วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1496

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  พฤศจิกายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 12 “พระเจ้าอยู่ในเรา ใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์ “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 12 “พระเจ้าอยู่ในเรา ใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก” ครั้งที่แล้วเราเรียนรู้ถึง 1 ยอห์น 4:1-6 อาจารย์ยอห์นสอนถึงเรื่องการสังเกตวิญญาณ  เพื่อจะได้รู้ว่าวิญญาณใดมาจากพระเจ้า เป็นของจริง วิญญาณใดมาจากปฏิปักษ์พระคริสต์ เป็นของปลอม เป็นของเท็จ ปฏิปักษ์ ก็คือเป็นศัตรู ต่อต้าน วิธีการสังเกต ก็คือให้ดู ฟัง วิเคราะห์จากคำสอน คำพูด และหลักข้อเชื่อของคำพูดเหล่านั้น ของผู้ที่พูด ผู้ที่สอน ผู้ที่บรรยายว่าถ้อยคำเหล่านั้น เชื่อหรือไม่ว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์  เป็นพระเจ้ามาเกิดในร่างกายแบบมนุษย์ หัวข้อใหญ่ที่สุดของการเป็นพระเมสิยาห์ ก็คือพระเจ้ามาเกิดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นความเชื่อ ที่สำคัญที่สุดของคนที่เป็นคริสเตียน เชื่อตรงนี้ได้ไหมว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

            ข้อสำคัญที่สุดเป็นกระดุมเม็ดแรกของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับร่างกายของมนุษย์ที่เขาเชื่อกันว่ามันสกปรก โสโครก มีแต่การทำบาป แต่พระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับร่างกายนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ ถ้าเชื่อได้ว่าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับพระเยซูในร่างกายแบบมนุษย์ได้ ก็จะสามารถเชื่อได้ว่าตัวเราเอง หรือผู้เชื่อ หรือคริสเตียนเอง ก็สามารถเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ภายในร่างกายเรา เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสุดยอดของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และเราก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระองค์เหมือนกัน

            นี่ไง จึงเป็นหัวใจสำคัญของการเริ่มต้นเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ซึ่งความเชื่อนี้ อย่างที่บอก เป็นกระดุมเม็ดแรก ถ้าตรงนี้ไม่เชื่อ ทุกอย่างก็จะเพี้ยนไปเรื่อยๆ

            การสอนเท็จไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่ผิดไปจากความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือตั้งแต่วันคริสต์มาสไปจบเอาวันอีสเตอร์ จำได้ไหม? วันคริสต์มาส ก็คือเน้นที่พระเจ้ามาเกิดในร่างกายของมนุษย์ แล้วมาจบวันอีสเตอร์ คือวันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ 2 อันนี้ คือบทสรุปของข่าวประเสริฐที่ครบถ้วนบริบูรณ์

            เพราะฉะนั้น ตั้งแต่พระเยซูเกิดเป็นแบบมนุษย์ อยู่ในร่างกายมนุษย์ จนกระทั่ง วันที่เป็นขึ้นจากความตาย มนุษย์สามารถจะเป็นขึ้นจากความตาย และพระเจ้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเขาได้ ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จึงเป็นหัวข้อสำคัญมากในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นข่าวประเสริฐที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ตั้งแต่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย จนกระทั่งถึงวันที่พระองค์ได้ครองโลกทั้งใบ ทั้งหมด ในวันที่สิ้นสุดโลกใบนี้ เราได้อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่เราดำเนินชีวิตในโลกใบนี้แล้ว มันก็เป็นอย่างนี้ ถึงจะครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ ตามที่พระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ครั้งเดียวเป็นพอ คือเกิดครั้งเดียว แล้วสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว หลั่งพระโลหิตเพียงครั้งเดียว  เป็นขึ้นมาจากความตายเพียงครั้งเดียวพอ สมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น พวกต่อต้าน เขาก็จะต่อต้าน เริ่มตั้งแต่อย่างที่บอกไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างกายของมนุษย์ แล้วก็อื่นๆ อีกมากมาย จนกระทั่งเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป    พระเยซูก็จะถูกทำให้เสียหายไป   ทำให้คริสเตียนไม่มั่นใจเต็ม 100% ว่าคริสเตียนสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเขา ตั้งแต่ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้วจริงๆ อาจารย์ยอห์นจะเน้นย้ำตรงนี้ จริงๆ

            พวกต่อต้าน หรือปฏิปักษ์พระคริสต์นี้ ทำให้ข่าวประเสริฐเหล่านี้เสียหาย ทำให้เกิดเป็นผล ทำให้คนเป็นคริสเตียนเอง คนที่เชื่อแล้ว ได้รับความรอดแล้ว ไม่มีความมั่นใจเต็ม 100% ว่า …

            “ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ ฉันได้เป็นลูกของพระเจ้า ฉันได้อยู่อาศัยในพระคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เป็นพลเมืองของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรคสถาน และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปชั่วนิรันดร์ รอวันที่ได้รับร่างกายใหม่ หลังจากความตายเท่านั้น เอเมน”

            อย่างที่บอกปฏิปักษ์พระคริสต์เขาจะพยายามลบล้างความจริงเหล่านี้ ตั้งแต่เริ่มต้น ถ้าลบได้หมด ปิดบังได้หมด ก็จะปิดบังให้หมดเลย ถ้าไม่ได้ ก็ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ในเมื่อปิดบังไม่ได้ เขาได้รับความรอดไปแล้ว เขาเชื่อพระเยซูไปแล้ว โอเค ปิดบังต่อไป เป็นคริสเตียนแล้วใช่ไหม? ได้รับความรอดแล้ว แต่ได้รับความรอดแบบกระท่อนกระแท่น ไม่ได้รับพระพรอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ก็ไม่สามารถที่จะสำแดงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเขา ออกมาจากใจ วิญญาณของเขาที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วได้ ในชีวิตของเขา ก็ไม่ได้สามารถเป็นพยานได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง

            ครั้งที่แล้วเราจบลงตรงที่ 1 ยอห์น 4:4-6 ซึ่งวันนี้จะขออธิบายเพิ่มเติมใน 3 ข้อนี้ ตามบริบทนี้ว่าหมายถึงอะไรให้ละเอียดขึ้น เพราะมีผู้เข้าใจผิดเยอะพอสมควร เราลองอ่านดูก่อน 1 ยอห์น 4:4-6 …

        1 ยอห์น 4:4-6 “4 ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้ 5 พวกคนเหล่านั้น เป็นของโลกนี้ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพูด ก็มาจากโลกนี้ 6 แต่พวกเราเป็นของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้า จะไม่ฟังเรา แบบนี้สิ เราถึงสามารถบอกได้ว่าวิญญาณไหนเอาความจริงมาให้ และวิญญาณไหนที่โกหก”

            เริ่มจาก 1 ยอห์น 4:4 “ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือพวกเหล่านั้น”

            “พวกเหล่านั้น” คือพวกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์

            “ลูกๆ เอ๋ย” ก็คือผู้เชื่อ ก็คือคริสเตียน

            พวกคุณเป็นของพระเจ้า เป็นพลเมืองของพระเจ้า ได้มีชัยชนะเหนือพวกเหล่านั้น พวกปฏิปักษ์พระคริสต์ “พวก” หมายถึงเยอะ มีมาก  เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ก็คือพวกคริสเตียน ใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก ตามบริบทนี้ คริสเตียนเป็นของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเขา แล้วพระเจ้าเป็นความจริง ความจริงอยู่ในตัวเขา อยู่ในใจเขา ซึ่งความจริงนี้มีชัยชนะอยู่เหนือความเท็จ ซึ่งเป็นความเท็จที่มาจากมาร ซึ่งถูกครอบงำ ล่อลวง โดยมารที่ทำงานอยู่ในโลก ก็คือพวกคนเหล่านั้น ที่หลงเชื่อมาร หลงเชื่อคำเท็จ มีคำเท็จอยู่ในตัวเขา ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อนั่นเอง ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์เหล่านั้น เยอะแยะมากมาย แต่ตามบริบทนี้ อาจารย์ยอห์นกำลังจะเน้นถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน แล้วตั้งตนเป็นคนสอนด้วย เฉพาะบริบทนี้นะ

            พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่าความมืด อาจารย์บอกอย่างนี้ ให้รู้ถึงโลกวิญญาณว่า คริสเตียนแท้ๆ จริงๆ เป็นอย่างไร? ถ้าไม่ใช่คริสเตียนเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ ผู้สถิตอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่ามาร พ่อแห่งการมุสา ต้นกำเนิดของความบาป ความชั่วร้ายที่อยู่ในโลก การงานของมาร คือการเป็นศัตรูต่อต้านพระคริสต์ ด้วยการโกหก หลอกลวงมนุษย์ให้หลงเชื่อ ต่อต้านความจริงของพระเจ้า เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ หรือต่อไม้กางเขน นี่คือการงานของมาร ที่หลอกล่อ หลอกลวงมนุษย์  ความชั่วร้ายของมาร มีอิทธิพลต่อมนุษย์ที่ตกเป็นทาสของมันที่อยู่ในโลกเท่านั้น แต่คริสเตียนผู้เชื่อเป็นของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ ไม่ได้เป็นทาสมารที่อยู่ในโลก

            เพราะฉะนั้น ความจริง ก็คือคริสเตียนนั้น แม้ว่าดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ ตามที่ตามองเห็น แต่เขาไม่ได้เป็นของโลก คริสเตียนเป็นของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ เราได้ถูกย้ายจากการอยู่ในโลก มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ในโลกฝ่ายวิญญาณ ได้มีการย้าย เปลี่ยนมาจากอยู่ในโลก เป็นของมาร ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ เป็นของพระเจ้า เป็นคนของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว เราไม่ได้เป็นของโลก  ไม่ได้เป็นทาสมาร

            เราเป็นของพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า เป็นพลเมืองของสวรรค์ เป็นประชากรของพระเจ้าในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ

            เราได้บังเกิดใหม่ด้วยหน่อเชื้อวิญญาณของพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ วิญญาณเราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า เต็มด้วยพระลักษณะของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ขณะนี้

            เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นความรักเหมือนพระเจ้า

            พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราในร่างกายนี้ ขณะนี้ เราเดินไปไหน 3 พระภาคก็ไปกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เอเมน

            เหล่านี้ คือความจริง ซึ่งมองไม่เห็น เพราะอยู่ในโลกวิญญาณ แต่พระเจ้าชี้ให้เราเห็น อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าในโลกวิญญาณนี้เป็นอย่างนี้

        1 ยอห์น 4:5 “พวกคนเหล่านั้น เป็นของโลกนี้ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพูด ก็มาจากโลกนี้”

            พวกคนเหล่านั้น ก็คือพวกผู้เผยพระวจนะ พวกสอนเท็จเหล่านั้น พวกที่สอน ที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์เหล่านั้น เป็นของมาร มารมีอิทธิพลอยู่ในโลกนี้ เป็นของโลกนี้ หมายถึงโลกวิญญาณนะ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพูด พวกเขา คือพวกผู้เผยพระวจนะเท็จ ผู้ที่สอน เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ สอนต่อต้านความจริงของข่าวประเสริฐของพระคริสต์ สิ่งที่เขาพูดนั้น สิ่งที่เขาสอนนั้น ก็มาจากโลกนี้ เห็นไหม? เพราะเขาเป็นของโลกนี้ เป็นของมาร สิ่งที่เขาพูด ก็มาจากมารนั่นเอง มารหลอกลวง ล่อลวงให้เขาเชื่อตามนั้น เขาก็เลย พูดตามมารบอก

            และในนี้บอกว่าผู้ซึ่งอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก เห็นหรือยัง ผู้ที่อยู่ในเรา อยู่ใน คริสเตียนผู้เชื่อนั้น ก็คือความจริงที่อยู่ในเรา ที่ตะกี้นี้ที่ได้พูดถึงเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เป็นใหญ่กว่า ซึ่งมันเป็นจริง มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ใหญ่กว่าคนเหล่านั้นที่อยู่ในโลก คือใหญ่กว่าคนที่สอนเท็จ สอนผิด สอนต่อต้านพระคริสต์ ที่อยู่ในโลก ที่เป็นทาสของมารอยู่ ซึ่งเป็นพวกที่ถูกหลอกลวง ล่อลวงด้วยการโกหกของมาร ให้ต่อต้านความจริง ไม่ยอมรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา ต่อต้านกับเรา เพราะว่าข้างในวิญญาณมันคนละขั้วเลยใช่ไหม? ข้างในวิญญาณของคริสเตียนนั้น มีพระคริสต์ แต่สำหรับคนที่กำลังสอน ไม่เชื่อเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่เชื่อข่าวประเสริฐ เขาเป็นของโลก เป็นของมาร เขาต่อต้านข่าวประเสริฐของพระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์

            มาร คือใคร? ในพระคัมภีร์บอกว่ามารเป็นเจ้าแห่งการหลอกลวง ตั้งใจฟังตรงนี้ จะได้รู้ จะได้ไม่กลัว รู้ความจริง มารเป็นเจ้าแห่งการหลอกลวง เจ้าแห่งความเท็จ ที่มีอิทธิพลอยู่ในโลก เมื่อตะกี้เราบอกว่าเราเป็นคริสเตียน เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลก แต่เราไม่ได้เป็นของโลก เราไม่ได้อยู่ในโลก แต่เราอยู่ในพระคริสต์ นี่พูดถึงในโลกวิญญาณ ต้องช้าๆ ค่อยๆ จะได้เห็นชัดเจน มารเป็นเจ้าแห่งความเท็จ หลอกลวง มีอิทธิพลอยู่ในโลก หลอกให้มนุษย์ในโลก หลงเชื่อคำเท็จต่อต้านความจริงข่าวดีของพระคริสต์ ปิดบังตาฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ ไม่ให้รู้เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีของพระเยซูคริสต์อย่างที่ตะกี้นี้บอกตั้งแต่ต้นว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือตั้งแต่คริสต์มาสจนกระทั่งถึงวันอีสเตอร์ วันเป็นขึ้นจากความตายว่ามีผลอะไรเกิดขึ้นกับมนุษย์บ้าง? พยายามปิดบังตาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

        มาข้อสุดท้าย 1 ยอห์น 4:6 “แต่พวกเราเป็นของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้า จะไม่ฟังเรา แบบนี้สิ เราถึงสามารถบอกได้ว่าวิญญาณไหนเอาความจริงมาให้ และวิญญาณไหนที่โกหก”

            “แต่พวกเรา” คือใคร? อาจารย์ยอห์นกำลังจะพูดถึงอะไร? แต่พวกเรา คือพวกอัครทูต ในบริบทนี้ อาจารย์ยอห์นพูดถึงว่าอัครทูตผู้ประกาศข่าวดี ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูบอกว่า “ให้พวกเธอออกไปประกาศข่าวดีนี้” แต่พวกเราอัครทูต ผู้ประกาศความจริงของข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ เป็นของพระเจ้า มาจากพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราพูด คนที่เป็นคริสเตียน ที่มีวิญญาณเหมือนกับพวกเรา เรียกว่าคริสเตียนผู้เชื่อ ก็จะฟังเรา ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น เขาก็จะฟังเรารู้เรื่อง แต่คนที่ไม่เชื่อ ที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ พวกนั้น เขาก็จะไม่ฟัง ในโลกฝ่ายวิญญาณ มีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นชัดเจนเลย

            สรุปแล้ว โลกวิญญาณ มีอยู่ 2 แห่งเท่านั้นเอง  แห่งหนึ่ง เรียกว่าอาณาจักรแห่งความจริง ที่เป็นอาณาจักรแห่งความสว่างกับอีกแห่งหนึ่ง คืออาณาจักรแห่งความเท็จ  ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด มีคนของพระเจ้า และมีคนของมาร มีพวกของพระเจ้าและมีพวกของมาร นี่พูดถึงในโลกวิญญาณนะ  มีคนที่อาศัยอยู่ในโลก และมีคนที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์

            ท่านคิดดูว่าท่านเป็นใคร? ท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้ในโลกวิญญาณ ท่านอยู่ในโลก หรืออยู่ในพระคริสต์ มารที่กระทำการงานอยู่ในโลก ไม่มีอำนาจเหนือมนุษย์เลย  เพราะฉะนั้น มันจึงต้องใช้การหลอกลวง ล่อลวงด้วยคำชักชวน คำโกหก เหมือนกับที่มันเคยทำกับบรรพบุรุษของมวลมนุษย์มาก่อน คืออาดัมและเอวาตั้งแต่เริ่มต้น ถ้ามันมีอำนาจจริง มันคงไม่หลอกลวง ล่อลวง มันได้แต่หลอกลวง ล่อลวงมนุษย์ คอยพูดไปเรื่อยๆ ยุแหย่ ชักจูงให้ต่อต้านพระเจ้า ให้หลงเชื่อ คำพูดของมัน แล้วก็ทำตาม ก็คือต่อต้าน เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงของพระเจ้า ละเมิดกฎของพระเจ้า คือการทำบาป เหมือนดังอาดัมและเอวาได้ตกลงไปในการทำบาป เพราะไปเชื่อมัน แล้วก็เก็บเกี่ยวเอาความทุกข์ ซึ่งเรียกว่าคำสาปแช่ง ตามกฎที่พระเจ้าวางไว้  แล้วพอได้รับคำสาปแช่ง มันก็ซ้ำเติม …

            “เพราะแกเป็นคนทำ”

            จริงๆ มาจากมันแหละ มันเป็นต้นเหตุ

            เห็นชัดเจนเลยว่ามารไม่มีอำนาจเหนือ มนุษย์ ไม่สามารถที่จะมีอำนาจบังคับมนุษย์ เว้นแต่มนุษย์ยินยอม หลงเชื่อ กระทำตามมันเท่านั้น อย่าหลงเชื่อทำตาม ก็แสดงว่ามันไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเลย สิทธิอำนาจอยู่ที่มนุษย์นั่นเอง ถ้าเราไม่ทำสักอย่าง มันทำอะไรเราไม่ได้ นอกจากหลอกล่อต่อไป ล่อลวงต่อไป ชักนำต่อไป เพราะมันไม่มีอำนาจ

            แล้วมันหลอกล่อด้วยวิธีใด? ด้วยวิธีครอบงำ ครอบครอง ฟังให้ดีๆ นะ ด้วยวิธีครอบงำ ครอบครอง ความคิดจิตใจของมนุษย์ มันสามารถส่งข้อมูลเข้ามา ในความคิดของมนุษย์ได้ ด้วยข้อมูลที่เป็นคำพูด การได้ยินได้ฟัง การรับรู้ของมนุษย์ ทุกสื่อ ตา หู จมูก จมูกก็รับรู้นะ ได้กลิ่น มันส่งมาทางกลิ่นอะไรต่างๆ  แต่ที่ชัดๆ ก็คือตาและหู  คำพูดก็ได้ยินว่ามันพูดว่าอะไร?

            ข้อมูลเหล่านี้ที่มากระทบกับตาและหูของมนุษย์ ก็คือคำพูด ข้อมูลข่าวสารที่แย้งกับความเป็นจริงของเรื่องของพระเจ้าที่บอกเราว่าจริงๆ เป็นอย่างนี้

            ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าบอกเราว่าในโลกนี้ มีโลกวิญญาณจริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว พระเจ้าของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว  แต่เราได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นเยอะไปหมดเลย พระเจ้ามีเต็มไปหมดเลย พระเจ้าโน่นพระเจ้านี่ หลายสิบล้าน นั่นก็พระเจ้า นี่ก็พระเจ้า พระเจ้าของคริสเตียน ก็เป็นหนึ่งในพระเจ้าเยอะแยะ นี่ไง นี่คือยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ว่ามันเป็นอย่างนี้

            ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกไว้ว่ามารมันมีหน้าที่ทำอะไร? ฟังให้ดีๆ วันนี้มาเปิดเผยแผนการชั่วร้ายของมาร ซึ่งไม่มีอำนาจเลย มันคอยกล่าวหามนุษย์ ทั้งกลางวันและกลางคืน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น งานของมาร คือคอยยุแหย่ กล่าวหามนุษย์ โทษมนุษย์ ว่ามนุษย์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดเวลา ทำอะไรไม่ได้เลย เดี๋ยวดูว่ามันทำอย่างไร? ทั้งกลางวันและกลางคืน กล่าวหาว่าอย่างไร? กล่าวหาว่ามนุษย์เป็นคนบาป มีมลทิน สกปรก โสโครก พระเจ้ารังเกียจ ไม่เอาไหน? พระเจ้าไม่เอาเธอแล้วล่ะ เธอสกปรก เธอเป็นหนี้ ต้องชดใช้ บาปเวรกรรม ไม่รู้กี่ชาติจะหมด เธอสมควรตกนรก

            พูดง่ายๆ แกมันเลว  ในโลกนี้ มีเสียงของมารตลอดเวลา ให้กับมนุษย์ทุกคนเลยนะ “แกมันเลวๆ” เพื่อมนุษย์จะได้อยู่ห่างจากพระเจ้า และมองดูพระเจ้าของเขา มีความรู้สึกต่อพระเจ้าของเขา ผิดไปจากความเป็นจริง พระเจ้าเป็นความรัก เลยเป็นพระเจ้าแห่งความเกลียดชัง พระเจ้ารักเราจะตาย กลายเป็นพระเจ้าเกลียดเราจะตาย พอเกิดสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา ซึ่งเป็นผลของคำสาปแช่ง ของการทำผิดกฎ ตั้งแต่อาดัมและเอวาทำไว้ โลกใบนี้เสียหายแล้ว  พอเกิดสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา  มันก็ซ้ำเติมว่า …

            “นี่พระเจ้าลงโทษ เพราะเธอมันเลวเอง เธอมันไม่ดีเอง เพราะเธอก่อกรรมทำเข็ญไว้ เพราะฉะนั้น พระเจ้ากำลังตีเธอ กรรมเก่ายังไม่หมดเลย กรรมใหม่ยังทำอีก  เพราะฉะนั้น พระเจ้าตีเธอ พระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว เธอมันเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ” อะไรประมาณนี้ นึกออกใช่ไหม?

            พูดไปทั้งกลางวันกลางคืน ผ่านทางสื่อต่างๆ ยิ่งปัจจุบันเยอะไปหมด ในอดีต คือผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ผู้ที่มาสอนเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า และในชีวิตประจำวันอีก พูดไปเรื่อยๆ โกหกไปเรื่อยๆ ตำหนิไปเรื่อยๆ  กล่าวหาไปเรื่อยๆ จนมนุษย์ไม่รู้สึกรู้สา ไม่รู้ถึงคุณค่าชีวิตของตัวเองว่าพระเจ้าสร้างขึ้นมา และทรงรักและหวงแหนมนุษย์อย่างมาก ดูแล้วน่ารักทุกคน แล้วรักทุกคนด้วย มนุษย์จึงแสวงหาพระเจ้าของตน ตามที่มารโกหกหลออกลวงไว้ ก็คือเมื่อเชื่อมาร

            มนุษย์ก็เลยแสวงหาพระเจ้าของตัวเอง พระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ ด้วยท่าทีของการเป็นคนบาป สกปรก มีมลทิน ต่ำต้อย นี่คือมนุษย์ตั้งแต่แรก เป็นอย่างนี้ มาถึงปัจจุบันเลย จะเข้าไปหาพระเจ้า หรือเข้าไปหาวิญญาณอะไรต่างๆ ที่ถูกหลอกลวงไปแล้ว ไม่รู้เรื่อง แต่รู้ว่ามีโลกวิญญาณอยู่จริงๆ จะเข้าไปหา แสวงหาโลกวิญญาณจริงๆ ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ต้องเข้าไปแบบรู้สึกตัวเองด้อย ตัวเองแย่มาก ต่ำกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก ต้องหมอบกราบเข้าไป คลานเข้าไปหาสิ่งมีชีวิตในโลกฝ่ายวิญญาณที่คิดว่าจะช่วยเขาได้ ที่อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า ด้วยความกลัว นี่ถูกบิดเบือน  ไม่ว่าเขาจะแสวงหาเป็นวิญญาณพระเจ้าแท้ๆ ก็คือวิญญาณของพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ หรือวิญญาณที่หลอกลวงอื่นๆ ที่ไม่ใช่พระเจ้าแท้ พระเจ้าเที่ยงแท้มีแต่เพียงพระองค์เดียว พระคัมภีร์บันทึกไว้ พูดง่ายๆ ว่าคริสเตียนถูกหลอก  ก็เข้าไปหาพระเจ้าพระบิดาผู้เที่ยงแท้เหมือนกัน เข้าไปแบบท่าทีที่มันไม่ใช่ เข้าใจพระเจ้าผิด เข้าไปแบบกลัวๆ เหมือนกัน สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้เป็นคริสเตียน ยิ่งแย่ใหญ่เลย เข้าไปหาในโลกวิญญาณ เป็นพระเจ้าปลอม หรือความเชื่ออะไรต่างๆ มีความรู้สึกกลัว

            อย่างเช่น คำพูดนี้เห็นชัดเลยว่ามารล่อลวงมนุษย์ไปเท่าไร? คนไทยชอบพูดว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” แปลว่าอะไร? จริงๆ ไม่เชื่อ มันถูกหลอก ไม่น่าเชื่อเลยๆ แต่อย่านะ คือกลัว มันขู่ไง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ …

            “เข้าป่าต้องไหว้เจ้าป่าเจ้าเขานะ”

            “ไหว้ทำไม เราเป็นคริสเตียนแล้ว”

            ไม่ต้องคริสเตียนก็ได้ “เราอยู่นี่มาตั้งนานแล้ว มาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว ไม่เห็นมีใครเขาทำอะไรเลย”

            “ไม่ได้ ไหว้สักหน่อย ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”

            แต่อย่าลบหลู่ เพราะอะไร?  เพราะกลัวว่าลบหลู่แล้วมันจะทำร้ายเรา มันทำสิ่งที่ไม่ดีให้กับเรา นี่ไง มันหลอกลวง มันโกหก ทั้งๆ ที่มันไม่มีอำนาจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้อยู่ตรงกันข้ามกับข่าวดีจากพระเจ้า ท่าทีที่แท้จริงของพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว คือพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อเรา มวลมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ ทนุถนอมมาก ร่างกายเรา พระองค์ทรงเตรียมไว้เป็นพระวิหารของพระเจ้า นึกออกไหม? ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า สะอาดหมดจดเลย พระองค์ทรงรักมาก หวงแหนมากเลย แต่มารมันใส่ความหลอกลวงเราว่า ร่างกายเราสกปรก มือก็เคยไปตบเขา มือก็เคยไปตีเขา ปากก็เคยไปด่าเขา สมองก็เคยไปคิดชั่ว

            สิ่งเหล่านี้มันมาจากมารทั้งสิ้น มันไม่ได้มาจากตัวเราเลย ร่างกายเราเป็นเหมือนกับอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง เหมือนเครื่องใช้สอยชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นกลางๆ มันขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปใช้ จะเอามีดไปสับหมู ทำกับข้าวให้เขากิน มีความสุข หรือจะเอามีดไปไล่ฟันเขา เพราะโมโห มีดเดียวกันนั้นแหละ ความผิดไม่ได้อยู่ที่มีด ความผิดอยู่ที่ความคิดของคนๆ นั้น ที่หยิบมีดไปทำ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์บนโลกใบนี้ เมื่อถูกหลอกจากมาร คือหลอกที่ความคิดของเรานั่นเอง

            ซึ่งความจริง พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนมีค่าเท่ากันในสายพระเนตรพระเจ้า พระองค์ทรงรักทุกคนเท่ากัน แต่มารก็จะคอยยุแหย่ให้มนุษย์เปรียบเทียบกัน นี่คือความจริงกับความเท็จ เปรียบเทียบกัน ตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาปุ๊บ ก็เริ่มเปรียบเทียบแล้ว เปรียบเทียบทั้งชีวิต เพราะว่าความเท็จเหล่านี้ ซึ่งอยู่ในโลกนี้ เป็นระบบของโลกนี้ รับอิทธิพลมาจากมาร มันก็ทำให้มนุษย์เป็นอย่างนี้แหละ แทนที่จะมีความรู้สึกเท่ากัน แต่กลับกลายเป็นว่าเขาดีกว่าเรา เริ่มความคิดแล้วว่าเขาดีกว่าเรา

            เขาดีกว่าเรา มันเกิดอะไรขึ้น เห็นนิดเดียวนะ เขาประสบความสำเร็จ เขาเก่งกว่าเรา เขาประพฤติดีกว่าเรา เราฟังดูอย่างนี้ รู้สึกไม่เป็นอันตรายอะไร? แต่พระคัมภีร์บอกว่าพอคิดอย่างนี้ปุ๊บ ก็คือเริ่มต้นยอมให้มารมันเริ่มหลอก แทนที่จะเชื่อในพระเจ้าว่าพระเจ้ารักเราเท่ากันหมด แต่มันบอกว่าพระเจ้ารักไม่เท่ากันหรอก เขาดีกว่า พระเจ้าอวยพรเขามากกว่า หรือไม่ก็ เขาดีกว่าเรา มันก็เริ่มต้นอิจฉา นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ก็เริ่มอิจฉา เริ่มคิดตามมันต่อไป เริ่มคิดทำลายเขา เพื่อยกตัวเองขึ้นมาแทน มันก็คือนิสัย สันดานของมาร ตั้งแต่ตอนที่เป็นทูตสวรรค์แล้ว อิจฉาพระเยซูคริสต์ แล้วก็ยกตัวเองขึ้นมาทำหน้าที่แทนพระเยซูคริสต์ ก็คือกบฏ ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้

            แล้วในที่สุด ยอมมันอีก ยกตัวขึ้น พยายามที่จะแข่งกับเขาว่าตัวเราเองก็ดีกว่าเขาได้ ถึงขั้นถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ก็คือฆ่า กำจัดเขาออกไปเลย นี่คือเส้นทางของมารที่หลอกมนุษย์ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ เกิดจากความคิดน้อยเนื้อต่ำใจว่าเขาดีกว่าเรา เราแย่ เขามันดี มาจากไหน? ก็มาจากมารส่งข้อมูลเหล่านี้เข้ามาในความคิดของมนุษย์นั่นเอง พระเยซูจึงตรัสว่าถ้าด่าคนอื่นว่าไอ้โง่ ไอ้เลว เท่ากับฆ่าเขาตาย ก็คือมันเกิดขึ้นแล้ว พอบอกไอ้โง่ ไอ้เลว ก็คือเราโกรธ กำลังเคืองเขา  ถ้าเราไม่รู้จักหยุดตรงนี้ มันก็จะใส่ต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดเรามีโอกาสถึงขั้นฆ่าเขาตายได้ นี่คือเสียงของมาร

            อาจารย์ยอห์นพยายามชี้ให้เราเห็นว่าเสียงของมารที่มาจากโลกนี้ สังเกตตรงนี้ คือมันจะต่อต้านความจริงของพระเจ้า และมันจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของมนุษย์ลงไป พยายามเหยียบมนุษย์ลงไป ยกตัวอย่างเช่น …

            “แกมันเป็นคนเลวโดยสันดาน ไม่มีทางจะกลับเนื้อกลับตัวได้แล้ว แกมันเลวที่สุด ให้อภัยกี่ครั้งแล้ว ก็ยังทำอยู่เลย ไปตายซะ ตายไปก็ดีแล้ว”

            นี่ไม่ใช่เสียงของพระเจ้าเลย

            หรือไม่ก็ความคิด … “อย่างแกสังคมรังเกียจ พ่อแม่ก็ไม่รัก ลูกแกยังไม่รักแกเลย พระเจ้าก็ไม่รัก ก็ไม่ชอบ แกจะอยู่ไปทำไม?”

            นี่แหละมันเป็นอย่างนี้ ก็คือความเครียด ความซึมเศร้า การคิดจะทำร้าย ทำลายตัวเอง ก็มาจากการขโมย ฆ่า และทำลายของมารทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้เป็นกลเม็ดของมาร ที่ทำงานอยู่ในโลกนี้ รวมหมดนะ ทั้งคริสเตียนและไม่คริสเตียน โดนอย่างนี้ทั้งหมด เป็นระบบของโลก คือให้เปรียบเทียบ ให้ไม่พึงพอใจในสิ่งที่พระเจ้าให้ ไม่พึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ไม่พึงพอใจ ก็เกิดความอิจฉาริษยา และเกิดการเปรียบเทียบขึ้น ถ้าเป็นเสียงจากพระเจ้า คือ …

            “จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ พระเจ้าอยู่ด้วยนะ เราอยู่ด้วยนะ เรารักเธอ” นี่แหละมาจากพระเจ้า

            เสียงจากมาร … “ดูคนอื่นสิ เขาสำเร็จทุกด้านของชีวิตเลยนะ ทั้งเรื่องการงาน เรื่องครอบครัว สุขภาพ ดีหมดเลย แล้วดูตัวเธอสิ ดูสารรูปสิ ล้มเหลวทุกอย่างในชีวิต ครอบครัวก็ล้มเหลว การงานก็เจ๊งแล้วเจ๊งอีก”

            สิ่งเหล่านี้เป็นการทับถม ที่พระคัมภีร์บอกมาทั้งกลางวันและกลางคืน แสดงว่าตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังมีลมหายใจอยู่ แม้เรานอน มันก็พูดใส่เราตลอดเวลา อย่างที่บอกใส่ตามไหน? เรารู้เอง ข้อมูลในโลกนี้ มันจะเข้ามาอยู่เรื่อยๆ มารก็นำเสนอข้อมูล ที่ให้เราใช้ระบบของมันในการดำเนินชีวิตของเรา เพื่อให้สมอยากตามที่มันต้องการ คือนำเสนอความสำเร็จในชีวิต แบบระบบของโลกนี้ ความสำเร็จแบบระบบของโลกนี้ ก็คืออยาก ต้องการ สรุปรวม คือลาภ ยศ สรรเสริญ ซึ่งตรงกันข้ามกับพระเจ้า ด้วยความเย่อหยิ่ง จองหอง อวดดี โลภ เห็นแก่ตัว โกง เอาเปรียบผู้อื่น ขโมย ฆ่า และทำลาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติ วิสัยสันดานของมาร มันเอานิสัยของมันมาใส่

            สำหรับความจริงของพระเจ้า คริสเตียน ก็คือเมื่อมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าจะเอาความสามารถ เอานิสัย ธรรมชาติของพระองค์ที่เป็นความรัก เป็นการให้ มาใส่ในเรา ในโลกวิญญาณ มีอยู่แค่นี้เอง

            เสียงของพระเจ้าบนโลกใบนี้ มันมี แต่มันริบรี่มาก เพราะว่าเป็นเสียงมาจากวิญญาณ  เพราะในโลกวัตถุมันมองเห็นชัดกว่า แต่ในโลกวิญญาณ มันมองไม่เห็น พระเจ้าจึงบอกว่าสิ่งที่มองไม่เห็นและหูไม่ได้ยิน คือวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ คือในโลกวิญญาณ เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับผู้ที่รักพระองค์

            เสียงของพระเจ้า คือพร้อมเสมอที่จะให้อภัย ช่วยเหลือเสมอ  … “ไม่ว่าเธอจะทำบาปอะไรอีกกี่ครั้ง ฉันก็อภัยให้เธอเสมอ มีความหวังในตัวเธอเสมอ ไม่ต้องห่วง อภัยให้เธอเสมอ รักเธอเสมอ แม้ว่าเธอจะเลวขนาดไหน? ฉันก็ส่งพระบุตรองค์เดียวของฉันลงมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเธอ แม้จะมีเธอคนเดียวอยู่บนโลกใบนี้ ฉันก็จะส่งพระเยซูลงมาช่วย” เอเมนไหม?

            นี่คือเสียงให้เลือกเอา อยู่บนโลกใบนี้ มันลำบากหน่อยหนึ่ง ตรงที่บอกว่าในโลกใบนี้ เราดำเนินชีวิตตามที่ตามองเห็น มันชัด มันง่าย ง่ายที่จะเชื่อ เขาได้ยินมา เขาได้ฟังมาอย่างนี้  แต่ในโลกวิญญาณ เราต้องเชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ที่บอกไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งถึงการเป็นขึ้นจากความตาย  ทั้งหมดนี้  กำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับทางด้านวัตถุเลย  เพียงแต่วันนี้เอามาเปรียบเทียบให้ท่านเห็นว่าทางโลกวัตถุ มันเป็นอย่างไร? มันไม่มีอำนาจหรอก มันอยู่ในอิทธิพลของการหลอกลวงของมาร ในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ตามตามองเห็น เสร็จมันแน่เลย

            ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่พูดมานี้ ในพระคัมภีร์เรียกว่า “สงครามฝ่ายวิญญาณ” คุ้นๆ นะ เพราะฉะนั้น สงครามฝ่ายวิญญาณ เราจะรู้แล้ว จากการที่เราวิเคราะห์มาเมื่อสักครู่นี้ ตามถ้อยคำพระเจ้า สงครามฝ่ายวิญญาณ ก็คือจะเชื่อพระคริสต์ หรือจะเชื่อคำโกหกหลอกลวงของมาร ให้ต่อต้าน เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงของพระคริสต์ นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์เอง ยอมเชื่อฝ่ายใด  ก็เป็นทาสฝ่ายนั้น ตรงนี้ คือความจริงที่สำคัญมากเลย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิญญาณ แม้แต่วิญญาณพระเจ้าเอง พระเจ้ายังบังคับเราไม่ได้เลย  แล้วมารมันจะทำอะไรเราได้ เห็นไหม? ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรา และการตัดสินใจของเรา ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับข้อมูลข่าวสารที่มันมา ขนาดอาดัมกับเอวาเจอพระเจ้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทุกวันๆ ยังโดนมันหลอก พูดไปเรื่อยๆ ไม่รู้พูดไปกี่วัน? กี่พันวัน? กี่หมื่นปีไม่รู้ จนกระทั่งเชื่อมัน นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ

            มันไม่ใช่สงครามฝ่ายวิญญาณ ตามที่เราถูกหลอกอีกนั่นแหละ ให้เราคิดว่าสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ มันเกี่ยวกับเรื่องภูตผีปีศาจ เป็นตัวตน ต้องไปไล่ผี ผีมันแอบซ่อนอยู่ อาศัยอยู่ในก้อนหิน ต้นไม้ ภูเขา วัตถุสิ่งของ รูปเคารพต่างๆ เพราะฉะนั้น มันมีอำนาจเหนือเรา มันจะทำร้ายเรา อะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่มันถูกหลอกอีกแล้ว จริงๆ มันคือสงครามของความคิด ข้อมูลความจริงจากพระเจ้า หรือความเท็จจากมาร ที่ส่งเข้ามาในความคิดของมนุษย์ ที่อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราตั้งใจสังเกตดู ก็คือสังเกตวิญญาณอย่างนี้ ไม่ใช่ไปสังเกตวิญญาณว่านี่ผีเข้าหรือเปล่า? นี่ผีอยู่ในต้นไม้นี้ไหม? ผีอยู่ในรูปเคารพนี้หรือเปล่า? มันไม่ใช่อย่างนั้น ผีมีอำนาจ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เราต้องอดอาหารอธิษฐานไล่ผี มีอำนาจนี้ มนุษย์เลยกลัวไปหมดเลย ทั้งๆ ที่ผีมันกลัวไฟฟ้า เปิดไฟ แสงสว่างมาปุ๊บ ผีหายไปแล้ว  ถ้ามันมีอำนาจจริง มันคงไม่แพ้เนชั่นแนล หรืออ๊อดแลม นี่เอาอ๊อดแลมหรือเนชั่นแนลไป ผีหนีเลย  เราอดอาหารแทบตาย ซื้อนีออนมาเสียบดวงหนึ่ง ไปแล้ว ใช่ไหม? ต้องพูดอย่างนี้ชัดๆ

            บางคนเป็นคริสเตียนแล้วยังไล่ผี ถ้าไม่เป็นคริสเตียนยังพออะลุ่มอล่วย มันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็ไม่มีที่พึ่งของแท้จริงที่อยู่ในตัวเรา ไม่มีความจริงอยู่ แต่ถ้าเป็นคริสเตียน มีความจริงอยู่ บังเกิดใหม่ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา พระเจ้าที่อยู่ในเรา ใหญ่กว่าคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก  ใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก อย่างนี้ แล้วเรายังไปไล่ผี คิดดูสิ บางคนไม่ใช่ไล่ครั้งเดียว ไล่มันทุกอาทิตย์ ไล่วันนี้ไปแล้ว อาทิตย์ต่อมาบอกว่า …

            “มันมาอีก อาจารย์ช่วยไล่ที”

            อาจารย์ก็ไล่ อาจารย์บอก … “เที่ยวนี้หนักขึ้นนะ”

            “เพราะอะไร?”

            “เพราะว่ามันเป็นผีที่หัวดื้อ”

            พอบอกเป็นผีที่หัวดื้อปุ๊บ สมาชิกที่มาให้วางมือ พอได้ข้อมูลว่าเป็นผีหัวดื้อปุ๊บ  ทำไมรู้ไหม? อ๊วก  ครั้งที่แล้วไม่อ๊วก ครั้งนี้มันดื้อ ต้องอ๊วกออกมา

            อาจารย์บอก … “ไปอ๊วกข้างนอก เดี๋ยวโบสถ์สกปรก อ๊วกแล้ว ค่อยเข้ามา”

            “อ๊วกหรือยัง?”

            “อ๊วกแล้ว”

            “ผีออกไปแล้ว”

            อาทิตย์ต่อไป มาอีกแล้ว มาให้อธิษฐาน … “อาจารย์มันยังมีเลย”

            “อ๋อ! มันยังมีผีตัวอื่นอีก ตัวนั้นมันไปแล้ว นี่มันตัวใหม่ ไปดูที่บ้านสิ มีวัตถุอะไรที่เก่าๆ แก่ๆ ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ รูปภาพเก่ามีไหม? บางทีมันอาจจะอยู่ในรูปภาพเก่านั้นนะ ไปดู”

            กลับไปที่บ้าน หารูปภาพเก่าๆ … “รูปนี้แน่นอนเลย”

            ถามว่าทั้งหมดนี้คืออะไร? คือข้อมูล เข้ามาในสมอง มีข้อมูล มันก็ขุดคุ้ยข้อมูลนี้ขึ้นมา เอามาหลอกเรา สังเกตได้ง่ายๆ ชาวตะวันตก พวกฝรั่ง เขาเลี้ยงลูกอีกแบบหนึ่ง คนไทยก็เลี้ยงลูกอีกแบบหนึ่ง ผมสังเกตเห็นว่าลูกฝรั่งส่วนใหญ่ไม่กลัวผีนะ ไม่กลัวความมืด แต่ลูกคนไทย ตั้งแต่เล็กแล้ว พอเขาเดินไปที่บันได แทนที่จะบอกว่าเดินไปแถวบันไดเดี๋ยวตก แล้วเจ็บตัว ก็บอกว่าอย่าไปๆ นะ ผีมาแล้ว พอตรงไหนมืดๆ หน่อย อย่าไปนะ ผีมันอยู่ตรงนั้น มันก็ข้อมูลเข้าไปเรื่อยๆ แล้วข้อมูลเหล่านี้มาจากไหนรู้ไหม? มาจากสื่อต่างๆ พ่อแม่เองก็ได้รับมา  และมันสามารถมาจากทางไหนได้อีก? มาจากทางสายเลือดก็ได้  คือเด็กอยู่ในครรภ์  แม่คิดอะไร? แม่เศร้า เด็กก็รับไปด้วย แม่กลัวผี เด็กก็กลัวไปด้วย เพิ่งคลอดมา ยังไม่ได้รับข้อมูลอะไรเลย ทำไมเด็กเริ่มกลัว ก็แม่เป็นอะไรล่ะ มันก็มีสิทธิ์เป็นอย่างนั้น ข้อมูลมันอยู่ในความคิดทั้งหมดเลย

            เพราะฉะนั้น มาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ เริ่มต้นเปลี่ยน เปลี่ยนได้มากเท่าไร ก็เป็นอิสระได้มากเท่านั้น เปลี่ยนไม่ได้ครบหมดหรอก อย่างนี้เป็นต้น

            มันเป็นสงครามเกี่ยวกับข้อมูลความจริงของพระเจ้า  หรือจะเอาความเท็จที่ต่อต้านพระเจ้า ซึ่งเป็นสงครามเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์ทุกคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่คริสเตียนต้องเผชิญ ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเผชิญกับสิ่งนี้แน่นอน แต่สำหรับมนุษย์ทั่วๆ ไป ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน เขาต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง พึ่งตนเอง ด้วยจิตใต้สำนึกของตนเอง ซึ่งถูกครอบงำด้วยคำหลอกลวง คำเท็จของมาร ดังทาส ในพระคัมภีร์บอก เพราะไม่มีตัวช่วยอื่น เขาต้องพึ่งพาตัวเอง เพราะเขาเป็นคนบาป เห็นไหม? ข้างในเป็นบาปอยู่ มารไม่สามารถครองได้หรอก แต่ข้างในมันเป็นบาปอยู่ มันไม่มีกำลัง ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยภายใน

            เช่น เขาไม่อยากจะทำชั่วเลย นี่มนุษย์ทั่วๆ ไป เราในอดีต ก็เป็นอย่างนี้ เราไม่อยากทำชั่ว เรารู้ว่าทำอย่างนี้ไม่ดี  แต่ในที่สุด สิ่งที่เราไม่อยากทำ เราก็ทำ สิ่งที่เราอยากจะทำดีตรงนี้ เราก็ไม่ได้ทำ ในพระคัมภีร์ ในหนังสือโรมบอกว่า …

            “โอ๊ย! ข้าพเจ้าน่าสมเพชอะไรเช่นนั้น ใครจะช่วยข้าพเจ้าได้”

            พระคัมภีร์ก็ตอบว่า … “ขอบคุณพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายแล้ว”

            หมายถึงอย่างนี้ … “ข้าพเจ้ามีพระเจ้ามาสถิตอยู่ภายในแล้ว ข้าพเจ้ามีกำลังที่จะต่อต้าน ต่อสู้กับมัน” เห็นไหม? มันอยู่ข้างนอก มันไม่ใช่ข้างในตัว “ข้าพเจ้าไม่น่าสมเพชอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ข้าพเจ้ามีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายใน”

            เพราะฉะนั้น สำหรับคริสเตียน ต่อสู้สงครามนี้ด้วยความจริง ด้วยพระคริสต์ ผู้สถิตอยู่ภายในเรา

            ยกตัวอย่างให้อันหนึ่ง เพื่อจะพิสูจน์ว่ามารมันไม่มีอำนาจจริงๆ เอาเริ่มตั้งแต่ปฐมกาลเลย จะได้รู้ว่าตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้ว มาถึงทุกวันนี้ มันไม่มีอะไรเลย นอกจากมันหลอกชาวบ้านเขา เรามาดูตัวอย่างฆาตกรคนแรกของโลก และดูการงานของมารสิว่ามันมีอำนาจไหม? เรื่องของคาอินกับอาเบล คือมนุษย์รุ่นแรกของโลก มนุษย์ถูกสร้าง อาดัมและเอวา รุ่นแรกเลย ที่เขามีลูกหลาน ก็คือคู่นี้ คาอินกับอาเบล และดูสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เริ่มโลกที่มีมาร เป็นตัวหลอกลวง ล่อลวง มีอิทธิพลต่อมนุษย์ที่ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน ปฐมกาล 4:3-7 …

        ปฐมกาล 4:3-7 “3 อยู่มาวันหนึ่ง คาอินได้นำเอาพืชผลที่เกิดจากผืนดิน มาถวายให้กับพระยาห์เวห์ 4 ส่วนอาเบลก็เอาพวกแกะหัวปีจากฝูงของเขา โดยเฉพาะส่วนไขมัน มาถวายให้กับพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ยอมรับอาเบลและเครื่องบูชาของเขา 5 แต่พระองค์ไม่ยอมรับคาอินกับเครื่องบูชาของเขา ทำให้คาอินโกรธมาก ไม่พอใจ หน้าบึ้งอยู่ 6 พระยาห์เวห์พูดกับคาอินว่า “เจ้าโกรธทำไม เจ้าหน้าบึ้งทำไม 7 ถ้าเจ้าทำในสิ่งที่ถูก เราก็จะยอมรับเจ้า แต่ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด ความบาปก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่ที่ประตู มันอยากควบคุมเจ้า แต่เจ้าจะต้องเป็นฝ่ายที่ครอบงำมัน”

            2 คน ลูกของอาดัมและเอวา พระเจ้าสั่งอาดัมกับเอวาว่าให้ทำอย่างนี้ เป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้  เพื่อจะได้ติดต่อกับพระเจ้า ให้เชื่อฟังพระเจ้า ก็คือให้นำแกะหัวปี สัตว์เลี้ยงหัวปี ที่ไม่มีตำหนิ ที่ดีที่สุด มาถวาย เพราะแกะมีเลือด ให้ทำอย่างนี้ อาดัมและเอวาก็คงเล่าให้ลูกทั้ง 2 คนฟัง ลูกคนน้อง อาเบลก็เชื่อ เชื่อพระเจ้าไม่มีเหตุผล  ไม่ถามว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ ทำไมต้องอย่างนั้น  เชื่อฟังพระเจ้า เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือทำตาม เอาลูกแกะฆ่า เพื่อชำระบาป  ตามที่พระเจ้าบอก  แต่ส่วนพี่ชาย คือคาอิน เอาพืชผลจากการเกษตรมาให้ ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามกฎ พระเจ้าก็ไม่รับ มันมีเหตุมีผลของมัน พระเจ้าไม่รับ ไม่ใช่เพราะว่าเกลียดชัง นึกภาพนะว่าขณะที่กำลังพูดอยู่นี้ มีศัตรูกำลังทำสงครามอยู่ คอยยุแหย่ คือมาร

            พระยาเวห์ยอมรับเครื่องบูชาของเขา เพราะว่ามันเป็นไปตามกฎ พระองค์ไม่ยอมรับคาอินกับเครื่องบูชาของเขา  เพราะมันไม่ได้อยู่ในกฎ เพราะอาเบลเอาเงินสดไปซื้อรถ เขาก็ให้ เพราะคาอินเอาทุเรียนเป็นลังๆ ไปแลกกับรถ เขาไม่ให้ เพราะที่ร้านนี้เขาขายเงินสดเท่านั้น เป็นกฎ

            แต่พระองค์ไม่ยอมรับคาอินและเครื่องบูชาของเขา ทำให้เขาโกรธมาก  เห็นหรือยัง? โกรธมาก ไม่พอใจ หน้าบึ้ง อยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ เริ่มความคิดแล้ว โกรธเพราะอะไร? เพราะมีข้อมูลเข้ามาแล้ว เริ่มเปรียบเทียบ …

            “ทำไมไม่รับของเรา ของเราก็ดี ก็เอาพืชผลที่ดีมาให้เหมือนกัน  เราทำงานตั้งเยอะนะ  ทำไมไม่ให้”

            คิดไปเรื่อยๆ ไม่พอใจ พระยาเวห์ พระเจ้าพูดกับคาอินว่า “เจ้าโกรธทำไม?”

            “เจ้าทำหน้าบึ้งทำไม? เจ้าไปคิดอย่างนั้นไม่ได้นะ ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ถูก” เห็นไหม? คือถูกกฎ

            “ลูก ลูกทำอย่างนั้นไม่ได้ เอาแต่ใจตัวไม่ได้ มันมีกฎของมันอยู่ เราก็จะยอมรับเจ้า แต่ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด”

            คำว่า “สิ่งที่ผิด” นี้ไม่ได้หมายถึงการกระทำบาปชั่วช้าอะไรต่างๆ ยังไม่ได้ทำเลย ยังไม่ได้ฆ่าน้องเลย

            “ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด” หมายถึงผิดกฎ กฎบอกแล้วไงว่าให้ใช้เลือดสัตว์ มาใช้อย่างนี้ได้อย่างไร?

