คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 5 “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า” (You are God’s Masterpiece) โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  มกราคม  2016

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 5 “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”

(You are God’s Masterpiece)

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้จะเป็นการบรรยายต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ในซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้เป็นตอนที่ 5 มีชื่อตอนว่า “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”

พูดพร้อมกันนะครับ “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”

สัปดาห์ที่แล้วตอนที่ 4 มีชื่อตอนว่าอะไร? ใครจำได้บ้าง? ครั้งที่แล้ว “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

ครั้งที่แล้วเราได้พูดถึงถ้อยคำพระเจ้าในเอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่าเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า หรือเรียกว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งภาษาอังกฤษ คือ “God’s masterpiece”

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”

 

ความหมาย คือเราเป็นงานศิลปะ เป็นบทกวี เป็นงานฝีมือ เป็นงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ซึ่งเราควรจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรานี้ว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นฝีมือ เป็นการฝีมือ เป็นบทกวี เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สร้างด้วยความบรรจงอย่างยิ่ง ที่พระองค์ทรงตั้งใจที่จะสร้างเราขึ้นมา ให้เป็น เขาเรียกว่าเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระองค์ เรามีคุณค่ามากมายมหาศาล มากกว่ารูปโมนาลิซ่า ของลีโอนาโด้  ดาวินชี เรามีค่ามากกว่านั้นอีก ซึ่งรูปนี้เขามีค่าขนาดไหน? สูงขนาดที่ขายไม่รู้จะบอกว่าเท่าไร มันเยอะมาก เขาจึงเอาไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์

โมนาลิซ่าในรูป ถ้าพูดได้ เธอคงพูดว่า …

“ฉันเป็นภาพที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล ฉันเป็นศิลปะชิ้นเอก ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

มองภาพ แล้วนึกว่าถ้าเธอพูดอย่างนี้ และมันเป็นจริง แล้วเราล่ะ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะมีค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่าขนาดไหน?  เปรียบกันไม่ได้เลยนะครับ

แล้วในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้กล่าวทิ้งท้ายกันไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้เรามั่นใจเสมอว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล ให้เรามั่นใจอย่างนี้ มากเท่ากับที่เรามั่นใจว่าเราเป็นคนไทย เป็นคนไทยหรือเปล่า? ตอบพร้อมกัน มั่นใจ? มั่นใจ ไม่ต้องดูบัตรประชาชนเลยใช่ไหม? ไม่ต้องเลย เหมือนกัน ต้องดูพระคัมภีร์ไหมว่าท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าตอนนี้ ต้องดูพระคัมภีร์ไหม? ไม่ต้องแล้ว

“ฉันมั่นใจ ข้างในบอก พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับฉัน ในหัวใจของฉันตั้งแต่วันที่ฉันรับเชื่อ ต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต ยืนยันกับฉันข้างในว่าฉันเป็นผลงานชิ้นเอก ชิ้นโบว์แดงของพระเจ้าจริงๆ” เอเมน

“ใครจะมาดูถูกว่าฉันไม่สวย ไม่หล่อ ฉันก็ไม่สนใจ ฉันมีความภาคภูมิใจ เพราะฉันเป็นฝีพระหัตถ์ เป็นบทกวีที่ยอดเยี่ยมของพระเจ้า เป็น Masterpiece ของพระเจ้า ฉันสวย และหล่อที่สุดแล้ว” เอเมน

ลุกขึ้นยืนนิดหนึ่ง พูดตามผมนะครับ ให้มั่นใจ เท่ากับท่านเป็นคนไทยนะ ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? เป็น เดี๋ยวพูดตามนะครับ ดังขนาดนี้นะครับ พูดตามผมนะครับ

          “ฉันเป็นบทกวีชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันเป็น Masterpiece ของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ฉันเพอร์เฟคที่สุดแล้ว สมบูรณ์แบบกว่านี้ไม่มีแล้ว ฉันสวย / หล่อที่สุดแล้ว สวย / หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ฉันงดงามที่สุดแล้ว งามกว่านี้ไม่มีอีกแล้วนะครับ / นะคะ”

 

แล้วยังจำได้ไหมครับว่าครั้งที่แล้วได้ โปรยเรื่องนี้ไว้ใช่ไหมครับว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอก เราได้พูดกันตรงนี้ขึ้นมา ให้ลุกขึ้นมายืนพูดด้วยความกล้าหาญ ฮึกเหิมเลยใช่ไหมครับ? ก็มีคนมาถาม มีสมาชิกมาถาม โดยเฉพาะผู้หญิงนะครับ ข้องใจมาก ก็มาถามผมว่า …

“ในเมื่อเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าที่สวยที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหมือนอีกแล้ว ยอดเยี่ยมแล้ว งั้นแสดงว่าต่อไปนี้ ไม่ต้องแต่งตัวให้สวย  ไม่ต้องแต่งหน้าทำผมแล้วใช่ไหม? ปล่อยตามธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างเลย สวยที่สุดแล้วไง”

โอไหม? ไม่โอ … โอหรือไม่โอ? แค่นึกภาพก็น่ากลัว สยองแล้วนะ ถ้าคนในนี้มาบอกว่าไม่มีใครแต่งตัวมาเลย ผมเดินเข้ามา คงสยองขวัญแน่ ไม่หวีผม ตื่นเช้า มาเลย ไม่ไหวนะ และโดยเฉพาะคนข้างๆ ที่บ้าน ทำอย่างนี้ แบบสยอง ขนลุกเลย ตื่นขึ้นมาตายแน่ ท่านพอจะมองเห็นไหมครับ?

วันนี้เลยต้องมาขยายความกันต่อหน่อยนะครับ ถ้าไม่ขยายความ เผื่อว่าถ้าเกิดสัปดาห์หน้า จบเทศนานี้ สมาชิกที่มาที่นี่ มาแบบธรรมชาติๆ มาสวยธรรมชาติเลย เราคงผวากัน เพราะฉะนั้น ก็เลยต้องมาคุยกันนิดหนึ่ง คุยกันนิดหนึ่ง เพื่อเราจะไม่ได้ธรรมชาติเกินไป ดีไหม? บอกคนข้างๆ สิ อย่าธรรมชาติมาก มันน่ากลัว บอกสิ ไม่กล้าพูดเหรอ มันน่ากลัว เวลาตื่นขึ้นมา ไม่แปรงฟัน ไม่หวีผม นี่ธรรมชาติแล้วนะเนี้ย

การรู้ตัวตนของเราเองว่าเราเป็นใคร?  และพระเจ้าสร้างเราให้มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวอย่างไร?  ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร อย่างไร? สวยงามที่สุด  หล่อที่สุด มีคุณค่ามากที่สุด เป็นผลงานชิ้นเอก เป็นบทกวีชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และได้บรรจงสร้างเราให้เป็นอย่างนี้  ถ้าเรารักษาความเชื่อของเราแบบนี้ ให้มีความมั่นใจแบบนี้ แบบสักครู่นี้ที่เราพูดพร้อมกัน  มั่นใจเหมือนที่เราบอกว่าเราเป็นคนไทย โดยไม่ต้องดูบัตรประชาชนเลย หลับๆ ตื่นขึ้นมา

เขาถาม “คนไทยหรือเปล่า?”

เราก็บอก “คนไทย”

ถ้าเรารักษาความมั่นใจอย่างนั้นได้ ในความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ตามพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นบทกวี เป็นผลงานชิ้นเอก  เป็น Masterpiece สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว สำหรับเรา ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร พระคัมภีร์บอกเราเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเชื่อแบบที่เราเชื่อว่าเราเป็นคนไทยอย่างนั้น

นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้เรานั้น สามารถที่จะอยู่บนโลกนี้ ในลักษณะใดรู้ไหมครับ? ในลักษณะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน? จะอยู่ในสังคมใด อยู่ในสถานะใดบนโลกใบนี้ก็ตาม เราก็จะกล้ายืนหยัด ยืดอก และมีความมั่นใจในการแสดงออกให้คนอื่นได้เห็นว่า …

“ฉันเป็นใคร?”

พูดสิ “ฉันเป็นใคร?”

ยืดอกหน่อยสิ ยืดอกหน่อย นี่ยังห่อเหี่ยวอยู่เลย ยืดอกหน่อยเร็ว แล้วบอกสิ

“ฉันเป็นใคร? หือ!”

“ฉันเป็นศิลปะชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่ใช่ธรรมดานะ”

ไม่กล้าพูดเหรอ ฉันไม่ธรรมดานะ

“ฉันเป็นคนมีชาติตระกูล”

มีชาติตระกูล ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไรรู้ไหม? เวลาคนมีชาติตระกูล มีความภูมิใจตัวเอง เขาเรียกว่า Somebody

“I am somebody.” แปลว่า “ฉันมีคุณค่า”

เขาเรียกว่า I am somebody ถ้า I am no body. แปลว่าฉันแย่เหลือเกิน คนก็ไม่เอาฉันแล้ว อะไรอย่างนี้  ไม่ใช่อย่างนั้น

ถ้าเรารู้ เรามั่นใจ เราต้องบอกว่าอะไร? I am somebody.

ลองพูดสิ “I am somebody.”

ยืดอกแล้วบอกว่า “I am somebody.”

ยืดอกแล้วบอกว่า “ฉันมีคุณค่า  ฉันเป็นใครรู้หรือเปล่า?” อะไรประมาณนี้

“ฉันเป็นบุคคลพิเศษ” อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น  เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจได้ ถ้าเรามีความมั่นใจในความเชื่อ ในพระเจ้าแบบนี้ ในชีวิตของเรา … เราจะยืดอกได้อย่างสง่าเผย แต่ยืดอกแบบถ่อมใจ ไม่ใช่ไปเอาเปรียบชาวบ้านเขา ไม่ใช่ไปยืดอกไปทับถมคนอื่น ไม่ใช่ ยืดอกเฉพาะตัวเราเอง เรามั่นใจในตัวเราเอง

“ฉันไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย”

แต่ไม่ใช่เอาไปทับถมเขา  ยืดอกแบบถ่อมใจ

ให้เราพูดพร้อมกัน “แบบถ่อมใจ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง”

นี่คือหนทางที่พระเจ้าต้องการให้เราทั้งหลาย ที่มาเชื่อในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ ดำเนินชีวิตแบบนี้ ยืดอก และเมื่อเรามีความมั่นใจ ยืดอกได้แล้ว อาการ ท่าทางของเราที่แสดงออกมา ก็จะเต็มไปด้วยความสง่างาม  เราก็จะทำทุกอย่างด้วยความสง่างาม การจะไปไหน? จะทำอะไร? จะแต่งตัวอย่างไร? จะพูดอย่างไร? ก็จะเต็มไปด้วยความสง่างาม

ให้พูดพร้อมกัน “สง่างาม”

ลองนึกถึงภาพ ในอดีตมา เราสง่างามพอหรือยัง? สมกับที่มีคุณค่ามากกว่า มีมูลค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่า  กล้าไหม? สง่างามไหม? ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เราไปคิดเอาเอง แต่ ณ วันนี้เป็นต้นไป เราจะต้องเปลี่ยนท่าทีเรา สง่างามเพิ่มขึ้น เพราะเรารู้มากขึ้น ถูกไหม? เอเมน ปรบมือให้พระเจ้า ขอบคุณพระองค์

พอเรารู้สถานะของเราว่าเราเป็นใคร? รู้ความจริง ความจริงก็จะทำให้เราภูมิใจ เมื่อภูมิใจแล้ว เราจะดูแลตัวเอง เมื่อภูมิใจ แล้วทำไม?  มีความมั่นใจ แล้วทำไม? ดูแลตัวเอง ให้ดูสง่างาม  สมฐานะ

พูดพร้อมกันสิ “สมฐานะ”

ตอนนี้งาม สมฐานะหรือยัง?  ให้ดูสง่างาม ตามสถานะ หรือสมฐานะของเรา ไม่ปล่อยให้เนื้อตัวสกปรก หน้าตาผมเผ้า ก็จะทำให้มันดูดีขึ้น ให้สมกับสถานะที่พระเจ้าสร้างเรา เป็นผลงานชิ้นเอก (นะโว๊ย) ถ้าในปัจจุบันเขาจะพูดอย่างนี้นะ เพราะว่าอะไร? เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราก็จะต้องดูแลระมัดระวังทุกอย่างในตัวของเรา  พยายามทำให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่เฉพาะแค่ทางฝ่ายจิตวิญญาณ หรือทางการประพฤติเท่านั้น แต่รวมถึงการแต่งตัวทุกอย่างด้วย ทุกอย่างในชีวิต เพราะเราเป็นการฝีมือ เป็นศิลปะ เป็นงานชิ้นเอกของพระเจ้า ทำให้สมกับเป็นอย่างนั้นหน่อย เหมือนอย่างภาพโมนาลิซ่าตะกี้นี้ ที่บอกว่ามีค่ามหาศาล มันสวยของมันอยู่แล้ว ถูกไหม? มีค่าของมันอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังเสริมด้วยการทำสปอร์ตไลต์ ทำกรอบ ทำอะไรให้มันสวยขึ้น อยู่ในตำแหน่งที่สวยๆ คือมันสวยอยู่แล้ว แต่ทำให้มันทำไม? สวยขึ้นสมฐานะของมัน สมราคา ไม่ใช่รูปไร้ค่า รูปอะไรก็ไม่รู้ รูปละบาทสองบาท แล้วเรามาใส่กรอบทอง อย่างนั้นมันไม่ใช่ นี่มันสมฐานะ เป็นภาพโมนาลิซ่าของแท้

การแต่งตัว แต่งหน้า  ทำผม ทำเล็บ ศัลยกรรม การเสริมความงามก็ตาม เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น ได้ส่องประกายออกมาอย่างเหมาะสมและพอเหมาะ ไม่ดีใจเลยเหรอ? ดีใจไหม?  ดีใจ แต่งได้ แต่เดี๋ยวฟังต่อไป คือสิ่งเหล่านี้มันทำเพื่ออะไร?  ทำเพื่อเสริมให้ความงาม มันงามขึ้น ไม่ใช่บอกว่าเมื่อเรารู้ว่าเรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าแล้ว สวย ไม่มีใครเหมือนแล้ว  เพราะฉะนั้นจากนี้ต่อไป เราปล่อยมันตามธรรมชาติเลย เหมือนต้นไม้ นี่ชัดที่สุด ผมคิดตั้งนานว่าอะไรจะเหมือนตรงนี้ได้ เหมือนต้นไม้

ถามว่าพระเจ้าสร้างต้นไม้สวยไหม? ตามธรรมชาติสวยไหม? สวย  เราก็ยังสามารถที่จะไปแต่งเติมให้มันสวยขึ้น ดูเหมาะสมได้อีกไหม? ได้ แล้วทำหรือไม่ทำ? ทำ ถ้าสนามหญ้าของท่าน … ท่านคิดดู ถ้าท่านปล่อยมันธรรมชาติเลย สวยหรือไม่สวย? สวยนะ เขียวๆ แต่ถ้าท่านไปตกแต่งมันอย่างดี ไปตัดแต่งมันทุกเดือนๆ สวยกว่าหรือเปล่า? สวยกว่า แถมใช้งานได้อีกด้วย เห็นไหม? สวยกว่า แถมใช้งานได้อีกด้วย

หรือบางท่านยิ่งชัดใหญ่เลย ผมคิดอยู่ตั้งนานว่าอะไรดี? ต้นไม้บางต้นสวยอยู่แล้วนะ แต่เขาเอาลวดใส่เข้าไปดัดๆ กลายเป็นลิง กลายเป็นตัวสัตว์ต่างๆ เป็นกวาง สวยกว่าเก่าไหม? สวยกว่าเก่า ต้องแต่งไหม? หรือทิ้งธรรมชาติ มันจะเป็นเอง

นี่คือตัวอย่างอันหนึ่งที่ผมพยายามจะมาเล่าสู่ท่านฟัง ให้ท่านเห็นว่าธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง มันสวยจริง แต่ว่าพระเจ้าทิ้งงานที่เหลือไว้ให้มนุษย์ตกแต่งมัน รวมทั้งร่างกายของเราด้วย มากกว่านั้นสักเท่าใด ที่เราจะต้องตกแต่ง ดูแลในทุกส่วนในชีวิตของเรา ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ชีวิต จิตใจ ความคิด ต้องดูแลทุกอย่าง  ให้สมกับคุณค่าที่พระเจ้าใส่ไว้ในชีวิตของเรา สร้างเรา ให้เราดูสวย อย่างงดงามขนาดนี้  ไม่ใช่ปล่อยให้มันโทรม เห็นสนามหญ้าโทรม คนเรามันก็โทรมได้ ถ้าเราไม่แต่งตัว ไม่ดูแลเลย

ยกตัวอย่าง ไม่แปรงฟัน โทรมไหมเนี้ย ยิ้มออกมา ดำปี๋ หินปูนก็ไม่ขัด ปล่อยมันธรรมชาติเลย แล้วเป็นอย่างไรล่ะ ทั้งเหลือง ทั้งดำ มันก็ส่งกลิ่นเหม็นอีกต่างหาก นี่บทกวีของพระเจ้านะ ท่านจะเห็นภาพชัดเจน

แต่ทั้งนี้ การเสริมแต่งทุกอย่าง ก็ต้องทำให้อยู่ในกรอบของความเหมาะสม หรือทำตามสมควรที่จำเป็น ให้มีสมดุล ให้มันความพอเหมาะ พอดี ไม่ใช่ทำจนเว่อร์ จนเกินไป หรือน้อยเกินไป

ถามว่ามากเกินไปหรือน้อยเกินไป ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน ไม่ใช่มาเทียบกัน คนนี้กับคนนี้มาเทียบกันไม่ได้ ต้นไม้อย่างนี้กับต้นไม้อย่างนี้ ก็มาเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนจะมีความเหมาะสมที่ไม่เหมือนกัน

คราวนี้มีคนถามว่า “และแค่ไหนคือความพอดี? ความเหมาะสม? ความสมดุลอยู่ตรงจุดไหน? เราจะทราบได้อย่างไรว่าเนี้ยตกแต่งขนาดนี้มันดีแล้วในชีวิตของเรา?”

แน่นอนทุกคนต้องถามตรงนี้แน่นอน แล้วเราจะทราบได้อย่างไร?  นึกในใจไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมตอบให้ท่าน

วิธีไม่ยากเลย เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราได้เปรียบเยอะมากเลย เรามีที่ปรึกษามหัศจรรย์ คือพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นผู้นำพาชีวิตของเรา เป็นสติปัญญาให้กับเรา … เราอาจจะเริ่มปรึกษา โดยอธิษฐาน เสร็จแล้วอย่างไร? พระเจ้ายังบอกในพระคัมภีร์ สอนเราอีกว่าการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้ทำอย่างนี้ คือนอกจากมีพระเจ้าเป็นที่ปรึกษายิ่งใหญ่สูงสุด อธิษฐานแล้ว เรายังจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาที่เป็นมนุษย์ด้วย ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

พูดพร้อมกัน “ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย”

เราก็ควรที่จะไปปรึกษา มีสติในการที่จะไปปรึกษา ถ้าเราจะไปปรึกษาเรื่องสุขภาพ เราก็ไปปรึกษาคนที่รู้เรื่องสุขภาพ อย่างเช่นหมอที่เขาเชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพ ที่เขาดูแลเรื่องสุขภาพ ถูกไหม? ถ้าเราจะไปปรึกษาเรื่องการตกแต่ง หรือการทำอะไรก็ตาม เราก็ปรึกษาคนที่เขารู้เรื่องนี้  ก็ไปถามคนโน่น คนนี่ พูดง่ายๆ หาความรู้ นี่คือการปรึกษา

ยิ่งทุกวันนี้  หนึ่งในจำนวนผู้ปรึกษาที่ดี ที่อยู่รอบข้างเรา แต่ให้เรามีสติ นั่นคือใครรู้ไหม? คือใครรู้ไหม? ไม่หยาบนะ คือกูเองนะ จริง กูเกิลๆ จริงๆ กูเกิลนี่หมดเลย วิกิพีเดียมีเยอะแยะเลย  ข้อมูลเยอะแยะ ข้อมูลเหล่านี้ คือที่ปรึกษาของเรา ก่อนเราจะทำอะไร? เราคิดดูต่างๆ เหล่านี้ แล้วปรึกษาคน … คนที่พูดได้ ไปหาศิษยาภิบาลที่บ้านบ้าง ไปหาคนนั้น เพื่อปรึกษาสิ่งเหล่านี้ นี่พูดเลยไปนิดหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะการแต่งหน้า แต่งตัวอย่างเดียว แต่มันคือชีวิตทั้งหมดเลย ถ้าเราได้รับความรู้และก่อนจะตัดสินใจทำอะไร? ให้ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ชีวิตเราจะราบรื่นที่สุด ทุกข์น้อยกว่าควรจะเป็น ทุกข์น้อยลง พูดง่ายๆ ถูกไหม? ถ้าเราบอกว่าเราใช้กูเกิลไม่เป็น เราก็ให้ลูก ให้ใครเขาช่วยได้ ถามเขาก็ได้ ช่วยค้นให้หน่อย เขาว่าอย่างไร?  ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เขาว่าอย่างไร? คนที่ใช้มาแล้วว่าอย่างไร? เอเมน จะได้ไม่ถูกหลอกด้วยนะครับ

อย่างนี้เขาเรียกว่าที่ปรึกษา นอกจากปรึกษาแล้ว ตะกี้อย่างที่บอกปรึกษาหาพระเจ้า  แล้วพอปรึกษาอะไรต่างๆ แล้ว สมมติว่าเรามั่นใจว่าพระเจ้าให้เราทำ เราก็ทำเลย ถ้าพระเจ้าไม่ให้ทำ เราทำไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเราอธิษฐาน เอเมน ถูกไหม? เพราะพระเจ้าควบคุมอยู่ ถ้าเราปรึกษาทั้งหมดแล้ว เราก็อธิษฐานด้วย  เพราะฉะนั้น ถ้าอธิษฐานแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นมาหลักจากนั้น  ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ ก็เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น เอเมน ถูกไหม? เราต้องมีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงควบคุมดูแลทุกอย่าง ทุกฝีก้าวในชีวิตของเรา  ไม่ว่าจะเป็นการเสริมความงาม การแต่งตัว การทำศัลยกรรม เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อะไรทุกอย่าง พระเจ้าอยู่กับเราตลอด

คืออยากจะตอบเรื่องนี้ ให้ทุกคนมีความรู้สึกสบายใจ และรู้ว่าเรานั้น สามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง ซึ่งเราคิดไม่ถึง หลายครั้ง ความคิดของมนุษย์ ที่อยู่ในกรอบของประเพณีเก่าๆ ของเรา  ทำให้เราไม่กล้าที่จะโผล่มาทำอะไร? เรารู้สึกว่าทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้นตลอด ต่อไปเรื่อยๆ ไม่กล้าที่จะออกมาทำสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าสิ่งนี้มันดี พูดง่ายๆ ว่าเราไม่มีเหตุผล เรากลัว ไม่มีเหตุผล พอมาพูดถึงเหตุผลอย่างนี้ชัดๆ มันก็ใช่ (นี่หว่า) ใช่ๆ ท่านไปคิดดูก็แล้วกัน แล้วให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในท่าน สอนท่านต่อไป

เช่น ถ้ารู้สึกว่าอายุมากแล้ว สมมติ มีผมขาวขึ้นมาทำอย่างไร? มีหลายคนกำลังคิด เมื่อไรถึงเรื่องนี้สักที ถ้าอายุมากแล้ว มีผมขาว รู้สึกว่าอยากจะย้อมผม หรือโกรกผม หรือทำสีผม รู้สึกว่าการโกรกผมนั้น มันเหมาะสำหรับเรา คำว่า “เหมาะ” อย่างที่ผมบอก มาเทียบกันไม่ได้นะครับ คนนี้อยู่ในสังคมนี้ คนนี้อยู่ในกลุ่มนี้  เดี๋ยวต่อไป ผมจะอธิบายให้ท่านอย่างละเอียดกว่านี้ เพื่อให้ท่านเป็นอิสระ ถ้าท่านคิดอย่างนั้นว่ามันเหมาะสำหรับท่าน … ท่านก็ทำอะไร? อธิษฐาน ถ้าอธิษฐานแล้ว พระเจ้าอนุญาตให้ท่านทำ ก็ทำไปเลย  แล้วถ้าท่านรู้สึกว่าอยากจะไว้ผมขาว พระเจ้าบอกว่าไว้ผมขาวดีกว่า พระเจ้าอนุญาตให้ท่านไว้ผมขาว ท่านก็ไว้ผมขาว ต้องอาบน้ำด้วยนะ ให้ท่านเห็น เข้าใจไหมครับ ท่านก็ถามคนโน่นคนนี่ ท่านอธิษฐาน ก็อธิษฐานไป ท่านจึงจะได้รับคำตอบ

ให้ลองสังเกตดู แล้วก็สรุปว่าน้ำพระทัยพระเจ้า  พระคัมภีร์บอกว่ามีที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย ถามคนรอบข้าง เกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็อธิษฐานกับพระเจ้าไปด้วย เมื่อท่านอธิษฐานกับพระเจ้าแล้ว ปรึกษากับคนรอบข้างแล้ว ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัยแล้ว จงทำไปตามความเชื่อ ตามที่เคยเรียนไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อะไรก็ตามที่เราทำด้วยความเชื่อ มันเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่แล้ว อะไรที่เต็มไปด้วยความเชื่อ … เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราทำ เราดีที่สุด แล้วเราก็อธิษฐาน เชื่อว่านี่พระเจ้านำเราทำอย่างนี้ เราก็ทำเลย เอเมน

นอกจากปรึกษาพระเจ้าแล้ว ลองปรึกษาคนอื่นด้วย อย่างที่บอกนะครับ จะแต่งตัวอย่างไร? จะเข้าไปในสถานที่แบบไหน? จะแต่งตัวอย่างไรในการเข้าไปดูคอนเสิร์ต สมมติอย่างนี้ จะแต่งตัวอย่างไรมาโบสถ์ดี บางครั้ง เราคิดของเราไปเอง คิดของเราคนเดียว

“อย่างนี้ดีแล้ว ฉันเป็นตัวฉันเอง”

อย่างนี้ไม่เอา อย่างนี้ ไม่ใช่ ไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์บอกให้เรามีที่ปรึกษา ไม่ใช่ดูในกระจก แล้ว

“นี่ สวย  ฉันจะไปอย่างนี้”

ใครว่าอะไรก็ไม่ฟัง

“วันนี้ ฉันจะไปโบสถ์ ฉันจะแต่งอย่างนี้ มีอะไรหรือเปล่า?”

ไม่ใช่ ไม่ใช่ความเชื่อมั่นอย่างนี้ ความเชื่อมั่นในทางพระเจ้า มันมีสติปัญญา  อย่างที่บอก มันมีที่ปรึกษา ถามใครหรือยัง? ยัง แล้วมั่นใจได้อย่างไร ไม่ได้ถามใคร มั่นใจ คือคุณถาม ตามพระคัมภีร์บอก คุณมีที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ เขาว่าอย่างไร? ทุกคนเขาว่าอย่างไร? ส่วนใหญ่ถามไหม? คุณอธิษฐานไหม? คุณจะแต่งตัวอย่างนี้มาโบสถ์ มีคนบอกน่าเกลียด แล้วคุณอธิษฐาน บอกว่าพระเจ้ามันน่าเกลียดไหม?  คุณเคยถามคนโน่นคนนี่ไหมว่ามันพร้อมหรือไม่?  อย่างนี้เป็นต้นใช่ไหมครับ?

นี่คือหน้าที่ของเรา ที่เป็นคริสเตียน ที่ต้องทำ เพื่อเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพื่อเราจะได้วางตัวได้ถูกต้องว่าจะวางตัวอย่างไร ที่จะเข้าไปอยู่ในสังคม กลุ่มคนที่พระเจ้าส่งเราเข้าไปอยู่ ฟังให้ดีๆ นะ เราจะอยู่กับอย่างนี้อย่างไร? กับสังคมนี้อย่างไร? เมื่อพระเจ้าส่งเราเข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้น ถ้าเราไม่ทำในลักษณะเดียวกับเขา เราก็จะอยู่กับเขาไม่ได้ พระเจ้าจะใช้งานเราในกลุ่มนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร? นี่ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นมิจฉาชีพ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ หมายถึงเฉพาะอย่างที่เขาเรียกว่ารสนิยมต่างกัน เข้าใจใช่ไหมครับ?

คุณจะทำหน้าตาอย่างไร? ทำผมอย่างไร?  แต่งแบบไหน? มันมีสติปัญญาอยู่ในนั้น มันไม่ใช่ว่าเล่นๆ นี่เรื่องจริงๆ มันมีสติปัญญา มันเป็นวิชาการ เหมือนกับเราไปตกแต่งสนามหญ้า  มันมีวิชาการของมันว่าต้องแต่งอย่างนี้ๆ ไม่ใช่คิดเอาเอง ไม่ใช่เพ้อฝันเอาเอง ไม่ใช่ ไม่ใช่อธิษฐานอยู่ในห้องคนเดียว แล้วออกมา

“พระเจ้าบอกฉันแต่งอย่างนี้”

ทรงผมแบบ อะไรก็ไม่รู้ สมมติแบบนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ? เราก็ต้องมีสติปัญญา มีความคิด มีสามัญสำนึก มีเขาเรียกคอมมอนเซน เซนธรรมชาติว่าใส่อย่างนี้ไปดูคอนเสิร์ต โอเค ใส่อย่างนี้งานแต่งงาน โอเค ใส่อย่างนี้ไปงานศพ โอเค ใส่อย่างนี้ไปโบสถ์ โอเค ท่านพอเข้าใจใช่ไหม?

“ฉันเป็นคริสเตียน ฉันไม่สนใจเลย ฉันจะใส่สีสดๆ ไปงานศพ อย่างนี้”

ต้องดูสิงานนั้น เป็นงานใคร? งานอย่างไร? สมควรทำไหม? อย่างนี้เป็นต้น

สรุป ก็คือก่อนที่จะตัดสินใจเสริมแต่ง ทำอะไรก็ตาม ที่คิดว่าจะเป็นการทำให้เรามีคุณค่ามากขึ้น ในร่างกายนี้ ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ให้ทำอย่างนี้ คือ … สรุปให้นะครับ

  1. พิจารณาก่อนว่าเป็นสิ่งที่สมควรทำ ถูกต้องตามกาลเทศะ เหมาะสม พอเหมาะ พอควรหรือไม่?
  2. ถ้าคิดว่าข้อ 1 ผ่าน ลองปรึกษาคนรอบข้าง หาความรู้ ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย
  3. ถ้า 2 ข้อนั้นผ่านเรียบร้อยแล้ว อธิษฐานกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ผ่านการตัดสินใจครั้งสุดท้าย แล้วก็ฝากไว้ที่พระเจ้า

เคล็ดลับ คืออะไรรู้ไหม? เคล็ดลับ คือใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า

พูดพร้อมกัน “ใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า”

“รีบไปทำเลย เดี๋ยวมันหมดเขตลดราคาแล้วนะ”

“ใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า”

“ถ้าไม่ทำตอนนี้ เขาเลิกเลยนะ ต่อไปนี้ไม่มีขายแล้วนะ นี่ขวดสุดท้าย”

“ใจเย็นๆ อย่าซื้อเลยนะ รอคอยพระเจ้า”

ตรงนี้แหละสำคัญ ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันถูกต้องเอง เดี๋ยวพระเจ้าจะบอกผ่านตรงโน่น ผ่านตรงนี้ แล้วท่านจะมีความมั่นใจว่า …

“ใช่แล้ว ฉันจะไว้ผมขาว … ใช่แล้ว ฉันจะทำผมบ้าง?”

เข้าใจใช่ไหมครับ? อะไรที่เหมาะกับเรา ผู้ที่รู้ คือพระเจ้า แล้วก็ผ่านทางวิธีการที่พระเจ้าสอนเรา อย่างนี้แหละ ถ้าผ่านทาง 3 ข้ออย่างนี้แล้ว ก็ตัดสินใจทำด้วยความเชื่อเลย ไม่ต้องไปห่วงใคร สบาย รับรองได้

เพราะฉะนั้น วันนี้ก็ได้รับคำตอบแล้ว พอใจไหมครับ? โอเคเนอะ ทำตามความเหมาะสมแล้วกัน ทำอะไรทุกครั้งฝากไว้ที่พระเจ้า แล้วพระองค์จะบอกท่านเองว่าควรจะทำแค่ไหนอย่างไร? ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดที่ผมพูดมาตรงนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเสริมแต่งร่างกายให้สวยงาม  ให้สมกับค่าที่พระเจ้าสร้างเรามาให้เป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งถามว่าสำคัญไหม?  เป็นสิ่งสำคัญ

ให้พูดพร้อมกัน “สำคัญ”

ไม่อย่างนั้น ผมกระเซิงมา คนตกใจกลัว นึกว่าผีมา แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านี้  สิ่งที่สำคัญกว่านั้น ก็คือลักษณะท่าทางการพูดจา การสำแดงความรักให้กับรอบข้าง สำคัญทั้งสองอย่าง การไม่อิจฉาใคร ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่นินทาว่าร้าย ไม่เอาเปรียบใคร ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่เปรียบเทียบกับใคร เหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า  เป็นบทกวีของพระเจ้า ซึ่งเราควรจะให้ความสำคัญอย่างมาก กระทำตัวให้เป็นผลงานชิ้นเอก สมกับที่พระเจ้าสร้างเราขึ้นมา เอเมน ไม่มีใครเอเมนเลยตรงนี้ ตอนแต่งตัว เอเมนกันใหญ่  เอเมน อย่าทำให้พระเจ้าขายหน้า ไปเห็นแก่ตัว พระเจ้าขายหน้า ไปอิจฉาเขา พระเจ้าขายหน้า

“ฉันทำตัวเธอมีค่าขนาดนี้ เธอยังไปอิจฉาชาวบ้านเขา”

ขายหน้าไหม? ขายหน้า ทำฮึดฮัดๆ กับชาวบ้านเขา ออกอาการเหมือนที่เขาชอบลงคลิปกันทุกวันนี้ ขายหน้าไหม? พระเจ้าอาย

“ลูกฉันเอ่ย” เข้าใจใช่ไหมครับ?

นี่คือหน้าที่หลัก สำคัญมาก เพราะฉะนั้นทั้งสองอย่างควบคู่กันไปเลย ก็คือทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ก็คือความประพฤติของเรา  มันต้องดี ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์

อย่างที่ผมบอก เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าเราเป็นใคร? เราตั้งใจจะทำสิ่งที่ดีที่สุด ให้สมกับที่ราคา ที่พระเจ้าไว้ในชีวิต ใส่ไว้ในชีวิตของเรา เหมือนดังที่พระคัมภีร์บอกว่า …

“ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านไม่รู้เหรอว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านเป็นลูกของพระเจ้านะ เพราะฉะนั้น ทำตัวให้มันดีหน่อย  เดินไปข้างนอก เอะอะโวยวาย  ยกมือด่าผู้คนชาวบ้านเขา พระเยซูอยู่ไหม? อยู่กับเราด้วย ถูกไหม? ไปถึง ไปช่วยเหลือชาวบ้านเขา เขาตกทุกข์ได้ยาก ลำบากลำบน ช่วยเขา พระเยซูอยู่ด้วยไหม? อันไหนที่พระเยซูมีความสุข อันนั้นแหละ คือสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะฉะนั้น สิ่งนี้คือสิ่งที่เราควรที่จะต้องตั้งใจ และคุยกันให้ลึกซึ้งนะครับว่ามันต้องทำทั้งสองอย่าง สำคัญทั้งคู่เลย ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายจิตวิญญาณ หรือทางฝ่ายร่างกาย สำคัญทั้งสองว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสิ้น จริงๆ มันเชื่อมกัน ผมจะบอกให้ฟัง

ผมไม่มีเวลาอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดในวันนี้ แต่มันเชื่อมกัน ถ้าท่านรู้ละเอียดอย่างนั้น เข้าใจลึกซึ้งในถ้อยคำพระเจ้า ท่านจะทำ 2 อย่าง เพราะท่านอยากให้มันเพอร์เฟค ให้มันดี เพราะว่าท่านจะถวายเกียรติพระเจ้า ข้างในท่านเชื่อมั่นใจเลย  ท่านไม่ได้ทำ เพราะกิเลสตัณหา เพราะอยาก อันนั้นไม่ใช่

“ฉันทำ เพราะฉันถวายเกียรติพระเจ้า”

พระเจ้าจะไม่ใช้เขาแล้ว ก็โอเค เข้าใจใช่ไหมครับ?

มาถึงตรงนี้ ท่านคิดว่าท่านมั่นใจในคุณค่าของตัวท่านเองหรือยังตอนนี้ มั่นใจแล้วนะว่าท่านมีคุณค่ามากมายขนาดไหนในสายพระเนตรของพระเจ้า บางคนนะครับยังไม่ค่อยมั่นใจ เพราะว่าอะไรรู้ไหมครับ? เพราะบางครั้ง พูดในโบสถ์อย่างนี้ บรรยายอย่างนี้ มั่นใจๆ มาก พอเข้าไปหาเพื่อนในกลุ่ม ที่ไม่ใช่โบสถ์ ออกจากโบสถ์ไป ต่างคนก็ต่างอยู่ในสังคมไม่เหมือนกันใช่ไหม?

บางคนเรียนหนังสืออยู่ ก็ไปสู่ในกลุ่มของนักเรียน … เรียนหนังสือ เป็นเพื่อนๆ กัน ปรากฏว่าเพื่อนในกลุ่มบางคนได้เกรดที่ดีกว่าเราตั้งเยอะ เรียนเก่งกว่า บางคนในกลุ่มนั้น มีฐานะดีกว่า รวยกว่า ใช่ไหม?

หรือบางคนเข้าไปในกลุ่มของคนทำงานแล้ว ไม่ใช่เรียน กลับไปที่ทำงาน ในที่ทำงานบางคนก็มีฐานะดีกว่า ขับรถมา รถหรูกว่า แถมมีตำแหน่งสูงอีกต่างหาก เป็นหัวเราอีกต่างหาก ทำงานเก่งกว่าเราอีกด้วย ก็เลยรู้สึกทำไม? มีความรู้สึกด้อย … ด้อยกว่าชาวบ้านเขา

          อยากบอกว่าขอให้วันนี้ เป็นวันสุดท้ายสำหรับความคิดแบบนี้  ขอให้เป็นวันสุดท้ายที่เราคิดแบบนี้  เพราะอะไร? ผมจะบอกให้ท่าน เพราะคุณค่าของท่าน ในสายพระเนตรของพระเจ้า มันไม่ได้วัดกันตามแบบที่โลกนี้เขาวัดกันว่าคุณเรียนหนังสือได้ขนาดไหน?  เกรดอะไร?  คุณมีฐานะมั่งมีขนาดไหน? ขับรถอะไร?  นั่นคือมาตรฐานของโลก ซึ่งมันไม่ได้เป็นจริงตามนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ภาพหลอกลวงทั้งสิ้น มาตรฐานของพระเจ้า คืออยู่ที่ไหนรู้ไหม? อยู่ที่คุณอยู่ในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า?  พระคัมภีร์พูดชัดเจนนะครับ มาตรฐานของพระเจ้า

          “คุณอยู่ในพระคริสต์หรือเปล่า?”

          “คุณรู้จักพระเจ้าหรือไม่?”      

          “คุณเป็นการฝีมือ เป็นบทกวีที่พระเจ้าสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า?”

          ถ้าใช่ คุณเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จงมั่นใจและมีความภูมิใจเถิด  เอเมน

 

ขอให้วันนี้ เป็นวันที่จบเรื่องนี้สักทีหนึ่ง ไม่ต้องกลัวใครเลย ถ้าท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครเทียบท่านได้ พูดง่าย เพราะว่าเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างไรรู้ไหมครับ? เมื่อไรก็ตาม ที่ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือหมายถึงท่านเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ท่านได้บังเกิดใหม่ พระสิริของพระเจ้ากลับมาอยู่ที่ตัวของท่าน ในชีวิตของท่าน ในวิญญาณของท่าน ปกคลุมอยู่ในร่างกายของท่าน ไม่มีใครเอเมน ไม่ตื่นเต้น เอเมนไหม?  เพราะมันมองไม่เห็น ไม่ใช่กำลังเพลินหรืออะไร? แซวเล่นๆ เพื่อให้ท่านตื่น ท่านกำลังงง

“โอโห้! ฉันมีค่ามากมายมหาศาล”

ท่านเป็นการฝีมือที่ถูกสร้างขึ้นของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ เป็นศิลปะชิ้นเอก เป็นบทกวีชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

ฟังให้ดีอีกที ให้พูดพร้อมกัน “ในพระเยซูคริสต์”

หมายถึงท่านเชื่อไง มันจึงเกิด ท่านเชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์ ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันจึงเกิดอย่างนี้ขึ้น เกิดอะไร? เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในวิญญาณของท่าน พระเจ้าสร้างท่านขึ้นมาใหม่เลย เป็นผลงานชิ้นเอก

มาถึงตรงนี้ ได้เรียนรู้ขนาดนี้แล้ว เพราะฉะนั้น นับจากวันนี้เป็นต้นไป จะเดินไปไหน ไม่ต้องทำตัวหงออีกแล้วครับท่าน ได้ไหม? เราหงอจนเคยเลย ยืดอกเลย ไปที่ไหนเราก็ยืดอก ท่านสามารถเดินยืดอก ไปไหนมาไหน อย่างสง่าผ่าเผยได้แล้ว  อย่าลืมนะครับ อย่างที่ผมบอกยืดอกในพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์มีแต่คนถ่อมตัว มีแต่คนอยากจะให้เขา ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่คนอื่นมากกว่า แต่ขณะเดียวกัน ยืดอก ไม่ด้อยกว่าใครเลย เอเมน  ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา

ขอให้รู้อย่างนี้แล้ว วันนี้ จบสักทีหนึ่ง เรื่องกลัวนั้น กลัวนี้ กลัวไม่ไหว ไม่ต้องกลัว ไปเลย เอเมน ผมก็ชอบอย่างนี้ เวลาไปไหน? ตั้งแต่รู้จักพระเจ้ามา ไปไหน มีความรู้สึกนับวันมันยิ่ง ไม่ใช่เย่อหยิ่งจองหองนะ แต่มีความมั่นใจ จะรวยขนาดไหน?

“ทำไมฉันต้องไปแคร์เขาล่ะ ใครไม่รู้ (แถมเขายังไม่เชื่อพระเจ้าอีก) แต่ฉันเป็นใครรู้ไหม?”

นี่พูดกับตัวเอง ไม่ได้พูดกับเขานะ  พูดกับตัวเอง

“ฉันเป็นใครรู้ไหม?” พูดจากข้างใน

“ฉันเป็นใคร? ฉันเป็นลูกพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างฉันขึ้นมา เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์นะ ทำไมถึงไปกลัวคนนั้น คนนี้ แค่ว่าเขามีตำแหน่งใหญ่โตกว่า หรือเป็นเศรษฐีร่ำรวยเหรอ ทำไมล่ะ”

นี่แหละ คือสิ่งที่แฝงไว้ตรงนี้แหละ คือถ้าท่านมั่นใจในความรอดของท่าน ในพระเยซูคริสต์ ท่านจะเปลี่ยนแปลงท่าที่ของท่านแบบนี้ ท่านจะยืดอก และถ้าจะให้ดี ก็คือแขม่วท้อง ยืดอก สุขภาพจะแข็งแรง

มาทบทวนข้อพระคัมภีร์ตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ท่านมั่นใจว่าที่พูดมาทั้งหมดนี้ มันอยู่ในพระคัมภีร์ นี่เอาข้อเดียวมาให้อ่าน เอเฟซัส 2:10 อ่านอีกทีหนึ่งนะครับ อ่านดังๆ ช้าๆ ชัดๆ เลย

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”

 

พูดตามผมนะครับ พูดชื่อท่านนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ทำ ฉันเป็นใคร? รู้ไหม?”

ฝึกไว้ พูดกับตัวเอง

“ฉันเป็นใคร? รู้ไหม?”

ถามตัวเองนะ ไม่ไปถามคนอื่นเขา เย่อหยิ่งนะ ถ่อมใจรู้ไหม?

“ฉันเป็นใคร? รู้ไหมเนี้ย”

ไม่ต้องไปกลัวใคร? เราทั้งหลายเป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์

คำว่า “ในพระเยซูคริสต์” เราก็ได้เรียนกันไปเยอะแล้ว จบไปหลายตอนแล้ว 10 กว่าตอนแล้ว ยังจำได้ไหมครับที่เราเรียนกันว่า “เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์” เราเป็นคนที่ได้รับการไถ่บาป … บาปเวรกรรมไม่มีอยู่ในตัวเราอีกแล้ว เราเป็นคนที่พระเยซูเอาคำสาปแช่งออกไปแล้ว เราเป็นคนที่บริสุทธิ์แล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนที่ปราศจากบาปแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่เอี่ยม วิญญาณใหม่เอี่ยมเลย ดองกับพระเยซูคริสต์กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลยในพระเยซูคริสต์ จำได้ไหม?

เพราะฉะนั้น ที่บอกว่าเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ ก็สามารถอธิบายความหมายได้อย่างนี้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสร้างให้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ปราศจากบาป และให้เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

ใครที่ตะกี้ บอกว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า แล้วยังไม่ยอมยืด ยังยืดไม่สุด ยังไม่มีความมั่นใจ ถึงตอนนี้ ก็ควรมีความมั่นใจได้มากขึ้นแล้วนะครับว่าเป็น Masterpiece แล้ว นอกจากนั้นอีก เห็นชัดๆ คือฐานะเป็นลูกของพระเจ้า  ไม่ใช่เป็นผลงานนะ เป็นผลงานใช่ แต่ไม่ใช่เป็นงานที่เป็นชิ้นๆ นะ เป็นลูกของพระองค์ เป็นลูกไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป สวยที่สุด หล่อที่สุด ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ยึดได้เยอะหรือยัง? เยอะหรือยัง?

พูดพร้อมกัน “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

“ไม่มีใครเหมือนฉัน และฉันไม่เหมือนใคร?”

นี่ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ จบการศึกษา อาจจะเป็นมหาวิทยาลัย จะเป็นปริญญาตรีหรือปริญญาโทก็ตาม จบไปสัมภาษณ์งาน ผมจะบอกให้ท่านดู ท่านจะเห็นความแตกต่าง ไม่ว่าจะจบปริญญาตรี จบอะไรก็ตาม หรือไม่จบเลย  กำลังไปสัมภาษณ์งาน ทุกคนก็ต้องมีประสบการณ์นี้ วันหนึ่งข้างหน้า หรือไม่เดี๋ยวนี้ ก็มีประสบการณ์แล้ว ไปสมัครงาน แล้วเขาเรียกไปสัมภาษณ์ ก็ไม่ต้องไปกลัวกรรมการ (นั่งสัมภาษณ์เรา) บางทีเราเดินเข้าไป นั่งเรียง หน้าตาดุยังกับอะไร?  มาทำไม?  นึกในใจ เขาไม่พูดอย่างนี้  นึกในใจ เขาคงจะขู่เราน่าดู นั่งแต่ละคนแก่ๆ ทั้งนั้น แล้วก็ดูอาวุโส ดูมีฐานะ ดูเก่งๆ เราเดินเพิ่งจบมา ได้งานหรือไม่ได้งาน  แล้วก็เดินหงอๆ เข้าไป ยิ่งกว่านั้น พูดผิดพูดถูก ชื่ออะไร? บอกซอยบ้าน เขาถามชื่อ ดันไปบอกซอยบ้าน นามสกุล ดันบอกชื่อพ่อแม่ มันกลัวไปหมดเลย มีไหม? เคยมีประสบการณ์อย่างนี้ไหม? มีแน่นอน แล้วมันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้จริงๆ วิธีแก้ จากนี้ต่อไป ท่านไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว ง่ายนิดเดียว ให้ท่านมีความมั่นใจในตัวท่านว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เดินเข้าไปถึง บอก

“ผมเป็นใคร?” ไม่ใช่

คุณต้องมั่นใจในตัวคุณก่อนเข้าไป แล้วก็เข้าไปด้วยความมั่นใจนะ แล้วคุณคิดในใจว่า …

“เราจะเลือกบริษัทนี้ทำงานดีไหมเนี้ย?”

ไม่ใช่เขาเลือกเรานะ เราจะเลือกเขาว่าเราจะทำงานบริษัทนี้ดีไหม? เราจะอวยพรเขาไหม? พระเจ้าจะอวยพรผ่านทางเราให้กับบริษัทนี้ไหม? ถ้าเขารับเรา เขาจะได้รับการอวยพรตรงนี้ ไม่ใช่เราไปของานเขาทำ เอเมน เปลี่ยนสิ เปลี่ยนความคิดซะ เดินเข้าไป เขาด้อยกว่าเรามากเลย  กรรมการ 4-5 คนนั่งอยู่ ด้อยกว่าเราเลย  เพราะว่าในใจเราใหญ่กว่าเขาอีก เขาคิดว่าเราไปของานเขา เราฮึดใหญ่กว่าเขาอีก

“ฉันจะมาอวยพรคุณนะเนี้ย ถ้าคุณไม่เอาฉัน ก็ไม่เป็นไร ไม่สนใจ”

แต่ไม่ใช่เย่อหยิ่งจองหอง เห็นไหม? คุณเข้าไป ก็คุยกับเขา ระดับมันเริ่มเท่าแล้ว มั่นใจในการพูด เห็นไหม? คนที่พูดตะกุกตะกัก เป็นพวกเขามากกว่าแล้ว เพราะบางทีคุณอาจจะถามเขาได้ เอ๊ะ! ถามทำไม? คุณมั่นใจ เพราะคุณไม่กลัวนิ แทนที่คุณจะหงอ นี่พูดถึงว่าถ้าเรามีสติปัญญา แล้วเราทำด้วยความถ่อมใจ ถามว่าอะไรดีกว่ากัน เครียดก็ไม่เครียด ถ้าเขาไม่เอาเรา ก็แสดงว่าพระเจ้าบอกว่าไม่ใช่ที่นี่ ไปที่อื่น เอเมน พระเจ้ากำลังนำพาเราไปอวยพรบริษัทไหนไม่รู้ ที่เรากำลังจะไปให้พรเขา ถ้าเขาต้อนรับพรจากพระเจ้า

แตกต่างไหม? เดินเข้าไปผึ่งผายขึ้นไหม?  แต่หลายคนที่นี่ คงไม่ได้สมัครงานใหม่ เพราะอายุมากแล้ว มันจะเกินไปแล้วเนอะ เอาไปสอนลูกสอนหลานได้ 70, 80 อาจารย์ยังมาสอนเรื่องสมัครงาน ไม่ใช่ เอาไปสอนลูกสอนหลานว่า …

“ลูกเอ่ย ไปในนามพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวอธิษฐานกัน ไม่ต้องห่วง ไปเลย จะงานใหญ่ขนาดไหน? หรือจะตกลงงานใหญ่ขนาดไหน? ถ้าพระเจ้าให้ ก็คือให้ ถ้าพระเจ้าไม่ให้ ก็แสดงว่าเราดีอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง พระเจ้าพาเราไปอยู่แล้ว เอเมน”

เห็นไหม? ท่าทีเปลี่ยนไปเลย เขาง้อเรานะ เราไม่ได้ไปง้อเขา มันต่างกันเยอะ แค่คิดเปลี่ยนแค่นี้ ท่าทีท่านจะเปลี่ยนไปทันที  ออกมา เพื่อนถาม

“บริษัทนี้เขาจะรับเธอเปล่า?”

“เธอพูดผิดไปแล้ว นี่ฉันคิดว่าฉันจะไปอวยพรเขาหรือไม่ ไม่แน่ใจว่าพระเจ้าจะให้ทำที่นี่หรือเปล่า?”

