คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2017 เรื่อง “สวัสดีวันเด็ก ปี 2017” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่  15  มกราคม  2017

เรื่อง “สวัสดีวันเด็ก ปี 2017”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ถ้าจะให้เข้าบรรยากาศต้องพูดว่าอย่างไร? ใครรู้บ้าง?  ต้องบอกว่า “สวัสดีวันเด็ก” ใช่ไหม? แต่มองไป ต้องบอกว่า “สวัสดีคนเคยเด็ก” เพราะส่วนใหญ่เป็นคนเคยเด็กทั้งนั้น เด็กมีไม่กี่คน แต่ว่าพวกเรา ถึงแม้ว่าจะเลยวันเด็กมานานแล้วแต่ บางคนก็บอกว่าเลยวันเด็กมานาน บางคนในที่นี่บอกว่าเลยวัยเด็กมานานนนนนน มากเลย แต่ส่วนใหญ่ก็จะใช้ชีวิตร่วมกับเด็ก บางคนเป็นพ่อแม่ บางคนเป็นปู่ย่า ตายาย ทวด ลุงป้า น้าอาเยอะแยะไปหมดแล้ว มีลูกมีหลาน ต้องอยู่ร่วมกับเด็ก มีใครบ้างที่ไม่มีประติสัมพันธ์ ไม่มีร่วมกับเด็กเลย มีไหม? ไม่มีเนอะ อย่างน้อยก็เป็นอาเป็นน้า

มีไหมสมัยนี้มองดูเด็กๆ แล้วก็บ่น หรือตั้งคำถามว่าอย่างนี้ว่า …

“เด็กสมัยนี้ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ”

หรือไม่ก็ “สมัยเราเด็กๆ ไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย เราตอนเด็กๆ ไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย”

แล้วส่วนเด็กๆ พอผู้ใหญ่บ่น เด็กๆ ก็จะบอกว่า “ผู้ใหญ่นะเอ้าท์ ไม่มีเทรนเลย”

รู้จักไหมเอ้าท์ แปลว่าอะไร? ไม่มีเทรนเลย อะไรก็แล้วแต่ ผมก็ไม่รู้ประมาณนี้ คือพูดง่ายๆ เชย ไม่มีเหตุผล นั่นแหละ แต่เขามีคำศัพท์ของเขา เขาหันตาดูกัน แล้วเขาพูดกันบางอย่าง ผมไม่รู้หรอก แปลว่าอะไร? แต่รู้ว่า “คุณนะเชย” ระวังนะ ใครมีลูก มีหลาน ก็คอยสังเกต ถ้าเขาหันไปซุบซิบ นั่นแหละ แสดงว่าเขากำลังนินทาคุณ

อย่างสมัยก่อน เวลาพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่พูดคำเดียวว่า “ไม่” ทุกคนหยุดหมดเลย ไม่มีใครกล้าเถียง ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง บางครั้ง ก็ไม่พูดด้วยซ้ำ แค่มองตา ชำเรืองนิดหนึ่ง หยุดทันที นั่นมันสมัยโน้นนะครับ แต่เด็กสมัยนี้เป็นไง? ถ้าบอกว่า “ไม่ อย่าทำ” ถึงให้มองตาถลนเลย ก็ยังทำอยู่ ก็จะสวนกลับทันทีเลย พอบอกว่า “อย่า”  เขาจะสวนกลับทันทีเลย “ทำไมๆ?” ไม่ใช่ว่าเขาดื้อนะ  ทำไม จะให้เขาหยุดทำไม? อธิบายให้เขาฟังสิ มีเหตุผลอะไร? นี่เด็กปัจจุบัน  หยุด ก็จะหยุด ไม่ใช่ เดี๋ยวก่อน ฟังก่อน  แม่ไม่มีเหตุผลเลย อธิบายก่อนสิ มันคืออะไร? ถ้าสมัยก่อนมีเหรอ โต๋เต๋มีเหรอ ทำไม โดนดิ แต่ตอนนี้ต่อให้มองตาถลน ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

นี่คือปัญหาช่วงวัยของคน Generation gap ที่ทำให้คนในครอบครัว ในสังคมที่มีมุมมองความคิด ความเข้าใจ พื้นฐานการตัดสินใจที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ไม่รัก ไม่ใช่ไม่ชอบ ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันไม่เข้าใจกันนั่นเอง ฟังอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร? แต่จริงๆ แล้ว นี่คือปัญหาใหญ่ของครอบครัวและสังคมในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคมคนไทย คนแถบเอเชีย ยิ่งเยอะใหญ่ เพราะคนไทยและคนเอเซียส่วนใหญ่จะอยู่ร่วมกัน แบบครอบครัวใหญ่ๆ มีสมาชิกหลายๆ รุ่นอยู่ร่วมกัน และในสังคมไทยและในสังคมเอเซียก็ยังยึดติดอยู่กับระบบอาวุโส ชนชั้น ค่อนข้างมาก นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน วันเด็กต้องมาคุยเรื่องนี้ เพราะเราต้องอยู่กับเด็กตลอดไป แล้วเราต้องพึ่งเขาในอนาคตด้วย ไม่ใช่พึ่งเขาในอนาคต ตอนนี้ก็พึ่งอยู่แล้วล่ะ

ดังนั้น หากทุกฝ่ายสามารถทำความเข้าใจกันได้ ไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม มันก็ทำให้เกิด เขาเรียกว่า Gap ช่วงวัยที่ต่างกัน มันไม่มีปัญหา มันยังคุยกับพอสื่อกันรู้เรื่อง ถูกหล่อหลอมมาอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ให้มีพฤติกรรมบ่งบอกถึงความจริงใจซึ่งกันและกัน ตรงนี้เขาหมายความว่าอย่างไร? ไม่ตีความหมายผิดว่าอย่างนี้เรียกว่าดื้อ อย่างนี้เรียกว่าแม่ไม่รัก อย่างนี้เรียกว่าพ่อไม่รัก ตีความหมายผิดหมดเลย อย่างนี้มันก็จะเกิดปัญหา ทำให้สังคมไม่สามารถอยู่ด้วยกัน เป็นครอบครัวใหญ่ๆ

ถามว่า “สังคม” คืออะไร? สังคมเราทุกวันนี้ ก็คือครอบครัว ครอบครัวหนึ่ง ท่านสังเกตสิครับ ครอบครัวเรา ก็คือสังคมหนึ่ง สถาบันครอบครัวเล็กๆ บ้านเรา ก็คือครอบครัว ออกไป มาโบสถ์ ก็คือครอบครัว อยู่ในประเทศไทย ประเทศไทยทั้งหมด ก็คือครอบครัว ไปข้างนอกโลกทั้งหมด ก็คือครอบครัว … ครอบครัวคืออะไร? คือครอบด้วยครัว ก็คือครอบด้วยผู้คนมากมาย  มีปฏิสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์ มีความติดต่อกัน แล้วถ้ามันไม่เข้าใจกัน มันเกิดอะไร? มันเกิดปัญหา มันไม่มีความสุข วันนี้จึงเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง สนุกมากเลยนะ

… มีอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้อธิบายไว้ถึงลักษณะของสังคมปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร? ทั้งโลกเป็นอย่างนี้หมดว่าแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม เรียกว่า 4 Generation จำได้ไหม Generation ที่ผมบรรยายเรื่องพระเจ้าว่าในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองอยู่ อาณาจักรของพระองค์อยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์ คำว่า “ทุกชั่วชาติพันธุ์” คือ Generation to Generation จาก Generation ไปสู่ Generation หนึ่ง คืออยู่ตลอดเลย พระเจ้าครอบครองและควบคุมบังคับทุกอย่างอยู่ทั้งหมดนี้

คำว่า Generation ไปสู่ Generation  น่าจะแปลว่าวัยหรือยุค หรือชั่วอายุก็ได้  พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ชั่วอายุ”

พระเจ้า อาณาจักรของพระองค์ทรงอยู่เหนือ จากชั่วอายุหนึ่งไปยังชั่วอายุหนึ่งตลอดจนนิรันดร์

ชั่วอายุหนึ่ง คืออะไร? เรามาดูนะครับว่าอาจารย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่าอย่างไร? แบ่งไว้อย่างไร? มีอยู่ 4 Generation คือ 4 ยุคในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 4 ยุค

กลุ่มที่ 1 หรือยุคที่ 1 หรือเรียกว่า Generation ที่ 1 เป็นกลุ่มที่เป็นผู้อาวุโสในยุคปัจจุบัน เป็นอาวุโสในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เป็นคนนแก่ในยุคปัจจุบันนะ ฟังให้ดีๆ เป็นอาวุโสในยุคปัจจุบัน คือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2489 – ช่วงอายุที่เกิดในปี พ.ศ.2507 คืออายุประมาณ 71 – 53 ปี บางคนก็ถามว่าถ้าเกิน 71 ขึ้นไปล่ะ ก่อน 2489 เรียกว่าซุปเปอร์อาวุโส อันนั้นเขาไม่นับแล้ว เหลือน้อย ไม่ใช่เวลาเหลือน้อยนะ แต่คนอยู่อย่างนี้ น้อย เขาเลยไม่นับ

เขาเรียกกลุ่มนี้ว่า “กลุ่มยุคสงครามโลกครั้งที่ 2” กลุ่มอาวุโส ซึ่งประเทศต่างๆ เร่งผลิตประชากรมาช่วยพัฒนาประเทศที่กำลังบอบช้ำจากสงคราม พูดง่ายๆ คือสงครามเกิด ผู้ชายตายไปเยอะ คนตายไปเยอะแยะมากมาย แล้วก็ต้องการคนงานเยอะแยะมาช่วยกันฟื้นฟูประเทศ ก็เลยเชียร์กันให้มีลูกเยอะๆ เขาเรียกกันว่ายุคลูกดก ภาษาอังกฤษจะชัดมาก เขาเรียกว่ายุค “Baby Boomer (ยุคลูกดก)” คือยุคที่ยุให้มีลูกเยอะๆ หรือภาษาในปัจจุบันเรียกยุคนี้ว่า Gen B

คนที่อายุ 53 ขึ้นไป เรียกว่ายุค Gen B ซึ่งคนในยุคนนี้จะได้เห็นความลำบากลำบนของพ่อแม่ เพราะเกิดสงคราม เห็นความแร้นแค้นของพ่อแม่ จึงทำให้เกิดความอดทนสูง สู้งาน ใช้ชีวิตเรียบง่าย  เป็นคนที่เก็บออม มากกว่าการใช้สอย ถูกหรือไม่ถูก? ถูก ถูกมาก แล้วเก็บไว้ให้ใคร?

และเนื่องจากในยุคนั้น ใน Gen B ยังไม่เทคโนโลยีทันสมัย เหมือนปัจจุบัน ความรู้ต่างๆ จึงตกอยู่กับชนชั้นผู้นำ หรือชั้นปกครอง ที่เรียนมาเยอะๆ เรียนจากเมืองนอกบ้าง อะไรบ้าง? จึงทำให้คนในยุค Gen B ยังยึดถือในระบบชนชั้น รับฟังคำสั่งจากผู้นำ หรือหัวหน้างานที่มีความรู้มากกว่าตัวเอง  เป็นอย่างนั้นจริงๆ

กลุ่มที่ 2 เรียกว่า Generation X หรือ Gen-X  ซึ่งเป็นคนวัยทำงานในปัจจุบันเกิด พ.ศ.2508 -2522 คืออายุประมาณ 52 – 38 ปี กลุ่มนี้เรียกว่า Gen-X เป็นผลจากการผลิตประชากรล้นในยุคก่อนหน้า เสียใจหรือดีใจไหมรู้ เป็นผลจากการผลิตประชากรจนล้นในยุคก่อน จึงมาเริ่มคุมกำเนิดในยุคนี้ ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีเริ่มทันสมัย และแพร่หลายมากขึ้น ทำให้คนกลุ่มนี้ เริ่มมีความอดทนน้อยลง และมักจะตั้งคำถามว่า …

“ทำไม ชีวิตต้องทน”

ในเมื่อมีโอกาส และตัวเลือกมากขึ้น ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้นนั่นเอง เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะในบ้านมีลูกน้อยกว่าแต่ก่อนนี้ มี 2 คน แต่ก่อนนี้มีตั้งนานคน Gen ก่อนหน้านี้ คนในยุคคนนี้ยังทำงานด้วยตัวเอง ยึดระบบชนชั้นเหมือนกัน แต่น้อยลงแล้ว เก็บออมและใช้เท่าที่มี เลือกทำงานที่ชอบ รักอิสระ และเริ่มมีความคิดสร้างสรรแบบออกนอกกรอบ ถูกหรือไม่ถูก?

กลุ่มที่ 3 Generation Y หรือ Gen-Y  เป็นวัยนักศึกษาจนถึงเริ่มทำงาน ในยุคปัจจุบันนี้ เกิดพ.ศ.2523 – 2540 อายุ 37 – 20 ปี Gen-Y คนกลุ่มนี้เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยและแพร่หลายแล้ว ทำให้มีความอดทนน้อยลงไปอีกกว่า Gen-X สมาธิสั้น มักเปลี่ยนงานบ่อย คน Generation จะไม่ชอบเรื่องชนชั้นแล้วคราวนี้ ทั้งในเรื่องการทำงาน และการใช้ชีวิต เด็กยุคนี้ชอบการทำงานที่เป็นทีมเวิร์ค ทำงานร่วมกันมากกว่าการฟังคำสั่งจากหัวหน้างานคนเดียวหรือฟังจากผู้นำอย่างเดียว และไม่ชอบการบังคับขู่เข็ญจากพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ เข้าใจไหม? นี่พูดแทนวันเด็กนะ วันนี้วันเด็ก พูดให้เขาหน่อย  เด็กที่อายุโตแล้ว ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปจนถึงอายุ 37 เขาบอกว่า …

“เขาไม่ชอบการบังคับขู่เข็ญจากพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่” เข้าใจไหม?

กลุ่มที่ 4 Generation Z หรือ Gen-Z เกิดหลัง พ.ศ.2540 จนกระทั่งหนึ่งวัน เมื่อวานนี้ อายุตั้งแต่ 19 ปีลงมา เขาเรียกว่า Gen-Z ในบ้านเรามีเยอะนะ เป็นกลุ่มวัยตั้งแต่แรกเกิดถึงมัธยมศึกษา คนกลุ่มนี้ เกิดมาด้วยการเลี้ยงดูที่เพียบพร้อม รายรอบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และแพร่หลาย เพียงกระดิกนิ้ว ก็ได้สิ่งของที่ต้องการ ทำให้คนกลุ่มนี้ มักทำในสิ่งที่ชอบ รักความสะดวกสบาย ไม่ชอบพิธีการ

“ฉันชอบโบสถ์ แต่ฉันไม่ชอบพิธีการ อาจารย์อย่ามากเกิน”

และรุ่นนี้ Gen-Z เขาสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน เราบอกอ่านหนังสือ แล้วยังฟังเพลงอีก  แล้วยังแถมเล่นเกมส์ไปด้วยในตัวพร้อมกัน แล้วจะไปรู้เรื่องได้อย่างไร?  สมัยพ่อไม่เป็นอย่างนี้เลย เดี๋ยวนี้เขาเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น  เพื่อนทำ 5 อย่างเลย ล้างชามไปด้วย ล้างชาม เล่นไลน์ โอ๊ย! ทุกอย่างเลย ดูแลไปในตัว ทำได้ แต่เราสมัยก่อน ไม่ได้ นี่คือความสามารถผิดกัน

กลับมาที่คำถามว่า … “วัยรุ่นสมัยนี้ ทำไมไม่เชื่อฟังพ่อแม่” …

ก็เพราะคนยุคนนี้ ไม่ชอบเรื่องชนชั้นไง เพราะฉะนั้น หากพ่อแม่ หรือผู้ปกครองปรับวิธีการเลี้ยงดูให้เด็กรู้สึกว่าเหมือนเป็นเพื่อน มากกว่าความเป็นพ่อแม่ เด็กก็จะค่อยๆ เปิดใจเข้าหา จะเห็นว่าหากบ้านใดที่ผู้ใหญ่ฟังเด็กมากๆ บ้านนั้น เด็กก็จะรักผู้ใหญ่มาก ใช่ไหม? เราต้องเข้าไปเป็นเพื่อนเขา ไม่ใช่เข้าไปเหมือนแต่ก่อนนี้แล้ว มันคนละยุคแล้ว ผู้ใหญ่บางคนมักคิดว่าตัวเองอาบน้ำร้อนมาก่อน พยายามยัดเยียดความเป็นตัวเองให้กับเด็ก แต่ปัจจุบัน สภาพการมันไม่ได้เป็นไปตามนั้นแล้ว มันเปลี่ยนไปแล้ว หากยังฝืนยึดความเห็นตัวเองเป็นใหญ่ แล้วก็ยัดเหยียดอย่างนั้นให้เด็ก ผู้ใหญ่อาจกลายเป็นเพียงสิ่งแวดล้อมของเด็ก  และเขาจะหันไปสนใจสมาท์โฟน คอมพิวเตอร์ อะไรแล้วแต่เยอะแยะไปหมด เขาไม่สนใจคุณ เขาก็คิดคุณเหมือนสภาพแวดล้อม เหมือนต้นไม้ มันจะเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ไม่รัก ความเป็น Gep คือสื่อสารกันไม่เข้าใจ

นี่คือวันเด็กนะ จึงเอามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเราจะได้ปรับตัวให้เข้ากับเขา จะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

และคำถามที่ว่า … “ทำไมเด็กสมัยนี้ ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบทำอะไรหลายๆ อย่าง บางครั้ง อ่านหนังสือไปด้วย  ฟังเพลงไปด้วย  ทำอะไรไปด้วย”

อาจารย์ท่านนี้บอกว่าตรงนี้ก็เป็นเพราะความสามารถของคนยุคนี้ ความสามารถมันพัฒนาขึ้น มีความสามารถทำอะไร? หลายๆ อย่างเวลาเดียวกัน คือพัฒนาขึ้น แต่ละยุคพัฒนาขึ้น เขาสามารถทำได้ ยิ่งเป็นสิ่งที่เขารักด้วย เขายิ่งทำให้มากหลายอย่าง และแม้จะทำหลายอย่าง ผลงานก็ออกมาดี ซึ่งผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ผู้ใหญ่ควรจะเข้าใจสิ่งนี้ เขาทำได้หลายอย่าง

คิดดูนะ บางทีผมก็งงเหมือนกันนะ “โต๋จะเป็นนักเล่นเปียโน ดูแลนิ้ว สมัยพ่อนะ เล่นเปียโน แล้วทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ต้องไปฝากธนาคารไว้ แล้วก็ประกันภัยชีวิตของนิ้ว นิ้วหักไม่ได้ ไปไหนต้องระวัง”

นี่มีที่ไหน? เล่นเปียโน ไปเล่นบาส … บาสกับเปียโนสมัยก่อน มันไม่ได้กันเลยนะ ห้ามเด็ดขาด เป็นสิ่งที่ห้ามเด็ดขาด เป็นเรื่องจริง อะไรที่เกี่ยวกับนิ้ว นิดหนึ่งก็ไม่ได้ แต่กันนี้ไปเล่นบาส แตะลูกบอล แค่นั้นไม่พอ วันดีคืนดีเตะบอลอีก เตะบอล อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นเยอะ

“โธ่ พ่อ โต๋เตะแบบพอมันส์”

พอมันส์ เตะอย่างไง ลูกบอลจะสั่งมันได้เหรอ เตะกับกลุ่มคนที่ไม่รุนแรง อะไรประมาณนั้น เขาดูแลตัวเองได้  แค่นั้นไม่พอ ไปฟิตเนตอีกต่างหาก จะเอาเวลาที่ไหนไป ยกเวต แค่นั้นยังไม่พอ จำไม่ได้ เยอะเหลือเกิน ผมจำไม่ได้ แต่เขาทำได้ แต่เป็นนักเล่นเปียโน

ทุกคนมาถาม ลูกเล่นเปียโน เก่งจังเลย ไม่กล้าพูดกับเขา ไม่ได้ซ้อมเลยครับ นี่เรื่องจริง แต่เขาทำได้ เขาไม่เหมือนคนในยุคก่อน ไม่ใช่เขาเก่งหรือไม่เก่ง เขาเป็นคนในยุคนี้ ไม่ใช่ยุคผม ยุคผมวันทั้งวันเล่นแต่กีต้าร์ เล่นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะต้องซ้อมแต่กีต้าร์ เพราะยุคผมได้แค่นั้น ตอนนี้เลยมา 2 ยุคแล้ว มาถึงยุคเขา เขาทำได้หลายๆ อย่าง ไม่ใช่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง แต่เพราะเป็นคนในยุคนี้ เราต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ผมก็ต้องบอกว่า …

“ไม่ได้ อยากจะเล่นดนตรี ก็ต้องเล่น เปียโนต้องดูแลให้ดีๆ อย่าไปทำอย่างอื่น”

เขาก็อึดอัดๆ ไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว เขาทำได้ ต้องไว้ใจเขา แรกๆ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ทุกวัน ต้องบ่นกันทุกวัน

“เล่นเปียโนต้องระวังนิ้ว”

เขาก็ไปเล่น ดึกดื่นไปเตะบอล คิดดูสิ เขาไปเตะบอลที่สนามบอล ตอนไหน? สมัยก่อน เราก็เตะตอนตี 5 … 6 โมงเช้า 8 โมง นี่เขาไปเตะตอนไหนรู้ไหม? 4 ทุ่ม เขาว่างตอนนั้น เพราะก่อนหน้านั้น เขาไปทำอย่างอื่นเยอะแยะไปหมด เขาว่างตอนนี้ เพราะเพื่อนๆ เขาว่างตอนนี้ เตะตอน 4 ทุ่มจนถึงเที่ยงคืน ตี 1 เตะจริงๆ อย่างนี้ แล้วตอน 2 ทุ่มอยู่ไหน? อยู่ที่สนามบาส เล่นบาส อย่างนี้ แล้วที่เขาไปเตะบอล สนามหญ้าเทียม เขารู้จักหญ้าจริงไหม? ไม่รู้จัก เขามองสนามเขาก็รู้ว่าหญ้าเทียมยี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้ ราคาเท่าไร? พอไปเจอหญ้าจริงๆ อะไรอ่ะ

ความแตกต่าง แตกต่างขนาดไหน? ท่านเห็นไหม? ถ้าเราไม่เข้าไป พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ไม่เข้าไปอย่างนี้ ท่านจะถูกเอ้าท์ไปเรื่อยๆ ถูกทิ้งไปเรื่อยๆ ไกลๆ แล้วท่านก็จะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง แล้วไม่มีโอกาสที่จะชี้แนะแนวทางอะไรบางอย่าง ที่ท่านคิดว่าดี หรือว่าประสบการณ์ของท่าน ในทางที่เขาสามารถรับได้ให้กับเขาอีกต่อไป เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องนั่นเอง

อาจารย์สรรเพชร ชัยสิริยะสวัสดิ์ จึงเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ให้ข้อสรุปไว้อย่างนี้ว่า …

“คนแต่ละรุ่น มีความคิดและพฤติกรรมที่ต่างกัน แน่นอนเวลาทำอะไร อาจจะดูขัดหูขัดตา แต่ก็อยากให้รู้และเข้าใจธรรมชาติ เพื่อการอยู่ร่วมกันที่ดีของสังคม”

สรุปท้ายตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจ อย่าไปบ่นเขา เวลาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ อยู่กับแม่ทุกวัน อยู่กับพ่อทุกวัน เวลาเรียกกัน ส่งไลน์มาเรียก ลงมากินข้าว แทนที่จะมาพูด เวลาจะไป ก็พ่อไปแล้วนะ ไม่ได้พูดนะ ส่งไลน์มา

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์แม่”

เมื่อเช้าก็เจอ แทนที่จะพูด ไม่พูด ส่งไลน์มาแฮปปี้เบิร์ดเดย์

แล้วส่งอะไรมาอีก “รักนะจุ๊บๆ”

ก็จูบจริงๆ ก็ได้ เจอกันทุกวัน เดี๋ยวเย็นนี้ก็มาจุ๊บสักนิด ไม่ได้เดี๋ยวลืม ตอนกลางคืนมากลับดึก แม่นอนแล้ว

เราต้องเข้าใจ ไม่ใช่ทำเป็นงอน “ลูกไม่เข้ามาหาเลย แต่ก่อนนี้ยังมา”

เขาโตแล้ว เขาก็ไปของเขาสิ “เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมาหาเลย แต่ก่อนยังมาสวัสดี ตอนนี้ส่งแต่ไลน์มา”

ไม่รับไลน์ เดี๋ยวอีกหน่อย เขาไม่ส่งไลน์ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ฝึกหัดเล่นไลน์ ถ้าแม่ไม่มีไลน์ เขาก็ไม่มีจะส่งให้ เพราะฉะนั้น เราต้องไปฝึกเล่นไลน์ เพื่อเขาจะส่งต่อ คุยกับเราได้บ้าง เอเมน ขอให้มีความสุขกับวันเด็ก วันครอบครัวนะครับ

 

****************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 9 “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  มกราคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 9 “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด

เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายวันนี้เป็นตอนที่ 9 ของซีรี่ส์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” วันนี้มีชื่อตอนว่า “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว” เรายังอยู่ในเรื่องราวเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ดาเนียลอยู่ ช่วงและสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่พระเจ้าเรียกว่า “ผู้รับใช้ของเรา” ซึ่งพระองค์ได้เตรียมความยิ่งใหญ่ให้เนบูคัดเนสซาร์ พระเจ้าเป็นผู้สร้างกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ให้เป็นฮีโร่อย่างที่ผมเคยบอก พระเจ้าควบคุมทุกอย่าง สร้างสถานการณ์ และสร้างฮีโร่ จากตอนก่อนๆ ที่ได้อ่านกันไปแล้วว่าพระเจ้าเป็นผู้เตรียมเนบูคัดเนสซาร์ให้เป็นจอมจักรพรรดิ แห่งบาบิโลน ให้เรืองอำนาจในสมัยนั้น ไปรบที่ไหน ก็ชนะ พระเจ้าก็ประทานอาณาจักรต่างๆ ก็คือประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะใหญ่เล็กในสมัยนั้น ให้อยู่ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ รวมทั้งอาณาจักรยิว คืออาณาจักรอิสราเอลของพระเจ้าด้วย ยกให้ไปเลย แล้วเนบูคัดเนสซาร์ก็รับใช้พระเจ้าตามแผนการของพระองค์ ด้วยวิธีการต่างๆ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ไม่รู้ว่าพระเจ้าควบคุมอยู่

เนบูคัดเนสซาร์ได้รู้จักพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่บ้าง ผ่านทางดาเนียล ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก 4 หนุ่มน้อยยิว ที่ไปชนะอิสราเอล ปล้นอิสราเอล เอาทรัพย์สินเงินทอง ทุกอย่างของอิสราเอลกลับมา รวมทั้งผู้คนด้วย 4 คนนี้ ก็คือ 1 ในจำนวนที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก และดาเนียล พระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ใหญ่ให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ผ่านทางเด็กหนุ่ม 4 คนนี้ และกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าทุกครั้ง และทุกครั้งที่ยอมจำนน หลังจากนั้นไม่นาน ก็หยิ่งอีกแล้ว

ดาเนียลทำนายฝันให้ถูกต้อง เข่าอ่อนเลย ประกาศว่า …

“พระเจ้าของดาเนียลยิ่งใหญ่มาก ขอสรรเสริญพระเจ้าของดาเนียล”

แต่งตั้งดาเนียลและเพื่อนทั้ง 3 คน เป็นผู้สำเร็จราชการ มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต รองจากกษัตริย์เลย เพราะเห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า แต่ถ่อมใจได้ไม่นาน พอมีคนแนะนำให้สร้างปฏิมากรทองคำ ให้ผู้คนกราบไหว้ เหมือนเป็นการแก้เคล็ด ก็รู้สึกเหิมเกริมอีกแล้วว่า …

“ตัวข้านี่แหละยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว”

มันเป็นอย่างนี้ พอเพื่อนดาเนียลทั้งสามคน คือชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโกไม่ยอมทำตาม ไม่ยอมกราบไหว้รูปปั้นนี้ ก็โกรธใหญ่เลย

มันเป็นอย่างนี้ สำแดงถึงความเย่อหยิ่งของตนเองออกมา โกรธมากเลย  ไม่ยอมทำตามคำสั่ง สั่งจับ 3 คนนี้โยนลงไปในเตาไฟเลย ไม่ใช่ไฟธรรมดา เอาร้อนแรงสุดๆ ไปเลย อย่างที่เราได้เรียนกันมา แค่นั้นยังไม่พอ แถมยังหมิ่นประมาทพระเจ้าว่า …

“ไม่มีพระเจ้าที่ไหนมาช่วยได้ พระเจ้าของแกก็ช่วยไม่ได้”

แต่พอพระเจ้าทำการอัศจรรย์ให้เกิดขึ้น เห็นกับตาอีกครั้งหนึ่งว่าหลังจากที่ทหารโยน 3 คนนี้เข้าไปในเตาไฟ ปรากฏว่าเนบูคัดเนสซาร์เห็น 4 คนอยู่ในนั้น คนที่ 4 มีลักษณะเหมือนเทพบุตร พูดง่ายๆ ว่าเห็นพระเยซูอยู่ในนั้น  ก็เลยเปลี่ยนอีกแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเนบูคัดเนสซาร์เดินไปที่ประตูเตาไฟ ตรัสว่า …

“ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก ผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุดเอ๋ย จงออกมาเถิด จงออกมานี่”

เปลี่ยนท่าทีแล้ว คราวนี้ประกาศอีกว่า …

“ขอสรรเสริญพระเจ้าของชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก ผู้ทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาช่วยเหลือผู้รับใช้ของพระองค์ พวกเขาไว้วางใจในพระเจ้า ละเมิดคำสั่งของกษัตริย์ และยอมตายเสียดีกว่าปรนนิบัติพระอื่นใด เว้นแต่พระเจ้าของตน และไม่มีเทพเจ้าอื่นใด สามารถช่วยได้ถึงเพียงนี้”

นี้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ประกาศอย่างนี้ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แล้วก็ออกประกาศสำคัญเลย  สั่งไปทั่วราชอาณาจักรของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า …

“ต่อไปนี้ ห้ามใครกล่าววาจาล่วงเกินพระเจ้าของทั้งสามคนนี้ (ของคนยิวนี้) ใครขัดคำสั่ง จะถูกฟันเป็นท่อนๆ”

นี่คือบุคลิกที่เราได้เห็นเกี่ยวกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แต่ผมยังเชื่อว่ายังมีเหตุการณ์อื่นๆ ในลักษณะอย่างนี้อีกเยอะ ในชีวิตของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่เข่าอ่อนสลับเข่าแข็ง

แม้กระทั่งทุกวันนี้ ก็มีคนแบบเนบูคัดเนสซาร์เยอะแยะ คือพอได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า ก็สรรเสริญพระเจ้า พระเจ้ามีชีวิตอยู่จริงๆ พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ พระเจ้าของเธอยอดเยี่ยม พอไปสักพักหนึ่งก็ลืมพระเจ้า แล้วหลายครั้ง ก็ยังสบประมาทพระเจ้าอีก

“พระเจ้าของเธอ ไม่เห็นช่วยเลย”

มันจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เข้ามาอยู่เรื่อยๆ ในชีวิตของเรา นี่คือลักษณะของมนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ไม่รู้จักพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว เพียงแต่ได้รับรู้ ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่าเขายังไม่ได้รู้จักพระเจ้าอย่างจริงๆ ยังไม่ได้สัมผัสกับพระเจ้าจริงๆ เพราะว่าสำหรับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แล้ว พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาได้รู้จักผ่านทางดาเนียลกับเพื่อนๆ นั้น เป็นเพียงหนึ่งในพระเจ้า (S) หรือหนึ่งในเหล่าเทพเจ้าจำนวนหลายๆ องค์ที่เขาเคยรู้จักเท่านั้นเอง ไม่เหมือนดาเนียลกับเพื่อน และพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่ได้รู้จักพระเจ้าแล้ว รู้จักจริงๆ ว่ามีเพียงพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น แล้วพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว

หลักการเชื่อพระเจ้าของดาเนียล สำหรับคริสเตียน คือเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่สูงสุด และเที่ยงแท้ ประโยคนี้ในพระคัมภีร์ หมายถึงนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใด หนังสือดาเนียลที่เราได้อ่านกัน เรียนกันในครั้งนี้ ตั้งแต่บทที่ 1 จนกระทั่งหมดเลย จะบอกถึงเรื่องนี้ พระเจ้าต้องการสำแดงพระองค์เองว่าพระองค์เป็นพระเจ้าอย่างนี้ นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าเที่ยงแท้อื่นใดอีกแล้ว สมมติว่าตอนนี้ผมถามว่า …

“มีมิสเตอร์ ABC เป็นคนดังมากเลย ท่านรู้จักเขาไหม?”