            “ความบาป ก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่”

            เห็นไหม? ความบาป ก็คือมารเป็นผู้ควบคุมความบาป ตัวบาปมันก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่ แสดงว่าอยู่ข้างนอก ถูกไหม? แต่มันส่งอะไรเข้ามา ส่งความคิด เข้าไปที่คาอิน

            “มันหมอบอยู่ที่ประตู มันอยากควบคุมเจ้า”

            มารมันหมอบที่ประตู ประตู คืออะไร?  ประตูความคิดของเจ้าไง มันตั้งใจจะเข้ามาครอบงำเจ้า ยอมไหม? มันอยากครอบคลุมเจ้า แต่เจ้าจะต้องเป็นฝ่ายครอบงำมัน  ก็คือเจ้าต้องครอบคลุมมัน มันไม่มีอำนาจ ถ้าเจ้าแข็งขึ้นมา มันก็แพ้ มันอยากควบคุมเจ้า  เหมือนมนุษย์บนโลกใบนี้ ทุกวันนี้ มันอยากควบคุมมนุษย์  โดยให้ความคิดหลอกลวงเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย ถ้าเผื่อยอมมันมากๆ ก็เหมือนมันมากๆ ที่เรียกว่าถูกครอบงำด้วยผี ก็คือด้วยมาร มนุษย์ทั่วไป ถึงแม้มีส่วนน้อยที่ยอมมันถึงขนาดนั้น  ถูกหลอก แต่ไม่ยอมมันถึงขนาดนั้น เพราะว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ยังมีความรู้สึกผิดชอบอยู่บ้าง แต่สำหรับคริสเตียนสบายกว่า เพราะเรามีพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราภายใน  เราสามารถปฏิเสธมันได้ มันไม่ใช่ตัวเรา

            เพราะฉะนั้น บางครั้ง เราถูกข้อมูลเก่าๆ ที่เคยอยู่ก่อนเป็นคริสเตียน  แล้วเรากระทำสิ่งนั้น ตามข้อมูล  มันไม่ใช่ตัวเรา เป็นมูลต้นเหตุให้กระทำ  แต่มันเป็นเพราะความคิดข้อมูลเก่า ที่ยังอยู่ นี่คือสงคราม แล้วเราก็ไปทำมัน ผิดพลาดไป นี่คือสงครามทางฝ่ายวิญญาณ เราต้องรู้ว่าพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในเรานั้น เป็นใหญ่กว่าข้อมูลของมาร  อิทธิพลของมาร ที่อยู่ในโลก ซึ่งเราไม่ได้อยู่ในโลก แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ ยังมีโอกาสอยู่ภายใต้อิทธิพล การหลอกลวง ล่อลวงของมันได้อยู่ พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 1

            วิญญาณของคริสเตียน อยู่ที่ไหนทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ?

            มาดูความจริงในข้อพระคัมภีร์ ที่บอกถึงสถานะที่อยู่อาศัยทางวิญญาณของเรา คริสเตียนผู้เชื่อทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ

            โรม 8:9 … “โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาปอยู่ในเนื้อหนัง แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            ก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ

            เนื้อหนังนี้  ไม่ใช่ธรรมชาติลักษณะของเรา  ไม่ได้เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของวิญญาณ จิตใจหรือร่างกายของเราเลย   แต่เป็นเหมือนปรสิต  หรือกาฝาก  ที่แอบซ่อนอยู่

            ความหมายในโลกฝ่ายวิญญาณของคำว่า “Sarx” (ซาร์ซ) หรือ “Flesh”  หรือเนื้อหนังนี้ คือหลักการสำคัญของระบบ ที่ปกคลุม ครอบครองอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ต่อต้านความดี ต่อต้านความเป็นจริงของพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าความบาปชั่ว ความมืดที่มีพลัง อิทธิพลในการผลักดัน ให้มนุษย์กระทำตาม

            ซึ่งพลังอิทธิพลของตัณหาของเนื้อหนัง ความบาปชั่ว ความมืดนี้ควบคุมโดยมาร ที่คอยส่งกระแสพลังอิทธิพลของความบาป และความตายนี้ มาหลอกลวง ผลักดัน ชักจูงให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นศัตรู ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และตัดสินใจกระทำบาปชั่วตามมัน คือกระทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเป้าหมาย ความประสงค์อันดีงามของพระเจ้า เรียกว่าบาป (แปลว่าผิดเป้าหมาย)

            ซึ่งหลายครั้งแยบยล ดูดีงามมาก ดูไม่ออกว่าเป็นเนื้อหนังหรือความบาปชั่ว หรือไม่ตามสายตามนุษย์ ที่ดูแค่ภายนอก เช่นการให้ทรัพย์สิ่งของออกไป เพื่อจะได้รับชื่อเสียง หรือผลประโยชน์เข้ามาหาตนเอง ซึ่งก็คือบาป คือความโลภและการเห็นแก่ตัวนั่นเอง

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1494

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  พฤศจิกายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 11 “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มาต่อ “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 11 ชื่อเรื่อง “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”

            ต้องพูดดังๆ ชัดๆ เพราะถ้อยคำเหล่านี้เป็นถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ เวลาเราพูดชัดๆ ดังๆ ให้ตัวเราเองฟัง มันจะทำให้ซึมเข้าไป ไหลเข้าไปอยู่ในความคิดจิตใจเรา จำได้มากขึ้น แล้วทำให้เราสามารถดำเนินชีวิต เป็นไปตามถ้อยคำนี้ได้ ก็คือ …

            “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในฉัน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”

            ยอห์นกำลังอธิบายให้เราเห็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ในหนังสือ 1 ยอห์นว่าสภาวะทางวิญญาณที่แตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิงของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคริสเตียน แตกต่างกับผู้ที่ไม่เชื่อ ที่ในยอห์นเรียกว่าผู้ที่ถูกหลอกลวง หรือผู้ที่ไปสอนเขา ก็คือไปหลอกเขา จะหลอกแบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่รู้ แต่ว่าไปพูดความเท็จให้เขาฟัง แตกต่างกับคนที่เป็นคริสเตียนอย่างไร?  เพื่ออะไร? ยอห์นต้องการชี้ให้เห็น เพื่อเราผู้เชื่อจะได้รู้ว่าอะไรคือความจริง? อะไรคือความเท็จ ความหลอกลวง? อะไรคือความโกหก? อะไรคือความสว่าง? อะไรคือความมืด? อะไรคือความรัก? คือความเกลียดชัง ขโมย ฆ่าและทำลาย? ให้เราคริสเตียนได้รับรู้ความจริง สำหรับวันนี้นะ ว่า …

            “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”

            2 ฝั่ง เห็นไหม? ในพระคริสต์ ในโลก  พระคริสต์ผู้สถิตในท่าน ใหญ่กว่าความบาปที่อยู่ในโลก ความสว่าง ความจริงที่อยู่ในท่าน ใหญ่กว่าความเท็จที่อยู่ในโลก ความรักที่อยู่ในท่าน ใหญ่กว่าความเกลียดชังที่อยู่ในโลก พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในท่าน ใหญ่กว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก เอเมน

            นี่คือความจริง อาจารย์ยอห์นกำลังอธิบายสิ่งเหล่านี้อย่างชัดๆ ให้เราละเอียดเลย วันนี้เริ่มต้นบทที่ 4 … 1 ยอห์น 4:1 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

            1 ยอห์น 4:1 “ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณทุกวิญญาณ แต่จงทดสอบวิญญาณเหล่านั้นว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่  เพราะว่าผู้เผยพระวจนะเท็จหลายคน ได้ออกไปในโลกแล้ว”

            “เพราะว่าผู้เผยพระวจนะเท็จ” ผู้เผยพระวจนะเท็จ ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่ตะกี้เราอ่านกันในหัวข้อเรื่องปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้เผยพระวจนะเท็จหลายคน มีจำนวนมาก ได้ออกไปในโลกแล้ว   ตระเวนไปในโลก ตั้งแต่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว หรือพูดง่ายๆ ว่าตั้งแต่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระมาซีฮาห์ จนกระทั่งถึงไปตายที่ไม้กางเขน  จนกระทั่งบอกงานการไถ่บาปของพระองค์สำเร็จแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปฏิปักษ์พระคริสต์ต่อต้านข่าวประเสริฐนี้ ก็เริ่มต้น ทำงานของเขาเหมือนกัน ออกไปประกาศข่าวเท็จเหมือนกัน ยอห์นก็เลยเตือนให้ระมัดระวัง และทดสอบวิญญาณ คำสอนต่างๆ ของเขา ที่เราอาจจะได้ยิน ได้ฟัง เพื่อให้คริสเตียน มีความแน่ใจว่าที่ได้ยินได้ฟังนั้น มันมาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากผู้เผยพระวจนะเท็จ หรือคำสอนผิดๆ ที่นำผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่ฟัง ไปสู่เรื่องไร้สาระ แทนที่คริสเตียนผู้เชื่อนั้น จะรู้ความจริงเรื่องข่าวดีว่าเขาหรือท่าน เป็นใครในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้กระทำให้เรียบร้อยแล้วนั้น แทนที่จะรู้เรื่องนี้ กลับไปรู้เรื่องไร้สาระ คือเรื่องตรงกันข้าม เรื่องต่อต้านพระคริสต์แทน

            เช่น เราได้เรียนรู้กันมาแล้วตอนต้นๆ ตั้งแต่บทแรกของ 1 ยอห์น  อาจารย์ยอห์นพูดถึงเรื่องพวกนอสติก แล้วพวกที่เรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ทั้งหลาย อาจารย์ยอห์น ใช้คำว่า “ทั้งหลาย” คือมันมีเยอะ ที่ตั้งตนเป็นครูสอนเรื่องข่าวดีของพระเยซูแบบผิดๆ แบบไร้สาระ อาจารย์ยอห์นใช้คำนี้ว่า “ไร้สาระ” ไม่ตรงกับความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้า พวกเขาจะประกาศ สอนความจริงได้อย่างไร? อาจารย์ยอห์นบอก ในเมื่อภายในใจของพวกเขา เป็นความเท็จอยู่ พวกเขายังปฏิเสธพระเยซูคริสต์  เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาสิฮาห์ ปฏิเสธว่าพระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้าที่มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งความจริงตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เลย คือพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างกายของมนุษย์ นี่เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ เป็นจุดเริ่มต้นของข่าวดีของพระเจ้า

            ข่าวดี คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ ต้องมาเข้าส่วนร่วม เป็นพี่น้อง คือเข้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์  เพื่อจะไปตายที่ไม้กางเขน  เป็นตัวแทนให้เรา ตาย เพื่อแบกบาปของเราไว้และตาย เพื่อว่าตัวเก่าของเรา มนุษย์ทั้งหลายที่เป็นคนบาป จะได้ตายพร้อมพระองค์ไปด้วย และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  การเป็นขึ้นมาใหม่ เราทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาป ก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนพระองค์ด้วย นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดในร่างกายของมนุษย์

            คำสอนของลัทธินอสติก แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรของพระเจ้า ในยุคนั้น เรื่องแรกนั้น พวกนอสติกเขาเชื่อว่ามีความรู้อันลึกลับและสูงสุด ที่ซ่อนไว้ ทุกคนต้องเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง จากพระเจ้า นอกจากความรู้เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว พูดง่ายๆ ว่ารู้ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ยังไม่พอ จะต้องทำอะไรเพิ่มเติม เรียนรู้ความล้ำลึก แห่งข่าวประเสริฐนั้น ลึกลับอีกทีหนึ่ง พูดง่ายๆ เชื่อพระเยซูคริสต์ก็ดีอยู่ แต่ว่ายังไม่สมบูรณ์ ต้องบวกด้วยการกระทำของตนเอง จึงจะรอด ตามที่หวังไว้ เขามาแทรกซึมเข้าไป ในลักษณะอย่างนี้ และการกระทำที่ว่านี้ ก็คือแสวงหาความรู้ทางวิญญาณ ลึกลับ จากพวกเขา พวกนอสติก เขาเชื่ออย่างนี้ เขามาสอน เพื่อว่าคริสเตียนที่เชื่อแล้ว คุณจะได้เป็นคริสเตียนพิเศษ นี่คริสเตียนธรรมดา เป็นคริสเตียนที่รู้ความทางฝ่ายวิญญาณอันลี้ลับ ที่เขาจะสอนให้ คุณจะได้เป็นคริสเตียนพิเศษ  ได้รับรางวัลจากพระเจ้ามากกว่าคนที่เป็นคริสเตียนธรรมดา อะไรประมาณนี้ มันเป็นอย่างนั้น

            อัครทูตยอห์น จึงเตือนพี่น้องคริสเตียน ให้รู้จักสังเกตวิญญาณว่าคำสอนนั้น ถ้อยคำนั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือมาจากวิญญาณที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ถ้าไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ข้อความความจริงของข่าวประเสริฐ ก็ให้ปฏิเสธ อย่าไปรับฟัง ถ้าไม่ตรงกับข่าวประเสริฐ ข่าวดีมีอยู่แค่นั้น ถ้ามีอะไรมาเสริม เติมแบบแปลกๆ ก็ไม่ต้องฟัง

            ปฏิปักษ์พระคริสต์ คือใคร? ในบริบทที่กล่าวถึงนี้ ไม่ได้หมายถึงคนที่หลง อุปโลกน์ตัวเอง ตั้งตนเองเป็นพระคริสต์ เป็นพระเมสิยาห์ ซึ่งมีคนไม่เข้าใจถ้อยคำนี้ ไปแปลว่าตรงนี้หมายถึงคนที่ตั้งตนเองเป็นพระคริสต์ แล้วก็สุ่มเอาว่าคนนี้ๆ คือปฏิปักษ์พระคริสต์ที่จะขึ้นมา ไม่ใช่ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ตรงนี้ หมายถึงคนที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาสิฮาห์ ใครก็ตามที่ปฏิเสธ หมายถึงคนที่ปฏิเสธ และไม่เชื่อว่าพระคริสต์ เป็นพระมาสิฮาห์ คือพระเจ้าที่ลงมาเกิดในเนื้อหนัง ในร่างกายของมนุษย์

            และคนเหล่านี้ ก็จะสอนผู้คนด้วยความเชื่อที่ผิดๆ ในเรื่องของข่าวดีของพระเยซู โดยปฏิเสธความจริงในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ บิดเบือนความจริงของข่าวดี เป็นปฏิปักษ์ต่อต้านความจริงของพระคริสต์ อาจารย์ยอห์นจึงใช้คำว่าพวกนี้เป็นพวกปฏิปักษ์พระคริสต์  … ปฏิปักษ์พระคริสต์หมายถึงอย่างนี้นะ ไม่ใช่มีคน สองคนเท่านั้น มีเต็มไปหมดเลย ซึ่งปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ มีทั้งแบบไม่เชื่อเลย ไม่ได้เป็นคริสเตียนเลย จนถึงที่เป็นคริสเตียนแล้ว แต่ไม่ได้รับรู้ความจริงทั้งหมด  เพราะได้รับคำสอนต่อๆ มาอย่างผิดๆ จึงมีความเชื่ออย่างผิดๆ ต่อข่าวดี ซึ่งเท่ากับต่อต้านพระคริสต์ เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ โดยไม่รู้ตัว นึกให้ดีๆ ตรงนี้ก็มีเยอะกว่า

            มีทั้งปฏิปักษ์พระคริสต์ พูดง่ายๆ รุนแรง ที่เราเห็นชัดๆ จนกระทั่งถึง ปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์แบบสุภาพ นึกภาพออกนะ ตั้งแต่ตอนนั้น มาถึงตอนนี้ 2,000 ปี มีแค่นี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์มีเยอะแยะเลย มีรุนแรง จนกระทั่งอ่อนที่สุด แบบสุภาพ แบบรุนแรง ยกตัวอย่างเช่น ง่ายๆ เลย เมื่อ 2,000 ปี ก่อนนั้นชัดเจนที่สุดเลย ก็คือพวกชาวยิวด้วยกัน เขากล่าวหาพระเยซูว่าเป็นคนหลอกลวง และดูหมิ่นพระเจ้าของเขา ดูหมิ่นศาสนายิว ต้องฆ่าให้ตาย รุนแรงที่สุด

            แล้วก็มีคนยิวต่อต้านเหมือนกัน แต่รองความรุนแรงลงมา รุนแรงน้อยลง ก็คือกล่าวหาพระเยซูว่าเป็นผู้เผยพระวจนะเฉยๆ เชื่อนะว่าพระเยซูมาจากพระเจ้า แต่ไม่ได้เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ เชื่อว่าพระองค์เป็นเหมือนอิสยาห์ เอลียาห์ ก็คือเป็นคนธรรมดา เป็นผู้รับใช้พระเจ้า  อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็รองลงมาอีก สุภาพขึ้นอีก อันนี้ไม่ใช่ยิวอย่างเดียวแล้ว คนธรรมดาทั่วไป  ก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน ก็คือพระเยซูเป็นคนดีคนหนึ่ง มีเมตตา มีความรัก ต่อเด็กๆ ต่อสังคม ใน 2,000 ปีจะมีอย่างนี้เยอะแยะ นี่คือเหล่าผู้ปฏิปักษ์ หรือต่อต้านพระคริสต์ทั้งนั้น

            ถึงในปัจจุบัน เราก็ได้ยินบ่อยๆ พระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ใช่ พระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ แต่พระเยซูเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ นี่คือแบบสุภาพ

            มีคนเชื่อว่าพระเยซูเป็นคนหลอกลวง เหมือนกับชาวยิว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ยังเชื่ออย่างนั้น ในปัจจุบัน ก็ยังมีคนเชื่ออย่างนั้นอยู่ จนกระทั่ง ในสุดท้าย สุภาพแบบรุนแรงลึกๆ ก็คือตั้งแต่ต้น มาถึงปัจจุบัน 2,000 ปี มีคนกล่าวหาพระเยซูว่าเป็นคนเสียสติ เหล่านี้ทั้งหมด คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่อาจารย์ยอห์นกำลังพูดถึง คือปฏิปักษ์พระคริสต์ แอนตี้ไคร์ซ พูดง่ายๆ ก็คือต่อต้านพระคริสต์ เป็นศัตรูกับพระคริสต์  อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่านี่คือกระดุมเม็ดแรกของข่าวประเสริฐ กระดุมเม็ดแรกของต้นเหตุของปัญหาการเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ทั้ง 2 รูปแบบ คือไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  มาเกิดในร่างกายของมนุษย์  นี่คือกระดุมเม็ดแรกเลย  เพราะเขามีความเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์นั้น ต่ำต้อย เป็นบาป มีมลทิน พระเจ้ารังเกียจและขยะแขยง  นี่คือความเชื่อของพวกนอสติก ซึ่งหมายถึงถ้าเราเชื่อตามนอสติกเหล่านี้ว่าร่างกายเป็นที่น่าขยะแขยง เป็นสิ่งสกปรกโสโครก พระเจ้าไม่มาสถิตอยู่ด้วย มันก็หมายถึงเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนด้วย

            กระทบถึงเราด้วย เพราะเราคริสเตียนผู้เชื่อ ได้บังเกิดใหม่ ดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายแบบนี้ เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ตามหลักพระคัมภีร์ ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเลยว่าเมื่อเรารับเชื่อแล้ว เราก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซู พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ถ้าเผื่อกระดุมเม็ดแรก หัวใจของข่าวประเสริฐ เชื่อผิดไป พระเจ้าไม่ได้มาสถิตกับพระเยซู อยู่ในร่างกายของมนุษย์ เราที่เป็นร่างกายของมนุษย์ที่เป็นคริสเตียน  พระเจ้าก็ไม่สถิตอยู่ภายในเรา คริสเตียนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งหัวใจหรือสาระสำคัญของการเป็นคริสเตียน ก็คือพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ถึงขนาดพระเจ้าเผยพระวจนะมาตั้งหลายพันปี  ก่อนจะเกิดเหตุการณ์จริงขึ้น คือพระเจ้าบอกว่าพระเยซูจะมาเกิด จะให้ชื่อว่าอิมมานูเอล … อิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ

            ยอห์นแนะนำวิธีสังเกตวิญญาณว่าเป็นอย่างไร? ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ต่อไปนี้ สังเกตวิญญาณอย่างนี้นะ จะได้รู้ว่าคนที่พูด ถ้อยคำที่สอน มาจากพระเจ้าหรือมาจากปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านความจริง ต่อต้านข่าวประเสริฐกันแน่ อย่าฟัง แล้วเชื่อเลย นี่เป็นเพราะว่าอยู่ในโบสถ์ มีชื่อว่าศิษยาภิบาล มีชื่อว่าผู้สอน ต้องเชื่อ เพราะว่าผมหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมา ต้องเชื่อ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เชื่อ โดยคำพูดที่พูดออกไปนี้ สังเกตตรงไหน? มาดูที่ 1 ยอห์น 4:2-3 อาจารย์ยอห์นแนะนำวิธีสังเกตวิญญาณ คำสอน …

            1 ยอห์น 4:2-3 “2 ท่านจะทราบพระวิญญาณของพระเจ้าได้ ก็คือทุกวิญญาณที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้มาบังเกิดเป็นร่างกายมนุษย์ เป็นผู้ที่มาจากพระเจ้า 3 แต่วิญญาณใด ที่ไม่ยอมรับพระเยซู ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า และเป็นวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งท่านได้ยินได้ฟังแล้วว่ากำลังมา และขณะนี้อยู่ในโลกแล้ว”

            ท่านจะรับรู้ได้ว่าถ้อยคำนั้น เป็นความจริง มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเป็นความเท็จ มาจากวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่เป็นของโลก ก็คือคำสอนนั้นยอมรับ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดในร่างกายของมนุษย์หรือไม่?

            ขณะที่ฟังผมพูดทุกวัน ฟังอาจารย์วราพร ฟังอาจารย์ธิดารัตน์บรรยายทุกวัน ฟังแล้วก็คิดตามนี้ พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์หรือเปล่า? เขาเชื่อตรงนี้ไหม? เพราะความสำคัญที่สุดของความจริงของข่าวดี ก็คือพระเยซู คือพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์จริงๆ สำคัญที่สุดของข่าวดี  … ข่าวดีของพระเจ้ามีอยู่แค่นี้เอง คือเริ่มต้นที่วันคริสต์มาส มาจบลงที่วันอีสเตอร์ แค่นี้เอง นอกนั้นมันไม่ใช่ นอกนั้น มันเรื่องไร้สาระ ต้องเชื่อวันคริสต์มาส และไปจบลงที่วันอีสเตอร์  ถ้าไม่เชื่อวันคริสต์มาส ไม่มีวันอีสเตอร์แน่นอน พอนึกออกไหม?

            พวกนอสติกเขาไม่เชื่อทั้ง 2 อันเลย แต่เขาเริ่มต้นจากการไม่เชื่อเบอร์แรกเลย คือไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะไม่มีวันอีสเตอร์ คือพระเจ้าในร่างกายของมนุษย์ ตายแทนมวลมนุษย์ทั้งปวง รับบาปเอาไว้ นึกภาพออกใช่ไหม? นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ มันคือกระดุมเม็ดแรกของการปฏิเสธพระเยซู การบิดเบือนข่าวดีของพระเยซู

            พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว อะไรสำเร็จ วันที่พระองค์มาเกิด คริสต์มาส จนไปจบที่ไม้กางเขน วันอีสเตอร์ พระองค์จบคำว่าสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว ก็คือไถ่บาปเรียบร้อยแล้ว มาเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาทั้งหมด จากอดีตมา ได้ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่คนไม่เชื่อ ก็บอกมันยังไม่สำเร็จ มันยังไม่เกิดขึ้น ให้รอไปก่อน นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ และสามารถสังเกตได้ว่ามันตรงหรือไม่ตรง เพราะฉะนั้น รู้แล้วใช่ไหมตอนนี้ ทุกคนทราบแล้วนะว่าถ้าผมขึ้นมาพูด หรืออาจารย์วราพร หรือครูหนุ่ยขึ้นมาพูด แล้วพูดอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ท่านเอ๊ะ! ไม่ได้เชื่อในพระเยซู เป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ ท่านไม่ต้องฟังเลย ท่านมาฟ้องได้เลย ฟ้องใครก็ได้ ฟ้องพระเจ้า หรือท่านก็ไปหาคนอื่นฟัง ไม่ต้องรับฟัง นี่อาจารย์ยอห์นบอก ไม่ใช่ผมบอกนะ ก็อย่าไปรับฟัง

            เพราะมันเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่มนุษย์เราจะเชื่อว่าพระเจ้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้อย่างไร? มันเชื่อยาก แต่ข่าวประเสริฐมันเป็นอย่างนี้จริงๆ มันง่ายเกินไป ทำให้มนุษย์เชื่อยาก ความจริง คือพระเจ้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ไม่ได้รังเกียจร่างกายของมนุษย์ว่าสกปรก แต่ทรงรักร่างกายของมนุษย์อีกต่างหาก เพราะเป็นร่างกายที่พระองค์ก็เป็นผู้สร้างขึ้นมาทั้งสิ้น เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งสิ้น นี่คือความจริง

            พระเยซูทรงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นแบบอย่างให้กับเราคริสเตียน คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายมนุษย์ได้จริงๆ ความจริงตรงนี้ จึงเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ อาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวัง แห่งเกียรติสิริ” ในโคโลสี 1:27 ได้บันทึกไว้

            ความหวังของคริสเตียน คือพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน สถิตเมื่อไร? เดี๋ยวนี้ เมื่อเชื่อ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียน เดี๋ยวนี้ พระคริสต์สถิตอยู่ในฉันแล้ว จริงๆ เดี๋ยวนี้เลย ทันทีเลย ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน แล้วจะสถิตอยู่อย่างนั้นตลอดไป จนกระทั่งถึงนิรันดร์ นี่คือความจริงของข่าวประเสริฐ นี่คือความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่อาจารย์ยอห์นบอก

            อาจารย์ยอห์นบอกว่าขณะนี้เลย  เดี๋ยวนี้เลย บนโลกใบนี้เลย ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า วิญญาณของท่าน ใจของท่าน มาจากพระเจ้า ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ท่านเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในร่างกายของท่านอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว

            หนังสือโรม อาจารย์เปาโลก็ได้พูดอย่างนี้ โรม 12:1 ลองอ่านดู …

            โรม 12:1 “พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อม (สมอง) ความคิดและสติปัญญาของท่าน ให้สมกับที่พระเจ้า ได้ทรงชำระท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับเป็นบุตรได้) และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า”

            นี่คือความจริงในข่าวประเสริฐพระเจ้า ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของท่าน ท่านมีสิทธิ์ พระเจ้าไม่ได้บังคับ พระเจ้าให้สิทธิกับท่าน ในการตัดสินใจ ให้อิสระ แต่อาจารย์เปาโลแนะนำให้ท่านว่าท่านควรจะยอม

            ยอมอะไร? ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย มอบร่างกาย จำคำว่า “ร่างกาย” นี้ไว้ พร้อมสมอง ความคิด สติปัญญาของท่าน ให้สมกับ “สมกับ” แปลว่าเป็นแล้ว ถูกไหม? ทำตัวให้สมกับเป็นคนหน่อย ก็คือเป็นคนหรือยัง? เป็นแล้ว โอเค มอบร่างกายนะ ให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงชำระท่านแล้ว ก็คือได้ทรงชำระร่างกายของท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ก็คือด้วยพระเยซูคริสต์ ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั่นแหละ คือพระคุณ ทำให้คุณที่เชื่อได้ร่างกายที่จะอ่านต่อไปนี้  “ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่” พระเจ้าได้ทรงชำระร่างกายของท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติส่วนตัวของพระองค์ ที่พระเจ้าสามารถรับเป็นบุตรได้ และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าได้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ได้ พูดง่ายๆ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ที่เข้ามาสถิตอยู่

            เพราะฉะนั้น ท่านได้เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายของท่าน ไม่ได้พูดถึงวิญญาณ ใจใหม่ที่ได้ไปเรียบร้อยแล้ว เห็นชัดๆ ร่างกายที่ท่านกำลังคิดว่าไม่ดี หรือว่ามีคนกล่าวหาว่าสกปรก มีมลทิน ทำบาปอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่พระเจ้าบอกว่าเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านกลายมาเป็นบุตรของพระเจ้า และร่างกายของท่านสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เอเมน

            เพราะฉะนั้น ทุกส่วนที่เป็นตัวเรา หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ ใจใหม่ที่พระเจ้าได้ประทานให้เกิดใหม่ ร่างกายเรา ก็เป็นใหม่หมดทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ที่พระเจ้าสามารถรับได้  และโปรดปรานด้วย ไม่ใช่รับได้เฉยๆ ชอบอีก พระองค์จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่ด้วย จึงไม่มีสิ่งใดๆ ในตัวท่านสักนิดเดียวเลย ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าของท่าน เป็นบาปเลย แม้แต่นิดเดียว นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

            เพราะฉะนั้น ท่านก็สามารถสังเกตได้ว่าผมขึ้นมาบรรยาย อาจารย์วราพรขึ้นมาบรรยาย อาจารย์ธิดารัตน์ขึ้นมาบรรยาย พูดว่าร่างกายของเราที่รับเชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว สะอาด บริสุทธิ์ เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแล้วหรือไม่? ถ้าเผื่อไม่ อย่ารับฟัง ถ้าแม้กระทั่งผมพูดเอง แล้วเอาพระคัมภีร์ขึ้นมาบอก แล้วบอกว่าเขาพูดมาอย่างนี้ ไม่เชื่อ แปลผิด พูดผิด ไม่ใช่แล้ว เพราะว่าความจริง คือใจใหม่ วิญญาณใหม่ ร่างกายบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าโปรดปรานใหม่ เป็นของฉันเดี๋ยวนี้ ยืนยันความจริงในข่าวประเสริฐ เป็นแบบนี้ เอเมน ท่านลองคิดในใจ เดินออกไป เมื่อถูกโจมตีเข้ามา ท่านคิดในใจ ถ้าท่านไม่พูดออกจากปากว่าเป็นอย่างนี้ หรือถ้าท่านพูดออกจากปาก เพื่อนที่ยังไม่รู้ความจริง ได้ฟังว่าวิญญาณ จิตใจฉัน และร่างกายฉันสะอาด หมดจด บริสุทธิ์เลย

            เขาก็จะบอกว่า “อ้าว! แต่ฉันยังเห็นเธอทำบาปอยู่เลย”

            แล้วท่านจะตอบว่าอย่างไร? เดี๋ยวฟังตรงนี้ ท่านก็จะได้รู้ว่าท่านจะตอบว่าอย่างไร? ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกไว้แล้วว่าเราสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ชัดๆ เลย เป็นอย่างนั้น แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งบนโลกนี้ ในพระคัมภีร์ก็บอกว่ามีทั้งพลังของความบาปยังอยู่ มีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มีความชั่วร้าย ซึ่งมารควบคุมอยู่ มีอิทธิพล คอยชักจูง ผลักดัน ล่อลวงให้เราหลงทำตามมัน มันซึ่งเป็นความบาป มันไม่ใช่ตัวเรา หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของเราเลย มันก็เป็นเหมือนปรสิตหรือพยาธิที่แอบอาศัยอยู่ในเรา แต่มันไม่ใช่ตัวเรา เราต้องยึดพระคัมภีร์เอาไว้อย่างแน่นเลย นี่คือสิ่งที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่บอกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็จะพูดตรงกันข้าม นึกออกใช่ไหม?

            “เธอเป็นคนทำ ก็ต้องเป็นตัวเธอสิ” … นี่คือปฏิปักษ์พระคริสต์

            แต่ถ้ามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือเมื่อตะกี้นี้ ที่ผมบอก พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดเผย 2 โครินธ์ 5:17 ไว้อย่างนี้ว่า …

            2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว  จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            ปฏิปักษ์พระคริสต์ ตะกี้บอกเรา “เธอยังทำบาปอยู่เลย เธอสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ได้อย่างไร ร่างกาย เห็นตะกี้ยังหงุดหงิดใส่ลูก ใส่สามี ใส่ภรรยาอยู่เลย เห็นชัดๆ อยู่เลย แล้วในนี้บอกตัวเองศักดิ์สิทธิ์”

            “ไม่รู้ล่ะ ฉันจะบอกให้เธอฟัง ใน 2 โครินธ์ 5:17 ถ้าท่านจำไม่ได้ ไม่เป็นไร พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ว่าผู้ใดที่อยู่ในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่เป็นคริสเตียน เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ บังเกิดใหม่ สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว ตัวเก่า จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            พูดให้ใครฟัง? พูดให้ตัวเองฟัง ไม่ต้องพูดให้คนที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ฟัง เขาไม่เข้าใจหรอก เพราะว่าวิญญาณเขาและเรามันคนละเรื่องกัน คนละอย่างกัน แต่ถ้าเรามาพูดกับพี่น้องที่เป็น คริสเตียนด้วยกัน ที่รู้ เข้าใจเรื่องนี้ด้วยกัน เอเมน ถูกต้องแล้ว ทุกสิ่งใหม่หมด ทั้งวิญญาณ ใจและร่างกาย พระเจ้าไม่ได้ให้เรามาบังเกิดใหม่ ด้วยความสกปรก โสโครกในร่างกาย ท่านคิดดู พระเจ้าให้ท่านบังเกิดใหม่ ใช้คำนี้เลย “บังเกิดใหม่ในพระคริสต์”

            พระองค์ไม่ได้มาทำให้ท่านบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เพื่อมาเป็นคนบาป หรือมีส่วนใด ส่วนหนึ่งเป็นบาป มีมลทิน สกปรกเหมือนเดิม แล้วจะมาทำให้ท่านบังเกิดใหม่ทำไม? พระคัมภีร์ย้ำอยู่หลายๆ ตอนเลยบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือ?” ก็แสดงว่าท่านควรจะรู้ รู้อะไร? ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าผู้บริสุทธิ์สถิตอยู่ในท่าน แล้วท่านจะสกปรกได้อย่างไร? สกปรกแม้แต่นิดหนึ่ง ท่านก็ตายแล้ว พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้หรอก

            อัครทูตยอห์นบอกว่าคริสเตียนนั้นแพ้ เหมือนกับคนที่แพ้อาหารทะเล แพ้ปลาหมึก คริสเตียนแพ้ความบาป คนที่แพ้ปลาหมึก กินปลาหมึกอาการปางตายนะ คริสเตียนแพ้บาป คือทำบาปไม่ได้ ทำบาปแล้วดิ้นพลั๊กๆ แตะไม่ได้เลย เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น คริสเตียนไม่สามารถกระทำบาปได้ อาจารย์ยอห์นพูด นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ไม่ได้สามารถทำบาปจากใจของเขาได้ เพราะพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ สถิตอยู่ภายในเขา และเขาก็บริสุทธิ์เหมือนพระองค์เลย ในพระองค์ไม่มีบาป ในวิญญาณเราก็ไม่มีบาป นึกออกไหม? พระเจ้าไม่ทำบาป เราก็ไม่ทำบาป เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า พูดถึงวิญญาณ ใน 1 ยอห์น 3:9 ที่เราได้เรียนรู้เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ลองอ่านดูอีกทีหนึ่ง …

            1 ยอห์น 3:9 “ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะสภาพของพระเจ้า ดำรงอยู่กับผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า”

            คนที่เป็นคริสเตียน ได้บังเกิดใหม่ จากหน่อเชื้อของพระเจ้า ก็คือวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า บริสุทธิ์ ไม่มีบาปในวิญญาณ และในใจเลย จึงไม่มีทางทำบาป ตามธรรมชาติภายในได้เลย นอกจากพลั้งพลาด ถูกหลอก เผลอจากภายนอก ก็คือจากโลกนี้ ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า

            สรุปแล้ว คริสเตียนจึงเป็นผู้ชนะความบาป  แต่แพ้การทำบาป คริสเตียนชนะความบาป แต่แพ้การทำบาป แบบตะกี้แพ้ปลาหมึก แล้วอาจจะมีคนถามท่าน แล้วเวลาเราไปทำบาปล่ะ เป็นอย่างไร? พระคัมภีร์ว่าอย่างไร? เวลาคริสเตียนไปทำบาป ท่านควรจะรู้ จะได้รู้ตัวว่าเราอยู่ในสภาวะใดในวิญญาณ ขณะที่เราทำบาปอยู่ ใครควรรับผิดชอบตรงนั้น

            พระคัมภีร์บอกว่าการทำบาปของคริสเตียนนั้น เป็นการกระทำของคริสเตียน ของเรา “การกระทำ” นึกภาพนะ ไม่ได้เป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา เป็นการกระทำ แต่ไม่ได้ “เป็น” ตัวตน เหมือนมนุษย์ที่ทำตัวเหมือนลิง การกระทำเขาทำเหมือนลิง แต่ตัวตนเขาเป็นคน เป็นมนุษย์

            เปาโลพูดอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตัวตนจริงๆ ไม่ต้องการทำ มันไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าอีกต่อไปที่ทำ แต่มันเป็นบาป ที่กำลังอาศัยอยู่ในตัวข้าพเจ้า เป็นผู้กระทำ”

            เห็นไหม? ก็คือที่ปวดหัว ไม่ใช่ฉันอยากจะปวดหัว ฉันไม่อยากจะปวดหัวหรอก แต่ที่ปวดหัวนี้ เพราะว่าตัวจี๊ด มันอยู่ในนั้น ตัวจี๊ด คือพยาธิ

            ดังนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกนี้ มันมี 4 สิ่ง ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ว่า 4 สิ่งที่คอยชักจูง และแนะนำ ผลักดันให้คริสเตียน หรือมนุษย์ทั่วๆ ไป ทุกคนทำบาป คือระบบของโลก กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง มารและพลังของความบาป 4 สิ่งนี้มีอิทธิพล กำลังทำงานอยู่ในความคิด ในสมองของเรา ของมนุษย์ทุกคน ตราบใดที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            ในโรม 7:17-20 เปาโลได้กล่าวอย่างนี้ว่าการต่อสู้ภายในระหว่างความปรารถนาของเขา ที่จะทำดี มันต่อสู้กับอำนาจของความบาป ที่ยังคงอยู่ในเนื้อหนังของเขา หรือของคริสเตียนนั้น  เปาโลบอกว่าแม้ว่าเขาหรือคริสเตียนจะมีความปรารถนาที่จะทำดี ตามในใจของเขา ที่เป็นอยู่ แต่บาปที่อยู่ในเนื้อหนังของเขา ก็ยังคงทำให้เขาทำสิ่งที่เขาไม่อยากจะทำ เห็นไหม นี่อย่างชัดเจน เพราะสิ่งเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงฐานะของคริสเตียนว่าในธรรมชาติใหม่ของคริสเตียน มันเป็นอย่างนี้ คือบริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์แล้ว แต่ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งอาจถูกหลอกลวงให้กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่เรียกว่าบาปได้ ซึ่งได้รับการอภัยจากพระเจ้าอยู่เสมอ เพราะว่าคริสเตียนเป็นสิ่งที่ทรงสร้างใหม่ในพระคริสต์ เกิดใหม่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น คริสเตียนจึงดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เหมือนพระเยซู ที่ลงมาเกิดในร่างกายของมนุษย์ เหมือนกันไม่มีผิดเลย

            พระเยซูดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สะอาด หมดจดทั้งร่างกายและวิญญาณ เพียงแต่ว่าเราเคยมีประสบการณ์ จากการเป็นคนบาป ในสมองเรายังมีโปรแกรมเดิมอยู่ มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นโปรแกรม อย่างที่ตะกี้บอก เป็นพยาธิ ความเคยชิน เพราะฉะนั้น ในโลกนี้ มีอะไรมากระตุ้นให้เรา ทำตามมัน เราอาจจะเผลอไปทำตาม แต่เผลอไปทำตามเมื่อไรก็ตาม วิญญาณข้างในจะทนไม่ไหว เขาเรียกว่าแพ้ เดี๋ยวก็ต้องหยุด ไปไม่รอด จะถูกหลอกไปไม่ได้นาน

            ส่วนพวกปฏิปักษ์พระคริสต์ พวกสอนเท็จ ต่อต้านความจริง มักจะสอนว่าอย่างนี้ ฟังให้ดีๆ นะ จะได้รู้ แยกแยะได้ว่ามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า หรือมาจากวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ ผลิตคำสอน คำบรรยาย ถ้อยคำเหล่านั้น

            พวกปฏิปักษ์พระคริสต์ สอนเท็จ ต่อต้านความจริง ต่อต้านพระเยซูคริสต์ มักจะสอนว่าพระเยซูไม่ได้มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ เพราะร่างกายของมนุษย์เป็นบาป สกปรก ซึ่งเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐบอกว่าร่างกายมนุษย์สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ดีพร้อม พระเจ้าเข้ามาอยู่ได้ นี่คือกระดุมเม็ดแรกของข่าวประเสริฐ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ กระดุมเม็ดแรกของการต่อต้าน ไม่จริง ไม่ใช่ พระเจ้าไม่มาสถิตกับเธอหรอก ไม่มาสถิตกับมนุษย์หรอก เพราะมนุษย์สกปรก ร่างกายนี้สกปรก

            นี่คือต้นเหตุของความเท็จทั้งหลาย ที่นำมาต่อต้านความจริงของพระเยซูในข่าวประเสริฐ และเป็นต้นเหตุของความเท็จอีกมากมาย ที่จะตามมา หลังจากนี้ และมันก็ตามมาตลอด จนถึงทุกวันนี้ ก็อย่างนี้ เม็ดแรกปุ๊บ เสร็จแล้วก็บานออกไป เป็นโน่น เป็นนี่ เป็นนั่น ไล่ย้อนกลับไป ต้นเหตุก็มาจากไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาเกิดในร่างกายของมนุษย์

            ก็เลยทำให้เชื่อว่า … “ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันก็ยังสกปรกอยู่ พระเจ้าไม่สถิตอยู่กับฉันหรอก”

            หรือไม่ก็ … “ฉันยังเป็นคนบาป สกปรกอยู่ พระเจ้าสถิตอยู่กับฉันบางครั้งเท่านั้น ที่ฉันทำดีๆ  พอฉันทำบาป พระเจ้าอยู่ไม่ได้ ก็ไป” … นี่มันเป็นอย่างนั้น

            ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันเลย ไล่มาถึง 2,000 ปี มันก็จะเป็นอยู่แค่นี้ ไม่มีอะไรใหม่เลย ตัวอย่างเช่น เขาปฏิเสธว่า (เขา คือปฏิปักษ์พระคริสต์นะ) เขาก็จะสอนในลักษณะนี้ว่าแม้เป็นคริสเตียนแล้ว ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ ยังสกปรกอยู่ในร่างกายนี้อยู่ รอวันพิพากษาหลังความตายอีกครั้งหนึ่งว่าจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมหรือไม่? พระเจ้าไม่สามารถสถิตอยู่ในร่างกายของคริสเตียนผู้เชื่อได้ เพราะยังทำบาปอยู่

            นี่ถ้าฟัง แล้วเชื่ออาจารย์ยอห์น ตามที่เราได้เรียนรู้นี้ ฟังถ้อยคำจากที่ไหนก็ตาม ที่มีการสอน เรื่องของไบเบิ้ล ถ้ามันเป็นอย่างนี้ เรากำลังฟังปฏิปักษ์พระคริสต์ เรากำลังต่อต้านความจริงของข่าวประเสริฐ

            อีกอันหนึ่ง ฟังให้ดีๆ สอนว่าคริสเตียนเมื่อเปิดใจรับเชื่อพระเจ้าแล้ว ความรอดนิรันดร์ยังขึ้นอยู่กับการประพฤติ การกระทำ การรักษาความบริสุทธิ์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ ต้องรักษาอยู่จนกระทั่งถึงวันตาย ถ้ามีอย่างนี้เมื่อไร? สังเกตดู ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่พระวิญญาณ

            พระวิญญาณบอกว่าอย่างไร? อาจารย์ยอห์นบอกว่าเราได้รับการอภัยโทษ ความบาปและความตาย อภัยทั้งบาปในอดีต ปัจจุบันและในอนาคต จนถึงนิรันดร์เลย อภัยหมดเรียบร้อยแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียวบนไม้กางเขน อย่างนี้เป็นต้น

            หรือตัวอย่างต่อไป เป็นคริสเตียนแล้วใช่ไหม? ได้รับความรอด แล้วดีใจ ปิติยินดี แต่คุณต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ บัญญัติของโมเสสด้วย นี่มาตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนแล้ว คุณต้องเข้าสุหนัต คุณต้องถวายสิบลด คุณต้องทำอย่างโน้น ต้องทำอย่างนี้

            และในปัจจุบัน คนที่ไม่ได้เป็นชาวยิว ก็ไม่มีกฎของโมเสส แต่มีกฎของศีลธรรม  ก็เอากฎของศีลธรรมมาอ้างว่าแต่คุณต้องเป็นคนดีด้วยนะ คือฟัง แล้วมันใช่หมด มันดีตามระบบของโลกใบนี้ แต่พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกอย่างนั้น ถ้าเรายังคงพึ่งกฎของศีลธรรม ความดี ความชั่วอะไรต่างๆ เหล่านี้อยู่ เราอาจจะได้รับความรอด  แต่เราทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย

            ข่าวประเสริฐบอกว่าไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม มันไม่ได้เกี่ยวกันกับการได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เราได้รับความรอด โดยพระคุณ คือไม่ใช่โดยการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เราต้องยึดตรงนี้ไว้ให้ดีๆ ปฏิปักษ์พระคริสต์มาอย่างแนบเนียน

            “คุณเป็นคริสเตียน คุณไม่รักษาการมีศีลธรรม ความดีงามหรือ?”