ต่างกันเยอะ เห็นไหม? เอเมน เพราะว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ถามว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าได้พูดคุยตอนนี้หรือไม่? คิดให้ดีๆ

ถามว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกหรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าหรือไม่? เรากำลังพูดในนี้ ในโบสถ์ บอกว่าทุกคนเป็น Masterpiece ใช่ไหม? และถามว่าทุกคนนอกโบสถ์นี้ไป คิดให้ดีๆ ตะกี้เราพูดในโบสถ์นี้ ทุกคนเป็นผลงานชิ้นพิเศษของพระเจ้า ที่สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์

คราวนี้ถามว่าแล้วข้างนอก มองไปที่ข้างนอก มนุษย์ทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอก หรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าหรือไม่? คำตอบ ก็คือไม่ใช่  เพราะพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? เราเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์  เงื่อนไขของการสร้าง Masterpiece หรือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า คืออะไร? คือการทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ และคนนั้น ต้องยอมให้พระองค์สร้าง ก็คือยอมเข้ามาอยู่ในพระคริสต์

วิธีการเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ คือต้องยอมถ่อมใจ และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา เป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับเขา คือรับข่าวดีของพระเยซูนั่นเอง เอเมน ซึ่งเราได้ทำไปแล้ว  เราจึงเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว

สรุป ก็คือผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างในพระเยซูคริสต์เท่านั้น จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผลงานชิ้นเอก หรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าเท่านั้น ตามพระคัมภีร์ ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ตรงนี้หมด มนุษย์ทุกคนข้างนอก ที่ยังไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้เป็น Masterpiece ยังไม่ได้เป็นบทวี ยังไม่ได้เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า แต่เขามีสิทธิ์ … สิทธิ์เขาง่ายนิดเดียว เหมือนเราทั้งหลาย ที่ใช้สิทธิ์ไปแล้ว ก็คือเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  โอเคนะครับ

คราวนี้กลับมาดูพระคัมภีร์ต่อเมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านพร้อมกัน เอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่าเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทางสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เรา

ให้พูดพร้อมกันตรงนี้นะครับ “ที่พระเจ้าทำไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อเรา) ทำ”

ตอนนี้มาคุยเรื่องนี้ ตอนนี้นะครับ “เพื่อให้ทำการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อเรา) ทำ หรือให้เราทำ”

คำว่า “จัดเตรียมล่วงหน้าให้เราทำ” ตรงนี้ ภาษากรีกเดิม คือคำว่า “เทลอส” แปลว่าเป้าหมายหลัก หรือพระประสงค์ของพระเจ้า

พระเจ้าสร้างท่านขึ้นมา มีพระประสงค์ มีเป้าหมายหลักในชีวิตของท่าน คำว่า “เทลอส” หรือ  “พระประสงค์ของพระเจ้า” ตรงนี้ เป็นการย้ำถึงคุณค่าของผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่บอกว่าเป็น Masterpiece ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เป็นการสำแดงตรงนี้ชัดๆ ว่าไม่มีใครเหมือนเลย ก็เพราะพระเจ้าทรงสร้างผลงานแต่ละชิ้น ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีพระประสงค์ที่ไม่เหมือนกันสำหรับแต่ละคนๆ ทุกคน เอเมน ต่างถูกสร้างให้มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน ต่างถูกสร้างให้มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน  ตามที่พระคัมภีร์ได้พูดใน 1 โครินธ์ 12:4-6 เอาไว้อย่างนี้นะครับ อ่านดูพร้อมกัน

1 โครินธ์ 12:4-6 “4 ของประทานมีหลายชนิด แต่พระวิญญาณองค์เดียวกัน เป็นผู้ประทาน   5 งานรับใช้มีหลายประเภท แต่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์เดียวกัน 6 การงานมีต่างๆ กัน แต่พระเจ้าองค์เดียวกัน ทรงกระทำการทั้งหมด ในคนทั้งปวง”

 

เราทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร และพระองค์มีพระประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง สำหรับแต่ละคนๆ

“สำหรับฉัน  สำหรับฉันทีละคน”

เพราะฉะนั้น เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ต้องไปเทียบกับใคร? เพราะว่าท่านไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนท่าน พระเจ้าต้องใช้ท่านทำงานนี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น นอกจากนั้น มาทำไม่ได้ เอเมน สำคัญไหมอย่างนี้ สำคัญที่สุดเลย ใครทำแทนไม่ได้ ต้องเป็นท่านทำ นี่พระเจ้าเจาะจงถึงขนาดนี้ ท่านเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อทำงานของพระองค์อย่างนี้

และในลักษณ์เฉพาะของท่าน … ท่านดีที่สุดแล้ว สูงที่สุดแล้วในทุกด้าน ในความสามารถตามมาตรฐานของพระเจ้า สวยงามที่สุด  ดีที่สุดในสายพระเนตรของพระองค์ ไม่มีใครจะมาว่าท่านได้ว่าท่านด้อยกว่าคนอื่น ไม่สามารถพูดได้ จงมั่นใจเถิด สำหรับพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้ด้อยกว่าใครเลยแม้แต่นิดเดียว ตามสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านไม่ได้ด้อยเลย  แม้ว่าท่านจะเป็นคนที่เหมือนกับว่าไม่ได้ทำอะไรเลย อยู่ในบ้านคนเดียว อายุก็มากแล้ว แต่พระเจ้าเลือกท่านทำอะไรบางอย่าง ซึ่งคนอื่นทำไม่ได้ ต้องเป็นท่าน เอเมน ให้รู้ว่าท่านสำคัญอย่างไร? อย่าไปเทียบกับคนอื่น

มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งนะครับ ชื่อ Judy Atcheson เป็นชาวอังกฤษ เธอเป็นผู้หญิงที่มีร่างเล็กมาก สูงแค่ประมาณ 140 เซ็นต์ ใครในนี้ 140 เซ็นต์บ้าง? ไม่มีเนอะ ไม่ใช่เด็กนะ หมายถึงโตแล้ว 140 เซ็นต์เท่านั้น แล้วตั้งแต่เล็กๆ ก็โดนเพื่อนล้ออยู่เสมอๆ ใครๆ เรียกเธอว่าอะไร? ไอ้เตี้ย (หยาบคาย)  อย่างนี้เขาเรียกอีเตี้ย เขาเป็นผู้หญิง ไปเรียกไอ้เตี้ยได้อย่างไร? มันก็อย่างนี้ แสดงว่าทั้งโลกเป็นหมด ไม่ใช่เป็นประเทศไทยอย่างเดียว ใครๆ ก็เรียกเธอว่าเตี้ย (… เตี้ย) จนเธอรู้สึกมีปมด้อยมาตลอด  และอยากจะสูงเหมือนคนอื่นเขาบ้าง อยากสูง

พอโตขึ้นจูดี้ ก็ไปเรียนพระคัมภีร์ และทุกครั้งที่มีการพูดคุยกันเรื่องพระเจ้า มีพระประสงค์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง จูดี้ก็มักจะคิดถึงตัวเองว่าแล้วพระองค์ทรงสร้างให้เราตัวเตี้ย ขนาดนี้  นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่ามีเป้าหมายอะไรในการเป็นคนตัวเตี้ยอย่างนี้ ถูกเขาล้อตลอด คิดเสมอ สงสัย ปรากฏว่าหลังจากที่จบการศึกษา จากโรงเรียนพระคัมภีร์แล้ว พร้อมที่จะออกไปรับใช้ เธอก็ได้รับการทรงเรียกให้ไปเป็นมิชชันนารี … มิชชันนารี คือคนออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ออกไปประกาศข่าวดี ให้ไปเป็นมิชชันนารี ที่ชนเผ่าแห่งหนึ่งในแถบแอฟาริกา คือมีชื่อเผ่าว่าเผ่าปิ๊กมี้ นี่เรื่องจริงนะครับ มาหัวเราะ เผ่าปิ๊กมี้ ทุกคนรู้จักดี

ท่านทราบไหมครับว่าชาวปิ๊กมี้ มีลักษณะเด่น คือใครๆ ก็รู้จัก ปิ๊กมี้เป็นชนเผ่าที่มีรูปร่างเตี้ย และในสมัยก่อนโน่น มิชชันนารีที่พยายามจะไปประกาศในเผ่านี้ ก่อนหน้านี้นั้น  ตัวสูงๆ ทั้งนั้น เข้าไป ก็ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวปิ๊กมี้ เพราะชาวปิ๊กมี้กลัว แค่สีผิวต่างกัน ก็กลัวแย่อยู่แล้ว นี่เหมือนกับยักษ์โตเข้ามาในท่ามกลางพวกเขา ไม่รับๆ นึกภาพนะครับ พวกชาวเผ่าจะไม่ยอมคุย ไม่ยอมใกล้ชิดด้วย สำหรับคนผิวขาวตัวใหญ่ขนาดนั้น เพราะฉะนั้น เป็นการประกาศยากมาก ไม่รู้จะเข้าไปคุยกับเขาอย่างไร? เขาไม่รับ เขาไม่ยอมรับ พูดง่ายๆ

จนกระทั่งจูดี้ มีโอกาสเข้าไปรับใช้ที่นี่ เป็นไงครับ? จูดี้ไปรับใช้ พอไปถึง ปรากฏว่าตัวเท่ากันเลย ตัวเท่ากับพวกเขา ง่ายเลยที่นี่ พวกปิ๊กมี้ คิดว่านี่คือบรรพบุรุษเดียวกัน แต่ไปเรียนพระคัมภีร์มา นี่คือพวกเดียวกันทั้งนั้น ใช่แน่นอน ก็เลยให้ความสนิทสนมกับจูดี้ ก็เลยกลายเป็นว่าจูดี้ได้ชื่อว่ามิชชันนารีที่ประสบความสำเร็จมาก ในการประกาศที่ชนเผ่านแห่งนี้  และเธอใช้ชีวิตอยู่กับชาวปิ๊กมี้ รับใช้ชาวปิ๊กมี้ อยู่ที่แถบแอฟาริกา เป็นเวลา 35 ปี จึงกลับประเทศอังกฤษ และได้รับเหรียญรางวัลจากพระราชินีอลิสเบธด้วย ที่เธอทำประโยชน์ในการรับใช้พระเจ้า

เห็นหรือยัง? เห็นไหมครับ? นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าเราจะถูกสร้างมาแบบไหนก็ตาม มีบุคลิกลักษณะอย่างไร? พระเจ้าใช้เราได้ทั้งนั้น เพราะเตรียมไว้แล้วด้วย และจะใช้ด้วย  และพระองค์ก็มีวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน ที่เป็นเอกลักษณ์ สำหรับเราแต่ละคนไม่ต้องเปรียบเทียบกัน เอเมนไหม?

นึกถึงเรื่องนี้ แล้วนึกถึงนี่ก็อยู่ใกล้ๆ ตัวนะครับ เต๋เขามีเพื่อนคนหนึ่งสูงๆ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่นี่เขาเตี้ย เพื่อนเต๋ก็สูง เป็นคนสูงมาก ซื้อรองเท้าก็ลำบาก ซื้อเสื้อผ้าก็ลำบาก เพราะสูงมาก เป็นคนไทย แต่ตัวสูงมาก ทำอะไรก็ลำบาก ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นรถเมล์ เครื่องบินที่แบบยาวๆ เพราะเขายาว สูงมาก ปรากฏว่าไปกินข้าวอยู่วันหนึ่ง ไปกินโต๊ะยาวมาก คนหัวโต๊ะเขาก็บอกว่า …

“ช่วยส่งพริกไทยให้หน่อย”

ทุกคนเงื้อมไม่ถึง ปรากฏแป๊บเดี๋ยวมีอะไรบ้างอย่างผ่านไป มันมาได้อย่างไร?  พริกไทยมาได้อย่างไรเนี้ย  เพราะว่าแขนยาว สามารถทำได้ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะมาหรือเปล่า? เห็นไหม? บางวันหลอดไฟเสีย คนต้องไปลากเก้าอี้มาเปลี่ยน เขาเปลี่ยนได้เลย เสร็จ ใครจะไปรู้ วันข้างหน้า อะตอมคนนี้อาจจะไปเป็นมิชชันนารีก็ได้  ไปหาเผ่าอะไรที่เขาสูงๆ พวกเราเข้าไป เขาไม่รับเรา มองไม่เห็น  พวกท่านไป เขาอาจจะบอก เผ่านี้อาจจะบอก ใครมา เพราะสูงหมด เขาต้องไปหาคนที่สูงเหมือนกันกับเขา ยกตัวอย่างเป็นต้น

ยังมีอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่เราคิดว่าเราไม่เหมือนชาวบ้านเขา นั่นแหละ พระเจ้าจะใช้ตรงนั้นแหละ เอเมน ใช้ท่านไปหาหมู่คน ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ว่าเขาจะได้ข่าวประเสริฐหรืออะไรแล้วแต่ ทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้นท่านสวยที่สุด ท่านหล่อที่สุด ท่านยอดเยี่ยมที่สุดแล้วตอนนี้  พอใจหรือยัง? ครั้งต่อไปไม่เทศน์ตรงนี้แล้วนะ ต้องมั่นใจเลยนะว่าเราสวยที่สุด คือผมกำลังอยากจะบอกท่านว่าต่อให้ท่านมีลักษณะอะไรก็ตาม สถานะอะไรก็ตาม ที่ตามมาตรฐานโลก อาจจะบอกว่ามันบกพร่อง หรือดูด้อยกว่าคนอื่น หรือดูแปลกกว่าคนอื่น แต่จงเชื่อและภูมิใจเถิดว่าพระเจ้าทรงตั้งใจ สร้างท่านแบบนั้น  ให้มีเอกลักษณะพิเศษเฉพาะตัว เพื่อให้ท่านทำงานอะไรบางอย่างให้กับพระองค์ ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร?

ลุกขึ้นยืน แล้วพูดตามผมนะครับ “ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันสมบูรณ์ครบถ้วน งดงามที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักที่สุด และทรงภูมิใจที่สุด ฉันมีงานที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ ให้ฉันทำ คนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่สามารถทำงานชิ้นนี้ แทนฉันได้เลย ฉันจึงมีค่าที่สุด ในสายพระเนตรพระเจ้า เอเมน”

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 4 “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า” (You are God’s masterpiece” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้นะครับ เราจะกลับมาฟังคำบรรยายกันต่อ ในซีรี่ส์ชุดเดิมนะครับ ที่ค้างกันไว้ตั้งแต่ก่อน คริสตมาส ยังจำได้ไหมครับ ซีรี่ส์เรื่องอะไร? เราคุยอะไรกันค้างไว้ ตั้งแต่ก่อนคริสตมาส ผมได้เริ่มต้นซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Identity in Christ” คุยไป 3 ตอนแล้ว  วันนี้จะเป็นตอนที่ 4 งงเลยใช่ไหม?

เรามาทวน 3 ตอนก่อน เพราะว่าเว้นระยะไปนาน เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเริ่มตอนที่ 4 วันนี้ เรามาทบทวนกันสักนิดหนึ่งก่อนนะครับว่า 3 ตอนที่แล้วเราได้คุยอะไรกันไปแล้วบ้าง?

เริ่มต้นที่ความหมายของคำว่า “ตัวตนในพระคริสต์” มันสิ่งสำคัญมากๆ ที่เราจะต้องเรียนรู้กันเรื่องนี้  พระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมตั้งและการรับการประทับตราจากพระเจ้า

พวกเราคริสเตียนที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมตั้ง แต่งตั้งโดยพระเจ้า และประทับตราของพระองค์อยู่ในชีวิตของเรา แสดงความเป็นเจ้าของบนตัวเรา บนชีวิตของเรา และแสดงหลักฐานการเป็นลูกของพระเจ้าในครอบครัวของพระคริสต์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

มาทบทวน 2 โครินธ์ 1:21-22 “21 พระเจ้านี่แหละ ทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงใน  พระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเจิมเรา 22 ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง

 

ในข้อที่ 22 เมื่อตะกี้นี้บอกว่าทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา แต่ละคนเลยที่เชื่อในพระเยซู และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เพื่ออะไร? เป็นมัดจำ ค้ำประกันในสิ่งที่จะมาถึง ก็คือสวรรค์สถานที่พระองค์บอกเราว่าเราจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ ตอนนี้เราได้ก่อน มัดจำไปก่อนแล้ว เรียบร้อยแล้ว คืออะไร? คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในใจเรา

และผมก็ได้ย้ำแล้วย้ำอีก เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ว่าสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่เราจำเป็นต้องรู้จัก ก็คือตัวตนของเราจริงๆ ว่าเราเป็นใคร? สำคัญมากเลยนะครับ เพื่อเราจะสามารถแยกแยะได้ระหว่างตัวตนจริง ก็คือ True Identity ตัวจริงๆ ของเรา  ข้อมูลที่เป็นตัวจริงของเรา กับ Liedentity  ก็คือข้อมูลปลอมที่เขาหลอกเรา  เพราะอะไร? เพราะโลกนี้ ได้สร้างข้อมูลปลอมๆ โดยผ่านทางสื่อต่างๆ บนโลกใบนี้ สร้างข้อมูลปลอม หลอกเรา ยัดเหยียดใส่ชีวิตของเราเต็มไปหมด และเราก็ถูกหลอกมานาน ก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า

ถูกหลอกว่าอะไร? หลอกว่าเราเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็หลงเชื่อ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย  เรารู้ความจริงตรงไหน? ตรงที่เราไปอ่านพระคัมภีร์ เราถึงรู้

อ้าว! เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยนะ พระเจ้าบอกเราอีกแบบหนึ่ง แต่มารซาตานบอกเราอีกอย่างหนึ่ง ผ่านทางสังคม ผ่านทางโลกใบนี้

จำตัวอย่างได้ไหมครับ ที่บอกว่าใครที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว แต่เหมือนยังไม่รู้จักตัวตนของตัวเองจริงๆ ยังทำตัวเหมือนแปลกๆ เราก็จะเปรียบเทียบกันว่าทำตัวเหมือนทาร์ซาน นี่คืออะไร? นี่คือชื่อของตอน “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 1 แสดงว่าจำได้ จึงใช้ชื่อตอนว่า “อย่าเป็นทาร์ซาน”

บอกคนข้างๆ สิ “อย่าเป็นทาร์ซาน”

อยากรู้รายละเอียด ไปหาฟังเอาในตอนที่แล้วนะครับ ไปค้นเอา ประวัติตอนที่แล้ว เพราะเขาลงในยูทูปมีหมดนะครับ Holy live มีตั้งหลายตอนอยู่ในนั้น  เพราะฉะนั้น ไปดูแล้วกันว่าตัวตนในพระคริสต์ ตอนที่ 1 ทาร์ซานว่าอย่างไรบ้าง?

มาถึงตอนที่ 2 ชื่อตอนว่า “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า” จำได้ไหม? เราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ได้สอนเราอย่างนั้น ภาษาอังกฤษจำได้เลย ภาษาอังกฤษว่าเราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า คือภาษาอังกฤษเรียกว่า Divine Nature

พูดพร้อมกัน “Divine Nature”

จำแม่นเลยนะ จากทาร์ซานมา Divine Nature ที่ผมเล่าให้ฟังว่าย้อนไปตั้งแต่สมัยปฐมกาล สมัยโน้นว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายให้มีคุณลักษณะเฉพาะ ที่แตกต่างกัน แตกต่างกันอย่างไร? ยังจำได้ไหมครับ? มีพืช สิ่งที่มีชีวิต ที่มีร่างกาย สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายและจิตใจ หรือเรียกว่า Soul เรียกว่า Body and Soul แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ Body  Soul and Spirit วิญญาณหรือ Spirit ซึ่งคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ ที่พระเจ้าทรงสร้าง พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่พระเจ้าทรงสร้างตามพระฉายา หรือพระฉายของพระองค์ ให้มีส่วนใน Divine Nature ธรรมชาติลักษณะของพระองค์ตรงไหน? ตรงที่มีวิญญาณเหมือนพระองค์ จริงๆ แล้วคือเป็นวิญญาณเหมือนพระองค์

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทรงระบายลมหายใจ” แล้วผมก็อธิบายให้ฟังว่าระบายลมหายใจ ลมปราณของพระองค์ คือวิญญาณของพระองค์เข้ามาในมนุษย์ สร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น คำว่าระบายนั้นก็คือแบ่งชีวิตของพระองค์ให้กับเรา เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ จำได้ใช่ไหมครับว่าแบ่งเชื้อสายให้กับเรา แบ่งให้มีลูกขึ้นมา เป็นลูกของเรา และในองค์ประกอบทั้ง 3 ของมนุษย์ ก็คือทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณนั้น  ทางวิญญาณของเรา มันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทันที ณ วินาทีที่เราเชื่อในพระเจ้า ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว วินาทีไหน? ไม่รู้ วิญญาณของเราเปลี่ยนไปทันที ใหม่เอี่ยม เข้ามาสู่ Divine Nature ของพระเจ้าทันที สำหรับทางความคิดจิตใจ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ความคิดจิตใจก็เริ่มต้นเปลี่ยนใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่มัดใจ ที่มาสถิตอยู่กับเรา และพระวิญญาณก็จะค่อยๆ สอนเรา นำพาเราเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ  ความคิดจิตใจของเรา ก็จะเปลี่ยนไปเหมือนพระเจ้าขึ้นทุกวันๆ นั่นเอง

ส่วนทางร่างกายล่ะ ก็มีการเปลี่ยนแปลง คือเราจะได้รับร่างกายใหม่ หลังจากที่ตายจากโลกใบนี้แล้ว หลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่างนี้เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าสัญญาว่าจะมีร่างกายใหม่ไว้ให้กับเรา เรียกว่าร่างกายฝ่ายวิญญาณ แล้วร่างกายที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ไม่ต้องเจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน ไม่ต้องมีสิวอย่างนี้ต่อไปอีกแล้ว จำได้ใช่ไหม?

และในตอนที่ 3 ที่เราทิ้งท้ายกันไว้ตั้งแต่ช่วงก่อนคริสตมาส มีชื่อตอนว่า “เราเป็นวิหารของพระเจ้า” นี่คือตอนที่ 3 ผมได้เล่าถึงจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล ที่มีไปถึงชาวเมืองโครินธ์ ซึ่งชาวเมืองโครินธ์ในยุคนั้น ส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางอบายมุข เพราะเจริญเติบโตเป็นเมืองค้าขายมากมายนะครับ คล้ายๆ กรุงเทพ นิวยอร์กอะไรอย่างนี้ของสมัยนั้น ผู้คนก็ดำเนินชีวิตอยู่ในอบายมุกเยอะแยะ และประพฤติตัวเหลวไหลมากมาย ซึ่งรวมทั้งชาวโครินธ์ที่เป็นคริสเตียนด้วย รับเชื่อแล้ว

เปาโลเลยต้องการสอนบรรดาผู้ที่เชื่อในโครินธ์เหล่านั้น ให้ดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า แต่แทนที่จะสั้งว่า.-

“อย่าทำอย่างโน้น อย่าทำอย่างนี้ อย่างทำอย่างนั้น”

เปาโลกลับสอนบอกว่าให้ผู้ที่รู้จักพระเจ้า  ผู้ที่เชื่อแล้ว รู้ตัวตนของตัวเองในพระเยซูคริสต์ว่า.-

“เธอเป็นใคร? เธอมีค่ามากเท่าไร? เธอเป็นวิหารของพระเจ้า … พระเจ้าสถิตอยู่ในเธอนะ เธอจะไปทำอะไร พระเจ้าตามๆ ไปด้วยตลอดเวลา” ให้เขารู้ตรงนี้  

เห็นไหมครับว่าเรามาเรียนรู้เรื่องตัวตนของพระคริสต์ มันสำคัญอย่างไร? ต่อให้ไปสั่ง …

“อย่าทำอย่างนั้น อย่างทำอย่างนี้”

มันทำไม่ได้ กิเลสตัณหาของเรา ซึ่งอยู่ในร่างกายนี้ มันก็จะว่ากันไปตามนั้นแหละ แต่พอเรารู้ตัวตนของเรา … เรารู้ว่าข้างในเราใหญ่กว่า ข้างในเรามี Divine Nature อยู่ในนั้น  เราเป็นใคร?  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา นี่คือตอนที่ 3

และตัวตนในพระคริสต์ที่เปาโล ย้ำเตือนกับผู้คนเมืองโครินธ์ ก็คืออะไร? ก็คือ 1 โครินธ์ 6:19-20 ที่บอกว่าเรามีค่าขนาดไหน? ดูสิ อ่านย้อนดูอีกทีหนึ่ง มาทบทวนอีกทีหนึ่ง ก่อนที่จะไปเรื่องอื่น

1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด

 

ชาวโครินธ์เยอะแยะมากมาย ทำสิ่งที่ไม่ดี อยู่ในอบายมุกต่างๆ มีส่วนหนึ่งที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า แต่ส่วนหนึ่งคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว เปาโลพูดเฉพาะคนที่เชื่อในพระเจ้า และบอกว่า.-

“พวกท่านรู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน แล้วท่านมีราคาที่สูงมาก พระเจ้าซื้อท่านมาด้วยชีวิตของพระบุตรของพระองค์ เพียงองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ ท่านควรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้า”

นี่การสอนของเปาโล คือให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคริสเตียน คือให้รู้ว่าเราเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นที่ประทับของพระเจ้า ในร่างกายของเรานี้ เราไม่ใช่เจ้าของร่างกายนี้อีกต่อไป ไม่ได้เป็นตัวเราแล้ว แต่เป็นพระเจ้า  เราเดินไปไหน พระวิญญาณเดินอยู่กับเรา  ไปไหนพระเจ้าอยู่กับเราด้วย ตาดูอะไร? พระเจ้าก็ดูด้วย มือทำอะไร? พระเจ้าก็ทำด้วย ปากพูดอะไร? พระเจ้าก็พูดด้วย เหมือนกับพูดด้วยรู้ด้วยตลอดเวลา

นี่คือการรู้ตัวตนของตัวเอง จะได้ระมัดระวังตัวเองมากขึ้น และการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเป็นวิหารของพระเจ้า ก็จะทำให้เราเป็นอิสระจากสิ่งที่สกปรกหลายอย่างได้ บนโลกใบนี้ (เท่าที่จะทำได้นะ) เพราะมันไม่มีทางที่จะครบถ้วนบริบูรณ์ได้อย่างที่บอกแล้ว มันอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่มีทางที่เราจะบังคับมันให้ถูกต้องหมด 100% แต่มันทำให้มากขึ้นได้ ถ้าเผื่อเรารู้ความจริง คือ Identity ของเรา  True Identity  ก็คือตัวตนแท้ๆ จริงของเราว่าเราเป็นใคร?

เมื่อทาร์ซานรู้ว่าตัวเองเป็นใครแล้ว ทุกอย่าง มันจะเปลี่ยนไปเอง เอเมน เราทิ้งท้ายไว้อย่างนี้ เมื่อครั้งที่แล้ว

เรามาเริ่มดูถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือเอเฟซัส วันนี้เราจะเข้าสู่การบรรยายในชุดนี้นะครับ “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 4 ซึ่งมีชื่อตอนว่า “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

ให้เราพูดพร้อมกัน “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

เรามาเริ่มดูถ้อยคำพระเจ้า ตามหนังสือเอเฟซัสก่อนนะครับ  ในหนังสือเอเฟซัสได้พูดถึงคริสตจักรต่างๆ ในสมัยนั้น ที่มาจากหลายๆ ชนชาติ ในคริสตจักรในเอเฟซัส คนที่เป็นคริสเตียนมาจากหลายเชื้อชาติ ซึ่งจะเรียกรวมเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ในหนังสือนี้นะครับ คือเป็นพวกยิวและพวกไม่ใช่ยิว  ซึ่งเรียกว่าชาวต่างชาติ

และในเนื้อหาสำคัญของหนังสือเอเฟซัส ไม่ว่าเราจะมาจากชนชาติไหน? ก็ตาม เป็นเชื้อชาติไหนมาก็ตาม เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าสร้างเราขึ้นมาให้เป็นพระกายของพระองค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าเตรียมเราไว้ สำหรับใช้เรา สำหรับงานรับใช้

ให้เราพูดพร้อมกัน “พระเจ้าเตรียมเราทุกคน ที่มาเชื่อพระเยซูแล้ว ให้เป็นผู้รับใช้พระองค์”

ไม่ว่าท่านจะคิดว่าท่านอายุมากขนาดไหน? ไม่ได้ทำอะไรเลย? อยู่บ้านเฉยๆ อธิษฐานก็น้อย พระเจ้าใช้ท่าน ถ้าพระเจ้าเลิกใช้ท่าน หมดแล้ว ให้ท่านพักผ่อน ก็คือให้ท่านทำอย่างไร? ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าตาย ก็คือเอาท่านกลับบ้าน แต่ถ้าตราบใดที่ท่านยังหายใจอยู่ พระเจ้าก็ยังกำลังให้ท่านทำงานอยู่ ไม่ต้องไปคิดว่างานนั้น คืออะไร? พระเจ้าทำอยู่แล้วกัน เอเมนนะ

และถ้อยคำหลักที่เราได้ดูกันวันนี้นะครับ อยู่ในหนังสือเอเฟซัส 2:10 ซึ่งถ้าเราได้เรียนรู้อย่างละเอียด เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และได้เชื่ออย่างมั่นใจถึงความหมายของถ้อยคำนี้แล้ว ชีวิตท่านหรือชีวิตเราจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยนะครับ ความคิด ความอ่านของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ จะเปลี่ยนไปเลยนะครับ พระเยซูบอกท่านรู้ความจริง … ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ วันนี้เราจะมาเรียนรู้ตรงนี้ ลึกซึ้ง

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ”

 

“เราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์” ตรงนี้นะครับ ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า “We are God’s masterpiece.   He has created us anew in Christ Jesus.”

คำว่า “ผลงานของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ตรงนี้นะครับ  พระคัมภีร์บางฉบับใช้คำว่า … ภาษาไทยนะครับ ใช้คำว่า “ฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า” ก็คือฝีมือของพระเจ้า การฝีมือของพระเจ้า ท่านลองนึกภาพไปเรื่อยๆ ตามนะครับ เป็นการฝีมือของพระเจ้า

ภาษาอังกฤษ คือ “God’s masterpiece” มาจากคำในภาษากรีก ภาษาเดิมว่า “Poiema”

ท่านเป็น Poiema ของพระเจ้า … Poiema ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำภาษาอังกฤษที่เราคุ้นๆ กัน Poem  แปลว่าบทกวี  … บทกวีคืออะไร? คืออะไรบางอย่าง ที่มันเพราะพริ้ง เลิศประเสริฐศรี เขาจึงให้ชื่อว่าบทกวี

ท่านเป็นบทกวีของพระเจ้า … พระเจ้าที่สร้างมหาจักรวาลนี้ ทำการฝีมือ ก็คือชีวิตของท่าน

ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ หรือภาษากรีกก็ตาม ความหมายของถ้อยคำนี้ ข้อนี้กำลังบอกว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ หรือเป็นงานฝีมือของพระเจ้า ที่มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เรียกว่าผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ตามชื่อเรื่อง

พูดอีกครั้งหนึ่ง “ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

คำว่า “บทกวี” หรือ Poem ซึ่งแปลว่าผลงานชิ้นเอก สื่อให้เห็นถึงอะไร? ถึงงานที่เป็นศิลปะ เป็นผลงานที่บรรจงสร้างขึ้น มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีการทำซ้ำ ที่เรียกว่าเป็นแบบ ถ้าโดยทั่วๆ ไป ทางการค้า เขาเรียกว่า Hand made ไม่ใช่เป็นการผลิตแบบโรงงานซ้ำๆ กัน มีจำนวนเยอะๆ มีแม่พิมพ์ แล้วก็ปั้มๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เขาเรียกว่าทีละอัน ทีละตัว นี่พูดถึงสินค้านะ เพราะฉะนั้น พวกท่าน พระเจ้าผลิต สร้างทีละ … ปั้นทีละคน ทีละคนๆ เป็นแบบที่เราเรียกว่าเป็นแบบไม่มีใครเหมือนเลย และไม่เหมือนใคร

พูดพร้อมกัน “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? พระเจ้าสร้างแบบไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

ถ้าเราย้อนกลับไปดูในปฐมกาล ตอนเริ่มต้น ที่พระเจ้าสร้างบรรดาสรรพสิ่งต่างๆ เราจะเห็นได้เลยว่าวิธีการที่พระเจ้าสร้างสิ่งต่างๆ กับวิธีการที่พระเจ้าสร้างหรือปั้นมนุษย์นั้น มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันอย่างไร? เรามาดูนะครับ

มาดูเหตุการณ์ที่เกิดในช่วง 5 วันแรก ที่พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ บันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล บทที่ 1

วันที่ 1 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง”

วันที่ 2 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดแผ่นฟ้า ในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน”

วันที่ 3 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดพืชพันธุ์บนแผ่นดิน”

วันที่ 4 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดดวงดาวต่างๆ ขึ้นในแผ่นฟ้า”

วันที่ 5 พระเจ้าตรัสว่า “จงให้น้ำเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ  และนกนานาชนิด บินไปบินมาในท้องฟ้า”

แต่พอมาถึงวันที่ 6 ตอนที่พระเจ้าจะสร้างมนุษย์นั้น  ปั้นมนุษย์นั้น  มาดูว่าพระองค์ทรงทำอย่างไร?

พระองค์ตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ขึ้น ตามแบบเรา ตามอย่างเรา”

ดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์ แตกต่างเลยนะครับ เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนไหมครับว่าตอนสร้างอย่างอื่น พระเจ้าเพียงแค่สั่ง ตรัสก็คือสั่ง … สั่งให้มันเกิด มันก็เกิด ตรัสก็คือคำสั่งนะครับ

สมัยก่อน คนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? สั่งแล้วเกิด เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีพาเราไปใกล้เคียงตรงนี้ ทำให้เราเห็นภาพว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ยกตัวอย่างเช่นเดี๋ยวนี้เขามีเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์อะไรต่างๆ ใส่เข้าไปในเครื่องจักรต่างๆ แค่พูดมันก็ยังทำตามเลย

ขึ้นไปในรถ บอก “โทรกลับบ้าน”

มันก็โทรกลับบ้านเลย ใช่ไหม?

“เปิด” มันเปิดเลย

“ปิด” มันปิด

พระเจ้าทำมาตั้งก่อนโน้น ท่านลองคิดดู ตั้งแต่สมัยโน่นแล้ว พระเจ้าสั่งตรัส สั่งเหล่านี้ เหมือนเป็นสิ่งของ ให้เกิด  สิ่งนั้นก็เกิด ตามคำสั่งของพระเจ้า แต่พอมาถึงมนุษย์ทรงบอกว่าเกิดมนุษย์ อย่างนี้เหรอ ไม่ใช่ บอกว่าอย่างไร?  เกิด ก็ไม่ใช่

พระเจ้าตรัสอย่างนี้ … สมมตินะ สมมติ นี่ผมใส่ความรู้สึกลงไป ตอนที่สร้างดวงอาทิตย์ บอก

“ดวงอาทิตย์เกิด” ดวงสว่างเกิด

พอสร้างมนุษย์นะ “ให้เรามาสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบอย่างเราดีไหม? เรามีลูกดีกว่าเนอะ”

เข้าใจหรือเปล่า?  เหมือนเศรษฐี อยู่ในครอบครัว คุยกับคนในบ้าน

ผมก็บอกว่า “ซื้อตู้เย็นมาสิ อยากได้ตู้เย็น”  เขาก็วิ่งไปซื้อตู้เย็น

“อยากได้สุนัขสวยๆ สักคู่หนึ่ง”  เขาก็ไปซื้อมา

เสร็จแล้ว ผมก็หันมาบอกภรรยา “เราอยากจะมีลูกนะ”

ใช่ไหม? ความรู้สึกมันต่างกัน  เหมือนกันเลยเนี้ย พระเจ้าก็อย่างนี้แหละ พระเจ้าก็ใช่วิธีนี้แหละ พระเจ้าบอกว่า.-

“ให้เรามาสร้างมนุษย์ ให้เป็นเหมือนเรานะ”

ก็คือมาสร้างลูกเรา ให้เรามีลูก อย่างอื่นพระองค์ทรงสั่งให้มันเกิด แต่พอมาถึงมนุษย์ ไม่ใช่อย่างนั้น โยบ 10:8 จึงบันทึกอย่างนี้นะครับ ในบรรดาสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทำ” หรือ “ปั้น”

โยบ 10:8 “พระหัตถ์ของพระองค์ทรงสร้าง และทรงปั้นข้าพระองค์มา

 

ท่านเริ่มเห็นภาพว่าเราแตกต่างกับสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดอย่างไร?

อิสยาห์ 43:21 “ประชากรที่เราได้ปั้นไว้สำหรับเรา เพื่อพวกเขาจะประกาศเกียรติภูมิของเรา”

 

ใช้คำว่า “ปั้น” ในหนังสือสดุดี ได้บรรยายให้เห็นภาพถึงฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า การฝีมือของพระเจ้า ในการบรรจงสร้าง มีลูก คือมนุษย์ ตามพระฉายของพระองค์ ให้เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ เป็นบทกวีที่ทรงตั้งใจที่จะปั้นขึ้น สร้างขึ้นมา และทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะให้ผลงานแต่ละชิ้นของพระองค์ออกมาเป็นใคร? ทีละอัน พาท่านไปดูนะครับ ซึ่งตะกี้นี้ ก่อนจะอ่านสดุดีบทนี้ ให้ท่านพูดอีกที แต่ละอันๆ นั้นมันทำไม? มันไม่เหมือนใคร? และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

นี่คือตัวอย่างนิดหนึ่งที่ได้บันทึกไว้ตั้งเป็นหลายพันปีว่าพระเจ้าสร้างอย่างไร? ท่านจะได้เห็นภาพว่าพระเจ้าสร้างทีละคนอย่างไร? นิดเดียวนะ แต่ความหมายลึกซึ้งมาก อยู่ในสดุดี 139:13-16 อ่านด้วยความลึกซึ้ง เห็นภาพนะครับว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? เหมือนเรามีลูก  เรารักลูกขนาดไหน? พระเจ้ามากกว่านั้นสักเท่าใด ที่รักเรามาก แต่ละคนๆ ซึ่งไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

สดุดี 139:13-16 “13 เพราะพระองค์ทรงสร้างส่วนลึกล้ำ ภายในตัวข้าพระองค์ พระองค์ทรงถักทอข้าพระองค์ขึ้น ในครรภ์มารดา 14 ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างมหัศจรรย์ และน่าครั่นคร้าม ฝีพระหัตถ์ของพระองค์อัศจรรย์ ข้าพระองค์ทราบดี 15 โครงร่างของข้าพระองค์ ไม่ได้ซ่อนเร้นจากพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างขึ้นในที่ลี้ลับ เมื่อข้าพระองค์ถูกถักทอขึ้น ในห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลก 16 พระเนตรของพระองค์ทรงเห็นข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทุกวันคืนที่กำหนดไว้ สำหรับข้าพระองค์ ทรงบันทึกไว้ในสมุดของพระองค์ ก่อนที่วันเหล่านั้นจะมาถึง”

 

เหมือนไหม? เหมือนกันไม่มีผิด ตอนที่เราจะมีครอบครัว อยากจะมีลูก มันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? เราเตรียมทุกอย่าง  ทุกคนไปซื้อมาก่อนแล้ว ซื้ออะไร? ซื้ออุปกรณ์ แล้วในที่สุด ก็ต้องไปเปลี่ยน เพราะนึกว่าเป็นผู้ชาย ดันเป็นผู้หญิง แต่รักหมดแหละ เห็นไหม?  เราก็เตรียมอย่างนี้แหละ นี่คืออะไร? นี่คือหัวใจของพระเจ้าที่สร้างเรามา พระองค์ทรงถักทอข้าพระองค์ขึ้น ในครรภ์มารดา ถักทอ

คุณเข้าใจคำว่า “ถักทอ” ไหม? ถักทอ แปลว่าทีละนิดๆ  ถักทอคำนี้เขาใช้กับคำว่าอะไรรู้ไหม? เขาเรียกอะไร? ถักโครเชต์ ภาษาไทย ก็คือถักโครเชต์ เสื้อถัก เสื้อไหมพรมถัก มีใครไหมถักเร็วมากๆ แป๊บเดียวเสร็จ ถักแปลว่านาน ประณีต ทีละนิดๆ ถักไปเรื่อยๆ ตัวหนึ่งอาจจะใช้เวลา ตั้งเป็นปี เป็นเดือน ถักไปเรื่อยๆ นี่แหละ พระเจ้าสร้างเรา

พระคัมภีร์ต้องการให้เราเห็นภาพว่าพระเจ้าประณีตในการสร้างเราขนาดไหน?  พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยพระองค์เอง ทั้งหมดนะ ที่ว่าสวยงามแล้วนะ ยังสู้ท่านไม่ได้เลย เพราะว่าพระองค์ให้ความสำคัญของท่านมากกว่านั้นตั้งเยอะ พระองค์ไม่ได้ถักทอดวงอาทิตย์ทีละนิดๆ  พระองค์สั่งให้มันเกิด มันก็เกิดนะ แต่ท่านคนเดียว พระองค์ต้องใช้เวลาตั้งเท่าไร? ผมไม่รู้

“ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างมหัศจรรย์ น่าครั่นคร้าม”

สร้างท่านอย่างมหัศจรรย์ และน่าครั่นคร้าม แบบมันเหลือเชื่อ พูดง่ายๆ แบบเหลือเชื่อ

“เมื่อข้าพระองค์ถูกถักทอขึ้น ในห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลก”

แอบไปทำอะไรบางอย่าง งานฝีมือ แบบไม่มีใครรู้เลย  ทำอะไร? สร้างท่าน แต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ทุกคนพระองค์เข้าไปในห้องส่วนตัว เข้าไปในห้องส่วนตัว ห้องแล็ปส่วนตัวเลย สร้าง ถักตรงนั้น ถักตรงนี้ เสื้อตัวนี้เสร็จเมื่อไร ไม่รู้ แต่ถักเป็นพิเศษ เสร็จออกมา ชื่อ “นคร” ตัวต่อมา ชื่อใคร? ชื่อท่านนั่นแหละ ท่านอาจจะถูกถักก่อน ผมว่าท่านอาจจะแก่กว่าผมแล้ว ท่านอาจจะถูกถักๆ ทีละตัวๆ ที่ไหน? ที่ส่วนล้ำลึก ก็คือที่ห้องส่วนตัวของพระเจ้า ผมอยากจะบอกท่าน พยายามให้ท่านได้รู้เรื่อง พาท่าน อธิบายภาษาง่ายๆ ให้ท่านได้เห็นว่ามันแปลว่าตรงนี้ ส่วนลึกๆ มันหมายถึงห้อง ภาษาราชาศัพท์เขาเรียกอะไรนะ ห้องรโหฐานของพระองค์  ห้องล้ำลึกของพระองค์เงียบๆ ตรงนั้นแหละ ห้องส่วนตัว

“ไม่มีใครรู้ ลูกของฉัน น่ารักจัง ลูกเป็นอย่างไรหนอ”

เหมือนแม่ที่ดูลูกในท้อง แล้วก็คลำอยู่ตลอดเวลา เงียบๆ อยู่คนเดียว หน้าตาเป็นอย่างไรหนอ 9 เดือน คล้ายๆ อย่างนั้น

ยกมาให้ท่านดูทีละนิด เพื่อจะได้เห็นความมหัศจรรย์ ความรัก และการมีคุณค่าในตัวของท่าน ที่พระเจ้าได้ให้เอาไว้

“พระเนตรของพระองค์ ทรงเห็นข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง”

เข้าใจใช่ไหมครับว่าเป็นอะไร? พระเนตรของพระองค์ ก็คือพูดง่ายๆ ตาพระองค์เห็นเราตั้งแต่เรายังไม่เกิด เหมือนไหม? เหมือนลูกเราไหม? เรานึกภาพ ลูกเราคงเป็นอย่างนี้ๆ  พระเจ้าเห็นภาพก่อนแล้ว เหมือนศิลปินที่จะทำอะไรต่างๆ เขาต้องเห็นภาพ ในมโนภาพของเขา และเขาต้องเห็น เขาจึงจะจินตนาการตามภาพที่เขาเห็น เขียนอย่างนี้ มันต้องเป็นอย่างนี้ ตรงนี้ต้องสวยอย่างนั้น เหมือนเวลาผมแต่งเพลง ผมต้องคิดก่อนว่าเพลงนี้มันจะต้องเพราะอย่างนี้ มันต้องอย่างนี้ มันต้องเห็นอย่างนั้นก่อน ถึงจะทำทีหลัง ไม่ใช่ทำไปเห็นไป ไม่ใช่ มันต้องมีใจลึกๆ รักในสิ่งนั้น แล้วรู้ว่ามันคืออะไร? แล้วก็ทำให้มันเป็นไปตามภาพในจิตวิญญาณของเขา พระเจ้าก็ทำกับเราอย่างนี้ แต่ละคนไม่เหมือนกัน  ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนเลย  และไม่ซ้ำแบบ

ถักนครเสร็จ ไปถักอีกคนหนึ่ง ถักเหมือนกันเลย อย่างนี้ไม่เรียก Masterpiece อย่างนี้ไม่เรียกว่าผลงานชิ้นเอก อย่างนี้เรียกว่าของโหล ปั้มเอานี้หว่า ของปลอม ตำรวจจับ อย่างนี้ของปลอม ถ้าของจริงไม่ใช่ แต่ละชิ้นไม่เหมือนกัน มันถึงมีราคาไง

ตอนที่อ่านเอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่า “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า” ใช่ไหมครับ? หรือภาษาอังกฤษบอกว่า “Masterpiece” อาจไม่ค่อยเห็นภาพชัดเท่าไร? แต่พอได้มาอ่านถ้อยคำเมื่อตะกี้ คราวนี้ ทำไมท่านรู้แล้วว่าคำว่าท่านเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระเจ้า ท่านพองตัวใหญ่เลยนะ รู้สึกหรือยังว่ามีค่า หรือว่ายังรู้สึกว่าไม่มีค่าเหมือนเดิม พูดมาตั้งนานแล้ว พูดให้ชื่นใจหน่อย มีค่าขึ้นไหม? เห็นแต่ละคนอกใหญ่ขึ้น ตะกี้ฟังไปตอนแรกๆ ทำไมเหี่ยวอย่างนั้น ตอนนี้รู้สึกฮึกเหิม

พูดพร้อมกันสิ “ฮึกเหิม”

รู้ว่าเรามีค่าอย่างไร? ใช่ไหม?

ปฐมกาลเมื่อตะกี้บอกว่าพระเจ้าสร้างอย่างอื่น ใช้คำว่า “ตรัส” “จงเกิด” ทุกอย่างก็เกิดขึ้น แต่พอสร้างมนุษย์ พระเจ้าบอกว่า “ปั้นและถักทอเขาขึ้นมา” พอเห็นภาพงานศิลปะไหม? อย่างที่ผมบอก อย่างนี้เรียกว่าศิลปะใช่ไหม?  แล้วก็ไม่ใช่งานฝีมือหรืองานศิลปะแบบทั่วๆ ไป  แต่เป็นงานศิลปะเป็นแบบ Masterpiece คือเป็นผลงานชิ้นเอก อย่างที่ผมบอกแล้ว ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

ทุกท่านคงรู้จักภาพนี้นะครับ ผมเอามาให้ท่านดู ภาพนี้คือภาพ … ภาพใครครับ? คุณน้าโมนาลิซ่า เขาเอาไปใช้ชื่อเยอะเลย คุณน้าบ้าง คุณป้าบ้าง แต่จริงๆ ภาพนี้คือภาพโมนาลิซ่า ดังมาก ใครเป็นคนวาดภาพ? ลีโอนาร์โด ดาวินชี แล้วท่านคิดว่าภาพโมนาลิซ่าที่เป็นต้นฉบับ  ที่วาดโดยดาวินชี จะมีมูลค่าสักเท่าไร? ต้นฉบับนะ  Masterpiece  ของก๊อปไม่เอานะ เอาแต่ของแท้มีอันเดียว  ดาวินชีไม่ได้ทำอย่างนี้ ไม่ได้ทำเยอะนะ ทำอันเดียว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? ไม่ทำซ้ำ นึกออกใช่ไหมว่ามีมูลค่าเท่าไร? มันมีค่ามหาศาล จนกระทั่ง ประเมินคุณค่าไม่ได้เลย  นี่ขนาดฝีมือมนุษย์นะ

ข้อมูลของภาพนี้ ก็คือโมนาลิซ่า วาดโดยลีโอนาร์โด ดาวินชี เป็นภาพที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ภาพหนึ่งที่รู้จักในฐานะของภาพของสุภาพสตรี ที่มีรอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะหรือยิ้มแบบร้องไห้กันแน่ ปัจจุบัน ต้นฉบับของภาพนี้อยู่ในความครอบครองดูแลของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หามูลค่าไม่ได้เลย มากมายมาก ภาพนี้ เป็นภาพที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?

ท่านลองคิดดูนะครับ ขนาดศิลปินดัง ไมเคิล แองเจโล,  ดาวินชี ซึ่งแต่ละคนจะมีผลงานชิ้นเอก หรือ Masterpiece ของตนเองนะครับ   และผลงานชิ้นเอกของศิลปินเหล่านี้  ต้องเรียกว่ามีมูลค่ามหาศาลมากมาย ประเมินค่าไม่ได้ เพราะเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์หมดเลยนะครับ  แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่ท่านเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของศิลปิน ผู้มีนามว่าพระเยโฮวาห์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปินผู้นี้ … เฉยๆ เลย  ไม่ปรบมือเลย ไม่ภูมิใจเลยเหรอ หรือภูมิใจจนกระทั่งตะลึง คิดอะไรไม่ออก

 

“ไม่นึกเลยว่าฉันจะมีค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่า ฉันมีค่ามากกว่ารูปบนผนังเพดานของเซนต์ปีเตอร์ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ที่ไมเคิล  แองเจโลวาด ฉันมีค่ามากกว่านั้นเหรอ”

ใช่ บอกว่าใช่เลย เพราะว่าพระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น เมื่อท่านดูความงามของธรรมชาติ ใครเคยดูความงามของธรรมชาติบ้าง ทุกคนได้ดูหมดแหละ ดูมากดูน้อย แล้วแต่คนที่ไปเที่ยว หรือไม่เที่ยวเลย  ก็เห็น … เห็นความงามเยอะแยะมากมายไปหมด ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ใบหญ้า สวยงาม ใครเป็นคนสร้างเหล่านั้น  แล้วท่านมีค่ามากกว่านั้นอีก

วันก่อนนี้ ผมได้ไปเล่นน้ำในทะเล โอโห้! แค่เห็นทะเล แล้วอากาศมันดี ทะเล คลื่นเล็กๆ ว่ายน้ำในทะเล ตอนเช้า สรรเสริญพระเจ้า ทำไมมันงดงาม ทะเลที่พระเจ้าสร้าง เมฆต่างๆ ประมาณสัก 9 โมงเช้า ทันทีทันนั้น ฝนไม่ตก แต่เหมือนกับฝนตก แต่มันไม่ตก ทันทีทันใดนั้น มันก็มีรุ้งน้ำ ครอบทะเล มองออกไปนอกฝั่ง ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  สวยไหม?  สวยหรือไม่สวย?  ท่านไม่เห็น ท่านรู้ได้อย่างไร?  ท่านรู้ ท่านเคยเห็นบ้าง มันเหลือเชื่อจริงๆ มันสวยมาก  นั่นคือหนึ่งในจำนวนที่เคยเห็นในชีวิต อย่างอื่นๆ อีกมากมายในธรรมชาติ ที่สวยงาม และพระคัมภีร์บอกสิ่งเหล่านี้ ใครสร้าง? พระเจ้าสร้าง และสร้างเราสวยกว่านั้นอีกตั้งกี่เท่าก็ไม่รู้ เห็นภาพตัวเราเองอยู่กลางรุ้งเลย สร้างเหล่านั้น เพื่อให้สนับสนุนเรา

เราย้อนกลับมาที่ภาพโมนาลิซ่าอีกครั้ง เห็นไหม? สมมติพระเจ้าสร้างท่าน … ท่านเป็นโมนาลิซ่า ภาพนี้  รุ้งกินน้ำ หรือดวงดาว ดวงอะไรต่างๆ ที่ท่านบอกว่าสวยงาม เหมือนต้นไม้รางๆ ข้างหลังภาพ ท่านพอมองเห็นไหม? ทางขวามือสุดๆ เงาๆ ลึกๆ นั้น มันต่างกันกับความงามของโมนาลิซ่าไหม? ท่านพอเข้าใจไหม?  ที่ผมกำลังพูดให้ท่านเห็นความแตกต่างระหว่างคุณค่าของท่านกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมดว่ามันยิ่งใหญ่แล้วนะ ท่านใหญ่กว่านั้น ท่านสำคัญกว่านั้น ท่านมหัศจรรย์กว่านั้นตั้งเท่าไร?

แล้วท่านคิดว่าตัวท่านเอง ถ้ารู้อย่างนี้ ท่านมีค่าขนาดไหน? ควรจะเก็บท่านเข้าพิพิธภัณฑ์ไหม? ท่านมีค่ามากไหม? ไม่ต้องแต่งงานแล้ว เก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ไปเลยดีไหม? พูดเล่น อันนี้พูดเล่น ตะกี้นี้บอกของมีค่ามากจนขายไม่ได้  ต้องเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ ดูแลรักษาอย่างดี ท่านมีค่ามากกว่านั้นเท่าไร?  ท่านลองคิดดู ถ้าท่านรู้อย่างนี้ แล้วแต่ละคนทำไม? ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร

พูดอีกครั้งหนึ่ง  “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร”

แต่ที่น่าเสียใจ ก็คือมีคริสเตียนจำนวนไม่น้อย ที่ยังมีความคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า หรือไร้ค่า ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าเขายังไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาไงว่าเขา คือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล ประเมินค่าไม่ได้ ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ไม่มีการทำซ้ำอีกแล้ว มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ที่พระเจ้าสร้างและใส่ไว้ในชีวิตของคนๆ นั้น เอเมน รู้หรือยังตอนนี้ รู้แล้ว

ถ้าคริสเตียนไม่รู้ พอไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง ก็คือไม่รู้ตัวว่าเรามีค่าขนาดไหน? เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า หลายคนก็เลยทำไหม?  ก็เลยเป็นคริสเตียนแล้ว มีคุณค่าแล้ว แต่ไม่รู้ตัว หลายคนก็เลยพยายามที่จะหาหนทาง ทำให้ตัวเองมีค่าด้วยตัวเอง  เคยไหม? เราเคยทำไหม? หรือเราเคยเห็นใครทำไหม? ทุกคนมีส่วนอยู่ในการกระทำอย่างนี้ ทั้งนั้น มากหรือน้อยเท่านั้นเอง

หลายคนก็พยายามหาหนทาง สร้างค่าให้ตัวเอง ทั้งๆ ตัวเองมีค่าอยู่แล้ว คือคิดเองตามระบบโลกว่าต้องทำแบบนี้นะ ถึงจะเรียกว่าคนที่มีคุณค่า คืออะไร? คือต้อง … ภาษาไทยเขาเรียกว่าเสแสร้ง คุ้นๆ คำนี้ไหม? มาแล้ว ชักแรงแล้วนะ หลอกชาวบ้านเขา หลอก เสแสร้ง หลอกตัวเองด้วย หลอกชาวบ้านเขาด้วย มันไม่ใช่หลอกแบบหลอกลวง ไปขโมยเขา ไม่ใช่ ไม่ได้ความหมายนั้น นี่หมายถึงเสแสร้งให้คนยอมรับเรา ให้เรามีคุณค่าขึ้นมา

ไม่มีกำลังจะซื้อของแบรด์เนม รู้จักของแบรด์เนมใช่ไหม? ของแบรด์เนม ภาษาไทยเขาเรียกว่าของมียี่ห้อ พวกเศรษฐีเขาใช้กัน แต่เราเป็น “เศษ” ไม่มี “ฐี” แต่เราอยากจะใช้แบรด์เนม จะได้เข้าสังคมเขาได้ ก็ไปซื้อแบรด์เนมที่เป็นของปลอมมาใส่ อุตส่าห์ไปซื้อของปลอมมาใส่ เพื่อให้คนอื่นมองว่าเราก็ใช้แบรด์เนมเหมือนกันนะ เพราะคิดว่าการที้ใช้แบรด์เนม จะทำให้เราดูมีค่าขึ้นมา ดูสวยขึ้นมา ดูดี มีฐานะ

พูดถึงฐานะยิ่งชัดเจน บางคนขับรถ ใช้รถ ไม่ได้ว่าใครนะ บางคนใช้รถราคารถมันเกินกว่าทรัพย์สินอยู่ อุตส่าห์ไปผ่อนมา เกินกำลังมาก รถถูกกว่านี้ก็มี แต่เราจะใช้หรูๆ เพราะจะได้มีระดับ

นี่คือไม่รู้ตัวตน ทุกคนเป็นหมดล่ะ เป็นมากหรือน้อย นี่ยกตัวอย่างนิดๆ หน่อยๆ เพราะผมกลับบ้านไม่ได้ แต่ละคนตาเริ่มเขียว ทั้งๆ ที่สัญญากันแล้ว ผมเลยไม่อยากยกเยอะ

บางคนชัดเลย อันนี้โดนหลายคนเลย โทรศัพท์มันก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นอะไรเลย เปลี่ยนรุ่นใหม่ เปลี่ยนรุ่นใหม่ เพราะอะไร? เพราะเพื่อนๆ ที่ห้องเรียนเขาใช้กันอย่างนี้ทั้งหมด เห็นไหม? นี่คืออะไร? ก็ไม่รู้คุณค่าของตัวเขาเอง  แล้วคนที่พูด คือใคร? ไม่รู้ ในห้องเรียนเขาพูดกันอย่างนี้  ว่าอย่างนี้มันเชยแล้ว ปรากฏว่าในห้องเรียนนั้น ไม่มีใครเป็นคริสเตียนสักคน มีตัวเขาเองเป็นคริสเตียน เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองมีค่าที่สุดกว่านักเรียนที่เหลือ ที่พูดทั้งหมดเลย เขาควรจะบอกนักเรียนที่เหลือบอกว่า

“ฉันมีค่ามากเลย พวกเธอควรมีพระเยซูนะ ฉันมีพระเยซูแล้ว ฉันมีค่ามาก เพราะฉันเป็นผลงานชิ้นเอกในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่แล้วนะเนี้ย สวยงามขนาดไหนนะ”

แทนที่จะพูดอย่างนี้ เขาไม่รู้ตัวเอง เขากลับไปพูดว่าเขาอยากจะอยู่กับเพื่อนๆ … เพื่อนๆ บอกในสังคมนี้เขาต้องใช้โทรศัพท์ 5 พลัส 6, 7 พลัส เราก็พลัสกับเขาบ้าง? พลัสไปพลัสมา เสียเงินเปล่าๆ ใช้อะไรก็ไม่รู้เรื่อง ใช้นิดๆ หน่อยๆ แต่ดันไปซื้อแพง ไม่ได้ว่าใครนะ

เห็นไหม? เพราะเข้าใจผิด คิดว่านั่นคือตัววัดคุณค่าของเราเอง ทำให้เราเองมีคุณค่าขึ้นมา เขาเรียกว่าเสแสร้ง มันเป็นทุกคนแหละ มากหรือน้อยเท่านั้นเอง มันเป็นทุกคน มนุษย์เราทุกวันนี้ มันมองเห็นสิ่งต่างๆ  เหล่านี้ วัตถุสิ่งของเหล่านี้มีค่ามากกว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา เพราะเราถูกหลอกไง?

