คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม 2025
เรื่อง “หนังสือโคโลสี” ตอน 2 (วันแม่)
โดย วราพร คงล้วน
เรามาดูแบบอย่างของแม่ในพระคัมภีร์ที่พระเจ้าอนุญาตให้บันทึกไว้ พวกเราผู้ซึ่งเป็นแม่ๆ ทั้งหลาย เราอาจจะไม่สามารถครบถ้วนสมบูรณ์ เหมือนในนี้บอก แต่อย่างน้อยๆ เราก็จะมีติ่งๆ เสี้ยวๆ นิดหนึ่ง ให้อยู่ในกรอบที่ถ้อยคำของพระเจ้าบันทึกให้เรารับรู้ เรามาดูในหนังสือสุภาษิต บทที่ 31 เขียนโดยกษัตริย์ซาโลมอน เรามาเริ่มต้นข้อที่ 10 เป็นต้นไป …
สุภาษิต 31:10-14 “10 ใครจะพบภรรยาที่ดีเลิศ? นางล้ำค่ายิ่งกว่าทับทิมมากนัก 11 สามีของนางไว้ใจนางอย่างเต็มที่ และไม่ขาดสิ่งล้ำค่าอันใดเลย 12 นางนำสิ่งดีมาสู่เขา ไม่ใช่สิ่งร้าย ตลอดวันเวลาของนาง 13 นางเลือกหาขนสัตว์และใยป่าน และสองมือทำงานอย่างขยันขันแข็ง 14 นางเป็นดั่งเรือสินค้า ที่บรรทุกอาหารมาจากแดนไกล”
อันนี้ ชอบ “เป็นดั่งเรือสินค้า ที่บรรทุกอาหารมาจากแดนไกล” เราจะเห็นภาพ หลายคนจะบอกว่าแม่บ้านวันๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย อยู่แต่ในบ้าน สามีออกไปทำงาน วันๆ ทำอะไรอยู่ นั่นแหละ งานที่หนักมากของภรรยา ซึ่งสามีหลายคนมองไม่เห็น แต่วันนี้จะแจงให้ฟังว่าภรรยาต้องทำงานหนักขนาดไหน? ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา จัดเตรียมอาหารให้สามีทานก่อนออกจากบ้านไปทำงาน จัดเตรียมเสื้อผ้า จัดเตรียมอาหารให้กับลูกๆ มันเป็นงานหนัก ซึ่งเป็นงานหนักที่ภรรยาทุกคน แม่ทุกคนเต็มใจทำ โดยที่เราทำไป มีความสุขไป เหนื่อยไหม? เหนื่อย แต่มีความสุขมาก เวลาทำอะไรให้ลูกๆ เวลาทำอะไรให้สามี มันเป็นความสุขชนิดพิเศษที่ใครก็หาไม่เจอ หาที่ไหนก็ไม่ได้ นั่นคืออยู่ในครอบครัว
ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ กษัตริย์ซาโลมอนเปรียบเทียบว่า “นางเป็นดั่งเรือสินค้า ที่บรรทุกอาหารมาจากแดนไกล” เราสังเกตนะ แม่ทุกคนจะมีคลังอาหารให้กับครอบครัว ไม่ขาดสาย จัดเตรียม ไม่ใช่เรื่องหมูๆ นะ ต้องใช้ความคิด ต้องมีการบวก ลบ คูณ หาร มีการคำนวณต้นทุน คำนวนว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ดี และดีไม่พอ ต้องมีประโยชน์ด้วย มีประโยชน์อย่างเดียวไม่พออีก ต้องอยู่ในฤดูของมัน ถ้าเราจะทานอะไรให้อร่อย ต้องเป็นฤดูกาลของมัน ผลไม้ทุกชนิดจะมีฤดูกาลในการออกผล ผักทุกชนิด ก็จะมีฤดูกาลเช่นเดียวกัน ถ้าเราไปทานของที่นอกฤดูกาล อันดับแรก คือไม่อร่อย อันดับสอง คือแพงมาก ดิฉันเคยซื้อผักชี กิโลละ 1 บาทกับวิ่งไปถึงกิโลละ 400 บาท พอ 400 เราเลิกซื้อ ไม่ซื้อ ไม่กินก็ได้ เพราะว่ามันแพงเกินไป ฉะนั้น แม่บ้านเขาจะคำนวณอย่างนี้ เขาจะสามารถจัดการกับทุกสิ่งอย่างในครัวเรือน เพื่อให้เหมาะสม อาหารอร่อย ถูกปากครอบครัว แถมมันถูกเงินด้วย นี่สำคัญ
