คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2025
เรื่อง “หนังสือโคโลสี” ตอน 3 (วันแม่)
โดย วราพร คงล้วน
เรามาดูในหนังสือมัทธิว 15:21-28 บอกว่า …
มัทธิว 15:21-28 (TNCV) “21 จากที่นั่นพระเยซูเสด็จเข้าสู่เขตเมืองไทระและเมืองไซดอน 22 มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งจากละแวกนั้น มาร้องทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด! ลูกสาวของข้าพระองค์ถูกผีสิงทรมานเหลือเกิน” 23 พระเยซูไม่ทรงตอบนางสักคำ เหล่าสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ไล่นางไปเถิดเพราะนางมาร้องเซ้าซี้เรา” 24 พระองค์ทรงตอบว่า “เราถูกส่งมาเพื่อแกะหลงของอิสราเอลเท่านั้น” 25 หญิงนั้นมาคุกเข่าทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย!” 26 พระองค์ตรัสตอบว่า “ที่จะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัขก็ไม่ถูกต้อง” 27 หญิงนั้นทูลว่า “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขยังได้กินเศษอาหารที่หล่นจากโต๊ะของนาย” 28 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “หญิงเอ๋ย เจ้ามีความเชื่อยิ่งใหญ่นัก! ให้เป็นไปตามที่เจ้าขอเถิด” และบุตรสาวของนางก็หายป่วยในขณะนั้นเอง”
อีกเล่มหนึ่ง บันทึก คือเกือบจะเหมือนกันเลย แต่อยากเอามาอ่านให้พี่น้องฟังว่าเหตุการณ์เหล่านี้ ถูกบันทึกไว้ในพระกิตติคุณของพระเจ้า เพื่อสำแดงอะไรบางอย่างให้กับพวกเราในยุคนี้ได้รับรู้ว่าน้ำพระทัยของพระองค์เป็นอย่างไร? ในมาระโก 7:24-30 บอกว่า …
มาระโก 7:24-30 (TNCV) “24 จากที่นั่นพระเยซูเสด็จเข้าสู่เขตเมืองไทระ ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งและไม่ประสงค์ให้ใครรู้แต่ก็ปิดไว้ไม่อยู่ 25 หญิงคนหนึ่งซึ่งลูกสาวเล็กๆ ของนางมีวิญญาณชั่วสิง เมื่อได้ทราบข่าวเกี่ยวกับพระองค์ ก็มาหมอบกราบแทบพระบาทของพระองค์ 26 หญิงผู้นี้เป็นชาวกรีกเกิดในซีเรียฟีนิเซีย นางมาทูลอ้อนวอนพระเยซูให้ทรงช่วยขับผีออกจากลูกสาวของนาง 27 พระองค์ตรัสบอกนางว่า “ต้องให้ลูกๆ กินอิ่มก่อน เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัข” 28 หญิงนั้นทูลว่า “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขใต้โต๊ะยังได้กินเศษอาหารที่เหลือจากลูก” 29 แล้วพระองค์จึงตรัสบอกนางว่า “ไปเถิด เพราะคำตอบของเจ้า ผีนั้นออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว” 30 หญิงนั้นก็กลับไปบ้าน และพบว่าลูกสาวนอนอยู่บนเตียง และผีนั้นได้ออกไปแล้ว”
เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ในพระคัมภีร์ จริงๆ มันเรื่องเดียวกัน สาวกของพระองค์ได้บันทึกเรื่องนี้ ตอนที่พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่ แล้วก็ทำการอัศจรรย์ หมายสำคัญเยอะแยะมากมาย พระเยซูทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ในยุคที่พระองค์ประกาศข่าวดีของพระเจ้า มีเหตุผลเดียวเท่านั้น ก็คือเพื่อให้ชาวยิวได้รับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าพระบิดาสัญญาไว้ว่าจะส่งมาให้กับชาวยิวทั้งหลาย เหตุผลอีกเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา ก็คือเพื่อที่จะมาตามหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น ตอนที่พระเยซูทรงพระชนม์อยู่ ก็คือพระเยซูจะประกาศกับชาวยิว จะทำหมายสำคัญเยอะแยะมากมาย