คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2025
เรื่อง “หนังสือโคโลสี” ตอน 6
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในหนังสือโคโลสี 1:12 บอกว่า …
โคโลสี 1:12 “ในการขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงทำให้พวกท่าน เหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง”
ตรงนี้ในสัปดาห์ที่แล้ว ข้อ 11 บอกว่า …
โคโลสี 1:11 “ได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งขึ้น ด้วยฤทธิ์อำนาจทั้งมวลตามฤทธานุภาพอันทรงเกียรติสิริของพระองค์ เพื่อท่านจะทรหดอดทนอย่างยิ่งและมีความชื่นชมยินดี”
แล้วจากนั้น อาจารย์เปาโลก็มาขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าพระบิดาทรงเป็นผู้กระทำให้เรา หมายความว่าตรงนี้ เราไม่ได้ทำเอง ไม่ใช่เพราะการทำดี การประพฤติดีของเรา ทำให้เราเหมาะสมที่จะมาเป็นลูกของพระองค์ แต่ตรงนี้ อาจารย์เปาโลพูดชัดเจนเลยว่าพระบิดาเอง เป็นผู้ทรงกระทำให้พวกท่าน ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เชื่อวางใจในพระเจ้าเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระองค์ คือเหมาะสมที่จะเข้ามาเป็นประชากรของพระเจ้า เป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ มาเป็นหนึ่งเดียวกัน มาเป็นครอบครัวเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเป็นผู้ทำ เราถูกย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่างเรียบร้อยไปแล้ว ข้อที่ 13 บอกว่า …
โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”
พระเจ้าเป็นผู้กระทำทั้งหมดเลย โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ได้ย้ายพวกเรา เกิดการเคลื่อนที่ในโลกวิญญาณ มีการย้ายสถานที่ของมนุษย์แต่ละคน ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก่อนหน้าที่เราเปิดใจ เราอยู่ในอาณาจักรของความมืด เราอยู่ในอาดัม เราอยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง คือเกิดมา ก็อยู่ตรงนั้นแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย เกิดมาไม่ต้องทำบาปเลย เราก็เป็นคนบาปแล้ว เกิดมายังไม่ทันได้ทำบาปเลย เราก็ถูกสาปแช่งเรียบร้อยไปแล้ว เพราะว่าเราเกิดมาเป็นอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไร เด็กตัวน้อย เพิ่งคลอดออกมาจากครรภ์ของมารดา หายใจเท่านั้นเอง เขาเป็นคนบาปแล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เพราะว่า DNA ของมนุษย์ทุกคนเป็น DNA บาป มาจากบรรพบุรุษของเรา คืออาดัม
ฉะนั้น พระเจ้าได้ย้ายเราจากอาณาจักรของความมืด คำสาปแช่ง และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งพระบุตรที่รักของพระเจ้า ก็คือย้ายจากที่เดิมในความมืด เข้ามาสู่ที่ใหม่ คือในที่สว่าง ในที่ที่มีพระเจ้าอยู่ด้วย ในที่ที่พระเยซูคริสต์ได้สถิตอยู่กับเรา นี่คือในโลกวิญญาณ ณ เวลานี้ ผู้เชื่อทุกคนเป็นอย่างนั้นเรียบร้อยไปแล้ว ในข้อที่ 14 บอกว่า …
โคโลสี 1:14 “ในพระบุตรนี้เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”
ในพระบุตร ในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ใน” ใน ก็คือมันอยู่ข้างใน เราทุกคนผู้เชื่อ อยู่ในพระคริสต์ แล้วพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา นี่คือภาพของโลกวิญญาณที่มันเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น ในพระบุตร คือในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้รับการไถ่บาป ก็คือไถ่ไปเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าได้ไถ่เรา จากการเป็นมนุษย์บาป มาเป็นมนุษย์แห่งความชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว คือการอภัยโทษบาปของเรา อภัยหมดเลยนะ
พระคัมภีร์บอกว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ หลั่งลงมาครั้งเดียว ได้ชำระมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ ชำระบาปของเขาหมดสิ้น ตั้งแต่บาปในอดีต ก่อนมาเชื่อพระเจ้า บาปในปัจจุบันที่เราได้เชื่อพระเจ้าแล้ว กำลังนั่งอยู่แถวนี้ เมื่อเราทำบาป พระโลหิตของพระเยซูก็ชำระเรา คือมันอัตโนมัติ เหมือนเป็นโปรแกรมที่พระเจ้าเขียนเอาไว้แล้ว ทันทีที่ผู้เชื่อทำบาปปุ๊บ โปรแกรมมันจะลบออกเอง โดยอัตโนมัติ แล้วอนาคตข้างหน้า เรายังคงมีโอกาสที่จะทำบาปอีก ทำไมผู้เชื่อมีโอกาสทำบาป เพราะว่าร่างกายของเรา แม้ถูกชำระให้สะอาดแล้ว เป็นวิหารของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคแล้ว แต่ร่างกายนี้ ยังเป็นร่างกายที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ ฉะนั้น โอกาสที่เราจะถูกล่อลวงให้ทำบาป มันมีทุกโอกาส ทุกเวลา