ท่านบอกว่า “รู้จักๆ”

“ดูในทีวี คนนี้รู้จัก” สมมติ

แต่กับอีกคนหนึ่ง เป็นเพื่อนกับนาย ABC ตั้งแต่ก่อนเขาจะดังออกทีวีอีก รู้จักกับเขาเลย สนิทสนม กินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ถามว่า …

“รู้จักไหม ABC”

เขาก็จะบอกว่า “ผมรู้จัก”

เห็นไหม? คนแรกรู้จัก กับคนที่สองรู้จัก ไม่เหมือนกัน คำว่า “รู้จัก” ต้องหมายถึงมีปฏิสัมพันธ์ มีความผูกพันกัน มีการติดต่อกัน มีการ Followership มาบ้างแล้ว ไม่ใช่รู้จักแต่เขาว่ามา เขาเล่าว่า อย่างนี้ไม่ใช่

นี่คือความมั่นคงของความเชื่อที่ว่ารู้จักพระเจ้าจริงหรือไม่?  กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เห็นพระเจ้าทำอัศจรรย์ จึงเชื่อว่ามีพระเจ้า แต่พวกเราถึงไม่เห็นอัศจรรย์ เราก็เชื่อว่ามี มันแตกต่างกัน

ผมนึกถึงบทเพลงมาจากพระคัมภีร์ในหนังสือจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล ที่เขียนบอกว่า …

“ข้าพเจ้ารู้จัก พระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ”

ท่านรู้จักพระเจ้า ที่ท่านเชื่อไหม? ไม่รู้จัก หมายถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ เขาเอามาแต่งเป็นเพลงเลยนะ

“แต่ข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าเชื่อ           และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา

รักษาซึ่งมอบไว้กับพระองค์          จนถึงกาลวันนั้นได้”

หลังจากเหตุการณ์ที่เพื่อนของดาเนียล คือชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโกถูกจับโยนเข้าไปในเตาไฟ แล้วพระเจ้าช่วยเอาไว้ หลังจากนั้นมา 20 ปี พระเจ้าดลใจให้เนบูคัดเนสซาร์เขียนบันทึกด้วยตัวเอง เหตุการณ์ ประสบการณ์ของตัวเอง บันทึกไว้เหมือนเป็นคำพยาน เพื่อพระเจ้าจะได้บอกแก่บรรดามวลมนุษยชาติ ไม่ใช่บอกแก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์อย่างเดียว ไม่ใช่บอกเฉพาะมาถึงชาวยิวในสมัยนั้น แล้วก็ไม่ได้บอกมาเฉพาะแค่คนเป็นคริสเตียน ในสมัยยุคพระเยซูเท่านั้น แต่จะบอกจากนี้ต่อไปจนวันสุดท้ายของโลกใบนี้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด

พระองค์ยิ่งใหญ่มากๆ พระองค์กล้าบันทึกไว้อย่างนี้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว แปลว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ อยู่เพียงผู้เดียว ก็แสดงว่านอกนั้น เป็นของไม่เที่ยงแท้ ไม่ใช่พระเจ้าจริงๆ

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ยกย่องพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด และโปรดปรานชาวยิว เพราะชาวยิวรู้จักพระเจ้าผู้นี้  จากเหตุการณ์นั้น ปีแล้วปีเล่า จนผ่านไป 20 ปี มาดูว่าอะไรเกิดขึ้น ในดาเนียล 4:1-18 นี่เขาบันทึกด้วยตัวเองเลย เป็นคำพยานของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เอง

ดาเนียล 4:1-18 “1 เรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ถึงท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพลเมือง ทุกชาติ ทุกภาษาทั่วโลก ขอให้ท่านเจริญรุ่งเรือง 2 เราเห็นควรที่จะแจ้งให้ทราบถึงหมายสำคัญ และปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าสูงสุดทรงกระทำเพื่อเรา 3 หมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วอายุ 4 เรา เนบูคัดเนสซาร์ อยู่ในวังอย่างผาสุกและรุ่งเรือง 5 ขณะนอนอยู่บนเตียง เราได้ฝัน ทำให้ตกใจกลัว ภาพและนิมิตต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในความคิด ทำให้ตระหนกตกใจ

6 เราจึงสั่งให้นำปราชญ์ของบาบิโลนทั้งหมด มาทำนายฝันให้ 7 เมื่อบรรดานักเล่นอาคม  นักเวทมนตร์ โหราจารย์ และหมอดูฤกษ์ยามมาแล้ว เราก็แจ้งความฝันให้ฟัง แต่พวกเขาไม่สามารถแก้ฝันให้ได้ 8 แล้วดาเนียลก็มาเข้าเฝ้า เราจึงเล่าความฝันให้ฟัง (เขามีอีกชื่อหนึ่งว่า “เบลเทชัสซาร์” ตามชื่อเทพเจ้าองค์หนึ่ง วิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเขา) 9 เรากล่าวว่า เบลเทชัสซาร์ หัวหน้านักเล่นอาคมเอ๋ย เรารู้ว่าวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเจ้า และไม่มีความล้ำลึกใดๆ ยากเกินความเข้าใจของเจ้า เราฝันเช่นนี้ จงแก้ฝันให้เราเถิด 10 ขณะนอนอยู่บนเตียงเราเห็นนิมิต คือเรามองไปเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่ตรงกลางแผ่นดิน มันสูงใหญ่มาก

11 ต้นไม้นั้น เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งจนยอดสูงจรดฟ้า แม้แต่สุดโลกก็ยังมองเห็น 12 ใบของมันงามน่าดู ผลก็ดกเต็มต้น มันให้อาหารแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง บรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง มาพักพิงใต้ร่มของมัน เหล่านกในอากาศมาอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของมัน บรรดาสิ่งมีชีวิตเลี้ยงชีพด้วยผลของมัน 13 ขณะนอนอยู่บนเตียง เราเห็นนิมิต คือเรามองไปเห็นทูตสวรรค์ ผู้บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์ 14 เขาประกาศก้องว่า โค่นต้นไม้ลง ลิดกิ่งออก ตัดใบทิ้งให้หมด และสลัดผลให้เกลื่อนกระจาย ไล่สัตว์ทั้งหลายออกจากใต้ร่ม และไล่นกออกจากกิ่งต่างๆ ไป 15 แต่จงทิ้งตอกับรากไว้ เอาโซ่เหล็กและโซ่ทองสัมฤทธิ์ ล่ามทิ้งไว้อย่างนั้น กลางดงหญ้าในทุ่ง ให้กายเขาเปียกชุ่มด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ ให้เขาอาศัยอยู่กับสัตว์ท่ามกลางพืชพันธุ์ต่างๆ ของแผ่นดินโลก

16 ให้ความคิดจิตใจของเขาเปลี่ยนจากมนุษย์ กลายเป็นเหมือนสัตว์ จนครบเจ็ดวาระ 17 เหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์เป็นผู้แจ้งคำตัดสินนี้ เพื่อผู้มีชีวิตอยู่จะรู้ว่าพระเจ้าสูงสุดทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย ทรงแต่งตั้งผู้ต่ำต้อยที่สุด ให้ปกครองพวกเขา 18 “นี่เป็นความฝันของเรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ บัดนี้ เบลเทชัสซาร์เอ๋ย บอกเรามาเถิดว่าฝันนี้หมายความว่าอะไร เพราะไม่มีปราชญ์คนใดในอาณาจักรของเราแก้ฝันให้เราได้ แต่เจ้าทำได้ เพราะวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเจ้า”

 

อย่างที่บอกไว้ 20 ปีผ่านไป ลืมไปแล้ว ดาเนียลเป็นคนสุดท้ายที่มาเข้าเฝ้า เพื่อที่จะมาถวายคำแปลนิมิตนี้ ไปปรึกษาคนอื่นมาเยอะแล้ว ลืมพระเจ้าของดาเนียลไป

“เรากล่าวว่า เบลเทชัสซาร์ หัวหน้านักเล่นอาคมเอ๋ย”

ข้อ 3 “หมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วอายุ”

ที่ต้องการให้อ่านตรงนี้ เพราะตรงนี้ เป็นพล๊อตสำคัญ อีกอันหนึ่ง ข้อ 17

ข้อ 17 “‘พระเจ้าสูงสุดทรงครอบครอง เหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย’”

จำตรงนี้ไว้ เห็นภาพพื้นฐานของความเชื่อในพระเจ้าของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แล้วใช่ไหม? เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่าพระเจ้าของดาเนียลใหญ่ยิ่งจริงๆ สูงสุดด้วย แต่เขาก็ยังเชื่อว่ามีเทพเจ้าอื่นๆ อยู่ เพียงแต่เจ้าองค์นี้ คงจะใหญ่กว่าอะไรประมาณนั้น  ในบาบิโลน มีพวกนักปราชญ์ นักเล่นคาถาอาคม นักเวทมนตร์ นักโหราจารย์ แปลเป็นไทยอีกฝั่งเรียกว่านักวิเคราะห์ทางวิญญาณเยอะแยะมากมาย

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เรียกให้ผู้คนเหล่านั้น มาทำนายฝัน แต่ก็ไม่มีใครทำได้ จึงนึกถึงดาเนียล … ดาเนียลจึงมาเข้าเฝ้า เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่าดาเนียลจะทำนายฝันได้ เพราะว่าเพิ่งจะนึกขึ้นได้

“ครั้งที่แล้ว เรายังไม่ได้บอกว่าเราฝันว่าอะไร?  เขายังรู้เลย”

จึงเชื่อมั่นว่าดาเนียลทำได้  แล้วก็เชื่อมั่นว่าดาเนียลมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ (S) หมายถึงว่าในตัวของดาเนียลมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ 1 องค์ พูดง่ายๆ ในจำนวนหลายๆ องค์ ท่านจะได้เห็นภาพว่าพื้นฐานลึกๆ มันเป็นอย่างไร? ในยุคปัจจุบัน ความรู้สึกด้านของวิญญาณมนุษย์ ไม่แตกต่างเลย เหมือนเดิม เพียงแต่ทางวัตถุภายนอก  ที่เราเห็นทุกวันนี้ การเจริญรุ่งเรืองของเทคโนโลยี วัตถุสิ่งของ เจริญไป ต่างจากสมัยก่อน เรามีแก๊ส เรามีรถยนต์ มีคอมพิวเตอร์ แต่ทางด้านจิตวิญญาณของมนุษย์มันเหมือนเดิม ไม่มีผิดเลย

นี่คือคำพูดที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นผู้พูดเอง ข้อที่ 3 ที่บอกว่าหมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์ เนบูคัดเนสซาร์เชื่อในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จากที่ยอมจำนนจากอัศจรรย์ที่เขาเห็น ที่พระองค์ทรงกระทำ แต่ประเด็นสำคัญที่เราจะเรียนรู้จากเรื่องราวในบทที่ 4 ในครั้งนี้ อยู่ข้อที่ 17 ที่ในความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ มีเหล่าทูตสวรรค์เป็นรูปลักษณะคนมาเผยนิมิต ประกาศว่าเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้แจ้งคำตรัสนี้ เพื่อผู้มีชีวิตอยู่ จะรู้ว่าพระเจ้าสูงสุด ทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใด ก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย ทรงแต่งตั้งผู้ต่ำต้อยที่สุด ให้ปกครองพวกเขา

ตรงนี้ ตรงนั้น รวมกันเรียกว่าอาณาจักร หรือว่า Kingdoms พระเจ้าผู้สูงสุด ทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ก็แสดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ครอบครอง ดูแลอยู่เหนือประเทศต่างๆ บนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน จนถึงอนาคตอีก ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามชอบพระทัย คือตามแต่พระประสงค์ของพระองค์ที่วางไว้ บางครั้งพระองค์ก็เลือกอย่างนี้ มีอะไรไหม? แต่เพื่อแผนการที่ดี สำหรับโลกใบนี้ทั้งใบ สำหรับพวกเราทั้งหลายบนโลกใบนี้ แต่เรามองว่าเลือกอย่างนี้มาได้อย่างไร? โหดร้ายมาก เลือกฮิตเลอร์ได้อย่างไร? แต่ในนี้บอกทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ และสอนมนุษย์ทั้งมวล เพราะในนี้บอกว่าเพื่อผู้มีชีวิตอยู่ ก็คือมวลมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด แต่เพียงพระองค์เดียว ทรงครอบครองเหนือทุกสิ่ง จะทรงสร้างใครเป็นฮีโร่ ก็ได้ ให้ใครใหญ่ก็ได้  ให้ใครเล็กลงก็ได้ ตามแต่พระประสงค์ หรือน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้น จบ ถ้าเราจะเติมต่อ เราบอกมีอะไรไหม? เดี๋ยวฟังดู ไม่ใช่ผมพูดเอง  กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พูดคำนี้ด้วย

พระเจ้าทรงทราบอยู่แล้วว่าจิตใจของเนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างไร? วันนี้สรรเสริญพระเจ้า พระองค์ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เดี๋ยวเผลอๆ เย่อหยิ่งอีกแล้ว พระเจ้าจึงสอนผ่านเขาเลย ผ่านทางกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ บอกไว้เลยล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น แบบที่เรียกว่าให้ดาเนียลทำนายฝันไว้ล่วงหน้าก่อน เพื่อจะให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เชื่อและเห็นความอัศจรรย์ ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าว่าใช่แน่ๆ เพื่อเขาจะได้เป็นผู้รับใช้พระองค์ เขียนสิ่งนี้ เป็นพยานให้กับมวลมนุษยชาติได้รู้อีกหนึ่งครั้ง ในจำนวนเยอะแยะหลายๆ ครั้ง ในพระคัมภีร์ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้รู้และเขียนเป็นคำพยานอยู่ในนี้ว่าอย่าเย่อหยิ่ง ให้รู้ว่าพระองค์เป็นใคร? ดาเนียล 4:19-27

ดาเนียล 4:19-27 “19 แล้วดาเนียลก็ตกตะลึงและว้าวุ่นใจอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ความคิดของเขา ทำให้เขาหวาดวิตก กษัตริย์จึงตรัสว่า “เบลเทชัสซาร์เอ๋ย อย่าให้ความฝัน หรือความหมายของมัน ทำให้เจ้าตกใจกลัวไปเลย” เบลเทชัสซาร์ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอให้ความฝันและความหมายของมัน ตกแก่ศัตรูของฝ่าพระบาทเถิด 20 ต้นไม้ที่ฝ่าพระบาทเห็น ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ยอดสูงจรดฟ้าจนสุดโลกยังมองเห็น 21 ซึ่งมีใบสวยงาม ให้ผลดกเป็นอาหารแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง ให้ร่มเงาแก่บรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง และมีกิ่งก้านให้เหล่านกมาอาศัยทำรัง 22 ข้าแต่กษัตริย์ ต้นไม้นั้น คือฝ่าพระบาททรงยิ่งใหญ่เกรียงไกร รุ่งโรจน์เทียมฟ้า และแผ่อำนาจไปถึงสุดโลก 23 ข้าแต่กษัตริย์ที่ฝ่าพระบาทเห็นทูตสวรรค์ ผู้บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์ และป่าวประกาศว่าจงโค่นต้นไม้ลงและทำลายมันเสีย แต่เหลือตอไว้  ล่ามมันไว้กลางทุ่งหญ้า ด้วยเหล็กและทองสัมฤทธิ์ ขณะที่รากยังหยั่งลึกอยู่ในดิน ให้เขาตากน้ำค้าง และอาศัยอยู่เยี่ยงสัตว์ป่า จนครบเจ็ดวาระ

24 ข้าแต่กษัตริย์ นิมิตนั้นมีความหมายดังนี้ ประกาศิตขององค์ผู้สูงสุดเกี่ยวกับฝ่าพระบาท 25 คือฝ่าพระบาทจะถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ และให้ไปใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ป่า จะกินหญ้าเหมือนวัว และตากน้ำค้างจนครบเจ็ดวาระ จนกว่าฝ่าพระบาทจะเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุดทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย 26 พระบัญชาที่ให้เหลือตอและรากไว้ หมายความว่าฝ่าพระบาทจะได้รับอาณาจักรกลับคืนมาอีก หลังจากทรงเรียนรู้แล้วว่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์นั้น ครอบครองอยู่ 27 ฉะนั้น ข้าแต่กษัตริย์ ขอโปรดยอมรับคำแนะนำของข้าพระบาท ขอทรงละทิ้งบาปด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้อง และขอทรงละทิ้งความชั่ว ด้วยการเมตตากรุณา ผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหง แล้วฝ่าพระบาทจะได้ทรงเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป”

 

ในนี้เขียนบอกว่าดาเนียลตกใจกลัว หวาดกลัวเลย  เพราะนิมิตที่จะเกิดขึ้นกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ มันรุนแรงมาก ผมคิดว่าดาเนียลกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน  เพราะว่านี่ก็ 20 กว่าปีแล้ว ที่ดาเนียลอยู่ที่นี่ แล้วดาเนียลคงได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์มาก และความโปรดปรานนี้ก็แผ่ไปถึงบรรดาชาวยิวที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยที่บาบิโลนด้วย ดาเนียลจึงมีความรู้สึกเหมือนเป็นเจ้านายด้วย เป็นเพื่อนด้วย คือตกใจกลัว แล้วจึงทูลกษัตริย์จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ อย่าให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับกษัตริย์เลย ให้เกิดขึ้นกับศัตรู เพราะมันน่ากลัว พระเจ้ากำลังสอนเนบูคัดเนสซาร์ให้รู้ว่าพระองค์คือใคร? จะได้เลิกเย่อหยิ่งสักที

ดาเนียลแปลความฝันว่าพระเจ้าจะทำให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ต้องถูกขับไล่ออกไปจากสังคมมนุษย์ ให้ไปใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ป่า กินหญ้าเหมือนวัว และต้องตากน้ำค้าง จนกว่าเนบูคัดเนสซาร์จะได้เรียนรู้ และได้ถ่อมใจรับรู้ว่ามีพระเจ้า เพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่เที่ยงแท้ นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว อย่าซ่าส์ อย่าเย่อหยิ่ง ที่ในพระคัมภีร์เมื่อกี้เขียนไว้ว่า …

“จนกว่าฝ่าพระบาทจะเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุด ทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัยของพระองค์”

ดาเนียลบอกว่า “กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระองค์ต้องถ่อมใจนะ เลิกปฏิบัติตัวอย่างนี้  แล้วพระเจ้าอาจจะเมตตา ลดโทษให้ก็ได้ ทำอย่างนี้เถิด ด้วยความหวังดี”

ดาเนียล 4:28-37 “28 เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คือ 29 สิบสองเดือนต่อมา ขณะที่กษัตริย์ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวังของบาบิโลน 30 พระองค์ตรัสว่า “เราได้สร้างบาบิโลนอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้ขึ้นเป็นราชวัง ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเกรียงไกรของเรา และเพื่อเกียรติบารมีของเราไม่ใช่หรือ” 31 กษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงดังจากฟ้าสวรรค์ว่า “กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เอ๋ย นี่คือประกาศิตสำหรับเจ้า ราชอำนาจถูกพรากไปจากเจ้าแล้ว 32 เจ้าจะถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ให้ไปอาศัยอยู่กับสัตว์ป่า ให้กินหญ้าเหมือนวัว จนครบเจ็ดวาระ ตราบจนเจ้าเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุดทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย”

33 ทันใดนั้น เนบูคัดเนสซาร์ก็เป็นไปตามประกาศิตของพระเจ้า พระองค์ทรงถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ และกินหญ้าเหมือนวัว กายนั้นเปียกชุ่มด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนกระทั่งผมยาวเหมือนขนนกอินทรี และมีเล็บยาวเหมือนกรงเล็บของนก 34 เมื่อครบกำหนดแล้ว เรา เนบูคัดเนสซาร์ แหงนหน้าขึ้นมองดูฟ้าสวรรค์ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา เราจึงถวายสรรเสริญองค์ผู้สูงสุด เราเทิดพระเกียรติและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงนิรันดร์  ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ 35 มวลประชาชาติในโลกนี้ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจ ที่จะทำต่อเหล่าทูตสวรรค์ และต่อมวลประชาชาติ ตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่า พระองค์ทำอะไรนี่?” 36 ขณะนั้นสติสัมปชัญญะของเรากลับคืนมา เกียรติและบารมีกลับคืนมาสู่เรา เพื่อสง่าราศีแห่งอาณาจักรของเรา ราชมนตรีและขุนนางทั้งหลายมาตามหาเรา ให้กลับไปครองราชบัลลังก์ดังเดิม และรุ่งเรืองยิ่งกว่าแต่ก่อน  37 บัดนี้ เรา เนบูคัดเนสซาร์ ขอถวายสรรเสริญ และยกย่องเทิดทูนองค์กษัตริย์แห่งฟ้าสวรรค์ เพราะทุกสิ่งที่ทรงกระทำนั้นถูกต้อง และทางทั้งปวงของพระองค์ก็ยุติธรรม บรรดาผู้ดำเนินชีวิตอย่างหยิ่งยโส พระองค์สามารถกระทำให้เขาถ่อมลง”  เอเมน

 

สรุป คำเตือนของดาเนียลไม่ได้ผล ก็เหมือนพวกเราทุกคนในปัจจุบัน เพราะการทดลองมันรุนแรงมาก ถ้าเราตกลงไปในการทดลองแบบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เราก็อาจจะสอบไม่ผ่านเหมือนกัน

12 เดือนต่อมา ขณะที่เนบูคัดเนสซาร์ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวัง ซึ่งทุกวันนี้ ชื่อเสียงของเรื่องนี้ยังอยู่ 1 ใน 7 มหัศจรรย์ เขาเป็นผู้ครอบครอง เขาเป็นผู้สร้างสิ่งนั้นขึ้นมา เขาลืมไปแล้วว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง เป็นการทดลองที่รุนแรง ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวัง ก็คือสวนลอยฟ้าของบาบิโลน ยิ่งใหญ่มาก แล้วพระองค์ตรัสว่า …

“เราได้สร้างบาบิโลนอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้ ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเกรียงไกรของเรา และเพื่อเกียรติบารมีของเราไม่ใช่หรือ”

ในนี้บันทึกว่ากษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ เพราะเตือนไว้แล้ว ก็มีเสียงดังจากฟ้า พระเจ้าก็ตัดสิน สอนให้รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ สอนให้รู้ว่าพระองค์เป็นใคร? วิธีการสอน ก็คือทำให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ถ้าเอาปัจจุบัน ที่เล่ามาทั้งหมดนั้น ก็คือเสียสติ ฟั่นเฟือนเหมือนคนบ้าเลย ไม่มีสติ สตังค์แล้ว เพราะในสมัยก่อน ไม่มีหมอรักษาโรคจิต พอสติฟั่นเฟือน ไม่มียา เขาก็ต้องไล่ออกไปอยู่นอกเมือง การเข้าไปอยู่ในป่า ก็คือการเข้าไปอยู่ในธรรมชาติ เหมือนเราเห็นคนสติไม่ดี เดินอยู่ริมถนนทุกวันนี้ คล้ายๆ อย่างนั้น ถ้าทุกวันนี้ ก็ไปเขี่ยถังขยะหาของทาน แต่สมัยก่อน ไม่ใช่ เขาต้องไปกินน้ำค้าง พืชพันธุ์ ผัก อะไรก็ว่ากันไป ไม่อาบน้ำ ปล่อยผมยาวรุงรัง เล็บไม่ตัด เป็นเหมือนที่ตะกี้นี้อธิบาย

แล้ววันหนึ่ง ตามนิมิตนี้  เขาก็ได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า  ประทานความถ่อมใจให้กับเขา ในนี้เขียนบันทึกว่าเขาแหงนหน้ามองดูฟ้า เริ่มนึกขึ้นได้ ทั้งหมดมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น พระราชวัง ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนสร้าง 1 ใน 7 มหัศจรรย์ สวนลอยฟ้า และบรรดาประเทศชาติต่างๆ ที่เขาไปปล้นมา พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ทั้งสิ้น ความยิ่งใหญ่ของเขา พระเจ้าประทานให้ทั้งสิ้น

“พระเจ้าเมตตาลูกด้วยเถิด”

อะไรประมาณนั้น  เขาจึงบันทึกตรงนี้ว่า …

“ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว ทรงครอบครองทุกสิ่ง ราชอาณาจักรของพระองค์ที่อยู่เหนืออาณาจักรของมนุษย์ทั้งหมด คือราชอาณาจักรของพระองค์ในสวรรค์สถาน ราชอาณาจักรของพระองค์ในโลกวิญญาณ มันยิ่งใหญ่สูงสุด และไปทุกชั่วชาติพันธุ์ คือนิรันดร์นั่นเอง”

ราชอาณาจักรบนโลกใบนี้ ยังอยู่เพียงชั่วคราว 30 ปี 100 ปี แต่ราชอาณาจักรของพระองค์ ราชอาณาจักรในวิญญาณ มันอยู่ตลอดกาลเลย เห็นถึงความยิ่งใหญ่ไหม? แค่คำๆ เดียว ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า เจ้าแห่งวิญญาณ อาณาจักรของพระองค์ ก็เป็นอาณาจักรแห่งวิญญาณ และอาณาจักรของพระองค์ที่เป็นวิญญาณนี้ ก็เป็นอาณาจักรนิรันดร์ คือครอบครองใหญ่ที่สุด นิรันดร์กาล

เรื่องราวในพระคัมภีร์ดาเนียล ที่เราอ่านกันวันนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอย่างนี้ทั้งหมด พระเจ้าต้องการให้มวลมนุษยชาติทุกคน เรียนรู้ว่าพระองค์เป็นใคร? เตือนมนุษย์ ด้วยความรัก ความปรารถนาดี เหมือนดั่งที่ดาเนียลได้เตือนด้วยความรัก ความห่วงใยว่ามีพระเจ้าจริงๆ และพระเจ้าผู้นี้ยิ่งใหญ่สูงสุดจริงๆ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พูดประโยคสุดท้ายว่า …

“มวลมนุษยชาติในโลกนี้ ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจที่จะทำต่อทูตสวรรค์และมวลมนุษยชาติตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่าพระองค์ทำอะไรเนี้ย”

พระเจ้าต้องการให้รู้ว่าอาณาจักรของพระเจ้า อาณาจักรของโลกวิญญาณ มันจะอยู่ตลอดกาล ชั่วนิรันดร์เลย ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอยู่ตลอดชั่วอายุคน หมายถึงเจเนเรชั่น ทรูเจเนเรชั่น จากชั่วอายุคนหนึ่ง ไปอีกชั่วอายุคนหนึ่ง พูดง่ายๆ เดี๋ยวนี้ถ้าย้อนกลับไปในพระคัมภีร์ ก็จะบอกว่าจากชั่วอายุอาดัมมาถึงยุคโมเสส ไล่มาจนถึงอายุพวกเราปัจจุบันนี้ แล้วต่อไปอนาคต พระเจ้าครอบครองอยู่ตลอดเลย เอเมน

และหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระองค์ถูกตรึง และตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตาย อาณาจักรของพระเจ้า ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว มีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรที่อยู่นิรันดร์ มาเปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรของพระคริสต์ ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา จนถึงทุกวันนี้ คืออาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของสวรรค์นั่นเอง เพราะฉะนั้น อาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้า จึงสำคัญยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรใดๆ ซึ่งอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลน ไม่ว่าจะเปอร์เซีย ไม่ว่าจะเป็นกรีก ไม่ว่าจะเป็นโรมัน หรือเป็นประเทศอะไรต่างๆ ต่อมาเรื่อยๆ  จนถึงทุกวันนี้ และต่อไปอนาคต ไม่รู้ว่าใครจะคิดว่าใครใหญ่แล้วแต่ บนโลกใบนี้ พระเจ้าเป็นผู้สถาปนาประเทศนั้น อาณาจักรนั้นขึ้นมา และอยู่ไม่นานหรอก อาณาจักรของพระองค์ อาณาจักรของพระคริสต์อยู่นานกว่า สำคัญกว่า

ในหนังสือดาเนียลที่เรากำลังเรียนกันอยู่นี้ บอกอย่างนั้นว่าพระองค์เป็นผู้กำหนด เป็นผู้แต่งตั้งกษัตริย์ ผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจ ทุกอย่าง พระองค์เป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง พระองค์จะให้กับใครก็ได้ พระองค์ควบคุมทุกสถานการณ์อยู่ จงวางใจ และเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์ทรงมอบอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ให้พระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรสวรรค์ เป็นจอมราชันของอาณาจักรสวรรค์ และพระองค์ได้สถาปนาอาณาจักรพระคริสต์นี้ไว้ตลอดกาล  จากคนชั่วอายุหนึ่งไปชั่วอายุหนึ่ง ท่านพอเห็นภาพไหม? จากอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า เริ่มจากอาดัม ไล่มาถึงพระเยซู ถึงพระเยซูก็ครอบครองต่อไป แต่เปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรพระคริสต์ ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้

และอาณาจักรของพระคริสต์ยิ่งใหญ่สูงสุด และชนะทุกอาณาจักรไปเรียบร้อยแล้ว และเป็นชัยชนะนิรันดร์ด้วย และใครก็ตามที่อยู่ในอาณาจักรนี้ เป็นประชากรในอาณาจักรนี้ เป็นผู้คนในอาณาจักรนี้ มีบัตรประชาชนที่อยู่ในอาณาจักรนี้ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์นี้ เขาก็จะมีชัยชนะนิรันดร์เช่นเดียวกัน เอเมน

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่จบไปเลยล่ะ ก็ได้ชัยชนะแล้ว ไม่ต้องมาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว”

ถูกไหม? แต่ไม่ใช่อย่างนั้น  มันจำเป็นต้องอยู่ เพราะว่าชัยชนะนิรันดร์นั้น พระเจ้าทำสำเร็จแล้วก็จริง แต่ขบวนการสุดท้ายมันยังไม่จบ เพราะชัยชนะนี้ ยังต้องเรียกบรรดาผู้คนที่เหน็ดเหนื่อยอยู่บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้อยู่ในอาณาจักรนี้ ให้เข้ามา เหมือนเราในอดีต เหมือนผมเมื่อ 29 ปีที่แล้ว ผมก็ย้ายจากอาณาจักรของโลกใบนี้  อาณาจักรของความมืด อาณาจักรของความบาป มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ เมื่อ 29 ปีที่แล้ว ถ้าเผื่อตรงนี้จบก่อน 29 ปีที่แล้ว ผมก็แย่เลย ผมยังอยู่ในอาณาจักรของความมืดเลย ผมแพ้ตลอด ตอนนั้น พอเข้าใจไหม? ขณะนี้ก็ยังมีคนอีกมากมายบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่รู้ว่าพระเจ้าเที่ยงแท้มีเพียงพระองค์เดียว และอาณาจักรของพระองค์อยู่บนโลกใบนี้แล้ว คืออาณาจักรที่พระองค์สถาปนาไว้ ชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ มีชัยชนะนิรันดร์ คนยังไม่รู้ หรือบางคนรู้ ก็รู้แบบเนบูคัดเนสซาร์ คือรู้แบบเข้าๆ ออกๆ เขาไม่รู้จักพระเจ้าจริงๆ เพราะเขายังไม่ย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศที่มีชื่อว่าพระคริสต์ ประเทศในโลกวิญญาณ รอให้มีใครบอกเขาเสียก่อน เป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องทำงานต่อ เรายังต้องเหน็ดเหนื่อยต่อไป เพราะงานของพระองค์ยังไม่เสร็จ เรามีหน้าที่ที่จะไปบอกข่าวประเสริฐนี้ ให้เขารู้ว่าอาณาจักรสวรรค์มาถึงแล้ว มาอยู่ที่นี่แล้ว จงวางใจเถิด ตอนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เราเหมือนนกที่ไร้รัง ค่ำไม่รู้จะนอนที่ไหน? บินตลอดทั้งวันทั้งคืน เหนื่อยล้า ชีวิตมันยิ่งเหนื่อย เพราะมันบินนาน ปีกมันเมื่อย แล้วเราก็ได้ยินแว่วๆ มา พระเยซูตรัสว่า …

“ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย กำลังบินเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข เราเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ ที่เธอจะมาสร้างรัง อยู่ที่กิ่งก้านของต้นนี้ ร่มเย็น  มาๆ เลย”

เราก็บินโฉบ เข้าไปอยู่ที่ต้นไม้ สร้างรังของเรา แล้วเราก็ได้รู้จักกับนกตัวอื่นๆ ที่มาพักผ่อนในนี้เยอะแยะมากมายไปหมด รังเล็กๆ ของเรา มีชื่อว่ารังโฮลี่ อยู่ที่กรุงเทพกรีฑา ซอย 8 พวกเราบินมาเหนื่อยทุกคน ก่อนหน้านี้ เพราะเหนื่อยจึงมาหาพระเยซูไง ไม่เหนื่อย ไม่มาอยู่แล้ว ไม่เหนื่อยก็บินต่อไป ใครอยากจะบินต่อไป ก็บิน ถ้าคิดว่าเหนื่อยแล้ว ก็มาหาพระเยซูเถิด พระเยซูบอกพอเถอะ เหนื่อยเปล่าๆ มาพักสงบเถิด

เพราะฉะนั้น เรามีหน้าที่ที่จะไปบอกกับคนอื่นๆ ที่กำลังบินอยู่แล้ว มันเหนื่อย เพื่อนๆ เราที่อยู่ข้างๆ เหนื่อยเหลือเกิน มาเถิด มาพักในร่มเงาของอาณาจักรนี้ พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นอาณาจักรนิรันดร์ และเราจะครอบครองร่วมกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์นิรันดร์กาล

เพราะฉะนั้น บทเรียนในวันนี้ จึงมี 2 ประเด็น ที่เราจะสรุป ก็คือ …

(1) พระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสถานการณ์ จึงไม่ต้องกลัวอะไรเลย ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตาม ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ สงคราม ภัยธรรมชาติ ภัยต่างๆ แบบแปลกประหลาดต่างๆ มนุษย์อวกาศ มนุษย์ดวงดาวอื่นมา จะมาทำสงครามเลเซอร์อะไรต่างๆ ไม่ต้องไปกลัวเลย ให้เราวางภาระลง ไว้ที่พระองค์ พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน อาณาจักรนี้ชนะแล้ว

(2) ที่เรายังต้องดำเนินอยู่บนโลกใบนี้   แม้เราจะชนะแล้วก็ตาม  เพราะพระเจ้ายังมอบหมายหน้าที่ให้เราทำอยู่ ในการที่จะเป็นส่วนหนึ่ง ที่จะทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จ ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นส่วนหนึ่งในการแผ่กิ่งก้านสาขา ต้นไม้ใหญ่แห่งความรอดขององค์พระเยซูคริสต์สู่สวรรค์ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าสวรรค์เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่บรรดานกกาเขาจะมาพักอาศัยได้ ให้เป็นที่พักพิงของฝูงนกที่กำลังเหนื่อยและล้ากันในขณะนี้  ให้เขาได้ยินได้ฟัง และนำพาเขาเข้ามาสู่ต้นไม้ต้นนี้ ให้เขาไปหารังต่างๆ บนต้นไม้ต้นนี้อยู่ ไม่ว่าจะรังที่กรุงเทพกรีฑา หรือรังที่ถนนสุขุมวิท หรือรังที่ถนนเพชรบุรี ไปรังไหนก็ได้ ไปอยู่ในรังซะ สงบ คุยกันเรื่องพระเจ้า

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าปีนี้ หรือปีไหนก็ตาม ใครมาขู่อะไร? ข่าวอะไรต่างๆ บอกมาว่าน่ากลัวอย่างนั้น น่ากลัวอย่างนี้ ให้เราวางใจ มอบภาระลงไว้ที่พระเจ้า แล้วเราจะได้พักผ่อนหายเหนื่อยและเป็นสุข ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2017 เรื่อง “New Years พอเพียง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่  1  มกราคม  2017

เรื่อง “New Years พอเพียง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีปีใหม่ ปีนี้ปีระกา ก็คือไก่ จำได้ไหมครับว่าผมเคยพูดว่าไก่ มันทำไมนะ? มันร้องอย่างไงนะไก่ ปกติไก่ทุกเช้ามันจะร้องว่าอย่างไร? ลองร้องสิ ลองดู

“อยู่ก็รกโลก”

เพราะฉะนั้น ปีนี้ ไปที่ไหน เราก็จะเห็นแต่ไก่ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เห็นไก่ ก็เตือนสติตัวเองว่าอย่าอยู่บนโลกนี้ แบบรกโลก เขาไม่ได้ว่าเรา เขาเตือนเราว่าอย่าอยู่ก็รกโลก วันนี้จะไม่อยู่รกโลก เอเมน

ส่วนใหญ่พอมาถึงวันปีใหม่ คนก็มักจะตั้งเป้าหมายประจำปี ทุกปี ท่านทราบไหมครับว่าคนตั้งเป้าหมายตอนปีใหม่มากที่สุด ให้ทาย?  ท่านคิดในใจนะ ถ้าเป็นท่านปีใหม่ปีนี้ท่านจะทำอะไร?

ลดความอ้วน ดูแลสุขภาพให้ดี ออกกำลังกาย กินอาหารให้มีประโยชน์อะไรต่างๆ นี่เป็นเบอร์หนึ่ง เขาพิสูจน์กันมาแล้ว ทุกประเทศ ทุกแห่ง และทุกนานมาแล้ว ก็เป็นอย่างนี้ สมัยอดีต ก็เป็นอย่างนี้ คือตั้งเป้าว่าจะลดความอ้วน จะออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพตัวเอง พอถึงสิ้นปี ทำได้ไหม? ไม่ได้ … ไม่ได้ ก็เลยทำไม? ตั้งใหม่ คนที่ยังไม่ตั้ง ก็มาตั้งเก่า มันก็มากขึ้นทุกวัน ใช่ไหม?

ถามว่าทำไมเขาถึงตั้งกัน เพราะอะไร? เพราะว่าเขารู้ว่าสุขภาพร่างกาย เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา หมายถึงคนเราที่ดูๆ กันอยู่นี้นะ ไม่นับถึงโลกวิญญาณ สุขภาพสำคัญที่สุด ทุกๆ คนก็รู้ แล้วก็ตั้งเป้าไว้ แต่พอถึงเวลา มันไม่ได้ มันต้องมีอะไรบางอย่างที่มาดึงเราออกไป จากความสำคัญนี้แน่ๆ จริงๆ ไม่ได้เกี่ยวกับความสวยความงาม เราไม่ได้ตั้งใจจะลดความอ้วน เพื่อความสวย จริงไหม? จริงๆ เราต้องการลดความอ้วน เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง มากกว่าต่างหาก แต่มีอะไรบางอย่างที่มันใหญ่กว่า สำคัญกว่านั้นหรือ? ที่ทำให้เราไม่ได้สักทีหนึ่ง ว่าจะออกกำลังกาย จากนี้ต่อไปจะออกกำลังกายทุกวัน วันอย่างละน้อยๆ 30 นาที วันที่ 2 มกราคม ก็ทำได้ 30 พอวันที่ 5 ก็เหลือ 20 พอจบเดือนมกราคมไม่ทำแล้ว กลับมาเหมือนเดิม อย่างนี้ มันจะเป็นอย่างนี้ เป็นแล้วเป็นเล่า มันเป็นเพราะอะไร? วันนี้จะมาเปิดเผยท่าน

ท่านรู้ไหมว่าในพระคัมภีร์ พระเยซูสั่งให้เราระวังอะไร? พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้นะ พระเยซูตรัสเอง ลูกา 12:15 ท่านดูว่าจริงไหม?

“จงระวังให้ดี จงระวังตนจากความอ้วนทุกชนิด” ไม่ใช่นะ

“ชีวิตคนเราไม่ได้อยู่ที่การอ้วน หรือผอม” ไม่ใช่อีกแหละ

ลูกา 12:15 พระเยซูบอก “จงระวังให้ดี”

แสดงว่ามันทำไม? มันอันตรายมากสำหรับชีวิตเรา

ลูกา 12:15 “จงระวังให้ดี ระวังตนจากความโลภทุกชนิด ชีวิตคนเราไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพย์สินสิ่งของเหลือเฟือ”

 

แสดงว่าความโลภมันอันตรายมาก มีสิ่งเดียวสิ่งที่พระเยซูตรัสสอนเรา “จงระวัง” ก็คือระวังตรงนี้ ไม่ใช่ระวังว่าจะอ้วน แต่ผอมได้ ก็ดีนะ ไม่ใช่ระวังอย่างอื่น แต่ระวังตรงนี้แหละ และตรงนี้ จะเป็นสาเหตุที่ผมบอกว่าตั้งเป้า แล้วก็ไม่ได้ ตั้งเป้า แล้วก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาไปมัวแต่อยากจะมีสิ่งของเหลือเฟือ “ระวังตนจากความโลภทุกชนิด” เป็นคำเตือน คำตรัสของพระเยซูมาแล้ว 2,000 ปี ยังคงทันสมัย ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้นจริงๆ

ในทางโลก คนมักจะตั้งเป้าหมาย หรือมีความฝันกันว่าจะต้องมีบ้านหลังใหญ่ๆ โตๆ มีเงินทองสะสมเยอะๆ มีชีวิตหรูหราสุขสบาย มีรถขับสบายๆ แล้วก็ทำไม? ทุ่มเททุกอย่างเลย ตั้งแต่เริ่มต้นปี ที่คิดว่าตัวเองจะดูแลตัวเอง ทำอะไร? หาทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกวิถีทาง เพื่อจะได้มาในสิ่งที่ฝันเอาไว้นี่แหละ และเมื่อได้แล้ว ก็บอกกับตัวเอง พอใครได้ สิ้นปี พอได้ตามฝัน ก็บอกว่า …

“ชีวิตนี้ประสบผลสำเร็จแล้ว”

ถูกไหม? พอสิ้นปี การงานเจริญรุ่งเรือง ทุกอย่างดีหมด ทรัพย์สินเงินทองมากขึ้นกว่าเก่า รถก็เปลี่ยนคันใหม่ อย่าว่าแต่เขาพูดตัวเองสำเร็จ คนข้างๆ มองไปยังบอกว่าเขาประสบผลสำเร็จในชีวิต แล้วพระเยซูบอกว่าอย่างไร?

ในทางพระคัมภีร์ พระเยซูบอกว่าเรียกคนเหล่านี้ ที่คิดว่าตัวเองสำเร็จแล้วนี้ว่าอะไร? “โลภ” โลภ คืออยากได้ทรัพย์สิน สิ่งของเหลือเฟือ เรียกว่าโลภ แต่เรามนุษย์เราเรียกว่า “สำเร็จ” เรายังแอบชมคนข้างๆ เลย ปีนี้เขาประสบผลสำเร็จ แต่จริงๆ มันคือโลภ เดี๋ยวเรามาดูรายละเอียดต่อไป คืออะไร?

