วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1544

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  ตุลาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 2 ยอห์น”

ตอน 5 “สันติสุขและความสุข คือรางวัลที่จะได้รับ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มาต่อ 2 ยอห์น ตอนที่ 5 ชื่อเรื่องว่า “สันติสุขและความสุข คือรางวัลที่จะได้รับ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้” เรายังอยู่บนฐานของถ้อยคำพระเจ้าใน 2 ยอห์น 1:8 อยู่ ลองอ่านพร้อมกันก่อน …

        2 ยอห์น 1:8  “จงระวังตัว (เอาใจใส่) เพื่อจะไม่สูญเสีย (โยนทิ้งหรือทำลาย) สิ่งทั้งปวงที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน แต่ให้ท่านดำรงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อจะได้รับบำเหน็จ (รางวัล ผลตอบแทน) สมบูรณ์ครบถ้วน”

            บำเหน็จ สมบูรณ์ครบถ้วน คือรางวัล บำเหน็จ พระพรทั้งโลกนี้ และโลกหน้านิรันดร์ โลกหน้านิรันดร์ เราเรียนรู้ไปแล้ว  รู้ว่าอย่างไรเราก็ได้รับความรอดแล้ว  จากโลกนี้ไป  เราก็อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ พบพระเจ้า  พระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้าทันที สำหรับพระพร และบำเหน็จในบริบท ในพันธสัญญาใหม่ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นความสมบูรณ์ของการรู้จักพระคริสต์ และมรดกที่เราจะได้รับในพระคริสต์ เนื่องจากเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือความรอดนิรันดร์  การได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเข้ามาสถิตอยู่ภายในเรา  และพระพร บำเหน็จบนโลกใบนี้ คือการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เมื่อเรารู้ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา เราได้รับความรอดนิรันดร์แล้ว ไม่มีทางสูญเสียไปเลย เราก็ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้  แบบเต็มไปด้วยความสุข สงบ  สันติสุข เต็มไปด้วยความยินดี สุข ทุกข์น้อยกว่าคนอื่นๆ เขา ในการอยู่บนโลกใบนี้  เอเมนไหม? เอเมน

            ซึ่งใน 2 ยอห์น 1:8 จะเน้นถึงบำเหน็จรางวัลบนโลกใบนี้แหละ  ที่เราได้เรียนรู้กันมาแล้ว  รางวัลบนโลกใบนี้ระวังอย่าให้มารขโมยไป  ขโมยมีหลายทาง ก็คือหลอกลวงเรา บำเหน็จพระพรนี้ หลอกว่ารางวัล บำเหน็จพระพรนี้  เป็นรางวัล พระพรทางโลกนี้ เป็นพร เป็นบำเหน็จในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เป็นความยินดี เป็นสันติสุขในการรู้ว่าเราได้รับความรอดแล้วต่างหาก ไม่ใช่รางวัล คือทรัพย์สิ่งของบนโลกนี้ ความเจริญรุ่งเรือง แบบโลกใบนี้ เหมือนคนที่เขายังไม่เชื่อ  ไม่มีความหวังในพระคริสต์ เขาแสวงหากันบนโลกใบนี้  ความร่ำรวย ความสำเร็จ ความแข็งแรงอะไรต่างๆ เหล่านั้น อย่าถูกหลอกว่าเป็นอย่างนั้นเชียว  มันจะเกิดความทุกข์มากกว่าความสุข  มันจะเกิดความวุ่นวาย ไม่สบายใจมากกว่าความสงบและสันติสุข

            ผู้เชื่อ คือคริสเตียนในยุคแรกๆ ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ แล้วก็ไล่มาจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันเลย 2,000 ปี เขาสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ต่างๆ นานา และสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี  ก็เพราะว่าพวกเขาทั้งหลายมีทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า มีกำลังใจสูงสุดอยู่ภายในเขา  ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่อยู่ภายใน นั่นก็คือความรอดในพระเยซูคริสต์ ชีวิตนิรันดร์ รวมไปถึงความหวังใจในการรับร่างกายใหม่  ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ หลังจากตายจากร่างนี้ หรือจากโลกนี้ไปแล้ว  นั่นเขามีความหวังใจตรงนี้มากกว่า เราจะได้สวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นี้ หลังจากหมดลมหายใจบนโลกใบนี้แล้ว นี่คือความหวังใจ นี่คือกำลังใจ นี่คือความยินดี ความหวังของคริสเตียนในยุคเริ่มต้น จนกระทั่งถึงปัจจุบัน นี่ของจริง

            ถามว่า “ชีวิตนิรันดร์คืออะไร?” เราคิดดูสิ  เรามารวบรวมความหมายของชีวิตนิรันดร์ ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตของพระเยซูคริสต์

            ชีวิตนิรันดร์ที่เราได้รับ ที่เราเป็นอยู่ คือชีวิตของพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริ เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เรารู้อยู่แล้ว เป็นชีวิตของพระเจ้านั่นเอง  เราได้เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ชีวิตนิรันดร์ ถ้าแจงออกมาเป็นลักษณะ ก็คือเป็นความรักนิรันดร์ เป็นความสว่างนิรันดร์  เป็นความชอบธรรมนิรันดร์ เป็นความบริสุทธิ์นิรันดร์ เป็นความดีนิรันดร์ เป็นยินดี ความสุขสงบนิรันดร์  นี่คือเราเป็นแล้วอย่างนี้ ตอนนี้ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้านิรันดร์ อยู่ในฐานะลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์ นี่คือสภาวะของเราที่เป็นอยู่ในวิญญาณของเรา ตัวตนแท้จริงของเรา เป็นอย่างนี้

            และเมื่อเรามีความหวังอย่างนี้ เราก็จะสามารถทนกับทุกสถานการณ์ได้ บนโลกใบนี้  ไม่ว่าความทุกข์ยากลำบากนั้น จะมากขนาดไหน? สาหัสขนาดไหนก็ตาม มันก็อยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ถูกไหม? เพราะบนโลกนี้เราอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น เรารู้ว่าวันหนึ่งมาถึง เมื่อเราทนทุกข์จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของเรา เราก็จะได้รับชัยชนะนิรันดร์  ได้รับชีวิตนิรันดร์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ นี่คือความหวังใจของคริสเตียน ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เป็นอย่างนี้ ลองถามตัวท่านเองว่าเวลาท่านมาเป็น คริสเตียน ท่านมีความหวังใจตรงนี้ อย่างนี้ หรือเปล่า?