            ใครบอกไม่รักษา รักษามากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เพราะว่าแต่ก่อนนี้ทำบาปไป เฉยๆ หรือสำนึกไม่ค่อยมาก แต่เดี๋ยวนี้แพ้บาป ทำนิดหนึ่ง ก็ตายแล้ว

            เห็นหรือยังปฏิปักษ์มันคืบคลานเข้ามา มันดูเนียนมากเลย ดูดีมาก ต้องปฏิบัติตามนี้สิ เป็นคริสเตียนต้องเป็นคนดีด้วย มันใช่ ถูกต้อง แต่การเป็นคนดีของฉัน ไม่ใช่ เพื่อฉันจะได้รอดจากนรก จากความพินาศหลังความตาย จากการได้ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่ใช่ ฉันทำความดี เพราะวิญญาณของฉันเป็นความดี วิญญาณของฉันเป็นธรรมชาติของความดี ฉันทำตามธรรมชาติ ไม่ได้คิดว่าทำดีด้วยซ้ำไป ก็ทำไปอย่างนั้นแหละ เหมือนคนเดินได้ ไม่ใช่ดีใจจัง ฉันเดินได้ ถ้าเป็นงู เดินได้ มันคงดีใจ ฉันเดินได้ เราเป็นคน เดินได้อยู่แล้ว บางครั้งจะลงไปเลื้อย  ท่านจะเลื้อยได้นานขนาดไหน? ท่านเป็นคน ท่านไปเลื้อยๆ เหนื่อย ไม่ไหวแล้ว ท่านก็ลุกขึ้นยืน เดิน ฉันใดฉันนั้น

            หรือมาสอนว่านอกจากเชื่อในการเป็นคริสเตียนแล้ว คุณต้องทำดีมากๆ เพราะยิ่งคุณทำดี คุณจะได้รับพระพรจากพระเจ้ามากขึ้นด้วย เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ตาย ไปอยู่ในสวรรค์ แล้วคุณจะได้รางวัลมากกว่าคนอื่นเขา ยิ่งคุณทำดีๆ ตามกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้  ตามกฎศีลธรรมต่างๆ บนโลกใบนี้ คุณก็จะได้พรอย่างมากมาย จากพระเจ้า ถูกหรือไม่ถูก พระเจ้าต้องการให้พรทุกคนแหละ แต่เราทำดี แล้วเราได้ดี มันก็เป็นไปตามกฎของโลกใบนี้ หว่านอะไร ก็เก็บเกี่ยวอย่างนั้น ทำดี ก็ได้สิ่งดี ถูกต้อง ทำสิ่งชั่ว ก็ได้สิ่งชั่ว ถูกต้องเลย แต่ถูกต้อง เฉพาะโลกใบนี้ ทำดี ท่านก็ได้สิ่งที่ดี การอยู่บนโลกใบนี้ แต่เรื่องโลกวิญญาณ ความรอดนั้น ได้เท่ากันหมดเลย คือรอด โดยการเชื่อว่าพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นมนุษย์ๆ เป็นตัวแทนฉัน ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับฉัน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรสักนิดหนึ่ง ฉันแค่เชื่อเท่านั้นเอง ฉันก็ได้รับความรอดแล้ว เอเมน รางวัลจากพระเจ้าในสวรรค์ มีรางวัลเดียว ก็คือความรอด จากการพินาศเนื่องจากบาป ก็คือนรกนั่นเอง หรือจะให้ชัดอีกนิดหนึ่ง รางวัลจากพระเจ้า ก็คือเมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้ว ท่านจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์จริงๆ วิญญาณกับใจใหม่ ได้รับเรียบร้อยแล้ว บนโลกใบนี้ แต่ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ในวันหนึ่ง เมื่อวิญญาณท่านออกจากร่าง เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านจะได้รับการสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ จะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า และจะร่วมครอบครองในสวรรค์ ในโลกใหม่ที่พระเจ้าจะสร้างขึ้นร่วมกับพระเยซูคริสต์ และร่วมกับธรรมิกชนทั้งหลาย  เป็นนิรันดร์ นั่นแหละคือรางวัล เท่ากันทุกคน เพราะทุกคนไม่ได้ทำอะไรเลย ได้รับโดยพระคุณ เท่าๆ กัน

            ถ้าปฏิบัติไม่ได้ ก็คือทำตามกฎศีลธรรมไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่าทำบาปนั่นแหละ ปฏิบัติได้น้อย ตามสายตามนุษย์ ไม่ได้ดีขึ้น ซึ่งฟังดู แล้วมีเหตุผลทั้งสิ้น  ถ้าทำไม่ได้ หรือปฏิบัติได้น้อย ปรับปรุงตัวได้น้อย วันหนึ่งที่เราจากโลกนี้ไป สู่โลกวิญญาณ พระเจ้าอาจจะบอกว่า …

            “จงไปให้พ้น เราไม่รู้จักเจ้า” … โอ๊ย! คริสเตียนขนหัวลุก

            แล้วทำอย่างไร ถึงจะทำได้อย่างนี้? มันถูกไหม? ฟังดูเหมือนถูก แต่มันก็ผิดอีกแหละ …

            “ฉันรอด รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ”

            “อย่างนี้ ก็ส่งเสริมให้เขาทำบ่อยๆ สิ”

            ก็กลับมาที่เดิม ก็บอกแล้วไง? บอกว่าแพ้บาป ยังพยายามยัดเยียดให้เราเป็นอย่างนั้นอีก จะเห็นไหมเนี้ย? สิ่งที่มันเกิดขึ้นในวงการคริสเตียนในขณะนี้ มันทำลายความจริงของข่าวประเสริฐ มันทำร้ายข่าวประเสริฐ ทำให้ข่าวประเสริฐอ่อนฤทธิ์ลง อ่อนกำลังลง ด้วยสติปัญญาแบบมนุษย์ ด้วยการดูดีแบบมนุษย์ แต่มันก็คือบาป ปฏิเสธความจริงของพระเยซูคริสต์ ก็คือบาป เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ แต่ดูดี มีปฏิปักษ์พระคริสต์ แบบดูไม่ดี แบบเห็นเลย กับปฏิปักษ์พระคริสต์ แบบดูดี อย่างนี้ดูดี

            หรือมาเชื่อพระเจ้าแล้วใช่ไหม? ปิติยินดีมาก ไม่พอๆ เธอต้องได้รับการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าตอนที่เธอรับเชื่อไป ยังไม่เต็มล้น เธอต้องมารับการเจิม ต้องมาโบสถ์ เดี๋ยวมีคนมาวางมือเจิมให้ เธอจะได้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณ อย่างนี้เป็นต้น พระวิญญาณกลายเป็นสิ่งของ

            พระคัมภีร์บอกพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับ พระเยซูก็เข้ามาแล้ว เข้ามาครึ่งตัวเอง เพราะฉะนั้น เธอต้องไปเติมอีกครึ่งตัว นี่พระวิญญาณกลายเป็นสิ่งของ กลายเป็นวัตถุ กลายเป็นไฟ กลายเป็นอะไรก็ตามที่ต้องเติมเข้าไป มาอยู่ก็อยู่ ไม่อยู่ก็คือไม่อยู่ พูดง่ายๆ ว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ทันทีปุ๊บ พระเยซูเข้ามาอยู่ครึ่งตัว แล้วเธอต้องไปโบสถ์บ่อยๆ เดี๋ยวไปรับการเจิม เดี๋ยวพระเยซูจะได้เข้ามาอีกครึ่งตัว เพื่อจะได้ชีวิตคริสเตียนครบถ้วนบริบูรณ์ เขาว่าอย่างนั้น แล้วเธอต้องพูดภาษาแปลกๆ ด้วย ต้องรับบัพติศมาในน้ำด้วย ถึงจะรอดนะ เหล่านี้ ต้องทำมหาสนิทบ่อยๆ และเวลาทำมหาสนิทต้องระมัดระวังนะ เผลอเอาให้เด็กกินไม่ได้ เด็กกิน เด็กโดนสาปแช่งนะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันอยู่ในวงการคริสเตียนเยอะแยะ ต้องสารภาพบาปทุกวัน อย่าลืมนะ ถ้าลืม บาปมันติดตัวเธอไปถึงวันพิพากษา นี่ชัดเจนมาก

            ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ การสอนเท็จเหล่านี้ ล้วนเกิดมาจากความไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของข่าวดี ที่พระเจ้าทรงส่งพระเมสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาป ซึ่งข่าวดีนี้ เริ่มต้น จากที่ผมบอก เริ่มต้นจากวันคริสต์มาส มาจบเอาวันอีสเตอร์ แค่นั้นเอง

            และผลของปฏิปักษ์พระคริสต์ ตะกี้นี้ ที่เราพูดมาทั้งหมด ที่ยกตัวอย่างทั้งหมด ผลมันทำให้ไม่สามารถรับรู้ความจริง เรื่องพระคุณของพระเจ้าได้ ทำให้มนุษย์ไม่รู้จักเรื่องพระคุณ เรื่องข่าวประเสริฐที่แท้จริงของพระเจ้า  ไม่รู้เรื่องพระคุณยิ่งใหญ่  ก็คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้แล้ว เราสามารถเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์ ทั้ง 3  พระภาคได้แล้ว เดี๋ยวนี้ ในพระเยซูคริสต์ ก็คือวันอีสเตอร์นั่นเอง

            ถ้าเราไปถูกสอนไร้สาระต่างๆ เหล่านี้ ที่ยกตัวอย่างมา มันก็ทำให้ตรงนี้เสียไปเลย  เพราะการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า คือเป็นหนึ่งแล้ว มันก็จะแย้งกับตะกี้นี้ที่ยกตัวอย่างมา การสอนเท็จทั้งหมด และกระทำให้มนุษย์ไม่สามารถเชื่อและรับได้ว่าเขาสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ ได้ทันทีเลย เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ง่ายๆ เท่านั้นเอง มันสำคัญถึงขนาดนี้ 1 ยอห์น 4:4-6 …

            1 ยอห์น 4:4-6 “4 ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า  จึงมีชัยชนะ เหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้ 5 พวกคนเหล่านั้น เป็นของโลกนี้  ดังนั้น  สิ่งที่พวกเขาพูด ก็มาจากโลกนี้ 6 แต่พวกเราเป็นของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้าจะไม่ฟังเรา แบบนี้สิ เราถึงสามารถบอกได้ว่าวิญญาณไหน เอาความจริงมาให้ และวิญญาณไหนที่โกหก”

            พูดง่ายๆ อาจารย์ยอห์นก็สรุปอย่างนี้ ในข้อนี้ว่าถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายมนุษย์ และพระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตในพระเยซูได้จริงๆ เราก็สามารถเชื่อได้ว่าเราที่เกิดในร่างกายของมนุษย์นี้ สามารถได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนพระองค์ พระเจ้าก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายของเรา ผู้เชื่อได้เช่นเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนั้น

            เพราะฉะนั้น อาจารย์ยอห์นจึงเน้นให้ชัดๆ เลยว่าพี่น้อง บัดนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ขณะที่ท่านนั่งอยู่ ดำเนินชีวิตอยู่ ขณะนี้ ยังทำบาป ยังคิดอะไรต่างๆ ไม่ดี หรืออะไรต่างๆ ไม่สมบูรณ์ครบถ้วน จะบอกให้ว่าท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์แล้วจริงๆ และพระองค์ คือพระเจ้า 3 พระภาค อยู่กับเรา อยู่กับท่านแล้วจริงๆ ขณะนี้ ยืนยัน โดยบอกว่าพระคริสต์หรือพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน ซึ่งเป็นใหญ่กว่าการโกหก ปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลกนี้ ที่มันพยายามจะต่อต้านกล่าวหาท่าน พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก

            “พระคริสต์ผู้สถิตในฉัน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่อยู่ในโลก”

            พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            โลกวิญญาณที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่เป็นอยู่จริงๆ  จริงมากยิ่งกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นจับต้องได้ด้วยซ้ำ และเป็นนิรันดร์ด้วย

            โรม 8:9 … “โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป อยู่ในเนื้อหนัง ในอาดัม แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณในพระคริสต์ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน  คนนั้นก็ไม่ได้  (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            ตัวตนแท้จริงของมนุษย์ คือวิญญาณจะต้องอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ แต่เป็นอยู่จริง จริงกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นจับต้องได้ด้วยซ้ำ

            พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่ามนุษย์ทั้งหลายเกิดมาจากครรภ์มารดา ร่างกายอยู่บนโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ แต่วิญญาณภายในอยู่ในโลกวิญญาณ อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ในความบาป ในเนื้อหนัง ในอาดัมบรรพบุรุษ อยู่ภายใต้กฎแห่งการทำดีละชั่ว  พยายามพึ่งพาการกระทำดีด้วยตนเอง เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ในสวรรค์กับพระเจ้า ซึ่งพระเยซูตรัสว่ามันไม่มีทางดีพร้อม 100% ได้เลย ต้องบังเกิดอีกครั้งหนึ่ง คือนอกจากเกิดจากครรภ์มารดาแล้ว ต้องเกิดใหม่ในวิญญาณ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย จึงจะสามารถบริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างในสวรรค์ของพระเจ้าได้

            ข่าวดี คือมนุษย์เลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้ เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น แล้วพระวิญญาณของพระคริสต์ จะเข้าไปในร่างกายของท่าน ทำอัศจรรย์ ให้ท่านได้บังเกิดใหม่ ย้ายวิญญาณของท่าน ออกจากความบาปในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ในสวรรค์ทันที และท่านจะอาศัยอยู่ในสวรรค์นี้ชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1493

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  ตุลาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย”  ตอน 9

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรายังอยู่ในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 3 ต่อข้อที่ 18 เดือนที่แล้วเราจบลงที่ข้อ 17 บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:17 “ข้าพเจ้าหมายความว่าอย่างนี้  คือบทบัญญัติซึ่งมีมาภายหลัง 430 ปี  ไม่ได้ล้มล้างพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ก่อนแล้ว และด้วยเหตุนี้ บทบัญญัติจึงไม่ได้ยกเลิกพระสัญญา”

            เราจบลงตรงนี้ วันนี้ เรามาต่อข้อที่ 18 …

        กาลาเทีย 3:18 “เพราะหากการรับมรดกขึ้นกับบทบัญญัติ ก็ไม่ได้ขึ้นกับพระสัญญาอีกต่อไป แต่โดยพระคุณของพระองค์ พระเจ้าประทานมรดกแก่อับราฮัม  ผ่านทางพระสัญญา”

            อันนี้ชัดเจน อาจารย์เปาโลกำลังเน้นย้ำให้กับชาวกาลาเทียและคนในยุคนั้นได้เห็นถึงความจริงในพระวจนะของพระเจ้าว่าพระองค์ประทานความรอดให้กับคนยิวก่อน ต่อจากนั้น ก็เป็นพวกเรา ซึ่งเป็นคนต่างชาติ โดยผ่านทางพระสัญญา ที่พระเจ้าทรงให้กับอับราฮัม ตอนที่พระองค์เรียกอับราฮัมออกจากบ้านเมืองของตัวเอง แล้วพระองค์บอกว่าประชาชาติทั้งหลายจะได้รับพร เพราะเจ้า

            “พร” ตรงนี้ คือพระพรแห่งความรอด ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้หลายพันปี เพื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเราทั้งหลายบนไม้กางเขน มาหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูหลั่งพระโลหิตเพียงครั้งเดียว จบ หมายความว่าเลือดของพระเยซูคริสต์สามารถชำระล้างความผิดบาปของมนุษยชาติ ทั้งในอดีต ก่อนที่เชื่อพระเจ้า ทั้งในปัจจุบันที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว และในอนาคตข้างหน้าที่เราจะทำบาปอีก เราต้องยอมรับความจริงว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียน เรายังคงทำบาปอยู่ ถ้าใครบอกว่าตัวเองไม่เคยทำบาป คนนั้น ก็โกหก

            พระเจ้ารู้ว่ามนุษย์อ่อนแอ รู้ว่าเรายังอยู่ในร่างกายที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เรายังมีโอกาสที่จะถูกล่อลวง ด้วยระบบของโลกใบนี้อยู่ เราสามารถที่จะดื้อกับพระเจ้า การดื้อกับพระเจ้า ก็คือไม่ทำตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าบอกไว้ ให้กับพวกเรา เราก็ไปทำตรงกันข้าม เขาเรียกว่าดื้อ พอดื้อ ก็คือทำบาป แต่ว่าไม่ว่าเราจะทำบาปลงไปด้วยความตั้งใจ จริงๆ ถ้าเราเป็นผู้เชื่อแล้ว ไม่มีการตั้งใจ ที่จะทำบาปแน่นอน  เพราะว่าในวิญญาณของเรา เราได้บังเกิดใหม่แล้ว แล้ววิญญาณใหม่ของเราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย  ก็คือไม่มีบาป เมื่อไม่มีบาป โอกาสที่เราจะตั้งใจทำบาป มันไม่มีอยู่แล้ว  แต่ว่าเราเผลอไปถูกล่อลวงด้วย ระบบของโลกนี้ส่งเข้ามา เราก็เลยทำบาป

            การทำบาป ก็คือไม่ได้ทำตามตัวตนแท้ๆ ของเราที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ฉะนั้น พระเจ้าพระบิดารู้ล่วงหน้าแล้วว่ามนุษย์ ยังอยู่ในร่างกายนี้ โอกาสที่จะทำบาป มีเยอะแน่นอน พระเจ้าก็เลยเตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่ต้องรอให้มนุษย์มาขอ ในหนังสือฮีบรูบอกว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งลงครั้งเดียวเป็นพอ แล้วพระโลหิตของพระองค์สามารถที่จะชำระ ตั้งแต่บาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตด้วย และตรงนี้ ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียนเท่านั้น แต่สิ่งที่พระเยซูทำเรียบร้อยไปแล้ว สำหรับมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ คือของขวัญได้เตรียมไว้สำหรับทุกคนบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว อยู่ที่ว่าทุกคนบนโลกใบนี้ เขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระองค์ แล้วเขายอมเข้ามารับของขวัญนี้หรือไม่?

            เราขอบคุณพระเจ้า ที่พวกเราทุกคน ที่มานั่งอยู่ที่นี่ คือเราได้ยิน เราได้ฟังข่าวดี แล้วระยะเวลาหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราต้องการพระองค์ แล้วเราก็เดินเข้ามารับของขวัญชิ้นนี้จากพระเจ้า ของขวัญที่พระเจ้าให้กับเรา ไม่ได้ให้อย่างเดียว แต่ให้มาเป็นกล่องโตๆ กล่องใหญ่ๆ เลย คือพระพรนานัปการที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรียบร้อยไปแล้ว ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า พระพรเหล่านี้เป็นของเราเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เราอาจจะไม่สามารถสัมผัสได้ ไม่รู้สึก ไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง? แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเรื่องนี้มันสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  เมื่อวันที่พระเยซูตะโกนดังๆ ว่า …

            “สำเร็จแล้ว”

            ก็คือพระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น คริสเตียน ณ ปัจจุบัน เราเลยอยู่ด้วยความเชื่อ เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา ณ เวลานี้ พระเจ้าทำให้เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทำให้เราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจเรียบร้อยไปแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ก็คือตรงนี้ เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึก แล้วเรารับเอาด้วยความเชื่ออย่างเดียวเลย คือเราต้องเชื่อเอานั่นแหละ มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ตัวตนก็ยังเหมือนเดิม ดำก็ดำเหมือนเดิม ขาวก็ขาวเหมือนเดิม เตี้ยก็เตี้ยเหมือนเดิม สูงก็สูงเหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือในวิญญาณของเราได้เปลี่ยนแปลงเหมือนกับพระเจ้า 100% เต็ม

            ฉะนั้น ตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าการรับมรดก ขึ้นกับบทบัญญัติ ถ้ามนุษย์สามารถรับมรดก โดยบทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ แปลว่ามนุษย์ทุกคนจะสามารถปฏิบัติตามบทบัญญัติที่พระเจ้าเขียนไว้ทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลา ทุกวินาที โดยไม่มีการผิดพลาดเลย อันนั้นพระเจ้ารับได้นะ ถ้าใครสามารถทำถึงขนาดนั้น พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม แต่ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ มนุษย์อยู่ในความบาป มนุษย์เป็นคนบาป และกระทำบาป ฉะนั้น ไม่มีใครสามารถทำจนถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้

            พระองค์จึงให้คำสัญญาผ่านทางอับราฮัม บรรพบุรุษของเรา ก็คือผ่านทางบิดาแห่งความเชื่อ ตั้งแต่วันแรกที่เรียกอับราฮัมออกมา แล้วพระเจ้าก็ทรงอวยพรเขาว่า …

            “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะได้พระพร และประชาชาติเยอะแยะจะได้รับพระพร เพราะเจ้า”         

            แล้วพระพรผ่านทางพันธสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้  ก็คือรอเวลาที่พระเยซูคริสต์ถูกกำหนดให้มาเกิดบนโลกใบนี้  แล้วเราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ข่าวดีของพระเจ้าได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว พระสัญญาที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัม ก็เรียบร้อยไปแล้ว หมายความว่าตั้งแต่วันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย  ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์  นับตั้งแต่วินาทีนั้น จะไม่มีการถวายเครื่องบูชาอีกต่อไป  แล้วพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นผู้ทำให้บทบัญญัติทุกอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ แล้วพระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้  ทำให้เราสามารถที่จะทำตามบทบัญญัติครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย เพราะพระเยซูอยู่ในเรา เราอยู่ในพระเยซูคริสต์

            ดังนั้น ผู้เชื่อทั้งหลายที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรารับพระคุณนี้ โดยที่เราไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลย ในพระคัมภีร์บอกว่าในอาดัม มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป โดยไม่ได้ทำอะไรเลย เราเกิดมา ก็บาปเลย  เป็น DNA บาป สืบเชื้อสายมาตั้งแต่มนุษย์คู่แรก จนถึงยุคของเรา  และในอนาคตข้างหน้าด้วย มนุษย์ทุกคนเกิดมาในบาป และก็ทำบาป แล้วก็เดินทางไปสู่ความบาป ความตาย ความพินาศ  แต่ของประทานที่พระเจ้าให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือมนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน  ก็คือใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ  เพื่อเขาบนไม้กางเขน โดยพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค จะเข้ามาสถิตอยู่ในเขา  เขาคนนั้นจะกลายเป็นผู้ชอบธรรมทันที โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน เขาเรียกว่าเกิดมาเป็น

            ก่อนที่พระเยซูมา เราเกิดมาเป็นคนบาป  แต่หลังจากที่พระเยซูเสด็จมาบนโลกใบนี้ และทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ถ้าเรายอมรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ เราบังเกิดใหม่  เราก็เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน  มันเป็นภาพเดียวกัน ในโลกวิญญาณ

            ในโลกวิญญาณ เราเป็นผู้ชอบธรรม ได้รับชีวิตนิรันดร์ชนิดแบบเป็นของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัม มันได้สำเร็จเรียบร้อยในพระเยซูคริสต์

        กาลาเทีย 3:19-20 “19 ถ้าเช่นนั้นบทบัญญัติมีไว้เพื่ออะไร?    การที่มีบทบัญญัติเพิ่มขึ้นมา  ก็เพราะการล่วงละเมิดทั้งหลาย และบทบัญญัตินี้คงอยู่จนกว่า “พงศ์พันธุ์” นั้นซึ่งพระสัญญาระบุไว้มาถึง บทบัญญัติมีผลบังคับใช้ผ่านทางเหล่าทูตสวรรค์โดยคนกลาง 20 อย่างไรก็ตามคนกลาง   ไม่ได้เป็นตัวแทนของฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียว”

            พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียว พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างด้วยตัวของพระองค์เอง ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาเกิดบนโลกใบนี้ พันธสัญญาเดิม พระเจ้าให้ทูตสวรรค์เป็นคนกลางที่ทำพันธสัญญากับมนุษย์ แต่สัญญาตรงนั้น ยังต้องใช้กำลังของตัวมนุษย์เอง  ที่จะต้องทำด้วย กฎระเบียบต่างๆ ที่ถูกบันทึกมาไว้ ก็คือพันธสัญญาที่พระเจ้าให้กับคนยิว เริ่มต้นที่คนยิว ผ่านทางโมเสส เริ่มต้นที่โมเสสขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า 40 วัน พระเจ้าก็ให้บทบัญญัติมา บัญญัติ 10 ประการ

            สมัยก่อนที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราก็ดูหนัง โมเสส บัญญัติ 10 ประการ เราตื่นเต้นยินดี แต่เราไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร? แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้า เรารู้ว่าสิ่งแหล่านี้ พระเจ้าเตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นเงา ในอนาคตข้างหน้าว่านี่ บทบัญญัติเหล่านี้ พระเจ้าให้ไว้ แค่ว่ามนุษย์จะได้มาอยู่ในระบบระเบียบ ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ มนุษย์ก็ไม่มีระเบียบ ถ้าไม่มีข้อห้าม มนุษย์ก็ทำตามใจตัวเอง เหมือนสมัยก่อน ก่อนที่จะมีกฎหมายบ้านเมือง มนุษย์ก็เป็นคนเถื่อน ฆ่าใครตายก็ได้ จะไปชิงทรัพย์ใครก็ได้  จะไปทำอะไรก็ได้ ไม่มีผิด เพราะว่าไม่มีกฎหมายห้าม แต่เมื่อมีกฎหมายปุ๊บ ถ้าทำผิดจากกฎที่เขาตั้งไว้ ก็ต้องรับโทษ นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น

            แล้วพระเจ้าให้บทบัญญัติเหล่านี้ เพื่อที่จะให้คนยิว ในยุคสมัยพระคัมภีร์เดิมรักษาตรงนี้ไว้ แต่คำว่า “รักษาตรงนี้ไว้” มันเป็นกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าสั่งไว้ คือมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ เพราะแม้ว่าเขาได้ชื่อว่าเป็นคนของพระเจ้า พระเจ้าเลือกเขาไว้ แต่เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ พี่น้องต้องรู้ตรงนี้ คนยิวในยุคสมัยพระคัมภีร์เดิม เขายังเป็นคนบาปอยู่ อยู่ใน DNA ของอาดัม เขาไม่ใช่ผู้ชอบธรรม

            เขาสามารถเป็นผู้ชอบธรรมผ่านทางความเชื่อ ตามที่พระเจ้าสั่งอับราฮัมไว้ จากโมเสส พระเจ้าให้กฎเกณฑ์ แล้วคนอิสราเอลก็ทำตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าให้โมเสสไว้ ใครก็ตามที่มาทำตามนั้น เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นประชากรของพระองค์ หมายความว่าชั่วคราว ณ เวลานั้น พระเจ้ายังไม่ได้เข้ามาสถิตกับคนอิสราเอลเลย พระเจ้าอยู่รอบๆ  ฉะนั้น คนอิสราเอล เวลาพระเจ้าจะทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์ หรือจะทำการงานของพระองค์ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ พระองค์ก็จะเข้าไปสถิตอยู่กับผู้เผยพระวจนะคนนั้น เป็นตัวแทน เป็นปาก เป็นเสียงให้กับพระเจ้าที่จะประกาศกับคนอิสราเอลได้รับรู้ว่าความต้องการของพระเจ้า ณ เวลานั้นๆ คืออะไร? แล้วจากนั้น พระเจ้าก็ออกมา พระเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยตลอด ก็คือใช้งานเสร็จ พระเจ้าก็ออกมา นี่คือสมัยเดิม มันเป็นอย่างนั้น

            แล้วสมัยเดิม หนักกว่านั้นอีก ก็คือพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ สะอาดมาก แต่มนุษย์เป็นคนบาป ติดเชื้อบาปอยู่ มนุษย์จึงไม่สามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้ เข้าใกล้เมื่อไร? ตายเมื่อนั้น พระเจ้าเลยตั้งกฎเกณฑ์อันหนึ่ง ให้มีชนเผ่าเลวีที่จะเป็นคนกลางระหว่างคนอิสราเอลกับพระเจ้า  ที่จะเข้ามาสารภาพบาปกับพระองค์ เอาแกะมาถวายเป็นเครื่องบูชา ในแต่ละปี หรือเอาเครื่องธัญบูชา หรือเอาอะไรที่มีบาปเบี้ยใบ้รายทางทุกวี่ทุกวัน  ก็เอามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า คนอิสราเอลสมัยก่อนเป็นแบบนั้นนะ ก็ลำบากประมาณหนึ่ง ทำผิดนิดหนึ่ง ก็เอาของมาถวาย ทำผิดนิดหนึ่ง ก็ห้ามเข้าในพระวิหารของพระเจ้า ถ้าผู้ชาย 7 วัน ถ้าผู้หญิง 14 วัน กฎเยอะมาก

            ฉะนั้น กฎตรงนี้ พระเจ้าตั้งไว้ เพื่อให้คนอิสราเอลรักษาตรงนี้ไว้ จนกว่าบุคคลที่เป็นไปตามพระสัญญา ที่พระเจ้าจะส่งมา ก็คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าบอกกับคนอิสราเอลว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะประทานพระมาซีฮาห์มาให้ แล้วเมื่อพระมาซีฮาห์มา การถวายเครื่องบูชา ก็จบลง กฎเก่าก็จะถูกยกเลิกไป พระเจ้าก็จะตั้งกฎใหม่

            แต่ ณ เวลานี้ ในหนังสือเล่มนี้ อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายให้ฟังว่ามันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น เมื่อมีกฎ คนก็จะถามว่าถ้ามนุษย์มาเชื่อพระเจ้า โดยพระสัญญา แล้วพระเจ้าเอากฎพวกนี้มาเพื่ออะไร? กฎพวกนี้ เพื่อพระเจ้าจะเล็งให้มนุษย์เห็นว่าเราเป็นคนบาป เราไม่สามารถรักษากฎของพระเจ้าได้ 100% เต็ม อย่าทำเลย อย่าพยายาม อย่าพยายามสร้างความชอบธรรม ด้วยกำลังของตัวเอง แต่ให้สร้างความชอบธรรมผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ คือมาเชื่อพระเยซูคริสต์ พระองค์จะทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร เป็นของขวัญ เป็นของฟรีที่ให้เปล่าๆ รับปุ๊บ ได้ทันที นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาติ

        กาลาเทีย 3:21-22 “21 ถ้าเช่นนั้น  บทบัญญัติขัดกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! เพราะถ้าทรงให้มีบทบัญญัติซึ่งให้ชีวิต ความชอบธรรมย่อมมีได้โดยบทบัญญัติ 22 แต่พระคัมภีร์ประกาศว่าทั้งโลก  ตกเป็นนักโทษของบาป เพื่อว่าสิ่งที่ทรงสัญญาไว้นั้น  จะประทานแก่บรรดาผู้เชื่อ โดยทางความเชื่อ  ในพระเยซูคริสต์”

            นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าเตรียมการไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นจากความผิดบาป หรืออีกนัยหนึ่ง ให้มนุษยชาติสามารถเข้ามาคืนดีกับพระเจ้าได้ การคืนดีกับพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะพึ่งความดีของตัวเอง เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรม มาคืนดีกับพระเจ้าได้

            วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป จากที่เดิมเคยคุยกับพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าแบบใกล้ชิดสนิทสนม คุยกันกระหนุงกระหนิง เป็นครอบครัว เป็นลูกกับพ่อ เป็นพ่อกับลูก แต่วันที่มนุษย์ผลักพระเจ้าออกไปจากชีวิตของเขา เรารู้ได้อย่างไรว่าผลักพระเจ้าออกจากชีวิตของเขา เพราะว่ามนุษย์ตัดสินใจ ที่จะพึ่งในความดีงามของตัวเอง แทนที่จะพึ่งความดีงามที่พระเจ้าบอกเขาว่า …

            “พระองค์สร้างเขาดีแล้ว ดีสุดแล้ว ยอดเยี่ยมแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไร ฉันสร้างเธอสุดยอดแล้ว เธอแค่ทำหน้าที่อย่างเดียว ไปชื่นชมยินดีกับทุกสิ่งที่เราสร้างให้เจ้า”

            ก็คือในสวนเอเดนทุกอย่าง พระเจ้าสร้างให้มนุษย์ ก็ให้ไปชื่นชมยินดี ไม่ได้ให้มนุษย์ทำงานนะ หลายคนคิดว่าอาดัมยังต้องทำงาน ต้องดูแลสวน ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าให้สวนนั้นสวยสดงดงาม ไม่ต้องไปหว่าน ไม่ต้องไปรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย อะไรในยุคนั้นที่ความบาปยังไม่เข้ามา ทุกอย่างงดงามตามที่พระเจ้าได้สร้างไว้

            มนุษย์ทำหน้าที่อย่างเดียว คือเชื่อวางใจในพระองค์ แล้วก็ชื่นชมกับทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างไว้ให้ แค่นั้นเอง แต่เนื่องจากมนุษย์ถูกหลอก หลอกแบบใสๆ หลอกแบบไม่คิดว่าตัวเองจะกบฏกับพระเจ้า เขาคิดว่าเขาอยากจะทำดี เพื่อที่จะให้พระเจ้าพอใจ เราเคยไหม อยากทำดีให้พ่อแม่มีความสุข  แต่พระเจ้าบอกอาดัมกับเอวาว่า …

            “ไม่ต้อง เธอดีแล้ว เธอไม่ต้องทำเยอะกว่านั้น”

            แต่เอวาหลงเชื่อคำหลอกลวงของซาตาน มาในคราบของงูว่า …

            “ที่พระเจ้าห้าม ไม่จริงหรอก อย่างไรเธอก็ไม่ตาย  แต่ถ้าเธอกิน ตาเธอจะสว่างขึ้น เธอจะสามารถรู้จักว่าความดี ความชั่ว คืออะไร? เธอสามารถที่จะทำดีได้ ด้วยกำลังของเธอเอง”

            ฟังอย่างนี้ “ว๊าว! สุดยอดเลย น่าจะลองดู”

            แล้วก็เริ่มต้น ตัดสินใจ เมื่อการตัดสินใจของมนุษย์คู่แรก เท่ากับเขากำลังบอกพระเจ้าว่า …

            “ณ เวลานี้ พระองค์เจ้าข้า ลูกไม่ต้องการพระองค์แล้ว ลูกสามารถทำเองได้ เชิญพระองค์ออกไป”

            นี่อัตโนมัติเลยนะ เมื่อมนุษย์เป็นคนบาปปุ๊บ พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้ พระองค์ก็ต้องเชิญตัวพระองค์เองออกไป ไม่อย่างนั้นอาดัมเอวาตายแน่ๆ พระองค์ก็ออกไป

            เราจะเห็นภาพหนึ่ง ก็คือพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมน  คำว่า “เอเมน” คือให้เป็นไปตามนั้น พระเจ้าไม่บังคับมนุษย์ด้วย ตั้งแต่อดีต มนุษย์คู่แรก จนถึงปัจจุบัน จนถึงพวกเราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็ไม่เคยบังคับเรา พระองค์ให้สิทธิ์เราในการตัดสินใจทุกเรื่อง แม้ว่าเราถูกซื้อด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์มีสิทธิ์ที่จะบังคับเราก็ได้ แต่พระองค์ไม่บังคับ พระองค์ยังให้สิทธิ์เราในการตัดสินใจเลือกว่าเราจะดำเนินชีวิต ตามตัวตนแท้ๆ ที่เราตอนนี้เป็นแล้ว เป็นความชอบธรรม เป็นความรัก เป็นความดีงาม คือเราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย เราจะยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ส่งผลตรงนี้ ที่มันเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ออกไปให้ชาวโลกได้เห็นไหม? หรือเราจะเชื่อตามระบบของโลกนี้ส่งเข้ามา คือความเคยชินเก่าๆ ที่เรายังเคยทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า แล้วเราก็ตัดสินใจว่าเราทำตามมัน พอทำตามปุ๊บ เราก็พลาดจากการเชื่อฟังพระเจ้า แต่ข่าวดี คือถ้าเป็นเมื่อก่อน ลงโทษเลย  แต่ข่าวดีในปัจจุบัน คือเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว การลงโทษ จะไม่มีสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ทำให้เราพ้นจากกฎของความบาปและความตาย  นี่เป็นเรื่องของโลกวิญญาณนะ เราต้องยึดตรงนี้ไว้ อย่างไร วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเหมือนเดิมแหละ แต่ร่างกายเรา พระเจ้าเป็นผู้ประทานกฎ ทั้งกฎฝ่ายวิญญาณและกฎฝ่ายโลกนี้  แล้วพระองค์ก็เป็นผู้รักษากฎด้วย พระองค์ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ลำเอียงด้วย

            “คนนี้ลูกเรา ทำไปเถอะ ไม่ลงโทษก็ได้ ปล่อยผ่านไปๆ”

            ไม่มี ถ้าผู้เชื่อทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เขาจะได้รับผลบนโลกใบนี้เท่านั้น ก็คือหว่านอะไร ท่านต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ท่านจะมาอ้างว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ต้องถูกลงโทษ เราไปฆ่าคนตาย แล้วเราก็เดินไปบอกตำรวจว่า …

            “ไม่ต้องมาจับฉันหรอก ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระคัมภีร์บอกฉันว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ตำรวจ ไม่มีสิทธิ์จับฉัน”

            จริงหรือ? มันไม่ใช่นะ ตำรวจจับท่านแน่ๆ แล้วท่านต้องไปติดคุกด้วย ถ้าโทษถึงตาย ท่านก็ตายด้วย ตายอยู่ในคุกก็ได้ ถูกประหารชีวิตก็ได้ แต่โลกนี้ประหารชีวิตท่านได้เฉพาะร่างกายนี้เท่านั้น แต่วิญญาณท่านยังเป็นของพระเจ้าอยู่ วิญญาณของท่านยังเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมนิรันดร์กาล เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นลูกแล้ว เป็นลูกเลย  ไม่มีการเป็นลูกวันนี้ พรุ่งนี้ทำไม่ถูกต้อง ระเห็จไปเป็นลูกมาร  พรุ่งนี้ทำดี พระเจ้าเอากลับมาใหม่ ไม่มีนะ เราถูกหลอก พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไรที่หลงเชื่อระบบโลกนี้ พระเจ้ายังคงรักเรา แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นคืออะไรรู้ไหม? พระเจ้าก็เศร้าไง …

            “ลูกเอ๋ยๆ ลูกไปทำอย่างนี้ เดี๋ยวลูกก็เจ็บตัวหรอก ลูกเจ็บตัว พระเจ้าเจ็บนะ”

            เวลาเราเจ็บตัว พระเจ้าเจ็บกว่าเราอีก พระเจ้าไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า ที่จะให้ผู้เชื่อไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงของเรา แต่พระเจ้าก็ยังอนุญาต เราบอกพระเจ้าอนุญาตเหมือนพระเจ้าส่งเสริมเราทำ ไม่ใช่ ก็คือพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมนไง? เราตัดสินใจอะไร พระเจ้าต้องเอเมนตาม ก็คือเหมือนอนุญาต แบบไม่อยากให้ทำ แต่ก็ยังคงต้องอนุญาต แต่ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าแน่นอน

            สิ่งที่เป็นความจริง ที่เราต้องรู้  ก็คือเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าจริงๆ เราบังเกิดใหม่จริงๆ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์จริงๆ ธรรมชาติใหม่ของเรา สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดจริงๆ แล้ว เราไม่มีความต้องการที่จะทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ เราอย่าคิดว่าเราสามารถที่จะมีความสุขกับการทำบาปได้ตลอดเวลา ไม่มีทางแน่นอน เพราะเราเป็นผู้เชื่อ

            อย่างที่อาจารย์นครเคยยกตัวอย่างให้ฟังว่าสมมติว่าเราเป็นเจ้าสาว แล้วเราใส่ชุดสีขาวสวยๆ เวลาเราเดินออกไปข้างนอก เราจะระวังมาก ถ้าเราเจอฝนตก เราจะค่อยๆ ย่อง ถ้าเราเดินพั๊บๆ น้ำมันพุ่งขึ้นมา สกปรกหมด เราก็จะค่อยๆ เดินไป เราจะรักษาชุดของเราให้ดีที่สุด ให้มันเปื้อนน้อยที่สุด มันเป็นภาพนะ

            แต่ถ้าสมมติว่าเจ้าสาวคนนั้น ไม่ได้ใส่ชุดสวยงาม ใส่แบบโกโรโกโส ไม่มีตังค์ซื้อชุดแต่งงาน ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์  เขาก็ไม่ต้องระวัง เดินออกไป ฝนตก ไม่เป็นไร ฉันก็กางร่ม เจอโคลน ฉันก็ย่ำไปเลย สกปรก เดี๋ยวก็ไปซัก

            มันเป็นภาพให้พวกเราเห็นว่าในวิญญาณของเรา เมื่อเราเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เราจะระวังมาก เราจะไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว มีความสุขมากกับการทำบาป มันไม่มีทาง เมื่อเราหลงเชื่อคำหลอกลวงของโลกนี้ ทำไปแป๊บเดียวเอง สิ่งแรกที่มันเกิดขึ้น คือข้างในเราไม่สบายใจทันทีเลย เพราะว่ามันผิดกับวิญญาณจริงๆ ของเรา มันไม่ใช่เลย ดังนั้น ตัวตนแท้ๆ ของเรา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วไม่ต้องกังวลว่าคริสเตียนจะสามารถแช่อิ่ม อยู่ในความบาป อย่างมีความสุข ไม่มีทาง

            คริสเตียนจะเป็นโรคหนึ่ง คือโรคแพ้ความบาป  เขามีแพ้ฝุ่น แพ้อากาศ แพ้ทุกอย่าง แพ้อาหาร แพ้ปู แพ้ปลา แต่ว่าคริสเตียนเป็นโรคแพ้ความบาป ถ้าเราทำบาปปุ๊บ เราจะคันคะเยอไปทั้งตัว เราอยู่ไม่ได้ เราทุกข์ นึกภาพคนที่แพ้ ทุกข์ทรมาน มันไม่ได้มีความสุขหรอก แล้วถ้ามันทุกข์ทรมานมากๆ  เรายังอยากทำอีกไหม? ไม่อยากแน่นอน เหมือนเรารู้ว่าอันนี้ มันไม่ถูกกับเรา เราก็ไม่พยายามไปกินมัน เราต้องเลี่ยง ไม่ใช่ว่าไม่เป็นไรหรอก แค่คันๆ เท่านั้นเอง  เดี๋ยวกินไปให้มีความสุขก่อน มันเป็นไปไม่ได้ คือมนุษย์ทุกคนรักชีวิตของตัวเอง พวกเราทุกคนก็รักชีวิตของตัวเอง  เราอยากให้ชีวิตของเรามีทุกข์น้อยที่สุด มีสุขมากที่สุด แล้วเราจะทำอย่างไร ถ้าเราอยู่ในพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าที่อยู่ในเราทั้ง 3 พระภาค พระองค์จะนำพาย่างเท้าของเรา พระองค์จะคอยเตือน คอยบอก คอยแนะนำเราในสิ่งสารพัด

            อาจารย์เปาโลบอกให้เราจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ให้เราจดจ่อว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นผู้สะอาด ชอบธรรม หมดจดเหมือนพระเยซูเลย เมื่อเราเป็นเหมือนพระเยซู เราจะกล้าไปทำบาปซ้ำแล้วซ้ำอีกไหม? มันไม่มีทาง โดยวิญญาณของเรา เราอยากทำดี ความอยากนะ วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น เพราะวิญญาณเป็นเหมือนพระเจ้า แต่เนื้อหนังอาจถูกล่อลวงได้ ไม่เป็นไร พี่น้องก็ไม่ต้องไปรู้สึก แย่แล้วๆ ถ้าเราทำผิด แล้วทำอย่างไร? พระเยซูบอกทำผิด ก็ไม่เป็นไร ลุกขึ้นมา แล้วเราก็เริ่มต้นกับพระเจ้าใหม่ เมื่อเราพลาด พระองค์จะให้กำลังเรา เราจะพลาดน้อยลง เราจะรับรู้ความจริงมากขึ้น  ถ้าพี่น้องรับรู้ความจริงมากเท่าไร? พี่น้องก็จะทำผิดน้อยลง แต่ถ้าพี่น้องรับรู้ความจริงน้อย พี่น้องก็จะทำผิดมากขึ้น มันเป็นกฎปกติ ที่เราเห็นชัดๆ

            สมมติว่าแก้วใบนี้ เราใส่น้ำโคลนไว้ เรียกว่าสิ่งที่โกหก หลอกลวงมาใส่ไว้ในแก้วใบนี้  แล้ววิธีการที่เราจะไล่น้ำโคลนนี้ทิ้ง ก็คือใส่น้ำสะอาดลงไป ไล่มันไปเรื่อยๆ เราจะเห็นภาพนะ พี่น้องเคยทำไหม? ใส่มันไปเรื่อยๆ จนไล่น้ำโคลนออกไปหมด ถ้ายังเหลือนิดๆ หน่อยๆ เราก็ไล่ไปเรื่อยๆ ใส่ไปจนน้ำโคลนหายหมด เหลือแต่แก้วที่ใส่น้ำสะอาดหมดจด

            ลักษณะเดียวกัน ความเคยชินเก่าๆ มันยังอยู่ในเรา สิ่งที่เราทำได้ ก็คือเอาความจริงของพระเจ้าใส่เข้ามา ใส่มาในแก้วใบนี้แหละ ไล่เอาการโกหกหลอกลวง ทุกรูปแบบ ออกไปจากแก้วใบนี้ ค่อยๆ ไล่ มันจะค่อยๆ ออกไป แต่ถามว่าเราสามารถที่จะทำดีทุกอย่าง โดยไม่มีข้อผิดพลาดในชีวิตนี้  ทำได้ไหม? ไม่มีทาง จนถึงวินาทีสุดท้าย ที่ลมหายใจออกจากร่าง เรายังเผลอทำบาปอยู่เลย  เพราะว่าร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ และถ้าเราจะไม่ทำบาปเลย ครบถ้วนสมบูรณ์เลย มีทางเดียว ก็คือวิญญาณออกจากร่าง ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทิ้งร่างกายนี้กับสิ่งต่างๆ ที่เราทำบนโลกใบนี้ ทิ้งไว้ เอาวิญญาณใหม่กับความคิดจิตใจใหม่ ขึ้นไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย  เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เป็นร่างกายที่เราสามารถที่จะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  โดยที่เราไม่ต้องถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์แล้ว ทุกวันนี้เราถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน  แยกจากกันไม่ได้ แล้วพระเจ้าก็ซ่อนเราเอาไว้  ปกป้อง คุ้มครอง นำพาย่างเท้าของเรา

            คำว่า “ปกป้อง คุ้มครอง” ไม่ได้หมายความว่าเราจะเดินบนกลีบกุหลาบ ไม่เจอปัญหา อุปสรรค ไม่ใช่ แต่พระเจ้าจะปกป้อง คุ้มครองวิญญาณของเรา จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ไปรับชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ทุกวันนี้ เราได้รับชีวิตนิรันดร์ ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เราได้รับพระพรนานัปการจากพระเจ้า ในโลกวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว แต่อีก 2 อย่างที่เรายังไม่ได้รับ  มันเป็นความหวังของผู้เชื่อทั้งหลาย  แล้วก็เฝ้ามอง เหมือนอาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าไม่สนใจซ้าย ขวา ข้าพเจ้าโน้มตัวไปข้างหน้า  เพื่อไปรับรางวัล”

            รางวัลของเราทุกคนในพระเยซูคริสต์ เราคิดว่าต้องเป็นแก้ว แหวน เงินทอง ไม่ใช่นะ รางวัลที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา คือร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และโลกใหม่ ที่พระเจ้าสร้างให้ใหม่ คือวันหนึ่งข้างหน้า โลกนี้สลายไป  เราจะไปอยู่โลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน บนโลกใบนี้ ซ้ายขวา หน้าหลัง  เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากอะไร ช่างมันเถอะ แป๊บเดียวก็หมดไป เราต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ ก็ช่างมันเถอะ เดี๋ยวเราก็ตายไปแล้ว หรือเราใช้ชีวิตแบบชักหน้าไม่ถึงหลัง วันนี้ไม่มีเงินกินข้าว พรุ่งนี้มีกิน 2 มื้อ มะรืนนี้กิน 3 มื้อ อีกวันหนึ่งอดอาหารเลย อดอาหาร เพราะไม่มีเงินซื้อข้าว อะไรแบบนี้ ก็ไม่เป็นไร แป๊บเดียวเองอยู่บนโลกใบนี้แป๊บเดียวเอง พระเจ้าบอกว่าโลกนี้ เป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เป็นบ้านถาวรของเรา

            บ้านถาวรของผู้เชื่ออยู่บนสวรรค์ และสายตาของพวกเราจ้องไปที่โน่นเลย คือมีเป้าหมายเดียว ที่เราวิ่งแข่งไป เพื่อถึงจุดหมายปลายทางนั้น ไม่ว่ารอบข้างจะมีอะไรที่เข้ามาแทรกแซง เข้ามาพยายามที่จะหันเหความสนใจของเรา ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ต้องสนใจ เราวิ่งไปตรงนั้นเลย จนถึงแต่ละคน พระเจ้าจะมีกำหนดเวลาของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน เมื่อถึงเวลากำหนด พระเจ้าก็จะมารับวิญญาณเราไปอยู่กับพระองค์ และ ณ เวลานั้นแหละเราจะได้ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือตอนนั้น เราก็ไปนั่งรอพี่น้องทั้งหลายที่อยู่บนโลกใบนี้ เราไปนั่งเชียร์อยู่บนสวรรค์ ถ้าอีก 2-3 วัน ดิฉันจากไปอยู่กับพระเจ้า ดิฉันจะไปนั่งเชียร์พวกเราบนสวรรค์

            นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อ เราจะมีความสุขเหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอก อยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร นี่คือกำไรชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลาย ฉะนั้น เราก็ไม่ต้องไปกลัวเกรง ถ้าเรารู้ความจริงไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็จะกลัวว่า …

            “ตอนนี้ ฉันยังทำอะไรไม่ค่อยถูกต้องเท่าไรเลย  แล้วตกลง ถ้าวิญญาณฉันออกจากร่าง ฉันยังได้รอดไหม?”

            ยืนยันนะ พระเยซูคริสต์บอกว่าเรารอดตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว รอดแล้วรอดเลย เปลี่ยนแปลงไม่ได้นิรันดร์กาล  แล้วหลังจากจากโลกนี้ไป เราก็ยังรอดอยู่ เหมือนเดิม เปลี่ยนไม่ได้ เราเป็นลูกของพระเจ้า เปลี่ยนไม่ได้ เป็นลูกของพระเจ้านิรันดร์กาล เป็นแล้วเป็นเลย เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  เอเมน  พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เป็นภาระหนักและทุกข์ใจ

                        ถ้า!

            เป็นปลาฝืนขึ้นมาอยู่บนบก

            เป็นนกฝืนลงมาต๊อกๆบนดิน

            เป็นสิงห์ฝืนกินหญ้า

            เป็นคริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว … ฝืนทำบาป เพราะ …

            มันฝืนธรรมชาติ งัย!

            เมื่อได้รับการบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ธรรมชาติตัวตนแท้จริงภายในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา ก็เป็นเหมือนพระเยซู บริสุทธิ์ ดีงามแล้ว พระเยซูก็เริ่มต้นสอน ฝึกฝนเราให้ประพฤติดีงาม ตามธรรมชาติของวิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้นทันที เหมือนเด็กทารกแรกเกิด เริ่มต้นฝึกฝน กิน คลาน นั่ง เดิน ค่อยๆ พัฒนาไป

            การบังเกิดใหม่นี้เราได้รับ โดยผ่านทางความเชื่อในการกระทำของพระเยซู ไม่ใช่การกระทำดีด้วยตัวของเราเอง จึงเรียกว่าพระคุณ

            ทิตัส 2:11-12 … “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้า ที่นำไปถึงการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้ สอนเราที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาปและไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับการได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว)”

            พระเยซูจะสอนเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ด้วย เป็นพี่เลี้ยงเรา ด้วยความรัก ทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตสมศักศรี ในฐานะลูกของพระเจ้า น้องๆ ของพระองค์

            กาลาเทีย  5:16-21 … “16 แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า ให้เราดำเนินชีวิตและอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ และสนองต่อการนำของพระวิญญาณ แล้วท่านจะได้ไม่อยากจะสนองต่อความต้องการ ของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง (มันคืออิทธิพลพลังของความบาป) ที่ยังคงกระทำการงานอยู่ในร่างกาย และโปรแกรมเดิมในความคิดในสมอง 17 เพราะว่าความต้องการของโลกียตัณหาเนื้อหนังนี้ มันต่อสู้กับความต้องการของพระวิญญาณ และความต้องการของพระวิญญาณ ก็ต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้น ท่านจึงถูกโลกียตัณหาเนื้อหนัง คอยขัดขวางในการที่จะทำตาม ความปรารถนาในใจของท่าน 18 แต่ถ้าท่านถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (บังเกิดใหม่ อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว) ท่านก็จะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (ไม่ได้เป็นทาสของบาปแล้ว จึงไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของมันอีกต่อไป) 19 การงานของโลกียตัณหาเนื้อหนัง (อิทธิพลพลังของความบาป) นั้นเห็นได้ชัด คือ การล่วงประเวณี การโสโครก การลามก 20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาท การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน 21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้อีก เหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่าน (ประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูให้ท่าน) มาก่อน บัดนี้ ข้าพเจ้าขอย้ำเตือนท่าน (ในเรื่องข่าวดีของพระเยซูนี้) เหมือนกับที่เคยเตือน (ประกาศแก่ท่าน) มาแล้วว่าคนที่ (ฝึกฝนกระทำสิ่งเหล่านี้ ตามธรรมชาติของตัวตน ที่อยู่ภายใน ซึ่งเป็นคนบาป ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์) จะไม่ได้อาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก (ไม่ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า)”

            เพราะฉะนั้น มาต้อนรับพระเยซูและบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เพื่อวิญญาณและจิตใจ ตัวตนแท้จริงของท่านจะได้บริสุทธิ์ สะอาด เป็นธรรมชาติเหมือนของพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1492

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  ตุลาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 10 “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หนังสือ 1 ยอห์น ต่อเนื่อง วันนี้ตอนที่ 10 เรื่อง “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

            ชื่อเรื่องนี้มันจำเป็นที่ท่านจะต้องจำให้ได้ แล้วควรอย่างยิ่งที่จะพูดจนติดปาก และควรอย่างยิ่งที่จะพูดดังๆ ให้ตัวเองได้ยิน ได้ฟัง อย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้ว่าเราต้องเอาความจริงที่อยู่ในใจเรา พูดให้ตัวเราเองฟังดังๆ เพื่อเราจะได้ยินด้วยตัวเราเองข้างใน เพื่อจะปรับเปลี่ยนความคิดเดิมๆ แบบโลกนี้ ความคิดที่ต่อต้านกับความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ความคิดที่เต็มไปด้วยความตายบนโลกใบนี้ ให้เป็นเหมือนความคิดของพระเจ้า  ความคิดที่เป็นชีวิต ความคิดที่เป็นพร ความคิดที่เป็นสันติสุข ความคิดที่เป็นพระคุณเหลือล้นของพระเยซูคริสต์เข้ามาแทนที่ ฝึกให้จำให้ได้ ไม่ต้องทุกคำอย่างนี้ก็ได้ เพียงแค่ให้ความหมายเป็นลักษณะอย่างนี้

            เรากำลังเรียนหนังสือ 1 ยอห์น ซึ่งพื้นฐานของหนังสือ 1 ยอห์นตรงนี้ ต้องจำไว้เสมอ เรียนรู้พระคัมภีร์ ต้องรู้ว่าพื้นฐานของหนังสือนี้ อาจารย์ยอห์นกำลังทำอะไร? อาจารย์ยอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา เพื่อความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณจะได้ถูกชี้ให้เห็น ชี้ให้ใครเห็น? ให้พี่น้องในคริสตจักร หรือพี่น้องคริสเตียนได้เห็นถึงความจริง ความแตกต่างของคนที่เป็นคริสเตียนจริงๆ ที่อยู่ในชุมชนที่เรียกว่าคริสตจักร และคนที่ปะปนเข้ามา ที่อ้างตัวเองเป็นคริสเตียน แต่ไม่ได้เป็นจริงๆ อาจารย์ยอห์นต้องการชี้ให้เห็นทั้ง 2 ฝ่าย  เพื่อจะบอกให้คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง ที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน อย่างเช่น พวกนอสติก ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ ซึ่งเราได้เรียนรู้ไปแล้ว กับพวกคริสเตียนแท้จริงที่วางใจและเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมซียาห์  พระผู้ช่วยให้รอด  แตกต่างกันอย่างไรในโลกวิญญาณ

            ก็คือพวกนอสติก เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมซียาห์  แต่เขาคิดว่าเขากำลังมาหาพระบิดาพระเจ้า อาจารย์ยอห์นบอก นั่นไม่ใช่พระเจ้า  พระบิดาตัวจริง  เป็นพระเจ้าพระบิดาตัวปลอม  เพราะถ้าเป็นพระเจ้าพระบิดาตัวจริง จะต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรที่พระบิดาส่งมา  เพื่อมนุษย์จะได้รับความรอด  และเป็นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้เข้าไปหาพระบิดาตัวจริงนี้ได้ นึกออกใช่ไหม? ซึ่งพระเยซู คือพระมาซีฮาห์นั่นเอง  พระเจ้าที่พระบิดาทรงเตรียมไว้  เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป  เขาไม่เชื่อตรงนี้

            เพราะฉะนั้น เขาจึงแสวงหา นมัสการพระบิดาอะไรก็ไม่รู้ อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าพวกเขาไม่รู้จักพระบิดา  แต่พวกคุณรู้จัก “พวกคุณ” คือคริสเตียนที่แท้จริง ต้องรู้จักพระบิดาแน่นอน เพราะว่าท่านวางใจในพระบุตร เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วว่าเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            นี่คือพื้นฐานของจดหมายฝาก 1 ยอห์น ที่ยอห์นพยายามอธิบายในเรื่องโลกวิญญาณ และยังบอกว่าคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียน อ้างตัวเองว่ารู้จักพระบิดา ซึ่งไม่รู้จักจริงนั้น ข้างในวิญญาณ เขาจะมีสภาพเป็นปฏิปักษ์ ก็คือเป็นศัตรูกับพระคริสต์ เป็นศัตรูกับคริสเตียน ที่มีพระคริสต์อยู่ภายใน ข้างในวิญญาณของเขาจะเกลียดชัง จะไม่ชอบพระคริสต์ เพราะเป็นศัตรูกัน ก็เลยเกลียดชังและไม่ชอบพี่น้องคริสเตียนเช่นเดียวกัน และวิญญาณของพวกเขายังคงอยู่ในความมืด ไม่ได้อยู่ในความสว่างเหมือนคนที่เป็นคริสเตียนแท้จริง และอยู่ในความเท็จ อยู่ในความโกหก ไม่ได้อยู่ในความจริง อยู่ในความเกลียดชัง อยู่ในความเห็นแก่ตัว  ไม่ได้อยู่ในความรัก ความเมตตา  การให้เหมือนอย่าง คริสเตียน  นี่พูดถึงภายในวิญญาณ

            พระคริสต์ไม่ได้อยู่ภายในเขา  เขาไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ จะเป็นพยานยืนยันให้กับคริสเตียนว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราชอบธรรมแล้ว เราดีพร้อมแล้ว  เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ นี่คือความแตกต่างในทางวิญญาณ ระหว่างคนที่เชื่อกับพวกที่ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์

