ารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1446

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  ธันวาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 32

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรายังอยู่ในหนังสือเอเฟซัส 5:12-14 …

        เอเฟซัส 5:12-14 “12 เพราะเพียงเอ่ยถึงสิ่งซึ่งพวกที่ไม่ยอมเชื่อฟัง  แอบทำกันนั้น  ก็ยังน่าอาย 13 แต่ทุกสิ่งที่ถูกเปิดเผย  โดยความสว่างก็เห็นกันแจ่มแจ้ง 14 เนื่องจากความสว่างทำให้เห็นทุกสิ่งชัดแจ้ง ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวกันว่า “โอ ผู้ที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น จงฟื้นขึ้นจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน”

            ในพระคัมภีร์ตรงนี้ คราวที่แล้ว อาจารย์เปาโลสอนว่าด้วยเหตุผลทั้งหมดที่พวกเราได้รับพระคุณ จากพระเจ้า เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ฉะนั้น ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่เป็นลูกที่รักของพระองค์ เราจำได้ใช่ไหม? ดำเนินชีวิตให้สมกับ ตอนนี้เราเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าของเราเป็นอย่างไร? ก็ให้เราเรียนแบบตามนั้น  เราจะเรียนแบบพระเจ้าของเราได้อย่างไร?  ถ้าเราไม่รู้ว่าพระเจ้าของเราเป็นอย่างไร? เราจะรู้ว่าพระเจ้าของเราเป็นอย่างไร?  ผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า

            ถ้อยคำของพระเจ้าจะบอกเราว่าพระลักษณะของพระเจ้าที่เรารู้จักเป็นอย่างไร?  แล้วเราก็ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ภายในเรา นำพาเรา ให้ส่งผลของธรรมชาติใหม่ ที่เราบังเกิดใหม่แล้ว  ก็คือธรรมชาติของพระเจ้าพระบิดา  อยู่ในเราหมดเลย  แค่เรารับรู้ความจริง แล้วยอมให้พระเจ้าทำให้ธรรมชาตินี้ ส่งออกไป ผ่านทางชีวิตของเรา ไปถึงผู้คนรอบข้าง นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลกำลังบอกกับผู้เชื่อ ในเมืองเอเฟซัส

            ตรงข้อที่ 14 ที่บอกว่า “โอ ผู้ที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น จงฟื้นขึ้นจากตาย” อาจารย์เปาโลอ้างมาจากพระคัมภีร์เดิม ในหนังสืออิสยาห์ 26:19 และอิสยาห์ 60:1-2 ก็คือคนที่มาบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ให้ความสว่างของพระเจ้าที่อยู่ในเรา ได้ฉายแสงออกไป ในหนังสืออิสยาห์ เป็นคำพยากรณ์ พูดถึงในอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ พระองค์จะทำแบบนี้ แล้วพวกเราผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เราเป็นตะเกียง ซึ่งพระเจ้าจุดความสว่างลงมาในชีวิตของพวกเราแล้ว ให้แสงสว่างในชีวิตของเราฉายออกไปให้คนอื่นได้สามารถสัมผัสจับต้องได้ หรือในพระคัมภีร์ใช้คำว่าให้เราเป็นตัวหนังสือของพระเยซูคริสต์ที่คนอื่นอ่านแล้วรู้ นี่เป็นคริสเตียนนะ ไม่ใช่อ่านแล้วงง ตกลงเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียนอะไรอย่างนี้

            ความรักเป็นธรรมชาติใหม่ ที่ผู้เชื่อทุกคนเป็นอยู่แล้ว เกิดมาเป็น ไม่ต้องพยายามไปทำตัวเอง ให้มีความรัก  เพราะเราเกิดมาเป็นความรัก เพราะพระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์ทรงเป็นความรัก ฉะนั้น ความรักตรงนี้ ให้เราค่อยๆ พัฒนา ตอนเราเชื่อใหม่ๆ เราอาจจะไม่สามารถที่จะสำแดงได้มากเท่าไร?  แต่พอเราเชื่อนานขึ้น ความรักตรงนี้มันจะบังเกิดขึ้นมาเอง  เหมือนพัฒนา โตขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะสามารถสำแดงความรักชนิด เป็นแบบของพระเจ้าออกไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ

            เรามองภาพเด็ก เป็นภาพเดียวกันที่พระเจ้าให้เราเห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ ตอนเราบังเกิดใหม่ วิญญาณเรายังเป็นเด็กทารก เราอาจจะไม่สามารถที่จะสำแดงพฤติกรรมใหม่ที่พระเจ้าใส่เข้ามาให้กับเราได้มากนัก เราอาจจะเคยชินกับความเคยชินเก่าๆ ของเรา ความเห็นแก่ตัว  ความอิจฉา ริษยา  หรืออะไรต่างๆ ที่เมื่อก่อน เราเคยเป็น  แล้วเราก็ยังไม่โตพอ ที่จะควบคุมพฤติกรรมของเรา เราอาจจะเผลอ ทำสิ่งนี้ออกไป แต่ไม่เป็นไร เราค่อยๆ พัฒนา พระเจ้าก็จะเสริมเรา ให้กำลังเราข้างใน ให้เราเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่เราประพฤติออกไป มันไม่ใช่นะ ลูก อันนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม เหมือนกับพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้เรามีพฤติกรรมที่สำแดงความเป็นเหมือนพระเจ้า ที่อยู่ในตัวเรา เป็นพระลักษณะของพระเจ้าที่อยู่ในตัวเรา ให้สำแดงออกไป  เราก็ค่อยๆ มันจะเกิดการพัฒนา

            สังเกตตัวเองไหม? พอเราโตขึ้น เราเชื่อพระเจ้านานขึ้น มันอัตโนมัติเลยนะ เราเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นมากขึ้น แต่ในความเป็นจริง ในโลกวิญญาณทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า  เรารักกันเลย  เรารักพี่น้องทุกคนที่เชื่อพระเจ้าเลย  นี่คือเรื่องของโลกวิญญาณ  แต่เรื่องของโลกวัตถุ พระคัมภีร์ใช้คำว่าฝึกฝน พัฒนา บุคลิกลักษณะที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ให้สำแดงออกไป