รักษาคนป่วยให้หาย คนหูหนวกได้ยิน คนตาบอดให้เห็น และคนตายได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ที่พระเยซูทำ ไม่ได้ทำ เพราะอยากจะให้ชาวยิว เห็นว่าพระองค์ทรงสามารถ ทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไม่ใช่ แต่เป็นการยืนยันว่าพระองค์เองเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระเจ้า ที่พระบิดาส่งมา เพื่อช่วยคนยิวให้รอดพ้นจากการเป็นเบี้ยล่างของมาร รอดพ้นจากบาปนั่นแหละ นั่นคือเหตุผลที่พระเยซูคริสต์ถูกส่งมา แต่ว่าในขณะที่พระเยซูคริสต์ทำภารกิจของพระองค์ เบี้ยใบ้รายทาง ก็จะมีคนต่างชาติ
คนต่างชาติซึ่งอยู่ในยุคของพระเยซูคริสต์นั้น ก็มีเยอะ ในขณะที่พระองค์ไปประกาศข่าวดี มีทั้งคนยิว มีทั้งคนต่างชาติ เมืองไหน? บ้านไหน? ไม่รู้ เขาได้ยินเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ความเชื่อเกิดขึ้นจากการได้ยิน ได้ยินอะไรมาบ้าง? ได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ … คิดว่าตอนนั้นคนต่างชาติก็ได้ยินข่าวนี้ เป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วมาเพื่อที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด และคนต่างชาติก็เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แล้วยิ่งได้เห็นหมายสำคัญเยอะแยะมากมายที่พระองค์ทำ เขาก็ปักใจเลยว่าพระเยซูต้องสามารถช่วยลูกสาวของเขาได้แน่ๆ เพราะลูกสาวเขาทรมาน เวลาลูกเต้าเราถูกผีสิง คือลูกทรมาน แต่แม่จะทรมานมากกว่า คือเห็นทุกวัน และในพระคัมภีร์บอกว่าผีสิง แล้วผีก็จะทำร้ายเด็กในหลายๆ ตอนที่มีคนถูกผีสิง ถูกทำร้าย ถูกอะไรเยอะแยะมากมาย
ฉะนั้น ผู้หญิงคนนี้เขาได้ยินข่าวดีในเรื่องของพระเยซูคริสต์ เขาได้เห็นสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ พระองค์ทรงวางมือคนเจ็บคนป่วยให้หาย เมื่อเขาได้ยิน เขาก็มีความหวัง เรียกว่ามีความหวังเล็กๆ ในใจ ที่คิดว่ามาหาพระเยซูคริสต์ ถ้าพระองค์ทรงเมตตา พระองค์จะสามารถช่วยลูกสาวของเขา ให้หายจากการถูกผีสิงได้
ผู้หญิงคนนี้ เราก็ไม่รู้ว่าเขาเดินทางมาจากไหน? ไกลขนาดไหน? แต่เขาก็ดั้นด้นมาถึงพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อมาถึงพระเยซูคริสต์เขาก็ร้องขอความช่วยเหลือ มันมีด่านเยอะมาก ด่านจากผู้คนรอบข้าง ที่มาติดตามพระเยซูคริสต์ ด่านจากสาวกของพระองค์ ที่คอยแวดล้อมพระเยซูคริสต์อยู่ กว่าหญิงผู้นี้จะตะเกียกตะกาย หรือดั้นด้นมาถึงใกล้ชิดตัวพระเยซูคริสต์ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีความพยายามอย่างสูงมาก แต่ผู้หญิงคนนี้ เพื่อให้ลูกของตัวเองหลุดจากการถูกผีสิง เขาก็ทำทุกรูปแบบ เมื่อผู้หญิงคนนี้มาร้องตะโกนกับพระเยซูคริสต์ พวกสาวกของพระองค์ก็ว่าหนวกหู เสียงดัง รบกวนชาวบ้าน จะไล่ไป
แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์สนทนากับผู้หญิงคนนี้ แปลว่าพระองค์ได้เตรียมผู้หญิงคนนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว แล้วพระเยซูคริสต์ก็บอกกับผู้หญิงคนนี้ว่าพระองค์ถูกเรียกมา เพื่อที่จะช่วยเหลือ หรือหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น คนต่างชาติไม่เกี่ยว คนอิสราเอลถือว่าเป็นลูก พระเยซูใช้คำว่า “ให้ลูกๆ กินอิ่ม” อิ่มตรงนี้ อิ่มเรื่องของวิญญาณ ไม่น่าเกี่ยวอะไรกับเรื่องของการกิน การอยู่ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่พระเยซูเล็งไปถึงวิญญาณว่าคนอิสราเอลจะได้กินอิ่ม คือวิญญาณเขาจะอิ่มหนำ เพราะว่าเขาได้รู้จักกับพระนามของพระเจ้า แต่ว่าเมื่อพระเยซูพูดอย่างนี้ปุ๊บ หญิงคนนี้ เขาก็ยังคงวิงวอนกับพระเยซูคริสต์ว่าไม่เป็นไร ให้ลูกๆ กินอิ่ม เราไม่ไปแย่งอาหารของลูกแน่นอนอยู่แล้ว แต่ขอเมตตาเถิด แค่เศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของลูก หรือขอส่วนที่เหลือ ก็เพียงพอแล้ว
