คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  ตุลาคม  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ เรากำลังเรียนรู้ ถ้อยคำพระเจ้า เรื่องความจริงจะทำให้เราเป็นไท ที่พระคัมภีร์พูดถึงนี้ ไม่ได้ใช้เฉพาะโลกวิญญาณ หรือเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น  จริงๆ ใช้ในชีวิตเราทั้งหมดเลย ถ้าเรารู้เรื่องจริง อะไรก็ตาม จะทำให้เราเป็นอิสระ ไม่ถูกหลอก เมื่อไม่ถูกหลอก เราก็ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง กับตัวเราเอง ในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องสุขภาพ เรื่องอะไรก็ตาม ทุกเรื่องเลย ถ้าเรารู้ความจริง แม้กระทั่งเรื่องคนอื่นที่เราไปวิพากษ์วิจารณ์ ไปเขียนในเฟสบุ๊ค ในโซเชียลมีเดียทั้งหลาย บางทีเราไม่รู้ว่าเบื้องหลัง มีอะไร? เราก็คิดของเราไปเรื่อยเปื่อย เราก็ตัดสินใจผิด คอมเม้นท์ผิด แล้วก็ไม่รู้ว่าจริงๆ เกิดอะไรขึ้น เห็นไหม? ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูพูดไปตั้งนานแล้ว ตั้ง 2,000 ปีแล้ว ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราพูดไปในความไม่จริง ก็จะเกิดความเสียหาย ใครเสียหายมากที่สุด ตัวคนๆ นั้นแหละ ที่ทำ

ยกตัวอย่างเช่น ความกตัญญู เขาบอกให้เรามีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ต่อผู้มีพระคุณทั้งหลาย พระเยซูบอกแม้แต่น้ำแก้วหนึ่ง ยังให้เรามีความกตัญญูเลย น้ำแก้วหนึ่งยังได้รับอะไรบางอย่าง ที่เรียกว่าสิ่งที่ดีๆ ตอบแทน คนที่เขาให้น้ำแก้วหนึ่ง ด้วยความรักแท้ ด้วยความจริงใจ ไม่ได้หวังอะไรกลับคืน ความกตัญญู คนอื่นก็นึกว่าพ่อแม่ต้องการให้เราไปช่วย พ่อแม่ต้องการความกตัญญู ไม่ใช่ พูด สอน เพื่อให้ประโยชน์เกิดขึ้นกับคนที่กตัญญู คนที่กตัญญูก็จะได้ กตัญญูต่อแผ่นดิน ก็ได้พระพร ได้สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต กตัญญูต่อพ่อแม่ กตัญญูต่อธรรมชาติ น้ำอะไรต่างๆ ให้มันสะอาด อย่าทำให้มันสกปรก อย่าเอาขยะทิ้งลงไป นี่คือความกตัญญู คนนั้นก็ได้พร คือได้สิ่งที่ดีๆ ในชีวิตของเขา ถ้าเขาไม่กตัญญู เขาก็จะได้สิ่งที่ไม่ดี ไม่รู้จักคุณค่าของสัตว์ ของสิ่งมีชีวิต ของป่าไม้ ของพืชพรรณ ของอากาศที่ดีๆ ไม่รู้จักคุณ ไม่กตัญญูต่อเขา ทำสิ่งไปต่อต้านเขา คนนั้น ก็ได้สิ่งที่ไม่เป็นพร เข้ามาในตัวเอง เรียกว่าได้คำสาปแช่งเข้ามา นี่เห็นไหม แค่พูดถึงเรื่องถ้อยคำเดียวที่พระเยซูบอกว่าความจริง จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ แค่นี้ก็พูดไม่จบเลย นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์

วันนี้เป็นตอนที่ 4 ใช้ชื่อเรื่องว่า “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ให้พูดบ่อยๆ เพื่อเราจะได้ชินกับคำศัพท์ที่ใช้ในโลกวิญญาณ ชินกับความคิด เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณที่มนุษย์มองไม่เห็น มือจับต้องไม่ได้ หูไม่ได้ยิน แต่เป็นจริงในพระคัมภีร์สอนไว้ เพื่อจะชินกับการคิด มองด้วยตาฝ่ายวิญญาณ ทะลุให้เห็นว่าโลกวิญญาณมีจริง และหน้าตามันเป็นอย่างไร? นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าท่านทั้งหลาย หรือผมควรจะทำและฝึกบ่อยๆ ยิ่งฝึกมาก มันก็จะชำนาญมากขึ้น ทุกทีๆ พระเยซูบอกว่าผู้ที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ผู้ที่จะมีสวรรค์เป็นของเขา เรียนถ้อยคำพระเจ้า เรียนเรื่องสวรรค์ เราต้องทำตัวเป็นเด็ก

วันนี้การบรรยายชุด “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” โลกวิญญาณมันซ้อนอยู่ในโลกนี้ มันเป็นอีกมิติหนึ่ง อยู่ตรงนี้แหละ มันคลุมอยู่กับโลกที่เรานั่งอยู่ที่นี่ ที่เราเห็นอยู่ตรงนี้ เหมือนที่พระเยซูพูด …

  1. โลกวิญญาณอยู่ที่ไหน?  อยู่ที่นี่ หมายถึงคลุมอยู่บนโลกใบนี้  ซ้อนกันอยู่ตรงนี้
  2. ตอนที่มีโลกใหม่ๆ ตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ โลกวิญญาณมีกี่อาณาจักร?  1 อาณาจักร
  3. ใครเป็นผู้นำความมืดเข้ามาในโลกวิญญาณ? อาดัม ผ่านทางมาร อาดัมไม่มีความมืด ผ่านทางมาร เชิญมารเข้ามา
  4. ตอนความมืดเข้ามาครั้งแรก โลกวิญญาณตอนนั้น มีกี่อาณาจักร? 1 อาณาจักร เพราะความมืดเข้ามา พระเจ้าก็ถอยออกไป
  5. เวลาเลยมา ยาวยืดจากปฐมกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้  โลกวิญญาณมีกี่อาณาจักร? 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง และอาณาจักรแห่งความมืด
  6. อาณาจักรแห่งความสว่างเกิดขึ้นได้อย่างไร? เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเจ้า แต่งตั้งให้พระเยซูคริสต์นั่งที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถาน เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ พระองค์ทรงนำเอาความสว่างเข้ามาในโลกนี้ ซ้อนเข้ามาอยู่บนโลกนี้เลย โลกวิญญาณ ก็เลยมี 2 อาณาจักรเกิดขึ้น จนถึงปัจจุบัน
  7. ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความสว่าง? พระเยซูคริสต์ … ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความมืด? มาร

เหนือพระเยซูคริสต์ ใครเป็นผู้ให้สิทธิอำนาจพระเยซูคริสต์? พระเจ้า … พอมาอาณาจักรแห่งความมืด ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักร? อาดัม ใครเป็นคนให้สิทธิอำนาจแก่อาดัม ในการเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความมืดบนโลกใบนี้ ชื่อมาร ท่านเห็นภาพไหม? นี่คือความเป็นจริงในโลกที่เราเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์พระเจ้า อยากให้เราลูกๆ ของพระองค์ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เราจะได้เป็นไท เป็นอิสระ

  1. ใครเป็นผู้มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออยากจะอยู่ในอาณาจักรมืดต่อไป? มนุษย์ เป็นผู้เลือกเอง ไม่มีใครเลือกให้ ทูตสวรรค์ พระเยซูไม่ได้เลือกให้ มารก็ไม่ได้เลือกให้ มนุษย์เป็นผู้มีสิทธิ์ ต้องเป็นผู้เลือกด้วยตัวเอง ไม่ใช่มนุษย์เลือกให้อีกคนหนึ่ง พ่อแม่เลือกให้ได้ไหม? ไม่ได้
  2. ขณะที่ท่านนั่งอยู่ในห้องนี้ ตอนนี้ วิญญาณของท่านอยู่ที่ไหน? อยู่ในอาณาจักรไหน? มืดหรือสว่าง? ตัวใครก็ตัวเขาแหละ ถามคนที่บ้านว่าขณะที่ท่านฟังคลิปนี้อยู่ในยูทูปหรือเฟสบุ๊คของโฮลี่ก็ตาม วิญญาณท่านอยู่ที่ไหน? ไม่ได้อยู่ที่บ้านหรอก ที่บ้านท่านก็มีโลกวิญญาณเหมือนกัน โลกวิญญาณซ้อนโลกนี้อยู่ คลุมโลกนี้อยู่ทั้งหมด ถามตัวท่านเองในใจ? ถามตัวเองที่กระจกว่า …

“ฉันอยู่ที่ไหน?” ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้

และในวันนี้ เราก็จะมาเรียนรู้กันต่อว่าระหว่างอาณาจักรแห่งความสว่างและอาณาจักรแห่งความมืด พระคัมภีร์ได้มีคำอธิบายหรือมีคำบอกเล่าคุณลักษณะความแตกต่างของทั้งสองอาณาจักรไว้อย่างไรบ้าง? เพื่อท่านจะได้คุ้นกับหูของท่าน ซึ่งเป็นหูทางฝ่ายเนื้อหนัง ฝ่ายร่างกาย หูวิญญาณท่านเปิดแล้ว ท่านเข้าใจแล้ว แต่หูข้างนอก มันไม่คุ้น เราก็เลยต้องมาทำความคุ้นเคย ซึ่งถ้าเราได้เข้าใจในความหมายเล่านี้ เวลาอ่านพระคัมภีร์เราจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น มากขึ้น เร็วขึ้น อย่างที่ผมย้ำอยู่เสมอว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคำสอนในพระคัมภีร์ เป็นอุปมา ตัวอย่าง คำเปรียบเทียบ หรือแม้แต่เป็นนิทาน หรือเรื่องเล่า หรือประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ล้วนเล็งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ในโลกวิญญาณทั้งนั้นเลย

ยกตัวอย่าง เช่นถ้อยคำที่บอกว่าในพระคัมภีร์เขียนว่า “เราได้ตายแล้ว และบังเกิดใหม่แล้ว” แค่นี้ ถ้าเราไม่ได้คิดถึงโลกวิญญาณ เราไม่เข้าใจเลย แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว วิญญาณเราได้ตายไปแล้ว เราได้เกิดใหม่แล้ว คือเราเกิดในวิญญาณ

ผมก็เลยพยายามรวบรวมถ้อยคำ คำศัพท์ต่างๆ ที่ปรากฏในพระคัมภีร์นี้ เท่าที่ทำได้ เป็นคำศัพท์ที่กล่าวถึงอาณาจักรแห่งความสว่างและอาณาจักรแห่งความมืด ที่เรากำลังเรียนอยู่นี้

เอเฟซัส 4:2-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์  พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

 

คำเหล่านี้เกี่ยวข้องกับอาณาจักรแห่งความสว่างในโลกวิญญาณ ท่านต้องเข้าใจในโลกวิญญาณอย่างเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่รู้เรื่องเลยว่ามันแปลว่าอะไร?  พอท่านเข้าใจในโลกฝ่ายวิญญาณว่าที่ขีดไว้นั้นหมายถึงอะไร? ….

“มีชีวิตอยู่กับพระคริสต์” ก็คือมีชีวิตเหมือนพระเจ้า “อยู่กับพระคริสต์” ก็คืออยู่กับพระคริสต์

“รอดโดยพระคุณ” ก็คือไม่ต้องทำอะไร? รอด ก็คือรอดจากความมืดมาสู่ความสว่าง รอดโดยพระคุณ คือ …

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันเลือกเอา แล้วพระเจ้าช่วยให้ฉันรอด”

“ให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์” ท่านรู้แล้วว่าความหมายคำนี้จะเปลี่ยนไป แต่คำว่า “เป็นขึ้นมา” คือ …

“ตอนที่ฉันอยู่ในความมืด ก็แสดงว่าฉันตายอยู่ ตอนนี้ผ่านทางพระเยซู พระเจ้าทำให้ฉันเป็นขึ้นมาใหม่กับพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในความสว่าง”

“ในพระเยซูคริสต์” แปลว่าฉันนั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซู

“นั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์” ฉันนั่งอยู่ในพระคริสต์ ฉันได้นั่งอยู่ในสวรรค์สถานเดี๋ยวนี้ พระคัมภีร์บอกว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวนี้ และอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ตลอดไป

ถ้าท่านมองไปในโลกวิญญาณ ไม่ศึกษาทางวิญญาณ ไม่เข้าใจเลย โลกมันซ้อนกันอยู่ โลกวิญญาณซ้อนกันอยู่ แม้กระทั่งตอนนี้ฉันเดินอยู่ในห้องใต้ดิน ซึ่งปิดไฟมืดสนิท ฉันก็อยู่ในอาณาจักรของความสว่าง แม้ว่าคนที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ของเขาในพระเยซูคริสต์ เขาจะเดินอยู่ตอนเที่ยงวัน แดดจ้า ร้อนมาก เขาก็กำลังเดินอยู่ในความมืด ท่านเห็นแล้ว

โรม 14:17 “เพราะอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของการกินการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรม  สันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

“อาณาจักรของพระเจ้า” ก็คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ที่มีพระคริสต์เป็นหัวหน้าอยู่

“ความชอบธรรม” แปลว่าไม่ผิด ไม่บาป ถูกต้อง ทำอะไรก็ถูกหมด ดีหมด คนดี ดีงามเหมือนพระเจ้าเลย  อยู่ตรงนี้ แล้วมันก็มีสันติสุข

“สันติสุข” คือความสงบสุข ไม่กลัวโดนลงโทษ ไม่เหมือนกับคนที่อยู่ตรงนี้ (เก้าอี้ที่มีผ้าดำ) มีข้อกล่าวหา เป็นนักโทษ ผิดหมด ถูกลงโทษ แต่อันนี้ถูกหมด ไม่ถูกลงโทษ สันติสุข แปลว่าอย่างนี้

“ความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์” พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระวิญญาณของพระเจ้า  (เก้าอี้ที่มีผ้าขาว) เรานั่งอยู่ที่นี่  เรามีความแฮปปี้ ยินดี มีความสุข ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่มีความสุขที่สุดในโลก (ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ) ถ้าเข้าใจสิ่งนี้ มันหลุดเลย มันจึงเป็นไทจริงๆ

โรม 5:1-2 “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่นี้ ด้วยความเชื่อ และเราจึงชื่นชมยินดีในความหวัง ที่จะได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

“ผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ” พอพูดผู้ชอบธรรมปุ๊บ  ท่านรู้ อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  อยู่กับพระเจ้าผู้ชอบธรรม ไม่ได้โดนลงโทษอีกต่อไป ไม่ใช่เป็นนักโทษ ผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ แสดงว่าฉันไม่ได้ทำเอง พระเยซูทำให้

“ร่มพระคุณ” แปลว่าฉันเข้ามาอยู่ในพระคุณ ฉันเลือกที่จะเข้ามาอยู่ในร่มพระคุณ ปกคลุมด้วยพระคุณ พระเจ้าทำให้ฉัน และฉันใช้สิทธิ์นี้ ถ้าฉันไม่ใช้สิทธิ ฉันไม่ได้อยู่ในร่มของพระคุณ พระเจ้าทำให้กับฉันฟรีๆ ฉันรอดแล้วในพระคริสต์ เหมือนร่มอันหนึ่งที่กางออกมาแล้ว ถ้าฉันไม่เข้าไปในร่มนี้  ฉันก็ไม่ได้อยู่ในร่มพระคุณ ฉันจะอยู่ในร่มพระคุณ เพราะฉันยอม ที่จะรับว่ามันเป็นจริง และเชื่อ ฉันขอเข้าไปอยู่ในร่มด้วยคน เหมือนฝนตก แล้วคนถือร่มมา ถ้าท่านไม่ไป ขอเข้าไปด้วยคน ท่านก็เปียกฝน ในขณะเดียวกัน ตรงนี้ก็เหมือนกัน พระเจ้ากางร่มให้ท่านแล้ว แล้วบอกมาสิ เข้ามาสิ เข้ามาในแสงสว่าง เข้ามาในความรอดในพระเยซูคริสต์สิ ท่านมีหน้าที่เชื่อ และเอาๆ ขอร่มด้วยคน แล้วท่านก็เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณ แค่นี้เอง ไม่ต้องเสียอะไรเลย ถือร่มไว้แล้ว ร่มนี้ ชื่อร่มพระเยซูคริสต์

“พระคุณ” แปลว่าไม่ได้จ่ายตังค์ ไม่มีอะไรเลย  และไม่มีใครสามารถผลักท่านเข้าไปได้ด้วยไม่มีใครสามารถลากเข้าไปได้ ท่านต้องตัดสินใจด้วยตัวท่านเองว่าท่านจะเข้าไปอยู่ในร่มนี้ หรือไม่? หรือจะยืนตากฝน ตากแดดอยู่ต่อไป พระเจ้าให้คนเชิญท่านได้ คือประกาศข่าวดีให้กับท่าน แต่ท่านต้องเป็นคนตัดสินเองว่าจะเข้ามาในร่มหรือไม่? คุณพ่อคุณแม่ คนที่มีพระคุณ ศิษยาภิบาลใหญ่ๆ ศิษยาภิบาลที่ดังๆ นักประกาศ ก็ไม่สามารถ นี่ตามหลักพระคัมภีร์นะ พระเจ้าสามารถทำทุกสิ่งได้ ยกเว้นอย่างเดียว คือบังคับให้คุณเข้ามาอยู่ในนี้ ทำไม่ได้ นอกจากเชื้อเชิญ เคาะประตูแล้ว เคาะประตูอีก ง้อคุณแล้ว ง้อคุณอีก เอาข่าวประเสริฐให้คุณฟังตั้งหลายครั้งแล้ว ตั้งกี่ปี คุณก็ไม่เชื่อ แถมไล่พระเจ้าออกไป ไล่พระเยซูไปอีก ไม่สนใจอะไรเลย  พระองค์ไม่เคยงอน ไม่เคยโกรธ ไม่เคยรู้สึกน้อยใจเลย จะตามคุณไปเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าคุณไม่เข้าใจ

พระเจ้าทำได้แค่นั้น ผ่านทางทุกเหตุการณ์บนโลกใบนี้ ผ่านทางมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ แม้กระทั่ง สัตว์ป่า สัตว์ใช้งาน หรือต้นไม้ เรียกผ่านทางสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เพื่อให้มนุษย์ที่ยังไม่รู้จักพระองค์ได้เข้ามาในร่มพระคุณนี้

พระเกียรติสิริ คือพระลักษณะของพระเจ้า ถ้าผมจะแปลเป็นยกตัวอย่างง่ายๆ แบบไทยๆ แบบมนุษย์ธรรมดา จะแปลได้อย่างนี้ว่าลูกของผม โต๋เต๋เขาก็มีสิริของผม อยู่ในตัวเขา ลูกของท่านก็มีสิริของพ่อแม่อยู่ในตัวเขา เข้าใจไหม? สิริ ก็คือตัวตนของผู้ที่ให้กำเนิด เพราะฉะนั้น ในนี้บอกว่าท่านอยู่ในพระเกียรติสิริของพระเจ้า คือท่านเข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า DNA ทางฝ่ายวิญญาณ ท่านมีส่วนอยู่ในนั้น เหมือนลูกผมมี DNA ของผมกับแม่อยู่ในตัวของเขา เหมือนลูกของท่านมี DNA ของท่านและคู่ครองของท่านอยู่ในตัวเขา เราพอเข้ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว รับสิทธิ เราอยู่ในพระคริสต์ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ในโลกวิญญาณนะ เรามีส่วนเข้าไปอยู่ใน DNA ทางโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าพระเจ้า ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระสิริ” หรือ “พระเกียรติสิริ” หรือ Glory of God ความสง่างาม ความยิ่งใหญ่ ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ เรามีส่วนเข้าไปอยู่ในนั้นทันที

เพราะฉะนั้น เมื่อได้ร่มพระคุณแล้ว  เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณแล้ว ด้วยความเชื่อ เราจึงชื่นชมยินดีและมีความหวังที่ได้มีส่วนอยู่ในพระสิริของพระเจ้าแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ติดอยู่ในร่างกายนี้ชั่วคราวเท่านั้นเอง แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็หมดไปแล้ว อีกไม่กี่สิบปี

โคโลสี 1:22  “บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหา ต่อหน้าพระองค์”

 

“คืนดีกับพระเจ้า” ก็แสดงว่าตอนที่เราอยู่ที่นี่ (เก้าอี้ผ้าดำ) ตรงกันข้ามกับคืนดี ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ เราเป็นเหมือนน้ำกับน้ำมัน น้ำกับไฟ เจอกันไม่ได้เลย  มีเรื่อง อย่ามายุ่งกันดีกว่า พระเจ้าบริสุทธิ์ แต่เรานั้นสกปรก บาป แต่ตอนนี้ เราได้คืนดีกับพระเจ้าแล้ว มีส่วนเข้าไปในพระสิริของพระองค์

“ผู้บริสุทธิ์  ปราศจากตำหนิ”  คืนดีกับพระเจ้า  มาเป็นเหมือนพระองค์ เพราะฉะนั้น เราจึงบริสุทธิ์ ไม่เป็นบาป ไม่สกปรกอีกต่อไป ปราศจากตำหนิ คือไม่มีจุดด่างดำ แม้แต่นิดเดียว

ในพระคัมภีร์เขียนบอก เป็นเดี๋ยวนี้ ทันทีเลย  ไม่ต้องรอตาย  ยังอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายนี้อยู่ ก็เป็นตามนี้แล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ

“พ้นจากข้อกล่าวหา”  คือพ้นจากการเป็นนักโทษ ไม่ต้องใช้เวร ใช้กรรมแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ฉันไม่ต้องทำอะไร? พระเยซูทำให้หมดแล้ว ทำเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และผลเกิดเดี๋ยวนี้แล้ว ไม่ต้องรอตาย คริสเตียนจึงไม่ควรที่จะมีทุกข์เลย ต้องมีน้อย ข้างในใจต้องมีการชื่นชมยินดีมากที่สุด ยิ่งถ้าเราได้รับรู้ทางโลกวิญญาณอย่างนี้มาก มันก็จะเกิดความชื่นชมยินดีในวิญญาณเรามาก ขนาดตามที่เรารู้ … รู้มาก ก็สันติสุขมาก รู้น้อย ก็สันติสุขน้อย รู้น้อย ก็กลัวมาก รู้มาก ก็กลัวน้อย

ยอห์น 17:3 “นี่แหละ คือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แต่องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงส่งมา”

 

พระเยซู พระเจ้าส่งมา เห็นไหม?

“ชีวิตนิรันดร์” แปลว่าอยู่ในแสงสว่าง ชีวิตที่เหมือนพระเจ้า ชีวิตที่มีพระเกียรติสิริของพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ในตัวเรา ชีวิตที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากตำหนิ ชีวิตที่สง่างาม ชีวิตที่เต็มไปด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด ชีวิตที่ชอบธรรม ที่เราว่ามาตั้งแต่ต้นทั้งหมด เรานั่งอยู่นี่ เรามีชีวิตนิรันดร์ มิได้หมายถึงว่าเรามาเชื่อพระเจ้า แล้วเรามีชีวิตตลอดไป ต่อให้เรามีชีวิตในความมืด เราก็มีชีวิตตลอดไป เพียงแต่เราอยู่ในความมืดตลอดไป  โลกวิญญาณเป็นอย่างนี้

สรุปแล้ว เราได้คำอะไรบ้างที่พระคัมภีร์อธิบาย เวลากล่าวถึงอาณาจักรแห่งความสว่าง

–  อาณาจักรสวรรค์ / อาณาจักรของพระเจ้า  / อาณาจักรของพระคริสต์

–  ในพระคริสต์  /   พระเกียรติสิริ  /  สง่าราศี  /   ความสว่าง

–  เป็นขึ้นมาใหม่  /  มีชีวิต  /  ชีวิตนิรันดร์

–  ความชอบธรรม  /  เป็นผู้ชอบธรรม  /   พระคุณ  /  ความรัก

–  บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า /  ลูกของพระเจ้า /  คืนดีกับพระเจ้า  /   ติดต่อกับพระเจ้าได้

นี่คือคำศัพท์ที่พูดถึงลักษณะสภาพของคนที่อยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าอาณาจักรของความสว่างของพระคริสต์

คราวนี้ มาดูอีกฝั่งหนึ่ง แน่นอนฝั่งอาณาจักรของความมืด ดูว่าพระคัมภีร์มักใช้คำอะไร? ที่พูดถึงสภาพของอาณาจักรแห่งความมืดในโลกวิญญาณบ้าง?

โคโลสี 1:21 “ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน”

 

“แยกขาดจากพระเจ้า” ตอนที่ฉันยังไม่รับเชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิของฉันในพระเยซูคริสต์ ฉันนั่งอยู่กับอาดัมกับมาร ในอาณาจักรแห่งความมืด ฉันอยู่ในอาดัม โดยการควบคุมของมาร อยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่าความมืด ตอนนั้นฉันขาดจากพระเจ้า ติดต่อกันไม่ได้ เป็นศัตรูกัน ต้านกันอยู่ เป็นน้ำกับน้ำมัน เป็นไฟกับน้ำ เป็นอะไรที่อยู่ตรงกันข้าม เป็นบวกกับเป็นลบ

“เป็นศัตรูกับพระเจ้า” ตอนที่ฉันอยู่ในอาณาจักรของความมืด ฉันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉันยังไม่ได้คืนดีกับพระเจ้า ฉันยังต่อต้าน สู้ตลอดเวลา  มีคนมาประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ให้ฉัน ฉันอาจจะยิ้มรับๆ แต่ในใจฉันต่อต้าน ฉันรับไม่ได้เลย พูดเรื่องพระเยซู ฉันทรมานใจมากเลย ทั้งๆ ที่ฉันไม่รู้ว่าทำไม? เคยรู้สึกไหม? พูดเรื่องอะไรก็ได้ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ฉันไม่รำคาญเลย แต่พอพูดเรื่องพระเยซู ฉันรำคาญมากเลย  เมื่อไรจะพูดเสร็จสักที ทั้งๆ ทีเขาก็พูดไปนิดเดียว แต่พอพูดเรื่องอื่น ฉันอยากฟังมากเลย ไม่แปลก เพราะว่าพระคัมภีร์บอกไว้แล้ว

เพราะตอนนั้น ฉันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของความสว่าง รับไม่ได้เลย ฉันไม่รู้ตัวหรอก  แม้บางครั้ง ฉันจะไปโบสถ์คริสเตียน ตามคำเชิญของคนที่รักกันทางมนุษย์ ยกตัวอย่าง อาจจะเป็นพ่อฉัน แม่ฉัน เป็นญาติพี่น้องที่เคารพกัน  เชิญฉันไปงานคริสตมาส แล้วฉันก็ไป ดูเหมือนท่าทางข้างนอกดีหมดเลย มีมารยาทที่ดีมากเลย แล้วบางครั้ง ฉันไปทำอะไรพิเศษให้เขา ผมก็เหมือนรับตามมารยาท ผมก็ไปร้องเพลงพิเศษในวันคริสตมาส ผมก็ร้องไปอย่างนั้น แต่ในใจผมไม่ชอบ ไม่มีเหตุผล คิดย้อนกลับมา เดี๋ยวนี้ ถามตัวเองว่าไม่ชอบพระเยซูเหรอ ไม่รู้สิ คำนี้มาไม่ชอบ ผมเป็นอย่างนั้นนะ เคยคุยกับหลายๆ ท่าน เป็นอย่างนั้นจริงๆ  เพราะว่าผมเป็นศัตรู

ที่กำลังพูดนี้ เรากำลังพูดศัพท์เหล่านี้  เป็นศัพท์ทางฝ่ายวิญญาณ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งหมด เพราะฉะนั้น ผมเป็นศัตรูกับพระองค์ทางวิญญาณ ทางข้างนอก ไม่มีอะไรกันเลย  เขาไม่ได้ทำอะไรผม ช่วยผมด้วยซ้ำไป สมมตินะ ให้เรียนภาษาอังกฤษฟรีด้วย  เลี้ยงข้าวคริสตมาส ก็ฟรีด้วย ผมเอาแต่สิ่งที่ฟรีๆ เหล่านั้น แต่สิ่งที่ฟรีในโลกวิญญาณผมไม่เอา เพราะในวิญญาณผมยังเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่แค่นี้เอง

มัทธิว 12:25-26  “25 พระเยซูทรงตรัสว่า “ทุกๆ อาณาจักรที่แตกแยกกันเอง ย่อมถูกทำลาย และทุกๆ บ้านเมืองหรือครัวเรือนที่แตกแยกกันเอง ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ 26 หากซาตานขับไล่ซาตาน มันก็แตกแยกกับตัวเอง แล้วอาณาจักรของมัน (ซาตาน) จะตั้งอยู่ได้อย่างไร”

 

“อาณาจักรที่แตกแยก” อาณาจักรแห่งความมืดที่กำลังพูดถึงนี้ ไม่มีแตกแยกเลย มันมืดสนิท อยู่ใต้การควบคุมของมาร เช่นเดียวกัน ในอาณาจักรแห่งความสว่าง สว่างจ้าเลย  ไม่มีการแตกแยกกัน ทั้งหมด เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเหล่าผู้เชื่อทั้งหมด ผู้ที่ใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ไถ่เขาแล้ว เขาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ รวมทั้งทูตสวรรค์อีกทั้งกอง เยอะแยะมากมาย เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีใครต่อต้านกันเลย ในทำนองเดียวกัน ทางนี้ก็มืดสนิท แย้งกัน

“อาณาจักรของมัน (ซาตาน)” นี่เป็นคำพูดพระเยซูนะ ก็แสดงว่าอาณาจักรของซาตาน หรืออาณาจักรมารตรงนี้ มีจริงๆ ในโลกวิญญาณ ตอนนี้เรากำลังพูดถึงศัพท์ที่ใช้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่พูดถึงสภาพของอาณาจักรของความมืดในโลกวิญญาณ

โรม 3:23  “เพราะว่าทุกคนเป็นคนบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

“คนบาป” เรากำลังพูดถึงฝั่งความมืด เพราะว่าทุกคนเป็นคนบาป … บาป ภาษาเดิม ภาษาฮีบรู แปลเป็นภาษากรีก “Miss the target” แปลเป็นภาษาไทยว่า “ไม่ตรงตามเป้าหมาย” ไม่เป็นไปตามความตั้งใจ ก็คือผู้ที่ให้กำเนิดเรา  ก็คือพระเจ้า เราบาป ก็คือเราไม่เป็นไปตามคาดหมายของพระเจ้า พระเจ้าตั้งใจให้เราอยู่กับพระองค์ เราจะหนีพระองค์ไป เราไปอยู่กับมารซะ อะไรอย่างนี้

“เสื่อมจากพระเกียรติสิริ” คือพระเกียรติสิริหายไป DNA. ที่เป็นของพระเจ้าเสียหายไป กลายเป็นมะเร็งทางวิญญาณ กลายเป็นมะเร็งใน DNA.  … DNA. ที่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเจ้า มันกลายเป็นเชื้อบาปเข้ามา เมื่อมารเข้ามาปุ๊บ ความมืดทางวิญญาณเข้ามาปุ๊บ DNA. ทางวิญญาณกลายเป็นมะเร็ง กลายพันธุ์ไป ก็แค่นั้น ทั้งหมดที่กำลังพูดตอนนี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