บาป คืออะไร? หลายคนคิดว่าต้องบาปใหญ่ๆ พระเจ้าจึงถือว่าบาป ถ้าเราแค่ไปค้อนเขานิดหนึ่ง ไม่น่าบาป เห็นคนนี้หมั่นไส้ ขอค้อนนิดหนึ่ง บาปไหม? ในสายพระเนตรของพระเจ้าบาป ก็คือไม่ว่าบาปเล็ก บาปน้อย บาปฝอย พระเจ้าถือว่าบาปหมด ก็คือในพระคัมภีร์บอกว่าแค่เรานั่งเฉยๆ รู้ว่าสิ่งนี้ดี แล้วเราไม่ทำ เรานั่งเฉยๆ เราทำเป็นไม่สนใจ นั่นก็บาปแล้ว
แล้วพี่น้องลองคิดดูว่ามีมนุษย์คนไหน บนโลกใบนี้ที่จะสามารถช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากความบาปได้ มันไม่มีทางอยู่แล้ว พึ่งพระเจ้าอย่างเดียว พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้พวกเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเราขอบคุณพระเจ้า พวกเราที่มานั่งอยู่ตรงนี้ เราได้รับพระคุณตรงนั้นเรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูได้ทรงอภัยโทษบาปของพวกเราทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้ว บาปอดีต ปัจจุบันและอนาคตด้วย คือทำสำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จ” คือไม่ต้องไปทำต่อ คือหลายคนคิดว่าพระเยซูทำสำเร็จ เดี๋ยวเราไปขอต่อนิดหนึ่งได้ไหม? ไม่ต้อง
พระเยซูบอก “ไม่ต้อง ฉันทำเสร็จแล้ว เธอไม่ต้องทำต่อ เธอแค่นั่งสวยๆ แล้วก็รับเอาเท่านั้นเอง”
รู้จักไหม? นั่งสวยๆ แล้วก็รับเอาเท่านั้นเอง รับเอาพระพร รับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว แค่นั้นพอ ไม่ต้องไปทำอะไรเยอะแยะมากมาย แล้วเราจะเห็นพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของพวกเรา แม้หลายครั้ง เหตุการณ์เยอะแยะมากมาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา มันไม่ถูกใจเราเท่าไร? มีใครสามารถบอกว่าทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเรา เราถูกใจๆ ไม่มี มันมีบางเรื่องที่ไม่ถูกใจ บางเรื่องเรารู้สึก …
“ไม่น่ามาเลย พระองค์เจ้าข้า ไม่โอเคๆ” เราก็จะพูดภาษาของเรา “เหตุการณ์นี้มาทำไม พระองค์เจ้าข้า มันไม่โอเค”
แต่ว่าอย่างที่บอก พระเจ้าบอกว่าทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา พระองค์จะเอื้ออำนวยให้เป็นผลดี สำหรับผู้ที่รักพระองค์ เอเมนไหม? แล้วเรารักพระองค์ไหม? ต้องใช้คำว่าโคตะระรัก ใช้คำนี้ โคตะระรักพระองค์เลย แล้วความรักตรงนี้ ไม่ได้มาจากความสามารถของเราอีก ฟังแล้วงงไหม? ไม่ได้มาจากความสามารถของเรา เพราะความรักนี้มาจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ใส่ความรักลงมาในวิญญาณของเรา เราเกิดมา ก็รักพระองค์เลย เกิดมาเป็น เกิดมาเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังพระองค์ เป็นวิญญาณที่รักพระองค์
อย่างที่พระเยซูบอกเราว่า … “ให้เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน และให้รักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด”
เรารักเองไม่ได้หรอก ไม่มีทาง แต่พระเจ้าเป็นผู้ใส่ความรักนี้ ลงมาในวิญญาณใหม่ของเรา ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราได้บังเกิดใหม่ ความรักมันอยู่ในตัวเราแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่พระเยซูสั่ง มันไม่เป็นภาระ คือเราไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกาย เพื่อให้ไปรักพระเจ้ามากขึ้น บางทีเราถูกหลอก เมื่อก่อนถูกหลอก …
“พระองค์เจ้าข้า ลูกอยากรักพระองค์มากเลย อยากรักมากขึ้นกว่านี้”
พระเจ้าก็บอกว่า “เธอไม่ต้องพยายามหรอก เพราะตรงนั้น ฉันทำให้เธอเรียบร้อยแล้ว ก็คือฉันทำให้เธอรักฉัน 100% เรียบร้อยไปแล้ว”
ในวิญญาณนะ แต่ส่วนการกระทำ ก็ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ฝึกฝนไป ฉะนั้น ตรงนี้ มันเกิดขึ้น เรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ คือเรารักพระเจ้าแล้ว รัก100% ด้วย รักสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด ความรักตรงนี้ เป็นของประทานที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณเราเรียบร้อยไปแล้ว รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง ความรักนี้ พระเจ้าก็ให้มาแล้ว มันไม่เป็นภาระ พระเจ้าทำให้แล้ว เราสามารถรักคนอื่นเหมือนรักตัวเราเอง ตรงนี้ในโลกวิญญาณมันเสร็จไปแล้ว แต่ในโลกวัตถุ เราอาจไม่สามารถรักได้ขนาดนั้น ก็ได้ ไม่เป็นไร ก็ฝึกฝนกันไป แยกนะ ถ้าพี่น้องแยกตรงนี้ปุ๊บ เราก็จะไม่ถูกหลอก เพราะพฤติกรรมที่เราทำ เราก็จะคุยกับพระเจ้าว่า …