เพราะความโลภนี่แหละ ที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อย กลายเป็นคนตามที่พระเจ้าส่งไก่มาเตือน ก็คือเป็นคนที่อยู่ไปก็รกโลก เขาเรียกว่าสวนทางคำอวยพรบนโลกนี้เลยนะ สวนทางที่เราได้ยินได้ฟังมาตอนสิ้นปีว่าความสำเร็จ คืออะไร? หน้าหนังสือพิมพ์ก็ลง คนนั้นก็สำเร็จ คนนี้ก็สำเร็จ คนนี้เป็นมหาเศรษฐีเบอร์ 1 จากแต่ก่อนนี้เป็นเบอร์ 5 ตอนนี้มหาเศรษฐีคนนี้เคยเป็นเบอร์ 1 ตอนนี้เป็นเบอร์ 3 กลุ้มใจมากเลย คนเขาชมกันใหญ่เลยว่าประสบผลสำเร็จ แต่เราดูสิว่าพระคัมภีร์ พระเยซูสอนเอาไว้อย่างไร?

เพราะอะไรที่ทำให้คนเราเกิดความโลภ? ก็เพราะว่าเราอยากได้ในสิ่งที่เนื้อหนังความต้องการ ฝ่ายร่างกาย ก็คือฝ่ายบาป เชื้อบาปทางร่างกาย มันอยากได้ แล้วมันพร้อมจะกระทำทุกอย่างที่เรียกว่าบาป ที่เรียกว่าผิด ความโลภจะทำให้เราสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ที่ผิด ที่บาป เพื่อจะได้มาในสิ่งที่ตัวเองฝันเอาไว้ ที่เราต้องการ

คอนเชปในชีวิต ที่เราตั้งเอาไว้ เราอยากได้สิ่งนั้น เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ได้สิ่งนั้น เราจะลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่างเลย  เพื่อจะได้ทรัพย์สมบัติ สิ่งของเหล่านี้เข้ามา เพื่อจะได้คำว่า “ประสบผลสำเร็จ” จากคนข้างเคียง เพื่อจะได้รับคำชม คำว่า “ประสบความสำเร็จ” จากโลกนี้ ที่เขาชมออกมา ใช่ไหม? ถูกไหม? แต่พระเยซูบอกว่านั่นแหละ เรียกว่า “โลภ” และมันอันตรายมากต่อชีวิตของเราเลยทีเดียว

พระคัมภีร์บอกว่าในบรรดาบาปทั้งหลาย “โลภ” ถือเป็นบาปที่รุนแรง ร้ายแรงที่สุด พูดอีกครั้งหนึ่งก็ได้  พระคัมภีร์บอกว่าความโลภ เป็นบาป เป็นความผิดที่ร้ายแรง เกิดผลรุนแรงที่สุด เพราะเป็นต้นเหตุหลัก ที่จะนำไปสู่ความบาปอื่นๆ เยอะแยะมากมายไปหมด การกระทำชั่วร้ายอื่นๆ ไปหมด เกิดขึ้นจากในใจที่มีแต่ความโลภเท่านั้น

เพราะฉะนั้น เราควรที่จะกลัวความโลภมากกว่ากลัวสิ่งอื่นๆ มากกว่ากลัวเจ็บป่วย มากกว่ากลัวมะเร็งอีก กลัวควาโลภดีกว่า เราอาจจะบอกเราอาจจะไปออกกำลังกาย เพื่อจะมีสุขภาพแข็งแรง เพื่อจะหนีจากโรคมะเร็งใช่ไหม? หนีจากโรคร้ายต่างๆ ใช่ไหม? นั่นก็ดีอยู่แล้วนะ แต่ยังดีไม่พอเลย ดีกว่านั้น และดีที่สุด คือท่านต้องหนีจากความโลภ เพราะความโลภนี่รุนแรงที่สุด

ความโลภเปรียบเหมือนอะไรรู้ไหมครับ? พระคัมภีร์บอกว่ารูปเคารพ เหมือนพระเจ้าอีกองค์หนึ่งที่เราไปนมัสการไม่รู้ตัว ที่ทำให้มนุษย์ทุกคน ที่ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักพระเจ้า เป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน ถ้าเจอตัวนี้เข้าไป แพ้ความโลภเข้าไป ทำให้เกิดอะไร? เขาจะมองเห็นคุณค่าของสิ่งของที่อยู่บนโลกนี้มากกว่าพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ มากกว่าพระเยซู มากกว่าพระบิดาของพระเยซู มากกว่าพระเจ้าผู้ทรงประทานความรอดให้กับมนุษย์ทุกคน มากกว่าพระเจ้าผู้ทรงครอบครอง ควบคุมทุกอย่าง กำชีวิตมนุษย์ เขาหนีไปแล้ว เขาไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เขาไปนมัสการ เขาไปกราบไหว้รูปเคารพตนหนึ่ง ที่มองด้วยตาไม่เห็น ที่เรียกว่าความโลภ

พระเยซูสอนอย่างไรในเรื่องนี้ ที่บอกว่าให้ระวังตนจากความโลภทุกชนิด ระวังอย่างไร? ฟังพระเยซูพูดสอนเรานะครับ เจ็บแสบจริงๆ มัทธิว 6:19-21 พูดชัดเจนมากๆ จนกระทั่งไม่ว่าเมื่อไรก็ตามเอาอันนี้มาอ่าน ก็โดนใจทุกปี  ไม่ใช่เฉพาะปีใหม่ปีเดียว วันที่ 1 มกราคมอย่างเดียว ทุกวัน เอามาอ่านทุกวัน ใช่ทุกวัน และมันจริงทุกวัน และมันโดนตลอดไม่ใช่เฉพาะปี 2017 นี้เท่านั้น ตั้งแต่ไม่ถึง 2,000 ก่อนหน้า 2,000 อีก ตั้งแต่ก่อนค.ศ.อีก ตั้งแต่มนุษย์เกิดมาและตกลงไปในความบาป มันก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น พระเยซูเลย รับตรัส สอนเราก่อน เพราะรักเรา กลัวเราจะทำลายชีวิตของตัวเราเอง

มัทธิว 6:19-21 พระเยซูเตือนเรานะครับ สมมติว่าพรเยซูวันนี้มาเจอเรา มาคุยกับเราเรื่องปีใหม่ ขณะที่เรากำลังตั้งเป้าว่าปีหน้าเราจะอันโน้น ปีหน้าเราจะทำอันนี้ เราจะอย่างโน้นอย่างนี้ เรามองดูหนังสือพิมพ์ มองดูคนรอบข้างทั้งโลก คนนี้ก็ประสบผลสำเร็จยิ่งใหญ่ คนนั้นก็ประสบผลสำเร็จยิ่งใหญ่ คนนั้นก็ร่ำรวยมหาศาล คนนี้มีชื่อเสียงเยอะแยะมากมาย เราคงจะตั้งอะไรบางอย่างในชีวิตของเรา ฟังว่าพระเยซูเช้าวันนี้  มาพบเราในตอนเช้าวันปีใหม่ 2017 นี้ แล้วบอกเราว่าอย่างไร? แล้วท่านจะเชื่อไหม? นี่มีพระเยซูมาปรากฏกับท่านเช้าวันนี้ แล้วบอกอย่างนี้ ท่านจะเชื่อไหม? ท่านจะมีกำลังไหม? เชื่อแน่มีกำลังแน่ สมมติว่าตอนนี้พระเยซูกำลังพูดกับท่านอยู่ พระเยซูเช้าวันนี้กำลังพูดกับท่านว่าอย่างไร? ในขณะที่โลกกำลังรุนแรงมากในเรื่องเกี่ยวกับการสะสมทรัพย์สิ่งของ การอยากได้ในสิ่งที่เป็นของโลกนี้ พระเยซูกำลังมาบอกเรา กำชับเราว่าอย่างนี้ว่า …

          มัทธิว 6:19-21 “19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในโลก ที่ซึ่งแมลงและสนิมอาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรอาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้ 20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้ สำหรับตนในสวรรค์ ที่ซึ่งแมลงและสนิมไม่อาจทำลายได้  และที่ซึ่งโจรไม่อาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้ 21 เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย”

 

พระเยซูกำลังพูดกับเรา ตรัสด้วยความรัก ความห่วงใยชีวิตของเรามากเลย ยิ่งนักวัน ยิ่งมากขึ้นทุกวัน แล้วในหนังสือ 1 ยอห์น 12:15 ยังบันทึกไว้อย่างนี้

1 ยอห์น 12:15 “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดา ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น”

 

ก็หมายถึงเขาไม่ได้รักพระเจ้านั่นเอง  อย่าไปโกหกเลยว่ารักพระเจ้า ไม่จริง มันต้องมีอะไรอันหนึ่งอยู่ในใจของคุณ อะไรเบอร์หนึ่ง นั่นแหละ คุณกำลังกราบไหว้สิ่งนั้น พระเจ้าหรือทรัพย์สินเงินทอง พระเจ้าหรือชื่อเสียงเกียรติยศบนโลกใบนี้ พระเจ้าหรือคำอวยพรต่างๆ หรือคำที่เขายกย่องเราต่างๆ ว่าสำเร็จแล้วบนโลกใบนี้ อะไรสำคัญกว่า ท่านให้อะไรสำคัญกว่า

ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน? ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย พระเยซูตรัสกับเราอย่างนี้ บอกเราอย่างนี้ว่านี่คือความจริง ทรัพย์เราอยู่ที่ไหน? ใจเราอยู่ที่นั่น ตอนนี้ใครซื้อรถมาใหม่เมื่อวานนี้ สมมติ หรือซื้อมาเมื่อปีนี้เอง ตอนนี้ บอกท่านว่ารถท่านถูกชนแล้ว ท่านฟังรู้เรื่องไหมเนี้ย? ไม่ต้องรถใหม่หรอก รถเก่าก็ได้ ตอนนี้ มีใครไม่รู้ ไม่ต้องถูกชนเลย มีคนมาขีดรถคุณเป็นรอย ฟังรู้เรื่องไหมเนี้ย นั่นแหละใจท่านอยู่ไหน? อยู่ที่นั่น มันต้องฝึกฝน มันทำได้นะ มันต้องฝึกฝนว่า …

“ช่างมัน ฉันจะอยู่กับพระเจ้า ช่างมัน ฉันจะอยู่กับพระเยซู”

นี่หมายถึงว่าพูดแบบง่ายๆ ก่อนนะ ต้องค่อยๆ เรียนรู้ว่าชีวิตอย่างนี้ทำอย่างไร? ถ้าเราต้องเลือกรักพระเจ้าพระบิดากับรักโลกนี้ คือรักทรัพย์สมบัติในโลกนี้ เราจะเลือกใคร? ถ้ารักทรัพย์สมบัติ ก็ต้องใส่เครื่องหมายคำถามว่ารักพระเจ้าจริงหรือเปล่า? ถามตัวเองนะ อย่าไปถามคนอื่น ถามตัวเอง วันนี้ลองถามตัวเอง ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าเราอยากได้โน่น อยากได้นี่ ลองถามตัวเองว่าความอยากนั้น มันอยากเกินกว่าที่เรามีพระเจ้าอยู่ในตัวไหม? เกินกว่าที่เรามีพระเยซูสถิตอยู่ในใจไหม? เกินกว่าที่เราเป็นลูกพระเจ้าไหมเนี้ย มันเกินกว่าไหม?

คำว่า “เป็นลูกพระเจ้า” กับคำว่า “ร่ำรวย” เราให้อันไหนมีน้ำหนักมากกว่ากันนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประกอบกับช่วงนี้ เป็นช่วงแห่งการตั้งเป้าหมาย แล้วก็เป็นช่วงที่เราได้ยินข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายเยอะแยะไปหมดเลย เรารู้ใช่ไหมว่ามันคืออะไร? มันคือสิ่งที่จะมาล่อเรา มันเหมือนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กำลังประกาศว่า …

“ให้ก็ตามที่ได้ยินเสียงระฆังนี้แล้ว เสียงเพลงนี้แล้ว จงก้มกราบปฏิมากรหรือรูปปั้นทองคำ ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ปั้นขึ้น สมัยบาบิโลน”

ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโกบอกว่า … “ไม่ ฉันไม่กราบไหว้”

คล้ายๆ กัน ตอนนี้มีเสียงกระดิ่งเยอะแยะไปหมดเลย ทุกวันๆ ว่า …

“ถ้าได้ยินเสียงกระดิ่งนี้แล้ว จงกราบสิ ก้มกราบ วิธีรวย วิธีสำเร็จ วิธียอดเยี่ยม ไปๆ”

จะไปหรือไม่ไป?  หรือจะยึดมั่นว่า … “ฉันจะยึดมั่นพระเยซู พระเจ้าของเรา”

ท่านลองคิดดูนะ แม้กระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9  ที่เรารัก ที่เราอาลัยท่าน ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ยิน ได้ฟังบ่อยมากเลย โครงการเยอะแยะมากมาย พระดำรัสของพระองค์เต็มไปหมดเลยที่สอนเรา อะไรบ้างที่สำคัญที่สุด เตือนแล้วๆ เตือนอีก ทำเป็นตัวอย่าง ก็คือเศรษฐกิจ

ถามว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” คืออะไร? ก็คือสิ่งที่ตะกี้นี้ พระเยซูตรัสเตือนนั่นเอง ก็คืออย่าโลภ น่าจะเป็นโอกาสดีที่เราจะตั้งใจเอาจริงเอาจัง ฝึกฝนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ในเรื่องของความไม่โลภ เริ่มตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปอย่างจริงจัง โดยมี 2 พ่อเป็นกำลังใจให้กับเรา คือพระเจ้าผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ และพ่อหลวงของเรา ที่แม้ว่าจะจากเราไป แต่พระดำรัส ความรัก ความห่วงใยของพระองค์ก็ยังอยู่กับเรา ใช้โอกาสนี้ว่าได้กำลังใจจาก 2 พระองค์มาช่วยเราในการที่จะสามารถพบกับความสุขที่แท้จริง

ในหลวง รัชกาลที่ 9 ตรัสสั่งไว้ว่า … “ความพอเพียง คือสิ่งที่จะทำให้คนไทยได้พบกับความสุขที่แท้จริง”

ตรงเป๊ะกับที่พระเยซูเตือนเมื่อตะกี้นี้ พระดำรัสของพระองค์ตอนหนึ่ง ในหลวงตรัสไว้อย่างนี้

“คำว่า “พอ” ก็เพียงพอ … เพียงนี้ก็พอ ดังนั้นเอง … คนเรา ถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย … เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย … ทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภมาก … คนเราก็อยู่เป็นสุข

พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง”

เหมือนในหลวงรัชกาลที่ 9 สรุปให้เราเรียบร้อยเลย  จากที่ตะกี้เราฟังพระเยซูตรัสแล้ว ตอนนี้ในหลวงสรุปให้เรา … เราทำอย่างนี้แหละ มิได้หมายถึงมีของหรูหราไม่ได้ แต่มีไว้ เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า มีไว้เพื่อให้ มีไว้แจกจ่าย มีไว้เพื่ออนุเคราะห์ ผู้คนอื่นๆ ที่เขาลำบากลำบน ไม่ใช่มีไว้เพื่อสนองกิเลสตัณหาตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ มีหรูหรา เพื่อไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่เบียดเบียนคนอื่น แล้วแถมเอื้อเฟือต่อคนอื่น เพราะเรามีมาก เพราะเราทำงานเหนื่อยมาก อดทนมาก ขยันหมั่นเพียร เรามีมาก เราก็แบ่งปันคนอื่น ไม่ใช่เอาไว้ๆ อย่างเดียว

เห็นไหม? สิ่งเหล่านี้โลกไม่ได้สอนเรา สิ่งเหล่านี้ โลกเอาไว้เชิดชูตอนปีใหม่ว่าคนนี้เป็นอย่างนี้ แต่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ตรัสสอนเรา เพราะฉะนั้น ในช่วงปีใหม่นี้ เป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะได้ตั้งใจและเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ ในการทำดี เพื่อพ่อผู้สถิตในสวรรค์ของเรา และเพื่อพ่อหลวงของเรา คือพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชของเรา ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ไม่โลภ ไม่ยึดติดกับทรัพย์สมบัติเงินทองบนโลกนี้ แต่ตั้งใจที่จะสะสมทรัพย์สมบัติของเราไว้ในสวรรค์ เหมือนเพลงที่เราร้องกันบ่อยๆ

“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา            ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้               ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่         ณ ประตูบนวิมาน

และฉันรู้ว่าโลกนี้                 ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

แล้วจะไปห่วงอะไรล่ะ แล้วจะเอาไปทำไมเยอะแยะ ตายไปแล้ว ก็เอาไปไม่ได้ แจกจ่ายใช้ให้ดีที่สุด ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เอเมน

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 7 “เทวรูปทองคำและเตาไฟ (เชื่อแบบไม่หวั่นไหว)” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  ธันวาคม  2016

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 7 “เทวรูปทองคำและเตาไฟ (เชืื่อแบบไม่หวั่นไหว)

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายวันนี้ เป็นตอนที่ 7 ของซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนนี้ ชื่อเรื่องว่า “เทวรูปทองคำและเตาไฟ (เชื่อแบบไม่หวั่นไหว)” เรายังเรียนรู้ชีวิตคริสเตียน จากเรื่องราวของดาเนียลกันอยู่ ครั้งที่แล้ว ดาเนียลได้ทำนายฝันให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าอย่างนี้ว่าแต่ละส่วนของรูปปั้นที่ทำจากวัสดุต่างๆ ก็เล็งถึงอาณาจักรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า ตั้งแต่สมัยที่นิมิตเกิดขึ้น ก็คือเมื่อประมาณ 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด คือก่อนคริสตกาลนั่นเอง และดาเนียลก็ได้ทำนายความฝันอย่างนี้ว่า …

“ศีรษะ” ที่ทำด้วยทองคำ ก็คืออาณาจักรบาบิโลน ของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ที่ได้ทำลายกรุงเยรูซาเล็ม แล้วก็กวาดต้อนชาวยิว มาเป็นเชลย

“หน้าอกและแขน” ที่ทำด้วยเงิน ก็คืออาณาจักรเปอร์เซียที่รุ่งเรืองขึ้นมา ภายหลังจบยุคสมัยของบาบิโลน

“ท้องและต้นขา” ที่เป็นทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงอาณาจักรกรีกที่จะมารบชนะเปอร์เซีย และแผ่ขยายไปทั่วโลก

“ขา” ทำด้วยเหล็ก เล็งถึงอาณาจักรที่ 4 คืออาณาจักรโรมัน ที่พระคัมภีร์บอกว่าแข็งแกร่ง เหมือนเหล็ก ที่จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงให้ยับเยิน

“เท้า” ซึ่งทำด้วยเหล็กผสมดินเหนียวเซรามิก ตรงนี้เล็งถึงยุคที่อาณาจักรโรมัน เริ่มเสื่อมสลาย และแตกแยกกลายเป็นประเทศเล็กๆ ต่างๆ เต็มไปหมดเลย ทั่วยุโรป

คำทำนายฝันของดาเนียล ที่บอกว่าจะเกิดอาณาจักรต่างๆ ที่เราได้ฟังกันและได้เรียนรู้กัน ครั้งที่แล้ว เป็นคำทำนายในยุคบาบิโลน ตอนที่พูดอยู่นี้ ซึ่งในยุคนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าความฝันนี้จะเป็นจริงตามคำทำนายของดาเนียลหรือไม่? ถึงแม้รู้ว่าเป็นลักษณะอย่างไร? ก็ไม่รู้ว่าอันไหนหมายถึงประเทศอะไร? แต่มาถึงวันนี้ ประวัติศาสตร์ก็บันทึกเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ มันเกิดขึ้นแล้ว ตามคำทำนายตามนั้นจริงๆ ทุกยุค ทุกสมัย มาถึงปัจจุบันนี้ ประมาณ 2,600 ปี ตรงตามนั้นหมดเลย  เมื่อตรงอย่างนั้น  จากนี้ต่อไป จนสิ้นยุค คือสิ้นโลกนี้เลย ก็ต้องเป็นจริงตามนั้นด้วย มันจึงน่าตื่นเต้น การที่จะมาศึกษาเรื่องนี้ด้วยกัน เพื่อจะเป็นกำลังใจให้เรา ได้มีความมั่นใจ ในสิ่งที่เรากำลังเชื่อว่าพระเจ้าควบคุม ครอบครองทุกสิ่งในโลกใบนี้

หลังจากสิ้นสุดอาณาจักรทั้ง 4 คือบาบิโลน เปอร์เซีย กรีก และโรมันแล้ว ดาเนียลก็ทำนายต่อว่าจะไม่มีอาณาจักรใดรุ่งเรือง หรือมีอำนาจทั่วโลก เกิดขึ้นอีก จากนั้นมีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้นกระแทกเท้าของรูปปั้นนั้น แตกกระจายแหลก ไม่เหลือร่องรอย หินที่กระแทกรูปปั้นแตกกระจายแหลก เป็นชิ้นๆ ตรงนี้ ในคำทำนายบอกไว้ว่าอย่างนี้ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล นี่คือหนึ่งในจำนวนที่แปลความฝันนี้ ซึ่งเรามานั่งอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้ เรารู้ว่าอาณาจักรที่จะมั่นคงตลอดกาล คืออาณาจักรของพระเยซู Kingdom of Christ กำลังเริ่มฉลองกันปีนี้ ค.ศ.2016 ช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงสัปดาห์ของคริสตมาส เรากำลังฉลองอันนี้ มากขึ้นเรื่อยๆ ฉลอง Kingdom of Jesus Christ ฉลองอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่นิมิตนี้บอกว่าอาณาจักรนี้จะยั่งยืน มั่นคงตลอดกาล มากขึ้นไปอีก

ย้อนกลับไป 2,600 ปีที่แล้ว ที่ดาเนียลกำลังพูดความหมายของนิมิตให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ยินว่าเป็นอย่างนี้ ถ้าเราเป็นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรบาบิโลนที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นมหาอำนาจในสมัยนั้น ไปรบที่ไหนก็ชนะ กวาดต้อนคนเยอะแยะมากมาย มาเป็นเมืองขึ้น แล้วอยู่ๆ ก็มีคนมาทำนายฝันว่าเดี๋ยวอีกไม่นาน จะมีคนมาโค่นล้มราชวงศ์เรา โค่นล้มประเทศเรา แล้วจะขึ้นมาเป็นใหญ่แทนตัวเรา ท่านไม่มีความสุขแน่ ท่านต้องกลัวแน่ๆ จะบอกว่าไม่กลัวหรอก เราไม่เชื่อ  จะไม่เชื่อ ก็ไม่ได้ เพราะว่าดาเนียลทำนายฝันที่เป๊ะๆ เลย ไม่ได้บอกว่าฝันว่าอะไร? แต่พูดถูกหมดเลย

แสดงว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่ามันใช่จริงๆ ก็ยิ่งกังวล กลัวว่ามันจะเป็นไปตามความฝัน เป็นไปตามนิมิตที่ได้รับจากพระเจ้า ผ่านทางดาเนียล เมื่อเชื่อแน่นอนแล้ว ก็ต้องตั้งหลัก

เราย้อนกลับไปดูว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ทำอย่างไรต่อไป เมื่อได้รู้เรื่องนี้ ซึ่งบันทึกไว้ในดาเนียล 3:1-7 ก่อน

ดาเนียล 3:1-7 “1 กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างเทวรูปทองคำ สูงถึง 60 ศอก กว้าง 6 ศอก ตั้งไว้ในที่ราบดูรา ในมณฑลบาบิโลน 2 แล้วทรงให้เรียกเสนาบดี ข้าหลวงภาค ผู้ว่าการ ราชมนตรี ขุนคลัง ผู้พิพากษา ตุลาการ และเจ้าหน้าที่ของทุกมณฑลมาชุมนุม เพื่อร่วมงานฉลองเทวรูป ซึ่งสถาปนาขึ้นนั้น 3 คนเหล่านั้น ก็มาร่วมฉลอง และยืนอยู่หน้าเทวรูป ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างขึ้น 4 แล้วมีเสียงป่าวประกาศว่า “บรรดาพลเมืองทุกชาติทุกภาษา มีพระราชโองการว่า 5 ทันทีที่พวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด จงหมอบกราบลง นมัสการเทวรูปทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สร้างขึ้น 6 ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมหมอบกราบลงนมัสการ จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที” 7 ฉะนั้น ทันทีที่คนทั้งหลาย  ได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ และเสียงดนตรีทุกชนิด พลเมืองทั้งปวง จากทุกชาติทุกภาษา ก็หมอบกราบลง นมัสการเทวรูปทองคำ ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างขึ้น

 

ในคำทำนายฝันของดาเนียล บอกว่าอาณาจักรบาบิโลนของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คือส่วนศีรษะ ที่ทำด้วยทองคำ

อาณาจักรบาบิโลน ก็เปรียบเหมือนทองคำ คือเฟื่องฟูมาก เป็นอาณาจักรแห่งการทำมาค้าขาย  ที่เจริญรุ่งเรืองจริงๆ นี่คือหนึ่งในจำนวนลักษณะที่พระเจ้าบอกว่าในนิมิตนี้ ให้เป็นรูปทองคำ เพราะจริงๆ พระเจ้ากำหนดให้บาบิโลนเป็นอย่างไร? เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นทองคำจริงๆ แต่รูปปั้นที่อยู่ในความฝันของเนบูคัดเนสซาร์นั้น มันมีเฉพาะแค่ส่วนศีรษะเท่านั้น ที่ทำด้วยทองคำ ส่วนอื่นๆ ทำด้วยเงิน ทองแดง และเหล็ก ซึ่งเล็งถึงอาณาจักรอื่นๆ ที่จะมีอำนาจต่อจากบาบิโลน ก็คือจะมาโค่นล้มบาบิโลนนั่นเอง และนี่คือสิ่งที่ทำให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กลัว กลัวว่าหัวจะขาดไป กลัวว่าจะถูกยึดอำนาจ เพราะฉะนั้น ต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อแก้ฝันร้าย หรือแก้เคล็ด

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สร้างเทวรูปทองคำ สูงถึง 60 ศอก กว้าง 6 ศอก 30 เมตรประมาณเกือบๆ 10 ชั้น และมีความกว้าง 3 เมตร ไปที่ไหนก็เห็น ในฝันบอกว่ามีเฉพาะหัวใช่ไหม?

“เพราะฉะนั้น  ฉันทำเป็นทองคำทั้งหมด เพื่อจะได้รู้ว่านี่คือฉัน … ฉันจะไม่ยอมสยบให้ใครเด็ดขาด ฉันชนะ”

“ฉัน เป็นตัวฉันทั้งหมด ไม่ใช่เป็นเงิน ทองแดง และเหล็ก” แก้เคล็ด

พอสร้างเทวรูปเสร็จแล้ว ก็เรียกทุกคนมาร่วมชุมนุมกัน แล้วประกาศว่า …

“บรรดาพลเมืองทุกชาติ ทุกภาษา มีพระราชโองการว่าทันทีที่พวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด จงหมอบกราบลงนมัสการเทวรูป ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สร้างขึ้น  ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมกราบนมัสการ จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที”

สังเกตตรงคำว่า “บรรดาพลเมืองทุกชาติ ทุกภาษา” อย่างที่บอกว่ายุคของบาบิโลน คือยุคของทองคำ ซึ่งจะมีบรรดาเมืองขึ้นเต็มไปหมดเลย เพราะเขาไปตีเมืองได้ชนะเยอะแยะไปหมด ชนชาติ ภาษาอะไรต่างๆ มากมาย เขาก็ต้องการ ให้พวกนี้สิโรราบกับเขา ให้รู้สึกว่าเกรงกลัว กลัวว่าเขาจะไปรวมหัวกัน แล้วขึ้นมากบฏ ขึ้นมาต่อต้าน ไม่เป็นเมืองขึ้นอีกต่อไป เขาก็คิดในใจว่าอาจจะมีประเทศใด ประเทศหนึ่ง หรือกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง รวมหัวกัน ในที่สุด ก็กลายเป็นหน้าอก ที่เป็นรูปเงินนั้นจะมาทำลายบาบิโลน พูดง่ายๆ ตามภาษาไทย เรียกกันว่าตัดไม้ข่มนาว่า …

“อย่าหือนะ ฉันใหญ่มากนะ”

กราบนมัสการ “ก็คือสิโรราบต่อฉันซะ”

นี่คือคำสั่งเด็ดขาด ถ้าใครไม่ทำตาม โยนเข้ากองไฟเลย  เอาตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ ไม่ให้รวมกลุ่มเลย  แค่ต่อต้านนิดหนึ่ง ก็จับโยนเข้ากองไฟ อย่างนี้เป็นต้น เขาก็คิดว่าช่วยได้ ไม่ให้เป็นไปตามข่าวร้าย หรือฝันร้าย ที่เขาได้รับมา

เมื่อดาเนียลทำนายฝัน อย่างถูกต้องแล้ว กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ทำตามสัญญา ให้รางวัลงามและตั้งดาเนียล ให้ดำรงในราชสำนัก แล้วดาเนียลก็ทูลขอกษัตริย์ว่าขอเพื่อนๆ คือชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก  มาช่วยทำงานด้วย กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็แต่งตั้งดาเนียลเป็นเหมือนกับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ แล้วมีเพื่อนๆ อีก 3 คน ดูแลปริมณฑลต่างๆ

ดาเนียลกับเพื่อน 3 คน เป็นชาวยิว ศัตรูร้ายกาจแล้ว พระเจ้ายกขึ้นมา มีหน้าตาดี ได้รับเกียรติได้เรียนรู้ในพระราชวัง สำนักของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คือบาบิโลน จนได้ดิบได้ดี จนได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามารับราชการ เป็นใหญ่เป็นโต ดังนั้น จึงถูกเสนาบดีอื่นๆ อิจฉา เป็นเรื่องธรรมดา มีการทูลเท็จ พยายามเลื่อยขา บางคนอาจจะเป็นอาจารย์ของดาเนียลและเพื่อนๆ ตอนสมัยเริ่มเรียนใหม่ๆ ก็ได้ ท่านลองคิดดูนะว่าชีวิตของดาเนียลกับเพื่อนๆ ทั้ง 3 คนในราชสำนัก คงต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา จะทำอะไรต้องมีแผนการ ตลอดเวลา เพราะมีแต่ปัญหาการเมืองทั้งนั้น ดาเนียลและเพื่อน 3 คน ต้องพึ่งพาในพระเจ้า วางใจในพระเจ้า และขณะเดียวกัน แน่นอนเขาจะต้องถูกจ้องจับผิด  ถูกจ้องใส่ร้าย ถูกจ้องทำร้ายอย่างแน่นอน

คราวนี้มาดูของจริง ดาเนียล 3:8-12 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2,600 ปีที่ผ่านมา

ดาเนียล 3:8-12 “8 ในครั้งนั้น มีโหราจารย์บางคนมาทูลฟ้องกษัตริย์เรื่องชาวยิว 9 พวกเขา  มาทูลเนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอจงทรงพระเจริญ 10 ฝ่าพระบาททรงประกาศพระราชกฤษฎีกาว่าทุกคนที่ได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด  ให้หมอบกราบลงนมัสการเทวรูปทองคำ 11 และผู้ใดที่ไม่ยอมหมอบกราบลงนมัสการ จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที 12 แต่มีชาวยิวบางคน คือชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ที่ฝ่าพระบาททรงแต่งตั้งให้ดูแลมณฑลบาบิโลนนั้น ไม่ยอมทำตามพระบัญชา เขาเหล่านั้น ไม่กราบไหว้เทพเจ้าต่างๆ ของฝ่าพระบาท และไม่ยอมนมัสการเทวรูปทองคำ ที่ฝ่าพระบาททรงสร้างขึ้น”

 

ในโลกนี้ ไม่มีอะไรใหม่เลย คนมีอำนาจ ก็กลัวว่าจะเสียอำนาจ คนที่ทำงานร่วมกัน เขาสูงกว่าก็พยายามที่จะไปเลื่อยขาเขา  มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโกคงจะชิน มาอีกแล้ว

“พระองค์เจ้าข้า เที่ยวนี้จะโปรโมทอะไรอีกล่ะ จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก”

ท่านลองนึกภาพ บางคนก็กำลังคิดใช่ไหมว่าทำไมฟ้องแค่ 3 คน แล้วดาเนียลหายไปไหน? ตอนที่กษัตริย์แต่งตั้งตำแหน่งนี้ ให้แต่งตั้งชัดรัด เมชาค อาเบคเนโก ไปเป็นผู้บริหารที่มณฑลบาบิโลน มณฑลเหมือนต่างจังหวัด ข้างนอกเมือง แต่สำหรับดาเนียล ได้รับการดำรงตำแหน่งในราชสำนัก เหมือนผู้สำเร็จราชการ อยู่ในเมือง และเทวรูปทองคำ ที่ต้องก้มลงกราบ เมื่อมีเสียงดนตรีเกิดขึ้นนี้  ถูกนำไปตั้งไว้ที่ราบ ชื่อว่าดูรา ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของบาบิโลน ซึ่งอยู่นอกเมือง พูดง่ายๆ คือพระเจ้าเขียนบทนี้ ให้ดาเนียลพัก ฉากนี้เป็นของเพื่อนเกลอ 3 คนล้วนๆ ได้แสดงเต็มๆ

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เมื่อได้ยินจากโหราจารย์ว่าเพื่อนทั้ง 3 คนของดาเนียล ไม่ยอมทำตามคำสั่ง ก็โกรธมาก

สั่งให้นำตัว 3 คนนี้มาสอบ มาคุยด้วย พูดตรงๆ ก็ยังเกรงใจดาเนียลและเด็กหนุ่มทั้งสามคนนี้อยู่ เพราะรู้ว่าผู้คนเหล่านี้มีอะไรบางอย่างอยู่ในตัวเขา ที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ ทั้งสติปัญญาด้วย ก็เลยให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้ายกับ 3 เกลอนี้ว่าถ้าได้ยินเสียงดนตรี แล้วก้มกราบนมัสการเทวรูปทองคำของเขา ก็จะปล่อยตัว แต่ถ้ายังขัดขืน ขัดคำสั่ง ไม่ยอมทำตาม ก็จะถูกจับโยนเข้าไปในเตาไฟที่ร้อนแรง เผาทั้งเป็น ดาเนียล 3:13-15 ดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น

ดาเนียล 3:13-15 “13 เนบูคัดเนสซาร์จึงทรงพระพิโรธยิ่งนัก และตรัสสั่งให้นำตัวชัดรัค   เมชาค และอาเบดเนโกมาเข้าเฝ้า 14 แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก จริงหรือที่พวกเจ้าไม่ยอมปรนนิบัติเทพเจ้าของเรา หรือนมัสการเทวรูปทองคำที่เราสร้างขึ้น 15 บัดนี้  หากพวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิดประโคมขึ้นแล้ว ถ้าพวกเจ้าพร้อมที่จะหมอบกราบนมัสการเทวรูปที่เราสร้างขึ้นก็ดี แต่หากพวกเจ้าไม่นมัสการจะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที แล้วเทพเจ้าองค์ใดเล่า จะสามารถช่วยพวกเจ้า  ให้พ้นจากมือเราไปได้?”

 

นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเย่อหยิ่ง จองหองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ หลังจากที่ดาเนียลทำนายฝันอย่างถูกต้องแม่นยำ เนบูคัดเนสซาร์ถึงกับเข่าอ่อน ตรัสว่า …

“พระเจ้าของท่าน ทรงเป็นพระเจ้าเหนือพระทั้งหลายแน่นอน ทรงเป็นจอมราชันย์ และทรงเป็นผู้เปิดเผยความล้ำลึกทั้งมวล เพราะท่านสามารถเปิดเผยความล้ำลึกนี้ได้”

ยกย่องพระเจ้า ยิ่งใหญ่กว่าพระทั้งมวล ตอนกำลังกลัว มาถึงตอนนี้ หลังจากที่ได้สร้างเทวรูปทองคำใหญ่มหึมา มีคนป้อยอมากมายว่าพระองค์เก่ง พระองค์ยอดเยี่ยม เป็นจอมราชันย์ เป็นผู้พิชิต เยอะแยะไปหมด ก็ลืมตัว คงประมาณว่าเราได้แก้เคล็ดแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้ว ทำให้เกิดความเย่อหยิ่งขึ้น ทุกวันได้ออกมาเห็นเทวรูปที่สร้างขึ้นมาเบ้อเริ่มเทิ่ม ก็รู้สึกภูมิใจว่าเป็นสีทองทั้งหมด มันเป็นของเรา เป็นบาบิโลน ไม่มีใครมาล้มล้างได้ มันจะเป็นอย่างนี้ ตลอดไป ราชวงศ์ของเรา ฮึกเหิม ลืมนิมิตที่พระเจ้าได้ประทานให้ครั้งที่แล้ว

ดูข้อ 15 ตรงท้ายๆ บอกว่า …

“แล้วเทพเจ้าองค์ใดเล่า จะสามารถช่วยพวกเจ้า  ให้พ้นจากมือเราไปได้?”