พระเจ้าบอกว่าเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์เมื่อไร?  เมื่อพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเจ้าตรัสไว้ล่วงหน้า เป็นพันๆ ปีมาแล้วว่าเมื่อนั้น มนุษย์ทุกคนไม่มีใครมาสอนใครแล้ว ให้รู้จักกับพระเจ้า แต่เขาจะรู้จักเราด้วย ตัวเขาเอง เราจะไปสอนเขาเอง เราจะไปอยู่กับเขา  แค่เริ่มต้นใช้สิทธิของเขาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ไม่ใช่ให้รู้จักพระเจ้าหรอก หน้าที่ของเรา คือประกาศข่าวดีเท่านั้นเอง พอประกาศข่าวดีแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เดี๋ยวพระเจ้าสอนเขาเอง พาเขาไปเอง เอเมน

ยากอบ 1:15 “หลังจากมีตัณหาแล้ว ก็ก่อให้เกิดบาป และเมื่อบาปโตเต็มที่ ก็ก่อให้เกิดความตาย

 

“ความบาป” ตรงกันข้ามกับความชอบธรรม ในความมืดเขาเรียกว่าบาป เพราะฉะนั้นตรงกันข้าม เขาเรียกในทางแสงสว่าง เรียกว่าความชอบธรรม ถ้าเรายังไม่ย้ายไป  เรายังไม่รับเชื่อพระเยซู เราเป็นคนบาป ถ้าเราย้ายไป เราเป็นคนชอบธรรม

“ความตาย” ความตายอยู่ในอาณาจักรของความมืด อยู่กับมาร ถ้าตรงกันข้ามเรารับเชื่อพระเยซู มาอยู่แสงสว่าง ตรงกันข้ามกับความตาย เรียกว่ามีชีวิต และมีชีวิตที่เหมือนพระเจ้า เรียกว่ามีชีวิตนิรันดร์ ความตาย คือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า

ยอห์น 3:36 “ผู้ใดที่เชื่อในพระบุตร ก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระบุตร ก็จะไม่ได้เห็นชีวิต (ตายนิรันดร์) เพราะพระพิโรธของพระเจ้ายังอยู่กับเขา”

 

“ไม่ได้เห็นชีวิต (ตายนิรันดร์)” คำว่า “นิรันดร์” ตรงนี้ ตายนิรันดร์จริงๆ ไม่ได้เห็นชีวิตเลย  ไม่ได้เห็นพระเจ้าเลย  เห็นแต่มาร

“พระพิโรธของพระเจ้า” ตรงกันข้ามกับพระพิโรธของพระเจ้า เรียกว่า “ร่มพระคุณ” ในพระคัมภีร์บอก พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าแห่งความรัก  พระองค์ไม่เคยโกรธใครเลย พระพิโรธตรงนี้หมายถึงอยู่ตรงข้ามกัน ต่อต้านกัน เป็นศัตรูกัน ถ้าทำอะไรผิด ตายเลย ตายเพราะว่าเข้ากันไม่ได้ ไม่ใช่ตาย เพราะว่าพระเจ้ามาฆ่าเรา มันเหมือนไฟช๊อตเรา ไฟฟ้าพลังมหาศาล เราไปจับก็ตาย  ไฟฟ้าโกรธเรามากเหรอ เมื่อวานนี้ มีช่างไฟฟ้าทำงาน แล้วก็เอาบันไดเหล็กไปพาดไฟฟ้าแรงสูง ไฟฟ้ามันโกรธมากเลย ฆ่าคนนั้นตายเลย ไม่ใช่ ไฟฟ้าต่อต้านกับคน แต่คนรับพลังงานไฟฟ้านั้นไม่ได้ พอไฟฟ้าวิ่งผ่านเราลงดิน เราตายเลย เพราะฉะนั้น เราต้องมีฉนวน ไม่ให้ไฟฟ้าผ่านตัวเรา ให้มันลงดินไปก่อน มีประจุไฟฟ้า

ในทางพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าโกรธเรามาก พระเจ้าอยากจะเจอกันจริงๆ อยากจะกอดเรา กอดไม่ได้ กอดไป เราตาย  เพราะเราไม่มีแรงต้านทานความยิ่งใหญ่  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เราเป็นมนุษย์สกปรก โสโครก เต็มไปด้วยความบาป  ถ้าแตะเรา เราตายเลย แล้วต้องทำอย่างไร? รักษาเราให้หายก่อน แล้วเรามากอดทีหลัง รักษาอย่างไร? คิดเองอย่างนี้นะ พระองค์ก็สร้างวัคซีนหนึ่ง ชื่อวัคซีนว่าโลหิตพระเยซูคริสต์  สามารถที่จะรักษาเราหายจากบาปได้ พอเราหายแล้ว เราก็มีภูมิต้านทาน เราก็ไปอยู่กับพระเจ้า กอดได้เหมือนเดิม นี่คือร่มพระคุณ เพราะฉะนั้น ท่านจะเข้าใจ พระเจ้าเสียที

โรม 2:12 “คนทั้งปวงที่ไม่มีบทบัญญัติ และได้ทำบาปจะพินาศ โดยไม่ต้องอ้างถึงบทบัญญัติ และคนทั้งปวงที่อยู่ภายใต้บทบัญญัติ และได้ทำบาปจะถูกตัดสินตามบทบัญญัติ”

 

“พินาศ” แปลว่าอยู่ในความมืด  ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า นิรันดร์กาล ต้องอยู่ในความทุกข์ทรมานนิรันดร์ อยู่กับมารนิรันดร์ไปเลย แม้ร่างกายจะตายไปแล้ว วิญญาณก็อยู่ในความมืดนี้ตลอดไป

ข้อนี้บอกว่าทั้งคนที่พยายามปฏิบัติตามบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้ สมัยโมเสส และคนที่ไม่ปฏิบัติ ถือว่าฉันไม่ได้เป็นยิว ฉันไม่ต้องทำก็ได้ ไม่ว่าจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ไม่ว่าจะทำได้มากขนาดไหน? ล้วนต้องอยู่ในความพินาศทั้งสิ้น เพราะว่าจะย้ายไปอยู่กับพระเจ้าได้ มีทางเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่รักษาธรรมบัญญัติ ไม่ใช่รักษาความดีงาม ผมไม่ได้พูดว่าเราไม่ควรทำความดีนะ แต่ไม่ใช่การรักษาความดี ทำให้เรารอด แต่เรารอด เพื่อเราจะไปรักษาความดีทีหลัง เข้าใจใช่ไหมครับ? ท่านไม่สามารถที่จะทำด้วยตัวเอง แล้วบริสุทธิ์สะอาด ไปอยู่กับพระเจ้าได้ ไม่มีทางหรอก ทำให้ตาย ท่านก็ยังมืดอยู่ดี มันแปลว่าอย่างนั้น ไม่ว่าท่านจะบอกว่าบัญญัติไม่สำคัญ หรือท่านจะบอกว่าบัญญัติสำคัญมากเลย คนเราต้องเข้มงวดเรื่องศีลธรรมมากเลย  ไม่ว่าจะ 2 อย่างนี้ ท่านก็อยู่ในความมืดอยู่ดี ไม่มีทางไปฝั่งโน้นได้เลย ไม่มีวันไปแสงสว่างได้เลย  เพราะแสงสว่างนั้น มาได้โดยทางร่มพระคุณเท่านั้น คือพระเจ้าให้ฟรีๆ เพราะรู้ว่าเราทำไม่ได้ ท่านลองคิดง่ายๆ มีมนุษย์คนไหน? ที่ทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ และไม่เคยทำบาปเลย เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว และโลกวิญญาณ เราก็รู้เป็นเรื่องจริงว่าเราบาป ไม่ใช่เพราะตัวเรา เราบาป เพราะเราอยู่ในอาดัม และอาดัมมอบเราให้กับมาร มอบเราให้กับบาป เอาเชื้อบาปเข้ามา เราน่าสงสารมาก เราไม่ได้ทำอะไรเลย  เราเกิดมา เราก็บาปแล้ว บาปใน DNA. วิญญาณของเราบาป เพราะเราอยู่กับอาดัม ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น เราไม่มีทางช่วยตัวเอง จนกระทั่งเราบริสุทธิ์ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่มีทางเลย นอกจากคนที่มีความสามารถมาช่วยเรา พระเจ้าจึงส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ถามว่าทำไมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนของมนุษย์ไง เพราะผมเป็นมนุษย์ พระเยซูก็เป็นมนุษย์ ตอนที่ผมอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ผมอยู่ในมนุษย์คนแรก บรรพบุรุษของเรา ที่ชื่ออาดัม เราทั้งหลายอยู่ในอาดัม พระคัมภีร์บอกเราเกิดมาก็อยู่ในอาดัมแล้ว ก่อนเราเกิด เราก็อยู่ในอาดัม พระเจ้าโปรแกรมไว้เรียบร้อยแล้วว่าเราจะเกิดมาบนโลกใบนี้  โดยมีอาดัมเป็นแม่พิมพ์ของเรา  เหมือนพระเจ้า เหมือนเขาจะสร้างรถแสนคัน แต่ตอนนี้ ทำแม่พิมพ์ออกมาคันหนึ่งแล้ว แต่อีก 99,999 คันยังไม่ได้ทำ ถามว่าคันที่ 1,000 อยู่ที่ไหน? อยู่ที่แม่พิมพ์อันนี้ เพราะในที่สุดสั่งพิมพ์ไป เดี๋ยวมันก็ออกมา พอเข้าใจใช่ไหมครับ ก็เหมือนกันถ่ายเอกสาร 1 แสนชิ้น ชิ้นสุดท้าย มันก็เหมือนกับชิ้นแรก  ชิ้นแรกขีดฆ่าผิดอะไร ชิ้นสุดท้ายก็ผิด แม้ว่าตอนนี้พิมพ์อยู่แค่ 3 แผ่นเอง แต่แผ่นสุดท้าย แผ่นที่แสน มันก็ถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้ว เหมือนกัน

เราอยู่ในอาดัม .. อาดัมตกลงไปในความบาป เราก็ตกด้วย  เราเกิดมา ก็อยู่ในอาดัม เพราะว่าเราถูกโปรแกรมอยู่ในอาดัม พระเจ้าจึงส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาตั้งอาณาจักรของมนุษย์ใหม่ 1 อันที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง พระเยซูเป็นมนุษย์เหมือนอาดัมเลย เหมือนพวกเราเลย แต่ต่างกันอย่างเดียว คือวิญญาณของพระองค์ไม่ได้บาปเหมือนเรา เพราะว่า DNA. ของพระองค์มาจากพระเจ้าโดยตรง แต่พระองค์เกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น พระองค์มาสถาปนา คืออาณาจักรของความสว่าง เพื่อจะได้อยู่บนโลกนี้ได้ เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง ถ้าไม่มีมนุษย์เราไม่รู้จะไปไหนแล้ว เพราะอยู่เผ่าพันธุ์เดียว คือทุกคนเกิดในอาดัม

แต่ตอนนี้ พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาเป็นทางเลือกให้กับเราว่าบนโลกใบนี้ มีมนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์สวรรค์ เรียกว่าพระคริสต์ เกิดขึ้นแล้ว 2,000 ปี ผู้ใดได้ยิน เปลี่ยนซะ ย้ายตัวเขาเอง ย้ายสำมะโนครัว จากอาดัมมาอยู่ในพระคริสต์ซะ เขาไม่ต้องอยู่ในอาดัมอีกต่อไป  แต่เขาจะอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์เป็นแสงสว่าง บาปหมดไป  กลับมาเป็นลูกพระเจ้า คืนดีกับพระเจ้า และจะอยู่กับพระคริสต์ตลอดไป และพระคริสต์ได้รับการสถาปนาจากพระเจ้า  สิทธินี้เป็นของพระเจ้า ทรงประทานให้เป็นของพระคริสต์ ตั้งเหมือนครอบครัวใหม่ เพราะฉะนั้น ท่านเพียงแต่ย้ายสำมะโนครัวแค่นี้เอง ไม่มีอะไรเลย ถ้าท่านไม่ย้าย ก็ไม่มีใครช่วยท่านได้ เพราะท่านเกิดมาอย่างไร? ท่านก็เป็นอย่างนั้น ท่านอยู่ในอาดัม ก็อยู่ในอาดัม ท่านไม่มีทางทำอะไร สั่งสมเท่าไร? ก็ไม่มีทางแก้ DNA. นั้นได้ มีทางเดียวที่พระเจ้าวางไว้ให้ก็คือย้ายซะ ไม่ได้เกี่ยวกับท่านรักษาหรือไม่รักษาบัญญัติ ท่านตั้งใจทำความดีมากน้อยเพียงใด ไม่ใช่ มันเกี่ยวกับท่านรู้ความจริงนี้ไหม? ความจริงทำให้ท่านเป็นไท แค่นี้เอง

แล้วพอท่านมาอยู่ตรงนี้  ท่านจะสามารถรักษาความดีที่ท่านเคยทำตรงนี้ ได้มากกว่าเก่าด้วย มันไม่ครบถ้วนหรอก สมมติท่านทำแต่ความดีตรงนี้ได้ ระดับดี ถ้าท่านรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วก็ย้ายอาณาจักรมาอยู่กับพระคริสต์ ท่านจะได้ B+ ถ้าท่านอยู่ตรงนี้ ได้เกรด D แบบแย่มาก เป็นคนที่ขี้เหล้าเมายา ไม่เอาถ่านเลย นี่พูดถึงวิญญาณนะ  พูดถึงความตั้งใจของมนุษย์ ที่มนุษย์เห็น ท่านมาตรงนี้ ท่านอาจจะได้ C หรือได้ D+ นิดหนึ่ง เพราะท่านตายก่อน ไม่ได้ทำความดีมาก พอย้ายมาแป๊บหนึ่ง ตายแล้ว คนละเรื่องกัน พระเจ้าดูที่วิญญาณเรา ซึ่งเป็นที่จะอยู่ถาวร สิ่งสำคัญกว่า แค่นี้เอง แล้วเราค่อยๆ เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อยอย่างนี้ อาจจะเหมือนย้ำอยู่กับที่ แต่สิ่งเหล่านี้ มันต้องย้ำอยู่บ่อยๆ ย้ำจนกระทั่งท่านตอบผม แล้วไม่มีใครตอบผิดเลย  ตะโกนมาถูกหมดเลย  มันคล่องปากว่ามันเป็นอย่างนี้ วนอยู่แค่นี้  แล้วท่านไปอ่านพระคัมภีร์ มันก็จะไปอยู่ตรงนั้น แล้วถ้าใครอ่านจากนี้ต่อไป มีคำอะไรที่รู้สึกแปลกๆ ไม่เข้าใจตรงนี้ เขียนมาถามได้ ส่งจดหมายมาถามก็ได้ ส่งจดหมายที่โฮลี่ แล้วผมจะเอามาตอบท่าน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 3 “เรื่องจริงแห่งโลกวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  ตุลาคม  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 3 “เรื่องจริงแห่งโลกวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรากำลังเรียนรู้และเน้นในซีรี่ย์นี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณ หรือโลกฝ่ายวิญญาณนี้  เราไม่ค่อยได้คุ้นเคยเท่าไร? มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และผมอยากให้ทุกท่านเข้าใจจริงๆ ถ่องแท้ละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ฟังผ่านๆ ไปเท่านั้น แต่ให้ตั้งใจจริงๆ เพราะเป็นพื้นฐานของเรื่องของพระเจ้าทั้งหมด และเป็นพื้นฐานของชีวิตของมนุษย์ทั้งสิ้นทุกอย่าง อยากให้ท่านมีความเข้าใจในเรื่องนี้ ชนิดที่เรียกว่าลึกซึ้ง เห็นภาพชัดเจน และมั่นใจ 100% ในความเชื่อว่าโลกวิญญาณ มีอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น ทุกคำพูด ทุกคำอธิบายจากนี้ต่อไป ต้องใช้คำพูด เหมือนพระเยซูคริสต์ชอบพูดเสมอ เพราะพระเยซูทรงรู้จักโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดแล้ว พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ในร่างกายของท่าน ก็เหมือนมนุษย์คนหนึ่งเดินบนโลกนี้ แต่พระองค์เป็นมนุษย์ที่ไม่บาป วิญญาณมาจากพระเจ้า ใสสะอาดบริสุทธิ์ มองทะลุ เห็นโลกวิญญาณหมดเลย

เพราะฉะนั้น เวลาพระเยซูจะสอนอะไรเกี่ยวกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ พระเยซูจึงต้องพูดคำนี้  ภาษาอังกฤษเขาแปลจากภาษาเดิม ใช้คำว่า Behold แปลว่าจงมองให้เห็นเถิด หรือไม่ก็บอกว่าใครมีตา จงให้เห็น ใครมีหูให้ได้ยิน แล้วใครไม่มีล่ะ มีทั้งนั้นแหละ หมายถึงในวิญญาณ จงมองให้เห็นเถิดว่ามันเป็นจริงๆ แต่พระองค์ทรงทราบก่อนล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่พูดตรงนี้ เพื่อว่าวันหนึ่งเมื่อพระองค์กระทำงานสำเร็จเรียบร้อยแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถลงมาที่มนุษย์ได้แล้ว มนุษย์บังเกิดใหม่แล้ว หลังจากที่พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน แล้วนั้น มนุษย์จะสามารถเห็นในสิ่งที่พระองค์พูด เข้าใจในสิ่งที่พระองค์พูดว่าจงมองให้เห็นเถิด ในก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้น ผมก็จะขออนุญาตพระเยซู ใช้คำนั้นว่าจงมองให้เห็นเถิด มองทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ

วันนี้กลับไปบ้าน เข้าห้องน้ำ แปรงฟัน มองไปที่กระจก พูดกับตัวเองว่าจงมองให้เห็นเถิด โลกฝ่ายวิญญาณมันมีอยู่จริงๆ แล้วตัวนี้ จะเป็นตัวพื้นฐานในการอ่านพระคัมภีร์ทั้งหมดเลย  เพราะทั้งหมดนั้น เวลาอ่านจะเข้าใจ มันต้องมองให้ทะลุเข้าไปในความหมายทางโลกวิญญาณ ไม่ใช่อ่าน แล้วไปเข้าใจทางโลกวัตถุ ทางปัญญามนุษย์คิด แต่จงมองไปในโลกวิญญาณว่ามันคืออะไรในโลกวิญญาณ เอเมน นี่คือพื้นฐาน แค่นี้ก็จบแล้ว

ผมจะพาท่านย้อนไปพูดตอนที่ 1 อีกนิดหนึ่ง โลกวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษ เขาใช้คำว่า “Spirit World” เป็นโลกที่อยู่คู่กันกับโลกวัตถุ ที่เรามองเห็น จับต้องได้ ตรงนี้แหละ พระเยซูจึงบอกว่าสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเราแล้ว จะมาสอนเราในเรื่องนี้ว่าโลกวิญญาณอยู่คู่กันกับโลกวัตถุนี่แหละ จะใช้คำว่าครอบคลุมอยู่ก็ได้ หรือจะใช้คำว่าทับซ้อนอยู่ ก็ได้ กับโลกวัตถุนี้ เพราะฉะนั้น เข้าใจอันดับแรก คือโลกฝ่ายวิญญาณอยู่ตรงนี้ คลุมซ้อนกันอยู่ตรงนี้ เป็นอีกมิติหนึ่ง มนุษย์ไม่เข้าใจ จึงเรียกว่าอีกมิติหนึ่ง ที่เรามองด้วยตาเนื้อมนุษย์ไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ อยู่ตรงนี้  ไม่ต้องไปไกล ถ้าท่านเข้าใจแค่นี้  ท่านจะเข้าใจถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์อีกเยอะมากมาย

โลกวัตถุ คือโลกใบนี้ที่ตาเรามองเห็น จับต้องได้ และเป็นโลกที่พระเจ้าสร้างขึ้น  ให้เป็นที่อาศัยของบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลาย นี่พูดถึงโลกใบนี้ และที่ผมพูดเสมอว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ชนิดเดียวที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นวิญญาณ เพราะฉะนั้น จะมีเพียงมนุษย์เท่านั้น บนโลกใบนี้ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวพันไปกับทั้ง 2 โลก … โลกทางวิญญาณด้วย และโลกทางวัตถุ ที่จับต้องมองเห็นได้ด้วย เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ แต่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลกใบนี้นั้น ไม่มีวิญญาณ รู้แต่เรื่องสัญชาตญาณ โลกวัตถุเท่านั้น จับต้องมองเห็นได้ ไม่มีวิญญาณ ไม่เป็นวิญญาณ

พูดถึงมนุษย์ ร่างกายอยู่ในโลกวัตถุ จับต้องมองเห็นกัน ส่วนวิญญาณของมนุษย์ ก็อยู่ในโลกวิญญาณ ในขณะเดียวกันเลย พร้อมกันเดี๋ยวนี้เลย คือในขณะที่ท่านนั่งอยู่ในห้องนี้ ร่างกายของท่าน ก็อยู่ในคริสตจักรอภิสุทธิสถาน ในเวลาเดียวกัน วิญญาณของท่าน ตามหลักพระคัมภีร์ต้องบอกว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ใช่ “มี” เพราะวิญญาณ คือตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์นั่นเอง ที่จะอยู่ตลอดไป ถาวรนิรันดร์ ส่วนร่างกายนั้น จะอยู่เพียงชั่วคราว และมีวันที่จะต้องเสื่อมสลาย ตามอายุขัย และดับลง คือตายไปในที่สุด เน่าเละไปในที่สุด เพราะแต่ก่อนนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่จุดหมายดั้งเดิมที่พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ พระเจ้าสร้างมนุษย์ แม้เป็นร่างกายวัตถุจับต้องมองเห็นได้ ก็จะไม่มีวันเสื่อมสลาย ไม่มีการตาย เป็นนิรันดร์เหมือนกัน นิรันดร์แบบความยาวเหมือนกัน แต่เพราะมนุษย์ตกลงไปในความบาป ร่างกายนี้ มันต้องถึงวาระสุดท้าย คือต้องตายนั่นเอง แต่วิญญาณอยู่นิรันดร์ อยู่ตลอดไป

ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพ ระหว่างร่างกายที่เป็นชั่วคราว ที่เราเห็นกันอยู่ กับวิญญาณที่เป็นถาวรนิรันดร์ เราอาจจะเปรียบได้กับชีวิต ที่ผมเห็นบ่อยๆ ไปทะเลก็จะเห็น ปูเสฉวน ซึ่งมันมีเปลือกแข็ง ท่านลองนึกภาพตามนะ ระหว่างเปลือกหอยกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในเปลือกหอย ท่านว่าอันไหนคือตัวตนแท้จริงของหอย เวลาเราบอกมันวิ่งๆ เรากำลังบอกไหมว่าเปลือกมันกำลังวิ่ง เปล่า เรากำลังหมายถึงตัวที่อยู่ข้างใน นั่นแหละ ฉันใดฉันนั้น ข้างใน ตัวจริงของมัน อยู่ในเปลือกหอย ซึ่งเปลือกหอยมีวันที่จะแตกหัก โดนอะไรชน แต่ตัวจริงมันอยู่ข้างใน เหมือนมนุษย์ที่ผมบอกว่าข้างในของเรา เป็นวิญญาณ ชีวิตมนุษย์ ร่างกายเรา ที่มีวันเสื่อมสลาย เสื่อมสภาพ ตายลง ตามอายุขัย แต่ตัวตนที่แท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรา จะอยู่ตลอดไป ตามการทรงสร้างของพระเจ้า แค่นี้ คือความจริงอันยิ่งใหญ่ ที่เราต้องเตือนตัวเองตลอดเวลา แม้เราเชื่อพระเจ้า เรายังต้องเตือนว่ามันเป็นอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องจริงตามพระคัมภีร์บอก พระเจ้าอธิบาย สอนเราอย่างละเอียดในพระคัมภีร์ บอกหมดเลย เราจะเรียนรู้ไหม? เราจะยอมรับไหมเท่านั้นเอง

เช่นเดียวกัน ที่อยู่อาศัยของร่างกายของมนุษย์ อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ที่จะมีวันเสื่อมสูญ ก็คือมีโอกาสถูกทำลายลงเหมือนกัน คือโลกใบนี้  คริสตจักรนี้ โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์นี้ มันก็ถูกคำสาปแช่ง เนื่องจากมนุษย์เอาความบาปเข้ามา มันก็ต้องเสื่อมสลายไปเหมือนกัน ไม่วันใดก็วันหนึ่งในอนาคต

และวิญญาณของมนุษย์ที่อาศัยในโลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์บอก มันอยู่ตลอดไป  แม้โลกใบนี้สิ้นสุดหมดแล้ว ถูกเผาพลาญหมดแล้ว วิญญาณของเรายังอยู่ตลอดไป  แต่มันอยู่ที่ไหนไม่รู้ ถ้าเผื่อมันทุกข์ หมายถึงมันทุกข์ตลอด มันไม่มีวันสิ้นสุด น่ากลัว นี่คือความจริง เราคุยกันเหมือนเรื่องง่ายๆ ตามพระคัมภีร์ บางครั้งก็คุยสนุกๆ แต่ความหมาย เมื่อรู้ลึกซึ้งแล้ว มันน่ากลัวมาก ร่างกายเราอยู่ชั่วคราว เราอาจจะทุกข์มาก เราอาจจะเจ็บป่วย บาดเจ็บ หรือทุกข์ใจ เจอปัญหาบนโลกใบนี้ แต่เรายังมีความหวังว่ามันยังอยู่ชั่วคราว 80 ปี เอาให้ 100 ปี 120 ปี มันก็ต้องจากโลกนี้ไป จบสิ้น แต่วิญญาณมันไม่มีการจบเลย ถ้าเกิดเจอความทุกข์ มันก็คงหมดหวังเลย มันทุกข์นิรันดร์ ทุกข์ตลอดไป

โลกวิญญาณมันก็เหมือนโลกทางวัตถุใบนี้ ที่มีการแบ่งแยกดินแดนออกเป็นอาณาจักรต่างๆ ประเทศต่างๆ ซึ่งแต่ละประเทศ หรือแต่ละอาณาจักรบนโลกนี้ ก็จะมีลักษณะภูมิประเทศแตกต่างกันออกไป มีการปกครองที่แตกต่าง มีสภาวะแวดล้อมต่างกันออกไป เรียกว่าแบ่งกันเป็นประเทศในโลกวัตถุนี้ แม้ที่เรานั่งอยู่นี้ แบ่งเป็นคริสตจักรนี้ แบ่งเป็นซอยกรุงเทพกรีฑา รามคำแหง 150 อะไรแล้วแต่ มันก็แบ่งออกไปเรื่อยๆ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าโลกวิญญาณมีแบ่งแยกออกเป็น 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรแห่งความมืด และอาณาจักรแห่งความสว่าง ตอนพระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ มีอยู่แค่อาณาจักรเดียว ที่คลุมโลก หรือซ้อนโลกวัตถุนี้อยู่ คืออาณาจักรแห่งความสว่าง

พระคัมภีร์บอกว่าโลกถูกปกคลุมด้วยพระสิริของพระเจ้า ในสมัยเริ่มต้นปฐมกาล พระสิริของพระเจ้า ก็คือความสว่างของพระองค์ คือฤทธิ์อำนาจ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าในตอนแรกเริ่มนั้น มีแต่ความสว่างเพียงเท่านั้น แล้วอาณาจักรแห่งความมืดของมาร อยู่ในชั้นฟ้าอากาศ นอกโลก มารมันถูกเขี่ยตกกระป๋องออกจากอาณาจักรของพระเจ้า

หลังจากบรรพบุรุษของมนุษย์ คืออาดัมกับเอวาได้นำเอาเชื้อโรคในวิญญาณตัวร้ายแรง ที่เรียกว่าเชื้อบาป ไวรัสบาป เข้ามาสู่ DNA ของอาดัมและเอวา DNA อันนั้น มีพวกเราทั้งหลายมนุษย์ทุกคนอยู่ในนั้น เพราะพระเจ้าสร้างแบบเทคโนโลยี แบบสมัยใหม่มาก สร้างมนุษย์ขึ้นทั้งหมด จากคนๆ เดียวเลย แล้วก็ให้พวกเราอยู่ในนั้น แล้วค่อยๆ ผลิตออกมา ท่านพอจะเห็นภาพชัดเจน

เพราะฉะนั้น DAN ของความบาปนี้ ที่ติดเชื้อบาปนี้ เราก็เลยติดไปด้วย ซึ่งเจ้าไวรัสบาป หรือเชื้อบาปตัวนี้ มาจากมาร เข้ามาสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เข้ามาสู่โลก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความมืดก็เข้ามาแทนที่ความสว่างของพระเจ้า ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ในโรม บทที่ 3

โรม 3:23 “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

ตรงนี้ไม่ใช่ทำบาปนะ ตรงนี้ภาษาเดิมบอกว่า “เพราะว่ามนุษย์ทุกคนบาป มีเชื้อบาป ติดเชื้อบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป หรือเป็นบาป ติดเชื้อบาปเข้าไปแล้ว จึงเสื่อมพระสิริของพระเจ้า ก็คือหลุดออกไปจากความสัมพันธ์กัน เหมือนกับเชิญความมืดเข้ามา ไล่ความสว่างออกไป เสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า ก็คือเสื่อม หรือหายไป เสียหายไป แสงสว่างของพระเจ้าหายไป ความมืดเข้ามาแทนที่ เข้ามาปกคลุมอยู่เหนือโลก และทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาบนโลกใบนี้ ที่มีชีวิต ทั้งหมดเลย ทั้งสัตว์เล็กสัตว์น้อย  สัตว์ใหญ่ รวมกระทั่งพืชเล็กพืชน้อย แม้กระทั่งก้อนหิน วัตถุทุกอย่าง ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดทั้งหมดเลย

ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระคัมภีร์เดิมทั้งหมดเลยจะพูดถึงเรื่องนี้ว่ามนุษย์ตกอยู่ตรงนี้แหละ และมีหลายแห่งที่บอกชัดๆ เลยว่าทุกคนเป็นคนบาป พระเจ้าบอกมองลงมา มีแต่คนทำชั่ว ไม่มีสักคนเลยที่เอาพระเจ้า ไม่มีสักคนเลยที่ทำดี เพราะความมืดปกคลุมอยู่ มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวมนุษย์ มันเกี่ยวกับโลกนี้  และวิญญาณมนุษย์ทุกคนก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดสนิทนั่นเอง อยู่ในอาณาจักรของความมืด ไม่มีทางเลือก ต่างคนก็ต่างมืดด้วยกันทั้งคู่ บรรพบุรุษเราก็มืด เราเกิดมาก็มืด คนต่อไปก็มืด มองไปทุกอย่างมืดหมด แม้กระทั่งสัตว์ พืช มืดหมด ไม่มีใครช่วยใครได้เลย จนกระทั่งถึงวันที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ วางแผนการเลยว่าจะกลับมาช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความมืดนี้ นี่คือแผนการใหญ่ของพระเจ้า ใหญ่มาก โดยพระเจ้าตั้งใจที่จะทำให้โลกวิญญาณได้กลับสว่างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พระเยซูตรัสว่า …

“เราเป็นความสว่าง ความสว่างเข้ามายังโลก”

มนุษย์ทุกคนเป็นความมืด แต่พระเยซูบอกว่า “เราเป็นความสว่าง” และตอนนี้ความสว่างกำลังเข้ามาสู่ความมืด

เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว วันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่วิญญาณพระองค์เป็นพระเจ้า วิญญาณพระองค์สะอาดหมดจด แล้วพระองค์ทรงดำเนินไปถึงตายที่ไม้กางเขน เพื่อหลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเรา ให้กับมนุษย์ทุกคน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นการสถาปนาอาณาจักรแห่งความสว่างขึ้นอีกครั้งหนึ่ง บนโลกใบนี้

การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขน ทำให้โลกวิญญาณ แบ่งแยกออกเป็น 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความมืด ที่อยู่ก่อนหน้านี้ และอาณาจักรที่เกิดใหม่ ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง แต่ทั้งหมด ที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นเฉพาะในโลกวิญญาณเท่านั้น มันไม่ได้รวมถึงโลกวัตถุ ที่เราจับต้องมองเห็นด้วยตานี้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้น โลกที่เราจับต้องมองเห็นได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ เป็นตัวเราเอง ร่างกายนี้  มันก็เหมือนเดิม ก็ยังอยู่ในการลงโทษของบาปอยู่ดี ร่างกายเราก็ยังต้องตายอยู่ดี แต่อะไรบางอย่างในโลกวิญญาณมันเปลี่ยนไปแล้ว

ตอนนี้มนุษย์มีสิทธิ์เลือกว่าจะเข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง หรือจะยังคงอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดเหมือนเดิม

และนี่คือความจริงที่ทำให้เราเป็นไทอย่างแท้จริง เพราะถ้าเรารู้และเข้าใจอย่างถูกต้องลึกซึ้งในโลกวิญญาณอย่างนี้แล้ว การมีชีวิตบนโลกนี้ ของมนุษย์ทุกคน หรือของเรา มุมมองในเรื่องการแก้ปัญหาต่างๆ ของเรา มันก็จะเปลี่ยนไปหมดเลย มุมมองในการตั้งเป้าหมายในชีวิตก็เปลี่ยนไป การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ การแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไป มันจะอยู่บนพื้นฐานของโลกวิญญาณทั้งหมดเลย จะเห็นภาพชัดเลย แล้วมันก็จะเกิดเป็นความหวัง ความอดทน ความสุข ความสงบ ความพอเพียงขึ้นในใจ ในชีวิตของคนๆ นั้น ที่รู้ความจริงตรงนี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ขอให้เขาเป็นมนุษย์เถอะ เขาจะได้รับตรงนี้แหละ

ความรู้ ความเข้าใจในโลกวิญญาณแบบนี้ ก็เปรียบเหมือนที่ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องกลัดกระดุมผิด สมัยตอนที่เล่นดนตรีอยู่นั้น บางคอนเสิร์ตต้องเข้าไปเปลี่ยนชุด ต้องเปลี่ยนเร็วมาก เพื่อจะออกมาให้ทัน เข้าไปถึงจะมีคนมารุมเราเลยนะ สมมติว่าเรากำลังใส่รองเท้าอยู่ ก็จะมีคนมาใส่เสื้อให้ แล้วก็มีคนกลัดกระดุมให้ กลัดรีบๆ เลย พอจะเดินออกไป เฮ้ย! จับคอเสื้อทำไมไม่ได้สักที เพราะว่ามันกลัดไปเรียบร้อยแล้ว แต่กระดุมเม็ดแรกมันผิดกลัดไปอีก 10 เม็ด เวลาจะแก้ ช้ากว่าเก่าตั้งเยอะ เลย มันต้องถอดทีละเม็ดๆ พอมันผิดตั้งแต่เริ่มต้น ต้องแก้ใหม่หมดเลย

ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราเริ่มแก้ปัญหาจากสิ่งที่ผิด มันก็จะผิดตลอดไป อย่างที่บอกว่าความรู้ ความเข้าใจในโลกวิญญาณ ก็เปรียบเหมือนการติดกระดุม ถ้าท่านรู้เหตุผลมันคืออะไรเกิดขึ้น มันมีเงื่อนไขอย่างไร? มันเป็นอย่างไร? ตอนนี้อาจจะแก้ช้าหน่อย แต่มันก็สำเร็จอยู่ดี แต่ถ้ามันผิด มันไม่ใช่ ท่านรีบอย่างไร? ท่านทุ่มเทอย่างไร? ยิ่งผิดใหญ่เลย ยิ่งทุ่มเทมาก ยิ่งผิดเยอะ แทนที่จะติดกระดุมผิด ไป 5 เม็ด แต่ติดกระดุมผิดไป 10 เม็ดเลยทีนี้ ทุ่มเทเยอะ แต่ว่าเริ่มต้นมันผิดแล้ว

อย่างเช่นเรื่องข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโลกนี้ ที่ผมบอกบ่อยๆ ว่าพระเจ้าบอกว่าโลกกลม สมัยก่อนนี้มนุษย์ก็ไม่เชื่อฟัง ก็บอกว่าโลกแบน พยายามคิดค้นทฤษฎีต่างๆ มาสนับสนุน เชื่อว่าโลกแบน คิดอะไรออกมาเยอะแยะก็ผิดหมด ทดลองอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง เสียเวลาไปเยอะแยะมากมาย ก็เพราะว่าพื้นฐานมันผิด เริ่มต้นมันผิดแล้วว่าโลกมันแบน ก็เหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดนั่นแหละ พระคัมภีร์บอกโลกวิญญาณมีจริงๆ และมีอยู่ 2 อาณาจักร คืออาณาจักรของความมืด และอาณาจักรของความสว่าง และมนุษย์มีสิทธิ์เลือกได้เองว่าจะเข้าไปอยู่ในอาณาจักรใดก็ได้ พระคัมภีร์บอกว่ามีสิทธิ์เลือกได้เอง โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ใช้เชื่อเอา เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้เรียบร้อยแล้ว แค่เลือกและใช้สิทธิ์ของตัวเองเท่านั้น แต่มนุษย์จำนวนมาก ก็ยังไม่ยอมเชื่อความจริงตรงนี้ ยังพยายามที่จะขวนขวาย คิดตามเหตุผลว่าเราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ เราก็ไม่สมควรจะได้ ถ้าเราอยากได้ เราต้องทำ ก็ทำต่อไปด้วยตัวเอง ซึ่งทำเท่าไร? มันก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะถ้าความจริงมันเป็นอย่างนี้ ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เหมือนกับแก้ไขกระดุมอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ถ้าไม่แก้ที่กระดุมเม็ดแรกที่ผิดไปนั่น

เม็ดแรก เทียบกับโลกวิญญาณมันมีจริงๆ พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปมนุษย์จริงๆ หรือแม้กระทั่งเทียบกับเรื่องคุณยายหาเข็มก็ได้ ถ้าคิดตามเหตุผลแล้ว มนุษย์คิดเองนะ เพราะมนุษย์มาจากพระเจ้า พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา คิดเก่งมากเลย ตามเหตุผล ตามตรรกะ หรือตามภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าตามโลจิกต์ มนุษย์เก่งมาก ถ้าอันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ อันนั้นต้องเป็นอย่างนี้คิดทุกเรื่องเลย แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณคิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะโลกฝ่ายวิญญาณ มันสูง เทคโนโลยีมากกว่าที่ความคิดมนุษย์คิดไปถึง มันเยอะกว่ามากเลย มนุษย์ก็คิดว่าถ้าจับตรงนี้ได้ แสดงว่าหน้าตาพระเจ้าคงมีแข็งๆ เหมือนจับช้าง ไปจับเอาที่ตรงงา ช้างต้องเป็นอย่างนี้ ปลายๆ แหลมๆ และแข็งๆ อีกคนหนึ่งไปแตะถูกตรงกลาง ตัวนิ่มๆ พระเจ้าต้องเป็นอย่างนี้ ดูเหมือนถูก แต่ผิดหมดเลย เพราะมนุษย์ใช้ความคิดของตัวเอง

เพราะคิดแบบโลจิกต์ คิดแบบเหตุผลของมนุษย์ พระเจ้าจึงบอกให้เราเชื่อ ถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ พระองค์บอกอย่างไร ก็จงเชื่ออย่างนั้นเถิด เพราะเราเป็นเหมือนเด็กคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับความรู้ของพระเจ้า ถ้าเด็กคนหนึ่งมาถามท่านว่า …

“แม่ ไมโครเวฟมันทำงานอย่างไร?”

ท่านจะตอบไหม? หรือท่านจะบอกว่า  …

“อย่าถามมากเลย กดอันนี้ มันก็ใช้งานแล้ว กดไป 1 นาที น้ำเดือดแล้ว ไม่ต้องอธิบาย ฉันอธิบายไม่ได้เหมือนกัน”

ถูกไหม? ถ้าท่านไปอธิบายให้เด็ก 10 ขวบฟัง เรื่องระบบมันมีคลื่นไฟฟ้านะ คลื่นไฟฟ้าแปลงเป็นคลื่นอิเล็กโทลนิก เรียกว่าคลื่นไมโครเวฟ และคลื่นไมโครเวฟไปทำงานเป็นโมเลกุล … โมเลกุลสั่นสะเทือน โมเลกุลจะกลายเป็นความร้อน ท่านว่าเด็กเข้าใจไหม?  ถ้าเผื่อพระเจ้าจะอธิบายให้เราอย่างนั้น เราจะตายก่อน แล้วลงไปอยู่ในนรก ไม่มีโอกาสได้เลือกพระเจ้าแล้ว ช้าไปแล้ว และไม่มีวันได้ด้วย

พระคัมภีร์ได้อธิบาย ให้มนุษย์ได้รู้จักสภาพของอาณาจักรทั้งสองแห่งนี้ เพื่อจะได้เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในโลกวิญญาณ คำที่ใช้บ่อยในพระคัมภีร์จะมีคำว่า …

 

                   –  อาณาจักรสวรรค์ / อาณาจักรของพระเจ้า  / อาณาจักรของพระคริสต์

 

ต่อไปนี้ ท่านจะเห็นคำเหล่านี้ ท่านจะมองภาพเห็น ที่วันนั้น เราสาธิตกัน จำเก้าอี้ตัวนั้นได้เลย ที่เป็นสีขาว สมมติว่าเป็นอาณาจักรๆ หนึ่ง เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระคริสต์

 

                   –  ในพระคริสต์  /   พระเกียรติสิริ  /  สง่าราศี  /   ความสว่าง

 

แล้วในพระคัมภีร์ยังเรียกคนที่อยู่ในอาณาจักรนี้  อยู่ในพระคริสต์ ตอนนี้ฉันอยู่ในพระคริสต์ คือฉันอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ในอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้า

คือในพระคริสต์ ฉันมีความหวัง ในพระคริสต์ ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระคริสต์ ฉันเหมือนพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ฉันไม่กลัวตายอีกต่อไป ตายทางร่างกายนี้ ก็แค่เปลี่ยนมิติ ก็อยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหนด้วย ไปไหนมาไหนก็สะดวกขึ้น พระคัมภีร์เรียกว่าอินเนอร์แมน คือมนุษย์ตัวใน คือวิญญาณของฉัน

จะพูดถึงตรงนี้ในอาณาจักรแห่งความสว่าง พระเกียรติสิริ  /  สง่าราศี  /   ความสว่าง … พระเกียรติสิริ คือความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ความสะอาด บริสุทธิ์ของพระเจ้า ความอลังการของพระเจ้า แบบเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ ถ้าท่านจะยกตัวอย่างพระสิริ ท่านต้องนึกถึงดวงอาทิตย์ ท่านมองไปที่ดวงอาทิตย์ ท่านยังมองไม่ได้เลย พระสิริของพระเจ้า มันยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ล้านๆ เท่า และตอนนี้ท่านนั่งอยู่ในดวงอาทิตย์ วิญญาณท่านประกอบด้วยพระสิริพระเจ้า ท่านเห็นอะไรบางอย่างไหม? ท่านจะกลัวผีอีกต่อไปไหม? ก็กลัวต่อไป เพราะถ้ากลัว มันก็กลัว มันอยู่ในความคิด มันอยู่ในร่างกายภายนอก อันที่ไม่กลัว ที่เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริของพระเจ้า มันอยู่ข้างในนี้ ขาววอก วิญญาณผมสะอาดบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า แต่ข้างนอกผมคลุมไปด้วยร่างกาย ที่เต็มไปด้วยผิดบ้าง? ถูกบ้าง? ดำบ้าง? ขาวบ้าง?  มัวบ้าง? เทาๆ บ้าง? ทุกท่านก็ใส่เสื้อเหมือนผม ร่างกายท่านใส่เสื้อแบบนี้ คือเสื้อลายขาว ดำ เทา ก็คือมันมีขาวๆ ทำดีบ้าง? อยากทำดี ทำไม่ดีบ้าง? แต่ข้างในนี้ สีขาวหมด เอเมน

เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ บอกกันได้ เดี๋ยวนี้เราอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ทั้งหมด พูดถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น

                   –  เป็นขึ้นมาใหม่  /  มีชีวิต  /  ชีวิตนิรันดร์

 

“เป็นขึ้นมาใหม่”  ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ในเรื่องอาณาจักรแห่งความสว่าง จะมีคำนี้บ่อยๆ ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์  ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับพระเยซู พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่ ท่านก็เป็นด้วย ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ในโลกวิญญาณเป็นขึ้นจากความตาย คือมืดสนิทเลย  ตอนนี้ตายอยู่ เป็นขึ้นจากความตาย คือ …

“พระเยซูลูกเชื่อพระองค์ ว่าพระองค์เป็นผู้ไถ่บาป แล้วก็ได้มาชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน ลูกได้ยินข่าวดีนี้แล้ว ลูกเชื่อ ตอนนี้ลูกขอต้อนรับสิทธิที่พระองค์ทรงทำให้กับลูกที่ไม้กางเขน ตายที่ไม้กางเขนเพื่อลูก ชำระบาปให้กับลูก และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่าง บัดนี้ ลูกเชื่อแล้ว ลูกขอรับสิทธินี้”

ทันทีทันใดนั้น  ในวินาทีนั้น ผมเกิดใหม่ อย่างนี้เขาเรียกว่าเกิดใหม่ วิญญาณเก่าตายไปแล้ว ตัวมืด ตายไป ตัวเก่าๆ ที่เรียกว่าวิญญาณ ในพระคัมภีร์เรียกว่าตายไป แล้วมันเกิดมาใหม่ นี่พูดถึงวิญญาณนะ ข้างใน ข้างนอกยังคนเดิม แต่ข้างในเปลี่ยนแล้ว เมื่อกี้ข้างในเสื้อกล้ามดำ ตอนนี้เสื้อกล้ามขาว เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริของพระเจ้า เหมือนดวงอาทิตย์ร้อนแรงอยู่ในวิญญาณของเรา มีสง่าราศี พระเกียรติสิริของพระเจ้าอยู่ในนั้น ความบริสุทธิ์อยู่ในนั้น นี่คือคำศัพท์ที่ใช้บ่อย แล้วมีอะไรอีก?

“มีชีวิต” พระองค์บอกว่าพระองค์มา เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีชีวิต ฉันยังไม่ตายเลย จะมีชีวิตได้อย่างไร?  คำว่ามีชีวิต หมายถึงมีชีวิตกลับคืนสู่พระเจ้า

คำว่า “มีชีวิต” แปลว่าเกิดใหม่ แต่ก่อนนี้ ไม่มีชีวิต คือตายอยู่ พระเยซูบอก เรามาเพื่อท่านทั้งหลายจะมีชีวิต คือเมื่อมารับพระเยซู ท่านก็กลับมามีชีวิต

“ชีวิตนิรันดร์” นอกจากท่านจะมีชีวิตแล้ว คำว่า “มีชีวิต” เป็นกริยา คือการบังเกิดใหม่ มีชีวิตขึ้นมา  แต่คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ตรงนี้ เป็นคำนาม แปลว่าสภาพ คุณภาพของชีวิต ไม่ใช่ นิรันดร์ แปลว่าอยู่ตลอด อดีตยังไม่รับเชื่อ เราอยู่ในที่มืด เราก็อยู่ในความมืดนิรันดร์ คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ตะกี้นี้ ในบทบาทของความสว่าง คือเมื่อท่านมาเชื่อพระเยซู ท่านมีชีวิตนิรันดร์ แปลว่าอีเทอร์เนลไลฟ์ คือชีวิตที่เป็นนิรันดร์ ไม่ใช่มียาวนิรันดร์ มีคุณสมบัตินิรันดร์ คำนี้ใช้เฉพาะกับคุณภาพของวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น แต่ดั้งเดิม วิญญาณของพระเจ้า มีชื่อวิญญาณว่าวิญญาณนิรันดร์ พระเจ้าอยู่นิรันดร์อยู่แล้ว แต่วิญญาณพระองค์เป็นวิญญาณชนิด นิรันดร์ ไม่ใช่อยู่นิรันดร์ แต่เป็นคุณภาพนิรันดร์ จำเอาแล้วกัน มันไม่มีทางเข้าใจหรอก พูดง่ายๆ คำว่า “นิรันดร์” มันมี 2 ความหมาย ตามภาษาไทย ตามตรรกะมนุษย์ คือ …

–  นิรันดร์ตัวแรก เขาเรียกว่านิรันดร์แบบบอกถึงระยะทาง ก็คืออยู่หลายๆ ปี ไม่สิ้นสุด เรียกว่าตลอดกาล

–  นิรันดร์ที่สอง เป็นลักษณะ คุณภาพของวิญญาณ คุณภาพและวิญญาณของพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ คุณภาพและวิญญาณของมารซาตาน  เรียกว่าวิญญาณตาย วิญญาณบาป วิญญาณกบฏ ท่านจะได้เห็นภาพ คุณภาพวิญญาณ แต่วิญญาณจะอยู่นิรันดร์ ก็พยายามเข้าใจแล้วกัน เข้าใจแบบพระเจ้า ถ้าเข้าใจแบบมนุษย์ มันลำบาก อย่างที่บอก ไม่สามารถอธิบาย ในโลกฝ่ายวิญญาณ มีคำอะไรอีก

 

                   –  ความชอบธรรม  /  ผู้ชอบธรรม  /   พระคุณ  /  ความรัก

 

“ความชอบธรรม” คือเราไปศาล เราถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าคนตาย แล้วศาลตัดสินคดีว่าเธอไม่ได้เป็นคนฆ่าหรอก เธอเป็นอิสระ นั่นแหละ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว คำว่าชอบธรรม คือถูกต้อง ไม่ใช่ทำดีนะ  ความชอบธรรม หมายถึงว่าถูกตัดสินว่าเป็นคนไม่ผิด  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรม คือความถูกต้องนั่นเอง จะใช้กับคนที่มาอยู่ในแสงสว่าง ชอบธรรม เพราะฉะนั้น อยู่ตรงข้าม คือความไม่ชอบธรรม

และจากนั้น มี “ผู้ชอบธรรม” คือผู้ที่มีความชอบธรรม กลายเป็นคนนั้น เป็นผู้ชอบธรรม คือเป็นอิสระจากการถูกตัดสินลงโทษ

และต่อไป ก็มีคำว่า “พระคุณ”  “ความรัก”   พอบอกความรักของพระเจ้า อย่าไปนึกถึงความรักแบบรักกัน ไม่ใช่ เป็นคุณภาพของวิญญาณ เรียกว่าความรัก พระเจ้าไม่มีทางโกรธใครเลย พระองค์ “เป็นความรัก” ไม่ใช่ “มีความรัก” เมื่อผมมาเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณผมเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ข้างในผม เป็นความรัก ผมไม่ได้มีความรัก และผมไม่ได้ดำเนินในความรักตลอดไป ผมเป็นความรัก แต่ข้างนอกจะดำเนินชีวิตเป็นความเกลียดบ้าง เป็นอะไรบ้าง แล้วแต่เนื้อหนังเก่าๆ ที่มันทำอยู่ ก็คนละเรื่องกัน แต่วิญญาณผมไม่มีเกลียดใครอยู่แล้ว ผมไม่เคยโกรธใครเลยแม้แต่นิดเดียว มันสะอาดหมดจด มันเป็นความรัก ไม่ใช่เป็นความเกลียด มันทำไม่ได้เลย เพราะมันขาวสะอาด นี่แหละ คือคำว่าความรัก

ถ้าพระเจ้าเป็นความรัก เรามาเป็นเหมือนพระเจ้า เราก็เป็นความรักเหมือนกัน เมื่อเราเป็นความรัก เปโตรมาถามว่าถ้ามนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ดี ทำบาปต่อเรา เราจะต้องอภัยให้กี่ครั้ง? พระเยซูบอกอภัยให้ตลอดเลย คือไม่ต้องอภัยกัน เมื่อท่านมาเชื่อในพระเจ้า ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะไม่โกรธใครอีกแล้ว เพราะข้างในท่านบริสุทธิ์ ท่านไม่ต้องอภัยหรอก เพราะมันอภัยอยู่แล้ว ท่านไม่เคยโกรธ ท่านจะไปอภัยทำไมล่ะ สมมติคนบอกให้ท่านให้อภัยคนนี้สิ แต่คุณไม่เคยโกรธเขาเลย คุณจะไปอภัย ก็คงขำ หัวเราะ อภัยให้เขา ผมไม่เคยโกรธเขาเลยนะ ผมอภัยให้ได้อย่างไร?  ผมอภัยให้ไม่ได้หรอก ทำไมเป็นคนอภัยให้ใครไม่ได้ ก็ผมไม่เคยโกรธเขาเลย  จะไปอภัยให้ได้อย่างไร? เหมือนกัน วิญญาณ ความรักตรงนี้

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ เมื่ออธิบายทางโลกวิญญาณแล้ว มันจะเห็นภาพชัดเจนอีกอันหนึ่ง ซึ่งสามารถเข้ากับข้อพระคัมภีร์ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ทั้งเล่มได้

 

                   –  บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า /  ลูกของพระเจ้า /  คืนดีกับพระเจ้า  /   ติดต่อกับพระเจ้าได้

 

“บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า” พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราสะอาด บริสุทธิ์จริงๆ ข้างใน พูดถึงวิญญาณของเรา เพราะเราอยู่กับพระเจ้า เราไม่สามารถสกปรกได้เลย เพราะสกปรกอยู่กับพระเจ้าไม่ได้

“ลูกของพระเจ้า” พอเรามาอยู่ในความสว่าง เราเป็นลูกๆ ของพระเจ้า เขาเรียกเราว่าลูกๆ ของพระเจ้า พระเจ้าเรียกเราว่าลูกๆ ของพระเจ้า ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่คนรับใช้ เป็นลูกเลย ลูกจริงๆ พระเจ้าบอกท่านเป็นคนบาป ยังรู้จักรักลูกของตนเอง แล้วพระเจ้าเป็นความรัก รับท่านเป็นลูก จะรักท่านมากขนาดไหน? ท่านลองคิดดูแล้วกัน ท่านจะเห็นภาพเหล่านี้

“คืนดีกับพระเจ้า” ท่านเคยได้ยินใช่ไหม? โดยพระเยซูคริสต์ เราได้รับการคืนดีกับพระเจ้า แปลว่าท่านไปโกรธกับพระเจ้าเมื่อไร?  คืนดี ก็คือแต่ก่อนนี้เข้ากันไม่ได้ แต่ก่อนนี้คนละเคมี แต่พระเยซูชำระเราให้สะอาดแล้ว เคมีเดียวกัน เข้ากับพระเจ้าได้ คืนดีกับพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้

“ติดต่อกับพระเจ้าได้” “เป็นหนึ่งกับพระเจ้า” อยู่บ้านหลังเดียวกันแล้ว

ซึ่งวันนี้ เอาแค่นี้ก่อน แล้วค่อยๆ เรียนรู้กันต่อๆ ไป ในอาณาจักรของความมืด ความสว่างเป็นอย่างไร? ท่านจะเห็นภาพชัดเจนว่าถ้าเราไม่เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เราเสียโอกาสไปเยอะขนาดไหน? และถ้าเราเรียนรู้ความจริงเหล่านี้ เราจะเห็นภาพว่าเราสามารถที่จะเชื่อพระเจ้าได้ง่ายขึ้น เยอะเลย พระเยซูจึงบอกว่าท่านจะรู้ความจริง และความจริง จะทำให้ท่านเป็นไท

ในหนังสือที่บอกอย่างชัดเจน ก็คือในหนังสือยอห์น 3:16 เป็นข้อพระคัมภีร์ที่เขาประกาศข่าวประเสริฐกันมากเลย แต่ถ้าเขาประกาศอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น สำหรับคนที่รับเชื่อ รับสิทธิของเขา

ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก (คือมนุษย์ยิ่งนัก) จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (พระเยซู) เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

ไม่พินาศ คือไม่ตายลงไปในวิญญาณ  ไม่ต้องอยู่ในนรกนิรันดร์ แต่มามีชีวิตเหมือนพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรสว่างนิรันดร์

พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูมา เพื่อลงโทษมนุษย์บนโลกใบนี้ แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น ก็คือช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอด โดยพระบุตร คำว่า “โลกนี้” มันรวมทั้งมนุษย์ทุกคน และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างบนโลกใบนี้

ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ผู้ใดที่เชื่อในพระเยซู ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะอยู่ในอาณาจักรของความมืดอยู่แล้ว ไม่ได้เลือกใช้สิทธิ มันก็อยู่ในความมืด พระเยซูไม่ได้มาทำอะไร?

ชัดไหม? พระเยซูจึงบอกว่าเราไม่ได้มา เพื่อพิพากษาโลก พิพากษามนุษย์ ไม่ใช่ เพราะมนุษย์อยู่ในความมืดอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่รับสิทธิ ที่เราทำให้ เขาก็อยู่ในความมืด และสำหรับคนที่รับสิทธิแล้ว ทันทีทันใด เขาก็ได้รับความรอด เขาถึงเรียกข่าวดี ข่าวประเสริฐมาถึงมนุษย์ทุกคน มันง่าย ไม่ต้องทำอะไร? มนุษย์ทุกคนอยู่ในอาณาจักรของความมืด  ต้องรับโทษนิรันดร์เลย แล้วพระเยซูก็มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อสถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่าง แล้วก็มาเคาะประตูเราตลอดเวลาว่าให้เราย้ายเถิดๆ ย้ายตอนไหน? ย้ายก่อนตาย ก่อนทิ้งร่าง เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์เท่านั้น

ถ้าผมเป็นมนุษย์อยู่ตรงนี้ ผมจึงให้พระเยซูเป็นตัวแทนได้ แต่ถ้าวันหนึ่งที่ผม ร่างกายผมเน่าไปแล้ว วิญญาณออกจากร่าง ผมไม่ได้เป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว ตอนนั้น ผมเป็นวิญญาณเฉยๆ ผมใช้สิทธิ์ไม่ได้แล้ว เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์ มนุษย์เท่านั้นที่จะใช้สิทธิที่พระเยซูทำ เป็นตัวแทนให้ได้

พระคัมภีร์จึงให้เราตัดสินใจก่อนที่วิญญาณเราจะออกจากร่าง เพราะถ้าวิญญาณเราออกจากร่างแล้ว มันสายไปแล้ว วิญญาณเราออกจากร่างแล้ว เราอยู่ไหน? ก็อยู่ตรงนั้น  ถ้าวิญญาณเราออกจากร่าง เราอยู่ในอาณาจักรของความมืด เราก็อยู่ตรงนี้ ไม่มีทางเลือกแล้วตลอดไป ไม่มีใครช่วยให้เรารอดแล้ว ไม่มีพระเยซูอีกต่อไปแล้ว มีเราก็ทำอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถใช้สิทธิในการเป็นมนุษย์ได้ เราเป็นวิญญาณที่อยู่ในความมืด เป็นวิญญาณที่อยู่กับมาร เป็นวิญญาณที่พินาศไปแล้ว

ท่านคิดดูว่ามันง่ายขนาดไหน? ท่านประกาศข่าวประเสริฐแค่นี้ ให้เขารับสิทธิเขา มันไม่ได้เกี่ยว ไม่ต้องทำอันโน้น อันนี้  ไม่ต้องทำอะไรเลย  ทำอย่างเดียว คือรับสิทธิสิ รับสิทธิ์ทำอย่างไร?

“ฉันเชื่อ พระเยซูไถ่บาปให้กับฉันใช่ไหม? ฉันเอาแล้ว ฉันเอาด้วยคน ใครไม่เอา ฉันไม่รู้ ฉันตัดสินใจเอาเท่านี้ เข้าใจไม่เข้าใจ ฉันเชื่อ เชื่อคนมาพูด ก็ได้”

ทันทีทันใดนั้น ท่านก็ย้ายมาอยู่ฝั่งสว่างเกิดอะไรขึ้น? วิญญาณท่านก็ขาวสะอาด ท่านอยู่ในสวรรค์แล้วทันทีเลย  ไม่ต้องรอให้ตายแล้วไปสวรรค์ ท่านเชื่อปุ๊บ ท่านอยู่ในสวรรค์ทันทีทันใดเลย แล้วจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ไม่มีใครเอาวิญญาณท่านออกไปได้แล้ว เพราะพระเจ้าคลุมตรงนี้อยู่ตลอด ไม่มีใครจะโผล่เข้ามาในแสงสว่าง แบบดวงอาทิตย์เป็นล้านๆ ดวงในวิญญาณของท่านอีก ไม่มีทางแล้ว ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน วันหนึ่งท่านจะตายจากโลกนี้ ท่านจะดีใจมากเลย เพราะแค่ไปสู่อีกมิติหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านก็พะงาบๆ หมดภารกิจสักที พอวิญญาณท่านออกจากร่างไป ท่านก็ไปอยู่สวรรค์ คราวนี้ท่านก็สบาย มองเห็นทุกอย่าง ไม่ต้องมาวุ่นวาย  ไม่ต้องนั่งแท็กซี่ ใช้เหาะไป อันนี้พูดไปเรื่อยเปื่อย แต่ไม่รู้เทคโนโลยีเป็นอย่างไร? แต่ท่านก็เหมือนพระเยซู ท่านไม่ต้องทุกข์ลำบากอีกแล้ว นั่งนานก็ไม่ได้ ไข่วห้างนานก็ไม่ได้ อะไรก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด ท่านไม่ต้องวุ่นวาย วิญญาณท่านอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ไม่ได้ไปไหนเลย

เพราะฉะนั้น เวลาที่บอกว่าพระบิดารอคอยเราอยู่ในสวรรค์ แปลว่าพระบิดารอคอยให้เราจากความมืด ย้ายมาสู่ความสว่าง จากนั้นพระบิดาไม่รอคอยแล้ว พระบิดารอคอยเราในสวรรค์ ก็คืออย่างนี้ พอเราขึ้นมาอย่างนี้ปุ๊บ อยู่กับพระบิดาแล้วตอนนี้  อยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

******************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2017 เรื่อง “ความจริง จะทำให้เราเป็นไท” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2017

เรื่อง “ความจริง จะทำให้เราเป็นไท”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เรากำลังเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณใช่ไหม? ถูกไหม? จำได้หรือเปล่าท่านเป็นอะไร? คุยกันได้ วันนี้จะสาธิตให้ต่อ ถ้าตอบไม่ถูก ก็จะไม่สาธิตให้ ท่านเป็นวิญญาณ ใช่ไหม? วิญญาณก็ต้องอาศัยในโลกของวิญญาณ สิ่งที่เรามองเห็นอยู่นี้ หน้าตาเรา คือวัตถุใช่ไหม? เพราะเราเห็น คือโลกวัตถุ เก้าอี้ อะไรต่างๆ นี่เรียกว่าโลกฝ่ายวัตถุใช่ไหม? นี่คือที่เราได้เรียนรู้กันในพระคัมภีร์สอนเราอย่างนั้น

พระคัมภีร์เป็นเรื่องความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท แค่รู้ความจริงนิดหนึ่ง ก็เป็นไทนิดหนึ่ง รู้มากขึ้น ก็เป็นไทมากขึ้นนิดหนึ่ง ความจริงรู้เยอะๆ ก็เป็นไทมากขึ้นเยอะๆ นี่คือเคล็ดลับเท่านั้นเอง และอันดับแรกที่เราควรรู้ความจริงนี้ ทำให้เราเป็นไท ก็คือรู้ว่ามันมีโลกฝ่ายวิญญาณจริงๆ มีจริงๆ พอในใจเรารู้ความจริงๆ ทำให้เรารู้ว่ามันมีจริงๆ เห็นไหม? มันตื่นเต้น

ซึ่งพระคัมภีร์ก็ได้บอกตั้งแต่หน้าแรกมาตั้งนานแล้ว บอกเป็นหลายพันปีแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหมือนโลกกลม คล้ายๆ อย่างนั้น

เรามาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ ตกลงเชื่อไหมว่ามีโลกวิญญาณจริงๆ โลกที่เรามองไม่เห็น มันมีจริงๆ เชื่อไหม? ที่เรามองไม่เห็น จับต้องมองไม่เห็น จับต้องก็ไม่ได้ มองก็ไม่เห็น มันมีโลกนั้นจริงๆ เชื่อไหม? เชื่อ แล้วโลกนั้น เป็นโลกที่อยู่นิรันดร์ แต่โลกที่เรามองเห็นได้ วัตถุสิ่งของ มันอยู่แค่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว นึกออกใช่ไหม?