            สัปดาห์ที่แล้วไปอยู่กับเหลน เห็นพัฒนาการ  จากเด็กที่เขาทำอะไรไม่เป็น ยังนอนแบเบาะ ตอนนี้ อายุใกล้ 5 ขวบแล้ว เขาก็ค่อยๆ พัฒนา ค่อยๆ สามารถที่จะเรียนรู้จากคุณพ่อคุณแม่ จากผู้ใหญ่ได้มากขึ้น สามารถที่จะพูดคุยได้เข้าใจมากขึ้น อย่างตอนเล็กๆ พูดแล้วไม่ค่อยเข้าใจ พูดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จะเอาแต่ใจตัวเอง  แต่ตอนนี้ มีเหตุผล สามารถที่จะคุยได้

            ลักษณะเดียวกัน เหมือนกับพวกเรา ในขณะที่เราเป็นทารก  เรายังเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ  บางทีเราไม่มีเหตุผล เราไม่เข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา  แต่พระเจ้าอดทนนานมาก พระเจ้าก็จะค่อยๆ บอกเรา สอนเรา  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงให้เราเห็นว่าสิ่งที่เราทำตามความเคยชินเดิม ตอนนี้ มันไม่เหมาะสมกับเราแล้ว ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราควรจะทำตัวแบบนี้ดีกว่า ซึ่งพระเจ้าไม่บังคับเรา พระเจ้าก็แนะนำว่าอันนี้ดีกว่า เมื่อเราเป็นลูกพระเจ้า เราควรจะทำแบบนี้

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ตรงนี้ อาจารย์เปาโลก็พยายามที่จะบอกเรา ถึงพระลักษณะของพระเจ้า ที่มันเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ในชีวิตของเรา ให้เราค่อยๆ เรียนรู้ และค่อยๆ พัฒนาพระลักษณะตรงนี้ของพระเจ้าออกไปเรื่อยๆ เราก็เรียนรู้ที่จะรักคนอื่นมากขึ้น เรียนรู้ที่จะให้ออกไปได้มากขึ้น เรียนรู้ที่จะอดทนนานมากขึ้น ถ้าเราเชื่อใหม่ๆ เราก็อดทนไม่นาน พอโตขึ้น ความอดทนถูกสร้างขึ้นผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก

            เห็นไหมพอเรามาเชื่อพระเจ้า เราไม่ได้เดินอยู่บนกลีบกุหลาบ พระเจ้าไม่ได้สัญญาอย่างนั้น เรายังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  แต่สิ่งที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก คือเรามีพระเจ้าอยู่ในเรา แล้วเรารับรู้ด้วยว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา พระเจ้าให้กำลังเราที่จะสามารถผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ไปได้ ทำให้เราอดทนมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ทำให้เรากลายเป็นคนที่พระเจ้าทรงสามารถใช้ได้ด้วย

        เอเฟซัส 5:15-17 “15 เพราะฉะนั้น  ท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิต อย่าดำเนินชีวิตแบบคนไร้ปัญญา แต่จงดำเนินชีวิตแบบคนมีปัญญา 16 จงรู้จักใช้ทุกโอกาส  เพราะเวลานี้เป็นยุคอันเลวร้าย 17 ฉะนั้น  จงอย่าโง่เขลา แต่จงเข้าใจพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นเช่นใด”

            สมัยก่อน เราก็บอกว่าจงรู้จักใช้ทุกโอกาส พอบอกใช้ทุกโอกาสปุ๊บ เราก็ใช้ใหญ่เลย ทุกโอกาส ก็คือเราไปใช้กับคนอื่น ไม่ได้ใช้กับตัวเอง นี่ถ้อยคำของพระเจ้า อาจารย์เปาโลบอกต้องใช้ทุกโอกาส เราก็เลยใช้ทุกโอกาสในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า  เขาพูดถึงเรื่องข่าวดี เราต้องใช้ทุกโอกาส คนจะฟังหรือไม่ฟังไม่รู้ ฉันจะประกาศอย่างเดียวเลย

            ดิฉันมีประสบการณ์ เจออย่างนี้ ดิฉันก็หืม! กรุณาอย่าคุยได้ไหม? คือตอนนั้น เรายังไม่เชื่อพระเจ้า พอพูดถึงคำว่าพระเยซูคริสต์ปุ๊บ  มันขึ้นทันที คือเกิดการต่อต้านขึ้นมาทันที โดยไม่มีสาเหตุ แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว

            คนที่ไม่เชื่อพระเจ้ากับคนเชื่อพระเจ้า เราเป็นศัตรูกันในวิญญาณ ก็คือไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ เราโกรธกันเฉยๆ นั่นแหละ  นั่นคือเรื่องความจริง เพราะว่าโลกนี้เป็นศัตรูกับพระเจ้า แล้วเมื่อก่อนดิฉันยังไม่เชื่อพระเจ้า ใครมาคุยเรื่องพระเยซูคริสต์ ของขึ้น มันจริงๆ มีความรู้สึกว่าอย่าเอ่ยนามนี้ได้ไหม?  ไม่ชอบ ไม่อยากฟัง อย่ายุ่งกับฉัน อะไรประมาณนั้น แต่เราขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าประทานพระคุณ แล้วพระเจ้าก็อดทนนาน พระเจ้าไม่ลดละ พระเจ้าไม่ทิ้งเรา พระเจ้าก็ยังคอยเคาะประตูใจเราตลอดเวลา โอเค ตอนนี้ของขึ้น พระเจ้าก็ไปห่างๆ พอเริ่มเย็นลง พระเจ้าก็มาใหม่

