วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1540

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  กันยายน  2025

เรื่อง “หนังสือโคโลสี” ตอน 4

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือโคโลสี 1:6 ครั้งที่แล้วเราคุยโคโลสี ไป 5 ข้อแล้ว …

        โคโลสี 1:6 “ซึ่งมาถึงท่าน ข่าวประเสริฐนี้กำลังเกิดผลและเจริญขึ้นทั่วโลก เหมือนที่กำลังเป็นอยู่ท่ามกลางพวกท่าน ตั้งแต่วันที่ท่านได้ยินข่าวประเสริฐ และเข้าใจพระคุณของพระเจ้าตามความจริงทั้งสิ้น ที่อยู่ในข่าวประเสริฐนี้”

            ทวนข้อที่ 5 …

        โคโลสี 1:5 “คือความเชื่อและความรักอันเกิดจากความหวัง  ซึ่งสะสมไว้  สำหรับท่านในสวรรค์ และซึ่งท่านได้ยินมาแล้ว  ในถ้อยคำแห่งความจริง  คือข่าวประเสริฐ”

            และมาต่อข่าวประเสริฐมาถึงพวกท่านและเกิดผล คำว่า “เกิดผล” ตรงนี้ หลายคนจะมองไปที่การรับใช้ มองไปที่คนมาเชื่อพระเจ้าเยอะๆ ถือว่าเกิดผล แต่ความเป็นจริง มันไม่ได้เล็งถึงตรงนี้  คำว่า “เกิดผล” ในถ้อยคำของพระเจ้า คือเกิดผลตามน้ำพระทัย ไม่ใช่เกิดผลตามที่เราอยากได้ อยากเป็น

            อันนี้ คือเกิดผลตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ส่วนใหญ่ เวลาเราเจอคนที่โบสถ์อื่น เราไปเจอพี่น้องคริสเตียน คำถามแรกที่เขาจะถามเรา ก็คือ …

            “ตอนนี้โบสถ์มีสมาชิกเท่าไร?”

            เขาจะวัดกันตรงที่ว่าถ้าโบสถ์ไหนมีสมาชิกเยอะ แปลว่าโบสถ์นั้น เกิดผล แต่สายพระเนตรของพระเจ้าไม่ได้วัดตรงนั้น  พระเจ้าวัดตรงที่ว่าความเจริญเติบโตของพี่น้อง ของผู้เชื่อ ในเรื่องราวความจริงของพระเยซูคริสต์ เจริญเติบโตขนาดไหน?  ถ้าเจริญเติบโตมาก ถือว่าเกิดผลมาก  เกิดผลตามน้ำพระทัย ก็คือเกิดผลในพระลักษณะที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ดังนั้น การเกิดผลอันดับแรกที่มันสำแดงออก ก็คือความรัก

            ความรัก มันจะถูกสำแดงออกมาทันทีเลย เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา  ทำให้เราสามารถที่จะสำแดงความรัก อาจารย์เปาโลพอได้ยินว่าคริสตจักรโคโลสีรักซึ่งกันและกัน อาจารย์เปาโลดีใจมากเลย ไม่ได้ดีใจตรงที่ว่าพี่น้องในคริสตจักรโคโลสีเขาเข้มแข็ง  เขาทำโน่นทำนี่ เขาปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ไม่ใช่ ดังนั้น การปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า การเกิดผลในงานรับใช้ ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา จริงๆ แล้วพระเจ้าเป็นผู้กระทำกิจอยู่ภายในเรา

            แล้วผู้เชื่อแต่ละคนจะถูกเรียกมา ไม่เหมือนกัน ตรงที่ว่าบางคนถูกเรียกมาเป็นผู้รับใช้จริงๆ มาทำการงานของพระเจ้าในคริสตจักร มีหน้าที่ในการดูแลคริสตจักรของพระองค์ มีหน้าที่กล่าวถ้อยคำของพระองค์ หรือมีหน้าที่อยู่ในทีมนมัสการ หรืออยู่ในหน้าที่ไหนก็แล้วแต่ นั่นเป็นการทรงเรียกเฉพาะเจาะจง ที่พระเจ้าให้กับแต่ละคน  แต่การเกิดผลในอาณาจักรของพระเจ้าจริงๆ พระเจ้ามองดูความเจริญเติบโตของผู้เชื่อคนนั้นว่าเขาเจริญเติบโตขนาดไหน? ถ้าเราเจริญเติบโตมากเท่าไร? เกิดผลมากเท่าไร? เราก็สามารถสำแดงความรักที่มีอยู่ข้างในของเราออกไปมากเท่านั้น แล้วสิ่งที่สำคัญเลย เราสามารถที่จะอดทน

            พอมีคำว่าอดทน มันต้องมีอะไรที่ไม่ถูกใจเรา พี่น้องนึกออกไหม? ถ้าทุกอย่างถูกใจเราหมด เราไม่ต้องอดทน เราอยู่สบาย แต่เพราะไม่ถูกใจเรา เราจึงต้องอดทน  ดังนั้น ความอดทนตรงนี้ เป็นผลหนึ่งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา

            สมัยก่อน ในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ อาจารย์เปาโลจะพูดบ่อยๆ เลย ให้ท่านรับรู้ความจริงในข่าวดีของพระเจ้า รับรู้ว่าตอนนี้ท่านเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ รับรู้ว่าตอนนี้พระเยซูได้ทำอะไร เพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเรารับรู้มากเท่าไร เราก็จะสามารถอดทนได้มากเท่านั้น

            คริสตจักรในสมัยยุคแรก ไม่เหมือนของเรา ของเรา คือยุคที่สบายแล้ว ยิ่งเรามาเกิดในประเทศไทย เราก็ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีการข่มเหง เรื่องของความเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ถ้าเราเกิดในประเทศอื่น บางประเทศ อย่างประเทศจีน ก็ยังมีการข่มเหงอยู่ หมายความว่าคนที่มาเชื่อ วางใจในพระเจ้า ก็จะถูกข่มเหง เหมือนยุคแรกๆ ในพระคัมภีร์ ตอนที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย มันก็จะมีการข่มเหงมากมาย  แล้วเราจะสังเกตอาจารย์เปาโลเขียนจดหมาย ไม่เคยหนุนใจในเรื่องของการเป็นอยู่ในขณะนั้น

            “ขอพระเจ้าอวยพรให้พี่น้องในคริสตจักรเหล่านี้ ได้ผ่านพ้นจากความทุกข์ยากลำบากที่ถูกข่มเหง” … อาจารย์เปาโลไม่ได้อธิษฐานแบบนั้น

            แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลอธิษฐาน ก็คือ … “ขอให้ตาใจฝ่ายวิญญาณของพี่น้องเหล่านั้นได้เปิดออก เพื่อเขาจะได้สามารถเห็นถึงความจริงที่พระเจ้าได้ทำอะไรให้กับเขาเรียบร้อยไปแล้ว”