“พระองค์เจ้าข้า เราไม่สามารถรักคนนี้ได้เลย ทำอย่างไรก็รักไม่ลง ดูแล้วไม่ไหว พระองค์เจ้าข้า ดูแล้วอึดอัด แค่หางตามองปุ๊บ ข้างในหงุดหงิดๆ แต่เขาเป็นผู้เชื่อ เขาเป็นลูกของพระองค์ เขาเป็นพี่น้องเราในพระคริสต์”
พระเจ้าถือสาเราไหม? พี่น้องว่าพระเจ้าถือสาเราไหม? ไม่ถือสา เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะพระเจ้ารู้ว่าร่างกายเรา เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ค่อยๆ ฝึกฝน พี่น้องจะสังเกตว่าการพัฒนาของเราจะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราจะมีความรู้สึก มองไปมองมา เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก เราก็พอรับได้อยู่ แล้วเราก็ค่อยๆ พัฒนาความรักที่มันเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา เพิ่มพูนเข้ามาๆ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทรงช่วยเรา ให้เราสามารถที่จะรักเขาได้ อาจจะไม่ได้แบบจี่จ๋า แบบเหมือนบางคน เราเห็นแล้วรักเลย พี่น้องเป็นไหม? ไม่ต้องพยายามเลย เห็นปุ๊บ รักจังเลย เขาทำอะไรให้เราไหม? ยังไม่เคยทำอะไรให้เราเลย
ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าถูกชะตา ดูแล้วถูกชะตามากเลยคนนี้ เห็นปุ๊บ รักเลย มันอัตโนมัติ แล้วคนที่เราเห็นปุ๊บรัก ไม่ว่าเขาทำผิดอะไรแค่ไหน? รักเขาเหมือนเดิม ไม่เป็นไร นิดหน่อย โอเคๆ ผ่านไป มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
แต่ถ้าคนที่ไม่ถูกชะตา เรามอง แล้วขัดหู ขัดตา ขัดใจ เขายังไม่ทันทำอะไรให้เราเลย แค่เห็น เราก็ขัดใจแล้ว ไม่ถูกใจ หรือพอเขาทำอะไรนิดหนึ่ง ยิ่งไม่ถูกใจใหญ่ …
“อย่ามาทำใกล้ๆ ฉัน ไปไกลๆ” อะไรประมาณนั้น
นี่คือภาพให้เราเห็น ตัวตนของเรา ในร่างกายนี้ เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ฉะนั้น เราจะพัฒนา ค่อยๆ ฝึกฝน แล้วพระเจ้าก็จะค่อยๆ นำเรา ด้วยวิธีของพระองค์นั่นเอง พระองค์มีวิธี เราจะเห็นบางคนพอเห็นหน้า ไม่ถูกชะตา อยู่ไปอยู่มา คู่นี้รักกันตั้งแต่ตอนไหน? เราไม่รู้เหมือนกัน เขาสองคนรักกัน เขายังไม่รู้เลยว่ารักกันตั้งแต่ตอนไหน? เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์ขับเคลื่อน พระองค์ค่อยๆ ทำงาน จากเอาอคติในชีวิตของเราค่อยๆ เอามันออกไป จากความไม่ชอบหน้า ค่อยๆ เอาออกไป แล้วค่อยๆ ดีขึ้นๆ จากไม่ชอบหน้า กลายเป็นเฉยๆ พอเฉยมากๆ ก็รักขึ้นมาเฉยๆ เลย นั่นแหละ ความรักนั้นมาจากพระเจ้า
ฉะนั้น อย่างที่บอก เราไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกาย แต่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะโน้มนำเรา จะคอยบอกเรา สะกิดเรา ให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถรักแม้คนที่ไม่น่ารักได้ เอเมนไหม? คนที่น่ารัก ใครๆ ก็รัก คนไม่น่ารัก จะรัก นี่มันใช้เวลานิดหนึ่งนะ พระองค์เจ้าข้า
พระเจ้าบอก … “ไม่เป็นไร? ฉันมีเวลาให้เธอทั้งชีวิต”
เห็นไหม? พระเจ้ามีเวลาให้เราทั้งชีวิต ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ แล้วเมื่อเราจากโลกนี้ไป สบายเลย ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าเราจะรักใคร? เราจะเกลียดใคร? ไม่มีแล้ว เมื่อเราขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เราไม่ได้เอาร่างกายนี้ไปด้วย ร่างกายนี้มันเป็นเรือนดิน มันอยู่ภายใต้กฎความบาปความตาย เราก็ทิ้งมันไป ถ้าทิ้งมันไปปุ๊บ อารมณ์โกรธ เกลียดอะไรทุกอย่าง มันถูกทิ้งไปหมดนั่นแหละ มันไม่ตามไป แต่สิ่งที่ตามไป ก็คือวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าตามเราไป ความคิดจิตใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ตามเราขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ แล้วเราก็สวยๆ เลย ไปสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา ตอนนี้ครบถ้วนสมบูรณ์เลยนะ เขาเรียกว่าความรอด แบบครบถ้วนบริบูรณ์ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับพวกเราผู้เชื่อทุกคน และในขณะเดียวกัน ไม่ได้จัดเตรียมเฉพาะพวกเรานะ ความเป็นจริงในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้กับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว อยู่ตรงที่ว่าใครได้ยินได้ฟัง แล้วมารับไปไหม? ถ้าไม่รับ ก็เสียของฟรีๆ นึกออกไหม?