            จนวันหนึ่ง ก็ขอบคุณพระเจ้า เราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากที่ต่อต้านสุดขีด แต่ข้างในวิญญาณ เกิดความอยากจะเชื่อพระเจ้าขึ้นมาเฉยๆ และตอนนี้ เราเข้าใจแล้ว  เมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อ ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา จากใครก็ไม่รู้ คนโน้นทีคนนี้ที พี่สาวที พี่เขยที คนในโบสถ์ที ที่เราหลบคนในโบสถ์ประจำเลย ที่ดิฉันไปโบสถ์วันคริสต์มาส เพราะลูกชายเล่นละคร เป็นลูกแกะ มาตั้งแต่ 5 ขวบ พ่อแม่ทุกคน พอลูกทำอะไร เราอยากมาดู พอมาโบสถ์ คริสเตียนทั้งหลาย เรียกว่ามีความพยายามอย่างสูง ขนาดดิฉันไปแอบนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับเรา เขายังอุตส่าห์คุยเรื่องพระเจ้าให้เราฟังอีก

            ข้างในวิญญาณเราเป็นศัตรูกัน แต่ ณ เวลานั้น เราไม่รู้ไงว่ามันอะไร? ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่ว่าพอถึงทุกวันนี้ เข้าใจแล้ว เราก็เรียนรู้ที่จะมอง ถ้าใครไม่อยากฟัง ก็อย่าไปพยายามยัดเยียดให้เขา เหมือนกับที่พระเยซูบอก อย่าเอาไข่มุกให้สุกร ตอนนั้น ดิฉันเป็นสุกร ก็คือไม่รู้ค่าของไข่มุก ถ้าเขาเอาข้าวมาให้ดิฉันกิน ดิฉันมีความสุขกว่าเอาไข่มุกมาให้ พระเยซูบอกว่าอย่าเอาไข่มุกให้สุกร เพราะตอนนั้น สุกรเขาไม่รู้ค่า ให้รอจนวันหนึ่งเขารู้ค่า พอรู้ค่าปุ๊บ มาคุยเรื่องพระเยซู ตอนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราอยากจะรู้เรื่องพระเจ้า อยากรู้ พระเยซูเป็นอย่างไร? ทำอะไร? อยากรู้ไปหมดเลย นั่นคือพอเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ วิญญาณเราถูกเปลี่ยน เราไม่รู้นะว่าวิญญาณเราถูกเปลี่ยน  แต่พระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับ พระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณได้ถูกเปลี่ยนใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ฉะนั้น พอวิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้า  เราอยากรู้เรื่องราวของพระเจ้า ขึ้นมาเอง โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีใครบังคับ ไม่ต้องมีใครบอกว่าให้ไปโบสถ์ ไม่ต้องมีใครบอกว่าให้อ่านพระคัมภีร์ ไม่ต้องมีใครบอกว่าให้อธิษฐานนะ มันเกิดมาเอง จากข้างในวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเราเร้าเข้ามาในวิญญาณ  ทำให้เรารู้สึกรักพี่น้องในโบสถ์ รักมากด้วย พอบอกใครเป็นคริสเตียน เรารักหมดเลย  เพราะว่าวิญญาณเดียวกัน  ณ เวลานั้น

            วันแรกที่พ่อดิฉันมาเชื่อพระเจ้า  ตอนนั้น ดิฉันยังไม่เชื่อ  พ่อดิฉันมาเชื่อพระเจ้าตอนที่ท่านเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย มาเชื่อพระเจ้าได้ 5 วัน พระเจ้าพากลับบ้าน 5 วันเอง แล้ววันที่คุณพ่อ จากไปอยู่กับพระเจ้า คุณพ่อจากไปตรงแขนดิฉัน คือจะประคองขึ้นมาเข้าห้องน้ำ แล้วคุณพ่อก็ป๊อกไปเลย หลับไปเลย คาแขนนี้  ตอนนั้น ดิฉันยังเป็นลูกผีอยู่เลย  ยังไม่เชื่อพระเจ้า  แล้วก็มีงานไว้อาลัยที่โบสถ์ ตอนนั้น ดิฉันเคืองคริสเตียนมากเลย มีพี่น้องคนหนึ่งใส่ชุด มีดอกแดงๆ แล้วดิฉันก็เห็น คริสเตียน นี่งานไว้อาลัยนะ  มันเป็นงานเศร้า ทำไมเขาหัวเราะกันทุกคนเลย   คุยกันไป หัวเราะกันไป อะไรอ่ะ คือตอนนั้น เราไม่เชื่อพระเจ้าไง พวกนี้ ทำไมถึงนิสัยแบบนี้ มันเป็นงานเศร้า มาหัวเราะทำไม? พอเรามาเชื่อพระเจ้า ถึงบางอ้อเลย ขอบคุณพระเจ้า  เพราะว่าการจากไปของผู้เชื่อ ไม่ใช่เรื่องเศร้า การจากไปของพวกเราทุกคน เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลบนสวรรค์ ลักษณะงานไว้อาลัยของคริสเตียน เป็นลักษณะเหมือนกับเรามาส่งผู้ที่เรารัก ขึ้นเครื่อง ไปอยู่เมืองบรมสุขเกษม มันเป็นอย่างนั้นเลย

            พอถึงตอนนี้ ดิฉันเข้าใจเลย ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าให้ดิฉันเห็นตั้งแต่ยังไม่เชื่อพระเจ้า หลังจากที่คุณพ่อมาเชื่อพระเจ้า 3 ปี ดิฉันจึงมาเชื่อ แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าเลือกไว้แล้ว จริงๆ พระเจ้ามีพระคุณกับพวกเราทุกๆ คน เมื่อพระเจ้าทำงานมาตลอด  พอถึงวันที่ดิฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าเลือกดิฉันมาปรนนิบัติรับใช้ที่โบสถ์ ตอนนั้นดิฉันไม่เข้าใจหรอก แต่สิ่งหนึ่งที่มันเกิดขึ้น ก็คืออยากเรียนรู้ อยากรู้เรื่องพระเจ้า  อยากรู้ทุกอย่างเลย แล้วอาจารย์ที่โบสถ์ก็มาทาบทามว่าให้มาเรียนพระคัมภีร์ ตอนนั้นอยู่คริสตจักรใจสมาน ดิฉันบอกไม่ได้หรอก มาเรียนพระคัมภีร์ ไม่มีทาง แค่เชื่อพระเจ้าก็พอแล้ว  แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว  แล้วลูกก็ยังเล็ก ตอนนั้น ลูกอายุ 5 ขวบเอง แล้วใครจะมาเลี้ยง ใครจะมาดูแล อาจารย์ก็บอกมาเถอะ มาเรียนพระคัมภีร์ พระเจ้าเรียก เราไม่รู้นะ พระเจ้าเรียกคืออะไร? ตอนนั้นไม่เข้าใจ