เราจะเห็นภาพในพระคัมภีร์พูดถึงภรรยาและแม่ที่ฉลาดในการดำเนินชีวิต เขาจะดำเนินชีวิตแบบนั้น ไม่ใช้อะไรตามใจตัวเอง ไม่คิดที่จะทำอะไรออกนอกลู่นอกทาง คือทุกอย่างคำนวณเรียบร้อยเลย แล้วคุณแม่กับภรรยาจะรู้ดีที่สุดว่าในครอบครัวใครชอบอะไร? ครอบครัวเราไม่ใช่มีแค่สามี เรามีลูกด้วย บางคนมีลูกคนเดียวก็ง่ายหน่อย บางคนมีลูกตั้งไม่รู้กี่คน สมัยโบราณ รุ่นของดิฉัน มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน จริงๆ แล้ว 7 คน เสียชีวิตไปคนหนึ่ง ลูก 6 คนไม่ใช่เลี้ยงง่ายๆ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่พ่อกับแม่สามารถเลี้ยงเราจนเจริญเติบโตถึงทุกวันนี้ เป็นคนดีของสังคมได้ ปัจจุบันลูกเต็มที่เลย 2 คน 3 คน เพราะว่าค่าใช้จ่ายสูงมาก เลี้ยงเยอะไม่ไหว ยากจนไปตามๆ กัน ก็จะมีลูกน้อย แต่ว่าการเลี้ยงดูก็จะเป็นเหมือนเดิม
เมื่อเราเลี้ยงดูลูกๆ ของเราตามพระวจนะของพระเจ้า ก็คือถ้อยคำของพระเจ้ามีบอกไว้แล้วว่าเราควรจะเลี้ยงลูกแบบไหน? อย่างไร? แต่เราได้เปรียบตรงที่เราเป็นคริสเตียน เราเข้ามาอยู่ในพระคุณของพระเจ้าแล้ว อันดับแรกเราได้เปรียบ คือเราสามารถอธิษฐานอวยพรลูกเราได้ทุกวันทุกเวลา ไม่มีวันหยุด ไม่มีข้อยกเว้น นึกอะไรได้ ก็อธิษฐานอวยพรเขาเลย
พรของคุณพ่อคุณแม่ เป็นพรที่สำคัญที่สุด สำหรับลูกๆ ดังนั้น พ่อแม่ที่อวยพรลูกตลอดเวลา เราจะสังเกตว่าลูกเราจะได้รับพระพร เหมือนในสมัยพระคัมภีร์เดิม คำพรของพ่อเป็นประกาศิต อวยพรอะไรจะได้ตามนั้น เหมือนกับชนชาติอิสราเอลเขาอยากได้พรของสิทธิบุตรหัวปี เพราะพรนั้น คือได้ทุกอย่างตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ แล้วเมื่อคุณพ่ออวยพรไปปุ๊บ จะได้ตามนั้นเลย เหมือนกันในปัจจุบัน เราอยู่ในพระคุณของพระเจ้า เราในฐานะของคุณพ่อคุณแม่ ขอรวบยอดนะ แม้ว่าจะเป็นวันแม่ก็ตาม พ่อก็มีบทบาทสำคัญในการดูแลลูกๆ หลานๆ ให้เจริญเติบโตอยู่ในทางของพระเจ้า
คำพูดที่ดี คำพูดที่ไพเราะ อ่อนหวานจะสามารถสร้างบุคลิกภาพให้กับลูกเรา เจริญเติบโตเป็นเด็กที่น่ารัก ไม่ก้าวร้าว ไปถึงไหนก็จะมีคนรัก แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่วันๆ พูดกับลูกไม่มีคำดีเลย แม้แต่คำเดียว เปิดปากปุ๊บ ด่าเลย อะไรก็ไม่รู้ ออกมาทุกรูปแบบ ลูกเขาจะฝังถ้อยคำเหล่านั้น แล้วเขาจะไม่สามารถที่จะนำเอาสิ่งดี ออกมาใช้ได้ ในชีวิตประจำวันของเขา
นี่คือภาพที่เราจะเห็นในถ้อยคำของพระเจ้า ที่สอนเรา ดังนั้น การสอนลูกจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราอยู่ในพระเจ้า เราก็อวยพรลูกเราทุกวัน เราพูดแต่สิ่งดีๆ ลงไปในชีวิตของเขา แล้วเขาก็จะได้รับพรในสิ่งดีๆ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเขา การจัดเตรียมอาหารให้กับลูกๆ เป็นความสุขที่สุดเลย แล้วยิ่งถ้าเตรียมเสร็จ ลูกบอก …
“อร่อยมาก”
