิจฉาน้อง

“ทำไมน้องได้ง่ายอย่างนี้ ไม่ต้องทำอะไรเลย ได้ฟรีๆ เลย พ่อไม่ลงโทษเลย”

ก็เหมือนเราแหละ ยิวเขาเห็นเรา ทำไมได้ฟรีๆ พวกฉันกว่าจะได้รับความรอด ผ่านทางบทบัญญัติของพระเจ้ามาเยอะแยะ ถูกตีสอนอะไรต่างๆ ท่านเวลามาเชื่อพระเจ้า เชื่อแค่นี้เองเหรอ เชื่อพระเยซูนะ ไม่เคยทำพิธีกรรมไถ่บาปตัวเองเลย ไม่เคยฆ่าวัว ฆ่าสัตว์ เอาเลือดให้ปุโรหิตไปล้างชำระบาปตัวเองเลย ไม่เคยเลย แค่ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นเอง พระเยซูบอกนั่นแหละ สวรรค์เป็นอย่างนี้แหละ พระเจ้าเตรียมไว้อย่างนั้น  อย่างนี้เป็นต้น

แล้วในที่สุด พ่อก็บอกว่า “พี่เธอจะไปงอนน้องทำไม ไปอิจฉาน้องทำไม ในเมื่อทรัพย์สมบัติ ในบ้านทั้งหมด เธอไม่ได้ไปไหน ฉันให้เธอ มันเป็นของเธออยู่แล้ว ทรัพย์สมบัติในบ้าน มันก็เป็นของเธออยู่แล้ว ก็คือสวรรค์ก็เป็นของเธออยู่แล้ว เธอจะไปงอนเขาทำไม น้องมา เธอน่าจะดีใจ

นี่คือหนึ่งในเรื่องราวที่พระเยซูยกตัวอย่างให้ท่านเห็นภาพ ตื่นเต้นไหม? พอเรารู้เรื่องนี้แล้ว ได้เห็นภาพชัดเจน ความรอดที่มาถึงเรามันง่ายมาก เวลาคนอื่นเขาจะได้ มันยากมากเลย ชาวยิวกว่าจะได้รับ ลำบากลำบนเลยนะ พระเจ้าใช้เขา แต่ตอนนี้พระเจ้าใช้เราแล้ว พระเยซูส่งไม้ต่อมาถึงเราแล้ว ชาวยิวเขาจบหน้าที่เขาแล้ว พระเจ้าใช้เขาจนกระทั่งมาถึงพระเยซูคริสต์เกิดและตายที่ไม้กางเขน แล้วบอกว่าสำเร็จแล้ว ต่อไปนี้เขาไม่มีหน้าที่แล้ว หน้าที่มาเป็นของน้องแล้ว คือหน้าที่ประกาศข่าวดีนี้ออกไป นี่คือหน้าที่ของเรา ดังนั้นตรงนี้ง่าย หน้าที่ของเราไปประกาศว่าอะไร? ประกาศว่าฉีกกรมธรรม์ แล้วปะไว้ตรงนั้น  ตอนนี้ตรึงอยู่ที่ไม้กางเขนแล้ว ความรอดได้มาง่ายๆ ทุกคน โดยพระคุณ เราจึงได้รับความรอด เอเฟซัส 2:8-9 สรุปไว้อย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9 ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้”

 

นี่แหละ คือข่าวประเสริฐ ที่มีหน้าที่ประกาศ แค่ในนี้ อย่าไปเติมมากกว่านี้ อย่าไปลดน้อยกว่านี้ นี่คือข่าวประเสริฐ 100% อย่าเติมเข้าไปว่าต้องทำอันโน้น อันนี้ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ นี่คือข่าวประเสริฐที่มาถึงเรา ข่าวจริงๆ เลย ข่าวประเสริฐจริงๆ ซึ่งข่าวประเสริฐจริงๆ ตัวนี้ เพิ่งจะมีการสังคยณามา 500 ปีนี้เอง ก่อนหน้าที่มีคนถูกแทรกเข้าไป ทำให้ข่าวดี 100% เหลือ 80 บ้าง, 60 บ้าง, 20 บ้าง แต่มีการปฏิรูปเรื่องนี้ขึ้นมา ข่าวดีนี้ขึ้นมา เมื่อ 500 ปีที่แล้ว คนที่ปฏิรูปนี้ มีชื่อว่า ลาติน ลูเธอร์ ที่เล่าให้ท่านฟัง เพราะว่าคริสตจักรเราอยู่ภายใต้ความเชื่อแบบเดียวกัน คริสเตียนโปรเตสแตนต์ คืออยู่ในเครือข่ายนี้ ปีนี้ เดือนนี้ เป็นเดือนที่ครบ 500 ปีของการปฏิรูปเรื่องนี้ ว่าหัวข้อใหญ่ ก็คืออันนี้ ก็คือข่าวดีของพระเจ้า คืออะไร? ความรอด รอดโดยพระคุณ ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ อย่าเอาอะไรมาบวกเด็ดขาด อย่าเอาการถวายทรัพย์มาบวก อย่าเอาเรื่องการลงบัพติศมามาบวก อย่าเอาพิธีกรรมต่างๆ เยอะแยะมากมายมาบวก นี่คือหัวใจ ความรอดอยู่ที่นี่ เกาะตรงนี้ไว้ ก็ได้รับความรอดแล้ว นี่คือการฉลองวันอีสเตอร์กับวันศุกร์ประเสริฐ อีกหนึ่งครั้ง ในคริสตจักรของเรา ในปีนี้  สัปดาห์ที่ 2 สัปดาห์หน้าจะเอามาอีก จะเอาเรื่องที่เขาท่านไม่เคยได้ยิน มาเล่าให้ท่านฟังอีกว่าเบื้องหลังของการไถ่บาป ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า มันซ้อนและมันตรงเป๊ะๆ คิดไปทุกเรื่องในโลกใบนี้ มาจากพระเจ้าทั้งสิ้น พระองค์ทรงวางไว้แล้วทั้งหมด ขอบคุณพระเจ้าที่เราได้รู้จักเรื่องนี้ และขอบคุณพระเจ้าที่เราได้รับผลจากเรื่องนี้ คือเราได้รับความรอดแล้ว เอเมน

 

 

*****************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2017 เรื่อง “A week after Easter” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2017

เรื่อง “A week after Easter”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ สวัสดีวันสงกรานต์ครับ สงกรานต์ไม่อยู่แล้ว แต่วันอะไรยังอยู่ สุขสันต์วันอีสเตอร์ยังอยู่ อยู่ตลอดไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงนี้ยังต้องอยู่ เพราะเทศกาลอีสเตอร์ต้องเลยไปอีก 50 วัน ไปถึงวันเพ็นเทคอสนั่นแหละ วันที่พระเยซูมาสถิตอยู่กับเรา เป็นครั้งแรก แล้วนอกเหนือจากนั้น วันนี้ยังเป็นวันที่ 7 จากการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ พระเยซูยังมาประกาศข่าวประเสริฐด้วยตัวพระองค์องค์ 40 วัน หลังจากที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย

สัปดาห์ที่แล้ว เป็นวันเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู 1,980 กว่าปีมาแล้ว ยังจำได้ไหมว่าเราได้เรียนรู้เรื่องอะไรกัน? สำคัญอย่างไร? ในโคโลสี 2:14 นี่คือความสำคัญที่สุด ที่บอกว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตาย ยังคงเป็นอยู่ตลอดไป เพราะประโยคนี้  ประโยคนี้สำคัญมาก โคโลสี 2:14 บันทำไว้อย่างนี้ ท่านตั้งใจอ่านให้ดีๆ ผมอุตสาห์เลือกเอาภาษาไทยที่เขาแปลที่ดีที่สุดแล้ว เพื่อให้เห็นชัด ในโคโลสี 2:14 เหตุการณ์เกิดขึ้น เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว บนไม้กางเขน วันอีสเตอร์แรกของโลก วันศุกร์ประเสริฐแรกของโลก คือวันที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนใช่ไหม? สิ่งนี้เกิดขึ้น ผลคืออะไร? โคโลสี 2:14 บอกว่า …

โคโลสี 2:14 “พระ‍องค์​ทรง‍ฉีก​กรมธรรม์ ​ซึ่ง​ได้​ผูก‍มัด​เรา ​ด้วย​บัญ‌ญัติ​ต่างๆ ซึ่ง​ขัด‍ขวาง​เรา และ​ได้​ทรง​หยิบ​เอา​ไป​เสีย​ให้​พ้น​ โดย​ทรง​ตรึง​ไว้​ที่​กาง‌เขน”

 

“ฉีกกรมธรรม์” รู้ไหมแปลว่าอะไร? ไม่รู้ กรมธรรม์ คือสัญญา … สัญญาในที่นี่ ไม่ใช่สัญญาธรรมดา ภาษาเดิมตรงนี้ ไม่ใช่สัญญาธรรมดา แต่เป็นสัญญาที่เป็นคำสั่ง เป็นพระราชกฤษฎีกา สั่งโดยผู้ที่มีความยิ่งใหญ่สูงสุด สั่งมาต้องปฏิบัติตามนี้ เหมือนผู้พิพากษาของมหาจักรวาลเป็นผู้สั่ง เหมือนกับใครก็ตาม พระเจ้าอยู่หัว กษัตริย์ที่สูงสุด ประธานาธิบดีที่สูงสุดของประเทศนั้นๆ สั่งว่าให้ทำอย่างนี้ แล้วให้จดบันทึกไว้ในหนังสือสัญญา หรือคำสั่งนี้ คำว่ากรมธรรม์ แปลว่าอย่างนี้ เป็นคำสั่ง สั่งลงมา

สั่งใคร? ในนี้บอกว่า “สั่งเรา” เราคือใคร? มนุษย์ทั้งปวง แล้วพระเยซูทำอะไร เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในนี้บอกว่าทรง … เพราะฉะนั้น สัปดาห์ที่แล้ว ทางโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น ผมจะทำให้ท่านดู ท่านจะเห็นชัดเจนขึ้น

สัปดาห์ที่แล้ว ที่ไม้กางเขน ตามในนี้นะ โคโลสี 2:14 สัปดาห์ที่แล้วพระเยซูอยู่บนไม้กางเขน  ในโลกวิญญาณ พระองค์ทรงหยิบซองขึ้นมา ซองนี้มีชื่อซองว่า “กรมธรรม์” เปิดซองออกมา พระราชกฤษฎีกา สั่งโดยพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม เที่ยงธรรม ไม่มีลำเอียง สั่งอย่างไร? มนุษย์ต้องชดใช้สิ่งที่เขากระทำไป ด้วยความบาปที่เขากระทำ

บาป คือการกบฏต่อพระเจ้า

พระเจ้า คือผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดของมหาจักรวาล เขากบฏ ไม่เชื่อฟัง เป็นศัตรู คือกบฏ เขาได้รับโทษของการเป็นกบฎ แล้วโทษของการกบฏ มนุษย์เราก็รู้แล้ว คือประหารชีวิตลูกเดียว โทษของการกบฎของมนุษย์ ก็ไล่ลงมาเลย เขาต้องชดใช้บาป เวรกรรมของเขา เพราะเขาเป็นชนชาติแห่งการกบฎ ก็เขียนบันทึกยาวเลย เขาไม่สามารถที่จะเป็นลูกของเราอีกต่อไปได้ เขาต้องเป็นทาส จากฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้า กลายเป็นทาส ในนี้เขียนไว้นะ เขาจะไม่สามารถเข้ามาอยู่กับเราได้อีกแล้ว จากที่อยู่ด้วยกันได้ เห็นกันได้ จับต้องกันได้ จากนี้เขาต้องถูกอัปเปหิไล่ออกไปอยู่ข้างนอก ที่มีการขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ทุกข์ทรมานในชีวิตนี้ และเขาจะไม่รู้จักเราอีกต่อไป เพราะถูกไล่ออกจากบ้านของเรา หรือเรียกว่าสวรรค์ หรือในพระคัมภีร์ใช้ชื่อว่าสวนเอเดน เขาถูกไล่ออกไปแล้ว ในนี้เขียนไว้ เขาไม่สามารถเข้ามาในสวนนี้ได้อีกต่อไป เขาไม่สามารถเข้ามาในสวรรค์นี้ได้อีกต่อไปแล้ว

ในกฤษฎีกานี้เขียนไว้อีกว่าเขาจะไม่ได้รับพร ซึ่งมีพรของเราอยู่กับเขาตลอดชีวิต เขาจะไม่ได้รับอีกแล้ว ร่างกายเขาที่ได้รับพรจากเราตลอดเวลา ไม่มีการตายเลย บัดนี้ ไม่มีพรอีกแล้ว มีแต่ความเสื่อมถอย เขาจะต้องตายทางร่างกายเขา ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่จำเป็น นี่เขาต้องชดใช้ ร่างกายเขาต้องเสื่อมไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ตาย และวิญญาณของเขา ก็ไม่สามารถอยู่ในสวนเอเดน อยู่ในสวรรค์กับเรา ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าได้อีกเลย บันทึกเอาไว้อย่างนั้น

และมีอะไรอีก ถ้าเขาอยากได้พรจากเรา นิดหนึ่ง สักหน่อยหนึ่ง หรืออยากจะคุยกับเรา เขาสามารถทำได้ เราบันทึกไว้ในนี้นิดหนึ่งว่าเขาสามารถทำได้ โดยที่ให้เอาเลือดสัตว์มาลบล้างบาปเขา ปีละหนึ่งครั้ง เขาจะได้เลือดไปปกคลุมชีวิตเขานั้นชั่วคราว ปีต่อปี เอามาผ่อนเรา ก็ได้พรไปนิดหนึ่ง  แต่เขาก็จะไม่เห็นเรา เขาจะไม่รู้จักเรา  เขาจะไม่เข้าใจเรา นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยได้สุดแค่นั้นเอง ช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว และเขาต้องผจญชีวิตเขาด้วยตนเอง โลกนี้จะเปลี่ยนไป สำหรับเขา เพราะเขาถูกลงโทษ จากผืนดินที่ปลูกอะไรก็ขึ้น อะไรที่กินได้มันขึ้นตลอด จะกลายเป็นตรงกันข้าม อะไรที่กินไม่ได้ เป็นขวางหนาม มันจะขึ้น โดยที่ไม่ต้องใส่ปุ๋ยเลย ไม่มีน้ำ มันก็ขึ้น เพราะมันจะทำลายเราอย่างเดียว อะไรที่เป็นประโยชน์กับเรา ใส่ปุ๋ย ทำอะไรกับมัน มันก็จะตายๆ ลำบากลำบน ชีวิตเขาจะต้องอยู่ด้วยความอาบเหงื่อต่างน้ำ ตลอดชั่วชีวิติของเขา แม้เขาจะแพร่พันธุ์ของเขา ตามที่ได้สั่งไว้ตั้งแต่แรก แต่จะแพร่พันธุ์ด้วยความทุกข์ยากลำบาก เวลาเขาแพร่พันธุ์ คือเขาคลอดลูก เขาจะทุกข์ทรมานมาก จริงไหมท่านผู้หญิง? มีใครบ้างออกลูกสบายๆ ไม่มี ทุกข์ทรมานมาก

นี่คือภาษาทั้งหมดนี้ เราเรียกกันว่า “คำสาปแช่ง” เข้าใจไหม? แช่งใคร? แช่งมนุษย์ สาปใคร? สาปมนุษย์ นี่คำสาปแช่ง แปลแค่นี้เอง สาปแช่ง แปลว่าการลงโทษ ที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้แล้ว โดยผู้สร้างมหาจักรวาลและสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเรียกว่าผู้พิพากษาแห่งความยุติธรรม ก็คือพระเจ้า นึกไม่ถึงนะ เรานึกว่ามารซาตานเป็นศัตรูของเรา ไม่ใช่ ไม่ใช่มารเป็นผู้สั่ง มารซาตานเป็นศัตรูของเรา ก็จริง แต่ไม่มีสิทธิ์สั่งหรอก เพราะมารไม่มีอำนาจ ไม่มีสิทธิ์ คืนอำนาจเราด้วย แต่ผู้ที่สั่ง คือผู้พิพากษา เราตกอยู่ในคำสาป ใต้ฤทธิ์อำนาจ พระหัตถ์ของพระเจ้า แทนที่จะเป็นลูก เรากลายเป็นทาส

ย้อนกลับมา เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว บนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์อยู่บนไม้กางเขน แล้วทรงหยิบเอากรมธรรม์นี้ขึ้นมา เปิดซองดู ไม่อ่าน เพราะพระองค์ทรงรู้แล้วว่ามีอะไร? มา ก็เพื่อสิ่งนี้ ในนี้บอกว่าอย่างไร? อ่านอีกครั้งหนึ่ง

โคโลสี 2:14 “พระ‍องค์​ทรง‍ฉีก​กรมธรรม์ ​ซึ่ง​ได้​ผูก‍มัด​เรา ​ด้วย​บัญ‌ญัติ​ต่างๆ ซึ่ง​ขัด‍ขวาง​เรา และ​ได้​ทรง​หยิบ​เอา​ไป​เสีย​ให้​พ้น​ โดย​ทรง​ตรึง​ไว้​ที่​กาง‌เขน”

 