เห็นไหม? คนอิสราเอลกินทิ้งกินขว้างนะ เขาไม่เคยสนใจอะไรเท่าไร? เรื่องที่พระเยซูได้ประกาศข่าวดีให้กับเขาฟัง ส่วนใหญ่ไม่เชื่อด้วยซ้ำไปว่าพระเยซูคือผู้นั้น คือพระมาซีฮาห์ ผู้ที่พระเจ้าส่งมา
ฉะนั้น ผู้หญิงคนนี้ก็ยังยืนกราน ขอความเมตตาจากพระเจ้า แล้วเขาบอกกับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นสุนัขก็ได้นะ อย่างที่บอก …
“จริงเจ้าข้า แต่สุนัขใต้โต๊ะ”
เห็นไหม? เวลาเรานั่งทานข้าว สุนัขก็จะมานั่งเสนอหน้าอยู่ใกล้ๆ เผื่อว่าเวลามีเศษอาหาร มีอะไรก็จะแบ่งปันให้เขากิน เป็นภาพเดียวกัน
ฉะนั้น ผู้หญิงคนนี้บอกว่าเป็นสุนัขก็ได้ ไม่เป็นไร สุนัขนั่งรอคอยที่ใต้โต๊ะของลูก ของพระองค์ รอนะ หมายความว่าไม่รู้จะเหลือหรือไม่เหลือ จะมีเศษเยอะหรือเศษน้อย ไม่เป็นไร เศษนิดหนึ่ง ก็สามารถทำให้ลูกสาวของเขาหลุดจากการถูกผีสิงได้ นั่นคือความเชื่อ แล้วเราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์บอกกับผู้หญิงคนนี้ว่า …
“เพราะคำตอบของเจ้า”
คำตอบของหญิงคนนี้ สำแดงถึงความเชื่อแบบสุดๆ 100% 1000% ไม่รู้ล่ะ ขอแค่กระเด็นมานิดเดียว แค่เศษเสี้ยว เหมือนกับเม็ดงา หล่นมานิดหนึ่ง ลูกสาวเขาก็จะหาย เขาเชื่อขนาดนี้ ดังนั้น พระเยซูบอกว่า …
“เพราะความเชื่อของเจ้า ลูกสาวของเจ้าหายแล้ว ผีออกแล้ว กลับไปเถิด”
แล้วผู้หญิงคนนี้ก็เชื่อ เชื่อแบบว่าพอพระเยซูพูดปุ๊บ เขาเชื่อว่าใช่แล้ว ผีออกจากลูกสาวเขา ขอบคุณพระเจ้า แล้วก็กลับเลย ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่เชื่อในคำตอบของพระเยซูว่า …
“กลับไปเถอะ ผีออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว”
ถ้าเขาไม่เชื่อ เขาก็จะยืนอยู่ งอแง ประมาณนั้น แต่ว่าเขาเชื่อจริงๆ คำตรัสของพระเยซูคริสต์แค่คำเดียว เขากลับบ้าน แล้วเขาก็เห็นว่าลูกสาวเขาเป็นปกติ ผีออกจากตัวของลูกสาวเขาเรียบร้อยไปแล้ว ลูกสาวเขาสามารถที่จะใช้ชีวิตปกติสุขได้
แต่สิ่งที่สำคัญตรงนี้ ณ เวลานี้ ตอนที่พระเยซูทรงทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์บนโลกใบนี้ ยังไม่มีมนุษย์คนไหนได้รับความรอด ตรงนี้เรื่องจริงนะ แม้แต่คนอิสราเอล เพราะว่าพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็คือมนุษย์ทุกคนยังอยู่ในบาป อยู่ในอาดัม อยู่ในคำสาปแช่ง แม้ว่าคนอิสราเอลจะได้รับพระคุณพิเศษ จากพระเจ้าพระบิดา คือทำตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าตั้งไว้ ไปถวายเครื่องบูชาอะไรต่างๆ ก็แค่เป็นการผ่อนส่ง ถวายเครื่องบูชาปีหนึ่ง พระเจ้าก็ลบบาปให้ปีหนึ่ง แต่บาปยังอยู่ไหม? ยังอยู่ในตัวของเขา เพราะว่าเชื้อบาป เป็น DNA อยู่ในร่างกายของมนุษย์ทุกคน ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย มันยังคงอยู่ตรงนั้น แต่ว่าคนอิสราเอลมีอภิสิทธิ์ตรงที่ว่าพระเจ้าให้เขาสามารถมาผ่อนส่งได้ ปีต่อปี เขาเอาเครื่องบูชามาถวาย เขาก็จะเป็นผู้ชอบธรรมปีนั้น อยู่ในพระคุณของพระเจ้า แต่ว่าคนอิสราเอลยังคงต้องใช้กำลังของตัวเองในการประพฤติ ปฏิบัติตามถ้อยคำ ตามบทบัญญัติที่พระเจ้าให้กับโมเสสไว้ ถ้าทำผิดปุ๊บ ก็จะถูกลงโทษ ทำผิดปุ๊บ ก็เอาเครื่องบูชามาถวาย เหมือนเดิม คนอิสราเอลยังคงเป็นอย่างนั้นอยู่ แค่มีสิทธิพิเศษว่าพระเจ้าแยกออกมา เลือกไว้เฉพาะว่าโอเคจะได้รับตรงนี้นะ แต่ว่าคนต่างชาติไม่ได้เลย ณ เวลานั้น