หน้าบานเลยนะ รู้สึกไหม? หน้าบานเลย พอลูกบอกอร่อย มีความสุข เห็นลูกกินอร่อย เราก็มีความสุข แต่ถ้าเมนูไหนลูกบอกไม่อร่อย พับเก็บใส่ลิ้นชักเลย เลิกทำ เพราะว่าทำไป ไม่อร่อย เขาก็ไม่กิน เหมือนทุกวันนี้ ที่โบสถ์ เมนูไหนที่ทำออกมา แล้วพี่น้องบอกไม่อร่อย ไม่ปลื้ม ดิฉันพับเลยนะ เลิกทำ เพราะว่าทำแล้วไม่อร่อย ไม่อร่อย ก็ไม่มีคนกิน ทำซ้ำๆ ที่อร่อย ก็ยังดีกว่าทำแปลกแหวกแนวที่เขากินไม่ลง อะไรอย่างนี้ นั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ เมื่อเราลงแรงลงไป สิ่งที่เราอยากจะเห็น คือความสุขของคนที่มารับบริการจากเรา แล้วความสุขของลูกๆ เป็นความสุขของเราทุกคนพ่อแม่ ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้น นี่คือภาพในพระคัมภีร์เดิม กษัตริย์ซาโลมอนเขียนไว้
สุภาษิต 31:15-21 “15 นางตื่นขึ้นตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง เพื่อจัดเตรียมอาหาร สำหรับคนในครัวเรือน และแบ่งอาหารให้บรรดาสาวใช้ 16 นางออกไปสำรวจไร่นาแล้วซื้อไว้ และลงทุนทำสวนองุ่น ด้วยเงินที่นางหามาได้ 17 นางทำงานอย่างขยันขันแข็ง แขนของนางแข็งแกร่งสู้งานต่างๆ 18 นางดูแลกิจการให้ผลกำไรงอกเงย และกลางคืนตะเกียงของนางก็ไม่ดับ 19 มือของนางจับไน นิ้วของนางจับกระสวย 20 นางหยิบยื่นให้คนยากจน และยื่นมือช่วยคนขัดสน 21 เมื่อหิมะตก นางไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับคนในครัวเรือน เพราะทุกคนสวมเสื้อผ้าอย่างดีและอบอุ่น”
เห็นไหมการจัดเตรียมที่พร้อมสรรพเลย คือเตรียมไว้ล่วงหน้า นี่พูดถึงสมัยก่อน ในอิสราเอล เวลาร้อนก็ร้อนมาก เวลาหนาวก็หนาวมาก มันต้องมีการเตรียมพร้อมตลอดเวลา ฉะนั้น ภรรยาและคุณแม่ที่ดี เขาก็จะจัดเตรียมทุกอย่างไว้ เป็นคนที่ขยันขันแข็งด้วย ในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าคนขี้เกียจ ไม่ต้องให้เขากิน พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าที่ขยันมาก ฉะนั้น เราลูกๆ ของพระเจ้า เราจะมีคุณลักษณะเดียวกันกับพระเจ้าของเรา ก็คือความขยันขันแข็ง อยู่นิ่งไม่เป็น แล้วขยันขันแข็ง ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นแม่บ้าน เราต้องวิ่งไปหาอะไรทำ ไม่ต้อง ความขยันเริ่มต้นจากในบ้าน แค่ตื่นขึ้นมา ดูแลบ้านให้เรียบร้อย สะอาดสะอ้าน ทำกับข้าวกับปลาให้ลูกๆ เตรียมเช้า สาย บ่าย เย็นอะไรแบบนี้ มันหมดวันไปแล้ว นั่นคือต้องขยันขันแข็ง
แต่ถ้าผู้หญิงที่ไม่ขยันเขาทำอะไร? วันๆ ก็นอนกระดิกขา บ้านจะรกอย่างไรก็ช่างมัน ปล่อยให้ขี้ฝุ่นจับ หนาเป็นนิ้ว ก็ปล่อยมัน ลูกเต้าจะหิวข้าวอะไร ก็เรื่องของเขา ไปหากินกันเองก็แล้วกัน สามีกลับมา คุณไปหาของกินเองก็แล้วกัน นั่นคือคนขี้เกียจ คนขี้เกียจ ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าจะบันทึกแต่คนที่ขยันเท่านั้น เราในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าเราขยันขันแข็ง เราก็จะเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่าง แบบของพระเจ้าเลย เราก็จะเป็นคนที่ขยันขันแข็ง เราขี้เกียจไม่ค่อยเป็น ถ้าอยู่เฉยๆ ก็ไข้จับพอดี อยู่เฉยๆ ก็ไม่สบาย
