วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1421

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  มิถุนายน  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เข้าสู่คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 ซีรี่ย์นี้ที่เริ่มต้นสัปดาห์ที่แล้ว เป็นตอนที่ 1 วันนี้เป็นตอนที่ 2 “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”  “พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 2

            เราได้เรียนรู้กันตอนที่ 1 สัปดาห์ที่แล้ว จำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด ขอให้จำตรงนี้ได้ว่าในคำอธิษฐานที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว  ซึ่งเป็นแผนการของพระเจ้า  ที่จะประกาศข่าวดี ข่าวประเสริฐ  เรื่องเกี่ยวกับความรอด พระเมสิยาห์ พระเยซูคริสต์ ให้กับชาวยิวก่อน  แล้วค่อยตามมาประกาศผ่านทางเปาโล ให้กับชาวต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิวทั่วโลก จนมาถึงเราทุกวันนี้

            “ต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว”

            อันนี้ ทีหลัง เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่าที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้  เป็นถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่กำลังพูดกับชาวยิวก่อน เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ แล้วพอชาวยิวได้รับเรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงค่อยมาประกาศกับพวกเราชาวที่ไม่ใช่ยิว ทีหลัง ซึ่งพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ในหนังสือโรมก็มี หนังสือกาลาเทียก็มี เอเฟซัสก็มี บอกว่า เป็นแผนการล้ำลึกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว

            ในหนังสือโคโลสีบอกว่าเป็นแผนการอันลึกล้ำที่มีค่ามากมายสูงสุด สำหรับมนุษย์ทั้งหลาย  ที่พระองค์ทรงแอบซ่อนเอาไว้ในพระคริสต์ ไม่มีใครรู้เลย และพระองค์มาเปิดเผยตอนไหน? ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และสิ้นพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แผนการนี้จึงได้ถูกประกาศ เปิดเผยออกมา แผนการ ก็คือความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษยชาติ ให้กับชาวยิวก่อน แล้วก็ให้กับคนต่างชาติทีหลัง ทำไมผมต้องเน้นตรงนี้ เพราะว่าตรงนี้เป็นพื้นฐาน ที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ ควรจะเรียนรู้ ไม่อย่างนั้นเราจะสับสนวุ่นวาย อ่านตรงนี้ก็นึกว่าเป็นของเรา อ่านตรงนั้น ก็นึกว่าเป็นของเรา  แล้วมันไม่ใช่  มันก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด

            ถ้าเรารู้ขั้นตอนว่ามันเป็นอย่างนี้ เวลาอ่านพระคัมภีร์เดิม ก็รู้ว่าพระคัมภีร์เดิมเน้นไปที่ใคร? เน้นไปที่ชาวยิว เราจะรู้ทันทีแล้ว โดยพื้นฐาน

            แล้วพระคัมภีร์ใหม่ หลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พระคัมภีร์เน้นที่ใคร? เน้นที่ชาวต่างชาติ

            เราอ่าน เราจะได้รู้ว่าอันนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ไม่ได้เน้นถึงเรา เราจะมาใช้สำหรับเราได้ แต่มันไม่ใช่โดยตรงนะ อะไรต่างๆ เหล่านี้  เหมือนกัน เหมือนข่าวประเสริฐในพระคัมภีร์ใหม่ หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  ก็เช่นเดียวกัน เป็นของเรา  แต่ชาวยิวมาอ่าน ก็ต้องระมัดระวังนะว่านี่เป็นของเรา ชาวยิวก็ต้องอีกแบบหนึ่ง แต่พื้นฐานเดียวกัน คือพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เพื่อช่วยให้มนุษยชาติรอดพ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง ที่มาจากบรรพบุรุษ นี่คือพื้นฐาน

            เราทบทวนครั้งที่แล้วหน่อย เราเรียนรู้อะไรได้บ้าง? จากครั้งที่แล้ว นอกจากว่าพูดกับชาวยิวแล้ว อันนี้ต้องจำได้แล้วนะ พอใครพูดถึง หรือได้ยินถึงคำอธิษฐานของพระเยซูที่เขาว่ากัน ในมัทธิว  6:9-15 นี้เมื่อไร?  เราจะได้รู้ว่าอันนี้กำลังพูดกับชาวยิวนะ แล้วรู้อะไรอีก สัปดาห์ที่แล้วเราเรียนรู้แล้วว่าพระเยซูกำลังสอนให้ชาวยิวทำ? ชาวยิวทำอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น พระองค์ไม่ได้มาสอนให้ทำ แต่พระองค์กำลังมาเตือนชาวยิวว่าอย่าทะนงตน พึ่งตนเอง ในการรักษาบทบัญญัติของพระเจ้าให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งท่านทำอยู่นั้น ท่านไม่มีทางทำสมบูรณ์ครบถ้วน เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า มันเป็นไปไม่ได้เลย  เพราะเป้าหมายของพระเจ้าที่จะช่วยท่านรอด คือท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเลยนะ  ท่านทำด้วยตัวเองไม่ได้หรอก

            พระองค์ทรงยกตัวอย่างสั้นๆ อุปมาเหมือนอูฐลอดรูเข็ม  เอาอูฐลอดรูเข็ม มันเป็นไปไม่ได้  ท่านไม่มีทางที่จะทำจนสมบูรณ์ครบถ้วนได้ เป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างนั้น ตามเกณฑ์ของพระเจ้าแน่นอน และถ้าท่านพึ่งในตนเอง ท่านก็มีค่าเท่ากับกำลังฝืนใจตนเอง เพราะใจมันเป็นบาปอยู่ พระองค์กำลังมาชี้ว่าในใจของท่าน ในวิญญาณของท่านเป็นบาป ท่านก็รู้อยู่ เพราะว่าท่านทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ท่านก็เย่อหยิ่งบอกว่า …

            “ทำได้  ฉันจะทำ”

            พระเยซูกำลังมาชี้อย่างนั้น และเลยบอกว่าท่านทำไปให้ตาย ก็เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม พยายามเท่าไรมันก็ไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว กลับใจใหม่เถิด พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ คนที่ฟังอยู่ โดยเฉพาะคนที่เชื่อพระองค์นะ คนที่ไม่เชื่อ ก็เย่อหยิ่ง จองหอง

            “ฉันทำได้”

            กลับไปด้วย เหมือนมีอะไรติดคอหอยอยู่ กลืนไม่ลง รู้ว่าพระองค์พูดจริง ฉันทำไม่ได้  แต่ในใจเย่อหยิ่งจองหอง  เพราะเป็นคนบาป  รับไม่ได้  กลับไปด้วยความฉุนเฉียว โกรธพระเยซูอีก  พวกที่เชื่อฟังพระเยซูในช่วงนั้น ก็คือพวกที่เรียกว่าสาวก  สาวกไม่รู้พูดอะไรมา ก็เชื่อไว้ก่อน อย่างเช่นพวกเปโตร ยอห์น ที่เดินตามพระเยซู เมื่อได้ยินดังนั้นว่าเอาอูฐลอดรูเข็ม ไม่มีทางเข้าสวรรค์ได้ ด้วยการพึ่งพาตนเอง รักษาบทบัญญัติอย่างนี้ ฟาริสีเอย สะดูสีเอย ธรรมาจารย์เอย นักเคร่งศาสนาต่างๆ เหล่านี้ พระเยซูบอกไม่มีทางได้หรอก พวกเปโตร คนเก็บภาษี มัทธิว เป็นชาวบ้าน ชาวช่อง เป็นชาวประมง เขาเชื่อพระเยซูว่าเป็นพระมาซิฮาห์ แต่เขาไม่เข้าใจที่พระเยซูพูด ขนาดฟาริสี ธรรมาจารย์ นักเคร่งศาสนาที่เขามองเห็นด้วยตา คนนี้เคร่งมากๆ เลย รักษาบทบัญญัติอย่างดี อย่างละเอียดเลย พระเยซูบอกว่ายังทำไม่ได้หรอก เข้าสวรรค์ไม่ได้  แล้วพวกเขาจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? เขายังทำไม่ได้ ขนาดนั้นเลย รักษาบทบัญญัติ ยังไม่ได้เลย รักษาวันสะบาโตยังไม่ได้เลย อดอาหารถึงขนาดนั้นยังไม่ได้ ไปวิหารก็ไปบ้าง ไม่ไปบ้าง แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร? ใครจะเข้าสวรรค์ได้ ก็เลยถามพระเยซูเป็นส่วนตัว …

            “พระเยซูถ้าอย่างนั้น ใครจะเข้าสวรรค์ได้ล่ะ ถ้าทำถึงขนาดนั้น เอาอูฐลอดรูเข็มยังทำไม่ได้เลย”

            พระเยซูบอกว่า … “แต่ว่าถ้าไปด้วยกันกับพระเจ้า มันเป็นไปได้ เพราะสำหรับพระเจ้าแล้ว ทุกสิ่งเป็นไปได้”

            นี่มันคู่กัน ท่านจำแค่ 2 อย่าง พระองค์กำลังมาบอกว่าทำด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้าไปด้วยกันกับพระเจ้า  ตามแผนการของพระเจ้า พระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง คือพระเจ้าสามารถทำให้ท่านสามารถเกิดใหม่ได้ไง นี่คือสรุปสั้นๆ นะ

            ถ้าท่านทำด้วยตัวเอง รักษาบทบัญญัติด้วยตัวเอง ท่านไม่มีทางที่จะเกิดใหม่ได้หรอก ท่านก็อยู่ในความบาปนั่นแหละ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม  แต่ท่านมาเชื่อในพระเจ้า ไปกับพระเจ้า พระเจ้าวางแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว คือมาวางใจในเรา ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่  เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเลย  ไม่ต้องทำอะไรเลย เอเมน นี่คือเบื้องหลังในสิ่งที่พระเยซูกำลังทำ

            ถ้าท่านพึ่งในพระเจ้า พระเจ้าก็สามารถทำให้ท่านบังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง  ทำให้ท่านสามารถเกิดใหม่ได้ ก็แสดงว่าผู้คนที่จะเข้าสวรรค์ได้ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่ ซึ่งพระเยซูก็พูดตรงนี้ ในการเตือน การสอนนี้เช่นเดียวกัน ท่านต้องเกิดใหม่ ท่านถึงจะบริสุทธิ์ ดีพร้อมได้ ท่านทำด้วยตัวเอง ท่านไม่มีทางเกิดใหม่ได้ นั่นคือสิ่งที่เป็นเป้าหมาย

            และทุกอย่างที่พระองค์กำลังพูดกันอยู่นี้ ที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ พระองค์กำลังพูดถึงสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ อย่าสับสน เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพราะว่าตัวตนของมนุษย์แท้ๆ จริงๆ  ที่จะอยู่นิรันดร์ อยู่ตลอดไปเลย ไม่ว่าจะอยู่ในสวรรค์หรือในนรก ก็ตาม อยู่ที่ไหนก็ตาม ที่เรามองเห็นกันอยู่ มันเป็นร่างกาย แต่ตัวจริงๆ ที่เรามองไม่เห็น คือวิญญาณของเรา เป็นตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของมนุษย์ทุกคน เราจำเป็นต้องรู้สิ่งเหล่านี้ และตัวตนจริงๆ และในวิญญาณของเราจริงๆ นั้น เป็นบาปอยู่ เรียกว่าเป็นคนบาป คนอธรรม เป็นคนสกปรก เป็นหลุมศพ พระเยซูยกตัวอย่าง จึงจำเป็นต้องพึ่งพระองค์ ซึ่งเป็นพระเมสิยาห์ ซึ่งแปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงประทานให้มาช่วยเท่านั้น ท่านถึงจะรอดได้

            เพราะวิญญาณท่านเป็นบาปอยู่ ทำอย่างไรมันก็บาป  ท่านไม่มีทางทำอะไร แล้วพระเจ้าอภัยบาปให้กับท่านได้หมด อภัยบาปในที่นี้ ก็คือยกหนี้บาป ก็คือการลบเอาบาป  ออกไปจากวิญญาณของท่าน  ท่านทำไม่ได้หรอก ด้วยตัวเอง  ทำให้ตายอย่างไร? พระเจ้าอยากจะช่วย ก็ช่วยไม่ได้  เพราะวิญญาณท่านบาปอยู่ มีทางเดียวเท่านั้น คือท่านต้องตายจากบาปนั้นและเกิดใหม่ ซึ่งพระองค์ก็ทรงสอน  ทรงเตือน ทรงชี้ให้เห็นสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าเขาเป็นยิว พระองค์จึงพูดยกตัวอย่างบนพื้นฐานของธรรมเนียมปฏิบัติ บทบัญญัติ และประเพณีวัฒนธรรมของยิว ซึ่งเขาคุ้นเคยกันอยู่แล้ว  ไม่ว่าจะเป็นอุปมาอูฐลอดรูเข็มก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอุปมาต่างๆ ที่พระองค์ทรงยกตัวอย่างก็ตาม หรือบัญญัติต่างๆ ที่พระองค์ทรงยกขึ้นมาก็ตาม ทั้งหมดนั้นเป็นประเพณี การกระทำ เป็นศาสนายิว บัญญัติของยิวที่ยิวเขาคุ้นเคยอยู่แล้ว ชาวต่างชาติอย่างเราไม่รู้เรื่อง  ไม่เข้าใจ  เพราะว่าไม่ได้พูดกับคนต่างชาติ แต่พูดกับชาวยิว

            อันนี้ก็เป็นหลักฐานอีกอันหนึ่งว่าสิ่งที่เรากำลังวิเคราะห์กัน มันเป็นจริงว่ากำลังพูดกับชาวยิว  เพราะฉะนั้น พูดสิ่งต่างๆ นี้  เรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณีชาวยิวทั้งหมดเลย การพูดทุกอย่าง  เป็นเรื่องเกี่ยวกับชาวยิวทั้งสิ้น รวมทั้งคำอธิษฐานที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ คือมัทธิว 6:9-15  ก็เช่นกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับชาวยิว  เพราะฉะนั้น ถ้าเราบอกว่ามาคุยกับเรา เราก็จะไม่รู้เรื่องใหญ่เลย  เพราะว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย บัญญัติต่างๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เราถืออยู่ ไม่เกี่ยวกัน

            พระองค์จึงเอามาเปรียบเทียบให้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้ของชาวยิว ที่มีประเพณีบนพื้นฐานของบทบัญญัติ ที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส เราก็ไม่รู้จักอีกแหละว่าโมเสสเป็นใคร? แต่ชาวยิว พอบอกโมเสสเขารู้ พอบอกอับราฮัม เขารู้ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพระองค์กำลังชี้ให้ชาวยิวเขาได้เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่เขาจะพึ่งพาตนเองในการรักษาบทบัญญัติเหล่านั้น ให้ได้ครบถ้วนตามเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้  เพื่อจะเข้าสู่สวรรค์ ซึ่งกำลังมาตั้งอยู่ เห็นไหม? ก็แสดงว่าชาวยิวเหล่านี้ เขารอคอยสวรรค์มาตั้งอยู่ตั้งนานแล้ว ถูกไหม? พระองค์จึงมาบอกว่าที่รออยู่นั้นกำลังมา

            เคยสั่งของทางอีเมล์ไหม?  แล้วเขาก็จะมาบอกเราว่าที่สั่งไว้ กำลังจะมา  แล้วในที่สุด พอถึงวันมา เขาจะมาบอกเราอีกว่าสิ่งที่รอมาแล้ว พระเยซูกำลังบอก กำลังมา ซึ่งสวรรค์ที่กำลังมา และในที่สุด พอถึงวันมา ก็จะมาบอกเราอีกว่ามาแล้ววันนี้ จะส่งให้  พอใกล้ๆ ถึงเวลาส่ง จะมีคนโทรศัพท์มาบอก …

            “รับของด้วยนะครับ อยู่บ้านไหมครับ สิ่งที่รอมาแล้ว”

            พระเยซูบอกสวรรค์ที่กำลังมา จะเข้าสวรรค์ได้ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติของท่าน ชาวยิว  ไม่ใช่ด้วยการรักษาบทบัญญัติของท่าน ที่บรรพบุรุษของท่านสั่งมาตั้งนานแล้ว ให้ประพฤติอย่างนี้ ตามที่พระเจ้าได้สั่งไว้ ตอนนี้ สิ่งที่รอคอยมาถึงแล้ว ซึ่งมันดีกว่าตั้งเยอะ คือต้องผ่านทางพระเมสิยาห์  คือพระคริสต์

            พระเมสิยาห์ แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงตั้งไว้  ซึ่งภาษากรีก คือพระคริสต์ พระเมสิยาห์ เป็นภาษาฮีบรู ซึ่งแปลเป็นไทย แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  พระคริสต์ แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด ต้องผ่านทางพระมาซิฮาห์ คือพระองค์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น  ถึงจะเข้าสู่สวรรค์ได้

            แล้วพระองค์ก็ทรงยกตัวอย่างเช่น ท่านบอกว่าท่านรักษาบทบัญญัติได้ นี่คือบทบัญญัติของชาวยิว  คือไม่ฆ่าคน แต่พระเยซูบอกว่าท่านบอกว่าท่านทำได้ ท่านรักษาบทบัญญัติได้ ท่านไม่ฆ่าคนเลย  แต่เราบอกว่าไม่ใช่ไม่ฆ่าคนอย่างเดียว  ท่านต้องไม่คิดเกลียดชัง ริษยาคนอื่น เพราะการเกลียดชัง ริษยาคนอื่น  ก็เท่ากับฆ่าคนตาย เป็นบาปเท่าๆ กัน เป็นคนบาปเหมือนกัน พระองค์ทรงชี้ให้เขาเห็นว่าท่านทำได้  แต่ในวิญญาณท่านเหมือนกัน คือท่านคิด ก็คือข้างในท่าน มีความโกรธ เกลียด ข้างนอกท่านอาจจะบังคับตัวเองไม่ฆ่าคน แต่ในใจคิดริษยา ก็เท่ากับทำบาป ฆ่าคนตายเหมือนกัน

            พระเยซูต้องการทำอะไร? ต้องการชี้ให้เขาเห็นว่ามนุษย์เป็นคนบาป จากภายในวิญญาณ  เป็นเหมือนหลุมศพ ที่ฉาบด้วยปูนขาวอยู่ภายนอก คือข้างนอก ทำดูดี รักษากฎบัญญัติได้ แต่ข้างใน ทำอย่างไร มันก็เป็นหลุมศพ สกปรก เป็นคนบาป ที่ท่านบอกว่าไม่ว่ากฎระเบียบอะไร ท่านทำได้ทุกอย่าง ท่านกำลังเย่อหยิ่งจองหอง  เพราะท่านทำไม่ได้อยู่แล้ว  ท่านไม่สามารถทำตามกฎเกณฑ์ทั้งหมด ที่พระเจ้าวางไว้ ท่านเอง ก็รู้อยู่ บทบัญญัติของชาวยิว มีไว้ตั้ง 600 กว่าข้อ ก็ทำไม่ได้ครบอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังดื้อ ที่จะเถียงพระเยซูว่า …

            “ฉันทำได้”

            แทนที่จะมาเชื่อฟังพระองค์ พระองค์บอกว่าทำไม่ได้ ก็ทำไม่ได้ เย่อหยิ่งไง ยังฝืน ทั้งๆ ที่ในใจตัวเองก็รู้ว่าทำไม่ได้

            เพราะฉะนั้น พระเยซูบอกว่ากฎเกณฑ์เหล่านี้ ที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส ให้ท่านยึดถือเอาไว้  เหตุผล ก็คือไม่ใช่ เพื่อช่วยท่านให้รอด จากการเป็นคนบาป แต่เพื่อชี้ให้ท่านเห็นว่าท่านเป็นคนบาป มันกลับกัน หัวเป็นท้าย ท้ายเป็นหัวเลยนะ พระเจ้าให้บทบัญญัติเหล่านี้กับท่าน ไม่ใช่ เพื่อให้ท่านทำ แล้วท่านจะได้กลายเป็นคนชอบธรรม เป็นคนไม่บาป เปล่า พระองค์เอาบทบัญญัติ ให้ท่านถือไว้ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าท่านเป็นคนบาปจริงๆ เพราะท่านทำไม่ได้  พอนึกออกนะ

            พระองค์ทรงตั้งใจจะให้กฎเกณฑ์เหล่านี้  ชี้ให้มนุษย์เห็นว่าตนนั้นเป็นคนบาป ไม่สามารถพึ่งพาตนเอง ทำให้ได้ครบตามที่ใจต้องการ ทุกคนรู้หมด นี่สามารถเอามาใช้ได้กับคนต่างชาติ คือมนุษย์ทุกคน เป็นอย่างนี้หมด  เพราะฉะนั้น บทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้กับมนุษย์ ถ้าเป็นอิสราเอล ก็บทบัญญัติ  613 ข้อ ที่โมเสสบันทึก ให้เขียนออกมา บทบัญญัติของชาวต่างชาติ  ก็คือจิตใต้สำนึกของเราข้างใน รู้ว่าดี แต่ทำไม่ได้  แต่เย่อหยิ่งว่า …

            “ฉันทำได้ ฉันจะรักษาบทบัญญัติให้ได้”

            แต่ในที่สุด ก็รู้ว่าทำไม่ได้ครบ แล้วก็อ้อมแอ้มๆ ตัวเองบอกว่าหยวนน่า อย่างน้อย ก็ยังทำดีกว่าคนอื่น ใช่ไหม? คุ้นๆ ไหม?

            อ้าว! ก้มหน้านิดหนึ่ง แล้วก็พูด … “อย่างน้อย ก็ยังดีกว่าคนอื่น ฉันก็ยังทำได้เยอะกว่าเขา”

            พูดว่า … “ไม่ได้พูดกับฉันหรอก กำลังพูดถึงชาวยิว”

            อย่างนี้ต้องไปโบ้ยให้ชาวยิว  อ้าว! พูดกับชาวยิวจริงๆ แล้วชาวยิวก็พูดอย่างนี้จริงๆ พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกนักเคร่งศาสนา เขาได้ยินอย่างนี้ เขารู้ตัวว่าเขาเป็นคนบาปอย่างนั้นจริงๆ เขาก็อ้อมแอ้มๆ บอก …

            “ก็ยังดีน่า” ยังดีอย่างไร? “อย่างน้อย ฉันก็ยังทำดีกว่าพวกเขา พวกคนเก็บภาษี คนเป็นโสเภณี คนเป็นชาวประมง ไม่รักษาบทบัญญัติ ฉันยังทำดีกว่าเขาเลย”

            นี่เขาพูดอย่างนี้จริงๆ แทนที่จะรู้ตัวเองว่าพระองค์มาบอกว่าบาปเท่าๆ กัน ผิดข้อเดียว ก็เท่ากับบาปเท่าๆ กันหมด

            เพราะฉะนั้น บทบัญญัติเหล่านี้ มันจึงเหมือนกระจกเงา เหมือนกับเครื่องเอ็กซ์เรย์ … กระจกเงา เอ็กซ์เรย์มีไว้ทำอะไร? กระจกเงา มีไว้มองดู เพื่อจะได้รู้ว่าหน้าเรามีโรค มีสิว มีอะไรสกปรก มีหนองอะไรต่างๆ จะได้เห็น แต่กระจกรักษาเราไม่ได้ เหมือนไปเอ็กซ์เรย์ปอด  เอ็กซ์เรย์หัวใจดูว่ามันเป็นอะไร? เป็นมะเร็งที่ปอดหรือเปล่า?  เป็นมะเร็งที่ปอด เอ็กซ์เรย์ทำให้หายได้ไหม? ไม่ได้ แต่มันมีประโยชน์ไหม? มีประโยชน์ มันช่วยชี้ให้เราเห็นว่าเราเป็นคนป่วย บทบัญญัตินี้ ก็เป็นเหมือนสิ่งเหล่านี้ เหมือนเอ็กซ์เรย์ เหมือนกระจกเงา ชี้ให้เราได้เห็นว่าเราเป็นคนบาป เราต้องการหมอ เราเป็นคนป่วย เราต้องการหมอ หน้าเราเป็นหนองอยู่ เราต้องไปหาหมอรักษาสิว  ปอดเราเป็นมะเร็ง เราต้องการหมอรักษามะเร็ง ไม่ใช่ไอ เพราะเป็นหวัด แต่ไอ เพราะเป็นมะเร็ง อย่างนี้เป็นต้น

            นี่คือหน้าที่ของบทบัญญัติที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับชาวยิว แล้วพระเยซูก็จะพูดอย่างนี้เสมอ บทบัญญัติ กฎเกณฑ์นี้เขียนไว้ สำหรับชาวยิว ก็คือเขียนอยู่ในแผ่นหินใช่ไหม? แล้วก็มาเป็นหนังสัตว์ 613 ข้อ สำหรับชาวยิว รักษาไม่ได้หมดหรอก อันนี้แน่นอน อันนี้เขียนแค่บางส่วนนะ  613 ข้อ คนต่างชาติเขียนที่ไหน? เขียนไว้ในจิตใต้สำนึก เต็มไปเลย  และจิตใต้สำนึกตรงนี้  ก็จะมีมนุษย์ในบางช่วง ในบางยุค  ก็พยายามจะเขียนออกมา เป็นกฎศีลธรรม กฎทางศาสนาต่างๆ ให้เรายึดถือไว้ แล้วทำได้ไหม?  ไม่หมด ยังไง มันก็ไม่หมด เพราะว่าวิญญาณมันบาปอยู่

            พระเยซูยกตัวอย่างใช่ไหม? บอกพวกท่านชาวยิว ทำเป็นเก่ง รักษาบทบัญญัติได้ …

            “ฉันไม่ได้ฆ่าคน”

            บอกแล้วใช่ไหม? แค่คิด ริษยาเขา ก็เท่ากับฆ่าคนตาย

            “ฉันไม่ได้ล่วงประเวณี สามารถรักษาบทบัญญัติ ไม่ล่วงประเวณีได้”

            พระเยซูบอก … “ท่านอาจจะบังคับตนเองไม่ทำอย่างนั้นได้บ้าง  แต่อยากจะบอกว่าแค่ท่านคิด หรือมีความรู้สึกอะไรอย่างนั้น  ประมาณนั้น ก็เท่ากับท่านทำแล้วล่ะ”

            ไม่มีใครทำได้  พระองค์ก็เลยบอกว่าเพราะฉะนั้น ถ้าท่านคิด หรือรู้สึกล่วงประเวณี  ก็เท่ากับได้ทำการล่วงประเวณีแล้ว เพราะฉะนั้น วิธีแก้ พระองค์เลยคิดย้อนกลับไป เหมือนพูดแย้งกลับไปแทงใจดำว่าเพราะฉะนั้น ถ้าท่านจะทำ ไม่ล่วงประเวณี ถ้าท่านจะทำไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ถ้ารู้ว่าต้องคิดหรือรู้สึก ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว  ท่านไม่อยากล่วง ท่านก็ต้องกำจัดเอาอวัยวะนั้นทิ้ง ตาทำให้ท่านคิดล่วงประเวณี ท่านต้องควักลูกตาออก มือสัมผัสแล้วเกิดอารมณ์กำหนัด ตัดมือทิ้ง นั่นแหละ ถ้าท่านจะพึ่งพาตนเอง  มันต้องทำอย่างนั้นแหละ

            นี่แหละ คือสิ่งที่พระเยซูพูดออกมา เพราะต้องการชี้ให้เขาเห็น  เพราะฉะนั้น ถ้าท่านอยากจะไปสวรรค์ ก็มีคนไปสวรรค์ได้ ก็พิการหมดแหละทุกคน  ต่อให้พิการหมด ก็ยังไปไม่ได้  มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณจะตัดมือทิ้ง ควักลูกตาออก มันช่วยอะไรวิญญาณไม่ได้เลย ต้องพึ่งในพระมาซีฮาห์เท่านั้น พระเจ้าทรงเข้าใจ และรักท่านมากมาย จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือฉัน คือพระเยซู มาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพื่อมากำจัดบาป  เพื่อมาลบล้างบาป เพื่อมาเอาบาปออกไปจากวิญญาณของท่าน โดยการทำให้วิญญาณของท่านตายต่อบาป และเกิดใหม่  เป็นผู้ชอบธรรมอย่างไรล่ะ ปรบมือขอบคุณพระเจ้า

            นี่กำลังพูดกับชาวยิว ซึ่งทำไมต้องชาวยิวก่อน เพราะชาวยิว พระองค์ทรงเตรียมแผนการนี้ให้เขาตั้งแต่แรก ตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้ว ซึ่งต่างชาติยังไม่รู้เรื่องเลย แต่บรรพบุรุษของชาวยิวรู้เรื่องเหล่านี้หมด ควรจะเข้าใจแล้วว่านั่นมันเป็นอย่างนี้นะ นี่พระองค์ทรงพูดเหมือนเดิมกับหลายพันปีก่อน ก่อนที่พระองค์จะทรงมาเกิดเป็นมนุษย์  พระเจ้าเผยแผนการนี้ เป็นคำเผยพระวจนะมาตลอด หลายพันปีว่ามันจะเป็นอย่างนี้แหละ พระองค์ก็เลยเหมือนกับว่าไม่พอใจนิดๆ ว่ามันน่าจะเชื่อและวางใจในเราเถิด ไม่ได้พูดกับชาวต่างชาติ  แต่มาพูดกับชาวยิวที่คุ้นเคย น่าจะเป็นอย่างนั้น

            ซึ่งเรื่องที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่ คือมัทธิว 6:9-15 ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งในทำนองนี้ ซึ่งเขียนบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ที่เราถือกันอยู่นี้ ต่อจากที่ตะกี้นี้ผมเล่าให้ฟังทั้งหมด เป็นส่วนหนึ่งในนี้ ในช่วงเวลาที่พระเยซูกำลังประกาศนี้ ก็คือพระองค์มาชี้ให้เห็นว่าท่านทั้งหลาย ไม่สามารถรักษาบทบัญญัติให้ครบถ้วนบริบูรณ์ได้ โดยไม่มีผิดพลาดเลย แม้แต่จุดเดียว  ท่านทั้งหลายไม่มีทางทำให้ตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ ดังนั้น อย่าเย่อหยิ่ง จองหอง อวดดีในการกระทำดี คือรักษาบทบัญญัติด้วยตนเองอย่างมากมาย แล้วก็เปรียบกับคนอื่นว่าคนอื่นทำได้น้อย ฉันทำได้เยอะ แต่ท่านจงกลับใจใหม่ หันมาวางใจในพระองค์เท่านั้น อย่าวางใจในตนเอง

            นี่คือบทสรุปของข้อความที่พระเยซูกำลังพูด ที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่นี้ สรุปสั้นๆ เป็นอย่างนี้ อย่าเย่อหยิ่ง พูดกับใครครับ? ไม่ได้พูดกับเรานะ  พระองค์ไม่ได้กำลังว่าเรา เราไม่เย่อหยิ่งอยู่แล้ว เพราะเราไม่รู้เรื่อง  แต่พวกชาวยิวรู้เรื่องหมด ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกคงแก่เรียน เคร่งศาสนายิว รักษาบทบัญญัติมาตั้งแต่บรรพบุรุษเขารู้ดีมากๆ เลย รู้เยอะๆ เลย  แต่เขาเหมือนแกล้งไม่รู้ เขาเย่อหยิ่ง พระเยซูเลยพูดสิ่งเหล่านี้ให้เขาฟัง เตือนแล้ว เตือนอีก กำลังพูดกับชาวยิว

            เพราะฉะนั้น พอเรารู้เป็นชาวยิว เราจึงรู้ว่ามันเป็นไปได้ มันน่าจะพูดแดกดัน หรือจี้ใจดำอย่างนี้  แต่สำหรับชาวต่างชาติ  พระองค์ทรงเมตตากรุณามากเลย เพราะว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย สำหรับชาวยิวแล้ว ชาวต่างชาติ คือหมู คือสุนัข สังคมเขารังเกียจ เขาถือว่าเราเป็นมนุษย์ประเภท 2  ประเภทด้อยค่า พวกบาบาเลียน คือพวกป่าเถื่อน ไม่มีศาสนา คำว่าศาสนาของเขา หมายถึงไม่มีพระเจ้า เพราะฉะนั้น เราควรรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้

            สิ่งหนึ่งที่เราควรรู้ ก็คือเราควรรู้ว่าในช่วง 3 ปีนี้ พระเยซูประกาศอยู่นี้  ที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ เป็นช่วงที่ยิวยังอยู่ในพันธสัญญาเดิม นี่เป็นยุคตาต่อตา ฟันต่อฟัน ยุคที่ชาวยิวต้องรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า ถึงจะได้รับการอภัยโทษ เป็นผู้ชอบธรรมได้ ยุคที่พระเยซูยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ยังกระทำงานนี้ไม่สำเร็จ ถูกไหม? พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้ไปตายที่ไม้กางเขน  ในช่วง 3 ปีนี้ ซึ่งพอท่านฟังอย่างนี้ปุ๊บ วิเคราะห์อย่างนี้แล้ว  ท่านก็จะคิดเหมือนผมคิด เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วพันธสัญญาใหม่ หรือเราเรียกกันว่าพระคัมภีร์ใหม่ สำหรับคนที่เป็นคริสเตียน เป็นคนต่างชาติ  ที่เราถือกันอยู่ ที่เราใช้กันอยู่นี้  ที่เขาเขียนไว้ว่าพระคัมภีร์ใหม่ จริงๆ แล้วพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ น่าจะเริ่มที่หนังสือกิจการ ไม่ใช่เริ่มต้นที่หนังสือมัทธิว

            เพราะว่ามัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น  4 เล่มนี้ เป็นหนังสือเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ ในช่วง 3 ปีของพระเยซูคริสต์ ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ และประกาศข่าวดีของพระองค์บนโลก ยังไม่ได้ตายบนไม้กางเขน  ยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย  เพราะฉะนั้น มนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด รวมทั้งชาวยิวด้วย ก็ยังอยู่ในพันธสัญญาเดิม อยู่ในพันธสัญญาตาต่อตา ฟันต่อฟัน ต้องรักษาบทบัญญัติอยู่ ถูกไหม? มันน่าจะเป็นอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น น่าจะเริ่มต้นที่พระเยซูตายบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งก็คือหนังสือกิจการนั่นเอง ไม่ใช่เริ่มต้นที่พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์ และดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี เป็นมนุษย์เฉยๆ หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย  พระองค์เป็นพระเจ้า พระบุตร กลับมาเป็นพระเจ้าแล้วครับ แต่ตอน 33 ปี พระองค์ยังคงเป็นมนุษย์อยู่ เป็นเหมือนผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับพระองค์ ประกาศข่าวดี ในฐานะพระเมซิยาห์ พระเจ้าที่เตรียมท่านไว้ เห็นไหมครับ? สิ่งเหล่านี้ถ้าเราเรียนรู้และมีพื้นฐานตรงนี้อยู่ ทำให้เราอ่านพระคัมภีร์ และสามารถที่จะเข้าใจบริบท เข้าใจว่ามันคืออะไร?

            ไปอ่านพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูจะทำงานให้สำเร็จ ตั้งแต่ปฐมกาลถึงหนังสือกิจการ ไม่ใช่ถึงหนังสือมัทธิว  เป็นเกี่ยวกันกับช่วงที่พระเจ้าใช้กฎหมายเดิม กฎหมายเก่า เรียกว่าบทบัญญัติเก่าอยู่เลย รวมทั้งชาวยิวเช่นเดียวกัน  เพราะฉะนั้น เริ่มต้นใหม่ที่กิจการ เวลาเราอ่านพระคัมภีร์เดิม เราจะได้รู้ว่าเราจะวิเคราะห์ข้อความในพระคัมภีร์เดิม นี่พูดถึงเราแล้วนะ เราในปัจจุบัน ตอนนี้เราอยู่ในยุคพระคัมภีร์ใหม่  เพราะฉะนั้น เราอ่านข้อความต่างๆ ในหนังสือพระคัมภีร์ ในยุคพระคัมภีร์เดิม เราก็ควรที่จะแปลความหมายบนพื้นฐาน สายตามองของพระคัมภีร์ใหม่ที่เราเข้าไปร่วมด้วย มันถึงจะได้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นมันจะสะเปะสะปะ กฎหมายเขาเลิกไปแล้ว เราก็ไปเอามาใช้ กฎหมายใหม่มี ไม่ใช้ อะไรต่างๆ เหล่านั้น

            คราวนี้ พอมายุคพันธสัญญาใหม่ พระคัมภีร์เรียกว่ายุคพระคุณ เห็นไหม? ต่างกันไหม? ยุคพระเดช คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน  ตอนนี้มายุคพระคุณแล้ว มันต่างกันลิบลับ  มาถึงพระคัมภีร์ใหม่ พันธสัญญาใหม่ เรียกว่ายุคพระคุณ  คือยุคหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นจากความตาย นี่เรียกว่ายุคพระคุณ พระเยซูก็จะมาชี้ให้ชาวยิว และพวกเราชาวต่างชาติด้วย ได้เห็นถึงบทบัญญัติในพระคัมภีร์ บทบัญญัติ คือกฎทางฝ่ายวิญญาณ ในพระคัมภีร์ใหม่ ในยุคใหม่ ในยุคพระคุณ ที่พระองค์ทรงทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน  พระองค์ทรงชี้ให้เรา สอนให้เราชาวต่างชาติ เหมือนกับที่ทรงชี้ให้ชาวยิว ได้รับรู้ ก่อนที่พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน ที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่ ท่านก็ถามว่า …

            “อ้าว! พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  แล้วเป็นขึ้นจากความตาย เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว แล้วจะมาชี้ให้เราพวกต่างชาติ  มาสอนเรา เหมือนกับสอนชาวยิวได้อย่างไร? ไม่ได้เดินอยู่บนโลกใบนี้แล้ว”

            เดี๋ยวก่อน เพราะท่านคิดเหมือนกับที่ชาวยิวเขาคิด  แต่พอดูในยุคพระคัมภีร์ใหม่ ท่านอ่านในพระคัมภีร์ใหม่ ท่านจะรู้ว่าพระเยซูชี้ให้เราคริสเตียน ผู้เชื่อ ชาวต่างชาติ  ได้รู้ถึงความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ  ในกฎใหม่ต่างๆ เหล่านี้ ในลักษณะของคนต่างชาติ  บนพื้นฐานของคนต่างชาติ  โดยผ่านทางอัครทูต ผู้รับใช้ต่างๆ ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ภายใน แล้วก็ประกาศ สอน เหมือนเดิม  พระองค์เป็นผู้ทำการงานในอัครทูตเปาโล สอนเราเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต ให้สมกับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เมื่อวางใจ เมื่อเชื่อในพระองค์ ต้อนรับพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ ที่จะมาเกิดใหม่ พระองค์ก็จะสอนวิธีว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร? ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็คือให้ทุกคนรักกัน มีความสามัคคีกัน ไม่โกรธกัน ไม่เคืองกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ให้อภัยกัน ไม่อิจฉากัน

            และก็จะจบลงตรงนี้ สังเกตนะว่าพระเยซูสอน ในยุคพระคุณให้กับคริสเตียนแล้วนะ หลังที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว คริสเตียนได้บังเกิดใหม่แล้ว พระองค์ทรงสอนอย่างไร?  ซึ่งตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้  ที่เราวิเคราะห์กัน กำลังพูดกับชาวยิวในยุคพันธสัญญาเดิม  เรื่องเกี่ยวกับคำอธิษฐานของพระองค์ ที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ ในเอเฟซัส 4:32 ท่านสังเกตดูนะ …

        เอเฟซัส 4:32 “จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกัน เหมือนที่พระเจ้าทรงได้อภัยแก่ท่านในพระคริสต์แล้ว”

            ผู้ที่เชื่อพระเยซูและบังเกิดใหม่แล้ว พระเยซูบอกว่า “จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกัน เหมือนที่พระเจ้าทรงได้อภัยแก่ท่านในพระคริสต์แล้ว”

            จากข้อนี้ ถามท่านว่าใครให้อภัยใครก่อน? ก่อนที่เราจะให้อภัยคนอื่น พระเจ้าให้อภัยเราก่อนแล้ว ถูกหรือเปล่า? พระเจ้าได้ให้อภัยเรา  และรับเราเป็นลูกก่อนแล้ว แล้วเราจึงอภัยให้กับคนอื่นได้ เพราะเราได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว โดยการอภัยจากพระเจ้าก่อน รับเราก่อน ให้เราได้เกิดใหม่ เกิดจากหน่อเชื้อนิรันดร์ วิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า วิญญาณเราจึงได้เป็นความรักเหมือนพระเจ้า  ได้เป็นผู้ให้อภัยเหมือนพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว ทั้งๆ ที่ความประพฤติของเรายังผิดๆ ถูกๆ อยู่เลย ใช่หรือไม่ใช่? ชัดไม่ชัด? ชัด อะไรมาก่อน? พระองค์ทรงอภัยให้เรา  รับเราเป็นลูกก่อน ไม่ว่าเราจะประพฤติอย่างไรก็ตาม  ถูกหรือไม่ถูก? แล้วอ่านข้อความเมื่อสักครู่นี้เห็นชัดไหม? ชัดเจนเลย โคโลสี 3:13  ที่ผมยกขึ้นมานี้ ก็เช่นเดียวกัน  ยิ่งเห็นชัดใหญ่เลยว่าใครให้อภัยใครก่อน พึ่งพาในตนเองไหม?  ไม่ได้พึ่งเลย เพราะเป็นยุคใหม่ ยุคพระคุณ ผ่านทางการช่วยเหลือของพระเมซิยาห์ คือพระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากความตาย  โคโลสี 3:13 …

        โคโลสี 3:13 “จงอดทน อดกลั้นต่อกันและกัน และไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน ก็จงยกโทษให้กัน ท่านจงยกโทษให้กัน เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยกโทษให้ท่านแล้ว”

            นี่กำลังพูดกับเราคนต่างชาติชัดๆ เลย คนต่างชาติที่กลับใจใหม่ หันมาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์ แทนที่จะวางใจในตนเอง พึ่งพาในการรักษาบทบัญญัติ ก็คือรักษาศีลธรรมตามศาสนา รักษาหลักข้อเชื่อตามหลักศาสนา รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้หมด หันมาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ให้ชำระบาปให้ พระเยซูก็ชำระบาปให้แล้ว พอชำระบาปให้แล้ว เราก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเยซูก็ทรงสอนเราอย่างนี้ว่า …

            “เมื่อเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็จงอดทนอดกลั้นต่อกันและกัน และไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน ก็จงยกโทษให้กัน เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยกโทษให้ท่านแล้ว

            ใครยกโทษก่อน? พระเจ้ายกโทษให้เราเรียบร้อยแล้ว เราจึงได้เป็นลูกพระเจ้า พอเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระเจ้า พระเจ้าจึงบอกว่านั่นแหละ เราสามารถทำได้ จากวิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว ข้างนอกก็ฝึกฝนในการให้อภัย ฝึกฝนแปลว่าทำได้หมดไหม?  ไม่หมด ไม่หมดไม่เป็นไร? เพราะวิญญาณเราเกิดใหม่แล้ว  เห็นไหม ต่างกันกับพันธสัญญาเดิมพูดกับชาวยิวใช่ไหม?