            และยังบอกอีกว่าคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แล้วไม่ได้เป็นจริงๆ นั้น เขายังคงอาศัยอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด ที่เป็นอาณาจักรของความตายและความบาป แต่คริสเตียนอยู่ตรงกันข้าม ถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว จะถูกย้ายมาอยู่ในอาณาจักรของความสว่าง อาศัยอยู่ในความสว่าง “อาศัยอยู่” คืออยู่ในนั้นเลย วิญญาณเขาอยู่ในความสว่าง อยู่ในชีวิต เรียกว่าอาศัยอยู่ในชีวิต อยู่ในความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์เลย ในโลกวิญญาณมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

            เพราะฉะนั้น ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ อาจารย์ยอห์นบอกว่าฉะนั้น คนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน เขาจะไม่มีความจริงใจอยู่ในตัวเขา ไม่มีความจริงอยู่ในเขา มีแต่ความเท็จ มีแต่ความเกลียดชัง มีแต่ความหลอกลวง ปากก็พูดว่ารักคุณๆ แต่ไม่เคยกระทำอะไรต่างๆ ตามที่ปากบอกเลย ก็คือไม่ได้ให้ความเมตตา อาจารย์ยอห์นจึงเตือน บอกคนเหล่านั้นว่านี่แหละ คือตัวแท้ๆ ของคุณข้างใน มันเป็นอย่างนั้น พูดแทงใจ ให้พวกนอสติกฟัง ว่าเป็นอย่างนั้นใช่ไหมในใจคุณ คุณไม่มีเมตตาจริงหรอก คุณบอกว่ารักพี่น้องในพระคริสต์ แต่จริงๆ คุณหวังจะเอาผลประโยชน์จากเขา คุณไม่มีเมตตาเขาจริงๆ หรอก คุณต้องการให้เขาเป็นสาวกของคุณใช่ไหม?  คุณต้องการเรียกเขาออกจากที่ประชุม ไปอยู่ในความเชื่อของคุณใช่ไหม? คุณอยากให้เขาปรนนิบัติรับใช้คุณใช่ไหม? คุณอยากให้เขายกย่องคุณใช่ไหม? จะเอาผลประโยชน์เท่านั้น ไม่ได้ให้จริง

            แต่ถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริง บังเกิดใหม่แล้ว จริงๆ นะ วิญญาณจะดำเนินด้วยความรักเหมือนพระเยซูคริสต์ มีเมตตา มีความรัก มีการให้ ฝึกฝนในชีวิต โดยการให้ตลอดเวลา ใช่ไหมคริสเตียนทั้งหลาย?  อาจารย์ยอห์นคงกำลังบอกอย่างนั้นว่าพี่น้องคริสเตียน ในใจเราเป็นอย่างนั้นใช่ไหม?  แล้ว เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราได้ยินอะไรที่คนลำบากลำบน อย่าว่าแต่เป็นคริสเตียนด้วยกันเลย ถึงไม่เป็นคริสเตียน เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราได้ยินได้ฟังความทุกข์ยากของเขา เรายังอยากจะช่วยเหลือเลย เราอธิษฐานให้ เรามีกำลังอะไรจะช่วยเหลือได้ เราช่วยเหลือ  ผมมั่นใจและแน่นอนในพระคัมภีร์ก็บอกอย่างนั้นว่าคนที่เป็นคริสเตียนข้างในใจ ในวิญญาณเขาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เขามีแต่ให้ เขากำลังเรียนรู้ ฝึกฝนที่จะให้ ตามกำลังที่เขาจะทำได้ เขาเต็มที่เลย  อย่างที่เห็นชัดที่สุด ก็คือเขาอธิษฐานให้ก่อนแล้ว เขาไม่ได้ดูความเจ็บช้ำ ความทุกข์ยากของคนอื่น แล้วบอกว่าสะใจดี  ดีแล้ว สมควรแล้วควรจะได้รับอย่างนี้ คริสเตียนแท้จริงจะไม่ฝึกฝนอย่างนี้

            เขาจะฝึกฝนไปเรื่อยๆ ว่า … “พระเจ้าเมตตาเขาด้วยเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป เขาหลงไปในความบาป สิ่งต่างๆ เหล่านั้น เหมือนมนุษย์ทุกคนที่หลง  ประพฤติในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เหมือนลูก เหมือนคนอื่นๆ เยอะแยะ จะมากจะน้อย ก็คือหลงไปนั้นแหละ ขอพระองค์ทรงเมตตาเขาด้วยเถิด”

            นี่คือท่าทีภายในใจของคนที่เป็นคริสเตียนใช่ไหม? ใช่ เป็นอย่างนั้นแหละ จะไม่ไปทับถม เอาให้ตายเลย  มันไม่ใช่อย่างนั้น  พระคริสต์เราเป็นตัวอย่าง เห็นชัดเจน ตอนนี้พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา พระเยซูคริสต์ทำอะไร? เห็นชัดเจนเลย คนเขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูอธิษฐานกับพระบิดาตอนที่ถูกตรึงอยู่นะ ตอนที่ทุกข์ทรมานอยู่นะ ตอนที่เขาตอกตะปูตรึงที่ไม้กางเขน เลือดหลั่ง ทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน มองมาแล้วบอกพระเจ้าพระบิดาอภัยให้พวกเขาด้วย พวกเขาไม่รู้ว่าทำอะไรไป นี่ตัวอย่างที่ดี พื้นฐานตรงนี้ควรจะอยู่ภายในจิตใจ ภายในความคิดของเรา ขณะที่เราเรียนรู้ถ้อยคำในหนังสือ 1 ยอห์น

            ครั้งที่แล้วเราจบกันที่หนังสือ 1 ยอห์น 3:19-20 มาทบทวนนิดหนึ่ง ก่อนที่จะต่อในวันนี้ …

        1 ยอห์น 3:19-20 “19 ดังนี้แหละ เราจึงรู้ว่าเราเป็นของความจริง และทำให้ใจเราสงบ มั่นคง ในการสถิตอยู่ของพระเจ้า 20 เมื่อใดก็ตามที่ใจของเราเป็นทุกข์ ฟ้องผิด กล่าวโทษตนเอง เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง”

            การที่เราได้รับรู้ความจริงว่าเราเกิดใหม่แล้ว ในพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เราอยู่ในความจริงแล้ว คืออยู่ในพระคริสต์ และพระเยซูคริสต์ คือความจริงอยู่ในเรา เราเป็นของพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ตั้งแต่บทที่ 1 จนถึงตอนนี้ เราเรียนรู้แล้ว เรา คริสเตียน เมื่อรู้แล้ว ก็มีความมั่นใจ ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกทุกข์ใจ ฟ้องผิด หรือถูกกล่าวโทษ  เมื่อเราพลั้งพลาดไปกระทำบาป เราเกิดทุกข์ใจ เสียใจ แต่เรายังมีความมั่นใจ  เพราะเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เรารับรู้ความจริงเหล่านี้แล้วว่าเป็นอย่างไร? หมายถึงอย่างนั้นว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าอารมณ์ ความรู้สึกของเรา

            นั่นคือความรู้สึก อารมณ์ของเรา ที่ถูกกล่าวหา พระองค์ทรงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเราดี รวมถึงตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ ในฐานะผู้เชื่อที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้วว่าเราได้รับการอภัยและถูกทำให้เป็นผู้ชอบธรรม ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ตลอดไปชั่วนิรันดร์แล้ว ใจของเราจึงสามารถมั่นคงได้  เพราะเรารับรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว  เราไม่ฟ้องผิด เพราะสถานะ ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเรา ไม่ใช่  ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับการกระทำที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อชำระบาปให้กับเรา ไม่ใช่ความชอบธรรมของเรา ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง  หรือขึ้นอยู่กับความรู้สึก การกล่าวโทษในใจของเรา  เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจตามถ้อยคำพระเจ้าว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้วใช่ไหม? ใช่ หลั่งพระโลหิตแล้วใช่ไหม? ใช่ เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรรับรู้และมั่นใจว่าเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ชั่วนิรันดร์ นี่คือสิ่งที่เราได้จบในครั้งที่แล้วใน 1 ยอห์น 3:19-20

            วันนี้ เราจะมาต่อข้อ 21 … 1 ยอห์น 3:21 …

        1 ยอห์น 3:21 “ท่านที่รัก ถ้า (จิตใต้สำนึกใน) ใจของเรา ไม่กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจต่อพระเจ้า”

            อยากถามว่าจิตใต้สำนึกในใจของท่าน มั่นใจไหมว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เหมือนหัวข้อเรื่องในวันนี้ “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

            จิตใต้สำนึกของท่าน เชื่อตามที่ท่านพูดเมื่อตอนที่เราเริ่มต้นบรรยายได้ไหมว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว”

            ถามจิตใต้สำนึกตัวเองว่าฉันเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ไหม?

            ความมั่นใจที่เรามีต่อพระเจ้า ทำให้เราสามารถอธิษฐาน พูดคุยกับพระเจ้าได้ทุกเมื่อทุกเวลา เมื่อใจเราไม่ได้กล่าวโทษ ฟ้องผิดตัวเราเองว่าเราเป็นคนบาป สกปรกอยู่ เราถึงจะรู้สึกสนิทสนมไง  ถ้าจิตใต้สำนึกเรายังรู้สึกฟ้องผิดอยู่เลยว่า …

            “พระเจ้าคงไม่ชอบเรา เราคงอธิษฐานน้อยไป พระเจ้าคงไม่ชอบเรา เรายังหงุดหงิดอยู่เลย พระเจ้าไม่พอใจเรา เราเป็นคนขี้อิจฉาเขา พระเจ้าไม่พอใจเรา เพราะเรายังไม่เลิกสูบบุหรี่เลย เลิกไม่ขาดสักทีหนึ่ง สัญญากี่ครั้งแล้ว ยังสูบอยู่ พระเจ้าคงไม่ชอบเรา เพราะเราไม่ค่อยจะมาโบสถ์ ขี้เกียจ”

            นี่แหละคือการกล่าวฟ้องผิด แล้วเราจะรู้สึกอย่างไร? เราก็รู้สึกว่าเราเป็นคนบาป สกปรกอยู่ เข้าไปหาพระเจ้า ก็รู้สึกไม่ชอบ ไม่อินกับพระเจ้าเลย เพราะเรารู้สึกเราสกปรก แต่ถ้าเผื่อเราไม่ฟ้องผิดอย่างนี้ เรามีความมั่นใจว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

            ความมั่นใจอย่างนี้ มาจากอะไรที่จะทำให้ความมั่นใจตรงนี้เกิดขึ้น? มาจากการเรียนรู้ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า เรียนรู้มากๆ โดยการใคร่ครวญ ถ้อยคำแห่งความจริงเหล่านี้ หูฟัง ปากพูดถ้อยคำแห่งความจริงเหล่านี้ ให้คุ้นเคย ให้ชัดเจน อยู่ในใจ จำได้ตลอดเวลา เป็นปกติวิสัย ในใจ ทุกลมหายใจเข้าออก ถามเมื่อไร ก็ตอบได้ทันที ถามตอนนอนหลับอยู่ งัวเงียขึ้นมา ก็ตอบว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

            เมื่อกี้ เพิ่งโมโห โกรธ เขาขับรถตัดหน้าเรา หรือขับรถลงไปในโคลนกระเด็นถูกเราเลอะหมดเลย นึกขึ้นได้ …

            “โอ้ พระเจ้า ลูกเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ แต่บางครั้งอาจทำบาป”

            ไม่เหมือนกันนะ “ลูกเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม แต่บางครั้งทำบาป” … “เป็นผู้ชอบธรรม แต่บางครั้ง อาจทำบาป”

            ทำบาปกับเป็น มันคนละเรื่องกันนะ เป็นคน แต่บางครั้งเดินเหมือนลิง ก็ไม่ใช่ลิง แต่เป็นคน แล้วถ้ากลับกัน เป็นลิง แล้วเดินเหมือนคน มันก็ยังเป็นลิง เราไปดูละครลิง เดิน 2 ขา เดินตีกลอง เหมือนคนเลย แต่งตัวให้เหมือนคนเลย แต่ในที่สุด เขาแค่ทำเป็นคน แต่จริงๆ เป็นลิง เพราะฉะนั้น เราเป็นคริสเตียน เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เหมือนเราเกิดจากครรภ์มารดา เราเป็นคนแน่นอนเลย ไม่มีเปลี่ยนเป็นลิงได้ ไม่มีทางเลย แต่บางครั้งอาจจะคลานเหมือนลิง

            เพราะฉะนั้น ความมั่นใจในจิตใต้สำนึกอย่างนี้ ทำให้เรามีความกล้าที่จะเข้าไปสนิทสนมกับพระเจ้าอย่างมาก มากเท่าไร ก็ขึ้นกับความรู้ความจริงมากเท่านั้น ความรู้ความจริงว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว และได้รับการยกโทษบาปทั้งหมดทั้งปวง ตามที่อาจารย์ยอห์นได้บอกมาแต่บทต้นๆ ทั้งบาปในอดีต บาปที่ทำในปัจจุบัน และบาปที่จะพลาดทำในอนาคตอีกด้วยตลอดไป ได้รับการอภัยทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางการกระทำที่สำเร็จแล้วของพระเยซู ไม่ได้ผ่านการกระทำดีของเรา ผ่านการกระทำของพระเยซูคริสต์ เราเลยกลายเป็นเคยเป็นคนบาป เป็นคนสกปรก มีมลทิน แต่เดี๋ยวนี้บังเกิดใหม่ ตัวตนแท้จริงของเราที่บังเกิดใหม่นั้น ไม่ได้เป็นคนบาป ก็เท่ากับบริสุทธิ์ดีพร้อมเท่าพระเยซูคริสต์ ด้วยพระคุณ ผ่านทางการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ชำระล้าง ลบล้างบาปทั้งสิ้นทั้งปวงของเรา และทรงเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราทั้งหลายจะได้สามารถบังเกิดใหม่พร้อมพระองค์ได้ต่างหาก สิ่งเหล่านี้พระองค์ทรงกระทำให้เรา  และเรารับแล้ว เราเชื่อและเราวางใจแล้ว เราได้รับสิ่งนี้ และเราได้รับการเปลี่ยนแปลง บังเกิดใหม่แล้ว ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้จิตใต้สำนึกของเราเกิดความมั่นคง ในการเข้าหาพระเจ้า ในการติดสนิทกับพระเจ้า โรม 8:1 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป)”

            “ไม่มีการลงโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์”  ตามบทบัญญัติใช่หรือเปล่า? ผมอ่านผิดไป  จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ … อาศัยอยู่ ได้เรียนรู้แล้ว เราอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์แล้ว เราได้เป็นคริสเตียน ได้ถูกย้ายออกมาจากอาศัยอยู่ในความมืด ความบาป ความตาย ได้มาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของความสว่าง อาณาจักรแห่งชีวิต ตอนนี้เราอยู่ตรงนั้นแล้ว จึงไม่มีการกล่าวโทษใดๆ แม้ว่าบางครั้งเราอาจจะทำบาป ซึ่งทำแน่ๆ อยู่แล้วล่ะ แต่ไม่มีการกล่าวโทษอีก ฮีบรู 10:14 ยืนยันตรงนี้อีกว่า …

        ฮีบรู 10:14 “เพราะโดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ (พระเยซูคริสต์) ได้ทรงทำให้ผู้ที่กำลังได้รับการชำระให้บริสุทธิ์นั้น สมบูรณ์ตลอดไป”

            หมายความว่าการเสียสละของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น เพียงครั้งเดียว การสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว การหลั่งพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียว เป็นการกระทำที่เพียงพอ และทำให้ผู้เชื่อ คือคริสเตียนนั้น สมบูรณ์ ตลอดไป ชั่วนิรันดร์

            การรับรู้ความจริงตรงนี้ ทำให้เกิดความมั่นใจ ต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ ลงไปในใจของเรา ให้มั่นคง เราจะเกิดความมั่นใจ ทำให้เราสามารถเข้าหาพระเจ้าได้ในทุกเมื่อ อย่างกล้าหาญและรู้สึกสนิทสนมกับพระองค์ และทรงรู้ว่าพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐาน ร้องทูลของเรา อย่างใจจดใจจ่อ ด้วยความรัก ความห่วงใยในฐานะที่เราเป็นลูกของพระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ ประทานพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อท่าน แม้ว่าในโลกนี้จะมีเพียงท่านคนเดียว พระเจ้าก็จะส่งพระเยซูคริสต์มาตาย เพื่อท่าน มันหมายถึงอย่างนั้น พอเรามั่นใจปุ๊บ ก็เกิดอะไร? ไม่ฟ้องผิด เกิดอิสรภาพ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็เกิดพระคุณของพระองค์ ฮีบรู 4:16 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ฮีบรู 4:16 “ฉะนั้น ขอให้เราอย่ากลัว ที่จะเข้ามาใกล้พระบัลลังก์แห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่จะช่วยเหลือเรา เมื่อถึงคราวจำเป็น”

            ในฮีบรูที่กำลังอ่านนี้ เป็นหนังสือที่เขียนข่าวประเสริฐไปถึงชาวยิว โดยเฉพาะ ชาวยิวก็จะกลัวพระเจ้า กลัวการทรงสถิตของพระเจ้ามาก  เพราะเขารู้จักพระเจ้ามาตั้งแต่บรรพบุรุษของเขาหลายพันปีก่อน ก่อนพระเยซูคริสต์จะเสด็จมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว กลัวพระเจ้ามาก เพราะว่ามนุษย์เป็นคนบาป ไม่สามารถเข้าไปที่บัลลังก์ของพระเจ้าได้ เพราะว่าพลาดนิดเดียวก็ถึงตาย เพราะไม่สามารถยืนอยู่ต่อการทรงสถิตของพระเจ้า ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ เพราะกลัวมาก แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปทั้งสิ้น ทั้งปวงของมนุษย์ทุกคนเรียบร้อยแล้ว  พระคัมภีร์ตรงนี้ จึงบอกว่าชาวยิวไม่ต้องกลัวอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วกล้าเข้าไปเลย ไม่ต้องห่วง เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปให้ท่านเรียบร้อยไปแล้ว สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ พระโลหิตของพระองค์เหมือนเป็นแพะรับบาปให้กับพวกท่าน ครั้งเดียวเป็นพอ กล้าเข้าไปเถิด กล้าเข้าไปในการทรงสถิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์ทรงสถิตใกล้ที่สุด ถึงขนาดเข้าไปอยู่ในตัวท่านได้เลย เมื่อท่านวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ มันหมายถึงอย่างนั้น 1 ยอห์น 3:22 …

        1 ยอห์น 3:22 “และสิ่งใดที่เราทูลขอ เราก็จะได้รับจากพระองค์ เพราะว่าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และกระทำสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยพระองค์”

            ชอบข้อพระคัมภีร์นี้มาก แต่ก่อนผมก็ชอบ เลยอยากถามว่าสิ่งใดๆ ที่เราอธิษฐานทูลขอ เราก็จะได้รับสิ่งนั้น  ถ้าเรากระทำดี เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ใช่ไหม? จริงหรือเปล่า? ฟังใหม่อีกที ลองคิดตาม …

            “สิ่งใดๆ ที่ฉันอธิษฐานทูลขอ ฉันก็จะได้รับสิ่งนั้น ถ้าฉันกระทำดี เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า”

            จริงไหมหนอ? ความจริงตามถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้มา ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทต้นๆ ความจริง คือเพราะว่าเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว คือได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่มีนิสัยเป็นธรรมชาติ เชื่อฟังพระเจ้า โดยการกระทำสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยของพระบิดาแล้ว นี่พูดถึงคริสเตียนนะ เรากระทำสิ่งที่พอพระทัยพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ก็คือเราได้วางใจในพระบุตร พระเยซูคริสต์ และดำเนินชีวิตด้วยความรักที่อยู่ภายใน ที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ในใจ ตอนที่เราเกิดใหม่แล้ว และใส่ความเชื่อฟังไว้อยู่ในวิญญาณของเรา นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเจ้าพอใจ ที่เราได้เรียนรู้มา เราได้ทำแล้ว

            ข้อความเมื่อสักครู่ที่เราอ่าน ในบริบทนี้ ข้อ 22 นี้ ต่อเนื่องมาจากข้อ 21 ได้พูดถึง ได้เน้นถึงความมั่นใจ  ไม่กลัว ไม่ฟ้องผิด  ไม่กล่าวโทษตนเองว่าฉันยังเป็นคนบาปอยู่ ถูกไหม? มั่นใจในตนเอง  มั่นใจในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ในฐานะผู้เชื่อและเป็นลูกของพระองค์  เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ และความปรารถนาในใจของเรา สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ ที่พระองค์ได้ใส่ไว้ในใจของเรา พูดง่ายๆ พระองค์ได้ใส่วิญญาณของพระองค์ไว้ในใจของเรา เราได้บังเกิดใหม่แล้ว  เพราะว่าตัวตนใหม่ของเราในพระองค์ ใจใหม่ของเราในพระองค์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

            ในบริบทนี้ กำลังพูดถึงตรงนี้ว่าตัวใหม่ของท่าน ใจใหม่ของท่านที่พระเจ้าประทานนั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ปรารถนาสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า  ตามธรรมชาติที่เกิดใหม่อยู่แล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น ซึ่งเราสามารถมั่นใจ ไว้วางใจว่าพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐาน ร้องทูลของเราแน่นอน เพราะเราเป็นคริสเตียนอยู่ มันหมายถึงตรงนั้นนะ พระองค์จะตอบคำอธิษฐานของเราอย่างแน่นอน ตามความประสงค์ของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ตามแผนการที่ดีที่สุดของพระองค์ที่วางไว้ ที่เตรียมไว้ สำหรับเราแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นลูกๆ ของพระองค์ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ  ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่ตามใจตัวเราเอง ซึ่งเป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเราได้เรียนรู้มาแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้น จากภายนอก จากระบบของโลกใบนี้ที่ส่งเข้ามา ตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง กระตุ้นให้เราอยากได้ในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าเตรียมไว้  ก็คือเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า แต่เราที่บังเกิดใหม่แล้ว เรารู้จักวิญญาณของเราว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ถ้าเราอธิษฐานทูลขอสิ่งใด ก็คือสิ่งนั้น จะเป็นสิ่งที่พระบิดาต้องการเช่นเดียวกัน และเรารู้ว่าสิ่งที่พระบิดาต้องการนั้น  ที่เราอธิษฐานทูลขอตามความเห็นชอบของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ตอบเราแน่นอนเลย  แต่ตอบตามวัน เวลา วิธีการของพระองค์ ไม่ใช่วิธีการที่เราคิดว่าเวลานั้น เวลานี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้

            ยกตัวอย่าง เช่น เราอธิษฐานขอพระเจ้า ให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ขอให้รักษาตรงนี้ให้หาย โรคนี้ให้หาย พระเจ้าอาจจะเตรียมแผนการอะไรบางอย่างไว้สำหรับเรา แต่รู้แน่ๆ ในที่สุดวันหนึ่งต้องหายแน่ๆ คือวันที่เราหายจากโลกนี้ หายหมดเลย เพราะว่าพระองค์ทรงเตรียมร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ให้กับเรา วันที่เราจากโลกนี้ไป ซึ่งดีกว่ามากนัก เราจะคิดถึงไหมว่ามันดีกว่าอย่างไร? ไม่มีทางหรอก เราเป็นมนุษย์ ก็อยากได้ในสิ่งที่โลกนี้เขาต้องการ ก็คือไม่เจ็บ ไม่ป่วย ถูกไหม? แต่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรียบร้อย คือไม่เจ็บ ไม่ป่วยเลย แม้แต่นิดเดียว ก็คือจากโลกนี้ไปเลย ได้รับร่างกายใหม่ ไม่เจ็บป่วยแน่นอนเลย แต่ถ้ายังอยู่บนโลกใบนี้ บอกให้รักษาตรงนี้ให้หาย รักษาภูมิแพ้ให้หาย เดี๋ยวมันก็มาเป็นโรคอื่นแทน หรือว่าไม่เป็น มันต้องเป็นอยู่แล้ว เพราะมันเป็นกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ว่าโลกนี้ตกลงไปในความบาป ความตาย คำสาปแช่ง ความทุกข์ยากลำบากในโลกนี้ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เราอยู่ในกฎของความบาปและความตาย มนุษย์ทั้งโลกนี้ อยู่ในโลกอยู่ในกฎของความเสื่อม เกิด แก่ เจ็บ ตาย  เกิด ตั้งอยู่ และดับไปแน่นอน 100% แต่ทางความรอดของเรา เราได้รับความรอดนิรันดร์ และพระองค์ทรงสัญญาไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันหนึ่ง ที่เราหมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และได้อยู่ในสวรรคสถานร่วมกับพระองค์ตลอดไปชั่วนิรันดร์เลย ตรงนี้ต่างหากที่เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ เห็นไหม?

            ที่พูดนี้ ถามว่าเข้าใจหมดไหม? ไม่เข้าใจหมดหรอก  แต่เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่พูดไว้ สัญญาไว้ และเมื่อใคร่ครวญ คิดถึงถ้อยคำ ความจริงเหล่านี่บ่อยๆ มันจะเกิดความเชื่อขึ้นมาในความคิดของเราเอง มันจะปรับเปลี่ยนไปเอง

            เราอาจจะอธิษฐานหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเรา ตามใจเราต้องการ ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่น้ำพระทัย ไม่ได้ตามจิตใต้สำนึกที่เป็นไปด้วยกันกับพระเจ้า  แต่เป็นไปด้วยกันกับความคิดแบบกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง อิทธิพลของโลกนี้ เข้ามาซึมซับ  อย่างเช่น ความโลภ อยากจะมี อยากจะได้ อยากจะมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นทุกวันๆ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ต้องเป็นอย่างนั้น แต่เราแบ่งความไว้วางใจตรงนี้ มาอยู่ที่ความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้าว่าพระองค์ทรงมีแผนการที่ดี ไว้สำหรับเราเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราไม่รู้ แต่ให้เราวางใจ และเชื่อในพระองค์ เราอาจจะอธิษฐานหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ตะกี้นี้บอกว่าไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า หรือเราคิดว่ามันน่าจะอยู่ มันน่าจะใช่นะ แต่พระเจ้าอาจจะบอกว่ามันไม่ได้เป็นแผนการที่ดีที่สุด สำหรับเจ้า แต่มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่สำหรับเจ้า เรามีแผนการที่ดีกว่านี้ ที่วางไว้ให้กับเจ้า ซึ่งเราเรียกกันว่าน้ำพระทัย

            เพราะฉะนั้น การรู้จักความจริงตรงนี้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ไม่มีการฟ้องผิดในจิตใจของเรา ในวิญญาณของเรา เราก็จะเกิดความเชื่อในน้ำพระทัยของพระองค์มากขึ้น ไว้วางใจได้มากขึ้น ก็จะเกิดสันติสุขและพระคุณล้นเหลือ ในจิตวิญญาณของเรานั่นเอง

            คำสอนที่ผิดๆ ที่แพร่หลายในวงการคริสเตียน ก็คือเขาเอาข้อความนี้ ถ้อยคำตรงนี้ไปสอนว่า …

            “คุณจะสั่งอะไรก็ได้ในนามพระเยซู แล้วคุณจะได้รับ ถ้าคุณมีความเชื่อพอ”

            เอาข้อความที่อธิบายไปเมื่อตะกี้ 1 ยอห์น 3:22 มาบอกว่า …

            “นี่ไง คุณอธิษฐานไป คุณจะได้รับสิ่งนั้นแน่นอน ถ้าคุณเป็นคริสเตียนนะ คุณเชื่อในนามพระเยซู สั่งไปเลย ถ้าคุณเชื่อพอ  ถ้าคุณไม่ได้ตามที่คุณสั่ง เพราะว่าคุณยังไม่เชื่อพอ”

            “แล้วต้องทำอย่างไร?”

            “ก็ต้องเชื่อให้มากขึ้น”

            “แล้วต้องทำอย่างไร?”

            “ก็ต้องอธิษฐานให้หนักขึ้น”

            ซึ่งต้องพึ่งตนเอง ทำด้วยตนเอง ซึ่งไปรอดไหม? ก็ไม่รอดอยู่ดี อย่างเช่น พูด อธิษฐาน สั่งด้วยความเชื่อในนามพระเยซู ให้รวย ไม่เจ็บป่วย  ไม่มีปัญหาในครอบครัว ไม่มีปัญหาในการทำมาหากิน  ไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีความทุกข์ ไม่ประสบความล้มเหลวใดๆ เลย  มีแต่ความสำเร็จทุกประการในชีวิต และคิดดูสิ มันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ เป็นการหลอกลวง ล่อลวงของโลกใบนี้ กิเลสตัณหาของเนื้อหนังของโลกใบนี้ต่างหาก ที่มันล่อลวงให้หลุดออกไปจากทางของพระเจ้า ไม่มีชีวิตอยู่ในพระคริสต์นั่นเอง

            ชีวิตในพระคริสต์ คือชีวิตที่พอเพียง  … พอเพียง คือวางใจในพระเจ้า แล้วแต่พระเจ้า วางใจในพระองค์ … วางใจในพระองค์ได้ด้วยวิธีใด ด้วยการเชื่อมั่นว่าฉันบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ พระองค์ทรงรักฉันขนาดนั้น เพราะว่าเราสอนผิดๆ อย่างนี้ มันก็เลยก่อเกิดชัดๆ ที่สุด ก็คือก่อเกิดความโลภ ความไม่พอในชีวิตของคริสเตียนเอง ซึ่งมันตรงกันข้ามกับชีวิต ที่พอเพียงและไม่โลภ เต็มไปด้วยความรักในใจ ในวิญญาณที่บังเกิดใหม่ ชีวิตไม่มีสันติสุขในพระเยซูคริสต์

            เรามาดูตัวอย่าง อย่างเช่น อาจารย์เปาโล รู้จักพระเจ้า สนิทไหม? สนิท สนิทสนมมากเลย มากถึงขนาดเป็นผู้สอนเราในเรื่องนี้ว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่เราแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว ตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ยืนยันแล้ว ยืนยันอีก เสร็จแล้ว อาจารย์เปาโลอธิษฐานกับพระเจ้า ถึงความทุกข์ยากลำบาก อุปสรรค ปัญหาในชีวิต หนักเลย หนักถึงขนาดอาจารย์เปาโลบอกว่ามันเป็นหนามในเนื้อตลอดเวลา มันคงจะเจ็บปวดตลอดเวลา เจ็บปวดอย่างไร? เราไม่รู้ และอาจารย์เปาโลผู้ซึ่งสนิทกับพระเจ้าขนาดนั้น  มีความเชื่อขนาดนั้น อธิษฐานกับพระเจ้าบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าอธิษฐานถึง 3 ครั้ง ขอพระเจ้าทรงช่วยเหลือข้าพเจ้า ให้เอาอันนี้ออกไป”

            สมมติว่าเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ก็บอกว่า … “ช่วยรักษาให้หายหน่อยเถอะ ไม่ไหวจริงๆ เลย”

            แสดงว่ามันหนักมาก อธิษฐานถึง 3 ครั้ง แต่พระเจ้าตอบอาจารย์เปาโลว่า … “พระคุณของเราก็เพียงพอสำหรับเจ้า”

            พระคุณ คือตะกี้นี้ที่บอกว่า … “เราให้เจ้าบังเกิดใหม่แล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เจ้าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมตลอดไปชั่วนิรันดร์แล้ว นี่คือพระคุณที่เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย  พระคุณตรงนี้ มันเพียงพอสำหรับเจ้าแล้ว”

            แล้วตอบว่าอย่างไรอีก ตอบว่า … “ฤทธิ์เดชอำนาจของเรา การทรงสถิตของเรา จะสำแดงออกมาอย่างชัดเจน เป็นทวีคูณ ท่ามกลางความอ่อนแอ การทุกข์ยากลำบากของเจ้า”

            หมายถึงว่า … “เมื่อเจ้าประสบอุปสรรคปัญหาเหล่านั้น การช่วยเหลือของเรา ซึ่งเป็นการอัศจรรย์ เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจว่าเราสถิตอยู่กับเจ้า อยู่ภายในเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับเจ้านั้น ผู้คนรอบข้างจะได้เห็นชัดเจน” มันหมายถึงอย่างนั้น ตอนที่เราลำบาก ตอนที่เราประสบปัญหา พระเจ้าจะถูกทำให้เห็นชัดเจนเลย ในชีวิตของเรา ในชีวิตของเปาโล

            เปาโลเลยตอบใน 2 โครินธ์บอกว่า … “ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความปิติยินดีในความทุกข์ยากลำบาก”

            อ้าว! กลายเป็นอย่างนั้นอีก เห็นไหม? “ข้าพเจ้าจึงมีความปิติยินดีในความทุกข์ยากลำบาก” ก็คือ “ข้าพเจ้ามีความปิติยินดีในหนามในเนื้อนั่นแหละ  เพราะเมื่อไรที่ข้าพเจ้าทุกข์ลำบาก ในหนามในเนื้อนั้น ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าก็ปรากฎในชีวิตของข้าพเจ้ามากขึ้นอย่างนั้น คือเมื่อไรที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เจ็บปวด ข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง เพราะว่าพระองค์มาช่วยให้เห็นชัดๆ ชื่นใจว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย ข้าพเจ้ามีความมั่นใจมากขึ้นว่าพระเจ้าอยู่ในตัวข้าพเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

            ไม่ใช่ตัวเองเห็นอย่างเดียว คนรอบข้างก็ได้เห็นว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับเขาจริง จึงเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าสำแดงตัวพระองค์เองว่าอยู่กับคริสเตียนนั้น สำแดงตอนที่คริสเตียนตกทุกข์ได้ยาก ตอนที่ลำบาก ไม่ใช่แสดงตอนที่คริสเตียนมีความสุขดี สบายดี ไม่ใช่ เมื่อพระเยซูก่อนจะเดินไปที่ไม้กางเขน  ก่อนจะถูกตรึง อธิษฐาน 3 ครั้งเหมือนกัน สรุปจบว่าอย่างไร? จบว่า …

            “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย”

            คือเป็นไปตามแผนการของพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมอะไรไว้ ขอให้เป็นไปอย่างนั้น  และถามว่าดีกว่าไหม? พระเยซูขอพระเจ้าบอกว่าเปลี่ยนแผนได้ไหม? ไม่ต้องถูกตรึงบนไม้กางเขน ไม่ต้องสิ้นพระชนม์ ไม่ต้องยอมเสียสละชีวิต ตายบนไม้กางเขนได้ไหม? เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม? เปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตรงนี้ ขอ 3 ครั้ง พระเจ้าบอกไม่ได้ ยืนยันตามแผนการเดิม  พระเยซูก็บอกโอเค ปรากฏว่าออกมาแล้ว ดีกว่าเดิมมากมาย ซึ่งพระเยซูไม่ทราบว่าจะดีขนาดนี้

            นี่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเราได้เห็นว่าข้อพระคัมภีร์นี้ เป็นข้อพระคัมภีร์ที่หนุนจิตชูใจคริสเตียนเป็นอย่างมากว่าให้เราสนิทสนมกับพระเจ้า  ให้เรารับรู้ว่าเราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก  และให้เรารับรู้ว่าเมื่อเราไม่มีความฟ้องผิดในจิตใจเราอย่างนี้แล้ว เรามีความมั่นคงว่าเราเป็นผู้เชื่อ เราชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว พระองค์ทรงรักเรา พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เป็นวิญญาณเดียวกันเลย สิ่งที่เราทูลขอ ถ้าเผื่อว่ามันตรงกันกับน้ำพระทัยพระเจ้า พระองค์ทรงให้เราแน่นอน 100% เลย แต่ถ้าไม่ใช่ พระองค์กำลังนำพาเราไปสู่ทางที่ดีกว่า เรายังเป็นเด็ก เรายังไม่เข้าใจหรอก เหมือนพ่อแม่ที่เลี้ยงลูก โดยเฉพาะช่วงโรงเรียนเปิดเทอมใหม่ๆ เห็นชัดเลย พาลูกเล็กๆ เข้าโรงเรียนใหม่ๆ เด็กอนุบาล ร้องห่มร้องไห้ กระจองอแงกันทั้งห้อง ทั้งโรงเรียนเลย 30 คน ร้องไห้กันหมด  เพราะเด็กๆ มีความรู้สึกว่าพ่อแม่เอาเขามาทิ้ง วิงวอนขอพ่อแม่ …

            “ไม่ไป”

            แล้วไปไหม? ไป เพราะแม่บังคับให้ไป เหมือนไหมล่ะ แล้ววันรุ่งขึ้น ไม่ไปๆ ไม่รู้กี่วัน? แต่ในที่สุด เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะรู้ ถ้าวันนั้น ไม่ไป แล้วพ่อแม่บอกไม่ไปก็ไม่ไป ช่างมัน ป่านนี้จะเป็นอย่างไร? นี่แหละ เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ความมั่นใจในความชอบธรรมของเรา ที่ไม่มีความกลัวและฟ้องผิดในใจ เป็นสิ่งสำคัญมาก ใน 1 ยอห์น 5:14-15 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า

        1 ยอห์น 5:14-15 “14 นี่คือความมั่นใจที่เรามี เมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า คือถ้าเราทูลขอสิ่งใด ที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเรา 15 และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่าจะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์”

            “จะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์” ถ้าเผื่อมันเป็นไปตามน้ำพระทัย  เห็นไหม? เพราะในบริบทนี้ มันเป็นตรงนี้ ถ้าเราเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็จะรู้ว่าเราขออะไร ก็ได้หมดแหละ แต่ได้ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหมาย คาดคิดนะ อาจจะได้ในวันเวลาที่เราไม่ได้กำหนดไว้ให้พระเจ้า  สมมติว่าเราบอกว่าสิ้นเดือนนี้ พระเจ้าอาจจะให้เรา 10 ปีข้างหน้าก็ได้ ดีกว่า อะไรแบบนี้

            ข้อความเมื่อสักครู่นี้ ไม่ได้พูดถึงเรื่องการได้รับการโปรดปรานจากพระเจ้าว่าพระเจ้าบอกว่า …

            “ดีมากเลย เธอทำอย่างนี้ดี ฉันเลยให้เธอ”

            ไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ที่มาจากการกระทำของตัวคริสเตียนเอง การกระทำ ยกตัวอย่างเช่น อย่างที่ตะกี้นี้บอก พระเจ้าไม่ใช่มองเรา แล้วมีความโปรดปรานให้เรา ในสิ่งที่เราทูลขอ เพราะว่าเรารบเร้า ร้อนรน ทูลขอไม่หยุดเลย ด้วยความเชื่อ ด้วยความต้องการของเรา  อธิษฐาน อดอาหารไม่หยุดหย่อน ที่เขาเรียกว่าเขย่าบัลลังก์พระเจ้า  อธิษฐานโต้รุ่งเลย มันไม่ใช่ เพราะเป็นอย่างนั้น แต่มันเป็นการดำเนินชีวิต ตามความจริงในจิตวิญญาณของเราว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ชีวิตของพระคริสต์ดำเนินอยู่ในเรา ทุกวันนี้ เราเดินไป ทุกลมหายใจเข้าออกของเรา นั่นคือชีวิตของพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น อะไรที่ทำไปแล้ว รู้สึกว่าไม่เป็นที่พอใจของเรา แต่ให้เราแน่ใจว่าพระคริสต์นำพาเราอยู่ ทุกสิ่งที่เราทำ ถ้าไม่ใช่การทำบาป  เป็นการกระทำภายใต้การนำของพระคริสต์ทั้งสิ้น เราต้องเชื่อตรงนี้ เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว

            ถ้าเรากำลังทำอาหารให้ลูก ให้สามี ดูแลบ้าน ดูแลทุกสิ่งอย่างนี้ เรากำลังทำในนามของพระคริสต์  ไม่ใช่ว่าเราต้องมาโบสถ์ มาประกาศข่าวประเสริฐ ไปช่วยประกาศข่าวประเสริฐ เราถึงจะทำเพื่อพระคริสต์ ไม่ใช่ ทุกลมหายใจเข้าออก แม้กระทั่งนอนหลับ เรานอนหลับ เราก็ทำในนามพระคริสต์ กำลังให้พระคริสต์ทำ ให้ใช้ร่างกายของเรา ยกเว้น ตอนที่เราทำบาป ตอนที่เรากำลังอิจฉา ริษยา โกหกเขา เรากำลังทำตามระบบของโลกนี้ ไม่ได้ตามพระคริสต์ เราถูกล่อลวงออกไป  แต่ถ้าเรากำลังเดินผิวปากอยู่ เรากำลังผิวปากในนามของพระคริสต์

            และพระองค์ประสงค์สิ่งใด น้ำพระทัยของพระองค์เป็นเช่นใด วิญญาณข้างในของเราก็ประสงค์สิ่งนั้น  นี่ข้อความตรงนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น  เพราะว่าเราเป็นเหมือนพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้น พระคริสต์ประสงค์สิ่งใด เราเป็นเหมือนพระคริสต์ เราก็ประสงค์สิ่งนั้นเหมือนกัน โดยมีความรักในใจ ที่พระเจ้าใส่ลงมา เป็นฐานให้เราดำเนินชีวิต เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เชื่อและวางใจในพระองค์เสมอ  ในทุกสถานการณ์ ด้วยความรัก โดยการสำแดงออก โดยการให้ออกไป เหมือนพระคริสต์ ดำเนินชีวิตอยู่ บนโลกใบนี้  เหมือนกัน คือเรากับพระคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ นั่งอยู่ขณะนี้ ก็นั่งอยู่ในพระคริสต์กับพระคริสต์ เป็นชีวิตของพระคริสต์ ไม่มีตรงไหนเลย ที่เป็นตรงกลางว่าท่านกำลังทำด้วยตนเอง ท่านกำลังทำด้วยพระคริสต์ ท่านก็ทำด้วยระบบของโลกนี้ กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ไม่มีตัวเองหรอก มีแต่พระคริสต์ เชื่อพระคริสต์ เชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในตัว หรือจะเชื่อระบบในโลกนี้ กระแสของโลกนี้ ความคิดเก่าๆ ความคิดของระบบโลกนี้ ที่ส่งมา จะเชื่อตรงไหนเท่านั้น ข้อ 23 ต่อมา …

        1 ยอห์น 3:23 “พระบัญชาของพระองค์ คือให้เชื่อในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และรักซึ่งกันและกันตามที่ทรงบัญชาเราไว้”

            พระบัญชาตรงนี้ หลายคนก็เข้าใจผิด นึกว่าพระบัญชานี่คือบทบัญญัติต่างๆ ที่ให้เราทำตาม  พระบัญชานี้ไม่ได้หมายถึงบทบัญญัติของโมเสส หรือกฎต่างๆ ที่ต้องทำตาม ที่พระเจ้าวางไว้ ตอนนี้ไม่มีกฎระเบียบอีกต่อไป ให้ทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แต่สิ่งที่พระเจ้าพระบิดาต้องการอย่างเดียว คือต้องการให้เราวางใจ เชื่อในพระบุตร พระเยซูคริสต์เท่านั้น นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ เพราะว่าเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้มนุษย์หรือเรานั้น ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมตามที่พระองค์ต้องการได้ และทำให้เราสามารถรักซึ่งกันและกัน ในฐานะพี่น้องในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์

            การรักษาบัญญัติในข้อพระคัมภีร์นี้ คือรักษาความจริงตรงนี้ไว้ในใจว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ด้วยความเชื่อในใจว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ฉันอาศัยอยู่ และดำเนินชีวิตอยู่ในความรักเหมือนพระคริสต์แล้ว”

            ตรงนี้ต่างหากที่ให้เราเก็บรักษาไว้ นี่คือความจริง อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่ารักษาไว้ ด้วยความคิดใคร่ครวญถึงข้อความเหล่านี้ อยู่เสมอๆ ถ้าฟังถ้อยคำพระเจ้าที่ไม่ตรงกับความจริงตรงนี้ เป็นข้อความที่แย้งเข้ามา ต้องอย่าฟัง ถ้าฟังไปแล้ว มันจะไขว้เขว ทำให้เราไม่มั่นใจในสิ่งที่เป็นความจริงตรงนี้ต่างหาก 1 เปโตร 4:8 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ …

        1 เปโตร 4:8 “เหนือสิ่งอื่นใด จงรักกันอย่างลึกซึ้ง เพราะความรักลบความผิดบาปมากมายได้ โดยการให้อภัย”

            ตรงนี้กำลังบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา ก็คือเมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ นอกจากเราจะเป็นวิญญาณเดียวกันแล้ว เรายังเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจในวิญญาณของเรา ชีวิตของเราจึงเป็นความรัก ดำเนินชีวิตด้วยความรัก โดยธรรมชาติ เราจึงอภัยให้กันและกัน แบบเสมอ ไม่มีความโกรธ เกลียดอยู่ในวิญญาณอีกเลย แม้แต่นิดเดียว 1 ยอห์น 3:24 สุดท้าย …

        1 ยอห์น 3:24 “ผู้ใดเชื่อฟังพระบัญชา ผู้นั้นก็อยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่ในผู้นั้น เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา คือเรารู้โดยพระวิญญาณ ที่พระองค์ได้ประทานแก่เรา”

            เห็นไหมว่าอาจารย์ยอห์นเน้นตรงนี้อีกแล้ว ว่านี่คือสถานะทางวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียนจริงๆ แท้ๆ สถานะทางวิญญาณ เป็นอย่างนี้ “เชื่อฟังพระบัญชา” คือวางใจในพระเยซู คนที่เป็น คริสเตียนเชื่อฟังพระบัญชา คือเขาวางใจในพระเยซู เพราะว่าพระบัญชา คือจงวางใจในพระบุตร และรักซึ่งกันและกัน  พระบัญชา หรือกฎระเบียบ คำสั่งของพระเจ้า สำหรับคริสเตียน  ก็คือวางใจในพระเยซู จงวางใจในพระบุตร และดำเนินชีวิตด้วยความรักซึ่งกันและกัน เชื่อฟังพระบัญชา คือวางใจในพระเยซู และดำเนินชีวิตอยู่ในความรักของพระคริสต์  เป็นความรักที่เหมือนพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น เราสามารถขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอๆ ได้ว่าขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกนี้  เราอยู่ในพระคริสต์ พระองค์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์เป็นความรัก และเราก็เป็นความรักเหมือนพระองค์เลย ต้องมั่นใจตรงนี้ให้ได้ พระองค์เป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อม บริสุทธิ์ เราก็เหมือนพระองค์ คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเช่นเดียวกันกับพระองค์ พระองค์ได้เริ่มต้นการงานดีในชีวิตของเราเรียบร้อยแล้ว  คือให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระองค์ ตอนที่เราเปิดใจต้อนรับเชื่อพระเยซู พระองค์ได้เริ่มต้นการงานดีในเราเรียบร้อยแล้ว พระองค์สัญญาว่าจะกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จในชีวิตของเรา คือเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา ทั้ง 3 พระภาคเลย แล้วก็ดำเนินชีวิตไปกับเราทุกลมหายใจเข้าออก พระองค์จะกระทำชีวิตเราให้สำเร็จ โดยดี ตามแผนการของพระองค์ที่วางไว้ สำหรับเราในแต่ละคน ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไร เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร? เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เรารู้ว่าพระองค์ทรงวางแผนการที่ดีไว้ สำหรับเราเรียบร้อยแล้ว โดยการเข้ามานำชีวิตของเรา แล้วพระองค์ทรงสัญญาว่ามันเป็นแผนการที่ดีที่สุด และเราเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงกระทำได้สำเร็จ จนกว่าจะถึงวันนั้น วันนั้น คือวันแห่งชัยชนะ วันแห่งการสิ้นสุด การดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ก็คือวันที่วิญญาณเราออกจากร่าง ได้รับร่างกายใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และครอบครองโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เอเมน

            เพราะฉะนั้น จิตใต้สำนึกของท่าน คิดเหมือนอย่างนี้หรือไม่? จิตใต้สำนึกของท่าน ควรจะคิดแบบนี้แหละ  พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! จงมองให้เห็นเถิด! “ความรักของพระคริสต์ได้ท่วมท้นอยู่ในใจของท่านแล้ว”

            เอเฟซัส 3:16-19 … “16 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าจากความไพบูลย์อันทรงเกียรติสิริของพระองค์ ขอให้พระองค์ทรงทำให้ท่านเข้มแข็งขึ้นด้วยฤทธานุภาพผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ภายในท่าน  17 เพื่อพระคริสต์จะสถิตในใจของท่านโดยทางความเชื่อ  และข้าพเจ้าอธิษฐานว่าเมื่อท่านหยั่งราก และตั้งมั่นคงในความรักแล้ว 18 ตัวท่านพร้อมกับประชากรทั้งหมดของพระเจ้า จะได้สามารถหยั่งถึงความรักของพระคริสต์ว่ากว้างยาวสูงลึกปานใด 19 และซาบซึ้งในความรักนี้ ซึ่งเหนือกว่าความรู้ เพื่อท่านจะบริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า”

            คริสเตียนผู้เชื่อได้รับความรักจากพระเจ้าแล้ว เพื่อส่งต่อให้ผู้อื่น ไม่ใช่พยายามรักผู้อื่นด้วยตัวเราเอง แต่เราเป็นผู้ที่ได้รับความรัก

จากพระเจ้า เข้ามาในวิญญาณและใจ และปล่อยให้ความรักที่อยู่ภายในนั้น ไหลผ่านออกมาเป็นการกระทำผ่านทาง การสั่งการของความคิดจิตใจที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นความคิด ที่เหมือนพระคริสต์เหมือนพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น ความคิดจิตใจที่ได้รับอิทธิพลการเปลี่ยนแปลง เป็นความคิดเดียวกันกับพระเยซูคริสต์มากเท่าไหร่ เราก็สามารถปลดปล่อยให้ฤทธิ์อำนาจความรักของพระเจ้าหลั่งไหลออกมา สั่งการบงการให้ร่างกายอวัยวะทุกส่วน สำแดงความรักของพระเจ้าที่เป็นความรักแท้นี้ออกไปในการดำเนินชีวิต ได้มากเท่านั้น

            ปัญหา คือแทนที่เราจะเป็นฟองน้ำซึมซับรับเอาความรักจากพระเจ้า เรากลับไปเป็นหนูถีบจักรที่จะปั่นเอาความรักแบบพระเจ้าออกมา ด้วยการพึ่งพาตนเอง ซึ่งเป็นภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย

            เคล็ดลับ คือให้ความคิดจิตใจของเราที่เหมือนแก้วน้ำ ได้ถูกเติมเต็มด้วยความรักของพระเจ้าในพระคริสต์เติมได้มากเท่าไหร่ ก็สามารถเทออกไปได้มากเท่านั้น

            อย่าลืมว่าเราเป็นเพียงแค่ภาชนะให้พระเยซูคริสต์ใช้งาน อย่างนี้หายเหนื่อยและเป็นสุข

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1490

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  ตุลาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 9 “คริสเตียนที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 9 ชื่อเรื่องว่า “คริสเตียนที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ”

            “ฉันได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ” ต้องว่าจริงๆ เพราะว่ามันมองไม่เห็น  เราต้องบอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ ไม่ต้องรอให้ตายแล้วค่อยเป็น ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว เราได้เรียนรู้มา

            สรุป เราได้เรียนรู้อะไรมาบ้างแล้วในหนังสือ 1 ยอห์น 8 ตอนแล้ว เราได้เรียนรู้ว่าเริ่มต้น ยอห์นได้เป็นพยานเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์  เพื่อเป็นพยานให้กับคนที่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ ที่อยู่ท่ามกลางคริสตจักร ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย  ท่ามกลางคริสเตียน  นึกว่าตัวเองเป็นคริสเตียน   อ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียนด้วย   คือพวกนอสติก พวกเชื่ออะไรแปลกๆ ข่าวดี แต่ไม่เหมือนกับข่าวดีจริงๆ  แต่เป็นเรื่องของพระเจ้า ซึ่งอาจารย์ยอห์น ก็เลยเขียนมาแย้งให้เขาได้รู้ความจริง และเป็นพยานด้วยว่าสิ่งที่คุณเข้าใจผิดจริงๆ มันคืออะไร?  เพราะว่าอาจารย์ยอห์นเดินกับพระเยซูมาตั้งแต่บนโลกใบนี้ ตอนที่พระองค์ยังไม่ถูกตรึงบนไม้กางเขน จนกระทั่งถูกตรึง และเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว อาจารย์ยอห์นก็ยังเดินอยู่กับพระองค์อยู่ตอนนั้น ถึง 40 วัน จึงเป็นพยานว่าพระเยซูเป็นพระเมซิยาห์จริงๆ

