วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1453

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  มกราคม  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์  ไม่ได้เกี่ยวกันกับเรื่องของการกระทำ ความประพฤติ อะไรต่างๆ บนโลกใบนี้เลย แม้แต่นิดเดียว  เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณจริงๆ เท่านั้นเอง  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงให้เราเชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์ ทำไมต้องใช้ความเชื่อ  เพราะมันมองไม่เห็น พระเจ้าจึงตรัสว่าสิ่งที่มองไม่เห็น และหูไม่ได้ยิน  คือสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับผู้ที่แสวงหาความจริงของพระองค์ จะแสวงหาความจริงของพระเจ้าได้ ก็ต้องเชื่อในเรื่องโลกวิญญาณเท่านั้น

            วันนี้ผมใช้หัวข้อเรื่องที่เขาฮิตกันเดี๋ยวนี้ ฮิตมากเลย  คือ Before and After มีรายการทีวี รายการโชว์ต่างๆ ฮิตมากเลยว่า Before and After ก่อนเป็นอย่างไร? และหลังจากนี้ เป็นอย่างไร? ก่อนหน้าจะเข้าโปรแกรมนี้ เป็นอย่างไร? ก็ถ่ายรูปให้ดู หลังโปรแกรมนี้ เป็นอย่างไรถ่ายรูปให้ดู ตื่นเต้นไหม?  นั่นเป็นสิ่งที่ตามองเห็น บนโลกใบนี้  แต่สิ่งที่เรากำลังจะมาเรียนรู้วันนี้ เป็นสิ่งที่ตามองไม่เห็น  หูไม่ได้ยิน จับต้องไม่ได้ แต่พระคัมภีร์ได้บอกไว้เลยว่าก่อนหน้า เป็นอย่างไร?  หลังขบวนการนี้เป็นอย่างไร? นึกออกหรือยัง? ก่อนหน้าจะเชื่อในพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราเป็นอย่างไร? หลังจากรับเชื่อแล้ว วิญญาณของเราเป็นอย่างไร?  เราไม่รู้เลย  เราก็ได้แต่มองกัน แล้วก็บอกว่า …

            “ผมหรือฉันเชื่อมา 2 ปีแล้ว”

            “แล้วก่อนหน้า 2 ปีล่ะ”

            “ก็ยังไม่เชื่อตอนนั้น”

            “แล้วดูในกระจก ตอนนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม?”

            “ไม่มี นอกจากแก่ลงนิดหน่อย  หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้น”

            เพราะฉะนั้น วันนี้ เราจึงมาเรียนรู้ดูว่าในถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างไร? เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณว่าวิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน? ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ ถ้าเรารู้ว่าหลังเชื่อเป็นอย่างไร? เราก็อยากรู้ว่าก่อนเชื่อเป็นอย่างไร?  นี่ชัด  แต่ถ้าจะชัดกว่านี้ ก็คือรู้ทั้งสองฝั่งเลย ก่อนเชื่อ ฉันเป็นอย่างนี้  หลังเชื่อฉันเป็นอย่างนี้  ขอบคุณพระเจ้า มันยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้น

            “วิญญาณของฉันอยู่ที่ไหนก่อนเชื่อและหลังเชื่อ”

            เรื่องเกี่ยวกับความรอดทางวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการอภัยโทษบาปผิดของมวลมนุษย์เท่านั้น ซึ่งการอภัยให้กับมนุษย์ที่พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ เพื่อไถ่บาปให้กับเรา  ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม นั่นก็ขอบคุณมากแล้ว  นั่นก็เป็นอัศจรรย์ใหญ่ เป็นพระคุณยิ่งใหญ่แล้ว  แต่เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เรื่องเกี่ยวกับความรอดทางวิญญาณ มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ตรงนั้นเป็นแค่น้ำจิ้มเฉยๆ  การอภัยบาปผิดของมนุษย์ เป็นแค่น้ำจิ้ม  แต่เนื้อแท้ๆ จริงๆ คืออัศจรรย์อันยิ่งใหญ่  หมายถึงความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิต คือในตัวตน วิญญาณจริงๆ ของคริสเตียน หรือของมนุษย์ คนหนึ่ง เกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของเขา ตัวนี้ ที่เรากำลังจะเรียนรู้ สำคัญมาก แล้วก็เนื้อๆ ของข่าวประเสริฐเลยว่าพระเจ้าทำอัศจรรย์อะไร?  นอกจากอภัยในความบาปผิดของเราเรียบร้อยแล้ว แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ในวิญญาณของเรา มันทันที ไม่ต้องไปรอว่าเดี๋ยวตายไปก่อน แล้วค่อยไปรับตรงโน้นตรงนี้  มันเกิดขึ้นทันทีเลย  ซึ่งตาเรามองไม่เห็น  หูไม่ได้ยิน จับต้องไม่ได้  แต่มันเป็นอยู่จริง เพราะพระองค์ทรงตรัสไว้เช่นนั้น ในข้อพระคัมภีร์

            มันตรัสไว้ในข้อพระคัมภีร์เดียวกันกับเรื่องของการอภัยโทษ ในความบาป  และการได้รับเกียรติจากพระเจ้า นับเราเป็นผู้ชอบธรรม  อยู่ในเรื่องเดียวกันหมด  แต่ไม่ค่อยมีใครมาสนใจมากนัก ไม่ค่อยมีใครมาเรียนรู้ตรงนี้ มากนัก  เพราะว่ามันมองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เลยไปสนใจสิ่งที่มองเห็นมากกว่าว่าชีวิตจะกิน จะอยู่ จะร่ำรวยได้อย่างไร?  จะแข็งแรงได้อย่างไร? จะเกิดอัศจรรย์บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ได้อย่างไร?  จะประสบความสำเร็จในการงานที่กระทำได้อย่างไร?  ครอบครัวจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้อย่างไร? คิดแต่เรื่องพวกนี้มากกว่า เพราะว่ามันสัมผัสได้ มันมองเห็น แต่เรื่องที่เรากำลังจะเรียนรู้ ในเรื่องโลกวิญญาณ  สำคัญกว่า คืออะไรที่เป็นอัศจรรย์ เกิดขึ้นในวิญญาณของคริสเตียน  เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือมีการเปลี่ยนแปลงสถานะ และที่อยู่อาศัยในวิญญาณของเขา  มีการที่เรียกกันว่าบังเกิดใหม่ รู้สึกไหมว่าบังเกิดใหม่ ไม่รู้สึก เห็นไหม? ไม่เห็น แต่พระคัมภีร์บอกว่าบังเกิดใหม่

            ซึ่งพระคัมภีร์บอกการบังเกิดใหม่นี้  การเปลี่ยนแปลงในเรื่องโลกวิญญาณ เป็นอัศจรรย์ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่เนรมิตสร้างขึ้นใหม่ในวิญญาณของคนๆ นั้น  ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มีอัศจรรย์ พระเจ้าเนรมิตอะไรบางอย่างขึ้นมาในวิญญาณของเขา เปรี้ยง ใช้คำเนรมิตเดียวกันกับสร้างโลกใบนี้ เมื่อหลายพันปีก่อน ตอนเริ่มต้น  เนรมิตสร้างขึ้นมาเลย อัศจรรย์ยิ่งใหญ่เลย  แล้วพระเจ้าก็บอกเราว่ามนุษย์ประกอบไปด้วยตัวตนที่แท้จริง ก็คือวิญญาณ มนุษย์เป็นวิญญาณ  ต้องย้ำเยอะๆ เลย มนุษย์เป็นวิญญาณ  เราเป็นวิญญาณ มีจิตใจ อาศัยอยู่ในร่างกาย

            “ฉันเป็นวิญญาณ มีจิตใจ อาศัยอยู่ในร่างกาย”

            แต่ในโลกใบนี้ เขาเรียนรู้อะไรกัน ในโลกใบนี้เขาสนใจอะไรกัน มนุษย์เป็นร่างกาย  มีสติปัญญาแบบมนุษย์  ซึ่งเลิศกว่า ฉลาดกว่าสัตว์ และต้นไม้ใบหญ้าเยอะเลย ถูกไหม?  วิญญาณมีหรือไม่มี ก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจ  ไม่พูดถึง นี่มันตรงกันข้ามกันเลย  พระเจ้าบอกกับเราว่ามนุษย์ทั้งหลาย เกิดจากครรภ์มารดา ก็เป็นอย่างที่ตะกี้นี้บอก  มีร่างกาย เป็นวิญญาณ  วิญญาณนั้นมีใจ ใจ ก็คือมีความคิดจิตใจ  ที่ติดอยู่กับวิญญาณ  เพียงแต่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ชั่วคราวเท่านั้น

            นี่คือส่วนประกอบของมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อเราจะได้รู้ว่าก่อนเชื่อเราอยู่ที่ไหน? เราจะเรียนรู้ได้อย่างไร? เรียนรู้ได้ต่อเมื่อเรารู้ว่าเราถูกสร้างมาเป็นอย่างไรก่อน  เพราะถ้าเราไม่รู้เรื่องนี้  เรามองแบบชาวโลกเขามอง  มองแบบมนุษย์มอง ร่างกาย สติปัญญา  หรือความคิด  หรือจิตใต้สำนึก แล้ววิญญาณมองไม่เห็น  ไม่พูดถึง เราก็จะไม่รู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตเราจริงๆ  เมื่อตอนเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพราะว่าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  บังเกิดใหม่แล้ว  ที่เรามองอยู่ ร่างกายก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ ยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ นี่ไง ความจริงจึงทำให้เราเป็นอิสระได้ ก็เพราะว่าเราต้องรู้ความจริงๆ ว่าในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร?

            พระเจ้าบอกความจริงว่าในร่างกายเกิดมาปุ๊บ มี 3 ส่วนนี่แหละ  วิญญาณอยู่ที่ไหน ก่อนเชื่อ  หรือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ วิญญาณอยู่ที่ไหน? ไม่เห็น  แต่ร่างกายอยู่ที่ไหน? เห็นไหม? ร่างกายเราตอนนี้อยู่ที่ไหน?  เห็นชัดๆ ก็คืออยู่ที่คริสตจักรอภิสุทธิสถาน แพรกษา สมุทรปราการ ประเทศไทย  ถูกไหม? ไม่ได้อยู่ที่อเมริกา ใช่ไหม? คนที่อยู่อเมริกา เขาก็อยู่อเมริกา คนอยู่เชียงใหม่ เขาก็อยู่เชียงใหม่ เขาไม่ได้อยู่ที่เดียวกับเรา แต่ในขณะที่เราอยู่ที่ประเทศไทย  อยู่ที่กรุงเทพ อยู่ที่สมุทรปราการ วิญญาณเราอยู่ที่ไหน? พระคัมภีร์บอกวิญญาณอยู่ที่ไหน? วิญญาณก็อยู่ในโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น

            และจะบอกให้ว่าโลกวิญญาณ คืออะไร? โลกวิญญาณ คือโลกจริงๆ มีอยู่จริงๆ เป็นอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจริงๆ จริงมากกว่าโลกวัตถุที่เรามองเห็น  จริงมากกว่าประเทศไทย จริงมากว่าแพรกษา  จริงมากกว่าอเมริกา จริงมากกว่าเชียงใหม่ จริงๆ เลย โลกวิญญาณมีจริงๆ  และที่บอกจริงๆ คือเพราะมันอยู่ตลอดไป  ซึ่งภาษาพระคัมภีร์เรียกว่านิรันดร์  มันอยู่นิรันดร์ ตรงนี้สำคัญมากๆ เลย  และอยู่นิรันดร์ตลอดไปด้วย  แต่โลกวัตถุที่เราจับต้องมองเห็นได้ ประเทศไทยมันไม่ได้อยู่นิรันดร์ ทั้งโลกนี้ ไม่ได้อยู่นิรันดร์ ทั้งโลกนี้ กำลังเดินทางไปสู่ความดับสูญไป สิ้นไป จบไป มันต่างกันเยอะ  จึงเรียกว่าทางโลกกับทางวิญญาณ

            พระคัมภีร์จะพูดอย่างนี้เสมอ  พูดมาตลอดเลย 2 ทาง ก็คือ 2 อาณาจักร อาณาจักรทางโลกวัตถุที่มองเห็น อยู่ชั่วคราว  และอาณาจักรของโลกวิญญาณ  ที่อยู่นิรันดร์  และสิ่งสำคัญกว่านั้น ก็คือความจริง ที่ว่าในโลกวิญญาณนั้น มีความจริงอยู่อย่างเดียว ก็คือพระเจ้า มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น คือปกครองใหญ่ที่สุด  อยู่มาก่อนใครเลย คือพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว ที่มีพระบุตรว่าพระเยซูคริสต์ และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย  3 พระภาคนี้  เป็นเจ้าของ เป็นผู้เริ่มต้น อยู่ตั้งแต่ไหน? แต่ไร ตั้งแต่ก่อนนั้น ในโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรคสถานของพระเจ้า  พระคัมภีร์จึงเรียกพระเจ้า พระนามของพระองค์ไม่มีชื่อ เพราะมีชื่อไม่ได้  ใครจะไปตั้งชื่อพระองค์ได้ ในเมื่อพระองค์ เป็นผู้เริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วจะให้มาตั้งชื่อพระองค์หรือ?  ท่านเข้าใจใช่ไหมครับ เหมือนกับเราเลี้ยงแมวเยอะแยะเลย เสร็จแล้ว แมวมาตั้งชื่อเรา  ไม่ใช่ เราตั้งชื่อแมว พระเจ้าตั้งชื่อเรา  แต่เราจะไปตั้งชื่อพระเจ้า ไม่ใช่ พูดถึงพระเจ้า จึงใช้บุคลิกลักษณะของพระเจ้า แทนชื่อบ่งบอก

            ยกตัวอย่างเช่น  พระเยโฮวาห์ แปลว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ผู้ที่ไม่มีใครเปรียบได้  พระองค์เดียวที่มาก่อนใคร  เยอะแยะไปหมดเลย  พระเจ้าพระเยโฮวาห์ยีเรห์ ก็คือพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมจัดหาทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น พระเจ้า 3 พระภาค เราไม่มีวันเข้าใจ แต่คือบุคลิกลักษณะของพระเจ้า  และพระเจ้าก็ทรงตรัส และประกาศเป็นประจำสม่ำเสมอ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ตั้งแต่พระคัมภีร์เก่าถึงพระคัมภีร์ใหม่ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น

            นั่นแสดงว่าสร้างทั้งโลกวัตถุ และโลกวิญญาณ  โลกที่มองไม่เห็น  พระองค์เป็นผู้สร้างทั้งหมดเลย เอาง่ายๆ คือเหล่าทูตสวรรค์ที่เราพอจะรู้ว่ามีอยู่ในโลกวิญญาณ พระองค์ก็เป็นผู้สร้างทั้งสิ้น และสร้างมนุษย์ ประกอบ 2 อย่างเลย คือทั้งวิญญาณและทั้งร่างกาย ทางวัตถุ  พอมองเห็นไหม? เราต้องศึกษาอย่างนี้  ถึงจะเห็นชัดเจน และศัตรูของพระเจ้า คือมาร มันไม่มีอำนาจอะไรเลย  เพราะว่ามันไม่ได้อยู่ในสวรรค์ แล้วมันอยู่ที่ไหน?  อยู่ในโลกวิญญาณ ที่สวรรค์ ที่ไม่มีพระเจ้าอาศัยอยู่ด้วย  พินาศในนรก คือความตาย ความทุกข์  ที่อยู่ในโลกวิญญาณ  ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ว่าถูกขับไล่ออกไปนอกสวรรค์ จริงๆ มันไม่ใช่อย่างนั้น  แต่ทำอย่างไร? มนุษย์ถึงจะเข้าใจได้ว่าถ้าปฏิเสธพระเจ้า  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่เป็นไปตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ เมื่อละเมิดกฎของสวรรค์ ก็ต้องอยู่นอกสวรรค์สิ  มันง่ายนิดเดียว  ถ้าละเมิดกฎหมายประเทศไทย  ท่านก็ต้องอยู่ในคุก  ก็คือเหมือนอยู่ในประเทศไทย

            ยกตัวอย่าง คุกสมัยก่อนเขาจะใช้เกาะร้าง เกาะที่ไม่มีคน  เขาเรียกว่าเนรเทศ ถูกเนรเทศออกจากประเทศอังกฤษ ก็ไปอยู่ในคุก  ในเกาะนี้  พอมองเห็นภาพ นรก ผลของความบาปที่ต่อต้านพระเจ้า กบฏต่อกฎของพระเจ้าที่วางไว้ ก็คือเขาจะถูกขับออกไป เนรเทศออกไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง  ที่ไม่มีพระเจ้าปกครอง ปกป้อง คุ้มครอง ไม่มีพระเจ้า ก็คือไม่มี บุคลิกของพระเจ้า ไม่มีความสุข ไม่มีสันติสุข ไม่มีความรัก  ไม่มีความเมตตา ไม่มีชีวิต  นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ง่ายๆ ไม่ได้มีอะไรเลย แต่ที่มันยาก เพราะเราถูกปิดบังตามาตั้งนาน  ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา ปิดบังตาในเรื่องโลกวิญญาณมาตลอด  ไม่พอดี จนงงไปหมด

            และผู้ที่ปิดบังตาเรา ก็คือมาร  มารมีหน้าที่ทำอะไร? ขโมย ฆ่าและทำลาย ขโมยด้วยวิธีอะไร?  ด้วยวิธีหลอก ไม่ให้เรารู้ความจริง หลอกเราไปเรื่อยๆ  หลอกว่าในโลกวิญญาณ ไม่มี ถ้าเราไปรู้เข้าว่ามีโลกวิญญาณ  มันก็บอกว่ามีโลกวิญญาณ แต่ไม่ใช่พระเจ้าใหญ่ผู้เดียว ฉันก็ใหญ่เหมือนกัน  ป้องกัน ให้รู้ว่าไม่มีสวรรค์ พอเราไปรู้ว่ามีสวรรค์ มันก็บอกว่าสวรรค์มีจริง แต่มีหลายขั้น มีสวรรค์ชั้น 1 ชั้น 2 ชั้น 3 ชั้น 4 ชั้น 5 ชั้น 6 พอมองออกไหม? คือมันมีหน้าที่ ที่จะปิดบังความจริงที่สุด เท่าที่ทำได้ ไม่ให้คนรู้ว่าจริงๆ มันมีแค่นี้  หลอกให้เราบอกว่านรกก็มี 3 ชั้น 4 ชั้น 5 ชั้น ทำผิดแค่นี้เป็นนรกชั้นที่ 1 นรก  มีที่เดียว สวรรค์ก็มีที่เดียว

            เพราะฉะนั้น นรก คือสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า  พระคัมภีร์ พระเยซูบอกว่าพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาบนโลกใบนี้  เพื่อใครที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ  แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ แค่นั้นเอง ไม่พินาศ แปลว่าไม่ต้องไปอยู่ในคุกทางวิญญาณ ไม่ต้องไปอยู่ในเกาะๆ หนึ่ง ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่าทุกข์หนักเลย มันไม่มีพระเจ้าอยู่เลย  จะอยู่กันอย่างไร? รวมความในพระคัมภีร์บอกว่าทุกข์สาหัส ทุกข์ไม่มีวันจบ  เพราะมันเป็นนิรันดร์ ถูกไหม? มันใช่ทุกข์บนโลกใบนี้ ซึ่งโลกกำลังจะจบสิ้น ร่างกายเราจะดับสูญ แต่ในนรก มันเป็นวิญญาณนิรันดร์ มันอยู่นิรันดร์ มันจะอยู่ในคุกนั้นนิรันดร์เลย  ไม่กลัวหรือ?  พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นว่าไม่กลัวหรือ?  ให้ระมัดระวังในเรื่องนี้อย่างมาก พระเยซูมาเตือนแล้วเตือนอีก อัครสาวกที่ประกาศ  เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ก็เตือนแล้วเตือนอีกว่าตัดสินใจซะ  ก่อนที่จะสายเกินไป มันอันตรายมากเลย ชีวิตนิรันดร์มันเทียบกันกับชีวิตชั่วคราวบนโลกใบนี้  แค่ไม่กี่ปี มันเสี่ยงมากเลยที่เราจะปล่อยวันคืนลอยไปเรื่อยๆ  แล้วไม่ตัดสินใจ ที่จะเตรียมที่ไว้ สำหรับที่อยู่ของเราในสวรรค์ พระเยซูบอกอย่างนั้น

            พระเยซูบอกขนาดคนบาป  คนที่ทำอะไรไม่ดีไว้  บนโลกใบนี้  เขายังมีสติปัญญา รู้ว่าถ้าเผื่อเขาโดนโทษทัณฑ์มา เขาจำเป็นต้องมีคนช่วยเหลือบ้าง? เขายังรู้จักกระทำดี คือเตรียมแผนการไว้ สำหรับอนาคต  แต่ท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้วว่าตายไป ต้องเข้าสู่การพิพากษา ในใจท่านลึกๆ รู้อยู่แล้วว่าโลกหน้ามีจริง  แล้วท่านจะยังไม่เตรียมตัวอีกหรือ?  ท่านเป็นคนของสวรรค์อย่างไร?  จึงไม่เตรียมตัวตรงนั้น  พระเยซูจึงบอกว่าเราจึงต้องบังเกิดใหม่ไง เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาบนโลกใบนี้ อยู่ภายใต้กฎตรงนี้ ซึ่งเรามองไม่เห็น เรียกว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิต กฎความบาปและความตาย กฎเหล่านี้เรามองไม่เห็น  แต่มีอยู่จริง

            พระเยซูจึงบอกว่าเราต้องบังเกิดใหม่ เมื่อเกิดจากครรภ์มารดาแล้ว เราจำเป็นต้องย้ายที่  พอเกิดจากครรภ์มารดา เราก็อยู่ในบาปแล้ว วิญญาณเป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว  วิญญาณเขาก็อยู่ในนรกแล้ว  ถ้าเรารู้ความจริงเมื่อสักครู่นี้ว่าวิญญาณเราเกิดมาอยู่ในอาดัม DNA ของเรา  อยู่ในบาปแล้ว ก็คืออยู่ในนรก  เราก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว  พระเยซูมา เพื่อช่วยเราพ้นจากคุกนี้ โดยที่เราต้องเปิดใจต้อนรับสิทธิของเราด้วย ยอห์น 3:18 บอกว่าเราถูกพิพากษาอยู่แล้ว  พระองค์มาเพื่อช่วย  ใครก็ตามที่รับความช่วยเหลือ ก็ได้รับความรอดไป  ก็ไปอยู่ในสวรรค์ ใครไม่รับความช่วยเหลือนี้ เขาก็อยู่ในการถูกพิพากษาอยู่ที่เดิม ก็คือเป็นนักโทษ ต้องอยู่ในคุก ก็คือคุกทางโลกวิญญาณ ก็คือนรก เรียกว่าพินาศในนรกนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าปัญหาของมนุษย์ บนโลกใบนี้ ไม่ใช่เป็นปัญหาที่แค่วัตถุสิ่งของที่มองเห็นได้แค่นั้น แค่กิน แค่อยู่ลำบากลำบนเท่านั้น แต่ปัญหาของมนุษย์ คือสถานะวิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร?  และที่อยู่อาศัยทางวิญญาณนั้น เขาอยู่ไหน? อยู่สถานที่ไหน?  ที่มีพระเจ้าอยู่ ที่เรียกว่าสวรรค์ หรือที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ ที่เรียกว่าพินาศในนรก ปัญหาของมนุษย์ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติ การกระทำ

            “ปัญหาใหญ่ของมนุษย์  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำ ความประพฤติ”

            นี่คือความจริง  เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่ามารพยายามปิดบังความจริงเรื่องนี้  ทำตรงกันข้าม ก็คือให้มนุษย์บอกว่าคนเราต้องมีสติปัญญา ต้องมีคุณธรรม ต้องมีอะไรต่างๆ มันก็เน้นเรื่องอะไร? ถ้าเผื่อเราเน้นว่าปัญหาของมนุษย์ ทั้งวิญญาณ ทั้งชีวิตของเขา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติ การกระทำ ถ้าเขารู้อย่างนี้ เขาก็จะแสวงหาเจอว่ามันอยู่ที่ไหน? เพราะฉะนั้น ความจริงเรื่องนี้ถูกปิดบังไว้  มารก็จะทำให้มนุษย์พุ่งไปที่การกระทำ ความประพฤติหมดเลย  แล้วก็บอกว่าดีเลิศ ยอดเยี่ยม สอนอย่างนี้ คนจะได้เป็นคนดี สอนอย่างนี้ คนจะได้ประพฤติดี ลืมเรื่องโลกวิญญาณไปหมดเลย ความประพฤติดี ศีลธรรมดี ศาสนาดี มันเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์ พระเยซูบอกสิ่งเหล่านี้มันจำเป็นนะ  สิ่งเหล่านี้มันดี  แต่มันไม่ได้ดีที่สุด  มันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด  สิ่งที่สำคัญที่สุด คือท่านต้องแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และแผ่นดินของพระองค์เสียก่อน  ท่านต้องรู้ตรงนั้นเสียก่อน  รู้ตรงนั้น แล้วตรงนี้จะได้ไปด้วย เอเมนไหม?

            ซึ่งข่าวดี ก็คือมนุษย์สามารถเลือกได้ว่าจะอยู่ที่ไหน?  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมาร มารมีหน้าที่คอยรั้งเราไว้ ปิดบังความจริง  ข่าวดี คือมนุษย์มีสิทธิ์เลือกได้  ตัดสินใจทันที เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา เขาก็ได้ทันที เพราะพระเยซูทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว

            เรามาดูความจริงในข้อพระคัมภีร์ ที่บอกถึงสถานะที่อยู่อาศัยทางวิญญาณของเรา (หมายถึงของคริสเตียน) ว่าคริสเตียนมีสถานะทางวิญญาณอาศัยอยู่ในที่ใด ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ  จากข้อพระคัมภีร์นะ  คัดข้อพระคัมภีร์มาให้เราวิเคราะห์กัน  จะได้เห็นภาพ ต่อจากนี้ไป เวลาท่านอ่านพระคัมภีร์ข้อใด ท่านจะได้สังเกตดูว่าพระคัมภีร์ข้อนั้น ได้บอกถึงสถานะและที่อยู่อาศัยทางวิญญาณของเราไว้ตรงไหน? อย่างไร?  นี่ตัวอย่างเท่านั้นนะ  ในโรม 8:9 …

        โรม 8:9 “โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาปอยู่ในเนื้อหนัง แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน ด้วยการบังเกิดใหม่ เกิดใหม่ทางวิญญาณ เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้เชื่อปุ๊บ  ท่านได้เกิดใหม่  ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป อยู่ในเนื้อหนัง ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่นะ แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ  ก็แสดงว่าก่อนเชื่อ อยู่ในบาป  ในเนื้อหนัง ถูกไหม? หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ  เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ก่อนเชื่ออยู่ในประเทศไทย หลังเชื่อ ก็อยู่ในอเมริกา เป็นไปได้ ก่อนเชื่อ อยู่ในประเทศไทย หลังเชื่ออยู่ในประเทศไทยเหมือนเดิม เป็นไปได้ ถูกไหม?  แต่ทางวิญญาณ ก่อนเชื่อไม่มีทางอื่น ก่อนเชื่อมีทางเดียว อยู่ที่เดียว ก็คืออยู่ในบาป  เพราะทุกคนเกิดมาอยู่ในบาป  อยู่ในเนื้อหนัง แล้วหลังเชื่อล่ะ หลังเชื่อบังเกิดใหม่ ได้ย้ายที่อยู่ในโลกวิญญาณ มาอยู่ในพระวิญญาณของพระเจ้า

            ไปช้าๆ ท่านจะได้เห็นว่ามีการย้ายเกิดขึ้น ตอนที่ท่านเปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อ 2 วันที่แล้ว เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เมื่อ 20 ปีที่แล้ว  เมื่อ 30 ปีที่แล้ว  เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านบอกว่าท่านเป็นคริสเตียนแล้ว มันได้เกิดการย้ายขึ้น วิญญาณได้ถูกย้าย

            เรามาดูสิว่าก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง อยู่ในบาป เนื้อหนังคืออะไร?  มารก็พยายามปิดบังความจริง ทำให้เขาไขว้เขว เรื่องของคำว่าเนื้อหนัง หมายถึงอะไร? ผมจะพยายามเอาความจริงนี้มา ตีแผ่ให้ละเอียด หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเนื้อหนัง คือตัวเรา เนื้อหนัง คือความชั่วที่อยู่ในตัวเรา  เนื้อหนัง คือนิสัยชั่วของเรา

            เนื้อหนัง ไม่ใช่ธรรมชาติลักษณะของตัวเรานะ  ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ส่วนใดของวิญญาณหรือจิตใจ หรือร่างกายของเราเลย  ร่างกายเราประกอบด้วย วิญญาณ จิตใจ และร่างกาย … เนื้อหนังไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย ไม่ได้อยู่ในร่างกายเรา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับร่างกายของเรา  แต่มันเหมือนกาฝาก  ปรสิต เหมือนพยาธิ ที่แอบซ่อนอยู่ เป็นพลังอำนาจของความบาปและความตาย ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด เป็นอำนาจหนึ่ง เป็นพลังงานหนึ่งที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ซึ่งมีอิทธิพลต่อวิญญาณ จิตใจและร่างกายของเรา ตั้งแต่ก่อนเชื่อแล้ว

            ซึ่งความหมายในโลกฝ่ายวิญญาณ คำว่า “เนื้อหนัง” หรือภาษากรีกใช้คำว่า “ซาร์ซ” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Flesh” ซึ่งแปลว่าเนื้อหนัง หมายถึงอะไรในพระคัมภีร์บอก เอาให้ชัดๆ เลยนะ 

            คำว่า “เนื้อหนัง” หรือ “Flesh”  หรือ “ซาร์ซ” ในพระคัมภีร์มี 2 ความหมาย  ความหมายหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องโลกวัตถุอย่างเดียว  ความหมายหนึ่งเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เพราะฉะนั้น มีคำว่าเนื้อหนังในโลกวัตถุและเนื้อหนังในฝ่ายวิญญาณ

            อันดับแรก ก็คือความหมายของคำว่า “เนื้อหนัง” ในโลกวัตถุ ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Flesh” หมายถึง “Body” หมายถึงร่างกาย เรือนดินที่ต้องตาย  ที่เรามองเห็นอยู่นี้เรียกว่า Body ในพระคัมภีร์บางตอนจะเขียนคำนี้เลยว่าเป็นเนื้อหนัง

            ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาบังเกิดในเนื้อหนัง ใน Flesh ในเนื้อหนัง แปลว่าในร่างกาย ในครรภ์ของแมรี่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโลกวิญญาณ  เฉพาะข้อความนี้นะ  ที่บอกว่าพระเยซูมาเกิดในเนื้อหนัง

            มนุษย์เป็นเนื้อหนัง ก็คือเป็นร่างกายเรือนดิน พระเยซูจึงเข้าเป็นส่วนร่วมกับมนุษย์ โดยการมาเกิดเป็นเนื้อหนัง  เกิดเป็น body เกิดเป็นร่างกาย เหมือนเรา

            แล้วความหมายที่ 2 ของคำว่า “เนื้อหนัง” คืออะไร? อันนี้ยากแล้ว เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ  เมื่อเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ เรามองไม่เห็น  มันก็อธิบายเป็นคำพูดลำบากนิดหนึ่ง  ก็ยากแล้ว แต่ว่าไม่ยากเกินกว่าที่พระวิญญาณจะค่อยๆ สอนท่านให้เริ่มเข้าใจขึ้น  จากความจริงเริ่มต้นในวันนี้ ความหมายที่ 2 หมายถึงหลักการพื้นฐานของระบบที่ปกคลุม ครอบครองอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ต่อต้านความดี ต่อต้านความเป็นจริงของพระเจ้า เรียกว่า “Antichrist” ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าความบาปชั่ว ความมืด  ซึ่งมีอิทธิพลผลักดันให้มนุษย์ตามมัน ท่านพอจะเห็นภาพหรือยัง?

            ถ้าท่านไม่เห็นภาพ ผมยกตัวอย่างนี้ขึ้นมา ท่านจะเห็นชัดเลย มันมองไม่เห็น แต่มันมีพลังอำนาจ อิทธิพลอยู่จริงๆ ที่จะผลักดันให้เราทำอย่างนั้น  มันไม่ใช่ตัวของมนุษย์เลย  ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณ ร่างกาย ความคิดจิตใจของเราเลย แต่มันมีพลังอำนาจ เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก ถ้าพูดอย่างนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดแล้วนะ แรงดึงดูดของโลก มองเห็นไหม? ไม่เห็น แต่มีอยู่ไหม? มีอยู่ ปกคลุมอยู่เหนือทั้งโลกไหม? ทั้งโลกเลย ไม่ว่าท่านอยู่ที่ไหน? ก็มีแรงดึงดูดของโลก ยกเว้นท่านออกไปนอกโลก ไม่มีแรงดึงดูดแล้ว  ในทำนองเดียวกัน เจ้าเนื้อหนังตัวนี้  ที่แปลว่าอิทธิพล พลังงานของความบาปและความตาย  ซึ่งคือเนื้อหนังตัวนี้ มีพลัง แรงดึงดูดแบบแรงดึงดูดของโลกที่มองไม่เห็น คล้ายๆ กันอย่างนั้น  ปกคลุมอยู่เหนือบนโลกใบนี้ ค่อยผลักดัน ชักจูงให้มนุษย์  ทำสิ่งที่ชั่วร้าย  สถานที่ไม่มีพระเจ้าเขาทำกัน  คือไม่มีความดีงามของพระเจ้าอยู่ ก็คือชักจูง ผลักดันให้มนุษย์ ฆ่ากันเอง ทำลายกันเอง และทำลายที่อยู่อาศัยของตนเอง คือโลกใบนี้ที่พระเจ้าสร้างมาอย่างดีนั่นเอง

            โลกใบนี้มันจึงวุ่นวาย สับสน มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก  เพราะต่างฝ่ายต่างเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน  เพราะว่ามีตัวกลางอยู่ ตัวกลางนี้ ก็คือมาร ซึ่งใช้กฎแห่งเนื้อหนัง ก็คือใช้อิทธิพลของความบาปและความตายที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ มาเป็นตัวหลอกล่อ ให้มนุษย์ทำ ใช่ไหม?  แรงนี้มันยังอยู่ มันอยู่ตลอดเวลาเลย  มันเหมือนอิทธิพลของแรงดึงดูดของโลก ที่ตะกี้นี้ผมบอก  จะหมดจากตัวนี้ไปได้ จะต้องหลุดออกจากอาณาจักรของมัน  ไม่อยากจะบอกว่าอาณาจักร หลุดจากวรจรแรงดึงดูดของโลก ก็คือหลุดจากกำลัง รัศมีของแรงดึงดูดของโลก มันดูดไปถึงชั้นบรรยากาศ เลยชั้นบรรยากาศไป ก็ไม่มีแรงดึงดูดของโลก  เช่นเดียวกัน ถ้าเรายังอยู่ในโลกวิญญาณที่ไม่มีพระเยซูคริสต์ เราก็ยังถูกพลังตัวนี้ ดูด พลังของความบาป  ที่เรียกว่าเนื้อหนัง มันพยายามผลักดันเรา มีอำนาจอยู่เหนือเราตลอด จนกว่าเราจะย้ายออกมาอยู่กับพระเยซูคริสต์ เราจึงจะหลุดออกจากมันได้  ไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าโลกใบนี้ทั้งใบ มันจึงเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ เพราะไม่ใช่มนุษย์เลย มนุษย์ไม่รู้เรื่องเลยว่าอะไรมันอยู่ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น คือพลังอำนาจของความบาปและความตาย  ก็คือเนื้อหนัง

            ตะกี้เราอ่าน ก่อนเชื่อ วิญญาณของเราอาศัยอยู่ในอิทธิพลของกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง เห็นไหม? ก่อนเชื่อวิญญาณของเราอยู่ใต้พลังอำนาจ ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ก็คือกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง ใจจดจ่อที่กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ร่างกายเดินตามอิทธิพลของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังเป๊ะ ไม่มีวันที่จะหลุดจากมันเลย

            หลังเชื่อ คือวิญญาณอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ ใจจดจ่อที่พระวิญญาณของพระเจ้า  ร่างกายดำเนินตามพระวิญญาณ หรือบางครั้ง อาจถูกหลอกล่อให้ทำตามอิทธิพลของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังบ้าง

            อยู่ในกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ก็คืออยู่ในขอบเขต ดินแดนที่อิทธิพลของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังยังอยู่ได้ ก็คือบนโลกใบนี้เท่านั้น ในโลกวิญญาณ มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว  เหมือนขอบเขตดินแดนของแรงดึงดูดของโลก มีขอบเขตของมันอยู่ ซึ่งพลังอำนาจนี้ มันจะทำให้เราต่อสู้กับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า และมันมีพลัง มีอิทธิพลต่อทุกๆ ชีวิตที่ดำเนินบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น รวมทั้งคริสเตียนด้วย  เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นพลังอำนาจหนึ่ง มันเป็นอิทธิพลหนึ่งในโลกวิญญาณ ที่มีผลต่อชีวิตของเรา

            ผมจึงใช้คำว่า “มัน” จะได้รู้ว่ามันไม่ใช่ตัวเรานะ  เพราะฉะนั้น ถ้าเราคิดชั่ว กระทำชั่ว มันมาจากตัวเราไหม? มันไม่มาจากตัวเรา  พระคัมภีร์จึงบอกว่าให้เราต่อต้านมัน  อย่ายอมมัน  แล้วถ้าเผลอยอมมันล่ะ  พระเจ้าอภัยให้ใช่  เราก็ได้รับผลอย่างนั้น  แต่ถามว่าถึงเราจะยอมมันหรือไม่ยอมมันก็ตาม สรุปแล้วว่าใครเป็นตัวตั้งตัวตี มัน ไม่ใช่ใจเราต้องการทำ  แต่มันชักจูง ซึ่งตรงนี้ยากมากเลย  อย่างที่บอกว่ามารปิดบังตา ปิดบังความจริง จนกระทั่งความจริงหายไปกว่าเราจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ มันยากเหลือเกิน อะไรตัวเองเป็นคนทำไม่ดี แล้วบอกว่าไม่ได้ทำ เป็นมารใช้อิทธิพลของความบาปของเนื้อหนังมากระตุ้นให้เราทำ จริงๆ ใจเราไม่อยากทำ แต่พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นจริงๆ

            ทั้งโลกตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเนื้อหนัง พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นจริงๆ ซึ่งเรียกว่าระบบของโลกที่ปกคลุมไปด้วยกฎของความบาปและความตาย กฎแห่งการพึ่งพาตนเอง  กฎแห่งกรรม  ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย ในกฎนี้  โลกนี้ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย  แล้วมันจะดีได้อย่างไร?  เพราะมนุษย์ถูกสร้างมาให้ทำความดี จากพระเจ้าที่อยู่ในวิญญาณของเขา  แล้วพระเจ้าไม่อยู่แล้ว ในนรก ไม่มีความดีเลย สักนิดหนึ่ง

            กฎแห่งกรรม คือกฎแห่งการกระทำ พึ่งพาตนเอง ไม่พึ่งพระเจ้า ไม่มีพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้า ไม่ยอมรับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า  เป็นศัตรูกับพระเจ้า พระเจ้าเป็นความดีงาม  เราก็ต่อต้านความดีงาม แสดงว่าสิ่งต่างๆ ที่เรากระทำทั้งหมด แม้ว่าตาเรา มนุษย์มองเห็นว่าดี มันก็มาจากสิ่งที่ไม่ดี เพราะมันไม่มีพระเจ้าอยู่ ยากมากนะ อธิบายลำบากนะ  พระเยซูบอกว่าต้นไม้ดี ก็ให้ผลดี ต้นไม้ ก็คือวิญญาณ ต้นไม้เลว ก็ให้ผลเลว  ต่อให้ต้นไม้ดี แล้วให้ผลเลว เป็นไปไม่ได้เลย  ก็แสดงว่าถ้ามีพระเจ้าอยู่ ทำอะไรดูเหมือนไม่ดี มันไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่มาจากต้นไม้ต้นนี้  มาจากข้างนอก ต้นไม้เลว คือข้างในไม่มีพระเจ้า ต่อให้ทำข้างนอก ดูเหมือนดี ใครๆ ก็มองดูว่าดี แต่ของจริง คือมันดูไม่ดีหรอก มันของปลอม

            อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่าง 2 คน คนหนึ่งถวาย 10 ล้าน อีกคนหนึ่งถวายแสนหนึ่ง คนถวาย 10 ล้านดูดี ตามสายตามนุษย์ แต่อาจจะถวายไปเพื่อที่จะได้เป็นกรรมการ ถวายไปเพื่อจะรักษาผลประโยชน์ อะไรบางอย่าง ถวายไปเพื่อจะมีตำแหน่ง นึกภาพออกไหม?  อีกคนหนึ่งให้แสนเดียวเอง  เพราะไม่ได้คิดอะไรเลย  คิดแต่ว่าอยากร่วมด้วย  มีจิตใจที่อธิษฐานมาแล้ว  พร้อมให้ด้วยใจ  ไม่ได้คิดหวังสิ่งตอบแทนเลย เห็นไหม? นี่แหละ คือต้นไม้ดี ต้นไม้เลว  ซึ่งกฎเหล่านี้  ที่ล่อลวงมนุษย์ อิทธิพลนี้ ให้มองดูภายนอกแทนที่จะดูจากข้างใน เรียกว่ากฎแห่งความบาปและความตาย  กฎแห่งการพึ่งพาตนเอง ซึ่งกฎนี้ควบคุมโดยมาร มารเอามาใช้ ผ่านทางการล่อลวง  หลอกลวงมนุษย์ให้เชื่อฟังและทำตามกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนังนี้

            กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังชัดเจนเลยนะ มันจะคอยกระตุ้น ส่งเสียง ข่มขู่คำราม แล้วแต่สถานการณ์นะ บังคับชักจูงให้มนุษย์ยอมเชื่อฟัง และเมื่อยอมเชื่อฟังปุ๊บ มนุษย์ก็ยอมมอบอวัยวะในร่างกายให้ และทำตามมัน คือทำการต่อต้านพระเจ้า  ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าทำชั่ว แทนที่จะทำดี  ตามความต้องการของพระเจ้านั่นเอง  นี่คือความเป็นจริง ไม่ใช่การตัดสินจากทางของมนุษย์ภายนอกมองเห็นการกระทำ อย่างนี้ดี มันอาจจะไม่ดีนะข้างใน มันอยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว จงทำทุกสิ่งจากใจของท่าน  ไม่ใช่ทำเพื่อให้คนดูภายนอก แล้วดูดีหรือไม่ดีอะไรต่างๆ ไม่ใช่  ทำจากใจของท่าน ให้ใจเป็นตัวสั่ง อย่างนี้เป็นต้น

            คำว่า “เนื้อหนัง” พระคัมภีร์มักจะใช้คำเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็คือความอยาก ความต้องการที่จะทำตามการชักจูงของมาร อิทธิพลของความบาป  ที่ต้องการพึ่งพาตัวเอง ตัวเองเป็นใหญ่แทนที่จะให้พระเจ้าเป็นใหญ่  แทนที่จะทำตามพระเจ้า ทำตามใจตัวเอง หรือบางครั้ง ก็ใช้คำว่าทางโลก ฝ่ายโลก หรือของโลก พระคัมภีร์จะใช้คำเหล่านี้ เห็นชัดเจนว่าถ้าเป็นของโลก จับต้องมองเห็นได้ เป็นอิทธิพลของเนื้อหนัง

            อย่างเช่น โคโลสี 3:1-2 ได้บอกว่าเมื่อเราได้บังเกิดใหม่ ได้ย้ายมาอยู่ในพระเจ้า ได้ย้ายมาอยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า อยู่ในพระวิญญาณแล้ว  ได้เชื่อแล้ว  ก็ให้ใจเราจดจ่อ ใจเราจดจ่อที่ไหน? ดำเนินชีวิต จดจ่อที่เบื้องบน ที่พระคริสต์สถิตอยู่เบื้องบน  ไม่ใช่จดจ่อที่ฝ่ายโลก เห็นไหมครับ  ก็คือให้ต่อต้าน ระมัดระวังการล่อลวงของมาร ผ่านทางระบบของโลกนี้ ที่เรียกว่าเนื้อหนังนั่นเอง

            หรือในฟีลิปปี 3:20-21 ก็บอกอย่างนี้ว่าเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วว่าโลกนี้  มีแต่ความตาย การหลอกลวง ล่อลวง  เราไม่ได้เป็นของโลกนี้อีกต่อไปแล้ว เมื่อเราเชื่อแล้ว มาอยู่ในพระวิญญาณแล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว  อยู่ในพระเจ้า “แล้ว” หมายถึงเปิดใจต้อนรับ แล้วอยู่ในสวรรค์ทันที เดินอยู่บนโลกใบนี้  แต่วิญญาณอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ให้จดจ่ออยู่ตรงวิญญาณนี้ว่า …

            “ฉันอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ฉันเป็นพลเมืองของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว เป็นพลเมือง เป็นประชากรของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว ชื่อฉันจดอยู่ในทะเบียน สำมะโนครัวของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว ฉันเป็นคนของพระเจ้าแล้ว ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ฉันเป็นของพระเจ้า อยู่ในพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  แต่ในทางโลกวัตถุ กำลังดำเนินอยู่ในคริสตจักรอภิสุทธิสถาน อยู่ในประเทศไทย อยู่ในกรุงเทพ จดทะเบียนเป็นประชากรของคนไทย”

            นี่มันต่างกัน มัน 2 อย่าง ให้เราเน้นที่ไหน? เน้นที่ในโลกวิญญาณว่าเราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว เป็นพลเมืองของพระเจ้าแล้ว ที่ต้องเน้นตรงนี้ เพราะว่ามันมองไม่เห็น มันอยู่ในโลกวิญญาณ และมันมีศัตรูที่คอยจะยุแยง หลอกล่อ หลอกลวงให้เราไปสนใจสิ่งที่มองเห็นบนโลกใบนี้ นั่นก็คือมาร ใช้อิทธิพลของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาปและความตาย ที่ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้อยู่ คำสาปแช่งที่ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้อยู่ เอามาใช้หลอกล่อหลอกลวงเรา  ให้เราทำตามมัน ทำตามโลกนี้ ซึ่งเป็นทุกข์ ไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า  ให้เราจดจ่อว่าเราเป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว  อยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม ไม่รู้ …

            “ฉันไม่สนใจทั้งสิ้น  พระคัมภีร์บอกว่าฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว ฉันเป็นพลเมืองของสวรรค์ ฉันเป็นประชากรของสวรรค์ ฉันอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว และจะอยู่ที่นี่ตลอดไป”

            และถ้าใครก็ตามไม่ตัดสินใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ไม่บังเกิดใหม่ ไม่ยอมย้ายมา ไม่ยอมเชื่อ ไม่มีคำว่าหลังเชื่อแล้ว  ก็ยังอยู่ก่อนเชื่อ ก่อนเชื่อก็ยังอยู่ในโลกใบนี้  อยู่ในคุก อยู่ในความพินาศ อยู่ในนรก อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า  แล้วจะอยู่ไปตามวิญญาณ วิญญาณเป็นนิรันดร์ ก็ต้องอยู่นิรันดร์

            วิญญาณของเราได้บังเกิดใหม่ในพระเจ้า อยู่ในโลกสวรรค์กับพระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้ ก็อยู่นิรันดร์เหมือนกัน  เป็นประชากรของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเดี๋ยวนี้  เพียงแต่รอคอยวันที่จะรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เพื่อให้เข้ากันกับวิญญาณและใจใหม่นั้น  ที่เข้าสวรรค์เรียบร้อยไปก่อนหน้านี้แล้ว วันหนึ่งฉันจะไปรับตรงนั้น เมื่อวิญญาณออกจากร่างนี้เมื่อไร? หลับเมื่อไร? สิ้นลมเมื่อไร?  ฉันก็รับร่างใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายฝ่ายวิญญาณใหม่ เหมือนพระเยซู เข้าครอบครองโลกใหม่  และสรรพสิ่งในโลกใหม่ๆ ที่พระเจ้าจะสร้างขึ้นมาใหม่  ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ และพี่น้องคริสเตียนทั้งหลายที่เชื่อแล้ว เช่นเดียวกันนี้ ร่วมกันครอบครองนิรันดร์ เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

**************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์  ถ้าไม่บัพติศมาในน้ำ ยังจะได้รับความรอดอยู่มั๊ย?

            เราจัดงานฉลองวันเกิด  อวยพรวันเกิด แฮปปี้เบิร์ดเดย์ สุขสันต์วันเกิด เพื่อระลึกถึงวันที่เราได้เกิดมาลืมตามองดูโลกใบนี้ ระลึกถึงพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ ที่ให้เราได้กำเนิดมาเป็นลูก  และตั้งใจที่จะดำเนินชีวิตกตัญญูรู้คุณ เชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน เพื่อให้ท่านมีความสุขมากที่สุด จากความประพฤติของเรา

            บางท่านจัดพิธีฉลองใหญ่ บางท่านจัดเล็กน้อย บางท่านไม่จัดเลย ก็ไม่มีผลอะไรที่จะทำให้การได้กำเนิดเกิดเป็นคนของเขา สมบูรณ์มากขึ้น หรือแย่ลงใช่หรือไม่?

            กำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าในวิญญาณก็เช่นเดียวกัน

            พิธีลงน้ำบัพติศมา ก็คือการฉลองวันเกิดในฝ่ายวิญญาณ ที่ได้เกิดใหม่แล้ว ร่วมกันแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้เกิดใหม่นั้น เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระเจ้าที่ได้ให้กำเนิดเรา เป็นลูกของพระองค์

            บางท่านจัดฉลองใหญ่ บางท่านจัดเล็กน้อย บางท่านไม่จัดเลย ก็ไม่มีผลอะไรทำให้การได้กำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าดีขึ้น หรือแย่ลงเลย

            มนุษย์กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะพระคุณพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ไม่ใช่เพราะฉลองวันเกิดของตนเองฉันใด วิญญาณมนุษย์กำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า เพราะความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ในการสิ้นพระชนม์ การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ในการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เป็นพระคุณของพระเจ้าผู้ให้กำเนิด ไม่ใช่เพราะการลงน้ำบัพติศมา

            เพราะฉะนั้น ลงน้ำบัพติศมา ก็ควรจะกระทำสักครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าไม่ยุ่งยากมากนัก  จะเป็นประโยชน์ในการร่วมกัน ฉลองแสดงความยินดีได้หนุนจิตชูใจซึ่งกันและกันในพระคริสต์ แต่ควรตั้งอยู่บนรากฐานของความจริง ในถ้อยคำของข่าวดีของพระเยซูคริสต์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1452

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  มกราคม  2024

เรื่อง “ฉันได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หัวข้อเรื่องในวันนี้สำคัญมาก “ฉันได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์” นี่คือความเป็นจริงของโลกวิญญาณที่กำลังย้ำยืนยันกับเราในเช้าวันนี้ว่ามันเป็นอย่างนี้ พระคัมภีร์บอกว่าให้เราดำเนินชีวิตทุกอย่าง ทำจากใจ ขอบคุณพระเจ้า ก็จากใจ  ทำทุกอย่าง ก็จากใจ ให้พระเจ้าก็จากใจ  อธิษฐานก็จากใจ  รักก็จากใจ ใจที่บังเกิดใหม่นั่นแหละ เราพูดจากใจสิว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ ดูสิว่าเราจะพูดเปลี่ยนแปลงไปไหม? นึกถึงในใจของเรานะ แล้วลองพูดใหม่

            “ฉันได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์”

            มันไม่ได้เกี่ยวกับเสียงที่เราพูดดังหรือไม่ดัง  แม้ว่าเราจะไม่มีเสียงพูดออกมาเลย แต่อยู่ในใจ อยู่บนรถเมล์ คนแน่นๆ เราพูดอะไรไม่ได้ อยู่คนเดียว เรานึกในใจ มันดังก้องอยู่ข้างในใจของเราว่า …

            “ฉันได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์”

            คนอื่นมาเหยียบเท้าเราบนรถเมล์ เราหันไปตวาดเขา เราก็นึกในใจ “ฉันได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์” เอเมน แล้วก็เดินลงไป  นี่แหละ คือคำพูดที่สำคัญมาก  และมีอะไรอีกล่ะ นอกจากเขาเหยียบเท้าเรา แล้วเราไม่ให้อภัย  แล้วแถมว่าเขาอีก หนักกว่านั้นอีก เขาเหยียบเท้าเรา เราไม่ให้อภัยไม่พอ แล้วแถมหาทางที่จะเหยียบกลับด้วย  ไม่ได้ อย่างนี้แค้นต้องชำระ  ทำอย่างนี้ไม่ดี ต้องสอนเขาสักหน่อย ในใจเรากำลังคิดอะไร? ในใจเราคิดแย่เหลือเกิน  เราเป็นคนเลวเหลือเกิน ทำไมเป็นคริสเตียนที่แย่อย่างนี้  ทำไมเป็นคนอย่างนี้ ทำไมไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงสักที หรือ? วันนี้มาฟังถ้อยคำพระเจ้าว่าเราควรจะทำอย่างไร?

            “ฉันได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์” เป็นได้อย่างไร? ถ้าเผื่อท่านแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้กับท่านทั้งหลายบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ บนไม้กางเขน ท่านต้อนรับสิทธิของท่านที่พระเยซูได้กระทำให้กับท่านบนไม้กางเขน ท่านก็จะได้รับสิทธินี้ทันที  ก็คือการบังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียน อยู่ในพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น  คำว่า “ฉันเป็นคริสเตียน” มันมีความหมายอย่างนี้นะ เวลาเราบอกว่าเราเป็นคริสเตียน อย่าไปนึกถึงว่า “ฉันมาโบสถ์ ฉันอยู่ในศาสนาคริสต์” ไม่ใช่ มันมีความหมายว่า “ฉันได้บังเกิดใหม่จริงๆ” ตามหัวข้อเรื่องในวันนี้ และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ พิสูจน์ได้ ไม่ต้องรอถึงโลกหน้า หลังความตาย ซึ่งมันสายไปแล้ว ซึ่งเป็นข่าวดี และข่าวดีนี้ พระคัมภีร์บอกว่าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นผู้กระทำการอัศจรรย์นี้  มนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลยว่าการบังเกิดใหม่ แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั้น ได้บังเกิดใหม่ มันเป็นอย่างไร?  ลักษณะเป็นอย่างไร? ไม่มีทางเข้าใจหรอก  แม้ว่าขณะนี้เราทั้งหลายที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียนแล้วก็ตาม ได้เกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์ เราเองก็ยังสามารถที่จะเข้าใจได้แล้วว่ามันมีลักษณะเป็นเช่นไร? ถูกไหม?  เราพอรู้คร่าวๆ  แต่เรารับรู้ได้จากวิญญาณข้างในใจของเรา  เรียกว่าข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ  ไม่ใช่อยู่ในความคิด ไม่ได้อยู่ในสมอง แต่อยู่ในใจ  เพราะฉะนั้น พี่น้องคริสเตียนทั้งหลาย ท่านได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้า  ได้มีชีวิตใหม่ ได้เป็นคนใหม่  ที่ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลยจริงๆ เอเมน นี่คือถ้อยคำพระเจ้า  1 เปโตร 1:3-4  บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 เปโตร 1: 3-4 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน”

            “พระองค์ให้เราทั้งหลาย บังเกิดใหม่” เราทั้งหลาย คือมนุษย์ผู้ใดก็ตามที่เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเขา บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ผู้ใดได้ยินข่าวดีนี้ว่าพระเยซูทำอะไรให้กับเขาในโลกฝ่ายวิญญาณ บนไม้กางเขน  และเปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา แค่นั้นเอง  ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นเลย พระองค์ทรงเปิดใจเขาทั้งหลายที่เปิดใจต้อนรับนั้น ได้บังเกิดใหม่  เป็นอัศจรรย์ เป็นการเนรมิตสร้างของพระเจ้า  โดยผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ การที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายนั้น ทำให้มนุษย์สามารถได้บังเกิดใหม่ ร่วมกับพระองค์

            และนอกจากบังเกิดใหม่ได้วิญญาณใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระองค์แล้ว ในนี้ได้บอกว่าได้เป็นทายาทด้วย  เป็นลูกเฉยๆ ไม่พอ แต่เป็นทายาทอีก เป็นทายาท เพราะมีมรดก ทายาทมาพร้อมกับคำว่ามรดก

            และได้เป็นทายาทเข้าในมรดก  ก็เป็นทายาท มีมรดก มันแปลว่าอย่างนั้น  แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่มีมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์

            “ฉันมีมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์”

            ในพินัยกรรมฉบับหนึ่ง ที่เป็นของพระเยซูคริสต์ เป็นเจ้าของ มีชื่ออยู่ในนั้น ฉันมีชื่ออยู่ในหนังสือนั้นด้วย ฉันเป็นเจ้าของมรดกนั้นด้วย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ และมรดกนี้ ตะกี้นี้อ่านชัดเจนว่าอันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย  หรือเลือนหายไป  แสดงว่ามันเป็นนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย ใน 1 เปโตร 1:14-15 ก็พูดในลักษณะนี้เหมือนกัน …

        1 เปโตร 1:14-15 “14 ในฐานะที่ (ได้รับการบังเกิดใหม่) ได้เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าแล้ว อย่ายอมกระทำตามตัณหาชั่ว ซึ่งในอดีตเคยครอบครองท่าน ให้ท่านทำตามด้วยความโง่เขลา ในขณะที่ท่านยังไม่รู้ความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ 15 แต่ท่านทั้งหลายจงหมั่นฝึกฝนประพฤติตนให้บริสุทธิ์ (ดีพร้อม) ในการทุกอย่างที่ท่านทำ เหมือนที่พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้น บริสุทธิ์ (ดีพร้อม)”

            ในฐานะที่ท่านได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่เชื่อฟัง แสดงว่าความเชื่อฟังของเราในพระเจ้า เป็นความเชื่อฟังของเราเองหรือเปล่า?  เราดีใช่ไหม? เราจึงเป็นคนเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ใช่  มันเป็นคุณสมบัติติดตัวเรามาตั้งแต่เราเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ปุ๊บ ในวิญญาณ ในจิตใจของเรา ข้างในที่ใหม่ๆ นั้น มีคุณสมบัติ คือมีความรัก  เชื่อฟังในพ่อของเรา ในพระเจ้าแน่นอน 100% เลย เอเมน ที่บอกว่าทำไมเราเป็นคนดื้อกับพระเจ้าอย่างนี้ ทำไมเราแย่อย่างนี้ ที่ตะกี้บอก พระเจ้าให้เราอภัย เราก็ไม่ให้อภัย ไม่จริง พระเจ้าบอกให้เราให้อภัย เราให้อภัยหรือเปล่า เพราะในนี้บอกว่าเราเป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง  เราเชื่อฟังแล้ว วิญญาณเราให้อภัย

            แต่เดี๋ยวก่อน … “ได้เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าแล้ว อย่ายอมกระทำตามตัณหาชั่ว” อย่ายอม แสดงว่ามันไม่ใช่ตัวเราแล้ว สังเกตสิ  เราเป็นลูกที่เชื่อฟัง  แต่อย่ายอมมันนะ แสดงว่าไม่ใช่ตัวเราแล้ว เพราะมันมีคำว่ามันมา ผมใส่คำว่า “มัน” เข้ามา เพื่อให้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นศัตรู มันไม่ใช่ตัวเรา บางทีท่านคิดเองใช่ไหมว่าทำไมคิดแย่อย่างนี้  ทำไมเราไม่ให้อภัย สอนกี่ครั้งแล้ว พระเจ้าบอกฟังเทศน์มาตั้งหลายครั้งแล้ว ทำไมไม่ยอมให้อภัย  แล้วเราก็ไม่ให้อภัย เราก็ตวาดเขา  ทนไม่ไหว  ทำไมเราแย่อย่างนี้  ใช่เราหรือเปล่า? ไม่ใช่เราแล้ว เราไปยอมมัน ยุงมากัดเรา เราคัน เราคันเองหรือเปล่า? ไม่ได้คันเอง แต่ยุงที่มากัดเรา ทำให้เราคัน  อย่ายอมมันสิ ปัดมันทิ้งสิ ถูกไหม?

            อย่ายอมกระทำตามมัน คือตัณหาชั่ว ซึ่งในอดีต มันเคยครอบครองท่าน ให้ท่านทำตาม ด้วยความโง่เขลา  ก็คือในอดีต มันล่อลวง หลอกลวงท่านให้ทำตาม แล้วตอนนั้นท่านโง่เขลา  คำว่า “โง่เขลา” คือตอนนั้นท่านยังโง่เขลาอยู่ ไม่ฉลาด ไม่มีพระวิญญาณอยู่ในตัว เพราะในขณะที่ท่านยังไม่รู้ความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือในขณะนั้น ท่านยังไม่รู้ข่าวดีของพระเยซู ท่านยังไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ท่านยังเป็นคนบาปอยู่ ท่านยังไม่มีอะไรจะสู้กับมัน  แต่ตอนนี้ ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านเป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว อย่ายอมมัน อย่างนี้ค่อยบังเกิดใหม่จริงๆ แล้วนะ เห็นไหม?

            จะได้ไม่ต้องเถียงกันอยู่ในตัวเอง …

            “บังเกิดใหม่ ทำไมฉันยังเป็นคนแย่อยู่”

            “บังเกิดใหม่ ทำไมฉันยังทำชั่วอยู่”

            “บังเกิดใหม่แล้ว ทำไมฉันยังมีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ยังเป็นอย่างนี้อยู่”

            มันไม่ใช่กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของฉัน แต่เป็นกิเลสตัณหาของมัน มันคือระบบของโลกใบนี้  เป็นศัตรู เดี๋ยวเราเรียนรู้ต่อไป

            “แต่ท่านทั้งหลายจงหมั่นฝึกฝน  ประพฤติตนให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมในการทุกอย่างที่ท่านทำ” แต่อย่ายอมมัน แล้วฝึกฝน ไล่ยุงสิ ปัดยุงทิ้งไป อย่าไปนึกว่าทำไมฉันเป็นคนแย่อย่างนี้  ทำไมฉันเป็นคันอย่างนี้ ฉันไม่ได้คัน เพราะตัวฉันเอง  คันเพราะยุง ไล่ยุงออกไปสิ คัน เพราะมีปรสิต คือเชื้อโรค ปวดท้อง เพราะว่ามีพยาธิอยู่ อย่ายอมให้มันอยู่สิ  กินยาถ่ายพยาธิซะ หมายถึงอย่างนั้นแหละ แต่ท่านทั้งหลายจงหมั่นฝึกฝนประพฤติตนให้บริสุทธิ์ ก็ไม่ยอมมัน  อย่ายอมมัน ฝึกฝน แปลว่าทำผิดบ้าง ถูกบ้าง  แต่ค่อยๆ ฝึกไป มันค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ถูกไหม? เขาถึงเรียกฝึกฝน ในการกระทำทุกอย่างที่ท่านทำ ให้สมกับที่เป็นเหมือนพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นบริสุทธิ์ ดีพร้อม  เห็นไหม? ให้เหมือนตัวตนของท่าน ที่ท่านบังเกิดใหม่  เหมือนพระเยซูคริสต์ที่ตะกี้เราพูดตามหัวข้อเรื่อง

            เราบังเกิดใหม่แล้ว เราบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม นิรันดร์แล้ว เพราะฉะนั้น ทำตัวให้เป็นเหมือนตัวตนที่ท่านเป็น

        1 เปโตร 1:23 “เพราะท่านได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว มิใช่จากเมล็ดพันธุ์ที่เสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์ที่เป็นอมตะ ไม่มีวันเสื่อมสลาย คือพระวจนะของพระเจ้า (คือพระเยซูคริสต์) ที่มีชีวิตถาวรนิรันดร์”

            ทำไมให้ท่านฝึกฝน  ปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว ก็เพราะว่าท่านได้รับการบังเกิดใหม่แล้วไง เพราะตัวท่านจริงๆ เป็นคนดีมากเลย ดีพร้อม บริสุทธิ์ ยอดเยี่ยม  ไม่มีสกปรกแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่มีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีความดื้อต่อพระเจ้า  มีแต่ความเชื่อฟัง เป็นลูกที่ดีของพระเจ้าแน่นอน 100% แล้ว  เพราะท่านบังเกิดใหม่แล้ว และมิใช่บังเกิดใหม่จากเมล็ดพันธุ์ที่เสื่อมสลายได้ เห็นไหม?  เมล็ดพันธุ์ที่ไม่เสื่อมสลาย  ก็คือมันเป็นนิรันดร์ เกิดจากเมล็ดพันธุ์ที่เป็นอมตะ  … อมตะ คือนิรันดร์ ไม่มีวันเสื่อมสลาย  คือพระวจนะของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ที่มีชีวิตถาวรนิรันดร์  เพราะว่าเราได้เกิดใหม่ด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่มอบให้กับเราทั้งหลาย พระเยซูคริสต์ได้รับชีวิตใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า  ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย  และพระองค์ก็แบ่งชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ให้เราเกิดใหม่ ด้วยชีวิตนิรันดร์เดียวกันกับพระองค์

            เมล็ดพันธุ์ คือหน่อเชื้อทางวิญญาณ  คำว่า “เมล็ดพันธุ์” ตรงนี้ ภาษาเดิมใช้คำเดียวกันกับปฐมกาล 3:15 ที่บอกว่า “หน่อเชื้อของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก” หน่อเชื้อของหญิงพรหมจารี ก็คือเชื้อสายทางวิญญาณของแมรี่ ก็คือพระเยซูคริสต์ คำเดียวกัน  เมล็ดพันธุ์ คือหน่อเชื้อทางวิญญาณ

            ที่เราบังเกิดใหม่ คือหน่อเชื้อทางวิญญาณ ที่มาจากพระเจ้า  พระเจ้าเป็นวิญญาณนิรันดร์ พระเยซูคริสต์เป็นวิญญาณนิรันดร์ เราก็เป็นวิญญาณนิรันดร์ แปลว่าอย่างนี้  เหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย  แล้วจะเสื่อมสลายได้อย่างไร? แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแล้ว สะอาดบริสุทธิ์อย่างนั้นแหละ

            พระเยซูประกาศความจริงในเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์จะสามารถเข้าสู่สวรรค์กับพระเจ้าได้นั้น มันจะต้องสะอาดบริสุทธิ์อย่างนี้ ดีพร้อมอย่างนี้ พระองค์มาประกาศ พระองค์บอกว่าท่านทั้งหลายจะต้องดีพร้อม สมบูรณ์แบบ 100% เลย ถึงจะเข้าสวรรค์ได้  ซึ่งไม่มีใครทำได้สักคนหนึ่ง  ดีพร้อมทุกประการเหมือนพระเจ้า ในความเป็นจริงไม่มีมนุษย์คนใดเลย ที่จะสามารถทำตัวเองให้ดีพร้อมตามเงื่อนไขที่พระเจ้าตั้งไว้ได้ พระเยซูจึงเตือนว่ามีแค่ทางเดียวเท่านั้น เราบอกความจริงว่ามีแค่ทางเดียวเท่านั้น จริงๆ บอกมนุษย์แล้วบอกมนุษย์เล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามีแค่ทางเดียวเท่านั้นจริงๆ คือการวางใจและเชื่อในพระองค์ แล้วเมื่อเชื่อวางใจในพระองค์ รับสิทธิที่พระองค์ทรงกระทำให้กับเรานั้น คือการพึ่งพาในพระองค์ เมื่อเปิดใจแล้ว เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ ซึ่งเป็นการเนรมิตสร้างขึ้นใหม่ โดยพระเจ้า เราเรียกกันว่าอัศจรรย์ เนรมิตสร้างของพระเจ้า  ในชีวิตของเราทั้งหลาย มนุษย์ทำไม่ได้หรอก มันเป็นอัศจรรย์ ซึ่งเราเรียกกันว่าบังเกิดใหม่

            ยอห์น 3:3-4 ได้พูดถึงตอนที่พระเยซูประกาศอยู่บนโลกใบนี้ ถึงเรื่องนี้ ก่อนที่จะกระทำให้สำเร็จบนไม้กางเขน มีอาจารย์ทางศาสนายิวฟังพระเยซู แล้วก็สงสัย เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านศาสนายิว กฎอะไรต่างๆ แต่เขาก็ฟัง แล้วเขาก็เชื่อว่าพระเยซูพูดมีสาระ  คือเขาฟังในแง่ของเชื่อฟัง ไม่ใช่ฟังด้วยใจต่อต้าน  แต่เขาสงสัย เพราะว่าเขาไม่มีใจอย่างที่บอกว่ามนุษย์ไม่มีทางเข้าใจในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เลย เพราะว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นอัศจรรย์ เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ มันไม่ใช่เป็นสติปัญญาของมนุษย์  ในพระคัมภีร์บอกสำหรับสติปัญญาของมนุษย์ เรื่องข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า เรื่องการบังเกิดใหม่ เป็นเรื่องโง่เขลา  สำหรับพวกเราที่เป็นคริสเตียนแล้ว เปิดใจต้อนรับแล้ว เราได้พิสูจน์แล้ว  เราบอกว่ามันเป็นฤทธิ์เดช ก็คือเป็นการเนรมิตสร้างขึ้น โดยพระเจ้า เราลองมาอ่านดูว่าเขาสงสัยเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่อย่างไร? แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไร? …

        ยอห์น 3:3-4 “3 พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” 4 นิโคเดมัสทูลถามว่าคนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่!”

            “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ก็คือไม่มีใครสามารถเข้าสวรรค์ได้หรอก ถ้าเขาไม่ได้บังเกิดใหม่”  ใครจะไปเข้าใจเนอะ

            นิโคเดมัส คืออาจารย์ทางศาสนาได้ถามต่อว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไรล่ะ เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอนเขาจะไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาได้” จะให้คลานเข้าไปอยู่ในมดลูกแม่อีกครั้งหนึ่งหรือ? มันเป็นไปไม่ได้ เขาก็คิดอย่างนี้  เพราะมนุษย์ก็คิดตามสติปัญญาของมนุษย์ ก็คือคิดแค่การเกิดใหม่ทางร่างกายเท่านั้น ไม่มีวันที่จะคิดไปถึงโลกวิญญาณว่ามันเกิดใหม่ได้อย่างไร? เขาก็คิดได้แค่นั้น  ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย ในการที่จะกลับไปอยู่ในมดลูก ดังนั้น เลยงงว่าแล้วจะทำได้อย่างไร?  พระเยซูตอบว่าอย่างไร? เราลองมาดู ยอห์น 3:5-7 …

        ยอห์น 3:5-7 “5 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ครรภ์มารดา) และพระวิญญาณ 6 ร่างกายให้กำเนิดร่างกาย แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ 7 ท่านไม่ควรแปลกใจ ที่เราบอกว่าท่านต้องเกิดใหม่”

            พระเยซูบอกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่าน” พูดจริงๆ เลย พระเยซูพูดอย่างนี้ ไม่ใช่จริงธรรมดา บอกเราบอกความจริงๆ กับท่าน ต้องย้ำตรงนี้ เพราะที่บอกนี้ท่านจะไม่เข้าใจหรอก แต่มันเป็นเรื่องจริง เพราะเราเป็นพระเจ้า เรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรในโลกฝ่ายวิญญาณ  ท่านไม่รู้หรอก แต่เรากำลังบอกความจริงๆ กับท่าน ที่ท่านใช้สติปัญญาของมนุษย์ ท่านจะไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แต่ถึงจะไม่เข้าใจอย่างไร มันเป็นจริง

            “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้  ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ” เกิดจากน้ำ คือเกิดจากน้ำคร่ำ คือครรภ์มารดา ก็คือมนุษย์ ถ้าเขาไม่เกิดเป็นมนุษย์ เขาบังเกิดใหม่ไม่ได้  การที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น เพื่อมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อสัตว์  ไม่ใช่เพื่อวิญญาณอะไร? แต่เพื่อมนุษย์ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ คือครรภ์มารดา และพระวิญญาณ  เขาต้องเกิด 2 อย่าง  คือเกิดเป็นมนุษย์ จากครรภ์แม่แล้ว  เขาต้องเกิดอีกครั้งหนึ่งทางวิญญาณ  เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ  เห็นไหม? ถ้าเขาเกิดจากแม่อย่างเดียว  ไม่ได้เกิดทางวิญญาณ  เขาก็ไม่ได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า

            ข้อ 6 พระองค์ตอบต่อไปว่า “ร่างกายให้กำเนิดร่างกาย” ก็คือเกิดจากครรภ์แม่  ก็เป็นร่างกายเหมือนพ่อเหมือนแม่ ก็ว่ากันไป  “แต่วิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ” แต่วิญญาณที่บังเกิดใหม่อีกครั้งนั้น เป็นการบังเกิดจากพระวิญญาณ “ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกท่านว่าเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง  เกิดใหม่ ภาษาเดิมเขาเรียกว่าเกิดครั้งที่สอง เกิดอีกครั้ง Born again

            เกิดครั้งแรก ก็คือเกิดทางเนื้อหนัง เกิดจากครรภ์มารดา เกิดแบบมนุษย์  เกิดครั้งที่สอง เกิดทางวิญญาณ  ครั้งที่สองสำคัญ  เพราะว่าทางวิญญาณมนุษย์ทุกคน ตกอยู่ในความตาย ความบาปอยู่ เกิดออกมา ร่างกายออกจากครรภ์มารดามาเป็นคน วิญญาณข้างใน  ที่เป็นตัวตนแท้ๆ เป็นบาปและตายอยู่ มันต้องการเกิดใหม่ ถึงจะได้ นี่แหละคำว่าบังเกิดใหม่

            พระเยซูกำลังจะชี้ให้มนุษย์เห็น ถึงสิ่งที่มองไม่เห็นทางโลกวิญญาณ ในโลกวัตถุ เราเห็นอยู่แล้ว ในทางร่างกาย เกิดมาเป็นร่างกาย  แต่ในโลกวิญญาณมองไม่เห็น  ก็คือมนุษย์และปกติเกิดจากครรภ์มารดา มีทั้งร่างกายและวิญญาณ  และวิญญาณนั่นแหละ เป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ เพียงแต่มนุษย์มองไม่เห็น  แต่มันเป็นตัวตนที่แท้จริง ที่สำคัญมาก ที่จะอยู่ตลอดไป ร่างกายนี้สำคัญน้อยกว่า มันอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง และวิญญาณของมนุษย์นั่นแหละ ที่พระองค์ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นบาป เป็นความชั่วร้าย ตายอยู่ในบรรพบุรุษเดิม คืออาดัม  เป็นชีวิตที่มาจากหน่อเชื้อที่เป็นวิญญาณของอาดัม  ก็คือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เห็นไหม?  จำเป็นต้องบังเกิดใหม่  เข้ามาสู่วิญญาณของพระเจ้า ด้วยหน่อเชื้องของพระเจ้า

            วิธีที่จะทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ ดีพร้อม เพื่อสามารถเข้าสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้ คือวิญญาณจะต้องได้รับการบังเกิดใหม่ ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น นึกภาพนะว่าถ้าเราไม่ได้เชื่อพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราสกปรก วิญญาณเราตายอยู่ เราไม่มีทางดีพร้อมได้เลย และถ้าเราได้รับการบังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็คือโดยหน่อเชื้อทางวิญญาณของพระเจ้า ที่เราอ่านพระคัมภีร์มา ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าผู้ให้กำเนิดเรา  คือพระวิญญาณของพระเจ้านั่นเอง  เกิดทางวิญญาณ ก็เป็นวิญญาณ  เกิดทางเนื้อหนัง ก็เหมือนเนื้อหนัง

            พระเยซูยกตัวอย่างเหมือนร่างกายฝ่ายเนื้อหนัง บังเกิดจากครรภ์มารดาในมดลูก จะมีลักษณะท่าทางหน้าตาเหมือนพ่อแม่ ก็คือแบบเนื้อหนัง ผู้ให้กำเนิดทางร่างกายฝ่ายเนื้อหนังถูกไหม? แต่ถ้าให้กำเนิดทางฝ่ายวิญญาณ เป็นเหมือนพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือเป็นเหมือนพระเจ้านั่นเอง

            สรุปหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐ ที่พระเยซูประกาศ ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่ามนุษย์ทุกคนจะสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ วิญญาณต้องได้รับการบังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น  และการบังเกิดใหม่จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ คนนั้นเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้นจริงๆ ไม่สามารถสะสมความดีของตนเอง โดยการประพฤติ ให้ตัวเองบริสุทธิ์ดีพร้อม  เพื่อให้ตัวเองได้บังเกิดใหม่  มันเป็นไปไม่ได้เลย พระเยซูจึงประกาศว่าจงอย่าเย่อหยิ่งจองหอง มนุษย์เอ๋ย อย่าทะนงตนว่าตัวเองทำได้ มันทำไม่ได้จริงๆ มัทธิว 18:3-4 พระองค์จึงกล่าวอย่างนี้ว่า …

        มัทธิว 18:3-4 “3 เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย 4 เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลง เหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์”

            “ถ้าพวกท่านไม่กลับใจ ถ้ามนุษย์คนใดไม่กลับใจจากอะไร? กลับใจจากการพึ่งพาตนเอง ในการกระทำให้ดีที่สุด แล้วก็มาหนุนใจกันบอกว่าทำดีได้ไปสวรรค์ พระเยซูบอกว่าต้องทำให้ไม่มีที่ติเลย บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า 100% ปุ๊บ ได้เข้าสวรรค์แน่นอน นี่คือกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้ มนุษย์บอกว่าทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกัน ถูกไหม? ทั้งโลก ทุกศาสนา ทุกความเชื่อ  หรือความคิดของคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ ถ้าจะไปสวรรค์นะ ทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกัน  ดีที่สุด ขนาดไหน?  เธอทำให้ดีที่สุด เท่าที่เธอทำได้ พระเจ้ารู้ พระเจ้าเข้าใจ พอเห็นภาพอะไรไหม? นี่คือความคิด นี่คือระบบของโลกนี้ ที่หลอกลวงมนุษย์ทุกคน ให้พลาดจากข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ที่เป็นอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าเนรมิตสร้างขึ้นใหม่  เป็นฤทธิ์เดช  ไม่ใช่เป็นเหตุผลแบบมนุษย์

            “เธอทำให้ดีที่สุดแล้วกัน ทำดีได้ไปสวรรค์แน่นอน พระเจ้าเป็นพระเจ้าดี พระเจ้าประเสริฐ พระเจ้ารู้ว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว  ทำได้เท่าไร ทำดีที่สุด แค่นั้นพอแล้ว”

            ซึ่งพระเยซูแย้งบอกว่าไม่ใช่  ต่อให้เธอทำดีที่สุด ตั้งใจอย่างไรก็ตาม มันผิดกฎ มันไม่ตามกฎ มันก็ไม่มีทางได้รับตามกฎที่วางไว้

            ยกตัวอย่างให้ฟัง อย่างเช่น เราเป็นคนงานก่อสร้างตึกสูง เจ้าของบริษัทบอกว่าให้เราเซฟตี้ ขึ้นไปทุกครั้งเราต้องสวมหมวก และใส่ชุด มีเข็มขัดนิรภัยล็อคอยู่ตลอดเวลา  เพราะมีโอกาสพลาดได้ตลอดเวลา  พลาดลงมา จะได้ไม่ตาย  เราเป็นคนงานคนหนึ่งในกลุ่มคนงาน  ที่ไม่เชื่อฟัง แต่เป็นคนดี เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ไม่เที่ยว ไม่เกเร เป็นคนใจบุญสุนทาน แต่เราละเลยกฎที่เขาบอกให้เซฟตี้ไว้ เพราะว่ามันมีแรงดึงดูดของโลก จึงตกมาตายจริงๆ แรงดึงดูดของโลกไม่เห็นแก่หน้าใคร ไม่ว่าใครจะเป็นคนดีหรือไม่ดีก็ตาม แล้วในที่สุด คนๆ นี้ก็พลาดท่าเสียทีในวันหนึ่ง แล้วก็ตกลงมาตาย เพื่อนคนงานอีกคนหนึ่ง เป็นคนทั้งกินเหล้า เสเพล ขี้เกียจทำงานด้วย เขากลัวตาย  เขาเชื่อฟังกฎ กฎเขาบอกว่าอย่างนั้น เขาเชื่อ แล้วเขาเคารพต่อแรงดึงดูดของโลกว่าเดี๋ยวมันตกมาตายนะ เขาขึ้นไปทีไร แม้ว่าจะขี้เกียจทำงาน เมาเหล้าด้วย  เขาเอาตะขอเกี่ยวไว้ก่อน  เขาตกลงมาเหมือนกัน ตกมากกว่าอีก  แต่ไม่ตาย

            มนุษย์ก็จะคิดว่าอย่างนี้ ไม่ยุติธรรม คนดีๆ ทำไมตาย ก็มันไม่เกี่ยวกับดีหรือไม่ดี มันเกี่ยวกับว่ามันมีกฎระเบียบของมันตั้งไว้อย่างนั้น ไปเถียงกับธรรมชาติได้อย่างไร?  พระเยซูกำลังจะบอกว่าอย่าเย่อหยิ่ง  เชื่อและวางใจคำประกาศของพระเยซูคริสต์ เหมือนเด็กเล็กๆ ที่เชื่อและวางใจในพระบิดา วางใจในพ่อ เด็กเล็กๆ ที่วางใจในพ่อ  อย่างไม่สงสัย ไม่คิดมาก  เพราะถึงคิดไป ก็ไม่มีวันที่จะเข้าใจได้  ไม่ต้องคิดมากเลย  ให้เชื่อฟัง วางใจในพระเยซูคริสต์อย่างเดียวเท่านั้น เหมือนเด็กเล็กๆ ที่เขาวางใจพ่อแม่ เอาเด็กเล็กๆ สักขวบหนึ่ง วางบนโต๊ะ เล่นกับเขา แล้วบอกโดดมาเลย  แต่คนพูดเป็นพ่อของเด็กนะ  ที่สนิทกัน เด็กโดดไหม? โดด เด็กก่อนจะโดดไม่ได้คิด ไม่ได้ไปมองว่ามันจะลึกขนาดไหน? มันจะมีแรงดึงดูดของโลกหรือเปล่า?  เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยตอนนั้น บอกให้โดดเขาก็โดด

            ลักษณะเดียวกัน  พระเยซูกำลังพูดถึงว่าไม่ต้องเข้าใจหรอก เป็นเด็กเล็กๆ ให้เชื่อฟัง พระองค์บอกไว้อย่างนั้น ก็เชื่ออย่างนั้น  เพราะไม่มีทางเข้าใจ  ถ้ารอให้พวกเธอเข้าใจในสิ่งที่พวกฉันพูด เกี่ยวกับเรื่องการเข้าสวรรค์ได้ แล้วค่อยมาเชื่อวางใจฉันนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันสายเกินไปแล้ว มันต้องเชื่อและวางใจก่อน แล้วจึงค่อยๆ เข้าใจ หลังจากวางใจ แล้วได้เกิดใหม่  พอเกิดใหม่แล้ว จะค่อยๆ เรียนรู้จักความหมายที่แท้จริงของคำว่า “เกิดใหม่ในวิญญาณ” และจะเรียนรู้จักโลกวิญญาณลึกไปเรื่อยๆ ทีละนิด เพราะได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณแล้ว  เริ่มเข้าใจแล้ว จะมาบอกว่ายังไม่เข้าใจเลย รอให้เข้าใจข่าวประเสริฐก่อน สายไปแล้ว ข่าวประเสริฐต้องเชื่อและวางใจก่อน แล้วจึงจะได้รับผลบังเกิดใหม่  ถ้ารอให้เข้าใจก่อน มันไม่ได้ มันกลับกัน

            มนุษย์เกิดมาโดยธรรมชาติ ก็เป็นมนุษย์ แม้จะอยู่ในครรภ์ ก็เป็นมนุษย์แล้ว รู้การเดิน การปฏิบัติตัว ไม่ต้องรอเข้าใจ  ไม่ต้องรอจนอายุ 10 ขวบ 20 ขวบ 30 ขวบ 40 ขวบ ถึงจะรู้ว่าตัวเองเป็นมนุษย์  ตั้งแต่อยู่ในครรภ์แล้ว เขาก็เป็นมนุษย์แล้ว ถูกไหม?  เพราะใครๆ ก็เกิดเป็นมนุษย์ทันที ปฏิสนธิเขาก็เป็นมนุษย์แล้ว  เกิดเป็นมนุษย์ 1 วันกับเกิดเป็นมนุษย์ 10 ปี ก็เป็นมนุษย์เท่ากัน แต่เป็นมนุษย์ที่เจริญเติบโตไม่เท่ากัน เกิดเป็นมนุษย์ใหม่ๆ ยังไม่เจริญเติบโต ยังเป็นทารก เด็กๆ อยู่ ยังอาจจะประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นมนุษย์ แต่ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ ตอนนี้ยังคลานอยู่ เดี๋ยวเขาก็เดิน อาจจะนอนอยู่เฉยๆ แต่เดี๋ยวเขาก็เดิน  อาจจะยังไม่พูดอะไร แต่เดี๋ยวเขาก็พูด เห็นหรือยัง?  อาจจะเหมือนลิง แต่เดี๋ยวเขาก็ทำเหมือนคน  เขาเดินเหมือนคน ใช่ไหม? เขาก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ เขาอาจจะทำตัวไม่สมควร คืออกตัญญูกับพ่อแม่ ตีพ่อแม่บ้าง อะไรบ้าง? แต่เขาเป็นมนุษย์ไหม? เป็นมนุษย์แล้ว แต่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เดี๋ยวเขาก็เหมาะสม เรียนรู้โตขึ้น เขารู้ว่านี่คือพ่อแม่  นี่คือคน นี่คือใคร แล้วต้องรู้จักทดแทนพระคุณ อะไรสมควรหรือไม่สมควรทำ เขาก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นมนุษย์ และควรจะทำอะไรที่สมกับการเป็นมนุษย์

            เช่นเดียวกันกับการเกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่กำลังพูดถึงนี้ ก็เช่นเดียวกัน  เกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แต่ตอนแรกๆ ก็ อาจจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสมกับสถานะการเป็นลูกของพระเจ้าได้ มองข้างนอก ไม่เห็นเหมือนลูกพระเจ้าเลย  แต่เขาเกิดใหม่แล้ว ก็คือเกิดใหม่จริงๆ  เพราะว่าเขายังเด็กอยู่ในวิญญาณ  ต้องรอการสอน การเรียนรู้ การเจริญเติบโตในวิญญาณขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งลักษณะของเขาในพระเจ้า ยังคงเป็นลักษณะของพระเจ้า ยังคงเป็นวิญญาณ ธรรมชาติพระเจ้าอยู่ในตัวเขาอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าเขาจะเชื่อพระเจ้ามากี่วัน กี่เดือน กี่ปีแล้วก็ตาม  เหมือนกัน ผู้ที่เชื่อพระเจ้า  เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่วันนี้ เขาก็เป็น คริสเตียน เท่าๆ กับผู้ที่เปิดใจและเป็นคริสเตียนมาแล้ว 10, 20 ปี มีค่าเท่ากัน ก็คือเป็นลูกพระเจ้าที่บังเกิดใหม่แล้ว

            และธรรมชาติของการเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า พระคัมภีร์ได้พูดสรุป รวมๆ ว่าเกิดจากพระเจ้าปุ๊บ ก็เกิดจากวิญญาณ เป็นเหมือนพระเจ้า เกิดมาเป็นความรักเหมือนพระเจ้า เกิดมาเป็นความบริสุทธิ์ ดีพร้อม สง่างาม เป็นแสงสว่างเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็คือพระเจ้าเลย เกิดมาเป็นเลย  เกิดมาเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เป็นทายาท รับมรดกนิรันดร์จากพ่อแม่ ก็คือพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ที่จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเกิดมาทันที พระเจ้าก็รักดังแก้วตาดวงใจ เท่าๆ กันหมด ว่ากันตามจริงแล้ว รักตั้งแต่ก่อนยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป  ยอมทุ่มเทถึงขนาดสละพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อมนุษย์ คนๆ นั้น  ก็คือรักเขาดังแก้วตาดวงใจ  2 เปโตร 1:4 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาปที่อยู่ในวิญญาณ)”

            “ผ่านทางพันธสัญญาเหล่านี้” พันธสัญญาอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ ก็คือสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าตั้งหลายพันปี ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จ สัญญาไว้ล่วงหน้า ตั้งนานแล้ว จะมาช่วยนะ วางแผนไว้แล้ว จะมาช่วยๆ ให้เธอได้บังเกิดใหม่ ให้เธอได้วิญญาณใหม่ ให้เธอได้ใจใหม่ และรวมทั้งร่างกายใหม่ด้วย จะมาช่วยเธอให้รอด พูดง่ายๆ นี่คือสัญญาที่พระองค์ทรงให้ไว้ตั้งนาน แล้วในที่สุด พระองค์ก็ทำให้สำเร็จ

            สัญญานี่ คือพวกเท่านจึงได้มีส่วนเข้าร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า พระลักษณะของพระเจ้า คือสภาพความเป็นธรรมชาติของพระเจ้า  เราทั้งหลาย มนุษย์ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นวิญญาณนิรันดร์เหมือนพระเจ้าเลย โดยการบังเกิดใหม่  แค่เพียงแต่เปิดใจต้อนรับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ที่กระทำให้กับเราที่ไม้กางเขนเท่านั้นเอง มันง่ายจนกระทั่งกลายเป็นทางแคบที่พระเยซูบอก เพราะมันง่ายเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ ทำไมมันง่ายอย่างนี้ การเข้าสวรรค์มันง่ายอย่างนี้หรือ? พึ่งพาตนเองดีกว่า นี่มันเป็นลักษณะอย่างนี้ มนุษย์ทั้งหลายทั้งมวล ก็เลยไปพึ่งพาตนเองทั้งหมด  พยายามที่จะทำความดี เพื่อที่จะไปสวรรค์ ซึ่งมันไม่มีทางที่จะทำได้

            เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้ ข้อมูลในวันนี้ ที่เกี่ยวกับเราทั้งหลาย ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว นิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว  แต่ขณะเดียวกัน เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า กับความจริงของพระเจ้า เราจึงจำเป็นที่จะต้องจดจ่อ จดจำจนขึ้นใจ ถึงข้อมูลความจริงเหล่านี้ ที่กำลังพูดถึงนี้ว่าเราเป็นใครแล้ว ตลอดวันคืนในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แล้วจงต่อสู้กับระบบของโลกนี้ ซึ่งระบบของโลกนี้ เรียกว่าระบบของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง คือระบบของโลกนี้ ไม่ใช่กิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนังของเรา แต่เป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของระบบของโลก  เราจงต่อสู้ให้ถึงที่สุด กับระบบของโลก  เพราะเรายังอยู่บนโลก โลกต่อสู้กับความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า เราจึงจำเป็นต้องต่อสู้ รักษาความจริง ในข่าวประเสริฐนี้ไว้  ต่อสู้กับข้อมูลทุกรูปแบบ จากโลกนี้ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านความจริงของพระเจ้า ทุกรูปแบบเลย ไม่ว่ามันจะมาทางทิศไหน? มาทางแบบไหน?  เยอะแยะมากมายไปหมดเลย

            กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันคืออะไร? ลองฟังดูนะ ท่านจะได้เห็นภาพชัดเจนว่ามันไม่ใช่ตัวเราชั่วร้าย  แต่มันเป็นระบบของโลกนี้ที่ชั่วร้าย  “ชั่วร้าย” มาจากคำว่า “บาป”  โลกที่เต็มไปด้วยความบาป  คือโลกที่เต็มไปด้วยการพึ่งพาตนเอง ไม่มีพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนั้น กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็คืออิทธิพลของโลกใบนี้ คือการพึ่งพาตนเองนี้  เป็นอิทธิพลของกฎของความบาปและความตาย  ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้  กฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง กฎแห่งการทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว  กฎแห่งกรรมที่ปกคลุมอยู่เหนือทุกชีวิตที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เป็นระบบที่ต่อต้าน เป็นศัตรู ตรงกันข้ามกับกฎของพระเจ้า ที่เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ คือพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เรียกว่ากฎของพระคุณ กฎของพระวิญญาณในพระเยซูคริสต์ 2 อันนี้มันต่อต้าน มันสู้กัน บนโลกใบนี้ เขาเรียกว่ากฎของเนื้อหนัง กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง กฎในพระเยซูคริสต์ เรียกว่ากฎแห่งวิญญาณ  กฎแห่งพระคุณ 2 อันสู้กัน

            เราอยู่ที่ไหนตอนนี้  ถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้อยู่ในกฎของโลกนี้ อีกต่อไป แต่ก่อนเราอยู่ในกฎของโลกนี้ เราต้องพึ่งพาตนเอง ทุกอย่าง บนโลกใบนี้ ชี้หน้าเราตลอดเวลา บอกเรา ฟ้องเราตลอดเวลาว่าเราต้องรับผิดชอบในการกระทำตรงนี้ เราไม่มีทางไปสวรรค์ได้หรอก เรามีบาปอยู่ เราสกปรกอยู่ เป็นไปไม่ได้เลย เราไม่สมบูรณ์ครบถ้วน  บริสุทธิ์พร้อม ที่จะอยู่ในสวรรค์ นี่คือกฎของโลกใบนี้ ที่คอยที่จะกล่าวหาเรา  ฟ้องเรา แต่บัดนี้ เราบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  เราอยู่ในโลกวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ย้ายเราออกจากโลกเดิม โลกวัตถุ โลกแห่งความบาปเข้ามาอยู่ในโลกสวรรค์แล้ว ในพระเยซูคริสต์แล้ว

            และในโลกสวรรค์ ในพระเยซูคริสต์ บนโลกใบนี้ กฎเขาบอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ได้ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย ซึ่งคอยฟ้องเรา คอยชี้เราว่าเราเป็นคนผิด เป็นคนบาป เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว เราไม่ได้อยู่ในกฎของโลกนี้ เราตายจากโลกนี้ไปแล้ว เอเมน เราเป็นอิสระแล้ว นี่คือความจริงที่เราต้องจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ

            อิทธิพลของเนื้อหนังนี้  หรืออิทธิพลของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังนี้  มันทำหน้าที่อะไรบนโลกใบนี้ ไม่ว่าคุณจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ มันก็ทำ ยิ่งไม่เชื่อ มันยิ่งทำดีใหญ่เลย เพราะว่ามันต้องการทำลายข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพราะว่ามันเป็นศัตรู มันเป็นระบบที่อาดัมและเอวาถูกหลอก โดยมารให้นำเข้ามาเองนะ ไม่ใช่มารนำเข้ามา มารเป็นตัวหลอก เพราะมันไม่มีอำนาจจะทำอะไรสักอย่าง มันได้แต่หลอกเขา ทุกวันนี้มันก็หลอกต่อ หลอกโดยใช้อิทธิพลของกฎของความบาปและความตาย ที่อาดัมกับเอวาเอาเข้ามาบนโลกใบนี้ ก็คือคำสาปแช่งบนโลกใบนี้  ความเสียหาย ความวิปริตของโลกใบนี้  มันเอามาใช้ให้เป็นอิทธิพล เราเรียกว่าอิทธิพลของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง

            อิทธิพลนี้ มันจะคอยผลักดัน  หลอกลวง  ชักจูง กดดัน ควบคุมให้มนุษย์หลงทำตาม มารจึงไม่มีอำนาจอะไรเลย ไม่มีน้ำยาอะไรเลย มันก็หลอกเขาต่อไป ขโมย ฆ่า และทำลาย  ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง  คือไม่มีอำนาจเลยนะ  มันจึงทำได้แค่หลอกลวง บังคับโดยการหลอกลวง  ควบคุมโดยการหลอกลวง ให้มนุษย์ยอม ยอมให้มันควบคุม ก็คือถูกหลอก ยอมให้มันบังคับ  ก็คือถูกหลอก  มันบังคับเราได้ไหม? ไม่ได้ ต่อให้ไม่เชื่อพระเจ้า  มันก็ยังบังคับไม่ได้เลย  แต่มันหลอกได้ จนกระทั่งคนนั้นยอมทำตาม แล้วก็นึกว่าตัวเองแย่ ตัวเองเลว ตัวเองเป็นคนทำ ที่ไหนได้มีตัวยุแยงตะแคงรั่ว ให้เราด่าตัวเอง มันฟ้องเรา ให้เราแย่ พูดง่ายๆ ว่ามันทำให้เรารู้สึกว่า …

            “ฉันมันเลว ฉันมันชั่ว ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดหรอกอย่างนี้ สมควรได้รับแล้ว ก่อกรรมเวรไว้  ยิงนกตกปลา มีแต่เวรกรรม ต้องชดใช้  เกิดมา คนก็ต้องชดใช้กรรมเวรต่างๆ ต่อไปเรื่อยๆ  ไม่มีวันจบสิ้นหรอก ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด” อะไรประมาณนั้น  วันๆ หนึ่งมันคอยแต่หลอกลวงอย่างนี้

            แต่พระเยซูมาประกาศบอกว่า … “เรามาช่วยเจ้าหลุดพ้นจากความบาปนี้ วงจรนี้”

            มันคอยที่จะบังคับ ให้มนุษย์หลงทำตาม  คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ให้มนุษย์เชื่อฟังมัน คือความต้องการเกินกว่าที่มนุษย์ควรเป็น คือไม่สมดุลนั่นเอง

            ยกตัวอย่างเช่น รับประทานขนาดนี้พอดี ก็รับประทานให้มันเกินไปซะ ตะกละกินจนกระทั่งป่วย  หรือไม่ทำให้มันไม่สมดุล คือมีเกินไป หรือขาดไป คืออดอาหาร เพื่อให้เป็นคนที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม อดอาหาร เหมือนโยคีอด เป็นปีๆ รู้สึกเคร่ง อะไรต่างๆ เหล่านี้ ยกตัวอย่างให้ฟัง มันจะทำให้มนุษย์ไม่ขาด ก็เกิน คือไม่สมดุลนั่นเอง  ซึ่งเราเรียกกันว่าความโลภ มีเงินเท่านี้ แทนที่จะพอใจ โลภกว่านี้ หรือบางคนไม่โลภ ก็เอาน้อยจนเกินไปเลย  ไม่ดูแลรับผิดชอบในสิ่งที่ควรรับผิดชอบ เอาเงินไปบริจาคหมด อะไรแบบนี้  เอามาถวายโบสถ์หมดเลย ที่บ้านไม่มีข้าวกิน  ลูกไม่สนใจ เราเอาไปให้โบสถ์ดีกว่า ทำเกินไป  เข้าใจไหม? ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? ทำจนเกินไป นี่ก็คือระบบของโลกนี้ ซึ่งมันดูดีไหม? ดูดีนะ ดีสำหรับโลกนี้

            โลกนี้บอกทำบุญสุนทานนะ อดอาหารเยอะๆ อย่างนี้ดี ละกิเลส เอาทรัพย์สมบัติทั้งหมด แทนที่จะดูแลลูกหลาน ไม่ต้องดูแลแล้ว  ทั้งหมด ยกไปให้โบสถ์ ให้วัด เพื่อจะได้ไปสวรรค์ ทำบุญ ทำทาน มีแต่คนสรรเสริญ ดีนะ  แต่ท่านลองคิดเอาเองแล้วกัน พระเยซูกำลังจะพูดอะไร?

            นี่คืออิทธิพลของเนื้อหนัง กิเลสตัณหาของเนื้อหนังบนโลกใบนี้  ก็คือทำตัวเองให้เป็นเหมือนพระเจ้านั่นเอง เป็นรูปเคารพที่อยู่ในใจมนุษย์  ก็คือมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง แทนที่จะฟังความรู้สึกหรือจิตใต้สำนึกที่บอกว่าเราทำไม่ได้หรอก แต่ฝืน เชื่อมั่นในความคิด เราเรียกกันว่าเย่อหยิ่งจองหอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นศัตรูต่อต้านกับถ้อยคำของพระเจ้าทั้งสิ้นเลยนะ แทนที่จะเชื่อฟังถ้อยคำของพระเจ้า ทั้งๆ ที่ส่วนลึกภายในจิตใจ ยังรู้ตัวอยู่ว่าตัวเอง พึ่งตนเองไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังฝืน

            เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายที่เชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ฟังข้อความพระเจ้าในวันนี้แล้ว จงหมั่นอดทน ฝึกฝน ธรรมชาติใหม่ในชีวิตของเรา  ก็คือสู้กับโลกใบนี้ ที่มันหลอกลวงเรา  เราได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว ด้วยความภาคภูมิใจ ในตำแหน่งของเรา ในความเป็นจริงของเรา และประพฤติตนให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า  ไม่มากเกินไปและน้อยเกินไป ให้สมดุล เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราควรกระทำอย่างนี้ ไม่ควรทำตามโลกใบนี้นั่นเอง

            ในขณะเดียวกัน ก็มีความมั่นใจในความรอด ที่ได้รับมาแล้ว ไม่ว่าโลกนี้จะหลอกลวงอย่างไร ไม่ว่าฉันจะมีความรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร? ประพฤติตัวอย่างไร? บนโลกใบนี้ ถูกล่อลวงด้วย กิเลสตัณหา ให้ทำผิดบาปแค่ไหนก็ตาม ฉันก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้า  ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์ นิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา

            “เพราะฉะนั้น จงจดจำ จนขึ้นใจ  ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ เกิดจากหน่อเชื้อบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่เป็นอมตะนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เอเมน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

*****************************

จากใจศิษยาภิบาล

            คริสเตียนรอดโดยพระคุณ  ความเชื่อ! ไม่เกี่ยวกับพิธีกรรมการบัพติศมาในน้ำ หรือการลงน้ำบัพติศมา หรือพิธีกรรมใดๆ เลยจริงๆ

            มัทธิว 3:11 … “ผู้เผยวจนะยอห์นบัพติสโตประกาศ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนสามปีว่า … “เราให้บัพติศมาด้วยน้ำแก่พวกท่าน  แสดงถึงการกลับใจใหม่  แต่ภายหลังเรา  จะมีผู้หนึ่งทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งกว่าเราเสด็จมา  เราไม่คู่ควรแม้แต่จะถือฉลองพระบาทของพระองค์  พระองค์จะทรงให้ท่านทั้งหลายบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ”

            การบัพติศมาด้วยน้ำ เป็นพิธีกรรมของชาวยิวที่แสดงถึงการกลับใจใหม่ จากการละเลยไม่สนใจกับพันธสัญญาที่พระเจ้าได้เคยให้ไว้กับชาวยิว ตั้งแต่บรรพบุรุษว่าจะทรงประทานพระมาซิฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ (ให้กับมนุษยชาติ ) โดยเริ่มต้นที่ชาวยิวก่อน ให้ชาวยิวหันกลับมาเตรียมตัว  จดจ่อที่พระมาซิฮาห์  คือพระเยซูคริสต์  พระผู้ช่วยให้รอดที่กำลังจะมา อย่ามัวแต่หลงระเริงอยู่ในการสร้างความชอบธรรมของตนเอง โดยการรักษาบทบัญญัติ  และภูมิใจที่รักษาบทบัญญัติได้มาก  เย่อหยิ่ง  ทะนงตน จนเป็นคนหน้าซื่อใจคด

            และการลงน้ำบัพติศมา  เป็นเงาที่เล็งให้เห็นถึงการรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์  เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงกระทำภาระกิจของพระองค์สำเร็จ

            คือทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ทรงถูกฝังในอุโมงค์  ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้ใดเชื่อและยอมรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะบัพติศมา ผู้นั้นเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในทางวิญญาณ  ด้วยไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณ  เสด็จเข้ามาในวิญญาณของเรา  เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา  คือบัพติศมาเราย้ายเข้าไปในร่างกายของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น

            เพื่อจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  ตายพร้อมพระองค์  ฝังพร้อมพระองค์  และเป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระองค์

            คือย้ายวิญญาณของเรา  จากที่ตายอยู่ในอาดัม  มาบังเกิดใหม่อยู่ในพระคริสต์ เกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า

            โรม 6:3-5 … “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์  ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย  เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่  เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์  เป็นขึ้นจากความตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์  แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนเพราะองค์ด้วย”

            โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์  ทำให้เราได้บังเกิดใหม่เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เข้ามาคืนดีกับพระเจ้าพระบิดา  เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระองค์  มาเป็นลูกของพระเจ้า  มาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์  โดยผ่านทางความเชื่อในการสิ้นพระชนม์ และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ การถูกฝังไว้ในอุโมงค์และการเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สามเท่านั้น

            เป็นพระคุณที่พระเจ้าให้เราเปล่าๆ  โดยไม่เกี่ยวอะไรกับการทำดีของเราเลย และไม่เกี่ยวกับพิธีกรรมการบัพติศมาในน้ำ หรือการลงน้ำบัพติศมาเลย ขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1451

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  มกราคม  2024

เรื่อง “ฉันเป็นคนใหม่ในพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีปีใหม่ ปีใหม่นี้เขาทำอะไรกันส่วนใหญ่ ทั้งโลกทำอะไร? คริสต์มาส ทั้งโลกเขาฉลองเทศกาลของขวัญ พูดถึงของขวัญ ก็คือพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาให้กับมวลมนุษยชาติ  เพื่อเป็นผู้ช่วยให้มนุษยชาติรอดจากความบาป และความตาย และคำสาปแช่งต่างๆ เป็นของขวัญยิ่งใหญ่เลย มนุษย์ทั้งโลกก็เลยดีใจ สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า พอเลยมาอีกอาทิตย์หนึ่ง ก็เป็นวันสิ้นปี ที่เราบอกกันว่า “สวัสดีปีใหม่” เขาทำอะไรกันทั้งโลก นึกให้ดีๆ เขาจุดพลุฉลองปีใหม่ แล้วเขาทำอะไร? เขาเคาท์ดาวน์ เคาท์ดาวน์ คือเขานับถอยหลัง วันปีใหม่วันเดินหน้า แต่มนุษย์ทั้งโลกกำลังนับถอยหลัง ปีใหม่ มีใครมานับ 1, 2, 3, 4, 5, 6 มีแต่เขานับ 10, 9, 8, 7, 6, 5, 4, 3, 2, 1, 0 อันนี้น่าคิดนะ ทั้งโลกเลย เหมือนดังจะรู้ว่าโลกใบนี้มันมีวันสิ้นสุดลงจริงๆ ตามพระคัมภีร์ได้บอกไว้  ปีใหม่เป็นเวลาที่ปฏิทินขึ้นมาใหม่ แต่โลกทั้งโลกกำลังอยู่ในความเสื่อมโทรมลงไปทุกวันๆ  เพราะฉะนั้น เขาจึงเคาท์ดาวน์กันไง

            โลกนี้ สมมติว่าเริ่มต้นจากสร้างเป็น 10 แล้วมาเป็น 9, 8 แล้ววิ่งไปถึง 0 ก็คือสูญสิ้น หมด พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้นว่าโลกใบนี้และสรรพสิ่งทั้งหลายที่สร้างขึ้นมาอยู่บนโลกใบนี้นั้น จะต้องถึงเวลาที่ดับสูญไป อย่างแน่นอน ให้มนุษย์ได้ตระหนักสิ่งเหล่านี้  และเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมทรัพย์สมบัติไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์ ซึ่งสำคัญกว่ามาก เพราะฉะนั้น วันนี้จึงมี 2 การทักทายเกิดขึ้นบนโลกใบนี้

            เราจะทักทายว่า … “สุขสันต์วันปีใหม่”

            พูดกับคนข้างๆ ว่า “สุขสันต์วันปีใหม่”

            สุขสันต์วันปีใหม่ แต่ร่างกายเก่า  เราสนุกสนานวันปีใหม่ แต่ร่างกายเราเป็นร่างกายเดิม เป็นร่างกายเก่า

            แล้วอีกอันหนึ่ง ก็คือ … “สุขสันต์นิรันดร์ที่ได้เป็นคนใหม่  คนใหม่ วิญญาณภายในใหม่ ที่กำลังเจริญรุ่งเรืองถึงนิรันดร์”

            ก็คือคริสเตียนทั้งหลายที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว นับ 1  นับเดินหน้า ไม่ใช่นับถอยหลัง นึกออกไหม? คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว ปีใหม่ต้องนับเดินหน้า ไปสู่ชีวิตนิรันดร์ สวรรคสถานกับพระบิดาของเรา  นี่คือชีวิตใหม่ ผมจึงให้ชื่อเรื่องวันนี้ว่า “ฉันเป็นคนใหม่ในพระคริสต์” เพราะฉะนั้น เวลาสวัสดี สุขสันต์วันปีใหม่  ในคนใหม่ด้วย  อย่างนี้ถึงจะมีความสุขนิรันดร์อย่างแท้จริง  แต่ถ้ายังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็สุขสันต์วันปีใหม่ แต่เป็นคนเดิม คนเก่าที่กำลังทรุดโทรมไปเรื่อยๆ

            พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4:16-18  ถึงเรื่องความเสื่อมโทรมของร่างกายนี้ และความหวังของคนที่เป็นคริสเตียนอยู่ที่ตรงไหน? แตกต่างกับคนที่ยังเป็นคนเดิม คนเก่า แล้วยังไม่ได้เกิดใหม่ ไม่ได้เป็นคนใหม่ในพระคริสต์อย่างไร? ลองอ่านดูนะ 2 โครินธ์ 4:16-18 …

        2 โครินธ์ 4:16-18 “16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว)  แม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (ที่มีชีวิตนิรันดร์ของพระคริสต์สถิตอยู่) ของเรานั้น กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในร่างกายภายนอก ที่เห็นอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเรา (ให้พร้อมที่จะจากโลกนี้ไป ด้วยความยินดี เพื่อเข้าไปสู่โลกวิญญาณ เพื่อสวมร่างกายใหม่ ร่างกายอมตะ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์) เข้าร่วมในสง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่สมบูรณ์นิรันดร์ของพระคริสต์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดู สิ่งที่มองเห็นอยู่ (ไม่จดจ่ออยู่กับความทุกข์บนโลก) แต่จับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น (จดจ่ออยู่กับพระคริสต์ ที่สถิตอยู่ภายใน) เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น (คือความทุกข์บนโลกนี้) เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น (คือพระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายในผู้เป็นสง่าราศีและสิริของเรา) เป็นถาวรนิรันดร์”

            ในข้อที่ 16 บอกว่า “ฉะนั้น  เราไม่ท้อถอย ผิดหวัง เสียใจ หรือกลัว แม้ว่ากายภายนอกของเรานี้ กำลังทรุดโทรมไป” นี่พูดถึงมนุษย์ทั่วๆ ไป รวมทั้งเราคริสเตียนด้วย  แม้ว่ากายภายนอกที่เราเห็นนี้ ปีใหม่ ทรุดโทรมไปอีก 1 ปี นับถอยหลังไปเรื่อยๆ  แต่ที่เราไม่กลัว ไม่เสียใจ  ไม่ผิดหวัง ไม่เครียด ไม่วิตกกังวลกับความเสื่อมโทรมของร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ เพราะมันเป็นแค่ร่างกายภายนอก มันไม่ใช่ตัวจริงๆ ของเรา “แต่ตัวตนภายในที่มีชีวิตนิรันดร์ของพระคริสต์สถิตอยู่กับเราภายในนั้น  กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่” เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง?

            นี่คือที่ตะกี้บอกว่าถ้าเป็นคริสเตียน เป็นผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว  ต้องทักกันอย่างนี้ว่าสุขสันต์วันปีใหม่ คือสุขสันต์นิรันดร์ได้เป็นคนใหม่แล้ว ยินดีด้วย สวัสดีปีใหม่ และสวัสดีคนใหม่ ข้างในใหม่ วิญญาณภายในใหม่  กำลังเจริญรุ่งเรืองไปสู่สวรรค์นิรันดร์ หลังความตายฝ่ายร่างกาย เดี๋ยวเราจะเรียนรู้ต่อไป

            ในนี้บอกว่าวิญญาณภายในกำลังสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน วันปีใหม่ คริสเตียนจึงนับไม่ถอยหลัง นับข้างหน้า เพราะเรากำลังจะไปอยู่ในสวรรคสถาน อยู่ในโลกใหม่กับพระเจ้า  ปีใหม่เรานับ 1-10 … 1, 2, 3 เชื่อพระเจ้าวันไหนก็ตาม เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เมื่อไรก็ตาม นับ 1 แล้วก็นับไปเรื่อยๆ 2, 3, 4 ถึงวันที่เราสิ้นลมเมื่อไร คือถึงเลข 10 ก็ไปอยู่ในสวรรค์ เห็นไหมกลับกันกับคนที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ใช่ไหม? “สุขสันต์วันปีใหม่” แต่คนเก่า ร่างเก่า ข้างในวิญญาณเป็นคนบาปเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น ก็ต้องนับถอยหลัง คือเกิดเมื่อไร? ปีค.ศ.อะไร ก็นับถอยหลัง วันนี้ผ่านไปปีหนึ่งแล้ว แก่ไปอีก 1 ปีแล้ว เดี๋ยวก็จะถึงเวลาพินาศ สิ้นสุดลงของชีวิตนี้  และโลกใบนี้ด้วย ไม่มีความหวังอะไรเลย

            ข้อ 17 บอกว่า “เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ภายนอก ที่เห็นอยู่ในขณะนี้นั้นเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว” มันแป๊บเดียว  มันชั่วขณะเดียวเท่านั้น  และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอมและจัดเตรียมเรา ให้พร้อมที่จะจากโลกนี้ไปด้วยความยินดี  เพื่อเข้าไปสู่โลกวิญญาณ เพื่อสวมร่างกายใหม่ ร่างกายอมตะ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าทรงสัญญาเอาไว้ และเรารู้อยู่ภายใน เรารู้ เพราะวิญญาณเราเป็นคนใหม่แล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้  เรารู้ว่าเรากำลังเดินทางไปรับร่างกายใหม่ มาสวมแทนร่างกายเดิม ที่จะต้องเสื่อมโทรมไปในที่สุด นี่คือความหวังที่เห็นชัดเจน  เพื่อเข้าร่วมในสง่าราศี และพระสิริอันสมบูรณ์นิรันดร์ของพระคริสต์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย  ไม่มีใครเปรียบได้เลยกับสิ่งที่เรากำลังจะได้รับในอนาคตอันใกล้นี้

            ข้อ 18 บอกว่า “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามอง สิ่งที่มองเห็นอยู่ ไม่จดจ่ออยู่กับความทุกข์บนโลกใบนี้” ความเสื่อมโทรมบนโลกใบนี้  ความแก่ เจ็บ ป่วย และตายของร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้  เพราะเรามีร่างกายใหม่ รอเราอยู่แล้ว เอเมน

            “แต่เราจับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น” สิ่งที่มองไม่เห็น คือร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้  ก็คือสวรรคสถานที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้  จับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น  จดจ่ออยู่กับพระเจ้า พระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายในร่างกายเรา เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และจดจ่ออยู่กับวิญญาณของเราที่เป็นคนใหม่ ผมจึงใช้คำนี้ว่า “ฉันเป็นคนใหม่ในพระคริสต์” ทำไม ผมจึงเขียนว่า “ฉันเป็นคนใหม่ในพระคริสต์”  ทำไมไม่เขียนว่า “ฉันเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่” เพราะอยากให้เห็นชัดๆ ว่าเป็นคน คน ก็คือที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ที่ยังทำผิด ทำบาป ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง  แต่ภายในของฉันเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ฉันเป็นคนใหม่ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            “เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น” คือความทุกข์ในร่างกาย บนโลกใบนี้ ที่เราเห็นอยู่ เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน เหมือนเงา แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น คือร่างกายใหม่ ที่ตะกี้นี้บอกไว้ คือพระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายในเรา และวิญญาณของเราข้างใน เต็มไปด้วยสง่าราศี และพระสิริของพระเจ้านั้น ในพระคัมภีร์บอกว่าเป็นถาวรนิรันดร์ มันอยู่ตลอดไป เอเมน สง่าราศีแห่งร่างกายใหม่ และชีวิตใหม่ของเรา ในอีกไม่ช้า หลังความตาย มันยิ่งใหญ่มหาศาล เป็นลูกของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเลย  เทียบอะไรกับโลกใบนี้นับถอยหลังอยู่ ทั้งตัวเราเองก็นับถอยหลัง ร่างกายก็นับถอยหลัง โลกทั้งโลกก็นับถอยหลัง วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ก็นับถอยหลัง ทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้นับถอยหลังหมดเลย ถอยหลังไปไหน? สู่ความพินาศ

            โลกกำลังมุ่งไปสู่ความพินาศ ทั้งหมดเลย รวมทั้งผู้คนบนโลกนี้  สรรพสิ่งทั้งหลายบนโลก มหาจักรวาลทั้งหมดเลย ทั้งดวงดาว ที่เราเห็นและไม่เห็นก็ตาม มันจะล่มสลายหมดเลย  เป็นศูนย์ มันจะไปสู่ความพินาศ พระคัมภีร์เตือนเราอย่างนี้ ให้เรารีบออกไปจากโลก อย่าไปคลั่งไคล์ในโลกใบนี้และสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนโลกใบนี้  เพราะมันกำลังสูญสิ้น มันกำลังเหมือนแตงโมเน่า  ออกมาจากแตงโมเน่า เดี๋ยวสุดท้าย มันก็เละเทะหนอนขึ้น  ขณะที่ยังมีเวลาอยู่ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่รีบตัดสินใจออกจากโลก  ที่ไม่มีความหวังนี้เสียเถิด  มันอาจจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นฉับพลัน ทันใด เกินกว่าที่เราคิดก็ได้  เราคิดว่าปีนี้ผ่านไป วันปีใหม่นี้ เราเพิ่งอายุ 20 เรายังอายุน้อยอยู่ ยังมีเวลาอีกเยอะ มันไม่แน่ เพราะโลกใบนี้ มันเสียหาย มันถูกสาปแช่ง มันวิปริต มันไร้ความควบคุม มันมีแต่ความชั่วร้าย ในพระคัมภีร์บอก อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะฉะนั้น อย่าเสี่ยงดีกว่า มาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วก็มาเป็นคริสเตียน

            คริสเตียน คือคนที่อยู่ในพระคริสต์ คริสเตียน คือคนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว  ที่เป็นคนใหม่แล้ว  เพราะฉะนั้น คริสเตียนทั้งหลาย ท่านได้เกิดใหม่แล้ว  เป็นคนใหม่แล้ว

            “ฉันเป็นคนใหม่แล้ว ได้มีชีวิตใหม่ เป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้าไปตลอดนิรันดร์แล้ว ตั้งแต่เดี๋ยวนี้” ตั้งแต่ที่ท่านกำลังนั่งอยู่ตรงนี้ ที่พูดอยู่นี้ ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ เอเมน  ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นอีกแล้ว ไม่ว่าท่านจะรู้สึกอย่างไร? หรือมีความคิดอย่างไร? หรือใครจะพูดอะไรต่างๆ อย่างไร? ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าไม่มีทางเป็นอื่น เป็นอย่างนี้แน่นอน  เพราะว่ามันเป็นโลกฝ่ายวิญญาณ  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความรู้สึกของท่าน  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความคิดของท่าน  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนที่พูดให้กับท่านฟัง แต่มันเกี่ยวกับตัวของพระเจ้าเอง  ผู้กระทำผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือใครก็ตามที่วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาจะได้บังเกิดใหม่  มาได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ แล้วพระคริสต์ก็เข้าไปสถิตอยู่กับเขา เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วก็รอรับร่างกายใหม่ในสวรรค์นิรันดร์ จบ

            ทำอย่างเดียว  คือแค่เชื่อวางใจ เชื่อและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างนี้จะเกิดขึ้น  ใน 2 โครินธ์ 5:17 ได้บอกอย่างนี้เลยว่าเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ก็คือเป็นคริสเตียนแล้ว ออกจากโลกนี้แล้ว มาอยู่ในโลกใหม่ ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  แต่ในโลกวิญญาณ เราได้ถูกย้ายมาอยู่ในโลกใหม่ ที่เรียกว่าโลกพระคริสต์ ของพระคริสต์ หรือว่าในพระคริสต์ ย้ายออกจากในโลก มาสู่ในพระคริสต์  เป็นผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ 2 โครินธ์ 5:17 ได้บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่ ) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            “ฉะนั้น ผู้ใดที่อยู่ในพระคริสต์” ก็คือผู้ใดที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือคริสเตียนนั่นเอง ฉะนั้น คริสเตียน เขา หรือคุณ หรือท่าน ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ ภาษาเดิมตรงนี้ ใช้คำเดียวกับการเนรมิตสร้าง  ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา ในปฐมกาล ใช้คำเดียวกันเลย เนรมิตสร้าง

            ถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ทันทีทันใดนั้น  ในโลกของฝ่ายวิญญาณ ท่าน คือคริสเตียน อยู่ในพระคริสต์ ท่านเป็นผู้ที่ได้ถูกเนรมิตสร้างขึ้นใหม่ เป็นคนใหม่ที่ผมบอก เดี๋ยวจะดูว่าใหม่ขนาดไหน?  “สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป  สูญสิ้นไป  ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น” นี่กำลังพูดถึงตัวเรา  คริสเตียน ผู้ที่เชื่อพระเจ้า  เชื่อพระเยซูคริสต์ แล้วก็เดินอยู่บนโลกใบนี้  ถูกไหม? นึกภาพนะ  คริสเตียน คือคนที่เชื่อพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในโลกวิญญาณ แล้วก็ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ทุกสิ่งทั้งหมด ใหม่เอี่ยมทั้งสิ้น มองดูตัวเองใหม่

            สิ่งเก่าๆ ทั้งหมด คืออะไร? มนุษย์ประกอบไปด้วยวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย สิ่งเก่าทั้งหมด คือวิญญาณ จิตใจและร่างกาย กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งหมด สิ่งใหม่ทั้งหมด คือวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย ทุกคนสงสัย อ้าว! ร่างกายดูในกระจก ยังเหมือนเดิม คือวิญญาณเกิดใหม่ วิญญาณข้างใน เหมือนพระเยซูคริสต์เลย เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ เหมือนพระเยซูคริสต์ จิตใจเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ในวิญญาณมีใจ จิตใจก็คล้ายๆ ความคิด เหมือนพระเยซูแล้ว วิญญาณเหมือนพระเยซูแล้ว จิตใจเหมือนพระเยซูแล้ว ร่างกายเดิม ตรงนี้สำคัญมาก ร่างกายยังคงเป็นร่างกายเดิม  ที่จะต้องทรุดโทรมไปตามกฎของโลกใบนี้  แต่เป็นร่างกายเดิมที่ได้ชำระให้บริสุทธิ์ใหม่แล้ว ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไร้มลทิน ไร้ตำหนิใดๆ  ที่พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ดีพร้อม พอใจ และรับได้ สามารถเข้ามาอาศัยอยู่ สถิตอยู่ในร่างกายนี้ได้ คือร่างกายนี้กลับคืนดีกับพระเจ้าแล้ว ตั้งแต่วิญญาณ  จิตใจ  และร่างกายได้ พอชำระเรียบร้อยแล้ว  รับได้ คำว่า “พระเจ้าพอใจ” ไม่ใช่เราทำดี แล้วพระเจ้าพอใจ  พระเจ้าเป็นผู้ทำเอง  ทำให้ร่างกายสะอาด แล้วจนพระองค์เข้ามาอยู่ได้ แล้วร่างกายเราจะสะอาดได้อย่างไร? ก็เพราะว่าวิญญาณใหม่ จิตใจใหม่เหมือนพระเยซูแล้ว ร่างกายได้รับการชำระโดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์แล้ว ปกคลุมไปด้วยพระเจ้าทั้งหมด สะอาดหมดจด นี่คือตัวท่านทั้งหลายที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ นี่คือคริสเตียน

            คริสเตียนต้องรู้ว่าเราเป็นใคร? ฉันเป็นคนใหม่แล้ว  ไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไรก็ตาม  ไม่ว่าคนข้างๆ จะชี้ท่าน บอกท่านว่าเป็นใครก็ตาม ไม่ว่าท่านจะรู้สึกว่าวันนี้ทำไม่ดีเลย หรือรู้สึกว่าไม่สมควรเป็นลูกพระเจ้าเลย หรือรู้สึกวันนี้ไม่มีความเชื่อเลย ท่านก็ยังเป็นอยู่อย่างนี้ มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว  เพราะว่ามันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติของท่าน การกระทำของท่าน มันเกี่ยวกันกับพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้ท่านเป็นอย่างนี้  เนื่องจากท่านวางใจในพระบุตร พระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงส่งมา นี่คือข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ข่าวประเสริฐของพระเจ้าอย่างแท้จริง  ง่ายๆ  แล้วดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทำอะไร?  รอรับร่างกายใหม่ ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่มีผิดเลย  ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ที่ได้ทรงสถิตอยู่กับเราแล้วนั้น  จะเป็นผู้เนรมิตให้เราทั้งหลาย เข้าไปอยู่ในร่างกายใหม่  ร่างกายที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  แทนร่างกายที่เดินบนโลกใบนี้  สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์นี้  ทุกคนคงคิดว่าสวมเมื่อไร? สวมเมื่อจากไป แล้วต้องไปรอคอยพระเยซูกลับมาหรือ? เปล่าเลย สวมทันทีเมื่อวิญญาณท่านออกจากร่าง ทันทีที่ท่านหมดลมหายใจ จากโลกนี้ ทันทีทันใดท่านเปลี่ยนมิติสู่มิติฝ่ายวิญาณ  พอเปลี่ยนมิติปุ๊บ ท่านจะเห็นใคร?  ท่านรู้อยู่แล้วว่าขณะที่ท่านอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณท่านเป็นเหมือนพระเยซู จิตใจท่านเป็นเหมือนพระเยซู พระเจ้า 3 พระภาคสถิตอยู่กับท่าน พอเปลี่ยนมิติเข้าไปสู่โลกวิญญาณ เพียงแต่ท่านเปลี่ยนร่างกายให้เป็นร่างกายสวรรค์

            ร่างกายสวรรค์มีความสามารถในการมองดูสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในสวรรค์ได้ ตอนนี้เราดูไม่ได้ เพราะว่าร่างกายเราเป็นร่างกายเรือนดินธรรมดา แต่พอเปลี่ยนเป็นร่างกายสวรรค์ปุ๊บ เรามองเห็นหมดเลย  เห็นใครก่อน เห็นพระเยซู  เพราะพระเยซูอยู่กับเรา  เราจะเห็นพระคริสต์ และในพระคัมภีร์บอกเมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฎ

            คำว่า “ปรากฏ” ตรงนี้ หมายถึงได้เห็น  ไม่ใช่ปรากฏว่าจะมาให้เห็นหรือไม่เห็น ไม่ใช่ หมายถึงว่าเมื่อพระคริสต์ปรากฏ เมื่อเราทั้งหลายเผชิญหน้ากับพระคริสต์ทันทีทันใดนั้น  เราได้สวมร่างกายใหม่ พร้อมๆ กัน เราจึงเห็นพระคริสต์หน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง  และเห็นตัวเองหน้าต่อหน้าด้วย  คือเห็นตัวเองตามความเป็นจริงด้วย  เห็นตัวเอง เหมือนดูในกระจกเงา เรามีร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์อย่างนี้เอง  มันเหลือเชื่อนะ มันง่ายอย่างนี้หรือ?  ก็มันง่ายอย่างนี้สิ  มันง่ายจนกระทั่งพระเยซูบอกมันเป็นทางแคบ  สำหรับมนุษย์บนโลกใบนี้  ที่ต้องคิด หาทางไปอยู่ในสวรรค์ พยายามๆ ไปสวรรค์ไปยากมากเลย ต้องทำอันโน้นอันนี้ แต่พระเยซูบอกไม่ต้องทำอะไรเลย วางใจในเราอย่างเดียว แล้วไปสวรรค์เลย เป็นไปได้อย่างไรล่ะ คนเราต้องช่วยเหลือตัวเองต่างๆ เหล่านั้น ตัวเองช่วยได้เพียงอย่างเดียว คือวางใจในพระเยซูคริสต์

            ซึ่งขบวนการเหล่านี้ พระเจ้าได้ประกาศตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์และโลกใบนี้ล้มลงไปในความบาป  ล้มไปในความวิปริต ล้มไปในความสาปแช่ง  หลุดออกจากพระสิริของพระเจ้าไปตั้งแต่สมัยอาดัม พระเจ้าวางแผนการเหล่านี้ทั้งหมด ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อมาช่วยกู้มนุษย์ พระเจ้าประกาศคำสัญญา  และสาบานด้วยตัวของพระองค์เองเลยว่าพระองค์จะทำอย่างนี้  ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป โลก และสรรพสิ่งบนโลก ล้มลงไปในความบาปเช่นเดียวกัน คือล้มลงไปในความตาย  ความสูญสิ้น  ไม่มีพระเจ้าอยู่ ก็คือล้มลงไปสู่ความหายนะ พินาศ ที่ตะกี้นี้บอก ทั้งโลกใบนี้ ทั้งสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ วิ่งไปสู่ความพินาศ ที่พระเจ้าจะไปช่วยกู้มา กู้ทั้งโลกใบนี้ ทั้งสรรพสิ่งบนโลกใบนี้  และกู้ทั้งมนุษย์กลับคืนมาสู่พระองค์ นั่นคือแผนการของพระองค์ที่วางไว้  ตั้งหลายพันปีก่อน ที่พระองค์จะกระทำให้สำเร็จ แผนการของพระองค์บอกมาตลอดเลย

            ในหนังสือของชาวคริสเตียนบอกมาตลอดเลย ที่เราเรียกว่าพระคัมภีร์เดิม คือก่อนที่พระเยซูคริสต์จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย พระคัมภีร์เดิมจะบอกถึงแผนการของพระเจ้าอย่างนี้ นี่คือคำสัญญากับสาบานที่พระเจ้าให้ไว้ว่าจะช่วยกู้มนุษย์ให้สำเร็จให้ได้อย่างนี้  พูดตั้งแต่ปฐมกาลมาจนถึงมาลาคี และจนกระทั่งถึงพระกิตติคุณ 4 เล่ม ในพระคัมภีร์ใหม่  จนกระทั่งจบพระเยซูบนไม้กางเขน แล้วพระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” นั่นแหละ  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมวลมนุษย์ และเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

            คำสัญญาและสาบานนั้น  คือสิ่งที่ตะกี้เราคุยกันว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว 2 โครินธ์ 5:17 เราได้ถูกสร้างแล้ว เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นคนใหม่

            “ฉันได้เป็นคนใหม่ในพระคริสต์แล้ว สำเร็จแล้ว”

            มนุษย์ทุกคนสามารถเป็นคนใหม่ในพระคริสต์ได้แล้ว  เกิดใหม่ได้แล้ว  ตามสัญญาและคำสาบาน  ที่พระเจ้าได้ให้ไว้ตั้งนานแล้ว ที่จะกู้มนุษย์ กลับคืนดี กลับมาสู่พระองค์ได้ ยกตัวอย่างอันหนึ่งให้เห็น หนังสือเอเสเคลีย 36:25-27  คือหนึ่งในจำนวนเยอะแยะมากมาย ที่บอกไว้ถึงแผนการของพระองค์ พระองค์จะทำอย่างนี้แหละ  แลทำสำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  ลองอ่านดู …

        เอเสเคียล 36:25-27 “25 เราจะประพรมน้ำชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้า จากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 จะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเรา ไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

            นี่บันทึกไว้ประมาณ 6-7 ร้อยปี ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน “เราจะชำระน้ำบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด  เราจะชำระล้างเจ้าจากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวง” ก็คือจากความบาป “จะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า” เห็นไหม ให้ใจใหม่  “และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า” วิญญาณเห็นไหม เหมือนตะกี้นี้ไหม?  “เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ” ใจหิน ก็คือการเป็นศัตรู ดื้อ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า  โดยไม่รู้ตัว มันเป็นธรรมชาติ  เกิดมาเป็นอย่างนั้น เกิดมาเป็นคนบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า คือไม่ชอบ  ไม่ทำตามพระเจ้า จะตามใจตัวเอง  พูดง่ายๆ ว่า “ฉันใหญ่” อะไรก็ “ฉันๆๆๆ” “ฉันจะช่วยตัวฉันเอง” อะไรแบบนี้ ซึ่งพระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์มาเป็นแบบนั้น  พระองค์สร้างมนุษย์มาให้พึ่งในพระองค์  แต่มนุษย์กลายเป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ “และให้เจ้ามีใจเนื้อ” ใจเนื้อ หมายถึงใจที่เชื่อฟัง เมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว ก็จะเป็นใจเนื้อ  ก็คือมีจิตใจที่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นลูกเล็กๆ ที่เชื่อฟัง  ไม่ใช่เราเป็นคนดี แล้วเชื่อฟังพระเจ้า  เปล่าเลย พระเจ้าเป็นผู้ที่สร้างเราเป็นผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้าเลย เชื่อฟัง เป็นของประทานจากพระเจ้าให้อยู่ในวิญญาณของเรา ใจเนื้อ คือใจที่ไม่ดื้อ ตรงกันข้ามกับใจหิน  ใจหิน คือใจที่ดื้อ ไม่ได้ตั้งใจจะดื้อ แต่มันดื้อโดยธรรมชาติ มันเกิดมาดื้อ  เกิดมาเป็นศัตรูกับพระเจ้า กับเกิดมาเป็นลูกพระเจ้า มันต่างกัน แต่ทั้ง 2 อย่างเป็นเหมือนกัน ไม่ต้องฝึก มันเป็นเอง

            ข้อที่ 27 “เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า” เห็นไหม?  ตะกี้นี้เรามีจิตใจใหม่  วิญญาณใหม่  และพระเจ้ามาอยู่กับเรา นี่พูดไว้ทั้งหมดในพระคัมภีร์เดิม  จะพูดถึงแผนการของพระเจ้าที่กระทำ “เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า  โน้มนำเจ้าให้ทำตามกฎหมายของเรา” เห็นหรือยัง?  “โน้มนำเจ้า” ก็คือทำให้เจ้าเชื่อฟังต่อคำสอนของเรา  ประพฤติตามที่เราต้องการ ถามว่าใครรับผิดชอบ? โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตาม  ใครเป็นคนโน้มนำ เราเป็นคนโน้มนำตัวเองไหม? ไม่ใช่ เห็นหรือยัง ใครโน้มนำ พระเจ้าโน้มนำเราจากสวรรค์หรือเปล่า?  เราต้องอธิษฐานไกลๆ ไหม? พระเจ้าโน้มนำเรา ใส่วิญญาณภายในเรา  โน้มนำจากข้างใน วิญญาณของพระเจ้าและวิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ข้างในนี้ ตอนที่เราดื้อ เพราะเราหลงไป เราถูกระบบของโลกนี้หลอก  ถูกมารที่ใช้ระบบของโลกนี้  ใช้ความไม่รู้ของเราหลอกให้เราทำ แล้วบางครั้งหลอกเราว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าให้เราทำ  น้ำพระทัยพระเจ้าอยู่ในใจของเรา  พระเจ้านำพาเราข้างใน