เมื่อไม่นานมานี้บอกว่า “พระเจ้าของเจ้าใหญ่ที่สุดแล้ว”

แต่ตอนนี้บอก “พระเจ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

เขากำลังสบประมาทพระเจ้าของดาเนียลและเพื่อนทั้งสามคนนี้ เขาลืมประโยคแรกในดาเนียล บทที่ 2 ที่บอกว่า …

“ท่าน คือกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าได้ให้ท่านเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ให้ปกครองประเทศอิสราเอลและประเทศทั้งมวล พระเจ้าได้ให้ท่าน”

พระคัมภีร์บอกว่า …

“ความเย่อหยิ่ง นำหน้าความพินาศ”

ความเย่อหยิ่ง ความจองหองนำหน้าความพินาศ คนเราจะเย่อหยิ่งจองหองได้ เมื่อเราประสบความสำเร็จ คนไม่ประสบความสำเร็จ จะไม่มีทางเย่อหยิ่ง เพราะไม่มีโอกาสจะหยิ่ง แต่พอมีอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย มันจะเริ่มหยิ่งในศักดิ์ศรีตัวเอง เรารู้สึก เราช่วยตัวเองได้ เราอยู่คนเดียวก็ได้ เราไม่ต้องพึ่งใครก็ได้ นั่นแหละคือหยิ่ง บางครั้งเราคิดว่า …

“ฉันก็อยู่ของฉันอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าก็ได้ ฉันพอแล้ว ฉันก็ทำดีของฉันไปเรื่อยๆ ก็โอเคแล้ว”

ในทางพระเจ้า เขาเรียกว่าความเย่อหยิ่งชนิดหนึ่งเหมือนกัน และความเย่อหยิ่งนี้นำหน้าความพินาศ คือจะไม่ได้รับสิ่งที่ดี ที่เตรียมไว้ให้กับเขา ชีวิตเราก็เหมือนกัน หลายครั้ง ตอนมารู้จักพระเจ้าปีแรก รักพระเจ้ามาก พระเจ้าช่วยตรงนั้น พระเจ้าช่วยตรงนี้ โรคก็ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ตรงนั้นก็ดี ตรงนี้ก็ดี พอเลยมาสักระยะหนึ่ง ลืมพระเจ้าแล้ว อะไรๆ ก็ตัวฉันหมด ทุกอย่างก็ตัวฉันหมด ลืมพระเจ้าไป ทิ้งพระเจ้าไป

“เอะอะอะไรก็ฉันเอง ฉันเป็นคนทำ ฉันดีเอง ทุกวันนี้ ที่เป็นอย่างนี้ได้ เพราะฉันฉลาด เพราะฉันทำงานเก่ง ขยันหมั่นเพียร อดทน เพราะฉันทั้งหมด”

ลืมพระเจ้าไป นี่ก็คือนำหน้าการพินาศนั่นเอง

นี่คือสิ่งที่สามารถเตือนชีวิตเราได้ด้วย อย่าทำเหมือนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

กลับมาที่เพื่อนของดาเนียล ถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไร?

“ถ้าท่านบอกว่าท่านไม่เชื่อพระเยซู เราจะให้ท่านรอด จะไม่ฆ่าท่าน แต่ถ้าท่านบอกว่าท่านยังเคารพพระเยซูอยู่ ยังเชื่อพระเยซูอยู่ เราจะฆ่า ตัดคอท่านเลย”

ท่านจะตอบว่าอย่างไร?   ในปัจจุบัน  เกิดเหตุอย่างนี้จริงๆ แถวตะวันออกกลาง   จับมิชชั่นนารีหรืออาจจะไม่ใช่ เป็นคนงานธรรมดา แล้วก็บังคับ มีอย่างนี้จริงๆ สมัยโรมันเรืองอำนาจ หลายคนถูกทรมาน เพราะอย่างนี้ ถ้าปฏิเสธพระเยซูก็จะไม่เผาไฟ แต่ไม่ปฏิเสธ ก็จะถูกเผา ย่างบนไม้ แล้วก็เอาฟืนเผาทั้งเป็นเลย นี่ก็ลักษณะเดียวกัน  เรามาดูดาเนียล 3:16-18

ดาเนียล 3:16-18 “16 ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่เนบูคัดเนสซาร์ ข้าพระบาททั้งหลาย ไม่จำเป็นต้องทูลแก้ต่างให้ตนเองต่อฝ่าพระบาทในเรื่องนี้ 17 หากข้าพระบาทถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชน ข้าแต่กษัตริย์ พระเจ้าที่ข้าพระบาททั้งหลายปรนนิบัตินั้น จะทรงกอบกู้ และทรงช่วยข้าพระบาททั้งหลาย ให้พ้นจากเงื้อมพระหัตถ์ของฝ่าพระบาทได้ 18 แต่ถึงแม้ พระองค์ไม่ทรงช่วย ข้าแต่กษัตริย์ ก็ขอฝ่าพระบาททรงทราบเถิดว่าข้าพระบาทจะไม่ยอมปรนนิบัติเทพเจ้าของฝ่าพระบาท หรือนมัสการเทวรูปทองคำที่ทรงตั้งขึ้นเป็นอันขาด”

 

ผมจะเน้นตรงนี้ให้ท่านดูว่าภาษาเดิมตรงนี้ มันแปลว่าอย่างนี้ 3 คนนี้ตอบว่า …

“พระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ พระองค์สามารถช่วย แล้วพระองค์ปรารถนา ที่จะช่วยอยู่แล้ว ให้ข้าพระบาทรอดจากเตาไฟ แต่ถึงแม้พระองค์ไม่สามารถ”

หมายถึงถ้าพระองค์ไม่สามารถช่วย  ก็ยังจะเชื่อพระเจ้าอยู่ดี ก็ไม่กราบรูปเคารพนั้น ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก ยังเป็นเด็กหนุ่มเจริญเติบโตมาจากความเชื่อแบบคนยิว เป็นลูกยิวแท้ๆ ความเชื่อในพระเจ้าของเขาเต็มเลย เชื่อแบบไม่หวั่นไหวในทุกอย่าง มีข่าวมาว่ากองทัพของบาบิโลนมาล้อมเมืองแล้ว เขาคงอธิษฐานกันทั่วเมือง แล้วตัวเขาและครอบครัว คงอธิษฐานกันใหญ่

“พระเจ้ายิ่งใหญ่ๆ พระเจ้าช่วยกู้ได้ พระเจ้าทรงอยู่ด้วยในยามยากลำบาก พระองค์เป็นพระเจ้านิรันดร์ พระองค์จะไม่ทิ้งประชากรของพระองค์”

ขณะที่เขากำลังตื่นเต้น อธิษฐาน วางใจในพระเจ้า เขาก็ได้ยินเสียงโครม ศัตรูพังประตูที่เขาอยู่ด้วยกัน เข้ามาถึงภายใน อาจจะฆ่าหลายคนไป  แล้วก็ลากเอาตัวเขาและเพื่อนๆ ไปเป็นเชลย ขณะที่ถูกต้อนไปบาบิโลน เขาคงคิดตลอด พระเจ้าที่เขาเชื่อตลอดเวลา เขารู้จักตลอดเวลา ทำไมไม่ช่วยเขา  ชาวยิวจะถูกปล่อยให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? เขาคงคิดในใจ ก็เพราะพระเจ้าไม่สามารถช่วยได้ ถ้าพระเจ้าช่วยได้ คงช่วยไปแล้ว เพราะเขาเชื่อในพระเจ้า

เขาจึงตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ถ้าเผื่อพระเจ้าไม่สามารถช่วยนะ ไม่เป็นไร ฉันก็ยังเชื่อพระเจ้าอยู่”

นี่เขาเรียกว่าความเชื่อแบบไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

“ไม่ว่าจะสามารถหรือไม่สามารถ ฉันไม่รู้ ฉันเชื่อในพระองค์ และฉันเชื่อตลอดไป วางใจเลย”

เราถูกสอนมาว่าให้เชื่อพระเจ้า พระองค์ทรงทำได้ทุกสิ่ง นี่เขาบอกว่า …

“แม้กระทั่ง ทำไม่ได้บางสิ่ง ฉันก็ยังเชื่ออยู่”

เลยไปอีก เชื่อแบบสุดไปอีก หลายครั้ง เราคิดว่าพระเจ้าอาจจะทำไม่ได้มั้ง แต่ก็ไม่เป็นไร?  เราเชื่อแล้ว เชื่อเลย ผมยกตัวอย่างให้ ก็เหมือนชีวิตเราหลายคน หลังจากผมเชื่อพระเจ้ามาปีหนึ่ง คุณแม่ก็มาเชื่อพระเจ้า ตอนมาเชื่อที่เป็นมะเร็งอยู่นะ หายเลย คือจะหายหรือไม่หาย เราไม่รู้ แต่อย่างน้อยๆ รู้ว่าไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่มีอาการอะไรต่างๆ เป็นเวลา 10 ปีเต็มๆ ด้วยความสุขสนุกสนานไปเที่ยว ไปต่างจังหวัด ไปต่างประเทศ ไปประกาศ ไปกับผมทุกแห่ง ทุกจังหวัด ขับรถกันไปหลายจังหวัดเลย  เป็นช่วงเวลาที่แม่บอกว่ามีความสุขมากที่สุดเลย รักพระเจ้ามาก คิดดู 60 กว่า 70 เพิ่งมาเชื่อพระเจ้า จะมาเรียนรู้อะไรอย่างเรามากมายนัก แต่เชื่อเพราะเชื่อแล้ว สิ่งหนึ่งที่คุณย่าบอกไว้ จำแม่นเลยว่า …

“ฉันขอกอดขาพระเจ้า”

ก็เหมือนชัดรัด เมชาค อาเบดเนโกพูด …

“ใครจะพูดอะไรไม่รู้ ฉันขอกอดขาไว้ก่อน ฉันไม่คิดอะไรมากมาย ไม่สนใจเลยว่าพระเจ้าทำได้หรือไม่ได้”

นี่แหละความเชื่อแบบกอดขาพระเจ้าเอาไว้ พอ 10 ปีผ่านไป อาการมะเร็ง ก็กลับมาใหม่ ก็มีความทุกข์ยากลำบากเหมือนกัน เจ็บร่างกายเหมือนกัน แต่ก็กอดขาพระเจ้าไว้แน่น ไม่มีหวั่นไหวเลย แม้แต่นิดเดียว คนหวั่นไหว คือพวกเราต่างหาก ที่อยู่ข้างๆ

ผมเลยคิดว่าความเชื่อต้องเป็นลักษณะเดียวกันอย่างนี้ กอดขาพระเจ้าไว้แน่นๆ หลายคนอาจจะบอกคุณย่า หรือมีหลายคนอาจจะบอก หรือบางคนอาจจะคิด …

“ไหนบอกมาเชื่อพระเจ้า หายจากมะเร็ง”

แต่คุณย่าบอก “ไม่รู้ ฉันกอดขาพระเจ้าไว้แล้ว”

ก็ไปหาหมอตามปกติ ไปโรงพยาบาลตามปกติ แล้วท่านก็จากไปด้วยความสงบ ด้วยความเชื่อที่เต็มสมบูรณ์ครบถ้วน ยิ้มไปเลย ในขณะที่ผู้คนรอบข้าง เป็นไปได้อย่างไร? อย่างโน้นอย่างนี้

ชีวิตเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น ฝึกเอาไว้เลย ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ให้มีความเชื่อแบบนี้

“อะไรเกิดขึ้นก็ได้ ฉันจะกอดขาพระเจ้าไว้ให้แน่นๆ ไม่ว่าพระเจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย ไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ทำ  ไม่ว่าพระเจ้าจะมีความสามารถหรือไม่มี ฉันกอดขาพระเจ้าไว้ และเชื่อในพระเจ้า”

บางคนบอกว่ารอให้ท่านเชื่อก่อน พระเจ้าถึงจะทำ ไม่ต้อง ท่านไม่เชื่อเลย พระเจ้าก็ทำได้  เอเมน ท่านอยู่เฉยๆ พระเจ้าก็ทำได้ ต่อให้ไม่เชื่อแถมยังต่อต้านอีก พระเจ้าก็ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้บังคับทุกสิ่ง  และครอบครองทุกอย่าง เป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ทุกสิ่งบนโลกใบนี้อยู่นั่นเอง เอเมน

ท่านไม่มีสิทธิ์ ท่านจะไปสู้อะไรกับพระเจ้าได้ ถ้าใครยอมเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ก็มีสันติสุข มีความสงบสุข ถ้าท่านต่อต้าน ท่านก็ทุกข์ของท่านเอง เหมือนถีบประตักที่พระเยซูบอก ก็แค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น  จงรู้ว่าพระเจ้าทรงควบคุม ทรงครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ทั้งหมด และทุกสถานการณ์ ทุกแผนการ แผนการที่พระองค์ทรงกระทำมี 2 อย่างเท่านั้น นั่นคือ …

  1. เพื่อเป็นเกียรติแด่พระองค์ คือถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
  2. เพื่อผลดีสำหรับใครก็ตามที่ยอมเป็นไปตามน้ำพระทัย ก็คือใครที่เชื่อในพระองค์

แค่นั้นเอง ไม่ว่าท่านจะเห็นว่าเหตุการณ์นั้นมันร้ายต่อชีวิตของเรา ไม่ดีต่อเรา  ไม่ดีต่อคนที่เรารัก 2 สิ่งเท่านั้นเอง ที่ท่านจำไว้ มันเกิดขึ้น เพราะพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้เกิด เพื่อน้ำพระทัยของพระเจ้าจะได้สำเร็จ ถวายเกียรติแด่พระองค์ เพื่อเป็นผลดีสำหรับคนๆ นั้น และเป็นผลดีสำหรับใครก็ตามที่รักในพระองค์ ที่เชื่อในพระองค์ แล้วท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปต่อต้าน ท่านสู้ไม่ได้อยู่แล้ว

ฝากตรงนี้ไว้ว่าถ้าเราขอพระเจ้าทุกวัน ขอพระเจ้าช่วยเรา ให้เรากอดพระเจ้าไว้แน่น มีความเชื่อแบบไม่หวั่นไหวเลย บางครั้งหวั่นไหว ไม่รู้ล่ะ หวั่นไหว ฉันก็ยังเชื่ออยู่ ก็เป็นคน มันก็หวั่นไหว ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก ก็เป็นคน เขาได้เห็นมา บ้านเมือง ครอบครัวถูกทำลาย พ่อแม่อาจจะถูกฆ่า ตัวเขาถูกลากมาเป็นเชลย เขาเห็นกับตา แล้วจะให้เขาบอกว่าพระเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้  เขาบอกไม่ได้ เขาบอก ตอนนั้น พระเจ้าอาจจะทำไม่ได้ เขาอาจจะคิดอย่างนี้ไง

เพราะฉะนั้น ท่านจะพูดอย่างไร ก็พูด แต่ขอให้ท่านเชื่อในพระเจ้าก็แล้วกัน ท่านอาจจะบอก

“ทำไมลูกฉันไม่หายสักที”

“เพราะพระเจ้าไม่เก่งมั้ง”

ไม่เป็นไร พูดไปเถอะ แต่ขอให้ท่านยังเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ และเชื่อในพระองค์ แต่เรื่องนี้พระองค์อาจจะทำไม่ได้ ก็ได้ พูดอย่างนี้ได้ไหม? ได้

“ทำไมพระเจ้าปล่อยให้ฉันอดอยากถึงขนาดนี้ ลำบากลำบน เจ๊งมากี่ครั้งแล้ว ไปไหนก็รู้สึกลำบากลำบน มีแต่เรื่องวุ่นวายทั้งนั้น”

“อ๋อ พระเจ้าอาจจะทำไม่ได้มั้งเรื่องนี้ ตอนนี้ ไม่เป็นไร แต่ฉันเชื่อพระเจ้า ถึงทำไม่ได้ฉันก็เชื่อ แต่ฉันรู้ว่าถ้าพระเจ้าทำได้ พระเจ้าช่วยฉันแน่นอน นี่มันเกิดขึ้น พระเจ้าคงจะทำไม่ได้ ฉันโอเค ขอบคุณพระเจ้า”

ได้หมดทุกอย่าง เห็นไหม? ก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยว่าให้เราเชื่อในพระเจ้า และวางใจในพระเจ้าสุดๆ แบบนี้ แบบไม่หวั่นไหว และสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้บอกไว้แล้วใช่ไหม? อาณาจักรสุดท้าย อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ หินก้อนนั้น ศิลาก้อนนั้น จะกลายเป็นภูเขาก้อนใหญ่ มหึมา ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ เราทั้งหลายคือผู้เชื่อ คือคริสตจักร วางอยู่บนศิลานี้ ศิลานี้เป็นความรอด เป็นความช่วยเหลือ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจของเรา เป็นความแข็งแกร่งของเรา ลมพายุพัดอะไรแรงเท่าไร มันก็จะไม่มีวันล้ม มันจะตั้งยืนอยู่ตลอดไป บนศิลานี้  จงวางใจและเชื่อตรงนั้น แบบนี้ เชื่อแบบไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่นิดเดียว เอเมน

 

**********************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 6 “ความหมายของรูปปั้นในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  พฤศจิกายน  2016

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 6 “ความหมายของรูปปั้นในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็จะเป็นตอนที่ 6 ของซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ชื่อตอนว่า “ความหมายของรูปปั้นในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” ครั้งที่แล้ว ตอนที่ 5 ใช้ชื่อว่า “ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์”

การบรรยายในสัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 5 จบลงตรงที่ว่าดาเนียลทายความฝันได้อย่างถูกต้อง รอดตาย และเริ่มต้นแปลความหมายของความฝันให้กับกษัตริย์  วันนี้เราจะมาเรียนรู้เพิ่มเติม ขยายความให้ละเอียดขึ้นของคำทำนายฝันของดาเนียล เกี่ยวข้องมาถึงพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ในขณะนี้ และต่อไปข้างหน้า อนาคต จนสิ้นยุคเลย จนหมดโลกใบนี้ จนพระเยซูคริสต์กลับมาใหม่อีกครั้ง

เรามาทบทวนความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก่อน เปิดไปที่หนังสือดาเนียล 2:31-35

ดาเนียล 2:31-35 “31 “ข้าแต่กษัตริย์ ฝ่าพระบาทได้ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นมหึมา ตั้งอยู่ต่อหน้า เปล่งประกายเจิดจ้า มีลักษณะน่าครั่นคร้าม 32 ศีรษะของรูปปั้นนั้น ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ หน้าอกและแขน ทำด้วยเงิน ท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์  33 ขาทำด้วยเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดินเหนียว 34 ขณะฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั้น ก็มีหินก้อนหนึ่ง ถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้น กระแทกเท้าของรูปปั้น ซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว แตกกระจาย 35 แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก”

 

นี่คือความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ ที่ฝันและให้ดาเนียลทายว่าฝันว่าอะไร?

นิมิตเป็นเหมือนเรื่องราว พูดง่ายๆ ปัจจุบันคือหนัง แต่เป็นหนังจริงๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต   แล้วพระเจ้าให้มนุษย์ได้รู้ก่อน โดยใช้สื่อ คือเป็นหนังที่อยู่ในความฝันเขา อยู่ในนิมิต บางคนไม่ได้ฝัน แต่เห็นเป็นนิมิต ก็คือหลับตาเห็น ลืมตายังเห็นเลย เวลาติดตามในเรื่องของการฟังคำบรรยาย หรืออ่านพระคัมภีร์ เรื่องเกี่ยวกับนิมิต เกี่ยวกับความฝัน เกี่ยวกับรูปภาพต่างๆ เหล่านั้น ท่านจงนึกภาพว่าพระเจ้ากำลังฉายหนังให้เราเห็น อธิบายเป็นภาษาอะไรลำบาก ก็ฉายเป็นหนังให้เราดู แล้วเราจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

ทั้งหมดนั้น คือภาพยนตร์ นิมิต ความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ ที่พระเจ้าได้ให้ฝันเห็นรูปปั้นขนาดมหึมา ลักษณะน่าเกรงกลัว และรูปปั้น มีศีรษะทำด้วยทองคำ หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ขาทำด้วยเหล็ก เท้าทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ถ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันแค่นี้ ก็คงไม่ต้องกลัวแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เนบูคัดเนสซาร์ตกใจ และบอกว่าเป็นฝันร้าย ก็คือข้อความต่อไปนี้ ที่บอกว่า ..

“ขณะที่ฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั่น ก็มีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้นกระแทกเท้าของรูปปั้น ซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว แตกกระจายไป”

สมมติว่าเรากำลังยืนมองรูปปั้น กำลังพิจารณาส่วนประกอบต่างๆ มีทอง มีเงิน มีดินเหนียว กำลังมองเพลินๆ แล้วกำลังจะตีความฝันด้วยตัวเอง

“ฉันคือรูปปั้นนี้  หมายถึงฉัน ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เพราะฉันเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในขณะนั้น เป็นกษัตริย์สูงสุดแล้ว บาบิโลนเป็นของฉันแล้ว อาณาจักรบาบิโลนใหญ่ที่สุดในโลก”

ในขณะที่ดูเพลินๆ อยู่นั้น ทันทีทันใดนั้น ก็มีก้อนหินก้อนหนึ่งเล็กๆ ค่อยๆ พุ่งลงมา ใหญ่ขึ้นๆ มากระแทกถูกรูปปั้นนี้ กระจุยกระจาย ไม่เหลือซากเลย สะดุ้งเลย โครมเดียว ตกใจตื่น เหงื่อแตก ผมเดาว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝัน ต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ เพราะผมก็เคยฝันอย่างนี้ เหมือนกัน ท่านก็เคยฝันอย่างนี้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เรื่องแบบนี้นะ ฝันอื่นๆ ตอนตกใจ มันต้องมีอะไรบางอย่างทำให้เราตกใจในความฝัน เชื่อว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จึงใช้ชื่อว่าความฝันของเขา เป็นฝันร้ายตกใจกลัว เขาจึงให้โหรมาทำนาย ความฝันนี้สำคัญต่อชีวิตของเขามาก ถ้าทายได้ ให้รางวัลมหาศาลเลย ถ้าทายไม่ได้ ฆ่าให้ตายหมด เพราะอยากรู้จริงๆ ว่าอะไร? ใหญ่ขนาดไหน? ฉันว่าฉันใหญ่แล้ว อะไรมาทำลายฉันถึงขนาดนี้ ฉันจะได้รู้ก่อนล่วงหน้า จะได้ป้องกันได้

มาดูคำทำนายของดาเนียล ที่ตีความหมายของความฝันว่ามันน่ากลัวขนาดนั้นจริงหรือไม่? ตามที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันไว้ เราจะค่อยๆ ดูกันไปทีละส่วน เริ่มต้นเลย ดาเนียล 2:37-38

ดาเนียล 2:37-38 “37 ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกรและเกียรติแก่ฝ่าพระบาท 38 พระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศ ไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น”

 

ดาเนียลทำนายฝันกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าแต่ละส่วนในรูปปั้น ที่ทำมาจากวัสดุต่างๆ นั้น เล็งถึงอาณาจักรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เริ่มต้นจาก …

ศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ก็คืออาณาจักรบาบิโลน ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ที่ทำไม? ที่ได้ทำลายกรุงเยรูซาเล็ม และกวาดต้อนชาวยิวมาเป็นเชลย พระเจ้าได้เผยพระวจนะบอกไว้ล่วงหน้า ก่อนจะเกิดขึ้นจริง บันทึกไว้ในหนังสือเยเรมีย์ 27:5-6

เยเรมีย์ 27:5-6 “5 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสว่า “เราได้สร้างโลก มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ในโลกนี้ โดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ และมือที่เงื้ออยู่ และเรายกสิ่งเหล่านี้  แก่ใครก็ได้ที่เราพอใจ 6 บัดนี้ เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ของเรา แม้แต่สัตว์ป่า เราก็จะทำให้ยอมสยบต่อเขา”

 

พระเจ้าตรัสว่า “เรายกสิ่งเหล่านี้แก่ใครก็ตาม ที่เราพอใจ”

พระเจ้าพอใจ นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ก่อนเหตุการณ์จริงๆ ให้เห็นว่าที่ชาวยิวถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย  ที่บาบิโลน  อย่างหฤโหดนั้น  เป็นเพราะพระเจ้าได้กำหนดไว้ เรียบร้อยแล้ว

คำเผยพระวจนะ ที่สะดุดหูที่สุด คำว่า “เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า”

ก็คือแผ่นดินของชาวยิวทั้งหมด “ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ของเรา”

เวลาพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “โมเสส คือผู้รับใช้ของเรา”

นี่พูดกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ผู้ซึ่งเป็นผู้โหดร้าย  ทำลายประชากรของพระเจ้า แต่พระเจ้าเรียกเขาว่า “ผู้รับใช้ของเรา” พระเจ้าจะใช้ใครก็ได้ หลายครั้งพระเจ้าจะใช้แต่คนดีๆ นะ หรือคนต้องอย่างนี้ อย่างนั้น ตามที่เราคิด เขาอาจจะดีในแง่หนึ่ง พระเจ้าใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ พูดง่ายๆ พระองค์ทรงควบคุมทุกอย่างบนโลกใบนี้อยู่ พระองค์จะใช้ใครก็ได้ ให้เป็นไปตามแผนการของพระองค์ เราไม่รู้ เรามองด้วยตาเราเอง คนนี้โหดร้าย คนนี้ไม่ดี คนนี้ดี เราคิดของเราเองไป

แต่พระเจ้าบอก “เราจะใช้คนนี้ๆๆ       และคนเหล่านี้ ที่ใช้ไปทั้งหมด เพื่อแผนการใหญ่ของฉัน เพื่อประชากรของฉันทุกคนบนโลกใบนี้”

เพื่อทุกคน เพื่อสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย พระเจ้าอาจจะใช้บางอย่างที่ดูแล้ว เหมือนตอนนี้ไม่ดี แต่มันจะเป็นเหตุให้เกิดผลดี สำหรับส่วนรวมในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น เยรูซาเล็มล่มสลาย ด้วยน้ำมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลน เป็นต้น

นี่คือความเสียหาย ที่พระเจ้าเห็นแล้ว เกิดขึ้นกับประชากรของพระองค์ แต่เป็นเรื่องเล็ก เพราะสิ่งนี้จะทำให้เกิดสิ่งที่ใหญ่โตในอนาคต ซึ่งพระเจ้าจะทำให้กับประชากรของพระองค์ทั้งหมดในโลกใบนี้เลย

จากศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ซึ่งหมายถึงอาณาจักรบาบิโลน ต่อมา ก็คือหน้าอกและแขน ที่ทำด้วยเงิน และท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ มาดูว่าหมายถึงอะไร?  ดาเนียล 2:39

ดาเนียล 2:39 “หลังจากฝ่าพระบาทแล้ว จะมีอีกอาณาจักรหนึ่งรุ่งเรืองขึ้นมา แต่ด้อยกว่าของฝ่าพระบาท จากนั้น เป็นอาณาจักรที่สาม คือทองสัมฤทธิ์ ซึ่งจะปกครองทั่วโลก”

 

หน้าอกและแขนที่ทำด้วยเงิน ก็คืออาณาจักรที่จะรุ่งเรืองขึ้นมา หลังจากจบยุคสมัยของอาณาจักรบาบิโลนนั่นเอง  ตอนนั้น เขาไม่รู้หรอก แต่เรารู้แล้ว เราเรียนประวัติศาสตร์มา มันเกิดขึ้นจริงๆ ก็คืออาณาจักรเปอร์เซีย

พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ในคำเผยพระวจนะ ว่าพระเจ้าจะให้อิสราเอลตกอยู่ภายใต้การครอบ- ครองของบาบิโลน เป็นเวลา 70 ปี ให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ต้อนชาวยิวมาเป็นเชลย พอครบ 70 ปีเป๊ะเลยนะ เป็นอิสระ สามารถกลับไปเยรูซาเล็มได้

หลังจาก 70 ปี อาณาจักรบาบิโลนของเนบูคัดเนสซาร์ก็ล่มสลาย ถูกอาณาจักรเปอร์เซียตีแตก  เข้ามาครอบครองแทน ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง พระเจ้าเผยพระวจนะบอกไว้ล่วงหน้า ในเยเรมีย์ 25:12

เยเรมีย์ 25:12 “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาติของเขา ซึ่งก็คือแผ่นดินของชาวบาบิโลน เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขาถูกทิ้งร้างตลอดไป”

 

ตะกี้เราบอกว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เป็นผู้รับใช้พระเจ้า ตอนนี้พระองค์เขียนว่าเราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลน  และชนชาติของเขา

“เราจะลงโทษเขา เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขา ถูกทิ้งร้างตลอดไป”

หมดยุคไปเลย สิ้นชาติไปเลยบาบิโลน จากที่พระเจ้าเคยเรียกกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ผู้รับใช้ของเรา” ตอนนี้ เรียกกษัตริย์เปอร์เซีย มาครอบครองแทน อิสยาห์ 44:28

อิสยาห์ 44:28 “ทรงกล่าวถึงไซรัสว่า ‘เขาเป็นคนเลี้ยงแกะของเรา และจะทำทุกสิ่งให้สำเร็จตามที่เราพอใจ เขาจะกล่าวถึงเยรูซาเล็มว่า “ให้สร้างมันขึ้นใหม่” และกล่าวถึงพระวิหารว่า “ให้วางฐานรากของมัน”

 

นี่คือกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย ที่เข้ามาครอบครองแทนบาบิโลน พระเจ้าให้เขาเป็น “คนเลี้ยงแกะของเรา” เลี้ยงแกะของพระเจ้า คือชนชาติยิวนั่นเอง พระเจ้าให้เปอร์เซียเข้ามาครอบครอง โดยให้กษัตริย์ไซรัสขึ้นมา เป็นคนชอบพอ โปรดปรานชาวยิวที่เป็นผู้อพยพ ถูกกวาดต้อนมาตั้งแต่สมัยบาบิโลน … 70 ปีที่แล้ว ตอนนี้มีลูก มีหลานเยอะแยะแล้ว ก็โปรดปราน ให้ความดีความชอบ จนกระทั่งให้โอกาส ช่วยเหลือชาวยิว ไปตั้งรกราก กลับไปที่เยรูซาเล็มใหม่อีกครั้งหนึ่ง ตามที่พระเจ้าได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมาอยู่ที่นี่

เห็นไหม? พระเจ้าหยิบคนนั้น ใส่คนนี้ จับคนนั้น คนนี้ เรามองอยู่ข้างล่าง จะเอาเดี๋ยวนี้  จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ ถ้าเรามองดูพระเจ้าอย่างเดียว เราคงมีสันติสุข มีความสงบมากกว่านี้

จากนั้น ก็คือท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เป็นอาณาจักรที่ 3 ซึ่งจะครอบครองทั่วโลก ตามนิมิตของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ดาเนียลได้ทำนายฝันไว้

ท้องและต้นขาที่เป็นทองสัมฤทธิ์เล็งถึง … เรารู้แล้ว เพราะเราเรียนประวัติศาสตร์มา ก็คืออาณาจักรกรีก ผู้นำมีชื่อว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช … อเล็กซานเดอร์รบชนะเปอร์เซีย ทำให้กรีกมีราชอาณาจักร ที่กว้างใหญ่ไพศาล ปกครองไปทั่วโลกจริงๆ ตรงตามที่ได้บอกล่วงหน้าไว้ ในพระคัมภีร์ ซึ่งอยู่ในช่วงปี 331 – 168  ก่อนคริสตกาล ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด

คำเผยพระวจนะนิมิตที่ดาเนียลพูดถึง ที่เป็นความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ 600 ปีก่อนพระเยซูมาเกิด พูดง่ายๆ เลยมาครึ่งหนึ่ง เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นจริง ที่อเล็กซานเดอร์มหาราชครอบครอง

คราวนี้มาถึงส่วนสุดท้ายของรูปปั้น ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันถึง ก็คือขา ซึ่งทำด้วยเหล็ก และเท้าทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว เล็งถึงอาณาจักรที่ 4 คือจักรวรรดิโรม

ที่ในนี้บอกว่าแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก ซึ่งจะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงให้ยับเยิน เรารู้เพราะเราเรียนประวัติมาแล้ว อาณาจักรโรมันขึ้นมายิ่งใหญ่มาก แข็งแกร่งมาก เป็นเหล็กจริงๆ ไปที่ไหนยับเยินที่นั่น จริงตามที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้

หลังจากที่อเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ อาณาจักรกรีกก็เริ่มอ่อนแอลง และแยก แตกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย แก่งแย่งชิงดีกัน จนกระทั่งราวปี 168 ก่อนคริสตกาล  168 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด อาณาจักรเหล็ก หรือโรมัน ก็จัดการกรีกย่อยๆ เหล่านั้น จนราบคาบเลย

ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช รบเก่งมาก และนำชนกรีก ไม่เยอะเลยนะ เมื่อเทียบกับเปอร์เซีย ซึ่งครองอำนาจ เป็นมหาอำนาจอยู่ตอนนั้น น้อยกว่าเขาเยอะหลายเท่า แต่ปรากฏว่าเขามีใจที่เด็ดเดียว แข็งแกร่ง เข้มแข็ง และรบเก่ง จึงสามารถที่จะถ่ายทอด อิทธิพลแห่งความมั่นใจ พลังแห่งความเชื่อ หมายถึงความมั่นใจให้กับลูกน้อง แม่ทัพทุกคน ตายเป็นตาย … ตายแล้วได้เกียรติ ดังนั้น ทุกคนจึงมีความมั่นคง มั่นอกมั่นใจ เด็ดเดี่ยวในการต่อสู้ … สู้รบมาก แม้จะมีคนน้อย ก็ทำงานได้เยอะ จึงสามารถถล่มจนเปอร์เซียแพ้ พินาศไป แล้วเขาไม่ได้หยุดแค่นั้น

ทำไมเรียกเขาว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช เพราะเขาเป็นผู้พิชิตทั้งโลก พูดง่ายๆ ใครใหญ่ขึ้นมา เขาจะไปพิชิตหมด ปรากฏว่าเขาเกิดมาเป็นผู้พิชิตจริงๆ  เขาไม่ทำอะไรเลย ไม่วางแผน ไม่เตรียมตัว เรียกว่ากรีกจะเป็นอย่างไรต่อไป บริหารอย่างไร? เขาไปพิชิตอย่างเดียว สู้รบอย่างเดียว สู้ไปเพื่ออะไร? ไม่รู้ เพราะเกิดมาเป็นผู้พิชิต ต้องพิชิต จนกระทั่งไม่มีให้พิชิต เขาเลยเสียใจ กลุ้มใจ เขาบอกว่าเมื่อเขาเป็นผู้พิชิต แล้วไม่มีอะไรให้พิชิต เขาเลยไม่ได้เป็นผู้พิชิต เลยเครียด นี่เรื่องจริง อยากจะไปรบ จนกระทั่งพยายามที่จะเคี่ยวเข็ญซ้ายขวานักรบต่างๆ ที่อยู่กับเขา ให้ไปรบต่อ นักรบเหล่านี้ เหนื่อย รบตั้งนาน ไปรบเพื่ออะไร? หยุดได้แล้ว ลูกเมียไม่เห็นหน้ามาตั้งหลายปีแล้ว พอแล้ว จะรบต่อไป ไม่ยอมหยุด ในที่สุด ถูกปลงพระชนม์ แล้วทหารคนสนิทเหล่านั้น ก็กระจัดกระจายไปตั้งกลุ่มของตัวเอง ก็อ่อนกำลังลง ในที่สุด ก็เป็นอาณาจักรโรมเข้ามาครอบครองแทน

คิดดูนะ สิ่งที่ดาเนียลบอกความฝัน และทำนายความฝันให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ ตามนั้นเป๊ะเลย ถามว่าดาเนียลรู้เองหรือ? เป็นไปไม่ได้เลย ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เน้นให้กับเราว่าพระเจ้า คือผู้ทรงควบคุมและครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกๆ เหตุการณ์ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ทรงเป็นผู้กำกับใหญ่ของโรงละครใหญ่  คือโลกใบนี้  ทั้งสิ้น เอเมน

ผ่านมาแล้ว 4 อาณาจักรตามนิมิต จนมาถึงเท้าที่ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ดาเนียลก็ตีความของความฝันว่าอาณาจักรนี้  จะมีส่วนแข็งแกร่ง  และส่วนที่เปราะบาง  เหมือนดินเหนียว  ดินที่ปั้นเซเรมิก เหล็กผสมกับความเปราะบาง ประชาชนจะผสมผสานกัน แต่ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ดาเนียลบอกไว้อย่างนี้  มาดูว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงไหม?