            คำว่า “อดทน” ที่บอกว่าอดทนจนถึงวันสุดท้าย  อดทนถึงที่สุด  ไม่ได้หมายถึงว่าให้เราอดทนถึงที่สุด ถ้าอดทนไม่พอ หรือไม่ถึงที่สุด เราจะสูญเสียความรอด เมื่อหลังจากหมดลมหายใจบนโลกใบนี้ไปแล้ว  เหมือนกับผู้สอนผิดบางท่านได้สอนอย่างนี้ว่า …

            “ต้องรักษาความเชื่อไว้นะ  ต้องอดทนต่อการทดลองต่างๆ นะ  ทนให้ถึงที่สุดนะ ใครทนจนถึงที่สุดได้ จะได้รับความรอดนิรันดร์ หลังจากตายจากโลกนี้แล้ว”

            ไม่ใช่อย่างนั้น ความรอดนิรันดร์ เราเรียนรู้แล้ว หลังจากตายจากโลกใบนี้แล้ว ออกจากร่างปุ๊บ  เราก็ได้รับร่างกายใหม่ ไปพบพระเยซูคริสต์ เห็นพระองค์หน้าต่อหน้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์ ได้เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็เป็นอย่างนี้ แต่อยู่บนโลกนี้ อดทนถึงวันสุดท้าย หมายถึงว่าอดทนกับสถานการณ์บนโลกใบนี้ มันเต็มไปด้วยความสาปแช่ง โลกใบนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานอยู่แล้ว  ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ มันก็อยู่ใต้ความทุกข์ลำบากเหล่านี้ทุกคนอยู่แล้ว เราคริสเตียนก็ไม่ได้หนีห่างจากเขาเลย เราก็อยู่ภายใต้โลกใบนี้เหมือนกัน อดทนอยู่บนโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าโลกหน้ามันดีกว่าตั้งเยอะ อยากจะไปจะตาย เหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “ถ้าข้าพเจ้าเลือกได้ ข้าพเจ้าขอจากโลกนี้ ไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้าดีกว่า”

            ก็หมายถึงว่าตายดีกว่าอยู่ ตายไป ก็เท่ากับไปพักผ่อนนิรันดร์ในสวรรค์กับพระเจ้า  ไม่ต้องมาทนทุกข์บนโลกใบนี้ ลำบากลำบน  ทั้งร่างกาย ทั้งเหน็ดเหนื่อย ทั้งต่อสู้กับความโกหกหลอกลวงของมาร  มันหมายถึงอย่างนั้น  การทนทุกข์ของเรา ก็คือลักษณะที่ … สมมติ เหมือนพ่อเราพาเราไปเที่ยวเกาะสวรรค์ แล้วลงเรือไป บนเรือเต็มไปด้วยพายุ คลื่น เรียบอยู่พักหนึ่ง เดี๋ยวก็มีคลื่นมา เมาเรือ

            พ่อบอก … “อดทนหน่อยๆ เดี๋ยวจะถึงแล้ว”

            “ถึงไหน?”

            “ถึงเกาะสวรรค์แล้ว แล้วจะได้มีความสุข”

            หมายถึงอดทนอย่างนี้นะ ก็ต้องเข้าใจด้วย

            ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่อยู่ในตัวเรา ก็คือชีวิตนิรันดร์ตรงนี้ ที่พูดรวมๆ กันว่า “ชีวิตนิรันดร์ๆ” ความหมายก็คือตะกี้นี้ที่พูด ชีวิตนิรันดร์ทางด้านวิญญาณเรารู้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา เรารู้ เหมือนที่ตะกี้เราร้องเพลง  “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” เราไม่ต้องมองข้างนอก มองข้างนอก ก็ไม่มีพยานยืนยัน แต่พยานยืนยันนี้ อยู่ภายใน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา ยืนยันว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์แล้วในตอนนี้  แต่ความหวังในอนาคตอันใกล้  ที่เราเชื่อมั่นจริงๆ นั้น ก็คือพ้นจากร่างกายนี้ เราจะไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ เราทนทุกข์บนโลกใบนี้เพียงชั่วคราว  เราอยู่ในภาชนะดินอันต่ำต้อย ในขณะนี้

            แต่เรามีความหวังว่าร่างกายของเราแท้จริง จริงๆ นั้น คือเมื่อทิ้งร่างนี้แล้ว เราได้รับร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่รับก็ไม่ได้  ถึงท่านไม่เชื่อ ถูกโกหกหลอกลวงอะไรต่างๆ ความจริงย่อมเป็นความจริง คือเมื่อท่านหมดลมหายใจแล้ว พระเจ้าเตรียมร่างใหม่ไว้ให้กับท่านแล้ว ท่านจะกลัวตายอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ หรือถูกหลอกโดยมาร ให้หวาดระแวงว่าเมื่อท่านตาย จะถูกปฏิเสธ ซึ่งไม่จริง ความจริงย่อมเป็นความจริง คือท่านอาจจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบหวาดๆ กลัวๆ กระวนกระวาย แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ ท่านจากโลกใบนี้ ท่านตายเมื่อไร? ท่านพบกับพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้าทันที ตามข้อพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นความจริง เอเมนไหม? ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรานะ

            นี่คือความยิ่งใหญ่ของข่าวประเสริฐของพระเจ้า เป็นอย่างนี้ คือรอดแล้วรอดเลย  รอดจริงๆ ไม่อย่างนั้น พระเยซูจะพูดทำไมว่า …

            “แค่วางใจในเรา ท่านจะได้รับความรอด ผู้ใดเชื่อและวางใจในเรา ก็ได้รับความรอดแล้ว” แค่นั้นเอง