เพราะฉะนั้น การมาเรียนรู้เรื่องพระเจ้าว่าเราเป็นใครในพระเจ้า … พระเจ้ามองเราอย่างไร? พระเจ้าสร้างเราอย่างไร?  มันทำให้เรารู้คุณค่าของเราเอง และเมื่อเรารู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใครเลย เราจะทำไม? เราจะภูมิใจ เราไม่ต้องสร้างมูลค่าของเราเองขึ้นมา เพราะพระเจ้าให้เรา และมูลค่าเราเป็นเพชร เป็นพลอย เอเมน ใช่ไหม?

ท่านรู้ไหม พระเจ้าพูดอย่างไร? เมื่อมองเห็นท่าน พระเจ้าบอก ภูมิใจในผลงานชิ้นนี้มาก ภูมิใจมาก ตรงนั้นก็สวย ตรงนี่ก็สวย เหมือนผมแต่งเพลงมา ผมก็โอโห้! เพราะมาก ใครจะว่าอย่างไร? ผมไม่รู้ แต่ผมแต่งเอง ผมก็บอกว่าเพราะมาก เพราะจริงๆ บางคนอาจจะบอกว่าบ้าตัวเอง หลงตัวเอง แล้วจะให้ไปบ้าคนอื่นทำไมล่ะ  เพราะเราสร้างของเราขึ้นมา เราก็ต้องรู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ไม่รู้ใครจะดีหรือไม่ดี ไม่รู้ แต่เพลงที่เราแต่ง ที่เราร้อง มันเพราะที่สุดของเราแล้ว เอเมน  เพราะอะไร?  เพราะเราไม่ได้ลอกใคร มันเป็นของเราเอง เป็นของแท้

“ใครจะร้องดีกว่านี้ เป็นนักร้องยอดเยี่ยม นิยมจากเวทีไหนไม่รู้ ร้องยังไง ก็เพราะสู้ฉันไม่ได้หรอก”

 

“เพราะอะไร?”

“เพราะฉันเป็นคนสร้างเพลงนี้เอง เอเมน”

พระเจ้าก็เหมือนกัน สร้างท่าน เป็นผลงานของพระองค์เอง ไม่มีใครดีกว่าท่านอีกแล้ว เข้าใจไหม? ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกันว่าคนนี้สวยกว่าๆ

“สวยสู้ฉันไม่ได้ แล้วกัน  (แบบเฉพาะของฉันนะ) ที่พระเจ้าสร้าง”

เข้าใจไหม?  สังคมบอกอย่างนี้สวยกว่า ไม่ใช่ ไม่ต้องไปฟังสังคม ฟังพระเจ้าพูด พระเจ้าบอก

“อย่างเธอต้องแต่งอย่างนี้  ตัวไม่ต้องสูงมาก”

อะไรอย่างนี้  ถูกไหม? เราก็ไม่ต้องไปตัดขา พยายามต่อขาให้ยาว ให้จมูกเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องทำจมูกมากกว่านี้  ก็แค่นั้นแหละ พระเจ้าบอกสวยมาก สังคมเขาจะว่าอย่างไร? เรื่องของเขา  แต่พระเจ้าบอกไว้แล้ว ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน  “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

พูดตามผมนะครับ “พระองค์ภาคภูมิใจในนคร …. (ใส่ชื่อท่าน) อย่างมาก พระองค์ภาคภูมิใจในผลงานชิ้นเอกคุณนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผลงานชิ้นเอก พระองค์ภาคภูมิใจในนคร … (ใส่ชื่อท่าน) มากเลย  ทำไมลูกคนนี้หล่อ (สวย) อย่างนี้”

ใส่ชื่อท่าน หัวเราะทำไมล่ะ  จะให้ผมพูดอย่างไร?  พูดสิ สวยๆ หล่อ ไม่กล้าพูดอีก ท่านยังไม่มั่นใจตัวเองเลย พระเจ้ามั่นใจกว่าท่านมาก พูด ไม่มั่นใจอีก แสดงว่าท่านถูกสังคมหลอกนานแล้วสิ หลอกมา 60, 70 ปีเลยใช่ไหมว่า “ไม่หล่อๆ” เลยไม่กล้าพูด “ไม่สวยๆ” ไม่กล้าพูด วันนี้เปลี่ยนใหม่ ความจริงมาทำให้เป็นไทแล้ว The truth shall make you free. ก็คือความจริงทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านนะสวย, หล่อที่สุดแล้ว  บอกสิ  ไม่กล้าพูดอีก

“สวย, หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นแบบเฉพาะของฉัน” ใช่ไหม?

เพราะถ้าเราสามารถเชื่อและมั่นใจว่าเราเป็นใครในพระเจ้า เชื่อว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า เรามีคุณค่ามากมายมหาศาล มากกว่ารูปโมนาลิซ่าเมื่อตะกี้นี้ เมื่อเรามั่นใจอย่างนี้ เราก็จะไม่ต้องดิ้นรน ไม่พยายามที่จะเสแสร้งหลอกคนอื่น เราก็จะเป็นตัวของเราเองมากขึ้น เป็นอิสระมากขึ้น

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้ และคุยกันบ่อยๆ ในเรื่องนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงตั้งใจสร้างเราขึ้นมาให้เป็น Masterpiece หรือเรียกว่าผลงานชิ้นเอกที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดดังๆ เลย “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

เพราะฉะนั้น เราควรจะมีความเชื่อ และมั่นใจในลักษณะเดียวกันกับที่เรามั่นใจว่าเราเป็นคนไทยหรือเปล่า?  ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? ถามจริง? จริง มั่นใจไหม? ถามอีกที ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? มั่นใจขนาดไหน? คิดในใจว่าที่ท่านพูดว่าจริงเมื่อตะกี้นี้ว่า

“ฉันเป็นคนไทย”

ท่านมั่นใจขนาดไหน?  ท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่ไม่มีใครสวย ไม่มีใครหล่อกว่าท่านอีกแล้ว ท่านมั่นใจไหม? มั่นใจ … มั่นใจกว่าตะกี้นี้ไหม? เท่าที่ท่านเชื่อว่าท่านเป็นคนไทยไหม?  เท่ากันไหม? คิดเองก็แล้วกัน กลับไปบ้าน ไปพูดหน้ากระจกว่าท่านมั่นใจไหม? ถ้าท่านมั่นใจพูดไปเลย  ต่อหน้าคนมหาศาล ท่านสามารถพูดได้ไหมว่าท่านเป็นไทย?

สมมติว่าให้ท่านขึ้นไปบนธรรมาส หรือบนเวที ท่านสามารถพูดได้ไหมว่า.-

“ผมเป็นคนไทย” หรือ “ฉันเป็นคนไทย”

สามารถไหม? สามารถ ท่านขึ้นไปเวทีเดียวกัน บอก.-

“ฉันเป็นคนสวยที่สุด” กล้าไหม?

เห็นไหม? ไม่กล้า ทำไมล่ะ  อันนี้ไม่ได้ว่าใครนะ เราพูดให้ฟัง อยากให้เราเห็นภาพที่แท้จริงของเรา ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด ไม่ได้ว่าใคร? ผมก็เป็น แต่เรามาเรียนรู้ที่เราจะฝึกฝน ที่เราจะเป็นน้อยหน่อยไง เข้าใจใช่ไหม?  ไม่ใช่ว่าพอพูดเสร็จ ต่อไปนี้ผมไม่ต้องโกรกผม … ผมก็จะไปโกรกเหมือนเดิม ทำไมหล่อ แล้วไปโกรกทำไม? วันนี้ คือวันที่พระเจ้าจัดไว้ว่าโกรก ก็ทำไปสิ แต่มั่นใจในตัวเอง  มันไม่ได้สวยขึ้นหรอก พระเจ้าทำให้สวยอยู่แล้ว โกรก แล้วเราดูดีขึ้น เราเองนะดูดีขึ้น ใจเราสบายใจขึ้น ถึงไม่โกรกมันก็ดีอยู่แล้ว แต่โกรก เราสบายใจขึ้น ไม่ได้ดีอะไรกว่าเดิมเรา เราก็ยังคงเป็นเราเหมือนเดิมนั่น นครก็ยังเป็นนครเหมือนเดิม จะนครผมขาวหรือนครผมดำ มันก็นครคนเดิม ที่พระเจ้าสร้างเป็น Masterpiece เป็นคนที่ไม่เหมือนใคร เป็นมนุษย์ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน และ … ที่สุดเลย  ท่านก็ไปเติมของท่านแล้วกัน เข้าใจใช่ไหมครับ?  ผมจะบอกว่าเราอยู่ในกระทะเดียวกัน ไม่ได้พูดเพื่อจะไปบอกใครว่าใครแย่กว่ากัน หรือเราแย่กว่าใคร เราไม่มาเปรียบเทียบกันแล้ว เราเห็นภาพชัดเจน พระเจ้าสร้างทุกคน มีเอกลักษณ์ของแต่ละคน จึงไม่มาเปรียบเทียบกันไง เปรียบเทียบกันไม่มีประโยชน์ เปรียบเทียบกันได้อย่างไร? ใครสวยกว่ากัน? ภาพโมนาลิซ่ากับภาพของไมเคิล แองเจโล เปรียบไม่ได้  เพลงไหนเพราะกว่ากัน ต่างคนต่างเป็นของแท้ เพลงนี้กับเพลงนี้ เทียบกันไม่ได้ มันคนละลักษณะกัน

เพราะฉะนั้น ให้เรามั่นใจ ให้เรารู้ว่าเรานั้นมีค่าที่สุดในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ให้เรามั่นใจเหมือนที่เราพูดกับผู้คนทั้งหลาย 100% ว่าเราเป็นคนไทย แม้ว่าหน้าตาเราจะเหมือนคนต่างด้าว แต่เราก็ยังเป็นคนไทย จะมาชี้อะไรต่างๆ เราก็อาจจะเกรี้ยวกราดกับตำรวจ

“ฉันเป็นคนไทย ไม่รู้หรือไง”

“ทำไมหน้าตาเหมือน …”

“เหมือนอย่างไร ฉันก็ยังเป็นคนไทย”

มั่นใจไหม?  เหมือนกัน

“ฉันเป็นการฝีมือของพระเจ้า สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว ใครจะพูดอย่างไร ฉันไม่รู้หรอก”

เอเมน … เข้าใจใช่ไหม?

อย่างบางคนที่เกิดมามีส่วน หรือลักษณะในร่างกายที่เสียหายไป จงมั่นใจว่าพระเจ้าสร้างท่านมาอย่างนั้น ท่านก็เป็นชิ้นพิเศษชิ้นหนึ่งที่มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้ามาก และถ้าเรารู้อย่างนี้ ท่านคิดดู ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปเลย เราจะเห็นคุณค่า

“พระเจ้าสร้างเรา เพราะมีความต้องการอะไรบางอย่างในชีวิตของฉัน สร้างฉันเพื่ออะไร? เพื่อจะใช้ฉันในอนาคต ถ้าฉันไม่ตาบอด ฉันก็อาจจะแต่งเพลงนี้ไม่ได้หรอก”

เข้าใจใช่ไหม?

“ถ้าฉันไม่เป็นอย่างนี้ พระเจ้าก็จะไม่สามารถใช้ฉันให้เป็นประโยชน์อย่างนั้นได้”

มันต้องมีเหตุอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เราเป็นอะไรบางอย่าง เพื่อพระเจ้าจะใช้เราไง เอเมน … เอเมนไหม?

ให้เราลุกขึ้นยืน แล้วพูดตามผมนะ พูดด้วยความมั่นใจ เหมือนที่ท่านบอกว่าท่านเป็นคนไทย? เข้าใจใช่ไหม? เข้าใจความรู้สึก สภาพที่ว่าถ้าใครมาบอกท่านเหมือนคนต่างด้าว ท่านจะบอกเขาว่า

“ฉันเป็นไทย”

ท่านมั่นใจมาก ให้ท่านพูดอย่างนั้นนะ พูดตามนะครับ ใส่ชื่อท่านเอง เวลาผมใส่ชื่อผม

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า”

นี่คนไทยหรือเปล่าเนี้ย ทำไมตอบแค่นี้เอง  พูดแค่นี้เองเหรอ เขาบอกว่าท่านเป็นต่างด้าว ไม่ให้ท่านเข้าเมือง ไม่ให้เข้าประเทศนี้แล้วนะ ท่านจะตอบเขาอย่างนี้  ไม่ให้ท่านเข้าแล้วนะ รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเลยนะ ท่านเข้าใจไหม? ให้ท่านพูดด้วยความมั่นใจว่าตอนนี้ มีความรู้สึกว่าท่านกำลังไปเมืองนอกกลับมา  เขาไม่ให้ท่านเข้าเมือง เขาบอกว่าท่านเป็นคนต่างด้าว ท่านบอกเขาว่าอย่างไร?

“ฉันเป็นคนไทย”

พูดนะ พูดชื่อท่านนะครับ

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวนคร … (ใส่ชื่อท่าน) หล่อ (สวย) ที่สุดแล้ว หล่อ (สวย) กว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว นคร … (ใส่ชื่อท่าน) แก้วตา ดวงใจของพระเจ้า”

คืออยากให้ท่านมีความมั่นใจ เอาอย่างนี้ไปพูดหน้ากระจกบ่อยๆ ได้ไหม? ได้ อย่าให้ใครฟังเหรอ ใครจะฟังช่างเลย มันเรื่องจริง ใช่ไหม? นะ เอาไปพูดบ่อยๆ หมั่นพูดอย่างนี้เสมอ  แล้วก็ติดตามตอนต่อไป  ตอนโน่นตอนนี้ต่อไป ในเรื่องเกี่ยวกับเรื่องว่าเราเป็นตัวตนในพระคริสต์อย่างไร? เอาไปพูด … พูดให้เกิดความมั่นใจ ถ้าเราไม่พูด เราจะกลัวโน่นกลัวนี่ แล้วเราก็ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับชาวบ้านเขา เพราะเรามีค่ามากที่สุดแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าสร้างเราอย่างมีคุณค่าในชีวิตจริง เราอาจจะขับรถเก่าๆ หรือแม้กระทั่งไม่มีรถขับเลย ต้องนั่งรถเมล์ เราก็มีค่ามากมายมหาศาลสำหรับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นแก้วตาดวงใจที่พระองค์รักที่สุดแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยน ไม่ว่าท่านจะนั่งรถเมล์หรือขี่รถเบนซ์ พระเจ้าสร้างท่านพิเศษเฉพาะสำหรับท่าน เอเมน

วันนี้ให้เรามั่นใจตรงนี้นะครับว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีค่ามากมายมหาศาล พระเจ้าสร้างท่านด้วยความระมัดระวัง ด้วยความรักทะนุถนอม ด้วยความทุ่มชีวิตของพระองค์ลงไป เพื่อสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะท่านคนเดียวเลยนะ ท่านอย่าคิดว่าท่านนิสัยตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี หน้าตาตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี พระเจ้าบอกดี โอเค ใช้ได้ ยอดเยี่ยมเลย ดีๆ เชื่อให้ได้อย่างนี้ เหมือนที่เชื่อว่าเราเป็นคนไทย แล้วการดำเนินชีวิตทุกอย่างจากนี้ต่อไป ท่านจะเปลี่ยนไป ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ เพราะท่านรู้คุณค่าของตัวเองว่า.-

“พระเจ้าสร้างฉันอย่างไร? ฉันอยากจะสรรเสริญพระเจ้าที่สร้างฉันอย่างงดงามอย่างนี้ เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 4 “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า” (You are God’s masterpiece” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  มกราคม  2016

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 4 “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

(You are God’s masterpiece”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้นะครับ เราจะกลับมาฟังคำบรรยายกันต่อ ในซีรี่ส์ชุดเดิมนะครับ ที่ค้างกันไว้ตั้งแต่ก่อน คริสตมาส ยังจำได้ไหมครับ ซีรี่ส์เรื่องอะไร? เราคุยอะไรกันค้างไว้ ตั้งแต่ก่อนคริสตมาส ผมได้เริ่มต้นซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Identity in Christ” คุยไป 3 ตอนแล้ว  วันนี้จะเป็นตอนที่ 4 งงเลยใช่ไหม?

เรามาทวน 3 ตอนก่อน เพราะว่าเว้นระยะไปนาน เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเริ่มตอนที่ 4 วันนี้ เรามาทบทวนกันสักนิดหนึ่งก่อนนะครับว่า 3 ตอนที่แล้วเราได้คุยอะไรกันไปแล้วบ้าง?

เริ่มต้นที่ความหมายของคำว่า “ตัวตนในพระคริสต์” มันสิ่งสำคัญมากๆ ที่เราจะต้องเรียนรู้กันเรื่องนี้  พระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมตั้งและการรับการประทับตราจากพระเจ้า

พวกเราคริสเตียนที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมตั้ง แต่งตั้งโดยพระเจ้า และประทับตราของพระองค์อยู่ในชีวิตของเรา แสดงความเป็นเจ้าของบนตัวเรา บนชีวิตของเรา และแสดงหลักฐานการเป็นลูกของพระเจ้าในครอบครัวของพระคริสต์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

มาทบทวน 2 โครินธ์ 1:21-22 “21 พระเจ้านี่แหละ ทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงใน  พระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเจิมเรา 22 ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง

 

ในข้อที่ 22 เมื่อตะกี้นี้บอกว่าทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา แต่ละคนเลยที่เชื่อในพระเยซู และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เพื่ออะไร? เป็นมัดจำ ค้ำประกันในสิ่งที่จะมาถึง ก็คือสวรรค์สถานที่พระองค์บอกเราว่าเราจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ ตอนนี้เราได้ก่อน มัดจำไปก่อนแล้ว เรียบร้อยแล้ว คืออะไร? คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในใจเรา

และผมก็ได้ย้ำแล้วย้ำอีก เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ว่าสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่เราจำเป็นต้องรู้จัก ก็คือตัวตนของเราจริงๆ ว่าเราเป็นใคร? สำคัญมากเลยนะครับ เพื่อเราจะสามารถแยกแยะได้ระหว่างตัวตนจริง ก็คือ True Identity ตัวจริงๆ ของเรา  ข้อมูลที่เป็นตัวจริงของเรา กับ Liedentity  ก็คือข้อมูลปลอมที่เขาหลอกเรา  เพราะอะไร? เพราะโลกนี้ ได้สร้างข้อมูลปลอมๆ โดยผ่านทางสื่อต่างๆ บนโลกใบนี้ สร้างข้อมูลปลอม หลอกเรา ยัดเหยียดใส่ชีวิตของเราเต็มไปหมด และเราก็ถูกหลอกมานาน ก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า

ถูกหลอกว่าอะไร? หลอกว่าเราเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็หลงเชื่อ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย  เรารู้ความจริงตรงไหน? ตรงที่เราไปอ่านพระคัมภีร์ เราถึงรู้

อ้าว! เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยนะ พระเจ้าบอกเราอีกแบบหนึ่ง แต่มารซาตานบอกเราอีกอย่างหนึ่ง ผ่านทางสังคม ผ่านทางโลกใบนี้

จำตัวอย่างได้ไหมครับ ที่บอกว่าใครที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว แต่เหมือนยังไม่รู้จักตัวตนของตัวเองจริงๆ ยังทำตัวเหมือนแปลกๆ เราก็จะเปรียบเทียบกันว่าทำตัวเหมือนทาร์ซาน นี่คืออะไร? นี่คือชื่อของตอน “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 1 แสดงว่าจำได้ จึงใช้ชื่อตอนว่า “อย่าเป็นทาร์ซาน”

บอกคนข้างๆ สิ “อย่าเป็นทาร์ซาน”

อยากรู้รายละเอียด ไปหาฟังเอาในตอนที่แล้วนะครับ ไปค้นเอา ประวัติตอนที่แล้ว เพราะเขาลงในยูทูปมีหมดนะครับ Holy live มีตั้งหลายตอนอยู่ในนั้น  เพราะฉะนั้น ไปดูแล้วกันว่าตัวตนในพระคริสต์ ตอนที่ 1 ทาร์ซานว่าอย่างไรบ้าง?

มาถึงตอนที่ 2 ชื่อตอนว่า “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า” จำได้ไหม? เราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ได้สอนเราอย่างนั้น ภาษาอังกฤษจำได้เลย ภาษาอังกฤษว่าเราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า คือภาษาอังกฤษเรียกว่า Divine Nature

พูดพร้อมกัน “Divine Nature”

จำแม่นเลยนะ จากทาร์ซานมา Divine Nature ที่ผมเล่าให้ฟังว่าย้อนไปตั้งแต่สมัยปฐมกาล สมัยโน้นว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายให้มีคุณลักษณะเฉพาะ ที่แตกต่างกัน แตกต่างกันอย่างไร? ยังจำได้ไหมครับ? มีพืช สิ่งที่มีชีวิต ที่มีร่างกาย สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายและจิตใจ หรือเรียกว่า Soul เรียกว่า Body and Soul แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ Body  Soul and Spirit วิญญาณหรือ Spirit ซึ่งคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ ที่พระเจ้าทรงสร้าง พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่พระเจ้าทรงสร้างตามพระฉายา หรือพระฉายของพระองค์ ให้มีส่วนใน Divine Nature ธรรมชาติลักษณะของพระองค์ตรงไหน? ตรงที่มีวิญญาณเหมือนพระองค์ จริงๆ แล้วคือเป็นวิญญาณเหมือนพระองค์

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทรงระบายลมหายใจ” แล้วผมก็อธิบายให้ฟังว่าระบายลมหายใจ ลมปราณของพระองค์ คือวิญญาณของพระองค์เข้ามาในมนุษย์ สร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น คำว่าระบายนั้นก็คือแบ่งชีวิตของพระองค์ให้กับเรา เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ จำได้ใช่ไหมครับว่าแบ่งเชื้อสายให้กับเรา แบ่งให้มีลูกขึ้นมา เป็นลูกของเรา และในองค์ประกอบทั้ง 3 ของมนุษย์ ก็คือทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณนั้น  ทางวิญญาณของเรา มันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทันที ณ วินาทีที่เราเชื่อในพระเจ้า ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว วินาทีไหน? ไม่รู้ วิญญาณของเราเปลี่ยนไปทันที ใหม่เอี่ยม เข้ามาสู่ Divine Nature ของพระเจ้าทันที สำหรับทางความคิดจิตใจ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ความคิดจิตใจก็เริ่มต้นเปลี่ยนใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่มัดใจ ที่มาสถิตอยู่กับเรา และพระวิญญาณก็จะค่อยๆ สอนเรา นำพาเราเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ  ความคิดจิตใจของเรา ก็จะเปลี่ยนไปเหมือนพระเจ้าขึ้นทุกวันๆ นั่นเอง

ส่วนทางร่างกายล่ะ ก็มีการเปลี่ยนแปลง คือเราจะได้รับร่างกายใหม่ หลังจากที่ตายจากโลกใบนี้แล้ว หลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่างนี้เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าสัญญาว่าจะมีร่างกายใหม่ไว้ให้กับเรา เรียกว่าร่างกายฝ่ายวิญญาณ แล้วร่างกายที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ไม่ต้องเจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน ไม่ต้องมีสิวอย่างนี้ต่อไปอีกแล้ว จำได้ใช่ไหม?

และในตอนที่ 3 ที่เราทิ้งท้ายกันไว้ตั้งแต่ช่วงก่อนคริสตมาส มีชื่อตอนว่า “เราเป็นวิหารของพระเจ้า” นี่คือตอนที่ 3 ผมได้เล่าถึงจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล ที่มีไปถึงชาวเมืองโครินธ์ ซึ่งชาวเมืองโครินธ์ในยุคนั้น ส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางอบายมุข เพราะเจริญเติบโตเป็นเมืองค้าขายมากมายนะครับ คล้ายๆ กรุงเทพ นิวยอร์กอะไรอย่างนี้ของสมัยนั้น ผู้คนก็ดำเนินชีวิตอยู่ในอบายมุกเยอะแยะ และประพฤติตัวเหลวไหลมากมาย ซึ่งรวมทั้งชาวโครินธ์ที่เป็นคริสเตียนด้วย รับเชื่อแล้ว

เปาโลเลยต้องการสอนบรรดาผู้ที่เชื่อในโครินธ์เหล่านั้น ให้ดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า แต่แทนที่จะสั้งว่า.-

“อย่าทำอย่างโน้น อย่าทำอย่างนี้ อย่างทำอย่างนั้น”

เปาโลกลับสอนบอกว่าให้ผู้ที่รู้จักพระเจ้า  ผู้ที่เชื่อแล้ว รู้ตัวตนของตัวเองในพระเยซูคริสต์ว่า.-

“เธอเป็นใคร? เธอมีค่ามากเท่าไร? เธอเป็นวิหารของพระเจ้า … พระเจ้าสถิตอยู่ในเธอนะ เธอจะไปทำอะไร พระเจ้าตามๆ ไปด้วยตลอดเวลา” ให้เขารู้ตรงนี้

เห็นไหมครับว่าเรามาเรียนรู้เรื่องตัวตนของพระคริสต์ มันสำคัญอย่างไร? ต่อให้ไปสั่ง …

“อย่าทำอย่างนั้น อย่างทำอย่างนี้”

มันทำไม่ได้ กิเลสตัณหาของเรา ซึ่งอยู่ในร่างกายนี้ มันก็จะว่ากันไปตามนั้นแหละ แต่พอเรารู้ตัวตนของเรา … เรารู้ว่าข้างในเราใหญ่กว่า ข้างในเรามี Divine Nature อยู่ในนั้น  เราเป็นใคร?  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา นี่คือตอนที่ 3

และตัวตนในพระคริสต์ที่เปาโล ย้ำเตือนกับผู้คนเมืองโครินธ์ ก็คืออะไร? ก็คือ 1 โครินธ์ 6:19-20 ที่บอกว่าเรามีค่าขนาดไหน? ดูสิ อ่านย้อนดูอีกทีหนึ่ง มาทบทวนอีกทีหนึ่ง ก่อนที่จะไปเรื่องอื่น

1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด

 

ชาวโครินธ์เยอะแยะมากมาย ทำสิ่งที่ไม่ดี อยู่ในอบายมุกต่างๆ มีส่วนหนึ่งที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า แต่ส่วนหนึ่งคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว เปาโลพูดเฉพาะคนที่เชื่อในพระเจ้า และบอกว่า.-

“พวกท่านรู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน แล้วท่านมีราคาที่สูงมาก พระเจ้าซื้อท่านมาด้วยชีวิตของพระบุตรของพระองค์ เพียงองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ ท่านควรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้า”

นี่การสอนของเปาโล คือให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคริสเตียน คือให้รู้ว่าเราเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นที่ประทับของพระเจ้า ในร่างกายของเรานี้ เราไม่ใช่เจ้าของร่างกายนี้อีกต่อไป ไม่ได้เป็นตัวเราแล้ว แต่เป็นพระเจ้า  เราเดินไปไหน พระวิญญาณเดินอยู่กับเรา  ไปไหนพระเจ้าอยู่กับเราด้วย ตาดูอะไร? พระเจ้าก็ดูด้วย มือทำอะไร? พระเจ้าก็ทำด้วย ปากพูดอะไร? พระเจ้าก็พูดด้วย เหมือนกับพูดด้วยรู้ด้วยตลอดเวลา

นี่คือการรู้ตัวตนของตัวเอง จะได้ระมัดระวังตัวเองมากขึ้น และการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเป็นวิหารของพระเจ้า ก็จะทำให้เราเป็นอิสระจากสิ่งที่สกปรกหลายอย่างได้ บนโลกใบนี้ (เท่าที่จะทำได้นะ) เพราะมันไม่มีทางที่จะครบถ้วนบริบูรณ์ได้อย่างที่บอกแล้ว มันอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่มีทางที่เราจะบังคับมันให้ถูกต้องหมด 100% แต่มันทำให้มากขึ้นได้ ถ้าเผื่อเรารู้ความจริง คือ Identity ของเรา  True Identity  ก็คือตัวตนแท้ๆ จริงของเราว่าเราเป็นใคร?

เมื่อทาร์ซานรู้ว่าตัวเองเป็นใครแล้ว ทุกอย่าง มันจะเปลี่ยนไปเอง เอเมน เราทิ้งท้ายไว้อย่างนี้ เมื่อครั้งที่แล้ว

เรามาเริ่มดูถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือเอเฟซัส วันนี้เราจะเข้าสู่การบรรยายในชุดนี้นะครับ “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 4 ซึ่งมีชื่อตอนว่า “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

ให้เราพูดพร้อมกัน “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

เรามาเริ่มดูถ้อยคำพระเจ้า ตามหนังสือเอเฟซัสก่อนนะครับ  ในหนังสือเอเฟซัสได้พูดถึงคริสตจักรต่างๆ ในสมัยนั้น ที่มาจากหลายๆ ชนชาติ ในคริสตจักรในเอเฟซัส คนที่เป็นคริสเตียนมาจากหลายเชื้อชาติ ซึ่งจะเรียกรวมเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ในหนังสือนี้นะครับ คือเป็นพวกยิวและพวกไม่ใช่ยิว  ซึ่งเรียกว่าชาวต่างชาติ

และในเนื้อหาสำคัญของหนังสือเอเฟซัส ไม่ว่าเราจะมาจากชนชาติไหน? ก็ตาม เป็นเชื้อชาติไหนมาก็ตาม เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าสร้างเราขึ้นมาให้เป็นพระกายของพระองค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าเตรียมเราไว้ สำหรับใช้เรา สำหรับงานรับใช้

ให้เราพูดพร้อมกัน “พระเจ้าเตรียมเราทุกคน ที่มาเชื่อพระเยซูแล้ว ให้เป็นผู้รับใช้พระองค์”

ไม่ว่าท่านจะคิดว่าท่านอายุมากขนาดไหน? ไม่ได้ทำอะไรเลย? อยู่บ้านเฉยๆ อธิษฐานก็น้อย พระเจ้าใช้ท่าน ถ้าพระเจ้าเลิกใช้ท่าน หมดแล้ว ให้ท่านพักผ่อน ก็คือให้ท่านทำอย่างไร? ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าตาย ก็คือเอาท่านกลับบ้าน แต่ถ้าตราบใดที่ท่านยังหายใจอยู่ พระเจ้าก็ยังกำลังให้ท่านทำงานอยู่ ไม่ต้องไปคิดว่างานนั้น คืออะไร? พระเจ้าทำอยู่แล้วกัน เอเมนนะ

และถ้อยคำหลักที่เราได้ดูกันวันนี้นะครับ อยู่ในหนังสือเอเฟซัส 2:10 ซึ่งถ้าเราได้เรียนรู้อย่างละเอียด เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และได้เชื่ออย่างมั่นใจถึงความหมายของถ้อยคำนี้แล้ว ชีวิตท่านหรือชีวิตเราจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยนะครับ ความคิด ความอ่านของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ จะเปลี่ยนไปเลยนะครับ พระเยซูบอกท่านรู้ความจริง … ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ วันนี้เราจะมาเรียนรู้ตรงนี้ ลึกซึ้ง

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ

 

“เราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์” ตรงนี้นะครับ ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า “We are God’s masterpiece.   He has created us anew in Christ Jesus.”

คำว่า “ผลงานของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ตรงนี้นะครับ  พระคัมภีร์บางฉบับใช้คำว่า … ภาษาไทยนะครับ ใช้คำว่า “ฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า” ก็คือฝีมือของพระเจ้า การฝีมือของพระเจ้า ท่านลองนึกภาพไปเรื่อยๆ ตามนะครับ เป็นการฝีมือของพระเจ้า

ภาษาอังกฤษ คือ “God’s masterpiece” มาจากคำในภาษากรีก ภาษาเดิมว่า “Poiema”

ท่านเป็น Poiema ของพระเจ้า … Poiema ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำภาษาอังกฤษที่เราคุ้นๆ กัน Poem  แปลว่าบทกวี  … บทกวีคืออะไร? คืออะไรบางอย่าง ที่มันเพราะพริ้ง เลิศประเสริฐศรี เขาจึงให้ชื่อว่าบทกวี

ท่านเป็นบทกวีของพระเจ้า … พระเจ้าที่สร้างมหาจักรวาลนี้ ทำการฝีมือ ก็คือชีวิตของท่าน

ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ หรือภาษากรีกก็ตาม ความหมายของถ้อยคำนี้ ข้อนี้กำลังบอกว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ หรือเป็นงานฝีมือของพระเจ้า ที่มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เรียกว่าผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ตามชื่อเรื่อง

พูดอีกครั้งหนึ่ง “ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

คำว่า “บทกวี” หรือ Poem ซึ่งแปลว่าผลงานชิ้นเอก สื่อให้เห็นถึงอะไร? ถึงงานที่เป็นศิลปะ เป็นผลงานที่บรรจงสร้างขึ้น มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีการทำซ้ำ ที่เรียกว่าเป็นแบบ ถ้าโดยทั่วๆ ไป ทางการค้า เขาเรียกว่า Hand made ไม่ใช่เป็นการผลิตแบบโรงงานซ้ำๆ กัน มีจำนวนเยอะๆ มีแม่พิมพ์ แล้วก็ปั้มๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เขาเรียกว่าทีละอัน ทีละตัว นี่พูดถึงสินค้านะ เพราะฉะนั้น พวกท่าน พระเจ้าผลิต สร้างทีละ … ปั้นทีละคน ทีละคนๆ เป็นแบบที่เราเรียกว่าเป็นแบบไม่มีใครเหมือนเลย และไม่เหมือนใคร

พูดพร้อมกัน “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? พระเจ้าสร้างแบบไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

ถ้าเราย้อนกลับไปดูในปฐมกาล ตอนเริ่มต้น ที่พระเจ้าสร้างบรรดาสรรพสิ่งต่างๆ เราจะเห็นได้เลยว่าวิธีการที่พระเจ้าสร้างสิ่งต่างๆ กับวิธีการที่พระเจ้าสร้างหรือปั้นมนุษย์นั้น มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันอย่างไร? เรามาดูนะครับ

มาดูเหตุการณ์ที่เกิดในช่วง 5 วันแรก ที่พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ บันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล บทที่ 1

วันที่ 1 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง”

วันที่ 2 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดแผ่นฟ้า ในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน”

วันที่ 3 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดพืชพันธุ์บนแผ่นดิน”

วันที่ 4 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดดวงดาวต่างๆ ขึ้นในแผ่นฟ้า”

วันที่ 5 พระเจ้าตรัสว่า “จงให้น้ำเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ  และนกนานาชนิด บินไปบินมาในท้องฟ้า”

แต่พอมาถึงวันที่ 6 ตอนที่พระเจ้าจะสร้างมนุษย์นั้น  ปั้นมนุษย์นั้น  มาดูว่าพระองค์ทรงทำอย่างไร?

พระองค์ตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ขึ้น ตามแบบเรา ตามอย่างเรา”

ดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์ แตกต่างเลยนะครับ เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนไหมครับว่าตอนสร้างอย่างอื่น พระเจ้าเพียงแค่สั่ง ตรัสก็คือสั่ง … สั่งให้มันเกิด มันก็เกิด ตรัสก็คือคำสั่งนะครับ

สมัยก่อน คนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? สั่งแล้วเกิด เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีพาเราไปใกล้เคียงตรงนี้ ทำให้เราเห็นภาพว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ยกตัวอย่างเช่นเดี๋ยวนี้เขามีเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์อะไรต่างๆ ใส่เข้าไปในเครื่องจักรต่างๆ แค่พูดมันก็ยังทำตามเลย

ขึ้นไปในรถ บอก “โทรกลับบ้าน”

มันก็โทรกลับบ้านเลย ใช่ไหม?

“เปิด” มันเปิดเลย

“ปิด” มันปิด

พระเจ้าทำมาตั้งก่อนโน้น ท่านลองคิดดู ตั้งแต่สมัยโน่นแล้ว พระเจ้าสั่งตรัส สั่งเหล่านี้ เหมือนเป็นสิ่งของ ให้เกิด  สิ่งนั้นก็เกิด ตามคำสั่งของพระเจ้า แต่พอมาถึงมนุษย์ทรงบอกว่าเกิดมนุษย์ อย่างนี้เหรอ ไม่ใช่ บอกว่าอย่างไร?  เกิด ก็ไม่ใช่

พระเจ้าตรัสอย่างนี้ … สมมตินะ สมมติ นี่ผมใส่ความรู้สึกลงไป ตอนที่สร้างดวงอาทิตย์ บอก

“ดวงอาทิตย์เกิด” ดวงสว่างเกิด

พอสร้างมนุษย์นะ “ให้เรามาสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบอย่างเราดีไหม? เรามีลูกดีกว่าเนอะ”

เข้าใจหรือเปล่า?  เหมือนเศรษฐี อยู่ในครอบครัว คุยกับคนในบ้าน

ผมก็บอกว่า “ซื้อตู้เย็นมาสิ อยากได้ตู้เย็น”  เขาก็วิ่งไปซื้อตู้เย็น

“อยากได้สุนัขสวยๆ สักคู่หนึ่ง”  เขาก็ไปซื้อมา

เสร็จแล้ว ผมก็หันมาบอกภรรยา “เราอยากจะมีลูกนะ”

ใช่ไหม? ความรู้สึกมันต่างกัน  เหมือนกันเลยเนี้ย พระเจ้าก็อย่างนี้แหละ พระเจ้าก็ใช่วิธีนี้แหละ พระเจ้าบอกว่า.-

“ให้เรามาสร้างมนุษย์ ให้เป็นเหมือนเรานะ”

ก็คือมาสร้างลูกเรา ให้เรามีลูก อย่างอื่นพระองค์ทรงสั่งให้มันเกิด แต่พอมาถึงมนุษย์ ไม่ใช่อย่างนั้น โยบ 10:8 จึงบันทึกอย่างนี้นะครับ ในบรรดาสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทำ” หรือ “ปั้น”

โยบ 10:8 “พระหัตถ์ของพระองค์ทรงสร้าง และทรงปั้นข้าพระองค์มา

 

ท่านเริ่มเห็นภาพว่าเราแตกต่างกับสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดอย่างไร?

อิสยาห์ 43:21 “ประชากรที่เราได้ปั้นไว้สำหรับเรา เพื่อพวกเขาจะประกาศเกียรติภูมิของเรา”

 

ใช้คำว่า “ปั้น” ในหนังสือสดุดี ได้บรรยายให้เห็นภาพถึงฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า การฝีมือของพระเจ้า ในการบรรจงสร้าง มีลูก คือมนุษย์ ตามพระฉายของพระองค์ ให้เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ เป็นบทกวีที่ทรงตั้งใจที่จะปั้นขึ้น สร้างขึ้นมา และทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะให้ผลงานแต่ละชิ้นของพระองค์ออกมาเป็นใคร? ทีละอัน พาท่านไปดูนะครับ ซึ่งตะกี้นี้ ก่อนจะอ่านสดุดีบทนี้ ให้ท่านพูดอีกที แต่ละอันๆ นั้นมันทำไม? มันไม่เหมือนใคร? และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

นี่คือตัวอย่างนิดหนึ่งที่ได้บันทึกไว้ตั้งเป็นหลายพันปีว่าพระเจ้าสร้างอย่างไร? ท่านจะได้เห็นภาพว่าพระเจ้าสร้างทีละคนอย่างไร? นิดเดียวนะ แต่ความหมายลึกซึ้งมาก อยู่ในสดุดี 139:13-16 อ่านด้วยความลึกซึ้ง เห็นภาพนะครับว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? เหมือนเรามีลูก  เรารักลูกขนาดไหน? พระเจ้ามากกว่านั้นสักเท่าใด ที่รักเรามาก แต่ละคนๆ ซึ่งไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

สดุดี 139:13-16 “13 เพราะพระองค์ทรงสร้างส่วนลึกล้ำ ภายในตัวข้าพระองค์ พระองค์ทรงถักทอข้าพระองค์ขึ้น ในครรภ์มารดา 14 ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างมหัศจรรย์ และน่าครั่นคร้าม ฝีพระหัตถ์ของพระองค์อัศจรรย์ ข้าพระองค์ทราบดี 15 โครงร่างของข้าพระองค์ ไม่ได้ซ่อนเร้นจากพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างขึ้นในที่ลี้ลับ เมื่อข้าพระองค์ถูกถักทอขึ้น ในห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลก 16 พระเนตรของพระองค์ทรงเห็นข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทุกวันคืนที่กำหนดไว้ สำหรับข้าพระองค์ ทรงบันทึกไว้ในสมุดของพระองค์ ก่อนที่วันเหล่านั้นจะมาถึง”

 

เหมือนไหม? เหมือนกันไม่มีผิด ตอนที่เราจะมีครอบครัว อยากจะมีลูก มันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? เราเตรียมทุกอย่าง  ทุกคนไปซื้อมาก่อนแล้ว ซื้ออะไร? ซื้ออุปกรณ์ แล้วในที่สุด ก็ต้องไปเปลี่ยน เพราะนึกว่าเป็นผู้ชาย ดันเป็นผู้หญิง แต่รักหมดแหละ เห็นไหม?  เราก็เตรียมอย่างนี้แหละ นี่คืออะไร? นี่คือหัวใจของพระเจ้าที่สร้างเรามา พระองค์ทรงถักทอข้าพระองค์ขึ้น ในครรภ์มารดา ถักทอ

คุณเข้าใจคำว่า “ถักทอ” ไหม? ถักทอ แปลว่าทีละนิดๆ  ถักทอคำนี้เขาใช้กับคำว่าอะไรรู้ไหม? เขาเรียกอะไร? ถักโครเชต์ ภาษาไทย ก็คือถักโครเชต์ เสื้อถัก เสื้อไหมพรมถัก มีใครไหมถักเร็วมากๆ แป๊บเดียวเสร็จ ถักแปลว่านาน ประณีต ทีละนิดๆ ถักไปเรื่อยๆ ตัวหนึ่งอาจจะใช้เวลา ตั้งเป็นปี เป็นเดือน ถักไปเรื่อยๆ นี่แหละ พระเจ้าสร้างเรา

พระคัมภีร์ต้องการให้เราเห็นภาพว่าพระเจ้าประณีตในการสร้างเราขนาดไหน?  พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยพระองค์เอง ทั้งหมดนะ ที่ว่าสวยงามแล้วนะ ยังสู้ท่านไม่ได้เลย เพราะว่าพระองค์ให้ความสำคัญของท่านมากกว่านั้นตั้งเยอะ พระองค์ไม่ได้ถักทอดวงอาทิตย์ทีละนิดๆ  พระองค์สั่งให้มันเกิด มันก็เกิดนะ แต่ท่านคนเดียว พระองค์ต้องใช้เวลาตั้งเท่าไร? ผมไม่รู้

“ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างมหัศจรรย์ น่าครั่นคร้าม”

สร้างท่านอย่างมหัศจรรย์ และน่าครั่นคร้าม แบบมันเหลือเชื่อ พูดง่ายๆ แบบเหลือเชื่อ

“เมื่อข้าพระองค์ถูกถักทอขึ้น ในห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลก”

แอบไปทำอะไรบางอย่าง งานฝีมือ แบบไม่มีใครรู้เลย  ทำอะไร? สร้างท่าน แต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ทุกคนพระองค์เข้าไปในห้องส่วนตัว เข้าไปในห้องส่วนตัว ห้องแล็ปส่วนตัวเลย สร้าง ถักตรงนั้น ถักตรงนี้ เสื้อตัวนี้เสร็จเมื่อไร ไม่รู้ แต่ถักเป็นพิเศษ เสร็จออกมา ชื่อ “นคร” ตัวต่อมา ชื่อใคร? ชื่อท่านนั่นแหละ ท่านอาจจะถูกถักก่อน ผมว่าท่านอาจจะแก่กว่าผมแล้ว ท่านอาจจะถูกถักๆ ทีละตัวๆ ที่ไหน? ที่ส่วนล้ำลึก ก็คือที่ห้องส่วนตัวของพระเจ้า ผมอยากจะบอกท่าน พยายามให้ท่านได้รู้เรื่อง พาท่าน อธิบายภาษาง่ายๆ ให้ท่านได้เห็นว่ามันแปลว่าตรงนี้ ส่วนลึกๆ มันหมายถึงห้อง ภาษาราชาศัพท์เขาเรียกอะไรนะ ห้องรโหฐานของพระองค์  ห้องล้ำลึกของพระองค์เงียบๆ ตรงนั้นแหละ ห้องส่วนตัว

“ไม่มีใครรู้ ลูกของฉัน น่ารักจัง ลูกเป็นอย่างไรหนอ”

เหมือนแม่ที่ดูลูกในท้อง แล้วก็คลำอยู่ตลอดเวลา เงียบๆ อยู่คนเดียว หน้าตาเป็นอย่างไรหนอ 9 เดือน คล้ายๆ อย่างนั้น

ยกมาให้ท่านดูทีละนิด เพื่อจะได้เห็นความมหัศจรรย์ ความรัก และการมีคุณค่าในตัวของท่าน ที่พระเจ้าได้ให้เอาไว้

“พระเนตรของพระองค์ ทรงเห็นข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง”

เข้าใจใช่ไหมครับว่าเป็นอะไร? พระเนตรของพระองค์ ก็คือพูดง่ายๆ ตาพระองค์เห็นเราตั้งแต่เรายังไม่เกิด เหมือนไหม? เหมือนลูกเราไหม? เรานึกภาพ ลูกเราคงเป็นอย่างนี้ๆ  พระเจ้าเห็นภาพก่อนแล้ว เหมือนศิลปินที่จะทำอะไรต่างๆ เขาต้องเห็นภาพ ในมโนภาพของเขา และเขาต้องเห็น เขาจึงจะจินตนาการตามภาพที่เขาเห็น เขียนอย่างนี้ มันต้องเป็นอย่างนี้ ตรงนี้ต้องสวยอย่างนั้น เหมือนเวลาผมแต่งเพลง ผมต้องคิดก่อนว่าเพลงนี้มันจะต้องเพราะอย่างนี้ มันต้องอย่างนี้ มันต้องเห็นอย่างนั้นก่อน ถึงจะทำทีหลัง ไม่ใช่ทำไปเห็นไป ไม่ใช่ มันต้องมีใจลึกๆ รักในสิ่งนั้น แล้วรู้ว่ามันคืออะไร? แล้วก็ทำให้มันเป็นไปตามภาพในจิตวิญญาณของเขา พระเจ้าก็ทำกับเราอย่างนี้ แต่ละคนไม่เหมือนกัน  ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนเลย  และไม่ซ้ำแบบ

ถักนครเสร็จ ไปถักอีกคนหนึ่ง ถักเหมือนกันเลย อย่างนี้ไม่เรียก Masterpiece อย่างนี้ไม่เรียกว่าผลงานชิ้นเอก อย่างนี้เรียกว่าของโหล ปั้มเอานี้หว่า ของปลอม ตำรวจจับ อย่างนี้ของปลอม ถ้าของจริงไม่ใช่ แต่ละชิ้นไม่เหมือนกัน มันถึงมีราคาไง

ตอนที่อ่านเอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่า “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า” ใช่ไหมครับ? หรือภาษาอังกฤษบอกว่า “Masterpiece” อาจไม่ค่อยเห็นภาพชัดเท่าไร? แต่พอได้มาอ่านถ้อยคำเมื่อตะกี้ คราวนี้ ทำไมท่านรู้แล้วว่าคำว่าท่านเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระเจ้า ท่านพองตัวใหญ่เลยนะ รู้สึกหรือยังว่ามีค่า หรือว่ายังรู้สึกว่าไม่มีค่าเหมือนเดิม พูดมาตั้งนานแล้ว พูดให้ชื่นใจหน่อย มีค่าขึ้นไหม? เห็นแต่ละคนอกใหญ่ขึ้น ตะกี้ฟังไปตอนแรกๆ ทำไมเหี่ยวอย่างนั้น ตอนนี้รู้สึกฮึกเหิม

พูดพร้อมกันสิ “ฮึกเหิม”

รู้ว่าเรามีค่าอย่างไร? ใช่ไหม?

ปฐมกาลเมื่อตะกี้บอกว่าพระเจ้าสร้างอย่างอื่น ใช้คำว่า “ตรัส” “จงเกิด” ทุกอย่างก็เกิดขึ้น แต่พอสร้างมนุษย์ พระเจ้าบอกว่า “ปั้นและถักทอเขาขึ้นมา” พอเห็นภาพงานศิลปะไหม? อย่างที่ผมบอก อย่างนี้เรียกว่าศิลปะใช่ไหม?  แล้วก็ไม่ใช่งานฝีมือหรืองานศิลปะแบบทั่วๆ ไป  แต่เป็นงานศิลปะเป็นแบบ Masterpiece คือเป็นผลงานชิ้นเอก อย่างที่ผมบอกแล้ว ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

ทุกท่านคงรู้จักภาพนี้นะครับ ผมเอามาให้ท่านดู ภาพนี้คือภาพ … ภาพใครครับ? คุณน้าโมนาลิซ่า เขาเอาไปใช้ชื่อเยอะเลย คุณน้าบ้าง คุณป้าบ้าง แต่จริงๆ ภาพนี้คือภาพโมนาลิซ่า ดังมาก ใครเป็นคนวาดภาพ? ลีโอนาร์โด ดาวินชี แล้วท่านคิดว่าภาพโมนาลิซ่าที่เป็นต้นฉบับ  ที่วาดโดยดาวินชี จะมีมูลค่าสักเท่าไร? ต้นฉบับนะ  Masterpiece  ของก๊อปไม่เอานะ เอาแต่ของแท้มีอันเดียว  ดาวินชีไม่ได้ทำอย่างนี้ ไม่ได้ทำเยอะนะ ทำอันเดียว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? ไม่ทำซ้ำ นึกออกใช่ไหมว่ามีมูลค่าเท่าไร? มันมีค่ามหาศาล จนกระทั่ง ประเมินคุณค่าไม่ได้เลย  นี่ขนาดฝีมือมนุษย์นะ

ข้อมูลของภาพนี้ ก็คือโมนาลิซ่า วาดโดยลีโอนาร์โด ดาวินชี เป็นภาพที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ภาพหนึ่งที่รู้จักในฐานะของภาพของสุภาพสตรี ที่มีรอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะหรือยิ้มแบบร้องไห้กันแน่ ปัจจุบัน ต้นฉบับของภาพนี้อยู่ในความครอบครองดูแลของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หามูลค่าไม่ได้เลย มากมายมาก ภาพนี้ เป็นภาพที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?