นี่ใช่ไหม? ผูกมัดเราใช่ไหม? ฉีกเลย จำไว้ เห็นหรือยัง? ไม่เห็น จำไว้ ได้ยินหรือเปล่า? ไม่ได้ยิน จำไว้ ได้ยินหรือยัง? จำไว้อีก ได้ยินหรือยัง? กลับไปบ้านฉีกต่อ เชื่อหรือยัง? รู้ไหม? รู้ไหม? แล้วเอาทั้งหมดนี้ ใส่ซองกลับคืน ทิ้งขยะ ใช่หรือเปล่า? ในนั้นบอกว่าอย่างไร? ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้น จบแล้วตอนนี้ ตอนนี้คำสาปแช่งทั้งหมดของเราอยู่ไหน? อยู่ที่ไม้กางเขน ทั้งหมดนี้ ใครเป็นคนทำ โดยคำสั่งของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรเลย ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมารซาตานเลย เป็นเรื่องของพ่อกับลูก พ่อต้องทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา ลูกก็รับกรรมไป ถึงเวลาจบสิ้น ก็ออกมา จบแล้ว คำสาปแช่งอยู่ที่ไหน?  ตะกี้นี้ที่พูดมาทั้งหมด ที่ขัดขวางเราทั้งหมด พระเจ้า ก็ไม่ได้ พร ก็ไม่ได้ ตอนนี้ ถวายสิบลด แล้วได้พรไหม? ไม่ต้อง ได้พร เพราะอะไร? จากการเป็นทาส กลายเป็น … อ่านเอาเองดีกว่า กาลาเทีย 4:4-7 บันทึกไว้อย่างนี้

กาลาเทีย 4:4-7 “4 แต่​เมื่อ​ครบ​กำ‌หนด​แล้ว​ พระ‍เจ้า​ก็​ทรง​ใช้​พระ‍บุตร​ของ​พระ‍องค์​ (คือพระเยซูคริสต์)  มาประ‌สูติ​จาก​สตรี​เพศ (คือแมรี่) และ​ทรง​ถือ​กำ‌เนิด​ใต้​ธรรม‍บัญ‌ญัติ (ก็คือเป็นมนุษย์) 5 เพื่อ​จะ​ทรง​ไถ่​คน​เหล่า​นั้น (คือมนุษย์ทั้งหลาย) ​ที่​อยู่​ใต้​ธรรม‍บัญ‌ญัติ (ใต้คำสาปแช่ง, ใต้กรมธรรม์เมื่อตะกี้นี้) เพื่อ​ให้​เรา (มนุษย์) ​ได้​รับ​ฐานะ​เป็น​บุตร 6 และ​เพราะ​ท่าน​เป็น​บุตร​ของ​พระ‍เจ้า​แล้ว (หมายถึงเชื่อแล้วและมีโอกาสแล้ว) พระ‍องค์​จึง​ทรง​ใช้​พระ‍วิญ‌ญาณ​แห่ง​พระ‍บุตร​ของ​พระ‍องค์ เข้า​มา​ใน​ใจ​ของ​เรา ร้อง​ว่า “อา‌บา” คือพระ‍บิดา (พ่อจ๋า เราจึงอธิษฐานว่าพ่อจ๋า) 7 เหตุ​ฉะนั้น​ โดย​พระ‍เจ้า ท่าน​จึง​ไม่​ใช่​ทาส​อีก​ต่อ‍ไป แต่​เป็น​บุตร และ​ถ้า​เป็น​บุตร​แล้ว ท่าน​ก็​เป็น​ทา‌ยาท (คือมีมรดกให้อีกด้วย เอเมน)”

 

หลับตาคิดแต่เรื่องนี้ตลอดเวลา ชีวิตเรามีแค่นี้เอง ไม่ต้องไปคิดอะไรมากเลย ข่าวประเสริฐมีอยู่แค่นี้เอง ไม่ต้องไปไล่ผีมารซาตาน ไม่ต้องไปไล่ที่ไหน? ไม่ต้อง ทั้งหมด เราอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า ไม่มีใครทำอะไรเราได้เลย  ไม่ต้องห่วงแล้ว สมัยก่อน มันเป็นกฎวางไว้แล้ว เราไม่ต้องทำ มันก็โดนอยู่แล้ว มารมันได้แต่หัวเราะอย่างเดียว เราโดนอยู่แล้ว ตอนนี้มันหัวเราะไม่ออก เพราะได้พระพรอยู่แล้ว ยังไง ก็พร เพียงแต่เราต้องเชื่อเอาเท่านั้นเอง เราไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ ง่ายไหม? ง่ายที่สุดแล้ว

นี่คือหลักของไม้กางเขน มีอยู่แค่นี้เอง ไม่ได้เป็นเรื่องของศาสนา เรื่องของพิธีกรรม เรื่องของอะไร? เรื่องของข่าวดี พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน พระองค์จึงประกาศข่าวดีก่อนเลย เสร็จแล้ว เรียบร้อยแล้ว แล้วจากนั้น พอพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วมาอยู่กับเหล่าสาวก 40 ก็บอกสาวกให้ออกไปประกาศ สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ ก็ดี ในโลก ก็ดี อยู่กับเราแล้ว อยู่กับเรา แปลว่าเราเป็นหัวหน้าของมนุษย์ เราเป็นหัวหน้าของเธอ ก็คืออยู่กับเธอ เธอผูกมัดอะไรในโลก มันก็ถูกผูกมัดในสวรรค์ เธอผูกมัดในสวรรค์ ก็ผูกมัดในโลก หมายถึงเธอมีอำนาจมากมายหมดแล้ว เป็นของเธอแล้ว เพราะฉะนั้น ออกไปประกาศ  ไม่ต้องไปยุ่งกับมาร เสียเวลา แค่ออกไปประกาศ เท่านั้นเอง ไปบอกข่าวดีให้เขาฟังว่าข่าวดี คืออันนี้ๆ จบ เจอแมลงสาป ก็เหยียบไป บางครั้งพระเจ้า พระวิญญาณนำเราไปไล่ผี ก็ไล่ไปสิ คิดว่เป็นแมลงสาปตัวหนึ่ง ไม่เห็นมีอะไร? ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน สิ่งที่ยุ่ง ก็คือข่าวประเสริฐนี้ สิ่งที่เปาโลและสาวกรุ่นแรก กลัวที่สุด โมโหที่สุด ก็คือใครก็ตามที่มาลบเอาข่าวดีนี้ ให้มันน้อยลง ให้มันหายไป กลายเป็นข่าวไม่ดี ก็คือมนุษย์ยังมาทำอันโน้นอันนี้ เพื่อให้เรารอรับความรอด อันนี้ ก็ทำไม่ได้ อันนั้น ก็ทำไม่ได้ อันโน้น ก็ทำไม่ได้ ต้องมีพิธีกรรมอย่างโน้น ต้องมีพิธีกรรมอย่างนี้ ยุ่งไปหมดเลย ในที่สุด ไม่ได้รับความรอด เพราะมันง่ายมาก มีแค่นี้เอง ถ้าทุกคนบอกกันอย่างนี้ มาตั้งแต่แรก เมื่อ 2,000 ปีก่อน มันก็มาถึงพวกเราไม่ยากเลยใช่ไหม? ถ้ามีคนมาบอกเราอย่างนี้ตั้งแต่แรก มันคงไม่ยากมาจนถึงตอนนี้ใช่ไหม? แต่เขาไม่ได้มาบอกเราอย่างนี้ ข่าวประเสริฐไม่ได้มาถึงเราอย่างนี้  ข่าวประเสริฐมาแค่ 50% มาสัก 20% บอกอีก 80% เราต้องทำอยู่ ก็ตายสิ เราทำไหวที่ไหน? เรามาหาพระเยซู ก็เพราะเราไม่ไหวแล้ว เราจะขอความช่วยเหลือ เราไม่ไหวจริงๆ แต่พอมาหาพระเยซู เรายังต้องทำอย่างนี้อีก ทำอย่างนั้นอีก ตายแล้ว ไม่มีแรง มันง่ายขนาดนี้เอง มันไม่มีอะไรเลย อันนี้ทำได้ไหม? อันนั้นทำได้ไหม? อันโน่นทำได้ไหม? ไปโน้นได้ไหม? ไปเช้งเม้งได้ไหม? ไม่ต้องยุ่ง ไม่เกี่ยวอะไรกันกับข่าวประเสริฐเลย จบอยู่ตรงนี้ แล้วท่านก็มีชีวิตอยู่ต่อไป จะทำอะไรก็เชิญ เอเมน

อย่างนี้ก็ส่งเสริมคนทำบาปสิ … ผมส่งเสริมคนทำบาปไหม? ถ้าท่านรู้อย่างนี้ ท่านจะทำบาปไหม? ท่านยินดีไหม? ท่านทำ แต่ท่านไม่ยินดีในการทำ ไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ ไม่ยินดี แต่ท่านต้องทำ แต่เดี๋ยวนี้ ท่านไม่ยินดี ท่านก็สามารถสู้กับมันได้  สู้กับตัวเองนะ ไม่ได้สู้กับมารนะ สู้กับกิเลสตนเอง แล้วก็ขอพระเจ้าช่วย ท่านมั่นใจว่าพระเจ้านำท่านอยู่ใช่ไหม? ท่านรู้กว่าในที่สุด ท่านไม่มีทางทำได้ครบ 100% เหรอ แต่ท่านมั่นใจในความรอด ท่านสะอาดหมดจด ท่านบริสุทธิ์ นั่นแหละ คือข่าวดี  และคนก็จะมาเชื่ออย่างนี้มากขึ้นๆ เพราะไม่มีใครดีเลยสักคนหนึ่ง พระคัมภีร์บอก ทุกคนต้องการการช่วยเหลือ พระเยซูเป็นแพทย์ มารักษาเราแล้ว มนุษย์ทุกคนป่วย เป็นโรคบาป มาหาพระเยซู พระเยซูก็รักษา จบ หายวิญญาณ ร่างกายก็ว่ากันไป เดี๋ยวนำพาไป พระเยซูอยู่ในเราแล้ว เราเชื่อพระเยซูแล้ว เราก็เกิดใหม่บริสุทธิ์ เราสะอาดแล้ว  ไม่มีสักวินาที ที่ท่านเป็นบาปอีกต่อไป จำไว้ให้ดี ต่อให้เมื่อตะกี้ เดี๋ยวโกหก  ท่านก็บริสุทธิ์ เพราะวิญญาณท่านบริสุทธิ์แล้ว อยู่ที่โน้นแล้ว นี่มันคือเนื้อหนังของท่าน เข้าใจใช่ไหมค่ะ มันแปลว่าอะไร?  นี่คือข่าวดี และสิ่งที่พระเยซูทำ เมื่ออีสเตอร์ และท่านสมควรไหมที่จะมาฉลองอีสเตอร์ ให้มันสุดๆ ฉลองอีสเตอร์ ศุกร์ประเสริฐให้สุดๆ เอาข่าวนี้ไปบอกพี่น้องทั้งหลาย มนุษย์ทุกคน ใครก็ตาม ขอให้เขาได้เห็นสิ่งนี้ ง่ายๆ ไม่ได้ยาก ชาวบ้าน ชาวช่อง ชาวนา ชาวสวน คนไม่ได้รับการศึกษาแบบมนุษย์ ก็เชื่อง่ายๆ ไม่ยากเลย มันอยู่ที่โน้นแล้ว เห็นภาพที่ตะกี้ผมพยายามทำให้ท่านดู มีเวลานิดเดียว พยายามให้ท่านเห็นชัดๆ คืออย่างนี้ นึกถึงข้อพระคัมภีร์นี้ แล้วจำไว้นะที่ผมฉีกๆ ฉีกสัญญา ฉีกกรมธรรม์ ฉีกคำสาปแช่ง เราอยู่ในพระพรตลอดชีวิตแล้ว เอเมน ไม่มีคำสาปแช่งแม้แต่นิดหนึ่งในชีวิตของเรา เอเมน เราอยู่ในการทรงนำของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เอเมน

 

*******************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน 2017 เรื่อง “อีสเตอร์ … วันประกาศชัยชนะ และการครอบครองอาณาจักรนิรันดร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  เมษายน  2017

 เรื่อง “อีสเตอร์ … วันประกาศชัยชนะ

และการครอบครองอาณาจักรนิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันแห่งการเฉลิมฉลองวันแห่งการประกาศอิสรภาพ ครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดของมวลมนุษยชาติทั้งปวง ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียว คือประกาศอิสรภาพทางฝ่ายวิญญาณ ที่ประกาศโดยพระเยซูคริสต์ โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เรียกว่าศุกร์ประเสริฐ และทรงเป็นขึ้นใหม่ในเช้าวันนี้ เรียกว่าวันอีสเตอร์

การประกาศอิสรภาพฝ่ายวิญญาณนี้ เริ่มประกาศตั้งแต่วันที่พระองค์ทรงถูกตรึง ตายที่ไม้กางเขน และผ่านไป 3 วัน พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแรก ย้อนหลังไป ใครรู้ว่าเมื่อไร? ผมมีอะไรมาบอกท่าน เป็นเกล็ดความรู้เล็กน้อย

ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าปีนี้ 2017 เพราะฉะนั้น อีสเตอร์แรก ก็คือ 2,017 ปีมาแล้ว ไม่ใช่นะ จริงๆ แล้ว เริ่มนับปี ค.ศ.1 เมื่อพระเยซูมีอายุ 4 ขวบ และตอนที่พระเยซูถูกตรึง และสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ได้มีบันทึกว่าพระองค์มีอายุ 33 ปี คือถูกตรึงที่ไม้กางเขน เมื่อ ปี ค.ศ. 29

สรุป คือวันอีสเตอร์แรกผ่านมาแล้ว 1988 ปี คือ 2017 – 29 นั่นเอง ยังไม่ถึง 2,000 ปีเลย  เกือบๆ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ 1988 ปีมาแล้ว  ทำให้มนุษยชาติทั้งปวง ได้รับอิสรภาพทางฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง และเป็นแผนการของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว ตั้งแต่ตอนมนุษย์ตกลงไปในความบาป มีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล บอกล่วงหน้า ซึ่งมีภาษาไบเบิ้ลว่าเผยพระวจนะ คือพระเจ้าบอกล่วงหน้าผ่านทางมนุษย์ ที่เป็นผู้รับใช้ตอนนั้น ให้บันทึกไว้ว่าเราเตรียมแผนการอย่างนี้ไว้ จะเกิดอะไรขึ้น? บอกล่วงหน้า ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ตรัสเรื่องนี้ไว้ด้วยพระองค์เองไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์เอง ได้ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับวันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐ พระองค์รู้แล้วว่าพระองค์จะมาทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขนอย่างไร? ขนาดไหน? ทรมานอย่างไร? และเพื่ออะไร? ดูสิว่าพระองค์ทรงตรัสเอง ยกมาหนึ่งตอน ให้ท่านได้เห็นกัน ลูกา 4:16-19

ลูกา 4:16-19 “16 พระองค์เสด็จมายังเมืองนาซาเร็ธ ที่ซึ่งทรงเติบโตขึ้น  และในวันสะบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาอย่างที่ปฏิบัติเป็นประจำ และทรงยืนขึ้นอ่านพระธรรม 17 เขาส่งม้วนพระคัมภีร์อิสยาห์ให้พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่ออกมา ก็พบข้อความที่เขียนไว้ว่า  18 “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้  พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้า มาประกาศอิสรภาพแก่ผู้ถูกจองจำ  และให้คนตาบอดมองเห็น  ให้ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่  19 ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปราน ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

 

บันทึกไว้ตั้งแต่สมัยโน่น ผู้เผยพระวจนะที่มีชื่ออิสยาห์ นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น จริงๆ เผยพระวจนะ คือบอกล่วงหน้า แล้วบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตั้งแต่วันแรก หน้าแรก เรียกว่าปฐมกาล Beginning พูดถึงพระเยซูมาตลอด เฉพาะตรงนี้บอกว่าบันทึกไว้สมัยผู้เผยพระวจนะ พระเจ้าใช้ 1 คน คนนี้ชื่อว่าอิสยาห์ บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูคริสต์ให้มาประกาศแก่มวลมนุษยชาติทั้งหลาย เฉพาะตอนนี้บอกก่อนล่วงหน้า ประมาณ 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน และจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วันอีสเตอร์แรกนั่นแหละ

พระเยซูอ่านตรงนี้ให้เราฟัง บันทึกไว้ล่วงหน้า 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตอนที่เราอ่าน พระเยซูคริสต์เกิดเป็นมนุษย์แล้ว 30 ปี ไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นช่างไม้อย่างเดียว เงียบๆ พออายุ 31 หน้าที่ของพระองค์มาแล้ว คือเริ่มต้นประกาศว่าพระองค์เป็นใคร? มาทำไมบนโลกใบนี้? มาเพื่ออะไร? สวรรค์คืออะไร? พระเจ้าเตรียมสวรรค์ให้กับมนุษย์ทุกคนอย่างไร? พระเจ้าเตรียมความหวัง เตรียมความรอดให้กับมนุษย์ทุกคนอย่างไร? จากนี้ต่อไป? ถ้าท่านเห็นภาพตรงนี้ ท่านจะอ่านพระคัมภีร์อย่างสนุกสนานและเข้าใจง่ายๆ ไม่ยากเย็นอะไรเลย  คือพระเยซูมา เพื่อจะมาบอกเราทั้งหลายว่าจะประกาศอิสรภาพแล้ว จะเป็นอิสระจากความบาปความตายแล้ว จะมีความหวัง และตายแล้ว ไม่ต้องกลัว จะเป็นขึ้นมาใหม่ จะได้อยู่กับพระเจ้า กลับไปหาพระเจ้า จะรู้จักพระเจ้าได้