ฉะนั้น การทำงานในแต่ละวัน ในชีวิตประจำวัน สำหรับคนที่เป็นแม่บ้าน ไม่ได้ออกไปทำงานนอกบ้าน หรือคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านเหมือนกัน ก็คือต้องขยันขันแข็ง นี่คือการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวันของมนุษย์ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ มนุษย์ปัจจุบันที่เราอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เราก็ยังคงต้องทำมาหากิน เหมือนกับคนอื่นเขา แต่สิ่งที่เราไม่เหมือนคนอื่น คือวิญญาณของเราได้รับพระพรจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว
สุภาษิต 31:22-24 “22 นางทำผ้าปูที่นอนเอง เสื้อผ้าของนางทำด้วยผ้าลินินเนื้อดีและผ้าขนสัตว์สีม่วงราคาแพง 23 สามีของนางเป็นที่นับหน้าถือตาที่ประตูเมือง ที่ซึ่งเขานั่งอยู่ในหมู่ผู้อาวุโสของแผ่นดิน 24 นางยังได้ทำเครื่องนุ่งห่มด้วยผ้าลินินไว้ขาย และส่งผ้าคาดเอวให้แก่พ่อค้า”
เห็นไหม ดูแลครอบครัวไม่พอ ทำของขายด้วยนะ นี่ขยันมาก สิ่งที่น่าประทับใจอยู่ในข้อที่ 23 บอกว่า “สามีของนาง เป็นที่นับหน้าถือตา” แปลว่าภรรยาคนนี้ วางตัวได้ดีมาก ทำให้สามีได้รับการนับถือจากผู้คนรอบข้าง แต่ถ้าภรรยาวางตัวไม่ดี สามีทำอะไรก็เดินตามไปพูดๆ ชี้นิ้ว สามีก็จะไม่ได้รับการนับหน้าถือตา จากผู้คนรอบข้าง ฉะนั้น ภรรยาที่ดีต้องเป็นผู้สนับสนุนสามีของเรา เราสนับสนุนเขา ไม่ใช่เป็นผู้บังคับบัญชาเขา บังคับให้สามีต้องทำโน่นต้องทำนี่ ต้องๆ ตามที่ฉันอยากได้ ไม่ใช่ สนับสนุนสามีของเรา เขาทำอะไรให้เราสนับสนุน เมื่อสามีของเราเกิดล้มเหลวขึ้นมา เราก็อยู่ข้างๆ เขา เป็นกำลังใจให้เขา เมื่อเขาประสบความสำเร็จ เราก็ยังคงอยู่ข้างๆ เขา ชื่นชมยินดีร่วมกับเขา นี่คือภาพที่คนของพระเจ้าจะทำได้ ในชีวิตประจำวันของเรา
สุภาษิต 31:25-30 “25 พลังและศักดิ์ศรี คืออาภรณ์ที่นางสวม ดังนั้น นางจึงหัวเราะกับอนาคตที่จะมาถึงได้ 26 ปากของนางเอื้อนเอ่ยสติปัญญา ลิ้นของนางสอนสิ่งดีงาม 27 นางคอยดูแลกิจการทั้งสิ้นในครัวเรือน และไม่เคยเกียจคร้าน 28 ลูกๆ ของนางยืนขึ้นกล่าวยกย่อง สามีของนางก็ชมเชยนางว่า 29 สตรีจำนวนมากทำสิ่งดีเลิศ แต่เธอล้ำเลิศยิ่งกว่าพวกเขาทั้งหมด 30 เสน่ห์เป็นสิ่งหลอกลวง และความสวยงามไม่จีรังยั่งยืน แต่สตรีที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับการสรรเสริญ”