            พี่น้องที่ถูกข่มเหงในยุคนั้น ทรมานนะ ไม่ได้ข่มเหงเบาๆ หนักมาก ด้วยความจริงเหล่านี้ จะทำให้เขาสามารถอดทน  เขาจะสามารถยืนหยัดอยู่ในความเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าได้

            ดังนั้น ความจริงของพระเจ้า เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราอาจจะได้ยินถ้อยคำของพระเจ้า ซึ่งส่งมาในความคิด หรือในหูของเรา ที่มันไม่ได้เป็นความจริงก็ได้ เหมือนเอาพื้นฐาน ถ้อยคำของพระเจ้า แต่แฝงเอาความไม่จริงมาใส่ในพระวจนะของพระเจ้า

            อย่างเช่น พระเยซูคริสต์บอกว่าในโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก นี่พระเยซูคริสต์บอกเองนะ  แต่จงชื่นใจเถิด เพราะเราชนะโลกแล้ว  พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา แล้วพระองค์จะให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถผ่านความทุกข์ยากเหล่านี้ไปได้  ด้วยพระคุณของพระเจ้า 

            แต่จะมีคำสอนที่มาบอกเราว่าเป็นผู้เชื่อแล้ว ทุกข์ยากไม่ได้  เป็นผู้เชื่อแล้ว ต้องดี สบาย  สูงขึ้นทางเดียว ทุกอย่างต้องดีหมด ถ้าไม่ดี แปลว่าความเชื่อของท่าน ไม่โตพอ  ความเชื่อไม่เข้มแข็งพอ เลยเจอปัญหาแบบนี้  อันนี้เป็นข่าวเท็จหมดเลย

            ความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกเรา ก็คือเราเจอแน่ๆ ความทุกข์ยาก  แต่ว่าให้เรามีสันติสุข มีความสุขในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าเรารับรู้ความจริงว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา  และจะเป็นผู้คอยช่วยเหลือ จูงมือเราเดินไปทุกหนทุกแห่ง  แล้วเราจะเห็นพระคุณของพระเจ้าผ่านความทุกข์ยากเหล่านี้  ตอนที่เราเจอความทุกข์ยาก เราไม่เห็นหรอก เรามีความรู้สึก …

            “พระองค์เจ้าข้า ทำไมพระองค์ต้องพาเรามาเจออย่างนี้”

            แต่เมื่อเราผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ปุ๊บ เราเห็นพระคุณเลย เรารู้ว่ามีพระพรที่ซ่อนอยู่ในความทุกข์ยากเหล่านี้ ในหนังสือเปโตร อาจารย์เปโตรบอกว่าความทุกข์ยากจะทำให้เราอดทน และความอดทน ทำให้เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงสามารถใช้ได้ มันมีอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น ความทุกข์ยากเหมือนกับเราออกกำลังกาย  ออกกำลังกายทุกข์ยากไหม?  หรือใครบอกสบายๆ  ออกกำลังกายไม่สบายนะ ดิฉันคิดแล้วคิดอีก บอกตัวเองต้องไปออกกำลังกาย ต้องไปเดิน ต้องไปทำอะไรต่างๆ แต่ความคิดล้มเหลวตลอดเวลา  เพราะความขี้เกียจมันเข้ามาแทนที่ มีวิธีเดียวที่ดิฉันจะออกกำลังกายได้ คือไปเดินตลาด การฝึกฝนในเรื่องเหล่านี้ ก็จะทำให้เราแข็งแรง เราก็ต้องหากุศโลบาย หาวิธีความชอบส่วนตัวของเราว่าเราชอบแบบไหน? แล้วเราก็ต้องไปใช้ชีวิตของเราตามความชอบของเรา ไม่บาปนะพี่น้อง

            พี่น้องไปเดินช๊อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า ไม่บาปนะ เดินไปเถอะ  เย็นๆ แล้วก็ชมสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เรา มันเป็นอาหารตา ถ้าวันๆ เราไม่ทำอะไร ร่างกายเราไม่ได้ใช้งาน มันจะค่อยๆ เสื่อมโทรมลงไป แล้วมันก็ไม่แข็งแรง

            ยิ่งคนที่ทำงานใน Office เราแทบจะไม่มีโอกาสได้ออกกำลังกาย เราก็จะนั่งอยู่หน้าคอมฯ เราต้องใช้สายตาตลอดเวลา  อย่างน้อย 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง พี่น้องต้องลุกขึ้นมา ไปเดินเล่นสักรอบ แล้วก็กลับมานั่งทำงานต่อ เราสามารถทำได้

            แล้วเราขอบคุณพระเจ้าที่ตอนนี้เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้อยู่ในกฎเกณฑ์ใดๆ เลย พระเจ้าไม่ได้สร้างกฎว่าต้อง แล้วก็ต้องๆ แต่พระเจ้าใส่ความปรารถนาในใจ ในวิญญาณของเรา ทำให้เราต้องการ อยากจะทำ “อยากจะทำ” กับ “ต้องทำ” มันคนละเรื่องเลย ถ้าใครบังคับดิฉันว่าต้องไปตลาด  อย่างนั้นทุกข์ แต่นี่เรามีความสุข เพราะข้างในเราชอบ  เราก็ไป นี่คือความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสามารถหาได้ ไม่ยาก  แล้วพระเจ้าก็ให้พระคุณ ให้พระพร ให้เราสามารถที่จะจัดเวลาในแต่ละวันว่าเราจะทำอะไร? มีเวลาทั้งวัน 24 ชั่วโมง พระเจ้าก็ไม่ได้ให้เรานั่งทำงาน 24 ชั่วโมง เวลาทำงาน เขาทำแค่ 8 ชั่วโมงเอง อีก 16 ชั่วโมง ก็ไปทำอะไรก็ได้  ไปนอนเล่น ไปเดินเที่ยว คือทำได้หมด ไม่ผิด ไม่บาปนะพี่น้อง อย่าคิดว่าเราเป็นผู้เชื่อ ยิ่งเป็นผู้รับใช้ด้วย เป็นอาจารย์สอนด้วย อะไรไปเดินเที่ยวช๊อปปิ้งได้ทุกอาทิตย์ ดิฉันช๊อปปิ้งทุกอาทิตย์ ไปเดินเที่ยวห้างทุกอาทิตย์เลย อาทิตย์ละวัน สองวันเลย เพราะว่าหนึ่งมันเป็นการผ่อนคลาย  สองเราไม่มาจับเจ่าอยู่ในที่เดิมๆ