พอพระองค์อายุ 30 ก็เริ่มต้น เดินเข้าไปในธรรมศาลา คำว่าธรรมศาลา คือที่ชุมนุมของคนที่เชื่อพระเจ้า ในกลุ่มชาวยิวในขณะนั้น เพราะว่าวิหารของพระเจ้าเข้าไปไม่ได้แล้ว ถูกปิดไว้ ห้ามใช้ โดยกฎหมายทางโรมัน เขาเหล่านี้จึงออกมาประชุมนอกวิหาร

นอกวิหาร คือที่ประชุม ธรรมศาลา ก็เหมือนกับโบสถ์เรา ที่มาเรียนรู้กันในวันเสาร์ วันสะบาโต วันนั้น วันแรก ที่ไม่มีใครรู้จักพระองค์เลยว่าเป็นใคร? รู้เพียงแต่ว่าเป็นลูกโยเซฟ ลูกมารีย์ เป็นช่างไม้ จบ แต่วันนั้นพระองค์ทรงเดินเข้าไป แล้วก็หยิบพระคัมภีร์ขึ้นมา ปกติคนที่จะอ่านพระคัมภีร์ที่อยู่ในหนังสือม้วน จะต้องเป็นคนที่มีความรู้มาก ต้องศึกษา เขาเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมในสมัยนั้น เขาต้องขึ้นมา แล้วอ่าน แล้วพระเยซูเป็นใครก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ ก็ขึ้นมาขออ่าน คนก็ยื่นให้อ่าน พระองค์ก็เปิดมา ท่านคิดดู เต็มไปหมดเลย  5 เล่มของพระคัมภีร์เดิมเยอะมาก พระองค์เปิดมาหน้านี้ หน้าที่เราอ่านเมื่อสักครู่

พระองค์บอกว่าพระองค์มาประกาศข่าวดี แก่ผู้ยากไร้ เอาตอนนี้ก่อน พอพระองค์อ่านจบนะ คนถามว่าแล้วทำไมมาอ่านอย่างนี้? พระองค์บอกฉันเอง คือคนๆ นี้ ที่พระคัมภีร์เขียน  อ่านเมื่อตะกี้นี้ คนตกใจ แตกฮือ หาว่าพระเยซูหมิ่นประมาณพระเจ้า

“อะไร นี่คือพระบุตรพระเจ้าที่พระองค์จะส่งมา เป็นมาซีฮา แล้วเธอเป็นใคร? เธอเป็นลูกช่างไม้”

เขาไม่เชื่อ เป็นเรา เราก็ไม่เชื่อ ลูกช่างไม้ อยู่ดีๆ มาบอกว่า …

“เราเป็นพระเจ้า”

ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นช่างไม้ อยู่ดีๆ มาประกาศเรื่องนี้ แล้วหลังจากนั้น จึงเริ่มต้นทำอัศจรรย์ เริ่มต้นประกาศข่าวดี อีก 3 ปี จนกระทั่งถูกตรึงที่ไม้กางเขน ท่านจะเห็นภาพว่าพระเยซูทำสิ่งนี้เกิดขึ้น  ทำให้ศัตรูของพระองค์ โผล่ขึ้นมาเต็มเมืองเลย คนตกใจ หาว่าพระองค์ทรงหมิ่นประมาณ จะจับพระองค์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะเอาไปลงโทษแล้ว ดูสิว่าพระองค์พูดถึงเรื่องอะไร?

“เรามา เพื่อประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้”

ท่านนึกว่าผู้ยากไร้หมายถึงคนจนเหรอ ในเมื่อพระเยซูประกาศแล้ว ทำไมคนจน ก็ยังจนอยู่ เราเชื่อพระเยซู เรายังจนอยู่ เรารู้สึก ทั้งที่เราจน แต่เราก็ไม่จน เพราะเรามีพอมีพอกินของเรา เรามีความหวัง แต่ทำไมเรายังจนตามลักษณะนั้น

เพราะประกาศข่าวดีกับผู้ยากไร้ ตรงนี้ คือแก่ผู้ที่ Poor in spirit ภาษาเดิมแปลว่าวิญญาณมันตาย วิญญาณที่อยู่ในความบาป ความตาย สกปรก มันหมายถึงอย่างนั้น  นี่แหละวิญญาณที่ยากไร้ ไม่ใช่ยากไร้ทางตามองเห็น พูดง่ายๆ ว่าสิ่งที่พระเยซูพูดทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ในโลกใบนี้เลย ตามความคิดของมนุษย์ชอบคิดอย่างนี้ พอบอกยากจน คือคนจน ไม่ใช่ วิญญาณคุณยากไร้มาก ทุกวันนี้เรามาเชื่อพระเยซู วิญญาณเรารวยไหม? รวยมหาศาล

ต่อไปบอกว่า “มา เพื่อประกาศอิสรภาพแก่ผู้ที่ถูกจองจำ” ประกาศให้คนที่อยู่ในคุกเหรอ พวกที่ทำผิดกฎหมายเหรอ ไม่ใช่ ทั้งเล่มเลย พระคัมภีร์เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น อย่าอ่าน แล้ววิเคราะห์ แล้วสรุปเป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดของมนุษย์ที่จับต้องมองเห็นได้ ถ้าท่านใส่เกี่ยวกับวิญญาณ ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลย แม้กระทั่งคำว่าความรอดในพระเยซูคริสต์ รอดจากรถชนกันเหรอ ไม่ใช่ รอดจากจมน้ำตายเหรอ ไม่ใช่ รอดจากบาป โทษของความบาป เราต้องใช้เวร ใช้กรรม เมื่อเราตายไปแล้ว รอดจากตรงนั้นแหละ ก็คือรอดทางฝ่ายวิญญาณ

ประกาศอิสรภาพ แก่ผู้ที่จองจำ ก็คือประกาศอิสรภาพ แก่ผู้ที่วิญญาณถูกครอบงำ ด้วยความผิดบาป เป็นทาสของความตาย ทาสของความบาป ไม่ทำบาป ก็ไม่ได้ พยายามๆ ในที่สุด ก็ทำทำแล้ว ก็ไม่สบายใจ แต่ทำไมทำ นั่นแหละคือลักษณะของการถูกจองจำ ที่เราสามารถเห็นได้ในชีวิตของเรา ไม่อยากทำ แต่สู้มันไม่ไหว ก็คือถูกจองจำ

ต่อไปอะไรอีก “ให้คนตาบอดมองเห็น” ไม่ได้หมายถึงคนตาบอด แล้วพระเยซูมา เพื่อให้เขามองเห็นทุกคน ไม่ใช่ ทุกวันนี้ มีคริสเตียน ที่เชื่อพระเจ้า ยังตาบอดจริงๆ แต่ตาทางฝ่ายวิญญาณ มันบอด ก็คือให้คนตาบอดทางฝ่ายวิญญาณ เพราะเขาบาป เขาไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ เขาไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้ เหมือนเราในอดีตที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า พูดเรื่องพระเจ้าให้เราฟัง พูดเรื่องพระเยซูให้เราฟัง เราก็ไม่อยากฟัง  เราไม่ชอบทันทีเลย ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงไม่ชอบ อย่ามาพูดเรื่องนี้เลย พูดเรื่องอื่น เรื่องอะไรเราก็ฟังได้ทั้งสิ้น อย่าพูดเรื่องพระเยซูได้ไหม? ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผล  เพราะตาเรามองไม่เห็นไง แต่ทุกวันนี้ อยากจะพูด บอกไม่ให้เราอธิษฐาน เราก็อธิษฐาน  คนว่าเราบ้าไปแล้ว พูดคนเดียว เราก็บอกว่าเราก็จะอธิษฐานต่อไป ในเพลง Amazing Grace บอก But now I see บัดนี้ฉันเห็นแล้ว ไม่ใช่บอกว่าแต่ก่อนฉันตาบอด เปล่า แต่ก่อนตาเห็น แต่ฉันไม่เห็นพระเยซู แต่เดี๋ยวนี้ ตาฉันได้เห็นพระเจ้าแล้ว ผ่านทางข่าวประเสริฐของพระเยซู ฉันได้รู้จักพระองค์ ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น พระเยซูมา เพื่อให้ตาฝ่ายวิญญาณเราได้ถูกเปิดออก และได้เห็นพระเจ้า ได้รู้จักพระเจ้า และสามารถคุย มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระองค์ได้ เอเมน

ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ หมายถึงถูกปลดปล่อยจากการกดข่มขี่ทางฝ่ายวิญญาณ คือปลดปล่อยคนที่อยู่ใต้อำนาจความบาป ความตาย โดยการนำของมารซาตาน ให้เขามีอิสรภาพ เขาอยู่ในกำมือของมาร เขาอยู่ในการนำพาชีวิตของมาร เขาอยู่ในความมืด เหล่านี้ เรียกว่าถูกกดขี่ข่มเหงโดยมารทั้งสิ้น ให้ทำชั่ว ทำสิ่งที่ไม่ดี ทั้งๆ ที่ไม่อยากทำ แล้วสุดท้าย พระองค์มาเพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปราน อันนี้ชอบมากเลย ถามว่าชอบ เพราะอะไร?

ปีแห่งความโปรดปราน คือประกาศเวลาแห่งการอภัยโทษ ให้กับความผิดบาปของมวลมนุษย์ทุกคน เอเมน ซึ่งรวมทั้งฉันด้วย

ปีแห่งความโปรดปราน ผมใช้คำนี้ในยุคปัจจุบันนี้ ท่านจะเห็นชัด พระเยซูมาประกาศปี (S) เพราะหลายๆ ปี อยู่ในความโปรดปรานนี้ ประกาศปีแห่งโปรโมชั่น รู้จักโปรโมชั่นไหม? ทุกคนชอบ เพราะถ้าห้างนี้เขาบอกมีโปรโมชั่น ตอนนั้น เขามีความโปรดปรานในลูกค้ามาก เขาอยากให้ท่านไปซื้อ เขาลด 50% ลดตั้ง 70% โปรดปรานมาก นี่พระเจ้าบอกปีแห่งความโปรดปราน ต่อไปนี้ ไม่ต้องเอาหัวหมูมา ไม่ต้องเอาแพะมา ไม่ต้องเอาไก่มา ไม่ต้องมาติดสินบนฉันเลยแม้แต่นิดเดียว เอาไป พระเจ้าบอกลด 100% มาเอาไปฟรีๆ เลย  ความรอดจากบาป ก่อนหน้านี้ ยังต้องเอาเลือดสัตว์ไป เอาอะไรไปต่างๆ ต่อกันทุกปี ต่อไปนี้ไม่ต้องเลย เอาไปฟรีๆ  นี่เขาเรียกว่าปีแห่งความโปรดปรานแก่มนุษย์ทั้งปวง อย่างนี้ไม่เรียกว่าข่าวดี แล้วเรียกว่าอะไร?

ซึ่งรวมทั้งหมดทั้งมวลนี้ ที่พระเยซูมาทำ ก็คือว่าพระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูคริสต์ไว้ เพื่อให้มาเป็นผู้ประกาศอิสรภาพ หรือประกาศการอภัยโทษให้แก่มวลมนุษยชาติทั้งปวง ให้ได้รับอิสรภาพจากการเป็นทาสของความบาปและความตาย ให้ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า เรียกว่าประกาศปีแห่งนิรโทษกรรม คุ้นๆ ไหมตอนนี้เอามาใช้บ่อย นิรโทษกรรม ใครทำอะไรผิดมายกให้หมดเลย จึงเรียกว่าข่าวดี เป็นข่าวดีจากชัยชนะที่ไม้กางเขน ตามเหตุการณ์ในวันศุกร์ประเสริฐก่อนจะสิ้นพระชนม์ วันศุกร์ที่ผ่านมา ย้อนไปอีก 1988 ปี ที่ไม้กางเขน วันศุกร์นั้น ก่อนวันอีสเตอร์ 3 วัน พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  จนกระทั่งถึงบ่าย 3 โมง ด้วยความทุกข์ทรมาน

พระองค์ได้ตรัสคำสุดท้าย เป็นภาษาฮีบรูอ่านมา Testelesti แปลว่าเป็นอิสรภาพแล้ว สำเร็จแล้ว  จ่ายให้หมดแล้ว

พระองค์ถูกตรึงตั้งแต่ 3 โมงเช้า พอถึงเที่ยงปุ๊บ ฟ้ามืดครึ้มไปหมดเลย ผมเชื่อว่าตอนนั้นเหมือนสุริยุปราคา มืดไปหมดทั้งแผ่นดินถึงบ่าย 3 โมง ทหารที่เฝ้าดูตกใจ ที่เขาบอกพระเจ้าแน่ๆ เขาพูดไม่ใช่เพราะเขาเชื่อหรอก แต่เขาเห็นความอัศจรรย์ ตกใจ นี่ต้องเป็นพระเจ้า ตามที่พระองค์ได้บอกไว้ ตามที่ใครๆ เขาพูดถึงในช่วงนั้น มีคนที่เชื่อพระเจ้าในช่วงนั้นเขาพูดถึง คือพระบุตรพระเจ้าแน่ๆ คนนี้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก่อนบ่าย 3 โมงพระองค์พูดว่าสำเร็จแล้ว หรือจ่ายหมดแล้ว แปลว่าวันสุดท้ายพระองค์ทำเสร็จ

พระองค์ทรงประกาศข่าวดี เป็นคนแรก พระองค์บอกสำเร็จแล้ว ที่ทำมาทั้งหมด ปลดปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว เสร็จแล้ว แล้วคนต่อๆ ไป พระองค์ก็สั่งเขาให้ไปประกาศข่าวดี ประกาศว่ามนุษย์ได้รับอิสรภาพแล้ว สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น มีหน้าที่ออกไปประกาศว่า …

“สำเร็จแล้ว จบแล้ว”

ท่านก็ว่าไป อะไรจบ ท่านก็อธิบายให้เขาฟัง ก็คือสรุปแล้ว คือจบแล้ว คือมนุษย์ได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรมอีกต่อไป ตรงนี้คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่พระเยซูคริสต์ได้ประทานให้กับเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระองค์ เราจึงเรียกว่า “วันแห่งชัยชนะ” หรือ “Easter day” เป็นวันที่เรามาระลึกถึงชัยชนะ ผู้นำทัพของเรา คือพระเยซูคริสต์ได้รับชัยชนะเหนือความบาปและความตาย พระองค์ทรงชนะที่ไม้กางเขน และยืนยันชัยชนะของพระองค์ ประทับตราด้วยการเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าพระองค์ประกาศชัยชนะ แล้วพระองค์ตายไปตลอดเลย อันนี้ มันก็น่าตะขิดตะขวางใจ แต่พระองค์ตายแล้ว ชำระเราเรียบร้อยแล้ว แค่นั้นไม่พอ วันที่ 3 วันอีสเตอร์ พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ปั้มตราหนี้ที่จ่ายไปแล้ว เป็นใบเสร็จ แล้วส่งให้พวกเราทุกคนเลย คนที่เชื่อในพระองค์ มนุษย์ทุกคน

“เอาไปเลยใบเสร็จ จ่ายให้แล้วนะ”

เห็นไหม? เราก็ดีใจ ถามว่าใบนั้นคืออะไร? คือการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ในวันที่ 3 อีสเตอร์ คือใบเสร็จรับเงินนั่นเอง ยืนยันว่าจ่ายแล้ว เอเมน

1 โครินธ์ 15:54-57 “54 คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ จะเป็นจริง คือ ความตายก็พ่ายแพ้ ถูกกลืนหายไป 55 “ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า? ความตายเอ๋ย ไหนล่ะเหล็กไนของเจ้า?” 56 เหล็กไนของความตาย คือบาป และอานุภาพของบาป คือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า  พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา” เอเมน

 

พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าจากชัยชนะตรงนี้  ทำให้สิทธิอำนาจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในสวรรค์ ในโลกก็ดี ใต้โลกด้วย ได้ถูกมอบให้กับมนุษย์ทุกคน ผ่านทางหัวหน้ามนุษย์ แม่ทัพเราชนะแล้ว เราก็ชนะด้วย พระเจ้าตากสินชนะ คนไทยที่อยู่ในกลุ่มชนะหมดเลย  ประกาศอิสรภาพต่อพม่าเลย  ไม่ใช่พระเจ้าตากสินได้ชัยชนะคนเดียว พระองค์เป็นหัวหน้าเรา ทำนองเดียวกันพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือเป็นหัวหน้ามนุษย์ พระเจ้าตากสินเป็นคนไทย เพราะฉะนั้น คนไทยประกาศอิสรภาพ คนที่อยู่ไกลลิบ ไม่ได้เข้าร่วมรบกับเขาเลย ก็ได้รับชัยชนะ คนธรรมดาอย่างเรา คนบาป ไม่เหมือนพระเยซูเลย เมื่อพระเยซูประกาศชัยชนะ เราก็ได้รับชัยชนะ ที่ไม้กางเขนนั่นแหละ ประกาศโดยตัวแทนของเรา คนที่เกิดหลังจากพระนเรศวรประกาศอิสรภาพ ก็ได้รับอิสรภาพ ท่านพอมองภาพเห็นไหมครับ? เราทั้งหลาย ไม่จำเป็นต้องไปยืนอยู่ที่ไม้กางเขน เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว เราก็สามารถมีสิทธิรับอิสรภาพตรงนี้ได้ ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

ตอนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย และปรากฏพระองค์ต่อสาวก พระเยซูได้ตรัสถ้อยคำนี้ ในมัทธิว 28:18-20

มัทธิว 28:18-20 “18 พระเยซูทรงเข้ามาหาพวกเขา และตรัสว่า  “สิทธิอำนาจทั้งสิ้น ในสวรรค์ และในแผ่นดินโลก ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 ดังนั้น จงไปสร้างสาวก จากมวลประชาชาติ ให้เขารับบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ และแน่นอน เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปตราบจนสิ้นยุค”