ผู้หญิงคนนี้ เมื่อเขากลับบ้าน ลูกสาวเขา ผีออกไปแล้ว แต่อนาคตข้างหน้า ใครจะรับประกันได้ว่าผีมันจะไม่วิ่งเข้ามาอีก พี่น้องว่าจริงไหม? เหมือนกับคนมาหาพระเจ้า อธิษฐานให้หายป่วย หายป่วยจากโรคนี้ แล้วเราจะมีหลักประกันไหมว่าต่อแต่นี้ไป เราจะไม่ป่วยอีกเลย เราอาจจะหายจากโรคนี้ แล้วอนาคตข้างหน้า เราก็ป่วยด้วยโรคอื่น มันมีโรคเยอะแยะมากมายบนโลกใบนี้ ที่มันเกิดขึ้น แล้วเราสามารถที่จะเป็นได้ด้วย ติดได้ด้วย ฉะนั้น การหายโรคจึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญของข่าวดีของพระเจ้า นี่คือแค่ของแถม เหมือนแค่ขนมเล็กๆ ที่พระเจ้าให้กิน ให้ชิม ให้หายอยาก อะไรประมาณนั้น
แต่ประเด็นสำคัญของข่าวดีของพระเจ้า อยู่ตรงนี้ เรามาดูหนังสือลูกา 9:1-6 ตอนนั้น พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่ ยังไม่ได้ทำภารกิจสำเร็จ มาประกาศข่าวดีขอพระเจ้า ในลูกา 9:1-6 บอกว่า …
ลูกา 9:1-6 (TNCV) “1 พระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนมาพร้อมกัน พระองค์ประทานฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจที่จะขับไล่ผีทั้งปวง และรักษาโรคต่างๆ ให้แก่พวกเขา 2 และพระองค์ทรงส่งพวกเขาออกไป ประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าและรักษาคนเจ็บคนป่วย 3 พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “ไม่ต้องนำสิ่งใดติดตัวไปในการเดินทางไม่ว่าจะเป็นไม้เท้า ย่าม อาหาร เงิน หรือเสื้ออีกตัวหนึ่ง 4 เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงพักที่บ้านนั้น จนกว่าจะออกจากเมืองนั้น 5 หากผู้คนไม่ต้อนรับท่าน เมื่อออกจากเมืองนั้น จงสะบัดฝุ่นออกจากเท้าเพื่อเป็นพยานกล่าวโทษเขา” 6 เหล่าสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อประกาศข่าวประเสริฐและรักษาผู้คนทุกหนทุกแห่ง”
เป็นอีกตอนหนึ่ง ตอนที่พระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวดี แล้วพระองค์ก็เลือกสาวกของพระองค์ 12 คน แล้วพระองค์ก็ส่ง 12 คนนี้แหละ ออกไปเป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อที่จะไปประกาศข่าวดี
ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว ตอนนั้นแค่มาใกล้นะ ยังไม่มาถึง แค่ใกล้ มาถึงเมื่อไร? คือถึงเมื่อตอนที่พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ แล้วบอกว่า “สำเร็จแล้ว” และเป็นขึ้นมาจากความตาย นั่นข่าวดีครบถ้วนสมบูรณ์ ได้มาถึงเรียบร้อยแล้ว พระเยซูให้ไปประกาศข่าวดีของพระเจ้า ไม่ใช่ให้ไปแค่ขับผีออก ไม่ใช่แค่ให้ไปรักษาคนเจ็บคนป่วย
แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ ก็คือประชาชน คนทั่วไป ส่วนใหญ่ที่เขามาโบสถ์ หรือส่วนใหญ่ที่เขามาหาพระเยซูคริสต์ เขามา เพื่อหวังว่าเขาจะได้รับการรักษาให้หายโรคเท่านั้น ฉะนั้น มีกลุ่มคนเยอะแยะมากมายที่ได้รับการรักษาจากพระเยซูคริสต์ รักษาเสร็จ เขาก็หายแว๊บไปเลย ก็คืออยากได้แค่นั้น แต่พระเจ้าคาดหวังให้มนุษย์อยากได้มากกว่านั้น ก็คืออยากได้พระเจ้า เป็นพระเจ้าส่วนตัวของเขามากกว่า ถ้าเราได้พระเจ้า เราจะได้ทุกสิ่ง แต่ถ้าเราแค่ได้การรักษาโรค หรือการขับผี เราก็ได้แค่ของแถม ก็คือวันนี้หายโรค วันนี้ผีออก พรุ่งนี้ผีวิ่งเข้ามาใหม่ ในพระคัมภีร์พระเยซูบอกว่าคนที่ได้รับการขับผีออก คือข้างในตัวสะอาดเลย ผีออกไปแล้วไง พอสะอาด ต้องมีอะไรบางอย่างเข้ามาแทนที่ใหญ่กว่าผี อะไรที่ใหญ่กว่าผี ก็คือพระเจ้าไง พระเยซูคริสต์ใหญ่กว่าผีแน่นอน
ฉะนั้น คนเหล่านั้น ก็แค่เก็บกวาดข้างในให้สะอาด เสร็จ ผีที่ถูกไล่ออกไป ก็เดินป้วนเปี้ยน ไม่ได้ไปไหนหรอก อยู่แถวๆ นี้แหละ มองไปมองมา …
“เราถูกไล่ออกจากคนนี้” ร่างกายเราเป็นเหมือนบ้าน “ตอนนี้ทำบ้านสะอาดสะอ้านเลย อย่างนี้ก็ดีสิ ไปชวนพรรคพวกมาแล้วกัน”
ก็เลยไปชวนพรรคพวก ผีอีกเยอะแยะ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเชิญมาอีก 7 ผี เลข 7 ในพระคัมภีร์ คือครบถ้วนสมบูรณ์ ผีกี่ตนไม่รู้ มาเป็นกอง ไปชวนกันมา เข้าอยู่ในร่างกายนี้ สามารถทำได้ ฉะนั้น ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเมื่อผีออกจากร่างกายของคนๆ นั้นแล้ว เขาจะไม่วิ่งกลับมาอีก ฉะนั้น ตรงนี้เป็นแค่ของแถมนะ เป็นขนมหวานนิดๆ หน่อยๆ ที่พระเจ้าประทานให้เท่านั้น
แต่ว่าพระเยซูคริสต์ให้สาวกของพระองค์ออกไปประกาศ คราวนี้ การประกาศของพระเยซูคริสต์ พระองค์จะส่งไปเป็นคู่ๆ แล้วพระองค์บอกว่าไม่ต้องเตรียมอะไรไป ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง เสื้อผ้า คนอิสราเอล ในสมัยพระคัมภีร์เดิม บอกว่าอย่าละเลยการต้อนรับแขกแปลกหน้า ก็คือชนชาติอิสราเอลเขาเห็นพวกพ้อง แล้วเขารู้ว่าคนนี้มาจากพระเยซู หลายคนได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ได้รับรู้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ ก็จะต้อนรับสาวกของพระองค์เข้าบ้าน พระเยซูคริสต์บอกว่า …
“ถ้าครอบครัวใด เรือนใดต้อนรับท่านเข้ามาอยู่ในบ้าน ก็อยู่ในบ้านนั้น จนกว่าท่านจะจากไป อย่าวิ่งไปวิ่งมา เหนื่อย ก็อยู่ที่บ้านนั้น แล้วให้สันติสุขของเจ้าสถิตอยู่กับบ้านนั้น”
หมายความว่าครัวเรือนใดต้อนรับสาวกของพระเยซูคริสต์ ครัวเรือนนั้น ก็จะได้รับพระพรได้รับสันติสุข ซึ่งพระเจ้าจะประทานให้กับเขา
แล้วสาวกก็ไปทำตามนั้น เมื่อเข้าไปในครัวเรือน เราก็ไม่รู้ว่าสมัยก่อนผีเยอะจัง เราดูจากพระคัมภีร์เดิมไปถึงไหน ก็มีคนถูกผีสิง มีคนเจ็บคนป่วยเยอะมาก เทียบกับปัจจุบันก็คงพอๆ กัน ปัจจุบันพี่น้องเคยไปโรงพยาบาลไหม? แล้วยิ่งโรงพยาบาลรัฐ และยิ่งวันธรรมดาด้วย ไม่ใช่วันหยุด เดินเข้าไป ตกใจเลย ทำไมคนเยอะขนาดนั้น ป่วยเยอะขนาดนั้นจริงๆ ดังนั้น คนในอดีตเหมือนกัน คนป่วยเยอะมาก แล้วคนป่วยเหล่านี้ เขาทุกข์ทรมาน เขาต้องการความช่วยเหลือ ต้องการให้พระเยซูรักษาโรค เมื่อสาวกของพระองค์ประกาศข่าวดี ซึ่งไม่น่าจะแค่ไปวางมือรักษาโรค แล้วก็ไปขับผีออกเท่านั้น แต่ต้องมีประกาศเรื่องของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ว่าแผ่นดินของพระเจ้ากำลังมา พระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ถูกส่งมาแล้ว รอเวลาอีกแป๊บเดียวเอง เมื่อพระองค์กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ พวกท่านจะได้รับการช่วยเหลือได้รับการหลุดพ้นจากเป็นทาสของความบาปและความตาย นี่ควรจะเป็นแบบนั้น
