คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน 2020 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  พฤศจิกายน  2020

 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”  ตอน 2

โดย  นคร   เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เราจะมาต่อกันถึงเรื่องสัปดาห์ที่แล้ว ที่เราได้เริ่มหัวข้อใหม่ในการบรรยาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตคริสเตียนของเรา ดำเนินบนโลกใบนี้ด้วยสันติสุข และนิ่ง แล้วเกิดประโยชน์มากมายในทางของพระเจ้า ต่อจากครั้งที่แล้ว เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” วันนี้ตอนที่ 2 พูดง่าย ทำยากมากเลยนะ จากที่เกริ่นไว้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วว่าการบรรยายชุดนี้จะเรียนรู้กันว่าในขณะที่เรากำลังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น ซึ่งแน่นอน เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ปัญหาอุปสรรคต่างๆ แล้วเราควรจะทำตัวอย่างไร? ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้า เพื่อให้ยังคงมีสันติสุข และมีใจชื่นชมยินดีได้ เหมือนที่พระคัมภีร์บอก แม้ต้องอยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ก็ตาม เราต้องทำอย่างไร? ถึงจะได้ตรงนี้

พระคัมภีร์ที่เราได้อ่านกันครั้งที่แล้ว  สอนไว้ว่าให้ความหวังใจ และความมั่นใจในความคิดจิตใจของเรา เหมือนสมอเรือ ที่ปักไว้อย่างมั่นคง แข็งแกร่ง ไม่หวั่นไหว โครงเครงไปตามระบบของโลกนี้ ตามพายุ คลื่นใหญ่เล็กต่างๆ โหมมาพัด จะทำให้เรือเราจม ฮีบรู 16:18-19 ที่เราได้เริ่มต้นกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ฮีบรู 16:18-19 “18 ดังนั้น พระเจ้าได้ประทานให้เรา ทั้งจากคำสัญญาและคำสาบาน ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะพูดโกหก 19 ด้วยเหตุนี้ พวกเราที่ได้หนีมาพึ่งในพระองค์จึงมีกำลัง และมีกำลังใจอย่างเข้มแข็งที่จะยึดมั่นในความหวัง ที่อยู่เบื้องหน้าเรา ความหวังและความมั่นใจของเรานี้ เป็นเหมือนสมอเรือที่มั่นคงและติดแน่นในความคิดจิตใจ และความหวังนี้  ได้นำพาเราเข้าไปสู่หลังม่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์ คืออภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ทรงสถิตของพระเจ้า”

 

หยั่งรากลึก ในความคิดจิตใจเรา เป็นเหมือนดั่งสมอเรือ ความหวังในความคิดจิตใจของเราความหวังในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ความหวังในหลังม่าน ก็คือการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า หลังม่านก็คือสวรรค์สถาน  ที่พระเจ้าสถิตอยู่ และในความหวังของเรา ซึ่งเชื่อแล้วตอนนี้ ขณะนี้เราอยู่ในหลังม่าน  เราอยู่ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว และจะอยู่กับพระองค์ตลอดไป ให้ความหวังตรงนี้  เป็นเหมือนสมอเรือที่แข็งแกร่งอยู่ในความคิดจิตใจ ที่จะยึดเอาไว้อย่างแน่น

และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความคิดจิตใจของเราก็จะมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่โครงเครง ด้วยความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งเหมือนกับพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิตของเรา แม้ว่าจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากนานับประการ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ก็ตาม เราก็จะไม่หวั่นไหว หรือหวั่นไหวน้อยลง  สามารถยืนได้บนเรือที่โครงเครงบ้าง พายุจะมาขนาดไหนก็ยังยืนอยู่ได้ ไม่ล้มลงและกระเด็นตกจากเรือไปเลย

แล้วเราจะต้องทำอย่างไร? เพื่อให้สมอของเราปักไว้ถูกที่ เรารู้แล้วนะว่าปักไว้ที่ไหน? ปักไว้ที่พระคริสต์ ปักไว้ที่ข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า ซึ่งเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่กับพระเจ้าแล้วนิรันดร์ ตลอดไป ให้เป็นเสาหลัก มั่นคง แน่นหนา เราจะทำอย่างไร? พระเจ้าจะช่วยเรา มั่นคงไม่หวั่นไหวนี้ ด้วยวิธีใด ที่พระเจ้าจะนำเราไป เพียงแค่อธิษฐาน วิงวอนและขอบพระคุณ แล้วก็อยู่เฉยๆ ในห้องอย่างนั้นหรือ? แล้วเราก็จะได้ความมั่นคง สันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  แค่เข้าไปในห้องอธิษฐาน … อธิษฐานบ่อยๆ แล้วจะเกิดความมั่นคงหรืออย่างไร? เราจะมาเรียนรู้กัน คำตอบอยู่ตรงนี้  กิจการ 14:21-22

กิจการ 14:21-22 “21 พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐในเมืองนั้น  และมีคนมากมายมาเป็นสาวก  จากนั้น  พวกเขากลับไปยังเมืองลิสตรา  เมืองอิโคนียูม  และเมืองอันทิโอก  22 เพื่อช่วยให้พวกสาวกเข้มแข็งขึ้น  และให้กำลังใจพวกเขาให้สัตย์ซื่อ  มั่นคงในความเชื่อ  พวกเขากล่าวว่า  “เราต้องเผชิญความยากลำบากมากมาย  เพื่อเข้าอาณาจักรของพระเจ้า”

 

“พวกเขา” หมายถึงเปาโลและทีมงานในการประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้คนที่ยังไม่เชื่อ ในยุคแรกๆ ตอนที่บันทึกอยู่ ตอนที่อ่านเปาโลกับพวกกำลังออกจากเมืองลิสตรา และกำลังจะไปที่เมืองตามที่อ่านเมื่อสักครู่นี้ มาเยี่ยมผู้เชื่อใหม่ นึกภาพดูนะ กำลังมาเยี่ยมผู้เชื่อใหม่ แล้วดูว่าเปาโลได้หนุนใจเขาว่าอย่างไร?

“เพื่อช่วยให้พวกสาวกเข้มแข็งขึ้น” มาเยี่ยมพี่น้องผู้เชื่อใหม่  มาเยี่ยมพี่น้องที่เมืองอิโคนิยูม เพื่อให้สาวก คือผู้เชื่อใหม่เข้มแข็งขึ้น และให้กำลังใจพวกเขา ต่อไปนี้เราจะให้กำลังใจผู้เชื่อ เลียนแบบเปาโล ให้สัตย์ซื่อ มั่นคงในความเชื่อ  ก็คือให้มั่นคงในสมอ ในหลักการ ยึดแน่นไว้ในความเชื่อ ในความหวังใจ ในชีวิตนิรันดร์ ในข่าวดีของพระเจ้า ที่เขาได้เชื่อแล้ว  ยึดถือไว้นั้น  ให้กำลังใจ ให้เขาเกิดความมั่นคงในความเชื่อ  ไม่หวั่นไหว   ด้วยวิธีใด?  พวกเขากล่าวว่า … พวกเขา ก็คือเปาโล …

เปาโลหนุนใจผู้เชื่อใหม่ว่า … “เราต้องเผชิญความยากลำบากมากมาย ในการเข้าอาณาจักรพระเจ้า”

ต่อไปนี้เรามาเยี่ยมผู้เชื่อใหม่ กำลังเดือดร้อน  กำลังพบกับพายุ ปัญหาต่างๆ เราพูดตรงนี้ได้หรือเปล่า? ไปเยี่ยมปุ๊บ ไปบอกเลย …

“พี่น้อง เราต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากนะ ในการเข้าสู่สวรรค์ของพระเจ้า แล้วเราจะอยู่ในสวรรค์นี้ จนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ในชีวิตนิรันดร์นั้น เราต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้นะ”

มันหมายถึงอย่างนั้นใช่ไหม? ถูกเป๊ะเลย ไม่ผิด เปาโลพูดหนุนใจว่าถ้าพูดอย่างนี้ เขาจะเกิดความเข้มแข็งขึ้น เป็นการให้กำลังใจกับพวกเขา ให้มีความมั่นคงในความเชื่อ ในข่าวดีที่เขาได้รับไปแล้ว และเจริญเติบโตแล้ว ไปยังผู้เชื่อแล้ว ไม่เหมือนสมัยนี้นะ เราไปหนุนใจ เรานึกว่าอย่างนี้ เป็นการหนุนใจ แต่ไม่ใช่เลย ในการหนุนใจของพระเจ้า เป็นลักษณะเอาความจริงไปพูดมากกว่า ความอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก เป็นพระพร เป็นสิ่งที่ให้กำลังใจ การบอกความจริง ทำให้เขาเจริญเติบโต

คราวนี้ เรามาพูดถึงความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ แสดงว่าความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันมีจริง  และความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ สำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า คือผู้เชื่อทั้งหลาย มันก็เป็นจริงด้วย หนีไม่พ้น ท่านกำลังคิดในใจใช่ไหม แย้งว่า …

“ถ้าอย่างนั้น พระเยซูบอกว่า … ‘ผู้ใดแบกภาระหนัก และเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข’”

ผู้ใดที่จะเข้าสวรรค์ได้ ผู้นั้นจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ถูกไหม? เพราะพระเยซูบอกว่า …

“จงมาหาเราจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข”

แต่ตะกี้เราอ่าน บอกว่าเราจะพบความทุกข์ยากลำบาก ในการเข้าสู่สวรรค์ มันแย้งกันหรือ?  ข่าวประเสริฐแย้งกันนะ พระเยซูบอกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข แต่เปาโลบอกว่า … “ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากมากมาย” คืออะไร?

“ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากมากมาย ในการดำเนินชีวิตบนโลก”

แต่พระเยซูบอกว่า … “ใครที่แบกภาระหนักเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา”

ใครที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย  ไม่ได้หมายถึงทำงานทำการ เป็นกรรมกรแบกหาม หรือทำงานหนักตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่ใช่ ผู้ใดแบกภาระหนักเหน็ดเหนื่อยในเรื่องบาปของตัวเอง เราจะต้องชดใช้หนี้เวรกรรม ไม่หมด ไม่สิ้น ไม่รู้อีกกี่ร้อยชาติ ไม่มีวันที่จะใช้เวรกรรมหมดไปได้ ในชีวิตเก่าของเรา  ที่ยังไม่รู้จักพระเยซู เป็นอย่างนั้นใช่ไหม?  นั่นแหละคือการแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย มาหาพระเยซู พระเยซูจะให้หายเหนื่อยและเป็นสุข เราจะหายเหนื่อยทางวิญญาณ

ฮีบรู 10:17 บอกว่า … “บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป” พระเจ้าบอก “บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

สดุดี 103:12  บอกว่า … “ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด  พระองค์ก็ทรงยกเอาการล่วงละเมิดของเรา  คือความบาปของเรา ออกไปไกลเพียงนั้น” คือเอาออกไปเลย

 

โรม 4:8  บอกว่า … “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า  จะไม่ถือโทษบาปของเขาอีกต่อไป”

 

และตอนที่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ พระองค์ว่า … “สำเร็จแล้ว” … สิ่งเหล่านี้มันสำเร็จแล้ว ก็คือข่าวดีของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น ข่าวดีของพระเจ้า คือทำให้คนมีความสุข คือบาปได้ถูกยก ได้ถูกชำระ พ้นจากบาปเวรกรรมเรียบร้อยแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์แล้วต่างหาก นี่แหละคือสันติสุขที่ถูก ความสุข การได้พักผ่อน ส่วนการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คนละเรื่องกัน ก็คือตามที่เปาโลบอกเมื่อตะกี้นี้ว่าเราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากมากมาย ในการเข้าอาณาจักรของพระเจ้า  เดี๋ยวเราจะรู้ว่าความทุกข์ยากลำบากเป็นลักษณะอย่างไร?

ก่อนที่เราจะเรียนรู้กันถึงรายละเอียด สิ่งสำคัญเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าสาเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ยากลำบากบนโลกนี้ มาจากไหน?  ท่านต้องคิดในใจอยู่แล้วล่ะ ท่านต้องมีความสงสัยบ้างอยู่ในใจทุกคน

“เอ๊ะ! ฉันมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันยังพบกับความทุกข์ยากลำบากอยู่ แล้วความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้มันมาจากไหน?”

เพราะยังมีหลายๆ คนเข้าใจผิด ที่ยังคิดด้วยเหตุผลของตนเอง หรือได้ยินมาว่าความทุกข์ยากลำบาก มาจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง ตามน้ำพระทัยของพระองค์

ฟังดูแล้ว เหมือนมันมีเหตุผลเลย เพราะพระเจ้าควบคุมทุกอย่าง พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง ทำอะไรทุกอย่างได้  พระองค์จะไม่ให้เกิดขึ้นก็ได้ เราก็คิดของเราไปตามประสา เราไม่ได้สังเกต ไม่ได้เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งสามารถตอบได้เลยว่ามันไม่ใช่เป็นอย่างนั้นเลย พระเจ้าไม่ได้นำเอาความทุกข์ยากลำบากมาบนโลกใบนี้เลย จริงๆ แล้วปัญหา ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ บนโลกใบนี้  มีสาเหตุมาจาก … พอสรุปเป็นข้อๆ ได้ คร่าวๆ อย่างนี้ สรุปจากในพระคัมภีร์ คือ …

  1. ความเสียหาย ความลำบาก ความทุกข์ยาก ความทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้ เกิดจากความเสียหายของระบบของโลกใบนี้ ที่ล้มลงในความบาป ความบาปที่ลงไปสู่มนุษยชาติ ตั้งแต่สมัยอาดัมและเอวา ความบาป ทำให้เกิดความตายและคำสาปแช่ง มันตกลงมาอยู่เหนือโลกใบนี้ อยู่ในระบบของโลกใบนี้ ซึ่งควบคุมโดยมาร ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าโลกใบนี้กับมนุษย์เป็นศัตรูกับพระเจ้าไปแล้ว เสียหายไปแล้ว ความเห็นแก่ตัว ความชั่วต่างๆ ของมารซาตานถูกฝังอยู่ใน DNA ของมนุษยชาติไปแล้ว ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “มนุษย์เป็นทาสมารไปแล้ว”

ทาสมาร คือทาสของความชั่วร้าย ความเห็นแก่ตัว ความชั่วอะไรเยอะแยะไปหมด ท่านจะเห็นว่าระบบมันเสียหายไปแล้ว และมันก็เกิดความชั่วร้ายต่างๆ เกิดความทุกข์ยากลำบากต่างๆ เกิดจากความชั่วร้าย ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ที่รู้ตัวเองบ้าง? ไม่รู้ตัวเองบ้าง? ทำสิ่งเสียหายให้กับโลกใบนี้ เพิ่มเติมเข้าไปอีก ท่านเห็นไหม?

ยกตัวอย่างว่ามนุษย์คนหนึ่งทำความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มันกระทบถึงคนดีๆ ด้วยไหม? กระทบ เห็นไหม? นึกภาพออกไหม?

มนุษย์คนหนึ่งเมายา แล้วก็ไปเผาบ้านตัวเอง พอเผาปุ๊บ มันลามไปข้างบ้าน ข้างบ้านเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย  เขาได้รับความทุกข์ยากลำบากไหม? ได้รับ ทั้งโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนั้น

ฝุ่น อะไรที่เป็นโพลูชั่นต่างๆ มันเกิดมาจากอย่างนี้  นี่คือความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งโรคภัยไข้เจ็บ

  1. มาจากการหว่าน คือการกระทำของคนๆ นั้น ตะกี้มีความทุกข์ มันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ตะกี้คนอื่นทำ แล้วเราได้รับ หรือว่าระบบของโลกนี้ ที่ถูกสาปแช่ง มันเป็นอย่างนั้นอยู่ และเราก็ได้รับความทุกข์ยากลำบาก

คราวนี้อันที่สอง คือเราทำเอง ก็คือเราละเมิดกฎธรรมชาติของบนโลกใบนี้ คือเราละเมิด เราไปทำ  เราก็ได้รับความทุกข์เอง  พระคัมภีร์บอกว่าการกระทำเหล่านั้น เหมือนเป็นการหว่าน หว่านในกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง คือหว่านในความชั่ว พูดง่ายๆ ก็ต้องได้รับสิ่งที่ชั่วร้ายเข้ามา หว่านในสิ่งที่ดี ก็ได้รับสิ่งที่ดี นึกออกใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ความเลวร้าย ความทุกข์ยากลำบาก ก็เกิดจากการกระทำของเรานั่นแหละ  บางอย่างที่เราทำแล้ว มันเอาความทุกข์ยากลำบากเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น เรากินไม่เลือก เรากินไม่หยุด เรารู้ว่าไม่ดีเราก็ยังกิน ไม่ว่าจะกิน เพราะสู้มันไม่ได้ จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง หรืออะไรก็ตาม แต่ในที่สุด เรารู้ว่ามันไม่ถูกต้อง เรากินอยู่ หมอบอกว่าเราน้ำหนักเกินมากแล้ว ตรงนี้ต้องงด เรางดไม่ได้ เรากินต่อไปอีก เราก็เกิดโรคร้ายขึ้นมา นั่นแหละคือการหว่าน ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วเป็นโรค เกิดมาแล้วเป็นโรค อันนั้น มันเกิดจากการถูกสาปแช่งของบนโลกใบนี้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการกระทำของเรา อันที่สองเกี่ยวกับการกระทำแล้ว

  1. ชัดเจนเลย เป็นเฉพาะพวกเราทั้งหลาย โดยพิเศษ ก็คือความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดจากการเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือเกิดจากการเป็นผู้เชื่อ พอเป็นคริสเตียนแล้ว เกิดอะไรขึ้น เราดีใจใช่ไหมว่าพระเจ้าบอกพอเรารับเชื่อปุ๊บ เราย้ายจากอาณาจักรของความมืดเข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่าง พระเจ้าได้ย้ายเราออกจากอาณาจักรอาดัมมาสู่ในพระคริสต์ พระเจ้าได้ย้ายเรา ออกจากการเป็นทาสมาร มาสู่ลูกของพระเจ้า เรากำลังดีใจใหญ่เลย  นั่นทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งปวงที่ตะกี้พูด เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทั้งสิ้น แต่ในโลกวัตถุนี้ เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราจะเห็นภาพทันที เรามาสู่อาณาจักรที่โลกนี้ ไม่ใช่เป็นของเราอีกต่อไป เราไม่ได้เป็นของโลกอีกต่อไป  เราเป็นของพระเจ้า เพราะฉะนั้น โลกใบนี้ก็จะต่อต้าน ต่อสู้กับเรา ต่อต้านต่อสู้ มันก็คือความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา

เพราะฉะนั้น ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าเราไม่ได้เข้ามาเฉพาะการมีส่วนเข้าในพระสิริของพระเจ้า คือเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแสงสว่างของพระเจ้าเท่านั้น แต่เรายังชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะความทุกข์ยากลำบากทำให้เกิดความอดทน เพราะมันเป็นจริง เพราะเราได้อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว แน่นอน ศัตรูของเรา คือความมืดนั่นเอง แต่ขอบคุณพระเจ้า จงยินดีเถิด เพราะเราได้ชนะโลกแล้ว พระเยซูบอกเราชนะโลกแล้ว ข้างในเราชนะโลกใบนี้แล้ว แต่ที่เดินอยู่ ไม่ใช่ของเรา เป็นศัตรูทั้งนั้น โลกใบนี้ คือศัตรูของเรา มันก็เกิดความทุกข์ยากลำบาก เขาเรียกว่าเกิดความขัดแย้ง ในการดำเนินชีวิต แน่นอน ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

พระเยซูจึงบอกว่าโลกเกลียดเรา เป็นเรื่องธรรมดา เพราะความมืดกับความสว่างเข้ากันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคนจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก แต่ผู้เชื่อที่วางใจในพระเจ้า ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน  ที่บังเกิดใหม่แล้ว  มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา จะตอบสนองต่อความทุกข์ยากลำบากอีกแบบหนึ่ง  ไม่เหมือนกับคนที่ยังไม่เชื่อ

เขาจะตอบสนองด้วยผลของพระวิญญาณ  คือด้วยพระเจ้าที่อยู่ในตัวเขานั่นแหละ  เขาก็จะมีท่าทีต่อความทุกข์ยากลำบากอีกแบบหนึ่ง ทำให้เกิดมีสันติสุข เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจ เกิดขึ้นในชีวิตของคริสเตียนได้ แต่ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น แม้ว่าเขาจะมีชัยชนะเหนือโลกแล้วก็ตาม

ความทุกข์ยากลำบากเป็นอย่างไร?  เห็นไหม? คริสเตียนมีความพิเศษ มีความทุกข์ยากลำบากแบบที่ 3 ตะกี้นี้ที่บอก เพราะเป็นผู้ชอบธรรม เพราะเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกข์กว่าคนอื่นอีก ทุกข์กว่าอย่างไร? คนอื่นอาจจะไม่ทุกข์มากขนาดนี้  คือในใจเขาไม่คิดอะไร? ก็ทำไปเฉยๆ แต่ของเราไม่ได้ พระเจ้าที่อยู่ข้างในเราเร้าใจเรา ให้เราทำอีกแบบหนึ่ง ต่อระบบของโลกนี้

ยกตัวอย่าง เราถูกข่มเหงรังแก พระวิญญาณพระเจ้าที่อยู่ในเรา ให้เราตอบสนองด้วยวิธีอะไร? มีท่าทีอย่างไร? …

“พระบิดา แก้แค้นแทนลูกที” … อย่างนั้นหรือ?

“พระบิดาช่วยจัดการมันที” … อย่างนั้นหรือ?

ไม่ใช่ คนที่เป็นคริสเตียนแท้ทุกคน เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จะเจริญถึงขั้น …

“พระบิดาอภัยให้เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป ยกโทษให้เขาด้วย”

ถูกไหม? ถามว่าตอนอธิษฐาน มันเจ็บไหม? ที่เขาทำเรา สตีเฟนเจ็บไหม? สตีเฟน มัคนายกรุ่นแรก ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ได้ทำอะไรเขาเลย หวังดีกับเขามาก อยากให้เขาได้รับความรอด ถูกเอาหินขว้างตาย แต่สตีเฟนบอกว่า …

“พระเจ้า  อภัยให้เขาเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป”

เปาโลก็เหมือนกัน  ถูกทุบ ถูกตี ถูกจับ เฆี่ยน ติดคุก อภัยให้เขา ช่วยเขาอีกต่างหาก นี่แหละ คือความทุกข์ยากลำบากของคริสเตียน ที่เป็นอีกแบบหนึ่ง นอกเหนือจากความทุกข์ยากลำบากที่ต้องรับไว้ เหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วไป บนโลกใบนี้  ไม่มีใครหนีพ้น  เราจึงเห็นชัดเจน

และพระเจ้าใช้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทั้ง 3 แบบให้เป็นประโยชน์ ที่เสริมสร้างให้เราเจริญเติบโต หยั่งรากลึกในความเชื่อ ความหวัง ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ให้มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก  ที่เราต้องเผชิญบนโลกใบนี้ พระเจ้าจะสร้างเราให้เข้มแข็งขึ้น ก็ด้วยผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้  ถ้าไม่ผ่าน ก็ไม่ได้ถูกสร้าง เหมือนที่เราร้องเพลง …

“ขอทรงสร้างเรา  ให้มั่นคงเถิด  ให้เราร่วมอยู่ในพระบุตร

เป็นพระวิหาร  อันสง่างามของพระวิญญาณบริสุทธิ์”

ขณะที่เราร้อง เรานึกว่าขอทรงสร้างเราด้วยความชื่นชมยินดี ด้วยความสุขสบาย ไม่ใช่ วิธีสร้าง มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องผ่านความทุกข์ยากลำบาก เหมือนที่เปาโลพูดเมื่อสักครู่นี้ ให้กำลังใจเราทั้งหลาย ให้เรามีความมั่นคงในความเชื่อ ให้เรามีความมั่นคงในความคิด ไม่หวั่นไหวอีกต่อไป โดยบอกว่าท่านต้องผ่านความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา  ในการเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์   มาอ่านในฟีลิปปี 4:4-6 เมื่อเราพูดถึงความชื่นชมยินดีและสันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ นี่คือข้อพระคัมภีร์ที่ฮิต ฮอตที่สุด จำกันได้เยอะที่สุด ท่องกันได้หมด ส่วนทำได้หรือเปล่าไม่รู้ เดี๋ยวมาเรียนกัน …

ฟีลิปปี 4:4-9  “4  จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ  ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด  5 จงให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน  ความไม่เห็นแก่ตัวของท่าน  ความอดทนนานของท่าน  เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง  6 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว  อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย  แต่ในทุกๆ สถานการณ์  จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน  และการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า  ซึ่งเกินความเข้าใจ  จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์  8 สุดท้ายนี้  พี่น้องทั้งหลาย  จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ  หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ  คือสิ่งที่จริง  สิ่งที่น่านับถือ  สิ่งที่ถูกต้อง  สิ่งที่บริสุทธิ์  สิ่งที่น่ารัก  สิ่งที่น่ายกย่อง  9  ทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้  ได้รับ  ได้ยินจากข้าพเจ้า  หรือได้เห็นจากข้าพเจ้า  จงนำไปปฏิบัติ  และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะสถิตกับท่าน”

 

ข้อพระคัมภีร์ตรงนี้  เป็นคำสอนพื้นฐาน สำหรับผู้เชื่อที่ต้องการแสวงหาสันติสุข และความสงบที่แท้จริง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ท่ามกลางสถานการณ์ในชีวิต

ข้อ 4 บอกว่า … “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ  ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด”

“จงชื่นชมยินดีในพระเจ้าเสมอ” … “เสมอ” ก็แปลว่าตลอดเวลานั่นเอง  ภาษาเดิมบอกว่าเป็นนิสัยเลย แล้วในชีวิตเราเจอแต่ความสุขตลอดเวลาหรือเจอความทุกข์บ้าง?  ก็สลับไปสลับมา ก็แสดงว่าตรงนี้ พระคัมภีร์กำลังบอกเราว่าจงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา ก็คือทั้งในยามสุขและยามทุกข์ จงชื่นชมยินดีเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำยืนยันว่า … ก็แสดงว่าตอนแรกๆ อาจจะมีความสุขดี แต่พอมีความทุกข์ ความลำบากเข้ามา  ชักไม่ค่อยจะชื่นชมยินดี เปาโลจึงบอกว่า … “ข้าพเจ้าขอย้ำว่าจงชื่นชมยินดีเสมอ” เมื่อเดือนที่แล้วยังชื่นชมยินดีอยู่เลย เดือนนี้ประสบปัญหา ก็จงชื่นชมยินดี ข้าพเจ้าขอย้ำยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า … “จงชื่นชมยินดี ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ จงชื่นชมยินดีในทุกกรณี” … นั่นเอง

แล้วจะชื่นชมยินดีตรงไหน? ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหรือ? ไม่ใช่ ก็ตามที่บอกสมอหลัก ที่เราไปปักอยู่ที่ไหน? ที่หลังม่าน ก็คือสถานที่อภิสุทธิสถาน ที่พระเจ้าสถิตอยู่ และที่เราอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้าแล้วตอนนี้  เราเกิดใหม่แล้ว ให้เราปักความคิดไว้ตรงนี้เลยว่าเราอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้าแล้ว เราอยู่กับพระเจ้าแล้ว เราจึงสามารถชื่นชมยินดีได้ตลอดเวลา เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ถ้าเผื่อเราไปปักเอาไว้ที่ความทุกข์ ความสุขบนโลกใบนี้ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวโควิดมี เดี๋ยวโควิดหาย เดี๋ยวโรคอื่นมา โรคนี้มา  เราก็หันไปเหมากับสถานการณ์บนโลกใบนี้  ที่มันขึ้นๆ ลงๆ  แล้วมันหนักไปทางลงอยู่เรื่อย  ไม่ค่อยขึ้น เพราะมันเป็นศัตรูกับมนุษย์ทั้งหมด เราก็แย่สิ เหมือนเรือที่ไม่มีสมอ ถูกลมคลื่นพัดเซไปเซมา แต่ถ้าเราปักไว้ที่การทรงสถิตของพระเจ้า ปักไว้ที่พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราอยู่กับพระเจ้า เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่ไปไหน แล้วจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ตลอดนิรันดร์ อย่างไรก็นิรันดร์ มันก็ไม่เคว้งคว้าง

ข้อ 5 บอกว่า … “จงให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน”

ตรงนี้เจ็บจริงๆ ตะกี้นี้ผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ข้อ 5 บอกว่าจงให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน ความไม่เห็นแก่ตัวของท่าน ความอดทนนานของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง ชื่นชมยินดีตอนมีความทุกข์ลำบากใช่ไหม? ท่านจงให้ความอ่อนสุภาพของท่าน ความไม่เห็นแก่ตัวของท่าน ความอดทนนานของท่าน ประจักษ์แก่คนทั้งปวง

นี่แหละ สตีเฟนถึงพูดว่า … “อภัยให้เขาด้วยเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป”

ซึ่งหนึ่งในนั้น ที่ได้ยิน ได้ฟัง ก็คือเปาโลเอง เป็นผู้ได้ยินได้ฟัง เพราะตอนนั้น เปาโลยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า เป็นหนึ่งในผู้ที่เห็นด้วยกันกับการเอาหินขว้างสตีเฟน … สตีเฟนกำลังพูดว่าอภัยให้เปาโลด้วย ขณะนั้นเขาชื่อเซาโล  อภัยให้เซาโลด้วย เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป  และอีกไม่กี่ปีต่อมา เซาโลผู้นี้ ก็ได้กลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า และเป็นผู้รับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทำงานให้พระเจ้า ลักษณะเดียวกัน ก็ถูกข่มเหงรังแก แล้วเปาโลก็คิดแบบเดียวกัน อภัยให้เขาเถิด  เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป แล้วก็มาสอนเราว่าสันติสุขเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีนี้เท่านั้น ไม่ใช่วิธีอื่น  จงให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน ความไม่เห็นแก่ตัวของท่าน ความอดทนนานของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่ คริสเตียน แก่ผู้เชื่อเท่านั้น แก่พี่น้องในคริสตจักรเท่านั้น ไม่ใช่ แต่แก่คนทั้งปวง … “คนทั้งปวง” หมายถึงทั้งโลกเลย มนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด เห็นไหม?  เราบอกว่าคนนี้ชั่ว คนนี้ไม่ดี คนนี้เลว  เราตัดสินไปหมดเลย ตัดสินไปจนกระทั่งว่าประเทศนี้ก็ไม่ดี ประเทศนั้นก็ไม่ดี ประเทศโน้นก็ไม่ดี เราตัดสินเขาไปหมดว่าคนนี้เลว แต่ในพระคัมภีร์บอกว่า …

“จงสุภาพอ่อนโยน ไม่เห็นแก่ตัว อดทนนาน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง” ก็คือจงให้ผลที่สถิตอยู่ในเรา พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา ให้ฉายแสงออกมา  ผลทั้ง 9 อย่างของพระวิญญาณ ให้ออกมาจากตัวของเรา ข้างในของเรา ที่ได้เกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ที่นั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ถ้าเราเชื่อ เรามั่นคง เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า  อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าแล้ว ถ้าเราเชื่อตรงนี้  ก็จงให้แสงสว่าง จงให้ฤทธิ์เดชอำนาจตรงนี้ มันออกมา แล้วฤทธิ์เดชอำนาจนี้มันออกมา ไม่ใช่ทะเลาะเบาะแว้งกับเขา ฤทธิ์เดชอำนาจออกมา โดยความอ่อนน้อม สุภาพ ไม่เห็นแก่ตัว อดทนนาน เป็นความรักแบบบริสุทธิ์ แบบอากาเป้นั่นเอง  มันก็ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้น

ข้อ 6 “อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่ในทุกสถานการณ์ จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ”

อย่ากระวนกระวาย การปักสมอ การโยนสมอ ยึดแน่น ไม่โลเล ให้ความคิดจิตใจเรามีสมอมั่นคง มีหลักการมั่นคงไม่โครงเครง แม้จะอยู่ท่ามกลางคลื่น ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก จะรุนแรงขนาดไหน? พายุจะแรงขนาดไหน?  ก็มีสมอ มีหลักที่ยึดมั่นคง ไม่หวั่นไหวในเรื่องใดๆ แม้ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ทั้งกายและใจ  ทั้งเล็กหรือใหญ่ เพราะในนี้บอกแล้วว่า …

“อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ”

แสดงว่ามันไม่มีเรื่องเดียว ใดๆ มันมีหลายชนิด หลายๆ แบบ รูปแบบต่างๆ นานา มีข้อสอบมาหาเราต่างๆ นานา หลายรูปแบบ และหลายขั้นตอน ขบวนการตรงนี้ การที่จะมั่นคง และอยู่ในความไม่โลเล ไม่โครงเครง เมื่อมีพายุมา  เมื่อมีความทุกข์ยากลำบากมา การจะมีสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้อยู่เสมอๆ และเจริญเติบโต มันจะต้องเป็นขั้นเป็นตอน เป็นขบวนการ ค่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย เป็นการเจริญเติบโต เป็นขบวนการธรรมชาติ ที่จะค่อยๆ เกิดขึ้น ในชีวิตของเราแต่ละคน

ลองฟังตัวอย่างนี้ … พระเจ้าบอกให้ชายคนหนึ่ง ไปผลักหินก้อนใหญ่ ก้อนเดิมทุกวัน พระเจ้าบอกไปผลักหินก้อนนี้ ชายคนนี้ก็ทำตาม โดยตัวเองก็ไม่ทราบเพราะอะไร? พระเจ้าบอกให้ไปผลักหิน เขาก็คิดไปต่างๆ นานาว่าหินก้อนนี้ คงเป็นอุปสรรคปัญหา ในการเดินเหินของผู้คน เขาก็ไปผลัก หรือไม่ เขาก็คิดต่อไป หรือใต้ก้อนหินจะมีทรัพย์สมบัติมากมาย ให้ไปผลัก เขาก็ทำตาม ผลักหินทุกวัน แรกๆ ก็ดีใจ พระเจ้าสั่งแค่นี้สบายมาก พอผลักไปนานๆ เข้า ชักเบื่อ เพราะหินมันก้อนใหญ่ เขาก็นึกว่าสบาย เดี๋ยวผลักๆ ไป ก็เคลื่อนเอง  ปรากฏว่าหินมันไม่เคลื่อนเลย ผลักไปกี่วันๆ มาดู มันเหมือนเดิมอยู่ นิ่งๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวเลย

ชายคนนี้ก็เกิดความสงสัยว่าพระเจ้าให้ทำไปทำไม? เสียเวลาเปล่าๆ ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย มาสั่งให้เราผลักทุกวัน ไม่เห็นได้อะไรสักอย่าง ก็เลยไปถามพระเจ้าว่า …

“ที่ให้ผลักก้อนหินเดิมทุกวัน มาเป็นเวลานานแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ให้ไปผลักทำไม?”

พระเจ้าตอบว่า … “ใครบอกเจ้าว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มองให้ดีๆ ลองดูสิ ให้ไปดูที่กระจก”

เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ? แทนที่เขาไปดูที่หิน เขาไปดูที่กระจก เขาเห็น …

“ลองดูร่างกายของเจ้า ดูแขนขาของเจ้าสิ ตอนนี้มันแข็งแรงมากขนาดไหน?”

ผลักทุกวันๆ สมมติว่าผลักมา 5 ปีแล้ว กล้ามแข็งแรงขึ้นเยอะเลย …

“จากนี้ต่อไป เจ้าสามารถทำอะไรมากขึ้นได้ เพราะเจ้าแข็งแรงขึ้น สามารถยกของได้มากขึ้นอีก เห็นไหม? เจ้าเจริญเติบโต”

เหมือนหนังกำลังภายใน เคยดูหนังกำลังภายในไหม? ที่อาจารย์บนภูเขา ที่มาสอนวิชาบู๊ตึ๊ง กำลังภายในที่สุดยอดกระบี่ อะไรแล้วแต่ เด็กหนุ่มคนนี้ถูกเรียกขึ้นไปฝึก ดีใจมากเลย อาจารย์รับเราเป็นศิษย์ ฝึกเราเป็นจอมยุทธ ในอนาคต ขึ้นเขาไป ดีใจมากเลย  จะไปเรียนจอมยุทธ ปีแรกทั้งปี อาจารย์บอกว่าไปตักน้ำขึ้นมาให้อาจารย์ใช้หน่อย ล้างหน้าล้างตาทุกเช้า กุฎิอยู่ยอดเขา ตักน้ำข้างล่าง แล้วก็แบกขึ้นมา แรกๆ ก็ดีใจ  กะว่าแบกสักอาทิตย์หนึ่ง เดี๋ยวก็ได้เรียนแล้ว ปรากฏว่าแบกไปทั้งเดือน

“อาจารย์สอนหรือยัง?”

“รอไปแป๊บหนึ่ง”

ก็แบกน้ำต่อไป แบกไปเรื่อยๆ เป็น 3 ปี ก็ไม่ได้สอนสักที

“โอ๊ย! ไม่เอาแล้ว ไม่เห็นทำอะไรเลย ทุกวันมีแต่แบกน้ำๆ”

อาจารย์บอก … “โอเค ถึงเวลาสอนวิทยายุทธแล้ว”

ทำไมถึงเวลาสอน

“เจ้าดูนะ ดูให้ดีๆ ขณะที่เจ้าแบกน้ำมา ขึ้นบันไดภูเขา”

บันไดบนภูเขา มันเป็นหินวางๆ ไว้ใช่ไหม? สองข้างทาง ก็จะมีต้นไม้ วัชพืชขึ้นอยู่

“เจ้าเห็นไหมว่าอาจารย์รอจนกว่าต้นไม้ข้างทางจะตายหมด ถ้าต้นไม้ข้างทางตายหมด ก็ถึงเวลาที่เจ้าจะฝึกได้”

เพราะตอนแบกขึ้นไปใหม่ๆ ไม่แข็งแรง มันก็แกว่งไปแกว่งมา น้ำก็หก มันหก ก็รดน้ำต้นไม้ทุกวัน ดอกขึ้นสวย พอเริ่มแข็งแกร่ง เดินนิ่ง ขาแข็งแกร่ง แบกน้ำขึ้นมา น้ำไม่หกเลย พอน้ำไม่หก ต้นไม้ข้างทาง มันไม่ได้น้ำ มันแห้งตายหมด ถึงเวลาแล้วที่จะฝึกวิทยายุทธได้ เพราะแข็งแกร่งขึ้น รีบร้อนไม่ได้

นี่คือขบวนการ เพราะฉะนั้น เราจะสังเกตได้ว่าอะไรที่เกิดขึ้น เมื่อใช้เวลานาน 3 ปีของศิษย์คนนี้ หรือ 3 ปีของชายคนนี้  ที่พระเจ้าบอกให้ไปผลักหิน ก็คือความอดทนเท่านั้นเอง อดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ความอดทนทำตามที่พระเจ้าบอก  ความอดทนทำตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ในข้อ 6 ว่า … “ในทุกสถานการณ์ จงทูลขอทุกสิ่งกับพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ”

ให้ทำไปเรื่อยๆ ทำอย่างนี้ไปกี่ปี? ไม่รู้ ทำแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย เคยถามไหม? ถาม ทุกคนถามอยู่ในใจ ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย การกระทำเช่นนี้ ก็เหมือนการผลักหินของชายที่เล่าเมื่อสักครู่นี้ ก็เหมือนศิษย์บู๊ตึ๊งที่เล่าเมื่อสักครู่นี้ ที่อยากจะรีบเรียนวิชากระบี่ไร้เทียมทาน ผลักหินทุกวัน โดยไม่รู้ว่าทำไปทำไม? แต่พระเจ้าบอกให้ทำ ก็ทำไป สุดท้ายก็เกิดผล ตามที่พระเจ้าวางไว้ ไม่ใช่ตามที่เราคิด พระเจ้าบอกให้เราทูลขอทุกสิ่งจากพระเจ้าใช่ไหม? ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน อ้อนวอน พร้อมกันการขอบพระคุณ นี่เห็นชัดเลย อธิษฐาน อ้อนวอน … อ้อนวอน แปลว่านานๆ อธิษฐานบางทีอาจจะจบได้  อธิษฐาน วิงวอน คือแปลว่านาน ยาว เมื่อไร? เป็น 10 ปี 20 ปี ก็ได้ ไม่รู้ พร้อมด้วยการอดทนรอ และจบด้วยความหวัง ความหวังก็มาพร้อมกับการขอบพระคุณนั่นเอง เราก็ทำไป แล้วผลที่ได้รับคืออะไร?

ผลก็คือข้อ 7 ก็เกิดขึ้น วิชาตัวเบา วิชากระบี่ไร้เทียมทาน ฝึกจนกระทั่งเกิดขึ้น ข้อ 7 ที่บอกว่า … “แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” แล้วสมอ ก็จะค่อยๆ เข้มแข็งขึ้น เล็กๆ แล้วก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นๆ มันเข้มแข็งขึ้น  มีหลักยึดแน่นมากขึ้น แล้วเจ้าสมอหลักนี้ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ คือท่านก็จะโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ  ที่เมื่อพายุอะไรต่างๆ มา ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ เป็นเรื่องธรรมดาต่างๆ นานา สำหรับมนุษย์ทั่วไป  ที่จะต้องหวั่นไหว ท่านก็จะไม่หวั่นไหว ท่านก็จะนิ่งได้ พระเจ้าก็จะสามารถใช้ท่านในงานของพระองค์ได้ เหมือนที่ใช้เปาโล ใช้พระเยซูคริสต์ ใช้สาวกและคนอื่นๆ อีกมากมาย ใช้ด้วยวิธีนี้แหละ ที่พระเจ้าบอกว่า …

“พระคุณของเราก็เพียงพอสำหรับเจ้า ในขณะที่เจ้าทนทุกข์อ่อนแอ ฤทธิ์เดชอำนาจของเราจะแสดงออกมากขึ้น  จากในตัวของท่านออกมามากขึ้น  ในขณะที่เจ้าอ่อนแอ ในขณะที่เจ้าหมดแรง ในขณะที่เจ้าทนทุกข์ได้”

ผมก็ไปค้นตรงนี้มาได้ว่า … คำว่า “สันติสุขของพระเจ้า” ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ มันหมายถึงอะไร? เพราะบางครั้ง ผมก็อยากจะรู้จริงๆ ว่าสันติสุขที่เราอยากได้กัน ที่พระเจ้าสัญญา  ที่เปรียบเหมือนกับชัยชนะเหนือโลกนี้แล้ว มันคืออะไร? อยากรู้ว่าภาษาเดิมตรงนี้ มันหมายถึงออะไร? สันติสุขหมายถึงลอยๆ หรืออย่างไร? นิ่งๆ หรืออย่างไร?  อยู่ในห้องเงียบๆ หรืออย่างไร?

สันติสุขตรงนี้ ในพระคัมภีร์ฉบับเดิมที่เขาแปลโดยตรง มาจากภาษาเดิมเลย  ภาษากรีก มีอธิบายไว้อย่างนี้ สันติสุขนี้หมายถึงความคิดจิตใจท่านสงบ เพราะมีความมั่นใจในความรอด ที่ท่านได้รับมาแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งส่งผลให้ท่านไม่กลัวสิ่งใดๆ อีกแล้ว และทำให้ท่านมีความพึงพอใจในทุกสิ่ง ที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ เอเมน

มิน่า เปาโลจึงมีสันติสุขนี้ เผชิญกับทุกสิ่งได้ เข้าใจแล้วสันติสุขนี้ ไม่ได้แปลว่านั่งอยู่ในห้องเงียบๆ ไม่ได้หมายถึงสันติสุข ที่เราต้องเข้าไปอยู่ในป่าคนเดียว ไม่ใช่ สันติสุขท่ามกลางการทำงานวุ่นวายไปหมด เยอะแยะในโลกใบนี้  แต่ความคิดจิตใจเรานิ่ง ไม่กลัวต่อสิ่งใดๆ อีกแล้ว และทำให้ท่านมีความพึงพอใจในสิ่งที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอะไร? ไม่ว่าจะเป็นนักโทษ เปาโลก็มีความชื่นชมยินดี มีสันติสุข ไม่ว่าจะเป็นอิสระ เป็นเจ้านายเขา ก็มีสันติสุขนี้ พอจะมองเห็นภาพไหมครับ? ไม่ว่าจะไปอยู่ในงานเลี้ยงของผู้เชื่อที่เชิญอาจารย์เปาโลไปเลี้ยงข้าวและอธิษฐานด้วยกัน ที่บ้านผู้เชื่อที่มีฐานะดี หรือจะถูกเขาเอาหินขว้าง แล้วก็ลากออกไป เหมือนคนตายแล้ว  หรือถูกเฆี่ยน  แล้วก็จับโยนเข้าคุก ยินดีเท่ากัน นี่คือสันติสุข อันนี้ ที่เปาโลกำลังพูดถึง และเรามีสิทธิ์ได้รับ โดยพระเจ้าจะนำเราไปแบบนี้ เหมือนกัน

ความหมาย ก็คือถ้าเราอดทน ตามที่พระคัมภีร์สอนไว้ในข้อที่ 6 ที่ตะกี้ เราเรียนด้วยกัน ผลที่จะได้รับ ก็คือสันติสุขของพระเจ้าที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจ จะเกิดขึ้นในความคิดจิตใจของเรา สันติสุข ตามความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ คือความสุขสบายทางกาย ความมั่งมี สุขภาพแข็งแรง ชีวิตราบเรียบ ไม่มีอุปสรรคใดๆ เลยใช่ไหม? นี่คือความสุข หรือสันติสุขที่มนุษย์ทั้งหลายคิดว่าเป็นอย่างนี้ และแสวงหาอย่างนี้  อย่าไปแสวงหาเลย ซึ่งมันไม่มีจริงในโลกใบนี้ มันไม่ใช่ไม่ได้นะ มันไม่มีจริง อยู่บนโลกใบนี้แบบความสุขตลอดไป ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก แม้แต่นิดเดียวเลย ทั้งกายและใจ มันเป็นไปไม่ได้  เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครมาหลอก ตราบใดที่อยู่บนโลกใบนี้ แม้ว่าจะเชื่อพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว แต่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็อย่าไปหวังตรงนี้เลย มันเป็นไปไม่ได้ มันถูกหลอก ใช้นามพระเยซูมายิ่งถูกหลอกมากใหญ่เลย  ก็เลยไม่ได้สันติสุข แทนที่จะได้รับ

เพราะฉะนั้น มนุษย์คนใดที่แสวงหาสันติสุข ตามความคิดของตนเอง แบบโลก ก็จะไม่มีวันได้รับสันติสุขแบบพระเจ้าเลย  ไม่มีทางเลย  และก็ไม่ได้รับสันติสุขแบบโลก เพราะมันไม่มีจริง มันถูกโลกหลอกว่ามี มันไม่มี ไม่ใช่ว่าไม่มาเชื่อพระเจ้า  ไม่ได้รับสันติสุขแบบพระเจ้า แต่ไม่ได้รับสันติสุขแบบโลก มันไม่มีไง มันถูกหลอก บางคนบอกความสุขแบบโลก ความสุขแบบพระเจ้า ฟังดูเผินๆ เหมือนให้เราเลือกข้าง  จริงๆ มันมีข้างจริงๆ ท่านจะมีสันติสุข มีความสุขในพระเจ้า หรือไม่มีเลย หรือจะถูกหลอกว่ามีสันติสุข มีความสุขบนโลก มันหลอกเราว่ามี มันไม่มีจริง พระคัมภีร์จึงบอกว่าอย่าให้เราถูกหลอก ล่อลวงให้ไปทางโลก ให้ไปอยู่ทางฝ่ายโลก อย่าไปมองทางฝ่ายโลก มิได้หมายถึงพระคัมภีร์ต้องการให้เราไปมีความสุขแบบโลก ไม่ใช่ แต่ถูกหลอกว่ามีความสุขแบบโลก มันไม่มีจริงๆ ย้ำอีกทีว่ามันไม่มีจริงๆ  พูดง่ายๆ ว่าอย่าถูกหลอกนั่นเอง

พระคัมภีร์จึงใช้คำนี้ ถูกหลอก เพราะมารมันมาเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย หลอกลวง แต่สันติสุขของพระเจ้าที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ ตามที่อธิบายเมื่อสักครู่นี้ว่าคือสภาวะจิตใจที่สงบ มั่นใจในความรอด ในการอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เราอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว มีความพอใจในทุกสิ่งที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  นี่คือสันติสุขในองค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระเยซูคริสต์  ในพระองค์ และมีอยู่จริงๆ และเป็นไปได้จริงๆ เท่านั้น

กลับมาที่ข้อ 8 บอกว่า “จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ  หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ  คือสิ่งที่จริง  สิ่งที่น่านับถือ  สิ่งที่ถูกต้อง  สิ่งที่บริสุทธิ์  สิ่งที่น่ารัก  สิ่งที่น่ายกย่อง”

ตรงนี้ ก็คือผลของการเจริญเติบโต ทำให้เกิดความคิดจิตใจ ที่เป็นไปตามความคิดของพระคริสต์ ที่เป็นตัวของเราจริงๆ ก็คือความคิดแบบพระคริสต์ ที่พระเจ้าได้สร้างเราขึ้นใหม่ ตอนที่เราเชื่อในพระเจ้า และได้บังเกิดใหม่นั่นเอง  ให้ตัวตนที่แท้จริงของเราดำเนินออกมา เป็นผลของพระวิญญาณ ที่สถิตอยู่ในเรา และความคิดจิตใจที่เราได้เกิดใหม่ และได้รับการฝึกฝนจากพระเจ้ามาตลอดนั่นเอง  เห็นไหม? จะกี่ปีไม่รู้ ค่อยๆ ฝึกฝนมาทีละนิดๆ ไม่ใช่มาเชื่อพระเจ้าวันนี้ อาทิตย์หน้าเจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ  มันต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ซึ่งการฝึกฝนเหล่านี้  ผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

เหมือนเทรนเนอร์ที่เขาไปฝึกคนไปออกกำลังกาย ฝึกเล่นกล้าม เขาต้องใช้ระยะเวลา เป็นโปรแกรม 3 เดือน 6 เดือน ปีหนึ่ง ค่อยๆ ทำไป  ทำวันเว้นวัน หยุดพักบ้าง  เร่งทำทุกวัน ก็จะบาดเจ็บ หนักกว่าเก่า พักบ้าง พอพักเสร็จปุ๊บ ก็เริ่มเล่นใหม่ ตอนเล่น มันทำความทุกข์ยากลำบากให้เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อ สมมติเราต้องการให้กล้ามเนื้อตรงแขนมันใหญ่ วิธีทำให้มันใหญ่ ก็คือทำให้มันเกิดความทุกข์ยากลำบากกับกล้ามเนื้อตรงนี้  ไม่เกี่ยวกับขา ขาก็เล็กเรียบ ลีบเหมือนเดิม ไม่เจริญเติบโต แต่เราจะทำตรงนี้ อย่างเดียว  สมมตินะ ตรงแขนทุกวัน ยกมันทุกวัน ใช้กล้ามเนื้อ ตอนที่ยก คือความทุกข์ยากลำบาก ที่ทำให้เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อตรงนี้ กล้ามเนื้อตรงนี้มันก็เหนื่อย แล้วก็ปล่อยให้มันพัก แล้วก็ทำใหม่ พัก ธรรมชาติก็จะสร้างกล้ามเนื้อตรงนี้ ให้เข้มแข็งขึ้น ใหญ่ขึ้น ฉันใดฉันนั้น ทางโลกวิญญาณก็เช่นเดียวกัน ผ่านความทุกข์ยากลำบาก เข้ามาในชีวิต วิญญาณและความคิดจิตใจ เราก็จะเป็นผู้ใหญ่ในทางวิญญาณ

และวิธีการคืออะไร? ทุกคนคงถาม ผ่านความทุกข์ยากและความลำบาก แล้ววิธีการคืออะไร? คืออธิษฐานไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ แล้วรอให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้น แค่นั้นหรือ? ทำอย่างไรถึงจะได้สันติสุขนี้ ก็คือการเดินเข้าไป ไม่มีทางอื่น อธิษฐานกับพระเจ้าขอให้สบายๆ ได้ไหม?  พระเจ้าทรงทราบดีกว่าช่วงไหน ช่วงพัก ช่วงไหนช่วงฝึก เหมือนเทรนเนอร์ที่ดี … เทรนเนอร์ที่ดีจะรู้ว่าจันทร์ พุธ ศุกร์ ยกน้ำหนัก 1 ชั่วโมง อังคาร พฤหัส เสาร์ไปเดินเล่นซะ หลอกกันไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าพักเท่าไร? และเอาความทุกข์ยากลำบากไปเท่าไร?  พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน

วิธีการ คือข้อที่ 9 ที่บอกว่า … “ทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้  ได้รับ  ได้ยินจากข้าพเจ้า  หรือได้เห็นจากข้าพเจ้า  จงนำไปปฏิบัติ  และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะสถิตกับท่าน”

ก็คือทั้งหมดนี้  ผ่านกระบวนการเป็นระยะยาว และต้องผ่านประสบการณ์ คือต้องเข้าไปจริงๆ ไม่สามารถว่าจันทร์ พุธ ศุกร์ เทรนเนอร์บอกให้ยกน้ำหนัก 1 ชั่วโมง เข้าไป ไปนั่งมองลูกตุ้มน้ำหนักจนครบชั่วโมง เคลื่อนออกมา อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่มีประสบการณ์ ประสบการณ์หมายถึง 1 ชั่วโมงเข้าไปในยิม แล้วทำตามนั้น ยกน้ำหนักขึ้นมา ต้องเหนื่อย ต้องปวด  ต้องเจ็บ ในทางพระเจ้าก็ต้องเหมือนกัน คือต้องผ่านประสบการณ์ วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า สำคัญอันต่อไป คือครั้งแล้วครั้งเล่า  ประสบการณ์การเข้าไปสู่ความทุกข์ยากลำบาก ครั้งแล้วครั้งเล่า วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า กว่าคนๆ นั้นจะอธิษฐานกับพระเจ้าได้ว่า …

“พระเจ้าขอทรงอภัยให้กับเขาเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป”

ท่านคิดว่าก่อนหน้านี้ จะเป็นอย่างไร? ท่านคิดว่าเปาโลต้องผ่านประสบการณ์เยอะขนาดไหน จนกระทั่งเปาโลสามารถอธิษฐานว่า …

“อภัยให้เขาเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป?”