            ชาวยิว คือท่านต้องให้อภัยคนอื่นก่อน แล้วพระเจ้าจึงจะอภัยให้ท่าน แล้วทำได้ไหม? ไม่ได้ สังเกตเมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่าน …

            “และไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน”

            อยากถามว่าตอนนี้พระเยซูพูดกับใคร? ทดสอบการแปลพระคัมภีร์หน่อยว่าท่านต้องรู้ว่าเรื่องนี้กำลังคุยกับใคร?  พระเยซูพูดผ่านทางเปาโล พูดกับคนที่เป็นคริสเตียนว่า …

            “ท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน”

            “คริสเตียนมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน” ก็แสดงว่าคริสเตียนยังคงมีความประพฤติที่ครบถ้วนบริบูรณ์ไหม? ไม่ นี่พระเยซูพูดเองนะ ท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน จงฝึกฝนในการอภัยให้กัน  เพราะว่าพระเจ้าได้ให้อภัยท่าน วิญญาณเกิดใหม่ ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในท่านแล้ว  ท่านมีกำลังตรงนี้แล้ว ฝึกฝน ทำได้หรือไม่ได้ ทำได้มากหรือได้น้อย  ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรท่านก็เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์อภัยให้ท่านแล้ว นี่เขาถึงเรียกว่าพระคุณ ความรอดจึงเป็นความรอดนิรันดร์ ความรอดฟรีๆ รอดแล้วรอดเลย  ก็เป็นเพราะอย่างนี้

            โดยพระคุณของพระเจ้า เราจึงได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ก็เป็นความรักเหมือนพระองค์ ก็เป็นความเมตตากรุณา เป็นคนที่ให้อภัยเสมอ เป็นธรรมชาติอยู่ในวิญญาณตลอดเวลาเช่นเดียวกัน มันเป็นธรรมชาติ ที่เราเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา มันเป็นอย่างนี้  และวิญญาณตัวนี้ ที่เป็นธรรมชาติ บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมนี้ ก็คือเป็นวิญญาณที่จะอยู่ไปนิรันดร์  เมื่อจากโลกนี้แล้ว วิญญาณออกจากร่าง ทิ้งร่างนี้ไว้ วิญญาณไป วิญญาณธรรมชาติเป็นอะไร?  เป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้านั้น ควรจะอยู่ที่ไหน? ท่านคิดเอาเองแล้วกัน

            วิญญาณท่านออกจากร่าง ท่านควรจะไปอยู่ที่ไหน?  มันชัดเจนเลย แทบจะไม่ต้องบอกแล้ว ท่านตอบเองได้เลยว่าก็อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อยู่ตั้งแต่เมื่อไร? ก็อยู่ตั้งแต่เดี๋ยวนี้  ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็อยู่แล้ว  เพียงแต่ตอนจากร่างนี้ไปปุ๊บ พระเจ้าสัญญาว่าจะเตรียมร่างกายใหม่ไว้ให้กับท่าน เหมือนเสื้อผ้าสวมใส่ ซึ่งเป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์อีกต่างหาก ขอบคุณพระเจ้า เอเมน มันง่ายนิดเดียวเลย ความรอด ข่าวประเสริฐของพระเจ้า มันง่ายอย่างนี้จริงๆ ง่ายจนกลายเป็นทางแคบ คนส่วนใหญ่คิดว่ามันง่ายเกินไป มันไม่น่าใช่ มันต้องยากๆ หน่อย มันต้องฝึกฝน ทรมานตัวเอง  ต้องอันโน้นอันนี้ ต้องให้ดีพร้อม ผิดนิดหนึ่งก็ไม่ได้ คิดพลาดก็ไม่ได้ คิดก็ต้องสะอาดหมดจด จับความคิดให้มันสะอาดหมดจด ทำก็ต้องทำให้ดี พลาดนิดหนึ่งก็ไม่ได้ กินเหล้านิดหนึ่งก็ไม่ได้ คิดกันใหญ่เลย สูบบุหรี่หน่อยหนึ่งก็ไม่ได้  อันโน่นก็ไม่ได้ อันนี่ก็ไม่ได้  ก็คิดพยายามที่จะทำๆ รักษาบทบัญญัติ รักษาเคร่งในศาสนา มันไม่สามารถเปลี่ยนวิญญาณได้เลย นี่ชัดเจน

            แล้วสมมติว่าถ้าใครที่ต้องการชัดเจน ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ก็คือยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังคงอยู่ใต้บทบัญญัติเดิมอยู่ ยังคงพึ่งพาตนเองอยู่ ยังคงพึ่งในการกระทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม สมบูรณ์แบบ เพื่อจะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าหลังความตาย ซึ่งพระองค์ก็บอกแล้วบอกเล่าว่าไม่มีใครทำได้ บอกกับชาวยิวก่อน แล้วก็มาบอกกับเราทีหลัง ที่ไม่ใช่ชาวยิว มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราเองก็รู้ตัวว่ามันเป็นไปไม่ได้  แต่ถ้าผู้ใดรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ และได้ยินข่าวประเสริฐ ที่พระเยซูพูดนี้ จะผ่านทางเปาโล หรือผ่านทางผู้เชื่ออื่นๆ ที่รู้จักข่าวดีนี้

            พูดง่ายๆ ว่าข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์นี้ รอดโดยพระคุณนี้ มาถึงเขา และเขาเชื่อ ผู้ใดเชื่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ผู้นั้น ก็ได้รับการชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ ผ่านทางพระโลหิตของพระเยซูที่หลั่งที่ไม้กางเขน  และได้รับการอภัยในความบาปผิดทั้งหมด ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หมดเกลี้ยงเลย โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำ และความประพฤติของเขาเลย ตามที่เราได้เรียนรู้มา เขาไม่ต้องพึ่งพาการกระทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว พระเยซูทำให้สำเร็จหมดเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าพระองค์ทรงรัก และพระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ฟรีๆ ตามยอห์น 3:16 พระเยซูตรัส ประกาศดังลั่นเลย  ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ …

            “เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกนี้ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อว่าผู้คนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่ไปสู่ความพินาศ หลังความตาย แต่จะเข้าสู่สวรรค์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ ก็คือชีวิตของพระเจ้านั่นเอง”

            ในกาลาเทีย 3:10-11 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        กาลาเทีย 3:10-11 “10 เพราะว่าคนทั้งหลาย ซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง 11 เป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่ โดยความเชื่อ”

            เห็นไหมครับ พอเราอ่านตรงนี้ บนพื้นฐาน เรียนรู้ว่ายุคไหนเป็นยุคไหน? เราจะรู้ว่าที่กำลังอ่านอยู่นี้ กำลังพูดกับใคร? อ้าว! ไม่ใช่ชาวยิวแล้วนะ พูดกับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว  เพราะว่าเขียนหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ยุคนี้แล้ว ยุคคนต่างชาติ  พูดกับคนต่างชาติ เห็นไหมเราจะได้เข้าใจมากขึ้น พูดอย่างไร? พูดอะไร?  ก็พูดเหมือนตอนพูดกับชาวยิว  แต่คนละยุคกัน พูดประกาศ เพื่อเตือน  ไม่ใช่มาสอนให้ทำ มาเตือน มาบอก มาชี้ให้เห็นในโลกวิญญาณว่าทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง ก็เหมือนกับตอนที่พูดกับชาวยิวว่าอภัยให้กับคนอื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน  ท่านทำไม่ได้หรอก  นี่ก็เหมือนกัน

            “เพราะว่าคนชอบธรรม” ก็คือคนที่จะบริสุทธิ์ ดีพร้อม จะไปอยู่ในสวรรค์ได้นั้น คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ  ใครเป็นคนพูด? พระเยซูพูด พูดกับใคร? พูดกับคนต่างชาติที่มีชีวิตอยู่ หลังจากที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว ประกาศผ่านทางอัครทูตคนหนึ่งที่เป็นชาวยิว ที่กลับใจใหม่ มาเชื่อพระเยซูคริสต์ และพระเยซูแต่งตั้งเขาเป็นอัครทูต เพื่อนำเอาข่าวประเสริฐนี้ไปประกาศให้กับคนต่างชาติ พระองค์ทรงประกาศผ่านทางเขา  พระองค์ให้ชีวิตใหม่กับเขา และเข้าไปสถิตอยู่กับเขา นำพาชีวิตของเขา เท่ากับพระองค์ทรงประกาศให้กับคนต่างชาตินั่นเอง

            เห็นไหมครับ? บทบัญญัติเดิม พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ทุกจุด ทุกขีดในหนังสือธรรมบัญญัตินั้น ก็ถูกสาปแช่ง คือพินาศในบึงไฟนรก หลังความตายนั่นเอง แต่บทบัญญัติใหม่ในพระเยซูคริสต์ คืออะไร? ท่านอยากรู้ไหมว่าพระเยซูมาบอกว่าตอนนี้มีบทใหม่แล้ว ตอนที่พูดกับชาวยิว ตอนพันธสัญญาเดิม ท่านทำไม่ได้หรอก ท่านถูกสาปแช่งแล้ว แต่ยังไม่ได้มีกฎใหม่  ก็เลยบอกว่าวางใจในเราสิ แล้วได้เกิดใหม่ จบแค่นั้น

            แต่หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย มาพูดกับชาวต่างชาติ เพิ่มเติมขึ้น  เพราะว่าพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว  โรม 8:1-2 บอกชัดเจนเลยว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตายแล้ว บัดนี้ อยู่ในกฎใหม่แล้ว มาเลยๆ พี่น้อง หมายถึงมนุษย์ที่เป็นชาวต่างชาติ  ได้ยินได้ฟังคำนี้แล้ว พระเยซูบอกเข้ามาเลยๆ มาอยู่ที่นี่ เข้าสวรรค์ พ้นจากความพินาศ …

        โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการพิพากษาลงโทษให้พินาศ หลังความตาย แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะพ้นจากโทษของความบาป)”

            “เหตุฉะนั้น บัดนี้ ไม่มีการพิพากษาลงโทษให้พินาศ หลังความตาย แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์” … ก็คือคนที่เปิดใจรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วย เป็นพระมาสิฮาห์ ชำระบาปให้กับเขา เห็นหรือยัง? ก่อนหน้าที่พูดกับชาวยิว ไม่มีตรงนี้ว่าได้อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้บอก แต่ตอนนี้ได้บอกแล้ว

            แล้วก็บอกเหตุผล ข้อ 2 ว่า “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต” … ก็คือกฎใหม่นั้น ซึ่งตอนพูดกับชาวยิวตอนนั้น ยังไม่มีกฎใหม่นี้อยู่ แต่กฎใหม่กำลังจะมา กฎใหม่มาพร้อมสวรรค์ที่พระองค์บอกว่าสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ ก็คือกฎใหม่ในการเข้าสวรรค์กำลังจะมา แต่ยังไม่มา ยังขาดอีก 3 ปี แต่ตอนนี้หลัง 3 ปีแล้ว  ทำสำเร็จแล้ว ก็เลยบอกว่า … “กฎของวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย” กฎแห่งความบาปและความตาย ก็คือกฎเดิม ตอนนั้นที่คุยกับชาวยิว ชาวยิวถืออยู่ กฎแห่งการรักษาบทบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น กฎแห่งการพึ่งพาตนเองในการกระทำดี

            สำหรับชาวต่างชาติ ก็คือการกระทำดีตามศาสนา ตามศีลธรรม ตามจิตใจที่บอกอยู่ในใจว่าทำอย่างนี้ดี ต้องพึ่งในการกระทำของตนเอง สำหรับชาวยิว ก็คือกฎแห่งการรักษาบทบัญญัติของโมเสส กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่เราเชื่อและได้บังเกิดใหม่นั้น ทำให้เราเป็นอิสระ ถ้าเป็นชาวยิว ก็เป็นอิสระจากกฎของบทบัญญัติของโมเสส ถ้าเป็นคนต่างชาติ ก็เป็นอิสระจากกฎของศีลธรรมที่อยู่ในใจเรา เรารู้ จะศีล 5 ศีล 7 ศีล 8 ศีล 20 ศีล 217 ศีลเท่าไรก็แล้วแต่ เรารู้ว่าเรารักษา ศีล 5 ยังไม่ได้เลย คนได้ศีล 5 ก็พยายามทำศีล 8 ต่อไป พอได้ศีล 8 ก็ทำศีล 20 ต่อไป  คนได้รับศีล 20 ทำอย่างนี้อีกต่อไป ทำเป็น 217 คนทำ 217 ก็ต้องทำอย่างนี้อีก ต้องละไว้ตรงนี้อีก  เพื่อที่จะไปสวรรค์หลังความตาย แต่พระเยซูคริสต์บอกมาวางใจในพระองค์ และได้บังเกิดใหม่ เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้ ไปอยู่ในสวรรค์ เดี๋ยวนี้เลย บนโลกใบนี้

            พระเยซูจึงประกาศเตือนอย่างชัดเจนในมัทธิว 6:14-15 ในตอนท้ายของบทนี้  ไว้อย่างนี้ว่า …

        มัทธิว 6:14-15 “14 เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยให้ท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”

            ถ้าท่านอภัย ทำได้ พระเจ้าก็จะอภัยให้ท่าน ชำระท่านให้สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าทำไม่ได้ แต่ถ้าท่านไม่ทำ  ทำไม่ได้ ท่านก็ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิม แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยความบาปผิดให้กับผู้อื่น  ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว  พระบิดาก็ไม่ให้อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน

            แต่ในยุคพระคุณ ที่เราเรียนรู้เมื่อสักครู่นี้  พระองค์กำลังบอกว่าให้กลับใจใหม่ มาเชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์เถิด วางใจในพระองค์แล้ว ต่อให้ท่านอภัยให้กับคนอื่นไม่ได้ กำลังฝึกฝนในการอภัยให้คนอื่นไม่ได้ ยังรู้สึกคิดริษยา อิจฉาอยู่ แล้วก็อภัยไม่ได้ พยายามแล้ว พยายามอีก นอนไม่หลับ อยากจะอภัย ก็อภัยไม่ได้ แต่วางใจในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ  หลังความตาย ก็ไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้า เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์พร้อม โดยความเชื่อ ในพระคุณของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น สรุปวันนี้ ก็คือพระเยซูกำลังเตือนชาวยิวว่าอย่าคิดว่าตัวเองแน่ และสามารถรักษาบทบัญญัติ เพื่อเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านจะไปไม่รอด จงหันมาพึ่งพา วางใจในพระองค์ พระเมสิยาห์เถิด นี่สำหรับชาวยิว

            แล้วสำหรับชาวที่ไม่ใช่ยิว ชาวต่างชาติ พระองค์กำลังเตือนว่าอย่าคิดว่าตัวเองทำได้ ในการรักษาศีลธรรม ความดีงาม  แม้ว่าคนทั้งหลายจะเห็นว่าดีก็ตาม  อย่านึกว่าท่านรักษา เคร่งในศาสนาที่ท่านยึดถืออยู่ และเป็นสิ่งที่ดี สำหรับสังคม ใครๆ ก็รู้ว่าดี ถูกต้อง แต่มันก็ช่วยไม่ได้ในเรื่องกฎของวิญญาณ เพราะว่าท่านไม่สามารถทำดีจนครบถ้วนบริบูรณ์  ตามสายพระเนตร ตามเกณฑ์ของพระองค์ได้  เพราะว่าใจของท่าน วิญญาณของท่านเป็นบาปตั้งแต่กำเนิด  ต้องได้รับการรักษา ต้องได้รับการเปลี่ยนวิญญาณใหม่ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น ท่านจึงจะสามารถรอดพ้นจากการพิพากษาลงโทษในความพินาศหลังความตายได้

            สรุป พระองค์ไม่ได้มาสอนให้เราทำบทบัญญัติเหล่านั้น ไม่ได้มาสอนให้เรารักษาบทบัญญัติเหล่านั้น  ไม่ได้มาสอนชาวยิวให้รักษาบทบัญญัติของโมเสส ไม่ได้มาสอนชาวต่างชาติ ให้มารักษาบทบัญญัติทางศาสนาของแต่ละกลุ่ม แต่ละก้อน แต่ละประเทศ แล้วแต่ แต่ละความเชื่อ แต่พระองค์มาเตือนให้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้ ในการพึ่งตนเอง  เพื่อที่จะไปสวรรค์หลังความตาย แต่เตือนให้กลับใจใหม่ หันมาวางใจในพระองค์ และข่าวประเสริฐของพระองค์เถิด แล้วเราค่อยต่อสัปดาห์หน้าให้ลึกขึ้นกว่านี้ พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            แผนการของพระเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก คือมนุษย์ทั้งหลายจะได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์

 ปราศจากบาป สะอาดสมบูรณ์ดีพร้อมตลอดไป โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ

            โคโลสี 1:14 … “ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์)  เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ (เราได้รับการไถ่ หมดเวรหมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี หรือการอธิษฐานสารภาพบาปทุกครั้งที่เราทำบาป เพราะพระเยซูชำระหนี้บาปของเราหมดเรียบร้อยแล้ว)”

            เมื่อเรายอมให้พระเจ้าเข้ามาบัพติศมาเรา เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำเพื่อเรา บนไม้กางเขนแล้ว ความบาปของเราได้รับการลบออกไปทั้งหมดเลย โดยการบังเกิดใหม่

            เราได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์ดีพร้อม เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เราจึงเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ในสวรรค์ได้

            และในพระเยซูคริสต์นี้ เรายังได้รับการอภัยในความบาปทุกครั้ง ที่เราอาจถูกล่อลวง จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ให้กระทำในร่างกายนี้อีกด้วย

            ทั้งหมดนี้  เป็นพระคุณความรักจากพระเจ้า ที่ทรงกระทำให้เราเปล่าๆ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ แค่ยอมมารับสิทธิของตนเท่านั้น โดยไม่ได้เกี่ยวกับการประพฤติดี หรือการอธิษฐานสารภาพบาปของเราเลย

            ก่อนที่เราจะสารภาพบาปนั้น  พระเจ้าได้ประทานอภัยโทษให้กับเราล่วงหน้าแล้ว เพราะพระโลหิตของพระเยซู  ได้ชำระหนี้บาปเวรกรรมทั้งสิ้นของเราหมดแล้ว

            ฮีบรู 10:14 … “และโดยพระประสงค์นี้  (แผนการของพระเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก) เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด สมบูรณ์ ดีพร้อมแล้วตลอดไป โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ (สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน) เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

            พระเจ้าได้ตรัสว่า … สดุดี 103:11-12 … “11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเพียงใด ความรักของพระองค์ ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น  12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด พระองค์ก็ทรงยกเอา การล่วงละเมิดของเรา ออกไปไกลเพียงนั้น”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1420

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  มิถุนายน  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            คำบรรยายในวันนี้ มีชื่อว่า “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15” ตอน 1 “พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?”

            หัวข้อคำบรรยายวันนี้ ก็คือคำอธิษฐาน ในพระคัมภีร์มัทธิว บทที่ 6:9-15 ซึ่งเรามักจะได้ยินและคุ้นๆ กัน หลายคนท่องจำได้อยู่แล้ว เป็นคำอธิษฐานตามแบบอย่างพระเยซูคริสต์ หัวข้อเขาเขียนไว้ในพระคัมภีร์ เพราะในพระคัมภีร์ข้อนี้ ขึ้นต้นอย่างนี้ว่า …

            “ฉะนั้น ท่านควรอธิษฐานดังนี้ว่า …”

            นี่คือคำพูดของพระเยซูที่บันทึกเอาไว้นะ เพราะฉะนั้น ถ้าอ่านแค่เฉพาะข้อความตรงนี้ แน่นอน เราก็ต้องเข้าใจว่าพระเยซูกำลังสอนให้เราอธิษฐานตามแบบนี้แน่ๆ แต่ว่าอย่างที่เราเน้นกันมาตลอดว่าการศึกษาพระคัมภีร์ให้เข้าใจความหมาย ควรจะอธิบายความหมายตามบริบทที่ถูกต้อง เราต้องรู้ที่มาที่ไปว่าคำพูดนี้อยู่ในบริบทอะไร? กำลังพูดกับใคร? พูดที่ไหน? พูดเพื่ออะไร?  จุดประสงค์อย่างไร? อยู่ในสถานะอะไรในขณะนั้น ระหว่างคนพูดกับคนฟัง? เราควรจะรู้ถึงเรื่องเหล่านี้ เราจึงจะได้ความหมายที่แท้จริงของความหมายเหล่านั้น

            และวันนี้ เราจะมาศึกษาคำอธิษฐานของพระเยซู ที่บันทึกไว้ในหนังสือมัทธิว 6:9-15 นี้อย่างชัดๆ ว่าพระเยซูกำลังพูดกับใคร? สอนให้เราทำตามหรือ? เอาแบบละเอียดเลย เพราะว่ามีพี่น้องผู้เชื่อใหม่หลายท่านก็มาถาม เพราะเนื่องจากได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า ในคำบรรยายของเราที่นี่หลายๆ เรื่อง ตั้งแต่เรื่องความเป็นจริงของข่าวประเสริฐ  การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และการอัศจรรย์เกิดขึ้นทั้ง 10 อย่าง เกิดขึ้นอย่างไร? พระคุณความรอดของพระเจ้าที่เราได้รับมาฟรีๆ แล้ว มันเป็นเช่นไร? ก็เลยนึกถึงคำอธิษฐานนี้ ที่เขาเคยจำได้ ตั้งแต่เริ่มเชื่อใหม่ๆ และเคยได้ยิน ได้ฟังอยู่บ่อยๆ รู้สึกมันแย้งกันกับสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้ เขาสงสัย เลยเข้ามาถามว่าจริงๆ แล้วตรงนี้ มัทธิว 6:9-15 มันหมายถึงอะไรกันแน่

            เราจะใช้เวลานี้ในการศึกษา เจาะลึกเข้าไปอย่างลึกซึ้งเลย จะศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ก็ต้องลงรายละเอียดถูกไหมครับ? ให้ถึงรากฐานความจริง เพราะฉะนั้น วันนี้จึงเป็นแค่ตอนที่ 1 ของเรื่องนี้เท่านั้น ยังมีอีกหลายตอน ฟังให้จบ เอาให้มันชัด เอาให้มันชัวร์เลย เพราะเป็นเรื่องสำคัญ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่เรากำลังประกาศอยู่  คำว่า “เรากำลังประกาศอยู่”  เรา  หมายถึงคริสเตียนทั้งโลก กำลังประกาศถึงเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์กันอยู่ มันเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ ด้วย จึงเอาให้อย่างละเอียด

            จริงๆ แล้วตัวอย่างการอธิษฐาน ในหนังสือมัทธิวตรงนี้ มันเป็นช่วงที่พระเยซูกำลังตระเวนประกาศความจริงให้กับชาวยิว จะได้เห็นชัดว่าพูดกับใคร? เราจะเริ่มรู้ ประกาศทำไม? เพื่ออะไร? เป้าหมายที่พระเยซูประกาศตรงนี้ นี่คือหนึ่งในจำนวนประกาศ ข้อพระคัมภีร์นี้ เป้าหมายก็เพื่อจะให้ชาวยิว วางใจและพึ่งในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเมสิยาห์  “เมสิยาห์” แปลว่าพระคริสต์ “พระคริสต์” แปลว่าผู้ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อมาช่วยให้รอด พระผู้ช่วยให้รอดนั่นเอง

            เป้าหมาย คือให้วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ แทนที่จะพึ่งพาการรักษาบทบัญญัติ ด้วยตนเอง เหมือนกับที่ชาวยิวกำลังปฏิบัติกันอยู่ในขณะนั้น ตามความเชื่อเดิมๆ ในเวลานั้น ซึ่งบทบัญญัติเหล่านี้ ถือมาตั้งแต่สมัยโมเสส ตั้งแต่บรรพบุรุษของชาวยิว เพื่อเมื่อไปละเอียดๆ มากๆ จะได้รู้ว่าพูดไปๆ กลับกลายเป็นตัวฉัน  ท่านใช่ชาวยิวหรือเปล่า? ตอนนี้พระเยซูกำลังพูดกับใคร? ชาวยิว ผมพยายามให้เน้นตรงนี้ ถ้าเผื่อท่านจำตรงนี้ได้ ท่านจะสามารถอธิบายความหมายเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน แจ่มใสเลย จะไม่มีข้อสงสัยในใจของท่านอีกต่อไป

            พระเยซูบอกกับชาวยิว ตอนนี้เรามาเป็นบุคคลที่ 3 นั่งฟังอยู่ ยังไม่ได้พูดถึงเรานะ เอเมนไหม?

            พระเยซูกำลังบอกว่าพระองค์ไม่ได้มา เพื่อลบล้างธรรมบัญญัติ ท่านจะเริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหม? ธรรมบัญญัติเกี่ยวอะไรกับเราหรือเปล่า? “เรา” ไม่ใช่ชาวยิว ตอบว่าไม่เกี่ยว พระองค์กำลังพูดกับชาวยิว ชาวยิวถือธรรมบัญญัติของโมเสส เราไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโมเสสเลย เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง? เริ่มรู้แล้วใช่ไหม? เริ่มน่าสนใจแล้วใช่ไหม? แต่พระองค์มาเพื่อยืนยันกฎบัญญัติของพระเจ้า ตั้งแต่สมัยโมเสส ที่มนุษย์ ก็คือพวกชาวยิวทุกคน ต้องทำตามให้ครบ ทุกจุด ทุกขีด ถึงจะสะอาดบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเจ้าได้ และสามารถได้รับความรอด ได้เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ได้ ต้องรักษาบทบัญญัติเหล่านี้ ถึงจะเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรได้  เพราะต้องสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าสวรรค์อยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ นี่คือเป้าหมายของพระเยซูที่พูดกับชาวยิวทั้งหมด ในขณะนั้น

            สรุปรวมความ ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่าท่านต้องดีพร้อม บริสุทธิ์ ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะอยู่ในสวรรค์ ตามสายพระเนตรของพระเจ้า ที่ตัดสินท่าน ต้องเป็นอย่างนี้ แต่ความจริง คือไม่มีชาวยิว หรือแม้กระทั่ง คนที่ไม่ใช่ยิว ผู้ใดเลย ที่จะสามารถรักษากฎบัญญัติได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ทุกจุด ทุกขีด ไม่พลาดเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีมนุษย์คนไหน ไม่ว่าจะยิวหรือไม่ยิว ก็ตาม ที่จะสามารถทำตัวเอง ให้ดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ไม่ผิดเลยแม้แต่นิดหนึ่ง  ไม่ทำบาปเลยแม้แต่นิดหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้เลย

            พระเยซูยกตัวอย่างว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย เหมือนกับท่านเอาอูฐลอดรูเข็ม เอาแค่ไข่ไก่ลอดรูเข็ม ก็ไม่ได้แล้ว แต่นี่พระองค์บอกเอาอูฐทั้งตัวลอดรูเข็ม มันเป็นไปไม่ได้เลย กำลังพูดกับใคร? ชาวยิว ชาวยิวฟังตกใจ

            เราจึงได้ข้อสรุปว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะพึ่งพาตนเอง ในการทำให้ตัวเองนั้นสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ โดยการรักษากฎบัญญัติ  สำหรับชาวยิว ก็คือบทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสสบันทึกเอาไว้ แต่สำหรับเรา ที่ไม่ใช่ชาวยิวล่ะ เปรียบเหมือนอะไร? ก็เหมือนกับกฎหมายทางศีลธรรม กฎหมายทางศาสนา กฎแห่งกรรม การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่เราเอามาเปรียบเทียบให้ดู ไม่มีใครสามารถรักษากฎเหล่านี้ ตามศาสนาได้อย่างดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้า ไม่มีผิดเลยแม้แต่นิดเดียว

            สรุป ก็คือไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถเข้าสวรรค์ได้ด้วยการกระทำของตนเองนั่นเอง พระเยซูกำลังเน้น แล้วบอกกับชาวยิวต่อว่าไม่มีใครทำได้เลย เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม ถ้าคุณจะรักษาบทบัญญัติ เพื่อจะได้รับความรอด จากการลงโทษหลังความตาย ไปสวรรค์ได้ ไม่มีทาง เป้าหมายของพระองค์ ก็คือมีเพียงทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ท่านบริสุทธิ์ ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าได้ ตามเกณฑ์ที่พระเจ้ากำหนดไว้ นั่นก็คือผ่านทางพระองค์เอง ซึ่งพระองค์เป็นพระเมสิยาห์ พระเจ้าทรงประทานให้มา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดจากโทษของความบาปนั่นเอง มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องพึ่งในพระองค์ พระเยซูคริสต์ โดยการเชื่อในข่าวดีของพระองค์ เพื่อได้รับการบังเกิดใหม่ จะได้สะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าได้ ซึ่งตรงนี้ ใครเป็นคนทำแล้ว? พระเจ้าทำ เราทำด้วยตัวเองไม่ได้ พระองค์ยกตัวอย่าง เหมือนกับท่านทำด้วยตัวเอง เพื่อจะไปสวรรค์ เท่ากับเอาอูฐลอดรูเข็ม ทำไม่ได้ แต่ถ้ามาพึ่งในพระองค์ พึ่งในพระเจ้า วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ล่ะก็ พระองค์ตรัสตรงกันข้ามกับเมื่อสักครู่นี้

            บอกว่า … “ถ้าท่านวางใจในเรา ท่านจะบังเกิดใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ โดยพระเจ้าเป็นผู้กระทำ”

            พระองค์ตรัสว่า … “สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ เอเมน

            นี่คือเป้าหมายที่พระองค์กำลังพูดอยู่ ตลอด 3 ปีนี้ พระองค์พูดอย่างนี้  … “เขาจะทำด้วยตนเองนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม ต้องมาพึ่งเรา วางใจในเราว่าเราเป็นคนนั้นแหละ ที่ท่านรอคอย คือเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระเจ้า  ที่พระองค์ส่งมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะช่วยท่านทั้งหลาย  และโดยพระเจ้า โดยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระองค์นี่แหละ สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ คือท่านเข้าสวรรค์ได้  สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้ โดยผ่านทางเรา” เอเมนไหมครับ?

            คำถามที่ว่า “พระเยซูกำลังสอนให้เราอธิษฐานตามแบบอย่างนี้ จริงหรือ?” ลองมาพิสูจน์กันตอนนี้ ลองอ่านกันดูนะ ท่านพอจะรู้ระแคะระคายแล้วว่าถ้อยคำที่เรากำลังจะอ่านนี้ เราคุ้นหูกันดี ตอนนี้ ท่านรู้แล้วว่าไม่ใช่ข้อความที่มาถึงเรา เรากำลังแอบอ่านหนังสือที่พระเยซูเขียนหรือพูดกับชาวยิว เรากำลังไปแอบอ่าน ท่านจะได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าที่เราอ่าน พูดถึงใคร? ไม่อย่างนั้นจะยุ่งไปหมด เราแอบอ่านของเขา เราก็ไปนั่งรวมกับเขาด้วย แล้วก็แยกกันไม่ออกว่าใคร? เราเป็นเขา เขาเป็นเรา มั่วไปหมด

            คราวนี้ อ่านให้ท่านฟัง แล้วท่านคิดตามนะว่าเราไปแอบฟังเขา พระเยซูพูดกับชาวยิวอย่างนี้ว่า … มัทธิว 6:9-15 …

        มัทธิว 6:9-15 “9 ฉะนั้น  ท่านควรจะอธิษฐานดังนี้ว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูนสักการะ 10 ขอให้อาณาจักรของพระองค์ ได้รับการสถาปนาไว้ ขอให้พระประสงค์ของพระองค์  สำเร็จในโลก  เช่นเดียวกับในสวรรค์ 11 ขอโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้  12 ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เช่นกัน 13 และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลงเมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากมารร้าย 14 เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน  พระบิดาของท่านในสวรรค์ จะทรงอภัย ให้ท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”

            พระเยซูกำลังพูดกับใคร? ชาวยิว ตั้งแต่ข้อ 9-13 ที่เราอ่านกันเมื่อสักครู่นี้  เป็นคำอธิษฐานของชาวยิวโดยปกติอยู่แล้ว  แต่พระเยซูได้เพิ่มข้อ 14 กับข้อ 15 เข้าไป เพื่อให้ชาวยิวเขาได้เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ ด้วยการพึ่งพาตนเอง จะได้รับการอภัยโทษ หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว หลังจากตายแล้ว จะได้เข้าสวรรค์ เป็นไปไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมา นี่พูดถึงปัจจุบันนี้นะ ตั้งแต่เราเป็นคริสเตียนมา แต่ไหนแต่ไรมา คริสเตียนแทบทุกคนทั้งโลกเลย ถูกสอนให้ท่องคำอธิษฐานนี้ ให้จำจนขึ้นใจ หลายคนท่องคำอธิษฐานนี้ทุกคืน

            สังเกตนะว่าผมใช้คำว่า “ท่องคำอธิษฐาน” ผมไม่ได้ใช้คำว่า “อธิษฐานแล้ว” แต่ก่อนไม่รู้เรื่อง ก็ใช้คำว่าอธิษฐานตามอย่างพระเยซู ตอนนี้ เรารู้แล้วว่าไม่ใช่ ผมเลยเปลี่ยนเป็นคำว่า “ท่องคำอธิษฐาน” คริสตจักรบางแห่งให้สมาชิกท่องถ้อยคำนี้ ก่อนประชุมนมัสการ ทุกๆ วันอาทิตย์ตอนเช้า พูดเสมือนหนึ่งเป็นคำอธิษฐานของตนเอง เป็นคำปฏิญาณของตนเอง ท่านเริ่มคิดตามแล้วนะ ท่านเริ่มเข้าใจของท่านแล้วนะ

            คำถาม ก็คือจากที่เราได้เรียนรู้ไปบ้างแล้ว ถึงเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับการพึ่งตนเอง กับพึ่งพระเยซู ในการที่จะรอดจากโทษของความบาป หลังความตาย มาจนถึงทุกวันนี้แล้ว เราได้เรียนรู้กันที่นี่ มาพอสมควรแล้ว พออ่านถ้อยคำตรงนี้ เมื่อสักครู่นี้แล้ว มีคำถามหรือมีความสงสัยตรงไหนไหมครับ? สงสัยเต็มไปหมดเลย เยอะเลย เพราะเราเริ่มเรียนรู้แล้ว

            ยกตัวอย่าง ในข้อที่ 12 บอกว่า … “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เช่นกัน”

            คิดตามช้าๆ “ขอทรงยกหนี้บาป ก็คืออภัยโทษจากบาป ให้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย” ขอพระเจ้านะ “เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ ทำผิดต่อข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน”

            แปลว่าอันไหนเกิดก่อน? คิดตาม อย่าลืมว่าเราไปแอบอ่านหนังสือของเขา ถ้าแปลตรงๆ ตามตัวหนังสือ

            ตรงนี้ต้องแปลว่า … “เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์แล้ว ดังนั้น ข้าพระองค์จึงขอให้พระองค์ยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเช่นกัน”

            ถูกต้องไหมครับ? ถูก อ่านตามนี้ มันแปลว่าอย่างนี้แหละ ถูกต้องสำหรับตรงนี้ แต่ดูต่อไปนะ ใครที่ตอบว่าไม่ถูก ย้ำกันอีกทีว่าข้อ 14 กับข้อ 15 ได้บอกอย่างชัดเจน บางคนอาจจะแปลไม่ถูก

            ในข้อ 14 ข้อ 15 พระเยซูจึงชี้ลงไปให้เห็นชัดๆ เลย ตรงๆ เลยว่าอูฐลอดรูเข็ม มันคืออะไร?  ข้อ 14 กับข้อ 15 ที่พระเยซูเติมลงไป แล้วบอกพวกเขา

            “เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านที่อยู่ในสวรรค์ จะทรงอภัยให้ท่านด้วยเช่นกัน”

            เห็นภาพหรือยัง? มันมีเงื่อนไขขึ้นมาทันที … “แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยความผิดบาปของผู้อื่นก่อน พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านด้วยเช่นกัน”

            ก็คือขึ้นอยู่กับพระเจ้า หรือขึ้นอยู่กับตัวเราเอง พึ่งพระเจ้า หรือพึ่งตนเอง ต้องพึ่งตนเอง ถูกไหมครับ?  ถ้าเราทำไม่ได้ พระเจ้าก็ไม่ให้อภัยเรานะ ถ้าพระเจ้าบอกว่าท่านต้องทำอย่างนั้นก่อน เราถึงจะทำอย่างนี้ให้ ก็แสดงว่าเราต้องพึ่งตนเอง

            สรุป แปลว่าใครต้องอภัยใครก่อน? ถ้าอ่านตามแค่นี้ ก็กลายเป็นว่าพระเยซูกำลังสอนให้เราต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน พระเจ้าถึงอภัยให้กับเรา ใช่ไหม? แปลตรงๆ ชัดๆ เลย

            พระเยซูกำลังบอกว่า … “ถ้าท่านอยากได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้า ท่านต้องอภัยให้กับคนอื่นก่อน เพราะฉะนั้น ท่านต้องพึ่งพาตนเอง”

            ใช่ไหม? ใช่สิ่งที่เราเรียนรู้ไหมว่าพระเยซูมาประกาศ เพื่ออะไร? ตะกี้นี้เราบอกต้นๆ แล้ว แล้วที่เราเรียนรู้เรื่องข่าวดีมาตลอด ข่าวประเสริฐของพระเจ้ามาตลอดว่าความรอดจากบาปนั้น การอภัยโทษ จากการลงโทษเนื่องจากบาปนั้น ที่เราได้รับจากพระเจ้านั้น เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่ประทานให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ  โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะฉะนั้น มันขัดแย้งกับตะกี้นี้ไหม? ขัดแย้งกันมาก พระเยซูผู้เดียวกันนั้น ขัดแย้งกันได้อย่างไร?  เห็นอะไรบางอย่างไหม? เอเฟซัส 2:8-9 ยืนยันตามนั้นว่านี่คือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ นี่คือข่าวดีที่พระเยซูนำมา เพื่อโลกใบนี้ ไม่ใช่มาให้กับชาวยิวอย่างเดียว  แต่มาให้กับมวลมนุษย์ทั้งหลายทั้งหมดบนโลกใบนี้ ซึ่งไม่ใช่ชาวยิวด้วย หลักการของข่าวประเสริฐที่พระเยซูนำมา ก็คือเอเฟซัส 2:8-9 อ่านดูนะ …

        เอเฟซัส 2:8-9  “8 เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ  เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีตัวเอง ในความรอดของตนได้”

            นี่คือสำหรับเราทั้งหลาย ที่ไม่ใช่ชาวยิว ที่เป็นคริสเตียน และจริงๆ แล้ว ก็สำหรับชาวยิวที่กลับใจใหม่ ไม่พึ่งพาตนเอง มาพึ่งพระเยซู เป็นคริสเตียนด้วยเช่นเดียวกัน เห็นไหมครับ? แล้วเรานึกว่าเป็นของเรา พระเยซูมาสอนให้เราปฏิบัติ มันก็แย้งกันยุ่ง วุ่นวายไปหมด

            ย้ำกันอีกว่าเวลาจะอ่านพระคัมภีร์ จะศึกษาพระคัมภีร์ ถ้าจะให้เข้าใจความหมายที่ถูกต้องจริงๆ  เราต้องศึกษา ดูที่ไป ที่มาของบริบทนั้นๆ ด้วยว่าถ้อยคำตรงนี้ กำลังพูดกับใคร? พูดถึงใคร?  พูดในสถานการณ์แบบไหน? วัตถุประสงค์เพื่ออะไร?  ไม่ใช่ไปหยิบยกมาข้อ สองข้อ แล้วก็ตีความหมาย 2 ข้อนั้นไป ไม่ได้พูดกับเรา เราก็ไปเอามาใช้ ไม่ใช่สถานะเรา เราก็ไปเอามาใช้ มันก็วุ่นวาย ใช่ไหม?

            ลองคิดดูถ้าเกิดผมพูดอย่างนี้ ง่ายๆ เลย ยกตัวอย่างให้ดู สมมติผมยกข้อ 2 ขึ้นมาพูดว่า …

            ข้อที่ 2 การโลภก็ดี  การล่วงประเวณีก็ดี การวิวาทกันก็ดี การริษยากันก็ดี  การอิจฉากันก็ดี การเป็นศัตรูกันก็ดี การโกรธกันก็ดี การเมาเหล้าก็ดี  การนับถือรูปเคารพก็ดี

            อ่านข้อ 2 ถ้าท่านอ่านเพียงแค่นี้ แล้วก็แปลเลย การกระทำสิ่งเหล่านี้ มันทำไม? มันดีหมด ใช่ไหม? แต่ถ้าอ่านตามบริบทจริงๆ ก่อนข้อ 2 มา

            ผมอาจจะบอกว่า … “จงทำตัวให้สมกับฐานะที่ท่านเป็นบุตรพระเจ้า อย่าทำตัวตามอย่างระบบของโลกนี้  ที่เขาทำกัน การโลภก็ดี  การล่วงประเวณีก็ดี การวิวาทกันก็ดี การริษยากันก็ดี  การอิจฉากันก็ดี การเป็นศัตรูกันก็ดี การโกรธกันก็ดี การเมาเหล้าก็ดี  การนับถือรูปเคารพก็ดี”

            ข้อ 3 มา ผมพูดต่อว่า … “ข้าพเจ้าขอเตือนท่านว่าคนที่ประพฤติเช่นนั้น  ไม่ได้เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าเลย ทั้งๆ ที่ท่านได้รับความรอดแล้ว”

            สรุปแล้ว ดีหรือไม่ดี? ไม่ดี อย่าทำ แต่ถ้าอ่านข้อเดียวตะกี้นี้ มาตีความเลย มันไปกันแบบคนละทางเลย กลายเป็นผมส่งเสริมให้คนโลภ อะไรอย่างนี้ เพราะข้อนี้ เขาเอาไปอ้าง …

            “อ้าว! ก็อาจารย์บอกว่าโลภก็ดี ไหว้รูปเคารพก็ดี เมาเหล้าก็ดี”

            นี่ยกตัวอย่างให้แบบชัดๆ เลย ความหมายมันเปลี่ยนไปเลย อีกตัวอย่างหนึ่ง อันนี้ชัดมากเลย ผมเห็นหลายคนเข้าใจผิด

            สมมติว่ามีประกาศ อ่านประกาศ ตอนนี้โซเซียลมีเดียมีเห็นชัดเลย …

            “ประกาศ เรียนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า สายสีส้ม ให้ใช้บริการฟรีได้ในเดือนมิถุนายนนี้ เนื่องจากเปิดสายนี้ใหม่ ฉลองสายใหม่ให้ทดลองใช้ 1 เดือนฟรี (แล้วก็พูดอะไรอีกเยอะแยะ) เพราะฉะนั้น ท่านผู้ที่ใช้บริการรถไฟฟ้า เชิญใช้บริการฟรี ภายในเดือนมิถุนายน”

            โอ้โห! ดีใจกันใหญ่เลย เอาอะไรไปพูด จับไม่ได้หมด เอาตอนสุดท้ายไปพูด …

            “เชิญครับ ใช้บริการรถไฟฟ้าฟรี ภายในเดือนมิถุนายน”

            ไม่ได้อ่านตอนต้น … “ประกาศให้กับผู้ที่ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้ม” เท่านั้น มันจะมีสีอื่นอีกเยอะแยะ กลับไปบ้าน ไปพูดกับคนโน้น คนนี้ ไป ใช้บริการฟรีหมด เขาไปใช้สีเหลือง สีม่วง ตกใจ เสียเวลาไปตั้งเยอะ คิดว่าจะไปใช้ฟรี ที่ไหนได้ ต้องจ่ายตังค์เหมือนเดิม

            เคยคุ้นๆ ไหม? อันนี้ก็เสียหายไม่เยอะนะ แต่ชี้ให้ท่านเห็นชัดๆ ที่เสียหายเยอะ ที่ถูกหลอกมาก  เมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว ก็คือลักษณะอย่างนี้แหละ ผมเองก็เคยเข้าใจผิด ยกตัวอย่าง อันนี้คนก็เข้าใจผิดเยอะ ใน 1 เปโตร 2:24 อันนี้ชัดเจนเลย ลองอ่านดู …

        1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลาย ไว้ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”

            “ด้วยรอยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้การรักษาให้หาย” เอาไปท่อง บอกต่อๆ กันไป  ผมเองก็ไปบอกคนอื่นเขาเยอะแยะ  ผมเองก็ทำให้เขาเข้าใจผิด เหมือนผมไปประกาศเรื่องรถไฟฟ้าสีส้ม เหมือนกัน เพราะจิตใจมันอยากได้อยู่แล้ว มันอยากจะหายป่วยอยู่แล้ว  อยากจะได้สิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว เป็นทุน ดังนั้น ก็เลยทึกทักเอา ใช่แล้ว มีคนเขามาบอกว่า …

            “โดยรอยบาดแผลของพระเยซูคริสต์ เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว คุณนครได้รับการรักษาให้หาย ดูข้อพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้”

            “ใช่”

            “ใน 1 เปโตร 2:24 เขียนไว้ใช่ไหม?”

            ไปเปิดดู “ใช่” แล้วจะเถียงได้อย่างไรว่ามันไม่ใช่ แล้วรู้ไหมว่า 1 เปโตร 2:24 มาจากไหน? จริงๆ รู้ แต่แกล้งไม่รู้ รู้ได้อย่างไร? ก็ 1 เปโตร 2:24 ก็มาจาก 1 เปโตร 2:23 แล้ว 1 เปโตร 2:23 มาจากไหน? ก็มาจาก 1 เปโตร 2:22 แล้ว 1 เปโตร 2:22 มาจากไหน? ก็มาจาก 1 เปโตร 2:21 แล้ว 1 เปโตร 2:21 มาจากไหน? ก็มาจาก 1 เปโตร 2:20 แล้ว 1 เปโตร 2:20 มาจากไหน? ก็มาจาก 1 เปโตร 2:19 แล้วถ้าไม่เข้าใจ ก็อ่านย้อนขึ้นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็จะเจอเองว่าเขากำลังพูดกับใคร? …

            (1) เขากำลังพูดกับคริสเตียน … “เราก็เป็นคริสเตียน” … “ใช่”

            (2) แล้วเขาพูดกับคริสเตียนเรื่องอะไร? เรื่องเกี่ยวกับความรอด ทางวิญญาณ การตาย แล้วได้ไปสวรรค์ การตายแล้วได้รับร่างกายใหม่ ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน

            (3) แล้วพูดเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ทรมาน บาดแผลนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร? เกี่ยวกับเรื่องว่าคริสเตียนสมัยนั้น ถูกข่มเหง รังแก ถูกต่อต้าน บางคนถูกเฆี่ยน ถูกเอาไปทรมานอะไรต่างๆ ต้องทนทุกข์ลำบาก เขาจึงให้กำลังใจว่าพระเยซูก็ทนทุกข์ลำบากอย่างนี้แหละ แต่พระองค์ทรงทนทุกข์ เพื่อแบกรับเอาบาปของเราไปรักษาแล้ว ให้หายจากโรคของความเป็นคนบาป โรคที่อยู่ในวิญญาณ คือเกิดมาเป็นคนบาป รักษาเราให้หาย ให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า

            เขาพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องร่างกายนี้เลย แม้แต่นิดเดียว คิดดูสิ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ท่านก็รู้อยู่แล้ว ท่านก็เคย เสียหายเกิดขึ้น

            อีกข้อหนึ่ง ก็ชัดเหมือนกัน คล้ายๆ กัน 2 โครินธ์ 5:7 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 โครินธ์ 5:7 “เราจึงดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น”

            พอต่อจาก 1 เปโตร 2:24 ก็เลยบอกว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้เลยว่าให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น เพราะฉะนั้น ตามองเห็นว่า …

            “มีอาการหวัด มีอาการน้ำมูกไหล ปวดหัว”

            จะต้องบอกว่า… “ไม่ใช่ ไม่ปวด ปวดได้อย่างไร เราใช้ความเชื่อ ความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น คือความไม่เห็น ก็คือการหายโรคนั่นแหละ ปวดก็บอกว่าไม่ปวด เป็นก็บอกว่าไม่เป็น ถ้าท่านรักษาความเชื่ออย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเกิดขึ้นตามที่ท่านเชื่อนั่นนะ ก็คือท่านปวด ท่านก็บอกว่าไม่ปวดๆ แล้วเดี๋ยวมันไม่ปวดจริงๆ หายจริงๆ  และบางครั้ง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้จริงๆ เขาเรียกว่าอุปทาน  แต่มันไม่ได้เป็นจริงตามถ้อยคำพระเจ้า  ถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ 2 โครินธ์ 5:7 อยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นจริงๆ กำลังพูดถึงเรื่องอะไร?  ก็ต้องมาจาก 2 โครินธ์ 5:6 พวกเราตีความหมาย รู้เลย อยากรู้ความหมาย ตรงนี้พูดถึงใคร? พูดถึงอะไร? เป็นความหมายอย่างไร? กลับไปดูที่ 2 โครินธ์ 5:5 ข้อ 5 มีความหมายว่าอย่างไร? กลับไปดูข้อ 4 … ข้อ 4 มาจากข้อ 3 … ข้อ 3 มาจากข้อ 2 … ข้อ 2 มาจากข้อ 1 … ข้อ 1 มาจาก 2 โครินธ์ บทที่ 4 ถ้าอยากรู้ว่าบทที่ 5 หมายถึงอย่างไร ก็กลับไปอ่านบทที่ 4 ถ้ายังไม่รู้อีก ไปอ่านบทที่ 3 จะรู้ว่าบทที่ 4 หมายถึงอะไร? มาถึงบทที่ 5 ข้อ 7 นี้หมายถึงอะไร?

            พูดสั้นๆ ตรงนี้ ก็คืออาจารย์เปาโลกำลังเปรียบเทียบถึงร่างกายของเรา ร่างกายของเรา มันต่ำต้อย มันทุกข์ มันลำบาก มันเจ็บไข้ได้ป่วย มันต้องตาย มันเสื่อมโทรมไปทุกวัน มันกำลังตายไปทุกวัน  แต่เราไม่ท้อใจ เรามองดูที่ตัวตนที่วิญญาณข้างใน  ที่เราได้บังเกิดใหม่ โดยพระเยซูคริสต์ ให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มันเจริญเติบโตทุกวัน กำลังก้าวไปสู่การเจริญเติบโต เข้าไปรับร่างกายใหม่ ที่ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เมื่อเราจากร่างกายนี้  ทิ้งร่างกายนี้ไปแล้ว อย่าไปสนใจมัน ร่างกายต่ำต้อยเหล่านี้ แต่ให้มองไปที่วิญญาณข้างในที่บังเกิดใหม่ และร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้  เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นั้น ให้ดำเนินชีวิตอย่างนี้

            นี่มันคนละเรื่องกันเลยกับความเข้าใจผิด  เสียหายไหม? เสียหาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียหายข่าวประเสริฐ เพราะเราใช้ไป แล้วมันไม่เกิดผล คนอื่น ทั้งตัวเราเองก็สงสัยใคร? ก่อนเลย สงสัยตัวเราเองก่อน …

            “เราเชื่อไม่พอ เราต้องเชื่อมากกว่านี้ เชื่อมากกว่านี้ จะได้เห็นในสิ่งที่มองไม่เห็น”

            ไปกันใหญ่ พอสงสัยตัวเองไม่พอ สงสัยใครอีก พยายามทำความเชื่อเยอะๆ ก็บอกว่าให้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ  พยายามเชื่อๆ พยายามอธิษฐานมากๆ พยายามท่องถ้อยคำพระเจ้ามากๆ จำได้ขึ้นใจ พยายามหลับตาเห็นว่า …

            “ฉันหายๆ ฉันได้ๆ ฉันรวยๆ ฉันแข็งแรงๆ ฉันพยายามทำงานให้สำเร็จ”

            พยายามๆ พยายามเองไม่พอ เขาบอกให้มาโบสถ์ ก็มาโบสถ์ เขาบอกมาโบสถ์วันอาทิตย์อย่างเดียวไม่พอ มาทำงานรับใช้ที่โบสถ์เยอะๆ มารับใช้ด้วย ไปสัมนาที่ไหน ก็จะไป ฟื้นฟูที่ไหนก็จะไป ครอบครัว งานการประจำ ไม่สนใจ สนใจแต่เรื่องนี้ อยากจะได้ๆ ทำอะไรอีก เขาบอกยังไม่ได้  แสดงว่าทำอะไรไม่พอ ถวายไม่พอ ถวายๆ สิบลดถวายไม่ครบ ได้แค่ 7 ลด 8 ลดเอง ให้ครบสิบ เช็คดูสิ อะไรมันขาดอยู่ อันนี้ขาดอยู่ ไม่ได้ ก็ทำด้วยความเชื่ออีก  เขาบอกความเชื่อยังไม่พอ เพราะว่ามีคำสาปแช่งหลงเหลืออยู่ คำสาปแช่งที่มาจากบรรพบุรุษ ไปทำอะไรผิดไว้ไหม? เช็คดูอีก เช็คๆ ก็ยังไม่ได้อีก ไม่ได้ จนกระทั่ง จนหมดแล้ว ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว สงสัย ขั้นต่อไปที่เราควรสงสัย ก็คือใคร? ก็คือพระเจ้า …

            “พระเจ้าทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมพระองค์ทำกับลูก ลูกทำหมดทุกอย่างแล้ว ทำไมไม่ได้”

            ก็เพราะพระเจ้าไม่ได้สัญญาไว้อย่างนี้ เกิดเหตุไหมล่ะ เสียชื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คนอื่นมองมา ก็เลยกล่าวหาพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์พูดโกหก …

            “ไหนล่ะ บอกโดยรอยแผลเฆี่ยน พระเยซูรักษาโรคหาย คริสเตียนป่วยกันตั้งเยอะแยะ ทุกคนก็ป่วยกันหมด  อยู่โรงพยาบาล ประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิต ไหนล่ะ บอกว่ารอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์จะทำให้หายโรค ไหนล่ะ โดยความเชื่อแล้ว จะได้รับสิ่งที่อยากจะได้ ในนามพระเยซู ไหนบอกอธิษฐานในนามพระเยซูแล้วจะได้ ตามถ้อยคำ ไม่เห็นได้เลย ไม่จริงนิ”

            “อะไรไม่จริง”

            “ถ้อยคำเหล่านี้มันไม่จริง”

            ซึ่งมันไม่ใช่ถ้อยคำของพระเยซูจริงๆ เราไปทึกทักเอาเอง อันนี้เสริมให้เรื่องนี้เข้าไป เพราะพูดแล้วสนุก จะได้รู้ว่าเวลาตีความผิด มันทำให้ข่าวประเสริฐเสียหายมาก

            ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ถ้าเรายังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง แล้วเอาไปสอนแบบผิดๆ เอาไปแนะนำแบบผิดๆ  ก็จะทำให้ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ถูกบิดเบือนไป และตรงนี้แหละ คือสิ่งที่ทำให้ทุกคนที่รู้ความจริง เกิดความขัดเคือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัครทูตที่เริ่มต้น ประกาศความจริงเรื่องข่าวประเสริฐ มาถึงพวกเราชาวที่ไม่ใช่ยิว ชาวต่างชาติ คืออาจารย์เปาโลเคืองมาก โกรธมาก ถึงขนาดต่อว่าอย่างรุนแรง สำหรับผู้คนที่สอนผิดๆ

            ยกตัวอย่างเช่น คริสเตียนที่เป็นชาวยิวไปสอนคริสเตียนที่ไม่ใช่ชาวยิวว่า …

            “เมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านต้องรักษาบทบัญญัติด้วย ไปด้วยกัน ท่านต้องถวายสิบลด ท่านต้องเข้าสุหนัต ท่านต้องทำพิธีอีกหลายๆ อย่าง เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ในสายพระเนตรพระเจ้าไว้”

            ซึ่งมันไม่จริง อาจารย์เปาโลโกรธมาก ถึงขนาดบอกเลยว่าคนที่สอนเหล่านั้น น่าจะจับไปตอนซะ การเข้าสุหนัต มันไม่จำเป็นต้องไปบอกให้คนที่เป็นคริสเตียน จากคนต่างชาติ มารักษาเข้าสุหนัตเหมือนชาวยิว  แต่ไปสอนเขาอย่างนั้น อาจารย์เปาโลเลยบอกว่าน่าจะจับคนสอนไปตอนซะ อย่างนี้ รุนแรงไหม?