            ข่าวดีของพระเจ้า ที่เรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นอิสระแล้ว พระเจ้าให้อิสรภาพ ให้เสรีกับเรา ในการตัดสินใจ ไม่ว่าเราจะทำอะไร (1) ถ้าไม่ทำให้คนเดือดร้อน (2) ไม่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ขัดกับความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า (3) เรารู้สึกมีความสุข ที่ได้ทำสิ่งนั้น  ทำไปเถอะพี่น้อง พระเจ้าไม่ได้ถือโทษอะไรเรา นี่คือสิ่งที่เราสามารถทำได้ อย่างที่บอกหลายคนถามว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า สำหรับชีวิตของเรา  คืออะไร? เราอยากจะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เราทำอะไร? ใครๆ ก็อยากรู้

            เมื่อก่อนตอนเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ก็อยากรู้เหมือนกัน น้ำพระทัยของพระเจ้า สำหรับเราคืออะไร? สิ่งที่สำคัญที่สุด  ที่พระเจ้าให้กับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ น้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ มีอยู่อันเดียว คือมีความปรารถนาที่จะให้มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ได้มารู้จักกับพระนามของพระองค์ น้ำพระทัยเดียวเท่านั้น

            ในพระคัมภีร์ สาวกของพระเยซูคริสต์ถามพระเยซูว่า … “พระองค์เจ้าข้า ลูกจะปรนนิบัติรับใช้หรือทำงานของพระองค์อย่างไร? คืออะไรที่ต้องทำ”

            พระเยซูตอบไปแค่ประโยคเดียวว่า … “สิ่งเดียวที่ท่านต้องทำ ก็คือมาเชื่อและวางใจในผู้ที่พระเจ้า พระบิดาส่งมาเท่านั้น”

            แล้วพี่น้องทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว คือเราเข้ามาเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า  ที่พระเจ้าพระบิดาส่งมา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราทำเสร็จแล้ว ตามน้ำพระทัยของพระองค์ จากนั้น ก็แล้วแต่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะเป็นผู้บอกเราเอง  ถ้าเอาง่ายๆ อะไรก็ตามที่พี่น้องทำ แล้วมีความสุข ไม่เดือดร้อนใคร?  ไม่ทำให้ใครบาดเจ็บสาหัส พี่น้องทำไปเถอะ นั่นแหละ คือน้ำพระทัย นึกออกไหม? เพราะพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา พระองค์เป็นผู้นำเรา ในการทำสิ่งสารพัด แต่ถ้าเมื่อไร เราไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ก็จะบอกเราเอง  เราทำไป แล้วเราจะทุกข์ เราทำไปแล้วเราจะไม่น่าทำเลย มีใครเคยเป็นไหม?  พอตัดสินใจทำไปแล้ว เรา … ไม่น่าทำเลย  นั่นแหละ แปลว่าอันนั้นไม่ใช่น้ำพระทัยแน่นอน มันเป็นความต้องการของเรา พอความต้องการของเราออกไปปุ๊บ เรารู้สึก มันไม่ใช่ ถ้าเป็นน้ำพระทัย เราจะมีความสุข เราจะมีสันติสุขในพระเจ้า  เพราะพระองค์อยู่ในเรา พระองค์จูงมือเราเดิน ดิฉันไปตลาด พระองค์ก็จูงมือดิฉันไปเดิน

            ฉะนั้น ตรงนี้แหละ คือพระพร ถ้าพี่น้องรู้ความจริง พี่น้องก็จะเป็นอิสระ พี่น้องก็จะไม่ต้องมากดดันตัวเอง  พยายามหาว่าอะไรคือน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าบอกในหนังสือโรม บทที่ 12 ว่าให้เรามอบถวาย ความคิด จิตใจ วิญญาณ ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ร่างกายของเราให้กับพระเจ้า  เพื่อให้พระเจ้าเป็นผู้นำเรา ให้พระเจ้าเป็นผู้ทำการงาน แล้วเมื่อเรายอมมอบถวาย ตรงนี้เราต้องยอมด้วยนะ พระเจ้าไม่หักหาญ หรือพระเจ้าไม่บีบคอเรา หรือไม่แสดงอำนาจว่า …

            “เธอเป็นของฉัน เธอต้องทำตามฉัน”

            ไม่มี พระเจ้าให้เกียรติผู้เชื่อทุกคน  คือให้เราตัดสินใจ  เมื่อเราตัดสินใจยอมมอบถวายอวัยวะของเราให้กับพระเจ้าใช้ พระองค์ก็จะใช้เรา  สมองเป็นสมรภูมิรบ แต่ละวันเราบรรจุอะไรเข้ามาในนี้ แต่ละวันเราบรรจุข่าวสารของพระเจ้าที่ดี ที่พระเจ้าบอกเราว่าตอนนี้เราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ เราบรรจุพวกนี้ลงไปไหม? พระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราหมดจด เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เรามีวิญญาณใหม่แล้ว  วิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย  สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ทำบาปไม่เป็น เราเป็นแล้ว  เรามีความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเจ้าด้วย เป็นแล้ว มีแล้ว จริงๆ บอกว่ามีไม่ได้นะ คือมันเป็น ถ้าบอกว่ามี คือมีโอกาสไม่มีนะ จริงไหม? ถ้าท่านมีเงิน ท่านมีโอกาสไม่มีเงินก็ได้ ถ้าใช้ไม่เป็น แต่ถ้าท่านเป็นเงิน เขาบอกเป็นเงินเป็นทอง มันไม่หายไปไหน?  ก็คือเราจะมีใช้ตลอดเวลา ภาพนี้เราจะเห็นชัด

            พระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เมื่อทุกอย่างมันอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว มั่นใจได้ไหมว่าพระเจ้าผู้ทรงรักเราทุกๆ คน พระองค์จะทรงนำชีวิตของเรา ชีวิตของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ความคิดของเรา จะเป็นเหมือนความคิดของพระเจ้ามากขึ้น เมื่อเรารับรู้ความจริงในเรื่องราวของพระเจ้า  รับรู้ ไม่ถูกหลอก ด้วยข้อมูลเท็จที่โลกนี้ส่งเข้ามา หรือผีมารซาตานพยายามยัดเหยียด ความคิดที่ไม่ถูกต้อง เข้ามาในสมองของเรา ความคิดอะไรก็ตาม ถ้าถูกส่งมา ทำให้เรารู้สึกตัดพ้อต่อว่าพระเจ้าปุ๊บ อันนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่นอน พี่น้องปัดมันทิ้งไปเลย

            แล้วถ้าความคิดใด ก็ตาม ทำให้เรารู้สึกน้อยใจพระเจ้า ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้าอีก เอามันทิ้งไปเลย เพราะว่าเราไม่ควรน้อยใจพระเจ้า พี่น้องจะไปน้อยใจพระเจ้าทำไม ในเมื่อพระเจ้ารักเราขนาดนี้ รักเราขนาดส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน  ให้ทุกสิ่งกับเรา อภัยโทษบาปให้กับเรา รับเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ ขนาดนี้ แล้วเรายังจะไปน้อยใจพระเจ้าเพื่ออะไร? มารก็จะพยายามใส่ข้อมูลพวกนี้ เพื่อให้น้อยใจพระเจ้า แล้วเราก็ไปมองคนอื่น …

