คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม 2025
เรื่อง “หนังสือ 2 ยอห์น” ตอน 3 “รางวัลที่ได้รับจากการดำเนินชีวิตตามความจริงของข่าวดี”
โดย นคร เวชสุภาพร
“หนังสือ 2 ยอห์น” วันนี้ ตอน 3 “รางวัลที่ได้รับจากการดำเนินชีวิต ตามความจริงของข่าวดี” หนังสือยอห์นอย่างที่บอกไว้คราวที่แล้วว่าเน้นย้ำมาก ถึงเรื่องเกี่ยวกับความจริงกับความเท็จ พระเยซูกับมาร ความสว่างกับความมืด ผู้เชื่อกับผู้ไม่เชื่อ คริสเตียนกับปฏิปักษ์พระคริสต์ ตรงกันข้ามกัน ครั้งที่แล้วตอน 2 “จงระวังความเท็จที่จะทำให้สูญเสียความมั่นใจในความจริงของข่าวดี” ชื่อเรื่อง ซึ่งเป็นการเตือนสติคริสเตียนให้ระวังตัว เอาใจใส่ความจริงของพระเยซูคริสต์ ที่ดำรงอยู่ในใจท่าน ความจริงเหล่านี้ เราไม่ต้องไปแสวงหาไกลที่ไหน? พระคัมภีร์บอก ความจริงนี้อยู่ในเรา ความจริง ก็คือพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์ คือความจริง … ความจริงนี้อยู่ในเราแล้ว เพียงแต่แสวงหาจากถ้อยคำพระเจ้า เพื่อรับรู้ว่าเราเป็นใคร? พระองค์เป็นใคร? และตัวจริงๆ เราเป็นอย่างไร? นี่คือความจริงที่อยู่ในเรา ซึ่งเราได้ใช้หนังสือ 2 ยอห์น 1:8 ครั้งที่แล้วเราวิเคราะห์กัน บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
2 ยอห์น 1:8 “จงระวังตัว (เอาใจใส่) เพื่อจะไม่สูญเสีย (โยนทิ้งหรือทำลาย) สิ่งทั้งปวง ที่เรากับท่าน ได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน แต่ให้ท่านดำรงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อจะได้รับบำเหน็จ(รางวัล ผลตอบแทน) สมบูรณ์ครบถ้วน”
เราได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับให้เราระวังตัว เอาใจใส่ เพื่อจะไม่สูญเสียสิ่งทั้งปวง ตรงนี้เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว “ซึ่งเรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน” เราก็ได้เรียนรู้แล้วว่าตรากตรำทำอะไรกัน
วันนี้เราจะมาต่อตอนท้ายของพระคำนี้ ที่บันทึกไว้ “แต่ให้ท่านดำรงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อจะได้รับบำเหน็จรางวัล ผลตอบแทนสมบูรณ์ครบถ้วน” เราจะมาวิเคราะห์ตรงนี้ว่ามันแปลว่าอะไร?
ดำรงอยู่ในอะไร? ก็ตะกี้ที่เราอ่านกันตอนต้นที่บอกว่า “จงระวังตัวเอาใจใส่” ซึ่งเราได้เรียนรู้ไปแล้ว เอาใจใส่อะไร? เอาใจใส่สิ่งที่ดำรงอยู่ในท่าน ก็คือความจริง ความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว ให้เราระวังตัว เพื่อจะไม่สูญเสียความจริงนี้ไป ความจริงที่ดำรงอยู่ในตัวท่าน ให้ท่านดำรงอยู่จนถึงที่สุด ก็หมายถึงให้ท่านรักษาความจริงเอาไว้ให้มากที่สุด ให้ดีที่สุด ทำไมต้องรักษาความจริงนี้ไว้ เพื่อท่านจะได้รับบำเหน็จ รางวัล ผลตอบแทน สมบูรณ์ครบถ้วน ผมแปลให้ละเอียดขึ้น เพื่อจะได้บำเหน็จ … บำเหน็จ หมายถึงรางวัล ผลตอบแทนของการระมัดระวัง รักษาความจริงให้ดำรงชีวิตอยู่ในใจของเราตลอดเวลา แสดงว่าเรากระทำตามนี้แล้ว เรารอคอยผลตอบแทน มีผลตอบแทนด้วย