พระเจ้า พระเยซูบอก “ฉันทำให้เสร็จแล้ว ของขวัญกล่องนี้ เธอไม่มารับหรือ?”
ไม่มารับ ก็ตั้งไว้ตรงนั้นแหละ จนวันสุดท้ายของชีวิต ยังไม่มารับอีก แล้วเป็นอย่างไร? อยู่ที่เดิม ก็คือเมื่อวิญญาณออกจากร่าง อยู่ในอาดัม อยู่ในคำสาปแช่ง วิญญาณเขาก็จะอยู่อย่างนั้นนิรันดร์กาล นี่คือความน่ากลัวของมนุษยชาติบนโลกใบนี้
ฉะนั้น การประกาศข่าวดี พระเจ้าต้องการ ปรารถนา อยากให้ทุกคนมีโอกาสเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
โคโลสี 1:15-16 “15 พระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้าผู้ที่เราไม่อาจมองเห็นได้ เป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง 16 เพราะโดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น ทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ หรือเทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์”
เทพอะไรทั้งหลายที่มนุษย์บนโลกนี้ตั้งชื่อไว้ เราไม่รู้แหละ พระเจ้าเป็นผู้สร้างหมด พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้นี้ ตอนนี้อยู่ในเราแล้ว
แล้วในพระธรรม 1 ยอห์น 4:4 บอกว่า … “พี่น้องที่รักทั้งหลาย ผู้ที่อยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก”
ผู้นั้น ใครก็ได้ เทพผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ เทพอาณาจักร เทพอะไรทั้งหลายที่มนุษย์ยกขึ้น เทพเหล่านี้ สู้พระเยซูไม่ได้ พระเยซูที่อยู่ในเรา พระองค์ยิ่งใหญ่สุด ใหญ่กว่าทั้งหมด ฉะนั้น เราไม่ต้องกลัว ผู้เชื่อหลายคนถูกหลอกให้กลัว ทุกวันนี้ก็ยังมีคนถูกหลอกให้กลัวว่ามารหรือเทพทั้งหลาย สามารถมีอำนาจอยู่เหนือเรา ความเป็นจริงในโลกวิญญาณ คือมันไม่มีอำนาจเลย อำนาจของมันถูกปลดไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
ที่พระเยซูตะโกนว่า “สำเร็จแล้ว”
ก็คือปลดอำนาจของมาร ที่มันมีอำนาจเหนือมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ถูกปลดไปเรียบร้อยแล้ว นึกภาพ คนที่ถูกปลดมีอำนาจไหม? ไม่มีอำนาจ แต่มันสามารถหลอกคนที่ไม่รู้ว่ามันถูกปลดแล้ว แล้วก็วางมาดไว้ว่า …
“ฉันยังใหญ่อยู่นะ เธอต้องมาซูฮกฉัน” อะไรอย่างนี้
คนไม่รู้ ก็ตกใจ ซกๆๆ กลัว แต่พอคนรู้ปุ๊บ … “เธอหลอกฉันไม่ได้หรอก เธอหมดอำนาจแล้ว ฉันไม่กลัวเธอหรอก”
นี่คือสิ่งที่ผู้เชื่อทั้งหลายจำเป็นต้องรู้ มารไม่มีอำนาจอยู่เหนือชีวิตของเรา มารแค่มีโอกาสที่จะมาคอยหลอกเรา ลักษณะไหนรู้ไหม ตอดเล็กตอดน้อย ตอดโน่นนิดนี่หน่อย ในพระคัมภีร์บอกว่ามารเหมือนสิงห์คำราม มันก็จะคอยกัดกิน คนที่มันกินได้ แต่มันกินได้ไหม? มันกินได้เฉพาะคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า คนเชื่อพระเจ้ามันกินไม่ได้ มันก็งัมๆ เรา เขียวเลย แต่มันทำอะไรเราไม่ได้ พี่น้องเคยเดินชนโต๊ะไหม? เขียวไปทั้งตัว ลักษณะเดียวกัน
มันทำอะไรเราไม่ได้ มารไม่มีเขี้ยวเล็บ ในชีวิตของพวกเรา ไม่มีอำนาจในชีวิตของเรา ฉะนั้น เราไม่ต้องไปกลัว มารซาตานไม่มีสิทธิ์ที่จะมาทำให้เรากลัว แต่มันต้องกลัวเรานะ ไม่ใช่เรากลัวมัน แต่ทุกวันนี้ ผู้เชื่อจะถูกหลอกตลอดเวลา ให้กลัวมาร
“มารจะมาทำอะไรเราได้ไหม? ทำโน่นทำนี่ ในนามพระเยซู ขับมันออกทุกวันเลย”
ไปขับมันทำไม? มันทำอะไรเราไม่ได้ แล้วมันไม่ได้อยู่ในนี้ด้วย ไม่ต้องไปขับมันออก ในนี้มีใครอยู่? พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ ไปขับทำไมมาร มันไม่ได้อยู่ในตัวเรา ใช่ไหม? ในตัวเรามีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา
ฉะนั้น คริสเตียนถูกหลอกให้ไล่ผีทุกวัน ไม่รู้ไล่อะไรเยอะแยะมากมาย ที่คริสเตียนไล่ผี เขาเอาข้อพระคัมภีร์ข้อไหนมารู้ไหม? พี่น้องจำข้อพระคัมภีร์ในมัทธิวได้ไหม? ที่พระเยซูสอนว่าถ้าใครก็ตาม ผีในตัวถูกไล่ออกไป พอไล่ออกไปแล้ว เขาก็ปล่อยที่ให้ว่างๆ แล้วไม่ทำอะไรเลย ผีมันก็ป้วนเปี้ยนไม่ไปไหนหรอก ผีอยู่เฉยๆ ไม่ได้ มันเป็นวิญญาณ มันต้องหาที่มาแปะอยู่ แล้วมันก็เดินวนไปเวียนมา …
“คนนี้ คราวก่อนเราถูกไล่ออกมา แล้วข้างในเก็บกวาดซะเรียบร้อยเลย ห้องสวย” ทำอะไร? ไปชวนพรรคพวกมา ผีพรรคพวกทั้งหลายเข้ามาอยู่ในร่างนี้นั่นแหละ “เพราะร่างนี้ไล่ฉันออกไป ไม่เห็นทำอะไรเลย ฉันขอมาอยู่ต่อแล้วกัน”
แล้วอยู่ต่อ ไม่ได้อยู่ตัวเดียว ในพระคัมภีร์บอกว่าอีก 7 ผี อยู่ 7 ผี คืออยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่รู้ผีอะไร มาหมดเลย
ฉะนั้น สิ่งที่พระเยซูยกคำอุปมาตรงนี้ เพื่อบอกอะไรกับชาวยิวในยุคนนั้น เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เราแบบ …
“ฉันขออยู่ตรงกลาง พระเจ้าฉันก็ไม่เอา ผีฉันก็ไม่เอา ฉันขออยู่เป็นตัวฉันเอง”
แต่พระเยซูกำลังบอกว่ามันไม่มีทาง ถ้าในวิญญาณของท่าน เมื่อพระเจ้าไล่ผีออกปุ๊บ สิ่งเดียวที่ท่านทำได้ คือรับเอาพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในใจท่าน เมื่อพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในท่าน ผีป้วนเปี้ยนเดินไป ห้องไม่ว่าง พี่น้องนึกภาพออกไหม? ห้องไม่ว่าง แล้วคนที่อยู่ในห้องใหญ่มาก เป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราหนีดีกว่า ไม่ยุ่งกับคนนี้ เพราะว่าเรายุ่งไม่ได้ พระเจ้าในนี้ใหญ่มาก ผีเลยเตลิดเปิดเปิงไป แต่มันยังหลอกผู้เชื่อได้อยู่นะ …
“ฉันยังมีอำนาจควบคุมเธออยู่”
แต่ความเป็นจริง คือมันควบคุมเราไม่ได้ ถ้าเราอนุญาตเปิดประตูใจ ให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แหละ บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าปุ๊บ ผีที่ไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้ มันหลอกเราได้อย่างเดียว ไม่อย่างนั้น เขาจะใช้คำว่าผีหลอก หรือถ้าผีทำได้ ต้องไม่ใช้คำว่าผีหลอก ต้องใช้คำว่าผีทำ
แทนที่จะใช้คำว่า “ผีทำร้ายเธอ” แต่ใช้คำว่า “ผีหลอกเธอ”
หลอก ก็แปลว่ามันไม่มีตัวตน มันเป็นเงา มันเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่มันไม่มีอำนาจ แต่มันแค่หลอกเราว่า …
“ฉันยังใหญ่อยู่” อะไรประมาณนั้น
ถ้าเรารู้ความจริง ในพระคัมภีร์บอกว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ ตอนนี้ไม่กลัวผีแล้วนะ ยังกลัวอยู่ไหม? ไม่กลัวผีนะ ผีมันทำอะไรเราไม่ได้ ขอบคุณพระเจ้า
โคโลสี 1:17-18 “17 ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง และในพระองค์ทุกสิ่งประสานเข้าด้วยกัน 18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร ทรงเป็นจุดเริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง”
“กาย” ในพระคัมภีร์คือคริสตจักร พอเราบอกว่าคริสตจักร ส่วนใหญ่เขาก็จะเข้าใจว่าเป็นตัวอาคาร แต่ความหมายในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์พูดจริงๆ ก็คือพวกเราทุกคนเป็นคริสตจักรของพระเจ้า เราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ วิหารของพระเจ้า คือที่ๆ พระเจ้าอยู่