            โอเค กลับมาที่คำอธิษฐานเมื่อสักครู่นี้ ในมัทธิว 6:9-15 ต่อ ตรงที่บอกว่า …

            “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน”

            คริสเตียนหลายคนท่องคำอธิษฐานตรงนี้ โดยที่ไม่ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริง ท่านลองคิดดูสิ พระเยซูอภัยบาปของเราทั้งสิ้นเรียบร้อยแล้ว แล้วเราไปท่องว่า …

            “โอ้! พระเจ้า ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกโทษนาย ก. นาย ข. กำลังพยายามยกโทษให้คนนี้ ขอทรงยกโทษให้ลูกด้วยเถิด”

            ทั้งๆ ที่การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ได้อภัยในความบาปผิดทั้งสิ้นของเราแล้ว ไม่ว่าเราจะยกโทษให้คนอื่นหรือไม่ทำ ก็ตาม ให้ไปก่อนแล้ว แล้วเราก็มานั่งท่องทุกวัน คิดดู อะไรเกิดขึ้น

            จริงๆ แล้วคำอธิษฐานตรงนี้ พระเยซูกำลังประกาศให้กับชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกฟาริสี ที่เคร่งศาสนา เคร่งการรักษาบทบัญญัติ แล้วก็เย่อหยิ่งจองหองว่า …

            “ฉันรักษาบทบัญญัติเหล่านี้ได้ ฉันบริสุทธิ์กว่าเธอ ฉันชอบธรรมมากกว่าเธอทั้งหลาย ที่ไม่ได้อธิษฐาน ไม่ได้รักษาบทบัญญัติดีเท่าฉันเลย”

            กำลังเตือนพวกชาวยิว ประกาศให้รู้ความจริงเหล่านี้ ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ก่อนที่พระองค์จะสละพระชนม์ชีพ เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ ก่อนหน้านั้น ท่านต้องพึ่งธรรมบัญญัติจริง  แต่จงเตรียมตัว เพราะสวรรค์มาถึงแล้ว ก่อนที่จะมาถึงคำอธิษฐานตรงนี้ ในตอนเริ่มต้นของคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูได้พูดลักษณะแบบเดียวกันนี้ เป้าหมายเดียวกันนี้ ในมัทธิว 6:9-15 ถ้าเราอยากรู้ตอนเริ่มต้น ก่อนหน้านี้ ก็ต้องไปอ่าน ง่ายๆ ตอนนี้รู้แล้ว ก็คือมัทธิว บทที่ 5 ลองดูสักนิดหนึ่งว่ามันเป็นจริงไหมว่าพระองค์กำลังพูดถึงเป้าหมายของพระองค์ ที่ประกาศให้กับชาวยิวนี้ คืออะไร? มัทธิว 5:17-18 …

        มัทธิว 5:17-18 “17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ  หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ  เราไม่ได้มาล้มล้าง  แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จะสำเร็จครบถ้วน”

            ชาวยิว โดยเฉพาะฟาริสีที่เคร่งศาสนา ฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ พวกเคร่งศาสนา ถือบัญญัติอย่างเคร่งเลย เย่อหยิ่งจองหอง พอพระเยซูประกาศเตือนอย่างนั้น เถียงอยู่ในใจ …

            “อ๋อ! จะมาล้มเลิกให้ผู้คนเขาไม่ต้องรักษาบทบัญญัติเหล่านี้แล้วใช่ไหม? มาล้มเลิกหรือ? มายกเลิกหรือ?”

            เหมือนไหม? เหมือนกับคนปัจจุบันไหม? ที่เราบอกว่าพระเยซูมาประทานความรอดให้กับเราฟรีๆ โดยไม่ต้องประพฤติอะไรเลย …

            “อ๋อ! จะมาสอนให้คนทำไม่ดีหรือ?”

            มันคนละเรื่องกัน เรากำลังพูดถึงความรอดในโลกวิญญาณ การไปสวรรค์หลังความตาย การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ เราไม่ได้มาสอนเรื่องศาสนา เรื่องการกระทำอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ นี่เหมือนกันเลย ชาวยิวตอนนั้น ก็คิดอย่างนี้

            “อ๋อ! คิดมาเลิก”

            พระองค์เลยตรัสดังนี้ว่า …

            “อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้มบทบัญญัติ อย่าคิดว่าเรามาล้มเลิกศีลธรรมอันดีงาม ที่ท่านถืออยู่ ไม่ใช่ กำลังมาบอกความจริง”

            พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว พระองค์ยืนยันว่า …

            “บทบัญญัติทั้งหมดของพระเจ้า ยังคงอยู่ครบถ้วน มันดีอยู่ ที่ไม่ดี คือตัวคุณ”

            “คุณ” คือใคร? ก็คือชาวยิว กำลังพูดกับชาวยิว ไม่ดีนี้ คือตัวของคุณ ข้างในคุณ ในวิญญาณของคุณ ไม่ได้มาล้มเลิกบทบัญญัติเลย  แต่กำลังจะมาบอกว่าบทบัญญัตินั้นสำคัญ และต้องอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ มนุษย์ทุกคนต้องรับโทษ จากความผิดบาป ที่ตนกระทำ เนื่องจากโทษนั้น คือต้องตกนรกนั้น ก็มาจากบทบัญญัติที่บอกว่าดี เพราะว่าบทบัญญัตินั้นดี แต่ท่านทำไม่ได้  ท่านไปโทษว่าบทบัญญัตินั้น ไม่ดี ไม่ใช่ บทบัญญัติดี ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ท่านไม่สามารถรักษาให้มันครบบริบูรณ์ได้  นี่ต่างหากที่ทำให้ท่านตกนรก ไม่ใช่เรามายกเลิกบทบัญญัติ ไม่ใช่ ถ้าเรามาบอกท่านว่าถ้าท่านรักษาบทบัญญัติ รักษาอย่างไร มันก็ไม่ได้ครบถ้วนหรอก  ไม่ได้มาบอกว่ากฎทางศีลธรรมต่างๆ เหล่านั้นไม่ดี ไม่ต้องรักษา ไม่ใช่อย่างนั้น  ก็ย้ำอีกว่านี่คือคำตรัสของพระเยซูที่กำลังพูดกับชาวยิว โดยเฉพาะพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ เย่อหยิ่งจองหอง และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กำลังสอนอยู่นี้  ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน

            ถ้อยคำของพระเจ้าที่เรากำลังศึกษากันในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และก็พูดกับชาวยิว ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ก็คือก่อนการไถ่บาปให้มวลมนุษยชาติ ก็แปลว่าตอนนั้น มนุษย์ทั้งหมด รวมทั้งยิวด้วย ยังคงเป็นทาสของความบาปอยู่ อยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ยังคงต้องรักษากฎบัญญัติทุกข้อ ยังคงต้องพึ่งการกระทำของตัวเอง ยังคงต้องถวายสัตวบูชา เพื่อขออภัยในความผิดบาปของตน เพื่อจะได้รับการอภัยโทษจากความผิดบาป เมื่อทำผิดบาปไป ถูกไหม?

            พระเยซูจึงสอนให้อธิษฐานอย่างนี้  … อย่างที่เรากำลังศึกษาวิจัยกันอยู่นี้  ที่บอกว่า …

            “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นเดียวกัน ก่อนแล้ว”

            ก็คือต้องพึ่งในตนเอง ถ้าตนเองทำไม่ได้ พระเจ้าก็ไม่ทำให้ เป็นความรอด เป็นการอภัยโทษ ที่มีเงื่อนไข แต่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หลังจากที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว ไม่มีเงื่อนไขแล้ว ให้ฟรีๆ ต่างกันนะ ซึ่งความหมาย ก็คือผู้ใดที่อยู่ภายใต้กฎบัญญัตินี้ ผู้นั้น ต้องทำให้ได้ตามนี้ ผู้ใดที่อยู่ใต้กฎบัญญัตินี้ ก็คือมนุษย์ทุกคน รวมทั้งชาวยิวเหล่านี้ ที่ฟังอยู่ พระเยซูกำลังบอกว่าผู้ใดอยู่ภายใต้กฎบัญญัตินี้ ผู้นั้น ก็ต้องทำให้ได้ตามบทบัญญัตินี้ ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่น ให้ได้ก่อน แล้วพระเจ้าจึงจะอภัยให้กับท่าน  แต่ถ้าท่านไม่สามารถอภัยให้กับผู้อื่นได้ พระเจ้าก็จะไม่อภัยให้กับท่านเช่นเดียวกัน  ชาวยิวเข้าใจไหม?  เข้าใจนะ ไม่ใช่เขาไม่เข้าใจ ม้วนตัวเลย เข้าใจทุกคนแหละ ขึ้นอยู่กับคนนั้นถ่อมใจรับไหมว่านี่เป็นความจริง  พระเยซูประกาศความจริงให้เขานะ

            หลายคนเข้าใจและยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป พระเยซูบอกว่าคนเหล่านี้เป็น Poor in Spirit คือในวิญญาณ รู้ตัวเองว่าขัดสน ขาดแคลน  ผิดพลาด ทำไม่ได้ คนเหล่านี้ สวรรค์เป็นของเขา อีกไม่นานเขาจะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะเขารู้ตัวว่าเขาทำไม่ได้  แต่ก็จะมีอีกพวกหนึ่งที่เย่อหยิ่ง จองหอง ที่ไม่ยอมรับ ก็คือพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ ยังมั่นใจว่า …

            “โอ๊ย! ฉันทำดีกว่าพวกนี้ โอ้! ฉันรักษาบทบัญญัติได้ดีกว่าพวกชาวประมง  คนเก็บภาษี โสเภณี  อีกไกล  ฉันทั้งรักษาบทบัญญัติ ทั้งอดอาหารอธิษฐาน ทั้งถวายสิบลด ทั้งไปวิหารเป็นประจำ ถวายอะไรต่างๆ เป็นประจำ ฉันดีงามกว่าเยอะ ฉันรอดแน่ พึ่งในตัวเอง คนเหล่านี้จะไปไม่รอด ซึ่งที่พระเยซูสอนเช่นนี้ ก็เพื่อที่จะให้ทุกคนรู้ตัว … ทุกคนคือใคร?  คือชาวยิว  ที่รักษาบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด ให้รู้ตัวว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย  ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถทำได้

            คำว่า “ให้อภัย” ไม่ใช่หมายถึงการให้อภัยในเรื่องใหญ่ๆ เท่านั้น พระเยซูพูดตรงนี้เลยนะ พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ เขาบอกให้อภัย เราก็ให้อภัย เรื่องใหญ่ๆ เราให้อภัยได้  พระเยซูบอกนึกว่าทำได้หรือ? นึกว่ารักษาบทบัญญัติได้หรือ? มันไม่ใช่เฉพาะเรื่องใหญ่ๆ ที่ท่านคิดเท่านั้น แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พระเยซูยกตัวอย่างอะไร? แม้กระทั่งโกรธนิดหนึ่ง  ก็ไม่ได้ ก็ถือว่าไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ พูดง่ายๆ ว่าพระองค์ทรงชี้ไปที่ใคร? ท่านไม่ฆ่าคน แต่ท่านบอกไอ้บ้า เท่ากับฆ่าคนตาย ไอ้โง่ เท่ากับฆ่าคนตาย ไม่มีใครทำได้  ก็ฆ่าคนตายหมดทุกคนแหละ พูดง่ายๆ ทุกคนก็เป็นคนบาป

            “โอ้! ฉันรักษาบทบัญญัติได้ดีมาก  ดีกว่าพวกนี้อีก  พวกนี้เป็นหญิงโสเภณี พวกนี้ไม่รักษาความบริสุทธิ์  ฉันบริสุทธิ์ ไม่มีล่วงประเวณีใดๆ”

            พระเยซูบอก “เธอไม่ล่วงประเวณีก็ดีแล้ว แต่รู้ไหม แค่คิดกำหนัด ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว”

            ชี้ลงไปในใจของเขาเลย ท่านไม่โลภ ก็ดีแล้ว  แต่ที่ท่านอธิษฐานขอต่อพระเจ้า นั่นแหละ ท่านกำลังโลภอยู่ จะอยากได้ใช่ไหม?  แค่อยากได้ นี่พระเยซูกำลังชี้ ให้พวกเขาเห็น ซึ่งเราสามารถเอามาใช้ได้ด้วยว่าชี้ให้มนุษย์ เห็นว่าข้างในมันเป็นคนบาป  มันไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก

            และเมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถทำได้  ไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น ก็คือมาพึ่งเรา ผู้ที่พูดอยู่ คือพระมาซีฮาห์  คือพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้  ที่พระเจ้าสัญญาไว้ให้กับท่าน และบรรพบุรุษของท่าน  ตั้งแต่ในอดีตมาแล้ว ให้ท่านรอคอยผู้นั้น  ตอนนี้ผู้นั้นมาถึงแล้ว มาอยู่ที่นี่แล้ว  และให้ท่านได้บังเกิดใหม่ จงเลิกล้มทางเก่าที่จะพึ่งพาตนเอง โดยการรักษาบทบัญญัติ แล้วกลับใจใหม่ หันมาหาเรา วางใจในเรา เชื่อว่าเราเป็นพระเมสิยาห์  พระผู้ช่วยให้รอด ทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านจะได้รับความรอด  ไปพบพระบิดาได้ในสวรรค์ เหมือนกับยากอบ 2:10  ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ว่า …

        ยากอบ 2:10 “เพราะผู้ใดทำตามบทบัญญัติทั้งหมด แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิดเท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด”

            ให้มาพึ่งพระเยซูคริสต์ พอยากอบ 2:10 บอกว่า … “เพราะผู้ใดทำตามบทบัญญัติทั้งหมด แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิดเท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด”

            ต่อให้รักษาทั้งหมดเลย แค่คิดไม่ดีนิดเดียว ก็เท่ากับผิดทั้งหมด เพราะความคิดนั้น มันมาจากใจ ใครที่คิดอิจฉาริษยา นินทาชาวบ้านเขานิดเดียวเท่านั้นเอง มันมาจากใจทั้งสิ้น  โรม 3:20 บันทึกอย่างนี้ว่า …

        โรม 3:20  “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม  ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ  บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”

            “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม”  ก็คือ “ดังนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ในสายพระเนตรของพระเจ้าได้เลย  โดยการรักษาบทบัญญัติ”

            บทบัญญัติ คือบทกฎหมายทางศีลธรรม ทางศาสนา เพียงแต่ทำให้รู้ว่าตนนั้น มีบาป อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก บทบัญญัติที่มีไว้ เพื่อให้รู้ว่าเราเป็นคนบาป  เราทำไม่ได้  ถ้าพูดถึงโมเสส และกฎของโมเสส ที่ชาวยิวรักษาอยู่ มีไว้ดี แต่เป็นกระจกให้กับชาวยิวได้มองเห็นตนเองว่าเราทำไม่ได้ครบถ้วน ถ้าเราทำไม่ได้ครบถ้วน เราก็เป็นคนบาป ก็ไม่มีทางบริสุทธิ์ได้เลย  ไม่มีทางรักษาได้ครบ 100 เลย เป็นไปไม่ได้ ถ้าเอามาเทียบกับคริสเตียน มนุษย์ที่ไม่ใช่ชาวยิว ก็เหมือนกัน เราอาจจะไม่มีบทบัญญัติเหมือนเขา เป็นบทบัญญัติโมเสส แต่เรามีบัญญัติของบรรพบุรุษของเรา ที่ไม่ใช่ชาวยิว  ก็คือมีบทบัญญัติทางศาสนา  กฎระเบียบทางศีลธรรม ความเชื่อต่างๆ เต็มโลกใบนี้ทั้งหมด ถึงทุกวันนี้ก็มีเยอะแยะไปหมด

            กฎบัญญัติเหล่านี้ถูกเขียนออกมา จากบทบัญญัติของพระเจ้าที่เขียนอยู่ในใจของมนุษย์ว่าเราเป็นคนบาป  เรารู้ว่าเราทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ดี แต่มีอีกหลายๆ สิ่งที่มันดี ที่เราควรจะทำ และเราไม่ได้ทำ  เหมือนที่ยกตัวอย่างเมื่อตะกี้นี้บอก เราอยากอภัยให้ แต่อภัยไม่ได้ มันมาจากไหน?  เราไม่อยากทำอย่างนี้ แต่เราถูกบังคับให้ทำ โดยข้างใน  บทบัญญัติเหล่านี้จึงเป็นตัวชี้ ให้เห็นว่าเราเป็นคนบาป

            เพราะฉะนั้น เราเป็นคนบาป เราก็ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีทางที่จะได้รับการอภัยโทษ จากพระเจ้าได้ เมื่อเราจากโลกนี้ไป เราก็ต้องได้รับโทษแห่งการเป็นคนบาป  แต่พระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์มา เพื่อสิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน  เพื่อชำระบาปให้กับเรา  โดยไม่ต้องทำ ชำระที่วิญญาณ วิญญาณของเราที่จะอยู่ไปนิรันดร์ เมื่อเราทิ้งร่างกายนี้แล้ว วิญญาณออกจากร่างไป วิญญาณมันบริสุทธิ์ แล้วก็ไปรับร่างกายใหม่ จากพระเจ้า ร่างกายสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ เพราะมันบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า กำลังพูดถึงวิญญาณ เห็นไหม? ความประพฤติมันไม่ได้เกี่ยวเลย มันเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ

            แล้วเราค่อยมาต่อสัปดาห์หน้า ค่อยๆ ว่ากันไปถึงเรื่องนี้ว่าพระเยซูกำลังประกาศให้ชาวยิว ชี้เน้นเรื่องอะไร?  และเราที่ไม่ใช่ชาวยิว แต่เป็นคริสเตียน เราควรจะตอบสนองต่อถ้อยคำเหล่านี้  และนำมาใช้ในชีวิตของเราอย่างไร ถึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ในการเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ทรงไถ่ไว้เรียนร้อยแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เป็นการประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา  พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ถ้าผู้ใดได้ถูกย้ายเข้ามา อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์  เขาก็ได้บังเกิดเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์

            2 โครินธ์ 5:17 AMP …  “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์  [ถูกต่อกิ่งเข้ากับพระองค์  โดยความเชื่อในพระองค์  ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด] เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ [เกิดใหม่และทรงสร้างใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์]  สิ่งเก่าๆ [ความประพฤติในอดีตทั้งหมด และสถานะวิญญาณที่ตาย และเป็นศัตรูกับพระเจ้าก่อนหน้านี้] ได้ล่วงไปสูญสิ้นไปแล้ว  ดูเถิด ทุกสิ่งเป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            ดังนั้น ถ้าผู้ใดได้อยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็ได้รับบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ด้วยความเชื่อในพระองค์ ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้น เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

            สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรม การกระทำการงาน หรือว่าสถานะในวิญญาณที่มืดบอดนั้น หรือตัวเก่าของเรา ได้ตายไปแล้ว มันได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ได้ผ่านไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด สิ่งใหม่ๆ ทั้งสิ้นได้ปรากฏขึ้นมา เพราะการบังเกิดใหม่นี้ นำมาซึ่งชีวิตใหม่

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1419

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  มิถุนายน  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 26

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เราก็มาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 4 เดือนที่แล้วเราเรียนไปข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 5 ที่พระเจ้าบอกว่าเรามีพระเจ้าองค์เดียวกัน บัพติศมาเดียว ความเชื่อเดียว เราจบลงตรงนี้

        เอเฟซัส 4:5 “มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว”

            คำว่า “พระเจ้าองค์เดียว” หมายถึงพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าพระบิดาส่งมาให้กับพวกเรา ให้เราเปิดใจต้อนรับพระองค์ ในสิ่งที่พระองค์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ทำให้เราทุกคนผู้เชื่อ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความเชื่อเดียวกัน คือเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์เดียวกัน

            “บัพติศมาเดียว” เราก็คุยเรื่องบัพติศมาบ่อยมาก พอพูดถึงคำว่า “บัพติศมา” พี่น้องจะไม่คิดถึงการจุ่มน้ำแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงว่าเราต้องไปทำพิธีบัพติศมา ลงน้ำ เพื่อเราจะได้รับความรอด  แต่คำว่า “บัพติศมา” ในถ้อยคำของพระเจ้า เล็งถึงบัพติศมาในวิญญาณ  พระเจ้าได้เอาวิญญาณเก่าของเรา ที่เป็นบาป ไปจุ่มพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือเอาเข้าไปในพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  แล้วเราก็ได้ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ ตัวเก่าของเราที่เป็นบาป ได้ตายพร้อมกับพระองค์ ถูกฝังพร้อมกับพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ได้มีวิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจใหม่ และพระเจ้าก็ทรงชำระร่างกายของเราให้ใหม่ด้วย ชำระร่างเก่านี่แหละ แต่ชำระให้สะอาดหมดจด จนพระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายนี้ได้  ในโลกวิญญาณมันเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วทั้งหมดนี้

            ณ เวลานี้ ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เรามองไม่เห็น เราสัมผัสจับต้องไม่ได้ พระเจ้าจึงให้เราใช้ความเชื่อเอา ดังนั้น ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าผู้ชอบธรรม คือคนที่พระเจ้าเห็นว่าดีพร้อม ยอดเยี่ยม ผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เริ่มต้นเชื่อ สุดท้ายก็เชื่อ ระหว่างดำเนินชีวิตก็เชื่อ พวกเราทุกๆ คนในเวลานี้ เราก็ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ในสิ่งที่พระเจ้าได้บันทึกไว้ในถ้อยคำของพระองค์ว่า ณ เวลานี้ พวกเราผู้เชื่อได้รับอะไรบ้าง? แล้วสถานะในวิญญาณของเราเป็นอย่างไร?

            สถานะในวิญญาณของพวกเราตอนนี้ คือเราไม่ได้เป็นทาสของบาปต่อไป  เราเป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาป และความตายแล้ว วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ พวกเรารับรู้ความจริงนี้  ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะเจอกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? เราก็อดทนได้  เพราะพระคัมภีร์บอกว่าโลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา  เป็นที่อยู่อาศัยเพียงชั่วคราวเท่านั้น เราทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ เราอยู่แค่ชั่วคราว

            ชั่วคราวขนาดไหน? เต็มที่ 100 ปี คนอายุยืนนะ ให้ 120 ปี ตอนนี้ 120 ปีหายากแล้ว พอ 80 กว่าก็เริ่มต้นละสังขาร ไม่ต้องรอ 80 กว่า พอคนอายุ 60 กว่าขึ้นไป ก็เริ่มเจ็บโน่น เจ็บนี่ เป็นโน่นเป็นนี่ จากที่เมื่อก่อนแข็งแรง ตอนนี้ก็ต้องไปหามดหาหมอ ต้องคอยทานยาบำรุง หรืออะไรประมาณนั้นแหละ ทำให้ร่างกายเรายังสามารถที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ ฉะนั้น พระเจ้าบอกเราว่าขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ยังติดอยู่ในร่างกายเดิมของเราอยู่ ก็คือกำลังเดินทางไปสู่ความตาย มนุษย์ทุกคนต้องตาย นี่เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งขึ้นมา เมื่อวันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป กฎนี้ถูกตั้งขึ้นแล้ว ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “วันใดที่เจ้าขืนกินผลไม้ที่เราห้าม เจ้าจะตายกับตาย”

            ตายแรก คือวิญญาณตายจากพระเจ้า ไม่สามารถที่จะคุยกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถเดินคู่กับพระเจ้าได้ ก่อนหน้านั้นที่มนุษย์ยังไม่ล้มลงในความบาป ทุกเย็น ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าทุกเย็น พระเจ้าจะมาหา แล้วพระองค์ก็จะมาคุยด้วย พระองค์ก็จะเกี่ยวก้อย เดินชมนกชมไม้  แต่พอวันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป อาดัมเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็เหมือนกับเขากับพระเจ้าถูกตัดขาดไป ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ที่พระเจ้าไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ได้ เพราะพระเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ หมดจด แต่มนุษย์ เริ่มเป็นบาปแล้ว ความบาปและความบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าพระเจ้าเข้ามาใกล้ มนุษย์ก็ตาย ฉะนั้น พระเจ้าก็ต้องรักษามนุษย์ไว้ เพื่อให้เรายังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยที่พระองค์ก็ถอยออกมา เหมือนกับมนุษย์ผลักพระเจ้าออกไปจากชีวิตของเขา มนุษย์คู่แรกไม่ยอมให้พระเจ้าอยู่ด้วย ก็คือปฏิเสธพระเจ้าไปโดยปริยาย แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น คือพระเจ้าก็ไม่ทอดทิ้งมนุษย์ แม้รู้ว่ามนุษย์ล้มลงในความบาป ทันที พระเจ้าก็หาทางรอดให้กับมนุษย์ครั้งแรกเลย  พอล้มลงในความบาปปุ๊บ มนุษย์ทำอะไร? มนุษย์ก็เอาใบไม้มาห่อหุ้มกาย เพราะว่าตามองเห็นว่าตัวเองโป้ จากเมื่อก่อนไม่รู้สึกว่าตัวเองโป้ เพราะว่าพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือร่างกายของอาดัมและเอวา เขาไม่รู้สึกว่าเขาโป้อยู่ ทันทีที่เขาล้มลงในความบาปปุ๊บ เขามองเห็น ตอนนี้เขารู้แล้ว รู้จักทั้งดี ทั้งชั่ว ซึ่งก่อนหน้านั้น พระเจ้าบอก …

            “เธอไม่ต้องรู้ชั่วหรอก เธอแค่รู้ดีก็พอแล้ว เพราะว่าฉันสร้างเธอมาดี ครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นเหมือนฉันเป๊ะเลย อยู่ให้สบายใจ ชมนกชมไม้ ทานทุกอย่างที่ฉันสร้างมาให้ อยู่ดีมีสุข”

            แต่มนุษย์เลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระองค์ ฉะนั้น พอครั้งแรก มนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ เอาใบไม้มาปกปิดร่างกาย แล้วพี่น้องนึกภาพนะ ใบไม้ วันเดียวก็เหี่ยวแล้ว ถ้าตัดออกจากต้น ใช่ไหม?

            มนุษย์พยายามใช้ความชอบธรรมของตัวเองที่จะปกปิดตัวเอง ทำให้ตัวเองรู้สึกชอบธรรม แต่มนุษย์ไม่สามารถทำตัวเองให้ชอบธรรมได้ พระเจ้าก็ต้องทำให้กับมนุษย์ พระองค์เริ่มต้นฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง แล้วเอาหนังสัตว์นั้นมาให้อาดัมกับเอวาห่อหุ้มร่างกาย แล้วจากนั้น พระองค์ก็วางแผนการของพระองค์ โดยกำหนดเผ่าพันธุ์หนึ่ง ซึ่งเผ่าพันธุ์นี้ เราเรียกว่าชนชาติอิสราเอลที่พระเจ้าเลือกไว้ ให้เป็นต้นแบบสำหรับมนุษยชาติ ในเรื่องของความรอดในอนาคตข้างหน้า ที่พระเจ้าจะกระทำผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ปฐมกาล ที่มนุษย์ล้มลงในความบาปทันที พระเจ้าบอกว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก พงศ์พันธุ์ของหญิง หมายถึงพระเยซูคริสต์จะมากระทำการงานของพระองค์ ทำให้มารหัวแหลก ก็คือหมดอำนาจไปเลย ทำให้มนุษย์สามารถที่จะรับการปลดปล่อย กลับมาเป็นอิสรภาพเหมือนเดิม มาอยู่กับพระเจ้าได้เหมือนเดิม เดินเคียงข้างพระเจ้าได้เหมือนเดิม พูดคุยกับพระเจ้าได้เหมือนเดิม

            เหมือนทุกวันนี้ผู้เชื่อทุกคน เราสามารถคุยกับพระเจ้าได้ทุกเวลา ทุกวินาที ไม่มีเวลาว่าดึกดื่น ค่อนคืน ตีสามตีสี่ เกรงใจพระเจ้า เดี๋ยวพระเจ้านอนหลับ เราคุยกับพระเจ้านาน พระเจ้าง่วงนอน ไม่มี พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงไม่หลับใหล พระองค์ตื่นอยู่ตลอดเวลา พระองค์คอยฟังคำอธิษฐานของเรา คอยที่จะพูดคุยกับลูกๆ ของพระองค์ นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในโลกวิญญาณ ที่ ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน

        เอเฟซัส 4:6-8 “6 มีพระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือทั้งมวลทั่วทั้งสิ้น และในทั้งหมด 7 แต่พระคุณนั้น ประทานแก่เราแต่ละคน ตามที่พระคริสต์ทรงจัดสรร 8 ฉะนั้น จึงมีกล่าวไว้ว่า “เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง ทรงนำเชลยไปด้วย และประทานของประทานแก่มนุษย์”

            ฉะนั้น ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังบอกความจริงให้กับชาวเอเฟซัสได้รับรู้ว่าความรอด ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเขา เป็นของขวัญ เป็นของประทาน เป็นพระพร มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย หรือแม้แต่มนุษย์คิดจะทำ ก็ทำไม่ได้ ถ้ามนุษย์จะพึ่งพาการทำดีของตัวเอง เพื่อจะได้รับความรอด มันไม่มีทาง ฉะนั้น ความรอดนั้น เป็นพระคุณที่พระเจ้าให้เราเปล่าๆ วิธีที่เราจะได้รับความรอด มีวิธีเดียว ก็คือเปิดใจ วางใจ เชื่อใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน  แล้วก็มารับเอา แค่นั้นเอง

            ฉะนั้น ความรอดตรงนี้ รอดพ้นจากบาป รอดพ้นจากคำสาปแช่ง รอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ ได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูปุ๊บ พระเจ้าก็บัพติศมาเรา ฆ่าตัวเก่าที่เป็นบาปของเราให้ตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วให้เราบังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า การบังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า เราได้มีวิญญาณใหม่ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “เราจะให้ใจใหม่ เราจะให้วิญญาณใหม่แก่เจ้า เราจะๆ”

            ถ้าพี่น้องอ่านพระคัมภีร์เดิม พี่น้องจะได้เห็นคำว่า  “จะ” ตลอดเวลา คำว่า “จะ” หมายความว่าพระองค์ทรงเผยพระวจนะไว้ว่าอนาคตข้างหน้า เมื่อถึงกำหนดเวลาของพระองค์ พระองค์จะทำแบบนี้ให้เกิดขึ้น  แต่พอถึงพระคัมภีร์ใหม่ ตอนที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ คือเดินไปที่ไม้กางเขน ถูกตรึง ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ พระคัมภีร์ใหม่ คำว่า “จะ” มันหายไปแล้ว คือไม่มีคำว่า “จะ” แล้ว พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน แปลว่าทันทีที่เราเปิดใจรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน เราได้รับเลย ได้รับวิญญาณใหม่ คือพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้เราเลย วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณใหม่ที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้า ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย เราไม่ต้องทำตัวเองให้ดีพร้อม แต่เราเกิดมาเป็นคนดีพร้อม เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม เกิดมาเป็นคนที่รักคนอื่นได้ วิญญาณเราเป็นแบบนั้น

            แม้ว่าร่างกายเราที่อยู่บนโลกใบนี้ เรายังทำไม่ได้ตามวิญญาณของเรา แต่พระเจ้าผู้อยู่ในเราจะค่อยๆ ช่วยเรา ให้เราสามารถทำตามธรรมชาติใหม่ หรือทำตามสิ่งที่เราบังเกิดใหม่แล้ว ให้เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันๆ แล้วจะมีใครทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์  ไม่มีทาง ต่อให้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเราแล้ว เราก็ไม่สามารถทำได้ครบถ้วน สมบูรณ์ แต่ทำได้เท่าที่กำลังเราทำได้ เท่าที่พระเจ้าทรงเสริมกำลังเรา แล้วก็เท่าที่เรายอมให้พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราด้วย มันมีปัจจัยเยอะ

            ปัจจัยตรงนี้ ก็คือพระเจ้าไม่เคยบังคับเรา แม้ว่าพระองค์ซื้อชีวิตของเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง แต่พระเจ้าไม่เคยบังคับลูกของพระองค์ว่าต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่พระเจ้าจะหนุนจิตชูใจเราว่าตอนนี้เราเป็นแบบนี้แล้วนะ ให้เรามาทำตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าเปลี่ยนแปลงให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ทำอย่างนี้กันดีกว่า หรือให้มาทำอย่างนี้เถอะ สำแดงตัวตนใหม่ที่เราเป็นแล้ว ให้คนอื่นได้เห็น ได้รับรู้ ได้สัมผัสถึงพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ในชีวิตของเรา แล้วเราจะสังเกตว่าผู้เชื่อหลายคนก็สามารถเปลี่ยนได้เร็ว  บางคนก็เปลี่ยนช้า บางคนเชื่อพระเจ้ามา 5 ปี 10 ปี ยังเหมือนเดิมเลย ไม่เห็นเปลี่ยนเลย อะไรอย่างนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนมากหรือเปลี่ยนน้อย ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเขา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณของเขาที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว สะอาด หมดจด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่พระเจ้าได้บอกกับเรา

            ตรงนี้ พระเจ้าบอกว่าความรอด ทุกคนจะได้เท่ากัน เท่ากันเลยนะ ไม่ว่าเราจะเชื่อพระเจ้านานแค่ไหน? หรือคนที่รับเชื่อ 1 วัน สมมติว่ามีคนหนึ่งเปิดใจมาต้อนรับพระเยซูคริสต์วันเดียว  แล้วเขาก็จากไปอยู่กับพระเจ้าเลย เป็นคนที่สุดยอดที่สุด เราก็อยากเป็นแบบนั้น คือไม่ต้องมาเผชิญกับโลกใบนี้อีก พอเปิดใจต้อนรับปุ๊บ

            พระเจ้าบอก … “หมดเวลาแล้ว ไปกลับบ้าน”

            พี่น้องนึกถึงใคร? นึกถึงโจร บนไม้กางเขน ที่ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ มีโจร 2 คนซ้ายขวา คนหนึ่งเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อีกคนหนึ่งไม่ยอมเปิดใจ ยังด่าพระเยซูอยู่เลย ยังเยาะเย้ยพระเยซูอยู่เลย  แต่คนที่กลับใจ รู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ แล้วเขายอม เขาตัดสินใจ เขาจะติดตามพระองค์

            เขาพูดกับพระเยซูแค่ประโยคเดียว … “พระองค์เจ้าข้า ขอรับลูกให้เป็นลูกของพระองค์ สามารถเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้”

            พระเยซูตอบเขาทันทีว่า … “วันนี้เราจะได้เจอกันบนแผ่นดินสวรรค์” เอเมน

            แปลว่าพอเราเปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ วิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่แล้วทันที เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ไม่ว่าเราจะอยู่บนโลกใบนี้นานแค่ไหน?  1 วัน 1 ปี 10 ปี 20 ปี 50 ปี ผลตรงนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง เหมือนเดิม ก็คือจากโลกนี้ไปเมื่อไร เราก็ไปอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้าทันที หรือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ที่ถ้อยคำของพระองค์บอกเรา ก็คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ณ เวลานี้ พี่น้องหลับตานึกถึงถ้อยคำของพระเจ้า แล้วพระองค์บอกว่า ณ เวลานี้ วิญญาณของผู้เชื่อทุกคนได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ด้วย

            แล้วตอนนี้ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า บนสวรรคสถาน และเรากับพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เกาะกันเลยนะ แยกกันไม่ได้ เมื่อแยกกันไม่ได้ปุ๊บ พระเยซูอยู่บนสวรรค์ แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ พี่น้องนึกภาพออกไหม? เราก็อยู่บนสวรรค์กับพระเยซูคริสต์ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระองค์ นี่คือความจริง พระเยซูถึงบอกว่าถ้าเรารู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยเราให้เป็นไท

            เราถูกหลอกมานานแล้วว่าเราจะได้ไปสวรรค์หลังจากที่เราตาย แต่ความจริง ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเราไม่ต้องรอตาย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราได้อยู่ที่สวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว รอร่างกายนี้ ที่อยู่บนโลกใบนี้ ถึงวาระกำหนดว่าพระเจ้ากำหนดไว้ ใครจะอยู่แค่ไหน? อย่างไร? เราไม่รู้ ถึงวันที่ลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ เราก็ไปอยู่ที่เดิมแหละ เปลี่ยนมิติ

            ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เปลี่ยนมิติ” เขาไม่เรียกคริสเตียนว่า “ตาย” คริสเตียนเราไม่ตาย เราแค่ทิ้งร่างกายนี้ไป แล้ววิญญาณเราแปรเปลี่ยนไปอยู่อีกมิติหนึ่ง คือมิติฝ่ายวิญญาณที่เราอยู่แล้วล่ะ แต่ว่า ณ เวลานั้น เมื่อลมหายใจออกจากร่าง เราทิ้งร่างกายนี้ปุ๊บ เราจะได้ไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นชัดๆ เลย ตอนนี้เราไม่เห็น ตอนนี้เราต้องใช้ความเชื่อ แต่ ณ เวลานั้น เราจะได้ไปเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า และ ณ เวลานั้น เราไม่ต้องซ่อนอยู่ในพระคริสต์แล้ว ปัจจุบัน เราถูกซ่อนไว้ในพระคริสต์ ที่เราใช้คำว่า “ในพระคริสต์” พระเยซูอยู่ในเรา เราอยู่ในพระเยซู พระองค์สถิตอยู่ภายในเรา เราอยู่ในพระเยซู ก็คือเราอยู่ในพระคริสต์ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน 

            แต่พอถึงวันนั้น วันที่พระเจ้ากำหนด วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ เที่ยวนี้ อยู่แบบจับต้องมองเห็นได้เลย ไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว เราไม่ต้องซ่อนอยู่ในพระคริสต์อีกแล้ว เราจะหลุดออกจากการซ่อนในพระคริสต์ แล้วเราจะเห็นตัวเราเอง ที่รับร่างกายใหม่ ที่เต็มด้วยสง่าราศี ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราได้มองเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นพระเยซูคริสต์ต่อหน้าต่อ เห็นตัวเราเองที่มีร่างกายใหม่ เห็นกับตา โดยที่ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป นี่คือความจริง ที่พระเจ้าบอกเราว่า ณ เวลานี้ โลกวิญญาณ เราใช้ความเชื่อ อนาคตข้างหน้า  พอวิญญาณออกจากร่าง ความเชื่อไม่ต้องใช้ ความหวังก็ไม่ต้องใช้  เพราะไม่ต้องหวังแล้ว เราเจอแล้ว แต่มีอันเดียวที่อยู่กับเรา อยู่ตลอด ตั้งแต่ที่นี่ ไปจนถึงโลกหน้า ก็คือความรัก

            พระคัมภีร์บอก พระเจ้าเป็นความรัก และพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา เท่ากับความรักอยู่ในเราด้วย  เราก็เป็นความรัก ผู้เชื่อทุกคนเป็นความรัก เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อทั้งหมด บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เราไม่ต้องพยายามดิ้นรน เพื่อเราจะรักใคร? แต่เรารักอยู่แล้วในวิญญาณ แค่ว่าเราพัฒนาตัวเราเองให้รับรู้ว่าข้างในเราเป็นความรักนะ แล้วเราก็พัฒนาให้ความรักที่อยู่ในเรา ถูกฉายออกไป เขาเรียกฉายแสงออกไป ปรากฏออกไปให้คนรอบข้างได้สัมผัสถึงความรักของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในเรา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกเราไว้

            ฉะนั้น พระคุณที่พระเจ้าให้ ความรอดทุกคนได้เท่ากัน แต่มันมีอันหนึ่งที่ไม่เท่ากัน ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือของประทาน

            ของประทานที่พระเจ้าให้กับพวกเราแต่ละคนไม่เท่ากัน  และไม่เหมือนกันด้วย ให้ตามชอบพระทัยของพระองค์

            ตรงนี้ พี่น้องหลายคนอาจจะเข้าใจว่าคนที่มีของประทานเยอะๆ พระเจ้าให้ของประทานเยอะ อย่างเช่น อาจารย์เปาโลอย่างนี้ ของประทานเยอะมาก เขารับใช้พระเจ้าแบบสุดจิตสุดใจ กับอีกหลายๆ คนที่พระเจ้าให้ของประทานนิดเดียว ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ให้เป็นแม่บ้าน อยู่กับบ้าน ดูแลลูกให้ดีที่สุด พระเจ้าให้แค่นั้น แล้วมีข้อสงสัยว่าระหว่างแม่บ้านคนนี้กับอาจารย์เปาโล ใครจะได้รางวัลมากกว่ากัน พี่น้องว่าใครจะได้รางวัลมากกว่ากัน ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าได้เท่ากัน

            พี่น้องอาจจะ … “ห๊ะ! เท่ากันจริงหรือ? ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ฉันอยู่ที่บ้านเฉยๆ เลย รับใช้ก็ไม่ได้รับใช้  ประกาศก็ไม่เคยประกาศ ไม่เคยมาช่วยที่โบสถ์เลย โบสถ์เขามีงาน เราก็อยู่ที่บ้าน โบสถ์ทำสารพัด เราก็อยู่ที่บ้าน”

            พระเจ้าบอกว่า … “ก็ฉันให้เธออยู่แค่นั้นแหละ”

            พอจากไปอยู่กับพระเจ้า ได้รางวัลเท่ากันเลย ไม่มีใครได้รางวัลมากกว่าใคร? เหตุผล คือพระเจ้าที่อยู่ในเรา เป็นผู้กระทำการงาน ประกอบกิจอยู่ภายในเรา  แล้วพระเจ้าให้ของประทานใครที่เยอะกว่าคนอื่น แล้วคนที่ทำ คือใคร? พระเจ้า  … พระเจ้าที่อยู่ในเราเป็นผู้กระทำ เราเป็นแค่เครื่องมือ เครื่องไม้ของพระองค์ ร่วมมือกับพระเจ้า จับมือกัน พระเจ้าว่าอย่างไร? เราว่าตามนั้น แปลว่าผลงานไม่ใช่ของเราเลย แต่พระเจ้าเป็นผู้กระทำทั้งหมด เมื่อพระเจ้าเป็นผู้กระทำทั้งหมด  เราจะไปอ้างอะไรที่จะไปเอารางวัลเยอะกว่าคนอื่น

            สมัยก่อนถูกสอนมา เราก็เข้าใจผิด เราก็สอนต่อ … “ถ้าคนรับใช้พระเจ้าเยอะๆ บนโลกใบนี้ เราขึ้นไปอยู่ข้างบน เราจะได้บ้านหลังใหญ่กว่าคนอื่น เราจะได้บ้านเดี่ยวเลย ถ้าใครที่ไม่ได้ทำอะไรบนโลกใบนี้ หรือแม้แต่คนที่วันๆ โบสถ์ก็ไม่ยอมมา เขาขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เขาจะได้กระต๊อบที่หลังคาโบ๋ด้วย นั่นเป็นความเชื่อผิดนะพี่น้อง เป็นความเชื่อผิดอย่างมหันต์ เพราะพระเจ้าไม่เคยบอกเราว่าเป็นอย่างนั้น เราคิดเอาเอง เราคิดว่าถ้าเราทำเยอะ เราต้องได้เยอะสิ แต่พระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่า …

            “คนที่ทำอยู่ในท่านทั้งหลาย คือฉันเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเธอเลย ฉันเป็นผู้กระทำ เธอเป็นแค่ภาชนะที่ยอมให้ฉันใช้”

            แค่นั้นเอง ฉะนั้น เราสบายใจได้ พี่น้องไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกลัวว่าอ้าว! เราไม่ได้มาโบสถ์ หรือไม่ได้ทำอะไรให้โบสถ์เลย แล้วต่อไปขึ้นไปบนสวรรค์ เราจะได้บ้าน กระต๊อบสังกะสีที่ผุๆ พังๆ ไหม? ขอบอกตรงนี้เลยนะ ไม่มีทาง พระเจ้าให้เท่ากัน เพราะว่าพระองค์เป็นผู้ประกอบกิจอยู่ภายในเรา และพระองค์ก็ให้แต่ละคนตามชอบพระทัยของพระเจ้าด้วย เหมือนพระเจ้าบอกว่าพระองค์ให้อวัยวะทุกส่วนทำงานตามความเหมาะสม โดยมีพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ

            พอพูดถึงของประทานปุ๊บ ก็คือพระเจ้าเป็นผู้ให้ แล้วเราก็ทำตามของประทานที่พระเจ้าให้กับพวกเรา  นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ พอเรารับรู้ความจริงอย่างนี้ปุ๊บ

            เราก็ไม่ต้องไปคอยผวาว่า … “ตกลง ถ้าเราเป็นแม่บ้านเฉยๆ อยู่บ้านเลี้ยงลูก แล้วเราจะได้รางวัลเหมือนคนอื่นไหม?”

            ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า … “เท่ากัน”

        เอเฟซัส 4:9-10 “9 (ที่ว่า “เสด็จขึ้น” นั้น ย่อมไม่อาจหมายความเป็นอื่น นอกจากว่าพระองค์ได้เสด็จลงสู่เบื้องต่ำของโลกด้วย 10 พระองค์ผู้เสด็จลง  คือองค์เดียวกับที่เสด็จขึ้นสูงเหนือฟ้าสวรรค์ทั้งมวล เพื่อทรงเติมทั่วทั้งจักรวาลให้สมบูรณ์)”

            “พระองค์ผู้เสด็จขึ้นมา” ตรงนี้เล็งถึง … ถ้าพี่น้องอยากอ่านที่มาที่ไป ในพระคัมภีร์ตรงนี้ ดึงเอาหนังสือพระคัมภีร์เดิมมา เป็นคำอธิษฐานของกษัตริย์ดาวิด ในสดุดี บทที่ 68 ถ้าพี่น้องไปอ่าน ตั้งแต่ข้อ 1 ไปถึงข้อ 19 ก็จะพูดถึงว่าพระเจ้ามาแล้ว ตอนสดุดี คือตอนที่กษัตริย์ดาวิดอธิษฐาน เป็นคำอธิษฐานที่เผยพระวจนะว่าอนาคตข้างหน้า พระองค์จะทำแบบนี้ พอตรงนี้อาจารย์เปาโลก็ดึงออกมาจากพระคัมภีร์เดิม ให้รู้ว่าสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดพูด บัดนี้ มันได้สำเร็จแล้ว

            พระองค์ผู้เสด็จขึ้นมากับพระองค์ผู้ลงไป หมายถึงพระเยซูคริสต์ยอมทำตามที่พระเจ้าพระบิดากำหนดไว้ คือมาเกิดเป็นมนุษย์  แล้วยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ยอมถูกฝังในอุโมงค์ ก็คือลงไปที่ลึกสุด แล้วได้เสด็จขึ้นมา ก็คือเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สาม  ทำให้ศัตรูของพระองค์กระจัดกระจายไป  พระเจ้าได้เสด็จมาแล้ว ได้ทำให้สิ่งที่พระองค์กำหนดไว้  สำเร็จแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น พระองค์ก็ประทานของประทานให้กับมนุษย์ ก็คือของขวัญ ช่วยมนุษยชาติ หลุดพ้นจากการเป็นทาสของบาป หลุดพ้นจากการเป็นทาสของระบบบนโลกใบนี้  เป็นทาสที่พยายามพึ่งพาการทำความดีด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ ซึ่งพระเจ้าบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนบนโลกใบนี้ สามารถที่จะทำความดีได้ครบถ้วน 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า

            ถ้าไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ในพระคัมภีร์ก็ยังบอกว่าแม้เราทำผิดแค่ครั้งเดียว ทำบาปแค่ครั้งเดียว ถือว่าบาปหมดเลย ฉะนั้น ไม่มีใครสามารถทำได้ พระเยซูจึงมาทำแทนเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วพวกเราผู้เชื่อ ณ เวลานี้ เราก็ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ของประทานต่างๆ  เหล่านี้ พระพรนานับประการ ที่พระองค์ได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  เราได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเราก็เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจ พระองค์ทรงซื้อชีวิตของเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง  พระองค์ทำสำเร็จแล้ว

            ตอนนี้ พระองค์ก็บอกกับเราว่าใครก็ตามที่มาหาพระองค์ พระองค์จะให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข  ตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของโลกวัตถุเลย แต่เกี่ยวกับเรื่องของโลกวิญญาณ  หายเหนื่อยก็คือเราไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ในการพยายามทำความดี เพื่อให้ได้ไปสวรรค์ หรือเหน็ดเหนื่อยกับการพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อเราจะได้รอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ ไม่ต้องแล้ว ตอนนี้สามารถนั่งพักได้เลย พระเยซูบอกว่าท่านจะหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะว่าท่านได้รับความรอดแล้ว ไม่ต้องดิ้นรน เพื่อทำตัวเองให้ดี เพื่อที่จะได้สวรรค์ แต่ท่านได้สวรรค์ไปเรียบร้อยแล้ว  เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว

        เอเฟซัส 4:11 “พระองค์เองทรงเป็นผู้ให้บางคนเป็นอัครทูต     บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ   บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ   บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์”

            พอมาถึงข้อนี้ ที่ตะกี้เราคุยกัน ก็คือความรอด ทุกคนได้เท่ากัน แต่พอของประทานปุ๊บ ทุกคนจะได้รับไม่เท่ากัน แต่ว่ายังคงได้รับผลของพระพร รางวัลเท่ากันเหมือนเดิม ฉะนั้น ตรงข้อที่ 11 บอกว่า “พระองค์เองทรงเป็นผู้ให้บางคนเป็นอัครทูต” แค่บางคนนะ ไม่ใช่ทุกคนเป็นอัครทูต

            แล้วคำว่า “อัครทูต” จะใช้กับเฉพาะสาวก 12 คนเท่านั้น อัครทูต คือคนที่ติดตามพระเยซู อยู่กับพระเยซู ตอนที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ตรงนี้ พระเจ้าเรียกเขามาให้เป็นอัครทูต แล้วต่อจาก 12 คนนี้ ไม่มีแล้วนะอัครทูต

            บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนอีก ผู้เผยพระวจนะ คือคนที่นำเอาข่าวสารของพระองค์ไปบอกกับประชากรของพระองค์ ในยุคสมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าก็จะเรียกผู้เผยพระวจนะ แต่ไม่ได้ให้อยู่ยงคงประพันถาวร ไม่ใช่  พระเจ้าจะใช้ใครก็ได้ที่จะไปกล่าวถ้อยคำของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นคำเตือนสติ หรือบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าว่าพระองค์จะทำอะไร นั่นแหละ เขาเรียกว่าผู้เผยพระวจนะ บอกเรื่องราวที่พระองค์กำลังจะกระทำ

            บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนอีกนะ ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ ก็คือไปประกาศบอกความจริงในเรื่องของพระเยซูคริสต์ให้กับคนอื่นได้รับรู้ อย่างเช่นพวกอัครสาวก หรือคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ จากนั้น พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ลงมา

            เราจำได้ใช่ไหม สัปดาห์ที่แล้วเราเพิ่งเฉลิมฉลองวันเพ็นเทคอสต์ไป ก็คือเป็นครั้งแรกที่พระเจ้าเสด็จเข้ามาอยู่ในมนุษย์ … มนุษย์กลายเป็นวิหารของพระเจ้า ตั้งแต่เกือบ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วจากนั้น ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นวิหารของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาอยู่ในเรา ฉะนั้น คนเหล่านี้ ก็เป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บอกเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก ก็มาถึงประเทศไทย เพราะในช่วงนั้น ช่วงที่อัครสาวก หรือผู้เชื่อรุ่นแรกจะถูกข่มเหงมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถูกข่มเหงจากพวกชาวยิว ซึ่งชาวยิวเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ ซึ่งเขาควรจะเชื่อ เพราะว่าพระเจ้าบอกเขาล่วงหน้า ตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่เชื่อ พอไม่เชื่อ พวกอัครสาวกมาประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าปุ๊บ คนเหล่านี้ เขาไล่ล่าฆ่าเลยแหละ เหมือนกับมาทำให้ คนไม่ยอมมาทำตามบทบัญญัติ แต่พระเยซูยังคงยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติ แต่พระองค์มาทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำให้บทบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์ นอกจากพระเยซูผู้เดียวเท่านั้นเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  และเป็นมนุษย์ผู้แรกที่ไม่มีบาปเลย สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์

            จากนั้น พระเจ้าก็ให้บางคนเป็นศิษยาภิบาล … ศิษยาภิบาล ก็คือคนที่ดูแลผู้เชื่อ ที่พระเจ้าได้มอบหมายให้ อย่างในสมัยอดีต ที่อาจารย์เปาโลไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า  จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง  แล้วมีคนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็หาใครคนใดคนหนึ่ง ที่ดูแล้วว่ามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์แข็งขัน แล้วก็สามารถที่จะสอนคนอื่นได้ด้วย สามารถที่จะวางรากฐานที่มั่นคงให้กับคริสตจักรนั้นๆ อาจารย์เปาโลก็เลยแต่งตั้งให้เป็นศิษยาภิบาล อย่างเช่นที่เอเฟซัส อาจารย์เปาโลก็แต่งตั้งทิโมธี เป็นศิษยาภิบาล

            แล้วก็ให้บางคนเป็นอาจารย์ … อาจารย์กับศิษยาภิบาลก็ต่างกัน ศิษยาภิบาลเหมือนพ่อแม่ อาจารย์เหมือนครู นึกออกไหม? ความผูกพันมันต่างกัน  พ่อแม่ ก็คือดูแลเราตั้งแต่เกิดจนตาย ต่อให้พี่น้องจะรู้สึกว่า …

            “ฉันโตขนาดไหน? หรือฉันมีครอบครัวแล้ว ฉันมีลูกเต้าแล้ว พ่อแม่อย่ามายุ่งกับฉันเลย”

            มันไม่ยุ่งไม่ได้ ความผูกพันตรงนี้ ก็คือเรารักเขา เราก็คอยดูแล คอยห่วงใย แต่ไม่ได้หมายความว่าไปยุ่งทุกส่วนในชีวิตของเขา  ไม่ใช่ แต่ความผูกพันตรงนี้ พระเจ้าใส่เข้ามาเอง อดที่จะห่วงใยลูกเต้าของเราไม่ได้ ต่อให้เขามีลูก มีหลานแล้ว  เราก็ยังรักและห่วงใยเขาอยู่ แล้วเรามีภาษีเหนือกว่าตรงที่ว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราสามารถอธิษฐานให้กับลูกหลานเราได้ ขอพระเจ้าทรงเมตตา ดูแล ปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครอง ลูกหลานเราบางคน อาจจะยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็อธิษฐานเผื่อเขา ขอพระเจ้าเมตตาให้เขาได้มีโอกาสได้ยินได้ฟัง เมื่อเขาได้ยินได้ฟัง ขอพระเจ้าทรงเปิดตาใจ ให้เขามีความสามารถและถ่อมใจที่จะมายอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ทำ  หรือศิษยาภิบาลทำ

            แต่ครู อาจารย์ ก็คือเขาดูแลเราช่วงหนึ่งเอง อาจารย์ ก็คือสอนถ้อยคำของพระเจ้า ดูแลเราช่วงหนึ่ง  ไม่ได้ลงละเอียด ลึกเท่ากับพ่อแม่

            นี่คือความแตกต่าง ฉะนั้น ของประทานเหล่านี้ พระเจ้าเป็นผู้ใส่เข้ามา เมื่อพระองค์ให้ของประทานเหล่านี้ พระองค์ก็จะใส่ใจที่สามารถ อย่างศิษยาภิบาล พระเจ้าเรียกให้มาเป็นศิษยาภิบาล พระองค์ก็ใส่เรียกว่าความสามารถให้กับคนที่ถูกเรียกให้มาเป็นศิษยาภิบาล เหมือนกับพระเจ้าให้ของประทานในร่างกายของพวกเรา ถ้าพระเจ้าให้เราเป็นตา พระองค์ก็ใส่ความสามารถ ให้เราสามารถมองเห็นได้ ถ้าพระเจ้าให้เราเป็นหู พระองค์ก็ใส่ความสามารถให้เราสามารถได้ยิน นี่เรายกเว้นคนที่เขาผิดปกติ ไม่ได้ยิน ถ้าเป็นมนุษย์ปกติ หูเขาจะได้ยิน พระเจ้าให้เราเป็นปาก พระเจ้าก็ใส่ความสามารถให้เราสามารถพูดได้ ทานข้าวได้ อะไรอย่างนี้  ก็คือเป็นของประทาน พระเจ้าให้เราเป็นมือ พระเจ้าก็ใส่ความสามารถให้เราสามารถหยิบจับอะไรได้ ให้เราเป็นขา ก็ใส่ความสามารถให้เราสามารถเดินได้

            นี่คือของประทานที่ให้เรามาเปรียบเทียบกับร่างกายของมนุษย์ หรือของประทานที่บางคนมองไม่เห็น คืออะไร? ตับ ไต ไส้ พุง ที่มันอยู่ข้างใน เรามองไม่เห็น แต่ทุกส่วนในร่างกายมีประโยชน์ทั้งนั้น แล้วก็มีความหมายทั้งนั้น พระเจ้าสามารถใช้ทุกส่วนในร่างกาย และทุกส่วนในร่างกาย ทำงานร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้อวัยวะทุกส่วน ร่างกายนี้ ครบถ้วนสมบูรณ์ตามน้ำพระทัยของพระองค์ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความปิติยินดีของเราอยู่ในพระคริสต์

            ฟีลิปปี 4:4-7 …  “4 จงปิติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงปิติยินดีเถิด!  5 ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน และการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

            ความปิติยินดีของผู้เชื่อ เป็นความปิติยินดีที่โลกนี้ให้เราไม่ได้ เป็นความปิติยินดีที่คงทนถาวร หนักแน่น ฝังรากลึกลงในวิญญาณ ไม่เหมือนความยินดีของโลก ที่มาแป๊บเดียวแล้วหายไป

            ความปิติยินดีนี้ เกิดจากแม้เราจะเผชิญความทุกข์ยากต่างๆ แต่ในขณะที่เผชิญอยู่นั้น เราเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา เป็นที่ปรึกษา คอยนำพา หนุน ให้กำลังใจเรา ให้ความเข้มแข็งกับเรา และพาเราเดินผ่านสถานการณ์นั้นๆ แบบวินาทีต่อวินาที นาทีต่อนาที ชั่วโมงต่อชั่วโมง วันต่อวัน สัปดาห์ต่อสัปดาห์ เดือนต่อเดือน ปีต่อปี ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย

            การเผชิญ และเดินผ่านความทุกข์ยากอย่างมีความปิติยินดีกับพระเจ้านี้ เป็นความเข้มแข็ง ที่พระเจ้าเป็นผู้หยั่งรากลึกลงในจิตใจของเรา ค่อยๆ แทงราก เพื่อต้นไม้ต้นนี้ (ชีวิตเราในขณะอยู่ในโลกใบนี้) จะเติบโตแข็งแรง ในความเชื่อ ความรัก และความหวังใจในพระองค์

            นี่คือหนึ่งในธรรมชาติใหม่ในวิญญาณ ที่บังเกิดใหม่ เป็นอยู่ในชีวิตผู้เชื่อ  โดยไม่ต้องพยายามด้วยสติปัญญา แรงและกำลังของเรา

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1418

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  พฤษภาคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 10 “จะได้อาศัยอยู่ใน Holy of Holies อภิสุทธิสถาน ที่ประทับของพระเจ้า ตลอดนิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ตอนที่ 10 ตอนสุดท้าย “จะได้อาศัยอยู่ใน Holy of Holies อภิสุทธิสถาน ที่ประทับของพระเจ้าตลอดนิรันดร์”

            เราทบทวนนิดหนึ่ง อัศจรรย์ที่ได้รับเลยทันที เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 2 พวก กลุ่มแรก หรือพวกแรก ได้รับเลยทันที ขณะที่ยังดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เรียบร้อยแล้ว มี 7 อย่าง คือ …

                        1. วิญญาณเก่า ที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว

                        2. ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

                        3. ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว

                        4. พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย

                        5. ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว ขณะนี้

                        6. พระเจ้าได้ทรงให้ฉัน นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

                        7. ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ ถึงโลกหน้า

            7 อย่างนี้ได้ไปแล้ว ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ขณะที่นั่งอยู่ที่นี่  เราได้รับไปแล้ว 7 อย่างนี้

            ส่วนอัศจรรย์ที่เราจะได้รับในโลกหน้า หลังความตาย เมื่อหมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง ก็คืออันดับที่ 8 และอันดับที่ 9 …

                        8. จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์

                        9. จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์

            และที่จะเรียนรู้ใหม่ สุดท้ายในวันนี้ ก็คืออันดับที่ 10 …

                        10. จะได้อาศัยอยู่ใน Holy of Holies อภิสุทธิสถาน ที่ประทับของพระเจ้าตลอดนิรันดร์

            ฮาเลลูยา เอเมน โอ้! อัศจรรย์อะไรเช่นนี้  อย่างที่บอกไว้แล้วว่าโอ้! อัศจรรย์อะไรเช่นนี้ เพียงแค่เปิดใจเท่านั้นจริงๆ แน่ใจไหม?  ถ้าแน่ใจ เรามาดูวิวรณ์ 21:1-8  กันต่อจากครั้งที่แล้ว …

        วิวรณ์ 21:1-8 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิม ได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ ได้รับการตระเตรียมไว้ เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงาม รอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้า มาอยู่กับมนุษย์แล้ว  พระองค์จะสถิตกับพวกเขา  เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่า ได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไป เพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้ และเชื่อถือได้” 6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เรา คืออัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้น ดื่มจากธารน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย 7 ผู้ที่มีชัยชนะ จะได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา 8 ส่วนคนขี้ขลาดตาขาว คนที่ไม่เชื่อ คนชั่วช้า ฆาตกร คนผิดศีลธรรมทางเพศ คนใช้คาถาอาคม คนกราบไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดโกหก ที่ของเขา คือบึงไฟกำมะถันลุกโชน นั่นคือความตายครั้งที่สอง”

            ข้อ 1 “และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิม ได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว”

            ครั้งที่แล้ว เราได้อธิบาย มองดูด้วยกันถึงฟ้าใหม่และโลกใหม่นี้ ไปพอสังเขปแล้ว พอเห็นลางๆ แล้ว เห็นบ้างแล้ว วันนี้เราจะมาเติมว่าท่านรู้สึกแปลกใจไหม? …

            “ข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิม ได้ดับสูญไปแล้ว”

            ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น ฟ้าเดิมและโลกเดิมทำไมต้องสูญสิ้น? ท่านลองคิด พระองค์ทรงสร้างอย่างดีงาม แล้วทำไมต้องสูญสิ้น วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กันต่อไป อย่างที่บอกว่าเราจะเรียนรู้ได้พอสังเขปเท่านั้นเอง ตามที่พระเจ้านำพาเรา ให้เรารู้ตามประสามนุษย์ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายเดิมนี้ สติปัญญาของเรา ด้วยความขัดขวางของร่างกายอันอ่อนแอนี้ ได้แค่นี้เองครับ

            ถ้อยคำพระเจ้าในปฐมกาล ท่านนึกออกไหม? ตะกี้นี้ที่เราอ่านในข้อ 1 บอกว่า …

            “ข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่” ก็คือพระเจ้าสร้างฟ้าใหม่และโลกใหม่ ท่านนึกถึงอะไร? นึกถึงข้อพระคัมภีร์ในปฐมกาล บทที่ 1 … “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก” ให้เราอยู่อาศัย และทำไมมันต้องสูญสิ้นไปด้วย นี่เห็นไหม? อันนี้ก็กลับมาที่ว่าพระเจ้ามาสร้างฟ้าใหม่และโลกใหม่ขึ้น ลักษณะเดียวกันเลยกับหนังสือปฐมกาล

            ถ้าเราสังเกต เราจะเห็นว่าถ้อยคำพระเจ้าในปฐมกาล บทที่ 1 กับบทที่ 2  และวิวรณ์เล่มสุดท้าย ก็หนังสือพระคัมภีร์ ที่เราชาวคริสเตียนถืออยู่ ในหนังสือวิวรณ์ บทที่ 21 กับบทที่ 22 มันเหมือนกันเลย  ก็คือบันทึกไว้ สรุปรวมว่าพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง เป็นพระผู้สร้าง เป็นต้นและเป็นปลายของสรรพสิ่งทั้งหลายที่สวยสดงดงาม เป็นสวรรค์ให้มนุษย์ได้อยู่อาศัย  ไม่มีบาป ไม่มีความตาย ไม่มีคำสาปแช่งใดๆ เลย เหมือนกันเลย 2 บทนี้ ต้นและปลาย  เป็นของพระคริสต์ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างดี และดีเลิศ ดียอดเยี่ยม  เป็นที่อยู่ของมวลมนุษยชาติ

            เพราะฉะนั้น หน้าแรกและหน้าสุดท้ายของหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ก็คือขาว สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาป หน้าสุดท้ายของหนังสือไบเบิ้ล คือสะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาป ใครมีหนังสือไบเบิ้ลตอนนี้ ยกขึ้นมาดูนะ หน้าแรกของท่าน คือสะอาดขาวบริสุทธิ์ ไม่มีบาป สดใส เป็นพระคริสต์ หน้าสุดท้าย คือวิวรณ์ บทสุดท้าย สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย คือพระคริสต์ ซึ่งเรากำลังเรียนอยู่หน้าสุดท้าย ตอนนี้ ท่านนึกภาพออกนะ หน้าแรกและหน้าสุดท้าย เป็นหนังสือพระคัมภีร์ เป็นความสะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาป เป็นของพระคริสต์ ผู้สร้าง

            แล้วที่เหลือล่ะ ตั้งแต่ปฐมกาล บทที่ 3 เป็นต้นไป จนกระทั่งถึงวิวรณ์ บทที่ 20 ไปอ่านดูได้ ทั้งหมดนั้นคืออะไร? นึกภาพออกไหม?  ตรงกลางทั้งหมดที่เหลือ ซึ่งมันสั้นๆ มันแป๊บเดียว มันอยู่เพียงชั่วคราว  พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ เป็นความบาป ความมืด สกปรก เป็นของมารทำงานอยู่ เป็นผู้ทำลาย พระคัมภีร์ที่เราถืออยู่นี้ ปฐมกาล บทที่ 3 จนถึงวิวรณ์ บทที่ 20 เป็นการงานของมารที่พยายามจะต่อต้าน  ทำลายการทรงสร้างของพระคริสต์  ท่านจะเห็นภาพชัดเจน

            เพราะฉะนั้น ปฐมกาล บทที่ 3 จนถึงวิวรณ์ บทที่ 20 มารจึงเป็นต้นเหตุของทั้งปวงเลย ที่มันเกิดขึ้น พระเยซูมาตรัสบอกว่าเพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย ขโมยอะไร? ขโมยความสุข ของใคร? ของมวลมนุษย์ ฆ่า ทำลายใคร? มวลมนุษยชาติ บ้านของมนุษย์ คือโลกใบนี้นั่นเอง  พยายามต่อต้าน ทำลายโลกใบนี้ให้เป็นนรก  เป็นบาป เป็นคำสาปแช่ง ที่ปกคลุมอยู่

            ขอบคุณพระเจ้า ใครชนะ? พระยซูชนะ  ปรบมือขอบคุณพระเจ้า

            อยากจะให้ท่านเห็นภาพรวมสั้นๆ ของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ท่านจะได้เอาเหล่านี้ เป็นรากฐานในการอ่านพระคัมภีร์ทั้งหมด อย่าไปเจาะตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย แล้วก็คิดเพ้อเจ้อไปตามความคิดของมนุษย์ว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ภาพรวมของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ไม่ได้เข็ญใจอะไรเลย ยิ่งสมัยก่อน คนที่เรียนรู้เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเจ้านั้น มีหนังสือ มีความรู้เรื่องมนุษย์แต่เพียงนิดเดียวเอง แต่เรื่องรวมๆ เขารู้พื้นฐานมันถูกต้อง คืออย่างนี้แหละ

            พื้นฐาน คือเริ่มต้นจากพระเจ้ามีแผนการให้กำเนิดมนุษย์ เป็นลูกของพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์ มีหัวหน้าครอบครัว ต้นตระกูลของมนุษย์ ก็คืออาดัม และก็ได้สร้างโลก ที่เรียกว่าฟ้าใหม่และโลกใหม่ ในหนังสือวิวรณ์ แต่ตรงนี้เป็นสร้างใหม่อันเดิม คือและได้สร้างโลกและสร้างฟ้า ให้อยู่อาศัยอย่างดี ซึ่งปกคลุมไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ที่เรียกว่าสวรรค์ ก็คือที่ประทับของพระเจ้า ที่เรียกว่าอภิสุทธิสถาน Holy of Holies

            หัวหน้าครอบครัว คืออาดัม บรรพบุรุษของเรา ล้มลงในความบาป จากการถูกล่อลวงของมาร ทำให้ครอบครัวของมนุษย์ ตระกูลของมนุษย์ตกลงไปในความสาปแช่งของความบาปและความตาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และสวรรค์ที่ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้ คือที่ประทับของพระเจ้า คือ Holy of Holies  ไม่สามารถตั้งอยู่บนโลกนี้ได้อีกต่อไป เพราะครอบครัวมนุษย์ เจ้าของโลกใบนี้ ตกลงไปในความบาป เป็นศัตรูเข้ากับพระเจ้าไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นลูกหลาน เป็นเชื้อสาย  ซึ่งเกิดในครอบครัวของอาดัมนี้ จึงตกลงไปในคำสาปแช่ง ในความบาป  เป็นศัตรูกับพระเจ้า พร้อมๆ กับโลกใบนี้ และสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ทั้งหมดด้วยครับ

            นี่คือที่มาของความทุกข์ยากลำบาก ความพินาศ ความวิปริตของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ทั้งมนุษย์ และทั้งสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ พระเจ้าจึงเตรียมแผนการกู้มนุษย์และโลกกลับคืนมาใหม่ ให้กลับคืนสู่สภาพดี คืนดีกับพระองค์ พระองค์วางแผนการไว้ ท่านคิดว่าสำเร็จไหม? พระองค์วางแผนการ พระเจ้าทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ โดยการส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ และพระเยซูก็ได้ทำการงานนี้ให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว เกือบ 2,000 ปีมาแล้ว มนุษย์จึงได้มีต้นตระกูล หัวหน้าครอบครัวคนใหม่ คือพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์เรียกว่าอาดัม คนที่ 2

            มนุษย์ทุกคนจึงต้องอพยพ ย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในครอครัวของพระคริสต์นี้ ซึ่งเรียกครอบครัวพระคริสต์นี้ว่า “คริสตจักร” เพื่อจะได้มีชื่อจดอยู่ในทะเบียนคริสตจักรของพระคริสต์นี้ เพื่ออพยพหนีจากโลกนี้  ที่มันกำลังถูกสาปแช่ง ลงไปสู่ความพินาศ แน่นอน อพยพหนีจากโลกใบนี้ มาสู่โลกใบที่สวยสด งดงาม ในหนังสือวิวรณ์ที่บันทึกไว้ ที่เรากำลังเรียนรู้นี่แหละ ฟ้าใหม่และโลกใหม่ พระเจ้าเตรียมไว้ให้ หมายถึงอย่างนี้

            และมวลมนุษย์เริ่มต้นอพยพเข้าสู่ครอบครัวใหม่ ครอบครัวของพระคริสต์นี้เมื่อไร? ท่านนึกออกไหม? มวลมนุษย์เริ่มต้นอพยพเข้าสู่ครอบครัวของมนุษยชาติใหม่นี้  ก็คือคริสตจักรของพระคริสต์นี้ ในวันเพ็นเทคอสต์แรกของโลกนี้ เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งเรากำลังมารำลึกถึงวันเพ็นเทคอสต์ในสัปดาห์หน้า พระเจ้าเริ่มต้นเก็บเกี่ยว รวบรวมวิญญาณของมนุษย์ เข้ามาในครอบครัวของพระคริสต์นี้ มาเป็นสมาชิกในครอบครัวของสวรรค์ที่เรียกว่า “คริสตจักรของพระคริสต์” ก็คือ “อาณาจักรของพระคริสต์” อาณาจักรสวรรค์ของพระคริสต์ ที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้ เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่ยิ่งใหญ่ไปเรื่อยๆ บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้า เป็นที่ประทับของพระเจ้า ที่เรียกว่าอภิสุทธิสถาน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Holy of Holies ในสวรรคสถานของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ในโลกวิญญาณ ฮาเลลูยา เอเมน

            พระเจ้ารวบรวมให้มนุษย์เข้ามาสู่โลกใหม่ ครอบครัวใหม่ในพระคริสต์ด้วยวิธีใด? ก็ด้วยการประกาศข่าวดีนี้ออกไป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตั้งแต่วันเพ็นเทคอสต์แรก 2,000 ปีก่อนนั้น เป็นต้นมา มีคนเชื่อและเปิดใจต้อนรับ คนนั้น ก็ได้ถูกช่วยให้อพยพ ได้ถูกย้ายจากการอยู่ในบรรพบุรุษเดิม โลกเดิม คืออาดัม มาอยู่ในอาดัมที่ 2 มาอยู่ในพระคริสต์ อัศจรรย์เกิดขึ้นในวิญญาณเขาทันที ตามชื่อเรื่องซีรี่ย์นี้เลย พอเปิดใจได้รับการย้ายปุ๊บ อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เปรี้ยง 10 อย่าง 7 อย่างได้เลย อีก 3 อย่างได้รับหลังความตาย

            อัศจรรย์เกิดขึ้นทันทีในวิญญาณของเขา คือวิญญาณที่เป็นบาป อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในอาดัม บรรพบุรุษเดิมนั้น ได้ตายทันทีเลย และได้มาบังเกิดใหม่ ในครอบครัวของพระคริสต์ ในฐานะลูกของพระเจ้า ในครอบครัวสวรรค์ เป็นประชากรของสวรรค์ทันทีเลย ตั้งแต่ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ขอบคุณพระเจ้า แค่เปิดใจท่านก็เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นพลเมืองของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว นั่งอยู่ที่นี่ ก็คือนั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว และเมื่อถึงกำหนดเวลา พระเจ้าจะสร้างฟ้าใหม่ โลกใหม่ และสรรพสิ่งบนโลกใหม่ ให้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งเราได้เรียนรู้ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ข้อ 1 ที่ตะกี้ที่เราอ่าน ในวิวรณ์ บทที่ 21ฟ้าใหม่และโลกใหม่ และที่นั่น ก็คืออภิสุทธิสถาน Holy of Holies ที่ประทับของพระเจ้า ก็จะลงมาปกคลุมอยู่เหนือฟ้าใหม่และโลกใหม่นี้ โดยมีพระคริสต์เป็นศีรษะของคริสตจักร คือพวกเราทั้งหลายผู้เชื่อนั้น เป็นผู้ครอบครอง ไม่ใช่เข้าไปธรรมดา เป็นผู้รับใช้  แต่เข้าไปในลักษณะเป็นเจ้าของร่วมกับพระเยซูคริสต์

            มันน่าตื่นเต้น สั้นๆ แค่นี้ เขาจึงอยู่กันได้ สมัยก่อนนี้ คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ไม่ได้เรียนรู้อะไรมากมาย แต่เขารู้หลักการพื้นฐานเหล่านี้ทั้งหมด

            เราทั้งหลายที่เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้แล้ว ได้มีชื่อจดอยู่ในทะเบียน สำมะโนครัว ครอบครัวของพระเจ้า ในพระคริสต์นี้ ที่เรียกคริสตจักรของพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นหนึ่งในคริสตจักรสากล คริสตจักรในโลกวิญญาณ ในพระคริสต์แล้ว และหลังความตาย ก็จะได้อยู่ในอภิสุทธิสถาน Holy of Holies ที่ประทับของพระเจ้าสูงสุดนี้ แบบจับต้องมองเห็นได้จริงๆ ด้วยร่างกายที่เหมือนพระเยซูที่เราจะได้รับ ได้เห็นพระเจ้าและทุกสิ่งทุกอย่างในสวรรค์นั้น แบบหน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง และพระเจ้าจะทรงอยู่กับเรา ท่ามกลางพวกเรา เป็นส่วนตัวกับเราแต่ละบุคคลเลย เหมือนเรามีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นเพื่อนเลย แล้วเป็นกับทุกคนได้ เพราะพระองค์ทรงสามารถปรากฏอยู่ได้ในทุกๆ แห่ง เวลาพร้อมกัน  เราทำไม่ได้ แต่พระองค์ทำได้ ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น  และเราจะเป็นส่วนตัวอยู่กับพระองค์ อยู่ในอภิสุทธิสถาน Holy of Holies ซึ่งหมายถึงที่ประทับของพระเจ้านิรันดร์

            คือการรอคอยของเรานี้ ไม่ใช่รอคอย เพื่อจะไปรับในสิ่งที่ต้องรอคอย มีกำหนด จุดจบอีก ไม่มีแล้ว รอคอยครั้งสุดท้าย ครั้งเดียว พอหมดลมหายใจ ตายไป รับร่างกายใหม่ จบทุกอย่างแล้ว ก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไปนิรันดร์เลย ซึ่งเป็นไปตามแผนการของพระองค์ตั้งแต่ตอนเริ่มต้น ที่ให้กำเนิดมนุษย์ตั้งแต่แรกแล้ว เป็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีแก่บรรดามนุษย์ทั้งปวง ทั้งหลายนั่นเอง โดยทั้งหมดนี้ กระทำโดยพระเจ้า ผ่านทางการทรงสร้าง โดยพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย คือพระคริสต์ เป็นผู้เริ่ม และเป็นผู้จบทุกสิ่ง

            เพราะฉะนั้น ปฐมกาลหน้าแรก ก็คือพระคริสต์ วิวรณ์จบสุดท้าย ก็คือพระคริสต์ ตรงกลาง คือพระคริสต์สู้กับมาร ซึ่งมันคนละชั้น ต้องบอกคนละชั้น อย่างไรก็สำเร็จ พระคริสต์ยิ่งใหญ่สูงสุด

            เรามาต่อเมื่อตะกี้นี้ ข้อ 1 ฟ้าใหม่และโลกใหม่นี้ ในนี้เขียนต่อว่า “ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว” ฟ้าใหม่และโลกใหม่ ไม่มีทะเลเลย คือแต่ก่อนนี้ เวลาเขาเขียนพระคัมภีร์ เขาจะเขียนเหมือนวรรณกรรม เหมือนเรื่องเล่า มีเชิงสัญลักษณ์ เปรียบเทียบอันนี้อันนั้น ยกตัวอย่างเช่น เปรียบมาร สัญลักษณ์ของมาร คืองู อย่างนี้ ยกตัวอย่าง

            เพราะฉะนั้น ทะเลเล็งถึงอะไร? ทะเล เล็งถึงความชั่วร้ายของมาร และวิญญาณชั่ว สมุนของมัน  ทะเลไม่มีอีกแล้ว ก็คือไม่มีมาร ไม่มีความชั่วร้าย มาคอยล่อลวง ไม่มีความบาปและความตาย ซึ่งเป็นต้นเหตุของคำสาปแช่ง ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ความเสียหาย ความวิปริต ความชั่วร้ายของโลกใบใหม่นี้อีกเลย ไม่มีการแยกจากพระเจ้า เพราะบาป แต่ทุกคนได้กลับคืนดีกับพระเจ้าแล้ว ไม่มีการเป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกเลย นั่นหมายถึงตรงนี้ คือฟ้าใหม่และโลกใหม่ มันจะเป็นอย่างนี้ แฮปปี้ไหม?

            ข้อ 2 “ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมา จากสวรรค์ นครนี้ ได้รับการตระเตรียมไว้ เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงาม รอรับผู้เป็นสามี”

            “นครบริสุทธิ์” คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมา คืออะไร? นึกภาพออกไหม? นครบริสุทธิ์ นคร คือเมือง คืออาณาจักร ถูกไหม? ก็คือคริสตจักรของพระคริสต์ อันบริสุทธิ์ งดงาม เป็นที่ประทับของพระเจ้า

            “เจ้าสาวของพระคริสต์” ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย เปรียบเหมือนเจ้าสาวของพระคริสต์ที่จะร่วมแต่งงานกับพระเมษโปดก ก็คือพระเยซูคริสต์ ซึ่งเปรียบเป็นเจ้าบ่าว ไม่ใช่เป็นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจริงๆ แต่เขาเปรียบ เล็งให้เห็น เหมือนตะกี้ที่บอกว่างูไม่ได้หมายถึงงู เป็นซาตาน แต่เขาเปรียบให้เล็งเห็นเท่านั้น  เพราะฉะนั้น เจ้าสาวของพระคริสต์ คือผู้เชื่อ คือคริสเตียน ผู้ชนะความบาปและความตาย ด้วยโลหิตของพระคริสต์ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  ไม่ใช่ไปชนะเอาตอนโน้น ต้องชนะก่อนตาย โดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ ชนะโดยการได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมทั้งวิญญาณและใจใหม่ ที่ได้บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซู ตั้งแต่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

            หนังสือ 1 ยอห์น 4:17 ได้บอกไว้ว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณและใจใหม่นั้น เป็นเหมือนพระคริสต์แล้ว เพียงแต่รอหลังความตาย วิญญาณและใจใหม่นี้  จะได้สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ มาถึงซึ่งความบริสุทธิ์ ดีพร้อม อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้า ทั้งวิญญาณ ใจ และร่างกายใหม่ พร้อมที่จะเป็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ อันสวยสดงดงาม แต่งกายพร้อม รอรับสามี คือรอร่วมครอบครองโลกใหม่ ฟ้าใหม่พร้อมกับสามี ผู้เป็นศีรษะ คือหัวหน้าครอบครัว คือต้นตระกูลของเรา  คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง  ขอบคุณพระเจ้า  เราไม่ต้องทำอะไรเลย ดังนั้น เรารออะไร? ที่นั่นจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์ แล้วได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ เล็งเห็น เป็นเหมือนสามี เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

            ที่นั่น หมายถึงโลกใหม่ ฟ้าใหม่ และชีวิตใหม่ ร่างกายใหม่ของเรา พร้อมกับวิญญาณและใจใหม่ของเรา ไม่มีโปรแกรม ความคิด อิทธิพลของความบาป และกิเลสตัณหาของเนื้อหนังอยู่ในร่างกายใหม่นี่เลย แม้แต่นิดเดียว  เมื่อไม่มีความบาปอยู่ ไม่มีอิทธิพลของความบาปอยู่ จึงไม่มีเหตุให้ถูกล่อลวง ผลักดัน ชักจูงให้ทำบาป หรือแม้แต่คิดบาปอีกต่อไป  มีแต่ธรรมชาติของความบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระเยซูเท่านั้น  ฮาเลลูยา เอเมน บางคนน้ำตาเริ่มไหล เป็นไปได้หรือ? เป็นไปได้จริงๆ ตามเหตุผลนี้ก็ชัดเจนแล้วนะ สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป  ไม่มีบาป ฟังให้ดีนะ ตรงนี้ บางคนเป็นห่วง ไม่มีบาปเก่าที่เคยทำในอดีต ตอนก่อนตาย ให้จดจำอีกต่อไป และไม่มีมาร ไม่มีบาปใหม่มาล่อลวง ให้ทำอีกต่อไป  ไม่มีการมารบกวนทั้งบาปเก่าบาปใหม่ เอเมน ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ ทั้งบาปเก่าบาปใหม่ มันรบกวนอยู่เรื่อยนะ  เดี๋ยวก็ความคิดบาปเก่า  เคยทำบาปไปแล้ว  ได้รับการอภัยโทษ จากพระเจ้า โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์แล้ว ก็คิดกังวล …

            “แหม! ไม่น่าทำ ทำไป พระเจ้าคงเสียใจ ฉันจะได้รับความรอดในสวรรค์หรือเปล่า?”

            นี่เขาเรียกกังวลบาปเก่า แล้วกังวลบาปใหม่ว่า …

            “อย่าทำนะ อย่าทำ อย่าโกหกนะ”

            วันๆ เดินไป ก้าวไป  ก็ … “อย่าโกหกนะ ต้องทำตัวให้เรียบร้อยนะ พระเจ้าจะได้ให้ไปอยู่ในสวรรค์”

            มันถูกล่อลวงทั้งสิ้น  เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราเป็นอิสระแล้ว ที่จะทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ทำอะไรก็ได้เป็นประโยชน์ อะไรต่างๆ  เหล่านี้ พอถูกล่อลวง ก็กังวล แต่ในสวรรค์ที่เรากำลังจะไปอยู่ ฟ้าใหม่ โลกใหม่ และร่างกายใหม่นั้น ไม่มีสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป มันก็สบายใจ สมบูรณ์แบบ 100% นั่นเอง เอเมน

            ดังนั้น ความคิด ก็มีแต่ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ตายต่อบาปอย่างเดียว สมบูรณ์ครบถ้วนเลย เพราะไม่มีร่างกายเก่าอยู่เลย จึงสามารถอยู่ในอภิสุทธิสถาน Holy of Holies กับพระเจ้าแบบเห็นกันหน้าต่อหน้าได้ตลอดเวลา เป็นนิรันดร์นั่นเอง เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ทุกวันนี้มันอยู่ไม่ได้ เพราะร่างกายเก่ามันคอยคิด และยังมีสิ่งแวดล้อมบนโลกใบนี้ มีมาร มีคนกระทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น ล่อลวง กระตุ้นไป กระตุ้นมา วุ่นวาย แต่ถึงวันนั้น มันจะไม่มีสิ่งเหล่านี้

            อ่านหนังสือพระคัมภีร์วิวรณ์ตอนจบนี้ อ่านแล้วศึกษาไป ต้องจินตนาการไปด้วย  เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ แต่มันเป็นจริงตามนั้นจริงๆ  พระคัมภีร์ก็พยายามอธิบายให้ชัดที่สุด เท่าที่ทำได้แล้ว พระวิญญาณก็จะช่วยเรา ในการภาวนา จินตนาการให้มันเป็นไปตามนั้น พระวิญญาณจะช่วยเรา ให้เราได้เห็น

            ข้อ 3 “และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้า มาอยู่กับมนุษย์แล้ว  พระองค์จะสถิตกับพวกเขา  เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา”

            หมายถึงอะไร? ทั้งหมดนี้ ข้อ 3 หมายถึงการอยู่กับพระเจ้าแบบจับต้องมองเห็นได้เลย อย่างที่ผมอธิบายเมื่อตะกี้นี้ ข้อ 2 หมายถึงการเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า การเห็นพระเจ้าเดินกับพวกเรา เหมือนผมอยู่กับพวกท่านขณะนี้ เดี๋ยวเดินมาจับมือผมก็ได้ จับมือกัน คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ เราจะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้าอย่างนี้ อย่างที่เป็นความจริง ตามความเป็นจริง และเป็นส่วนบุคคลด้วย เหมือนที่ท่านกับผมนั่งอยู่ตรงนี้ เห็นผมเป็นส่วนบุคคล คนอยู่ทางบ้าน อาจจะเห็นผม แต่ต้องใช้ความเชื่อเอา จับมือไม่ได้ เพราะผมไม่สามารถอยู่ทุกหนทุกแห่งได้ แต่พระเจ้าสามารถทำได้ มันหมายถึงอย่างนั้น  พระเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางเรา มันหมายถึงอย่างนั้น

            ลักษณะเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสือยอห์น บทที่ 1 จำยอห์น บทที่ 1 ได้ไหม? ผู้เขียน ผู้เดียวกัน ผู้ที่ได้รับนิมิต ในโลกฝ่ายวิญญาณ เรียกว่าสวรรค์เป็นเช่นไร? เขียนลักษณะเดียวกัน ก็คือในยอห์น 1:14 บันทึกไว้อย่างนี้นะ …

        ยอห์น 1:14 “พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา”

            “พระวาทะ” หมายถึงพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์ได้เกิดเป็นมนุษย์ จับต้องมองเห็นได้ แต่พระองค์ไม่สามารถอยู่ในทุกหนทุกแห่งได้  พระองค์ยังอยู่ในร่างของมนุษย์ แต่เข้าใจตรงนี้ใช่ไหมในถ้อยคำนี้บอกว่า …

            “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เต็มไปด้วยพระสิริ” อยู่ในร่างกายของมนุษย์  และปรากฏท่ามกลางพวกเขา ก็คือยอห์น ตอนที่เขียนนี้ เราจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานนิรันดร์ Holy of Holies ที่ประทับของพระเจ้าตอนนี้ ลักษณะอย่างนี้แหละ ลักษณะเดียวกันกับที่พระเยซูคริสต์ ปรากฏเป็นมนุษย์ แล้วก็อยู่ท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย เห็น กินข้าวกับเราได้ กินปลากับเราได้ เข้าไปซุกที่อกของพระองค์ได้ กอดคอกับพระองค์ก็ได้ ยิ้มแย้มแจ่มใสกับพระองค์ก็ได้ ไปตีกอล์ฟกับพระองค์ก็ได้ สมมติว่าถ้ามันมีกอล์ฟนะ มันหมายถึงอย่างนั้น มันตื่นเต้นไหมล่ะ

            ข้อ 4 “พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่า ได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

            บางคนก็ต้องคิด ถูกต้องแล้ว ไม่มีน้ำตา พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกหยด  อ้าว! ไหนบอกไม่มีความเศร้าโศก เสียใจแล้วไง แล้วทำไมจะมาซับน้ำตาให้เราทำไม? ไม่คิดหรือ? ไม่มีความตาย ไม่มีความเศร้าโศก  ไม่มีความเจ็บปวด แล้วเราจะไปร้องไห้ทำไม? นึกออกไหม? คิดอย่างนี้หรือเปล่า?

            มันหมายถึงอย่างนี้ เคยได้ยินคำนี้ไหม? พระคัมภีร์ชอบเอ่ย คำว่า “หญิงคลอดบุตร” เล็งให้เห็นถึงความทุกข์ลำบาก เจ็บปวด ยิ่งใกล้วันคลอด ยิ่งทุกข์ ยิ่งเจ็บปวด เขาเจ็บปวด ด้วยมีความหวังถูกไหม? พอเจ็บปวดถึงที่สุด คลอดปุ๊บ ออกมาปั๊บ ดีใจไหม? ชื่นชมยินดีไหม? ชื่นชมยินดี วินาทีแรกที่พยาบาลเอามา ดีใจ น้ำตาไหลหรือเปล่า? นี่แหละ มันหมายถึงอย่างนั้นแหละ ผู้เชื่อทุกคน ทุกข์ยากลำบาก รอคอยวันนั้น รอคอยให้คลอด เข้าสู่โลกวิญญาณสักที ได้รับร่างกายใหม่สักที ได้รับชีวิตใหม่ ได้อยู่ในโลกใหม่ สักทีหนึ่ง รอคอยทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ รอคอยๆ อันนั้น รอคอยด้วยความทุกข์ น้ำตาแห่งความทุกข์จริงๆ แต่พอเข้าไปอยู่ปุ๊บ เจอพระเยซูหน้าต่อหน้า พระเยซูเข้ามากอด แล้วก็เช็ดน้ำตา น้ำตานั้นไม่ใช่น้ำตาแห่งความทุกข์แล้วนะ เคย อย่างที่บอกว่าพอเห็นพยาบาลอุ้มลูกมาเท่านั้น น้ำตาไหล เคยมีความสุขอะไรมากๆ แล้วซึ้งมากๆ น้ำตาไหล นั่นแหละ พระเยซูจะมาเช็ดน้ำตา แปลว่าอย่างนี้ พอเข้าไปปุ๊บ ตื่นเต้น พระเยซูเป็นอย่างนี้ สง่าราศีของเราเองเป็นอย่างนี้ เรามาเกิดใหม่เป็นอย่างนี้ ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูเป็นอย่างนี้ พระเยซูเป็นอย่างนี้ พระเยซูเข้ามากอดเรา …

            “สบายใจแล้วนะ ไม่ต้องห่วง”

            น้ำตาเรายังปริ่มๆ อยู่ ปริ่มด้วยความปิติยินดีในครั้งแรกที่พบพระองค์ รอคอยๆ วันแรกที่มาพบ เหมือนคนรอคอยรับลูก ที่ส่งไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก เรียนไป 20 ปี ไม่เจอหน้ากันเลย ติดต่อแต่ทางจดหมาย จนกระทั่งอายุ 20 กลับมากรุงเทพ มาเจอกัน วันที่เจอ ที่สนามบิน โผเข้ามากอดกัน ร้องไห้ไหม? ร้องไห้ด้วยความยินดี นั่นแหละ ลักษณะอย่างนั้น น้ำตาแห่งความชื่นชมยินดี หลังคลอดบุตร ลักษณะเดียวกัน เพราะว่าระบบของความบาปและความตาย กฎของความบาปและความตาย อิทธิพลของความบาปและความตาย มันหมดไปแล้ว ได้ถูกกำจัดออกไปให้พ้นหมดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีคำสาปแช่ง  ก็ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ใครที่ป่วยอยู่ ยกมือขึ้น? คนทุกคน มากหรือน้อยทุกคน มันจะไม่มีคำสาปแช่ง  ก็ไม่มีความป่วยไข้เจ็บป่วย ไม่มีแก่ ใครที่หวีผมมาเมื่อเช้านี้ยกมือขึ้น หวีผมเพราะอะไร? เพราะให้มันดูดี ไม่อยากแก่ ไม่อยากตาย เพราะกลัวตาย ไม่มีความอดอยาก มันลำบากลำบน บนนั้น มันจะไม่มีความอดอยากขาดแคลน ไม่มีความกลัว วิตกกังวล ไม่มีความซึมเศร้าใครที่เผชิญเรื่องนี้อยู่ เผชิญทุกคน ไม่ว่ามากหรือน้อย กลัวโน่นกลัวนี่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังกลัวเลย กลัวว่ามันจะเกิด ใช่ไหม? บนโลกใบนี้ เขาเรียกว่าความวิตกกังวล มากหรือน้อยก็ตาม เห็นลูกเห็นหลานวิ่งอยู่ตรงนั้น นึกถึงถ้ามันเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างไร? ถ้าเกิดอย่างนี้จะเป็นอย่างไร? ได้ฟังข่าวเกิดขึ้นตรงโน้น ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราจะเป็นอย่างไร? อย่างนี้เขาเรียกกลัวล่วงหน้า  มันอยู่กับความกลัวตลอดเวลา บนโลกใบนี้ แต่บนโลกใหม่นั้น ในร่างกายใหม่นั้น มันไม่มีความกลัวอย่างนั้นอีกต่อไป ไม่มีการซึมเศร้าอีกต่อไป

            และข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือไม่มีความเย่อหยิ่งจองหองในตัวเราเองด้วย ตัวเราเองจะดีถึงขนาดนั้นเลยเหรอ เป็นไปได้หรือ? ตลอดเวลา ท่านจะเป็นคนที่ดีพร้อมตลอดเวลา ไม่เย่อหยิ่ง จองหองด้วย เต็มไปด้วยความรักตลอดเวลา เพราะว่าที่โน่น ในร่างกายใหม่ของเรา ในระบบใหม่ของเรา ไม่มีโปรแกรมความคิดเดิมอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

            โปรแกรมความคิดเดิม ก็คือความคิดที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  มันสะสมต่างๆ เหล่านั้นว่าเราต้องเห็นแก่ตัว ใครมาตีเรา เราต้องตีตอบ อะไรต่างๆ เหล่านั้น มันจึงไม่มีความจดจำในเรื่องเกี่ยวกับความชั่ว ความบาป ความโหดร้าย ความเกลียดชัง  ความทุกข์ยากใดๆ ที่เป็นประสบการณ์ของเรา ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ในร่างกายเก่านี้เหลืออยู่เลย แม้แต่นิดหนึ่ง  เพราะร่างกายเก่ามันถูกทิ้งไป มันตายไปแล้ว  มันสูญสิ้นไป เป็นดินไปแล้ว ทุกวันนี้ ที่เราจะอยู่ในโลกใหม่ เป็นร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ สะอาด บริสุทธิ์ ใสนิ้งเลย ไม่มีเหลือความคิดเดิมอยู่เลย แม้แต่นิดหนึ่ง

            ถ้าคิดไม่ออก ผมจะยกตัวอย่างให้ อย่างเช่น อยู่บนโลกใบนี้ใครที่ทำอะไรให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ บางทีเจ็บช้ำมาก เราลืมไม่ได้ เรามาเป็นคริสเตียนแล้ว เราอภัยให้ ตัดสินใจ พระเจ้าอภัย แต่ถามจริงๆ เถอะ ในเนื้อหนังร่างกายเราลืมได้ไหม?  ลืมไม่ได้  หลายคนเป็นอย่างนั้นนะ  มันลืมไม่ได้ ทำเราเจ็บช้ำน้ำใจมาก เราให้อภัยได้  แต่เราไม่อยากจะเจอหน้าต่อไป นั่นก็คือมันลืมออกจากความคิดไม่ได้ ตัดสินใจทำตามพระเจ้าจริง แต่ร่างกายเราทำตามไม่ได้ เพราะโปรแกรมความคิดจิตใจ มันไม่สะอาดครบถ้วนบริบูรณ์ ในร่างกายนั้น

            หรือแม้แต่กลับกัน เราทำอะไรใครไว้ เรารู้สึกเสียใจมาก ไปทำให้เขา เขาจะอภัยให้เรา เขาอาจจะอภัยให้เราเรียบร้อยแล้ว แต่เราไม่อภัยให้กับตัวเราเอง เรายังรู้สึกฟ้องผิดตลอดเวลา เราไม่ควรทำเลย มันอยู่ลึกๆ ในโปรแกรม ในความคิดของเรา วิญญาณเราอาจจะเกิดใหม่  อภัยในตัวเราเองเรียบร้อยแล้ว ชำระด้วยพระโลหิตแล้ว แต่ความคิดในร่างกายนั้น มันไม่ยอมทำตาม มันจะฟ้องเราตลอดเวลา ซึ่งทรมานไหม? ถ้าคนเกิดอย่างนี้ก็ทรมาน

            หรืออย่างเช่น เราทุกข์ใจ เสียใจอย่างที่เราไปประกาศให้กับเพื่อนฝูงที่เรารัก ญาติพี่น้องที่เรารักมากเลย เรารักเขาจริงๆ เราทุ่มชีวิต เราประกาศให้เขา เราหวังว่าเขาจะเชื่อ ในที่สุดแล้ว เขาก็ยังไม่เชื่อ จนกระทั่งเสียชีวิตไป สมมติ เราก็รู้สึกเสียใจว่าเขาน่าจะเชื่อนะ น่าจะได้รับความรอด เรามีความเสียใจตรงนั้นใช่ไหม?