เมื่อเราอ่าน คำว่า “เพื่อจะได้รับบำเหน็จรางวัล สมบูรณ์ครบถ้วน” ส่วนใหญ่ที่ผ่านๆ มา เรานึกถึงอะไร? พอบอกว่าได้รางวัล หรือบำเหน็จปุ๊บ เราไปนึกถึงชีวิตหลังความตาย จริงไหม? เราไปนึกถึงการพิพากษา หลังความตายว่าใครจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ เราคิดถึงการอยู่ในสวรรค์ และนอกเหนือจากนั้น เรายังนึกถึงอะไรอีก บางคน คิดถึงการอยู่ในสวรรค์หลังความตายว่าตายไปแล้ว จะได้รางวัลจากพระเจ้า ได้อยู่ในสวรรค์ แล้วยังได้รางวัลอีก รางวัล คือทรัพย์สมบัติ ถ้ารักษาความเชื่อ ทำถูกต้องบนโลกใบนี้ ตายไปแล้วได้แมนชั่น คนไทยเขาใช้คำว่าบ้าน มีบ้านอยู่ในสวรรค์ที่ดี มากกว่าคนที่ประพฤติไม่เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้านัก เราต้องรักษาไว้ดีๆ เพื่อเราจะได้รางวัลมากขึ้น บ้านจะได้ใหญ่ขึ้น
คนนี้เป็นนักประกาศ เป็นศิษยาภิบาล ฉะนั้น ตายไป ก็จะได้บ้านใหญ่ แล้วคนนี้ไม่ประกาศเลย มานั่งฟังเฉยๆ ได้บ้านเล็กกว่า คนนี้นอกจากไม่ประกาศแล้ว ยังไม่ทำตามถ้อยคำพระเจ้าด้วย ยังขี้หงุดหงิด ยังโกรธคนโน้นคนนี้อยู่เลย เพราะฉะนั้น ได้บ้านหลังคามุงจาก ใครคุ้นๆ ไหม? หรือคนๆ นี้ พระเจ้าเตือนตั้งหลายครั้งแล้ว ก็ไม่ยอมกลับใจใหม่ ไม่ยอมเชื่อ ไม่ยอมประพฤติให้มันถูกต้องสักทีหนึ่ง มาโบสถ์ทีไร ก็ไม่สนใจ อะไรอย่างนี้ ศิษยาภิบาลเขาเทศนาบอก ทำอย่างนี้ ขึ้นสวรรค์เมื่อไร? พอถึงวันหนึ่ง วันพิพากษาขึ้นสวรรค์ พอไปถึงสวรรค์ปุ๊บ พระเยซูแทนที่จะอ้าแขนต้อนรับอย่างอบอุ่น
คนอื่นเดินขึ้นมา พระเยซูเข้าไปกอด “ได้เจอกัน ดีใจด้วย เชิญเข้าสวรรค์”
แต่พอถึงเธอเดินเข้ามา พระเยซูบอก “ไปๆ เข้าไป” ไม่กอด ไม่ดีใจด้วย “อ้าว! เข้าไป” อย่างนี้หรือ?
เราเคยได้ยินมาบ่อยๆ ใช่ไหม? พอนึกถึงรางวัล บำเหน็จ ก็นึกถึงเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ เป็นอย่างนี้ นึกถึงตำแหน่งในสวรรค์หลังความตายว่า …
“ฉันจะได้ครอบครอง 4 เมือง ฉันจะได้ครอบครองพื้นที่ใหญ่ขนาดไหน?”
เขาเชื่อกันอย่างนี้จริงๆ ถ้าเผื่อบางท่านอาจจะไม่เคยได้ยิน แต่ว่าเขาเชื่อกันอย่างนี้ ทุกวันนี้ก็ยังมีคนเชื่ออย่างนี้อยู่ แต่จริงๆ แล้ว ความจริงของคำว่า “บำเหน็จ หรือรางวัล” ในข้อนี้ ในบริบทนี้ ไม่ได้หมายถึงการได้อยู่ในสวรรค์หลังความตาย ไม่ได้หมายถึงพระพร หรือบำเหน็จ หรือรางวัล ผลตอบแทนที่จะได้รับจากการดำเนินชีวิตตามความจริงของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เลย แต่ผลตอบแทน หมายถึงพระพร หรือเรียกว่ารางวัล หรือบำเหน็จก็ได้ จากการดำเนินชีวิตตามความจริงของข่าวดีของพระเยซู ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้เลย หมายถึงว่าบำเหน็จเดี๋ยวนี้ ผลตอบแทนเดี๋ยวนี้ มิได้เกี่ยวกับสวรรค์หลังความตาย ลองคิดดูว่ามันจริงไหม? คิดว่าเราจะมีสันติสุข ความสงบสุข ความสุข สมบูรณ์ครบถ้วนเพียงใด ถ้าใจเราเต็มไปด้วยความจริงเหล่านี้ และดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ตามความจริงตรงนี้ ตามถ้อยคำพระเจ้า เราจะมีสันติสุข มีความสุขขนาดไหน?