แต่ในพระคัมภีร์ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าแค่ไปขับผี และแค่ไปรักษาโรคเท่านั้น แล้วพระเยซูยังบอกว่าถ้าครัวเรือนไหนไม่ต้อนรับท่าน แปลว่าเขาไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ด้วย พระเยซูบอกว่าถ้าใครต้อนรับท่าน เท่ากับเขาต้อนรับเรา ถ้าเขาไม่ต้อนรับท่าน เขาก็ไม่ต้อนรับเรา แล้วไม่ต้อนรับเรา ก็คือไม่ต้อนรับพระบิดา ผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ด้วย เห็นไหมว่ามันเป็นโดมิโน เป็นอย่างนั้น
ฉะนั้น สาวกก็ไปทำตาม พอทำตาม ไปประกาศข่าวประเสริฐ แล้วมีผู้คนได้รับการรักษาโรค ผีเผอถูกไล่กระเจิง สาวกเหล่านี้ดีใจ มีความสุขเนอะ เหมือนกับไปทำงานเสร็จ กลับมาก็มาอวดพระเยซูว่าไปถึงมันตื่นเต้นมาก ทุกคนแบบชื่นชมยินดีมาก ได้รับการรักษาให้หาย ได้รับการขับผีออก ทุกคนก็ตื่นเต้น
แล้วหลังจากนั้นในพระธรรมลูกา บทที่ 10 พระเยซูก็ส่งคนไปอีกชุดหนึ่ง ก่อนหน้านั้น คือส่งสาวก 12 คน ตอนนี้ส่งไปอีกชุดหนึ่ง 72 คน ก็คือคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ คนที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ แล้วเขาก็ติดตามพระองค์ ฉะนั้น 72 คนนี้ก็ถูกส่งไปเหมือนกัน ทำเหมือนเดิมเลย ก็คือไปขับผีออกในนามของพระเยซูคริสต์ ไปรักษาคนเจ็บคนป่วยในนามของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่นามของสาวก นามของพระเยซูคริสต์ ถึงทุกวันนี้ เมื่อเราอธิษฐานวางมือให้กับผู้คนที่เจ็บป่วย แล้วเขาหายโรค ไม่ใช่ฝีมือเราเลยนะ ไม่ใช่ว่าความเชื่อเราสุดยอด ความเชื่อเรา 1000% เลย วางมือปุ๊บ เขาหายโรคเลย ไม่ใช่ เราแค่เป็นเครื่องมือของพระเจ้า ที่พระองค์จะใช้ผ่านชีวิตของเราเท่านั้น ผู้ที่จะทำให้คนหายป่วยได้ คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ไม่ใช่มนุษย์คนไหนเลย แล้วก็แล้วแต่พระองค์อีกว่าพระองค์จะรักษาใคร? หรือไม่รักษาใคร? สิทธิอำนาจอยู่ที่พระองค์
หลายคนอาจจะคิดว่า … “พระเยซูต้องรักษาหมดสิ ถ้าไม่รักษาหมด ก็ลำเอียงสิ”
พระเยซูก็คงบอก … “เรื่องฉัน เรื่องอะไรของพวกเธอ ฉันจะรักษาใคร หรือฉันไม่รักษาใคร มันก็เป็นสิทธิ์ของฉันใช่ไหม?”
ตลอดเล่มในพระคัมภีร์พระกิตติคุณ เราจะเห็นว่าหมายสำคัญ การอัศจรรย์ การรักษาโรค ที่พระเยซูทำ ไม่ได้ทำทุกที่ และไม่ได้ได้ทุกคน มันจะเป็นการเจาะจง เป็นแผนการของพระเจ้า เป็นการจัดเตรียมของพระเจ้า เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ให้ผู้คนได้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
พระเยซูก็สั่งสาวก 72 คนเหมือนกัน ให้ออกไปประกาศข่าวดีของพระเจ้า ให้รักษาคนเจ็บคนป่วย ให้ขับผีออกในนามของพระเยซู ไม่ต้องขนอะไรไปเหมือนกัน ถ้าบ้านไหนต้อนรับท่าน ให้สันติสุขอยู่ที่็สั่ง
นั่น ไม่ต้อนรับท่าน สมัยก่อน ถ้าไม่ต้อนรับพระเยซู พระเยซูบอกว่าให้สะบัดผงคลีดิน นึกออกไหม? สมัยก่อน ไม่ได้ว่าถนนหนทางดี เดินทาง ก็เป็นดิน เป็นทราย มันก็ติดรองเท้าไว้ ก็คือถ้าไม่ต้อนรับ สะบัดผงคลีดิน
การสะบัดผงคลีดิน เป็นความหมายที่แปลว่า … “ต่อแต่นี้ไป ท่านจะเป็นหรือตาย ฉันไม่รับผิดชอบแล้ว”
