วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1541

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  กันยายน  2025

เรื่อง “หนังสือโคโลสี” ตอน 5

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือโคโลสี 1:8 บอกว่า …

        โคโลสี 1:8 “และเขายังเล่าถึงความรักของท่านในพระวิญญาณให้เราฟัง”

            อาจารย์เปาโลกำลังพูดให้ชาวโคโลสี คือเขียนจดหมายไปถึงพี่น้องเหล่านี้ ได้ยินได้ฟังข่าวดีของพี่น้องผ่านทางเอปาฟรัส อาทิตย์ที่แล้ว เราเรียนมาแล้ว เอปาฟรัส มาบอกข่าวดีว่าพวกพี่น้องชาวต่างชาติที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาได้รักซึ่งกันและกัน ซึ่งจริงๆ แล้ว ความรักตรงนี้มาจากพระเจ้า มันเป็นส่วนหนึ่งของผลพระวิญญาณ เป็นพระพรที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราทุกๆ คน เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉะนั้น เมื่อได้ยินได้ฟังว่าพี่น้องเหล่านี้มีความรักในพระวิญญาณ อาจารย์เปาโลก็ดีใจมาก ต้องเป็นความรักในพระวิญญาณด้วยนะ เพราะฉะนั้น ความรักตรงนี้ไม่ได้เป็นความรักที่เราผลิตขึ้นมาด้วยกำลังของเราเอง พยายามที่จะรัก แต่ไม่ใช่ อันนี้ก็คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ ตรงนี้เป็นตัวตนจริงๆ ของเราเลย ก็คือเป็นความรักที่ได้สำแดงออกมา ความรักที่สำแดงออกมาตรงนี้  ถ้าเราเจริญเติบโตในพระเจ้ามากเท่าไร? เราก็สามารถสำแดงตัวตนแท้ๆ คือความรักนี้ออกไปให้กับผู้คนรอบข้างได้มากเท่านั้น ในข้อที่ 9 บอกว่า …

        โคโลสี 1:9 “ด้วยเหตุนี้นับตั้งแต่วันที่เราได้ยินเรื่องราวของพวกท่าน เราก็อธิษฐานเผื่อท่านตลอดมาไม่เคยหยุด ขอพระเจ้าทรงให้ท่านเปี่ยมด้วยความรู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ โดยทางสติปัญญาและความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณทั้งปวง”

            อาจารย์เปาโลเมื่อได้ยินถึงความรักที่ชาวโคโลสีมีต่อกัน ได้ยินปุ๊บ อธิษฐานเลย อธิษฐานกับพระเจ้า การได้ยินเรื่องความรัก ไม่ได้ยินแค่นั้น  อาจารย์เปาโลรู้ข่าวคราวของคริสตจักรในยุคสมัยนั้นจริงๆ ไม่ว่าที่โคโลสี ที่เอเฟซัส หรือที่ไหนก็ตาม มันจะมีการข่มเหงอย่างหนักในผู้เชื่อ ฉะนั้น การข่มเหงอย่างหนักในผู้เชื่อ แทนที่อาจารย์เปาโลจะอธิษฐานขอพระเจ้าทรงเมตตา ให้การข่มเหงนี้ บรรเทาลง หรืออธิษฐานให้พี่น้องเหล่านี้สามารถผ่านความทุกข์ยากเหล่านี้ไปได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า อาจารย์เปาโลไม่ได้อธิษฐานแบบนั้นเลย ซึ่งความเป็นจริง มันควรจะอธิษฐานแบบนั้น ใครๆ ก็อยากได้ คำอธิษฐานแบบนั้น แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลอธิษฐาน ก็คือให้คนเหล่านี้รับรู้ถึงความจริง และพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีอยู่ในชีวิตของเขา โดยทางสติปัญญาและความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ

            ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณตรงนี้ มันจะเกิดขึ้นได้จากการที่เรารับรู้ความจริง เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูได้ทำอะไรให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วความจริงเหล่านี้ เมื่อเรารับรู้มากขึ้นๆ จะทำให้เราสามารถที่จะอดทนกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ด้วยความเชื่อและวางใจในพระองค์

            การอธิษฐานของอาจารย์เปาโล ไม่ได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป คืออธิษฐาน อวยพรชาวโคโลสี ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป คือชาวโคโลสีจะได้รับความสุข ไม่ถูกข่มเหง ไม่ใช่ เขาก็ยังโดนข่มเหงเหมือนเดิม  หรือการอธิษฐานอย่างนี้ ทำให้ความทุกข์ยากลำบากที่เขาเผชิญ บางคนไม่ได้ถูกข่มเหง แต่มันมีความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา  ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม มันก็ไม่หายไป ก็คือความทุกข์มันยังอยู่ ปัญหามันก็ยังคงอยู่ แต่สิ่งที่มันเหนือกว่าปัญหา ก็คือความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ทำให้ผู้เชื่อเหล่านี้สามารถอดทน สามารถมั่นใจ วางใจในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเขา

            นี่คือความจริงที่ไม่เพียงแต่ชาวโคโลสีในอดีตเท่านั้น พวกเราในปัจจุบัน ก็จำเป็นจะต้องรู้ว่าสิ่งที่มันเลิศยิ่งกว่าการหายโรค หรือเลิศกว่าปัญหาหมดไป หรือสิ่งที่เลิศยิ่งกว่าการที่เราไม่อดอยาก ไม่ขัดสนในอะไรก็ตามที่เราอยากได้  มากกว่านั้น ก็คือพระเยซูคริสต์ทรงอยู่ในเรา แล้วพระองค์ทรงควบคุมทุกสิ่งอยู่ พระองค์ทรงดำเนินอยู่กับเรา ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะสุข ไม่ว่าเราจะเผชิญปัญหาอะไรก็ตาม พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคไม่เคยทิ้งเราเลย นี่คือความจริง

            ดังนั้น ความจริงเหล่านี้จะทำให้ผู้คน ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ ด้วยสันติสุขและความชื่นชมยินดี  เราจะไม่สามารถมีสันติสุขได้เลย ถ้าตาเราไปจ้องแต่ว่าเมื่อไรพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานของเรา เมื่อไรพระเจ้าจะอวยพรให้เรามีทุกอย่างที่เราอยากได้ เมื่อไรพระเจ้าจะอวยพรให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยเลย เมื่อไรพระเจ้าจะอวยพรให้เรามีเงินใช้แบบเยอะแยะมากมาย ไม่ขัดสน คือ …

            “อยากได้อะไร ฉันก็จะได้ อยากซื้อรถเบนซ์ 10 คัน ฉันก็จะมีเงินซื้อ” อะไรประมาณนั้น

            ถ้าตาเราผู้เชื่อไปจดจ้องอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้น หรือสถานการณ์เหล่านั้น หรือสิ่งของเหล่านั้น เราจะไม่มีความสุขเลย เพราะว่าหลายคนอธิษฐานแล้ว อธิษฐานอีก ก็ไม่ได้ตามที่ตัวเองต้องการ เมื่อไม่ได้ตามที่ตัวเองต้องการ ก็เริ่มสงสัยพระเจ้า …

            “ตกลงพระเจ้ารักฉันไหมเนี้ย ทำไมขอแล้วไม่ได้สักทีหนึ่ง”

            แต่ว่าความเป็นจริงแล้ว พระเจ้ารักเรามากๆ อย่างที่บอก พระเจ้าสัญญาว่าประทานพระพรนานัปการให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว คือพระพรฝ่ายวิญญาณ พวกเราทุกคนได้รับหมดแล้ว ความมั่งคั่งในการอยู่ในพระคุณของพระเจ้า ความมั่งคั่งที่เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้รับหมดแล้ว ส่วนบนโลกใบนี้ อย่างที่บอก ไม่เคยสัญญาว่าพระองค์จะให้เราตามที่ใจเราปรารถนา พี่น้องต้องจำตรงนี้ให้ได้ พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าจะให้เรา ตามที่ใจเราปรารถนา แต่ถ้าบังเอิญสิ่งที่เราอธิษฐานขอ มันตรงกับน้ำพระทัยเลย ที่พระเจ้ากำลังจะให้อยู่แล้ว  เมื่อเราขอ เราก็ได้  พอเราได้ปุ๊บ  คิดว่า …

            “นี่ เพราะฝีมือฉันขอ แล้วฉันก็ไม่ลดละ ในการขอ ฉันตั้งอกตั้งใจขอมากเลย ฉันอธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก เขย่าบัลลังก์ของพระเจ้าทุกวี่ทุกวันๆ จนพระเจ้าทนไม่ไหว พระองค์เลยต้องเปิดคลังฟ้าของพระองค์เทพระพรของพระองค์อย่างที่ฉันต้องการมาให้ฉัน”