แล้วเอาเก้าอี้มาทำไม? เอาเก้าอี้มา เพื่อจะพิสูจน์ว่าข้อพระคัมภีร์นี้ เป็นจริง และอธิบายข้อพระคัมภีร์นี้ให้ท่านได้รู้ คืออยู่ในหนังสือเอเฟซัส 2:1-6 เดี๋ยวลองอ่านดู ท่านจะรู้ซึ้งมากขึ้น เมื่อผมสาธิตให้ท่านเห็นว่าพอท่านรู้เรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านอ่านถ้อยคำนี้ ซึ่งอาจจะเคยอ่านมาก่อนหน้านี้ หลายครั้งแล้ว ในชีวิตคริสเตียน แต่ตอนนี้ ท่านรู้ว่าเข้าใจมากขึ้น? หมายถึงอย่างนี้เอง? เรื่องเป็นอย่างนี้เองหรือ?  เข้าใจแล้ว

นี่เป็นอย่างนี้นะ อันนี้สีดำ อันนี้สีขาว  แสดงว่าถูกต้องตาไม่บอดสี

สีขาว สัญลักษณ์ เราก็รู้อยู่แล้ว บริสุทธิ์ สะอาด ก็ต้องเป็นพระเจ้า ถูกไหม?

สีดำ ตรงกันข้าม ก็คือมาร มันหนีไม่พ้น

นี่ (สีขาว) ก็คือสว่าง  … นี่ (สีดำ) ก็คือมืด เราเรียนรู้มาตลอด ในโลกฝ่ายวิญญาณว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าสอนเราว่ามี 2 อาณาจักรเท่านั้นเอง โลกฝ่ายวิญญาณ มีอยู่ 2 อาณาจักร โลกทางวัตถุมีหลายอาณาจักรมาเลย มีทวีปโน้น ทวีปนี้ ประเทศโน้น ประเทศนี้  แต่โลกฝ่ายวิญญาณมีแค่ 2 อาณาจักร ยังไงก็มี 2 เชื่อหรือไม่เชื่อ? เราไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า เราไม่ได้เป็นคริสเตียน ในโลกฝ่ายวิญญาณมีกี่อาณาจักร ก็มี 2 เราไม่เชื่อ เราไม่สนใจเลย เรื่องโลกวิญญาณมีกี่อาณจักร ก็มี 2 เราไม่เชื่อเลยว่าโลกมันกลม โลกมันกลมไหม? กลม ถูกไหม? เราไม่เชื่อ เราไม่ได้เป็นคริสเตียน ในโลกฝ่ายวิญญาณ มีไหม? มี … มีกี่อาณาจักร? มี 2 นี่คือความจริง ต่อให้จะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

ในโลกฝ่ายวิญญาณ มี 2 อาณาจักร เราเรียนรู้แล้ว อาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรของความสว่าง อีกอาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรของความมืด อาณาจักรแห่งแสงสว่างเป็นของพระเจ้า อาณาจักรแห่งความมืดมารครอบครอง เห็นไหม? จบแล้ว กลับบ้านได้  เราต้องการเรียนรู้แค่นี้เอง  แล้วเราไปเรียนอะไรมันมากมาย จนกระทั่งเรางงไปหมด อะไรไม่รู้เรื่องเลย  ยิ่งภาษายากๆ อันนี้มันง่ายๆ

นี่สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์เรียนรู้ อันดับแรกเลย ไม่ต้องมีศาสนา ไม่ต้องมีอะไรมาเกี่ยวข้องเลย ก็คือรู้แค่นี้ก่อน มันมีจริงๆ นะโลกฝ่ายวิญญาณ  มีแค่ 2 อันเอง บอกมาตลอดทั้งเล่ม มีอยู่แค่นี้

คราวนี้เราก็มารู้ว่าในข้อพระคัมภีร์ที่ผมบอกเมื่อสักครู่นี้ จะพูดถึงว่าเจ้า 2 อาณาจักรนี้เราไปเกี่ยวข้องตรงไหน? คนที่เชื่อพระเจ้า หรือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า มันเกี่ยวข้องตรงไหน? เราอยู่ในตำแหน่งไหน? ในอดีต หรือในปัจจุบัน เราอยู่ที่ไหน? เราต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งแน่นอน ถ้าตรงนี้มันเป็นจริง ถูกไหม? มันจะบอกว่าเราไม่เชื่อหรอก ไม่อยู่ทั้งสองแห่ง เป็นไปได้ไหม? ก็เหมือนกับคนที่บอกว่า …

“ผมไม่เชื่อว่าโลกกลมหรอก  ผมจะเดินทางไปให้มันตกขอบโลกให้ได้”

แล้วตกไหม? ไม่ตก เพราะมันโค้งไปเรื่อยๆ เดินกลับมาที่เดิม ถูกไหม? เหมือนกัน

“ผมไม่เชื่อหรอก ไม่สนใจหรอก”

แต่จะสนใจหรือไม่สนใจ มันก็มี 2 อาณาจักร  คนที่บอกไม่สน เขาก็อยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอันนี้ หรืออันนั้น ถูกหรือเปล่า?  ถูกไหม? เขาจะต้องอยู่ในนี้ แห่งหนึ่งใดแห่งหนึ่งเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ถามตัวเราเอง ในขณะนี้ว่าท่านอยู่ที่ไหน? ท่านอยู่ที่ไหน? จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม สมมติว่าท่านเชื่อก่อนเลยว่าตรงนี้มีจริงๆ แล้วท่านอยู่ที่ไหน?  และเดี๋ยวไม่เชื่อค่อยว่ากัน ท่านต้องอยู่ที่ไหนที่หนี่งแน่ในนี้ ท่านแน่ใจไหมว่าท่านอยู่ที่ไหน? คนในนี้ท่านแน่ใจไหมว่าท่านอยู่ที่ไหน? ถามว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ มั่นใจว่าท่านอยู่ที่ไหน? อยู่ในความสว่าง ตั้งแต่เกิดหรือเปล่า? ไม่อยู่ แล้วก่อนหน้านี้ ท่านอยู่ที่ไหน? ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน? ในความสว่าง แน่ใจ เพราะอะไร?  เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น

บอกว่าพอเรามรับเชื่อในสิทธิในพระเยซูที่ได้ไถ่บาปให้กับเรา เรามาอยู่ตรงนี้แล้ว  เรามาอยู่ตรงนี้แล้ว อยู่ด้วยวิธีอะไร? พระเยซูทำให้ อยู่ด้วยวิธีอะไร? ในพระคัมภีร์บอกตอนนี้นะ เมื่อเรารับเชื่อพระเยซูคริสต์ แต่ก่อนเราอยู่อย่างนี้ เราบอก …

“พระเยซูลูกเชื่อในการไถ่บาปของพระองค์แล้ว”

อันนี้เอาง่ายๆ ก่อนนะ ไม่อธิบายอย่างละเอียด

“ลูกเชื่อว่าพระองค์มีจริงๆ แล้วส่งพระเยซูมาไถ่บาปให้ลูก ลูกเชื่อ เอาบาปลูกไปแล้ว ลูกสะอาดหมดจดแล้ว”

ไม่ใช่แค่นี้อย่างเดียว ไม่ใช่ยืนอย่างนี้ เราสะอาดหมดจดแล้ว  เราไม่ได้เดินเอง พอเราบอก เราเชื่อพระเจ้า แล้วพระเจ้าไถ่บาปเราแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ พอเราพูดจบด้วยความเชื่อปุ๊บ สมมตินะพระเจ้าพาเราย้าย นี่พระเจ้าพาเรามานะ สบาย  … สบายไหมอย่างนี้  สบายกว่าที่เมื่อกี้ไหม? อย่างนี้เรียกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข สบายไหม? อยู่กับใคร? นั่งอยู่กับใคร? ความสะอาดทั้งหมดเลย ความบริสุทธิ์ทั้งหมดเลย พระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งหมด ทั้งผืนนี้ แล้วยังทูตสวรรค์ล้อมรอบ ทูตสวรรค์ไม่ได้มาเกี่ยวกับผ้านี้หรอก ทูตสวรรค์อยู่ล้อมรอบ คอยเป็นเหมือนคนรับใช้เรา เป็นผู้รับใช้เรา รับใช้ครอบครัวพระเจ้า  เราเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นครอบครัวพระเจ้า

เพราะฉะนั้น เราสามารถทำอย่างนี้ได้ กระดิ๊กขาก็ได้  แต่ก่อนนี้เราอยู่ที่นี่ เรากระดิ๊กขาไม่ได้เลยนะ นี่คือเมื่อเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราเป็นอย่างนี้ ใครคลุมเราอยู่? พระเจ้า พระเจ้า 3 พระภาคคลุมเราอยู่ ไม่คุมนะ  ทั้งคลุมและคุม คลุมไม่เท่าไร? แต่คุมเรา ก็คือควบคุมเราเลย จับเราเลย  อยู่กับพระองค์เลย กลัวอะไรไหม?  อยู่กับเราเลย พระคัมภีร์ใช้คำว่าครอบงำเรา  ใช้คำเดียวกันกับตะกี้นี้ก่อนหน้านี้ ที่เราอยู่ทางนี้ ยึดตัวเรา สนิทอยู่กับเราเลย นำพาเราตลอดไป แต่ตอนที่เรายังไม่จากโลกนี้ไป ตัวนี้  ไม่ใช่ตัวจริงที่ท่านเห็นผม มันไม่ใช่ตัวจริงของผม ตัวจริงของผมมองเห็นไหมตะกี้นี้บอกแล้ว โลกฝ่ายวิญญาณมองเห็นไหม? ไม่เห็น ตัวผมท่านมองไม่เห็น แต่ตัวที่ท่านเห็นอยู่นั้น เป็นร่างกายที่ไม่ใช่ตัวจริงของผม วันหนึ่งมันต้องลงไปเป็นดิน มันต้องเสื่อมสลายไป แต่ตัวจริงผมเป็นวิญญาณนั่งอยู่ตรงนี้เหมือนกัน ท่านมองไม่เห็น เห็นไหม? ไม่เห็น ก็มันเป็นวิญญาณจะเห็นได้อย่างไร? เห็นไหม? ไม่เห็น แต่ร่างกายที่ท่านอยู่ เป็นโลกฝ่ายวัตถุ ซึ่งมันต้องเสื่อมละลายไป วันหนึ่ง นึกออกหรือยัง? มันต้องแก่ไป มันต้องตายไป แต่วิญญาณผมทำไม? นั่งยิ้มแป้นตลอด เป็นลูกพระเจ้า เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน คุยกับพระเจ้ากระหนุงกระหนิง นึกออกใช่ไหม?

เรามาดูว่าแต่ก่อนเราอยู่ที่นี้ หน้าตามันเป็นอย่างไร?  ดูจากอะไรรู้ไหม? ดูจากพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์บอก พ่อเราสอนความจริงให้กับเราว่า …

“ลูกเอ๋ย มันเกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้  โลกฝ่ายวิญญาณมันเป็นอย่างไร?”

ลองดูนะ ตะกี้นี้ที่บอก เอเฟซัส 2:1-2 บอกว่าอย่างไร? อ่านข้อแรกก่อน

เอเฟซัส 2:1-2 “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในการล่วงละเมิด และในบาปทั้งหลาย 2 ซึ่งท่านเคยทำ เมื่อดำเนินชีวิตตามวิถีของโลกนี้ และวิถีของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ ซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง”

 

ผมจะแปลภาษาเดิมให้ท่านได้เห็นชัด

“ท่านทั้งหลาย แต่ก่อนนี้ ท่านตายแล้ว”

แต่ท่านเห็นผมไหม? ยังอยู่ไหม? นครยังอยู่ไหม? อยู่ แล้วบอกตายได้อย่างไร?  ตายในที่นี่ คือวิญญาณผมไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ไม่ได้อยู่ตรงนี้ นี่แปลว่าตาย มิได้หมายถึงแต่ก่อนผมตาย ไม่ใช่ ผมยังเป็นคนเดิมอยู่ ร่างกายผมก็เหมือนเดิม อาจจะหนุ่มกว่านี้นิดหนึ่ง หนุ่มกว่า 30 ปี แต่ก็ยังเป็นนครที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ด้วยตา ทุกคนสามารถจับต้องมองเห็นได้ มองเห็นผมได้ด้วยตา แต่วิญญาณของผมเห็นไหม? ไม่เห็น

ในนั้นบอกว่าวิญญาณของผมอยู่ในการล่วงละเมิด คือบาป เพราะฉะนั้น อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ตาย เราเรียกว่าตาย

คราวนี้ท่านจะเข้าใจคำว่าตาย … คำว่า “ตาย” ในที่นี่ หมายถึงวิญญาณมันตาย วิญญาณที่ท่านมองไม่เห็นข้างในผม มันตาย ตายคือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า มีกำแพงกั้นตรงนี้ ไม่เห็นความสว่าง มีแต่ความมืด คุยกับพระเจ้าไม่ได้ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น

แล้วดูนะ ในนั้นบอกว่า … “ท่านเคยดำเนินชีวิต”

ผมกำลังดำเนินชีวิตตามวิถีของโลกนี้ โลกของวัตถุนิยม  วัตถุต่างๆ บนโลกใบนี้ ตามเนื้อหนังที่ผมเห็น วิญญาณผมก็ไม่เชื่อ เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ไม่สนใจเลย สนใจแต่เนื้อหนังข้างนอก เท่าที่เห็น

“และวิถีของจ้าวแห่งย่านฟ้าอากาศ ซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง”

ภาษาเดิมตรงนี้ ก็คือมาร … มารซาตาน ผมดำเนินชีวิตอยู่ใต้จ้าวแห่งย่านอากาศ ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณที่คลุมโลกนี้อยู่ ที่เรียกว่าความมืด นำโดยมารซาตาน ผมกำลังอยู่ในการครอบครองของมัน และมันก็คลุมผมเลย ดำหมด มันไม่ได้คลุมผมอย่างเดียว มันคุมผม บังคับผม ทุกอย่างผมเป็นทาสมันทุกอย่าง ผมไม่มีสิทธิ์ทำอะไรเลย อย่างไรผมก็ดำตลอด เห็นหรือยัง? ผมดำอย่างนี้ มันคุมผมอยู่ตลอด ผมเป็นทาสมัน มาร ตามองเห็นเนื้อหนัง ร่างกายผมยังเป็นเหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างกันปัจจุบัน แต่วิญญาณผมเป็นอย่างนี้

เอเฟซัส 2:3 “ครั้งหนึ่งเราเคยใช้ชีวิตร่วมกับพวกนั้น บำเรอตัณหาแห่งวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมันตามวิสัย เราจึงควรแก่พระพิโรธเหมือนคนอื่น”

 

“ครั้งหนึ่ง ก็คือครั้งนี้ อดีตนครเคยใช้ชีวิตร่วมกับพวกนั้น (คือพวกมาร) บำเรอตัณหาแห่งวิสัยบาปของเรา (การกระทำบาปสบายๆ) สนองความยากของกิเลสตัณหาเนื้อหนัง ตามวิสัย (ภาษาเดิม ภาษาไทย มีฉบับเดิมๆ เวอร์ชั่นแรกๆ ของเมืองไทย เขาแปล แต่เดี๋ยวนี้เขาเห็นว่ามันหยาบคาย เขาเลยเอาออกไป แต่จริงๆ มันตรงเป๊ะ มันไม่หยาบหรอก มันชัดเจน คือตามสันดาน) ก็คือเนเจอร์ ก็คือธรรมชาติในวิญญาณที่ตาย มันสมควรแก่ความพิโรธ ก็คือมันไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ ไม่ใช่พระเจ้าพิโรธเราหรอก หมายถึงเข้ากันไม่ได้ เข้าไปก็เด้งๆ เข้าไปถูกคอนซูม คือถูกเผาผลาญหมดเลย  เพราะว่าพลังความบริสุทธิ์ของพระเจ้ายิ่งใหญ่มาก เข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้ มีอะไรบางอย่างกั้นตรงนี้อยู่ มีม่านเหล็กกั้นตรงนี้อยู่ นี่แปลว่าพระพิโรธ คือเราเข้าไปไม่ได้ เพราะโดยเนเจอร์ คือธรรมชาติของวิญญาณของเรา ของผม เป็นบาป คือต่อต้านกับพระเจ้า ไม่ชอบพระเจ้า เป็นทาสของมาร อยู่พวกมาร ทำอะไรพวกมารหมด อะไรที่ตรงข้ามกับพระเจ้า ผมทำหมดทั้งสิ้น (วิญญาณ) ต่อให้ข้างนอกทำดีบ้าง แต่วิญญาณมีสันดานบาป ไม่ได้ด่าตัวเอง พระคัมภีร์บอก”

พูดพร้อมกันนะ “อดีตเรามีสันดานบาป”

ไม่กล้าพูดหรือ? สันดาน พูดเรื่อยๆ มันชักชินปาก ไม่เห็นมีอะไรเลย  สันดาน ก็คือธรรมชาติ นึกออกใช่ไหม?

เอเฟซัส 2:4-5 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ”

 

ด้วยพระคุณความเมตตาของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ทำให้เราที่ตายแล้ว วิญญาณเราตายอยู่ กลับกลายเป็นมีชีวิตขึ้นมา แม้ว่าอดีตเราเคยตายลงในบาปไปแล้ว พระเจ้าพาเราข้ามมาฝั่งนี้  ที่เรารับเชื่อพระเยซูปุ๊บ เราย้ายมาตรงนี้

นี่ไงข้อนี้  ถามว่าที่เขียนว่า “ด้วยความรักใหญ่หลวง และความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา” เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลย  เราไม่ได้ทำอะไรสักนิดหนึ่ง เมตตาช่วยเราฟรีๆ นี่เขาถึงเรียกว่าพระคุณใหญ่หลวง

เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

 

ต้องกระดิ๊กขานิดหนึ่ง เพื่อให้ท่านเห็นว่ามันเป็นจริงตามนั้น เมตตาของพระเจ้า  โดยพระคุณ แปลว่าท่านไม่ต้องทำอะไร ให้ฟรีๆ พระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมา วิญญาณเราเป็นขึ้นมากับพระเยซู และในพระเยซู พระเจ้าได้ให้เรามีสิทธินั่ง ในโลกวิญญาณ นั่งอยู่ที่สวรรคสถานกับพระเยซู … พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา คือพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ทั้ง 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้น เรานั่งอยู่กับ 3 พระภาคอยู่อย่างนี้  ตรงพระคัมภีร์เป๊ะ

เพราะฉะนั้น จบตรงที่ท่านรู้ไหมว่าอดีต ย้อนกลับมาอดีตผมนั่งอยู่ตรงนี้ (ฝั่งมืด) ย้อนกลับมาว่าพระคัมภีร์บอกว่าอดีต ผมดำอย่างนี้ ผมนั่งอยู่กับมาร วิญญาณผมมืดตลอด ร่างกายที่ท่านเห็น ผมไปทำดีบ้าง? ทำไม? ทำ ผมอาจจะช่วยคนบ้าง? ทำดีไหม? ดี ทำคิดดีไหม? ดีบ้าง แต่ข้างในวิญญาณที่มองไม่เห็น มันทำไม? มันดำ พระคัมภีร์บอกไม่มีใครดีสักคนหนึ่งเลย  ทุกคนล้วนแต่ชั่ว บาป เพราะข้างนอกอาจจะได้ทำดีบ้าง  แต่วิญญาณมันบาป เข้าใจใช่ไหม? ข้างนอก อาจทำอะไรสิ่งที่เรียกว่าดี มนุษย์เห็นผมทำดี แต่ข้างในมันจะดีอย่างไร? ข้างในมันก็เป็นบาป  ไม่มีใครช่วยผมได้ เพราะมารมันรัดเอาไว้ ผมอาจจะทำดีบ้าง แต่ผมเป็นคน นี่พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ ผมอาจจะทำสิ่งที่ดีบ้าง? แต่ผมเป็นคนบาป

พอผมรับเชื่อพระเยซู นี่ข่าวดีเหรอ ข่าวดีเรื่องพระเยซูมาเหรอ พระเยซูไถ่บาปให้กับผมแล้ว ผมไม่ต้องอยู่ตรงนี้แล้ว พระเยซูช่วยผมได้  แค่ผมรับสิทธิของผมในพระเยซู ที่ทำให้ผมเท่านั้น พระเยซูทำให้ผมจริงๆ หรือ? วันนี้ผมตัดสินใจแล้ว  ผมเชื่อเรื่องนี้แล้ว  เชื่อที่ไหนก็ได้  เชื่อในห้องน้ำ  เชื่อที่บ้าน เชื่อที่โน้นที่นี้ก็ได้ ไม่เกี่ยวกับไปรับบัพติศมาในน้ำ ไม่เกี่ยวกับมาโบสถ์ ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งสิ้น  วันนี้ผมได้ยินข่าวดีเรื่องนี้ พระเยซูมาช่วยผมจริงๆ ผมเชื่อแล้วล่ะ

พอเชื่อปุ๊บ พระเจ้า พระเยซูก็ย้ายผมมาฝั่งดี (ฝั่งความสว่าง) พอย้ายมาตรงนี้ปุ๊บ ผมอยู่กับพระเจ้า วิญญาณผมสะอาดขาวบริสุทธิ์อย่างนี้เลย ขาวมากเลย  2 โครินธ์ 5:17 บอกผมขาว ใหม่เอี่ยมเลย ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด ทั้งสิ้นใหม่หมดเลย ที่วิญญาณ

พระคัมภีร์จึงบอกว่า … “จงมองให้เห็นเถิด”

เพราะว่ามนุษย์ ตาวิญญาณมองไม่เห็น แต่มองในวิญญาณจะเห็นว่ามันขาวจริง ตามพระคัมภีร์บอก สะอาดหมดจดเลย ตอนนี้วิญญาณผมทำไม? ใสกริ๊งเลย ใสปิ้งเลย  เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาดเป๊ะ เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้า  มีเนเจอร์ มีสันดานที่เปลี่ยนไป สันดานผมไม่ใช่สันดานบาปอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสันดานที่เป็นเหมือนพระเจ้า มีเนเจอร์ มีธรรมชาติเหมือนพระเจ้าแล้วตอนนี้ ข้างใน มองไม่เห็น แต่มีเนเจอร์เป็นเหมือนพระเจ้า พระเจ้าให้ผมร่วมเนเจอร์เดียวกับพระองค์ มีธรรมชาติเดียวกับพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ แต่ข้างนอกผมคนเดียวหรือเปล่า? เปลี่ยนไปไหม? นอกจากดูหนุ่มขึ้นนิดหนึ่ง แล้วมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า? ไม่มีเลย แถมแก่ลงอีก สิวก็ขึ้นเยอะขึ้น ผมก็หงอกมากขึ้น แต่ที่มองไม่เห็นทำไม? พระคัมภีร์บอก โลกฝ่ายวิญญาณผมทำไม? ใสสะอาดกริ๊งเลย สะอาดบริสุทธิ์เลย

ถามว่าตอนนี้ ผมข้างในบริสุทธิ์แล้ว ตัวข้างนอก ออกไปทำอะไรต่างๆ ทำสิ่งที่ชั่วบ้างไหม? ทำ ผมเป็นผู้บริสุทธิ์  สะอาด ที่บางครั้งทำชั่วบ้าง ก็ตะกี้เราก็ใช้คำว่าชั่ว แต่ตอนนี้ไม่กล้าพูด อดีตที่ตะกี้ผมบอกว่าผมเป็นคนทำ บางครั้งผมทำสิ่งที่ดีมาก ถูกไหม? แต่ข้างในผมชั่ว แต่ตอนนี้ข้างในผมสะอาดหมดจดบริสุทธิ์ แต่ผมทำชั่วบ้าง แล้วมันเกี่ยวไหมว่าผมทำชั่ว แล้วผมจะไปลงที่นี่ (ฝั่งมืด) วิญญาณกับร่างกายผมไม่เกี่ยวกัน เข้าใจใช่ไหม? ถ้าเกี่ยวกับเมื่อไร? พระเจ้าก็ไม่ต้องมาช่วยผมแล้ว  ผมนั่งอยู่นี้ ผมดำๆ อยู่ ผมก็ทำความดีๆ แล้วผมก็ย้ายของผมมา ย้ายได้ไหม? ไม่ได้ เพราะข้างในมันเปลี่ยนไม่ได้ มันก็มืดอยู่วันยังค่ำ แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อย้ายมาฝั่งนี้ (ฝั่งความสว่าง) คุณจะเป็นใครก็ตาม คุณจะไปคิดอะไรต่างๆ มากมายก็ตาม คุณก็เป็นคุณอยู่นั้น เป็นวิญญาณที่มันเป็นบริสุทธิ์ มันสะอาดแล้ว นี่คือข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคน รับไปเถิด ง่ายๆ แค่นี้ ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2017 เรื่อง “จงฝักใฝ่ในเรื่องวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2017

เรื่อง “จงฝักใฝ่ในเรื่องวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง

ให้บอกคนข้างๆ สิว่า … “คุณเป็นวิญญาณ”

คราวนี้ให้บอกตัวเอง … “จงฝักใฝ่ในเรื่องวิญญาณเยอะๆ มากๆ ทุกวินาที จงฝักใฝ่ในโลกวิญญาณ เพราะฉันเป็นวิญญาณ”

ไม่อย่างนั้นเราลืมอยู่เรื่อย  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน เราจะเห็นว่าทำให้เราทั้งหลายมันอดไม่ได้ที่จะเริ่มรู้สึกหวั่นไหว ถ้าเราไม่มองไปที่โลกวิญญาณ เราจะหวั่นไหว เราจะเริ่มตั้งคำถามว่า …

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

แบบนี้ ทำไม? มีแต่ข่าวร้ายๆ ข่าวความไม่สงบ ข่าวระเบิด ข่าวก่อการร้าย ตามที่ต่างๆ มีให้เห็นไม่เว้นในแต่ละวัน ในทุกมุมโลกเลย จนทุกวันนี้ แทบจะพื้นที่สงบไม่ได้เลย และยังถูกซ้ำเติมด้วยภัยธรรมชาติอีก ตอนนี้ที่อเมริกาก็ภัยธรรมชาติ ที่ตุรกี มีทุกแห่ง เยอะแยะ ทั้งพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว อากาศเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง วุ่นวายไปหมดเลย มลภาวะ นี่ยังนับไม่หมดนะ ยังไม่นับจำนวนที่ต้องเผชิญกับปัญหาส่วนตัวอีก นี่ยังไม่เกี่ยว เป็นปัญหาข้างนอกนะ และยังมีปัญหาตัวมีอะไร? ท่านลองคิดสิ ท่านมีปัญหาอะไรอยู่ตอนนี้ การเงินมีปัญหาไหม? บางคนมี บางคนไม่มี สุขภาพมีปัญหาไหม? มีทุกคนเลย  ทำไมเดี๋ยวนี้เจ็บป่วยกันเยอะ แล้วโรคก็แปลกๆ ด้วยนะ  ไม่ใช่โรคของเราเองคนเดียว แล้วยังแถมคนที่เรารักยังเป็นโรคอีก โรคแปลกๆ ไปหมอ หมอก็เป็นโรคเหมือนกัน ไม่รู้ใครรักษาใคร ยุ่งไปหมดเลย แล้วรักษาไม่หายด้วย มลพิษแทบจะรอบตัวหมด แทบจะกินอะไรไม่ได้ อันนี้ก็เป็นพิษ อันนั้นก็เป็นพิษ แล้วจะกินอะไร? ก็ไม่รู้เหมือนกัน ทุกคนต้องระวังตัวเสี้ยววินาทีเลย

สรุป คือชีวิตเราบนโลกใบนี้ มันทุกข์ลำบากรายล้อมไปหมดเลย วิกฤตปัญหาเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ทั้งปัญหาระดับโลก ระดับประเทศ ระดับสังคม จนกระทั่งถึงระดับครอบครัว ตัวเราเองด้วย นี่ปัญหาเยอะแยะ

แล้วคำถามที่ตามมากับปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เชื่อพระเจ้าทั่วโลก คืออะไรครับ? พอได้เห็นอย่างนี้ปุ๊บ ความรู้สึก อาจจะไม่ตั้งคำถามมาจากคำพูดของตัวเอง  แต่ในใจอาจจะถามว่าแล้วทำไมพระเจ้าจึงปล่อย อนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร? มีพระเจ้าจริงหรือ?  บางคนก็คิด ยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นกับปัญหาตัวเอง มันอดไม่ได้ที่ถาม แล้วมีพระเจ้าจริงหรือ? แล้วทำไมปล่อยให้อย่างนี้ เกิดขึ้นกับเรา หรือกับฉันได้

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรักโลกและมนุษย์ยิ่งนัก ทรงประทานพระเยซูคริสต์ให้กับเรา แล้วทำไมโลกมันเลวร้ายขนาดนี้ รักโลก รักเรา แล้วทำไมปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ไม่เว้นแต่ละวัน ที่มีความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ใครที่กำลังเผชิญกับปัญหาอย่างนี้อยู่ หรือใครก็ตามที่กำลังเผชิญปัญหาร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับส่วนตัว ก็จะคิดอย่างนี้เสมอ ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูดก็ตาม มันอดคิดไม่ได้

ซึ่งวันนี้จะมาหนุนใจท่าน สรุปคำตอบสั้นๆ  อธิบายให้ท่านฟังตามหลักพระคัมภีร์ว่าความชั่วร้ายต่างๆ เหล่านี้ ที่เราพูดกันเมื่อสักครู่นี้ ที่มันเกิดมากขึ้นทุกวันๆ มันมาจากไหน? มาจากพระเจ้าหรือ? แล้วพระเจ้าอนุญาตให้มันเกิดขึ้นหรือ? ทำไมมันต้องเกิดขึ้นกับฉันด้วย? ทำไม? คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่สรุปพอให้ท่านมีกำลังใจ ที่จะทำในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ และสามารถอดทนอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความทุกข์และสันติสุขข้างในได้ โรม 8:18-25 ผมแปลให้ท่านจากภาษาเดิมจริงๆ อธิบายให้ละเอียดขึ้น