เท้าที่เป็นเหล็กปนดินเหนียวนั้น เป็นยุคที่อาณาจักรโรมัน ซึ่งเป็นเหล็กเริ่มเสื่อมสลายลง มันไม่ใช่เหล็กแท้ๆ แล้ว มันเป็นเหล็กปนดินเหนียว ปนเซรามิกเข้าไป แล้วแตกแยกเป็นเผ่าๆ เล็กๆ น้อยๆ คืออาณาจักรโรมันเริ่มแตกออก เป็นหลายส่วน

มีการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ และตีความว่าสัญลักษณ์เท้าที่มี 10 นิ้ว ก็คือการแตกแยกของอาณาจักรโรมหรือโรมันเป็น 10 ชนชาติของยุโรปในยุคแรกเริ่ม ซึ่งก็คือ … อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี, ออสโทรโกทส์ ซึ่งต่อมาถูกทำลายไปแล้ว สิ้นประเทศไปแล้ว, สเปน, สวิสเซอร์แลนด์, แวนดัลล์ แอฟาริกาเหนือ ซึ่งต่อมา ก็ถูกทำลายสิ้นชาติไปแล้ว, โปรตุเกส และฮีรูลี หลังจากประมาณสัก 200 ปีหลังจากพระเยซูเกิด ก็สูญหายไปเหมือนกัน นี่คือนักประวัติศาสตร์เป็นคนค้นคว้านะว่าหมายถึงอย่างนั้น อันนี้เราไม่ต้องชัดเจนนัก ไม่ต้องไปเรียนรู้ลึกถึงขนาดนั้น  เอาแค่เห็นชัดๆ ง่ายๆ

นี่คือคำอธิบายเรื่องความหมายของรูปปั้นนั้น ในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงเท้า และหลังจากนั้น ที่ดาเนียลทำนายนิมิตในความฝัน มันไม่ได้หยุดอยู่แค่ หลังจากบาบิโลนหมดไปแล้ว เปอร์เซียหมดไปแล้ว สิ้นสุดกรีกแล้ว สิ้นสุดโรมแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าจะไม่มีอาณาจักรใดรุ่งเรืองและมีอำนาจไปทั่วโลกอีกแล้ว

เพราะในความฝัน บอกว่ามีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้น กระแทกเท้ารูปปั้นนั้น และแตกกระจายไป แหลกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือร่องรอย ไม่เหลืออะไรเลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้นนั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมา ปกคลุมทั่วโลก

ความหมายของหิน ที่มาทำให้รูปปั้นแตกกระจายไป ไม่ได้เป็นหินที่เกิดจากมือมนุษย์ ก็คือเป็นหินที่มาจากพระเจ้า … พระเจ้าส่งหินนี้มาเอง พูดง่ายๆ แล้วหินนี้มาโค่นล้มรูปปั้น จนไม่เหลือร่องรอย อดีตเขาเรียกว่าเป็นแกลบปลิวไปในลม ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน ก็คือไม่เหลือซากเลย  … แล้วหินนั้น ก็กลับกลายเป็นภูเขาปกคลุมไปทั่วโลก ดาเนียล 2:44-45

ดาเนียล 2:44-45 “44 ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้ จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล 45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหินที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำให้แตกกระจาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้ เป็นความจริง และการตีความนี้ ก็เชื่อถือได้”

 

ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้ทั้งหมดทั้งปวง อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดไป  พูดง่ายๆ ว่าในยุคของอาณาจักรโรมัน เขาใช้ชื่อเรียกกษัตริย์ของเขาว่าซีซาร์ หรือจักรพรรดิ์

ในยุคของจักรพรรดิ หลายองค์ของจักรวรรดิโรมัน พระเจ้าจะส่งหินนี้มาในยุคนั้นแหละ ยกตัวอย่าง จักรพรรดิ หรือซีซาร์ หรือกษัตริย์ องค์แรกของจักรวรรดิโรมัน มีชื่อว่าออกัสตัส ที่ออกพระราชกฤษฎีกาให้ผู้คนไปลงทะเบียน ประกาศถึงผู้ที่ครอบครองจักรวรรดิโรมันทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งเยรูซาเล็มด้วย  พระเยซูมาเกิดช่วงนั้นแหละ

สรุปว่าหินที่เป็นลักษณะของอาณาจักรสุดท้าย

ถ้าเอาความหมายตรงนี้ ไปใส่ตรงคำเผยพระวจนะของดาเนียล  ผมจะอ่านให้ท่านฟัง …

“ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้ จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ คืออาณาจักรของพระเยซู จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล เอเมน”

ตอนเริ่มต้นของจักรพรรดิ องค์แรกของจักรวรรดิโรมัน ซึ่งเป็นเหล็ก มีชื่อว่าออกัสตัสนั้น พระเจ้าจะเริ่มตั้งอาณาจักรของพระองค์ขึ้นมา เป็นอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครทำลายล้างได้

หลังจากที่ดาเนียลทำนายฝันทั้งหมด จนถูกเป๊ะเลย บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เข่าอ่อนเลย ดูในดาเนียล 2:46-49

ดาเนียล 2:46-49 “46 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็ทรงทรุดองค์ลงกราบดาเนียล และรับสั่งให้นำเครื่องบูชากับเครื่องหอมมาถวายดาเนียล 47 กษัตริย์ตรัสกับดาเนียลว่า “พระเจ้าของท่าน ทรงเป็นพระเจ้าเหนือพระทั้งหลายแน่นอน ทรงเป็นจอมราชัน และทรงเป็นผู้เปิดเผยความล้ำลึกทั้งมวล เพราะท่านสามารถเปิดเผยความล้ำลึกนี้ได้” 48 แล้วกษัตริย์ทรงแต่งตั้งดาเนียล ให้ดำรงตำแหน่งสูง และประทานบำเหน็จรางวัลมากมาย ทรงตั้งให้ปกครองบาบิโลนทั้งมณฑล และให้ดูแลปราชญ์ทั้งปวงของบาบิโลน 49 ยิ่งกว่านั้น กษัตริย์ทรงแต่งตั้งชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ให้เป็นผู้บริหารมณฑลบาบิโลน  ตามที่ดาเนียลทูลขอ ส่วนดาเนียลเอง อยู่ที่ราชสำนัก”

 

หลังจากที่ทำนายฝันเสร็จปุ๊บ  เรารู้ทันทีว่าถูกต้องแน่ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เข่าอ่อนเลย เพราะตกใจมาก ทำไม ยอดเยี่ยมขนาดนี้  เขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาจึงนึกว่าดาเนียล คือพระเจ้ายกย่องดาเนียลมาก

สิ่งที่ทายมาทั้งหมด มันตรงเป๊ะ ตามที่เขาฝันเลย เนบูคัดเนสซาร์เชื่อทันทีว่าสิ่งล้ำลึกเหล่านี้ คำเผยพระวจนะเหล่านี้มาจากพระเจ้าแน่ๆ เขานึกว่าดาเนียล คือพระเจ้าเดินบนโลกใบนี้แหละ ในพระคัมภีร์เขียนไว้ กราบดาเนียล ไม่ใช่กราบพระเจ้า และให้รางวัลดาเนียลอย่างมากมาย เป็นผู้ทรงอำนาจอิทธิพลสูงสุด รองจากกษัตริย์อีกทีหนึ่ง คือเบอร์ 2 พอได้ปุ๊บ ดาเนียลหันไปหาข้างๆ ชัดรัด, เมชาค และอาเบคเนโก เป็นรองผู้บังคับการใหญ่ของมหาอำนาจบาบิโลนที่ใหญ่สูงสุด สรุปแล้วยิวมีอิทธิพลในบาบิโลนนี้  อยู่ไปอีก 70 ปี ยังพออยู่ได้ ท่านพอมองเห็นไหมว่าพระเจ้าทำอะไร? บอกแล้วว่าพระเจ้าสร้างสถานการณ์ … สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ … วีรบุรุษอย่าเย่อหยิ่ง อยู่เฉยๆ เพราะไม่ใช่เธอทำหรอก พระเจ้าเป็นผู้ทำ ถ้าวีรบุรุษเย่อหยิ่ง เดี๋ยวโดน  พระคัมภีร์จึงบอกว่าความเย่อหยิ่งนำหน้า ความพินาศ

เราย้อนกลับมาดูคำทำนายของดาเนียล สิ่งสำคัญตรงนั้น ก็คือก้อนหิน อาณาจักรสุดท้ายในรูปปั้น ปฏิมากรนั้น เรื่องก้อนหินที่บอกว่าเล็งถึงพระเยซู ซึ่งทั้งพระคัมภีร์เดิม พระคัมภีร์ใหม่ มีเยอะแยะมากมาย ที่สอดคล้องกับคำทำนายนี้ว่าพระเยซู คือ “ศิลา” ก็คือหินนั้น

ภาษาฮีบรู ในพระคัมภีร์เดิม เมื่อมีการกล่าวถึงพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์สัญญาว่าจะส่งมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป พระคัมภีร์หลายแห่งใช้คำว่าหิน ศิลา เพื่อเล็งถึงพระมาซีฮาห์ หรือพระเมซียาห์ ที่บันทึกไว้ในหนังสือพระคัมภีร์เดิม ส่วนใหญ่จะใช้คำนี้แทนทั้งหมด เล็งถึงผู้ที่กำลังจะเสด็จมาช่วยมนุษย์  คือพระมาซีฮาห์นั้น  ใช้คำว่า “หิน” แทน ยกตัวอย่างเช่น ในหนังสืออิสยาห์ 26:16 ได้บันทึกไว้

อิสยาห์ 26:16 “ฉะนั้น พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต ตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เราวางศิลาก้อนหนึ่ง  ไว้ในศิโยน เป็นศิลามุมเอกล้ำค่า เหมาะเป็นรากฐานอันมั่นคง ผู้ที่วางใจจะไม่มีวันท้อแท้”

 

ศิลา คือพระเยซู ศิลามุมเอก หมายถึงเสาที่สำคัญ หินก้อนที่สำคัญที่สุดของอาคารหลังนั้น เราเรียกว่าศิลามุมเอก ในหนังสือสดุดี ก็มี ยกตัวอย่างให้เห็น สดุดี 118:19-23

สดุดี 118:19-23 “19 จงเปิดประตูแห่งความชอบธรรมให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเข้าไป และถวายคำขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า 20 นี่คือประตูขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ชอบธรรมจะเข้าไปทางประตูนี้ 21 ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ พระองค์ทรงมาเป็นความรอดของข้าพระองค์ 22 ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้ กลับกลายเป็นศิลามุมเอก 23 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการนี้  เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา”

 

“ความชอบธรรม” คือการพ้นจากบาป … บาป คือผู้ไม่ชอบธรรม ได้ถูกชำระให้เป็นผู้ชอบธรรม โดยศิลานี้ ก็คือโดยพระเยซู เป็นศิลามุมเอกนั่นเอง พระเจ้าได้ทรงกระทำการนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา เอเมน จากคนบาป ผ่านพระเยซูได้กลายเป็นผู้ชอบธรรม มหัศจรรย์ ยิ่งใหญ่มาก และพระเยซูตอนที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ตอนที่พระเยซูมาเกิดแล้ว หลังจากที่ดาเนียลได้ทำนายความฝันให้กับเนบูคัดเนสซาร์ ในนิมิตนี้ และแปลความฝันเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นมาประมาณ 600 ปี พระเยซู คือหินก้อนนั้น มาเกิดในยุคของเหล็ก คือโรมัน

แล้วพระเยซูก็พูดถึงตนเองว่าเป็นหินก้อนนั้นแหละ พระองค์ได้พูดถึงคำเผยพระวจนะนั้น ที่พูดถึงพระมาซีฮาห์ ก็คือศิลานี้ ศิลามุมเอกที่คนขว้างทิ้ง ที่คนไม่ต้อนรับ คนปฏิเสธ คนต่อต้าน เป็นศัตรูกับพระเยซู ตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้  ผมจะพาท่านไปดู แล้วท่านจะเห็นความอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ในนิมิตนี้ ที่ดาเนียลได้ผ่านทางพระเจ้าบอกเขา ให้มาบอกเราทุกคน บอกใครก็ตามที่พระเจ้าเรียกมาให้รู้จักพระองค์ ตั้งแต่สมัยโน้นจนถึงสมัยนี้ ให้มีความเชื่อวางใจในพระองค์เถิดว่าจบแล้ว พระองค์ชนะอย่างไร? แล้วเราอยู่ฝ่ายชนะอย่างไรบ้าง? ฟังพระเยซูพูด ในมัทธิว 21:33-43 พระเยซูกำลังพูดถึงอุปมาในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ พูดง่ายๆ เกี่ยวกับเรื่องความชอบธรรมที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ สวรรค์ ก็คือผู้ชอบธรรม ผู้ที่พ้นจากบาป จึงจะเข้าไปอยู่ได้นั่นเอง พระเยซูยกเป็นอุปมาให้ฟาริสีฟัง ผู้นำทางศาสนา ผู้ที่สะดุดก้อนหินนี้ ไม่รับก้อนหินนี้ ไม่เชื่อในก้อนหินนี้ เป็นศัตรูกับก้อนหินนี้ เป็นศัตรูกับพระเยซู ดูสิว่าพระเยซูสอนเขาอย่างไรบ้าง? มัทธิว 21:33-43 บอกอย่างนี้ …

มัทธิว 21:33-43 “33 จงฟังคำอุปมาอีกเรื่อง คือเจ้าของสวนแห่งหนึ่งทำสวนองุ่น เขาล้อมรั้วกั้นสวน สกัดบ่อย่ำองุ่น และสร้างหอไว้เฝ้า จากนั้นให้ชาวสวนเช่าแล้วเดินทางจากไปต่างแดน 34 เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวเขาก็ส่งคนรับใช้ไปหาผู้เช่า เพื่อรับผลผลิตของเขา  35 “พวกผู้เช่าก็จับเหล่าคนรับใช้ของเขามาทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง และเอาหินขว้างคนที่สามจนตาย 36 เจ้าของสวนจึงส่งคนไปอีก มากยิ่งกว่าครั้งแรก แต่ก็ถูกผู้เช่าเล่นงานเหมือนครั้งก่อน 37 สุดท้ายเจ้าของสวนส่งลูกชายไปหาพวกเขากล่าวว่า ‘พวกเขาคงจะเคารพบุตรของเรา’ 38 “แต่เมื่อผู้เช่าเห็นลูกชายเจ้าของสวนก็พูดกันว่า ‘นี่ไงทายาท ให้เราฆ่าเขา แล้วยึดเอามรดกของเขา’ 39 พวกนั้นจึงจับลูกชายเจ้าของสวนองุ่น โยนออกมานอกสวน แล้วฆ่าเสีย  40 “เหตุฉะนั้น เมื่อเจ้าของสวนองุ่นมา  เขาจะทำอย่างไรกับผู้เช่าเหล่านั้นดี?” 41 พวกเขาทูลตอบว่า “เจ้าของสวนย่อมจะจัดการกับคนเลวๆ เช่นนั้นอย่างสาสม และให้ผู้เช่ารายอื่นที่ยอมส่งส่วนแบ่งของผลผลิตให้เขา เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวมาเช่าสวนองุ่นนี้” 42 พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า  “พวกท่านไม่เคยอ่านพระคัมภีร์หรือที่ว่า  “‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการนี้  เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา 43 “ฉะนั้น เราบอกท่านว่าอาณาจักรของพระเจ้า จะถูกริบไปจากท่าน และยกให้แก่ชนชาติที่จะผลิตผลของมัน”

 

ท่านคิดดู ผู้นำทางศาสนา ฟาริสีต่างๆ เหล่านั้น เขาทำอะไร? ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ส่งมา ไม่ว่าเป็นโมเสส อาโรน ผู้เผยพระวจนะอีกเยอะแยะ ผู้นำศาสนา ที่คิดว่าตัวเองเคร่งศาสนาเหล่านี้ จริงๆ แล้วแอบแฝงไปด้วยความอยากจะเป็นใหญ่ ต่อต้านผู้รับใช้พระเจ้าทั้งนั้น กลั่นแกล้งบ้าง ฆ่าบ้าง ในอุปมานี้ พระเยซูบอกว่า …

“พระเจ้าเลยบอก โอเค ส่งลูกชายไป  เขาอาจจะเห็นเป็นลูก เขาจะได้เกรงใจบ้าง?”

ปรากฏว่าส่งพระเยซูลงมา พระเยซู เป็นพระบุตร เป็นลูกชายจริงๆ  ก่อนหน้านี้ โมเสส อาโรน ก็เป็นผู้รับใช้เฉยๆ เป็นคนธรรมดา นี่ส่งพระเยซูลงมานะ แทนที่จะ … ลูกเจ้าของสวน ลูกของโลกใบนี้ ลูกของพระเจ้า มายิ่งใหญ่ เป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด สรรพสิ่งและผู้คนทั้งหลาย ก็เป็นของพระองค์ นี่เจ้าของมาเองนะ แทนที่จะให้เกียรติ กลับฆ่าตายเลย ไม่ใช่เป็นศัตรูอย่างเดียว แอบฆ่า แล้วนึกในใจว่า …

“ฆ่าเสีย จะได้ยึดให้หมดเลย”

เมื่อเป็นอย่างนี้ เจ้าของสวนก็จัดการไล่พวกนี้ออกไปซะ แล้วก็ริบสิ่งของทั้งหมด ไม่ให้ดูแล้ว ดูเอง อาณาจักรทั้งหมดนี้  คือโลกใบนี้ เอามาดูเองหมดเลย แล้วยกให้ใคร? อาณาจักรสวรรค์ ยกให้ใคร?

ในนี้ใช้คำว่า “ยกให้แก่ชนชาติที่จะผลิตผลของมัน” พูดง่ายๆ แทนที่จะเป็นของคนยิวอย่างเดียว เป็นของพวกเราด้วย เพราะชาวยิวเป็นอย่างนี้  พระเยซูตรัสว่า …

“ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้ กลายเป็นศิลามุมเอก องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการอัศจรรย์ในสายตาของเรา”

จากสดุดีเมื่อตะกี้ พระเยซูได้อ้างตรงนี้ขึ้นมาว่า …

“ศิลานี้ ท่านไม่เอาใช่ไหม? ไม่เป็นไร เราจะไปให้คนอื่น”

ก็คือพวกเราทั้งหลายที่จะเกิดผลจากสวรรค์ จากศิลานี้ คือคนที่มาเชื่อ ในพระเยซู … พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็นลำต้น และเราเป็นกิ่ง  ไม่มีทางที่กิ่งจะออกผลด้วยตัวของมันเอง มันจะต้องมาต่อกับลำต้น ก็คือพระเยซูนั่นเอง  พูดง่ายๆ ว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ที่เรียกว่าบัพติศมา หรือการฝังรากลึกเข้าในตัวพระองค์ เมื่อเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อไร? เราก็เกิดเป็นผลขึ้นมาทันที ผลนั่นแหละ ได้รับสวรรค์ ได้รับความชอบธรรมนี้ไป เพราะฉะนั้น สวรรค์เป็นของเรา

สรุป นิมิตที่บอกล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ สมัยที่พูดนี้ คือ 600 ปีก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด และมันก็เกิดขึ้นตามนั้นหมดแล้ว ในที่สุดอาณาจักรสวรรค์นี้ก็จะถูกมอบให้กับพวกเรา ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกวัน ไปจนถึงวันสุดท้าย จากนิมิตที่บอกว่าจากหินก้อนหนึ่ง ที่กระแทกถูกรูปปั้น จนแหลกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือร่องรอย ได้กลายเป็นภูเขา ค่อยๆ โตขึ้น ก็หมายถึงพวกเราที่ได้ก่อตั้งบนศิลานี้ บนพระเยซูนี้ ผู้เชื่อทุกคนที่ถูกก่อตั้งบนศิลานี้ เราต่างคน ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของภูเขานี้ ภูเขาที่เรียกว่าศิโยนของพระเจ้า โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก เป็นฐาน ก็หมายถึงคริสตจักร

พระเยซูบอก “เราจะสร้างคริสตจักร และความตายจะไม่มีอำนาจ ไม่มีชัยเหนือคริสตจักรนี้ได้เลย”

เราทุกคนต่างก็เป็นหินก้อนเล็ก ก้อนน้อยจากที่ต่างๆ เพราะฉะนั้น เวลาเราไปไหน เราก็มีอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเราเดินไปด้วย อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ในใจของท่าน พระเยซูบอก พอเราเชื่อปุ๊บ อาณาจักรของพระเจ้าก็มาอยู่ในตัวเรา  ทุกวันนี้ อาณาจักรของพระเจ้าขยายไป ทั่วโลก ดั่งที่พระคัมภีร์ ที่เราได้เรียนรู้กันในคำทำนายนี้ ที่ดาเนียลได้บอกไว้ 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์มาเกิดจริงๆ บอกว่ามันเป๊ะเลย

เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว อย่ากลัว ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แม้ว่าจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา หรือโลกใบนี้ก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ อยู่ที่ตรงไหนก็ตาม รู้สึกน่ากลัว ไม่ต้องกลัว อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง เหตุการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้ หรือในที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ หรือในชีวิตเรา อาจจะดูเหมือนเลวร้าย ท่านเห็นตัวอย่างที่เราเรียนรู้มา ไม่ต้องกังวล พระเจ้าทรงควบคุมดูแลอยู่ พระเจ้าองค์นี้ ยิ่งใหญ่สูงสุด และทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง และดูแลทุกอย่างได้ ถ้าเราเรียนมาทั้งหมดนี้ ตามนิมิตนี้มันตรงหมด  เพราะฉะนั้น ที่เหลือมันก็ตรงด้วย ก็คือพระเจ้าได้รับชัยชนะ และเราอยู่ในพระเจ้า เราก็ได้รับชัยชนะไปด้วย พระเยซูได้รับชัยชนะนิรันดร์กาล เราก็อยู่ในพระเยซู เราก็ได้รับชัยชนะนี้ นิรันดร์กาล เราจะได้ครอบครองกับพระองค์นิรันดร์กาล เราได้รับความรอด เพราะเราอยู่ในศิลานี้ ศิลานี้คือพระเยซูคริสต์        ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 5 “ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  พฤศจิกายน  2016

เรื่อง  “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 5 “ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เราจะกลับมาสู่การบรรยายในซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนนี้ตอนที่ 5 ห่างไปนาน จนบางท่าน ไม่รู้ว่าเราบรรยายกันเรื่องอะไร?

ที่ผ่านมา 4 ตอน  เราได้เรียนรู้จักเรื่องของดาเนียล ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตแบบวางใจในพระเจ้าสุดๆ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกสถานการณ์ ซึ่งผมได้เปรียบเทียบไว้ว่าโลกนี้เปรียบเหมือน โรงละคร ที่มนุษย์ทุกคนเป็นตัวแสดง บางคนก็เป็นพระเอก บางคนก็เป็นตัวร้าย นางร้าย บางคนก็เป็นนางรอง บางคนก็เป็นตัวอิจฉา ผสมผสานกัน แต่ไม่ว่าใครจะแสดงเป็นตัวอะไรก็ตาม ก็จะมีผู้กำกับละคร ที่คอยควบคุมกำกับการแสดงของทุกคน และผู้กำกับผู้นี้ เรารู้จักกันดี ก็คือพระเจ้า

เรื่องราวที่เราเรียนรู้จากหนังสือดาเนียลนี้ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตัวอย่างของนักแสดงที่ดี ที่เชื่อฟัง และยอมทำตามผู้กำกับทุกอย่าง

มาทบทวนกันสักนิดว่าเราทิ้งท้ายกันไว้ตรงไหน? พระคัมภีร์ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ถ้าท่านเรียนรู้ไปเรื่อยๆ แล้วพระเจ้าเปิดเผยให้ท่านรู้ความจริงไปเรื่อยๆ มันไม่สามารถที่จะมาเปิดอ่าน แล้วก็เรียนรู้เฉยๆ ได้ พระคัมภีร์นี้จะต้องเรียนรู้ด้วยการอธิษฐานเท่านั้น หมายถึงอ่านด้วย และอธิษฐานไปด้วย วันแล้ววันเล่า พระเจ้าจะสำแดงให้กับท่าน เขาเรียกว่านิมิต จะเปิดเผยความจริงให้กับท่านมากขึ้นทุกวันๆ ผู้ใดแสวงหา ผู้นั้นก็พบ  ผู้ใดเคาะ ผู้นั้น ก็ถูกเปิดออกให้กับเขา ผู้ใดขอ ผู้นั้นก็จะได้รับ ทั้งหมดนี้ เป็นต่อเนื่อง ก็คือผู้ใดขอ … ขออยู่เรื่อยๆ เขาก็ได้รับอยู่เรื่อยๆ ผู้ใดเคาะ แล้วก็เคาะอยู่เรื่อยๆ เขาก็จะได้รับ การเปิดให้เขาอยู่เรื่อยๆ ผู้ใดแสวงหาอยู่เรื่อยๆ ก็จะพบสิ่งที่เขาแสวงหาอยู่เรื่อยๆ ถ้าตัดคำว่า “เรื่อยๆ” ออกไป แสวงหาครั้งเดียว ก็ได้รับครั้งเดียว อยากรู้เยอะ ก็ต้องแสวงหาบ่อยๆ ผู้ใดที่เปิดพระคัมภีร์อ่านทุกวัน อธิษฐานทุกวัน ขอพระเจ้าเมตตา เรื่องนี้ให้เราทราบ ก็จะถูกเปิดให้กับเขารู้เรื่องทุกวัน … ทุกวันๆ ผู้ใดที่เปิดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็จะเปิดให้เขา 1 ครั้ง พระองค์สัตย์ซื่อ ไม่บังคับเรา  … เราเข้ามาครั้งเดียว ขอครั้งเดียว ก็ให้ครั้งเดียว แต่ถ้าเราขอทุกวัน ได้ทุกวัน  ขอก็ได้ พระเจ้าให้เสมอ เอเมน

ต้องทำทุกวัน  ครั้งแรกๆ มันจะไม่รู้เรื่องหรอก ถ้ารู้เรื่องหมด ก็ไม่ใช่เรื่องพระเจ้า เพราะพระคัมภีร์บอก เรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องวิญญาณ พระองค์เป็นวิญญาณ เราต้องเข้ามาหาพระองค์ ด้วยความเชื่อนี้ ในวิญญาณ อธิษฐานกับพระองค์ แล้วอ่านไปๆ แล้วก็อธิษฐานไป  เดี๋ยวก็รู้เอง

เรื่องราวของหนังสือดาเนียล ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ เป็นประวัติศาสตร์ ไม่ใช่นวนิยายที่เขียนขึ้นมา พระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นประวัติศาสตร์ สามารถคิด ค้นหาหลักฐาน และย้อนกลับไปได้จริงๆ เป็นประวัติศาสตร์ในช่วงประมาณ 600 ปีก่อนคริสตศักราช พูดง่ายๆ ก่อนพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งชาวยิวถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ที่เมืองบาบิโลน ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ดาเนียลกับเพื่อนอีก 3 คน ก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยด้วย แล้วดาเนียลกับเพื่อนก็ได้รับคัดเลือก ถูกส่งตัวไปฝึกฝนวิชาโหราศาสตร์ คาถาอาคมของบาบิโลน เพื่อเตรียมตัวจะรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ในวัง เข้าไปรวมอยู่กับนักปราชญ์ของชาวบาบิโลน

เราได้เรียนรู้จักชีวิตของดาเนียลในช่วงนี้ ที่พระคัมภีร์บอกว่าดาเนียลเป็นคนสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า และวางใจในพระเจ้ามาก หลายครั้งที่ต้องเผชิญกับการทดลอง ต้องเรียนรู้เรื่องคาถาอาคม ต้องฝึกที่จะอยู่ในวิถีชีวิตของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แล้วต้องเรียนรู้ขนบธรรมเนียมของบาบิโลนอีกด้วย ภายนอกเราดูเหมือนว่าเขาและเพื่อนๆ อ่อน ผ่อนตามชาวโลก ก็ไปเรียนสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งไม่ควรจะไปเรียน  แต่ภายในดาเนียลและเพื่อนๆ ยืนหยัดในความเชื่อ ยังคงวางใจและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง เราได้เรียนรู้ตรงนี้ไปแล้ว อย่างนั้นจริงๆ ภายนอกกับภายในต่างกันเยอะเลย

และหลังจากที่เรียนรู้เรื่องตำราโหราศาสตร์ของชาวบาบิโลน มาได้สักพักหนึ่ง อยู่ๆ วันหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เกิดความฝันประหลาด ไม่ใช่ประหลาดธรรมดา เขาเรียกว่าฝันร้าย ตื่นขึ้นมาตกใจ เหงื่อแตก กลัวมากเลย แล้วก็เรียกให้เหล่าโหราจารย์ และนักปราชญ์ในวังมาทำนายฝันให้ แต่แทนที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จะเล่าความฝันของตัวเอง ให้พวกโหรแปล ปรากฏว่าครั้งนี้กษัตริย์ไม่ยอมเล่าความฝันให้ฟัง แต่บอกว่าให้พวกโหรเป็นคนทำนายก่อนว่าพระองค์ฝันว่าอะไร? แล้วค่อยแปลความฝันนั้น ถ้าสามารถทายได้ ก็ให้รางวัล ถ้าทายไม่ได้ก็จะฆ่าให้ตายทั้งหมดเลย บรรดาโหราจารย์ทั้งหลาย ไม่มีใครทำได้เลย  แล้วก็ตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า …

“สิ่งที่พระองค์ให้ทำนี้ ยากเกินวิสัยมนุษย์จะทำได้ มีแต่เทพเจ้าเท่านั้น จะบอกได้ และเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์”  ในดาเนียล 2:11 ที่บันทึกไว้

เทพเจ้า หมายถึงรูปเคารพต่างๆ ที่บรรดาชาวบาบิโลนเขานับถืออยู่

พวกโหราจารย์ไม่มีใครสามารถทายฝันได้ เนบูคัดเนสซาร์ก็เลยโกรธมาก เรียกให้นำตัวโหราจารย์และนักปราชญ์ทั้งหมด ไปประหารชีวิต ซึ่งหมายถึง รวมทั้งดาเนียลกับเพื่อนด้วย เพราะเข้าไปอยู่ในกลุ่มบรรดานักปราชญ์ไปเรียบร้อยแล้ว

พอดาเนียลรู้ตัวว่ากำลังจะถูกเอาไปประหาร ดาเนียลก็เริ่มเจรจาต่อรองกับทหารที่มาคุมตัว

“เดี๋ยวๆ ขอเวลาสักนิดหนึ่ง เราจะขออาสา เป็นคนไปทำนายฝันให้กษัตริย์เอง”

ซึ่งตอนที่เจรจาอยู่นั้น ดาเนียลรู้ไหมว่ากษัตริย์ฝันว่าอะไร? ไม่รู้ แต่เอาไว้ก่อน

เพราะสิ่งที่กษัตริย์สั่งให้ทำนั้น  ไม่ใช่เรื่องของสติปัญญา หรือวิชาการ ที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้แบบมนุษย์ แต่เป็นความล้ำลึก ที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น สามารถทราบและสามารถเปิดเผยและทำสิ่งเหล่านี้ได้ ดาเนียลกับเพื่อนจึงอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า ให้พระองค์ประทานสติปัญญาให้หยั่งรู้ในเรื่องล้ำลึกนี้  แล้วในที่สุด พระเจ้าได้ทรงสำแดงความล้ำลึกนี้ คือเปิดเผยให้รู้เลยว่าคืออะไร?  เพราะสติปัญญามนุษย์ไม่มีทางเข้าใจได้ แม้สติปัญญานั้นจะมาจากพระเจ้าก็ตาม แต่สิ่งนี้ต้องการการเปิดเผยจากพระเจ้า เผยให้รู้เลยว่าคืออะไร?

เหมือนกับที่ผมบอกว่าท่านอ่านพระคัมภีร์ โดยใช้สติปัญญามนุษย์ ท่านอาจจะบอกเข้าใจได้ในเชิงประวัติศาสตร์บางอย่าง แต่เรื่องจริงๆ คืออะไร? หมายถึงอะไร? ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม หนาขนาดนั้น  เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์อย่างเดียวเลย มันเป็นไปได้อย่างไร? อ่านบางทีก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง นั่นคือท่านใช้สติปัญญาของตนเอง แต่ท่านอธิษฐานกับพระเจ้าทุกครั้งที่ท่านอ่าน ท่านจะรู้แล้วว่ามันลึกเข้าไปกว่านั้น เข้าไปกว่านั้น มองไม่เห็น มันคืออะไร? ท่านก็จะอ๋อ! ไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน พระเจ้าก็ประทานให้ดาเนียลได้รู้ว่านิมิตคืออะไร?

หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งนี้แล้ว ดาเนียลก็ขอบคุณพระเจ้าใหญ่ แล้วก็ให้ทหารรีบพาตัวเข้าเฝ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

ท่านนึกภาพนะ เรารู้แล้วพระเจ้าอยู่กับเรา บอกเรา สิ่งเหล่านี้ ยืนยันว่ามันใช่เลย เพราะฉะนั้นดาเนียลจึงเดินเข้าไปหากษัตริย์ โดยไม่มีความกลัวเลย  ไม่ใช่ไม่มีความเคารพ คนละเรื่อง ไม่มีความกลัวเลย  ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเขาตลอดเวลา  และเขากำสิ่งนี้ไว้ ก็คือเขารู้ความจริงแล้วว่าคืออะไร? ถ้าเขาพูดไป  กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ต้องยอมจำนนแน่ๆ เพราะมนุษย์ไม่มีใครทำได้ แต่พระเจ้าทำได้ และพระเจ้าได้สำแดงสิ่งนี้ให้เขารู้แล้ว ดาเนียลจึงทูลต่อกษัตริย์ว่า …

ดาเนียล 2:27 “ดาเนียลทูลตอบว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถาอาคม และโหรคนใด สามารถทูลความล้ำลึก ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้”

 

นี่คือคำตอบแรกที่ดาเนียลตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ นี่สำแดงถึงความมั่นคงในความเชื่อ และความไม่กลัวของดาเนียล ถ้าเป็นเรา … เรากล้าเหรอ! ถ้าดาเนียลไม่ได้มั่นคงอย่างนี้ ไม่ได้รับจากพระเจ้าอย่างนี้ว่าพระเจ้าสำแดงนิมิตอย่างนี้ คงไม่กล้าตอบคำถามอย่างนี้หรอก กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สามารถสั่งฆ่าใครก็ได้ เดี๋ยวนั้นทันที ง่ายๆ ก็ทำมาตลอด ดาเนียล 2:27-30

ดาเนียล 2:27-30 “27 ดาเนียลทูลตอบว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถาอาคม  และโหรคนใด สามารถทูลความล้ำลึก ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้ 28 แต่มีพระเจ้า องค์หนึ่งในฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงเปิดเผยสิ่งล้ำลึก และได้ทรงสำแดงให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันและนิมิต ซึ่งผ่านเข้ามาในพระดำริ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่บนพระแท่น   มีดังนี้ 29 “ข้าแต่กษัตริย์ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่ และทรงดำริถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น พระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยความล้ำลึก ก็ทรงแสดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 30 ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้ ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระบาท ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่นๆ แต่เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงทราบความหมายและเข้าใจสิ่งที่เข้ามาในพระดำริ”

 

ในคำตอบตรงนี้ ดาเนียลกำลังถวายเกียรติแด่พระเจ้าว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่กษัตริย์ให้ทำ ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้หรอก ดาเนียลต้องการประกาศให้เนบูคัดเนสซาร์รู้ว่ามันเป็นเรื่องลึกลับ ลี้ลับ มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ให้คำตอบได้  และดาเนียลก็สำแดงความถ่อมใจ บอกว่าที่พระเจ้าทรงบอกสิ่งล้ำลึก ความลับในโลกวิญญาณให้ ก็ไม่ใช่เพราะว่า …

“ตัวเองเก่ง ฉันเป็นคนที่มีอะไรดีมากกว่าคนอื่น”

ไม่ใช่ แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเอง ที่ต้องการให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทราบความหมายของความฝัน เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้รู้ความหมายของความฝันแปลว่าอะไร? ตัวดาเนียลเอง เป็นแค่ตัวแสดงตัวหนึ่ง ที่พระเจ้าใช้มาแค่นั่นเอง อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตว่าเราควรจะจดจำสิ่งนี้ไว้ แล้วก็ทำตาม อะไรต่างๆ ที่พระเจ้าใช้เราทำ ดูอัศจรรย์มากมาย คนอาจจะมากราบไหว้เรา ยกย่องเรา ระวังให้ดีนะ ไม่ใช่ตัวเราเลย พระเจ้าให้เราทั้งนั้น มองแล้วรีบๆ ผ่านไปเร็วๆ คือดาเนียลกำลังบอกกษัตริย์ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คือพระเจ้า ทุกอย่างเป็นแผนการของพระองค์ทั้งสิ้น ซึ่งรวมทั้งความฝัน ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันด้วย

ก่อนจะเฉลยว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่าอะไร? ผมจะเสริมข้อมูลนิดหนึ่ง คือมีผู้ศึกษาพระคัมภีร์ ในเรื่องนี้ ให้คำอธิบายไว้อย่างนี้ว่าปกติแล้ว เวลากษัตริย์ฝันอะไร? ก็จะเรียกพวกนักปราชญ์และโหราจารย์มาเข้าเฝ้า ให้ช่วยแปลความฝันให้ และตามธรรมเนียมปฏิบัติ กษัตริย์ก็จะเล่าความฝันของตัวเองว่าฝันว่าอะไร?