          ท่านลองคิดดูนะครับ ขนาดศิลปินดัง ไมเคิล แองเจโล,  ดาวินชี ซึ่งแต่ละคนจะมีผลงานชิ้นเอก หรือ Masterpiece ของตนเองนะครับ   และผลงานชิ้นเอกของศิลปินเหล่านี้  ต้องเรียกว่ามีมูลค่ามหาศาลมากมาย ประเมินค่าไม่ได้ เพราะเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์หมดเลยนะครับ  แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่ท่านเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของศิลปิน ผู้มีนามว่าพระเยโฮวาห์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปินผู้นี้ … เฉยๆ เลย  ไม่ปรบมือเลย ไม่ภูมิใจเลยเหรอ หรือภูมิใจจนกระทั่งตะลึง คิดอะไรไม่ออก

 

“ไม่นึกเลยว่าฉันจะมีค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่า ฉันมีค่ามากกว่ารูปบนผนังเพดานของเซนต์ปีเตอร์ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ที่ไมเคิล  แองเจโลวาด ฉันมีค่ามากกว่านั้นเหรอ”

ใช่ บอกว่าใช่เลย เพราะว่าพระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น เมื่อท่านดูความงามของธรรมชาติ ใครเคยดูความงามของธรรมชาติบ้าง ทุกคนได้ดูหมดแหละ ดูมากดูน้อย แล้วแต่คนที่ไปเที่ยว หรือไม่เที่ยวเลย  ก็เห็น … เห็นความงามเยอะแยะมากมายไปหมด ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ใบหญ้า สวยงาม ใครเป็นคนสร้างเหล่านั้น  แล้วท่านมีค่ามากกว่านั้นอีก

วันก่อนนี้ ผมได้ไปเล่นน้ำในทะเล โอโห้! แค่เห็นทะเล แล้วอากาศมันดี ทะเล คลื่นเล็กๆ ว่ายน้ำในทะเล ตอนเช้า สรรเสริญพระเจ้า ทำไมมันงดงาม ทะเลที่พระเจ้าสร้าง เมฆต่างๆ ประมาณสัก 9 โมงเช้า ทันทีทันนั้น ฝนไม่ตก แต่เหมือนกับฝนตก แต่มันไม่ตก ทันทีทันใดนั้น มันก็มีรุ้งน้ำ ครอบทะเล มองออกไปนอกฝั่ง ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  สวยไหม?  สวยหรือไม่สวย?  ท่านไม่เห็น ท่านรู้ได้อย่างไร?  ท่านรู้ ท่านเคยเห็นบ้าง มันเหลือเชื่อจริงๆ มันสวยมาก  นั่นคือหนึ่งในจำนวนที่เคยเห็นในชีวิต อย่างอื่นๆ อีกมากมายในธรรมชาติ ที่สวยงาม และพระคัมภีร์บอกสิ่งเหล่านี้ ใครสร้าง? พระเจ้าสร้าง และสร้างเราสวยกว่านั้นอีกตั้งกี่เท่าก็ไม่รู้ เห็นภาพตัวเราเองอยู่กลางรุ้งเลย สร้างเหล่านั้น เพื่อให้สนับสนุนเรา

เราย้อนกลับมาที่ภาพโมนาลิซ่าอีกครั้ง เห็นไหม? สมมติพระเจ้าสร้างท่าน … ท่านเป็นโมนาลิซ่า ภาพนี้  รุ้งกินน้ำ หรือดวงดาว ดวงอะไรต่างๆ ที่ท่านบอกว่าสวยงาม เหมือนต้นไม้รางๆ ข้างหลังภาพ ท่านพอมองเห็นไหม? ทางขวามือสุดๆ เงาๆ ลึกๆ นั้น มันต่างกันกับความงามของโมนาลิซ่าไหม? ท่านพอเข้าใจไหม?  ที่ผมกำลังพูดให้ท่านเห็นความแตกต่างระหว่างคุณค่าของท่านกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมดว่ามันยิ่งใหญ่แล้วนะ ท่านใหญ่กว่านั้น ท่านสำคัญกว่านั้น ท่านมหัศจรรย์กว่านั้นตั้งเท่าไร?

แล้วท่านคิดว่าตัวท่านเอง ถ้ารู้อย่างนี้ ท่านมีค่าขนาดไหน? ควรจะเก็บท่านเข้าพิพิธภัณฑ์ไหม? ท่านมีค่ามากไหม? ไม่ต้องแต่งงานแล้ว เก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ไปเลยดีไหม? พูดเล่น อันนี้พูดเล่น ตะกี้นี้บอกของมีค่ามากจนขายไม่ได้  ต้องเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ ดูแลรักษาอย่างดี ท่านมีค่ามากกว่านั้นเท่าไร?  ท่านลองคิดดู ถ้าท่านรู้อย่างนี้ แล้วแต่ละคนทำไม? ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร

พูดอีกครั้งหนึ่ง  “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร”

แต่ที่น่าเสียใจ ก็คือมีคริสเตียนจำนวนไม่น้อย ที่ยังมีความคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า หรือไร้ค่า ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าเขายังไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาไงว่าเขา คือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล ประเมินค่าไม่ได้ ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ไม่มีการทำซ้ำอีกแล้ว มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ที่พระเจ้าสร้างและใส่ไว้ในชีวิตของคนๆ นั้น เอเมน รู้หรือยังตอนนี้ รู้แล้ว

ถ้าคริสเตียนไม่รู้ พอไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง ก็คือไม่รู้ตัวว่าเรามีค่าขนาดไหน? เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า หลายคนก็เลยทำไหม?  ก็เลยเป็นคริสเตียนแล้ว มีคุณค่าแล้ว แต่ไม่รู้ตัว หลายคนก็เลยพยายามที่จะหาหนทาง ทำให้ตัวเองมีค่าด้วยตัวเอง  เคยไหม? เราเคยทำไหม? หรือเราเคยเห็นใครทำไหม? ทุกคนมีส่วนอยู่ในการกระทำอย่างนี้ ทั้งนั้น มากหรือน้อยเท่านั้นเอง

หลายคนก็พยายามหาหนทาง สร้างค่าให้ตัวเอง ทั้งๆ ตัวเองมีค่าอยู่แล้ว คือคิดเองตามระบบโลกว่าต้องทำแบบนี้นะ ถึงจะเรียกว่าคนที่มีคุณค่า คืออะไร? คือต้อง … ภาษาไทยเขาเรียกว่าเสแสร้ง คุ้นๆ คำนี้ไหม? มาแล้ว ชักแรงแล้วนะ หลอกชาวบ้านเขา หลอก เสแสร้ง หลอกตัวเองด้วย หลอกชาวบ้านเขาด้วย มันไม่ใช่หลอกแบบหลอกลวง ไปขโมยเขา ไม่ใช่ ไม่ได้ความหมายนั้น นี่หมายถึงเสแสร้งให้คนยอมรับเรา ให้เรามีคุณค่าขึ้นมา

ไม่มีกำลังจะซื้อของแบรด์เนม รู้จักของแบรด์เนมใช่ไหม? ของแบรด์เนม ภาษาไทยเขาเรียกว่าของมียี่ห้อ พวกเศรษฐีเขาใช้กัน แต่เราเป็น “เศษ” ไม่มี “ฐี” แต่เราอยากจะใช้แบรด์เนม จะได้เข้าสังคมเขาได้ ก็ไปซื้อแบรด์เนมที่เป็นของปลอมมาใส่ อุตส่าห์ไปซื้อของปลอมมาใส่ เพื่อให้คนอื่นมองว่าเราก็ใช้แบรด์เนมเหมือนกันนะ เพราะคิดว่าการที้ใช้แบรด์เนม จะทำให้เราดูมีค่าขึ้นมา ดูสวยขึ้นมา ดูดี มีฐานะ

พูดถึงฐานะยิ่งชัดเจน บางคนขับรถ ใช้รถ ไม่ได้ว่าใครนะ บางคนใช้รถราคารถมันเกินกว่าทรัพย์สินอยู่ อุตส่าห์ไปผ่อนมา เกินกำลังมาก รถถูกกว่านี้ก็มี แต่เราจะใช้หรูๆ เพราะจะได้มีระดับ

นี่คือไม่รู้ตัวตน ทุกคนเป็นหมดล่ะ เป็นมากหรือน้อย นี่ยกตัวอย่างนิดๆ หน่อยๆ เพราะผมกลับบ้านไม่ได้ แต่ละคนตาเริ่มเขียว ทั้งๆ ที่สัญญากันแล้ว ผมเลยไม่อยากยกเยอะ

บางคนชัดเลย อันนี้โดนหลายคนเลย โทรศัพท์มันก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นอะไรเลย เปลี่ยนรุ่นใหม่ เปลี่ยนรุ่นใหม่ เพราะอะไร? เพราะเพื่อนๆ ที่ห้องเรียนเขาใช้กันอย่างนี้ทั้งหมด เห็นไหม? นี่คืออะไร? ก็ไม่รู้คุณค่าของตัวเขาเอง  แล้วคนที่พูด คือใคร? ไม่รู้ ในห้องเรียนเขาพูดกันอย่างนี้  ว่าอย่างนี้มันเชยแล้ว ปรากฏว่าในห้องเรียนนั้น ไม่มีใครเป็นคริสเตียนสักคน มีตัวเขาเองเป็นคริสเตียน เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองมีค่าที่สุดกว่านักเรียนที่เหลือ ที่พูดทั้งหมดเลย เขาควรจะบอกนักเรียนที่เหลือบอกว่า

“ฉันมีค่ามากเลย พวกเธอควรมีพระเยซูนะ ฉันมีพระเยซูแล้ว ฉันมีค่ามาก เพราะฉันเป็นผลงานชิ้นเอกในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่แล้วนะเนี้ย สวยงามขนาดไหนนะ”

แทนที่จะพูดอย่างนี้ เขาไม่รู้ตัวเอง เขากลับไปพูดว่าเขาอยากจะอยู่กับเพื่อนๆ … เพื่อนๆ บอกในสังคมนี้เขาต้องใช้โทรศัพท์ 5 พลัส 6, 7 พลัส เราก็พลัสกับเขาบ้าง? พลัสไปพลัสมา เสียเงินเปล่าๆ ใช้อะไรก็ไม่รู้เรื่อง ใช้นิดๆ หน่อยๆ แต่ดันไปซื้อแพง ไม่ได้ว่าใครนะ

เห็นไหม? เพราะเข้าใจผิด คิดว่านั่นคือตัววัดคุณค่าของเราเอง ทำให้เราเองมีคุณค่าขึ้นมา เขาเรียกว่าเสแสร้ง มันเป็นทุกคนแหละ มากหรือน้อยเท่านั้นเอง มันเป็นทุกคน มนุษย์เราทุกวันนี้ มันมองเห็นสิ่งต่างๆ  เหล่านี้ วัตถุสิ่งของเหล่านี้มีค่ามากกว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา เพราะเราถูกหลอกไง?

เพราะฉะนั้น การมาเรียนรู้เรื่องพระเจ้าว่าเราเป็นใครในพระเจ้า … พระเจ้ามองเราอย่างไร? พระเจ้าสร้างเราอย่างไร?  มันทำให้เรารู้คุณค่าของเราเอง และเมื่อเรารู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใครเลย เราจะทำไม? เราจะภูมิใจ เราไม่ต้องสร้างมูลค่าของเราเองขึ้นมา เพราะพระเจ้าให้เรา และมูลค่าเราเป็นเพชร เป็นพลอย เอเมน ใช่ไหม?

          ท่านรู้ไหม พระเจ้าพูดอย่างไร? เมื่อมองเห็นท่าน พระเจ้าบอก ภูมิใจในผลงานชิ้นนี้มาก ภูมิใจมาก ตรงนั้นก็สวย ตรงนี่ก็สวย เหมือนผมแต่งเพลงมา ผมก็โอโห้! เพราะมาก ใครจะว่าอย่างไร? ผมไม่รู้ แต่ผมแต่งเอง ผมก็บอกว่าเพราะมาก เพราะจริงๆ บางคนอาจจะบอกว่าบ้าตัวเอง หลงตัวเอง แล้วจะให้ไปบ้าคนอื่นทำไมล่ะ  เพราะเราสร้างของเราขึ้นมา เราก็ต้องรู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ไม่รู้ใครจะดีหรือไม่ดี ไม่รู้ แต่เพลงที่เราแต่ง ที่เราร้อง มันเพราะที่สุดของเราแล้ว เอเมน  เพราะอะไร?  เพราะเราไม่ได้ลอกใคร มันเป็นของเราเอง เป็นของแท้

          “ใครจะร้องดีกว่านี้ เป็นนักร้องยอดเยี่ยม นิยมจากเวทีไหนไม่รู้ ร้องยังไง ก็เพราะสู้ฉันไม่ได้หรอก”

 

“เพราะอะไร?”

“เพราะฉันเป็นคนสร้างเพลงนี้เอง เอเมน”

พระเจ้าก็เหมือนกัน สร้างท่าน เป็นผลงานของพระองค์เอง ไม่มีใครดีกว่าท่านอีกแล้ว เข้าใจไหม? ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกันว่าคนนี้สวยกว่าๆ

“สวยสู้ฉันไม่ได้ แล้วกัน  (แบบเฉพาะของฉันนะ) ที่พระเจ้าสร้าง”

เข้าใจไหม?  สังคมบอกอย่างนี้สวยกว่า ไม่ใช่ ไม่ต้องไปฟังสังคม ฟังพระเจ้าพูด พระเจ้าบอก

“อย่างเธอต้องแต่งอย่างนี้  ตัวไม่ต้องสูงมาก”

อะไรอย่างนี้  ถูกไหม? เราก็ไม่ต้องไปตัดขา พยายามต่อขาให้ยาว ให้จมูกเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องทำจมูกมากกว่านี้  ก็แค่นั้นแหละ พระเจ้าบอกสวยมาก สังคมเขาจะว่าอย่างไร? เรื่องของเขา  แต่พระเจ้าบอกไว้แล้ว ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน  “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

พูดตามผมนะครับ “พระองค์ภาคภูมิใจในนคร …. (ใส่ชื่อท่าน) อย่างมาก พระองค์ภาคภูมิใจในผลงานชิ้นเอกคุณนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผลงานชิ้นเอก พระองค์ภาคภูมิใจในนคร … (ใส่ชื่อท่าน) มากเลย  ทำไมลูกคนนี้หล่อ (สวย) อย่างนี้”

ใส่ชื่อท่าน หัวเราะทำไมล่ะ  จะให้ผมพูดอย่างไร?  พูดสิ สวยๆ หล่อ ไม่กล้าพูดอีก ท่านยังไม่มั่นใจตัวเองเลย พระเจ้ามั่นใจกว่าท่านมาก พูด ไม่มั่นใจอีก แสดงว่าท่านถูกสังคมหลอกนานแล้วสิ หลอกมา 60, 70 ปีเลยใช่ไหมว่า “ไม่หล่อๆ” เลยไม่กล้าพูด “ไม่สวยๆ” ไม่กล้าพูด วันนี้เปลี่ยนใหม่ ความจริงมาทำให้เป็นไทแล้ว The truth shall make you free. ก็คือความจริงทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านนะสวย, หล่อที่สุดแล้ว  บอกสิ  ไม่กล้าพูดอีก

“สวย, หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นแบบเฉพาะของฉัน” ใช่ไหม?

เพราะถ้าเราสามารถเชื่อและมั่นใจว่าเราเป็นใครในพระเจ้า เชื่อว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า เรามีคุณค่ามากมายมหาศาล มากกว่ารูปโมนาลิซ่าเมื่อตะกี้นี้ เมื่อเรามั่นใจอย่างนี้ เราก็จะไม่ต้องดิ้นรน ไม่พยายามที่จะเสแสร้งหลอกคนอื่น เราก็จะเป็นตัวของเราเองมากขึ้น เป็นอิสระมากขึ้น

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้ และคุยกันบ่อยๆ ในเรื่องนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงตั้งใจสร้างเราขึ้นมาให้เป็น Masterpiece หรือเรียกว่าผลงานชิ้นเอกที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดดังๆ เลย “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

เพราะฉะนั้น เราควรจะมีความเชื่อ และมั่นใจในลักษณะเดียวกันกับที่เรามั่นใจว่าเราเป็นคนไทยหรือเปล่า?  ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? ถามจริง? จริง มั่นใจไหม? ถามอีกที ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? มั่นใจขนาดไหน? คิดในใจว่าที่ท่านพูดว่าจริงเมื่อตะกี้นี้ว่า

“ฉันเป็นคนไทย”

ท่านมั่นใจขนาดไหน?  ท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่ไม่มีใครสวย ไม่มีใครหล่อกว่าท่านอีกแล้ว ท่านมั่นใจไหม? มั่นใจ … มั่นใจกว่าตะกี้นี้ไหม? เท่าที่ท่านเชื่อว่าท่านเป็นคนไทยไหม?  เท่ากันไหม? คิดเองก็แล้วกัน กลับไปบ้าน ไปพูดหน้ากระจกว่าท่านมั่นใจไหม? ถ้าท่านมั่นใจพูดไปเลย  ต่อหน้าคนมหาศาล ท่านสามารถพูดได้ไหมว่าท่านเป็นไทย?

สมมติว่าให้ท่านขึ้นไปบนธรรมาส หรือบนเวที ท่านสามารถพูดได้ไหมว่า.-

“ผมเป็นคนไทย” หรือ “ฉันเป็นคนไทย”

สามารถไหม? สามารถ ท่านขึ้นไปเวทีเดียวกัน บอก.-

“ฉันเป็นคนสวยที่สุด” กล้าไหม?

เห็นไหม? ไม่กล้า ทำไมล่ะ  อันนี้ไม่ได้ว่าใครนะ เราพูดให้ฟัง อยากให้เราเห็นภาพที่แท้จริงของเรา ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด ไม่ได้ว่าใคร? ผมก็เป็น แต่เรามาเรียนรู้ที่เราจะฝึกฝน ที่เราจะเป็นน้อยหน่อยไง เข้าใจใช่ไหม?  ไม่ใช่ว่าพอพูดเสร็จ ต่อไปนี้ผมไม่ต้องโกรกผม … ผมก็จะไปโกรกเหมือนเดิม ทำไมหล่อ แล้วไปโกรกทำไม? วันนี้ คือวันที่พระเจ้าจัดไว้ว่าโกรก ก็ทำไปสิ แต่มั่นใจในตัวเอง  มันไม่ได้สวยขึ้นหรอก พระเจ้าทำให้สวยอยู่แล้ว โกรก แล้วเราดูดีขึ้น เราเองนะดูดีขึ้น ใจเราสบายใจขึ้น ถึงไม่โกรกมันก็ดีอยู่แล้ว แต่โกรก เราสบายใจขึ้น ไม่ได้ดีอะไรกว่าเดิมเรา เราก็ยังคงเป็นเราเหมือนเดิมนั่น นครก็ยังเป็นนครเหมือนเดิม จะนครผมขาวหรือนครผมดำ มันก็นครคนเดิม ที่พระเจ้าสร้างเป็น Masterpiece เป็นคนที่ไม่เหมือนใคร เป็นมนุษย์ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน และ … ที่สุดเลย  ท่านก็ไปเติมของท่านแล้วกัน เข้าใจใช่ไหมครับ?  ผมจะบอกว่าเราอยู่ในกระทะเดียวกัน ไม่ได้พูดเพื่อจะไปบอกใครว่าใครแย่กว่ากัน หรือเราแย่กว่าใคร เราไม่มาเปรียบเทียบกันแล้ว เราเห็นภาพชัดเจน พระเจ้าสร้างทุกคน มีเอกลักษณ์ของแต่ละคน จึงไม่มาเปรียบเทียบกันไง เปรียบเทียบกันไม่มีประโยชน์ เปรียบเทียบกันได้อย่างไร? ใครสวยกว่ากัน? ภาพโมนาลิซ่ากับภาพของไมเคิล แองเจโล เปรียบไม่ได้  เพลงไหนเพราะกว่ากัน ต่างคนต่างเป็นของแท้ เพลงนี้กับเพลงนี้ เทียบกันไม่ได้ มันคนละลักษณะกัน

เพราะฉะนั้น ให้เรามั่นใจ ให้เรารู้ว่าเรานั้นมีค่าที่สุดในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ให้เรามั่นใจเหมือนที่เราพูดกับผู้คนทั้งหลาย 100% ว่าเราเป็นคนไทย แม้ว่าหน้าตาเราจะเหมือนคนต่างด้าว แต่เราก็ยังเป็นคนไทย จะมาชี้อะไรต่างๆ เราก็อาจจะเกรี้ยวกราดกับตำรวจ

“ฉันเป็นคนไทย ไม่รู้หรือไง”

“ทำไมหน้าตาเหมือน …”

“เหมือนอย่างไร ฉันก็ยังเป็นคนไทย”

มั่นใจไหม?  เหมือนกัน

“ฉันเป็นการฝีมือของพระเจ้า สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว ใครจะพูดอย่างไร ฉันไม่รู้หรอก”

เอเมน … เข้าใจใช่ไหม?

อย่างบางคนที่เกิดมามีส่วน หรือลักษณะในร่างกายที่เสียหายไป จงมั่นใจว่าพระเจ้าสร้างท่านมาอย่างนั้น ท่านก็เป็นชิ้นพิเศษชิ้นหนึ่งที่มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้ามาก และถ้าเรารู้อย่างนี้ ท่านคิดดู ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปเลย เราจะเห็นคุณค่า

“พระเจ้าสร้างเรา เพราะมีความต้องการอะไรบางอย่างในชีวิตของฉัน สร้างฉันเพื่ออะไร? เพื่อจะใช้ฉันในอนาคต ถ้าฉันไม่ตาบอด ฉันก็อาจจะแต่งเพลงนี้ไม่ได้หรอก”

เข้าใจใช่ไหม?

“ถ้าฉันไม่เป็นอย่างนี้ พระเจ้าก็จะไม่สามารถใช้ฉันให้เป็นประโยชน์อย่างนั้นได้”

มันต้องมีเหตุอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เราเป็นอะไรบางอย่าง เพื่อพระเจ้าจะใช้เราไง เอเมน … เอเมนไหม?

ให้เราลุกขึ้นยืน แล้วพูดตามผมนะ พูดด้วยความมั่นใจ เหมือนที่ท่านบอกว่าท่านเป็นคนไทย? เข้าใจใช่ไหม? เข้าใจความรู้สึก สภาพที่ว่าถ้าใครมาบอกท่านเหมือนคนต่างด้าว ท่านจะบอกเขาว่า

“ฉันเป็นไทย”

ท่านมั่นใจมาก ให้ท่านพูดอย่างนั้นนะ พูดตามนะครับ ใส่ชื่อท่านเอง เวลาผมใส่ชื่อผม

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า”

นี่คนไทยหรือเปล่าเนี้ย ทำไมตอบแค่นี้เอง  พูดแค่นี้เองเหรอ เขาบอกว่าท่านเป็นต่างด้าว ไม่ให้ท่านเข้าเมือง ไม่ให้เข้าประเทศนี้แล้วนะ ท่านจะตอบเขาอย่างนี้  ไม่ให้ท่านเข้าแล้วนะ รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเลยนะ ท่านเข้าใจไหม? ให้ท่านพูดด้วยความมั่นใจว่าตอนนี้ มีความรู้สึกว่าท่านกำลังไปเมืองนอกกลับมา  เขาไม่ให้ท่านเข้าเมือง เขาบอกว่าท่านเป็นคนต่างด้าว ท่านบอกเขาว่าอย่างไร?

“ฉันเป็นคนไทย”

พูดนะ พูดชื่อท่านนะครับ

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวนคร … (ใส่ชื่อท่าน) หล่อ (สวย) ที่สุดแล้ว หล่อ (สวย) กว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว นคร … (ใส่ชื่อท่าน) แก้วตา ดวงใจของพระเจ้า”

คืออยากให้ท่านมีความมั่นใจ เอาอย่างนี้ไปพูดหน้ากระจกบ่อยๆ ได้ไหม? ได้ อย่าให้ใครฟังเหรอ ใครจะฟังช่างเลย มันเรื่องจริง ใช่ไหม? นะ เอาไปพูดบ่อยๆ หมั่นพูดอย่างนี้เสมอ  แล้วก็ติดตามตอนต่อไป  ตอนโน่นตอนนี้ต่อไป ในเรื่องเกี่ยวกับเรื่องว่าเราเป็นตัวตนในพระคริสต์อย่างไร? เอาไปพูด … พูดให้เกิดความมั่นใจ ถ้าเราไม่พูด เราจะกลัวโน่นกลัวนี่ แล้วเราก็ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับชาวบ้านเขา เพราะเรามีค่ามากที่สุดแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าสร้างเราอย่างมีคุณค่าในชีวิตจริง เราอาจจะขับรถเก่าๆ หรือแม้กระทั่งไม่มีรถขับเลย ต้องนั่งรถเมล์ เราก็มีค่ามากมายมหาศาลสำหรับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นแก้วตาดวงใจที่พระองค์รักที่สุดแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยน ไม่ว่าท่านจะนั่งรถเมล์หรือขี่รถเบนซ์ พระเจ้าสร้างท่านพิเศษเฉพาะสำหรับท่าน เอเมน

วันนี้ให้เรามั่นใจตรงนี้นะครับว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีค่ามากมายมหาศาล พระเจ้าสร้างท่านด้วยความระมัดระวัง ด้วยความรักทะนุถนอม ด้วยความทุ่มชีวิตของพระองค์ลงไป เพื่อสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะท่านคนเดียวเลยนะ ท่านอย่าคิดว่าท่านนิสัยตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี หน้าตาตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี พระเจ้าบอกดี โอเค ใช้ได้ ยอดเยี่ยมเลย ดีๆ เชื่อให้ได้อย่างนี้ เหมือนที่เชื่อว่าเราเป็นคนไทย แล้วการดำเนินชีวิตทุกอย่างจากนี้ต่อไป ท่านจะเปลี่ยนไป ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ เพราะท่านรู้คุณค่าของตัวเองว่า.-

“พระเจ้าสร้างฉันอย่างไร? ฉันอยากจะสรรเสริญพระเจ้าที่สร้างฉันอย่างงดงามอย่างนี้ เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2015 เรื่อง “พระเยซูคริสต์ มนุษย์ผู้ไม่มีบาป” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  ธันวาคม  2015

 เรื่อง “พระเยซูคริสต์ มนุษย์ผู้ไม่มีบาป”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เราจะฟังคำบรรยายในวันนี้นะครับ ชื่อเรื่องว่า “พระเยซูคริสต์ มนุษย์ผู้ไม่มีบาป” เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเยอะเลย  เกี่ยวกับเรื่องราวของการประสูติของพระเยซู คำถามที่หลายๆ คนเคยสงสัย ผมก็ได้ตอบไปบ้างแล้ว ในสัปดาห์ที่แล้ว เท่าที่พอจะค้นหาได้ ทั้งจากพระคัมภีร์และจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ครั้งที่แล้วจำได้ใช่ไหมครับ?

เรามาทบทวนสักนิดหนึ่งนะครับว่าเราได้ตอบคำถามอะไรไปบ้าง? เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ถือว่าเป็นการตอบคำถามร่วมกัน เป็นการบรรยายร่วมกัน

ถ้าถามว่า “ทำไมต้องมีวันคริสตมาส?”

ทุกคนก็ทราบว่าวันคริสตมาส ก็คือวันที่พระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ มาเกิดเป็นมนุษย์ นี่คือหัวใจหลักของวันคริสตมาส

“แล้วทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์?”

คำตอบที่เราได้รับ ก็คือเพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป  ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่านี่เป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปเวรกรรม รอดพ้นจากโทษของบาปเวรกรรม รอดพ้นจากการได้รับโทษ จากการกระทำความผิดนั่นเอง คือมีโทษ ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่าสาปแช่ง พ้นจากคำสาปแช่งของบาปเวรกรรม ของมนุษยชาติ พระเยซูมาเพื่อสิ่งนี้

พระเยซูสามารถทำตรงนี้ได้ เพราะว่าพระเยซูไม่มีเชื่อบาป เพราะว่าเป็นพระเจ้า แต่มนุษย์ทุกคนมีเชื่อบาปของเวรกรรมอยู่ ก็คือมีเชื้อบาป เชื้อที่จะต้องถูกลงโทษ พูดง่ายๆ ว่าติดหนี้เขา จะต้องใช้หนี้เขา เรียกว่าเชื้อบาป มนุษย์ทั้งปวงติดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเลย การไถ่บาป ที่จะไถ่บาปให้มนุษย์รอดพ้นจากโทษบาปเวรกรรม ก็จะต้องมาจากมนุษย์ มาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกัน มาจากทูตสวรรค์ไม่ได้ ต้องมาจากมนุษย์ … มนุษย์ต้องเข้ามาช่วยมนุษย์ … มนุษย์เท่านั้นจึงจะเป็นตัวแทนของมนุษย์ด้วยกันได้  พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมารับโทษบาปแทนมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้

คำถามต่อไป คือ “พระเยซูที่เป็นมนุษย์ มีอะไรพิเศษ แตกต่างจากคนอื่น ทำไมจึงมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ได้?”

คำตอบเรารู้แล้ว ทำไมมาไถ่บาปให้กับมนุษย์? มนุษย์ทุกคนมีเชื้อของความบาปอยู่ในเขา แต่พระเยซูเป็นมนุษย์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ไม่มีเชื้อของบาปเลย สัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้ตรงนี้

แล้วก็ถามว่า “แล้วทำไมพระเยซูจึงไม่มีบาป?”

คำตอบ ก็คือเพราะพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่ลงมา เรียกว่าจุติ เกิดในหญิง ในมดลูก ในครรภ์ของหญิงพรหมจารี คือมารีย์ หรือแมรี่ ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่มีเชื้อของมนุษย์เลย ไม่มีเชื้อของมนุษย์มาเกี่ยวข้องเลย

ยังจำได้ไหมครับเมื่อครั้งที่แล้ว เราได้คุยกัน ถ้าเป็นสมัยก่อน แล้วบอกว่า.-

“เกิดจากหญิงพรหมจารี”

ทุกคนก็จะบอกว่า “เสียสติไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ มีใครที่ไหนเล่า บ้าไปแล้วหรือไง?”

ถ้าเป็นยุคสมัยก่อน แต่ถ้าเป็นยุคนี้ เรียกว่าถ้าหญิงพรหมรีย์ตั้งครรภ์ ถือเป็นเรื่องธรรมดา … ธรรมดามาก ที่เราได้เรียนรู้กันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่เขาเรียกว่าการอุ้มบุญ การผสมเทียม การทำเด็กในหลอดแก้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้หญิงพรหมจารี สามารถตั้งครรภ์ได้

สัปดาห์ที่แล้วเรียนรู้เรื่องนี้ บางคนคิดว่าผมสอนวิทยาศาสตร์ การกำเนิดของคน ไม่ใช่เลยนะครับ เรามาติดตามเรื่องวิทยาศาสตร์ว่าวิทยาศาสตร์ค้นพบทีหลัง … หลังจากพระคัมภีร์บอกไว้แล้วตั้งหลายพันปี มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  เมื่อเทคโนโลยีคิดค้นไปถึง ก็จะเห็นความจริงของพระเจ้าปรากฏนั่นเอง

สรุปประเด็นหลัก ที่เราได้คุยกันครั้งที่แล้ว ก็คือพระเจ้าทรงให้พระเยซูมาจุติในครรภ์ ในมดลูกของหญิงพรหมจารี ก็คือนางแมรี่ และให้มาประสูติในวันคริสตมาส ในสภาพของมนุษย์ ที่ปราศจากความบาป เพื่ออะไร? เพื่อให้พระองค์มาเป็นตัวแทนของมนุษย์ รับเอาโทษบาปทั้งหลาย คำสาปแช่งทั้งหลาย ทั้งปวงของมวลมนุษย์ไว้ที่พระองค์ เพื่อให้มนุษย์ทุกคนหลุดพ้นจากโทษของบาปเวรกรรม และความตาย และตายทางฝ่ายวิญญาณ ที่เราเรียนรู้กัน ว่าคือวิญญาณตาย ก็คือไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ และวันหนึ่ง เมื่อวิญญาณเราตาย เราต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้านิรันดร์กาล ทุกข์ทรมานนิรันดร์กาลนั่นเอง เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากสถานะอย่างนั้น ทั้งเดี๋ยวนี้และในอนาคต พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเยซูที่จะมาไถ่บาปให้กับเรา มารับเอาคำสาปแช่งของมนุษยชาติทั้งหมดไปนั้น พระองค์ไม่มีบาปเลย ไม่เหมือนมนุษย์คนอื่นๆ

2 โครินธ์ 5:21 “เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ ผู้ทรงไม่มีบาป ให้เป็นความบาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์

 

          ตรงนี้ก็หมายถึงพระเยซูไม่มีบาปเลย แต่เรามนุษยชาติมีบาป เป็นบาป เอามาแลกกัน พระเยซูไม่มีบาป แต่พระเจ้าทำให้พระเยซูเป็นบาป คือรับบาปเราไป ขณะที่เราเป็นคนบาป พระเยซูมารับบาปเราไป  พระเจ้าทำให้เราผู้เคยมีบาป เป็นบาปนั้น กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม เห็นไหมแค่นี้ง่ายๆ

 

ครั้งที่แล้วเราได้เน้นกันว่าเหตุผลที่พระเยซูเป็นมนุษย์เพียงผู้เดียว ที่ไม่มีเชื้อบาปเลย ก็เพราะว่าพระองค์ทรงกำเนิดจากหญิงพรหมจารี มีเพียงผู้เดียงในโลกนี้แหละ โดยไม่มีเชื้อมนุษย์ผู้ชายเลยแม้แต่นิดเดียว ที่จะเข้ามาผสมกับเชื้อหรือไข่ของแม่ แม้กระทั่งหลังจากที่เกิดเป็นมนุษย์แล้วนะ หลังจากที่คลอดแล้วนะ ตลอดชีวิตของพระเยซูคริสต์ จนถึงวันสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ไม่เคยมีบาป  คิดให้ดีๆ ประมาณอายุ 33 ปีบนโลกใบนี้ ไม่เคยมีบาป ไม่เคยทำบาปเลย พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระองค์จึงสามารถแบกรับบาปของมนุษย์ชาติ คำสาปแช่งทั้งหลายไว้ที่ตัวพระองค์ได้ ซึ่งพระเจ้าก็ได้จัดเตรียมแผนการนี้ไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกอีก ก่อนมนุษย์จะตกลงไปในความบาปอีกว่าถ้าเผื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป ถ้ามนุษย์ดื้อ กบฏต่อพระเจ้าเมื่อไร เขาจะถูกลงโทษด้วยกฎที่วางเอาไว้ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย เขาจะได้รับโทษ … โทษนั้นเรียกว่าคำสาปแช่ง และถ้ามันเป็นอย่างนั้น พ่อคือพระเจ้าจะช่วยเขาด้วยวิธีนี้แหละ คือวิธีคริสตมาส ก็คือส่งพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เราลองอ่านกันนิดหนึ่ง เพื่อจะได้เห็นว่าพระเจ้าเตรียมแผนการนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไร?

1 เปโตร 1:19-20 “19 แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์  ผู้เป็นลูกแกะ อันปราศจากตำหนิ หรือข้อบกพร่องใดๆ 20 พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพระคริสต์ไว้  ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้  เพื่อท่านทั้งหลาย” … เอเมน …

 

“ผู้เป็นลูกแกะปราศจากตำหนิ” ภาษาเดิม ก็คือผู้เป็นลูกแกะ อันปราศจากมลทิน  พูดง่ายๆ ก็คือผู้เป็นลูกแกะ อันปราศจากบาป ไม่เป็นศัตรูกับพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ที่ตะกี้เราอ่าน พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในระหว่างที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  พระองค์ทรงมีสภาพเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ เพราะเกิดในครรภ์ของหญิง มนุษย์ผู้หญิง เกิดในมดลูกเหมือนเราทั้งหลาย  และพระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนมนุษย์อย่างเรา ในพระคัมภีร์บอกพระองค์ต้องผ่านการทดลอง เหมือนมนุษย์เรา เจ็บปวด มีอารมณ์ เหมือนมนุษย์เราทุกคน

ฮีบรู 4:15 “เราไม่ได้มีมหาปุโรหิต ซึ่งไม่อาจเห็นใจในความอ่อนแอต่างๆ ของเรา แต่ทรงถูกลองใจ เช่นเดียวกับเราทุกประการ  กระนั้น ก็ทรงปราศจากบาป

 

ตรงนี้กำลังจะบอกว่าพระเยซูเข้าใจเราได้ เวลาเราทุกข์ บางครั้งเราบอก

“พระเจ้าไม่รู้เหรอว่าลูกทุกข์อย่างไร?”

รู้ พระองค์ทรงทุกข์เหมือนเราเลย โดนตะปูตำ ก็เจ็บเท่ากัน เข้าใจใช่ไหมครับ เหมือนกันเลย ไม่มีผิดเลย ฉะนั้น พระองค์รู้ไหม? พระองค์รู้หมด เพราะว่าพระองค์ก็เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกับเราทั้งหลาย ในนี้บอกว่าเช่นเดียวกันกับเราทุกประการ ดังนั้น ก็ทรงปราศจากบาป ก็คือเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา แต่ไม่มีบาปเลย ไม่มีบาป ไม่มีเชื้อบาป และไม่เคยทำบาป เดี๋ยวเราตามต่อไปว่าพิสูจน์กันตรงไหน?

ท่านเคยสงสัยไหม? แล้วพระเยซูเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนเรา เดินอยู่บนโลกนี้ 33 ปี ไม่เคยทำบาปเลยเหรอ เป็นไปได้เหรอ ไม่เคยโกรธใครเลยเหรอ? ใครเคยอ่านพระคัมภีร์บ้าง? พระเยซูเคยโกรธไหม? โกรธบาปหรือไม่บาป? บาปหรือเปล่า? เอาล่ะสิ บาปไหม? พระองค์เคยว่าใครแรงๆ ไหม? ตอนที่พระเยซูไปที่หน้าวิหาร พระเยซูล้มกระดานเลย แบบ (เหมือนอันธพาล) ไม่พูดไม่จาเลยนะครับ บาปไหม?

ทำไมพระเยซูที่เป็นมนุษย์ มีเลือด มีเนื้อหนัง มีอารมณ์เหมือนเรา เหมือนมนุษย์ทุกประการเลย ทำไมพระองค์ไม่เคยทำบาปเลย  เป็นไปได้เหรอ คิดเทียบมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอน ถูกไหม? นี้เป็นไปได้เหรอ 33 ปี ไม่เคยทำบาปเลย เพราะสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาตลอด คือมนุษย์ทุกคนต้องเคยทำบาป อย่างแน่นอน ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยทำบาป

โรม 3:10 “ไม่มีสักคนที่ชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย”

 

ไม่มีสักคนหนึ่งในมนุษย์ทั้งหลาย

โรม 3:12 บันทึกว่า “ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว”

 

โอโห้! งงเลยใช่ไหม? เคยมีคนบอกเราว่าเราทำดีแล้วนะ แต่ในนี้บอกไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียวเลย

โรม 3:23 “เพราะทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

นี่คือคำตอบ แสดงว่าเป็นบาปแล้ว ทำอย่างไรก็บาป สิ่งที่เราคุยกันว่าเขาทำดี คุณนครทำดี อย่างนี้ดีๆ ในสายตาพระเจ้า ก็ไม่ดี ทุกข้อที่กล่าวมาเมื่อตะกี้นี้ หมายถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้นะ ทุกคน ยกเว้นเพียงผู้เดียว คือมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า มีนามว่าเยซูคริสต์ หรือพระเยซู

ทำไมถึงต้องยกเว้น ทำไมต้องยกเว้นพระเยซูเพียงผู้เดียว ก็เพราะย้อนกลับไป เราเรียนรู้สัปดาห์ที่แล้ว ก็เพราะเซลแรกของพระเยซู เป็นเซลที่ไม่มีบาป ไม่มีเชื้อบาปจากมนุษย์เลย เซลแรกของพระองค์ เป็นเซลที่เกิดจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น พระเยซูทำอะไรก็ไม่บาปทั้งสิ้น เพราะทุกสิ่งที่พระองค์ทำเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นบุคคลเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้น  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าทั้งสิ้น

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “น้ำพระทัย”

ยังจำได้ไหม?  เราคุยกันบ่อยๆ ถึงเรื่องเกี่ยวกับบาปหรือการทำบาป

“บาป” คืออะไร? ใครจำได้บ้าง? ผมพูดบ่อยเรื่องนี้ บาป คืออะไร? การทำบาป คืออะไร?

การทำบาป คือการไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า

พูดพร้อมกัน “ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือบาป”

คราวนี้ท่านรู้แล้วนะ  คำว่า “บาป” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Sin” นี้ ตามรากศัพท์ภาษาเดิม หมายถึง Missing the target แปลว่าผิดเป้าหมาย ก็คือไม่เป็นไปตามที่พระเจ้าตั้งใจให้เป็น ผิดเป้าหมายจากใคร? ผิดเป้าหมายจากที่พระเจ้าตั้งใจไว้

บางคนเขาเคยเข้าใจผิด คิดว่าสาเหตุที่อาดัมและเอวาล้มลงในความบาปนั้น เพราะว่าไปกินผลไม้ต้องห้าม ก็เลยได้รับติดเชื้อจากผลไม้ พระเจ้าเอาเชื้อติดไว้ที่ผลไม้ ไปกินผลไม้ เลยติดเชื้อเข้ามา สมมติๆ ว่าเป็นลูกแอปเปิ้ล พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าเป็นลูกแอปเปิ้ล เราใส่กันเอง สมมติว่าเป็นแอปเปิ้ล พระเจ้าไปฉีดเชื้อในแอปเปิ้ล เข้าไปในนั้นว่าใครกินเชื้อนี้ติดเขาไป ไม่ใช่ … ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่เลยนะครับ จริงๆ แล้วที่บอกว่าอาดัมทำบาป ก็เพราะว่าอาดัมไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เชื่อฟัง ขัดคำสั่งพระเจ้า ทำผิดไปจากเป้าหมายที่พระเจ้าไว้ พระเจ้าตั้งความหวังไว้ให้เจ้าเชื่อฟัง อย่าทำสิ่งที่บอกว่า “อย่าทำนะ” อย่างนี้เรียกว่าดื้อ พระเจ้าสั่งว่าอย่าทำ อาดัมก็ทำ รวมความ ก็คือไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้านั่นเอง  ไม่ใช่ เพราะติเชื้อจากผลไม้

คงมีอะไรบางอย่าง คงลึกซึ้งมาก พระเจ้าจะอธิบายให้ฟังอย่างไร? เอาเป็นว่ายกผลไม้ขึ้นมา ให้เป็นอะไรบางอย่าง ที่ให้เรารู้ว่าพระเจ้าสั่งว่าอย่าทำ แต่อาดัมกับเอวาไปทำ ตรงนี้สำคัญมากกว่า คือความไม่เชื่อฟัง  การละเมิดกฎ

การทำบาป ก็คือไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่สำหรับพระเยซู พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระองค์ได้ตรัสไว้ในยอห์น 10:30 อย่างนี้นะครับ ทำให้เห็นชัดเจนเลยว่าทำไมพระเยซูไม่เคยทำบาป

ยอห์น 10:30 “เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

 

“เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” ก็คือเป็นผู้คนเดียวกัน คิดเหมือนกัน ทำเหมือนกันหมดเลย พระเยซูกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น ก็คือมาจากพระเจ้า ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทุกอย่างเท่ากับพระเจ้าทำเองเลย หนึ่งเดียวกันแปลว่าอย่างนี้ พระเยซูก็บอกไว้แบบนี้ ในหนังสือท่านก็ดูเองนะครับ ให้ท่านอ่านตรงนี้ดู แล้วให้ท่านสังเกตดูว่าพระเยซูทำอะไร? ถึงทำให้เราเห็นชัดว่าพระเยซูไม่มีบาป สังเกตให้ดีๆ นะครับ

ยอห์น 8:23-29 “23 พระองค์ตรัสว่า  “พวกท่านมาจากเบื้องล่าง  เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้  เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ 24 เราบอกแล้วว่า “ท่านจะตายในบาปของท่าน  ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น ท่านจะตายในบาปของท่านอย่างแน่นอน” 25 พวกเขาทูลถามว่า “ท่านเป็นใคร” พระเยซูตรัสตอบว่า “ก็อย่างที่เราอ้างมาโดยตลอด 26 เรามีหลายอย่างที่จะพูดในการตัดสินท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามานั้น เชื่อถือได้ และสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระองค์นั้น เราก็แจ้งแก่โลก 27 พวกเขาไม่เข้าใจที่พระองค์กำลังบอกพวกเขา เกี่ยวกับพระบิดาของพระองค์ 28 ดังนั้น  พระเยซูจึงตรัสว่าเมื่อท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ตรึงบนไม้กางเขนแล้ว ท่านจะรู้ว่าเราเป็นผู้ที่เราอ้างว่าเราเป็น และเราไม่ได้ทำอะไรโดยลำพัง แต่พูดตามที่พระบิดาได้ทรงสอนไว้ 29 พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาสถิตกับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะเราทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัยเสมอ” … เอเมน …

 

ถ้าเราทำได้อย่างนี้ ก็สบายสิ เป็นความใฝ่ฝันของเรา … เราอธิษฐานกันตลอดเลย อยากทำตามน้ำพระทัยพระองค์ทั้งหมด  พระเยซูบอกว่าอะไรในนี้

“สิ่งที่เราได้ยินมาจากพระองค์นั้น เราก็แจ้งแก่โลก”

ก็คือพระองค์พูดจากพระเจ้าบอกให้พูด ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ ชีวิตเราคงมีความสุขมากกว่านี้เยอะเลยนะ จะพูดอะไร?  พระเจ้าบอก

แล้วอะไรอีก “และเราไม่ได้ทำอะไร โดยลำพัง แต่พูดตามที่พระวิญญาณได้สอนเราไว้”

พระวิญญาณบอกให้พูดอย่างนี้ เราก็ไปพูด เราเป็นตัวแทน ดังนั้นทุกวันนี้ พระคัมภีร์บอกเราเป็นตัวแทนพระเยซูคริสต์ ให้ออกไปประกาศข่าวดีนะ ท่านเคยพูดเหมือนพระเยซูพูดไหม? ท่านมั่นใจว่าที่ท่านพูด คือพระเยซูพูด เชื่อไหม? เป็นคำถามไว้  ท่านกลับไปถามพระเจ้าแล้วกันนะ

พระเยซูพูดนะ “พระองค์ผู้ทรงส่งเรามา สถิตกับเรา” หมายถึงพระเจ้าสถิตกับพระเยซู

“พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ลำพัง ไม่เคยทิ้งเราไปเลย เพราะเราทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัยเสมอ”

เพราะอะไร? พระเจ้าไม่สามารถอยู่กับคนบาปได้ มันเป็นศัตรูกัน

“พระองค์อยู่กับข้าพระองค์เสมอ” คือพระบิดาอยู่กับพระเยซูเสมอ ก็เพราะว่าเราทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัยเสมอ ก็คือไม่มีบาป

ถ้อยคำตรงนี้ เป็นสิ่งที่พระเยซูตรัสเอง และเป็นคำตอบที่ว่าทำไมพระเยซูซึ่งมีสภาพเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่สามารถดำเนินชีวิตบนโลกนี้ และเผชิญกับการทดลองบนโลกนี้ โดยพระองค์ไม่มีบาป ไม่เคยทำบาปเลย เห็นหรือยัง? ขอบคุณพระเจ้านะ

ถ้าท่านเข้าใจความหมายของคำว่า “บาป” ที่เราวิเคราะห์กันว่าบาปนั้น หมายถึงการไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า การเป็นศัตรูกับพระเจ้า การกบฏ การไม่เชื่อฟัง ดื้อ ฝืนกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ ล้วนเรียกว่าบาปทั้งสิ้น เพราะอะไร? เพราะว่าบาปตรงนี้ ก็คืออะไรก็ตามที่เราต่อต้านกับพระเจ้า และจริงๆ แล้วในพระคัมภีร์ที่มีบันทึกมาจนถึงทุกวัน เท่าที่หาได้ เท่าที่หาได้ในพระคัมภีร์ มีเพียง 2 พวกเท่านั้น จากที่พระเจ้าทรงสร้างมาทั้งหมดเลยนะ ทำบาปกับพระองค์ กบฏต่อพระองค์ รู้ไหมว่าใคร?

พวกแรก คือใคร?

พวกที่สอง คือใคร?

เอาพวกที่สองก่อน พวกที่สอง คือพวกมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือต้องเริ่มต้นตั้งแต่อาดัมและเอวา ก็คือบรรพบุรุษของเรา รวมถึงพวกเราทั้งหมด เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด

ท่านรู้ไหมพวกแรกก่อนที่มนุษย์จะล้มลงไปในความบาป พวกแรกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา แล้วก็ละเมิดกฎของพระเจ้า คือใครรู้ไหมครับ? ลูซีเฟอร์และสมุนของมัน คือชื่อๆ หนึ่งที่พระเจ้าประทานให้ ตอนสร้างทูตสวรรค์องค์นี้ แต่ตอนนี้เราเรียกกันว่า … เรารู้จักกันในนามของซาตาน และสมุนของมัน ทำบาปต่อพระเจ้า  กบฏต่อพระเจ้า ถูกลงโทษเหมือนกัน  เข้าใจใช่ไหม มี 2 พวก เพราะฉะนั้น การที่เราถูกลงโทษนั้น มนุษย์นั้นถูกลงโทษ เราเรียกว่าคำสาปแช่ง

คำสาปแช่ง คืออะไร? คำสาปแช่ง คือคำตัดสินของศาลว่าเราทำผิดกฎระเบียบกับเรา เราต้องโดนลงโทษ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้ายกับเรา ไม่ใช่พระเจ้าตั้งใจจะลงโทษเรา แต่กฎหมายวางไว้ เราได้รับการลงโทษ เมื่อเราฝ่าไฟแดง ไม่ใช่ตำรวจมาจับเราเข้าคุก หรือตำรวจจะมาปรับเงินเรา แต่ผู้ที่ปรับเรา ก็คือไม่ใช่ศาลด้วย แต่เป็นกฎหมาย ศาลเพียงแต่มาอ่านให้ฟังว่าทำอย่างไร? ตำรวจทำหน้าที่มาจับเราไป  อะไรอย่างนี้ เราจะได้เห็นภาพชัดเจน

ถ้อยคำตรงนี้ เมื่อสักครู่นี้ ท่านก็จะสามารถเข้าใจเลยว่าทำไมพระเยซูจึงปราศจากบาปตลอดชีวิตของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทำอะไรก็ตาม ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกอย่างเลย พระเจ้าบอกให้ทำ ก็ทำ เหมือนเราไหม? พระเจ้าบอกให้ทำ เราก็คิดไว้ในใจ  เดี๋ยวไปเรื่อยๆ ตามไปเรื่อยๆ จะได้เห็นว่าเอ๊ะ! เราจะเหมือนพระเยซูไหมหน่อ! ตอนนี้หลายคนบอกเราเหมือนพระเยซู เราเหมือนพระองค์ ดูสิว่าเหมือนขนาดไหน?

ถามว่าเพราะอะไรครับ? เพราะพระเยซูทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยเสมอ พระองค์จึงไม่ทำบาป ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ เราก็ไม่ทำบาปเหมือนกัน คือทุกสิ่งที่เราทำ เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งหมดเลย ถูกไหม? แล้วถามว่าแล้วท่านรู้ไหมว่าที่ทำไปนั้น เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าหรือเปล่า? เดี๋ยวค่อยติดตามต่อไป

พระเยซูทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งหมด ทำ เขาเรียกว่าสิ่งที่พระองค์ทำ ก็คือพระเจ้าบอกให้ทำ ก็คือเชื่อฟัง ทำตาม และที่พระเยซูสามารถทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยได้เสมอ ฟังนะ สามารถทำในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยได้เสมอ ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นพระเจ้า พระองค์จึงทำได้

พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และทำทุกสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย ก็คือหมายความว่าทำทุกอย่างตามน้ำพระทัยพระเจ้านั่นเอง แต่มนุษย์ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ก็คือไปเองว่าหลายๆ อย่างที่พระเยซูทรงทำนั่นแหละบาป

จะพาท่านไปให้เห็นสิ่งเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่นที่ตะกี้ผมถามใช่ไหม? โกรธ บาปไหม? บาปนะครับ เพราะโกรธเป็นตามน้ำพระทัยพระเจ้าไหม? เป็นไหม? ไม่เป็น

อ้าว! พระเยซูโกรธ ทำอย่างไรล่ะ พระเยซูโกรธ เราก็บอกว่าพระเยซูบาป ถูกไหม? ที่ตะกี้ที่ผมบอกว่าเราตัดสินพระเยซูเอง ไม่ใช่พระเจ้าตัดสิน เราตัดสินเอง พระเยซูโกรธ เราบอกว่าบาป เพราะกฎบอกถ้าโกรธ บาป เพราะฉะนั้น พระเยซูทำอย่างนี้ แสดงว่าบาป นี่ใครคิด? ใครตัดสิน? มนุษย์ตัดสิน พระเยซูโกรธ ก็บอกว่าพระเยซูบาป

พระเยซูรักษาวันสะบาโต ก็บอกว่าบาป อันนี้ เห็นชัดขึ้น วันสะบาโตรักษาคนป่วย ก็บอกว่าบาปอีก เพราะอะไร? ใครคิด? มนุษย์คิด

พระเยซูนั่งทานข้าวกับพวกคนเก็บภาษี ก็บอกว่าบาป

พระเยซูพูดความจริงว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระบิดาทรงใช้เรามา” มนุษย์ยิ่งบอกว่าบาปมโหฬาร รับไม่ได้เลย คราวนี้รับไม่ได้แล้ว เพราะใครคิด?