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรใจจดใจจ่ออยู่ที่ความจริงตรงนี้ คือเรารอดแล้ว ใจจดใจจ่อ รอเพียงจากร่างนี้ไป  แล้วรอรับร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และก็พบหน้าพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้าทันทีทันใด หลังจากหมดลมหายใจ เอเมน

            อย่าลืม สำคัญ ต้องจดจำคำนี้ไว้เลยว่าพระเยซูได้พูดอย่างนี้ ด้วยตัวของพระองค์เอง ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ และบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นข้อความที่คริสเตียนทั้งหลายควรจะจดจำไว้ อย่าให้มารขโมยเอาความจริงนี้ไป อาจจะจำตัวข้อไม่ได้ แต่ให้จำความหมายได้ก็แล้วกันว่าพระเยซูตอนอยู่บนโลกใบนี้ ได้อธิษฐาน พูดกับพระเจ้า พระบิดาเกี่ยวกับพวกเราทั้งหลาย คริสเตียนทั้งหลายไว้ว่าอย่างไรบ้าง?  ยอห์น 17:22-23 จำเอาข้อความไว้ว่าพระเยซูพูดเกี่ยวกับพวกเราไว้ว่าอย่างนี้ …

        ยอห์น 17:22-23 “เกียรติสิริ (ชีวิตนิรันดร์) ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น  ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขา (ทุกคนที่เชื่อในพระเยซู) แล้ว เพื่อพวกเขา (ผู้ที่เชื่อในพระเยซู) จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน คือข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

            เกียรติสิริ ก็คือชีวิตนิรันดร์ … ชีวิตนิรันดร์ซึ่งพระบิดาได้ประทานให้กับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้มอบให้กับพวกเขา … พวกเขาก็คือทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งรวมทั้งเราที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย  เพื่อพวกเขา ก็คือพวกผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย  จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นวิญญาณเดียวกันเลย  เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน  พระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไร? เป็นตรีเอกานุภาพอย่างไร? เราร่วมเป็นหนึ่ง เป็นตรีเอกานุภาพบวกหนึ่ง เป็นทรีอินวันบวกหนึ่ง ก็คือเราเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย  แยกกันไม่ออกเลย

            “ข้าพระองค์ขอให้พวกเขา คือคริสเตียนหรือผู้เชื่อทั้งหลายได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างสมบูรณ์” นี่ไง ให้เขามารวมกับเรา เป็นหนึ่ง เราอยู่ 3 พระภาคแล้ว  พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคอยู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ไม่มีต้น ไม่มีปลาย แต่ตอนนี้บอกว่าขอให้ผู้เชื่อ ในนามของเรา คือในพระเยซูคริสต์ ที่เป็นคริสเตียนนั้น ได้เข้ามาเป็นหนึ่งด้วย ตอนนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตรงนี้ต้องอย่าลืมเด็ดขาดเลย สำคัญมาก จำข้อไม่ได้ แต่จำความหมายได้ก็แล้วกันว่าภายในของท่านมีของล้ำค่า ก็คือวิญญาณของเราที่เป็นคริสเตียนได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคเรียบร้อยแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปไหนเลย  เพราะ 3 พระภาคก็ยิ่งใหญ่สูงสุด  เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจแล้ว  ยิ่งใหญ่สูงสุดกว่าอะไรทุกอย่างทั้งปวงแล้ว ไม่มีใครสามารถมาเอาเราออกไปจาก 3 พระภาคนี้ได้เลย เอเมนไหม?

            ยอห์น 3:15-16 พระเยซูก็พูดอย่างนี้อีก ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ อันนี้เราพอที่จะจำกันได้บ่อยๆ เพราะเอามาใช้บ่อย พูดไว้ว่าอย่างไร? …

        ยอห์น 3:15-16 “เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกและมนุษย์ จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (พระเยซู) เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ (วิญญาณ ตายอยู่ในบาป) แต่มีชีวิตนิรันดร์ (เป็นลูกของพระเจ้า)”

            “เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์” พระองค์ตรงนี้หมายถึงพระบิดา  ทุกคนที่เชื่อในพระบิดาว่าพระบิดาเป็นผู้ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ลงมาเป็นผู้ไถ่บาปให้กับมนุษย์ มนุษย์ผู้ไหนเชื่อพระบิดาว่าส่งพระเยซูมา ก็คือเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรที่พระเจ้าพระบิดาส่งมา ต้อนรับพระเยซู พระบุตร เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ที่เราพูดกันมาตะกี้นี้ ชีวิตนิรันดร์  ได้เป็นลูกของพระเจ้า และคุณภาพของชีวิตนิรันดร์ที่เราเรียนรู้กันมาทั้งหมด

            อ่านดูแล้วง่ายไหม? ง่ายมาก  ได้รับชีวิตนิรันดร์ โดยผ่านอะไร? ผ่านทางการกระทำหรือ? ไม่ใช่  ผ่านทางทำโน่นทำนี่ทำนั่น ไม่ใช่ ผ่านทางผู้ที่เชื่อในพระองค์ ก็คือเชื่อในพระบิดาว่าส่งพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน หรือเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรที่พระบิดาส่งมา ก็ได้เหมือนกัน แค่นี้เอง ก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่เป็นของมีค่า ล้ำค่ามากมาย ที่เราวิเคราะห์กันเมื่อตะกี้ทั้งหมด  ที่เกิดขึ้นภายในวิญญาณของเราเรียบร้อยเลยทันที มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย ในการที่จะรับสมบัติอันล้ำค่านี้ คือชีวิตนิรันดร์นี้ เพียงแค่เชื่อเท่านั้นเอง เชื่อพระบิดาว่าเป็นผู้ส่งพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบุตรมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เงื่อนไข ไม่มีอะไรเลย  เงื่อนไข คือเชื่อ วางใจ และมารับสิทธิ์ไปเลย  ไม่มีเงื่อนไขนั่นเอง จะบอกว่าเงื่อนไข คือเชื่อและใช้สิทธิ์ มันก็ไม่ใช่เงื่อนไข เชื่อและใช้สิทธิ์ รับฟรีๆ ต้องย้ำอีกครั้งว่าความรอดนี้ จึงเป็นของขวัญจากพระเจ้า ถึงมนุษย์ทุกๆ คน เขาถึงเรียกว่าเป็นของขวัญวันคริสต์มาส … ของขวัญวันคริสต์มาส ก็มาจากตรงนี้แหละ พระเยซูคริสต์เป็นของขวัญจากพระเจ้า  พระบิดาให้แก่มนุษย์ทุกคน