            อธิษฐานกับพระเจ้า อธิษฐานขอ ตอนนั้น เหมือนดิฉันขอแค่ข้อเดียว คือคุณแม่ เขาไม่รับเลี้ยงหลาน เพราะทุกคนต้องเลี้ยงลูกตัวเอง แล้วดิฉันก็อธิษฐานว่าถ้าพระเจ้าจะให้มารับใช้ และให้เรียนพระคัมภีร์ ดิฉันจะไปคุยกับคุณแม่ แล้วคุณแม่ก็จะเป็นคนเสนอเองว่าจะดูแลลูกให้ ขอแค่นี้นะ แล้วพอไปบอก คุณแม่บอกไปเถอะ เดี๋ยวดูให้ แค่นั้นเอง พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน แล้วดิฉันก็มาเรียนพระคัมภีร์  แล้วดิฉันก็มารับใช้ ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ 36 ปี ดิฉันเชื่อพระเจ้ามา 37 ปี  เชื่อ 1 ปี แล้วก็มาเรียนและรับใช้พระเจ้า พระเจ้า แล้วพระเจ้าก็ดูแลชีวิตของดิฉัน จนตอนนี้ลูก หลาน มีเหลนแล้ว  พระเจ้าก็ดูแลมาตลอด คำว่าดูแล ไม่ได้หมายความว่าดิฉันไม่มีความทุกข์

            คำว่า “ดูแล” ของพระเจ้า เหมือนกับที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีของพระองค์ พระองค์จะนำพาเราไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่พระองค์เตรียมไว้ ก็แปลว่าเรามั่นใจในพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเรา  ไม่ว่าเราจะทุกข์ เราจะสุข  พระองค์บอกว่าพระองค์ไม่ทิ้งเรา เป็นเหมือนลูกกำพร้า แล้วดิฉันมารับใช้พระเจ้า ดิฉันอธิษฐานกับพระเจ้าว่าถ้าพระเจ้าจะให้ตาย ดิฉันก็ยอมตาย ให้อดตาย ดิฉันก็อดตาย ไม่เป็นไร ก็คือแล้วแต่น้ำพระทัย แต่ว่าพระเจ้าไม่เคยให้ดิฉันได้อดตาย ก็คือตอนนี้อ้วนท้วมสมบูรณ์เลย พระเจ้าดูแล นี่คือพระคุณ

            แต่ว่าพระคุณตรงนี้ ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะสัญญาว่าเราจะอยู่ดีมีสุข แต่พระเจ้าสัญญาว่าไม่ว่าเราจะเจอทุกข์ยากลำบาก หรือความสุขใดๆ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ดิฉันผ่านความทุกข์ยากลำบากมาทุกรูปแบบ  ดิฉันเคยอดอาหารโดยไฟท์บังคับ  ก็คือไม่มีจะกิน  เข้าใจคำว่าไม่มีจะกิน  แล้วต้องอด ตอนนั้นรับใช้พระเจ้าแล้ว นั่นนะ ผ่านมาหมด ฉะนั้น พอเรารับรู้ความจริงว่าไม่ว่าเราจะอด หรือเราจะอะไร? พระเจ้าอยู่ด้วย ไม่เป็นไร ถ้าถึงวาระที่พระเจ้าจะให้เราอยู่ดีมีสุข เราก็สามารถเหมือนกับอาจารย์เปาโล เผชิญทุกสิ่งได้

            “ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับความอดอยาก หิวโหยได้ ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับความอิ่มหนำสำราญได้ ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับความร่ำรวยได้ แล้วข้าพเจ้าก็สามารถเผชิญกับความยากจนได้ด้วย” อะไรอย่างนี้

            นี่คือชีวิตของผู้เชื่อ แล้วดิฉันก็เป็นหนึ่งในผู้เชื่อ แค่พระเจ้าแยกให้มารับใช้พระเจ้าเท่านั้น สถานะของเราเท่ากัน  การปฏิบัติของพระเจ้าที่มีกับดิฉันกับพวกท่านเท่ากัน เราเป็นลูกที่รักของพระองค์ พระเจ้ารักเราดั่งแก้วตาดวงใจ เหมือนกันทุกคน เรามีสถานะ คือเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เหมือนกันทุกคน นี่คือของประทาน นี่คือของขวัญ  นี่คือรางวัล ที่พระเจ้าให้กับผู้เชื่อทุกๆ คนเท่ากัน  แต่สิ่งที่ไม่เท่ากัน ก็คือพระเจ้าทรงให้แต่ละคนที่มีสถานะการงานต่างกัน บางคนพระเจ้าก็ให้มารับใช้ บางคนพระเจ้าก็ให้เป็นแม่บ้าน บางคนพระเจ้าก็ให้อยู่ยาวเลย บางคนพระเจ้าก็ให้อยู่แป๊บเดียว ก็ไปแล้ว กลับบ้าน สบายเลย ดิฉันเคยขอพระเจ้า ขออายุแค่ 60 พอ ดิฉันขอจริงๆ นะ  พระเจ้าขอ 60 พอ ดิฉันอยากจะไปอยู่กับพระเจ้ามากเลย พระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน พระเจ้าให้ดิฉันอยู่ต่อ ตอนนี้ดิฉัน 72 ปีแล้วย่าง 73 อยู่ต่อมาอีก 12 ปี แล้วดิฉันก็ยังขออยู่ดีแหละ ดิฉันอยากจะไปอยู่กับพระเจ้ามากกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าพระเจ้าอนุญาตนะ ถ้าพระเจ้าให้ แต่ถ้าพระเจ้าไม่ให้ ก็ไม่เป็นไร ดิฉันก็อยู่อย่างชื่นชมยินดีแหละ อยู่แบบแก่ๆ ไปด้วยกัน