            “ทำไมพระเจ้าอวยพรเขา ทำไมพระเจ้าไม่อวยพรเรา”

            น้อยใจพระเจ้า น้อยไปน้อยมา งอนพระเจ้าอีก  งอน เพราะว่าทำไมพระองค์อวยพรนาย ก. ไม่อวยพรฉัน  กลายเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น ให้เรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าทรงรักพวกเราทุกคนเท่ากัน เท่ากันตรงที่พระเยซูคริสต์ได้มาตายแทนพวกเราทุกๆ คน 1 ชีวิตเท่ากัน  ไม่มีใครที่พระเยซูตายครึ่งชีวิต และไม่มีใครที่พระเยซูตายให้เสี้ยวชีวิต ไม่มี 1 ชีวิต พระองค์ตายเพื่อเรา  ฉะนั้น พระเจ้ารักเราเท่ากัน ในเรื่องของโลกวิญญาณ  พวกเราทุกคนจะได้ทุกอย่างเท่าๆ กัน ส่วนในโลกวัตถุ นั่นแล้วแต่น้ำพระทัยของพระเจ้า  พระเจ้าจะให้แต่ละคนไม่เท่ากันแน่นอน พี่น้องไม่ต้องไป คิดว่าเราต้องเท่าเขา เขาต้องเท่าเรา ไม่มีทาง คือมันไม่เท่ากันแน่นอน  แต่อยู่ตรงที่ว่าเราพอใจไหม?  แค่นี้เอง ถ้าเราพึงพอใจ ในพระคัมภีร์เดิมบอกว่าถ้าพระเจ้าทรงนำพาย่างเท้าของผู้หนึ่งผู้ใด แล้วคนนั้นเต็มใจที่จะเดินตามพระเจ้า เต็มใจ พอใจ  แม้เขาล้มลง พระเจ้าจะไม่เหวี่ยงเขาออกไป แต่พระเจ้าจะจูงมือเขาขึ้น นี่คือพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าเผยพระวจนะเอาไว้ว่าอนาคตข้างหน้า มันจะเกิดตรงนี้ แล้ว ณ บัดนี้ เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ คือเสร็จแล้ว  พระองค์ได้นำพาย่างเท้าของพวกเราทุกๆ คน จริงๆ แล้วไม่ใช่เฉพาะพวกเรา พระเจ้านำพาย่างเท้าของมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ คือตายแทนทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว

            แล้วถ้าใครก็ตามพอใจ พวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ เราพอใจ  ถ้าเราไม่พอใจ เราคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ เราพอใจที่ให้พระเจ้าเป็นผู้นำทางชีวิตของเรา เมื่อพอใจปุ๊บ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกต่อว่าเมื่อคนนั้นพอใจแล้ว พระเจ้าจะพาเขาเดินกรีดกราย สุขสบายอยู่บนโลกใบนี้ ไม่เจออะไรเลย สุขทุกวัน เช้า สาย บ่าย เย็น ไม่มีปัญหาเดือดร้อนเข้ามาในชีวิตของเรา พระคัมภีร์ไม่ได้บอกอย่างนั้น  แต่พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อคนนั้นพอใจ แม้เขาล้มลง แปลว่าอะไร? ล้ม เจ็บไหม?  ล้ม เจ็บนะ ล้มลง ไม่รู้ว่าล้มลงด้วยเหตุอันใด  ด้วยอะไรก็แล้วแต่ โอกาสล้มลง มันมีแต่ว่าเมื่อไรที่เราล้มลง พระเจ้าจะพยุงมือเราขึ้น  แล้วพระองค์จะพาเราเดินต่อไป

            แล้วถ้อยคำของพระเจ้ายังสัญญากับเราอีกว่าในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของเรา เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร? จริงๆ ตั้งแต่พระเยซูคริสต์อยู่บนไม้กางเขนแหละ แต่โดยภาษาที่เราเข้าใจ ก็คือเริ่มต้นตั้งแต่วันที่เราอธิษฐานกับพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา นั่นคือจุดเริ่มต้นในความคิดของมนุษย์ จุดเริ่มต้นตรงนี้ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าเริ่มต้นแล้ว  พระองค์ก็จะทรงนำพาชีวิตของเรา  ไม่ว่าชีวิตของเราจะล้มลุกคลุกคลาน หัวทิ่มหัวตำขนาดไหน? พระเจ้าก็จะทรงนำไปจนถึงจุดหมายปลายทาง

            จุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่ไหน?  ก็อยู่ที่สวรรค์นิรันดร์กาล จุดหมายปลายทางของเรา ก็คือวันที่ลมหายใจของเราออกจากร่าง แล้วเราทิ้งร่างกายนี้ ซึ่งเป็นตัวเก่าของเรา เป็นร่างกายที่อยู่ในคำสาปแช่ง ที่พระเจ้าบอกว่าเจ้าถูกสร้างมาจากดิน จะต้องกลับกลายเป็นผงคลีดิน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ ฉะนั้น ร่างกายของทุกคน ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม วันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง  วิญญาณเราออกจากร่าง เราต้องทิ้งร่างกายนี้ เปื่อยเน่าไป ก็จะกลายเป็นดิน แต่สิ่งที่มันต่างกันระหว่างคนเชื่อกับคนที่ไม่เชื่อ ก็คือผู้เชื่อ เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง พระเยซูคริสต์มารับเราไป