            ความคิดตรงนี้ เมื่อได้รับร่างกายใหม่แล้ว มันก็ถูกลืมไปด้วย บนนั้น ท่านจะจำไม่ได้เลยว่าท่านเคยอธิษฐานให้ใคร? แล้วไม่เจอเขาบนนั้น  ท่านจะไม่รู้สึกเสียใจเลย  เพราะท่านจำไม่ได้ว่าท่านอธิษฐานให้นาย ก. แล้วท่านไม่เจอนาย ก. บนสวรรค์นั้น พอเข้าใจใช่ไหมครับ?  ท่านจะไม่รู้สึกเสียใจเลย ถ้าท่านไม่เจอคนที่ท่านรักบนนั้น ที่ท่านคิดว่าเขาน่าจะอยู่ แล้วเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น เขาไม่ได้เชื่อ มันไม่มีความคิดนี้อยู่เลย เพราะความคิดนี้ มันอยู่ในความคิดเสียใจของร่างกายเดิมเท่านั้น

            นี่คือสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในร่างกายใหม่  เราจะอยู่ในสังคมใหม่ เราจะอยู่ในความสวยสดงดงามใหม่ ทั้งสิ่งแวดล้อมใหม่ และความคิดใหม่ ที่เป็นความคิดเหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่มีความโศกเศร้าเสียใจอีกต่อไป ไม่ว่าจะมาจากเรื่องอะไรก็ตาม

            ข้อ 5 “พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไป เพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้”

            “ข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้” เคยได้ยินคำนี้บ่อยๆ ไหม ที่พระเยซูตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ พูด คือคำว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า …, จริงๆ นะ เราบอกความจริงกับท่านว่าจงมองให้เห็นเถิด”

            เรา คือความจริง มาร คือโกหก เราคือความจริง อันเดียวกัน

            อาจารย์เปาโล ผู้ซึ่งเคย ได้ถูกรับ เข้าไปมีประสบการณ์ ในสวรรค์ ที่เรากำลังเรียนรู้แล้ว เข้าไปเห็นแล้วว่าเป็นอย่างไร? จึงได้มีทัศนคติในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างนี้  เราจะมาอ่านดูในหนังสือฟีลิปปี 1:21-23 ว่าผู้ที่เขาเคยมีประสบการณ์ตรงนั้นแล้ว  แล้วกลับมาเล่าให้เราฟัง เขามีความรู้สึกอย่างไรกับการเป็นอยู่ใหม่ใน Holy of Holies ในอภิสุทธิสถาน ในสวรรคสถาน  แล้วเปรียบเทียบการอยู่บนโลกใบนี้  เขามีความรู้สึกอย่างไร? …

        ฟีลิปปี 1:21-23 “21 เพราะสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อพระคริสต์และการตาย ก็ได้กำไร (การตายก็ดีกว่า) 22 ถ้ายังมีชีวิตอยู่ในกายนี้ต่อไป ก็หมายความว่าข้าพเจ้าจะทำงานอย่างเกิดผล แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนดี 23 ยังลังเลใจอยู่ระหว่างสองทาง ใจหนึ่งอยากจากไป เพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก”

            คือตายจากร่างกายนี้ ไปสวมร่างกายใหม่ในพระเยซูคริสต์ แล้วอยู่กับพระคริสต์ เห็นพระองค์หน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง ดีกว่ามากนัก ดีกว่าขณะนี้ ที่มีพระคริสต์ สถิตอยู่ภายในร่างกาย ซึ่งเรารับรู้ได้ เพียงฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ด้วยความเชื่อเท่านั้น  แต่ไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ชัดเจน ตามความเป็นจริง แบบหน้าต่อหน้าได้ มันหมายถึงตรงนั้น นี่ชัดเจนเลยนะว่ามันเป็นเรื่องจริงที่ใครไปเจอ อยู่บนโลกใบนี้ ไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้วล่ะ แต่อย่างที่บอกว่าเราตัดสินใจไม่ได้ พระองค์เป็นเจ้าของชีวิตเราแล้ว ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย

            ข้อ 6 “พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เรา คืออัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้น ดื่มจากธารน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย”

            พระเยซูตรัสว่าสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ใครกระหายมาหาเรา เราจะให้ชีวิตนิรันดร์นั่นเอง น้ำพุแห่งชีวิต ก็คือชีวิตนิรันดร์ พระเยซูคริสต์พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรค์พสิ่ง เป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งตอนเริ่มต้นและตอนสิ้นสุด  และในพระองค์ไม่มีสิ้นสุด แต่สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้น ขึ้นอยู่กับพระองค์ว่าจะให้อยู่ต่อ หรือสิ้นสุด อยู่ที่การตัดสินของพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางของสิ่งมีชีวิตทั้งสิ้น ทุกอย่างอยู่ที่พระองค์ พระองค์เป็นผู้ดึงดูด เขาเรียกว่ายึดสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่พระองค์ทรงสร้างให้มีชีวิต ให้ดำรงอยู่ต่อไป เมื่อพระองค์ปล่อย ก็หมายถึงมันสูญสิ้น

            ยกตัวอย่าง พระองค์ทรงสร้างโลกเดิม ฟ้าเดิม ด้วยพระองค์เอง สร้างขึ้นมา พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกยึด โดยพระเยซูคริสต์ ทำให้มันดำรงอยู่ได้ ไม่ว่าดวงดาวต่างๆ ในมหาจักรวาล ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ทุกอย่างนั้น สรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ รวมทั้งมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้  ยึดอยู่กับพระองค์ทั้งสิ้น พระองค์เป็นศูนย์กลาง ถ้าพระองค์ปล่อย มันก็ถูกทำลายทันที ถ้าพระองค์จะให้กำเนิด มันก็กำเนิดทันทีเหมือนกัน และเราได้ถูกกำเนิดมาเป็นส่วนหนึ่งในพระคริสต์ ขอบคุณพระเจ้า เป็นส่วนหนึ่ง เป็นอยู่ในศูนย์กลางของพระคริสต์ เราจะไปกลัวอะไรอีก

            พระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลจึงพูดในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 1 บอกว่ามันยิ่งใหญ่มากที่เราได้อยู่ในพระคริสต์ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่ใส่ลงไปในพระเยซูคริสต์ มันยิ่งใหญ่มาก และเราทั้งหลาย รู้ไหมว่าฤทธิ์เดชอำนาจนั้น ทรงทำงานอยู่ในตัวเราทั้งหลาย ผู้เชื่อศรัทธาแล้ว ผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว  เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับศูนย์กลาง ความยิ่งใหญ่สูงสุดของสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา มันเกินกว่าที่เราจะคิด จะเข้าใจ ที่เราจะมาเรียนรู้อย่างนี้ได้  อย่างที่บอกว่าเราได้แค่รับรู้ โดยพอสังเขปเท่านั้น เปาโลจึงอธิษฐานขอพระเจ้าทรงนำพา ทรงประทานวิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ ให้ตาฝ่ายวิญญาณเราได้ถูกเปิดออก กว้างขึ้นเรื่อยๆ  เพื่อจะได้รู้ถึงความลึก ความกว้าง  ความหนา ความยิ่งใหญ่ของความรักของพระเจ้าของฤทธิ์เดชอำนาจของพระคริสต์ ที่กระทำการงานอยู่ในตัวเราทั้งหลาย ผู้เชื่อศรัทธานั้น ให้เราได้รู้เรื่องเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ มากจนสมบูรณ์ครบถ้วนไหม? ไม่หรอก แต่มันจะสมบูรณ์ครบถ้วน เมื่อเราจากโลกนี้ รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระองค์ เข้าไปเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า เราจะบอก …

            “โอ้โห … เหลือเชื่อเลย ขอบคุณพระเจ้า”

            ข้อ 7 “ผู้ที่มีชัยชนะ จะได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา”

            ผมนึกถึง 1 โครินธ์ 15:55-57 ทันที อาจารย์เปาโลผู้ซึ่งได้อย่างที่ตะกี้นี้บอก มีประสบการณ์ไปสวรรค์แล้ว และได้ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ว่าการเป็นขึ้นจากความตายนั้น มีจริง ได้ประกาศ ตอนจบของบทที่ 15 อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 15:55-57 “55ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า ความตายเอ๋ย ไหนล่ะ เหล็กไนของเจ้า” 56 เหล็กไนของความตายคือบาป และอานุภาพของบาปคือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า! พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

            ผู้ที่มีชัยชนะจะได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ ใครได้รับเป็นกรรมสิทธิ์ทั้งหมด ก็คือผู้ที่มีชัยชนะ … ผู้ที่มีชัยชนะคือใคร? คือข้อ 57 “แต่ขอบพระคุณพระเจ้า พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา” เอเมน แสดงว่าเราได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเลย โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของเราเท่านั้น จริงๆ นี่พูดตามพระเยซูคริสต์เลย จริงๆ

            ข้อ 8 “ส่วนคนขี้ขลาดตาขาว คนที่ไม่เชื่อ คนชั่วช้า ฆาตกร คนผิดศีลธรรมทางเพศ คนใช้คาถาอาคม คนกราบไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดโกหก ที่ของเขา คือบึงไฟกำมะถันลุกโชน นั่นคือความตายครั้งที่สอง”

            “คนขี้ขลาดตาขาว” คือสมัยนั้น คนจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ถึงตายก็มี ถึงถูกยึดทรัพย์ก็มี ตามล่าก็มี ทุกข์ทรมาน ไม่กล้าที่จะรับเชื่อ ถูกต่อต้าน โดยครอบครัวตัวเอง ไม่กล้าที่จะทนทุกข์ อยากจะเชื่อ แต่ไม่กล้า นั่นหมายถึงตรงนี้นะ

            คนที่ไม่เชื่อในข่าวดี ไม่ไว้วางใจพระเยซูคริสต์ วิญญาณและใจยังเป็นวิญญาณเก่าอยู่ ถูกไหม? ยังเป็นวิญญาณที่เป็นบาป อยู่ในอาดัม บรรพบุรุษเดิม ยังไม่ได้ย้าย ยังไม่ได้อพยพ ยังคงเป็นคนบาป  เป็นคนไม่บริสุทธิ์  เป็นคนอธรรม ที่ประพฤติบาป  ตามธรรมชาติบาป ที่อยู่ภายในวิญญาณ

            ส่วนคนที่เชื่อในข่าวดี วางใจในพระเยซูคริสต์ ได้รับการชำระบาป ได้บังเกิดใหม่ กลายเป็นผู้ชอบธรรม ได้รับมรดก อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทันที 7 อย่าง ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว ไปฟังทบทวนเอาเอง  7-8 ตอนที่แล้ว  แต่ถูกล่อลวงให้ประพฤติบาป  ตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ตามความเคยชินเดิม  ตามระบบของโลกใบนี้ ซึ่งในขณะที่ทำนั้น มีธรรมชาติ วิญญาณภายในนั้น บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เอเมน มันหมายถึงอย่างนั้น อย่าลืมว่าเราเข้าสวรรค์ด้วยวิญญาณใหม่ และใจใหม่เท่านั้น ร่างกายเก่า  เราไม่ได้เอาไปด้วย เพราะร่างกายเก่า เราเอาเข้าในสวรรค์ไม่ได้อยู่แล้ว เรากำลังรอรับร่างกายใหม่ วันที่เราตายจากโลกนี้แล้ว ตายจากร่างเดิมนี้แล้ว วิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาดของเรา และใจที่บริสุทธิ์สะอาดของเรา ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ไปรับร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ จึงเข้าสวรรค์ได้ เอเมนไหม? ซึ่งต้องจองร่างกายใหม่ไว้ด้วย ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์

            วิวรณ์ 21:27 บันทึกไว้อย่างนี้ สอดคล้องกัน …

        วิวรณ์ 21:27  “สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดที่ประพฤติเป็นที่น่าสะอิดสะเอียน หรือพูดมุสา จะเข้าไปในนครไม่ได้เลย เฉพาะคนที่มีชื่อจดไว้ ในหนังสือชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้น จึงจะเข้าไปได้”

            “สิ่งใดที่เป็นมลทิน” มลทิน หมายถึงบาป มีตำหนิ มีมลทิน ก็คือยังบาปอยู่ คนที่วิญญาณยังเป็นบาปอยู่นั้น เข้าในอาณาจักร เข้าในนครนี้ไม่ได้ นครนี้บริสุทธิ์ คนบาปเข้าไม่ได้ นครนี้เราได้เรียนรู้แล้ว ก็คืออาณาจักรของพระคริสต์ คริสตจักรของพระเจ้าที่จะอยู่ใน Holy of Holies อยู่ในอภิสุทธิสถานนี้ คนบาปเข้าไม่ได้  บาปนิดดดดดหนึ่งก็ไม่ได้ บาปหน่อยหนึ่งก็ไม่ได้ แค่พกเหรียญสลึงไว้อันหนึ่ง ก็เข้าประตูไม่ได้แล้ว ผ่านประตูตรวจคน สัญญาณก็ดัง

            “ฉันทำดีมาหมดเลย ฉันทำบาปนิดเดียว” ไม่ได้ มันอยู่ที่วิญญาณผ่านในนั้น แต่คนที่ได้บังเกิดใหม่เท่านั้น บังเกิดใหม่ โดยเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้เป็นผู้ชอบธรรมตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น จึงจะเข้าในนครอันบริสุทธิ์นี้ได้  เพราะว่าชื่อเขาจดอยู่ในทะเบียนคริสตจักร นครนี้ ตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว มาจดทีหลังก็ไม่ได้  เขาต้องได้รับการจดก่อนล่วงหน้า เพราะฉะนั้น เขาต้องบังเกิดใหม่ตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น จึงจะเข้าอาณาจักรนี้ได้

            อยากถามท่านที่ฟังมาถึงตรงนี้ว่าท่านถามตัวเองสิครับว่าขณะนี้ ที่นั่งอยู่นี้ ชื่อท่านจดไว้ที่ไหน?  ในทะเบียนสำมะโนครัวเดิมอาดัม หรือได้อพยพมาอยู่ในทะเบียนสำมะโนครัวของพระคริสต์ ท่านบังเกิดใหม่แล้วหรือยัง? ชื่อท่านจดไว้ในหนังสือชีวิตแล้วหรือยัง? พระเยซูตรัสว่าพระองค์กำลังเคาะประตูใจของท่าน กำลังเชิญท่านอยู่ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้เปิดใจ เคาะอยู่ตลอดเวลา ถ้าท่านจะนั่งนิ่งๆ แล้วลองตั้งใจฟังจากถ้อยคำเหล่านี้ ท่านจะรู้ว่าพระองค์กำลังเคาะประตูใจของท่านอยู่ตลอดเวลา ท่านกล้าไหม? ท่านจะขี้ขลาดตาขาวไหม? ท่านกล้าที่จะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพื่อจะได้รับสิทธิทั้งหมดนี้หรือไม่ เพราะแค่เปิดใจต้อนรับพระองค์เท่านั้นจริงๆ

            ย้ำอีกที แค่เปิดใจต้อนรับพระองค์เพียงเท่านั้นจริงๆ  อัศจรรย์ทั้งหมด  10 อย่างที่ได้อธิบายมาในซีรี่ย์นี้ จะเกิดขึ้นกับท่านทันที แล้วท่านจะได้เริ่มต้นชีวิตในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นพลเมืองของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือชีวิต ในทะเบียนสำมะโนครัวของพระคริสต์ทันที ทันทีที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และต่อไปจนถึงหลังความตาย ได้อาศัยอยู่ใน Holy of Holies อภิสุทธิสถาน ที่ประทับของพระเจ้าแบบเห็นกันหน้าต่อหน้า นิรันดร์กาลเลย  พระเจ้าอวยพรครับ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความทุกข์ยากลำบาก ทำให้เรารับรู้อย่างชัดเจนว่า …

                        “พระคริสต์อยู่ในฉัน  เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

            โรม 5:1-5 … “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราเป็นคนชอบธรรม ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว โดยความเชื่อ ก็ให้เราชื่นชมยินดี มีสันติสุขที่ได้กลับคืนดีกันกับพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่โดยความเชื่อ ให้เราชื่นชมยินดีในความหวังใจ ที่มีหลักฐานประกันที่มั่นคง แน่ใจว่าเรามีส่วนร่วมในสง่าราศีนี้  (คือมีส่วนในพระสิริของพระเยซูคริสต์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ คือ DNA ของพระองค์) 3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้  แต่ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย  เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบาก   (ความกดดัน  ความท้อแท้  ความเครียด)  นั้น  ทำให้เกิดความอดทน  และความอดทน  ทำให้เกิดความทรหด 4 ความทรหด ผ่านประสบการณ์ความทุกข์ยากต่างๆ  ทำให้เกิดอุปนิสัย ที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ  ที่ผ่านการทดสอบแล้ว  ทำให้ความหวังใจในความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์  ที่ได้รับแล้วนั้น  มีหลักฐานที่มั่นคงชัดเจนแน่ใจ (ที่เราได้รับแล้ว วิญญาณที่เกิดใหม่ จิตใจที่ได้รับการเปลี่ยนใหม่อยู่ข้างใน ที่เรามองไม่เห็น  โดยผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก ทำให้เรารับรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราอย่างชัดเจน) 5 และความหวังใจนี้ ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย เพราะว่าเราได้รับความรักของพระเจ้าอย่างเหลือล้น ท่วมท้นอยู่ในวิญญาณ และจิตใจใหม่ของเราแล้ว โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้กับเราแล้ว ตั้งแต่เราเริ่มต้นบังเกิดใหม่นั่นเอง  (ความหวังใจนี้ คือเราจะได้รับพระเกียรติสิริ สง่าราศีเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูเมื่อวันที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราก็จะไปสวมร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย)”

            ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้านที่เผชิญอยู่จะเป็นอย่างไร  วันนี้ หรือวันข้างหน้า จะเกิดอะไรขึ้น ให้ความคิดเหล่านี้  ฝังรากลึกลงไปในความคิดจิตใจของเราว่าพระเจ้า คือที่พึ่ง ที่ปรึกษา  และเป็นผู้ที่สามารถนำพาเราผ่านไปได้  ท่ามกลางทุกสถานการณ์

            พระองค์คอยเป็นที่ปรึกษา เป็นสติปัญญา  เป็นกำลัง  คอยปลอบโยน  จูงมือเรา  พระองค์ต้องการสำแดงให้เรา  ได้เห็นว่าพระองค์รักเราอย่างไร   เป็นใคร   อยู่ในเรา  ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายของโลกใบนี้ บอกกับตัวเองว่า …

                        “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์

                        พระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1417

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  พฤษภาคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 9 “จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การนมัสการพระเจ้าและการบรรยาย ในคริสตจักรอภิสุทธิสถานที่แพรกษานี้ สวัสดีอีกครั้งหนึ่งครับ

            วันนี้เรามาเรียนกันต่อถึงซีรี่ย์ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ตอนที่ 9 ชื่อเรื่อง “จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์” วันนี้เราจะมารับรู้มรดกของเรา กำลังจะได้อีก เพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้ ในโลกหน้า ทั้งหมดนี้ได้รับมาเพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราถึงใช้ชื่อว่าอัศจรรย์ อัศจรรย์มาก ไม่ต้องทำอะไรเลย เปิดใจเท่านั้นเอง

            เราเรียนรู้กันมาแล้วว่าอัศจรรย์ที่ได้รับแล้วทันที ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือ .-

                        1. วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว

                        2. ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

                        3. ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจแล้ว

                        4. พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกายนี้

                        5. ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะที่กำลังฟังอยู่นี้ ถ้าท่านเปิดใจแล้วนะ

                        6. พระเจ้าได้ทรงให้ฉัน นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์แล้ว ในขณะนี้ ขณะที่เราอยู่ในประเทศไทย นั่งอยู่ในคริสตจักรอภิสุทธิสถาน หรือนั่งอยู่ที่บ้าน ที่ไหนก็ตามในโลกวิญญาณนั้น เราได้นั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระคริสต์

            นี่คือ 6 อย่างที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว

                        7. ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ ถึงโลกหน้า คือมีรางวัลให้กับเรา จนไปถึงโลกหน้าเลย ที่ทรงสัญญาเอาไว้

            นี่คือ 7 อย่างที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว พระคัมภีร์เขียนชัดเจน  แล้วเราก็รับรู้แล้ว โดยข้างในวิญญาณของเรา รู้อยู่ในใจว่าสิ่งนี้เราได้รับเรียบร้อยแล้ว

            ส่วนอัศจรรย์ที่เราจะได้รับในโลกหน้า หลังความตาย พูดตามภาษามนุษย์ทั่วๆ ไปนะ แต่เรารู้แล้วว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับ และได้รับ 7 อย่างนี้แล้ว เราไม่มีการตายอีกแล้ว เราเรียนรู้ไปแล้วนะ เรียกว่าล่วงหลับไป ได้รับการเปลี่ยนแปลงร่างใหม่เท่านั้น  แต่พูดภาษาให้ง่ายๆ  ก็คือหลังความตาย ส่วนอัศจรรย์ที่เราจะได้รับในโลกหน้า ก็คือ …

                        8. จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์ หลังจากสิ้นลมหายใจแล้ว

            อันนี้เราเรียนรู้ไปเมื่อครั้งที่แล้ว และอันดับที่ 9 ที่วันนี้เราจะเรียนรู้กัน ก็คือ …

                        9. จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์

            ให้เราปรบมือขอบคุณพระเจ้า เพราะว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ พระเจ้าเนรมิตขึ้นมาทั้งหมดนี้  เราทำแค่อย่างเดียวเอง ง่ายมากเลย ขนาดคนทำอะไรไม่ได้เลย เดินไม่ได้ จนจะหมดลมหายใจแล้ว อยู่บนเตียงผู้ป่วยแล้ว ทำอะไรไม่ได้เลย ทำแค่อย่างเดียวเอง ที่ทำได้แค่นั้น  ก็จะได้รับทั้ง 9 อย่างนี้เลย ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด พูดไม่ได้ ก็ใช้คิดเอา แค่นั้นเอง  คือตราบใดที่มีลมหายใจอยู่ สามารถเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้ทันที และถ้าเรารับ ทั้ง 9 อย่างนี้  ก็จะเป็นของเราทันที  พระเจ้าจะเข้ามาทำทันทีให้กับเราทั้งหมด 8, 9 อย่างนี้ ด้วยการอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เดช เหมือนที่พระองค์ตอนสร้างโลก สร้างสรรพสิ่งใหม่ๆ ในพระคัมภีร์เขียนว่าพระองค์ทรงเนรมิต ที่เราเรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย นี่แหละ มันหมายถึงอย่างนั้น

            มีพระเจ้าองค์นี้ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถกระทำสิ่งเหล่านี้ได้ มนุษย์แค่เปิดใจ เหลือเชื่อจริงๆ เราจึงเรียกว่าพระคุณ ความเมตตา ความรอดนี้ คือความรอด โดยพระคุณเมตตา เราไม่ได้กระทำสักนิดหนึ่งเลย

            เพราะฉะนั้น สรุปรวมๆ อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นพลเมืองสวรรค์แล้ว  มีชื่อจดอยู่ในทะเบียนหนังสือสำมะโนครัวของพระเจ้า  ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัว ชื่อพระเยซูคริสต์ เราไปต่อ เหมือนเป็นผู้อาศัยคนหนึ่งอยู่ในทะเบียน หนังสือแห่งชีวิตนี้  เรียกว่าครอบครัวของพระเยซูคริสต์ ในพระคริสต์ และในครอบครัวนี้ เราได้เป็นธรรมิกชน พระคัมภีร์เรียกว่าธรรมิกชน เป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรม ดีพร้อม เป็นครอบครัวในสวรรค์ เรียกว่าครอบครัวของพระเจ้า มีพระเยซูคริสต์ เป็นหัวหน้าครอบครัว ที่ถูกเรียกว่าธรรมิกชน คนบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมของพระเจ้า เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เป็นอย่างนี้แล้ว

            แล้วทำอะไรต่อไป ก็เฝ้ารอคอยไง รอคอยวันที่จะได้รับร่างกายใหม่นี้ เหมือนพระเยซู เห็นพระองค์หน้าต่อหน้า  และได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์นิรันดร์ แบบเห็นกันหน้าต่อหน้าเลย ก็คือหลังความตายนั่นเอง  นี่เรารอคอยตรงนั้น

            เพราะฉะนั้น เป้าหมายของคริสเตียน การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จึงอยู่ในข้อพระคัมภีร์นี้ บันทึกไว้ชัดเจนเลย ผมคัดเอามาให้ท่านเห็นว่าข้อพระคัมภีร์แค่ 8, 9 ข้อนี้ บ่งบอกชัดเจนเลยว่าชีวิตของคริสเตียน ผู้ที่ได้มีชื่อจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ อยู่ในทะเบียนบ้าน ที่เรียกว่าพลเมืองสวรรค์แล้ว ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป้าหมายในชีวิตของเขา คืออะไร? อ่านปั๊บ ท่านจะอ๋อ! ใช่ มันต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น พระวิญญาณจะนำท่านมา มีชีวิตอย่างนี้เท่านั้น 2 โครินธ์ 5:1-9 …

        2 โครินธ์ 5:1-9 “1 เพราะเรารู้ว่าถ้าเรือนกายบนโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ถูกทำลายไป เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งมาจากพระเจ้า ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และอยู่อย่างถาวรนิรันดร์ในสวรรค์ 2 เพราะว่าในร่างกายนี้ เราคร่ำครวญและปรารถนาจะสวมใส่ที่อาศัยของเรา ที่มาจากสวรรค์ 3 เพราะเมื่อสวมแล้ว เราก็จะไม่เปลือย 4 เพราะว่าเราที่อยู่ในเรือนกายนี้ คร่ำครวญ และเป็นทุกข์หนัก ไม่ใช่เพราะปรารถนาจะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมใส่กายใหม่ เพื่อกายที่ต้องตายนั้น จะถูกกลืนโดยชีวิตอมตะ 5 แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้ สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ประทานพระวิญญาณ เป็นมัดจำแก่เรา 6 เพราะฉะนั้น เรามั่นใจอยู่เสมอ และรู้แล้วว่าขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 7 เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น 8 และเรามั่นใจ และพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า 9 ฉะนั้น เราตั้งเป้าว่าจะอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ดี หรือจะจากไปก็ดี เราก็จะเป็นคนที่ พระเจ้าพอพระทัย”

            ถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะเป็นอย่างนี้แหละ ท่านจะคร่ำครวญ และปรารถนาภายในวิญญาณของท่าน  ภายในใจของท่าน ที่จะสวมใส่ที่อาศัยของเรา จากสวรรค์ ก็คือร่างใหม่ ที่เหมือนพระเยซูนั่นแหละ

            ในข้อ 4 บอกว่า “เพราะว่าเราที่อยู่ในเรือนกายนี้  ก็คือในร่างกายนี้  ที่เจ็บป่วย อ่อนแอ แก่ลงไปทุกวันๆ ไปสู่ความตายนี้ กำลังคร่ำครวญและเป็นทุกข์หนัก ไม่ใช่ปรารถนาจะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาที่จะสวมใส่กายใหม่”

            ใครอยากได้กายใหม่บ้าง? ยกมือขึ้น ก็ยกมือทุกคนแหละ ใช่ไหม? ไม่มีใครรักร่างกายนี้เลยสักคนหนึ่ง ทุกคนรู้ว่าเมื่อถึงวันเวลาหนึ่ง มันเจ็บ มันปวด แล้วในที่สุด มันต้องแก่ และมันต้องทุกข์ทรมาน แล้วมันก็ต้องตายแน่นอน จึงไม่มีใครอยากจะรักร่างกายนี้ อยู่ในร่างกายนี้ต่อไป ถ้าเผื่อเขารู้ว่ามีร่างกายใหม่รออยู่

            ผมนึกถึง เหมือนคนๆ หนึ่งเป็นโรคหัวใจ แล้วก็เป็นมะเร็งด้วย แล้วก็เป็นเบาหวาน แล้วเป็นความดันสูง ทำอะไรก็ไม่ได้ สมมติว่าตอนยังไม่แก่มาก ก็เป็นอย่างนี้ แล้วหมอมาบอกว่า …

            “รักษาไม่หายทุกโรคหรอกครับ ต้องทรมานอย่างนี้ แต่รอก่อนนะเขามีเทคโนโลยีใหม่ ประมาณอีกสัก 2 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีใหม่จะออกมา เราสามารถฉีดยานี้ให้ท่าน แล้วก็เปลี่ยนร่างกายให้ใหม่ สามารถที่จะมาแข็งแรงเหมือนเดิมได้ เอาไหม?”

            แล้วเรามีเงินด้วย เราก็บอก … “เอาสิ”

            พอเราเอา ก็จ่ายเงินไป ก็เซ็นสัญญาไว้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเราทำอะไร? เราอดทน ความเจ็บป่วย โรคภัยไข้เจ็บทั้งหมดที่เป็นอยู่ตะกี้นี้ เราอดทนได้หมดเลย เพราะเรากำลังรอยามา จะได้ร่างกายใหม่สักทีหนึ่ง นั่นแค่ร่างกายบนโลกใบนี้นะ ซึ่งได้ร่างกายมา โดยได้ยามาฉีดให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บนั้น แล้วมันก็กลับมาเป็นโรคใหม่อีก ถูกไหม? มันก็แก่ลงไปเหมือนเดิม  แต่นี่พระเจ้าสัญญาว่าเมื่อวันหนึ่งที่เราจากร่างนี้ไปนะ จะมีร่างใหม่ให้กับเรา เป็นร่างกายแบบสวรรค์ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วเราจะครวญคราง จดจ่ออยู่ที่นี่มากกว่านั้นสักเท่าใดหรือ? เอเมนไหม?

            แต่ปรารถนาที่จะสวมใส่กายใหม่ เป็นกายที่ไม่ต้องตาย  เพราะกายที่ต้องตายนั้น จะถูกกลืน โดยชีวิตอมตะ  ก็คือกายที่แก่ตายนี้ จะต้องถูกกลืน ถูกแทนที่ด้วยกายที่ไม่มีการตายอีกต่อไป ที่เหมือนพระเจ้านั่นเอง  และพระเจ้าผู้ทรงเตรียมเราไว้ สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ พระองค์ประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำแก่เรา นี่แหละ คือสิ่งที่เรารู้อยู่ในใจ เพราะพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            ข้อ 6 บอกว่า “เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจอยู่เสมอ และรู้แล้วว่าขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” คือพระวิญญาณอยู่ในเรา เรารู้ว่าสิ่งนั้นที่พระเจ้าสัญญาไว้  เป็นจริง แล้วตัวเราก็บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเราจริงๆ  แต่เรามองไม่เห็น  ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น

            คำว่า “อยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” หมายถึงเรามองไม่เห็น แต่เรารู้ว่าอยู่ข้างในนี้  ในนี้จึงบอกว่าพระเจ้าทรงอยู่ไกลจากเรา

            จึงบอกว่า “ขณะนี้  เพราะว่าเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็น” ก็คือเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อว่านี่เป็นจริง เชื่อ หมายถึงเชื่อจริงๆ แล้วรู้จริงๆ จับต้องมองเห็นได้เลยว่ามันอยู่ในตัวของเรา อยู่ในใจของเรานี้แหละ แต่เรามองไม่เห็นไง ก็เรียกว่าใช้ความเชื่อ

            “และเรามั่นใจ พอใจที่จะจากร่างกายนี้ไป” เห็นไหม? มีแต่คนเขากลัวตาย แต่นี่กำลังบอกว่าคนที่เป็นคริสเตียน ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่กลัวตาย  พอใจที่จะออกไปจากร่างกายนี้  ก็คืออกจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับพระเจ้ามากกว่า เราอยากไปอยู่กับพระเจ้า

            คำว่า “อยู่” ตรงนี้หมายถึงกลับไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า กลับไปใกล้พระเจ้า “ใกล้พระเจ้า” หมายถึงการได้เห็นหน้าต่อหน้า ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป มันหมายถึงอย่างนั้น

            ข้อ 9 จึงสรุปว่า “ฉะนั้น เราตั้งเป้าว่า …” ท่านตั้งเป้าอย่างนี้ไหม? “จะอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ยังมีลมหายใจอยู่ ก็ดี หรือจะจากไป ก็ดี เราก็เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้ว” หมายถึงไม่ว่าจะอยู่หรือจะไป  จะอยู่หรือจะตาย  เราก็เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักและพอพระทัยแล้ว ไม่ต้องทำอะไรมากทั้งนั้น จะอยู่ก็ดี พระเจ้าก็รัก และอยู่กับเรา ข้างในใจเรา ถึงเวลาจากไป พระเจ้าก็เห็นเรา และเราเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า  พระเจ้าก็ยังคงรักเราเหมือนเดิม อยู่ก็ได้  ไปก็ดี อยู่ก็ได้ พระเจ้าก็อยู่กับเรา รักเรา เราก็อยู่กับคนที่เรารัก รอบข้างเรา ที่เห็นๆ อยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้าตายไป ก็ดีกว่า เอเมน ขอบคุณพระเจ้า นี่คือการชนะความตาย

            เราเฝ้าใจจดใจจ่อ รอคอย โดยมีมัดจำ มัดจำของเราคืออะไร? รวมความ มัดจำ ก็คือพระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายในเราแล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตั้งแต่เปิดใจรับเชื่อ พระคริสต์ผู้เป็นชีวิตนิรันดร์ของเรา อยู่ภายในเรา เป็นอัศจรรย์ทั้ง 7 อย่างที่เราได้รับทั้งหมด  รวมความแล้ว ก็คือในพระคริสต์ ที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เป็นมัดจำให้เรามีความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังเอาไว้นั้น ไม่ใช่หวังลมๆ แล้งๆ  สิ่งที่เราหวังนั้น มีจริงๆ  เพราะพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา ยืนยันให้กับเราภายในว่ามีจริงๆ จับต้องมองเห็นได้ ด้วยความเชื่อ  ภายในวิญญาณของเราในพระคริสต์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงพูดว่าเราจึงมีชีวิตอยู่ โดยความหวังนี้ คือความจริง ก็คือ “พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” ท่านต้องจำให้ได้เลย ทั้งหมดที่สรุปมา มีประโยคนี้ประโยคเดียว โคโลสี 1:27 นั่นเอง “พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” ที่เราจะร่วมรับกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์กาล เริ่มรับเดี๋ยวนี้เลย  แล้วก็รับไปเรื่อยๆ จนตายออกจากร่าง รับต่อไป จนกระทั่งอยู่กับพระองค์ เห็นหน้าพระองค์นิรันดร์กาล อยู่กับพระสิริของพระองค์นิรันดร์ นี่คือเป้าหมายของคริสเตียนทุกคน

            ขั้นตอน ก็คือเมื่อวิญญาณออกจากร่าง หรือเรียกว่าตาย กายเรือนดินนี้ จะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นร่างกายแบบสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซู และพระเยซูกลับมารับเรา อันนี้เกิดพร้อมๆ กัน แค่พริบตานะ เราจะพบเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า เห็นเหมือนเราเห็นในปัจจุบัน เห็นคน เห็นมนุษย์ที่เดินอยู่ด้วยกันทุกวันนี้ แล้วเราก็จะอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพี่น้องผู้เชื่อ  ที่เรียกว่าธรรมิกชนของพระเจ้า ที่จากไปก่อนหน้าเรา ที่อยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ ในสวรรค์นี้ มีชื่อว่าเมืองบรมสุขเกษม หรือภาษาอังกฤษ เขาเรียกว่าพาราไดร์ เมืองบรมสุขเกษม อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่กับพระเจ้าแล้ว และเมื่อถึงวันแห่งการพิพากษา ก็คือวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาบนโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษาโลก คือวันที่โลกเดิม ฟ้าสวรรค์เดิมจะดับสูญสิ้นไป  โลกเดิม ฟ้าสวรรค์เดิม ก็คือโลกที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้

            และเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น พระเยซูกลับมา เราก็จะมาพร้อมพระเยซูคริสต์ มารับคนที่เป็นพี่น้อง ผู้เชื่อที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนั้น  เข้ามาสู่สวรรค์กับพวกเรา  และพระเจ้าพระบิดาจะทรงสร้างฟ้าใหม่ โลกใหม่ให้พวกเราทั้งหมด ที่เป็นธรรมิกชน ลูกๆ ของพระองค์ ที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิต ได้อาศัยอยู่ร่วมกันกับพระองค์ชั่วนิรันดร์ นี่คือย่อๆ คร่าวๆ ว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร? ท่านสามารถฟังหรืออ่านคำบรรยาย ที่ผมได้อธิบายอย่างละเอียด ในเรื่องนี้ ในคำบรรยายที่ชื่อเรื่องว่า “อะไรเกิดขึ้น เมื่อวิญญาณออกจากร่าง” ตอน 1 และตอน 2 เข้าไปที่เว๊บไซด์หรือยูทูปก็ได้ จะมีบอกอย่างละเอียดว่าขั้นตอนเหล่านี้เป็นอย่างไร?  เมื่อท่านได้รู้ จะได้มีความหวังว่าขั้นตอนมันเป็นลักษณะอย่างนี้ แต่เราไม่สามารถเข้าใจได้ละเอียดยิ๊บ เพราะว่ามันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  เราสามารถรู้ได้เพียงพอเท่าที่พระเจ้าเปิดเผยให้ทราบเท่านั้น แต่ที่เปิดเผยให้ทราบนั้น ก็เพียงพอแล้ว

            ร่างกายใหม่เป็นอย่างไร? ก็พอรู้แล้ว ที่อธิบายไปแล้ว ตั้งแต่คำบรรยายครั้งที่แล้ว สรุป คือร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            วันนี้มาดูว่าที่เราจะอาศัยอยู่กับพระเจ้าในโลกใหม่เป็นเช่นใด? โลกใหม่ ฟ้าใหม่ เป็นอย่างไร? อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที แค่เปิดใจเท่านั้นจริงๆ

            พระเยซูบอกว่า … “เราพูดความจริง เราไม่ได้พูดโกหก เราบอกว่าแค่วางใจในเรา เปิดใจต้อนรับเราเท่านั้นเอง อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที  แค่เปิดใจเท่านั้นจริงๆ”

            อย่างที่ 9 ก็คือในโลกหน้า จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์ เป้าหมายสุดท้ายของเราผู้เชื่อ ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ก็คือเราเฝ้ารอคอย จ้องตาไม่กระพริบ รอคอยร่างกายใหม่ และฟ้าใหม่ โลกใหม่  บ้านของเรานั่นเอง สรุปว่าเราเฝ้ารอคอย จ้องไปที่ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เราจะได้รับ หลังความตาย และจะอยู่ในโลกใหม่ ฟ้าใหม่ คงไม่มีใครไม่ทราบว่าโลกเก่า ฟ้าเก่าที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ มันแย่ลงทุกวันๆ ทั้งควัน ทั้งโพลูชั่น ความเสียหายยับเยินอะไรต่างๆ  ไม่มีใครอยากจะอยู่หรอก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็จำเป็นต้องอยู่ แต่ถ้ามีที่ไปใหม่ ไม่มีใครอยากอยู่หรอก แม้ว่าจะอยากไปอยู่ที่ต่างจังหวัดที่ดีกว่า ยังมีความคิดว่าอยากจะย้ายไปอยู่ที่จังหวัด ที่มันมีอากาศดีๆ มีความสงบสุข แล้วมีไหมล่ะ? ไม่มีโจร ไม่มีขโมย มีไหม? ไม่มีความทุกข์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีไหม? ไม่มี ไม่รู้จะไปไหน? วิวรณ์ 21:1-8 บอกเราคร่าวๆ ถึงฟ้าใหม่ โลกใหม่ว่าเป็นลักษณะอย่างไร? เราลองอ่านดู …

        วิวรณ์ 21:1-8 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว  2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้ เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงาม รอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้า มาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเอง จะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่า ได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไป เพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้ และเชื่อถือได้” 6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เรา คืออัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้น ดื่มจากธารน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย 7 ผู้ที่มีชัยชนะ จะได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา 8 ส่วนคนขี้ขลาดตาขาว คนที่ไม่เชื่อ คนชั่วช้า ฆาตกร คนผิดศีลธรรมทางเพศ คนใช้คาถาอาคม คนกราบไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดโกหก ที่ของเขา คือบึงไฟกำมะถันลุกโชน นั่นคือความตายครั้งที่สอง”

            “ข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีก” ข้อ 1 บอกไว้อย่างนี้

            นึกถึงถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  พูดถึงเรื่องการกลับมาใหม่ ในมัทธิว 24:35 พระองค์ตรัสว่า …

        มัทธิว 24:35 “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป แต่ถ้อยคำของเรา ไม่มีวันสูญสิ้น”

            ถ้อยคำของพระองค์ คือถ้าใครเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วางใจในพระองค์ เขาจะได้รับความรอดจากการพิพากษาลงโทษ  และความจริง ก็คือพระองค์บอกว่า … “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป” แสดงว่ามันสูญสิ้นจริงๆ  มีความเชื่อหลายความเชื่อบอกว่าฟ้าและดิน ก็คือโลกใบนี้จะไม่มีสูญสิ้นหรอก มันจะอยู่ไปอย่างนี้ มันจะพัฒนา แต่นี่คำพูดของพระเยซูชัดเจน “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป” และตะกี้ที่เราอ่านบอกว่า … “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป แต่พระองค์จะทรงสร้างฟ้าใหม่ และโลกใหม่” สร้างใหม่นะ ไม่ใช่ไปปรับปรุงใหม่ ไม่มีการปรับปรุง เพราะฉะนั้น วันหนึ่ง โลกใบนี้จะสูญสิ้นไป จะค่อยๆ เสื่อมไปเรื่อยๆ เหมือนแตงโมที่ติดเชื้อแบคทีเรีย เน่า จุดเดียว เมื่อหลายพันปีก่อน เมื่อสมัยอาดัม บรรพบุรุษของเรา เอาบาปและคำสาปแช่งเข้ามา โลกใบนี้ติดเชื้อแล้ว มันค่อยๆ เน่าขึ้นๆ แล้วในวันหนึ่งมันก็จะเละตุ้มเป๊ะเลย จะไม่เหลือ เห็นแตงโมใบนี้อีกแล้ว แต่พระเจ้าเตรียมแตงโมใบใหม่ให้ นี่นึกถึงภาพง่ายๆ

            ใน 2 เปโตร 3:10-13 เปโตรก็ได้พูดในลักษณะเช่นเดียวกันนี้ ย้ำอย่างชัดเจนว่าโลกใบนี้ ฟ้าเดิม โลกเดิมจะสูญสิ้นไป ลักษณะละเอียดขึ้นอย่างไร? เราลองอ่านดูนะ …

        2 เปโตร 3:10-13  “10 กระนั้น วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนขโมย ที่ลอบเข้ามา โดยไม่มีใครคาดคิด ฟ้าสวรรค์จะหายวับไป ด้วยเสียงกัมปนาท และโลกธาตุทั้งหลาย จะถูกไฟเผาทำลาย นั่นคือแผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในนั้น จะถูกทำลายสิ้น 11 ในเมื่อทุกสิ่งจะถูกทำลายลงเช่นนี้ พวกท่านควรจะเป็นคนแบบไหน พวกท่านควรดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์ และอยู่ในทางพระเจ้า 12 ขณะที่พวกท่านเฝ้ารอและเร่งวันแห่งพระเจ้าให้มาโดยเร็ว วันนั้น ฟ้าสวรรค์จะล่มสลายด้วยไฟ และโลกธาตุต่างๆ จะหลอมละลายในความร้อน 13 แต่ด้วยการยึดมั่น ในพระสัญญาของพระองค์ พวกเรากำลังเฝ้ารอฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ซึ่งเป็นที่พำนักของความชอบธรรม”

            เปาโลก็ยืนยันตามนี้ว่าทุกคนเฝ้ารอฟ้าสวรรค์ใหม่ โลกใหม่และร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู โลกใบนี้จะสิ้นสุดลง และสรรพสิ่งบนโลกใบนี้จะสิ้นสุดลงด้วยการทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่ มโหฬารด้วยไฟ นักวิทยาศาสตร์ก็รู้แล้วว่าโลกใบนี้ มันค่อยๆ ถูกเผาไหม้มากขึ้นไปทุกวันๆ  เราไม่ต้องเรียนรู้รายละเอียด แต่เรารู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่เขาเขียนมา 2,000 ปีแล้ว ขณะที่เขียนยังไม่ได้ปรากฏให้เห็นถึงความพินาศของโลกใบนี้ชัดเจนนัก แต่ผ่านมา 2,000 ปีเราเห็นชัดเจน ไม่ว่าแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด การเปลี่ยนแปลงของระบบอากาศบนโลกใบนี้ น้ำท่วมอะไรต่างๆ เหล่านั้น บรรยากาศของธรรมชาติต่างๆ เสียหายมากมายไปหมดเลย ใช่ด้วยน้ำมือมนุษย์ด้วย  และด้วยคำสาป ที่บอกไว้แล้วว่าโลกนี้จะต้องสิ้นสุด ถ้าไม่มีการสิ้นสุดลงของโลกใบนี้ ก็ไม่มีโลกใหม่ ฟ้าใหม่เกิดขึ้น

            เราจะมาดูคำว่า “โลกใหม่” “ฟ้าใหม่” บางฉบับเขา แปลว่าฟ้าสวรรค์ โลกใหม่ พระองค์จะทรงสร้างสวรรค์ใหม่ ท่านคิดดูว่าใช่ไหม? สร้างสวรรค์ใหม่ หมายถึงที่ผมเคยอธิบายให้ฟังว่าฟ้าสวรรค์ หมายถึงฟ้านั่นเอง แต่ใช้คำเดียวกัน ก็คือมองที่เบื้องบน เรียกว่า “ฟ้า” “ท้องฟ้า” คำนี้ ภาษาเดิม หมายถึงท้องฟ้าสวรรค์ คือมองไปที่เบื้องบน สวรรค์ แปลว่าเบื้องบน  แต่คำว่า “สวรรค์” ที่พระเจ้าสถิตอยู่นั้น  เป็นสวรรค์โลกฝ่ายวิญญาณ เราเรียกว่าสวรรค์ ใช้คำเดียวกัน แต่หมายถึงสวรรค์ โลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าประทับอยู่

            เพราะฉะนั้น คำว่า “สวรรค์” โลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าประทับอยู่นั้น มีเปลี่ยนแปลงไหม? พระองค์ทรงประทับอยู่ที่พระที่นั่งของพระองค์ พระที่นั่งของพระองค์ ดำรงอยู่เป็นนิตย์ เป็นนิจนิรันดร์ ไปตลอดกาล ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง “พระที่นั่งของพระองค์” ก็คือสวรรค์ของพระเจ้า สวรรค์ของพระเจ้ามีที่แห่งเดียว  ก่อนสรรพสิ่งทั้งหลาย ก่อนจะสร้างทั้งหมด ก็มีพระที่นั่งของพระเจ้า  ก็มีบัลลังก์ของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ ที่อยู่ของพระเจ้าแล้ว ก่อนสรรพสิ่งทั้งหลาย  ก่อนทุกอย่าง พระองค์ทรงอยู่ พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณทรงอยู่ นั่นแหละ เรียกว่าสวรรค์ แล้วมันจะมีการเปลี่ยนแปลงไหม? มันไม่มีทางเปลี่ยนแปลง มันเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไป

            เพราะฉะนั้น คำว่า “ฟ้าใหม่ และโลกใหม่” หมายถึงฟ้าที่เรามองจากบนดินนี้ มองขึ้นไปบนฟ้า เราเห็นนก เห็นเครื่องบิน ตรงนี้ เรียกว่าฟ้าชั้นที่ 1 นักวิทยาศาสตร์ก็รู้ว่าหมายถึงอะไร? ชั้นบรรยากาศชั้นที่ 1 ชั้นบรรยากาศชั้นที่ 2 คือเลยออกจากที่เครื่องบิน ที่เรามองเห็น หลุดสายตาไป มีสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างอยู่ไหม? มี แต่เราเห็นไหม? ไม่เห็น แต่เราส่งยานอวกาศออกไป เห็นไหม? เห็น มีอยู่จริงๆ ตรงนี้เรียกว่า “ฟ้าชั้นที่ 2”  หรือภาษาที่เขาแปลเขาเรียกว่าฟ้าสวรรค์ ชั้นที่ 2 เป็นสวรรค์ ชั้นที่ 2 จริงๆ ก็คือฟ้า ก็คือโลกใบนี้นั่นเอง  แล้วหลุดจากฟ้าชั้นที่ 2  ไป ทะลุออกไปเลย  ก็คือไม่มีสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างแล้ว จบแล้ว  ฟ้าชั้นที่ 2 ก็คือดวงดาวต่างๆ ใช่ไหม? ก็คือมหาจักรวาล ระบบสุริยะจักรวาล ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น ไม่รู้ มันเยอะมากมาย  รู้แค่นี้เอง มนุษย์ค้นพบแค่นี้เอง  เพราะฉะนั้น เลยจากนั้นไป ไม่มีอะไรแล้ว เลยจากนั้นไป เขาเรียกว่าโลกวิญญาณ ซึ่งมนุษย์ก็อุปโลกน์ว่าในโลกวิญญาณนั้น  เป็นที่อยู่ของพระเจ้า คือฟ้าสวรรค์เบื้องบน สูงกว่าที่ตามองเห็น คือชั้นที่ 1 ตามองเห็น ฟ้าที่ 2 มองเห็นบ้างนิดหน่อย  ก็คือเห็นดวงดาวแว๊บๆ แต่เลยจากดวงดาวที่เรามองเห็นมีอีกไหม? มี มีอีกเยอะแยะ แต่ใช้กล้องจุลทรรศน์ ใช้กล้องส่องทางไกลดู ยังเห็นไหม? ยังพอเห็น  เลยจากกล้องจุลทรรศน์ กล้องส่องทางไกล ยังมีอีกไหม? มีอีก แล้วเห็นไหม? ไม่เห็น นั่นเลยไปไม่รู้อีกเท่าไร? เรียกว่าฟ้าชั้นที่ 2 ถ้าฟ้าชั้นที่ 3 ไม่มีแล้ว ที่ว่าก็คือสวรรค์ โลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งหมายถึงสวรรค์ของพระเจ้า ที่เราจะไปอยู่นั่นแหละ อยู่ตรงนี้

            เพราะฉะนั้น ฟ้าเดิมและโลกเดิมจะสูญสิ้นไป หมายถึงโลกใบนี้ คำว่าโลกใบนี้ คำนี้คำเดียว ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าพระองค์ทรงสร้างโลก  หมายถึงโลกบนดินที่เราเดินอยู่บนนี้ 1  รวมทั้งฟ้าชั้นที่ 1 ชั้นบรรยากาศที่มองขึ้นไป มีอวกาศ แล้วฟ้าชั้นที่ 2 หลุดจากบรรยากาศชั้นที่ 1 ไป สู่อวกาศเบื้องลึกขึ้นไป ตรงนี้รวมแล้วเรียกว่าโลก  โลกประกอบไปด้วยต้นไม้ ใบหญ้า มนุษย์ สัตว์ โลกใบนี้ใช่ไหม?  และรวมถึงนกที่บินอยู่ใช่ไหม? แล้วรวมไปถึงออกซิเจนต่างๆ เหล่านั้น  และรวมไปถึงดวงดาวต่างๆ

            คำว่า “ดวงดาวต่างๆ” ก็คือทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริง นั่นแหละ เรียกว่าโลก เพราะฉะนั้น โลกจะถูกทำลายลง ฟ้าจะถูกทำลายลง จะสูญสิ้นไป หมายถึงตรงนี้ ต้องเข้าใจ ตรงนี้ก่อน มันถึงจะเห็นชัดเจนว่าฟ้าใหม่และโลกใหม่มันคืออะไร? เพราะฉะนั้น ฟ้าใหม่และโลกใหม่มาแทนที่ มันก็คือโลกที่จับต้องมองเห็นได้อย่างนี้ มีต้นไม้ มีสัตว์ แล้วเราก็เดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วก็โลกใหม่แล้วนะ เพราะฉะนั้น อะไรต่างๆ ที่อยู่บนโลกนี้จะใหม่หมด นึกภาพออกนะ แล้วอะไรใหม่อีก ฟ้าใหม่ ก็แสดงว่าจากโลก มองไปชั้นบรรยากาศ ชั้นที่ 1 ใหม่ ไม่มี PM 2.5 ไม่มีมลพิษใดๆ ยังเห็นนกบิน ฟ้าชั้นที่ 1 บรรยากาศใหม่ ฟ้าชั้นที่ 2 หลุดไป เจอดวงดาวอะไรต่างๆ ไม่รู้ แต่รู้ว่ามีด้วย เพราะว่าในนี้เขียนเอาไว้ว่าฟ้าใหม่และโลกใหม่ นี่พยายามจะอธิบายช้าๆ วนไปวนมา พยายามให้เข้าใจ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าเข้าใจได้แค่ไหน? แต่ให้ท่านจินตนาการและคิดไปตามถ้อยคำพระเจ้า ท่านจะเข้าใจมากขึ้น แล้วจะชื่นชมยินดีมากยิ่งขึ้น และมีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราอยู่เพื่ออะไร? อะไรคือความหวังของเรา ขณะที่กำลังมีมลพิษอย่างมากมาย  ไปไหนก็มีมลพิษ ทั้งมลพิษที่เป็นฝุ่นละออง และมลพิษที่เป็นเชื้อโรคต่างๆ เยอะแยะมากมายไปหมด ที่มีอยู่จริงๆ แต่เรามองไม่เห็น แต่วันหนึ่ง เราจะอยู่ในโลกที่ไม่มีมลพิษเลย ฟ้าใหม่ โลกใหม่

            ฉะนั้น ใน 2 เปโตรที่เราอ่าน จึงบอกว่าพวกเรากำลังเฝ้ารอฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ซึ่งเป็นที่พำนักของผู้ชอบธรรม ใครเป็นผู้ชอบธรรมยกมือขึ้น ผู้ที่เชื่อในพระเยซู ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาจะถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คืออย่างนั้น

            คราวนี้บางคนก็ถามแบบไม่เข้าใจ  แล้วก็อยากรู้ว่ารอยต่อระหว่างฟ้าสวรรค์เดิมและโลกเดิมกับฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ มันเป็นเช่นไร? ฟ้าเดิมและโลกเดิมจะสูญไป ฟ้าใหม่และโลกใหม่จะมาแทนที่ ตราบใดที่โลกเดิมยังอยู่ จะไม่มีโลกใหม่มาแทนที่ โลกใหม่จะแทนที่เมื่อวันหนึ่งที่โลกเดิมสูญสิ้นไป พระองค์จะทรงเปลี่ยนโลกใบนี้ใหม่ เป็นโลกใหม่ เพราะฉะนั้น ขณะที่รออยู่ทำอย่างไร? ถูกไหม? แล้วคนที่จากไปแล้ว จะอยู่อย่างไร? แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน? ที่ตะกี้บอกเราอยู่ที่เมืองบรมสุขเกษม แล้วเป็นเช่นไร? เป็นอย่างไร? แล้วจะไปอยู่อย่างไร? ในเมื่อโลกใหม่ยังไม่ได้สร้างขึ้น คิดไหม? แล้วสมมติว่าเราจากไปวันนี้ พระเยซูกลับมารับเรา เราเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  แล้วพระคัมภีร์บอกว่าเราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ที่เรียกว่าเมืองบรมสุขเกษมกับพระองค์ กับธรรมิกชนทั้งหลาย โลกใหม่ไม่มี ฟ้าใหม่ก็ไม่มี แล้วมันอยู่ตรงไหน? คำตอบสั้นๆ ก็คือ … “ไม่รู้”

            แต่จริงๆ แล้วคำตอบสั้น คือ … “มิติที่มีเวลากำหนด” คือโลกใบนี้กำลังเดินอยู่ กำลังมีชีวิตอยู่ กำลังดำเนินอยู่ ยังไม่สิ้นสุดไป มันมีมิติของกำหนดเวลาอยู่ มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มีน้ำขึ้นน้ำลง มีกำหนดเวลาของวันและคืนอยู่มันนับได้  เรียกว่ามิติของโลกใบนี้ มันต่างกับมิติในโลกสวรรค์ที่ไม่มีกำหนด ไม่มีเวลา แล้วมิติวิญญาณที่ไม่มีกำหนด ไม่มีเวลานี้ อยู่ที่ไหน?  ก็อยู่ในสวรรค์ที่ตะกี้นี้บอกไง เลยทะลุออกไปจากมหาจักรวาลที่มีดวงดาว ที่เป็นที่อยู่ของพระเจ้า ที่เรียกว่าสวรรค์ ถูกไหม?

