คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม 2025
เรื่อง “หนังสือ 2 ยอห์น” ตอน 2 “จงระวังความเท็จ ที่จะทำให้สูญเสียความมั่นใจในความจริงของข่าวดี”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้เรามาต่อ “หนังสือ 2 ยอห์น” ตอนที่ 2 “จงระวังความเท็จ ที่จะทำให้สูญเสียความมั่นใจในความจริงของข่าวดี”
อาจารย์ยอห์นเน้นมา ตั้งแต่ใน 1 ยอห์น บทที่ 1 จนถึงเดี๋ยวนี้ เราจะเห็นว่าอาจารย์ยอห์นเน้นเรื่องนี้มากๆ สำคัญมากๆ ก็คือเรื่องของความจริง ความจริงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่อาจารย์ยอห์นพูดถึงตลอด หนังสือทั้งเล่ม 1 ยอห์น 2 ยอห์น 3 ยอห์น และหนังสือยอห์น ย้ำว่าให้ระมัดระวังข้อมูลต่างๆ ที่พี่น้องคริสเตียนได้ยินได้ฟังในคริสตจักร ในบางคน หรือในบางพี่น้องที่พูดหรือประกาศ เกี่ยวกับเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ให้กับเรา ซึ่งข้อมูลเหล่านั้น ไม่เป็นความจริง มันก็คือเป็นความเท็จ ให้เราระมัดระวังความเท็จเหล่านี้
ความจริง คือตัวตนของพระเยซูเอง พระเยซูเป็นความจริง ใครมีพระเยซูอยู่ ก็มีความจริงอยู่ พระเยซูอยู่ในเรา ความจริงก็อยุ่ในเรา นี่อาจารย์ยอห์นพูดอย่างนั้น พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับผู้ใด ผู้นั้นก็เป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อ และพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับผู้เชื่อตลอดเวลา เสมอไปเป็นนิรันดร์ ไม่มีเข้าๆ ออกๆ อาจารย์ยอห์นเน้นความจริงตรงนี้ ความจริง ก็คือพระเยซู … พระเยซู คือความจริง พระเยซูประกาศความจริงให้กับเราทั้งหลายได้รับรู้ว่าความจริงนี้ ทำให้เราได้รับความรอด พูดง่ายๆ ว่าความจริงนี้ ก็คือข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้าเป็นความจริง ต้องเป็นไปตามที่พระเยซูสอนหรือประกาศ จึงจะเรียกว่าข่าวดี เป็นของจริง
พระเยซูประกาศอะไร? เราคิดดูสิ ถ้าบอกข่าวดี พระเยซูประกาศ ท่านคิดถึงอะไร? พระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ เป็นมนุษย์ปุ๊บ ประกาศข่าวดีเลย พระองค์ประกาศ สรุปรวมแล้ว ข่าวดีของพระองค์ คือพระเยซู คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ นี่คือหัวใจที่สำคัญที่สุดของข่าวดี สั้นที่สุด ง่ายๆ ใครถามท่าน บอกข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์มาเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วจึงขยายต่อไปว่ามาประสูติเป็นมนุษย์ เพื่ออะไร? ก็เพราะมนุษย์เป็นคนบาป เห็นไหม? พระเจ้าจึงมาช่วย มนุษย์ช่วยเหลือกันเองไม่ได้ เพราะต่างคนก็ต่างเป็นคนบาปทุกคน พระเจ้ามีเมตตา มีความรักยิ่งใหญ่มหาศาล จึงส่งพระบุตรของพระองค์ ที่มีเพียงพระองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้ามาเสียสละ มาเกิดในสถานะที่ต่ำต้อย สละสถานะพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ที่เป็นคนบาป ให้กลับคืนสู่พระเจ้า นี่คือข่าวดี เห็นไหม? มันง่ายมาก
แต่มาถึงปัจจุบัน ข่าวดีมา 2,000 ปีแล้ว ทำไมข่าวดีอธิบายกันยากมากเลย ลำบากลำบน มากด้วยสติปัญญาของมนุษย์ ใส่เข้าไปเยอะแยะมากมายไปหมด จนกระทั่งงงไปหมดเลย ข่าวดีคืออะไร? ถามคริสเตียน หรือไม่ใช่คริสเตียน ก็งง ข่าวดี คือไม่รู้อะไร? มันเยอะไปหมด สะเปะสะปะไปหมด นี่คือความสำคัญของคำว่าข่าวดี หรือความจริง ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ คือความเท็จ และขยายต่อไปอีกว่ามาช่วยมนุษย์ด้วยวิธีใด ก็โดยการมาเกิดเป็นมนุษย์และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระล้างมนุษย์ให้พ้นจากบาปทั้งปวง และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อมนุษย์จะได้สามารถบังเกิดใหม่ มาเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เพื่อพระเจ้าจะได้มาสถิตอยู่ด้วยได้ เห็นไหม? มันจบแค่นี้เอง พระเจ้ามาช่วยมนุษย์ ไถ่มนุษย์ โดยพระบุตร สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระโลหิตของพระองค์หลั่งไหลออกมา เพื่อชำระบาปทั้งปวง ทั้งหมดของมนุษย์เลย ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งสิ้น เอาบาปนี้ออกไปเลย และทำให้คนบาปนั้นได้ตายไปเลย แล้วได้เกิดใหม่พร้อมพระเยซูคริสต์ เป็นคนใหม่เอี่ยม เพื่อว่าจะได้เป็นพระวิหารของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ได้ภายในร่างกาย
นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเจ้า มนุษย์สามารถเข้ามาร่วมชีวิตนิรันดร์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้แล้วจริงๆ นี่เป็นความจริง และได้โดยการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เพียงผู้เดียวเท่านั้น และได้รับตรงนี้แล้ว และจะอยู่อย่างนั้นตลอดไปเลย
ผู้หลอกลวง ก็คือผู้สอนเท็จ ที่อาจารย์ยอห์นได้พูดถึง ก็คือใช้คำนี้ว่า “ปฏิปักษ์พระคริสต์” อาจารย์ยอห์นบอกว่าไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา พูดง่ายๆ ว่าเขายังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ปฏิปักษ์พระคริสต์จำได้ใช่ไหม? ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 ก็เริ่มต้นพูดให้คนเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ได้ยินได้ฟังว่าท่านเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ท่านไม่ได้เป็นพี่น้องคริสเตียนจริงๆ เพราะว่าท่านไม่มีความจริงอยู่ในตัว เพราะท่านไม่ได้เชื่อในข่าวดี
ข่าวดีที่ตะกี้นี้ผมได้อธิบายให้ฟังตอนต้น เพราะท่านไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม? หัวใจแค่นี้ คือรู้ทันทีว่าคนนี้ เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์หรือผู้ต่อต้านพระคริสต์ วิธีต่อต้านพระคริสต์ คือไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พอไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มันก็จะไม่เชื่อในสิ่งต่างๆ ต่อจากนั้นเยอะแยะมากมาย ที่เราคุยกันเมื่อสักครู่นี้ว่าพระเยซูมาเป็นมนุษย์ เพื่ออะไร?