            และขณะเดียวกันก็ชี้ให้คริสเตียน ที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ ในขณะนั้น  ได้รู้ถึงสถานะของตนเอง ในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อในพระเมซิยาห์ พระเยซูคริสต์ ตอนนี้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในขณะเดียวกัน คือชี้ให้เห็นถึงทั้ง 2 ฝ่าย ในโลกฝ่ายวิญญาณว่าคนที่ไม่เชื่อ ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนที่แท้จริง เขาเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ และคนที่เชื่อพระเจ้าจริงๆ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ นั้น เป็นลักษณะอย่างไรในโลกวิญญาณ

            ยอห์นไม่ได้มาเขียนหนังสือ 1 ยอห์น เพื่อที่จะมาสอนให้คริสเตียน หรือคนที่ไม่ใช่คริสเตียนประพฤติ หรือกระทำสิ่งที่ดีๆ เพื่อที่จะได้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า  ไม่ได้มาสอนให้กระทำ  ไม่ได้มาสอนให้ทำดี พูดง่ายๆ  แต่มาประกาศข่าวดีว่าพระเยซูคริสต์ทำอะไรบ้าง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ ซึ่งเราเรียกกันว่าข่าวดี ข่าวดี คือท่านไม่ต้องทำอะไรเลย  พระเยซูคริสต์กระทำให้สำเร็จ ทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ  มันบังเกิดขึ้น เพียงแต่ท่านเดินเข้าไปรับสิทธิของท่านเท่านั้น นี่คือหัวใจของการเรียนรู้ 1 ยอห์น และหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม และทุกเล่ม  เป็นอย่างนี้

            ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? สรุป ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ  พระเมสิยาห์ คือพระคริสต์ คือพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเจ้าที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์  มาช่วยเหลือมนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป  ที่อยู่ในความบาป ที่เป็นคนบาป  ไม่มีคนไหนเลยที่ไม่ได้เป็นคนบาป ทุกคนเป็นคนบาปหมด  พระเจ้าสงสารและเห็นใจ และรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ชื่อพระเยซูคริสต์ สัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด ตั้งหลายพันปีแล้ว ให้ชื่อว่าพระเมสิยาห์  ให้รอคอยพระเมสิยาห์  พระเมสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่เป็นมนุษย์ เพื่อว่าจะเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง เพื่อจะได้เป็นแพะรับบาปให้มนุษย์ทั้งปวง  เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ จึงสามารถไถ่มนุษย์ได้  ด้วยพระโลหิตของพระองค์ที่บริสุทธิ์ เนื่องจากพระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่มีเชื้อบาปในพระองค์เลย  เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่มีบาปเลย พระองค์จึงสามารถเป็นตัวแทนของมนุษย์ เป็นแพะผู้รับบาปให้กับมนุษย์ ที่เป็นคนบาปอยู่ ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ นี่คือหัวใจของข่าวดี มีแค่นี้

            แล้วพวกนอสติก พวกนอกรีตที่มีความเชื่อแบบแปลกๆ ก่อนหน้านั้น  หรือขณะนั้น  ที่เป็นความเชื่อในข่าวดี ข่าวดีของเขาแย้งกับหัวใจของข่าวประเสริฐเมื่อตะกี้นี้ ที่ผมอธิบายสรุปรวมไว้ว่าเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นมนุษย์จริงๆ  100% พระคัมภีร์บอกตัวเองเป็นคนบาป ไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกทุกคนทำบาป เพราะข่าวดีของเขา เป็นข่าวดีปลอม เขาเชื่อแบบผิดๆ เพราะพวกนอสติกเขาเชื่อว่าทำอะไรก็เป็นบาปทั้งนั้น  มนุษย์ไม่มีทางทำบาปเลย แล้วพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้หรอก  เพราะสกปรก สิ่งที่มนุษย์ทำไป พระเจ้าไม่ได้คิดเป็นบาปเลย  แต่จริงๆ คือมันเป็นบาป นี่คือข้อแย้งที่ยอห์นได้มาประกาศให้กับพวกเขาได้รู้ ได้เข้าใจถึงความจริงของข่าวประเสริฐ  แล้วก็บอกว่าถ้าพวกท่านที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์  เพียงแค่เปิดใจนะ ยอมสารภาพ ยอมจำนนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ  และมาช่วยฉันที่เป็นคนบาปจริงๆ  และฉันขอสารภาพว่าฉันเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ขอพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงประทานให้นั้น  มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประจำตัวของฉัน  แค่นั้นเอง ท่านก็ได้รับอภัยโทษความบาปผิดทั้งสิ้น และได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทันที  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ท่านก็ได้มาเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อมพ้นจากบาปทั้งปวง เกิดขึ้นทันทีเลยเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และต้อนรับข่าวประเสริฐ ซึ่งพระองค์กระทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขนนั้น แค่เปิดใจเท่านั้น

            นี่คือสรุปรวม  เพื่อว่าในขณะที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่านก็ได้เป็นลูกพระเจ้าเลย  เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ไม่มีบาปอีกเลย ทั้งวิญญาณและจิตใจเป็นเหมือนพระคริสต์เลย นี่ชี้ให้คนที่เป็นคริสเตียนแล้วได้รู้ว่าท่านเป็นขณะนี้เลย  อย่าให้ใครหลอกท่านว่าท่านยังไม่เป็น ท่านต้องกระทำอะไรบ้าง เพื่อให้ท่านสนิทกับพระเยซูคริสต์มากๆ เพื่อที่พระเจ้าจะได้รักท่านมากๆ  ท่านจะได้ไปสวรรค์เมื่อตายไปแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น อย่าถูกหลอก ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านบังเกิดใหม่ทันที  ณ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ณ บัดนาว  ท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วทันที  และอธิบายให้ฟังว่าโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น ท่านสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์เลยทันที และพระเจ้า 3 พระภาค ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่านได้  ท่านและพระเจ้า และพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคได้เป็นหนึ่งเดียวกับท่าน ชีวิตท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน แค่นี้เอง แล้วบอกว่าการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ก็เพียงแค่รอคอยเท่านั้นเอง รอคอยวันที่จะพบกับพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  คือรอคอยวันที่จะจากโลกนี้ไป เพื่อเปลี่ยนร่างกายใหม่ เพื่อเป็นร่างกายที่เป็น เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายสวรรค์ เพราะขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านที่เชื่อ เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้วในโลกวิญญาณนั้น วิญญาณท่าน ใจท่านใหม่เอี่ยม  พระเจ้าทรงประทานให้ตั้งแต่วันที่ท่านรับเชื่อ เป็นวิญญาณและใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว บริสุทธิ์แล้ว ร่างกายท่านถูกชำระแล้วก็จริง แต่เป็นร่างกายเดิม  มันต้องตาย มันต้องสูญสิ้นไป เพื่อได้รับร่างกายใหม่ เพื่อว่าวิญญาณ และใจใหม่ที่บริสุทธิ์  สะอาดนั้น จะได้สวมกับร่างกายที่เหมาะสมกับเขา  ก็คือร่างกายนิรันดร์ ร่างกายแบบสวรรค์ เหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้น จากความตาย ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์กระทำการงานเหล่านี้ให้กับท่าน ท่านดำเนินชีวิตบนโลกนี้  ท่านก็รอคอยตรงนี้เอง นี่คือบทสรุปรวมของข่าวประเสริฐเหล่านี้ และข้อมูลที่อาจารย์ยอห์นได้เขียนข้อพระคัมภีร์นี้ โดยสรุปให้ฟังเท่านั้นเอง แล้วบางคนก็บอกว่า …

            “อ้าว! ถ้าเป็นอย่างนั้น เราบริสุทธิ์สะอาด แล้วทำไมเรายังทำบาปอยู่”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่า … “ไม่มีทำบาปแล้ว ไม่ต้องกลัว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด หมดจด ทั้งวิญญาณและจิตใจแล้ว ร่างกายได้ถูกชำระแล้ว พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่านแล้ว ท่านไม่ต้องกลัว ถ้าท่านผิดบาปไป ก็ได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว โดยโลหิตพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และพระองค์ทรงอธิษฐานแก้ต่างให้ท่านอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ในขณะนี้ว่าท่านบริสุทธิ์”

            “อ้าว! แล้วทำไมเรายังทำบาป”

            ท่านทำบาป เพราะว่าถูกล่อลวง โดยภายนอก ก็คือคนรอบตัวท่าน ระบบของโลกนี้ ซึ่งปกคลุมไปด้วยอิทธิพลของความบาป ความตาย ระบบของโลกใบนี้ คือกฎของความบาปและความตายคงอยู่ มันมีอิทธิพล มากระตุ้น มาล่อลวงให้ท่านคิดตามมัน แล้วก็เชื่อตามมัน ที่ก่อนนี้ ก่อนเชื่อพระเจ้า แล้วก็หลงพลาดไปทำ ตามความเคยชินเดิม  เรียกว่าทำตามมัน ทำบาป

            เพราะฉะนั้น ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านสะอาดบริสุทธิ์  หมดจดแล้ว ทั้งตัวท่าน  แต่ท่านยังทำบาปจริงๆ  สรุปแล้ว คริสเตียนทำบาปไหม?  ทำ เราก็ยังทำบาปอยู่ แต่พวกนอสติกบอกว่าไม่แล้ว เราทำอะไร ก็ไม่บาปทั้งนั้น  ใครบอกล่ะ เป็นคริสเตียนก็ยังทำบาปอยู่ แต่เราทำบาปไป เพราะเราพลั้งพลาดไป เผลอไป เชื่อการหลอกลวงของอิทธิพลของโลกใบนี้ ซึ่งเรียกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังต่างหาก ไม่ใช่ตัวเราทำ  ไม่ใช่ความคิดของเรา ความคิดของเราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ในขณะนี้  แต่ความคิดสกปรก ความคิดที่จะไปทำบาปนั้น มันความคิดจากข้างนอกเข้ามา มันไม่ใช่ความคิดของฉัน  ต้องยืนยันตามนี้ ต้องมั่นคงตามนี้

            อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็น จึงบอกว่าคริสเตียนจะไม่ทำบาปเลย  เพราะว่ามีเชื้อของพระเจ้า  เกิดจากหน่อเชื้อของพระเจ้า เกิดจากพระเจ้า เกิดจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาด และดีพร้อมแล้ว  ไม่มีทางทำบาปเด็ดขาด เอเมน เราต้องเอเมน ไม่อย่างนั้นมันก็จะมาหลอกเราอยู่เรื่อยๆ

            นี่คือความจริงที่อาจารย์ยอห์นพยายามชี้ให้เห็นทั้ง 2 ฝั่ง คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่อพระเยซูจะเป็นฝั่งตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมดเลย

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรได้รับการสอนอย่างไร? ถ้าตรงนี้ที่ผมพูดเป็นความจริงในพระคัมภีร์ คริสเตียนควรได้รับการสอนให้รับรู้ว่าเขาได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ใช่หรือไม่?  เขาควรจะได้รับรู้และเรียนรู้ว่าเขาเป็นใครแล้ว เขาได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เดี๋ยวนี้ ขณะนี้นะ  ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ทันที เรียนรู้ยิ่งเยอะ ยิ่งดี ไม่ใช่ให้เขารับการสอน และเรียนรู้ว่าเขาต้องประพฤติตัวอย่างไร?  จะต้องรักษาความรอดที่ได้มาจากพระเจ้าอย่างไร?  จะต้องทำตัวอย่างไรถึงจะได้ไปสวรรค์กับพระเจ้า? จะต้องทำตัวอย่างไรถึงจะได้เป็นลูกของพระเจ้าตลอดไป? อยู่กับพระเจ้าตลอดไปได้?  จะต้องทำตัวอย่างไรถึงไม่สูญเสียความรอดในอนาคต ไม่ใช่ เขาควรจะเรียนรู้ว่าเขาได้เป็นใครแล้วในโลกวิญญาณ  ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ที่พระเจ้าทรงรักเขาดังแก้วตาดวงใจแล้วขณะนี้ บนโลกใบนี้  และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ต้องเรียนรู้ตรงนี้เยอะๆ ไม่อย่างนั้น ก็ถูกหลอกให้ไขว้เขว

            ครั้งที่แล้ว หลังจาก 8 ตอนแล้ว เราจบลงที่ 1 ยอห์น 3:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้  เพื่อเราจะได้ต่อเนื่องวันนี้ได้ …

        1 ยอห์น 3:9-10 “9 คนที่เป็นคริสเตียนได้บังเกิดใหม่ จากหน่อเชื้อของพระเจ้าบริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย จึงไม่มีทางทำบาป ตามธรรมชาติเลย นอกจากพลาดพลั้งถูกหลอก 10 ด้วยเหตุนี้แหละ  ใครเป็นลูกของพระเจ้า และใครเป็นลูกของมาร ก็จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือคนที่ฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม  ตามที่วิญญาณภายใน ได้เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะรักพี่น้องในพระคริสต์ รักพระคริสต์ เพราะอยู่ในครอบครัวฝ่ายวิญญาณเดียวกัน ได้บังเกิดใหม่จากหน่อเชื้อของพระเจ้า ตรงกันข้ามกับผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนประพฤติความชอบธรรม เพราะวิญญาณภายใน ไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรม แต่เป็นลูกหลานของมาร ก็จะเกลียดชังคริสเตียน และปฏิเสธไม่รักพระเยซูคริสต์ เพราะยังเป็นคนบาปยังไม่ได้เกิดใหม่จากพระเจ้า ยังฝึกฝนความบาป”

            ยอห์นชี้ให้เห็นถึงในโลกวิญญาณ ผู้ที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ กับผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันอย่างขาวกับดำ ไม่มีคริสเตียนที่เทาๆ คือคริสเตียนที่ทำดีตั้งเยอะเลย แต่ทำบาปบ้าง ไม่มี คริสเตียนจะไม่ทำบาปเลย เพราะเป็นหน่อเชื้อ เกิดจากพระเจ้านั่นเอง  แตกต่างกันสิ้นเชิง  เพราะว่าคริสเตียนบังเกิดจากวิญญาณของพระเจ้า  แตกต่างกับผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน  ยังไม่ได้บังเกิดจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น คนละขั้วเลย บังเกิดจากวิญญาณของพระเจ้า  หรือยังไม่เกิดใหม่จากพระเจ้า  แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย คือขาวกับดำ คริสเตียนอยู่ในความสว่าง อยู่ในความรัก อยู่ในความชอบธรรม อยู่ในความจริง ไม่เป็นคริสเตียน วิญญาณอยู่ในความมืด อยู่ในความเกลียดชัง อยู่ในความบาป  อยู่ในความมุสา การโกหก ชัดเจน

            วันนี้เรามาต่อตอนที่ 9  ต่อจากครั้งที่แล้ว 1 ยอห์น 3:11-12 …

        1 ยอห์น 3:11-12 “11 นี่เป็นข้อความที่ท่านทั้งหลายได้ยินมาตั้งแต่แรก คือเราควรรักซึ่งกันและกัน 12 อย่าเป็นเหมือนคาอิน ผู้เป็นฝ่ายมาร และฆ่าน้องชายของตน ทำไมเขาจึงฆ่าน้อง ก็เพราะการกระทำของตนชั่วร้าย และการกระทำของน้องชอบธรรม”

            จำไว้ว่าพื้นฐานการเรียนรู้ ก็คือไม่ได้มาสอนให้ท่านทำ ตรงนี้อ่านแล้ว ชอบคิดว่าเรากำลังมาสอนให้เรารักซึ่งกันและกัน ไม่ได้มาสอนให้เรารักกันและกัน แต่มาบอกเรา มาชี้ให้เราได้เห็นว่าขณะนี้ วิญญาณเราเป็นอะไร?  วิญญาณของเราอยู่ในฝั่งรักซึ่งกันและกัน รู้จักกัน เป็นพี่น้องในพระคริสต์ วิญญาณบาปก็จะเกลียดชัง ต่อต้าน เป็นศัตรูกับวิญญาณชอบธรรม

            ตะกี้นี้ที่อ่าน 2 ข้อนี้  ก็คือวิญญาณที่บาป จะเกลียดชัง ต่อต้าน เป็นศัตรูกับวิญญาณชอบธรรม ของผู้ที่ชอบธรรม พูดง่ายๆ ความมืดเป็นศัตรูกับความสว่าง ชัดเจน คือขโมย ฆ่าและทำลาย ซึ่งเป็นของความมืด เป็นของมาร ต่อสู้ เป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับผู้ที่อยู่ในความสว่าง คือการให้ ความรัก และการเสริมสร้าง นี่ไม่ได้ชี้ให้ท่านไปทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น  ไม่ได้มาสอนท่านต้องทำตัวอย่างไร? ให้เป็นความรัก ไม่เกลียดชังคนอื่น เปล่า กำลังมาบอกสภาวะของวิญญาณของท่าน มันเป็นจริงๆ วิญญาณของท่านเป็นความรัก วิญญาณของท่านเป็นความสว่าง เห็นไหม?

            “โลก” ก็คือระบบของโลก คือระบบของคนบาป  ระบบของโลกที่ตกลงไปในความบาป  โลกเกลียดชังผู้ที่ถูกช่วยให้รอดจากบาปแล้ว เรียกว่าพวกคริสเตียน โลกเกลียดชังคริสเตียน โลกเป็นศัตรูกับพระเจ้า เพราะฉะนั้น ในโลกที่เรากำลังดำเนินอยู่นี้ ในโลกวิญญาณ จึงมีสงครามอยู่ เรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ ระหว่าง 2 พวก พวกหนึ่ง คือพวกที่เรียกว่าระบบของโลก  อีกพวกหนึ่งเรียกว่าพวกคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พวกหนึ่งเรียกว่าพวกมืด ต่อสู้กับที่เรียกว่าความสว่าง ผู้เชื่อหรือผู้ไม่เชื่อ ตรงกันข้ามกัน นี่เป็นความจริง เป็นสถานะในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้ เห็นไหม? ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการสอนว่าให้เราประพฤติตัวอย่างไรเลย ถ้าเราจับจุดความหมายผิดไป มันแปลผิด จะไม่เข้าใจเลย ตรงนี้สำคัญมาก ต่อไป 1 ยอห์น 3:13-14 …

        1 ยอห์น 3:13-14 “13 พี่น้องทั้งหลาย อย่าแปลกใจ ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่าน 14 เรารู้ว่าเราผ่านพ้นความตายเข้าสู่ชีวิต เพราะเรารักพี่น้องของเรา ผู้ใดไม่รัก  ผู้นั้นยังคงอยู่ในความตาย”

            พี่น้องทั้งหลาย ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ท่านไม่ต้องแปลใจเลยว่าโลกนี้ทำไมเกลียดชังท่าน ยิ่งอดีต ยิ่งชัดเจน ตอนที่เขียนอยู่นี้ คริสเตียนตอนสมัย 2,000 ปีก่อน ถูกข่มเหง ถูกเกลียดชังอย่างไม่มีเหตุผลมากมาย เยอะมากเลย ปัจจุบันก็มีเยอะแยะมากมายไปหมด ทั่วโลก  เขาเรียกว่าถูกข่มเหง ถูกรังแก ด้วยโลกนี้ ไปตามธรรมชาติวิญญาณ

            เรารู้ว่าเราพ้นจากความตาย พ้นจากอาณาจักรของความมืดนั่นเอง เรารู้ว่าโลกใบนี้มันเป็นความมืด เป็นความบาป อยู่ในระบบของคำสาปแช่ง ความบาปและความตาย  แต่เราเป็นคริสเตียน ถูกช่วยให้พ้นจากอาณาจักรของความมืดแล้ว อาณาจักรของความตายแล้ว เราเข้ามาสู่ชีวิตและแสงสว่างแล้ว เห็นไหม?  กำลังบอกคริสเตียนว่าตอนนี้เราอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในอาณาจักรของชีวิตแล้วนะ  เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่เป็นเครื่องหมายให้เราสังเกตได้ว่าเราอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในชีวิตหรือไม่? ก็คือให้เรารู้ว่าเราเป็นคริสเตียน บังเกิดใหม่แล้ว มีเครื่องหมาย คือเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรารักพี่น้องในพระคริสต์ รักคริสตจักร มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับพี่น้องในคริสตจักรทางวิญญาณ เรารักพระเยซูคริสต์ เอเมน

            นี่คือเครื่องหมายชัดเจน  เราอาจจะมองโลกวิญญาณไม่เห็น เราอาจจะมีความรู้สึกเฉยๆ หรือจับต้องอะไรไม่ได้เลย เรื่องความจริงเหล่านี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้รู้ ก็คือพอเรามาเป็นคริสเตียน เรารู้ว่าเราเริ่มต้นรักพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน พอรู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน รักแล้ว บางทีถูกหลอก ไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้หรอก พอบอกว่าเป็นคริสเตียน เราก็รักเขาแล้ว ขับรถผ่านไปที่ไหน แล้วเจอโบสถ์ เราก็รู้สึกว่าชอบใจ พอเราได้ยินเรื่องพระเยซูคริสต์ เราก็อยากฟังอีก ร้องเพลง เราก็นมัสการพระเยซูคริสต์อีก อะไรอย่างนี้  นี่คือเครื่องหมาย หลักฐานแรก  ที่ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ในความสว่าง เพราะเรารักพี่น้องของเรา  ผู้ใดที่ไม่รัก ผู้นั้นยังอยู่ในความตาย เห็นหรือยัง? ผู้ใดที่ไม่รักคริสเตียน ก็คือผู้ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นคริสเตียนในวิญญาณ เขายังอยู่ในโลกของความบาป ก็เป็นศัตรูต่อต้านกับความจริง คือคริสเตียนทั้งหลาย โดยไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความประพฤติเลย แม้แต่นิดเดียว ข้อต่อไป 1 ยอห์น 3:15 …

        1 ยอห์น 3:15 “ผู้หนึ่งผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้อง (ในพระคริสต์) ของตน ก็ย่อมเป็นผู้ฆ่าคน (ฆาตกร) และท่านทั้งหลายรู้แล้วว่าผู้ฆ่าคน ไม่มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในตัวเลย”

            “ผู้หนึ่งผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้อง” ก็คือผู้ที่อยู่ในโลก  คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาไม่มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในวิญญาณของเขา เขาไม่ได้เกิดจากเชื้อของพระเจ้า เขาไม่ได้เกิดจากเชื้อบริสุทธิ์ วิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า  เขาไม่มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าอยู่ในใจเขา ใจเขา จึงเป็นใจที่ไม่มีความรัก โดยธรรมชาติ ก็คือใจที่เป็นความเกลียดชัง  เป็นศัตรูกับพระเจ้า  และกับลูกของพระเจ้า บนโลกใบนี้ ก็คือเป็นศัตรูกับคริสเตียน เข้ากันไม่ได้นั่นเอง

            พระเยซูตรัสว่า “ในใจมีความเกลียดชัง ก็เท่ากับฆ่าคนตาย” ถ้าท่านโกรธ เกลียดใคร ก็เท่ากับท่านฆ่าคนตาย  พระองค์กำลังพูดถึงสภาพของวิญญาณว่าเป็นเช่นไร? ไม่ได้พูดถึงความประพฤติ ไม่ได้พูดถึงการกระทำ แต่กำลังจะบอกว่าวิญญาณเป็นลักษณะใด? วิญญาณในใจเป็นคนบาป ก็เป็นคนบาป ไม่มีบาปเล็ก หรือบาปใหญ่ ไม่เป็นบาป ทำเฉพาะแค่เกลียดชังเท่านั้น ไม่ใช่ พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าในใจเป็นบาปอยู่ มันจะมีความเกลียดชัง แล้วความเกลียดชังนั้น เท่ากับฆ่าคนตาย ก็คือเป็นคนบาปเท่านั้นเอง  ทั้งหมดเป็นความบาป ความประพฤติไม่ได้เกี่ยวข้อง  ส่วนจะประพฤติอย่างไร? หรือไปเกลียดเฉยๆ หรือไปถึงกระทั่งทำร้ายเขา หรือไปฆ่าคนตาย  ก็ขึ้นอยู่กับถูกล่อลวงมากขนาดไหน? ในขณะที่เป็นคนบาปอยู่นั้น

            วิญญาณ ใจเป็นคนชอบธรรม ก็เป็นคนชอบธรรม ไม่มีว่าเป็นคนชอบธรรมเล็กหรือชอบธรรมใหญ่  ไม่มี เมื่อใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมเท่ากันกับใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะเปิดใจมาแล้ว 20 หรือ 30 ปี เราเพิ่งเปิดใจเมื่อวานนี้ หรือเมื่อตะกี้นี้ มีค่าเท่ากัน เป็นผู้ชอบธรรมเท่ากัน ถามว่าอาจารย์บอกเท่ากับใคร? มีความชอบธรรมเท่ากับพระเยซูคริสต์ พอใจไหม? มีใครสูงกว่านี้อีกไหม? ไม่มีแล้ว

            เพราะฉะนั้น ท่านมาเชื่อพระเจ้า สมมติว่าตอนนี้ท่านยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวท่านฟังแล้ว ท่านรู้สึกว่า “มันเรื่องจริง ฉันเชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์” ท่านยอมสารภาพบาปว่าท่านเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ขอพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัวของท่าน พอท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณจะเข้าไปสถิตอยู่ในตัวท่าน  เข้าไปทำการบัพติศมาผ่าตัดวิญญาณท่าน ให้ท่านได้บังเกิดใหม่ เข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้า และกลายเป็นลูกของพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว และวิญญาณของคริสเตียนผู้เชื่อนั้น  จะเป็นความรัก เป็นชีวิตนิรันดร์ จากพระเจ้า ทันทีทันใดเลย จะเป็นชีวิตนิรันดร์ข้างในวิญญาณ และชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรัก เพราะฉะนั้น ท่านก็จะเป็นความรักทันทีในวิญญาณของท่าน

            เพราะว่าคริสเตียนเป็นความรัก เป็นอยู่ที่ไหน? ภายในใจของเขา เพราะฉะนั้น ความประพฤติบางครั้ง อาจจะไม่ตรงกับธรรมชาติ วิญญาณภายในก็ได้ ยังอาจจะมีความประพฤติที่เกลียด ไม่ชอบ โกรธ ซึ่งก็คือการทำบาป ยังทำอยู่ เพราะถูกล่อลวงจากอิทธิพลของบาปภายนอก ตัวท่าน มันส่งเข้ามาเป็นศัตรู อย่าตำหนิตัวเอง อย่าถล่มตัวเอง เพราะเรารู้ว่าเราเป็นคริสเตียน เป็นความรัก เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เรารู้แล้วอย่างนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ เราที่เป็นคริสเตียน เรารู้แล้วใช่ไหมตอนนี้ว่าความรักคืออะไร? คือตัวฉันที่เป็นอยู่ข้างใน ตัวฉันเป็นความรัก  และเราก็จะรู้ว่าความรักตรงนี้ ผู้ที่เป็นแบบอย่างให้กับเรา ก็คือพระเยซู เป็นตัวอย่างของความรักนี้ ความรักนี้ที่อยู่ในตัวเรา อยู่ในวิญญาณของเรา เป็นความรักที่เราไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ เป็นความรักที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความรักที่เสียสละเหมือนพระองค์

            และพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา ผู้เชื่อแล้ว ดังนั้น เราจึงเลียนแบบพระองค์ โดยรักพี่น้องที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ในวิญญาณ เหมือนอย่างที่พระคริสต์ได้ทรงรักเรา ต้องพยายามไหม? ไม่ต้อง ความรักอยู่ในตัวเรานี่แหละ เห็นหรือยัง? เหมือนพระเยซูที่รักเรา ก็สถิตอยู่ในเรา ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าให้เรายอมตาย เพื่อคนอื่น ให้เราสละชีวิตเพื่อคนอื่น พระเยซูคริสต์ยอมตายให้เราจริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้า แต่เราไม่ใช่พระเจ้า ตรงนี้ไม่ได้บอกให้เรายอมตาย

        1 ยอห์น 3:16 “เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร คือที่พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์ เพื่อเรา และเราควรสละชีวิตของเรา เพื่อพี่น้อง”

            คำว่า “เสียสละ” ตรงนี้ หมายถึงให้เรายอมฟังซึ่งกันและกัน ยอมจำนนต่อกันและกันด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เหมือนพระคริสต์ คือให้มีชีวิตอยู่ให้เห็นแก่ผู้อื่น เห็นคนอื่นดีกว่าตน หมายถึงตรงนี้ เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราไม่สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทำได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ 100% อย่างนี้หรอก แต่เราสามารถดำเนินชีวิต ฝึกฝนในการสำแดงความรักนี้ ออกมาจากวิญญาณของเราแก่ผู้คนรอบข้างได้ในทุกวัน ทุกเวลา ทุกเสี้ยววินาที ในการสำแดงความรักนี้ ในทุกสถานะ ไม่ว่าเราจะยากจน มี ไม่มีอย่างไร? ทุกข์หรือสุขอย่างไร? เราสามารถสำแดงความรักที่อยู่ข้างในนี้ออกมาได้ ในชีวิตของเราบนโลกในนี้ ซึ่งด้วยการเสริมกำลัง การนำ การช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสถิตอยู่ภายในเราตลอดเวลา คอยนำเรา ช่วยเราให้สำแดงความรักนี้ออกมา 1 ยอห์น 3:17-18 …

        1 ยอห์น 3:17-18 “17 คนใดที่มีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสน และกระทำใจแข็งกะด้าง ไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้า จะอยู่ในคนนั้นอย่างไรได้ 18 ดูก่อน  ลูกเล็กๆ ทั้งหลาย อย่าให้เรารักเพียงแต่ถ้อยคำและลิ้นเท่านั้น  แต่ให้เรารัก ด้วยการประพฤติ และด้วยความจริง”

            เมื่อกี้อาจารย์ยอห์นบอกแล้วว่าไม่ได้มาสอนให้เราประพฤติ มีทรัพย์สมบัติ แล้วให้พี่น้องที่ขัดสน อาจารย์ยอห์นกำลังจะชี้ให้เห็นความจริง ให้ใครเห็น? ให้คนที่แอบอ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียน เสแสร้งตัวเอง ก็คือพวกที่อยู่ท่ามกลางคริสเตียนแท้ทั้งหลาย  ก็คือพวกนอสติก พวกนอกรีต พวกที่เชื่อในข่าวดีแบบแปลกๆ ที่อาจารย์ยอห์นพูดถึงตั้งแต่เริ่มต้น 1 ยอห์น พวกนอสติก ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ผู้ที่เชื่อว่าตัวเองไม่เคยทำบาปเลยในชีวิต ในวิญญาณ ไม่ได้เป็นคนบาป พวกที่ยังคงเป็นศัตรูกับพระเจ้ากับคริสเตียน ในใจเกลียดคริสเตียน อยู่ตรงกันข้ามกัน แต่ภายนอก อยู่ต่อหน้า บอกว่ารัก ก็คือพวกไม่จริงใจ กำลังบอกพวกไม่จริงใจ จะมีลักษณะอย่างนี้ พวกที่ไม่จริงใจต่อคริสเตียน เพื่อหวังประโยชน์จากพวกคริสเตียน ที่หลงเชื่อ อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็น กำลังสอนให้ระวังพวกที่ไม่จริงใจ ที่จะเข้ามา เพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย คือใคร?

            ยกตัวอย่างในปัจจุบัน ถ้าในอดีต คือพวกนอสติก  พวกที่ไม่เชื่อพระเยซู เข้ามา เพื่อจะดึงคนที่เป็นคริสเตียนจริงๆ ไปเป็นสาวกของเขา ไปเชื่อในลัทธิเขา มาดึงออกไป พอดึงไม่ได้ ก็เลยออกจากคริสตจักรไป ไม่อยู่ด้วยกันกับพี่น้องคริสเตียนจริงๆ นี่พูดถึงตอนที่เราเรียนมาก่อนหน้านี้ 8 ตอน มาหลอกเขา เหมือนในปัจจุบันก็มี อย่างเช่น พวกที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  ก็เข้ามาหลอกว่าเขาเป็นคริสเตียนเหมือนกันนะ อาจจะเข้ามาสังสรรค์ สามัคคีธรรมกับเรา ทางร่างกาย เข้ามารู้จักมักจี่กับเรา เข้ามาในคริสตจักร มารู้จักกับเรา มาเยี่ยมที่บ้าน  อย่างเช่น พยานพระยะโฮวาห์ เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่เขาเข้ามา ก็บอกว่าเป็นคริสเตียนเหมือนกัน เริ่มมาคุยให้ฟัง อันโน้นอันนี้ แต่ทั้งหมด เขาต้องการล้างสมองเรา ให้เราไปเชื่อแบบเขา เพื่อดึงเราออกไปจากความเชื่อแท้ๆ ตรงนี้

            ลักษณะเดียวกัน มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ 2,000 ปี ข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเริ่มต้นใหม่ๆ แล้ว เหมือนพวกนอสติก เป็นต้น เขามา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย  เพราะในใจเขาเป็นอย่างนั้น เพราะในใจเขายังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์เลย  เพราะถ้าเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเมสิยาห์ เขาต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ แล้วตัวเองเป็นคนบาป ต้องพึ่งพาพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์เป็นผู้เดียวเท่านั้น พระนามพระเยซูคริสต์ เป็นพระนามเดียวเท่านั้น ที่ทำให้ผู้คนรอด ไปหาพระบิดาได้ พระเยซูตรัสไว้อย่างนั้น

            “เราเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น นอกจากเรา ไม่มีทางไปหาพระบิดาได้เลย”

            แต่เขาบอกว่าเขาไปหาพระบิดาได้ โดยผ่านทางอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ เขากำลังมาล้างสมองเรา ระวังให้ดี นี่พวกหน้าซื่อใจคดอย่างนี้ เป็นต้น เพราะในใจเขายังเป็นศัตรูกับพระเจ้า กับเรา คริสเตียน โดยธรรมชาติ ในใจเขายังเกลียดชังคริสเตียน ต่อหน้าบอกว่ารัก แต่เขาไม่จริงใจ ยังเสแสร้ง ระวังพวกที่ไม่จริงใจเหล่านี้

            เคยดูในยูทูปไหม?  ที่เขามีภาพ เรื่องจริงนะ เขาถ่ายไปในคริสตจักร ในโบสถ์  ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคริสเตียนเดินเข้ามา แล้วก็ไปอธิษฐานในวันธรรมดา ที่ไม่มีคนเยอะ  อธิษฐานด้านหน้า โดยวางกระเป๋าสตางค์ไว้ข้างหลัง เพราะว่าเขาไปในโบสถ์ พี่น้องคริสเตียนทั้งนั้น  เต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ วางกระเป๋าไว้ด้านหลัง แล้ววิ่งไปอธิษฐานด้านหน้า ตรงธรรมาส กล้องทีวีถ่ายไว้  ก็มีคนย่องมาหยิบกระเป๋า แล้วก็เดินไป  นี่มันเกิดขึ้นเยอะแยะ โบสถ์เรายังเคยเกิดขึ้นอย่างนี้เลย  เพราะฉะนั้น ก็ให้ระวังด้วย  เตือนในขณะนี้ เราระวังไหม? บอกให้ออกมาข้างหน้า วางไว้ตรงนั้นก็ได้  ระวังอาจจะหายไปก็ได้นะ ผมไม่รับผิดชอบ มันอย่างนี้ มันเรื่องจริง เราดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร? ถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริง ก็จะแสดงความรัก ความเมตตา ไม่ใช่เห็นด้วยตา หรือด้วยความประพฤติต่อหน้าอย่างเดียว คิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่าในใจเป็นอย่างไร?

            พยานพระเยโฮวาห์ นั่นคือตัวอย่างอันหนึ่งที่ชัดเจน เขามารักเรา ซื้อของมาฝากเรา ไปเยี่ยมบ้านด้วย ยิ่งป่วยอยู่ ไปเยี่ยมใหญ่เลย ไปเยี่ยมมากกว่าพี่น้องคริสเตียนที่อยู่ในโบสถ์จริงๆ ด้วยซ้ำไป แต่ทั้งหมดในการเยี่ยมเยือน การซื้อของไปฝากนั้น เพื่ออะไร? เพราะรัก ข้างในใจไม่ใช่ แต่มนุษย์ถูกหลอกได้ เพราะรัก แต่จริงๆ เปล่า เพราะต้องการจะเปลี่ยนความเชื่อเรา เปลี่ยนความคิดของเราเท่านั้น ให้เป็นสาวก ให้เชื่อเหมือนเขาเท่านั้น อันนี้ก็ชัด

            เอาชัดกว่านี้ คือนักการเมือง มาช่วยเยอะแยะ มาแจกของเยอะแยะ นักการเมืองดีๆ ก็มีนะ  แต่กำลังพูดถึง ท่านก็รู้แล้ว พูดแค่นี้

            ถ้าเราพูดถึงข้างนอก ยิ่งชัดเจน นักธุรกิจที่ไปบริจาคเงินเยอะแยะมากมาย เขากำลังทำอะไร? เขากำลังหาผลประโยชน์ แต่ปากบอกว่าฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่แค่กับนักธุรกิจอย่างเดียว กับพวกเราทุกคน ก็เกิดได้ กับคริสเตียนก็เกิดได้

            คริสเตียนบางคนเพิ่งกลับใจใหม่ เข้ามาทำดีกับพี่น้องเยอะแยะมากมายเลย  นี่เป็นคริสเตียนจริงๆ นะ เพราะถูกหลอกไง ถ้าเขาทำบาป  ก็แสดงว่าถูกหลอก แต่ทำไปทั้งหมด เพื่อจะสร้างเครือข่ายทำมาหากิน  การค้าขาย ขายตรง หาสมาชิก แต่ไม่ใช่ว่าคนที่ทำมาค้าขายต้องตกใจว่ากำลังฟ้องผิด มันขึ้นอยู่กับในใจของท่าน ท่านทำได้ ทำไปเถอะ มันไม่ได้อยู่ที่ภายนอก ที่มองเห็นอยู่ มันอยู่ที่ในใจ มันทำเหมือนกัน

            พี่น้องบางคนเขาเอาของมาขาย ไม่ผิด  การกระทำไม่ผิด อยู่ที่ใจของคุณ คุณคิดอะไรกับพี่น้องของเรา  คุณตั้งใจจะให้ของดีไหม? คุณตั้งใจจะช่วยเหลือใช่ไหม? คำว่า “ช่วยเหลือ” ไม่ใช่ว่าคุณจะมาแจกของฟรีตลอดเวลา ไม่ใช่ ถ้าท่านต้องขายของ ก็ขายไป แต่ในใจท่าน เป็นอย่างไร? มันสำคัญ ตรงนี้มากกว่าว่าในใจคุณต้องการประโยชน์ส่วนตนมากกว่า หรือต้องการช่วยเหลือเขามากกว่า จากใจที่เกิดใหม่ หรือจากใจที่ไม่ได้เกิดใหม่ จากใจที่ต้องการขโมย ฆ่า และทำลาย  หรือจากใจที่ต้องการให้ เป็นความรัก ซึ่งมันแตกต่างกัน เพราะถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริงแล้ว  การจะแสดงความรัก ความเมตตาต่อผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นคริสเตียนที่เรามีกำลังเพียงพอ  มีทรัพยากรเพียงพอ ที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ ความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเรา ควรจะสะท้อนออกมา ในรูปแบบของการกระทำ ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เห็นแก่ผู้อื่น มากกว่าเห็นแก่ตนนั่นเอง เห็นไหม? ทั้งหมดนี้อยู่ที่ในใจของใครของเขา ไม่ต้องมาแอบมองกันว่าคนนี้ทำอันนี้ ข้างนอกมันมองไม่เห็น

            การแสดงความรัก การแบ่งปันทรัพยากร หรือของต่างๆ ให้กับผู้ที่ขัดสน เป็นการแสดงออกถึงความรักที่แท้จริง  ที่เรามีต่อพระเจ้า ต่อเพื่อนมนุษย์ และการแสดงความรักนี้ เป็นผลของการที่เรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ต่างหาก ซึ่งเป็นอิสระ ไม่ได้ถูกบังคับ  คริสเตียนมีธรรมชาติเป็นความรักเหมือนพระเจ้า ความรัก คือการให้ ในวิญญาณจึงหมั่นฝึกฝนความรักนี้  ฝึกฝนการมีเมตตาในการให้ออกไปจากใจ ที่เต็มไปด้วยความรัก ที่มีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่ด้วยการฝืนใจ แตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากอดีตของเรา ซึ่งเป็นคนบาป มีธรรมชาติเป็นความโลภ เห็นแก่ตัว หมั่นฝึกฝนความโลภในใจ การเอาเปรียบผู้อื่นอย่างแยบยลจากใจเช่นเดียวกัน แยบยลเหมือนกัน แต่แยบยลในทางมืด พระเจ้าดูที่ไหน? พระเจ้าดูที่ใจ เราสามารถหลอกมนุษย์ได้  แต่หลอกพระเจ้าไม่ได้  เพราะพระเจ้าดูที่ใจ เราสามารถทำบาปที่ดูดีในสายตามนุษย์ได้

            บาปที่ดูดีในสายตามนุษย์ ยกตัวอย่าง เช่น บริจาคเงินมากมายด้วยความโลภ ความเย่อหยิ่งในใจ ต้องการชื่อเสียง ต้องการผลประโยชน์ เพราะการทำบาปในสายตาพระเจ้า มีทั้งแบบภายนอกดูดีกับบาปที่ภายนอกดูไม่ดี พระเจ้ามองแล้วเป็นบาปไม่ดี มนุษย์มองก็ไม่ดีด้วย มันมีทั้งบาปที่ดูดีและดูไม่ดี แต่ทั้ง 2 อัน ก็เป็นบาปทั้งคู่ และใครรู้? พระเจ้ารู้ และใครรู้อีกถ้าเป็นคริสเตียน? ตัวท่านเองต้องรู้ เมื่อท่านนึกถึงเรื่องนี้เมื่อไร? ท่านจะรู้ว่าสิ่งที่ท่านทำไป มันจริงใจไหม? มันใช่ไหม?

            พระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา จะช่วยเราฝึกฝนเรา ให้รู้จักสังเกตและแยกแยะภายในใจของเราว่าอะไรที่มาจากใจที่บริสุทธิ์ภายในจริงๆ อะไรที่เป็นความบาป การล่อลวง จากระบบของโลกที่เรียกว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ใช้อะไร? ฝึกอะไร? ฝึกฝนในการดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ไม่ใช่ตามเนื้อหนัง 1 ยอห์น 3:19-20 …

        1 ยอห์น 3:19-20 “19 ดังนี้แหละ เราจึงรู้ว่าเราอยู่ฝ่ายความจริง และทำให้ใจเราสงบ มั่นคง ในการสถิตอยู่ของพระเจ้า 20 เมื่อใดก็ตามที่ใจของเราเป็นทุกข์ ฟ้องผิด กล่าวโทษตนเอง เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง”

            ตรงนี้เน้นให้เห็นถึงความมั่นใจ ที่เรามีในความสัมพันธ์กับพระเจ้าว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วหรือไม่จริงๆ แม้ว่าเราจะรู้สึกทุกข์ใจ ฟ้องผิด หรือถูกกล่าวโทษ เห็นไหม? นี่คือการล่อลวงจากภายนอก ที่ใส่ความคิดให้กับเราว่า …

            “เราทำบาป เราเป็นคนไม่ดี เราฟ้องผิด เรารู้สึกถูกกล่าวโทษ เธอมันแย่ เธอมันไม่ดี เธอทำอย่างนี้ได้อย่างไร?”

            ในนี้กำลังบอกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าอารมณ์ ความรู้สึกของเรา  ที่ถูกโจมตีด้วยการฟ้องผิด พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเรา ก็คือรู้ว่าเราบริสุทธิ์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว รวมถึงตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ ในฐานะผู้เชื่อ พระองค์ทรงรู้หมดแล้ว ไม่มีอะไรปิดบังพระองค์ได้หรอก

            พระองค์บอกว่า … “ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีงามของเรา เหมือนเราเลย แต่สิ่งที่ท่านทำผิดไปต่างๆ เหล่านั้น มันถูกล่อลวงจากภายนอก เชื่อเราสิ”

            หมายถึงอย่างนั้น ไม่ต้องฟ้องผิด ยืนยันมั่นใจ จากภายในพระวิญญาณของเรา จะบอกว่าเราได้รับการอภัยและถูกทำให้ชอบธรรม ผ่านทางพระเยซูตลอดชั่วนิรันดร์แล้ว ใจของเราจึงสามารถมีความมั่นคงได้  เพราะสถานการณ์กับพระเจ้าขึ้นอยู่กับการงานของพระเยซูคริสต์ พระราชกิจของพระองค์ที่ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน  ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับความรู้สึก หรือการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว

            โรม 8:1 บอกว่าเราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายแล้ว เราอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระจากกฎแห่งความบาปและความตาย  ไม่มีการกล่าวโทษใดๆ กับเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เรามั่นใจว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  จึงไม่มีการมากล่าวโทษ ไม่มีการมาฟ้องผิด ไม่มีการมาชี้เป้าว่าเราผิดอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว ต้องมั่นใจตรงนี้  เรามั่นใจได้ เพราะพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในเรา

            เพราะฉะนั้น การพิสูจน์ว่าเราเป็นคริสเตียนหรือไม่? คือเราต้องรู้ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเราหรือเปล่า? แต่เปาโลบอกอย่างนี้ว่าทดสอบได้ว่าท่านเชื่อพระเจ้าหรือไม่? มั่นใจในพระองค์หรือไม่ ก็คือท่านรู้หรือไม่ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน รู้ เอเมน ซึ่งความมั่นใจนี้ ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิต มั่นใจว่าเราเป็นที่รัก และได้รับความรัก การยอมรับว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว เอเมน

            ทดสอบแค่นี้ ถ้าท่านผ่านตรงนี้ ท่านก็จะไม่ฟ้องผิดอีกเลย พอจะฟ้องผิด ท่านก็รู้ว่ามาจากข้างนอก มันจะมาโจมตีเรา กั้นไว้เลย แล้วก็บอกว่า …

            “ฉันพิสูจน์แล้ว พระคริสต์สถิตอยู่ในใจ ฉันอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ เอเมน” … มีอะไรไหม?