            ในพระคัมภีร์บอกว่าบนสวรรค์จะเป่าแตรกันสะหนั่นหวั่นไหว แล้วก็มารับเราไป อยู่กับพระองค์ แล้วอยู่ที่ว่าพระองค์จะมารับเราส่วนตัว หรือจะมารับเราทั้งหมด  มันมี 2 กรณี ถ้าเราตายก่อน พระเยซูก็มารับเราส่วนตัว ทำไมเรารู้ว่าพระเยซูมารับเรา พี่น้องเคยเห็นผู้เชื่อจากไปอยู่กับพระเจ้าไหม? มีใครเคยเห็นบ้าง?  ผู้เชื่อจากไปอยู่กับพระเจ้า เห็นกับตา เห็นจะๆ ดิฉันเห็นบ่อย สิ่งที่มันเกิดขึ้น จากที่เราเห็น  ก็คือผู้เชื่อทุกคน ตอนจากไปอยู่กับพระเจ้า เขาจะสงบมาก คือหลับไปเลย  แล้วพอหลังจากหลับไป มันเป็นเรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องจริง ใบหน้าเขาจะยิ้มแย้มแจ่มใส ดูแล้วไม่น่ากลัว คือเหมือนยิ้มหลับไป  ทำไมเขาถึงยิ้ม เพราะว่าคนที่มารับเขาไป คือพระเยซูคริสต์ เขารู้ว่าเขาได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้มารับเขาไป เขายิ้มกลับไปเลย ผิดกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ตอนจากไป เขาจะทุรนทุราย แล้วก็จะทำหน้าน่ากลัวมากเลย เพราะกลัว ทำไมถึงกลัว  กลัวเพราะไม่รู้ว่าจากนี้ไป จะไปอยู่ที่ไหน? ใครจะพาไปไหน? ไม่รู้ ไม่รู้ทิศทางเลย เขาถึงกลัว ผู้เชื่อไม่กลัว เพราะเรารู้ว่าจากโลกนี้ไป เราจะไปอยู่ไหน?  พระเจ้ารับเราไปอยู่ที่เดิมนั่นแหละ พี่น้องนึกออกไหม? แค่เปลี่ยนมิติ ณ เวลานี้ พวกเราทุกคนผู้เชื่อได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น แล้วเราก็เชื่อตามนั้น อยู่ที่นั่นแล้ว แค่ตัวตนของเรานั่งอยู่ที่นี่ คือที่สมุทรปราการ แต่ตอนนี้วิญญาณเรานั่งอยู่กับพระเจ้าด้วยกัน พระเยซูคริสต์อยู่ไหน? เราอยู่ด้วย เพราะเรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูอยู่ในเรา เราอยู่ในพระองค์ พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ด้วย

            นั่นแหละ หลักการง่ายๆ เลย ไม่ต้องคิดเยอะ แค่รู้ว่าพระเยซูตอนนี้อยู่ไหน? อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า แล้วฉันอยู่ไหนล่ะ ฉันก็อยู่ที่เดียวกันไง นี่คือหลักการง่ายๆ เลย เชื่อเอา เพราะว่าเรายังไม่สามารถเห็นด้วยตา  แต่วันหนึ่ง เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราได้ไปเจอพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า แล้วเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตรงไหนเลย แค่เปลี่ยนมิติ เราก็ยังคงอยู่ที่เดิม คือที่สวรรคสถานนิรันดร์กาล ร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อ อย่าให้ใครหลอกเรา ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม มาหลอกเราว่า …

            “ถ้าอยู่บนโลกใบนี้  เธอไม่ประพฤติดี เธอไม่รอดแน่ๆ  พระเจ้าทิ้งเธอ พระเจ้าไม่เอาเธอ”

            อย่าให้ใครหลอกเด็ดขาด ไม่ว่าผู้เชื่อจะประพฤติดีหรือไม่ดีก็ตาม ผู้เชื่อทุกคนยังเป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ ความจริงตรงนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เชื่อเถอะ เมื่อเราอยู่ในพระเจ้า  ไม่มีใครมีใจปรารถนาอยากจะทำสิ่งที่ไม่ดี  ถ้าเมื่อไรที่เราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ดี แปลว่าตอนนั้นเราถูกหลอก พี่น้องประมวลภาพ แล้วจะได้เข้าใจ เราจะได้ไม่ถูกหลอก เมื่อเราเผลอทำผิด

            มารก็จะส่งข้อมูลมาเลย … “เห็นไหมเธอทำบาปอีกแล้ว เธอนิสัยแบบนี้ พระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว เธอไม่รอดแน่ๆ”

            สวนกลับไปเลย … “พระเจ้าบอก พระคัมภีร์บอกว่าฉันรอดแล้วรอดเลย  ไม่ต้องมาหลอก”

            นึกออกไหม?  พี่น้องต้องรับรู้ความจริงตรงนี้  แล้วสามารถที่จะสวนกลับไป การสวนกลับไปของเรา คือการต่อต้าน ขัดขืนความเท็จที่มันส่งเข้ามาในความคิดของเรา พอเราต่อต้านขัดขืนปุ๊บ หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น  พระคัมภีร์บอกว่าแล้วมารจะหนีท่านไป  ถ้าภาษาของอาจารย์นคร ก็จะบอกว่ามารจะหนีท่านไป ด้วยความตกใจกลัวสุดขีด นี่ภาษาอาจารย์นครนะ  ในพระคัมภีร์บอกแค่ว่ามารจะหนีท่านไป แต่หนีแบบตกใจกลัวสุดขีดจริงๆ ทำไมถึงตกใจ คนนี้รู้จริง หลอกไม่ได้ แล้วทำอะไร? ไปดีกว่า ภาพเดียวกันเลย พี่น้องแค่นึกแค่นี้  เมื่อหลอกไม่ได้ หลอกไปก็เหนื่อยเปล่า มารมันเหนื่อย ไม่เอาดีกว่า ไปหลอกคนที่หลอกง่าย  ไปดีกว่า นั่นคือภาพของถ้อยคำของพระเจ้าที่บอกเราว่าเมื่อท่านต่อต้าน ขัดขืนมัน มันจะหนีท่านไปอย่างตกใจกลัวสุดขีด ในขณะที่มันบอกว่า …

            “คริสเตียนคนนี้เขี้ยว เขี้ยวลากดินเลย  เราหลอกไม่ได้เลย เรามาทุกรูปแบบ แต่เขารู้ความจริงว่าพระเจ้าได้ทำอะไรให้เขาเรียบร้อยไปแล้ว”

            มันก็เลยเหนื่อยไง พอเขาเหนื่อย พี่น้องลองคิดดู ถ้าเราไปหลอกใครเรื่อยๆ แล้วเขาไม่ผสมโรงกับเรา เราเหนื่อยไหม? เหนื่อย ไม่เอาดีกว่า  ไปหลอกคนที่หลอกง่าย มันดีกว่าเยอะ นั่นภาพเดียวกัน  ถ้อยคำของพระเจ้า จึงบอกเราว่าท่านต้องรู้ความจริง ท่านต้องรู้ว่าตอนนี้สถานะของเราอยู่ตรงไหน? เรายืนอยู่ตรงไหน?  หนังสือเอเฟซัสบอกว่าตำแหน่งของเรา ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ตรงไหน?  เมื่อเรารู้ตำแหน่งปุ๊บ เราก็ดำเนินชีวิตตามตำแหน่งนั้น การดำเนินชีวิตตามตำแหน่งนั้น ก็คือใช้ชีวิตให้เหมาะสม หรือคู่ควรกับตำแหน่งที่เราได้รับ ตำแหน่งที่เราได้รับ คือลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เราเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้า  ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  เมื่อเราเป็นราชบุตร ราชธิดา เราจะทำตัวเกเรไม่ได้ เราก็จะวางมาดนิดหนึ่ง ทำให้รับรู้ว่า …