            “พระเยซูคริสต์เป็นของขวัญจากพระบิดา ให้แก่มนุษย์ทุกคน”

            ชีวิตินิรันดร์จึงเป็นสมบัติอันล้ำค่าของผู้เชื่อ และทำให้ผู้เชื่อนั้นเต็มไปด้วยความหวังและได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์  หลังจากความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ได้ผ่านไปแล้ว โดยการจากร่างกายนี้ไป ก็คือตายจากร่างกายนี้ จึงเห็นชัดเจนว่าตายดีกว่าอยู่จริงๆ ตามที่เปาโลได้พูดถึง เพราะว่าจะสามารถได้รับร่างกายใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อทิ้งร่างกายเก่านี้เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น นี่คือความจริง คริสเตียนทั้งหลายทุกคน จึงควรจะรักษาและเอาใจใส่สิ่งนี้ไว้ เหมือนที่อาจารย์ยอห์นบอกในข้อพระคัมภีร์แรกที่เราอ่านกันว่าจงระวังตัว อย่าให้ถูกขโมยความจริงนี้ไป  จงระวังตัวรักษาความจริงเหล่านี้ไว้ อย่าให้ถูกขโมย  โดยความเท็จของมารเด็ดขาด ขโมยไปมากเท่าไร? เราก็สูญเสีย ไม่ใช่ความรอดนะ สูญเสียสันติสุข ความยินดี ความสุข ทุกข์น้อยลงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้มากเท่านั้น ยิ่งถูกขโมยไปมาก ก็ยิ่งสูญเสียไปมาก ขโมยน้อย ก็สูญเสียน้อย

            เพราะฉะนั้น ความจริงนี้ ก็คือเคล็ดลับที่จะทำให้เราถูกหลอกน้อยลงที่สุด ก็คือเราจะเกิดความพึงพอใจแล้วในทุกสภาวะ ไม่ว่าสุขหรือทุกข์เรารู้ว่าเราเป็นชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่า ที่อยู่ภายในเราเรียบร้อยแล้ว ก็คือชีวิตนิรันดร์นั่นเอง นี่คือความจริง

            ความจริงนี้จะทำให้เป็นอิสระ ไม่ถูกหลอก หรือถูกหลอกน้อยที่สุด เพราะความจริงนี้ทำให้เรา เกิดความพึงพอใจ อาจารย์เปาโลพูดถึงตรงนี้ว่าอย่างไรว่าความพึงพอใจนี้ เป็นเคล็ดลับ ความจริงนี้ จึงเป็นเคล็ดลับ ที่จะทำให้เราถูกหลอกน้อย ฟีลิปปี 4:12-13 ได้บอกอย่างนี้ …

        ฟีลิปปี 4:12-13 “ข้าพเจ้ารู้จักทั้งความเป็นอยู่อย่างขัดสน และความเป็นอยู่อย่างมั่งคั่ง ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ถึงเคล็ดลับที่จะพึงพอใจในทุกสภาพ ไม่ว่าจะอิ่มหรืออด ไม่ว่าจะมีเหลือล้นหรือขาดแคลน ข้าพเจ้าเผชิญทุกสิ่งได้ เพราะมีพระคริสต์ผู้เสริมกำลังให้แก่ข้าพเจ้า”

            เคล็ดลับคืออะไร? ก็คือความจริง ไม่ใช่ความเท็จ  ความจริง ก็คือเรามี เราเป็นชีวิตนิรันดร์ เรามีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายในเราตลอดเวลา  การรู้ความจริงนี้ รักษาความจริงนี้ จึงเป็นเคล็ดลับที่จะทำให้เราเกิดความเพียงพอหรือพอเพียง พอใจแล้วในทุกๆ สิ่งที่มี ที่เป็นอยู่ เพราะไม่มีอะไรที่จะมาเทียบกับสิ่งที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว ก็คือชีวิตนิรันดร์ พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา  และตรีเอกานุภาพสถิตอยู่ภายในเรา พอเราเกิดความพอใจจากความจริงตรงนี้  มันก็จะทำให้เกิดความสุข  ทุกข์น้อยลงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เกิดสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งก็คือรางวัล พระพร บำเหน็จ บนโลกใบนี้ ก็คือความยินดี ที่อาจารย์ยอห์นได้บอกให้เราระวัง อย่าให้ถูกขโมยไป

            การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ผู้เชื่อหรือคริสเตียน ก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ความท้าทายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความหวังและความยินดีของเรา มาจากชีวิตนิรันดร์ ในพระคริสต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้สามารถเทียบได้เลย และความจริงที่สุด ก็คือพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ดี และดีตลอดเวลา อย่าให้ใครมาขโมยความจริงนี้ไปจากใจของเราได้เลย

            สาเหตุที่เราถูกหลอกบ่อยๆ และเข้าใจพระเจ้าผิดก็เพราะอะไร? สาเหตุที่คริสเตียนถูกหลอก หรือไม่ใช่คริสเตียนก็ถูกหลอก เข้าใจพระเจ้าผิด พระเจ้าโหดร้าย พระเจ้าเห็นแก่ตัว พระเจ้าทำไมทำอย่างนี้กับเรา เราถูกหลอกลวง ก็เพราะมนุษย์ทุกคนไม่มีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เพราะเขายังมีความอยากได้ใคร่มีอยู่ รู้สึกไม่พอเพียง จึงต้องหาเพิ่มๆ ตลอด ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียนก็เป็นอย่างนี้แหละ

            คริสเตียนเรา ถ้ารู้ความจริง เราจะได้เปรียบเยอะ ก็เพราะเราได้ทุกสิ่งเรียบร้อยแล้วทางฝ่ายวิญญาณ เราได้รับของมีค่าอันมากมายมหาศาล ก็คือชีวิตนิรันดร์ที่ตะกี้เราพูดกัน  อยู่ภายในร่างกายเราเรียบร้อยแล้ว