จากเปาโลที่เคยยืน และเห็นด้วยกับการเอาหินขว้างคนตาย หรือเดินทางไปจับคริสเตียนมาลงโทษ ขังคุก ทรมาน เปลี่ยนมาเป็นรัก และสามารถอธิษฐานกับพระเจ้าแบบนี้ได้ ท่านคิดว่าต้องใช้ประสบการณ์กี่ปี? นานเท่าไร?  แม้ว่าการเชื่อพระเจ้าวันแรกเลย เราก็บังเกิดใหม่แล้ว รับเชื่อปุ๊บ พูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาป เป็นพระเจ้า และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แค่นั้นเราก็ได้บังเกิดใหม่ใช่ไหม? เราเชื่อจริงๆ เราจึงเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้วก็จริง  แต่การปฏิบัติตัวบนโลกใบนี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันก็จะเริ่มต้นค่อยๆ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เปลี่ยนปุ๊บ ทันทีเหมือนกับพระวิญญาณ ไม่ใช่ มันต้องใช้เวลา

หว่านความเชื่อ หว่านความหวังในข่าวดีนี้ลงไปที่ในพระคริสต์ ในสวรรค์สถาน ที่ทำให้เราสามารถเข้าไปสู่หลังม่าน คือการเข้าไปสู่การทรงสถิตของพระเจ้าได้  ตรงนี้จึงเป็นหลักยึดแน่นของความคิดจิตใจของเรา เป็นความหวังของเราที่ไม่โครงเครง และตัวนี้เป็นตัวที่ทำให้เราสามารถที่จะยืนหยัดได้ แม้ว่าลมพายุจะพัดแรงขนาดไหนก็ตาม และมันจะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป  หลักนี้ก็จะเข้มแข็ง จะค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สมอก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ให้เราเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะสามารถต้านพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาได้มากขึ้นเท่านั้น พระเจ้าก็จะสามารถใช้ชีวิตเราได้มากขึ้นเท่านั้น ทุกคนก็จะประจักษ์เห็นพระเจ้า เห็นพระเยซูที่สถิตอยู่ในเรา ออกมาจากการกระทำชีวิตของเราที่ไปกระทบกับผู้คนรอบข้างทั้งหมด ได้มากขึ้นเท่านั้นนั่นเอง พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2020 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  พฤศจิกายน  2020

 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”  ตอน 1

โดย  นคร   เวชสุภาพร

 

เรามาเริ่มต้นคำบรรยายในวันนี้ มาเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้ากัน ถ้อยคำวันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอีกเหมือนกัน เป็นเรื่องที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงทุกแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะใกล้ถึงสิ้นปี ทุกคนก็จะคิดย้อนเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดทั้งปีที่ผ่านมาว่ามีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างปีที่ผ่านมาบ้าง

ทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง เกิดขึ้นกับคนรอบข้าง เกิดขึ้นกับประเทศ เกิดขึ้นทั้งโลก โดยเฉพาะปีที่ผ่านมา เราเรียนรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น บนโลกใบนี้บ้าง เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเพียงไรในเรื่องของโควิด เบอร์หนึ่งแล้ว โควิดมาปลายปที่แล้ว แต่มันส่งผลมาปีนี้ นอกจากโควิด มีเรื่องอื่นอีก เรื่องภายในประเทศ ความวุ่นวายของทั่วโลก เศรษฐกิจการเงิน การทอง การสู้รบ สงครามทางด้านเศรษฐกิจ สงครามทางด้านยุทธศาสตร์ ยุทธการก็มี เยอะไปหมดเลย

มีเว๊บไซด์อยู่แห่งหนึ่ง เขาทำสำรวจว่าถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ข้อไหนถูกใช้มากที่สุดในการบรรยาย ในการเทศนาในปีนี้ ทั่วโลกนะ ลองทายในใจว่าความยุ่งยาก หรือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ทั้งหมด ในคริสตจักรส่วนใหญ่ เขาเทศน์กันเรื่องอะไรมากที่สุด? คำตอบก็คือถ้อยคำในหนังสือยอห์น 16:33 ที่บอกไว้ว่า …

ยอห์น 16:33 “เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่าน  เพื่อพวกท่านจะได้มีสันติสุขในเรา  ในโลกนี้  พวกท่านจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก  แต่จงชื่นใจเถิด  เราได้ชนะโลกแล้ว

 

นี่เป็นถ้อยคำพระเจ้า จากพระคัมภีร์ที่มีการเทศนากันมากที่สุด ใน 1 ปีที่ผ่านมานี้  แต่พระคัมภีร์ข้อนี้ ถูกหยิบยกขึ้นมาสอนในช่วงนี้ ก็สะท้อนให้เห็นว่าประชากรในโลกใบนี้ ในขณะนี้ กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเราก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นจริงตามนั้นจริงๆ ตั้งแต่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ  โควิด-19 กระทบไปทั่วหน้า  ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือไม่เป็นคริสเตียน  จะทำเลวหรือทำดีอะไรก็ตาม โดนไปทั่วหน้าทั้งหมด ทั้งโลก ยังไม่หยุดเลยนะ แต่ละเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้นที่กระทบ อย่างเช่นกระทบ เรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องจากโควิด เราอาจจะไม่ได้เจ็บป่วย  ไม่ได้ติดเชื้อ แต่เราก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ การเงิน การอยู่ ลำบากลำบน ผลของการทำมาหากิน ลำบากลำบน การเดินทาง ความเครียด วุ่นวายไปหมดทุกอย่าง เดินทางไปไหนก็ลำบาก เหมือนทั้งโลกติดอยู่ในคุก ทุกคนอยู่ในเรือนจำหมด  แต่เป็นเรือนจำที่ใหญ่หน่อยเท่านั้นเอง ดูเหมือนมีอิสระ แต่ไม่มีอิสระ มันก็ลามไปถึงสุขภาพของจิตใจ ร่างกาย

สรุปแล้วก็คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ที่พระเยซูบอก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้พิเศษเลย  ความทุกข์ยากลำบาก มันไม่ได้มีเฉพาะเดี๋ยวนี้  บางคนบอกยุคนี้เป็นยุคที่ความทุกข์ยากลำบากมากมาย ทุกคนก็พูดอย่างนี้ มาทุกยุคทุกสมัย ถ้าถามอาดัมและเอวาได้ ตั้งแต่ยังไม่มีลูกคนแรกเลย ผมว่าเขาก็พูดเหมือนเราพูดทุกวันนี้ ความทุกข์ยากลำบาก ทำไมเป็นเยอะอย่างนี้ ในยุคนี้ ยุคไหน? ยุคที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป ความสาปแช่ง โรคภัยไข้เจ็บเริ่มต้นแล้ว มีมาแล้ว ตั้งแต่อาดัมและเอวาล้มลงในความบาป  โลกวิปริต ถูกสาปแช่งไปแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนก็พูดคำนี้แหละ …

“มันลำบาก ลำบนจริงๆ ยุคนี้”

เพราะว่าแต่ละคน ก็พูดในแต่ละยุคของตัวเอง ยุคเมื่อ 2,000 ปีก่อน ยุคที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ มาประกาศข่าวดี นั่นก็ทุกข์ทรมาน อยู่ใต้อำนาจของโรมัน มีแต่เรื่องราวเยอะแยะมากมาย โรมันก็แสวงหาอำนาจ เที่ยวไประรานประเทศต่างๆ นำมาเป็นเมืองขึ้น เป็นทาสเขา อะไรต่างๆ เหล่านี้  ยุ่งไปหมด เชื้อโรค โรคภัยไข้เจ็บ โรคเรื้อนก็เต็มไปหมด หนักกว่าโควิดปัจจุบันอีก เขาก็พูดแบบนี้ตอนนั้น ตอนนี้เราก็พูดแบบนี้

“โควิดหนักกว่า”

สรุปแล้ว มันก็หนักเท่ากันแหละ มันเหมือนกัน มันถูกสาปแช่งไปแล้ว แต่ดูมันเหมือนมากกว่า เพราะว่าคนมันเยอะขึ้น แต่ก่อนนี้อาจจะมีคนไม่เยอะขนาดนี้ ตอนนี้มี 7,000 ล้านคนทั่วโลก มันก็สับสนวุ่นวายมากขึ้น อีก 100 ปีข้างหน้า อาจจะมีเป็น 8,000 ล้านคน มันก็จะวุ่นวายมากขึ้นอีก เขาถึงเรียกว่าคนไง คน แปลว่าวุ่นวายสับสน ยิ่งคนเยอะ ยิ่งสับสนเยอะ

จากถ้อยคำเมื่อตะกี้ที่เราอ่านกัน ที่บอกว่า … “เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่ท่าน เพื่อพวกท่านจะได้มีสันติสุขในเรา”

พระเยซูบอก … “เราบอกท่านแล้วว่าโลกใบนี้ มันมีแต่ความทุกข์นะ ความลำบาก แต่ท่านจะมีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ พวกท่านจะต้องเผชิญความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เราได้ชนะโลกแล้ว”

พระเยซูกำลังบอกเราว่าพระองค์ได้ชนะโลกแล้ว ชนะความทุกข์ยากทั้งหมดเหล่านี้แล้ว แต่ว่ามันยังไม่สำเร็จ เสร็จขบวนการการชนะทั้งหมด โลกได้ถูกชนะไปหมดแล้ว มารได้ถูกตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว ระบบของโลกที่วิปริตเสียหาย ได้ถูกตัดสินไปแล้ว แต่มันยังไม่ Active มันถูกสั่งไปแล้ว แต่มันยังไม่ได้ปฏิบัติ ยังไม่ถึงเวลาปฏิบัติ เหมือนนักโทษที่ถูกสั่งว่านำไปประหารชีวิต

คำว่า “ประหารชีวิต” ถูกสั่งไปแล้ว โดยศาล แต่ขบวนการที่จะนำนักโทษคนนี้ไปยิงเป้า ไปทำลาย ไปนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า เพื่อประหารชีวิตยังไม่ถึงขั้นนั้น อาจจะต้องรออีกอาทิตย์ สองอาทิตย์ ทำเรื่องราวเอกสารให้พร้อมอะไรต่างๆ เหล่านี้

ในทำนองเดียวกัน โลกเหมือนกัน  พระเยซูชนะโลกแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วก็จริง คำพิพากษานั้น ได้พิพากษาเรียบร้อยไปแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามนั้นแล้ว โลกวิญญาณอันไหนทำได้ทำเรียบร้อยแล้ว อันไหนที่รอขบวนการ ก็ยังรออยู่ อย่างเช่นโลกใบนี้ ได้ถูกสั่งให้ยุบ สูญ ระบบนี้ได้ถูกขจัดออกไปเรียบร้อยแล้ว แล้วเตรียมระบบใหม่ไว้ให้เสร็จเรียบร้อย โลกใบใหม่เตรียมไว้แล้ว แต่รอเวลาทำขบวนการให้มันเสร็จ  มารได้ถูกสั่งให้ลงบึงไฟนรก เรียบร้อย ถูกขังในบึงไฟนรกเรียบร้อยแล้ว แต่รอขบวนการให้ถึงวันนั้นก่อน เพราะฉะนั้น โลกใบนี้ ก็ยังวุ่นวายอย่างนี้อยู่

ดังนั้น การชนะโลกของพระเยซู หมายถึงตรงนี้ กำลังจะบอกพวกเรา สำหรับคนที่ยังอยู่บนโลกใบนี้นะ รออีกแป๊บเดียว ก็จะมีโลกใหม่มาให้เราแล้ว แป๊บเดียว ศัตรูของมนุษย์ทุกคน คือมารซาตาน ก็จะถูกขังไปตลอดนิรันดร์ ไม่ได้มายุ่งอะไรกับเราอีกแล้ว เราก็สบาย ไม่มีมาหลอกให้เราทำผิด ทำบาปอีกต่อไป ให้เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกต่อไป

แต่ขณะที่ขบวนการนี้ยังไม่สำเร็จ  ก็ต้องอยู่ในความทุกข์ยากลำบากไปก่อน เพราะว่าโลกนี้มันยังอยู่อย่างนี้ ยังถูกสาปแช่งอยู่

วันนี้เราจึงจะมาเรียนรู้ มาตั้งหลักกันใหม่ว่าเราควรทำอย่างไร? เพื่อให้ได้รับตามสิ่งที่พระเยซูทรงสัญญาไว้ว่าแม้โลกนี้ เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก  วิปริต เสียหายต่างๆ นานา ทำอย่างไรเราจึงมีสันติสุข ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่เข้าใจ ที่พระเยซูสัญญาไว้นั้นได้

หัวข้อการบรรยายวันนี้ จึงมีชื่อว่า “มั่นคงไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” พูดกับตัวเอง …

“ทำอย่างไร ฉันถึงมั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”

ท่ามกลางโควิดมา ถามตัวเองสิว่าเรามั่นคงไม่หวั่นไหวไหม? ตอนที่ธุรกิจต้องหยุดไป เงินเดือนที่รับประจำ จากบริษัทลดเหลือครึ่งหนึ่ง เหลือครึ่งหนึ่งไม่พอ ตอนนี้เหลือ 20% มั่นคงไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากไหม?

หรือสุขภาพไม่ดี หมอตรวจแล้วพบโรคร้าย เรายังมั่นคง ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากหรือไม่?  ทำอย่างไรถึงจะมีความมั่นคง ชื่นชมยินดีในสันติสุข ในความหวัง ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์อะไร? เช่นไรก็ตาม ทำอย่างไรถึงจะทำให้เรามีความมั่นคง แบบที่กษัตริย์ดาวิดบรรยายไว้ในหนังสือสดุดี ซึ่งใครอ่านแล้วอยากได้ ซึ่งว่ากันตามจริง  สดุดี กษัตริย์ดาวิดพูดตรงนี้  เหมือนกับเผยพระวจนะ เหมือนกับเป็นเงาให้เรา  ในพระคัมภีร์ใหม่ได้รู้ว่าเมื่อเรามีพระเจ้าแล้ว มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ในสดุดี 16:8 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

สดุดี 16:8  “ข้าพเจ้าให้องค์พระผู้เป็นเจ้า  ทรงอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ  เพราะพระองค์ทรงประทับอยู่ที่ด้านขวามือของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว

 

คนที่เป็นคริสเตียน พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  เราสามารถพูดคำนี้ได้ไหมว่า …

“ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว พระเจ้าอยู่ที่ซ้ายมือของข้าพเจ้า”

ไม่ใช่ขวามือแล้วนะ  เพราะพระคัมภีร์ใหม่บอกเราเกิดใหม่พร้อมพระเยซู ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เบื้องขวาของพระเจ้า แสดงว่าพระเจ้าอยู่ที่ซ้ายมือของเรา เราสามารถพูดได้ไหมว่า …

“เพราะว่าพระเจ้าประทับอยู่ที่ซ้ายมือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว”

และจริงๆ ไม่ได้ประทับอยู่ซ้ายมือ  … “ประทับอยู่ข้างในของข้าพเจ้า ในตัวเลย ข้าพเจ้าก็ยิ่งจะไม่หวั่นไหว”

มันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ เราจะมาเรียนรู้กันว่าจะทำอย่างไรให้มันเป็นไปตามความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้แหละ ท่านจะได้ไม่หวั่นไหว คำว่าความทุกข์ยากลำบากที่เรากำลังพูดถึงนี้ ไม่ใช่แค่หมายถึงสภาวะลำบาก ในเรื่องการกินการอยู่เท่านั้น แต่รวมไปถึงปัญหาทุกอย่าง ที่เราพบเจอในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันรวมทั้งอะไรบางอย่าง ที่เรามองไม่เห็นด้วย เยอะแยะมากมาย เช่นปัญหาปากท้อง สูญเสียคนที่รักจากการทะเลาะวิวาท การขัดแย้ง นี่ความทุกข์ยากลำบากทั้งนั้นนะ สูญเสียคนที่รัก ยังพอมองเห็น เรื่องปากท้อง การกินการอยู่ยังพอมองเห็น เงินเดือนรายรับต่างๆ พอยังมองเห็น ทะเลาะวิวาทมองไม่ค่อยเห็น  ความขัดแย้งยิ่งมองไม่เห็น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาครอบครัว การไม่ได้ดั่งใจ นิสัยที่เราไม่ได้ดั่งใจ นี่ก็ไม่เห็น แต่มันทุกข์ไหมล่ะ ปัญหาเรื่องการเรียน ปัญหาเรื่องเพื่อนฝูง เยอะแยะไปหมด ปัญหาเรื่องจิตใจ ความเครียด ความวิตกกังวล ความกลัว นี่เป็นปัญหาทั้งนั้น

การอยู่บนโลกใบนี้ ความทุกข์ยาก ปัญหาที่พระเยซูบอก เราอย่าไปนึกถึงแค่การกิน การอยู่ โรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น แต่มันรวมอะไรอีกเยอะแยะมากมาย การไม่มีเป้าหมายในชีวิต การเบื่อหน่ายชีวิต อยู่ดีๆ มันเบื่อขึ้นมา นั่นก็คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้นะ

สรุปแล้ว ระบบของโลกใบนี้ มันต่อต้านกับมนุษย์ทั้งปวงเลย มันต่อสู้กับมนุษย์ทั้งปวง มันต้องการให้มนุษย์ทั้งปวง ทุกข์ยากลำบาก มีความทุกข์ มีความเศร้าโศก แล้วก็ไปสู่ความพินาศพร้อมๆ กับมัน ที่ควบคุมระบบของโลกนี้อยู่ ก็คือมาร แต่พระเยซูบอก เราชนะโลกนี้แล้ว พระองค์ก็จะทรงทำให้เรามีวิธีที่มีสันติสุข ท่ามกลางความพยายามของมารได้ คืออะไรก็ตามที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์ทางร่างกาย ทุกข์ทางจิตใจ ทั้งหมด ก็คือสถานการณ์ ความทุกข์ยากลำบาก  ที่เราต้องเผชิญในการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ตามที่พระเยซูบอกนั่นเอง ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องเจอแน่ๆ ไม่มีการเว้นแม้แต่คนเดียว ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ มากบ้าง น้อยบ้าง แต่เจอแน่ๆ รับรองได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คริสเตียนเจอแน่ๆ ผู้เชื่อเจอแน่ๆ จริงๆ มันเจอทุกคนแหละ ผู้เชื่อเจอแน่ๆ เพราะพระคัมภีร์บอกแล้วไงว่าขณะที่เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด ในอาดัม การเป็นทาสมาร ย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ คือในพระเยซูคริสต์ มาอยู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง อยู่ฝ่ายพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว แปลว่ากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในนี้ ทางโลกวิญญาณ ก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว ก็แสดงว่าเราย้ายเข้ามาอยู่ตรงกันข้ามกับอาณาจักรเดิม คืออาณาจักรของความมืด และความมืดกับความสว่าง มันเข้ากันไม่ได้อยู่แล้ว มันต้องต่อต้านกัน คำว่า “ต่อต้าน” มันคือการเป็นศัตรูกันนั่นเอง โดยตรงเลย

แม้ว่ามนุษย์ทุกคนไม่เชื่อพระเจ้า ก็พบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วก็ตาม แต่อย่างน้อย เขาก็ยังเป็นพวกเดียวกันกับความมืดนั่น พอเห็นไหมครับ แต่เป็นพวกเดียวกันกับความมืดในลักษณะการเป็นทาสเขา มันทุบตี เฆี่ยนตี แล้วมันไม่ได้จริงใจหรอก มันขโมย ฆ่า และทำลาย แต่คริสเตียนหลุดพ้นแล้วก็จริง แต่ในวิญญาณ เราเป็นศัตรูกับเขาแล้ว เป็นศัตรูกับระบบของโลกนี้ เป็นศัตรูกับโลกใบนี้เลย พระเยซูจึงบอกว่าโลกใบนี้ เกลียดชังเรา … “เรา” ในที่นี้ หมายถึงพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ และใครก็ตามที่อยู่พวกพระเยซู เราอยู่พวกใคร? ลองถามตัวเองว่าเราอยู่พวกใคร?

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะมีอะไรที่ยึดเหนี่ยว ที่จะเป็นกำลัง เป็นเรี่ยวแรงในพระเยซูคริสต์ ที่ให้เราสามารถเผชิญความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในการต่อสู้กับสงคราม กับศัตรูเหล่านี้ อะไรที่เป็นกำลัง เป็นฤทธิ์เดชให้กับเรา เพื่อเราจะได้มีสันติสุข ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่เราเห็นกันดาษดื่น เป็นเรื่องธรรมดานั้น

เราจะเริ่มต้นที่ฮีบรู 6:18-19 “18 ดังนั้น พระเจ้าได้ประทานให้เรา ทั้งจากคำสัญญาและคำสาบานที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่พระเจ้าจะพูดโกหก  19 ด้วยเหตุนี้ พวกเราที่ได้หนีมาพึ่งในพระองค์   จึงมีกำลังและมีกำลังใจอย่างเข้มแข็ง ที่จะยึดมั่นในความหวัง  ที่อยู่เบื้องหน้าเรา    ความหวังและความมั่นใจของเรานี้  เป็นเหมือนสมอเรือ  ที่มั่นคงและติดแน่นของความคิดจิตใจ  และความหวังนี้  ได้นำพาเราเข้าไปสู่หลังม่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์ คืออภิสุทธิสถาน  ซึ่งเป็นสถานที่ทรงสถิตของพระเจ้า”

 

ถ้อยคำนี้เขียนไปถึงผู้ที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อแล้ว ที่เป็นชาวยิว พื้นฐานชาวยิว จึงยกตัวอย่างอะไรบางอย่าง บางทีเราอาจจะไม่เข้าใจ แต่ว่าชาวยิวเข้าใจดี

ยกตัวอย่างเช่น ดังนั้น พระเจ้าได้ประทานให้เรา ทั้งจากคำสัญญาและคำสาบาน คือ 2 สิ่งนี้  เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์ตอนนี้ บอกให้เราผู้เป็นคริสเตียน มีความมั่นคง มีความมั่นใจ ในความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นคำสัญญา จากพระเจ้า ไม่ได้สัญญาว่าวันหนึ่ง จะส่งพระมาซีฮา คือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด มาช่วยท่านทั้งหลาย พระเจ้าไม่ได้สัญญากับชาวอิสราเอล แค่นั้น ซึ่งรวมทั้งผลมาถึงคนที่ไม่ได้เป็นอิสราเอลด้วย นอกจากสัญญาแล้ว พระองค์ยังทรงกระทำสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นพิธีการของชาวยิวในขณะนั้นที่ทำกัน เมื่อมีอะไรที่ถกเถียงขัดแย้ง หรือต้องการพูดอะไรให้มีความมั่นใจ สำหรับคู่กรณี หรือคนที่ฟัง ก็คือเขาจะพูด และเขาจะสาบานตามหลักการของพระคัมภีร์เดิม กฎเดิม ให้สาบานได้ โดยผู้ที่สูงกว่าเรา เขาเลยสาบานในนามของพระเจ้า

สมมติว่ามีการขโมย บอกว่า … “ฉันไม่ได้ขโมย”

เขาจะยืนยันมั่นคงว่า … “ฉันไม่ได้ขโมย ฉันสาบานในนามของพระเจ้า ฉันไม่ได้ขโมยจริงๆ”

อย่างนี้ นึกออกใช่ไหม? คนชาวยิว ก็จะรู้ว่าถ้าพูดตรงนี้เมื่อไร? เชื่อถือได้ มั่นคงแล้ว เขาสามารถสาบาน โดยใช้พระนามของพระเจ้า ซึ่งเขานับถือสูงสุด แต่พอมาถึงตอนนี้ พระเจ้าทำให้เขาได้เห็นชัดเจนว่าพระองค์ได้สัญญาว่าจะส่งคนมาช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์ และนอกจากนั้น พระองค์ยังสาบานด้วยพระนามของพระองค์ ไม่มีนามไหนใหญ่กว่าพระเจ้าอีกแล้ว พระองค์ทรงสาบานด้วยนามของพระองค์เองว่ามันเป็นจริง พระเยซูคริสต์ที่ส่งมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นจริง ในนี้ จึงบอกว่า 2 สิ่งนี้ ที่พระเจ้าได้ทำ ซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลง คือคำสัญญาและคำสาบานนี้ ได้พูดไปแล้ว โดยพระเจ้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างนั้นแน่นอน เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่พระเจ้าจะพูดโกหก

ด้วยเหตุนี้ พวกเราที่ได้หนีมาพึ่งในพระองค์ คือผู้เชื่อ หมายถึงผู้ที่หนีออกจากการเป็นทาสของมารซาตาน การเป็นทาสของอาณจักรแห่งความมืด หนีมาพึ่งพระคุณของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์มาสู่ความสว่าง มันหมายถึงตรงนี้ พวกเราที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้หนีมาพึ่งพระเจ้า จึงมีกำลัง และมีกำลังใจอย่างเข้มแข็งที่จะยึดมั่น ในความหวัง ก็คือในสัญญา ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ในพระเยซูคริสต์ ที่อยู่เบื้องหน้าเรา

สำหรับผู้เชื่อแล้ว  ความหวัง ก็คือความเชื่อของเราในข่าวดี ในความมั่นใจของเรานี้ เป็นเหมือนสมอเรือที่มั่นคง และติดแน่นของความคิดจิตใจ  ไม่ใช่ในความคิดจิตใจ ต้องเป็น “ของ” ความคิดจิตใจ  สมอเรือของความคิดจิตใจ จำแค่นี้ไว้ก่อน เป็นสมอเรือที่มั่นคงของความคิดจิตใจ และความหวังนี้ ก็คือความเชื่อในข่าวดีนี้ ได้นำพาเราเข้าสู่หลังม่าน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์ คืออภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ทรงสถิตของพระเจ้า แปลตรงนี้ให้ฟังก่อน

และความเชื่อในข่าวดีนี้ ได้ทำให้เราเข้าสู่สวรรค์แล้ว ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  เป็นลูกของพระเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์เหมือนพระองค์แล้ว มันหมายถึงแค่นี้  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายเราแล้ว โดยความเชื่อ ความหวังนี้ คือความเชื่อในข่าวดี

ที่เขาต้องใช้ความหวัง ก็เพราะว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วนั้น มันอยู่ในโลกวิญญาณ  มันยังจับต้องมองไม่เห็น แต่ความหวังนี้มีพื้นฐาน คือความเชื่อศรัทธา เพราะฉะนั้น ความเชื่อศรัทธาในข่าวดี ก็คือความหวังที่จับต้องมองเห็นได้ของสิ่งที่มองไม่เห็น  ความเชื่อศรัทธาในข่าวดี คือความหวังในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถาน ที่พระเจ้าได้ให้เราไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอด เราได้เกิดใหม่ในโลกวิญญาณ เข้าไปนั่งอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว แต่ถามว่าจับต้องมองเห็นได้ไหม? ไม่ได้ ภาษามนุษย์จึงเรียกว่ายังเป็นความหวัง แต่ไม่ใช่ความหวังธรรมดา เพราะเป็นความหวังที่ประกอบไปด้วยพื้นฐานที่เป็นความเชื่อศรัทธา ที่สามารถสัมผัสได้ด้วยโลกวิญญาณ ด้วยวิญญาณของเรา มันก็คือความเชื่อศรัทธาที่สามารถทำให้ความหวังที่มองไม่เห็นนี้ กลายเป็นความหวังที่จับต้องมองเห็นได้ เหมือนในหนังสือฮีบรู 11:1 ที่บอกไว้ว่า … “เดี๋ยวนี้ ความเชื่อปัจจุบันนี้ ความเชื่อ คือความหวังที่จับต้องมองเห็นได้ของสิ่งที่มองไม่เห็น”

พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ เป็นพระเจ้าที่ไม่โกหก เป็นพระเจ้าที่รักษาคำมั่นสัญญา  พันธสัญญาของพระองค์ทั้งหมด พระองค์รักษาไว้ ถามว่าความหวังใจทั้งหมดที่เราได้รับมานั้น เราสามารถมั่นใจได้ 100% ไหมว่าจะเป็นจริงตามนั้น พระเจ้าสัญญาอะไรไว้กับเราบ้าง? เรามั่นใจ 100% ไหมว่ามันเป็นตามนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ความหวังใจเรา คืออะไร? ที่พระเจ้าสัญญาไว้ พอนึกออกไหม? ถ้าท่านหวังผิด ในสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้สัญญา ท่านก็หลงทางไป ต้องรู้เลยว่าที่หวังใจในความเชื่อในพระเยซูนั้น พระเจ้าสัญญาไว้  และสาบานด้วยพระนามของพระองค์เอง และท่านเชื่อว่ามันเป็นจริงตามนั้นแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ท่านรู้ไหมพระองค์ทรงสัญญาอะไร? ท่านอย่าตู่ว่าสัญญาว่าอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ท่านจะแข็งแรง ไม่มีเจ็บป่วยเลย ไม่มีวันจนเลย เพราะพระเยซูบอกอยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะพบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้ว เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราจะสุขสบายบนโลกใบนี้ ไม่เจ็บป่วย ไม่ทุกข์ยากลำบากเลย ถูกต้องเลยใช่ไหม?

นั่นแหละ เราต้องรู้ว่าถ้าอย่างนั้น พระเจ้าสัญญาอะไรกับเรา พอนึกออกไหม?  จดจ่อ  จดจำ  จนขึ้นใจในพระสัญญาของพระเจ้า  จดจ่อ  จดจำ  จนขึ้นใจถึงสิ่งที่อยู่เบื้องบน สิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือสิ่งที่อยู่ในโลกวิญญาณ  ที่ไม่ใช่โลกใบนี้ สิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เราทั้งหลายก็อยู่ที่นั่นด้วย อย่าจดจ่อที่ฝ่ายโลก เห็นไหมถ้าจดจ่อที่ฝ่ายโลก ก็อยากจะมีความสุขบนโลกใบนี้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้  ก็ทุกข์ไปเปล่าๆ ถูกหลอก

ในโคโลสีบอกให้จดจ่อไปที่เบื้องบน ที่ซึ่งพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และท่านทั้งหลาย  ที่เกิดใหม่แล้ว  ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายของพระองค์ เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์ นั่งอยู่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน  นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว สัญญาว่าตรงนี้  และสัญญาจากนี้ไปเท่าไร? เยอะแยะไปหมดเลย ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็คือโลกวิญญาณ  พระเจ้าให้ท่านเป็นทายาทครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในการดูแลระบบของโลกใบนี้ทั้งหมดแล้ว  นี่ก็คือเกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณ ที่ท่านเป็นอยู่ในพระคริสต์ แล้วยังมีพระพรอีกนานัปการ ในพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้แล้ว บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ ท่านต้องไปเรียนรู้ แล้วก็จดจำ จดจ่อ จนขึ้นใจ ถึงพระพรเหล่านี้  คำสัญญาเหล่านี้ ท่านจึงจะได้รู้ว่าที่เราไม่หวั่นไหว เรามีความเชื่อที่มั่นคง ในคำสัญญาของพระเจ้า คำสัญญานี้คืออะไร? เราจะได้รู้ จะได้ไม่ถูกหลอก

เมื่อเรามีความมั่นใจ ในความหวังตรงนี้ นึกภาพนะ ถามว่าตรงนี้ตรงไหน?  คือตรงเบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน สั้นๆ แค่นี้ ท่านจะได้รู้ว่าจากสั้นๆ ท่านไปนึกในใจ ขยายเอง  ในจิตใจของท่าน ความคิดของท่าน  …

“ในเบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ฉันนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ฉันมีร่างกายใหม่ที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ววันหนึ่งข้างหน้า  ฉันจะอยู่บนโลกใบนี้ชั่วคราวเท่านั้นเอง โลกใหม่จัดเตรียมให้กับฉันแล้ว อะไรอีกหลายอย่างมากมาย พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์”

นี่คือความหวังใจของเรา  ความมั่นใจของเราอยู่ตรงนี้  ซึ่งก็จะเป็นพลัง เป็นกำลังที่เข้มแข็ง ที่จะนำพาเราเผชิญทุกสิ่งได้ ในนี้บอกว่าความหวังและความเชื่อ  ความมั่นใจตรงนี้ เป็นเหมือนสมอเรือ ที่มั่นคงและติดแน่นของความคิดจิตใจ

การเชื่อว่าอยู่ในสวรรค์แล้วตามพระสัญญาของพระเจ้า เมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เราได้เกิดใหม่ในวิญญาณ ถูกย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ถูกย้ายออกจากอาณาจักรอาดัม มาอยู่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ถูกย้ายจากการเป็นทาสของมาร มาเป็นลูกของพระเจ้า ถูกย้ายออกจากนรก มาอยู่ในสวรรค์สถานของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว และจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้นิรันดร์กาล  ตรงนี้คือความหวังใจของเราผู้เชื่อทั้งหลาย และมันเป็นเหมือนที่ปักของสมอเรือลงไป

ผมจะเล่าให้ฟัง สัปดาห์ที่แล้วผมได้ไปพักผ่อนที่ชายทะเล แล้วก็ได้มีโอกาสนั่งเรือออกไปเที่ยวทะเล ตอนที่เรือแล่นไป 1 ชั่วโมง มันก็โยกพอสมควร มันก็เมาเรือ พอสมควร ไม่เยอะเท่าไร? แต่พอไปถึงที่เขาจอด เมาคืออะไรเรารู้แล้ว มันโยกเยกๆ ยิ่งพอมีเรือใหญ่แล่นผ่านมา คลื่นมันก็ใหญ่ขึ้นอีก พอเรือใหญ่มา กัปตันเขาก็จะบอกว่า …

“ระวังนะครับ เกาะให้แน่นๆ”

จะรู้ทันทีว่าเรือใหญ่ผ่านมา มันจะทำคลื่นมากระทบเรา ที่เราโยกอยู่แล้ว ก็จะโยกหนักขึ้น ถึงขนาดต้องเกาะไว้ มีสิทธิ์โยกผลักเราตกลงน้ำได้ เพราะฉะนั้น ต้องเกาะไว้ดีๆ ยิ่งเมาใหญ่เลย แต่พอแล่นไปถึงที่หมายแล้ว ที่จะให้ลงเล่นน้ำปุ๊บ เขาก็จะเอาสมอเรือ ที่หนักแน่น ที่ดีๆ ที่มั่นคงแข็งแกร่ง โยนลงไปที่โขดหิน เขาจะเลือกที่ที่ตรงนั้น มีโขดหินอยู่ ที่มันสามารถเกาะแน่นได้ เขาก็จะโยนลงไปที่หิน สมอเรือมันก็จะไปเกาะที่หิน พอสมอเรือเกาะที่หิน ทันทีนั้น สมอเรือก็ช่วยให้เรือไม่โครงเครง ทำให้โครงเครงน้อยลง มันก็ไม่เมามากแล้ว มันก็อยู่กับที่แล้ว พอเรือใหญ่ผ่านมา มีคลื่นใหญ่มา เขาก็ไม่ต้องตะโกนว่า …

“จับไว้ๆ”

ไม่ต้องจับแล้ว เพราะว่ามันก็โครงเครงมากขึ้นไปอีกนิด สมอเรือมันก็อยู่นิ่งขึ้น ฉันใดก็ฉันนั้น ในนี้จึงบอกว่าเป็นเหมือนสมอเรือ ความหวัง ความมั่นใจว่าเราอยู่ในสวรรค์สถานแล้ว เราอยู่ในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พระเจ้าอยู่กับเรา  เราเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ในอภิสุทธิสถาน อยู่ในสวรรค์สถานอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ตรงนี้ คือศิลาที่กล้าแข็งในพระคริสต์

ความคิดจิตใจของเรา ก็คือเรือ … สมอเรือ ก็คือสมอของความคิดจิตใจของเรา ความคิดจิตใจของเราจะโดนคลื่นที่มารซาตาน หรือความทุกข์ยากลำบากของโลกใบนี้ส่งมา เอียงไปก็เอียงมา เมาเยอะ เมาน้อย ขึ้นอยู่กับว่าเราทิ้งสมอแล้วหรือยัง?  ถ้าเราไม่ทิ้งสมอ เราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ยิ่งโลเลๆ กระแสคลื่นของระบบของโลกนี้ ส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดจิตใจของเรา เราก็จะเซไปเซมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เรือใหญ่วิ่งผ่านมา มันจะสร้างคลื่นที่ใหญ่ขึ้น ยิ่งเรือใหญ่ คลื่นยิ่งใหญ่  พอมันพัดเข้ามาถูกเรือเรา เรือเราก็จะยิ่งโครงเครงหนักขึ้น มีสิทธิ์ที่จะกระเด็นตกลงไปเลย

พอเห็นไหม? มารก็ทำคลื่นโหมกระหน่ำมากขึ้น วันนี้ มันเอาเรือประมาณ 100 ฟุตมา คลื่นก็หนา 100 ฟุต ทำให้เราเวียนหัว แต่เรายังพอยืนหยัดอยู่ได้  เดือนหน้ามันก็จะส่งมาเป็นเรือลำ 200 ฟุต เพื่อจะสร้างคลื่นใหญ่ขึ้นมาอีก เพื่อจะโถมเข้ามา เพื่อให้เราตกเรือให้ได้

เรือ คือความคิดจิตใจของเรา ที่รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เข้ามา โยกไปโยกมา หวั่นไหวไป หวั่นไหวมา ผมถึงใส่หัวเรื่องว่า “มั่นคง ไม่หวั่นไหว”  ความคิดเราต้องมั่นคงไม่หวั่นไหว มั่นคงในไหน? มั่นคงในความเชื่อ ความหวังใจของเรา ที่อยู่ในพระคริสต์ คือตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ที่เหลือให้ความคิดไหลไปเอง ถ้าท่านคิดตรงนี้ขึ้นมาได้ปุ๊บ ที่ว่าพระเจ้าสัญญาอะไรให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปีมาแล้ว มีอะไรบ้าง? แค่ท่านใช้คำที่เป็นคีย์แค่นี้ว่า …

“ฉันอยู่ในสวรรค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว”

ปุ๊บ มันจะไหลออกมาอีกเยอะเลย

“ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ฉันไม่ได้เป็นทาสมาร ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว”

อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันจะไหลมาอีกเยอะ

และตรงนี้แหละ คือความมั่นคงในความเชื่อ คือหินผา คือก้อนหินที่หนักแน่น ที่อยู่ใต้ทะเล ที่ท่านจะเอาสมอของความคิดจิตใจท่านโยนลงไป ให้มันเกาะติดตรงนี้ให้ได้  ถ้าท่านเกาะติดโลกวิญญาณ ในพันธสัญญาของพระเจ้า  ที่พระเจ้าทรงสัญญาและไม่สัญญาธรรมดา สัญญาด้วยและ พระเจ้าสาบาน ไม่เคยได้ยินพระเจ้าสาบานเลยใช่ไหม?  พระเจ้าสาบานกับมนุษย์ครั้งเดียวว่าพระเยซูที่เราสัญญาไว้ว่า …

“จะส่งมาช่วยพวกเธอ วันหนึ่งเราจะส่งพระผู้ช่วยให้รอด มาช่วยพวกเธอ บัดนี้ส่งมาเรียบร้อยแล้ว ฉันสัญญาและสาบาน โดยพระนามของตัวฉันเอง เพราะไม่มีใครใหญ่กว่าฉันแล้ว ท่านยังไม่พอใจอีกเหรอ”

นี่คือความแข็งแกร่งของหินผาในพระคริสต์ ที่เราจะสามารถปัก โยน และก็เอาสมอไปปักอยู่ตรงนี้ให้ได้ ถ้าปักได้เมื่อไร? สบาย  ยังมีคลื่นไหม ถามจริงๆ มีคลื่นไหม? มี ตอนไปเล่นทะเล เขาโยนสมอลงไปแล้ว  สมอลงไปปุ๊บ คลื่นหยุดเลยเหรอ ยังมีคลื่นไหม? มี เรายังอยู่ในเรือไหม?  อยู่ เราออกจากเรือหรือยัง? ยัง คลื่นมันมีอยู่เหมือนเดิม แต่ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว ได้แค่เมานิดๆ โยกไปโยกมา เพลินๆ แต่ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว สมอเราแข็งแกร่งเท่าไร? ก็ยึดได้มั่นคงเท่านั้น เห็นภาพนะ

นี่คือสิ่งที่เปรียบเทียบให้เห็นว่าในพระคริสต์ มั่นคงแข็งแกร่งเท่าไร? พระเยซูบอก …

“บนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักร”

บนศิลานี้  คือในพระคริสต์นี้ เราจะสร้างคริสตจักร คือผู้เชื่อทั้งหลาย  ในพระคริสต์ เราจะสร้างคริสตจักรของเรา  และอำนาจของความตาย ก็คือคลื่นของความตาย คลื่นของความทุกข์ยากลำบากต่างๆ เหล่านั้น ที่มีอยู่บนโลกใบนี้นั้น มันไม่สามารถมีชัยชนะ เหนือคริสตจักรได้เลย  เพราะว่าเราได้ปักเขาลงไปในหินผาอันยิ่งใหญ่นี้แล้ว เขาแค่โครงเครงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง ในโลกนี้ ท่านจะพบกับความทุกข์ยากลำบาก พบกับความล่อลวงของมารต่างๆ นานา แต่จงชื่นชมยินดีเถิด เราได้ชนะโลกแล้ว ในยามทุกข์ยากลำบาก เราจะประทานสันติสุขให้กับท่าน ในยามที่คลื่นเข้ามา  ท่านสามารถอยู่ได้ ไม่ถึงขนาดอ๊วกแตก เวลาเมาจริงๆ อยู่ไม่ได้เลยนะ ขอโทษนะ ยิ่งกว่าอาเจียน มันอ๊วกแบบไม่มีอะไรจะอ๊วกแล้ว แต่ต้องอ๊วก เมา นอนก็ไม่หลับ ทำไมมันทุกข์ทรมานอย่างนั้น  เรือส่วนใหญ่จะมีสมอเดียว แต่บางลำก็จะมีสองสมอ แต่พวกเราไม่สามารถอยู่เรือลำเดียวกันได้ เพราะเรือของใครของมัน เราไม่สามารถเอาสมอของเราไปช่วยคนอื่นได้ เราต้องทิ้งสมอของตัวเราเองไป อย่าปล่อยให้มันลอยไปลอยมา แล้วก็สร้างสมอนั้นให้เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ก็คือความคิดจิตใจของถ้าจะปักให้แน่นมากขึ้นเท่าไร? ก็โยกน้อยลงเท่านั้น ซึ่งทำให้เรามีท่าทีต่อการเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ การเผชิญกับคลื่น พายุที่โหมกระหน่ำเรือของเรานั้น ได้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เราก็จะไม่หวั่นไหว ไม่ว่าคลื่นจะใหญ่เท่าไร? เราก็จะไม่เมาจนกระทั่งอ๊วกแตก สลบจนกระทั่งทำอะไรไม่ได้เลย เพราะว่าเรามีสมอใหญ่พอสมควร และปักอยู่ที่สำคัญ ไม่ใช่ปักอยู่ที่ทราย มันก็ลากไปด้วย  ทั้งสมอ ทั้งเรือไปด้วยกัน เขาต้องเลือกที่มันแข็งแกร่ง พื้นข้างล่างเป็นหิน  กัปตันเขาจะรู้ว่าตรงไหนเป็นอย่างไร?

ถ้าไม่มีสมอ ท่านลองคิดดูสิ พายุมา เรือไปไหน ไม่มีทิศทางเลยนะ เละตุ้มเปะเลย แล้วมันจะพาไปไหน? ท่านก็รู้อยู่แล้ว ดูหนัง ก็เคยเห็นใช่ไหม?  พายุจะพาพัดไปสะเปะสะปะเลย ยิ่งพัดแรง  ไปชนหินโสโครก ในที่สุดเรือแตก มารมันต้องการอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น เราต้องระมัดระวังตรงนี้ให้ดีๆ คือความคิดจิตใจของเรา จะมีสันติสุขได้ ต้องดูแลตรงนี้ให้ดีๆ

ทำอย่างไรถึงจะสามารถทิ้งสมอได้ดีที่สุด? ท่านคงคิดอย่างนี้ แล้วทำอย่างไร ฉันอยากจะทิ้งสมอ ทุกคนก็มีความคิดจิตใจ เหมือนเรืออยู่ แล้วคลื่นมันมาทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปิดไอโฟนมาเยอะเลย ไม่ค่อยจะเปิดเรื่องถ้อยคำพระเจ้าหรอก เปิดไอโฟนเมื่อไรยิ่งมีคลื่น ลม พายุทั้งนั้นแหละ ไม่ค่อยมีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ที่สำหรับเริ่มสมอเรือนี้เลย ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น เพราะมันล่อลวงเรามาก ไม่ได้ตำหนิใครนะ นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องจริงของระบบของโลกนี้ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นมาทุกยุคทุกสมัยแล้ว มันยั่วยวนให้เราเปิดเหลือเกิน

สมมติเราจะเปิดเพลงนมัสการ มันก็แนะนำเพลงอื่นมาเยอะแยะ แนะนำอย่างอื่นมาเยอะแยะ แล้วเราก็จะบอก เดี๋ยวเราแวะไปดูนิดหนึ่ง พอไป ก็จะไปเฉยเลย แรกๆ เริ่มจะไปเปิดเพลงนมัสการฟัง ยังไม่ทันฟังเพลงนมัสการ เลยไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ไปดูอันนั้นต่ออันนี้ ที่ที่เขาเสนอมา ถามว่ามันเสริมพายุหรือเสริมสมอเรือของเรา เห็นหรือยัง? มันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ท่านลองคิดในใจว่าทำอย่างไร? อยากจะให้มันแข็งแกร่ง แล้วจะได้ตามที่พระเยซูบอกว่ามีสันติสุขตรงนี้  ท่ามกลางพายุมันต้องมีอยู่แล้ว ทำอย่างไรถึงจะมีสันติสุขได้ ลองดูประสบการณ์ของผู้เชื่อ ที่เขาได้รับมาแล้ว  ผู้เชื่อใหม่นะ อาจารย์เปาโลไปดูแลผู้เชื่อใหม่ และสอนผู้เชื่อใหม่  และผู้เชื่อใหม่เหล่านี้เขาทำสำเร็จด้วย จนอาจารย์เปาโลให้ 100 คะแนน จากการทดสอบ และดูว่าชีวิตเปลี่ยนไปจริงๆ มีสันติสุขจริงๆ มีความมั่นคงในความเชื่อจริงๆ อาจารย์เปาโลจึงเขียนจดหมายไปแสดงความยินดีกับเขาว่า …

“ฉันดีใจเหลือเกิน พวกเธอตอนนี้สมอแข็งแกร่ง แข็งแรงมากเลย พายุโหมเท่าไร ก็ไม่อ๊วกแตก ไม่เมาจนกระทั่งเละเทะ ดีมากๆ ยอดเยี่ยมเลย ดูตัวอย่างนี้นะ คือพี่น้องที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ที่อยู่ที่โคโลสี ผู้เชื่อใหม่ทั้งนั้น โคโลสี 2:5-7

โคโลสี 2:5-7 “5 เพราะถึงแม้ตัวข้าพเจ้าไม่อยู่กับท่าน แต่ใจก็อยู่กับท่าน และดีใจที่เห็นว่าท่านอยู่กันอย่างเรียบร้อย และเชื่อมั่นคงในพระคริสต์ 6 ดังนั้น ในเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป 7 ด้วยการหยั่งราก และรับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ มั่นคงขึ้นในความเชื่อ ตามที่ได้รับการสอนมา และเต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ”

 

“เพราะถึงแม้ตัวข้าพเจ้าไม่อยู่กับท่าน” พออาจารย์เปาโลตั้งคริสตจักรตรงนี้เรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปที่อื่น เพื่อไปประกาศอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่อยู่จริง แต่ใจก็อยู่กับท่าน และดีใจ ชื่นชมยินดี ที่ได้เห็นว่าท่านอยู่กันอย่างเรียบร้อย อยู่ในกฎระเบียบของชุมชน คริสตจักร ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน และเชื่อมั่นคงในพระคริสต์ ความเชื่อของท่านแข็งแกร่ง ตรงนี้คือความเชื่อ ความหวังของท่านในพระคริสต์ ที่อยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ตอนนี้ แข็งแกร่งมาก อาจารย์เปาโลดีใจมากเลย

ดังนั้น เมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป ดีแล้ว ทำอย่างนั้นนะ ดำเนินชีวิตในพระเยซูคริสต์ต่อไป ด้วยการหยั่งราก และรับการก่อสร้างในพระองค์ ก็คือให้หยั่งรากลึกลงไปอีก ให้สมอนั้น ปักแน่นเข้าไปอีก บนหินใต้น้ำ ที่บอกว่าจะล็อคเรือลำนี้ไว้ ล๊อคความคิดจิตใจเราไว้ ล๊อคด้วยการหยั่งเอาสมอเรือของความคิดของเรา ลงไปในพระคริสต์ เพื่อจะได้รับการสร้างใหม่ในพระองค์ นิ่งเท่าไร ก็เจริญเติบโตเหมือนพระเยซูมากเท่านั้น สันติสุขก็มีมากเท่านั้น ไม่เมา ถ้าเมาอย่างที่ตะกี้บอก อ๊วกแตก มันเรียนอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว  แต่ถ้าไม่เมานะ ค่อยๆ เรียนรู้ไป ค่อยๆ เจริญเติบโต ค่อยๆ สามารถที่จะยืนอยู่ได้บนเรือที่โครงเครงบ้าง หรือบางครั้งโครงเครงหนักขึ้น ก็ยังพอยืนอยู่ได้ เพราะว่ามั่นคงแข็งแกร่งในสมอเรือนั้นแล้ว คลื่นใหญ่ขึ้นมา ก็ยังยืนได้ มันหมายถึงอย่างนั้น

ได้รับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระคริสต์ มั่นคงในความเชื่อ ตามที่ได้รับการสอนมา … เราจึงได้เห็นว่าความมั่นคงในความเชื่อ หรือในความหวังตรงนี้ มันต้องใช้เวลา ใช้ขบวนการ ไม่ใช่ว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว อัดมันเต็มที่เลย พรุ่งนี้ มะรืนนี้ จะได้แข็งแกร่ง สมอจะได้ใหญ่ขึ้น นิ่งขึ้น มันไม่ได้  มันต้องค่อยๆ เจริญเติบโต เหมือนเลี้ยงลูก ตั้งแต่ลูกแบเบาะ ค่อยๆ โตขึ้นทีละนิดๆ ไม่สามารถยัดให้กินข้าว กินเยอะๆ เลย เดี๋ยวปีหน้าจะได้โตเต็มที่เลย ไม่ได้มันก็ว่ากันไปตามธรรมชาติ การเจริญเติบโต ทางวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ก็เช่นเดียวกัน  การทิ้งสมอเรือของเรา ในความคิดของเรา ก็ลักษณะเดียวกัน ต้องเรียนรู้ทีละนิด ทีละหน่อย ผ่านทางการได้รับการสอนมาที่ถูกต้องกับถ้อยคำพระเจ้า คือความจริงของพระเจ้าในพระคัมภีร์ อย่างที่ตะกี้ผมบอก ถ้าท่านไม่ถูกสอนมาอย่างถูกต้อง ท่านไปหวังเอาในสิ่งที่พระเจ้าไม่สัญญา แล้วก็ไปหวังเอาๆ มันก็ผิดหวังแน่นอน มันก็ทุกข์ยากลำบากแน่นอน และมันไม่ใช่แค่นั้น แต่มันทำให้น้ำพระทัยพระเจ้า แผนการพระเจ้าที่เตรียมไว้ให้กับท่าน มันไม่สำเร็จ มันไม่เจริญเติบโต แผนการของพระเจ้า คือการก่อร่างสร้างขึ้นมาของวิญญาณของเรา ชีวิตของเรา ในพระคริสต์ให้เราเจริญเติบโต เหมือนพระคริสต์ เราจะไม่เหมือน เพราะเราไปหวังในสิ่งที่ผิดหวัง ที่คนเขาสัญญา ไม่ใช่พระเจ้าสัญญา พระสัญญาของพระเจ้าอยู่โลกวิญญาณ คนสัญญาบอกว่า …

“คุณจะต้องแข็งแรง คุณสร้างความเชื่อของคุณ คุณจะแข็งแรง คุณสร้างความเชื่อของคุณ คุณจะได้มีเงินเยอะๆ ไม่ขัดสน ไม่ขาดแคลน”

ใครบอก? ไม่รู้ แต่พระเจ้าบอกอย่างนั้นหรือ? ไม่ได้บอก …

“ถ้าท่านมีความเชื่อมากๆ ท่านจะไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ปัญหาในโลกใบนี้เลย”

ใครบอก? ไม่รู้ แต่พระเยซูบอกว่า … “ท่านจะมีความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดา”

มันต้องถูกสร้างบนความจริงนี้ แต่มันต้องเป็นขบวนการ และท่านเห็นไหม? ตรงนี้เขียนเป็นขบวนการ เกิดขึ้นด้วยวิธีใด?