อันนี้ สรุปข้อความทั้งหมดที่กษัตริย์ซาโลมอนพูดไว้ เสน่ห์เป็นของหลอกลวง ความงามไม่ยั่งยืนจีรัง ถ้าตอนสาวๆ เราสวยไม่ว่า อายุเยอะขึ้นๆ จะสวยเหมือนเดิม เป็นไปไม่ได้ เมื่อเราอายุเยอะมากเท่าไร ในพระคัมภีร์บอกว่าผมหงอกเป็นศักดิ์ศรี ฉะนั้น เราไม่ต้องกังวลว่าผมเราจะหงอก หน้าเราจะย่น ฟันเราจะหลุด หรืออะไรก็แล้วแต่ มันไปตามวาระ ที่เราดำเนินชีวิตไป
ฉะนั้น หลักสำคัญในข้อพระคัมภีร์บทนี้ ก็คือสตรีที่ยำเกรงพระเจ้า แค่นี้เอง เราอยู่ในพระเจ้า เรายำเกรงพระเจ้า เมื่อเรายำเกรงพระเจ้าปุ๊บ เวลาเราจะทำอะไร เรามองที่พระเจ้า เมื่อเราเคารพ ยำเกรงพระเจ้า เราจะไม่กล้าที่จะออกนอกลู่นอกทาง อย่าใช้คำว่าไม่กล้าเลย เราไม่อยาก ถ้าไม่กล้า มันยังแฝงความกลัว แต่คือเราไม่อยากทำอะไรที่ออกนอกลู่ นอกทาง ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ เราอยากมีชีวิตอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า เราใช้ชีวิตที่สงบสุขอยู่จำเพาะพระพักตร์ของพระองค์ เราทำหน้าที่ของเราเต็มที่ ส่วนที่เหลือพระเจ้าจะเป็นผู้ดูแลให้กับพวกเรา เพราะจริงๆ แล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าเองเป็นผู้ใส่ความปรารถนาให้กับพวกเราทุกๆ คน ให้พร้อมที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ นี่คือความจริง
เราขอบคุณพระองค์สำหรับถ้อยคำตรงนี้ที่กษัตริย์ซาโลมอนได้พูดไว้ สตรีที่ยำเกรงพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญ เรียกว่าได้รับความรัก การอวยพร จากผู้คนรอบข้าง ความเอาใจใส่จากผู้คนรอบข้าง เพราะว่าเราได้ส่วนที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
สุภาษิต 31:31 “จงยกย่องนาง เพราะทุกสิ่งที่นางทำให้ประชาชนที่ประตูเมืองสรรเสริญนาง เพราะการงานของนาง”
เราก็ขอบคุณพระเจ้า นี่คือแบบอย่างของพระคัมภีร์ที่พูดถึงภรรยาและพูดถึงคุณแม่ และจริงๆ แล้ว ในพระคัมภีร์ยังมีพูดถึงคุณแม่อีกหลายๆ ตอนมาก วันนี้เอามาแค่ตอนเดียวพอ ก็คือหลายๆ ตอนที่ได้พูดถึงคุณแม่ที่รักลูก รักขนาดที่ยอมเสียสละ ยอมเสียหน้า เพื่อลูกของเรา
มีอยู่ตอนหนึ่ง ตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งมาขอร้องพระเยซูคริสต์ อยู่บทไหนไม่รู้จำไม่ได้ เอาไว้ไปหาให้ มาขอร้องพระเยซูคริสต์ว่าลูกเขาไม่สบาย ขอพระเยซูคริสต์ไปรักษาลูกของเขาด้วย แล้วผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนยิว เป็นคนต่างชาติ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาบนโลกใบนี้ พระเยซูถูกส่งมา เพื่อที่จะมาหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น ก็คือมาช่วยคนอิสราเอลเท่านั้น ตอนที่พระเยซูทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย ทุกคนได้ยินได้ฟังหมด แล้วผู้หญิงคนนี้ ซึ่งเป็นคนต่างชาติได้ยินด้วยว่าพระเยซูทรงสามารถที่จะรักษาโรคได้ ก็เลยบากหน้า ต้องเรียกว่าบากหน้า มาหาพระเยซู มาขอร้อง มาขอความเมตตาจากพระเยซู แต่พระเยซูพูดประโยคหนึ่งว่า …