ยกตัวอย่าง เช่น เมื่อไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่เชื่อว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการความช่วยเหลือ ก็เลยไม่ต้องการความเชื่อ นึกว่าช่วยตัวเองได้ อะไรประมาณนี้ นี่แหละคือความเท็จ เกิดขึ้น เพราะอย่างนี้ เพราะโลกไม่ต้องการให้ความจริงนี้ ถูกเปิดเผย ก็คือไม่ให้ความจริงเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า มาช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้ ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาปและความตายนั้น ไม่ให้มนุษย์ได้รับรู้ และได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ จึงพยายามปิดบังตาเรา ด้วยทุกวิถีทาง ต่อต้านความจริงเหล่านี้ เรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ มีแค่นี้เอง ปฏิปักษ์พระคริสต์ หมายถึงอย่างนี้
และอาจารย์ยอห์นก็บอกว่าความจริงเหล่านี้ เป็นความจริงที่อยู่ภายในวิญญาณ ภายในร่างกายของมนุษย์ผู้ที่เปิดใจต้อนรับความจริงนี้เท่านั้น คือผู้เชื่อเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ตามองเห็น หรือสัมผัสได้ หรือรู้สึกได้ แต่เป็นความสัมพันธ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับความจริงนี้ทางฝ่ายวิญญาณ เป็นวิญญาณเดียวกันถึงจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ เรียกว่าสามัคคีธรรมกัน อาจารย์ยอห์นใช้คำนี้ว่า “สามัคคีธรรมกัน” คือรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน สัมพันธ์กัน ติดต่อกันได้กับพระเจ้า ก็คือผู้เชื่อได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์ สามารถสัมพันธ์ติดต่อกันได้ เป็นสามัคคีธรรมกัน เป็นพี่น้องกันในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราเรียกว่าคริสเตียน (แท้จริง) เป็นอย่างนี้ อย่ามาอ้างมาเป็นพี่น้องคริสเตียนเหมือนกัน อย่ามาอ้างมาอยู่ในคริสตจักร อยู่ในชุมชนเดียวกัน เป็นพี่น้องกัน อย่ามาอ้าง เพราะว่าเธอไม่ได้เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ แม้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เธอทำ หลายอย่างจะดูเหมือนก็ตาม แต่นั่น เป็นสิ่งที่ตามองเห็น ฉันไม่ได้เชื่อ เพราะความรู้สึก แต่ฉันเชื่อ เพราะความเป็นจริง จากถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้เช่นนั้น ความเชื่อ ความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก
ความจริง คือความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก เราลองคิดดูสิว่ามันจริงไหม? ความจริง ก็คือความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก ความจริงอยู่ภายใน ความรู้สึกอยู่ภายนอก
ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง จะเห็นชัดเลย ตัวอย่าง เช่น เวลาเรานมัสการด้วยบทเพลงในชีวิต จะเห็นชัดมากถึง 2 อันนี้ คือความจริงกับความรู้สึก พระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? พระเยซูบอกว่าให้เราผู้เชื่อนั้น นมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความรู้สึก ไม่ใช่ ให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง ให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ ไม่สำคัญ เพราะเรารู้อยู่แล้ว วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า นมัสการด้วยวิญญาณแน่นอนทุกคน เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้ว นมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ และอาจจะตามด้วยนมัสการพระเจ้าและความรู้สึกได้ ไม่เชื่อ
เดี๋ยวเราจะสังเกตดู ในเพลงเดียวกัน สมมติว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ จิตข้าสรรเสริญ พระเจ้ายิ่งใหญ่ ท่านร้อง วันนี้อินมากกับเพลงนี้เลย น้ำหูน้ำตาไหล พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ ลูกรักพระองค์จริงๆ เลย นมัสการสุดหัวใจเลย นึกออกไหม? นมัสการด้วยวิญญาณและความจริง สุดๆ เลย ปรากฏว่าเพลงเดียวกัน สัปดาห์ต่อไป หรือรุ่งขึ้น ท่านกลับไปร้องที่บ้าน ท่านมีความรู้สึกเหมือนเดิมไหม? ไม่เหมือน ถูกไหม? ความรู้สึกท่านอาจจะกลับไปถึงบ้าน แอร์ก็ไม่เย็นเท่าที่โบสถ์ พี่น้องก็ไม่ได้มาร่วมร้อง เราร้องเองก็เพี้ยน ไม่เพราะเหมือนที่เราร้องที่โบสถ์ ร้องอย่างไรก็เพราะ เพราะว่าพี่น้องช่วยกันร้องหลายคนเป็นหมู่ มีเสียงประสานเต็มไปหมดเลย เรามีความรู้สึกร่วมไปด้วย เราก็เลยรู้สึกว่าวันนี้นมัสการพระเจ้า แบบพระเจ้าพอใจมาก เพราะเรานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ถูกหรือผิด? ผิด เรารู้สึกอย่างนี้ผิดนะ เพราะถ้าเรารู้สึกอย่างนี้เมื่อไร? วันอังคารเราอาจจะหงุดหงิด มีอารมณ์ไม่ดี จนกระทั่งถึงวันอาทิตย์ มาที่โบสถ์ แล้วนมัสการพระเจ้าด้วยบทเพลงใหม่อะไรต่างๆ เหล่านั้น เราไม่มีอารมณ์ร่วมแล้ว เราก็รู้สึกว่าวันนี้นมัสการไม่ดีเลย วันนี้นมัสการแย่มาก ผู้นำนมัสการ ก็ไม่ค่อยดี ไม่อินเลย เพราะว่าเราไปฝากชีวิตเรา ที่ความรู้สึก ฝากความเชื่อเราไว้ที่ความรู้สึก แทนที่จะใช้ความเชื่อเราตามที่พระคัมภีร์บอก นมัสการด้วยวิญญาณและความจริง