            “ฉันเป็นลูกกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว ฉันจะต้องวางตัวแบบไหน?  เมื่อเรารับรู้ความจริง  มันจะออกมาโดยอัตโนมัติเลย โดยที่เราไม่ต้องฝืน  ไม่มีการฝืน ถ้าพี่น้องสังเกต พี่น้องไม่ต้องฝืนเลย มันจะออกมาเอง เมื่อเรารับรู้ความจริงมาก ก็จะถูกหลอกน้อย  รับรู้ความจริงน้อย ก็ถูกหลอกมาก แค่นั้นเอง หลักการง่ายๆ นิดเดียวเอง ในข้อ 7 …

        โคโลสี 1:7 “ท่านได้เรียนรู้ข่าวประเสริฐจากเอปาฟรัส เพื่อนร่วมรับใช้ที่รักของเรา ผู้ปรนนิบัติพระคริสต์อย่างสัตย์ซื่อ  เพื่อพวกเรา”

            เอปาฟรัส น่าจะเป็นผู้เชื่อที่อาจารย์เปาโลไปประกาศ  แล้วเอปาฟรัสก็ไปประกาศต่อ เป็นผู้ที่ก่อตั้งคริสตจักรชาวโคโลสี ซึ่งผู้เชื่อในโคโลสี อาจารย์เปาโลไม่รู้จัก ไม่เคยเจอ รู้จักแต่เอปาฟรัสเท่านั้น แล้วเอปาฟรัสก็จะเป็นผู้ส่งข่าวให้อาจารย์เปาโลเรื่อยๆ ว่าตอนนี้ ณ ปัจจุบัน ผู้เชื่อเหล่านี้ เป็นอย่างไร?  มีความเป็นอยู่แบบไหน?  มีความเชื่อแบบไหน?  ได้สำแดงความรักของพระเจ้าขนาดไหน? พออาจารย์เปาโลได้ยินข่าว  พี่น้องนึกภาพนะ เวลาเราได้ยินข่าวว่าพี่น้องท่านใดที่เชื่อวางใจในพระเจ้า แล้วเขาหนักแน่น มั่นคง เขารักพระเจ้า แม้เขาจะเจอปัญหา อุปสรรค เขายังยืนหยัดอยู่เคียงข้างพระเจ้า  เป็นความภาคภูมิใจ  เราภูมิใจมากเลย ที่เขาสามารถผ่านความทุกข์ยากเหล่านั้น ด้วยพระคุณของพระเจ้า แล้วเขาจะสามารถยืนหยัดและรับรู้ว่าพระเจ้ารักเขาขนาดไหน?  นั่นคือความภาคภูมิใจ

            พออาจารย์เปาโลได้ยินข่าว ก็มีความสุขมาก  แล้วอาจารย์เปาโลใช้คำว่า “เพื่อนร่วมรับใช้ที่รักของเรา” ให้เกียรติ

            เอปาฟรัสตอนมาเชื่อใหม่ๆ เป็นผู้เชื่อธรรมดาคนหนึ่ง แล้วจากนั้น เมื่อพระเจ้าทรงเลือกและเรียกให้เขาได้มีโอกาส  ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ก็คือขยับสถานะขึ้นมา พอขยับสถานะขึ้นมาปุ๊บ อาจารย์เปาโลไม่ใช้คำว่า “พี่น้อง” ถ้าอาจารย์เปาโลใช้คำว่าพี่น้อง แปลว่าเป็นสมาชิกทั่วไปธรรมดา ก็คือเราเป็นพี่น้องกัน  แต่พอขยับสถานะนิดหนึ่ง อาจารย์เปาโลให้เกียรติ ก็เลยใช้คำว่าเป็นผู้รับใช้ร่วมกันที่รักของอาจารย์เปาโล ผู้ที่ปรนนิบัติพระคริสต์อย่างสัตย์ซื่อ เพื่อพวกเรา

            การปรนนิบัติพระคริสต์อย่างสัตย์ซื่อ ก็คือการดำเนินชีวิต ดูแลฝูงแกะของพระเจ้า การดูแลฝูงแกะของพระเจ้า เป็นส่วนหนึ่งของการรับใช้  คือดูแลเขาแบบไหน?  ไม่ใช่การดูแล เราต้องไปจ้ำจี้จ้ำไช ไปรู้ทุกเรื่องในชีวิตของเขา ไม่ใช่นะ  อย่าทำเด็ดขาด แม้ท่านเป็นผู้รับใช้ ท่านก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปล่วงล้ำอธิปไตยของใคร? หรือจะไปรู้เรื่องทุกอย่างของใคร ทำไม่ได้ เราไม่ใช่นายทะเบียน นายอำเภอ ที่เราจะต้องรู้ทุกเรื่องว่าคนนี้  เกิดที่ไหน? ทำอะไร? ตอนนี้เป็นอย่างไร? ไม่ใช่  แต่การดูแลฝูงแกะของพระเจ้า ก็คือดูแลเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อของเขา คอยดูแลว่าตอนนี้สถานะในวิญญาณของเขาเป็นแบบไหน? เขวไปเขวมาหรือเปล่า?  แบบหัวทิ่มหัวตำไหม? อะไรแบบนี้ พอสถานะในวิญญาณของเขาถูกต้อง คือเขาเจริญเติบโตอยู่ในทางของพระเจ้า เขาได้สำแดงความรักของพระเจ้าผ่านทางชีวิตของเขา ไปถึงผู้อื่น เราก็ดีใจ พอดีใจตรงนี้ คือบำเหน็จรางวัล  บำเหน็จรางวัลในหนังสือโครินธ์ ที่พูดถึง เราก็คิดถึงรางวัลที่เราจะได้รับเป็นสิ่งของ หรือเป็นอะไรสักอย่าง บางคนก็คิดว่าเราจะได้รางวัลในอนาคตข้างหน้า บนสวรรค์ บนสวรรค์ทุกคนได้เท่ากัน