            มันไม่ใช่เลยนะ ถ้าพี่น้องมีความคิดแบบนี้ แปลว่าเรากำลังถูกหลอก  ถูกมารหรือคนของโลกนี้หลอกเราให้เชื่อตามนั้น ซึ่งความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่พระเจ้าบอกเรา ก็คือเมื่อพระองค์ทรงอยู่ในเรา พระองค์จะทรงนำพาย่างเท้าของเรา ไม่ว่าทุกข์ไม่ว่าสุข พระเจ้าไม่ทิ้งเรา อันนี้ คือความจริง แล้วก็เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกๆ คน ฉะนั้น ให้เราขอบคุณพระเจ้า  สำหรับถ้อยคำของพระองค์ ถ้อยคำแห่งความจริง จะทำให้เราเป็นอิสรภาพ ทำให้เราเป็นไทจริงๆ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าถ้าท่านมีเหลือเฟือ ท่านก็แบ่งปัน แจกจ่ายให้กับคนที่เขาขัดสน ในพระคัมภีร์ก็มีเขียนไว้ มีพี่น้อง ผู้เชื่อที่ขัดสน แล้วคนที่พอมีกำลัง ในพระคัมภีร์ ตอนที่อาจารย์เปาโลเขียนถึงคริสตจักรที่เป็นชาวต่างชาติที่เรี่ยไรเงินไปให้กับพี่น้อง ชาวอิสราเอล ก็คือพี่น้องชาวยิว แล้วเราก็จะงงว่าอ้าว! แล้วทำไมพี่น้องชาวยิวมาเชื่อพระเจ้า แล้วเขาขัดสนได้ด้วยหรือ? ขัดสนได้ไหม? มันมีโอกาสแน่นอน  อย่างพวกเราทุกๆ คน เราสามารถเป็นพยานได้ เราปิดบังความจริงไม่ได้ มันจะมีช่วงชีวิตของเรา ช่วงหนึ่งที่เราขัดสน  แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น ก็คือเราจะขัดสนขนาดไหน? พระเจ้าทรงดูแลชีวิตของเรา ขัดสน แต่เรายังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ สามารถผ่านความขัดสนเหล่านั้นไปได้  ด้วยพระคุณของพระเจ้า นี่คือความจริง พอเรารับรู้ความจริง อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก …

            “ข้าพเจ้าสามารถเผชิญทุกสิ่งได้”

            หมายความว่า … “ไม่ว่าข้าพเจ้าจะอิ่มหนำสำราญ ข้าพเจ้าก็รับได้”

            อิ่มหนำสำราญ รับได้ด้วยนะ อาจารย์เปาโลพูดอย่างนี้ แปลว่าเวลาเรารวย เราก็ต้องฝึกฝนที่จะรับมันให้ได้  เวลาเรารวย ถ้าเราไม่ฝึกฝน เราก็จะเตลิดเปิดเปิงไป ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกเลย  …

            “ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับความอดอยากได้”

            อาจารย์เปาโลผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้เป็นอัครทูตที่พระเจ้าทรงใช้อย่างมากมาย มีฤทธิ์เดชอำนาจที่พระเจ้าให้ ไม่ใช่อาจารย์เปาโลมี  พระเจ้าให้ในการวางมือรักษาโรค ในการวางมือคนเจ็บคนป่วยให้หาย วางมือคนตายด้วย คนที่ฟังอาจารย์เปาโลเทศน์ยาวเกิน เทศน์จนดึกดื่นค่อนคืน เที่ยงคืนแล้ว ไม่จบสักที ง่วงนอน สับปะหงกปุ๊บ หล่นจากที่สูง ลงมาตาย พี่น้องไปอ่านในหนังสือกิจการ หล่นลงมาตาย  พอตายปุ๊บ ชาวบ้านก็ตกใจสิ คนที่ฟังเทศน์อาจารย์เปาโลอยู่ ก็สะดุ้งเลย ฟังเทศน์อยู่ดีๆ หล่นลงมา ตกตายซะเฉยๆ อย่างนั้น  แล้วอาจารย์เปาโลก็ไปวางมือ  แล้วเขาก็ฟื้นขึ้นเฉยเลย ฟื้นขึ้นมา เหมือนคนปกติ