ความจริง คือพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราเสมอ ตลอดเวลา เอเมนไหม? เรานมัสการพระองค์ รู้สึกอย่างไรช่างมัน มันจะรู้สึกอย่างไรไม่รู้ แต่ฉันกำลังนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง
“ความจริง คือฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ฉันนมัสการพระองค์ ฉันรักพระองค์ ฉันเป็นลูกของพระองค์ ฉันสะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว”
แค่นี้เอง ไม่ต้องฝืนว่าไม่ได้ ต้องชูมืออย่างนี้ มันถึงจะสุดๆ ไม่ชูก็ได้ วันนี้ไม่มีอารมณ์จะชู แต่ฉันรู้ว่าฉันนมัสการพระเจ้า ลึก สนิท เท่าๆ กับเมื่อวานซืนนี้ ที่อินมากๆ วันนี้ไม่อิน ไม่เป็นไร แต่มีความเชื่อว่าฉันอินเหมือนเดิมแหละ ทำได้ไหม? ฉะนั้น ไม่ต้องพยายาม ต้องฝืน ไม่ต้องฝืน ว่ากันไปตามนั้น วันนี้ปวดท้องมา ก็ยังปวดท้องอยู่เหมือนเดิม นมัสการพระเจ้าไป ก็รู้ว่าปวดท้องไป นมัสการพระเจ้าไป ฉันยังนมัสการพระเจ้า รักพระเจ้าเหมือนเดิม ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่นิดเดียว นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง
และยกตัวอย่างอีกอันหนึ่งให้ฟังยิ่งชัดใหญ่เลย นมัสการในบทเพลง แต่ก่อนผมชอบเพลงนี้มากเลย และอิน นมัสการทีไร ซึ้ง ท่านคิดดูว่านั่นเป็นความรู้สึก หรือเป็นความจริง ท่านทราบ รู้เรื่องเหล่านี้แล้ว ท่านเป็นคนตรวจผมว่าผมนมัสการอย่างนี้ด้วยความรู้สึกหรือความจริง ร้องบทเพลงนี้ แต่ก่อนนี้ชอบมาก แล้วร้องแต่ละที น้ำตาไหล รู้สึกซาบซึ้งกับพระเจ้ามาก อยู่ใกล้พระเจ้ามากเลย
“โปรดฟื้นน้ำใจ ชำระภายใน ทรงสร้างข้าใหม่ โอ พระวิญญาณเจ้า”
คุ้นไหมเพลงนี้ ถามว่าผมร้องเพลงนี้ด้วยความซาบซึ้ง ผมใช้ความรู้สึกหรือใช้ความจริง ใครบอกใช้ความรู้สึก ยกมือขึ้น? ใครบอกใช้ความจริง ยกมือขึ้น? ดีใจจังที่มี 2 ฝ่าย แสดงว่ามาพูดคุยวันนี้มีประโยชน์จริง เดี๋ยวผมจะชี้ให้ท่านเห็น
“โปรดฟื้นน้ำใจ ชำระภายใน” ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ได้รับการชำระเรียบร้อยหรือยัง? แล้วขอพระเจ้าทำไม?
“ทรงสร้างข้าใหม่” ท่านเป็นคริสเตียน ท่านได้รับการบังเกิดใหม่หรือยัง? พระเจ้าสร้างท่านใหม่หรือยัง? ตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ท่านรับเชื่อแล้ว แล้วต้องขออีกไหม? ก็แสดงว่าท่านกำลังบอกพระเจ้าว่าไม่จริง พระเยซูบอกว่าด้วยโลหิตของเรา ท่านได้รับการชำระแล้วตลอดไป อภัยบาปทั้งปวงแล้ว ท่านบอกว่าไม่จริง
พระคัมภีร์บอกว่าท่านได้บังเกิดใหม่ ได้รับการสร้างใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยม 2 โครินธ์ 5:17 ทุกสิ่งทุกอย่าง จงมองให้เห็นเถิด มันใหม่หมดเลย ท่านบอกไม่จริง ถ้าท่านนมัสการพระเจ้าด้วยความจริง ท่านต้องบอกว่าเอเมนสิ ถ้าเอเมน ท่านก็ร้องไม่ออกแล้ว “ทรงสร้างข้าใหม่” ท่านร้องไม่ออก เหมือนตอนนี้ พอเรารู้แล้ว ผมรู้แล้ว ผมก็ร้องไม่ออก ผมก็ได้แต่ฮัมทำนองตามเขา ถ้าเกิดมีใครนมัสการเพลงนี้ขึ้นมา ผมก็ไม่ได้โวยวาย ไม่ได้อะไร ก็ยังนมัสการเหมือนเดิม แต่ผมก็จะฮัมเพลงตาม แต่ในใจผมคิด สร้างเรียบร้อยแล้ว “โปรดฟื้นน้ำใจ” ฟื้นเรียบร้อยแล้ว ฟื้นพร้อมพระเยซูคริสต์ “ชำระข้า” โลหิตพระเยซูคริสต์ชำระแล้ว เขาร้องไป ผมก็นมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง
เห็นตัวอย่างว่าความจริงคือความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก ต้องแยกกัน ท่านสามารถที่จะรู้สึกว่าสูญเสียความรอดไปแล้วได้ แต่ท่านไม่สามารถสูญเสียความรอดได้ ถูกไหม? ท่านสามารถรักพี่น้องทุกคนได้ ถูกไหม? แต่ท่านสามารถที่จะรู้สึกว่าไม่รักคนนี้ได้ ถูกหรือไม่ถูก? คิดให้ดีๆ และอย่าหันไปมองข้างๆ ถูกไหม? ท่านสามารถรู้สึกว่ารักคนนี้มากกว่าคนนี้ได้ แต่ท่านไม่สามารถที่จะรักคนนี้มากกว่าคนนี้ได้ทางวิญญาณ เป็นไปไม่ได้ เพราะวิญญาณท่านบริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนพระเยซูคริสต์ รักเขาเท่าๆ กัน ไม่ได้รักเขา เพราะสิ่งที่เขาประพฤติ กระทำ แต่รักเขา เพราะว่าเขาเป็นความรัก เป็นพี่น้องร่วมกันในพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายเดียวกัน บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนกับเราเลย ไม่มีผิด เราจึงรักเขาด้วยความรัก ที่เป็นนิรันดร์ที่พระเยซูคริสต์ได้ใส่ไว้ให้กับเราในวิญญาณของเรา พระองค์ทรงรักเราก่อน เราจึงสามารถรักคนอื่นได้ เพราะเรามีความรักที่เป็นอากาเป้แบบพระเยซูคริสต์ นี่คือความจริง แต่ความรู้สึกเรา มันแล้วแต่อารมณ์บนโลกใบนี้ อารมณ์เสียขึ้นมา เราก็รักไม่ลง มันเป็นเรื่องธรรมดา