รางวัลที่สมบูรณ์ครบถ้วน หมายถึงทั้งบนโลกนี้และโลกหน้า โลกหน้า เราได้เรียบร้อยแล้วอยู่ถาวร เราเรียนรู้ไปแล้วเมื่อครั้งที่แล้วว่ารอดแล้ว รอดเลย เราได้รับความรอดแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว บังเกิดเลย นี่จะไม่ย้อนกลับไปพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้วในวันนี้ ถ้าใครไม่ได้ฟัง กลับไปฟัง 2 ตอนที่แล้ว จะเข้าใจดีว่าเรารอดแล้ว รอดเลย เราอยู่ในสวรรค์แล้ว แต่ตรงนี้มันหมายถึงรางวัลที่สมบูรณ์ครบถ้วน บนโลกใบนี้ ที่เราจะได้รับด้วย มีรางวัลบนโลกใบนี้ด้วย ซึ่งในบริบท ในข้อนี้ ที่เรากำลังเรียนอยู่นี้ หมายถึงตรงนี้แหละ ลองคิดดูนะว่าเป็นรางวัลครบถ้วนขนาดไหน? เมื่อเราได้รับรู้และเชื่อวางใจในความจริง ถ้าในใจเราเต็มไปด้วยความจริงเหล่านี้ แล้วเราคิดหรือเชื่อในพระคำความจริงเหล่านี้ และดำเนินชีวิตตามความเชื่อและความจริงเหล่านี้ ที่พระเยซูเป็นผู้สอน เป็นผู้บอก เราจะมีความสุขเท่าไร ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีประโยชน์กับเรามากมายขนาดไหนบนโลกใบนี้เลยทีเดียว
อย่างเช่น คำพูดของพระเยซู หมายถึงความจริงที่พระองค์ทรงบอกว่า …
“เราได้เป็นที่รักของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า พระบิดาที่แสนดีตลอดเวลา”
เราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา ที่เป็นพระเจ้าพระบิดาที่แสนดีตลอดเวลา เราเป็นลูกของพระองค์ นี่พระเยซูตรัสไว้อย่างนั้น เราได้เป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรมดีพร้อมเหมือนพระองค์แล้ว เราได้รับการอภัยบาปทั้งสิ้น รวมทั้งความผิดที่กระทำทั้งปวง ทั้งในปัจจุบัน อนาคต ตลอดไป ชั่วนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ นี่คือความจริงทั้งนั้น วิญญาณได้รับการบังเกิดใหม่ร่วมกับพระเยซู และกำลังอาศัยอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า พระบิดาร่วมกับพระเยซูเรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้ นี่ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในถ้อยคำที่เป็นความจริงเหล่านี้ มีความสุขมากมายไหม?
แล้วมีอะไรอีก ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าทั้งสามพระภาคได้เข้ามาสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา และกำลังรอคอยการสวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูในอนาคตอันใกล้นี้ หลังจากที่วิญญาณออกจากร่างกายนี้แล้ว
โอ้โห! ท่านดำเนินชีวิตด้วยความจริงเหล่านี้ตลอดเวลา คิดสิ่งเหล่านี้ตามที่พระเยซูพูดตลอดเวลา มันก็มีความสุขมากกว่าตั้งเยอะ ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอก อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่า …
“จงระวังตัวให้ดี เอาใจใส่กับความจริงเหล่านี้ อย่าให้ปฏิปักษ์พระคริสต์มาขโมยเอาความจริงนี้ไปจากท่าน ไม่ว่าจะขโมยไปมากหรือน้อยก็ตาม รักษามันไว้ เพื่อว่าท่านจะไม่สูญเสีย”
สูญเสียอะไร? ความรอด ไม่ใช่ เราเรียนรู้ไปแล้ว รอดแล้วรอดเลย แต่หมายถึงเพื่อท่านจะไม่สูญเสียสันติสุข ความสงบสุข และความสุขด้วย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้เลย ซึ่งพระคัมภีร์ก็บอกว่าก็คือบำเหน็จ ผลตอบแทน ก็คือรางวัลที่จะได้รับจากการดำเนินชีวิต ยืนหยัดในความเชื่อ ในความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้า ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้นั่นเอง
และถ้าเราสูญเสียความจริงนี้ไปมากเท่าไร? ถูกขโมยไปมากเท่าไร? ก็จะเสียรางวัล บำเหน็จ ไปมากเท่านั้น แม้ว่าความรอดนิรันดร์ การได้อยู่ในสวรรค์หลังความตายจะยังอยู่ก็ตาม
ในพระคัมภีร์อาจารย์เปาโลยกตัวนี้ขึ้นมา ให้ประโยคนี้ว่ารอด ก็เหมือนรอดด้วยไฟ คือรอดแหละ แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่ได้เต็มไปด้วยสันติสุข ไม่มีความสงบสุข มันไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะฉะนั้น เราต้องรักษาความจริงนี้ไว้ ความจริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้
ยกตัวอย่าง เช่น นี่คือความจริงเหมือนกัน พระเยซูบอกว่าเราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ทุกคน หนีความจริงนี้ไปไม่พ้น ความจริงนี้ไม่ได้หมายถึงตะกี้นี้พูดอย่างเดียว แต่หมายถึงสิ่งที่พระเยซูพูดทั้งหมด พระเยซูบอกว่าท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านก็ประสบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา เพราะโลกใบนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว โลกใบนี้ตกลงไปอยู่ในพลังความบาปและความตาย เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงอยู่แล้ว ท่านอยู่ในความยุ่งเหยิง อยู่ในความสาปแช่ง ท่านก็ต้อง โดนไปด้วย แต่ว่าจงปิติยินดีเถิด เพราะเราชนะโลกแล้ว พระเยซูบอกใช่ไหม?