โรม 8:18-25 “18 ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบัน เทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งจะทรงสำแดงในเรา 19 สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจดจ่อรอคอยให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ 20 เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไร้ค่าไป ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มันต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว ด้วยมีความหวัง 21 ว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รับการปลดปล่อย จากการผูกมัดให้ต้องเสื่อมสลาย และจะถูกนำเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า 22 เรารู้ว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างกำลังคร่ำครวญ ราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตรจนถึงปัจจุบันนี้ 23 ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่เราเอง ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ขณะที่เราจดจ่อรอคอยการทรงรับเราเป็นบุตร คือการไถ่ร่างกายของเราให้รอด 24 เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว? 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน”

 

“ไม่มีความหวัง” คืออะไร? รอดพ้นจากเนื้อหนังร่างกายที่มันต้องตาย มันต้องทุกข์ทรมานนี้ โลกใบนี้นั้นเอง

สังเกตข้อ 20 ที่บอกว่า … “เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยน ไร้ค่า ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มันต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว”

โลกใบนี้ทั้งใบ มันมีชีวิตนะ พระเจ้าสร้างให้มันมีชีวิต ทั้งสัตว์ พืช วัตถุต่างๆ มีชีวิต มันไม่อยากจะเป็นอย่างนี้หรอก มันทรมานมาก มันก็อยากจะได้รับการปลดปล่อยเหมือนกัน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ตรงนี้ คำอธิบายความชั่วร้ายทั้งหมดมาจากไหน? อยู่ตรงนี้ เราจะเห็น มันถูกบังคับโดยอะไร? สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้สร้าง ตั้งแต่สมัยปฐมกาล ไปฟังดู ไปอ่านดู ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าอย่างไร? ตอนสร้างพระองค์บอกว่าดี … ดีหมดเลย  แต่มันถูกทำให้ผิดเพี้ยนไป (แปลจากภาษาเดิม) เสียหายไป เน่าไป เละไป เน่าเละไป ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้าเป็นผู้กระทำ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างชัดเจน แต่ต้นตอของผู้ที่ทำให้มันเกิดความเสียหายนี้ ก็คือมนุษย์ บรรพบุรุษของเรา  มนุษย์คนเดียว คนแรก คนเดียวเท่านั้น ที่มีชื่อว่าอาดัม ซึ่งถูกหลอกโดยมาร

นี่คือแก่นสารของความทุกข์ลำบาก และความชั่วร้ายทั้งหมด ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เพราะโลกทั้งใบนี้ ได้ตกอยู่ภายใต้ความชั่วร้าย ที่เรียกว่าความบาป คำสาปแช่ง ผลของความบาป

สาปแช่ง คือไม่มีพรนั่นเอง ไม่ดี เสียหาย อันเป็นผลมาจากการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียวที่มีชื่อว่าอาดัม  ต่อพระเจ้าของเขา  อาดัมไปเอาเชื้อบาป เชื้อสกปรก ทำให้โลกนี้เน่าเละไปหมดเลย รวมทั้งมนุษย์ทั้งหลายก็เละไปหมด ถ้าพระเจ้าไม่มาช่วย ประทานพระเยซูคริสต์มาช่วยเรา เราจะอยู่อย่างนี้ ตลอดไปนิรันดร์ ความทุกข์ลำบาก ความเน่าเละ

การที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป  ทำให้ถูกตัดสินพิพากษา คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้าสู่ความตาย อนิจจัง ไร้ค่า ไร้ประโยชน์ ไม่แน่นอน ไม่หยั่งยืน ไม่มีจุดหมาย นี่ความหมายเดิมแปลว่าอย่างนี้

มนุษย์ล้มลงในความบาป แล้วเกิดอันนี้ขึ้น รวมความ ก็คือมนุษย์ต้องเป็นความทุกข์ ต้องอยู่กับความทุกข์ยากลำบาก ความชั่วร้าย ความเศร้าโศก ที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญกับชีวิตของเขาบนโลกใบนี้ และตลอดไป  ถ้าเผื่อไม่มีพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

เวลาบอกว่าพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด รอดจากที่ผมพูดทั้งหมดนี้ ความเน่าเละ ทั้งวิญญาณก็เละ ทั้งโลกก็เละ ตัวเราก็เละ ข้างนอกก็เละ สิ่งรอบข้างเละหมด ทั้งโลกเละหมดเลย ไปในทางเสื่อมโทรม ไปในทางตาย ไปสู่ภาวะทุกข์ลำบากทั้งนั้น

ในข้อ 23 บอกว่า “ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่เราเอง ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ขณะที่เราจดจ่อรอคอยการทรงรับเราเป็นบุตร คือการไถ่ร่างกายของเราให้รอด”

ก็คือเราที่เชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เรามีผลแรกของพระวิญญาณ ก็คือพระวิญญาณก็เข้ามาอยู่กับเราเลย ทันทีทันใด ในวินาทีนั้น ที่เรารับเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วย เป็นพระผู้ไถ่ปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามาเป็นผลแรก เราเกิดใหม่ในวิญญาณทันที นั่นแหละ คือตัวเรา ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณ ขนาดเราเกิดใหม่แล้วนะ เป็นลูกพระเจ้านะ ก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ข้างในมันทุกข์ทรมาน เพราะอึดอัดอยู่ในร่างกายเก่านี้ ที่ต้องเจ็บป่วย ทั้งทุกข์ ต้องลำบาก ต้องกังวล ต้องทำบาปอีก ต้องสู้กับมันทุกอย่าง

นี่แหละ คือความทรมานของมนุษย์ แม้ว่าจะเป็นคริสเตียน ก็เป็นอย่างนี้ นี่เห็นชัดเลยนะ แม้กระทั่ง เราเป็นประชากรของพระเจ้า  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เรายังไม่ได้รับการยกเว้นว่าจะไม่ทุกข์ มันอยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นความทุกข์ น่าจะดีใจด้วยว่าถ้าเป็นทุกข์อย่างนั้นจริง แสดงว่าพระคัมภีร์เป็นจริง เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้ตั้งแต่ปฐมกาลแล้วว่าพระเยซูจะมา เชื่อไหม? เชื่อ แต่ก่อนพระเยซูจะมาบอกแล้ว พระเยซูมา เพราะโลกนี้ ตกอยู่ในความบาป ตกอยู่ในความทุกข์ยาก ถ้าเชื่อ ต้องได้ 2 อัน จะได้อันเดียวไม่ได้ เชื่อว่าพระเยซู พระเจ้าส่งมาได้ แต่ก็ต้องเชื่อด้วยว่าส่งมา เพราะว่าโลกมันตกลงไปในความบาป ยังไง เราก็ต้องอยู่ในความทุกข์ หนีไม่พ้น มีวิธีหนีได้อย่างเดียว ก็คือไปอยู่กับพระเจ้า อธิษฐานขอพระเจ้าทุกวัน รับไปเร็วๆ แล้วทำไหมล่ะ ก็ไม่ทำอีกแหละ ใช่ไหม?

เราต้องเผชิญกับความทุกข์ลำบากแน่นอน เพราะฉะนั้น มันมีวิธีการ แม้ว่าเราเป็นคริสเตียนก็ตาม  เราไม่มีสิทธิ์ เราไม่มีอำนาจ พูดง่ายๆ ที่จะหนีจากความทุกข์ยากลำบากที่เราต้องเผชิญบนโลกใบนี้ได้ ไม่มีทาง แต่เรามีความหวัง

ถามว่าเรามีความหวังอย่างไร? ในการรอคอยวันที่ได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากความทุกข์ ความบาปบนโลกใบนี้ เราอยู่ เรารู้ว่ามันแป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ต้องทิ้งร่างนี้ … ทิ้งร่างนี้ แล้วเป็นอย่างไร? เราหลุดรอดพ้นสบายแล้ว เราจบงานจบการเสียทีหนึ่ง เราได้พักเสียทีหนึ่ง เราเห็นชัดเจน เรามีร่างกายใหม่รอเราอยู่ เรามีโลกใหม่รอเราอยู่ เราจึงมีความหวัง คริสเตียนจึงมีความหวัง

แล้วความหวังตรงนี้ ทำให้เกิดความอดทน อยู่ได้ อดทนหน่อย พูดกับกระจก …

“กระจกเอ๋ย อดทนหน่อย อีกไม่นานเลย แป๊บเดียวเอง อดทนนิดหนึ่งๆ”

อย่างนี้แหละ เขาเรียกขอบคุณพระเจ้า พอรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เราสงบได้ ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราก็นึกว่าพระเจ้าทำไมปล่อยให้อันนี้เกิดๆ เราก็จะมัวแต่กังวล ทำไมเป็นอย่างนี้ๆ ความหวังในอนาคตตามถ้อยคำพระเจ้า เราก็แห้งหายไป ไม่ชัดเจน ไม่เห็นชัด มันรางไปทุกที เพราะมัวแต่มามองสิ่งที่มองเห็นได้  ที่เกิดความทุกข์ยากๆ ไม่มองไปที่พระเจ้า พระองค์สัญญาไว้อย่างไร? และเราเกิดใหม่อย่างไร? เราเป็นวิญญาณอย่างไร? วิญญาณเราเกิดใหม่แล้วนะเนี้ย เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราจะเป็นลูกพระเจ้าตลอดไป เอเมน

นี่ก็มาหนุนใจกัน เพราะฉะนั้น โดยวิธีนี้เอง ที่เราจะสามารถอดทนอยู่กับความทุกข์ยากลำบากอยู่บนโลกใบนี้ได้ ซึ่งต่อจากนี้ไป ต่อจากพระคัมภีร์ตะกี้ในโรม บทที่ 8  ข้อที่ 28 เป็นข้อที่เราจำกันได้ ท่องกันได้หมดเลย ในโรม 8:28 จึงรวมที่ตะกี้ ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ พอมาถึงข้อ 28 บอกว่า … พระเจ้าทรงกระทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ มันไม่ว่าดีหรือเลว ไม่ว่าทุกข์ลำบาก ไม่ว่าน้ำท่วม ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นระเบิดที่เขาระเบิดมา ไม่ว่าจะเป็นภูเขาระเบิด น้ำท่วม เฮอร์ริเคนอะไรต่างๆ พระเจ้าให้เราได้รับรางวัลดีๆ ทำงานประสบผลสำเร็จ ได้เงิน ร่ำรวยมาก มีสุขภาพแข็งแรงมาก  พระเจ้าทำให้สิ่งทั้งหมดนี้ ร่วมกันให้เกิดเป็นผล สำหรับผู้ที่รักพระองค์ ก็คือผู้ที่เชื่อพระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงเรียกมา ตามพระประสงค์ของพระองค์ เรียกมาในพระเยซูคริสต์ เอเมน ก็คือเราทั้งหลาย

เราไม่สามารถรักพระเจ้าได้หรอก จะบอกให้ฟัง คำนี้ มันแปลว่าพระเจ้าให้เราได้รับความรอดแล้ว วิญญาณเราเกิดใหม่ เราจึงรักพระเจ้าได้ ไม่อย่างนั้นคุณไม่มีทางรักพระเจ้าหรอก อย่าดีใจว่าฉันรักพระเจ้า พระเจ้าทำให้คุณรักพระองค์ ถ้าไม่มีวิญญาณเกิดใหม่เหมือนพระเจ้า ไม่มีการรักของแท้ รักใครก็ไม่เป็น อย่าว่าแต่รักพระเจ้าเลย  รักตัวเองยังไม่ได้เลย รักคนข้างๆ ก็ไม่ได้ มันของเทียมทั้งนั้น

ความรักแท้ มีอยู่ที่เดียว คือในวิญญาณพระเจ้า แล้ววิญญาณพระเจ้าได้ใส่เข้ามาในวิญญาณเรา ให้วิญญาณเราใหม่ พระคัมภีร์บอกให้วิญญาณเราใหม่แล้ว โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พอวิญญาณเราเกิดใหม่ เราจึงรักเป็น เราจึงมีรักแท้ คราวไม่ใช่รักพระเจ้าแท้ๆ แล้ว แต่รักใครก็ได้ แท้หมดทั้งโลกเลย เอเมน

พอเรารู้ความจริง ก็ว่ากันไป แล้วก็หนุนใจชูใจกันไปแต่ละวันๆ ว่านี่คือความหวังใจของเราทั้งหลาย ที่เรียกว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 2 “อาณาจักรแห่งความสว่าง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  กันยายน  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 2 “อาณาจักรแห่งความสว่าง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ การบรรยายในวันนี้ เป็นตอนต่อจากครั้งที่แล้ว ซีรี่ย์ชุด “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ความจริง คือถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง  ความจริงนี้ จะทำให้เราเป็นไท จากความกลัว ความวิตกกังวล ในทุกๆ เรื่อง ก็คือในอนาคตนั่นเอง ยกตัวอย่างง่ายๆ กลัวว่าอนาคตตายแล้วจะไปไหน? ไปอยู่อย่างไรตอนหลังความตาย นี่คือความกลัวที่อยู่ลึกๆ ในใจมนุษย์ทุกคน จะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม

หรือกังวลว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร? จะกินอยู่อย่างไร? ถ้าเกิดเศรษฐกิจไม่ดี ภัยพิบัติ ธรรมชาติอย่างรุนแรง แล้วเราจะอยู่อย่างไร? นี่คือความวิตกกังวลเล็กๆ น้อยๆ หรือมาก แล้วแต่บุคคล ที่แอบอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนเหมือนกัน คือเรากลัวอนาคตนั่นเอง ไม่รู้อะไรเป็นอะไร? แต่ถ้าเรารู้ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราอย่างนี้  เราจะคลายความวิตกและคลายความกลัวไปมากเลย

สัปดาห์ที่แล้ว เราเริ่มต้นกันด้วยความจริง เรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าได้บอกความจริงกับเรา ในไบเบิ้ล ในพระคัมภีร์นี้ ให้เราทราบถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณที่ตามนุษย์เรามองไม่เห็น มันมีอยู่จริงๆ

เชื่อจริงหรือ? ตอนนี้เกิดเรื่องอะไรบางอย่าง ขัดผลประโยชน์กัน หรือขัดแย้งกัน ทำไมทะเลาะกันใหญ่เลย  ไม่ได้นึกถึงโลกฝ่ายวิญญาณเลยนะตอนนั้น นึกแต่เรื่องเดี๋ยวนี้  ฉันเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร?  มันก็แปลก

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้ ทำไมพระเจ้าต้องบอกเราเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้ เป็นต้นเหตุของทุกอย่าง เคยได้ยินเรื่องนี้ไหม? คุณยายหาเข็ม ผมนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังหลายครั้ง คือถ้าเราไม่รู้ความจริง เราไปแก้ที่ไม่ใช่ต้นเหตุของมัน แก้อย่างไร ก็ไม่ถูก ไม่มีอะไรสำเร็จเลยในชีวิต

คุณยายหาเข็มตกในห้องนอน คุณยายก็หาอยู่นั่นแหละ หาไม่เจอ

ลูกมาถึงก็บอกว่า “คุณยายหาอะไร?”

คุณยายก็บอก “หาเข็ม ที่ตกอยู่ในห้อง”

“และหาเจอไหม?”

“ไม่เจอ”

คุณยายบอก “ฉันมองไม่เห็น ช่วยจูงไปหน้าบ้านหน่อย หน้าบ้านสว่าง จะได้หาเจอ ไปช่วยกันหาหน่อย”

ลูกก็บอกว่า “ถ้าจูงไปหน้าบ้าน จะหาเจอได้อย่างไร? ก็มันตกในนี้”

“อ้าว! ข้างในมันมืด มองไม่เห็น ไปข้างนอกสว่างๆ มันจะได้เห็นไง”

ตามเหตุผลมันก็ถูก ต้องไปหาที่สว่างๆ แต่ที่สว่างๆ เข็มมันไม่ได้ตกตรงโน้น มันตกในห้องนอน เพราะฉะนั้น ต้องเปิดไฟในห้องนอน แล้วค่อยหา

ถ้าเราไม่รู้ต้นเหตุ ยังไงก็ไม่เจอต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้น ในพระคัมภีร์บอกเราว่ามนุษย์ทุกๆ คน เป็นวิญญาณ ดังนั้นมนุษย์ทุกคนก็อาศัยอยู่ในโลกวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเราเชื่อแล้วว่ามี วิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้า เพราะฉะนั้นตัวตนจริงๆ ของเรา ก็คือวิญญาณ อาศัยในโลกวิญญาณจริงๆ ตัวตนทางร่างกาย ก็อยู่ในโลกฝ่ายวัตถุ ที่ตาเรามองเห็น วิญญาณก็อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณของเขา ตามธรรมชาติของเขา ที่พระเจ้าสร้างเขามา คือความจริง ถ้าเราไม่รู้ความจริง เริ่มต้นอย่างนี้เสร็จแน่

สมัยก่อนเราคิดว่าเรามีวิญญาณ ไม่ใช่มี ถ้ามีมันหายไปได้ ถ้ามีมันหมดไปได้ ถ้ามี มีคนขโมยไปได้ แต่ถ้าเป็นขโมยไปไม่ได้ ที่ผมยกตัวอย่างบ่อยๆ เหมือนเราเป็นผู้ชาย มีใครมาขโมยเอาผู้ชายของผมไปไหม? ไม่มี คุณเป็นผู้หญิง มีใครขโมยความเป็นผู้หญิงไปได้ไหม? ไม่ได้ เพราะมันเป็นไง และพระคัมภีร์บอกว่าโลกฝ่ายวิญญาณมีอยู่ 2 แห่ง หรือเรียกว่า 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความมืด และอาณาจักรแห่งความสว่าง

เพราะฉะนั้น วิญญาณมนุษย์ทุกคนต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง อาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ในโลกวิญญาณนี้อย่างแน่นอน หนีไม่พ้น ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ว่าจะได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ตาม พระเจ้าสอนเราว่ามันเป็นอย่างไรบ้างในโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น เราก็จะแก้ปัญหาและดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง บนโลกใบนี้ และเป็นโลกทั้งฝ่ายวัตถุที่เราเห็นด้วยตา และโลกวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งทำงานร่วมกัน

เดิมเราอยู่ในอาณาจักรของความมืด แล้วก็ได้ย้ายเรา  มาอยู่ในอาณาจักรของความสว่าง ผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ในโคโลสี 1:12-13 ครั้งที่แล้วเราได้เรียนกัน

โคโลสี 1:12-13 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

ถ้าอ่านตรงนี้  แปลว่าอาณาจักรแห่งความมืดมาก่อน แล้วค่อยมีสว่างทีหลัง ถูกหรือเปล่า? แต่ถ้าย้อนกลับไป ตั้งแต่ปฐมกาล ตอนพระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ ตอนที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่าโลกถูกปกคลุมไปด้วยการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณ ก็คือพระเจ้า  … พระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้าง และพระเจ้า คือพระสิริของพระองค์ พระสิริ ก็คือความสว่าง ก็คือพระเจ้านั่นเอง พระเจ้าปกคลุมอยู่ ก็แสดงว่าในปฐมกาล ก่อนที่จะถูกสร้างโลกใบนี้ โลกใบนี้เต็มไปด้วยความสว่าง

มีแต่อาณาจักรของความสว่าง เพราะพระเจ้าปกคลุมอยู่หมดเลย แล้วความมืดเข้ามาตอนไหน? โรม 3:23 เป็นอันเล็กๆ อันหนึ่งที่ได้เห็นว่าความมืดมันเข้ามาได้อย่างไร?  จำได้ใช่ไหม? ความสว่าง คือพระองค์ คือตัวตนของพระเจ้า ซึ่งพระองค์เต็มไปด้วยพระสิริ … พระสิริ คือฤทธิ์อำนาจ คือสง่าราศี ความสง่างาม ความยิ่งใหญ่ ความสว่างไสว

โรม 3:23 “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

“เสื่อมจากพระเกียรติสิริ” แปลว่าเสื่อม ก็คือหายไป พระสิริของพระเจ้า คือความสว่าง ได้หายไป

“เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า” ถ้าแปลตามตะกี้ที่เราเรียนกัน ก็คือ “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจาก … หลุดออกไป … ขาดออกไปจากความสว่างของพระเจ้า”

เสื่อมจากพระสิริ ก็คือพระสิริหายไป ตัวตนของพระเจ้าก็หายไป เมื่อตัวตนของพระเจ้าหายไป พระเจ้าเป็นความสว่าง ความสว่างก็เลยหายไปด้วย  เพราะฉะนั้น เมื่อพระสิริหาย ความสว่างก็หาย ความมืดก็เข้ามาแทนที่

ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม นี่คือความจริงในพระคัมภีร์บอก อาดัมคือต้นพันธุ์ของมนุษย์ทั้งปวง และมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้  มีชีวิตอยู่ในตัวอาดัม คล้ายๆ กับว่าตอนก่อนผมเกิด ชีวิตผมก็อยู่ในพ่อผม ก่อนพ่อจะเกิด ชีวิตของพ่อก็อยู่ในปู่ผม ก่อนปู่จะเกิด ชีวิตของปู่ก็อยู่ในทวดของผม ก่อนทวดจะเกิด ชีวิตของทวดก็อยู่ในทวดทวดของผม ไปเรื่อยๆ ท่านพอจะเห็นภาพไหม

แต่พออาดัม เอาเชื้อหนึ่งเข้ามา ซึ่งผมอยากจะเรียกในยุคปัจจุบันนี้ว่าไวรัส เพราะว่ามันจะชัดมาก พอบอกไวรัส ตามองไม่เห็น แต่รู้ว่ามันมีตัวตนอยู่จริงๆ มีฤทธิ์อยู่จริงๆ มันทำอะไรบางอย่างได้  ทำให้เราตายก็ได้ ทำให้เราปวดท้องก็ได้ ผมเลยอยากใช้คำว่าไวรัส อาดัมไปเอาไวรัสตัวหนึ่งเข้ามา ที่มีชื่อว่าไวรัสบาป หรือเชื้อบาป ท่านนึกถึง HIV ก็ได้ เพราะอาดัมคนเดียวเอาบาปเข้ามา  โลกทั้งหมด ก็กลายเป็นความมืด เพราะบาปมันเข้ามา

บาปทำให้เกิดสิ่งหนึ่ง คือต่อต้านพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ชอบพระเจ้า เกลียดพระเจ้า ไม่อยากได้พระเจ้า เคยอยู่กับพระเจ้าดีๆ ไล่พระเจ้าออกไป ประมาณนั้น  พระเจ้าอยู่ไม่ได้ พระเจ้าเป็นพ่อเรา บางคนบอกพระเจ้าทิ้งลูก ไม่ใช่ ลูกนั่นแหละทิ้งพ่อ ฟังให้ดีๆ พระเจ้าถูกไล่ออกไปนั่นเอง จากนั้น ความสว่าง ก็คือพระองค์ คือพระเจ้าถูกกำจัดออกไป ถูกขจัดออกไป โดยศัตรูที่มีชื่อว่ามาร ส่งเชื้อไวรัสบาปเข้ามาสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ทำให้มนุษย์ตกอยู่ในความมืด

ความมืด คือศัตรูของความสว่าง  ไม่ชอบพระเจ้า  อยู่ตรงข้ามกัน เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ นี่แหละ คือความมืด ตั้งแต่นั่นเป็นต้นมา โลกวิญญาณ ก็เหลืออาณาจักรเดียวเหมือนกัน แต่เป็นอาณาจักรมืด หมายถึงโลกวิญญาณที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคน ก็ตกลงไปอยู่ในอาณาจักรความมืดนี้ ติดเชื้อกันมาทุกคน

อยากจะอธิบายตรงนี้ให้ชัดเจนอีกนิดหนึ่งว่าโลกที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ เรากำลังย้อนกลับไปตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ  ตามที่มีบันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล หยุดอยู่แค่นี้ เราไม่ได้ย้อนไปก่อนปฐมกาลอีก พระเจ้าทรงอยู่ก่อนปฐมกาล ตั้งแต่มีมหาจักรวาล จักรวาล หรือแม้แต่โลก ซึ่งพระเจ้าสร้าง

เพราะก่อนที่พระเจ้าจะสร้างโลกที่มีอาดัม เอวาเป็นมนุษย์คู่แรก พระองค์อาจจะเคยสร้างโลกอื่นๆ มาก่อนแล้วก็ได้ ในปฐมกาล บทที่ 1 พูดไว้

ปฐมกาล 1:1 “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และโลก ขณะนั้น โลกยังไม่มีรูปทรง และว่างเปล่า”

 

ตรงนี้ ภาษาเดิมแปลว่า “ขณะนั้น โลกเสียหายอยู่” ก็แสดงว่ามันมีโลกก่อนหน้าที่ถูกสร้างนี้  ถูกหรือไม่ถูก? ต้องการพูดแค่ให้รู้ว่าพระเจ้าเรายิ่งใหญ่ขนาดไหน?

เรากลับมาที่โลกใบนี้ต่อ โลกใบนี้ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นในสมัยปฐมกาล สรุปก็คือเริ่มแรก เดิมที โลกถูกปกคลุมไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ที่มีแต่ความสว่าง ความดีงาม ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าปกคลุมอยู่ ต่อมา อาดัมทำบาป

คำว่า “ทำบาป” คืออาดัมนำเชื้อไวรัสตัวหนึ่ง ที่มีชื่อว่าไวรัสบาปเข้ามา ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ จากนั้นเป็นต้นมา ต้องถูกอาการของความบาป ทำให้มนุษย์เกิดความเกลียดพระเจ้า ไม่อยากได้พระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าต้องหายไป หนีไป ออกไป ก็กลายเป็นความมืดเข้ามาแทนที่ ความมืดเป็นศัตรูของพระเจ้า ที่เรียกว่ามนุษย์กบฏต่อพระเจ้า กบฏ คือต่อต้านพระเจ้า

ตอนที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้ถูกกำหนดให้มาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตามคำบอกก่อนล่วงหน้าของพระเจ้า ตายที่ไม้กางเขน ชำระบาปให้กับเรา รักษาเราในพระคัมภีร์บอกว่าโดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ พระองค์ทรงรักษาเราหายแล้ว หายจากไวรัสบาป เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์ทรงตายที่นั่น  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นการประกาศชัยชนะว่ามี 2 อาณาจักรแล้ว ต่อไปนี้มนุษย์มีทางเลือกแล้ว คืออาณาจักรแห่งความสว่างได้เข้ามาแล้ว

อาณาจักรแห่งความมืด ก็ยังคงเป็นมารกับสมุนของมารดูแลควบคุมอยู่ เหมือนเดิม และอาณาจักรแห่งแสงสว่าง มีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน ควบคุมอยู่เหนืออาณาจักรแห่งความสว่างนี้ และรวมทั้งผู้รับใช้ของพระองค์อีกมากมาย ที่พระองค์ทรงสร้าง เพื่อรับใช้มนุษย์ ที่มีชื่อว่าทูตสวรรค์ ควบคุมดูแลอยู่เหนืออาณาจักรนี้ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง

ตอนอาดัมทำบาป อาดัมอยู่ในความมืด พระสิริพระเจ้าหายไป ก่อนหน้านี้ อยู่ในความสว่าง เห็นพระเจ้า คุยกับพระเจ้าได้ ไม่กลัวพระเจ้า แต่พอมันมืดปุ๊บ DNA ติดเชื้อปุ๊บ เชื้อนี้เกิดผลทันที

ในพระคัมภีร์เขียนว่าอาดัมกับเอวากลัว เกิดมาไม่เคยกลัวเลย เป็นครั้งแรกในชีวิตของมนุษย์ และเริ่มต้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยความกลัวอย่างนี้แหละ เราทั้งหลายยังมีเชื้อของอาดัมอยู่ เราจึงกลัว เราจึงกังวลไง ก่อนหน้านี้ อาดัมและเอวาไม่เคยกังวลอะไรเลย  เพราะพระเจ้าอยู่ ก็คุยกับเขา  สัตว์นี้ชื่ออะไร? นั่นชื่ออะไร? พระเจ้าก็บอกเธอตั้งชื่อสิ อาจจะถามพระเจ้าตลอดเวลา ดวงดาว ดาวลูกไก่ เราสร้างเอง เราสร้างให้กับลูก สำหรับเล่นตอนนอน สมมติให้ฟัง ให้ท่านเห็นภาพว่าง่ายๆ ไม่มีอะไรยาก ในการเรียนรู้เรื่องพระเจ้า มันคือชีวิต เหมือนครอบครัวหนึ่ง แต่บังเอิญเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ซึ่งเราถูกปิดบังตา จนกระทั่งเกินเลยไปมาก จนกระทั่งคิดไม่ออกว่ามันเป็นอย่างไร? จริงๆ ก็คือเทียบกับชีวิตของเราทุกวันนี้ ในครอบครัวเป๊ะ

เสร็จแล้วอยู่ในความมืดนี้ พระเจ้าเหมือนเจ็บใจมากๆ แต่ไม่เคยเกลียดมนุษย์เลย  ท่านเห็นภาพว่าจะไปเกลียดมนุษย์ได้อย่างไร? เขาติดเชื้อ เขาไม่สบาย  เหมือนลูกเราเกิดไปติดเอดส์มา เราจะไปโมโหเขา ไปโกรธเขาเหรอ เขาไม่สบายอยู่ พระเจ้าเจ็บแค้น แค้นมารมากกว่าแค้นลูกตัวเอง มารมันหลอก แต่พระเจ้าก็วางแผนไว้ เพื่อช่วยมนุษย์หลุดออกมาให้ได้ หนึ่งในจำนวนนั้น ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ปฐมกาล บอกว่า …

“หน่อเชื้อของหญิงจะเหยียบหัวเจ้า”

ก็คือพระเยซู หน่อเชื้อของหญิงจะเกิดจากหญิงพรหมจารีย์ ที่ชื่อแมรี่ เหยียบหัวมาร มีอำนาจทำลายสิ่งต่างๆ สิ่งที่ถูกโกงไป เอากลับคืนให้หมด

เลยมาถึง 2,000 ปี แผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้พระเยซูมาเกิด เพื่อรักษามนุษย์ให้หายจากโรคบาปนี้  ก็สำเร็จ เราจึงรู้ว่าดี บนไม้กางเขน พระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ได้ถูกทำให้เป็นบาป โดยพระเจ้า คือเอาบาปของเราทั้งหมด ใส่ไว้ในพระเยซู พระเยซูซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เพราะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เหมือนอาดัมเป็นตัวแทนของเรา พระเยซูก็เป็นตัวแทนของมนุษย์ ดังนั้น พระเยซูจึงจำเป็นต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะจะได้เป็นตัวแทนมนุษย์ไง ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นมนุษย์คนแรก ที่เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ในโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น พอเป็นขึ้นมาในวันที่ 3 สถาปนา จ่ายครบหมดแล้ว ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา 2,000 ปีที่แล้ว ความสัมพันธ์กลับมา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในโลกที่มองไม่เห็น เรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณที่ครอบอยู่เหนือโลกใบนี้นั้น มีทางเลือกแล้ว มี 2 อาณาจักร เรียกว่าอาณาจักรของความสว่าง เข้ามาสู่ความมืด ความมืดต้องเผ่นไป ไปไกลๆ เลย ไปไหน? ไปไหนก็ได้ อยู่แถวๆ นี้ อย่ามายุ่ง เอเมน มนุษย์มาอยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระเยซูคริสต์ มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มีเงื่อนไขอยู่แค่นี้เอง คือ …

(1) ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น เป็นวิญญาณไม่ได้ เพราะพระเยซูมาเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ในพระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้น

(2) ต้องเป็นมนุษย์ที่เชื่อในการกระทำของพระเยซู ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่ได้เข้า ถ้าเชื่อก็ได้ครับ คือต้องเป็นมนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดี ก็คือพระเยซู พระบุตรพระเจ้า พระองค์ทรงประทานให้มาช่วยมนุษย์ โดยการรับบาป ไถ่บาปให้กับมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เอาความรอดจากบาป รักษามนุษย์ให้หายจากเชื้อไวรัสบาป เอามาให้กับมนุษย์ทุกคนที่เชื่อ ใครไม่เชื่อ ก็ไม่ได้

นี่คือข่าวดีที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคน ซึ่งผู้ใดได้ยินแล้ว เชื่อและยอมรับ ความจริงนี้ แล้วรับสิทธิของตัวเอง ให้พระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัว ซึ่งพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของทุกคนอยู่แล้ว เรายอมรับ รับสิทธิของเรานั่นเอง ผู้นั้น ก็จะได้รับการย้ายจากอาณาจักรของความมืด เข้าไปสู่อาณาจักรของความสว่างทันที เพราะอาณาจักรแห่งความสว่างอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ใช่รอให้มา  ส่วนผู้ใดที่ได้ยินข่าวประเสริฐนี้แล้ว และไม่เชื่อ ก็ยังอยู่ที่อาณาจักรของความมืดเหมือนเดิม พระเยซูไม่ได้มาพิพากษาอะไรเลย คนนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม  สองเงื่อนไขของการเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง

มีตรงไหน? บอกว่าเราต้องทำอะไร? หรือเราต้องจ่ายเท่าไร? มีไหม? เราต้องสะสมอะไรบางอย่างที่ดีๆ เพื่อแลกกับการเข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างนี้ มีไหม? ไม่มี

พระคัมภีร์จึงเรียกว่า By grace แปลว่าโดยพระคุณ แปลว่าให้ฟรีๆ ให้เปล่าๆ แม้ว่าจะทำไม่ดีมา ก็ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายอะไร? แล้วเมื่อเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างแล้ว ถามว่าเกิดอะไรขึ้น?