ให้ก่อน แล้วบรรดาโหราจารย์ นักปราชญ์เหล่านั้น ก็จะมารวมกันประชุมทำนายฝันนั้น  เปิดตำราบ้าง? นับดวงดาวบ้าง? เดาบ้าง? แล้วสรุปเป็นผลมาว่าเป็นอย่างนี้ๆ ก็ถวายไป แต่มาครั้งนี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ไม่ยอมเล่าความฝันก่อน  แต่ให้เหล่านักปราชญ์เป็นคนทำนายว่าฝันว่าอะไรก่อน? ก็เพราะในความฝันครั้งนี้ เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่าเป็นการบอกเหตุการณ์ร้ายล่วงหน้า ที่เป็นเรื่องสำคัญต่อชีวิตและบัลลังก์ของเขา อาณาจักรของเขาในอนาคต เป็นเราก็ต้องตื่นเต้น ก็ต้องกลัวแล้วล่ะ บอกว่าลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร? ถูกไหม? และในรัชกาลเขา เพิ่งจะครอบครองมา 2 ปีเอง มาแล้วเหรอ จะไปไม่รอดแล้วเหรอ กลัว อย่างน้อยเขาก็อยากจะรู้ว่าใครจะมาทำลายอาณาจักรของเขา ศัตรูเขา คือใคร? เขาจะได้เตรียมป้องกัน ในอดีตเป็นอย่างนี้เสมอ ถ้ารู้ก่อนได้ เขาจะได้ป้องกันได้ คนนี้มาจากทิศนี้ เราจะได้ป้องกัน อะไรประมาณนั้น

ท่านจะได้รู้ว่าทำไมกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จึงตื่นเต้นกับเรื่องนี้ เหงื่อแตกกับเรื่องนี้ เพราะเป็นข่าวร้าย เป็นฝันร้ายสำหรับเขา แต่ถ้าเขารู้ล่วงหน้า เขาอาจจะเตรียมตัวพร้อม แล้วป้องกันได้

เนบูคัดเนสซาร์เลยต้องการให้มีคนมาแปลความฝันเขา ให้มั่นใจว่าใช่แน่ ไม่ใช่ศัตรูมาทางทิศเหนือ ไปแปลความฝันว่ามาจากทิศใต้ ไปเตรียมทิศใต้ ก็ตายสิ เนบูคัดเนสซาร์ฉลาดมาก จึงบอกให้เอาอย่างนี้ดีกว่าทำนายฝันมาเลย ถ้าทำนายฝันถูกแสดงว่า …

“รู้ว่าฉันฝันอะไร? ฉันก็ยอมแล้ว สยบแล้ว รู้ว่ามาจากพระเจ้าแน่ เพราะฉะนั้น พอบอกว่าศัตรูมาจากทิศไหน? ฉันก็จะได้เชื่อ แน่นอนนี่ถูกต้อง”

นี่ขนาดคนไม่รู้จักพระเจ้ายังรู้ว่าทำอย่างไร? ถึงสามารถเชื่อ และมีเหตุมีผล และมั่นใจได้ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่าอะไร?  ดาเนียล 2:31-35 ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตเราด้วยนะ

ดาเนียล 2:31-35 “31 “ข้าแต่กษัตริย์ ฝ่าพระบาทได้ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นมหึมา ตั้งอยู่ต่อหน้า เปล่งประกายเจิดจ้า มีลักษณะน่าครั่นคร้าม 32 ศีรษะของรูปปั้นนั้น ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ หน้าอกและแขน ทำด้วยเงิน ท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์  33 ขาทำด้วยเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดินเหนียว 34 ขณะฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั้น ก็มีหินก้อนหนึ่ง ถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้น กระแทกเท้าของรูปปั้น ซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว แตกกระจาย 35 แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก”

 

​            บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเรื่องนี้ตื่นเต้น เพราะว่ามันเกี่ยวกับเราด้วย นี่เป็นคำเผยพระวจนะล่วงหน้า  ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่ 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ หลายร้อยปีก่อน อาณาจักรต่างๆ พูดในนี้จะเกิดขึ้น และเป็น 2,000 กว่าปี มาถึงปัจจุบันที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของในนี้  ส่วนของเราอยู่ตรงข้อ 35

“แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก

“กลับกลาย” แปลว่าไม่ได้เป็นเดี๋ยวนั้นเลย  แต่แปลว่าค่อยๆ เป็นภูเขาขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ใช่กระแทกปุ๊บ เป็นภูเขาใหญ่ แต่เริ่มเป็นภูเขาใหญ่ แล้วภูเขานี้ก็ใหญ่ไปเรื่อยๆ ปกคลุมอยู่เหนือทั่วโลก

ความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็คือพระองค์ฝันเห็นรูปปั้นขนาดมหึมา มีลักษณะน่าเกรงกลัว และรูปปั้นนั้น  ฟังจากเมื่อตะกี้นี้ที่เราอ่าน มีศีรษะ ที่ทำด้วยทองคำ หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ขาทำด้วยเหล็ก  เท้าทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว คำว่า “ดินเหนียว” ไม่ใช่ดินเหนียวธรรมดา เหล็กปนดินเหนียว ที่เอามาทำเซรามิก คือต้องการให้เห็นว่าตรงนี้มันแตกง่าย มันบอบบาง มันตรงกันข้ามกับเหล็กเลย แต่มันผสมกับเหล็ก

ประเด็นสำคัญของเหตุการณ์ในช่วงนี้ ต้องการเน้นให้เห็นว่าผู้กำกับใหญ่  ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ ก็คือพระเจ้า … พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างที่เกิดขึ้น  เริ่มตั้งแต่ดลใจให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝัน แล้วสั่งให้นักปราชญ์มาทำนายฝัน โดยไม่บอกว่าฝันอะไร แล้วประทานนิมิตให้ดาเนียล เพื่อมาทำนายฝัน บอกว่าฝันนั้นแปลว่าอะไร?  พูดง่ายๆ เหมือนครั้งที่แล้ว ที่ผมบอก พระเจ้าสร้างสถานการณ์ … สถานการณ์สร้างฮีโร่หรือวีรบุรุษ สรุป ก็คือพระเจ้าสร้างวีรบุรุษ ใครก็ได้ ขึ้นมาแป๊บเดียว ก็เป็นวีรบุรุษแล้ว ฉะนั้น อย่านึกว่ามาจากตัวเอง เหมือนอย่างที่ดาเนียลตอบกษัตริย์ไปว่า …

“ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระองค์ ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่น เพื่อฝ่าพระบาทจะทราบความหมายและสิ่งที่เข้ามาในพระดำริ”

ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของพระเจ้าทั้งสิ้น เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์รับทราบสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

เรามาดูว่าความฝันตรงนี้ เกี่ยวพันอะไรกันกับเนบูคัดเนสซาร์ … เนบูคัดเนสซาร์ต้องเตรียมตัวอะไร? ดาเนียล 2:36-43 ตั้งใจอ่านให้ดี เกี่ยวกับพวกเราในนี้ด้วย

ดาเนียล 2:36-43 “36 นั่นคือความฝัน บัดนี้ ข้าพระบาทขอทูลความหมายให้ทรงทราบ 37 ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกรและเกียรติแก่ฝ่าพระบาท 38 พระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศ  ไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น 39 “หลังจากฝ่าพระบาทแล้ว จะมีอีกอาณาจักรหนึ่งรุ่งเรืองขึ้นมา แต่ด้อยกว่าของฝ่าพระบาท จากนั้น เป็นอาณาจักรที่สาม คือทองสัมฤทธิ์ ซึ่งจะปกครองทั่วโลก” 40 ท้ายสุด คืออาณาจักรที่สี่ ซึ่งแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก เหล็กฟาดฟันทุกสิ่งให้ย่อยยับ อาณาจักรนั้นจะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวง ให้ยับเยิน เหมือนเหล็กที่ทำให้สิ่งอื่นๆแหลกลาญ 41 ตามที่ฝ่าพระบาทเห็นว่าเท้าและนิ้วเท้า เป็นดินเหนียวปนเหล็ก แสดงว่าอาณาจักรนี้ แยกออกเป็นส่วนๆ แต่ก็จะมีกำลังแข็งแกร่งเหมือนเหล็กอยู่บ้าง ตามที่ฝ่าพระบาทเห็นเป็นเหล็กปนดินเหนียว 42 ดังที่นิ้วเท้าเป็นดินเหนียวปนเหล็ก อาณาจักรนี้ ก็จะมีส่วนที่แข็งแกร่ง และส่วนที่เปราะบาง 43 และตามที่ฝ่าพระบาททรงเห็นเหล็กปนกับดินเหนียว  ประชาชนก็จะผสมผสาน แต่ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ต่างจากเหล็กผสมดินเหนียว”

 

อีกอันหนึ่งที่ทำให้เห็นชัดว่าพระเจ้าทรงกำหนดทุกอย่าง เราเรียนรู้กันว่าเนบูคัดเนสซาร์ไม่ได้เชื่อพระเจ้า แถมเป็นคนที่เหี้ยมโหดมาก ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง ฆ่าใครง่ายๆ เจ้าอารมณ์ ขี้โมโห แล้วก็เย่อหยิ่ง แต่ดูดาเนียลแปลความฝันนี้ว่าอย่างไร?

“ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี”

ฟังให้ดีๆ อีกทีหนึ่ง

“พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกร และเกียรติแก่ฝ่าพระบาท”

“และพระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”

ทุกอย่างอยู่ในกำมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ในขณะนั้น ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าเป็นผู้ให้อำนาจทั้งหมด ท่านคิดดู เนบูคัดเนสซาร์ที่ย่ำยีหัวใจของชาวยิว ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจของพระเจ้า  ประชาชนของพระเจ้า ย่ำยีเยรูซาเล็ม แล้วก็ลากเอาผู้คนของพระองค์ที่ไม่ได้ฆ่าตาย ที่ยังเหลืออยู่ เอาคนดีๆ มาใช้งาน มาเป็นทาสที่บาบิโลน เผาเมืองเลย  ทำเหี้ยมโหดต่อเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นประชากรของพระเจ้า

“พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น”

พระเจ้าเป็นผู้จัดการทั้งสิ้น นี่เป็นสิ่งที่เราสามารถสอนตัวเราเองได้ พระเจ้าบอกว่าเกียรติเป็นของผู้ใด เราควรจะตามพระเจ้าให้เกียรติผู้นั้น สิทธิอำนาจเป็นของใคร? พระเจ้าให้ เราต้องยอม ไม่ว่าทำตามมนุษย์ หรือด้วยเหตุผลอะไร? อาจจะหลายอย่าง เป็นคนไม่ดี ทำไมพระเจ้าไม่เอาออกไปเลย กษัตริย์อย่างนี้ มาตีเมืองเยรูซาเล็ม ทำร้ายประชากรของพระองค์ … พระองค์ทำนิดหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ไปแล้ว ทำไมปล่อยให้เขาย่ำยีอิสราเอลถึงขนาดนั้น ทำไมเขาครอบครองอิสราเอล พระเจ้าเสียชื่อ เสียหน้ามากๆ เลยนะ ประชากรของพระองค์ก็เสียชื่อ เสียหน้ามากๆ เลยนะ แล้วทำไมพระเจ้าทำอย่างนี้ล่ะ ก็ต้องตอบว่า …

“ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือพระเจ้าสัญญาว่ามันจะเป็นสิ่งดี สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ และถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นที่ถวายพระสิริแก่พระองค์”

เพราะฉะนั้น ไม่มีหน้าที่จะรู้ว่าทำไมเป็นอย่างนี้  แผนการจะเป็นอย่างไร? หลายครั้งพระองค์ใช้แผนการเล็กๆ ให้ความเสียหาย หรือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าประสบความสำเร็จเยอะแยะมากมาย เป็นที่อิจฉาริษยาสำหรับคนที่เชื่อพระเจ้ามากเลย  แต่พระเจ้าบอก …

“เล็กๆ ที่เขาสำเร็จนั้น เอามาสนับสนุนแผนการใหญ่ของฉัน ที่มีไว้สำหรับพวกเธอทั้งหลาย ลูกๆ ของฉันทั้งนั้น เทียบกันไม่ติดเลย แผนการที่เธอเห็นเขาสำเร็จ นั่นคือส่วนหนึ่ง ที่ทำให้แผนการใหญ่ที่ฉันวางไว้ สำหรับพวกเธอ ลูกๆ ของฉันสำเร็จ”

พระเจ้าถามเราว่า …

“เข้าใจไหม?”

ยอมให้เป็นอย่างนี้  เพื่อสิ่งนี้จะมาสนับสนุนแผนการใหญ่ที่สุดของพระเจ้า ให้สำเร็จ โอเคไหม? ยกตัวอย่างง่ายๆ ยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เพื่อพระเยซูคริสต์จะได้มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ ให้กับเธอทั้งหลาย ที่ไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้เลย ไปจนนิรันดร์เลย อันไหนใหญ่กว่า อันนี้ ดูท่าทางแย่ แต่อีกอันหนึ่ง มันใหญ่กว่า ดีกว่า ใครได้เกียรติยศกว่า? พระเจ้าได้รับเกียรติ พระสิริเป็นของพระองค์ตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์ พูดง่ายๆ  ที่สุดแล้ว ใครเชื่อพระองค์ ก็ชนะด้วย เพราะว่าที่สุดแล้ว พระองค์เป็นฝ่ายชนะ นี่แหละ คือสิ่งที่อยากให้ได้เห็นตรงนี้

จากความฝันรูปปั้นมหึมา ที่แต่ละส่วน ทำด้วยส่วนผสมต่างๆ ดาเนียลก็ตีความให้กษัตริย์ได้เห็นว่าแปลว่าอะไร?

เริ่มต้นจากศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ก็คือยุคของอาณาจักรบาบิโลน เป็นยุคที่ 1 ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นทองคำ

ต่อมาหน้าอกและแขนที่ทำด้วยเงิน ก็เล็งถึงอาณาจักรที่จะครอบครองต่อจากบาบิโลน มาโค่นล้มบาบิโลนในอนาคต ก็คืออาณาจักรเปอร์เซีย หรือเมโดเปอร์เซีย หรือมีเดียเปอร์เซีย ซึ่งจะรุ่งเรืองน้อยกว่าอาณาจักรบาบิโลน

ส่วนที่สาม คือท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงอาณาจักรกรีก

สุดท้าย คือขา ทำด้วยเหล็ก  และเท้า ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว คือปนเซรามิก เล็งถึงอาณาจักรโรมัน จักรวรรดิโรมัน ซึ่งมาโค่นล้มอาณาจักรกรีกอีกทีหนึ่ง ที่ในนี้บอกว่าโรมันแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก ซึ่งจะบดขยี้อาณาจักรทั้งปวงให้กระเจิง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนที่กรุงโรม หรือจักรวรรดิโรมรุ่งเรือง เป็นมหาอำนาจตอนนั้น เป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งมาก ไปที่ไหนทำลายหมด

และที่เท้า ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ดินที่เอามาทำเซรามิก ก็ตีความได้ว่าอาณาจักรนี้ มีส่วนที่แข็งแกร่งและส่วนที่เปราะบาง ประชาชนจะผสมผสานกัน และไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ตรงที่เท้า ก็คือต่อจากเหล็ก จะไม่มีอาณาจักรแล้ว จะมีเศษๆ อาณาจักรผสมกันอยู่ เป็นเหล็กผสมกับเซรามิก ซึ่งไม่แข็งแรงแล้ว ดูเหมือนแข็งแรง แต่ก็เปราะบาง ไม่เหมือนอาณาจักรก่อนๆ หน้านี้แล้ว ซึ่งหมายถึงอิทธิพลของเหล็ก อิทธิพลของโรมัน ยังคงแทรกซึมเข้าไปอยู่ในประเทศต่างๆ เหล่านี้ และเป็นบ่อเกิดของประเทศต่างๆ เหล่านี้ มาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คืออิทธิพลตะวันตก … ตะวันตก คือยุโรป … ยุโรป คือจักรวรรดิโรมันในอดีตนั่นเอง

ถ้าท่านเรียนรู้ไป แล้วท่านได้รับการสำแดงจากพระเจ้าด้วย ท่านจะเข้าใจด้วย และมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคงในความเชื่อ มั่นคงในชัยชนะได้ตลอด ดาเนียล 2:44-45

ดาเนียล 2:44-45 “44 ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล 45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหินที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงินและทองคำให้แตกกระจาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาท ทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้เป็นความจริง และการตีความนี้ ก็เชื่อถือได้”

 

ในข้อที่ 44 บอกว่า “ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น ไม่เหมือนเยรูซาเล็ม ไม่เหมือนประเทศอิสราเอล อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดไป”

ยุคของกษัตริย์เหล่านั้น ก็คือกษัตริย์ที่อยู่ในช่วงเหล็ก ก็คือในยุคของจักรพรรดิซีซาร์และผู้มีอำนาจสืบต่อไปเรื่อยๆ อาณาจักรเหล่านั้น ที่กำลังเกิดขึ้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่งในช่วงนั้น ถามว่าเริ่มต้นช่วงไหน? หนังสือลูกาบันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูบังเกิดมาเป็นมนุษย์ ในสมัยของจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัสนั่นแหละ และไปเรื่อยๆ ของกษัตริย์เหล่านั้นเยอะแยะ ผู้ครองเหล่านั้น เริ่มต้นตรงนั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง คือช่วงเดียวกัน และในนี้บอกว่านี่คือความหมายของนิมิต เรื่องหิน

นิมิตเรื่องหิน ที่ถูกสกัดจากภูเขา ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ คำว่า “ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์” คุ้นๆ ไหม? ตอนที่พระคัมภีร์สอนเรื่องเกี่ยวกับพลับพลาของพระเจ้า ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า หรือเรียกว่าวัดของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ที่พระเจ้าให้โมเสสสร้างขึ้น ที่เป็นเต็นท์ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขนชำระพวกเราให้พ้นจากบาปแล้ว บอกว่าเต็นท์นี้ ยกเลิกไปแล้ว พระเยซูนำเอาโลหิตของพระองค์ ที่หลั่งที่ไม้กางเขนนั้น เข้าไปยังพลับพลาที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ คำเดียวกันนั่นนะ คำว่าไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ ก็คือคำว่า “โดยพระเจ้า” นั่นเอง

เพราะฉะนั้น นิมิตเรื่องหิน ก็คือหินนี้ถูกสกัดจากภูเขา เป็นโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องมนุษย์แล้ว พูดง่ายๆ เป็นพระเจ้าสกัดหินก้อนหนึ่งออกมา หิน ซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำกระจายไป

“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งเหล่านี้ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นเรื่องจริง”

สิ่งเหล่านี้ ตอนนั้น เขาไม่รู้ แม้กระทั่งดาเนียลอาจจะไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร? แต่เรามาเรียนย้อนกลับไป เรารู้ พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นศิลา พระองค์บอกว่า …

“เราจะสร้างคริสตจักรของเราบนศิลา และศัตรูจะไม่มีชัยชนะ เหนือคริสตจักรของเราได้”

พระองค์เป็นศิลา … ศิลาก้อนหนึ่ง ถูกคนปฏิเสธ แต่พระเจ้าได้ทำให้ศิลาก้อนนี้ เป็นศิลามุมเอก หมายถึงชุดที่ก่อร่างสร้างอาคารขึ้นมาใหญ่โต เริ่มจากเสาเอก พูดง่ายๆ  เพราะฉะนั้น หินนี้ ก็คือพระเยซู พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากคำทำนายนี้ ประมาณ 600 ปี พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ในสมัยของเหล่ากษัตริย์ ก็คือของโรมันที่กำลังครอบครองอยู่เหนือทุกแห่งเลย รวมทั้งเยรูซาเล็มด้วย พระเยซูเกิดในช่วงสมัยออกัสตัส ซีซาร์ แล้วพระองค์ก็ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อน 30 เป็นคนธรรมดา เป็นช่างไม้อะไรก็ว่าไป แต่อายุ 30 ปุ๊บ เริ่มต้นประกาศข่าวดี เริ่มต้นทำงานให้พระเจ้าแล้ว ประกาศคำแรกว่า …

“สวรรค์มาแล้ว อาณาจักรสวรรค์มาแล้ว อาณาจักรของพระเจ้าลงมาตั้งอยู่แล้ว กำลังมาๆ เรากำลังพูดถึงอาณาจักรของพระเจ้า”

ตลอดเวลา 3 ปี พูดแต่เรื่องอาณาจักรของพระเจ้าตั้งอยู่ๆ พระองค์มาสถาปนาอาณาจักรของพระองค์บนโลกใบนี้ แต่เป็นอาณาจักรที่ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ อาณาจักรที่ตามองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง และทุกวันนี้มันปกคลุมไปทั่วโลกเลย จากวันนั้น แค่หินก้อนเดียว คือพระเยซู และเดี๋ยวนี้เป็นเท่าไร? ในขณะที่ 4 ประเทศมหาอำนาจ ที่ตะกี้เราพูด ไม่เหลือซากแล้ว เป็นแกลบกระจุยกระจายหมดเกลี้ยงไปแล้ว ตามคำทำนายหมด โรมยังไม่เหลือเลย โรมันเหลือแต่ซาก เหลือแต่กลิ่น เหลือแต่อิทธิพลที่ติดตามต่อไป ในประเทศที่ใช้ชื่ออื่นๆ แม้กระทั่งทั่วโลกทุกวันนี้ เราก็อยู่แบบหลายอย่าง มาจากโรมทั้งนั้น มาจากตะวันตก พูดง่ายๆ

ท่านพอเห็นภาพไหมว่าที่ผมบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตเราอย่างไร? แต่หินที่กระแทกรูปปั้นนั้น ตูมออกมา ไม่ใช่อาณาจักรพระเจ้าเกิดขึ้นมาเลยนะ ตูมมาปุ๊บ เกิดหน่อเล็กๆ ขึ้นมาหน่อหนึ่ง แล้วค่อยๆ บานไปเรื่อยๆ เป็น The Kingdom of Jesus อาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ครอบครอง พระเยซูคริสต์ยิ่งใหญ่  มันหมายถึงอย่างนี้ แล้วมันใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีน้อยลง มีแต่มากขึ้นไปเรื่อยๆ เข้าไปแทรกทุกซอก ทุกมุมของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใด ไม่ว่าจะเป็นคนพันธุ์ใด เผ่าใดที่ไกลจากความเจริญ เดี๋ยวข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก็คืออาณาจักรของพระองค์ไปถึงหมดทุกแห่งเหล่านั้น

สมัยก่อนนี้อาณาจักรที่เราเห็น สุดท้ายที่เราดูในรูปปั้น ตั้งแต่บาบิโลน เมโดเปอร์เซีย กรีก และโรม ก็ใช้วิธีนี้  เวลาเขาครอบครอง เป็นมหาอำนาจ เขาต้องไปตี แผ่อำนาจไปให้ที่สุด เท่าที่ทำได้ ตามกำลังของมนุษย์ เหมือนอเล็กซานเดอร์มหาราชของกรีก ตีไป บุกไปถึงอินเดีย จนสุดได้แค่ไหน ก็จบ หมดแรง โรมก็เหมือนกัน พยายามคุมให้ทุกซอกทุกมุม เจอบาบาเลียนที่ไหน? เจอชนเผ่า กลุ่มที่เป็นคนป่าที่ไหนต่อต้าน ก็เข้าไปตี เข้าไปยึดครองให้หมด จะแผ่อำนาจไปให้หมด แต่ในที่สุด อาณาจักรเหล่านั้นก็เป็นศูนย์ ไม่มีเลย แต่อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ทำอย่างนั้น แล้วเป็นอยู่จริงตามคำทำนายนี้ ตามนิมิตนี้เป๊ะ ทุกวันนี้เราแต่ละก้อน ก็รวมกันเป็นภูเขาของพระเจ้า เราทั้งหลายเป็นประชากรของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าที่เรียกว่าพระคริสต์ เราเป็นประชากรของพระเจ้าในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เคยได้ยินใช่ไหม?

“เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์          เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”

ที่ไหนๆ ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหนของโลกนี้ พอเขามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็เข้ามาเป็นสมาชิกคนหนึ่ง เป็นประชากรคนหนึ่งในอาณาจักรของพระคริสต์ เป็นพี่น้องกับเรา เป็นเพื่อน เหมือนร่วมอาณาจักรเดียวกัน ก็คืออาณาจักรพระคริสต์

วันแรกที่อาณาจักรของพระเยซูปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ก็คือวันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  และวันที่ 3 ได้เป็นขึ้นมาใหม่ พระองค์ทรงประกาศชัยชนะเหนือความตาย ประกาศการเริ่มต้นอาณาจักรใหม่ของพระองค์บนโลกใบนี้ ท่านไปอ่านดูในพระคัมภีร์หมดเลย โดยเฉพาะในหนังสือจดหมายฝาก ในหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด จะประกาศถึงชัยชนะแห่งอาณาจักรนี้ อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงครอบครอง พระเจ้าให้พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ บนบัลลังก์นี้ ในอาณาจักรของพระคริสต์ แล้วพวกเราทั้งหลาย ก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาร่วมกับพระเยซูคริสต์  เมื่อเราเชื่อและรับสิทธิของเรา พระองค์เลือกเราทุกคนไว้แล้วว่าเป็นประชากรของพระองค์ นั่งอยู่กับพระองค์ กับพระเยซูคริสต์ที่ได้รับชัยชนะแล้ว ที่เบื้องขวาของพระเจ้า รับเราไปแล้วตั้งแต่ 2,000 ปี แต่ถ้าเราไม่รู้ ไม่มีใครมาบอกเรา หรือบอกแล้วเราไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ พระองค์ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นอีกแล้วทุกวันนี้ พระองค์ทำอย่างเดียว คือเอาข่าวดีไปบอกเขาสิ เอาอันนี้ไปบอกเขา ช่วยกันบอกเขา บอกเขาว่า …

“คุณเป็นของพระเยซู คุณอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน คุณเป็นของอาณาจักรของพระเยซู … พระเยซูทำให้คุณแล้ว คุณไม่ต้องระเหเร่ร่อน เป็นเหมือนคนพเนจรอีกแล้ว ไม่มีใครทำร้ายคุณได้อีกแล้ว เข้ามาเถอะ มารับสิทธิของคุณ”

แล้วพอรับสิทธิแล้ว พระองค์ก็ทรงครอบครอง พอครอบครองคนๆ นั้นปุ๊บ พอมาเชื่อพระเยซู ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูก็เข้าไปสถิตอยู่กับเขา แปลว่าบัลลังก์ของพระองค์อยู่ที่นั่น  อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจของคนนั้น แล้วในใจคนนั้น มากมาย ทั้งโลกร่วมกัน ทุกวันนี้ไปที่ไหน ก็มีบัลลังก์ของพระเยซูคริสต์เต็มไปหมดเลย บัลลังก์อยู่ที่ใครก็ตาม ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด รับสิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นผู้ไถ่บาปเขาทันที มีพระเยซูอยู่กับเขา และบัลลังก์ของพระองค์อยู่ในใจเขา อยู่กับเขา และอาณาจักรของพระองค์ ที่เผยพระวจนะไว้เมื่อตะกี้นี้ คือมันจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อ 30 ปีก่อน ผมมารู้จักพระเจ้าและวันนี้ยังอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ผมเห็นชัดๆ เลย มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีการชะงักว่าหยุดแล้ว เยอะขึ้นทุกวันๆ  แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุด ตามที่เผยพระวจนะเมื่อตะกี้ คือจะใหญ่ที่สุด จนครอบครองเหนือทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างบนโลกใบนี้ และในโลกวิญญาณด้วย

เพราะฉะนั้น จงดีใจและชื่นชมยินดีเถิด เราคือผู้ที่อยู่ในอาณาจักร อยู่ในชัยชนะนี้ เราเป็นประชากรของพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ในอาณาจักรนี้ เป็นอาณาจักรแห่งชัยชนะ อาณาจักรที่ถาวรนิรันดร์แล้ว อาณาจักรที่เริ่มต้นสร้างตั้งแต่สมัยโน่น และบอกล่วงหน้ามาเป็นพันๆ ปี ว่าพระเยซูจะมาเกิด เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มาเกิดที่เยรูซาเล็ม ชัดเจนแม้กระทั่งเบธเลเฮ็ม ตำบลเล็กๆ ก็จะบอกด้วยซ้ำ เกิดเมื่อไร? บอกด้วยซ้ำ จะเกิด แล้วเป็นอย่างไร? บอกด้วยซ้ำ เกิดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น อาณาจักรพระเจ้ามาตั้งอยู่จริงๆ เป็นไปตามนั้นทุกอย่างเลย ทั้งเล่มนี้ พูดถึงเรื่องนี้อย่างเดียวเลย รวมทั้งดาเนียลที่เราเรียนรู้นี้ด้วย แล้วบอกไปจนจบเลย  ซึ่งตอนจบ เราจะค่อยๆ เรียนรู้ต่อไป ในหนังสือดาเนียลได้บอกเรื่องนี้หมด เราได้อะไรจากการเรียนรู้ในเรื่องนี้ เรามั่นคง แข็งแกร่งในความเชื่อ เรารู้แล้ว เราได้รับชัยชนะนิรันดร์อยู่ในพระเจ้า เราไม่กลัวอะไรอีกแล้ว แม้ความตาย เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าควบคุมและครอบครอง ดูแลอยู่ทุกอย่าง ถ้าพระเจ้าจะให้เกิด มันเกิดแน่ แต่มันดีสำหรับเราเสมอ พระเจ้าจะให้กำลังเราทนได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น และพระเจ้าใช้การเกิดนั้น ให้เป็นผลดีในพระราชกิจของพระองค์ ในแผนการใหญ่ของพระองค์ ซึ่งมันสำเร็จแล้ว แต่ตอนนี้กำลังรอให้ครบถ้วนบริบูรณ์

เราควรจะภูมิใจ แม้หลายครั้งเราจะต้องเจ็บปวด แม้หลายครั้งเราอาจจะต้องทุกข์ทรมาน แต่เรารู้ว่ามันแป๊บเดียว เทียบอะไรกับที่เราจะอยู่นิรันดร์ มันเทียบกันไม่ได้เลย ให้สิ่งนี้ หนุนใจเรา อะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ให้เรามั่นใจในสิ่งนี้ พระเจ้าจะนำพาเราไป หลายครั้งเราอาจจะตอบไม่ได้ ทำไมพระเจ้าต้องอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น? แต่สิ่งที่ตอบได้อย่างเดียว ก็คือ …

“พระเจ้าทำให้มันดีต่อฉัน และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์แน่นอน เพราะฉันได้รับชัยชนะไปเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่ได้มารอรับชัยชนะ ฉันได้ชัยชนะไปแล้ว ตอนนี้ อยู่ก็ทำงานให้พระเจ้า ฉันกำลังทำงาน  หมดงาน พระเจ้าก็เอาฉันกลับไป”

พระคัมภีร์จึงบอก คนที่ไปก่อน ก็ได้รับกำไร ตาย ก็ได้กำไร ตายก่อน ก็ได้รับกำไร อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ เพื่อสานงาน ให้พระองค์ต่อไปว่าพระองค์จะใช้เราต่อไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เพื่อเขาจะได้รู้ข่าวประเสริฐ เพื่อเขาจะได้รับความรอด เหมือนเรา เขาจะได้เข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับเราทั้งหลาย เอเมน

นั่นคือความเชื่อและเป็นการประกาศว่าราชา จอมราชา เจ้านาย ผู้ครอบครองอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด และโลกฝ่ายวิญญาณด้วย ของทุกผู้ทุกนาม ตลอดนิรันดรกาล คือองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ด้วยกับเราเสมอ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2016 เรื่อง “ตามรอยของพ่อ” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

ผ่านมา 17 วัน เกือบ 3 สัปดาห์แล้ว

สำหรับเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศโศกเศร้าเสียใจ

หลายๆ คนก็ยังอยู่ในสภาวะทำใจ ยังโศกเศร้าอยู่

แต่ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้นในขณะนี้

เราก็ได้เห็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย ผมก็ติดตามข่าวอยู่ตลอด

ได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่ามีผู้คนเยอะแยะมากมาย ที่ตั้งใจจะทำความดี

ตั้งปณิธานที่จะดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระปร

มินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชของเรา

แล้วหลายคนก็เริ่มต้นทำแล้วด้วย ไม่เพียงแต่มีสิ่งดีๆ

เกิดขึ้นเยอะแยะในบ้านเราเท่านั้น ยังมีสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ทำให้เราคนไทยภูมิใจมากมาย

จากที่ได้เห็นข่าวจากหลายประเทศ

ก็ได้เห็นจัดกิจกรรมเทิดทูนพระมหากษัตริย์อย่างยิ่งใหญ่

สมพระเกียรติ อย่างเช่น เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา

หลายคนก็ได้ดูการถ่ายทอดการประชุมสมัชชาพิเศษ

ที่สดุดีถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล

เราคนไทย นั่งดูไป ก็เศร้าไป แต่ก็ตื่นเต้น ภูมิใจ

อาการนี้เขาเรียกว่ายิ้มทั้งน้ำตา คิดถึงสิ่งที่ท่านทำ

สมัยก่อนตอนท่านอยู่ เราก็ไม่ได้คิด แต่พอท่านไป

แล้วทั้งโลกเขาแซ่ซ้อง เราถึงได้มานั่งคิดนะ

คนเราก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เป็นเอกฉันท์ทั่วโลก

แล้วก็เป็นความภาคภูมิใจของเราทั้งหลาย ขอบคุณพระเจ้า

ที่ทรงให้เรามาเกิดบนแผ่นดินนี้

และทุกคน เวลาจะพูดถึงในหลวงของเรา ที่เราได้ดู

ทั่วโลกจะต้องกล่าวถึงเรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน

ที่ได้ตรากตรำทำงาน เพื่อคนไทยตลอดเวลา 70 ปี

ไม่ใช่คนไทยอย่างเดียว

มีผลกระทบไปยังบรรดาสังคมในโลกนี้ด้วย

พระเจ้าบอกว่าเกียรติเป็นของใคร? ก็เป็นของผู้นั้น สมควรได้รับ

ก่อนหน้านี้ หลายคน รวมทั้งผมเองด้วย

ก็ยังไม่เคยทราบมาก่อนว่าโครงการที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา

ได้คิดและทำมานั้น มีมากมาย

คือเราเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าพระองค์ทรงงานหนักมาก

เยี่ยมพสกนิกร ราษฎร ไกลมากเลย

แต่ก็ไม่เคยนับว่ามีจำนวนโครงการทั้งหมดเท่าไร? จนมาวันนี้

รู้ว่า 4,000 โครงการ

และหนึ่งในโครงการของพระองค์ที่รู้จักกันดีที่สุด

ทุกคนพูดถึงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยเอง

หรือต่างประเทศทั่วโลกก็ตาม ก็คือโครงการเศรษฐกิจพอเพียง

ไม่ใช่เป็นนโยบาย บอก สอนเฉยๆ แต่ทำเป็นตัวอย่าง

แล้วก็สอนคนเป็นตัวอย่าง เริ่มต้นตรงนั้นเป็นตัวอย่าง

เริ่มต้นตรงนี้เป็นตัวอย่าง พร่ำสอนเรื่องนี้มาตลอด

คนไทยทุกคน จึงคุ้นเคยกับคำว่า “พอเพียง” หรือคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” แต่อย่างว่าก็ยังมีหลายคน

รวมผมเองก็เหมือนกัน

ผมก็คิดว่าผมยังเข้าใจไม่ได้ลึกซึ้งเท่าในหลวงของเราที่พระองค์ท

รงตรัสเอาไว้ แต่ก็ยังมีหลายคนในโลกนี้ และในประเทศนี้

ที่ยังไม่เข้าใจเลย

ถึงเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หั

ว ถึงความหมายที่แท้จริง

ที่พระองค์ทรงต้องการให้เราได้เรียนรู้ว่ามันคืออะไร?

มันสำคัญอย่างไรกับชีวิตของคนจริงๆ

มันเป็นจุดเริ่มต้นของความสุข จุดเริ่มต้นของความสงบ

ไม่ใช่สุขอย่างเดียว แต่จุดเริ่มต้นของชีวิตของคนทีเดียว

อยากบอกว่ามันสำคัญที่สุด

พอดี ก็ติดตามข่าวมาตลอด ในช่วงนี้ เหมือนเราหลายๆ คน

ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ คลิปวีดีโอมากมายถึงสิ่งต่างๆ

ของพระองค์ท่านเยอะแยะในขณะนี้ มีอยู่คลิปหนึ่ง ผมได้เปิดดู

ประทับใจมาก ที่พระองค์ท่านได้ทรงอธิบายความหมายของคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” ได้แบบลึกซึ้งเข้าใจง่ายๆ เป็นคลิปสั้นๆ

เท่านั้นเอง ผมฟังแล้วประทับใจมาก ก็ฟังแล้วฟังอีก ยอดเยี่ยมๆ

ถ้าฟังเมื่อ 20 ปีก่อน ผมอาจจะไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ ณ วันนี้

ได้ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาพอสมควร

เป็นพระราชดำรัสที่ได้พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม ปี  2541

https://youtu.be/yvO3dbTN4xI (ให้พี่น้องไปเปิดฟัง)

นี่เป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น จริงๆ

ผมอยากให้ท่านฟังฉบับเต็มเลย มีประโยชน์มากจริงๆ ฟังแล้ว

นอกจากเราจะซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านแล้

ว ถ้าเราน้อมนำเอาความคิดทั้งหมดนั้น

มาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตของเราทุกคน

ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง ต่อครอบครัว ต่อประเทศชาติ

แม้กระทั่งไปถึงทั่วโลก นี่แหละครับ

ทั่วโลกจึงถวายเกียรติแด่พระองค์ท่าน

ตัวอย่างพระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่ได้ประทาน

เนื่องในวันปีใหม่ 31 ธันวาคม 2502 หลายท่านยังไม่ได้เกิดเลย

ประมาณ 57 ปีมาแล้ว มีใจความตอนหนึ่งว่าอย่างนี้ …

“การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น

จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง

และครอบครัว ช่วยป้องกันการขาดแคลนในวันข้างหน้า

การประหยัดดังกล่าวนี้ จะมีผลดี

ไม่เฉพาะแก่ผู้ประหยัดเท่านั้น

แต่ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย”

จริงเลยแหละ ไปจนถึงทั่วโลกเลย

ก่อนหน้านี้จะมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือยัง ผมไม่แน่ใจ

เพราะเท่าที่ค้นมา เก่าที่สุด คือ 2502 สอนมา 57 – 58 ปี เกือบ 60

ปีแล้ว สอนเรื่องนี้มาตลอด ถ้าพูดตามสามัญชาวบ้าน

ต้องบอกว่าพูดจนปากเปียกปากแฉะ ก็ยังไม่เข้าใจกันเท่าไร?