ฉะนั้น ถ้าเผื่อคริสเตียน ได้รับรู้สิ่งเหล่านี้ ได้แยกออก เห็นชัดเจนในสิ่งเหล่านี้ มันจะมีประโยชน์มากเลย ที่จะไม่ถูกหลอก อาจารย์ยอห์นจึงพยายามอธิบายเรื่องนี้ให้เราได้เห็น ได้ชัดเจนว่าต้องระมัดระวังความเท็จ หรือผู้หลอกลวง ก็คือมาร สร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อต่อต้านความจริงของพระเยซูคริสต์ทั้งหมด แม้กระทั่งบทเพลงตะกี้นี้ ที่เรายกตัวอย่างขึ้นมา ก็เช่นเดียวกัน
ยกตัวอย่างตรงกันข้ามบทเพลง สมมติว่าเรานมัสการ แล้วเราร้องว่า …
“พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า
พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า เต็มใจเดินตามด้วยความยินดี
พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที”
เห็นไหม? ทางวิญญาณนมัสการพระเจ้า ทางความรู้สึก ตอนนั้นอาจจะอารมณ์ไม่ดี แต่ร้องไป มันถูกไหม? มันถูกถ้อยคำพระเจ้า ก็คือการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง แต่ความรู้สึกไม่ดี ล้มเหลว คือความรู้สึกตอนนั้น อารมณ์เสีย แอร์มันเสียที่โบสถ์ ร้อนก็ร้อน วันนี้นมัสการเพลงนี้ไป ก็กระยุกกระยิก ไม่รู้สึกอินกับบทเพลงนมัสการ รู้สึกนมัสการพระเจ้าไม่ดีเลย แต่จริงๆ แล้วมันดีกว่าวันก่อนนี้ ที่ร้องบทเพลงเพี้ยนๆ จากถ้อยคำพระเจ้าไป เห็นอะไรบางอย่างไหม? นี่แหละ คือสิ่งที่น่าสังเกตดู
เพราะศัตรู คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็คือมาร ในพระคัมภีร์บอกว่ามารคอยกล่าวหาเราอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน กล่าวหาเราผู้ที่เป็นผู้เชื่อว่าเป็นผู้ไม่ชอบธรรม ความจริง คือเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม มารก็จะกล่าวหาเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเลย เราหลับ มันก็กล่าวหา ถ้ามันทำให้เราฝันได้ มันก็ทำให้เราฝัน คือส่งความคิดเข้ามา ส่งอะไรต่างๆ เข้ามาให้เราหงุดหงิด ให้เราเครียด ฝันอะไร? ฝันตรงกันข้าม ฝันไม่ใช่ชอบธรรม ไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีพร้อม กล่าวหาเราตลอดเวลา เรายังเป็นคนบาปเหมือนเดิม
คำกล่าวหาเหล่านี้มันจะอยู่ในความคิดของเราตลอดเวลา ตลอดการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกๆ วัน ทุกๆ วินาที มันส่งเข้ามาตลอดเวลา วนเวียนอยู่ในความคิดของเราตลอดเวลา ถ้าเราเผลอเมื่อไร? เราก็จะไปคิดตามมัน นั่นหมายถึงเรากำลังเชื่อความเท็จ อาจารย์ยอห์นจึงบอกให้เราระมัดระวังความเท็จตรงนี้ ไม่ใช่ระมัดระวังมารมันจะมาทำอะไรเรา ไม่ใช่ แค่เราต่อต้าน มันก็ต้องหนีไปด้วยความตกใจสุดขีดแล้ว ในหนังสือยากอบ 4:7 ได้บันทึกไว้ มันจะบอกเราว่าเราไม่บริสุทธิ์พอ มันจะบอกว่าเราไม่ได้เกิดใหม่ มันจะบอกว่าเราไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า มันจะบอกว่าพระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่กับเราแล้ว พระเจ้าไปแล้ว เห็นไหม? พูดง่ายๆ มันจะปฏิเสธและต่อต้านพระคริสต์ พระคริสต์คือความจริง ก็คือต่อต้านความจริงทั้งปวง ที่อยู่ในเราแล้ว อยู่ในวิญญาณเราแล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้ แต่มันทำให้เราเสียศูนย์ได้ คือสูญเสียสิ่งที่ควรได้ จากการเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน เป็นผู้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรียบร้อยแล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้ สันติสุขเกินกว่าความคิดมนุษย์จะเข้าใจอยู่ในเราแล้ว เราจะสูญเสียสิ่งเหล่านี้เท่านั้น ความจริง ความรอดยังคงอยู่
ถามว่าความรอดมีโอกาสที่จะสูญหายไปจากเราไหม? วันนี้จะพูดเรื่องนี้ละเอียดนิดหนึ่ง เพราะว่าสำคัญมากเลย เพราะมีคนเข้าใจผิด และเข้าใจถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ ที่จะบรรยายผิดเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า “จงระมัดระวัง” ความจริง คือ “จงระมัดระวังความเท็จ” ที่ตะกี้นี้อธิบายมา แต่ถูกบิดไม่เข้าใจ ทำให้ความเท็จเข้ามาแทนที่ ก็คือ “จงระมัดระวังว่าจะสูญเสียความรอด” พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ จงระมัดระวังสูญเสียความรอด ใครบอกล่ะ เดี๋ยวเราจะมาดูกันว่าตรงนี้หมายถึงอะไร?