ดำเนินชีวิตเต็มไปด้วยความลำบากบนโลกใบนี้ เหมือนมนุษย์คนอื่นๆ แต่เราผู้เชื่อ เรามีความจริงอยู่ในตัวเรา เรามีพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวเรา พระเจ้าสถิตอยู่ในเราตลอดเวลา เห็นหรือยังว่าความจริงในนี้ ถ้าเราเชื่อและดำเนินชีวิตตามนี้ เราก็ได้เปรียบกว่าผู้คนอื่นๆ ที่เขาไม่มีความจริงนี้ หรือเขาไม่เชื่อตามนี้ เรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา และถ้าเรารู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเรา และอยู่ฝ่ายเรา คอยช่วยเหลือเราอยู่ มันก็แตกต่างกับการที่ต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง เพียงลำพัง แม้ว่าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเขาต้องเผชิญอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีคริสเตียนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูสถิตอยู่ภายในแล้ว ความจริงอยู่ข้างในแล้ว แต่ถูกขโมยเอาความจริงนี้ไป จะขโมยไปเยอะมากเท่าไรไม่รู้ แต่ขโมยไป เขาไม่เชื่ออย่างเต็มที่ในความจริงนี้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ เป็นฝ่ายเขา คอยดูแลเขา เขาก็ไม่สุขอย่างคนที่เชื่อตามถ้อยคำพระเจ้านี้ ถูกไหม?
ซึ่งการเชื่อในความจริง การดำเนินชีวิตในความจริงเหล่านี้ มันมีบำเหน็จอยู่ มันมีรางวัลอยู่ มันมีผลตอบแทนอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ ตามที่อาจารย์ยอห์นได้พูดถึงเมื่อตะกี้ในถ้อยคำพระเจ้า ยกตัวอย่างสิ่งที่เราเห็นชัดๆ ก็คือถ้าเราดำเนินชีวิตตามความจริงนี้ เราเชื่อเลยว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา พระเจ้าอยู่ในเรา และอยู่ข้างเราตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม พระองค์อยู่ฝ่ายเรา ถึงแม้เราจะทำผิด พระองค์อยู่ฝ่ายเรา พระองค์จะช่วยเราตลอดเวลา เท่าที่พระองค์จะทรงสามารถกระทำให้ได้ ซึ่งเราไม่รู้ว่าทำไมบางที บางครั้ง เราอธิษฐานขอในบางเหตุการณ์ พระเจ้าช่วยเราจริงๆ ทันทีเลย บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอตาย เรามีอาการเจ็บป่วย ปวดหัวตัวร้อนอะไรต่างๆ อธิษฐานอาการเจ็บป่วย ปวดหัว ตัวร้อนอะไรต่างๆ มันหายจริงๆ นั่นคือความสุขแล้วนะ ไม่ใช่สันติสุข … สันติสุขอยู่ภายใน แต่นี่เป็นภายนอก สัมผัสแตะต้องได้เลย คือมันหายปวดจริงๆ จะด้วยวิธีใดก็ไม่รู้ บางครั้งมันหายจริงๆ อย่างนี้เป็นต้น หรือบางครั้งไม่หาย แต่ก็เต็มไปด้วยความสบายใจ สันติสุขว่าฝากไว้ที่พระองค์แล้ว ไม่วิตกกังวลเกินกว่าเหตุ นี่คือรางวัลผลตอบแทน เห็นชัดๆ
นี่ยิ่งเห็นชัดๆ ใหญ่เลย หลายคน เจอปัญหาฉุกเฉิน รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน รู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย อยู่ข้างเรา …
“พระเจ้าช่วยที ฝ่าไฟแดงมา” ฝ่าไฟแดงไม่ดี “พระเจ้าช่วยที อย่าให้ตำรวจเรียกเลย”
ไม่เรียกจริงๆ ด้วย นี่ไม่ได้พูด เพื่อให้เราไปทำสิ่งที่ไม่ดี แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหม? นี่ไม่ได้พูดถึงไฟแดงอย่างเดียว พูดถึงอย่างอื่นด้วย มันเหมือนเห็นแก่ตัว แต่มันไม่ใช่ เขาเรียกว่าเห็นแก่ตัวแบบโฮลี่ บางครั้งเราฉุกเฉิน เราต้องการเร่งด่วน มันไม่ทันจริงๆ แล้ว
“พระเจ้าขอช่วยทีเถิด”