ถามว่าที่พระเจ้า ที่พระเยซูพูดทั้งหมดนั้น มาจากใคร? ตามพระคัมภีร์ ก็คือมาจากพระเจ้าบอกให้พระองค์พูดอย่างนั้น ใช่ไหม? หมิ่นไหม? หมิ่นพระเจ้าไหม? บอกไม่หมิ่น เพราะอะไร? โกรธ สรุปแล้วบาปไหม? ตอนนี้ ไม่บาป เพราะอะไร? ไม่บาป เพราะว่ามันเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ให้ทำ เราไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ เราคิดของมนุษย์เองว่าอย่างนี้ ถ้าตามภาษามนุษย์ เห็นไปแล้วว่าบาป เราคิดของเราเองตลอดเลย เห็นไหม?  บางอันก็คิดแล้ว พอจะรู้เรื่อง บางอันคิดก็ไม่รู้เรื่อง ก็ตัดสินไปอย่างนั้นแหละ เพราะนี่คือความคิดของมนุษย์ … มนุษย์คิดไปเองว่าถ้าทำอย่างนี้ เรียกว่าบาป ทำอย่างนั้น คือบาป ทำอย่างนี้ คือไม่บาป แถมยังมนุษย์ไม่ทำอย่างนี้บาป แถมมีการแบ่ง สำหรับพระเจ้าไม่มี

คำว่าแบ่ง บาปนิดหน่อย มนุษย์บาปน้อย ทำอย่างนี้บาปแรง มนุษย์แบ่งทั้งนั้น แต่สำหรับพระเจ้า บาป ก็คือบาป  ไม่บาป ก็คือไม่บาป ไม่มีหรอกว่าบาปนิดหน่อย ไม่มี เข้าใจใช่ไหมครับ อะไรก็ตาม สำหรับพระเจ้า ที่มนุษย์หรือใครก็ตามไม่ทำตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ ซึ่งเรียกว่าน้ำพระทัย ความประสงค์ หรือ Target หรือเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ เรียกว่าบาปทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เมื่อไรท่านเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เรียกว่าดวงอาทิตย์มันทำบาป ท่านจะได้สบายใจ ตอนนี้ท่านเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ? ดวงอาทิตย์ยังทำบาปได้ เพราะฉะนั้น มนุษย์บาป มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา ไม่อย่างนั้นตกใจ

“อยู่ดีๆ มาว่าฉันเป็นคนบาป”

พอประกาศข่าวดี บอกว่ามนุษย์ทั้งหลาย พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาป ทุกคนเป็นคนบาป

“โอ๊ย! ฉันบาปที่ไหน? ฉันทำอะไรผิดตรงไหน?”

มนุษย์จะคิดถึงอย่างนี้เสมอ ตอนนี้เข้าใจแล้ว เขาจะไม่ตื่นเต้น แล้วเขาจะรู้ว่านี่เป็นเหมือนหลักวิทยาศาสตร์ เหมือนอะไรบางอย่างที่เป็นกฎระเบียบทางวิทยาศาสตร์ที่วางไว้ ผลและเหตุอะไรต่างๆ เหล่านั้น เนี้ยเราเรียนรู้ทางพระเจ้า ทางวิทยาศาสตร์ มันจะชัดเจนอย่างนี้ จะพูดอะไรก็ได้ มันใช่หมดเลย  ไม่มีแย้งเลย

รู้แล้วใช่ไหมครับ บาปทั้งสิ้น คืออะไร? บาปทั้งสิ้น ก็คือการไม่ทำอะไรก็ตามที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ฝืน กบฏต่อพระเจ้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม และตลอดชีวิตของพระเยซูที่เดินอยู่ในโลกใบนี้ ในสภาพของการเป็นมนุษย์ ที่พระองค์ทรงบังเกิดมา พระองค์บอกว่าพระองค์ทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยเสมอ ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าหมดเลย เพราะฉะนั้นพระองค์จึงไม่มีบาป ไม่เคยทำบาปเลย เอเมน นี่พระเยซูพูดเอง

และอย่างที่ผมบอกพระเยซูปราศจากบาป ไม่เคยทำอะไรที่ผิดเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งไว้เลย ก็เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า เซลแรกของพระองค์มาจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพระเยซูจะทำอะไร? ก็ถูกหมด ไม่มีคำว่าบาป  ซึ่งหมายถึงตรงกันข้าม แม้ในสายตาของมนุษย์อาจดูเหมือนว่ากำลังทำบาป แต่สำหรับพระเจ้าบอกว่า.-

“พระเยซูทำไม่บาปเลย ดีมาก เพราะเราเป็นผู้ต้องการให้เขาทำอย่างนี้แหละ เขาทำตามน้ำพระทัย เขาทำตามฉัน เขาเชื่อฉัน บาปคือกบฏ นี่เขาเชื่อฉัน บาปคือไม่เชื่อฟัง นี่เขาเชื่อ”

เข้าใจใช่ไหมครับ? ในทางตรงกันข้าม มนุษย์เราทุกคนเป็นคนบาป เซลแรกของเรา ก็เป็นเซลที่มีเชื้อบาป  เกิดจากเชื้อพ่อที่เป็นคนบาป ผสมกับไข่แม่ที่เป็นบาป เกิดเป็นเซลแรกเป็นบาป เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็บาป แม้สิ่งที่เราทำ จะเหมือนว่าทำดี ในสายตาของมนุษย์และในสายตาของเราเอง ที่เป็นมนุษย์ รู้สึกว่าทำดี ทำถูกต้อง แต่ถ้าไม่ใช่ตามน้ำพระทัยพระเจ้าเมื่อไร? อย่างไรก็เรียกว่าบาปอยู่ดี ต่อให้มนุษย์บอกว่ามันดี แต่สิ่งนั่น ถ้าไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า มันก็บาป ก็เหมือนกับการติดกระดุม เข้าใจไหม? ถ้าเราติดกระดุมเม็ดแรกผิด ติดเพลินไปเลยนะครับ แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร? ผิด ถ้าเม็ดแรกผิด ต่อให้ติดต่อไปอย่างไร ก็ผิดหมด ไม่มีวันถูกต้อง ต่อให้มีเมตตา คิดให้ดีๆ ต่อให้หลายคนบอก หรือตัวเราเองบอก หรือคนข้างเคียงบอกว่าเราเอง เป็นคนมีเมตตา เป็นคนดี  ทำดี มีจิตใจเมตตา บริจาคอยู่เสมอ จะทำดีอย่างไรก็ตาม ทำอย่างไรๆ ก็ผิด เพราะความตั้งใจหรือสำนึกในใจมันผิด ข้างในผิดแล้ว เริ่มต้นมันผิดแล้ว เหมือนกระดุมเม็ดแรกมันผิด แม้ว่าจะดูเหมือนถูกนะ แต่พระเจ้าบอกว่ามันผิดตั้งแต่แรกแล้ว มันก็ต้องผิด

คนจะเถียงเรื่องนี้เยอะ จะไม่เข้าใจเรื่องนี้เยอะ คิดว่ามันต้องถูก เพราะใครๆ ก็บอกถูก แต่พระเจ้าบอกไม่ถูก ผิด เพราะผิดตั้งแต่แรกแล้ว และการกระทำนั้น เราเอง คนนั้นเอง ก็จะไม่รู้ตัว เราเองอาจจะบอกว่าทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ลึกๆ ข้างในเราก็ยังต้องคิดให้ดีๆ ว่าถ้าพระเจ้าผู้ซึ่งดูจิตใจลึกๆ ข้างในของเรา รู้ข้างลึกๆ ของเราทำอะไร? แม้แต่เราเอง เรายังไม่รู้เลย เราทำไปเพื่ออะไร? มันอาจจะปิดลึกซึ้งมาก จนกระทั่งเราไม่เห็นตัวเราเอง แต่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงยิ่งกว่า ยิ่งกว่า TC สแกนอีก สแกนเข้าไปเลย เห็นชัดเลยว่าเราทำสิ่งนั้น มันเมตตาจริงไหม? เราบริจาคด้วยความจริงไหม? หรือเรากำลังทำเพื่อตัวเอง  เช่น อันนี้ชัดเลย เช่นเราถวายเงินสร้างโบสถ์ แต่เราต้องการชื่อเสียง ต้องการให้คนยกย่อง ต้องการให้พระเจ้าอวยพรเราร่ำรวย เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ อาจจะเป็นไปไม่ได้มาก นิดเดียว แอบๆ อยากจะมีเกียรติสักนิดหนึ่ง เป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้ เยอะๆ เป็นไปได้เยอะ นิดเดียวก็อาจจะเป็นไปได้ไหม?  บางคนอาจจะบอกว่าไม่ค่อยเห็น … เห็นไม่ค่อยชัด แต่ไปคิดลึกๆ บางทีก็แอบๆ นะ

“แต่ถ้าอาจารย์พูดชื่อเราหน่อย เราเป็นคนถวาย เราก็จะดูเท่ห์นิดหนึ่งนะ แอบดีใจไม่ได้ เพราะเพิ่งออกจากโบสถ์ไป ถวายไปตั้งเยอะ แอบดีใจไม่ได้ว่าโบสถ์นี้อยู่ได้ เพราะฉันถวายนะ แอบดีใจไม่ได้ว่าอันนี้ก็เป็นของฉัน”

มันแอบนิดๆ นะ เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ แต่รอบข้าง ดูเหมือนเรากำลังทำสิ่งที่ดีนะ ถวายสร้างโบสถ์นี้เห็นชัด

น้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้เราทำอย่างนั้นไหม? ต้องการให้เราถวาย แล้วมีความรู้สึกในใจอย่างนั้นไหม? ไม่ใช่ แสดงว่าเราไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าใช่ไหม? แสดงว่าที่เราให้ไป ได้ผลไหม?  เป็นดีไหม? เป็นบริสุทธิ์ไหม?  เป็นบาปหรือไม่บาป ตอบ “บาป” เสร็จเลย เห็นหรือยัง? แค่นี้ก็ตายแล้ว แย่เลยนะครับ

เช่น เรามีเมตตาช่วยคนยากไร้ ดีไหม? ดี สายตามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้บอกว่าดี แต่ใครจะไปรู้ ลึกๆ ในจิตใจเรา … เราอาจจะกำลังสะสมความดี เพื่อไปสวรรค์ก็ได้ เป็นไปได้ไหม? เรากำลังสะสมความดี เพื่อเราจะได้ไปสวรรค์ เพราะเราช่วยคนยากจน คนยากไร้ เผื่อว่าวันหนึ่งเรายากไร้ จะได้มีใครมาช่วยเราได้ เคยคิดอย่างนี้บ้างไหม? หรือในอดีตเคยคิดอย่างนี้บ้างไหม?  ถูกไหม?  และนั่นเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าหรือเปล่า? พระเจ้าให้เราทำมีเมตตา ถูกต้อง แต่ไม่ใช่สุดๆ แล้วทำเพราะเราจะพึ่งตัวเราเองไปสวรรค์ เพราะน้ำพระทัยพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อให้เราเกิดใหม่ สามารถบังเกิดใหม่และไปสวรรค์ได้ นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า … พระเจ้ารู้ว่าถ้าเราพึ่งตัวเองเมื่อไร? เราไปไม่รอด พระเจ้ารักเรา อยากจะช่วยเราไปสวรรค์ นี่คือน้ำพระทัย ถ้าเราฝืนน้ำพระทัย เราไม่ทำตาม ก็คือบาป เห็นไหม?  นี่คิดตามหลักตรรกะวิทยา ด้วยเหตุและผลเลยนะครับ

พระคัมภีร์จึงบอกว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จงทำด้วยความเชื่อ ถ้าเราทำอะไรก็ตาม ด้วยความเชื่อ มันก็จะไม่บาป  หมายถึงเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู ในทางกลับกัน อะไรก็ตามที่ไม่ได้ทำด้วยความเชื่อ ก็เป็นบาปทั้งสิ้น

คำว่า “เชื่อ” นี้ คือเชื่อฟังพระเจ้าหมดเลย เริ่มต้นตั้งแต่เชื่อพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็เชื่อฟังมาตลอด ถ้าทำตรงนั้น ตามกฎนะ ไม่เรียกว่าบาป โรม 14:22 บันทึกไว้อย่างนี้

โรม 14:22 “สิ่งใดๆ ก็ตาม ที่ท่านเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ จงเก็บไว้ เป็นเรื่องระหว่างท่านเองกับพระเจ้าเถิด ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่กล่าวโทษตนเอง ในสิ่งที่เขาเห็นชอบการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป”

 

คือตรงนี้บาป เปาโลกำลังสอน เพราะว่ามีคนเขาแย้งกันว่ากินอันนี้บาป กินอันนี้ได้ไหม? กินมังสวิรัติได้ไหม?  กินเนื้อได้ไหม? กินได้ไหม? กินนี้ได้ไหม?  เปาโลก็พยายามบอกไป แล้วแต่ความเชื่อนะ พูดง่ายๆ ทำอะไรก็ได้ แต่ผมต้องการประโยคสุดท้ายนี้มากกว่า ก็คือ “การกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป”

การกระทำใดๆ ของเรา ถ้าไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป เพราะถ้าเราไม่ได้ทำด้วย ความเชื่อ ก็แปลว่าเรายังไม่ได้เกิดใหม่ในพระเยซูเลย ความเชื่อนี้หมายถึงเริ่มต้นเชื่อพระเยซู เชื่อพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เชื่อว่าเราสามารถบังเกิดใหม่ เชื่อก็คือพึ่งในพระเจ้านั่นเอง ความเชื่อนี้แปลว่าพึ่งในพระเจ้านั่นเอง แต่ถ้าเกิดใหม่แล้ว รู้จักพระเจ้าแล้ว เราทำด้วยความเชื่อข้างใน ถ้าเราเกิดใหม่แล้ว ความเชื่อนี้มันเกิดที่ไหน? ที่ข้างใน พอเกิดความเชื่อข้างใน เราจะทำอะไรก็จากข้างในออกมาข้างนอกแล้ว เข้าใจไหม? ก็จะคล้ายกับพระเยซูเมื่อสักครู่นี้แล้วว่าพอเราเชื่อในพระเจ้า โดยความเชื่อนี้ เราสามารถเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคเลย เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูบอกพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาอย่างไร เราก็เลยกลายเป็นหนึ่งอย่างนั้นด้วย เราก็มีโอกาสทำคล้ายๆ พระเยซูได้เช่นเดียวกัน เอเมน

นี่คือเคล็ดลับ ถ้าทำอย่างนี้ไม่มีบาปแน่นอน แต่ดูข้างนอกเหมือนมีบาป แต่ข้างในบริสุทธิ์ในสายพระเนตรพระเจ้า คือไม่มีบาปเลย แต่ถ้าเรากระทำสิ่งใดๆ ด้วยความเชื่อ อย่างจริงใจในชีวิตของเรา ในจิตใจของเรา ด้วยความบริสุทธิ์ใจ สิ่งนั้น ก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า และเมื่อเป็นสิ่งที่พอพระทัย เราก็รู้ว่านั่นเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็มั่นใจว่าสิ่งนั้นไม่ได้เป็นบาป ทำไปเถอะ ถ้าเรามั่นใจ เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้ แม้ว่าบางครั้งในสายตาคนอื่น อาจจะดูเหมือนขัดแย้งว่าเรากำลังทำบาปอยู่ ก็ตาม มันจะเกิดขึ้นอย่างนี้  อันนี้ยกตัวอย่างสั้นๆ มีเวลาน้อย ค่อยมาไล่เรียงกันละเอียดอีกทีหนึ่ง

อย่างเช่น หลายคนเคยถามผมนะครับ เขาเป็นหัวหน้าคนงาน

“คนงานให้อภัยหลายครั้งแล้ว  … แล้วก็ยังคดโกง ไม่มีอนาคตเลย ผมจะทำอย่างไรดี?”

“ก็ไล่ออกสิ ถ้าคดโกง ถึงขนาดขโมยของ ให้เรียกตำรวจมาจับด้วย”

“อย่างนี้มันโหดร้ายไปหน่อยไหม?”

พอเข้าใจใช่ไหม? ผมกำลังจะบอกท่าน พอเข้าใจไหม?  ถ้าเราปล่อยเขาไป เขาอาจจะตายก็ได้ เขาจะไปทำหนักกว่านี้ก็ได้ เห็นไหม? แต่เมื่อเราอธิษฐาน เราจะรู้ว่าวันหนึ่ง บางคนอธิษฐาน ไม่สามารถเท่ากันทุกคน บางคนบอกว่าคนนี้ ทำไป 3 ครั้ง ครั้งที่สี่ไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นเอาเป็นกฎเกณฑ์ คนอื่นทำมา 3 ครั้ง เกิน 4 ครั้ง ครั้งที่ 4 เรียกตำรวจจับเลย ไม่แน่ บางคน ถ้าเราอธิษฐานกับพระเจ้า บางครั้งอาจครั้งเดียวเราก็เรียกตำรวจจับแล้ว หรือบางครั้งอาจจะ 10 ครั้ง เราจึงเรียกตำรวจจับก็ได้ ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับเรามั่นใจด้วยความเชื่อไหมว่าเราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้เกลียดชังเขา ไม่ได้โมโหเขา ทำให้เราเจ๊ง ไม่ได้โมโหเขา เอาเงินเราไป ไม่ได้โมโห แต่เราทำเพราะข้างในบอกว่ารักแท้มาจากพระเจ้า  เห็นไหม? คุณมั่นใจตรงนั้นไหม? ถ้ามั่นใจ ทำไปเถอะ ไม่ผิดเลย เอเมน

นี่สายตามนุษย์ เขามองข้างนอก เขาก็จะตัดสินเลยว่าครั้งเดียว ก็ทำแล้ว แต่นี้คนนี้ 4 ครั้ง เขาถึงจะทำ พอมองเห็นไหม? ผมพยายามให้ท่านได้เห็นสิ่งเหล่านี้ หรือแม้กระทั่งผู้รักษากฎหมาย ตำรวจอย่างนี้ ตำรวจปกป้องคนดี ปกป้องคนที่ถูกต้อง และจับคนชั่วร้าย ต่อสู้กับคนชั่วร้าย บางครั้งยิงตายเลย เป็นอย่างไร? บาปไหม? รู้ไหมว่าพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร? ในโรม บทที่ 13 บอกว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งอำนาจต่างๆ เหล่านี้ไว้ดูแลคนที่ดีๆ คนที่ชั่ว เขาจะจัดการเอง หมายถึงพระเจ้าให้อำนาจเขาเป็นคนจัดการ ก็แสดงว่ามาจากพระเจ้า ถ้าตำรวจจับท่าน ตอนที่ท่านฝ่าไฟแดง อย่าไปโกรธ ต้องโกรธใคร? โกรธพระเจ้า อ้าว! หมายถึงถ้าโกรธไง แหม! ถ้าจะโกรธ ถ้าจะโมโหว่า.-

“มาจับฉันทำไม?”

ต้องพูดที่เพราะพระเจ้าให้อำนาจกับเขา ในหนังสือโรมบอกไว้ บทที่ 13 ท่านก็ไปโทษพระเจ้า เอเมน

ท่านจะเห็นแล้วว่าพยายามพาท่านไปเห็นชัดๆ เพราะอย่าลืมว่าพระคัมภีร์บอกไว้อย่างไร? บอกว่าความคิดของพระเจ้า ก็สูงกว่าความคิดของเรา ทางพระเจ้าก็ไม่เหมือนทางของเรา อิสยาห์ 55:8-9 อ่านพร้อมกันอีกทีหนึ่ง

อิสยาห์ 55:8-9 “8 เพราะความคิดของเรา ไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งวิถีทางของเจ้า ไม่เป็นวิถีทางของเรา 9 ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเรา ก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น”

 

สำหรับพระเยซู พระองค์ทรงกำเนิดจากเซลของพระเจ้า ไม่มีเชื้อบาปของมนุษย์เลย ดังนั้น ในพระองค์จึงไม่มีบาปเลย และเพราะพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น จึงเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น และเสมอด้วย ดังนั้น พระองค์จึงไม่เคยทำบาปเลย และสำหรับมนุษย์ทุกคน เราเกิดจากพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ มีเชื้อบาปที่ถ่ายทอด ส่งต่อกันมา ตั้งแต่บรรพบุรุษ และเมื่อเรามีเชื้อบาปอยู่ในตัว โดยธรรมชาติแล้ว เราก็มักจะทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้าเสมอ แนวโน้มมันจะไปทางตรงกันข้าม จะกบฏอยู่เรื่อย

มนุษย์จึงได้ชื่อว่าเป็นคนบาป และกระทำบาปอยู่เสมอๆ แต่ขอบคุณพระเจ้า เพราะอะไร? เพราะเมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เชื้อบาป ที่อยู่ในตัวจริงๆ ของเรา คืออยู่ที่ไหน? เรียนรู้กันไปแล้ว ตอบสิ

“เชื้อบาปที่อยู่ในตัวจริงๆ ของเรา อยู่ที่ไหน?”

ตอบ “อยู่ในวิญญาณของเรา”

มันทำไม? ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณของเรานะ เชื้อบาปที่อยู่ในวิญญาณของเรา ได้ถูกชำระล้าง โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ได้สะอาดหมดจดแล้ว เมื่อเรารับเชื่อ รับการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ สะอาดหมดจดที่ไหน? ที่วิญญาณของเรา แต่ร่างกายที่เรายังต้องอยู่บนโลกใบนี้ ที่ยังนั่งสลอนกันอยู่ตอนนี้ หรืออยากกินโน้นกินนี้ หรืออยากจะโมโห อยากจะเตะคนนี้ อะไรอย่างนี้ นั่นไม่ใช่วิญญาณของเรา นั่นเป็นร่างกายของเรา ส่วนมากเป็นร่างกายของเรา

โกรธจากวิญญาณมีไหม? มี บริสุทธิ์ใจ แต่สำหรับเรานะ มันโกรธจากเนื้อหนังซะมากกว่านะ เข้าใจใช่ไหมครับ ผมกำลังพยายามอธิบายให้ท่านฟัง

ขอบคุณพระเจ้า เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เราได้รับการชำระจากพระวิญญาณของพระเจ้า วิญญาณเราสะอาดหมดจด แต่เนื้อหนังเราจะสกปรก หรือยังมีเชื้อของบาปอยู่ก็ตาม ทุกสิ่งที่เรากระทำ เราจึงมีโอกาสที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้ มากขึ้นกว่าไม่ได้เชื่อเลย ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า ทำให้เราบังเกิดใหม่ เราจึงมีโอกาส ทำได้มากขึ้น เอเมน เวลาเราอธิษฐาน เราจึงบอกว่าขอให้เราทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้มากขึ้น เราทำได้แล้ว ตอนนี้ แต่ก่อนหน้านี้ เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราทำไม่ได้เลย  ตอนนี้วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เผอิญๆ ร่างกายต้องอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ถ้าพระเจ้าเอาเราออกจากร่างกายนี้ไปเลย ก็สบายแล้ว ก็ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ แต่พระเจ้าจะใช้เราในโลกนี้อยู่ เลยให้อยู่ในร่างกายนี้ก่อน บนโลกใบนี้ เพื่อทำงานให้กับพระองค์ ดังนั้นเราจึงมีศัตรู คือร่างกายนี้ จะทำอะไรก็ตามที่ดื้อต่อพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า แต่วิญญาณไม่ทำแล้ว

เพราะฉะนั้น ด้วยความเชื่อ เราจึงมีโอกาสที่จะทำทุกสิ่ง โดยความเชื่อและไม่เป็นบาปเลยได้ มีโอกาส ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่าทุกสิ่งที่เรากระทำด้วยความเชื่อ ก็คือเชื่อทางวิญญาณว่าเราบริสุทธิ์ ด้วยการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ พึ่งในพระเยซูคริสต์ จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น เหมือนที่พระเยซูได้กระทำว่ามันไม่บาป คือเชื่อในการไถ่บาปและการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ว่าเราเชื่อในพระเจ้า  พระเยซูไถ่เราแล้ว  ถ้าเชื่อตรงนี้ มันบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว โอกาสทำถูกต้อง มันก็มีมาก สามารถควบคุมเนื้อหนังได้บางนะครับ  และแม้กระทั่งบางครั้ง เราอาจจะล้มลงไปในการทดลองของเนื้อหนัง ไปฝืนกฎระเบียบของพระเจ้า ตามที่เนื้อหนังมันพาไปทำ มีไหม? มี มันมีอยู่แน่นอน แต่ขอบคุณพระเจ้า เราก็ไม่ได้ต้องเป็นคนบาปตรงนั้น เราเป็นคนบาปที่ได้รับการอภัยและอภัยเสมอ อภัยตลอดไป นี่เป็นตรงนี้ การเป็นคริสเตียนจึงได้เปรียบตรงนี้ ข้างในมันสะอาด ข้างนอกสกปรก ยังทำผิดพลาด แต่ผิดพลาด พระเจ้าก็อภัยให้ล่วงหน้าเลย แต่เราก็ต้องคอยลุ้นว่าจะได้รับโทษของการผิดตรงนั้นไป อย่างไรบนโลกใบนี้ ก็ว่ากันไปตามกฎระเบียบของโลกใบนี้  เอเมนไหม? เอเมน

จำได้ไหม? หว่านสิ่งใด ก็ได้รับสิ่งนั้น หว่านแตงโม ก็ได้แตงโม เพราะฉะนั้น หว่านในสิ่งดีๆ นะ ทั้งวิญญาณและทั้งร่างกาย  แต่สมมติถ้าเราไม่เชื่อพระเยซูเลย  ทำอะไร มันก็เลยผิดหมด เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด จะทำดี มีเมตตา จะบริจาค มันก็ไม่ได้ช่วยให้เราหลุดพ้นได้เลย พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เพราะมันกระทำไม่ได้โดยความเชื่อ เพราะมันกระทำไม่ได้มาจากความเชื่อ … ความเชื่อในอะไร? เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ เพราะพระคัมภีร์บอก พระเจ้าบอกแล้วว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า คือความรอดจากบาป และต้องมาจากการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์เท่านั้น นั่นคือน้ำพระทัยพระเจ้า วนๆ มาก็อยู่ตรงนี้แหละ มันจึงต้องมาอยู่ที่พระเยซูคริสต์ เป็นหัวใจของความรอดทั้งหมด

สรุปแล้ว ตอนนี้เรารู้แล้วพระเยซูเป็นใคร? เรามาที่นี่วันนี้ได้อย่างไร? เรามารู้จักพระเจ้า รู้จักสิ่งนี้ได้อย่างไร? ก็เพราะพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์ ไถ่บาปให้กับเรา ตามที่พระเจ้าได้บันทึกถึงเรื่องพระเยซูมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้  เป็นหลายๆ พันปี

เมื่อหลายพันปีก่อน ผู้คนไม่เชื่อว่าหญิงพรหมจารีจะสามารถตั้งครรภ์และคลอดลูกได้ มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แต่พระคัมภีร์บอกว่าได้ บอกตั้งแต่เริ่มต้นพระคัมภีร์เลย หลายพันปีแล้ว บอกว่าหญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ เราก็บอกว่าเป็นไปได้อย่างไร? เถียงมาตลอด ตั้งหลายพันปี แล้วพอมายุคนี้ ไม่กี่สิบปีนี้เอง เราก็รู้ว่าหญิงพรหมจารีตั้งครรภ์ได้จริงๆ ตามพระคัมภีร์บอก พระคัมภีร์พูดไว้เป็นความจริง

เมื่อหลายพันปีก่อน พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าโลกกลม คนก็ไม่เชื่อ แย้งกับพระเจ้า แล้วในที่สุด ก็พิสูจน์ให้เห็นและรู้ว่าโลกกลมจริงๆ

เมื่อหลายพันปีก่อน พระคัมภีร์บอกว่าโลกลอยอยู่ในอวกาศ ลอยอยู่นะ แต่ความเชื่อตั้งแต่โบราณว่าโลกมีฐานรองรับ คือตั้งอยู่บนอะไรอย่างหนึ่ง เหมือนตั้งอยู่บนพานอย่างนี้ ต่อมานักวิทยาศาสตร์ก็ได้ค้นพบว่าพระคัมภีร์บอกไว้นั้นเป็นจริง คือโลกลอยเคล้งอยู่ในอวกาศจริงๆ

เมื่อหลายพันปีก่อน  พระคัมภีร์บอกแล้วว่าดวงดาวที่เป็นบริวารของฟ้าสวรรค์ทั้งหมด ที่มองขึ้นไป มีจำนวนมากมายมหาศาล นับไม่ถ้วน นักวิทยาศาสตร์ เมื่อประมาณสักหลายปีก่อน สร้างกล้องพอที่จะมองเห็นได้ มองเห็นได้นับได้ครับ นับได้ 1,200 ดวง ก็บอกว่ามีประมาณนี้ 1,000 กว่าดวง เท่าที่ตามองเห็น แล้วมาวันนี้เป็นไง เมื่อมีเครื่องบิน มีจรวด นักวิทยาศาสตร์พูดพร้อมกันว่าข้างบนมีดาวต่างๆ ทั้งหมด  นับไม่ถ้วน ตามที่พระคัมภีร์บอกมาแล้วหลายพันปี

ยังมีอีกเยอะแยะนะครับ ที่พระคัมภีร์บอกล่วงหน้าแล้ว ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มีเยอะมาก และเมื่อหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ ได้รับการพิสูจน์และยอมรับว่าเป็นความจริง แล้วท่านเชื่อไหมครับ ที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาถือกำเนิดในมดลูกของหญิงพรหมจารี ชื่อแมรี่ และประสูติในคืนวันคริสตมาส เพื่อมาไถ่บาปมวลมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ พูดมาหลายพันปีนะ ท่านเชื่อไหมตอนนี้  เชื่อไหม? พิสูจน์กันมาเรื่อยๆ ด้วยหลักวิทยาศาสตร์

ถ้าท่านเชื่อ เหตุการณ์คืนวันคริสตมาสเป็นเรื่องจริงล่ะก้อ อะไรเกิดขึ้น ผมจะบอกให้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือที่เราเรียนรู้มาทั้งหมด ในวันนี้ คริสตมาสคืออะไร? คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ คือวันบริสุทธิ์ วันศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?  ถ้าท่านเชื่อเรื่องนี้จริงๆ เขาบอกกันมาตั้งหลายพันปี ถ้าท่านเชื่อเรื่องนี้ ทำไมรู้ไหมครับ? ความบริสุทธิ์นั้น ความสะอาดนั้น พระบุตรนั้น คืนศักดิ์สิทธิ์นั้น เพลงคริสตมาสทั้งหมด จะเข้ามาอยู่ในชีวิตของท่าน ไม่ใช่ชีวิตก็ได้ ในตัวของท่านนั่นแหละ

พูดอย่างนี้ท่านก็ไม่เชื่อ เป็นไปได้อย่างไร? เดี๋ยวอีกไม่กี่ปีเขาก็พิสูจน์อีกแหละ สิ่งที่ผมพูดเมื่อตะกี้นี้ ตามพระคัมภีร์ มันเป็นจริงอีกแล้ว พอเข้าใจไหม ที่ผมพูด ถ้าท่านเชื่อ แม้กระทั่งคริสตมาสที่ท่านเห็นอยู่นี้ ก็บอกมาตั้งแต่นานหลายพันปีแล้ว ต้องเป็นอย่างนี้จริงๆ และมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นเจ้าของคริสตมาส  มาเกิด และตายเพื่อท่านที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระท่าน พาท่านกลับไปหาพระเจ้า พาท่านกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เมื่อท่านเชื่อตรงนี้ ทันทีทันใดนั้น พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาสถิตอยู่กับท่าน พระเยซูจะมาสถิตอยู่กับท่าน วิญญาณท่านจะถูกชำระ จะสะอาดหมดจด ใสปิ๊งเลย ท่านจะทำอะไร มีโอกาสทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้มากขึ้น ท่านจะเข้าใจพระเจ้า และเมื่อสิ้นสุดชีวิตนี้แล้ว ท่านจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล

และก่อนจะไปสิ้นสุดกับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาลนั้น อยู่บนโลกใบนี้นั้น ท่านจะเดินกับพระเจ้าทุกวัน เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับท่านเหมือนที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลาเลย ท่านก็จะได้ฝึกการได้ยินเสียงพระเจ้า … พระเจ้าบอกทำอะไร? พระเจ้าก็จะปกปักคุ้มครองชีวิตท่าน ให้ท่านเดินตามพระองค์ทั้งหมด จนกระทั่งถึงสิ้นชีวิตนี้ และพาวิญญาณท่านไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล เอเมน และเมื่อนั้นคำอวยพรที่เขาอวยพรมา Merry Christmas ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของผู้คนเหล่านั้น คืออะไร?

“ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ  จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

มันก็เกิดขึ้นกับท่าน ตรงหัวใจของท่านตรงนั้นแหละ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรนะครับ

 

***********************

 

 

 

คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2015 เรื่อง “ข่าวดีวันคริสตมาส” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่  20  ธันวาคม  2015

เรื่อง “ข่าวดีวันคริสตมาส”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ที่จบไปเมื่อสักครู่นี้ เป็นละครซึ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดเมื่อ 100 กว่าปีก่อน ในเมืองไทยนี้นะครับ เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร? ในวันคริสตมาส ท่านรู้ไหมครับ? นั่นเป็นพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่สงสารและเห็นใจกับคนที่เป็นทาส สมัยนั้น คนที่เป็นทาส ไม่มีโอกาสได้เป็นไทเลยนะครับ มีลูกออกมา ก็เป็นทาส เรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย มีหลานก็เป็นทาส เป็นทาสตลอดไป ไม่มีวันที่จะอิสระ ท่านเห็นสภาพทาสไหมครับ ต้องตกอยู่ใต้ เหมือนสัตว์เลี้ยงของคนที่เป็นเจ้านาย  ท่านเห็นความเมตตาที่มาต่อทาสเหล่านั้นไหม? โดยวิธีอะไรรู้ไหมครับ? ประกาศการเลิกทาสเลย ประกาศทั้งประเทศเราเลยว่าไม่มีทาสอีกต่อไป ใครเป็นทาส เป็นอิสระ สั่งโดยพระเจ้าอยู่หัวที่สูงสุดในประเทศไทย ทุกคนต้องเชื่อฟัง ทาสทุกคนได้เป็นอิสระ คนที่มีทาสมากมาย ต้องยอมปล่อยทาสให้เป็นอิสรภาพ

แต่เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ ในกรุงเทพฯ ทาสเป็นอิสระหมดเลย  แต่ไปตามหัวเมืองต่างๆ ที่ไกลออกไปมากๆ ข่าวนี้ ไม่ถึงพวกเขา กว่าข่าวจะไปถึง ทาสที่เป็นอิสระแล้ว ยังถูกหลอก โดยพวกเจ้านาย เจ้าขุนมูลนายที่มีทาสเยอะแยะ หลอกทาส บอกว่า.-

“ไม่จริงหลอก ข่าวนั้นเป็นข่าวโกหก แกต้องเป็นทาสต่อไป แกต้องเป็นทาสในเรือนเบี้ยต่อไป แกต้องรับใช้ต่อไป แกต้องเป็นทาส อยู่อย่างสัตว์อย่างนี้ต่อไป ไม่ได้รับอิสรภาพ”

ทาสเหล่านั้นกลัวนะครับ ถามว่ากลัวเพราะอะไร? เพราะมันเคยเกิดขึ้น อย่างนี้กับชีวิตของเขาตลอดเวลา  เวลาเขาจะดื้ออย่างไร? จะกบฏอย่างไร? จะไม่เชื่อฟังอย่างไร? เขาจะถูกลงโทษ เฆี่ยนแทบตาย บางคนตายคาหวายก็มี ท่านนึกภาพ เขาไม่กล้าจะหือเลย  พอเจ้านายทำตาเขม็งเขม่นว่า.-

“ไม่จริง ข่าวนั้นไม่จริง”

พวกนี้ก็กลัวหมด แล้วถามว่าข่าวที่มาถึงทาสเหล่านี้ทั้งหมดในประเทศไทยนั้น เราเรียกว่าข่าวดีหรือข่าวร้าย ท่านตอบสิ ข่าวดีหรือข่าวร้ายสำหรับทาส? ข่าวดี  การเลิกทาสนั้นเป็นข่าวดี … ข่าวดีนี้แพร่สะพัดจากเมืองหลวง ไปยังหัวเมืองต่างๆ ค่อยๆ ไปทีละนิดๆ ข่าวดีไปถึงไหน? ที่นั่นก็มีอิสรภาพ สำหรับคนที่เป็นทาสที่นั่น ยกเว้นข่าวดีไปไม่ถึง พอข่าวดีไปไม่ถึง หรือถึงไม่พอ ถึงไม่มากพอ ทาสไม่สามารถเชื่อในข่าวดีนั่นได้ ก็แพ้การข่มขู่ของเจ้านายเก่าๆ ที่พยายามจะเอาทาสเอาไว้ใช้ต่อไป ข่มเหงทาสต่อไป

เมื่อไรก็ตามที่ข่าวดีไปถึงเขาซ้ำๆ มากขึ้น ได้ยินได้ฟังมากขึ้น ทาสเกิดความเชื่อมั่นในข่าวดีนั้นว่าเขาได้รับอิสรภาพ มีการประกาศการเลิกทาสจริงๆ แล้ว เขามั่นใจแล้ว เขาจึงยกมือขึ้น แล้วก็ต่อสู้กับอำนาจมืด การข่มเหงรังแกอย่างไม่ยุติธรรมของเหล่าเจ้าขุนมูลนายเหล่านั้น เขาก็ได้รับอิสรภาพจริงๆ เพราะเจ้าขุนมูลนายเหล่านั้น ไม่กล้าทำอะไรเขา นอกจากขู่เท่านั้น เพราะว่ามีอำนาจใหญ่สูงสุดกว่าเขานั้น ควบคุมเขาอยู่ คืออำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่สูงสุดในประเทศ นึกภาพออกใช่ไหมครับ? เขาก็ไม่กล้าเหมือนกัน เพราะอำนาจใหญ่นั้นบอกว่าปล่อยเขาแล้ว เขาเป็นอิสระ ยกเว้นทาสคนนั้น ได้รับข่าวดีนี้ แล้วไม่เชื่อ นี่เป็นเรื่องที่น่าสังเวชใจสุดๆ ในสมัยนั้น ซึ่งมีจริงๆ หลายจังหวัดในประเทศไทย ที่อยู่ไกลๆ ออกไป ทาสได้ยิน  ได้ฟังข่าวดีที่มาจากเมืองหลวงแล้ว เล่าแล้วเล่าๆ ซ้ำๆ ซากๆ อยู่นั้น แต่ไม่เชื่อในข่าวดีว่า.-

“มันเป็นไปได้อย่างไร? ฉันเป็นรุ่นที่ 4 ของการเป็นทาสในครอบครัวนี้ ฉันเป็นเหลนๆ ของทาสคนแรก เดี๋ยวนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันเป็นทาสตลอดไป ลูกฉันก็จะเป็นทาสตลอดไป เหลนฉันที่กำลังจะเกิดก็จะเป็นทาสเช่นเดียวกัน เป็นไปไม่ได้หรอก ที่ฉันจะเป็นอิสรภาพ โดยไม่ได้เสียเงินแม้แต่นิดเดียวที่จะจ่ายให้เจ้านาย หรือจ่ายให้กับในหลวง หรือจ่ายให้กับพระเจ้าอยู่หัว หรือจ่ายให้กับเจ้านายฉัน เพื่อฉันจะได้ไถ่ตัวเองเป็นอิสรภาพ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีคนมาไถ่ฉันฟรีๆ ปลดปล่อยฉันเป็นอิสรภาพฟรีๆ  มันเป็นไปไม่ได้ๆๆๆๆๆๆ”

นั่นแหละมันเรื่องที่น่าเศร้าใจที่สุด คืออย่างนี้ เรื่องเศร้าใจ ไม่ใช่ข่าวดีไปไม่ถึง เรื่องเศร้าใจ คือข่าวดีไปถึงแล้ว ซ้ำๆ ซากๆ ฟังอยู่นั่นแหละ แต่ไม่ตัดสินใจที่จะรับสิทธิของเขาสักทีหนึ่ง ไม่กล้าที่จะใช้สิทธิ์ต่อสู้กับอำนาจมืดอะไรก็ตาม ที่มาข่มเหงว่าเราเป็นหนี้เขา เราต้องจ่ายเขา เราเป็นทาสเขานะ เราต้องอยู่ใต้เขา

เทียบกับพระเมตตาคุณของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ที่เจ้าของวันคริสตมาส พระเยซูคริสต์คือใคร? พระเยซูคริสต์คือข่าวดีที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ที่ทรงสร้างมนุษย์ทั้งหลาย เป็นข่าวดีของพระเจ้าที่ส่งมาเกิดบนโลกใบนี้ จากพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ เพื่อจะมาบอกข่าวดี และตัวพระองค์เองก็เป็นข่าวดี พระเยซูเป็นข่าวดี แล้วบอกให้ทุกคนประกาศพระเยซูออกไป หมายถึงประกาศข่าวดีออกไป พระเยซูไปที่ไหน? คนนั้นได้รับอิสรภาพ ไม่เป็นทาสของความบาป และความตายอีกต่อไป ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมที่เราบ่นมาตลอดว่า.-

“เมื่อไรมันจะชดใช้หมดสักทีๆ เกิดมาต้องใช้เวรกรรมเป็นธรรมดา เมื่อไรจะหมดเวร หมดกรรมสักที ตายแล้ว เมื่อไรฉันจะได้ไปสวรรค์ ทำอย่างไร ฉันจะได้ไปสวรรค์”

เราทุกข์ทรมานมาตลอด บัดนี้มีข่าวดีมาบอกถึงเราแล้ว  โดยพระเจ้าส่งพระเยซูเป็นข่าวดีมา แล้วพระองค์ทรงเป็นผู้เริ่มต้นประกาศข่าวดีนั้น แล้วก็ประกาศต่อๆ ไปเรื่อยๆ 2,000 ปีแล้วว่ามนุษย์ได้รับอิสรภาพแล้ว มีคนมาไถ่บาปแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว  เราไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้อำนาจมืดของผีมารซาตาน และกฎเกณฑ์ที่บ่งบอกว่าเป็นผู้กำชีวิตของเรา ดวงดาวต่างๆ เหล่านั้น ดวงของเราต่างๆ เหล่านั้น ไม่มีอำนาจอยู่เหนือเราเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะผู้ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด คือพระเจ้าได้บอกแล้วว่าเราเป็นอิสระแล้ว เมื่อเรารับข่าวดีนี้ และเชื่อในข่าวดีนี้ เราเป็นอิสระแล้วจริงๆ

เช่นเดียวกัน มันเป็นเรื่องน่าเสียใจจริงๆ และน่าเสียดายจริงๆ ที่ข่าวดีนี้ประกาศมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาร้อยกว่าปีมาแล้ว  หรือแม้ในยุคปัจจุบัน เราหลายท่านได้ฟังเรื่องนี้ซ้ำๆ เราก็ปล่อยมันผ่านไปๆ แล้วเราก็ไปหาทางที่จะมาชดใช้กรรมด้วยตัวเอง หาทางที่จะไถ่บาปด้วยตัวเอง หาทางที่จะทำความดี เพื่อจะไถ่บาปตัวเอง หาทางที่จะชำระตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ หาทางที่จะไปสวรรค์ด้วยตัวเอง หาทางที่จะได้รับอิสรภาพด้วยตัวเอง ซึ่งก็ทำไม่ได้ ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ ถ้าทำได้ ต้องหยุดแล้ว แต่นี่ทำไม่ได้ ถึงไม่หยุด ทำไปเรื่อยๆ ทำจากทางนี้ ไม่พอ ก็ทำทางนี้เพิ่มๆ เยอะแยะมากมาย  ไม่พบทางออกเสียทีหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ยอมมา รับสิทธิในข่าวประเสริฐของพระเยซู แล้วก็ถูกหลอกว่านี่เป็นของฝรั่ง นี่เป็นของคนเมืองนอกเมืองนา ซึ่งไม่ใช่เลย ไปอ่านประวัติดู เกิดในเอเชียนี่แหละ เป็นของเรา เป็นของมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ กำเนิดมาแล้วเป็นหมื่นๆ ปี ข่าวดีนี้ มันไม่ใช่ 2,000 ปีอย่างที่เราคิดนะ มันเป็นหมื่นๆ ปีมาแล้ว ข่าวดีนี้มันมาตั้งแต่ตอนโน่นแล้ว จนมาชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จน 2,000 ปีที่แล้วชัดเจนมาก เมื่อพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์

และชัดเจนมาเรื่อยๆ จนยุคปัจจุบัน  2015 ปีบนโลกใบนี้ ข่าวดีนี้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น คนได้รับข่าวดีนี้ ได้รับอิสระมากมาย แต่อย่างที่บอก คนมากมายได้รับอิสรภาพนั้น  เราดีใจด้วย  แต่เราเสียใจในคนอีกจำนวนมากมายเหมือนกัน ที่ข่าวดีนี้ผ่านไปแล้วทุกวันๆ แล้วก็ยังไม่ยอมรับ และมันมีโอกาสสายเกินไป ก็คือเมื่อเราสิ้นสุดชีวิตเราลงแล้ว เราจะพบกับความจริงว่าเราจะต้องเป็นทาสตลอดไป ถ้าเราไม่รับอิสรภาพของเรา ณ ชีวิตปัจจุบันบนโลกใบนี้ ถ้าเราไม่รับเอาอิสรภาพนี้ เราจะต้องเป็นทาสตลอดไป อย่างที่ทาสต่างๆ กลัว ไปจนถึงลูกหลานเหลนโหลน  ก็คือชีวิตของเรา เมื่อสิ้นสุดบนโลกใบนี้แล้ว เราก็ต้องไปใช้บาปเวรกรรมชดใช้เวรกรรมของตัวเอง เพราะเราไม่รับอิสรภาพ เมื่อมีพระเยซูมาไถ่เราแล้ว เราไม่เอา เราก็ต้องช่วยตัวเอง แล้วเราก็ต้องไปชดใช้ต่อไป

อย่างที่เราบอกนั่นแหละ เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที อีกกี่ชาติ เราต้องชดใช้ ซึ่งมันสายไปเสียแล้ว พระคัมภีร์บอกมันสายไปเสียแล้ว การจะรับสิทธินั้น เราต้องรับในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ ถ้าสิ้นชีวิตบนโลกใบนี้ ลมหายใจสุดท้าย ออกจากร่างแล้ว  มันสายเกินไปกับการที่จะตัดสินใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ หรือรับสิทธิของเราตรงนี้ ซึ่งมันน่าเสียใจมากๆ เราจะต้องไปในสถานที่ไม่มีพระเจ้า ที่เรียกว่าสวรรค์ เราจะไม่ได้อยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่ไม่ได้อยู่ในสวรรค์เพียงแค่ 100 ปี 50 ปี ไม่ใช่ 1,000 ปี ไม่ใช่ 10,000 ปี แต่เป็นนิรันดร์ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้อย่างนั้นว่าเป็นนิรันดร์ ไบเบิ้ลบันทึกไว้มันเป็นความจริงทั้งสิ้น แม้ขณะนี้เราไม่ได้เห็นว่าเป็นความจริง แต่ต่อมาเรื่อยๆ ในอนาคตมันก็จะเป็นจริงทุกอย่าง เหมือนอย่างที่พระคัมภีร์บันทึกว่าโลกกลม บอกมาเป็นหมื่นปีแล้ว … แล้วมนุษย์ไม่เชื่อ ในที่สุดก็พิสูจน์ให้เห็นว่าโลกมันกลมจริงๆ

ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้แล้วว่าดวงดาวนี้นับไม่ถ้วน มนุษย์เมื่อประมาณ 100 กว่าปีก่อน มีดาราศาสตร์พิสูจน์ว่ามีอยู่พันกว่าดวง นับได้ ที่ตาที่มองเห็น แต่จริงๆ นับไม่ถ้วน มันเป็นไปตามนั้น ในที่สุดก็รู้ความจริง

พระคัมภีร์ได้บันทึกเป็นพัน เป็นหมื่นปี แล้วว่ามนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้ โดยหญิงพรหมจารี ไม่มีเพศสัมพันธ์ แต่เกิดเป็นมนุษย์ได้ จากหญิงพรหมจารี โดยเฉพาะพระเยซูเป็นตัวอย่าง เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มาเกิดในหญิงพรหมจารี ที่ชื่อมารีย์ คนหัวเราะใหญ่ มันเป็นไปได้อย่างไร? หญิงพรหมจารีจะไปมีท้องได้อย่างไร? แต่ในปัจจุบัน เรารู้แล้วว่ามีการอุ้มบุญ มันเกิดขึ้นจริงๆ เพราะพระเจ้าบอกแล้ว มันเป็นไปได้ เราไม่เชื่อใช่ไหม?  มันเป็นจริงตามนั้น และหนึ่งในนั้น ซึ่งเป็นความจริง ก็คือมนุษย์สามารถเป็นอิสรภาพได้ โดยการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ เพียงแค่เราไปรับสิทธิของเราเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องเสียแม้แต่บาทเดียว เหมือนที่เขาเลิกทาสในประเทศไทย ไม่ต้องเสียอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว ยอมเสียศักดิ์ศรีหน่อย คือเสียความเย่อหยิ่งที่เรามีอยู่ในตัวไง เราไม่เชื่อหรอก ไม่ใช่หรอก เราเสียศักดิ์ศรีใช่ไหม? เรายอมลดตัวลง เราไม่ต้องเสียสักบาทเดียว  เรามีแต่ได้กับได้

          ถ้าเผื่อเรื่องนี้ไม่จริง สมมตินะครับ ท่านลองคิดดูตามตรรกะเลย ถ้าเรื่องนี้ไม่จริง เรื่องที่เล่ามาทั้งหมด ไม่จริงเลย สมมติ เราเสียอะไร? เราไม่ได้เสียอะไรเลยแม้แต่บาทหนึ่ง ถ้าเรื่องนี้ไม่จริง คนที่ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นผู้ไถ่บาปให้กับเขา … เขาตายไป เขาก็เป็นไปตามบุญตามกรรมที่เขาเชื่อ ถูกไหม? ไม่ว่าเขาจะเชื่ออะไรมาก่อน ก็เป็นตามนั้น ไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาเสียกว่านั้นเลย ถูกไหม?  แต่ถ้าเกิดมันเป็นจริงขึ้นมา อะไรเกิดขึ้น พระคัมภีร์บอกถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา พระเยซูคริสต์เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่ทำให้เราไปสวรรค์ได้ มีพระองค์เพียงทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ถ้าทางนี้พิสูจน์เหมือนทางอื่นที่บอกว่าหญิงพรหมจารีสามารถตั้งครรภ์ได้ ในปัจจุบันเราพิสูจน์แล้วว่าตั้งครรภ์ได้จริงๆ หรือโลกกลม พิสูจน์ได้จริงๆ ว่าโลกกลม ตามพระคัมภีร์บอก แล้วถ้าเผื่อมันพิสูจน์วันนั้นได้ว่าใช่จริงๆ มีทางเดียวที่จะไปสวรรค์ได้  คือทางพระเยซูเท่านั้น แต่การพิสูจน์นั้น มันต้องไปพิสูจน์เมื่ออยู่ในโลกวิญญาณ ตายไปแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้แล้ว … แล้วตอนนั้น เราจะเสียใจขนาดไหน?