จงระมัดระวังสูญเสียความรอด หรือจงระมัดระวังสูญเสียความจริง คือถูกความเท็จหลอก ขโมยความจริงไป …
2 ยอห์น 1:7 “เพราะมีคนล่อลวงจำนวนมากแล้ว (ผู้ชักนำให้หลงผิด ผู้หลอกลวง และผู้นำเทียมเท็จ) ได้ออกไปในโลก คือคนเหล่านั้นที่ไม่รับรู้ (ไม่ยอมสารภาพ ไม่ยอมรับ) การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ (พระเมสสิยาห์) ที่อยู่ในสภาพมนุษย์อย่างแท้จริง คนเช่นนี้ คือคนล่อลวง (ผู้ชักนำให้หลงผิด ผู้หลอกลวง ผู้นำเทียมเท็จ) เป็นศัตรู ฝ่ายตรงข้ามของพระคริสต์ และคือ “ปฏิปักษ์พระคริสต์” … ”
“จงระวังความเท็จ ที่จะทำให้สูญเสียความมั่นใจในความจริงของข่าวดี” เป็นหัวข้อเรื่องที่ผมตั้งมาในวันนี้ และจะเน้นให้เห็นชัดเจน เริ่มต้นจากข้อ 7 “เพราะมีคนล่อลวงจำนวนมากแล้ว” ผู้ล่อลวงจำนวนมากคือใคร? คือผู้ชักนำให้หลงผิด ผู้ล่อลวง ผู้นำเทียมเท็จ เป็นคนนี่แหละ ไม่ใช่เป็นวิญญาณชั่ว เป็นอะไรต่างๆ ตามที่เขาถูกหลอก ให้ไปเน้น หรือพุ่งไปที่เป้าหมายที่ผิดว่าเป็นมาร หรือวิญญาณชั่ว ตัวใหญ่โตมาเข้าสิง หรือมาเข้าครอบงำคนที่มีอิทธิพล มีอำนาจ ในการเมือง หรือในโลกใบนี้ ไม่ใช่ หมายถึงคนทั่วๆ ไปนี่แหละ เยอะแยะมากมาย มีจำนวนมากแล้ว คือมีผู้ชักนำ ให้หลงผิด ผู้หลอกลวง ผู้นำเทียมเท็จ ผู้สอนเท็จนั่นเอง ให้ออกไปทั่วโลกเลย แล้วใครเป็นคนชักจูง หรือครอบงำเขาเหล่านั้น ก็คือมารที่ทำงานอยู่บนโลกใบนี้ ที่ปิดบังความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ทำงานกับทุกคนแหละ ใครที่ยอมให้มันทำ ก็คือคนที่ไม่รู้ความจริง ก็เท่านั้นเอง
คนเหล่านั้น ไม่รับรู้ ก็คือไม่ยอมสารภาพ ไม่ยอมรับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์เท่านั้นเอง ที่อยู่ในสภาพของมนุษย์อย่างแท้จริง คนเช่นนี้ คือคนล่อลวง ชักจูง นำผิด สอนผิด หลอกลวง ผู้นำเทียมเท็จ เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือพวกที่เรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ คือเป็นศัตรูกับพระคริสต์ ก็คือใคร? ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 แล้ว ก็คือคนเหล่านั้นที่มาสอนบอกว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์นั่นเอง ปฏิเสธข่าวประเสริฐ ปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้เป็นคนบาป อะไรประมาณนั้น นี่แหละ คือคนพวกนี้ และคนพวกนี้อยู่ไหน? ก็อยู่ท่ามกลางกลุ่มของคริสเตียน มาชักจูงบรรดาพี่น้องคริสเตียน ให้เชื่อในสิ่งที่เขาถูกหลอกว่าเป็นความจริง
ในข้อความเมื่อสักครู่นี้ เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของความจริง อย่างที่บอกว่าพวกปฏิปักษ์พระคริสต์ มาเพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น คือมาเพื่อขโมยเอาความจริงนี้ไป เท่านั้นเอง ข้อความอาจารย์ยอห์นจึงบอก หนุนใจให้ผู้เชื่อหรือคริสเตียน ให้ยืนยันในความจริง คือในบริบทนี้ คือในความจริงของข่าวประเสริฐ ของข่าวดี ก็คือในความจริงของการเป็นมนุษย์ของพระเยซู … พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ข้อนี้ทำให้เกิดอะไรขึ้น? เกิดความลึกซึ้งในวิญญาณ ในความเข้าใจ เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ที่พวกเขาเคยคิดว่ามันอยู่ไกลมากเลย ยิ่งใหญ่ แล้วมนุษย์ก้าวเข้าไปไม่ถึงเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวยิว กลัวพระเจ้ามากเลย รู้สึกห่างไกลจากพระเจ้ามากเลย แต่อาจารย์ยอห์นกำลังเน้นให้เขาเห็นว่านี่พระเจ้าจริงๆ พระเจ้าทรงเป็นความรัก และรักพวกเราจริงๆ ถึงขนาดยอมถ่อมตนลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และยอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่านที่เป็นคนบาป คนต่ำต้อย เป็นคนแย่
ถ้าใครรู้ความจริงตรงนี้ รู้สึกตรงนี้ ก็จะเชื่อในข่าวประเสริฐง่ายขึ้น ก็จะมั่นใจในข่าวดีของพระเยซูมากขึ้น เห็นหรือยัง? นี่แหละคือหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐ ที่จะถูกทำลาย ที่จะถูกขโมย ที่จะสะเทือนมากที่สุด จากมารและการปิดบังตาของมาร ก็คือตรงนี้แหละ ตีจุดนี้ที่สุดเลย จุดนี้จุดแรกเลย คือพระเยซูไม่ใช่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะถ้าใครเชื่อว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มันจะกระจายออกมาเต็มไปหมดเลยว่าพระเจ้ารักเราขนาดนี้ ยอดเยี่ยมขนาดนี้เลยหรือ? แล้วก็จะไม่ปฏิเสธ จะรู้ความจริงว่าพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่ออะไรต่อไป พระองค์ทรงเสด็จมาเป็นมนุษย์ เพื่อตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา
มารเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ผ่านทางคนสอนเท็จ ด้วยวิธีนี้ ให้เข้าใจผิด อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าให้ระมัดระวังคำสอนเท็จเหล่านี้ ระมัดระวังผู้เผยแผ่คำสอนเท็จเหล่านี้ อยู่ใน 1 ยอห์น 1:9 คือผู้ที่ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป ไม่ยอมรับว่าต้องการการช่วยเหลือ ใน 1 ยอห์น 1:9 บอกว่าถ้าเขาเหล่านี้ยอมรับสารภาพว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการรับการช่วยเหลือ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับการอภัยโทษจากความบาปทั้งสิ้นของเขาทั้งปวง หัวใจของหัวข้อในวันนี้ 2 ยอห์น 1:8 …
2 ยอห์น 1:8 “จงระวังตัว (เอาใจใส่) เพื่อจะไม่สูญเสีย (โยนทิ้งหรือทำลาย) สิ่งทั้งปวง ที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน แต่ให้ท่านดำรงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อจะได้รับบำเหน็จสมบูรณ์ครบถ้วน”
นี่แหละ คือข้อที่บอกว่าเป็นหัวใจสำคัญ ที่ถูกโจมตี และมีผู้หลงเข้าใจผิดไปเยอะ “จงระวังตัว ให้เอาใจใส่ในเรื่องนี้ เพื่อจะไม่สูญเสียหรือไม่ทำลายสิ่งทั้งปวง ที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน” ยอห์นกำลังพูดกับพี่น้องคริสเตียนด้วยกันบอกว่าระวัง เพื่อท่านจะได้ไม่สูญเสียสิ่งทั้งปวง ที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน
ท่านว่า “สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ที่ตรากตรำทำมาด้วยกันนั้น” คือความรอดใช่ไหม? คิดให้ดีๆ ลองอ่านและลองคิดให้ดีๆ “จงระวังตัว ให้เอาใจใส่ในเรื่องนี้” เรื่องอะไร? เรื่องที่ท่านผู้เชื่อกับผมได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน ตรากตรำทำงานอะไร? สูญเสียความรอดหรือ? เราตรากตรำทำงาน เพื่อจะได้ความรอดหรือเปล่า? ไปวิเคราะห์กันนะ ไม่ใช่ แสดงว่านี่ไม่ใช่ความรอด เห็นหรือยัง? เห็นอะไรบางอย่างไหม? “สิ่งทั้งปวงที่เรากับท่านได้ทำงานตรากตรำมาด้วยกัน”แสดงว่าไม่ใช่ความรอดแล้ว แต่ก็มีคริสเตียนที่ถูกหลอก ด้วยถ้อยคำความเท็จว่าระวังตัวนะ ให้เอาใจใส่ความรอดให้ดีๆ เพราะท่านอาจจะสูญเสียความรอดได้ เห็นหรือยัง? ไปเลย ถ้าเข้าใจตรงนี้ผิด ก็เลยเละเลย
ข้อความตรงนี้ไม่ได้หมายถึงสูญเสียความรอด แต่เป็นการเตือนผู้เชื่อให้ระมัดระวังและรักษาความมั่นใจในความเชื่อในความเป็นคริสเตียน ที่เชื่อในข่าวดีในพระเยซูคริสต์ เตือนคริสเตียนให้ระมัดระวังว่าท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว อะไรที่ไม่ใช่ข่าวดีนั้น ท่านระมัดระวังว่าข้อมูลที่เท็จ มันจะมาขโมยเอาความจริงไปจากใจของท่าน ท่านพอนึกออกใช่ไหม? เพื่อไม่ให้ท่านสูญเสีย ถ้าไม่สูญเสียความรอด แล้วสูญเสียอะไร? เพื่อไม่ให้ท่านสูญเสียบำเหน็จ หรือพระพร หรือผลตอบแทนที่มาจากการดำเนินชีวิตในความเชื่อ ในความจริงของข่าวประเสริฐของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ในความจริงข้างบนที่ตะกี้นี้ เราพูดกันว่าความจริง คืออะไร? คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้น และหลุดออกจากบาปทั้งปวง และได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดประโยชน์ เกิดบำเหน็จ มันหมายถึงอย่างนั้น
ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ไม่สามารถที่จะสูญเสียความรอดได้เลย เพราะว่าความรอด เป็นของขวัญจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่มั่นคงถาวรในชีวิตของผู้เชื่อตลอดไป เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ เราได้รับชีวิตนิรันดร์ และไม่มีสิ่งใดสามารถแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าในชีวิตนิรันดร์นี้ได้เลย พระคัมภีร์ยืนยัน ผู้เชื่อได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นการรับประกันถึงมรดกนิรันดร์ของเขา หรือของเราผู้เชื่อเรียบร้อยแล้ว เราจะมาอ่านข้อความนี้ในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ เอเฟซัส 1:13-14 …