            พี่น้องลองนึกภาพ เราอยู่ด้วยกันตั้งแต่ตอนผมดำ จนตอนนี้ผมขาวหมดทั้งหัวแล้ว เราก็ยังสามารถชื่นชมยินดีได้ ดิฉันเห็นพี่น้องทุกครั้ง ดิฉันมีความสุข  แค่เห็นหน้า ดิฉันก็มีความสุข  คือพี่น้องไม่ต้องทำอะไรเลย แค่มานั่งอยู่ที่ห้องประชุม ดิฉันก็มีความสุข  แล้ววันคริสต์มาสอย่างนี้ ดิฉันยิ่งมีความสุขใหญ่เลย  เพราะได้ร้องเพลงคริสต์มาส ดิฉันก็มีความสุข นี่คือความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสามารถหาได้  ไม่ต้องไปหาไกลที่ไหนเลย แค่เราได้มีโอกาสรักกัน  เราก็มีความสุขแล้ว เอเมนไหมค่ะ …

        เอเฟซัส 5:18 “และอย่าเมาเหล้าองุ่น  ซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ”

            ทำไมอาจารย์เปาโลบอกอย่างนี้  … “อย่าเมาเหล้าองุ่น” พี่น้องจำได้ไหมตอนที่วันเพ็นเตคอส แรก ที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย  แล้วก็มาอยู่กับสาวก 40 วัน  และก่อนที่จะขึ้นไปสวรรค์ พระเยซูก็บอกกับสาวกว่าให้ไปรอในที่แห่งหนึ่ง รอตามพระสัญญา และสาวกก็ไปรอ อยู่ในห้องลักษณะเหมือนห้องใต้หลังคา ก็คือเขาไปแอบพวกคนยิว พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสีที่จะมาไล่ล่าฆ่า คนที่เชื่อพระเจ้า ในยุคนั้น  ถูกข่มเหง ถูกไล่ล่า ถูกเอามาเฆี่ยนตี ถูกเอามาติดคุก  ถูกเอามาเผาไฟ  ถูกเอามาให้สิงโตกิน ในยุคของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เขาโดนอย่างนี้นะ ไม่เหมือนเรา สบายๆ ณ เวลานี้ แต่เขาโดนจริงๆ และเขาต้องตัดสินใจ เลือกข้าง เลือกว่าเขาจะยังคงอยู่ในความเชื่อเดิม คืออยู่ในบทบัญญัติเดิม ตามที่พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสีที่เขาทำกัน ก็คืออยู่ในวิหาร หรือเลือกที่จะออกจากวิหาร มาติดตามพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้ คนที่ยังปฏิบัติหน้าที่ในวิหาร คือมันจบแล้ว พระเยซูบอกว่าวันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ และถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตาย กฎเก่า คือกฎที่ทำพิธีกรรมในพระวิหาร พระเจ้าพระบิดายกเลิกแล้ว ตอนนี้พระเจ้าให้กฎใหม่ ก็คือใครก็ตามที่อยากได้รับความรอด หรืออยากจะคืนดีกับพระเจ้า ต้องมาทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            ฉะนั้น คนที่เชื่อพระเจ้ายุคแรก  พวกสาวกต่างๆ เขาต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน พระเยซูคริสต์บอกให้เขามารอ ตามพระสัญญาที่พระเจ้าบอก ก็คือส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าลงมาสถิตกับมนุษย์  และที่วันเพ็นเตคอสครั้งแรก  ก็คือเป็นครั้งแรกที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตกับมนุษย์    มนุษย์กลายเป็นวิหารของพระเจ้า  พวกสาวกไปแอบอยู่ใต้หลังคา  เพราะไม่รู้ว่าพระสัญญาที่พระเจ้าบอกจะมาเมื่อไร? เพราะพระเยซูไม่ได้บอกเลยว่ากี่วัน? แค่บอกว่าไปรอแล้วกัน เดี๋ยวมาก็รู้เอง  เหมือนกับทุกวันนี้ บอกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา  ไม่ต้องไปหาหรอกว่าเมื่อไร?  เดี๋ยวมาก็รู้เอง พระเยซูก็บอกอย่างนั้น สาวกก็ไปรอ ไปอธิษฐาน ไปอดอาหาร ตอนนั้น กลัวนะ ไม่ใช่หน้าชื่นตาบาน คือกลัวมาก กลัวคนมาจับไป

            แล้วพอถึงวันที่ 50 พระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกส่งลงมา ในพระธรรมกิจการบอกว่าเป็นเปลวไฟ สันฐานเหมือนลิ้น ลงมาเหนือทุกคน แล้วคนเหล่านั้น ก็พูดภาษาอื่นๆ ที่ปัจจุบันเราใช้คำว่าภาษาแปลกๆ  เพราะว่าเราฟังไม่รู้เรื่อง เราก็เลยบอกแปลก แต่ภาษาอื่นๆ ในพระธรรมกิจการได้บันทึกไว้ คือภาษาที่สาวกเหล่านี้เขาไม่รู้จัก  แต่พระเจ้าให้เขาพูด เป็นคำประกาศพระกิตติคุณของพระเจ้าในภาษานั้นๆ ซึ่งตอนที่สาวกพูดภาษาอื่นๆ นี้ มีชาวอะไรเยอะแยะมากมาย อยู่ข้างล่าง อาจจะพวกโปตุเกส พวกฝรั่งเศส พวกอิตาลี พวกเยอรมัน อเมริกัน หรืออะไรต่างๆ แต่ในพระคัมภีร์มีชาวพื้นเมืองที่นั่น ดิฉันจำไม่ได้ ก็คือภาษาของเขาจะแตกต่างจากพวกสาวกที่เขาพูด

            ฉะนั้น ตอนที่สาวกพูดภาษาอื่นๆ ก็คือเป็นภาษาพื้นบ้านของคนเหล่านี้  ที่เขาได้ยินได้ฟัง แล้วเขา … “โอ๊ย! คนเหล่านี้เขาประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ ทำไมเขาถึงพูดได้  ภาษาของเรา”