            ในพระคัมภีร์ใช้ชื่อว่าสวรรค์ชั้นที่ 3 หมายถึงในมุมมอง ไปข้างบน หลุดออกไปจากมหาจักรวาลแล้ว ซึ่งเรียกว่าชั้นที่ 2 แล้ว  เป็นที่อยู่ของพระเจ้าแล้ว จึงใช้ชื่อว่าสวรรค์ชั้นที่ 3

            ในสวรรค์ชั้นที่ 3 ที่พระเจ้าสถิตอยู่นั้น และที่เราจากโลกนี้ไป แล้วไปอยู่นั้น ที่บอกว่าเมืองบรมสุขเกษมเอย ที่บอกว่าเป็นพาราไดซ์เอย ไปอยู่กับพระเยซูเอย เห็นหน้าพระเยซู ไปอยู่กับธรรมิกชน ที่เชื่อในพระเจ้า จากเราไปก่อน ไปอยู่ที่นั่นแล้ว  เราจากโลกนี้ไป เราก็ไปเจอกับเขา ที่เมืองบรมสุขเกษม ที่อยู่ในสวรรคสถานนี้  สวรรค์ที่พระเจ้าประทับอยู่นี้ ไม่มีกำหนด ไม่มีเวลา พระบัลลังก์ของพระเจ้า การทรงสถิตของพระเจ้า  ที่ประทับของพระเจ้า อยู่มาก่อน ตั้งแต่สิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้าง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นบัลลังก์นิรันดร์ สวรรค์นิรันดร์ เพราะฉะนั้น มันจึงไม่มีมิติเวลามากำหนดว่าต่างกันอย่างไร? เพราะเราคิดตามภาษามนุษย์ว่ามันต่างกันอย่างไร? ว่าโลกใหม่จะสร้างเมื่อไร? และช่วงรอยต่อระหว่างโลกใหม่ยังไม่ได้สร้าง แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน? ก็เขาอยู่ในสวรรค์ไง ก็เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า จะอยู่กี่ปี? พันปี สองพันปี สามพันปี  ก่อนพระเยซูคริสต์กลับมา ไม่รู้กี่ปี? มันไม่มีเวลากำหนด แล้วจะไปนั่งนับได้อย่างไร? ส่วนบนโลกใบนี้ ก็คิดกันใหญ่เลย ต้องรอพันปี ต้องรอสองพันปี สามพันปี แต่โดยความเชื่อส่วนตัวของผม ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ผมเห็นชัดเจนเลยว่าเมื่อเราจากโลกนี้ไป หลุดออกจากมิติที่มีเวลาแล้ว หลุดเข้าไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีเวลาแล้ว จะมากำหนดไม่ได้ว่าพันปี สองพันปี สามพันปี จะไปรออีกกี่ปี กว่าโลกใหม่จะได้สร้าง มันไม่มีเวลาแล้ว มันก็คือเข้าไปอยู่ในมิติของฝ่ายวิญญาณ ในสวรรคสถาน ที่ไม่มีกำหนดเวลา งงไหม? งง ผมจึงบอกว่าคำตอบแรกๆ ไม่รู้ กลับไปคิดดูตามเหตุผลแล้วกัน

            และพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมด  ตามที่เราเห็นทุกวันนี้ อะไรที่ทรงสร้าง สิ่งที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้างอีกเยอะแยะบนโลกใบนี้ โลกเดิมนี่แหละ ที่เรามองไม่เห็น ที่มันมีอยู่จริงๆ ทั้งดวงดาว ทั้งสัตว์ตัวเล็กๆ ไวรัสอะไรต่างๆ เหล่านี้  เราไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ ค้นพบไปเรื่อยๆ

            พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งเหล่านี้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์สามารถที่จะควบคุมและกระทำสิ่งเหล่านี้ได้ อย่างแน่นอน สิ่งที่ผมเล่าตะกี้นี้ทั้งหมด มันเกินกว่าปัญญาของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้ และเกินกว่าความรับรู้ของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้  เราได้รู้แค่พอสังเขป นิดๆ หน่อยๆ ตามที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เราได้รู้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่ภายในเรา ซึ่งเท่านี้จริงๆ พอแล้ว

            ยกตัวอย่างเช่น เปิดเผยให้เรารู้ว่ามันจะมีฟ้าใหม่ โลกใหม่ ที่พระเจ้าจะทรงสร้างขึ้นใหม่ เตรียมไว้ให้กับเราเข้าไปอยู่อาศัย ในฐานะลูกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ที่เป็นฟ้าใหม่ โลกใหม่ที่ดียอดเยี่ยม เป็นเลิศ สุดจะพรรณนาได้ แปลว่าไม่มีวันที่จะอธิบาย ฟังเข้าใจได้ แต่เรารู้อยู่ในใจว่ามันดียอดเยี่ยม แค่นั้น ก็เป็นพรแล้ว

            จะเป็นโลกใหม่ ฟ้าใหม่ ไม่อยากจะบอกว่าฟ้าสวรรค์นะ รู้แล้วว่าสวรรค์คืออะไร? เป็นโลกใหม่ ฟ้าใหม่ที่ไม่มีความเศร้าโศกเลย อันนี้พระองค์ทรงบอกแล้ว  คือไม่มีวันไหนเลย  ไม่มีเวลาไหนเลย ไม่มีวินาทีไหนในโลกใหม่นี้ ที่จะมีความเศร้าโศกเลย ตลอดชั่วนิรันดร์กาล  ตลอดไปเลย ไม่มี เอเมนไหม? ไม่มีอะไรที่ทำให้เสียใจอีกแล้ว  ไม่มีอะไรที่ทำให้เกิดความตาย ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเลย ไม่มีความชั่วร้าย  ไม่มีอาชญากรรม อาชญากร ไม่มีฆาตกรรม ฆาตกรเลย ขอบคุณพระเจ้าไม่มีข่าวให้ฟัง ให้อ่านอีกต่อไป ฮาเลลูยา ปรบมือขอบคุณพระเจ้า ทุกวันนี้เราอ่านข่าว เราฟังข่าว มีแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องดีๆ เขาไม่เอามาพูดหรอก มีใครฟังบ้างเรื่องดีๆ ไม่มีใครฟัง มีแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องทุกข์ทรมาน เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องเศร้าโศกเสียใจทั้งสิ้น แต่ก็ขอบคุณพระเจ้า คนอ่านข่าวก็ต้องหางานใหม่ นักหนังสือพิมพ์ก็ต้องหางานใหม่ เป็นโลกที่ไม่มีมารมาล่อลวง  ไม่มีบาป  ไม่มีการขโมย ฆ่า ทำลาย ไม่มีข่าวร้ายๆ มีแต่ความยินดี ชื่นชม สดใส บริสุทธิ์ตลอดเวลา

            ทุกคนในสังคมโลกใหม่นี้  มีแต่คนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย แม้กระทั่งความคิดก็ดีเหมือนพระเยซูคริสต์ด้วย คิดดูสิ ท่านเดินไปที่ไหน?  ในโลกใหม่นี้ ไปเจอกับใคร? คนเหล่านั้นเป็นลักษณะอย่างนี้ทั้งหมด ไม่มีความคิดหลอกลวง ชั่วร้าย อิจฉาริษยา คดโกง คิดทำลาย เพราะว่าระบบของบาปและมารในโลกเดิมนี้ได้ถูกขจัดออกไปหมดสิ้นแล้ว ไม่มีอีกแล้ว เจอใครก็มีแต่ความจริงใจ ความรัก บริสุทธิ์ใจ ซึ่งในที่นี้ รวมทั้งตัวท่านด้วย เชื่อไหมว่าท่านจะไม่นินทาใครอีกต่อไปแล้ว? เชื่อไหมว่าท่านจะไม่ว่าร้ายใครอีกต่อไปแล้ว? เป็นไปได้หรือ? เชื่อไหมท่านจะไม่ใส่ร้าย นินทา คิดชั่วอีกต่อไป? ท่านนึกในใจตอนนี้ว่ามันเป็นไปได้หรือ? คนอื่นก็เป็นอย่างนี้ด้วยเช่นกัน แล้วสังคมเราจะเป็นเช่นไร? ท่านลองคิดดู มันก็จะเต็มไปด้วยความรักที่สมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยความสดชื่น ในความปลอดภัย ไร้กังวลทุกอย่าง ท่ามกลางการทรงสถิตของพระเจ้า พระองค์เดินท่ามกลางเราตลอดเวลา ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป ไม่ต้องใช้ความหวังอีกต่อไป มีแต่ความรักเป็นปัจจุบัน ไปนิรันดร์

            ทุกวันนี้เราอยู่ เรามีความหวัง ใช้ความหวัง ทุกเรื่องเราใช้ความเชื่อ แต่ถึงวันนั้น ไม่ต้องใช้ความเชื่อ เห็นหน้าต่อหน้า ไม่ต้องมีความหวัง เพราะว่าได้รับยืนอยู่ ใช้อยู่แล้ว มีอย่างเดียว ก็คือความรัก เจอกัน มีแต่ความรัก รักแท้ รักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้า เป็นของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ เป็นพอสังเขปที่พระเจ้าเปิดเผยให้เราว่าโลกใหม่ ฟ้าใหม่ที่เราจดจ่อ รอคอยที่จะไปอยู่ ที่ทั้งเปาโล เปโตร และพระเยซูคริสต์บอกเราว่ามันเป็นเช่นไร? พอสังเขป มันยากที่จะเข้าใจตามปัญญาของมนุษย์ แต่มันไม่ยากในการจินตนาการ ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสถิตอยู่ภายในเรา  และถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นอย่างนี้จริงๆ เอเมนไหม? พระเยซูบอกว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยืนยันในใจเราว่ามันเป็นจริงๆ

            ครั้งนี้เราจะจบลงที่วิวรณ์ 21:27 ว่าสิ่งเหล่านี้เราได้มาอย่างไร? เงื่อนไขมีนิดเดียว …

        วิวรณ์ 21:27 “สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดที่ประพฤติเป็นที่น่าสะอิดสะเอียน หรือพูดมุสา จะเข้าไปในนครไม่ได้เลย เฉพาะคนที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้น จึงจะเข้าไปได้”

            พูดง่ายๆ ก็คือผู้คนที่ไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ไม่ได้บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมแล้วนั้น  ไม่ได้มีชื่อจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิต อยู่ในครอบครัวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้ ตายแล้ว ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ตรงนี้ได้นั่นเอง เฉพาะผู้คนที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้น พระเมษโปดก ก็หมายถึงพระเยซูคริสต์ มีจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงจะเข้าไปได้ เพราะฉะนั้น เรามีชื่อจดไว้แล้วหรือยัง? มีแล้ว ชื่อเราจดไว้แล้ว เราเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง เป็นคริสเตียนแล้ว วันที่เราตาย เราจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์อย่างนี้แหละ พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระคริสต์ เข้ามาในชีวิตท่านแล้ว จงเชื่อและวางใจในพระคริสต์ ผู้สถิตอยู่ในท่าน

            ฮีบรู 13:5 … “จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณ และโลกวัตถุนี้ จงเชื่อ และวางใจในพระเจ้า)  เพราะพระเจ้า ได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า  (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน”

            พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะไม่ละเราให้อยู่ลำพัง ไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า เมื่อก่อนเราเป็นคนบาป ไม่มีพระเจ้า แต่ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะไม่ทอดทิ้ง พระองค์จะดูแล เอาใจใส่ ประคับประคองเรา ดังนั้น ให้เราพอใจ คือมีความสุขได้ เพราะว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน ฉันพอใจแล้ว ฉันได้รับเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รออีกแป๊บนึง ชั่วขณะเดียวเท่านั้นเอง ที่จะอดทนรอคอย ที่จะได้รับพระเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง

            ให้เราดำเนินชีวิต ด้วยการตระหนัก และระลึกอยู่เสมอว่า …

            “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระองค์ เมื่อฉันจากโลกนี้ไปแล้ว”

            “พระคริสต์สถิตในฉัน จะนำพาฉัน ผ่านทุกๆ สถานการณ์บนโลกใบนี้”

            “พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจะไม่กลัว”

            “พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจะไม่วิตกกังวลในเรื่องใดๆ เลย”

            “พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจึงสามารถมีความสุข และมีความชื่นชมยินดี ภายในจิตใจได้อยู่เสมอ”

            ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเยซู พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1416

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  พฤษภาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 25

โดย วราพร คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในพระธรรมเอเฟซัส 4:1 บอกว่า …

        เอเฟซัส 4:1 “ฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จึงขอให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับการทรงเรียกที่ท่านได้รับ”

            ตรงนี้อาจารย์เปาโลเป็นผู้พูด … “ฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า” ทำไมอาจารย์เปาโลต้องเป็นนักโทษ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ตอนที่อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ ติดคุกอยู่ แต่ว่าเขียนออกมาหนุนใจ ผู้เชื่อในคริสตจักรเอเฟซัส ซึ่งผู้เชื่อเหล่านี้เป็นคนต่างชาติ และอาจารย์เปาโลถูกเรียกมาให้เป็นผู้ประกาศกับคนต่างชาติ  ก็เลยถูกข่มเหงเยอะเป็นพิเศษ  เพราะคนยิวไม่พอใจมาก เพราะคนยิวถือว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า เขาเป็นกลุ่มคน กลุ่มเดียวที่สามารถที่จะเข้าหาพระเจ้าได้

            คนต่างชาติพวกนี้ จะมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขาได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ เปาโลประกาศอย่างนี้ เลยถูกไล่ล่าทุกอย่างเลย ถ้าพี่น้องไปอ่านหนังสือกิจการ พี่น้องจะเห็นว่าอาจารย์เปาโลถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกจับติดคุก ถูกล่ามโซ่ ถูกทุกอย่าง แต่อาจารย์เปาโลบอกว่าโซ่ตรวนที่พวกยิวล่ามเขาอยู่ ก็ไม่สามารถล่ามข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้กระจายออกไป ถึงผู้คนมากมายได้

            อาจารย์เปาโลบอกกับคนเอเฟซัสว่าจริงๆ ที่เขาเป็นนักโทษ เพราะเขาประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องของพระเยซูคริสต์ให้กับพวกเธอฟังนั่นแหละ เลยเป็นต้นเหตุทำให้ถูกจับไปเป็นนักโทษ อาจารย์เปาโลจะพูดตลอดเวลาว่าความรอด  เกิดขึ้นจากพระคุณ  ไม่ใช่ผลของการประพฤติ  ฉะนั้น มนุษย์ไม่สามารถทำให้ตัวเองได้รับความรอดได้ ทำดีไปเถอะ ทำให้ตาย ก็รอดไม่ได้ ถ้าวิญญาณข้างในยังเป็นบาปอยู่ ฉะนั้น เราจำเป็นต้องมาเปลี่ยนวิญญาณ

            แล้วคนเอเฟซัสตอนนี้  พวกคนต่างชาติ ในเมืองนี้ เขาได้เปลี่ยนวิญญาณแล้ว ก็คือมาอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็เลยหนุนใจว่าเมื่อท่านได้รับพระคุณ แบบนี้แล้ว โดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย รับมาฟรีๆ เลย พระเจ้าไม่ได้มาเรียกร้อง เก็บเงินท่าน มาซื้อความรอดนะ ถ้าเธอมีตังค์ เอามาสัก 5 ล้าน 10 ล้าน 100 ล้าน แล้วเธอจะได้รับความรอดไป ไม่มีนะ พระเจ้าบอกว่าให้ฟรีๆ พอได้รับสิ่งสารพัดเหล่านี้ปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่า …

            “ขอให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับการทรงเรียกที่ท่านได้รับ เมื่อได้รับพระคุณแล้ว”

            พระคุณมาตรงไหน? มาเป็นแพ็คเกจเลย พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราบัพติศมาในพระวิญญาณปุ๊บ พระเจ้าได้เปลี่ยนใจใหม่ เปลี่ยนวิญญาณใหม่ พระเจ้าใส่ความรักลงมาในชีวิตของเรา ใส่ความดีงาม เรากลายเป็น

            ผู้เชื่อทุกคนเกิดมาเป็น เมื่อบังเกิดใหม่ปุ๊บ เกิดมาเป็นความรัก เกิดมาเป็นความดีงาม เหมือนพระเจ้าเลย เป็นผู้ชอบธรรม เป็นนะ ไม่ใช่มี เป็นเลย ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่าเป็นหรือไม่เป็น แต่พระคัมภีร์บอกเธอเป็นแล้ว ในโลกวิญญาณ เป็นคนชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูมีอะไร  เราจะได้รับด้วย เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย ฉะนั้น พอเราได้ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระคริสต์แล้วปุ๊บ ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับ ให้สมฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าหน่อย ตอนนี้เราไม่ใช่ เป็นลูกขอทานอีกต่อไป เราไม่ได้เป็นลูกทาสอีกต่อไป  แต่เราเป็นลูกของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และพระเจ้าบอกว่าเรามีมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย

            พอเรารู้ตัวว่าสถานะเราเป็นอย่างไร? เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็ทำตัวให้สมกับที่ได้เป็นแล้ว แล้วเราจะทำตัวได้อย่างไร? มีทางเดียว ก็คือต้องรับรู้ความจริง ที่ทุกวันนี้ พวกเราคุยกัน ย้ำไปย้ำมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนพี่น้องเริ่มเบื่อแล้ว แต่ว่าอยากจะหนุนใจพี่น้อง อย่าเบื่อเลย นี่คือความจริง แล้วพระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสรภาพ

            ฉะนั้น ถ้าเราเป็นอิสรภาพในวิญญาณ เราจะสามารถดำเนินชีวิตแบบอิสรภาพเลยนะ เราไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎอะไร? ใครก็ใส่ๆ เข้ามาในหัวของเรา ในนามพระเยซู หัวเราไม่ใช่ถังขยะ ไม่ต้องไปรับเอาสิ่งที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้าเข้ามาให้มันรกสมอง ให้เรารับเอาความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าเข้ามา รับรู้ความจริงว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์

            พอถึงข้อ 2 …

        เอเฟซัส 4:2 “จงถ่อมใจและสุภาพอ่อนโยนในทุกด้าน จงอดทนอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก”

            ในภาษาไทยชอบเขียนคำว่า “จง” และ “อย่า” พอบอกจงปุ๊บ เหมือนบังคับว่าต้องทำ นึกออกไหม? สมัยก่อนถูกสอนมาอย่างนี้ ดิฉันก็สอนสมาชิกว่าต้องทำ แล้วตัวเอง ก็ทำไม่ได้หรอก แต่ต้องไปสอนเขา เข้าใจหรือเปล่า? ต้องไปสอน เพราะว่าถูกสอนมาอย่างนี้

            “เธอต้องทำอย่างนี้นะ เธอต้องให้อภัยเขา เธอต้องรักเขา เธอต้องๆๆๆๆๆ ทุกอย่างเสร็จ มองตัวเอง ทุกอย่างก็ยังทำไม่ได้เลย พระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้อ่อนแอ เราทำไม่ได้หรอก แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น คือเมื่อเราบังเกิดใหม่ ทุกอย่างเหล่านี้ มันเข้ามาอยู่ในตัวเรียบร้อยไปแล้ว ในวิญญาณของเรา มีความถ่อมใจ มีความสุภาพอ่อนโยน มีความรัก มีความอดทน ก็คือมันมาพร้อมอยู่ในวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่ว่าเรารู้หรือไม่? ถ้าเรารู้ เราก็ค่อยๆ ให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉายแสงออกไป พระวิญญาณก็จะทรงนำพาเรา ให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉายแสงออกไป อย่างที่อาจารย์เปาโลอวด …

            “ข้าพเจ้าอวดความอ่อนแอ เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน? ฤทธิ์อำนาจพระเจ้าก็เต็มขนาดในชีวิตของข้าพเจ้า เพราะมนุษย์ เรายังอยู่ในร่างกายนี้ ถ้าเราแข็งแรงเมื่อไร เราก็แข็งข้อกับพระเจ้า …

            “ฉันแข็งแรง ฉันยังทำได้ด้วยกำลังของตัวเอง”

            แล้วการทำด้วยกำลังของตัวเอง เป็นหนึ่งในความบาปของมนุษย์ครั้งแรก ที่อาดัมกับเอวาทำ ก็คือจะทำด้วยกำลังของตัวเอง จะทำดีด้วยกำลังของตัวเอง  ไม่พึ่งพาพระเจ้า นี่คือการล้มลงในความบาป ครั้งแรกของมนุษย์

            ฉะนั้น มารก็จะหลอกเรา หลอกให้เรา … “เราอยากทำๆ เราต้องทำๆ เอง”

            แต่พระเยซูบอกว่า … “ไม่ต้องทำ ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว เธอแค่รับรู้ความจริงว่าอะไรเสร็จแล้ว เธอมีอะไรแล้ว”

            พระเจ้าใส่เงินไว้ในแบงค์ ให้กับเราแล้ว พันล้าน แบบเยอะมาก ใช้ทั้งชาติก็ใช้ไม่หมด แค่รู้ว่ามีตังค์ไหม? ถ้าเราตังค์หมด เราก็ไปเบิกมาใช้ แค่นั้นเอง ง่ายๆ เลย

            ดังนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ความถ่อมใจ พระเจ้าใส่ให้เราแล้ว เราไม่ต้องพยายามทำตัวเองให้ถ่อมใจ ไปฝืนตัวเองว่าต้องถ่อมใจ ไม่ใช่ เรารับรู้ความจริงว่าความถ่อมใจมันอยู่ข้างในเรา แล้วเมื่อเราเจริญเติบโต รับรู้ความจริงมากขึ้นๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทำงานในใจของเรา เราไม่รู้หรอก มันเปลี่ยนแปลงเอง ถ้าพี่น้องสัตย์ซื่อกับตัวเอง วันแรกที่เรามาเชื่อพระเจ้ากับทุกวันนี้ พี่น้องสังเกตไหมว่าความอดทนของเรา มันต่างกันเยอะเลยนะ เมื่อก่อนเราไม่ค่อยอดทนเท่าไร? แต่เดี๋ยวนี้ เหตุการณ์เรื่องเดียวกัน แต่ทำไมเราอดทนขึ้นล่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนวีนแตกเลยนะ  เกิดเรื่องนี้ขึ้น ตายกันไปข้างหนึ่งเลย แต่ปัจจุบันทำไมเราใจเย็นขึ้น ทำไมเราอดทนได้ ทำไมเราผ่านมันไปได้ ทำไมเราสามารถ ช่างมันเถอะ อะไรอย่างนี้ ทำไม? ก็เพราะเรารับรู้ความจริงว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เรามีแล้ว

            แล้วพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็นำพาเรา  ทำให้เราสำแดงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ออกไป โดยธรรมชาติ  โดยที่เราไม่ต้องพยายามฝืน หรือไม่ต้องพยายามบีบตัวเองว่าต้องทำ ไม่ต้อง มันจะออกมาเอง

            ภาพที่ชัดที่สุด ที่ชอบเอามายกตัวอย่าง คือภาพการเจริญเติบโตของคนๆ หนึ่ง เด็กทารกคนหนึ่ง การเจริญเติบโตของเขาจะเป็นไปตามธรรมชาติ พ่อแม่มีส่วนแค่ประคับประคองให้เขาสามารถเจริญเติบโต แล้วเด็กคนนั้นเขาจะมองภาพจากไหน? จากคุณพ่อคุณแม่ อย่านึกว่าเด็กเขาไม่รู้เรื่อง เขาตัวเล็กๆ เวลาเขานอนกลิ้งไปกลิ้งมา ตอนหนึ่งเดือน สองเดือน เขาก็มอง เวลาพ่อแม่เดินไปไหน เขาก็มองตาม เห็นไม่เห็นเราไม่รู้แหละ แต่เขามองตามเรา แล้วเราทำอะไร? เขาก็จำเอาไว้ พอถึงวาระหนึ่งที่เขาเริ่มสามารถที่จะทำตามนั้นได้  เขาก็เจริญเติบโตตามวัย พอถึงเวลาเขาก็พลิกตัวได้เอง มันเป็นธรรมชาติ ที่เขาก็มองๆ ที่เขาเรียนรู้จักธรรมชาติของความเป็นคน พอพลิกตัวได้ เขาเริ่มต้นทำอย่างอื่นได้เรื่อยๆ คลานได้ เดินได้ วิ่งได้ พูดได้ พ่อแม่คุย เขาก็ฟัง คุยไปคุยมา เขาก็พูดตาม

            คำแรกที่เด็กพูดออกมา สมมติว่ายุคปัจจุบัน สามีภรรยาเขาชอบเรียกกันว่าคุณพ่อกับคุณแม่ เรียกให้ลูกฟังว่านี่เป็นคุณพ่อนะ นี่เป็นคุณแม่นะ … พ่อๆ แม่ๆ อย่างนี้ แล้วคำแรกที่เด็กหัดพูด ก็คือพ่อๆ แม่ๆ อยู่ตรงที่ว่าเด็กจะเรียกพ่อหรือว่าแม่ก่อนเท่านั้นเอง เพราะเขาได้ยิน ได้ฟัง เขาดู เขารับรู้

            คริสเตียนเหมือนกัน การเจริญเติบโต เกิดจากการรับรู้ความจริง กินอาหารให้ถูกหลัก กินอาหารที่ไม่มีพิษ ไม่มีภัย เป็นข่าวประเสริฐล้วนๆ  ที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ที่พระเจ้าบอกว่าพระเยซูได้ทำอะไรให้เราเรียบร้อยไปแล้ว

            คำว่า “เรียบร้อยไปแล้ว” หมายความว่าเราได้รับแล้ว เราไม่ต้องไปพยายามทำเพิ่ม เพื่อให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น หรือไม่ต้องไปพยายามทำเพิ่ม เพื่อให้เราเป็นคริสเตียนมากขึ้น  ไม่ต้องเลย เราเป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นเลย ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม เพื่อให้เป็นลูกของพระองค์มากขึ้น ลูกเราไม่เห็นต้องทำอะไรให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นลูกเรามากขึ้น เกิดมา เขาก็เป็นลูกเรา เกเร เถียงเราอีก เราก็ยังคงเห็นว่าเขาเป็นลูก และเรารักเขาไหมล่ะ รัก แค่ว่าปวดหัวกับลูกเราจังเลย ทำไมเถียงเก่งอย่างนี้  แต่เราก็ยังคงรักเขาเหมือนเดิม ใช่ไหม?

            นี่คือความเป็นจริงของธรรมชาติที่พระเจ้าให้เรามองเห็น แล้วเราจะรับรู้ความจริงเหล่านี้ แล้วธรรมชาติเหล่านี้ มันจะเกิดออกมาเอง คือความถ่อมใจ ความสุภาพอ่อนโยนในทุกๆ ด้าน ความอดทน อดกลั้น ทำไมอาจารย์เปาโลต้องให้คนเอเฟซัสอดทน อดกลั้น เพราะตอนนั้น มันมีการข่มเหง มีการไล่ล่าผู้เชื่อ หนักกว่าพวกเราอีก ขอบคุณพระเจ้าที่เราเกิด ในประเทศไทย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ที่เข้าใจ ไม่กีดกั้นในเรื่องของการนับถือศาสนา  เราขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่เรามีสถาบันกษัตริย์ ที่ให้เราเป็นที่ยึดเหนี่ยว  แล้วเราขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่เราอยู่ประเทศไทย เรามีอิสระเสรี ที่จะเชื่ออะไรก็ได้ เรามาโบสถ์ได้อย่างเสรี ไม่ต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ แอบมาด้วย มาแล้วก็กังวล เมื่อไรทหารจะมาจับเรา แต่สมัยก่อน คนในยุคนั้น เชื่อพระเจ้า ผวาตลอดเวลา ไม่รู้วันดีคืนดี ใครจะมาจับเราไปติดคุก เหมือนอาจารย์เปาโลอย่างนี้ วันดีคืนดี ก็ถูกจับไปติดคุก วันดีคืนดี ก็จับไปโบยตี วันดีคืนดี ก็ถูกจับไปซักถาม …

            “เธอทำไมถึงทำอย่างนี้ ไปประกาศพระนามของพระเยซูได้อย่างไร?”

            อะไรก็ว่าไป แต่อาจารย์เปาโลพูดคำหนึ่ง หรืออาจารย์เปโตรพูดหมือนกัน …

            “จำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องเชื่อฟังพระเจ้า มากกว่าเชื่อฟังมนุษย์ ถ้าพระเจ้าให้ข้าพเจ้าพูด ข้าพเจ้าก็ต้องพูด มนุษย์จะมาห้ามไม่ได้หรอก”

            พูดก็พูดไป ถ้าคุณจะมาจับเรา ไปติดคุก ก็เอาเลย จับเราไป แต่ว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่มีโซ่ในโลกใบนี้ล่ามได้เลย นี่คือพระคุณ

            ฉะนั้น คนยุคนั้นต้องใช้ความอดทนมากๆ เพราะว่าเขาได้รับความเชื่อ ได้รับข่าวประเสริฐที่เป็นน้ำนม ที่ไม่มีอะไรแอบแฝง ก็คือเพียวๆ เลย เขารู้แค่สั้นๆ นะว่า …

            “พระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเขาบนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระล้างความผิดบาปของเขา ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า”

            เขารู้แค่นี้เอง แล้วเขาก็ไม่สนใจว่ามันมีอะไรที่จะต้องมาเสริมเติมแต่ง ไม่ต้อง รู้แค่นี้เอง แล้วเขาก็ยึดมั่นในความเชื่อของเขาตรงนี้ ไม่ว่าลำบากแค่ไหน? เขาก็ไม่ลดละ ที่จะเชื่อพระเจ้า เขายังเชื่ออยู่ ต่อให้ถูกฆ่าตาย ถูกบั่นคอตาย ถูกเผาตาย เขาก็ยังยึดมั่นในพระเจ้า คนสมัยนั้นทำไมเขาทำได้ เพราะเขาได้รับความจริงแท้ๆ ของพระเจ้า

            แต่ปัจจุบัน ความจริงเรื่องราวของพระเจ้ามีแอบแฝง เหมือนอาหารทุกวันนี้ พี่น้องนึกภาพออกไหม? คนโบราณปู่ย่าตาทวด เราแข็งแรง ทานข้าวแบบไม่ต้องมีอะไรเยอะเลย กินข้าวสวย กินข้าวต้มกับผักจิ้มน้ำพริก จนอายุแก่เฒ่าแล้วยังแข็งแรงอยู่เลย แต่คนปัจจุบัน ทำไมไม่แข็งแรง เพราะเกิดจากอาหารการกินทั้งหมด มันมีสารอะไรเยอะแยะ เนื่องจากสภาวะสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้

            คนยุคนี้น่าสงสาร เวลาจำกัด ทุกอย่างจำกัดหมด เด็กต้องไปโรงเรียน ตื่นแต่ไก่ขัน กินข้าวในบ้านไม่ได้ เพราะว่ามันจะไม่ทัน ออกช้ากว่า 6 โมงเช้า ไปติดบนถนนอีก 2 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ที่ทำงาน เขาก็ต้องออกตั้งแต่ไก่โห่ เพื่อจะไปที่ทำงานให้ทัน ที่ทำงานเปิด 8 โมง เขาไปถึง 6 โมงกว่าไปนั่งอยู่ที่หน้าที่ทำงาน เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องไปรถติด ตอนช่วงคนทำงาน

            สมัยก่อนดิฉันไม่ได้มาพักอยู่ที่โบสถ์ บ้านอยู่ตรอกจันทร์ ที่สาธุประดิษฐ์ ไปโบสถ์ที่มีนบุรี สาธุประดิษฐ์ถึงมีนบุรี ขอบคุณพระเจ้า มีรถเมล์สายหนึ่ง คือต่อเดียวถึงเลย 519 แต่รอนานมาก  ดิฉันตื่นตั้งแต่ตี 4 กว่า ออกมานั่งรถ ตี 5 เพื่อไปถึงโบสถ์ ตอนตี 5 รถโล่งมาก เราไปถึงโบสถ์ยังไม่ถึง 6 โมงเช้าเลย ขอบคุณพระเจ้า มีกุญแจโบสถ์ ไปถึงเราก็เปิดห้อง แล้วเราก็ไปนั่งอยู่ในโบสถ์ มันปลอดภัยกว่า นี่คือวิถีชีวิตของคนกรุงเทพจริงๆ

            เด็กๆ ต้องตื่นแต่ไก่โห่ กินข้าว ต้องไปกินบนรถ แล้วก็ไปโรงเรียน นี่คือสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ไปข้างนอก ก็มีของกินเยอะแยะหลากหลาย ซึ่งคนทำ ก็ไม่ได้ทำสะอาดเท่าไร? ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นประดยชน์อะไรกับร่างกายของเรา นี่พูดเรื่องจริงนะ

            ฉะนั้น สิ่งแวดล้อมต่างๆ เหล่านี้ ทำให้คนในยุคปัจจุบันเป็นโรคภัยไข้เจ็บเยอะกว่าคนสมัยก่อน ดังนั้น คนที่เป็นประโยชน์ที่สุด คือคนที่ทำกับข้าวกินเอง  สุขภาพจะแข็งแรงกว่า เพราะว่าเราทำเอง เรารู้ว่าเรากินอะไร? เราใส่อะไร? อะไรที่เลี่ยงได้ อะไรที่เลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อย เราทำกับข้าวเอง เราล้างหมู ล้างผัก ล้างแล้วล้างอีก ทำให้มันสะอาด แต่คนทำมาหากิน เขาล้างให้เราไม่ไหวหรอก เขาทำกับข้าวที 40, 50 อย่าง

            อาจารย์เปาโลก็จะบอกเราว่าอย่าเพ่งมองความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ ให้เราจับจ้องมองดูที่พระคุณของพระเจ้า ดูที่พระพรที่พระเจ้าเตรียมให้เราเรียบร้อยไปแล้ว โลกนี้เราอยู่ชั่วคราว ชั่วคราวเองจริงๆ อยู่ไม่กี่ปีหรอก ไม่เหมือนคนสมัยก่อน 500, 600 ปี ปัจจุบันนี้ แค่ 80 กว่า เราก็เตรียมตัวกลับบ้านได้แล้วล่ะ ถ้าเลย 80 กว่าทรมานมากเลย เราอยู่ลำบากยากเย็น ฉะนั้น เราแค่ช่วงแป๊บเดียว  ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าโลกนี้ เป็นที่อยู่ชั่วคราว ไม่ใช่ที่อยู่ถาวรของพวกเรา ที่อยู่ถาวรของพวกเรา คือในโลกหน้า ในสวรรคสถานที่เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล นี่คือความหวังใจ ซึ่งความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน ในโลกวิญญาณ เราก็อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว

            แล้วความจริงตรงนี้ พระเจ้าเปิดให้เราเห็น สมัยก่อนเราไม่เห็น สมัยก่อน เรายังคิดว่าเราจะไปเจอพระเจ้า ก็ต้องหลังความตาย ต้องรอวิญญาณเราออกจากร่าง เราถึงไปเจอพระเจ้าได้ แต่ถ้อยคำของพระเจ้า พอเราอ่านจริงๆ บอกว่าพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา เราเจอพระเจ้าแล้ว เพียงแต่เจอแบบว่าเรามองไม่เห็นชัดเจน เราต้องใช้ความเชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา แล้วเราก็เชื่อตามนั้น เอเมนตามนั้น นี่คือการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ซึ่งเมื่อเราเชื่อตามที่พระเจ้าบอกปุ๊บ ชีวิตเราก็อยู่ง่ายขึ้น

            พอเราเจอความทุกข์ยากลำบากหน่อยหนึ่ง เราก็ … “แป๊บเดียวๆ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ผ่านไป”

            ตอนนี้เราเจ็บป่วยหรือ? … “ไม่เป็นไร แป๊บเดียว เจ็บป่วย ก็ไปหาหมอ เป็นอะไร ก็ไปรักษา”

            แต่ว่าพระเจ้าก็จะให้กำลังเรา ดิฉันยังเชื่อว่าพระเจ้าให้กำลังให้กับแต่ละคนสามารถ ที่จะผ่านไปได้ แม้ว่าทุกข์ยากขนาดไหน? ซึ่งบางครั้ง ตอนที่เราเผชิญอยู่ เรารู้สึก เราไม่ไหวแล้ว พระเจ้าไม่ไหวแล้ว ตายแน่ๆ แต่พระเจ้าก็พาเราผ่านไปได้ นี่คือความจริง ในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา แม้ความรู้สึกในขณะที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เรารู้สึกว่าพระเจ้าทิ้งเรา แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า คือพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าอยู่กับเรายามทุกข์ ยามสุข ยามหลับ ยามตื่น พระเจ้าอยู่ด้วยกับเรา และเป็นผู้ที่จะนำพาเราเดินไปด้วยกันกับพระองค์ นี่คือพระคุณซ้อนพระคุณที่พระเจ้าให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย …

        เอเฟซัส 4:3 “จงเพียรพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวิญญาณ ผ่านทางพันธะแห่งสันติสุข”

            คำว่า “จงเพียร” มันก็ไม่น่าจะใช่ เพียรกับพยายาม ก็คือเราต้องพยายาม ทำตัวเองให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต้องทำด้วยกำลังของเราเองนะ  แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่า …

            “ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว”

            พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ แล้วผู้เชื่อทุกคน เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาก็บัพติศมาเหมือนเราเลย เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เรากับผู้เชื่อคนอื่น พี่น้องไม่ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ หรืออยู่ที่อื่นในโบสถ์ไหนก็ตาม บนโลกใบนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องพยายามทำ มันเกิดขึ้น เนื่องจากเราได้บังเกิดใหม่

            ฉะนั้น ถ้าเราเพียรพยายามให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราทำตายเลย ตายแน่ๆ เลย เพราะว่าความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราจะพยายามทำให้มันได้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราเป็นมนุษย์ไง ความคิดเราก็ต่างกัน เห็นไหม? เวลาเราทำงาน หลายๆ คน คนนี้คิดอย่าง คนนั้นคิดอย่าง มันก็คิดไม่เหมือนกัน แล้วเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร? เมื่อคิดไม่เหมือนกัน แต่พระเจ้าบอกว่าในโลกวิญญาณ วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อทั้งหมดบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว โดยไม่ต้องทำอะไร? พระเจ้าทำให้เรียบร้อยไปแล้ว เรารักผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว  โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรอีก พระเจ้าทำให้เรียบร้อยแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ฉะนั้น ความผูกพัน ความรัก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สิ่งเหล่านี้พระเจ้าทำให้เรียบร้อยหมดแล้ว แค่เรารู้ความจริงว่าตอนนี้ เราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันเรียบร้อยไปแล้ว เราถึงร้องเพลง “เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์” จำได้ใช่ไหม? …

                        “เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์

                        ให้เราจับมือกัน และประกาศให้โลกนี้

                        เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”

            นี่ประกาศให้โลกรู้ว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นหนึ่งในความรักของพระคริสต์ ผู้เชื่อทุกคนไม่ว่าจะนิกายไหน ถ้าเขาเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เขาเปิดใจต้อนรับพระองค์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  คนนั้นเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา อาจจะความคิดเห็นต่างกัน แต่ละโบสถ์ การดำเนิน การวางแผนการต่างกัน แต่ว่าเราไม่ต่างกันในโลกวิญญาณ เพราะว่าเราทุกคนเป็นอวัยวะในพระเยซูคริสต์ร่วมกัน โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเรา …

        เอเฟซัส 4:4 “มีกายเดียวและพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนกับที่ทรงเรียกท่านมาสู่ความหวังเดียว เมื่อทรงเรียกท่าน”

            กายเดียว วิญญาณเดียว  เป็นหนึ่งเดียว ก็คือพระเจ้าบอกชัดเจนเลย ทุกอย่าง เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นกายเดียวกัน โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของเรา

        เอเฟซัส 4:5 “มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว”

            ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าต่างคนต่างบัพติศมา ไม่ใช่ บัพติศมาเดียว แล้วการบัพติศมานี้ ในโลกวิญญาณ เราทำเองไม่ได้ ไม่ใช่เอาตัวไปจุ่มน้ำ ไม่ใช่ แต่ว่าในโลกวิญญาณ พระเจ้าให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา ทำให้วิญญาณเก่าของเรา ไปอยู่ในพระเยซูคริสต์และตายพร้อมกัน ฝังพร้อมกัน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่กับพระเยซูคริสต์พร้อมกัน ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเจ้า ได้รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ เอเมน ตื่นเต้นไหม?