“ที่จะเอาอาหารของลูกไปให้สุนัขก็ไม่ควร”
สมัยก่อน คนยิวเขาถือว่าคนต่างชาติเป็นสุนัขหมด ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคน เขาเรียกอย่างนั้นจริงๆ ก็คือเป็นสุนัข พระเยซูกำลังเปรียบให้เห็นว่าหลักของพระคัมภีร์เดิม เป็นอย่างนั้นจริงๆ พระเยซูมา เพื่อเอาอาหาร … อาหารตรงนี้ เป็นอาหาร จิตวิญญาณที่พระองค์เอามาให้กับคนยิวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรค การทำหมายสำคัญ การทำการอัศจรรย์ทั้งหมด พระเยซูทำ เพื่อให้คนยิวรับรู้ว่าพระองค์ คือผู้นั้น เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา แต่พระเยซูก็บอกกับผู้หญิงคนนี้อย่างนี้นะ ถ้าเป็นเรายังจะอยู่ไหม? ถ้าเราเป็นแม่ เรายังจะอยู่ไหม? เพื่อลูกนะ อยู่ ไม่เป็นไร โดนด่าแค่นี้ นิดเดียวมาก เขาเรียกว่าจิ๊บจ๊อย นิดเดียวเอง ขอแค่พระเยซูยอมรักษาลูกให้หาย แค่นั้นก็พอ
แล้วผู้หญิงคนนี้ตอบว่า … “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขจะกินเศษอาหาร ที่มันหล่นจากโต๊ะของลูก”
เห็นความเชื่อไหม? ความเชื่อ ก็คือพระเยซูกำลังบอกเขาว่าอาหารตรงนี้ พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับลูกๆ ก็คือชนชาติอิสราเอล แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ลดละ เพราะว่าเขาเห็นลูกทรมาน เขาอยากให้ลูกได้รับการรักษา
เขาบอกไม่เป็นไร เป็นหมาก็ได้ แต่ว่าขอเศษอาหารนิดหนึ่งได้ไหม? ลูกกินอิ่มแล้ว เหลือเศษๆ ที่ทิ้งๆ ขว้างๆ ขอแค่เศษ แค่นั่นเอง ลูกของเขาจะได้รับการรักษา
พระเยซูบอก “เพราะความเชื่อของเจ้า”
เขาเชื่อจริงๆ เขาเชื่อว่าพระเยซูทรงสามารถรักษาลูกเขาได้ และเพราะความเชื่อของเขา พระเยซูเลยบอกว่า … “หญิงเอ๋ย กลับไปเถอะ ลูกของเจ้าหายแล้ว”
นั่นคือความรักของแม่คนหนึ่งที่สำแดงออกมา เป็นแม่ที่ไม่เป็นไร ถูกว่าเป็นหมาก็ได้ เป็นสุนัขก็ได้ เป็นคนที่ไม่มีอะไรก็ได้ แต่ขอแค่ให้ลูกได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าแค่นั้น พอแล้ว
นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกให้เราเห็นภาพคุณแม่ที่รักลูกของตัวเอง จนยอมทุกอย่าง เพื่อให้ลูกของตัวเองได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า
เราก็ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ แบบอย่างพวกนี้ ที่พระคัมภีร์บันทึกให้เราได้เห็น ได้รับรู้ มันเป็นชีวิตจริงของพวกเราทุกๆ คนที่อยู่บนโลกใบนี้ เราจะเห็นแม่หลายๆ คน ที่ยอมทนทุกข์ลำบาก ตัวเองอด ไม่เป็นไร แต่ลูกต้องอิ่ม ในช่วงสภาวะที่อดอยาก หรือในช่วงสภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี ในช่วงสภาวะที่เราเงินขาดมือ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าแม่ทุกคนจะยอมอด เพื่อให้ลูกตัวเองได้กินอิ่ม นี่คือหัวใจของแม่