 

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกว่าคนร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขตรงนั้นได้แล้ว ดังนั้น คำพูดสุดท้ายของพระเยซูจึงให้คน หรือเรียกว่าสาวก หรือคนที่รู้จักพระองค์แล้ว คนที่เชื่อพระองค์แล้ว ไม่กี่คนเองนะ ให้พูดเรื่องนี้  เป็นข่าวดีให้บอกคนต่อไป บอกออกไป ประกาศแค่นี้เอง ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ไม่ได้สอนธรรมะ ไม่ได้สอนจริยธรรม เพียงแต่บอกว่าไปบอกเขาให้เชื่อนะว่าเขาเป็นอิสระแล้ว นี่คือข่าวดีของพระเจ้าที่มาถึงเราทั้งหลายทุกคนบนโลกใบนี้ ไปบอกเขาๆ จากคนสองสามคน จนมาถึงทุกวันนี้ เป็นกี่พันล้าน? กี่หมื่นล้านคนแล้ว? ทุกวันนี้มีคนรู้จักพระเยซูกี่พันล้าน? กี่หมื่นล้านคนแล้ว? ทุกวันนี้มีคนรู้จักพระเยซูและเชื่อข่าวประเสริฐนี้ เฉพาะทุกวันนี้ ที่มีชีวิตอยู่นะครับ 1 ใน 3 ของโลกนี้ คือประมาณเกือบ 3,000 ล้านคนบนโลกใบนี้ 2,000 กว่าล้านคน ท่านลองคิดดู เกิดมาได้อย่างไร? เริ่มต้นแค่คนสองคน ถ้าเรื่องไม่ใช่เรื่องจริง

คริสตมาส คือข่าวดี ที่เขาฉลองกันทั่วโลกนี้ ท่านรู้ไหมเขาฉลองทำไม? หัวใจประกาศอย่างเดียว ก็คือเขาอยากจะบอกข่าวดีให้กับคนที่ยังไม่รู้ เขาอยากจะบอกข่าวดี ไม่รู้จะบอกอย่างไร?  พูดทุกวิถีทาง เขาเลยจัดงานฉลองคริสตมาสขึ้นมา ซึ่งมันก็ไม่ตรงกับวันที่พระเยซูจริงๆ หรอก แต่เขาก็เหมือนกับอุปโลกน์ ช่วงนี้ เทศกาลนี้ขึ้นมา เพื่อจะประกาศข่าวดีว่าพระเยซูบังเกิดจริงๆ มาที่นี่จริงๆ เพื่อให้ท่านรู้ว่าท่านมีส่วนในการบังเกิดของพระเยซู คือพระเยซูบังเกิดเพื่อท่าน เป็นข่าวดีให้กับท่าน มาไถ่บาปให้กับท่าน มนุษย์ทุกคน ย้ำอีกทีว่ามนุษย์ทุกคน

          พระคัมภีร์ไบเบิ้ลเขียนบอกว่ามนุษย์ทุกคน พระเจ้าทรงรักและทรงเมตตา และเห็นว่าเราเป็นทาสของความบาป ทาสของความมืด ความชั่วร้ายของมารซาตาน  และต้องการจะปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระ จึงประกาศการเลิกทาส โดยวิธีการส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเราเรียกว่าวันคริสตมาส และพระองค์ก็ทรงไถ่บาปเราด้วยการตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปแทนเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เรียกว่าวันอีสเตอร์ และนั่นคือจบของการไถ่บาปทั้งหมด

 

การไถ่โทษทั้งหมดของมนุษยชาติและก็ให้ประกาศข่าวดีนี้ออกไป ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มที่พระองค์ทรงตายที่นั่น ให้ประกาศเรื่องนี้ออกไป จนสุดปลายแผ่นดินโลก พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น หลายพันปีแล้ว และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มาจนถึงทุกวันนี้ พิสูจน์แล้ว 2,000 กว่าปีแล้วจริงๆ ข่าวดีนี้ ถูกประกาศจากเยรูซาเล็มนั้น ไปทั่วโลกในขณะนี้ และมากขึ้นทุกวัน พระคัมภีร์บอกจะมากขึ้นทุกวันๆ ไม่มีใครหยุดยั้งเรื่องนี้ได้  ไม่ว่าท่านะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ตาม ไม่มีใครหยุดยั้งข่าวดีนี้ได้ มันไปอยู่เรื่อยๆ  รถไฟขบวนนี้ไปสู่สวรรค์ วิ่งเร็วมาก มีคนขึ้นเยอะแยะ รถไฟขบวนนี้อยากให้คนขึ้น แต่คนนั้นไม่ขึ้น  ไม่มีใครสนใจ เพราะว่าคนขึ้นเยอะไปเร็วมาก เดี๋ยววันหนึ่งก็ผ่านไป ปีหนึ่งก็ผ่านไป คนนั้นก็ตายไปแล้ว คนนี้ก็ตายไปแล้ว  ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าถ้าถึงวันนั้น เป็นเวลาของท่านที่จะจากโลกนี้ไป ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าท่านได้ไปสวรรค์แน่นอน

ถามตัวเองในวันนี้ ให้คริสตมาสปีนี้ เป็นปีที่ท่านได้คิดถึงเรื่องอย่างซีเรียสสักทีหนึ่งว่าอะไรคือคำตอบในชีวิตของท่าน … ท่านมีเป้าหมายอะไร? ท่านเสียอะไรไหมที่จะรับข่าวดีนี้ เรื่องของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เรื่องของคริสตมาสนั้น และถ้าท่านรับสิทธิของท่าน อะไรเกิดขึ้นรู้ไหมครับ? ที่เขาอวยพรในวันคริสตมาส ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน ก็คือ Merry Christmas จะเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน ที่เขาอวยพรกัน Merry Christmas ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน เพราะ Merry Christmas แปลว่าอะไรรู้ไหมครับ? แปลว่า “ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน ได้บังเกิดขึ้นกับท่าน” นี่คือความหมายของ Merry Christmas

แต่คนนั้นจะไม่ได้รับอะไรเลย ถ้าเขาไม่ใช้สิทธิของเขา ไม่มีใครใช้สิทธิแทนเขาได้ เขาต้องใช้สิทธิด้วยตนเอง เขาจะต้องเชื่อในเรื่องข่าวดีนี้ว่าเป็นจริง และรับสิทธิของเขา และคริสตมาสก็จะเข้าไปอยู่ในใจของเขาตลอดไป ไม่ใช่วันนี้เป็นวันคริสตมาสแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ถ้าเขาเชื่อในข่าวดีนี้ รับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นผู้ไถ่บาปให้เขาจริงๆ คริสตมาสจะเป็นทุกวัน ในชีวิตของเขา เป็นทุกวินาทีในชีวิตของเขา … เขาจะเกิดความสงบสุข สันติสุขทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ จากการไถ่บาปให้กับเขา เพราะเขามั่นใจแล้วว่าเขาหมดบาปแล้ว สะอาดหมดจดแล้ว พร้อมแล้วที่จะจากโลกนี้ไป และจะไปอยู่ในสวรรค์ นั่นคือความหวังสูงสุดของมนุษย์ทุกคนแล้ว

แค่นั้นยังไม่พอ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเรารับเชื่อในพระเยซู เมื่อเราต้อนรับสิทธิตรงนี้เข้าไปแล้ว พระเยซูมาสถิตอยู่กับเรา มาช่วยเราทุกเรื่อง ทุกเรื่องเลย ทุกอย่าง ทุกก้าว ทุกฝีก้าวเข้าออก ดูเราตลอดเวลา เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักและดูแลตลอดเวลา และถามว่าทำไมคนอื่นไม่ดู ก็จะดูได้อย่างไร ก็เขาไม่ให้พระองค์ดู อยากจะดู แต่เขาไม่ยอม แต่เมื่อเราต้อนรับ เหมือนเราเปิดใจให้พระเยซู … พระเยซูก็จะเข้าไปอยู่กับเรา พาเราเดินแต่ละวันๆ ไป

คิดดูสิ มันจึงเกิดสันติสุขและความสงบทางใจ ช่วยเราทุกเรื่องบนโลกใบนี้ แก้ปัญหาอะไรทุกอย่างบนโลกใบนี้ นำพาเราทุกอย่างบนโลกใบนี้  แล้วยังทำให้เรา มั่นใจว่าเราไปสวรรค์ เราหมดบาป เราไปอยู่กับพระเจ้าได้ ในสวรรค์แน่นอน เพราะเราไม่มีบาปแล้ว เราได้รับการไถ่แล้ว มีแต่ได้สองเด้งเลย  อยู่บนโลกนี้ก็ได้ พร้อมที่จะตาย … ตายไปก็ได้ ไม่เสียอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่ต้องเอาเงินมาให้พระเจ้าเลย ไม่ต้องทำอะไรให้กับพระเจ้าเลย เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นของฟรี ที่พระเจ้าให้กับเราฟรีๆ ถ้าใครเรียกร้องเงินจากท่าน ถ้าใครมาบอกท่าน ให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อจะได้ตรงนี้ มันไม่ใช่เลย มันผิดหมดเลย เพราะทั้งหมดเหล่านี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่ามันฟรี จากพระเจ้า ไม่เสียอะไรเลย  แม้แต่นิดเดียว มีแต่ได้กับได้

ก็ขอฝากตรงนี้ไว้กับท่านนะครับ  เราจะร้องบทเพลงนี้ ซึ่งเป็นเพลงที่ดังที่สุดในโลกเลยนะครับ เรื่องเกี่ยวกับคริสตมาสนี้  เป็นเพลงคริสตมาสที่ดังที่สุด ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าเพลงคริสตมาสที่ดังที่สุด คือเพลงอะไร?  ในจำนวนเพลงคริสตมาส เพลงนี้ที่ดังและได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะว่าหมายของเพลงนี้ พระเจ้าเป็นผู้กำหนดให้คนแต่ง … แต่งเพลงนี้ขึ้นมา โดยการดลใจจากพระเจ้า  บอกถึงความสำคัญของวันคริสตมาสว่าพระเยซูมาเกิดในหญิงพรหมจารีอย่างไร? เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์พ้นจากความบาป ได้รับอิสรภาพนั่นเอง รู้จักใช่ไหมครับเพลงนี้ เพลง “Silent night” ภาษาไทย คือ “ยามราตรี” ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2015 “วันคริสตมาส” เรื่อง “ทรงประสูติจากหญิงพรหมจารี” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  ธันวาคม  2015

 “วันคริสตมาส”

เรื่อง “ทรงประสูติจากหญิงพรหมจารี

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

โอเค … วันนี้ก่อนบรรยาย อยากจะพูดว่าให้ตั้งใจฟังบรรยายในวันนี้ให้ดีๆ  ฟังแล้วท่านจะมีความสุขมาก อาจจะเป็นเรื่องบางอย่างที่พอที่จะเคยผ่านหูมาบ้าง? แต่วันนี้ มันลึกซึ้งขึ้น ทำให้ท่านสามารถที่จะมีความเชื่อ มีความชื่นชมยินดี มันมันส์ในอารมณ์มาก ที่จะได้ฟังคำบรรยายในวันนี้ ตั้งใจฟังให้ดีๆ  เผื่อท่านจะได้เก็บเอาไว้ใช้ เมื่อเจอใคร เล่าให้เขาฟังถึงเรื่องราวอย่างนี้ ที่ท่านจะได้ฟังในวันนี้

ผมใช้ชื่อเรื่องในวันนี้ว่า “Vergin birth of Christ” แปลเป็นไทยว่า “ทรงประสูติจากหญิงพรหมจารี”

ย้อนกลับไป เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว พระคัมภีร์ได้บันทึกเหตุการณ์วันคริสตมาสแรกไว้

ลูกา 2:8-12 “8 และในแถบนั้น มีคนเลี้ยงแกะ อยู่กลางทุ่งเฝ้าฝูงแกะของเขายามค่ำคืน 9 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า มาปรากฏและพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า ส่องล้อมรอบพวกเขา ทำให้คนเหล่านั้นตกใจกลัวยิ่งนัก 10 แต่ทูตนั้นกล่าวแก่พวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เรานำข่าวดีมา เป็นความเปรมปรีดิ์ใหญ่หลวง สำหรับคนทั้งปวง 11 ในวันนี้ ที่เมืองของดาวิด องค์พระผู้ช่วยให้รอด ได้มาบังเกิด เพื่อท่าน พระองค์คือพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า 12 นี่เป็นหมายสำคัญแก่ท่าน คือท่านจะพบพระกุมารพันผ้าอ้อม นอนอยู่ในรางหญ้า”

 

“พระผู้ช่วยให้รอดได้มาบังเกิด เพื่อท่าน พระองค์คือพระคริสต์ (หมายถึงพระเยซู) ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า”

นี่คือหลักฐานที่บันทึกการทรงสภาพพระเจ้า คือการทรงเป็นพระเจ้า และทรงสภาพมนุษย์ของพระเยซูคริสต์

คริสตมาสทุกปี เราก็จะประกาศ และย้ำตรงนี้ว่าพระเยซูคริสต์ ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นความจริงส่วนแรกของข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู

และพอถึงวันอีสเตอร์ เราก็จะย้ำความจริงของส่วนที่สองของข่าวประเสริฐ ก็คือทรงทุกข์ทรมาน และสิ้นพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ

นี่คือทั้งหมดของคำว่าข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 คู่กัน เทศกาลอีสเตอร์ ก็หมายถึงเทศกาลที่รวมทั้งศุกร์ประเสริฐด้วย เรารวมกันเรียกว่าเทศกาลอีสเตอร์

ถ้าไม่มีวันศุกร์ประเสริฐ ก็ไม่มีอีสเตอร์ ถูกไหมครับ? ถ้าไม่มีการตาย ก็ไม่มีการเป็นขึ้นมาใหม่

สรุปว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์    เริ่มต้นที่วันคริสตมาส     แล้วก็เสร็จสมบูรณ์ในวันอีสเตอร์ครับ

เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าทำไมต้องมีวันคริสตมาส ถ้าให้ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ตอบแบบกวนๆ ก็ต้องตอบว่าต้องมีวันคริสตมาส เพื่อจะมีวันอีสเตอร์

หรือจะตอบให้ชัดเจนหน่อย เหตุผลที่พระเยซู ซึ่งมีสภาพพระเจ้า เป็นพระเจ้า ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือเพื่อมาไถ่มนุษย์ ซึ่งเป็นคนบาป ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป  ซึ่งก็คือความตายและตาย คือตายในวิญญาณ ตายทางร่างกาย ตายทางวิญญาณ ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้

เพราะพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกไว้ชัดเจนว่านี่เป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์รอดพ้นจากโทษของความบาปได้  คือพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น เพื่อเป็นตัวแทนให้มนุษย์ ดูสิว่าพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ตรงไหนครับ?

ฮีบรู 2:14-17 “14 ในเมื่อบุตรทั้งหลาย มีเลือดและเนื้อ พระองค์จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตาย คือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิต ตกเป็นทาสเนื่องจากกลัวความตาย 16 เพราะแน่นอนว่าพระองค์ไม่ได้ทรงช่วยทูตสวรรค์ แต่ทรงช่วยวงศ์วานของอับราฮัม 17 ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา และความสัตย์ซื่อในการรับใช้พระเจ้า และเพื่อจะได้ทรงลบมลทินบาปของปวงประชากร

 

เห็นไหมครับ? ชัดเจนไหม?  ชัดเจนมากๆ เลย พระเจ้าอธิบายให้พวกเราฟังว่าทำไมพระเยซูต้องมาเป็นมนุษย์

“พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง”

เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง เพื่ออะไร? เพื่อมาไถ่บาป เพื่อจะได้ลบมลทินบาปทั้งปวงของปวงประชากร รวมหมายถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระเจ้าอธิบายให้เราฟังอย่างนั้น

เพราะตัวการที่ทำให้มนุษย์ทุกคนต้องกลายเป็นคนบาป และต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ตัวการนั่นก็คือมนุษย์ ซึ่งก็หมายถึงบรรพบุรุษของเรา บรรพบุรุษของมนุษย์ ต้นพันธุ์ของเรา ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ มีนาม มีชื่อว่าอาดัมและเอวา

เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ และสามารถทำให้มนุษย์กลับคืนสู่พระเจ้าได้ กลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ก็ต้องเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น มนุษย์เท่านั้นที่จะเป็นตัวแทนของมนุษย์ด้วยกันได้

นี่คือคำตอบที่ว่าทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วย ถึงตรงนี้บางท่านอาจมีคำถามต่อในใจ ผมเดาออกว่าท่านจะถามว่าอย่างไร?

ก็คือท่านจะถามว่า “แล้วพระเยซูจะสามารถช่วยมนุษย์ได้อย่างไร?”

“ความเป็นมนุษย์ของพระเยซูแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ อย่างไรเล่า?”

“ถ้ามนุษย์เป็นตัวแทนของมนุษย์ได้ ทำไมต้องเป็นมนุษย์คนนี้ หมายถึงพระเยซูด้วย เป็นมนุษย์คนอื่นๆ ไม่ได้เหรอ ที่เขาทำความดีเยอะแยะ สะสมบารมีมากๆ ไม่ได้หรือไง?”

ท่านคงคิดอย่างนี้ใช่ไหม? เตรียมคำตอบมาให้ท่านแล้ว  ที่ต้องเป็นพระเยซูเท่านั้น เป็นมนุษย์คนอื่นไม่ได้ ก็เพราะว่ามนุษย์ทุกคน ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ มนุษย์ทุกคนมีเชื้อบาปที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ และเมื่อมนุษย์มีเชื้อบาป มนุษย์ก็อยู่ใต้อำนาจของมาร ไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับอำนาจของความบาปและความตายได้  เพราะตัวเองก็เป็นบาป ในขณะที่พระเยซูคริสต์ ซึ่งแม้จะอยู่ในสภาพมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และในพระองค์ไม่มีบาป

ย้ำอีกที “ในพระเยซูไม่มีบาป ไม่มีเชื้อบาปเลย” พระองค์จึงไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของมารซาตาน และดังนั้น จึงสามารถรับโทษบาปทั้งปวงของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ได้ เพราะพระองค์มีกำลังพอ ใน 1 ยอห์น 3:5 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ ดูสิว่าพระเจ้าบอกเราว่าอย่างไร?

1 ยอห์น 3:5 “แต่ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มา เพื่อขจัดบาปของเรา และในพระองค์ไม่มีบาป

 

นี่ไง บันทึกไว้นานแล้วนะ 2,000 ปีแล้ว พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง มีเลือดเนื้อเป็นมนุษย์ แต่พระองค์ไม่มีบาป ไม่มีบาปเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ บนโลก พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ นานมาแล้ว นี่คือคำตอบที่ว่าพระเยซูในสภาพมนุษย์ มีอะไรที่แตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ ก็คือพระองค์ไม่มีบาปเลย  ไม่ใช่ไม่ทำบาปนะ ไม่มีบาปเลย ไม่ได้มีเชื้อบาปอยู่ในตัวเลย ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำหรือไม่? ไม่เป็นบาป คือไม่มีบาป

แล้วท่านสงสัยไหมครับว่าทำไมพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อ มีเนื้อหนัง ร่างกายแบบเรา เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แล้วทำไมพระองค์จึงเป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่มีบาป? ท่านคงคิดในใจอย่างนี้ใช่ไหม?  นี้ผมจะตอบให้ท่านวันนี้แหละ

วันนี้เราก็เลยจะมาคุยเรื่องนี้แหละ ซึ่งละเอียดขึ้นนะครับ เรียนรู้ทั้งจากในพระคัมภีร์ด้วยนะครับ และจากวิทยาศาสตร์ด้วย วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เทคโนโลยีในปัจจุบัน ที่พิสูจน์มาแล้ว เอาสองอย่างมาผสมกัน ให้ท่านเห็น

เรามาเริ่มต้นดูที่ถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือลูกา … ลูกาได้บันทึกเหตุการณ์ในช่วงที่โยเซฟกับมารีย์ยังเป็นคู่หมั้นกัน และพระเจ้าได้ทรงส่งทูตสวรรค์ไปบอกข่าวกับนางมารีย์ว่าอย่างนี้? นึกภาพเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ก่อนวันที่จะมีคริสตมาส  ทูตสวรรค์มาหานางมารีย์ พระเจ้ามาปรากฏกับนางมารีย์ และพระเจ้าพูดอะไรกับมารีย์นะครับ ลูกา 1:31-35 บันทึกเอาไว้ คอยสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนี้

ลูกา 1:31-35 “31 เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า “เยซู” 32 พระองค์จะทรงยิ่งใหญ่ และได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิด บรรพบุรุษของพระองค์แก่พระองค์ 33 และพระองค์จะทรงครอบครอง พงศ์พันธุ์ของยาโคบตลอดไป อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุดเลย 34 มารีย์ถามทูตสวรรค์นั้นว่า จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร  ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี 35 ทูตนั้นตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอ และฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะปกคลุมเธอ ดังนั้น องค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมา จะได้ชื่อว่า “พระบุตรของพระเจ้า” …”

 

“ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี”

“สาวพรหมจารี” ใครพูด? มารีย์พูด

มารีย์พูดกับทูตสวรรค์ “จะเกิดขึ้นได้อย่างไร? ฉันเป็นหญิงบริสุทธิ์ พรหมจารี” จำคำนี้ไว้นะครับ

และในนี้บอกว่า “ทูตนั้นตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือเธอ และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะปกคลุมเธอ” จำคำนี้ไว้

พูดตามผม “ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า จะปกคลุมเธอ”

นี่คือสาสน์ที่มาจากพระเจ้า ส่งมาบอกให้แมรี่หรือมารีย์ได้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเธอ ซึ่งเป็นสาวพรหมจารี

ตอนที่ทูตสวรรค์บอกนางมารีย์ว่า “เธอจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชาย”

ปฏิกิริยาของมารีย์ตอนนั้นเป็นอย่างไรครับ? งง ไม่เชื่อ คิดว่าทำไม? มันเป็นไปได้อย่างไรเล่า? มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะขณะนั้นมารีย์ยังเป็นแค่คู่หมั้นของโยเซฟ ยังไม่แต่งงานกัน

เธอจึงตอบทูตสวรรค์ว่า “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร? ในเมื่อฉันเป็นสาวพรหมจารี”

คือมันไปไม่ได้ จึงรีบตอบคำนี้ออกมาไง

แล้วทูตสวรรค์ก็ตอบว่า “เป็นไปได้ เพราะบุตรชายที่จะเกิด ในครรภ์ของเธอนั้น มาจากฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์”

จำตรงนี้ไว้ดีๆ นะครับ “ฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์”

ไม่ได้มาจากการปฏิสนธิธรรมชาติ แบบธรรมชาติของมนุษย์ทั่วๆ ไป นี่เรากำลังพูดถึงเหตุการณ์เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว ที่เกิดขึ้นนะครับ

การที่หญิงสาวพรหมจรรย์จะตั้งครรภ์ และคลอดลูกนั้น คิดดูสิ สองพันกว่าปีที่แล้ว เป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าอัศจรรย์ คือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทางเกิดขึ้นเลย แม้แต่นิดเดียว ในความคิดของมนุษย์สมัยนั้นทั้งหมด ในสังคมมวลมนุษย์ทั้งหมดตอนนั้น ถ้าใครพูดอย่างนี้ ต้องมีคนบอกว่า.-

“ไอ้นี้มันบ้าแล้ว เป็นไปได้อย่างไร?”

ถูกหรือไม่ถูก? นึกย้อนไปเมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว แต่ถ้าเกิดมาในสมัยนี้ ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันนี้ ด้วยเทคโนโลยี และวิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน ท่านทราบดี ท่านว่าเป็นไปได้ไหม? คิดเอง เป็นไปได้ไหม? ผู้หญิงหลายท่านบอกว่าเป็นไปได้

เป็นไปได้ไหมที่หญิงสาวพรหมจารีจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดเด็กทารก เป็นไปได้ไหม? ปัจจุบันเป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้ (แล้วก็ง่ายอีกต่างหาก ไม่ยากเลย) นี่คือประเด็นที่เราจะมาคุยในวันนี้

แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ประเด็นเกี่ยวกับการประสูติของพระเยซูคริสต์ เป็นที่ถกเถียงกันมาตลอด เป็นระยะเวลานาน  เถียงกันตั้งแต่เรื่องที่ว่า.-

พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ หรือไม่?

พระเยซูเกิดมาเป็นมนุษย์จริงๆ หรือไม่?

พระเยซูเกิดจากหญิงพรหมจารีจริงๆ หรือเปล่า?

พระเยซูปราศจากเชื้อบาปจริงๆ หรือไม่?

เถียงกันมาเป็น 2,000 ปีแล้ว ซึ่งคำถามทั้งหมดนี้ มีคำตอบไว้ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้นว่าเป็นความจริงทุกข้อ ซึ่งจริงๆ แล้ว สำหรับคริสเตียนเราเชื่อว่าพระคัมภีร์ คือถ้อยคำของพระเจ้า และเป็นความจริงทั้งหมด  เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เราย่อมไม่มีข้อสงสัยเลยที่จะเชื่อ เอเมนไหม? ถูกไหม?

แต่ที่ผ่านมา ก็ยังมีคนหลายกลุ่มที่พยายามจะศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็มีทั้งพยายามที่จะหาหลักฐานมาสนับสนุนความจริงในพระคัมภีร์ และพยายามที่จะหาหลักฐานมาลบล้าง เขาพยายามหากัน อย่างที่รู้กันอยู่นะครับ ยิ่งหายิ่งเจอความจริง

แต่สำหรับคริสเตียน อย่างที่บอกว่าแม้ว่าเราจะไม่เข้าใจว่าพระคัมภีร์พูดนั้น มันหมายถึงอะไร? เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถไปถึง เราไม่เข้าใจ แต่เราไม่มีข้อสงสัย เพราะเราเชื่อโดยไม่เข้าใจ เพราะเรารู้ว่าความคิดของเรา จะไปเท่าความคิดพระเจ้าไม่ได้ เมื่อเราเชื่อ แม้ไม่เข้าใจ เราก็เชื่อ แต่เท่าที่เห็นมา หมายถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีใครเลยนะครับ ทุกวันนี้เป็นเวลาเป็นหลายพันปีผ่านมา  พระคัมภีร์พูดมันเป็นอย่างนั้นหมด พระคัมภีร์บอกว่าโลกกลม เถียงกันว่าโลกแบน ในที่สุด โลกก็กลม หลายร้อยปีผ่านไป รู้ว่าโลกกลม พระคัมภีร์เขียนไว้ตั้งเป็นพันๆ ปีมาแล้ว ไม่เชื่อ เข้าใจใช่ไหมครับ ไม่มีใครประสบความสำเร็จ ในการที่จะไปค้นหาทางวิทยาศาสตร์ แล้วมันจะมาลบล้างความจริงในพระคัมภีร์ไม่มีเลยนะครับ

ที่ได้ยินมา ก็มีแต่ยิ่งค้นยิ่งทำไม? ยิ่งจนมุม  จนมุมพระเจ้า ยิ่งค้นยิ่งพบความจริงว่าเป็นจริง จนในที่สุด กลายเป็นต้องมากลับใจเชื่อพระเจ้า แบบนี้มีเยอะนะครับ มีเยอะมาก และสำหรับพวกเราที่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าอยู่แล้ว การที่เรามาเรียนรู้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม ก็ไม่ได้หมายความว่าเรามาอาศัยหลักฐานพิสูจน์ เพื่อเราจะเชื่อ ไม่ใช่ แต่ถามว่าเรามาเรียนรู้เพื่ออะไร?  เพื่อประกอบความรู้ของเรา  ความเชื่อของเรานิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น และเรียนรู้เพื่ออะไรรู้ไหม? ฟังเพื่ออะไรรู้ไหม? เพื่อเกิดความมันส์ในอารมณ์ เข้าใจไหม? เชื่ออยู่แล้วแหละ แต่ได้ฟัง โอโห้! ใช่เลย ยิ่งเกิดความมันส์

พระคัมภีร์บอกโลกกลม ว่ากันมาว่าโลกแบน ในที่สุด ก็เจอแล้วโลกกลม  มันเกิดความมันส์ วันนี้ ท่านจะจบคำบรรยาย ท่านก็จะเกิดความมันส์ในอารมณ์ว่าพระเยซูเกิดในหญิงพรหมจารีได้จริงๆ แล้วอย่างไรด้วย? นี่คือความมันส์ในอารมณ์ ซึ่งพอเกิดความมันส์ เราจะพูดกับว่าอย่างไร? ฮาเลลูยา  มันพูดอะไรไม่ออกแล้ว  พอได้ยินความรู้ ดูว่าเขาพิสูจน์กันมาเจอแล้วว่าพระคัมภีร์จริง เราก็จะบอกว่าโอ้! ฮาเลลูยา ถูกไหม?  คือไม่รู้ว่าจะบอกว่าอย่างไร?  สรรเสริญพระเจ้าดีกว่า

โอเค … กลับมาในเรื่องการประสูติของพระเยซู ที่บอกว่าพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่พระองค์เป็นมนุษย์ที่ไม่มีเชื้อบาปเลย ก็เพราะว่าพระองค์ไม่ได้เกิดจากเชื้อของมนุษย์ แต่เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยอาศัยครรภ์ของหญิงพรหมจารี หรือเรียกกันตามภาษาชาวบ้าน ปัจจุบัน ตามวิทยาศาสตร์ หรือทางแพทย์ ก็คือโดยอาศัยมดลูกของหญิงพรหมจารี หญิงพรหมจารีคนนี้  มีชื่อว่ามารีย์ หรือแมรี่ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เป็นแผนการที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว  มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า โน่นหลายพันปี ก่อนหน้าเหตุการณ์ตั้งนาน อิสยาห์ 7:14 ได้บันทึกเอาไว้ บอกไว้ล่วงหน้า อิสยาห์ได้บันทึกประมาณ 700 ปีก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด

อิสยาห์ 7:14 “องค์พระผู้เป็นเจ้าเอง จะประทานหมายสำคัญแก่ท่าน คือหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และจะเรียกบุตรนั้นว่า “อิมมานูเอล”

 

นี่คือหนึ่งในจำนวนที่บอกเหตุการณ์ล่วงหน้า ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ว่าพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดจากหญิงพรหมจารี หนึ่งในเหตุการณ์ จริงๆ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกให้ท่านนะ ทั้งหมดทั้งมวล คือเรื่องเดียว เรื่องนี้เรื่องเดียวว่าพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตจะมาชำระบาป จะมาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาป นี่คือเรื่องเดียว  แต่วันนี้เอามานิดๆ หน่อยๆ นี่แค่หนึ่งในจำนวนนั้น 700 ปีก่อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หนึ่งในจำนวนนั้น คือพูดง่ายๆ ว่าหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ เป็นไปได้อย่างไร? 2,700 ปีก่อนนั้น มีคนบอกว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น  คนไม่เชื่อหรอก เห็นไหม?

คือตอนที่มนุษย์ตกลงไปอยู่ในความบาปใหม่ๆ ตอนที่อาดัมและอีฟตกลงไปในความบาป เริ่มต้น พอพระเจ้าสั่งลงโทษ คือโดนสาปแช่ง เพราะว่ากบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ถือว่าเป็นกบฏ เกิดการลงโทษโดยทางกฎนะครับ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย ไม่ใช่ มันมีกฎระเบียบอยู่ เหมือนฝ่าไฟแดงคล้ายๆ อย่างนั้น ก็เกิดคำสาปแช่งขึ้น พระเจ้าก็บอกล่วงหน้า ซึ่งเราเรียกกันว่าเผยพระวจนะ ก็คือพูดไว้ก่อนล่วงหน้าเลยว่าในอนาคตข้างหน้า จะมีวันคริสตมาส คือมีวันที่พระเยซูจะมาประสูติในหญิงพรหมจารี บอกล่วงหน้าเลย  ครั้งแรกที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป กบฏต่อพระเจ้าปุ๊บ กฎหมายได้ลงโทษมนุษย์และเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ เรียกว่าคำสาปแช่ง พระเจ้าตรัสสั่งคำสาปแช่งนั้น และหนึ่งในจำนวนนั้น พระเจ้าเตรียมอะไรไว้ เพื่อช่วยเราในการที่จะหลุดพ้นจากคำสาปแช่งเหล่านั้น ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล 3:15 หน้าเริ่มต้นแรกๆ ของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ปฐมกาล 3:15 บันทึกไว้ชัดเจน เรื่องนี้

ปฐมกาล 3:15 “พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขา ฟกช้ำ

 

พงศ์พันธุ์ของหญิง … หญิงนี้ก็คือเล็งถึงแมรี่นั่นเอง

หัวเจ้าแหลก ก็คือหัวของมารแหลกเลย

คำว่า “พงศ์พันธุ์ของหญิง” ในข้อนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Her seed” หรือถ้าแปลเป็นไทย แปลว่าเมล็ดพันธุ์ Seed แปลว่าเมล็ดพันธุ์ หรือถ้าจะแปลไปลึกๆ กว่านั้น จากภาษาฮีบรู แปลว่า “หน่อเชื้อ”

เมล็ดพันธุ์ของหญิง ก็คือหน่อเชื้อของหญิง ซึ่งเล็งถึงใคร? พระเยซูนะ รู้กัน คือบันทึกไว้ล่วงหน้าเลย พระเจ้าบอกล่วงหน้าเลยว่าพระเยซูจะมาทำลายอำนาจของมาร และมารจะทำให้ส้นเท้าของพระเยซูฟกช้ำ เทียบกัน ฟกช้ำ ก็คือถูกตรึงเทียบกับหัวมารแหลก ก็คือมารหมดอำนาจในชีวิตของพวกเราทุกคน ท่านพอจะเข้าใจ มันต่างกันอย่างนี้

สังเกตตรงคำว่า “พงศ์พันธุ์ของหญิง” นะ หรือภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า Her seed  หรือที่เราแปลเป็นไทยว่าหน่อเชื้อนะ

มนุษย์ในโลกนี้ ท่านสังเกตดูทั้งหมดเลย ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่จะมาจากพงศ์พันธุ์ของหญิง มาจากพงศ์พันธุ์ของหญิง ก็คือมาจากเมล็ด Her seed ก็คือเมล็ดพันธุ์ของหญิง หรือจะพูดอีกครั้งหนึ่ง ก็คือไม่มีมนุษย์คนไหนเลย ที่จะมาจากหน่อเชื้อของหญิง พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้มาจากหน่อเชื้อของหญิง เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นหน่อเชื่อของใคร? ชาย เพราะมนุษย์ทุกคนเป็นหน่อเชื้อ หรือเป็นมาจากเชื้อของชาย คือมีกำเนิดมาจากเชื้อที่มาจากผู้ชาย คือต้องมีเชื้อที่เป็นของชาย คือเป็นพ่อ คนเป็นแม่จึงสามารถตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรได้ ถูกต้องไหม? ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด ใช่หรือไม? ถูกใช่ไหม? ผู้หญิงจะตั้งครรภ์ต้องมีเชื้อของผู้ชาย จึงจะตั้งครรภ์ได้ แต่พระเยซูทรงบังเกิดจากหญิง ที่ไม่มีเชื้อของผู้ชายเลย เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ลงมาจุติในมดลูก … ในมดลูกของหญิงพรหมจารี

นี่คือคำอธิบายที่บอกว่าพระเยซูมีเลือด และมีเนื้อเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่พระองค์ไม่มีเชื้อบาปเลย  เพราะว่าพระองค์ไม่ได้มาจากเชื้อของคนบาปที่เป็นมนุษย์เลย อย่างที่บอกตอนต้นนะครับว่าในสมัยนั้น  การที่หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้ แต่ทุกวันนี้การแพทย์ มีวิธีเหนือธรรมชาติ คือโดยธรรมชาติ เป็นไปไม่ได้ แต่โดยเทคโนโลยีปัจจุบัน เป็นไปได้ ที่เรียกกันว่าการผสมเทียม เคยได้ยินใช่ไหม?

ซึ่งเทคนิคการผสมเทียมก็มีตั้งแต่ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด ไปจนถึงเทคโนโลยีล้วนๆ เลย ที่ผมลองอ่านมาคร่าวๆ นะครับ เขาบอกว่าการผสมเทียมที่ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด ก็คือการฉีดหน่อเชื้อของผู้ชายเข้าไปในโพรงมดลูกของผู้หญิง แล้วให้เกิดการปฏิสนธิแบบธรรมชาติ ในมดลูกของผู้หญิงตั้งครรภ์ได้

หรือวิธีที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ การทำกิ๊ฟท์ ซึ่งในพระคัมภีร์กล่าวถึงการมีบุตรว่าเป็นของประทานมาจากพระเจ้า ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Gift ผมก็เลยตั้งข้อสังเกตว่าคำนี้อาจจะมาจากที่เขาเห็นว่าการมีบุตรเป็นของประทาน จึงเรียกวิธีการนี้ว่ากิ๊ฟท์ การทำกิ๊ฟท์คืออะไร? การทำกิ๊ฟท์ ก็คือการเก็บไข่จากผู้หญิง และเก็บหน่อเชื้อของผู้ชายมาผสมกัน แล้วก็ใส่กลับเข้าไปสู่มดลูกของผู้หญิงทันที พอผสมกันข้างนอกเสร็จปุ๊บ ใส่เข้าไปในผู้หญิงทันที เพื่อให้การปฏิสนธิเป็นแบบธรรมชาติอยู่ ซึ่งกรณีที่มดลูกของคนที่เป็นแม่แข็งแรงไม่พอ แข็งแรงไม่พอที่จะทำการปฏิสนธิ จึงทำการเอามาปฏิสนธิข้างนอกให้เรียบร้อย แล้วก็ฉีดเข้าไป ก็คือเอาไปฝากไว้ที่ท้องของผู้หญิงนั่นเอง เอาไปฝากไว้ เอาไปใส่ไว้ นึกออกใช่ไหมค่ะ

ที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ที่เรียกกันว่าอุ้มบุญ อันนี้ชัดเลย หลายๆ คนรู้แล้ว ถ้าเผื่อมดลูกของผู้หญิงคนใดแข็งแรงไม่พอ ก็อาจจะไปฝากไว้ที่ผู้หญิงคนอื่น นึกออกใช่ไหม? นึกออกใช่ไหม? ไข่ของแม่บวกเชื้อผู้ชาย เป็นสามีเรา แต่ไปฝากไว้ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ที่เขาแข็งแรงกว่าเรา เขาเรียกว่าอุ้มบุญ เด็กก็ยังมีสายเลือดทุกอย่าง ทั้ง DNA เชื้อของใคร? เชื้อของพ่อผสมกับไข่ของแม่ ไม่ได้เกี่ยวกับคนที่อุ้มบุญเลย ถูกไหม? นี่ปัจจุบันหมดเลย

ส่วนวิธีธรรมชาติน้อยที่สุด นี่น้อยที่สุด คืออะไร? คือการทำเด็กหลอดแก้ว เด็กทดลอง ก็คล้ายๆ การทำกิ๊ฟท์นะครับ เก็บไข่จากผู้หญิง หน่อเชื้อจากผู้ชาย  แล้วให้เกิดปฏิสนธิในหลอดแก้ว ใช้เวลาประมาณ 3 – 5 วัน จนกระทั่งเกิดเป็นตัวอ่อนแล้ว จึงใส่กลับเข้าไปในมดลูกของผู้หญิง อันนี้ไม่ธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ ธรรมชาติน้อยลง พูดง่ายๆ

ถามว่าการผสมเทียมด้วยวิธีการต่างๆ ที่ผมพูดมานี้ ผู้หญิงที่ยังเป็นสาวพรหมจารีอยู่ สามารถตั้งครรภ์ได้ไหมครับ? ตอบ?  ได้ เห็นไหม? 2,000 กว่าปีบอกแล้ว 3,000 กว่าปีบอกแล้ว 4,000 กว่าปีบอกแล้ว ในพระคัมภีร์บอกแล้วว่าได้ บางคนบอกได้อย่างไร?  แต่ปัจจุบันไม่กี่ 10 ปีมานี้เอง รู้แล้วว่ามันได้ มันเหมือนโลกกลมนะ อย่างนี้มันมันส์ในอารมณ์ไหม? มันส์จริงๆ  มันมันส์เหมือนสมัยที่เขาค้นพบว่าโลกกลม พระคัมภีร์บอกไว้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว

แล้วอันนี้พระคัมภีร์ก็บอกไว้ตั้งนานแล้วว่าหญิงพรหมจารีตั้งครรภ์ได้ แล้วในปัจจุบันเทคโนโลยีหาเจอแล้ว ตั้งครรภ์ได้จริงๆ

แล้วผมคุยเรื่องการผสมเทียมมาเยอะแยะ จนทุกคนจะเป็นหมออยู่แล้วเนี้ย ถามว่าคุยเพราะอะไร? ท่านทราบไหมครับ? ก็เพื่อให้ท่านทราบว่าการกำเนิดทารกทุกคน บนโลกใบนี้ การกำเนิดทารกทุกคนต้องเกิดจากหน่อเชื้อของผู้ชายเท่านั้น  เชื้อผู้ชายเท่านั้น

          พวกเราทุกคนที่เป็นมนุษย์ เซลๆ แรก หรือกำเนิดชีวิตแรกของเรา มาจากเชื้อของพ่อ ที่มาผสมกับไข่ของแม่ จึงเกิดเซลแรกขึ้น แต่การประสูติของพระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่มีเชื้อจากใครเลย ถ้าจะพูดให้เห็นภาพทางวิทยาศาสตร์ก็คงพูดว่าพระเจ้าทรงให้เกิดเซลขึ้น เซลแรกในครรภ์ ในมดลูกของนางมารีย์เลยทีเดียว โดยไม่ต้องอาศัยเชื้อจากที่ไหนเลย ด้วยการกระทำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ทำให้เกิดเซลๆ แรกขึ้นในมดลูกของหญิงพรหมจารีที่ชื่อว่าแมรี่ เพียงแค่ขออาศัยครรภ์หรือมดลูกของแมรี่ ที่จะฟูมฟักเซลแรกนี้แบบมนุษย์ทั่วๆ ไป จนถึงวันคริสตมาส เพื่อคลอดออกมาเป็นมนุษย์ พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าเป็นพงศ์พันธุ์ของหญิงไง

 

พวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นพงศ์พันธุ์ของชายทั้งสิ้น แต่พระเยซูเป็นพงศ์พันธุ์ของหญิงอย่างเดียว หญิงให้กำเนิดอย่างเดียว ไม่มีชายมาผสมเลย เอเมน

          ตรงนี้ ก็คือคำตอบที่บอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและเป็นมนุษย์ไง ถึงมาทำงานไถ่บาปได้ เป็นมนุษย์จริงๆ เกิดเหมือนเรา รับประทานอาหารเหมือนเรา ได้รับอาหารจากแม่ทางสายสะดือเหมือนเราเลย แต่เซลไม่เหมือนเรา เซลแรกเรามาจากพ่อและแม่ แต่พระเยซูเซลแรกมาจากพระเจ้า โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เห็นชัดไหม? พระเยซูเป็นพระเจ้า ที่เขาเรียกว่ามาจุติเป็นเซลในมดลูกของนางมารีย์ ที่เป็นหญิงพรหมจารี

 

จุติ จริงๆ ภาษาไทยตรงๆ แปลว่าตาย  แต่หมายถึงลักษณะเกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงระหว่างโลกวิญญาณ  จุติ แปลว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพจากสภาพหนึ่ง มาสู่สภาพหนึ่ง เรียกง่ายๆ จากพระเจ้ามาเป็นมนุษย์ จึงเรียกว่าจุติได้

ถ้าพูดตรงๆ ตรงนี้ สามารถพูดอะไรได้รู้ไหม?  ถ้าพูดในยุคปัจจุบัน ต้องบอกว่าพระเจ้ามาพบแมรี่คืนวันนั้นใช่ไหม? แล้วบอกแมรี่ว่า … สมมติว่าเป็นยุคปัจจุบัน ทูตสวรรค์มาพบแมรี่ แล้วบอกแมรี่

“แมรี่ พระเจ้าขอให้เธออุ้มบุญได้ไหม? อุ้มบุญพระเยซู”

ถูกหรือไม่ถูก? คืออย่างนั้น ไม่ได้มีอะไรพิสดาร พิเศษ แต่สมัยนั้น เขาไม่รู้เรื่อง  แต่เดี๋ยวนี้ทางวิทยาศาสตร์เห็นชัดเจน  พูดง่ายๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์มาบอก ทูตสวรรค์บอกแมรี่ว่า.-

“เธอจะอุ้มบุญ”

สมมตินะ ถ้าแมรี่อยู่ในยุคปัจจุบัน โอเค เลย ง่ายเลย เพราะเทคโนโลยีบอก เป็นไปได้

“เราจะมาให้เธอเป็นคนอุ้มบุญ”

“อุ้มบุญใคร?”

“อุ้มบุญพระเยซู”

“โดยอะไร?”

“โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เกิดเซลแรกในครรภ์ของเธอ”

เหมือนฉีดเชื้อเข้าไป นึกออกใช่ไหม?

“เอาเซลแรกเข้าไปในครรภ์ของเธอ ในมดลูกของเธอ และเธออุ้มบุญให้ที ต้องการให้เกิดพระเยซู ซึ่งเป็นมนุษย์”

เซล เป็นเซลมาจากพระเจ้า ยอดเยี่ยมเลย ขอบคุณพระเจ้า แต่ขณะเดียวกัน ในความคิดอาจจะมีคำถามอยู่ อาจจะถามต่อว่า.-

“ถึงแม้จะไม่มีเชื้อผู้ชาย”

คนเถียง เขาก็จะเถียงอยู่เรื่อยๆ เขาจะคิดไปเรื่อย ดีนะครับ พระเจ้าชอบมากเลยนะ ขอให้มาศึกษาเรื่องพระเจ้าเถอะ ขอให้อยากรู้อยากเห็นเถอะ จะเจอของจริงแน่ ส่วนใหญ่ที่ไม่เจอ เพราะว่าไม่เชื่อ แล้วก็ไปเลย อะไรอย่างนี้  ไปเลย ก็ไม่เจอสิ แต่ถ้ามาค้นคว้าหาพระเจ้า เจอแน่ พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์มองหาผู้คนบนโลกใบนี้ที่แสวงหาพระองค์ แสวงหาพระองค์ คืออยากรู้ ไม่เข้าใจ ก็ถาม สืบหาต่อไป เจอแน่ คนที่หาต่อไป อาจจะถามว่า.-

“ถึงแม้จะไม่มีเชื้อของผู้ชาย แต่ก็อยู่ในมดลูกของหญิง ที่เป็นมนุษย์ แล้วจะบอกว่าไม่มีเชื้อบาป และไม่มีเชื้อบาปของมนุษย์อยู่ในตัวของพระเยซูได้เลย ได้อย่างไร?”

อาจจะถามอย่างนี้ จะตอบคำถามนี้ ต้องย้อนกลับมาคุยถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์อีกแล้ว ในเรื่องของการปฏิสนธิและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ คือในมดลูกว่าเขาเจริญเติบโตอย่างไร? เราจะได้รู้ว่าที่พระเยซูอยู่ในครรภ์ของแมรี่ ไม่มีเชื้อบาปจริงๆ

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบปัจจุบันแล้ว เรามาดูกัน เอาแบบคร่าวๆ นะครับ เกี่ยวกับเรื่องการประสูติของพระเยซูคริสต์ ที่กำลังคุยอยู่ คือโดยธรรมชาติแล้ว การปฏิสนธิของทารก ก็คือการนำเชื้อของผู้ชาย ของพ่อ เข้าไปผสมกับไข่ของผู้หญิง คือแม่ และเมื่อเกิดการผสมกันแล้ว ก็จะเกิดเป็นเซลใช่ไหม?  ที่เรียกว่าการปฏิสนธิ อย่างนี้ปฏิสนธิปุ๊บ เกิดเป็นเซลขึ้นมา พอเป็นเซลปุ๊บ ใช้มดลูกของแม่เป็นที่ฟูมฟักเซลที่เป็นตัวอ่อน คือให้อาหาร และรับสารอาหารจากแม่ทางสายสะดือนะครับ จนค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้น จากเซลแบ่งไปเรื่อยๆ โตขึ้นๆ เรื่อย และแตกตัวเป็นอวัยวะต่างๆ จนกระทั่งถึงกำหนดคลอดออกจากมดลูก ออกจากครรภ์

จะเห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ทารกอยู่ในมดลูกของแม่นั้น ไม่มีเลือดและไม่มีเชื้ออะไรจากแม่เข้าไปสู่เซลของทารกเลย อย่างที่ผมพูดไปแล้วว่าการกำเนิดของทารกจะมีเพียงเชื้อแรกจากพ่อ   ที่เข้ามาผสมกับไข่ของแม่ จนเกิดเซลแรกขึ้นเท่านั้น ตอนอยู่ในครรภ์ เจริญเติบโตแล้ว เลือดของแม่ได้เข้าไปยุ่งเลยนะครับ แล้วหลังจากนั้น เซลนี้ก็จะเจริญเติบโตและสร้างเป็นอวัยวะต่างๆ ของตัวเอง สร้างเลือดของตัวเอง โดยอาศัยเพียงมดลูกของแม่ เป็นที่อยู่และรับสารอาหารจากแม่เท่านั้น ไม่ได้รับเชื้ออะไรหรือรับเลือดอะไรจากแม่เลย แล้วมิหนำซ้ำ ถ้าเลือดของแม่นิดเดียวเข้าไปอยู่ในเด็ก … เด็กตาย นี่คือในทางการแพทย์ เด็กตายเลย ติดเชื้อตายเลย ท่านพอจะเห็นหรือยัง นี่คือหลักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นต้องนานมาแล้ว

          และสำหรับพระเยซูตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า ที่ลงมาจุติในมดลูกของหญิงพรหมจารี ถ้าพูดแบบหลักวิทยาศาสตร์ ก็คือมาเกิดเป็นเซลแรกในมดลูกของแมรี่ … มารีย์ เจริญเติบโตในมดลูกของนางมารีย์ โดยไม่มีเชื้อและไม่มีเลือดของนางมารีย์ในตัวของพระองค์เลย  แม้แต่นิดเดียว  จึงเป็นคำตอบที่บอกว่าทำไม พระเยซูถึงอยู่ในมดลูกของหญิงที่เป็นมนุษย์ คือแมรี่ แต่ไม่มีเชื้อบาปเลย เห็นไหมว่าหลักการวิทยาศาสตร์เป็นจริงอีกแล้ว

 

          และเหตุผลของพระเจ้า ที่ให้พระเยซู พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาจุติในมดลูกของหญิงพรหมจารี ที่ชื่อแมรี่ และให้มาประสูติในวันคริสตมาส ในสภาพของการเป็นมนุษย์ครบถ้วนเลย แบบเราเลย ที่ปราศจากบาป ไม่เหมือนเราตรงที่ไม่มีบาป ก็เพื่อให้รอถึงวันอีสเตอร์ ที่พระองค์จะมารับเอาโทษของความบาปทั้งหลายของเรา มนุษย์ทั้งหลาย ไปไว้ที่พระองค์ มารับโทษแทนเรา เพราะเราถูกสาปแช่ง เราเชื้อบาปทั้งหลาย เพื่อให้มนุษย์ทุกคนหลุดพ้นจากความบาป และเป็นอิสรภาพจากโทษของความบาป ไม่ต้องไปอยู่ในนรก  เพราะคำสาปแช่งนั้น บอกแล้วว่าถ้าอยู่ในคำสาปแช่ง หมายถึงไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านกับพระเจ้า เมื่อตายไปแล้ววิญญาณที่ยังอยู่ตลอดนิรันดร์ ต้องอยู่ในสถานที่ไม่มีพระเจ้า เพราะเป็นศัตรูกับพระเจ้า และสถานที่ที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ก็คือนรก  ที่พระเจ้าอยู่ เรียกว่าสวรรค์ พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนมาอยู่กับพระองค์ เป็นลูกของเขา ที่ทรงรักมาก

 

“ซึ่งจะอยู่ได้ เมื่อเจ้าไม่มีบาป ถ้าเจ้ามีบาป เจ้าอยู่กับเราไม่ได้ แค่นั่นเอง และเราก็ส่งพระบุตรของเรา”

คือส่งพระเยซูมาเกิด ทำการอัศจรรย์ต่างๆ เหล่านี้ มาเกิดในหญิงพรหมจารี เพื่อรับบาปแทนมนุษย์ พี่น้องทั้งหมดเลย คือเราทั้งหลาย เหมือนพี่ๆ น้องๆ ของพระเยซู พระเยซูเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นพี่น้องของเรา  ที่ไม่มีบาป นอกนั้นพี่น้องของเราทั้งหมด ตั้งแต่อาดัมมาเป็นบาปหมดไง พี่น้องคนนี้ไม่มีบาป พระเยซูคนนี้ไม่มีบาป มาชดใช้บาปแทนเรา  รับไปแล้ว แล้วเรายังไม่รู้อีกเหรอ แค่นั้นเอง พระเยซูมา พระเยซูจึงบอกว่าให้ทุกคนไปประกาศข่าวดีนะ ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ไม่ได้มาสอนอะไรมากมายเลย ไปพูดข่าวดีนี้นะ ไปบอกข่าวดีนี้นะ ไปบอกข่าวดีนี้  บอกไปเรื่อยๆ นะครับว่าพระเจ้าทำสำเร็จแล้ว สิ่งที่สัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าโน่น หลายพันปี หลายหมื่นปี เดี๋ยวนี้สำเร็จแล้ว คือ.-

          “พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเราเรียบร้อยแล้ว มนุษย์ทุกคนเป็นอิสรภาพแล้ว มารับสิทธิ์ของเจ้าด่วน  มารับสิทธิ์เลย”

 

เท่านั้นเอง  นี่คือเหตุผลทั้งหมดของวันคริสตมาส

2 โครินธ์ 5:21 “เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ ผู้ทรงไม่มีบาป ให้เป็นความบาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้า ทางพระองค์

 

นี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกเรา นี่คือข่าวดีที่พระเจ้าบอกเรา เราผู้ซึ่งเป็นคนบาป ไม่ต้องรับบาปของตัวเองต่อไป ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมของตัวเองต่อไปแล้ว เพราะว่าพระเจ้าส่งพระเยซู ผู้ไม่มีบาป ไม่มีเชื้อบาปเลย แต่มารับเอาบาปของเราไป แค่นั้นเอง ง่ายๆ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ คือพระเยซูผู้ทรงไม่มีบาป ให้เป็นบาป และพระองค์ทรงผู้ทรงไม่มีบาป ก็คือพระเยซูคริสต์นั้น เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์อย่างเดียว เป็นมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า เพราะฉะนั้นจึงไม่มีบาป

พระองค์ไม่เคยทำบาป เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ผมจะบอกให้ท่านฟัง ทำไมไม่เคยทำบาป เพราะอะไรรู้ไหมครับ? พระองค์ข้างในพระองค์สะอาด บริสุทธิ์ ทุกอย่างที่ทรงกระทำนั้น เป็นการกระทำ โดยตามน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น เพราะอยู่ข้างในนี้ไง ข้างนอกเราอาจจะเห็นพระองค์ทำอะไรที่เหมือนบาป ยกตัวอย่างเช่น เหมือนโกรธมากเลย ที่เขามาค้าขายอยู่ที่หน้าสถานที่นมัสการของพระเจ้า มาค้าขาย  ทำให้ความบริสุทธิ์ของสถานนมัสการของพระเจ้ากลายเป็นตลาดไป พระเยซูโมโหมากเลย เราดู เราคิด

“อย่างนี้ไม่ทำบาปเหรอโกรธ”

แต่นั่นคือน้ำพระทัยพระเจ้า คำว่า “บาป” คืออะไรรู้ไหม? เคยสอนหลายครั้งแล้ว บาปแปลว่า Miss the target แปลว่าทำไม่ถูกตามน้ำพระทัย ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า คือบาปทั้งสิ้น แต่ถ้าตามน้ำพระทัยพระเจ้า มันไม่บาปเลย แล้วพระเยซูข้างในเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว ทำทุกอย่างจากข้างใน ทำทุกอย่างจากที่พระเจ้าบอกข้างใน เพราะฉะนั้นออกมาข้างนอก เป็นพระเจ้าสั่งให้ทำทั้งสิ้น ไม่มีบาปเลย เพราะฉะนั้น หัวใจจึงอยู่ข้างในมากกว่าข้างนอก

ข้างนอกจะทำดีแค่ไหน? คนนั้นบอกว่าดี คนนี้บอกว่าดี แต่ข้างในเป็นคนบาป มันก็คือบาป แต่ถ้าข้างในดีอยู่แล้ว มันยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ข้างนอกบางคนบอกว่ายังโกรธ แต่มันบริสุทธิ์ ข้างในบริสุทธิ์

พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเยซูไม่มีบาป ไม่มีทั้งเชื้อบาป และไม่เคยทำบาปเลย ไม่เคยทำอะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าแม้แต่ครั้งเดียวเลย เอเมน พระองค์จึงสะอาดบริสุทธิ์ และมารับบาปของเราได้ มีกำลังพอที่จะรับแบกบาปของพระองค์ไว้ที่ไม้กางเขน ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ เราจึงพ้นจากบาป  เราจึงกลายมาเป็นผู้ชอบธรรม จากนักโทษ ได้รับการตัดสินจากศาลฎีกาบอกว่า.-

“เธอเป็นอิสระแล้ว”

“เย้ๆๆๆ”

ถูกหรือไม่ถูก? มันแปลว่าอย่างนั้น ตะกี้ที่เราอ่าน มันแปลว่าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราจะได้เป็นผู้ชอบธรรม โดยทางพระองค์ เราได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องถูกตัดสินไปติดคุก โดยทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาป คือพระเยซูผู้ทรงไม่มีบาป ให้เป็นบาป ก็คือรับความบาปของมวลมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์

คำว่า “ให้เป็นบาป” ในคำนี้ ในภาษากรีก ใช้คำความหมายว่า Sin offing คือพระเจ้าได้ทำให้พระเยซูเป็น Sin offing พระเจ้าได้ทำให้พระเยซูเป็นผู้รับบาป  แปลเป็นไทย เสนอตัวรับบาป หรือเสียสละรับบาป หรือแปลเป็นไทยเดิมว่าแพะรับบาป แทนมนุษย์ทั้งหลาย ที่เป็นคนบาป  ถ้าแปลตรงๆ ก็คือพระเจ้าได้ทรงกระทำให้พระเยซูผู้ทรงไม่มีบาป  ให้เป็นแพะรับบาป เพื่อให้มนุษย์ ได้หลุดพ้น จากความบาป  และรอดจากถูกลงโทษเนื่องจากบาป ให้กลับมาคืนดีมีความสัมพันธ์ที่ดี ถูกต้องกับพระเจ้าผู้สร้างเขา กลับมาเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกพระเจ้าผู้สะอาดบริสุทธิ์ จะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เอเมน

นี่คือทำไมพระเยซูต้องมาเกิดในหญิงพรหมจารี

นี่คือทำไมเขาร้องเพลงประจำคริสตมาสนี้ดังที่สุด รู้ไหมว่าเพลงอะไรดังที่สุด ในช่วงคริสตมาส เพลงคริสตมาสใช่ไหม? รู้ไหมว่าในเพลงคริสตมาสเหล่านั้น เพลงอะไรดังที่สุด? ไปประเทศไหนต้องมี และใส่ภาษาของเขาทุกประเทศ ถามว่าเพลงอะไรในช่วงคริสตมาสนี้ เพลงคริสตมาสหลายๆ เพลง มีเพลงอะไรที่ดังที่สุด  ที่ท่านเกือบทุกคนร้องเพลงนี้ได้เกือบทั้งหมด คือเพลง “Silent night” เพลงนี้เพลงเดียวที่ได้พูดถึงเรื่องนี้ชัดเจนมากว่าเป็นคืนศักดิ์สิทธิ์ คือที่ความศักดิ์สิทธิ์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วย คืนที่เกิดเด็กคนหนึ่ง ที่เป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์ เด็กพิเศษ โดยการอุ้มบุญของแมรี่เท่านั้น

เราจะมาร้องเพลงนี้ด้วยกัน ไปที่ไหนทั่วโลก ช่วงคริสตมาส เขาก็จะร้องเพลงนี้แหละ บอกถึงอะไร? บอกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่ตะกี้นี้บรรยายมาทั้งสิ้นเลย อยู่ในเพลงนี้ทั้งหมดเลย เวลาร้องไป นึกถึงความจริงที่เราได้บรรยายกันมา ได้เรียนรู้กันมาเมื่อตะกี้นี้ นึกถึงเทคโนโลยีที่บอกเราว่าค้นพบแล้วว่านี่เป็นจริง ค้นพบแล้วว่านี่เป็นไปได้ ค้นพบแล้วว่านี่ใช่ แล้วเราจะมันส์ในอารมณ์มาก ว่าพระเจ้าเรายิ่งใหญ่จริงๆ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2015 เรื่อง “ทำดีเพื่อพ่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  พฤศจิกายน  2015

เรื่อง “ทำดีเพื่อพ่อ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ไหนๆ จะคุยกันเรื่องวันพ่อแล้ว ท่านพอจะทราบประวัติวันพ่อไหม? วันพ่อของประเทศไทยมาได้อย่างไร?