 

นี่คือคำสุดท้าย ก่อนที่จะจากไป ก่อนที่จะไม่เห็นหน้าเห็นตา แต่จะมาในลักษณะติดต่อกันทางวิญญาณแล้ว แสดงว่าต้องพูดคำที่สำคัญมาก  ไปสร้างสาวก แปลว่าจงไปบอกคนนั้นให้มาเดินตามพระเยซู บอกคนนั้นให้มาเดินตามพระเจ้าตากสิน บอกคนนั้นให้มาเดินตามพระนเรศวร มหาราช ที่ประกาศอิสรภาพ เพราะถ้าเธอเดินตาม แปลว่าเธอได้รับชัยชนะเหมือนหัวหน้าด้วย แปลว่าแค่นี้เอง ทุกวันนี้ เราเป็นสาวกพระเยซู แปลว่าทุกวันนี้ เราเดินตามพระเยซู พระเยซูได้รับชัยชนะ เราก็ชนะด้วย

ในนี้บอก “ให้เขารับบัพติศมาในนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ” ทุกคนฟัง แบบศาสนามากเลย  ต้องไปที่โบสถ์รับบัพติศมา ทำมิชชา หรือจุ่มน้ำ ทำพิธีเยอะแยะเลย เป็นคริสเตียน   ไม่ต้องมาทำอะไรเลย ผมจะแปลให้ท่านฟัง ง่ายๆ คือให้เขารับบัพติศมาในนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ ก็คือให้เขาเข้ามาอยู่ในครอบครัวฝ่ายวิญญาณนี้ ให้เขาเข้ามาอยู่ในประเทศนี้  ให้เขาเข้ามาอยู่รวมกันกับเรา  คนไทยสมัยพระนเรศวร มหาราช อย่าบอกว่าเป็นคนป่าคนอื่น เดี๋ยวไม่ได้รับอิสรภาพ แค่นี้เอง ตั้งแต่วันที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์บอกมา 1988 ปีแล้ว จะบอกต่อไปอย่างนี้ ใครก็ตามที่เป็นมนุษย์ รู้เรื่องนี้ ข่าวดีนี้ ให้เข้ามา ตามหัวหน้าเรา คือพระเยซู ให้เข้ามารับบัพติศมา คือให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวของพระองค์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นอาณาจักรหนึ่ง เรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณตรงนี้

โลกฝ่ายวิญญาณ ถ้าท่านเข้าใจ ท่านจะโอ้! ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมอะไรต่างๆ มากมาย ง่ายๆ เหมือนกับชีวิตบนโลกใบนี้  อิสรภาพลักษณะเดียวกัน เพียงแต่เป็นฝ่ายวิญญาณเท่านั้น  สิทธิอำนาจทั้งสิ้น ทั้งในสวรรค์และในแผ่นดินโลก ได้ถูกมอบให้พระองค์แล้ว และเราก็ได้รับด้วย

นี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงตรัสเอง ตอนที่อยู่กับสาวก ซึ่งถ้อยคำเหล่านี้ ได้ถูกบอกไว้ล่วงหน้า เผยพระวจนะในไบเบิ้ลทั้งเล่ม ก่อนที่พระเยซูจะเกิดมาทำสิ่งเหล่านี้

ยกตัวอย่างหนังสือดาเนียล ก็เป็นหนังสือหนึ่ง ในจำนวนผู้เผยพระวจนะ หรือนิมิตที่บอกล่วงหน้า เรื่องเกี่ยวกับพระเยซู

ดาเนียล 2:44-45 “44 ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้ จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล 45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหิน ที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำให้แตกกระจาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้ เป็นความจริง และการตีความนี้ ก็เชื่อถือได้”

 

ที่บอกว่าจะมีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ แต่ด้วยมือของพระเจ้า หินนั้นกระแทกเท้าของรูปปั้นนั้นแตกกระจาย แหลกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือร่องรอย แต่หินที่กระแทกรูปปั้นนั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมา ปกคลุมโลก นี่พูดไว้ 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย วันอีสเตอร์แรก รูปปั้นนั้นหมายถึงบรรดาอาณาจักรใหญ่ๆ ทั้งหมดที่เราได้เรียนรู้กันมา ซึ่งจะล้มระเนระนาดไปหมด รวมทั้งอาณาจักรโรมันสุดท้ายและเชื้อสายของอาณาจักรโรมัน ที่กระจัดกระจายไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ด้วย ไม่มีอีกแล้ว ประเภทยักษ์ใหญ่ มีแต่เชื้อสายของโรมัน รวมไปถึงเขาเรียกว่าแอนตี้ไคร์ซหรือปฏิปักษ์พระคริสต์ที่เราได้เรียนรู้กัน ตัวสุดท้าย ตัวใหญ่ๆ จะโผล่ขึ้นมาในยุคสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาสถาปนาสวรรค์ บนโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง

หินก้อนนี้จะกลายเป็นอาณาจักรใหญ่ พระเยซูตรัสว่าบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเรา และความตายจะไม่มีชัยเหนือคริสตจักรของเราเลย คริสตจักร คือตัวท่านทั้งหลาย ที่เชื่อในพระเยซู พอเราเชื่อ รับข่าวประเสริฐของพระเยซู พระเยซูเป็นหัวหน้าเรา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ได้รับชัยชนะเหนือความตายแล้ว พอเราต้อนรับ ทันทีทันใด ตัวเราจะสะอาดบริสุทธิ์ เพราะพระองค์ทรงชำระบาปให้เราแล้ว พอชำระเราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว พระเจ้าก็มาสถิตอยู่กับเราได้ เมื่อพระเยซูหรือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเรา เราก็กลายเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่

พระคัมภีร์บันทึกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”

พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา เราก็เรียกตัวเราเองว่าโบสถ์ ภาษาเป็นทางการ Church เรียกว่าคริสตจักร

“บนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักร และความตายจะไม่มีอำนาจ ไม่มีชัยเหนือคริสตจักรได้เลย”

คริสตจักร คือใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในเขา เขากลายเป็นโบสถ์ เขากลายเป็นคริสตจักรของพระเจ้า สร้างอยู่บนศิลา คือสร้างอยู่ในความเข้มแข็งของพระเยซูคริสต์ มาเป็นประชากรของพระองค์ อยู่ในอาณาจักรของพระองค์นั่นเอง เอเมน

ตอนนี้ท่านรู้แล้วนะว่าท่านเป็นใคร? เราเป็นโบสถ์ แต่เป็นโบสถ์ก็ยังต้องมาโบสถ์ด้วยนะ โบสถ์ หมายถึงที่รวมคนของโบสถ์ โบสถ์หลายๆ โบสถ์มารวมกัน เรียกว่าโบสถ์โฮลี่ส์ เรียกว่าโบสถ์คน แต่ท่านอยู่บ้าน ท่านก็เป็นโบสถ์ เพราะฉะนั้น อยู่ 2 คน ก็เป็นโบสถ์ อยู่คนเดียวก็เป็นโบสถ์ แต่อยู่หลายๆ คนดีกว่า จะได้ไม่เหงา

อาณาจักรที่เราจะได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็เรียกว่าสวรรค์นั่นเอง ซึ่งเป็นที่สวยงาม มีแต่ความสุข สงบ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีเสียใจ ไม่มีความบาปอีกต่อไป ไม่มีรถชนกันตายอีกต่อไป  ไม่มีคนมาปล้นจี้อีกต่อไป  ไม่มีหนี้สินอีกต่อไป ไม่มีอะไรที่ท่านไม่อยากได้ ท่านจะมีความสุขตลอดกาล พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

อาณาจักรสวรรค์จึงเป็นความหวังใจของมนุษย์ทุกคน  ไม่มีเว้นแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะรู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จักพระเจ้าก็ตาม การทำงานของพระเยซูคริสต์ การไถ่ของพระเยซูคริสต์ การทำให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า ไม่ต้องชดใช้บาป  เราจึงเรียกทั้งหมดนี้ว่าข่าวประเสริฐ หรือข่าวดี

บอกมาตั้ง 1988 ปีมาแล้ว แล้วมีคนเชื่อในข่าวดีนี้เยอะแยะมากมายเลย  แต่ก็ต้องประกาศต่อไป

“มีข่าวดีมาถึงมนุษย์ทุกคน ข่าวดีมาแล้วววววว วันนี้ลดราคา 100%”

ไม่มีใครสนใจ  แปลกไหม? แต่ไม่เป็นไร พระเจ้าทรงกระทำการงานของพระองค์ ถ้าพระเจ้าทรงนำพาผมมาเชื่อในข่าวประเสริฐนี้ได้ ผมเชื่อว่านำพาทุกคนมาเชื่อได้แน่นอน ผมไกลจากข่าวประเสริฐเหลือเกิน ดูเหมือนใกล้นะ แต่มันไกลมากเลย เพราะผมไปศึกษาเรื่องอื่นเยอะแยะไปหมด พูดตรงๆ ไม่น้อยกว่าศึกษาเรื่องพระเจ้าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล จึงรู้สิ่งอื่นเยอะแยะไปหมด นี่คือเล่มสุดท้ายที่มาศึกษา เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ เรื่องเกี่ยวกับชีวิต เรื่องเกี่ยวกับความรอดของมนุษย์ เรื่องเกี่ยวกับบาปเวรกรรมอะไรต่างๆ ถ้าผมมาเชื่อได้ อย่างน้อยๆ หลายท่านก็คงมาเชื่อไม่ยาก เพราะลึกๆ แล้ว มนุษย์ทุกคน ในใจ หลังความตายอยากไปอยู่ในที่ที่ดีๆ ไม่อยากจะไปในที่ที่ไม่ดี เวลาคนเขาจะตาย เขาบอกว่าไปที่ชอบๆ  บางครั้งที่เราไม่ชอบ ก็ต้องไป เพราะเรานึกว่าเราชอบ

เขาบอกทุกคนรู้ว่าเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว เขาจำเป็นต้องไปทำอะไรบางอย่าง เขาไม่แน่ใจ สิ่งนั้น คือมนุษย์รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป ยังไงๆ วันหนึ่งก็ต้องรู้ วันนี้แข็งแกร่งอย่างไร? แว๊บหนึ่ง ก็ต้องรู้ว่าเราก็ไม่ใช่คนดี  เราจะต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะลบเอาความรู้สึกว่าเป็นคนบาปนั้นออกไปให้ได้ ด้วยวิธีต่างๆ ด้วยทุกอย่าง ด้วยทุกวิถีทางเลย วันนี้เราเอาเงินไปบริจาคการกุศลอะไรสักอย่าง พอบริจาคไป รู้สึกสบายใจ แว๊บเดียวเข้ามาอีกแล้ว เราก็ไม่ค่อยสบายใจอีกแล้ว บาปยังอยู่ ตอนให้ออกไป มันรู้สึกสบายใจ แต่มันไม่ได้อยู่ถาวรนิรันดร์ มันมีความรู้สึกต้องจ่ายอะไรบางอย่าง จ่ายไม่หมดสักที ไม่พอสักที นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจของมนุษย์ทั้งหลาย ผมคิดว่าอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐหรือข่าวดีของพระเจ้า จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนหวังอยากได้ข่าวประเสริฐ ข่าวดีตรงนี้ ให้ฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องเสียอะไรอีกแล้ว ถ้าใครเชื่อตรงนี้ มันก็จะเป็นกำลังใจให้กับเขาในการดำรงชีวิตนี้อยู่อย่างสันติสุข สงบ รู้แล้วว่าจะไปไหน? เหมือนขึ้นรถเมล์ แล้วรู้ว่าป้ายสุดท้ายมันคือที่ไหน? สบายใจ รถเมล์คันนี้จะผ่านที่มืด ผ่านที่เปล่าเปลี่ยว ผ่านที่มีโจรอยู่ข้างๆ ทาง ก็หลับน้ำลายยืด เพราะรู้ว่าเดี๋ยวมันก็ไปสุดท้ายที่บ้านของเรา แต่ใครก็ตามขึ้นรถเมล์ แล้วไม่รู้ว่ารถเมล์นั้น จะไปไหน? หลับไม่ลง คอยผุดลุกผุดนั่ง คอยมองหน้าตา ถึงไหนแล้ว คอยถามกระเป๋ารถเมล์จะลงป้ายไหน? เพราะไม่รู้จะไปไหน? แต่คนที่บ้านอยู่สุดป้ายรถเมล์ เป็นอู่รถเมล์ สบาย นอนหลับ เดี๋ยวพอถึงที่ กระเป๋ารถเมล์จะมาปลุกเราให้ตื่น ถึงบ้านแล้วครับ โอเคลง นี่แหละคริสเตียนจะเป็นอย่างนี้ นึกในใจเป็นอย่างนี้ นี่คือความผ่อนคลาย คือคลายกังวล

พูดให้ท่านฟังว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม นี่เป็นความจริงในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แล้วผมและหลายๆ คนในนี้ก็มีประสบการณ์อย่างนี้จริงๆ มันสบายจริงๆ เป็นข่าวดี เพราะไม่ต้องทำอะไรเลย

ท่านบอกว่ามันอาจจะเป็นข่าวดี สำหรับบางคน แต่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับฉัน ฉันทำไม่ไหว ฉันได้แค่นี้เอง ข่าวดีสำหรับคนที่ไม่พูดปดเลย  ไม่ไหว ฉันปดตลอดเวลา

ข่าวดีนี้มีเฉพาะสำหรับห้ามไม่ให้กินเหล้าเด็ดขาด ฉันพยายามไปสวรรค์ มากินอีกแล้ว ตกนรกอีกแล้ว มันก็ไม่ใช่ข่าวดีอีก ถูกไหม?  พูดแล้วยังมีอีกเยอะแยะ ท่านคิดในใจสิ มันอาจจะเป็นข่าวดี สำหรับคนที่ทำได้ แต่สำหรับฉัน มันไม่ใช่ข่าวดีเลย ไม่ไหว ฉันทำไม่ได้ ถ้าข่าวดีนี้มีคำว่าแต่ หรือแม้แต่ หรือต้องไม่ ท่านแย่เลย

ยกตัวอย่างข่าวดีนี้  ท่านจะได้ไปสวรรค์ ท่านจะได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์ ท่านต้องไม่สูบบุหรี่ สำหรับคนที่สูบบุหรี่ ฉันตายแน่ๆ ท่านรู้ไหมคนติดบุหรี่ เลิกยาก หรือยาเสพติดเลิกยาก

ข่าวดีนี้สำหรับคนที่จะไปสวรรค์ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์นี้ เขาจะต้องไม่โกหกเลยแม้แต่นิดเดียว เราแย่เหลือเกิน วันนั้นเขาถามฉันว่ากินข้าวหรือยัง? ตอบว่าอิ่มแล้วค่ะ จริงๆ หิว เกรงใจเขา ไม่กล้าพูด เป็นอย่างไร สบายดีไหม? สบายดี ทั้งที่ไม่สบาย ปวดท้องอยู่ ไม่กล้าพูด

มันไม่ใช่ข่าวดีใช่ไหม? ข่าวดีควรจะเป็นอิสระ พร้อมเสมอ 100% ไม่มีข้อแม้ เพราะฉะนั้น  พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าข่าวดี เพราะบันทึกไว้ว่าได้รับโดยความเชื่อเท่านั้น เชื่อว่าตรงนี้เป็นจริง เชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับฉัน พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ยืนยันว่าพระองค์ทรงกระทำจริงๆ ฉันรับเอา ฉันเชื่อ ได้เลย ทำไมมันง่ายอย่างนี้ พระคัมภีร์บอก By grace we are save. ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของมาติน ลูเธอร์ ที่บอกไว้ ที่มีการปฏิรูปเรื่องพระเยซูคริสต์ เมื่อประมาณ 500 ปีที่แล้ว เดือนนี้เป็นเดือนที่เขาครบรอบ 500 ปีของคริสตจักรสไตล์โปรเตสแตนส์

By grace แปลว่าด้วยพระคุณ … พระคุณ แปลว่าเอาไปฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ทั้งที่ไม่สมควรได้ บางคนเอาไปฟรีๆ เขาทำดี แต่นี่ไม่ใช่ โจรบนไม้กางเขน ก็เอาไปฟรีๆ สมควรได้รับไหม? ไม่สมควร แต่เป็น grace เป็นพระคุณ  แล้วมีใครที่ไม่สมควรได้รับตรงนี้ ที่บอกตัวเองชั่วมาก เลวมาก ไม่มี เพราะในนี้บอกท่านเชื่อ ท่านก็ได้ นี่คือเคล็ดลับแค่นี้เอง อย่าคิดอะไรมากมาย พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างไร? เชื่อตามนั้น แค่นี้เอง พระองค์บอกว่าด้วยพระคุณ ไม่ต้องไปคิดว่าเขาว่าทำอันโน้นไม่ได้ อันนี้ไม่ได้ เขาว่ากินเลือดไม่ได้ กินอาหารไหว้รูปเคารพไม่ได้  เขาว่าลอยกระทงไปไม่ได้ ไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวาย ต้องเรียนรู้อีกตั้งเยอะ กลับมาอยู่ที่เดิม ก็เป็นทาสอยู่เหมือนเดิม ในนี้บอกว่าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านได้รับความรอดแล้ว จบ