            “ฉันไม่ได้เป็นอะไรเลย” อย่างนี้

            พี่น้องลองคิดดูว่าพระเจ้าให้อาจารย์เปาโลสามารถทำหมายสำคัญ และการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ ในช่วงยุคกิจการ ก็คือเป็นยุคแรกของการประกาศข่าวดี ซึ่งพระเจ้าก็จะให้หมายสำคัญและการอัศจรรย์อย่างมากมายให้กับอัครทูตทั้งหลาย ได้ทำอัศจรรย์ เพื่อพระนามของพระองค์ แต่มันจะมีช่วงเวลา พอเลยจากช่วงที่พระเจ้าใช้ในการทำอัศจรรย์ปุ๊บ อัครทูตทั้งหลายก็ใช้ชีวิตปกติ อาจารย์เปาโล เปโตร ยากอบเหล่านี้ ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ตลอดเวลา ตั้งแต่เชื่อพระเจ้า จนตายจากไป ไม่ใช่ เพราะว่าฤทธิ์เดชเหล่านี้ ไม่ได้มาจากตัวของท่านเอง หรือว่าท่านเชื่อเยอะกว่าคนอื่น ไม่ใช่ แต่เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่พระเจ้าเป็นผู้กระทำ ในชีวิตของเขา ในแต่ละจังหวะ แต่ละเรื่องราว แต่ละเหตุการณ์ที่พระองค์ต้องการสำแดงฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าให้กับผู้คนรอบข้างตรงนั้น ให้เขารับรู้

            เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นประสบการณ์ ไม่ใช่ความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้น ประสบการณ์ของแต่ละคน เราไม่สามารถเอามาใช้กับความจริงของพระเจ้าได้ ทุกคนมีประสบการณ์หมด อย่างดิฉันก็มีประสบการณ์เรื่องการหายโรคจริงๆ มาเชื่อพระเจ้า ไม่ได้อธิษฐานขอ แต่พระเจ้าก็ให้สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร? แต่พระเจ้าเมตตาให้สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงกับเรา ซึ่งเราเย่อหยิ่งไม่ได้เลย เราไม่สามารถใช้หางตามองคนอื่น …

            “เห็นไหม ฉันความเชื่อดีกว่าเธอ เธอยังเจ็บออดๆ แอดๆ อยู่เลย ฉันแข็งแรงมาก”

            มันไม่ใช่  เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้เลย เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่พระองค์จะใช้เราแบบไหน? อย่างไร?  พระองค์ก็แบ็คเราตรงนั้น  แค่นั้นเอง เราอวดอ้างไม่ได้เลย สำหรับคนที่เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ พี่น้องคิดว่าความเชื่อเขาไม่มีหรือ? ความเชื่อเขาน้อยกว่าเราหรือ? ไม่ใช่ หรือคิดว่าพระเจ้าไม่รักเขาหรือ?  ก็ไม่ใช่อีก  เราก็ไม่รู้ว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า สำหรับแต่ละคนเป็นอย่างไร? แต่ให้มั่นใจเถิดว่าทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา พระเจ้าอยู่ด้วย และพระเจ้าสามารถเอื้ออำนวยให้ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา เกิดเป็นผลดี สำหรับผู้ที่รักพระองค์ นี่คือความจริงในพระวจนะของพระเจ้า

            ฉะนั้น ความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเป็นอิสรภาพ  ทำให้เราสามารถพึงพอใจ คำว่า “พึงพอใจ” ก็คือพึงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ไม่ใช่พอใจเฉพาะตอนที่พระเจ้าอวยพรเราเท่านั้น

            “ขอบคุณพระเจ้า วันนี้พระเจ้าอวยพรเรา ขอบคุณพระเจ้า ปีนี้พระเจ้าอวยพรให้เราได้โบนัสเยอะมากเลย แบบเยอะแยะ เราสามารถที่จะจับจ่ายใช้สอยได้อย่างสบายเลย”

            หรือ “ขอบคุณพระเจ้าที่ปีนี้ พระเจ้าให้เรามีสุขภาพแข็งแรงกว่าคนอื่น”

            มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น  ถ้าเราพอใจอย่างนั้น ทุกคนก็พอใจได้ แต่ความพึงพอใจ เมื่อเราเผชิญกับปัญหา ความทุกข์ยากลำบาก ในเรื่องของสุขภาพร่างกาย ในเรื่องของการเงิน เรื่องของการงาน เรื่องของครอบครัว เรื่องของอะไรทั้งหมด เรายังสามารถพึงพอใจไหม? นี่คือสิ่งที่จะพิสูจน์ว่าเรามั่นใจในการทรงนำของพระเจ้า  พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์นำเรา แล้วเรามั่นใจในความรักมั่นคงของพระองค์ว่าพระเจ้าผู้ทรงรักเราขนาดที่ทรงสละชีวิตของพระองค์เอง มาตายแทนเราบนไม้กางเขน เพื่อทำให้เราสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า พระบิดาได้ ย้ายเราจากอาณาจักรของความมืด คำสาปแช่งมาสู่อาณาจักรแห่งความสว่างของพระเจ้า มาสู่พระพร แล้วพระเจ้าผู้นี้ สามารถวางใจได้  มั่นใจได้เลย