พระเจ้าพาเราแซงคิว แซงคิวมันถูกต้องที่ไหน? มันไม่ถูกต้อง แต่แซงคิวแบบโฮลี่ แบบสุภาพ เราไม่ได้ตั้งใจจะไปแซงคิวอย่างนั้นหรอก ไม่ใช่ต้องการจะแซงคิว แต่พระเจ้าเตรียมให้อะไรบางอย่าง จริงหรือไม่จริง นี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเยอะแยะมากมาย บางครั้งเราเดือดร้อนเนื่องจากการใช้เงินของเรา ไม่รัดกุม ไม่มีระเบียบ ลืมเก็บเงิน เอาไปเที่ยวหมด ปรากฎว่ามันถึงเวลาจ่ายบิลค่าไฟฟ้า ไม่มีจ่าย เขาจะมาตัดไฟแล้ว ถ้าตัดไฟ คือเสียเงินเพิ่มขึ้นเยอะเลย เอาหม้อไป แล้วมาติดใหม่ เสียเงินเพิ่ม
“พระเจ้าช่วยด้วยเถิดๆ”
แล้วพระเจ้าช่วยไหม? บางครั้งช่วยจริงๆ นะ อย่างนี้เป็นต้น อีกหลายเรื่องเยอะแยะไปหมดเลย นี่แหละคือประโยชน์ของการรับรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา อยู่ภายในเราตลอดเวลา และอยู่ฝ่ายเราด้วย ไม่ได้อยู่ฝ่ายอื่น ไม่ได้คอยมาโจมตีเรา
“พระเจ้าช่วยลูกด้วย เขาจะมาตัดไฟ” แล้วเราอธิษฐาน พระเจ้าก็ตอบ
“ก็เธอไม่ดูแล มัวแต่ไปเที่ยว มัวแต่อะไรต่างๆ สมน้ำหน้า”
อย่างนี้ถูกขโมยความจริงไปแล้ว ไม่ใช่ความจริง … ความจริง คือพระเจ้ารักเราเกินกว่าที่เราจะเข้าใจ รักเรา ไม่ว่าเราจะเป็นอะไร ก็รักเรา แม้ว่าเราจะเป็นคนบาป ก็รัก แม้ว่าเราจะเป็นคนชั่ว ก็รัก เรารู้ได้อย่างไร?
พระคัมภีร์บอกไว้ว่าพระเจ้าทรงประทานพระบุตรลงมา ตายเพื่อเรา ในขณะที่เราเป็นคนดีงามอยู่ ไม่ใช่ในขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น ต่อต้านพระองค์อยู่นั้น ไม่เชื่อพระองค์อยู่นั้น พระองค์ทรงตายเพื่อเรายังได้เลย และนี่ทำไมไม่เชื่อต่อ อย่างนี้เป็นต้น เราอย่าให้มารมาขโมยเอาความจริง เหล่านี้ไปจากเรา โดยการไม่กล้าอธิษฐาน การอธิษฐาน คือการรู้ความจริง หรือไม่กล้าอธิษฐานตามความเป็นจริง แต่อธิษฐาน โดยความเท็จ อย่างเช่น …
“โอ๊ย! พระเจ้าช่วยลูกที อภัยให้ลูกที อภัยให้ลูกทีเถิด”
มัวแต่คิดอย่างนี้ตลอดเวลา อธิษฐานมา 3 วัน ก็ยัง “ลูกไม่น่าทำอย่างนี้เลย ไม่น่าทำอย่างนี้เลย”
อธิษฐานครั้งเดียว “ลูกเสียใจ แต่ลูกรู้ว่าพระองค์ตรัสไว้ว่าลูกเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมตลอดเวลาอยู่แล้ว พระองค์อภัยบาปให้กับลูกก่อนล่วงหน้าแล้ว ด้วยพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งเพียงครั้งเดียว บนไม้กางเขน ลูกสะอาดหมดจดแล้ว ลูกถูกหลอก ล่อลวงด้วยกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องไป ลูกเสียใจ”
จบ แล้วก็ดำเนินชีวิต ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ใช่มานั่งครวญคราง 3 วัน 4 วัน 5 คืน 3 อาทิตย์ 1 เดือน อย่างนี้เป็นต้น
อย่างนี้ คืออะไร? เมื่อรู้ความจริง แล้วดำเนินชีวิตด้วยความจริงเหล่านี้ มันมีผลตอบแทน ผลตอบแทนนั้น บนโลกใบนี้ได้รับเลย ไม่ว่าเราจะทำผิดพลาดมากขนาดไหนก็ตาม ถ้าเรารู้ว่าพระเจ้าทรงรักเราเหมือนเดิม พระเจ้าทรงเข้าใจเรา พระองค์ทรงอภัยให้กับเราก่อนแล้วล่วงหน้าด้วย เราก็ได้รับรางวัลแล้ว บำเหน็จ ก็คือสันติสุขจะเข้ามา บางคนก็กลัว …
“ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ทำบาปมากขึ้นสิ”
ทำบาปมากขึ้นไหม? พระเยซูบอกว่าไม่หรอก คนไหนที่ได้รับพระคุณมากเท่าไร? ได้รับการอภัยในความบาปผิดของตัวเองมากเท่าไร? เขายิ่งรักพระองค์มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งรักพระองค์มากขึ้นใหญ่เลย อย่างนี้เป็นต้น