            “อ้าว! ยังทำบาปอยู่เลย”

            “ไม่รู้ล่ะ พระวิญญาณสถิตอยู่ในฉัน เดี๋ยวพระเจ้านำฉัน สอนฉันเอง” … มันเป็นอย่างนี้จริงๆ

            เราจะจบลงที่ 1 ยอห์น 3:2 …

        1 ยอห์น 3:2 “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้  บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์ ตามความเป็นจริง อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”

            เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ ในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ  เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร?  พูดกันตรงๆ  เรารู้ว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนี้ คือเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณสะอาดหมดจด ใจสะอาดหมดจด  เหมือนพระเยซูเลย ร่างกายเป็นร่างกายเดิมที่ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจดแล้ว  ไม่มีบาปเลย แต่เรายังทำบาปอยู่ เพราะเราอาจถูกล่อลวงให้พลั้งพลาดได้เป็นเรื่องธรรมดา นี่มันอย่างนี้ ให้เรายึดมั่นตรงนี้ ดำเนินชีวิตอย่างนี้ มันก็เป็นอิสระ มันก็สบาย มันก็สู้กับโลกใบนี้ เรื่องความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างเดียว ซึ่งก็พอแล้ว ไม่ต้องมาสู้กับโลกวิญญาณอีก ในโลกวิญญาณฉันฉลุยแล้ว ดำเนินชีวิต เพื่อไปเปลี่ยนร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ เตรียมไว้ เพื่อวันหนึ่งที่เราจากโลกนี้ไป  พอจากไปปุ๊บ จะเห็นพระเยซูปรากฏ พระเยซูก็เปลี่ยนร่างกายเดิมให้เป็นร่างกายใหม่ ให้เป็นร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่ท่านได้รับแน่นอน 100% ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครมาทำให้เป็นอื่นได้อีกแล้ว ดำเนินชีวิตโดยพุ่งเป้ามาที่นี่ แอ่นอกเหมือนนักกีฬาวิ่ง โน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อไปสู่เส้นชัย เขาไม่มองซ้ายมองขวา เขามองตรงไปเลย ตรงไปที่เส้นชัย  และเส้นชัยของเรา คือพระเยซูคริสต์ วิ่งไปเลย ซ้ายขวา คือทำผิดบ้าง ทำพลาดบ้าง ใครมาฟ้องผิดเรา ไม่สนใจ ฉันวิ่งตรงไปอย่างเดียว ไปที่พระเยซูคริสต์ เมื่อไปถึงเส้นชัย เห็นพระเยซูคริสต์เมื่อไร เมื่อนั้นฉันเป็นอิสระเรียบร้อยแล้ว จากโลกใบนี้ ฉันเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์ เห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  ตามความเป็นจริง และเห็นตัวเองเต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซู ตามความเป็นจริง และจะครอบครองโลกใหม่ที่ไม่เหมือนใบนี้  โลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างใหม่ และสรรพสิ่งที่ในโลกใหม่ที่พระองค์ทรงสร้างให้ฉันเข้าไปครอบครองร่วมกับพระเยซู และร่วมกับธรรมิกชนทั้งหลาย ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “ฉันได้เกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์”

            ถ้าท่านแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของท่าน ที่พระเยซูคริสต์ ได้กระทำให้กับท่านบนไม้กางเขน ท่านจะได้รับสิทธินี้ทันที คือการบังเกิดใหม่เป็นคริสเตียนอยู่ในพระคริสต์

            และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ พิสูจน์ได้ ไม่ต้องรอถึงโลกหน้าหลังความตาย ซึ่งมันสายไปแล้ว

            ข่าวดีนี้เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ของพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก กระทำการอัศจรรย์ มนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย

            คริสเตียน! ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้มีชีวิตใหม่ ได้เป็นคนใหม่ ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            1 เปโตร 1: 3-4 … “3 สรรเสริญพระเจ้า  พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่  เข้าในความหวังอันยืนยง  โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก  อันไม่มีวันเสื่อมสลาย  เน่าเสีย  หรือเลือนหายไป  ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว  เพื่อพวกท่าน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1489 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  กันยายน  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 8

โดย วราพร  คงล้วน

            เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย 3:13 …

        กาลาเทีย 3:13 “พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้น  จากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ก็ถูกแช่งสาปแล้ว”

            เราเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือกาลาเทีย ก็คืออาจารย์เปาโลกำลังจัดระบบระเบียบ ความคิดของผู้เชื่อในกาลาเทีย ให้สามารถเข้ามาอยู่ในลู่ของพระองค์อย่างชัดเจน  เนื่องจากมีผู้คนมาสอนความจริงในพระวจนะของพระเจ้า สอนถ้อยคำของพระเจ้า แบบบิดๆ เบี้ยวๆ เพี้ยนไป ทำให้คนในคริสตจักรแห่งนี้ เกิดความไขว้เขว ในเรื่องของความรอด ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งคนเหล่านี้ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ได้รับความจริงในเรื่องราวของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้น เขาก็เชื่อตามที่อาจารย์เปาโลบอก พระเจ้าบอกว่าเขาเป็นอิสระแล้ว เขาได้รับความรอด เขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเยซูได้ทำให้เขาเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว นั่นเขาเชื่อเมื่อตอนต้นๆ

            พอไปๆ มาๆ มีคนมาสอนเพิ่มว่าความเชื่ออย่างเดียวไม่พอ  จำเป็นต้องมีการประพฤติด้วย ท่านต้องทำโน่นทำนี่ ทำนั่นเพิ่มพูนขึ้นมา  เพื่อที่จะรักษาความรอดนี้ไว้ เพื่อทำให้ความรอดครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งคำสอนเหล่านี้ เป็นคำสอนที่ไม่ตรงตามถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเจ้า พระเยซู พระองค์บอกว่าพระองค์ตายบนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย  พระองค์ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ทุกอย่าง พระองค์ทำให้ครบถ้วน สมบูรณ์ ใครก็ตามที่มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับทุกสิ่งครบถ้วนสมบูรณ์ โดยที่เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก แค่เชื่อเท่านั้น เขาก็ได้รับสิ่งสารพัด พระพรนานัปการพระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเขาเรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น ตรงนี้อาจารย์เปาโลยังคงเน้นย้ำว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่เรา ให้พ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ ก่อนหน้านั้น ในข้อที่ 10 บอกว่าแช่งทุกคนที่ไม่ได้ปฏิบัติตามทุกข้อทุกสิ่ง ที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ ซึ่งในยุคนั้นจะมีคำสอนที่ว่ามีความเชื่ออย่างเดียวไม่พอ  เราจำเป็นจะต้องทำตามกฎบัญญัติด้วย  ซึ่งอาจารย์เปาโลพยายามเน้นย้ำให้เห็นว่าถ้าใครก็ตาม  คิดที่จะทำตามบทบัญญัติ  เพื่อที่จะได้รับความรอด  เขาจำเป็นจะกระทำตามบทบัญญัติทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลา ทุกวินาที คือไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีข้อผิดพลาดเลย เขาถึงสามารถได้รับพระพรจากพระเจ้า  แต่ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้  ใครก็ตามที่พึ่งบทบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง  มันเป็นกฎที่ตายตัวอยู่แล้ว  เพราะพระเจ้าบอกว่าใครก็ตามที่ไม่ทำตามกฎบัญญัติทุกจุด ทุกขีด ก็ถูกสาปแช่ง

            พอมาถึงข้อที่ 13 อาจารย์เปาโลยืนยันว่าพระเยซูคริสต์ได้ยอมถูกสาปแช่ง  เพื่อพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกว่าใครก็ตามที่ถูกแขวนไว้บนต้นไม้นั้น ก็ถูกสาปแช่ง แล้วพระเยซูคริสต์ได้ถูกแขวนไว้บนต้นไม้นั้น เรียบร้อยไปแล้ว ตอนนี้อาจารย์เปาโลพูดถึง ณ เวลานั้น ก็คือพระเยซูคริสต์เพิ่งสิ้นพระชนม์หมาดๆ เลย อาจจะไม่กี่ปีเท่านั้นเอง เพิ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตาย 

            แต่มาถึงยุคของเรา คือ 2,000 ปีผ่านมาแล้ว สิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ก็ยังเหมือนเดิม จริงๆ เรื่องของโลกวิญญาณ มันเป็นเรื่องของปัจจุบัน ที่ทุกวันนี้เราต้องพูดว่าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  เพราะเรายังเป็นมนุษย์ เรายังต้องอธิบายให้ฟังว่ามันตั้งนานแล้วนะ ตั้ง 2,000 ปีที่แล้ว  แต่ความเป็นจริงในโลกวิญญาณ คือสิ่งนี้มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ทันที ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้ตายแทนเขาเดี๋ยวนี้ทันที เขาได้รับความรอดทันที นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  ในโลกวิญญาณจะไม่มีสถานที่ ไม่มีเวลา ไม่มีอะไรทั้งนั้น ที่พระเยซูทำ ก็คือทำทันทีให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย ใครก็ตามที่เชื่อสิ่งนี้ มันเกิดขึ้นกับชีวิตของเขาทันที นี่คือความจริง ที่อาจารย์เปาโลพยายามเน้นย้ำๆ ให้คนในยุคนั้น ชาวกาลาเทียรับรู้ และในขณะเดียวกัน เน้นย้ำให้พวกเราปัจจุบันที่ 2,000 ปีผ่านมาแล้ว เน้นย้ำเรื่องเดียวกัน เรื่องเดิม ก็คือมันเกิดขึ้นทันที ในชีวิตของพวกเรา ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์ได้ตายแทนพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเราก็ได้รับสิ่งนี้เรียบร้อยไปแล้วด้วย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้รับไปแล้ว พอถึงข้อที่ 14 บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:14 “พระองค์ทรงไถ่เรา เพื่อว่าพระพรที่มีแก่อับราฮัมจะมาถึงคนต่างชาติโดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าโดยความเชื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา”

            ตรงนี้ ในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้สัญญากับอับราฮัม ตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าเรียกอับราฮัมออกจากบ้านเมือของตัวเอง ออกจากครอบครัวของตัวเอง แล้วพระองค์ก็บอกว่าจะอวยพรเขา อวยพรผ่านพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม ซึ่งพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมก็ไม่ได้หมายถึงคนเยอะแยะมากมาย แต่หมายถึงพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งเล็งถึงพระเยซูคริสต์

            ฉะนั้น ทุกประชาชาติจะได้รับพรผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าคนที่เชื่อ ไม่ได้บอกว่าคนที่ประพฤตินะ ในพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลไม่เคยบอกว่าคนที่ประพฤติจะได้รับความรอด  เพราะว่าไม่มีใครสามารถทำได้ แต่ใครก็ตามที่เชื่อ ก็จะได้รับพระวิญญาณ ตามพระสัญญา

            เราจะได้รับพระวิญญาณตอนไหน? ตอนที่เราเปิดใจ วางใจ ยอมรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาบัพติศมาเรา เข้ามาทำขบวนการของการบังเกิดใหม่ ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา นั่นคือพระพร เป็นของขวัญ อย่างที่บอก พอเราเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ สิ่งทั้งหมด มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเราไม่สามารถลำดับเหตุการณ์ได้ว่าอะไรก่อน อะไรหลัง มันมาพร้อมๆ กันเลย เหมือนเป็นก้อน ที่ถูกส่งเข้ามาทันทีเลย

            สิ่งที่มันเกิดขึ้น ทันทีที่เราวางใจในพระเยซูคริสต์ ในหนังสือยอห์น 3:16 มันเกิดขึ้นทันที  ก็คือใครที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ในหนังสือยอห์นไม่ได้บอกว่าใครก็ตามที่ทำตามกฎบัญญัติ แล้วเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ไม่มี ใครก็ตามที่วางใจในพระเยซูคริสต์ ทันทีเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์  ชีวิตนิรันดร์ชนิดเป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทันทีเลย ในโลกวิญญาณ  ซึ่งในโลกวิญญาณ เราจำเป็นจะต้องเชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้า  เพราะเราสัมผัสไม่ได้ เรามองไม่เห็น เราเชื่อพระเจ้าก็ยังเหมือนเดิม  พฤติกรรมบางอย่าง เราก็ยังคงทำเหมือนเดิม  ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง

            แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือวิญญาณข้างในของเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วทันทีที่เราวางใจในพระเยซูคริสต์ มันเกิดขบวนการของการผ่าตัดวิญญาณ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่ง ณ ปัจจุบันเราต้องใช้ความเชื่อเอา เราไม่สามารถที่จะมารับรู้ความจริงเหล่านี้ ด้วยเหตุผล หรือด้วยสติปัญญาของมนุษย์ มันทำไม่ได้ แต่เราเชื่อด้วยวิญญาณของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา จะเป็นผู้ยืนยันให้กับเราได้รับรู้ว่าตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณข้างในยืนยันนะ ไม่อย่างนั้น เราไม่กล้าเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาหรอก ใครจะกล้าเรียก ก่อนเชื่อพระเจ้า พี่น้องกล้าเรียกไหม? กล้าอธิษฐานไหม? …

            “พระเจ้า พระบิดา ลูกอย่างโน้น ลูกอย่างนี้ ลูกขอ ลูกโน่น นี่ นั่น”

            กล้าพูดไหม? ไม่กล้า เราเขินมาก พูดได้อย่างไร?  เหมือนลิเกเลย ใครจะกล้าพูด แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข้างในวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันกับเรา ทำให้เรามีความสามารถเชื่อว่าสิ่งนี้มันเป็นจริง และมันเกิดขึ้นกับเราจริงๆ  เราได้รับวิญญาณใหม่จากพระเจ้าจริงๆ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ  เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์จริงๆ เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ มันเข้าไปอยู่ในวิญญาณของเรา  พอหลังจากเราเชื่อตรงนี้ นานวันเข้า เราอาจจะโดนคำสอนต่างๆ เข้ามา เขาก็จะไขว้เขว พอไขว้เขว มันก็จะเกิดปัญหา เราก็จะเริ่มสงสัย …

            “เชื่ออย่างเดียวไม่พอ เราน่าจะทำโน่นบ้าง ทำนี่บ้าง”

            ซึ่งมันไม่จำเป็นไง พระเจ้าบอก … “ฉันทำเสร็จแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรหรอก เธอแค่เชื่อเอา”

            หลายคนอาจจะคิดว่า … “อ้าว! ไม่ต้องทำอะไร แล้วคริสเตียนทำอะไรล่ะ อยู่เฉยๆ หรือ?”

            มันเฉยไม่ได้หรอก พี่น้องเชื่อไหมว่าคริสเตียนเฉยไม่ได้  เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ตามถ้อยคำของพระเจ้า พระองค์จะประกอบกิจอยู่ในเรา  พระเจ้าจะเป็นผู้ทำงานในวิญญาณของเรา แล้วพระองค์ก็จะบอกเรา นำเราว่าวันนี้ พระองค์จะให้เราทำอะไร? เราแค่เงี่ยหูฟังอย่างเดียว  เราไม่ต้องนำหน้าพระเจ้า ให้พระเจ้านำเราทุกวัน ทุกวันพระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำเราในการทำงานของพระองค์ ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานเล็กงานน้อย งานฝอยอะไรก็แล้วแต่ แล้วแต่พระเจ้านำ บางคนอยู่ที่บ้าน เราอยู่ที่บ้านเฉยๆ แล้วพระเจ้าจะนำเราอย่างไร? นำได้นะ

            ถ้าพี่น้องเป็นแม่บ้าน พระเจ้าก็จะนำท่านในการดูแลครอบครัว ดูแลลูก ดูแลหลาน ดูแลสารทุกข์สุกดิบของครอบครัว  นี่คือหนึ่งของงานรับใช้นะ พี่น้องอาจจะคิดว่างานรับใช้พี่น้องต้องวิ่งมาที่โบสถ์ งานรับใช้พี่น้องต้องมาอยู่ทีมนมัสการ งานรับใช้พี่น้องต้องมาช่วยทำโน่นทำนี่ที่โบสถ์ ถึงเรียกว่างานรับใช้ แต่งานรับใช้จริงๆ มันอยู่รอบตัวเรา พระเจ้าสามารถใช้เราได้ทุกรูปแบบ วันหนึ่งพระเจ้าอาจจะทำงานในใจเรา พี่น้องคนหนึ่งป่วยนะ ในโบสถ์ของเรา แล้วพระเจ้าก็นำเรา มีความปรารถนาที่จะไปเยี่ยมพี่น้องของเรา นั่นแหละ คืองานรับใช้  แล้วเราก็ได้ไปหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน

            ฉะนั้น งานรับใช้ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก พระเจ้าจะเป็นผู้นำเราเอง เราไม่ต้องพยายามที่จะขวนขวาย หรือพยายามที่จะเสาะหา หรือนั่งไล่ล่าเลยนะว่าวันนี้เราต้องทำอะไร?  เราต้องไปหาใคร? เราต้องไปโรงพยาบาล? เราต้องไปอธิษฐานวางมือให้คนเจ็บคนป่วย ให้คนนั้นหายโรค พระเจ้าจะใช้เราแบบนั้นจริงหรือ?  ไม่จริง พระเจ้าจะใช้เราแบบปกติ ธรรมดา ใช้ชีวิตประจำวันของเรานั่นแหละ  แล้วพระองค์จะส่งใครก็ได้ ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา แล้วเราก็ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ตามส่วนนั้นแหละ เมื่อพระเจ้านำ แล้วเมื่อเราทำเสร็จ  มันก็ไม่ได้เป็นความดีอะไรของเราเลย เราไม่ต้องยืดคอว่า …

            “ฉันได้ทำ”

            ไม่ใช่  เมื่อเราทำเสร็จ เราก็ขอบคุณพระเจ้า  ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้โอกาสเรา  ได้ทำส่วนนี้ ส่วนนั้น ในอาณาจักรของพระองค์ แต่อย่างที่บอก ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ มันไม่มีผลอะไรกับความรอดของเรา ไม่เกี่ยวกัน เรื่องของวิญญาณกับเรื่องของโลกนี้ มันไม่เกี่ยวกัน

            ฉะนั้น การปฏิบัติบนโลกใบนี้  มันจะส่งผลของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ถ้าเราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณนำเรา ตามตัวตนแท้ๆ ที่อยู่ข้างในเรา ซึ่งเป็นความรักออกไป เราจะเก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้ คือเราได้รับสันติสุข

            พี่น้องรู้สึกไหมว่าทันทีที่เราได้มีโอกาสทำอะไรให้ใคร แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยนิดเดียว ข้างในวิญญาณเรามีความสุข เป็นไหม? เรารู้สึกปลื้ม ไม่เห็นมีใครมาปลื้มกับเราเลย แต่เราปลื้ม เรามีความสุข หรือวันนี้เราไปเจอใคร ซึ่งไม่ต้องเป็นคริสเตียนก็ได้ บังเอิญอยู่ตรงหน้า อยู่บนรถเมล์ เขาไม่รู้จักที่ เขาบอกจะลงป้ายนี้ ช่วยบอกด้วยกระเป๋า ปรากฏว่าพอถึงป้ายกระเป๋าลืมบอก แล้วตะกี้เราได้ยินว่าเขาจะลงป้ายนี้ เราก็หันไปถาม …

            “จะลงป้ายนี้ใช่ไหมค่ะ”

            แค่นั้นเอง นั่นแหละ มีความสุขแล้ว เราได้ช่วยเขา ใช่ๆ ถึงที่ แล้วเขาก็ลงไป  แทนที่เราไม่บอก ช่างเขาเถอะ เรื่องของเขา  ไม่เกี่ยวกับเรา  เขาก็เลยไปหลายป้าย แล้วเขาก็ต้องวิ่งกลับมาอีก เสียเวลา

            นี่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสามารถทำได้จริงๆ  ซึ่งมันเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องพยายามไปสืบเสาะ หรือไปเที่ยวหาว่าวันนี้เราต้องไปรับใช้ใคร เราจะต้องไปสุ่มหาคนที่เราจะต้องปรนนิบัติรับใช้ ไม่ต้องนะพี่น้อง พระเจ้าจะนำเราเอง นี่คือภาพการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลาย

            มีพี่น้องคนหนึ่ง เราไลน์คุยกัน …

            “ต้องขอโทษจริงๆ ช่วงนี้ไม่ได้มาโบสถ์เลย รู้สึกผิดมากเลย”

            “ทำไมถึงรู้สึกผิด”

            “ช่วงนี้ต้องดูแลคุณแม่ คุณแม่ติดเตียง ไม่สามารถมาโบสถ์ได้”

            ดิฉันบอกเขาว่า “นั่นคือหนึ่งของการรับใช้  แล้วไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะว่าอันนั้นแหละ คือส่วนที่ดีที่สุด”

            การมาโบสถ์ไม่ได้เป็นเครื่องหมายบอกว่าเรารักพระเจ้า  แต่การดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้าต่างหาก คือสิ่งที่จำเป็น  ฉะนั้น ถ้าคุณแม่ป่วย ไม่สบาย ติดเตียง  แล้วไม่มีคนดูแล เราจำเป็นต้องเป็นคนดูแล แล้วเรายืนกรานว่า  …

            “ไม่ได้วันอาทิตย์เราต้องมาโบสถ์”

            ทิ้งคุณแม่ไว้แล้วกัน อยู่บ้านคนเดียว เรามาโบสถ์ แล้วเราค่อยกลับบ้าน เราทำเพื่ออะไร?  เพื่อให้คนอื่นมองว่าเรารักพระเจ้า เรามาโบสถ์หรือ?  มันไม่ใช่แน่นอน  มันเป็นไปไม่ได้  แล้วก็ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าที่อยากให้เราเป็นอย่างนั้นด้วย

            ฉะนั้น ให้พี่น้องเห็นภาพ ความเป็นจริงในการดำเนินชีวิตคริสเตียน ที่เราไม่ได้ถูกยึดด้วยกฎบัญญัติ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎบัญญัติที่บอกเราว่าต้อง ต้อง แล้วก็ต้อง

            พระเยซูบอกว่าถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยท่านให้เป็นไทใช่ไหม? สมัยก่อนไม่รู้ความจริง เรามีความรู้สึกว่าขาดโบสถ์ไม่ได้ ดิฉันคนหนึ่ง รู้สึกว่าดิฉันขาดโบสถ์ไม่ได้ ขาดโบสถ์ ดิฉันรู้สึกผิดกับพระเจ้ามากๆ ไม่ว่าใครจะเป็นจะตายในบ้าน ปล่อยเขาไปก่อน  ต้องมาโบสถ์ก่อน แล้วค่อยกลับไปว่ากัน มันเป็นความคิดที่พอย้อนกลับไปดู ทำไมเราถึงเป็นคนแบบนั้น  ทำไมเราถึงมีความคิดแบบนั้น  ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ไม่ใช่น้ำพระทัย พระเจ้าไม่ต้องการให้เราทำอย่างนั้น เหมือนที่พระเยซูบอกว่า …

            “เราประสงค์ความเมตตากรุณา เราไม่ได้ประสงค์เครื่องสัตวบูชา”

            พี่น้องนึกภาพออกไหม?  เหมือนพวกฟาริสีจับผิดพระเยซูคริสต์ว่ามาทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ ช่วยเหลือคนในวันสะบาโต แล้วก็มาจับผิดพระเยซูว่าพระเยซูทำผิดกฎนะ แล้วพระเยซูก็ยกตัวอย่างว่าถ้าวันสะบาโต พี่น้องมีวัวควายตัวหนึ่งตกบ่อ ท่านไม่รีบไปช่วยขึ้นมาหรือ? ปล่อยเขาไป ปล่อยให้ตายอยู่ในบ่อ มาโบสถ์ก่อน เป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ ท่านก็ต้องช่วยก่อน แล้วค่อยมาโบสถ์ทีหลัง หรือวันนั้น อาจจะไม่มีโอกาสมาโบสถ์ ก็ไม่เป็นไร?

            ไม่ว่าพี่น้องจะมาโบสถ์หรือไม่มาโบสถ์  พระเจ้าก็อยู่ในท่าน  พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน อยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าท่านอยู่ที่ไหน? พระเจ้าอยู่ด้วย แต่การมาโบสถ์ มันได้เสริมกำลัง มาโบสถ์ไม่ได้ทำให้ท่านเป็นลูกของพระเจ้าเพิ่มขึ้นเลย  ไม่เกี่ยวกันเลยนะ ท่านก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ  เหมือนเดิมเลย  ไม่มีเพิ่มพูน แต่การมาโบสถ์ มันเป็นการหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน เวลาเรามาโบสถ์  เราเห็นพี่น้อง เรามีความสุขไหม?  เห็นคนนี้มา เห็นคนโน้นมา แค่เห็น  ไม่ต้องทักก็ได้  แค่ดิฉันเห็นบนเวที ดิฉันยิ้ม เห็นแล้วมีความสุข วันนี้พี่น้องคนนี้มา คนนั้นมา เราก็มีความสุข นี่คือการหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน แล้วการได้มาคริสตจักรของพระเจ้า ได้มาฟังถ้อยคำของพระองค์ ก็จะเสริมกำลังเรา พระองค์บอกว่าถ้อยคำของพระองค์เป็นฤทธิ์เดช ถ้อยคำของพระองค์ไม่ได้เป็นคำสอนแบบเหมือนเราสอนในโรงเรียน  สอนต้องทำอย่างโน้น ต้องทำอย่างนี้  ต้องทำอย่างนั้น ไม่มี พระเยซูไม่เคยสอนว่าต้องทำอะไร แต่พระเยซูสอนว่าควรทำอะไร?  “ต้อง” กับ “ควร” ไม่เหมือนกันนะ ต้อง คือการบังคับ ต้องทำให้ได้ ไม่ทำก็ผิด  แต่ควร หมายความว่าเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เราควรจะทำเลียนแบบเหมือนพระองค์ แต่ถ้าเกิดเราไม่ได้ทำ ก็ไม่เป็นไร เราก็ยังคงเป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิม แต่ถ้าเรายังถูกคลุมด้วยความรู้เดิมๆ ที่บอกว่าเราต้อง  พอต้องปุ๊บ กลายเป็นว่าทุกอย่างที่เราทำให้พระเจ้า เราถูกบังคับมา ไม่ได้ทำจากใจ แต่พระเจ้าต้องการให้เรามาหาพระเจ้าจากใจ ใจข้างในเรา  ไม่มีใครบังคับเรามา  แต่เราอยากมา  อยู่ไกลแค่ไหน เราก็อยากจะดั้นด้นมา บางอาทิตย์เราไม่ได้มา เราก็ไม่เป็นไร ก็ไปฟังย้อนหลังทูยูป พระเจ้าน่ารักมาก ให้เทคโนโลยีช่วยเราได้เยอะเลย สมมติว่าอาทิตย์นี้เราตกงานอยู่ แล้วมีบริษัทเรียกเราไปสัมภาษณ์ แล้วมาเรียกวันอาทิตย์พอดี ยังไงล่ะ …

            “ไม่เอาเราต้องเอาพระเจ้าก่อน ทิ้งมันไป  แล้วรอคราวหน้า”

            รอคราวหน้า โอกาสอาจจะไม่มาถึงท่านก็ได้ พี่น้องนึกออกไหม?

            ฉะนั้น พระเจ้าไม่ได้ไปไหน? พระเจ้าก็อยู่กับท่าน  ไปกับท่าน อะไรที่ท่านสามารถทำได้ ท่านก็ไปทำ เมื่อพระเจ้าเปิดโอกาสแล้ว ท่านก็ไปสัมภาษณ์ สัมภาษณ์เสร็จ ท่านได้งาน มีโอกาส ท่านก็มาโบสถ์ ก็แค่นั้นเอง  มันไม่ได้เป็นภาระที่ว่าท่านจะต้องถูกบังคับ ด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มนุษย์ตั้งขึ้น เพื่อบีบบังคับให้ท่านกลัวว่าถ้าวันไหนท่านไม่มาโบสถ์ พระเจ้าจะไม่พอใจ  ถ้าวันไหนท่านไม่อธิษฐาน พระเจ้าจะไม่รักเรา  หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ให้เรารับรู้ความจริงว่าไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำ พระเจ้าก็รักเราเหมือนเดิมเลย เท่าเดิมเลย คือพระเยซูคริสต์รักเราจนที่สุดแล้ว ตายแทนเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ว่าพี่น้องจะทำอะไรมากหรือน้อย ความรักของพระเจ้าเท่าเดิม ท่านไม่สามารถที่จะปฏิบัติ หรือทำอะไร เพื่อทำให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น  หรือประพฤติ ปฏิบัติให้เราเป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น ยืนยัน พระเยซูคริสต์บอกว่าการเป็นผู้ชอบธรรม พระเยซูคริสต์ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ทันทีที่บังเกิดใหม่ เราเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือความจริงที่เราจะต้องยึดไว้

        กาลาเทีย 3:15-17 “15 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน พันธสัญญาของมนุษย์ เมื่อตกลงกันแล้วก็ไม่มีใครยกเลิกหรือเพิ่มเติมได้ฉันใด กรณีนี้ก็ฉันนั้น 16 พระเจ้าทรงทำพระสัญญาต่างๆ  กับอับราฮัม และพงศ์พันธุ์ของเขา พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่า “แก่บรรดาพงศ์พันธุ์” อันหมายถึงผู้คนมากมาย แต่ระบุว่า “แก่พงศ์พันธุ์ของเจ้า” อันหมายถึงคนเพียงคนเดียว  คือพระคริสต์ 17 ข้าพเจ้าหมายความว่าอย่างนี้  คือบทบัญญัติซึ่งมีมาภายหลัง 430 ปี  ไม่ได้ล้มล้างพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ก่อนแล้ว และด้วยเหตุนี้ บทบัญญัติจึงไม่ได้ยกเลิกพระสัญญา”

            สัญญาที่พระเจ้าให้อับราฮัม คือก่อนที่จะมีบทบัญญัติขึ้นมา ตั้งแต่ปฐมกาล พระเจ้าให้สัญญาว่า …

            “เราจะอวยพรเจ้า พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะเป็นเหมือนเม็ดทรายบนทะเล เหมือนดาวบนท้องฟ้า ถ้าเจ้านับได้ พงศ์พันธุ์ของเจ้าก็จะเยอะขนาดนั้น”

            นี่คือพระสัญญา พอจากนั้น ดำเนินมาเรื่อยๆ สัญญานี้ ก็ยังไม่สำเร็จ หลายสิบปีผ่านไป ก็ยังไม่สำเร็จ จนพระเจ้าอวยพรผ่านทางอิสอัค ซึ่งพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าจะให้ลูกตามพระสัญญา  แล้วจากสายเลือดของอิสอัคเรื่อยๆ จนถึงพระเยซูคริสต์ พอถึงพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว  แต่กว่าที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ พระสัญญาของพระเจ้าตั้งแต่ปฐมกาล ดำเนินมาหลายพันปี ซึ่งมนุษย์ในสมัยก่อนเขารอแล้วรออีก รอพระมาซีฮาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  คือคนอื่นที่คนต่างชาติเขาไม่รู้จักหรอก พระมาซีฮาห์คือใคร? พระเยซูคริสต์คือใคร? แต่มีกลุ่มคนที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ก็คือชาวยิว  เขาจะรู้จัก เพราะพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ แล้วพระองค์ก็บอกให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ ให้รับรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า  พระองค์จะส่งพระมาซีฮาห์มา เพื่อช่วยเขาให้รอด แล้วให้คนยิวเหล่านี้ ยึดถือบทบัญญัติไว้ก่อน บทบัญญัติเป็นเงา ในอนาคตข้างหน้า ที่พระเยซูคริสต์จะมาทำบทบัญญัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์  ซึ่งบทบัญญัติเหล่านี้ มาเพื่อที่จะบ่งบอกให้มนุษย์รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป ช่วยตัวเองไม่ได้ บทบัญญัตินี้ไม่ได้มาเพื่ออะไรเลย พระเจ้าต้องการที่จะให้มนุษย์รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป  มนุษย์เกิดมาบาป เพราะบรรพบุรุษของมนุษย์ล้มลงในความบาป  มี DNA บาป ต่อให้ทำดีขนาดไหน? เชื้อบาปก็ยังคงอยู่  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนแปลงได้ทางเดียว ก็คือต้องตาย แล้วไปเกิดใหม่เท่านั้นเอง ตายจากตระกูลบาป  ไปเกิดใหม่ในตระกูลชอบธรรม  มีวิธีเดียวเท่านั้น แล้ววิธีนี้ พระเจ้าก็วางแผนมานานมาก จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์

            ฉะนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ไม่ได้เกิดจากเชื้อบาปของมนุษย์ แต่พระองค์เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระองค์เป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีบาปเลย แล้วเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกใบนี้ สามารถที่จะทำตามกฎบัญญัติทุกจุด ทุกขีดอย่างไม่มีการผิดพลาดเลย นั่นแหละ พระองค์จึงสามารถที่จะมาเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ ทำให้บทบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์ในตัวของพระองค์เอง แล้วพระองค์ก็เดินไปที่แดนประหาร เพื่อที่จะสิ้นพระชนม์ แทนมนุษยชาติทั้งหมด ตามกฎที่พระเจ้าตั้งไว้

            เราจำกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ตั้งแต่เริ่มต้นได้ไหม? ที่พระเจ้าบอกอาดัมว่า …

            “เจ้าอย่ากินต้นไม้ต้นนี้  ถ้าเจ้าขืนกิน เจ้าจะตาย”

            ค่าจ้างของความบาป คือความตาย  แต่ของประทานจากพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ คือความชอบธรรม พระพรนานัปการที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับมนุษยชาติ ฉะนั้น กฎอันนี้พระเจ้าล้มเลิกไม่ได้ เมื่อพระเจ้าตั้ง พระเจ้าเป็นผู้รักษากฎด้วย มีความตายอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถชดใช้หนี้บาปนี้ได้ แล้วใคร? มนุษย์คนไหนในโลกใบนี้ ที่จะสามารถมาตายแทนกันได้ มีไหม? ไม่มี ทุกคนเป็นคนบาป  หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง คือทุกคนติดหนี้หมด ไม่มีใครสามารถใช้หนี้ให้กับใครได้เลย เป็นหนี้เป็นสินกันทั่วโลกเลย ซึ่งต้องมีใครคนหนึ่งที่ไม่มีหนี้เลย แล้วเป็นมหาเศรษฐีด้วย อัครมหาเศรษฐีที่จะมีเงินเป็นกอบเป็นกำ สามารถมาใช้หนี้แทนมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ได้

            พระเยซูไม่ได้มาใช้หนี้เป็นตัวเงิน แต่พระองค์มาใช้หนี้บาปด้วยชีวิตของพระองค์เอง ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถ้าไม่มีการหลั่งโลหิต ก็จะไม่มีการอภัยบาป  ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น  ก็คือชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต จากวันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  พระเจ้าฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง  เอาเลือดมาปะพรม เอาหนังมาห่อหุ้มร่างกาย  เป็นการชั่วคราว แล้วรอถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาบนโลกใบนี้ พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่ยอมเดินไปที่ไม้กางเขน ยอมหลั่งพระโลหิตของพระองค์เอง ตอนนี้พระองค์ไม่ได้ใช้เลือดสัตว์  ถ้าเป็นมนุษย์ ปุโรหิตที่พระเจ้าตั้งไว้บนโลกใบนี้ ปุโรหิตทุกคนจะใช้เลือดของสัตว์ที่บริสุทธิ์ ที่ไม่มีตำหนิ เอาเข้าไปถวายในอภิสุทธิสถานของพระเจ้า เพื่อลบล้างบาปให้กับคนๆ นั้น คือแต่ละคนต้องพกสัตว์ของตัวเองมา ไม่มีใครแทนใครได้ สมัยก่อน ชาวยิวทุกคน ถึงปีหนึ่ง เขาต้องเดินทางไปที่เยรูซาเล็ม  แล้วก็เอาสัตว์ไปตัวหนึ่งไปให้ปุโรหิต ไปถวายเป็นเครื่องบูชา เอาเลือดไปปะพรมพระวิหาร ซึ่งปุโรหิตจะเข้าไปทำงานปีละครั้งเดียวเอง เข้าไปในอภิสุทธิสถาน

            ฉะนั้น เรื่องนี้ดำเนินมาหลายพันปีมาก จนพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  แล้วพระองค์เดินเข้าไปที่แดนประหารด้วยตัวของพระองค์เอง ใช้เลือดอันบริสุทธิ์ของพระองค์เอง ชำระล้างบาปของมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้  แล้วพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์หลั่งพระโลหิตครั้งเดียวเป็นพอ ก็คือไม่ต้องเหมือนกับปุโรหิตเอาเลือดสัตว์มาทุกปี ไม่ใช่ทุกปีอย่างเดียว มีบาปเบี้ยใบ้รายทางในชีวิตประจำวัน ก็ต้องเอาเครื่องบูชามาถวาย แต่เบี้ยใบ้รายทางไม่ได้เข้าไปในห้องอภิสุทธิสถาน ก็แค่ห้องวิสุทธิสถานเท่านั้น

            มันเป็นขบวนการที่ยุ่งยากมาก สำหรับมนุษย์และสำหรับชาวยิวในยุคนั้น แต่เขาก็ภาคภูมิใจว่าเขาเป็นประชากรของพระเจ้า เขาได้รับสิทธิพิเศษ เขามีโอกาสมาถวายเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า แต่ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็บอกว่าให้รอคอย วันหนึ่งพระองค์จะส่งพระมาซีฮาห์มา แล้วเมื่อพระมาซีฮาห์มา ก็คือตัวจริงมาแล้ว  เงาก็ไม่ต้อง ระหว่างตัวจริงกับเงา อะไรสำคัญกว่ากัน  ต้องตัวจริงสำคัญกว่าใช่ไหม? เมื่อพระเยซูคริสต์มา พระเยซูบอกว่าพระองค์ยอมหลั่งพระโลหิตครั้งเดียวก็จบ หมายความว่าวันที่พระเยซูคริสต์อยู่ที่ไม้กางเขน  แล้วพระองค์ตะโกนดังๆ ว่า “สำเร็จแล้ว” แปลว่าขบวนการการไถ่ถอน ขบวนการที่พระเจ้าวางแผนมาหลายพันปี ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว

            ต่อจากวันนั้น วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย พระเจ้าได้เปิดศักราชใหม่ เปิดหนทางใหม่ให้กับมนุษยชาติ มนุษย์มีตัวเลือกใหม่ ที่จะสามารถเลือกได้ว่ามนุษย์จะยังคงอยู่ที่เดิม คือในบาป ในอาดัม ในคำสาปแช่ง หรือมนุษย์เลือกที่จะย้ายที่อยู่ใหม่ หลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย เราเลือกได้  แล้วข่าวดีนี้ ก็ถูกประกาศไป ตั้งแต่กลุ่มชาวยิว มาจนถึงกลุ่มคนต่างชาติ  ก็คือพวกเราทุกคน ซึ่งไม่ใช่เป็นยิว แต่เราเป็นอิสราเอล โดยความเชื่อ

            เราได้เรียนรู้ ได้ยิน ได้ฟัง เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถูกประกาศมา 2,000 ปี จากบรรพบุรุษ มาจนถึงรุ่นของเรา ซึ่งเราได้ยิน หลายคนอาจจะได้ยินมาหลายสิบปี แต่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่ว่าเมล็ดพันธุ์แห่งข่าวดีนี้ ถ้าเราไม่ทิ้ง มันจะถูกหว่านลงไปในวิญญาณของเรา แล้วมันก็ค่อยๆ เกิดผลตามวาระของมัน เมื่อถึงเวลากำหนด ข้างในวิญญาณเรา เราไม่รู้ว่าพระเจ้าทำอย่างไร? ไม่รู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำอย่างไร? แต่เร้าจากข้างใน ไม่ใช่ข้างนอกนะ เร้าจากข้างในวิญญาณ ในเรื่องราวข่าวดีที่เราได้ยินได้ฟังมาหลายสิบปี มันถูกขุดขึ้นมา ทำให้เราต้องการพระเจ้า ต้องการพระเยซูคริสต์ โดยเราก็หาสาเหตุไม่เจอ ไม่รู้เหมือนกัน บอกไม่ได้ว่าทำไม? เพราะอะไร? แต่รู้อย่างเดียวว่าไม่ได้แล้ว เราต้องไปโบสถ์  ไม่ได้แล้ว เราอยากจะมีพระเยซูเป็นพระเจ้าส่วนตัวของเรา  เราจะไปต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            เมื่อก่อนเราก็คิดว่าต้อนรับพระเยซูคริสต์ต้องมาโบสถ์เท่านั้น แต่ความเป็นจริง คือท่านอยู่ที่ไหน? ท่านก็ต้อนรับได้  ท่านอยู่ในบ้าน ท่านก็ต้อนรับได้ ท่านอยู่บนเตียงนอน ท่านกำลังจะนอน ท่านก็สามารถต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้เช่นเดียวกัน ก็คือท่านอธิษฐานกับพระเจ้าเลย คุยกับพระเจ้าเลย คุยแบบง่ายๆ ไม่ต้องมีราชาศัพท์ บังเอิญเราอ่านพระคัมภีร์ ราชาศัพท์เยอะ เราก็เลยติดคำราชาศัพท์

            “พระเจ้า พระบิดา ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  พระเจ้า ลูก ข้าพระองค์”

            อะไรอย่างนี้ เราก็ติด แต่ถ้าเราคุยกับพระเจ้า พระเจ้าเป็นพ่อเรา เป็นพ่อกับลูก เราเรียกพระเจ้าว่าพ่อก็ได้ เรียกพระเจ้าว่าปะป๊าก็ได้ เรียกพระเจ้าว่าแด๊ดดี้ก็ได้ คือมันเป็นความผูกพัน พี่น้องนึกออกไหม? เราก็อธิษฐานคุยกับพระเจ้าได้ ถ้าพี่น้องอยู่ที่บ้าน แล้วข้างในวิญญาณเร้าท่านว่า …

            “ฉันอยากได้พระเจ้าองค์นี้ ฉันอยากได้จริงๆ ฉันฟังมาเยอะแล้ว ฟังมานานมากเลย แล้วทุกคนที่เชื่อพระเจ้าองค์นี้”

            ทำไมเขาถึงมีความสุขอย่างนี้ เรารู้ได้อย่างไรว่าเขามีความสุข ขณะที่เขาเผชิญความทุกข์ยาก เขายังสามารถชื่นชมยินดีได้ มันเกิดอะไรขึ้น เขาก็อยากได้เหมือนเรานั่นแหละ พออยากได้ปุ๊บ พี่น้องไม่ต้องวิ่งมาโบสถ์ก็ได้ ไม่ต้องให้อาจารย์พาท่านอธิษฐาน ท่านอธิษฐานเลย …

            “พระเจ้า พระเยซู ลูกอยากได้พระองค์เป็นพระเจ้าส่วนตัวของลูก ขอรับลูกเป็นลูกของพระองค์ด้วยอีกคนหนึ่ง เสด็จเข้ามาเถิดพระเจ้า” แค่นั้น เอง “ในนามพระเยซู”

            แค่ท่านเปิดปาก ยอมรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านจะพูดอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องราชาศัพท์ พูดแบบภาษาง่ายๆ …

            “พ่อจ๋า อยากได้พระองค์เป็นพ่อ” แค่นั้น จบ

            พระเจ้าก็เข้ามาทำขบวนการของพระองค์ทันทีในโลกวิญญาณ อย่างที่ในพระคัมภีร์บอกว่า …

            “นี่แน่ เราเคาะอยู่ที่ประตูใจของท่าน ถ้าใครได้ยินเสียงของเรา แล้วเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้น  เราจะเข้าไปกินข้าวด้วย แล้วเราจะอยู่ในเขา และเขาจะอยู่ในเรา”

            นี่เป็นถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ ในหนังสือวิวรณ์ ซึ่งสมัยก่อน เราก็เข้าใจถ้อยคำข้อนี้ผิดมหันต์มาก เราเข้าใจว่าถ้อยคำข้อนี้ พูดกับคริสเตียน ผู้เชื่อเวลาทำอะไรไม่ดี ไม่ถูกต้อง ทำบาป พระเยซูก็ระเห็จออกไปจากชีวิตของเรา แล้วพระเยซูก็ไปยืนอยู่ข้างนอก แล้วพระองค์ก็มาทุบประตูเรา …

            “ฉันอยู่ตรงนี้ๆ เปิดประตูหน่อย ให้ฉันเข้าไปหน่อย”

            มันไม่เกี่ยวกัน มันไม่ใช่เลย เมื่อเราเป็นผู้เชื่อ เมื่อเราบังเกิดใหม่ เมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว  พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา แยกจากกันไม่ได้ อย่างที่อาจารย์บอก ขิงดอง กระเทียมดอง อะไรดองทั้งหลาย คือดองแล้วดองเลย กลับไปที่เดิมไม่ได้ ก็คือพระเจ้าไม่ไปไหน? พระเจ้าบอกว่า …

            “เราสถิตอยู่ในเจ้า เราไม่ทอดทิ้งเจ้า เราอยู่กับเจ้าจนกว่าจะสิ้นยุค”

            นี่คือพระสัญญา ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกว่าพอท่านเผลอไปทำผิด หรือวันนี้ดื้อ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวตนแท้ๆ ของเรา วันนี้ทำอย่างนี้นะ พระเจ้าออกไปข้างนอกแล้ว ตอนนี้ เธอต้องคอยฟังเสียงพระองค์นะว่าเมื่อไร พระองค์จะมาเคาะประตู เธอรีบเปิดเลยนะ พระองค์จะได้เข้ามา มันไม่ใช่ เราถูกหลอกมานานแล้ว ดิฉันถูกหลอกมาหลายสิบปีแล้ว เพิ่งมารู้ความจริง พอรู้ความจริงเราก็มาบอกต่อกัน เราจะได้ไม่ถูกหลอกต่อ

            ถ้อยคำนี้ พระเจ้าพูดกับคนที่ไม่เชื่อ พระเจ้าเคาะที่ประตูใจเขาแบบไหน? แบบทุกที่ ทุกหน ทุกแห่ง เมื่อเขาไปเจอ อาจจะเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง ญาติโกโหติกา วันดีคืนดีก็มาคุยเรื่องพระเยซูให้ฟัง เราฟังแล้ว เราอาจจะขัดใจบ้าง อะไรบ้าง ไม่รู้แหละ แต่พระเจ้าก็คอยเคาะๆ จนวันหนึ่งเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อ ข่าวดีของพระเจ้าเข้าไป วันหนึ่ง ข้างในวิญญาณเราเปิด เปิดจากข้างใน แล้วเราก็เปิดใจให้พระเยซู ที่พระเยซูบอกว่า …

            “เมื่อท่านเปิดประตู เราจะเข้าไปหาท่าน แล้วเราก็จะไปกินข้าวด้วย”

            การกินข้าวด้วย ถ้าไม่คุ้นเคย ไม่กินด้วยนะ เวลาเรากินข้าว เราชอบกินกับใคร? เรากินกับครอบครัว มีความสุข  กินกับเพื่อนที่เรารัก เรามีความสุข  ไม่ใช่อยู่ดีๆ เราไปเจอคนแปลกหน้า บนถนน แล้วเราก็ไปลากเขา …

            “ไปๆ กินข้าวด้วยกัน”

            ไม่มีใครทำแบบนั้น เราไม่มีความสุข ที่จะกินกับใครก็ไม่รู้ เราไม่รู้จัก อยู่ดีๆ ชวนเขามากินข้าว หรือเขามาชวนเรากินข้าว เราก็มองหน้า ใคร? ทำอะไร? ไม่ไปด้วยหรอก? อะไรแบบนี้ นี่คือธรรมชาติที่เรามองภาพตรงนี้

            ฉะนั้น การที่พระเจ้าเข้ามาในใจเรา เข้ามากินข้าวกับเรา เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา แปลว่าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรายอมให้พระเจ้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา แล้วเราก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพระองค์ นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ปัจจุบันพวกเราเป็นอยู่แล้ว  ฉะนั้น ให้เรายึดในถ้อยคำตรงนี้ ยึดในความจริงตรงนี้ ที่เราจะไม่โดนหลอกว่าวันดีคืนดี ถ้าเราทำไม่ดี พระเยซูจะทิ้งเรา พระเยซูจะออกจากตัวเรา พระองค์จะไปนั่งรอเราข้างบน หรืออะไรก็แล้วแต่

            เมื่อก่อนเขาพูดเล่น ถ้าท่านขับรถ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พระเยซูนั่งอยู่ข้างๆ  ถ้าท่านขับ 90 พระเยซูไปนั่งเบาะหลัง ถ้าท่านขับเกิน 100 พระเยซูขึ้นไปรอท่านอยู่ข้างบน  เมื่อก่อนนักเทศน์ชอบเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง  เป็นเรื่องที่เขาจะคุยให้สนุกสนาน ให้เรารู้สึกมันเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ต่อให้ท่านขับ 140 พระเยซูก็อยู่ในท่าน อยู่ในใจท่าน ไม่หนีท่านขึ้นไปรอข้างบน  เพราะว่าอย่างไรพระเยซูก็อยู่ในท่าน ถ้ายังไม่ถึงเวลากำหนดของท่าน พระเยซูก็ไม่ต้องขึ้นไปรอท่านข้างบน แต่ถ้าพระเยซูจะรับท่านไป คือถึงกำหนดเวลาแล้ว ท่านจะต้องกลับบ้านจริงๆ พระองค์ก็มารับวิญญาณท่านขึ้นไปอยู่ข้างบน นั่นแหละ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราจำเป็นจะต้องรู้ และชัดเจนมากๆ พระเจ้าอวยพรค่ะ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เกิดโดยมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ เกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็เป็นวิญญาณบริสุทธิ์

            มนุษย์เกิดมาโดยธรรมชาติก็เป็นมนุษย์ แม้จะอยู่ในครรภ์ก็เป็นมนุษย์แล้ว ไม่ต้องรอเรียนรู้จักการเดิน การปฏิบัติตัว ไม่ต้องรอจนอายุ 10, 20, 30, 50 ถึงจะเป็นมนุษย์ เพราะเกิดก็เป็นมนุษย์แล้ว

            เกิดเป็นมนุษย์หนึ่งวัน กับเกิดมาแล้ว 10 ปีก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่เป็นมนุษย์ที่เจริญเติบโตไม่เท่ากัน

            เกิดเป็นมนุษย์ใหม่ๆ ยังไม่เจริญเติบโต ยังเป็นทารกเด็กเล็กๆ ประพฤติยังไม่สมกับการเป็นมนุษย์ แต่ก็เป็นมนุษย์อยู่ เห็นแก่ตัว อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ผู้ให้กำเนิดกันทุกคน แต่พอเจริญเติบโต ก็รู้ว่าตนเองสมควรทดแทนพระคุณ

            เช่นเดียวกัน … เกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็สามารถทำอะไรที่ไม่สมกับการเป็นลูกพระเจ้าได้ เพราะยังเด็กอยู่ ต้องรอการสอน การเรียนรู้ และเจริญเติบโตในวิญญาณ

            ธรรมชาติของการเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า

                   – เกิดมาเป็นผู้ให้อภัยเสมอ

                        – เกิดมาเป็นผู้ไม่โลภเลย

                        – เกิดมาเป็นผู้ให้แต่อย่างเดียว

                        – เกิดมาเป็นผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย

                        – เกิดมาเป็นผู้ที่มีความสงบ

                        – เกิดมาเป็นผู้ที่มีใจกล้า ไม่มีความกลัว

                        – เกิดมาเป็นผู้ที่ยุติธรรม

                        – เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม

                        – เกิดมาเป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดใด

                        – เกิดมาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย

                        – เกิดมาก็เป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เป็นทายาท รับมรดกนิรันดร์จากพ่อแห่งฟ้าสวรรค์

                           เป็นผู้ที่พ่อแห่งฟ้าสวรรค์รักมากดังแก้วตาดวงใจ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1488

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  กันยายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 8 “เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 8 “เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว”

            เชื่ออย่างนี้จริงหรือเปล่า? ที่พูดมั่นใจไหม? นี่คือสิ่งที่อาจารย์ยอห์น อัครสาวกได้เขียน ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เขียนเป็นข้อพระคัมภีร์ อธิบายความจริงเหล่านี้ให้เราฟัง ในหนังสือพระคัมภีร์ ได้เรียนรู้ว่าโลกวิญญาณมันได้เป็นอย่างนี้จริงๆ จงมองให้เห็นเถิด เป็นอย่างนี้จริงๆ มันต้องอาศัยความเชื่อ จะรู้มากเท่าไร? ไม่มีทางเข้าใจหมด จะพยายามเท่าไร ก็ไม่เข้าใจ ความคิดมนุษย์จะไม่สามารถหยั่งถึงได้ จึงต้องใช้ความเชื่อ เหมือนหนังสือฮีบรู 11:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ฮีบรู 11:3 “โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้น สิ่งที่มองเห็น จึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น”

            นี่คือหัวใจหลักของการที่จะมาแสวงหาพระเจ้า ที่แท้จริง การที่จะเรียนรู้จักพระเจ้าที่แท้จริง และเราทั้งหลายที่เรียนรู้จักพระเจ้า ในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว มันก็ต้องยืนยันอยู่บนความเชื่ออย่างนี้ เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น และรู้ว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น ใหญ่ที่สุด คือรวมคำว่า “พระเจ้า” การมาหาพระเจ้าต้องใช้ความเชื่อเท่านั้น อย่าใช้ความรู้สึก การมองเห็น การจับต้องอะไรได้ อย่างนี้มันของโลก อาจถูกหลอกได้ เพราะฉะนั้น เราต้องเชื่อในพระเจ้า เชื่อในถ้อยคำของพระองค์ว่าไว้อย่างไร?  อันดับแรกของการเรียนรู้ต้องเป็นอย่างนั้น

            ก่อนเป็นคริสเตียน ก่อนเราเปิดใจรับเชื่อ สิ่งแรกเราต้องเรียนรู้อะไรก่อน เราเชื่ออะไรก่อน  เราบอกเราเชื่อพระเยซู ถูก เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ถูก เชื่อว่าพระเยซูช่วยได้ ถูก แต่หัวใจของความเชื่อ เกิดขึ้นจากอะไร? เกิดขึ้นจากเราเชื่อใช่ไหมว่าเราเป็นมนุษย์วิญญาณ เราเป็นวิญญาณใช่ไหม? เราเชื่อพระเยซู เราวางใจในพระเยซูอะไรก็ตาม แต่เพราะว่าเราเชื่อว่าโลกวิญญาณมีจริงๆ ถึงแม้จะเลือนลางเต็มที เพราะว่ามีอะไรบางอย่างในโลกวิญญาณก่อนที่เราจะรับเชื่อ มนุษย์ที่จะมาหาพระเจ้า ต้องเริ่มต้นเชื่อว่ามีโลกวิญญาณ และตัวฉันเป็นวิญญาณ พระคัมภีร์บอกเลย มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ที่เป็นวิญญาณ มีความคิด จิตใจ ที่อยู่กับวิญญาณนั้น และอาศัยอยู่ในร่างกายเพียงชั่วคราว

            เราต้องเรียนรู้อย่างนี้ก่อนเลยว่า “ฉันเป็นวิญญาณ มีใจ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว ต้องมีพื้นฐานความรู้ตรงนี้ ไว้เป็นรากฐานในการแสวงหาความจริงจากพระเจ้าต่อไป  เพราะทั้งหมด มันจะเป็นเรื่องนี้เท่านั้น ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คือเรื่องของชีวิตทางวิญญาณ  คือมองไม่เห็นด้วยตา สัมผัสแตะต้องด้วยร่างกายไม่ได้ ใช้ความคิดแบบมนุษย์ไม่ได้ ใช้ปัญญา ใช้วิชาการ ใช้ตรรกะเหตุผล แบบโลกนี้ไม่ได้ ต้องใช้ความเชื่อ เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น

            อาจารย์ยอห์น ก็เลยเขียนในหนังสือ 1 ยอห์น ที่เรากำลังเรียนรู้กัน เจาะลึกกัน เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าเราไปอ่านและไปเรียนรู้ โดยผสมเอาความคิดแบบมนุษย์ ความรู้สึกแบบมนุษย์ ความเข้าใจแบบมนุษย์  ตรรกะเหตุผลแบบมนุษย์ เราจะไม่เข้าใจ เราจะอ่านแล้วงง ไม่ค่อยรู้เรื่องเลย แต่พอสับสวิทส์มา เริ่มต้นว่า …

            “ทางวิญญาณๆ ฉันเป็นวิญญาณ ชีวิตฉันเป็นวิญญาณ”

            พูดถึง “ฉัน” เมื่อไร?  พูดถึง “ท่าน” เมื่อไร? ในพระคัมภีร์นี้ คือ “ฉันเป็นวิญญาณ” กำลังพูดถึงวิญญาณของเรา ทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ  พูดปุ๊บ หมายถึงวิญญาณของท่าน เวลาอ่านจะได้เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันก็จะง่ายขึ้น ชัดเจนมากขึ้น เข้าใจแล้ว หมายถึงเข้าใจแบบฝ่ายวิญญาณ เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร? อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นถึงอะไร? ให้มนุษย์คนที่เชื่อแล้ว คนที่เป็นคริสเตียน ให้เขารู้ว่าในทางวิญญาณ มันแตกต่างกับคนที่ไม่เชื่ออย่างไร?  ในโลกวิญญาณเป็นลักษณะอย่างไร? คริสเตียนมีหน้าตา อุปนิสัย ใจคอ มีชีวิตอย่างไรในโลกวิญญาณ แล้วคนไม่เชื่อเป็นอย่างไร?  นี่คือความแตกต่างที่อาจารย์ยอห์นพยายามชี้ให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วเราได้เรียนรู้มา 2-3 บทแล้ว

            สรุปรวมนะ คนที่เป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณของพวกเขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ย้ายมาจากการที่เขาอยู่ในอาดัม อาดัมคือบรรพบุรุษของเรา ที่เป็นคนบาป เห็นไหม? เราฟังปุ๊บ เราต้องคิด เราอยู่ในพระคริสต์ ดำรงอยู่ในพระคริสต์ ทางวิญญาณ  เราอยู่ในประเทศไทย นั่นมาทางวัตถุ ทางสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ ในโลกใบนี้  แต่ในทางวิญญาณ พระคัมภีร์บอกว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เราอาศัยอยู่ต่อติดอยู่  มีชีวิตอยู่  หรือเป็นชีวิตที่อยู่ในพระคริสต์ เข้าใจไหม? ความคิดแบบมนุษย์ไม่มีทางเข้าใจหรอก  ต้องใช้ความเชื่อ

            “ในพระคริสต์ ฉันมีชีวิตอยู่ ในวิญญาณ ฉันอยู่ในพระคริสต์”

            อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่าในโลกวิญญาณ มีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น คือในพระคริสต์ หรือในอาดัม จะอยู่ในอาดัมหรืออยู่ในพระคริสต์  ถ้าอยู่ในพระคริสต์ ก็อยู่ในพระเจ้า อยู่ในความสว่าง อยู่ในความจริง ถ้าอยู่ในอาดัม ก็อยู่ในความดำ อยู่ในความมืด ความไม่จริง ความเท็จ  ความหลอกลวง ไม่ได้มีพระเจ้าอยู่ที่นั่น  เพราะฉะนั้น มีอยู่แค่ 2 ที่เท่านั้นเอง  ไม่มีตรงกลาง เลือกเอา จะอยู่ที่ไหน? แค่นี้เอง  ก็เข้าใจง่าย ไม่ต้องไปเขียนตำราเยอะแยะ กว่าจะหาเจอว่าเราเป็นใคร? มาจากไหน?  จะไปไหน? โน้น วุ่นวายไปหมดเลย จริงๆ มีอยู่แค่นี้เอง

            ในภาษาอังกฤษ คำว่า “อาศัยอยู่” มันทำไม่ได้ หมายถึงมนุษย์ไม่สามารถปฏิบัติตน ให้อาศัยอยู่ อาศัยอยู่ มันเป็นลักษณะของวิญญาณ ที่เรียกว่าชีววิทยาทางวิญญาณ สภาวะของชีวิตทางฝ่ายวิญญาณว่าเราอยู่ที่ไหน? มันไม่สามารถที่จะประพฤติว่า …

            “ฉันจะพยายามทำตรงนี้ให้มันอยู่ในพระคริสต์มากยิ่งขึ้น”

            ไม่ได้ มันอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่นั่น แล้วอยู่ที่พระคริสต์ได้อย่างไร? อยู่ที่พระคริสต์ได้ โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่เราได้เรียนรู้กันมาแล้ว  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Abide” เป็นภาษาโบราณ Abide แปลว่าดำรงอยู่ อาศัยอยู่ อยู่ข้างใน อยู่ร่วมกัน อย่างนี้เขาเรียกว่า Abide  ไม่สามารถที่จะประพฤติ เป็นอาศัยอยู่นี้ได้ แต่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้น

            อาจารย์ยอห์นบอกว่าถ้าเรา Abide ผมพยายามใช้ภาษาไทยให้เยอะๆ ตามข้อพระคัมภีร์เขียนไว้ในภาษาไทย ถ้าเราได้อาศัยอยู่ หรือดำรงอยู่ หรือต่อติดอยู่ ฟังให้ดีๆ สิ่งเหล่านี้จะเขียนในพระคัมภีร์ ถ้าเราได้อาศัยอยู่ ได้ต่อติดอยู่ ได้ดำรงอยู่ในพระคริสต์ เราก็เป็นเหมือนพระคริสต์ คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ แล้วท่านอยู่ในพระคริสต์หรือยัง? อยู่แล้ว เห็นหรือยัง?