“ตามที่ได้รับการสอนมา และเต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ” แปลว่าอะไร? อาจารย์เปาโลสอนตรงนี้อยู่เรื่อยๆ การเจริญเติบในพระคริสต์ การจะฝึกฝน หรือสร้างสมอให้ใหญ่ขึ้น ให้เข้มแข็งขึ้น โยนลงไปในทะเล ให้เกาะแน่นขึ้น  ต้องเป็นขบวนการ การผ่านความทุกข์ยากลำบาก แล้วท่านสามารถที่จะขอบพระคุณ เต็มล้น แปลว่าดี ขอบพระคุณ ไม่มีใครต้องฝึกหรอก ถ้าท่านได้รับสิ่งที่ดีๆ เข้ามา ไม่ได้ทุกข์เลย มีความสุขดี แล้วขอบคุณพระเจ้า เป็นเรื่องใครๆ ก็ทำได้ ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ก็ทำได้ อยู่ในอาดัมก็ทำได้ ถูกไหม? แต่ถ้าท่านได้รับสิ่งอะไรที่ไม่ดีเข้ามา เกิดความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาเข้ามา ท่านสามารถขอบคุณได้ เต็มล้นด้วยความขอบคุณได้ นี่แสดงว่าโตครับ โตทางวิญญาณ

นี่คือแผนการของพระเจ้า และทำให้คนที่สอน คนที่ดูแลอยู่ ก็คืออาจารย์เปาโลมีความดีใจ ที่เห็นว่าผู้เชื่อเหล่านี้ เจริญเติบโตแล้ว ฮาเลลูยา ไม่ใช่ขอบคุณพระเจ้า ดีใจจังเลย ดีใจอะไร?  ดีใจที่สมาชิกเราตอนนี้มีงานทำหมดเลย อยู่ท่ามกลางโควิดก็มีงานทำ มีรายได้เหมือนเดิม ดีกว่าเดิมด้วย อันนั้นก็ขอบคุณได้ มันไม่ยากนะ นึกออกใช่ไหม? มันไม่ยากที่ผมจะขอบคุณพระเจ้าอย่างนั้น ซึ่งก็ขอบคุณไหม? ก็ขอบคุณ ก็ดีใจด้วย แต่ผมจะดีใจมากกว่า เมื่อเห็นสมาชิกยิ้มแย้มแจ่มใส …

“ขอบคุณพระเจ้า เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ที่ร้านปิดมา 4 เดือนแล้ว ยังไม่มีรายได้ แต่ขอบคุณพระเจ้า เดี๋ยวพระเจ้าก็จะพาผ่านไปเอง แหะๆ ขอบคุณพระเจ้า”

ถามว่าใครก็ตามที่เป็นพาสเตอร์ที่นี่ หรือเป็นผู้ใหญ่ที่นี่ ถามสิว่าท่านจะดีใจกับฝั่งไหนมากกว่ากัน ไม่ใช่เลือกข้างนะ แต่กำลังจะพูดถึงว่าความดีใจ คนที่กำลังสอบอยู่ แล้วผ่านใช่ไหม?  กับคนที่ยังไม่ได้เข้าสอบ มันต่างกันนะ  คนที่สอบแล้วผ่าน เราดีใจมาก  เขาสอบ แล้วผ่าน แล้วเรามั่นคงแข็งแกร่งเลยว่าอนาคตเขาก็จะอยู่นิ่งมากขึ้น อย่างนี้ไง

นี่แหละ คือความหมายของคำว่า “สันติสุข ท่ามกลางปัญหา” หรือตามชื่อเรื่องที่บอกว่า “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความสุขสบาย พระพรต่างๆ บนโลกใบนี้ อันนี้ง่ายๆ ขอบคุณพระเจ้า ใครๆ ก็ทำได้ ไม่เป็นการเสริมสร้างให้เจริญเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น ฟังให้ดีๆ ไม่เป็นการเสริมสร้างให้เราเจริญเติบโต และเข้มแข็งขึ้น เผลอๆ อาจจะทำให้เราอ่อนแอลงด้วย เราเริ่มชิน แต่จะเจริญเติบโตได้ สมอจะใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น เผชิญกับพายุได้มากขึ้น ต้องมั่นคงไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ยิ่งความทุกข์ยากลำบากมากเท่าไร? ยิ่งมั่นคงไม่หวั่นไหวมากขึ้น  แสดงว่าสมอใหญ่มาก ความหวังใจในพระคริสต์นั้นเข้มแข็ง เข้มข้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าการเจริญเติบโตทางวิญญาณ  เป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ในฝ่ายวิญญาณ ซึ่งต้องใช้เวลาสร้างขึ้นทีละนิดทีละหน่อย  และนี่แหละ คือชัยชนะเหนือโลกนี้จริงๆ ของคริสเตียน

เอาแค่นี้ก่อนวันนี้ สันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า  ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจสามารถเกิดขึ้นได้จริงๆ ถ้าเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าและวิถีการของพระองค์ ซึ่งจะกระทำผ่านทางชีวิตของเรา ให้ถูกต้องเสียก่อน คือสามารถมั่นคง ไม่หวั่นไหว แม้เผชิญความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา สามารถวางใจในพระเจ้าได้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะเป็นเช่นไร ถ้าดี มันก็ไม่ยากที่จะวางใจในพระเจ้า แต่ถ้ามันร้าย เรายังวางใจในพระเจ้าได้หรือไม่? นี่แหละ คือการเผชิญกับทุกสิ่งได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับเรา วางใจด้วยความรักในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงสัญญา และไม่ได้สัญญาอย่างเดียว  แต่ 2 สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ คือสัญญาและรักษาคำสัญญา เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า นอกจากสัญญาแล้ว อันที่สอง พระองค์ทรงทำหนักแน่นกว่านั้น ก็คือสาบานด้วย พระเจ้าสาบานด้วยว่า …

“เป็นจริงตามนั้น เราช่วยให้เจ้ารอด เราอยู่กับเจ้าตลอดเวลา เราจะนำพาเจ้า และเราผู้ทรง เริ่มต้นการงานดีในเจ้าแล้ว เราก็จะกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ  เราสามารถพาเจ้าจนกระทั่งสำเร็จได้ เมื่อเจ้าเริ่มต้นเชื่อ แล้วเราเข้าไปอยู่กับเจ้า เราจะจูงมือเจ้าเดิน พาเจ้าไป และเราสามารถช่วยเจ้าได้ ทำให้เจ้าสำเร็จ เป็นไปตามแผนการของเราได้ ในพระเยซูคริสต์ เอเมน”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2020 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 43 โดย วราพร คงล้วน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  ตุลาคม  2020

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 43

โดย  วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรายังอยู่ในถ้อยคำที่พระองค์ตรัสกับเราว่า “อย่ากลัวเลย” ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยิ่งในช่วงนี้ มันมีเรื่องราวมากมาย ทำให้เราเกิดความกลัวขึ้นมา แต่ถ้อยคำของพระเจ้ายังคงบอกเราเสมอว่า “อย่ากลัว” เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วยกับเรา พระองค์ทรงนำพาทุกย่างก้าวของเรา  และพระองค์ทรงดูแลทุกย่างก้าวของเราเช่นเดียวกัน

พี่น้องอาจจะรู้สึกว่าถ้อยคำนี้ เราเรียนมาหลายรอบแล้ว แต่ทุกครั้ง พระเจ้าบอกว่าถ้อยคำของพระองค์ สดใหม่อยู่เสมอ และเป็นถ้อยคำที่พระองค์จะพูดเข้าไปในวิญญาณจิตของพวกเราทุกๆ คน ให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เลี้ยงที่ดีของเรา ในหนังสือมัทธิว 6:25-34 ซึ่งถ้าเราอยู่ในทางของพระเจ้า เราจะรู้ว่าถ้อยคำตรงนี้สามารถที่จะหนุนจิตชูใจเราได้ทุกเวลา ทุกโอกาสในช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าเราจะอยู่กันอย่างไร ในเวลาที่ลำบากขนาดนี้? พระเจ้าทรงทราบหรือเปล่า? หรือพระองค์ทรงรู้ความต้องการของเราหรือไม่? หรือพระองค์จะสามารถช่วยเราให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้หรือเปล่า? แต่ถ้อยคำของพระองค์ ก็ยังคงยืนยันกับเราเสมอว่าพระองค์ทรงสามารถ และพระองค์ทรงห่วงใยเรามากกว่าที่เราห่วงใยตัวเองด้วยซ้ำไป พระองค์ทรงสามารถที่จะนำพาย่างก้าวของเราทุกเวลา เรารู้สึกว่าเราไม่ไหวแล้ว เราลำบากมากเลย แต่พระองค์ทรงมีหนทางให้กับพวกเราเสมอ

มัทธิว 6:25 “เหตุฉะนั้น  เราบอกท่านทั้งหลายว่าอย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตน ว่าจะเอาอะไรกิน  หรือจะเอาอะไรดื่ม  และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม  ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ  และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ”

 

ชีวิตที่พระเยซูพูดถึงนี้ คือชีวิตจริงๆ ของเรา ชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้กับพวกเราผู้เชื่อ ฉะนั้นเวลาเราเชื่อวางใจในพระเจ้า สิ่งแรกที่พระองค์ตรัสกับเรา คือพระองค์ทรงอยู่ด้วยกับเรา พระองค์ทรงเปลี่ยนเราให้เหมือนพระเจ้า อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า นี่คือในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนั้นเรียบร้อยไปแล้ว แต่ขณะที่เรายังอยู่ในโลกใบนี้ โลกวัตถุ เรายังต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ เราจะอยู่อย่างไร? เราจะกินอย่างไร? เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร? ตอนนี้เศรษฐกิจทั่วโลกเลย ลำบากขนาดนี้  แล้วเราจะรอดไหม? พระองค์ก็คงยืนยันกับเราว่าไม่ต้องไปกระวนกระวายเรื่องเหล่านี้ ชีวิตของเราฝ่ายวิญญาณสำคัญกว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงเหมือนกับทางผ่าน ที่พระเจ้าทรงโปรดให้เราเดินผ่านไปในแต่ละวัน แล้วพระองค์ทรงพิสูจน์พระองค์เองว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

เราไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หลายๆ คนรู้สึกลำบาก แต่ว่าเรายังอยู่ได้จนถึงวันนี้ แปลว่าสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเรา มันคือความจริง ต่อให้เราจะรู้สึกว่าเราไม่ไหวแล้ว เราไปต่อไม่ได้แล้ว เศรษฐกิจหยุดชะงักหมด การงานเราก็ไม่สามารถที่จะทำได้  แต่พระคัมภีร์ก็ยังยืนยันกับเราว่าชีวิตเราสำคัญกว่า พระเจ้าทรงเฝ้ามองดูเราอยู่ และพระองค์จะทรงนำพาย่างเท้าของเรา ให้เราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ ถ้าพระเจ้าทรงให้วิกฤตินี้ลากยาวไปอีก เราในฐานะผู้เชื่อ เราก็จะสามารถผ่านไปได้อีกเหมือนกัน พระเจ้าบอก …

“อึดใจเดียวลูก แป๊บหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

แล้วเราหันกลับไปดูสิ อึดใจเดียวจริงๆ จากเริ่มต้นที่มีปัญหา เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องของไวรัสที่ระบาด ทำให้เราทุกคนต้องหยุดชะงัก เป็นหลายเดือนที่เราไปไหนไม่ได้ เป็นหลายเดือนที่เราอยู่บ้าน เป็นหลายเดือนที่โบสถ์เปิดไม่ได้ ก็ปิดไม่ให้สมาชิกมาโบสถ์ แล้วก็เป็นหลายเดือนที่เรานั่งนมัสการอยู่ที่บ้าน  แต่ว่าไม่ว่าด้วยวิธีใด เราก็ยังคงสามารถที่จะนมัสการพระเจ้าได้ ต่อให้ไม่มีเทคโนโลยีเหล่านี้ที่จะส่งไปให้พี่น้อง ถึงที่บ้าน ที่จะร่วมนมัสการด้วยกัน  ที่จะฟังถ้อยคำของพระองค์ด้วยกัน ต่อให้ไม่มีสิ่งเหล่านี้ เราก็ยังสามารถที่จะนมัสการพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา เราสามารถที่จะร้องเพลงพระเจ้า ด้วยบทเพลงที่บ้าน เครื่องดนตรีไม่มี ก็ไม่เป็นปัญหา เราก็สามารถร้องเพลงถวายพระเจ้าได้ เราสามารถที่จะเปิดถ้อยคำของพระเจ้า และอ่านพระคัมภีร์ และเป็นพระคัมภีร์ที่เมื่อเราอ่าน เราได้รับการหนุนจิตชูใจ เรารู้ว่าพระองค์ตรัสกับเราอยู่

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือสิ่งที่เรามีประสบการณ์ในช่วงวิกฤตตรงนี้ แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าทรงเมตตาที่เรามีเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งอย่างน้อยๆ พี่น้องหลายๆ ท่านที่ไม่สามารถเดินทางมาคริสตจักรได้ เนื่องด้วยสุขภาพร่างกาย เนื่องด้วยอายุเยอะแล้ว ก็ไม่อยากให้มาเสี่ยง ก็จะบอก …

“พี่นมัสการอยู่ที่บ้านเถอะ ยังไม่ต้องมา” อะไรประมาณนี้

ฉะนั้น ไม่ว่าด้วยอะไรทั้งหมด ไม่สามารถที่จะหยุดเราในการแสวงหาพระเจ้า ในการเข้ามาหาพระเจ้า ในการที่จะฟังถ้อยคำของพระเจ้า ในการที่จะนมัสการพระเจ้า พระเยซูบอกเราว่าสิ่งต่างๆ ที่เรากังวลในโลกใบนี้ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่เราจะต้องกังวล …

“พรุ่งนี้เราจะมีกินไหม? เราจะมีเครื่องนุ่มห่มไหม?”

แต่พระเยซูบอกเราว่าชีวิตสำคัญกว่า สำคัญกว่าทั้งเรื่องของอาหาร ทั้งเรื่องของเสื้อผ้า ทั้งเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมด เมื่อเรามีชีวิตในพระเจ้า ก็คือเลิศที่สุด สำหรับชีวิตคริสเตียน สำหรับพวกเราที่อยู่บนโลกใบนี้ แล้วเรารู้ว่าไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว

มัทธิว 6:26 “จงดูนกในอากาศ  มันมิได้หว่าน  มิได้เกี่ยว  มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง  แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย  ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้  ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ”

 

ไม่ว่าเราจะอยู่ในที่ใดก็ตาม อยู่ในเมือง หรืออยู่นอกเมือง ถ้าเราอยู่นอกเมือง ตามชนบท เราจะเห็นชัดกว่า เพราะว่ามันจะมีนกบินทุกเช้า มันจะมาร้องเสียงดังปลุกเรา อย่างที่โบสถ์ เช้าๆ นกคุยกันเสียงดังมาก แล้วพระเจ้าบอกว่าดูสิ นกในอากาศ มีชีวิตทุกวัน ไม่ใช่นกทุกตัวที่ถูกเลี้ยง โดยคนซื้อมา แล้วก็เอาไปอยู่ในกรง ทุกเช้าก็จะให้อาหารเขา มีคนเลี้ยงดู แต่พระเจ้าให้เราดูนกในอากาศ คือนกที่ไม่มีเจ้าของ แต่ว่าเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ บินไปไหนมาไหนอย่างอิสระได้ สามารถที่จะแพร่พันธุ์ได้มากมายเยอะแยะ และพระองค์ทรงเตรียมอาหารไว้ให้นกเหล่านี้ แล้วพระเจ้าก็ทรงบอกเราว่าพวกเรา ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า ตามที่ถ้อยคำของพระองค์บอกว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  พระเจ้าตั้งใจสร้างเรา และพระองค์ทรงระบายลมปรานของพระองค์ลงมาในชีวิตของมนุษย์ และมนุษย์ทุกคนมีชีวิต มีวิญญาณของพระเจ้าอยู่ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด เมื่อเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นภาพเหมือน ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเป็นฉายา คือเป็นภาพเหมือนของพระเจ้าเลย ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าจะดูแลเรามากกว่านกในอากาศซะอีก เมื่อพระองค์ทรงสัญญากับเรา แบบนี้แล้ว เราก็อุ่นใจขึ้นใช่ไหม? แต่ความเป็นมนุษย์ต่อให้อุ่นใจ เราก็ยังกังวลอยู่ดี แต่ว่าขอพระคุณพระเจ้าช่วยเรา กังวลได้ แต่อย่าไปจมปลักกังวลจนทั้งวัน เราไม่สามารถที่จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ สำหรับชีวิตของเรา เพราะว่าพระเจ้าทรงสัญญากับเราแล้ว แล้วถ้าพี่น้องมีประสบการณ์กับพระเจ้าจริงๆ พี่น้องจะสามารถเอเมนได้เลย ซึ่งที่ผ่านมา เราถือว่าแย่ที่สุดแล้ว สำหรับชีวิตของเรา ชีวิตหนึ่งที่เราได้พบเจอ ตั้งแต่เราเกิดมา เราก็เห็น ต่อให้เรามีเรื่องมากมาย มีโรคระบาด มีอะไร มันก็ไม่สาหัสขนาดที่ว่าต้องปิดประเทศ ขนาดปิดการสื่อสาร ขนาดปิดการค้าขาย ของเข้าไม่ได้ ออกไม่ได้ อะไรประมาณนี้ ไม่ถึงขนาดนี้ แต่ว่าเราก็ยังขอบคุณพระเจ้า ที่เราสามารถผ่านวิกฤตนี้มาได้เกือบปีแล้ว หรือถ้าเกิดจะต้องลากยาวไปอีก พระองค์ก็จะทรงพาเราผ่านเช่นเดิม

เพราะพระเจ้าบอกว่าไม่มีการทดลอง หรือไม่มีความทุกข์ยากใดๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ที่เราจะไม่สามารถทนได้  พระเจ้าจะให้กำลังเรา ที่เราจะสามารทนได้  ผ่านไปได้

มัทธิว 6:27-29 “27 มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย  อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ 28 ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม    จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนา ว่ามันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร  มันไม่ทำงาน  มันไม่ปั่นด้าย 29 แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซาโลมอน  เมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี  ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง”

 

พระเจ้าบอกเราว่ากระวนกระวายไป ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะว่าโดยความกระวนกระวายของเรา ก็ไม่สามารถทำให้ สถานการณ์ดีขึ้น หรือแย่ลง แต่ว่าคนที่จะแย่ลง ก็คือตัวเราเองนั่นแหละ ที่เรากระวนกระวาย ทำให้เราทุกข์ใจ ซึ่งเราสามารถที่จะเดินผ่านวิกฤตนี้ ด้วยพระคุณ ด้วยสันติสุข ด้วยความชื่นชมยินดี ซึ่งมาจากพระเจ้าได้ แทนการกระวนกระวาย เราก็ขอบคุณพระเจ้า  ที่พระองค์นำพาเราทุกวันๆ ขอบคุณพระเจ้าที่อย่างน้อยตื่นขึ้นมาวันนี้ พระองค์ให้ลมหายใจเราอยู่ ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ยังให้สุขภาพเราแข็งแรง  ที่เราสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวเองได้ ขอบคุณพระเจ้าที่เรายังสามารถเดินออกจากบ้าน เราอยากจะไปไหน เราก็ยังไปได้ แม้ว่ามันลำบากนิดหนึ่ง ตรงที่เราต้องใส่หน้ากากอนามัย เวลาออกจากบ้าน มันก็แค่ลำบากนิดหนึ่ง แต่ว่ามันก็ไม่ได้จำกัดสิทธิเสรีภาพของเรามากจนเกินไป จนเรากระดิกตัวไม่ได้ หรือบางคนก็ยังสามารถที่จะไปทำงานได้ สามารถที่จะมีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้

ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พอเรามองเห็นภาพ เราเรียนรู้ที่จะขอบคุณพระเจ้าว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา แม้ว่าหลายๆ คน ไปทำงาน รายรับอาจจะลดลง แต่พระเจ้าก็ประคับประคองเราสามารถที่จะผ่านไปได้ เราก็ใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยให้น้อยลง อย่างถ้าเป็นสมัยก่อนที่รายรับเราเยอะ เราก็ยังสามารถที่จะจับจ่ายใช้สอยได้แบบสบายๆ แต่เมื่อลดลง เราก็ปรับตัวเอง แทนที่เราจะไปกินเหลาทุกมื้อ  เราก็อยู่บ้านกินดีไหม?  หุงข้าวทานเองดีไหม? เจียวไข่ อะไรก็ได้ ชีวิตไม่ได้ยากขนาดนั้น พระเจ้ายังคงดูแลย่างเท้าของพวกเราอยู่ ที่เราจะสามารถผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า

ฉะนั้น ถ้าเรากระวนกระวาย โดยที่เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้นเลย เรากังวลไปล่วงหน้า เราก็ขาดทุน เพราะว่าเหนื่อยฟรีๆ ไปเฉยๆ อย่างนั้นแหละ ตรงที่เหตุการณ์ยังไม่ทันเกิดขึ้น  เราก็ห่วง หรือกังวลล่วงหน้าไปก่อน ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ สำหรับชีวิตของเรา

พระเจ้าให้เราเห็นภาพของต้นหญ้า พระเยซูคริสต์ได้ยกตัวอย่างของกษัตริย์ซาโลมอนขึ้น ในพระคัมภีร์บอกเราว่ากษัตริย์ซาโลมอนเป็นกษัตริย์ที่พระเจ้าทรงอำนวยพระพร เป็นคนที่มีสติปัญญามากที่สุด ตั้งแต่มีมา  พระเจ้าให้สติปัญญา คือก่อนหน้า ก็ไม่มีใครฉลาดขนาดนี้ ให้หลังกษัตริย์ซาโลมอน ก็ยังไม่มีใครฉลาดเท่าพระองค์ แล้วพระองค์มีทรัพย์สมบัติเยอะมาก เพราะว่าทุกคนเดินทางมาจากทุกทิศทุกทาง เพื่อที่จะมาฟังสติปัญญาของพระองค์ เวลาเขาเดินทางมาฟังสติปัญญาของกษัตริย์ซาโลมอน ก็ไม่ได้เดินทางมาตัวเปล่า คือจะมาพร้อมกับเครื่องบรรณาการเยอะแยะมากมาย ทั้งเงิน ทั้งทอง ทั้งอะไรเยอะแยะไปหมด มาถวายให้กษัตริย์ซาโลมอน

แล้วในยุคของกษัตริย์ซาโลมอน พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามันเยอะ จนแบบทองคำก็เยอะ เงินก็เยอะ  ทองแดงก็เยอะ พวกไม้สนสีดาห์ก็เยอะ ทุกอย่างเยอะหมดเลย เยอะจนมีช่วงหนึ่ง เขาขี้เกียจนับ พี่น้องเคยมีความรู้สึกไหมว่าเงินเราเยอะ จนขี้เกียจนับ เพราะใช้ทั้งชาติ เราก็ใช้ไม่หมด อย่าไปนับมันเลย อะไรประมาณนั้น กษัตริย์ซาโลมอนเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือเยอะมาก แต่พระเจ้าเอากษัตริย์ซาโลมอนมาเปรียบเทียบกับดอกไม้ ในทุ่งนา เราเห็นดอกไม้สด เวลางอกงามขึ้น ไม่ต้องขนาดดอกหญ้า ในนี้เขาเปรียบเทียบดอกหญ้า เราเอาดอกที่อยู่ได้ทนๆ อย่างพวกดอกกุหลาบ เวลาอยู่บนต้นก็ทน ดอกลิลลี่ อยู่ได้เป็นครึ่งเดือน แต่ดอกไม้เหล่านั้นไม่ว่าชีวิตเขาจะอยู่ยาวขนาดไหน? ก็รอวันเหี่ยว แล้วก็เฉาตายไป

แต่ในตรงนี้ พระเยซูเปรียบให้เห็น ดอกหญ้า คือวันนี้สวยงามเลย พรุ่งนี้ก็ตายแล้ว แต่ดอกหญ้าอันนี้มีค่า หรือมีสง่าราศีมากกว่าเครื่องทรงของกษัตริย์ซาโลมอน แปลว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม พระหัตถ์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม คือสิ่งที่มีค่าที่สุด ถึงแม้ว่าในสายตาของมนุษย์ดูว่ามันนิดเดียวเอง ดูไม่สำคัญ แต่พระเจ้าทรงให้ความสำคัญ พระองค์บอกว่าสวยกว่าเครื่องทรงของกษัตริย์ซาโลมอนซะอีก

มัทธิว 6:30 “แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น  ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ  โอ  ผู้มีความเชื่อน้อย  พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ”

 

แค่ดอกหญ้า ดอกหนึ่ง พระเจ้าให้ความสำคัญ ตกแต่งให้สวยงาม แต่เราซึ่งเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า และในขณะนี้ที่พระเยซูพูด พูดกับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า  ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่พระองค์ทรงเลือกเราให้เข้ามาเป็นบุตรของพระองค์ เข้ามารับสง่าราศีร่วมกับพระเยซูคริสต์ เข้ามารับความรอด โดยที่เราไม่ต้องไปตกนรก  ไม่ต้องไปชดใช้หนี้บาปเวรกรรมของเราอีกต่อไป เมื่อพระเยซูคริสต์ชดใช้หนี้บาปให้เรา เราได้รับความรอดสมบูรณ์

พระคัมภีร์บอกเราชัดเจนว่าในโลกวิญญาณขณะนี้ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาดบริสุทธิ์ ไร้มลทินเลย ฉะนั้น ในโลกวิญญาณ เราเป็นคนที่พระเจ้าได้เลือกสรรไว้แล้ว แยกเราออกมาเรียบร้อยแล้ว แต่ในขณะเดียวกันที่เราอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะตกแต่งเรามากยิ่งกว่านั้น พระองค์ไม่ได้ปล่อยปละละเลย หรือว่าทิ้งขว้างเรา ไม่ใช่แค่บอกว่าวิญญาณเรารอดแล้ว เนื้อหนัง ร่างกายนี้ จะเป็นอะไร พระองค์ก็บอกช่างหัวมัน ไม่ใช่ พระองค์ก็ยังคงดูแลอยู่ พระองค์ทรงดูแลทุกย่างก้าวของเรา ไม่ว่าเราหลับ ไม่ว่าเราตื่น ไม่ว่าเราจะเดินทางไปไหน พระองค์ไปด้วยกับเรา เราทุกข์ พระองค์ทุกข์กับเรา เราสุข พระองค์สุขกับเรา  พระเยซูไม่เคยทิ้งเรา พระคัมภีร์บอกเราว่าพระองค์เป็นองค์อิมมานูเอล พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา เมื่อพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา เราก็จะมีกำลังใจ แล้วเรารู้ว่าไม่ว่าปัญหาจะใหญ่ขนาดไหน? พระองค์จะพาเราผ่าน ผ่านด้วยวิธีอะไร? นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่พระองค์บอกว่าพระองค์พาเราผ่านแน่นอน

มัทธิว 6:31-32 “31 เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่าจะเอาอะไรกิน  หรือจะเอาอะไรดื่ม  หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม 32 เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้  แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า  ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้”

 

พวกต่างชาติ คือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาก็ต้องการสิ่งต่างเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ ความอยู่ดีกินดี คนต่างชาติก็ต้องการแค่นั้น แต่พระเจ้าบอกว่าข้างในเราต้องการอะไร พระองค์รู้หมดเลย  แล้วพระองค์เห็นว่าอะไรที่สมควร เหมาะสมกับชีวิตของเรา  พระองค์จะประทานให้กับเรา

ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราไม่ต้องไปแสวงหา เพราะว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราจะเห็นภาพความรักของพระเจ้า พระบิดา จากครอบครัว ครอบครัวแต่ละครอบครัวในโลกใบนี้ ไม่ว่าเขาจะเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม คนสองคนแต่งงานกัน แล้วเขามีลูก สิ่งที่ผูกเขาทั้งสองคน คู่สามีภรรยา คือลูก และลูก คือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของพ่อแม่ ฉะนั้น เมื่อลูกคลอดออกมา ลูกไม่ต้องไปกังวลเลยว่า …

“ฉันคลอดออกมา จะมีผ้าอ้อมไหม? จะมีนมให้กินไหม? จะมีเปลให้เรานอนไหม? หรือกลับบ้าน ถ้าเจอหน้าหนาวจะมีผ้าห่มให้เราไหม? มีหมอน มีเบาะ มีอะไรไหม?”

ไม่เห็นมีทารกคนไหนมากังวลเรื่องเหล่านี้ อย่าว่าแต่คลอดออกมาเลย เชื่อว่าเวลาคุณแม่ตั้งครรภ์ จะจัดเตรียมทุกอย่างไว้ สมัยก่อนเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เขาก็บอกอย่าเพิ่งจัดเตรียมอะไร เป็นเคล็ดอะไรของเขา แต่ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เรารู้ว่าทุกอย่างดีหมดเลย พระเจ้าจะจัดเตรียมสิ่งที่ดีๆ ให้กับเรา เราก็จะเตรียมทุกอย่างเลย ซื้อโน่น ซื้อนี่ อะไรที่จำเป็น ที่ลูกจะต้องใช้สอย เราจัดเตรียมให้หมดเลย ถ้าคุณแม่บางคนไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน ก็ต้องไปสรรหา ซื้อนมผง ก็คือทุกอย่างพ่อแม่จัดเตรียมไว้ให้หมดเลย ลูกไม่เคยต้องมานั่งกังวลว่า …

“ถ้าฉันร้อง จะมีนมให้ฉันกินไหม?”

ไม่มี ทำหน้าที่ คือกิน นอน ฉี่ อึ จบ นี่เด็ก มีหน้าที่แค่นั้น ฉะนั้น พอโตสักระดับหนึ่ง พ่อแม่ก็จะเตรียมแล้ว …

“ลูกเราจะไปเรียนโรงเรียนไหนดี? โรงเรียนไหนที่สิ่งแวดล้อมดี? ครูสอนดี?”

คืออะไรดีๆ พ่อแม่จะเตรียมให้หมด แล้วพ่อแม่ก็จะไม่เหนื่อย ที่จะยอมทำงานหนัก เพื่อจะได้เก็บเงินไว้ให้ลูกได้เรียน ได้กิน ได้ใช้ ตามสถานะ อันนี้ต้องตามสถานะ แต่อย่างไรพ่อแม่ก็ต้องจัดเตรียมให้

ในพระคัมภีร์บอกเราว่าแม้มนุษย์ที่เป็นคนบาป ยังเรียนรู้ที่จะรักลูกของตัวเอง ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ พระเจ้าจะรักเรามากกว่านั้นอีก พระองค์จะไม่ปล่อยให้เราต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวของเราเอง

เด็กพอโตขึ้น เรียนหนังสือจบ เขาต้องทำงาน แต่ในขณะที่เขาทำงาน ถามว่าพ่อแม่เลิกห่วงไหม? ไม่มีการเลิกห่วง จนกว่าลูกเราตายจากกัน ไม่พ่อแม่ตายก่อน ลูกตายก่อน ก็ยังคงห่วงใย

“ตกลงลูกเราทำงาน เงินเดือนเขาพอใช้ไหม?”

เป็นไหม? พ่อแม่เป็น เงินเดือนเขาพอใช้ไหม? เดือนไหนรู้สึกเขาขัดสนนิดหนึ่ง เขาไม่พอใช้ เราก็แอบควักกระเป๋า แล้วก็เอาใส่มือให้

“ลูกเอาไปใช้นะ”

นั่นคือหัวใจพ่อแม่ พระเจ้าผู้ทรงสถิตในสวรรค์ พระองค์ก็ทรงดูแลเราแบบนี้ พระองค์ทรงห่วงใย พระองค์ทรงรู้ว่าเราขาดอะไร? เราต้องการอะไร? เราจำเป็นต้องใช้อะไร? พระองค์จะประทานให้กับพวกเราจากฟ้าสวรรค์

ในข้อ 33 พระเยซูสอนเราว่าสิ่งที่เราควรทำ คือ …

มัทธิว 6:33-34 “33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า  และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ 34 “เหตุฉะนั้น  อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้  เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง  แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว”

 

ไม่ต้องทุกข์ล่วงหน้า ทุกวันมีแต่ความทุกข์ ถ้าเรากังวลถึงพรุ่งนี้ ยังมาไม่ถึงเลย เรากังวลล่วงหน้า มันก็กังวลฟรีๆ พรุ่งนี้เราอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ก็ได้ คืนนี้นอนหลับ แล้วพระเจ้าก็บอก …

“วราพรกลับบ้านได้แล้ว งานจบแล้ว”

เราก็หลับไปอยู่กับพระเจ้า กังวลฟรี เหนื่อยฟรี ฉะนั้น พระเยซูสอนเราว่าอย่าไปกังวลเผื่อพรุ่งนี้ แต่ละวันมันก็ทุกข์แล้ว ไม่ต้องไปหาทุกข์ใส่ตัวมากขึ้น สิ่งที่เราควรทำ คือแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า ที่อาจารย์นครพูดบ่อยๆ คือจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในถ้อยคำของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้า คืออะไรก็ตามที่พระเยซูได้ทรงสอนเราไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า จดจ่อว่าขณะนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เราเป็นผู้บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้า เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เราสามารถที่จะมีสันติสุขในพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก หรือปัญหาร้อยแปดพันเก้าที่ล้อมรอบตัวเรา เราสามารถมีสันติสุขได้ เพราะตาเราไม่ได้จ้องอยู่ที่ปัญหา แต่ตาเราจ้องอยู่ที่เบื้องบนว่าพระเจ้าเตรียมพระพรนานับประการให้เราเรียบร้อยแล้ว เรารอแค่ว่าเมื่อไรที่พระเจ้าเห็นว่าถึงเวลาที่เราจะได้จบงาน เมื่อไรจะถึง 5 โมงเย็น office จะปิด เราก็จะได้ถึงเวลากลับบ้าน เราก็ทิ้งร่างกายนี้ไว้ วิญญาณเราไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์สถานนิรันดร์กาล

นี่คือพระพรที่พระองค์ได้บอกกับเรา ถ้าเรามองที่ปัญหา ชีวิตเราก็ไม่มีความสุข แต่ถ้าเรามองที่พระสัญญาของพระเจ้า ไม่ว่าทุกข์ยากลำบากแค่ไหน? เราก็จะคิดแค่ หายใจเข้า หายใจออก อึดใจเดียว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป มันมีมา มันก็จะมีไป แล้วเมื่อถึงเวลา เราก็จะได้พักผ่อน ไปอยู่กับพระเจ้า มีความสุข สิ่งเหล่านี้แหละจะทำให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่ามกลางปัญหาอุปสรรค ด้วยสันติสุข ซึ่งมาจากพระเจ้า

ในหนังสือมัทธิว 10:26-27 “26 “เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเขา  เพราะว่าไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ที่จะไม่ต้องเปิดเผย  หรือการลับ  ที่จะไม่เผยให้ประจักษ์ 27 ซึ่งเรากล่าวแก่พวกท่านในที่มืด  ท่านจงกล่าวในที่แจ้ง  และซึ่งท่านได้ยินกระซิบที่หู  จงตะโกนจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน”

 

ถ้อยคำตรงนี้ พระเยซูตรัสกับสาวก หลังจากที่พระเยซูบอกกับสาวกว่าศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู ในยุคนั้น เมื่อพระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ ทำหมายสำคัญ พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ก็บอกกับผู้คนทั่วไปว่าพระเยซูใช้อำนาจของเบเอลเซบู ซึ่งเป็นนายผี  เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ฤทธิ์อำนาจนี้มาจากพระเจ้า เขาหาว่าพระเยซูเป็นนายผี

ฉะนั้น พระเยซูก็บอกว่าถ้าผีกับผีตีกันเอง อาณาจักรคงไม่สามารถอยู่ได้ คือมันจะล่มสลายไป พระเยซูบอกว่าปล่อยเขาไปเถอะพวกนี้ ถ้าขนาดพระเยซูเองยังถูกเรียกว่านายผี หรือพระเยซูเองยังไม่ได้รับเกียรติจากผู้คนเหล่านี้  พวกสาวกก็อย่าไปคาดหวังเลยว่าจะได้รับเกียรติจากผู้คนเหล่านี้ แต่สิ่งที่สำคัญ คือไม่ต้องไปกลัวเขา ไม่ว่าเขาจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม ก็ไม่ต้องกลัว แต่ให้สาวกของพระองค์ประกาศพระนามของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้กับสาวก ในที่ลับ ให้ประกาศออกไป  จนตอนที่พระเยซูถูกรับขึ้นไปสู่ฟ้าสวรรค์

หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วอยู่กับสาวก 40 วัน พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่าเหตุฉะนั้น ให้เราออกไปประกาศข่าวดีของพระเจ้า ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ สอนทุกคนให้เรียนรู้จักพระองค์ แผ่นดินของพระเจ้าที่พระองค์ต้องการให้เราออกไปประกาศ เพื่อนำผู้คนมากมาย บนโลกใบนี้ ที่ยังตกอยู่ ภายใต้อำนาจของผีมารซาตาน ให้เขาได้สัมผัส ได้เปิดตาใจ ได้ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เพราะไม่มีมนุษย์คนไหน ช่วยให้หลุดพ้นจากความผิดบาป เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดยอมรับการช่วยเหลือ จากพระเจ้า เขาจะได้รับอิสรภาพ เขาจะไม่ตกอยู่ภายใต้มือของผีมารซาตาน  แต่วิญญาณเขาจะสลับขั้วมาอยู่ที่พระหัตถ์ของพระเจ้า เขาจะถูกย้ายจากอาณาจักรของความมืดมาสู่อาณาจักรของความสว่าง เขาจะถูกปลดปล่อยอิสระ เขาจะไม่ต้องไปกลัวผีมารซาตานอีกต่อไป  เพราะว่าพระเจ้าที่อยู่ในคนๆ นั้น เป็นใหญ่กว่าทุกสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าต้องการให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไป ต้องการที่จะให้ผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ ได้รับอิสรภาพจากการถูกผูกมัด โดยผีมารซาตาน ฉะนั้น พระเจ้าก็บอกว่าให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์

มัทธิว 10:28 “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย  แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ  แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์  ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้”

 

พระเยซูบอกอย่ากลัว ทำไมต้องบอกสาวก “อย่ากลัว” ในยุคนั้น หลังจากที่ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วถูกรับขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์ สาวกออกไปประกาศ จะถูกข่มเหง บางคนถูกจับไปติดคุก บางคนถูกฆ่าตายอย่างทารุณ คือจะมีทุกรูปแบบ แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้า ในยุคนั้น พระเจ้าประทานกำลังให้กับสาวกมากมาย แม้ว่าจะถูกฆ่าตาย ถูกจับติดคุก ถูกทรมานมากมาย ไม่มีคนไหนที่ปฏิเสธพระเยซู เมื่อมีโอกาส เขาก็ยังเลือกที่จะประกาศพระนามของพระเจ้า ประกาศแผ่นดินของพระเจ้า เหมือนกับอาจารย์เปาโล เมื่อกลับใจใหม่ ท่านก็ไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า และสิ่งที่อาจารย์เปาโลพูด ก็พูดเรื่องเดิมเลย ถ้าพี่น้องไปอ่านพระคัมภีร์จริงๆ เปาโลเมื่อไปเจอนายคุก ไปเจอกษัตริย์ ไปเจอใครก็ตาม อาจารย์เปาโลจะเริ่มต้นเล่าเรื่องพระเยซูว่า …

“เพราะเหตุนี้ พระเจ้าส่งพระเยซูมา แล้วพวกเธอไม่เชื่อฟัง เอาพระเยซูไปตรึงบนไม้กางเขน  แต่ว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย”

นั่นคือข่าวประเสริฐเนื้อๆ จริงๆ อาจารย์เปาโลพูดทุกที่ ทุกหน ทุกแห่ง  พูดเรื่องนี้เรื่องเดียว ทุกเวลา ซึ่งนั่นคือฤทธิ์เดช ในพระคัมภีร์บอกว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช ไม่ได้ด้วยเหตุผลของมนุษย์ แต่เป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เมื่อข่าวประเสริฐถูกประกาศออกไป คนที่ได้ยิน ได้ฟังเขาจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ

ตรงนี้พระเจ้าเลยบอกกับสาวกของพระองค์  … “ไม่ต้องไปกลัวหรอกพวกนี้ ฆ่าเธอได้แค่ร่างกายนี้เท่านั้น”

สาวกในยุคนั้น แม้ถูกฆ่าตาย เขาก็ไม่กลัว ไม่ยกเลิกที่จะเชื่อพระเยซู เขายังประกาศพระเยซูจนถึงวินาทีสุดท้าย

จะมีภาพหนึ่งในหนังสือกิจการ คนที่ติดตามพระเยซูที่ชื่อสเตเฟน เขาไปประกาศพระนามของพระเยซูคริสต์ ประกาศเรื่องราวเดียวกันกับอาจารย์เปโตร … 2 คนนี้จะได้ภาพที่ต่างกันมาก ตอนที่อาจารย์เปโตรประกาศพระนามของพระเยซู ประกาศเรื่องเดียวกันเลย พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน มีคนเชื่อพระเจ้า ครั้งแรก 3,000 คนและติดตามมาเป็น 5,000 คน ข่าวประเสริฐถูกประกาศออกไป แบบเยอะแยะมากมาย คนกลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า

แต่สเตเฟนเป็นอีกภาพหนึ่ง ที่ในพระคัมภีร์บันทึกให้เราเห็นภาพว่าสเตเฟนประกาศเรื่องเดียวกัน   และในพระคัมภีร์เขียนว่าทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง   รู้สึกบาดใจ   มีท่าทีต่างกัน   ตอนที่อาจารย์เปโตรประกาศ  ทุกคนสำนึกว่าตัวเองเป็นคนบาป  พระเยซูมาช่วยเขาขนาดนั้น  ทุกคนกลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า    แต่ว่าคนที่สเตเฟนไปประกาศ   เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน    แล้วหยิบก้อนหินขว้างสเตเฟนตายคาที่เลย   แล้ว  สเตเฟนคุกเข่าพูดคำเดียวกับพระเยซูตรัสบนไม้กางเขนว่า …

“พระองค์เจ้าข้า ยกโทษให้เขาด้วย”

ถ้าเขารู้ว่าสิ่งที่สเตเฟนประกาศให้เขาได้ยินได้ฟัง  คือพระพร  คืออิสรภาพ  คือการปลดปล่อย  ที่พระเยซูคริสต์มาทำ      เพื่อพวกเขาบนไม้กางเขน   เขาจะไม่เอาหินขว้างสเตเฟนให้ตาย   แต่ขณะที่สเตเฟนลมหายใจออกจากร่าง เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เขายอมตาย เพื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพราะว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช แม้ว่าร่างกายของเขาตาย แต่จิตวิญญาณของเขาได้อยู่กับพระเจ้า เขามีชีวิตนิรันดร์

เราจะเห็นภาพว่าไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จเหมือนกับอาจารย์เปโตร อาจารย์เปาโลไปประกาศข่าวประเสริฐ บางที่ก็มีคนต้อนรับ บางที่ก็มีคนไล่ตี อาจารย์เปาโลก็ยังไม่เคยถอดใจ แต่จะประกาศพระนามของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น พระเยซูบอกว่าอย่าไปกลัวพวกที่ฆ่าเราได้แต่กาย ร่างกายนี้ เราจะอยู่กี่ปี มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ จริงๆ แล้ว พอเรารู้เรื่องราวของพระเจ้า ก็ไม่อยากอยู่นานหรอก ไม่อยากชีวิตยืนนาน ตอนนี้ถ้าใครมาอธิษฐาน ขอพระเจ้าอวยพรให้ชีวิตยืนยาว ไม่เอานะคะ  เพราะเรารู้ว่าชีวิตเรายิ่งยาวมากเท่าไร? เราก็ต้องลากยาวกับโลกใบนี้ ต้องดิ้นรน ต้องอะไรเยอะแยะมากมาย ฟันฝ่าปัญหาอุปสรรค แต่ถ้าใครที่ถึงเวลากำหนด พระเจ้าเอาลมหายใจเขาออกจากร่าง คือเขาสบายเลย  เขาได้พักผ่อน แล้วเราทุกคน เราก็อยากได้แบบนั้นแหละ เมื่อถึงเวลา เราก็อยากพักผ่อน เราไม่อยากมีชีวิตยืนยาว แต่เราก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะกำหนดให้แต่ละคนมีอายุเท่าไร? เราไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าถ้าพระเจ้าให้เรากลับบ้านเร็ว เราก็มีความสุข แต่ถ้าพระเจ้ายังไม่ให้เรากลับบ้าน เราก็ทำหน้าที่ของเราในชีวิตประจำวันให้ดีที่สุดเท่าที่พระเจ้าประทานกำลังให้กับเรา แค่นั้นเอง

พระเยซูบอกว่าไม่ต้องไปกลัวหรอก คนที่ฆ่าเราได้แต่กาย แต่จงกลัวพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่จะฆ่าทั้งกายและวิญญาณได้ ถ้าเราไม่มีพระเจ้า ชีวิตเราจบเลย คืออยู่บนโลกใบนี้ อาจจะมีความสุขแค่ชั่วขณะหนึ่ง แต่หลังความตาย  มีอะไรเยอะแยะมากมาย มันยาวนานมาก  ที่พระเจ้าบอกว่านิรันดร์ ไม่มีจุดจบ

ถ้าเรามีพระเจ้า ร่างกายนี้เราอาจจะตายไป แต่เรามีความมั่นใจ มีหลักประกันว่าวิญญาณเรารอด เราได้มีความสุขนิรันดร์ หลังความตายอยู่กับพระเจ้า ถ้ามีคนเขาบังคับเรา

“ปฏิเสธพระเยซูนะ ไม่งั้นเธอตายแน่”

แล้วเราก็กลัวตาย เราขอปฏิเสธ ซึ่งพระเยซูบอก อันนั้นแหละ คือการตัดสินใจที่เรียกว่าขาดทุนย่อยยับเลยล่ะ แต่เรายังเชื่อสิ่งที่พระเจ้าบอกกับเราว่าแกะของเราจะฟังเสียงของเรา คนที่เป็นแกะของพระองค์ เมื่อถึงเวลาคับขันจริงๆ ที่เราต้องตัดสินใจเลือกว่าเราจะเอาชีวิต หรือเราจะเอาพระเยซู พระเจ้าจะให้กำลังเราเลือกพระเยซู เอเมน เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ แต่ว่าในยุคปัจจุบัน ไม่น่าจะเจอ แต่ถ้าเจอจริงๆ พระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเรา

มัทธิว 10:29-31 “29 นกกระจาบสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ  แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ  นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้ 30 ถึงผมของท่านทั้งหลาย  ก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น 31 เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเลย     ท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่านกกระจาบหลายตัว”

 

อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูทรงยกเอานกมาเปรียบเทียบว่านกกระจาบ ในยุคนั้น ราคาถูก ไม่กี่ตังค์เอง แต่ว่าพระเจ้าทรงดูแลอยู่ ถ้าพระองค์ไม่เห็นชอบ ต่อให้นายพราน หรือพวกดักนกเก่งขนาดไหน? ก็ไม่สามารถจับนกได้ หรือยิงให้มันตายได้ พระเจ้าบอกอย่างนั้น

ฉะนั้น พระเยซูบอกว่าพวกท่าน ซึ่งพระองค์เลือกให้เป็นลูกของพระเจ้า ก็ประเสริฐกว่านกหลายตัว ไม่ต้องไปกังวลอะไรมากมาย เพราะว่าพระเจ้าเฝ้ามองเราอยู่ แล้วพระองค์อยู่ในเราด้วย คอยพาเราผ่านวิกฤตเหล่านี้ไปได้ … ในลูกา 12:2-9 จะเป็นเรื่องคล้ายๆ กัน แต่จะยกมาอ่านให้พี่น้องฟังว่าพระเจ้าพูดอะไร

ลูกา 12:2-9 “2 แต่ไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ที่จะไม่ต้องเปิดเผย  หรือการลับที่จะไม่เผยให้ประจักษ์ 3 เหตุฉะนั้นสิ่งสารพัดซึ่งพวกท่านได้กล่าวในที่มืด  จะได้ยินในที่แจ้ง  และซึ่งได้กระซิบในหูที่ห้องส่วนตัว  จะต้องประกาศบนดาดฟ้าหลังคาบ้าน 4 “มิตรสหายของเราเอ๋ย  เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย  และภายหลังไม่มีอะไรที่จะทำได้อีก 5 แต่เราจะเตือนให้ท่านรู้ก่อนว่าควรจะกลัวผู้ใด  จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฆ่าตน  แล้วก็ยังมีฤทธิ์อำนาจที่จะทิ้งลงในนรกได้  แท้จริง  เราบอกท่านว่าจงกลัวพระองค์นั้นแหละ

6 นกกระจาบห้าตัวเขาขายสองบาทมิใช่หรือ  และนกนั้นแม้สักตัวเดียวพระเจ้ามิได้ทรงลืมเลย 7 ถึงผมของท่านทั้งหลายก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น  อย่ากลัวเลยท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่า นกกระจาบหลายตัว 8 “และเราบอกท่านทั้งหลายว่าทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์  บุตรมนุษย์ก็จะรับผู้นั้นต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า 9 แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์  เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า”

 

เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องใกล้เคียงกันมาก แต่บันทึกโดยลูกากับมัทธิว พระเจ้าบอกผมทุกเส้นบนศีรษะของเรา พระเจ้านับไว้หมดเลย เป็นความละเอียดอ่อนที่พระเจ้าไม่เคยละเลย

พี่น้องทุกวันนี้หวีผม ผมร่วงไหม? ยิ่งอายุเยอะ ยิ่งร่วงเยอะ คนอายุเยอะ จะหัวล้านไปเรื่อยๆ เพราะว่าผมมันหลุดไปเรื่อยๆ สร้างผมใหม่ไม่ทัน แต่ว่าถ้ามันไม่ได้ร่วงเยอะ จนออกมาเป็นกระจุก เราก็ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร? ร่วงก็ร่วงไป วันนี้ร่วงไป 10 เส้น 20 เส้น เราก็โกยๆ ใส่ถังขยะไป แต่พระคัมภีร์เขียนว่าผมทุกเส้นพระองค์ทรงนับไว้ เล็งถึงความละเอียดอ่อนที่พระเจ้าไม่เคยทรงละเลย ในเรื่องเล็ก เรื่องน้อย เรื่องฝอยในชีวิตของเรา พระองค์ทรงดูแลเราอยู่

แล้วในข้อ 8-9 ที่บอกว่า … “เราบอกคนทั้งหลายว่าทุกคนที่รับเราต่อหน้ามนุษย์” หมายถึงเราอยู่บนโลกใบนี้ เรายอมรับพระเยซูคริสต์ว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเราต้อนรับพระองค์เข้ามาในใจของเรา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ฉะนั้น เมื่อเรายอมรับอย่างนี้ ถึงวันหนึ่งข้างหน้า ที่เราไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็บอกว่ารู้จักเรา เพราะว่าเรารับพระองค์ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เราก็สามารถที่จะอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้านิรันดร์กาล ซึ่งวิญญาณเราตอนนี้ก็อยู่ที่สวรรค์แล้ว  แต่ในอนาคตข้างหน้า เมื่อเราทิ้งร่างกายนี้ เราก็สามารถเข้าสวรรค์ได้

“แต่ส่วนคนที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์” ก็คือคนที่ได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า ได้ฟังมาอย่างดีเลย เห็นว่าดีนะ แต่ไม่เอา ยังไม่สนใจพระเจ้า รู้สึกว่าตัวเองยังดีอยู่ ยังสามารถช่วยตัวเองได้ เราสามารถที่จะพัฒนาชีวิตของเราเองด้วยกำลัง ด้วยสติปัญญา ด้วยการกระทำของเรา เพื่อเราจะได้ส่ำสมบุญบารมีด้วยตัวของเราเอง เพื่อขึ้นสวรรค์ คนเหล่านั้นแหละ ถึงวันที่ลมหายใจเขาออกจากร่าง เขาจะเสียใจมากที่สุด เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหน? สามารถที่จะดีครบถ้วน 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า แล้วเมื่อถึงวันนั้น พระเยซูก็จะบอกคนนั้นว่า … “เราไม่รู้จักเจ้า” ก็คือคนกลุ่มนี้จะไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้า แล้วที่ที่คนกลุ่มนี้จะไป  คือนรกนิรันดร์กาล  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

*************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2020 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  ตุลาคม  2020

 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 4

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้ก็จะมาบรรยายกันต่อถึงเรื่องสำคัญ เรื่องนี้แหละ ซีรีย์นี้ต้องเรียนอย่างละเอียดมาก เป็นเรื่องความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่สำคัญมากๆ ที่สุด สำคัญสำหรับชีวิตเราที่เชื่อแล้ว และสำคัญสำหรับผู้ที่ยังไม่เชื่อด้วย คือข่าวดีจริงๆ ที่จะไปถึงเขา ก็คือเรื่องรอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ? ซึ่งเป็นคำถามที่เขาถามกันทั่วไป ไม่ว่าคนมาเชื่อแล้วก็ตาม หรือคนที่ไม่เชื่อยิ่งถามใหญ่เลย …

“เป็นคริสเตียนแล้วทำอะไรก็ได้หรือ?”