ความทุกข์ใจ ก็หมดไป การเสียใจ จากการทำผิดพลาดไป ก็หมดไป ขณะที่เราทำผิด ทำพลาด พระเจ้าเข้ามาปลอบโยน พระเจ้าเป็นฝ่ายเรา ความรักของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงรักเรา ช่วยเรา อยู่ข้างเราตลอดเวลา อย่างนี้เป็นต้น นี่คือความสุข
มันดีกว่ามากขนาดไหน ลองคิดดู เมื่อเทียบกับตอนที่เรายังไม่ไว้วางใจในพระเจ้า เรายังไม่เชื่อพระเจ้า ผู้เชื่อหลายคนถูกหลอก เมื่อเราทำผิดและเราถูกหลอกด้วยคำเท็จ ที่ทำให้เราเกิดความฟ้องผิด ตัวเราแย่ ตัวเราไม่ดี เราไม่มีวันที่จะดีได้หรอก และไม่มีวันที่จะได้รับการอภัยจากพระเจ้าแน่นอนเลย พระเจ้าไม่พอใจเราแล้ว นี่คือความเท็จทั้งสิ้น หรือมารอาจจะส่งเข้ามา พระเจ้าไล่เราออกจากบ้านแล้ว พระองค์เก็บข้าวของออกจากตัวเราแล้ว ไปแล้ว ไม่มาอยู่กับเราแล้ว เพราะให้โอกาสเราหลายครั้งแล้ว
หรือไม่ก็บอกว่าเกิดความทุกข์ยากลำบากขึ้น ปัญหาขึ้นในชีวิต ก็ถูกโกหกบอกว่า …
“พระเจ้ากำลังลงโทษเรา เพราะเราทำไม่ถูกต้อง เพราะเราไม่เชื่อฟัง พระเจ้ากำลังตีสอนเธอ”
นี่มันทุกข์ไหมล่ะ ซึ่งมันเป็นความเท็จทั้งสิ้น
“พระองค์ทรงตีสอน ลงโทษเธอ ด้วยความทุกข์ยากลำบากและปัญหาต่างๆ ที่เธอกำลังประสบอยู่นี้ มาจากพระเจ้า กำลังตีสอน”
อย่างนี้มีความสุขไหม? ลองคิดดูสิ มีสันติสุขไหม? จะเป็นลักษณะเช่นใด
“ตอนนี้พระเจ้าตัดขาดเป็นพ่อเป็นลูกกับเธอแล้ว ความรอดของเธอเจ๊งไปแล้ว”
ไม่มีความจริงสักนิดหนึ่ง แล้วมันเกิดอะไร? เกิดความทุกข์ บนโลกใบนี้เลย ความรอดยังอยู่เหมือนเดิม รอดไปสวรรค์หลังความตาย ก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นคริสเตียน ที่หงอย อมทุกข์ตลอดเวลา เพราะถูกขโมยความจริงไป อาจารย์ยอห์จึงเตือนเรา ในสิ่งเหล่านี้
ดังนั้น ชีวิตคริสเตียนจึงต้องมีแต่ความปิติยินดี ชื่นชมยินดี พระคัมภีร์บอก แต่ถ้าเราถูกโกหก หลอกลวง แล้วเราก็ไปรับเอาความโกหก หลอกลวง ความเท็จเหล่านี้มา ชีวิตคริสเตียนเรา ก็จะเต็มไปด้วยความเครียด กังวล ทุกข์มากขึ้นไปอีก ทุกข์มากกว่าคนที่ไม่เชื่ออีก เพราะพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเป็นศัตรูเราแล้ว กำลังลงโทษเราอย่างรุนแรง ไม่เอาเราแล้ว เราไม่รู้จะไปหาใครแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่า “จงเฝ้าระวัง รักษาความจริงนี้ไว้ให้ถึงที่สุด” รักษาความจริงเหล่านี้ไว้ ก็คือมั่นตรวจดูถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ ว่าใช่ถ้อยคำที่พระเยซูพูดหรือไม่? เป็นไปตามที่ถ้อยคำพระเยซูบอกหรือไม่? ในเรื่องเกี่ยวกับข่าวดี เพราะมารมา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย พระเยซูบอก เบอร์ 1 เลย มันมาเพื่อขโมยก่อน คือขโมยความจริงออกไปไม่ได้ มันทำอะไรเราไม่ได้เลย มันทำให้เราทุกข์ไม่ได้เลย ถ้าความจริงอยู่กับเรา ต่อต้านมัน แล้วมันจะหนีไป ต่อต้านมันด้วยพระแสง คือดาบ สมัยก่อน อาวุธมีแต่ดาบ ไม่มีปืน ตอนนี้ต้องบอกว่าเอาถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นจรวด ปรมณูยิงเข้าไปเลยว่าไม่ใช่ ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนี้ต่างหาก เพราะแกมา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย แต่พระเยซูมา เพื่อให้ท่านชีวิต และมีชีวิตอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ ก็คือความรอดได้เรียบร้อยแล้ว หลังความตาย แต่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิต ก็ยังมีบำเหน็จ มีรางวัลอยู่ เดินตามความเชื่อนี้ เราอยู่ด้วย ไม่ต้องกลัว เอเมนไหม?