ขณะที่ท่านกำลังนั่งอยู่นี้ ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้ ถ้าท่านเชื่อตรงนี้ ไม่กลัวอะไรแล้ว ท่านไม่ต้องบอกว่า …

“ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่แล้ว

และยังมีกองทัพทูตสวรรค์อีกมากมาย เตรียมพร้อมจะรบ เพื่อนครคนเดียวเลย  ถ้าเผื่อจำเป็นนะ ถ้าคุณพิชิตจำเป็นต้องใช้อะไรบางอย่าง ที่ต้องใช้ทูตสวรรค์สัก 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด อาจจะมีเป็นล้านๆ ตน ถ้าจำเป็นนะ เขาก็จะทำงานให้คุณพิชิต โดยมีพระเยซูเป็นแม่ทัพ แล้วคุณพิชิตพอใจไหม? หรือจะให้ศิษยาภิบาลอธิษฐานเพิ่มไหม?  ท่านเห็นภาพแล้วใช่ไหม? ท่านก็จะไม่ต้องพึ่งมนุษย์ที่มีบารมี เก่ง ไม่มีใครเก่งเลยสักคน ทุกคนเท่ากันหมด ต่างก็เป็นลูกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ลูกแห่งความสว่างเท่ากันหมดเลย  เราก็จะพึ่งพระเจ้าผู้เดียว ความจริงแค่นี้  ก็ทำให้เราเป็นไทมากมายมหาศาลแล้ว สามารถถอนหายใจได้แล้ว  เอเฟซัส 5:8

เอเฟซัส 5:8 “เพราะเมื่อก่อน ท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ ท่านเป็นความสว่าง ในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง”

 

การดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง ก็คือการดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามกองทัพพระเจ้า ที่หนุนหลังเราอยู่ตลอดเวลา อยู่กับเราตลอด ตามพระประสงค์ของพระองค์นั่นเอง แปลว่าอย่างนี้ ในชีวิตเชื่อและวางใจ ให้พระองค์นำไป  พระประสงค์ในชีวิตของเรา คืออะไร?  เอเฟซัส 2:10

เอเฟซัส 2:10 “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้น ในพระเยซูคริสต์  เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เรากระทำ”

 

อ่านข้อนี้แล้ว ต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อนว่าการกระทำดีใดๆ ก็ไม่สามารถนำเราไปสู่อาณาจักรของความสว่างได้ ไม่สามารถรอดจากเชื้อบาปได้ ต้องผ่านทางความเชื่อในพระเยซูที่ไถ่บาปให้เราที่ไม้กางเขนเท่านั้น แต่พระเจ้าได้ทรงนำเราสู่อาณาจักรแห่งความสว่างนี้ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผ่านให้เราฟรีๆ ประทานความรอดให้กับเรา เพื่อเราจะสามารถกระทำดีได้ จากนี้ต่อไป

ความหมาย คือเมื่อเราได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ให้ใจใหม่กับเรา  คอยดูแลเรา คอยเป็นพี่เลี้ยงเรา ตามพระคัมภีร์บอกไว้ คอยช่วยเหลือเรา คอยให้กำลังเรา เพื่อให้เราสามารถ จากนี้ต่อไปดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง คือดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า พระประสงค์พระเจ้า ซึ่งเป็นการประกอบการดีตามสายตาพระเจ้า ลูกแห่งความสว่างจะสำแดงการกระทำดีออกมา เป็นผลมาจากการได้รับความรอดด้วยพระคุณ ทำดี เพราะได้รอดแล้ว เพราะเหตุแห่งความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นการเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณอย่างหนึ่ง คือที่ย้ายจากธรรมชาติของอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง เราย้ายตัวเองไม่ได้ พระเจ้าย้ายเรา ที่วิญญาณของเรา ใน 2 โครินธ์ 5:17 ได้บันทึกอย่างนี้

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

 

นี่กำลังพูดถึงวิญญาณของมนุษย์ ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณเขาจะได้รับสิ่งหนึ่ง คือได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่แล้ว เกิดใหม่แล้ว เอี่ยมเลย เต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า เต็มด้วยแสงสว่างของพระเจ้า ฉายแสงเลย ทันที มันหมายถึงตรงนี้ ในวิญญาณท่านใหม่เอี่ยมเลย  เป็นลูกพระเจ้า 100% เลย

พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่กับเราในฐานะเราเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้เป็นพี่เลี้ยงเรา จะคอยขัดเกลาความคิดเดิมๆ ของเรา คิดให้ถูกต้อง แต่วิญญาณถูกต้องอยู่แล้ว ไม่มีการผิดเพี้ยน พระวิญญาณจะทำงานจากภายใน ออกมาภายนอก เป็นการกระทำที่ถูกต้อง ดีงาม ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ตามพระประสงค์ของพระเจ้า

นี่คือผลจากที่เราเชื่อในข่าวประเสริฐ แล้วเราได้รับความรอดจากบาป แล้วมันจะเกิดมาเป็นผลว่าเราจะออกไปทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทำสิ่งที่เรียกว่าดีในสายพระเนตรพระเจ้า พระเยซูคริสต์จึงตรัสว่าท่านเป็นลูกแห่งความสว่าง เป็นลูกของพระเจ้า เป็นตะเกียงส่องแสง ที่พระเจ้าสามารถใช้งานได้ พระองค์ใช้แน่นอน มัทธิว 5:14-16 บันทึกไว้

มัทธิว 5:14-16 “14 ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ 15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น 16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ  เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” เอเมน

 

ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ เมื่อจุดตะเกียงแล้ว”

พระเจ้าจุดตะเกียงแล้ว เพื่อให้แสงส่องสว่างกับทุกคนที่เดินไปมา เพื่อเขาจะได้เห็นทาง จะได้เดินไม่สะดุด ไม่เดินล้ม เมื่อมาเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันของเรา เราจะได้เห็นชัดขึ้น พระเจ้าจุด ก็เพื่อว่าจะได้เอาไปใช้ เป็นแสงสว่าง เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้านำเราไปสู่ความสว่าง คือจุดตะเกียงให้เราแล้ว ติดแล้ว สว่างแล้ว พระองค์จะไม่ครอบเอาไว้หรอก แต่พระองค์จะเดินถือตะเกียงนั้นไป ตรงไหนที่มันมืดๆ ถ้าสว่างแล้วไม่ไป ไปที่มืดๆ เพราะที่มืดๆ ต้องการความสว่าง สว่างแล้วเอาเข้าไป มันไม่มีประโยชน์หรอก ที่ต้องการความสว่าง คือที่มืดที่สุด ถ้ามืดนิดๆ ก็ไม่ต้องการความสว่าง ที่มืดสนิทเลย ยิ่งต้องการความสว่าง ความสว่างเพียงนิดเดียว เข้าไปอยู่ในความมืดสนิทเลยนะ ยังมีฤทธิ์เลย

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นลูกแห่งความสว่างที่ได้เริ่มเติบโตขึ้นในพระเจ้า เราก็จะเป็นตะเกียงที่ส่องสว่าง ที่พระเจ้าจะใช้เราได้ ให้ไปส่องสว่างให้กับบรรดาผู้คนที่อยู่ในความมืด แล้ววิธีการส่องสว่างทำอย่างไร?

“ท่านทั้งหลาย ก็เหมือนตะเกียง ส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์สถาน”

ฟังนะครับ นี่คือความหมายของการประกาศข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ โดยการกระทำของเรา โดยผ่านทางการนำของพระเจ้า ไม่ใช่ของเราเองเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีใครได้รางวัลในสิ่งนี้เลย พระเจ้าใช้เราเท่านั้นเอง

ขณะที่เราเห็นตอนเที่ยงวัน กลางวัน อยู่กลางถนน คนนั้นอาจจะอยู่ในความมืดนะ ในโลกวิญญาณ เข้าใจใช่ไหม?  ตอนนี้ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ง่ายยิ่งขึ้น พระเจ้าจะนำเราไปส่องสว่างในที่มืดอยู่

แล้วพระเจ้าก็จะนำเขา ไปที่มืด เพื่อนำแสงสว่างให้คนที่อยู่ในความมืด ได้เห็นแสงสว่างในการกระทำของเขาเมื่อตะกี้นี้ ไม่มีเครดิตอะไรเลยนะ เพราะพระเจ้าใช้เขา เขาไม่ได้มีบารมีมากกว่าใคร? เขาไม่ได้มีผลประโยชน์มากกว่าใคร? ไม่มีรางวัลมากกว่าใคร? ไม่ว่าจะเป็นเปาโล เปโตร ก็ไม่ได้มีรางวัลมากกว่าเรา ไม่ว่าผมหรือใครก็ไม่มีรางวัลมากกว่าท่าน แล้วแต่พระเจ้าจะใช้ไป แล้วในที่สุด เขาเข้าไปเป็นแสงสว่าง คนที่อยู่ในความมืดก็ออกมาด้วย อาจจะก่อนที่จะเห็นแสงสว่าง ซึ่งพระเจ้าใช้อยู่ แล้วแต่พระเจ้า เราไม่รู้ ก่อนเห็นแสงสว่าง อาจจะเห็นความดีของเขา แล้วถึงเห็นแสงสว่างก็ได้ แล้วแต่พระเจ้าจะใช้ใครไปหาใคร? อย่างไร? …

“ท่านทั้งหลายก็เหมือนตะเกียง ส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีของท่าน หรือการดีของท่าน ที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์สถาน”

คนที่ถูกนำออกจากความมืด โดยแสงสว่าง เริ่มสรรเสริญพระเจ้าแล้ว คำว่าสรรเสริญพระเจ้า ก็คือนมัสการพระเจ้าได้ เพราะว่าเขากลับมาอยู่ในทางของพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ชีวิตของคนที่อยู่ในความมืด เปลี่ยนไปแล้ว เป็นลูกแห่งความสว่าง ต่อไปนี้เขาสรรเสริญพระบิดาเจ้า ตลอดชีวิตของเขาแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

เราจึงเห็นว่าทุกอย่างไม่ได้เกี่ยวพันกับมนุษย์ เกี่ยวพันกับพระเจ้าอย่างเดียว และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณจริงๆ มันสำคัญมาก ทั้งหมดที่พูดมาถึงตอนนี้ เพื่อจะย้ำยืนยันกับท่านว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าสอนเราอย่างนี้ว่ามันมีโลกฝ่ายวิญญาณอยู่จริงๆ และมีอาณาจักรเพียง 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรของความสว่าง และอาณาจักรของความมืด และตัวตนแท้จริงของมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือเป็นวิญญาณ ซึ่งเราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาฝ่ายร่างกาย ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างหรืออาณาจักรแห่งความมืด ท่านก็เป็นวิญญาณ

เมื่อเราเชื่อและรับสิทธิของเราในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจะย้ายวิญญาณของเราออกจากอาณาจักรหนึ่งของโลกวิญญาณ เขาเรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเจ้าทันทีเลย  2 โครินธ์ 4:16-18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก  18 ขณะที่เราไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น อยู่เพียงชั่วคราว ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นเป็นถาวรนิรันดร์”

 

ถ้าท่านรู้ความจริงตรงนี้ แล้วก็เกิดสิ่งนี้ขึ้น แล้วท่านปฏิบัติตาม 2 โครินธ์ 4:16-18 เป็นอย่างไร? นี่คือความจริง

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป กำลังตายไป ร่างกายนี้กำลังทรุดโทรม เดี๋ยวก็เจ็บป่วย เพราะมันถูกเชื้อไปแล้ว เดี๋ยวมันก็ต้องตาย ในนี้บอกว่าแต่ตัวตนภายใน คือวิญญาณของเราจริงๆ นั้น กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน เป็นใหม่สะอาด แจ๋วเลย  รอไปอยู่กับพระเจ้าในวิญญาณเราดีใจตลอดเลย เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ถ้าเราเห็นอย่างนี้ได้ ถ้าเราเชื่อความจริงได้ การทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้ายังใช้เราอยู่ หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นตะเกียงแล้ว มันกลายเป็นเล็กน้อยเลย พระเจ้าใช้เถิด เปาโลจึงไม่กลัวตาย ให้เขาไปตัดคอก็ได้  ถ้าพระเจ้าอนุญาตให้เขาตัดคอ ก็ตัดเลย เปโตรถึงไม่กลัวเลย ถ้าพระเจ้าจะให้เขาถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เขาไม่แคร์เลย เพราะเขารู้ว่าคืออะไร? เขารู้ในโลกวิญญาณชัดเจน เขาถึงบอกตายก็ได้กำไร? ตายก็ดีกว่า? พักผ่อนเสียที ถ้าอยู่ ก็ทำงานให้พระเจ้าไป ก็แล้วแต่พระเจ้าจะนำไปทำอะไร?

เห็นไหม? มันเหลือเชื่อนะ นี่คือความจริงทั่งสิ้น ร่างกายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป กำลังป่วย กำลังเจ็บไข้ มันควรจะดีใจนะ ถ้าเราทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณนี้ชัดๆ มากๆ ทุกครั้งที่เราเกิดความเจ็บป่วย หรือแก่ลง มองกระจก เราจะมีความยิ้มแย้มแจ่มใส เราใกล้ที่จะได้พักผ่อนสักที ถ้าแข็งแรงมากๆ ทำงานต่อ

ในนี้บอกว่าเราสามารถมีความรู้สึกอย่างนี้ได้ ก็ต่อเมื่อขณะที่เราไม่จับจ้องในสิ่งที่มองเห็น ก็คือในขณะที่เราไม่จ้องมองอยู่แต่โลกวัตถุ เราคิดว่ามีแค่โลกวัตถุ แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น คือจดจ้องไปก็เห็นแต่โลกวิญญาณตลอด เห็นโลกวัตถุต่ำกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ เห็นโลกวัตถุสำคัญน้อยกว่าโลกวิญญาณ มันหมายถึงอย่างนี้

เพราะสิ่งที่เรามองเห็นอยู่นั้น คือโลกใบนี้ วัตถุต่างๆ ที่เรามองเห็นนั้น มันอยู่ชั่วคราว ไม่ว่าจะลาภ ยศ สรรเสริญ เกียรติยศ ชื่อเสียง สุขภาพแข็งแรง มันอยู่ชั่วคราวทั้งนั้น มันหลอกเรา ถ้าเราไปติดอยู่กับมัน เสร็จเลย มันไม่จีรังยั่งยืนถาวร แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็น ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณนั้น มันมีอยู่จริงๆ และมันอยู่ถาวรนิรันดร์ และเราเป็นลูกของพระเจ้า และเราอยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทูตสวรรค์อีกมากมาย และจะอยู่กับพระองค์อย่างนี้ ตลอดไป เอเมน

สำหรับคนที่ไม่ได้เชื่อในข่าวประเสริฐ ไม่ได้เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ก็อย่างที่บอกว่าวิญญาณก็ยังอยู่ในอาณาจักรของความมืด ก็ยังต้องรับโทษของความบาปอยู่ดี และอยู่ในความตายทางฝ่ายวิญญาณ อยู่ในความมืดที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีแสงสว่างนิรันดร์ สำหรับเราที่อยู่ในแสงสว่าง ถึงบอกว่าถ้าเผื่อเราเรียนรู้เรื่องนี้มากๆ ลึกซึ้งในเรื่องนี้มากๆ เราจะวางใจในพระองค์ จะหลุดจากความกลัว ความวิตกกังวล ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม มันสามารถทำได้ ไม่ยาก เพียงแต่เปลี่ยนมุมมองของเราเท่านั้น เขาถึงบอกว่าให้มองไปที่เบื้องบน  ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในพระเจ้า ในสวรรค์สถาน โลกฝ่ายวิญญาณนี้ นึกแต่โลกฝ่ายวิญญาณนี้ มองแต่โลกฝ่ายวิญญาณนี้ เอเมน

ลองหลับตา นิ่งๆ คิดตามที่ท่านได้เรียนมาวันนี้ แค่นี้นิดเดียวเอง เขาเรียกว่าใคร่ครวญความจริง ต้องนิ่งๆ และคิดตามว่า …

“ในโลกฝ่ายวิญญาณ และวิญญาณฉันตอนนี้ เป็นวิญญาณที่เรียกว่าแสงสว่าง อยู่ในอาณาจักรของความสว่าง ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันอยู่ในความสว่าง ฉันเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณตัวตนแท้จริงของฉัน เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้ และยังมีกองทัพทูตสวรรค์อีกมากมายคอยทำงานให้กับฉันบนโลกใบนี้ ดูแลตลอดเวลา ไม่ว่าฉันจะไปไหน? ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมทั้งสิ้น และวิญญาณของฉันจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานอย่างนี้ ในฐานะเป็นลูกของพระองค์นิรันดร์กาล ตลอดไป เมื่อร่างกายนี้ทรุดโทรมไป ทิ้งไป มันเป็นส่วนดี คือวิญญาณฉันจะได้เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณเต็มที่ ไม่มีอะไรกีดขวางอีกต่อไป และรับร่างกายวิญญาณ ร่างกายใหม่ ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ทุกข์ทรมาน ไม่มีอิทธิพลของเชื้อไวรัสบาป ที่จะมาทำอะไรฉันได้อีกแล้ว และฉันจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนั้นตลอดไป ซึ่งเราเรียกกันว่าอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 1 “อาณาจักรแห่งความมืดกับความสว่าง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  กันยายน  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 1 “อาณาจักรแห่งความมืดกับความสว่าง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เราจะมาเริ่มการบรรยายในซีรี่ย์ชุดใหม่ ชื่อชุดว่า “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” พระเยซูบอกว่าท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท? ท่านเป็นใครที่สมควรรู้ความจริง ก็คือท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักมาก ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา บอกความจริงกับท่านว่าความจริง คืออะไร?

พระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับความจริงทั้งสิ้น ความจริงที่มนุษย์ไม่รู้ และมีความจริงมากมาย ในพระคัมภีร์เล่มนี้ ถ้าเราได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ชีวิตเราจะเป็นไทจริงๆ เป็นอิสรภาพจริงๆ พระเยซูบอกว่า Indeed แปลว่าจริงๆ You shall be setfree.  ท่านจะถูกทำให้เป็นอิสระ แล้วพระเยซูบอกว่า …

“เราเป็นความจริง”

คำว่า “เป็นอิสระ” หรือ “เป็นไท” ตรงนี้ คือเป็นไท จากความกลัว จากความวิตกกังวล และถ้าถามทุกคนว่าท่านกลัวอะไรมากที่สุด? ผลที่ได้มา 5 อันดับแรก ที่มนุษย์กลัวมากที่สุด คือ …

อันดับที่ 1      กลัวความตาย

อันดับที่ 2      กลัวความยากจน  ขัดสน

อันดับที่ 3      กลัวความเจ็บปวด   หรือเจ็บป่วย

อันดับที่ 4      กลัวผี

อันดับที่ 5      กลัวความมืด

มันถูกหมดเลย วิจัยดีมาก และในทางจิตวิทยา ตามหลักวิชาการบอกว่าต้นเหตุหลัก ที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้มนุษย์มีความกลัว มีความวิตกกังวลมากที่สุด เพราะเราไม่มีคำตอบ เพราะเราไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร? ยิ่งไม่รู้ ยิ่งกลัว รู้สะเลย กลับไม่กลัว นี่คือสิ่งที่เราจะมาเรียนกัน พระเยซูจึงบอกรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว คนกลัวตาย ก็เพราะว่าไม่รู้ว่าตายแล้วเป็นอย่างไร?  จะไปไหน?  จะต้องเผชิญอะไรหลังจากความตาย

คนที่กลัวความยากจน ขัดสน ก็เพราะว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่รู้ เกิดเศรษฐกิจไม่ดีขึ้นมา อนาคตจะกินอะไร? นุ่งห่มอะไร? ดื่มอะไร? อยู่อย่างไร? ทำให้เขาเกิดความรู้สึกกลัวความขัดสน ถ้าขัดสน ใครจะช่วยเรา ถ้าตอนไม่มีกิน มันก็กลัว พอกลัวมากๆ ก็กลายเป็นโลภ ก็สั่งสมใหญ่เลย  ทำบาปทุกอย่าง ก็เพราะว่ากลัว

ทำไมผู้คนมากมายถึงชอบเรื่องพยากรณ์ ชอบเรื่องทำนายโชคชะตา ก็เพราะอยากรู้ว่าจะตายเมื่อไร? อยากรู้ว่าเมื่อไรจะรวยซะที? อยากรู้ว่าสุขภาพที่กำลังเสื่อมโทรม ที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บอยู่  เมื่อไรมันจะหายซะที เพราะกลัว

คนที่กลัวความมืด กลัวผี ก็เพราะเขาไม่รู้ว่าในความมืดนั้น มีอะไรอยู่ พอกลัว ก็เกิดจินตนาการไปต่างๆ นานา จนกลายเป็นความกลัว จากใบกล้วย ก็กลายเป็นนางตานีได้ จากผลกล้วย  ก็กลายเป็นตัวเลขได้ นั่นไม่ใช่ความกลัว นั่นเป็นความโลภมากกว่า

เราจะมาเริ่มต้นค้นคว้า และเรียนรู้ไปด้วยกัน ในซีรี่ย์นี้ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท

ตอนที่ 1 เราจะมาเรียนรู้ความจริง เกี่ยวกับอาณาจักรแห่งความมืดและอาณาจักรแห่งความสว่าง ซึ่งอาณาจักรแห่งความมืดกับความสว่างตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงบนโลกวัตถุว่าห้องนี้สว่าง ห้องนั้นมืด แต่เราพูดถึงเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งสำคัญมาก

อาณาจักรในโลกฝ่ายวิญญาณที่พระคัมภีร์บอกว่ามีอยู่จริงๆ  แต่ความสามารถในตาเนื้อทางร่างกาย เราไม่เห็น และถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ลึกๆ ในใจของมนุษย์ก็เชื่อว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ เพราะมนุษย์ทุกคนแสวงหาอะไรบางอย่าง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทางวิญญาณ เพราะเขารู้ว่าตัวเองเป็นวิญญาณ และวิญญาณของเขามาจากวิญญาณที่ใหญ่ๆ ในใจลึกๆ ข้างในมันรู้ ก็เลยพยายามที่จะหาอะไรบางอย่าง ถามว่าจะเชื่อไหม? ก็ไม่ชัดเจน เพราะไม่รู้ความจริงเรื่องนี้ ตามพระประสงค์ของพระเจ้าเดิม มนุษย์ถูกสร้างให้รับรู้และมองเห็นได้ในโลกวิญญาณ นี่คือความจริง พระคัมภีร์บันทึกไว้ พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้สามารถมองเห็นทะลุเข้าไปในวิญญาณได้ ตอนเริ่มต้นใหม่ๆ แต่พอความบาปเข้ามา ก็ทำให้ตาฝ่ายวิญญาณมืดบอดไป ที่เคยมองเห็น ก็เลยกลายเป็นไม่เห็น ที่เราได้ยินบ่อยๆ คือตาในวิญญาณมันบอดไป มองไม่เห็นแล้ว พอมองไม่เห็น ก็เลยคิดว่ามันคงไม่มีจริง เพราะมองไม่เห็นพระเจ้า นึกว่าไม่มีพระเจ้ามั้ง แต่ในใจลึกๆ รู้สึกว่า …

“มีอะไรบางอย่าง ฉันคงมาจากที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ฉันรู้ว่ามีโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อฉันจากโลกนี้ไป วิญญาณฉันจะไปที่ไหนสักแห่ง”

คือไม่ค่อยแน่ใจ เพราะไม่รู้ความจริง จนกว่าพระเจ้าจะเปิดตาฝ่ายวิญญาณของคนๆ นั้น ให้ได้รับรู้ความจริง ทางโลกวิญญาณนี้ และเชื่อในสิ่งนี้ แม้ตาฝ่ายร่างกายอาจจะไม่เห็นอยู่ แต่ท่านเชื่อแล้ว เพราะพระเจ้าเปิดตาวิญญาณของท่านให้รับรู้ ให้เริ่มต้นเห็น ท่านจึงเริ่มเชื่อ

พระคัมภีร์จึงบอกว่าถ้าท่านเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น พระเจ้าพอพระทัย ชื่นชมยินดีมากแล้ว แค่นี้ ไม่ทันไรเลย ชื่นชมแล้ว เพราะโอกาสที่ท่านจะได้ไปในทางที่ดีมีเยอะแยะ เพราะพระเจ้ารักเรา

ฮีบรู 11:1-3 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ “1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เพราะความเชื่อนี้เอง ที่คนในสมัยก่อน ได้รับการทรงชมเชย 3 โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจาก สิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา”

 

การเชื่อและมั่นใจในสิ่งที่มองไม่เห็น ที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยและชื่นชม ก็คือเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ คือเชื่อว่ามีพระเจ้าจริงๆ พอเรารู้ว่ามีพระเจ้าจริงๆ แค่นี้พระเจ้าดีใจมากเลย และการแสดงออกในความเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ  หรือทรงพระชนม์จริงๆ ก็คือเชื่อว่าทุกสิ่งที่มีอยู่ ที่ตาเรามองเห็น พระเจ้าเป็นผู้สร้างทั้งสิ้น ไม่นับสิ่งที่มองไม่เห็น คือมองทุกอย่าง เท่าที่มองเห็นบนโลกใบนี้ ทั้งดวงดาวต่างๆ เท่าที่เห็นนี้ ยังไม่นับที่มองไม่เห็น เชื่อว่ามีผู้สร้าง พอมีผู้สร้างปุ๊บ มันจบที่พระเจ้าหมด ไม่ว่าตั้งแต่สมัยไหน จนถึงสมัยนี้ หรือสมัยโน้นก็ตาม ทุกคนก็ต้องจบตรงที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร?  จึงเรียกว่า “พระเจ้า” พระเจ้า แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้นั้น ที่อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะไม่รู้ชื่อ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร?

ที่บอกว่า “โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า เพราะฉะนั้นสิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา”

ถามว่าตรงไหนสำคัญกว่าจากพระคัมภีร์ที่อ่านไปเมื่อสักครู่นี้ สิ่งที่มองเห็นอยู่ คือสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ที่เราเห็นอยู่ ต้นไม้ ใบหญ้า มนุษย์ทั้งหลาย รถราอะไรต่างๆ เหล่านี้ สิ่งที่เรามองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา ก็คือไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นๆ อยู่นี้ ก็คือเกิดจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น คือโลกฝ่ายวิญญาณ

คำว่า “จักรวาล” ตรงนี้ ไม่ใช่เพียงแค่โลก ที่ตะกี้นี้บอก ตามองเห็น มือจับต้องได้เท่านั้น แต่โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ ยังมีโลกที่เราไม่สามารถมองเห็น หรือจับต้องด้วยร่างกายนี้ได้ ครอบอยู่ด้วย  พระคัมภีร์บอกไว้ว่าสิ่งที่ครอบอยู่ คือโลกฝ่ายวิญญาณนั่นเอง แค่นี้ก็เป็นอิสระแล้ว นี่คือความจริง โคโลสี 1:12-14 ดูว่าความจริงคืออะไร?