เราจะตอบเขาอย่างไร? คือข่าวดีนั้นเอง เราจะมาดูกันต่อ วันนี้เป็นตอนที่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ มีคนเข้าใจผิดเยอะ และที่สำคัญเป็นการเข้าใจผิดที่ทำให้ข่าวดีหรือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่ไปถึงมนุษย์ทั้งปวง มันผิดเพี้ยนไป เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้กันอย่างละเอียดลึกซึ้ง ต้องมาจูน มาปรับพื้นฐานความเชื่อกันใหม่ ตามถ้อยคำพระเจ้า

มาทบทวนนิดหนึ่งว่าเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เราเชื่อกัน ที่เรารู้กัน รายละเอียดคืออะไร? ไม่อย่างนั้นมันก็จะทำให้เราไม่มั่นใจในการที่จะเล่า หรือดำเนินชีวิตให้สมกับผู้ที่เป็นลูกพระเจ้า หรือเรียกว่าคริสเตียนแล้ว ก็คือเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่ดีนั้นเอง ให้พระเจ้าใช้ชีวิตของเรา เราจะมาทบทวนว่าในเรื่องนี้ เราได้เรียนรู้อะไรกันไปแล้วบ้าง? ใน 3 ตอนที่ผ่านมานะครับ ก็คือ …

          ตอนที่ 1 สำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวดีแล้ว ความประพฤติและการกระทำทุกอย่างไม่มีผลใดๆ ต่อความรอดทางวิญญาณเลย แต่จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น

          ตอนที่ 2 เน้นเรื่องอย่าดับพระวิญญาณ ทางเลือกและผลที่จะเกิดขึ้น ระหว่างทำตามพระวิญญาณกับดับพระวิญญาณ ซึ่งไม่เหมือนกัน

          ตอนที่ 3 คือกฎแห่งการหว่าน และการเก็บเกี่ยว ที่เราได้เรียนด้วยกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หว่านสิ่งใด ก็ต้องเก็บเกี่ยวผลของสิ่งนั้น

          วันนี้ ตอนที่ 4 คือเราบังเกิดใหม่เป็นคนดีแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาป หรือทาสบาปอีกต่อไปแล้ว

แน่ใจไหม? เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว ที่เรียกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นไปตามหัวข้อนี้จริงหรือไม่? เรามาติดตามกัน

ที่ผ่านมาเราได้เรียนกันไปแล้วว่าถึงแม้จะเกิดใหม่แล้ว ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว หลายครั้งเรายังดำเนินชีวิตวนเวียนอยูกับการประพฤติไม่ดี หรือเรียกว่าประพฤติบาปอยู่เลย  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ก็จะคอยสอน คอยแนะนำ คอยตักเตือน ด้วยความทะนุถนอมค่อยๆ นำพาเรา สอนเรา ให้ประพฤติในสิ่งที่ดี  เพื่อให้สมกับธรรมชาติที่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว มีแต่ประพฤติดี เราได้เรียนรู้ตรงนี้ไปแล้ว

ซึ่งพระวิญญาณจะนำ จะสอนอย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีคริสเตียนคนไหนที่สามารถทำดีได้ครบ 100% สักคนหนึ่ง หรือว่ามี? ไม่มีถูกไหม?  เราได้เรียนรู้แล้ว และทุกครั้งที่เราทำบาป หรือทำไม่ถูกต้อง หรือเรียกว่าไม่เชื่อฟังการนำของพระวิญญาณ พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา  ก็จะทุกข์ใจ เสียใจ เพราะเราเป็นลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรัก เราจะได้รับความทุกข์ เราได้รับความไม่ดีกลับเข้ามาในชีวิตเรา เราดื้อไง พระองค์ก็เสียใจ ทุกข์ใจ ไม่ตีเราเพิ่มหรอก พยายามจะช่วยเรา

เพราะเราหว่าน หรือเรากระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระวิญญาณสอน  เราหว่านสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หว่านลงไปในบาป เราก็ต้องเก็บเกี่ยวผลของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ออกมาในสิ่งที่ไม่ดี ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ที่เรียกว่าพระพร แทนที่จะได้พระพร กลายเป็นได้คำสาปแช่งแทน พระเจ้าก็เสียใจ ซึ่งแม้ว่าเราจะเป็นลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจก็ตาม และอยู่ในสวรรค์แล้วกับพระเจ้าเดี๋ยวนี้ก็ตาม เราก็ต้องรับผลกรรม ที่ได้หว่าน ที่ไม่เชื่อฟัง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในสิ่งที่ไม่ดี ทำให้พระเจ้าทุกข์ใจได้เหมือนกัน

สรุปก็คือเชื่อข่าวดี ได้รับการบังเกิดใหม่ ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตลอดไปไม่มีการเปลี่ยนใดๆ เลย ไม่ว่าจะประพฤติตัวเช่นไรบนโลกใบนี้ก็ตาม จริงไหม? จริง แต่มันตอบยากนะ ตอนนี้ท่านตอบง่ายขึ้นแล้วนะ พระคัมภีร์บอกความจริงเรา อะไรบ้าง? ความจริงนี้ ทำให้เราเป็นไท แต่ว่าพอความจริงอันนี้ออกมาปุ๊บ เราก็เกิดคำถามขึ้นในใจ ไม่ใช่เราคนเดียว พอบอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่มีเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น เราจะประพฤติอะไรก็ได้บนโลกใบนี้ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสถานะในการเป็นลูกพระเจ้า เราก็รู้สึกในใจมันใช่หรือ? ถ้าเราไม่มีความจริง เราก็ไม่เป็นไท เราก็ไม่เป็นอิสระ เราก็จะตะขิดตะขวางในใจ ก็มันใช่ไหม? เป็นอย่างนั้นหรือ?  คนอื่นที่ไม่เชื่อพระเจ้า ที่อยู่รอบข้างเรา ยิ่งหนักกว่านั้นอีก พอเราไปพูดอย่างนี้ รับไม่ได้เลย …

“อะไร เป็นคริสเตียน จะทำอะไรก็ได้หรือ? ไปสวรรค์แน่นอนหรือ?”

ก็จะตั้งคำถามใส่เราเลย หรือว่าแม้เราจะตั้งคำถามในใจตัวเองก็ตาม คำถามก็คือ …

“ถ้าอย่างนั้นเป็นคริสเตียนก็ สนุกสนานในการทำชั่วได้สิ ก็ไม่ได้ต้องรับโทษแล้วสิ”

เคยคิดไหม? เล็กๆ ใช่ไหม?

สองตอนที่เราได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับการดับพระวิญญาณ คือการไม่เชื่อพระเจ้า กับกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยวว่ามีทั้งหว่านทางบาป ก็ได้ หว่านทางพระวิญญาณก็ได้ อาจารย์เปาโลย้ำเตือน กับผู้เชื่อทั้งหลายว่าเมื่อท่านได้เรียนรู้อย่างนี้แล้ว เรื่องพระคุณของพระเจ้า ท่านจะเลือกเดินทางไหน? เมื่อท่านได้มองเห็นประโยชน์ของการอยู่ในพระคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในความสว่าง และการให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาชีวิตในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านยังจะเลือกเดินตามฝั่งตรงข้าม ก็คือเลือกเดินไม่เชื่อพระเจ้า ดับพระวิญญาณอยู่หรือ? ซึ่งจะให้ผล คือความพินาศในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านยังจะเลือกในสิ่งที่เป็นตรงกันข้ามอีกหรือ? …

“ถ้าอย่างนั้นเป็นคริสเตียนก็สนุกสนานในการทำบาปอย่างนั้นหรือ?”

เปาโลก็ตอบคำถามนี้เลย ในโรม 6:1-11 นี่คือคำตอบคำถามที่เป็นหัวใจของคริสเตียนทุกคน ที่จะมีคนถาม โดยเฉพาะตัวเองถามตัวเอง และคนรอบข้างจะถามเราแน่นอน เราจะต้องตั้งใจฟังให้ดีๆ

โรม 6:1-11 “1 เช่นนี้แล้ว เราจะว่าอย่างไร เราควรจะทำบาปต่อไป เพื่อพระคุณจะได้มีมากยิ่งขึ้นหรือ 2 อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย เราได้ตายต่อบาปแล้ว เราจะดำเนินชีวิตในบาปต่อไป ได้อย่างไร  3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์  ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์  4 ฉะนั้น  เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป 7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป 8 ถ้าเราตายกับพระคริสต์แล้ว  เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย 9 เพราะเรารู้ว่าในเมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายแล้ว พระองค์จะไม่มีวันตายอีก  ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป 10 ที่พระองค์ทรงตายนั้น ทรงตายต่อบาปครั้งเดียวเป็นพอ แต่ที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่นั้น ทรงมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า 11 ในทำนองเดียวกัน จงถือว่าตัวท่านเอง ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระเยซูคริสต์”

 

“เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร?” … คําถามที่ควรจะถามเรา ก็คือเราควรจะทำบาปต่อไป เพื่อพระคุณจะได้มีมากยิ่งขึ้นหรือ?  ก็คือย้อนกลับมาที่คำถามเมื่อตะกี้ ที่คนจะถามเรา แล้วเราจะถามตัวเองว่าถ้าอย่างนั้น เป็นคริสเตียน ก็ทำบาปได้เรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ? เป๊ะไหม? อาจารย์เปาโลก็เลยตอบ ก็คือพระเจ้าตอบเราว่าพอเรารู้แล้วว่าพระคุณของพระองค์ยิ่งใหญ่มาก พระเจ้ายิ่งใหญ่มาก ให้เราบังเกิดใหม่ฟรีๆ โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำของเราเลย ให้เราได้อยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว ตลอดไปเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่ว่าเราจะประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเรารู้แล้วอย่างนี้ ก็เลยทำบาปต่อไป เพื่อจะให้เห็นพระคุณพระเจ้าชัดเจนมากยิ่งขึ้นอย่างนั้นหรือ? ใช่หรือ? แน่ใจอย่างนั้นหรือ? ข้อที่สองก็เลยตอบอย่างชัดเจน เน้นบอกว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย”

คำว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย” มาจากภาษาอังกฤษคำว่า certainly not ซึ่งจริงๆ แล้ว ควรจะแปลได้ว่า “มันไม่เป็นไปอย่างนั้นแน่นอน” ความคิดเราเปลี่ยนไปทันที พระเจ้าหรือเปาโลบอกว่า …

“มันไม่เป็นไปอย่างนั้นแน่นอน ที่ท่านบอกว่าถ้าอย่างนั้น ก็ทำบาปได้สิ เห็นพระคุณเยอะแยะ”

เราจะตอบว่า … “มันไม่เป็นไปอย่างนั้นแน่นอน”

เพราะอะไร? มันไม่เป็นไปอย่างที่บอกมานั่นแหละ ที่พูดนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก พูดง่ายๆ

ท่านก็จะถาม คนข้างๆ ก็จะถาม เป็นไปไม่ได้เพราะอะไร? มาดูกันต่อไป มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นแน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ เราไม่สามารถทำบาปต่อไปอีกได้แล้ว ก็เพราะว่าเราได้ตายต่อบาป และจะดำเนินชีวิตอยู่ในบาปต่อไปได้อย่างไร? ในข้อพระคัมภีร์บอกไว้ เราได้ตายต่อบาปแล้ว ในที่นี้หมายถึงตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณของเรา ตัวตนของเราก่อนจะเชื่อพระเจ้า เราสกปรกขนาดไหน? เราเป็นบาป และเป็นทาสบาป ตอนนี้พอเราเชื่อพระเจ้า ตัวตนนั้น ตัวจริงๆ ของเราได้ตายไปแล้ว ตายต่อบาป ตัวบาปนั้นมันตายไปแล้ว เมื่อตายต่อบาปแล้ว ก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตในบาปได้อีกไงเล่า มันง่ายนิดเดียว เมื่อตายต่อบาปแล้ว มาอยู่ในชีวิตของพระเจ้าแล้ว มันก็ไม่ใช่อยู่ในบาปนั้น ไม่อยู่ในบาป แล้วจะดำเนินชีวิตอยู่ในบาปได้อย่างไร?

คำว่า “ดำเนินชีวิต” ตรงนี้มันหมายถึงมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ความประพฤติ คำว่าดำเนินชีวิต ตรงข้อพระคัมภีร์ตรงนี้ มันหมายถึงพระเจ้ากำลังบอก เปาโลกำลังบอกว่าตัวเก่าท่านอยู่ในบาป ตอนนี้ท่านอยู่ในความชอบธรรม อยู่ในพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้อยู่ในบาปอีกต่อไปแล้ว เพราะตัวเก่ามันตายไปแล้ว มันแปลว่าอย่างนั้น

พอพูดแบบนี้ หลายคนก็เริ่มงงเลย อ้าว! ถ้าอย่างนั้น แล้วที่บอกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ก็ยังทำบาปได้อยู่ ยังประพฤติชั่วได้อยู่ ความหมายว่าอย่างไร? ก็เราเรียนมาหยกๆ บอกคริสเตียนก็ยังทำชั่วอยู่ ไม่ได้ดำเนินชีวิตในบาปแล้ว แล้วทำชั่วอย่างไร?

ตรงนี้แหละที่เป็นหัวใจสำคัญ ที่ผ่านๆ มา และปัจจุบันนี้ ยังมีคนสอนไม่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ ในบริบทนี้ จะมีคนสอนกันเยอะว่าถึงแม้ว่าเราจะเป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้วก็ตาม แต่เรายังอยู่ในร่างกายที่ยังเป็นตัวตนเดิมอยู่ ยังมีธรรมชาติบาปอยู่ในตัวตนเรา ตั้งใจ ค่อยๆ ฟัง  เราก็ยังคงสู้กันอยู่ในตัวเอง ระหว่างตัวตนเดิม ที่ยังเป็นบาปอยู่กับตัวตนใหม่ ที่บังเกิดใหม่แล้ว ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ซึ่งการต่อสู้นี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะให้ความสำคัญ เราจะให้อาหาร เราจะฟัง หรือให้น้ำหนักฝั่งไหนเยอะกว่ากัน ฝั่งนั้นก็ชนะ จะให้ฝั่งดำหรือขาว ทั้งขาวทั้งดำอยู่ในตัวของเรา นี่เขาสอนกันอย่างนี้

ซึ่งคำสอนหรือคำอธิบายอย่างนี้ ไม่ได้ตรงตามบริบทที่แท้จริงของพระคัมภีร์ตรงนี้  ซึ่งเรากำลังจะเรียนรู้กันต่อไป สำคัญมาก เพราะมันคือหัวใจของข่าวประเสริฐ ผลของข่าวประเสริฐ ก็ต้องตั้งใจ

อาจารย์เปาโลอธิบายให้ฟังว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร? ในข้อที่ 3 กับข้อที่ 4 บอกว่า … “ท่านไม่รู้หรือว่า” ก็แสดงว่ามีคนไม่รู้จริงๆ  เราทั้งปวงที่รับบัพิตศมา เรา ตรงนี้ หมายถึงคนที่เชื่อในข่าวดี เชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์ เราทั้งปวงที่รับบัพติศมา เข้าในพระเยซู ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาในความตายนั้น

บัพติศมา แปลว่าฝังลง มุดลง จุ่มลงไปมิด เป็นหนึ่งเดียวกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ไปแล้ว

คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าภายในตัวเรา ที่เราเห็นอยู่นี้ มี 2 ตัวตน ที่ยังต่อสู้กันอยู่ ระหว่างฝั่งขาวกับฝั่งดำ ตัวตนที่เป็นฝั่งขาว ก็รู้กันอยู่ว่าบริสุทธิ์ สะอาด และบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ตัวตนเก่าก็ยังอยู่อะไรอย่างนี้  ตีกันอยู่ คนที่เข้าใจแบบนี้อยู่ ก็เพราะว่าเขายังไม่ได้ซึมซับความจริงตรงนี้ว่าเรา ก็คือที่เป็นคริสเตียน ผู้ที่เชื่อแล้ว  ตัวตนเดิมที่เป็นบาป ได้ตายไปจริงๆ แล้ว ตายไปแล้ว ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ในการบัพติศมาของพระเจ้า บัพติศมาเราลงไปในความตายของพระเยซูคริสต์ เราตายพร้อมพระองค์ไปแล้ว และเราคือตัวตนใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซู ก็เพราะเราเชื่อในข่าวดี เชื่อในข่าวดี คือเชื่อในการตายของพระเยซู และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู พอเชื่อปุ๊บ เราก็ตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมพระองค์ เชื่อไหมว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย? เชื่อ ถ้าเชื่อก็จริง ก็ต้องรู้ว่าเราก็เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์จริงๆ เราก็เป็นตัวใหม่จริงๆ แล้ว

ในข้อ 6 เปาโลจึงบอกอย่างนี้ว่า … เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา   ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาป คือกายบาปนั้น จะได้ถูกขจัดไป จะถูกทำให้สิ้นไป หมดไป สูญไป ตายไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป  ไม่เป็นทาส ก็คือไม่ได้อยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ถูกครอบงำ หลุดออกมาแล้ว

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ซึมซับความจริงตรงนี้ เขาก็จะเป็นอิสระ เป็นไท เขาจะรู้ทันทีว่าตัวตนที่เป็นบาปของเขา ที่เป็นตัวตนคนบาปของเขา มันได้ตายไปแล้วจริงๆ  ถูกกำจัดหมดแล้ว ไม่มีการเป็นทาสบาปอีกต่อไป ไม่ได้อยู่ในบาปอีกต่อไป เพราะมันตายไปแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเขามีแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้เดียวเท่านั้น เราก็คือเราเท่านั้น คือตัวตนที่ปราศจากบาป เป็นลูกของพระเจ้า เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เอเมน ในตัวเราเป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่ใช่ มี 2 ตัวอยู่ในตัวเรา เราเป็นตัวเราคนเดียว

ก็จะถามต่อใช่ไหม … “อ้าว! แล้วถ้าอย่างนั้น ในเมื่อเราไม่ได้เป็นทาสบาป ไม่ได้เป็นคนบาป ทำไมเราที่เป็นคริสเตียน ที่เกิดใหม่แล้ว ที่บอกสะอาด บริสุทธิ์แล้ว ยังทำบาปอยู่”

แน่นอน ต้องมีคนถาม เขาก็ถามกันอย่างนี้แหละ ในอดีต 2000 ปีก่อน เขาก็ถามอย่างนี้ ตอนข่าวประเสริฐถูกประกาศใหม่ๆ เปาโลก็ตอบให้ เดี๋ยวมาฟังต่อไป มาหาคำตอบกันต่อไป ในโรม 6:12 ได้บอกว่า …

โรม 6:12 “เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน  ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของกายนั้น”

 

“เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปครอบครอง”

อยากจะบอกว่าตรงนี้ ภาษาเดิมแปลว่า … เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปมันครอบครอง”

อย่าให้บาปครอบครอง อย่าให้บาปมันครอบครองนั้น มันต่างกันเยอะมากมากมหาศาล เพราะอย่าให้บาปครอบครอง รู้สึกตัวเราเอง แต่พอบอกอย่าให้มันครอบครอง มีศัตรู ถ้าอย่าให้บาปครอบครองเฉยๆ  ตัวเองเป็นศัตรูตัวเอง สู้กับตัวเอง แต่พอบอกอย่าให้มันครอบครอง เรามองแล้ว มันคือใคร?  มันคือไม่ใช่ตัวเราแน่นอน  เพราะฉะนั้น เราจะตั้งหลัก ตั้งการ์ดสู้กับเขาแล้ว เห็นไหมมันต่างกันตรงนี้

เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปมันครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน  ก็คือร่างกายนี้  ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของมัน ของเก่าแปลว่าความปรารถนาชั่วของกาย กลับมาที่เราอีกแล้ว  ผิดไง ผิดนิดเดียว แต่มันมาหันความเข้าใจเลย  เห็นไหม? ความปรารถนาชั่วของมัน มันไม่ใช่ความปรารถนาชั่วของเรา ที่เกิดใหม่แล้ว บริสุทธิ์ สะอาด เราอยากจะเหมือนพระเจ้าเลย เพราะธรรมชาติของเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราเป็นความดี เราอยากทำสิ่งที่ดีๆ  แต่มัน มันเดี๋ยวจะได้รู้มันคือใคร? แต่มันปรารถนาชั่ว จะพยายามบังคับเรา จะพยายามครอบครองเรา ให้ทำตามความปรารถนากิเลสตัณหาชั่วของมัน พอเราทำอะไรไม่ดี (โทษทีนะ) กูอีกแล้ว

“ฉันทำไมมันเลวอย่างนี้ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ทำไมฉันเลวอย่างนี้”

เห็นไหม? ศัตรูนั่งหัวเราะ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ ผมเชื่อว่าถ้าเผื่อความจริงนี้ได้ถูกประกาศออกไปมากๆ คนจะมาเชื่อพระเจ้าง่ายๆ เยอะ เหมือนในอดีต แล้วผมก็เชื่อว่าในอดีตคนที่มาเชื่อพระเจ้า เขาไม่ได้มาเชื่อพระเจ้า เพราะว่าจะแสวงหาการอัศจรรย์ การหายโรค การเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง เพราะส่วนใหญ่ที่อ่านดูในพระคัมภีร์ไม่ได้เจริญรุ่งเรือง ก็ยังขัดสนตามประสามนุษย์ธรรมดา ก็ยังเจ็บป่วยตามภาษามนุษย์ธรรมดา แม้กระทั่งอาจารย์เปาโลเองก็ตาม แต่อะไรทำให้เขามาเชื่อในข่าวดี อะไรให้เราแบกภาระหนัก แล้วมาหาพระเยซู แล้วหายเหนื่อย แล้วเป็นสุข ก็คือเขาไม่ต้องมาต่อสู้กับตัวเองอีกแล้ว เขาไม่ต้องมานั่งดุด่าว่ากล่าวตัวเอง เขารู้แล้วว่าศัตรูคือใคร? พระเจ้านำพาเข้าไปหาศัตรูว่า …

“ลูกเอ่ย นี่ศัตรูเรา เป็นตัวนี้แหละ”

เพราะฉะนั้น ตัวตนที่แท้จริงของเราสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ไม่ได้เป็นคนบาปเลย แต่มันยังมีตัวบาปที่เป็นกาฝากเกาะอยู่ แอบอยู่ในชีวิต ในกายของเรานี่แหละ มันแอบอยู่ มันมีตัวตนจริงๆ มันเป็นกาฝาก มันคือพยาธิ ถ้าเราเทียบอย่างนี้ชัดเจน ท่านว่าตัวท่านเองกับพยาธิคนละคนหรือเปล่า? พยาธิคือตัวท่านไหม?  ไม่ใช่ แต่พยาธิอยู่ในตัวท่านหรือเปล่า? อยู่ในตัว เวลามันร้องหิวอาหารที่ท่านไม่อยากกิน แต่มันอยากกิน มันร้อง ท่านรู้ตัวไหม? ท่านไม่รู้ตัว ถ้าท่านไม่เห็นตัวพยาธิ ท่านก็ไม่รู้ตัว ถ้าท่านไม่ให้หมอตรวจ เขาไม่บอกท่าน ท่านก็ไม่รู้ตัวว่าที่ท่านหิว ท่านไม่ได้หิวหรอก ตัวที่หิวมัน คือตัวพยาธิที่อยู่ในตัว กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน

“เอ๊ะ! ทำไมฉันกินไม่อ้วนสักที”

อันนี้สมมติให้ฟัง พยาธิไม่ใช่ตัวท่าน แต่มันแอบอยู่ในท่าน เราจึงเรียกว่ากาฝาก บาปมันแอบอยู่ในตัวเรา เป็นกาฝาก ต้องเรียกมันว่ามัน จริงนะในพระคัมภีร์เรียกมันว่ามันจริงๆ ภาษาเดิม

เพราะฉะนั้น ถามว่าคนที่ตายต่อบาปแล้ว ยังอยากทำบาปอยู่หรือ? เป็นไปได้ไหม? ก็ต้องตอบว่าไม่ใช่เลย  กินมากมหาศาลเลย กินเท่าไร ก็ไม่อิ่มสักที กินเยอะแยะ สมมตินะ มีพยาธิอยู่ในตัว เมื่อเอาพยาธิออกไปจากตัว สมมติว่าฆ่าพยาธิ เราตายต่อพยาธิแล้ว เราก็กลับมาที่เดิม คล้ายๆ อย่างนั้น  คนที่ตายต่อบาปแล้ว ยังอยากทำบาปอยู่อีกหรือ? มันไม่ใช่เลย เป็นไปไม่ได้   แต่มันเป็นจากเจ้ากาฝากมันเกาะอยู่ เป็นตัวที่คอยกระตุ้นให้คริสเตียนทำตามมัน  กระตุ้น กระซิบ  แหย่  คำราม  ถ้าเชื่อมัน ก็ถูกกัดกิน มันจะคอยส่งเสียงกระตุ้น โน้มน้าว ให้เราทำตาม ซึ่งคือความปรารถนาชั่วอย่างเดียว เพราะมันเป็นบาป ทำบาปนั่นเอง

ปัญหา คือผู้เชื่อที่ยังไม่มั่นคงในพื้นฐานความจริงตรงนี้ เรื่องตัวตนที่แท้จริง ที่เกิดใหม่ ยังไม่เข้าใจลึกซึ้งในเรื่องของการตายต่อบาป  ตัวเก่าเราตายแล้ว บาปมันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เราไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไปแล้ว ถ้ายังไม่รู้เรื่องตรงนี้อาจจะยังไม่สามารถแยกแยะได้ชัดเจน ระหว่างเสียงของเจ้ากาฝากที่แอบอยู่ในตัวของเรา กับเสียงของตัวเอง ที่มาจากตัวตนแท้จริงของตัวเราเอง และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา เป็นพี่เลี้ยงเราตลอดเวลา แยกแยะไม่ออก เราก็เลยนึกว่าเสียงกาฝากนั้น มันเป็นเสียงตัวเราที่ชั่วร้าย ในเมื่อพระวิญญาณบอกว่า …

“ไม่ใช่ เธอเป็นคนดี เธอเป็นลูกพระเจ้า เธอไม่ได้ชั่วหรอก มันๆๆๆ ไม่ดี”

เราก็บอกว่า … “ฉันไม่ดี ฉันมันเลว”

ถูกไหม? เพราะในอดีตเราเคยเป็นอย่างนั้น ในอดีตเราเป็นทาสมัน  เรายอมมันทุกอย่าง มันก็ติดนิสัย เราก็กลัวมัน เราก็นึกว่าตัวเราเองเป็นอย่างนั้น เหมือนเดิม แต่พระเจ้าบอก …

“ไม่ใช่ เจ้าเป็นลูกเราแล้ว สะอาด หมดจด บริสุทธิ์แล้ว มันต่างหากที่ยังแอบเป็นกาฝากอยู่ เราเป็นอิสระจากมันแล้ว”

โรม 6:13-14 อธิบายต่อไป “13 อย่ายกส่วนต่างๆ  ในกายของท่าน ให้แก่บาป  เป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้า ในฐานะที่ได้เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว และถวายอวัยวะต่างๆ ในกายของท่านแด่พระองค์ ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม 14 เพราะบาป ไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ

 

เห็นไหมพอแปลเมื่อสักครู่ ข้อ 12 ถูกปุ๊บ รู้ว่ามีอะไรแอบอยู่ มีศัตรูเป็นใคร? พอมาอ่านต่อไป คราวนี้ โอ้โห ชัดมากเลยนะ

“อย่ายกส่วนต่างๆ ในร่างกาย อวัยวะในร่างกายให้แก่มัน”

ก็คือบาป ชัด ตัวตนออกมา เห็นภาพเลย  อย่ายอมมัน พูดง่ายๆ  มันจะใช้ร่างกายเราไปด่าคนอื่น ไม่ยอม แต่ก่อนนี้ต้องยอม เพราะแต่ก่อนนี้เป็นทาสมัน ตัวตนแท้จริงของเรา คือบาป แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ไม่ต้องยอม

“อย่ายกส่วนต่างๆ ในร่างกายของท่านให้แก่มัน เป็นเครื่องมือของการทำชั่วร้าย แต่จงถวายตัวท่านเอง แด่พระเจ้า”

ก็คือให้พระเจ้านำ ให้พระวิญญาณนำ ไม่ดับพระวิญญาณดีกว่า พูดง่ายๆ

ข้อ 13 ตรงนี้ยังอยากจะอ่านอยู่นิดนึง “… แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้า ในฐานะที่ได้เป็นขึ้นจากตาย”

เห็นไหม? เป็นขึ้นจากความตาย อยู่กับพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า มาให้พระเจ้าใช้ดีกว่า  ในฐานะที่ได้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว และถวายอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของท่าน แด่พระองค์ให้เป็นเครื่องมือของความดีงาม ชอบธรรม

ข้อ 14 บอกเพราะบาป มันไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไปแล้ว มันไปแล้ว มันไม่ได้อยู่ในบ้านนี้แล้ว  บ้านนี้เจ้านายคือพระเยซูคริสต์ต่างหาก เพราะบาปมันไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ พระคุณนี้ ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง ท่านอยู่ใต้พระเยซูคริสต์ ไม่ได้อยู่ใต้บาป บัญญัติต่างๆ นี้ ก็คือเครื่องมือของบาป พระคุณ ก็คือเครื่องมือของพระเจ้า เครื่องมือของบาป ก็คือมาร เครื่องมือของพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น พระคุณ ก็คือพระเยซูคริสต์ โดยพระคุณ ก็คือโดยพระเยซูคริสต์ ตกนรก โดยกฎ กฎ ก็คือมารนั่นเอง มาอ่านต่อไป ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

โรม 6:15-18 “15 เช่นนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาป เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณหรือ อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย 16 ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด  ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น  ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม 17 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายแก่ท่านนั้นอย่างสุดใจ 18 ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป และได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว”

 

ข้อที่ 15 บอกว่า … “เช่นนี้แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาป เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย

ก็ต้องแปลว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน เราจะรู้แล้ว มันไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน รู้ว่าศัตรูของเราคือใคร? เรามั่นใจแล้วว่าตัวเราเอง เป็นคนดีขนาดไหน?  มันเป็นไปไม่ได้หรอก

เช่นนี้แล้ว ก็คือย้อนกลับไปที่ข้อก่อนหน้านี้ ก็คือเปาโลได้อธิบายตั้งแต่บทที่ 6 ข้อ 1 มาแล้ว ที่ตะกี้นี้เราอ่านพร้อมกันว่าเราได้ตายต่อบาปแล้ว โดยพระคุณพระเจ้า เราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว โดยการบัพติศมา วิญญาณเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน   ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซูคริสต์  เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย และได้ถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เชื่อมต่อติดสนิท เขาเรียกว่าสัมพันธ์สนิทมาก พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ เราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกาของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

และเรายังไปทำบาปได้เหรอ? ทำได้ไหม มันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ ท่านจะเห็นภาพ มันไม่ใช่ความปรารถนาแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเชื่อวางใจพระเจ้า พระเจ้าจะทรงประทานความปรารถนาเข้ามาในใจของเรา นี่แหละคือความปรารถนา

ความปรารถนา คือนมัสการพระเจ้า แปลว่ายอมสยบต่อพระเจ้า เป็นทาสพระเจ้า และเป็นทาสในลักษณะเป็นทาสของพระคุณ ก็คือเป็นลูกของพระเจ้า ไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ที่เป็นทาสมาร มันกดขี่ข่มเหงเรา แต่มาเป็นทาสของพระเจ้า เขายกตัวอย่างให้เห็นว่าสมัยก่อนเป็นทาสมาร ถูกครอบงำยังไง ต้องเชื่อมันยังไง ถูกบังคับยังไง ตอนนี้มาเชื่อพระเจ้า เป็นทาสพระเจ้า ไม่บังคับ แต่ดูแลเราด้วยความรักนิรันดร์ รักแบบอมตะ รักแบบไม่มีเงื่อนไข

นี่คือชัดเจน เราเป็นทาสของพระเจ้า อยู่ในพระคุณของพระเจ้า ซึ่งจะไม่มีบาปอีกต่อไป ความประพฤติ หรือการกระทำใดๆ ก็จะไม่มีผลต่อความรอด ที่เรารอดโดยพระคุณนี้เลย แม้แต่นิดเดียว ไม่มีผลต่อชีวิตนิรันดร์ ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว จากพระเจ้า ตั้งแต่วันแรกที่เราได้บังเกิดใหม่ ตั้งแต่วันแรกที่เราได้ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันแรกที่พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณเรา จนถึงวันนี้ เรายังคงเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะประพฤติอะไรที่คิดว่าเป็นบาปหรือไม่ดีมากขนาดไหนก็ตาม ถูกต้องไหม? ถูกต้อง ตอนนี้เราจะมั่นใจ กล้าตอบได้ว่าถูกต้อง  เพราะว่าทั้งหมดนั้นที่เราได้รับ เราได้รับมาจากการเกิดใหม่ เกิดมาเป็นคนดี  ไม่ใช่เราทำดี  เราเกิดมาเป็นคนดี  เราจึงทำดีทีหลัง แต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เราเป็นคนชั่ว เราก็ไม่ได้ทำชั่ว แล้วก็เป็นคนชั่ว  แต่เราเกิดมาเป็นคนชั่ว แล้วจึงทำชั่วทีหลัง เหมืนอกัน แต่คนละด้านเท่านั้นเอง

ในข้อที่ 15 เปาโลจึงสอนด้วยวิธีการตั้งคำถามว่าเมื่อท่านได้ทราบความจริงเช่นนี้แล้ว ท่านก็จะถามว่าผู้เชื่อทั้งหลาย จะอ้างพระคุณของพระเจ้า เป็นข้ออ้างในการทำบาปต่อไปหรือ? เหมือนหัวข้อที่เราได้ตั้งชื่อมาอย่างนั้นหรือ?  ซึ่งคำตอบ ก็คือมันไม่ใช่อย่างนั้น แน่นอนมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย ใครถามท่านตอนนี้ ท่านจะรู้เลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันไม่สามารถเป็นอย่างนั้นได้ เพราะมันไม่เป็นไปตามความจริง ตามธรรมชาติที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว มันถูกใส่ร้าย มันเป็นไปไม่ได้ เพราะ …

“ฉันเกิดใหม่แล้ว ในพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว เป็นคนดีแล้ว”

ข้อที่ 16 … “ท่านไม่รู้หรือ? เมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น”

เห็นไหม? เป็นเหตุผลชัดเจนเลย คือเราเป็นทาสของใคร เราก็เชื่อฟังผู้นั้น ทำไมเขาใช้คำว่า “ทาส” รู้ไหม? วัฒนธรรมในสมัยนั้น การเป็นอยู่ของคนสมัยเมื่อ 2000 ปีก่อน ก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ ทาสเหมือนไม่มีชีวิต ชีวิตของทาสเป็นของนายเลยนะ ไม่ใช่เหมือนทาสปัจจุบัน ทาสเป็นเหมือนวัตถุชิ้นหนึ่ง เหมือนกับตู้เสื้อผ้า ตู้เสื้อผ้านี้เป็นของนาย นายจะเอาไปคว่ำทิ้ง เอาไปเผาทิ้ง เอาไปทำอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น ทาสไม่มีชีวิต ชีวิตเขาเป็นของเจ้านายทุกอย่าง แม้กระทั่งร่างกายของเขา อย่างเช่นทาสที่เป็น ผู้หญิง เจ้านายจะสามารถนำไปทำอะไรก็ได้ ไม่มีศีลธรรมอะไรก็ได้ ไปฆ่าให้ตายก็ไม่ผิด เพราะว่าเขาเป็นทาส เขาถึงใช้คำว่า “ทาส” ท่านจะได้ลึกซึ้ง พอพูดถึง “ทาส”

ในนี้บอกว่า … “เราเป็นทาสของใคร เราก็เชื่อฟังผู้นั้น”

ถ้าเราเป็นทาสของมาร ชีวิตเราขึ้นอยู่กับมารผู้เดียวเท่านั้น ชี้นกเป็นนก พูดอะไรเราต้องทำ  เพราะเราถูกบังคับ ถ้าเราเป็นทาสของพระเจ้า เราก็เชื่อฟังพระเจ้า เขาเลยเอามาเปรียบเทียบว่าเมื่อเราหลุด เป็นอิสระแล้ว แทนที่จะเป็นทาสมาร มามีชีวิตใหม่ในพระเจ้า เป็นทาสพระเจ้า ยกตัวอย่างให้เห็น แต่พระเจ้าไม่ได้ควบคุมชีวิตเรา เป็นแบบบังคับ ด้วยความชั่วร้าย ไม่ใช่ ด้วยความดี ด้วยพระคุณของพระองค์ รับเราเป็นลูก แต่ให้เราทั้งหลายเป็นเหมือนทาส ก็คือมอบชีวิตให้พระองค์ พระองค์เอาไปเลยๆ ยอมเป็นทาส แต่ทาสด้วยความรัก พอเข้าใจนะ

แล้วเราจะดูว่าเราเป็นทาสใคร? มันง่ายนิดเดียว ก็ดูที่เราเป็นทาสใครตอนนี้ พระคัมภีร์ในหนังสือโคโลสีบอกว่าพระเจ้าได้ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง เราอยู่ในความสว่าง เราไม่ได้อยู่ในความมืด เราอยู่ในความชอบธรรม เราไม่ได้อยู่ในความบาป พระเจ้าได้ย้ายเราออกมาแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ลูกมาร ไม่ใช่ทาสมารอีกต่อไป

ในข้อ 18 บอกว่า … “ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป และได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมไปแล้ว ท่านได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความบาป มาสู่อาณาจักรของความชอบธรรมของพระเจ้า ได้ย้ายออกจากอาณาจักรของความมืดมาสู่อาณาจักรของความสว่าง”

ชัดไหม? ชัด ได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรของมาร ของอาดัมมาสู่อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ของพระเจ้า ไม่ได้เป็นคนบาป ไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป ชีวิตของท่านเป็นของพระเจ้า สมัยก่อนชีวิตของเราเป็นของมาร ซึ่งอาศัยความบาปเป็นเครื่องมือ

เป็นทาสของความชอบธรรม ก็คือเป็นทาสของพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า เชื่อฟังพระวิญญาณ ไม่ดับพระวิญญาณอยู่แล้ว ซึ่งจะส่งผลออกมาเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณจะนำเรา รวมความแล้ว เราบอกเชื่อพระเจ้า เชื่อพระวิญญาณ มันดูไม่เห็น เพราะเราบอกเชื่อๆ แต่สิ่งที่สังเกตได้ ก็คือผลของพระวิญญาณ มันจะออกมาเป็นกลุ่มนี้แหละ เราไม่ได้ดับพระวิญญาณ และตอนที่เราดับพระวิญญาณ แล้วเราไปทำบาป ก็เพราะเราเผลอไปเชื่อมัน เชื่อปรสิต เชื่อกาฝากที่แอบอยู่ในตัวมันคอยกระซิบ กระตุ้นๆ เราเผลอหล่นลงไป  ทำตามมัน นั่นแหละคือดับวิญญาณ ไม่ทำตามพระเจ้า ที่เราเรียกว่าล้มลง ในการทำบาป เป็นคริสเตียน แล้วทำบาป มันเป็นอย่างนี้แหละ แล้วใช่ตัวเราทำไหม? มันดูเหมือนตัวเราทำ  สาเหตุต้นเหตุ คือใคร? เราทำจริง แต่ใครเป็นคนจ้างเราทำ ตัวจ้างเรา ตัวต้นเหตุ เราไม่อยากทำหรอก แต่มันกระตุ้นเรา แล้วเราเผลอปุ๊บ หล่นลงไปเชื่อมัน ผลของพระวิญญาณที่บังเกิดขึ้น ในตอนที่เราเชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่จะมองเห็นได้ ก็อย่างเช่นในกาลาเทีย 5:25 ที่บอกว่า  …

“ในเมื่อเราได้เกิดใหม่แล้ว มีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด”

เราเป็นลูกพระเจ้า และพระเจ้าจะบอกเราให้เราเดินตามพระวิญญาณ ผู้ใดดำเนินตามพระวิญญาณ ก็จะสะท้อนออกมาถึงลักษณะนิสัยของพระวิญญาณออกมาจากตัวของเรา ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าเป็นความรัก ความชื่นชมยินดี ความอดทน ความเมตตา ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน และการควบคุมตนเองได้ สิ่งเหล่านี้จะออกมาจากตัวเรา เมื่อเราอยู่ในกลุ่มนี้เมื่อไร? เราจะรู้ว่าเรากำลังเป็นตัวตนแท้จริงของเรา

ซึ่งถามจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ ผลพระวิญญาณตอนนี้ ในโลกนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในกฎหรือไม่กฎ ไม่มีกฎข้อใดห้ามเลย  เป็นเอกฉันท์ เขาเรียกว่าความดี ถูกไหม? อยากถามว่าทั้งกลุ่มนี้เขาเรียกว่าอะไร? ความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความเมตตา ความดี ความซื่อสัตย์สุจริต ความสุภาพอ่อนโยน และการควบคุมตนเอง ทั้งหมดนี้ เขาเรียกว่าความดี และทั้งหมดนี้คือตัวท่าน

ทั้งหมดนี้เป็นผลที่อยู่ในตัวท่าน เมื่อท่านสะท้อนออกมาจากตัวท่าน นี่แหละสมกับเป็นลูกพระเจ้า ของแท้ คือของดี เพราะฉะนั้นถามตัวท่านเป็นคนดีไหม? ก็คือคนดีสิ แต่คนดี ซึ่งเผลอไปประพฤติชั่ว เพราะว่าถูกมารมันกระตุ้น หลอกเรา ให้เราไปเชื่อมัน พอเชื่อมัน เราก็มอบอวัยวะในร่างกายเรา เหมือนที่ตะกี้นี้พระคัมภีร์ชี้ให้เราเห็น เราก็มอบมือไม้ จมูก หู กาย ความคิดของเราให้กับมัน พอมันกระตุ้น เราไปมอบให้มัน แทนที่จะรัก เราเก็เลยเกลียด  เพราะมารและบาป อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต้องการให้เราทำอะไรก็ตาม ที่มันตรงข้ามกับในใจของเรา ถ้าเราทำตามมัน เราก็กำลังดับพระวิญญาณ แทนที่จะสะท้อนความชื่นชมยินดีออกมา ก็สะท้อนความโศกเศร้า เสียใจ ความโกรธเกรี้ยว ความขุ่นเคืองออกมา แทนที่จะสะท้อนสันติสุขออกมา ก็สะท้อนความวิตกกังวล แทนที่จะสะท้อนความอดทน ก็อดทนไม่ได้ โมโห จะเอาเดี๋ยวนี้ จะเห็นแก่ตัว แทนที่สะท้อนความเมตตา ก็จะชอบความรุนแรง อะไรที่เป็นความรุนแรง ก้าวร้าว ทำมันหมดทุกอย่าง

ทั้งหมดเหล่านี้คือตรงกันข้ามกับผลของพระวิญญาณ คือสิ่งที่มารต้องการกระทำ ให้เป็นศัตรูกับพระเจ้า และกระตุ้นเรา ส่งเสียงคำราม บอก กล่อมเกลา พยายามที่จะมีอำนาจอยู่เหนือเรา  ทั้งๆที่ไม่มีแล้ว แต่พยายามนึกว่าตัวเอง มันมีๆ มันพยายามๆ และถ้าเราหลงไปตามมัน ไม่พอ พอตามมัน เสร็จปุ๊บ มันยังซ้ำเติมเรา เพราะมันเป็นศัตรู …

“แกเป็นคนทำ เพราะฉะนั้น แกมันเลว แกเป็นลูกพระเจ้าได้อย่างไร แกยังทำอย่างนี้อยู่เลย”

พอเห็นอะไรไหม ตำราพิชัยสงคราม ถ้ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เรารู้ว่าตัวมันแอบอยู่ ไม่งั้นมันหลอกเรา หาว่าเราเป็นศัตรูกับพระเจ้าเอง ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว มันบอกว่าเราเป็น ทำไมเราเป็น ก็เรายังคงทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าบอก …

“แกมันเลว แกเป็นคนชอบธรรมได้อย่างไร? แกทำบาปอยู่”

แต่พอเราเห็นภาพชัดเจน เรารู้ความจริง

“ฉันไม่ได้เป็นคนทำ แกเป็นคนมากระตุ้น เป็นคนมาหลอกฉัน ล่อลวงฉัน ให้ฉันเป็นศัตรูกับพ่อของฉัน ให้ฉันคิดจะทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพ่อฉัน”

นี่คือสิ่งที่เป็นความจริง ที่ทำให้คริสเตียนเป็นไท หรือคนที่ไม่เป็นคริสเตียน ยิ่งเป็นไทใหญ่เลย  คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ยิ่งเป็นไทใหญ่เลยว่า …

“สิ่งที่ฉันทำลงไปต่างๆ เหล่านั้น ฉันมีโอกาสเป็นอิสระจากมัน เพราะว่าพระเจ้า ประทานพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต่อไปนี้ ฉันสามารถที่จะไม่ต้องพึ่งตนเองอีกต่อไปแล้ว ที่จะเอาชนะตัวบาปนี้  แต่ให้พระเยซูคริสต์มาช่วยฉัน ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ ชนะบาปได้ โดยวิธีนี้ คือเกิดใหม่”

เพราะฉะนั้น ท่านตอบคำถามนี้ได้แล้วใช่ไหมว่ารอด ก็รอดโดยพระคุณ ไม่ต้องอาศัยความประพฤติ เพราะฉะนั้น ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ? ท่านตอบได้แล้ว ท่านชัดเจนแล้ว จาก 4 ตอน ตอบได้แล้ว ท่านก็จะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข สันติสุข อย่าลืมนะว่าเราเป็นฝ่ายเดียวกับพระเจ้า ว่ากันตามตรงแล้ว มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อ จะเชื่อข่าวดีหรือไม่เชื่อ เป็นฝ่ายพระเจ้าทั้งนั้น แต่ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว  เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าแล้ว ยิ่งเป็นฝ่ายของพระเจ้ามากใหญ่ โดยธรรมชาติด้วย ไม่ใช่โดยความอยากอย่างเดียว ถ้ามนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ต้องการทำความดี นั่นแหละเขาอยู่ฝ่ายพระเจ้า แต่เขาไม่สามารถทำได้ เพราะว่าเขาอยู่ฝ่ายพระเจ้าก็จริง แต่ยังเป็นนักโทษ อยู่ในมือของศัตรูอยู่ อยู่ในมือของมารอยู่ พระเจ้าต้องช่วยเขาออกมาก่อน จากการเป็นทาส เป็นนักโทษ จากคุกของมารก่อน ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ทำบาป แล้วมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส

“ฉันทำบาป มีความสุข”

ไม่มีแม้แม้แต่คนเดียวเลย ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาก็ไม่อยากจะทำบาป  แต่ที่เขาทำ เพราะเขาไม่รู้จะทำอย่างไร? เพราะเขาอยู่ในอำนาจ อยู่ในคุก เป็นนักโทษ เป็นทาสของบาป  บังคับเลย ไม่มีสิทธิ์เงยหัวเลย  ซึ่งอาจารย์เปาโลพูดไว้ในหนังสือโรม บอกว่า …

“สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ ข้าพเจ้าก็ต้องทำ”

ก็คือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า มันเป็นอย่างนี้ อยากทำดีไหม? อยากจะตาย  เพราะจิตสำนึก พระเจ้าเขียนเอาไว้แล้วในใจของคนว่าอะไรดี อะไรชั่ว รู้ว่าดี แต่ทำไม่ได้ ทำบาป อยากทำไหม? ไม่อยาก แต่ต้องทำ เพราะมันนั่นแหละ เพราะเราเป็นทาสมัน

อาจารย์เปาโลบอก ตอนที่อาจารย์เปาโลยังไม่เชื่อพระเจ้า อาจารย์เปาโลเป็นผู้ที่น่าสมเพช ยกตัวอย่างตัวเองแทนคนที่ไม่เชื่อทั้งหลาย  อาจารย์เปาโลพูดไว้อย่างนั้น คนที่ไม่เชื่อทั้งหลาย เหมือนกับแก ตอนที่แกยังไม่เชื่อพระเจ้า ก็เป็นอย่างนั้นแหละ คือ …

“ข้าพเจ้าน่าสมเพชขนาดไหน? สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำมากๆ เลย ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ ข้าพเจ้าก็ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำเลย ข้าพเจ้าไม่อยากรังแก ข่มเหงคริสเตียน ผู้เชื่อ ไม่อยากจะฆ่าเขาตาย แต่ข้าพเจ้าก็ต้องทำ เพราะถูกมันบังคับ ข้าพเจ้าไม่อยากโกรธ ข้าพเจ้าก็โกรธ”

เหมือนไหม? เหมือนเราในอดีตไหม? อาจารย์เปาโลบอก …

“แต่ขอบคุณพระเจ้า เดี๋ยวนี้ มารู้จักพระเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้า วิญญาณทั้งหมดเป็นของพระเจ้าแล้ว ทั้งตัวตน ทั้งชีวิตเป็นของพระเจ้า พระเจ้าก็ใช้ในทางชอบธรรม ในทางดีงามทั้งนั้น”

เพราะฉะนั้น ไม่มีคนไหนหรอก อย่ามาบอกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว รอดโดยพระคุณแล้ว และจะทำบาปอะไรก็ได้  อย่างนั้นหรือ? ไม่มีใครอยากทำหรอก แล้วก็ทำไม่ได้ ตามที่เราเรียนแล้ว

คำถามนี้สามารถถามคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ยังไม่บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นคริสเตียน เขาก็ไม่อยากทำหรอก อ๋อ! เป็นคริสเตียนแล้วอยากทำบาป ไม่อยากทำ แต่ที่ทำ เพราะมันเลิกไม่ได้ มันถูกควบคุมอยู่ เหมือนคนติดยา ก็เป็นทาสยา คนติดยาบ้า ก็เป็นทาสยาบ้า คนติดยาเสพติดเฮโรอีน ก็เป็นทาสเฮโรอีน เขาอยากหรือ?  เขาไม่อยาก แต่เขาติดแล้ว มันทำไง อยากจะเลิก ก็เลิกไม่ได้ เหมือนกัน ฉันใดฉันนั้น แต่เราเป็นคริสเตียนแล้ว พระเยซูปลดปล่อยเราเป็นอิสรภาพแล้ว เรารู้แล้วว่ายาเสพติดนั่นมันคืออะไร? เรารู้แล้วว่ามันอยู่ตรงไหน? มันไม่ใช่ตัวเรา

อยากบอกพี่น้องที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่ได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ว่าสิ่งนี้ ที่เราได้เรียนรู้กันมา มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศาสนา ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศีลธรรม พูดตรงๆ แล้ว มันไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติบนโลกใบนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ใช่ไหม? ก็เห็นชัดๆ บอกว่ารอด โดยพระคุณ รอดจากความบาป  รอดจากการเป็นนักโทษในความบาป รอดจากการทำชั่วต่างๆ พลังอำนาจความชั่วต่างๆ รอดโดย ไม่ใช่การกระทำที่ตัวเองไปสู้กับมัน แต่ในพระคัมภีร์บอกว่ารอดด้วยความช่วยเหลือของพระเยซูคริสต์ คือโดยพระคุณ พระเจ้าประทานฤทธิ์เดชอำนาจ  ประทานพระเยซูคริสต์ให้ฟรีๆ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง ชีวิตท่านก็จะเปลี่ยนใหม่ คือได้บังเกิดใหม่

และการบังเกิดใหม่ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่จะทำให้ท่านเป็นอิสระ จากการเป็นนักโทษของความบาป เป็นนักโทษของมาร เป็นนักโทษที่มันจะบงการให้ท่านทำสิ่งที่ชั่วร้าย ท่านจะได้ไม่ต้องทำตามมัน ท่านจะได้ทำตามใจปรารถนาของท่าน ที่ท่านอยากจะทำ ท่านจะได้ทำแล้วตอนนี้  เพราะพระเจ้าจะเป็นกำลังให้กับท่าน พระเยซูคริสต์จะเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน พระวิญญาณจะนำท่าน เห็นไหมครับ? เพราะฉะนั้น ท่านแค่เชื่อในข่าวดีนี้  นี่เรียกว่าข่าวดี มาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เพื่อเขาจะได้มีอิสรภาพ เพราะพระเจ้าทรงรักพวกเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียนอย่างเดียว มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ รักดังแก้วตาดวงใจของพระองค์ อยากให้ทุกคนเข้ามา ติดสนิทอยู่กับพระองค์ เป็นอิสระ เป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก และสามารถดูแลเราได้ตลอดไป พระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2020 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  ตุลาคม  2020

 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 3

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อบรรยายในวันนี้ “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 3 เรายังอยู่กันที่หัวข้อเรื่องเดิมนะ ซึ่งต้องละเอียดหน่อยข้อนี้  สมมติมีคนมาถามเรา รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?  เราจะได้รู้ เข้าใจถึงถ้อยคำพระเจ้า  น้ำพระทัยของพระองค์ เราจะได้ตอบเขาได้ว่ามันเป็นอย่างไร?