            เมื่อก่อนถูกสอนว่าบนสวรรค์ไม่เท่ากัน  แต่ความจริงของพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าบนสวรรค์ เราได้เท่ากัน คือเราได้ชีวิตนิรันดร์เท่ากันทุกคน  แต่ส่วนบนโลกนี้ เราจะได้ไม่เท่ากัน มันอยู่ที่การดำเนินชีวิตของเรา พอเราหว่านสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้องตามหนังสือโครินธ์ที่บอกว่าเวลาเราไปสอนผู้เชื่อ เราเอาอะไรให้เขา  เราเอาทองคำ เงิน เพชรพลอย หรือเราเอาดิน เอาหญ้าฟาง หรือเอาเศษไม้แห้งไปให้เขา  ทองคำ เพชรพลอย ก็คือข่าวดีของพระเจ้าจริงๆ คือไม่ได้ผสมเติมแต่งให้มันสวยงาม แค่เขารับรู้ว่าพระเจ้ารักเขาแค่ไหน? พอ และเมื่อเขารับรู้แล้ว การเจริญเติบโตของเขาจะอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้อง เวลาเขาเจอเหตุการณ์อะไรมากระทบกระทั่งเขา ก็ไม่สามารถทำให้เขาตัดพ้อต่อว่าพระเจ้าได้  เขายังคงยืนหยัดในความเชื่อ  ยังคงรับรู้ว่าพระเจ้ารักเขาขนาดไหน?  นั่นคือเขาเจริญเติบโต พอผู้เชื่อเจริญเติบโตปุ๊บ  คือบำเหน็จรางวัลของผู้รับใช้  มีความสุข เขาโต ขอบคุณพระเจ้านะ เขาเดินกับพระเจ้า แล้วเขาสามารถที่จะรับในสิ่งต่างๆ ได้ ที่รับรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย  ได้ยิน เราก็ชื่นใจ ความชื่นใจตรงนี้แหละ สันติสุขรางวัลมาชัดๆ เลย ไม่ต้องรอรางวัลที่ไหน? พอเห็นพี่น้องเติบโต เราก็ชื่นใจ

            ฉะนั้น บำเหน็จรางวัลตรงนี้ มันเกี่ยวกับโลกใบนี้ แต่ถ้าเราเลี้ยงดูสมาชิกพี่น้องด้วย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟาง มันเผาวอดเนอะ เวลาโดนไฟ หมดเลย การเลี้ยงดูพี่น้องด้วยสิ่งเหล่านี้ ก็คือป้อนสิ่งที่สบายหู พี่น้องนึกคำว่าสบายหู ป้อนสิ่งที่มันไม่จริง  เราจะไปบอกสมาชิกว่า …

            “มาเชื่อพระเจ้า แล้วเธอจะไม่มีความทุกข์หรอก  แน่นอน เธอจะอยู่ดีมีสุขตลอดชีวิต พระเจ้าจะอวยพรเธอทุกวี่ทุกวัน  เธอจะมีเงินทองใช้สอยอย่างสุขสบาย เธอจะไม่เจ็บ ไม่ป่วย”

            นี่คือพวกหญ้า ฟาง และไม้แห้ง ที่เราใส่เข้าไปในความคิดของพี่น้องที่เชื่อวางใจในพระเจ้า  เพราะสิ่งนี้เป็นความเท็จ พระเจ้าไม่เคยสัญญา พอเขาเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เจอโควิดมา ทำไมเราติดโควิด  ตอนนี้ทุกข์แล้ว …

            “ไหนพระเจ้าบอกว่าเราจะอยู่ดีมีสุขไง ทำไมเราเป็นแบบนี้”

            คือทำให้แทนที่พี่น้องคนนั้น จะมั่นใจในพระเจ้าว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? ไม่ว่าเราจะติดโรคอะไรทั้งหมด  ไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่นอน พระเจ้าไม่เคยตีสอนเรา หรือโยนสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตของเรา  แต่ที่เราต้องเผชิญ เพราะว่าเราต้องดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  มันเจอแน่ๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้

            ในพระคัมภีร์ยังเห็น มีพี่น้องคริสเตียนที่อดอยากในกรุงเยรูซาเล็ม แล้วยังต้องเรี่ยไรเงินจากคริสตจักรคนต่างชาติไปสมทบ ไปช่วยเหลือ ถ้าความจริงของพระเจ้าที่บอกว่าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะไม่อดอยาก เราจะเจริญรุ่งเรือง เราจะไม่ขัดสน อย่างนี้ถ้อยคำพระเจ้าก็โกหกสิ จะบอกอะไรให้ ที่พระเจ้าสัญญาทั้งหมด ที่ท่านจะเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ท่านจะสูงขึ้นทางเดียว ท่านจะไม่ตกต่ำ ท่านจะอะไรทั้งหมด  สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันเป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงในเรื่องของโลกวิญญาณ  วิญญาณท่านเป็นแบบนั้นแล้ว สูงขึ้นทางเดียว ไม่มีตกต่ำ  อยู่ในพระคริสต์ ท่านจะไม่ขัดสนในสิ่งดีที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับท่านเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณท่านเป็นอย่างนั้นหมดแล้ว  แต่ในโลกวัตถุ ท่านไม่สามารถให้หลักประกันชีวิตกับใครได้เลย

            ใครกล้าประกันว่า … “นี่เธอ ตลอดชีวิตของเธอ เธอจะไม่เจอความทุกข์ยาก”

            ถ้าเขาเจอความทุกข์ยาก เขาเอาไม้มาตีหัวเรา “ศิษยาภิบาลโกหกนี่ ไหนบอกไม่ทุกข์ ฉันทุกข์จะตายแล้ว” อะไรประมาณนั้น

            เพราะว่านี่คือความเท็จ พอความเท็จ ผู้เชื่อแทนที่เขาจะเจริญเติบโต เขาไปเพ้อฝันในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง  แล้วชีวิตของเขาก็ไม่มีความสุข ขาดสันติสุขในพระเจ้า  แทนที่เจอความทุกข์ยาก เขารับรู้ว่า …

            “พระเจ้าอยู่ในฉัน  อย่างไร พระเจ้าพาฉันผ่านแน่นอน”  หรือ … “ถ้าฉันเจ็บป่วย”

            สมมติดิฉันป่วยเป็นโรคหัวใจ ถ้ายังไม่ถึงเวลา พระเจ้ามีวิธีให้ดิฉันไปหาหมอ แล้วเจอหมอดีไปผ่าตัด ไปอะไรก็แล้วแต่ จนกลับคืนมาสู่สภาพดี สามารถทำงานได้ประมาณหนึ่ง  แต่ถ้าบังเอิญมันถึงเวลาที่พระเจ้าบอกวราพรกลับบ้านได้แล้ว เป็นโรคหัวใจ ยืนเทศน์อยู่อย่างนี้ น๊อคตายไปเลย ดิฉันก็กลับบ้าน แค่นั้นเอง  เพราะนั่นคือความจริง พอเรารับรู้ความจริง เราไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตของเรา ต้องไปผูกกับอะไร เราแค่ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน  รับรู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย ถ้าถึงเวลาจะต้องกลับบ้าน ไม่ว่าเราจะดูแลตัวเองดีขนาดไหน? ก็ต้องไปอยู่ดี หรือถ้ายังไม่ถึงเวลากลับบ้าน พระเจ้าก็สามารถทำให้เราสามารถอยู่ได้ด้วย เขาบอกว่าถ้าถึงเวลาเราจะต้องตาย ไม้จิ้มฟันแทงเหงือกยังตายเลย

            เล่าเรื่องหนึ่ง สมัยก่อน เขาเล่ากันสนุกสนาน เขาบอกว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง มีคนมาบอกว่าเขาว่า …