แล้ววันนี้ เราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับวันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่เราจะมาขอบคุณพระเจ้า สำหรับคุณแม่ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ที่ท่านยอมอดหลับอดนอนในขณะที่ลูกเจ็บป่วย ถ้าลูกเราป่วย แม่ไม่ได้นอน กอดเอาไว้นั่นแหละ วางปุ๊บร้องๆ ต้องกอดเอาไว้ นอนไม่ได้ ต้องไปพิงอยู่ตรงข้างเตียง เชื่อว่าทุกคนมีประสบการณ์ตรงนี้ เพราะเรามีลูกมาแล้ว พิงอยู่ข้างเตียง แล้วเราก็หลับไปทั้งอย่างนั้นแหละ นี่คือภาพของความรักที่แม่ทุกคนมีต่อลูก ไม่ว่าแม่คนนั้นจะเป็นคนไทย คนต่างชาติ เป็นฝรั่ง ทุกคนมีความรักตรงนี้อยู่ในหัวใจ เพราะความรักนี้ เป็นของประทานที่พระเจ้าใส่เข้ามา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราจะมีความรักชนิดพิเศษเลย เป็นความรักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้า เมื่อก่อนเราไม่เชื่อพระเจ้า เรายังมีความรัก แต่ความรักเราทำไม่ได้เต็มที่ เรารักก็จริง พอเราโมโห เราก็ด่าลูก เป็นไหม? โมโห ก็ด่าลูก อะไรอย่างนี้ แต่ว่าพอถึงปัจจุบัน เราเชื่อพระเจ้าแล้ว มันมีความรักชนิดพิเศษ ที่พระเจ้าใส่เข้ามา ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ความรักแบบอากาเป้ เหมือนพระเจ้า เราสามารถดูแลลูกของเรา เราสามารถให้ความรักเขาได้อย่างเต็มที่ สามารถที่จะอดทนกับอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ดีในชีวิตของลูก พี่น้องต้องรับความจริงตรงนี้ว่าลูกเราไม่ได้น่ารักตลอดเวลา มันจะมีวัยที่เขาเรียกว่าวัยกบฏ เคยเจอวัยกบฏไหม? งอแงตลอดเวลา อันโน้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ นี่ไม่ได้ นั่นไม่ได้ตลอดเวลา เด็กทุกคนจะมีวัยนั้น แต่ว่าแม่และพ่อทุกคนจะมีวิธีในการที่จะดูแลเขา ในการพูดคุยกับเขา ในการสอนเขา ให้เขาสามารถที่จะเป็นเด็กดีในสังคมได้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเราผู้ที่มีความรักชนิดที่เป็นแบบของพระเจ้า เรายิ่งสามารถสอนลูกเรา ให้ได้รับพระพรมากกว่านั้น เยอะแยะมากมายเลย
ก็ขอขอบคุณคุณแม่ทุกๆ คนในที่นี้ด้วย ที่สละเวลา สละทุกสิ่งอย่าง เพื่อดูแลลูกๆ หลานๆ ของเรา ให้เขาเจริญเติบโตขึ้นมาให้เขาเป็นเด็กที่ดี เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคม ดังนั้น สังคมจะดี ต้องเริ่มต้นจากที่บ้าน ถ้าบ้านดี สังคมจะดี สังคมดี ประเทศจะดี เขาเรียกว่ามันจะดีเป็นโดมิโน เราอย่าไปคาดหวังว่าจะรอให้สังคมดี แล้วเราก็ทำอะไรเละเทะ ไม่มีทาง มันต้องเริ่มต้นที่บ้านก่อน บ้านของเรา ดูแลลูกให้เป็นคนดี เป็นเด็กดี ในอนาคตข้างหน้า ลูกเราไม่จำเป็นต้องเก่ง คนเก่งมีเยอะแล้ว ไม่ต้องไปแข่งกับเขา