            ซึ่งคนเหล่านี้เขาได้ยินได้ฟังเป็นภาษาของเขา แล้ว ณ วันนั้น คือวันแรกที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย ลงมาสถิตอยู่ด้วยปุ๊บ มันเกิดความกล้า จากเปโตรที่ขี้กลัวมาก ลุกขึ้นมาประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถ้าพี่น้องไปอ่านถ้อยคำของพระเจ้าจริงๆ มันจะเป็นเรื่องที่พูดเหมือนซ้ำไปซ้ำมาๆ เหมือนที่พี่น้องบอกว่าอาจารย์แถวนี้ ไม่พูดอย่างอื่นเลย พูดเรื่องเดียว ก็ไม่รู้จะไปพูดอะไร เพราะข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก็มีเรื่องเดียว แค่นี้แหละ แล้วเราไปอ่านพระคัมภีร์ เราจะเห็นเปโตรก็ไล่เลย พระเยซูคริสต์ผู้นี้ ผู้ที่พระเจ้าส่งมา พวกท่านไม่เชื่อว่าเป็นพระมาซีฮาห์ พวกท่านก็เลยจับพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขน แล้วพระองค์ผู้นี้แหละ ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  เป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ที่จะสามารถทำให้พวกท่านรอด นี่คือข่าวประเสริฐที่ในหนังสือกิจการหรือหนังสือจดหมายฝาก พี่น้องไปอ่านสิ มีอยู่แค่นี้แหละ

            แล้วอาจารย์เปาโลพอไปเจอใคร ประกาศ ไล่ความตั้งแต่ปฐมกาลมาเลย พระเยซูคริสต์เป็นใคร? มาจากไหน? ทำอะไร? ข่าวดีของพระเจ้า มีแค่นี้จริงๆ

            ฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้าแค่นี้ จึงทำให้คนในยุคนั้น สามารถยืนหยัดอยู่ได้ เพราว่าเขามีความเชื่อมั่นคง ปักหลักลงไปที่พระเยซูคริสต์ แล้วพอคนที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ปุ๊บ คนข้างล่างเขาหาว่าพวกสาวก หรือพวกที่ติดตามพระเยซูคริสต์เขาเมาเหล้าองุ่น นี่แหละที่มา เขาเมาเหล้าองุ่น คือคุยไม่รู้เรื่อง เซไปเซมา แต่ว่าความเป็นจริง เขาไม่ได้เมาเหล้าองุ่น เขาเมาพระวิญญาณ อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่าอย่าเมาเหล้าองุ่น ให้เมาพระวิญญาณดีกว่า

            สมัยก่อนคนอิสราเอล พื้นที่เขาน้ำเปล่าหายากมาก แล้วเป็นพื้นที่ที่เขาปลูกต้นองุ่น ออกผลดกมาก แล้วองุ่น พอกลั่นเป็นน้ำนานๆ มันกลายเป็นไวน์ แล้วเหล้าองุ่นมันเป็นสารชนิดหนึ่ง ที่เวลาคนดื่ม แล้วทำให้เกิดแบบเคลิ้ม เหมือนคนเสพกัญชา เสพยาเสพติด ถ้าดื่มน้อยๆ มันจะเป็นประโยชน์ แต่ถ้าดื่มเยอะ ก็จะเมา แล้วกว่าจะเมา ต้องดื่มเยอะมาก ฉะนั้น เป็นสารที่ทำให้มีความสุข อาจารย์เปาโลเลยสอนว่าอย่าเมาเหล้าองุ่น แต่ให้เมาพระวิญญาณ เพราะเหล้าองุ่น ถ้าเมาเยอะๆ ก็เสียผู้เสียคน

        เอเฟซัส 5:19-20 “19 จงสนทนากันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญและบทเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ จงร้องและบรรเลงเพลงในใจถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า 20 จงขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดา  สำหรับทุกสิ่งอยู่เสมอ  ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

            ตรงนี้ ให้ร้องเพลงสดุดี ร้องเพลงสรรเสริญ เปล่งเสียงชื่นบานถวายแด่พระเจ้า เราก็งงว่าแล้วทำอย่างไร? เสียงชื่นบาน จะร้องอย่างไร? สดุดีจะร้องอย่างไร? พี่น้องนึกภาพนะ แค่เราขึ้นเพลงปุ๊บ พี่น้องมีความสุขไหม? เวลาร้องเพลง มีความสุขนะ  ไม่ว่าจะเป็นเพลงพระเจ้า หรือเพลงข้างนอก สมัยก่อนเราไม่เชื่อพระเจ้า เราก็ร้องเพลงข้างนอก พอเพลงขึ้นปุ๊บ ร่างกายก็ขยับตามเลย นึกออกไหม? พอเพลงขึ้นปุ๊บ มันเต้นเอง โดยอัตโนมัติ มีความสุข แล้วเวลาเรามีความสุข ไม่ใช่เราร้องเพลง

                        “จงชื่นชมยินดีในพระเป็นเจ้า        จงชื่นชมยินดีในพระองค์” (ร้องเพลงไม่มีชีวิตชีวา)

            ไม่ใช่หน้าอย่างนี้ (หน้าเฉยๆ ไม่มีความสุข) แต่เวลาจงชื่นชมยินดีในพระเป็นเจ้า เราก็ยิ้มแย้มมีความสุข ร้องอย่างมีคาวมสุข ก็คือหน้าไปหมดเลย มันส่อถึงความชื่นชมยินดี จากข้างในออกมาข้างนอก แล้วการร้องเพลง เป็นประโยชน์มากสำหรับพวกเรา ก็คือทำให้ปอดเราขยาย มันเป็นการออกกำลังกาย โดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ว่าพระเจ้าสร้างให้เรามาเป็นแบบนี้ แล้วพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงเป็นบทเพลง ตัวพระองค์เองเป็นบทเพลง ทำให้พวกเราทุกคน ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า จากที่เราร้องเพลงไม่เป็น เราก็ร้องเพลงเป็นเฉยเลย เมื่อก่อนอาจจะร้องเพลงไม่เป็น อาจจะเสียงเหมือนเป็ด เหมือนอะไร พี่น้องเสียงไม่เพราะก็ไม่เป็นไร ร้องไปเถอะ พระเจ้าฟังแล้ว พระเจ้าจะบอกว่า …