เราย้ำกันไป 2 ตอนแล้วนะว่าสำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ความประพฤติและการกระทำทุกอย่าง ไม่มีผลใดๆ ต่อความรอดทางวิญญาณ แต่จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเราอย่างนี้แน่นอน

คำว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ยังคงมีอยู่ และจะมีผลต่อผู้ที่เชื่อ ผู้ที่เป็นคริสเตียน หรือผู้ที่ไม่เป็นคริสเตียน  เชื่อหรือไม่เชื่อข่าวประเสริฐ ก็ยังมีผลอยู่ ก็คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่เป็นผลของการเก็บเกี่ยว การเกิดขึ้น เฉพาะการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น  ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับผลทางด้านวิญญาณ หลังความตายเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือข่าวดีของพระเจ้า นี่คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า

นี่คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเรา  สอนเราว่าการกระทำบนโลกใบนี้ มันไม่เกี่ยวข้องกันกับโลกภายหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้วว่าถ้าคิดถึงโลกภายหน้า เกิดผลได้อย่างเดียว คือเกิดมาเป็น พระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็บาปแล้ว

ผลของการทำความชั่วของโลกใบนี้ ก็คือผลของความบาปที่เกิดมาเป็น เพราะฉะนั้น จะแก้ไข ก็ต้องไปแก้ที่ต้นตอ จะหายจากบาปได้ ก็ต้องไปเกิดใหม่ซะ เพราะฉะนั้น การกระทำบนโลกใบนี้ จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็สำคัญอยู่ เพราะเราเรียนรู้อยู่ว่ามันสำคัญอย่างไร?

ในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้ทิ้งท้ายกันไว้ในประเด็นที่ว่าการดำเนินชีวิตของเรา ซึ่งเป็นผู้ที่เชื่อในพระยซูแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เรามีอยู่ 2 ทางให้เลือกเท่านั้น …

ทางหนึ่ง คือวางใจในพระเจ้า

อีกทางหนึ่งคือวางใจในระบบของโลกนี้  แม้ว่าเราจะได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้  แล้วจะอยู่ไปตลอดกาล ก็ตาม

ก็มี 2 ทางเลือกให้เราบนโลกใบนี้ว่าจะเอาเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษต่อตัวเอง

เราสามารถที่จะเลือกเชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วก็ได้ผล คือพระพรของพระเจ้า หรือจะ เลือกเชื่อระบบของโลกนี้ ที่พระคัมภีร์เรียกว่ากิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง แล้วก็ได้รับโทษ ไม่ได้รับประโยชน์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เรามีสิทธิ์เลือกได้ทั้งสองอย่าง

(1) เชื่อพระเจ้าและทำตามพระวิญญาณ

(2) ไม่เชื่อ ทำตามระบบของโลกนี้ ตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งมันแอบอยู่ในตัวของเรานี่แหละ ต้องเน้นตรงนี้ แล้วเดี๋ยวค่อยๆ เรียนรู้ไป “มัน” แสดงว่าไม่ใช่ตัวเราแล้ว มันมีอิทธิพลอยู่ มันแอบอยู่ ถ้าเราทำตามมัน เราก็จะได้รับโทษในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องเน้นตรงนี้  เดี๋ยวคิดว่าได้รับโทษ ชีวิตหลังความตาย ไม่ใช่นะ

แต่ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนก็ตาม จะเชื่อพระเจ้าตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า หรือไม่เชื่อก็ตาม วิญญาณของเราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้า  ที่พระเจ้าทรงรักเราอย่างแก้วตาดวงใจ และจะอยู่ในสวรรค์กับพระองค์อย่างนี้ตลอดไป และพระองค์ก็อยู่ฝ่ายเรา อยู่ข้างเรา  คอยประคับประคอง ช่วยเรา  ถ้าเราเลือกผิดทาง ก็ประคับประคอง ช่วยเราให้ได้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้อยู่บนโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้มีความสุข เท่าที่จะสามารถทำได้

เพราะฉะนั้น ต้องจำไว้เลยว่าในโลกวิญญาณนั้น ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น และได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ในความเชื่อ ในการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนเท่านั้น เราจึงจะได้รับความรอดจากบาป  สามารถเกิดใหม่และมาเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บริสุทธิ์สะอาด และจะเป็นอยู่อย่างนี้กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ก็ตาม ผมต้องเน้นตรงนี้บ่อยๆ ซึ่งจำเป็นต้องอธิบายอย่างละเอียด ไม่อย่างนั้นคนฟัง อย่างที่บอก ตามเหตุผลของมนุษย์แล้วไม่อยากจะเชื่ออย่างนี้เลย มันไม่มีเหตุผล ทำไม่ดี แล้วจะได้ดีได้อย่างไร? คิดอย่างนั้นหรือ? ทำไม่ดี ก็ไม่ได้ดีสิ แต่ไม่ได้ดีเฉพาะบนโลกใบนี้นะ จึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้อย่างละเอียด

วันนี้เราก็จะมาย้ำกันอีกครั้ง ที่คำสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ที่บอกว่าอย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคน สมควรที่จะรับรู้ และเตือนสติตนเองในโลกใบนี้ว่าอย่าดับไฟพระวิญญาณ เราได้เรียนรู้มา 2 ครั้งแล้ว คือไม่เชื่อฟังพระเจ้านั่นเอง

พระคัมภีร์ให้แนวทางไว้ด้วยว่าถ้าไม่อยากดับพระวิญญาณ  ไม่อยากจะเป็นเด็กดื้อต่อพระเจ้า เราควรทำตามนี้ คือในหนังสือ 1 เธสะโลนิกา 5:16-22 อธิบายไว้ชัดเจนเลย

1 เธสะโลนิกา 5:16-22  “16 จงมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 จงหมั่นอธิษฐาน ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร จงขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ 19 อย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ 20 อย่าลบหลู่คำเผยพระวจนะ 21 จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี 22 จงหลีกห่างความชั่วทุกชนิด”

 

สังเกตดูนะ ตั้งแต่ข้อ 16-18 เป็นช่วงหนึ่ง และข้อ 19 เป็นอีกช่วงหนึ่ง ในข้อ 16-18 ได้บอกไว้ว่าให้เราทำการชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน  สิ่งที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว จากการกระทำของพระเยซูคริสต์ การไถ่บาปให้กับเรา การเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราทั้งหลาย ที่ไม้กางเขนนั้น เพื่อให้เราระลึกถึง จดจำ จดจ่อ จนขึ้นใจถึงเบื้องบน คือหมายถึงตรงนี้ โคโลสี 3:1-4 หมายถึงตรงนี้ เพราะฉะนั้นพี่น้องจงจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ Set your mind คือตั้งความคิด จดจ่อไปที่เบื้องบน มันหมายถึงตรงนี้

เบื้องบน คือในที่โลกวิญญาณ ที่ดีกว่าโลกเนื้อหนัง ระบบของโลกวัตถุนี้   ที่พระเยซูคริสต์ได้มีชัยชนะ เพื่อเราทั้งหลาย เรียบร้อยไปแล้ว ที่โลกวิญญาณนี่แหละ ที่เราจดจ่อ ก็คือสถานที่ที่เรียกว่าสวรรค์ หรือในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว ให้เราจดจ่อตรงนี้ ให้เรานับพระพรที่พระเจ้าจัดเตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว ในสวรรค์สถานตรงนี้ ให้เรียบร้อยแล้ว ให้จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจถึงสิ่งเหล่านี้ รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ แล้วมันเกิดความชื่นชมยินดีในจิตใจเสมอๆ ตลอดเวลาเลย ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้น ก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้บนโลกใบนี้ เพราะว่าโลกวิญญาณ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว มันถึงชื่นชมยินดีได้ ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ อธิษฐานกับพระเจ้าอยู่เสมอได้อย่างไร? ก็เพราะวิญญาณเรากับวิญญาณพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน เราเป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ คิดอย่างนี้ จดจ่อเรื่องนี้ตลอดเวลา มันก็ชื่นชมยินดีได้ตลอดเวลา สามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้  คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์กับพระคริสต์ ผู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ก็คือเราทั้งหลาย

เห็นไหมครับ? ถ้าเราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจถึงสิ่งเหล่านี้ ข้อที่ 19 ก็ทำได้ง่ายขึ้น  เราก็ไม่ดับไฟแห่งพระวิญญาณ เห็นหรือยัง? ใครไม่อยากดับพระวิญญาณ ก็ต้องสนใจ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจรับรู้ตลอดเวลาว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว มันคืออะไร?  ไปศึกษา ไปดูแล ไปจดจ่อ ดูบ่อยๆ คิดบ่อยๆ เห็นตัวเองบ่อยๆ ในพระเยซูคริสต์ มันก็จะดับไฟพระวิญญาณน้อยลงเท่านั้น ชัดเจน  ถ้าไม่ทำอย่างนั้น โอกาสดับไฟพระวิญญาณ  ก็มีเยอะ ซึ่งทำให้พระองค์เสียใจ และทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ เกินกว่าเท่าที่เราจะเป็น ที่จะต้องได้รับบนโลกใบนี้

ข้อ 20 บอกว่า “อย่าลบหลู่คำเผยพระวจนะ” หลายคนเอาไปใช้ แบบผิดๆ บางคนพยายามเป็นหมอดูคริสเตียน เที่ยวไปบอกชาวบ้านถึงอนาคตว่าคุณจะเป็นอย่างนั้น คุณจะเป็นอย่างนี้ ยกตัวอย่าง

“พระเจ้าบอกคุณให้แต่งงานกับผม” อย่างนี้ บอกล่วงหน้า

“พระเจ้าบอกคุณให้ไปอย่างโน้นอย่างนี้” อะไรต่างๆ เหล่านั้น

“แล้วทำไมพระเจ้าไม่บอกคนๆ นั้นเอง”

“ไม่ได้ เรา ฉัน ผมเป็นผู้เผยพระวจนะ”

เผยพระวจนะตรงนี้ไม่ได้หมายถึงการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า ในพระคัมภีร์ใหม่บอกว่าการเผยพระวจนะทั้งหมด มาเผยพระวจนะทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์คือคำเผยพระวจนะทั้งหมด เพราะฉะนั้น อ่านพระคัมภีร์ คำสอนต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องในพระเยซูคริสต์ บัญญัติใหม่ พันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? นั่นแหละ คือคำเผยพระวจนะ และเผยเรียบร้อยแล้ว เขียนในพระคัมภีร์เรียบร้อยแล้ว แล้วก็มีครูเอย อาจารย์เอยมาเทศนา สั่งสอน มาบอกเล่าถึงถ้อยคำพระเจ้าเหล่านั้น แล้วเราได้ยิน “อย่าลบหลู่” ก็คืออย่าดื้อนั่นเอง  อย่าดับไฟพระวิญญาณ  ยกตัวอย่างบางทีเรามาคริสตจักรได้ยินคำเผยพระวจนะของพระเจ้าผ่านทางผู้เทศนา

ผู้เทศนาบอกว่าเราควรให้อภัย อย่าโกรธเลย เผอิญตอนนั้น เรากำลังโกรธใครอยู่? เขาทำอะไรให้เราไม่ดี นี่แหละคือคำเผยพระวจนะมา แล้วอย่าลบหลู่ คืออย่าเพิกเฉย ให้เชื่อฟัง อย่าดับพระวิญญาณ เชื่อฟังซะ ตัดสินใจที่จะให้อภัยตามที่พระเจ้าสอนเรา เพื่อว่าจะเป็นประโยชน์ เป็นผลดี เป็นพรกับตัวเอง  อย่างนี้เป็นต้น

แล้วทั้งหมดนั้น ทำไปเพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี “ทดสอบทุกสิ่ง” คืออะไร? พระวิญญาณจะนำเรา  ยกตัวอย่างเช่น พระวิญญาณจะนำเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเลย  เป็นประสบการณ์ในชีวิตของเรา  ให้เรารู้จักว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรเป็นพร สำหรับชีวิตเรา อะไรเป็นโทษสำหรับชีวิตเรา  ให้เราเข้าไปมีประสบการณ์ทดสอบ ให้เรามีประสบการณ์กับพระวิญญาณ ในสิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่พระวิญญาณนำพาเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ทีละอย่างๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องความโลภ เราจะได้รับการนำจากพระเจ้า เช่นเราไปถูกเขาโกงมา เขาเอาเปรียบเรา  เราไปเชื่อเขา  เราถูกหลอก  ถูกโกง เราก็มาโอดครวญกับพระเจ้า …

“พระเจ้า คนนั้นเขาเอาเปรียบเราอย่างนั้น”

พระวิญญาณก็จะนำเรา ปลอบโยนจิตใจเรา ที่เราสูญเสีย เสียหายไปอะไรต่างๆ ปลอบโยนจิตใจเราในขั้นแรก  ก็คือให้อภัยเขาเถอะ แล้วก็อาจจะบอกเราว่าทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ เป็นของพระเจ้า  ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าพระองค์จะให้ พระองค์ก็ให้เอง แสวงหาพระเจ้าดีกว่า ยึดมั่นในสันติสุข ให้อภัยเขาเถิด จบแค่นี้

เราทำได้ไหม? ทำได้ แต่ตอนที่เราทำนั้น เราอาจจะเชื่อพระเจ้ามาแค่ 1 ปี สมมติต่อไปพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สอนเราอีก สอนเราเรื่องนี้  แต่สอนเราละเอียดขึ้น เพราะเราโตขึ้น อย่างนี้ อนาคตเราก็รู้จักการให้อภัย แล้วก็ฉลาดขึ้น ในการไม่ถูกหลอกลวง ปรากฏครั้งต่อไปเราก็โดนอีก ลักษณะเดียวกันอย่างนี้ พระวิญญาณก็จะสอนเราเพิ่มเติม ปลอบโยนเรา เราให้อภัยได้แล้ว ก็จะเริ่มสอนเราบอกว่าที่เราถูกเขาโกง  ที่เราถูกเขาเอาเปรียบนั้น ที่เรากล่าวโทษเขาว่าเขามาโกงเรา  พระวิญญาณเริ่มสอนเราสูงขึ้นว่า …

“เพราะตัวเจ้าเองนั้นแหละ อนุญาตให้เขาโกง เพราะความโลภอยู่ในใจของเจ้า ความโลภทำให้เจ้าเปิดประตู ทำให้เขาเข้ามาได้ ถ้าเจ้าไม่โลภ เจ้าก็ไม่โดนโกงหรอก”

อย่างนี้เป็นต้น เห็นไหม? ละเอียดขึ้นไหม? ละเอียดขึ้น นี่ทดสอบทุกสิ่ง ยึดมั่นในสิ่งที่ดี  พระคัมภีร์บอกไว้แล้ว เริ่มโตขึ้น  พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราถูกทดลอง ในความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา อย่าบอกว่าพระเจ้าทดลองเรา แต่ท่านถูกทดลองให้เกิดความทุกข์ยาก เพราะกิเลสตัณหาของเนื้อหนังของท่านเอง ท่านอยากได้เอง เห็นไหม? แต่แรกๆ พระวิญญาณยังไม่สอนตรงนั้นหรอก เพราะเรายังเล็กอยู่ ยังไม่โตพอ เอาระดับหนึ่งก่อน เราก็จะได้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าโลภ ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น และถ้ายังมีเวลาอยู่ต่อไปในโลกใบนี้ พระวิญญาณก็จะสอนเราอย่างละเอียดขึ้น นี่เรื่องโลภเรื่องเดียว ยังไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆ อีกมากมายในชีวิตของคนเราเลย เรื่องความรัก เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องการติดต่อกับบรรดาผู้คน เรื่องนิสัยใจคอ มันจะละเอียดขึ้น

นี่แหละความหมายของคำว่า “จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี” เห็นไหม? ฉันเอง แทนที่จะไปกล่าวโทษเขา กลายเป็นอภัยให้เขา  ตอนนี้ไม่กล่าวโทษเขาเลย พอโดนโกง โดนเอาเปรียบปุ๊บ นึกถึงตัวเองเลยว่า

“ฉันไปทำอะไร?”

เห็นไหม แทนที่จะกล่าวโทษเขา

“ฉันไปเปิดประตูเอง ฉันยังโลภอยู่” อย่างนี้เป็นต้น

เขาเรียกว่าดำเนินชีวิตด้วยความรักแท้ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้สอน จงหลีกห่างจากความชั่วทุกชนิด เห็นไหม? พอเรารู้ปุ๊บ เราก็หลีกห่าง นี่เฉพาะยกตัวอย่างเรื่องเดียว  เรื่องอื่นๆ ท่านสามารถเอาไปใช้ได้

เพราะฉะนั้น เราก็จดจำประสบการณ์เหล่านี้ไว้ เป็นตัวสอนเราว่าพระวิญญาณสอนเราอะไรบ้าง ต่างๆ เหล่านั้น สอนเราแล้ว เราหายทุกข์ใจ พอหายทุกข์ใจ เราอภัยได้ แล้วทำไม?

“เราไม่ดีเอง เราสมควรแก้ไข”

แล้วก็ไม่ใช่ซึมเศร้าอยู่ตรงนั้น … “ฉันไม่ดีเอง ฉันถูกเขาโกง เพราะว่าฉันโลภ พระวิญญาณสอนแล้วก็ไม่จำ”

ไม่ใช่ พอรู้แล้ว จดจำแล้วว่าอะไรดีปุ๊บ จำไว้ แล้วทำอย่างไร? กลับไปทำข้อ 16-18 เหมือนเดิม กลับไปชื่นชมยินดีใหม่อีกทีหนึ่ง เหมือนเดิม ชื่นชมยินดีในสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้วที่พระเยซู ที่ไม้กางเขน  ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้วนั้น ฉันเชื่อแล้ว ฉันได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว กลับไปที่เบื้องบน ชื่นชมยินดี ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี หมั่นอธิษฐานอยู่เสมอๆ ตลอดเวลา คุยกับพระเจ้าหนุงหนิงๆ ไป เห็นไหม? กลับมาอยู่ที่เดิม มันจะมีวันคืนที่พระวิญญาณเริ่มสอนเราอย่างนี้ เราก็กลับมายืนอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น จึงเห็นว่ามันมีสองทางให้เราเลือกเท่านั้นเอง คือเลือกที่จะเชื่อในพระวิญญาณ หรือดับพระวิญญาณ  แต่ไม่ว่าจะเชื่อพระวิญญาณ หรือไม่เชื่อก็ตาม เราก็มีความสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ เมื่อเรากลับเข้ามาสู่ความรับรู้ในตัวตนจริงๆ ของเราในพระวิญญาณว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ถ้าเราเลือกที่จะเชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราก็ได้รับสิ่งที่เป็นพระพร ถ้าเราไม่เชื่อ เราดับไฟพระวิญญาณ  เราก็ได้ทุกข์ แต่มันเป็นทุกข์ชั่วคราวเอง เพราะเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ  เราอยู่ในสวรรค์แล้วเท่านั้นเอง

เลือกที่จะเชื่อตามพระวิญญาณ ก็ได้รับผลดี เป็นพรตามมา เลือกที่จะดับพระวิญญาณ และกระทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็ได้รับความชั่วร้าย  เป็นผลตามมา เป็นกฎ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ พระเจ้าเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้ด้วย แม้เราได้รับการอภัยในการกระทำบาปผิดทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่เราก็ได้รับผลร้าย จากการไม่เชื่อฟัง และทำให้พระเจ้าทุกข์ใจอีกต่างหาก เราทุกข์ พระเจ้าทุกข์ด้วย พูดง่ายๆ เราดับพระวิญญาณ เราได้รับความทุกข์ยากลำบาก พระเจ้าทุกข์ด้วย  เสียใจด้วย ไม่ได้โกรธแค้นอะไรเราเลย

เพราะฉะนั้น เมื่อเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระเจ้าต้องการใช้เรา ก็คือให้เราส่งต่อความรักของพระเจ้าที่ใส่เข้ามาในจิตใจเรา ที่เราได้รับจากพระองค์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้นำเราออกไป  พอจะเห็นภาพใช่ไหมครับ ก็คือความดีงามที่พระเจ้าใส่ลงไปในวิญญาณของเรา พระวิญญาณจะสอนเรา นำพาเรา ให้ส่งต่อความดีงาม ความรักนี้ออกจากวิญญาณของเรา  ทำจากข้างในออกไป ไม่ใช่ทำจากข้างนอกเข้ามา  เอเฟซัส 4:29-30 ก็ได้พูดรายละเอียดถึงเรื่องนี้ว่า …

เอเฟซัส 4:29-30 “29 อย่าให้ถ้อยคำที่ไม่สมควร หลุดออกจากปากของท่าน ไม่ว่าจะเป็น  ถ้อยคำหยาบคาย ถ้อยคำดูหมิ่นด่าว่า ถ้อยคำลามก ถ้อยคำไร้สาระ แต่จงกล่าววาจาอันเป็นประโยชน์  เพื่อเสริมสร้างผู้อื่นขึ้น  ตามความจำเป็นของเขา  จะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง 30 และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย  แต่จงแสวงหาที่จะทำให้พอพระทัย  โดยพระวิญญาณนี้  ท่านได้รับการประทับตราแล้ว  สำหรับวันแห่งการทรงไถ่ครั้งสุดท้าย  ซึ่งเป็นวันสิ้นสุด  แห่งผลของความบาป”

 

พระเจ้าให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเรา ในการที่จะสะท้อน  แสดง สำแดงภายในตัวเรา ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณที่มี่ชีวิต เป็นของพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ เป็นความรัก เป็นความสว่างนั้น ให้เราฉายแสงนี้ออกไป  สะท้อนชีวิตของเรา  ซึ่งเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นี้ ออกไปยังผู้คนรอบข้างบนโลกใบนี้  ซึ่งพระองค์ก็ทรงรักเขาทั้งหลาย  เหมือนรักเรานั่นแหละ และพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงรักเขามากมาย ต้องการให้ทุกคนบนโลกใบนี้มาถึงซึ่งความรอดในพระเยซูคริสต์เหมือนกับเรา ไม่พินาศ ไม่ต้องตกนรก  แต่พูดตรงๆ ให้ความสนใจกับพวกเขาตอนนี้มากกว่าเราอีก เพราะเรารอดแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว แต่เขายังไม่รู้เรื่องเลย  พระองค์ทรงอยากให้เราทั้งหลายส่งต่อความรัก ความห่วงใยของพระเจ้ายังเขาเหล่านี้

วิธีการ ก็คือให้พระวิญญาณฝึกฝนเราในการสำแดงความรัก ชนิดที่เป็นอากาเป้ เป็นของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราเป็น ตัวเราเป็นความรัก

“ฉันเป็นความรัก ฉันไม่ได้มีความรัก  ฉันเป็นความรักแล้วตอนนี้  วิญญาณตัวจริงๆ ของฉันเป็นความรัก เกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความรัก”

เพราะฉะนั้น สำแดงความรักนี้ออกไปให้กับคนรอบข้างก่อน คนรอบข้างเราเยอะที่สุด ก็คือผู้เชื่อทั้งหลายที่อยู่ข้างๆ เรานั่นแหละ ฝึกฝนตรงนี้เลย  ถ้าขนาดพี่น้องเราที่เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อ เป็นลูกพระเจ้าเหมือนกัน เรายังไม่มีความรักให้กับเขา  อย่าไปนึกว่าเราจะเอาความรักไปให้กับคนอื่นๆ ต่อไป เป็นไปไม่ได้หรอก ท่านพอเข้าใจแล้วใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น นี่คือตัวอย่าง อย่าให้ถ้อยคำที่ไม่สมควรออกจากปากท่าน อย่างเช่น ให้ถ้อยคำ หรือวาจาที่เกิดประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างผู้อื่น ให้ได้ดี ให้มีกำลังใจ พูดหนุนใจ พูดให้กำลังใจ พูดด้วยความรัก ให้ผู้คนเขาฟัง มีความสุข และเสริมสร้างเขาให้เจริญเติบโตในวิญญาณเช่นเดียวกัน  อย่างนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า  พระวิญญาณต้องการนำเราไปอย่างนี้  ถ้าเราทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ก็คือเราดับพระวิญญาณ  พระเจ้าทุกข์ใจ  ในนี้บอกว่าจะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง เห็นไหม? ผู้ฟังเกิดผลดีได้อย่างไร?  นั่นแหละ ท่านคิด เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำท่านเอง ไม่ต้องบอกรายละเอียดว่าทำอย่างไร? พระวิญญาณจะนำท่านเองว่าจะพูดอย่างไร?  ถึงจะเกิดประโยชน์  สำหรับชีวิตของคนฟังได้

อีกข้อหนึ่ง ข้อ 30 บอกว่าอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เห็นไหม? การทำอย่างนี้ ทำให้พระเจ้าเสียใจ การไปพูดว่ากล่าวรุนแรง พูดถากถาง ไปเยาะเย้ยเขา ไปดูหมิ่นเขา ให้คนฟังไม่มีการสร้างสรรค์ขึ้น พระเจ้าเสียใจ แต่จงแสวงหาที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้  ท่านได้รับการประทับตรา หมายถึงโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านได้ถูกเลือกเอาไว้ เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์เพียงผู้เดียว  คือเป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้า แต่เพียงผู้เดียว สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ท่านเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ประทับตรา ไม่มีใครมาจับได้เลย สะอาดบริสุทธิ์ขนาดไหน? ท่านคิดดูแล้วกัน ประทับตราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ก็แสดงว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ห่อหุ้มตัวเราอยู่ตลอดเวลาเลย ไปไหนไปด้วย  เราหลับพระองค์ ก็อยู่ อย่างนี้เป็นต้น พระวิญญาณที่อยู่ในเรา จะทำงานตลอด 24 ชั่วโมง นำพาเราให้ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าให้เกิดความสุขที่สุด ดีที่สุด  และเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าที่สุด สำหรับเราเอง และสำหรับผู้คนรอบข้าง ตั้งแต่ผู้เชื่อก่อน จนถึงผู้ไม่เชื่อ คือมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้นั่นเอง ซึ่งเราเรียกกันว่าดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระเจ้า

และทั้งหมดนี้ คือความปรารถนาของพระเจ้า ที่ต้องการให้เรามีความสุข อยู่อย่างสงบมากที่สุด เท่าที่ทำได้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั่นเอง และได้ประกาศข่าวดีของพระเจ้า ได้สำแดงชีวิตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งอยู่ภายในเรา ออกมาให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็น เหมือนที่พระเยซูบอกว่าท่านเป็นความสว่าง จงให้ความสว่างภายในท่าน ฉายแสงออกมา

คริสเตียน คือผู้ที่กระทำดีจากข้างในออกมา ไม่ใช่ทำดีจากข้างนอก จากข้างใน ฉายแสงนั้นออกมา เพราะเราเกิดใหม่แล้ว ฉายแสงการเกิดใหม่ของเราออกมา มีผู้ช่วยเราเยอะแยะเลย นอกจากตัวเราแล้ว ก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วก็พระเยซูคริสต์อีก แล้วก็มีพระเจ้าพระบิดาอีก คอยช่วยเรา ที่จะทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ และถ้าเราดื้อ เราไม่ทำตาม เกิดอะไรขึ้น เราก็ดับพระวิญญาณ ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในสวรรค์แล้วก็ตาม เราก็จะได้รับความทุกข์ ทุกข์ดับเบิ้ลเลย ทุกข์จากการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ หาเรื่องเข้าตัว ทุกข์ที่สอง คือเราทำให้พระเจ้าเสียใจ  เราทำให้พระเจ้าทุกข์ใจ  …

“ฉันเหรอ มนุษย์ตัวเล็กๆ บนแผ่นดินโลก ทำให้พระเจ้าเสียใจ”

ก็ใช่ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ สลับกัน ก็คือ …

“แสดงว่าพระเจ้ารักฉัน ให้เกียรติฉันมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ ขนาดตัวฉันเล็กๆ เป็นคนหนึ่งในจำนวนกี่พันล้านคน พระเจ้าให้เกียรติฉันถึงขนาดนี้ ถึงขนาดที่ฉันสามารถทำให้พระเจ้าทุกข์ใจได้เลย ฉันทำให้พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ฉันทำให้พระองค์เสียใจได้หรือ?”

คิดอย่างนี้มากเท่าไร ก็จะรู้ว่าพระเจ้ารักท่าน รักเรามากขนาดไหน?  เอเฟซัส 4:31-32 ก็เพิ่มเติมตรงนี้อีก

เอเฟซัส 4:31-32 “31 จงขจัดความขมขื่นทั้งสิ้น ความเกรี้ยวกราด และความโกรธแค้น การทะเลาะและการใส่ร้ายป้ายสี พร้อมทั้งการมุ่งร้ายทุกรูปแบบ 32 จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกัน เหมือนที่พระเจ้า ทรงอภัยแก่ท่าน ในพระคริสต์”

 

เอเฟซัส บทที่ 4 ตั้งแต่ข้อ 19 ตะกี้นี้ จนมาถึงข้อ 32 ตรงนี้ ท่านเห็นไหมว่าอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่ไม่ดีอะไรต่างๆ เหล่านี้  พระเจ้ากำลังสอนและเตือนผู้เชื่อ เตือนคริสเตียน เตือนเรา “เรา” ที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เราที่นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้วใช่ไหม? ที่สามารถมีความขมขื่น มีความเกรี้ยวกราด มีความโกรธแค้น มีการทะเลาะเบาะแว้ง แล้วยังใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นเขาด้วย  อุ้ย! อายตายเลย แค่นั้นไม่พอ มีการมุ่งร้ายทุกรูปแบบ มีการไม่ให้อภัยกันด้วย มีการกัดกินกัน ทะเลาะเบาะแว้งในหมู่ของคริสเตียน ผู้เชื่อ ลูกๆ ของพระองค์ทั้งนั้น พอมองเห็นอะไรไหม? นี่เตือนคริสเตียน

แสดงว่าการมาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์สถาน ตามที่พระคัมภีร์บอกแล้ว เมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังสามารถที่จะพลาดทำบาปได้ จริงหรือไม่จริง? นี่ไง ชัดไหมล่ะ แต่มันสามารถทำน้อยได้  เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังนำพาเรา สอนเรา เราคงทำไม่ได้หมดทุกอย่าง ทุกข้อหรอก แต่เราสามารถทำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะว่าเราเงี่ยหูฟังพระวิญญาณตลอด  เราชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเพ่งมองจดจ้อง จดจำ จนขึ้นใจถึงฐานะของเรา ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน

สิ่งเหล่านี้ ทำให้เราทำบาปน้อยลง ก็คือเราเพ่งถึงพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของเรามากเท่าไรว่าพระเจ้าทำให้เรามากเท่าไร? โดยที่เรายังไม่ได้ทำดีเลย ให้เราก่อนแล้ว นั่นแหละเขาเรียกว่าพระคุณ เราเพ่งที่พระคุณมากเท่าไร เราก็จะทำบาปน้อยลงเท่านั้น พระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้น  ไม่ใช่เพ่งไปที่ความบาป แล้วจะทำบาปน้อยลง ไม่ใช่ เพ่งไปที่ความบาป แล้วทำบาปน้อยลง นั่นคือศาสนาทั่วๆ ไป นั่นคือการดำเนินชีวิตตามกฎบัญญัติเดิม สมัยอดีต ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งเพ่ง ยิ่งทำใหญ่

แต่พระคุณพระเจ้า  คือให้เราเพ่งที่พระคุณของพระเจ้าว่าพระองค์ทำให้เราก่อนเลย อภัยให้เราก่อน  ก่อนที่จะบอกเราว่าให้เราอภัยให้คนอื่น  ถ้าพระคัมภีร์เดิม กฎเดิม คือบอกให้เราอภัยให้คนอื่นก่อน แล้วพระเจ้าจะอภัยให้เรา แต่พระคัมภีร์ใหม่บอกว่าพระเจ้าอภัยให้เราก่อนเลย  นี่คือพระคุณ …

“ไม่รู้แกจะเป็นคนอย่างไร? ทำอะไรไม่รู้ ฉันจะให้อภัยแล้ว”

นึกออกใช่ไหม? เพราะถ้าเรานึกถึงพระคุณเหล่านั้นมากๆ เราก็จะทำเหมือนพระเจ้า เราก็จะปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนที่พระเจ้าปฏิบัติต่อเรา  พระเจ้าให้อภัยเรา โดยที่ไม่มีเงื่อนไข เราก็อภัยให้คนอื่น โดยไม่มีเงื่อนไขได้เหมือนกัน ใช่ไหมครับ?  นี่ไงหลักการของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ คืออย่าดับไฟพระวิญญาณเลย ให้เราฉายแสงจากข้างในออกมา  เจ้าเป็นใคร? เจ้าต้องรู้ เราจะฉายแสงได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องรู้ว่าเราเป็นใคร?

และนอกจากเรื่องของการดับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว สิ่งสำคัญอันดับที่สอง ตามมา ที่ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคนควรจะรับรู้และควรจะเตือนสติตัวเองตลอดเวลาในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  คือกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว เราหว่านสิ่งใด ก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น พระคัมภีร์มีสอนในเรื่องนี้  นี่เป็นคำตอบของหัวข้อเรื่องนี้ได้อีกเช่นเดียวกัน รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ? รอดโดยพระคุณ อ๋อ! ความประพฤติจะทำอะไรก็ได้ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?  ก็ต้องรับรู้ตรงนี้  กฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว เราหว่านสิ่งใด ก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น กาลาเทีย 6:7-8

กาลาเทีย 6:7-9  “7 อย่าหลงเลย  ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า  ใครหว่านอะไร  ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา  จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น  ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ  จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ 9 อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันเหมาะสม”

 

ถ้อยคำตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังย้ำ ในเรื่องของการเลือกทางเดิน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สอนเรา อย่างที่ผมพูดตั้งแต่ต้นว่าเราจะเลือกเดินตามพระวิญญาณ หรือเลือกที่จะดับพระวิญญาณ เพื่อเดินตามเนื้อหนัง กิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเป็นโทษ

ข้อ 7 บอกว่า “อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไร ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น” พูดง่ายๆ ว่าโอ้ พระเจ้าไม่เห็น ทำอย่างนี้ ไม่เป็นไรหรอก พระเจ้าไม่ต้องเห็นเลย เพราะว่ามันเป็นกฎอยู่แล้ว หลอกไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ดูแลกฎระเบียบทุกอย่าง  ให้เป็นไปตามกฎระเบียบที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา มันเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

ก็คือเปรียบเหมือนเป็นการหว่านเมล็ดพืช ที่เราสามารถที่จะเลือกผืนดิน ในการหว่านเมล็ดนั้น จะไปลงที่ผืนดินที่ไหน ถ้าเราหว่านในผืนดินที่ดี เราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตที่มีคุณภาพดี แต่ถ้าเราหว่านในผืนดินที่เป็นดินเลว มันก็ออกผลมาเป็นสิ่งเลวๆ เช่นเดียวกันกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เรามี 2 ทางเลือกอย่างที่เราเรียนรู้กันมา ที่จะให้เราหว่านชีวิตของเรา หรือฝากชีวิตของเราไว้ที่ฝั่งไหน? ที่ตรงไหน?  เราจะเลือกหว่านชีวิตของเราที่ทางเลือกไหน? ดีหรือเลว  ถ้าเราหว่านเลว ไม่มีโอกาสที่จะได้เก็บผลดีหรอก เป็นไปไม่ได้

ในถ้อยคำตรงนี้ เปาโลกำลังชี้ให้เราเห็นถึงความแตกต่างชัดเจนของผลที่จะเกิดขึ้นตามมา จากการเลือกหว่านของเรา ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา  … วิสัยบาป ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยบาปนั้น จากธรรมชาติบาปนั้น  วิสัยบาป นั่นคือธรรมชาติบาป ส่วนผู้ที่หว่าน เพื่อพระวิญญาณจะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ

ในข้อที่ 9 บอกว่า … “อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ เราจะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร”

ตรงนี้ให้ตั้งใจฟังนิดหนึ่ง ในข้อ 9 เพราะว่าหลายคนยังเข้าใจผิด ไปตีความหมายว่าระบบของโลก มันทำให้เราต้องทุกข์ลำบากในหลายๆ เรื่องอยู่แล้ว ตามที่พระเยซูบอก แต่จงตั้งใจทำความดี อย่าท้อแท้ ก็คือหว่านในสิ่งที่ดี และรอไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีงาม บนสวรรค์ มีความทุกข์บนโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำดีต่อไป  อย่าท้อแท้ เพราะวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อตายไปแล้ว เราจะเก็บเกี่ยวผลดีนั้น

ฟังเผินๆ ก็ดูเหมือนใช่ ถูกไหม? แล้วใช่ไหม? คิดให้ดีๆ มันไม่ตรงกับพระคัมภีร์ มันก็กลับมาที่เดิมอีก …

“หว่านสิ่งที่ดีๆ สิ อดทนไว้ ตายไปแล้ว เราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลดีนั้น”

นี่คือศาสนาไง ทำดีได้ดี ก็ตะกี้เราบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มีจริงๆ แต่เกิดผลเฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้น นี่ตอนนี้กำลังจะบอกว่าทำดี หว่านสิ่งที่ดีๆ เพื่อจะไปเก็บเกี่ยวผลดี เมื่อตอนตายไปแล้ว มันไม่ใช่ ไม่ตรงตามพระคัมภีร์ เพราะว่าผลในสวรรค์ สิ่งดีๆ ในสวรรค์ เรายังไม่ได้ทำดีเลย  แค่เราเชื่อในพระเยซู เราก็ได้รับไปแล้ว เห็นไหม? นี่มันหลอกเรานิดเดียวปุ๊บ พลาดปุ๊บ ไปแล้ว เราก็กลับมาที่เดิมอีก มายืนที่การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มาพึ่งตนเองอีก โอกาสจะประกาศข่าวดีให้คนอื่นเขาไม่มี เพราะว่ากลับมาอยู่ที่เดิม

ฟังดูแล้วมันเหมือนใช่ แต่สังเกตดีๆ ผมถึงพยายามเน้นเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ว่าแยกให้ออกโลกวิญญาณ พระเยซูบอกสำเร็จไปแล้ว  เมื่อเชื่อพระเยซู ก็ได้รับสิ่งที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ทั้งหมดนั้นแหละ การบังเกิดใหม่ การเป็นลูกพระเจ้า การเป็นคนดีงาม การอยู่ในสวรรค์มันได้รับไปแล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำเลย  พระเจ้าให้เราก่อนที่เราจะทำดีอีก แค่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เรายังทำชั่วอยู่เลย  พระองค์ก็ให้เราทั้งหมดนั้นเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเรียกว่าพระคุณไง รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการกระทำ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติ เพื่อไม่มีใครอวดได้ว่า …

“ฉันประพฤติดี พระเจ้าเลยให้ฉัน”

เปล่าเลย  ท่านยังไม่ได้ประพฤติดีเลยแม้แต่นิดเดียว พระเจ้าให้ไปฟรี เป็นพระคุณครับ ใช่ไหม? มันไม่ตรงตามพระคัมภีร์

หัวใจข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าสิ่งดีงามทั้งหลาย บนสวรรค์สถาน เราได้รับเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรออีกแล้ว  พระเจ้าให้เราฟรีๆ โดยไม่มีเงื่อนไข เขาถึงเรียกว่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ที่พระเจ้ารักเราทั้งหลาย

เพราะฉะนั้น ความหมายตรงนี้ อาจารย์เปาโลพยายามชี้ให้เราเห็นถึงประสบการณ์บนโลกใบนี้ ประโยชน์ที่เราจะได้รับบนโลกใบนี้เท่านั้น ผลดีที่เราจะได้รับจากการหว่านในชีวิตของเรา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ประสบการณ์ในสวรรค์ ประสบการณ์ในการมีชีวิต พระคริสต์ซึ่งอยู่ในเรา ซึ่งเราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่เราเริ่มเชื่อพระเจ้า  แต่เราหว่านในสิ่งที่เป็นวิญญาณ เราจะได้ประสบการณ์ จากความดีงาม  จากข้างในนั้นออกมา  ประสบการณ์การดำเนินชีวิตบนสวรรค์ เราได้รับเดี๋ยวนี้เลย ในทางกลับกัน โทษหรือผลร้าย ที่เราจะได้รับจากการหว่าน ชีวิตของเราตามเนื้อหนัง เราก็จะได้รับประสบการณ์ความตาย ความพินาศ เข้าใจคำว่าประสบการณ์ใช่ไหม? มันเข้าไปได้ลิ้มรส  เหมือนที่เขาบอกว่าพอเราหว่านเข้าไปในเนื้อหนัง ทำชั่วมากๆ  จริงๆ เขาทุกข์แสนสาหัสจริงๆ ที่คนไทยชอบพูดว่า …

“แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง”

มันทำนองเดียวกัน ถ้าเราหว่านถูกที่ หว่านในทางพระวิญญาณ เก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราก็จะรู้ว่าสวรรค์มีจริง  มันหมายถึงอย่างนี้  ถ้าท่านทำตามพระคัมภีร์บอก ตามที่พระเจ้าสอนท่าน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ รู้จักให้อภัย รู้จักบังคับตนเอง  อดทนเอา ถึงเวลาหนึ่ง ท่านจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ รู้ว่าสวรรค์ที่ท่านหวังไว้ในอนาคต มีจริง มันใช่ ในทำนองเดียวกัน ถ้าหว่านตรงกันข้าม ไปทางเนื้อหนัง ท่านจะมีประสบการณ์ว่านรกมีจริง นรกหนักกว่านี้อีก อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

ผลของทั้งสองทาง ที่เราเลือกหว่าน คือประพฤติตามการนำของเนื้อหนัง หรือประพฤติตามการนำของพระวิญญาณ ผลทั้งสองทางนี้ เราจะได้รับผลบนโลกใบนี้เลย เดี๋ยวนี้เท่านั้น เราจะได้รู้สึกถึงนรกจริงๆ เลย ไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ฉะนั้น คนที่ไปสวรรค์ เป็นผู้เชื่อพระเจ้า เชื่อในข่าวดี อยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็สามารถมีประสบการณ์อยู่บนโลกนี้ เหมือนอยู่ในนรกเลยได้ ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ พอมองเห็นภาพ ใช่เลยจริงๆ และในทางกลับกัน คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเลย แต่เขาทำหลายสิ่งหลายอย่าง ตรงกันกับกฎของพระเจ้าที่วางไว้เรื่องเกี่ยวกับการหว่านและการเก็บเกี่ยว เขาก็ได้เก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้เลย เขาอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนอยู่ในสวรรค์เลย  แต่พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเขาไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ไถ่บาปเขา  เขาถูกตัดสินพิพากษาลงโทษ  ถึงความพินาศในอนาคต ชีวิตหลังความตาย

ต้องเข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้  ถึงจะเห็นภาพชัดเจน ถึงจะรู้ว่าข่าวดีของพระเจ้า  คือฤทธิ์เดช คืออำนาจ คือความจริงที่จะปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศ จากวิสัยบาปนั้น

อธิบายตรงนี้ให้ฟังนะ ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาป หรือพูดง่ายๆ ว่าผู้ที่หว่านในวิสัยบาปของเขา  จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยบาปนั้น คำว่า “ผู้ที่หว่าน เพื่อวิสัยบาป” ตรงนี้ ภาษาอังกฤษอธิบายความหมายว่ามันหมายถึง Lower Nature  คือธรรมชาติที่มันต่ำกว่าความเป็นจริง ต่ำกว่าธรรมชาติ มาตรฐานที่เป็นจริง ก็คือพูดง่ายๆ  ทำตัวไม่ตรงกับธรรมชาติ ลักษณะของคนๆ นั้น มันแปลว่าอย่างนั้น เพราะธรรมชาติ ลักษณะของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ธรรมชาติ ลักษณะวิญญาณ ตัวจริงๆ เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับความชั่วร้าย ทำความชั่วร้ายไม่เป็นเลย อยู่ตรงกันข้ามกับความเลว ทำความเลวไม่เป็นเลย ไม่มีความชั่วร้ายเลย แม้แต่นิดเดียว นี่คือธรรมชาติจริงๆ ของเขา  แต่ในนี้บอกว่าผู้ที่หว่าน เพื่อวิสัยบาปของเขา ก็คือหว่านในสิ่งที่ไม่ได้เป็นธรรมชาติตัวจริงของเขา

คนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว บริสุทธิ์แล้วไปทำสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ เขาเรียกว่าไปทำอีกทางหนึ่ง วิสัยบาป คือธรรมชาติของความบาปที่อยู่ในตัว ข้างในมันสำคัญมาก  ข้างนอกไม่สำคัญ ข้างในมันเป็นตัวบอกว่าเราจะไปทำอะไร

ยกตัวอย่างอย่างเช่น ลิงจะพยายามทำเหมือนคน หรือว่าเป็นคนอยู่ แล้วไปเดิน 4 ขาเหมือนลิง เราก็รู้อยู่ว่านี่คน ไม่ใช่ลิง แต่เขาไปทำลักษณะเหมือนลิงไหม? เหมือน แต่จริงๆ เป็นคน

อีกหนึ่งที่เห็นชัด ก็คือหมู เอาหมูตัวเล็กๆ มาเลี้ยง แล้วเลี้ยงให้เหมือนแมว สะอาดเลย ขัดสีฉวีวัน ใส่น้ำหอม ผูกหูกระต่ายให้มันอย่างดีเลย เสร็จแล้วเลี้ยงมัน จูงมัน เขาบอกว่าต่อให้เลี้ยงมันกี่ปีก็ตาม พอปลดปลอกคอมัน แล้วปล่อยมันออกนอกบ้าน มันจะวิ่งไปหาโคลน เพราะว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

ในทำนองกลับกัน เป็นคริสเตียน ข้างในสะอาดหมดจด เพียงแต่ถูกหลอกอะไรบางอย่าง ถูกทำให้เขาตัดสินใจหว่าน หรือทำอะไรลงไป ฝืนธรรมชาติตัวเอง  มันไปไม่ได้ไกลหรอก มันฝืนธรรมชาติตัวเอง ก็เหมือนเอาหมูมาอาบน้ำ พอปล่อยปุ๊บ มันก็เข้าป่า ลงโคลน คริสเตียนเหมือนกัน ธรรมชาติของคริสเตียน เขาอยู่ในความบริสุทธิ์ของเขา เพียงแต่เขาไม่รู้ ถ้าเขารู้ปุ๊บ เขาจะพยายามหันทางกลับมาที่ความบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้อย่างนี้ เราจะรู้ว่าอ๋อ!