            “และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา” ใส่ใจ คือตั้งความคิดจิตใจที่จะเชื่อฟังพระเจ้าตลอดเลย เพราะฉะนั้น พอทำอะไรไม่ถูกต้อง  ไปโกรธ ไปเกลียด ไปดุด่าชาวบ้านเขา ไม่มีความรัก  จิตใจจะอยู่ไม่สุขเลย เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะทำ  เห็นไหม? นี่แหละคือสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้สาบานว่าจะทำ และทำสำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

            เมื่อมนุษย์ผู้ใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อใครเชื่อตามนี้ คือข่าวดี   ก็คือมนุษย์ผู้ใดเชื่อว่าข่าวดีนี้เป็นจริง เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา ต้อนรับข่าวดีนี้ เขาก็ได้เกิดใหม่  เป็นคนใหม่ในพระคริสต์ ตอนนี้ท่านจะรู้แล้วว่าคำว่า “คนใหม่” คือทั้งวิญญาณก็ใหม่ ใจก็ใหม่  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ร่างกายเดิม แต่ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจด ใหม่เอี่ยม  รีไซเคิล และพระเจ้าไม่ได้ทำแค่ให้พระวิญญาณของพระองค์สถิตอยู่กับเราเท่านั้น แต่พระองค์ทรงให้วิญญาณใหม่กับเรา นึกออกใช่ไหม? วิญญาณใหม่ คือเนรมิต  สร้างใหม่เลย ไม่ใช่วิญญาณเดิม แล้วมาแก้ไขให้ใหม่  ไม่ใช่ เพราะว่ามนุษย์ถูกสร้างมา ประกอบไปด้วยร่างกาย จิตใจและวิญญาณ

            นี่เป็นหลักการที่พระเจ้าสร้างมนุษย์นะ ตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ คือวิญญาณและใจที่อาศัยอยู่ในเรือนดิน คือร่างกาย นี่คือส่วนประกอบของมนุษย์ คนๆ หนึ่ง มนุษย์ที่เกิดมาในโลก ล้วนเป็นวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า  เป็นบาปอยู่ ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป อยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตาย  เป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า ดื้อต่อพระเจ้า โดยการเป็นธรรมชาติดื้อ  แต่เมื่อใครก็ตามที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็เข้ามาย้ายเขา โดยการผ่าตัดวิญญาณของเขา จับวิญญาณของเขาที่เป็นคนบาป ที่ ตายจากพระเจ้าแล้ว เอาวิญญาณเข้ามาบัพติศมา ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในการตายของพระองค์ ที่บนไม้กางเขน

            ซึ่งเราได้เรียนเรื่องเกี่ยวกับบัพติศมา การเข้าไปมีส่วนร่วม เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ตายไปพร้อมกับพระองค์เลย  ตัวเก่าเราตายไปพร้อมกับพระองค์ที่ไม้กางเขน  และเมื่อตายไปพร้อมกับพระองค์ที่ไม้กางเขน  วันที่สามพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย พูดง่ายๆ ว่านำวิญญาณเก่าของเรา เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ แล้วก็เข้าสู่ขบวนการถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน  และถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พร้อมกับพระเยซูคริสต์ เราจึงได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ มีวิญญาณใหม่ มีใจใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่ง เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง  เป็นพี่น้องร่วมครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทุกอย่าง อยู่ในครอบครัวเดียวกัน พระเจ้ารักเราเท่าๆ กับรักพระเยซูคริสต์ เหมือนกันเลย

            เพราะฉะนั้น ความต้องการภายในจิตใจ  แรงจูงใจที่อยู่ในใจของคริสเตียนทั้งหลาย ก็จะเป็นใหม่ทั้งสิ้น เหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ วิญญาณและใจใหม่ของเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงเหมือนเมื่อตะกี้บอกว่ารีไซเคิล ไม่ใช่ ร่างกายของเราตอนอยู่บนโลกใบนี้ รีไซเคิล แต่วิญญาณและใจมันใหม่เอี่ยมแล้ว  ผมจึงใช้ชื่อเรื่องว่า “ฉันเป็นคนใหม่ในพระคริสต์” คนใหม่ ก็คือวิญญาณใหม่แล้ว ใจใหม่แล้ว  ร่างกายใหม่แบบรีไซเคิล เดี๋ยวรออีกแป๊บหนึ่ง ใหม่จริงๆ มีอยู่ แต่ตอนนี้ยังรีไซเคิลอยู่

            “ฉันมีวิญญาณใหม่ ใจใหม่ ร่างกายใหม่”

            ใหม่ รู้นะ ตะกี้นี้อธิบายแล้วนะ ซึ่งทั้งวิญญาณ  ทั้งจิตใจ และร่างกายนี้ จากเดิมที่สกปรกอยู่ ตรงข้ามกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า กลายมาเป็นอัศจรรย์ คือกลายมาเป็นเหมือนพระเจ้า  เหมือนพระเยซูคริสต์ มีความต้องการ มีความดีงาม มีความบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเยซู และเมื่อสะอาดบริสุทธิ์ ได้รับการชำระจากพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ จากการไถ่ของพระเยซูแล้ว ไร้ตำหนิแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้ อยู่ในร่างกายของเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา กับวิญญาณของเรา  ที่เกิดใหม่นั้นได้ทันที  ท่านจะได้รู้ว่าขณะที่ท่านนั่งอยู่นี้  ท่านเดินอยู่บนโลกใบนี้  วิญญาณท่านก็ใหม่ ใจท่านก็ใหม่ ร่างกายก็ใหม่ สะอาดหมดจดแล้ว และพระวิญญาณก็สถิตอยู่กับท่านทันที เดินอยู่ด้วยกัน เมื่อวานนี้ยังทำไม่ดีเลย เมื่อวานนี้ยังคิดไม่ดี เมื่อวานนี้ยังโกรธ ยังดุด่า ยังโลภอยู่เลย แล้วจะอยู่กับเราได้อย่างไร? อยู่ก็แล้วกัน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  ก็ต้องเชื่อตามพระคัมภีร์

            คริสเตียนจึงกลายเป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า  และเป็นวิหารของพระเจ้า แม้กระทั่งร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ ให้บริสุทธิ์ ที่พระเจ้าสามารถรับได้แล้ว เดี๋ยวนี้ บนโลกนี้เลย ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ในหนังสือโรม 12:1-2 พระเจ้าสถิตอยู่กับเราได้ เพราะร่างกายของเรา อวัยวะทั้งหมด ในร่างกายเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองของเราทั้งหมด ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจด ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์แล้ว  แยกส่วนถวายแด่พระองค์ พระเจ้ารับได้แล้ว พระเจ้าจึงเข้ามาอยู่กับเราได้ เอเมน

            ถ้าผมจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบ  จะให้เห็นชัดขึ้น ร่างกายเหมือนขวดน้ำ นึกถึงขวดน้ำ ที่ผมยกตัวอย่าง สมัยเด็กๆ เขาจะมีคนขายขวดน้ำเก่า ภาษาจีนเขาจะเรียกว่าจิ๋วก๊วกมาขาย “จิ๋วก๊วก” แปลว่าขวดเหล้าเก่า ใครมีขวดเหล้าเก่ามาขาย เขาก็จะเดินไปตามบ้านชาวบ้านว่าใครมีขวดเก่าๆ มาขาย  เขาก็เอาออกมา แล้วมาซื้อห้าสิบสตางค์บ้าง สลึงหนึ่งบ้าง อันใหญ่หน่อย ก็บาทหนึ่งบ้าง อะไรแบบนี้  แล้วเขาซื้อไปทำไม? เขาซื้อเอาไปรีไซเคิล เอามาใช้ใหม่  เห็นภาพแล้วนะ

            ร่างกายเหมือนขวดน้ำเก่า ที่เขาทิ้ง หนักเลยคราวนี้ ไม่ได้อยู่บ้านนะ อยู่ในโคลน พระเจ้าซื้อมาด้วยราคาแพง ซื้อมาด้วยชีวิตของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระโลหิตของพระเยซู ซื้อมาล้างให้สะอาด  พาสเจอร์ไรท์อย่างดี นึกออกใช่ไหม? เอาโคลนออกไป  แล้วใส่น้ำดื่มบริสุทธิ์ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์  ในขวดเก่าที่ได้รับการชำระ พาสเจอร์ไรท์แล้ว เห็นภาพไหม?  แล้วพระองค์ก็ปิดฝา โรงงานก็ปิดฝาแน่นเลย  เปิดไม่ได้แล้ว  ผนึกตราอย่างสนิท ห้ามเปิดเด็ดขาด ผนึกด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า นี่คือพระคัมภีร์

            เราเหมือนขวดน้ำเก่าๆ ไม่ใช่เก่าอย่างเดียว อยู่ในโคลน พระเจ้าจัดการหมดเลย  เอาโคลนออกไป ใส่น้ำบริสุทธิ์เข้ามา  ขวด มันยังเป็นขวดเดิมอยู่ แต่พาสเจอร์ไรท์ มันยังใช้ได้อยู่ ใช้ไปก่อน  เดี๋ยวจะมีเวอร์ชั่นใหม่ อีกไม่นานจะมีสินค้าตัวใหม่ เมื่อจากโลกใบนี้ไปแล้ว สินค้าตัวใหม่มาทันทีเลย  น้ำเดิม แต่ขวดใหม่เอี่ยมเลย ขวดเก่าทิ้งไปเลย ฝังดินไปเลย  เอาขวดใหม่ไปเลย ขวดใหม่ สร้างขึ้นใหม่เอี่ยมเลย โคโลสี 1:13 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

            ทั้งหมด ขบวนการไถ่ของพระเยซูคริสต์ การทำให้เราเป็นคนใหม่  ที่พระเจ้าได้กระทำให้กับเราแล้วนั้น  ก็คือตรงนี้แหละ  คือได้ย้ายเราเข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ที่เรียกว่าสวรรค์ หรือที่เรียกว่าในพระคริสต์ ในสวรรค์ก็ได้ ในพระคริสต์ก็ได้  ในโลกฝ่ายวิญญาณก็ได้ เพราะในโลกฝ่ายวิญญาณมีที่เดียวเท่านั้น  ก็คือมีของพระเจ้าเท่านั้น  พอนึกถึงโลกฝ่ายวิญญาณปุ๊บ อย่าไปนึกถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่ามีมาร มีอะไร?  โลกฝ่ายวิญญาณเป็นของพระเจ้า พูดง่ายๆ  เป็นของพระเจ้า และเป็นของพระคริสต์  เพราะพระเจ้ามอบสิทธิอำนาจทั้งหมดให้กับพระคริสต์แล้ว

            เพราะฉะนั้น เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ หรือที่เรียกว่าในพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด บนโลกใบนี้ พอเปิดใจทันทีปั๊บ ขบวนการจิ๋วก๊วกมาขายทันทีเลย ได้รับแล้ว ขบวนการพาสเจอร์ไรท์  ขบวนการเอาโคลนออก ใส่น้ำบริสุทธิ์เข้าไป  ทำทันที เป็นขบวนการที่เสร็จทันทีเลย ไม่ต้องรอเวลาว่าเดี๋ยวค่อยๆ ล้างเอาโคลนออกทีละนิด ทีละปี ปีนี้ล้างออกๆ ไม่ใช่ เปลี่ยนทันทีเลย  ใส่วิญญาณใหม่ทันที ทุกอย่างทำครบเรียบร้อยหมด  อย่างที่บอกตะกี้นี้

            เพราะฉะนั้น เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้รับการชำระ แยกออกมาจากโลกเลย ถ้าพูดถึงตัวอย่างเมื่อตะกี้ คือแยกออกมาจากโลกนี้ โลกนี้ก็คือบ่อโคลน  แยกออกมาจากบ่อโคลน  พระเจ้าซื้อหมดนั่นแหละ ในบ่อโคลนนั้น ขวดทั้งหมด ซื้อผ่านทางพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ซื้อหมดแล้ว มนุษย์ทุกคน  แต่ขึ้นอยู่กับขวดเหล่านั้นยอมไหม? ยอมให้ผู้ซื้อเอาไปใช้สอยหรือไม่? ถ้าไม่ยอม พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้  เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือยอม ยอมก็ได้รับการชำระ แยกออกมาจากโลก ซึ่งตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเราหรือขวดนั้น ก็ไม่ได้เป็นของโลกนี้อีกต่อไป ขวดนั้น ก็ไม่ได้เป็นของบ่อโคลนตมอีกต่อไป  แต่เป็นของพระเจ้า  เป็นพลเมืองของสวรรค์ เป็นพลเมืองที่อยู่ในพระคริสต์ เป็นขวดใหม่ที่อยู่ในพระคริสต์ เป็นคนใหม่ที่อยู่ในพระคริสต์ นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ต้องย้ำมากๆ เพราะว่ามันไม่เห็น พูดถึงความหวังในอนาคต เมื่อไม่เห็น เชื่อฟังเอา  แต่ในโลกนี้ บางทีมันฝืน มันฝืนกับเรา เราอยู่ในพระคริสต์อย่างไรนะ เราเป็นคนใหม่แล้วหรือ! มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

            และเราถูกนับว่าเป็นพลเมืองของอาณาจักรสวรรค์ ตั้งแต่ที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว ขณะนี้เราเป็นคนของสวรรค์ เป็นประชากรของสวรรค์และจะอาศัยอยู่ในอาณาจักรสวรรค์นี้ อยู่กับพระเจ้า ตั้งแต่โลกใบนี้ จนถึงโลกหน้า ตลอดนิรันดร์

            “ฉันอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระคริสต์ มีชีวิตนิรันดร์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไปจนถึงโลกหน้า นิรันดร์”

            มันเป็นอย่างนี้จริงๆ  ตัวเก่า คนเก่า ตัวบาปของเราได้ตายไปแล้ว สูญสิ้นไปแล้ว ทุกวันนี้ ที่มีชีวิตอยู่ เป็นตัวใหม่ คนใหม่ อยู่ในพระคริสต์ ในสวรรค์ ในพระเจ้า ทุกวันนี้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย  และกำลังเดินทางไปรับร่างกายใหม่  ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และครอบครองโลกใหม่ และสรรพสิ่งที่จะทรงสร้างขึ้นใหม่ ทดแทนโลกใบนี้  และสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ที่จะสูญสิ้นไป ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ตลอดไปชั่วนิรันดร์  ขอบคุณพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น สำหรับพี่น้องที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็คือพี่น้องร่วมโลกนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกัน  พี่น้องที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังสุขสันต์วันปีใหม่ แต่เป็นคนเก่า วิญญาณเก่า ใจเก่าอยู่ พระเจ้าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของท่านด้วยเช่นเดียวกันกับเรา  พระองค์ได้วิงวอนขอร้องท่านให้กลับมาคืนดีกับพระองค์ซะ  โดยการวางใจเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระองค์ทรงประทานให้กับท่าน  เพื่อท่านจะได้บังเกิดใหม่ มาเป็นคนใหม่ในคริสต์ พระองค์ทรงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ขบวนการทั้งหมด ท่านเพียงแต่ตอบรับว่า …

            “เอเมน ฉันจะเอา ฉันจะรับ ฉันจะต้อนรับ ฉันยอมๆ”

            ท่านไม่ต้องทำอะไรอีกเลย แม้แต่นิดเดียว ส่วนพี่น้องที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย พี่น้องจริงๆ ที่จะอยู่ด้วยกันในสวรรคสถานนิรันดร์ ในครอบครัวของพระเจ้า  ก็ขอสุขสันต์วันปีใหม่ และสุขสันต์นิรันดร์ ที่ท่านได้เป็นคนใหม่ ในวิญญาณใหม่ ที่กำลังเจริญเติบโตรุ่งเรือง ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ในสวรรคสถาน พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            บทบัญญัติ คือกฎหมายทางศีลธรรม ที่พระเจ้าเขียนไว้ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคน เราจึงรู้ดีรู้ชั่ว

            “บทบัญญัติ” หมายถึงกฎหมายทางศีลธรรม กฎแห่งการกระทำดี กระทำชั่ว กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งพระเจ้าเขียนไว้ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิด และมนุษย์พยายามเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตร่วมกันบนโลกใบนี้ ให้เต็มไปด้วยความสงบสุขมากที่สุด

            “ผู้ชอบธรรม” หมายถึงผู้ที่ปฏิบัติตามกฎแห่งกรรมนี้ได้ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีผิดพลาดเลย แม้แต่ข้อเดียว

            ความจริงที่พระเจ้าเปิดเผยในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล …

            กาลาเทีย 3:10-11 … “10 คนทั้งปวงที่พึ่งการทำตามบทบัญญัติ  ก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคน ที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ” 11 เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยบทบัญญัติ เพราะว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิต โดยความเชื่อ”

            ยากอบ 2:10 … “เพราะผู้ใดทำตามบทบัญญัติทั้งหมด แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิดเท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด”

            โรม 3:20 … “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1450

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  ธันวาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 33

โดย วราพร  คงล้วน

            เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส 5:21 …

            เอเฟซัส 5:21 “จงยอมเชื่อฟังกันและกัน  เนื่องด้วยใจเคารพยำเกรงพระคริสต์”

            เราเห็นข้อที่ 21 ปุ๊บ  ตัดช๊อตมาที่ข้อ 22  เราก็งงว่าทำไมอาจารย์เปาโลถึงได้เขียน มันไม่ได้โยงอะไรกันเลย  แต่ว่าการเขียนของอาจารย์เปาโลตรงนี้มีความหมาย เราเอาข้อที่ 24 ก่อน

        เอเฟซัส 5:24 “คริสตจักรยอมเชื่อฟังพระคริสต์อย่างไร ภรรยาก็วรยอมเชื่อฟังสามีทุกเรื่องอย่างนั้น”

            อาจารย์เปาโลให้เราทุกคน ขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ก่อนหน้านั้นที่เขียนไว้ แล้วให้เราขอบคุณในทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ ก็คือพระพรนานัปการ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดกระทำให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว  ณ ที่สวรรคสถาน พวกเราทุกคนได้นั่งอยู่ที่นั่น  นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ถ้าเราอ่านจากหนังสือเอเฟซัส ตั้งแต่บทที่ 1 มาถึงบทที่ 5 เราจะเห็นภาพทั้งหมดเลยที่อาจารย์เปาโลพยายามอธิบายให้เรา เห็นภาพชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว

            พระพรนานัปการที่พระเจ้าให้กับเรา มีอะไร? ทันทีที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เราได้บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ในขณะเดียวกัน เราได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เราได้หลุดพ้นจากคำสาปแช่งทั้งหมด เราได้รับชีวิตนิรันดร์ เป็นชีวิตแบบเป็นเหมือนพระเจ้าเลย ตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนที่มนุษย์ล้มลงในความบาป เป็นชีวิตแบบนั้นเลย ดีกว่าอีก ดีกว่ายุคของอาดัมกับเอวาตอนที่ยังไม่ล้มลงในความบาป พระเจ้าให้เขามีพระสิริของพระเจ้า  เมื่อล้มลงในความบาป พระสิริของพระเจ้าหายไป พระเจ้าเตรียมแผนการ เป็นหลายพันปี จนพระเยซูคริสต์มาทำสำเร็จ แล้วบัดนี้ พระสิริของพระเจ้าได้เข้ามาอยู่ด้วยกับพวกเรา สิ่งที่สำคัญที่สุด คือในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่ายุคของพระเยซูคริสต์เป็นยุคพระคุณ เป็นยุคที่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์เลย  ก็คือพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา  เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งเมื่อก่อน ก่อนที่อาดัมกับเอวาล้มลงในความบาป พระเจ้าไม่ได้เข้ามาอยู่ในเขา พระเจ้าแค่วนเวียนมาทักทายตอนเย็น

            “อาดัมเป็นอย่างไร เจ้าสบายดีไหม?”

            เหมือนพ่อกับลูกคุยกัน แต่หลังจากที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าเห็นว่ามนุษย์อ่อนแอ มนุษย์ไม่สามารถมีกำลังพอที่จะดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าต้องการได้ พระองค์เลยเปลี่ยนแผนตอนนี้เปลี่ยนแผนใหม่แล้ว พระเจ้าไม่ทำสัญญากับมนุษย์ แต่พระเจ้าทรงกระทำสัญญา ด้วยตัวพระองค์เอง กับพระองค์เอง ก็คือไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับมนุษย์ในยุคพระคุณนี้ ไม่ว่าเราจะทำผิดขนาดไหนก็ตาม พระเจ้าให้อภัยเราหมดแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ พระองค์บอกบาปของเจ้าได้ถูกชำระจนหมดสิ้นแล้ว  บาปทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ถูกชำระหมดแล้ว นี่คือพระคุณของพระเจ้า แล้วอาจารย์เปาโลยังบอกกับเราว่า ณ เวลานี้ ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ตอนที่พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณให้กับมนุษย์ทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเลย พระเจ้าได้เปลี่ยนความคิด จิตใจใหม่ให้กับพวกเราทุกๆ คน

            สมัยก่อนดิฉันก็เคยเข้าใจว่าพระเจ้าให้เฉพาะผู้เชื่อ แต่ความเป็นจริง คือพระเจ้าให้หมดแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ พระเจ้าทำให้สำเร็จครบถ้วนแล้ว เพียงแต่ว่าคนนั้นที่ได้ยินได้ฟัง แล้วเขาเชื่อไหมว่าพระเจ้าทำให้แล้ว แล้วเขายอมเข้ามารับเอาของขวัญชิ้นนี้ไหม? เราขอบคุณพระเจ้าที่พวกเรายอมเข้ามารับของขวัญชิ้นนี้ เราเลยได้รับทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว  เราได้รับชีวิตนิรันดร์ตั้งแต่ขณะนี้ ที่เรายืนอยู่บนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคนไม่ต้องกังวลว่าชีวิตนิรันดร์จะหลุดหายไป จากชีวิตของเราไหม ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง หัวทิ่มหัวตำบ้าง แล้วตกลงเรายังรอดอยู่ไหม? ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราชัดเจนว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เรากับพระเจ้าบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ สามารถแยกเราออกจากพระเจ้าได้เลย  ในโลกวิญญาณขณะนี้  เรากับพระเยซูคริสต์อยู่ด้วยกัน  ติดสนิทกัน  ไม่สามารถแยกได้เลย  เป็นลูกของพระเจ้า เป็นแล้วเป็นเลย บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เกิดแล้ว เกิดเลย มันเป็นอย่างนั้น

            มาดูข้อที่ 22 ทำไมอาจารย์เปาโลถึงพูดอย่างนี้ …

        เอเฟซัส 5:22 “ผู้ที่เป็นภรรยาจงยอมเชื่อฟังสามี  เหมือนที่ยอมเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า”

            นี่อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงเรื่องของโลกวิญญาณ  ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่เข้าใจ เราก็คิดว่าอาจารย์เปาโลสอนพวกเรา  ที่ได้เชื่อวางใจพระเจ้าว่าภรรยาทั้งหลายให้เชื่อฟังสามี เมื่อก่อนดิฉันก็สอนแบบนี้ ให้เชื่อฟังสามีทุกประการ  เหมือนเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า  ถามจริง มีใครทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เชื่อฟังบ้าง  ไม่เชื่อฟังบ้าง  ดื้อบ้าง เถียงบ้าง นี่คือความเป็นจริงของการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แต่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ไม่ได้พูดถึงเรื่องการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย แต่พูดถึงในโลกวิญญาณที่มันเป็นไปแล้ว  พอเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ เราเกิดมาเป็นผู้ที่เชื่อฟังเลย โดยในวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น พระเจ้าเปรียบพวกเราทุกๆ คนผู้เชื่อ เป็นเจ้าสาวของพระคริสต์ จำได้ใช่ไหม?  เปรียบพวกเราเป็นเหมือนภรรยาของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นสามีของเรา ในโลกวิญญาณนส็็

            “ภรรยาทุกคน จงยอมเชื่อฟังสามีของท่าน เหมือนกับยอมเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า”

 พระเจ้าทำให้เสร็จแล้ว พระเยซูคริสต์ทำให้เสร็จแล้ว ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราเกิดมาเป็นผู้เชื่อฟังเลย เราเชื่อฟังพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณเป็นแบบนั้นนะ

            แต่ส่วนโลกวัตถุ ร่างกายเราที่เป็นอยู่ตรงนี้ มันไม่เกี่ยวกัน เราเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง  ส่วนใหญ่ภรรยาจะเถียงเก่งด้วย คือขอให้ได้เถียง ซึ่งมันเป็นธรรมดาของสภาพร่างกายที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ถ้าพระเจ้าพูดเน้นถึงการประพฤติ ไม่มีใครผ่านเลย จริงไหม? เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ถามใจตัวเอง เราเชื่อฟังทุกประการไหม? ไม่มีทาง ไม่มีใครสอบผ่าน

            แต่พระเจ้าไม่ได้เน้นที่การประพฤติ หมายความว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว  วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น ส่วนการประพฤติเราจะเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ไม่เป็นไร ไม่ได้มีผลอะไรกับวิญญาณของเราเลย  แม้แต่นิดเดียว  แต่สิ่งที่มันจะเปลี่ยนแปลง คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้ามากขึ้น เราเรียนรู้จักธรรมชาติใหม่ของเรามากขึ้น เรียนรู้ว่าตอนนี้วิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟังไปเรียบร้อยแล้ว เราก็จะเริ่มเชื่อฟังได้ดีขึ้น มากขึ้น ใครเถียงสามีเก่ง เริ่มเถียงน้อยลง เริ่มมีเหตุผลขึ้น อะไรประมาณนั้น เพราะว่าพระเจ้าเปลี่ยนเราจากข้างในวิญญาณ แล้วเราจะสำแดงธรรมชาติใหม่ที่เป็นความรัก ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าความรักของพระเจ้า ไม่เป็นภาระสำหรับเรา ทำไมถึงไม่เป็นภาระถ้าเราต้องพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง ภาระแน่นอน แต่อันนี้เราไม่ต้องพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง คือพระเจ้าให้มาอยู่แล้ว  แค่เรารับรู้ความจริงว่าข้างในเรา เป็นความรักนะ หยิบเอาความรักที่มันมีอยู่แล้ว ใช้ออกไปแค่นั้นเอง  ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราก็ไม่ใช้ พอเราไม่ใช้ เราก็ถูกหลอก โลกนี้ก็จะหลอกเราว่า …

            “ความรักไม่มีจริงหรอก ที่บอกว่าเสียสละ ไม่มีจริงหรอก เราต้องเห็นแก่ตัวเข้าไว้”

            นั่นคือโลกส่งมา แต่ความจริงที่พระเจ้าบอกเรา คือพระเจ้าเป็นความรัก พระองค์เป็นผู้เสียสละ เสียสละขนาดไหน? ขนาดยอมยกชีวิตของตัวพระองค์เอง มาตายแทนพวกเราทั้งหลาย บนไม้กางเขน นี่คือภาพนะ

            ฉะนั้น ในโลกวิญญาณ พวกเราเป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เป็นความรัก เป็นความดีงาม เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ อยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครสามารถแยกเราออกจากพระเยซูคริสต์ได้เลย

            พี่น้องไม่ต้องกลัวว่าถ้าการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ผิดพลาดไป แล้วเราก็ถูกสอนมา หรือเราฟังมา  ทำอย่างนี้ไม่ถูกต้องนะ พระเจ้าจะทิ้งเรา  ให้รับรู้ความจริงว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไร แบบไหน? ไม่ถูกใจพระเจ้าบ้าง ถ้าเราทำตามน้ำพระทัย พระเจ้ายิ้มเลย ทำไมพระเจ้ายิ้มรู้ไหม? เพราะพระเจ้ามีความสุข  แล้วพระเจ้ารู้ว่าลูกเราคนนี้เริ่มโต พอโต เถียงน้อยลง พอเริ่มโต เราก็เริ่มเรียนรู้ว่านี่คือธรรมชาติใหม่ของเรา ธรรมชาติใหม่ของเราเป็นความรัก เป็นความอดทนนาน เป็นการรู้จักให้อภัย นี่เป็นธรรมชาติใหม่หมดเลย  ที่พระเจ้าให้กับเรา ซึ่งเรารับรู้ความจริง เราก็อนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา ใช้เราเต็มที่  คือให้สำแดงสิ่งที่มันมีอยู่แล้ว พระเจ้าให้อยู่แล้ว ออกไปจากชีวิตของเรา ซึ่งตรงนี้ เป็นภาพ แล้วพวกเราทุกคนสามารถมองภาพได้

            ตอนมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ กับ ณ ปัจจุบัน เชื่อมาแล้ว 1 ปี 2 ปี 3 ปี 10 ปี 20 ปี มันเปลี่ยนแปลง พระเจ้าเปลี่ยนแปลงจากข้างใน เริ่มต้นที่ความคิดเราเปลี่ยน  ความคิดเดิม คือโลกนี้ส่งเข้ามาว่าเราต้องเห็นแก่ตัวนะ ไม่อย่างนั้น เราแย่แน่ แต่พระเจ้าบอกเราว่าความรัก คือการให้ เรียนรู้ที่จะให้ออกไป

            คำว่า “ให้” หลายคนก็คิดว่าเราต้องมีเงินเยอะๆ เราถึงให้ได้  ไม่เกี่ยวกัน ความรัก คือการให้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเงิน เราสามารถให้คำอธิษฐานได้ เราสามารถให้การดูแล เอาใจใส่  สมมติคนที่เขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้  เราไปให้ความช่วยเหลือเขา ไปช่วยพยุงเขา หรือช่วยบอกทางเขา นั่นคือการให้หมด ฉะนั้น มันมีแยกออกมาเยอะแยะมากมาย ซึ่งเมื่อเราเชื่อพระเจ้านานๆ ธรรมชาติตรงนี้ มันจะออกมาเอง โดยอัตโนมัติ

        เอเฟซัส 5:23 “เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยา   เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร  ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ ทั้งพระองค์ยังทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักรด้วย”

            เห็นไหม โยงมาที่พระเยซูคริสต์ ฉะนั้น พวกเราทุกคนเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน  ไม่ว่าเราเชื่อที่ไหนก็ตาม  เชื่อที่โบสถ์นี้ เชื่ออีกโบสถ์หนึ่ง เชื่อโบสถ์ที่อยู่ขั้วโลกเหนือ อยู่ต่างประเทศ  อยู่ตรงไหนก็ได้  พอเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราเป็นพี่น้องกัน  โดยอัตโนมัติ และเรารักกันเลย  โดยอัตโนมัติอีก มันเกิดทันทีที่เราบังเกิดใหม่

            สังเกตได้จาก พอเราได้ยินว่าใครเป็นคริสเตียนปุ๊บ คนนั้นอยู่โบสถ์ไหนเราไม่รู้ ไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำไป พอบอกเป็นคริสเตียนปุ๊บ ใจฟู ตื่นเต้นเหมือนเราได้เจอญาติ เราได้เจอพี่น้องของเรา  มันเป็นความผูกพันในวิญญาณ  ที่มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือแม้แต่เราขับรถ ตามรถคันหน้า เขามีรูปปลาปุ๊บ เรายิ้มเลย ยิ้มทำไม?  ไม่เห็นเกี่ยวกับเรา เราไม่รู้จักเขาด้วย  แต่เรายิ้ม เพราะมีรูปปลาสัญลักษณ์นี้ คือคริสเตียน แค่นั้นเอง มันเป็นความผูกพันในวิญญาณ ที่พระเจ้าใส่เข้ามา เรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของพวกเราทุกคน แล้วพวกเราเป็นพระกายของพระคริสต์ พอพูดถึงพระกายของพระคริสต์ปุ๊บ ร่างกายมีอวัยวะมากมาย  หลายส่วน ไม่ใช่มีอวัยวะเดียว  ถ้าร่างกายมีแต่ลูกตา ก็กลมดิ๊กเลย ไม่ใช่  หรือร่างกายมีแต่หู ก็คงตลกดี  แต่พระเจ้าสร้างร่างกายของมนุษย์ขึ้นมา  โดยมีอวัยวะทุกส่วน ที่ประกอบร่างกัน  ตา หู จมูก ลิ้น กาย มือ ขา สะดือ ตับ ไต ไส้ พุง  คือทุกส่วนในร่างกาย ประกอบกันเป็นร่างๆ หนึ่ง  โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ

            ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดให้แต่ละคนเป็นส่วนไหนของร่างกาย ตามชอบพระทัยของพระเจ้า เราเรียนไปแล้ว คุยกันแล้ว เรื่องของของประทาน ซึ่งแต่ละคนจะมีแตกต่างกัน แล้วแต่ว่าพระเจ้าจะใช้แต่ละคนแบบไหน? อย่างไร?  สิ่งที่สำคัญ คือเมื่อพระเจ้าเลือกเรา มาเป็นชิ้นส่วนนั้นแล้ว พระเจ้าจะเป็นผู้ประทานความสามารถให้กับเราด้วย ไม่ใช่พระเจ้าบอกให้เราเป็นตา แล้วไม่ให้ความสามารถในการมองเห็น  มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว  ความสามารถในการมองเห็น มันเกิดขึ้น โดยอัตโนมัติ เมื่อมีลูกตา นอกจากคนตาบอดเท่านั้น นึกออกไหม?  ฉะนั้น คนปกติเกิดมา เด็กตัวเล็กๆ  ตาอาจจะมองไม่เห็นชัด  แต่พอโตขึ้น พัฒนา ตาเขาจะสามารถมองเห็น เราเห็นเด็กทารก เวลาผู้ใหญ่เดินไปไหน เขาเห็น เขาก็จะกลิ้งตาตาม หูถูกสร้างมา เพื่อที่จะได้ยิน  ฉะนั้น ทุกส่วนในร่างกาย  มีประโยชน์หมด พระเจ้าใช้แต่ละคน ไม่เหมือนกัน  แม้แต่ตับ ไต ไส้ พุง ซึ่งเรามองไม่เห็น  แต่มีประโยชน์มาก ใช้งานอย่างดี ถ้าตับ ไต ไส้ พุง  ไม่ยอมทำงาน ร่างกายเราก็ป่วย  แม้แต่ไส้ติ่ง ดูเหมือนไม่มีประโยชน์ แต่ดิฉันเชื่อว่าน่าจะมีประโยชน์  ไม่อย่างนั้น พระเจ้าไม่รู้สร้างมาทำไม?  เพียงแต่เราไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทำอะไร? ไส้ติ่งเหมือนอะไรสักอย่างหนึ่ง ตั้งไว้เฉยๆ  ถ้าไม่มีมัน ร่างกายก็ไม่ได้กระทบกระเทือนมาก ประมาณนั้น แต่ว่าก็มีประโยชน์

            เหมือนหลายคนที่คิดว่าเรามาเชื่อพระเจ้า  แล้วเราไม่เห็นทำอะไรให้คริสตจักร ไม่เห็นทำอะไรให้โบสถ์เลย เราก็นั่งของเราเฉยๆ นั่งฟังเทศน์เสร็จ เราก็กลับบ้าน บางทีเราก็แทบจะไม่ได้ทักทายใครด้วย เพราะว่าบ้านเราอยู่ไกล มาก็ซกๆ กลับก็รีบๆ  เราก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนี้อยู่ ซึ่งพระเจ้าทรงรักทุกส่วนในร่างกายของพระองค์ และอันหนึ่งที่สำคัญ คือรักเท่ากัน พระเจ้ารักผู้รับใช้ของพระองค์ที่ยืนเทศน์อยู่ตรงนี้ เท่ากับผู้เชื่อคนหนึ่งที่มาอธิษฐาน เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระเจ้ารักเท่ากันเลย  เรารู้ได้อย่างไรว่าเท่ากัน

            พระเจ้า พระเยซูคริสต์ ไม่ได้มาตายแทนผู้รับใช้ 1 ชีวิต หรือคนนี้เป็นคนเล็กๆ พระเยซูคริสต์ตายให้ครึ่งชีวิตพอ ไม่ใช่ พระเยซูคริสต์ทุ่มสุดตัว ก็คือพระองค์ตายแทนพวกเรา มนุษยชาติทั้งหมด บนไม้กางเขน  แล้วการสิ้นพระชนม์ของเพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน ทำให้พวกเราทุกคน สามารถที่จะคืนดีกับพระเจ้าได้  โดยพระคุณ โดยความเชื่อ  ซึ่งตรงนี้สำคัญที่สุด มนุษย์เยอะแยะมากมาย ในขณะนี้  ที่อยู่บนโลกใบนี้ หลายคน ยังไม่ยอมเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพราะเขาคิดว่าเขามีความสามารถพอที่จะทำความดีได้บรรลุเป้าที่พระเจ้าตั้งไว้  ซึ่งความเป็นจริงพระเยซูคริสต์บอกไม่มีทาง ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำดีได้ครบถ้วน 100% แล้วทุกเวลาด้วย ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าให้พวกเราประกาศข่าวดีของพระองค์

            ดังนั้น การประกาศข่าวดี พวกเรามีหน้าที่อย่างเดียว ถ้าพระเจ้าเปิดโอกาส อย่าไปฉวยโอกาส โดยเราอยากทำ ไม่ใช่ มันจะทำให้คนอื่นรำคาญ  แต่ถ้าพระเจ้าเปิดโอกาสให้มีคนมาถามเรื่องของพระเยซูคริสต์ หรือเปิดโอกาสให้มีคนสนใจ  แล้วเขาอยากมาโบสถ์  เราประกาศเลย เชิญชวนเขามาเลย  เพราะว่านั่นคือโอกาสที่พระเจ้าให้กับเรา

            ส่วนคนๆ นั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไม่ขึ้นกับเราแล้ว  ไม่เกี่ยวอะไรกับเรานะ คนนั้นจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวเขากับพระเจ้าจริงๆ  เพราะพระเจ้าทำให้เขาเสร็จแล้ว แค่เขาถ่อมใจ  ยอมเปิดใจ เขาก็จะได้รับ แล้วคนๆ นั้นจะโตหรือไม่โต ก็ไม่ขึ้นอยู่กับเราอีก ถ้าพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้เราไปดูแลเขา บางส่วนบ้าง ส่งพระคัมภีร์ตอนเช้า ไปหนุนใจเขา  เห็นเขาหน้าเศร้า เราก็ไปนั่งเป็นเพื่อนเขา ทั้งหมดทั้งมวล ถ้าพระเจ้าเปิดโอกาสให้เราทำ เราทำ ส่วนการเกิดผล อยู่ที่พระเจ้าอีก

            หรือว่าแม้แต่ผู้เชื่อคนหนึ่ง  มาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาจะเจริญเติบโตแค่ไหน ก็ไม่เกี่ยวกับเราอีก  พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้กระทำการงานในชีวิตของเขา เหมือนที่ในหนังสือโครินธ์บอกว่าอปอลโลรดน้ำ เปาโลปลูก แต่พระเจ้าทำให้เกิดผล

            ฉะนั้น ถ้าเรารับรู้ความจริงเหล่านั้น เราจะมีความสุขกับการดำเนินชีวิตแบบตามธรรมชาติที่พระเจ้าให้กับเรา เราไม่ต้องพยายามที่จะดิ้นรน พยายามที่จะหาโอกาสๆ พยายามจ้องว่าเราจะไปประกาศกับใครดี ไม่ต้องถึงขนาดนั้น เมื่อคนๆ นั้นพระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา บางทีเราพูดแค่ 2 คำ เขาก็มาโบสถ์ บางทียังไม่เปิดปากพูดเลย เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว

            ฉะนั้น เรื่องของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดช เรื่องของการบังเกิดใหม่ เป็นฤทธิ์เดช  ที่พระเจ้าทรงกระทำการงานในชีวิตของพวกเรา ใครก็ตามที่ถ่อมใจยอมเปิดใจ ยอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเขา ให้เขาสามารถกลับใจใหม่ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าปุ๊บ คนๆ นั้น บังเกิดใหม่ทันที เขาได้อยู่กับพระเจ้าเลย ทันทีเขากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันเลย ทันทีเขาได้รับชีวิตนิรันดร์เลย ทันทีเขาได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เลย ก็คือมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณทันที ไม่ต้องรอ

            แล้วก็ให้มั่นใจว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เป็นอย่างไรก็ตาม วิญญาณเรารอดแล้ว  การดำเนินชีวิตบนโลกนี้ พระเจ้ายังไม่เอาเรากลับบ้าน เพราะพระเจ้าจะใช้งานเราอยู่ เราก็แล้วแต่พระเจ้า บอกพระเจ้าว่า …

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกปล่อยเกียร์ว่าง พระองค์จะใช้เมื่อไร พระองค์บัญชามาเลย”

            แล้วให้พี่น้องรับรู้ว่าถ้าพระองค์จะใช้เรา พระองค์ก็ให้กำลังเรา ให้ความสามารถ ให้สติปัญญา ให้กับพวกเราสามารถทำได้ด้วย

        เอเฟซัส 5:24-25 “24 คริสตจักรยอมเชื่อฟังพระคริสต์อย่างไร  ภรรยาก็ควรยอมเชื่อฟังสามีทุกเรื่องอย่างนั้น 25 ผู้ที่เป็นสามีจงรักภรรยาของตน  เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และประทานพระองค์เองแก่คริสตจักร”

            ตรงนี้เราก็เข้าใจผิดมาเยอะมาก เราก็สอนสมาชิกว่าถ้าเราเป็นสามี เราต้องรักภรรยา เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์รักเรา  ถามจริงมีกี่คนที่ทำได้  ไม่มี เราไม่สามารถมีความรักได้ถึงขนาดนั้น  ถึงขนาดเหมือนพระเยซูคริสต์ แต่ตรงนี้ พระเยซูคริสต์ผ่านทางอาจารย์เปาโลเน้นให้เราเห็นภาพของความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ แล้วเน้นภาพให้เห็นว่าพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงรักเราขนาดไหน? ขนาดยอมสิ้นพระชนม์เพื่อเรา บนไม้กางเขน เราทุกคนเป็นคริสตจักรของพระเจ้า  เป็นภรรยาของพระคริสต์ ในหนังสือวิวรณ์ใช้คำว่าเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์

        เอเฟซัส 5:26 “เพื่อทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์โดยการชำระ ด้วยน้ำผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า”

            พระเจ้าชำระเรา ทันทีที่เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ความคิด จิตใจ วิญญาณของเรา มันอัตโนมัติ เป็นเหมือนพระเยซูเลย

            แล้วพระเจ้า ยกตัวอย่างมา เปรียบสามีกับภรรยา เพราะสามีกับภรรยาผูกพันมากที่สุดแล้ว ผูกพัน เป็นหนึ่งเดียวกัน

            ในปฐมกาลบอกว่า … “เขาทั้งสองเป็นเนื้อเดียวกัน”

            จำประโยคนี้ได้ใช่ไหม? สามีกับภรรยาเป็นเนื้อเดียวกัน  พอเป็นเนื้อเดียวกัน ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน ความคิดความอ่าน แทบจะมองตาก็รู้ว่าฝั่งตรงข้ามต้องการอะไร?  บางทีแทบจะไม่ได้ปริปากพูด เราแค่มองหางตา สามีเราต้องการแบบนี้ หรือมอง ภรรยาเราต้องการแบบนี้  เป็นหนึ่งเดียวกันถึงขนาดที่รับรู้ทั้งความคิด ทั้งจิตใจ และประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าสามีกับภรรยาเหมือนกันหมด ไม่ใช่ แต่ว่าเราแต่ละคนแยก บุคลิกอาจจะแตกต่างกัน แต่ความคิดสามารถประสานเป็นหนึ่งเดียวกันได้ สามีก็ยังคงเป็นสามี ภรรยาเป็นภรรยาเหมือนเดิม  เหมือนกับพระเยซูคริสต์ยังคงเป็นพระองค์เหมือนเดิม พวกเราผู้เชื่อก็ยังคงเป็นเราเหมือนเดิม แต่ว่าสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม คือเราผูกพันทางวิญญาณ และจิตใจ ความคิดของเรา เป็นเหมือนพระเจ้า คือมันถูกเปลี่ยนเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่พระเจ้าย้ายวิญญาณ จากในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ มันเรียบร้อยไปแล้ว

        เอเฟซัส 5:27-33 “27 และเพื่อพระองค์จะได้มีคริสตจักรอันงามผ่องแผ้ว    ปราศจากมลทิน  หรือริ้วรอย หรือตำหนิใดๆ แต่บริสุทธิ์และไม่มีที่ติ 28 เช่นนั้นแหละ สามีจึงควรรักภรรยาของตน  เหมือนรักกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาก็รักตนเอง 29 ท้ายที่สุด ไม่มีใครเกลียดชังกายของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูทะนุถนอม  เหมือนที่พระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร 30 เพราะเราทั้งหลายเป็นอวัยวะในพระกายพระองค์ 31 “เพราะเหตุนี้ ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของตน ไปผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน” 32 ตรงนี้เป็นความลึกลับอันลึกซึ้ง แต่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงพระคริสต์กับคริสตจักร 33 อย่างไรก็ตามพวกท่านแต่ละคน   ต้องรักภรรยาของตนเหมือนที่รักตนเองด้วย และภรรยาก็ต้องเคารพสามีของตน”

            อาจารย์เปาโลพยายามโยงมาให้เห็นเป็นวิญญาณเดียวกัน  นี่คือเรื่องของโลกวิญญาณล้วนๆ ที่เรากับพระเจ้าผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน  นี่จุดเน้นนะ  เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งแยกจากกันไม่ได้  ความคิดความอ่านที่ถูกเปลี่ยนใหม่  ที่พระเจ้าเปลี่ยนให้เรา  เรามีความคิดจิตใจเหมือนพระเจ้าเลย เหมือนพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณ แต่ว่าในโลกวัตถุ เราอาจจะคิดต่างก็ได้ อันนี้แยกให้ชัด   เพราะว่าเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่ไม่เป็นไร พระเจ้าไม่ได้ถือสาเรื่องการประพฤติของเรา  เพราะไม่ว่าเราจะประพฤติแบบไหน?  เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ นึกภาพออกไหม?