ฉะนั้น บำเหน็จ หรือพระพร หรือรางวัลที่ได้รับ หมายถึงความยินดี และความสุขภายในใจ ที่มาจากการได้รับรู้ว่าชีวิตของเรานั้นอยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว สมบูรณ์ เรียบร้อยแล้วในพระคริสต์ นี่แหละ พระพรได้รับจากตรงนี้ ก็คือการได้รับรู้ว่าเราได้มีส่วนร่วมในความยินดี ในความสุข ในพระองค์ ในชีวิตนิรันดร์ ซึ่งหมายถึงการได้สัมผัสความรัก ความสงบสุข การอยู่ด้วยกันกับพระองค์ เป็นครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ อย่างเต็มที่ ความจริงนี้ไม่มีสิ่งใดมาขโมยไปได้เลย หรือไม่เสียหายไปเลย เราก็จะได้รับความสุขหรือรางวัลนี้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกัน อย่าให้มันขโมยเราไป อย่างเช่นการไม่ให้อภัย อย่าให้มันขโมยเราไป พระคัมภีร์ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงให้อภัยเราหมดเลย ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต ทั้งปวง เราก็ดำเนินชีวิตอย่างนี้แหละ
ความจริงตรงนี้ คือให้เราให้อภัยคนอื่น รักคนอื่น เหมือนที่พระองค์ทรงรักเรา แล้วก็ให้อภัยคนอื่น เราก็เป็นอิสระ ก็มีความสุข เห็นไหม? ใครทำอะไรมา บางทีเราอาจจะโกรธอยู่ แต่ในใจ อภัยให้แล้ว เพราะเราดำเนินตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกแล้วไง ข้างในสำคัญ คือเราอภัยแล้ว แต่ข้างนอกยังทำไม่ได้ ยังโกรธอยู่ ก็ไม่เป็นไร ก็จบๆ ไป วิญญาณเราจบแล้ว คือเราอภัยให้เขาแล้ว เหมือนที่พระองค์อภัยให้เรา แล้วเรายังทำผิดบาปอยู่ เราก็อภัยให้เขา แล้วเราก็ยังทำอยู่ ก็ยังโกรธอยู่ เดี๋ยวมันก็หาย มีความสุขกว่าไหม? มีความสุขกว่า
“ทำไมอภัยให้เขาไม่ได้สักที พระเจ้าลูกอภัยให้เขาไม่ได้”
ทุกข์ทรมาน ข้างในใจมันอภัยไปแล้ว นี่คือความจริง เข้าใจไหม? พูดกับตัวเองนะ เข้าใจไหม? อภัยให้เขาแล้ว มัวมานั่งทุกข์ทรมาน
“พระเจ้าลูกอภัยให้เขาไม่ได้ ช่วยลูกที ให้อภัยที ช่วยลูกด้วยให้อภัยที”
มีความสุขที่ไหน? มนุษย์เราเกิดมามีอารมณ์ มีความคิด อารมณ์ยังโกรธอยู่ ก็โกรธไป แต่วิญญาณอภัยให้แล้ว จบแล้ว คนละเรื่องกัน นี่คือความจริง อย่าถูกหลอกลวง ทำให้เราเกิดความทุกข์ขึ้นมาจากสิ่งที่ไม่สมควรให้เกิดความทุกข์
ความโลภในลาภยศก็เหมือนกัน เราเกิดใหม่ในพระเจ้า เราอยู่กับพระเจ้า วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ เราไม่โลภในทรัพย์สิน เราไม่โลภในลาภยศแล้ว แต่ยังอยากได้อยู่ อยากได้ ก็อยากไป แต่จริงๆ ใจเราไม่โลภ พอเข้าใจไหมเนี้ย ไม่ต้องพยายาม
“พระเจ้า ลูกแย่เลย ลูกเป็นคนเลวจริงๆ ยังโลภอยู่เลย ทำไมโลภอย่างนี้ๆ”
ไม่ใช่วิธีการความเชื่อ … ความเชื่อ คือเรามั่นใจในตัวเรา ตัวตนแท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรา และใจใหม่ของเรา ที่เราได้รับจากพระเจ้า ที่บังเกิดใหม่แล้ว ที่ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความจริง จากถ้อยคำพระเจ้า คือตรงนี้ ส่วนข้างนอก ความคิดกระทบถูกอะไรต่างๆ ก็คิดไปเรื่อยเปื่อย
คนเขามาติดสินบน ใหม่ๆ ก็ติดสินบนแค่แสนเดียว เราเชื่อพระเจ้า เราไม่ทำสิ่งเหล่านั้นหรอก ขอบคุณพระเจ้า เอเมน เขาอยากได้ เขามาอีก เขาให้ล้านหนึ่ง ไม่เอาหรอก พระเจ้า ไม่พอใจในการทำเหล่านั้น เอเมน ปีหน้าเขามาใหม่ เขาให้ 10 ล้าน ขอคิดดูก่อน ไปนั่งคิด …