เพราะฉะนั้น การกระทำที่เป็นบาป ในชีวิตของคริสเตียน ในชีวิตของผู้เชื่อนั้น  ที่บอกว่าความรอด รอดโดยพระคุณความเชื่อ ความประพฤติไม่สำคัญนะ มันสำคัญ แต่มันถูกหลอกให้ทำสิ่งที่ไม่ดีได้ มันถูกหลอก ก็แสดงว่าไม่ใช่ตัวเขาเองเป็นคนทำ แต่มันถูกหลอก หลอกให้ทำ  ถูกครอบงำให้ทำ ถูกหลอก เพราะไม่รู้ความจริง ความจริงทำให้เราเป็นไท ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ พอรู้ความจริงมากๆ เราก็เป็นอิสระมากๆ ก็ถูกหลอกน้อยลงไปเรื่อยๆ หลอกให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติที่อยู่ภายใน ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเราปล่อยให้เป็นไปตามเนื้อหนัง และทำตัวไม่ตรงกันกับตัวจริงๆ ธรรมชาติจริงๆ ในวิญญาณของเรา  เราก็ต้องได้รับผล ตามสิ่งที่เราหว่านลงไป เชื่อลงไป ไม่ว่าเราจะถูกหลอกหรือไม่ก็ตาม คือเราถูกหลอกให้ทำ เราก็ต้องได้รับผล และใครหลอกเรา? พระเจ้าหลอกเราหรือ? พระเจ้าเสียใจ เราเป็นทุกข์ พระเจ้าทุกข์มากกว่าเรา แล้วใครล่ะ ตอนที่เราเป็นทุกข์ แล้วดีใจ ตอนที่เราถูกหลอกไป ก็ตัวที่หลอกเรา ก็คือมารไง ผ่านทางอิทธิพลของกิเลสตัณหา ระบบของโลกใบนี้ ซึ่งเป็นบาปอยู่นั้น “มัน” ที่ผมพยายามเน้นว่ามัน เพื่อให้ท่านรู้ว่าไม่ใช่ตัวท่านเองเป็นคนทำ มันเป็นคนทำ ไม่ว่าท่านทำบาปอะไรก็ตามตอนนี้ ถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว ทำอันนั้นผิด อันนี้ผิด จงรู้ว่ามันทำ ไม่ใช่ตัวท่าน มันเป็นคนทำ มันเป็นตัวหลอก ถ้าท่านรู้ความจริง ท่านจะไม่ทำ  เพราะตัวจริงๆ ข้างในนั้น ท่านเชื่อพระเจ้า จริงๆ แล้วท่านบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เป็นวิญญาณเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ ท่านไม่มีทางทำบาปได้เลย แม้แต่นิดหนึ่ง มันทรมาณทรกรรมจิตใจของท่านมากเลย ที่ท่านไปทำบาป  ท่านอยากจะหนีมันสุดขีดเลย เพียงแต่ท่านไม่รู้จะหนีมันอย่างไรเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น มันคือไม่ใช่ตัวท่าน แต่เป็น “มัน” ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ เป็น “มัน”

เพราะหลายครั้งเราบอกเราเป็นคนทำ เราทำเลวอย่างนี้ เราทำไมแย่อย่างนี้  เราทำไมโกรธเขาอีกแล้ว เราบอกจะให้อภัยเขาไง เราไปว่าเขาอีกแล้ว เราไปอิจฉาอีกแล้ว เราไปโลภอีกแล้ว ไม่น่าเลย เราไปทะเลาะกับเขาอีกแล้ว ไปถกเถียงกับเขาอีกแล้ว  เราจะบอกว่า “เรา” อยู่เรื่อยๆ เลย ต่อไปนี้ต้องบอกว่า “มัน”

“มันหลอกฉันให้เป็นอย่างนี้ ฉันเป็นคนที่ให้อภัยคนจะตาย ฉันไม่เคยเกลียดใคร ไม่เคยโกรธใครเลย มันหลอกให้ฉันโกรธเขา มันหลอกให้ฉันพูดจาหยาบคายใส่ มันหลอกให้ฉันดูถูกเขา ดูหมิ่นเขา มันทำกับฉันอีกแล้ว มันต้องการให้ฉันลงไปสู่นรก บนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น ฉันไม่ยอมเด็ดขาด  พระเจ้าช่วยลูกด้วย”

ถ้าอย่างนี้ มาถูกทางแล้ว แต่ถ้าเราบอกว่า “เรา” อยู่ เรา เราก็จะสับสนตัวเราเอง …

“สรุปว่าฉันควรจะไปสวรรค์ไหมเนี้ย ฉันยังโกรธ ยังเกลียดคนอื่นเขาอย่างนี้ ฉันจะไปอยู่สวรรค์ได้อย่างไร? และมันก็พยายามหาคนข้างๆ มาทับถมฉันอีก ‘เธอนิสัยอย่างนี้ เธอยังคิดว่าจะไปสวรรค์อีกเหรอ  ยิ่งชัดใหญ่  ฉันยังเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกนิสัยไม่ดีเหล่านี้ไม่ได้เลย แล้วฉันสมควรจะไปสวรรค์ไหม? เห็นไหมพระคัมภีร์ยังบอกเลยว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีส่วนในสวรรค์’ ฉันแย่แล้ว”

เห็นไหม?  หนักหนาสาหัสไหมเวลาถูกหลอก ส่วนผู้ที่หว่านในพระวิญญาณ หรือเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิต หมายถึงจะได้มีประสบการณ์ในชีวิตนิรันดร์ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ทันที ชีวิตนิรันดร์ ที่ได้หลังจากโลกใบนี้ เรียบร้อย หลังจากความตายนั้น มันได้เรียบร้อยไปแล้ว แต่โลกใบนี้  ตอนดำเนินชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้ พอเลือกหว่านในวิญญาณ เชื่อในพระวิญญาณ เก็บเกี่ยวผลของชีวิตนิรันดร์ มีประสบการณ์ทันทีเลย ยกตัวอย่างเช่น อย่างตะกี้นี้ที่บอก พอให้ออกไป เขาโล่งเลย ใจเต็มไปด้วยสันติสุข … สันติสุข ก็คือผลพระวิญญาณ  ผลของชีวิตนิรันดร์ไง  เต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความสงบ เต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความสุข ได้รับเดี๋ยวนี้เลยทันที มันหมายถึงอย่างนั้น

ผู้ที่เลือกเดิน ตามการนำของพระวิญญาณ ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ มันหมายถึงตรงนี้นะ  เพราะฉะนั้น อย่าไปนึกว่าตามพระวิญญาณ  เพื่อจะเก็บเกี่ยวผลของพระวิญญาณ หลังจากความตาย ไม่ใช่ๆ  เลือกตามพระวิญญาณ  เพื่อจะเก็บเกี่ยวผลประสบการณ์ในชีวิตนิรันดร์เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้เลย

การเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ ก็คือการแสดงออกมา เป็นธรรมชาติที่ดี มีลักษณะของพระวิญญาณ ก็คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์หลั่งไหลออกมาจากชีวิตของเรา ข้างใน ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างเช่นความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความชื่นชมยินดี ความเมตตา ความรัก การให้อภัย สิ่งเหล่านี้ ไม่มีใครบอกว่าไม่ดีเลย มันดีหมดเลย การรู้จักบังคับตนเอง มันดูดีไปหมด นี่แหละคือได้ลิ้มรสของสวรรค์ไปแล้ว ลิ้มรสชีวิตนิรันดร์เป็นอย่างนี้ ขึ้นไปอยู่สวรรค์จริงๆ เราก็จะเป็นอย่างนี้ เป็นชีวิตอย่างนี้

เคยให้อภัยเขาแบบสุดๆ ใจไหมบนโลกใบนี้ เคยรักใครแบบสุดๆ ใจไหม? แบบรักที่มีแต่ให้ ไม่มีเงื่อนไขไหม? แล้วรู้สึกมันชื่นใจไหม? นั่นแหละ ได้ลิ้มรสเก็บเกี่ยวผลของชีวิตนิรันดร์บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้เลย เคยให้อะไรกับใคร ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนเลย  หวังอยากให้เขามีความสุข พอให้ไปจิตใจ มันรู้สึกอย่างไรครับ ตอบเองเลย นั่นแหละ คือเริ่มชิมรสของชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า แต่ขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ไม่มีบาปอีกต่อไป ไม่มีใครมาล่อลวงอีกต่อไปแล้ว ไม่มี “มัน” ตัวไม่ดีมาอีกแล้ว เราจะได้ลิ้มรสชีวิตนิรันดร์ แบบนี้ มากกว่านี้อีกหลายร้อย หลายพัน หลายล้านเท่า นั่นแหละ

อาจารย์เปาโลกำลังย้ำเตือนกับผู้เชื่อทั้งหลายว่าเมื่อท่านได้เรียนรู้อย่างนี้แล้ว ท่านจะเลือกเดินทางไหน? เมื่อท่านเห็นประโยชน์ของการอยู่ในพระคริสต์ และให้พระวิญญาณนำ และทำตามพระวิญญาณแล้ว ท่านยังคงเลือกเดินตามทางที่เป็นโทษอีกหรือ! ไปตามทางที่พินาศอีกหรือ! มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้วนะ ถึงบอกว่าถ้ารู้ความจริงแล้ว  ไม่มีใครอยากจะเลือกตรงนั้นหรอก แต่ที่ยังทำอยู่ เพราะไม่รู้ แต่ถ้ารู้แล้ว ก็ต้องพยายามหนีแล้ว  เลิกแล้ว ไม่เอาดีกว่า พระวิญญาณนำเราทีละก้าวๆ ดีกว่า

เราจะมาดูกันครั้งต่อไปว่าอาจารย์เปาโลกำลังสอนเรา ให้เราสังเกตที่ความจริงในพระคุณของพระเจ้าว่าพระคุณของพระเจ้า ช่วยให้เราประพฤติดี ดีกว่าเก่าอีก ดีมากๆ ดีที่สุด เพราะฉะนั้น ตามหัวข้อเรื่องที่บอกว่ารอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ? ก็ต้องตอบว่ารอด ก็รอดโดยพระคุณ ความประพฤติยังสำคัญมากเลยบนโลกใบนี้ เพราะว่าจะได้ทำตามน้ำพระทัย ได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีงาม และได้ฉายแสงชีวิตของพระเยซูคริสต์ ได้มีประสบการณ์ในการมีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า ออกมาทันที บนโลกใบนี้ ความหวังใจเราในโลกฝ่ายวิญญาณหลังความตาย มันจะชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก็เหตุจากการประพฤติดีตามที่พระคัมภีร์บอกตรงนี้แหละ แม้ว่าเราจะประพฤติดีหรือไม่ดีตรงไหนก็ตาม พระคัมภีร์บอกโดยพระคุณของพระเจ้า เราได้รับความรอดไปสวรรค์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าตั้งแต่เดี๋ยวนี้แล้ว แล้วจะอยู่ตลอดไปนิรันดร์ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เราอยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ แต่ผลที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ก็ว่ากันไปตามที่เราหว่าน หว่านตรงไหน ก็เก็บเกี่ยวตรงนั้น หว่านพระวิญญาณ ก็เก็บเกี่ยวผลดี หว่านเนื้อหนัง ก็เก็บเกี่ยวผลไม่ดีบนโลกใบนี้เท่านั้น พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2020 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  ตุลาคม  2020

 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 2

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ในหัวข้อเรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” หลังจากที่ท่านได้ฟังคำบรรยายครั้งที่แล้ว ถ้าวันนี้มีใครถามท่านประโยคนี้ ท่านว่าท่านตอบได้ไหม?  พอตอบได้ไหม? คิดว่าน่าจะตอบได้แล้วนะ ใครมาถามท่าน …

“เป็นคริสเตียนก็สบายสิ ไม่ต้องไปรับผิดชอบอะไรบนโลกใบนี้ จะทำอะไรก็ได้  สบาย ทำบาป ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ ดี”

ท่านสามารถตอบได้แล้วนะ

คำตอบตามพระคัมภีร์ คือสำหรับผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์ คือผู้ที่เชื่อด้วยปาก  รับเชื่อด้วยหัวใจ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ความประพฤติและการกระทำทุกอย่าง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับความรอดเลย  ความเชื่อล้วนๆ ในโลกวิญญาณ แต่จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของคนๆ นั้น บนโลกใบนี้เท่านั้น ต้องจำเอาไว้ให้ดีๆ

ในเรื่องของความจริงของพระเจ้าที่เกี่ยวกับความรอด โดยพระคุณในพระเยซูคริสต์ มันมีหลักการ มีพื้นฐานอยู่แค่นี้ ที่ท่านควรจำเอาไว้ ถ้าท่านจำได้ และมีพื้นฐานแค่นี้เอง ท่านสามารถที่จะตอบอะไรใครก็ได้ ตอบตัวเอง ตอบคนที่ถาม ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าความหวังใจของท่านในพระเยซูคริสต์ คืออะไร?

หลักการพื้นฐานของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับความรอด โดยพระคุณ รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากการกระทำผิดบาป  ที่บอกว่าความรอดนี้ เป็นความรอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ ไม่ใช่โดยการพยายามสะสมประพฤติดี ความจริงตรงนี้ มีหลักการพื้นฐาน คือมนุษย์ไม่สามารถที่จะทำความดีได้ 100% ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามเกณฑ์ของพระเจ้า คือไม่ทำบาปเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่นิดเดียว แม้แต่จุดเดียว  มนุษย์จึงไม่สามารถทำตัวเองให้บริสุทธิ์เพียงพอ ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ ดังนั้น จึงไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกับพระเจ้าในสวรรค์ได้

นี่คือความจริงของพื้นฐาน หลักการของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับความรอด  โดยพระคุณ จึงมีอยู่เพียงทางเดียวเท่านั้น คือมนุษย์ต้องเกิดใหม่เท่านั้น เหมือนที่เราคุยกันเล่นๆ  บ่อยๆ ว่าต้องเกิดใหม่ เรารู้ว่าคนนี้เขาร้องเพลงเป็นอย่างไร? เขาไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีแนวโน้มที่จะเป็นนักร้องได้เลย ร้องเพี้ยนตลอด แล้วเขาบอก เขาอยากเป็นนักร้อง เราก็จะบอกว่า … “อย่างนี้ต้องไปเกิดใหม่” … อย่างนั้นมันถูกแล้ว

หรือเห็นคนนี้นิสัย กินไม่เลือก กินจนอ้วนตุ๊ต๊ะ บอกอยากลดน้ำหนัก ทำมากี่ครั้งแล้ว 10 กว่า 20 ครั้ง ตั้งใจลดทุกที แต่ไม่เคยลด  แล้วจะลดได้อย่างไร กินอย่างนี้  เราก็บอกว่า …

“อยากจะลด ต้องไปเกิดใหม่ซะ”

เราพูดกันเล่นๆ แต่มันเป็นจริง  สำหรับพระเจ้าแล้ว เรารู้ว่าเราทำไม่ได้หรอก เราทำให้ตัวเองสะอาดหมดจด ไม่ทำบาปสักครั้งหนึ่ง  เป็นไปไม่ได้   เมื่อไม่ได้  ก็ต้องไปเกิดใหม่ พระเจ้าบอกเกิดใหม่สิ แต่พระเจ้าไม่ได้พูดเล่น  พระเจ้าพูดจริงๆ พระเจ้าทำจริง คือ …

“ลูกเอ๋ย ลูกต้องเกิดใหม่เท่านั้น ลูกจึงมาอยู่ในสวรรค์ได้”

เหมือนกัน มนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นคนบาป โดยธรรมชาติ คือเกิดมาบาป  มันไม่ใช่ทำบาป แล้วถึงเป็นคนบาป แต่เป็นคนบาปแล้ว ถึงทำบาป มันกลับกันนะ นี่คือหลักการ ต้องรู้ว่าเราเป็นคนบาป เพราะเราเกิดมาบาป จะได้ไปแก้ในจุดที่ถูกไง เราเกิดมาบาป ไม่ใช่เราทำบาป  แล้วเรากลายเป็นคนบาป แต่เราเกิดมา ก็บาปแล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

เพราะฉะนั้น การจะทำตัวเองให้หายบาป พ้นจากบาป  ด้วยตัวเอง  มันจึงเป็นไปไม่ได้  เพราะตัวเองเกิดมาบาป เพราะฉะนั้นมีอยู่ทางเดียว  ก็ต้องไปเกิดใหม่ นี่คือหลักการ

ซึ่งพอพูดถึงเกิดใหม่ มนุษย์ทุกคนก็ไม่สามารถเกิดใหม่ด้วยตัวเองได้  เป็นไปไม่ได้  พระเจ้าจึงประทานผู้ช่วยให้รอด ผู้ที่จะมาทำให้มนุษย์คนนั้นเกิดใหม่ได้ ซึ่งเราก็รู้แล้ว ผู้นั้น ก็คือพระบุตร คือพระเยซูคริสต์

แล้วเราก็รู้ดีว่าถ้าเราจะเกิดใหม่ได้ มันต้องทำอะไรก่อน พระคัมภีร์ก็สอนเรา  หรือตามหลักธรรมชาติ เราก็รู้แล้ว ต้นข้าวก่อนที่มันจะโตได้ เมล็ดมันต้องเน่าก่อน  มันต้องตายก่อน  แล้วมันถึงจะงอกเป็นต้นใหม่มา มนุษย์จะเกิดใหม่ได้ มันต้องตายก่อน  ไม่ตาย แล้วจะเกิดได้อย่างไร?  นี่คือหลักการธรรมชาติ พระเจ้าจึงประทานผู้ช่วย คือพระเยซูมาเป็นต้นแบบของการตาย และเกิดใหม่

ถ้าผมยกตัวอย่างให้ง่ายๆ ก็คือประทานพระเยซูคริสต์มา เป็นต้นแบบ ก็คือเหมือนกับตอนนี้ เขานิยมรถไฟฟ้า เริ่มต้นใช้รถไฟฟ้ากัน ไม่ใช้รถใช้น้ำมันแล้ว โพลูชั่นเยอะ ใช้รถไฟฟ้า ท่านรู้ไหมว่าเขาเตรียมการเรื่องนี้  เขาคิดค้นเรื่องนี้มาหลายสิบปี และอาจจะเป็น 10 ปีที่แล้วก็ได้  หรือ 20 ปีที่แล้วก็ได้ เขาเริ่มต้นสร้างรถต้นแบบขึ้นมา ปรับปรุงรถต้นแบบ จนใช้ได้เรียบร้อย ต้องเป็นอย่างนั้น เขาเรียกว่ารถตัวอย่าง รถต้นแบบ พอโอเค เรียบร้อยปุ๊บ เขาเอาต้นแบบนั้นเป็นตัวตั้ง จากนี้ไปใช้เครื่องผลิต ตามแบบนี้หมดเลย ออกมาเหมือนกันหมด ใช้งานได้

พระเยซูคริสต์ พระเจ้าประทานให้มาเป็นต้นแบบของมนุษยชาติ โดยการตาย เพื่อเป็นต้นแบบให้กับเราที่ไม้กางเขน  ถูกฝังอยู่ในอุโมงค์และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เกิดใหม่ เพราะฉะนั้น ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตร พระเยซูนี้ คือข่าวดี ก็จะเข้าสู่ขบวนการเดียวกันกับต้นแบบ ก็คือกับพระเยซูคริสต์ ก็คือตายต่อบาป เคลื่อนเข้าไปสู่อุโมงค์ จากอุโมงค์เคลื่อนไปสู่การเป็นขึ้นจากความตาย  เกิดใหม่ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า  พอจะเห็นไหม? เหมือนรถต้นแบบเมื่อตะกี้นี้ รถคันที่สองต่อไปจนถึงคันที่ล้าน ที่จะผลิต ก็จะเหมือนต้นแบบ คือเคลื่อนเข้าไปสู่การใส่เครื่อง เคลื่อนเข้าไปสู่การใส่ประตู เคลื่อนเข้าไปสู่การใส่ยางล้อ หรืออะไรก็ตาม จนสุดท้ายออกมาใช้ไฟฟ้า ขับเคลื่อนได้  จากรถเคยใช้น้ำมัน เป็นรถใช้ไฟฟ้า เหมือนรถเกิดใหม่

เพราะฉะนั้น คนที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูต้องตามพระองค์ไปที่ไม้กางเขน แล้วก็ร่วมขบวนการเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นต้นแบบกระทำให้เรียบร้อยแล้ว คือตาย ฝังและเป็นขึ้นมาใหม่ และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เป็นลูกของพระเจ้า  พระเยซูจึงพูดก่อนที่จะกระทำสิ่งนี้ ที่ไม้กางเขน บอกว่า …

“พวกท่านทั้งหลาย จงแบกกางเขน และตามเรามา”

คนก็นึกว่าแบกกางเขน ต้องรับภาระ เหนื่อย พยายาม ไม่ใช่ มาตายด้วยกัน  เราจะทำเป็นตัวอย่าง ท่านแบกกางเขน และตามเรามา ตามเราไปที่ไม้กางเขน เพื่อว่าพอท่านแบกกางเขน ตามเรามาแล้ว แค่นั้นพอแล้ว ที่เหลือ ท่านจะได้หายเหนื่อย และเป็นสุข อันนี้เรามาสอนกัน แบกกางเขน แล้วตามเรามา  เพื่อท่านจะได้แบกหนักขึ้นกว่าเก่าอีก ก่อนเชื่อ แบกอะไรก็ไม่รู้ พอมาเชื่อพระเจ้า แบกกางเขนเพิ่มเติมเข้าไป หนักขึ้นกว่าเดิมอีก ไม่หายเหนื่อย แล้วก็ไม่เป็นสุข ทุกข์มากขึ้น เครียดมากขึ้น

นี่คือหลักการ  ในการที่บอกว่าความรอดของพระเจ้าไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำ ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติ หรือการสะสมความดี ไม่ใช่กระทำดี แล้วได้ดี ไม่ใช่ นี่คือหลักการของพระเจ้าที่บันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เราจะเห็นชัดเจน  เพราะทางโลกวิญญาณ คือโลกที่เป็นจริงๆ มากกว่าโลกวัตถุที่เราเห็นอยู่นี้ เยอะแยะมากมาย โลกวัตถุที่เราเห็นอยู่นี้ มันอยู่ชั่วคราว มันตั้งอยู่ และมันดับไป มันจะสูญไป  แต่โลกวิญญาณมันตั้งอยู่ และมันจะตั้งอยู่อย่างนี้ นิรันดร์กาล

วิญญาณตัวจริงๆ พร้อมความคิดจิตใจใหม่ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นใหม่ ได้ให้บังเกิดใหม่กับผู้เชื่อ วิญญาณนี้  ทั้งวิญญาณ ทั้งใจใหม่ ในพระคัมภีร์บอกว่าพอเราเกิดใหม่ คิดให้ดีๆ นะ เราเกิดใหม่ในพระเยซู วิญญาณใหม่ ที่ได้เกิดใหม่ สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ พระเจ้าได้ทรงประทานความคิด จิตใจ หรือเรียกว่าใจใหม่ให้กับเราด้วย ซึ่งเป็นใจที่เหมือนพระเยซู คิดเหมือนพระเยซูเลย ให้กับวิญญาณนี้

วิญญาณและความคิดจิตใจจะอยู่ตลอดไป และพระคัมภีร์บอกว่าวิญญาณและความคิดจิตใจที่ได้ใหม่มาจากพระเจ้า  ที่เกิดใหม่ในพระเจ้า ที่บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าเป็นวิญญาณที่เชื่อมสัมพันธ์ต่อเป็นเนื้อเดียวกันกับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ คือเชื่อมกันเลย

ผมจะพยายามอธิบายให้ฟังช้าๆ แต่พอท่านเข้าใจ มันมีอยู่เพียงนิดเดียว ไม่ถึงนาที ท่านก็รู้ ความคิดท่าน คืออะไร?  แต่เวลาอธิบายต้องค่อยๆ ใจเย็นๆ วิญญาณที่เราได้เกิดใหม่ ที่เข้าไปสู่ขบวนการสร้างใหม่ ในพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าได้เอาวิญญาณเก่า สกปรกเหล่านั้น เข้าสู่ขบวนการสร้างใหม่ ขบวนการปั้มออกมาใหม่ …

ขบวนการที่ 1 คือขบวนการบังเกิดใหม่ โดยใส่ตัวเก่าเราไปที่พระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน จะได้ตายพร้อมพระองค์ และเคลื่อนต่อมา

ไปสู่ขบวนการที่ 2  คือฝังไว้ในอุโมงค์

ไปสู่ขบวนการที่ 3 คือการเป็นขึ้นจากความตาย เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว

ไปสู่ขบวนการที่ 4 คือการได้แต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน

เห็นไหม? 4 ขบวนการนี้ เป็นไปตามเป๊ะๆ หมด โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร?  เพราะพระเจ้าจับตัวเก่าเราเข้าไปสู่ขบวนการสร้างใหม่  ใน 4 ขั้นตอนนี้ ถามว่าคืออะไร?

(1) ตายที่ไม้กางเขน ร่วมกับพระเยซู

(2) ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ร่วมกับพระเยซู

(3) ได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซู

(4) ได้ถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู

ถ้าท่านเห็นภาพชัดเจนเหล่านี้ ท่านจะตอบได้ ท่านจะเข้าใจว่าความรอด โดยพระคุณ ไม่ใช่ความประพฤตินั้น มันหมายถึงอะไร? และเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานพร้อมกับพระเยซู เราก็รู้ว่าพระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพราะฉะนั้น เราก็อยู่ในสวรรค์ด้วยสิ ก็ใช่นะสิ ก็เราอยู่ในสวรรค์แล้ว

ซึ่งในสวรรค์นี้  พระคัมภีร์บางครั้ง ก็ใช้คำว่าในพระคริสต์ พอเราเกิดใหม่ เราก็อยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าอาณาจักรพระคริสต์ หรือในพระคริสต์ ในแสงสว่าง ไม่ใช่อาณาจักรความมืด  ไม่ใช่ในอาดัม ซึ่งแต่ก่อนนี้ ตัวเก่าเรายังอยู่ ถ้าตามที่ยกตัวอย่างเมื่อตะกี้ ก็คือรถที่ใช้น้ำมันโบราณนั้น อยู่ในอาดัม แต่รถที่ใช้ไฟฟ้า อยู่ในพระคริสต์ พอนึกภาพออกนะ

ในพระคัมภีร์บอกว่าเราเชื่อมสัมพันธ์กับพระเจ้า กับพระเยซู จริงๆ มันมากกว่าเชื่อมอีก คือรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน  แยกกันไม่ออกเลย โดยที่พระคัมภีร์ยกตัวอย่างอย่างนี้ บางคนบอกว่าอยากจะมีพระเยซู ให้เต็มล้นในชีวิต บางคนบอกว่าอยากจะทำเหมือนพระเยซู บางคนบอกว่าขอให้เหมือนพระเยซู แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าวิญญาณของท่านเชื่อมกับวิญญาณของพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน

ยกตัวอย่าง เป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงขนาดพระเยซูเป็นศีรษะ แล้วท่านเป็นร่างกาย เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ ท่านลองคิดดูสิว่าเราจะไปไหนไปด้วยกันไหมล่ะ สมมติว่าผมพูดอยู่กับท่านตอนนี้ ร่างกายผมอยู่บ้าน ตอนนี้ผมมีแต่หัวห้อยอยู่ หัวอยู่ที่นี่ ร่างกายอยู่ที่บ้าน  มันเป็นไปไม่ได้ แล้วร่างกายคืออะไร?  ร่างกายคือมีส่วนประกอบทั้งหมด เป็นอวัยวะต่างๆ นั่นแหละ คือผู้เชื่อทั้งหลายทั้งหมด พระคัมภีร์ยกตัวอย่างชัดเจนว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ด้วยการบังเกิดใหม่เท่านั้น

เพราะฉะนั้น ด้วยการกระทำดี สะสมความดีมากๆ มาเชื่อพระเจ้าแล้วสะสมความดี อธิษฐานเยอะๆ ไม่ใช่อธิษฐานไม่ดีนะ ผมกำลังจะบอกให้ท่านฟังว่ามันได้ผลกับโลกใบนี้ แต่มันไม่ได้ผลกับโลกวิญญาณเด็ดขาด เพราะนี่คือหลักการของพระเจ้าในเรื่องโลกวิญญาณ มันเกิดผลได้ ก็ต้องมีเหตุเกิดขึ้นอย่างนี้ มันมาจากความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ก็ต้องบอกว่ามาจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำของเราเลย ไม่ว่าเราจะสะสมความดี ประพฤติสิ่งที่ดีมากๆ ก็ตาม มาเชื่อพระเจ้า แล้วอธิษฐานมากๆ  ถวายทรัพย์มากๆ ดีไหม? ดี มาโบสถ์เป็นประจำดีไหม? ดีหมด แต่มันไม่ได้สามารถทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้มากขึ้น มันไม่มีดีกว่านี้แล้ว  เราเป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ ไม่มีมากกว่านี้แล้ว เราเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  ไม่มีมากกว่านี้แล้ว เพียงแต่เรารับรู้ได้มากขึ้น ถ้าเราอธิษฐานได้มากขึ้น  ถ้าเราไปโบสถ์มากขึ้น  ถ้าเราให้เวลากับพระเจ้ามากขึ้น เราก็เรียนรู้จักตัวเราเองว่าสถานะตัวเราเอง เป็นอะไรในโลกวิญญาณ เขาเรียกว่ารับรู้พระคัมภีร์ของพระเจ้า เรื่องข่าวดีของพระเจ้า เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว จึงไม่มีการบังคับ ต้องทำอันนั้น ต้องทำอันนี้ แต่มีอย่างเดียว คือ “จงรับรู้” ว่าท่านคือใคร? ท่านเป็นอย่างไร? พระเจ้าทำให้ท่านอย่างไรแล้วบ้าง? แล้วการรับรู้นั้น ก็คือโดยการกระทำนั้นไง หลักการมันคืออย่างนี้

เราเข้าใจผิด เราคิดว่าหลักการ ก็คือความประพฤติเป็นใหญ่ ไม่ใช่ การบังเกิดใหม่ โดยความรอด เป็นใหญ่ พระคุณเป็นใหญ่ก่อน เสร็จแล้วการกระทำค่อยตามมา และเราก็รู้ว่าการกระทำนั้น ไม่ได้  เพื่อความรอดจะมาถึง ไม่ใช่ เพื่อเราจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้มากขึ้น ไม่ใช่ แต่การกระทำที่ถูกต้อง ตามที่พระเจ้านำไป เพื่อให้เรารับรู้ว่าเราเป็นใคร? เราอยู่บนโลกใบนี้ เราจะได้พรเยอะ มากกว่าที่เราจะไม่รู้ว่าเราเป็นใคร? ถ้าท่านอยู่ในประเทศไทย แล้วท่านไม่รู้ว่าท่านเป็นคนไทย ท่านคิดดู ท่านเสียอะไรไปเยอะเท่าไร?  ท่านไม่รู้จักใช้สิทธิ์โน้น สิทธิ์นี้ ท่านคิดว่าท่านต้องหลบๆ ซ่อนๆ  นึกว่าเป็นคนต่างชาติ เดี๋ยวตำรวจมาจับ ไม่มีใบต่างด้าว ท่านไม่กล้าทำอันนั้น อันนี้ แต่ทุกวันนี้ที่ท่านกล้าทำอันนั้น อันนี้  อย่างสง่าผ่าเผย ก็เพราะท่านรู้ว่าท่านเป็นคนไทย ลองดูคนต่างชาติสิ คนต่างชาติที่ไม่ใช่คนไทย  ที่อยู่ในประเทศไทย ก็ต้องระมัดระวัง ไปไหนทีต้องเอาพาสปอร์ตติดตัวมา หรือบางคนไม่ได้ทำพาสปอร์ต ก็ยิ่งกลัวใหญ่ หมดอายุขออนุญาตการทำงาน หรือบางคนหลบเข้ามาด้วยซ้ำไป ไม่ถูกกฎหมาย ยิ่งต้องกลัวใหญ่เลย ไปไหนทีก็ต้องระแวง

เหมือนกัน เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้าแล้ว ท่านเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้าก็จะนำท่าน ให้เรียนรู้จักว่าพระคุณของพระเจ้าที่ให้ท่านเกิดใหม่นั้น มันคืออะไร? ท่านเป็นใครแล้ว อย่างไงล่ะ เพราะฉะนั้น ความประพฤติสำคัญไหม?  มันก็สำคัญ แต่มันไม่ได้สำคัญที่สุด มันสำคัญ เพื่อให้เราดำเนินชีวิตบนโลกนี้อย่างมีความสุข มีสันติสุขมากขึ้น และอยู่ในน้ำพระทัยมากขึ้นนั่นเอง

ตราบใดก็ตามที่เรายังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้  ตราบนั้น เราจงรู้ว่าไม่ว่าเราจะประพฤติอะไรก็ตาม ถ้าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และเข้าไปอยู่ในขบวนการ ผ่านขบวนการสร้างใหม่ เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ คือตาย  ฝัง  เป็นขึ้นมาในวันที่ 3 และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเรียบร้อยแล้ว  ตราบนั้น เราก็เป็นลูกของพระเจ้า  และเป็นอย่างนี้ตลอดไป  การกระทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ ไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้เลย

เพราะเรากับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายเดียวกัน เป็นร่างกายกับศีรษะ เพราะฉะนั้น ถ้าเราบอกว่าเราทำอันนี้ แล้วเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องนี้  เราทำบาปไป ทำให้เราตกนรก  พระเยซูก็ตกนรกไปพร้อมกับเราด้วย เพราะว่าร่างกายไปอยู่ในนรก แล้วศีรษะจะไปอยู่บนสวรรค์ได้อย่างไร? ท่านพอมองเห็นภาพไหม?

เพราะถ้าท่านเข้าใจตรงนี้ ท่านจะเห็นชัดเจน  โดยเฉพาะคนที่เชื่อพระเจ้ามานานๆ บางครั้ง การแนะนำ การบอก และโลกนี้แนะนำ  มันจะเน้นไปที่การกระทำมากจนเกินเลย จนทำให้ข่าวดีของพระเยซูด้อยลงไป จนในที่สุด ข่าวดีของพระเยซูคริสต์กลายเป็นเรื่องของศาสนาหนึ่ง …

“ทำดีแล้วได้ดีนะ พระเยซูจะช่วยให้เราทำดี  และจะได้ได้ดี”

คือมันถูก แต่มันต้องถูกในหลักการนี้  ที่กำลังอธิบาย หลักการของพระเจ้า เราต้องมั่นใจว่าพระเยซูเป็นศีรษะและเราเป็นร่างกายของพระองค์ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเยซู ศีรษะเป็นอย่างไร? ร่างกายก็เป็นอย่างนั้น ในโลกวิญญาณ เราเป็นความสว่าง พระเยซูบอกท่านเป็นความสว่าง เป็นความดีงาม ไม่บาปเลยแม้แต่นิดเดียว นี่ไง ตรงไหมหลักการของพระเจ้า ตรงหมดเลย โดยพระคุณอย่างเดียวล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำของเราเลย

ขณะที่ท่านว่ากล่าวคนด้วยความหงุดหงิด ด้วยความเห็นแก่ตัว รู้ว่าทำร้ายคนอื่นเขา ในขณะเดียวกัน ในโลกวิญญาณ ถ้าท่านวางใจในพระเยซู และเชื่อในพระเยซูแล้ว ผ่านขบวนการการเกิดใหม่แล้ว  ในขณะนั้น ท่านก็เป็นความดี เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความสะอาด เป็นความรัก เป็นความสว่าง เพียงแต่ดับความสว่างไว้ชั่วคราว ไม่ปล่อยออกมาตอนนั้น ปล่อยเอาความมืด จากความคิดเดิมๆ ออกมา

เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังได้รับกิเลสตัณหาทางความบาป ทางฝ่ายเนื้อหนัง และความคิดเก่าๆ ของเรา ก่อนที่จะถูกสร้างใหม่ มันยังวนเวียนอยู่ เหมือนกับซอฟแวร์ของคอมพิวเตอร์เก่า ได้รับเครื่องใหม่มาแล้ว แต่ของเก่ายังอยู่  ต้องทำการเอาของเก่าออกไป แล้วใส่อันใหม่เข้ามา พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงต้องการ พยายามให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ อย่าคิดแบบเดิมๆ อิทธิพลของโลกใบนี้ จะกระตุ้นผ่านทางกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งความคิดกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ตามระบบของโลกนี้ มันอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า  อยู่ตรงกันข้ามกับพระเยซู มันเป็นศัตรูกัน

เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แน่นอนที่สุด คือโลกนี้ ระบบของโลกนี้เป็นศัตรูกับเรา “เรา” คือวิญญาณของเราข้างใน และจิตใจของเราที่ได้บังเกิดใหม่ และเราต้องการถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่าวกายนี้ ร่างกายนี้เรามอบให้พระเจ้า เราตั้งใจจะทำอย่างนี้ แต่โลกนี้มันต่อต้านกับเรา  นี่คือหลักการ

เพราะฉะนั้น เรามีโอกาสทำผิดพลาดไปหลายครั้งเลย เพราะเดินไปสู้กันอยู่ตลอดเวลา ล้มลุกคลุกคลาน แต่ล้มไป พระเจ้าบอกลุกขึ้นมาใหม่ แล้วก็กลับมาที่เดิม ในความจริงของพระเจ้าว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เดินๆ ไป ล้มลงไปใหม่ ก็ลุกขึ้นมา แค่นั้นเอง ในขณะที่เรากำลังล้มๆ ลุกๆ พระวิญญาณที่สถิตอยู่ข้างในวิญญาณของเรา และพระเยซูคริสต์ที่เป็นศีรษะของเรา ผ่านทางพระวิญญาณ คอยเป็นพี่เลี้ยงที่กำลังสอนเราด้วยความรัก แนะนำด้วยความรัก …

“ลูกอย่างนี้อย่าทำ อภัยให้เขาเถอะ ไปโกรธเขา เราเสียไปด้วย ฉายแสงความรัก ฉายแสงความสว่างนี่ไง วิญญาณเราเต็มไปด้วยความสว่าง มีพลังอยู่ ฉายแสงนี้ออกไป”

ปลอบโยนจิตใจเรา ถ้าเรามีความทุกข์ นี่ไง หลักการในการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลาย  และพระวิญญาณต้องการให้เราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ซึ่งพระวิญญาณ ก็ทรงทราบดีว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า และนำเราไปในทางความรักอยู่เสมอ  ไม่ใช่พอเราทำผิดไป …

“จะลงโทษแก”

จำไว้เสมอเลยว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เกิดใหม่แล้ว พระเจ้าอยู่ข้างเราเสมอ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ข้างเราเสมอ อยู่พวกเดียวกับเรา มีอีกพวกหนึ่งที่อยู่ข้างนอก คือพวกมาร และใช้ระบบของโลกใบนี้ทุกอย่าง รวมทั้งมนุษย์ด้วย ที่ยอมให้มันมีอิทธิพล มาต่อต้านกับเราเสมอ เราต้องรู้ตรงนี้  แต่ที่อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา  ไม่เคยคิดที่จะลงโทษอะไรเราเลยแม้แต่นิดหนึ่ง เข้าใจเราดี และค่อยๆ หนุนใจเรา  ค่อยๆ พาเราเดินทีละนิดทีละหน่อย

พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ด้วยในวิญญาณของเรา จะสอนเรา คอยแนะนำเรา ด้วยความรัก ความอบอุ่น ทนุถนอม  และเข้าใจในฐานะของเรา ที่เราเป็นลูกของพระเจ้า  ที่ดีงาม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเรา เพียงแต่เรายังดำเนินชีวิตในร่างกายบนโลกใบนี้ ซึ่งมีสิทธิ์ มีโอกาสที่ได้รับอิทธิพลการกระตุ้นของระบบโลกใบนี้ คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ให้เราทำอะไรก็ตามที่เป็นตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า ที่เราเรียกกันว่าดับพระวิญญาณ ซึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเรา ก็จะทำงานอย่างนี้แหละ ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เราหลับ พระองค์ก็ทรงทำ พระเจ้าจึงไม่ต้องการ ไม่อยาก และทุกข์ใจ เสียใจ ไม่ได้โกรธกริ้ว จะลงโทษ ไม่ใช่ แต่เสียใจ ทุกข์ใจ  เมื่อเราดับไฟพระวิญญาณ  เมื่อไม่เชื่อ เมื่อเราไปเดินตามระบบของเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้ พ่อเราบอก …

“ไม่อยากมองเลย”

เมื่อเราเกิดความโลภ พระเจ้าบอก … “ทุกข์ใจ ไม่อยากมองเลย”

พระวิญญาณนำให้เราโลภไหม? เปล่าเลย แล้วใครนำให้เราโลภ โลกใบนี้แหละ ระบบของโลกนี้แหละ ที่เราดูจากโทรทัศน์ ดูจากมือถือ ข่าวสาร ได้รับการแนะนำจากผู้คนรอบข้าง ให้เราโลภๆ จนพังเสียหาย ก่อนจะพัง พระวิญญาณเตือนไหม? เตือน แล้วเราได้ยินไหม? เราดับ ไม่ได้ยิน หรือได้ยิน แล้วแกล้งไม่ได้ยิน เราดับพระวิญญาณ พระเจ้าบอกอย่าก้าวๆ นี่แหละคือพระเจ้ากำลังทุกข์ใจไหมล่ะ ขนาดเราเป็นพ่อแม่ เราไม่เห็นลูกเราในอนาคต แต่พระเจ้าเห็นหมดแล้วว่าเรากำลังเดินไป  เห็นชัดเจนเลย  โดนแน่ ทุกข์ใจแน่ พระเจ้าจึงเสียใจ เมื่อเราดับพระวิญญาณ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และเมื่อเราสนใจให้พระวิญญาณนำพาชีวิตเรา พระวิญญาณก็จะสอนเรา หน้าที่ของเรา คือคอยสังเกต สัญญาณจากพระวิญญาณว่าอะไรดี อะไรชั่ว แล้วก็จำไว้ ไม่ใช่ว่าได้เก่งกันทุกคนตลอดเวลา ต้องค่อยๆ เดินกับพระวิญญาณทีละนิด ทีละหน่อย อย่างนี้เจ็บตัวอีกแล้ว พระวิญญาณบอกวันหลังอย่าทำ จดจำเอาสิ่งเหล่านี้ไว้ แล้วก็อย่าทำอีก เขาเรียกว่าจดเป็นสถิติไว้ จดไว้ในใจ เจ็บก็ต้องจำสิ วันหลังก็อย่าทำ อะไรอย่างนี้ นึกถึงพระวิญญาณว่าเราทำ เพราะอะไร? ชัดเจนเลย ด้วยสติปัญญาจากพระเจ้า โดยพระวิญญาณ

เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตของผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในโลกใบนี้  จึงมีอยู่ในการได้เลือกเท่านั้นเอง ไม่มีทางอื่น ไม่ว่าท่านจะคิดว่ามีเยอะแยะทางก็ตาม แต่จริงๆ มีอยู่ 2 ทาง …

ทางหนึ่ง คือเลือกที่จะดับพระวิญญาณ ทำตามตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งจะเกิดโทษ

ทางที่สอง ได้ผลประโยชน์ดี คือทำตามพระวิญญาณ ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยแล้ว เราไม่สามารถที่จะเลือกกระทำสิ่งที่ผิดและหวังผล ที่จะเป็นประโยชน์ที่ดีได้ แม้ว่าเราจะได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้วก็ตาม แม้ว่าในวิญญาณเรา เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงรักมาก ดั่งแก้วตาดวงใจ  เราก็ไม่สามารถที่จะหว่านอะไรก็ได้ แล้วก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีตลอด ไม่ใช่ มันยังมีกฎของมัน เราหว่านในสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง เราก็ต้องรับความตาย คำสาปแช่งเข้ามา แม้ว่าวิญญาณเราเป็นผู้ที่เรียกว่าบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าแล้วก็ตาม เป็นไปตามกฎที่พระเจ้าเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้ทั้งสิ้น ไม่มีลำเอียง ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดในมหาจักรวาลนี้ แม้ว่าพระองค์จะรักเราดั่งแก้วตาดวงใจอย่างมากมายเท่าไร พระองค์ก็ต้องให้เป็นไปตามกฎ และพระองค์ก็ให้เป็นไปตามนั้นด้วยความเสียใจ และทุกข์ใจ  เรียกว่าเราดับพระวิญญาณ

เพราะฉะนั้น เราสามารถเชื่อพระวิญญาณ เพื่อให้เกิดผลดีและพระพรตามมา หรือจะเลือกดับพระวิญญาณ  เพื่อทำให้กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มารดีใจ คือเรามีความทุกข์ตามมา ยกตัวอย่างนิดหนึ่งให้เห็นชัดเจน ทุกวันนี้ ท่านสามารถเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หรือเลือกรับประทานอาหารที่มันเป็นพิษต่อร่างกาย ท่านก็รู้อยู่แล้ว  ท่านไม่สามารถเลือกอาหารที่เป็นพิษ แล้วบอกว่า …

“ฉันจะได้มีความสุขในร่างกายนี้”

มันเป็นไปไม่ได้ ฉันใดฉันนั้น เราสามารถที่จะเลือกการให้อภัย และมีสันติสุข ถ้าเลือกเกลียดชัง ขุ่นเคือง เราก็ต้องได้รับโทษของมัน เราจะหนีไม่พ้น หรือเราเลือกที่จะโลภ ทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง หรือจะเลือกเป็นคนให้ออกไป  บางครั้งดูเหมือนเลือกตามเนื้อหนังมันจะได้ความสุขดี แต่พระวิญญาณบอกแล้ว มันจะเป็นโทษ เราบอก …

“ฉันจะเอาอย่างนี้ ฉันจะทำตามทางของฉันอย่างนี้ดีกว่า ฉันจะโลภ”

เสร็จแล้ว เป็นอย่างไร? ในที่สุด ก็เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้ ก็ทุกข์ใจ และทุกข์ลำบาก ซึ่งพระเจ้าก็ทุกข์ใจ เสียใจด้วย แต่ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนก็ตาม วิญญาณของเราก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายของพระเยซู พระเจ้ายังคงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจ ยังคงอยู่ฝ่ายเรา คอยช่วยเราให้ได้ดีอยู่เสมอๆ ไม่เปลี่ยนแปลงเลย

นี่คือหลักการของพระเจ้า จงจำไว้ว่าในโลกวิญญาณนั้น ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เราได้เกิดใหม่แล้ว วิญญาณของเราเชื่อมสนิท เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเยซู เราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเรา แยกกันไม่ออก ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าเราจะประพฤติสิ่งใดบนโลกใบนี้ก็ตาม แล้วก็ได้รับโทษตามการประพฤติของเรา ได้เก็บเกี่ยวตามการหว่านของเราบนโลกใบนี้ ทุกข์ใจขนาดไหนก็ตาม เจ็บปวดขนาดไหนก็ตาม หรือมนุษย์รวมความแล้ว เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายมากมายนักก็ตาม ตราบใดที่เรายังอยู่ในพระเจ้า และเชื่อจริงๆ ได้เปิดปากเชื่อในพระเจ้า  ยอมรับพระองค์เป็นพระเจ้า และได้เข้าสู่ขบวนการบังเกิดใหม่แล้ว เรายังเป็นลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์   พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2020 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27 กันยายน  2020

 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ  ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 1

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อเรื่องในวันนี้ คือ “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ถามใคร? ถามตัวเอง ไม่ต้องถามคนข้างๆ เป็นเรื่องที่ผู้เชื่อทุกคน เคยถูกตั้งคำถามอยู่เสมอๆ ส่วนใหญ่จะเจอคำถามประมาณว่า …

“มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำบาปได้  ใช่ไหม?”

“เป็นคริสเตียนแล้ว จะทำอะไรก็ได้  ใช่ไหม?”

“จะทำตัวอย่างไร? ประพฤติอย่างไรก็ได้ ใช่ไหม?”

“ไม่ผิด ไม่บาป ไม่ต้องรับโทษอีกต่อไป  ใช่ไหม?”

“พระเจ้าอภัยให้ตลอด  ใช่ไหม?”