สมัยก่อน ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน คนอิสราเอลต้องมีพลับพลา ต้องมีวิหาร แล้วต้องมีหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไปตั้งไว้ ในอภิสุทธิสถาน ซึ่งหีบพันธสัญญานี้ จะเล็งถึงตัวพระองค์เอง ซึ่งเมื่อก่อนพระเจ้าไม่มาสถิตอยู่ในคนอิสราเอล ก็จะคอยนำเขา ให้หีบพันธสัญญาเป็นสัญลักษณ์ แล้วพระเจ้าก็ตั้งกฎเอาไว้ให้ชนชาติอิสราเอลทำพิธีในการถวายเครื่องบูชาลบบาป สมัยของโมเสสเป็นเต็นท์นัดพบ พระเจ้าก็จะบอกวิธีการว่าเต็นท์ต้องสร้างอย่างไร? ขนาดเท่าไร? กี่นิ้วๆ ระหว่างเต็นท์ต้องยาวเท่าไร? แล้วใช้ผ้าขนาดไหน? ชนิดไหน? สีอะไร? พระเจ้าบอกละเอียดยิ๊บเลย แล้วโมเสสก็ทำตามนั้น คือเต็นท์นัดพบ แล้วเต็นท์นัดพบ ข้างในสุด คืออภิสุทธิสถาน คนอิสราเอลทั่วไปเข้าไม่ได้ ปุโรหิตทั่วไป ก็เข้าไม่ได้ เข้าได้เฉพาะมหาปุโรหิตที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้เท่านั้น ไม่ใช่อยู่ดีๆ …
“ฉันจะขอตั้งตัวเองเป็นมหาปุโรหิต แล้วฉันก็เข้าไปถวายเครื่องบูชาในอภิสุทธิสถาน”
ก็ตายลูกเดียว เพราะว่าไม่ได้ ผิดกฎของพระเจ้า ฉะนั้น ตรงนี้พระเจ้าเล็งให้เห็นถึงสิ่งที่มันสำคัญที่สุด ในอภิสุทธิสถาน คือการทรงสถิตของพระเจ้า และ ณ ปัจจุบันนี้ พวกเราทุกคนผู้เชื่อ ร่างกายของเราเป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า เป็นที่ทรงสถิตของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เราเลยไม่ต้องใช้พิธีกรรมใดๆ เหมือนสมัยก่อนว่าต้องมาถวายเครื่องบูชาทุกวี่ทุกวัน เวลาทำผิดก็ต้องมาถวาย ปีหนึ่งก็ต้องเอาแกะเอาแพะมา ให้มหาปุโรหิตอธิษฐานยกโทษบาปให้
ฉะนั้น ปัจจุบัน พระเจ้าอยู่ในเรา วิญญาณใหม่ของเราบริสุทธิ้เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ก็คือไม่มีบาปอยู่ในตัวเราแล้ว แต่เมื่อร่างกายเราเผลอทำบาป เขาเรียกว่าเผลอทำบาป อย่างที่อธิบาย ร่างกายของเรา ถามจริงว่าเราอยากป่วยไหม? มีพี่น้องใครอยากป่วยไหม? ขอป่วยหน่อยจะได้พักผ่อน ไม่มีหรอก ไม่มีใครอยากป่วย แต่ถ้าบังเอิญเราเผลอป่วยขึ้นมา มันต้องมีวิธีรักษา ไม่ใช่ป่วย ปล่อยป่วยไป เดี๋ยวก็ตายๆ ไป มันไม่ใช่ ก็ต้องหาวิธีรักษา ปวดหัว หาพารามากิน ให้หายปวดหัว ปวดท้อง ก็หายาที่แก้ปวดท้อง ปวดฟัน ก็มียาแก้ปวดฟัน แต่ละชนิดมันไม่เหมือนกันไง กินเพื่อขนาบความเจ็บป่วยนั้นให้มันหายไป เป็นหวัด ก็ไปหายาแก้หวัดมากิน นี่คือลักษณะ แล้วมันก็จะหายไป
ภาพเดียวกัน การที่ร่างกายของเราอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย เราถูกหลอกให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็เหมือนอาการเดียวกัน ฉันไม่สบาย มันเอามาใส่เรา แล้วเราทำอย่างไร? เราก็หายากินสิ ยาโลกวิญญาณคืออะไร? ถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำของพระเจ้าบอกถึงฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ในตัวตนของเราว่าตอนนี้ พระเยซูคริสต์ผู้สถิตอยู่ในเรา พระองค์ได้ทำให้เราสะอาดบริสุทธิ์หมดจด เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว
“แกมาหลอกฉันไม่ได้ แกมาหลอกฉันไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ฉันก็เผลอไป ก็รับผลของความผิดตรงนั้น ทางร่างกายเท่านั้น แต่วิญญาณฉันยังสะอาดบริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าเลย”
ถ้าเรารู้ความจริง ก็คือรู้ตัวยา ไม่ใช่ปวดท้อง ไปหายาแก้หวัดมากิน มันหายไหม? พี่น้องว่ามันหายไหม? ปวดท้อง หายาแก้หวัดมากิน มันไม่หายหรอก มันรักษาไม่ถูกโรค ปวดท้องก็ต้องไปหายาแก้ปวดท้องมากิน ถ้าเกิดท้องผูกไปหายาอะไรมากิน ยาระบายมากิน ไม่ใช่ …
“ฉันปวดฟัน ไปหายาระบายมากินหน่อย จะได้หายปวดฟัน”
มันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ยา คือถ้อยคำพระเจ้าในโลกวิญญาณ ถ้าเราเป็นอะไร? เขาเรียกว่าโดนหลอกด้วยเรื่องอะไร? เอาถ้อยคำของพระเจ้ามาสยบมัน บอกมันว่า “ฉันตอนนี้เป็นอย่างนี้แล้ว” คนหลอก ระบบของโลกนี้พยายามใส่ข้อมูลเท็จเข้ามาในสมองของเรา หลอกเราเวลาเราเผลอทำผิดปุ๊บ เขาก็จะหลอกเราทันทีว่า …