            ท่านอยู่ เพราะอะไร? ท่านอยู่ เพราะท่านประพฤติหรือ?  ไม่ใช่ ท่านอยู่ เพราะว่าท่านเชื่อ วางใจในพระเยซู และพระเยซูกระทำทั้งหมด ทั้งสิ้นให้ท่าน ได้เข้าไปอยู่ในพระองค์ ท่านไม่ได้ทำอะไรเลย ท่านถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านเชื่อไหม? ถามจริง? เชื่อด้วยอะไร? ด้วยเหตุผลหรือ? ที่อธิบายเมื่อตะกี้นี้ ฉันเข้าใจแล้ว ไม่เข้าใจ คิดออกไหมว่าตะกี้ที่พูดคืออะไร? คิดไม่ออก  แต่ฟัง แล้วได้ยินไหมถ้อยคำพระเจ้า ได้ยิน ชัดเจนเลยว่าผู้ที่ Abide ผู้ที่อาศัย ดำรงอยู่ ต่อติดอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์นั้น เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว เอเมน

            ผมจึงให้ท่านลองพูดดู ลองพูดใหม่อีกที พูดกับคนข้างๆ … “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว เหมือนพระคริสต์”

            เชื่อไหม?  เชื่อที่ตัวเองพูดหรือเปล่า? นี่แหละ คือหัวใจ มันมีแค่นี้เองจริงๆ นึกถึง 2,000 ปีที่แล้ว ที่ข่าวประเสริฐเริ่มต้น ที่ไม่มีตัวหนังสือมากมายถึงขนาดนี้ ไม่มีอุปกรณ์อะไรต่างๆ ที่จะมาเรียนรู้จักมากขนาดนี้  ไม่มีความรู้ พูดภาษาอื่นๆ ภาษาต่างประเทศอะไรเยอะแยะมากมาย คนอ่านหนังสือไม่ออกเยอะแยะไปหมด 80, 90% แล้วเขาถ่ายทอด หรือรับรู้เรื่องข่าวดีนี้ จนมาถึงปัจจุบัน เติบโต ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ใหญ่ที่สุดในโลก ผ่านมาถึงเราได้อย่างไร?  ก็มาแค่นี้ที่บอก พระวิญญาณยืนยันให้เขาทุกวันๆ ว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว เดี๋ยวนี้ๆ”

            แล้วเขาพูดให้ใครฟัง? พูดให้ตัวเองฟังว่า “วิญญาณฉันเป็นเช่นนั้น” และในจดหมายฝาก ในพระคัมภีร์ อัครสาวกก็ย้ำยืนยันตรงนี้ ให้เขาอ่าน ให้เขาฟังทุกวันสะบาโต ทุกวันอาทิตย์ ทุกวันที่เขามารวมตัวกัน อ่านข้อความที่เขาอ่านไม่ออก ในหนังสือจดหมายฝากที่อัครสาวกเขียนนั้น สรุป ก็คือท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ท่านดีพร้อมแล้วๆ เหมือนพระเยซูเลย เดี๋ยวนี้ๆ เลย ไม่ต้องไปคิดมาก เอเมน

            ครั้งที่แล้ว เราจบลงที่ 1 ยอห์น บทที่ 2 เราเรียนมา 2 บทแล้ว  จบบทที่ 2 ข้อที่ 28 กับข้อที่ 29 เรามาทวนนิดหนึ่ง ที่บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ …

        1 ยอห์น 2:28 “และบัดนี้ ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงอาศัยอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราทั้งหลายจะได้มีใจกล้า และไม่หลบพระพักตร์พระองค์ ด้วยความละอาย เมื่อพระองค์เสด็จมา”

            เห็นไหม อย่างที่บอกเมื่อตะกี้นี้ “จงอาศัย” ก็คือดำรงอยู่ Abide ต่อติดอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่กับพระองค์ พระองค์ คือพระคริสต์ ที่เราเรียนรู้ลึกไปกว่านั้น ก็คือพระคริสต์อยู่ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์ 3 พระภาคอยู่ในเรา  เราอยู่ใน 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน

            และในนี้ ที่ตะกี้นี้อ่านบอกว่า “และบัดนี้” แปลว่าเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เมื่อตอนเขียนใหม่ๆ นั้น 2,000 ปีที่แล้ว ก็คือขณะนี้ คือตอนนั้น ตอนที่พระเยซูเพิ่งเป็นขึ้นจากความตาย  และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ ไม่กี่ปี จนมา 2,000 ปีนี้ ขณะนี้ ก็คือเดี๋ยวนี้  เป็นจริงอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ ถ้าท่านเป็นคริสเตียนจริงๆ คืออาจารย์ยอห์นถือโอกาสประกาศเลยว่าคริสเตียนจะได้รับอย่างนี้เป็นประสบการณ์ของเขา เขาจะเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ถ้าท่านเป็นคริสเตียนจริงๆ ท่านจงรับรู้ว่าในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น ท่านกำลังอาศัย ดำรงอยู่ในพระเยซูคริสต์ ท่านกำลังอยู่ในพระเยซูคริสต์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ ท่านเดินอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อาศัยอยู่ในท่าน  ดำรงอยู่ในท่าน เป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หมดบาปจนถึงนิรันดร์

            เราได้เรียนรู้ไป เหมือนที่ผมได้ยกตัวอย่าง ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง เหมือนน้ำส้มสายชู เกลือ น้ำตาล สมมติ เป็นพระเจ้า 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ แล้วเราเป็นกระเทียม อยู่นอกโหล คือยังไม่เชื่อ เดี๋ยวมันก็เน่า ถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระวิญญาณก็เอากระเทียม คือตัวเรา ใส่เข้าไปในโหล เข้าไปจุ่มอยู่ในน้ำส้มสายชู เกลือ และน้ำตาล จุ่มปุ๊บ เขาเรียกว่าดองกัน พอดองปุ๊บ กระเทียมก็จะดูดซับเอา 3 สิ่งนี้เข้าไปในตัวเนื้อกระเทียม นึกออกหรือยัง? กระเทียมอยู่ใน 3 สิ่งนี้ 3 สิ่งนี้ท่วมอยู่ในกระเทียม ชีวิตท่านเป็นอย่างนั้น หลับตาให้เห็นก่อน ชีวิตท่านเป็นกระเทียมที่ดองไปแล้ว ไม่มีวันแม้แต่เศษนิดเดียวของกระเทียมนั้น ไม่มีวันที่จะกลับกลายเป็นกระเทียมสดได้อีกต่อไปแล้ว มันเป็นกระเทียมดอง แม้สะกิดนิดเดียว ออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง มันก็เป็นกระเทียมดอง

            นิ้วก้อยของท่านก็เป็นชีวิตของพระเจ้าสถิตอยู่ นี่คืออย่างนั้น เส้นผมท่านทั้งหมด (ที่ยังไม่ร่วง) ร่วงแล้ว ก็เป็นของโลกนี้ไปแล้ว ที่ยังไม่ร่วง ก็ปกคลุมไปด้วยพระสิริของพระเจ้า 3 สิ่งนี้ปกคลุมอยู่เหนือท่าน  รวมทั้งวิญญาณท่านก็เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เอเมน เชื่อไหม? ต้องคุยอย่างนี้บ่อยๆ เชื่อไหม?

            อาจารย์ยอห์นพูดถึงตะกี้นี้บอกว่าให้ท่านรับรู้ความจริงเรื่องนี้ เรื่องที่เราอธิบายไปนี้ว่าท่านเป็นกระเทียมดองแล้ว ไม่มีทางเป็นอื่นแล้ว ท่านจะได้ไม่กลัววันพิพากษา ไม่ละอาย คือท่านไม่ได้เป็นคนบาป  คำว่า “ละอาย” ภาษาเดิม หมายถึงการเป็นคนบาป อยู่ต่อหน้าพระเจ้าไม่ได้ ละอาย ไม่ได้หมายถึงขี้อาย อยู่ต่อหน้าพระเจ้าไม่ได้ เขาเรียกว่าละอาย ไม่สามารถ ไม่กล้าอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เพราะว่าอยู่ต่อหน้าพระเจ้า พระเจ้าบริสุทธิ์  และเราเป็นคนบาป อยู่ด้วยกันไม่ได้เลย อยู่ด้วยกัน ถูกเผาผลาญเรียบร้อย ทั้งกลัว ทั้งละอาย หมายถึงอย่างนี้ พูดง่ายๆ ว่าเราก็ไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นกระเทียมดองแล้วอย่างนี้ อย่าหลงไปเชือคำสอนอื่นๆ อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็นตรงนี้ อย่าไปเชื่อคำสอนอื่นๆ ที่มาบอกท่านเป็นอย่างอื่น ท่านเป็นอย่างนี้แล้วจริงๆ

        1 ยอห์น 2:29 “ถ้าท่านรู้ว่าพระองค์เป็นผู้ชอบธรรม ท่านก็รู้ว่าทุกๆ คนที่ฝึกฝนการกระทำความชอบธรรม ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในวิญญาณนั้น  ได้เกิดมาจากพระองค์ด้วย”

            และก็บอกต่อว่าธรรมชาติของคนที่บังเกิดใหม่ คริสเตียนในวิญญาณเป็นอย่างไร? ถือโอกาสประกาศต่อเลยว่าถ้าท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านก็จะได้รับรู้เองและมีความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ถ้าท่านเป็นคริสเตียน ถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านจะรู้อยู่ภายในของท่านว่าพระเยซูเป็นอย่างนี้

            เมื่อท่านรู้แล้ว ท่านจงรับรู้เถิดว่าวิญญาณของท่านได้เกิดใหม่จากพระองค์ เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระองค์ มีพระลักษณะของพระองค์อยู่ในวิญญาณของท่าน ท่านจึงมีตัวตนจริงๆ ในวิญญาณของท่าน ในใจของท่าน เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมด้วยเช่นเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ นี่ยืนยันหมายถึงอย่างนั้น

            และผลออกมา ก็คือและท่านก็จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยการฝึกฝนความประพฤติที่ชอบธรรม ฝึกฝนตามปกติ ตามธรรมชาติ ภายในที่เกิดใหม่นั้น  ที่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในวิญญาณของท่าน ที่เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ฝึกฝน โดยการนำของพี่เลี้ยงที่อยู่ในวิญญาณของเรา  คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พี่เลี้ยงก็จะนำเรา  นำโดยที่เราไม่รู้สึก นำโดยที่เราคิดไม่ถึง นำเรา โดยที่เราไม่รู้เลยว่ากำลังนำอยู่ เพราะทรงนำอยู่ตลอดเวลา เอเมนไหม?

            และการนำนี้ ทำให้เกิดอะไรขึ้น ท่านลองคิดดู วิญญาณของท่านเป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยง นำพาท่าน กำลังจูงมือท่านเดิน และเกิดอะไรขึ้น ท่านก็เกิดความเชื่อฟัง ไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวเลย สะอาด บริสุทธิ์ ท่านก็เหมือนเด็กๆ เตาะแตะๆ กับพี่เลี้ยง ไปด้วยกัน มีพระบิดา เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ดูแลอยู่ และให้พี่เลี้ยงนำพาเรา  เราก็เหมือนเด็กในวิญญาณ พยายามฟังพี่เลี้ยงของเรา และก็เชื่อฟังเขา

            นี่คือความเป็นจริงชีวิตของท่าน  แม้ว่าเมื่อตะกี้ท่านอาจจะบอกว่าฉันยังทำบาปอยู่ ฉันยังโมโห ไม่เชื่อฟัง นั่นท่านกำลังฝึกฝนอยู่ ในนี้บอกว่าเรากำลังฝึกฝนที่จะทำตาม ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ เขาจึงเรียกว่าการฝึกฝน กระทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่สถิตอยู่ภายใน  มันต้องฝึกฝน คือบางครั้งถูกหลอกให้ดื้อ ให้ไม่ทำตามบ้าง อย่างนี้เขาเรียกว่าถูกหลอก แล้วพระวิญญาณก็จะฝึกเรา บอกเราว่าอย่างนี้ถูกหลอกนะ อย่างนี้ ไม่ดี ก็แก้ไขใหม่  ก็เปลี่ยนใหม่ เหมือนพี่เลี้ยงที่เลี้ยงเด็กที่บ้านของเรา เหมือนเราเลี้ยงลูก เด็กๆ เหมือนกัน

            เพราะฉะนั้น มั่นใจว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม พร้อมที่จะเชื่อฟังพระเจ้า เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง เด็ดขาด  และพร้อมที่จะกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ให้สมกับที่เราเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์  ชอบธรรม  ดีพร้อมแล้วนั้น นี่คือตัวตนแท้ๆ ของเรา ส่วนที่เราดื้อนั้น เราไม่อยากทำหรอก แต่เราถูกหลอก เชื่อไหม? ก็ไม่เชื่อ

            “ไม่จริงหรอก ต้องรับผิดชอบสิ คุณเป็นคนตัดสินใจ”

            พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ แล้วจะเอาอย่างไร? ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน

            นี่คือความจริง อาจารย์ยอห์นจึงมาชี้ให้เห็นความจริง อย่าไปถูกเขาหลอกว่า …

            “ฉันแย่ ฉันเลว”

            “พระเจ้าอภัยให้กี่ครั้งแล้ว ยังทำอยู่นั่นแหละ”

            ไม่จริงเลย วิญญาณของฉัน และใจของฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เคยคิดจะละเมิดกฎของพระเจ้า หรือทำบาปเลย เพราะฉันเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไม่มีความบาปอยู่ในตัวฉันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ที่คิดและพลาดไปอย่างนั้น เพราะฉันถูกหลอกให้ทำ

            หลอกอะไรตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่รู้จักเปลี่ยนสักที เนี้ย สติปัญญามนุษย์ ก็จะอย่างนี้แหละ แล้วก็จะฝืนกับความจริงของถ้อยคำพระเจ้า

            วันนี้เรามาต่อ บทที่ 3 วันนี้ยิ่งเห็นชัดขึ้นอีกเลยว่าที่ตะกี้นี้ อธิบายมาหมด ที่เราเรียนมาตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 จนถึงเดี๋ยวนี้ มันชัดมากเลยในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้แล้วจริงๆ ฟังมากๆ เพื่อจะให้ความจริงนี้ลงไปในวิญญาณของเรา เปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ ให้เป็นความคิดที่เป็นไปกับถ้อยคำพระเจ้า ที่เรียกว่านมัสการพระองค์ด้วยวิญญาณและความจริง ไม่ถูกหลอก …

        1 ยอห์น 3:1 “จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรัก แก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้น  เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลาย ก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์”

            “จงมองให้เห็นเถิด” แปลว่าในโลกวิญญาณ  ถ้าในโลกวัตถุ ก็ไม่ต้องบอกว่า “จงมองให้เห็น” มันเห็นอยู่แล้ว อันนี้มันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาจึงบอกว่าจงมองให้เห็นเถิด ในภาษาอังกฤษ เขาใช้คำว่า Behold แปลว่ามันมองไม่เห็น แต่มองทางฝ่ายวิญญาณให้เห็น  และนี่คือความจริง

            ความจริง คือความรักของพระเจ้าอัศจรรย์เพียงใด ตรงนี้ความหมายลึกซึ้ง ตรงนี้มันแปลว่าอย่างนี้ ความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? มหัศจรรย์เพียงใดในโลกฝ่ายวิญญาณ ได้ทำให้เกิดขึ้นอย่างนี้ ก็คือมอบของขวัญให้กับมนุษย์ ให้กับท่าน

            ของขวัญ คือการยอมรับเรา เป็นลูกของพระองค์ ทำให้เราได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ นี่คือของขวัญ อัศจรรย์ที่พระเจ้าประทานให้ อัศจรรย์จริงๆ และยิ่งต่อด้วยคำนี้ ยิ่งอัศจรรย์ใหญ่เลย …

            “และเราก็เป็นลูกของพระองค์จริงๆ”

            ภาษาเดิมตรงนี้ มันแปลว่าอย่างนี้ ที่ตะกี้นี้อ่านบอกว่า “และเราก็ได้เป็นเช่นนั้น” จริงๆ ตรงนี้ คือ “จริงๆ เราก็ได้เป็นอย่างนั้น” เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ อาจารย์ยอห์นบอก จริงๆ ต้องเน้น เพราะมันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ  “เราเป็นลูกพระเจ้าแล้วจริงๆ เดี๋ยวนี้เลย” เดี๋ยวนี้ คือขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่ยังเลิกบุหรี่ไม่ได้เลย เลิกเหล้าก็ได้บ้าง ไม่ได้หมด ยังเลิกหงุดหงิดไม่ได้เลย แต่ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้วจริงๆ เดี๋ยวนี้ หมายถึงอย่างนั้น

            “เหตุที่โลกไม่รู้จักเรา  ไม่ยอมรับเราที่เป็นคริสเตียน ก็เพราะว่าคนเหล่านั้น เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนเหมือนกัน” เห็นไหม?  เห็นในโลกวิญญาณแล้วหรือยัง?  เพราะว่าเขาไม่ได้อาศัยอยู่ในอาณาจักรเดียวกับเรา เขาอยู่ในอีกด้านหนึ่ง เขาไม่รู้จักเราหรอก เขาอยู่ในอาดัม เพราะเขาแสวงหาพระเจ้าผิดองค์ พระเจ้าไม่จริง พระเจ้าไม่เที่ยงแท้ เขาไม่รู้จักพระเจ้าของเรา ซึ่งเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว  เป็นพระเจ้าของพระบิดาของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา

            เห็นภาพหรือยัง? อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็นในโลกวิญญาณว่ามี 2 แห่ง เขาเลยไม่รู้จักเรา ไม่รู้จักเรา แปลว่าในวิญญาณเขาไม่ได้มาสามัคคีธรรมกับเรา เขาไม่รู้จักเราหรอก แต่เราทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เรารู้จักกันหมด เพราะว่าในวิญญาณ เราเป็นวิญญาณเดียวกัน รู้จักกัน มันหมายถึงอย่างนี้

        1 ยอห์น 3:2 “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์ตามความเป็นจริง อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”

            เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ ก็คือในโลกวิญญาณ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้  โลกวัตถุนี้  ก็คือในโลกวิญญาณ ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราเป็นลูกของพระเจ้าอยู่จริงๆ

            “ก็จริง” หมายความว่ามันก็จริงอยู่นั่นแหละที่เราเป็นลูกของพระเจ้า แต่ท่านยังสงสัยใช่ไหม? อาจารย์ยอห์นก็เลยบอกว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริงอยู่นะ แต่ในโลกวัตถุ เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร? ตรงเป๊ะ เราเชื่อ เรารู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเราในวิญญาณ เราเป็นลูกพระเจ้า แต่อนาคตเราจะเป็นอย่างไร? ร่างกายเราจะเป็นอย่างไร? เราตายไปแล้วเราจะเป็นอย่างไร? เรามีความหวัง แต่เราไม่รู้ แต่ที่เรารู้ว่าพระองค์เสด็จมาปรากฏ เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์

            อาจารย์ยอห์นเลยบอกให้ฟังว่าถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้า ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว เราก็ต้องรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับร่างกายใหม่ มาแทนร่างกายเดิม เห็นไหม?

            “ฉันเป็นวิญญาณ มีใจใหม่ มีวิญญาณใหม่ แต่อยู่ในร่างกายชั่วคราว ร่างกายชั่วคราวนี้จะหมดสิ้นไป สูญสิ้นไป จะตายไป ฉันจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์”

            “เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์” คือเราจะสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์ เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์ ตามความเป็นจริง อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น คือวิญญาณออกจากร่างไปปุ๊บ ทุกวันนี้ วิญญาณและใจของเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว แต่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ยังอยู่ในร่างกายเดิมนี้ ร่างกายเดิม ไม่มีความสามารถด้อยคุณภาพ ไม่สามารถมองเห็นทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณได้ มิติฝ่ายวิญญาณยังเห็นไม่ได้ แต่วันหนึ่งข้างหน้า วิญญาณเดิม ใจเดิม แต่สวมร่างกายใหม่ที่มีคุณภาพดียอดเยี่ยม เป็นคุณภาพแบบพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ พอสวมเข้าไปปุ๊บ ปิ๊ง มีตาฝ่ายวิญญาณ เห็นโลกฝ่ายวิญญาณ ตามความเป็นจริง ก็คือเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง และเห็นตัวเองตามความเป็นจริงด้วย  เอเมน ในฟิลิปปี 3:20-21 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        ฟิลิปปี 3:20-21 “20 เราก็เป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอด จากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            ตอนนี้เราเป็นพลเมืองสวรรค์ ตอนนี้เราเป็นประชากรของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นครอบครัวของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว  อยู่ในสวรรค์แล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ แต่เรารอคอยร่างกายใหม่ อย่างที่ตะกี้นี้พูดไว้ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยพระสิริ พระเกียรติของพระองค์ เราจะได้รับสิ่งเหล่านี้ โดยฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่ทรงสถิตอยู่ภายในเรา ขณะนี้

            เมื่อถึงเวลานัด เราจะได้รับการผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง คือเปลี่ยนร่างกายใหม่  เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เราเป็นคริสเตียน เต็มไปด้วยความหวังอย่างนี้แหละ ใครที่เป็นคริสเตียนก็เต็มไปด้วยความหวังอย่างนี้ คือหวังว่าจะได้รับร่างกายใหม่ในไม่ช้านี้  และจะได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เอเมน …

        1 ยอห์น 3:3 “และทุกคนที่มีความหวังอย่างนี้ในพระองค์ ก็ชำระตนให้บริสุทธิ์ เหมือนที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์”

            “ทุกคนที่มีความหวังอย่างนี้” รู้แล้วว่า …

            “ฉันเป็นวิญญาณ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ขณะนี้ มีใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วขณะนี้”

            รอเพียงตายเมื่อไร? … “ฉันจะออกจากร่างกายนี้ แล้วไปรับร่างกายใหม่ในสวรรค์ ฉันมีความหวังอย่างนี้ ในพระองค์ ฉันก็เลยดำเนินชีวิต ชำระตนให้บริสุทธิ์ สมกับที่เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ที่เหมือนพระองค์ ที่บริสุทธิ์แล้ว”

            อย่าเข้าใจผิดว่าหนังสือนี้กำลังสอนให้เราต้องรักษาความบริสุทธิ์นั้นไว้ เพื่อจะได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ได้รับร่างกายใหม่ ไม่ใช่ ในนี้หมายถึงให้ชำระตนให้บริสุทธิ์  รักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ ให้สมกับที่บริสุทธิ์แล้ว เป็นลูกแล้ว มันต่างกัน

            การชำระตนให้บริสุทธิ์ ที่กล่าวถึงนี้  ไม่ใช่การพยายาม ด้วยความพยายามของตัวเราเอง แต่เป็นผลจากตัวตนใหม่ เขาเรียกว่าอัตลักษณ์ใหม่ ตัวตนใหม่ของเราในพระคริสต์ ในวิญญาณของเรา ที่เป็นเหมือนพระองค์แล้ว คือวิญญาณเราได้รับการเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมผ่านการเสียสละของพระองค์ การงานของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน

            เพราะฉะนั้น บทบาทของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าวางไว้  ก็คือให้เราดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงในถ้อยคำพระเจ้านี้  โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำทางเรา ในการแสดงความบริสุทธิ์ ความดีพร้อม ความชอบธรรมนี้ ที่มันเป็นของเรา อยู่ในวิญญาณของเราแล้ว ในพระคริสต์ ไม่ได้หมายถึงว่าให้เราทำความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น มากขึ้นกว่าที่พระองค์ทรงกระทำ เพราะไม่มีทางบริสุทธิ์มากกว่านี้แล้ว เราบริสุทธิ์ เพราะว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิต และได้เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เพื่อเราทั้งหลาย และเราได้รับเชื่อ ได้รับบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เราได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เพราะการงานของพระองค์ ไม่ใช่เพราะเราทำเพิ่มเติม แต่ที่เราทำ และพระวิญญาณนำเราทำนั้น  ทำให้สมกับที่เราได้เป็นแล้ว เอเมน

            ในโรม 12:2 ก็ได้บอกอย่างนั้นว่าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่ เปลี่ยนแปลงคืออะไร?  แทนที่จะพยายามทำสิ่งที่ดีงามอะไรต่างๆ เพื่อจะเพิ่มพูนความดีงามของตัวเอง  เพื่อจะเพิ่มพูนความสมบูรณ์ดีพร้อมของตัวเอง ซึ่งมันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าว่าเราบริสุทธิ์ ดีพร้อม เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้เราเรียบร้อยแล้ว เราเชื่อเท่านั้น จบแล้ว เข้าใจใช่ไหม?

            เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจตรงนี้เสียใหม่  ขบวนการการเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ คือการปรับความคิด และการกระทำของเรา ให้ความคิดและการกระทำของเราสอดคล้องกับความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเราได้เป็นแล้ว ให้เรากระทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สมกับที่เราได้เป็นแล้ว ถ้าเราไม่สม ก็แสดงว่าเราถูกหลอก ให้ทำในสิ่งที่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริงของตัวเรา ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ให้คิดสอดคล้องไปกับความเป็นจริงว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์

            การเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ คือการฝึกฝนความชอบธรรม การแสดงออก ซึ่งตัวใหม่ของเรา คือวิญญาณใหม่ ใจใหม่ของเรา ให้มันออกมาเป็นความประพฤติ มันต้องใช้การฝึกฝนในการวางใจในพระเจ้าว่าเราเป็นอย่างนั้น  เราจึงจะผลิตออกมาเป็นอย่างนั้นได้ ถ้าเราไม่เชื่อว่าเราเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่สามารถผลิตอย่างนั้นได้  เรายังเชื่อว่าเราเป็นคนบาป เราก็ผลิตแต่สิ่งที่เป็นบาป  แต่ถ้าเราเชื่อว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว พระวิญญาณอยู่กับเราแล้ว มันจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดของเราเป็นอย่างนั้น เป็นความบริสุทธิ์ ดีพร้อม แล้วเราก็จะประพฤติออกมา เป็นความบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซู ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ …

        1 ยอห์น 3:4 “ทุกคนที่ทำบาป ย่อมละเมิดบทบัญญัติ อันที่จริงบาป ก็คือการละเมิดบทบัญญัติ”

            บทบัญญัติ คือกฎหมายของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความชอบธรรม กฎหมายของพระเจ้า ก็คือให้ทำความชอบธรรมเหมือนพระเจ้านั่นเอง นี่คือกฎ ก็คือให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า โดยการกระทำด้วยตัวเอง นี่คือกฎ ซึ่งมีใครทำได้ไหม? ไม่มี เพราะว่าทุกคนตกเป็นทาสของความบาป เป็นคนบาป ไม่สามารถรักษากฎของพระเจ้า ก็คือไม่สามารถรักษาศีลธรรมตามมาตรฐานของพระเจ้าได้  ไม่มีทาง รักษาอย่างไรก็ไม่ครบหมด มันหมายถึงอย่างนั้น กฎศีลธรรม ก็คือกฎหมาย หรือกฎบัญญัติของพระเจ้านั่นเอง

            “ศีล” แปลว่าละเว้น งดเว้น  จากการละเมิดกฎของพระเจ้า  ศีล คือละเว้น อย่าทำ

            “ธรรม” คือให้ทำตามกฎของพระเจ้าที่วางไว้ พระเจ้าบอกให้ทำอย่างนี้ ให้ทำ และทำได้ไหม?  อันที่อย่าทำ เราก็ทำ อันที่บอกให้ทำ เราก็ไม่ทำ นี่คือมนุษย์ทั่วๆ ไป ตกลงไปในความบาป และอยู่ใต้อิทธิพลของความบาป เราไม่สามารถทำให้ดีพร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์ได้เลยแม้แต่นิดเดียว คือชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระลักษณะของพระเจ้าที่ดีพร้อม บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทำ ก็คือทำเหมือนพระองค์ คือชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ ซึ่งมนุษย์ไม่มีทางทำได้ นอกจากพระเจ้ามาช่วย  คือส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยเรา เอาบาปออกไปจากเรา เพื่อให้เราบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม  โดยไม่ต้องทำ พระเยซูคริสต์ทำให้เสร็จ นี่ชัดเจนเลย พระเจ้าจึงส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาช่วยเหลือ รักษาให้มนุษย์หายจากความอ่อนแอนี้ คือไม่สามารถประพฤติตามกฎศีลธรรมตามมาตรฐานของพระเจ้าได้

            ให้พระเยซูคริสต์มา เพื่อให้ตัวบาปเก่าของเราได้ตายไป เพื่อว่าเราจะได้บังเกิดใหม่ พร้อมพระเยซูคริสต์ มาเหมือนพระเยซูคริสต์ และเข้ามาอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ซึ่งทำให้เราเป็นอิสระจากกฎของความบาป และความตาย กฎแห่งศีลธรรม เราเป็นอิสระทันที เพราะเราได้เกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว ในข้อ 5 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 3:5 “แต่ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มา เพื่อขจัดบาปของเรา และในพระองค์ไม่มีบาป”

            แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน คริสเตียนทั้งหลาย ท่านได้เกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณของท่าน ท่านก็รับรู้ด้วยความจริงว่าท่านได้อยู่ในพระเยซูคริสต์จริงๆ และในพระคริสต์นี้ ไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว  เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ คือไม่มีบาป ในตัวของเราเลย คือในวิญญาณของเรา ไม่มีบาป เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วจริงๆ นั่นเอง วนเวียนอยู่ตรงนี้  พยายามอธิบายอยู่ตรงนี้ ให้เราคริสเตียนได้เห็นภาพชัดเจน …

        1 ยอห์น 3:6 “คน​ใด​ที่​อาศัย​อยู่​ใน​พระ​องค์ คน​นั้น​ไม่​ได้​มี​ปกติ​กระทำ​บาป ผู้ใดที่​มี​ปกติ​กระทำ​บาป ผู้​นั้น​ยัง​ไม่ได้​เห็น​พระ​องค์ และ​ยัง​ไม่ได้​รู้จัก​พระ​องค์”

            ในภาษาเดิมตรงนี้ หมายถึงว่า “คนใดที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์” คนใด ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และอาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว คนนั้นไม่ได้มีปกติการทำบาป ไม่ได้มีการฝึกฝนปฏิบัติการกระทำบาปอย่างต่อเนื่อง ตามธรรมชาติวิสัยใหม่ พูดง่ายๆ ว่าตามปกติวิสัย ก็คือตามธรรมชาติ ชีวิตของเขา เขาจะไม่ทำอย่างนั้น “เป็นปกติวิสัย” ก็คือเป็นธรรมชาติ ในชีวิตของคริสเตียน ที่เกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ ว่าคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว  ได้เกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ จะมีธรรมชาติปกติวิสัย ฝึกฝนในการกระทำสิ่งที่ไม่ได้เป็นบาปเลย คือเขาไม่มีบาปอยู่ในตัวนั่นเอง ไม่มีธรรมชาติบาปอยู่ในตัวของเขา …

        1 ยอห์น 3:7 “เด็กผู้ชาย (หนุ่มๆ) อย่าให้ใครมาหลอกลวง  และนำคุณให้หลงทาง ผู้ที่ฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม (ตามธรรมชาติภายใน ที่เป็นผู้ชอบธรรมจากการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์) ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ (พระเยซู) ผู้ทรงเป็นความชอบธรรม”

            นี่แยกให้เห็นชัดเจน อย่างที่บอกในโลกวิญญาณ มี 2 ทาง ข้างหนึ่งเป็นความมืด ข้างหนึ่งเป็นความสว่าง “อย่าให้ใครมาหลอกลวงท่าน” ก็คือคำสอนผิดๆ  “และนำคุณให้หลงทาง” คือไม่เข้าใจในเรื่องโลกวิญญาณ ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว จะบอกให้ฟังว่าในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างนี้ ผู้ที่ฝึกฝนประพฤติความชอบธรรมตามธรรมชาติ ภายในที่เป็นผู้ชอบธรรม  จากการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ ก็แสดงว่าถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นเหมือนพระองค์แล้ว เขาคนนั้น ข้างในวิญญาณเขาจะฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม ตามธรรมชาติภายใน ซึ่งเป็นผู้ชอบธรรม เขาได้บังเกิดใหม่แล้ว ยังไงๆ ก็ต้องเป็นอย่างนี้

            นี่คือลักษณะชีวิตในโลกฝ่ายวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียน เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นหน่อเชื้อฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์

            ชีวิตนิรันดร์มาจากพระเจ้า ชีวิตนิรันดร์เป็นของพระเจ้า  พระเจ้าแบ่งชีวิตนิรันดร์ให้เราได้เกิดใหม่ในพระองค์ วิญญาณของเราจึงมีพระลักษณะของพระเจ้า เป็นลักษณะชีวิตของเรา มันไม่มีบาป เราเป็นลูกของพระเจ้าที่มีวิญญาณใหม่ ใจใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย  ที่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ แต่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายเดิม นึกออกไหม? บนโลกนี้ ซึ่งบนโลกนี้ ปกคลุมด้วยอิทธิพลของความบาป  ผู้คนยังมีบาปเยอะแยะ และโลกนี้ยังปกคลุมอยู่เหนือความบาป ต่อต้านความดีงามของพระเจ้า  คอยหลอกล่อหลอกลวงให้เราคริสเตียนประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับธรรมชาติตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมแล้วนั้น นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ

            แล้วพระเจ้า ผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงได้เข้ามาสถิตอยู่ภายในเราแล้วนั้น ทั้ง 3 พระภาค ก็จะคอยฝึกฝน ฝึกสอนเรา ด้วยความอ่อนโยน  ด้วยความรักดังแก้วตาดวงใจ ให้รู้จักการโกหก หลอกลวงของโลกนี้ ให้เรารู้จักปฏิเสธ ไม่ประพฤติตามอิทธิพล การชักจูงการล่อลวง การหลอกลวงของศัตรูบนโลกนี้ ทุกฝีก้าว สอนเรา เราจะรู้หรือไม่รู้ จะรู้สึกหรือไม่รู้สึกไม่รู้ แต่ในโลกวิญญาณ พระองค์กำลังทำอย่างนี้อยู่ ในทิตัส 2:11-12 ได้บันทึกไว้ …

        ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาปและความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเรา ที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาป ไม่ทำตามกิเลส โลกียตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ (ตามพระวิญญาณ) ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า)”

            สมกับเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า พระคุณนี้สอนเรา คริสเตียนทั้งหลาย ลูกๆ ของพระองค์ ที่ได้รับการเป็นลูกจากพระคุณของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์นี้ พระองค์จะฝึกฝนให้เราปฏิเสธการทำบาป ไม่ทำตามกิเลสตัณหาโลกียตัณหาของโลกนี้  และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้  อย่างมีสติสัมปชัญญะตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ที่ทรงนำเราให้กระทำ สมกับที่เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม …

        1 ยอห์น 3:8 “ผู้ที่กระทำบาป ก็มาจากมาร เพราะว่ามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก  พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏ ก็เพราะเหตุนี้  คือเพื่อทรงทำลายกิจการของมาร”

            อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นอีกแล้วว่าในโลกฝ่ายวิญญาณแบ่งออกเป็น 2 ข้าง เด็ดขาด ผู้ที่กระทำบาป ก็หมายถึงผู้ที่ฝึกฝนประพฤติบาป  ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในวิญญาณ ก็เป็นของมาร มาจากมาร ฝั่งดำ  ฝั่งอาดัม ฝั่งมืด ไม่ใช่ฝั่งสว่าง ฝั่งความเท็จ เห็นไหม?  เพราะว่ามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มต้น เป็นฝั่งของมาร เพราะว่าบาป คือการต่อต้านพระเจ้า  ละเมิดกฎของพระเจ้า  เริ่มต้นบนโลกใบนี้ ไม่ใช่มาจากพระเจ้า  บาปไม่ได้มาจากพระเจ้า  บาปมาจากตัวของมารเอง  ที่เคยสอนมาแล้วตั้งแต่ครั้งก่อนๆ

            พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏ ก็เพราะเหตุนี้แหละ  เพราะมนุษย์ถูกหลอก ตกลงไปในความบาป ไปเชื่อมาร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความบาป ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าจึงส่งพระบุตรมาเพื่อเหตุนี้  เพื่อทำลายกิจการของมาร  ก็คือเพื่อพามนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป  อยู่ในอาณาจักรของความมืดพาเขาออกมาสู่อาณาจักรของความสว่าง ออกมาสู่อาณาจักรของพระเจ้า มาอีกฟากหนึ่งนั่นเอง

        1 ยอห์น 3:9 “ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะสภาพของพระเจ้า ดำรงอยู่กับผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า”

            มาดูอีกฝั่งหนึ่ง เห็นไหม? อันนี้ฝั่งสว่าง ฝั่งพระเจ้า บอกว่าผู้ใดที่บังเกิดจากพระเจ้า คือคริสเตียน ผู้นั้นไม่กระทำบาป แน่นอน ไม่มีทางทำเลย เพราะสภาพของพระเจ้าดำรงอยู่กับเขา ก็คือสภาพของตรีเอกานุภาพ สภาพของน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลืออยู่ในกระเทียมนี้แล้ว ไม่ได้เป็นอื่นเลย ดำรงอยู่กับเขาแล้ว สภาพของพระเจ้า 3 พระภาค ดำรงอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว เขาจะไม่ทำบาปเลย เขาทำบาปไม่ได้ ไม่มีทางทำบาปได้เลย เพราะเขาเกิดจากวิญญาณของพระเจ้า เกิดจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เป็นชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า

            “ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า”

            พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา ให้เราได้บังเกิดใหม่ เราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า …

        1 ยอห์น 3:10 “เช่นนี้​แหละ จึง​ได้​ปรากฏ​ว่า​ใคร​เป็น​บุตร​ของ​พระ​เจ้า และ​ใคร​เป็น​ลูก​ของ​มาร คือ​ว่าคน​ใด​ที่​ไม่ได้​ประพฤติ​ตาม​ความชอบ​ธรรม และ​ไม่ได้​รัก​พี่​น้อง​ของ​ตน คน​นั้น​ก็​ไม่ได้​บังเกิด​มา​จาก​พระ​เจ้า”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่าที่พูดมาทั้งหมดนั้น ก็รู้แล้วใช่ไหม? เช่นนี้แหละ อย่างที่อธิบายมาทั้งหมดนั่นแหละ ก็รู้แล้วว่าใครเป็นฝั่งไหน? ท่านอยู่ฝั่งไหน?  ท่านอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง อยู่ในความจริงของพระเจ้า หรืออยู่ในอาดัม อยู่ในความมืด อยู่ในความเท็จ  ท่านอยู่ฝั่งไหน?  ท่านอยู่ในพระเจ้า อยู่ในความรัก หรืออยู่ในความเกลียดชัง คนใดที่ไม่ได้ประพฤติตามความชอบธรรม ก็คือคนใดที่ไม่ได้ฝึกฝน ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในของเขา เป็นผู้ชอบธรรม ก็คือเขายังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังอยู่ฝ่ายมืด ฝ่ายอาดัม ฝ่ายเท็จอยู่ คนนั้น เขาจะไม่ได้รักพี่น้องของตน คำว่า “พี่น้อง” หมายถึงเขาจะไม่รู้จักคริสเตียน เขาจะไม่รู้จักพระเจ้า  ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ เขาไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเรา  เขาไม่ได้รักเรา พอเขาได้ยินว่าเราเป็นคริสเตียน เขารังเกียจเรา  เขาไม่ชอบเรา แต่พอเราอยู่ฝั่งตรงข้าม เราอยู่ฝั่งสว่าง เราอยู่ฝั่งพระเจ้า เราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใด? อยู่เมืองไหน? พอเรารู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน เรารักเขา เรารู้ว่าเขาบังเกิดใหม่ เรารักเขา เรารู้ว่าเขากลับใจใหม่มาเชื่อพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพวกเรา เราดีใจ ทั้งที่ยังไม่เห็นหน้าเลย

            นั่นแหละ มันหมายถึงการแยกออกจากกันเด็ดขาด ในโลกฝ่ายวิญญาณ ระหว่างคนเชื่อที่เป็น คริสเตียนแล้วกับคนไม่เชื่อ  และคนไม่เชื่อ  ก็มีสิทธิ์มาเป็นคริสเตียนได้ไม่ยาก ง่ายนิดเดียว  ตามที่ยอห์นบอกมาตั้งแต่แรกแล้ว ก็คือสารภาพ ยอมจำนนว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการความช่วยเหลือ และวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือให้มนุษย์หลุดพ้นออกจากความบาป และเข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้า ในแสงสว่างของพระองค์  พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าประกาศเชิญมนุษย์ทั้งปวง!

            “สำเร็จแล้ว! สำเร็จแล้ว! เราทำสำเร็จแล้ว! มาเร็วๆ มารับสิทธิในการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพ่อในพระเยซูคริสต์เร็วๆ พ่อกำลังรอเจ้าอยู่”

            1 เปโตร 1:3-5 … “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการได้เป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ (ในพระเยซู)  พระเจ้าได้กำลังปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย”

            คริสเตียน ท่านได้บังเกิดใหม่ด้วยหน่อเชื้อบริสุทธิ์ของวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เป็นลูกของพระเจ้า ที่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกเลย

            และเพราะท่านได้บังเกิดใหม่ ด้วยความเชื่อและด้วยพระคุณ ความรัก ความช่วยเหลือ จากพระเจ้าล้วนๆ  เปล่าๆ ฟรีๆ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติการกระทำของท่านเลย การกระทำของท่านไม่ว่าก่อนหรือหลังจากบังเกิดใหม่แล้ว ไม่มีผลกระทบอะไร ต่อสถานะการเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเลย

            ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในพระเจ้าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในท่านแล้ว และเป็นใหญ่กว่าเขาทั้งหลายที่อยู่ในโลก อย่าให้มารใช้ระบบของโลกและสิ่งต่างๆ บนโลกนี้ โกหก หลอกลวง ข่มขู่ท่านให้กลัวสูญเสียความมั่นใจในสถานะการเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ซึ่งพระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ

            โรม 8:37-39 … “37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว  ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูง หรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง  ล้วนไม่สามารถพรากเรา ไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

            เมื่อท่านได้เปิดใจ  ต้อนรับพระเยซูคริสต์  ท่านได้บังเกิดใหม่  ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว

            ท่านได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว นิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1486

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  กันยายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 7 “คนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คือปฏิปักษ์พระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 7 วันนี้ ผมให้ชื่อเรื่องว่า “คนที่ไม่ยอมรัรบว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คือปฏิปักษ์พระคริสต์

            เรื่องนี้มีคนเข้าใจผิดเยอะมาก ในยุคปัจจุบัน  ครั้งที่แล้วเราจบกันที่ 1 ยอห์น 2:18-19 วันนี้จะมาทวนนิดหนึ่ง 1 ยอห์น 2:18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 2:18 “ลูกที่รัก บัดนี้ เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์กำลังมานั้น แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็มีมามากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย”

            วาระสุดท้าย คืออะไร? เราได้เรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว นี่เขาพูดวาระสุดท้าย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  เรากำลังอ่านเรื่องเกี่ยวกับเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ทำไมเป็นวาระสุดท้าย แล้วยังแถมบอกว่า “ลูกที่รัก บัดนี้”  คือตั้งแต่เดียวนี้เป็นต้นไป เป็นวาระสุดท้าย หรือยุคสุดท้าย หรือเวลาสุดท้าย สุดท้ายของอะไร? เริ่มต้นที่ไหน? ยุคสุดท้าย

            ยุคแรก คือยุคที่โลกใบนี้ยังไม่มีเลย เรียกว่าก่อนปฐมกาล พระคัมภีร์บันทึกไว้ก่อนปฐมกาล พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แล้ว  3 พระภาค ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์ ไม่มีโลกใบนี้

            ยุคต่อมา คือยุคที่พระเจ้าสร้างมนุษยชาติและโลกใบนี้ สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ให้มนุษย์ครอบครอง เรียกว่ายุคสวนเอเดน  พระเจ้าอยู่กับมนุษย์ โลกนี้เป็นสวนเอเดน

            ยุคต่อมา เป็นยุคที่มนุษย์ปฏิเสธพระเจ้า  ทิ้งพระเจ้า ละพระเจ้าเรารู้กันอยู่แล้ว ที่เราเรียกว่าตกลงไปในความบาป  ความบาป คือการไม่เชื่อพระเจ้า คือการทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ เป้าหมายของพระเจ้าที่สร้างมา เรียกว่าบาป

            ยุคต่อมา ยุคตั้งแต่บรรพบุรุษของมนุษย์ตกลงไปในความบาป พามนุษย์ทั้งปวงและโลกใบนี้ หล่นลงไปในคำสาปแช่ง ความบาป เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้ นี่ก็อีกยุคหนึ่ง และในยุคที่มนุษย์ตกลงไปในความบาปและความตาย พระเจ้าก็สัญญาว่าจะช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น กลับมาเหมือนยุคก่อน คือยุคสวรรค์ ยุคสวนเอเดน สัญญาโดยบอกตั้งแต่เริ่มต้น ยุคที่ตกลงไปในความบาปว่า …

            “เราจะส่งบุตรของเรามาช่วย ให้พวกเจ้า คือมนุษย์ทั้งปวง และโลกใบนี้ ได้รอดพ้นจากคำสาปแช่ง และการตกลงไปในความบาปนี้ เราจะส่งบุตรของเรามาช่วย  บุตรของเรานี้จะชื่อ “เยซู” เยซูที่มาเกิดนี้  เป็นบุตรของเราที่อยู่ในสวรรค์กับเรา มาตั้งแต่เริ่มต้น เราจะส่งเขามาเกิดเป็นมนุษย์  และเมื่อเขาเกิดเป็นมนุษย์ จะมีนามว่า “เยซู”

            ส่วน “คริสต์หรือไคร์ซ” หมายถึงหน้าที่ของเยซูผู้นี้ มีหน้าที่ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง ก็คือผู้ที่พระเจ้าตระเตรียม จัดตั้ง มอบหน้าที่ไว้ ภาษากรีกเรียกว่า “พระคริสต์” ภาษาฮีบรูเรียกว่า “เมซิยาห์” คือผู้ที่พระเจ้าจัดตั้งเตรียมไว้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ตามที่สัญญาไว้นั่นเอง

            นึกออกใช่ไหม? คราวนี้ รอมาๆ มายุคสุดท้าย คืออะไร?  ยุคสุดท้าย คือยุคที่พระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเกิดจริงๆ เลย มาเกิดแล้ว เพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากความบาป และพระเยซูคริสต์ก็เดินทางไปสำเร็จการงานของพระองค์บนไม้กางเขน ที่เราได้รู้ก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว อะไรสำเร็จ ที่ตะกี้เล่ามาทั้งหมด ที่สัญญาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น สำเร็จแล้ว

            นับตั้งแต่ที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว นั่นคือยุคสุดท้าย นั่นคือเวลาสุดท้าย ช่วงเวลาสุดท้ายของมนุษยชาติที่จะเข้าสู่สวรรค์ พ้นจากความบาป พ้นจากคำสาปแช่ง  พ้นจากกฎของความบาปและความตาย เริ่มต้นตั้งแต่ที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว และจะดำเนินไปเรื่อยๆ เป็นขบวนการ จนกว่าโลกใบนี้จะสูญสิ้น เพราะได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์จะกลับมาอีกที

            เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ช่วงที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว จนถึงวันนี้ที่เรานั่งคุยกันอยู่นี้ อยู่ในยุคสุดท้าย เวลาสุดท้ายแล้ว พระเจ้าไม่ทำอะไรแล้ว เพราะว่ามันจบแล้ว พระเจ้ารอเพียงเวลาที่กำหนด คือโลกใบนี้สิ้นสุดลง มนุษย์คนสุดท้ายมาเชื่อพระเจ้า และมนุษย์คนสุดท้ายได้บังเกิดเป็นมนุษย์ ตามที่กำหนดไว้ และนั่นแหละ คือหมดยุคสุดท้ายนี้ คือพระเยซูคริสต์กลับมาอีกที  ก็มาหลังยุคสุดท้าย ก็คือยุคโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ ที่เราจะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์

            ท่านจะเห็นแล้วนะว่ามันมียุคอะไรต่างๆ พอหนังสือพระคัมภีร์พูดถึงยุคสุดท้ายในพระคัมภีร์ใหม่ ในจดหมายหนังสือฝาก  ก็จงเห็นภาพว่าตั้งแต่วันนั้น วันที่พระเยซูคริสต์บอกสำเร็จแล้ว จนกระทั่งมาถึงเมื่อไรก็ตาม จนกระทั่งวันสุดท้ายที่โลกใบนี้แตก ดับสูญ พระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง นั่นแหละ คือช่วงเวลาของยุคสุดท้าย เราก็อยู่ในช่วงนั้น  และไม่มีใครรู้ว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมาเมื่อไร? อัครสาวกต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่รู้ นึกว่าคงมาเร็วๆ นี้ ก็เลยบอกว่านี่ไง บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว ให้เราเตรียมตัวเลย  เพราะว่าเขาไม่รู้ ถ้าเขารู้ว่าอีก 2,000 ปีเราก็เตรียมตัวอย่างนี้เหมือนกัน เขาคงไม่กระตือรือร้นมากนัก แต่เขาไม่รู้ เพราะพระเยซูบอกไม่มีใครรู้ พระองค์ก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะกลับมาเมื่อไร? พระองค์จะมาเหมือนขโมยมา ก็คือเราหลับสนิท เราไม่รู้เรื่อง  นี่คือที่เรารู้ว่ายุคสุดท้าย คืออะไร?