อะไรประมาณนี้ มีผู้เชื่อหลายคน ที่เวลาเจอคำถามอย่างนี้ อึ้งไปเลย ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ทั้งๆ ที่บางครั้งรู้  ข้างในมันเป็นอะไร?  แต่ไม่รู้จะตอบอย่างไร?  จะตอบว่าไม่ใช่  ผิด  ก็ไม่ได้  เพราะเรารู้อยู่ว่าเราปราศจากบาปแล้ว 100% ในพระเยซูคริสต์ ทั้งบาปในอดีต  บาปในปัจจุบัน  บาปในอนาคตทั้งหมด ได้รับการชำระจนหมดสิ้น  เรียบร้อยแล้ว  โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์   เราต้องยืนยันตรงนั้น มันไม่ผิด  มันก็ถูกนะ  แต่ครั้นจะตอบว่า …

“ใช่ ถูกต้องแล้ว  เป็นคริสเตียนทำบาปได้ สบาย อย่างไรก็ไม่ผิดบาปหรอก พระเจ้าอภัยให้เสมอ”

มันก็เขิน ไม่กล้าพูด มันไม่น่าจะใช่นะ ไม่อย่างนั้น เราก็จะเจอคำถามอย่างนี้อยู่บ่อยๆ ในชีวิตของเรา แม้กระทั่งตัวเราเอง บางทีเรายังถามตัวเราเองว่าอย่างไรดี วันนี้ก็เลยมาทบทวนเรื่องนี้กัน

คำถามประเภทนี้ เป็นคำถามที่ตอบสั้นๆ ไม่ได้หรอก ถ้าจะต้องตอบ ต้องตอบกันแบบละเอียด ยาว ถึงจะเข้าใจอย่างถูกต้องจริงๆ เพราะฉะนั้น แม้เราจะเป็นผู้ที่เชื่อนานแล้วก็ตาม ถ้าเราไม่สนใจในเรื่องละเอียดเหล่านี้  เราก็ตอบไม่ได้เหมือนกันนะ เพราะมันละเอียดอ่อนมากในการจะตอบ มันมีส่วนโน่นนิด นี่หน่อย อะไรต่างๆ เพราะฉะนั้น มันต้องใช้เวลา ในการเรียนรู้ และสนใจด้วย ว่ามันเป็นอย่างนี้  เราจึงสามารถที่จะกล้าพูดด้วยปากของเรา ตอบให้ถึงใจ เติมรสชาติให้เข้มข้น สำหรับผู้ที่สงสัย ผู้ที่เขาถามเราว่าความหวังใจของเราในพระเยซูคริสต์ คืออะไร? เราจะได้ตอบเขาได้อย่างเต็มที่ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเติมรสชาติในการตอบให้มันเข้มข้น  ก็คือเรารู้ละเอียด เราตอบได้ เพราะฉะนั้น ก็ตั้งใจกันนิดหนึ่ง สำหรับเรื่องนี้

บางคนก็พยายามจะอธิบาย เพื่อจะตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ พยายามด้วยตัวเอง อันนี้ไม่ใช่สติปัญญาพระเจ้า เราจึงได้ยินคำตอบแบบแปลกๆ จากปากของคนที่เชื่อพระเจ้า หรือเป็นคริสเตียนแล้วบ่อยๆ ซึ่งมันไม่ได้ตรงกับถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์เลย แต่เขาก็ตอบไปอย่างนั้น เขาไม่รู้จะพูดอย่างไร? จริงๆ ไม่พูดเลยดีกว่า พูดไปแล้วมันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าในความเชื่อของเราในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์  มันก็น่าจะไม่ตอบดีกว่า ไม่รู้ซะยังจะดีกว่า ดีกว่าไปตอบผิดๆ ทำให้คนเกิดความเข้าใจผิด ความคิดและเหตุผลของมนุษย์ทั้งนั้นที่เขาตอบ เพราะว่าเขาคิดแบบมนุษย์ มันจะตอบออกมาเป็นแบบมนุษย์ ซึ่งมันก็แย้งกับอะไรต่างๆ ในพระคัมภีร์เยอะแยะ เช่น คุ้นๆ ไหมครับที่บอกว่า …

“เราได้รับความรอดนิรันดร์แล้วก็จริง แต่รางวัลที่เราจะได้รับในสวรรค์ มันจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราบนโลกใบนี้ด้วย” … ซึ่งมันไม่จริง

พระเยซูบอกรางวัลที่เราจะได้ ทุกคนได้เท่ากับหมด ไม่ว่าจะเชื่อมาก เชื่อน้อย ทำมาก ทำน้อย ทำอะไรบนโลกใบนี้ รางวัลเมื่ออกจากร่างนี้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ได้รับเท่ากันหมด รางวัลนั้น คือความรอดจากการเป็นทาสซาตาน ทาสของบาป กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า เหมือนกันหมดเลย อย่างนี้เป็นต้น

เห็นไหม? ตอบแบบผิดๆ ก็ทำให้คนเชื่อแบบผิดๆ พอผิดนิดหน่อย มันก็เหมือนกลัดกระดุม เม็ดแรกผิด ต่อไป มันก็ผิดเยอะแยะ วุ่นวายไปหมดเลย ตอบกันไม่ถูกเลยว่าทำไมถ้อยคำพระเจ้าแย้งกันเองในพระคัมภีร์ มันก็กลายเป็นอย่างนี้

หรือที่บอกว่า … “ถ้าเราเผลอไปทำบาปผิดเมื่อไร? ก็ให้เราสารภาพกับพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะอภัยให้”

ซึ่งก็ผิดอีกแหละ ไม่ตรงกับพระคัมภีร์อีก เพราะพระคัมภีร์บอกว่า …

“พระเจ้าอภัยให้เรียบร้อยแล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ครั้งเดียวเป็นพอ ที่พระองค์ถวายตัวเองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ครั้งเดียวเป็นพอ” ในหนังสือฮีบรูบอก

แต่เราบอกว่า … “ทำบาปไป ต้องสารภาพต่อพระเจ้าทุกๆ ครั้ง”

มันก็ไม่ตรง อย่างนี้เป็นต้น เพราะว่าเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร? เขาก็ต้องตอบแบบความคิดสติปัญญามนุษย์ อ้าว! ทำบาปผิดไป ก็ต้องขอการอภัยจากพระเจ้าสิ แล้วในพระคัมภีร์เขียนบอกว่าข่าวดีของพระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ ชำระบาปเราทั้งสิ้น ทั้งหมด ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว แล้วมันแย้งกันเอง ทำอย่างไร? ก้มหน้า ไม่รู้เรื่อง ไปดีกว่า มันจะเป็นอย่างนี้นะ

บางที … “เชื่อ”

“เชื่อว่าอะไร?”

“เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ไถ่บาปเราเรียบร้อยแล้ว หมดทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เชื่อ แต่ว่าถ้าทำผิดบาปไป ก็ต้องสารภาพบาป ขออภัยบาป จากพระเจ้า”

“อ้าว! ทำไมแย้งกันอีก”

ตัวคนๆ เดียวกันนั่นแหละ

วันนี้เลยจะมาคุยเรื่องนี้อย่างละเอียด เผื่อว่าต่อไปนี้ ใครไปถูกถามคำถามเหล่านี้ว่า …

“เป็นคริสเตียนแล้ว ทำบาปได้สบายเลยใช่ไหม?”

ฟังวันนี้จบแล้ว เราสามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง ตามหลักพระคัมภีร์เลย ผมจะพยายามอธิบายให้ละเอียดที่สุด เท่าที่จะทำได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะละเอียดยิ๊บเลย ต้องพระวิญญาณสอนท่านแต่ละวันๆ ไปเรื่อยๆ ท่านก็จะรู้เรื่องนี้ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ ถ้าท่านสนใจเรียนรู้ว่ามันคืออะไร? พระคัมภีร์จะสอนท่านทีละวันๆ เติบโตไปเรื่อยๆ กับพระองค์ แต่อย่างไรก็ตาม หัวข้อเรื่องนี้ ผมก็จะพยายามทำให้ละเอียดที่สุด เท่าที่จะทำได้

เรามาเริ่มต้นที่หัวใจของข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือเราสามารถรอดจากโทษของความบาปต่างๆ ได้ เป็นของประทานพิเศษให้กับเรา โดยเราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นเลย

นี่คือหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำดีของเราเลย แม้แต่นิดเดียว พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ แค่พึ่งในพระเยซูคริสต์ การกระทำการงานของพระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำของเราเลย นี่คือหัวใจของข่าวดีของพระเยซู

การพยายามทำความดีให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ให้สะอาดหมดจด 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้านั้น มันเป็นไปไม่ได้ มันทำไม่ได้ ทำอย่างไรไม่ให้มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว นิดหนึ่งก็ไม่ได้ คิดยังไม่ได้เลย เราจึงจำเป็นต้องเชื่อและวางใจในพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ คือพระเยซูคริสต์ แปลว่าผู้ช่วยให้รอด

โดยผ่านทางความเชื่อนี้ เราจึงสามารถบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ซึ่งวิญญาณ คือตัวตนจริงๆ ของเรา ที่ตาเรามองไม่เห็น แต่ตัวตนจริงๆ ที่จะอยู่ตลอดไป คือวิญญาณ เราจึงสามารถเป็นผู้บริสุทธิ์ วิญญาณดีงาม ในสายพระเนตรพระเจ้าได้  ด้วยการเกิดใหม่  ผ่านทางความเชื่อ  ในพระเยซูคริสต์ เอเฟซัส 2:8-9 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะโดยพระคุณ  ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้น จากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่ได้ประทานให้”

 

“ที่เรารอด ก็รอด โดยพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ การกระทำของเรา หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติ กฎหมายต่างๆ ของพระเจ้า ให้ถูกต้อง เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีงามของตัวเองได้”

ในภาษาเดิม ตรงนี้แปลว่าอย่างนี้ จะไม่มีใครมาบอกเลยว่า …

“ฉันรอดไปอยู่ในสวรรค์ได้ เพราะฉันทำดี เยอะกว่าเธอตั้งเยอะ”

ไม่มีเลยสักคน นี่แหละคือเหตุผลที่ผมบอกว่าพอไปอยู่ในสวรรค์แล้ว รางวัลเท่ากันหมดทุกคนแหละ ก็คือไม่มีใครดีสักคนเลย รอด เพราะความเชื่อในพระเยซูทำให้ทั้งนั้น แล้วจะมาอวดอ้างว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นเขา ไปอยู่ข้างบนจะได้แมนชั่นใหญ่กว่า ได้บ้านที่ใหญ่กว่า เป็นตำแหน่งที่ใหญ่กว่า อยู่ใกล้พระเจ้ามากกว่าเราหรือ? เราทำน้อยกว่าหรือ? ไม่ใช่เลย เพราะเราต่างต้องพึ่งพระเยซูทั้งนั้น

ความรอด ไม่ได้อยู่ในการกระทำดีของตัวเราเอง ตรงนี้แหละ ตรงที่คนไม่เชื่อ คิดด้วยสติปัญญามนุษย์ ไม่เข้าใจตรงนี้ เข้าใจยากมากเลย อธิบายเรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ตลอดชีวิตไม่จบเลยนะ ไม่ต้องพึ่งความดี ก็หมายถึงเราไม่สนใจความดีอย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นแล้ว พระเจ้าไม่ให้ความสำคัญ ไม่ให้ความสนใจกับการประพฤติและการกระทำของเราบนโลกใบนี้หรือ?  ถูกไหม? เขาก็จะถามว่า …

“อย่างนี้ พระเจ้าก็ไม่สนใจว่าเราจะทำอะไรก็ได้หรือ? เชื่อแล้วเนี้ย”

นี่ความคิดมนุษย์ ก็จะเป็นเหตุผลแบบมนุษย์อย่างนี้แหละ

เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าได้ทำให้ตัวเก่า ก็คือวิญญาณเก่าของเรา วิญญาณเก่าที่สกปรก ที่อยู่ในความบาป เป็นทาสมาร พระเจ้าได้กระทำอย่างนี้ คือเอาวิญญาณสกปรก ตัวเก่าของเรา ตรึงตายที่ไม้กางเขนร่วมกับพระเยซูคริสต์ แล้วก็ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ และได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่เรารับเชื่อพระเจ้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ  คือเราอยู่ในสวรรค์  ในฐานะลูกของพระเจ้า  เป็นทายาทของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ เดี๋ยวนี้เลย และจะอยู่ตรงนี้นิรันดร์กาล ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใด อำนาจใด หรือผู้ใดจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานะตรงนี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าเอง และพระองค์ก็ไม่ทำด้วย หรือเป็นตัวเรา ก็ทำไม่ได้

วิญญาณเราบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จากการบังเกิดใหม่ เกิดแล้วเกิดเลย เปลี่ยนไม่ได้ เปลี่ยนอย่างไร? เราจะทำอย่างไร มันไม่เกี่ยวกันแล้ว

อ้าว! ถ้าอย่างนั้น ความประพฤติไม่สำคัญหรือ? มาตรงนี้อีกแล้ว เห็นไหมว่ามันจะหนีไม่พ้นตรงนี้แหละ จากพื้นฐานของความจริง ในพระคัมภีร์ เราไม่ว่าจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างไรก็ตาม จะทำบาปผิดขนาดไหน ก็ตาม พระเจ้าก็ได้ให้อภัย ในความผิดพลาดเหล่านั้นไปล่วงหน้า หมดสิ้นแล้ว  โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ซึ่งหลั่งไปแล้ว จบแล้ว

นี่คือความจริง เอาความจริงก่อน แล้วเดี๋ยวความเข้าใจของเรา ในฐานะมนุษย์ เราค่อยๆ สืบคลานเข้าไปหาว่ามันคืออะไร? พระเจ้าอภัยบาปทั้งหมดเลย ไม่ว่าเราจะทำอะไรทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่บาปที่จะทำในอนาคตที่เรารู้ล่วงหน้าด้วยว่าเราจะทำ เดี๋ยวเราจะเรียนต่อไปว่าบาปที่เราตั้งใจทำ ก็มี เรายังไม่โตพอ เราอาจจะทำสิ่งเหล่านั้นได้ แต่ความจริงในพระคัมภีร์บอก เราได้รับการอภัยไปก่อนหน้าแล้ว คือเราได้บังเกิดใหม่ เราเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเลย คือเรารอดจากโทษของบาปผิดทั้งหมดแล้ว เพราะเราไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไป  ด้วยพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเรา ด้วยการกระทำของพระผู้ช่วยให้รอด ที่มีพระนามว่าพระเยซู แปลว่าผู้ช่วยให้รอด

คนก็จะถามว่า … “อ้าว! ถ้าอย่างนั้น การกระทำผิดบาป ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นกับเราเลยอย่างนั้นหรือ? เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม มันจะไม่มีผลอะไร เกิดขึ้นกับเราเลย อย่างนั้นหรือ?”

ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ สามารถตอบได้ทั้ง “ใช่” และ “ไม่ใช่”

“ใช่” คือกฎในทางวิญญาณ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในทางวิญญาณ เราเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะทำอะไร มันก็ไม่เกี่ยวกับการที่เราเป็นลูกพระเจ้าไปแล้ว

“เราเป็นลูกพระเจ้าไปแล้ว”

ตอบว่าจริงการกระทำบนโลกใบนี้ ไม่มีผลกับการเป็นลูกพระเจ้าของเราเลย ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นลูกพระเจ้าน้อยลง ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นลูกพระเจ้าครึ่งเดียว ไม่ได้ทำให้เราเป็นลูกพระเจ้า 20% ไม่ได้ทำให้เราหลุดออกจากการเป็นลูกพระเจ้า กลายเป็นทาสมารไปอีกได้ เป็นไม่ได้อีกแล้ว เราอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าแล้ว

เพราะฉะนั้น คำตอบคือ “เป็นอย่างนั้นจริงๆ แหละ ที่ท่านเข้าใจนะ”

เพราะที่เมื่อกี้ย้ำแล้วว่าไม่มีสิ่งใดกระทำให้เราขาดจากความรัก ออกจากพระหัตถ์ของพระเจ้า หลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย ไม่ว่าจะเป็นอำนาจใด ผู้ใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง สถานะการเป็นลูกของพระเจ้าของเราได้ มันเที่ยงแท้ถาวรนิรันดร์และอยู่ในการควบคุมดูแลของพระเจ้า เราบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาป เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เป็นวิญญาณเดียวกัน ถ้าเราสูญสิ้นไป พระเจ้าก็สูญสิ้นไปด้วย เพราะเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าเราสูญไป เปลี่ยนแปลงได้ พระเยซูก็เปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นชีวิตของเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน เห็นไหมครับ?

ดังนั้น คำตอบ เราสามารถตอบคำว่า “ใช่” ได้

แต่ตอบว่า “ไม่ใช่” ได้ไหม? ได้ คือความประพฤติและการกระทำของเรา ก็จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ด้วยจริงๆ ซึ่งถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ได้เตือนเรา ถึงผลร้ายที่จะตามมา ที่เราจะต้องรับไว้ ในการกระทำอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ทางกฎของโลกวัตถุ การตอบสนอง จากการกระทำผิดบาป กระทำไม่ถูกต้อง ตามกฎของโลกวัตถุนี้ ยังคงมีอยู่ และเราทุกคน จะต้องรับผลของมันตามมา จากการไม่เชื่อฟังคำเตือน คำสอนของพระเจ้าบนโลกใบนี้ พระองค์บอกอย่าทำอย่างนี้นะ อันตราย มันไม่ดีต่อชีวิตเรา เราจะได้รับโทษ มันได้รับจริงๆ ด้วย ไม่ใช่เราผู้เชื่ออย่างเดียว ผู้ไม่เชื่อก็ได้รับเหมือนกันหมดทุกคน พระเจ้าเป็นผู้พิพากษา ไม่ลำเอียง

ซึ่งแม้ว่าเราจะอยู่ในพระคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้าแล้วก็ตาม ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ ปรับโทษใดๆ แก่ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการชำระจนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ปราศจากบาปใดๆ แล้วก็ตาม แต่เหล่านี้เป็นผลในโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ผลทางวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

แต่ก็ยังมีผลทางโลกวัตถุ อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก ที่เป็นผลตามมา ถ้าเราประพฤติไม่ตามกฎของโลกใบนี้ เราก็ต้องว่ากันไปตามนั้น ความประพฤติและการกระทำของเรา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จึงสำคัญ มีผล มันตอบตรงนี้ได้

ถ้าสำคัญ พระเจ้าก็ต้องให้ความสำคัญมาก ถูกไหม? ในโรม 8:1-2 บันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 8:1-2   “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

คริสเตียนหลายคน ผู้เชื่อหลายคน ก็เอาข้อความนี้ เข้าใจผิด สับสน เรื่องผลของโลกวิญญาณ และผลของโลกวัตถุ เรื่องกฎของวิญญาณและกฎของวัตถุ เอามาสับสนกัน หลายคนเอาถ้อยคำนี้ไปใช้อย่างผิดๆ เยอะแยะไปหมดเลย  ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่นขับรถ ผิดกฎจราจร …

“ดังนั้นไม่มีการลงโทษใดๆ แก่ฉันผู้อยู่ในพระเยซูคริสต์”

ตรงตามพระคัมภีร์ ตรงไหม? ตรงสิ เมื่อตะกี้เราอ่าน ยังตรงเลย โรม 8:1 ใช่ไหม? ดังนั้น ไม่มีการลงโทษใดๆ ขับรถ รู้สึกสบายใจ ไม่มีการลงโทษ ฉันเป็นอิสระแล้ว พอขึ้นรถ เริ่มต้น ก็ …

“อิมมานูเอล อิมมานูเอล” แปลว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย แล้วจริงหรือเปล่า? จริง เราเชื่อแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย อิมมานูเอลอยู่ในตัวฉัน  สันติสุข ค่อยๆ ขับไป ตามกฎหมายเขาไม่ให้เกิน 70-80 ในเมือง เท่านี้พอแล้ว ไม่เกิน 100 เพราะพระเยซูอยู่ด้วย สบายใจ ขับ 70 – 80 ไปเรื่อยๆ ชักจะไม่ทันประชุมแล้ว รถติด เร่งขึ้นมาหน่อยไหม? เอาสัก 100 … ไม่ช้าและไม่สาย ไม่รีบร้อนตามใจฉัน พระองค์ดีต่อฉัน และทรงทันเวลาเสมอ … ขับไป ร้องไป เริ่มเป็นร้อยหนึ่ง มองนาฬิกา ยังถูกกฎหมายอยู่นะ  อย่างไรก็ทัน พระเจ้านำพาอยู่แล้ว ไม่สายอยู่แล้ว

ปรากฏว่ามันสาย เราออกมาสาย ดูนาฬิกาไปเรื่อยๆ ร้องเพลงไปเรื่อยๆ เพลงก็ชักอยากจะเปลี่ยนแล้วอ่ะ ไม่รีบร้อนตามใจฉัน  ตะกี้นี้ตามใจพระเจ้า ทำตามกฎระเบียบหมดเลย ตอนนี้ อยากจะทำตามใจฉัน เปลี่ยนเพลง … ในพระนามพระเยซู ในนามพระเยซู เราเป็นผู้มีชัย … ใช้นามพระเยซูสั่งการเลย ใครเคยสั่ง คุ้นๆ สั่งการให้ไฟแดงเป็นไฟเขียวปุ๊บ สั่งให้ถนนว่างปุ๊บ เร่ง แซงซ้ายแซงขวา 110 ไป 120 ขณะนั้นที่เราร้องอิมมานูเอล ตั้งแต่ 70, 80 พระเยซูเริ่มไปอยู่ข้างหลังแล้วนะ พระเยซูออกจากตัวเราไปอยู่เบาะท้าย เตรียมเผ่นแล้ว จริงๆ พระเยซูอยู่ที่เดิม แต่เราเผ่นหนี เราไม่เชื่อแล้ว เราหลุดออกจากการทรงสถิตแล้ว ไม่ใช่พระเยซูไปหรอก แต่เขาพูดกันเล่นๆ ว่าพระเยซูไปอยู่เบาะหลังแล้ว เรายัง … ในพระนามพระเยซู … นึกว่าพระเยซูอยู่กับเรา เราทำผิดกฎ แล้วพระเยซูไปแล้ว เราเองไม่ระลึกถึงพระเยซูที่สถิตอยู่ในเรา เหมือนตอนแรกๆ ที่สงบๆ เห็นชัดไหม?  120 มันผิดกฎหมายแล้ว

ปรากฏว่าเราสั่งการดี ถนนโล่ง แต่มันสายแล้ว เหยียบเร่งเต็มที่เลย เป็น 130, 140 … ลูกมาแล้ว อยู่ในลานวิสุทธิ์ จิตใจและมือชูสรรเสริญ … คือลูกมาแล้ว วิญญาณลูกจะออกจากร่างแล้ว คือมันมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้พร้อมเสมอ เพราะผลที่เราเริ่มจะได้รับ เพราะเราไม่เชื่อฟัง เราทำผิดกฎระเบียบ พระเจ้าเตือนเราตั้งแต่เราขับ 60, 70 แล้ว แล้วก็ให้กฎหมายบ้านเมืองเตือนเราว่าผิดกฎหมายแล้ว เขาก็วิเคราะห์กันมาแล้วว่าขับอยู่ในเมือง ควรไม่เกินเท่านี้ ออกนอกเมือง ไม่ควรเกินเท่านี้ เขาบอกมาแล้ว แล้วเรายังไปฝืนกฎเหล่านั้น ทั้งๆ ที่ก็บอกว่า … ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู … ฉันเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซู ไม่ต้องลงโทษ เราก็ต้องได้รับโทษเหล่านั้น จากการฝืนกฎระเบียบของโลกใบนี้ เห็นไหม?

และยังมีอีกหลายๆ อย่าง นี่ยกตัวอย่างอันนี้ให้เห็น มันชัด เพราะว่าเราอยู่กับเรื่องนี้เยอะมาก เตือนแล้วไม่ฟัง พระเจ้าเตือนผ่านทางเยอะแยะมากมายไปหมดเลย หรือบางอย่างเราทำฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง เรื่องอื่นๆ ชัดเจนมากเลย กฎหมายออกมาใหม่ ในการที่จะยับยั้ง จำกัดโรคระบาด  ก็คือกฎหมายโรคระบาดโควิดออกมา รัฐบาลประกาศฉุกเฉินให้มีกฎหมายเหล่านี้ ทุกคนห้ามออกจากบ้าน ในเวลา 6 โมงเย็น เคอร์ฟิว จะไปไหนต้องใส่หน้ากากอนามัย จะไปรวมอยู่ในที่เดียวกัน ต้องใส่หน้ากากอนามัยอะไรต่างๆ เหล่านั้น

“ฉันเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์อยู่ในตัวฉัน เชื้อโรค ไวรัสโควิดมาทำอะไรฉันไม่ได้ เพราะฉันไล่มันทุกวัน ฉันอัดมันทุกวัน ฉันมีความเชื่อ ในนามพระเยซู ฉันสั่งขับไล่มันทุกวัน ฉันไม่มีวันติดหรอก เพราะฉะนั้น ฉันไม่ต้องทำตามกฎที่กฎหมายบอกว่าออกจากบ้าน ให้ใส่หน้ากากอนามัย ให้ระมัดระวังตัวเองอย่างไร? ฉันไม่ทำตาม ฉันเป็นคริสเตียน เข้าใจไหม? พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ปกคลุมฉันอยู่”

แล้วถูกจับไหม? ถูกจับ ต้องโดนลงโทษไหม? ต้องโดน แค่โดนลงโทษแค่นั้นไม่พอ แต่มันทำให้สังคมเสียหาย นี่เห็นชัดๆ มันทำให้สิ่งที่เขาทำตอนนั้น ที่เขาเข้าใจผิด เกิดความเดือดร้อนไปถึงคนอื่น เชื้อโรคติดคนอื่น อะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นพาหะ นำพาเชื้อโรคไประบาด ทั้งโบสถ์ ทั้งที่ประชุมอื่นๆ เยอะแยะมากมายไปหมด ก็เพราะว่าเข้าใจผิดอย่างนี้ สับสนเรื่องโลกวิญญาณกับโลกวัตถุ สับสนกัน สิ่งนี้พระเจ้าชอบไหม? ไม่ชอบ แต่ใครชอบ ศัตรูพระเจ้าชอบ คือมารซาตาน มันก็ปั่นหัวให้มนุษย์บนโลกใบนี้ ทำอย่างนี้แหละ มันก็เกิดความชั่วร้าย เกิดความเสียหายบนโลกใบนี้ อย่างขับรถเมื่อสักครู่นี้ พอเราขับ 130 เกิดอุบัติเหตุ ไม่ใช่เราเป็นคนเดียว แล้วไปทำให้คนอื่น เขาเดือดร้อนด้วย ไปชนคนอื่นเขา ไปทำให้เขาเสียชีวิต หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้น

สมมติว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวของใครคนใดคนหนึ่ง เราไปชนเขาตาย ครอบครัวเขาเดือดร้อนไปแล้ว ท่านเห็นไหมว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่ผลของการกระทำของเราบนโลกใบนี้ มันมีส่วน มีความสำคัญอย่างยิ่ง และพระเจ้าให้ความสำคัญมากเลย อย่างนี้เราจะเห็นชัด

การทำผิดศีลธรรม ผิดจริยธรรม บางทีมันไม่เห็นชัด ไม่ได้มีกฎหมายมาควบคุมว่านี่ผิด อย่างเช่นเราไปโกหก อิจฉาริษยาเขา มันไม่เห็น แต่มันร้ายกาจมากเลย ความอิจฉา ในพระคัมภีร์บอกไว้ มันสามารถทำร้าย ทำลาย เยอะแยะมากมายไปหมด ผู้คนรอบข้าง โดยที่แอบอยู่ในตัวของคนๆ หนึ่ง โดยไม่มีคนรู้เลยว่าคนนี้ร้ายกาจขนาดนี้ เราเห็นชัดเจน

ศีล 5 ยิ่งชัด ฉันเป็นผู้เชื่อแล้ว ฉันมีอิสรภาพในการทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ในพระคัมภีร์บอก มีอิสรภาพในพระเยซูคริสต์ ศีลฉันไม่ต้องไปสนใจเลย  ไม่มีผลอะไรกับฉัน ใครบอก ห้ามฆ่าคน แล้วเราไปฆ่าคนตาย เราไปทำร้ายคน โดนไหมละ โดนด้วย ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เราไปพูดปด ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนด้วย เรากินเหล้าเมายา เอะอะโวยวาย ทำให้เดือดร้อนไปหมด เราเพิ่มความบาป ความสกปรกบนโลกใบนี้ ให้เลอะเทอะขึ้น ซึ่งพระเจ้ามีความสุขไหม? ไม่มีความสุข พอใจไหม? ไม่พอใจ ทุกข์ใจไหม? ทุกข์ใจ

นี่คือสิ่งที่เราต้องคำนึกถึง ผลร้ายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ตั้งใจไว้ให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ผลร้ายที่ตามมาอันดับแรกเลย ที่สำคัญมากๆ ซึ่งจะเป็นผลร้ายอื่นๆ เรียงแถวกันเข้ามาเยอะแยะมากมายไปหมด สำหรับชีวิตเรา  และชีวิตคนอื่นๆ รอบข้างเราบนโลกใบนี้

อันดับแรก ก็คือการดับพระวิญญาณ เดี๋ยวเราจะมาเรียนรู้กัน การดับพระวิญญาณ ทำให้พระวิญญาณเสียใจ ทุกข์ใจ เราไม่สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา พร้อมกับทำตามการนำของระบบของโลกนี้ ผ่านทางกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของเราได้ ทำพร้อมกันไม่ได้ เพราะพระวิญญาณกับเนื้อหนัง เป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกัน พระวิญญาณกับเนื้อหนัง นำพร้อมๆ กันไม่ได้ เราต้องตัดสินใจให้ใครคนใดคนหนึ่ง ฝั่งใดฝั่งหนึ่งเป็นผู้นำเรา ต้องเลือกข้าง ข้างใดข้างหนึ่ง

ในขณะที่เราตัดสินใจกระทำตามอิทธิพลของความบาป ในกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ตัดสินใจจะให้เขานำ เราก็ต้องรับผลที่ตามมา ซึ่งก็คือในขณะนั้น ขณะที่เราให้กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังเป็นผู้นำ เราก็จะพลาดจากน้ำพระทัยพระเจ้า คือการสำแดงชีวิตพระเยซูคริสต์ ที่สถิตอยู่ในเรา ที่ผมบอกเรื่องขับรถ พระเยซูออกมานั่งที่เบาะหลังแล้ว ก็คือเราหลุดจากการทรงสถิตของพระเจ้า พระเจ้า พระเยซูยังอยู่ในตัวเรา เป็นวิญญาณเดียวกันกับเราเหมือนเดิม แต่เราเอง หลุด ทิ้งพระองค์ไป ไปอยู่กับกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ให้กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังนำ

ความหมาย คือเรากำลังทำให้พระเจ้าทุกข์ใจ เสียใจ การดับพระวิญญาณ คืออย่างนี้ คือทำให้พระเจ้าเสียใจ ทุกข์ใจ และมีผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมาในชีวิตของเรา และเกี่ยวเนื่องถึงคนอื่นรอบข้างเราด้วย บนโลกใบนี้ เริ่มความบาป ความยุ่งเหยิงบนโลกใบนี้

ยกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นชัด เช่นความโกรธ พระเจ้าไม่ต้องการให้เราโกรธ ถ้าเราให้พระวิญญาณนำ เราจะโกรธน้อย หรือไม่โกรธเลยก็ตาม ความโกรธ ขุ่นเคือง ไม่ให้อภัย การใส่ร้าย ความอิจฉา ความโลภ ซึ่งทำลายความสัมพันธ์ให้เสียหาย ความสัมพันธ์กับใครก็ตาม ก่อให้เกิดความบาปมากขึ้นบนโลกใบนี้ แทนที่จะได้การสำแดงชีวิตแห่งความรัก ความเมตตา ความสงบของพระเยซู ที่สถิตอยู่กับเราภายในออกมา ซึ่งจะทำให้โลกใบนี้สงบ ลดความบาปบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เรากลับไม่เชื่อ เราดับพระวิญญาณ ซึ่งมันแปลว่าอย่างนี้ อาจารย์เปาโลจึงเตือน อธิบายถึงเรื่องนี้ไว้อย่างนี้ 1 เธสะโลนิกา 5:16-22 …

1 เธสะโลนิกา 5:16-18  “16 จงมีความสุข และมีความชื่นชมยินดี ภายในจิตใจ อยู่เสมอ  17 จงหมั่นอธิษฐาน ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร จงขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ 19 อย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ 20 อย่าลบหลู่คำเผยพระวจนะ 21 จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี  22 จงหลีกห่างความชั่วทุกชนิด”

 

จะเห็นได้ชัดว่าตั้งแต่ข้อ 16-18 ก่อนข้อ 19 อาจารย์เปาโลกำลังจะบอกอย่าดับพระวิญญาณทำอย่างไร?

พอเริ่มต้นข้อ 19 บอกว่า “อย่าดับพระวิญญาณ” การดับพระวิญญาณ คือการไม่ให้พระวิญญาณนำเรา สอนเรา เราจะดำเนินชีวิตด้วยตัวเราเอง ผ่านทางระบบของโลกนี้ ซึ่งควบคุมโดยมาร ผ่านทางกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของเรานั่นเอง

การดับไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างเช่น ในข้อ 16 เมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่าน ก็คือเราไม่ชื่นชมยินดีในการสำแดงชีวิตของพระเยซูคริสต์ในตัวเรา  เราไม่เอ็นจอย เราไม่ชื่นชมยินดี อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราชื่นชมยินดีอยู่เสมอๆ ตลอดเวลาเลย ชื่นชมยินดีได้อย่างไรในเมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ ชื่นชมยินดีในวิญญาณเรา ที่เราเป็นลูกพระเจ้า เราเกิดใหม่แล้ว เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราอยู่ในสวรรค์แล้ว ชื่นชมยินดีตรงนี้ ก็หมายถึงจดจ่ออยู่ที่พระเยซูที่สถิตอยู่ในเรา ในโลกวิญญาณ

การดับไฟพระวิญญาณ คือเราไม่ชื่นชมยินดีแล้ว เราเริ่มละห่างแล้ว เราเริ่มทิ้งพระเยซูแล้ว เราเร่ง 120 แล้ว เราเริ่มร้องเพลง … “ในพระนามพระเยซู ในพระนามพระเยซู” … ชักมันใหญ่แล้ว ชักรีบร้อนทำตามตัวเอง แทนที่จะร้อง … “อิมมานูเอล” … ขับ 60, 70 ไปเรื่อยๆ

ผมพยายามยกตัวอย่างเหล่านี้มา เพื่อให้ท่านเห็นและเข้าใจว่ามันคืออะไร? จะพยายามพูดซ้ำ บ่อยๆ เพราะเรื่องนี้ มันชัดมาก

ในข้อ 17 หมั่นอธิษฐาน พูดคุย วิงวอน จำได้ไหม ในหนังสือฟิลิปปีบอกไว้ อย่าวิตกกังวลในสิ่งใดๆ เลย แต่จงอธิษฐาน วิงวอนและขอบพระคุณ ไม่อธิษฐาน พูดคุยกับพระเจ้า ไม่วิงวอน ไม่ขอบพระคุณ พูดง่ายๆ ก็คือไม่ติดต่อกับพระเยซู ไม่ติดต่อกับพ่อของเราอยู่เสมอๆ เปาโลบอก  ไม่ติดต่อกับพระองค์ พูดคุยกับพระองค์อยู่เสมอๆ ไม่ใช่ตั้งคิวไว้ อธิษฐานเช้า กลางวัน เย็น  ไม่ใช่ตั้งคิวอธิษฐาน 6 โมงเช้าขึ้นมาอธิษฐาน ไม่ใช่อย่างนั้น คำว่า “ไม่หยุดหย่อน” ตรงนี้ หรือเสมอๆ ตรงนี้ หมายถึงเป็นปกติวิสัยของเรา เหมือนเรามีพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์อยู่ แล้วเรารักท่าน สนิทสนมกับท่าน ตื่นเช้ามาคุยบ้าง บางวันก็ไม่ได้คุย แต่ก็ติดต่อกันอยู่ตลอด มันหมายถึงอย่างนั้น ให้ระลึก ตระหนักอยู่เสมอว่าพ่อเรา อยู่กับเราตลอดเวลา มันหมายถึงอย่างนั้น

การดับพระวิญญาณ ก็คือการไม่ทำอย่างนี้ ไม่สนใจพ่อของเรา ไม่สนใจในการทรงสถิตของพระเจ้า  ที่อยู่ในเรา ไม่สนใจว่าวิญญาณ แท้ๆ ของเรา ตัวตนแท้ๆ อยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เราไม่สนใจ เราไม่ตระหนัก นี่แหละ คือการดับพระวิญญาณ ซึ่งเป็นผลร้ายแรงที่สุด เพราะเราก็จะเริ่มห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่พระเจ้าก็สถิตอยู่ในเรา

ในข้อ 19 จึงบอกว่าอย่าดับพระวิญญาณ คือพระเจ้าเตือนแล้วไม่ฟัง เตือนตั้งแต่เหยียบไปถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ใช่ไม่เตือน กฎหมายก็บอกแล้วไม่ให้เกินนี้ ไม่ได้ยินหรือ? ต้องให้พระเจ้ามาพูดข้างหู ให้ได้ยินชัดหรือ! นี่แหละ พระเจ้าบอกแล้วบอกอีก อาจจะบอกผ่านทางกฎหมาย อาจจะบอกผ่านทางทีวี ที่เขาเกิดอุบัติเหตุ เขาเขียนกัน บอกอยู่นั้นแหละ เราเถียงไม่ได้ว่าไม่บอก พระเจ้าต้องการให้เรารับสิ่งที่ดีที่สุด เห็นไหม? เราดับพระวิญญาณ เราไม่ฟัง ไม่สนใจ ซึ่งเราคิดว่าเราเผลอไปอะไรก็ตาม พระเจ้าเตือนแล้ว พออย่างนี้ เราดับพระวิญญาณ พระเจ้าก็เกิดความเสียใจ ทุกข์ใจ ซึ่งมันไม่ได้หมายถึงบางคนเข้าใจผิด พอดับพระวิญญาณแล้ว พระเจ้าจะกริ้ว จะโมโห จะลงโทษเรา เราไปดับพระวิญญาณ เราไปลบหลู่พระวิญญาณ ไม่ใช่อย่างนั้น คนละเรื่องกันเลย พระเจ้าเสียใจ ทุกข์ใจ เพราะแทนที่เราจะได้สิ่งที่ดีๆ เราจะได้รับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตของเรา เราจะทนทุกข์มากขึ้น นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทุกข์ใจ เพราะพระเจ้ารักเราอย่างแก้วตาดวงใจของพระองค์ ต้องการให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

ท่านเห็นภาพชัดเจนไหม? เพราะพระองค์ทรงห่วงใย ท่านลองคิดย้อนไปว่าพระเจ้ามีหลักการ ความรักต่อมวลมนุษย์ขนาดไหน? นี่ขนาดย้อนไปสมัยปฐมกาล ในสมัยบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ซึ่งพระเจ้ารักดั่งแก้วตาดวงใจเช่นเดียวกัน พระองค์ทรงเตือนแล้ว บอกแล้ว …

“อาดัม-เอวาเชื่อฟังนะ ถ้าไม่เชื่อฟัง ก็จะเกิดโทษแบบนี้ๆ นะ อย่าไปกินนะ  อย่าฝ่าฝืนนะ  เชื่อเถอะ เชื่อพ่อ แล้วก็จะได้ดีเอง”

แต่ในที่สุด บรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวาก็พลาด ดื้อ ไม่เชื่อ พอไม่เชื่อ ก็เกิดโทษ ต้องรับโทษ กฎบอกไว้แล้วว่าอย่า ความตาย คำสาปแช่ง ก็เข้ามาสู่ชีวิต ความเลวร้ายต่างๆ มาสู่ชีวิต แล้วพระเจ้าโกรธกริ้วหรือ? ไม่ใช่เลย พระเจ้าเสียใจที่อาดัมและเอวาดับพระวิญญาณ ก็คือไม่เชื่อฟังคำเตือน ไปฟังมาร  เอาตัวเองเป็นใหญ่ แทนที่จะทำตามพระเจ้า ก็เลยตกลงไปในความบาป แล้วพระเจ้าทุกข์ใจ เสียใจ ถึงขนาดรีบหาทางช่วยเหลืออย่างเด็ดขาด ตั้งแผนการต่างๆ เพื่อที่จะช่วย ให้รอดพ้นจากความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ซึ่งต้องได้รับ

นี่พระเจ้ามีความรักต่อเราอย่างนี้แหละ ยังเห็นชัดอีกนะ พอทำบาปไปปุ๊บ เกิดความละอาย เพราะความบาปเข้ามา ก็เกิดรู้ตัวเองเปลือยกายอยู่ ความรู้ทำให้เกิดความละอาย  พระเจ้าเมตตาขนาดไหน? รีบไปนำหนังสัตว์มาคลุม เพื่อเขาจะได้ไม่อาย คือหาทางทุกอย่างที่จะช่วยลูกตัวเอง ให้หลุดพ้นจากการพลาดเหล่านั้นไป นี่คือหัวใจของพระเจ้า

เราจึงเห็นว่านี่คือความรักของพระเจ้า อย่าเข้าใจผิดว่าพอเราดับพระวิญญาณ พระเจ้าจะกริ้วเรา จะลงโทษเรา ไม่ใช่เลย คนละเรื่องเลย เหมือนพ่อแม่เตือนเราเรื่องมอเตอร์ไซด์ โดยเฉพาะลูกที่เป็นวัยรุ่นผู้ชาย อย่าขี่เลยๆ เป็นห่วง กลัว ทุกข์ใจมาก เมื่อเห็นลูกขี่มอเตอร์ไซด์ เพราะรู้ว่ามันอันตราย มันควรเป็นจักรยานมากกว่า มอเตอร์ไซด์ไม่ควรมีเลย จะรีบไปไหน? พูดกันตรงๆ พูดไปอาจจะเป็นประโยชน์ด้วย จักรยานก็อันตราย ถ้าเร็วมาก เกิดอุบัติเหตุได้ พอสมควรเลยทีเดียว แต่ก็ยังถือว่ามันน้อย มันสุดวิสัยแล้ว ก็คือจักรยาน ถ้าไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ ขี่ได้ทั่วๆ ไป ก็ 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็เร็วเยอะแล้ว ล้มไปก็เจ็บมาก อาจรักษาเป็นปีๆ แต่มอเตอร์ไซด์ขึ้นไปถึง เริ่มวิ่ง อย่าว่า 15 เลย แค่เคลื่อนนิดหนึ่ง ก็ 30 เข้าไปแล้ว อย่างน้อย ก็ต้อง 50, 60 ขึ้นไปแล้ว

แล้วภาษาพ่อแม่ที่เป็นห่วง ถ้าเราขับรถยนต์มันเหล็กหุ้มเนื้อ แต่ขี่มอเตอร์ไซด์ มันเนื้อหุ้มเหล็ก คือเนื้อไปแขวนอยู่บน 2 ล้อ ไม่ว่าน้ำท่วม ฝนตก ถนนลื่น กะลา ทราย อิฐ ปูน อะไรต่างๆ โคลน  หรือรถเฉี่ยว มันเยอะมากไปหมดเลย ที่จะต้องระวัง เราใช้เพราะอะไร? เพราะเราฝืนจากกฎธรรมชาติ เพราะเราอยากเร็วๆ ตามใจเรา เราอยากจะเร่งให้มันตามใจเรา เราอยากให้มันเร็ว ไปไหนก็ได้ อยากจะเร็ว รถติด รถยนต์ต้องใช้เวลา 3 ชั่วโมง แต่ใช้มอเตอร์ไซด์ ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว สมมติ เราจะเซฟ 2 ชั่วโมงไว้ แต่เราหารู้ไม่ว่าเราเสียไปอีกประมาณ 20 ปี 30 ปี เราต้องเป็นคนพิการไป เพราะเราไม่เชื่อพ่อแม่ เราไม่เชื่อพระเจ้าที่บอกเราให้เราระมัดระวังสิ่งเหล่านี้ นี่พูดเลยไปถึงคนไม่เชื่อด้วยนะ แม้เราเชื่อแล้วก็ตาม เราควรจะมีการใคร่ครวญ

ผมเชื่อว่าเราอธิษฐานกับพระเจ้า พระเจ้าคงไม่ให้เราหรอก ขอบคุณพระเจ้า อธิษฐานขอมอเตอร์ไซด์ พระเจ้าให้คันใหญ่มาเลย ผมว่าไม่น่าจะใช่ พระเจ้าน่าจะให้รถเก๋งมามากกว่า ถึงจะเก่าสักหน่อย ก็ยังดี เพราะมันเป็นเหล็กหุ้มเนื้อ โอกาส อันตรายมันน้อย แล้วก็อย่าขับรถเร็วเกินกฎหมายอะไรอย่างนี้ ยกตัวอย่างให้ฟัง

เพราะฉะนั้น ถามว่าพระเจ้าต้องการอย่างนั้นหรือ? ต้องการให้เราไปเร็วๆ มากๆ อย่างนั้นหรือ?  พระองค์เตือนแล้ว เตือนอีก เตือนผ่านทางพ่อแม่ของเรา เตือนผ่านทางผู้คนรอบข้าง วิชาการต่างๆ แล้วก็เตือนผ่านกฎหมาย อย่างที่บอกตะกี้นี้ กฎหมายเขาไม่ให้เกิน 100 ถึงทางโค้งไม่เกิน 40, 50 ในหมู่บ้านไม่ให้เกิน 30 แล้วก็ทำตาม ถามว่าไม่เตือนหรือ? ต้องรอให้พระเจ้าปรากฎมาชัดเจนเลย  เตือนอย่างนั้นหรือ? อย่างนั้นจะเรียกว่าโดยความเชื่อได้อย่างไร? ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อได้อย่างไร?

สิ่งสำคัญที่สุด ที่เราจะต้องจำให้แม่น จำให้ขึ้นใจ  คือต้องฟังให้ดีๆ เลยนะว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป ไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ไม่ได้อยู่ภายใต้พระพิโรธของพระเจ้า ภายใต้การพิพากษาลงโทษของพระเจ้าแล้ว แม้ว่าเราจะไม่เชื่อฟัง และได้รับโทษของการไม่เชื่อฟังบนโลกใบนี้ก็ตาม เรายังคงเป็นลูก อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระเจ้าทนุถนอม รักดั่งแก้วตาดวงใจ และพระเจ้าอยู่ข้างเราๆ อย่าคิดว่าเกิดอะไรไม่ดีเข้ามา …

“โอ! พระเจ้าลงโทษฉัน ทำให้ฉันขาหัก พระเจ้าลงโทษฉัน ส่งโควิดมา เพื่อให้ฉันกลับใจใหม่ พระเจ้าลงโทษฉัน เพื่อฉันจะได้เชื่อฟังพระองค์”

ไม่มี ไม่ใช่อย่างนั้นเลย มันเป็นผลที่เราจำเป็นต้องได้รับจากกฎบนโลกใบนี้ กฎของวัตถุ แต่พระเจ้าคอยจะหาทางแก้ไข เปลี่ยนแปลง ช่วยเหลือเรา หลุดออกมา เหมือนดังที่ยกตัวอย่าง สมัยอาดัม เหมือนกัน การดับพระวิญญาณ  คือการเพิกเฉย  ไม่สนใจต่อการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ นี่คือการดับพระวิญญาณ ไม่สนใจในการที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปเรา แล้วทำให้เราบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า ไม่สนใจที่จะเชื่อฟัง ทำตามระบบของวิญญาณ ตัวตนใหม่ของเรา ที่อยู่ในพระคริสต์ ไม่สนใจ พระเจ้าบอกไว้ สอนไว้ในพระคัมภีร์เยอะแยะว่าในพระเยซูคริสต์ เราควรจะทำอย่างไร? แต่ยังคงดำเนินชีวิตตามระบบเดิม คือระบบของความบาปและความตาย ซึ่งทำให้เราต้องรับโทษ สิ่งที่ไม่ดี เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ซึ่งพระเจ้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย พระองค์ต้องการให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด

เพราะฉะนั้น เราจะไปทางทิศไหน? เราจะให้ความสนใจไหม? กับโลกวิญญาณ ที่เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ถ้าเราให้ความสนใจ เราจะได้ยินเสียงพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ  เราจะได้ยินคำเตือนอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะดับไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับการจดจ่อ ความคิดจิตใจของเราไปที่เบื้องบน หรือไปที่โลกใบนี้ อันไหนมากกว่ากัน มันมี 2 แห่งเท่านั้นเอง  ถ้าเราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ เขาเรียกว่าเบื้องบนนั้นว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระคัมภีร์บอกให้เราจดจำเหล่านี้ไว้ดีๆ เราก็จะทำพลาดน้อยลง เราก็จะดับไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์น้อยมาก แต่ถ้าเราจดจ่อน้อย เรากำลังจดจ่อกับโลกใบนี้ โดยไม่มีทางเลี่ยงอื่น ถ้าเราไม่จดจ่อ ทางโลกเบื้องบน มันก็จดจ่อฝ่ายโลก มันไม่มีทางไม่จดจ่อเลย อยู่เฉยๆ ไม่มีๆ ต้องเอาทางใดทางหนึ่ง ข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าจดจ่อฝ่ายโลกมากๆ เดี๋ยวท่านก็ทำตามแบบโลกนี้ แล้วท่านก็จะได้รับผลของมัน ตามที่ได้ทำลงไป

ผมถึงให้ทำนับพระพร ขอบคุณพระเจ้า ที่ให้ไปอ่าน ให้ไปท่อง ให้ไปพูด ให้จำจนขึ้นใจว่าขอบคุณพระเจ้าในเรื่องอะไรบ้าง ในเรื่องเบื้องบน ในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ ที่พระองค์ทรงกระทำให้เราแล้ว ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้าได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้าได้รับการชำระแล้ว ขอบคุณพระเจ้าได้เป็นลูกของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่ได้นั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงจูงมือลูกเดินตลอดเวลา ในทุกวันนี้ ผ่านหุบเขาเงามัจจุราชบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย อะไรแบบนี้ตลอดเวลา ก็เพื่อให้เราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราจะได้ไม่ลืม และจะได้ยินเสียงพระเจ้าชัดเจน จะได้ไม่ดับพระวิญญาณ

เช่นพระเจ้าต้องการให้เราได้ดี ให้เราให้อภัยแก่ผู้อื่น ไม่แค้นเคืองใจ รีบๆ อภัยให้เขาสะ ไม่ใช่อะไรหรอก มันเป็นประโยชน์กับลูกเอง ถ้าเราไม่เชื่อฟัง เราก็ได้รับผลเอง เดือดร้อนเอง เครียดเอง ความดันขึ้นสูง เครียด โรคภัยอื่นๆ เข้ามาถามหา แถมอิทธิพลยังทำให้มีผลข้างเคียง ทำให้คนอยู่ข้างๆ หนีหมดเลย  เพราะเราโกรธ เราโมโห เราอาจทำอะไรผิดพลาดเยอะแยะมากมาย เราต้องได้รับโทษเหล่านั้น ใช่เขาทำผิดจริงๆ ทำให้เราโกรธ แต่เราผิดมากมายที่เราไปโกรธ พอเราโกรธปุ๊บ จากการเป็นคนถูก เลยกลายเป็นคนผิดเลย ผิด เพราะเราไปหว่านในความโกรธเหล่านั้น ที่พระเจ้าบอกอย่าไปทำเลย อภัยให้เขาเถิด อะไรอย่างนี้ นอนก็ไม่หลับ คิดดูสิ พระเจ้าต้องการให้เราทนทุกข์อยากนั้นหรือ? ไม่ต้องการ ต้องการให้เราอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุข เท่าที่ทำได้ และสงบสุขที่สุด เท่าที่ทำได้

เมื่อเราไม่เชื่อฟังพระเจ้าที่พระเจ้าเฝ้าสอนเรา  คอยแนะนำเรา ผ่านทางคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ ที่สั่งสอนเรา และแนะนำเรา เราก็ต้องทนทุกข์ รับโทษนั้นเอง ซึ่งในข้อที่ 21 และ 22 ที่ตะกี้เราอ่านร่วมกัน ที่บอกว่า …

“จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี  จงหลีกห่างความชั่วทุกชนิด”

ก็คือเมื่อสนใจ ให้พระวิญญาณนำพาชีวิตของเรา ไม่ดับพระวิญญาณ อธิษฐาน วิงวอน ขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอๆ ชื่นชมยินดีในการที่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ชื่นชมยินดีที่เราเป็นลูกพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่ในพระเจ้าแล้วตลอดเวลา ถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็จะยึดมั่นในสิ่งที่ดี และมีสติปัญญา จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะสอนเรา จะบอกเราว่าอะไรดี อะไรชั่ว เราจะเห็น เราจะรู้จักแยกแยะว่าอะไรไม่ถูกต้อง อะไรเป็นวิญญาณที่ไม่ดี อะไรเป็นวิญญาณที่ดี โดยสติปัญญาจากพระเจ้า และขณะเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะให้กำลังเรา ในการกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ตามสติปัญญาพระเจ้าได้อีกด้วย

นี่แค่พระคัมภีร์เพียงไม่กี่ข้อ  ในวันนี้ ที่ยกมา จะเห็นชัดว่ามันสำคัญอย่างไร? ทำไมเปาโลจึงต้องสอนสิ่งเหล่านี้ ทำไมเปาโลไม่มานั่งสอนให้เราไล่ผี ผีแห่งความโกรธออกไป ผีแห่งความเจ็บไข้ได้ป่วยออกไป พวกท่านทั้งหลายเมื่อเชื่อแล้ว จงไล่ผีเหล่านี้ออกไปหมดเลย ไม่ใช่เลย มันอยู่ที่ท่านตั้งใจจะเชื่อฟังใคร? จะให้ใครนำมากกว่า ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะเอาโลกวิญญาณมาตั้ง และอยากได้วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้  โดยใช้สิทธิอำนาจทางโลกวิญญาณมาสั่งการบนโลกใบนี้ มันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป มันมีกฎของมัน กฎของโลกวัตถุ มันก็มีกฎของมัน ที่เราต้องรับไว้ ทำอะไรลงไปอย่างไร? บันทึกไว้อย่างไร? เราก็ต้องได้รับตามนั้น เช่นเดียวกันกับในโลกวิญญาณ ในโลกวิญญาณมีกฎของโลกวิญญาณว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ ผู้นั้นเมื่อเชื่อในพระบุตร พระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลง เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ว่าใครก็ตามทำอย่างนี้ก็ได้หมด ถูกใช่ไหม?