            เพราะฉะนั้น ถ้าเราค้นหาทรัพย์อันมีค่า  ที่อยู่ภายในเรา เราก็จะเกิดความพอใจ เพราะมันมีอยู่จริงๆ อยู่ในเรา ไม่ใช่ถูกหลอกให้แสวงความพึงพอใจจากภายนอก  ภายนอกตัวเรา ก็คือโลกใบนี้ ซึ่งมันอันตรายมาก พระเจ้าแนะนำเราอย่าไปพึ่งพา อย่าไปแสวงหาสิ่งของที่อยู่ฝ่ายโลกนี้  คือฝ่ายวัตถุนี้ที่ตามองเห็นได้ มันหลอกเรา มันคืออาณาจักรของความมืด  มันมีแต่ความเท็จ มีแต่การโกหก มีแต่ของชั่วคราว ไม่ยั่งยืนทั้งนั้น ของจริง ของแท้แน่นอนที่สุด อยู่ที่ภายในเรา ข้างนอกมีแต่ความหลอกลวง มีแต่การขโมย ฆ่า และทำลาย  มีแต่อิทธิพลของมาร

            ถ้าเราไปมองแต่ข้างนอก ก็คือมองโลกใบนี้ทั้งหมด เราจะเกิดความทุกข์ เราจะถูกขโมยความจริงไป แต่ถ้าเรามองภายในตัวเรา ซึ่งมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ พระวิญญาณจะสอนเรา  จะบอกเราถึงความจริงเหล่านี้ อย่างเช่นในเอเฟซัส 1:3 …

        เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญเทิดทูนพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงประทาน พระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายแล้ว ในสวรรคสถาน”

            “ผู้ได้ทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ แก่เราทั้งหลายแล้วในสรรคสถาน” ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระองค์ทรงประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเราเรียบร้อยแล้ว อยู่ภายในตัวเรานั่นแหละ  แล้วให้เราทำอะไร? อย่าลืม อย่าถูกขโมย  ให้เราขอบคุณพระเจ้าในพรนานัปการในฝ่ายวิญญาณนี่แหละ ให้เรามองไปที่พรนี้ ที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่มีอยู่จริงๆ  ซึ่งเราได้รับเรียบร้อยแล้ว แล้วเรียนรู้ความจริงนี้ แล้วก็เรียนรู้ที่จะพอใจว่า “ฉันมีเหลือเฟือเลย” ก็ทำให้เราไม่หลงเชื่อคำหลอกลวงจากภายนอก  ซึ่งมาจากมาร ให้เราแสวงหาเพิ่มเติม จากที่เรามีอยู่แล้ว มันหลอกให้เราทำเพิ่มอีก  ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่กำลังนิยมอยู่ขณะนี้ ที่กำลังเป็นข้อพิพากกันขณะนี้ ก็คือไฟพระวิญญาณ … พระวิญญาณ ก็คือพรอันหนึ่งที่อยู่ในเรา พระเจ้าประทานให้เรียบร้อยแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว และพรนานัปการทางฝ่ายวิญญาณให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  อยู่ภายในเราแล้ว 

            ถ้าเราไม่พอใจ เราก็จะไปหาภายนอก  หาพระวิญญาณเพิ่มเติม หาไฟพระวิญญาณ หาฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณ หาความช่วยเหลือจากภายนอกทั้งหมด เราก็มีสิทธิ์ที่จะถูกหลอกได้ ซึ่งจริงๆ แล้วพระองค์ประทานให้หมดแล้ว  การได้ใกล้ชิดกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับตรีเอกานุภาพ อยู่ในตัวเราเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าเรายังไม่พอใจ ถูกหลอกว่าอยากจะอยู่ใกล้พระเจ้า อยากจะอยู่ใกล้พระเยซูมากขึ้น ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ เราก็จะถูกหลอกไปเรื่อยๆ ไปแสวงหาการใกล้ชิดกับพระเยซูจากภายนอก  ซึ่งมันไม่ใช่ ความจริงมันอยู่ข้างใน เราเป็นหนึ่งกับพระองค์เรียบร้อยแล้ว พระองค์เป็นลำต้น เราเป็นกิ่งก้าน สวมเข้าไป ติดสนิทอยู่กับพระองค์ แนบแน่นอยู่กับพระองค์ ไม่มีอะไรสนิทกว่านี้อีกแล้ว  ไม่มีทางใกล้ชิดมากกว่านี้อีกแล้ว อย่าถูกหลอกว่า …

            “มาทำอย่างนี้สิ ถ้าอยากอยู่ใกล้พระเยซูต้องทำอย่างนี้ มาที่นี่สิ จะได้อยู่ใกล้พระเยซู”

            ท่านอยู่ใกล้ที่สุดแล้ว คือเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู ไม่มีวันที่จะแยกจากกันเลย เอเมนไหม? และต้องรับรู้ความจริงด้วยว่าบนโลกใบนี้ ท่านต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่พึงพอใจ ต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดาของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่าถูกหลอกว่าไม่พอใจอีก เกิดปัญหา ความลำบากลำบนในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็บอกว่า …

            “ไม่ได้หรอก ฉันขาดอันโน้น ฉันขาดอันนี้ ขาดความเชื่อมั้ง ขาดการกระทำอะไรบางอย่างมั้ง ที่ทำให้ฉันไม่ได้ความสุข ไม่ได้สิ่งที่ฉันต้องการ”

            ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ ไม่ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ คนไม่เชื่อก็อยู่ในความทุกข์ลำบากเหล่านี้เช่นเดียวกันกับเรา เหมือนกัน เรายังดีกว่า ตรงที่เรายังมีพระเจ้า สถิตอยู่ภายใน พระเจ้ายังช่วยเหลือเราได้ตามน้ำพระทัยของพระองค์  เพราะโลกนี้อยู่ในคำสาปแช่ง ตกลงไปในคำสาปแช่งอยู่แล้ว เราอยู่ใต้โลกนี้ เราก็อยู่ใต้คำสาปแช่งเหล่านี้ อยู่ใต้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ และถ้าเรารับไม่ได้ เราก็ถูกหลอกอีก หลอกให้ไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ซึ่งถูกหลอก

            เราก็นึกว่า … “เพราะว่าเราทำไม่ดีอย่างนั้น พระเจ้าจึงสาปแช่งเรา เพราะเราทำไม่ดีอย่างนี้ พระเจ้าจึงไม่อวยพรเรา เพราะเรา ….”