เมื่อ 1988 ปีมาแล้ว จบแล้ว ใครจะพูดอะไร ก็ไม่ต้องมาศึกษา วุ่นวายกันใหญ่ กินอันนั้นได้ไหม? อยากทำ ก็เชิญ ตราบใดที่ท่านยังเชื่อเรื่องนี้อยู่ เอเมน มันง่ายอย่างนี้ ประกาศยาก คนก็ไม่มาเชื่อ ทำไม่ไหว เหนื่อย พระเยซูคริสต์จึงบอกน่าจะเอาคนประกาศไปถ่วงน้ำ ไปทำเรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องหนักขึ้น  มาเชื่อพระเจ้าต้องลงน้ำบัพติศมา ถามว่าถ้าท่านพาเพื่อนมาเชื่อพระเจ้า ต้องมาบัพติศมาในน้ำไหม? ไม่ต้อง แต่ทำก็ดี เป็นพระพร ท่านต้องมาโบสถ์ไหม? มาประจำไหม? ไม่ต้อง แต่มาดีแล้ว  ต้องมาโบสถ์ถึงจะได้รับความรอดใช่ไหม?  ไม่ต้อง แต่มาดีไหม? ดี ท่านพอเห็นภาพไหม? ง่ายๆ แต่เราทำให้มันยาก ทุกวันนี้พระเยซูปวดหัว เพราะเราทั้งหลาย เอาไปทำให้มันยากเย็น จนคนแบกรับไม่ไหว

สมัยหนึ่ง พระเยซูตอนเดินอยู่บนโลกนี้ เรียกคนเหล่านี้ว่าฟาริสี พวกฟาริสีชอบทำอย่างนี้ เอาภาระไปให้คน จะไปสวรรค์ทีหนึ่ง แบกจนไปไม่ได้ กลับมาที่เดิม กลับมาเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเยซูว่าพระองค์กระทำนั่นเอง เท่ากับท่านไม่เชื่อ แม้จะบอกว่าท่านเป็นคริสเตียน แต่จริงๆ ท่านก็ไม่เชื่อ ที่ไม่เชื่อ เพราะสิ่งที่ท่านทำ สิ่งที่ท่านพูด ถ้าท่านบอกต้องเมื่อไร? ท่านจบ ส่วนบอกไม่ต้อง แล้วท่านจะไปคิดอย่างนี้ไม่ถูก ทำไม่ถูกอย่างนั้น ฉันไม่รู้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกเอาไว้ ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ถึงความรอดผ่านทางความเชื่อ ในพระบุตรของพระเจ้าเท่านั้น โดยพระคุณ ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้รับความรอด เอเมน

นี่แหละ คือความหวังใจ ที่เรามาฉลองอีสเตอร์ หรือทุกๆ ปี ก็คือการมาฉลองความหวังใจว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับการครอบครองอาณาจักรสวรรค์นี้ อย่างเป็นรูปเป็นร่าง ชัดเจน จริงๆ ทุกวันนี้ก็ครอบครองแล้ว ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในวิญญาณ  เพราะสิ่งเหล่านี้ ได้มีการบอกล่วงหน้า เป็นพันๆ ปีมาแล้ว บันทึกไว้เป็นหลักฐาน ตั้งแต่หน้าแรกเลย แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ได้เกิดขึ้น ตามที่พระเจ้าได้บอกไว้ทั้งหมด ทั้งเล่มนี้เลย เปิดมาตรงไหน? เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ มาไถ่มนุษย์ทั้งนั้น  เพราะฉะนั้น ความหวังสุดท้าย ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมา และเราจะได้ครอบครองอาณาจักรสวรรค์นี้ ร่วมกับพระเยซูนิรันดร์นั้น ก็ต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน เอเมน พระคัมภีร์มีบันทึกไว้หลายแห่ง กิจการ 1:8-11

กิจการ 1:8-11 “8 ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์อำนาจเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือพวกท่าน และพวกท่านจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม และทั่วแคว้นยูเดียกับสะมาเรียจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก” 9 หลังจากตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา และมีเมฆมาปกคลุมพระองค์ จนพวกเขามองไม่เห็นพระองค์ 10 พวกเขากำลังแหงนหน้าเขม้นดูฟ้า ขณะที่พระองค์เสด็จไป ทันใดนั้นมีชายสองคนสวมชุดขาวมายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา 11 และกล่าวว่า “ชนชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุใดพวกท่านจึงยืนมองท้องฟ้าอยู่ที่นี่ พระเยซูองค์นี้ ซึ่งถูกรับไปจากพวกท่าน เข้าสู่สวรรค์นั้น จะเสด็จกลับมาอีกในแบบเดียวกันกับที่พวกท่าน เห็นพระองค์เสด็จเข้าสู่สวรรค์”

 

ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เมื่อวันอาทิตย์แรก 1,988 ปี แล้วพระองค์ก็เป็นขึ้นจากความตาย แล้วก็มาประกาศข่าวดีอีกครั้งหนึ่ง ในภาพที่เห็นเป็นมนุษย์ เป็นรูปร่างจับต้องมองเห็นได้เลย เห็นรูที่ถูกแทง ที่ถูกตอก กินข้าว กินปลาได้เลย 40 วัน แล้วก็เกิดสิ่งที่อ่านไปเมื่อสักครู่ 40 วัน พระองค์จัดการเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์

ตอนที่พระเยซูลอยขึ้นไปสู่สวรรค์ เขียนคำว่า “ลอย” พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ แล้วก็เห็นต่อหน้าต่อตา เป็นรูปภาพ จับต้องมองเห็นได้ พระเยซูลอยขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ สาวกก็เลยเชื่อแล้วว่าเป็นพระเจ้าจริงๆ เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ เดินอยู่กับพระองค์ คุยกับพระองค์ 40 วัน เห็นพระองค์ลอยขึ้นไป ตกใจ แล้วทูตสวรรค์จึงจำเป็นต้องมาบอก จะเหม่ออะไรเล่า มาสะกิด เป็นอะไร? เหม่อทำไม? พระเยซูผู้นี้ลอยขึ้นไปสวรรค์แล้ว และพระองค์จะกลับมาใหม่ พร้อมกับหมู่เมฆเหมือนเดิม ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ก่อนหน้านี้แล้ว

ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่ฝากไว้ วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่ ตามที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ มาสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ ในโลกนี้ คือสวรรค์นิรันดร์กาล และเราจะครอบครองร่วมกับพระเยซู ทั้งหลายทั้งปวงที่เรา มาร่วมกันฉลองเทศกาลอีสเตอร์ ก็คือความหวังใจตรงนี้แหละ และถามว่าจะมาเมื่อไร? เมื่อไรจะสถาปนาให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ก็เมื่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงเลือกสรรเอาไว้นั้น ที่จะมาครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนั้น รวมทั้งเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ วันที่คนสุดท้ายมาเชื่อ ก็วันนั้นแหละ มัทธิว 24:30-31 บันทึกไว้ตรงนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดขึ้น พระเยซูตรัสเองเลยนะ

มัทธิว 24:30-31 “30 “เมื่อนั้นหมายสำคัญของบุตรมนุษย์ จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้าและมวลประชาชาติแห่งพื้นพิภพจะร้องไห้คร่ำครวญ พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนหมู่เมฆในท้องฟ้าด้วยเดชานุภาพและพระเกียรติสิริอันยิ่งใหญ่ 31 พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาพร้อมกับเสียงแตรดังสนั่น ทูตสวรรค์นั้น จะรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้ จากทั้งสี่ทิศ จากสุดขอบฟ้าข้างหนึ่งจดขอบฟ้าอีกข้างหนึ่ง”

 

นี่พระเยซูตรัสเอง “พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์” ก็คือเห็นพระเยซูคริสต์ ทำไมต้องเรียกว่าบุตรมนุษย์ เพราะเป็นหัวหน้าเรา  เป็นหัวหน้ามนุษย์ เป็นผู้มีชัยชนะ เราเป็นมนุษย์  เราจึงได้รับอย่างนั้นด้วย   พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนหมู่เมฆ  ด้วยเดชานุภาพ และเกียรติอันยิ่งใหญ่ และมวลประชาชาติแห่งพื้นพิภพจะร้องไห้คร่ำครวญ มันมีร้องไห้คร่ำครวญอยู่ 2 พวก พวกหนึ่งที่ร้องไห้คร่ำครวญด้วยความดีใจ สิ่งที่เรารอคอยกันมาตลอด มันจบสักที แต่ยังมีอีกพวกหนึ่งที่ร้องไห้คร่ำครวญว่ามันเป็นจริงตามที่ได้เคยได้ยินมา แล้วฉันปฏิเสธ ฉันต่อต้าน ฉันไม่ได้รับ ไม่รู้เหตุผล ทำไมฉันไม่รับมัน แต่มันสายไปเสียแล้ว มันหมดโปรโมชั่น  ปีแห่งความโปรดปรานที่พระเยซูมาประกาศนั้น  มันสิ้นสุดลง เมื่อพระเยซูกลับมาใหม่ จบ ที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ และจบเมื่อชีวิตของคนๆ นั้น เกิดอุบัติเหตุ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ตายไปก่อน ไม่ได้ต้อนรับพระเยซู ก็ไม่ได้ต้อนรับอีกแล้ว โปรโมชั่นนี้  หมดอายุ หมดเขต ด้วยเหตุ 2 ประการนี้เท่านั้น ในวิวรณ์ได้บันทึกไว้อย่างนี้ วิวรณ์ 1:7-8

วิวรณ์ 1:7-8 “7 ดูเถิด พระองค์กำลังเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และทุกนัยน์ตาจะเห็นพระองค์ แม้กระทั่งคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์ และประชาชาติทั้งมวลทั่วโลกจะเศร้าโศกเนื่องด้วยพระองค์ แล้วจะเป็นไปเช่นนั้น! อาเมน 8 พระเจ้าผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราเป็นอัลฟาและโอเมกา ผู้ดำรงอยู่ในปัจจุบันและดำรงอยู่ในอดีตและจะเสด็จมา เราคือองค์ทรงฤทธิ์”

 

ดูเถิด พระองค์กำลังเสด็จมา หมายถึงพระเยซูกลับมาพร้อมกับหมู่เมฆ และทุกนัยน์ตาจะเห็นพระองค์ แม้กระทั่งคนเหล่านั้น  ที่ได้แทงพระองค์ ทหารโรมันที่เฝ้าอยู่นั่น เมื่อวันศุกร์ ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ ทหารคนหนึ่งบอกว่าไปทุบขาพระเยซูซะ เพราะเขาต้องเก็บ วันพรุ่งนี้จะมีงาน ก็ไปทุบขาโจร 2 คน ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน ร่วมกับพระเยซู เพราะยังไม่ตาย แต่พอมาถึงพระเยซู อ้าว! พระเยซูตายแล้ว ไม่ต้องทุบขาก็แล้วกัน พระคัมภีร์บอกแล้วว่าขาพระองค์จะไม่ถูกทุบ ไปดู ก็ตะโกนบอกว่า …

“ตายแล้ว ไม่ต้องทุบหรอก”

อีกคนหนึ่งก็บอกว่า “เอาให้มั่นใจ เดี๋ยวโดนเจ้านายเล่นงาน”

ดังนั้น ทดลองดู โดยการแทงที่สีข้าง จะได้รู้แน่ๆ ว่าตายจริงๆ ก็เอาหอกสูงๆ แทงที่สีข้างพระเยซู

ในนี้บอกว่าแม้กระทั่งคนเหล่านั้น ที่ได้แทงพระองค์ ที่ได้ตรึงพระองค์ คนเหล่านั้น นี่พระเยซูพูด จากคนที่แทงพระองค์ คนที่ตอกตรึงพระองค์ นี่ผ่านมา 1,988 ปีมาแล้ว พระเยซูยังไม่กลับมาใหม่เลย แต่ในนี้บอกว่าพระองค์จะกลับมาใหม่ สมมติว่าวันพรุ่งนี้ ปีหน้า คนที่แทงพระองค์เหล่านั้น จะเห็น ก็หมายถึงคนที่แทงพระองค์ ตอนนี้ที่ตายไปแล้ว มีอายุ 1,900 กว่าปีแล้ว แสดงว่าเขายังอยู่ เขาเป็นวิญญาณที่ยังรออยู่ วันหนึ่งเขาจะเห็นพระเยซูคริสต์ที่เขาแทงนั่นแหละ กลับมา นี่พระคัมภีร์พูดอย่างนั้น ถ้าพูดสิ่งอื่นถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ก็ถูกต้องด้วยเช่นเดียวกัน แล้วมันน่ากลัวไหมล่ะ คนแทงพระเยซูคนนั้น เขาก็จะเห็น

ใครที่ต่อต้านพระเยซู วันนั้นเขาจะเห็น ใครที่บอกว่าพระเยซูไม่เป็นจริง ไม่ใช่จริง หรือหัวเราะเยาะพระเยซู วันนั้น เขาจะเห็น ใครที่ข่มเหงพระเยซู ก็คือข่มเหงน้องๆ หรือพี่น้องของพระเยซู คือคริสเตียนทั้งหลาย วันที่พระเยซูคริสต์กลับมา เขาจะเห็น และเขาจะโศกเศร้า คร่ำครวญอย่างมาก

“ฉันไม่น่าเลย”

ใครที่ข่มเหงท่าน เนื่องจากข่าวประเสริฐของพระเยซู เขาจะได้เห็น ใครที่บอกว่า …

“ไม่จริงๆ ฉันไม่เชื่อหรอก”

วันหนึ่งเขาจะได้เห็น ไม่ใช่วันหนึ่ง หมายถึงอยู่บนโลกใบนี้ และตาย แล้วจะได้เห็นไม่ใช่ หมายถึงวิญญาณต่อไป เขาก็จะเห็น เพราะเขาไม่ได้ตายจริง วิญญาณยังอยู่ เพียงแต่วิญญาณออกจากร่างกายไปเท่านั้น  ร่างกายเขาฝังไป  แต่วิญญาณตัวจริงๆ ของเรา ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เป็นวิญญาณส่วนหนึ่งที่พระเจ้าให้เรามานั้น จะอยู่ตลอดไป แต่อยู่ที่ไหน? อย่างไร? นั่นคือความน่ากลัวของข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้ และอีกแง่มุมหนึ่ง เราเชื่อและวางใจ เรามีความหวัง เพราะพระเยซูคริสต์ที่เราเชื่อนั้น พระองค์ได้ทรงตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่ตายไปเฉยๆ แต่วันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ เรารู้อยู่ในหัวใจเราจริงๆว่าตอนนี้ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และสถิตอยู่ในหัวใจของเรา เพราะพระองค์สถิตอยู่ตามที่พระองค์บอกจริงๆ ท่านรู้ บางครั้งกำลังหงุดหงิด อาจจะไม่รู้ แต่พอหายหงุดหงิด มันรู้ ไม่รู้จะบอกคนที่ไม่รู้อย่างไร? บอกเปิดหัวใจท่าน ต้อนรับพระเยซู ท่านจะรู้ เหมือนที่ฉันรู้ มันต้องใช้ประสบการณ์ มันไม่สามารถที่มาเรียนกันได้ อธิบายอย่างไร? ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ จนกว่าท่านจะไปชิมด้วยตัวเอง

นี่คือความหวังใจทั้งหมดของข่าวดีหรือข่าวประเสริฐ ที่เรามาย้ำยืนยันในหัวใจของข่าวประเสริฐนี้ว่าพระองค์ทรงอยู่จริงๆ และสวรรค์สถานที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรานั่น มีจริงๆ และเราจะร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล นี่ก็เป็นจริงด้วยแน่นอน เอเมน

ไม่ว่าพระองค์จะกลับมาใหม่ หรือเราจะกลับไปหาพระองค์ คือตาย ก็ตาม ทุกอย่างก็เป็นไปตามนี้ คือเราจะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ เอเมน ท่านอยากได้อย่างไหนมากกว่า เราอาจจะอยากให้พระเยซูมาพรุ่งนี้เลย แล้วคนอื่นๆ ที่เรารู้จักเขายังไม่เชื่อเลย ก็ต้องยอมทนหน่อย อาจจะมีชีวิตที่ลำบากบ้าง? อะไรบ้าง? พระเจ้ากำลังใช้เราอยู่ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งที่มาเชื่อพระเยซู แล้วพระเยซูสถิตอยู่ในเขาแล้ว จะอยู่บนโลกด้วยความทุกข์ยากลำบาก โดยไม่มีเหตุผล แล้วไม่มีแม้แต่คนเดียวเลย ที่พระเจ้าไม่ใช้ ถ้าไม่ใช้ท่าน พระองค์ก็เอาท่านกลับไปอยู่กับพระองค์แล้ว ไปพักผ่อน แต่ถ้ายังใช้ท่านอยู่ ท่านก็ต้องอยู่บนโลกใบนี้ บางครั้งใช้เรา ในสิ่งที่เราต้องทุกข์ทรมาน ท่านรู้ไหมว่าคนป่วยที่อยู่ ICU ทุกข์ทรมาน แต่พระเจ้าทรงใช้เขาอยู่ อะไรบางอย่าง เราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ แต่พระองค์มีแผนการที่เกินกว่าที่เราจะคิด และ ณ เวลานั้น เมื่อพระเจ้าใช้เราอย่างนั้น ในพระคัมภีร์บอก เราจะทนได้ แปลว่าไปสบายๆ  ไม่ใช่ ไม่สบายหรอก แต่ว่าทนได้ คือมันทุกข์ มันทรมาน แต่มันผ่านได้ พอเข้าใจ ไม่ใช่เดินแบบสบายๆ แต่เดินบนหนาม บนอะไร แล้วในที่สุด ตายตรงหนามเลยไหม? ไม่ตายตรงหนาม ต้องผ่านไปได้ เลือดสาดเหมือนกัน ถ้าพระเจ้าจะใช้แบบนั้น ก็แบบนั้น ทุกคนมีค่าเท่ากันหมด คือถูกใช้เท่ากันหมด

การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ การทรงอยู่ของพระเยซูคริสต์ จึงเป็นความมั่นใจในการดำเนินชีวิตของพวกเราทั้งหลาย ผู้ที่อยู่ในพระองค์ โดยแบบ By grace we are save. คือโดยพระคุณ เราได้รับความรอด ด้วยความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้น อย่าไปคอยสังเกตตรงโน้น ตรงนี้  การกระทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น นิ่ง แล้วดูถ้อยคำพระเจ้า นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ คือโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซู เราได้รับความรอดตรงนี้ เอเมน จำตรงไหนไม่ได้ จำแค่นี้ไว้ ท่านจำคำสรรเสริญพระเยซูไม่ได้ ยังดีกว่าจำตรงนี้ไม่ได้ ท่านจำคำว่า “ฮาเลลูยา”ไม่ได้ ยังไม่เป็นไรเลย  ท่านอย่าลืมตรงนี้ แล้วกัน ลมหายใจสุดท้ายท่าน

“By grace we are save. ด้วยพระคุณ ด้วยความเชื่อ ฉันได้รับความรอด”

พอถึงพระคุณปุ๊บ ในสมองท่านจะกระจาย แปลออกมาเต็มๆ เลย  ด้วยความเชื่อปุ๊บ ในสมองท่านเต็มๆ เลย ท่านได้รับความรอดปุ๊บ ท่านเห็นภาพเต็มๆ เลยวันนี้ที่เราได้เรียนรู้กัน

“สวรรค์เป็นของฉัน อันนั้นก็เป็นของฉัน อันนี้ก็เป็นของฉัน”

วันอีสเตอร์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? นี่แหละทำให้ท่านชื่นชมยินดีอย่างมากมายในทุกๆ อีสเตอร์ เพราะตรงนี้ สบายใจไหม? ฟังอย่างนี้สบายใจไหม? นี่แหละคืออิสรภาพ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอน 15 “นิมิตของดาเนียลเกี่ยวกับแกะและแพะ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  เมษายน  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า”

ตอน 15 “นิมิตของดาเนียลเกี่ยวกับแกะและแพะ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” วันนี้เป็นตอนที่ 15 ยังอยู่ในเรื่องราวของดาเนียล จุดมุ่งหมายที่เรามาเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือดาเนียลอย่างละเอียด ก็เพื่อย้ำยืนยันมั่นใจว่าพระเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่ง และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์เป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ นี่คือหัวใจในการเรียนรู้ จากหนังสือของดาเนียล

ยังจำเรื่องราวของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ไหม? เป็นกษัตริย์ที่เหี้ยมโหด  สร้างปฏิมากรทองคำ แล้วก็ฮึกเหิมว่าตัวเองยิ่งใหญ่ บังคับให้ผู้คนกราบไหว้ ลบหลู่พระเจ้าอีกต่างหาก ขึ้นไปยืนบนดาดฟ้าพระราชวัง ซึ่งเป็นสวนที่ตัวเองคิดว่าสวยงามที่สุดในโลก แล้วก็ผยอง พูดว่าตัวเองเป็นคนที่สร้างอาณาจักรของตัวเองยิ่งใหญ่อย่างนี้ สวนก็สวยงามอย่างนี้  ประกาศความเหิมเกริม เทียบพระเจ้า เพื่อให้เกียรติตัวเอง ไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระเจ้าก็เลยสั่งสอน ทำให้ต้องไปใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ในป่า จนครบวาระตามที่พระเจ้ากำหนด วาระ เราก็ไม่รู้นานเท่าไร? แต่จนครบวาระที่พระเจ้าวางไว้ ครบกำหนดปุ๊บ สุดท้ายเลยต้องยอมจำนน และเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงควบคุมทุกอย่าง และพระเจ้าก็ดลใจให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เขียนสิ่งที่เขาได้ บันทึกว่าพระเจ้าคือใคร? เขียนโดยคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า คนที่กราบไหว้พระอื่น  แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าใครใหญ่สูงสุด เขียนเพื่อคนทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้อ่าน รวมทั้งเราทั้งหลายที่อยู่ในนี้ ในดาเนียล 4:34-35 สังเกตความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ดาเนียล 4:34-35 “34 เนบูคัดเนสซาร์แหงนหน้าขึ้นมองดูฟ้าสวรรค์ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา เราจึงถวายสรรเสริญองค์ผู้สูงสุด เราเทิดพระเกียรติและถวายพระเกียรติสิริ แด่พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ราชอาณาจักรของพระองค์ ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ 35 มวลประชาชาติในโลกนี้ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจ ที่จะทำต่อเหล่าทูตสวรรค์ และต่อมวลประชาชาติ ตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่า “พระองค์ทำอะไรนี่?”

 

นี่คือความยิ่งใหญ่ คิดดูสิว่าคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าจากอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำให้เขาเห็นเลยกับตาว่าเป็นอย่างนี้ แล้วให้เขามีประสบการณ์เลย บันทึกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อให้คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าได้ยินได้ฟังว่าพระองค์คือใคร?

สำหรับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ท่านลองคิดดู ฟังตรงนี้ แล้วคิดอย่างไร? เราเรียนรู้จากหนังสือดาเนียลไป 14 ตอนแล้ว ทุกตอนก็ย้ำกันอยู่อย่างนี้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุม ครอบครองทุกสิ่ง ทรงเป็นผู้กำกับใหญ่ของโรงละคร คือโลกใบนี้นั่นเอง เพราะฉะนั้น จงนิ่งเสียและรู้เถิดว่าพระองค์เป็นพระเจ้า วันนี้เป็นตอนที่ 15 จะมีชื่อตอนว่า “นิมิตของดาเนียลเกี่ยวกับแกะและแพะ” อยู่ในหนังสือดาเนียล 8:1 ว่า …

ดาเนียล 8:1 “ในปีที่สามแห่งรัชกาลเบลชัสซาร์ ข้าพเจ้าดาเนียล เห็นนิมิตอีกครั้งหนึ่ง …”

 

“เห็นนิมิตอีกครั้งหนึ่ง” เบลชัสซาร์ คือกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรบาบิโลน ก่อนที่จะถูกโค่นล้มโดยเปอร์เซีย ซึ่งคืนก่อนที่จะถูกโค่นล้ม ก็คือพระเจ้าส่งอักษรประหลาดบนผนัง แล้วก็ให้ดาเนียลมาอ่าน

ในบทที่ 7 ที่เราเรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว เรื่องสัตว์ประหลาดทั้ง 4 ตัว เป็นความฝันแรกของดาเนียล ในสมัยรัชกาลเบลชัสซาร์ ซึ่งผ่านมา 3 ปี ดาเนียลก็ฝันอีก คราวนี้ฝันเห็นแกะกับแพะ แต่ความหมายยังวนเวียนอยู่เกี่ยวกับเรื่องของอาณาจักรต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

ผมเล่าให้ฟังย้อนนิดหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มต้นที่ดาเนียลทำนายฝันให้เนบูคัดเนสซาร์ เรื่องรูปปั้น หรือปฏิมากรขนาดใหญ่ …

ที่มีศีรษะทำด้วยทองคำ คืออาณาจักรบาบิโลน

หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน คือมีเดียเปอร์เซีย

ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ คืออาณาจักรกรีก

ขาทำด้วยเหล็ก คืออาณาจักรโรมัน นี่คือ 4 อาณาจักรเด่นๆ ชัดๆ

และในบทที่ 7 ที่ดาเนียลฝันเห็น ที่เราเรียนไปสัปดาห์ที่แล้ว ดาเนียลฝันเห็นสัตว์รูปร่างหน้าตาประหลาด 4 ตัว ก็เกี่ยวพันกับรูปปั้นนี้

สัตว์ตัวแรกที่เห็น ก็คือสิงโตมีปีกเหมือนนกอินทรีย์ ก็คือส่วนศีรษะของรูปปั้นปฏิมากรนี้ คือบาบิโลน

ตัวที่สอง คือหมีคาบซี่โครง 3 ซี่ เทียบได้กับหน้าอกและแขนของรูปปั้นนี้ ก็คือมีเดียเปอร์เซีย ที่จะมาโค่นล้มบาบิโลน

ตัวที่สาม คือเสือดาว มีสี่หัว สี่ปีก เทียบกับส่วนท้องและต้นขาของรูปปั้น ก็คืออาณาจักรกรีก ที่จะมาโค่นล้มเปอร์เซีย

ตัวสุดท้าย เป็นสัตว์ประหลาด น่ากลัว มีเขาสิบเขา ก็คือส่วนขาของรูปปั้น ที่ทำด้วยเหล็ก ที่เล็งถึงอาณาจักรโรมันนั่นเอง

ทั้งหมดนี้ เป็นการบอกอนาคตล่วงหน้า ตั้งแต่ 600 ปีก่อน ค.ศ. ก่อนพระเยซูจะมาเกิด พูดง่ายๆ จนถึงบัดนี้ นับมาก็คือ 2,600 ปีมาแล้ว บอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเกิดอย่างนี้ มันเกี่ยวพันมาถึงเรา และอนาคตต่อไป พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ อยู่ในยุคของลูกหลานของโรมัน จากโรมันจะไม่มี ใหญ่ขนาดนี้อีกแล้ว และไม่มีจริงๆ อาณาจักรสุดท้าย ก็คือโรมัน และจากโรมันก็กลายขยาย เป็นอาณาจักรต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้กันบ้างในบทก่อนๆ ว่าโรมันก็แผ่ขยายอาณาเขตไปจนกระทั่งตัวเองเล็กลง  แต่ว่าลูกหลานที่เคยเป็นเมืองขึ้นต่างๆ ก็กลายเป็นเมืองใหญ่ๆ โตๆ ในยุโรป แล้วก็อพยพจากยุโรปไปอยู่ทวีปอื่น อย่างนี้เป็นต้น

มาถึงดาเนียล บทที่ 8 ที่เรากำลังจะเรียนรู้ในวันนี้ ดาเนียลฝันเหมือนกัน แต่ฝันสัตว์เหลือแค่ 2 ตัว คือแกะกับแพะ แกะ หมายถึงอาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย และแพะ หมายถึงอาณาจักรกรีก เรื่องราวในบทที่ 8 นี่จะเกี่ยวกับ 2 อาณาจักรนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะเรียนรู้ในวันนี้ ก็คืออนาคตไม่ยาวไกลนักของโลกใบนี้ จากตอนที่ได้รับนิมิตหรือความฝันนี้ ก็อยู่ในช่วงท้ายๆ ของบาบิโลน อีกไม่นาน ก็จะมีเปอร์เซียเข้ามา อีกไม่นานจากแกะก็จะมีแพะเข้ามา แพะคือกรีก และจุดจบของกรีกจบอย่างไร? แค่นั้นเอง และเดี๋ยวเรามาดูว่าเรื่องราวในนี้ ดาเนียลเห็นล่วงหน้า พระเจ้าบอกมันคืออะไร? แล้วมันตรงไหม?

นิมิตของดาเนียลที่บันทึกไว้ในบทที่ 8 นี้ จะเป็นการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า อย่างที่ผมบอกเกี่ยวกับเฉพาะมีเดียเปอร์เซียและกรีกเท่านั้น ซึ่งอีก 200 ปีข้างหน้า หลังจากที่ดาเนียลได้รับนิมิตนี้  สิ่งนี้จะเกิดขึ้น

ตอนดาเนียลฝัน เป็นการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต ในสมัยที่เขาอยู่ในยุคสุดท้ายของบาบิโลน ซึ่งบาบิโลนในตอนนั้นกำลังเรืองอำนาจสุดๆ ไม่มีใครคิดว่าบาบิโลนอาณาจักรใหญ่ยักษ์มหาศาล จะล่มสลายได้ ไม่มีใครคิดเลย  เป็นไปไม่ได้เลย

ตอนที่ดาเนียลฝัน เหตุการณ์นี้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต มันตรงกันกับคำเผยพระวจนะ (แปลว่าบอกล่วงหน้า) ในหนังสืออิสยาห์ เกี่ยวกับเรื่องของเปอร์เซีย ซึ่งใช้ชื่อว่ากษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย  ที่จะเข้ามาครอบครองอาณาจักรบาบิโลน ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง ประมาณ 100 กว่า 200 ปีประมาณนั้น อิสยาห์ 45:1-3

อิสยาห์ 45:1-3 “1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงไซรัสผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ ผู้ซึ่งทรงยึดไว้ด้วยพระหัตถ์ขวา ให้พิชิตชนชาติต่างๆ ตรงหน้า และทำลายแสนยานุภาพของเหล่ากษัตริย์ เป็นผู้เปิดประตูซึ่งอยู่ตรงหน้า เพื่อไม่ให้มีประตูใดถูกปิดไว้ 2 เราจะนำหน้าเจ้าไป และปราบภูเขาทั้งหลายให้ราบ เราจะทลายประตูทองสัมฤทธิ์ และตัดลูกกรงเหล็ก 3 เราจะยกสมบัติที่ซ่อนไว้ในความมืด ขุมทรัพย์ในที่เร้นลับให้แก่เจ้า เพื่อเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้เรียกเจ้ามา ตามชื่อของเจ้า”

 

ลองคิดดูนะ พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงไซรัส ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ ตอนที่พูดไว้ไซรัสยังไม่เกิดเลย แต่พระเจ้าบอกจะมีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อไซรัส คนนี้เราเลือกเอาไว้ ความฝันของดาเนียล เป็นการทำนายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต สำหรับเราแล้ว ไม่ตื่นเต้นเท่าไร? เพราะไม่ใช่อนาคตของเรา  แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่เราไปอ่าน แต่สำหรับคนสมัยนั้น ตื่นเต้นไหมเวลามันเกิด ไปเปิดดูพระเจ้าบอกล่วงหน้า 200 ปีแล้ว พระเจ้าบอกล่วงหน้ามา 600 ปีแล้วว่าจะเป็นอย่างนั้น พระเจ้าบอกล่วงหน้ามา 4 ปีแล้วว่าจะเป็นอย่างนั้น จะตื่นเต้นตรงนี้แหละ และเป็นการทำอะไรไว้ ทำให้คนมีความรู้สึกว่าเมื่อเขาเชื่อพระเจ้า ทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ มันใช่เลย ซึ่งเราเรียกกันว่าใช่เลย ตรงนี้ เราใช้คำว่าอะไร?  มันเป๊ะๆ จริงๆ เลย  แม้กระทั่งชื่อยังใส่ลงไปไซรัส ผู้ที่เราเจิมตั้งไว้ หรือตอนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

“กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่เป็นผู้รับใช้ของเรา  เราจะมอบประชากรของเราไว้อยู่ในมือของเจ้า 70 ปี”

คืนวันที่ 5 ต่อวันที่  6 ตุลาคม ปี 539 ก่อนคริสตราช คือสมัยก่อนพระเยซูจะมาเกิด 539 ปี มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ในอาณาจักรบาบิโลน  ในคืนแห่งความหายนะนี้ กรุงบาบิโลนถูกพิชิตโดยกองทัพของมีเดียและเปอร์เซีย ซึ่งนำโดยกษัตริย์แห่งเปอร์เซียที่รู้จักกันว่าไซรัส มหาราช กษัตริย์องค์นี้มียุทธวิธีรบเหนือชั้นจริงๆ  ประวัติศาสตร์ มีข้อมูลบันทึกไว้ว่าตอนที่ไซรัสตัดสินใจที่จะพิชิตบาบิโลน  ในเวลานั้น อาณาจักรบาบิโลนเจริญรุ่งเรืองถึงขั้นที่เรียกว่านครที่น่าเกรงขามที่สุดในตะวันออกกลาง และอาจจะเรียกได้ว่ารุ่งเรืองสูงสุด ก็ได้ในขณะนั้น

กรุงบาบิโลนมีแม่น้ำยูเฟติสไหลผ่าน และมีคูคลองทุกสาย นอกกำแพงเมือง ที่ตระหง่าน เต็มไปด้วยน้ำ เมืองนี้จึงดูเหมือนถูกป้องกันไว้อย่างหนาแน่น จนไม่น่าจะมีใครสามารถพิชิตได้ ทหารของไซรัสได้เปลี่ยนทิศทางของแม่น้ำยูเฟติส จึงทำให้ระดับน้ำที่เป็นคูคลองป้องกันเมือง มันลดลง แล้วเหล่าทหารก็ลุยข้ามแม่น้ำ เข้าไปตีเมืองได้อย่างง่ายดาย

นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกเคยกล่าวไว้ว่าชาวบาบิโลนรู้สึกมั่นใจ ในความปลอดภัยของเมืองนี้มาก ดังนั้น ในคืนนั้น คืนที่ถูกโจมตี ผู้คนส่วนใหญ่จึงกำลังเลี้ยง กินกันอย่างสนุกสนาน ไม่เว้นแม้แต่กษัตริย์ ซึ่งเรารู้ว่ากษัตริย์องค์นั้น ก็คือเบลชัสซาร์ ในคืนนั้น คืนที่พระเจ้าส่งนิ้วมาเขียนอักษรปริศนาบนผนัง และในคืนวันนั้น กองทัพของไซรัส ก็เข้ายึดกรุงบาบิโลน ที่ไม่มีใครนึกเลย แม้กระทั่งชาวบาบิโลนก็ยังไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครทำอย่างนี้ได้ แต่ถ้าพระเจ้าบอกได้ ก็ต้องได้ ได้โดยอัศจรรย์ ได้โดยไม่คิดว่าจะได้ มันก็เป็นไปได้ พูดถึงอนาคตแค่นิดเดียว ถ้าค้นคว้าไปเรื่อยๆ  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราเรียนรู้ แล้วยังมั่นใจว่าพระเจ้าอยู่กับเรา พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ เรารู้จักพระเจ้าองค์นี้ ไม่ผิดแล้ว สิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนกันเป๊ะๆ