ในโลกวัตถุก็เช่นเดียวกัน ใครหว่านในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องได้รับโทษต่างๆ เหล่านั้น พระเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ช่วยได้แค่พยายามหาทางประคับประคองให้ ค่อยๆ มีความอดทน มีกำลังที่จะรับโทษของตัวเอง ในการตัดสินใจกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องในโลกใบนี้ไป เพราะฉะนั้นมี  2 ทางเลือก ให้เราเลือกเอา แต่อย่างที่บอกว่าพระเจ้าต้องการให้เรา อย่าดับไฟพระวิญญาณ เชื่อฟังพระองค์

แล้วเดี๋ยวสัปดาห์เรามาเรียนกันต่อ มีอีกหลายๆ อย่างที่เราควรจะเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าทำอย่างไร เราถึงจะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้? ทำอย่างไรเราถึงจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุขมากที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ ตามน้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้เราเป็น ใช่เรามีสันติสุข มันความสุขนิรันดร์ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์สถาน ซึ่งเราจะอยู่กับพระเจ้าตลอดไป อยู่โลกใหม่ ที่งดงาม ไม่มีความบาปมาล่อลวงเราอีกแล้ว แต่นั่นมันคืออนาคต แล้วในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่มีทั้งความบาป คำสาปแช่ง ความวิปริตต่างๆ บนโลกใบนี้ เราจะอยู่อย่างไรที่จะให้มันเดือดร้อนตัวเองและผู้คนรอบข้างน้อยที่สุด เราจะสำแดงพระเยซูคริสต์ที่สถิตอยู่ในเรา ให้ฉายแสงออกมา เป็นความรัก ความเมตตา  เป็นแสงสว่างให้กับผู้คนบนโลกใบนี้ และอะไรต่างๆ รอบข้างเราบนโลกใบนี้ ให้งดงามที่สุด ได้อย่างไร? เราจะมาเรียนรู้กันต่อไป พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2020 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 42 โดย วราพร คงล้วน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  กันยายน  2020

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 42

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้ เราก็ยังอยู่ในเรื่องของอย่ากลัวเลย ในพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นถ้อยคำของพระเจ้าที่พูดกับคนอิสราเอลหลายๆ ครั้งเมื่อเผชิญกับปัญหาอุปสรรค เจอกับคนมารบกวน แล้วก็เข้ามาหาพระเจ้า พระเจ้าก็จะตรัสกับคนของพระองค์ว่า … “อย่ากลัวเลย” … เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วย อยู่ข้างๆ เพื่อที่จะช่วยเหลือประชากรของพระองค์ ในยุคสมัยเดิม พระเจ้าไม่ได้อยู่ในคนอิสราเอล แต่ก็คอยวนเวียนช่วยเหลือตลอดเวลา ไม่ว่าคนอิสราเอลจะเจอความทุกข์ยากลำบากอะไร พระเจ้าก็จะยื่นพระหัตถ์มาช่วยเหลือเสมอ

วันนี้เรามาดูในหนังสือ 2 พงศาวดาร 20:1-30 บอกไว้อย่างนี้ เรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องราวของกษัตริย์ในยูดาห์อีกพระองค์หนึ่ง ที่มีชื่อว่าเยโฮชาฟัท

คราวที่แล้วเราเรียนเรื่องของกษัตริย์เฮเซคียาห์ ที่ชาวอัสซีเรียมาต่อสู้ แล้วเฮเซคียาห์เข้าไปหาพระเจ้า ขอความช่วยเหลือ แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยเหลือเขาให้พ้นจากศัตรู

อีกครั้งหนึ่งกษัตริย์เยโฮชาฟัทก็เจอในเรื่องราวเดียวกัน แต่ว่าเป็นอีกกลุ่มคนหนึ่งที่เข้ามาสู้รบกับคนอิสราเอล เรามาดูว่าคนกลุ่มนี้ คือใคร?

2 พงศาวดาร 20:1-3 “1 และอยู่มาภายหลัง  คนโมอับและคนอัมโมน  และคนเมอูนี  บางคนพร้อมกับเขาทั้งหลาย  ได้ขึ้นมาทำสงครามกับเยโฮชาฟัท 2 มีคนมาทูลเยโฮชาฟัทว่า  “มีคนหมู่ใหญ่มาสู้รบกับฝ่าพระบาทจากเอโดม  จากฟากทะเลข้างโน้น  และดูเถิด  เขาทั้งหลายอยู่ในฮาซาโซนทามาร์”  (คือเอนกาดี) 3 และเยโฮชาฟัทก็กลัว   และมุ่งแสวงหาพระเจ้า   และได้ทรงประกาศให้อดอาหารทั่วยูดาห์

 

เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อมีชนโมอับกับอัมโมนยกทัพใหญ่มาสู้รบกับคนอิสราเอล เมื่อกษัตริย์เยโฮชาฟัทได้ยินปุ๊บ เกิดความกลัว มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เราอยู่ดีมีสุข อยู่ดีๆ ใครก็ไม่รู้ยกทัพมากองใหญ่เลย มาเพื่อที่จะสู้รบ ทำให้สันติสุขหรือความสงบสุขในบ้านเมืองหายไป ก็เกิดความกลัว

กษัตริย์เยโฮชาฟัท เมื่อเกิดความกลัวปุ๊บ ก็วิ่งเข้าไปแสวงหาพระเจ้า แล้วขอบคุณพระเจ้ามากๆ ที่กษัตริย์เยโฮชาฟัทได้คิดถึงพระเจ้าก่อนใคร คราวที่แล้วกษัตริย์เฮเซคียาห์ ยังไม่คิดถึงพระเจ้าก่อนนะ  พอคนอัสซีเรียมาสู้รบปุ๊บ เขาก็ไปขอเจรจาสงบศึก แล้วก็ถูกปรับอย่างมากมาย จนเงินในท้องพระคลังถูกเอาไปหมด แล้วแถมไปลอกทองพระวิหารไปด้วย ขนาดนั้น กษัตริย์อัสซีเรียยังไม่ยอม ยังมาท้าทาย มาว่ากล่าวกษัตริย์อย่างแรง เมื่อถูกว่ากล่าวเยอะ ทนไม่ไหว ใช้กำลังตัวเองไม่ได้แล้ว ต้องเข้าไปหาพระเจ้า

แต่กษัตริย์เยโฮชาฟัทไม่เหมือนกัน พอเกิดศึกสงครามปุ๊บ กษัตริย์เยโฮชาฟัทคิดถึง พระเจ้าก่อนเลย เขาวิ่งเข้าไปหาพระเจ้า เข้าไปหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า แล้วก็ประกาศให้ประชาชนทั้งหมดอดอาหาร

การอดอาหารเป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่คนอิสราเอลได้สำแดงถึงความทุกข์ยากลำบาก ความต้องการที่จะหาพระเจ้าจริงๆ ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้าจริงๆ แล้วหลายครั้ง ไม่เพียงแต่อดอาหารอธิษฐานเท่านั้น ก็ยังมีการเอาขี้เถ้าซัดใส่ศีรษะตัวเอง เอาเสื้อกระสอบมาใส่อะไรอย่างนี้ เป็นการสำแดงให้พระเจ้าเห็นว่าตอนนี้ทุกข์มากเลย พระองค์เจ้าข้า ต้องการความช่วยเหลืออย่างแรงจากพระเจ้า กษัตริย์เยโฮชาฟัทก็หาพระเจ้า แล้วก็เรียกให้คนอดอาหารอธิษฐาน

2 พงศาวดาร 20:4-6 “4 และยูดาห์ได้ชุมนุมกันแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า  เขาทั้งหลายพากันมาจากหัวเมืองทั้งสิ้นแห่งยูดาห์  เพื่อแสวงหาพระเจ้า 5 และเยโฮชาฟัทประทับยืนอยู่    ในที่ประชุมของยูดาห์    และเยรูซาเล็ม  ในพระนิเวศของพระเจ้า  ข้างหน้าลานใหม่ 6 และตรัสทูลว่า  “ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย  พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าในฟ้าสวรรค์หรือ  พระองค์มิได้ปกครองเหนือบรรดาราชอาณาจักรของประชาชาติหรือ  ในพระหัตถ์ของพระองค์มีฤทธิ์และอำนาจ  จึงไม่มีผู้ใดต่อต้านพระองค์ได้”

 

คนยูดาห์มารวมตัวกันในพระนิเวศน์ของพระเจ้า สมัยก่อนคนอิสราเอล เมื่อต้องการหาพระเจ้า เขาจะวิ่งเข้ามาที่กรุงเยรูซาเล็ม มาที่พระวิหาร หรือบางคนไม่สามารถเดินทางมาได้ เขาก็จะหันหน้าไปที่พระวิหารของพระเจ้า เพื่อที่จะอธิษฐาน

คนกลุ่มใหญ่ในยูดาห์ร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เมื่อมีความทุกข์ยากลำบาก เมื่อมีศึกสงคราม ก็มาแสวงหาพระเจ้า แล้วสิ่งที่กษัตริย์เยโฮชาฟัทได้อธิษฐานกับพระเจ้า คือได้บอกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระเจ้าที่เขารู้จัก เป็นพระเจ้าที่ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด แล้วเขารู้ว่าไม่มีความช่วยเหลือที่ไหนที่จะสามารถช่วยเขาให้รอดพ้นได้ นอกจากพระเจ้าผู้เดียว

2 พงศาวดาร 20:7 “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย  พระองค์มิได้ทรงขับไล่ชาวแผ่นดินนี้ ออกไปเสียให้พ้นหน้าอิสราเอลประชากรของพระองค์หรือ  และทรงมอบไว้แก่เชื้อสายของอับราฮัมมิตรสหายของพระองค์เป็นนิตย์”

 

ก่อนที่คนอิสราเอลจะมายึดครองแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินคานาอันก็จะมีชนชาติอื่นๆ มากมายเยอะแยะที่ไม่ใช่ชนอิสราเอลครอบครองอยู่ แล้วพระเจ้าก็ให้ครอบครอง เพื่อว่าจะได้รักษาแผ่นดินไว้  พี่น้องนึกออกไหมค่ะ ถ้าแผ่นดินไหนไม่มีคนอยู่ ก็จะรกร้าง ก็จะแห้งแล้ง ไม่มีใครทำอะไรทั้งหมด พระเจ้าก็อนุญาตให้ผู้คนเหล่านี้ ยังคงอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่พระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับคนอิสราเอล พอถึงวาระที่พระเจ้าจะให้คนอิสราเอลยึดครองแผ่นดินคานาอัน คือตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าให้โมเสสนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ พระเจ้าก็จะประทานแผ่นดินแห่งน้ำผึ้งและน้ำนม เป็นแผ่นดินที่สมบูรณ์มากให้กับคนอิสราเอลเข้าไปยึดครอง แต่เหตุว่าคนอิสราเอลไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าบอก เขาก็เลยต้องวนเวียนในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี จนโมเสสตายจากไป ก็ยังไม่ได้เข้าแผ่นดินคานาอัน ได้แค่เห็นด้วยตาเท่านั้น แล้วโยชูวาก็เป็นคนที่พระเจ้าใช้ให้พาคนอิสราเอลเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน แต่กว่าที่คนอิสราเอลจะได้เข้าไปยึดครองแผ่นดินคานาอัน ต้องมีการสู้รบปรบมือมากมายที่พระเจ้าทรงเป็นผู้นำทัพ

พระเจ้าจะทรงตรัสเลยว่าถ้าไปสู้รบกับตรงนี้ ต้องทำแบบนี้ แล้วถ้ารบชนะต้องทำอย่างไร? บางทีพระเจ้าก็ให้ฆ่าคนหมดเลย ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ลูกเล็กเด็กแดง ให้ฆ่าให้หมด แม้แต่สิงสาราสัตว์ก็ให้ฆ่าให้หมด แล้วก็เข้าไปยึดครอง บางทีพระเจ้าก็ให้ฆ่าแต่คน ให้สัตว์เก็บไว้ คนอิสราเอลสามารถเอามาใช้ได้  บางทีพระเจ้าก็เอาแต่ผู้ชายฆ่าให้ตาย เหลือเด็กกับผู้หญิงอะไรก็แล้วแต่ แต่ละที่พระเจ้าก็จะมีคำสั่งที่ไม่เหมือนกัน เราไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไร? แต่สิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ เป็นอย่างนั้น แล้วคนอิสราเอล ถ้าช่วงไหนที่เขาเชื่อพระเจ้าจริงๆ ก็คือทำตามที่พระเจ้าบอกเลย พระเจ้าบอกให้ทำลายทุกอย่างหมดเลย แม้แต่เสื้อผ้าเงินทอง ให้ทำลายหมดเลย

ถ้าเขาเชื่อฟัง พระเจ้าก็นำเขาต่อไป แต่จะมีช่วงที่คนอิสราเอลไม่เชื่อฟัง บางคนแอบเก็บของเอาไว้ ของแค่นิดเดียวเอง ทำให้ครั้งต่อไป เมื่อเขาไปสู้รบสงคราม เขาก็แพ้ พอแพ้ปุ๊บ โยชูวาก็รู้แล้ว มันต้องมีอะไรผิดปกติ เพราะพระเจ้าสัญญาแล้วไงว่าพระเจ้าจะพาคนอิสราเอลไปยึดครองแผ่นดินทั้งหมด มันต้องชนะมันแพ้ได้อย่างไร? พอแพ้ปุ๊บ ก็ไปอธิษฐานกับพระเจ้า พระเจ้าก็จะบอกว่า …

“เหตุที่แพ้ เพราะมีคนโน้นคนนี้ไม่เชื่อฟังเรา  ไปทำสิ่งที่เราห้าม”

ถ้าพี่น้องไปอ่านพระคัมภีร์เดิม ในช่วงที่คนอิสราเอลไปยึดครองแผ่นดินคานาอัน เราจะเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ทรงนำคนอิสราเอลมาตลอด แล้วก็จะมีช่วงจังหวะแต่ละอย่าง แต่ละที่ แต่ละจุดประสงค์ที่พระเจ้าได้พาไป แล้วจะมีคำสั่งที่มันไม่เหมือนกันทุกอัน

สิ่งที่พระเจ้าสำแดงให้เราเห็น ก็คือพระองค์ต้องการความเชื่อฟังจากคนอิสราเอล ในยุคปัจจุบัน ในยุคพระคุณของเราเหมือนกัน พระองค์ก็ต้องการความเชื่อฟังจากพวกเราทุกๆ คน ซึ่งเราเชื่อวางใจในพระเจ้า แล้วพระองค์ต้องการให้เดินอย่างมั่นคง มีความเชื่อวางใจในพระเจ้า ที่เรารู้จัก ที่พระองค์ทรงเลือกสรรเรามาให้เป็นลูกของพระองค์

นี่ก็คือยุคของเราที่เต็มล้นด้วยพระคุณ ด้วยความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา เราก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่เหมือนคนยุคเดิม พระเจ้าไม่ได้อยู่ข้างในเขา ก็ยังคงต้องต่อสู้กันด้วยกำลังของตัวเขาเอง

แล้วกษัตริย์เยโฮชาฟัทก็มาอธิษฐานพระเจ้า … “เห็นไหมพระองค์บอกแล้วไงว่าพระองค์จะให้แผ่นดินเหล่านี้ ให้แก่บรรพบุรุษของเรา และลูกหลานของเรา ที่จะยึดครอง”

2 พงศาวดาร 20:8-9  “8 และเขาทั้งหลายได้อาศัยอยู่ในนั้น  และได้สร้างสถานนมัสการแห่งหนึ่งในนั้นถวายพระองค์  เพื่อพระนามของพระองค์ทูลว่า 9 ‘ถ้าเหตุชั่วร้ายขึ้นมาเหนือข้าพระองค์ทั้งหลายจะเป็นดาบ  การพิพากษา  หรือโรคระบาด  หรือการกันดารอาหาร  ข้าพระองค์ทั้งหลายจะยืนอยู่ต่อหน้าพระนิเวศนี้ และต่อพระพักตร์พระองค์ เพราะพระนามของพระองค์อยู่ในพระนิเวศ  และร้องทูลต่อพระองค์ในความทุกข์ใจของข้าพระองค์ทั้งหลาย  และพระองค์จะทรงฟังและช่วยให้รอด’

 

สมัยก่อน ก็คือต้องมาที่พระนิเวศน์นี้แหละ แล้วก็มาร้องทูล บอกถึงความทุกข์ใจ สิ่งที่ได้เผชิญ แล้วต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า คนอิสราเอลสมัยก่อน ก็จะเจอ ไม่ว่าปัญหาอะไร ใหญ่น้อยเท่าไร? เกิดมีขึ้น พวกเขาก็จะมาที่พระนิเวศน์ของพระเจ้า เพื่อที่จะอธิษฐานกับพระเจ้า

2 พงศาวดาร 20:10  “ดูเถิด  บัดนี้คนอัมโมน  และโมอับ  และภูเขาเสอีร์  ผู้ซึ่งพระองค์ไม่ทรงยอมให้คนอิสราเอลบุกรุก  เมื่อเขามาจากแผ่นดินอียิปต์  และผู้ซึ่งเขาได้หลีกไปมิได้ทำลายเสีย”

 

พระเจ้าให้เก็บกลุ่มคนนี้ไว้ ไม่ให้ทำลาย ถ้าเป็นที่อื่น พระเจ้าก็ให้ทำลายนะ อย่างไปบุกเมืองเยรีโค พระเจ้าก็ให้ฆ่าหมดเลย กลุ่มคนเหล่านี้ พอเข้ามาอยู่ในแผ่นดินคานาอัน พระเจ้าบอกอย่าไปยุ่งกับเขา ปล่อยให้เขาอยู่ไปอย่างนั้นแหละ ปรากฏว่าอยู่ไปอยู่มายกทัพ จะมาตีคนอิสราเอล

กษัตริย์เยโฮชาฟัทก็เลยมาอธิษฐานกับพระเจ้า … “กลุ่มนี้แหละที่พระเจ้าบอกไม่ต้องไปยุ่งกับเขา แต่ตอนนี้เขามายุ่งกับเราแล้ว”

2 พงศาวดาร 20:11  “ดูเถิด  เขาทั้งหลายได้ให้บำเหน็จแก่เรา  ด้วยมาขับเราออกเสีย  จากแผ่นดินกรรมสิทธิ์ของพระองค์  ซึ่งพระองค์ประทานให้แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นมรดก”

 

ให้ของขวัญชิ้นงามเลย ให้อยู่ในแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินที่พระเจ้าให้กับเรา เราอนุญาตให้เขาอาศัยอยู่ แต่เขาให้รางวัลเรา

เห็นไหม? จากที่เป็นคนมาอาศัยด้วย กลายเป็นว่า …

“ไม่เอาแล้วเจ้าของ ฉันจะไล่ออกไปเลย”

กษัตริย์เยโฮชาฟัทก็มาอธิษฐานกับพระเจ้าตรงๆ แบบนี้แหละ …

“เห็นไหม? พระองค์เจ้าข้าเกิดเรื่องแล้ว เรื่องเป็นแบบนี้ แล้วพระองค์จะว่าอย่างไร?”

2 พงศาวดาร 20:12  “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์  พระองค์จะไม่ทรงกระทำ  การพิพากษาเหนือเขาหรือ  เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีฤทธิ์ที่จะต่อสู้ คนหมู่มหึมานี้  ซึ่งกำลังมาต่อสู้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย  ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าจะกระทำประการใด  แต่ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งที่พระองค์

 

อันนี้สุดยอด อันนี้คือเป็นกุญแจหลักของคนของพระเจ้า ที่มาบอกกับพระเจ้าว่า …

“เราไม่รู้จะทำอย่างไร? คนมาเยอะขนาดนี้ เราไม่มีกำลังที่จะต่อสู้เขา แพ้อย่างเดียวเลย แต่สิ่งที่เรามี คือพระเจ้า แล้วสายตาของพวกเราจะไม่ละไปจากพระองค์เลย ดวงตาเราจะเพ่งที่พระองค์”

นี่คือสิ่งที่กษัตริย์เยโฮชาฟัทได้อธิษฐานกับพระเจ้า

2 พงศาวดาร 20:13-14  “13 ในระหว่างนั้นคนทั้งปวงของยูดาห์  ก็ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าพร้อมกับภรรยาและลูกหลานของเขา 14 และพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมา    สถิตกับยาฮาซีเอลบุตรเศคาริยาห์  ผู้เป็นบุตรเบไนยาห์  ผู้เป็นบุตรเยอีเอล  ผู้เป็นบุตรมัทธานิยาห์ เป็นคนเลวีเชื้อสายของอาสาฟ  เมื่อท่านอยู่ท่ามกลางที่ประชุมนั้น”

 

สมัยก่อน พระเจ้าจะเลือกเผ่าเลวีไว้ เพื่อที่จะติดต่อสื่อสารกับพระเจ้า เวลาที่พระเจ้าคุย พระเจ้าไม่คุยกับกษัตริย์ ไม่คุยกับคนธรรมดา แต่พระเจ้าจะคุยกับเชื้อสายของอิสราเอล ซึ่งเป็นเผ่าเลวีที่พระองค์เลือกสรรมา เป็นครั้งๆ ไป ที่พระเจ้าจะเสด็จลงมาสถิตกับผู้เผยพระวจนะ แล้วก็ให้ผู้เผยพระวจนะเป็นคนบอกต่อสิ่งที่พระองค์ต้องการให้คนอิสราเอลได้รับรู้

ผิดจากปัจจุบัน ตรงที่เราไม่ต้องรอให้พระเจ้าเสด็จลงมา เราไม่ต้องอธิษฐานขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เราติดปาก ตอนนี้ไม่กล้าอวยพร … “ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” … เพราะว่ามันไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า ไม่ต้องอวยพรว่าขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เพราะพระเจ้าอยู่กับเราแล้ว มันยากมากที่จะแก้ แต่พอเรารู้ความจริง เราก็อยากจะแก้ พี่น้องลองคิดดูนะ ดิฉันเชื่อพระเจ้ามาจะ 35 ปีแล้ว แล้วก็ถูกสอนตรงนี้มาตลอด แล้วเวลาอธิษฐาน ก็จะบอกว่า …

“ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกัน”

ซึ่งพระเจ้าบอก … “ฉันอยู่กับเธอแล้ว เธอมาขอทำไม?”

ถ้าเราขอแบบนี้ ก็แปลว่าเราไม่เชื่อว่าพระเจ้าอยู่ด้วย เราจึงต้องขอไง ยากมากเลยกว่าเราจะแก้ แล้วมันก็จะลืม ลืมประจำ แต่พอนึกขึ้นได้ เราก็จะอธิษฐานใหม่ …

“ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่กับเรา ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงให้เราเป็นลูก ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงประทานความชอบธรรมให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้เราเป็นอิสรภาพจากความบาป และความตายเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูได้ทำทุกอย่างเรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า เราสามารถที่จะเรียกพระเจ้าว่าพ่อ ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระพรที่พระองค์ได้ทรงเตรียมไว้ให้เราเรียบร้อยไปแล้ว”

“เรียบร้อยไปแล้ว” แปลว่าเรามีอยู่ในคลังแล้ว เราไม่ต้องขอพระพร เรานั่งทำอย่างเดียว คือนับพระพร

ยากนะกว่าเราจะเปลี่ยน แล้วตอนนี้ คือตัวดิฉันเองก็ลืมๆ บางทีเราเข้าใจนะว่าความจริงคืออย่างนี้ แต่ว่าด้วยความเคยชินของปากเรา ที่เราพูดเป็นประจำมา 30 กว่าปี พี่น้องคิดดูว่าอย่างนี้ แล้วอยู่ดีๆ พอพระเจ้าเปิดให้เราเห็นความจริงปุ๊บ มันต้องเปลี่ยน พอรู้ความจริง ก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนคำพูดจากคำว่า …

“ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

ไม่ได้แล้ว ตอนนี้ไม่ต้องขอ เพราะพระเจ้าอยู่ด้วย ขอพระเจ้าอวยพร ก็ไม่ต้อง เพราะพระเจ้าอวยพรเราอยู่แล้ว อะไรอย่างนี้ มันยากมากเลย ตอนนี้เวลาพิมพ์อะไร คำขอจะหายไป

“พระเจ้าอวยพรนะคะ”

คือมันต้องใช้เวลา ใช้พลังอย่างแรงที่เราจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือความคิดของเรา ที่เราถูกปลูกฝังมานานมาก ที่เราใช้คำพูดอันนี้ ซึ่งเราอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ แต่ถ้าเรามาทบทวนจริงๆ มันสำคัญมากเลย ถ้าเราพูดอย่างที่เดิมๆ เราพูด คือ …

“ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

แปลว่าเราไม่เคยเชื่อเลยว่าพระเจ้าอยู่ในพวกเราทุกคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า  เราถึงต้องขอ  มันเป็นการยากมาก สำหรับตัวดิฉันเองด้วย ที่มายืนสอนตรงนี้ เราต้องพยายามที่จะพูดให้ชัดเจน และเข้าใจให้ชัดเจนว่าความเป็นจริงที่พระเจ้าทรงเปิดเผยสำแดงให้เราเห็นว่าจริงๆ เราเป็นคริสเตียนแล้ว จริงๆ เรารับมาแล้วทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ ในโลกวิญญาณ แล้วมันจะส่งผลออกมาเป็นโลกวัตถุ ที่พอเราเชื่ออย่างนี้ปุ๊บ ความคิดเราจะเปลี่ยนไป เหมือนลักษณะ ถ้าจะเปรียบเทียบครอบครัวง่ายที่สุด คือเราเป็นลูกของบ้านไหน? เราไม่เคยรู้สึกสงสัยในความรักของพ่อแม่เลย เพราะว่าพ่อแม่จะจัดเตรียมทุกอย่างให้กับเรา ตื่นเช้าขึ้นมา เราไม่ต้องไปนั่งกังวลว่าเช้านี้เราจะต้องหาอะไรกิน พ่อแม่ก็เตรียมให้เราเสร็จแล้ว แถมในปัจจุบันไม่ได้เตรียมเสร็จเฉยๆ ต้องขอร้องให้มากินด้วย ช่วยมากินหน่อยลูก อะไรอย่างนี้ พี่น้องนึกภาพออกไหม? บางทีพ่อแม่เตรียมเสร็จ ทำไมลูกเรา วันนี้ไม่กิน อะไรอย่างนี้

พอเราเห็นภาพชัดเจน ในความเป็นมนุษย์ เป็นลูกก็คือลูก ต่อให้ลูกเราทำอะไรเกเรขนาดไหน? เราไม่เคยมีความคิดว่าจะตัดเขาออกจากความเป็นลูก อย่างไรเขาก็เป็นลูกเรา ต่อให้เขาผิดขนาดไหน? เราเศร้า เราก็ยังอธิษฐานเผื่อเขา ขอพระเจ้าเมตตาช่วยเขาด้วย ให้กำลังเขาด้วย พอเราเห็นภาพตรงนี้ มันเป็นภาพที่พระเยซูบอกว่าขนาดมนุษย์ยังรักลูกของตัวเองขนาดนี้ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระเจ้าทรงรักเรามากขนาดไหน? ฉะนั้น ตอนนี้เข้าใจเลยว่าที่พระเยซูบอกว่าถ้าเรารู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยเราให้เป็นไท มันเป็นอย่างนี้จริงๆ พอเราเป็นอิสระ เราไม่ต้องมานั่งกังวล ไม่ต้องมานั่งผวาตลอดเวลา …

“วันนี้ฉันทำอย่างนี้ แล้วพระเจ้าจะรักฉันไหม?”

พระเจ้าก็ยังคงยืนยัน … “ต่อให้เธอทำชั่วขนาดไหน ฉันก็ยังรักเธอ เพราะว่าฉันเลือกเธอมาแล้ว”

นี่คือความจริง แล้วพอเรารู้ความจริงว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? ข้างในเรารู้เลยว่าเราไม่อยากจะทำชั่ว ไม่อยากจริงๆ เราอยากจะทำสิ่งที่ดี เพื่อตอบสนองความรักของพระเจ้า ไม่ใช่ทำสิ่งที่ดี เพื่อเราจะได้รับความรอด อันนั้นไม่ใช่ ถ้าเราคิดว่าเราต้องทำโน่นนี่นั่น เพื่อเราจะได้รับความรอด อันนั้น เราเดินผิดทางเลย เราขึ้นรถเมล์ผิดสาย แล้วเราก็จะกู่ไม่กลับเลย คือมันจะไปไกลมาก แต่ถ้าเรารู้ว่าที่เราทำทุกวันนี้  ที่เราเชื่อฟังพระองค์ เพราะเรารักพระองค์  เพราะพระองค์ให้เราหมดทุกอย่างแล้ว เราไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว คือหมดจนขนาดชีวิตของพระองค์เอง ยังให้เราเลย แล้วเราจะไปกลัวอะไรล่ะ เราจะไปสงสัยอะไรกับความรักของพระเจ้า ไม่ต้องสงสัย เรารู้ว่าอย่างไร พระเจ้าก็รักเรา

พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บ ท่าทีในการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราจะเปลี่ยน เมื่อก่อนเราอาจจะคิดว่าเราต้องๆ ทำอย่างนี้ เพื่อให้พระเจ้ารัก ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เรารู้ว่าพระเจ้ารักอยู่แล้ว เราอยากทำ เพราะเรารักพระองค์ เราอยากให้พระองค์มีความสุข แค่นั้น ดังนั้น ท่าทีมันจะกลับกัน แบบขาวกับดำ หน้ามือหลังมือเลย พอเรารู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ก็ช่วยๆ กัน บางทีมันเผลอ มันลืม ก็จะกลับไปที่เดิม พวกเราพอรู้ความจริง ก็ต้องช่วยกัน

คนอิสราเอลสมัยก่อน ต้องใช้ความสามารถของตัวเอง ต้องใช้กำลังของตัวเอง เพื่อที่จะยืนหยัดอยู่ในหนทางที่ถูกต้องของพระเจ้า เพื่อที่จะให้พระเจ้ารักและพระเจ้าช่วยเหลือ พระเจ้าสถิตอยู่ นั่นคือความยากลำบากของคนยุคนั้น ก่อนที่พระเยซูมาตายแทนเราบนไม้กางเขน ก่อนยุคพระคุณ

ฉะนั้น คนอิสราเอลพอเขาเดินตามพระเจ้า พระเจ้าก็มาช่วยเขาเป็นช่วงๆ พอเขากบฏต่อพระเจ้า คือไม่เอาพระเจ้าแล้ว ไปติดตามพระอื่น  ก็จะมีภัยพิบัติมา จริงๆ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าเรามีพระเจ้า สิ่งชั่วร้ายมันมาไม่ถึง จริงๆ สิ่งชั่วร้ายมันมีอยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว พอเราเอาพระเจ้าออกไปปุ๊บ สิ่งชั่วร้ายมันก็วิ่งเข้ามาตะครุบเรา นี่เรื่องปกติเลย ไม่ได้หมายความว่าพอไม่เอาพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าลงโทษ กฎมันมีอยู่แล้ว ไม่มีพระเจ้า เราต้องสู้ด้วยตัวเอง  ฉะนั้น เราไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับสิ่งชั่วร้ายบนโลกใบนี้ เราก็ต้องเจอภัยพิบัติ อันนี้คือสมัยก่อนเขาเป็นแบบนี้

กษัตริย์เยโฮชาฟัทก็วิ่งเข้ามาหาพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็มาสถิตอยู่กับผู้เผยพระวจนะ แล้วก็มาพูดกับคนอิสราเอล

พี่น้องอาจจะสงสัย สมัยก่อนเขาไม่มีนามสกุล อย่างสมมติว่าเขาเรียกชื่อดิฉัน วราพร คงล้วน รู้เลยว่าใคร? แต่สมัยก่อนไม่มีนะ ต้องไล่ยาวตั้งแต่ คนนี้เป็นลูกคนนี้ คนนี้เป็นลูกคนนี้ๆๆๆๆๆๆ โยงมาจนถึง เป็นเชื้อสายของเลวี อะไรอย่างนี้

2 พงศาวดาร 20:15  “และเขาได้พูดว่า  “ยูดาห์ทั้งปวงและชาวเยรูซาเล็มทั้งหลาย  กับกษัตริย์เยโฮชาฟัท  ขอจงฟัง  พระเจ้าตรัสดังนี้แก่ท่านทั้งหลายว่า  ‘อย่ากลัวเลย  และอย่าท้อถอยด้วยคนหมู่มหึมานี้เลย  เพราะว่าการสงครามนั้นไม่ใช่ของท่าน  แต่เป็นของพระเจ้า”

 

พระเจ้าเข้ามายืนยันกับเยโฮชาฟัทกับคนยูดาห์ทั้งกลุ่มเลยว่าการสงครามนี้ ไม่ใช่เป็นของพวกเธอ แต่เป็นของพระองค์เอง

2 พงศาวดาร 20:16  “พรุ่งนี้เช้าจงลงไปต่อสู้กับเขา  ดูเถิด  เขาจะขึ้นมาทางขึ้นที่ตำบลศิส  ท่านทั้งหลายจะพบเขาที่ปลายหุบเขา  ทางตะวันออกของถิ่นทุรกันดารเยรูเอล”

 

พระเจ้าบอกชัดเจน ละเอียดยิ๊บเลย

2 พงศาวดาร 20:17  “ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องสู้รบในสงครามครั้งนี้  โอ  ยูดาห์  และเยรูซาเล็ม  จงเข้าประจำที่  ยืนนิ่งอยู่และดูชัยชนะของพระเจ้า  เพื่อท่าน’   อย่ากลัวเลย    อย่าท้อถอย   พรุ่งนี้จงออกไปสู้กับเขาและพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน”

 

พระเจ้าบอกว่า … “พรุ่งนี้ ฉันจะอยู่กับพวกเธอ แล้วการสงครามนี้ ไม่ใช่ของพวกเธอด้วย พระเจ้าจะจัดการเอง”

แต่ว่าเขาต้องทำ เขาก็ยกกองทัพไป แต่เราขอบคุณพระเจ้า การยกกองทัพของกษัตริย์เยโฮชาฟัท เขาไม่ได้ยกกองทัพไป เพื่อสู้รบ เรามาดูว่าเขาทำอะไร?

2 พงศาวดาร 20:18-19  “18 แล้วเยโฮชาฟัทโน้มพระเศียรก้มพระพักตร์ของพระองค์  ลงถึงดิน  และยูดาห์ทั้งปวงกับชาวเยรูซาเล็ม   ได้กราบลงต่อพระเจ้า  นมัสการพระเจ้า 19 และคนเลวี  จากพงศ์พันธุ์โคฮาท  และพงศ์พันธุ์คนโคราห์  ได้ยืนขึ้นถวายสรรเสริญแด่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วยเสียงอันดัง

 

พอได้ยินสิ่งที่พระเจ้าตรัส ทุกคนลุกขึ้น แล้วตรงนั้น ในที่ที่ประชาชนอยู่ มีคนเลวีด้วย มีพวกปุโรหิตที่พระเจ้าได้เลือกสรรไว้ เขาลุกขึ้นมาโห่ร้อง สรรเสริญพระเจ้า

2 พงศาวดาร 20:20  “และเขาทั้งหลายได้ลุกขึ้นแต่เช้า  และออกไปในถิ่นทุรกันดารถึงเทโคอา  และเมื่อเขาออกไป  เยโฮชาฟัทประทับยืนและตรัสว่า  “ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย  จงฟังข้าพเจ้า  จงวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน  และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่  จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์  และท่านจะสำเร็จผล”

 

การเชื่อฟัง เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตของคนอิสราเอล  แล้วก็ในปัจจุบันของพวกเราเช่นเดียวกัน ฉะนั้น กษัตริย์เยโฮชาฟัทบอกประชาชนให้วางใจในพระเจ้า ถ้าเขาวางใจในพระเจ้า พวกเขาจะตั้งมั่นคงอยู่ได้ และถ้าเขาเชื่อฟังผู้เผยพระวจนะ คือเชื่อว่าพระเจ้าทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะ บางคนไม่เชื่อ ผู้เผยพระวจนะพูด

“ฉันไม่เชื่อหรอก พระเจ้าตรัสผ่านเธอ พระเจ้าน่าจะตรัสผ่านฉันด้วย”

แต่ปัจจุบัน พระเจ้าทรงตรัสผ่านพวกเราทุกๆ คน เพราะพระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงตรัสกับเรา พูดกับเราทุกคน เพียงแต่ว่าเราจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน บางทีหูเราตึง หูอื้อ พระเจ้าพูด แล้วไม่ได้ยิน แต่ว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะคุยกับเราทุกคน

ฉะนั้น กษัตริย์เยโฮชาฟัทก็บอกชนชาติอิสราเอล ให้เชื่อฟังผู้เผยพระวจนะด้วย  เพราะว่าผู้เผยพระวจนะไม่ได้พูดเอง แต่พระเจ้าเป็นคนสั่งให้พูด ถ้าทำตามผู้เผยพระวจนะ ก็แปลว่าเขาเชื่อฟังพระเจ้าด้วย ก็จะเกิดผลสำเร็จ

2 พงศาวดาร 20:21  “และเมื่อพระองค์ได้ปรึกษากับประชาชนแล้ว  พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งบรรดาผู้ที่จะร้องเพลงถวายพระเจ้า  และแต่งกายด้วยเครื่องบริสุทธิ์สรรเสริญพระองค์  ขณะเมื่อเขาเดินออกไปหน้าศัตรู  และว่า  “จงถวายโมทนาแด่พระเจ้า  เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์”

 

อันนี้พี่น้องอาจจะแปลกใจตรงที่ว่าออกไปสู้รบ จริงๆ แล้วเอาทหารนำหน้าใช่ไหม? ต้องทหารใส่เสื้อเกราะ ต้องมีอาวุธยุทธโธปกรณ์ไปต้านรับศัตรู แต่กษัตริย์เยโฮชาฟัททำกลับกัน ก็คือแต่งตั้งคนที่จะถวายเสียงเพลงให้กับพระเจ้า ก็คือร้องเพลงนมัสการพระเจ้า การนมัสการพระเจ้าเป็นการเชื่อและวางใจพระองค์ว่าเชื่อแล้วล่ะ พระองค์บอกว่าวันนี้การรบไม่ใช่เป็นของพวกเรา พระองค์จะเป็นผู้สู้รบแทนเรา ฉะนั้น เขาก็เลยนมัสการพระเจ้า ร้องเพลงถึงความรักมั่นคงของพระองค์ ที่มีอยู่เหนือชนชาติอิสราเอล

2 พงศาวดาร 20:22 “และเมื่อเขาทั้งหลายตั้งต้นร้องเพลงสรรเสริญ  พระเจ้าทรงจัดกองซุ่มคอยต่อสู้กับคนอัมโมน  โมอับ  และชาวภูเขาเสอีร์  ผู้ได้เข้ามาต่อสู้กับยูดาห์  ดังนั้น เขาทั้งหลายจึงแตกพ่ายไป”

 

คนอิสราเอลยังไม่ได้ทำอะไรเลย เริ่มต้นด้วยการสรรเสริญพระเจ้า ร้องเพลงถวายแด่พระเจ้า พอเสียงนมัสการร้องขึ้นมาปุ๊บ พระเจ้าทำการงานของพระองค์เลย พระเจ้าก็ส่งกองซุ่มไปให้คนโมอับ คนอัมโมน คนภูเขาเสอีร์ ก็คือพระเจ้าจะทำให้คนกลุ่มนี้ แทนที่เขาจะมาสู้รบกับอิสราเอล เขาก็สู้กันเอง

2 พงศาวดาร 20:23 “เพราะว่าคนของอัมโมนและของโมอับได้ลุกขึ้น  ต่อสู้กับชาวภูเขาเสอีร์  ทำลายเขาเสียอย่างสิ้นเชิง  และเมื่อเขาทั้งหลายทำลายชาวเสอีร์หมดแล้ว  เขาทั้งสิ้นช่วยกันทำลายซึ่งกันและกัน”

 

คือ 2 กลุ่มสู้กันก่อน แล้วค่อยทำลายกันและกันเอง ก็คือมาไม่ถึงคนอิสราเอล 2 กลุ่มสู้กับกลุ่มหนึ่ง พอกลุ่มหนึ่งแพ้ 2 กลุ่มหันหน้ามาสู้กันเอง จนตายหมดเลย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ เพื่อคนอิสราเอล

2 พงศาวดาร 20:24 “เมื่อยูดาห์ขึ้นไปอยู่ที่เนินสูงที่ในถิ่นทุรกันดาร  เขามองตรงไปที่คนหมู่ใหญ่นั้น  และดูเถิด  มีแต่ศพนอนอยู่บนแผ่นดิน  ไม่มีสักคนเดียวที่รอดไปได้”

 

คือตายเรียบเลย

2 พงศาวดาร 20:25 “เมื่อเยโฮชาฟัท และประชาชนของพระองค์มาเก็บของเสียจากเขาทั้งหลาย  เขาพบสัตว์เป็นจำนวนมาก  ข้าวของ  เสื้อผ้า  และของมีค่าต่างๆ  ซึ่งเขาเก็บมามากสำหรับตัว  จนขนไปไม่ไหว  เขาเก็บของที่ริบได้เหล่านั้นสามวัน  เพราะมากเหลือเกิน”

 

เวลาคนจะยกกองทัพไปต่อสู้ เขาก็ต้องมีเสบียง มีของมีค่า มีอะไรเยอะแยะมากมาย คิดดูว่ากองทัพใหญ่มาก 3 กองทัพ เดินทางมา เพื่อที่จะรบกับคนอิสราเอล ข้าวของเขาจะเยอะมากเลย ปรากฏว่าพระเจ้าให้เขาสู้รบกันเอง จนตายหมด พอตายหมด กษัตริย์เยโฮชาฟัทกับประชาชนไปดู ของเต็มเลย แล้วตรงนี้ พระเจ้าไม่ได้บอกว่าให้ทำลายสิ่งเหล่านั้นให้หมด แต่พระเจ้าอนุญาตให้เขาเก็บไปใช้ ของเยอะ จนขนกันไม่ไหว เก็บ 3 วัน 3 คืนยังเก็บกันไม่หมดเลย พี่น้องลองนึกภาพว่ามันเยอะขนาดไหน?

2 พงศาวดาร 20:26-30 “26 ในวันที่สี่เขาทั้งหลายได้ชุมนุมกันที่หุบเขาเบราคาห์  ด้วยที่นั่นเขาสรรเสริญพระเจ้าเพราะพระพร  เพราะฉะนั้น  เขาจึงเรียกที่นั้นว่าเบราคาห์  จนถึงทุกวันนี้ 27 แล้วเขาทั้งหลายกลับไปคนยูดาห์และเยรูซาเล็มทุกคน  และเยโฮชาฟัททรงนำหน้า  กลับไปยังเยรูซาเล็มด้วยความชื่นบาน  เพราะพระเจ้าได้ทรงกระทำให้เขาเปรมปรีดิ์เย้ยศัตรูของเขา 28 เขาทั้งหลายมายังเยรูซาเล็มด้วยพิณใหญ่  และพิณเขาคู่และแตร  ยังพระนิเวศของพระเจ้า 29 และความกลัวพระเจ้ามาอยู่เหนือบรรดาราชอาณาจักรของประเทศทั้งปวง  เมื่อเขาได้ยินว่าพระเจ้าทรงต่อสู้ศัตรูของอิสราเอล 30 แดนดินของเยโฮชาฟัทจึงสงบเงียบ  เพราะว่าพระเจ้าของพระองค์ประทานให้พระองค์มีการหยุดพักสงบอยู่รอบด้าน”

 

นี่คือพระคุณในยุคของพระเดช ที่พระเจ้ายังคงรักคนอิสราเอล ยังคงดูแล ช่วยเหลือคนอิสราเอลมาตลอด และพระเจ้าองค์นี้ เป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน อดีต ปัจจุบัน และในอนาคตข้างหน้า แล้วพระเจ้าองค์นี้ได้ทรงวางแผนการที่ล้ำเลิศไว้สำหรับมนุษยชาติ ตั้งแต่มนุษย์เริ่มล้มลงในความบาป แล้วพระองค์ก็เตรียมการให้คนกลุ่มหนึ่งที่ได้ชื่อว่าอิสราเอล ที่พระองค์ได้ทรงเลือกสรรไว้ และอนุญาตให้พระผู้ช่วยให้รอด ได้มาเกิดในคนกลุ่มนี้ ในเผ่าพันธุ์นี้ แล้วมาถึงยุคของเรา เป็นยุคที่สิ่งที่พระองค์กำหนดไว้ ได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีมาแล้ว และพระพรตรงนี้ พระเจ้ายังคงมีให้กับมนุษยชาติ ไม่ใช่เพียงพวกเราเท่านั้น พวกเราจะเป็นเหมือนแกะ 99 ตัวที่เมื่อเช้าเราเรียน แกะ 99 ตัวที่อยู่ในคอกของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว ได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว ได้รับพระคุณ ได้รับพระพรจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว แต่ยังมีแกะที่หลงหายไป 1 ตัวที่พระเยซูได้ตรัสเอาไว้ ก็คือผู้คนในโลกใบนี้ ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ประเทศทั่วโลกใบนี้ ผู้คนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระนามของพระองค์ ผู้คนที่พระเจ้ายังคงแสวงหาเขาอยู่ แล้วให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไปถึงผู้คนเหล่านั้น

เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับโควิด ทำให้เทคโนโลยีได้กระจายออกไป ทำให้ผู้คนได้แสวงหาพระเจ้ามากขึ้น ทำให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ได้ประกาศไปเยอะขึ้น มีกลุ่มคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้าจับเป็นกลุ่ม เป็นก้อน หนุนจิตชูใจกัน คุยเรื่องพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงดูแลเรา พระองค์ทรงเลือกเรา ทรงเรียกเรา และขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงนำพาย่างเท้าของพวกเราตลอดเวลา นี่คือพระคุณ เป็นพระพร บางครั้งเราไม่เข้าใจหรอก แต่พอมีปัญหาปุ๊บ สิ่งแรก เราอาจจะ … ทำไมมันเกิดขึ้นๆ แต่พอเราย้อนมาดูจริงๆ เราก็ขอบคุณพระเจ้า เพราะเรารู้ว่าทุกสิ่ง เราไม่สามารถควบคุมได้ ถ้ามันจะเกิด มันก็เกิด เหมือนโรคภัยไข้เจ็บ มันจะเกิดมันก็เกิด แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า เรามีท่าทีแบบไหน? เรามีท่าทีที่ขอบพระคุณพระองค์ สำหรับสิ่งสารพัดไหม? สามารถไหมที่จะขอบคุณพระเจ้า แม้ว่าการเป็นอยู่ของเราจะลำบากขึ้น

ลำบากขึ้นจริงๆ นะพี่น้อง ไม่ว่าเราจะออกไปข้างนอก มันก็ลำบาก ลำบากตรงที่ว่าเมื่อก่อนเราเดินตัวปลิวออกไปได้ เราจะไปขึ้นรถ ลงเรือ เราสบายๆ จะไปแออัดยัดเยียดเราก็แฮปปี้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ พอออกไป ทุกข์แรก คือต้องใส่หน้ากากอนามัย หายใจไม่ออก ทุกข์ที่สอง คือเราเดินทางไปไกลไม่ได้ เพราะว่าถ้าอยู่ในชุมชนเยอะๆ เราก็ไม่อยากเสี่ยง ก็คือไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปเสี่ยง ในที่แออัดยัดเยียด เราอาจจะเจอแจ็คพอร์ตไปติดโรคมา พี่น้องอย่าคิดว่าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราใช้ชีวิตแบบล่อแหลม แล้วเราจะไม่ติดโรค ไม่จริงนะคะ ต่อให้เราเป็นคริสเตียน ถ้าเราไม่รักษากฎ หรือไม่ทำตามกฎในปัจจุบัน ที่เขาบอกว่าใส่หน้ากากอนามัยมันปลอดภัยที่สุดนะ เชื้อโควิดมันไม่สามารถวิ่งเข้ามาในตัวของเรา เราอาจจะใช้ความเชื่อแบบผิดๆ ไม่เป็นไรเลย เราเป็นคริสเตียน หน้ากากเราไม่ใส่หรอก เราจะออกไปในที่ชุมชน เราจะไปเดินพาหุรัต สำเพ็งที่เบียดกัน พี่น้องเคยไปเดินสำเพ็งต้นเดือนไหม? ดูอะไรไม่ได้เลย เขาเบียดกันเป็นปลากระป๋อง แล้วเราไม่ต้องเดิน เราจะถูกไถไป ตลอดเวลา นึกภาพออกไหม?

เราจะไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้นเหมือนเดิมไม่ได้ เราจะคิดว่าไม่เป็นไรหรอก พระเจ้าอยู่ในเรา อย่างไรพระเจ้าก็ปกป้องคุ้มครองเรา พระเจ้าปกป้องเรานะ แต่เราก็ต้องดูแลส่วนของเราด้วย ที่เราจำเป็นต้องดูแล ฉะนั้น ยังคงหนุนใจพี่น้อง ถ้าไม่มีความจำเป็นอะไรมากมาย ก็อย่าไปโลดโผนโจรทยานมากจนเกินไป ออกข้างนอก ก็ระวังนิดหนึ่ง ถ้ายังแฮปปี้ที่จะออกข้างนอก ก็ใส่หน้ากากอนามัย

เราขอบคุณพระเจ้าที่เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่สามารถทำให้ความเชื่อ หรือความรักที่เรามีต่อพระเจ้าลดน้อยถอยลง หรือสั่นคลอน แล้วคนที่อยู่ในพระเจ้าจริงๆ เรายังเรียนรู้ที่จะขอบคุณพระเจ้าได้อยู่  ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

 

****************************