เมื่อเราได้ประกาศพระกิตติคุณ หรือประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์กับใครก็ตาม เราทำหน้าที่อย่างเดียว คือประกาศ พอประกาศเสร็จ ทั้งหมดมอบให้พระเจ้า เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า และตัวคนๆ นั้นเอง หรือแม้แต่คนนั้นมาเชื่อพระเจ้า ก็ไม่ใช่ความดีของเราอีก เป็นเพราะเขาถ่อมใจ และเขาเต็มใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ แล้วก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ นี่หมายถึงตอนหลังจากที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว แต่ว่าในเหตุการณ์ตรงนี้ คนเหล่านี้ที่ต้อนรับสาวกของพระองค์ แปลว่าใจเขาพร้อม เป็นการเตรียมใจของผู้คนในอนาคตข้างหน้าว่าเมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว คนเหล่านี้จะเปิดใจมาต้อนรับพระเยซูคริสต์ และจะได้รับการช่วยให้รอด ผ่านทางพระคุณที่พระเจ้าได้ให้ผ่านทางความเชื่อของพวกเขา
สาวก 72 คนออกไป แล้วก็กลับมาด้วยความชื่นชมยินดี มีความสุข เหมือนเราออกไปประกาศ มีคนเขาฟัง ตื่นเต้น เขาตาวาวเลย เรากลับมา ก็ตื่นเต้น มาเป็นพยาน สาวกเหล่านี้มาบอกกับพระเยซูว่า …
ลูกา 10:17 (TNCV) “สาวกทั้ง 72 คนกลับมาด้วยความยินดีและทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า โดยพระนามพระองค์ แม้แต่ผีก็สยบต่อพวกข้าพระองค์”
พระเจ้าให้สิทธิอำนาจกับสาวกเหล่านี้ ที่จะสามารถขับผีออก สามารถรักษาโรคได้ สาวกเหล่านี้กลับมาดีใจ เม้าท์มอยใหญ่เลย คุยกับพระเยซู …
“เห็นไหมพระองค์เจ้าข้า แม้แต่ผียังสยบต่อพวกข้าพระองค์”
มาดูว่าพระเยซูตอบว่าอย่างไร? ในข้อ 18 …
ลูกา 10:18-19 (TNCV) “18 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าสวรรค์เหมือนฟ้าแลบ 19 เราให้สิทธิอำนาจแก่พวกท่านที่จะเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และที่จะพิชิตฤทธิ์อำนาจทั้งปวงของศัตรู ไม่มีสิ่งใดจะทำอันตรายพวกท่านได้”
พระเจ้าให้สิทธิอำนาจ ไม่มีอะไรที่จะทำอันตรายได้เลย เมนที่สำคัญที่สุด ในข้อ 20 บอกว่า …
ลูกา 10:20 (TNCV) “อย่างไรก็ตาม อย่าชื่นชมยินดีที่วิญญาณต่างๆ ยอมสยบให้พวกท่าน แต่จงชื่นชมยินดีที่ชื่อของพวกท่านถูกจดไว้ในสวรรค์”
เอเมน ฉะนั้น การขับผีออก การหายโรค ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับมนุษย์ แต่เรื่องที่ใหญ่สำหรับมนุษย์ คือมนุษย์คนนั้น ได้บังเกิดใหม่แล้วหรือยัง? เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ สาวกเหล่านี้ เขาจะได้บังเกิดใหม่ ณ ตอนนั้น เมื่อเขาบังเกิดใหม่ ทันที บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เขาได้รับชีวิตนิรันดร์เหมือนกับพระเยซูคริสต์เลย เขาได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และทันทีชื่อของเขาได้ถูกจดไว้ที่ทะเบียนแห่งชีวิตในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว และชื่อพวกเราก็จดอยู่ที่นั่นเรียบร้อยไปแล้ว เช่นเดียวกัน เอเมนไหม?
เหมือนเวลาบ้านไหน มีลูก เด็กคลอดออกมาปุ๊บ เราต้องไปอำเภอ ไปแจ้งว่าบ้านนี้มีเด็กเกิดใหม่ ชื่ออะไร? นามสกุลอะไร? อยู่บ้านไหน? แล้วก็ไปแจ้งอำเภอ เพื่อนำลูกของเราเข้ามาอยู่ในทะเบียนบ้าน โดยชอบธรรม ลูกคนนี้ก็จะอยู่ในบ้านของเรา ก็คือเป็นลูกบ้านนี้ เขาจะเจริญเติบโต มีสิทธิพิเศษ ก็คือมีสิทธิในบ้านหลังนี้ทุกอย่าง เราเคยรู้สึกไหม? บ้านพ่อบ้านแม่เหมือนบ้านเรา เราไม่เคยรู้สึกว่าเป็นบ้านพ่อบ้านแม่ แต่มันคือบ้านเรา เรารู้สึกอย่างนั้น ตอนเด็กๆ เราชวนเพื่อนมาบ้าน เราไม่ได้ชวนว่า …
“พวกเธอ ไปบ้านพ่อแม่เราไหม?”