ยังปฏิบัติกันไม่ได้มากในบ้านเมืองเรา ยังไม่เกิดประโยชน์มาก

แต่พระองค์ท่านไม่เคยท้อเลย พูดทุกปี พูดบ่อยๆ

ไม่ใช่พูดอย่างเดียว ทำเป็นตัวอย่าง ทำเป็นโครงการนั้น

โครงการนี้ ในชนบท ตั้งแต่ปี 2502 จนมาถึงคลิปตะกี้นี้ 2541

ก็ยังอธิบายอยู่ แล้วพระองค์ท่านก็บอกว่าปีหน้าก็ต้องพูดอีก

รู้ว่าเบื่อ แต่รู้ว่าเข้าใจแค่นิดเดียว จะพูดต่อไป

มาถึงวันนี้ ไม่ใช่แค่เพียงคนไทยเท่านั้น แต่หลายๆ ที่ หลายๆ

แห่งในโลก ก็ได้รู้จักปรัชญาเศรษฐกิจเพียงพอ ที่เราได้ยินกัน

เพราะมันเกิดผลจริงๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิ

พลอดุลยเดช ในหลวง รัชกาลที่ 9 ของเรา

จึงเป็นอันหนึ่งที่สำคัญมาก ทั่วโลกนำไปใช้ในขณะนี้

ซึ่งเราได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ เราก็รู้ด้วยตัวเราเอง นั่นมีหลักฐานชัดเจน

ลึกซึ้ง อีกหลายอย่าง ถ้าฟังสมัยก่อน เราอาจไม่ลึกซึ้งขนาดนี้

และถ้าท่านฟังวันนี้ และตั้งใจฝึกฝนไปเรื่อยๆ อีก 10 ปี

ท่านเอาคลิปนี้มาฟังใหม่อีก

ก็จะขยายความเข้าใจท่านมากขึ้นเรื่อยๆ แค่ 15 นาทีเท่านั้น

แต่ความลึกซึ้งมหาศาลมาก

ผมจึงอยากจะใช้เวลานี้ ให้พวกเราได้เข้าใจกับคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” หรือคำว่า “พอเพียง”

ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “To be contentment” คือ

“มีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่” ไม่ใช่แค่เงินอย่างเดียว

ไม่ใช่สิ่งของอย่างเดียว รวมหมดทุกอย่าง

เหมือนที่พระราชดำรัสที่เราได้ฟังกัน แม้กระทั่งความคิดของเรา

ซึ่งเป็นเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

ของเราพร่ำสอนมาตลอด 60 ปี เราก็จะใช้เวลานี้แหละ

เรียนรู้เรื่องเหล่านี้มากขึ้น

เพื่ออย่างน้อยจะได้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและครอบครัว

และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

และเป็นประโยชน์ต่อสังคมโลกด้วย

ตามที่มูลนิธิมั่นพัฒนา โดย ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา

ได้เคยกล่าวไว้ว่าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

ทรงเปรียบเทียบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เหมือนเสาเข็ม

พระองค์ทรงรับสั่งว่าบ้านเมืองของเรา ถ้าจะให้มั่นคง ต้องมีเสาเข็ม

และเสาเข็มมันอยู่ใต้ดิน มองไม่เห็น

คนเลยละเลยไม่ให้ความสำคัญกับเสาเข็ม แต่บ้านมันจะอยู่ได้

ต่อเมื่อเสาเข็มแข็งแรง ถ้าเสาเข็มไม่แข็งแรง วันหนึ่งลมพัด พายุมา

มันก็โค่นล้ม ในหลวงตรัสว่ามันเป็นเหมือนเสาเข็มนี่แหละ

คนมักมองไม่เห็นว่าความสำคัญอยู่ตรงไหน?

ถ้าพื้นฐานของคนไม่มีความอยู่ดีกินดี ตามอัตภาพ

“อยู่ดีกินดีตามอัตภาพ” คืออะไร? เป็นอยู่ มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่

หมายถึงกินอาหารอย่างเดียว อยู่ดีกินดี

หมายถึงชีวิตทุกอย่างอยู่ในความพอเพียง พอดีแล้ว ตามอัตภาพ

ก็คือตามกำลังของตนเอง คิดก็คิดตามกำลัง อยากก็อยากตามกำลัง

แล้วสุดท้าย ก็คือกินตามกำลัง ใช้สอยเงินตามกำลัง

ไม่คิดอะไรใหญ่โตเกินกว่าที่ตัวเองควรจะคิด ถ้าเป็นอย่างนั้น

นั่นแหละเรียกว่าพื้นฐานที่มั่นคง มันจะไม่ล้มลงมาง่ายๆ

แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ มันจะล้มลงง่ายๆ คิดเกินไป

คิดว่าเราจะไปอยู่ตำแหน่งนั้น แต่เราทำไม่ได้ เราคิดเกินไป

เรามีสติปัญญาแค่นี้ ขนาดนี้ เราควรจะรับผิดชอบแค่นี้

เราคิดว่าเราอยากจะมีตำแหน่งอย่างโน้น

แล้วในที่สุดมันก็พังลงมาหมดเลย อย่างนี้ ไม่เกี่ยวกับอาหาร

และเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ก็ได้น้อมนำพระราชดำรัสที่พระองค์ประทาน

สรุปความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง หรือความพอเพียงตรงนี้

เป็นประเด็นหลักๆ 3 ข้อเริ่มต้น คือ …

(1) พอประมาณ ไม่สุดโต่ง …

(2) มีเหตุมีผล …

(3) มีภูมิคุ้มกันที่ดี …

หลักข้อที่ 1 พอประมาณ ไม่สุดโต่ง

ก็คือพอประมาณในทุกอย่าง มีความพอดีไม่มาก

หรือไม่น้อยจนเกินไป และไม่เบียดเบียนตนเอง

หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ความหมายก็คือตามกำลังของตนเอง

ไม่ใช่ว่ามีไม่ได้ หรูหราไม่ได้

ตามที่พระองค์ท่านตรัสตามคลิปเมื่อตะกี้นี้ มีได้

แต่มีตามกำลังของเราที่มี หรูหราได้ไหม? ได้

ถ้าท่านคิดว่าท่านมีกำลังพอ จะทำอย่างนั้น

ไม่เดือดร้อนชาวบ้านและตนเอง รู้จักประมาณตนนั่นเอง

อย่างตอนหนึ่งในพระราชดำรัสที่เราได้ฟังเมื่อตะกี้นี้

ที่ทรงตรัสว่าพอเพียง ก็คือ 2 ขาของเรายืนอยู่บนพื้นให้ได้

ไม่หกล้ม ไม่ต้องขอยืมขาของคนอื่น มาใช้สำหรับยืน คำว่าพอ

ก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอ ดังนั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ

ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย

ทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง

ไม่โลภมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้ อาจจะมีมาก

อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น

ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจา ก็พอเพียง

ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง

แค่นี้เอง ลึกซึ้งมาก คิดกับคนข้างๆ ผิด

ก็คือคิดเลยจากความพอเพียง คิดอิจฉา จะไปเลื่อยเก้าอี้เขา

จะไปแทนที่เขา อย่างนี้ เรียกว่าคิดมากเกินไป ไม่ต้องคิดอย่างนี้

คิดพอดี ก็มีความสุข มีสันติสุข เขาก็สุข เราก็สุข

ไม่เดือดร้อนชาวบ้าน คิดไปเลื่อยขาเขา ก็สร้างแผนการที่ไม่ดี

สิ่งชั่วร้ายก็เกิดขึ้น พระคัมภีร์บอกว่าพอรู้สึกไม่พอ

ความโลภก็เกิดขึ้น ความโลภ คือความไม่พอ

พระคัมภีร์บอกความโลภ คือบ่อเกิดของความบาปทุกชนิด

ความโลภ คือไม่พอ … พอ ก็คือไม่โลภ เศรษฐกิจพอเพียง

คือเศรษฐกิจที่ไม่โลภ พูดฟังง่ายนะ แต่ปฏิบัติยาก

ต้องเรียนรู้กันต่อไป ต้องปฏิบัติ ฝึกฝน อย่างที่บอก 57 ปี

ในหลวงของเราก็ยังสอนเรื่องนี้ตลอดเวลา

เพราะนี่คือหลักการของชีวิต ที่ทำให้เกิดความสุขสงบได้

ในประเทศนี้ และในโลกนี้เลย

หลักข้อที่ 2 ต้องมีเหตุและมีผล

หมายถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น

จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลด้วย

โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง

ตลอดจนถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ

อย่างรอบครอบ ไม่ใช่พอบอกว่าใช้ตามอัตภาพ ตามกำลัง

พอเรามีเยอะ ก็ใช้แบบไม่มีสติเลย ไม่มีเหตุ ไม่มีผล

ไม่มีการพิจารณาใคร่ครวญในการใช้ อันนี้ก็ไม่ใช่พอเพียง

พระบรมราโชวาทในพิธีประทานปริญญาบัตร

มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อปี 2540 … 19 ปีที่แล้ว

มีใจความตอนหนึ่งว่า …

“ข้อสำคัญในการสร้างตัว สร้างฐานะนั้น

จะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบครอบ

ระมัดระวัง และความพอเหมาะ พอดี ไม่ทำเกินฐานะ

และกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ”

จำข้อความในพระคัมภีร์ได้ไหม? ความเร่งรีบ คือความบาป …

บาปทำให้เกิดความเร่งรีบ เพราะถ้าเชื่อและวางใจในพระเจ้า

เราก็จะนิ่งได้ แต่ถ้าเราไม่เชื่อและวางใจในพระเจ้า

เราก็อยากได้ในสิ่งที่เราอยากได้เอง ทุกอย่างจะพึ่งตัวเองหมด

เราก็ทนไม่ไหว ในที่สุดเราก็จะเร่งรีบ ต้องการตรงนั้น

ต้องการตรงนี้ รอไม่ได้ เพราะเราไม่ได้วางใจในพระเจ้า

เมื่อบาปเกิดขึ้น ก็คือเราไม่ได้นึกถึงพระเจ้านั่นเอง การเร่งรีบ

คือคนไม่นึกถึงพระเจ้า ตอนนั้น มันเป็นบาปอยู่ บาป

คือตรงกันข้ามกับทางพระเจ้า …

พระเจ้าต้องการให้เรานึกถึงพระองค์ …

พระองค์จะให้เราทำอะไร? เรานึกถึงพระองค์เมื่อไร? เราจะไม่รีบ

เรารีบเมื่อไร? เราก็ไม่นึกถึงพระองค์ ถูกไหม?

เพราะรู้ว่าการควบคุมดูแล การกำหนด การจัดเตรียม

จัดหาทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่พระองค์ทั้งสิ้น เรารู้มาตลอด

แล้วทำไมตอนนี้เรารีบ ก็แสดงว่าเรากำลังลืมพระเจ้า

ลืมถ้อยคำของพระองค์ก็ได้ ลืมคำสอนของพระองค์ก็ได้

ก็คือลืมพระเยซูนั่นเอง แต่ถ้าเรามีความพอใจ

มีเพลงอยู่เพลงหนึ่งที่บอกว่า …

“ข้าต้องการพระเยซูยิ่งกว่าเพชรนิลจินดา”

แล้วในเพลงนี้บอกว่า “ข้าต้องการพระเยซูมากกว่าทุกสิ่ง”

พอมีพระเยซูก็นิ่งแล้ว อย่างอื่นก็ค่อยว่ากัน แต่ขณะที่เร่งรีบ

พระเยซูหายไปแล้ว

หลักการข้อที่ 3 คือต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง

หมายถึงการเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อรับผลกระทบ

และการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ

ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งใกล้และไกล

ก็คือต้องมีการเรียนรู้ฝึกฝนที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ให้ได้

เช่น เมื่อเกิดวิกฤตขึ้นมา ไม่ว่าวิกฤตอะไรก็ตาม

เราจะรับมือกับเหตุการณ์นั้นๆ ได้อย่างไร? เช่น เมื่อทำตามข้อ 1

ข้อ 2 แล้ว พออัตภาพสำหรับตนแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ไม่นึก ไม่คาด

ไม่ฝันเกิดขึ้นมา เขาเรียกว่าแอดสิเดนเกิดขึ้นมา

ในสถานการณ์แบบนั้น เราจะทำอย่างไร?

ต้องเตรียมให้พร้อม ถามว่าพอเพียง

หมายถึงต้องเตรียมให้พร้อม อะไรบางอย่าง เราไม่คาดคิด

มันอาจเกิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อบนโลกใบนี้ พูดง่ายๆ ถ้าตามพระคัมภีร์

คือพระเยซูบอกแล้วอยู่บนโลกใบนี้มันมีแต่ความทุกข์

เดี๋ยวมันก็โผล่ขึ้นมา เราต้องรู้ว่าจะเกิดแน่ เมื่อไรไม่รู้

แต่เราต้องพร้อมที่จะรับในสิ่งเหล่านั้นที่มันอาจจะเกิดขึ้นกับเรา

คือหนึ่งในจำนวนพอเพียงนั้น แล้วเราพร้อมได้อย่างไร?

ก็คือเราสามารถเชื่อและวางใจในพระเจ้า ถ้าเราวางใจในพระเจ้า

ก็คือเราพร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้ ในพระเยซูคริสต์

ผู้ที่เป็นกำลังของเรา ฟีลิปปี 4:13

ฟีลิปปี 4:13

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า”

ขณะที่พูดนั้น ยังไม่มีสถานการณ์อะไรเข้ามาเลย

แต่เตรียมพร้อมไว้ว่าถ้าวันหนึ่งเข้ามา

ข้าพเจ้าจะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้

โดยพระเยซูคริสต์ผู้เสริมกำลังข้าพเจ้า คือการเตรียมชีวิตทั้งหมด

นอกจากเตรียมโดยปฏิบัติแล้ว ต้องเตรียมด้วยความเชื่อด้วย

เราดูแลอย่างนี้ตลอดแล้ว เราประหยัดแล้ว เราพอเพียงแล้ว

รับรองได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเราแน่นอน ไม่ใช่อย่างนั้น

ชีวิตไม่ได้เรียบง่ายอย่างนั้น มันอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ได้

แต่ขณะที่เกิดขึ้นนั้น

ต้องให้เราเตรียมพร้อมว่าเราเชื่อในพระเจ้าว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุ

มดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ชีวิตของเราอย่างเดียวทั้งหมด

หลังจากเหตุการณ์นี้

อยู่ในความดูแลของพระองค์และพระองค์กระทำทุกสิ่งทุกอย่างตาม

น้ำพระทัยของพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์

และมันจะเป็นผลดี สำหรับเรา ลูกของพระองค์ ที่รักพระองค์

ที่เชื่อในพระองค์เสมอ พูดง่ายๆ ในที่สุด

มันจะเกิดเป็นผลดีสำหรับเรา นั่นก็เกิดสันติสุข ความสงบ

เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงๆ เราก็พอเพียงได้

มันหมายถึงอย่างนั้น

วันนี้เราก็ได้เรียนรู้วิถีทางการพอเพียง

ตามแนวพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัว

พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ของเรา

แล้วคราวหน้าเราก็จะมาเรียนรู้ตามแนวทางของพระเจ้า

ควบคู่กันไป ที่สอนไว้ในพระคัมภีร์ว่าให้เรา

เดินอยู่ในทางของพระองค์ ด้วยความพอเพียง แล้วท่านจะทึ่ง

เมื่อท่านเรียนไปเรื่อยๆ ทึ่งว่าแนวทางในพระคัมภีร์

เป็นแนวทางที่สอดคล้องกันอย่างดีกับเศรษฐกิจพอเพียงของในหล

วงเลย ท่านจะตกใจหลายอย่าง ที่ท่านอาจจะไม่เคยรู้

ตอนนี้สื่อออกมาตรงนี้เยอะ ท่านก็จะได้ฟังตรงนี้ ตรงนั้น หลายๆ

ทาง เพื่อให้จิตวิญญาณเจริญเติบโตในทางของพระเจ้า

วันนี้ เราจะจบกันด้วยถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ก่อน

แล้วผมจะอธิบายให้ท่านฟังถึงถ้อยคำนี้ เป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากๆ

ว่าทั้งหมดที่เราฟังในคลิปเมื่อตะกี้นี้กับถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึก เมื่อ

2,000 ปีแล้ว เป็นสิ่งเดียวกันเลย ที่เราจะต้องปฏิบัติ

แล้วพระเจ้าต้องการให้เราปฏิบัติ เพื่อชีวิตเราจะได้อยู่บนโลกใบนี้

เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

1 ทิโมธี 6:6-8 “ 6

แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมี

ย่อมเป็นกำไรงาม 7 เพราะเราเข้ามาในโลกตัวเปล่า

เมื่อออกจากโลก ก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ 8 แต่ถ้าเรามีอาหาร

และเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น”

นี่คือปรัชญาชีวิต นี่คือความเป็นจริงของชีวิต

นี่คือแนวทางที่พระเจ้าบอกเราว่าถ้าเราทำอย่างนี้

ชีวิตเราจะอยู่บนโลกนี้อย่าง มีความสุขสงบมาก ปลอดภัย

(มากที่สุด) แต่ทางของพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจ

ในสิ่งที่ตนมีอยู่ ตรงนี้ภาษาเดิมหมายความว่าอย่างไร?

คำพูดนี้เขียนตอนที่พระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน

หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งหมด

เรียบร้อยแล้ว พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์

พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า

ผู้สถิตในสวรรค์ พระเจ้าพระบิดาส่งพระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อตายที่ไม้กางเขน พระบิดาต้องการให้พระเยซูตายที่ไม้กางเขน

เพื่อหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ซึ่งเป็นโลหิตของความบริสุทธิ์

เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นคนบาป โลหิตของพระองค์จะชำระบาป

ชดใช้บาปให้กับมวลมนุษยชาติทั้งหมดเลย พระองค์จะตายที่นั่น

และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และครอบครองเหนือทุกสิ่ง

แล้วพระองค์บอกว่าพระองค์เป็นทางนั้น

ที่ท่านทั้งหลายจะไปหาพระเจ้า ท่านจะไปหาพระบิดาเจ้า …

เจ้าของสวรรค์ ถ้าท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสวรรค์

“พระเจ้าส่งฉันมา

เพื่อให้บอกท่านว่าฉันเป็นทางที่ท่านจะไปหาพระเจ้า

เป็นทางที่ท่านจะไปสวรรค์

เป็นทางที่ท่านจะไปหาพระบิดาในสวรรค์ ฉันเป็นทางนั้น”

ทางนี้ทำด้วยอะไร? “ทางนี้ทำด้วยความตายของฉัน

ทางนี้ทำด้วยโลหิตของฉันที่หลั่งที่ไม้กางเขน

เพื่อชำระบาปให้กับท่าน”

เรากลับมาดูเมื่อตะกี้ แต่ในทางพระเจ้า ทางพระเยซู

ในนี้กำลังจะบอกว่าในทางพระเจ้า

พร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ก็คือเริ่มต้นด้วย

ถ้าท่านอยู่ในทางพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าท่านเชื่อพระเยซูแล้ว

พร้อมด้วยท่านมีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ กำไรงาม จบ

ชีวิตท่านเยี่ยม เป็นกำไรชีวิตที่งามที่สุดในโลกนี้

ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว มันแปลว่าอย่างนั้น Godliness with contentment

ภาษาเดิมแปลภาษาอังกฤษว่าความบริสุทธิ์ที่ท่านได้จากทางนี้

จากการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ซึ่งท่านไม่สามารถทำเองได้

พระคัมภีร์บอกเราไม่สามารถไถ่บาปตัวเราเองได้

เพราะเราเป็นคนบาป แต่พระโลหิตของพระเยซู

ซึ่งเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ สะอาดหมดจด

สามารถไถ่บาปเราได้ นี่เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่เราจะบริสุทธิ์

ท่านได้ความบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ท่านได้กำไรไปแล้ว

แต่ไม่กำไรถึงที่สุด ท่านต้องได้พระเจ้าไปด้วย

และมีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ท่านจะมีกำไรงาม …

งามมากเลย นี่คือเคล็ดลับ

แล้วก็บอกว่าพอมีทางพระเจ้า แล้วมีความพอใจ

แค่ท่านมีอาหารและเสื้อผ้าก็พอใจ ยกตัวอย่าง อะไรก็ได้

แล้วแต่พระเจ้าให้ พูดง่ายๆ แล้วแต่พระเจ้าจะจัดเตรียมให้

แม้นกในอากาศ พระองค์ยังดูแลเลย แล้วท่านเป็นใคร?

พระเจ้าจะไม่ดูแลท่านมากกว่านี้หรือ? พระเยซูตรัส

ขนาดนกในอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้ ดอกหญ้า

สวยงามมากเลย เดี๋ยวไม่กี่วันมันก็เฉาแล้ว ถูกแดดเผา

พระเจ้ายังตกแต่งมันสวย

แล้วท่านจะอยู่กับพระองค์ไปตลอดนิรันดร์

แล้วเป็นลูกของพระองค์ด้วย

พระเจ้าจะไม่ดูแลมากกว่าดอกไม้ไม่กี่วันนั่นเหรอ

ต้นหญ้าไม่กี่วันเหรอ นกกระจอกอายุมันอยู่นานเท่าไร?

พระเจ้ายังเลี้ยงดูมันเลย มันไม่ทำงาน วันๆ บินออกมา ร้องจิ๊บๆ

เดี๋ยวมันก็กลับไปบ้าน มันก็อยู่ได้ของมัน

พระเยซูสอนให้เรามองสิ่งเหล่านี้ แล้วท่านเป็นใคร?

เมื่อท่านอยู่ในทางพระเจ้า ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว

พระเจ้าจะดูแลท่านเอง พระเจ้าที่ดูแลนกนั่นนะ

พระเจ้าที่ดูแลต้นหญ้าให้มีดอกสวยขนาดนั้น เป็นพ่อของท่าน

จะดูแลชีวิตท่าน

และยกตัวอย่าง เมื่อสมัยท่านเป็นคนบาป

หรือทุกวันนี้ท่านรู้ตัวว่าท่านเป็นคนบาป ท่านยังรู้จักรักลูกของท่าน

ให้ของดีๆ ใช่ไหม? เราก็ต้องบอกว่าใช่

แล้วมากกว่านั่นสักเท่าไรที่พ่อ ผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ เป็นพ่อของท่าน

พระเจ้าบริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยพระสิริ ไม่ใช่เป็นคนบาป

จะรักท่านและให้ของดีๆ กับท่านมากกว่านั้นสักเท่าไร?

ท่านคิดเอาเอง เทียบเอาเอง เราเป็นห่วงลูกของเรามากเลยนะ ดึกๆ

ดื่นๆ ถ้าทำอันโน้นอันนี้ สมมตินะ เราเป็นห่วงมาก เป็นห่วงสุขภาพ

ตอนเขาไม่สบาย เราก็เป็นห่วงมาก พระเยซูบอกให้เราคิดเอาเอง

พระเจ้าเป็นห่วงเราขนาดไหน?

มากกว่านั้นสักเท่าไรที่ถ้าเกิดตอนนี้เราเป็นหวัด

พระเจ้าเป็นห่วงเรามากกว่านั้นสักเท่าไร?

นี่เปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ เลย ถ้าเราได้สิ่งเหล่านี้มาทั้งหมด

รวมกับความพอใจในสิ่งที่มีอยู่ว่า …

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว” วันทั้งวันนั่งยิ้ม

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วันหนึ่งจากโลกนี้ไป ฉันก็ไปอยู่ในสวรรค์

ขอบคุณพระเจ้า อยู่บนโลกนี้ ก็แล้วแต่น้ำพระทัยพระองค์

จะให้มีเงิน ฉันก็จะใช้เงินเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

เพราะพระเจ้าสอนฉันว่าถ้าให้มีเงิน หรูหราได้ไหม? ได้

แต่ความหรูหรานั้น มีสติปัญญาจากพระเจ้า

คือเป็นเหมือนผู้อารักขาของพระเจ้า

ใช้ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า”

เห็นไหม? ไม่ใช่มีเงิน แล้วมานึกว่า …

“ฉันรวยแล้ว อันนี้เป็นของฉัน”

เปล่า “ฉันเป็นผู้อารักขาเงินจำนวนนี้

และพระเจ้าก็อนุญาตให้ฉันใช้ด้วย แต่ใช้อย่างมีสติ”

มีสติว่าอย่างไร? นี่เป็นเงินของพระเจ้า ใช้ในทางของพระเจ้า

เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า หรูหราได้ไหม? ได้ แต่คิดทางนี้

เขาเรียกว่าคิด มีเหมือนไม่มี ขับรถใหญ่หรูหราเลย มี

แต่เหมือนไม่ใช่ของเรา … เราไม่ได้ไปยึดมันเป็นของเรา

เมื่อไรพระเจ้าจะเอาคืนไป ไม่มี ก็ไม่มี …

มีก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในทางของพระเจ้า มีสติ คืออย่างนี้

เพราะฉะนั้น นี่คือหนทางที่มีสันติสุข และมีความสงบสุขจริงๆ

บนโลกใบนี้ และมีความหวังในโลกหน้าด้วย

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 4 “โลกนี้ คือละคร” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

เราก็ยังอยู่ในซีรี่ส์การบรรยายชุด

“จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” และวันนี้เป็นตอนที่ 4

และเป็นตอนจบของชื่อตอน “โลกนี้คือละคร”

เนื้อหาหลักของตอนนี้ ก็คือโลกนี้เปรียบเหมือนโรงละคร

โรงใหญ่ ที่มีมนุษย์ทุกคนเป็นนักแสดงและมีพระเจ้าเป็นผู้กำกับ

และพระเจ้าก็วางบทให้บางคนเป็นตัวเด่น บางคนเป็นตัวสำรอง

บางคนเป็นพระเอก บางคนเป็นนางเอก บางคนเป็นคนดี

บางคนเป็นคนร้าย โหดร้าย แต่ไม่ว่าจะแสดงบทไหนก็ตาม

ภายใต้การควบคุมของผู้กำกับผู้นี้ ที่มีชื่อว่าพระเจ้า

พระบิดาของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งสิ้น

ไม่มีใครสามารถที่จะแสดงนอกบทที่พระองค์ทรงวางไว้ให้ได้เลย

ฉะนั้น ใครที่รู้เรื่องนี้ แล้วพยายามทำตามพระองค์

ก็คือทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ก็จะมีสันติสุข มีความสุข

เท่าที่เป็นไปได้ในโลกนี้ และโลกหน้ามากที่สุด

ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้มาก ก็มีสันติสุขมาก

ทำตามได้น้อยก็ได้น้อยตาม เราถึงเรียกว่าน้ำพระทัย

เมื่อรู้จักพระเจ้าแล้ว จงทำตามน้ำพระทัย เพื่อชีวิตของเราเอง

แม้คนไม่รู้จักพระเยซู เรายังอยากให้เขาทำตามน้ำพระทัย

เพราะเขาทำ เขาจะได้ แม้เขาไม่รู้จักพระเยซู

แม้เขาจะได้ในสิ่งที่เขาควรจะได้ตรงนั้น

ซึ่งไม่เกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวกับความรอดนะ

เกี่ยวกับผลประโยชน์มันเกิดขึ้นเอง โดยธรรมชาติ ถ้าเราไปฝืนมัน

ไม่ทำตามกฎ ซึ่งเราเรียกกันว่ากฎธรรมชาตินั่นเอง

ไม่ทำตามบทบาทที่พระเจ้าวางไว้ให้กับเขา ก็ทุกข์ระทม

พระเจ้าวางเป็นตัวสำรอง

เรายังอยากจะเป็นพระเอกอยู่นั่นแหละ อยากๆ

ไปอิจฉาริษยาชาวบ้านเขา ทะเยอทะยาน ใฝ่สูง ในที่สุดก็ทุกข์

นี่ยังไม่ได้พูดถึงเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น

นี่คือความจริง

ยังจำได้ไหมครับ เพลงประกอบเรื่องนี้ โลกนี้คือละคร

ตอนจบเขาว่าอย่างไร?

โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูเศร้าใจ ชั่วชีวิตวัย

หมุนเปลี่ยนผันไปเหมือนม่าน

เปิดฉากเรืองรอง ผุดผ่องตระการ

ครั้นแล้วไม่นาน ปิดม่านเป็นความเศร้าใจ

นี่คือเพลงโลกนี้คือละคร สำหรับคนทั่วๆ ไป

ที่อาจจะยังไม่รู้จักพระเยซู ยังไม่รู้จักพระเจ้า คือเปิดฉากด้วยความ

สวยงาม ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านความทุกข์

ความสุขวนเวียนกันไป ตามบทบาทของแต่ละคน

แต่สุดท้ายทุกคนต้องจบลงที่เดียวกัน คือความตาย

ทุกคนเจอเหมือนกันหมด สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า

เมื่อละครปิดม่านลง ก็ตามบทเพลงนี้

เกิดความเศร้าโศกอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่รู้ว่าตายไปแล้ว

จะไปอยู่ไหน? ถึงแม้บางคนอาจจะรู้บ้าง

แต่ไม่แน่ใจว่ามันใช่ไหม? ไม่มีการคอนเฟิร์มในหัวใจของเขา

ในวิญญาณของเขา

มันจึงเหมือนละครเศร้า สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

คลอดออกมา ทุกคนเปล่งปลั่ง ผิวพรรณเจริญเติบโต เลี้ยงฉลอง

แล้ววันหนึ่ง มารวมตัวกันอีกทีที่เชิงตะกอน ที่เขาจะไปเผา

ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกไหม? มานั่งร้องห่มร้องไห้ตรงนั้น

นี่คือเรื่องราวของทั่วๆ ไปในสังคมมนุษย์บนโลกใบนี้

แต่สำหรับเราคริสเตียน หรือผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว พอผู้กำกับสั่งจบ

หรือเขาเรียกว่า “คัท” จบ บอกว่า …

“บทบาทการแสดงละครบนโลกนี้”

สำหรับตัวแสดงคนนี้ จบลงแล้ว หมดหน้าที่บนโลกใบนี้

คือตายนั่นเอง เรารู้ทันทีว่าเราจะไปไหน?

เพราะเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้ายืนยันกับเราในหัวใจ

แน่ใจ มั่นใจ 100% เลย ว่าหลังจากจบละครบนโลกใบนี้แล้ว

เราจะไปไหน เราจะพบกับอะไร?

เรามั่นใจว่าจะเป็นตอนที่แฮปปี้เอ็นดิ่ง เป็นตอนที่พระเอกชนะ

จบปุ๊บ เราก็ร้องเพลงนี้

มีสถานอันงดงามเลิศนักหนา ถ้าเราเชื่อ

จึงจะเห็นได้แก่ตา

พระบิดาประทับคอยทุกเวลา

และเดี๋ยวนี้ยังเตรียมที่ไว้คอยท่า

ในเวลา ไม่ช้านาน จะได้ไปถึงที่พักอันสำราญ X2

ลมหายใจสุดท้าย ออกจากตัว น่าจะเป็นอย่างนั้น

ทุกคนควรจะร้องเพลงนี้ได้ ไม่ใช่ลมหายใจสุดท้าย ก็คือ

ปิดม่านด้วยความเศร้าใจ อย่างนี้ไม่ใช่แล้ว

แสดงว่าไม่ค่อยมาโบสถ์ วันอาทิตย์ไปเที่ยวหรือเปล่า?

ฉะนั้นอย่าไปเที่ยวเยอะ ฟังบ้าง ถึงไม่ได้ไปเที่ยว ก็ไปเปิดในยูทูป

ไปเปิดใน Facebook ที่เขาถ่ายทอดสดฟังบ่อยๆ บ้าง ลมหายใจสุดท้าย

มันจะได้จบลงที่ว่าในสวรรค์

เพราะฉะนั้น เพลงประกอบโลกนี้คือละคร เวอร์ชั่น

สำหรับคริสเตียน ก็จะเป็นเพลงแบบนั้น

และเพลงจบสุดท้ายจะไม่ใช่เพลงแบบโลกคือละคร

แต่มีอีกเพลงหนึ่ง ซึ่งสมควรมากที่เราจะต้องจำไว้ บรรยายจบ

จะร้องเพลงนั้นให้ฟัง

กลับมาที่เรื่องราวของพระคัมภีร์

เรากำลังเรียนรู้ชีวิตของดาเนียล

ซึ่งได้เป็นตัวอย่างของนักแสดงที่ดี

ที่เชื่อฟังและยอมทำตามผู้กำกับทุกอย่าง ดาเนียล บทที่ 2

เป็นช่วงที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝัน แล้วก็ให้พวกนักปราชญ์

และโหราจารย์ในวัง ถามว่าพระองค์ฝันอะไร?

แล้วค่อยทำนายฝันนั้น แต่ไม่มีใครทำได้

กษัตริย์จึงสั่งให้เอานักปราชญ์ทั้งหมด พวกเฉลียวฉลาดทั้งหมด

เอาไปฆ่าให้หมด เจ็บใจนัก เลี้ยงเสียข้าวสุก

ซึ่งรวมทั้งดาเนียลด้วย

กษัตริย์สั่งให้เขาบอกว่าตัวเองฝันอะไร?

ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องของสติปัญญาหรือวิชาการ

ที่จะสามารถทำอย่างนี้ได้ มาเรียนรู้ว่าคนนี้ฝันว่าอะไร?

ถ้าใช้วิชาการ หรือความรู้แบบมนุษย์

อาจจะสามารถบอกความฝันมา แล้วฉันจะไปทายดู ถ้าฝันว่างู

มันเกี่ยวกับคู่รัก อย่างนี้ พอที่จะใช้สติปัญญามนุษย์ได้ แต่บอกว่า

“เมื่อวานฉันฝันอะไร?”

“ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร?”

เขาเรียกว่าเป็นเรื่องล้ำลึก ที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น

ที่สามารถล่วงรู้หรือทำได้นั่นเอง ดาเนียลรู้เรื่องนี้ดี

จึงได้ไปทูลขอให้พระเจ้าเมตตาช่วยสำแดงเรื่องนี้

ให้รู้ทีว่าเรื่องล้ำลึกตรงนี้ หมายความว่าอะไร? กษัตริย์ฝันว่าอะไร?

แล้วพระเจ้าทรงสำแดงความล้ำลึกให้แก่ดาเนียล ในนิมิต

ครั้งที่แล้วเราเน้นกันตรงนี้ว่าสิ่งที่มนุษย์สามารถรู้ได้ด้วยสติปัญญา

ใช้คำว่าการเรียนรู้ แต่สำหรับเรื่องที่ล้ำลึกอย่างนี้

เกินกว่าสติปัญญามนุษย์จะเข้าใจได้ พระคัมภีร์ใช้คำว่า

“การสำแดง” “การเปิดเผย” “การเปิดตาฝ่ายวิญญาณ” “การเปิดตา”

พระคัมภีร์จะใช้คำเหล่านี้ ตลอดเสมอมา ทั้งพระคัมภีร์ใหม่ด้วย

การเปิดเผย การสำแดงโดยพระเจ้า

ที่ลึกซึ้งเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณอย่างนี้ได้

จนกว่าพระเจ้าจะเปิดตาฝ่ายวิญญาณ

สำแดงให้เขาได้เห็นว่ามันคืออะไร? ซึ่งคราวที่แล้ว

เราได้ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบให้เห็น

อย่างเช่นเรื่องของข่าวประเสริฐ เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์

ก็คืออันเดียวกันนั่นเอง

การที่รู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ไถ่ ต่อให้เรียนอย่างไร

ก็ไม่มีวันเข้าใจ เราไปสอนอย่างไร ก็ไม่เข้าใจ

แต่ไม่ใช่ไม่ให้สอนนะ สอน

แต่อย่าไปนึกว่าสอนแล้วเขาจะเข้าใจ เขาแค่รับรู้

แต่เขาไม่เข้าใจ เขาไม่ได้ถูกชักจูง เขาแค่ เหรอๆ

รอจนกว่าสิ่งที่เราสอนไป

จะได้รับการสำแดงเปิดเผยความจริงจากพระเจ้า

ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาจะ …

“อ๋อ! เข้าใจแล้ว”

เพราะฉะนั้น การที่เราจะไปประกาศข่าวประเสริฐให้กับใคร

ให้ใจเย็นๆ อย่าใช้ความรู้สึก

“ควรจะเชื่อแล้วๆ”

ไม่ควรมีคำว่า “ควร” ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า

เน้นไปที่การสำแดง เหมือนดาเนียล อธิษฐาน ขอพระเจ้า

“พระเจ้าเมตตาคนนี้ที เมตตาคนนั้นที

เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เขาได้รู้ถึงเรื่องพระเยซูคริสต์ที่ลูกเล่าให้เข

าฟังแล้ว ขอเมตตา ทรงดลใจ

เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เขาเชื่อในสิ่งที่ลูกได้พูดเรื่องข่าวดีของพระ

เยซูคริสต์ เปิดเผยความจริงนี้ ให้เขาได้รู้ สำแดงเรื่องนี้กับเขาได้รู้”

อย่างนี้เขาเรียกว่าอธิษฐาน ถูกต้องเลย เอเมน

ภารกิจที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ มอบหมายให้ทำ

เป็นสิ่งที่ล้ำลึก เกินกว่ามนุษย์คนไหนที่จะสามารถหยั่งรู้ได้

ไม่มีตำรา ไม่มีศาสตร์ใด ไม่มีการสอน ไม่มีการทำนายฝันแบบนี้

และพระเจ้าก็ได้สำแดงสิ่งนี้ให้กับดาเนียล

ครั้งที่แล้วเราได้ ทิ้งท้ายไว้ที่ดาเนียล 2:23

ดาเนียล 2:23 “ข้าแต่พระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพระองค์

ข้าพระองค์ขอบพระคุณ และสรรเสริญพระองค์

พระองค์ประทานสติปัญญา และฤทธิ์อำนาจแก่ข้าพระองค์

พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ ทราบสิ่งที่ทูลขอจากพระองค์

ทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย ทราบความฝันของกษัตริย์”

พระเจ้าประทานสติปัญญาให้กับดาเนียล

ตอนอยู่ในสำนักราชวัง เขาเรียนเก่งกว่าคนอื่น 10 เท่า

แต่ขณะที่มีสติปัญญาอย่างนั้น ก็ไม่สามารถที่จะทายฝันอย่างนี้ได้

ในนี้จึงบอกว่าพระองค์ประทานสติปัญญาและฤทธิ์อำนาจ

ตรงนี้แหละ เขาเรียกฤทธิ์อำนาจ

เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องราวของดาเนียล

ตั้งแต่ตอนที่ถูกกวาดต้อนจากเยรูซาเล็ม มาเป็นเชลยที่บาบิโลน

ดาเนียลต้องเผชิญกับการทดสอบมากมาย

ต้องไปอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ตรงกันข้ามกับเรื่องทางพระเจ้า

บาบิโลนกับเยรูซาเล็มคนละเรื่องเลย แต่ดาเนียลก็ยังยืนหยัด

และมั่นคงในความเชื่อ ยังมั่นใจในความรัก

ความเมตตาของพระเจ้าในชีวิตของเขา

แต่สังเกตให้ดี คำว่า “ยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ”

ของดาเนียลตรงนี้ ไม่ได้แปลว่าดาเนียลจะต้องยืนกราน

ทำตามสติปัญญา หรือความคิดของตัวเองเสมอไป

อย่างตอนที่ดาเนียลถูกคัดเลือก

ให้ไปเรียนรู้วิชาอาคมหรือไสยศาสตร์ จากชาวบาบิโลน

คนละเรื่องกับทางพระเจ้า ถ้าคิดตามหลักมนุษย์

เป็นเราก็จะต้องบอกว่า …

“จะไปเรียนได้อย่างไร? ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ทางของพระเจ้า

หัวเด็ด ตีนขาด ก็ไม่ไปเรียน”

ต้องไม่ยอม ตายเป็นตาย อย่างนี้ ใช่ไหมที่เราสอนๆ กันมา

ถ้าดาเนียลทำแบบนั้น จะเกิดอะไรขึ้น

หัวถูกเด็ดแน่ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งฆ่าคนสบายๆ ง่ายๆ

ก็คงเอาไปตัดคอเลย ได้เด็ดหัวจริงๆ

แล้วมันเป็นไปตามน้ำพระทัยไหม? ไม่ได้เป็น แต่สิ่งที่ดาเนียลทำ

คือทุกครั้ง ไม่ว่าต้องเผชิญกับอะไรก็ตาม สถานการณ์ใดก็ตาม

ดาเนียลจะทำตัวเป็นนักแสดงที่ดีของโลกนี้

เขาจะเข้าไปถามผู้กำกับก่อนว่า …

“พระเจ้า … องก์นี้ จะให้เล่นบทอะไร? แสดงอย่างไร?”