            เพราะเราไปหาความรู้จากข้างนอก ข้างนอกมีแต่ความโกหก หลอกลวง พยายามจะต่อต้านพระเยซูคริสต์ ต่อต้านพระเจ้า ก็เลยใส่ร้ายพระเจ้าบอกว่า …

            “พระเจ้าทำให้เธอเป็นอย่างนี้”

            ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เลย  ซึ่งเมื่อเราพิจารณาถึงสิ่งที่ร้ายๆ หรือสถานการณ์ที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ใจบนโลกใบนี้ สิ่งสำคัญที่สุด ที่เราควรมอง คือการมองให้เห็นผ่านมุมมองของความเชื่อและความหวังใจในพระเจ้า และความจริงในพระเจ้าอย่างเดียวเท่านั้น ต้องมองตามถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกพระเจ้าเป็นพระเจ้าดี ก็คือพระเจ้าดี อย่ามองข้างนอก แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้  แต่เราสามารถมั่นใจว่าพระเจ้าเราทรงเป็นพระเจ้าที่ดี และดีตลอดเวลาจริงๆ นี่คือเคล็ดลับและพระเจ้ามีแผนการที่ดีสำหรับเราทุกคนแน่นอน 100% แต่เราไม่รู้ว่าแผนการนั้นเป็นอย่างไร? แต่พระคัมภีร์บอกแล้วว่าพระองค์จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรานั้น เป็นผลดี สำหรับเราเสมอ ผู้ที่รักพระองค์ ก็คือเราผู้เชื่อ คริสเตียน

        ในข้อพระคัมภีร์โรม 8:28 ได้บันทึกไว้ … “และเรารู้ว่าในทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”

        และในมัทธิว 28:20 พระเยซูสัญญากับเราว่า … “สอนเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่ง ที่เราสั่งพวกท่านไว้ และแน่นอนเราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปตราบจนสิ้นยุค”

            อยู่ภายในเรา อยู่กับเราเสมอจนสิ้นยุค พระเยซูพูดเองเลยนะว่า “จงมองให้เห็นเถิด เราจะอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดไป เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลกนี้เลย”  เราต้องยึดคำเหล่านี้ไว้ อย่าให้มารมันขโมยความจริงเหล่านี้ไป

            และวิธีระวัง ก็คือให้จดจ่อความคิดไปที่ภายใน ในโลกวิญญาณที่อยู่ภายในตัวเรานั่นแหละ อย่าพยายามมองข้างนอก  พยายามจดจ่อ จดจ้องอยู่ภายในวิญญาณ ไม่ใช่ภายนอก ในโลกวัตถุที่ตามองเห็น ซึ่งมีแต่ความชั่วร้าย มีแต่ความมืด  พระคัมภีร์จึงบอกให้เรามองไปในสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง แต่สิ่งที่เราเห็นมันไม่มีอยู่จริง มันมีอยู่ชั่วคราว นี่คือพระคัมภีร์เน้นอย่างนี้ตลอดเวลา …

            “จงมองให้เห็นเถิด จงมองให้เห็นเถิด”

            ก็คือมองไปในสิ่งที่มองไม่เห็น  แต่ด้วยความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า  เห็น อย่างนี้เรียกว่าความเชื่อ ต้องระมัดระวังอย่าให้มารมันขโมยเด็ดขาด การไม่ให้มารขโมย ก็ให้ระวังเฉยๆ  แต่ก็อย่าถูกหลอกอีกว่าอ้าว! ในพระคัมภีร์บอกให้ระวังมาร  มันมาขโมย พระคัมภีร์บอกให้ระวังมาร ก็เกิดการ  แทนที่จะระวังเฉยๆ แต่กลายเป็นกลัวมาร  พระคัมภีร์บอกให้ระวัง ไม่ได้หมายถึงกลัว เพราะมันไม่มีอำนาจอยู่เหนือเราเลย  แม้แต่นิดเดียว  เขาเรียกว่าให้รู้เขารู้เรา ชนะ 100 ครั้ง ต้องรู้ว่าเขาไม่มีอำนาจเลย แต่เรามีอำนาจอยู่เหนือเขา 100%

            พูดถึงมาร หรือวิญญาณชั่ว หรือผีต่างๆ ที่เราคุยกันกับสิทธิอำนาจของคริสเตียนในพระเยซูคริสต์ ซึ่งขณะนี้ก็มีคนขัดแย้งกันอยู่ตรงนี้เยอะ เพราะถูกหลอก เพราะความจริงนี้ไม่ได้อยู่ในตัวเขา เพราะเขาไม่ได้มองดูภายในเขาว่าภายในเขา อย่างที่ตะกี้นี้บอก เรามีของล้ำค่า มีสิทธิอำนาจสูงสุดอยู่ภายใน ตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอก  พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเราแล้ว จะมีใครใหญ่กว่าเรา  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา จะมีใครใหญ่กว่าเรา ผีหรือวิญญาณชั่ว ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าวิญญาณโสโครก พระคัมภีร์เรียกอย่างนี้นะ วิญญาณโสโครก มันมีอยู่จริง พวกมัน คือพวกที่กบฏต่อพระเจ้า แล้วถูกโยนลงบนโลก แม้เราจะไม่รู้แน่ชัดว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง

            แต่สิ่งที่แน่นอน คือมันอยู่ภายในการควบคุมของพระเจ้า โดยสิ้นเชิง มันไม่มีอำนาจเลยแม้แต่นิดเดียว  มันไม่อาจละเมิดกฎของพระเจ้า  หรือเจตจำนงของพระเจ้าได้เลย และพระเจ้าผู้ควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งสถิตอยู่ภายในเรา  เป็นหนึ่งเดียวกับเรา เป็นพ่อเรา จะบอกให้นะว่าผีหรือวิญญาณชั่วต่างๆ มันมีอยู่จริง แต่มันไม่สามารถบังคับจิตใจของมนุษย์ได้เลย  มนุษย์นะ ไม่ใช่คริสเตียน มันบังคับมนุษย์ยังไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มีอำนาจแล้ว เว้นเสียแต่ว่ามนุษย์จะยอมให้สิทธิ์แก่มันเอง เพราะผีมารซาตาน เป็นเพียงวิญญาณในการโกหกหลอกลวงเท่านั้น มันไม่มีอำนาจอยู่เหนือมนุษย์เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันไม่มีอำนาจอยู่เหนือผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย เว้นแต่ว่าคริสเตียนเหล่านั้น จะเปิดประตูให้มันเข้ามาเอง ซึ่งมันก็ไม่สามารถเข้ามาได้อยู่ดี เพราะว่าต่อให้คริสเตียนคนนั้นเปิดความคิด แต่มารมันโดดเข้ามาสิงเลยไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้า 3 พระภาคสถิตอยู่ภายในเรา  มันเข้ามาไม่ได้ พระเจ้าไม่แบ่งที่ให้มันเด็ดขาด แต่คริสเตียนคิดไปเองว่ามันเข้ามาได้แค่ความคิด ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่ามันได้แค่เห่า ได้แค่ส่งเสียงคำราม ขู่ให้เรารู้สึกว่ากลัว และเรารู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าถ้อยคำของพระเจ้าบอกแล้วว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ใหญ่กว่ามันผู้นั้นที่อยู่ในโลก

            แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับคริสเตียน หรือไม่ใช่คริสเตียน ถ้าเผื่อไปสุงสิงหรือยุ่งเกี่ยวกับมาร  ก็คือผู้ที่ยอมให้มัน ก็คือผู้ที่อ่อนแอทางจิตใจ หรืออ่อนแอทางจิตวิญญาณ  ซึ่งอาจถูกมันหลอกลวง  หรือครอบงำได้ แต่มันก็เป็นกรณีน้อยมาก มันไม่ได้พบมากเลย อย่างที่บอก มันเข้ามาสิงไม่ได้หรอก แม้ไม่เชื่อพระเจ้า อยู่ดีๆ มันเข้าไปสิงไม่ได้ นอกจากจะไม่เชื่อพระเจ้า แล้วก็ไปสุงสิงกับมันมากนัก มากเกิน แล้วมอบสิทธิให้มัน พระเจ้าจึงเตือนมนุษย์อย่างชัดเจนว่าให้หลีกเลี่ยงสิ่งที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ เช่น การทำนายดวงชะตา  การเล่นไสยศาสตร์  การเรียกวิญญาณ  การเล่นวิญญาณอะไรต่างๆ พวกหมอผีต่างๆ เหล่านี้ ให้หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ การดูดวง ใช้อำนาจจิตอะไรต่างๆ เหล่านี้ ที่มองไม่เห็น อย่าไปยุ่งเกี่ยว บอกมนุษย์ทั้งหมด เตือนมนุษย์ทั้งหมด

            เพราะสิ่งเหล่านี้ อาจจะเป็นประตู หรืออาจจะทำให้เกิดเปิดทางให้มารเข้ามาแทรกแซงชีวิต พวกหมอผี นักดาราศาสตร์เหล่านี้  ที่เขาเรียกว่าความคิดหรือจิตอ่อน มันมีความรู้สึกไปทางวิญญาณมากกว่าคนอื่นเขา  มากกว่าเหตุผล  เขาเรียกว่ามนุษย์สายมู คือสายวิญญาณทั้งหลาย เอะอะอะไร ก็นึกถึงวิญญาณๆ ไม่นึกถึงเหตุผล เขาว่ากันว่าพวกจิตอ่อน หรือว่าที่มีความคิดไปทางสายมู เขาว่ากันว่าพอเห็นดาวตก อุกาบาตรตกปุ๊บ สายมูจะวิ่งไปล้อมรอบบูชา หรือว่าเก็บมาบูชาที่บ้าน ไปคิดต่อแล้วกันว่าทำอะไร?  ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็มีมนุษย์ที่มีจิตแข็ง สายที่มีสติปัญญา ความคิด พอมีดาวตกเขาทำอย่างไร? เขาก็ไป เอามาวิเคราะห์ตามหลักวิทยาศาสตร์ว่ามันมาจากไหน? มันร่วงมาได้อย่างไร? เพราะอะไร? มีผสมแร่ธาตุอะไรบ้าง? แร่ธาตุนี้อยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้มีไหม? มันต่างกัน ใช่ไหม? นั่นแหละ สายมูเป็นอย่างนั้น ซึ่งพระเจ้าก็ไม่ต้องการให้เราไปยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว  อย่างนี้เป็นต้น

            สำหรับคริสเตียน ผู้ที่มอบชีวิตให้แก่พระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ได้มีชัยเหนืออำนาจของมาร วิญญาณชั่วทั้งสิ้น รวมทั้งเราด้วย  มีอำนาจอยู่เหนือมันหมดแล้ว เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ บัดนี้ พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์ประทับอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน มีอำนาจอยู่เหนือสูงสุด แล้วเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็มีอำนาจอยู่เหนือสูงสุดเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวอะไรเลย  แต่ขณะเดียวกัน อย่างที่บอก เราก็ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าไม่อยากให้ไปยุ่ง ยุ่งแล้วก็เกิดปัญหาอย่างที่บอก เกิดปัญหาทางความคิดของเรา ทึกทักไปว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ต่างๆ เหล่านั้น