            “ลูกเราคนนี้ ร้องเพลงเพราะมาก”

            เอเมนไหมค่ะ เพราะมาก ทุกคนเลย พระเจ้ามีความสุข

            ฉะนั้น การเปล่งเสียงชื่นบาน มันจะออกมาจากข้างใน ถ้าข้างในเราไม่ชื่นบาน มันออกมาไม่ได้หรอก  มันจะออกมาโดยอัตโนมัติ แล้วพระเจ้าใส่ความชื่นบานลงมา ในวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว ที่ในพระคัมภีร์บอกว่าจงชื่นชมยินดี ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ เราต้องพยายามไปชื่นชมยินดี  แต่ความชื่นชมยินดีมันอยู่ข้างในเราแล้ว ให้เรานำเอาสิ่งที่เรามีอยู่  สำแดงออกมา เหมือนที่เขาชอบพูดว่าเวลามีความสุข ช่วยบอกให้ใบหน้ารู้ด้วยนะ

            “ฉันมีความสุขมากเลย สุขจริงๆ นะ ตอนนี้ฉันสุขมาก” ใบหน้าไม่บอก เขาลืมบอกว่าเรามีความสุข

            เวลามีความสุข ใบหน้ามันจะออกมาเอง มันอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องฝืน ไม่มีใครฝืน แต่ถ้าเราฝืน ชื่นชมยินดีสิ ให้เราร้องเพลง มันก็ร้องเพลงแบบไม่มีชีวิตชีวา เวลาเรามาโบสถ์ เรามีความชื่นชมยินดี  เขาถามว่าคริสตจักรทำอะไร? คริสตจักรมาร้องเพลงไง เรามาร้องเพลง ถวายพระเจ้า  เรามาฟังความจริงของพระเจ้า  แล้วเรามารับรู้ความจริง เพื่อเราจะได้รู้ว่าตอนนี้เราเป็นใคร? ตอนนี้เราได้รับอะไรไปแล้ว? พระเจ้าทำให้เราเสร็จเรียบร้อยแล้ว? เราไม่ต้องทำอะไร? เราแค่เอาสิ่งที่พระเจ้าให้เรา สำแดงออกมาเท่านั้นเอง

            “จงขอบคุณพระเจ้าพระบิดา สำหรับทุกสิ่งอยู่เสมอ” ในนามของพระเยซูคริสต์ ทุกสิ่ง ไม่ได้หมายความว่าสิ่งดีๆ เท่านั้น “ทุกสิ่ง” หมายถึงแม้สิ่งนั้นจะไม่ดีก็ตาม พี่น้องรู้สึกไหม? บางครั้งเราไม่อยากได้สิ่งที่เราเจอ เคยเป็นไหม? แต่พระเจ้าบอกให้เราขอบพระคุณ  เพราะเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเจอ มันจะมีผลดีสำหรับเราในอนาคต เราไม่รู้หรอก แต่พระเจ้ารู้ว่าอย่างนี้แหละ มีผลดีสำหรับเราในอนาคต แล้วเราก็รับรู้ว่าพระเจ้ารักเรา ดังแก้วตาดวงใจ พระเจ้าไม่เอายาพิษให้เรากินแน่นอน ฉะนั้น เราจึงสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้

            ลักษณะเหมือนเด็ก เด็กไม่ชอบไปโรงเรียน แต่พ่อแม่ก็ต้องให้ไปให้ได้ เพื่ออนาคตของเขา ตอนใหม่ๆ เด็กก็จะงอแงร้องไห้ โวยวาย  แต่พอเขาโตขึ้น เขาก็จะเข้าใจ เป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าเมื่อก่อน พ่อแม่ไม่บังคับ ตอนนี้เราก็ไม่มีความรู้ ไม่สามารถไปทำงานดีๆ เราก็ต้องไปเป็นลูกจ้างที่ใช้แรงงาน อะไรประมาณนั้น หรือเด็กบางคนไม่ชอบแปรงฟัน พ่อแม่ก็ต้องบังคับให้แปรงฟัน  ไม่ชอบก็ต้องทำ  เพื่อสวัสดิภาพของเขา  มันเป็นภาพเดียวกัน ในโลกวิญญาณ พระเจ้ารู้ว่าอะไรดีที่สุด สำหรับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน เราไม่รู้หรอก บางครั้งเราเจออย่างนี้

            เราก็จะถามพระเจ้าว่า … “พระองค์เจ้าข้า ทำไมพระองค์อนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับลูก พระองค์ไม่รักลูกแล้วหรือ?”

            พระเจ้าบอก … “รักจะตาย รักขนาดให้ลูกชายคนเดียวมาตายแทนเธอ เธอยังไม่เชื่อใจฉันอีกหรือ?” อะไรประมาณนั้น

            ฉะนั้น ให้เรามั่นใจในความรักของพระเจ้า ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา เรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย แล้วเรารู้ว่าแม้จะอยู่หรือตาย พระเจ้าก็อยู่ด้วย เหมือนอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลไม่ได้อยู่สบายนะ อาจารย์เปาโลไปประกาศ ถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกจับ ถูกโยน ถูกอะไรสารพัดสิ่ง แต่อาจารย์เปาโลสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ เพราะอาจารย์เปาโลรู้จักพระเจ้าที่เขาเชื่อ รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย  และรู้ว่าพระเจ้ามีแผนการที่ดี สำหรับอาจารย์เปาโล

            เหมือนกัน พระเจ้ามีแผนการที่ดีถ้าเรามองภาพ ถ้าพี่น้องรู้สึกว่าตอนนี้ทุกข์ยากลำบาก ดิฉันก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ใครกำลังเผชิญกับอะไรทั้งหลายแหล่ อาจจะเรื่องของสุขภาพร่างกาย เรื่องของการเงินการงาน เรื่องของครอบครัว เรื่องของอะไร เราไม่รู้ แต่ให้พี่น้องดูตัวอย่างที่สำคัญ ที่พระเยซูคริสต์ พี่น้องว่าพระเจ้ารักพระเยซูไหม?  รักเนอะ เป็นพระบุตรองค์เดียวใช่ไหม?  แต่ตอนที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อที่จะถูกตรึงบนไม้กางเขน เพื่อพวกเรา  เพื่อที่จะมาตาย เพื่อที่จะมาหลั่งพระโลหิต  เพื่อว่าถ้าพระเยซูคริสต์ไม่มาเป็นมนุษย์ พระเยซูคริสต์ไม่ตาย พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่ไม่ได้ ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่ไม่ได้ พวกเราก็ตาย