เอเฟซัส 1:13-14 “13 และท่านทั้งหลาย ก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์ เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อ ก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้ 14 ผู้เป็นมัดจำค้ำประกัน (พยานยืนยัน) ว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”
เราได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการับรองยืนยันถึงการเป็นบุตรของพระเจ้า และมีชีวิตนิรันดร์ในในพระองค์ ท่านหรือผู้เชื่อทั้งหลายได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นมัดจำ ถึงวันแห่งการไถ่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือในโลกหน้าเลย
ความรอดของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา แต่ขึ้นอยู่กับพระคุณ และการกระทำที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนต่างหาก เพราะฉะนั้น ในข้อความที่บอกว่าการทำงานตรากตรำในที่นี้ จึงไม่ได้หมายถึงการทำงาน เพื่อให้ได้รับความรอด เพราะความรอดเป็นของขวัญที่ได้รับโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แต่การทำงานตรากตรำ หมายถึงการรักษาความเชื่อ และดำเนินชีวิตบนความเชื่อในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าเกี่ยวกับข่าวดีในชีวิตประจำวันของเราบนโลกใบนี้ เอเฟซัส 2:8-9 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะว่าซึ่งท่านทั้งหลายได้รับความรอดนั้น ก็เป็นโดยพระคุณ โดยความเชื่อ 9 และมิใช่โดยตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า มิใช่เนื่องจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้”
“มิใช่จากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้” อีกข้อพระคัมภีร์หนึ่งที่เน้นถึงความรอด ของขวัญที่มั่นคงและถาวรเป็นนิรันดร์ ไม่มีใครสามารถมาเอาไปได้ รอดแล้วรอดเลยนั่นเอง โรม 8:38-39 …
โรม 8:38-39 “เพราะข้าพเจ้ามั่นใจว่าทั้งความตาย ทั้งชีวิต ทั้งบรรดาทูตสวรรค์ ทั้งเทพผู้ครอง ทั้งสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งสิ่งที่จะมาถึงภายหน้า ทั้งฤทธิ์อำนาจใดๆ ทั้งสิ่งที่สูง ทั้งสิ่งที่ลึก หรือสิ่งอื่นใดที่ทรงสร้างแล้ว จะไม่สามารถแยกเราจากความรักของพระเจ้า ที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”
เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตในความเชื่อ และการกระทำตามที่เป็นความจริงในพระคัมภีร์ที่บอกไว้ เกี่ยวกับเรื่องของข่าวดีนั้น ซึ่งเป็นความจริงของพระเจ้า การดำเนินชีวิตโดยความเชื่ออย่างนี้นั้น เป็นการกระทำทวนกระแสของระบบโลกนี้ เพราะว่ามันเป็นความจริง แต่ในโลกนี้ทั้งหมด เป็นความเท็จ อาจารย์ยอห์นบอกว่านี่คือความจริง แต่ในโลกเป็นความเท็จ ท่านอยู่ในความจริง แต่ท่านอาศัยอยู่บนโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความเท็จ ท่านอยู่ในแสงสว่าง แต่ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความมืด ท่านอยู่ในพระคริสต์ แต่ท่านดำเนินชีวิตอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราช มันเป็นเพียงแค่นี้เอง เพราะฉะนั้น เมื่อท่านต้องทวนกระแสของโลกใบนี้อยู่ มีศัตรูตลอดเวลา มันทำอันตรายท่านไม่ได้ แต่มันกวนใจท่านได้ ทำให้ชีวิตท่านไม่เป็นสุขเท่าที่ควรได้ ทุกข์ยากลำบากได้ ท่านต้องอดทน ตรากตรำตลอดชีวิตบนโลกนี้
คำว่า “ทำงานตรากตรำ” มันแปลว่าอย่างนี้ ท่านต้องอดทนตรากตรำตลอดทั้งชีวิต บนโลกใบนี้ แต่เป็นสิ่งที่นำไปสู่บำเหน็จและพระพรบนโลกใบนี้ในชีวิตนิรันดร์ที่ท่านได้รับเรียบร้อยไปแล้ว พูดง่ายๆ คือท่านเป็นคริสเตียนอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่ท่านต้องตรากตรำ ก็คือดำเนินชีวิตทวนกระแสของโลกใบนี้ ก็คือทวนกระแสของความเท็จ มันจะโกหกมาตลอดเวลา ท่านต้องยืนยันบนความจริงนี้ตลอดเวลา แต่การยืนยันบนความจริงเหล่านี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อาจารย์ยอห์นบอกว่ามันมีบำเหน็จ มันมีพระพร บำเหน็จพระพรเข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นไป เดี๋ยวจะพาท่านไปดูว่าบำเหน็จพระพร คืออะไร?