            ถ้าเทียบให้เห็นชัดๆ คนที่มีครอบครัวจะเข้าใจ คนที่มีลูกแล้ว ยิ่งเข้าใจใหญ่เลย ลูกเราคลอดเข้ามาในครอบครัวของเราปุ๊บ เขารับทุกอย่างของเราเลย พ่อแม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก แล้วลูกมีความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทุกอย่างที่พ่อแม่หามา  พี่น้องนึกออกไหม? ตอนเราเป็นเด็ก เราไปชวนเพื่อนมาเที่ยวบ้าน  บ้านใคร? บ้านพ่อแม่ แต่เราบอกเพื่อนเราว่า …

            “มาเที่ยวบ้านเรา”

            นึกภาพออกไหม? คือเรามีความรู้สึกเป็นเจ้าของบ้าน บ้านเรานะบ้านเรา ไม่ใช่บ้านพ่อแม่ ตังค์สักบาทเราไม่เคยจ่ายเลย ของทุกอย่างพ่อแม่ซื้อมาใส่ตู้เย็น เรากลับมาถึงบ้าน เราก็ไปเปิดตู้เย็นกินเฉยเลย ถ้าเป็นบ้านคนอื่น เรากล้าทำไหม? ไม่กล้า เราต้องขออนุญาตก่อนใช่ไหม?  แต่ถ้าเป็นบ้านเรา เรารู้ อะไรที่อยู่ในตู้เย็น พ่อแม่เตรียมให้เราหมด หิวเมื่อไร? เราเปิดตู้เย็นกินได้เลย เหมือน 7-11 หิวเมื่อไรก็มา  ก็คือความรู้สึกของการเป็นเจ้าของ

            เหมือนกันเลย เป็นภาพในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าจะให้เราเห็นถึงความรู้สึกตรงนี้ว่าเราเป็นเจ้าของ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นเจ้าของสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย  อันนี้เรื่องจริง เป็นเจ้าของสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์

            ภาพตรงนี้ จะแสดงให้เราเห็นชัดเจน ในเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมและกระทำทุกอย่างเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์ตะโกนว่า “สำเร็จแล้ว” คือทุกอย่างทำเสร็จครบถ้วน เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น พวกเรามารับรู้ความจริงตรงนี้เท่านั้นเอง  อย่าให้ใครหลอกเรา ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แล้วทำผิดพลั้งพลาด แล้วคนจะมาหลอกเราว่าทำอย่างนี้บ่อยๆ  พระเจ้าไม่รักแล้ว ไม่จริงนะ พระเจ้ารักเรามากที่สุด ดังแก้วตาดวงใจ รักถึงขนาดยอมสละชีวิตของพระองค์เองเพื่อเรา หรือแม้แต่เราทำผิด แล้วเราต้องมาสารภาพบาป ก็ไม่ต้อง เพราะว่าพระเจ้าพระเยซูคริสต์ได้ทำให้เรียบร้อยไปแล้ว  พระโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งลงมาครั้งเดียวเป็นพอ ในพระธรรมฮีบรูบอกไว้  ครั้งเดียวเป็นพอ ก็คือชำระล้างตั้งแต่บาปในอดีต ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า  บาปในปัจจุบัน ก็คือเราเริ่มต้นเดินทางมาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรายังทำบาปอยู่ไหม? ผิดพลาดไม่ใช่บ้าง บ่อยๆ และในอนาคตข้างหน้า  เราก็ยังจะทำผิดอยู่

            ฉะนั้น พระเจ้ารู้ดีที่สุดเลยว่าลูกของพระองค์เป็นแบบนี้ เพราะเรายังอยู่ในร่างกายนี้ อยู่ใต้อิทธิพลของความบาปและความตาย  พระเจ้าก็เลยต้องทำพระสัญญาของพระองค์เอง คือด้วยพระคุณพระองค์ทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ล่วงหน้าด้วย  ก็คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เก็บไว้ในคลังไว้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว  ทำผิดปุ๊บ พระโลหิตก็ชำระทันที ดังนั้น วิญญาณเราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด  ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราเป็นผู้ชอบธรรมที่บางครั้งทำบาป

            เราเป็นผู้ชอบธรรม เกิดมาเป็นนะ  ซึ่งบางครั้ง ทำบาป ทำผิดบ้าง แต่เราจะเก็บเกี่ยผลบนโลกใบนี้เท่านั้น ผิดกับคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เขาเป็นคนบาป ที่บางครั้ง ทำดี ต่างกันไหม? ต่างกัน คนบาปที่บางครั้งทำดี ก็ไม่มีผลอะไร เพราะเขายังเป็นคนบาป เขายังอยู่ในธรรมชาติบาป ถ้าเขายังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด หลังความตาย เขาก็อยู่ในการพิพากษาของพระเจ้าอย่างแน่นอน ตามในหนังสือยอห์น 3:16-18  พระเจ้าพูดไว้ชัดเจน

            ฉะนั้น หน้าที่ของพวกเรา ไม่ใช่หน้าที่หรอก คือมันจะออกมาเองนั่นแหละ พระเจ้าก็ต้องการที่จะให้มนุษย์บนโลกใบนี้  ใครก็ได้ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า ให้เขามากลับใจใหม่ เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ถูกลงโทษ ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้  ถูกพิพากษาแล้ว  แล้วหลังความตาย ก็ยังถูกพิพากษาอีก ซึ่งพระเจ้าไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคน ได้บังเกิดใหม่ แต่พระเจ้าก็ไม่บังคับเรา พระเจ้าก็ให้มนุษย์ทุกคน มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ  ถ้าคนๆ นั้นฟังแล้ว รู้ว่าดี แต่ไม่ตัดสินใจ ที่จะกลับใจใหม่  เขาก็ยังคงอยู่ที่เดิม ก็คืออยู่ในคำสาปแช่ง แล้วถ้าเขายังดำเนินชีวิตแบบนั้นอยู่ จนถึงวันที่ลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ วิญญาณเขาก็อยู่ที่เดิม  ก็คืออยู่ในคำสาปแช่ง  ตอนนั้นแก้ไขไม่ได้เลย

            ฉะนั้น มีเพียงมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ถ้าเราตัดสินใจปุ๊บ เราได้เลย ย้ายจากในความตายเข้ามาสู่ในชีวิต ย้ายจากคำสาปแช่งเข้ามาสู่พระพรของพระเจ้า นี่คือพระคุณที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  ที่เราได้เฉลิมฉลองเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว วันคริสต์มาส วันที่พระเจ้าส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้เป็นเหมือนพวกเราทุกๆ คน มีเลือด มีเนื้อ แต่ต่างกันตรงที่พระเยซูคริสต์ไม่มีบาป เกิดจากหญิงพรหมจารี แล้วจากวันคริสต์มาส พระองค์ก็ดำเนินการงานของพระองค์จนถึงวันศุกร์ประเสริฐ ในอนาคตข้างหน้า  ที่พระเยซูคริสต์เจริญเติบโตถึงอายุ 30 พระองค์ประกาศข่าวดีของพระองค์ แล้ววันที่พระเยซูคริสต์เดินไปที่ไม้กางเขน  ก็คือพระเยซูตัดสินใจที่จะตายแทนพวกเรา มนุษยชาติทั้งหมดบนไม้กางเขน  เพื่อว่าพวกเราจะได้สามารถตายพร้อมกับพระองค์ วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเราจะได้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เมื่อตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังพร้อมกับพระเยซูคริสต์ จะได้มีโอกาสบังเกิดใหม่กับพระเยซูคริสต์ วันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย คือวันที่มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ท่านสามารถให้ โดยปราศจากความรัก … แต่ … ท่านไม่สามารถรัก โดยปราศจากการให้

            พระเยซูตรัสว่า … “การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากกว่าการรับ”

            2 โครินธ์ 9:6-8 … “6 จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตระหนี่ ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวาง ก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก  7 แต่ละคนควรให้ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน  เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถ ประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง”

            คนทั่วไปสามารถให้ โดยปราศความรักได้ แต่ผู้เชื่อที่วิญญาณ และใจที่เกิดใหม่แล้ว ข้างในเป็นความรักแบบอากาเป้เหมือนพระเจ้าแล้ว ไม่สามารถรัก โดยปราศจากการให้ เพราะเป็นธรรมชาติที่บังเกิดใหม่แล้ว ข้างในวิญญาณพร้อมที่จะให้เมื่อใจสั่งมา

            การให้ไม่จำเป็นต้องเป็นทรัพย์สินเงินทองเสมอไป  เราสามารถให้ความรักที่ออกมาจากภายในใจเรา ให้เวลา ให้ความห่วงใย ให้คำหนุนใจ ให้กำลังใจ ให้รอยยิ้ม ให้การสวมกอด ให้คำแนะนำ หรืออื่นๆ อีกมายมาย ที่พระวิญญาณที่อยู่ภายในเราทรงขับเคลื่อน ทุกสิ่งที่ทำออกจากใจ ที่บริสุทธิ์ที่บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์ ล้วนเป็นพรทั้งสิ้น ไม่ใช่ฝืนใจ ถูกกดดัน หรือแรงจูงใจ จากกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง

            “การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากกว่าการรับ” เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1449

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  ธันวาคม  2023 (กลางคืน)

เรื่อง “พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            Merry Christmas ระลึกถึงวันคล้ายวันประสูติของพระเยซูคริสต์ เขาก็บอกว่า “Merry Christmas” ซึ่งแปลว่า “ขอให้ท่านพบกับสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน” นี่แปลเป็นไทยเลย

            วันคริสต์มาส คือวันที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ นี่หัวใจสั้นๆ  ความหมายตรงนี้  วันนี้สิ่งที่ท่านจะได้ฟังไม่ใช่เป็นเรื่องของศาสนา  ไม่ว่าศาสนาอะไรก็ตาม บนโลกใบนี้ ศาสนาเป็นสิ่งที่ดี แต่ในสายพระเนตรพระเจ้า ยังดีไม่พอ  ไม่มีศาสนาใดทำให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่ได้ ไม่มีศาสนาใดทำให้มนุษย์กลายเป็นบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเจ้าได้  แต่พระเยซูคริสต์ทำได้และพระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวดี พระองค์ไม่ได้มา เพื่อประกาศศาสนา พระองค์ไม่ได้มาตั้งศาสนาคริสต์ พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องความประพฤติบนโลกใบนี้ เป็นอย่างไร? แต่พระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวดี

            ข่าวดีของพระองค์ คือพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตร ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเปิดประตูสวรรค์ ให้กับมนุษย์ ที่จะได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า  ได้เข้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์

            นี่คือข่าวดีสั้นๆ ที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศเรื่องนี้มา 2,000 ปีแล้วว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น จากกฎแห่งกรรม คือความบาป ซึ่งมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป เราก็รู้กันอยู่แล้ว ไม่มีมนุษย์คนไหนทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ สักคนเดียวเลย นี่คือการประกาศของพระเยซูคริสต์

            ในหนังสือยอห์น 3:16-18 พระเยซูเข้ามาอยู่บนโลกใบนี้ เดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี แล้วก็ประกาศอย่างนี้แหละ สรุปสั้นๆ อยู่ที่ไม่กี่ข้อนี่แหละว่าพระองค์มาสอนหรือเปล่า?  พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องการประพฤติอะไรต่างๆ เหล่านี้   ไม่ได้มาสอนเรื่องศาสนา ให้ประพฤติชอบ แต่มาประกาศว่าสถานะของมนุษย์ตอนนี้อยู่ที่ไหน? จะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? จะต้องบังเกิดใหม่ด้วยวิธีใด นี่สำคัญกว่าเยอะ  และพระองค์ประกาศว่ามีวิธีเดียว ก็คือต้องผ่านทางพระองค์เท่านั้น  ถึงจะเข้าสวรรค์ได้  โดยไม่ต้องทำอะไรเลย คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ง่ายเกินไป มนุษย์เลยไม่ค่อยจะเข้าใจ  มนุษย์บอกมันง่ายเกินไป จะเข้าสวรรค์ทั้งที มันต้องพยายามทำดีสิ  นี่คือมนุษย์คิด แต่พระเจ้าบอกว่าทำดีอย่างไร มันก็ไม่ไปถึงฝั่งสวรรค์ได้หรอก เพราะว่าทำดีอย่างไร มันก็มีพลาด  พลาดครั้งเดียว ก็ตกนรกแล้ว  เพราะฉะนั้น ให้มาวางใจในพระบุตร  คือพระเยซูคริสต์ เราจะลองอ่านดู ยอห์น 3:16-18 …

        ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป) แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจ พึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนาม พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            นี่คือสภาพของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ที่มนุษย์มองไม่เห็น แต่โลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องจริงๆ พระเยซูมาประกาศบอกว่าสภาพวิญญาณของมนุษย์เป็นอย่างนี้  อยู่กันอย่างนี้แหละ  และพระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก  ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ลูกในไส้ ก็คือลูกของพระองค์ เป็นพระเจ้าพระบุตร  อยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่ก่อนสร้างอะไรทั้งปวง ก็คือพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าพระเยซูคริสต์นี้จะได้มา และมาไถ่มนุษย์ทั้งปวงให้หลุดพ้นจากความบาปนั้น  เพื่อทุกคนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายอยู่ในบาป ก็แสดงว่ามนุษย์เกิดมาก็ตายอยู่ในบาป วิญญาณตายอยู่ในบาป วิญญาณไม่มีพระเจ้า วิญญาณมุ่งสู่ความพินาศนิรันดร์ แต่พระบุตรมาช่วยให้มนุษย์ได้รับการบังเกิดใหม่  มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์เลย  คือสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เท่าเทียมพระเจ้า ดีเท่ากับพระเจ้า จึงสามารถเข้าสวรรค์ได้ เราก็พูดกันอยู่บ่อยๆ ง่ายๆ “จะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร ยังทำบาปอยู่เลย”  แต่นี่เราบังเกิดใหม่ใน วิญญาณ สามารถเข้าสู่สวรรค์ได้จริงๆ

            ในข้อ 17 บอกว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์บนโลกใบนี้”

            พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ไม่ได้มา เพื่อจะมาชี้นิ้วว่าคนนี้ทำบาป ตกนรก เปล่า พระองค์มาชี้นิ้วให้หมดเลย ทั้งโลกเลยว่ามนุษย์ทั้งโลกตกเป็นคนบาป  และพระองค์มา ไม่ใช่มาเพื่อพิพากษา แต่มาเพื่อจะช่วยให้รอดพ้นจากความบาปนั้น ให้มาบังเกิดใหม่  โดยความเชื่อและวางใจในพระองค์ ก็คือมาช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ  โดยการวางใจ และพึ่งพาเชื่อในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าได้ทรงส่งมา

            ฟังดูเหมือนง่ายมาก ไม่มีอะไรเลย แต่ทำไมเรื่องจริง เรื่องนี้  จึงเกิดผลมาถึง 2,000 ปีถึงเดี๋ยวนี้แล้ว ถ้าเผื่อเรื่องนี้ ไม่มีเค้าโครงความจริง หรือไม่จริงเลย ไม่มีเกิดผลเลย  มันเป็นเรื่องโกหกที่ใครก็ไม่มีทางเชื่อได้เลย มันโง่เขลาเหลือเกินที่จะมาเชื่อเรื่องพวกนี้ใช่ไหม? แต่ 2,000 ปีมีแต่จะมากขึ้นทุกวันๆ ทั่วโลกมากขึ้นทุกวันๆ ที่ประกาศข่าวดีนี้  ที่เอาบทเพลงของข่าวดีนี้ ไปร้องเพลงต่างๆ ที่เราได้ฟัง ตามศูนย์การค้า ตามในยูทูป ในโซเซียลมีเดียทั้งหมดทุกวันนี้ เยอะขึ้นทุกวันๆ เป็นเรื่องนี้ เรื่องที่ผมกำลังพูดให้ท่านฟังวันนี้  คือเรื่องของข่าวดี พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดรอดพ้น จากนรก หลุดรอดพ้น จากความพินาศในวิญญาณ  ซึ่งกำลังเป็นอยู่นั้น รีบเชื่อในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เพื่อได้รับความรอดเถิด  นี่คือข่าวประเสริฐ ข่าวดีในวันคริสต์มาสทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นบทเพลง บทความ หรือเรื่องอะไร? แม้กระทั่งพิธีต่างๆ ที่เขาทำกันทั่วโลก อย่างเช่น มอบของขวัญเอย เทศกาลของขวัญ ก็มาจากแบบอย่างของพระเจ้า ผู้ประทานของขวัญ ให้กับมนุษย์ ในวันคริสต์มาสแรกของโลก เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว คือประทานพระบุตร พระเยซูคริสต์มาเป็นของขวัญให้กับมวลมนุษยชาติ  เพื่อจะได้รอด เข้าสวรรค์ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาการพยายามทำดีของตนเอง  แต่พึ่งพาพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งเป็นหนทางเดียวเท่านั้น

            ในข้อ 18 ได้บันทึกว่าคนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตร มนุษย์คนใดพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ก็คืออยู่ในการถูกลงโทษ พิพากษาให้พินาศอยู่ แต่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทันที เขาหลุดพ้นจากความพินาศ จากการถูกลงโทษทันทีเลย เขาได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณทันทีเลย บนโลกใบนี้ ขณะนี้เลย สามารถพิสูจน์ได้เลย ข่าวประเสริฐจึงแพร่สะพัดมาถึง 2,000 ปีนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ  และในพระคัมภีร์บอกว่าจะมากถึงที่สุด จนสุดท้าย สิ้นโลก พระเยซูกลับมาใหม่ คือมากกว่านี้อีกเยอะ นี่ยังไม่เยอะพอ คนที่พึ่งพาและวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ นึกภาพนะ ส่วนมนุษย์คนที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐ เรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์นี้แล้ว แล้วไม่เชื่อ ไม่วางใจในข่าวดีนี้  ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ อยู่ในความตาย อยู่ในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว ก็แสดงว่าเกิดมา ก็เป็นคนบาป

            พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคน เกิดมา ก็เป็นคนบาป  ตาย พินาศในวิญญาณ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร? ไม่มีใครมาช่วย  ก็จะตายอยู่อย่างนั้นตลอดชั่วนิรันดร์  เขาจะถูกพิพากษาลงโทษ ก็อยู่ในความพินาศ อยู่ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า เขาจึงไม่มีโอกาสได้บังเกิดใหม่ เมื่อไม่ได้บังเกิดใหม่ เมื่อวิญญาณเขาออกจากร่าง เขาก็ไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า  เพราะไม่ได้บังเกิดใหม่ สะอาดไม่พอ เขาก็ยังเป็นคนบาป และไปอยู่ในส่วนของคนบาป ไม่มีพระเจ้าอยู่ ซึ่งเราเรียกกันว่านรก  พินาศนั่นเอง   และเป็นความพินาศนิรันดร์ด้วย เพราะเป็นวิญญาณ  ที่อยู่ในความพินาศนั้น

            ดูข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่ง  เพื่อจะได้เห็นว่าความจริงของข่าวประเสริฐ มันไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติ ไม่ได้เกี่ยวกับการมาสอนศีลธรรม ไม่ได้เกี่ยวกับความดี ความชั่ว มันเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ และวิญญาณเป็นบาปอยู่ และพระเจ้าทรงมาช่วยมนุษย์ และมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนมนุษย์ มารักษามนุษย์ นำมนุษย์กลับคืนสู่สวรรค์ กลับคืนสู่บ้านนั่นเอง  และทั้งหมดนี้ คือข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์จึงไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ เป็นพลังงาน  เป็น Power อันยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่า Power อะไรทั้งปวงเลย  ที่ทำการอัศจรรย์ คือทำให้วิญญาณของมนุษย์ที่ตายอยู่นั้น สามารถบังเกิดใหม่ได้ สามารถเกิดใหม่ได้ 2 เปโตร 1:3-4 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่าด้วยอำนาจที่บอกนี้ เป็นข่าวประเสริฐนี้ ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น …

        2 เปโตร 1:3-4 “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ทุกสิ่งที่จำเป็นในการมีชีวิตที่ชอบธรรม และ ดีงามเหมือนพระเจ้า พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมให้แก่เราเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเรา ด้วยพระสิริและความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วม ในพระเกียรติสิริและความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

            ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เห็นไหมครับ?  ฤทธิ์อำนาจที่ทำให้เกิดการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่  ไม่ได้เกี่ยวกับการประพฤติ ไม่ได้เกี่ยวกับศาสนา นี่เป็นฤทธิ์อำนาจจริงๆ  เป็นฤทธิ์เดียวกันกับที่พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  สร้างโลกทั้งใบ มหาจักรวาลทั้งหมด ทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น  ทุกอย่างด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์  พระเจ้าผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ทุกสิ่งที่ทำให้เรามนุษย์คนนั้น ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ สามารถเกิดใหม่ มีชีวิตที่จะเป็นผู้ชอบธรรม  และดีงาม เหมือนพระเจ้า พระองค์ทรงจัดเตรียมและทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เมื่อเรารับรู้เรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงเรียกเรา ด้วยพระสิริ และความดีงามของพระองค์เองให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระองค์ ร่วมในพระเกียรติและความดีงามของพระองค์ ในพระคริสต์ พระเยซูคริสต์มา เพื่อเราทั้งหลายจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระองค์

            พระลักษณะของพระองค์ คือพระเจ้า พูดอย่างง่ายๆ อย่างตะกี้นี้ ตามหัวข้อเรื่อง ก็คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อว่ามนุษย์คนบาปอย่างเรา จะได้บังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระเจ้า สลับที่กัน พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมนุษย์ที่เป็นคนบาป  จะได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า

            “พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู เมื่อใครเชื่อ มนุษย์ที่เป็นคนบาป  กลายเป็นลูกของพระเจ้า มีสภาวะเหมือนพระเจ้าเลย  เหมือนกับพระองค์เลย” … นี่คือพระคัมภีร์

            ข้อ 4 บอกว่า “พระองค์ได้ทรงประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา  เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้  พวกท่านจึงได้มีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า”

            พระลักษณะของพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน?  บริสุทธิ์อย่างไร?  ดีงามขนาดไหน?  ดีพร้อมอย่างไร?  เป็นผู้ชอบธรรมอย่างไร? เราเข้าไปมีส่วนอยู่ในนั้นด้วย  เราเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในนั้น โดยไม่ต้องทำอะไรเลย  เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าให้เราฟรีๆ ผ่านทางพระบุตร พระเยซูคริสต์ ผู้ที่บังเกิดเป็นมนุษย์ในวันคริสต์มาสนั่นเอง เราจะสามารถเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าเราจะได้บังเกิดใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่  และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก  ก็คือพ้นจากความบาป  ที่มันอยู่ในวิญญาณของเรา  เราจะได้พ้นจากการเป็นคนบาป นึกภาพนะ พระเยซูคริสต์มาเพื่อให้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ทำให้คนที่เป็นคนบาป  และเชื่อในพระองค์ รับสิทธิของเขา รับอำนาจจากพระเยซูคริสต์ ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่  จากการเป็นคนบาป กลายเป็นคนชอบธรรม จากคนสกปรก ดำมืด กลายเป็นประชากรแห่งความสว่าง เป็นลูกของพระเจ้า

            นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐของข่าวดี หัวใจของวันคริสต์มาส ที่เขาบอกว่าสุขสันต์วันคริสต์มาส ก็คือวันที่สวรรค์ได้เปิดประตู ให้กับบรรดามนุษย์ทุกๆ คน ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เพื่อเขาจะได้ไม่พินาศ  และอยู่ในความพินาศนั้น ชั่วนิรันดร์ แต่เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่เดี๋ยวนี้ ทันทีบนโลก พิสูจน์ได้ ด้วยวิญญาณของเขาเอง นี่คือข่าวดี  พระเจ้าอวยพรครับ

***********************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความจริงที่ทำให้เราเป็นไท  ถ้าเราได้บังเกิดใหม่เป็นคริสเตียนแล้ว

            ถ้าเราได้บังเกิดใหม่เป็นคริสเตียนแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเรา สะอาดหมดจด บริสุทธิ์  ปราศจากบาปแล้ว แต่มันยังมีอิทธิพลของบาป ที่เป็นเหมือนกาฝาก  เหมือนไวรัสที่แอบเกาะอาศัยอยู่ในความคิด ในสมอง ในร่างกายเรา มันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเราเลยนะครับ มัน คือปรสิต!

            โรม 6:12-14 …  “12 เหตุฉะนั้น อย่ายอมมอบร่างกายที่ต้องตาย (ที่อยู่เพียงชั่วคราว) ของท่าน ให้บาปมันครอบครองเป็นเจ้านายเหนือท่าน ซึ่งทำให้ท่านคล้อยตามกิเลสความปรารถนาของมัน และต้องยอมจำนนทำตามตัณหาชั่วของมัน 13 อย่ายอมยกส่วนต่างๆ ในร่างกายของท่าน ให้แก่บาป  เป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย แต่จงยอมถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้า ในฐานะที่ได้เป็นขึ้นจากตาย ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว และยอมถวายอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของท่าน แด่พระองค์  ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม 14 เพราะบาป มันไม่ได้เป็นเจ้านายครอบครองท่านอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าบัดนี้  ท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  ไม่ได้เป็นทาสบาปอีกต่อไปแล้ว แต่อยู่ใต้พระคุณความโปรดปรานของพระเจ้า”

            ฉะนั้น อย่าให้มันบ่อนทำลายสุขภาพจิต วิญญาณของเรา ต่อต้านมันด้วยถ้อยคำความจริงของพระเจ้า ที่บอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมๆ ในสมองเสียใหม่ แล้วอุปนิสัย ความประพฤติของเราจะค่อยๆ เปลี่ยนไป เหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นเรื่อยๆ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1448

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  ธันวาคม  2023 (ช่วงเช้า)

เรื่อง “ทำไมพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            ชื่อเรื่อง “ทำไมพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์” เราลองคิดดูสิว่าทำไมพระเยซู ผู้ทรงเป็นพระเจ้า ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

            ความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของมนุษย์และโลกที่พระเจ้าทรงสร้าง และให้กำเนิดขึ้น เอาแบบคร่าวๆ พอนะ ความจริง ก็คือพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ให้กำเนิดมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ ให้เหมือนพระองค์ มนุษย์ที่พระเจ้าสร้าง เหมือนพระองค์ คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า  เกิดจากหน่อเชื้อ หรือเลือดเนื้อเชื้อไข ทางฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า  ที่บริสุทธิ์ เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เกิดจากตรงนี้แหละ ความบริสุทธิ์  ก็คือเกิดจากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า มาเป็นวิญญาณของมนุษย์ แล้ววิญญาณของมนุษย์ก็อาศัยอยู่ในร่างกายที่เรามองเห็นกันอยู่นี้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกว่าเป็นร่างกายที่พระองค์ทรงเอามาจากธาตุทั้ง 4 ของโลกใบนี้ ก็คือดิน ธาตุทั้ง 4 นี้มาปั้น  มาสร้างเป็นร่างกาย แต่วิญญาณที่อยู่ข้างในนั้น เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า  อาศัยในร่างกาย เรือนดินนี้ ซึ่งดิน ภาษาเดิม ใช้คำที่เราได้รู้กันหมด  ลูกพระเจ้ารู้คำนี้ คือคำว่า “อาดัม”

            อาดัม แปลว่าดิน  อาดัม แปลว่ามาจากดิน  ต้นกำเนิด คือบรรพบุรุษของเรานั้น ก็คืออาดัม คือมาจากดิน  แต่มีพระสิริของพระเจ้า คือพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นหน่อเชื้อในวิญญาณที่บังเกิด เริ่มสร้าง แล้ววิญญาณที่อยู่ภายในเรือนดินนี้ ก็เต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า  พระสิริของพระเจ้าก็ปกคลุมทั้งหมด ทั้งวิญญาณ ซึ่งมีจิตใจอยู่ในนั้น และปกคลุมไปถึงร่างกายที่เป็นเรือนดินนั้น นึกภาพนะ นี่คือความจริงคร่าวๆ ของต้นกำเนิดของสรีระ ร่างกายของมนุษย์

            แล้วพระเจ้าก็ประทานสิทธิ อิสรภาพในการตัดสินใจ ในทุกเรื่อง ให้กับมนุษย์ที่ทรงสร้างขึ้นมา ให้ครอบครอง มีความสุขกับทุกสิ่งสารพัด ทุกอย่างที่พระองค์ทรงสร้างอย่างดี สมบูรณ์ครบถ้วน พระองค์บอกว่าทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น และให้เชื่อฟัง พระองค์ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น ดี สมบูรณ์ ครบถ้วนแล้ว  พระเจ้าตรัสอย่างนั้นแหละ บอกมนุษย์ว่ามันดี สมบูรณ์ ครบถ้วนแล้ว  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย

            นึกถึงภาพว่าพระเจ้าสร้างเสร็จ แล้วบอกมนุษย์อย่างนี้แหละ  เราคุ้นๆ กับชีวิตของเราปัจจุบันไหม? ความรู้สึกคุ้นๆ ไหม?  ทำให้ดี ครบถ้วนบริบูรณ์เลย  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมแล้ว เวลาเรามีลูก เราพูดกับลูกเราอย่างนี้แหละ  ลูกเราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมแล้ว  เขาก็เป็นลูกเรา  เกิดมาปุ๊บ เป็นลูกเรา เกิดมาจากครรภ์มารดา ก็เป็นลูกเราแล้ว แล้วเราก็บอกเขาว่าไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมที่จะเป็นลูกเราหรอก เพราะเป็นแล้ว ถูกไหม? ซึ่งเราเรียกกันว่า “พระคุณ” ถ้าเผื่อเป็นมนุษย์ธรรมดา เราก็เรียกกันว่า “บุญคุณ” บุญคุณของพ่อแม่  ให้ความรักกับเราอย่างนี้ คือให้ลูกเดียวเลย

            นี่คือความจริงของการเริ่มต้นครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งมีมนุษย์เป็นลูกของพระองค์ แล้วก็สั่งลูก สอนลูก  โดยสั่งว่า …

            “อย่ากินผลไม้จากต้นแห่งความดีและความชั่ว เพราะถ้าวันใดฝืนคำสั่ง ไม่เชื่อฟังกินผลไม้นั้น เจ้าจะต้องตาย และพระสิริของเรา ก็จะหลุดออกไปจากเจ้า คือเจ้าจะต้องตาย จากเราออกไป”

            พูดง่ายๆ ว่าอย่าทำนะ อย่าออกจากบ้านนะ ออกไปจากบ้าน ตายแน่เลย สั่งไว้อย่างนั้น ไม่ต้องไปรู้หรอกความดี ความชั่ว ให้เชื่อฟังพระองค์อย่างเดียว ไม่ต้องรับผิดชอบในการพึ่งพาการทำความดี ความชั่วด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาความคิดของตนเอง เป็นลูกของเรา เราทำให้ทุกอย่างดีเรียบร้อยแล้ว ให้กำเนิดมา เพื่อว่ามนุษย์จะพึ่งในพระองค์เพียงอย่างเดียว และได้รับสิ่งที่ดีๆ เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ ไม่ต้องออกไป 0เจ้าออกไปนอกบ้าน ออกจากสวรรค์ไป ไม่มีพ่ออยู่ เจ้าอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้หรอก เตือนอย่างนั้นแหละ

            บันทึกไว้ในปฐมกาล บทที่ 1 ข้อ 27 กับข้อ 31 อย่างนี้นะ ลองอ่านดู คือตัวยืนยันว่าพระองค์ทรงสร้างมนุษย์อย่างไร? …

        ปฐมกาล 1:27, 31 “27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้น  ตามพระฉายาของพระองค์  ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น  พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น  และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง 31 พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ดูสิ ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก”

            พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวง ที่พระองค์ทรงสร้างไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ …

            “ดูสิ ลูกเราน่ารักมากเลย คลอดออกมาแล้ว ดูสิ พระองค์เห็นว่าดียิ่งนัก”

            ไม่ใช่ดีธรรมดา ดียิ่งนัก หมายถึงดีเลิศ ประเสริฐศรีเลย นี่คือความรู้สึก สายตาของพระเจ้า  ที่มีต่อลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ที่เรียกว่ามนุษย์ มวลมนุษย์ เริ่มต้นจากบรรพบุรุษ คืออาดัม ปฐมกาล 2:7 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ปฐมกาล 2:7 “พระยาห์เวห์ พระเจ้า ทรงปั้นมนุษย์ ด้วยผงคลีจากพื้นดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูกของเขา  มนุษย์จึงกลายเป็นผู้มีชีวิตอยู่”

            ตรงนี้เป็นความจริงอันดับแรกเลยของมวลมนุษยชาติ  ที่จะรู้เรื่องพระเยซูคริสต์ รู้เรื่องสวรรค์ที่แท้จริง  รู้เรื่องพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว แม้ว่าจะมีเรื่องอยู่แค่บรรทัดเดียว แค่นี้เอง แต่เป็นสิ่งสำคัญมากเลย ที่ไม่ค่อยมีใครได้พูดกัน และเป็นเรื่องจริงที่สั้นๆ  แต่ยากเหลือเกินที่มนุษย์จะเข้าใจเรื่องนี้  เป็นกระดุมเม็ดแรกของมนุษยชาติ  ถ้าอยากจะรู้เรื่องพระเจ้า  อยากจะรู้ว่าพระเยซูเป็นใคร?  อยากจะรู้ว่าสวรรค์เป็นอย่างไร? ต้องเรียนรู้ความจริงอันดับแรก กระดุมเม็ดนี้ก่อนเลย คือว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ด้วยผงคลี จากพื้นดิน พวกเราก็รู้ คือร่างกาย และระบายลมปราณ  “ลมปราณ” นี้คือพระวิญญาณของพระเจ้า เข้าไปในจมูกของเขา คือเข้าไปในตัวของเขา มนุษย์จึงกลายเป็นผู้มีชีวิต ก็คือเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์

            เพราะฉะนั้น มนุษย์เป็นวิญญาณ  เรามัวแต่ใช้เวลาศึกษากันเยอะแยะ ทั้งวิทยาศาสตร์ ทั้งปรัชญา ทั้งอะไรต่างๆ  เพื่อจะศึกษาหาความจริงของโลกวัตถุ คือโลกใบนี้ คือดิน เยอะแยะไปหมดเลย ซึ่งเป็นประโยชน์ไหม? เป็นประโยชน์  แต่พระเยซูบอกเป็นประโยชน์น้อยกว่ามากเลย ที่จะรู้ความจริงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตัวท่านเป็นใคร? ตรงนี้ ลึกซึ้งกว่าเยอะ  ปฐมกาล 2:16-17 …

        ปฐมกาล 2:16-17 “16 พระยาห์เวห์ พระเจ้า จึงตรัสสั่งมนุษย์นั้นว่า “ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ 17 แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่”

            พูดง่ายๆ ก็คืออย่างตะกี้นี้ที่บอก … “ลูกอย่าไปเชื่อฟัง อย่าไปคิดออกจากบ้าน ถ้าออกจากบ้านไปนะ  เจ้าจะลำบาก เจ้าอย่าออกไปจากสวรรค์ พ่อทำไว้อย่างดี เรียบร้อยแล้วทั้งหมดเลย เจ้าออกไป รับผิดชอบตนเองไม่ได้หรอก”

            พูดง่ายๆ คือแค่นี้ สิ่งที่พ่อทำให้ ดียอดเยี่ยมทั้งหมดแล้ว คิดดูสิ ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินตามชอบใจได้  เล็งให้เห็นถึงสิ่งสารพัดมันเยอะมากเลย ที่พระองค์ทรงสร้าง  โลกทั้งใบ สรรพสิ่ง ธรรมชาติทุกอย่าง ดวงดาว ดวงจันทร์ มหาจักรวาลนี้ สร้างเพื่อโลกทั้งนั้น แล้วโลก สร้างเพื่อมนุษย์ เป็นบ้านของมนุษย์ ดีงาม ครอบครองไปเลย  ขออย่างเดียว คือเชื่อฟังพ่อนะ  อย่าหลงไปเชื่อใครอื่น ที่เขาหลอกลวง อย่าออกจากสวรรค์ อย่าพึ่งตนเอง  อย่าไปรับผิดชอบว่า …

            “ฉันทำดี ฉันทำยอดเยี่ยม”

            พ่อทำไว้ดี ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว และบันทึกไว้ว่าความจริงก็เกิดขึ้น  ก็คือมนุษย์ถูกล่อลวงจริงๆ โดยมาร  และเราก็รู้กันอยู่แล้ว มนุษย์ตัดสินใจ เชื่อคำล่อลวงเหล่านั้น ก็คือฝืน  ไม่เชื่อคำเตือนของพระเจ้า ที่บอกไว้  ก็คือการตัดขาดตนเองออกจากการเป็นลูกของพระเจ้า  ออกจากสวรรค์ ออกจากบ้านไป กลายมาเป็น ไม่อยากจะบอกว่าเป็นลูกมาร ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทาสมาร” จากการเป็นลูกพระเจ้า กลายมาเป็นทาสมาร

            คำว่า “ทาสมาร” อย่าไปนึกว่ามารมีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ มาเป็นทาส ไม่ใช่นะ มารก็คงไม่มีอำนาจอยู่เหมือนเดิม ใช้คำหลอกลวงเหมือนเดิม ล่อลวงเหมือนเดิม มนุษย์ออกจากสวรรค์มา ออกจากบ้านมา จากอยู่ในกฎแห่งพระคุณ ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องทำอะไรเลย ออกมาดูแลชีวิตด้วยตนเอง จะมาทำดีด้วยตนเอง ละชั่วด้วยตนเอง  ก็คือมารับผิดชอบด้วยตนเอง  มาอยู่ในกฎแห่งกรรม แทนที่จะเป็นกฎแห่งพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าจะดูแลให้หมด ฉันจะออกมาดูแลตัวฉันเอง  ฉันจะอยู่ในกฎแห่งกรรม

            “กฎแห่งกรรม” คือฉันทำ ฉันได้ ฉันจะพยายามทำดี ด้วยตัวฉันเอง ฉันจะเท่ห์แล้วล่ะ  ซึ่งความคิดนี้ มันเริ่มต้นจากสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ก็คือวิญญาณที่เป็นทูตสวรรค์ที่ชื่อ ลูซีเฟอร์ ก็คือตัวของมารนั่นเอง มันเกิดขึ้นในมารก่อน  เรียกว่าไม่เชื่อฟัง เรียกว่ากบฏ คิดว่าตัวเองแน่  และมาล่อลวงอาดัม บรรพบุรุษของเรา ตกลงไปในสิ่งที่เรียกว่ากฎแห่งความบาปและความตาย ฉันจะอยู่ในกฎแห่งความบาปและความตาย ฉันจะดูแลตัวฉันเอง  ฉันจะพึ่งพาตัวฉันเองในการกระทำดี ละชั่ว ที่เรียกว่ากฎแห่งกรรม

            กฎแห่งกรรม คือกฎแห่งการกระทำ เราทำดี เราได้ดี เราทำชั่ว เราได้ชั่ว ถามว่าอาดัมและเอวาตัดสินใจ เป็นสิ่งที่ดีไหม? ดีนะ ตามความคิดของมนุษย์ เห็นว่าดี มารมีสติปัญญาในการหลอกลวง ล่อลวงอย่างแนบเนียนมาก  มันไม่ได้ล่อลวงเราทำไม่ดีนะ มันล่อลวง ดูเหมือนทำดี  แต่มันทำไม่ได้ เพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว  ไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่จะสามารถทำดี ละชั่วได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีทางที่มนุษย์จะสามารถทำตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์เหมือนเดิม  คือเหมือนพระเจ้าได้  เพราะว่าเมื่อออกจากบ้านไป  พระสิริของพระเจ้าได้จากมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว  วิญญาณของมนุษย์ที่พระเจ้าบอกว่าอย่าออกไปนะ ออกไปเจ้าจะตายนะ  เจ้าดูแลตัวเองไม่ได้หรอก  มนุษย์สลัดเอาพระสิริของพระเจ้าออกไป จากชีวิตของตน เขาได้ทำผิดจากเป้าหมาย ความประสงค์ของพ่อ ที่สร้างเขามา ให้เขามีความสุข อยู่ในพระคุณ  อยู่ในความดีงาม สิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง เขาตัดสินใจออกไปจากพระคุณ ออกไปจากสิ่งดีงามต่างๆ เหล่านั้น ผิดจากเป้าหมายที่พระเจ้าได้วางไว้ สำหรับเขา การผิดเป้าหมาย ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่า “บาป”

            มนุษย์ตกไปในความบาป ก็คือมนุษย์ตกลงไปในการดำเนินชีวิต อยู่ในกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำรับดีรับชั่วด้วยตัวเอง ซึ่งผิดเป้าหมายจากพระประสงค์ของพระเจ้า เรียกว่าบาปนั่นเอง

            มนุษย์ทำชั่ว คืออะไร?  กระทำชั่ว คือทำบาป คือคนบอกว่าทำชั่ว คือทำสิ่งที่ไม่ดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น จะบอกให้ ทำชั่ว คือทำอะไรก็ตามที่ไม่ได้อยู่ในความประสงค์ของพระเจ้า เป้าหมายของพระเจ้า ไม่มีชั่วมาก ชั่วน้อย  มีแต่ว่าไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น  พระประสงค์ของพระเจ้า ให้เราอภัยให้คนอื่น เราทำไม่ได้ เท่ากับเราทำบาป แค่นั้นเอง นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า

            และเมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำตัวเองให้บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนเดิมได้ ได้อำนาจของความบาปและความตายนั่นแหละ นึกภาพออกไหม?  เพราะทำไม่ได้

            แรกๆ บอก … “ฉันจะทำด้วยตัวเอง ฉันทำได้ๆ”

            พระเจ้าบอก … “ทำไม่ได้”

            “ฉันจะทำให้ได้”

            พอทำไม่ได้ ก็เกิดการฟ้องผิด  ก็อยู่ในกฎของความบาปและความตาย ต้องรับโทษ การรับโทษ เรียกว่าถูกพิพากษา ตามมาด้วยอะไร? พอโดดเข้ามาอยู่ในกฎแห่งกรรม  กระทำดี กระทำชั่วปุ๊บ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น เป็นผล ก็คือคำสาปแช่ง  เกิดตามกฎที่บอกไว้ เมื่อทำไม่ได้ ทำชั่ว ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่ตามกฎที่พระเจ้าวางไว้  ก็ได้สิ่งที่ไม่ดีเข้ามา สิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้ เขาเรียกว่า “คำสาปแช่ง” ก็คือพูดง่ายๆ ตรงกันข้ามกับพระพร เมื่อเชื่อฟังพระเจ้า  ได้พร ได้สิ่งที่ดีๆ พรต่างๆ เหล่านั้น ก็หายไป กลายเป็นคำสาปแช่ง ถูกพิพากษาลงโทษ ให้อยู่ในคำสาปแช่งนี้ ซึ่งเป็นไปตามกฎที่พระเจ้าได้วางไว้ และเตือนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าอย่า พูดง่ายๆ เหมือนที่เราบอกลูกว่าอย่าออกจากบ้านไปนะ เจ้าออกไป เจ้าเละแน่เลย  ผู้คนหลอกลวง ล่อลวง บอกอย่าติดยาเสพติด อย่าไปเชื่อเขา อย่าไปลองเสพนะ  แล้วลูกเราไปเสพ แล้วก็เละตุ้มเป๊ะ ชีวิตล้มไปทั้งชีวิตเลย ทุกข์ทรมาน เหมือนกัน คล้ายๆ กัน

            ความจริง ตามกฎของพระเจ้าบอกว่าค่าจ้างของความบาป คือความตาย แทนที่จะอยู่ในพระคุณของพระเจ้า พระคุณของพระเจ้าได้มาเปล่าๆ  เป็นของขวัญที่พระเจ้าให้  ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย แต่นี่มนุษย์อยากจะเข้าไปอยู่ในนี้  อยากจะทำด้วยตนเอง ค่าจ้างของความบาป ก็คือเมื่อไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า  ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของพระเจ้า อยากออกมาทำเองใช่ไหม? อยู่ในพระคุณสบายๆ ไม่เอา ออกมาเหนื่อยด้วย เหนื่อยแล้วได้อะไร? ค่าจ้างของความบาป ก็คือเหนื่อยในการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทำด้วยตนเอง เกิดความตาย นี่คือสัจจธรรม ไม่ได้พระพร มีแต่คำสาปแช่ง จนถึงนิรันดร์เลย ที่ผมใช้อยู่บ่อยๆ คือมนุษย์แทนที่จะอยู่ในที่สบายๆ กลับตัดสินใจมาอยู่ในกฎของคำสาปแช่ง กฎของความบาป พึ่งพาตนเอง อยู่ในกฎของความพยายามอยู่ที่ไหน? แล้วก็บอกว่าความสำเร็จอยู่ที่นั่น  ซึ่งมันไม่มีจริง ถูกมารหลอก มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้พึ่งพาในตนเอง แต่มนุษย์ถูกสร้างให้พึ่งพาในพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เป้าหมายของพระเจ้า ก็คือถ้าลูกจะมีความสุขได้ ลูกต้องพึ่งพาในพ่อเท่านั้นเอง เพราะถูกสร้างมาอย่างนั้น รถมอไซด์ เขาออกแบบมา มี 2 ล้อ ก็ต้องใช้แบบมอไซด์ 2 ล้อ  รถที่สร้างมาแบบ 4 ล้อ ก็ใช้แบบ 4 ล้อ จะเอา 2 ล้อมาจอด แล้วก็ลอยๆ ยืนเฉยๆ ให้มันเหมือนรถ 4 ล้อ ไม่ได้ มันก็ล้มสิ มันต้องเอาขายันไว้ ในทำนองเดียวกัน มนุษย์ถูกสร้างมาให้สุขสบาย แต่ต้องอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า คือเชื่อฟัง อยู่ในพระคุณ เมื่อไม่เชื่อฟัง อยากมาอยู่ด้วยตนเอง มนุษย์ก็จะตกอยู่ในคำสาปแช่ง จนเคยชิน แล้วให้คติกับตัวเองว่า …

            “ความพยายามอยู่ที่ไหน? ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น”

            พระเจ้าบอกไม่ใช่หรอก ไม่จริงหรอก  พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์บอกว่าความพยายามอยู่ที่ไหน? ความพยายามก็อยู่ที่นั่นแหละ  ก็ทำต่อไป  เหมือนหนูถีบจักร อยู่ในวัฏจักรแห่งกรรม  ทำไปเถอะ ถีบไปๆ  ค่าแรงค่าจ้างในการถีบจักรอย่างดี  จะไปให้ถึงเป้าหมาย อยู่ที่เดิม เหนื่อยเปล่า อยู่ในความตาย แต่ถ้าอยู่ในพระคุณของพระเจ้า คือออกจากกฎแห่งกรรม วัฏจักรแห่งกรรม แล้วมานอนอยู่ที่บันไดเลื่อนแล้วกัน บันไดเลื่อน ชื่อพระเยซูคริสต์ บันไดเลื่อนมันจะเลื่อนไปเองนั่นแหละ เอเมนไหม? มองเห็นภาพไหม?