            ตอนที่พระเยซูคริสต์อธิษฐานกับพระเจ้า 3 ครั้ง พระเจ้าไม่ตอบ แปลว่าพระเจ้าไม่รักพระเยซูคริสต์ใช่ไหม?  พระเจ้ารัก แต่พระเจ้ารู้ว่าอันนี้ดีที่สุดแล้ว พระเยซูยังไงก็ต้องเดินไป เพื่อแผนการที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าทำให้มนุษยชาติบนโลกใบนี้  แล้วในที่สุดพระเยซูคริสต์ก็ยอม

            พระเยซูคริสต์จะบอกว่าให้เป็นไปตามน้ำพระทัย ถ้าเลื่อนไม่ได้ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เดินไปที่แดนประหาร ให้ถูกเฆี่ยนตี ถูกตรึง ถูกเยาะเย้ย  ถูกทุกอย่างเลย  เพื่อพวกเราทั้งหลายจะได้สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ภาพเดียวกันเลย ถ้าเราเผชิญกับความทุกข์ยากใดๆ ให้เรามองพระเยซูคริสต์เป็นต้นแบบ พระเจ้ารักพระเยซูคริสต์ขนาดไหน? พระเจ้าก็รักเราขนาดนั้น  พระเจ้ามีแผนการที่ดีที่สุด สำหรับพวกเราแน่นอน ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม พระเจ้ารักเรามากที่สุด แล้วทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับเรา พระเจ้าจะทำให้มันเป็นผลดี สำหรับชีวิตของเราแน่นอน  พระเจ้าอวยพรค่ะ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “วิญญาณของเราจะชั่วหรือจะดี ขึ้นอ ยู่กับอะไร?”  พระเยซูคริสต์มีคำตอบ

            พระเยซูประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ชาวยิวที่เคร่งศาสนา ทนงตนในความดี ความชอบธรรมที่ตนเองถือปฏิบัติ ตามกฎบัญญัติได้มาก ให้พวกเขากลับใจใหม่ หันมาเชื่อ และวางใจในพระองค์และจะได้ความรอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย ได้เข้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า

            พระเยซูชี้ให้เห็นตัวตนของมนุษยชาติจริงๆ นั้นเป็นวิญญาณ และอยู่ในสภาพตาย เนื่องจากผลของความบาป ซึ่งไม่สามารถแก้ไข ด้วยการประพฤติปฏิบัติ ตามกฎบัญญัติ กฎศีลธรรม การประพฤติดีได้เลย ต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าเท่านั้น เพื่อจะได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ เข้ามาแทนที่วิญญาณเดิม ที่เป็นบาปอยู่นั้น

            มัทธิว12:33-37 … “พระเยซูเปรียบเทียบวิญญาณเหมือนต้นไม้ 33 ถ้าทำต้นไม้ให้สมบูรณ์ดี ผลออกมาก็จะดี หรือทำต้นไม้ให้เลว ติดเชื้อโรค ผลออกมาก็จะเลว เพราะว่าเราจะรู้จัก และตัดสินต้นไม้ว่าดีหรือเลว ก็ด้วยผลของมัน (ถ้าวิญญาณภายในสมบูรณ์ดี ก็จะส่งผลดี คือเชื่อและเป็นมิตรกับพระเยซูกับพระเจ้า ผู้เป็นความดี ถ้าวิญญาณภายในเลว ติดเชื้อโรคบาปชั่ว ก็จะส่งผลเลว คือต่อต้าน ปฏิเสธ เป็นศัตรูกับพระเยซู กับพระเจ้า) 34 โอ พวกชนชาติงูร้าย (สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษอาดัม ซึ่งล้มลงในความบาป) ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่ว (คนบาป) แล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากนั้นพูดสิ่งที่ล้นมาจากใจ (ความหมายคือโอ้ มนุษย์ซึ่งตกอยู่ในสภาพบาป ในตระกูลของอาดัม ท่านทั้งหลายติดเชื้อโรคบาป เป็นคนบาป คนชั่วในวิญญาณ จะพูดเป็นมิตร ยอมรับเราได้อย่างไร เพราะที่ท่านพูดต่อต้านปฏิเสธเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาป เป็นศัตรูกับเรา ต่อต้านปฏิเสธเรา ผู้เป็นความชอบธรรม ความดีของพระเจ้า) 35 คนดีก็นำสิ่งดีออกมา จากคลังแห่งความดีภายในตัวของเขา คนชั่วก็นำของชั่วออกมาจากคลังแห่งความชั่ว ภายในตัวของเขา (คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเขา) 36 ส่วนเราบอกพวกท่านว่า ในวันพิพากษา (หลังความตาย) มนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่อถ้อยคำเหล่านั้นที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง (เป็นผลเลว) ทุกคำที่พูดนั้น (ความหมาย คือส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่เป็นผลเลว ซึ่งท่านพูดต่อต้านเรา ไม่เชื่อในตัวเรา เป็นศัตรู ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเราว่าเป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดจากบาปนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ เพราะท่านไม่ยอมรับผู้เดียว ที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่านให้รอดพ้นจากโทษของความบาป) 37 เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิด เป็นผู้ชอบธรรมหรือเป็นคนบาป ถูกตัดสินลงโทษ ก็เพราะคำพูดของท่าน (ฉะนั้นท่านจะรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปที่อยู่ในตัวท่าน ในวิญญาณของท่าน หรือไม่ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธ หรือยอมรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูหรือไม่)”

            สรุป วิญญาณจะชั่วหรือดี ขึ้นอยู่กับต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือไม่ พระเจ้าอวยพรครับ