            อาจารย์เปาโลบอกว่าเราจะไม่มองสิ่งที่ตาเรามองเห็น  เหตุการณ์ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ถ้าเราเจอปัญหา เรามองอะไร? เจอปัญหา แล้วเรามองแต่ปัญหา แล้วเราก็จะถามพระเจ้า …

            “พระองค์เจ้าข้าทำไมๆๆๆๆๆ ทำไมพระองค์ให้ปัญหานี้เกิดขึ้นกับลูก”

            หรือปัญหาเกิดขึ้นปุ๊บ เรามองที่พระเจ้า … “พระเจ้า ลูกขอบคุณพระองค์ ลูกมั่นใจว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วยกับลูก ปัญหานี้ พระเจ้าทรงมีวิธีที่จะแก้ไขให้ลูกได้ พระองค์จะให้สติปัญญากับลูกพระองค์จะส่งผู้ช่วยรอบข้างมา ลูกก็ไม่รู้ว่ามันจะมาจากไหน? อยู่ตรงไหน? ในหลืบไหน? แต่ลูกมั่นใจในพระองค์ว่าพระองค์จะส่งผู้คนเหล่านั้นมา แล้วพระองค์จะให้กำลังลูก ให้ความอดทนกับลูก ให้ลูกสามารถผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า”

            พอเราเห็นมุมมองตรงนี้ปุ๊บ ความรู้สึกในวิญญาณของเราจะต่างออกไป  เราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก ทุกกรณี คือไม่ว่าทุกข์ ไม่ว่าสุข ไม่ว่าอยากได้ ไม่อยากได้  พอใจ ไม่พอใจ  เราสามารถขอบคุณได้ทุกอย่าง นี่คือความเป็นจริงในชีวิตของผู้เชื่อทุกๆ คน ถ้าเรามั่นใจและรับรู้ความจริงในเรื่องของพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร? ความเข้าใจในเรื่องของจิตวิญญาณ จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยกำลังซึ่งมาจากพระเจ้า ด้วยความอดทน ด้วยความมั่นใจในความรักของพระเจ้า เรามาดูข้อที่ 10 …

        โคโลสี 1:10 “เพื่อท่านจะได้ดำเนินชีวิตอย่างสมกับที่เป็นคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และจะได้เป็นที่พอพระทัยในทุกด้าน คือเกิดผลในการดีทุกอย่าง รู้จักพระเจ้าดียิ่งขึ้น”

            การรู้ถึงสติปัญญาที่พระเจ้าให้กับเรา  เข้าใจถึงเรื่องราวที่พระเจ้าได้กระทำให้กับพวกเราทั้งหลายเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตให้สมกับ

            คำว่า “สมกับ” แปลว่าเราได้แล้ว ใช่ไหม? เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ แล้วก็ดำเนินชีวิตให้สมกับเป็นราชบุตรราชธิดาของพระเจ้า

            แล้วเราจะดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราเป็นอยู่ได้อย่างไร? มีอยู่ทางเดียว คือเราต้องเรียนรู้ รับรู้ว่า …

            “ตอนนี้ ฉันเป็นใคร? ฉันอยู่ในสถานะแบบไหน? แล้วพระเจ้าให้อะไรฉันบ้าง? สิ่งที่พระเจ้าให้กับฉันเรียบร้อยไปแล้ว  มันมีอะไรบ้าง?”

            ฉะนั้น เมื่อเรารับรู้ปุ๊บ  เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราได้เป็นลูกของพระเจ้า ด้วยวิธีการใส่ข้อมูลใหม่ ข้อมูลเก่าที่เราเคยชิน ที่โลกนี้ส่งเข้ามา  มันมีวิธีเดียวที่จะทำให้ข้อมูลเก่าเหล่านั้น ถูกลบเลือนออกไป ก็คือเอาข้อมูลใหม่เข้ามาแทนที่ สมองของเราว่างเปล่าไม่ได้ ถ้าเราไม่เอาข้อมูลของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในสมองปุ๊บ ข้อมูลของโลกนี้มันก็จะวิ่งเข้ามาแทนที่ ชัดเจน ดังนั้น  การแทนที่ของโลกใบนี้ จะทำให้เราไม่สามารถที่จะดำเนินชีวิตให้สมกับการที่เราเป็นบุตรของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว

            สิ่งต่างๆ เหล่านี้ อย่างที่บอก เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว เราได้รับรู้ความจริงเหล่านั้น เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  ไม่ว่าความคิดเราจะถูกหลอกล่อ หลอกลวงให้ไปทำอะไรก็ตามที่ออกนอกลู่นอกทาง ก็ไม่สามารถทำให้เราถูกเปลี่ยนสถานะจากการเป็นลูกของพระเจ้า กลับไปเป็นลูกมารได้ มันทำไม่ได้ ก็คือเราเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  แต่ถ้าเราถูกควบคุม โดยความคิดที่โลกนี้ส่งเข้ามาปุ๊บ เราก็จะมีชีวิตที่ลำบาก แทนที่เราจะมีความสุข  แทนที่เราจะสามารถสำแดงความรักของพระเจ้าออกไป แทนที่เราจะสามารถสำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราออกมา เราก็ไปเชื่อระบบโลกนี้ ไปทำสิ่งที่อะไรก็ไม่รู้เละเทะไปหมดเลย

            แล้วเมื่อเราทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง เราก็เก็บเกี่ยวผล พี่น้องจำตรงนี้เลย  เราจะไม่เก็บเกี่ยวผลด้านวิญญาณ แต่เราจะเก็บเกี่ยวผลด้านวัตถุที่อยู่บนโลกใบนี้ แน่นอน พระเจ้าควบคุมทั้ง 2 อย่าง ควบคุมทั้งโลกวิญญาณและกฎของโลกใบนี้ด้วย

            ฉะนั้น พระเจ้ามีความปรารถนา ต้องการที่จะให้เรารับรู้ความจริง  เพื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะได้สามารถทำงานในชีวิตของเราได้เต็มที่ รับรู้ความจริงมากๆ เขาเรียกว่าอนุญาตให้สมองเรา ให้พระเจ้าคุม

            “พระเจ้า ลูกอยู่ตรงนี้ ลูกเป็นรถ ให้พระเจ้าเป็นคนขับ ลูกปล่อยเกียร์ว่าง พระองค์จะขับไปไหน เชิญตามสบายเลยนะพระองค์”

            ถ้าเราอนุญาต พระองค์ก็จะดูแล  พระองค์ก็จะเข้ามาช่วยเหลือเรา  ให้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ได้ใส่เข้ามาในสมองเราเยอะๆ และโดยความจริงเหล่านี้ เมื่อเรารับรู้ ผลมันจะออกมาเอง พี่น้องไม่ต้องพยายามบีบให้ผลออกมา

            ยกตัวอย่างต้นไม้เหมือนเดิม สมมติต้นมะม่วงหน้าโบสถ์เรา เขาต้องรับรู้ความจริงว่าเขาเป็นต้นมะม่วง ถ้าเขาไม่รับรู้ว่าเขาเป็นต้นมะม่วง เขาถูกหลอกว่า …

            “เธอไม่ใช่มะม่วงนะ เธอเป็นบอระเพชร”

            แล้วมันก็งงๆ  … “ตกลงฉันเป็นอะไรกันแน่”

            แต่ไม่ว่าเขาจะถูกหลอกว่าเป็นต้นบอระเพชรอย่างไรก็ตาม วันหนึ่ง ผลมันออกมา มันก็คือต้นมะม่วงแหละ เพราะว่ารากฐานของมัน คือต้นมะม่วง  แต่ว่าเขาทุกข์ไหมล่ะ ในระหว่างที่กำลังจะเกิดผล เราไม่รู้ว่าต้นไม้เวลาจะเกิดผล เขาจะรู้สึกอย่างไร แต่เราประมวลภาพว่าเขาคงงงๆ แล้วตกลง เดี๋ยวผลของฉันออกมา จะเป็นอะไรบ้าง? แล้วต้นไม้ ก็คงทุรนทุราย ประมาณนั้น เราไม่รู้ว่าความเป็นจริง มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?  แต่มันเป็นภาพเดียวกันในชีวิตของพวกเรา ถ้าเราไม่รับรู้ว่าตอนนี้พระเจ้าทำอะไรให้กับพวกเราแล้ว เราก็จะงงว่า …

            “ฉันเป็นอะไร? แล้วฉันได้รับอะไรบ้าง? แล้วฉันจะต้องส่งผลอะไรออกไปบ้าง?”

            เราก็ไม่เข้าใจ แล้วเราก็ทุกข์ ชีวิตเราแทนที่จะสบายๆ  เราก็เริ่มรู้สึกทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิต แต่พอเรารับรู้ความจริง …

            “ฉันเป็นต้นมะม่วง”

            ต้นมะม่วงต้องทำอะไรไหม? ไม่ทำ ยืนต้นอยู่ตรงนั้นแหละ พอถึงฤดูกาลของมัน  ก็คือประมาณมีนา, เมษา มันจะเริ่มมีดอก มันจะออกมาโดยอัตโนมัติ