            โอเค กลับมาที่ ตั้งแต่มนุษย์ตกลงไปในความบาป พระเจ้ากับมนุษย์ก็อยู่ตรงกันข้าม  เป็นศัตรูกัน  คนหนึ่งอยู่ในสวรรค์ อีกคนหนึ่งอยู่บนโลก ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ อยู่คนละกฎกัน  ก็เป็นศัตรูกัน เข้ากันไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าเป็นความสว่าง มนุษย์และโลก ก็อยู่ในความมืด เข้ากันไม่ได้  พระเจ้าเป็นความชอบธรรม เป็นความบริสุทธิ์ ก็เข้ากันไม่ได้ มนุษย์กับโลกก็เป็นความบาป  ความบาป คือการผิดเป้าหมาย โลกที่ถูกสร้างมาดีๆ เสียหายหมดเลย บ้านเละตุ้มเป๊ะ มนุษย์ก็เสียหายไปหมด อยู่ในคำสาปแช่ง มนุษย์จึงกลายเป็นคนบาป คนชั่ว โดยกำเนิดเกิดมาเป็น ทั้งโลกเป็นหมด  รวมทั้งหมนุษย์เกิดมาก็เป็น  เพราะว่ามนุษย์ทุกคนก็เกิดมาจากบรรพบุรุษ เราก็เกิดมาจากปู่ของเรา  ปู่เราก็เกิดมาจากทวด ทวดก็ไล่มาเรื่อยๆ  จนกระทั่งมนุษย์เกิดมาจากอาดัมนั่นแหละ อาดัมที่เราเรียนรู้เมื่อตะกี้นี้ว่า เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้อยู่ในอาดัมแล้ว วิญญาณของอาดัม ไม่มีพระเจ้าอยู่ ไม่มีพระสิริของพระเจ้าอยู่แล้ว มีอะไรแทน มีบาป มีตัวตนของตัวเองอยู่ในนั้น ไม่ใช่มีมารนะ มีตัวตนของตัวเอง ทำด้วยตัวเอง เย่อหยิ่ง จองหอง เห็นแก่ตัว ทุกอย่าง ฉันเป็นใหญ่

            นี่แหละ คือสิ่งที่เกิดขึ้นของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจึงกลายเป็นคนบาป คนชั่วโดยกำเนิด เกิดมาเป็น  ไม่ใช่ไปทำชั่ว แต่วิญญาณข้างในมันชั่ว เพราะไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า เดี๋ยวมันทำอะไรต่างๆ เป็นอาการ การประพฤติออกมา ก็จะเป็นการประพฤติที่ไม่ตรงกับน้ำพระทัยพระเจ้า ยกตัวอย่างน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เขารู้ว่าเขามาจากไหน? เขามาจากพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว  แต่เขาไปกราบไหว้ภูเขาไฟ แล้วคิดว่าภูเขาไฟให้กำเนิดเขามา  แค่นี้เขาเรียกว่าทำชั่วแล้ว

            เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำอย่างไร? ความจริงแล้วพระเจ้าก็วางแผน ช่วยกู้มนุษย์ ให้รอดพ้นจากความพินาศนี้ จากสถานะนี้  จากการพิพากษาลงโทษ จากการเป็นคนบาป จะช่วยกู้เรา จึงวางแผนการ และแผนการนั้น ก็คือทรงให้พระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์ที่ไม่ใช่อาดัม ที่ล้มลงไปในความบาป ปฐมกาล 3:15 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้เลยว่าหลังจากที่มนุษย์ล้มลงในความบาป เชื่อมาร เกิดเหตุขึ้นในครอบครัวของพระเจ้า มนุษย์หลุดออกจากบ้านพระเจ้า หลุดออกจากสวรรค์ไปแล้ว หลุดออกจากพระสิริไปแล้ว อะไรเกิดขึ้น พระเจ้าวางแผนการอย่างไร? …

        ปฐมกาล 3:15 “เราจะให้​เจ้​ากับหญิงนี้​ เป็นปฏิปักษ์​กัน ทั้งเชื้อสายของเจ้ากับเชื้อสายของนาง เชื้อสายของนาง จะกระทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะกระทำให้ส้นเท้าของท่านฟกช้ำ”

            นี่เล็งให้เห็นถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อเป็นตัวแทนมนุษย์พันธุ์ใหม่ “ทั้งเชื้อสายของเจ้าและเชื้อสายของนาง” เชื้อสายของเจ้า เล็งถึงเชื้อสายของอาดัม ที่มารล่อลวงให้เชื่อฟัง เมื่อเชื่อมาร ก็เหมือนกับเป็นลูกหลานของมาร จริงๆ ไม่ใช่เป็นลูกหลาน แต่ไปเชื่อเขาไง ในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าเชื่อใคร ก็เป็นทาสคนนั้น  ก็คือเชื่อฟังเขา

            เพราะฉะนั้น “เชื้อสายของเจ้า” ก็คือเชื้อสายของมนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในอาดัม ซึ่งตกอยู่ใต้ความบาป โดนหลอกลวง โดยมารนั้น จะเป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับเชื้อสายของนาง

            “เชื้อสายของนาง” ตรงนี้ หมายถึงหน่อเชื้อ  หน่อเชื้อตรงนี้หมายถึงพระเยซูคริสต์ เพราะภาษาเดิม หน่อเชื้อ ตรงนี้ เป็นเอกพจน์  ไม่ใช่เป็นพหูพจน์  ไม่ใช่หมายถึงหน่อเชื้อต่างๆ แต่หน่อเชื้อตรงนี้ หมายถึง 1 เดียว ที่เกิดจากหญิง  ปกติแล้ว พระเจ้าให้กฎเกณฑ์ไว้ว่ามนุษย์สืบเผ่าพันธุ์มาจากผู้ชายเป็นหลัก DNA ทางวิญญาณมาจากผู้ชายเป็นหลัก

            ฉะนั้น คำว่า “สืบเชื้อสาย” เขาจึงสืบเชื้อสายผ่านทางผู้ชายเท่านั้น แต่นี่บอกไว้เลยว่าเชื้อสายของนาง ก็คือเชื้อสายที่มาจากผู้หญิง ในโลกนี้ไม่มีใครเลยที่เกิดมาจากผู้หญิง  เกิดจากผู้ชายทั้งสิ้น  นี่คือกฎทางวิญญาณที่ในพระคัมภีร์บันทึกไว้

            เพราะฉะนั้น หมายถึงหน่อเชื้อ ก็คือมนุษย์คนเดียวในโลกใบนี้ ที่จะเกิดจากหญิง  โดยไม่มีชายเกี่ยวข้อง ก็คือแมรี่ หญิงพรหมจารี เกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ก็คือพูดง่ายๆ วางแผนก่อนเลยว่าพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์  ในหญิงพรหมจารี เพื่อจะช่วยเหลือมนุษย์ โดยการเหยียบหัวของเจ้าให้แหลก  “เจ้า” พูดง่ายๆ เล็งถึงมารที่จะมาหลอกลวง ล่อลวง  ให้มนุษย์ทำบาปนั่นเอง เหยียบหัวให้แหลก ก็คือทำลายความบาปและความตายออกไป เพราะถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ จะได้ไม่ต้องกลัวมารมันมีอำนาจอะไร? ไม่มีอะไรเลย มันหลอกลวงทั้งสิ้น  โดยใช้กฎหมายนี้ มันเป็นตัวหลอกลวง  เหมือนกับมนุษย์ในปัจจุบัน  ที่เรามีลูก ลูกเราไม่รู้เรื่อง  ถูกคนข้างนอก หลอกลวง ล่อลวง บอกให้เซ็นอันนี้นะ เซ็นอันนั้นนะ ไปเชื่อฟังอะไรเขาต่างๆ ล่อลวง เช่นเดียวกัน มนุษย์ถูกล่อลวง แล้วพระเจ้าก็จะส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อจะได้พามวลมนุษย์ กลับคืนมาสู่สถานะเดิม

            เราจะมาดูว่าเมื่อพระเจ้าวางแผนการเริ่มต้นไว้อย่างนั้นแล้ว  แล้วในพระคัมภีร์จากนั้นมา มนุษย์ที่รู้ความจริง เรื่องเหล่านี้ ในตอนเริ่มต้น คืออาดัมและเอวา และมนุษย์รุ่นแรกๆ หลายพันปีก่อนโน้น  ก็เฝ้ารอ รอว่าเมื่อไรเด็กคนนี้  หน่อเชื้อจากหญิงนี้ จะมาสักทีหนึ่ง พระคัมภีร์เดิมใช้คำว่าพระเมสิยาห์ แปลว่าผู้ช่วยให้รอด  ทุกคนก็เฝ้ามอง  เมื่อไรพระเมสิยาห์จะมา  พระเจ้าสัญญา ท่านลองคิดดูสิ เขาจะมานั่งคิดหรือว่าต้องมานั่งรอไปอีก 1,000 ปี อีก 3,000 ปี อีก 5,000 ปี 8,000 ปี เขาไม่ได้คิดหรอก เขาก็คิดว่าพระเจ้าทำวันพรุ่งนี้แหละ มะรืนนี้แหละ แต่ละรุ่นๆ ของมนุษย์มา น่าจะเป็นพรุ่งนี้มั้ง พอมีลูกชายคนหนึ่ง ก็ดีใจ ใช่มั้งๆ ก็ไม่ใช่ แต่ที่ไม่ใช่ ตัวเขาเองก็เสียชีวิตไปแล้ว คนรุ่นใหม่ก็รอต่อไป คนนี้อาจจะใช่ ก็เลยดีใจ เมื่อมีลูกชาย แค่นั้นเอง

            เรามาดูตั้งแต่เริ่มต้นว่าในปฐมกาล พระเยซูคริสต์เป็นใคร? เป็นพระเจ้าจริงหรือไม่? พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์อย่างไร? ยอห์น 1:1-5 ได้บันทึกอย่างนี้ว่าพระเยซูเป็นพระวาทะ คือถ้อยคำพระเจ้า  เป็นพระเจ้า เป็นพระบุตรของพระเจ้า  อยู่กับพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนที่จะสร้างอะไรทั้งหลายทุกสิ่งทุกอย่าง  เริ่มต้นขึ้นมา ก็มีพระเจ้าแล้ว  และพระเจ้าผู้นั้น ก็มีพระบุตร ชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เพิ่งให้ชื่อทีหลัง ตอนที่ส่งลงมาช่วยมนุษย์ จึงตั้งชื่อตามหน้าที่ คือมาช่วยมนุษย์ให้รอด จึงตั้งชื่อว่าพระเยซู ซึ่งแปลว่าผู้ช่วยให้รอด เติม “คริสต์” เข้าไป ก็คือผู้ที่ถูกแต่งตั้ง เจิมไว้ให้เป็นผู้ช่วยให้รอด เรียกว่าพระเยซูคริสต์ แต่ก่อนหน้านั้น พระองค์ไม่มีชื่อ พระองค์มีนามว่าพระวาทะ ตามหน้าที่ของพระองค์ ก็คือเป็นถ้อยคำของพระเจ้า  พระเจ้าเป็นผู้วางแผน เป็นผู้คิดว่าอยากจะทำอะไร?

            ยกตัวอย่าง พระเจ้าคิดอยากจะสร้างโลก พระเจ้าก็ปรึกษา บอกพระเยซู พระเยซู คือถ้อยคำ พระเจ้าก็ตรัสออกมา “จงมีโลกเกิดขึ้น” นึกภาพนะ คำพูดนี้ คือพระเยซู แล้วพระเยซูก็ออกไป ไปถึงที่ว่างเปล่า ที่จะเกิดโลกนั้น พระเยซูไปถึงปุ๊บ ก็กดปุ่ม ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ทำการสร้างโลกนี้ขึ้นมา  เป็นอย่างนั้น อ่านยอห์น 1:1-5 …

        ยอห์น 1:1-5 “1 ในปฐมกาล พระวาทะ (พระเยซูคริสต์) ทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า 2 พระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า ตั้งแต่ปฐมกาล 3 สรรพสิ่งถูกสร้างขึ้น โดยทางพระองค์ ในบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียว ที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น โดยทางพระองค์ 4 ในพระองค์ คือชีวิต และชีวิตนั้น เป็นความสว่างของมนุษย์  5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด แต่ความมืดไม่ได้เข้าใจความสว่างนั้น”

            พระองค์เป็นชีวิต พระองค์สร้างทุกสิ่ง พระองค์มีส่วนในทุกอย่าง ที่ทรงสร้าง ส่วนหนึ่งของพระองค์เป็นต้นไม้อยู่ สร้างต้นไม้ สร้างมนุษย์ พระองค์ก็อยู่ในส่วนของมนุษย์ เมื่อไม่มีพระเยซู ก็ไม่มีชีวิตอยู่  ก็คือตายอยู่นั่นเอง  พระองค์ทรงเข้ามาในโลกใบนี้ โลกใบนี้เป็นความมืด  อย่างที่ตะกี้นี้บอก  โลกใบนี้เป็นศัตรูกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า เพราะฉะนั้น มาบนโลกใบนี้ โลกไม่รู้จักพระองค์ จะรู้จักได้อย่างไร? ในเมื่ออยู่คนละขั้ว ความมืดกับความสว่าง อ่านข้อที่ 10-14 ต่อ …

        ยอห์น 1:10-14 “10 พระองค์ทรงอยู่ในโลก และแม้ว่าโลกถูกสร้างขึ้น โดยทางพระองค์ แต่โลกก็ไม่ได้รู้จักพระองค์ 11 พระองค์ทรงเข้ามาในดินแดนของพระองค์เอง แต่คนของพระองค์เอง ไม่ยอมรับพระองค์ 12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์  หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า 14 พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความจริง  เราได้เห็นพระเกียรติสิริของพระองค์ คือพระเกียรติสิริของพระบุตรองค์เดียว ผู้ทรงมาจากพระบิดา”

            พระเยซูทรงอยู่ในโลก มาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนะ แม้ว่าโลกถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์ เห็นไหมครับ?  แต่โลกไม่ได้รู้จักพระองค์ เพราะว่าตกอยู่ในความบาป  คำสาปแช่ง พระองค์ทรงเข้ามาในดินแดนของพระองค์เอง  แต่คนของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์ ดินแดนของพระองค์ หมายถึงชนชาติอิสราเอล ชนชาติยิวที่พระเจ้าส่งพระเยซูมาบังเกิดในหญิงพรหมจารีนี้ อยู่ในตระกูล อยู่ในเผ่าพันธุ์ของชาวยิว  ชาวอิสราเอล  แผนการของพระองค์ เริ่มต้นจากชาวอิสราเอลก่อน  แล้วข่าวดีนี้ถึงจะแพร่หลายมาถึงชาวที่ไม่ใช่ยิว ก็คือชาวต่างชาติ ใครก็ตามมนุษย์ทุกคน

            ปรากฏว่าในอิสราเอล พี่น้องแท้ๆ ตามสายเลือดของมนุษย์ ที่พระเยซูเกิดจากชาวยิว ชาวยิวไม่ยอมรับพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์

            ข้อ 12 จึงบันทึกว่าส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ส่วนคนต่างชาติอื่นๆ ที่ข่าวดีถูกประกาศออกไป หมายความว่าพระเยซูมาบังเกิดแล้ว  วันคริสต์มาส คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่านทั้งหลาย  คนเหล่านั้นที่ยอมรับพระองค์ ยอมรับพระเยซู ผู้ที่เชื่อในนามของพระองค์ คือในนามของพระเมสิยาห์  พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าองค์เดียวที่พระเจ้าพระบิดาส่งมาช่วยเหลือมนุษย์  ใครที่เชื่อในนามของพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ก็ประทานสิทธิ

            สิทธินี้ แปลว่าฤทธิ์อำนาจ พระองค์ก็ทรงประทานฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ให้เขาได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้าเลย

            ข้อ 13 คือเป็นลูกที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ  หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า

            เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง? ได้เกิดใหม่ทันทีเลย  พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์  และประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณ และความจริง เราได้เห็น พระเกียรติสิริของพระองค์ คือพระเกียรติสิริของพระบุตรองค์เดียว ผู้ทรงมาจากพระบิดา  ก็คือผู้ที่พระเจ้าได้เจิมตั้งไว้ ตั้งแต่เมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านกันในปฐมกาล

            ฟีลิปปี 2:5-7 ได้ยืนยันอีก อย่างชัดเจนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ และยอมสละสถานะพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อยเหมือนเราทั้งหลาย …

        ฟีลิปปี 2:5-7 ”5 จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่าน เหมือนอย่างที่มี ในพระเยซูคริสต์ 6 ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้า เป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้ 7 แต่ทรงสละพระองค์เอง และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์”

            ยืนยันอย่างชัดเจนว่าพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้า เป็นสิ่งที่น่ายึดถือไว้ ก็คือไม่เสียดาย ไม่นึกถึงสถานะของตนเองที่เป็นพระเจ้า แต่ทรงยอมสละพระองค์เอง คือสละตำแหน่งพระบุตรของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ มาอยู่ในสภาพทาส ทาสคืออะไร?  ทาสของกฎของความบาปและความตาย กฎแห่งกรรม พูดง่ายๆ ว่าลงมาเกิดเป็นมนุษย์  และอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม  กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เรียกว่ากฎของความบาปความตาย ร่วมกับเราทั้งหลาย เหมือนกับเราเลย ไม่เหมือนเพียงอย่างเดียว คือพระองค์ทำได้ พระองค์ไม่ได้ประพฤติชั่ว ทำดีตลอดเลย แต่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎของพระองค์ คือทำแต่สิ่งที่ดีตลอด เพราะว่าวิญญาณข้างในพระองค์ เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า  แต่วิญญาณของเราเป็นวิญญาณที่หล่นหายไปจากพระเจ้าแล้ว เป็นวิญญาณบาปนั่นเอง

            กาลาเทีย 4:4-7 จึงบอกว่าสิ่งที่มนุษย์รอมา รอให้เกิดขึ้น ก็คือที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะส่งพระบุตรของพระองค์ ส่งพระมาซิฮาห์มาช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอด ให้พ้นจากกฎของความบาปและความตาย รอจนกระทั่งลืมไปแล้ว รอจนกระทั่งนึกว่าถึงอาทิตย์หนึ่ง  อีก 2 อาทิตย์ อีกปีหนึ่ง อีก 5 ปี รอจนหลายพันปี จนในที่สุด สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ และบอกมาทุกรุ่นๆ 500 ปีก็บอก  200 ปีก็บอก 100 ปีก็บอก พันปีก็บอก บอกมาเรื่อยๆ เลย หนึ่งในจำนวนนั้น คือเจ็ดร้อยปีที่แล้ว  บอกไว้เหมือนกันว่าเด็กที่จะมาเกิด ที่จะมาช่วยเหลือเขาจะตั้งชื่อให้ว่าอิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย อ้าว! พอถึงวันเวลาจริงๆ เมื่อ 2,000 ปีผ่านมา วันคริสต์มาสแรกของโลก 2,000 ปีมาแล้ว เกิดขึ้นจริงๆ กาลาเทีย 4:4-7 ได้บันทึกไว้ …

        กาลาเทีย 4:4-7 “4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตร (เป็นลูกของพระเจ้าได้) อย่างสมบูรณ์” 6 และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเรา ร้องว่าอาบา คือพระบิดา 7 เหตุฉะนั้น โดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านก็เป็นทายาท”

            แต่เมื่อถึงวันคริสต์มาสแรกของโลก  เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา ถึงเวลาที่พระเจ้าได้ส่งพระบุตรของพระองค์ ก็คือพระเยซูคริสต์ มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง  เห็นหรือยังหน่อเชื้อของหญิงพรหมจารี ไม่เกี่ยวกับผู้ชาย ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัตินี่แหละ คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ  กฎของการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ที่อาดัมเอาเข้ามา  ในเผ่าพันธุ์ของอาดัม มนุษย์บนโลกใบนี้ อยู่ใต้กฎนี้อยู่ พระเยซูลงมาอยู่บนโลกใบนี้  อยู่ใต้กฎนี้เหมือนกัน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง  เหมือนกับเราทั้งหลาย เพื่อไถ่คนทั้งปวง ที่อยู่ใต้กฎบัญญัติ

            คนทั้งปวงที่อยู่ใต้กฎบัญญัติ ก็คือมนุษย์บนโลกใบนี้ทั้งหมด ที่เป็นลูกหลานของอาดัม  คือมนุษย์ทั้งปวงที่เกิดมาแล้ว  และที่ยังไม่เกิดอีก เรายังไม่รู้ว่าจะมีถึงเมื่อไร?  พระเจ้าก็ไม่ได้บอกไว้ เพื่อไถ่คนทั้งปวงที่อยู่ใต้บทบัญญัติ  ก็คืออยู่ใต้ความบาป กฎแห่งกรรม กฎแห่งความพยายามอยู่ที่ไหน? ความพยายามอยู่ที่นั่น ทำไปๆ กฎแห่งหนูถีบจักร วัฏจักรแห่งการกระทำ ทำดีทำชั่ว อยู่ที่เดิม ไม่ได้ไปไหนเลย ไถ่คนทั้งปวงที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิเป็นบุตร  เป็นลูกของพระเจ้า อย่างสมบูรณ์

            “เรา” คือมนุษยชาติทั้งปวงเลย  เพื่อว่ามนุษยชาติที่อยู่ใต้บัญญัตินั้น จะได้กลับมาสู่บ้านของพระเจ้า  กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม  และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว หมายถึงว่าถ้าท่านเชื่อและวางใจในพระบุตร เพราะพระเยซูบังเกิดแล้ว ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ด้วยความเชื่อของท่าน ท่านจะเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์จึงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจของเรา ให้เรียกพระเจ้าว่า “พ่อ” เพราะท่านจะเกิดเป็นบุตร โดยวิญญาณของท่านจะบังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาสถิตอยู่ด้วย และจะนำท่าน ภายในวิญญาณของท่าน จะเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา” หรือ “พ่อ”

            เมื่อเป็นเช่นนั้น โดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร ก็หมายถึงถ้าท่านเชื่อและวางใจ และได้บังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะรู้ในใจของท่าน ท่านไม่ได้เป็นทาสของความบาปและความตายอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตาย  ไม่อยู่ใต้อำนาจของการกระทำดี กระทำชั่ว  ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของกฎแห่งกรรม ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรมาคอยชี้ท่านว่าท่านต้องชดใช้ๆ ไม่ต้องอีกแล้ว ท่านไม่ได้เป็นทาสใครทั้งสิ้น แต่ท่านเป็นผู้ที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ใต้พระคุณ กลับมาเป็นลูกเหมือนเดิม โดยเกิดใหม่ อยู่ใต้พระคุณแล้ว อยู่ใต้พระคุณ ก็คือไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น เป็นลูกเลย ทำอะไรต่างๆ ก็เป็นลูก เมื่อเป็นลูกแล้ว เป็นเลย ออกมาไม่เชื่อฟัง เดินไปที่นั่น เดินไป ก็ยังเป็นลูกอยู่ นี่เรียกว่าใต้พระคุณ

            เพราะฉะนั้น ข่าวดีวันคริสต์มาส ก็คือพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า ได้สละสถานะพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อมนุษย์จะได้สามารถบังเกิดใหม่ในวิญญาณ มาเป็นลูกของพระเจ้าได้เหมือนเดิม ตามพระประสงค์ของพระองค์ ที่วางไว้ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้วว่าจะมีครอบครัว และจะมีมนุษย์เป็นลูกของพระองค์ นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า

            นี่คือคำตอบของเรื่องนี้  ทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์  ก็เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ  เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่อยู่ใต้กฎบัญญัติ แห่งการกระทำดีกระทำชั่ว และเป็นผู้เดียวที่ทำได้จริงๆ คือไม่ได้ทำชั่วเลย เพราะไม่ได้เป็นคนบาป แต่เป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนของเรา จึงสามารถเป็นหัวหน้าของเรา ในการนำพามวลมนุษยชาติ ให้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับสภาวะของพระเจ้าได้ วิญญาณเรากลับคืนสู่สภาวะเป็นเหมือนพระเจ้าได้ โดยการบังเกิดใหม่ ร่วมกับพระองค์ การเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการบังเกิดใหม่นี้ พระคัมภีร์ใช้คำ ตามศัพท์ของภาษาสมัยนั้นว่า “บัพติศมา” แปลเป็นไทยว่า “เข้าส่วนร่วม” พูดง่ายๆ ว่าจากเดิมที่มนุษย์เกิดมาบนโลกใบนี้ อยู่ใต้บาป ได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความบาปกับบรรพบุรุษ คืออาดัม ได้ย้ายบัพติศมาเข้าส่วนร่วม ในความชอบธรรม ในความบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์ ในการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

            “จากเดิม มนุษย์เกิดมาบนโลกนี้ ได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วม ในความบาปกับบรรพบุรุษ คืออาดัม ได้ย้ายมาบัพติศมาเข้าส่วนร่วม ในความชอบธรรม  ในความบริสุทธิ์  เหมือนพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้า”

             พระเยซูมาทำให้มนุษย์ที่เชื่อในพระองค์ ทำให้มนุษย์ตัวตนเดิม คือวิญญาณ ที่อยู่ใน DNA บาปของอาดัม ให้มันตายไป แล้วให้เราบังเกิดใหม่  เข้ามาอยู่ใน DNA ทางวิญญาณ เป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์ ตามที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือโรม 6:3-6 …

        โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วม ในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น 4 ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจ แห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย(บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้นจะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            ข้อ 6 ที่บอกว่า “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราที่อยู่ในบาป ในอาดัมนั้น ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป คือตายไป ก็คือตัวบาปเราตายไปแล้ว เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            เพราะฉะนั้น ก็เท่ากับว่าเราได้บังเกิดใหม่ เช่นเดียวกับพระเยซู เพราะว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าจะกำจัดวิญญาณบาปของเรา ที่ในอาดัมนั้น ให้หลุดไป แล้วก็ย้ายเราเข้ามาบัพติศมา อยู่ในพระเยซูคริสต์ เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือการเป็นขึ้นจากความตาย  คือการบังเกิดใหม่ นี่คือข่าวดีวันคริสต์มาส คือพระเยซู ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อมนุษย์จะได้กลับสู่สวรรค์ บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้าได้เหมือนเดิม ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า โดยแค่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันง่ายเหลือเกิน เพียงแค่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ทุกสิ่งที่เราพูดกันมาทั้งวันนี้ ทั้งชั่วโมงนี้ มันเกิดขึ้นกับเขาคนนั้น ใครก็ตามที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ทันที! ทันที! ย้ำอีกครั้ง ทันที! ผู้ใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ผู้นั้นจะบังเกิดใหม่ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ทันที

            2 โครินธ์ 5:17 … “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!”

            ดังนั้น ถ้าผู้ใดได้อยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็ได้รับบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ด้วยความเชื่อในพระองค์ ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้น เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรม ที่พยายามรักษาได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือการกระทำการงานใดๆ ที่เราภาคภูมิใจ หรือว่าสถานะในวิญญาณที่มืดบอดนั้น คือตัวเก่าของเรา ได้ตายไปแล้ว มันได้ถูกยกเลิกลบล้างไปแล้ว ได้ผ่านไปแล้ว จงมอง ด้วยตาฝ่ายวิญญาณให้เห็นเถิด สิ่งใหม่ๆ ทั้งสิ้นได้ปรากฏขึ้นมา เพราะการบังเกิดใหม่นี้ นำมาซึ่งชีวิตใหม่ ในพระเยซูคริสต์

            วิญญาณใหม่เอี่ยมเหมือนพระคริสต์ จิตใจใหม่เอี่ยมเหมือนพระคริสต์ ร่างกายเดิมแต่ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และได้รับชีวิตจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตภายใน ร่างกายสะอาดหมดจด เป็นที่พอใจของพระเจ้าแล้ว

            เหลือเพียงแค่ความคิดในสมอง ที่ยังมีข้อมูลเดิมอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลจากอิทธิพลของความบาป ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็น ป้อมปราการที่เป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อต้านพระเจ้า ความคิดเนื้อหนังนี้มันคอยรับสื่อการกระตุ้น จากพลังอำนาจของความบาปและความตาย และอิทธิพลของหลักการพื้นฐาน ของระบบการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่เป็นความมืด ไม่มีพระเจ้า ซึ่งปกคลุมอยู่เหนือทุกสิ่งในโลกใบนี้ทั้งหมด ที่ควบคุมโดยมาร ที่คอยยุแหย่หลอกลวง ขโมย ฆ่า และทำลาย

            ข้อมูลความคิดเดิมที่อยู่ในสมอง ที่เป็นป้อมปราการนี้ กำลังอยู่ในกระบวนการการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ อยู่ในกระบวนการการทำลายล้างป้อมปราการนี้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตอยู่ภายในร่างกาย แต่จะทำการงานได้ดี ต้องได้รับความร่วมมือจากตัวเรา เจ้าของร่างกายนี้ด้วย ซึ่งเราเรียกกันว่ายอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงความคิด โดยการฝึกฝนความคิดให้เชื่อฟัง และจดจ่อไปที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ภายในเสมอๆ  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในแต่ละวัน แต่ละนาที ด้วยถ้อยคำ ความจริงในข่าวประเสริฐในพระคริสต์ ที่บอกว่าในโลกวิญญาณนั้นเราได้บังเกิดใหม่ เราได้เป็นใครในพระคริสต์แล้ว

            ซึ่งถ้อยคำแห่งความจริงนี้ จะเป็นอาวุธไปทำลายป้อมปราการความคิดเดิมนั้น ให้ค่อยๆเบาบางลง แต่ไม่มีวันสูญสิ้นไป สงครามนี้ยังคงดำเนินต่อเนื่อง ตราบใดที่เรายังหายใจอยู่ในร่างกายนี้ อยู่บนโลกใบนี้ ข้อมูลความคิดในสมองเดิม ป้อมปราการนี้ อิทธิพลของกิเลสตันหาของเนื้อหนังนี้ มันยังคงซ่อนตัวอยู่ในเราตลอดไป จนกว่าเราจะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์มาแทนที่ร่างกายเดิมนี้

            ฉะนั้น โปรแกรมข้อมูลในความคิดชั่ว ที่เป็นป้อมปราการนี้ จึงไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นศัตรูที่คอยทำลายชีวิตของเรา ที่แอบซ่อนอยู่ในตัวของเรานั่นเอง เหมือนปรสิต เหมือนเชื้อไวรัส ที่แอบอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์

            พรเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1447

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  ธันวาคม  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองคทรงอยู่)”

ตอน 6 “อิสระจากความกลัวพระเจ้า”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            ให้เราหันไปบอกกันและกันว่า “Merry Christmas” อย่านึกว่าผมจำไม่ได้ว่าวันนี้วันอะไร? ฝึกไว้ก่อน คราวนี้ฝึกเป็นภาษาไทย เราแปลได้หลายปีแล้ว “ขอให้ท่านได้พบกับสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ที่ทรงไถ่บาปให้กับท่าน” เอเมน

            วันนี้เรามาต่อในซีรี่ย์ “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)” ตอนที่ 6 “อิสระจากความกลัวพระเจ้า” มนุษย์ทุกคนคุ้นหูเรื่องนี้มากเลย ถ้าเราคิดให้ดีๆ เวลาเราจะทำอะไร เราจะบอก …

            “ระวังนะ พระเจ้ามองดูอยู่ พระเจ้าไม่มีลำเอียงเลยนะ พระเจ้ารู้หมด เธอต้องทำดีๆ นะ ทำไม่ดี พระเจ้าลงโทษ”

            พอเกิดอะไรไม่ดีขึ้น เราก็บอกว่า … “เนี้ย พระเจ้าลงโทษ”

            คนที่ทำชั่ว ทำอะไรไม่ดี เห็นชัดๆ แล้วได้รับอะไรที่ไม่ดีเข้ามา เราก็จะบอกว่า … “นี่ พระเจ้าลงโทษ”

            เกิดอุบัติเหตุ หรืออะไร? ภัยธรรมชาติต่างๆ เยอะแยะมากมาย ภูเขาไฟระเบิดอะไรต่างๆ  เราก็บอกว่าพระเจ้ากำลังลงโทษ โควิดมา คนตายเยอะแยะ  พระเจ้ากำลังลงโทษ มนุษย์ทำอะไรบาปไว้มั้ง หรือใครทำอะไรที่ชั่วร้ายไว้  พระเจ้ากำลังจัดการลงโทษ นี่คุ้นหูมากเลย  พระเจ้าลงโทษๆ

            ในพระคัมภีร์ก็เขียนไว้ตรงนี้ด้วยเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะพระคัมภีร์เดิม คำนี้ใช้บ่อย คือ … “จงเกรงกลัวพระเจ้าด้วยตัวสั่น”

            พออ่านก็สะดุ้งทุกทีเลย  แล้วมันหมายความว่าอย่างไร?  วันนี้เราจะมาค้นหาความหมายของคำว่า “จงเกรงกลัวพระเจ้าด้วยตัวสั่น” นึกในใจว่าพระเจ้าต้องการให้มนุษย์กลัวพระองค์หรือ? ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้  จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวพระเจ้า  ความจริงในวันนี้ ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้  จะทำให้เรารู้ความจริงว่าเราควรกลัวพระเจ้าไหม? พระเจ้าเป็นผู้ที่น่ากลัวอย่างนั้นหรือ?  สำหรับมนุษย์ทั้งปวง  เพื่อเราจะได้เป็นอิสระจากความกลัวพระเจ้า แล้วได้เข้าหาพระองค์อย่างสนิทสนมอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ วันนี้เราจะมาดูสิว่าน้ำพระทัยของพระองค์ ที่ให้มนุษย์กลัวพระเจ้าหรือไม่?

            ต้นเหตุของความกลัวพระเจ้ามาจากไหน? ต้นเหตุของความกลัวพระเจ้าสั้นๆ ในพระคัมภีร์บอกมาจากบาป ที่มนุษย์เป็นผู้ก่อขึ้น เรียกว่าก่อกรรมทำเอง  ไม่ใช่พระเจ้า นี่คือความจริงชัดๆ มนุษย์ก่อกรรมขึ้นมาเอง เราจึงใช้ พูดกันสั้นๆ ชัดๆ ว่าก่อนเรามาเชื่อ เราก็บอกว่าคนเราเกิดมาใช้กรรมเก่า ถูกเลยนะ  ใช้กรรมเก่า เป็นกรรมเก่าที่เราไม่ได้ทำ  แต่บรรพบุรุษเราเป็นคนทำ เหมือนคนที่เกิดในครอบครัวที่เป็นหนี้เป็นสิน  เกิดมาต้องใช้หนี้ใช้สิน เพราะว่าบรรพบุรุษเราขายทรัพย์สมบัติไปหมดเลย  เราตกเป็นทาสเขา ไม่มีเงินเหลือเลย ติดหนี้ติดสินเขา ต้องยกครอบครัวให้กับเขา เกิดมาก็เป็นหนี้เขาแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น เกิดมาใช้กรรม ไม่ใช่พระเจ้าเป็นต้นเหตุแห่งการใช้กรรมของเรา ใครเป็นต้นเหตุ มนุษย์เอง บรรพบุรุษของเรา เป็นผู้ขายเรา และบ้านของเรา คือโลกใบนี้ทั้งหมด ให้กับบาป

            “บาป” คือการไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย  ไม่มีสันติสุข ไม่มีพระสิริของพระเจ้า ไม่มีพระพรของพระเจ้า สิ่งดีงามของพระเจ้าทั้งหมด  ที่จัดไว้ให้กับมนุษย์ทั้งปวง  ได้หายไปหมดเลย เขาเรียกว่าทรัพย์สินของมนุษย์ทั้งปวงที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา ทั้งทรัพย์สินที่ภายในวิญญาณ ร่างกาย และวัสดุบนโลกใบนี้ ทั้งหมด ได้สูญหายไปหมดแล้ว มนุษย์ได้ออกจากสวรรค์ไป  ต้นเหตุก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า ชัดเจนไหม? ก็ มนุษย์เกิดมาใช้กรรม  และอยู่ใต้คำสาปแช่ง บนโลกใบนี้ ต้องทำมาหากินด้วยเหงื่อต่างน้ำ  ด้วยความลำบากยากเย็น  เพราะพระเจ้าอย่างนั้นหรือ? ต้นเหตุมันไม่ใช่นะ

            วันนี้ ความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเห็นถึงน้ำพระทัยพระเจ้าจริงๆ ว่าพระเจ้าเป็นใคร? แล้วพระองค์มีความรู้สึก สัมพันธ์ต่อมนุษย์ แค่ไหน? อย่างไร? พระองค์สาปแช่งลูกของพระองค์ คือมนุษย์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงให้กำเนิดมาได้ถึงขนาดนี้นั้นหรือ?