วันพ่อของไทยเรามีมาตั้งแต่ปี 2523 วันที่ 5 ธันวาคม 2523 โดยหลักการและเหตุผลที่มีการจัดการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติขึ้น ก็เนื่องจากพ่อเป็นบุคคลที่มีพระคุณ และมีบทบาทต่อครอบครัวและสังคม ที่ผู้เป็นลูกสมควรจะเคารพเทิดทูนและกตัญญูทดแทนพระคุณ และสังคมควรจะยกย่องให้เกียรติและรำลึกถึงผู้ที่เป็นพ่อ นี่คือหลักการ ความตั้งใจที่เขาตั้งวันพ่อแห่งชาติ

และเพราะเรามีพระมหากษัตริย์ที่มีความยิ่งใหญ่ ทรงเสียสละและรักพสกนิกรชาวไทยเสมือนหนึ่งเป็นลูกๆ ของพระองค์ เราจึงถือเอาวันเฉลิมพระชนม์พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็นพ่อแห่งชาติ และหลังๆ มานี้ ช่วงวันพ่อของทุกๆ ปี เราก็จะได้ยินหน่วยงานต่างๆ ทั้งทางภาครัฐบาลและเอกชนมาร่วมกันรณรงค์กิจกรรมที่มีชื่อว่า “ทำดีเพื่อพ่อ”

การบรรยายในวันนี้ก็จะเน้นไปที่ว่าทำดีเพื่อพ่อ ทำอย่างไร? มันหมายความว่าอย่างไร?

พวกเราคริสเตียน ที่เป็นคนไทย อาศัยอยู่ในประเทศไทย ดังนั้น คำว่า “พ่อ” สำหรับเราในประเทศนี้ จึงมีตั้งแต่ใคร? พระเจ้าพระบิดา พ่อในสวรรค์ของเรา แล้วก็หมายถึงใครอีก? พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือพ่อหลวงของแผ่นดินไทยของเรา และหมายถึงพ่อ ผู้ให้กำเนิดเรานั่นเอง

ผมจำได้นะครับ ที่ทางหน่วยงานราชการออกมารณรงค์ เรื่องการทำดี เพื่อพ่อ ก็มีคนเอามาวิเคราะห์ ถกเถียงกันว่าทำดีในที่นี่ ครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง? ทำดีเพื่อพ่อ ทำอย่างไร? ทำอะไรบ้าง? เคยคิดไหม? เขาก็คิด … คิดกันใหญ่เลย ทำอะไรล่ะ ก็ไปถกเถียงกันใหญ่ ทำอย่างไร? แล้วก็พยายามวิเคราะห์กันออกมา ต้องทำดีขนาดไหน? ทำให้ใคร? ถึงจะเข้าข่ายคำว่าทำดี เพื่อพ่อ หลายๆ หน่วยงานเขาก็ร่วมมือกัน แล้วก็ประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ แล้วก็ให้ประชาชนมาร่วมโครงการ โดยให้แต่ละคนตั้ง ปณิธานในสิ่ง ที่ตนคิดว่าเป็นความดีที่จะทำให้ได้

คำถาม คือแล้วการกระทำความดีแบบไหน? ทำดีแบบไหน? จึงจะเรียกได้ว่าทำดี เพื่อพ่อ ทำแบบไหน?

น่าคิดไหม? ท่านว่าทำดีแบบไหน? ที่เรียกว่าทำดีเพื่อพ่อ เถียงกันไป เถียงกันมา ราชการ ก็เลยมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ หน่วยกลางจัดประชุม หาให้ได้ว่าทำดีเพื่อพ่อ ทำอย่างไร? มีความหมายอย่างไร? ให้ทำเป็นคู่มือ ทำดีเพื่อพ่อต้องมีคู่มือเลยนะ

ก็เลยได้ผลสรุปความหมายของคำว่าทำดีเพื่อพ่อ หรือการทำดีเพื่อพ่อ สรุปออกมาทั้งเล่มเลยว่าการทำดีเพื่อพ่อ ก็คือทำอะไรก็ได้ ที่คิดว่าสิ่งนั้นจะทำให้พ่อมีความสุข ง่ายเลยนะตอนนี้

“ทำอะไรก็ได้ตามใจฉัน แต่ต้องทำให้สิ่งนั้น พ่อมีความสุข”

ตามใจฉัน ใช่ แต่แล้วพ่อมีความสุข ไม่ใช่ทำให้เรามีความสุขนะ พ่อมีความสุข แล้วในคู่มือก็มีบอกตัวอย่างการกระทำดี เพื่อพ่อ แบ่งไว้ 4 ระดับอย่างนี้นะ นี่เล่าให้ฟังก่อนนะ ในคู่มือ

ระดับที่ 1 ทำดีต่อตัวเอง

ระดับที่ 2 ทำดีต่อครอบครัว

ระดับที่ 3 ทำดีต่อสังคม หรือชุมชน

ระดับที่ 4 ทำดีต่อโลก หรือสิ่งแวดล้อม

เขาบอกไว้อย่างนี้

ตัวอย่างของการทำดี เพื่อตนเอง ที่ทำให้พ่อมีความสุขนะ ทำดี เพื่อตัวเอง แต่พ่อมีความสุข ก็เช่น เลิกบุหรี่ เลิกสิ่งอบายมุก รับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด เริ่มออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เริ่มกินน้อย จากที่น้ำหนักเกินเยอะๆ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ถ้าเป็นนักเรียน ก็เช่น จะอ่านหนังสือเพิ่มวันละหนึ่งชั่วโมง อะไรอย่างนี้เป็นต้น ประมาณนี้ นี่คือทำตัวเอง ให้กับตัวเอง แต่ใครมีความสุข พ่อมีความสุข

ตัวอย่างของการทำดีต่อครอบครัว จะจัดสรรเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น  จะกตัญญูต่อพ่อแม่ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นต้น อย่างนี้นะครับ ในครอบครัว

ตัวอย่างของการทำดีต่อสังคม มีอะไรบ้าง? เช่น แบ่งปัน ช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาส เพื่อสังคมแล้วนะ  อาสาสมัครอ่านหนังสือให้คนตาบอด มีมารยาทในการขับขี่ รักษากฎจราจร อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้ทำ แล้วพ่อก็มีความสุข

ตัวอย่างการกระทำดีเพื่อโลกเลย หรือสิ่งแวดล้อม ฟังดูเหมือนไกลนะ แต่จริงๆ มันไม่ไกลนะ ทำได้ไม่ยาก เช่น ช่วยกันปลูกต้นไม้ อย่างนี้เป็นต้น ลดปริมาณการใช้ทรัพยากร เช่น น้ำ น้ำมัน รักษาความสะอาดในที่สาธารณะ เป็นต้น ใช้น้ำ ไม่มีใครเห็น ก็ใช้ให้มันประหยัดที่สุด อย่างนี้ ไม่ใช่ไม่มีใครเห็น ก็ปล่อยมันล้นอยู่อย่างนั้น อะไรอย่างนี้ ประมาณหนึ่ง คือสร้างจิตสำนึกลงไปในสิ่งที่ดีๆ

ทำอย่างนี้  พอพ่อรู้ พ่อได้ยิน พ่อก็เห็น พ่อก็มีความสุข

และหลังจากมีกิจกรรมทำดี เพื่อพ่อออกมา ก็มีประชาชนออกมาให้ความร่วมมือเป็นจำนวนมาก ท่านลองนึกในใจดูสิว่าท่านจะร่วมทำดี เพื่อพ่อ ท่านตั้งใจจะทำอะไร? ถ้าสมมติตอนนี้เป็นท่าน ท่านเข้าร่วมโครงการ ท่านจะทำอะไร? ตั้งแต่มีโครงการนี้ขึ้นมา ทำดีเพื่อพ่อมาถึงเดี๋ยวนี้ ถึงปัจจุบัน เรามาดูสิว่าเขามีสถิติคนที่ตั้งปณิธานว่าจะทำดีเพื่อพ่อ เขาทำอะไร? เรามาแอบดูของเขานะ

ปณิธานความดี ที่มีผู้ตั้งใจทำมากที่สุด 4 อันดับแรก คือ.- ลองทายดูนะครับ คนที่ตั้งใจจะทำดีมากที่สุด เพื่อพ่อ อันดับแรก คืออะไรรู้ไหม? เบอร์หนึ่งนะ นี่เป็นสถิตินะ ดูสิจะเหมือนไหม? บางคนอาจจะเอาไปใช้ได้

อันดับแรก คือไม่นอนตื่นสาย เหมือนไหม? เหมือนที่ตะกี้นี้คิดไหม?

อันดับที่ 2 คือไม่ดื่มเหล้า อันนี้พอเดาออก

อันดับที่ 3 คือให้อภัยผู้อื่น นี่เป็นสถิตินะ

อันดับที่ 4 คือช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส

เห็นไหม? นี่ 4 อันดับที่เขาไปดูสถิติมา ไปแอบดูสถิติเขา และทั้งหมดที่พูดมานี้ ก็เป็นเรื่องของการตั้งปณิธาน หรือตั้งใจวางแผน ที่จะทำความดี เพื่อถวายต่อพ่อหลวง คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือพ่อหลวงของปวงชนชาวไทยทั้งปวง  นี่คือสถิติ

ถ้าผมถามว่าเหตุใด ประชาชนคนไทยทั่วประเทศหลายล้านคน จึงพร้อมใจกันลุกขึ้น มาตั้งปณิธานที่จะทำดีเพื่อในหลวงของเรา เพราะอะไรครับ ตอบ เพราะอะไร? บางคน ได้ยินข้างหลังบอก เพราะรักในหลวง ถูก แต่ไม่ใช่ต้นเหตุ

เพราะพระองค์ทรงมีพระคุณมากมายเหลือล้นต่อชาติบ้านเมือง พระองค์ทรงรักพสกนิกรของพระองค์ และก็ได้ทรงสำแดงความรักของพระองค์ ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อทุกคนแล้ว นี่คือก่อน นี่คือต้นเหตุ  พระคุณความรักของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา  ที่ได้สำแดงต่อประชาชนชาวไทยแล้ว คือคำตอบที่ถามว่าทำไมคนไทยทั้งประเทศ จึงพร้อมใจกันที่จะทำความดี เพื่อพระองค์ท่าน ก็เพราะว่าท่านรักเราก่อน ท่านให้เราก่อน ถูกหรือไม่ถูก? ถูกไหม?  ที่ทุกคนจะให้พร้อมกัน ตั้งปณิธาน ทำความดี เพื่อท่าน ไม่ใช่เพราะมีใครบังคับ ไม่ใช่เพราะเป็นกฎหมาย ไม่ใช่เพราะเป็นกระแสของผู้คน ไม่ใช่ แต่เพราะทุกคนนึกถึงพระคุณของความรักของพระองค์ท่านก่อน ที่ให้เราก่อน ซึ่งมันตรงกับในทางพระเจ้าเป๊ะเลย

ในทางของพระเจ้า พระคัมภีร์สอนในลักษณะอย่างนี้เป๊ะเลย โรม 12:1-2 อ่านพร้อมกันนะครับ อ่านพร้อมกันดังๆ นะครับ

โรม 12:1-2  “1 เหตุฉะนั้น  พี่น้องทั้งหลาย  เมื่อพิจารณาถึงพระคุณ  ความเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง 2 อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่าสิ่งใดคือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัย และสมบูรณ์พร้อมของพระองค์”

 

“เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า”

ก็แปลว่าพระคุณ ความรัก ความเมตตาของพระเจ้า ต้องเกิดก่อน และเมื่อท่านได้รับพระคุณความรัก ความเมตตาของพระเจ้ามาแล้ว ท่านจึงควรกระทำสิ่งนี้ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณ คือถวายตัวของท่านแด่พระเจ้าให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และเป็นที่พอพระทัย ก็คือพระเจ้ามีความสุข พ่อมีความสุข นั่นเอง เห็นไหมครับ

พระคัมภีร์ 1 ยอห์น 4:19 ก็บันทึกไว้อย่างนี้นะครับว่า “เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน”

 

อะไรมาก่อน พระองค์ทรงรักเราก่อน เราจึงรักพระองค์ พระเจ้าทรงรักเรามาก … มากขนาดไหน? ขนาดที่ยอห์น 3:16 ที่เราท่องกันเป็นประจำ บันทึกไว้อย่างนี้ว่า.-

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ จะได้รับชีวิตนิรันดร์”

 

เพราะว่าพระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคนมากยิ่งนัก  จึงได้ทรงเสียสละลูกของตัวเองเลย พระเจ้าทรงรักเราก่อน และไม่ได้บอกว่ารักเฉยๆ แต่พระองค์ได้ทรงสำแดง ตรงนี้สำคัญนะครับ ได้ทรงสำแดงความรักของพระองค์ แสดงความรักของพระองค์ให้เห็น โดยการกระทำ และพระคุณความรักอันยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ทรงประทานให้กับเรานั้น สิ้นพระชนม์เพื่อเรา ที่ไม้กางเขน  นี่ความรักยิ่งใหญ่

ลึกซึ้งที่สุด “พระเจ้ารักเราถึงขนาดนี้  ถึงขนาดเสียสละลูกของเราเองให้กับเขา เพื่อคนบาปอย่างเขา คนบาปอย่างนคร คนบาปอย่างเราแต่ละคน จะได้มีชีวิตนิรันดร์ มันต้องซึ้งตรงนี้ โรม 5:8 บันทึกไว้อย่างนี้ เราอ่านพร้อมกันนะ

โรม 5:8 “พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา

 

และเมื่อเราได้รับรู้ถึงความรัก  พระคุณความรัก ความเมตตาของพระเจ้า  ที่ได้ทรงสำแดงให้เราแล้ว สำแดงแล้ว ได้ทำแล้ว กระทำแล้ว เราจึงต้องการที่จะตอบแทนพระคุณความรักของพระองค์ด้วยการทำดี เพื่อพ่อ ตามที่พระคัมภีร์สอนไว้ในโรม 12:1-2  เราอ่านไปเมื่อตะกี้นี้ว่าถวายตัวของเราแด่พระเจ้า ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ นี่พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ที่เราอ่านร่วมกัน ที่บริสุทธิ์และที่พระเจ้าพอพระทัย … พอพระทัย คือมีความสุข คืออะไร? คือไม่ดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้  แต่จะรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราใหม่ เพื่อที่เราจะสามารถพิสูจน์และยืนยันได้ ไม่ว่าสิ่งใดคือพระประสงค์ คือพระประสงค์อันดี อันเป็นที่พอพระทัย อันสมบูรณ์พร้อมของพระองค์ เราจึงจะได้รู้ว่าพ่อเราจะมีความสุขอย่างไร? เมื่อเราทำอะไร? เมื่อเราทำสิ่งนี้ พ่อเราจะมีความสุขแค่ไหน? แล้วเราทำสิ่งนี้ล่ะ มีความสุขมากขึ้น แล้วสิ่งนี้ล่ะ เสียใจมากเลย

เราจะได้รู้ไง เมื่อเราถวายชีวิตเราแด่พระองค์ ถวายเพราะอะไร? เพราะเราซาบซึ้งในความรักของท่าน ที่มีให้กับเราก่อน

คนไทยทั้งประเทศทำดี เพื่อพ่อหลวงของแผ่นดินไทย ก็เพราะพ่อหลวงได้ทรงสำแดงความรักของพระองค์ให้กับคนไทยทั้งประเทศได้เห็นก่อนแล้ว เป็นเวลานาน คริสเตียนทำดีเพื่อพ่อในสวรรค์ ก็เพราะพ่อในสวรรค์ได้ทรงสำแดงพระคุณความรัก ความเมตตาของพระองค์ ผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ฉันใดก็ฉันนั้น ท่านทั้งหลาย ที่เป็นพ่อ ที่เป็นมนุษย์ เป็นลูกที่เป็นมนุษย์ ท่านพอจะเห็นภาพอะไรไหมครับว่ามันคืออะไร?  พอเห็นชัดไหม?  มันคืออะไรตอนนี้ ที่เราเปรียบเทียบอย่างนี้ เราเป็นพ่อหรือเป็นลูกธรรมดา อยู่ในครอบครัว เราพอจะมองเห็นอะไรไหมว่ามีหลักการอะไรอยู่ในนี้ ไม่ว่าเรากำลังพูดถึงพ่อในสวรรค์ คือพระเจ้า หรือพ่อของแผ่นดิน คือพระเจ้าแผ่นดิน หรือพ่อที่บ้านของเรา ก่อนที่จะมีการทำดี เพื่อพ่อ สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นก่อน คืออะไรครับ?  คือความรักและการสำแดงความรักของผู้ที่เป็นพ่อ เห็นไหม? ตอนนี้เรารู้แล้ว สิ่งนี้ต้องเกิดก่อน ถ้าสิ่งนี้ไม่เกิด อีกอันหนึ่งก็จะไม่เกิด

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดอันแรก เราไปดูต้นเหตุ ก็คือความรักและการสำแดงความรักของผู้ที่เป็นพ่อ ต้องเสียสละก่อน ต้องสำแดงให้ได้เห็นก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าเราต้องการให้ลูกเรา ทำดี เพื่อเรา (อันนี้พ่อก็ได้ แม่ก็ได้)  ถ้าเราต้องการให้ลูกเราทำดี เพื่อเรา

คำว่า “ทำดีเพื่อพ่อ” เราก็ต้องเริ่มจากความรักที่มีให้กับเขาก่อน ต้องสำแดงให้ลูกเราเห็นว่าเรารักเขาจริงๆ และความรักนี่แหละ ที่จะเป็นสิ่งที่ผูกพันลูกๆ กับเรา ทำให้ลูกอยู่ในทางที่เราอยากให้เขาเป็น โดยที่เขาไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ แต่เขาทำด้วยความเต็มใจ เอเมน

ซึ้งหรือเปล่า? เหม่อเลย ทั้งพ่อแม่ด้วยนะครับ ฟังไปพร้อมๆ กัน รวมถึงผู้ที่จะเป็นพ่อแม่ในอนาคตด้วย ยังเป็นวัยรุ่นในขณะนี้ เหมือนที่เราได้มอบชีวิตให้กับพระเจ้าใช่ไหม? อดทนยืนหยัดอยู่ในทางพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้า เราก็ทำด้วยความเต็มใจ  พยายามทำให้ดีที่สุด

ถามว่าเราถวายชีวิตแด่พระเจ้า เราทำเพราะเป็นกฎบัญญัติหรือเปล่า? เป็นหรือเปล่า?  ไม่ใช่

เพราะเรากลัวพระเจ้าลงโทษเหรอ? ไม่ใช่

เพราะกลัวพระเจ้าจะตัดชื่อเราออกจากสมุดของพระองค์ สมุดแห่งความรอดของพระองค์ใช่ไหม? ไม่ใช่

เพราะกลัวพระเจ้าจะไม่รัก และไม่อวยพรเราใช่หรือเปล่า? อาจจะใช่นิดๆ เปล่าเลยใช่ไหม? ไม่ใช่เลยใช่ไหม?

ที่เราทำไปทั้งหมด  เพื่อถวายแด่พระเจ้า ก็เพราะเรารักพระองค์ และที่เรารักพระองค์ ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน และไม่ใช่แค่นั้น  หยุด ไม่ใช่รักเราก่อนแล้วเฉยๆ แต่ได้สำแดงความรักของพระองค์ให้เราได้เห็นแล้ว คือที่พระเยซูทรงคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน ตายที่นั้น เพื่อคนบาปอย่างเรา ตรงนี้  ถึงบอกว่าถ้าใครไม่เห็นตรงนี้ แหม! โอกาสที่มันจะเป็นคริสเตียนที่ดีได้ มันยากมากนะ แต่ถ้าเห็นตรงนี้แล้ว สบายใจได้แล้วคนนั้น ไปรอดแน่ หมายถึงรอดทั้งวิญญาณและการดำเนินชีวิต เป็นที่ถวายเกียรติได้แน่ๆ

คนไทยทั้งประเทศ ทำดี เพื่อถวายในหลวง  เพราะถูกรัฐบาลบังคับหรือ? ใช่ไหม? ไม่ใช่ เราทำ ก็เพราะพระองค์มีพระคุณมหาศาลต่อชาติ บ้านเมือง ทรงเหน็ดเหนื่อย เพื่อพสกนิกรมายาวนาน เราจึงต้องการตอบแทนพระคุณของพระเจ้าอยู่หัว ทำให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ มีความสุข ถูกหรือไม่ถูก?

ในคู่มือทำดี เพื่อพ่อ ที่ราชการทำออกมา จึงได้บอกไว้ว่าการทำดีเพื่อพ่อ คือการทำอะไรก็ได้ ที่คิดว่าสิ่งนั้น ทำแล้ว พ่อมีความสุข

เราอยากให้ในหลวงเรามีความสุข เราคิดว่าเราทำสิ่งนี้แล้วท่านจะสุขไหม? คิดในใจ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นตัววัดชีวิตของเราว่าเราจะทำอะไรบ้าง? เพื่อพระองค์ท่าน สังเกตให้ดีนะครับ หลักการ คือทำดี เพื่อพ่อ ไม่ใช่แค่ทำดีต่อพ่อนะ หรือทำดีให้พ่อ ไม่ใช่นะครับ ไม่ใช่ว่าเราต้องปฏิบัติต่อพ่อ หรือให้อะไรแก่พ่อเท่านั้น ทำดีเพื่อพ่อ คือทำดีให้พ่อมีความสุข เพราะบางครั้งเราทำไป พ่อไม่ได้รับหรอก ในสิ่งที่เราทำ อย่างที่บอกว่าเราอดอาหารให้มันน้ำหนักไม่เกิน หรือเราออกกำลังกาย พ่อเราไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย แต่สิ่งที่พอพ่อรู้ พ่อทำไม? มีความสุข นี่คือยกตัวอย่างให้ท่านฟัง

เหมือนที่ยกตัวอย่างไปตอนแรกแล้วว่าทำดี ต่อตัวเองก็ได้ ทำดีต่อครอบครัวก็ได้  ทำดีต่อสังคม ต่อประเทศชาติก็ได้  เป็นการทำดี เพื่อพ่อทั้งนั้น ตราบใดที่สิ่งที่ทำไปนั้น ทำให้พ่อ เมื่อได้รู้ ได้ยินแล้ว มีความสุข รวมความ ก็คือให้เรามีชีวิตอยู่เพื่อพ่อ วันนี้รวมแม่ด้วย รวมหมดล่ะ พ่อแม่เลยล่ะ ก็คือพูดง่ายๆ ก็คืออยู่ เพื่อคนที่เรารัก

คนที่เรารัก ผมจะบอกให้ มันควรจะเกิดจากเขารักเราก่อน แล้วเราทนไม่ไหวแล้ว เข้าใจไหม? ทนไม่ไหว จนสุดแล้ว กลับกลายเป็นเรารักนั่นแหละ รักไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ไม่ใช่อยู่ดีๆ ไปรักแรกพบ ไม่ไปเจอกันเลย อะไรอย่างนั้น  โอกาสเปลี่ยนแปลงมันมีเยอะ รักแบบที่เรารักเขามาก เขาเสียสละเพื่อเรา … เราไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว แย่อะไร? ต้องรักเขาแน่ๆ อย่างนี้มันรักแท้ ใช่ไหมครับ?

จะมีชีวิตอยู่ เพื่อคนที่เรารัก มันจะเป็นกำลัง เป็นแหล่ง เป็นพลังงานอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเรา ดังนั้น เขาจะอยู่เพื่อคนๆ นี้ เขาบอกว่าบางทีเราอาจจะไม่ได้อยู่เพื่อตัวเราเอง บางครั้งเราเกลียดตัวเอง บางครั้งเราเกิดความเครียด เราก็เบื่อตัวเอง  เราเกิดซึมเศร้า แล้วก็ไม่ชอบตัวเอง หลายครั้งเราโกรธตัวเอง ที่เราทำอะไรไม่ดีไป ถูกไหม? เราอาจจะทำร้ายตัวเองก็ได้ ถูกไหม? แต่ถ้าเรามีใครคนหนึ่งที่เรารักมากๆ เทิดทูนมากๆ เราอยากให้เขามีความสุข เราจะทำอะไรให้เขามีความสุข เราจะทำอะไร? เราคิดก่อน ตัวเราอะไรก็ได้ แต่เพื่อเขา เราอดทน พอเข้าใจใช่ไหมครับ? มันจึงเป็นแหล่งพลังงานที่บอกไม่ถูก มันลึกลับ มันอยู่ในใจของผู้คนนั้น ที่มีสิ่งนี้เกิดขึ้น

เพราะถ้าบอกว่าให้ทำเพื่อตัวเอง  สมมติบอกว่าให้ทำดี เพื่อตัวเอง บางครั้ง บางคนก็ไม่ได้รักตัวเองหรอก แม้ไม่เกิดอะไรขึ้น ก็ไม่รักตัวเอง  เพราะอะไรไม่รู้เนอะ หลายคนที่หลงไปทำสิ่งที่ชั่วร้าย สิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นผลร้ายต่อตัวเองนั้น ก็เพราะอะไร? ก็เพราะเขาไม่คิดว่าเขาจะรักตัวเอง ไม่มีกำลังพอที่จะกระทำดีได้ เพราะอาศัยการรักตัวเอง

บางคนบอก “ทำดีนะเหรอ ออกกำลังกายให้มันแข็งแรง เพื่อตัวเองจะได้มีชีวิตที่มีสุขภาพแข็งแรง ฉันก็เป็นอย่างนั้น มันต้องรอชาติหน้าก็แล้วกัน เกิดใหม่อีกหลายครั้ง คงทำไม่ได้”

แต่ถ้าบอกว่า “ถ้าคุณไม่สบาย  คนที่รักคุณ พ่อแม่คุณจะต้องเสียใจมาก”

จะมีกำลังขึ้นมาทันที นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ พูดกันเล่นๆ นะ ถ้าเราอยู่เพื่อพ่อแม่ อยู่เพื่อคนที่เรารัก อยู่เพื่อคนอื่น  เพราะรู้ว่าเขารักเรา รักเราก่อนด้วย  เราก็จะมีกำลังอย่างมหัศจรรย์ขึ้นภายใน และมีความอดทนได้มากขึ้น สามารถที่จะควบคุมตัวเอง และตั้งใจพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุด ที่บางครั้งตัวเองก็ไม่ชอบด้วย  แต่ทำเพื่อคนๆ นี้ เราทำได้ เพื่อทำให้คนที่เรารัก มีความสุข มีความปลาบปลื้มใจ นี่คือเคล็ดลับในวันนี้ เคล็ดลับอยู่ตรงนี้ อยู่เพื่อคนที่เรารัก อยู่เพราะเห็นว่าเขารักเรา อยู่เพราะทดแทนพระคุณความเมตตาของเขา

พูดถึงตรงนี้แล้ว นึกถึงคำพูดของอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลเข้ามาลึกซึ้งกับพระเจ้ามาก เมื่อพระเจ้าพาไปอยู่ในสวรรค์ชั้น 3 กี่วันไม่รู้ แล้วก็ลงมาจากสวรรค์ เห็นสวรรค์หมดแล้ว ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่คำหนึ่งที่เปาโลพูดเพราะมากเลย คืออะไรรู้ไหม? ท่านอาจจะไม่ได้สังเกต แต่วันนี้ มันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เลยพูดให้ท่านได้เห็น สังเกตดู เปาโลบอกว่าอะไร?

บอกว่า “ถ้าให้ข้าพเจ้าเลือก ข้าพเจ้าเลือกที่จะไปอยู่กับพระเจ้าดีกว่า ไม่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้แล้ว”

แล้วว่าแต่ข้าพเจ้ายังต้องอยู่บนโลกใบนี้ เพื่อใคร? เพื่อตัวเองเหรอ ไม่ใช่ ตัวเองบอกอยากไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว แต่ถามว่าเพื่อใคร? เพื่อท่านทั้งหลาย หมายถึงผู้คนบนโลกใบนี้ เพื่อคริสเตียน เพื่อคนที่ไม่เชื่อ ที่พระเจ้าจะนำเปาโลไปสอน เพื่อพระเจ้าต่อไป  เปาโลบอกจะทนอยู่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่ไปเห็นสวรรค์มาแล้ว จะทนอยู่อย่างนี้เพื่อใคร? เพื่อเขาเหล่านั้น อยู่บนโลกนี้ทำไม? สุขใจ สบายดีเหรอ ทรมาน ถูกเขากลั่นแกล้ง ข่มเหง ทุกข์ทรมานจะตาย แต่บอกอยู่ได้ เพราะอะไร? เพราะอยู่เพื่อเขา อย่างนี้เป็นต้น อยู่เพื่อเขา ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเอง ถ้าอยู่เพื่อตัวเอง ไม่เอาดีกว่า ไปดีกว่า อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าเรามีชีวิตอยู่เพื่อคนที่รักเรา  และมีพระคุณต่อเรา ก่อนจะทำอะไร เราก็จะคิดก่อนว่าทำสิ่งนี้แล้ว พระเจ้า พ่อเรา แม่เรามีความสุขไหม? ในหลวงมีความสุขไหม? ถ้าเราทำอย่างนี้ ถ้าเราขับรถ ไม่มีกฎจราจรเลย เขาฝ่าฝืนมัน เรื่อยเปื่อยอย่างนั้น พ่อหลวงเราจะมีความสุขไหม?  ถ้าเราทำข้าราชการเช้าชาม เย็นชาม ไม่ทำงานทำการ มีช่องโหว่ที่ไหน ก็จะหารายได้เข้าสู่ตัว อะไรอย่างนี้ พ่อเรารู้จะมีความสุขไหม?  อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเราโลภ คิดว่าพ่อมีความสุขไหม?  ถ้าเราไม่ดูแลสุขภาพ กินอาหารไม่ระวัง ปล่อยให้ร่างกายทรุดโทรม พ่อจะมีความสุขไหม?  แต่ถ้าเราหมั่นออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพอย่างดี พ่อจะดีใจไหม?  กินผักบ้าง? พ่อพูดมาตั้งหลายครั้ง กินปลา กินผัก ไม่กินสักที บางครั้งมันเลี่ยนมาก เพราะอะไร? เพราะตัวเองไม่อยากกิน ไม่ชอบ ถูกไหม? แต่ได้ยินเสียงพ่อ ถ้ากินผักให้พ่อเห็น พ่อจะยิ้มเลย กินสักหน่อย ไม่ใช่กินนิดหนึ่ง แล้วเอาไปคายทิ้ง ไม่ใช่อย่างนั้นนะ หมายถึงกินจริงๆ เข้าใจนะ มันได้ตัวเราเองด้วย แล้วพ่อมีความสุข อย่างนี้ เห็นไหม? มันก็มีกำลังที่จะชนะตรงนั้นได้ แม้ว่ามันจะแหยะๆ ขมๆ ในที่สุด เพื่อพ่อเพื่อแม่เรา เราทำได้ เรากินได้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้นนะครับ

ตัวอย่างที่พูดมาทั้งหมดนี้ มีอะไรที่ทำให้พ่อของเราบ้าง? ตะกี้ที่พูดมา ไม่มีเลย พ่อเราไม่ได้รับอะไรเลย กินผัก พ่อเราก็ไม่ได้แข็งแรงไปด้วย ออกกำลังกาย พ่อเราก็ไม่ได้แข็งแรงไปด้วย ไม่มีเลย ทำให้ตัวเองทั้งนั้น ดูแลสุขภาพตัวเอง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตัวเองได้ดีเองทั้งนั้น พ่อไม่ได้รับอะไรเลย แต่สิ่งที่ตัวเองได้ดีนั่นแหละ คือสิ่งที่ทำให้พ่อมีสุข เพราะพ่ออยากให้เรามีชีวิตที่ดี

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าก็ต้องการเหมือนกับเรา  ที่เป็นพ่อ เป็นมนุษย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็พระประสงค์อย่างนี้เหมือนกัน อยากให้คนไทยมีความสุข ให้อยู่อย่างพอเพียงอย่างนี้  เป็นอย่างนี้ การเป็นอยู่อย่างพอเพียง พระองค์ท่านก็ไม่ได้อะไรกับที่เราอยู่หรอก แต่ว่าพอรู้ ก็มีความสุข อย่างนี้เป็นต้น เพราะเรามีความสุขด้วย

ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง ชีวิตของผมเอง ย้อนไปตั้งแต่สมัยผมเป็นวัยรุ่น ตอนเริ่มเล่นดนตรี ย้อนไปตอนเรียนอยู่มัธยม เป็นคนที่ชอบเล่นดนตรีมาก ตั้งวงดนตรีกับเพื่อน แล้วก็ไปประกวด ได้รางวัลมา ก็เป็นรางวัลระดับนักเรียนเล่น มันก็ไม่ได้เล่นเก่งอะไรมากมาย เป็นนักเรียนสมัครเล่น อะไรประมาณนี้แหละ

จุดเปลี่ยนของชีวิตผมเกิดขึ้นตอนนี้แหละ ประกวดแล้วได้รับรางวัล ก็เป็นช่วงที่เรียนจบมัธยมพอดีเลย  แล้วก็ต้องสอบเอ็นทรานซ์ เข้ามหาวิทยาลัย สอบติด แต่เพื่อนๆ ในวงหลายคน ที่เล่นดนตรีด้วยกัน เขาสอบไม่ติดกัน แล้วด้วยความที่ผมและพวกรักในการเล่นดนตรีอยู่ ก็เลยตัดสินใจเอาดีทางดนตรีให้ได้ ในตัวผมคิดเองนะ แล้วก็ไปเริ่มปรึกษาพ่อ ท่านคิดดูว่าผมน่าจะไปปรึกษาพ่อไหมตอนนั้น ตอนเรียนอยู่มัธยม ไปสายจนกระทั่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน เขาเชิญผู้ปกครอง เขาเตือนอยู่แล้ว ที่มันสายเพราะอะไร?  เพราะมันซ้อมดนตรีดึก มันอดไม่ได้ เล่นกีต้าร์ตั้งแต่ 6 โมงเย็นจนถึงตี 1, ตี 2 นั่งเล่น เดินเล่น หลับตานึกว่าเล่นอยู่ในวงดนตรี ซ้อมแบบจริงจัง มือเลือดไหลเลยนะบางที เล่นกีต้าร์จนเลือดไหล สมัยก่อนมันไม่มีอุปกรณ์อะไรมากมาย เหมือนเดี๋ยวนี้นะ ไม่ได้ไปทำอะไรเกเรเลย เล่นดนตรีมันดึกดื่น แล้วทำไม มันก็ตื่นสาย พอตื่นสายก็รีบๆ ไปโรงเรียน มันก็เกือบทันทุกทีเลย มันวันละนิดวันละหน่อย เขาก็เตือน เตือนในที่สุด เขาก็ต้องส่งหนังสือไปเชิญผู้ปกครองมา เป็นเรื่องน่าอับอายของบรรดาผู้ปกครองที่จะมาฟังเรื่องนี้

“นครมาสาย ถ้ามาสายอีกต่อไป เขาจะคัดชื่อออกจากโรงเรียนเลย”

นึกออกใช่ไหมครับ? สมัยนั้นเป็นอย่างไร? ก็ไปปรึกษาพ่อว่าพอจบมา สอบติดนะ คิดดูในสมัยนั้น ท่านคิดดูว่านักดนตรีในสมัยนั้น 40 กว่าปีที่แล้ว นักดนตรีสมัยนั้น ไม่เหมือนสมัยนี้นะ สมัยนี้นักดนตรีมีเกียรตินะ มีชื่อเสียงนะ มองดูว่ายังเป็นอาชีพที่มั่นคง แต่สมัยนั้น เขาถือว่าไม่มั่นคง เต้นกิน รำกิน แล้วมันไม่มีอนาคตเลย ไว้ผมยาว แบบไม่ค่อยจะมีอนาคต ไม่เหมือนศิลปินยุคนี้

จำได้ตอนนั้นไปปรึกษาพ่อ พูดกับพ่อครั้งแรกว่า.-

“ผมจะสละสิทธิ์มหาวิทยาลัยที่สอบติด แล้วจะพักเรื่องเรียนหนังสือสักปีหนึ่งซะก่อน อยากออกมาเล่นดนตรี”

ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? วัยขนาดนั้น  ให้ทายว่าคุณพ่อเห็นด้วยไหม? ปฏิกิริยาครั้งแรก ท่านไม่เห็นด้วยหรอก แต่ไม่ตอบอะไร? ในสิ่งที่ผมพยายามจะแบ่งปันให้กับพ่อกับแม่ว่ามันคืออะไร? ท่านยังมองไม่เห็น แล้วอย่างไรรู้ไหมครับ? แล้วเมื่อได้คุยกัน พ่อบอกนึกไม่ออก ไม่เห็นภาพเลย แล้วจะไปทำดนตรี ไปเล่นอะไร? สมัยก่อนไม่มีการว่าเล่นคอนเสิร์ต ไม่มีนะ เขาเรียกว่าไปแสดงดนตรี สมัยก่อนนี้ ไปทำมาหากินอะไร? ไปแสดงดนตรีหากิน มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีอนาคต พูดง่ายๆ แล้วจะไปเล่นดนตรี แล้วไปเล่นอย่างไร? เล่นที่ไหน? หากินอย่างไร? ไม่มีวี่แววว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น แต่เขาก็ไม่เอะอะโวยวาย แล้วก็ฟังดู แล้วเขาก็มาคุยกัน เอาไปคิดดูอีกที แน่ใจเหรอ คิดดูอีกที แล้วมาคุยกันแล้วกัน ประมาณอาทิตย์ สองอาทิตย์ก็ต้องรีบตัดสินใจ เพราะว่าก่อนที่เขาจะไปมอบตัวที่มหาวิทยาลัย จะต้องตัดสินใจ เมื่อมาคุยกัน พ่อก็เห็นความตั้งใจของผม ในที่สุด  เราก็พบกันครึ่งทาง ตกลงกันอย่างนี้ว่าขอเวลาหนึ่งปี พ่อให้หนึ่งปี เราก็โอเค หนึ่งปีเหมือนดร๊อปไว้ ไม่ไปเรียนหนังสือแล้ว ไม่เรียน จะไปเรื่องดนตรีใช่ไหม? อยากเล่น ไปเล่นเลย หนึ่งปี ถ้าหนึ่งปีผ่านไป พิสูจน์ว่ามันไม่สำเร็จ เลิก โอเคไหม? กลับมาเรียนเหมือนเดิม ผมก็บอกโอเค ตกลงกันอย่างนั้น เห็นไหม? พ่อที่มีสติปัญญา พ่อที่มีความเข้าใจลูก ก็ต้องทำกันอย่างนี้  ถ้าผมพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ ก็เลิก ผมเองก็ตั้งใจอย่างนั้นนะ ถ้าไม่ได้ ก็เลิก ก็มันไม่ได้จริงๆ จะไปทูซี้ทำไม?  ท่านนึกออกไหมครับว่าสมัยโน่น สอบติดมหาวิทยาลัย แต่ไม่ยอมไปเรียน หัดมาเล่นดนตรี มันเป็นเรื่องที่น่าเกลียดมากเลยนะ ไปพูดให้ใครฟัง น่าเกลียดจริงๆ บอกมาเล่นดนตรี … ดนตรีตอนนั้น มันมีวี่แววเป็นอาชีพอะไรเลยนะครับ ผู้ใหญ่รับไม่ได้ด้วย ผู้ใหญ่ดูเราเหมือนคนสกปรก ผมยาวๆ รุงรังๆ

ซึ่งผมก็เชื่อว่าพ่อผมตอนนั้น ก็ต้องคิดอย่างนี้เหมือนกัน คือเป็นห่วง เป็นห่วงอนาคตของลูก แต่เมื่อเห็นว่าลูก คือผมตอนนั้น รักสิ่งนี้จริงๆ ตั้งใจจะทำสิ่งนี้จริงๆ ก็เลยเชื่อมั่นในตัวลูก เชื่อมั่นว่าอะไร ว่าเขาทำได้ ไม่ใช่ เชื่อมั่นว่าเขาตั้งใจดี มันก็ไม่ได้เสียอะไร? ก็ให้เขาลองไปสิ ยอมทั้งๆ ที่เป็นห่วง  ยอมทั้งๆ ที่ใจจริงอยากให้ลูกไปเรียนหนังสือดีกว่าตั้งเยอะ คงจะเตรียมแผนการอะไรเยอะว่าจะให้ทำอะไร เป็นอะไรต่อไป

นี่หลังจากที่ตกลงกันอย่างนั้นแล้ว พ่อผมก็กลายเป็นนักสำรวจเส้นทางดนตรีอาชีพ ที่ผมพยายามจะตั้งฉายานี้ ฉายาตำแหน่งของพ่อ ตอนนี้เพิ่งหามาตั้งได้ คือเก่งจริงๆ ยกนิ้วให้เลย  พ่อเอาหนังสือเกี่ยวกับดนตรีทั้งหมด ไม่ว่ายุคไหนๆ ยุคโน้น บีทเทิล โรลลิงสโตนส์ ยุคไหนๆ เรียนรู้ทั้งหมดเลย เพราะพ่อผมเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ปกติ อ่านหนังสือเยอะแยะมากมายอยู่แล้ว อ่านหนังสืออะไร ดาราศาสตร์ เยอะแยะ เที่ยวนี้หยุดหมดทุกอย่าง มาเรียนเพื่อลูกอย่างเดียว เรียนอะไร? เรียนดนตรี ไม่ใช่เรียนเล่นดนตรีนะ เปิดดูว่ามันเป็นอาชีพได้ไหม?  มันเล่นอะไรกัน ผมเล่นดนตรีอยู่ ก็มาถามผม

“ของวงดนตรีอะไร?”

ผมถามว่า “จะไปรู้ทำไมพ่อ”

“เอ้อ! น่าเอามาให้ดูแล้วกัน”

คือขอชื่อเท่านั้นเอง แต่ก่อนมันไม่มี google แบบนี้นะ ท่านเข้าใจไหมครับ? มันไม่มี google อย่างนี้ แต่พ่อ พอเอาชื่อมาปุ๊บ  ไปศึกษาหมดว่าที่ผมเล่นดนตรีนี้ วงดนตรีร็อค … ร็อคอะไร? วงอะไรต่างๆ มันเกิดขึ้นอย่างไร?  เขาเล่นดนตรีกันอย่างไร?  เขามีอาชีพอยู่กันอย่างไร? เวลามันจะมีปัญหา ในวงมีปัญหาเพราะอะไร? บอกละเอียดยิบ แล้วก็เขียนเป็นตำราให้ผมว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ๆ เสร็จแล้ว เลยไปหลายเดือน มาคุยกับผมบอกว่า.-

“ตั้งใจทำให้ดีๆ นะ ที่ลูกทำอยู่นี้ มันเป็นอาชีพได้อย่างดีเลย ในอนาคตมันจะไปได้ไกลมากเลย ในเมืองไทย”

แล้วก็ผมก็เป็นนักดนตรี แล้วก็เริ่มเล่นอาชีพแล้ว มีคนมาจ้างให้เล่น ก็เล่นในกรุงเทพ ในที่สุด มีคนมาติดต่อไปเล่นที่จังหวัดนครพนม ให้กับทหารอเมริกัน ในแคมป์ทหารที่นครพนม เป็นสถานพัก ที่จะส่งทหารไปรบที่เวียดนาม ทหารพักก็มาที่นี่ แล้วก็มาเที่ยวกัน เราก็ไปเล่นดนตรีให้เขาฟัง ซึ่งท่านคิดดูนะครับ ก็ตกลงไป เด็กหนุ่มๆ ไปอยู่ที่นั่น  อยู่ต่างหาก มีอิสรภาพ เสรีภาพทุกอย่างเลย  แล้วเมืองทั้งเมือง มันเป็นเมืองที่มีทหารทั้งนั้น ทุกอย่างเงินสะพัดทุกอย่างเลย แล้วก็ไม่ใช่เงินสะพัดอย่างเดียว อบายมุกสะพัดหมด ทุกอย่าง มีหมดทุกชนิด ตั้งแต่เรื่องเหล้า ยา … ยาจริงๆ นะ หมายถึงยาเสพติด ผู้หญิง มีเยอะแยะไปหมดทุกอย่าง แล้วเราเด็กหนุ่มๆ ไปอยู่ที่นั่น  พ่อแม่ก็เป็นห่วง  ถูกไหม? ก็เป็นห่วง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็ลูกมาถึงเส้นทางนี้แล้ว จะทำอย่างไร?

แล้วพ่อเริ่มต้นเขียนจดหมายครับ จดหมายมันไม่เหมือนกับอีเมล์สมัยนี้ ท่านต้องพิมพ์ดีด ไม่ใช่ลายมือเขียน กลัวจะอ่านไม่ออก พิมพ์ดีดทีละปึกหนึ่ง ปึกหนึ่งมีประมาณ 10 กว่าแผ่น เป็นปึกนะ พิมพ์ดีด แล้วก็สอนผมในจดหมายนั้น อาทิตย์หนึ่ง 1 ฉบับ … ฉบับหนึ่งมีประมาณ 10 กว่าแผ่น บอกให้หมดเลยว่าต้องเป็นอย่างไรบ้าง? เรื่องโน้นเรื่องนี้ ตั้งแต่เรื่องการอยู่ การกิน การระวังตัว รวมถึงการเล่นดนตรี  และวิชาการดนตรีต่อไปด้วยในอนาคตควรจะเป็นอย่างไร?

ท่านคิดดู นี่คือการสำแดงความรักของผู้ที่เป็นพ่อ ถ้าเขาไม่รักเราจริง เขาไม่สำแดงอย่างนี้ เราจะสัมผัสความรักเขาไหม? ได้แต่บอกรักเหรอ แล้วมากกว่านั้น อะไรรู้ไหมครับ? ผ่านไป 4 เดือน เป็นห่วงมาก แม้เขียนจดหมายแล้วยังเป็นห่วง ทำอย่างไรรู้หรือเปล่า? เดินทางไปนครพนม เดินทางไปนครพนม 2 คนพ่อกับแม่ ลำบากลำบนมาก สมัยก่อนนี้ ถ้าจะไปนครพนม มันสุดโน่นเลย ชายแดน จะข้ามไปอีกนิด ก็ถึงลาวแล้ว ยากมาก เดินทางไปลำบากลำบน คนอายุมากแล้วด้วย  พอไปดูการเป็นอยู่ของเราที่นั่น ยิ่งเป็นห่วง กลับมา เป็นห่วงใหญ่เลย แย่แล้ว ลูกเราสงสัยไม่รอด ตายแน่ๆ หมายถึงว่าดูการเป็นอยู่แล้ว ลำบากมาก ลำบากในที่นี่ หมายถึงในอบายมุกทั้งหมด กลัวมากว่าลูกจะเป็นอย่างนั้น

ความรักที่พ่อสำแดงให้กับเราก่อน และความรักตัวนี้ จึงทำให้ผม เวลาจะทำอะไร ตัวเองไม่กลัว เพราะเรายังวัยรุ่น เราไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร? เรากำลังสนุก แต่สิ่งหนึ่งที่ดึงผมไว้ ก็คือพระคุณ ความรักของพ่อและแม่ที่ให้กับผมก่อน เราจึงจะทำอะไร ไม่อยากทำ ให้เขาเสียใจ ไม่อยากจะทำให้เขาเป็นห่วง อยากทำให้เขามีความสุข เห็นไหม?  ผมจึงได้สิ่งนี้มา มันได้สิ่งนี้มา

มันตรงกับสิ่งที่กำลังคุยกันในวันนี้ว่ารัฐบาลเขายังพยายามรณรงค์ในเรื่องนี้ว่าทำดี เพื่อพ่อ คือทำอะไรก็ได้ ที่ทำให้พ่อมีความสุข เพราะถ้าบอกว่าไปทำโน่นทำนี่ บางทีเราไปอยู่ตรงโน้นแล้ว เราไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร?  แต่รู้เลยว่าทำสิ่งนี้ แล้วพ่อจะมีความสุขไหม ถ้าเราทำอย่างนี้

พอเราไปเสพยา ถ้าเราไปลอง แล้วพ่อเราจะมีความสุขไหม? อะไรอย่างนี้ เห็นไหม?  มันก็เลยรอด เพราะไม่ใช่ตัวเองดี ไม่ใช่ตัวเองเก่ง แต่รอด เพราะความรักของพ่อของแม่ สำแดงให้ผมเห็นก่อน จนผมทนไม่ไหว ทนไม่ไหวจึงต้องตอบแทนพระคุณของท่าน โดยการมอบชีวิตให้ท่าน เป็นสิ่งที่ดีให้กับท่าน เป็นที่สบายใจของท่าน

นี่คือเรื่องเดียวกัน อยากจะเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านฟัง จริงๆ มีเยอะมากมาย จริงๆ เอามาสอนเดี๋ยวนี้ได้ ให้ทั้งพ่อและแม่เดี๋ยวนี้ได้รู้ว่าสิ่งใดบ้างที่เราสามารถที่จะสำแดงความรักของเราต่อลูกของเราได้

นี่คือตัวอย่างของคนที่เป็นพ่อ ที่เป็นมนุษย์เท่านั้น ที่สมควรจะได้รับการทดแทนพระคุณ จากลูกๆ ด้วยการที่ลูกเป็นคนดี เป็นคนที่กตัญญู รู้คุณต่อพ่อแม่ เชื่อฟังพ่อแม่ ดูแลพ่อแม่ในยามแก่เฒ่าด้วย และทุกอย่างที่ทำเพื่อท่านนั้น  เพื่อว่าท่านจะได้มีความสุข คิดอยู่แค่นี้เอง

แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด? ที่มหากษัตริย์ของเรา คือในหลวงของเรา ผู้ทรงเหน็ดเหนื่อย เพื่อพสกนิกร สมควรจะได้รับการทดแทนพระคุณ จากประชาชนชาวไทย ด้วยการประพฤติตนให้เป็นคนดีของสังคม และทำทุกสิ่ง เพื่อให้ในหลวงของเรา ทรงเกษมสำราญ มีความสุข เหมือนกัน ถูกไหม? นี่คืออยู่ในใจเราเลยแหละ จำอะไรไม่ได้ รู้ทันทีเลยว่าเราจะทำสิ่งนี้แหละ ในหลวงมีความสุขไหม?  ถ้าในหลวงมีความสุข ทำเลย  ถ้าในหลวงไม่มีความสุข หยุดๆ เพราะเรารักท่าน

และมากกว่านั้นสักเท่าใด? ที่พระเจ้าพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ผู้ทรงรักและเสียสละต่อเราอย่างมาก ถึงขนาดยอมเสียสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์ และเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการทดแทนพระคุณ จากพวกเราทุกคน ที่เป็นคริสเตียน ที่มาได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์แล้ว โดยการมอบถวายชีวิตของเรา เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่แด่พระองค์ ให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ ก็คือให้เป็นที่สุขใจของพ่อเรา คือพระบิดา

โรม 12:1-2 เราอ่านข้อนี้ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง ให้มันจำอยู่ในหัวของเราเลยว่าถ้าเรารักพ่อ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ ประทานพระเยซูคริสต์ให้กับเรา หรือเป็นพ่อหลวงของเรา หรือเป็นพ่อแม่ในครอบครัวของเราก็ตาม พระคัมภีร์ข้อนี้ ก็ยังใช้ได้เสมอ ทำให้พอพระทัย หรือทำให้ท่านมีความสุขนั่นเอง อ่านพร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง

โรม 12:1-2  “1 เหตุฉะนั้น  พี่น้องทั้งหลาย  เมื่อพิจารณาถึงพระคุณ  ความเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง 2 อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่าสิ่งใดคือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัย และสมบูรณ์พร้อมของพระองค์”

 

“อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ เปลี่ยนทางของท่าน ให้เป็นทางของพระเจ้า ที่จะทำให้พระองค์มีความสุข”

เอเมน … ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน 2015 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 3 “เราเป็นวิหารของพระเจ้า” (You are a temple God) โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  พฤศจิกายน  2015

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 3 “เราเป็นวิหารของพระเจ้า”

(You are a temple  God)

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ตัวตนในพระคริสต์ ตอนที่ 3 … ตัวตนในพระคริสต์ วันนี้เป็นตอนที่ 3 แล้ว สัปดาห์ที่แล้วเราได้คุยกันเรื่องในพระคริสต์ เราได้มีส่วนธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ซึ่งภาษาอังกฤษ “Divine Nature” ผมได้เล่าย้อนหลังถึงตั้งแต่ปฐมกาลว่าพระเจ้าทรงสร้างบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างไร? ให้มีคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันอย่างไร? ยังจำได้ไหมครับ? ซึ่งสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า ที่มีชีวิต สรุปแล้ว ได้แก่พืช สัตว์ และมนุษย์ แตกต่างกันอย่างไร?