            สิ่งที่เกิดในโลกนี้ ล้วนอยู่ภายใต้การอนุญาตของพระเจ้าทั้งสิ้น  พระเจ้าผู้ทรงครอบครองทุกสิ่งด้วยความยุติธรรมและความรัก พระองค์ไม่ลำเอียง  และควบคุมทุกอย่างตามน้ำพระทัยอันบริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อให้แผนการแห่งความรอดของพระองค์สำเร็จ สมบูรณ์ในที่สุด  ให้ความรอดของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ ไปถึงบรรดามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ นี่คือน้ำพระทัยอันสมบูรณ์ของพระเจ้า และพระองค์ควบคุมทุกอย่างอยู่ เราต้องเข้าใจความจริงตรงนี้  ในความทุกข์ยากลำบากที่เราต้องเผชิญบนโลกใบนี้  ถ้าเราปฏิเสธความจริงเหล่านี้ เราก็จะถูกหลอกไปสายมู

            พอออกไปหาความจริงจากภายนอก เราก็อาจจะถูกหลอกเข้าไปอยู่สายมูเช่นเดียวกัน  อยากจะหาอัศจรรย์เอย อยากจะหาสิ่งที่เหนือธรรมชาติ อยากจะร่ำรวยเหมือนคนที่อยู่บนโลกนี้ ที่เขาหาสายมูเอย อะไรต่างๆ เหล่านั้น

            นอกจากนี้แล้ว เมื่อเกิดความทุกข์ยากลำบาก เรายังสามารถที่จะมองเห็นความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เป็นการเตือนใจให้เรามีความหวังในชีวิตนิรันดร์ และมีความมั่นใจในความรัก และพระคุณของพระเจ้า ที่มีให้กับเราเสมอ ในขณะที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ แต่เรามีพระเจ้าอยู่ คอยปลอบโยน คอยนำพา คอยช่วยเหลือเท่าที่พระองค์จะทรงสามารถทำได้ พระองค์ก็ทำให้เราสงบ พาเราเดินผ่านพายุแห่งความทุกข์ยากลำบากไปได้ด้วยดี  บางครั้งพระองค์ทรงทำให้พายุนั้นสงบ และพาเราเดินผ่าน แต่บางครั้งทำให้เราสงบ และเดินผ่านพายุไปกับพระองค์ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น เราก็เดินผ่านไปกับพระองค์เหมือนกัน

            นี่คือวิธีการที่รักษาพระพรของพระเจ้าในการเป็นคริสเตียน ในการได้รับพระพรอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คืออย่างนี้  ความหวังตามน้ำพระทัยพระเจ้าอย่างนี้ อยู่บนรากฐานของความจริงของข่าวประเสริฐ คือใน 2 โครินธ์ 4:16-18 นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า …

        2 โครินธ์ 4:16-18 “16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์) ของเรากำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเรา เข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”

            ฉะนั้น หลักการที่สำคัญ ก็คือ …

            “ดังนั้น  เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน เหมือนเงา แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”

            ไม่ว่าท่านจะเชื่อพระเจ้าอย่างไรก็ตาม  ไม่ว่าท่านจะเผชิญกับความทุกข์ขนาดไหนก็ตาม พระเยซูสถิตอยู่ในเรา อยู่ในท่าน พระองค์ทรงรับรู้ด้วยความรัก ความห่วงใยว่าท่านกำลังเผชิญอยู่ พระองค์ทรงรู้และเข้าใจดี จงมีกำลังขึ้นในพระองค์ จงอดทน ก้าวเดินต่อไปกับพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อ ด้วยความหวัง และความรักในพระเยซูคริสต์ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือความจริงที่อยู่ภายใน ที่ตามองไม่เห็น ที่เราต้องรักษาไว้ และเฝ้าระวังให้ดี ไม่ให้ถูกขโมยไป จากเราโดยมารได้ เพื่อเราจะได้รับรางวัลบนโลกใบนี้ด้วย คือพรในการดำเนินชีวิต อย่างมีสันติสุข ความสงบสุข และความสุข ทุกข์น้อยลงบนโลกใบนี้  จากการพอใจในสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่เป็นอยู่ และเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้พบกับพระเยซูหน้าต่อหน้า และรับร่างกายใหม่ และอยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์  เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

ากใจคณะศิษยาภิบาล

            อัศจรรย์! “มนุษย์ทุกคนสามารถเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าได้” ง่ายนิดเดียว!

            1 ยอห์น 5:1 … “ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ก็ได้บังเกิดจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า และทุกคนที่รักพระเจ้าพระบิดาผู้ให้กำเนิด ก็รักลูกคนอื่นที่เกิดจากพระองค์ด้วย”

            มนุษย์ผู้ใดก็ตาม ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสสิยาห์ เป็นพระคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงส่งมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป

            ความเชื่อนี้ จะทำให้เขาคนนั้นบังเกิดใหม่ จากพระวิญญาณของพระเจ้า กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า และเขาจะรักพระเจ้า ในฐานะเป็นพระเจ้าพระบิดาผู้ให้กำเนิด นอกจากนี้ เขาจะรักบรรดาผู้เชื่อคนอื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้า เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นการแสดงถึงการเกิดใหม่จากพระเจ้า

            1 ยอห์น 4:7-8 … “7 เพื่อนที่รักทั้งหลาย ให้เรารัก (สำแดงความรักจากภายในวิญญาณ) ซึ่งกันและกัน เพราะความรักเกิดจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้บังเกิดจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะเป็นความรักเหมือนพระเจ้า (ธรรมชาติภายในวิญญาณก็จะรักพี่น้อง ผู้เชื่ออื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้าเช่นเดียวกัน) และรู้จัก คุ้นเคยกับพระเจ้า 8 ผู้ที่ไม่รัก (ไม่สามารถรักพระเจ้า และคริสเตียนผู้เชื่อ ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า จากธรรมชาติ ภายในวิญญาณ) ก็ไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก”

            ความรักนี้ เป็นผลจากการที่เราได้บังเกิดใหม่ ด้วยชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า มีพระลักษณะของพระเจ้า ดำรงอยู่ในวิญญาณของเรา ที่พระองค์ทรงประทานให้

พระเจ้าเป็นความรัก เราทั้งหลายผู้เชื่อ ก็เป็นความรัก เหมือนพระองค์ เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์

            ยอห์น 3:16 … “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ  (ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป) แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์”

            พระเจ้าอวยพรครับ