“พระเจ้าช่วยลูกที ลูกโลภอย่างนี้ ลูกโลภจริงๆ เลย ลูกโลภมาก”
อย่างนี้ เข้าใจไหม? มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนว่าต้องโลภ เพราะมันมาเยอะขนาดนี้ ถึงไม่โลภตอนนี้ เมื่อมีโอกาสมา ก็จะมีโอกาสโลภอีกแหละ ถ้ามามากกว่านั้น ในที่สุดก็ต้องคิด แต่ความคิดกับการกระทำไม่เหมือนกัน เรายังไม่ทำเลย นึกออกไหม? ถ้าเราดำเนินด้วยความเชื่อ เราก็เข้าไปหาพระเจ้า แล้วคุยกับพระเจ้า ความคิดก็ส่วนความคิด มารก็ส่งความคิดมาได้ คิดอะไรก็คิดไป แต่เรารู้ความจริงอยู่ข้างใน เราไม่ได้ทำตามความคิดนั้น
หรือแม้แต่บางทีพลาดไป เผลอไป ถูกล่อลวงไป ทำตามความคิดนั้น ก็ตาม เราก็กลับมายืนยัน ยืนหยัดอยู่ที่ความจริงในจิตวิญญาณของเรา นี่แหละ คือการได้รับรางวัลจากการดำเนินชีวิต ด้วยความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า หรือเรียกว่าดำเนินชีวิตตามความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่ดำรงอยู่ในใจของผู้เชื่อทั้งหลายแล้ว เอเมน
พระเจ้าอวยพรครับ
**************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ท่านจะพิสูจน์ … พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ได้ด้วยวิธีใด?
การรู้จักพระเจ้าและการมีความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนศาสนา ในแง่ของการปฏิบัติทางศาสนาหรือพิธีกรรม แต่เป็นเรื่องของความเชื่อและความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเยซู
พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ใน โรม 10:9 ว่า … “เพราะว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด”
การเริ่มต้นเชื่อในพระเยซู คือการเริ่มต้นยอมรับว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า และพระองค์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา และฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมา
และเมื่อท่านเชื่อในพระเยซู ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตใหม่และกลายเป็นบุตรของพระเจ้า
พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ใน ยอห์น 1:12-13 ว่า … “12 ส่วนคนทั้งปวง ที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิ (ฤทธิ์เดช) ให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า”
สิ่งสำคัญ คือการเปิดใจรับพระคุณของพระเจ้า และการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์
ท่านสามารถเริ่มต้นด้วยการอธิษฐาน และพูดคุยกับพระเจ้า ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ในทุกเรื่องได้ อย่างเป็นกันเอง ไม่ต้องมีพิธีรีตรอง เพราะพระเจ้ารู้จักท่านดี ท่านสามารถอธิษฐานพูดคุยติดต่อกับพระเยซูคริสต์ได้ตลอดเวลา ในทุกสถานที่ ทุกโอกาส ทุกอิริยาบถ
ไม่ว่าจะพูด หรือคิดก็ตาม พระเยซูพร้อมเสมอที่จะเข้าไปช่วยท่าน ในปัญหา อุปสรรค ความทุกข์ใจ ที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ แล้วท่านจะมีประสบการณ์รับรู้ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่จริงๆ
เปิดใจรับพระองค์ และศึกษาพระคัมภีร์ เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพระองค์ และความรักของพระองค์ที่มีต่อท่าน
พระเจ้าอวยพรครับ