            ต้นมะม่วง ลำต้นมันไม่ต้องขอย้ายลำต้นไปหาน้ำเลี้ยง หรือไปทำอะไร “ฉันขอทำโน่นทำนี่ เพื่อให้ฉันได้เกิดดอกออกผล” ไม่เห็นมันทำอะไรเลย  มันอยู่ของมันเฉยๆ แหละ

            พอถึงเวลาดอกมันออก พอดอกแก่เต็มที่ มันก็เป็นผล ต้นมะม่วงต้นนี้ เราได้กินผลมัน 2 ปีแล้วนะ อร่อยด้วย หวาน ฉะนั้น มันออกมาเป็นผล เพราะมันรับรู้ความจริงว่ามันคือต้นมะม่วง พอถึงเวลา มันก็ออกผลมะม่วงอร่อยมาให้เรากิน

            เรารับรู้ความจริง เราไม่ต้องพยายามวิ่งซกๆ ต้องทำโน่นทำนี่ ไม่ใช่ พระเจ้าบอกว่าพระองค์ผู้อยู่ในเรา พระองค์จะเป็นผู้ขับเคลื่อนเราเอง ฉะนั้น การเกิดผลในการดีทุกอย่าง ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องตามน้ำพระทัย การเกิดผลดี ที่ไม่ใช่ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็มี เหมือนเราคิดเอง เราคิดว่าอันนี้น่าจะดี แต่ถ้าไม่ใช่น้ำพระทัย เราทำไป เราก็เหนื่อยเปล่า พระเจ้าไม่สนับสนุนเรา  แต่ถ้าพระองค์เป็นผู้ทำเอง  พระองค์ขับเคลื่อนในใจของเรา เราไม่ต้องเหนื่อย เราทำนิดเดียว แต่เกิดผลออกมามหาศาลมาก เพราะผู้ทำให้เกิดผล คือพระเจ้า  พระบิดา พระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา อันนี้เป็นสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ เกิดผลการดีทุกอย่าง

        โคโลสี 1:11 “ได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งขึ้น  ด้วยฤทธิ์อำนาจทั้งมวลตามฤทธานุภาพอันทรงเกียรติสิริของพระองค์  เพื่อท่านจะทรหดอดทนอย่างยิ่งและมีความชื่นชมยินดี”

            เสริมสร้างเราให้เข้มแข็งขึ้น ด้วยถ้อยคำแห่งความจริง และด้วยฤทธิ์อำนาจทั้งมวล ฤทธิ์อำนาจทั้งมวลนี้ มาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากมนุษย์คนไหน? ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำให้เราเข้มแข็ง และทำให้เราเกิดผลได้  ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา พระองค์ทรงกระทำให้เราได้รับพระเกียรติสิริของพระองค์ แล้วทำให้สิ่งที่เรารับรู้ตรงนี้ ทำให้เราทรหดอดทน อันนี้น่าคิด ทำไมอาจารย์เปาโลไม่บอกว่าถ้าเรามีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เราแข็งแรง เราแข็งแกร่งในพระเจ้า เราจะสามารถอธิษฐานอะไรก็ได้ …

            “ในนามพระเยซู ด้วยความเชื่อ ฉันสั่งอย่างนี้ ฉันจะเอาอย่างนี้ ชี้ไปเลย ในกี่วัน? กี่ปี? ฉันจะต้องได้แบบนี้ๆ”

            อาจารย์เปาโลไม่เคยสอนแบบนี้  แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลสอน ก็คือด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเหล่านี้ ทำให้เราทรหดอดทน อย่างที่บอก พอพูดคำว่า “อดทน” ต้องมีสิ่งที่ยากลำบาก สำหรับชีวิตของเรา  และเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยชอบเท่าไรด้วย? ถ้าเราชอบ เราไม่ต้องทน นึกออกไหม? ถ้าอะไรที่เราชอบ ไม่ต้องทนหรอก เราชอบอยู่แล้ว  แต่ที่ต้องอดทน เพราะว่ามันไม่ถูกใจเรา มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราอยากได้เลย …

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกอธิษฐานอย่างนี้ ทำไม ลูกไปได้อย่างนั้น มันไม่โอเคนะพระองค์เจ้าข้า”

            แต่พระเจ้าบอก … “อย่างนี้ ดีแล้ว สำหรับเธอ อดทนเข้าไว้  เดี๋ยวเธอจะรู้ว่ามันดีเอง”

            มีความอดทนอย่างยิ่ง และมีความชื่นชมยินดี ในสิ่งที่มันเผชิญเข้ามาในชีวิตของเรา  ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข  นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลอธิษฐาน  และอาจารย์เปาโลหนุนใจ

            คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้าในยุคแรก ในสมัยโคโลสี เขาทุกข์ยากลำบากมาก เขาถูกข่มเหงอย่างหนัก ในยุคนั้น เขาข่มเหงผู้เชื่อนะ ใครก็ตามที่มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ จะต้องหนีหัวซุกหัวซุน ในขณะที่มีคนมาไล่ล่า เหมือนตอนที่อาจารย์เปาโลกลับใจใหม่ปุ๊บ ถูกคนไล่ล่า ฆ่า คนต้องเอาอาจารย์เปาโลใส่เข่ง แล้วหย่อนลงไปข้างกำแพง หนีตาย  ฉะนั้น การข่มเหงหนักมาก ในยุคนั้น คริสเตียนจะต้องไปหลบซ่อนอยู่ในถ้ำ ในรู ถ้ามีทหารมา มีพวกฟารีสี ธรรมาจารย์จะเอาทหารมาไล่ล่า เขาก็จะต้องหลบ เขาจะมีการส่งสัญญาณ

            “มาแล้วๆ”

            หลบ หายไปหมดเลย อะไรประมาณนั้น นี่คือความทุกข์ยาก แต่ความทุกข์ยากเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คริสเตียนผู้เชื่อเหล่านี้ถอดใจ หรือลดละความเชื่อที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเขา กลับทำให้เขาอดทน เขามองที่ไหน? เขามองที่พระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเขา มองที่พระสัญญาที่พระเจ้าได้ให้กับเขา พระสัญญาที่พระองค์บอกว่าพระองค์อยู่ด้วย แล้วพระองค์จะนำพาย่างเท้าของเขาตั้งแต่เริ่มต้น จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แล้วหลังความตาย เขาจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยสง่าราศีที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับพวกเขาเรียบร้อยไปแล้ว ทำให้เขามีความชื่นชมยินดี

            พวกเราเหมือนกันในปัจจุบัน ไม่มีอะไรแตกต่าง การข่มเหงยุคของเราไม่หนักเหมือนสมัยที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย แต่มันก็จะมีการข่มเหงมารูปแบบไหนเราไม่รู้ แต่สิ่งที่เรารู้ คือพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา แล้วพระองค์ทรงนำพาย่างเท้าของเรา ทำให้เราสามารถมีความชื่นชมยินดีในเหตุการณ์ ในสถานการณ์ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

***************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด จากการเป็นคนบาป

            ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ช่วยให้ทุกคนที่เชื่อในข่าวดีนี้ได้รับความรอด อัครทูตเปาโลได้พูดกับผู้เชื่อที่ยังมีความเข้าใจผิดในเรื่องความรอดนี้ว่า …

            1 โครินธ์ 1:14-16 …  “14 ขอบพระคุณพระเจ้า ที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้บัพติศมา (ในน้ำ) แก่ใครในพวกท่าน ยกเว้นคริสปัสกับกายอัส 15 จึงไม่มีใครพูดได้ว่าเขาได้รับบัพติศมา (ในน้ำ) เข้าในนามของข้าพเจ้า 16 ใช่ ข้าพเจ้าให้บัพติศมา (ในน้ำ) แก่คนในครอบครัวของสเทฟานัสด้วย นอกเหนือจากนั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าได้ให้บัพติศมา (ในน้ำ) แก่ใครอีก)”

            เพราะพิธีบัพติศมาในน้ำ  ไม่ได้ช่วยใครให้รอดจากการเป็นคนบาป

            1 โครินธ์ 1:17 …  “เพราะพระคริสต์ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามา เพื่อให้บัพติศมา (ในน้ำ) แต่เพื่อให้ประกาศข่าวดี ไม่ใช่ด้วยถ้อยคำที่คมคาย ตามสติปัญญาของมนุษย์ เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์ จะหมดฤทธิ์อำนาจ”

            แต่ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์  และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตายต่างหาก ที่เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ช่วยให้คนที่เชื่อในข่าวดีนี้ ได้รับความรอด จากการเป็นคนบาป บังเกิดใหม่ มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

            โรม 1:14-16 …  “14 ข้าพเจ้ามีพันธะหน้าที่ต่อทั้งชาวกรีก และผู้ที่ไม่ใช่กรีก  ต่อทั้งคนมีปัญญาและคนเขลา 15 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย ที่อยู่ในกรุงโรมด้วย 16 ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อนแล้วคนต่างชาติด้วย”

            มนุษย์ทุกคนสามารถได้รับความรอด โดยความเชื่อในข่าวดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำตามพิธีกรรมใดๆ หรือกระทำสิ่งใดใดเพิ่มเติมอีกเลย จริงๆ

            พระเจ้าอวยพรครับ