            ความจริงอันดับแรกที่เราต้องเรียนรู้ คือความรักของพระเจ้า  ที่มีต่อมวลมนุษย์ ในฐานะผู้ให้กำเนิด คือเรียกว่าพ่อนั่นเอง ว่าความรักของพ่อ คือพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์นั้น มากขนาดไหน?  เป็นห่วง เป็นใย และแคร์เรา มากขนาดไหน?  นี่ดูจากถ้อยคำพระเจ้าชัดๆ เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่จะสำแดงพระเจ้า ให้เราได้เข้าใจ ได้รู้ ชัดเจน ถึงพระลักษณะของพระเจ้า และความต้องการของพระองค์ และจิตใจของพระองค์นั้น ก็คือตัวของพระองค์เอง ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ที่มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อช่วยเหลือมนุษย์  และพระองค์มาถึงปุ๊บ พระองค์ก็สำแดงน้ำพระทัยของพระเจ้าว่าพระองค์มีน้ำพระทัย  มีความต้องการ มีความสัมพันธ์ มีความรักต่อมนุษย์ขนาดไหน? ฟังดูแล้วท่านจะเข้าใจเลย แทบจะไม่ต้องพูดอะไรอีกมากเลยว่าพระเจ้ารักเรามากขนาดนี้แหละ

            เราจะเริ่มต้นจากลูกา 15:17-24 ซึ่งพระเยซูยกอุปมาตัวอย่างให้กับชาวยิวในขณะนั้น ได้รู้ถึงน้ำพระทัยพระเจ้าว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ มีความรักต่อมนุษย์อย่างไรบ้าง?  โดยยกตัวอย่างง่ายๆ ชัดๆ ว่ามนุษย์ที่ตกอยู่ใต้คำสาปแช่ง อยู่ในความบาปนั้น เหมือนลูกที่หลงทางออกจากบ้าน ออกจากทางของพระเจ้าไป ไปสู่ความทุกข์ยากลำบาก แล้วพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ที่อยู่ในสวรรค์มีความรู้สึก อย่างไรต่อลูกที่จำเป็นต้องจากกันไป  เพราะลูกตัดสินใจเองว่าจะไปอยู่ตามลำพัง  ไม่ต้องมีพระเจ้าก็ได้  แต่ในที่สุด มันก็เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ ไม่ได้พรจากพระเจ้าเลย  พระเจ้ามีความรู้สึกต่อเขาอย่างไร?  ที่เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  เผชิญกับคำสาปแช่งต่างๆ เหล่านั้น อ่านดู แล้วเดี๋ยวเราจะมาทำความเข้าใจกัน …

        ลูกา 15:17-24 “17 เมื่อเขาคิดขึ้นได้ จึงกล่าวว่า ‘บิดาของเรา มีลูกจ้างหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่นี่ เรากำลังจะอดตาย 18 เราจะกลับไปหาบิดาของเรา และกล่าวกับท่านว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์ และต่อท่านด้วย 19 ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด’ 20 ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขา ก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชาย แล้วสวมกอดและจูบเขา 21 เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป’ 22 แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง 24 เพราะบุตรชายคนนี้ของเรา ได้ตายไปแล้ว และกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้ว และได้พบกันอีก’ ดังนั้น เขาทั้งหลายจึงเริ่มเฉลิมฉลองกัน”

            พระเยซูยกตัวอย่างว่าคนบาป มนุษย์ทั้งหลาย เหมือนกับลูกของพระเจ้าที่หลงหายออกไปจากสวรรค์ ออกไปจากบ้าน แล้วเจอความทุกข์ยากลำบาก แล้วก็ระลึกขึ้นมาได้ว่าเราลำบากลำบนอย่างนี้ทำไม? พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา เป็นเจ้าของสวรรค์น่าจะช่วยเราได้ น่าจะอภัยให้เราได้  เรากลับไปที่บ้านดีกว่า แม้ว่าจะกลับไป แล้วถูกพ่อลงโทษอย่างไร? ก็ยังดีกว่า ที่จะมาอยู่อย่างทุกข์ทรมานอย่างนี้

            “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป”

            มนุษย์มีความรู้สึกว่าเราไม่คู่ควรกับพระเจ้าเลย เพราะเราไม่บริสุทธิ์ เราสกปรก แต่พระเจ้าบริสุทธิ์ สะอาด  เข้าใกล้กันไม่ได้เลย เป็นศัตรูกัน อยู่กันไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราไม่มีค่า สมควรที่จะเข้าไปในสวรรค์ได้เลย นี่คือความรู้สึกของมนุษย์ทั้งหลายที่เป็นคนบาป

            “ดังนั้น  เขาจึงลุกขึ้น  กลับไปหาบิดาของเขา” … เอาล่ะ กลับไปหาพ่อแล้วกัน พ่อจะลงโทษอย่างไร ก็ยินยอมทุกอย่าง ยอมหมด

            “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล  บิดาเห็นเขา ก็สงสาร” … ทำไมพระเยซูยกตัวอย่างว่าอยู่แต่ไกล และเห็น …

            1. แสดงว่าบิดาจำได้ว่าลูกของตัวเอง ไกลลิ๊บเลย ลูกหายไปตั้งนานแล้ว กลับมาแต่ไกล ก็มองเห็น นั่นลูกเราเนี้ย แสดงว่าจำอยู่ไม่ลืมเลยลูกคนนี้  เรามีลูกกี่คน? เราจำได้ไหมลูกทุกคน?  แล้วหายไปตั้งนานแล้ว เดินกลับมา อยู่ไกลๆ เห็น

            2. แสดงว่าบิดาคนนี้ รอคอยลูกกลับมาอยู่ทุกวัน  พอกลับมา ก็เห็นแล้ว ไม่ใช่กลับมาเคาะประตูตั้งนาน ถึงเห็น  กลับมาปุ๊บ อยู่ไกลๆ ก็เห็นแล้ว  แสดงว่ามองทุกวัน กลับมาหรือยัง? มาหรือยัง? นี่คือท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อคนที่ยังอยู่ในบาป ใช้กรรมอยู่ อยู่ในคำสาปแช่ง  ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ วิญญาณสกปรก วิญญาณเป็นคนชั่ว ไม่บริสุทธิ์ ไม่สามารถอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ผู้ให้กำเนิดเขาได้

            บิดามีความสงสาร  เห็นไหม? ออกไปรอคอยด้วยความโกรธหรือ? … “สมน้ำหน้า บอกแล้ว อย่าออกไป  อย่าทำๆ เห็นไหม?  บอกแล้วว่า “อย่าๆ อย่าเชื่อเขา  บอกแล้วว่าอย่า ให้เชื่อฟังพ่อแม่ แล้วทำอย่างนี้ ดูสิ” ใช่หรือเปล่า? พระคัมภีร์บอก “บิดาเห็นเขา ก็สงสาร” ต่อด้วย “จึงวิ่งมาหาบุตรชาย”  เพราะดีใจมาก แทนที่บุตรชายจะวิ่งมาหาบิดา บุตรชายกลัวจะตาย กลัวจนตัวสั่น …

            “อย่าลงโทษลูกเลย เข้ากันไม่ได้เลย พ่อลูกผิดไปแล้ว ลูกมันเลว”

            แต่พ่อวิ่งเข้าไปหาบุตรชาย แล้วสวมกอด แล้วจูบเขา ไม่ได้พูดอะไรสักคำเลย นึกถึงภาพนะ สวมกอดและจูบเขา นี่ยังไม่ได้เข้าบ้านนะ นี่อยู่โน้น เลยหน้าไปออกไปอีก เพราะวิ่งออกไปนอกบ้านแล้ว ไปรับลูก

            พอสวมกอดเขา ไม่ได้พูดอะไรเลย เขาก็คือคนบาป ที่หลงหายไป  ได้รับการสวมกอดจากพระเจ้า  จากพระบิดาแล้ว  พูดอย่างนี้ว่า …

            “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกของพระเจ้าต่อไปแล้ว ข้าพเจ้ามันเลว ข้าพเจ้ามันไม่ดี ข้าพเจ้ามันชั่ว ข้าพเจ้าทำผิดไปแล้ว ยกโทษให้ลูกด้วยเถิด”

            คงร้องและคุกเข่าลง แต่บิดาสวมกอดก่อน คงคุกเข่าไม่ได้ คงพยุงขึ้นมา 2 แขน มาแล้วก็กอด ลูกก็พูดไป อยากจะคุกเข่า ขออภัย

            “แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่าเร็วเข้า” … แสดงว่าบิดา ไม่ได้ฟังเขาเลยนะ ไม่ได้บอกว่ายกโทษให้แล้ว แต่แสดงอาการเหล่านี้ทั้งหมด คือพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ไม่จดจำความผิดความบาปของเรา ที่เคยทำในอดีตเลย แม้แต่นิดหนึ่ง พระองค์ลืมไปแล้ว ลบไปแล้ว ลบตั้งแต่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขนแล้ว  พระองค์ไม่เคยคิดเลยว่าเราเป็นคนบาปมาก่อน อะไรต่างๆ เหล่านั้น

            “แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่าเร็วเข้า จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุด มาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา เอารองเท้ามาสวมให้กับเขา นำลูกวัวขุนมาฆ่า เพื่อมาฉลอง” … คือเอาสิทธิทั้งหมด เป็นลูก เป็นทายาท มรดกอะไรที่เป็นของเขา  บ้านที่เป็นของเขา ทรัพย์สมบัติของพ่อ ที่เป็นของเขา ให้หมดเลย ให้สิทธิ เป็นลูกของพระเจ้าเลย  ไม่ได้คิดถึงเรื่องความผิดอะไรต่างๆ ของเขาที่ทำมา แม้แต่นิดเดียวเลย แค่นั้นไม่พอ จัดงานฉลองด้วย ฉลองแล้วบอกว่าอย่างไร? …

            “บุตรของเราที่ตายไปแล้ว คือเป็นคนหลงทางไป เป็นบาปนั้น ต้องชดใช้กรรมอยู่นั้น บัดนี้ กลับเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว  กลับบ้านแล้ว กลับมาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว  ดังนั้น เราก็ต้องมีงานฉลองในสวรรค์กันหน่อยสิ” พระเยซูตรัสว่าในสวรรค์จะมีการฉลองกันใหญ่โตเลย เมื่อมีคนบาปคนหนึ่งกลับใจใหม่มาหาพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่สวรรค์ ในสวรรค์จะมีการฉลองกันใหญ่โต เป็นอย่างนั้น พระเยซูคริสต์จึงได้พูดอย่างนี้ ในหนังสือมัทธิว 7:9-11 ว่าให้เราเปรียบเทียบให้ผู้คนที่ฟังอยู่ขณะนั้น ได้รู้ถึงความรู้สึก ความลึกซึ้งของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ ซึ่งเป็นคนบาป ตกอยู่ในความบาป ตกอยู่ในความพินาศ ตกอยู่ในความสาปแช่งว่าความรู้สึกของพระองค์เป็นอย่างไร? อันนี้ก็เฉียบขาดมาก มัทธิว 7:9-11 …

        มัทธิว 7:9-11 “9 ใครบ้างในพวกท่าน ถ้าบุตรขอขนมปัง จะให้ก้อนหิน? 10 หรือถ้าบุตรขอปลา จะให้งูแก่เขา 11 ถ้าแม้ท่านเอง ซึ่งเป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้สิ่งดีๆ แก่บุตรของท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์ จะประทานสิ่งดี แก่บรรดาผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์ ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด”

            “ประทานสิ่งที่ดีแก่บรรดาผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์ ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด” ให้เรานึกถึงว่าเราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักมากเลย มีอะไรบ้างที่เราทูลของต่อพระองค์ต่างๆ เราอาจจะยังไม่ได้ หรือไม่ได้ตามใจตัวเอง แล้วเรานึกว่าพระเจ้าคงลงโทษ พระเจ้าคงไม่ให้ เพราะอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างนั้น ขนาดเราเป็นคนบาป คนชั่ว เรามีลูก เรายังรักลูกของเรา เรายังอยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเขาเลย แล้วมากกว่านั้นสักเท่าไร? ที่พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์จะรักเรามากขนาดไหน? จะให้สิ่งที่ดีที่สุด ไว้สำหรับเรา  เราอาจจะยังไม่เข้าใจตอนนี้ แต่เห็นนะว่าท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์เป็นอย่างไร? นี่กำลังพูดถึงคนบาป ไม่ใช่คริสเตียนนะ พระเจ้ายังรักถึงขนาดนั้นเลย รักมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนบาป หลงหายไป หรือเป็นคริสเตียน แน่นอน ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงห่วงใยคนที่เป็นคนบาป ที่ยังไม่เป็นคริสเตียนมากกว่าคนที่เป็นคริสเตียนแล้วนิดหนึ่ง เพราะคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว รอดแล้วรอดเลย อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว สบายใจไปแล้ว น้องที่ยังไม่ได้เข้ามา ในสวรรค์ ยังอยู่ในความพินาศอยู่ นั่นแหละ คือเป็นคนที่พระบิดาทรงห่วงใยมากกว่า 1 ยอห์น 3:1-2 บันทึกไว้อย่างนี้ พูดถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์นะ …

        1 ยอห์น 3:1-2 “1 จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรัก แก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้น เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลายก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ 2 เพื่อนที่รัก บัดนี้ เราเป็นลูกของพระเจ้า ภายหน้าเราจะเป็นอย่างไร เรายังไม่อาจรู้ได้ แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะเราจะเห็นพระองค์ อย่างที่พระองค์ทรงเป็น”

            พระเจ้าพระบิดา ทรงโปรดประทานความรัก คือรักเรามาก ถึงขนาดให้เรากลับมามีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า เท่าเทียม เหมือนกับพระบุตร คือเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับร่างกายใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ทุกวันนี้ เมื่อเราเปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์ กลับมาหาพระเจ้าแล้ว วิญญาณและใจใหม่ของเรานั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ยังอยู่ในร่างกายเดิม  แต่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราเห็นพระเยซูคริสต์ปรากฏ คือเราได้พบกับพระเยซูคริสต์ เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่คือรักเราขนาดไหน?

            ยอห์น 3:16 อันนี้พระเยซูก็แจงชัดเจน อีกอันหนึ่งว่าพระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์เลย มนุษย์ทุกคน มนุษย์ที่เกิดมาใช้กรรม ที่เกิดจากการกระทำของตนเอง หมายถึงเผ่าพันธุ์ของตนเองนั่นแหละ  และพระเจ้าลงมาช่วยเหลืออย่างไร? ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์นั้น เป็นเช่นไร? …

        ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (ตายนิรันดร์อยู่ในความบาป) แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ (ที่เป็นของพระองค์) เหมือนพระองค์”

            “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก” มนุษย์ คือมวลมนุษย์ ไม่มีว่ารักคนนี้ คนชั่วหรือไม่ชั่ว ทุกคนในสายพระเนตรพระเจ้า เป็นคนชั่วทั้งหมด ชั่ว แปลว่าบาปนั่นเอง  บาปกับชั่ว คืออันเดียวกัน คือคนที่ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา  พระองค์ทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ลูกของพระองค์ผู้เดียวที่อยู่กับพระองค์มาตังแต่ก่อนสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย คือพระเยซูคริสต์ได้ถูกพระเจ้าประทาน ยอมให้ลูกมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน มาช่วยเราทั้งหลาย เพื่อว่าคนที่วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์นั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาปอย่างนั้น และได้รับการบังเกิดใหม่  มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์เหมือนกับพระองค์ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย  แค่เชื่อและวางใจเท่านั้น โรม 8:32 …

        โรม 8:32 ”พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตา ประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ?”

            พระเจ้าผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ไม่หวงเอาไว้เลย  รักไหม? รักมากถึงมากที่สุด อยู่กับพระองค์ตั้งแต่ก่อนโน้น ก่อนสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่หวงพระบุตรองค์เดียว  แต่ได้ประทานพระบุตรนั้น แก่มวลมนุษย์ทุกคน เห็นแค่นี้ ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์อย่างไรแล้ว ในนี้จึงบอกว่าพระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตา ประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรอย่างนั้นหรือ?  ก็คือมีอะไรที่ดีๆ ที่พระองค์จะหวง เก็บเอาไว้ ไม่ให้เราอีก ในเมื่อสิ่งที่พระองค์ทรงรักและมีค่าที่สุดของพระองค์ คือพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระองค์ยังประทานให้ได้เลย  แล้วมีอะไรที่ให้ไม่ได้อีก โรม 8:37-39 …

        โรม 8:37-39 ”37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

            เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต หมายถึงผู้ที่เป็นคนบาป แล้วก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และได้รับความรอดเลย แค่เปิดใจเชื่อและได้รับมรดกทั้งหลายทั้งปวง  เป็นลูกของพระเจ้า เท่าเทียมกับพระเยซูคริสต์เลยนั่นแหละ ได้ชื่อว่าเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต

            ผู้พิชิต คือไม่ต้องทำอะไรเลย รับลูกเดียว ใครรู้ไหม? เห็นภาพชัดเจนเลย คือลูกเรา ไม่ต้องทำอะไรเลย  เกิดมารับลูกเดียว  เป็นลูกเรา เป็นทายาท เราทำมาหากิน ทั้งหมดตกเป็นของลูกเรา ลูกเราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต พ่อแม่ไปทำมาหากิน เก็บเงินเก็บทองไว้ให้ลูก เราก็รู้อยู่ ถูกไหม? ยิ่งกว่าผู้พิชิต เราจึงเห็นภาพ ความรักของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? นี่แหละ คือน้ำพระทัยพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง ว่าความรักของพระเจ้านั้นเป็นเช่นไร? ความจริงอันดับแรกที่เราควรจะรู้

            ในยอห์น 17:23 ยิ่งเป็นตัวประทับตราสุดท้ายเลย จริงๆ มีเยอะกว่านี้  ผมเอามาจำนวนหนึ่งให้เห็นถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะเป็นพื้นฐานให้กับเรา รู้ว่าพระเจ้ารักเรา และเราควรจะกลัวพระเจ้าไหม? กลัวจนตัวสั่นไหม?  เกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา พระเจ้าลงโทษ พระเจ้าลงโทษมนุษย์อย่างนั้นหรือ? ในเมื่อรักเราขนาดนี้ …

        ยอห์น 17:23 “ให้ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้ถูกทำให้ (บริสุทธิ์ดีพร้อม) สมบูรณ์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา และเพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

            พระเยซูกำลังอธิษฐานให้กับบรรดามนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับในพระองค์ วางใจในพระองค์เมื่อวางใจในพระองค์แล้ว เขาจะได้รับความรักจากพระเจ้า  เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เขาจะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ก็คือเป็นวิญญาณเดียวกัน เข้ามาเป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาเป็นหนึ่งในตรีเอกานุภาพนี้

            และข้อสำคัญตรงนี้ ประโยคสุดท้ายบอกว่า “พระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา เพื่อว่าพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา (เรา หมายถึงตรีเอกานุภาพ) และพระองค์ทรงรักพวกเขา (พวกเขา คือมนุษย์ทั้งปวง) ที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อมนุษย์ทั้งปวง” นี่แหละ เพื่อเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาที่ได้รับรู้ความจริง แล้วก็เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา  ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขนให้กับเขา เพื่อว่าพระเจ้าจะได้ทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์

            รักพวกเขา มนุษย์ทั้งปวง เท่ากับรักพระเยซู พวกเขาแปลว่ามนุษย์ทั้งปวง แน่นอนมันจะเกิดผลแต่เฉพาะกับคนที่ได้ยินความจริงในเรื่องนี้ แล้วก็เปิดใจมารับสิทธิของเขา ถ้าเขาไม่รับสิทธิของเขา พระเยซูที่ตายบนไม้กางเขน ความรักของพระเจ้าที่รักเขาเท่าๆ กับรักพระเยซู ก็ไม่เกิดผล เห็นไหมครับ? พระเจ้ารักมนุษย์ขนาดไหน? นี่เป็นตัวแย้งให้เราเห็นว่าพระเจ้ามีน้ำพระทัย ให้มนุษย์กลัวพระองค์จนตัวสั่นหรือ? ทำอย่างนี้ กลัวจนตัวสั่น เข้าไปกอด เข้าไปจูบ ไม่ฟังเลยว่าจะทำบาปอะไรมา ทำชั่วขนาดไหนมา ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะมาขออภัย ทำบาปอย่างโน้นมา ทำบาปอย่างนี้มา ช่วยรับเราเข้าสวรรค์ที ไม่ต้องเลย เพราะว่าโดยพระเยซูคริสต์ ความรักของพระองค์ได้เปิดเผยแล้ว อภัยให้หมดแล้ว  ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขนนั้น บ่งบอก สำแดงถึงความรักของพระองค์ และการอภัยโทษของพระองค์ ให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับมนุษย์ทั้งปวง เข้ามารับสิทธิเลย ไม่ต้องกลัว เหล่านี้ คือความจริงอันดับหนึ่งที่เราควรจะเรียนรู้ มนุษย์ทั้งปวงเอ๋ย

            ความจริงอันดับที่สอง ที่ควรจะเรียนรู้ เพื่อจะได้มั่นใจถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา คือพระเจ้านอกจากจะเป็นพ่อของเราแล้ว ของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ยังคงเป็นผู้พิพากษา ดูแลกฎระเบียบของพระองค์ในมหาจักรวาล ในโลกที่มองเห็นและโลกที่มองไม่เห็น ทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกนี้ด้วย ขณะเดียวกัน ควบ 2 ตำแหน่ง  พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ทรงปกครองด้วยความชอบธรรม เป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงธรรม ไม่ลำเอียง เมื่อพระองค์ตรัสแล้ว  ตั้งเป็นกฎระเบียบขึ้นทันทีแล้ว จะไม่ลืมคำของพระองค์เอง พูดอย่างไร? มันเป็นอย่างนั้น และพระคัมภีร์ ก็ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้แสนดี  และดีตลอดเวลา  และดีตลอดไป

            ในพระองค์ไม่มีเงาแห่งความมืด  ใม่มีความชั่วร้าย  ไม่มีความอยุติธรรม  ไม่ว่ามนุษย์จะคิดอย่างไร?  ตามความคิดของมนุษย์จะเข้าใจอย่างไร? ที่แย้งกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าว่าพระเจ้ามีบุคลิกอย่างนี้  ในหนังสือยากอบ 1:17 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยากอบ 1:17 ”ของประทานทุกอย่างที่ดีและล้ำเลิศ ล้วนมาจากเบื้องบน จากพระบิดาแห่งดวงสว่างทั้งหลายในฟ้าสวรรค์ ผู้ไม่ได้ทรงผันแปร เหมือนเงาที่แปรเปลี่ยน”

            พูดง่ายๆ คือพระเจ้าให้แต่ของดีๆ อย่างเดียว  แต่ขณะเดียวกันทรงเตือนเรา ในสิ่งชั่วร้ายต่างๆ  เพื่อเราจะได้ของดีๆ อย่างเดียว คำแปลในนี้ง่ายนิดเดียว พระเจ้าไม่แปรผันสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นอยู่ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้แสนดี สิ่งดี สิ่งล้ำเลิศ  ล้วนมาจากเบื้องบน จากพระบิดาแห่งดวงสว่างทั้งหลายในฟ้าสวรรค์ พูดง่ายๆ ว่าพูดถึงพระเจ้าปุ๊บ มีแต่สิ่งดีมาให้มวลมนุษยชาติ และโลกใบนี้ทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้น ที่เราบอกว่าโควิดมาจากพระเจ้า ใช่หรือไม่? ไม่ใช่ โควิดดีไหม? ไม่ดี ภูเขาไฟระเบิดดีไหม? ไม่ดี ฝุ่น PM 2.5 ดีไหม? ไม่ดี โรคภัยไข้เจ็บดีไหม? ไม่ดี ความยากจนดีไหม? ไม่ดี อย่าบอกว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้า คนชั่วได้รับสิ่งชั่วร้าย มาจากพระเจ้าหรือเปล่า? ไม่ใช่มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย  ก็ในนี้บอกว่าพระเจ้ามีแต่สิ่งดีๆ แล้วความชั่วร้ายมาจากไหน? ตอบว่ามนุษย์เป็นผู้นำเข้ามาเองนั่นแหละ พระเจ้าไม่มีการลำเอียง ไม่มีเงาแปรผัน  ก็คือพระเจ้าเป็นผู้ดีงาม  ไม่มีแปรผัน เอาความชั่วมานิดหนึ่ง ไม่มี ไม่รู้จัก ไม่รู้จักเกลียดชัง  ไม่รู้จักขโมย ฆ่า และทำลาย มีแต่ความดี ความรัก  พระเจ้าเป็นความรัก เป็นแสงสว่าง  เป็นความดีงาม  เป็นความยุติธรรม เป็นความอ่อนโยน  นี่คือพระเจ้าผู้แสนดี แต่ขณะเดียวกัน เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล  เดี๋ยวเราเรียนรู้ต่อไป  กันดารวิถี 23:19 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        กันดารวิถี 23:19 ”พระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ จะได้พูดมุสา พระองค์ไม่ได้ทรงเปลี่ยนใจอย่างมนุษย์ มีหรือที่ทรงลั่นวาจาไว้แล้ว ไม่ทรงกระทำ? หรือทรงสัญญาไว้แล้ว ไม่ทรงกระทำให้เป็นไปตามนั้น?”

            เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล พูดคำไหน เป็นคำนั้น  พระองค์บอกพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ดีงาม ก็เป็นพระเจ้าผู้ดีงาม ตั้งแต่สร้างมนุษย์ใหม่ๆ แล้วพระเจ้าบอกว่าสร้างมนุษย์ อาดัมและเอวา และเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งโลกใบนี้ อย่างดีเยี่ยม  ไม่มีสิ่งชั่วร้ายต่างๆ

เลย แม้แต่นิดเดียว  และได้บอกว่าให้อยู่อย่างนี้กับพระองค์ในสวรรคสถาน  อย่างดีเยี่ยมเลย ครอบครองบรรดาฝูงปลาทุกอย่างบนโลกใบนี้ที่สร้างขึ้นมาเป็นของเธอ ลงมาพูดคุยกับลูกของพระองค์อย่างสนิทสนม ถ้าอยู่อย่างนี้ ไม่มีปัญหา แต่เธออย่าดื้อนะ  อย่าเอามือไปแหย่ปลั๊ก  แหย่ปลั๊กมันตายนะ เตือนแล้ว  อย่าดื้อ กินผลไม้ที่ต้องห้าม จากต้นนี้นะ ทุกอย่างกินได้หมดเลย แต่อย่ากินตรงนี้ก็แล้วกัน  ไม่งั้น เธอจะรู้ดีรู้ชั่ว  เธอจะตกลงไปอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก เห็นไหม? เป็นผู้พิพากษาไหม?

            แล้วลูกตัวเองเอามือไปแหย่ปลั๊กจริง แล้วจะทำอย่างไร?  ก็ตาย แล้วพ่อทำอย่างไร? พ่อก็หาวิถีทางช่วย กู้ลูกขึ้นมาใหม่ ผมพยายามยกตัวอย่างให้ฟัง รีบเรียกรถแอมบูแลมซ์มา ส่งลูกไปโรงพยาบาล ปั้มหัวใจ  อะไรประมาณนั้น

            ความชั่วร้ายไม่ได้มาจากพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว  พระองค์ไม่มีเงาของความชั่วร้าย  ไม่มีความมืดอยู่ในตัวพระองค์ พระองค์เป็นแสงสว่าง เป็นความรัก  ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีการขโมย ฆ่า และทำลายอยู่ในพระองค์เลย  แต่ขณะเดียวกัน พระองค์เป็นผู้พิพากษา บอกอย่าทำนะ ถ้าขืนทำ  พระสิริ หรือพระเจ้า พระพรของพระองค์จะหลุดหายออกไปจากเขา ใครทำก็ต้องได้รับตามที่กฎหมายทางวิญญาณที่พระเจ้าตรัสไว้แล้ว ไม่คืนคำ มันจะเป็นอย่างนั้น ยอห์น 3:17-18  จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ พระเยซูจึงชี้ให้เราเห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา มันจำเป็นต้องเป็นไปตามนี้ ตามกฎเกณฑ์ทางโลกวิญญาณ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม กฎเกณฑ์มันต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์  เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก เราเป็นชาวบ้าน อาจจะไม่รู้ว่าแรงดึงดูดของโลกเป็นอย่างไร? แต่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ กิ่งไม้หัก มันก็ร่วงลงมาเหมือนกัน จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือไม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็ต้องร่วงลงมาเหมือนกันหมด จะรู้ว่ามีกฎแรงดึงดูดของโลกหรือไม่รู้ แรงดึงดูดของโลกก็ทำงานเหมือนเดิม  เพราะมันเป็นกฎ ยอห์น 3:17-18 …

        ยอห์น 3:17-18 “17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น (โดยทางการวางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์) 18 คนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ (ในความตาย ในความบาป) เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขา ไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            เห็นชัดเลยว่ามันมีอยู่ 2 กฎ พระเยซูแจงให้เห็นชัดเจนเลยว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ พระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก  ไม่ใช่ เพื่อพิพากษามนุษย์และโลก แต่ช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด  จากการถูกพิพากษาลงโทษอยู่นั้น นี่คือกฎเดิม  ก็คือมนุษย์ตกอยู่ในการพิพากษา ให้ตาย ให้อยู่ในคำสาปแช่ง ให้ไม่มีพระเจ้าอยู่ ไม่มีพรของพระเจ้าอยู่ ทุกข์ลำบาก  นี่คือมนุษย์เกิดมาก็อยู่ในกฎนี้แล้ว  กฎเดิม จะรู้หรือไม่รู้ ก็อยู่ในกฎนี้ จะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้า จะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน ก็อยู่ในกฎนี้ ซึ่งพระเจ้าช่วยมนุษย์ ที่อยู่ในกฎเดิมนี้ให้รอด  โดยการวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า แค่นั้นเอง ส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน และมนุษย์ผู้นั้นทำอะไร มีหน้าที่แค่มาเชื่อและวางใจในพระเยซูเท่านั้น  ก็หลุดพ้นจากกฎเดิมนี้แล้ว

            ข้อ 18 บอกว่าคนที่วางใจ พึ่งในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ เห็นไหม? จะหลุดออกจากการถูกพิพากษาทันทีเลย ก็คือกฎใหม่นั่นเอง  พระเยซูคริสต์มาเริ่มต้นกฎใหม่ให้ ส่วนคนที่ไม่ไว้วางใจ  ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว  มันเป็นกฎ เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า เห็นหรือยังว่าความรักของพระองค์ มีเงื่อนไขแค่ว่าพระองค์เป็นผู้พิพากษา มันจำเป็นต้องทำไปตามกฎ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม กฎมันมีอยู่ เหตุนี้ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์จึงจำเป็นต้องถูกประกาศออกไป เพื่อให้มนุษย์ได้รู้จักกฎในโลกวิญญาณนี้  และจะได้เลือกกฎให้ถูกว่าเขาจะอยู่ในกฎไหน?

            นี่คือความจริงอันดับที่สอง ที่เราได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา  ถ้าข่าวดีในกฎใหม่ ที่ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป  ความตาย ความพินาศในนรกแล้วนั้น ได้ถูกประกาศออกไปแล้ว มนุษย์มีหน้าที่ต้องเลือก วางใจในพระองค์ ในความรักของพระองค์ และเชื่อตามกฎใหม่นั้น จึงจะได้รับสิทธินี้  ไม่ใช่พระองค์ไม่รัก รักแต่ต้องดูแลให้เป็นตามกฎหมายของโลกวิญญาณที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล

            ความจริงอันดับที่สาม  จะทำให้เราไม่กลัวพระเจ้า  และรู้ว่าอะไรคือความเป็นจริงว่าความรักของพระเจ้าไม่เคยสั่นคลอน  ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง พระองค์ทรงรักมนุษย์จริงๆ  แม้ว่ามนุษย์คนนั้นจะต้องพินาศ ในบึงไฟนรก ในอนาคตก็ตาม พระองค์ทำได้แค่นี้จริงๆ เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล

            ความจริงอันดับที่สาม คือเราจำเป็นต้องรู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่า  “กลัวจนตัวสั่น” ที่กล่าวในพระคัมภีร์ว่าหมายถึงอะไร? อ่านในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะพระคัมภีร์เดิม เขียนไว้ในนั้นว่าจงเคารพยำเกรงกลัวพระเจ้า ในภาษาเดิมบอกว่าจงกลัวพระเจ้าด้วยตัวสั่น งันงก เราต้องเรียนรู้ว่าจริงๆ มันหมายความว่าอย่างไร? เราจะได้รู้ว่าพ่อเราเป็นความรัก เพราะฉะนั้น เราไม่ควรกลัว แต่ทำไมพระคัมภีร์เขียนอย่างนั้น เราต้องรู้ความหมายนี้

            ความหมายในพระคัมภีร์ กลัวจนตัวสั่น หมายถึงความเคารพ ยำเกรง เชื่อวางใจ ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ด้วยความถ่อมใจ ต่อกฎเกณฑ์ทางด้านวิญญาณของพระเจ้า  ไม่ใช่ตัวพระเจ้า  กฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางไว้ ที่ได้กำหนดไว้ในเรื่องของความรอด จากความพินาศ หรือตกอยู่ในความพินาศนิรันดร์นั่นเอง ในเรื่องของความบาป  ที่มนุษย์ตกอยู่ใต้คำสาปแช่งนั้น คือหมายความว่าไม่ได้ให้กลัวพระเจ้า ไม่ได้ให้กลัวผู้พิพากษา พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาใช่ไหม?  คือไม่ได้กลัวผู้พิพากษา คือพระเจ้า แต่กลัวกฎหมายฝ่ายวิญญาณที่ระบุไว้ มันเที่ยงตรง แม่นยำ  ไม่มีการลำเอียง ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ซึ่งผู้พิพากษาเป็นผู้ดูแล  เราไม่ได้กลัวตำรวจนะ  แต่เรากลัวกฎหมายที่ตำรวจดูแลอยู่ เราไม่ได้กลัวคณะผู้พิพากษา ที่ศาล แต่เรากลัวกฎหมายต่างๆ ที่ผู้พิพากษาในศาลเขาดูแลอยู่  ตัดสินให้เป็นไปตามนั้น ใครเชื่อทำตาม ก็ได้รับผลประโยชน์  ตามกฎหมายเหล่านั้น ใครไม่เชื่อ ไม่ทำตาม ก็ได้รับโทษตามกฎหมาย ไม่มีเข้าข้างผู้ใด ไม่มีคนหนึ่งคนใดพิเศษกว่าคนใดเลย ทุกคนมีค่าเท่าๆ กัน  สดุดี 19:7-9 ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ว่าพระเจ้าดูแลกฎหมายของพระองค์อย่างไร? …

        สดุดี 19:7-9  “7 กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบและฟื้นฟูจิตวิญญาณ  กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา 8 ข้อบังคับของพระเจ้านั้นถูกต้อง กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์ พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์  กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง 9 ความยำเกรงพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ สะอาดหมดจด ถาวรเป็นนิตย์ กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริง และชอบธรรมทั้งสิ้น”

            ถ้อยคำพระเจ้าได้พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ซึ่งการพูดถึงความจริงในโลกวิญญาณทั้งสิ้นของพระเจ้า เป็นการแสดงถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ในโลกวิญญาณ ที่มนุษย์มองไม่เห็น แต่ให้เชื่อฟังพระองค์ ให้เคารพยำเกรงกฎเกณฑ์เหล่านั้น ด้วยตัวสั้นงันงกเลยว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ กลัวกฎหมายบ้านเมืองอย่างไร ก็กลัวกฎหมายทางโลกฝ่ายวิญญาณอย่างนั้น มากกว่านั้นอีก ให้เคารพ เกรงกลัวจนตัวสั่น ทึ่งในความอัศจรรย์ และความรักอันยิ่งใหญ่ ต่อความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า  ข่าวดีของพระเจ้า คือมนุษย์ทั้งปวงเป็นคนบาป  และต้องได้รับโทษ จนถึงหลังความตายนิรันดร์ มนุษย์อยู่ในกฎของความบาป และความตาย นี่คือกฎเดิมที่พระเจ้าบอกไว้ในข่าวดีว่าตอนนี้เธอทั้งหลายอยู่ในกฎเดิมนี้  อยู่ในความตาย  ความบาปเหล่านี้ และกฎใหม่ว่าอย่างไร? กฎใหม่ในวิญญาณบอกว่าให้รีบตัดสินใจ ย้ายมาอยู่ในกฎวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นกฎใหม่นี้  เพื่อให้พ้นโทษจากความตายและหลังความตาย และความจริงทั้งหมดนี้เป็นกฎทางวิญญาณของพระเจ้า  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว พระเจ้าแม้ว่าจะเป็นพ่อของเรา พ่อของมวลมนุษยชาติ รักเรามากขนาดไหน?  เราได้รู้แล้วก็ตาม  แต่พระองค์ยังคงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล

            มันต้องเป็นไปตามกฎเหล่านั้นแหละ เราโยนหินขึ้นไป มันต้องร่วงลงมาโดนหัวเราแน่นอน ตราบใดที่เราอยู่บนโลกใบนี้  ไม่ว่าเราจะเป็นคนทำดีหรือทำชั่ว  ไม่ว่าเราจะรู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จัก ไม่ว่าเราจะรักพระเจ้าหรือไม่รัก ไม่ว่าเราจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่เชื่อฟัง โยนหินขึ้นไป  มันก็ตกลงมาทุกคนแหละ  เพราะว่ามันเป็นกฎ

            เราจะบอกว่า … “เรามองไม่เห็น”

            พระเจ้าบอก … “เขามองไม่เห็น  เพราะฉะนั้น อย่าตกลงมาโดนหัวเขานะ”

            ไม่ได้  โรม 8:1-2 ยิ่งเห็นชัดเจนใหญ่เลยว่า 2 กฎเหล่านี้อยู่คู่กันบนโลกใบนี้ ขณะนี้แล้ว พระเยซูคริสต์มาเปิดทางใหม่  มาเปิดกฎใหม่ให้กับเราทั้งหลาย ในวันคริสต์มาสนั้น คริสต์มาสแรกของโลก เมื่อ 2,000 ปีก่อน โรม 8:1-2  …

        โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”

            “เหตุฉะนั้น บัดนี้ ไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากบาปแล้ว  เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต  ก็คือกฎใหม่ ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย  ก็คือเป็นอิสระจากกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง  ก็คือเป็นอิสระจากกฎแห่งกรรมนั่นเอง  ท่านไม่ได้อยู่ในกฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีได้ดี อีกต่อไป ไม่ได้พึ่งพาการกระทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่วของตนเองต่อไป แต่พึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ ดีลูกเดียว เอเมน ให้เชื่อกฎเหล่านี้อย่างตัวสั่นเลยว่ามีกฎเหล่านี้อยู่จริงๆ

            ในทางโลก มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎของแรงดึงดูดของโลก อย่างที่ตะกี้นี้บอก  จนกระทั่งมีการค้นพบกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบิน มนุษย์จึงสามารถมีชัยชนะอยู่เหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลกได้  โดยใช้กฎแห่งการยกขึ้น คือนั่งบนเครื่องบิน ไม่ถูกดูดลงไป ตราบใดที่กฎแห่งการยกขึ้นยังใช้อยู่ ยังมีน้ำมัน เชื้อเพลิงอยู่ ทุกอย่าง อุปกรณ์ยังอยู่ครบถ้วน ก็ยังชนะแรงดึงดูดของโลก ไม่ตกลงมาเช่นเดียวกัน ในโลกวิญญาณ มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม  กฎแห่งการกระทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  ซึ่งไม่มีใครสามารถทำดีได้ครบถ้วน บริบูรณ์ ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้เลย ซึ่งมาตรฐานของพระเจ้า  คือจะต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์ จึงจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้ ซึ่งไม่มีใครทำได้หรอก  กฎแห่งกรรมหมายถึงอย่างนี้  จนกระทั่ง เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา พระเยซูคริสต์มาสถาปนากฎใหม่ ที่มีชื่อว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือกฎแห่งความบาปและความตาย  หรือเรียกว่ากฎแห่งกรรมนี้  พูดง่ายๆ …

            กฎเดิม ที่เรียกว่ากฎแห่งความบาปและความตาย หรือกฎแห่งกรรม คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง  พยายามกระทำดี ละเว้นชั่วด้วยตนเอง เพื่อจะไปอยู่ในสวรรค์

            กฎใหม่ คือที่เรียกว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ก็คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่เราเรียกว่ากฎแห่งพระคุณ  นี่คือกฎใหม่ มีมา 2,000 ปีแล้ว  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์

            ให้เราจงเคารพ ยำเกรงจนตัวสั่น ต่อกฎทั้ง 2 กฎนี้ว่ามันมีอยู่จริงๆ อย่าทำเป็นเพิกเฉย และหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้สถาปนากฎใหม่ ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ทุกคนสามารถเลือกที่จะดำเนินชีวิตอยู่ใน กฎใดกฎหนึ่ง  กฎเดิมหรือกฎใหม่ก็ได้  ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์คนนั้นเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้าอีกแล้ว พระเจ้าเปิดประตูสวรรค์ให้เรียบร้อยแล้ว พระเจ้ารักและรอคอย ยืนอยู่หน้าประตู เมื่อไรจะกลับมาๆ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์คนนั้นแล้วว่าจะกลับหรือไม่กลับ จะกลัวพระเจ้าต่อไปไหม? หรือจะยอมกลับเข้ามาหาพระเจ้า แล้วจะได้รู้ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน?

            เพราะฉะนั้น เป็นการตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะเลือกทางไหน? ระหว่าง …

            (1) พึ่งพาการกระทำของตนเอง  เพื่อให้ครบถ้วนบริบูรณ์  ในการเป็นคนดี บริสุทธิ์ ดีพร้อม เพื่อไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ได้ หรือ …

            (2) ไม่แน่ใจ หันกลับมาหาพระเจ้า โดยพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงประทานมาให้  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาติทั้งปวง  โดยการวางใจ แค่นั้นพอ

             ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว คือสถาปนากฎแห่งวิญญาณ  หรือกฎแห่งพระคุณนี้  โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  เป็นการเปิดประตูสวรรค์ ให้กับมนุษยชาติทั้งปวง นี่คือข่าวดี ที่มนุษย์ฟังแล้วต้องตัดสินใจ ด้วยตนเอง เพราะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเราเองแล้ว พระเจ้ากระทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว ด้วยความรักของพระองค์ มนุษย์ทุกคนเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว สิ่งที่สมควรที่สุด ก็คืออย่างที่เราได้เรียนรู้มาทั้งหมด  ควรจะเคารพ ยำเกรงจนตัวสั่น  ครั่นคร้ามในความรักอย่างอัศจรรย์ของพระเจ้า ที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  เป็นจริงขนาดนี้เชียวหรือ?  ในแผนการ การช่วยให้รอดของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ในพระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้น

            ให้เราเคารพ ยำเกรงว่านี่คือความจริง  พระเจ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น  ที่เป็นพระเจ้าแท้ๆ ของมนุษยชาติทั้งปวง  เป็นพระผู้เดียวเท่านั้น นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ก็แสดงว่าพระเจ้าที่เราพูดกันทั้งหมด  ที่อ้างว่าเป็นพระเจ้า  เป็นพระเจ้าปลอมทั้งสิ้น เพราะว่าพระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใดแล้ว พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้เดียว ก็คือพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้านั่นเอง

            เพราะฉะนั้น จงยำเกรงต่อความจริงเหล่านี้ ยำเกรงต่อกฎหมายเหล่านี้ ยำเกรงต่อคำพูดของผู้พิพากษา พูดถึงกฎหมายเหล่านี้ ให้ยำเกรง แต่ตัวผู้พิพากษาเอง รักเราดังแก้วตาดวงใจ  เพราะฉะนั้น อย่าเพิกเฉยต่อกฎวิญญาณนี้ ผู้พิพากษาย้ำแล้วย้ำอีก บอกกับเราแล้ว บอกกับเราอีก บอกกับมนุษย์ทั้งปวงว่า …

            “เรารักเจ้าอย่างมาก เรารักเจ้าดังแก้วตาดวงใจ เพราะฉะนั้น เจ้าทั้งหลาย อย่าเพิกเฉยต่อกฎวิญญาณเหล่านี้ โดยคิดว่าไม่สำคัญ กฎทางวิญญาณนี้ส่งผลอย่างเด็ดขาด เฉียบขาดต่อผู้ที่เคารพยำเกรง เชื่อฟัง ปฏิบัติ คือวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร ที่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวงด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่สุด”

            นี่คือสารที่มาจากพระเจ้าผู้พิพากษา เตือนเราทั้งหลายว่าอย่าเพิกเฉย  เพื่อเราจะได้เข้าไปสู่สวรรค์ อยู่กับพระบิดาของเราได้ตลอดชั่วนิรันดร์ ถ้าไม่เช่นนั้น เราก็ต้องพินาศนิรันดร์ ซึ่งพระองค์ไม่ต้องการอย่างนั้นเลย  ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่เราจำเป็นจะต้องเรียนรู้และไม่เพิกเฉย  ไม่ล้อเล่นกับมัน พูดง่ายๆ  ได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว มันเป็นเรื่องจริง  จงตัดสินใจให้ดีๆ  พระองค์ขอร้องเราทั้งหลาย  อันนี้พูดจริงๆ ตามถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์นะ พระเยซู พระเจ้าขอร้องให้เราทั้งหลาย โปรดเลือกที่จะพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ จะได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า กลับคืนดีกับพระองค์ เข้าสวรรค์ อยู่สวรรค์กับพระองค์ ไม่ต้องกลัวพระเจ้าอีกต่อไป ประตูสวรรค์ได้เปิดเรียบร้อยแล้ว  สำหรับมนุษย์ทั้งปวง  ไม่ต้องกลัวพระองค์อีกต่อไปแล้ว  พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ในสายพระเนตรของพระเจ้า มืดก็คือมืด ไม่มีมืดมากหรือมืดน้อย บาปก็คือบาป ไม่มีบาปเล็กหรือบาปใหญ่ แล้วท่านจะยอมให้พระองค์ย้ายท่านมั้ย?

            โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น ที่เราทำ” (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่ เพราะการประพฤติดี)”

            การบังเกิดใหม่ คือการย้ายจากที่อยู่เดิม ในอาณาจักรแห่งความมืด มาอยู่บ้านใหม่ คืออาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออาณาจักรแห่งพระบุตร ก็คืออาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรพระเยซูคริสต์

            ย้ายโดยการผ่าตัดทางวิญญาณโดยพระเจ้า  ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่ต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์

            ในสายพระเนตรของพระเจ้า มืดก็คือมืด ไม่มีมืดมากหรือมืดน้อย บาปก็คือบาป ไม่มีบาปเล็กหรือบาปใหญ่ สว่างก็คือสว่าง ไม่มีสว่างมากหรือสว่างน้อย ผู้ชอบธรรมก็คือผู้ชอบธรรม ไม่มีชอบธรรมมากชอบธรรมน้อย สวรรค์ก็คือสวรรค์ ไม่มีสวรรค์ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม

            พระเจ้าอวยพรครับ

ารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1446

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  ธันวาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 32

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรายังอยู่ในหนังสือเอเฟซัส 5:12-14 …

        เอเฟซัส 5:12-14 “12 เพราะเพียงเอ่ยถึงสิ่งซึ่งพวกที่ไม่ยอมเชื่อฟัง  แอบทำกันนั้น  ก็ยังน่าอาย 13 แต่ทุกสิ่งที่ถูกเปิดเผย  โดยความสว่างก็เห็นกันแจ่มแจ้ง 14 เนื่องจากความสว่างทำให้เห็นทุกสิ่งชัดแจ้ง ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวกันว่า “โอ ผู้ที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น จงฟื้นขึ้นจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน”

            ในพระคัมภีร์ตรงนี้ คราวที่แล้ว อาจารย์เปาโลสอนว่าด้วยเหตุผลทั้งหมดที่พวกเราได้รับพระคุณ จากพระเจ้า เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ฉะนั้น ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่เป็นลูกที่รักของพระองค์ เราจำได้ใช่ไหม? ดำเนินชีวิตให้สมกับ ตอนนี้เราเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าของเราเป็นอย่างไร? ก็ให้เราเรียนแบบตามนั้น  เราจะเรียนแบบพระเจ้าของเราได้อย่างไร?  ถ้าเราไม่รู้ว่าพระเจ้าของเราเป็นอย่างไร? เราจะรู้ว่าพระเจ้าของเราเป็นอย่างไร?  ผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า

            ถ้อยคำของพระเจ้าจะบอกเราว่าพระลักษณะของพระเจ้าที่เรารู้จักเป็นอย่างไร?  แล้วเราก็ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ภายในเรา นำพาเรา ให้ส่งผลของธรรมชาติใหม่ ที่เราบังเกิดใหม่แล้ว  ก็คือธรรมชาติของพระเจ้าพระบิดา  อยู่ในเราหมดเลย  แค่เรารับรู้ความจริง แล้วยอมให้พระเจ้าทำให้ธรรมชาตินี้ ส่งออกไป ผ่านทางชีวิตของเรา ไปถึงผู้คนรอบข้าง นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลกำลังบอกกับผู้เชื่อ ในเมืองเอเฟซัส

            ตรงข้อที่ 14 ที่บอกว่า “โอ ผู้ที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น จงฟื้นขึ้นจากตาย” อาจารย์เปาโลอ้างมาจากพระคัมภีร์เดิม ในหนังสืออิสยาห์ 26:19 และอิสยาห์ 60:1-2 ก็คือคนที่มาบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ให้ความสว่างของพระเจ้าที่อยู่ในเรา ได้ฉายแสงออกไป ในหนังสืออิสยาห์ เป็นคำพยากรณ์ พูดถึงในอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ พระองค์จะทำแบบนี้ แล้วพวกเราผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เราเป็นตะเกียง ซึ่งพระเจ้าจุดความสว่างลงมาในชีวิตของพวกเราแล้ว ให้แสงสว่างในชีวิตของเราฉายออกไปให้คนอื่นได้สามารถสัมผัสจับต้องได้ หรือในพระคัมภีร์ใช้คำว่าให้เราเป็นตัวหนังสือของพระเยซูคริสต์ที่คนอื่นอ่านแล้วรู้ นี่เป็นคริสเตียนนะ ไม่ใช่อ่านแล้วงง ตกลงเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียนอะไรอย่างนี้

            ความรักเป็นธรรมชาติใหม่ ที่ผู้เชื่อทุกคนเป็นอยู่แล้ว เกิดมาเป็น ไม่ต้องพยายามไปทำตัวเอง ให้มีความรัก  เพราะเราเกิดมาเป็นความรัก เพราะพระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์ทรงเป็นความรัก ฉะนั้น ความรักตรงนี้ ให้เราค่อยๆ พัฒนา ตอนเราเชื่อใหม่ๆ เราอาจจะไม่สามารถที่จะสำแดงได้มากเท่าไร?  แต่พอเราเชื่อนานขึ้น ความรักตรงนี้มันจะบังเกิดขึ้นมาเอง  เหมือนพัฒนา โตขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะสามารถสำแดงความรักชนิด เป็นแบบของพระเจ้าออกไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ

            เรามองภาพเด็ก เป็นภาพเดียวกันที่พระเจ้าให้เราเห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ ตอนเราบังเกิดใหม่ วิญญาณเรายังเป็นเด็กทารก เราอาจจะไม่สามารถที่จะสำแดงพฤติกรรมใหม่ที่พระเจ้าใส่เข้ามาให้กับเราได้มากนัก เราอาจจะเคยชินกับความเคยชินเก่าๆ ของเรา ความเห็นแก่ตัว  ความอิจฉา ริษยา  หรืออะไรต่างๆ ที่เมื่อก่อน เราเคยเป็น  แล้วเราก็ยังไม่โตพอ ที่จะควบคุมพฤติกรรมของเรา เราอาจจะเผลอ ทำสิ่งนี้ออกไป แต่ไม่เป็นไร เราค่อยๆ พัฒนา พระเจ้าก็จะเสริมเรา ให้กำลังเราข้างใน ให้เราเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่เราประพฤติออกไป มันไม่ใช่นะ ลูก อันนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม เหมือนกับพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้เรามีพฤติกรรมที่สำแดงความเป็นเหมือนพระเจ้า ที่อยู่ในตัวเรา เป็นพระลักษณะของพระเจ้าที่อยู่ในตัวเรา ให้สำแดงออกไป  เราก็ค่อยๆ มันจะเกิดการพัฒนา

            สังเกตตัวเองไหม? พอเราโตขึ้น เราเชื่อพระเจ้านานขึ้น มันอัตโนมัติเลยนะ เราเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นมากขึ้น แต่ในความเป็นจริง ในโลกวิญญาณทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า  เรารักกันเลย  เรารักพี่น้องทุกคนที่เชื่อพระเจ้าเลย  นี่คือเรื่องของโลกวิญญาณ  แต่เรื่องของโลกวัตถุ พระคัมภีร์ใช้คำว่าฝึกฝน พัฒนา บุคลิกลักษณะที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ให้สำแดงออกไป

            สัปดาห์ที่แล้วไปอยู่กับเหลน เห็นพัฒนาการ  จากเด็กที่เขาทำอะไรไม่เป็น ยังนอนแบเบาะ ตอนนี้ อายุใกล้ 5 ขวบแล้ว เขาก็ค่อยๆ พัฒนา ค่อยๆ สามารถที่จะเรียนรู้จากคุณพ่อคุณแม่ จากผู้ใหญ่ได้มากขึ้น สามารถที่จะพูดคุยได้เข้าใจมากขึ้น อย่างตอนเล็กๆ พูดแล้วไม่ค่อยเข้าใจ พูดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จะเอาแต่ใจตัวเอง  แต่ตอนนี้ มีเหตุผล สามารถที่จะคุยได้

            ลักษณะเดียวกัน เหมือนกับพวกเรา ในขณะที่เราเป็นทารก  เรายังเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ  บางทีเราไม่มีเหตุผล เราไม่เข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา  แต่พระเจ้าอดทนนานมาก พระเจ้าก็จะค่อยๆ บอกเรา สอนเรา  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงให้เราเห็นว่าสิ่งที่เราทำตามความเคยชินเดิม ตอนนี้ มันไม่เหมาะสมกับเราแล้ว ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราควรจะทำตัวแบบนี้ดีกว่า ซึ่งพระเจ้าไม่บังคับเรา พระเจ้าก็แนะนำว่าอันนี้ดีกว่า เมื่อเราเป็นลูกพระเจ้า เราควรจะทำแบบนี้

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ตรงนี้ อาจารย์เปาโลก็พยายามที่จะบอกเรา ถึงพระลักษณะของพระเจ้า ที่มันเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ในชีวิตของเรา ให้เราค่อยๆ เรียนรู้ และค่อยๆ พัฒนาพระลักษณะตรงนี้ของพระเจ้าออกไปเรื่อยๆ เราก็เรียนรู้ที่จะรักคนอื่นมากขึ้น เรียนรู้ที่จะให้ออกไปได้มากขึ้น เรียนรู้ที่จะอดทนนานมากขึ้น ถ้าเราเชื่อใหม่ๆ เราก็อดทนไม่นาน พอโตขึ้น ความอดทนถูกสร้างขึ้นผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก

            เห็นไหมพอเรามาเชื่อพระเจ้า เราไม่ได้เดินอยู่บนกลีบกุหลาบ พระเจ้าไม่ได้สัญญาอย่างนั้น เรายังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  แต่สิ่งที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก คือเรามีพระเจ้าอยู่ในเรา แล้วเรารับรู้ด้วยว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา พระเจ้าให้กำลังเราที่จะสามารถผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ไปได้ ทำให้เราอดทนมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ทำให้เรากลายเป็นคนที่พระเจ้าทรงสามารถใช้ได้ด้วย

        เอเฟซัส 5:15-17 “15 เพราะฉะนั้น  ท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิต อย่าดำเนินชีวิตแบบคนไร้ปัญญา แต่จงดำเนินชีวิตแบบคนมีปัญญา 16 จงรู้จักใช้ทุกโอกาส  เพราะเวลานี้เป็นยุคอันเลวร้าย 17 ฉะนั้น  จงอย่าโง่เขลา แต่จงเข้าใจพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นเช่นใด”

            สมัยก่อน เราก็บอกว่าจงรู้จักใช้ทุกโอกาส พอบอกใช้ทุกโอกาสปุ๊บ เราก็ใช้ใหญ่เลย ทุกโอกาส ก็คือเราไปใช้กับคนอื่น ไม่ได้ใช้กับตัวเอง นี่ถ้อยคำของพระเจ้า อาจารย์เปาโลบอกต้องใช้ทุกโอกาส เราก็เลยใช้ทุกโอกาสในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า  เขาพูดถึงเรื่องข่าวดี เราต้องใช้ทุกโอกาส คนจะฟังหรือไม่ฟังไม่รู้ ฉันจะประกาศอย่างเดียวเลย

            ดิฉันมีประสบการณ์ เจออย่างนี้ ดิฉันก็หืม! กรุณาอย่าคุยได้ไหม? คือตอนนั้น เรายังไม่เชื่อพระเจ้า พอพูดถึงคำว่าพระเยซูคริสต์ปุ๊บ  มันขึ้นทันที คือเกิดการต่อต้านขึ้นมาทันที โดยไม่มีสาเหตุ แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว

            คนที่ไม่เชื่อพระเจ้ากับคนเชื่อพระเจ้า เราเป็นศัตรูกันในวิญญาณ ก็คือไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ เราโกรธกันเฉยๆ นั่นแหละ  นั่นคือเรื่องความจริง เพราะว่าโลกนี้เป็นศัตรูกับพระเจ้า แล้วเมื่อก่อนดิฉันยังไม่เชื่อพระเจ้า ใครมาคุยเรื่องพระเยซูคริสต์ ของขึ้น มันจริงๆ มีความรู้สึกว่าอย่าเอ่ยนามนี้ได้ไหม?  ไม่ชอบ ไม่อยากฟัง อย่ายุ่งกับฉัน อะไรประมาณนั้น แต่เราขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าประทานพระคุณ แล้วพระเจ้าก็อดทนนาน พระเจ้าไม่ลดละ พระเจ้าไม่ทิ้งเรา พระเจ้าก็ยังคอยเคาะประตูใจเราตลอดเวลา โอเค ตอนนี้ของขึ้น พระเจ้าก็ไปห่างๆ พอเริ่มเย็นลง พระเจ้าก็มาใหม่

            จนวันหนึ่ง ก็ขอบคุณพระเจ้า เราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากที่ต่อต้านสุดขีด แต่ข้างในวิญญาณ เกิดความอยากจะเชื่อพระเจ้าขึ้นมาเฉยๆ และตอนนี้ เราเข้าใจแล้ว  เมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อ ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา จากใครก็ไม่รู้ คนโน้นทีคนนี้ที พี่สาวที พี่เขยที คนในโบสถ์ที ที่เราหลบคนในโบสถ์ประจำเลย ที่ดิฉันไปโบสถ์วันคริสต์มาส เพราะลูกชายเล่นละคร เป็นลูกแกะ มาตั้งแต่ 5 ขวบ พ่อแม่ทุกคน พอลูกทำอะไร เราอยากมาดู พอมาโบสถ์ คริสเตียนทั้งหลาย เรียกว่ามีความพยายามอย่างสูง ขนาดดิฉันไปแอบนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับเรา เขายังอุตส่าห์คุยเรื่องพระเจ้าให้เราฟังอีก

            ข้างในวิญญาณเราเป็นศัตรูกัน แต่ ณ เวลานั้น เราไม่รู้ไงว่ามันอะไร? ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่ว่าพอถึงทุกวันนี้ เข้าใจแล้ว เราก็เรียนรู้ที่จะมอง ถ้าใครไม่อยากฟัง ก็อย่าไปพยายามยัดเยียดให้เขา เหมือนกับที่พระเยซูบอก อย่าเอาไข่มุกให้สุกร ตอนนั้น ดิฉันเป็นสุกร ก็คือไม่รู้ค่าของไข่มุก ถ้าเขาเอาข้าวมาให้ดิฉันกิน ดิฉันมีความสุขกว่าเอาไข่มุกมาให้ พระเยซูบอกว่าอย่าเอาไข่มุกให้สุกร เพราะตอนนั้น สุกรเขาไม่รู้ค่า ให้รอจนวันหนึ่งเขารู้ค่า พอรู้ค่าปุ๊บ มาคุยเรื่องพระเยซู ตอนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราอยากจะรู้เรื่องพระเจ้า อยากรู้ พระเยซูเป็นอย่างไร? ทำอะไร? อยากรู้ไปหมดเลย นั่นคือพอเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ วิญญาณเราถูกเปลี่ยน เราไม่รู้นะว่าวิญญาณเราถูกเปลี่ยน  แต่พระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับ พระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณได้ถูกเปลี่ยนใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ฉะนั้น พอวิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้า  เราอยากรู้เรื่องราวของพระเจ้า ขึ้นมาเอง โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีใครบังคับ ไม่ต้องมีใครบอกว่าให้ไปโบสถ์ ไม่ต้องมีใครบอกว่าให้อ่านพระคัมภีร์ ไม่ต้องมีใครบอกว่าให้อธิษฐานนะ มันเกิดมาเอง จากข้างในวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเราเร้าเข้ามาในวิญญาณ  ทำให้เรารู้สึกรักพี่น้องในโบสถ์ รักมากด้วย พอบอกใครเป็นคริสเตียน เรารักหมดเลย  เพราะว่าวิญญาณเดียวกัน  ณ เวลานั้น

            วันแรกที่พ่อดิฉันมาเชื่อพระเจ้า  ตอนนั้น ดิฉันยังไม่เชื่อ  พ่อดิฉันมาเชื่อพระเจ้าตอนที่ท่านเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย มาเชื่อพระเจ้าได้ 5 วัน พระเจ้าพากลับบ้าน 5 วันเอง แล้ววันที่คุณพ่อ จากไปอยู่กับพระเจ้า คุณพ่อจากไปตรงแขนดิฉัน คือจะประคองขึ้นมาเข้าห้องน้ำ แล้วคุณพ่อก็ป๊อกไปเลย หลับไปเลย คาแขนนี้  ตอนนั้น ดิฉันยังเป็นลูกผีอยู่เลย  ยังไม่เชื่อพระเจ้า  แล้วก็มีงานไว้อาลัยที่โบสถ์ ตอนนั้น ดิฉันเคืองคริสเตียนมากเลย มีพี่น้องคนหนึ่งใส่ชุด มีดอกแดงๆ แล้วดิฉันก็เห็น คริสเตียน นี่งานไว้อาลัยนะ  มันเป็นงานเศร้า ทำไมเขาหัวเราะกันทุกคนเลย   คุยกันไป หัวเราะกันไป อะไรอ่ะ คือตอนนั้น เราไม่เชื่อพระเจ้าไง พวกนี้ ทำไมถึงนิสัยแบบนี้ มันเป็นงานเศร้า มาหัวเราะทำไม? พอเรามาเชื่อพระเจ้า ถึงบางอ้อเลย ขอบคุณพระเจ้า  เพราะว่าการจากไปของผู้เชื่อ ไม่ใช่เรื่องเศร้า การจากไปของพวกเราทุกคน เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลบนสวรรค์ ลักษณะงานไว้อาลัยของคริสเตียน เป็นลักษณะเหมือนกับเรามาส่งผู้ที่เรารัก ขึ้นเครื่อง ไปอยู่เมืองบรมสุขเกษม มันเป็นอย่างนั้นเลย

            พอถึงตอนนี้ ดิฉันเข้าใจเลย ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าให้ดิฉันเห็นตั้งแต่ยังไม่เชื่อพระเจ้า หลังจากที่คุณพ่อมาเชื่อพระเจ้า 3 ปี ดิฉันจึงมาเชื่อ แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าเลือกไว้แล้ว จริงๆ พระเจ้ามีพระคุณกับพวกเราทุกๆ คน เมื่อพระเจ้าทำงานมาตลอด  พอถึงวันที่ดิฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าเลือกดิฉันมาปรนนิบัติรับใช้ที่โบสถ์ ตอนนั้นดิฉันไม่เข้าใจหรอก แต่สิ่งหนึ่งที่มันเกิดขึ้น ก็คืออยากเรียนรู้ อยากรู้เรื่องพระเจ้า  อยากรู้ทุกอย่างเลย แล้วอาจารย์ที่โบสถ์ก็มาทาบทามว่าให้มาเรียนพระคัมภีร์ ตอนนั้นอยู่คริสตจักรใจสมาน ดิฉันบอกไม่ได้หรอก มาเรียนพระคัมภีร์ ไม่มีทาง แค่เชื่อพระเจ้าก็พอแล้ว  แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว  แล้วลูกก็ยังเล็ก ตอนนั้น ลูกอายุ 5 ขวบเอง แล้วใครจะมาเลี้ยง ใครจะมาดูแล อาจารย์ก็บอกมาเถอะ มาเรียนพระคัมภีร์ พระเจ้าเรียก เราไม่รู้นะ พระเจ้าเรียกคืออะไร? ตอนนั้นไม่เข้าใจ

            อธิษฐานกับพระเจ้า อธิษฐานขอ ตอนนั้น เหมือนดิฉันขอแค่ข้อเดียว คือคุณแม่ เขาไม่รับเลี้ยงหลาน เพราะทุกคนต้องเลี้ยงลูกตัวเอง แล้วดิฉันก็อธิษฐานว่าถ้าพระเจ้าจะให้มารับใช้ และให้เรียนพระคัมภีร์ ดิฉันจะไปคุยกับคุณแม่ แล้วคุณแม่ก็จะเป็นคนเสนอเองว่าจะดูแลลูกให้ ขอแค่นี้นะ แล้วพอไปบอก คุณแม่บอกไปเถอะ เดี๋ยวดูให้ แค่นั้นเอง พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน แล้วดิฉันก็มาเรียนพระคัมภีร์  แล้วดิฉันก็มารับใช้ ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ 36 ปี ดิฉันเชื่อพระเจ้ามา 37 ปี  เชื่อ 1 ปี แล้วก็มาเรียนและรับใช้พระเจ้า พระเจ้า แล้วพระเจ้าก็ดูแลชีวิตของดิฉัน จนตอนนี้ลูก หลาน มีเหลนแล้ว  พระเจ้าก็ดูแลมาตลอด คำว่าดูแล ไม่ได้หมายความว่าดิฉันไม่มีความทุกข์

            คำว่า “ดูแล” ของพระเจ้า เหมือนกับที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีของพระองค์ พระองค์จะนำพาเราไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่พระองค์เตรียมไว้ ก็แปลว่าเรามั่นใจในพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเรา  ไม่ว่าเราจะทุกข์ เราจะสุข  พระองค์บอกว่าพระองค์ไม่ทิ้งเรา เป็นเหมือนลูกกำพร้า แล้วดิฉันมารับใช้พระเจ้า ดิฉันอธิษฐานกับพระเจ้าว่าถ้าพระเจ้าจะให้ตาย ดิฉันก็ยอมตาย ให้อดตาย ดิฉันก็อดตาย ไม่เป็นไร ก็คือแล้วแต่น้ำพระทัย แต่ว่าพระเจ้าไม่เคยให้ดิฉันได้อดตาย ก็คือตอนนี้อ้วนท้วมสมบูรณ์เลย พระเจ้าดูแล นี่คือพระคุณ

            แต่ว่าพระคุณตรงนี้ ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะสัญญาว่าเราจะอยู่ดีมีสุข แต่พระเจ้าสัญญาว่าไม่ว่าเราจะเจอทุกข์ยากลำบาก หรือความสุขใดๆ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ดิฉันผ่านความทุกข์ยากลำบากมาทุกรูปแบบ  ดิฉันเคยอดอาหารโดยไฟท์บังคับ  ก็คือไม่มีจะกิน  เข้าใจคำว่าไม่มีจะกิน  แล้วต้องอด ตอนนั้นรับใช้พระเจ้าแล้ว นั่นนะ ผ่านมาหมด ฉะนั้น พอเรารับรู้ความจริงว่าไม่ว่าเราจะอด หรือเราจะอะไร? พระเจ้าอยู่ด้วย ไม่เป็นไร ถ้าถึงวาระที่พระเจ้าจะให้เราอยู่ดีมีสุข เราก็สามารถเหมือนกับอาจารย์เปาโล เผชิญทุกสิ่งได้

            “ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับความอดอยาก หิวโหยได้ ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับความอิ่มหนำสำราญได้ ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับความร่ำรวยได้ แล้วข้าพเจ้าก็สามารถเผชิญกับความยากจนได้ด้วย” อะไรอย่างนี้

            นี่คือชีวิตของผู้เชื่อ แล้วดิฉันก็เป็นหนึ่งในผู้เชื่อ แค่พระเจ้าแยกให้มารับใช้พระเจ้าเท่านั้น สถานะของเราเท่ากัน  การปฏิบัติของพระเจ้าที่มีกับดิฉันกับพวกท่านเท่ากัน เราเป็นลูกที่รักของพระองค์ พระเจ้ารักเราดั่งแก้วตาดวงใจ เหมือนกันทุกคน เรามีสถานะ คือเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เหมือนกันทุกคน นี่คือของประทาน นี่คือของขวัญ  นี่คือรางวัล ที่พระเจ้าให้กับผู้เชื่อทุกๆ คนเท่ากัน  แต่สิ่งที่ไม่เท่ากัน ก็คือพระเจ้าทรงให้แต่ละคนที่มีสถานะการงานต่างกัน บางคนพระเจ้าก็ให้มารับใช้ บางคนพระเจ้าก็ให้เป็นแม่บ้าน บางคนพระเจ้าก็ให้อยู่ยาวเลย บางคนพระเจ้าก็ให้อยู่แป๊บเดียว ก็ไปแล้ว กลับบ้าน สบายเลย ดิฉันเคยขอพระเจ้า ขออายุแค่ 60 พอ ดิฉันขอจริงๆ นะ  พระเจ้าขอ 60 พอ ดิฉันอยากจะไปอยู่กับพระเจ้ามากเลย พระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน พระเจ้าให้ดิฉันอยู่ต่อ ตอนนี้ดิฉัน 72 ปีแล้วย่าง 73 อยู่ต่อมาอีก 12 ปี แล้วดิฉันก็ยังขออยู่ดีแหละ ดิฉันอยากจะไปอยู่กับพระเจ้ามากกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าพระเจ้าอนุญาตนะ ถ้าพระเจ้าให้ แต่ถ้าพระเจ้าไม่ให้ ก็ไม่เป็นไร ดิฉันก็อยู่อย่างชื่นชมยินดีแหละ อยู่แบบแก่ๆ ไปด้วยกัน

            พี่น้องลองนึกภาพ เราอยู่ด้วยกันตั้งแต่ตอนผมดำ จนตอนนี้ผมขาวหมดทั้งหัวแล้ว เราก็ยังสามารถชื่นชมยินดีได้ ดิฉันเห็นพี่น้องทุกครั้ง ดิฉันมีความสุข  แค่เห็นหน้า ดิฉันก็มีความสุข  คือพี่น้องไม่ต้องทำอะไรเลย แค่มานั่งอยู่ที่ห้องประชุม ดิฉันก็มีความสุข  แล้ววันคริสต์มาสอย่างนี้ ดิฉันยิ่งมีความสุขใหญ่เลย  เพราะได้ร้องเพลงคริสต์มาส ดิฉันก็มีความสุข นี่คือความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสามารถหาได้  ไม่ต้องไปหาไกลที่ไหนเลย แค่เราได้มีโอกาสรักกัน  เราก็มีความสุขแล้ว เอเมนไหมค่ะ …

        เอเฟซัส 5:18 “และอย่าเมาเหล้าองุ่น  ซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ”

            ทำไมอาจารย์เปาโลบอกอย่างนี้  … “อย่าเมาเหล้าองุ่น” พี่น้องจำได้ไหมตอนที่วันเพ็นเตคอส แรก ที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย  แล้วก็มาอยู่กับสาวก 40 วัน  และก่อนที่จะขึ้นไปสวรรค์ พระเยซูก็บอกกับสาวกว่าให้ไปรอในที่แห่งหนึ่ง รอตามพระสัญญา และสาวกก็ไปรอ อยู่ในห้องลักษณะเหมือนห้องใต้หลังคา ก็คือเขาไปแอบพวกคนยิว พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสีที่จะมาไล่ล่าฆ่า คนที่เชื่อพระเจ้า ในยุคนั้น  ถูกข่มเหง ถูกไล่ล่า ถูกเอามาเฆี่ยนตี ถูกเอามาติดคุก  ถูกเอามาเผาไฟ  ถูกเอามาให้สิงโตกิน ในยุคของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เขาโดนอย่างนี้นะ ไม่เหมือนเรา สบายๆ ณ เวลานี้ แต่เขาโดนจริงๆ และเขาต้องตัดสินใจ เลือกข้าง เลือกว่าเขาจะยังคงอยู่ในความเชื่อเดิม คืออยู่ในบทบัญญัติเดิม ตามที่พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสีที่เขาทำกัน ก็คืออยู่ในวิหาร หรือเลือกที่จะออกจากวิหาร มาติดตามพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้ คนที่ยังปฏิบัติหน้าที่ในวิหาร คือมันจบแล้ว พระเยซูบอกว่าวันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ และถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตาย กฎเก่า คือกฎที่ทำพิธีกรรมในพระวิหาร พระเจ้าพระบิดายกเลิกแล้ว ตอนนี้พระเจ้าให้กฎใหม่ ก็คือใครก็ตามที่อยากได้รับความรอด หรืออยากจะคืนดีกับพระเจ้า ต้องมาทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            ฉะนั้น คนที่เชื่อพระเจ้ายุคแรก  พวกสาวกต่างๆ เขาต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน พระเยซูคริสต์บอกให้เขามารอ ตามพระสัญญาที่พระเจ้าบอก ก็คือส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าลงมาสถิตกับมนุษย์  และที่วันเพ็นเตคอสครั้งแรก  ก็คือเป็นครั้งแรกที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตกับมนุษย์    มนุษย์กลายเป็นวิหารของพระเจ้า  พวกสาวกไปแอบอยู่ใต้หลังคา  เพราะไม่รู้ว่าพระสัญญาที่พระเจ้าบอกจะมาเมื่อไร? เพราะพระเยซูไม่ได้บอกเลยว่ากี่วัน? แค่บอกว่าไปรอแล้วกัน เดี๋ยวมาก็รู้เอง  เหมือนกับทุกวันนี้ บอกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา  ไม่ต้องไปหาหรอกว่าเมื่อไร?  เดี๋ยวมาก็รู้เอง พระเยซูก็บอกอย่างนั้น สาวกก็ไปรอ ไปอธิษฐาน ไปอดอาหาร ตอนนั้น กลัวนะ ไม่ใช่หน้าชื่นตาบาน คือกลัวมาก กลัวคนมาจับไป

            แล้วพอถึงวันที่ 50 พระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกส่งลงมา ในพระธรรมกิจการบอกว่าเป็นเปลวไฟ สันฐานเหมือนลิ้น ลงมาเหนือทุกคน แล้วคนเหล่านั้น ก็พูดภาษาอื่นๆ ที่ปัจจุบันเราใช้คำว่าภาษาแปลกๆ  เพราะว่าเราฟังไม่รู้เรื่อง เราก็เลยบอกแปลก แต่ภาษาอื่นๆ ในพระธรรมกิจการได้บันทึกไว้ คือภาษาที่สาวกเหล่านี้เขาไม่รู้จัก  แต่พระเจ้าให้เขาพูด เป็นคำประกาศพระกิตติคุณของพระเจ้าในภาษานั้นๆ ซึ่งตอนที่สาวกพูดภาษาอื่นๆ นี้ มีชาวอะไรเยอะแยะมากมาย อยู่ข้างล่าง อาจจะพวกโปตุเกส พวกฝรั่งเศส พวกอิตาลี พวกเยอรมัน อเมริกัน หรืออะไรต่างๆ แต่ในพระคัมภีร์มีชาวพื้นเมืองที่นั่น ดิฉันจำไม่ได้ ก็คือภาษาของเขาจะแตกต่างจากพวกสาวกที่เขาพูด

            ฉะนั้น ตอนที่สาวกพูดภาษาอื่นๆ ก็คือเป็นภาษาพื้นบ้านของคนเหล่านี้  ที่เขาได้ยินได้ฟัง แล้วเขา … “โอ๊ย! คนเหล่านี้เขาประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ ทำไมเขาถึงพูดได้  ภาษาของเรา”

            ซึ่งคนเหล่านี้เขาได้ยินได้ฟังเป็นภาษาของเขา แล้ว ณ วันนั้น คือวันแรกที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย ลงมาสถิตอยู่ด้วยปุ๊บ มันเกิดความกล้า จากเปโตรที่ขี้กลัวมาก ลุกขึ้นมาประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถ้าพี่น้องไปอ่านถ้อยคำของพระเจ้าจริงๆ มันจะเป็นเรื่องที่พูดเหมือนซ้ำไปซ้ำมาๆ เหมือนที่พี่น้องบอกว่าอาจารย์แถวนี้ ไม่พูดอย่างอื่นเลย พูดเรื่องเดียว ก็ไม่รู้จะไปพูดอะไร เพราะข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก็มีเรื่องเดียว แค่นี้แหละ แล้วเราไปอ่านพระคัมภีร์ เราจะเห็นเปโตรก็ไล่เลย พระเยซูคริสต์ผู้นี้ ผู้ที่พระเจ้าส่งมา พวกท่านไม่เชื่อว่าเป็นพระมาซีฮาห์ พวกท่านก็เลยจับพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขน แล้วพระองค์ผู้นี้แหละ ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  เป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ที่จะสามารถทำให้พวกท่านรอด นี่คือข่าวประเสริฐที่ในหนังสือกิจการหรือหนังสือจดหมายฝาก พี่น้องไปอ่านสิ มีอยู่แค่นี้แหละ

            แล้วอาจารย์เปาโลพอไปเจอใคร ประกาศ ไล่ความตั้งแต่ปฐมกาลมาเลย พระเยซูคริสต์เป็นใคร? มาจากไหน? ทำอะไร? ข่าวดีของพระเจ้า มีแค่นี้จริงๆ

            ฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้าแค่นี้ จึงทำให้คนในยุคนั้น สามารถยืนหยัดอยู่ได้ เพราว่าเขามีความเชื่อมั่นคง ปักหลักลงไปที่พระเยซูคริสต์ แล้วพอคนที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ปุ๊บ คนข้างล่างเขาหาว่าพวกสาวก หรือพวกที่ติดตามพระเยซูคริสต์เขาเมาเหล้าองุ่น นี่แหละที่มา เขาเมาเหล้าองุ่น คือคุยไม่รู้เรื่อง เซไปเซมา แต่ว่าความเป็นจริง เขาไม่ได้เมาเหล้าองุ่น เขาเมาพระวิญญาณ อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่าอย่าเมาเหล้าองุ่น ให้เมาพระวิญญาณดีกว่า

            สมัยก่อนคนอิสราเอล พื้นที่เขาน้ำเปล่าหายากมาก แล้วเป็นพื้นที่ที่เขาปลูกต้นองุ่น ออกผลดกมาก แล้วองุ่น พอกลั่นเป็นน้ำนานๆ มันกลายเป็นไวน์ แล้วเหล้าองุ่นมันเป็นสารชนิดหนึ่ง ที่เวลาคนดื่ม แล้วทำให้เกิดแบบเคลิ้ม เหมือนคนเสพกัญชา เสพยาเสพติด ถ้าดื่มน้อยๆ มันจะเป็นประโยชน์ แต่ถ้าดื่มเยอะ ก็จะเมา แล้วกว่าจะเมา ต้องดื่มเยอะมาก ฉะนั้น เป็นสารที่ทำให้มีความสุข อาจารย์เปาโลเลยสอนว่าอย่าเมาเหล้าองุ่น แต่ให้เมาพระวิญญาณ เพราะเหล้าองุ่น ถ้าเมาเยอะๆ ก็เสียผู้เสียคน

        เอเฟซัส 5:19-20 “19 จงสนทนากันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญและบทเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ จงร้องและบรรเลงเพลงในใจถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า 20 จงขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดา  สำหรับทุกสิ่งอยู่เสมอ  ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

            ตรงนี้ ให้ร้องเพลงสดุดี ร้องเพลงสรรเสริญ เปล่งเสียงชื่นบานถวายแด่พระเจ้า เราก็งงว่าแล้วทำอย่างไร? เสียงชื่นบาน จะร้องอย่างไร? สดุดีจะร้องอย่างไร? พี่น้องนึกภาพนะ แค่เราขึ้นเพลงปุ๊บ พี่น้องมีความสุขไหม? เวลาร้องเพลง มีความสุขนะ  ไม่ว่าจะเป็นเพลงพระเจ้า หรือเพลงข้างนอก สมัยก่อนเราไม่เชื่อพระเจ้า เราก็ร้องเพลงข้างนอก พอเพลงขึ้นปุ๊บ ร่างกายก็ขยับตามเลย นึกออกไหม? พอเพลงขึ้นปุ๊บ มันเต้นเอง โดยอัตโนมัติ มีความสุข แล้วเวลาเรามีความสุข ไม่ใช่เราร้องเพลง

                        “จงชื่นชมยินดีในพระเป็นเจ้า        จงชื่นชมยินดีในพระองค์” (ร้องเพลงไม่มีชีวิตชีวา)

            ไม่ใช่หน้าอย่างนี้ (หน้าเฉยๆ ไม่มีความสุข) แต่เวลาจงชื่นชมยินดีในพระเป็นเจ้า เราก็ยิ้มแย้มมีความสุข ร้องอย่างมีคาวมสุข ก็คือหน้าไปหมดเลย มันส่อถึงความชื่นชมยินดี จากข้างในออกมาข้างนอก แล้วการร้องเพลง เป็นประโยชน์มากสำหรับพวกเรา ก็คือทำให้ปอดเราขยาย มันเป็นการออกกำลังกาย โดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ว่าพระเจ้าสร้างให้เรามาเป็นแบบนี้ แล้วพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงเป็นบทเพลง ตัวพระองค์เองเป็นบทเพลง ทำให้พวกเราทุกคน ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า จากที่เราร้องเพลงไม่เป็น เราก็ร้องเพลงเป็นเฉยเลย เมื่อก่อนอาจจะร้องเพลงไม่เป็น อาจจะเสียงเหมือนเป็ด เหมือนอะไร พี่น้องเสียงไม่เพราะก็ไม่เป็นไร ร้องไปเถอะ พระเจ้าฟังแล้ว พระเจ้าจะบอกว่า …

            “ลูกเราคนนี้ ร้องเพลงเพราะมาก”

            เอเมนไหมค่ะ เพราะมาก ทุกคนเลย พระเจ้ามีความสุข

            ฉะนั้น การเปล่งเสียงชื่นบาน มันจะออกมาจากข้างใน ถ้าข้างในเราไม่ชื่นบาน มันออกมาไม่ได้หรอก  มันจะออกมาโดยอัตโนมัติ แล้วพระเจ้าใส่ความชื่นบานลงมา ในวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว ที่ในพระคัมภีร์บอกว่าจงชื่นชมยินดี ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ เราต้องพยายามไปชื่นชมยินดี  แต่ความชื่นชมยินดีมันอยู่ข้างในเราแล้ว ให้เรานำเอาสิ่งที่เรามีอยู่  สำแดงออกมา เหมือนที่เขาชอบพูดว่าเวลามีความสุข ช่วยบอกให้ใบหน้ารู้ด้วยนะ

            “ฉันมีความสุขมากเลย สุขจริงๆ นะ ตอนนี้ฉันสุขมาก” ใบหน้าไม่บอก เขาลืมบอกว่าเรามีความสุข

            เวลามีความสุข ใบหน้ามันจะออกมาเอง มันอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องฝืน ไม่มีใครฝืน แต่ถ้าเราฝืน ชื่นชมยินดีสิ ให้เราร้องเพลง มันก็ร้องเพลงแบบไม่มีชีวิตชีวา เวลาเรามาโบสถ์ เรามีความชื่นชมยินดี  เขาถามว่าคริสตจักรทำอะไร? คริสตจักรมาร้องเพลงไง เรามาร้องเพลง ถวายพระเจ้า  เรามาฟังความจริงของพระเจ้า  แล้วเรามารับรู้ความจริง เพื่อเราจะได้รู้ว่าตอนนี้เราเป็นใคร? ตอนนี้เราได้รับอะไรไปแล้ว? พระเจ้าทำให้เราเสร็จเรียบร้อยแล้ว? เราไม่ต้องทำอะไร? เราแค่เอาสิ่งที่พระเจ้าให้เรา สำแดงออกมาเท่านั้นเอง

            “จงขอบคุณพระเจ้าพระบิดา สำหรับทุกสิ่งอยู่เสมอ” ในนามของพระเยซูคริสต์ ทุกสิ่ง ไม่ได้หมายความว่าสิ่งดีๆ เท่านั้น “ทุกสิ่ง” หมายถึงแม้สิ่งนั้นจะไม่ดีก็ตาม พี่น้องรู้สึกไหม? บางครั้งเราไม่อยากได้สิ่งที่เราเจอ เคยเป็นไหม? แต่พระเจ้าบอกให้เราขอบพระคุณ  เพราะเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเจอ มันจะมีผลดีสำหรับเราในอนาคต เราไม่รู้หรอก แต่พระเจ้ารู้ว่าอย่างนี้แหละ มีผลดีสำหรับเราในอนาคต แล้วเราก็รับรู้ว่าพระเจ้ารักเรา ดังแก้วตาดวงใจ พระเจ้าไม่เอายาพิษให้เรากินแน่นอน ฉะนั้น เราจึงสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้

            ลักษณะเหมือนเด็ก เด็กไม่ชอบไปโรงเรียน แต่พ่อแม่ก็ต้องให้ไปให้ได้ เพื่ออนาคตของเขา ตอนใหม่ๆ เด็กก็จะงอแงร้องไห้ โวยวาย  แต่พอเขาโตขึ้น เขาก็จะเข้าใจ เป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าเมื่อก่อน พ่อแม่ไม่บังคับ ตอนนี้เราก็ไม่มีความรู้ ไม่สามารถไปทำงานดีๆ เราก็ต้องไปเป็นลูกจ้างที่ใช้แรงงาน อะไรประมาณนั้น หรือเด็กบางคนไม่ชอบแปรงฟัน พ่อแม่ก็ต้องบังคับให้แปรงฟัน  ไม่ชอบก็ต้องทำ  เพื่อสวัสดิภาพของเขา  มันเป็นภาพเดียวกัน ในโลกวิญญาณ พระเจ้ารู้ว่าอะไรดีที่สุด สำหรับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน เราไม่รู้หรอก บางครั้งเราเจออย่างนี้

            เราก็จะถามพระเจ้าว่า … “พระองค์เจ้าข้า ทำไมพระองค์อนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับลูก พระองค์ไม่รักลูกแล้วหรือ?”

            พระเจ้าบอก … “รักจะตาย รักขนาดให้ลูกชายคนเดียวมาตายแทนเธอ เธอยังไม่เชื่อใจฉันอีกหรือ?” อะไรประมาณนั้น

            ฉะนั้น ให้เรามั่นใจในความรักของพระเจ้า ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา เรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย แล้วเรารู้ว่าแม้จะอยู่หรือตาย พระเจ้าก็อยู่ด้วย เหมือนอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลไม่ได้อยู่สบายนะ อาจารย์เปาโลไปประกาศ ถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกจับ ถูกโยน ถูกอะไรสารพัดสิ่ง แต่อาจารย์เปาโลสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ เพราะอาจารย์เปาโลรู้จักพระเจ้าที่เขาเชื่อ รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย  และรู้ว่าพระเจ้ามีแผนการที่ดี สำหรับอาจารย์เปาโล

            เหมือนกัน พระเจ้ามีแผนการที่ดีถ้าเรามองภาพ ถ้าพี่น้องรู้สึกว่าตอนนี้ทุกข์ยากลำบาก ดิฉันก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ใครกำลังเผชิญกับอะไรทั้งหลายแหล่ อาจจะเรื่องของสุขภาพร่างกาย เรื่องของการเงินการงาน เรื่องของครอบครัว เรื่องของอะไร เราไม่รู้ แต่ให้พี่น้องดูตัวอย่างที่สำคัญ ที่พระเยซูคริสต์ พี่น้องว่าพระเจ้ารักพระเยซูไหม?  รักเนอะ เป็นพระบุตรองค์เดียวใช่ไหม?  แต่ตอนที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อที่จะถูกตรึงบนไม้กางเขน เพื่อพวกเรา  เพื่อที่จะมาตาย เพื่อที่จะมาหลั่งพระโลหิต  เพื่อว่าถ้าพระเยซูคริสต์ไม่มาเป็นมนุษย์ พระเยซูคริสต์ไม่ตาย พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่ไม่ได้ ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่ไม่ได้ พวกเราก็ตาย

            ตอนที่พระเยซูคริสต์อธิษฐานกับพระเจ้า 3 ครั้ง พระเจ้าไม่ตอบ แปลว่าพระเจ้าไม่รักพระเยซูคริสต์ใช่ไหม?  พระเจ้ารัก แต่พระเจ้ารู้ว่าอันนี้ดีที่สุดแล้ว พระเยซูยังไงก็ต้องเดินไป เพื่อแผนการที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าทำให้มนุษยชาติบนโลกใบนี้  แล้วในที่สุดพระเยซูคริสต์ก็ยอม

            พระเยซูคริสต์จะบอกว่าให้เป็นไปตามน้ำพระทัย ถ้าเลื่อนไม่ได้ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เดินไปที่แดนประหาร ให้ถูกเฆี่ยนตี ถูกตรึง ถูกเยาะเย้ย  ถูกทุกอย่างเลย  เพื่อพวกเราทั้งหลายจะได้สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ภาพเดียวกันเลย ถ้าเราเผชิญกับความทุกข์ยากใดๆ ให้เรามองพระเยซูคริสต์เป็นต้นแบบ พระเจ้ารักพระเยซูคริสต์ขนาดไหน? พระเจ้าก็รักเราขนาดนั้น  พระเจ้ามีแผนการที่ดีที่สุด สำหรับพวกเราแน่นอน ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม พระเจ้ารักเรามากที่สุด แล้วทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับเรา พระเจ้าจะทำให้มันเป็นผลดี สำหรับชีวิตของเราแน่นอน  พระเจ้าอวยพรค่ะ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “วิญญาณของเราจะชั่วหรือจะดี ขึ้นอ ยู่กับอะไร?”  พระเยซูคริสต์มีคำตอบ

            พระเยซูประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ชาวยิวที่เคร่งศาสนา ทนงตนในความดี ความชอบธรรมที่ตนเองถือปฏิบัติ ตามกฎบัญญัติได้มาก ให้พวกเขากลับใจใหม่ หันมาเชื่อ และวางใจในพระองค์และจะได้ความรอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย ได้เข้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า

            พระเยซูชี้ให้เห็นตัวตนของมนุษยชาติจริงๆ นั้นเป็นวิญญาณ และอยู่ในสภาพตาย เนื่องจากผลของความบาป ซึ่งไม่สามารถแก้ไข ด้วยการประพฤติปฏิบัติ ตามกฎบัญญัติ กฎศีลธรรม การประพฤติดีได้เลย ต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าเท่านั้น เพื่อจะได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ เข้ามาแทนที่วิญญาณเดิม ที่เป็นบาปอยู่นั้น

            มัทธิว12:33-37 … “พระเยซูเปรียบเทียบวิญญาณเหมือนต้นไม้ 33 ถ้าทำต้นไม้ให้สมบูรณ์ดี ผลออกมาก็จะดี หรือทำต้นไม้ให้เลว ติดเชื้อโรค ผลออกมาก็จะเลว เพราะว่าเราจะรู้จัก และตัดสินต้นไม้ว่าดีหรือเลว ก็ด้วยผลของมัน (ถ้าวิญญาณภายในสมบูรณ์ดี ก็จะส่งผลดี คือเชื่อและเป็นมิตรกับพระเยซูกับพระเจ้า ผู้เป็นความดี ถ้าวิญญาณภายในเลว ติดเชื้อโรคบาปชั่ว ก็จะส่งผลเลว คือต่อต้าน ปฏิเสธ เป็นศัตรูกับพระเยซู กับพระเจ้า) 34 โอ พวกชนชาติงูร้าย (สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษอาดัม ซึ่งล้มลงในความบาป) ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่ว (คนบาป) แล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากนั้นพูดสิ่งที่ล้นมาจากใจ (ความหมายคือโอ้ มนุษย์ซึ่งตกอยู่ในสภาพบาป ในตระกูลของอาดัม ท่านทั้งหลายติดเชื้อโรคบาป เป็นคนบาป คนชั่วในวิญญาณ จะพูดเป็นมิตร ยอมรับเราได้อย่างไร เพราะที่ท่านพูดต่อต้านปฏิเสธเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาป เป็นศัตรูกับเรา ต่อต้านปฏิเสธเรา ผู้เป็นความชอบธรรม ความดีของพระเจ้า) 35 คนดีก็นำสิ่งดีออกมา จากคลังแห่งความดีภายในตัวของเขา คนชั่วก็นำของชั่วออกมาจากคลังแห่งความชั่ว ภายในตัวของเขา (คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเขา) 36 ส่วนเราบอกพวกท่านว่า ในวันพิพากษา (หลังความตาย) มนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่อถ้อยคำเหล่านั้นที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง (เป็นผลเลว) ทุกคำที่พูดนั้น (ความหมาย คือส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่เป็นผลเลว ซึ่งท่านพูดต่อต้านเรา ไม่เชื่อในตัวเรา เป็นศัตรู ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเราว่าเป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดจากบาปนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ เพราะท่านไม่ยอมรับผู้เดียว ที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่านให้รอดพ้นจากโทษของความบาป) 37 เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิด เป็นผู้ชอบธรรมหรือเป็นคนบาป ถูกตัดสินลงโทษ ก็เพราะคำพูดของท่าน (ฉะนั้นท่านจะรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปที่อยู่ในตัวท่าน ในวิญญาณของท่าน หรือไม่ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธ หรือยอมรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูหรือไม่)”

            สรุป วิญญาณจะชั่วหรือดี ขึ้นอยู่กับต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือไม่ พระเจ้าอวยพรครับ