โคโลสี 1:12-14 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่าน เหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  13 เพราะพระองค์ ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

“ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสม ที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า”

เขาเรียกเป็นภาษาแบบกฎหมายเลย  เหมือนสัญญา หรืออะไรบางอย่างที่เป็นเอกสาร ในนี้บอกว่าผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วน ในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด โลกฝ่ายวิญญาณ ก็มี 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง และอาณาจักรแห่งความมืด ที่เรามองเห็นอยู่ ก็คือโลกนี้ที่เราจับต้องมองเห็นได้

ข้อที่ 13 กับ 14 บันทึกไว้อย่างนี้ “13 เพราะพระองค์ ได้ทรงช่วยเรา (เราคือมนุษย์ทุกคน) ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ (พระเยซู) เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

ในนี้บอกว่า “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา” แปลว่าทำเสร็จแล้ว รอมาเอา จบ ไม่ใช่จะทรงช่วยเรา แต่ได้ช่วยเราแล้ว

อาณาจักรของพระบุตร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรของพระเยซู เราได้รับการไถ่บาป ก็คือเราได้รับการไถ่ตัว ออกจากอาณาจักรหนึ่ง ที่มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งความมืด ออกมาสู่ความสว่าง

และเมื่อเราได้รับการไถ่ออกมาจากอาณาจักรแห่งความมืดแล้ว เราก็ถูกย้ายมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งพระบุตร คือพระเยซู มีแค่นี้ ถ้าท่านไม่อยู่ในความสว่าง ท่านก็อยู่ในความมืด ไม่มีใครสามารถบอกว่า …

“ฉันไม่อยู่ทั้งสองอันเลย ฉันไม่เชื่อ เพราะฉะนั้น ฉันขออยู่ตรงกลาง คือเทาๆ ไม่สว่างไม่มืด สลัวๆ โรแมนติกดี” ไม่มีนะครับ

“ฉันขออยู่ระหว่างกลางของ 2 อาณาจักรนี้”

ไม่มี ไม่อันใดก็อันหนึ่ง ไม่สว่าง ก็มืด และมืด ก็ไม่มีการว่าอยู่แค่มืดนิดเดียว ไม่มี และอยู่แค่สว่างนิดเดียว ไม่มี มืดก็คือมืด สว่างก็คือสว่าง ท่านเป็นคนไทย ท่านก็เป็นคนไทย ท่านเป็นคนอังกฤษ ท่านก็เป็นคนอังกฤษ ท่านจะบอกว่า …

“ฉันเป็นคนไทยเหมือนกัน แต่เป็นคนไทยนิดเดียว” ไม่มี

ถ้าท่านถือบัตรประชาชนเป็นคนไทย ท่านก็คือคนไทย เอเมน เห็นภาพไหมครับ? โรม 5:10-11 บันทึกไว้อย่างนี้

โรม 5:10-11 “10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน 11 ไม่เพียงเท่านี้ แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว”

 

ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ก็คือตอนที่เรายังไม่เชื่อ เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า

คำว่า “ศัตรู” ตรงนี้ ไม่ได้หมายความว่าศัตรูที่มาตีกัน ทะเลาะกัน ไม่ใช่ แต่หมายถึงสิ่งที่ตรงกันข้าม  เข้ากันไม่ได้ เช่น ความมืดเป็นศัตรูกับความสว่าง เข้ากันไม่ได้ คำว่าศัตรูแปลว่าอย่างนี้  เรากับพระเจ้าไม่สามารถที่จะเข้ากันได้ เรากับพระเจ้าไม่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้

แต่ “โดยพระเยซูคริสต์ เราได้คืนดี” ก็ตรงกันข้ามกับศัตรู ดีกันแล้ว เข้ากันได้แล้ว ไม่ได้เป็นศัตรูแล้ว

เรามาลองสมมติว่าคริสตจักรเราตอนนี้ คือโลกฝ่ายวิญญาณ ตัวจริงๆ ท่าน คือวิญญาณ

โลกฝ่ายวิญญาณ มีตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลกใหม่ๆ พระคัมภีร์บอกว่าพระสิริของพระเจ้า  คือความสว่างของพระเจ้า ความดีงาม สง่าราศีของพระเจ้า รัศมีของพระเจ้าทรงปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ รวมทั้งพวกเราที่อยู่ที่นี่ด้วย คือในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นอย่างนี้หมด แล้วจู่ๆ บรรพบุรุษของเรา คืออาดัม ก็ได้นำเอาเชื้อหนึ่ง ที่เรียกว่าความบาปเข้ามา  เหมือนเอดส์กระจายจากคนหนึ่ง ไปทีเดียวเลย มนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์ทั้งหมด ตกลงไปในความบาป แล้วเกิดความตายขึ้น

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โลกวิญญาณทั้งหมด ถูกครอบด้วยอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรของความมืด ไม่มีความสว่างเลย  ก่อนพระเยซูเกิด ประชากรของพระเจ้าที่พระเจ้านำพา ผ่านทางโมเสส ก็อยู่ในความมืดเหมือนกัน พระเจ้ายังต้องมีม่านกั้น ไม่ให้คนเข้ามาหาพระองค์ เพราะว่าแสงสว่างกับความมืดมันเข้ากันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะเกิดความพิโรธ “พิโรธ” คือเป็นศัตรูกัน  เข้ากันไม่ได้ พระเจ้าก็วางแผนที่จะช่วยมนุษย์

จนย้อนจากนี้ไปประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว แผนการพระเจ้าที่ให้พระบุตา คือพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยให้มนุษย์มีทางเลือกใหม่ มีแสงสว่างเข้ามาบนโลกใบนี้ ซึ่งพระคัมภีร์เดิม บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพระบุตรจะถูกส่งมา เพื่อเป็นแสงสว่าง ตอนนี้มืดหมดเลย เสร็จแล้ววันนั้นเกิดขึ้น ไม่ใช่วันที่พระเยซูนอนอยู่รางหญ้า อันนั้นเป็นสัญลักษณ์เฉยๆ ว่ามีดาวเกิดขึ้น อันนี้พระเยซูเป็นความสว่างจริง แต่ความสว่างยังไม่ได้เข้ามา จนวันที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วพระองค์สิ้นพระชนม์ ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว ไถ่บาปเสร็จแล้ว และอยู่ในอุโมงค์ 3 วัน และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่จากความตาย วันที่เป็นขึ้นมาจากความตาย วันนั้นแหละ โลกใบนี้จึงถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง

ถามว่าแล้วอาณาจักรแห่งความมืดตะกี้นี้ไปไหน? นั่นไง ห้องคอนโทล ห้องนั้นยังมืดอยู่ ถามว่าแสงสว่างไปไหน? อยู่นี่แล้วไง (ห้องประชุม) แต่ทำไมห้องนั้นยังมืดอยู่ ก็เพราะในห้องนั้น เขายังไม่ย้ายเข้ามาอยู่ในนี้ มันขึ้นอยู่กับตัวเขาว่าเขาจะย้ายมามั๊ย ถ้าเขาเปิดประตู แล้วก็ต้อนรับพระเยซู แล้วก็ออกมา เขาก็มาอยู่ในแสงสว่างกับเรา

นี่คือหลักพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ผมพยายามยกตัวอย่างให้ง่ายๆ ให้ท่านเห็นชัดๆ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ ทุกวันนี้มันยังเป็นอย่างนี้อยู่ คือแสงสว่างเข้ามาแล้ว เคยได้ยินเพลงนี้ หรือข้อพระคัมภีร์นี้ไหม?

“ความมืดต้องเผ่นไป  เมื่อแสงสว่างเข้ามา”

เผ่นไปนะ ไม่ใช่หายไป  มันก็ไปอยู่ของมัน มันยังไม่สิ้นสุดการงานของพระเจ้าที่ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่อาณาจักรของพระเจ้า เริ่มต้นตั้งแต่วันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน แล้วใครที่ยังอยู่ในอาณาจักรของความมืดอยู่ ก็คือผู้ที่ยังไม่เชื่อในข่าวดี ที่พระเยซูทำที่ไม้กางเขน  ที่เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3  เขาอาจจะเคยได้ยินมา แต่เขาไม่เชื่อ เขาก็ยังดำเนินอยู่ในอาณาจักรความมืดต่อไป  เพราะเขาไม่ได้ต้อนรับพระเยซูมาเป็นผู้ช่วยให้รอด จากอาณาจักรของความมืดมาสู่ความสว่าง ถ้าเขายอมเชื่อ เขาก็ได้ ท่านเห็นภาพไหม?

ที่ยกตัวอย่างแบบนี้  เพราะว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรากำลังศึกษากันอยู่นี้ เราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา ถึงต้องพยายามยกตัวอย่างให้ท่านเห็นภาพชัด แล้วท่านต้องเอาไปเล่าต่อไปเรื่อยๆ ให้มันชัดขึ้นทุกวันๆ เพราะว่าโลกฝ่ายวิญญาณ มันต้องอาศัยความเชื่อ และในขณะเดียวกัน ก็ต้องยกตัวอย่างอะไรบางอย่างให้เราเห็นภาพ มันถึงเข้าใจมาก ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นนั่นเอง พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราต้องใช้ความเชื่อ เมื่อพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น และเรารู้ว่าทุกสิ่งที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เป็นจริงๆ ต่อให้ไม่ยกตัวอย่างให้เห็น พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้  เราก็เชื่อตามนั้น

“จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ จะยกตัวอย่างหรือไม่ยก ฉันเชื่อตามพระคัมภีร์ พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ ฉันก็เชื่อ พระคัมภีร์บอกตอนนี้ฉันอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ฉันก็บอกว่าฉันอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  พระคัมภีร์บอกว่าฉันนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์  เบื้องขวาของพระเจ้า  ในสวรรค์สถาน ฉันก็นั่งอยู่ ใครจะมาว่าอย่างไร ฉันไม่รู้ ฉันกำลังนั่งอยู่ ใครหาว่าฉันบ้า ฉันไม่รู้ ฉันรู้ว่าพระคัมภีร์บอกว่าฉันนั่งอยู่ ฉันก็นั่งอยู่จริงๆ ในขณะที่ฉันนั่งอยู่ในโบสถ์ แต่ในทางโลกวิญญาณ ที่ครอบอยู่นั่น ฉันนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า”

ฮีบรู 11:6  จึงบันทึกอย่างนี้ “ถ้าไม่มีความเชื่อ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้า ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ และประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้น ที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง” เอเมน

 

ตะกี้ที่ผมพูด พระองค์ดีใจมากเลยที่ใช้ความเชื่อ

“เชื่อฉันดีแล้ว เพราะถ้าเธอเชื่อสายตาเธอ เธอไม่ได้ไปถึงไหนเลย มัวแต่นั่ง ไม่ไปไหน?”

พระเจ้าสอนเราว่า … “มีอาณาจักรหนึ่ง โลกหนึ่ง มิติหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งความสามารถของตาเธอ ตามนุษย์ ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ ลูกเอ่ย และเป็นโลกที่มีอิทธิพลต่อฝ่ายวัตถุนี้อย่างมากมาย ซึ่งเรามองไม่เห็นด้วยตา”

โลกที่เรามองเห็นอยู่  คือโลกวัตถุนี้  พระคัมภีร์บอกว่าเป็นแค่ชั่วคราว แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณที่กำลังพูดถึง ที่พระเยซูบอกให้เราดู ที่พระเยซูเป็นหัวหน้า ให้เราเห็น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ ที่เขาพูดกันตามพระคัมภีร์ 1,000 ปีของเรา เท่ากับ 1 วันของพระเจ้า แว๊บ ไปแล้ว 1,000 ปี = 1 วัน เพราะฉะนั้น อายุยาวมาก 100 ปี เท่ากับกี่นาที? แป๊บเดียว เราอยู่กันไม่กี่นาทีของพระเจ้า พระคัมภีร์จึงบอกว่าชีวิตมนุษย์ เหมือนลมหายใจ วันหนึ่งผ่านไปแล้ว ยังไม่ถึงวันเลย ผ่านไปแล้ว แต่โลกวิญญาณมันอยู่ตลอด ยาวนานมาก

สิ่งต่างๆ ของโลกใบนี้ ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ประวัติศาสตร์อะไรก็ว่าไป  ที่กำลังเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ และทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ และที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้อีก เกิดขึ้นจากต้นเหตุในโลกวิญญาณก่อนเสมอ ท่านเชื่อไหม? เชื่อ เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น

นี่คืออันดับแรกที่มนุษย์ทุกคนควรจะรู้ และต้องรู้ เพื่อแก้ปัญหาชีวิต เพื่อดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง แม่นยำในโลกใบนี้ คือรู้ตื้นลึกหนาบางของชีวิต ของตัวเราเอง ของโลกใบนี้ ว่ามันคืออะไร? เป็นอย่างไร?  ปัญหามันคืออะไร?  ถ้าเรารู้แหล่งว่ามันเป็นมาจากตรงนี้ เราก็แก้ถูก  ถ้าเรามัวแต่คิดว่าบนโลกใบนี้เกิดอย่างนี้ขึ้น เพราะอย่างนี้ มันมีเหตุผลมากมาย ใช่หมด ถูกหมด แต่ลึกกว่าเหตุผล ที่มนุษย์คิดไว้ มันมีอยู่บนโลกวิญญาณอีกทีหนึ่ง ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น  เชื่อยากจริงๆ เอะอะอะไรก็จะใช้ความคิดของเราอยู่เสมอ เพราะมันเห็นจริงๆ มันถูกแหละ แต่ก่อนที่เขาจะทำ มีอะไรบางอย่างในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็นด้วย มันเชื่อยาก เราจึงจำเป็นต้องบังคับตัวเราเอง ให้เชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า ภาษาพระคัมภีร์บอกว่านำเอาเนื้อหนังเรา ที่ชอบคิดเอง จับมันเป็นตัวประกัน แล้วสั่งมันว่า …

“จงเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า”

เหมือนเราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ก็เลยต้องทำอย่างนี้ ดูเหมือนยาก แต่ฝึกๆ ไป ก็จะไม่ยาก บางครั้งต้องสะบัดหน้า แล้วบอกว่า “ไม่ใช่” มันมีอะไรบางอย่างข้างบน ขณะที่เขาทะเลาะกันจะเป็นจะตาย ดูเหมือนคนนี้ทำผิด ดูเหมือนคนนั้นทำถูก หาเหตุผลแทบตาย เราต้องสะบัดหน้า แล้วแก้ปัญหาในโลกนี้อย่างนี้ แต่เรารู้ว่าบางอย่างเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ทำให้เกิดเรื่องอย่างนี้ เข้าใจไหม?  ซึ่งมันยาก ถ้าเราไม่รู้ความจริง ตรงนี้

ถ้าเราไม่รู้ว่ามีโลกวิญญาณจริงๆ พระคัมภีร์ยกตัวอย่าง เราก็จะเหมือนคนตาบอด อยู่บนโลกใบนี้  ก็เดินแบบสะเปะสะปะ ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ไม่รู้อะไรอยู่กับเรา ชนอะไรก็ไม่รู้ พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเจ้าเปิดตาวิญญาณเรา ให้ตาเราสว่างขึ้น ให้รับรู้ถึงความจริงในโลกวิญญาณก่อนอื่นเลย  ไม่อย่างนั้นจะนำเราต่อไปได้อย่างไร?  พอท่านมารับเชื่อพระเจ้า พอท่านเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง พระเจ้าทำสิ่งแรกกับท่าน คือเปิดตาฝ่ายวิญญาณของท่าน  ท่านเชื่อไหมว่าเป็นอย่างนี้

นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ถ้าตาฝ่ายวิญญาณไม่เปิด ท่านจะเดินสะเปสะปะมาก

แล้วพระคริสต์ก็นำหน้าเราไป พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า แล้วเราเต็มใจไหม?  “เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์ พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที” แต่ส่วนใหญ่เราจะร้อง “ไม่ค่อยเต็มใจเดินตาม” เพราะเรามองไม่เห็น เราอยากจะหาเหตุผล แล้วก็เดินด้วยตัวเอง นี่แหละเนื้อหนัง มันเป็นอย่างนี้

พอใจมนุษย์คนหนึ่งที่เริ่มต้นเชื่อว่ามีโลกฝ่ายวิญญาณ มีมิติวิญญาณ มีอีกอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรวิญญาณ และมีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ที่นั่น ไม่ต้องเรียนรู้อะไรมาก แค่นี้ พระเจ้าก็ดีใจมากๆ แล้ว และมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกใบนี้ ที่เป็นวิญญาณ สัตว์ไม่มีวิญญาณ มีแต่สัญชาตญาณ พืชไม่มีวิญญาณ มีแต่ชีวิต ก้อนหินไม่มีวิญญาณ มีแต่ชีวิตเหมือนกัน ท่านจะเห็นว่าไม่เหมือนกัน สัตว์ก็มีชีวิต แต่ไม่มีวิญญาณ แต่ก็ยังสูงกว่าต้นไม้ พืช  ต้นไม้ก็ไม่มีวิญญาณ มีแต่ชีวิต แต่ลำดับเตี้ยกว่า เพราะเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ แต่สัตว์ยังเดินไปได้ ต้นไม้ไฟไหม้มา มันก็อยู่กับที่ สัตว์ยังรู้จักวิ่งหนี แต่ไม่มีวิญญาณ ไม่รู้จักคิด มีแต่สัญชาตญาณ พอไปก้อนหินยิ่งแย่กว่า มีชีวิตเหมือนกัน แต่เป็นชีวิตที่ต่ำกว่าต้นไม้อีก ก็คือมันไม่มีอะไรเลย

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียว ที่เป็นวิญญาณ ท่านเคยเห็นสัตว์รวมตัวกันทำพิธีกรรมทางวิญญาณ หรือทางศาสนาไหม?  ยกตัวอย่างรวมตัวกันสวดมนต์ รวมตัวกันอธิษฐาน ไม่เคยเห็น ตั้งแต่สมัยมนุษย์ยังไม่นุ่งผ้าเลย  ใส่ใบไม้ใบหญ้าปกปิดแค่นั้น ก็ทำพิธีทางวิญญาณแล้ว เขาให้หมอผีทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้ผลหมากรากไม้เติบโตดี นี่ไง  ในยอห์น 12:46-48 บอกว่า …

ยอห์น 12:46-48 “46 เราเข้ามาในโลก ในฐานะที่เป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่เชื่อในเราจะไม่อยู่ในความมืด 47 “ส่วนผู้ที่ได้ยินคำของเรา แล้วไม่ปฏิบัติตาม เราไม่พิพากษาเขา เพราะเราไม่ได้มา เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด 48 มีผู้พิพากษา สำหรับคนที่ปฏิเสธเรา และไม่ยอมรับถ้อยคำของเราอยู่แล้ว คือถ้อยคำที่เรากล่าวนั้นเอง จะตัดสินลงโทษเขา ในวันสุดท้ายนั้น”

 

พระเยซูอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ส่วนมารอยู่ในอาณาจักรของความมืด ความสว่างเข้ามา แต่ความมืดไม่ได้หายไป โลกนี้ยังอยู่ในความมืด แต่พระองค์นำเอาความสว่างมา ใครอยากจะอยู่ในความสว่าง ก็ไปหาพระองค์ คำพูดของพระเยซูได้บอกเราแล้วว่าเราอยู่ในความมืด และพระองค์มาช่วยเราให้เข้าไปอยู่ในความสว่าง ซึ่งตัวเราเองไม่สามารถที่จะทำด้วยตัวเราเองได้  เราไม่สามารถย้ายตัวเราเองได้ พระเยซูเป็นความสว่าง เป็นความจริง

นี่คือข่าวดีของพระเยซู ผู้ใดได้ยินแล้ว เชื่อและปฏิบัติตาม แปลว่าเชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แบบวิทยาศาสตร์ แบบประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เกิดขึ้น  ก็ทำตามแค่นั้นเอง คือยอมรับให้พระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัว ก็จะได้รับความรอดจากความมืด คือรับสิทธิที่พระเยซูทำให้ที่ไม้กางเขน รับเฉยๆ แค่นั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย

คุณสมบัติ ที่พระเยซูตั้งไว้ว่าคนที่เข้ามาอยู่ในแสงสว่าง ผ่านทางพระองค์ได้ ขอให้เป็นมนุษย์เท่านั้นเอง ไม่ต้องเอาความดีความชอบ ฉันทำอันนั้น ฉันเป็นอันนี้ ไม่ต้องเลย เลวเท่าไร ก็ไม่พูดถึง ดีเท่าไร ก็ไม่พูดถึง จะจ่ายเท่าไร ก็ไม่พูดถึง จะไม่จ่ายเลย ก็ไม่พูดถึง จะว่าฉันมาก่อน ก็ไม่พูดถึง จะดูถูกฉันก่อน ก็ไม่สนใจเลย เพราะฉันทำให้ไปนานแล้ว มารับไป ฟรี แม้ว่าตอนนี้จะอยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่โลกฝ่ายวิญญาณที่ครอบอยู่ มี 2 อาณาจักรนั้น  เขาจะย้ายจากความมืด เข้าไปอยู่ในความสว่าง พระคัมภีร์ที่บันทึกไว้อย่างนี้ทั้งหมดเลย

ส่วนผู้ใดที่ได้ยิน แล้วไม่เชื่อ ไม่ยอมรับพระเยซูมาเป็นผู้ช่วยให้รอด ประจำตัว ไม่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูพูด ก็จะไม่ได้รับความรอดนั้น คือไม่ได้เข้ามาอยู่ในความสว่าง ก็ยังคงอยู่ที่เดิม คือ อาณาจักรของความมืด พระเยซูไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด มาช่วยเฉยๆ ไม่ได้ไปตัดสินอะไร เขาก็ยังอยู่ที่เดิม เอเฟซัส 5:8 บันทึกไว้อย่างนี้

เอเฟซัส 5:8 “เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ ท่านเป็นความสว่าง ในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง”

 

พระเยซูบอกเราว่า …

“เมื่อก่อนท่านเป็นความมืด” ไม่ใช่มีความมืด

“แต่เดี๋ยวนี้ท่านเป็นความสว่าง” ไม่ใช่มีความสว่าง

เราเป็นความสว่าง ถ้าเมื่อก่อนเรามีความมืด เราคงสามารถใช้เวลาในการขจัดความมืดให้ออกไปจากชีวิตได้ ทีละนิดทีละหน่อย แล้วคงสามารถพยายามที่จะสั่งสมความสว่างให้มีขึ้นในชีวิตได้ ในทำนองเดียวกัน ยกตัวอย่าง เราเกิดเป็นผู้หญิง หรือเป็นผู้ชาย เราไม่ใช่เกิดมามีผู้หญิง หรือมีผู้ชาย เพราะฉะนั้น เราจึงไม่สามารถที่จะเอาเพศหญิง เพศชายออกไปจากชีวิตเราได้ เพราะมันเป็น ถึงแม้ว่าเราจะพยายาม หรือใช้เทคโนโลยีอะไรก็ตาม มันก็ดูเหมือนเท่านั้น ไม่ใช่ของจริง ของจริงเป็นอย่างไร?  มันก็เป็นอย่างนั้น  แล้วใครล่ะ ที่จะสามารถช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างได้ หลุดพ้นจากโทษของความบาปได้ ในโคโลสี 1:12-14 บันทึกอย่างชัดเจน นี่คือสิทธิที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ กระทบลงมาถึงโลกฝ่ายวัตถุ คือมนุษย์ทุกคนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ด้วยว่ามันเป็นอย่างนี้ สิทธิที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีก่อน มาดูว่าพระเจ้าบอกว่าอย่างไร?

โคโลสี 1:12-14 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่าน เหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากความมืด คือทำสำเร็จแล้ว ย้ายเราแล้ว เราใช้สิทธิของเราเท่านั้นเอง ถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายอะไร?  เพราะพระเยซูทำหมดแล้ว ได้ทำแล้ว นี่คือสิทธิ์ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ เพราะเป็นโลกที่สำคัญกว่าโลกวัตถุบนนี้  เพราะมันยาวนาน  ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่พระเจ้าได้บอกความจริงให้เราทราบถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณว่ามีอยู่จริงๆ จริงยิ่งกว่าโลกฝ่ายวัตถุ ที่มองเห็นด้วยตานี้อีก และโลกฝ่ายวิญญาณนี้ มีเพียง 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรแห่งความสว่างและอาณาจักรแห่งความมืด และมนุษย์ทุกคนต้องอยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ในโลกวิญญาณนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรแห่งความมืด หรืออาณาจักรแห่งความสว่าง นี่คือความจริง

และนี่คือสิ่งที่บอกว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท พระองค์ไม่ได้มาเพื่อพิพากษามนุษย์ ลงโทษมนุษย์ แต่พระองค์นำเอาความสว่างมาช่วยเรา ก่อนที่พระเยซูมา เราอยู่ในความมืด เราไม่มีทางออกเลย ไม่ว่าจะเป็นยิว ไม่ยิว อิสราเอล ประชากรของพระเจ้า หรือต่างชาติ ทุกคนอยู่ในความมืดหมด แต่ตอนนี้ ตั้งแต่ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แสงสว่างได้เข้ามาแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าตอนที่พระองค์มา แสงสว่างได้เข้ามา ตอนพระเยซูเกิด ก็ทำให้มีดวงดาวพิเศษดวงหนึ่ง

นั่นเป็นสัญลักษณ์เฉยๆ ว่าพระองค์ คือแสงสว่าง แต่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เขียนอยู่แล้วว่าวันนั้น แสงสว่างจะเข้ามาบนโลก แสงสว่างจะส่องเข้ามา หลังจากวันที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั่นเอง โลกที่เคยมืดมาตลอด เป็นหลายพันปี เพราะก่อนหน้าความมืดจะเข้ามานั้น มันไม่มีวันไม่มีเวลา มนุษย์ยังอยู่นิรันดร์อยู่ตอนนั้น ถ้าอาดัมไม่ได้นำเอาไวรัสบาปเข้ามา มนุษย์ก็ยังอยู่ในนิรันดร์ตลอด ไม่มีการนับวันนับคืน ไม่ต้องตาย แต่เข้ามาปุ๊บ ก็ต้องนับ 1 ทันที เพราะความตายเข้ามาแล้ว โลกที่เคยอยู่ในความมืดมาตลอด

ตอนนี้มีให้เลือกแล้ว คือมีอาณาจักรเกิดขึ้นแล้ว คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ท่ามกลางความมืด แต่ก่อนนี้ไม่มี เพิ่งจะมีเมื่อประมาณ 2,000 ปีนี่เอง มีให้เลือกแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวกับเปลี่ยนศาสนา ไม่ใช่เลย จะอยู่บนโลกใบนี้ จะเป็นศาสนาอะไร? จะเป็นใครอย่างไร? จะทำอะไรก็เชิญเถอะ ประเพณีเป็นอย่างไรก็ว่ากันไป ยิ่งพูดยิ่งชัด มันคนละเรื่องเลย เรากำลังพูดถึงวิทยาศาสตร์ สูงกว่าวิทยาศาสตร์อีก คือเข้าไปในมิติหนึ่ง ที่เรียกว่าโลกวิญญาณ มันมีอยู่จริงๆ ท่านนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ถ้าท่านลองอ่านในบันทึก ในพระคัมภีร์นี้ดู วันหนึ่งท่านก็จะได้เห็นเหมือนกับที่บอกว่าดวงดาวมองไม่เห็น แล้วบอกว่าไม่มี หรือที่พระคัมภีร์บอกโลกกลม ท่านบอกโลกแบน วันหนึ่งท่านจะเจอความจริง เรื่องนี้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ท่านก็ตัดสินใจเองว่าท่านจะเลือกหรือไม่เลือก อะไรที่เป็นความจริง มันก็เป็นความจริงวันยังค่ำ ไม่ว่าท่านจะปฏิเสธหรือไม่? ตามหลักการพระคัมภีร์แล้ว ผมก็จะสรุปให้ท่านฟังคร่าวๆ

ในอาณาจักรแห่งความสว่าง มีพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตรพระเยซู  พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกัน และมีเหล่าทูตสวรรค์ หัวหน้าทูตสวรรค์ มีชื่อว่ามีคาเอลกับกาเบรียล และกองทัพทูตสวรรค์อีกมากมาย 66.6% ของทูตสวรรค์ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาทั้งหมด ในพระคัมภีร์บอกว่าทูตสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อรับใช้มนุษย์  ทำงานร่วมกัน เพื่อมนุษย์อย่างเดียวเลย ยกเว้นทูตสวรรค์ที่ตกกระป๋อง ที่กบฏ คือลูซีเฟอร์ หรือมีอีกชื่อหนึ่ง เมื่อตอนตกกระป๋อง ชื่อซาตาน และมันก็หลอกบรรดากองทัพทูตสวรรค์ที่ตามมันไปอีก 33.33%  ของเราเยอะกว่าตั้งเยอะเลย ไม่นับถึงพระเจ้านะ

ทูตสวรรค์เหล่านี้ คอยดูแลเรา ดูแลลูกๆ ของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เพราะเขายินดีให้ดูแลไง ไปอยู่ในความมืด แล้วเขาจะไปดูแลได้อย่างไร? มันคนละที่กัน ทุกคนที่มาเชื่อพระเจ้า เป็นลูกแห่งความสว่าง

และทั้งหมด กองทัพใหญ่ๆ นี้ ทั้งทูตสวรรค์ ทั้งพระเจ้าผู้บัญชาการ พระเยซูผู้ได้รับสิทธิอำนาจจากพระเจ้า อยู่ที่เบื้องขวาพระเจ้า ในโลกวิญญาณ กำลังดูแล นำพาลูกๆ หรือประชากรในแสงสว่าง ด้วยความรักแท้ จริงใจ ซื่อตรง เพราะเป็นพ่อ มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา เหมือนที่พระเยซูบอกว่าท่านเคยเป็นคนบาปใช่ไหม? ท่านเคยคิดไหมว่าท่านเคยเป็นคนบาป ท่านเคยคิดไหมที่จะให้สิ่งที่ไม่ดีกับลูกของตัวเอง ท่านยังไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย แล้วพ่อผู้สถิตในสวรรค์สถาน จะให้สิ่งที่ดีกับท่านขนาดไหน? พระเยซูพูดเอง

เพราะฉะนั้น พระเจ้าและกองทัพที่พูดมาตะกี้ทั้งหมดในโลกวิญญาณ กำลังกำหนดอะไรต่างๆ ให้กับนครได้สิ่งที่ดีที่สุด  เอเมน ถ้าท่านเชื่อว่าในโลกฝ่ายวิญญาณมีจริง และกำหนดโลกใบนี้อยู่ ผมต้องได้อะไรก็ตามที่มันดีที่สุด แต่ไม่ใช่ตามสายตาของผมนะ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่ดีที่สุดสำหรับผม เพราะโลกใบนี้มันแป๊บเดียว พระเจ้ามองที่นิรันดร์มากกว่า ที่ผมจะไปอยู่กับพระองค์นิรันดร์ เอเมน

เมื่อเราได้มาอาศัยในอาณาจักรแห่งความสว่างของพระเยซูคริสต์นี้แล้ว จงวางใจว่ากองทัพของพระเจ้า และ 3 พระภาคของพระเจ้า คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ให้เป็นผลดีกับเราอย่างแน่นอน และประชากรของพระองค์ทุกคน ก็จะได้สิ่งที่ดีอย่างแน่นอน ไปจนถึงนิรันดร์ มันต้องเห็นอย่างนี้ให้ได้ มันถึงเผชิญกับทุกสิ่งได้ ทุกสิ่งที่เราเผชิญอยู่ในโลกวัตถุนี้ ที่เรามองเห็นอยู่วันนี้ ที่มีผลกระทบมาถึงชีวิตของเรา เป็นสิ่งที่เกิดผลดีกับเราอย่างแน่นอน เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น แม้เราจะเห็นว่ามันไม่ดี แต่มันดี เราสามารถวางใจได้ ถามว่าที่ผมพูดมาอย่างนี้ วางใจได้ไหม? กองทัพใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม ทำงานเพื่อเรา พระเยซูจึงตรัสว่า …

“ผู้ใดแบกภาระหนัก และเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ใครที่รู้สึกเหนื่อยในการอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดมาก่อน รีบๆ ย้ายมาอยู่อาณาจักรแห่งความสว่าง จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข เอเมน พระเจ้าพระบิดา นำโดยพระเยซูและกองทัพทั้งปวงของความสว่าง  กำลังนำพาเราทุกวัน ทุกเสี้ยววินาที ซึ่งเป็นประชากรของพระองค์ อาณาจักรแห่งความสว่างนี้ ไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสันติสุข สุขนิรันดร์ในสวรรค์สถาน  แต่โดยขั้นตอนสุดท้าย คือการปลดแอกเรา ปลดวิญญาณเรา ออกจากร่าง ซึ่งอยู่ใต้สภาพของเนื้อหนัง ที่เราเห็นนี้ แก่ลงทุกวัน เหี่ยวลงทุกวัน เดี๋ยวก็ตายแล้ว ถูกไหม? ขั้นตอนสุดท้าย คือปลดแอกวิญญาณของเรา นำวิญญาณเราออกจากร่าง

กองทัพที่อยู่ในโลกวิญญาณ ทำทุกอย่าง เมื่อถึงวันที่พระองค์ทรงใช้เรา หมดหน้าที่แล้ว นำวิญญาณเราออกจากร่าง ซึ่งอยู่ภายใต้สภาพเป็นเนื้อหนังที่เก่าๆ ไปสู่อาณาจักร ไปสู่มิติในโลกวิญญาณ เพื่อรอรับร่างกายใหม่ ร่างกายทางวิญญาณใหม่ ที่เป็นอิสรภาพจากอิทธิพลบาป ไม่เน่า ไม่เปื่อย ไม่แก่ ไม่ต้องทาหน้า ไม่ต้องย่นอีกต่อไป นี่มันเป็นจริงๆ ทั้งหมด ความจริง ทำให้เราเป็นไท