ไม่จำเป็นต้องเก่ง แต่ลูกเราเป็นคนดี แค่นั้นพอ แล้วถ้ามีแถมเก่งมาด้วย ก็ขอบคุณพระเจ้า เอาด้วย แต่ถ้าไม่ได้แถมตรงนั้น ก็ไม่เป็นไร แค่ขอให้เขาเป็นเด็กดี เป็นคนดีของสังคม ไม่ไปทำความเดือดร้อนให้ผู้คนรอบข้าง ไปถึงไหน มีแต่คนมีความสุข เจอครอบครัวนี้ แล้วมีความสุขนะ เห็นลูกๆ เขาเจริญเติบโต เราก็มีความสุข เห็นลูกเขาไปดีมาดี เราก็ยิ่งมีความสุขใหญ่
นี่คือภาพที่เราอยากจะเห็น และสังคมไทยอยากจะเห็น ประเทศชาติอยากจะเห็น แล้วเริ่มต้นจากพวกเรา ตอนนี้เราแก่เกินแล้ว เราไปดูแลใครไม่ได้แล้ว บอกลูกๆ หลานๆ ในอนาคตที่จะมีครอบครัว ดูแลลูกของเรา เลี้ยงเขาให้เป็นเด็กดี เลี้ยงเขาด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยความสามารถของเรา จริงๆ เราไม่สามารถหรอก เราไม่มีความสามารถ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระเจ้าให้สติปัญญาเราในการเลี้ยงดูเขา ฟูมฟักเขา อวยพรเขา อธิษฐานให้เขาทุกวัน คำอธิษฐานของคุณพ่อคุณแม่เป็นสิ่งที่ดีเลิศที่สุด ดีกว่าหาทรัพย์สินเงินทองไปให้ลูกเยอะแยะมากมาย ดูแลเขาอย่างดี สอนเขาให้รู้จักหน้าที่ของลูก หน้าที่ของการออกไปข้างนอก เป็นคนดี หน้าที่ของประชาชนที่มีต่อประเทศชาติ สอนเขาแค่นี้เอง แล้วเขาก็เจริญเติบโต เขาจะเป็นคนดีในสังคมนี้ เอเมนไหม? พระเจ้าอวยพรค่ะ
*************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
หลักการของการให้ด้วยใจยินดี และผลที่ตามมาจากการให้ หลักการของพระเจ้าในการให้ด้วยใจในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คือ …
2 โครินธ์ 9:6-9 … “6 ผู้ที่หว่านเพียงเล็กน้อย ก็จะเกี่ยวเก็บเพียงเล็กน้อย และผู้ที่หว่านมาก ก็จะเกี่ยวเก็บมาก 7 แต่ละคนจงให้ตามที่เขาตั้งใจไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยความเสียใจหรือด้วยความจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกอย่างแก่ท่านอย่างบริบูรณ์ เพื่อท่านจะมีสิ่งสารพัดพอเพียงเสมอ และมีเหลือเฟือสำหรับการดีทุกอย่าง 9 ตามที่เขียนไว้ว่า ‘เขาได้แจกจ่าย เขาได้ให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์’”
ความสำคัญของการให้ด้วยใจยินดีและไม่ใช่ด้วยความจำใจ เพราะพระเจ้าทรงพอใจผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี และพระองค์จะประทานพระคุณอย่างเพียงพอ เพื่อให้เรามีทุกสิ่งที่จำเป็นและสามารถทำการดีต่อๆ ไปได้
การให้ด้วยใจยินดีเป็นการสะท้อน การแสดงออกถึงการเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เป็นความรักเหมือนพระคริสต์ ที่ดำรงอยู่ตลอดไปในวิญญาณที่เป็นตัวตนแท้จริงของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว จากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าในพระคริสต์
พระเจ้าอวยพรครับ