นี่คือบันทึกทางประวัติศาสตร์ มันก็ตรงกับคำเผยพระวจนะที่บอกไว้ล่วงหน้า โดยพระเจ้า ไม่ผิดเพี้ยนตามที่เราอ่านในหนังสืออิสยาห์ ที่เราอ่านเมื่อตะกี้ว่าพระเจ้าจะให้ไซรัส ผู้ที่พระองค์เจิมตั้งไว้ พิชิตชนชาติต่างๆ และทำลายแสนยานุภาพของเหล่ากษัตริย์ เป็นผู้เปิดประตู ซึ่งอยู่ตรงหน้า เพื่อไม่มีประตูใดถูกปิดไว้ ในประวัติศาสตร์ยังบอกด้วยว่าไซรัสได้ยึดกรุงบาบิโลน ในปี 539 ก่อน ค.ศ. และไม่นานหลังจากนั้น เขาปลดปล่อยชาวยิวให้เริ่มได้รับอิสรภาพ ได้กลับไปยังประเทศของตัวเองในปี 537 ก่อน ค.ศ. ซึ่งเป็นเวลาที่ครบกำหนด 70 ปีพอดี ที่ตกเป็นเชลย คนที่พระเจ้าจะใช้ให้ส่งกลับ ก็คือกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย ตรงเป๊ะอีกแล้ว

เพราะฉะนั้น เรื่องพระเยซูคริสต์ตอนท้าย ก็ต้องเป๊ะๆ ตอนที่เราจะไปอยู่ในสวรรค์สถาน ก็ต้องเป๊ะๆ  ตอนที่เราครอบครองร่วมกับพระเยซูในสวรรค์สถาน ก็ต้องเป๊ะๆ มาดูอีกข้อหนึ่ง เยเรมีย์ 25:12

เยเรมีย์ 25:12 “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาติของเขา ซึ่งก็คือแผ่นดินของชาวบาบิโลน เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขาถูกทิ้งร้างตลอดไป”

 

แล้วมันทิ้งร้างไหม? ทิ้งร้างตลอดไป  บาบิโลนถูกตี แล้วจากนั้น บาบิโลนก็หายไปจากแผนที่เลย ค่อยๆ จางหาย ไม่เหลือเลย  … เรากลับมาที่ดาเนียล บทที่ 8 กันต่อ ดาเนียล 8:2-4

ดาเนียล 8:2-4 “2 ในนิมิตนั้น ข้าพเจ้าเห็นตัวเองอยู่ที่ป้อมชั้นในเมืองสุสา ในแคว้นเอลาม  ข้าพเจ้าอยู่ริมคลองอุลัย 3 ข้าพเจ้ามองไปเห็นแกะผู้ตัวหนึ่งยืนอยู่ริมลำคลอง แกะนี้มีสองเขา เขาข้างหนึ่งยาวกว่าอีกข้างหนึ่ง แต่งอกขึ้นมาทีหลัง 4 ข้าพเจ้ามองดูแกะผู้ตัวนั้น ขวิดไปทางตะวันตก  ทางเหนือและทางใต้ ไม่มีสัตว์ใดต่อกรกับมันได้ และไม่มีสิ่งใดช่วยให้พ้นจากอำนาจของมัน มันทำอะไรตามใจชอบและยิ่งใหญ่ขึ้น”

 

และพระเจ้าก็ส่งทูตสวรรค์มาบอกความหมายแด่ดาเนียลไว้อย่างนี้ ดาเนียล 8:19-20 เป็นการแปลความฝัน

ดาเนียล 8:19-20 “19 “เรากำลังจะแจ้งให้เจ้าทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในเวลาแห่งพระพิโรธในภายภาคหน้า เพราะนิมิตนี้ เกี่ยวข้องกับกาลอวสานซึ่งกำหนดไว้แล้ว 20 แกะผู้สองเขาที่เจ้าเห็น คือบรรดากษัตริย์มีเดียและเปอร์เซีย”

 

“พระพิโรธ” อย่าไปนึกถึงพระพิโรธตอนสุดท้าย บทที่ 7 ครั้งที่แล้ว ที่พูดถึงเขาที่งอกออกจากมาจากกรุงโรม จำได้ไหม? คือพวกแอนตี้ไคร์ซ หรือปฏิปักษ์พระคริสต์ตัวใหญ่ ซึ่งอยู่ในยุคสุดท้าย  ยังไม่เกิดขึ้น  เรากำลังรอวันนั้นอยู่ วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมา ตรงนี้ไม่ใช่

พระพิโรธตรงนี้ คือความโกรธของพระเจ้าที่มีต่อ … เขาคิดมีอยู่ 2 ทาง ก็คือพระพิโรธมีต่อเขาเล็กๆ อีกอันหนึ่งเกิดขึ้นมาในช่วงนี้ แต่ไม่ได้ออกมาจากโรมัน แบบในอนาคต ที่จะมาครอบครองเปอร์เซีย ที่จะโผล่ออกมาจากกรีก เพราะช่วงระยะเวลาแค่นั้นเอง พระเจ้าพิโรธ

หรือบางคนเขาบอกพิโรธ อาจจะเป็นเพราะว่าประชากรของพระเจ้าในช่วงนั้น พอได้รับอิสรภาพจากการเป็นทาส หรือถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในบาบิโลน ถูกปล่อยไป ก็ไม่เข็ด ไปไหว้รูปปั้น รูปเคารพที่พระเจ้าบอกอย่าไหว้ พูดง่ายๆ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า หนีไปจากพระเจ้าอีกแล้ว ไปไหว้รูปเคารพ เขาว่าอาจจะเป็นพระพิโรธอย่างนั้นก็ได้ แล้วแต่จะคิด ได้ทั้งสองทาง

ในข้อนี้เขาบอกว่าแกะในนิมิตดาเนียล ก็คืออาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย ที่กำลังแผ่ขยายอำนาจเวลานั้น  กำลังมาตีบาบิโลน ตอนที่ได้รับนิมิต

ยุคของกษัตริย์ไซรัส มหาราช กำลังไล่ตีเมืองต่างๆ และไม่มีใครสามารถต้านทานอำนาจ บารมีของไซรัสได้  นี่คือแปลความฝันตะกี้ จนกระทั่งมีเดียเปอร์เซียได้รุ่งเรืองอำนาจที่สุดในสมัยนั้น ตามประวัติศาสตร์ที่ได้บันทึกไว้ ที่เราได้เล่าสู่กันฟัง นี่หมายถึงตอนนั้น

ดาเนียล 8:5-7 “5 ขณะข้าพเจ้าครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ ทันใดนั้น มีแพะผู้ตัวหนึ่ง ซึ่งมีเขาโดดเด่นอยู่ระหว่างตา วิ่งห้อข้ามพื้นพิภพ มาจากทางตะวันตกอย่างรวดเร็ว เท้าของมันไม่แตะดิน 6 มันรี่เข้าใส่แกะผู้สองเขา ซึ่งข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่ริมคลองนั้น และพุ่งชนด้วยความโกรธอย่างยิ่ง 7 ข้าพเจ้าเห็นมันขวิดแกะผู้อย่างโกรธจัด จนเขาทั้งสองของแกะหักไป แกะสู้ไม่ได้ จึงล้มลงกับพื้น และถูกแพะเหยียบย่ำ ไม่มีใครช่วยแกะนั้นได้”

 

ความหมายของแพะตัวผู้ ที่มาโค่นล้มแกะอยู่ในข้อ 21 บอกไว้ตรงๆ ชัดเลยว่าแพะผู้ คือกษัตริย์กรีก และเขาใหญ่ระหว่างตา  คือกษัตริย์องค์แรกของกรีก  ก็คืออเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งคนสมัยนั้น อาจจะไม่รู้เรื่องหรอก เพราะว่ามันยังไม่เกิด แต่เราเกิดแล้ว เราฟังจากประวัติศาสตร์ เรารู้แล้ว ก็คืออเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งอาณาจักรกรีกที่ได้นำกองทัพทหารเข้าโจมตีและโค่นล้มมีเดียเปอร์เซีย ได้สำเร็จตามที่พระคัมภีร์บอกว่าแพะตัวนี้  ได้ขวิดแกะผู้อย่างโกรธจัด จนกระทั่งเขาทั้งสองของแกะหักไป  แกะสู้ไม่ได้ จึงล้มลงกับพื้น และถูกแพะเหยียบย้ำ ไม่มีใครช่วยแกะนั้นได้ แพะตัวผู้นี้ได้ขวิดแกะอย่างโกรธจัด เพราะว่ามีเดียเปอร์เซีย เคยไปรุกราน บ้านเกิดเมืองนอนของแถบนั้น  เรียกว่าพวกเอเธนส์ สปาร์ต้า พวกมาซิโดเนีย มาซิโดเนีย คือบ้านเกิดของพ่อและบรรพบุรุษของ อเล็กซานเดอร์มหาราช

เรียกว่าโมโหจัด เคยรังแกเรา เที่ยวนี้ไปซัดให้มันเต็มที่ หมายถึงอย่างนั้น ท่านจะได้รู้ว่าพระเจ้าบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า เล่าให้ฟังเป็นความฝัน เป็นนิมิต ละเอียดยิ๊บ ที่เล่าให้ท่านฟังมันนิดๆ หน่อยๆ

โกรธจัด ขวิดจนเขาทั้งสองของแกะหักไป แกะก็คือเปอร์เซีย เขาทั้งสอง ก็คือกษัตริย์สององค์ที่ครอบครองร่วมกัน ก็คือมีเดียเปอร์เซีย

และแกะสู้ไม่ได้ จึงล้มลงกับพื้น ถูกแพะเหยียบย้ำ ไม่มีใครช่วยเขาได้ เหตุการณ์ตอนนั้น อยู่ในราวประมาณ 400 ปีก่อน ค.ศ. ตอนที่พูด เห็นนิมิต ฝันนี้ 600 ปีก่อน ค.ศ. นี่ประมาณ 400 เพราะฉะนั้น หายไป 200 ปีเกิดขึ้น  ซึ่งมีบันทึกไว้ นี่ประวัติศาสตร์ 400 ปีก่อน ค.ศ. มีบันทึกไว้ว่ากษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำกองทัพทหารกว่า 36,000 นายเข้าประชิด ตีมีเดียเปอร์เซียได้ เป็นผลสำเร็จ โดยมีเดียเปอร์เซียสูญเสียกองทัพทหาร ซึ่งล้มตายในสงครามครั้งนี้ กว่า 20,000 นาย ในขณะที่กองทัพกรีก สูญเสียกำลังเพียงแค่ไม่กี่ร้อยนาย เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ใครอยู่เบื้องหลัง? พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระคัมภีร์บอกว่าเพื่อแผนการของพระองค์ เพื่อถวายเกียรติสิริแด่พระองค์ และเป็นสิ่งดีสำหรับผู้ที่รักพระองค์เสมอ

ดาเนียล 8:8-12 “8 แพะตัวนั้นยิ่งใหญ่มาก แต่เมื่อมันผยองตนขึ้น และเรืองอำนาจสุดขีด เขาอันใหญ่ของมันก็หัก และมีเขาโดดเด่นสี่อันงอกขึ้นแทนที่ ชี้ไปยังทิศทางลมทั้งสี่แห่งฟ้าสวรรค์ 9 มีเขาเล็กๆ งอกขึ้นจากเขาหนึ่งในสี่เขานี้ แล้วงอกขึ้นเรื่อยๆ แผ่อำนาจไปทางใต้ ทางตะวันออก และสู่ดินแดนอันงดงาม 10 มันเติบใหญ่ขึ้น จนถึงบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ แล้วเหวี่ยงดาวบางดวงร่วงลงมาที่พื้นโลก และเหยียบย่ำเสีย 11 มันหยิ่งผยอง ตีเสมอองค์ราชันแห่งกองทัพสวรรค์ โดยเลิกล้มการถวายเครื่องบูชาประจำวันแด่พระองค์ และทำให้สถานนมัสการของพระองค์ตกต่ำ 12  เนื่องจากการกบฏนี้ กองกำลังของประชากรของพระเจ้า และการถวายเครื่องบูชาประจำวัน ก็ถูกมอบไว้ในมือของมัน มันทำอะไร ก็เจริญรุ่งเรืองทุกอย่าง และสัจธรรมถูกเหวี่ยงลงกับพื้น”

 

คือฟังอย่างนี้แล้ว คล้ายๆ กับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่เราเรียนรู้เรื่องบทที่ 7 ที่เกี่ยวกับอาณาจักรโรมัน ที่มีเขาเล็กๆ งอกออกมา ก็คือแอนตี้ไคร์ซตัวหนึ่ง ซึ่งมันเกิดขึ้นมาเยอะแยะ แต่ไม่ใช่ตัวใหญ่สุดในยุคสุดท้าย ที่เกิดมาจากเชื้อสายของอาณาจักรโรมัน อันนี้ คือตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ซึ่งต่อต้านพระคริสต์ ทุกอย่างทำเหมือนกัน แต่ทำแบบเล็กๆ มีผลเล็กๆ เท่านั้นเอง ตัวนี้เกิดจากอาณาจักรของกรีก ผู้ที่มีอำนาจในอาณาจักรของกรีก 1 ท่าน คือหลังจากที่แพะผู้ คือกรีก ได้โค่นล้มแกะ คือมีเดียเปอร์เซียแล้ว กรีกก็ได้เป็นมหาอำนาจในขณะนั้น ขยายอำนาจออกไปไกลมาก ไปถึงอินเดีย ยุคของกษัตริย์ อเล็กซานเดอร์ มหาราช ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของกรีกนั้น เป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุด และตรงพระคัมภีร์เลย แต่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์เรืองอำนาจอยู่แค่ไม่กี่ปี คือประมาณอายุ 33 ตายแล้ว

พระคัมภีร์บอกว่าเขา ที่ระหว่างตานี้ คืออเล็กซานเดอร์ เขานี้เข้มแข็งมาก คือยิ่งใหญ่มาก แต่มันอายุสั้น แป๊บเดียว ไปแล้ว เขาถูกหักออก ก็คือสิ้นอายุ ตอนอายุ 33 แล้วก็ไม่มีทายาทเหลืออยู่เลย คือการตายของอเล็กซานเดอร์ เขาพากองทัพตีลุยไปถึงอินเดีย ไปสู้กับช้าง จนรบชนะช้าง รบชนะกองทัพอินเดีย จากชื่อแปลกๆ ไปถึงปันจาก ชื่อแบบอินเดีย ชนะ แล้วจะไปต่ออีก ปรากฏว่าพวกแม่ทัพต่างๆ บอกเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว ตีมาตลอดทาง พอเถอะ อยากกลับบ้านแล้ว หมายถึงแผ่อาณาจักรไปมากๆ แล้ว พอแล้ว กลับเถอะ ในที่สุด อเล็กซานเดอร์ก็ยอม แต่ในใจอยากจะรบต่อ คือเขาอายุยังน้อย 32, 33 รบมาตั้งแต่อายุ 16 คิดดูสิ อยากจะรบ ขนาดเดินทางกลับบ้าน ยังแวะข้างทาง ตีเมืองเล็กเมืองน้อยตามไปด้วย ย้อนกลับมากรุงบาบิโลน ที่เคยตีไว้ได้ ก็มาพักที่กรุงบาบิโลน ก่อนที่จะกลับเมือง ปรากฏว่าพออยู่ที่บาบิโลน เขาว่าไม่สบาย ติดเชื้อหรือถูกวางยา ในที่สุดก็ตายที่บาบิโลน

กรีกซึ่งมีการนำทัพโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช ก็เริ่มสั่นคลอน  เพราะว่าผู้นำ คืออเล็กซานเดอร์ตายไปแล้ว ตายเร็ว ไม่ได้วางผังไว้เลยว่าให้อำนาจกับใคร? เขาเล่ากันว่าตอนที่อเล็กซานเดอร์ อยู่ที่บาบิโลน กำลังจะสิ้นพระชนม์ มีคนเข้าไปทูลว่าต้องยกอาณาจักรให้ใคร? ใครจะเป็นผู้สืบต่อดี แล้วอเล็กซานเดอร์ตอบว่าให้กับคนที่แข็งแรงที่สุด  เพราะฉะนั้น จากนั้นต่อมา แม่ทัพ 4 คนที่เหลือต่างแย่งชิงอำนาจกันว่าใครแข็งแรงกว่า จึงแยกเป็น 4 ส่วน ในนิมิตที่เห็น ก็คือเขาเล็กๆ 4 เขาที่งอกขึ้นมาแทนที่นั่นเอง ดาเนียล 8:22-25 อันนี้บอกก่อนล่วงหน้า ประมาณ 200 ปี โดยดาเนียลได้รับความฝันในนิมิตจากพระเจ้า