เปาโลจึงบอกว่าถ้ามีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ ก็จะอยู่เพื่อปฏิบัติ เพื่อพระคริสต์ ไม่ใช่ เพื่อไปทำงานรับใช้ ไม่ใช่หมายถึงอย่างนั้น เฉพาะความหมายนี้นะ ความหมายนี้ เพื่อจะได้อยู่ปฏิบัติตามพระคริสต์ เชื่อฟัง พูดง่ายๆ เป็นประชากรของพระองค์ ทำตามที่พระองค์ทรงนำ นั่นเอง แต่ถ้าออกจากร่างนี้ไป คือตาย เปาโลบอกได้กำไร ได้พักผ่อน หมดงานสักทีหนึ่ง เอเมน

ความกลัวจะหมดไปได้ ก็โดยวิธีเอาความจริงนี้เข้าไปเยอะๆ สมองเราไม่สามารถว่างได้ มันต้องมีที่หนึ่ง ใส่ให้มันอยู่ ความจริงหรือการหลอกลวง ถ้าเราใส่ความจริง ถ้อยคำพระเจ้าไปเยอะๆ การหลอกลวงในโลกใบนี้ มันก็น้อยลงไป  แต่ถ้าเราไม่ใส่ มันก็มีที่ว่าง ทางโน้นก็เข้ามา มันไม่มีการอยู่เฉยๆ ไม่ว่ามืดหรือสว่าง มีอิทธิพลต่อชีวิตบนโลกใบนี้เสมอ มันยังอยู่หมด ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม 2017 เรื่อง “เราเป็นความสว่าง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม 2017

เรื่อง “เราเป็นความสว่าง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟังต่อว่าเมื่อเดือนที่แล้ว พระเจ้ามีโอกาสพาไปดูธรรมชาติในเทือกเขาต่างๆ ในแถบสแกนดิเนเวีย ก็ได้เห็นการทรงสถิตของพระเจ้า และได้เห็นอะไรบางอย่างที่พระเจ้าเปิดตาใจของเราอีกนิดหนึ่ง สอนเราในเรื่องถ้อยคำของพระองค์ ขณะที่นั่งรถไฟความเร็วสูง ประมาณ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง เร็วมาก แต่เรานั่งอยู่ในรถไฟ เหมือนช้าๆ มองออกไปข้างนอกเหมือนช้าๆ มันนิ่งมากเลย ถึงขนาดเขามาเสิร์ฟน้ำ เอาน้ำวางไว้บนโต๊ะ น้ำไม่หกเลย  น้ำแทบจะไม่สั่นเลย มันนิ่งมาก เหมือนเรานั่งอยู่กับที่ นั่งอยู่ในห้อง

พระเจ้าก็สอนเราว่าให้เราดูสิว่านี่คือมิติต่างๆ ที่อะไรบางอย่างที่พอจะอธิบายให้เราได้เข้าใจอีกนิดหนึ่ง ถึงเรื่องสิ่งที่พระเจ้าสอนเรา ให้ผมสังเกตอะไรรู้ไหม? สังเกตดูสิว่าป้ายเขาบอกว่ารถไฟกำลังวิ่ง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง แสดงว่ารถไฟ วัตถุที่เรียกว่ารถไฟ กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่เจ้าแก้วน้ำ วัตถุที่มีชื่อเรียกว่าแก้วน้ำ ความรู้สึกของวัตถุนี้ มันอยู่เฉยๆ มันไม่ได้ทำอะไรเลย

ตอนที่ผมเข้าห้องนอน เดินย้อนกลับไป รถไฟไปทางเหนือ ผมไปทางใต้ ผมไปเข้าห้องน้ำ ผมกำลังเดินด้วยความเร็ว 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช้าๆ ถูกไหมครับ? ผมกำลังเคลื่อนไหว เห็นไหม? เวลาเดียวกัน เวลาที่ผมกำลังพูด ณ เสี้ยววินาทีนั้น เห็นๆ เลย เท่าที่เห็น วัตถุ 3 สิ่งนี้อยู่ในเวลาเดียวกัน แต่คนละมิติ สำหรับรถไฟ กำลังวิ่งลิ้นห้อยเลย สมมตินะ  แต่ในขณะเดียวกัน แก้วน้ำมันบอกไม่มีอะไรเลย มันไม่ได้ไปไหนสักหน่อยเลย  ฉันก็อยู่กับที่ฉันเฉยๆ สำหรับผมที่ลุกขึ้นมาเดิน ถ้าผมนั่งอยู่เฉยๆ ก็เหมือนแก้วน้ำ แต่ผมลุกขึ้นมาเดิน ผมก็เดินก็เคลื่อนไหวอยู่ 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาถามผม

ผมก็เถียงหัวชนฝา … “ผม 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง”

ไปถามแก้วน้ำ แก้วน้ำก็เถียงหัวชนฝา … “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ผมอยู่เฉยๆ”

ขณะเดียว ไปถามรถไฟ … “ใครบอก ฉันวิ่ง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง”

แต่ทั้งหมดนั้น ก็ไปถึงจุดหมายเดียวกันหมดเลย คือปลายทาง ที่สถานีรถไฟ แล้วพระเจ้าสอนอะไร? พระเจ้าสอนหนังสือฮีบรู บทที่ 11 แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฮีบรู บทที่ 11 ตัวหลักใหญ่ ก็คือพระเจ้าพอใจในผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าว่ามีชีวิตอยู่ คือเชื่อว่ามีพระเจ้าบนโลกใบนี้ และเชื่ออะไรอีก เชื่อว่ามีพระเจ้า สิ่งทั้งหลายที่มนุษย์มองไม่เห็น ที่เรียกว่าวัตถุ มันเกิดขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่มองไม่เห็น มีอำนาจเหนือสิ่งที่มองเห็น แค่นี้เอง

ข้อความในฮีบรูนี้ขึ้นมา ทำให้ผมเห็น พระเจ้ากำลังจะบอกว่ามันมีโลกวิญญาณจริงๆ นะลูกเอ๋ย ใครก็ตามที่รู้จักพระเจ้า แล้วพระเจ้าพอใจในมนุษย์คนนั้นมาก นี่แค่เริ่มต้นเชื่อว่ามันมีโลกวิญญาณจริงๆ มันมีอีกมิติหนึ่งจริงๆ ซึ่งมิติ ถ้าเราไม่เข้าใจ ที่มองไม่เห็น มันมีอำนาจเหนือกว่ามิติที่เรามองเห็น วัตถุต่างๆ บนโลกใบนี้ มันมีอีกอันหนึ่ง ที่มันใหญ่กว่า เป็นผู้สร้าง เป็นผู้กำหนด มีอิทธิพลเหนือกว่าสิ่งที่เรามองเห็น

พอสอนแค่นี้ปุ๊บ ความกระจ่างในเรื่องถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ ในพระคัมภีร์ มันก็โอ้โห เขาเรียกว่าความรู้มันขึ้นมา ความรู้ในทางพระเจ้า พระเจ้าสอนเราให้เห็น มิน่านะ มนุษย์พยายามถูกอะไรบางอย่าง ให้เฝ้ามองแต่สิ่งที่มองเห็นตลอดเวลา เฝ้ามอง จ้องแต่สิ่งที่มองเห็นตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ความต้องการทั้งหมด ไปอยู่ในสิ่งที่มองเห็นตลอดเวลา ในขณะซึ่งสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น สำคัญยิ่งกว่ามากนัก

พระคัมภีร์จึงบอกตั้งแต่หน้าแรกเลยว่ามนุษย์เป็นวิญญาณนะ มนุษย์ไม่ใช่วัตถุ มนุษย์เป็นวิญญาณ … วิญญาณ คือในมิติของวิญญาณ  และพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณทั้งหมดเลย อ่านดูต้องอ่านทางวิญญาณทั้งสิ้น  นี่แหละได้เห็น ผมจึงมิน่า พระเยซูพูดในถ้อยคำของพระองค์ว่า …

“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก”

ในหนังสือมัทธิว 5:14-15 พระเยซูจึงบอกว่า … “ท่านเป็นความสว่างของโลก” … ไม่ใช่มีความสว่าง ท่านเป็นความสว่าง “เป็น” กับ “มี” ไม่เหมือนกันนะ

ในเอเฟซัสบอกไว้ว่าอย่างไร? ในเอเฟซัส 5:8 บอกว่า … “เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด” …  ก่อนที่เราจะรับเชื่อพระเยซู เข้าบัพติศมาเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในจริงๆ นะ ตอนนี้เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์จริงๆ ก่อนหน้านั้น เราเป็นความมืด

เป็นอย่างไร? พอเราเข้าใจตรงนี้ เราถึงเข้าใจว่า “เป็นความมืด” เป็นอย่างไร? … “เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตของลูกของความสว่าง”

แสดงว่าตอนนี้เราเป็นความสว่างแล้ว แต่ก่อนนี้ ก่อนเราเชื่อพระเยซู เราเป็นความมืด เราไม่ได้มีความมืด แต่เราเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นความสว่าง ไม่ใช่มีความสว่าง

สมมติว่าถ้าเผื่อ เมื่อก่อนนี้ เรามีความมืด สมมตินะ ถ้าเรามีความมืด เราก็คงจะสามารถช่วยเหลือตัวเองให้ลดความมืดให้มันน้อยลงได้ สั่งสมอะไรบางอย่างให้มันน้อยลง หรือแต่ก่อนนี้ เรามีความสว่าง เราก็ทำสว่างให้มันมากขึ้นได้ แต่ไม่ใช่ นี่เราเป็น เราไม่สามารถทำให้มากขึ้น หรือน้อยลงได้ เพราะเราเป็นอย่างนั้น  เหมือนเราจุดตะเกียง หรือจุดเทียน พอเราจุดเทียนปุ๊บ เทียนมันสว่าง เทียนมันติดสว่างขึ้นมา สว่างเพราะใคร? เพราะผมไปจุดมัน สามารถให้มันลุกโชติช่วงด้วยตัวเองไม่ได้ ผมจุดไว้เท่านี้ มันบอกผมจะเบ่งให้แสงมันเยอะขึ้น มันทำไม? ไม่ทำ มันก็สว่างแล้ว ในทำนองเดียว ผมเป่ามันดับ มันก็ดับแล้ว มันไม่สามารถที่จะบอกว่าผมจะดับน้อยลงหน่อย ดับนิดหนึ่ง ดับน้อย ดับก็คือดับ สว่างก็คือสว่าง ท่านรอดแล้ว ท่านเป็นความสว่าง ก็คือเป็นความสว่าง

แล้วพระเจ้าก็ให้ผมสังเกตเห็นว่าก็เหมือนกับที่มนุษย์เป็นผู้หญิง และเป็นผู้ชาย ท่านพยายามเป็นผู้หญิงได้ไหม? เกิดมาท่านพยายามเป็นผู้หญิงได้ไหม? ได้ มีหลายคนทำ แต่มันเป็นจริงไหม? มันก็ไม่เป็นจริง มันดูเหมือน แต่มันไม่ใช่ของจริง ของจริง คือมันเป็นอย่างไร? มันก็เป็นอย่างนั้น

ผมเกิดมามีผู้ชายนะ ถ้าผมมีผู้ชาย ผมก็พยายามเอาผู้หญิงเข้ามา ทำให้ผู้ชายน้อยลงได้  แต่ผมเกิดมาเป็นผู้ชาย ท่านเกิดมาเป็นผู้หญิง มัน “เป็น”  มันไม่ใช่ “มี” มันเลยทำอะไรไม่ได้ มันต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ท่านพอมองเห็นอะไรไหมว่าผมกำลังพูดถึงเรื่อง 2 โลกต่างๆ ที่พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ถ้าเผื่อใครจับเคล็ดลับตรงนี้ได้ จะอ่านพระคัมภีร์ได้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทะลุปรุโปร่งมากยิ่งขึ้น และมันจะมีสันติสุข ถาวรนิรันดร์ เพราะว่าสวรรค์มันอยู่ที่นี่แล้ว อยู่ตอนนี้เลย ณ วินาทีนี้แล้ว สวรรค์เข้ามาตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตั้งแต่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหนแล้ว อยู่ที่นี่จริงๆ เหมือนที่ตะกี้นี้ที่ผมเล่าตอนแรกใช่ไหม? มันเป็นเพียงแต่เป็นมิติหนึ่งเท่านั้นเอง โคโลสี 1:12-14  ท่านลองอ่านดูนะ  …

โคโลสี 1:12-14 ก็เหมือนกันบอกไว้อย่างนี้ … “12 ในการขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด     และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ถามว่าอยู่ที่ไหน? ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  คือมิติหนึ่ง อยู่เดี๋ยวนี้เลย อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง

เพราะพระองค์ได้ช่วยเราแล้ว ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด ขณะที่เรายังอยู่ที่เดิม อยู่ประเทศไทย อยู่เมืองไทย อยู่กรุงเทพ นั่งอยู่ที่นี่เหมือนเดิม แต่เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว แต่ก่อนเราอยู่อาณาจักรของความมืด

เหมือนตะกี้ที่ผมบอกไหม? เหมือนที่รถไฟ แก้วน้ำ และผมเดินบนรถไฟไหม? เหมือนกันเลย ในวินาทีเดียวกัน ตอนที่เรารับเชื่อพระเยซู ตอนนั้น เราได้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และพระองค์ทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่ คือการอภัยโทษบาปของเรา

เห็นไหมเนี้ย ขอบคุณพระเจ้า  มันชัดเจนไหม?  เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอก เตือนเรา ให้เรามองไปที่เบื้องบน “เบื้องบน” หมายถึงที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ที่สวรรค์ ถามว่ามองไปถึงเมื่อไร? รอตายแล้ว ไปมอง ไม่ใช่ มองเดี๋ยวนี้ว่าเราอยู่ที่นั่นแล้วตอนนี้ เราอยู่ที่เบื้องขวา จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ให้เชื่อว่าพระเจ้าสอนเราในเรื่องที่เป็นโลกวิญญาณ เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราว่า …

“ความจริง ลูกเอ๋ย ข้างนอกมันเป็นอย่างนี้ ในมิติต่างๆ มันเป็นอย่างนี้ ลูกไม่ต้องเข้าใจหรอก ถึงเข้าใจ ก็เข้าใจไม่ได้มาก เชื่อแล้วกัน”

นี่ไง ถึงต้องใช้ความเชื่อ มันหมายถึงอย่างนี้ เอเมน เพราะถ้าเราได้ตรงนี้ เราจะได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้เลย คำว่า “ได้ทุกอย่าง” ไม่ใช่เกี่ยวกับวัตถุสิ่งของแล้ว เพราะเราเข้าไปอยู่ในมิติของโลกวิญญาณแล้ว เรารู้แล้ว เราก็ไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย เพราะเรารู้ว่าขณะที่เรากำลังเตรียมตัวจะไปนั้น เราก็อยู่ที่นั่นแหละ เรากำลังจะย้ายมิติหนึ่ง ออกจากร่างนี้ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่พระคัมภีร์บอกเราว่ามันดีกว่าร่างกายเก่านี้เยอะ เราจะเข้าไปในมิติหนึ่ง อยู่ที่นี่ อยู่ที่เดิม ไม่ได้ไปไหนเลย เอเมน สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว สวรรค์เป็นของเรา สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว พระเยซูประกาศเสมอเลย ตั้งแต่วันแรก เดินมาบนโลกใบนี้ สวรรค์มาแล้ว สวรรค์กำลังมา สวรรค์อยู่ที่นี่ อยู่ที่ไหน? อยู่ในใจของท่าน คืออยู่ในวิญญาณของท่าน ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน

พูดมาทั้งหมดนี้ อยากให้ท่านตื่นเต้นไปกับผมเท่านั้นเอง ท่านจะมองเข้าไปในอากาศเหมือนเดิม ท่านจะมองเข้าไปในบ้านเหมือนเดิม มองไปที่ผนังเหมือนเดิม มองออกจากรถเหมือนเดิม มองในสวนเหมือนเดิม แต่ท่านมองทะลุไปอีกอันหนึ่งว่าพระคัมภีร์เป็นจริง เข้าใจแล้ว ท่านจะเป็นอย่างนั้นแหละ คือท่านสามารถมองทะลุอีกมิติ โดยผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าจะสอนเรา

เปาโลจึงบอกว่าข้าพเจ้าอธิษฐานวิงวอนพระเจ้าอยู่เสมอ ขอพระเจ้าทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้กับท่าน ประทานวิญญาณแห่งสติปัญญา ประทานวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เปิดตาวิญญาณให้กับท่านได้รู้ว่าอะไรยิ่งใหญ่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ สูงยิ่งกว่าเหนือสิทธิอำนาจใดๆ เทพผู้ครอง ศักดิเทพทุกอย่างบนโลกใบนี้ทั้งหมด สูงส่งมากเลย และให้เรานั่งอยู่กับพระองค์ที่เบื้องขวานั้น เอเมน ขอบพระคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเยซูคริสต์ เข้าใจไม่เข้าใจไม่รู้ เชื่อเอา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2017 เรื่อง “ควันหลงวันแม่ 2017” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2017

เรื่อง “ควันหลงวันแม่ 2017”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ ยังมีควันหลงของวันแม่อยู่น๊า เมื่อวานเป็นวันแม่ สัปดาห์ที่แล้ว เราทำพิธีไปแล้ว ก็มีควันหลงนิดหนึ่ง

เมื่อพูดถึงความรักของแม่นั้น ท่านนึกถึงใคร? นึกถึงลูก ไม่ใช่  นึกถึงความรักของแม่ นึกถึงพระเจ้านะ พระเจ้าเป็นผู้ใส่ความรักของพระองค์ให้กับแม่ แล้วมีเพศเดียว สถานะเดียวในโลกนี้ ที่มีความรักที่ลึกซึ้ง ที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ เพราะเป็นเพศเดียวที่ให้กำเนิดลูก นึกออกใช่ไหม? คือพ่อให้กำเนิดจริง แต่พ่อไม่เห็นชัดๆ จากต้องตั้งท้องตั้ง 8-9 เดือน เขาเรียกว่าจากเนื้อของเนื้อ จากเลือดของเลือด จากกระดูกของกระดูก คือแม่จะใกล้ชิดมาก เพราะฉะนั้น จะเห็นความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์ชัดมาก ในความรักที่อยู่ในเพศแม่

ผมได้เอาความรักของแม่มานิดหนึ่ง เนื่องในเทศกาลวันแม่ ถ้อยคำของพระเจ้าลึกซึ้งมาก แล้วมาเทียบโยงกับวันแม่แล้ว ทำให้บรรยากาศลึกซึ้งขึ้น วันนี้เอามาเล่าให้ท่านเป็นควันหลง แล้วผมได้เอาเพลงหนึ่งมา จำได้ไหมเพลง “ใครหนอ” …

จะเอาโลกมาทำปากกา และเอานภามาแทนกระดาษ

เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณไม่พอ

นี่คือความรัก ที่แม่มีให้กับลูก จนผู้คนเห็น ซึ่งตรงนี้ ผมนึกถึงความรู้สึกของคนเป็นพ่อก็ตาม คนเป็นลูกก็ตาม เป็นแม่เองก็ตาม จะรู้เลยว่าถ้อยคำเหล่านี้ มันใช่จริงๆ เอามาใช้กับพ่อ บางทีไม่ค่อยเข้าเท่าไร? ที่ร้องไปตะกี้ เอาโลกมาทำปากกา เพราะความรู้สึกมันห่างไกลนิดหนึ่ง พูดตรงๆ ไม่ใช่เข้าข้างแม่นะ ความเป็นแม่ชัดกว่าเยอะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมได้สนิทกับครูที่แต่งเพลงนี้มาก รู้ว่าท่านเอาความรักของแม่มาทำเป็นเพลงนี้ นั่นคือครูน้อย สุรพล นึกถึงท่าน สนิทกันมาก ช่วงหนึ่ง เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตอนทำเพลง ก็ไปให้ท่านแต่งเพลง สนิทกันมาก หลับตา ยังนึกถึงภาพ ท่านบอกว่าแต่งเพลงนี้มา เพราะว่าเห็นทุกอย่าง เห็นชีวิต เอาชีวิตประจำวัน เอาความรักที่แม่ห่วงใยลูกมากขนาดไหน? เขาเรียกว่าลูกในไส้ พ่อไม่สามารถบอกลูกในไส้ได้ แต่แม่บอกลูกในไส้ ลูกในท้อง  ท่านบอกว่าเอาคำต่างๆ เอามาจากกิริยาบท หรือว่าชีวิตประจำวันของแม่ ความรักของแม่ที่มีต่อลูกทั้งหลาย โดยเฉพาะในยุคสมัยก่อน ถ้าแต่งเพลงนี้ตั้งแต่ 2507 ประมาณนั้น  ตั้งแต่ผมอายุ 10 กว่าขวบ 12-13 ขวบ คิดดูสิ กี่ปีมาแล้ว ได้คุยกับท่าน

ท่านได้บอกว่านึกถึงภาพอย่างนี้ จริงๆ ทั้งเพลง ผมเอาเฉพาะท่อนนี้มาให้ท่านเห็นว่า “จะเอาโลกมาทำปากกา” นึกถึงว่าแม่รักลูกขนาดไหน?  ประกาศพระคุณไม่พอ แม่มีการกางมุ้งนอน ให้ดูหนัง 4 จอ ที่เราคุยกัน ตอนนั้นคือความเป็นจริง แม่เป็นผู้กางมุ้ง แล้วพาลูกไปนอน สมัยก่อนไม่มีมุ้งลวด เหมือนปัจจุบัน นอนต้องกางมุ้งกันยุง แล้วก็ให้ลูกนอน ดูแลยุงไม่ไต่ ไรไม่ให้ตอมอะไรประมาณนั้น

จำได้เลย ท่านอธิบายว่าเพลงนี้ แต่งเป็นอย่างนั้นๆ คืออิน ครูน้อยพูดนิดหนึ่ง ท่านอัจฉริยะในเรื่องแต่งเพลงจริงๆ ยอดมาก สนิทกันมาก นึกภาพท่านได้เลย ท่านเรียกผมว่านคร

“นคร เธอเป็นคนน่ารักจริงๆ นะ พาครูไปกินข้าวมันไก่หน่อยสิ”

ตอนพูดนั้น คือ 5 ทุ่มนะ ข้าวมันไก่ตอนพาไปทานประตูน้ำ 5 ทุ่ม ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น ก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับเพลงนี้

ทำไมผมเอาเพลงนี้มาให้ท่านได้เห็น เพราะผมอยากให้ท่านเห็นความรักของพระเจ้าถึงบรรดามนุษย์ทั้งปวง โดยที่ผ่านทางความรักของแม่ที่เราเห็นในปัจจุบัน ที่ครูน้อย สุรพลเห็น แล้วเอามาแต่งเป็นเพลง ที่เราเห็นปัจจุบัน ที่เห็นการกระทำ เขาเรียกว่าเป็นธรรมชาติ ที่พระเจ้าใส่ลงไปในผู้ที่เป็นแม่ทุกคน เป็นอย่างนี้หมดเลย

และในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างไร? ผมเลยไปค้นพระคัมภีร์ที่เทียบความรักของพระเจ้าที่มีต่อบรรดามนุษย์ทั้งปวง โดยผ่านทางเพศแม่ ผมจะอ่านให้ท่านดู ในอพยพ 19:4 บันทึกไว้อย่างนี้

อพยพ 19:4 “‘พวกเจ้าเองได้เห็นสิ่งที่เรากระทำแก่ชาวอียิปต์แล้ว และเห็นวิธีที่เราพาเจ้ามาเหมือนลูกนกอินทรีบนปีกแม่ของมัน และนำเจ้ามาถึงเรา”

 

นี่พระเจ้ากำลังบอกถึงว่าพระองค์ทรงนำพาประชากรของพระองค์อย่างไร? เหมือนลูกนกอินทรีบินบนปีกแม่ของมัน คือแม่กางปีกออก แล้วลูกแปะไว้ข้างหลัง บนปีก แล้วไปเลย ท่านกลัวอะไร พระเจ้ากำลังถามท่านว่าท่านกลัวอะไร ตอนนี้ ท่านอยู่บนปีกของพระเจ้า ท่านกลัวอะไร?

มีอีกอันหนึ่ง  อันนี้สะใจมากเลย อ่านแทบร้องไห้เลยนะ โฮเซยา 13:8 ดูสิ พระเจ้าตรัสไว้อย่างนี้เลยนะ พระเจ้าตรัสว่า …

โฮเซยา 13:8 “เหมือนแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป เราจะเข้าโจมตีและฉีกพวกเขาออก เราจะเป็นดั่งราชสีห์ที่กลืนกินพวกเขา สัตว์ป่าจะฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ”

 

นี่หมายถึงศัตรูของลูกของพระเจ้า พระเจ้าจะปกป้องลูกของพระองค์ จากศัตรูที่มาทำร้ายลูก เป็นเหมือนแม่หมีที่รักลูกมาก แล้วลูกถูกขโมยไป คุณเคยดูสารคดี หมีกริซลี เขาบอกหมีกริซลีดุมาก เวลาไปถ่ายรูป ต้องระวังมากๆ แต่ถ้าบอกว่าถ้ามันตบลูก ขณะที่มันเลี้ยงลูกอยู่นะ ต้องไปไล่ๆ เลย มันจะโกรธ มันจะเกรี้ยวกราดมากๆ มันจะหวงและห่วงลูกของมันมาก มันจะทำร้าย แบบไม่เลือกหน้า

เหมือนแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป เราจะโจมตี และฉีกพวกเขาออก ฉีกศัตรูของลูกออกไป เรากลัวอะไร ตอนนี้เราประสบปัญหาอะไรบ้าง เรากลัวอะไรไหม? ความจนจะมาฉีกเราเหรอ สุขภาพร่างกายจะทำร้ายเราใช่ไหม?  นรกจะมาทำร้ายเราหรือเปล่า? มารซาตานจะทำร้ายเราหรือ? พระเจ้าบอก …

“เราจะปกปักษ์พวกเจ้า เหมือนแม่หมีที่ปกปักษ์ลูก เราจะฉีกศัตรูของเจ้าออกเป็นชิ้นๆ”

พูดอย่างนี้เลย แสดงให้เห็นว่ามาสิ เราดูแลลูกของเราอย่างไร? เวลาเราพูดถึงพระเจ้าๆ บางทีเรากลัวพระเจ้า พระเจ้าไม่เคยตั้งใจมาทำร้ายลูกเลย มีแต่ปกปักษ์คุ้มครองดูแลลูก แต่ทำร้ายศัตรูอย่างเหี้ยมโหด นี่คืออย่างนั้น

สุดท้ายอีกอันหนึ่ง อันนี้ก็เจ็บแสบเหมือนกัน ตอนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ถูกฟาริสีรุมว่ากล่าวพระเยซู ต่อต้านพระเยซู เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง? พระเยซูสงสารมากเลย พระองค์มา เพื่อจะช่วยลูกของพระองค์ ช่วยเขานะ ไม่ใช่ช่วยเขาแค่คนอิสราเอลสมัยนั้นเท่านั้น แต่ช่วยถึงมนุษย์ทั้งหมดในโลกนี้เลย รวมทั้งเราในปัจจุบันและอนาคตอีก เราจะช่วยพวกเขาให้รอดจากความบาปในใจ รู้ว่ามาทำอะไร? แล้วไปเจออย่างนี้ พระเยซูถอดใจและตรัสอย่างนี้ อยากจะมาช่วยเขาใช่ไหม? อยากจะมาช่วยลูกๆ ทุกคน คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้รอดจากบาป ไม่ต้องลงนรกใช่ไหม?  แล้วเขาไม่เข้าใจ บรรพบุรุษของเราสมัยนั้น คือสมัยอิสราเอล 2,000 ปีก่อนนั้น เขาไม่เข้าใจ พระเยซูจึงระบายอารมณ์ออกมาว่า …

“โอ … เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าผู้เข็ญฆ่าเหล่าผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างบรรดาผู้ทรงส่งมาหาเจ้า เราปรารถนาอยู่เนืองๆ ที่จะรวบรวมลูกๆ ของเจ้ามา เหมือนแม่ไก่ที่กกลูกๆ ไว้ใต้ปีก แต่เจ้าไม่ยอมเลย เราต้องการเข้ามาช่วยมนุษย์ทั้งหลายต่อจากเจ้า รวมทั้งลูกหลานของเจ้าเยอะแยะมากมาย เข้ามาได้รับความรอด แต่เจ้าไม่ยอมเลย”

และพระองค์พูดถึงคนที่จะช่วยเหลือ รวมทั้งเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ใช้อะไรแทน ลูกๆ ที่เราจะรวบรวมมาเหมือนแม่ไก่ที่จะมาปกไว้ด้วยปีกของไก่ เข้ามาซุกอยู่กับพระองค์ นี่คือความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา  เหมือนไหม? เหมือนเด๊ะ แล้วธรรมชาติเหล่านี้ พออ่านปุ๊บ เรารู้ทันที เพราะว่าเป็นเพศแม่

ฉะนั้น วันนี้เลยอยากให้เราระลึกถึงความรักของพระเจ้า ระลึกถึงความรักของแม่ โอเค ทั่วๆ ไป ก็รู้กันหมด แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ เป็นควันหลง เอาความรักของพระเจ้ามาเทียบกับความรักของแม่มาให้เห็นกัน ที่ได้เทิดทูนกัน เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณความรักของพระเจ้ายิ่งไม่พอ ต้องใช้คำนี้เลย ยิ่งไม่พอใหญ่

สุดท้าย ข้อความสุดท้าย เรารู้จักกันนี้ ข้อความนี้ ในหนังสือยอห์น 3:16 ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ที่ดังมากๆ

ยอห์น 3:16-17 บันทึกว่า “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก (หมายถึงมนุษย์ทุกคน) จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น  จะไม่พินาศ  แต่มีชีวิตนิรันดร์” 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตร (คือพระเยซู) ของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์เลย   แต่เพื่อช่วยมนุษย์บนโลกใบนี้ให้รอดจากบาป รอดจากนรก  โดยทางพระเยซู พระบุตรนั้น”

 

ผู้ใดที่เชื่อในพระเยซู ก็ไม่ถูกพิพากษา ไม่ต้องลงไปในนรก แต่ผู้ใดไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นโทษอยู่แล้ว ไม่ได้มาเพิ่มเลย เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระเยซู พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า จึงต้องรับโทษเหมือนเดิม พระเยซูมาเพื่อไถ่คนที่ได้รับโทษ ให้พ้นโทษ คนที่อยู่บาปอยู่นั้น ให้พ้นบาป ส่วนคนที่ไม่เชื่อ ก็ยังบาปเหมือนเดิม ไม่ได้โทษเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเลย

เห็นไหมความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่ มาเพื่อช่วย พูดตลอด ในพระคัมภีร์พูดตลอด ตั้งแต่อดีตที่เราได้ยกถ้อยคำบางคำออกมาอ่านเมื่อตะกี้นี้  พระเจ้ารักเราขนาดไหน? เพราะฉะนั้น ให้เราเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เห็นความรักของแม่ในปัจจุบัน ก็นึกถึงความรักยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก คือต้นแบบของความรักที่อยู่ในแม่ ก็คือความรักที่อยู่ในพระเจ้า ที่มีต่อบรรดามนุษย์โลกนี้ทุกคน เอเมน

 

*********************************