“เห็นไหม? ทำผิดอีกแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร? เป็นไม่ได้หรอก เห็นไหม? เห็นจะๆ ทำผิดทุกวี่ทุกวัน”
เราทำผิดทุกวัน ปฏิเสธไม่ได้ ถ้าปฏิเสธ แปลว่าเราหลอกตัวเอง เราก็ผิดโน่นนิดนี่หน่อย แล้วมารมันก็จะส่งข้อมูลว่า …
“เห็นไหม? ผิดอีกแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร พระเจ้าจะรับเธอได้อย่างไร?”
เราก็ต้องเอายาวิเศษที่พระเจ้าให้กับเราตอกกลับไปเลย … “ไม่ว่าฉันทำผิดขนาดไหน? พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันสะอาด ฉันบริสุทธิ์ ฉันหมดจด ฉันเป็นเหมือนพระเจ้าเลย แกหลอกฉันไม่ได้หรอก”
พอกินยาอย่างนี้ไป การรู้สึกฟ้องผิด มันจะถูกผลักให้กระเด็นออกไป แล้วเราก็ค่อยๆ ใช้ถ้อยคำของพระเจ้าแบบนี้แหละ เข้ามาขนาบความคิดที่หลอกเราทุกวี่ทุกวัน มันทำให้เรารู้สึกท้อใจ รู้สึกสงสารตัวเอง ขอโทษนะ รู้สึกทุเรศตัวเองจริงๆ อะไรจะทำผิดแล้วผิดอีกๆ อะไรอย่างนี้
พระเจ้าบอกไม่เป็นไร ล้มลง 7 ครั้ง พระเจ้าก็จะผยุงเราขึ้นมาใหม่ ล้มไหม? ล้ม แต่พระเจ้าบอกไม่เป็นไร ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แล้วให้ถ้อยคำของพระเจ้าเป็นกำลัง เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจที่จะเสริมสร้างข้างในวิญญาณของเรา ทำให้เรารู้เขารู้เรา เราก็ถูกหลอกน้อยลง เราก็จะรู้แล้ว เดินไปตรงนี้ มีหลุม ฉันไม่เดินไปหรอก ฉันก็เลี่ยงไป ฉันไม่เหยียบลงไปซ้ำอีก อะไรประมาณนั้น
นั่นคือภาพในการดำเนินชีวิต ที่พระเจ้าให้กับพวกเราผู้เชื่อ แล้วพระองค์ก็บอกเราว่าพระองค์จะทรงนำพา พระองค์จะทรงกระทำกิจในใจเรา พระองค์เป็นผู้นำเราทำ ความปรารถนาในใจของผู้เชื่อจริงๆ คืออยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่มีใครอยากดื้อเพ่งหรอก เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะวิญญาณใหม่ของเรา เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟังเรียบร้อยไปแล้ว แล้วไม่ใช่เชื่อฟังนิดๆ เชื่อฟัง 100% 1000% เรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีอาการที่อยากจะดื้อกับพระเจ้า แต่ที่ดื้อ เพราะถูกหลอกแค่นั้นเอง แล้วพระเจ้าบอก …
“รู้ใช่ไหม? นี่ถูกหลอกแล้วนะ โอเค งั้นกลับมาที่เดิม”
แล้วเราก็ค่อยๆ ฝึกฝน พัฒนาอาการที่มันเป็นตัวตนจริงๆ ของเราออกไปทุกวัน แล้วเราจะเห็นพระคุณของพระเจ้า เห็นพระพรนานัปการที่พระองค์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว
โคโลสี 1:19 “เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัย ที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ในพระบุตร”
พระเจ้าพอใจที่จะให้ความบริบูรณ์ ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งหมดเลย อยู่ในพระบุตร คืออยู่ในพระเยซูคริสต์ แล้วตอนนี้พระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน? ตอบอยู่ที่ไหน? อยู่ในเรา เอเมน เมื่อพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ความบริบูรณ์ทั้งสิ้น มันก็เป็นของเรา เอเมน เป็นของเรา เราต้องกล้าที่จะบอกว่า …
“พระเจ้าให้ฉันแล้ว ความบริบูรณ์ ครบถ้วนสมบูรณ์ มันอยู่ในตัวฉัน พระเยซูคริสต์อยู่ในตัวฉัน ฉันเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันสะอาด ฉันบริสุทธิ์ ฉันหมดจดเหมือนพระเยซูคริสต์เลย” ขอบคุณพระเจ้า
ความจริงเหล่านี้แหละ จะปลดปล่อยพี่น้องให้เป็นไท เป็นอิสระ จะไม่ถูกหลอกอีกต่อไป เราไม่ได้โมเม แต่มันเป็นเรื่องจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทำให้กับพวกเราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า
ขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งสารพัด ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณสำหรับความจริง ที่พระเจ้าเปิดเผยให้เราฟังทุกวี่ทุกวันๆ ซึมซับเข้าไปพี่น้อง แค่ซึมซับความจริงเหล่านี้เข้าไป แล้วเราจะมีภูมิต้านทานที่ดี ที่พอคำหลอกลวงมา มันจะเด้งออกไป มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก มันทำอะไรเราไม่ได้จริงๆ นี่คือความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
วิญญาณท่านอยู่ที่ไหนในขณะนี้ ก็จะอยู่ที่นั่นตลอดไป หลังหมดลมหายใจ
ทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ท่านพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษหลังหมดลมหายใจ เนื่องจากเป็นคนบาป และทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านจะได้บังเกิดใหม่ เป็นคนชอบธรรมดีพร้อมบริสุทธิ์ ปราศจากบาปและสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ทันทีขณะนี้และตลอดไปจนถึงนิรันดร์ หลังหมดลมหายใจ
คือ … ท่านต้องยินยอมให้พระเจ้า ทำการย้ายชีวิตของท่าน ซึ่งเป็นเหมือนต้นไม้ตายอยู่ในตระกูลอาดัม ย้ายมาปลูกใหม่ในตระกูลพระคริสต์ในสวนของพระเจ้า ซึ่งเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ปลูกอยู่ริมฝั่งธารน้ำ ใบเขียวสดเสมอ และออกผลดีตามฤดูกาลของมัน และพระเจ้า เจ้าของสวน คอยดูแลเอาใจใส่อย่างดีตลอด
ท่านไม่สามารถทำการย้ายตนเอง ด้วยการทำดีทุกวิถีทางต่างๆ ได้เลย แค่เปิดใจยอมรับเชื่อวางใจ ในการกระทำของพระเยซูตายบนกางเขนเพื่อท่านเท่านั้น กระบวนการที่เหลือ พระองค์จะเป็นผู้กระทำการย้ายเองทั้งสิ้น แล้วท่านจะได้เห็นผลจากชีวิตของท่านเอง ผลดีมากมายก็จะผลิตออกมา อย่างต่อเนื่องตลอดไปจนถึงนิรันดร์
มัทธิว 12:33-37 … “พระเยซูประกาศทางแห่งความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ … 33 ทำให้ต้นไม้ดี และผลของมันก็จะดี หรือทำให้ต้นไม้เลว และผลของมันก็จะเลว เพราะว่าพวกเรารู้จักต้นด้วยผลของมัน (ถ้าวิญญาณภายในดี ก็จะส่งผลดี คือเชื่อฟังพระเยซู ถ้าวิญญาณภายในเลวบาปชั่ว ก็จะส่งผลเลว คือต่อต้าน ปฏิเสธ เป็นศัตรูกับพระเยซู) 34 โอ พวกชาติงูร้าย ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากนั้นพูดสิ่งที่มาจากใจ (โอ้มนุษย์ ซึ่งเกิดมาอยู่ในความบาปในตระกูลของอาดัม เป็นเหมือนต้นไม้ที่ตายแล้ว เป็นคนบาป คนชั่วในวิญญาณ จะพูดยอมรับเราได้อย่างไร เพราะที่ท่านพูดต่อต้านเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาปเป็นศัตรูกับเรา ต่อต้านความดีของพระเจ้า) 35 คนดีก็เอาของดีมาจากคลังแห่งความดีในตัวของเขา คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังแห่งความชั่วในตัวของเขา (คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเขา) 36 ส่วนเราบอกพวกท่านว่าคำที่ไม่เป็นสาระทุกคำ ซึ่งมนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดชอบถ้อยคำเหล่านั้นในวันพิพากษา (ส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่ท่านพูดเป็นศัตรู ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเราเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ เพราะท่านไม่ยอมรับผู้เดียวที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่าน ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป) 37 เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิด หรือถูกตัดสินลงโทษ ก็เพราะคำพูดของท่าน (ฉะนั้น ท่านจะรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปที่อยู่ในตัวท่าน ในวิญญาณของท่านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธ หรือยอมรับผู้ช่วยให้รอดคือพระเยซูหรือไม่)” พระเจ้าอวยพรครับ