พืช เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกาย

สัตว์ เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มีร่างกายและความคิดจิตใจ

มนุษย์ เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มีร่างกาย และความคิดจิตใจ และวิญญาณ

บางคนบอกมีวิญญาณ แต่ผมอยากบอกว่าไม่ใช่มีวิญญาณ แต่มันสำคัญกว่านั้น มันเป็นวิญญาณ

ให้เราพูดพร้อมกัน “เป็นวิญญาณ … มนุษย์เป็นวิญญาณ

ไม่ใช่มีวิญญาณ เพราะเราบอกว่ามีวิญญาณ แสดงว่าร่างกายสำคัญกว่า อยู่ตลอดไหม? ไม่ตลอด  อะไรอยู่ตลอด วิญญาณ เพราะฉะนั้น ควรจะเป็นวิญญาณและมีร่างกาย มันกลับกันนะ มนุษย์เป็นวิญญาณ และมีร่างกาย มีความคิดจิตใจ

วิญญาณ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Spirit ก็คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ทุกชนิด ที่พระเจ้าทรงสร้าง

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ตามพระฉายของพระองค์ มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระองค์ คือพระเจ้า และมนุษย์เป็นวิญญาณ เพราะมีส่วนของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ มนุษย์เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้านั่นเอง

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “Spirit of life” แปลว่า “ลมหายใจแห่งชีวิต” คือวิญญาณแห่งชีวิตที่เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าระบายสู่มนุษย์ ทำให้มนุษย์เกิดมาเป็นวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง แต่หลังจากที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป ทุกอย่างก็กลายเป็นตรงกันข้ามหมดเลย

อย่างเช่น ร่างกายจากไม่ตาย ก็ต้องกลายเป็นตาย ความคิดจิตใจที่ดีงาม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ก็กลายเป็นชั่วร้าย วิญญาณก็ต้องตาย ถูกตัดขาดออกจากความสัมพันธ์ของพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า จนกระทั่งถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ในทางวิญญาณ ทางวิญญาณ ก็คือตัวจริงๆ ของเรา ตัวจริงๆ ของมนุษย์ พระเยซูมาไถ่บาปให้กับตัวจริงๆ ของเรา … เราก็ได้กลับสู่สภาพเดิม คือสภาพเริ่มต้นที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ๆ ตามพระฉายของพระองค์ และมีชีวิตเหมือนพระองค์ นั่นเอง กลับมาเหมือนเดิม

ยังจำตารางที่ผมเปรียบเทียบให้ได้ไหมครับ? เรามาดูตารางกันนิดหนึ่ง เพื่อย้อนความจำ เดิมมนุษย์เป็นอย่างไร? พอตกลงไปในความบาปแล้วเป็นอย่างไร? พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ แล้วกลับคืนสู่สภาพเดิมเป็นอย่างไร? ซึ่งสัปดาห์ที่แล้วผมได้บอก อธิบายอย่างละเอียดเลยว่านี่คัดมาจากจำนวนหนึ่งในพระคัมภีร์ทั้งหมด เพื่อสรุปให้สั้น เห็นชัดๆ เป็นตารางเลย ซึ่งวันนี้จะไม่ลงรายละเอียด เพียงแต่มาทบทวนเท่านั้นเอง ดูตามตารางไปนะครับ

เดิม มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเยซูมาไถ่บาป
สะอาด บริสุทธิ์

ปกคลุมด้วยพระสิริ

ติดต่อพระเจ้าได้

มีชีวิตนิรันดร์

อยู่ในความสว่าง

อยู่ในสวรรค์

ตาและหู เปิด

วิญญาณครบบริบูรณ์

พระพรจากพระเจ้า

สกปรก มีมลทิน

พระสิริหายไป

เป็นศัตรูกับพระเจ้า

ตายนิรันดร์

อยู่ในอาณาจักรความมืด

อยู่ในความพินาศ (นรก)

ตาบอด  หูหนวก

ป่วยทางวิญญาณ

ถูกสาปแช่ง

สะอาด บริสุทธิ์

เต็มไปด้วยพระสิริ

คืนดีกับพระเจ้า

มีชีวิตนิรันดร์

อยู่ในความสว่าง

อยู่ในสวรรค์

มองเห็น  ได้ยิน

วิญญาณหายป่วย

หลุดพ้นจากคำสาป

 

เดิมพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม

พอมนุษย์ล้มไปในความบาป ก็กลายเป็นสกปรก มีมลทิน

พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ กลับมาเหมือนเดิม คือสะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนเดิม

คำเหล่านี้ จะเป็นคำที่อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่มนะ คือพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ผมจะพยายามเอาคำที่คุ้นๆ ในพระคัมภีร์มาใช้ เมื่อไรท่านอ่านพระคัมภีร์ ส่วนตัวของท่าน เมื่อท่านอ่านพระคัมภีร์เดิมหรือพระคัมภีร์ใหม่ ท่านเห็นตัวนี้ ท่านจึงจะเข้าใจ อ๋อ!

ยกตัวอย่าง ถ้าท่านเห็นคำว่า “มลทิน” ท่าน อ๋อ! รู้แล้ว มลทินคืออะไร?  เข้าใจใช่ไหมครับ?  ท่านเห็นคำว่า “บริสุทธิ์” ท่าน อ๋อ! มนุษย์เป็นอย่างไร? ในพระเยซูแล้ว เรากลับมาบริสุทธิ์อย่างไร? ชอบธรรม คืออะไร?  ซึ่งคำเหล่านี้ ศัพท์เหล่านี้อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม

          เดิมพระเจ้าสร้างมนุษย์ … มนุษย์ถูกปกคลุมด้วยพระสิริของพระเจ้า

          พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป ก็กลายเป็นพระสิริของพระเจ้าหายไป

          พระเยซูมาไถ่บาปให้มนุษย์ … มนุษย์ก็กลับมาเต็มไปพระสิริของพระเจ้าเหมือนเดิม

 

          ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ติดต่อกับพระเจ้าได้ คุยกับพระเจ้าได้ทุกวัน ตลอดเวลา

          มนุษย์ล้มลงไปในความบาป กลายเป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกตัดขาดกับพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า คุยกับพระเจ้าไม่ได้

          แต่พอพระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ … มนุษย์กลับมาคืนดีกับพระเจ้า คืนดีกัน คุยกันได้ทุกวัน

 

          ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์มีชีวิตนิรันดร์ แบบพระเจ้า

          พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป ล้มลงไปในความตาย กลายเป็นตายนิรันดร์

          พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ กลับคืนมามีชีวิตนิรันดร์

 

          ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์อยู่ในความสว่าง หรือเรียกว่าอาณาจักรสว่าง

          มนุษย์ล้มลงไปในความบาป จึงกลายเป็นไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด

          พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ทำให้มนุษย์กลับมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสุข อาณาจักรแห่งความสว่างอีกครั้งหนึ่ง

 

          ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์อยู่ในสวรรค์ที่เรารู้จักกันดี เอเดนนั่นแหละ คืออาณาจักรสวรรค์

          มนุษย์ล้มลงไปในความบาป ต้องถูกไล่อัปเปหิออกไปจากสวรรค์ไป ไปอยู่ในที่นี่หนึ่ง ที่พระคัมภีร์เรียกว่าพินาศ หรือเรียกว่านรก

          พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ทำให้มนุษย์ได้กลับมาอยู่ในสวรรค์ เหมือนเดิม

 

          ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ตาทางฝ่ายวิญญาณของมนุษย์เปิดออก ได้ยินเสียงพระเจ้า  ตาก็เห็นพระเจ้า เห็นในเรื่องโลกวิญญาณชัดเจน

          แต่พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป พระคัมภีร์ใช้คำว่าตาบอด หูหนวกทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ได้รู้เรื่องทางฝ่ายวิญญาณเลย มัวไปหมดเลย

          พอพระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ … มนุษย์ถึงกลับมา มองเห็น ได้ยินฝ่ายวิญญาณ ได้ยินเสียงพระเจ้าเหมือนเดิม

 

          ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ วิญญาณของมนุษย์ เรียกว่าครบบริบูรณ์ สมบูรณ์นะสมบูรณ์

          แต่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป พระคัมภีร์ใช้คำว่ามนุษย์ล้มลงไปในความป่วยทางวิญญาณ พิการในวิญญาณ ป่วยทางวิญญาณ

          พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว ไม่ป่วยอีกต่อไป วิญญาณกลับคืน แข็งแรงดีแล้ว เอเมน

 

          พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์ได้พรจากพระเจ้า เพราะอยู่กับพระเจ้า

          พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป หลุดจากพระเจ้าไป ตรงกันข้ามกับพร เข้ามาทันที คือคำสาปแช่ง ต้นมงต้นไม้กลายเป็นหนาม ทำมาหากินลำบากลำบน

          พระเยซูมาไถ่บาปมนุษย์ ทำให้มนุษย์กลับมาสู่พระพรของพระเจ้า หลุดจากคำสาปแช่ง พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  รับเอาคำสาปแช่งของเราไปแล้ว

 

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตามตารางนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่วิญญาณก่อน ที่วิญญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงของเรา ณ วินาทีที่เราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์  วินาทีที่เรารับเชื่อพระเจ้า  วิญญาณเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงตามตาราง เมื่อตะกี้นี้ ทันทีทันใดเล

มนุษย์มี 3 องค์ประกอบใช่ไหมครับ คือร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น เมื่อเรารับเชื่อ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไหนขึ้น พระเยซูไถ่เราที่ไหน? ผมจะอธิบายให้ท่านเห็นชัดขึ้นอีกนิดหนึ่ง ทบทวนครั้งที่แล้ว

  1. ที่วิญญาณ ใช่ไหม? ตัวจริงเรา ที่วิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที เมื่อมาเชื่อพระเยซูคริสต์ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซู ต้อนรับข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าทันทีปุ๊บ วิญญาณเปลี่ยนทันทีเลย เปลี่ยนใหม่ทันทีเลย
  2. ที่ความคิดจิตใจ เกิดอะไรขึ้น ความคิดจิตใจ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็ได้ประทาน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้มาเป็นพี่เลี้ยง ให้มาดูแลเรา เป็นกำลัง เป็นสติปัญญา ให้เราสามารถค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเราไปทีละนิดๆ ทีละหน่อย หนึ่งในนั้น ก็คือนำพาเรามาโบสถ์ มาวันอาทิตย์ เพื่อเราจะได้ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของเราไป  เหมือนชีวิตเก่านั่นเอง แล้วต่อไปอะไร?  ต่อไปที่ร่างกาย
  3. ที่ร่างกาย … ที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไหม? มีไหม? มี เราจะได้

พูดพร้อมกันว่า “จะได้”

ไม่ใช่เราได้แล้ว เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แต่ต้องรอก่อน รอให้จากโลกนี้ก่อน คือออกจากร่างนี้ก่อน เพราะฉะนั้น นี่คือใครๆ ก็อยากจะไป จึงเรียกว่าได้กำไร ตายจากโลกนี้ไป ได้กำไร เมื่อวิญญาณออกจากร่างไป เตรียมตัวไปรับร่างกายใหม่ เอเมน

นี่คือสรุปครั้งที่แล้ว นี่คือบทสรุปการบรรยายในสัปดาห์ที่แล้ว “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 2 มีชื่อตอนว่า “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า”

“ในพระคริสต์ ฉันมีส่วนเข้าไปใน Divine Nature มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า เหมือนพระเจ้า”

และวันนี้เราจะมาดูกันต่อ ว่านอกจากการได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้าแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ มีอะไรอีก ได้อะไรอีก เมื่อตอนเรามาเชื่อพระเยซู ตอนนี้เราได้อะไรมาบ้าง? ตัวตนจริงๆ เราเป็นใคร? ได้อะไรบ้าง?  เมื่อเราได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เราก็ได้มาอยู่ในบ้านเดียวกันกับพระเจ้า นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น บ้านเดียวกัน เหมือนกัน เหมือนอะไรรู้ไหม? พระเยซูบอกอย่างไงรู้ไหม? พระเยซูบอกว่าใครๆ ก็ตามว่าพระองค์จะมาสำแดงอัศจรรย์ ไม่ใช่สำแดงอัศจรรย์ พระองค์จะมาสำแดงสวรรค์ให้กับพวกเราทั้งหลาย ที่เดินอยู่บนโลกนี้

คนเขาถามว่า “แล้วสวรรค์เป็นอย่างไร?”

พระเยซูยกตัวอย่างๆ มีตัวอย่างหนึ่ง พระองค์ทรงยกตรงนี้ สวรรค์เป็นเหมือนอะไร? เป็นเหมือนลูกา บทที่ 15 เป็นเหมือนบุตรหลงหายไป บุตรของมหาเศรษฐี

“อยากจะมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง ไม่สนใจพ่อแล้ว แบ่งสมบัติมา ฉันจะไปแล้ว”

พ่อก็จะทำอย่างไงได้ เขามีสิทธิ์ พ่อไม่ได้บังคับเขาเป็นทาส เอาไปเลย พระเยซูเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง บุตรคนนั้น ก็เลยเอาทรัพย์สมบัติจากพ่อไป แล้วก็ออกนอกบ้านไป ไปใช้ชีวิตเกเร ยุ่งวุ่นวายในอบายมุก จนกระทั่งหมดเกลี้ยง ทรัพย์สินเกลี้ยง จนไม่มีอะไรจะกินแล้ว ต้องไปเลี้ยงหมู ทุกข์ทรมานมาก ทรมานอย่างแสนสาหัส ในชีวิต นึกขึ้นมาได้ว่า.-

“สมัยก่อนที่อยู่บ้านพ่อ … พ่อเราเป็นมหาเศรษฐี ขนาดคนใช้นะ ขนาดทาสในบ้านของเรานะ ยังมีกินดีกว่านี้เลย ไม่ได้กินข้าวหมูอย่างนี้ ไม่ได้ทรมานอย่างนี้  เพราะฉะนั้น เรากลับไปหาพ่อเราดีกว่า อย่างน้อยเราไปขอเป็นทาสก็ยังดี เราไม่กล้าเข้าไปสู่หน้าพ่อเรา เพราะเราแย่มากตอนนั้น เราจะขอพ่อยกโทษให้ลูกด้วย ขอการเป็นทาสยังดี ขอข้าวของคนรับใช้ในบ้านมาทาน ก็พอแล้ว”

ปรากฏว่าเด็กคนนี้ ก็เลยขอกลับไปบ้าน ไปถึงบ้านปุ๊บ เจออะไร? ยังไม่ทันถึงบ้านเลย ถึงแค่หน้าบ้านเอง เจอไม้กวาดไล่ ไม่ใช่ เจออะไร? เจอหนังสติ๊กยิง ไม่ใช่ นั่นมันคนๆ พระเยซูเล่าให้ฟัง นี่ว่าสวรรค์เป็นอย่างนี้ พ่อเห็นแต่ไกล ยังไม่ทันเข้าบ้านเลย

“ลูกเรานี่หว่า”

ท่านคิดดูสิ เห็นแต่ไกล ยังจำได้ว่าลูก แสดงว่าพ่อทำไม? พ่อคิดถึงลูกตลอด

“ลูกเรากลับมา”

ไม่ได้คิดโกรธอะไรต่างๆ เลย แสดงว่าคิดอยู่ตลอดเวลา คิดถึงลูกตลอดเวลา เมื่อไรลูกจะกลับมาบ้านสักทีหนึ่ง กลับมาบ้านสักที บัดนี้ลูกเรากลับมาแล้ว ดีใจใหญ่ ลูกก็กลัวจะตาย โดนแน่ โดนไม้เรียว โดนไล่แน่ เปล่า พ่อกลับรับไว้อย่างดีเลย  แล้วทำไม? ลูกกะว่าจะขอกินข้าวนิดๆ หน่อยๆ ก็ปรากฏว่าพระเยซูเล่าให้ฟังว่ากลับความคาดหมายของลูกอย่างตาลปัดเลย  พ่อมาถึงปุ๊บ พ่อสวมกอด ไม่ได้ว่าอะไรลูก … ลูกจะขอโทษ ไม่ต้องขอโทษ ขึ้นมากอดๆ … กอดเสร็จทำอย่างไร? เรียกคนใช้ ไปหยิบเสื้อคลุม แหวนมาใส่ให้เขา

เสื้อคลุม แหวน คืออะไร? คือตำแหน่งของเขาเหมือนเดิม คือเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม เหมือนก่อนเขาไป อภัย ลูกไม่ต้องไปพูดหรอกว่ากลับมาเป็นทาส ไม่ใช่ แต่กลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นลูกของพระเจ้า พระเยซูบอกว่าสวรรค์เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในพระเยซูคริสต์ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เชื่อในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์ พระเยซูไถ่เราให้กลับมาเหมือนเดิม คือเรากลับไปอยู่ในบ้านเดิมของเรา ที่มาตั้งแต่เกิด คือบ้านเรา คืออยู่ในสวรรค์ อยู่กับใคร? อยู่กับพ่อเรา ก็คือพระเจ้า พระบิดา เหมือนตัวอย่างตะกี้นี้บอก เพราะพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ใครๆ ก็รู้ ตอนเราไม่เชื่อพระเจ้า เราก็รู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ทุกคนตอบพร้อมกันเลยว่าทุกคนในโลกนี้ รู้หมด พระเจ้าก็ต้องอยู่ที่สวรรค์สิ ตอนนี้เราอยู่กับพระเจ้าแล้ว และตัวเราตอนนี้อยู่ที่ไหน? ตัวเราตอนนี้ เรานั่งอยู่ที่ไหน? เราดำเนินชีวิตบนโลก เอาล่ะสิ ตะกี้ยังเพลินๆ อยู่ แล้วมาบอกว่าอยู่บ้านเดียวกับพระเจ้าได้อย่างไร? ตอนนี้อยู่บนโลก งงไหม? งงหรือไม่งง? ตอบตามจริง งง เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เชื่อไหม? เชื่อ เชื่อเพราะอะไร? เชื่อเพราะผมพูด เพราะอะไร? เชื่อเพราะอะไร? เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น และในจิตวิญญาณของเรา ในใจของเรา  ในวิญญาณของเรา

พระวิญญาณบริสุทธิ์ย้ำยืนยันว่า “ใช่”

เอเมน ปากเราจึงพูดคำว่า “เอเมน”

เอเมนไหม? เอเมน ไม่ต้องเข้าใจหรอก ไม่ต้องเข้าใจ งงก็งงไป

“พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ ฉันก็บอกอย่างนี้”

มาดูข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ แล้วท่านพอจะเห็นคำตอบ ลูกา 17:20-21 ตะกี้ที่ผมเล่าให้ฟัง มันอยู่ที่ลูกา 15:1 เป็นต้นมา อาณาจักรของพระเจ้า เป็นลักษณะไหน? บุตรหลงหาย ใช่ไหม? ตอนนี้มาดูว่าพอเลยมาสักนิดหนึ่ง  พระเยซูพูดว่าอะไร?

ลูกา 17:20-21 “20 คราวหนึ่ง พวกฟาริสีมาทูลถามว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด พระเยซูตรัสตอบว่าอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ 21 ทั้งผู้คนจะไม่กล่าวว่า ‘อาณาจักรนั้นอยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่นั่น’ เพราะอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ภายในพวกท่าน”

 

เอเมน

เอ๊า! พูดพร้อมกันดังๆ เลย  “เพราะอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ภายในฉันนี่เองแหละ”

ก็คือในร่างกายเรานี่แหละ … ที่บอกว่าอยู่บ้านเดียวกับพระเจ้า และบ้านของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ เพราะฉะนั้น เราก็อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ยังจำได้ไหมครับ เราเคยเรียนกันแล้วว่าในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้อยู่ วิญญาณของเรา ได้อยู่กับพระเจ้า ที่ไหน? เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ ในสวรรค์สถาน เรียบร้อยไปแล้ว  ถูกไหม?  ซึ่งทุกวันนี้ เราก็ยังเรียนอยู่ เราก็ยังไม่เข้าใจหรอก แต่เราก็เชื่อเป็นไปตามนั้น ข้างในของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ย้ำยืนยันว่ามันใช่

ข้อนี้อธิบายเพิ่มเติม เมื่อตะกี้นี้ที่เราอ่าน อธิบายเพิ่มเติมว่าอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ภายในพวกท่าน อาณาจักรของพระเจ้า ก็คือสวรรค์

สรุป คือสวรรค์อยู่ภายในร่างกายท่าน ร่างกายของเรา  นี่แหละ ไม่ต้องไปหาที่ไหน?  ไม่ต้องขึ้นจรวดไปที่ไหน? อยู่ตรงนี้แหละ

เพราะฉะนั้น ที่เราเคยงงกันว่าตัวเรานั่งอยู่ที่นี่ แต่วิญญาณเรา ไปอยู่ที่สวรรค์ได้อย่างไร? ความหมาย ก็คือแบบนี้ คือพระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเรา นี่ตามประสามนุษย์นะ พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายนี้ นี้ภาษาความคิด ความเข้าใจแบบมนุษย์ที่พยายามอธิบายให้เราเข้าใจ แต่สำหรับพระเจ้าไม่มีลงหรือขึ้นหรอก เพราะพระเจ้าเป็นนิรันดร์ เป็นวิญญาณ  มิติ เกินกว่ามิติของมนุษย์ มิติมนุษย์ มี 3 มิติเองใช่ไหม? กว้าง ยาว ลึกใช่ไหม? ของพระเจ้าเลย ไป 4, 5 มิติโน่น มนุษย์ไม่เข้าใจ เหมือนมดไม่เข้าใจคน … คนรู้ว่าตรงนี้มีภูเขาอยู่ มดไม่รู้ เดินไป มันราบตลอด อะไรประมาณนี้นะ

เพราะฉะนั้น ความคิดของมนุษย์ พอจะเข้าใจได้ คือพระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเรา กับมนุษย์นั่นเอง ในร่างกายนี้แหละ ร่างกายของเราจึงเป็นอาณาจักรของพระเจ้า หรืออาณาจักรพระเจ้าที่เรียกว่าสวรรค์

เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม? ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ คุ้นๆ นะครับ

“สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ”

เรื่องจริง คือคนที่มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ข้างในใจ ก็จะมีสภาพของสวรรค์ อยู่ภายในร่างกาย ภายในความคิด จิตใจของเขา เอเมน

สวรรค์อยู่ในใจเรา  … เมื่อพระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วยกับเรา เพราะฉะนั้น …

ร่างกายของเรานี่ ก็คือที่ประทับของพระเจ้า

และที่ประทับของพระเจ้า ก็คืออาณาจักรของพระเจ้า

อาณาจักรของพระเจ้า ก็คืออาณาจักรสวรรค์นั่นเอง เอเมน

ซึ่งพระคัมภีร์บางแห่งนะครับ ก็จะใช้คำว่า “วิหาร” ที่ประทับพระเจ้า ก็คือวิหาร พลับพลา

1 โครินธ์ 3:16 “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้า สถิตภายในท่าน”

 

พูดตามผม “ร่างกายของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้า สถิตภายในนคร … (ใส่ชื่อท่าน)”

พระคัมภีร์บันทึกเหตุการณ์สำคัญ ที่เกิดขึ้นตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตอนหนึ่งในนั้น มัทธิว 27:50-51 อ่านดูนะครับ

มัทธิว 27:50-51 “50 เมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ 51 ขณะนั้นเอง ม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วน ตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน”

 

ศุกร์ประเสริฐ บ่ายสามโมง พระเยซูสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ไถ่บาปให้กับเรา ก่อนสิ้นพระชนม์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ที่ตะกี้เราอ่านด้วยกัน

ม่านในวิหารขาดเป็นสองส่วน พระวิหาร ก็คือพลับพลาที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น ให้เป็นที่ประทับของพระเจ้า ในสมัยโมเสส ตามที่พระเจ้าได้บัญชาให้พวกเขาทำ และเหตุการณ์ที่ม่านในวิหารขาดออก เป็นการเล็งให้เห็นว่าพระเจ้าจะไม่ประทับอยู่ในวิหาร ที่ทำด้วยฝีมือมนุษย์ ที่เป็นหิน เป็นเหล็ก เป็นทอง นี้ต่อไปอีกแล้ว กิจการ 17:24 อ่านพร้อมกัน

กิจการ 17:24 “พระเจ้าองค์นี้ ผู้ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งในโลก ทรงเป็นเจ้าเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ได้ประทับในวิหาร ที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์”

 

พระเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ที่พลับพลา หรือวิหารที่มนุษย์ทำจำลองขึ้นอีกแล้ว แต่ทรงมาประทับอยู่กับมนุษย์ที่เป็นผู้เชื่อ เพราะว่าพระองค์ส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาทำการไถ่บาปให้กับมนุษย์กลับคืนสู่สภาพดีแล้ว ทำเสร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ตอนบ่ายสามโมง ตอนที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ที่นั่น เอเมน พระองค์จึงประกาศก้อง ลั่นว่า “It is finish.” คือแปลว่า “มันเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว” พระเจ้าก็ไปเลย ไปไหน?  ไปเตรียมตัว เก็บข้าว เก็บของ สมมติตามภาษามนุษย์นะ เก็บผ้าเก็บผ่อนต้อนรับใคร? ต้อนรับพวกเรากลับเข้ามาสู่บ้านเกิดของเรา เห็นภาพไหม? โอโห้! ซึ้งเลยนะ

พระเจ้าไม่ต้องสถิตอยู่ที่วิหาร ที่ทำขึ้น ด้วยฝีมือมนุษย์อีกต่อไป สวรรค์จำลองที่สมัยโมเสส ทำพลับพลาขึ้นมานั่นนะ ไม่ต้องเป็นที่อยู่ของพระเจ้าอีกแล้ว มาอยู่ที่บ้านที่เป็นมนุษย์ คือร่างกายของผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน  เพราะถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่เกิดผลกับเขา แต่ถ้าเขาเชื่อว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน ตาย เพื่อเขาจริงๆ เขาก็ได้รับสิทธินั่นทันที เดี๋ยวนี้เลย เอเมน ในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 3:16 ที่ตะกี้ ที่เราอ่านกันไป ที่บอกว่า

“ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า  และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตภายในท่าน”

หนังสือโครินธ์นี้ ก็คือจดหมายฝากที่อาจารย์เปาโล เขียนถึงชาวโครินธ์ ซึ่งถ้าจะให้ท่านเข้าใจในความหมายของคำพูด ของอาจารย์เปาโลข้อนี้นะ ผมต้องเล่าย้อนให้ท่านได้เห็น หรือทราบ รู้ถึงเบื้องหลังของชาวโครินธ์ ในยุคนั้นก่อนว่าเขียนไว้ให้ชาวโครินธ์นั้น เขาเป็นอย่างไร? เขาเป็นอยู่กันอย่างไร? ตอนนั้น ดูนะ ตื่นเต้นมากเลย

ย้อนกลับไป ประมาณ 2,000 ปี เร็ว คือเมืองโครินธ์ในยุคนั้นนะ เป็นเมืองใหญ่ และเป็นศูนย์กลางการค้าขาย ทำให้ความเป็นของชาวโครินธ์สมัยนั้นรายล้อมไปด้วยความฟุ่มเฟือย และแหล่งอบายมุกต่างๆ มากมาย และมีชาวโครินธ์ที่เป็นผู้เชื่อและเป็นคริสเตียนจำนวนมาก ที่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในอบายมุกเหล่านั้นอยู่เหมือนเดิม ยังทำตัวเหลวไหล ไม่ได้แตกต่างอะไรจากคนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เชื่อเลยสมัยนั้น

ท่านจะเห็นภาพเลย 2,000 ปีผ่านไป ทำไมปัจจุบันกับแต่ก่อนเหมือนกันเลยนะ ทำไมเมืองใหญ่ๆ มีความชั่วร้าย อบายมุกเยอะแยะ เพราะคนแห่กันไปที่นั่น จริงๆ ที่ไหนๆ ก็มีความชั่วร้ายหมด ตามพระคัมภีร์บอก แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าแต่ขนาด คนโครินธ์เหล่านั้น ประพฤติตัวเหลวไหลถึงแบบนั้นนะ เป็นคริสเตียนแล้วนะ เปาโลยังเรียกชาวโครินธ์ ที่เป็นผู้เชื่อในพระเยซู ทั้งหลายเหล่านั้นว่าเป็นผู้ชอบธรรม และเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า “เซนท์” ที่แปลว่าผู้ชอบธรรม นึกออกไหม ที่การ์ตูนชอบเขียนภาพ เดินไปตรงไหน แล้วก็มีสิริอยู่ตรงศีรษะกลมๆ

 

          นี่คือการย้ำยืนยันในสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันมาตลอด ว่าความชอบธรรมของมนุษย์นั้น ได้มาจากการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ใช่มาจากกระทำของเราเอง มนุษย์เอง ไม่ได้อยู่กับการกำหนดของระบบของโลกนี้ ระบบของโลกนี้ อาจจะบอกว่าใครที่มีความประพฤติหรือมีการกระทำที่ชั่วร้ายต่างๆ เช่น กินเหล้า เมายา ล่วงประเวณี ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โกหก หลอกลวง ลักขโมย คนเหล่านี้ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรม คนเหล่านี้จะไม่ได้ไปสวรรค์ด้วย ถูกไหม?  แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในเมืองโครินธ์  ชาวโครินธ์นี้ ที่ทำตัวแบบนี้ เต็มไปหมดเลย เชื่อแล้วนะ เปาโลยังเรียกพวกคนเหล่านี้ว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรม คือเปาโลไม่ได้กำหนดตัวตนของพวกเขา จากความประพฤติ หรือการกระทำของพวกเขาเอง แต่เป็นการกำหนดตัวตนของพวกเขา จากความเชื่อ ในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์

 

เพราะฉะนั้น  ทุกคนจึงถูกเรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรม  เพียงเพราะว่าเขาเหล่านั้น คริสเตียนชาวโครินธ์เหล่านั้น ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว และได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว โดยไม่ได้มองที่การกระทำของพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เปาโลไม่มองเลย  มองว่าเขาอยู่ที่ไหน วิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? วิญญาณเขาอยู่ในพระคริสต์ และเขาเชื่อแล้ว เพราะฉะนั้น เขาเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ย้ำยืนยันว่าเราเรียนเหล่านี้ เราเรียนไปตั้งหลายตอน ลองอ่านตรงนี้ดู 1 โครินธ์ 6:9-11 ท่านจะเห็นภาพชัดเจน ผมจะพาท่านไปดูชัด 1 โครินธ์ 6:9-11 แล้วจะเปลี่ยนแปลงความคิดของท่านใหม่ นี่คือการเจริญเติบโต ทางวิญญาณของเราในพระคริสต์ เราต้องรู้ และยิ่งรู้มากเท่าไร? ยิ่งทำไม? ยิ่งเข้าใจในสิ่งต่างๆ มากขึ้น ชีวิตเราจะเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้มากขึ้น

1 โครินธ์ 6:9-11 “9 ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่วจะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า อย่าหลงผิดเลย ไม่ว่าคนผิดศีลธรรมทางเพศ หรือคนกราบไหว้รูปเคารพ หรือคนคบชู้ หรือผู้ชายขายตัว  หรือคนรักร่วมเพศ 10 หรือขโมย หรือคนโลภ หรือคนขี้เมา หรือคนชอบนินทาว่าร้าย หรือคนฉ้อฉล  จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า 11 และพวกท่านบางคนเคยเป็นเช่นนั้น แต่ท่านได้รับการล้าง ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า และโดยพระวิญญาณของพระเจ้าของเรา”

 

เปาโลพยายามสอนผู้เชื่อทุกคนในเมืองโครินธ์  คริสเตียนในเมืองโครินธ์  ให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา  รู้จักอะไร?  รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นหัวข้อซีรี่ส์ที่เรากำลังบรรยายกันอยู่ในช่วงนี้ สังเกตให้ดีเปาโลขึ้นต้นประโยค ด้วยข้อความว่า.-

“ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่วจะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า”

แล้วก็ต่อด้วย การบรรยายสรรพคุณความชั่วร้ายสารพัด ยกตัวอย่างให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นคนผิดศีลธรรมทางเพศ หรือคนกราบไหว้รูปเคารพ หรือคนคบชู้ หรือผู้ชายขายตัว หรือคนลักร่วมเพศ หรือขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนชอบนินทาว่าร้าย หรือฉ้อฉล จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้าเลย และในนี้บอกว่า.-

“และพวกท่านบางคนเคยเป็นเช่นนั้น”

เอ๊ะ! ในที่นี่บางคนก็เคยเป็นนะ ยังนินทาอยู่หรือเปล่า? ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวติดตามต่อ จะได้สบายใจขึ้น บางคนสะดุ้ง

“เอ๊ะ! ฉันเคยหรือเปล่านะ? ทุกวันนี้ยังนินทาอยู่เลย”

เปาโลถามว่า             “ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่ว หรือคนทำสิ่งเหล่านี้ ที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่วจะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า”

ถ้าข้อความนี้จบเพียงอย่างนี้นะครับ เท่านี้เอง ถามว่าผู้เชื่อในโครินธ์ ที่ประพฤติตัวแบบนี้จะได้ไปสวรรค์ไหม? ได้ไปไหม? ไม่ได้ไป ไม่ได้ไปแน่นอน ก็เป็นคนชั่ว  เป็นคนบาป เป็นคนสกปรก แล้วจะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้อย่างไร? สวรรค์เขาไม่มีการนินทาว่าร้ายแล้ว ไม่ได้ฉ้อฉลแล้ว ท่านจะขึ้นไปในสวรรค์ได้อย่างไร?  มนุษย์ก็จะคิดอย่างนี้ใช่ไหม? วันนี้ท่านจะเห็นว่าเปาโลไม่ได้อธิบายให้เราอย่างนั้น แต่เปาโลบอกว่าอย่างไร? แต่เปาโลมีบอกต่อไปว่า.-

“แต่ท่านได้รับการล้าง ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า และโดยพระวิญญาณของพระเจ้าของเรา”

 

          “แต่” เห็นหรือยัง? เห็นอะไรบางอย่างไหม? แต่ท่านได้รับการชำระแล้ว  ท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เอเมนไหม? ไม่เอเมน ไม่เห็นมีใครพูดเลย หรือยังตกใจอยู่ ยังนึกไม่ออก ทำไมมันง่ายเกินไป เอเมน ดังๆ หน่อย เอเมนเลย

 

          นี่คือสิ่งที่ย้ำยืนยันว่าการเป็นผู้ชอบธรรม ไม่ได้มาจากการกระทำของเราเอง ทำดีมามากขนาดไหน?  ก็เป็นผู้ชอบธรรมไม่ได้ ถูกหรือไม่ถูก? และเคยทำชั่วมาขนาดไหน? แต่ถ้าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในพระนามพระเยซูแล้ว ก็นับว่าเป็นผู้ชอบธรรมตลอดกาล ไม่เอเมนอีก? เอเมน ยังงงอยู่ มันงงนะ

 

แต่ในขณะเดียวกัน   เปาโลก็อยากหรือต้องการ   ที่จะทำไม?     สอนให้คริสเตียนในโครินธ์เหล่านี้ ได้ดำเนินชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ซึ่งวิธีการสอนของเปาโล ก็ไม่ใช่บอกว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้  ห้ามทำอย่างนั้น  ห้ามทำอย่างนี้ ไม่ใช่ แต่เปาโลเลือกที่จะสอนให้พวกเขารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาว่าเขาเป็นใคร? มีคุณค่าขนาดไหน สำหรับพระเจ้า? เขาเป็นใคร?  เห็นหรือยัง?  เราจึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ตัวตนเราเป็นใคร จริงๆ เป็นอย่างไร?  และเปาโลรู้ว่าเมื่อเขาได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาเองแล้ว เขาก็จะประพฤติตัวที่ถูกต้องเหมาะสมเอง ตามธรรมชาติ มันจะเกิดขึ้นเอง คือธรรมชาติลักษณะของคนที่เกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว มันจะเป็นอย่างนี้ เอเมน

เพราะยุคนี้ หมายถึงยุคพระเยซู ยุคที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้เรียบร้อยแล้ว มันไม่เหมือนยุคก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด มันไม่ใช่เป็นการบังคับที่ใช้กฎระเบียบ ใช้โทษแห่งความตาย  โทษ ใช้ความตายเป็นโทษ ใช้คำสาปแช่ง ต้องทำตามกฎ ถ้าไม่ทำจะถูกลงโทษ เขาเรียกตาต่อตา ฟันต่อฟัน นั่นคือยุคพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาไถ่ มันหมดยุดแบบนั้นเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ยุคพระเยซูนี้ เป็นยุคที่เรียกว่ายุคพระคุณแล้ว

ยุคพระคุณ ก็คือด้วยความรัก ความเข้าใจ และการอภัย ดังๆ เลย เอเมน อย่างนี้ต้องปรบมือแล้ว เพราะเราอยู่ในยุคนี้ โมเสสเอ่ย อาโรนเอ่ย กษัตริย์ดาวิด เขาอยากจะเห็นยุคนี้ อยากจะมาอยู่ในยุคนี้ แต่เขามาไม่ได้ เขาถูกเกิดขึ้นในยุคนั้น เขาอิจฉาเราจะตาย แต่เราดันไปอิจฉาเขา มีพลับพลา … พลับพลาอยู่ในใจเราแล้วตอนนี้ เปาโลจึงพยายามสอนผู้เชื่อชาวโครินธ์เหล่านั้น เป็นตัวอย่างให้เราได้เห็นด้วย  ให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เพื่อจะได้ไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอบายมุก ความชั่วร้ายต่างๆ เหล่านั้น ไม่ทำตัวเหมือนกับก่อนที่จะมาเชื่อพระเยซู ไม่กลับไปสกปรกเหล่านั้นอีกแล้ว ให้มันเป็นธรรมชาติ แทนที่จะใช้วิธีสั่ง ห้าม ว่าเป็นคริสเตียนแล้วนะ ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ แต่ไม่หรอก แต่สอนโดยวิธีให้เขารู้จักตัวตน ด้วยการบอกว่า.-

“ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สถิตภายในท่าน”

เห็นไหม? แทนที่จะมาสอนอย่าอย่างนั้น อย่าอย่างนี้  บอกท่านเป็นใคร? ตอนนี้ใครอยู่ในตัวท่าน ตรงนี้ คือสิ่งที่เปาโลต้องการที่จะให้คริสเตียนได้รู้ ถ้ารู้ตรงนี้แล้ว ธรรมชาติที่ดีๆ งามๆ มันจะโผล่ออกมาเอง

ตัวท่านเองเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งตอนนี้พระเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว ชาวโครินธ์ที่กำลังทำอะไรไม่ดีเหล่านั้น พระเจ้าสถิตอยู่กับเขาหรือยัง? สถิตแล้ว เขารับเชื่อแล้ว ไปไหนมาไหนกับเขาตลอดเวลา? ไปแล้ว และเมื่อท่านได้รู้อย่างนี้แล้ว พี่น้องเอ่ย ท่านควรจะประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไร? เพื่อให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า นี่เปาโลจะสอนอย่างนี้ ดีกว่าไหม? ดีกว่า เพราะถ้าสอนอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ สอนวิธีเก่า มันเป็นวิธียุคโบราณ ยุคก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด มนุษย์ก็จะสอนอย่างนี้ แล้วมนุษย์ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ ทำไม่ได้ ก็โดนลงโทษ โดนลงโทษยิ่งหงุดหงิด ยิ่งไปไม่ได้ ยิ่งหลุดไปใหญ่เลย หาที่ไปไม่เจอ นี่คือเราเห็นภาพชัดเจน 1 โครินธ์ 6:19-20 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด”

 

          นี่คือวิธีการสอนของพระเจ้า ผ่านทางเปาโล ผ่านทางเปโตร ผ่านทางผู้รับใช้พระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ทั้งเล่ม สอนผู้เชื่ออย่างนี้  เพราะฉะนั้น หลายแห่ง หรือหลายครั้ง เราก็สอนผู้เชื่อแบบที่เราต้องการ เราคิดว่าก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะชีวิตเก่าๆ เราก็เป็นอย่างนั้น ความคิดเก่าๆ เราก็เป็นอย่างนั้น กว่าจะรับพระคุณพระเจ้าทีหนึ่ง มันยากเย็นเข็ญใจ พอรับได้ ก็รับไม่ครบ เขาเรียกว่าไม่ Full Gospel ไม่ได้รับข่าวดี 100% รับข่าวดีมา 20% บ้าง 30% บ้าง แต่นี่มันข่าวดี 100% มันต้องเป็นอย่างนี้ เอเมน มันจะได้แตกต่างกับชีวิตเดิมๆ มันจะได้แตกต่างกับที่ชาวโลกเขาสอนกัน มันจะได้แตกต่างกับทั้งระบบของโลกนี้ไง มันพิเศษกว่าเขาไง เพราะอะไร?  เพราะเป็นพระเจ้า  ทำงานในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ไถ่ หนึ่งเดียวเท่านั้น ที่ทำอย่างนี้ได้ เอเมน เพราะพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ใช่มนุษย์มาสอนกันเอง ไม่ใช่มนุษย์มาไถ่กันเอง ไม่ใช่ นี่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว ไม่มีที่ไหนเป็นข่าวดีอย่างนี้ ไม่มีที่ไหนเหมือนอย่างนี้  ไม่มีที่ไหนคล้ายๆ อย่างนี้ เอเมน

 

เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้ตัวตนของเราแล้ว เปาโลบอกว่าอย่างไร?

“จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด”

ให้รู้ว่าตัวตนของท่านเป็นใคร? ก็คือให้รู้ว่าร่างกายของเรา เป็นที่ประทับของพระเจ้า เราไม่ใช่เจ้าของร่างกายนี้อีกแล้วนะ เมื่อก่อน คือก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า เราอาจจะคิดว่าร่างกายนี้ เป็นของเราเอง

“เราจะทำอย่างไรกับร่างกายของเรา กับชีวิตของเราก็ได้ เรื่องของฉัน จะทำตัวเหลวไหลอย่างไรก็ได้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของฉัน จะกินอะไรเข้าไป ก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของฉัน จะนอนดึกดื่นอย่างไร ก็เรื่องของฉัน อดหลับอดนอน ก็เป็นเรื่องของฉัน ทำอะไรก็ได้ ที่ฉันอยากทำ”

เคยได้ยินใช่ไหม?  เคยได้ยินหรือเปล่า? ถึงได้ยิน ทำหรือเปล่า? ทำ แล้วแต่ว่าจะทำมากทำน้อย ทำหรือเปล่าถามจริง? ทำ และทุกวันนี้ทำไหม? นิดหน่อย นอนลง แต่พี่น้อง เมื่อท่านรู้ว่าท่านเป็นใคร? วันนี้เราถึงมาเรียนเรื่องนี้กันหลายตอนๆ เป็นซีรี่ส์เยอะแยะเลย ว่าตัวตนของท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านจะได้ลดการกระทำเหล่านั้นน้อยลงไง ท่านจะได้ไม่ทำตามใจตัวเอง ท่านจะได้ทำตามพระทัยพระเจ้ามากขึ้น เมื่อท่านมาเชื่อพระเจ้าแล้วนะครับ

เมื่อท่านมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ตอนนี้ร่างกายของท่านเป็นพระวิหาร หรือวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็คือของพระเจ้านั่นเอง ท่านไปไหน? พระวิญญาณบริสุทธิ์ไปด้วย ตาของท่านดูอะไร? พระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระเยซู พระเจ้า พระวิญญาณ 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียวกัน ดูด้วย มือของท่านทำอะไร พระเจ้าทำด้วย ถูกหรือไม่ถูก? ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเองอีกต่อไปแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด ถ้าท่านได้ยิน ได้ฟังอย่างนี้บ่อยๆ เชื่ออย่างสนิทใจ ท่านจะลดสิ่งเหล่านั้น ที่จะทำตามใจตัวเองที่เหลวแหลกอยู่หรือไหม? ท่านลองกลับไปคิดดู

เปาโลคงอยากจะบอกชาวโครินธ์อย่างนี้นะครับ

“ชาวโครินธ์ ท่านไม่ใช่ทาร์ซานอีกต่อไปแล้วนะ อย่าทำตัวเป็นลิงอีกนะ จะทานข้าว ก็จงใช้บันไดเดินลงมา อย่าปีนทางหน้าต่าง เดินลงมาดี ก็ได้ ท่านรู้แล้วใช่ไหม ทาร์ซาน? ท่านเป็นลูกของเจ้าของบ้านหลังนี้ เป็นมหาเศรษฐีนะ ลูกของมหาเศรษฐี แต่งตัวให้มันดีหน่อย อย่าแก้ผ้าลงมา” ถูกหรือไม่ถูก?

“จะไปไหนมาไหน ก็ให้มันเรียบร้อย ไม่ใช่แก้ผ้าเดินโทงๆ มันอายเขา” ถูกหรือไม่ถูก?

“เวลากิน ก็ให้ใช้ช้อน ใช้อะไรเครื่องมือ ไม่ใช่เอามือหยิบกิน เหมือนเป็นลิง” ถูกหรือไม่ถูก?

ท่านลองนึกภาพสิ ผมนึกถึงทาร์ซาน แล้วมันใช่มากเลย ใช่นี่มันเหมือนพวกเรา … เรา หมายถึงรวมตัวผมด้วยนะ เราเหมือนทาร์ซานจริงๆ เลย  เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว หลายครั้งแล้ว ยังหนีเข้าป่า หนีออกไปอยู่ในนรก หนีออกไปอยู่ในความพินาศ ไปทำอะไรน่าเกลียดๆ แล้วอายเขาไหม?

คือเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เราก็ต้องรู้ตัวตนของเราเองก่อนว่าเราเป็นใคร? มาจากไหน? เราเป็นใคร? เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่ประทับของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่เดินไปกับเราทุกหนทุกแห่ง และการรู้ตัวตนของเรา จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิต ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้  เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้ เหมือนตะกี้นี้ เรื่องทาร์ซาน พ่อแม่ทาร์ซานไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องลงโทษทาร์ซาน ลงโทษ ก็จะยิ่งหนีเข้าป่าไปหาลิงเหมือนเดิม ยิ่งลงโทษเท่าไร ยิ่งหนีไปเท่านั้น พ่อแม่ก็ต้องทำอะไร? ก็ต้องรัก อภัยให้ทาร์ซานตลอดเวลา แล้วทำไม? ไม่ใช่แค่นั้น พูดอยู่เรื่อยๆ ว่า.-

“ทาร์ซานเอ่ย แกเป็นใคร? เธอเป็นลูกฉัน เธอเป็นอย่างนี้”

สมมตินะว่าตอนนั้นมีทีวี คงให้ทาร์ซานดูทีวี วีดีโอ

“เนี้ย มนุษย์เขาทำกันอย่างนี้ ต้นตระกูลเรามาอย่างนี้  ตอนคลอดเป็นอย่างนี้ เอารูปตอนคลอดให้ดู … ดูสิ ที่โรงพยาบาล ตอนแม่คลอดแก … แกอยู่ในนี้”

บ่อยๆ ดูบ่อยๆ ทาร์ซานก็เริ่มเข้าใจว่าตัวเองเป็นใคร? ก็จะไม่แก้ผ้าลงมา จะไม่ทำอะไรน่าเกลียดๆ จะได้ไม่วิ่งกลับเข้าสู่ป่า ไปหาลิงเหมือนเดิม

มันเหมือนกันอย่างนี้เลย แล้วต้องฟังบ่อยๆ ดูบ่อยๆ ถ้อยคำพระเจ้ามีประโยชน์ในชีวิตเรา ก็อย่างนี้แหละ ทำไมเราต้องมาโบสถ์ ก็เพราะอย่างนี้แหละ การมาโบสถ์ไม่ใช่พิธีกรรมว่าต้องถูกพระเจ้าสั่งให้มา ไม่ใช่ การมาโบสถ์ ก็คือท่านมา เพื่อจะได้รู้ว่าตัวตนของท่านเป็นใคร? ทุกครั้งที่มีการบรรยาย ก็คือบรรยายว่าตัวตนของท่านเป็นใคร? บรรยายที่ถูกต้อง ตามหลักพระคัมภีร์จริงๆ มันต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่บรรยายไป ยิ่งไปกันใหญ่เลย  คนมาเชื่อเลยเข้ารกเข้าพง กลายเป็นลิงไปด้วยเหมือนกัน อย่างนี้เข้าใจไหม?

โรม 12:1-2  “1 เหตุฉะนั้น  พี่น้องทั้งหลาย  เมื่อพิจารณาถึงพระคุณ  ความเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลาย ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง 2 อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่าสิ่งใดคือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัย และสมบูรณ์พร้อมของพระองค์”

 

“อย่าดำเนินชีวิตให้เป็นเหมือนสัตว์ป่า ที่เจ้าเคยอยู่มาตลอด ข้างนอก นอกคฤหาสน์ มันก็คือป่า เจ้าไม่ได้เป็นของบริเวณนั้นอีกต่อไป ตระกูลเจ้าไม่ได้อยู่ในป่า นี่คือตระกูลเจ้าที่อยู่ในคฤหาสน์นี้นะ”

พูดให้เขาฟังบ่อยๆ เพราะฉะนั้น จงเปลี่ยนแปลงความคิดนะทาร์ซาน … ทาร์ซานเปลี่ยนแปลงความคิดซะนะ ทาร์ซานเปลี่ยนแปลงจิตใจสะใหม่นะ อย่าไปดำเนินชีวิตเหมือนลิง เหมือนค่าง เหมือนสัตว์ป่าในนั้นอีกต่อไปนะ มาดำเนินชีวิตเหมือนคนที่อยู่ในนี้ และเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีด้วย เป็นถึงมหาเศรษฐี เจ้าของคฤหาสน์ เรียนรู้ถึงการดำเนินชีวิตแบบมีศักดิ์ศรี คนเขาดำเนินชีวิตอย่างไร เป็นผู้ดี เขาทำกันอย่างนี้ เป็นอย่างไง? เข้าใจใช่ไหมครับ?

เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ตรงนี้ ข้อพระคัมภีร์ตรงนี้ เน้นมากเลย เพื่อเห็นแก่พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า

พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า คืออะไร? คือที่ได้ถวายพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ที่ได้มอบพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อไถ่บาปให้กับเรา ยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นหนอนเล็กๆ แย่กว่าหนอนอีก คือสูงกลับมาที่ต่ำมาก เละเทะมากมาย เพื่อมารับเอาความบาปสกปรกของมนุษยชาติทั้งหมด ไปไว้ที่ตัวของพระองค์ที่ไม้กางเขน เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้พ้นจากบาป กลับสู่พระเจ้าได้ มันเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มากๆ เลย พระคัมภีร์จะพูดตรงนี้เยอะเลย ถามว่าเยอะ เพื่อจะทวงบุญคุณเหรอ? ไม่ใช่ เยอะ เพื่อจะให้เราเห็นบุญคุณของพระเจ้า พระคุณของพระเจ้ายิ่งใหญ่เหล่านี้ แล้วทำไม? ถวายตัวเราเองแด่พระเจ้า คือการถวายตัวเราเองแด่พระเจ้า เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ไม่ใช่ให้เราถวายตัวของเราแด่พระเจ้า เพราะกลัวว่าเราจะตกนรก เพื่อกลัวว่าเราจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ แต่ให้เราถวายตัวแด่พระเจ้า เพื่อเป็นการระลึก ทดแทนความรักของพระเจ้า … พระเจ้าทำให้เรามากขนาดไหน? เราทำไม่ลงหรอก เราทำไม่ได้ พระเจ้ารักเราขนาดไหน? เป็นอย่างนี้

นี่คือพระคุณ ไม่ใช่การลงโทษ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน และนี่คือวิธีการที่เปาโลสอนแนวทาง ในการดำเนินชีวิต ให้แก่ผู้ที่เชื่อในเมืองโครินธ์ รวมทั้งผู้เชื่อทั้งหมดด้วย ก็คือมาจากพระเจ้านั่นเอง คืออะไร? คือให้สำนึกในตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง อยู่ตลอดเวลาว่าตัวเราเองจริงๆ เราเป็นใครในพระคริสต์ เรามาเชื่อแล้ว เชื่อพระเยซูแล้ว เราเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว เราเป็นใคร? เราไม่ใช่เจ้าของตัวเราเองอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นพระวิหารของพระเจ้า … พระเจ้าสถิตอยู่ในตัวเรา พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเราถูกซื้อมาด้วยราคาแพง … แพงมาเลย แพงขนาดไหน? ราคาที่จ่ายไป คือชีวิตของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลาย เราเป็นที่ประทับของพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ในตัวเรา … เราเป็นอภิสุทธิสถาน ที่เดินไปไหนมาไหน อภิสุทธิสถานอยู่ในตัวเรานี่แหละ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************