เราชวน พูดอย่างเต็มปาก เต็มคำว่า … “ไปๆ พวกเธอ ไปบ้านเรากัน ไปเที่ยวบ้านเรากัน”
ความรู้สึกถึงการครอบครอง การเป็นเจ้าของ มันเกิดขึ้นในเด็กคนนั้น เหมือนกัน ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของ มันเกิดขึ้นในวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ชื่อของเราได้ถูกจดไว้ที่สมุดทะเบียนแห่งชีวิตเรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าเป็นคนจดนะ ไม่มีมาร ไม่มีอำนาจใดๆ ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถลบชื่อเราออกจากสมุดทะเบียนแห่งชีวิตของพระเจ้าได้เลย ไม่มีทาง
เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูบอก มันไม่ได้สำคัญว่าเราจะหายโรคหรือไม่หายโรค มันไม่ได้สำคัญว่าพระเจ้าจะอวยพรเราอยู่ดีมีสุข มีบ้านหลังใหญ่ หรือมีการงานที่ดี ถ้าพระเจ้าอวยพร ก็โอเคนะ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า นั่นของแถมทั้งนั้น ของแถมทั้งหมดเลย ไม่ใช่ของจริง ของจริง คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ชื่อของเราได้อยู่ในสมุดทะเบียนบ้านของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้วที่สวรรคสถาน เราเป็นประชากรของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า เรามั่นใจไหมว่าชื่อเราจดอยู่ที่สมุดทะเบียนแห่งชีวิตเรียบร้อยไปแล้ว มั่นใจไหม? ครั้นเรียกชื่อเบื้องบน ชื่อข้าก็อยู่ที่นั่น
“ครั้นเรียกชื่อที่เมืองเกษมสุข ครั้นเรียกชื่อที่เมืองเกษมสุข
ครั้นเรียกชื่อที่เมืองเกษมสุข ครั้นเรียกชื่อเบื้องบน ชื่อข้าก็อยู่ที่นั่น”
เอเมนไหม? เรียกเมื่อไร? ชื่อฉันอยู่ตรงนั้น เราเคยเป็นนักเรียนหมดทุกคน เวลาเข้าห้องเรียน ครูก็จะขานชื่อ มีสมุด ห้องนี้มีกี่คน? นาย กอ ถึง นาย ฮอนกฮูก แล้วกัน มีแค่นี้ แล้วครูก็จะเรียกชื่อทุกวัน ทุกเช้า เลย
“นาย กอ”
“มาครับ”
“นาย ขอ”
“มาครับ”
อะไรแบบนี้ ทุกคนจะถูกขานชื่อ เด็กกลุ่มนี้อยู่ในห้องนี้ นี่คือภาพเดียวกัน เมื่อถึงวันนั้น วันที่พระเยซูคริสต์เสด็จ กลับมารับพวกเราทุกคนกลับไปอยู่กับพระเจ้า บนสวรรคสถาน พระองค์ก็จะขานชื่อเรา
“วราพร”
“อยู่นี่ค่ะ”
แล้วถ้าขานชื่อพวกเราทุกคน เรายกมือทันทีเลย … “อยู่นี่ครับ เรามาแล้วครับ พระองค์เจ้าข้า”
เพราะว่าเรามั่นใจมาก เรามีความมั่นใจ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ จนถึงวันที่วิญญาณเราออกจากร่าง เรายังคงสามารถมั่นใจได้อยู่ เพราะว่าเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา เราอยู่ในพระองค์ พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย เอเมนไหม? ไม่ต้องกลัวว่าเกิดเผลอไปทำอะไรไม่ดี เราจะหลุดไหม? พระเจ้าจะทิ้งเราไหม? ไม่มี พระสัญญาของพระเจ้าบอกไว้ชัดเจน เกิดแล้วเกิดเลย เป็นแล้วเป็นเลย เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ท่านอาจจะคิดว่า …
“วันนี้ ฉันไม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว”
ท่านจะไม่สามารถเปลี่ยนสถานะความเป็นจริงในโลกวิญญาณไปได้เลย ด้วยความคิดของตัวเองว่า …
“เบื่อพระเจ้าแล้ว ไม่อยากเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระองค์เจ้าข้า ขอลาออกจากการเป็นลูกพระเจ้านะ”
ได้ไหม? ไม่ได้นะ ต่อให้ท่านรู้สึกอยากลาออก
พระเจ้าบอก … “ลาไปเถอะ ยังไง ชื่อของเจ้าก็อยู่ในทะเบียนชีวิตของฉันเรียบร้อยไปแล้ว อย่างไรเธอก็เป็นลูกฉัน เธอจะลา ไปดิ้น ไปอะไรเรื่องของเธอ ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันรู้อย่างเดียวว่าเธอเป็นลูกของฉันเรียบร้อยไปแล้ว”
เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ
************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
เกิดมาก็เป็นคนบาปแล้ว โดยไม่ได้ทำอะไรเลยฉันใด เกิดใหม่ก็เป็นคนชอบธรรมแล้ว โดยไม่ได้ทำอะไรเลยฉันนั้น
ความจริงจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ใน 1 โครินธ์ 15:22 ว่า …
“เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่ เหมือนพระองค์ฉันนั้น”
มนุษย์ทุกคนเกิดมาในสภาพบาป และแยกจากพระเจ้าในอดัม แต่ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์ได้ทรงทำให้เรามีโอกาส ที่จะย้ายจากการอยู่ในอาดัมไปสู่การอยู่ในพระคริสต์
เมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเยซู เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นสิ่งทรงสร้างใหม่ และได้รับชีวิตนิรันดร์ การอยู่ในพระคริสต์ หมายถึงการได้รับการอภัยบาปทั้งหมด และมีความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบกับพระเจ้า ในสถานะลูกพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์
โคโลสี 1:13-14 … “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี)”
พระเจ้าอวยพรครับ