            ในนี้บอกว่า “ตามที่ได้ยินมาปฏิปักษ์พระคริสต์” ท่านรู้แล้ว ปฏิปักษ์พระคริสต์ “ปฏิปักษ์” ก็คือต่อต้าน ต่อต้านใคร? ต่อต้านพระคริสต์ พระคริสต์ คือใคร? พระคริสต์ คือพระเมซิยาห์ ในพระคัมภีร์ได้พูดถึง เปรียบเทียบว่าพระองค์เป็นแกะ เพื่อรับบาปให้กับมวลมนุษย์  ใช้ภาษาราชาศัพท์ว่า “พระเมษโปดก” แปลว่า “ลูกแกะของพระเจ้า” ก็คือแพะรับบาปที่เราคุ้นหูกัน  พระคัมภีร์บอก พระคริสต์ หรือพระเมซิยาห์ หรือพระเมษโปดก ลูกแกะของพระเจ้า คือพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าพระบิดาสัญญาว่าจะส่งพระบุตรมาช่วยให้มนุษย์ทั้งปวง รอดพ้นจากโทษของความบาปผิดทั้งปวง เพราะว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาป  จึงต้องมาช่วย ถ้าไม่ตก ก็ไม่ต้องมาช่วย และใน 1 ยอห์น 2:19 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 2:19 “พวกเขาออกไปจากพวกเรา  แต่ที่จริงแล้ว เขาไม่ใช่พวกเรา เพราะถ้าใช่  เขาก็คงอยู่กับเราต่อไป  แต่การที่เขาจากไป  แสดงว่าในพวกเขาไม่มีสักคนเดียว ที่เป็นพวกเรา”

            อาจารย์ยอห์นกำลังจะบอกว่า “พวกเขาออกไปจากพวกเรา” ก็คือพวกเขาไม่ใช่คริสเตียน ไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์นั่นเอง เพื่อต่อต้าน ไม่เชื่อในพระเยซู ก็คือผู้ที่ไม่ยอมรับพระเยซู ก็คือปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ช้าๆ นะ ปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เอาพระออกไป ปฏิเสธว่าคนนี้ที่ชื่อเยซู ที่อ้างว่าเป็นบุตรของพระเจ้า มาช่วย ไม่เชื่อว่าเขาเป็นพระคริสต์ เขาชื่อเยซู ลูกช่างไม้เฉยๆ  เป็นมนุษย์คนหนึ่งเฉยๆ  เขาปฏิเสธพระคริสต์ว่าคนนี้ไม่ใช่ ที่พระเจ้าเจิมไว้  ก็คือปฏิเสธว่าคนนี้ไม่ใช่พระเมซิยาห์  สำหรับชาวยิวที่ใช้ภาษาฮีบรู ที่รอพระเมซิยาห์ คนนี้ไม่ใช่ๆ ก็คือผู้ที่ปฏิเสธพระคริสต์ว่าไม่ได้เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ ก็คือปฏิเสธข่าวดีของพระเจ้าพระบิดา  ข่าวดี คือพระองค์ทรงประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระเยซูคือพระคริสต์ คือพระเมซิยาห์ ที่มาช่วยเหลือมนุษย์ตามที่สัญญาไว้เรียบร้อยแล้ว

            เขาเหล่านี้ คือผู้ที่ไม่ยอมรับข่าวดี ก็คือไม่ได้เกิดใหม่ ไม่ได้ร่วมสามัคคีธรรม เป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวของพระคริสต์  ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ ไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เพราะว่าหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐที่ทำให้มนุษย์รอดพ้นจากความบาปนั้น หัวใจสำคัญอยู่ที่การยอมรับ จำนนสารภาพว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ เป็นพระเมซิยาห์  เป็นพระเจ้า ที่เป็นพระบุตร  ที่พระบิดาเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับมนุษย์ทั้งปวง คนยุคก่อนโน้นว่าจะส่งมาช่วย บัดนี้มาเกิดแล้ว  เพื่อชำระมนุษย์ทุกคน ที่เป็นคนบาป  เขาไม่ยอมรับสิ่งนี้  คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ยอมรับว่าพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน ไม่ยอมรับว่ามาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ไม่ยอมรับว่าตัวเขาเองเป็นคนบาปและทำบาป หัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐ มีอยู่แค่นี้เอง

            นี่คือสรุปคร่าวๆ เมื่อตอนที่แล้ว วันนี้มาต่อ 1 ยอห์น 2:20 …

        1 ยอห์น 2:20 “แต่ท่านทั้งหลายได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์แล้ว และพวกท่านทุกคน ก็รู้ความจริง”

            “แต่ท่านทั้งหลาย” ก็คือไม่ได้ปฏิเสธพระคริสต์  แต่ท่านทั้งหลายไม่ได้ต่อต้านพระเมซิยาห์ แต่ท่านทั้งหลายยอมรับว่าเยซู ผู้นี้คือพระคริสต์ คือพระเมซิยาห์จริๆ วางใจในผู้นี้แหละ เมื่อวางใจในผู้นี้ ก็วางใจว่าคือผู้ที่พระเจ้าส่งมาไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ รวมทั้งฉันด้วย ก็เลยต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            แต่ท่านทั้งหลายที่ต้อนรับพระคริสต์แล้ว ได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์แล้ว  “แล้ว” หมายถึงคริสเตียนทั้งหลายที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ของเขาแล้ว เขาได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์ องค์บริสุทธิ์นี้ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

            และในนี้ต่อด้วยว่า “และพวกท่านทุกคน ก็รู้ความจริง” รู้ความจริง เพราะมันเกิดขึ้นภายในวิญญาณของเรา เราจะรู้ทันทีว่าเราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ แล้ว หมายถึงอย่างนั้น

            การเจิม หมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสด็จเข้ามา บัพติศมา คือผ่าตัดในวิญญาณ ก็ได้ จุ่มเราลงไป ก็ได้ แช่อิ่มเราลงไป ก็ได้ ในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อทำให้เรารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และให้วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่  อาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อาศัยอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน

            การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ การจุ่มเรา การผ่าตัดวิญญาณเราเข้าไปในตัวตนของพระเยซูคริสต์ อยู่ในโรม บทที่ 6 ไปอ่านดูได้ ทั้งหมดเลย เป็นการย้ายข้างทางฝ่ายวิญญาณของผู้นั้น ที่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ย้ายข้างจากการเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ เป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ กลับมาเป็นอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระวิญญาณเข้ามาย้ายเราทันที ย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เพราะว่าเรายอมรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพราะเรายอมรับว่าเราเป็นคนบาปและต้องการการช่วยเหลือ เราจึงวางใจในพระเยซูว่าเป็นพระคริสต์ที่พระองค์ทรงถูกแต่งตั้งไว้ จากพระเจ้า มาช่วยเราให้ได้รับความรอด เราจึงรับพระองค์ เมื่อรับพระองค์ เราก็ได้รับความรอดจริงๆ คือพระเจ้าก็ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาบัพติศมา หรือผ่าตัดวิญญาณของเรา เข้าไปอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เรียกว่าบังเกิดใหม่ภายในวิญญาณและในใจของเราได้วิญญาณใหม่เลย ได้ใจใหม่ วิญญาณใหม่และใจใหม่ของเรา รู้จักพระเจ้า รู้จักภายในวิญญาณ รู้จักพระเจ้าพระบิดา รู้จักพระเจ้าพระเยซูคริสต์

            อาจารย์ยอห์นบอกว่าอาณาจักรที่เราอยู่ในพระเจ้าพระบิดา และพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง  เป็นอาณาจักรที่มีแต่ความจริง ไม่มีความโกหกอยู่ในนั้น ไม่มีความมืด ไม่มีความเท็จอยู่เลย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี เพราะว่าเป็นสถานที่สถิตของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  เป็นสถานที่บริสุทธิ์จริงๆ เราได้ไปอยู่ตรงโน้นแล้ว โดยการรับเชื่อเท่านั้นเอง ใน 2 เปโตร 1:3-4 ได้บอกไว้ตรงนี้ เราได้รับตรงนี้แล้วจริงๆ ผมจึงยกมาให้ท่านได้อ่านดูว่าเมื่อเราได้บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ กับพระบิดาเจ้าแล้ว เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั้น มันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของเราบ้าง เราได้รับอะไรไปแล้ว ในโลกวิญญาณบ้าง มันเป็นเช่นไร? …

        2 เปโตร 1:3-4 “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา  ที่จำเป็นแล้ว ในการมีชีวิตที่ชอบธรรม และดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริ และความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วม ในพระเกียรติสิริและความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทาน พระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และรอดพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

            นี่คือสถานะที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ ในวิญญาณของท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว ที่เชื่อแล้ว มันเกิดขึ้นอย่างนี้ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่นั่งอยู่ที่นี่ มันเป็นอย่างนี้แล้ว คือท่านได้เข้าส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ และความดีงามของพระองค์ในพระคริสต์ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าพระบิดา ผู้บริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ท่านคิดดูท่านบริสุทธิ์ขนาดไหน?  ท่านมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า

            พระลักษณะของพระเจ้า คือธรรมชาติของพระเจ้า ท่านเข้าไปมีส่วนเลย เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้า บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า รอดพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ก็คือถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่เป็นความมืด ที่ตกอยู่ในความบาปและคำสาปแช่ง ย้ายออกมาอยู่ในความสว่าง อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่กับพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูแล้ว เราคริสเตียนได้มีทุกสิ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างในโลกวิญญาณแล้ว เราได้รับจากพระเจ้าแล้ว นี่คือคำยืนยันจากพระเจ้า ในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ เราไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว ในโลกวิญญาณ ไม่ต้องมีใครมาหลอกเราว่าต้องไปเติมอันโน้นอันนี้ ไม่ต้องเติมแล้ว เราครบถ้วนบริบูรณ์ ในพระเยซูคริสต์แล้ว อย่าให้ใครมาหลอกเราว่าเราเป็นคริสเตียน ยังขาดตกบกพร่องในโลกวิญญาณตรงโน้นตรงนี้ ต้องอธิษฐานเพิ่มขึ้น เพื่อจะได้ตรงนี้มา ต้องไปสัมมนาที่นี่ ที่นั่น เพื่อจะได้รับพระวิญญาณมากขึ้น  พระวิญญาณอยู่กับท่านอยู่แล้ว ก็คือพระวิญญาณเป็นบุคคล ไม่ใช่เป็นแก๊สมาส่งทีละถังๆ ไม่พอ ไปเติมถังใหม่ เป็นบุคคล เป็นหนึ่งคน  เข้าไปอยู่กับท่าน คืออยู่กับไม่อยู่เท่านั้นเอง อยู่ก็คืออยู่ ไม่อยู่ก็คือไม่อยู่ ไม่ใช่อยู่แค่ครึ่งคน เข้าใจใช่ไหมครับ? เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครมาหลอก

            เรารู้ความจริงเหล่านี้ โดยจากภายในวิญญาณเรา เรารู้ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายในเรา เราจึงรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ความคิดเราอาจจะต่อต้านว่าเราไม่รู้เรื่อง แต่ข้างในใจเรารับรู้ว่าเหล่านี้เป็นจริง เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ เรารับจริงๆ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และยืนยันสิ่งเหล่านี้ให้กับเราจริงๆ เพราะฉะนั้น จงรับรู้และอย่าให้ใครมาหลอกท่านว่าท่านขาดตกบกพร่องในสิ่งใด ท่านไม่ขาดเลยแม้แต่นิดเดียว  เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนได้รับการเจิมครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว โดยเราอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเรา และเรากับพระคริสต์อยู่ในพระบิดา เราทั้ง 3 เป็นหนึ่งเดียวกัน 1 ยอห์น 2:21 …

        1 ยอห์น 2:21 “ที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านรู้ และเพราะไม่มีความเท็จใดๆ มาจากความจริง”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่าที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง ผมเขียนมา เพราะท่านรู้อยู่ในใจของท่านอยู่แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ในใจของท่านอยู่แล้ว  ท่านรู้อยู่แล้ว  ท่านรู้เพราะอะไร?  เพราะความจริงอยู่ในท่าน  พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในท่าน วิญญาณที่อยู่ในเรา ไม่มีการโกหกหลอกลวงเลย เพราะไม่มีใครโกหกหลอกลวงได้ เพราะวิญญาณแห่งความจริง คือพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา  ในยอห์น 16:13 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 16:13 “แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่าน ไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่าน ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น”

            ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกนี้ ที่ประกาศข่าวดี ตอนที่จะทำให้สำเร็จที่บนไม้กางเขนนั้น พระองค์บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เสด็จมาสถิตอยู่กับเรา  พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระวิญญาณจะเอาความจริงบอกเราข้างใน

            ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่พระเยซูส่งสาวกออกไปประกาศว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ โดยมอบสิทธิอำนาจพิเศษให้เฉพาะตอนนั้น ตอนที่พระองค์ยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ให้ออกไปประกาศว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ อัครสาวกเหล่านี้ก็ออกไปประกาศ ประกาศเสร็จแล้ว กลับมารายงานพระเยซู

            พระเยซูถามว่า … “เขาว่าเราเป็นใคร?”

            เวลาท่านไปประกาศ แล้วคนเขาตอบว่าเป็นใคร? สาวกคนโน้นคนนี้ก็ตอบว่า …

            “เขาตอบว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ พระองค์เป็นเอลียาห์ พระองค์เป็นรับบี”

            แล้วพระองค์ก็ถามเปโตร “เปโตร ท่านว่าเราเป็นใคร?”

            เปโตรเป็นผู้เดียวที่ตอบว่า “พระองค์ คือพระคริสต์”

            พระคริสต์ หมายถึงพระเมซิยาห์

            พระเยซูตอบกลับให้กับเปโตร “ไม่ใช่ท่านพูดหรอก ที่ท่านพูด เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ให้ความจริงนี้กับท่าน”

            ขณะนั้นเปโตรยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เกิดใหม่ แต่พระวิญญาณที่อยู่ภายนอก ได้ส่งความจริงนี้ให้กับเปโตรได้รู้ว่าพระองค์ คือพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้จะรู้ได้โดยโลกวิญญาณ  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น 1 ยอห์น 2:22-23 …

        1 ยอห์น 2:22-23 “22 ใครเล่าคือคนโกหก ก็คือคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คนเช่นนี้แหละ คือปฏิปักษ์ของพระคริสต์ เขาปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร 23 ผู้ใดปฏิเสธพระบุตร ก็ไม่มีพระบิดา ผู้ใดรับพระบุตร ก็มีพระบิดาด้วย”

            คนที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระคริสต์ เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซิฮาห์ ก็แสดงว่าในใจของเขาไม่มีความจริงอยู่ เมื่อไม่มีความจริงอยู่ ก็เหลืออยู่อย่างเดียว ก็คือความไม่จริง คือความเท็จ คือเป็นคนโกหก จากข้างใน เพราะว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ คือผู้ที่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับข่าวดี ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้านั่นเอง นี่คือความจริง และเขาไม่เชื่อ แสดงว่าในใจของเขามีแต่ความเท็จอยู่

            ฉะนั้น หัวใจของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็คืออย่างที่บอก ต้องยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้มนุษย์ เพื่อช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด จากบาป ได้รับชีวิตนิรันดร์ ตามยอห์น 3:16 ก็คือหัวใจของข่าวประเสริฐนั้น

            ยอห์น 3:16 ที่บอกว่า “พระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ลงมาบนโลกใบนี้ คือพระเยซูคริสต์ คือพระเมซิยาห์”

            เพื่อผู้ที่วางใจในพระองค์ คือวางใจในพระบุตรนี้ว่าเป็นพระเมซิยาห์ จะไม่พินาศ คือถูกตัดสินให้พินาศ หลังจากความตาย ลงนรกนั่นเอง  แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่เหมือนพระเจ้า  1 ยอห์น 2:24 …

        1 ยอห์น 2:24 “ให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรก ดำรงอยู่ในท่าน หากสิ่งนี้ ดำรงอยู่ในท่าน ท่านก็จะดำรงอยู่ในพระบุตร และในพระบิดาด้วย”

            “ให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรก” ผมตัดคำว่า “จง” ออกไป เพราะว่าพอมีคำว่า “จง” เรามักจะเข้าใจผิด คิดว่าพระคัมภีร์หรืออาจารย์ยอห์นกำลังสั่งให้เราพยายามทำให้มันเกิดขึ้น แต่มันไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้ว โดยพระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น  เพราะฉะนั้น ก็ควรจะบอกว่าให้ท่านรับรู้ว่านี่มันเกิดขึ้นแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น ให้รับรู้ความจริงเหล่านี้ที่เกิดขึ้น และอยู่ในตัวท่านแล้ว คือเรื่องพระเยซูคริสต์เป็นพระเมซิยาห์ เป็นพระคริสต์ เรื่องการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ท่านได้รับบัพติศมาด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ คือความจริง คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ในพระคริสต์นั่นเอง ให้ท่านรับรู้

            “ดำรงอยู่” หมายถึงอาศัยอยู่ เป็นอยู่ในท่าน เป็นสภาวะทางฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าดำรง คงอยู่ เป็นอยู่ ไม่ใช่ทำให้มันดำรง ไม่ใช่ มันอาศัยอยู่ มันเป็นอยู่อย่างนั้นแล้ว พระคริสต์อาศัยอยู่ ดำรงอยู่ในวิญญาณของท่านแล้ว คิดตามนะ …

            “พระคริสต์ คือพระเยซูคริสต์ดำรงอยู่ อาศัยอยู่ในวิญญาณของฉันแล้ว”

            ต้องทำอะไรเพิ่มไหม? อธิษฐานให้มากขึ้น จะได้พระเยซูคริสต์มากขึ้นไหม? ไม่ใช่ พระองค์อยู่ก็คืออยู่ ไม่อธิษฐาน แล้วยังอยู่ไหม? ก็อยู่ ไม่ไปไหน?  ก็อยู่แล้วอยู่เลย แล้วเข้ามาอยู่ได้อย่างไร? ก็โดยที่ฉันเปิดใจยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซิฮาห์ ฉันวางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นผู้นั้น ที่พระเจ้าส่งมา และฉันยอมรับว่าฉันเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ฉันถึงต้อนรับพระเยซูคริสต์หัวใจของข่าวประเสริฐ แค่นี้

            พอต้อนรับปุ๊บ ทุกอย่างเหล่านี้ ก็เกิดขึ้นทันที พระเยซูคริสต์ก็เข้ามาอยู่ในฉันทันที  เพราะฉะนั้น มันก็มีอยู่แค่ 2 อันเท่านั้นเอง คือจะอยู่หรือไม่อยู่ ไม่ใช่อยู่แค่ครึ่งเดียว และอีกครึ่งหนึ่งเราต้องปฏิบัติตัวเอง ทำดีเยอะๆ ประพฤติตัวดีๆ เยอะๆ มาโบสถ์เป็นประจำ ถวายเยอะๆ ออกไปประกาศเยอะๆ จะได้พระเยซูเพิ่มขึ้นในตัว ไม่ใช่เลย พูดไปพูดมาอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติของเราเลย พูดไปพูดมาอย่างไร สิ่งเหล่านี้เราได้รับมา โดยความเชื่อในการกระทำ ในความประพฤติของพระเยซู ซึ่งได้ทำให้เรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน  ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว

            พระเยซูดำรง อาศัยอยู่ในตัวท่าน หรือตัวเรา  และเราก็อาศัยอยู่ ดำรงอยู่ในพระบุตร คือในพระคริสต์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว และพระคัมภีร์บันทึกว่าและเราก็อยู่ในพระบิดา เข้าส่วนร่วมสามัคคีธรรมในวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพอย่างสมบูรณ์แบบเรียบร้อยแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยเลย  อาจารย์ยอห์นเลยชี้ให้เห็นว่าจงรับรู้ความจริงในเรื่องโลกวิญญาณนี้ว่ามันเป็นอย่างนี้แล้ว …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในฉัน ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์  เหมือนพระเยซูคริสต์ เกิดจากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ เรียกว่าชีวิตนิรันดร์  เอเมน”

        1 ยอห์น 2:25 “และนี่คือสิ่งที่พระองค์ ได้ทรงสัญญาไว้กับเรา คือชีวิตนิรันดร์นั่นเอง”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่า “ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้แล้วว่าผู้ใดที่วางใจในพระบุตรที่เราส่งมาว่าเป็นพระเมซิยาห์ ช่วยให้ท่านรอดได้ ผู้นั้น ก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ แทนที่จะถูกพิพากษาให้พินาศ กลายเป็นได้รับชีวิตนิรันดร์ ตรงกันข้ามกันเลย”

            เพราะฉะนั้น อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าให้รับรู้ ถ้าท่านไม่ตัดคำว่า “จง” ออก ก็ใส่คำว่า “รับรู้” เข้าไปเพิ่มเติมก็ได้ จงรับรู้ว่าท่านได้รับชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในหนังสือพระคัมภีร์ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม สมัยปฐมกาลแล้ว จนถึงปัจจุบันนี้

            “จงรับรู้”

            เวลาพระคัมภีร์เขียนคำว่า “จง” เมื่อไรให้เข้าใจตรงนี้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว …

        1 ยอห์น 2:26  “ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้มาถึงท่าน เกี่ยวกับบรรดาผู้พยายามชักจูงให้ท่านหลงผิด”

            ทำไมเตือนเราให้เราจงรับรู้ เพราะว่าพยายามชี้ให้เราเห็นถึงความจริงในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นในวิญญาณและให้เรารับรู้ จะได้ไม่ถูกหลอก  แค่นั้นเอง  หลอกให้อะไรก็ตามที่อยู่ตรงกันข้ามความจริงนี้ ก็คือเอาความเท็จมาหลอกเรา อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่าเรา ซึ่งเป็น คริสเตียนที่เกิดใหม่ในโลกวิญญาณแล้ว เราอยู่ในกลุ่มใด กลุ่มที่มีความจริงอยู่ในวิญญาณ  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  หรือกลุ่มที่มีความโกหกอยู่ มีความหลอกลวงอยู่ในวิญญาณที่ตกลงไปในความบาปและความตายอยู่ เราอยู่ในกลุ่มไหน? กลุ่มที่เป็นความจริง หรือกลุ่มที่ถูกหลอก

            ถ้าเราอยู่ในกลุ่มที่เป็นความจริง ก็คือจงรับรู้ความจริงเหล่านี้ และยึดมั่นเอาไว้ นิ่งๆ เอาไว้ มั่นคงเอาไว้ อย่าหวั่นไหว อย่าให้ใครมาหลอกท่านได้ มันหมายถึงอย่างนี้

            หลงผิด คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ นี่คือหลงผิด เข้าใจผิด หรือรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าเฉยๆ แต่ไม่รับว่าพระองค์เป็นมนุษย์ อย่างนี้ก็ไม่รับว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ ถ้ารับว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ ต้องมั่นหมายว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาป และเป็นขึ้นจากความตาย ครบถ้วนบริบูรณ์เหล่านี้ ถึงเรียกว่าไม่ปฏิเสธ ถ้าต่อต้านสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหล่านี้ ถือว่าปฏิเสธ เพราะมันโยงกันหมดเลย เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มีไหม? มี แต่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นมนุษย์ ก็แสดงว่าไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ถูกส่งมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ก็ไม่รอด นึกภาพออกใช่ไหม? ฉะนั้น หลงผิด เป็นการเข้าใจผิด เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ระวังที่จะรับการสอนเหล่านี้เข้ามาในชีวิตของท่าน

            “ท่าน” ในที่นี้ หมายถึงท่านที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์จริงๆ เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้ว ระวังคำสอนเหล่านี้ ที่แปลกๆ เป็นข่าวดีที่ผสมผสานความคิดของมนุษย์เข้าไปในความจริง ทำให้เราหลงผิด ซึ่งปัจจุบันก็มีเยอะแยะ เพื่อทำลายความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ  เพื่อจะทอนฤทธิ์เดชอำนาจของข่าวประเสริฐนี้  แต่มันทอนไปไม่ได้เยอะหรอก เพราะว่าความจริง คือความจริง ความจริง คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดช  ยังไงมันทะลุมาถึงมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้ อย่างที่เห็น 2,000 ปีนี้ เต็มไปหมดเลย ทั้งๆ ที่ปฏิปักษ์พระคริสต์ ใน 2,000 ปีนี้เกิดขึ้นเยอะแยะมากมายไปหมดเลย

            ปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็คือผู้ที่ปฏิเสธพระคริสต์ทั้งหลายนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น อย่าให้ผู้ที่ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้า กลายเป็นข่าวดีที่ผสมผสานความคิดของมนุษย์ และระบบของโลกใบนี้เข้าไป  ก็คือไม่เชื่อในความจริงทั้งหมดของข่าวประเสริฐว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? ไม่เชื่อในผลทางฝ่ายวิญญาณของข่าวดีในพระคริสต์ว่าคืออะไร? ทั้งๆ ที่ถ้อยคำพระเจ้าได้เขียนไว้ชัดเจน ที่บอกว่าวางใจในพระบุตรเท่านั้นและรับชีวิตนิรันดร์แค่นั้นเองจริงๆ อย่ามาบวก

            สอนผิดๆ คือวางใจในพระบุตรของพระเจ้าและบวกด้วยความประพฤติที่ดีๆ ด้วย ไม่ใช่ ความจริง คือวางในพระบุตรว่าเป็นพระคริสต์เท่านั้น ได้รับความรอดแล้ว อย่างนั้นมันก็ง่ายเกินไปสิ อย่างนี้ใครๆ ก็ไปทำบาปกันหมดสิ นี่แหละ คือคำสอนที่ผิด มันดูเหมือนดี แต่มันไม่ตรงกับความเป็นจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า

            การเป็นคริสเตียนแล้วของเรา เราได้รับความรอดแล้วอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ให้เราเชื่ออย่างนั้น แต่คนที่มาสอนผิด คืออะไร? เพราะมันมี 2 ลักษณะ สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เราถูกสอนให้หลงผิด คิดว่าความเชื่ออย่างนั้น การประพฤติอย่างนั้น การปฏิบัติอย่างนั้น เราได้รับความรอด อย่างนั้นเรียกว่าคนไม่เชื่อเลย ก็คือปฏิเสธพระเยซูเลย ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด จบเลย อย่างนั้นมันง่าย สังเกตง่าย แต่ที่สังเกตยาก ก็คือเมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว แล้วมีคนมาสอนว่าเรายังไม่เกิดใหม่ สิ่งที่เราพูดมา สิ่งที่อาจารย์ยอห์นพูดมาทั้งหมดนั้น ไม่เป็นความจริง ต่อต้าน นั่นสังเกตยาก

            อาจารย์ยอห์นจึงมาชี้ให้เห็นว่าเราวางคำสอนอย่างนี้ เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราบังเกิดใหม่จริงๆ แล้ว มันได้รับเรียบร้อยไปแล้ว อย่าให้ใครมาสอนสิ่งที่ผิดไป เช่น ไม่เชื่อว่าเรามีวิญญาณที่เกิดใหม่แล้วจริงๆ วิญญาณที่เกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าจริงๆ เป็นวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าที่มาอยู่ในวิญญาณของเราจริงๆ เป็นจริงๆ เลย เราได้มีธรรมชาติใหม่แล้วจริงๆ เลย

            คำสอนเหล่านี้ ที่ว่าไม่จริง เราไม่ได้เกิดใหม่ มันเต็มไปหมดเลย ในหมู่ของคริสเตียน ฟังให้ดีๆ ในหมู่ของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน แล้วเป็นคริสเตียนจริงๆ ด้วย  แต่เขาหลงผิดไป หลงผิดตรงนี้ ทำให้เขารอดไหม? เขาก็ยังรอดอยู่ดี แต่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า มันไม่ครบ รอดเหมือนรอดด้วยไฟ รอดด้วยความทุกข์ยากลำบาก ข่าวประเสริฐก็ถูกทำให้เสียหาย

            เขาไม่เชื่อว่าคริสเตียนมีธรรมชาติในวิญญาณที่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ ไม่มีบาปหลงเหลืออยู่เลยจริงๆ ในวิญญาณของเขา ทั้งๆ ที่ยังทำบาปอยู่ แต่เขาดีพร้อม สะอาดบริสุทธิ์ ตามถ้อยคำพระเจ้าแล้ว แม้ว่ายังถูกล่อลวงให้ทำบาปอยู่ นี่เป็นเรื่องจริง แต่เขาไม่เชื่อ เขาก็เลยไปสอนให้คริสเตียนด้วยกัน หลงผิดไปว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมซิยาห์แล้ว ยอมรับพระองค์แล้ว ยอมรับตัวเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือแล้ว ได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว บังเกิดใหม่เรียบร้อยไปแล้ว กลายเป็นชักเขว …

            “ฉันรอดหรือยังเนี้ย? แล้วฉันทำดีหรือยังเนี้ย? เมื่อวานนี้ฉันยังทำไม่ดีอยู่เลย ประพฤติไม่ดีอยู่ แล้วฉันรอดอยู่หรือเปล่า? ฉันสารภาพบาปพอไหม? แล้วสรุปสุดท้าย คือตายไป ฉันได้รับความรอดไหม?”

            ทั้งๆ ที่เขาได้รับความรอดแล้ว เขาอยู่เหมือนคนที่ไม่มีความรอด  พอนึกออกไหม? …

        1 ยอห์น 2:27 “ส่วนท่านทั้งหลาย การเจิมที่ท่านได้รับจากพระองค์ ก็ดำรงอยู่ในท่าน จึงไม่จำเป็นต้องมีใครสอนท่าน แต่เพราะการเจิมของพระองค์สอนท่านทุกสิ่ง และเพราะการเจิมนั้น จริงแท้ ไม่ปลอมแปลง จงดำรงอยู่ในพระองค์ตามที่การเจิม ได้สอนท่านไว้แล้ว”

            “จงดำรงอยู่ในพระองค์” เห็นไหมอีกแล้ว “ตามที่การเจิมได้สอนท่านไว้แล้ว คือท่านรู้แล้ว มันอยู่ข้างในท่านแล้ว ให้ท่านเรียนรู้ รับรู้เอา รับตัวเองอย่างนั้นตามถ้อยคำพระเจ้า ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า

            “Be it unto be according to your words”

            “โอ้ พระเจ้าขอให้เป็นไปตามนั้น ตามถ้อยคำของพระองค์ที่บันทึกเอาไว้เถิด ขอให้เป็นอย่างนั้น ใช่มันเป็นอย่างนั้น เอเมนๆ”

            ไม่ใช่ “เอ๊ะ แต่ว่า”

            พระเจ้าบอก “ได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว”  … “เอ๊ะ แต่ว่า”

            พระเจ้าบอก “เราเป็นผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว” … “เอ๊ะ แต่ว่า”

            แทนที่จะ “แต่ว่า” เป็น “เอเมน” ได้ไหม? เอเมนไหม?

            อาจารย์ยอห์นบอกให้เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เตือนตัวเอง วิธีเตือน คือพอได้ยินอะไรต่างๆ เหล่านี้ รู้สึกมันตรงกับในหัวใจของเรา บอก “เอเมน” ใช่ พอมันไม่ใช่ ก็เกรงใจคนที่เขาพูด ก็นึกในใจ ไม่เอเมน แล้วก็เดินหนีเลย อย่าไปฟัง ใครที่บอกท่านว่ายังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านต้องรับการเจิม เจิมๆ มันทุกวันๆ เอเมนไหม? ไม่เอเมน ถ้าใครบอกท่านว่าการเจิมท่านครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ครบถ้วน พระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ท่านเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูแล้ว ทั้งหมดนี้สมบูรณ์แบบอยู่ในท่าน ท่านก็บอกว่าเอเมนดังๆ เลย

            “ส่วนท่านทั้งหลาย” ก็คือคริสเตียน “การเจิมที่ท่านได้รับ” เห็นไหม? สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ท่านได้รับเรียบร้อยแล้วจากพระองค์ อยู่ที่ไหน? ก็ดำรงอยู่ในท่าน อยู่ในท่านอยู่แล้ว คริสเตียน ที่ท่านได้รับจากพระองค์ ก็คือได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่บัพติศมาท่าน และสถิตอยู่กับท่านตอนนี้ ดำรงอยู่ในท่านแล้ว อยู่ในตัวท่านแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีใครมาสอนท่านอีก

            “ไม่จำเป็นต้องมีใครมาสอนฉันว่าฉันได้รับการเจิมพอหรือยัง?”

            ไม่ต้องมาสอน ไม่ต้องมาชี้แนะว่าอันนี้ขาด อันนั้นขาด

            “ฉันไม่ขาดเลยแม้แต่นิดเดียว ในโลกฝ่ายวิญญาณ เอเมน ฉันต้องแสวงหา รับรู้สิ่งเหล่านี้ว่ามันอยู่ในตัวฉันแล้ว”

            แต่เพราะการเจิมของพระองค์สอนท่านทุกสิ่ง เพราะว่าอยู่ในใจ ไม่ใช่มาต่อต้านเรื่องการสอน เรียนพระคัมภีร์ไม่ใช่ ถ้อยคำพระเจ้ายังสำคัญอยู่ แต่ควรเป็นถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นไปตามความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า เรียกว่าถ้อยคำพระเจ้า อนุโลมเรียกว่าถ้อยคำพระเจ้า ก็หมายถึงถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นจริง ของปลอมนั้น เราไม่เรียกว่าถ้อยคำพระเจ้าหรอก เราเรียกว่าถ้อยคำแห่งความเท็จ  แต่อ้างว่าถ้อยคำพระเจ้า มันเป็นความเท็จ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? ในวิญญาณเราจะรู้ว่ามันไม่ใช่ เรายึดมั่นอยู่แค่นี้ …

            “ฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เป็นพระมาซีฮาห์ของฉัน เป็นพระคริสต์ของฉัน ฉันวางใจ ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ฉันไม่มีบาปหลงเหลืออยู่เลย อาจารย์ยอห์นบอกฉันได้ถูกลบบาปออก หมดสิ้น ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตนิรันดร์เลย ฉันอยู่ในพระคุณของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ฉันไม่ฟังอย่างอื่นแล้ว อะไรที่มาแย้งกับตรงนี้ ฉันไม่รับทั้งสิ้น เอเมน”

            หนังสือเยเรมีย์ 31:34 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ตามพระสัญญาของพระเจ้า ก่อนที่พระเยซูจะทำให้สำเร็จ และพระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว …

        เยเรมีย์ 31:34  “ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”  องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “เพราะเราจะอภัยความชั่วร้ายของเขา และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป”

            ก็หมายถึงทุกคนจะรู้จักความจริงเหล่านี้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในของท่าน การที่ผมสอนเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้าแห่งความจริง หรือท่านได้ยินถ้อยคำพระเจ้าแห่งความจริง แล้วท่านรู้ว่ามันใช่ ไม่ใช่เพราะผมสอน ผมเพียงแต่พูดให้ท่านได้ฟัง แล้วท่านได้รับการยืนยันจากข้างในวิญญาณของท่านว่ามันเป็นจริง ท่านลองสังเกตดู หลายเรื่องเรารู้อยู่แก่ใจ หลายเรื่องบางทีเราฟังถ้อยคำพระเจ้าจากคำสอน หรือเราเดินออกไปข้างนอก เราได้ยินถ้อยคำพระเจ้าบ้าง ได้ยินคำพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐบ้าง แล้วเรามีความรู้สึก เหมือนเราได้รู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ไม่มีใครสอน ไม่มีใครเคยพูดให้เราฟัง แล้วเราไม่เคยอ่านมาจากไหน? แต่ข้างในมีความรู้สึกเหมือนคุ้นๆ เราก็เชื่ออย่างนี้ เราก็รู้อย่างนี้เหมือนกัน นั่นแหละ ก็มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเราเหมือนกัน หลายเรื่องเราเอเมนเลย ทั้งๆ ที่ไม่มีใครสอน ไม่มีใครบอก เราเอเมนอยู่ในใจ ใช่ เป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังสอนเรา

             อย่างเช่นพระคัมภีร์เมื่อตะกี้ ที่บอกว่า “เพราะเราจะอภัยในความบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาอีกเลย”

            พระเจ้าบอกไม่จดจำความบาปของเขาอีกเลย แสดงว่าไม่มีบาปอีกเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้ท่าน ก่อนตาย ทำบาป พอวิญญาณออกจากร่าง พระเจ้าก็จำไม่ได้ว่าท่านทำบาปไปเมื่อตะกี้นี้ เกิดหงุดหงิดไปโกรธ ไปด่าพยาบาล หมอ เพราะมันเจ็บ หงุดหงิด สมมติ แล้วก็สิ้นลมไปพอดีเลย พระเจ้าก็จำไม่ได้ พระเจ้าบอก …

            “เราจะไม่จดจำความบาปของเจ้าอีกเลย”

            แล้วเราไปจดจำทำไม? คนมาสอนให้เราจดจำ ถูกไหมล่ะ ก็ต้องบอกไม่เอเมน ถ้าบอกพระเจ้าไม่จดจำ แล้วเราไม่จดจำด้วย  ก็ต้องบอกว่า “เอเมน” ไปจดจำทำไม มันก็จบ ไปแล้ว ไม่ต้องมีคำว่า “แต่”

            “แต่ว่าถ้าไม่จดจำ แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร?”

            เอ้อ! น่า ไม่จดจำแล้วกัน เดี๋ยวมันจะแก้ไขอย่างไร? เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำเราอย่างไร? เอเมนไหม? มันมีวิธี คิดให้มันเป็นทางบวก คิดให้มันเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า  คิดให้มันเป็นทางเดียวกับพระเจ้าได้ ไม่จำเป็นต้องไปคิด สิ่งที่มันตรงกันข้าม สิ่งที่มาต่อต้าน แล้วบอกว่าจะช่วยเรา ให้เราประพฤติดี ไม่มี ความเท็จ ก็คือความเท็จ มันหลอก มันเหมือนดี แต่มันส่งผลไม่ดีกับเรา พระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน จะเป็นพี่เลี้ยงคอยสอน และเป็นพยานยืนยันว่าถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เป็นจริงหรือไม่? ถามข้างใน เดี๋ยวท่านจะรู้เองว่าใช่หรือไม่?

            สมัยก่อนไม่มีเครื่องมือ ไม่มีวัสดุอุปกรณ์ในการสอนถ้อยคำพระเจ้าแบบนี้ ท่านลองคิดดู 2,000 ปีก่อน เขาอยู่อย่างไร? ข่าวประเสริฐจึงมาถึงปัจจุบันได้ ตั้ง 2,000 ปีแล้ว เจริญเติบโตด้วย เขาอยู่ได้อย่างไร? เขาแข็งแรงได้อย่างไร? ถ้อยคำพระเจ้าไม่มี พระคัมภีร์ไม่มี มีแต่หนังสือจดหมายฝาก ฉบับหนึ่ง สองฉบับ อ่านวนไปวนมา แล้วหลายคนก็อ่านหนังสือไม่ออก หลายคนก็ไม่รู้จักตัวหนังสือ แล้วเขาอยู่กับข่าวประเสริฐอย่างไร? ก็อยู่ด้วยวิธีนี้แหละ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะสอนเขาเอง บอกเขาเอง บอกหัวข้อที่เป็นข่าวประเสริฐของพระเจ้านิดเดียว ให้เขาตัดสินใจต้อนรับพระเยซู ต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในตัว แค่นั้นเอง จบ พระวิญญาณจะเป็นผู้นำเขาเองว่าอะไรเป็นอะไรต่อไป เอเมนไหม? ปัจจุบันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ ปัจจุบัน พอต้อนรับพระเยซูคริสต์มาแล้ว เต็มไปหมดเลย ภาระ ต้องไปอ่านตรงนี้ ต้องไปค้นคว้าตรงนี้ ต้องไปอย่างโน้น ต้องไปอย่างนี้ ผมไม่ได้ต่อต้านการค้นคว้าถ้อยคำพระเจ้า ผมชอบ สนุกด้วย แต่มันคนละเรื่องกันกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าทั่วๆ ไป ทั้งหมด

            คนส่วนใหญ่จะต้องเหมือนผมอย่างนี้หรือ? กว่าจะได้รับความรอดที ค้นคว้าข่าวประเสริฐ ฮีบรูเขาว่าอย่างไร? ภาษาอังกฤษเขาว่าอย่างไร? ภาษาไทยแปลผิดว่าตรงนี้ ตรงนี้ควรจะต้องแปลว่าอย่างนั้น ต้องรู้อย่างนี้หรือ? ไม่ต้อง เพียงหัวใจที่อยู่ในวิญญาณของเขา ที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แรกๆ นั้น รับว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? ไม่ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เขาไม่ได้เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ แค่นั้นพอแล้ว ไม่ต้องรู้อะไรมาก พระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? โลกนี้จะสูญสิ้นเมื่อไร? ไม่ต้องรู้ ในอดีต เขาก็ไม่รู้อะไรมากมายขนาดนั้นหรอก …

        1 ยอห์น 2:28 “และบัดนี้ ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงอาศัยอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราทั้งหลายจะได้มีใจกล้า และไม่หลบพระพักตร์พระองค์ด้วยความละอาย เมื่อพระองค์เสด็จมา”

            เดี๋ยวนี้ ก็หมายถึงขณะนี้ ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้นะ คริสเตียนทั้งหลาย มาอีกแล้ว “ให้รับรู้เถิดว่า” ก็คือจงรับรู้เถิดว่าท่านกำลังอาศัยอยู่ในพระคริสต์ พระเยซูคริสต์อาศัยอยู่ในท่าน ท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หมดบาปเรียบร้อยแล้ว  จนถึงนิรันดร์เลย  เอเมน มีใครในใจไม่เอเมนบ้าง? มีใครในใจบอกว่า “แต่ว่า เดี๋ยว ถ้าไปทำบาปอีก” มีใครคิดอย่างนี้ไหม? กลับใจใหม่ซะ

            จงรับรู้ความจริงนี้ จะได้มีใจกล้า ก็คือจะได้ไม่กลัว กลัวอะไร? กลัวความตาย เพราะว่ากลัวการพิพากษา หลังความตาย  เพราะฉะนั้น ฝากถึงคริสเตียนควรรับรู้ความจริง ไม่กลัวหลังความตาย เพราะว่าฉันรอด 100% อยู่แล้ว ไม่ว่าฉันจะประพฤติอะไรก็ตาม จากนี้ต่อไป เอเมน ต้องกล้าพูดคำนี้ ไม่ใช่มาพูดอย่างนี้ พอมีคนมาบอก อ้าว! อย่างนี้พยายามพูด สอนให้เห็นว่าทำบาปได้สิ คุณอยากไปทำบาปหรือเป็นคริสเตียนแล้ว เอาง่ายๆ

            อย่าหลงไปเชื่อคำสอนผิดๆ ที่ทำให้ท่านเกิดความกลัว แต่ท่านต้องรักษาความประพฤติอันดี จนกระทั่ง ถึงวันสุดท้าย จากโลกใบนี้ เพื่อว่าท่านจะได้รับความรอด  ไม่ถูกพิพากษา  เนี้ย กลัวไหม? กลัวสิ ใครจะไม่กลัว ฟังไปบ่อยๆ อย่างนี้ ทั้งๆ ที่เกิดใหม่แล้ว กลัว มีหลายคนที่เป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วมาปรึกษา มาถาม เราก็ได้แต่พูดความจริงให้เขาฟัง สิ่งที่จะแก้ให้เขาได้ ก็คือหยุดรับข้อมูลของคนที่หลงผิด และสอนผิดๆ เหล่านั้น แล้วหันมารับข้อมูลที่ถูกต้อง ตามหลักพระคัมภีร์จริงๆ มันธรรมดา มันง่ายๆ ไม่ได้ยากอะไรเลย มนุษย์เราเก่งมากเลยเรื่องนี้ กระทำสิ่งที่ง่ายให้ยาก …

        1 ยอห์น 2:29 “ถ้าท่านรู้ว่าพระองค์เป็นผู้ชอบธรรม ท่านก็รู้ว่าทุกๆ คน ที่ฝึกฝนการกระทำความชอบธรรม ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในวิญญาณนั้น ได้เกิดมาจากพระองค์ด้วย”

            ก็หมายถึงพูดง่ายๆ ต่อจากเมื่อตะกี้นี้ คือรอดแล้ว ท่านรอดเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะสูญเสียความรอด เพราะท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว พูดง่ายๆ คือธรรมชาติของคริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่ ในวิญญาณของท่าน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ คือชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เหมือนพระองค์แล้วเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

            “ธรรมชาติ” แปลว่าอะไร? ธรรมชาติ ก็แปลว่าธรรมชาติ แปลว่าการเกิดมา แล้วเป็น ไม่ต้องทำอะไรเลย มันเป็นไปตามที่เกิด เพราะฉะนั้น มีได้แค่ธรรมชาติเดียวเท่านั้น ถูกไหม? เหมือนตัวอย่างที่ผมพูดบ่อยๆ ตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่เป็นทาร์ซาน รู้จักทาร์ซานไหมครับ? ต่อให้ทาร์ซานไปอยู่กับลิงเท่าไร? ทำท่าทางเหมือนลิง กินอาหารเหมือนลิงเท่าไร? อยู่กับลิงให้เยอะๆ เลย จนกระทั่งถึงแก่เฒ่า จนตายเลย เขาก็เป็นมนุษย์ ทาร์ซานเป็นมนุษย์ ฉันใดก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าและได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ตัวตนที่แท้จริงของเรา จากธรรมชาติเก่า ที่เป็นธรรมชาติแห่งวิสัยบาป เป็นคนบาป มาเป็นธรรมชาติที่เป็นเหมือนพระเจ้า มีพระลักษณะเหมือนพระเจ้า

            และเมื่อพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติของเราเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะสามารถมาเปลี่ยนได้อีก เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว  เพราะธรรมชาติใหม่ของเราเป็นธรรมชาติ ที่เป็นพระลักษณะของพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า

            ผมจึงใช้คำว่า “ฉันเป็นวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์” ไม่ใช่ “ฉันมีชีวิตนิรันดร์”

            “มี” มันอาจจะหายได้ ผมจึงใส่คำว่า “ฉันเป็น” เป็นอะไร? เป็นชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เกิดจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า DNA ของพระเจ้า คริสเตียนจึงมีธรรมชาติของวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า ตัวตนเก่าที่เป็นคนของบาป ได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูบนไม้กางเขน ไม่มีอีกแล้วธรรมชาติ วิสัยบาปในตัวเรา ไม่มี เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป

            ถามว่าคริสเตียนมีธรรมชาติเหมือนพระเจ้าแล้ว ยังทำบาปอีกไหม? ตอบพร้อมกันว่า “ทำ” ทำแน่นอน ยังทำบาปอีก  แต่เป็นการทำบาป ที่ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ วิสัยตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณ ไม่ได้มาจากวิญญาณของเรา  และมาจากไหน? พระคัมภีร์บอกให้ชัดเจนเลย โรม 6:6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 6:6 “เรารู้แล้วว่าคนเก่าของเรานั้น ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้น จะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”

            “คนเก่าของเรา” คือตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวเก่าที่เป็นบาปนั่น จะถูกทำลายให้สิ้นไป สูญไปแล้วนะ คนเก่าของเรา ก็คือตัวตนเก่าของเรา  ที่เป็นธรรมชาติ วิสัยบาป ถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว  ถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว  ได้เปลี่ยนธรรมชาติ วิสัยบาปแล้ว มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติ วิสัยของพระเจ้าได้อยู่ในตัวเรา  เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า ธรรมชาติ วิสัยของพระเจ้า ที่อยู่ในเราคืออะไร? คือเราสะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาป  และไม่ทำบาป เพราะฉะนั้น เมื่อไรเราทำบาป ก็แปลว่าเรากำลังฝืน ธรรมชาติในวิญญาณของเรา  เราไม่ได้ทำออกมาจากในวิญญาณของเรา  เหมือนทาร์ซานถูกช่วยออกมาจากป่าแล้ว มาอยู่บ้าน มาอยู่กับพ่อแม่ที่เป็นคนแล้ว ตื่นขึ้นมา ยังเผลอทำเหมือนลิงอยู่ แต่เขาไม่ได้เป็นลิง เขาเป็นคน

            คริสเตียนจึงมีธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า  แต่ยังคงทำบาปอยู่ เพราะยังมีเนื้อหนัง พระคัมภีร์ใช้คำว่า “เนื้อหนัง” เนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป ที่ยังคงฝังอยู่ในความคิด ในสมอง ความเคยชินในร่างกาย ซึ่งเคยเป็นทาสของมันอยู่ในอดีต ก่อนที่เราจะรับเชื่อ ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน  ความเคยชิน อิทธิพลของโลกนี้ มันยังอยู่ ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เนื้อหนัง” มาจากคำว่า “Sarx” หรือ “Fresh” มันไม่ใช่ธรรมชาติ ลักษณะของเราเลย ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นเหมือนกับพยาธิ ปรสิต กาฝากที่แอบซ่อนอยู่ คอยกระตุ้นล่อลวงให้เรากระทำตามมัน พระคัมภีร์ใช้คำว่า “มัน” นะ มัน แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเรา

            เพราะฉะนั้น มาถึงตรงนี้เรา ก็พอสรุปได้จากข้อความที่อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตัวตนแท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรา มีธรรมชาติที่เป็นเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ และข้อสำคัญ คือมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นเลย แม้แต่นิดเดียว เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเราได้รับความรอด  ได้อยู่ในสวรรค์แล้วแน่นอน 100% ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว

            ต้องรับตรงนี้ เอาความจริงตรงนี้อยู่ในใจ จงให้ความจริงเหล่านี้ อยู่ในใจของท่านตลอดเวลา รับรู้อยู่ตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น แค่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และได้ทำบาป  และให้เราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์ และรวมทั้งฉันด้วย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ช่วยฉันได้ แค่นั้น ทุกสิ่งเหล่านี้ ที่เราคุยกันในวันนี้  ก็เป็นของท่าน หรือของเรา  หรือของใครก็ตาม ที่ยอมรับความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์นี้ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าได้ให้คำสัญญาและสาบานกับมวลมนุษย์หลายพันปี ก่อนทำให้สำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์ คำสัญญาและสาบานนั้นคือ?

            เอเสเคียล 36:25-27 … “25 เราจะประพรมน้ำ ชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้า  จากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 จะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเรา ไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า  ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

            มนุษย์ถูกสร้างประกอบไปด้วยร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ตัวตนจริงๆ ของเราคือวิญญาณ และใจที่อาศัยอยู่ในเรือนดิน คือร่างกายนี้

            มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ เป็นวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า  ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป อยู่ใต้อำนาจบังคับของบาป

            เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์  พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ เพื่อตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ ด้วยวิญญาณใหม่และใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์

            ความต้องการภายในจิตใจ แรงจูงใจภายในจิตใจใหม่ทั้งสิ้นเหมือนพระเจ้า

            วิญญาณและใจใหม่ของเรา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์ จากเดิมกลายเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ มีความต้องการ มีความดีงาม มีความบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เมื่อสะอาดบริสุทธิ์ไร้ตำหนิแล้ว พระวิญญาณของพระองค์ ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา รวมเป็นหนึ่งกับวิญญาณของเราที่เกิดใหม่นั้นได้ทันที

            เราจึงกลายเป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า และเป็นวิหารของพระเจ้า แม้กระทั่งร่างกายของเรา ก็ได้รับการชำระด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ ให้บริสุทธิ์ ที่พระเจ้าสามารถรับได้แล้ว เดี๋ยวนี้จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้

            พระเจ้าอวยพรครับ