ภาษาละครเขาเรียก “องก์” ก็คือในแต่ละฉาก

หรือแต่ละตอนของละคร เขาจะใช้คำว่า “องก์” จะทำอย่างไรดี?

จะเล่นแบบไหนดี?

พอกษัตริย์สั่งว่าให้ไปเรียนวิชาวิทยาคมกับชาวบาบิโลน

ดาเนียลก็ไปถามผู้กำกับว่าองก์นี้ จะให้แสดงแบบไหน?

ผู้กำกับบอกว่าให้ไปเรียนได้ ดาเนียลก็ไปเรียน

ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือตามคำสั่งของผู้กำกับเอก ซึ่งเขารู้จักดี

ก็คือพระเจ้า เชื่อแล้ว ทำเลย

มาถึงองก์ที่กษัตริย์บังคับให้ทานอาหารที่ถูกส่งมาจากในวัง

ดาเนียลก็หันไปถามผู้กำกับ คือพระเจ้าว่าจะให้ทานไหม?

ซึ่งมันก็เรียกว่าทำลายสนธิสัญญากับพระเจ้า ทานอาหารมีมลทิน

จะทานไหม? คราวนี้ผู้กำกับพระเจ้าบอกว่า …

“ไม่ต้องทาน”

เห็นไหม? ตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้ ให้เรียนวิทยาคมได้

แต่ทำไมทานไม่ได้ มนุษย์ไม่เข้าใจ ถ้าให้ไปเรียนได้

มันก็ทานอะไรก็ได้สิ เราต้องคิดอย่างนั้น แต่นี่ผู้กำกับบอกองก์นี้

เล่นตัวหน่อย ไม่ต้องทำตามเขา ดาเนียลก็ทำตาม ยืนยันว่าไม่เอา

จะขอทานผักกับน้ำอย่างเดียว

ถามว่าดาเนียลรู้ล่วงหน้าไหมว่าถ้าปฏิเสธอย่างนี้

เดี๋ยวพระเจ้าจะดลใจเอง ให้ทหารที่คุมอยู่ ใจอ่อน เขาจะชอบพอ

แล้วเขาจะยอม ไม่รู้ เขาทำเลย เสร็จแล้วพระเจ้าจึงทำตาม

พอเขาทำอย่างนั้น แผนการพระเจ้าจึงให้ผู้คุมนั้นใจอ่อน ยอม

แม้กระทั่งเสี่ยงชีวิตของตัวเขาเอง หมายถึงตัวทหารที่คุมเองก็ตาม

มาถึงองก์ต่อไป ฉากต่อไป อยากให้ท่านเห็นอะไรบางอย่าง

เพื่อเอามาใช้ในชีวิตของเราได้ด้วย อีกฉากหนึ่ง

คือกำลังจะถูกจับไปประหาร

เพราะไม่มีนักปราชญ์คนไหนสามารถทำนายฝันของกษัตริย์ได้

ตอนที่ดาเนียลขอเวลาทหารว่าจะอาสาไปทำนายฝันให้

ตอนนั้นดาเนียลก็ไม่ทราบว่าพระเจ้าจะประทานคำตอบให้

เพียงแค่ขอเวลาไปถามผู้กำกับก่อนเท่านั้นเอง เขาไม่มั่นใจ

รู้ได้อย่างไรว่าไม่มั่นใจ ก็เขายังบอกเพื่อนเขา 3

คนช่วยกันอธิษฐานหน่อย

ท่านพอจะเห็นไหมครับ?

ที่พยายามจะโยงความคิดของดาเนียลกับคำว่าโลกนี้

คือละคร เพราะต้องย้ำประเด็นที่สำคัญว่าละครแต่ละเรื่อง

ผู้กำกับไม่ได้ให้บทที่เหมือนกันกับนักแสดงทุกคน

ในละครทุกเรื่อง มีแต่คนดีทั้งหมด ไม่มีคนร้ายเลย

ทุกคนหล่อหมดเลย ไม่มี ทุกคนสวยหมด ไม่มีนางเอก

ฉันใดก็ฉันนั้น นักแสดงทุกคนบนเวทีโลกนี้ ก็คือมนุษย์ทุกคน

ผู้กำกับใหญ่ คือพระเจ้า ก็ไม่ได้ให้บทบาทที่เหมือนกันแก่ทุกคน

เช่นเดียวกัน อันนี้ส่งไปถึงคนที่ไม่ใช่คริสเตียนอย่างเดียว

แต่ส่งไปถึงมนุษย์ทั้งหลาย บนโลกใบนี้ จงรู้เถิดว่าพระเจ้าควบคุม

เป็นผู้กำกับอยู่ แล้วพระองค์ทรงให้บททุกคน ไม่เหมือนกัน

เราไม่ได้มาเรียนรู้เรื่องดาเนียล

เพื่อที่จะบอกว่าทุกคนต้องกินผัก หรือทำทุกอย่างเหมือนดาเนียล

แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำเหมือนดาเนียล

คือให้หันไปถามผู้กำกับก่อนในทุกๆ เรื่อง

ให้พระเจ้าเป็นใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรา

ให้พระเจ้าเป็นผู้กำหนดชีวิตเรามากที่สุด

แสวงหาพระองค์มากที่สุด ในทุกๆ สถานการณ์ ในทุกๆ เรื่อง

งานยิ่งใหญ่เท่าไร

ยิ่งต้องพึ่งในการทรงนำของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น

อย่าแสดงละครตามความคิด ความเข้าใจ

หรือตามเหตุผลของตัวเอง อย่าทำอย่างนั้นเด็ดขาด

ทุกคนบนโลกใบนี้ ชอบทำอย่างนี้แหละ

พ่อและแม่บอกให้เราเรียนอย่างนี้

อาจารย์บอกเราควรจะเป็นอย่างนี้ สังคมบอกเราควรเป็นอย่างนี้

เราไม่เคยดูตัวเราเองว่าเราควรเป็นใคร? โทษทีนะ

ร้องเพลงเพี้ยนจะมากๆ แต่พยายามจะเป็นนักร้อง สมมตินะ

อันนี้มันเห็นชัด อยากจะเป็นนางเอกมาก จนไปผ่าตัดเปลี่ยนหน้า

เพื่อจะได้สวยๆ และเป็นนางเอก แล้วมันไปรอดไหม? คลอดลูกมา

ไม่รู้ลูกใคร ทำไมหน้าไม่เหมือนเรา ลืมไปว่าเราไปทำหน้ามา

อันนี้อธิบายให้ฟัง จะอธิบายให้เราฟังว่าพระเจ้าให้แสดงบทอะไร

นี่ไม่ได้หมายถึงให้เราไปทำหน้าทำตาไม่ได้ ทำได้

แต่พยายามอย่าเป็นนางเอกเท่านั้นเอง

เป็นนางเอกในบ้านคนเดียวพอแล้ว

ท่านจะทำอะไรมาถามศิษยาภิบาล เพื่อหาคำปรึกษา

ได้รับข้อมูลไป แล้วเอาไปไตร่ตรอง

ผู้สุดท้ายที่จะบอกว่าเราควรทำหรือไม่? คือพระเจ้า ใจเย็นๆ

คอยมองให้ดีๆ แสวงหาพระเจ้า คือแสวงหาให้บ่อยๆ

พระคัมภีร์ทั้งเก่าและใหม่ แปลว่าแสวงหาเสมอ ต่อๆ ไปเรื่อยๆ

บางทีเราแปลกันมาสั้นๆ ว่าจงแสวงหาพระเจ้า แต่จริงๆ

มันหมายถึงจงแสวงหาพระเจ้า อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

แล้วพระองค์จะตอบ

แสวงหา ไม่ใช่ในห้องอธิษฐาน แล้วก็จบแค่นั้น ขอโทษทีนะ

ท่านเคยแสวงหาความร่ำรวยไหม? ทุกคนเป็นหมด ตั้งแต่หนุ่มๆ

พอหาเงินได้ ก็อยากจะรวย แล้วท่านทำอย่างไร? เฉพาะที่ทำงาน

คิดแค่นั้นเหรอ คนที่คิดแสวงหาความร่ำรวย ทั้งวันทั้งคืน

เขาคิดแต่ว่าจะหารายได้อย่างไร? เหมือนกัน

แสวงหาพระเจ้าทั้งวันทั้งคืน

คือไม่ใช่เข้าไปอธิษฐานมาโบสถ์แค่วันอาทิตย์

วันธรรมดาอธิษฐาน จบ ออกจากห้องอธิษฐานเขาคิด

ไม่ใช่หมายถึงไม่ทำอะไรนะ ครุ่นคิดแต่เรื่องนี้ตลอดเวลา

“พระเจ้าเรื่องนี้ที่อธิษฐานฝากไว้ที่พระองค์

ตกลงเราจะทำอย่างไร?”

ทำอะไรไป ก็คิดแต่เรื่องนี้ทั้งหมด

เดี๋ยวพระเจ้าจะประทานนิมิตผ่านทางอะไรบางอย่าง

ขึ้นรถเมล์เห็นตรงนี้ อ๋อ! พระเจ้าเริ่มตอบ เข้าใจแล้ว

จะรู้เรื่องมากขึ้นไปเรื่อยๆ รู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้า คืออะไร?

ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าจะบอกเดี๋ยวนี้เลย

สมมติจะให้ไปต่างประเทศ บอกอธิษฐาน ออกมาถึง บอกแล้วเนี้ย

ไม่ใช่อย่างนั้น ใจเย็นๆ ค่อยๆ มองไปเรื่อยๆ จะซื้อรถดีไม่ดี

จะซื้อคันละ 5 แสน หรือ 2 แสน

เยอะแยะไปหมดที่จะสามารถเข้าไปปรึกษาพระเจ้าได้ ค่อยๆ มอง

ใจเย็นๆ อัศจรรย์ที่พระเจ้าอาจจะทำให้เกิดขึ้นกับใครคนหนึ่ง

ก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะทำให้เกิดอย่างนั้นกับทุกคน

ไม่ใช่ว่ากินแต่ผักกับน้ำ แล้วพระเจ้าทำให้เขามีสุขภาพแข็งแรง

สวย หล่อ ฉลาดกว่าคนอื่น 10 เท่า แล้วคนอื่น ก็กินผักกับน้ำ

พระเจ้าก็จะทำให้เขาแข็งแรงด้วย ไม่ใช่ ลองทำตาม

อาจจะตายเลย จริงๆ ไม่ได้พูดเล่น

เหมือนที่ผมเคยย้ำอยู่บ่อยๆ ว่ามีคริสเตียน 2

คนป่วยเหมือนกัน อาการเท่าๆ กัน เป็นโรคเดียวกัน

แม้จะอธิษฐานทูลขอพระเจ้าในสิ่งเดียวกัน

แล้วทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน

พระเจ้าก็อาจตอบคำอธิษฐานไม่เหมือนกัน คนหนึ่งอาจจะหายป่วย

ส่วนอีกคนหนึ่ง พระเจ้าอาจจะให้ป่วยต่อไป เพื่ออะไรบางอย่าง

เราไม่รู้ แต่เรารู้แค่ว่าเป็นน้ำพระทัยของพระองค์

ที่จะให้แผนการของพระองค์สำเร็จ ซึ่งมันจะดีต่อทุกสิ่ง

ไม่ใช่กับเราคนเดียว แต่ดีต่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้

ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาหมด ตามน้ำพระทัย

ตามแผนการของพระองค์ และมันจะดีสำหรับเราที่พระองค์ทรงใช้

แน่นอน

พระคัมภีร์สัญญาไว้ แล้วบอกด้วยว่าทั้งหมดที่ดีนั้น

เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

หมายถึงเพื่อความรักและความดีงามของพระเจ้า

จะได้สำแดงออกมา ทั่วโลกว่านี่พระเจ้าผู้นี้

เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม พระเจ้าแห่งความดีงาม

พระเจ้าแห่งความยิ่งใหญ่สูงสุด มันแปลว่าอย่างนี้

แล้วใครได้สิ่งเหล่านี้ไป

คนนั้นจะได้เป็นไปตามทางที่พระเจ้าวางไว้ คือสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเขา

ไปจนถึงนิรันดร์

ประเด็นสำคัญ คือถ้าเราถามผู้กำกับแล้ว

คืออธิษฐานแล้ว ได้รับคำตอบอย่างไร

ก็ให้ทำหน้าที่ของการเป็นนักแสดงที่ดีอย่างนั้น

คือเชื่อฟังและทำตามอย่างนั้นเลย ไม่ต้องเข้าใจ ก็ทำตาม

และมั่นใจได้เลยว่าจะเป็นผลดีสำหรับชีวิตของเราเองอย่างแ

น่นอน แล้วมันจะเป็นผลดีต่อคนอื่น รอบข้างหมด

และจะเป็นผลดีต่อต้นไม้ใบหญ้า สัตว์ทั้งหลายที่เรารัก

โลกใบนี้ทั้งใบ เป็นไปตามแผนการของพระองค์ และเป็นผลดี

ไม่ใช่แค่ที่ตามองเห็น เราตายไปแล้ว สิ่งที่เราทำนั้น

มันยังดีต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่คนเดียว ทุกคน มันจะมีผลไปเรื่อยๆ

อยู่ในแผนการใหญ่ของพระเจ้านั่นเอง

เรามาอ่านต่อเรื่องราวของดาเนียล

ในพระคัมภีร์ว่าหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงให้กับดาเนียลในนิ

มิต ให้สามารถหยั่งรู้ความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แล้ว

เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป

ดาเนียล 2:24-30 “ 24 แล้วดาเนียลไปพบอารีโอค

ซึ่งกษัตริย์ทรงใช้ให้ไปประหารชีวิตเหล่านักปราชญ์ของบาบิโลน

ดาเนียลกล่าวกับเขาว่าอย่าประหารเหล่านักปราชญ์ของบาบิโลนเ

ลย โปรดนำข้าพเจ้าไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทำนายฝันถวาย 25

อารีโอคจึงพาดาเนียลไปเข้าเฝ้าทันที

และทูลว่าข้าพระบาทพบชายผู้หนึ่ง ในหมู่เชลย ที่มาจากยูดาห์

ซึ่งสามารถกราบทูลว่าความฝันนั้นหมายความว่าอะไร” 26

กษัตริย์ตรัสถามดาเนียล (หรือที่เรียกกันว่าเบลเทชัสซาร์)

‘ว่าเจ้าสามารถเล่าสิ่งที่เราฝัน และแก้ฝันให้ได้หรือ’ 27

ดาเนียลทูลตอบว่า ‘ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถา

อาคมและโหรคนใดสามารถทูลความล้ำลึก

ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้ 28

แต่มีพระเจ้าองค์หนึ่งในฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงเปิดเผยสิ่งล้ำลึก

และได้ทรงสำแดงให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันและนิมิต

ซึ่งผ่านเข้ามาในพระดำริ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่บนพระแท่น

มีดังนี้ 29 ข้าแต่กษัตริย์ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่

และทรงดำริถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น

พระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยความล้ำลึก

ก็ทรงแสดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 30

ที่พระเจ้าทรงโปรด ให้ความล้ำลึกนี้ ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระบาท

ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่นๆ

แต่เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงทราบความหมายและเข้าใจสิ่งที่เข้ามาใ

นพระดำริ”

“พระดำริ” หมายถึงความนึกคิด … คิดตลอดเวลา ฝันได้เรื่อยๆ

ตลอด ดาเนียลทูลขอการสำแดงจากพระเจ้า

ที่จะสามารถทายฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้

แล้วพระเจ้าก็ทรงประทานให้ แล้วดาเนียลก็เข้ามาเฝ้ากษัตริย์

เพื่อทำนายฝัน ตื่นเต้น … ตื่นเต้นไหม? และความฝันนี้

มันรวมไปถึงตั้งแต่วันที่พูด 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด

จนมาถึงเราทุกวันนี้ 2,000 ปี แล้วเกี่ยวข้องจากนี้ ต่อไป

ที่เราอาจจะตาย พรุ่งนี้ มะรืนนี้ แล้วก็ไปอีก ความฝันนี้

บอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันพิสูจน์มาแล้ว 2,600 ปี

มันตรงเป๊ะหมดเลย เพราะฉะนั้น หลังจากนี้ไป มันก็ต้องตรงแน่ๆ

เลย

สังเกตคำตอบของดาเนียล มีอยู่ 2 ประเด็นที่สำคัญ

1. ที่บอกว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทย์มนต์ นักเล่นคาถาอาคม

และโหรคนไหน สามารถทูลความล้ำลึก

ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้”

คิดดูสิ กษัตริย์กำลังโมโหมากเลย มีเด็กคนหนึ่งบอกว่า …

“ผมทำได้ ขอเวลาหน่อย”

พอมาถึงกลับตอบว่า “ไม่มีใครทำได้หรอก”

ตอบคำแรก สมควรฆ่าตาย

ขึ้นต้นมาอย่างนี้เลย ทำไมเขากล้าพูดอย่างนี้

เพราะเขารู้แล้วว่ามันคืออะไร?

สิ่งที่พระเจ้าบอกเขาเกี่ยวกับความฝัน เขามั่นใจ 100%

ว่าพระเจ้ามีชีวิตอยู่ เพราะพระเจ้าบอกมาเป็นฉากๆ เลย

จะเกิดอะไรขึ้น นิมิตเป็นอย่างนี้ พระองค์ฝันว่าอย่างนี้ ถ้าพูดไปปุ๊บ

กษัตริย์ต้องคุกเข่าแน่ เพราะมันอัศจรรย์มากเลย รู้ได้อย่างไร?

ในข้อนี้ที่บอกว่า “ไม่มีนักปราชญ์ เวทมนต์ใดๆ คาถาคนใด

โหรคนใด สามารถทูลความล้ำลึกของฝ่าพระบาท

ตามคำถามนี้ได้”

หยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะเอาไปตัดหัว

“แต่ว่าอย่าเพิ่งโกรธ มีพระเจ้าองค์หนึ่ง ในฟ้าสวรรค์

ผู้ทรงเปิดเผยสิ่งล้ำลึกนี้

และได้ทรงแสดงให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ให้เห็นถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น

ในอนาคต”

คราวนี้ตื่นเต้น

คือดาเนียลกำลังถวายเกียรติแด่พระเจ้านั่นเองว่าพระองค์ทรงยิ่งใ

หญ่สูงสุด

“พระเจ้าของฉัน ที่ฉันกำลังจะพูดถึงยิ่งใหญ่มาก

เรื่องที่กำลังจะบอกเป็นเรื่องลี้ลับ ที่ถามมานั้น

ไม่มีมนุษย์คนไหนรู้เรื่องหรอก”

กล้าพูดอย่างนี้

“ไม่มีวิชาการใดที่จะสามารถล่วงรู้ได้หรอก

มีเพียงพระเจ้าของฉันองค์เดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำได้”

และอันที่สองที่น่าสังเกต คือที่บอกว่า …

“ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้

ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระบาท (ดาเนียล) ไม่ใช่

เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่นๆ

แต่เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงทราบความหมายและเข้าใจสิ่งที่เข้ามาใ

นความคิดในความฝัน”

พูดง่ายๆ จะได้เข้าใจว่าความฝันนั้นคืออะไร?

เป็นการถ่อมตัวอย่างมากของดาเนียล

ที่กำลังบอกว่าที่พระเจ้าบอกความล้ำลึกนี้ให้

ไม่ใช่เพราะว่าตัวเองดี หรือเก่งกว่าคนอื่น

แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเอง

ที่จะให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์รู้เรื่องนี้

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เป็นตัวแสดงตัวหนึ่ง

ที่อยู่ในบทบาทหนึ่ง ในแผนการนี้ ซึ่งเกี่ยวถึงเรื่องพระเยซูด้วย

เกี่ยวถึงเราที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ดาเนียลได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

โดยบอกว่าเขาเป็นส่วนประกอบเล็กๆ

คนหนึ่งในแผนการของพระเจ้า ในน้ำพระทัยของพระเจ้า

ในเรื่องของพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นผู้กำกับโรงละครนี้อยู่

นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเลียนแบบเขา ก็คือต้องถ่อมใจ

ไม่ว่าเราจะเก่งอะไรก็ตาม เราต้องถ่อมใจ

ไม่มีอะไรที่เราเก่งสักอย่างเลย

พระองค์อยากให้ทำอะไร พระองค์ก็ใส่สิ่งนั้นมา เราก็ทำได้

บางคนบอกว่า …

“ฉันร้องเพลงเก่ง”

“ฉันเล่นดนตรีเก่ง”

บางคนบอก “ฉันเรียนหนังสือเก่ง”

“ฉันเป็นอะไรเก่งๆ”

อันตรายมากเลย

เอาอันนี้ออกไปจากริมฝีปากของเราว่าเราเก่ง

เขาจึงสอนให้เราทำอะไรก็ตาม จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า

จงมอบให้พระเยซูคริสต์ ถามว่าพระเยซูอยากได้เกียรติเหรอ

ไม่ใช่ ป้องกันเรา ไม่ให้เราเย่อหยิ่ง

เพราะความเย่อหยิ่งจะทำให้เราถูกดึงลงมา

ความเย่อหยิ่งจะทำให้เราพินาศ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ความเย่อหยิ่งทำให้เราไปในทางที่แย่ ความเย่อหยิ่ง

คือไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เป็นไปตามผู้กำกับ ก็เสร็จสิ

เดี๋ยวก็โดน ยินยอมตามผู้กำกับ ก็คือถ่อมใจ

“ไม่ใช่ฉันเลย เขาสั่งมา”

สมมติตอนนี้ผู้กำกับเขาเขียนบทให้เรา เป็นผู้มั่งมี ร่ำรวย

อย่าซ่าส์ๆ หรือตอนนี้เขาเขียนบทให้เราเป็นคนจน

มันก็แค่การแสดงบทหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป อย่าไปยึดว่ามันจริง

มันใช่ มันต้องเป็นอย่างนั้น ตอนนี้เป็นบทป่วย ก็ป่วย บทแข็งแรง

ก็ไม่ต้องซ่าส์ว่าแข็งแรง บางคนคิด ถ้าหายโรคอย่างอัศจรรย์

เรียกว่าพระพร ไม่ใช่

ผมไม่ได้หมายถึงใช่หรือไม่ใช่? คำว่า “ไม่ใช่”

อย่าไปกำหนดว่าอย่างนั้น มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เข้าใจใช่ไหม?

อย่าไปยึดตรงนั้น มันเป็นเพียงแค่ฉากหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว

ถ้าท่านไม่ยึดตรงนั้น วันที่ท่านป่วย ท่านจะทรมานใจมากเลย

ถ้าท่านบอกว่าท่านแข็งแรงได้รับพระพร ถ้าท่านป่วย

เขาเรียกว่าอะไรล่ะ ตรงกันข้ามกัน

ท่านคงไม่ว่าตอนนี้ถูกพระเจ้าสาปแช่ง ไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ …

พระคัมภีร์บอกพระเจ้ายุติธรรม พระเจ้าทรงรักเราอย่างมากมาย

ถึงขนาดประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์

คือพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา

ขณะที่เราเป็นคนบาป เรายังรักลูกของเรา มากกว่านั้นสักเท่าไร

พระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์สะอาด รักเรามากกว่านั้นอีกตั้งเยอะเลย

แต่เราไม่เข้าใจว่าเพื่ออะไร? ไม่ต้องเข้าใจ แค่รู้ว่าดีก็แล้วกัน

ต้องฝึกไว้ตรงนี้ว่าจงถ่อมใจตลอดเวลา อะไรเข้ามา

จงขอบคุณพระเจ้า การขอบคุณพระเจ้า

คือการถ่อมใจนั่นเอง ยอมเป็นไปตามการกำกับของพระเจ้า

สรุป

ก็คือดาเนียลกำลังตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าผู้กำกับใหญ่

ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด ก็คือพระเจ้า

ตั้งแต่ดลใจให้กษัตริย์ฝัน สั่งให้นักปราชญ์มาทำนายฝัน

โดยไม่บอกว่าฝันอะไร? พอทำไม่ได้ ก็สั่งให้เอาไปฆ่า

แล้วก็ประทานนิมิตให้กับดาเนียล เพื่อมาทำนายฝัน

ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของพระเจ้าทั้งสิ้น

แล้วทุกคนที่เกี่ยวข้องก็เป็นเพียงแค่นักแสดงที่ได้รับบทมา

ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ทั้งสิ้น เฉพาะเรื่องนี้ พระเจ้ากำลังทำองก์นี้

หรือฉากนี้ หรือตอนนี้ สร้างให้ดาเนียลเป็นฮีโร่ ที่บอกไว้ไง

สถานการณ์สร้างฮีโร่ และใครเป็นผู้สร้างสถานการณ์ พระเจ้า

เพราะฉะนั้น พระเจ้าเป็นผู้สร้างฮีโร่ ถ้าเมื่อไรท่านเป็นฮีโร่

อย่านึกว่าท่านเก่งเป็นฮีโร่ พระเจ้าสร้างมา ถ่อมใจไว้

ในหนังสือฮีบรู บทที่ 11 จึงบอกว่าผู้ที่จะมาเชื่อพระเจ้า

ต้องมีความเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ ฮีบรู 11:1-3, 6

ฮีบรู 11:1-3, 6 “ 1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้

และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เพราะความเชื่อนี้เอง

ที่คนในสมัยก่อน ได้รับการทรงชมเชย 3 โดยความเชื่อ

เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น

สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา 6

ถ้าไม่มีความเชื่อ ก็เป็นไปไม่ได้ ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย

เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้า ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่

และประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้น

ที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง” เอเมน

เพราะพระเจ้าทรงดำรงอยู่ เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาหาพระเจ้า

ต้องเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ ถูกกำหนดโดยอะไรบางอย่าง

ที่อยู่ในโลก ที่มองไม่เห็น หลายครั้งที่เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น

ซึ่งเราไม่สามารถคิดได้ว่ามันจะดีได้อย่างไร? คิดตามภาษามนุษย์

พูดง่ายๆ นะ เหมือนพระเจ้าไม่ยุติธรรม อันนี้เป็นเรื่องปกติ

เมื่อไรก็ตามที่เราคิดนอกกรอบที่พระเจ้าสอนเรา

คิดตามภาษามนุษย์ เรามักจะพูดอย่างนี้เสมอว่าพระเจ้าโหดร้าย

พระเจ้าไม่ยุติธรรม

ซึ่งถ้อยคำพระเจ้าไม่เคยมีเขียนไว้ตรงไหนเลย

ไม่ว่าพระคัมภีร์ใหม่หรือเก่า มีแต่บอกพระเจ้าดีงาม พระเจ้าดีที่สุด

พระเจ้าแสนดี พระเจ้าเป็นความยุติธรรม พระเจ้าเป็นความรัก

ไม่เคยเกลียดใคร

“พระเจ้าเกลียดฉันคนเดียว”

มันจะเป็นอย่างนี้เสมอ ถ้าเราเข้าในหนทางที่ผิด

เพราะมันเกินกว่าความคิดของเรา ที่จะเข้าใจ

เพราะพระคัมภีร์บอกพระเจ้ายุติธรรม

แต่เราคิดของเราเองว่าที่เห็นๆ เกิดขึ้น มันยุติธรรมที่ไหน?

พระคัมภีร์จึงบอกว่าความคิดของเรากับพระเจ้ามันห่างไกลมาก

ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? ความคิดของเรากับพระเจ้า

ก็ต่างกันเท่านั้น ทางของเรากับทางของพระเจ้า ก็ต่างกันเท่านั้น

เราไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าเหตุการณ์นั้น ที่เกิดขึ้น

ทำไมต้องเกิดขึ้นอย่างนั้น เราไม่มีทางเข้าใจหรอก

ทำไมคนชั่วได้ดี หรือคนทำดีแล้ว ไม่ได้ดี อะไรประมาณนี้

อันนี้ชัดเลย

บางครั้งเราพูดอย่างนี้บ่อยๆ ตอนที่เราไม่รู้จักพระเจ้า

ยังไม่รับเชื่อ แต่หลายครั้งที่เรามาเชื่อแล้ว เราก็ยังอดคิดไม่ได้

เหมือนความคิดเก่าๆ เผลอๆ พูดออกมาด้วย

“พระเจ้าไม่ยุติธรรม”

เรากำลังบอกว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม

แต่พระเจ้าบอกเสมอในพระคัมภีร์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้ายุติธรรม

พระองค์ทรงทำงานทุกสิ่งตามแผนการของพระองค์

เพื่อพระสิริของพระองค์ และสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่รักพระองค์

และทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงสร้าง

แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะทำให้เรารู้สึกสบาย

มีความสุขบนโลกใบนี้ แต่หมายถึงสิ่งต่างๆ

เหล่านี้ที่เกิดขึ้นทางวิญญาณนั้น มันจะเกิดผลเป็นสิ่งที่ดี

สำหรับชีวิตของเราอย่างแน่นอน เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เอเมน

ดาเนียลกับเพื่อนที่ถูกต้อนไปเป็นเชลย เขาก็ไม่รู้สึกท้อแท้

ตามที่เขียนนะ แต่แน่นอนผมมั่นใจว่าที่เขาไม่ได้เขียนไว้

หลายครั้งเขาคงท้อแท้แหละ ที่เขาไม่ท้อแท้ เพราะเขาเชื่อ

ในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามีพระเจ้าผู้ควบคุมอยู่จริงๆ

พระเจ้าสูงสุดอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะดาเนียลรู้

ว่าพระเจ้าคอยควบคุมทุกอย่าง เป็นผู้ทรงนำพาให้เขาและเพื่อนๆ

และชาวยิวมาเป็นเชลย เขาจึงเขียนคำแรก

ในหนังสือบทนี้เลยว่าพระเจ้ามอบอิสราเอลมาเป็นเชลยให้กับกษัต

ริย์เนบูคัดเนสซาร์ เขาเขียนคำนี้เลย ให้มาเป็นเชลย

พระองค์ทรงทำทุกอย่างได้ แม้แต่สิ่งนี้ ดูตามสายตาแล้ว

พระองค์ทรงโหดร้ายกับลูกของพระองค์นัก อิสราเอลหรือยิว

คือลูกรักของพระเจ้าที่ทรงหวงแหนมาก

ดูแลประคบประหงมตลอดเวลา เป็นประชากรของพระเจ้า

แล้วพระองค์ทรงทำอย่างนี้กับประชากรของพระเจ้าเหรอ

ก็เปรียบเทียบเหมือนพระเจ้าทำอย่างนี้กับลูกของพระองค์เหรอ

พระเจ้าทำอย่างนี้กับ คริสเตียนเหรอ แต่สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้น

มาเป็นผลดี อย่างที่ผมบอก

นี่คือหนึ่งในแผนการที่ทำให้อนาคตเกิดขึ้น เลยมา 600

ปี จึงมีพระเยซูคริสต์มาประสูติ และตายที่ไม้กางเขนได้

อันนี้พูดสั้นๆ แค่นี้ก่อน เดี๋ยวค่อยต่อๆ กันไปเรื่อยๆ

พอเข้าใจไหมว่าพระเจ้าทำเพื่อแผนการใหญ่มาก แต่ถ้าเราดูเล็กๆ

เราก็จะว่า …

“พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลย ทำไมเอาประชากรของพระองค์

ชาวยิวไปเป็นทาส บ้านแตกสาแหรกขาด ลูกก็ต้องไปเป็นทาสเขา

ลูกสาวก็ต้องไปเป็นนางบำเรอเขา พ่อก็ถูกฆ่าตาย

บ้านแตกสาแหรกขาด”

พระเจ้าบอก 70 ปี คุณคิดว่าคนที่ไปเป็นเชลย

หลายคนคงจะไปอยู่อีกไม่กี่ปีก็ตายแล้ว

เขาตายไปด้วยความทุกข์ใจว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม ใช่ไหม?

นอกจากบางคนที่อยู่เลยกว่า 70 ปี อย่างดาเนียลถึงได้เห็น

ใช่จริงๆ หลายครั้งบางทีเราหรือคนข้างเคียงเรา

สิ้นชีวิตไปก่อนแล้ว ซึ่งสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้น แต่เราได้เห็นจริงๆ

เพราะปู่เรา เพราะทวดเรา เพราะซุปเปอร์ก๋งเรา ทำอย่างนี้ไว้ มิน่า

เราเห็นแค่นิดๆ บางอย่างเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้เราไม่เห็น

เราก็บ่นไปเรื่อย อาก๋งเราอาจจะบ่นก็ได้ แต่ไม่ว่าจะบ่นหรือไม่บ่น

มันต้องเป็นอย่างนั้น เพราะผู้กำกับสั่งไว้แล้ว

เพียงแต่คนที่ไม่มีความสุข คือคนๆ นั้น ที่บ่น เปลี่ยนอะไรก็ไม่ได้

บ่น เสียความสุขในชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ เสียดายเวลา

เพราะอย่างนี้ ดาเนียลและพวกเพื่อนๆ

เขาจึงสามารถอยู่บาบิโลนได้ ด้วยความอดทน

เพราะเขารู้ว่าพระเจ้ากำกับทุกอย่าง พระเจ้าเป็นผู้นำเขามา

เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็จะพาเขาต่อไป ตายเป็นตาย

เขาจึงมุ่งมั่นขอความช่วยเหลือจากผู้เดียว คือพระเจ้า

ผู้ทรงควบคุมทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรค ปัญหาใดๆ ก็ตาม

คอยเงี่ยหูฟังผู้กำกับว่าจะให้เล่นบทอะไร? บทนี้จะเล่นอย่างไรดี

ซึ่งถ้านักแสดงคนไหนสามารถทำได้แบบนี้ อย่างที่ผมบอกตอนต้น

มนุษย์คนใดบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เป็นคริสเตียน

ทำได้แบบนี้ ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยสันติสุข ไม่ทุกข์ร้อนอะไรมากนัก

ทำได้มาก ก็สันติสุขมาก เผลอๆ เป็นสุขมากขึ้น

สามารถแสดงตามบทบาทของตัวเองตามที่พระเจ้ากำกับมาให้

จนจบเรื่อง จบทุกฉาก จบทุกตอน แฮปปี้เอ็นดิ้ง เอเมน

แล้วที่สำคัญที่สุด ฉากจบสุดท้ายของนักแสดงทุกคน

ที่มีพระเจ้าพระเยซูเป็นผู้กำกับ ตอนปิดม่าน

ต้องเป็นฉากที่เรียกว่าแฮปปี้เอ็นดิ้งอย่างแน่นอน

เพราะพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น พระเจ้าบอกล่วงหน้าไว้แล้ว

โดยผ่านทางข่าวประเสริฐของพระเยซูว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร?

เห็นไหม? ใครเชื่อพระเยซู คนนั้นก็สบาย

เพราะเป็นลูกของพระองค์แล้ว

เพราะฉะนั้น

ฉากจบของคนที่เป็นนักแสดงที่มีพระเจ้าพระเยซูเป็นผู้กำกับ

มันแฮปปี้เอ็นดิ้ง แฮปปี้จริงๆ เพราะฉะนั้น อย่างที่ผมบอกตอนต้น

เพราะฉะนั้น เพลงประกอบฉากสุดท้ายของเรื่องโลกนี้คือละคร

สำหรับคริสเตียนแล้ว หรือเรียกว่าลูกของพระเจ้า

ที่พระองค์ทรงเลือกมาผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์

ควรจะเป็นเพลงนี้ …

(1) โลกคือละคร ทุกคนต้องแสดง ทุกคนทนไป

อย่าอาลัย ยิ้มกันสู้ไป จะได้สบาย

(2) สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม อย่ามัวอาลัย

คิดร้อนใจ ไปเปล่า

เกิดมาเป็นคน อดทนเถอะเรา อย่ามัวซมเซา

ทุกคน เรา ทนมัน

(3) โลกคือละคร อย่าอาวรณ์เลย สุขทุกข์อย่างเคย

รักแล้วเป็นเช่นกัน

ปล่อยไปตามพระ-เยซูบันดาล อย่ามัวโศกศัลย์

ยิ้มสู้มันเป็นไร

เชิญ สำราญร่วมเบิกบาน ดวงใจ ลืม ทุกข์ไป ทำให้ใจ

เริงรื่น

(4) สุขกันเถอะดี อย่ามัวรีรอ อย่าทำหน้างอ

ยิ้มนิดพอใจชื่น

ชีพจะดำรง อยู่ยงคงคืน ต่ออายุยืน

ยิ้มนิดเดียวให้ชื่นใจ

(5) โลกคือละคร ทุกคนต้องแสดง ทุกคนทนไป

อย่าอาลัย ยิ้มกันสู้ไป จะได้สบาย

ขอพระเจ้าอวยพรครับ