            ขอบคุณพระเจ้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พี่น้องจำเป็นจะต้องรับรู้ เอาไปฟังเรื่อยๆ ฟังให้มันฝังเข้าไปในวิญญาณของเราเลยว่าตอนนี้ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้เลย ไม่สามารถเลย แล้วเรากับพี่น้องในพระคริสต์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย การดำเนินชีวิตต่างกัน ไม่เป็นไร แต่วิญญาณ เราเป็นวิญญาณเดียวกันแน่นอน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มีข่าวดีมาบอก! มนุษย์ทุกคนสามารถรู้จักกับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นการส่วนตัวได้แล้ว

            เยเรมีย์ 31:31-34 … “31 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึงเมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่ กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์ 32 เป็นพันธสัญญา ซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา เมื่อเราจูงมือพวกเขา นำออกมาจากดินแดนอียิปต์ เพราะพวกเขาละเมิดพันธสัญญาที่ทำไว้กับเรา ทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้านายของพวกเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 33 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 34 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “เพราะเราจะอภัยความชั่วร้ายของเขา และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป”

            นี่คือคำมั่นสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับชาวยิว ซึ่งเล็งถึงมนุษยชาติทั้งมวล

            พระคัมภีร์เดิม พระเจ้าได้ทรงให้ผู้เผยพระวจนะเผยถึง สิ่งที่พระองค์สัญญาจะกระทำในอนาคตข้างหน้าเพื่อมวลมนุษย์ ซึ่งยังทำไม่สำเร็จเสร็จสิ้น

            ส่วนพระคัมภีร์ใหม่ ได้พูดถึงคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าได้ทำสำเร็จแล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน และพระเยซูตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังในอุโมงค์ และวันที่ 3 ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้มนุษยชาติสามารถเข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ได้ โดยการเปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเราให้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

            ให้เราตายพร้อมกับพระเยซู ฝังพร้อมกับพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู บังเกิดใหม่เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูเลย พระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณให้เราใหม่ เปลี่ยนใจใหม่ให้เราเลย ส่วนร่างกายยังเป็นร่างกายเก่าอยู่ แต่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์

            วิญญาณและใจใหม่ได้เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์  และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายเรา พระเจ้าทรงเตรียมร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูให้กับเราเรียบร้อยแล้ว แค่รอวันที่เราตายจากโลกนี้ ทิ้งร่างกายเก่านี้ไป เราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตาย

และจะได้พบเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า นี่คือความหวังใจเดียวของผู้เชื่อ ทำให้เรามีกำลังใจในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ ด้วยกำลังซึ่งมาจากพระเจ้า  คือได้รับรู้ว่า …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1415

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  30  เมษายน  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 8 “จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            กลับมาเข้าสู่หัวข้อเรื่องซีรี่ย์ที่ได้บรรยาย 7 ตอนแล้ว ก็คือ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” เป็นซีรี่ย์ที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับมนุษย์ หรือผู้คนทั้งหลายที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้ใช้สิทธิของเขา  ที่พระเจ้าได้กระทำให้แล้วในพระเยซูคริสต์ ซึ่งมนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องรู้ จำเป็นต้องใช้สิทธินี้ อย่างมากเลย และเป็นผลประโยชน์อย่างมากมาย เป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด  เป็นทรัพย์อันมีค่าล้ำเลิศ ที่พระเยซูคริสต์มาประกาศบอกว่าให้มนุษย์ทุกคนแสวงหาทรัพย์ตรงนี้แหละ  ทรัพย์สินที่ไม่สามารถจะเสื่อมสลายไปได้  ไม่มีมด ปลวกมาทำลายได้ ไม่เหมือนทรัพย์สินที่มนุษย์พยายามไขว่คว้าหากันบนโลกใบนี้  วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ความมั่งคั่งบนโลกใบนี้ พระองค์บอกสิ่งนี้สำคัญมากกว่าเยอะเลย คือชีวิตนิรันดร์ ชีวิตหลังความตาย จากโลกนี้แล้ว  จะมีอะไรเกิดขึ้น และพระองค์กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นอัศจรรย์เกิดขึ้นทั้งสิ้น ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่ามันเป็นเช่นไร? แต่มันเป็นจริงตามนั้น โดยพระวิญญาณจะนำพาเรา สอนเรา บอกเราถึงความจริงเหล่านี้ หน้าที่ของมนุษย์ ที่จะต้อนรับพระเยซูคริสต์นี้  เริ่มต้นง่ายนิดเดียว

            เริ่มต้นด้วยถ่อมใจ รับฟังเท่านั้นเอง  ไม่มีวันที่จะเข้าใจได้เลย ตั้งแต่เริ่มต้นฟัง เป็นไปไม่ได้เลย มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจความจริงในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณนี้ได้เลย จนกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จเข้ามาอยู่ในใจของคนๆ นั้น ถึงจะสามารถเริ่มต้นรู้เรื่อง และเข้าใจถึงโลกวิญญาณได้

            เพราะฉะนั้น หน้าที่ของมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงจึงต้องเริ่มต้นถ่อมใจ รับฟังข่าวดีนี้ ที่เขาเรียกกันว่าข่าวดีๆ ของพระเยซูคริสต์ แค่เริ่มต้นรับฟังด้วยความคิดของมนุษย์นั่นแหละ ซึ่งคิดไม่ออก แล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก  แต่ขอร้องให้อดทน แล้วก็ถ่อมใจฟังไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่เข้าใจก็ตาม  แต่ให้ฟังไปเรื่อยๆ  เพราะข่าวดีนี้เป็นฤทธิ์เดช  หมายถึงมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร? ก็ไม่เข้าใจ แล้วจะไปฟังทำไม? พระองค์บอกว่าไม่เข้าใจ แต่ให้วางใจไง  ยังไม่ต้องเชื่อพระองค์หรอก  เพราะไม่มีทางที่มนุษย์จะเชื่อพระเยซูคริสต์ได้ เป็นไปไม่ได้เลย  โดยใช้ความคิด หรือความเข้าใจแบบมนุษย์ไม่สามารถที่จะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นไปไม่ได้  ถ้าเป็นไปได้ ทำอย่างไร? ก็ใช้ความคิดของตนเองเท่านั้นเองว่ามันน่าจะเป็นไปได้มั้ง  แล้วก็ตั้งความหวังไว้  แล้วอะไรอีกต่อไป ถ่อมใจ ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจนั้น ฟังไปเรื่อยๆ  เพราะว่าพระองค์บอกแล้วว่าผู้ที่วางใจในพระองค์

            “วางใจ” หมายถึงความคิดของมนุษย์ ที่สามารถวางใจอะไรบางอย่างได้  วางใจว่ามันน่าจะใช่นะ  เราไม่เข้าใจ ฟังไปก่อน  เพราะพระองค์บอกว่าคนที่วางใจในพระองค์ เมื่อถึงระดับหนึ่ง วางใจ ฟังไปเรื่อยๆ ฟังถ้อยคำที่เรียกว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระเยซูบอกว่าเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ แห่งข่าวประเสริฐ

            เมล็ดพันธุ์เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ  เพราะเป็นความจริง  ความจริงนี้จะลงไปในความคิดของท่าน ฟังไปเรื่อยๆ วันไหนก็ไม่รู้ จะมีอยู่วันหนึ่งที่สิ่งที่ท่านฟัง คือเมล็ดถ้อยคำแห่งข่าวประเสริฐนี้  มันจะหล่นจากความคิดจิตใจของท่าน หล่นไป อยู่ที่ในใจของท่าน  คือดินในใจของท่าน  และมันก็จะเกิด งอกออกมาเป็นผลเรียกว่าความเชื่อศรัทธางอกขึ้นมา พระเจ้า เป็นผู้ประทานให้  เหตุจากที่ท่านต้อนรับเมล็ดพันธุ์นั้น ต้อนรับไปเรื่อยๆ รับเรื่อยๆ แม้ไม่เข้าใจ ก็ฟังไปเรื่อย อดทน ถ่อมใจ ยอมเป็นเหมือนคนโง่ๆ คนหนึ่ง ที่ฟัง ไม่เข้าใจก็ฟัง เชื่ออะไร โดยที่ไม่มีเหตุผล ก็เชื่อ คล้ายๆ อย่างนั้น

            แล้วมันจะมีอยู่วันหนึ่งจริงๆ ที่เรียกว่าวันแห่งการเปิดใจ เพราะว่าความจริงที่ท่านฟังไป แล้วไม่เข้าใจนั้น มันหล่นลงมาในใจของท่าน  เกิดเป็นความเชื่อศรัทธาเท่าเมล็ดมัสตาร์ด เล็กนิดเดียว แต่มันกลายเป็นต้นไม้ใหญ่โตกว่าคนอื่นๆ เยอะแยะเลย ออกผล เป็นที่พักพิง พึ่งพิง อาศัยของนกกาเยอะแยะมากมาย พระเยซูเปรียบเทียบให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่แห่งเมล็ดข่าวประเสริฐนี้ พูดง่ายๆ ก็คือเมื่อท่านฟังไปเรื่อยๆ ข่าวประเสริฐนี้จะตกลงไปในใจของท่าน แล้วก็จะเกิดการอัศจรรย์ขึ้นนั่นเอง ที่ผมใช้หัวข้อเรื่องซีรี่ย์นี้ว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันเกิดขึ้นทันที  เมื่อไร? เมื่อท่านฟังไปเรื่อยๆ  เรานอนหลับๆ ตื่นๆ มีอยู่วันหนึ่ง สิ่งที่ท่านฟังนั้น มันลงไปในใจท่าน มันเกิดเป็นอัศจรรย์ขึ้นทันที

            “ทันที” หมายถึงสิ่งที่ท่านฟังนั้น มันหล่นลงไปในใจ  ไม่ใช่ทันทีที่ท่านฟังวันแรก แล้วไม่เข้าใจ แล้วท่านก็บอกว่าไม่เห็นมีอัศจรรย์อะไรเลย ฟังข่าวประเสริฐ แล้วก็เฉยๆ ฟังเมื่อไร? เพิ่งจะฟังนี่แหละ

            เพราะฉะนั้น ให้มีกำลังใจ ทั้งผู้ให้และผู้รับด้วย  ผู้ให้ คือคนที่ประกาศข่าวดี คนที่ไปพูดข่าวดี  มีกำลังใจ พูดไปเรื่อยๆ แม้เขาไม่เข้าใจ ก็พูดไปเรื่อยๆ  พูดให้เขาฟัง แต่ต้องมีกาลเทศะหน่อยนะ  เอาตอนที่เขาฟังแล้ว  ภาษามนุษย์ ตอนที่เขาฟัง แล้วสามารถที่จะรับฟังเราได้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ไปขัดจังหวะจะเล่าเรื่องนี้เสมอ  มีโอกาส ก็เล่าให้ฟัง มีโอกาส ก็บอกให้ฟัง มีโอกาส ก็ส่งข้อมูลข่าวดีนี้ให้ฟัง คนรับฟัง ก็เช่นเดียวกัน ก็ถ่อมใจ อย่าปฏิเสธ …

            “ไม่เอาหรอก นี่ศาสนาฝรั่ง ไม่เอาหรอก เขาว่าอย่างโน้น เขาว่าอย่างนี้”

            เขาว่าเรื่อยๆ  สรุปก็ไม่ฟัง ขอร้องเลย อยากให้ยกมือไหว้ ขอร้องให้ฟังเถอะ ฟังไปเรื่อยๆ มันจะมีอยู่วันหนึ่ง ที่อัศจรรย์จะเกิดขึ้น ทันที ที่ในใจของท่าน

            มาเข้าวันนี้ ตอนที่ 8 แล้ว ใช้ชื่อหัวข้อเรื่องว่า “จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์” สิ่งเหล่านี้เป็นอัศจรรย์ทั้งสิ้น มนุษย์คิดไม่ถึง คาดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร? แต่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นจริงๆ

            เรามาทบทวนซีรี่ย์นี้ 7 ตอนแล้ว

            ตอนที่ 1 “วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาปต้องคำสาปได้ตายไปแล้ว”

            ตอนที่ 2 “ได้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณของพระเจ้า”

            ตอนที่ 3 “ได้เป็นลูกของพระเจ้าที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว”

            ตอนที่ 4 “พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย”

            ตอนที่ 5 “ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้”

            ตอนที่ 6 “พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

            ตอนที่ 7 “ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ จนถึงโลกหน้านิรันดร์เลย”

            ได้รับเมื่อไร? เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์เหล่านี้เกิดขึ้นทันที ในชีวิตของคนๆ นั้น มนุษย์ทุกคน ท่านอ่านมาตะกี้นี้ ฟังหัวข้อเรื่องเมื่อตะกี้นี้ มาจากความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งสิ้น

            วันนี้ ตอนที่ 8 “จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์”

            “จะได้รับร่างกายใหม่” ใครได้ คนที่เปิดใจแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ฟังมาเรื่อยๆ  ไม่รู้วันนั้น วันไหน? เราก็ไม่รู้ อัศจรรย์มันเกิดขึ้นในวิญญาณ ในจิตใจของเรา ทันทีทันใดนั้น เราจะได้รับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว ผมก็ไม่รู้หรอก ผมได้อัศจรรย์นี้ตั้งแต่เมื่อไร? แต่รู้ว่าไม่น่าจะเกินปี 1988 แต่ก่อนนี้ เราก็คิดว่าเราเกิดใหม่ ได้อัศจรรย์วันที่ 18 มิถุนายน ปี 1988 แต่พอเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ วันที่ 18 มิถุนายน 1988 อาจจะเป็นวันเริ่มต้นฟัง เริ่มต้นพอจะถ่อมใจมากขึ้นในการฟัง ก็ได้  แล้วมาบังเกิดใหม่ มาอัศจรรย์เมื่อไร? ไม่รู้ อาจจะหลังจากวันที่ 18 มิถุนายน 1988 หรืออาจจะวันนั้นเลยก็ได้ เพราะว่าก่อนหน้านี้ ฟังมาตั้งหลายสิบปีแล้วก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าวันนั้นวันไหน? แต่ข้างในใจเรารู้ว่าเราได้บังเกิดใหม่ อัศจรรย์เกิดขึ้นในใจของเราแล้วทันที เรารู้ เพราะอยู่ในใจ

            อัศจรรย์ที่ได้รับแล้วทันที ขณะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราเรียนมาแล้ว 7 ตอนนั้น คืออัศจรรย์ที่ได้รับแล้ว ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้เลย เป็นเหมือนมัดจำ มีอะไรบ้าง? เปิดใจแล้ว ได้รับแล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับชีวิตของคนๆ นั้นแล้ว ก็คือ …

            1. วิญญาณเก่า ที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว ตัวเก่าเราที่บอกว่าใช้หนี้บาปๆ เวรกรรมนั้น ตายไปแล้ว

            2. ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

            3. ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

            4. พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย เดินไปไหน พระเจ้าไปด้วยทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เดินไปกับเราที่ไหนๆ ปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลเรา  นำพาชีวิตเรา

            5. ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว ขณะนี้ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  แต่ในวิญญาณของเรา ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

            6. พระเจ้าได้ทรงให้ฉัน นั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ คือไม่ได้อยู่ในสวรรค์อย่างเดียว แต่อยู่ในฐานะเป็นรัชทายาท  อยู่เบื้องขวาของพระองค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฉันนี่นะ ขณะนี้นะ  ขณะที่กระจอกๆ ทุกวันนี้นะ เงินเดือนยังชักหน้าไม่ถึงหลังเลยนะ สิ้นเดือน เงินไม่พอใช้บ้าง อะไรบ้าง เดือดร้อนบ้าง ยังเจ็บป่วย ไม่แข็งแรง ยังมีนิสัยไม่ดีอะไรต่างๆ เยอะแยะเลย …

            “ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน เป็นรัชทายาท มีมรดกมากมาย ร่ำรวยมหาศาลแล้วเหรอ จริงหรือ?”

            ตอบว่า “เอเมน”

            7. ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้แล้ว  แล้วต่อไปถึงโลกหน้าด้วย

            “ฉันนี่หรือมีมรดก พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ไม่เคยมีมรดกให้ฉันเลย แม้แต่บาทเดียว เราจนกันมาตลอด เราหาเช้ากินค่ำมาตลอด ฉันมีมรดกจากพระเจ้า แล้วมรดกนั้นร่วมรับกับพระเยซูคริสต์ด้วย เป็นไปได้หรือ?”

            ก็ต้องตอบว่า “เป็นไปได้”

            นี่คือ 7 อย่างที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว มันเกิดขึ้นแล้วในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย ต้องบอกว่า …

            “โอ้โห! ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระเจ้า เอเมน” ถูกไหม?

            สำหรับคนที่รับฟังอยู่ แล้วก็รับฟังไปเรื่อยๆ ยังถ่อมใจอยู่ ก็จะบอกว่า …

            “โอ้โห! เป็นไปได้เหรอ จริงๆ หรือ? ฉันก็อยากได้ แต่ฉันจะฟังต่อไป” นี่มีอีกประเภทหนึ่ง

            ประเภทที่ 3 ก็คือ … “โอ้โห! เป็นบ้าหรือเปล่า? ไม่มีรู้เรื่องอะไรเลย”

            เขาหาว่าคนที่เชื่อในข่าวประเสริฐนี้ เป็นพวกโง่เขลา นี่ผมไม่ได้พูดนะ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นจริงๆ สำหรับคนที่เขาไม่ฟังเลย  เขาคิดตามภาษามนุษย์ เขาจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่โง่เขลา แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าจะทำให้เห็นว่าสิ่งที่เขาบอกว่าโง่เขลานั้น ทำให้คนเหล่านั้น ที่พูดนั้น ต้องอับอายไป เราก็ไม่อยากให้ใครอับอาย  เพราะอับอายนี้ ไม่ใช่แค่อายบนโลกใบนี้นะ มันอายไปถึงนิรันดร์ ไปถึงสวรรค์ เมื่อถึงวันนั้น เราไม่อยากให้ถึงวันนั้นเลย

            วันนี้เราจะมารับรู้อัศจรรย์อย่างที่ 8 แยกแล้ว ตะกี้นี้บนโลกใบนี้ เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ตอนนี้ อัศจรรย์อย่างที่ 8 ที่จะได้รับในโลกหน้า คือจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์ ตื่นเต้นไหมล่ะ

            คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว  ได้รับอัศจรรย์ทั้ง 7 อย่างนี้ไปเรียบร้อยแล้ว  จะมีความหวังอยู่ 2 ความหวัง ความหวัง อันดับแรก ก็คือ 7 อย่าง ทั้งหมดเป็นของเราแล้ว ถามว่าทำไมถึงเป็นความหวัง ในเมื่อเราได้รับแล้ว  ก็เพราะว่ามันเป็นในโลกวิญญาณมันมองไม่เห็นไง  แต่มันได้รับแล้ว ตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ที่บอกเรา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเราแล้วนั้น เป็นผู้ยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง เราจึงใช้คำว่าความหวัง แต่เป็นความหวังที่ได้รับแล้ว  ก็คือความหวังอันดับหนึ่งของคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ เพราะว่ามันมองไม่เห็น  แต่เป็นความหวังที่เกิดขึ้นจากความเชื่อ

            ความเชื่อ คือความหวังในสิ่งต่างๆ ที่เป็นอนาคต แต่สามารถจับต้องมองเห็นได้ ในปัจจุบัน เป็นร่องรอย หลักฐานที่สำคัญว่าสิ่งที่หวังไว้ มันได้แน่นอน 100% เอเมน นี่เป็นความหวังอันดับที่ 1

            ความหวังอันดับที่ 2 ก็คือความหวังในสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะได้ แต่ยังไม่ได้ ก็คือความหวังอันที่ 2 เมื่อสักครู่นี้ที่เราได้อ่านในอัศจรรย์อย่างที่ 8  ก็คือร่างกายใหม่ที่เต็มด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            ในโคโลสี 1:27 ได้บันทึกว่า … “พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในท่าน” ท่าน หมายถึงคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับ 7 อย่างนั้น อัศจรรย์เกิดขึ้นแล้วในร่างกาย “พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เป็นความหวังแห่งสง่าราศี ที่ท่านจะร่วมรับกับพระเยซูคริสต์” นั่นหมายถึงร่างกายใหม่ที่ท่านจะเป็นขึ้นมาเหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง นี่คือความหวัง แต่เป็นความหวังที่มีมัดจำ ตั้ง 7 อย่าง ในพระคัมภีร์รวมเรียกว่าพระคริสต์ … พระคริสต์ คือ 7 อย่างทั้งหมดนั้น พอท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์เข้ามาปุ๊บ 7 อย่างนั้นเกิดขึ้นทันที พร้อมกัน

            เพราะฉะนั้น เมื่อพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน ท่านได้รับ 7 อย่างนี้แล้ว ท่านก็มีความหวังชัดเจนว่าอย่างที่ 8 มันจะหนีไปไหน? ในโคโลสี 1:27 จึงบอกว่าเมื่อพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ  ที่ท่านจะร่วมรับกับพระเยซูคริสต์ในไม่ช้านี้นั่นเอง เอเมน ให้เราปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา ไม่ใช่ความหวังลมๆ แล้งๆ เลย ทั้ง 2 ความหวัง เห็นไหม? ความหวัง 1 ยิ่งชัดเจน  ได้รับเรียบร้อยแล้ว อธิษฐานกับพระเจ้า พระเจ้าทรงตอบตรงโน้นตรงนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ เดินกับพระเจ้ากระหนุงกระหนิง  คุยกับพระเจ้า อธิษฐานได้ทุกวัน พระเจ้าช่วยตรงนั้นตรงนี้ มั่นใจตรงนั้นตรงนี้ เจอปัญหาอะไรต่างๆ ก็มีผู้หนึ่งคอยเดินอยู่กับเรา คอยช่วยเหลือเรา คอยเป็นสติปัญญา คอยจูงมือเราเดิน เรารู้ คอยช่วยเหลือเรา เรารู้ เรามีความหวังตรงนั้น  และมีความหวังในอนาคตด้วย ทั้งหมดนี้ เป็นความหวังที่เรารู้ชัดเจน แจ่มใส เพราะเต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธา ที่พระเจ้าประทานให้ในวิญญาณ ในใจใหม่ของเรา ที่บังเกิดใหม่แล้วนั้น เราจึงรู้ทั้งหมดเหล่านี้ว่าฉันรู้ เพราะอยู่ในใจ

            ยอห์น 11:25-26 ฟังพระเยซูประกาศความจริง เกี่ยวกับเรื่องความหวังของการเป็นขึ้นจากความตาย ดูสิว่ามีใครบ้างที่เป็นนักสอนความเชื่อต่างๆ กล้าพูดอย่างนี้ นี่พระเยซูประกาศด้วยตัวของพระองค์เอง ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศชัดเจน แจ่มใสเลย คือถ้าเผื่อมันไม่เป็นจริงตามประกาศนี้ ข่าวดีนี้ ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ มาถึงทุกวันนี้ได้ 2,000 ปีแล้ว บนโลกใบนี้  และผู้คนเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ  เพราะว่ามันไม่มีเหตุผลแบบมนุษย์ที่จะเข้าใจเลย อ่านช้าๆ แล้วลองฟังดู …

        ยอห์น 11:25-26 “พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น  ถึงแม้ว่าเขาตายแล้ว ก็ยังจะมีชีวิตอีก และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเรา จะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม?”

            นี่ลองคิดดูสิ ถ้าไม่จริง ไม่น่าจะมีคนเชื่อมาจนถึงทุกวันนี้ มาถึง 2,000 ปีแล้ว

            “เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม?”

            เราในที่นี้ ตอบอย่างนี้ว่า … “เชื่อครับ เชื่อแล้ว รู้แล้วว่าจริง”

            พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวง” คือมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ สามารถที่จะเป็นขึ้นและมีชีวิตอยู่ ตรงนี้หมายถึงวิญญาณของมนุษย์  เราจะเป็นเหตุให้วิญญาณของมนุษย์ เป็นขึ้นและมีชีวิตอยู่ ก็แสดงว่าก่อนหน้านี้ อยู่ตรงข้ามตรงนี้อยู่ คือวิญญาณตายอยู่ พระเยซูกำลังบอกว่า “เราจะเป็นเหตุให้วิญญาณเขามีชีวิตขึ้นมาใหม่” แล้วก็บอกว่า “ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายไปแล้ว” ก็คือวิญญาณเขาตายอยู่แล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลย วิญญาณตาย ร่างกายก็ไปสู่ความตาย ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็จริง ก็ยังจะมีชีวิตอีก คือวิญญาณได้เกิดใหม่ ในพระเยซู

            “และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย” คำว่า “ไม่ตายเลย” ตรงนี้ หมายถึงร่างกาย นี่แหละ กำลังพูดถึงร่างกายใหม่ ร่างกายที่จะได้รับใหม่ ในพระองค์ และทุกคนที่มีชีวิต ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ตาย  แต่ถ้าเขาวางใจเรานะ เขาก็จะไม่ตายเลย

            ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ ที่ยังไม่ตายทางร่างกาย ถ้าวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะไม่ตายอีกเลย  เป็นไปได้หรือ? คนเราเกิดมาต้องตาย แต่พระเยซูบอกว่าถ้าเขาวางใจในเรา เขาเชื่อในเรา เขาจะไม่ต้องตาย เขาจึงเรียกผู้เชื่อหรือคริสเตียนทั้งหลาย ถ้าตามลักษณะอาการ เหมือนกับหมดลมหายใจไป ตายไป เขาจึงเรียกว่าล่วงหลับไป เขาไม่เรียกว่าตาย เพราะคริสเตียนไม่มีการตายอีกต่อไป

            พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องร่างกายเวอร์ชั่นเดิม ที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เกิดมา ก็มีร่างกายที่เป็นเวอร์ชั่นเดิม ฟังให้ดีๆ นะ นี่เป็นกฎ ก็คืออยู่ในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป คือตาย คือสูญสิ้น ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มนุษย์ทุกคนเกิดมาอยู่ในเวอร์ชั่นเดิม ก็คือเกิดมาแล้ว ทำอะไร? อยู่ไป แต่ค่อยๆ เสื่อมไปเรื่อยๆ ไปสู่ความตาย หรือเรียกว่าดับไป หรือเรียกว่าสูญสิ้น นี่กำลังพูดถึงร่างกาย วันนี้เราพูดถึงเรื่องร่างกายโดยเฉพาะนะ วิญญาณนั้นตายอยู่แล้ว ตายจากพระสิริของพระเจ้า ไม่มีชีวิตอยู่ วิญญาณก็ตาย ร่างกายอยู่ในเวอร์ชั่นเดิม เกิด เดินได้ แต่ตั้งอยู่ด้วยความเสื่อมสลาย ไปสู่ความตาย ดับไป สูญสิ้น กลายเป็นดิน  และจากดินนั้น ในที่สุด วันหนึ่งพระเจ้าก็ทำลายจนสูญสิ้น เป็นไปตามกฎแห่งคำสาปแช่งที่ลงมาบนโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว  ตั้งแต่สมัยอาดัม

            แต่ร่างกายของคริสเตียน อันนี้ไม่เหมือนกันแล้วนะ ที่พระเยซูกำลังบอก ร่างกายของคริสเตียน ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกไม่ตาย ก็คือไม่สูญสิ้นไป ไม่มีวันดับไป พร้อมๆ กับโลกใบนี้ วันหนึ่งข้างหน้า นี่คือเวอร์ชั่นใหม่  เพราะเขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลง จากเวอร์ชั่นเดิม มาเป็นเวอร์ชั่นใหม่ เขาไปอยู่ในมิติวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ ให้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าได้ ถ้าเวอร์ชั่นเดิม ถ้าเป็นร่างกายเดิม อยู่ในกฎของเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าชั่วคราว สิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ทั้งหมด ก็คือร่างกายของมนุษย์ที่เกิดมาจากดิน เกิดมาจากโลกใบนี้ทั้งหมด อยู่ในกฎของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว  เพื่อจะไปดับสูญ สลายไป ทั้งโลกเลย มันจะดับสูญไป

            นี่คือกฎที่มันเกิดขึ้นแล้ว บนโลกใบนี้ แต่พระเยซูมาเพื่อช่วยไง ช่วยให้ร่างกายที่ต้องดับสูญนั้น ไม่ดับสูญ ไม่ต้องตาย ก็คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็อยู่ตลอดไปนิรันดร์ ไม่ตาย อยู่ที่ไหน? อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อยู่ได้อย่างไร? อยู่ได้ เพราะว่ามีร่างกายเวอร์ชั่นใหม่ ที่เรากำลังเรียนรู้วันนี้ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตาย  สิ่งเหล่านี้ได้รับโดยวิธีใด แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วก็ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในอาณาจักร ที่เรียกว่าสวรรค์ทันที ที่เรียกว่าในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณทันที เป็นมัดจำเรียบร้อยไปแล้ว  แล้วร่างกายเดิมอยู่นั้น ก็เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงใหม่ สู่เวอร์ชั่นใหม่ เวอร์ชั่นที่ 2 เพื่อจะได้สามารถเข้าสวรรค์ได้ในอนาคตอันใกล้นี้

            ตื่นเต้นมาก หลับตาแล้ว เห็นภาพเลย อีกไม่กี่วัน อีกไม่กี่เดือน อีกไม่กี่ปีนี้ หรือใครจะไม่รู้ อะไรจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้บ้าง วันหนึ่งโลกมันจะต้องดับสูญไปทั้งหมด วันหนึ่งร่างกายเราก็ต้องดับสูญ แต่ตอนนี้เรามีความหวังใจ เห็นชัดเจนเลย จากภายในออกไป  จากถ้อยคำพระเจ้าก็เห็นชัดเจนว่าร่างกายเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่สง่าราศี  เหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่มีการตายอีกแล้ว แต่เวลาเราคุยกัน คุยให้มนุษย์ฟัง เล่าสู่กันฟัง มันไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร? ก็ต้องบอกว่าหลังความตายๆ  จริงๆ ไม่ใช่หลังความตาย หลังการเปลี่ยนแปลงร่างกาย จากเวอร์ชั่นหนึ่งไปเวอร์ชั่นสอง สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่มีคำว่าตาย

            คริสเตียนจึงมีความหวัง ในเรื่องสวรรค์ ในโลกหน้า ไม่เหมือนชาวบ้านเขา เพราะว่าเป็นความหวังที่มันจับต้องมองเห็นได้ ในโลกหน้า คือในโลกหลังจากที่เราหมดลมหายใจ หลังจากการเปลี่ยนแปลงแล้ว  เพราะคริสเตียนมีความหวังในเรื่องโลกสวรรค์ โลกหน้า  ที่จับต้องมองเห็นได้ พิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้ทันที ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว จากภายใน  และยังมีถ้อยคำพระเจ้ากำกับ ยืนยันอีก พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยืนยันในใจ เพราะอะไรถึงมีความมั่นใจ แน่ใจ  ก็เพราะว่าคริสเตียนได้เริ่มต้น มีประสบการณ์ในการอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เอเมนไหม?

            ขณะที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงเข้าสู่มิติในโลกฝ่ายวิญญาณ  เราก็ได้รับประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ก็คือเราเป็นลูกของพระเจ้า และ 7 อย่างเหล่านั้นได้สถาปนาอยู่ในใจของเรา เรารู้อยู่แล้ว จิตวิญญาณที่ได้รับการบังเกิดใหม่ นึกถึงตัวเราเองตอนนี้ พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อัศจรรย์เกิดขึ้นปุ๊บ จิตวิญญาณที่ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทันทีแล้ว ถูกไหมครับ? ตั้งแต่ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าวิญญาณ จิตใจของมนุษย์ที่เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จะคอยคร่ำครวญ เฝ้ารอคอยวันที่จะจากร่างเดิมนี้  เพื่อจะได้รับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงใหม่ คร่ำครวญรอคอยวันที่จะจากร่างเดิม เวอร์ชั่นเดิม อันต่ำต้อยนี้ เพื่อสวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตาย  เป็นตัวอย่างให้กับเรา ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี พระสิริ และด้วยความยิ่งใหญ่ เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ อันมหัศจรรย์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

            เพราะฉะนั้น เราจึงรู้อยู่ในใจ เราจึงเฝ้าครวญครางรอคอย วันที่เราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยร่างกายที่เปลี่ยนแปลงเป็นเวอร์ชั่น 2 เพราะเวอร์ชั่น 1 เข้าสวรรค์ไม่ได้ เวอร์ชั่น 2 เท่านั้น จึงจะเข้าสวรรค์ได้ เพราะเป็นเวอร์ชั่นที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ที่ร่างกายเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ฟิลิปปี 3:20-21 …

        ฟีลิปปี 3:20-21 “แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            เห็นไหมครับอย่างที่ผมบอกแล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

            “แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์” ก็หมายถึงเราเป็นพลเมืองสวรรค์แล้ว ขณะนี้ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็เรียกแล้วว่าเป็นพลเมืองสวรรค์ เป็นประชากรของสวรรค์คนหนึ่ง เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าคนหนึ่งแล้ว เอเมน ทางโลก เราอาจจะอยู่ในประเทศไทย แต่ในโลกวิญญาณ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมนไหม? มีทรัพย์สมบัติมากมาย มีมรดกเยอะแยะมากมายเลย อยู่ในสวรรค์แล้วก็จริง แต่ร่างกายยังเป็นเวอร์ชั่นหนึ่ง ยังเข้าสวรรค์ไม่ได้

            “และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือพระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา” ก็คือกายเดิมอันต่ำต้อย กายที่เราอยู่อาศัยตอนนี้ อันต่ำต้อย เมื่อเทียบกับกายสวรรค์สู้ไม่ได้เลย เพราะว่ากายอันนี้ไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง

            “พระองค์จะเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ ด้วยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้” ก็คือด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พูดง่ายๆ ว่าเรารอคอยให้พระเยซูคริสต์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ มาเปลี่ยนแปลงร่างกายของเรา จากเวอร์ชั่นเดิม ที่ต่ำต้อยนี้ มาเป็นเวอร์ชั่นใหม่ เวอร์ชั่น 2 ที่เป็นร่างกายแบบสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มด้วยสง่าราศี  และพระสิริของพระองค์ เอเมน

            ท่านเห็นอะไรไหม?  พอนึกถึงคำว่า “ต่ำต้อย” ผมนึกถึงอะไร? พระเยซูเป็นพระเจ้า เต็มด้วยสง่าราศี  เต็มด้วยพระสิริของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  แต่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงมาเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย นึกออกไหม? วันคริสตมาส บันทึกไว้ชัดเจน พระเยซูได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาอยู่ในร่างกายแบบมนุษย์ ในครรภ์ของหญิงพรหมจารีแมรี่ โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือการเปลี่ยนแปลงสภาพจากวิญญาณของพระเจ้า ที่เต็มด้วยสง่าราศี เข้ามาอยู่เป็นมนุษย์ เหมือนเราทั้งหลาย ที่ต่ำต้อยเหลือเกิน โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนกัน ไม่มีผิดเลย เหมือนกับตอนนี้ แต่กลับข้างกัน ตอนที่พระองค์มาเปลี่ยนแปลง มาต่ำต้อยเหมือนมนุษย์ จึงมาช่วยมนุษย์ให้สามารถที่จะกลับกัน ก็คือเปลี่ยนแปลงจากร่างกายอันต่ำต้อยนี้ เกิดจากครรภ์มารดานี้ เป็นมนุษย์ธรรมดานี้ กลับกลายเป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด

            นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระคัมภีร์บันทึกไว้  คือต้องการให้มวลมนุษย์ทั้งหลายได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากโทษของความบาป  คือการตายฝ่ายวิญญาณ  และได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณและจิตใจ และร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  เป็นเหมือนพระบุตร พระเยซูคริสต์ นี่คือแผนการของพระองค์ ต้องการอย่างนี้ตั้งนานแล้ว โรม 8:29 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจนเลยว่า …

        โรม 8:29 “เพราะว่าบรรดาผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงรู้จัก ได้รัก และได้เลือกสรรไว้ล่วงหน้าแล้วนั้น พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าก่อนสร้างโลกแล้ว ว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่ง ให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) และเข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์  ปราศจากบาป อย่างสมบูรณ์ที่สุดเหมือนพระองค์”

            พระองค์ได้ทรงเลือกสรรและกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว เลือกสรรมนุษย์ทั้งปวง มนุษย์ทุกคน ได้รับการเลือก จากพระเจ้าแล้ว

            “เพื่อว่ามนุษย์ทั้งปวงเขาทั้งหลายนั้นจะได้รับการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ เข้าส่วนร่วมความบริสุทธิ์ ความยิ่งใหญ่ สมบูรณ์ดีพร้อมเหมือนพระองค์เลยทีเดียว เพื่อว่าพระเยซูจะได้เป็นบุตรหัวปี มนุษย์ผู้แรกที่ได้รับการบังเกิดใหม่  เป็นขึ้นจากความตาย ท่ามกลางพี่น้องมากมาย คือมนุษย์ทั้งหลาย ที่ถ่อมใจ เปิดใจรับสิทธิของตน  ก็คือคริสเตียนทั้งหลายนั่นเอง พระเยซูเป็นเหมือนบุตรหัวปี เป็นผู้แรกที่ได้รับการบังเกิดใหม่

            คือพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า “เพื่อว่าพระเยซูได้เป็นบุตรหัวปี มนุษย์ผู้แรกที่ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากตาย ท่ามกลางพี่น้องมากมาย คือเป็นผู้แรกที่ได้บังเกิด ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากความตาย มาสู่ชีวิตนั่นเอง”

            เป็นแบบอย่าง เป็นเหมือนต้นแบบ ท่ามกลางพี่น้องมากมาย คือมนุษย์ทั้งหลาย ที่ถ่อมใจ เปิดใจต้อนรับสิทธิของตน เป็นคริสเตียน ก็จะได้อย่างนี้ เหมือนที่พระองค์ทรงได้ ได้รับร่างกายเหมือนกับที่พระองค์ทรงได้  พระองค์เป็นผู้แรกที่ได้ ก็จะมีผู้ที่ 2 ผู้ที่ 3 ผู้ที่ 4 ผู้ที่ 5 ผู้ที่ 6 เราทั้งหลายอาจจะเป็นผู้ที่ล้าน  3 ล้าน  4 ล้าน คนที่เท่าไรไม่รู้ แต่เราก็ได้ เหมือนที่พระเยซูได้ และพระเยซูได้ทำภารกิจเหล่านี้สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน  และได้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นผลแรกที่เราได้เห็น และเราฉลองไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันอีสเตอร์นั้น วันที่จากการเป็นขึ้นจากความตาย  วันที่เป็นพยานด้วยตัวของพระองค์เองว่ามันจะอย่างนี้แหละ ร่างกายของน้องๆ ทั้งหลาย คือมนุษย์ทั้งหลายที่วางใจในเรา ที่จะไม่ตาย  จะเป็นอย่างนี้แหละ จะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนกับเราอย่างนี้แหละ พระองค์ยืนยันด้วยตัวของพระองค์เองเลย มาปรากฏให้เห็นเลย 1 โครินธ์ 15:20-22 …

        1 โครินธ์ 15:20-22 “20 แต่นี่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป 21 เพราะในเมื่อความตาย สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่ เหมือนพระองค์ฉันนั้น”

            “พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป” ก็คือเป็นคนแรก เป็นตัวอย่าง  สำหรับบรรดาผู้ที่ล่วงหลับ เห็นไหม? หมดลม  ไม่ใช่เป็นผลแรกของคนที่ตายไป คนที่ตายไปเราพูดตามภาษามนุษย์ แต่จริงๆ แล้วต้องหมายถึงว่าเป็นผลแรก ให้กับบรรดาผู้คนที่ล่วงหลับ และได้รับการเปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่นั่นเอง

            ในข้อ 22 บอกว่า “เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวง ตายฉันใด” เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงอยู่ในเวอร์ชั่นเดิม เวอร์ชั่น 1 ร่างกายต้องตาย “แต่ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์”

            ก็คือคนทั้งปวงไม่ต้องตายแล้ว จะได้รับการเปลี่ยนแปลง ให้เป็นร่างกายใหม่ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่ตายครับ พระเยซูคริสต์เป็นคนแรก เป็นผลแรกของมนุษย์พันธุ์ใหม่ เรียกว่าพันธุ์พระคริสต์ เวอร์ชั่นใหม่ 2 โครินธ์ 5:17 บอกว่า

            “ใครที่อยู่ในพระคริสต์ เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่”

            หมายถึงใหม่ตรงนี้ วิญญาณใหม่ ใจใหม่ ประทานให้เรียบร้อยแล้ว ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ได้ 2 อย่างนี้ไปแล้ว  แต่พอถึงวันหนึ่งที่จะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เข้าสู่มิติสวรรค์นั้น ต้องเปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นร่างกายเวอร์ชั่นใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ผลแรก พระคริสต์ มนุษย์พันธุ์ใหม่ เวอร์ชั่นใหม่ จึงเป็นความหวังของมวลมนุษย์ทั้งหลายบนโลกนี้ ที่อยู่ในเวอร์ชั่นเก่านั่นเอง เวอร์ชั่นเก่าเข้าสวรรค์ไม่ได้ ร่างกายเดิม เวอร์ชั่นเดิมที่มาจากอาดัมนั้น มันต้องตาย แล้วก็ลงดินไป แล้วก็ในที่สุด ดับสูญ อย่างที่บอกตอนต้น ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว และก็ดับสูญไป แต่เวอร์ชั่นใหม่ อยู่ถาวรนิรันดร์ ในสวรรค์ได้ เข้าไปสู่มิติสวรรค์ได้ เพราะในมิติสวรรค์ร่างกายใหม่นี้เท่านั้น จึงจะสามารถอยู่ในสวรรค์ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ได้ ถ้าไม่มีร่างกายใหม่นี้ สูญสิ้นไป ก็เป็นมนุษย์พันธุ์เดิมที่ไม่มีร่างกาย เพราะร่างกายหมดไปแล้ว  เพราะว่าตายไปแล้ว เหลืออะไร?  เหลือวิญญาณ และจิตใจที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระสิริของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าไม่ได้  เราเรียกกันว่าเป็นผี ลอยไปแล้วก็ลอยมา ไม่มีร่างกาย แล้วเราค่อยเรียนรู้เรื่องนี้ละเอียดกันอีกทีหนึ่ง

            มาดูร่างกายใหม่ เวอร์ชั่นใหม่ ผลแรก คนแรกของมนุษย์พันธุ์ใหม่ คือพระเยซูคริสต์กันต่อว่าเราจะได้รับอย่างนี้ ได้อย่างไร? โรม 8:11 …

        โรม 8:11 “และถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”

            ฮาเลลูยา นี่คือวิธีการที่เกิดขึ้น ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ในท่าน ถ้าเผื่อพระวิญญาณผู้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายอยู่ในเรา เพราะว่าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราแล้ว เป็นสิ่งที่เราได้รับแล้ว ตอนที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อัศจรรย์หนึ่งอย่าง ก็คือพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา พระวิญญาณก็เข้ามาอยู่ในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา พระองค์คือพระบิดาผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ก็คือผู้ที่ได้เปลี่ยนแปลงพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนั้น คือพระบิดาเป็นคนทำ แต่ทำผ่านทางพระวิญญาณ

            พระบิดาผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ให้เหมือนพระเยซู ตรงนี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องวิญญาณนะ  ประทานชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซูให้กับร่างกายของท่าน ที่ต้องตายนั้น จะได้ไม่ต้องตาย ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้  ที่จะวิ่งไปสู่ความตาย ด้วยเช่นเดียวกัน คือไม่ต้องตาย เปลี่ยนแปลงไปเลย เปลี่ยนใหม่ไปเลย โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน พอพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา พระวิญญาณนี้เป็นผู้เปลี่ยนแปลงพระเยซูจากความตายมาสู่ร่างกายใหม่ โดยคำสั่งของพระบิดา พระบิดาก็จะประทานอย่างนี้ให้กับเราทั้งหลาย ในร่างกายของเรา  เราก็จะเป็นขึ้นจากความตาย  คือไม่ต้องตายแล้ว  พระเยซูทำให้เราเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            คราวนี้เรามาดูร่างกายภายนอกของเรา ที่พูดไว้เมื่อสักครู่นี้ ที่บอกว่าอวัยวะต่างๆ ในร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลาย เปลี่ยนแปลงไปเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าเป็นขึ้นจากความตาย  หรือได้รับการเปลี่ยนแปลงนั้น มันมีลักษณะเป็นเช่นไร? พูดง่ายๆ ว่ามาดูสิว่าร่างกาย เวอร์ชั่นใหม่ พระคัมภีร์ได้มีบอกไว้อะไรบ้าง? คร่าวๆ นะ

            ลักษณะร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตาย ก็คือสิ่งที่เราจะได้รับในไม่ช้านี้ เมื่อวันเวลามาถึงร่างกายเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นเหมือนพระเยซู ไม่ใช่ตาย เราไม่มีตายอยู่แล้ว จากนี้เราพูดกับใครก็ตาม เราไม่มีวันตายอยู่แล้ว เมื่อถึงวาระเวลา อายุเท่าไรแล้วแต่ เกิดอุบัติเหตุ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ  เกิดอะไรต่างๆ ถึงเวลาปุ๊บ พระวิญญาณจะเปลี่ยนแปลงร่างกายเรา เป็นร่างกายใหม่ หมดลม เปลี่ยนร่างกาย สวมร่างกายใหม่ทันที

            ในปัจจุบันนี้ร่างกายของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สถิตอยู่แล้ว กำลังเตรียมตัว เตรียมร่างกายของเรา  พูดง่ายๆ เหมือนเตรียมผ่าตัด พอถึงเวลาตามกำหนดปุ๊บ  ก็เปลี่ยนเรา เป็นร่างกายเหมือนพระเยซู เข้าสู่สวรรค์ จบไป อยู่ในสวรรค์นิรันดร์เลย

            มาดูลักษณะร่างกายของพระเยซู ที่เป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งเราจะได้รับอย่างนี้เช่นเดียวกัน เราจะเป็นคล้ายๆ อย่างนี้เช่นเดียวกัน ในยอห์น 20:14-18  ช่วงที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  เรามาดูสิว่าลักษณะร่างกายเวอร์ชั่นใหม่ มนุษย์พันธุ์ใหม่  ผลแรก คนแรก  ก็คือพระเยซูคริสต์ มีลักษณะเป็นอย่างไร? …

        ยอห์น 20:14-18  “เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว  ก็หันกลับมา  และเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นองค์พระเยซู พระเยซูตรัสถามว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม เจ้าตามหาผู้ใด” มารีย์สำคัญว่าพระองค์เป็นคนทำสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าข้า ถ้าท่านเอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้รับพระองค์ไป” พระเยซูตรัสกับเธอว่า “มารีย์เอ๋ย” มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” (ซึ่งแปลว่า อาจารย์) พระเยซูตรัสกับเธอว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังมิได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา  และบอกเขาว่าเราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปหาพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารีย์มักดาลา จึงไปบอกพวกสาวกว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเธอได้บอกเขาทั้งหลายว่า “พระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นกับเธอ”

            นี่เป็นเหตุการณ์ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย ในวันอาทิตย์เช้า มารีย์ไปเจอ เรามาดูสิร่างกายจะเป็นอย่างไร?

            (1) และเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นพระเยซู แสดงว่าก็เหมือนมนุษย์ ถูกไหม? เหมือนร่างกายเราอย่างนี้ มองเห็นได้ นึกว่าเป็นคนทำสวน  พระองค์ก็เป็นแบบมนุษย์เราอย่างนี้ 

            (2) แล้วยังคุยกันกับมารีย์ แรกๆ คุยกันภาษาธรรมดา เป็นภาษาทั่วๆ ไป พื้นๆ แต่พอมาบอกว่า … “มารีย์เอ๋ย” พูดชื่อเลย สนิทสนมกันมาก จำได้ทันที แสดงว่าเสียงก็ไม่ต่างไปจากเดิมเท่าไร?  เพราะมารีย์จำได้

            พอเห็นลางๆ แล้ว พระคัมภีร์บอกว่าเราเห็นไม่ชัดเจน เราเห็นในกระจก คือเรามองในกระจก เราเห็นตัวเอง เห็นลางๆ ในโลกวิญญาณ  แต่เราพอจะจับทางได้ว่ามันเป็นลักษณะอย่างนี้ คุยให้ตื่นเต้นเฉยๆ แสดงว่าพระเยซูพูดกับมารีย์  จำได้ว่านี่เสียงพระเยซู แล้วมารีย์บอกว่าอย่างไร?  พอจำได้ว่าเป็นพระเยซู เรียกพระเยซูว่าอาจารย์ และบอกกับพวกเพื่อนๆ ทั้งหลายบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว”

            แสดงว่ามองไปเห็น  สามารถเห็นได้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เป็นแสงสว่าง มองไม่ได้เลย นี่ร่างกายใหม่ ร่างกายของพระเจ้า ที่เปลี่ยนแปลงมาเป็นมนุษย์แล้ว และจากมนุษย์พันธุ์เดิม เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ จะบอกว่าอย่างไร? คืออยู่ในสวรรค์ เป็นพระเจ้า แต่เป็นพระเจ้าแบบมีร่างกาย เป็นแบบมนุษย์ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงบอกอยู่เสมอว่าพระองค์เป็นบุตรมนุษย์ ตอนนี้เท่ากับบุตรมนุษย์ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ทั้งหมดแล้ว พระเจ้าประทานให้พระบุตร ก็คือพระเยซูคริสต์ตอนนี้เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่อยู่ในสวรรค์ และเราก็เป็นพี่น้องของพระองค์ ร่วมกันครอบครองสวรรค์ ด้วยมนุษย์พันธุ์ใหม่นี่แหละ มาดูอีกอันหนึ่ง ยอห์น 20:26-29 …

        ยอห์น 20:26-29 “ครั้นล่วงไปแปดวันแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก และโธมัสก็อยู่กับพวกเขาด้วย ประตูปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา และตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “จงยื่นนิ้วมาที่นี่ และดูมือของเรา จงยื่นมือออก คลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด” โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อ ก็เป็นสุข”

            ประตูปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามา ก็แสดงว่าเดินผ่านทะลุกำแพงได้ มีร่างกาย สามารถจับได้ คลำดูสิว่าเป็นอย่างไร? ในลูกา 24:15-17 …

        ลูกา 24:15-17 “และเมื่อเขากำลังพูดสนทนากันอยู่ พระเยซูก็เสด็จเข้ามาใกล้ ดำเนินไปกับเขา แต่ตาเขาฟางไป และจำพระองค์ไม่ได้ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เมื่อเดินมานี่ ท่านโต้ตอบกัน ถึงเรื่องอะไร” เขาก็หยุดยืนหน้าโศกเศร้า”

            ท่านจะได้รู้ว่าเป็นลักษณะอย่างไร?  พระองค์ทรงรับประทานอาหารได้ด้วย  และมีความรู้สึกหิวด้วย

            นี่คือร่างกายใหม่ของพระเยซูคริสต์และของเราทั้งหลาย ที่จะได้รับ  ลูกา 24:39 …

        ลูกา 24:39 “จงดูมือของเรา และเท้าของเราว่าเป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนท่านเห็น เรามีอยู่นั้น”

            ตอนแรกเขาตกใจ นึกว่าพระองค์เป็นผี  พระองค์บอกมาจับดูสิ ถ้าเป็นผีจริง จะไม่มีร่างกาย เพราะฉะนั้น พระองค์ไม่ใช่ผี มาจับดู มีร่างกายจริงๆ พระองค์เป็นบุตรมนุษย์ พันธุ์ใหม่ จะอยู่ในสวรรค์ เราก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่ใช่เป็นผีลอยไปลอยมา เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ มีร่างกายแบบสวรรค์ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีมากต่างหาก  เหมือนพระเยซูคริสต์ และเป็นร่างกายแบบสวรรค์ที่เรารอยคอย ร่างกายที่เป็นความรัก ร่างกายที่เป็นความบริสุทธิ์ ความดีงาม  ความสุขสงบ สดชื่น ยินดี แข็งแรง เต็มไปด้วยพลังทั้งร่างกายและความคิดจิตใจ  เพราะไม่มีอิทธิพลของบาป ของเนื้อหนังมาล่อลวงอีก ร่างกายที่ไม่มีวันแก่  ไม่มีวันเจ็บป่วย ไม่ทรุดโทรม ไม่มีความคิดกังวล กลัว อิจฉา ริษยา อาฆาต โมโห ฉุนเฉียว ไม่มีสิ่งสกปรกใดๆ อยู่เลย ในร่างกายนี้ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว  และสิ่งสำคัญที่สุด คือได้เข้าร่วมในสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ แห่งพระสิริของพระเยซูคริสต์ เพราะเราเป็นเหมือนพระองค์ ไปเป็นพี่น้องของพระองค์ เป็นครอบครัวเดียวกัน  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายของพระองค์ด้วยซ้ำไป

            เพราะฉะนั้น ในการดำเนินชีวิตในขณะนี้ ความหวังเราอยู่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ

            “พระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ที่ฉันจะร่วมรับกับพระองค์ในสวรรคสถานชั่วนิรันดร์ วันหนึ่งร่างกายของฉันจะเป็นขึ้นจากตาย เหมือนพระเยซู ก็คือวันหนึ่ง ร่างกายของฉันจะเปลี่ยนแปลงใหม่ ไม่ตายอีกแล้ว เปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูเข้าสู่สวรรค์นิรันดร์กาล ครอบครองกับพระเยซูในสวรรค์นิรันดร์กาล” พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            –  เป็นปลาก็ว่ายน้ำตามธรรมชาติ

            –  เป็นนกก็บินตามธรรมชาติ

            –  เป็นงูก็เลื้อยตามธรรมชาติ

            –  เป็นคริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว ก็รักตามธรรมชาติในใจ

            แต่เดิมนั้น พระเจ้าให้อิสราเอล ซึ่งเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ ถือรักษาบทบัญญัติไว้ แต่อิสราเอลไม่สามารถทำได้ พวกเขาไม่ซื่อตรง เพราะมีวิญญาณบาป และมีใจกบฏ ไม่เชื่อฟัง  ละเมิดบทบัญญัติตลอด

            พระเจ้าจึงส่งพระบุตรมา เป็นตัวกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เพื่อให้มนุษย์ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า และพระองค์ได้ให้วิญญาณใหม่และใจใหม่ ใจที่เชื่อฟัง และจารึกบทบัญญัติใหม่ ไว้ในใจนั้น ให้พวกเขาที่เข้ามาเชื่อ และไว้วางใจในพระบุตรนั้น

            บัญญัติอันเดิม เป็นบทบัญญัติสมัยโมเสส จารึกไว้บนแผ่นหินให้ถือรักษาเอาไว้ (ธรรมชาติใจเดิมบาปมักกบฏไม่เชื่อฟัง)

            บัญญัติอันใหม่ คือพระเจ้าทรงจารึกบทบัญญัติของพระองค์ไว้ในใจของมนุษย์ ที่ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว (ธรรมชาติใจใหม่ ดีพร้อม เชื่อฟัง)

            ฮีบรู 8:10-11…  “พระเจ้าให้คำสัญญาและสาบานว่า … 10 “นี่คือพันธสัญญา (ใหม่) ที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล (มวลมนุษย์) หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 11 ผู้คนจะไม่สอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า “จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า” เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”

            และแล้วพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า ก็มากระทำให้คำสัญญานี้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน   และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม

            แล้วพระเจ้าก็เริ่มต้นบัญญัติใหม่ ในพันธสัญญาใหม่กับมวลมนุษย์

            1 ยอห์น 3:23 … “และนี่เป็นพระบัญญัติ  (ใหม่) ของพระองค์ คือว่าให้เราทั้งหลายวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และให้เรารักซึ่งกันและกัน ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ (ในใจ) แก่เรา”

            ยอห์น 13:34 … พระเยซูคริสต์ตรัสว่า … “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย  คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            เมื่อเราบังเกิดใหม่ พระเยซูได้แบ่งปันความรักที่เหมือนพระเจ้าให้เรา แล้วเราจึงแบ่งปันความรัก ที่เหมือนพระเจ้านี้ให้แก่คนอื่นได้ อย่างเป็นธรรมชาติจากใจ

            1 ยอห์น 5:3 …  “เพราะนี่แหละ เป็นความรักต่อพระองค์  คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติ (ใหม่) ของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระ”

            ความรักแท้ที่เหมือนพระเจ้า เป็นลักษณะธรรมชาติที่อยู่ในวิญญาณในใจเราอยู่แล้ว   เมื่อเราบังเกิดใหม่ เราแค่ฝึกฝนยอมปล่อยให้ ธรรมชาติของความรักนี้ ฉายแสงออกมา เป็นความประพฤติเท่านั้นเอง แบ่งปันออกไปให้ผู้อื่นเหมือนกับที่พระเยซูได้แบ่งปันให้กับเราแล้ว

            เมื่อเราบังเกิดใหม่ วิญญาณและจิตใจเป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว เราจึงแบ่งปันความรักข้างในนี้ โดยธรรมชาติที่มาจากภายใน ให้กับคนอื่นๆ ได้

            ความรักเป็นลักษณะธรรมชาติของวิญญาณ และจิตใจของเราที่เกิดใหม่ เราแค่รับรู้ความจริงนี้ และฝึกฝนตามธรรมชาติของความรัก ที่เหมือนพระเจ้านี้ ฉายแสงออกมาเท่านั้นเอง

ซึ่งไม่เป็นภาระเลย

            เพราะมันเป็นไปตามธรรมชาติที่เราเป็นอยู่ …

            – เหมือนเป็นปลาก็ว่ายน้ำตามธรรมชาติ

            – เป็นนกก็บินตามธรรมชาติ

            –  เป็นงูก็เลื้อยตามธรรมชาติ

            –  เป็นคริสเตียนบังเกิดใหม่ ก็รักตามธรรมชาติ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1414

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  เมษายน  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 24

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เราก็มาต่อในหนังสือเอเฟซัส 3:16 บอกว่า …

        เอเฟซัส 3:16 “ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าจากความไพบูลย์อันทรงเกียรติสิริของพระองค์ ขอให้พระองค์ทรงทำให้ท่านเข้มแข็งขึ้นด้วยฤทธานุภาพ ผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ภายในท่าน”

            อาจารย์เปาโลกำลังคุยกับชาวเอเฟซัส ซึ่งในยุคนั้น ก็จะมีการข่มเหงผู้เชื่อที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ไม่เพียงแต่พวกชาวยิวเท่านั้น ชาวต่างชาติก็โดนเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์เปาโลจะโดนหนักสุดเลย เพราะว่าเป็นผู้ประกาศความจริงในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ให้กับคนต่างชาติ ได้สามารถรับรู้ความจริงว่าบัดนี้พระเยซูคริสต์ได้กระทำแผนการที่พระเจ้าได้วางไว้ ตั้งแต่มนุษย์เริ่มต้นล้มลงในความบาป  สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน  เมื่อคำประกาศนี้ออกไป กลุ่มที่ไม่สามารถยอมรับคำประกาศของอาจารย์เปาโล กลุ่มแรก คือชาวยิว ที่เขายังคงยึดถือกฎระเบียบต่างๆ ที่พระเจ้าได้วางไว้ ตั้งแต่สมัยโมเสส ให้คนยิวประพฤติ ปฏิบัติ

            คนยิวเหล่านี้  เขายึดถือในกฎบัญญัติ  พยายามทำบัญญัติที่พระเจ้าสั่งไว้ ให้ดีที่สุด เท่าที่จะดีได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ ก็ยิ่งเคร่งครัดในกฎบัญญัติมากๆ เลย ซึ่งเมื่ออาจารย์เปาโลมาประกาศว่าผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำอย่างเดียว ก่อนที่จะเชื่อ คือเปิดใจต้อนรับความช่วยเหลือ ยอมรับความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ และพระองค์ได้มา กระทำการงานของพระองค์สำเร็จแล้ว วันที่พระองค์ได้เดินไปที่ไม้กางเขน และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และวันที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย  เป็นความยิ่งใหญ่ เป็นความอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำท่ามกลางมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ เป็นการเปิดศักราชใหม่ ให้กับมนุษยชาติบนโลกใบนี้ว่า บัดนี้ มนุษย์สามารถมีทางเลือก อีกทางหนึ่ง เลือกที่จะย้ายบ้านของตัวเอง จากบ้านที่อยู่ในอาดัม เข้าไปอยู่บ้านในพระคริสต์ หรือเป็นสิ่งที่พระเจ้าประกาศว่ามนุษย์สามารถกลับบ้านได้แล้ว กลับบ้านสวรรค์ พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้ให้กับมนุษยชาติ ทุกคนบนโลกใบนี้ เรียบร้อยไปแล้ว

            นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลประกาศอยู่ตลอดเวลา  เนื่องจากอาจารย์เปาโลได้ประกาศความจริงของพระเจ้าเหล่านี้ อาจารย์เปาโลต้องถูกข่มเหง จากพวกยิวนี่แหละ จับอาจารย์เปาโลไปติดคุกบ้าง ไปโบยตีบ้าง ไปทำอะไรอีกเยอะแยะมากมาย อาจารย์เปาโลก็ไม่ลดละ แม้ว่าจะผ่านความทุกข์ยากลำบาก ขนาดไหน อาจารย์เปาโลก็ยังยืนยันในความเชื่อศรัทธาที่เขาได้มี และประกาศความเชื่อนี้ ให้กับคนต่างชาติ เพราะรู้ว่าตัวเองถูกเรียกมาให้ประกาศกับคนต่างชาติ ฉะนั้น ตอนที่อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้  ก็ไม่แน่ใจว่าอาจารย์เปาโลติดคุกอยู่หรือเปล่า? อาจจะติดคุกอยู่ และเขียนจดหมายฉบับนี้  แล้วก็ส่งออกมา หนุนใจผู้เชื่อ ดังนั้น การหนุนใจผู้เชื่อในสมัยนั้น อาจารย์เปาโลก็ไม่ได้หนุนใจอะไรมากมาย ไม่ได้อธิษฐานอวยพรให้ผู้เชื่อมีชัยชนะ ในความทุกข์ยากลำบาก  แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดตลอดเวลา คือให้ท่านอดทน ต่อความทุกข์ยากลำบาก ที่กำลังเผชิญอยู่ แล้วให้ท่านรับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ ท่านได้รับอะไรบ้าง? สิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน  แล้วท่านมั่นใจเถิดว่าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ผลปลายทางจะเป็นอย่างไร?

            มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ตั้งแต่ยุคสมัยไหนก็ตาม พยายามแสวงหาที่จะได้เข้าสู่สวรรค์ คนยิวก็ยิ่งแสวงหาใหญ่เลย ที่จะได้เข้าสู่สวรรค์ ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ประพฤติ ปฏิบัติตามกฎต่างๆ ที่พระเจ้าตั้งไว้

            กฎเหล่านั้น ที่พระเจ้าตั้งไว้ เป็นเพียงเงา ที่พระเจ้าบอกว่าอนาคตข้างหน้า พระองค์จะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา เพื่อกระทำกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ 600 ข้อ 700 ข้อ 800 ข้อ พระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถทำกฎเหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้  แล้วพระเยซูคริสต์ก็รับภาระที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียนไว้  คือทิ้งสภาพของพระเจ้า แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วในขณะเดียวกันต้องรับภาระหนัก โดยที่ต้องตัดสินใจที่จะเดินไปที่ไม้กางเขน พระเจ้าไม่ได้บังคับพระเยซูคริสต์ว่าต้องทำ แต่พระเยซูคริสต์เต็มใจทำ  เต็มใจเดินไปที่ไม้กางเขน

            แต่คำว่า “เต็มใจ” ในความเป็นมนุษย์ พี่น้องจำได้ใช่ไหม วันศุกร์ประเสริฐ เพิ่งจะผ่านไป ก็คือแม้พระองค์จะเต็มใจ แล้วรู้อยู่เต็มอกว่าถูกส่งมา เพื่ออะไร?  แต่พอถึงวาระนั้นจริงๆ คือใกล้เวลาที่พระองค์จะถูกเฆี่ยนตี ถูกโบยตี ถูกนำไปที่ไม้กางเขน ถูกตรึงจนเลือดหยดทุกท้ายหยดลงมา แล้วยอมสิ้นพระชนม์ คือยอมละวิญญาณของพระองค์ พระองค์รู้หมดเลยว่าสเต็ปเหล่านี้ ที่จำเป็นจะต้องเดินไป มันทรมานมากเลย เพราะ ณ เวลานั้นพระเยซูคริสต์อยู่ในสภาพของมนุษย์ มนุษย์แท้ๆ เลย มีเลือด มีเนื้อ กลัวเป็น เจ็บเป็น เลือดออกเป็น ทุกอย่างเหมือนมนุษย์หมดเลย  สิ่งเดียวที่ไม่เหมือน คือพระเยซูคริสต์ทรงเป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า นี่คือความแตกต่าง

            พระเยซูคริสต์เป็นมนุษย์ผู้เดียวบนโลกใบนี้ที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีบาปเลย ไม่ได้อยู่ในเชื้อของอาดัม ฉะนั้น พระองค์จึงสามารถที่จะมาช่วยมนุษย์ได้ แล้วจากที่เราฟังมาตลอด เรารับรู้ความจริงเกี่ยวกับความรัก ที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราบนไม้กางเขน  ก็คือพระเยซูคริสต์ยอมเป็นคนบาป ซึ่งตรงนี้ พระองค์จะไม่ยอมก็ได้  พระเจ้าไม่ได้บังคับ เหมือนทุกวันนี้ เราผู้เชื่อ ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  พระองค์ก็ไม่เคยบังคับเราว่าต้องทำอะไร? ไม่ให้ทำอะไร? แต่พระองค์จะหนุนใจพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา จะบอกเราว่าควรทำอะไร? ไม่ควรทำอะไร? คำว่า “ต้อง” กับ “ควร” คนละเรื่องเลยเนอะ

            “ควร” เหมือนพระองค์แนะนำว่าตอนนี้เป็นลูกพระเจ้าแล้วน๊า เรามีชีวิตใหม่แล้วนะ เรามีวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้าแล้วนะ เราเป็นความรักนะ เราควรจะสำแดงความรักที่อยู่ภายใน คือมันมีอยู่แล้ว ควรจะสำแดงมันออกมา ให้กับผู้คนรอบข้างได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้า พระองค์ไม่ได้สั่งว่าต้องรักคนโน้นคนนี้ทั่วโลกเลยให้ได้ เปล่า ไม่ได้สั่งอย่างนั้น แต่พระองค์ให้สิทธิ์ผู้เชื่อทุกคนให้สามารถตัดสินใจว่าเราจะยอม เชื่อตามที่พระเยซูบอกไหม? ยอมว่าให้เราประพฤติ หรือทำตัวให้สมกับที่เราได้รับพระคุณจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือข้อแนะนำ พระเยซูจะโน้มน้าว

            แล้วเมื่อพระเยซูโน้มน้าวในจิตใจของเราปุ๊บ ข้างในวิญญาณของเราจริงๆ วิญญาณของมนุษย์ทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  พูดถึงคริสเตียนที่เปิดใจแล้ว วิญญาณของเราสะอาด บริสุทธิ์  หมดจด ถูกเปลี่ยนใหม่เหมือนพระเจ้าเลย วิญญาณข้างในเราไม่มีบาปแล้ว  เหมือนพระเจ้าเลย ฉะนั้น วิญญาณตัวตนจริงๆ ของผู้เชื่อทุกคน คือไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ฉะนั้น เวลาเราทำผิดพลาดไป คือเราถูกหลอก เราแพ้การล่อลวงของระบบบนโลกใบนี้ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาป และความตาย และร่างกายเรายังอยู่ในเนื้อหนังเก่าอยู่ โอกาสที่เราจะถูกหลอกมี แต่ว่าไม่ว่าเราจะถูกหลอก หรือไม่ว่าเราจะเดินตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตาม ตรงนี้ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเราเป็นใคร? ตอนนี้ ณ เวลานี้เราอยู่ในไหน? ผู้เชื่อ ณ เวลานี้  เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนใหม่ ชีวิต จิตใจเราได้รับการเปลี่ยนใหม่เรียบร้อยไปแล้ว และในขณะนี้ พอเราเป็นปุ๊บ คำว่า “เป็น” มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า

            อย่างที่บอก พี่น้องต้องจำให้ได้ว่า “เป็นแล้ว เป็นเลย” ไม่ได้ หมายความว่าวันนี้เป็นลูกของพระเจ้า วันนี้เกิดเราออกจากโบสถ์ปุ๊บ เราไปโดนคนชนหกล้ม แล้วเราก็ลุกขึ้นมาด่าเขาเลย ความคิดเรา หรือโลกนี้ เขาส่งข้อมูลมา …

            “เห็นไหม? เธอนิสัยไม่ดี เธอจะสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้อย่างไร? ไม่จริงหรอก เธอยังสกปรกอยู่เลย เธอยังบาปอยู่เลย”

            ความคิดนี้มันจะเข้ามา แต่เราต้องยอมรับความจริง ต้องยืนกรานความจริงในโลกวิญญาณว่า …

            “ไม่ พระเจ้าบอกฉันว่าวิญญาณฉันสะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าแล้ว พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้ฉันแล้ว ฉันไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฉันได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ชีวิตของฉัน ณ เวลานี้ที่ดำเนินอยู่ทุกวันๆ ฉันดำเนินโดยพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณที่อยู่ในฉัน พระองค์จะนำฉันในแต่ละวัน ฉันจะค่อยๆ พัฒนาเป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้นทุกวันๆ ค่อยๆ พัฒนา”

            “ความเชื่อ” “การเป็นลูกพระเจ้า” ไม่ต้องพัฒนา คือเปิดใจต้อนรับพระเจ้าปุ๊บ เป็นลูกเลย ไม่ใช่ต้องค่อยๆ พัฒนา ทำความดี เพื่อเราจะได้เป็นลูก ไม่ใช่ เราเป็นลูกแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย  แต่หลังจากที่เป็นลูกของพระเจ้า เราก็ค่อยๆ พัฒนาบุคลิกใหม่ ที่พระเจ้าให้กับเรา ให้เจริญเติบโตมากขึ้น สำแดงความรักที่อยู่ในเราแล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหน?  ไม่ต้องพยายามที่จะทำให้มันเกิด เพราะว่าอย่างไร เราก็ไม่มีความสามารถที่จะทำให้มันเกิดหรอก พระเจ้าทำให้มันเกิดขึ้นแล้ว ความรักที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา มันมีเรียบร้อยแล้ว แค่เรารู้ไหมว่าข้างในเราเป็นความรัก ถ้าเรารู้ว่าข้างในเราเป็นความรัก เรามีสมบัติอยู่ในร่างกายของเรา อยู่ในวิญญาณของเรา พระพรนานับประการที่พระเจ้าได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว พอเรารับรู้ความจริงปุ๊บ เราก็ค่อยๆ เปิดตู้คลังสมบัติของเรา ค่อยๆ หยิบสมบัติทีละชิ้น ที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ออกมาแจกจ่าย สมบัติที่พระเจ้าให้กับเรา คือความรัก ออกมาแจกจ่าย ความดีงามออกมาแจกจ่าย ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้ง 9 อย่างออกมา ค่อยๆ แจกจ่าย แล้วผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีอันหนึ่ง คือการรู้จักบังคับตนเอง เพราะฉะนั้น พอเราเชื่อ วางใจในพระเจ้า  เราจะมีผลตรงนี้อยู่ พอเราเชื่อใหม่ๆ เราอาจจะไม่สามารถบังคับตนเองได้ดีเท่าไร? เราก็ค่อยๆ รับรู้ความจริงว่าตรงนี้มีอยู่ในเรา เราก็ไปหยิบมันออกมาใช้ เรียนรู้ที่จะบังคับตนเองให้เพิ่มพูนมากขึ้น เรียนรู้ที่จะอดทนมากขึ้น

            ฉะนั้น ในยุคของอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลไม่ได้หนุนใจอะไร? หนุนใจผู้เชื่อในยุคนั้นว่าให้อดทน รอคอย เฝ้ามองดูพระเจ้า รับรู้ความจริงว่าสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งมันเป็นอภิอัครสมบัติที่มหาศาลยิ่งใหญ่เหลือเกิน ที่พระเจ้าได้กระทำให้กับมนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เชื่อ คือพวกเราทุกคนได้เปิดใจรับเอาสมบัตินี้เข้ามาอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่สำคัญที่ผู้เชื่อจำเป็นจะต้องรับรู้ เรามาดูว่าอาจารย์เปาโลอธิษฐานอย่างไร? …

        เอเฟซัส 3:17-18 “17 เพื่อพระคริสต์จะสถิตในใจของท่านโดยทางความเชื่อ และข้าพเจ้าอธิษฐานว่าเมื่อท่านหยั่งรากและตั้งมั่นคงในความรักแล้ว 18 ตัวท่านพร้อมกับประชากรทั้งหมดของพระเจ้า จะได้สามารถหยั่งถึงความรักของพระคริสต์ว่ากว้างยาวสูงลึกปานใด”

            เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เข้ามาอยู่ในเรา พระองค์จะทรงเปิดให้เราเห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าได้กระทำการงานของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว  และโดยความรักนี้ เมื่อพระเยซูตรัสว่าสำเร็จแล้ว หมายความว่าแผนการทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาตินั้น ได้กระทำเรียบร้อยไปแล้ว  แล้วเราผู้เชื่อ ก็ได้เข้าสู่ศักราชใหม่ของพระเจ้า คือเข้ามาสู่ปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า เข้ามารับพระคุณจากพระเจ้า โดยที่เราไม่ได้กระทำดีใดๆ เพื่อรับพระพรนี้

            ในพระคัมภีร์เอเฟซัส 2:8-9 บอกว่าเรารอด โดยความเชื่อ  ไม่ใช่เป็นการประพฤติของผู้หนึ่งผู้ใด  ที่จะพยายามกระทำความดี  เพื่อที่จะได้รับความรอด แต่ความรอดนี้ เป็นของประทานซึ่งมาจากพระเจ้า เป็นของประทานที่เกิดขึ้น ในวิญญาณของพวกเราผู้เชื่อ ใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วตัดสินใจ เราทุกคนต้องการการตัดสินใจ ซึ่งพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ เราได้ตัดสินใจเรียบร้อยไปแล้ว ที่จะยอมรับความช่วยเหลือ จากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เมื่อคนหนึ่งคนใดยอมรับความช่วยเหลือ ตัดสินใจ แล้วก็บอกพระเจ้าว่า …

            “พระองค์เจ้าข้า ช่วยลูกด้วย ลูกอยากได้รับความรอด ลูกอยากเข้าสวรรค์ ลูกอยากเป็นลูกของพระองค์ ลูกไม่อยากอยู่ในทางเดิมอีกแล้ว ลูกไม่อยากอยู่ในอาดัมอีกแล้ว ลูกรู้ตัวว่าเป็นคนบาป  ลูกต้องการความช่วยเหลือ”

            แล้วใครก็ตามเปิดใจ บอกพระเจ้าอย่างนี้ ทันทีทันใด พระเจ้าก็เข้ามาบัพติศมา ผ่าตัดวิญญาณเรา เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา ความคิดจิตใจใหม่ให้กับเรา  ชำระร่างกายของผู้เชื่อทุกคนให้สะอาดบริสุทธิ์  พร้อมให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา และบัดนี้ พวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ในโลกวิญญาณ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าเราทำอะไร พระเจ้าเป็นผู้นำเราทำ แต่การที่พระเจ้านำเราไปทำ พระเจ้าไม่บังคับ  อย่างที่บอก เราอยากให้พระเจ้าบังคับมากๆ เลย เพื่อเราจะได้ไม่ต้องออกนอกลู่นอกทาง เอาโซ่มาล่ามเราไว้ก็ได้ เราจะได้เชื่อฟังพระองค์ แต่พระเจ้าไม่ได้เลี้ยงเราเหมือนวัวเหมือนควาย ไม่ใช่ เอาโซ่มาล่าม เอากรงมาขัง เอาไม้มาตี เพื่อจะได้กำหลาบเราให้อยู่มือ  นั่นไม่ใช่ลักษณะของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรัก พระองค์ทรงเมตตา  ทรงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจ เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักมาก ฉะนั้น พระองค์ก็ให้อิสรภาพกับเรา ในการตัดสินใจ แม้ว่า ณ เวลานี้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ชีวิตของเราไม่ได้เป็นของเราเองแล้ว ชีวิตเก่าของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วชีวิตใหม่ที่เราดำรงอยู่ ณ ขณะนี้ พระเจ้าซื้อเราด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เมื่อซื้อเราด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกว่าเราไม่ใช่เจ้าของตัวเราเองอีกต่อไป แต่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นเจ้าของชีวิตของเรา  แต่เราขอบคุณพระเจ้า แม้พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดาเป็นเจ้าของชีวิตของเรา พระองค์ก็ยังไม่บังคับเราเหมือนเดิม เป็นลักษณะของพระองค์ พระองค์ก็ยังคงให้อิสรภาพกับผู้เชื่อ ลูกของพระองค์ ให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเขาเอง ตัดสินใจว่าเขาจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยการเชื่อฟังพระวิญญาณ หรือตัดสินใจจะดื้อกับพระเจ้า ไม่ยอมเชื่อฟังพระวิญญาณ  เป็นคริสเตียนดื้อได้อยู่นะ แต่ถ้าดื้อ เราก็เจ็บตัว พระคัมภีร์บอก เจ็บตัวตรงไหน?  เจ็บตัวแค่บนโลกใบนี้เท่านั้น แต่วิญญาณเราก็ยังอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ฉะนั้น ถ้าเราดื้อปุ๊บ พระเจ้าก็ลุ้น พี่น้องนึกออกไหม? เหมือนกับพ่อแม่ทุกคน ถ้าลูกเราเป็นเด็กดี เชื่อฟัง เป็นเด็กน่ารัก ไปถึงไหนใครก็รัก พ่อแม่ก็ปลื้ม ปลื้มทำไม ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย  แต่ทำไมเราปลื้ม เพราะเขาเป็นลูกเราไง พอคนมาชมลูกให้เราฟัง ปลื้มอ่ะ ปลื้มมากเลย  …

            “ลูกน่ารักนะ ลูกเป็นเด็กดี มีสัมมาคารวะ”

            ปลื้มมาก ยิ้มแก้มปริกเลย นี่คือความรู้สึกของพ่อแม่  แต่ถ้าลูกเราไม่ดี ลูกเราดื้อ ลูกเราเป็นอันตพาล ชอบไปหาเรื่องชาวบ้าน  แล้วคนอื่นเขาก็มาฟ้องเรา มาบอกเรา …

            “ทำไมลูกเธอเป็นอย่างนี้ นิสัยไม่ดี เรียนก็ไม่เรียน เกเร ไปคบพวกอันตพาลอีก”

            เรารู้สึกอย่างไร? เศร้าเนอะ เรารู้สึกเสียใจ ที่ลูกเราทำไมถึงเป็นแบบนั้น แล้วเราอยากให้ลูกเราเป็นแบบนั้นไหม? ไม่อยาก แต่ลูกเราเป็นแล้ว เป็นแล้วทำไง เราก็ต้องค่อยๆ ให้กำลังใจเขา บอกเขาว่าเรารักเขาขนาดไหน? นี่คือวิธีเดียวที่สามารถทำให้เด็กที่ดื้อ เด็กที่ออกนอกลู่นอกทาง สามารถกลับเข้าสู่ร่องสู่รอย ที่เป็นเด็กดีได้ วิธีเดียวเท่านั้น คือบอกเขาว่าเรารักเขาขนาดไหน? อย่าไปด่าเขา อย่าไปไล่เขา เพราะว่าการด่า การไล่ เท่ากับเราผลักเขาออกจากชีวิตของเรา แต่ถ้าเราบอกเขาตลอดเวลา …

            “ลูก พ่อแม่รักลูกมากเลยนะ ลูกทำอย่างนี้ พ่อแม่เสียใจ ลูกทำอย่างนี้ พ่อแม่ก็วิตกกังวล เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไร วันไหนลูกจะไปหัวร้างข้างแตกอยู่ตรงไหน? อย่างไร? แต่ต่อให้ลูกหัวร้างข้างแตก ลูกก็ยังเป็นลูกที่รักของพ่อแม่อยู่นะ”

            นี่คือความจริง เป็นความจริงที่เราเลี่ยงไม่ได้  เพราะว่าเขาเป็นลูกของเรา  เขาเป็นเชื้อสายของเรา  เขาเป็นเลือด เป็นเนื้อของเรา เรามองภาพ นี่แค่มนุษย์ธรรมดาที่พระเจ้าบอกว่ามนุษย์ที่เป็นคนบาป ยังรู้จักที่จะรักลูกของตัวเอง ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระเจ้าพระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ จะไม่รักเรามากกว่านั้นอีกหรือ? พระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์ ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ด้วยวิญญาณของพระองค์ เมื่อลูกของพระองค์ทำผิดทำบาป ไม่เชื่อฟัง ดื้อกับพระเจ้า ก็คืออาดัม เอวาดื้อกับพระเจ้า พระเจ้าเสียใจ พระเจ้าไม่อยากให้เขาต้องรับทุกข์ทรมาน  แต่กฎก็คือกฎ พระเจ้าก็ต้องปล่อยมือ ปล่อยมือแล้วทำอย่างไร? พระเจ้าก็วางแผนการช่วยกู้ ให้ลูกเราได้มีโอกาสกลับคืนดีกับพระองค์ กลับเข้ามาอยู่สวรรค์เหมือนเดิมกับวันแรกที่พระเจ้าทรงสร้างเขามา นี่คือแผนการทั้งหมดที่พระเจ้าวางไว้ ถ้าเราเห็นภาพนี้  ที่พระเจ้าทรงรักเราขนาดนี้ เราจะสามารถที่จะยอมจำนนกับพระเจ้า พี่น้องนึกออกไหม? พระเจ้าต้องการให้เรายอมจำนน โดยตัวเราเอง ไม่ใช่ถูกบังคับ  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าบอกต้องๆ จริงๆ แล้วหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำการงานของพระองค์สำเร็จ คำว่า “ต้อง” ไม่มีอีกแล้วในพจนานุกรมของพระเจ้า มีแต่ …

            “ควรทำ, ทำเถิดลูก ทำอย่างนี้ลูกจะได้ดีนะ ถ้าลูกทำตามพระวิญญาณ ลูกจะได้ดีนะ ถ้าลูกทำตามเนื้อหนัง หรือทำตามความต้องการของตัวเอง ลูกจะได้รับความไม่สุขสบาย ไม่สุขกาย ไม่สุขใจ คืออย่างไรก็ต้องรับผลตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ แต่เป็นผลของโลกใบนี้เท่านั้น”

            เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำการงานผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ดังนั้น อาจารย์เปาโลอธิษฐานว่าเพื่อเราทั้งหลายจะได้สามารถหยั่งรากลึกลงไปในความรักของพระเจ้า รับรู้ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? ขนาดที่ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา พระเยซูยอม ต้องยอม ถ้าพระเยซูไม่ยอม ไม่มีใครทำอะไรพระองค์ได้ เหมือนพวกเราทุกวันนี้  เราก็ต้องยอม ถ้าเราไม่ยอม ก็ไม่มีใครทำอะไรเราได้เหมือนกัน พระเจ้าก็ทำอะไรเราไม่ได้เลย เพราะพระเจ้าให้สิทธิ เสรีภาพ ให้กับมนุษยชาติ  ให้มีสิทธิที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง แต่พระเจ้าลุ้นไหม?  ลุ้นตัวโก่งเลย …

            “ลูกๆ นี่เหวนะ ลูกๆ อย่าเดินไปนะ ตกเหวนะ เจ็บนะลูก”

            มันลักษณะแบบนี้เลย  อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐาน ให้ตาฝ่ายวิญญาณสว่าง เพื่อผู้เชื่อจะได้สามารถรับรู้ถึงความรักของพระเยซูคริสต์ว่ากว้าง ยาว สูง ลึกปานใด มันมีมิติ ที่มันอัศจรรย์มาก

            เราขอบคุณพระเจ้า ที่พอเรารับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวในคืนวันศุกร์ประเสริฐ ที่พระเยซูคริสต์ยอมพระองค์ยอมนะ พระองค์ไปอธิษฐาน 3 ครั้ง ทำไมต้องอธิษฐานถึง 3 ครั้ง  เพราะว่า ณ เวลานั้น พระองค์ยังเป็นมนุษย์อยู่ มีเนื้อหนังเหมือนมนุษย์ พระองค์กลัว อธิษฐานถามพระเจ้าว่าได้ไหม?  ที่ถาม รู้ทั้งรู้ว่ายังไงก็ไม่ได้ นึกออกไหม? เหมือนพวกเราแหละ ทุกวันนี้ ผู้เชื่อ บางทีเราก็อธิษฐานถามพระเจ้าว่าทำอย่างนี้ได้ไหม? ซึ่งข้างในใจเรามีคำตอบอยู่แล้วแหละว่ามันไม่ได้อยู่แล้ว แต่เราก็อยากอธิษฐานถามพระเจ้า เผื่อพระเจ้าจะใจอ่อน

            บอก … “โอเคๆ ลูกไปทำเถอะ”

            หรือบางครั้งก็มาถามศิษยาภิบาลอีก “ทำอย่างนี้ได้ไหม?”

            รู้คำตอบอยู่แล้วว่ายังไง ก็ไม่ได้ เป็นเรื่องที่มันผิดกฎหมาย สมมติ มาถามศิษยาภิบาลว่า …

            “ตอนนี้ร้อนเงินมาก ขอไปขายยาบ้าได้ไหม?”

            ท่านคิดว่าศิษยาภิบาลจะตอบท่านว่า … “ไปทำเถอะ ไปขายเถอะ จะได้เงินมาใช้”

            มีไหม? ไม่มีแน่นอน  เราก็ต้องแนะแนวให้กับท่านว่า … “อย่าไปทำเลย อธิษฐานกับพระเจ้าให้พระเจ้าประทานสติปัญญา  ประทานหนทางว่าเราน่าจะ หรือควรจะทำอะไรอย่างไร? ในการทำมาหากินที่สุจริต จะทำให้เราสบายใจนะ เราทำอย่างนี้ มันไม่โอเค”

            ซึ่งพระเจ้าก็จะคุยกับเราแบบนี้แหละ เหมือนกัน ซึ่งตอนที่เราไปถาม เรารู้ไหมว่ามันไม่ได้ รู้แหละ เผื่อฟลุ๊ค เผื่อศบ.ลืมตัว

            “โอเคๆ เดี๋ยวจะช่วยอธิษฐานให้นะว่าผ่านไปด้วยดี แล้วปิดตาของตำรวจที่จะไม่จับเรา”

            ถ้าเป็นดิฉัน ดิฉันจะอธิษฐานให้ตำรวจจับท่านไป  ใจร้ายไหม? ใจร้ายเนอะ จับท่านไป เพื่อท่านจะได้รู้ว่าอันนี้ไม่ดี วันหลังจะได้ไม่ทำ นึกออกไหม?

            ฉะนั้น เป็นอะไรที่ง่ายๆ ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงเปิดให้เราเห็น  ให้เรารับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว เป็นความดีงาม สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย ไม่ว่าเราตัดสินใจอะไร? หรือผิดพลาดอย่างไร? ล้มลง ไปทำสิ่งที่ไม่ได้ตรงตามความเป็นจริง ในตัวตนใหม่ของเราก็ตาม พระเจ้าก็ยังเห็นเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ดีพร้อม เป็นทายาทของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ในโลกวิญญาณเหมือนเดิม อย่าให้มารหลอกเรา ให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  พอหลังจากที่เราทำแล้ว มันก็เอาไม้มาตีหัวเรา …

            “เห็นไหม? ทำสิ่งที่ไม่ดี พระเจ้าไม่รักเธอแล้ว เธอเป็นคนบาป” อะไรต่อมิอะไร?

            มันจะเป็นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น ผู้เชื่อจำเป็นจะต้องรู้กลของมาร แล้วจำเป็นจะต้องรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกว่าอะไรบ้างที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ให้กับพวกเราทั้งหลาย ยืนกรานความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือสิ่งที่ผู้เชื่อจะทำ ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แล้วเราจะได้สามารถอยู่แบบหายเหนื่อยและเป็นสุข ตามที่พระเยซูคริสต์บอก

            ทำไมมนุษย์เหนื่อย  มนุษย์ดิ้นรน พยายามไขว่คว้า พยายามแสวงหาอะไรก็ตาม พยายามทำสิ่งดีงาม เพื่อเราจะได้หลุดพ้นจากความบาป เพราะเรารู้ว่าเราบาป  เพื่อเราจะได้มีโอกาสเข้าสู่สวรรค์บ้าง แต่ไม่มีหลักประกัน สมัยก่อนไม่ว่าเราจะแสวงหาอะไร? ทำดีขนาดไหน? เราก็ไม่เคยมีความรู้สึกข้างในว่าเราดีพอที่จะขึ้นสวรรค์ได้ แต่ ณ บัดนี้ เราไม่ต้องทำเอง

            พระเยซูบอก … “ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว  เธอแค่เชื่อ  เธอก็จะดีพร้อม พระเจ้ารับเธอได้ เธอขึ้นสวรรค์ได้  เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับฉันได้”

            และ ณ ปัจจุบัน พวกเราทุกคนก็ไปนั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่สวรรคสถาน ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

            ฉะนั้น ผู้ชอบธรรมจำเป็นจะต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เชื่ออะไร? เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว แล้วเข้ามารับ แค่นั้นเอง รับแบบรู้เรื่องบ้าง? ไม่รู้เรื่องบ้าง?  ไม่รู้ล่ะ พระองค์ว่าอย่างไร? ลูกว่าตามนั้นแหละ นั่นคือความเชื่อศรัทธา ที่เราจะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จนถึงวินาทีสุดท้าย ลมหายใจออกจากร่าง เราก็ยังคงเชื่อและเรามั่นใจว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว พระเจ้าจะดูแลวิญญาณจิต ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จนกว่าวินาทีสุดท้ายของชีวิต อย่างไรเราก็ไม่หลุดออกจากความรักของพระเจ้าได้ ไม่ว่าเราจะไปทำอะไรก็ตาม พระเจ้าบอกไม่มีทางหลุดออกจากความรักของพระเจ้าได้เลย พระเจ้าได้รักเราเรียบร้อยไปแล้ว รับเราเป็นบุตรแล้ว เป็นทายาทของพระเยซูคริสต์แล้ว แค่เป็นทายาทที่ไม่รับรู้ความจริง แล้วเป็นทายาทที่เกเร ชอบทำตัวไม่ดี  แล้วก็ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ทำให้ตัวเองไม่มีความสุขพอ หรือเพียงพอในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น เราเคยเห็นไหม? ทายาทที่เกเร แทนที่จะมีความสุข

            พระเจ้าบอก … “เธอเป็นลูกฉัน ดีพร้อม สะอาด ทุกอย่างพระเจ้าทำให้เสร็จแล้ว”

            แล้วถ้าเราเกเรเราเป็นทายาทอยู่ไหม? เป็นเหมือนเดิมนะพี่น้อง ยังเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักไหม? เหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่าพระองค์รัก แต่พระองค์ลุ้น พอเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เรารับผลมัน พระเจ้าบอก พระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครอง ควบคุมกัลปจักรวาลนี้  กฎทุกอย่าง พระองค์เป็นผู้สร้าง ทั้งกฎฝ่ายวิญญาณ และกฎฝ่ายร่างกาย ที่อยู่บนโลกใบนี้ กฎเหล่านี้มันจะมีผล สำหรับชีวิตของทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม

            ฉะนั้น ผู้เชื่อ เมื่อทำผิดกฎ ก็รับผลของมัน แต่พระเจ้าอยากให้เราทำไหม? พระองค์ไม่อยาก แน่นอน ไม่อยากให้ลูกของพระองค์ต้องเจ็บตัว แต่พระองค์ก็ให้อิสรภาพเราในการตัดสินใจว่าจะเชื่อพระองค์หรือไม่เชื่อ แล้วพระองค์ก็ลุ้นเราทุกวันนั่นแหละ ทุกวินาทีด้วยซ้ำไป  พี่น้องเคยรู้สึกไหมว่าทุกวินาทีความคิดของเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คิดอย่างนี้ คิดปุ๊บ ไม่เอา คิดใหม่ ไม่เอา คิดใหม่ อยากจะช่วยคนนั้น ไม่เอาแล้ว ไม่ช่วยแล้ว อะไรอย่างนี้ นั่นคือความคิดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ เรายังถูกควบคุมอยู่ แต่เราสามารถจดจ่อ รับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นแบบนี้นะ แล้วโน้มนำความคิดของเรา เข้าไปอยู่ในการเชื่อฟังพระเจ้า เรามีสิทธิ์ตัดสินใจว่า …

            “คิดอย่างนี้ มันไม่ใช่ มันไม่ได้มาจากพระเจ้า ฉันไม่เอา … ความคิดนี้ มาจากพระเจ้า ฉันเอา”

            พี่น้องนึกภาพนะ เมื่อเราคิดอะไร สมองมันจะสั่งการให้ร่างกายเราทำตามความคิดของเรา แล้วทำไมพระเจ้าถึงให้เรายอมมอบถวายความคิด สติปัญญา ทั้งร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา ให้พระเจ้าใช้ เพราะว่าพระเจ้าไม่บังคับเราไง เราต้องยอมไง มอบให้พระเจ้าใช้ เมื่อพระเจ้าใช้ ความคิดเราก็ไปแปะอยู่ที่ความคิดของพระเจ้า ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

            เมื่อคิดตามพระเจ้าปุ๊บ ผลมันจะออกมาเป็นการกระทำ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  แต่ถ้าความคิดเราไปแปะอยู่ที่โลกนี้ การส่งข้อมูลเข้ามา ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ ความคิดนี้ ก็จะส่งมา ให้เราประพฤติปฏิบัติตามมัน มันมาหลอกเรา พอคนเหยียบขาปุ๊บ ความคิดสั่ง …

            “เขาเหยียบเธอ หันไปด่าเลย”

            หันไปด่าไม่พอ ยังไม่สะใจ เหยียบเขาคืนเลย  นั่นแหละ คือความคิดของโลกใบนี้  แต่ความคิดของพระเจ้า คืออะไร? ถ้าเขามาเหยียบขาเรา แล้วเขาขอโทษเรา หรือแม้แต่เขาไม่ขอโทษ พระเจ้าจะโน้มนำเราว่า …

            “เขาไม่ได้ตั้งใจหรอก ยกโทษให้เขาเถอะลูก อย่าไปเอาเรื่องเอาราวเลย”

            ในความเป็นเนื้อหนัง เราไม่ยอมนะ แต่บางทีเราก็ยอม มันเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น ให้เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ยอมเสียสละ เพื่อพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์ยอมมาเป็นคนบาป  เพื่อจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ยอมเป็นคนบาป วิญญาณบาปของเราจะได้สามารถเข้าไปอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์บนไม้กางเขน  ถ้าพระองค์ไม่ยอมเป็นคนบาป  ไม่ยอมรับเอาความบาปของมนุษยชาติมาไว้ที่พระองค์ พระองค์เป็นมนุษย์คนเดียวที่ไม่มีบาป สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย  ถ้าพระองค์ไม่ยอมปุ๊บ ความสะอาดบริสุทธิ์ของพระเจ้า มนุษย์เข้ามาอยู่ด้วยไม่ได้ ด้วยประการทั้งปวง  ไม่ว่าด้วยวิธีอะไร มนุษย์ก็ไม่สามารถเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ เพราะว่าเป็นคนละพวกกัน แต่เนื่องจากความรักที่พระเจ้าพระบิดาทรงมีต่อมนุษย์ ก็เลยทรงให้พระเยซูคริสต์ยอมที่จะเป็นคนบาป ยอมที่จะรับเอาความบาปของมนุษยชาติ มาไว้ที่ตัวพระองค์เอง แล้วเมื่อพระองค์ทรงเป็นคนบาปปุ๊บ ก็เลยสามารถดูดเอาคนบาป เข้ามาอยู่ที่ตัวพระองค์

            พระเยซูคริสต์ตรัสว่าเมื่อเราถูกยกขึ้น เราจะนำพาคนทั้งหลายเข้ามาหาเรา ถูกยกขึ้นบนไม้กางเขน ยอมเป็นคนบาป เพื่อดูดเอามนุษยชาติที่เป็นคนบาปด้วยกันเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในความเป็นคนบาปแล้ว  เราจะได้ตายพร้อมกับพระองค์บนไม้กางเขน ตายพร้อมกันนะ ที่พูดทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของโลกวิญญาณหมดเลย พี่น้องลำดับภาพ แล้วก็มองให้เห็น  ในพระคัมภีร์ชอบใช้คำว่า …

            “จงมองให้เห็นเถิด”

            “คนที่มีตา จงดูเถิด”

            “คนที่มีหู จงฟังเถิด”

            พระเยซูไม่ได้บอกว่าเราไม่มีหูนะ เรามีหู 2 ข้าง หูเนื้อไม่เกี่ยวกัน หูเนื้อ เราไม่สามารถรับรู้เรื่องราวของโลกวิญญาณได้ ตาเนื้อเราไม่สามารถมองเห็นเรื่องในโลกวิญญาณได้ ฉะนั้น ตาและหูฝ่ายวิญญาณ ให้พระเจ้าเป็นผู้เปิดให้เราเห็น  เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระองค์จะค่อยๆ เปิดให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าพระองค์ทำอะไรเพื่อเราแล้ว  เมื่อเราถูกดูดเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ถูกตรึงบนไม้กางเขน ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ  พระองค์ก็นำเราไปฝังพร้อมกับพระองค์อีก  เพื่อว่าตัวบาปของเราจะได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้หลุดพ้นจากกฎของโลกใบนี้  กฎของความดีและความชั่ว กฎบัญญัติที่พยายามบังคับ เราว่าต้องทำอย่างนั้น ไม่ให้ทำอย่างนี้ กฎตรงนี้เราหลุดไปแล้ว เมื่อวิญญาณเราตายไปพร้อมกับพระองค์ แล้วเมื่อเราเป็นขึ้นมาจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎอีกแล้ว

            ในพระธรรมโรม บทที่ 8 บอกว่า … “เหตุฉะนั้น จึงไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ (ใช้คำว่า “อาศัยอยู่” นะ เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์) เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ได้ทำให้ท่านพ้นกฎของความบาปและความตาย”

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ  ฉะนั้น ณ เวลานี้เราอยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตแล้ว กฎของความบาปความตาย ไม่มีอิทธิพล ไม่มีผลกับชีวิตของผู้เชื่อเลย แม้แต่นิดเดียว  อย่าให้มันหลอกเราได้ …

        เอเฟซัส 3:19-21 “19 และซาบซึ้งในความรักนี้ซึ่งเหนือกว่าความรู้ เพื่อท่านจะบริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า 20 บัดนี้ ขอเทิดพระเกียรติพระองค์ผู้ทรงสามารถกระทำเกินกว่าที่เราจะทูลขอหรือคาดคิด ได้ตามฤทธานุภาพของพระองค์ ซึ่งกระทำการอยู่ภายในเรา 21 ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุสืบๆ ไปเป็นนิตย์! อาเมน”

            พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ผู้ประกอบกิจอยู่ในเรา ฉะนั้น ทุกวันนี้  เราทำอะไร ก็เท่ากับพระเยซูทำ เอาเป็นอย่างนี้ พระเยซูทำอะไร ก็เท่ากับเราทำ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้า เมื่อพระเยซูนำเราทำอะไร เราก็ทำตามพระองค์ เพราะว่าตอนนี้ เราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะว่าชีวิตเราซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราขอบคุณพระเจ้ามากๆ สำหรับศักราชใหม่ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ให้เราสามารถหายเหนื่อยและเป็นสุข ให้เราไม่ต้องพยายามดิ้นรน ที่จะทำความดี เพื่อเราจะได้รับความรอด เหนื่อยนะ การพยายามทำความดี  ทำแล้วทำอีก ทำทุกบ่อยๆ แต่ข้างในวิญญาณเราไม่เคยรู้สึกว่าเราได้รับความรอด  เราไม่พอๆ เราต้องทำเพิ่ม แล้วก็เหนื่อย เหนื่อยแทบจะตาย จนเราตายจากไป  เราก็ยังไม่รู้สึกว่าเราหลุดพ้น จากความบาปสักที ซึ่งพระเจ้าบอกชัดเจนอยู่แล้ว ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ ต้องมาพึ่งพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ ก็ทำสำเร็จแล้ว สำหรับมนุษยชาติทั้งหมดเลยนะพี่น้อง ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียน ทั้งหมด เรียบร้อยไปแล้ว บนโลกใบนี้ อยู่ตรงว่าคนนั้นได้ยินไหม? แล้วได้ยิน เขาตัดสินใจอย่างไร?  ได้ยินแล้ว เขาไม่สนใจ …

            “ฉันไม่เห็นต้องพึ่งพระเจ้าเลย ฉันก็ดีออกขนาดนี้  ฉันทำแต่ความดี ฉันส่ำสมความดีไว้ตั้งเยอะ ฉันไม่ต้องพึ่งพระเจ้าหรอก คนนั้น เขาก็ไม่เอาพระเจ้า”

            ดังนั้น ในพระคัมภีร์ พระเยซูคริสต์บอกว่ามีบาปเดียวที่พระเจ้ายกโทษให้ไม่ได้ บาปเดียวนั้น คือไม่เชื่อ วางใจคนที่พระเจ้าส่งมา  คือไม่เชื่อคนที่จะช่วยท่าน พระองค์จะมาช่วยท่าน แล้วท่านไม่รับความช่วยเหลือ ก็เท่ากับจบกัน  ใครก็ช่วยท่านไม่ได้  เพราะว่าพระเจ้าก็บีบคอให้ท่านมาเชื่อ วางใจในพระเจ้าไม่ได้ ก็เท่ากับจบกัน เมื่อคนนั้นไม่ยอมเชื่อ วางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน ไม่ยอมเข้ามารับความช่วยเหลือ คนนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม  ที่เดิม คืออยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่งนิรันดร์ เมื่อวิญญาณเขาออกจากร่าง เขาก็อยู่ที่เดิม  ก็คือในที่ที่ไม่มีพระเจ้า  พระคัมภีร์เขียนว่าที่ที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วพระเจ้าก็จะโยนเขาไปในที่ที่อยู่ในความมืดนิรันดร์กาล

            นี่คือความรักของพระเจ้าที่บอกว่าพระองค์พยายามบอก …

            “กลับมาเถิด กลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด เปิดใจต้อนรับเราเถิด เราทำให้แล้ว แค่มารับก็ได้ไปเลย อย่าดื้อเลย อย่าเย่อหยิ่งเลย  อย่าคิดว่าตัวเองสามารถทำได้ มันไม่มีทางอยู่แล้ว พระเจ้าบอกไม่มีทาง”

            แต่เราก็จะเถียงพระเจ้า … “ยังไง ฉันก็ว่ามีทาง”

            แต่พอถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เหมือนเศรษฐีกับลาซารัส เชื่อว่าตอนที่ลาซารัสมีชีวิตอยู่ ลาซารัสคงคุยเรื่องพระเจ้าให้เศรษฐีฟัง  แต่ว่าเศรษฐีไม่สนใจ เพราะว่า …

            “ฉันรวยแล้ว ฉันมีทุกอย่างแล้ว ฉันไม่เห็นต้องพึ่งพระเจ้าเลย”

            นี่เป็นการยกตัวอย่าง  ที่พระเยซูยกให้ฟังนะ เพราะว่า ณ เวลานั้น  พระเยซูยังทำอะไรไม่สำเร็จ   พระเยซูยกว่าเมื่อลาซารัสตาย ลาซารัสไปอยู่ที่อกของอับราฮัม  ณ เวลานั้น ผู้ที่เชื่อเหมือนอับราฮัม เขาก็ได้รับความรอด ในกฎเก่า เขาเรียกว่าพันธสัญญาเดิม  ที่พระเจ้าทำไว้กับคนยิว  ซึ่งคนต่างชาติไม่เกี่ยวเลยนะ มีคนยิวเท่านั้น ถ้าคนยิวคนไหนยังเชื่อฟังสิ่งที่โมเสสบอก ที่พระเจ้าบอกโมเสสว่าปีต่อปีให้เอาแกะมาถวาย  เอาเลือดมาถวาย  ถ้าทำผิดอะไร ก็มาสารภาพบาปกับพระเจ้า แล้วให้เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เดียวสามารถช่วยให้รอดได้ ถ้าใครเชื่อ เขาก็ได้รับความรอดเหมือนกัน แต่พอถึงยุคพระคัมภีร์ใหม่ พระเจ้าบอกว่ากฎพระองค์เปลี่ยนแล้วนะ ตอนนี้กฎเดิม ยกเลิกไปแล้ว  ถ้าคนยิวยังไปถวายเครื่องบูชาเหมือนเดิมอีก เขาก็ไม่ได้รับความรอดนะ เพราะพระเจ้าบอกว่ากฎใหม่มาแล้ว อันนั้นจบแล้ว เครื่องบูชาเดิมๆ จบแล้ว มีเครื่องบูชาใหม่ คือแกะปัสกาที่พระเยซูคริสต์ได้มาสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน ตอนนี้คนยิวหรือไม่ยิว หรือคนต่างชาติ หรือใครก็ตาม จำเป็นจะต้องเดินมาอยู่จุดนี้ คือมาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  เขาจะได้รับความรอด  พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คำสัญญาและสาบานที่พระเจ้าให้   สำเร็จแล้ว  โดยพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

            คำสัญญาและสาบานนั้น คือ …

            เอเสเคียล 36:25-27 … “25 เราจะปะพรมน้ำ ชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้าจากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 จะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า  และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า  และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเรา ไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

            เมื่อมนุษย์ผู้ใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้ามิได้ให้พระวิญญาณของพระองค์สถิตอยู่กับเราเท่านั้น

            แต่พระองค์ได้ทรงให้วิญญาณใหม่กับเราด้วย  เพราะมนุษย์ถูกสร้างประกอบไปด้วยร่างกายจิตใจและวิญญาณตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณและใจที่อาศัยอยู่ในเรือนดิน คือร่างกายนี้

            มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้  เป็นวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า  ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป อยู่ใต้อำนาจบังคับของบาป

            เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์  พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์  เพื่อตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นจากความตาย  บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ ด้วยวิญญาณใหม่และใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์ ความต้องการภายในจิตใจ แรงจูงใจภายในจิตใจใหม่ทั้งสิ้นเหมือนพระเจ้า

            วิญญาณและใจใหม่ของเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์จากเดิม  กลายเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์มีความต้องการ มีความดีงาม มีความบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เมื่อสะอาดบริสุทธิ์ไร้ตำหนิแล้ว  พระวิญญาณของพระองค์ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา  รวมเป็นหนึ่งกับวิญญาณของเราที่เกิดใหม่นั้น  ได้ทันที

            เราจึงกลายเป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า  และเป็นวิหารของพระเจ้า แม้กระทั่งร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ให้บริสุทธิ์  ที่พระเจ้าสามารถรับได้แล้วเดี๋ยวนี้ จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเรา

            พระเจ้าอวยพรครับ