ดาเนียล 8:22-25 “22 เขาสี่อัน ซึ่งงอกแทนอันที่หัก คือ สี่อาณาจักร ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นจากชาตินั้น แต่ไม่มีอำนาจเทียบเท่า 23 “ในปลายรัชกาลกษัตริย์เหล่านั้น เมื่อพวกกบฏชั่วร้ายอย่างเต็มที่  จะมีกษัตริย์องค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีหน้าตาถมึงทึง และเจ้าเล่ห์เพทุบาย 24  เขาจะเข้มแข็งมาก แต่ไม่ใช่โดยอำนาจของเขาเอง เขาจะทำให้เกิดความเสียหายย่อยยับ อย่างน่าตกใจ และจะทำสิ่งใดก็สำเร็จลุล่วง เขาจะทำลายบรรดาผู้ทรงอำนาจ และประชากรของพระเจ้า 25 เขาจะทำให้การล่อลวง แพร่ขยายมากขึ้น และถือว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น เขาจะทำลายคนทั้งหลาย ขณะที่พวกเขารู้สึกมั่นคง และเขาถึงกับท้าทายองค์จอมเจ้านาย แต่เขาจะถูกทำลายโดยอำนาจ ซึ่งไม่ได้มาจากมนุษย์”

 

นี่ก็เล่าถึงเขาเล็กๆ ที่ผมบอกว่าแอนตี้ไคร์ซ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้นำที่จะมาต่อต้านพระเจ้า ข่มเหงประชากรของพระเจ้า ซึ่งคือชาวยิวในสมัยนั้น อะไรจะเกิดขึ้น จากหนึ่งในสี่ของผู้ที่กำลังแย่งอำนาจ หลังจากอเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ เขา 4 เขา ที่งอกขึ้นมาแทนที่เขาอันใหญ่ที่หักไป ก็คือมีแม่ทัพ 4 คนไปครอบครองในสถานที่ต่างๆ แต่ไม่ได้แบ่งกันจริงๆ แบ่งกันว่า …

“อย่าเผลอนะ ถ้าเผลอฉันขยายอำนาจ”  อะไรประมาณนั้น

คือแบ่งไปด้วย แย่งไปด้วย และหนึ่งในสี่นั้น ก็คือปัดโทเลมี ไปครอบครองอยู่ที่อียิปต์

และช่วงเวลาที่ชาวยิวได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด ในยุคกรีกตอนปลาย ก็คือยุคที่ 1 ใน 4 ของแม่ทัพของอเล็กซานเดอร์ เริ่มแข็งแกร่งขึ้นมา ชื่อเซลูคัด เขาค่อยๆ ตี ค่อยเพิ่มอำนาจขึ้นเรื่อยๆ เขาเป็นหนึ่งในจำนวนแม่ทัพกรีก ในสมัยอเล็กซานเดอร์ เขาขยายอาณาเขตไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขามีผู้สืบทอดอำนาจคนหนึ่ง จำไว้นะ ตัวนี้ ชื่อนี้  คือเขาเล็กๆ ที่มาข่มเหงชาวยิวในสมัยนั้น คนนี้ได้อำนาจ มาจากโลกฝ่ายวิญญาณ มีอำนาจพิเศษ ในตัวเขา ทำสิ่งที่ชั่วร้าย ก็คือยุคของอันทิโอกัส ที่ 4 เป็นผู้นำ ในขณะนั้น

อันทิโอกัส ที่ 4 เขารับสินบนโกงพระวิหารของพระเจ้า คือสมัยนั้น เยรูซาเล็ม ตั้งแต่อยู่บาบิโลน เป็นทาส แล้วก็เป็นทาสมาตลอด จนไม่มีอะไรเลย จนกระทั่ง สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีประเทศ มารวมกัน จนถึงปัจจุบันนี้ มาตั้งประเทศได้ เมื่อปี ค.ศ.1948

ก่อนหน้านี้ ผู้นำอื่นๆ ยังเกรงใจ ยังดูแล เป็นเมืองขึ้นเฉยๆ แต่อันทิโอกัส ที่ 4 เริ่มโกงเงินพระวิหาร คือเล่นการเมือง เอาผลประโยชน์จากพระวิหารของพระเจ้า มีเรื่องภาษี มีเรื่องทรัพย์สมบัติต่างๆ แล้วต่อมาอันทิโอกัส ก็ได้นำทัพ ไปโจมตีปัดโทเลมีที่อียิปต์ ปรากฏว่าปัดโทเลมีไปทำสัญญากับอาณาจักรโรมัน ซึ่งกำลังเริ่มต้นเรืองอำนาจขึ้น อันทิโอกัส ที่ 4 ก็แพ้ เพราะไม่มีคนช่วย แพ้สงคราม ต้องจ่ายเขา และขณะเดียวกัน ก็ถอนทัพกลับมา เจ็บใจด้วย อายเขาด้วย  แค้นใจ จึงระบายความแค้น และถือโอกาสปล้นพระวิหารของพระเจ้า ในกรุงเยรูซาเล็ม คือปล้นสะดมผู้คน ออกคำสั่งห้ามชาวยิว ทำพิธีทางศาสนา ห้ามฉลองเทศกาลต่างๆ และเผาหนังสือธรรมบัญญัติทั้งหมด ก็คือเผาหนังสือ 5 เล่ม พระคัมภีร์เดิมทั้งหมด เผาหมดเลย ห้ามชาวยิวเข้าสุหนัต คือห้ามทำพิธีทางศาสนา เหมือนปิดโบสถ์ เผาหมดเลย ใครขัดขืน ฆ่าตายหมด นี่แหละถูกข่มเหงรังแก อย่างที่ตะกี้นี้บอก เขาเล็กๆ นี้ ก็คืออันทิโอกัส ที่ 4

อันทิโอกัส ที่ 4 พยายามทำลายทุกสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของยิว ซึ่งทำให้ยิวเจ็บปวด ทุกข์ใจมากๆ อย่างแสนสาหัส ในขณะนั้น ถูกย่ำยีหัวใจ ย่ำยีเฉพาะชีวิตของพวกเขา ไม่เท่าไร? ย่ำยีพระเจ้าที่เขารักและบูชาอยู่ มันทนไม่ได้ บางคนก็ยอมพลีชีวิต ไม่ปฏิเสธพระเจ้า ยอมตาย เขาไม่ให้อธิษฐาน ก็อธิษฐาน เขาไม่ให้อ่านพระคัมภีร์ ก็อ่าน เขาไม่ให้ซุกซ่อนบันทึกธรรมบัญญัติของพระเจ้า ก็ซุกซ่อนไว้ จับได้ ก็ถูกฆ่าตาย เขาก็ยอม นี่คือความเชื่อของชาวยิวในขณะนั้น ที่ไม่ยอมแพ้ ยอมเสียสละชีวิต เพื่อสำแดงความเชื่อ ตามที่บันทึกตามนิมิตที่เราอ่านเมื่อตะกี้ บอกว่าจนกระทั่งอันทิโอกัส ที่ 4 สิ้นพระชนม์ แบบทุกข์ทรมาน แบบประหลาดๆ คล้ายๆ กับกษัตริย์เฮโรด ในสมัยพระเยซูนั่นแหละ  คือพระเจ้าเอาเขาออกไปนั่นเอง

ทั้งหมดที่ผมเล่า ก็เพื่อให้ท่านเห็นภาพชัดเจนว่าเรื่องราว ในพระคัมภีร์ที่เป็นการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น มันได้เกิดขึ้นจริงๆ ตามนั้น ทุกประการเลย และในข้อสุดท้ายของดาเนียล 8 :26 บอกไว้อย่างนี้

ดาเนียล 8:26 “นิมิตเกี่ยวกับวันและคืน ซึ่งบอกท่านแล้วนั้น จะเป็นจริง แต่จงประทับตราเก็บไว้ เพราะเกี่ยวกับอนาคตอันไกล”

 

นี่คือวาระ อีกวาระ อีกครึ่งวาระ อีกสองวาระ ปิดไว้ ไม่ให้รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร? แต่ให้รู้ว่าจะเกิดขึ้นอย่างนี้แล้วกัน พระเจ้าได้บอกความหมายต่างๆ อธิบายความหมายของนิมิตให้ฟัง เพื่อให้ประชากรของพระองค์ได้รับทราบล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพื่อให้ประชากรของพระองค์เชื่อมั่น และวางใจว่าสิ่งเหล่านี้ พระเจ้ารู้หมดแล้ว เป็นผู้วางแผนทั้งหมด ดูแลอยู่ ที่ไม่บอกเวลา ก็เพราะว่าถ้าบอกแล้ว เราก็จะไปจดจ่อตรงเวลานั้น แล้วเราก็จะไม่ไปทำตามแผนการของพระเจ้า เราก็จะไม่ไปไหนเลย  เพราะเราก็จะนั่งรอว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร? ในมัทธิว 24:36 จึงบันทึกไว้อย่างนี้

มัทธิว 24:36 “ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์ หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้น ที่ทรงทราบ”

 

นี่พระเยซูกำลังพูดถึงยุคสุดท้าย ที่พระเยซูจะกลับมาใหม่ กลับมาพร้อมกับเมฆ เหล่าสาวกถามพระเยซู …

“เมื่อไรพระองค์จะกลับมา สร้างโลกใหม่ ที่เราจะอยู่ด้วยกัน ครอบครองในสวรรค์สถาน ไม่มีบาปอีกแล้ว ที่จะอยู่กับพระบิดา เห็นพระบิดาหน้าต่อหน้า เราจะทุกข์ลำบากอย่างนี้ถึงเมื่อไร?”

พระเยซูก็บอกว่า  “ไม่มีใครรู้หรอกเวลา แม้แต่เราก็ยังไม่รู้เลย พ่อเท่านั้นที่รู้”

เพราะฉะนั้น  เมื่อหลายสิ่งหลายอย่างที่พระองค์บอกนั้น เป็นความจริงทุกอย่าง ที่เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และได้อ่านพระคัมภีร์บอกล่วงหน้าแล้ว และได้เห็นอย่างนั้นจริงๆ และมันก็เป็นจริงๆ ตามนั้น เพราะฉะนั้น สุดท้าย ตามพระคัมภีร์บอก มันก็จะเป็นจริงด้วย จริงไหม?

นี่เรากลับมาที่นิมิตใหญ่แล้วนะ นิมิตใหญ่ที่ดาเนียลเห็น ตั้งแต่สมัยนิมิตที่พระเจ้าให้ผ่านทางกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ จนกระทั่งถึงนิมิตที่ตัวเองได้ เมื่อตอนบทที่ 7 นิมิตใหญ่ หลังจาก 4 อาณาจักรนี้จะมีก้อนหิน ซึ่งไม่ได้ทำด้วยมือ มาจากพระเจ้า ก้อนหินนี้จะถูกขว้างไปที่เท้าของรูปปั้นนั้น ทำให้รูปปั้นนั้นพังทลายลงมาหมดเกลี้ยงเลย แล้วหินนั้น ก็จะค่อยๆ ใหญ่ขึ้นๆ จนเป็นอาณาจักรครอบครองโลกนี้เลย  นั่นคืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่เราจะครอบครองร่วมกับพระองค์ ซึ่งเรียกว่าสวรรค์สถานนิรันดร์กาลนั่นเอง มันก็ต้องเป็นจริงตามนั้นด้วยเช่นกัน เพราะเป็นจริงมาแล้ว 95% เพราะฉะนั้นอีก 5% มันก็ต้องจริงเป๊ะๆ มันไม่มีทางอื่น มันชัดเจน มันละเอียดอ่อนจริงๆ

ชีวิตที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้  ไม่ว่าทุกข์ยากลำบากมากหรือน้อยก็ตาม ทุกวันที่ท่านตื่นขึ้นมา และมีลมหายใจอยู่ ท่านกำลังรับใช้พระเจ้าอยู่  เสร็จสิ้นงาน ก็คือหมดลมหายใจ ท่านอย่าไปนึกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นแหละ กำลังทำอยู่ เพราะฉะนั้น แล้วแต่พระองค์จะใช้เราในลักษณะเช่นใด ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงใช้เราเป็นภาชนะที่ดี คือรู้จักพระเจ้าแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ใช้เราเป็นภาชนะที่ไม่ดี เป็นภาชนะที่ทุกข์ทรมาน ก็คือใช้เรา ขณะที่เราไม่รู้จักพระเจ้าด้วย แย่เลย เข้าใจใช่ไหมครับ หมายถึงอะไร?

เพราะฉะนั้น พระเจ้าให้เราอ่าน เล่าเรียน หรือศึกษาถ้อยคำของพระองค์เหล่านี้ จากอดีตต่างๆ ก็เพื่อให้รู้ว่าความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ผ่านไปได้ ถ้าเผื่อบรรพบุรุษของเราตั้งแต่สมัยยิว จนกระทั่งถึงชาวคริสเตียน 2,000 ปีมาแล้ว เขาผ่านมาได้อย่างไรความทุกข์ยากลำบากใหญ่ยิ่งกว่าเราตั้งเยอะ เขายังผ่านได้ เราก็ผ่านได้แน่ๆ เขาเป๊ะ เราก็เป๊ะๆ  เขาทุกข์ เราก็ทุกข์ เขาทุกข์เยอะกว่าเรา เราทุกข์นิดเดียวเอง ในสมัยยุคเริ่มต้นใหม่ๆ ชาวยิวที่อยู่ที่เยอรมัน ในวันคืนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านคิดถึงฮิตเลอร์ที่ข่มเหงชาวยิวขนาดนั้น ทุกข์ทรมานกว่านี้อีกเยอะเลย ของเราอาจจะนิดเดียว แต่แน่นอนสำหรับคนทุกคนอาจจะไม่มีคำว่านิดหรอก เปรียบเทียบกันไม่ได้ สำหรับคุณนิด สำหรับผมไม่ไหวแล้ว เรามาเทียบกันไม่ได้ ถ้าพระองค์ให้เราเป็นกระถาง เราก็รับแบบกระถาง ถ้าเราเป็นชาม  เราก็รับแบบชาม ถ้าเราเป็นถ้วยตะไล เราก็รับแบบถ้วยตะไล ถ้าเราเป็นหลอด เราก็รับแค่หลอด มันก็เต็มของเราแล้ว แต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ไม่ต้องมาวัดว่าใครใหญ่กว่าใคร? ของใครหนักกว่ากัน? เพราะฉะนั้น ให้เราวางใจพระเจ้าในสิ่งนี้

ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามในขณะนี้ ไม่ว่ามันจะใหญ่ขนาดไหน? เจ็บปวดอย่างไร? หรือมันทุกข์อย่างไรก็ตาม ท่านมีความหวังใจเสมอ เมื่อท่านเรียนรู้เรื่องราวถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ อยากจะบอกท่านและให้กำลังใจกับท่าน ให้ท่านมีความหวังว่าวันหนึ่ง พระเยซูคริสต์จอมเจ้านายเรา จะกลับมาใหม่ แล้ววันนั้น แอนตี้ไคร์ซปฏิปักษ์พระคริสต์จะถูกจับโยนออกไป จบ แล้ววันนั้นจะตกแต่งและปรับปรุงโลกนี้ใหม่หมดเลย รวมทั้งร่างกายเราก็ใหม่ด้วย ร่างกายที่เก่าๆ ทุกวันนี้ ทำใหม่หมดเลย ไม่ต้องไปแต่งหน้าแต่งตาแล้ว สวย หล่อตลอดเวลา ทรงผมก็สวยดี ทุกอย่างดีหมดเลย แถมไม่ป่วย ไม่ไข้ ไม่เจ็บ เอเมน

นี่คือความหวังของเราที่ตื่นมา เราควรจะเห็นภาพเหล่านี้ ซึ่งคนไม่เชื่อ ก็มองไม่เห็น แต่ถ้าเราเชื่อ เราจะเห็นกับตา สวรรค์สำหรับคนที่เชื่ออย่างเดียว ถ้าคนไม่เชื่อ จะไม่เห็นสวรรค์ โลกนี้ ก็เหมือนนรก พูดง่ายๆ เชื่อแล้ว มีใครอยากอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป ไม่อยากอยู่หรอก เพราะเรารู้แล้วว่าสวรรค์ดีกว่านี้ พระเจ้าสัญญาว่าจะตกแต่งบ้านนี้ใหม่ ร่างกายนี้ใหม่ โลกนี้ใหม่ เต็มไปด้วยความสมบูรณ์ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีความทุกข์ยาก ไม่มีความบาปอีกต่อไปนิรันดร์

พระเจ้าต้องการให้เราจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน คือสวรรค์สถาน ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ดังนั้น ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ในขณะนั้น ในชีวิตของเราก็ตาม ให้เรารู้ว่ามันแป๊บเดียว ก็ผ่านไปแล้ว ให้เรามีความหวังใจในความสุขนิรันดร์ ในสวรรค์สถานที่เราจะครอบครองร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่แป๊บ ไม่ใช่พันปี ไม่ใช่หมื่นปี แต่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่านิรันดร์ มันหมายถึงตลอดไป และในชีวิตนี้ บนโลกใบนี้ ไม่ต้องห่วง ถ้ามันทุกข์ยากลำบาก พระองค์จะพาเราผ่านความทุกข์ยากลำบากด้วยตัวของพระองค์เอง ที่สถิตอยู่กับเรา และครอบครองทุกอย่างบนโลกใบนี้ พระองค์สัญญาไว้อย่างนั้น ถ้าเราคิดว่าไม่ไหว เดี๋ยวพระองค์ก็จะพาเราผ่าน เพราะพระองค์ไหว เราไม่ไหว ไม่เป็นไร แต่พระองค์ทรงทำได้ทุกอย่าง พระองค์มีกำลัง จงจำไว้ใน 2 โครินธ์ 4:16-18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก  18 ดังนั้น  เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น  ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

และสิ่งที่เรามองไม่เห็น ที่อยู่ถาวรนิรันดร์นั้น สรุปรวมกัน เรียกว่าสวรรค์สถาน เอเมน

 

*******************