            “ระวังให้ดีนะ ช่วงนี้หน้าตาไม่โอเคเลย  ตกอับ ระวังถูกสัตว์แทงตาย อย่าไปเที่ยวที่ไหนนะ อยู่แต่ในบ้านเลยนะ ห้ามไปเดินโป่ง เดินป่า (คนนี้น่าจะชอบเดินป่า) ห้ามไปเดินเด็ดขาดเลยนะ ตายแน่ๆ เลย”

            คนนี้ก็ … “เชื่อๆ ฉันไม่ไปเดินป่าดีกว่า ฉันเดินอยู่ในบ้านนั่นแหละ”

            พอถูกทำนายอย่างนี้ มันอยู่ไม่สุข เดินอยู่นั่น เดินวนไปเวียนมา เป็นบ้านไม้ เวลาเดินมันกระเทือน แล้วบังเอิญเป็นคนชอบสัตว์ ข้างฝาแปะเขาควายไว้อันหนึ่ง เดินไปเดินมากระเทือนเยอะๆ เขาควายหล่นลงมาปักตายไปเลย นั่นเป็นเรื่องเล่าสนุกนะ  เขาเล่าขำๆ ให้เป็นอุทาหรณ์ว่าจริงๆ แล้วคนหนึ่งถ้าถึงเวลาจะต้องจากไป ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถยึดชีวิตของเขาได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่เขาจะตาย ก็ไม่มีใครสามารถเอาชีวิตของเขาไปได้

            แล้วชีวิตของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เอเมน อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ให้เรามั่นใจเลย พระเจ้าจะทรงนำเรา ถึงเวลา พระเจ้าจะพาเรากลับบ้าน เราก็จะได้กลับบ้าน ถ้ายังไม่ถึงเวลา  ก็ทำงานต่อไป อย่างมีความสุข  ดิฉันทำงานมีความสุขจริงๆ ทุกสิ่งอย่าง มีความสุขมากๆ ฉะนั้น อยู่ให้มีความสุข ในขณะที่พระเจ้าให้ชีวิตเราอยู่บนโลกใบนี้ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            การรับบัพติศมาในน้ำ สำหรับคริสเตียนนั้น สำคัญอย่างไร?

            การบัพติศมาในน้ำสำหรับคริสเตียน เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญที่แสดงออกมาให้เห็นถึงความเชื่อ และการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป

            การบัพติศมาไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เรารอด แต่เป็นการแสดงออกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  เมื่อเราได้รับความรอดจากบาป คือการที่เราได้ถูกฝังและฟื้นคืนชีวิตใหม่ในพระคริสต์

            โรม 6:3-5 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์  (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น 4 ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่  (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย  แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วย”

            สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ คือวิญญาณของมนุษย์ที่ตายอยู่ ได้รับการบังเกิดใหม่เป็นอภิมหาบริสุทธิ์ สะอาดที่สุด พระวิญญาณของพระเจ้า ได้เข้ามาบัพติศมาผู้เชื่อในพระเยซู เพื่อให้ผู้นั้นสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชำระตั้งแต่ร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ ได้เกิดใหม่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อพร้อมที่จะเป็นบ้าน ให้พระเจ้าพระบิดาและพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ด้วยกันในวิญญาณที่เกิดใหม่นั้น

            เพราะฉะนั้น การเข้าพิธีบัพติศมาในน้ำของคริสเตียน จึงเป็นการเฉลิมฉลองการที่เราได้บังเกิดใหม่ กลายเป็นสิ่งสร้างใหม่ มีชีวิตใหม่ในพระคริสต์

            การบัพติศมาในน้ำเป็นการแสดงออกถึง การที่เราได้ถูกชำระให้บริสุทธิ์ และได้รับการยกโทษบาปทั้งหมดผ่านการเสียสละของพระเยซู

            โคโลสี 2:13-14 “13 และท่านทั้งหลายซึ่งก่อนเชื่อนั้น  ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ  เพราะวิญญาณเป็นบาป  อยู่ในบาป  จึงทำบาป  คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า  และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน  ตอนนี้ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว  พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิตบังเกิดใหม่ในพระคริสต์  เช่นเดียวกันกับเรา  และได้ทรงให้อภัยในการละเมิดกฎทั้งหลายของพวกเรา 14 พระองค์ทรงยกเลิกกฎแห่งการกระทำ  ตามธรรมบัญญัติที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ  (หนังสือธรรมบัญญัติที่พระเจ้าได้ประทานให้กับชาวยิว  ผ่านทางโมเสส  และสำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว  หนังสือธรรมบัญญัติ  บันทึกไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน)  ซึ่งมีระบุไว้ว่าเราต้องทำตามทุกจุด  ทุกขีด  ทุกข้อในหนังสือบทบัญญัติอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน  ไม่มีการละเมิดเลยแม้จุดๆ เดียว  กฎแห่งการกระทำนี้  จึงเป็นศัตรูต่อต้านชีวิตเรา  คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ  ละเมิดกฎ  คือทำบาป  ต้องได้รับโทษ  คือความพินาศในวิญญาณ  (เพราะมนุษย์เรา  ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์  บริบูรณ์ ดีพร้อม  ตามบัญญัตินั้นได้  โดยไม่ละเมิดเลย  แม้แต่จุดเดียว)  พระองค์ได้ทรงเอาหนังสือธรรมบัญญัตินี้  ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน  (เพื่อว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  จะได้เป็นตัวแทนของเรามวลมนุษย์  ในการตายจากชีวิตเดิม  ร่วมกับพระองค์  จากชีวิตเดิม  ซึ่งเป็นหนี้บาป  ต้องชดใช้เวรกรรม อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ ตามบทธรรมบัญญัตินี้)”

            การเข้าพิธีบัพติศมาในน้ำ ยังเป็นการประกาศต่อสาธารณะว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระเจ้า และมีชีวิตใหม่ในพระองค์แล้ว

            กาลาเทีย 3:27 “เพราะว่าท่านทั้งหลาย ที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ได้รับบัพติศมา (เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในทางวิญญาณ) ในพระคริสต์แล้ว ก็ได้สวม (คลุมกาย) ด้วยพระคริสต์”

            ดังนั้น การเข้าพิธีบัพติศมาในน้ำ จึงเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อ และการยอมรับในพระเยซูคริสต์ และเป็นการเฉลิมฉลอง วันคล้ายวันเกิดของเราฝ่ายวิญญาณ การที่เราได้กลายเป็นสิ่งสร้างใหม่ในพระองค์ ไม่ใช่พิธีที่ทำให้เรารอดจากบาป แต่เป็นการแสดงออกถึงสิ่งต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นในจิตวิญญาณ ในชีวิตของเราแล้ว

            พระเจ้าอวยพรครับ