ดังนั้น ข้อความที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ คือการเตือนให้เราระมัดระวังและยืนยันต่อสู้กับการต่อต้านของโลกนี้ การเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงของโลกใบนี้นั่นเอง ท่านยืนอยู่บนความจริง ท่านก็ต้องยืนอยู่ตามความจริงนั้นตลอดเวลา การทำงานตรากตรำ ในบริบทนี้จึงหมายถึงการดำเนินชีวิตที่สะท้อนถึงความเชื่อในความจริงของข่าวดีของพระเจ้า ที่เราได้รับมา ที่อยู่ในใจของเรา ด้วยความอดทน อดทนอย่างไร? เช่น เมื่อท่านมีความจริงนี้อยู่ในตัว มีพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวนี้แล้ว ท่านดำเนินชีวิตด้วยวิธีใด ด้วยความรัก ง่ายไหม? ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความรัก รักผู้อื่น แสดงความเมตตา และดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเยซู อดทนตามที่พระคัมภีร์บอกว่าเรามีธรรมชาติใหม่ ในวิญญาณของเรา และโดยธรรมชาติในวิญญาณของเรา เราต้องการทำตามวิญญาณของเรา ตามธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า คือดำเนินชีวิตด้วยความรัก ตามพระวิญญาณที่อยู่ข้างในอยู่แล้ว ซึ่งออกมา มีแรงต่อต้านมาจากข้างนอก ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้ มันต่อต้านมา นี่แหละ คือความตรากตรำและเหน็ดเหนื่อย กาลาเทีย 5:22-23 บอกไว้อย่างนี้ ท่านต้องดำเนินตามอย่างนี้ ไม่ใช่ท่านต้องนะ หมายถึงท่านจะดำเนินชีวิตอย่างนี้ บนโลกใบนี้ เมื่อท่านมีความจริงอยู่ในตัว มันจะออโต้ออกมาเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำท่านกระทำอย่างนี้บนโลกใบนี้ ท่านดูสิว่ามันยากไหม? …
กาลาเทีย 5:22-23 “ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน และการควบคุมตนเอง”
เห็นไหมครับ? สิ่งเหล่านี้มันทวนกระแสของโลกใบนี้ทั้งสิ้น ท่านต้องฝืน ภายนอกต้องฝืน แต่ภายในของท่าน ตัวตนของท่าน เต็มใจ อยากจะทำอย่างนี้ มันก็เหนื่อย วิญญาณไม่เหนื่อย แต่ร่างกายแน่นอน ความรู้สึกมันเหนื่อย เพราะต้องทวนกระแสบนโลกใบนี้ เขาเรียกกันว่า “ถูกข่มเหง” เข้าใจไหม? แต่ข่มเหงแบบชัดเจน หรือข่มเหงแบบนี้ มันถูกข่มเหงตลอดเวลา เพราะฉะนั้น คริสเตียนถูกข่มเหงตลอดเวลา ไม่ใช่มานึกถึงการถูกข่มเหง คือเขาต้องมาจับเรา เมื่อเราเป็นคริสเตียน เหมือนสมัยอดีต จับเราไปขังคุก เป็นคริสเตียนไม่ได้อะไรต่างๆ ไม่ใช่แค่นั้น นั่นมันเห็นชัด ที่เห็นไม่ชัด เหมือนเราทุกวันนี้ เราอาจมีอิสระในการนับถือศาสนา เป็นคริสเตียนก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ท่านดำเนินชีวิตเหมือนถูกข่มเหง เขาทำผิดอะไรต่างๆ มา เราอยากให้อภัย แต่ในขณะที่ความคิด หรือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของเราที่ถูกล่อลวง โดยภายนอก ไม่อยากให้อภัยเลย แต่ข้างในโอเคน่า ต้องใช้เวลา ยกตัวอย่างอย่างนี้เป็นต้น
หรือดำเนินชีวิตตามผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตะกี้ที่อ่านมาในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 5 ไม่เหนื่อยหรือ? อย่าตอบนะว่าไม่เหนื่อย
“ฉันเป็นคริสเตียน ฉันทำตามวิญญาณ”
ไม่จริง ยกตัวอย่าง เช่น ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทนอย่างนี้ ความปราณี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน การควบคุมตนเอง ควบคุมได้ไหม? อย่างนี้เป็นต้น
วิญญาณข้างในอยากจะทำสิ่งที่ดี แต่เขาถูกขัดขวางตลอดเวลา มันเลยฝืนตลอดเวลา ถ้าไม่เป็นคริสเตียนเลย มันก็ไม่มีการฟ้องผิดในใจ ไม่มีพระวิญญาณที่อยู่ภายใน ไม่มีการต่อต้านเท่าไร? มันก็ไม่ทุกข์ทรมาน ไม่ต้องตรากตรำทำงานบนโลกใบนี้อย่างนี้ เหมือนกับคริสเตียนที่เป็น เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า มันต้องเสียสละ มันต้องอดทน
วันนี้เอาแค่นี้ก่อน ครั้งหน้าเราค่อยมาดูว่าพระพร บำเหน็จที่จะได้รับจากการอดทนกระทำตามข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียว มันคืออะไร? พระพร บำเหน็จในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นะ ไม่ต้องรอตาย นี่พูดถึงพระพร บำเหน็จบนโลกใบนี้ที่จะได้รับ มันคืออะไร? พระเจ้าอวยพรครับ
**********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
“เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาปฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น”
โรม 5:12 … “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่เชื้อบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคนๆ เดียว (คืออาดัม) และความตายก็เกิดมาเพราะเชื้อบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”
โรม 5:15 … “แต่ของประทานนั้นต่างจากการล่วงละเมิด เพราะถ้าคนเป็นอันมากตาย เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระคุณของพระเจ้าและของประทานโดยพระคุณ ของพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวนั้น ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก!”
โรม 5:19 … “เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาปฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมากเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น”
“ถ้าท่านอยู่ในอาดัม ท่านก็ไม่มีทางที่จะย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ได้ โดยความประพฤติของท่าน
ถ้าท่านย้ายมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ท่านก็ไม่มีทางที่จะย้ายกลับไปอยู่ในอาดัมได้ โดยความประพฤติของท่านเข่นกัน”
“ถ้าท่านอยู่ในอาดัมเป็นคนบาป ท่านก็ไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมได้ โดยความประพฤติของท่าน ถ้าท่านได้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ผ่านทางการเปิดใจต้อนรับพระคริสต์ โดยความเชื่อ ท่านก็ไม่สามารถย้ายกลับไปเป็นคนบาปได้ โดยการประพฤติของท่านเช่นกัน”
เอเฟซัส 2:6-9 … “6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ … และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรา นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ 7 เพื่อในยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณ อันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้น จากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายาม ที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีของตัวเอง ในความรอดของตนได้”
พระเจ้าอวยพรครับ